b36
ป๊อป
ผมได้ยินหมดทุกอย่าง.........
ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องด้วยลำตัวที่แข็งทื่อ ใจของผมเต้นแรง แต่ใบหน้าของผมกลับรู้สึกชาวาบไปหมด ผมรู้สึกว่ามือขวาที่กำลังจับอยู่บนลูกบิดประตูนั้นเย็นเฉียบราวกับกำลังจับอยู่บนก้อนน้ำแข็งยังไงยังงั้น ผมค่อยๆลดมือข้างนั้นลงช้าๆและนึกทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
นี่ไอ้ยิ่วมันรู้สึกแบบนี้กับผมมาตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมผมไม่เคยเห็นรู้เลยล่ะว่ามันรู้สึกแบบนั้นกับผม ทำไมผมไม่เคยเห็นมันแสดงท่าทีหรือความรู้สึกอะไรทำนองนั้นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“แปลว่ากูควรจะพูดกับมันแล้วใช่มั๊ยวะ” เสียงของไอ้ยิ่วดังแว่วออกมาจากข้างในห้องอีกครั้ง ผมจึงรีบเงี่ยหูฟังอีกครั้งทันที “.......เอาวะ กูจะลองดู ไอ้เหี้ยแม่งงงง ตื่นเต้นชิบหายเลยว่ะมึง กูต้องหาโอกาสเหมาะๆดูก่อนอ่ะวะ ขอบใจมึงมากนะเว้ย ไอ้ยุ แล้วไงกูจะโทรไปบอกผลมึงนะเว้ย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ผมก็รีบเดินออกจากหน้าห้องของไอ้ยิ่วแล้วตรงไปยังบันไดอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเมื่อผมลงมาถึงชั้นล่าง ผมก็เดินเข้าไปหาแม่ของไอ้ยิ่วในครัว
“ม๊าฮะ ป๊อปฝากเอายาให้ไอ้ยิ่วมันหน่อยนะ ดูเหมือนมันจะหลับไปแล้วอ่ะ ป๊อปไม่อยากปลุกมัน” ผมยื่นแผงยาคืนให้กับม๊า
“อ้าวเหรอ เออ มันหลับไวดีเว้ย ไอ้ลูกคนนี้”
“งั้นป๊อปกลับก่อนนะครับ ดึกๆม๊าก็ค่อยเอายาไปให้มันก็แล้วกันนะ ปล่อยให้มันนอนไปก่อนเถอะ”
“ได้ๆ ว่าแต่ป๊อปได้จับตัวมันดูมั๊ยว่าไข้สูงรึเปล่าน่ะ”
“เปล่าครับ ป๊อปไม่อยากกวนมันน่ะ ก็เลยเดินออกมาเลย......”
“โอเคๆ แล้วเดี๋ยวม๊าจะเอายาขึ้นไปให้ยิ่วมันกินทีหลังเองแล้วกันนะ เอ้อว่าแต่ เราจะไม่กลับมาแล้วเหรอ ฮึ”
“เอ่อออ ฮะ ก็คงงั้นอ่ะครับ ปล่อยให้มันนอนไปเถอะ ป๊อปไม่กวนมันอีกแล้วดีกว่า.......” ผมตอบ จากนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้แม่ของไอ้ยิ่ว “ถ้าไงป๊อปไปแล้วนะครับม๊า หวัดดีครับ”
ผมเดินออกจากห้องครัว ผ่านห้องนั่งเล่นที่พ่อของไอ้ยิ่วกำลังนั่งดูทีวีอยู่ เราคุยกันแค่สองสามประโยคก่อนที่ผมจะบอกลาเขาแล้วก็เดินออกจากบ้านหลังนั้นไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมก็ล้มตัวลงนอนเอาแขนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกทันที ผมไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ยิ่วมันคิดแบบนี้กับผม ผมคิดว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาๆซะอีก ผมคิดว่าเราสองคนจะเป็นเพื่อนรักกันแบบนี้ไปได้จนกระทั่งเราเรียบจบมอปลาย เข้ามหาลัย ทำงาน หรือแม้แต่จนเราแก่ตายเลยด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นฝ่ายทำลายมิตรภาพของเราลงด้วยความรู้สึกแบบนั้น........
ไม่ ผมคงพูดเกินไป มันคงไม่ได้ทำลายอะไรลงหรอก แต่คงเป็นความรู้สึกของผมเองนี่ล่ะมั๊งที่กำลังจะทำลายมันลงไป ผมไม่ได้รังเกียจที่มันเป็นเกย์ มันก็ใช่ที่ผมรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ไม่สิ ที่จริงผมต้องยอมรับว่าผมตกใจมากเลยด้วยซ้ำ เพราะเราสองคนก็นอนด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน แก้ผ้าปล้ำกันมาตั้งหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันคิดอะไรแบบนั้นกับผม แล้วที่ผ่านมามันจะรู้สึกอะไร “แบบนั้น” กับผมบ้างรึเปล่า แค่พอได้มาลองคิดแบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาแล้ว ผมรู้สึกรับไม่ได้จริงๆ มันอาจจะฟังดูเหี้ยนะ แต่ผมว่ามันน่าช็อคน่าตกใจมากเกินไป สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกัน เห็นหน้ากันทุกวันมาตั้งหลายปี แล้วจู่ๆก็ต้องได้มารู้ว่ามันคนนั้นดันเป็นเกย์และแถมยังกำลังรู้สึกกับเราแบบนั้นด้วยเนี่ย ผมว่าถ้าเป็นใครก็คงต้องรู้สึกแบบเดียวกันกับผมไม่มากก็น้อยนั่นแหละ
ผมรักมัน และมันเองก็รักผมมากเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ผมไม่ได้คิดมาก่อนนี่ว่าความรักที่มันมีให้ผมจะเป็นความรักในแง่มุมนั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนมันโกหก รู้สึกเหมือนกับว่าความรักความหวังดีที่มันมีให้ผมมาทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่มีให้เพื่อน แต่เป็นสิ่งที่มีให้กับคนที่มัน “ต้องการ” อยากได้มาเป็นแฟนมากกว่า มันอาจจะฟังดูไม่ดีที่ผมรู้สึกแบบนี้นะ แต่ทว่าสิ่งนี้มันก็เป็นความรู้สึกที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้จริงๆนี่ แล้วจะให้ผมทำยังไงได้เล่า ผมเองก็ไม่ได้อยากจะคิดหรือรู้สึกแบบนี้นักหรอก ไม่เลยสักนิด แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นไวมากเกินไป มันน่าตกใจมากเกินไปจนผมตั้งตัวไม่ติดเลยจริงๆ
ผมเริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาซะแล้ว ผมสับสนไปหมด ผมรักมัน มันคือคนที่ผมรัก มันคือเพื่อนของผม แต่ผมไม่ได้รักมันแบบนั้น ผมไม่ได้เกลียดมัน ผมไม่ได้อยากจะเกลียดมัน แต่ทำไมผมถึงต้องมารู้สึกแบบนี้ด้วย ผมรู้สึกโกรธ รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง เหมือนถูกหลอกลวง ผมอยากจะให้อภัยมัน อยากจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ผมก็คิดว่าผมคงทำไม่ได้ ผมจะมองหน้ามันแบบเดิมอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อผมรู้แล้วว่ามันคิดแบบนั้นกับผม ผมจะยังคงมองดูรอยยิ้มที่มันแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวของมันแบบนั้นต่อไปอีกได้อย่างไร และที่สำคัญผมก็ได้ยินมาแล้วด้วยว่ามันตั้งใจจะบอกรักผมคืนนี้ แล้วผมจะทนฟังสิ่งๆนั้นได้อย่างนั้นเหรอ ในเมื่อผมไม่ได้ต้องการให้เรื่องระหว่างเราออกมาเป็นแบบนี้เลยแม้แต่น้อย นี่ผมจะสามารถสู้หน้าของมันอีกต่อไปได้ยังไงกัน
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงที่ผมได้แต่นอนอยู่ที่เดิมแล้วคิดถึงแต่เรื่องของไอ้ยิ่วโดยไม่ได้ลุกไปไหนเลย ผมเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของผม ความรู้สึกของมัน เรื่องในอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่อาจจะบอกให้ผมพอรู้ได้บ้างว่ามันคิดแบบนั้นกับผมแต่ผมกลับเป็นฝ่ายมองข้ามไปเสียเอง ผมคิดถึงเรื่องในอนาคตว่าเราจะเป็นยังไงกันต่อไป ผมบอกตัวเองว่าผมอยากจะทำตัวให้เหมือนเดิม แต่อีกใจมันก็บอกผมทันทีเลยว่าผมคงทำแบบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน หรือจะให้ผมพูดออกไปตรงๆว่าผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับมัน ผมก็รู้สึกว่ามันคงไม่เพียงพออีกเหมือนกัน เพราะสิ่งที่กำลังมีปัญหานั้นไม่ใช่แค่เพียงผมจะพูดกับมันยังไงดี แต่เป็นผมจะรู้สึกกับมันยังไงต่อไปดีมากกว่า เนื่องจากว่าผมกำลังสับสนมาก สับสนมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดอะไรหนักมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต และนี่สุดท้ายผมก็กลับต้องมานั่งคิดเรื่อง “เพื่อน” ที่ผมไว้วางใจที่สุดมาโดยตลอดแบบนี้อย่างนั้นน่ะเหรอ
จู่ๆผมก็ต้องสะดุ้งเกือบสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงมือถือของตัวเองดังขึ้น ผมไม่ต้องแม้แต่ชายตาไปมองดูด้วยซ้ำว่าใครที่กำลังโทรมาหาผม เพราะว่าผมตั้งเสียงเพลงรอสายเพลงนี้เอาไว้สำหรับมันคนเดียวนั่นเอง
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดปุ่มรับสาย “ทำไมไม่นอนพักวะ”
“มึงอยู่ไหนอ่า ทำไรอยู่วะ”
“กูก็อยู่บ้านดิ่ มึงมีไร”
“อ้าว และไหนมึงบอกว่ามึงจะเอายามาให้กูแล้วมานอนกับกูไงวะ ไอ้ป๊อป กูว่าตอนนี้กูไข้ขึ้นโคตรสูงเลยมึงงง เพลียชิบหายเลยอ่าาา เนี่ย กูก็อุตส่าห์นอนรอยามึงตั้งนานแน่ะ” มันทำเสียงอ้อนผมเล็กน้อย
ผมหลับตาลงและขบกรามแน่น ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้เลยจริงๆ ที่ผมได้ยินมันคุยกับวายุว่ามันตั้งใจจะบอกรักผมวันนี้นี่ก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นสินะ
ไม่ ผมจะยอมให้มันพูดออกมาไม่ได้เด็ดขาดเลย
“แล้วได้ยาแดกรึยังล่ะ กูบอกให้แม่มึงเอาขึ้นไปให้มึงแล้วไม่ใช่เหรอวะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาที่สุดเท่าที่ผมทำได้
“อะ อืออ ก็เพิ่งแดกไปเมื่อกี๊อ่ะ.........”
“เออ งั้นมึงก็นอนไปเหอะ แค่นี้ก่อนนะ ไอ้ตี๋” ผมทำท่าจะวางสาย แต่สุดท้ายมันก็รีบห้ามผมเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวไอ้ป๊อป มึงเป็นไรวะ ทะเลาะกับไอ้พี่วุฒิอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า มันไม่อยู่บ้าน”
“อ้าว แล้วมึงเป็นไรอ่ะวะ”
“กูไม่เป็นอะไรหรอกว่ะ แค่นี้นะ” ผมพยายามที่จะตัดบทอีกครั้ง
“เดี๋ยวไอ้ป๊อป แล้ว......... แล้วนี่ตกลงมึงจะมานอนบ้านกูมั๊ยวะ”
“กูคงไม่ไปแล้วว่ะ มึงนอนพักไปเหอะ แค่นี้นะ” คราวนี้เมื่อพูดจบแล้วผมก็รีบวางสายลงไปเลยทันที
ผมรู้ตัวว่าผมทำเกินไป แต่ผมก็ไม่รู้ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ตัดสินใจทำแบบนั้น ผมไม่อยากจะทำร้ายความรู้สึกของมันนักหรอก แต่ความรู้สึกของผมที่โดนทำร้ายมาแบบนี้แล้วล่ะ ใครจะเข้าใจผมบ้าง ผมรักมัน ผมสงสารมัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงดี ผมไม่รู้จริงๆนะ ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ผมอยากจะฉลาดอย่างไอ้คริส อยากจะใจกว้างอย่างไอ้นนท์ ใจเย็นอย่างไอ้นัท และผมก็อยากจะเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้เหมือนอย่างไอ้ยุเหมือนกัน ผมอยากจะรู้ว่าผมควรต้องทำยังไง แต่ผมก็นึกไม่ออกเลย ผมนึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ผมไม่เคยรู้สึกสับสนและเครียดมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมอยากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง หน้าอกข้างซ้ายของผมมันเจ็บแปลบไปหมด ผมรู้สึกแปลกใจตัวเองเล็กน้อยที่รู้สึกแบบนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกเจ็บแถวๆหัวใจของตัวเองแบบนี้น่ะ ตอนแรกผมก็คิดว่าผมคงจะเจ็บกล้ามเนื้ออะไรสักอย่าง แต่ว่าผมก็ไม่ได้ออกกำลังหรือทำอะไรที่น่าจะเจ็บแบบนี้ได้เลยนี่นา และทำไมพอผมยิ่งคิดถึงไอ้ยิ่ว คิดถึงความรู้สึกของตัวเอง ยิ่งรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ผมก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นขนาดนี้กันนะ ไอ้อาการเจ็บนี้นี่มันคืออะไรกันแน่เนี่ย.......
จากนั้นอีกไม่นานต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงออดที่หน้าประตูรั้วบ้านดังขึ้น ผมเช็ดน้ำตาที่หางตาออกไปก่อนจะเลิกผ้าม่านที่ปิดอยู่ให้แง้มขึ้น และคนที่กำลังยืนอยู่ที่นั่นก็คือไอ้ยิ่วอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย
ที่มันมาหาผมที่นี่ก็แปลว่ามันคงรู้แล้วสินะว่าผมรู้เรื่องที่มันคุยกับไอ้ยุแล้ว แต่ว่าแล้วที่มันกำลังไม่สบายอยู่ล่ะ มันดีขึ้นแล้วเหรอ มันลุกออกมาเดินไปไหนมาไหนแบบนี้ได้แล้วรึไง ถ้ามันทำแบบนี้ เดี๋ยวมันก็จะยิ่งป่วยหนักลงไปกว่าเดิมอีกล่ะสิ แล้วก็ไม่พ้นที่จะเป็นผมเองอีกนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องไม่สบายมากขึ้นไปอีกครั้ง
ผมปล่อยให้มันยืนเรียกผมอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งเพราะผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไปดี แต่แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปยืนคุยกับมันจนได้
“มึงมาทำอะไร หายแล้วรึไง ไอ้ตี๋”
มันดูผงะไปเล็กน้อยที่ได้ยินผมเรียกมันแบบนั้น “........มึงเรียกกูแบบนั้นสองครั้งแล้วนะ ไอ้ป๊อป”
ผมรู้........ ผมรู้ว่าเวลาผมอยู่กับมัน มันจะไม่ชอบให้ผมเรียกชื่อมันว่าไอ้ตี๋เท่าไหร่นักหรอก เพราะระหว่างเราแล้ว เวลาที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพัง เราสองคนคือ “ป๊อปกับยิ่ว” เท่านั้น ไม่ใช่ “ป๊อปกับตี๋” อย่างที่คนอื่นๆเรียกมันกัน
“มึงโกรธกูเหรอวะ ไอ้ป๊อป มึง...... มึงเกลียดกูแล้วจริงๆใช่มั๊ยวะ........”
“มึงกลับไปนอนพักเถอะ........ ไอ้ยิ่ว” ผมตัดสินใจเรียกมันว่าไอ้ยิ่วเหมือนเดิม เพราะผมเองก็ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจมันมากไปกว่านี้แล้วด้วยเหมือนกัน
“ไม่ มึงบอกกูมาก่อนสิวะว่ามึงเป็นอะไร ไม่งั้นกูไม่กลับ”
“เปล่า กูไม่ได้เป็นอะไร”
“มึงโกหกกู มึงไม่เคยโกหกกูนะเว้ย ไอ้ป๊อป กูก็ไม่เคยโกหกมึง เพราะงั้นมึงมีอะไรมึงก็พูดกับกูตรงๆสิวะ กูขอร้อง”
คำพูดของมันสะกิดเข้าที่ใจของผมพอดี “มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่เคยโกหกอะไรกูเลยน่ะ......”
“กู....... กู.........” มันดูอึกอักไปเล็กน้อย
“มึงกลับไปเถอะ กูยังไม่อยากคุยอะไรกับมึงตอนนี้ว่ะ กู........” ผมส่ายหน้าเบาๆ ผมรู้ดีเลยว่าถ้าเรายังจะคุยอะไรกันไปมากกว่านี้ ผมอาจจะรู้สึกโกรธและเกลียดมันมากขึ้นกว่านี้อีกก็เป็นได้
ซึ่งผมไม่ได้อยากจะรู้สึกแบบนั้นเลย.........
ไอ้ยิ่วเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มึงได้ยินที่กูคุยกับไอ้ยุ ใช่มั๊ย ไอ้ป๊อป........” เสียงของมันก็เริ่มสั่นเครือมากขึ้นจนผมแทบจะฟังไม่อกว่ามันพูดอะไร “มึง....... มึงรังเกียจกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ มึง....... มึงรังเกียจกูจริงๆใช่มั๊ย ไหนมึงบอกว่ามึงรักกูไง ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู...... พะ...... เพื่อนคนที่อยู่กับมึงมาตั้งแต่ยังเด็กไง ไอ้ป๊อป!”
ยิ่งผมเห็นมันเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก และยิ่งผมได้ยินมันคิดและเข้าใจแบบนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกโกรธและเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน
“กูรักมึง มึงคนที่เป็น ‘เพื่อน’ ของกู และกูก็คิดว่ามันคนนั้นคิดกับกูแค่ ‘เพื่อน’ ด้วยเหมือนกัน” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ขบกรามและกำหมัดแน่น “เพราะแบบนั้นไง กูถึงไม่อยาก........”
“มึง..... มึงไม่อยากอะไร ไอ้ป๊อป มึงบอกกูมาว่ามึงไม่อยากอะไร!”
“กลับไปเถอะ ไอ้ยิ...... ไอ้ตี๋ ถ้ามึงไม่กลับ กูจะโทรตามให้ป๊าไม่ก็ม๊ามารับมึงกลับบ้านเองนะ”เมื่อพูดจบ ผมก็เดินกลับเข้าไปในบ้านและปิดประตูบ้านลงเลยทันที
“ไอ้ป๊อปปป!!” เสียงของไอ้ยิ่วตะโกนดังแว่วเข้ามาถึงในบ้านของผม
ผมทรุดตัวลงนั่งเอาหลังพิงประตูไว้แล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอาบน้ำ ผมร้องไห้โฮออกมาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิต ทำไมกันนะ ทั้งๆที่ผมก็พยายามทำตัวเข็มแข็งและเย็นชาใส่มันแล้ว แต่ทำไมผมถึงกลับต้องรู้สึกเจ็บปวดมากถึงขนาดนี้ ทำไมผมถึงต้องรู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำร้ายมันทั้งร่างกายและจิตใจ และทำไมโชคชะตาถึงต้องทำให้เราสองคนต้องมาลงเอยแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แม่งเอ๊ยยยยยยยยย!! ฮืออออออออออออๆๆๆ!!!!” ผมก้มหน้าลงแนบหน้าผากชิดเข้ากับหัวเข่าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลหยดลงบนกางเกงของตัวเองราวกับสายฝนที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดมันได้เลย