A 81
ผมทั้งรู้สึกสงสัยในสิ่งที่พลอยพูด แล้วก็รู้สึกสงสัยด้วยว่าเขากับโจคุยอะไรกันไปบ้าง ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆท่าทีของทั้งคู่ถึงได้ดูเปลี่ยนไป และไม่ว่าผมจะพยายามถามโจว่าเขาคุยอะไรกับพลอยไปบ้างมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่คิดที่จะตอบคำถามของผมเลยแม้แต่น้อย แถมผมก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะตื้อเขามากไปกว่าที่กำลังทำอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงได้แต่ต้องปล่อยให้เรื่องนี้มันจบลงไปทั้งๆที่ผมเองก็ยังคงรู้สึกคาใจอยู่มากก็ตาม
เช้าวันจันทร์พี่โก๋ก็ขับรถไปส่งเราสองคนที่โรงเรียนเหมือนเคย และเมื่อเราลงจากรถแล้ว โจก็เดินตรงกลับขึ้นไปบนหอ ส่วนผมก็เดินแยกไปอีกทางเพื่อที่จะไปโรงอาหารเหมือนกับปกติ ผมนั่งอยู่คนเดียวได้สักพัก เคนกับเจย์ก็มาถึง และหลังจากที่เราสามคนนั่งคุยกันครู่หนึ่ง วายุก็มาถึงพร้อมกับคริส จากนั้นนัทที่เดินเวรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมาหาเรา ทำให้คนที่เหลืออยู่ก็มีแค่ป๊อปกับตี๋เล็กสองคนเท่านั้น
“ทำไมวันนี้มันสองคนลงมาสายวะ แม่งตื่นสายรึไง ไอ้นัท มึงโทรไปตามมันหน่อยดิ่วะ” เจย์หันไปพูดกับนัท
“แล้วว่าแต่วันนี้ไอ้โจไม่มาเหรอวะ ไอ้นนท์” เคนหันมาถามผม
“เออ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมเองก็ลืมถามเขาไปเสียสนิทเลยเหมือนกัน
“เดี๋ยว ไอ้นัท” วายุพูดขึ้นก่อนที่นัทจะทันได้กดเบอร์ของป๊อป “เมื่อคืนไอ้สองคนนั้นมันไม่ได้นอนหอหรอก”
“อ้าว” พวกเราทุกคนที่เหลือร้องขึ้นพร้อมๆกันทันที
ผมสังเกตเห็นวายุมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “คือ และกูว่าวันนี้พวกมันก็คงจะไม่มาเรียนด้วยอ่ะว่ะ”
“เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้นวะมึง” เจย์ถาม
“เออ เมื่อวานกูก็โทรหาพวกมันสองคนไม่ติดเหมือนกัน เนี่ย กูยังโทรไปหาคุยกะนนท์เรื่องนี้กันอยู่เลย” นัทหันมาพยักหน้าให้กับผม
“ไม่มีอะไรหรอกเว้ย พวกมึงคิดมากน่า สาดดด ไอ้ตี๋มันก็แค่ไม่ค่อยสบายแล้วจะไม่มาเรียน ไอ้ป๊อปมันก็เลยไม่มาด้วยคน แค่นั้นแหละ”
“อ๋อออ”
“เออ และอีกอย่าง บ้านไอ้ป๊อปก็ไม่มีคนมาส่งมันด้วยอ่ะ พวกมึงก็รู้นี่หว่า มันก็เลยไม่อยากรบกวนบ้านไอ้ตี๋ให้มาส่งมันคนเดียวน่ะ”
“กูว่าเชี่ยแม่งก็แค่ขี้เกียจนั่นแหละวะ สาดดด” เจย์หัวเราะ
ที่จริงเรื่องที่วายุพูดมันก็ดูสมเหตุสมผลดีอยู่หรอกนะ แต่ผมกลับรู้สึกข้องใจตงิดๆยังไงก็ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าสีหน้าและแววตาของเขาที่ผมเห็นเพียงแว้บเดียวเมื่อครู่นี้มันมีบางอย่างที่ผิดปกติไปจริงๆ ผมคิดว่าเขาคงกำลังปิดบังเรื่องไม่สบายใจอะไรบางอย่างเอาไว้คนเดียวอยู่แน่ๆ
ระหว่างที่เปลี่ยนคาบเรียน เมื่อผมสบโอกาสที่จะได้คุยกับวายุตามลำพัง ผมก็รีบฉวยโอกาสนั้นไว้ด้วยการเดินเข้าไปหาเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องและถามถึงสิ่งที่ผมรู้สึกคาใจอยู่ทันที
“ไอ้ยุ ไอ้ตี๋มันไม่สบายมากป่าววะ”
“ก็คงไม่มากมั๊ง ทำไมวะมึง”
“ก็กูเป็นห่วงมันอ่ะดิ่วะ ถึงขนาดต้องปิดเครื่องตั้งแต่เมื่อวานอ่ะ”
“อ๋ออ แม่มันให้ปิดเครื่องอ่ะ เค้าคงอยากให้มันนอนพักสบายๆไม่ให้ใครกวนอ่ะมั๊ง” เขาตอบคำถามของผมโดยไม่มองหน้าผมเลย
“แล้วทำไมไอ้ป๊อปมันต้องปิดเครื่องตามด้วยวะ”
“เหออ อันนี้กูก็ไม่รู้ว่ะ ไอ้ป๊อปมันปิดเครื่องด้วยเหรอวะ อืมมม...... สงสัยมันคงจะกำลังไปดูแลไอ้ตี๋อยู่ล่ะมั๊ง”
ผมยืนมองใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตบหัวเขาให้เบาๆหนึ่งที “ครวยเหอะ ไอ้ยุ!”
“เฮ้ยยย!” เขาร้องแล้วหันมามองหน้าผมทันที “ไรวะ ไอ้เชี่ยนนท์!”
“มึงนี่มันก็คงคล้ายๆกะกูอ่ะนะ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ
“คล้ายกะมึงเรื่องเหี้ยไรวะ”
“ก็มึงโกหกไม่เก่งอ่ะ ไอ้เชี่ยยุ หน้ามึงแม่งฟ้องเลยว่ามึงกำลังมีเรื่องปิดบังกูอยู่อ่ะ สาดดด” ผมตอบ “บางทีครอบครัวมึงเค้าคงสอนให้มึงเข้าใจคนอื่น แต่ไม่ได้สอนให้มึงหัดโกหกให้เนียนๆด้วยล่ะมั๊ง”
หน้าเขาแดงเล็กน้อย “โกหกเหี้ยไรของมึง กูไปโกหกอะไรมึงตอนไหน ไอ้นนท์”
“มึงไม่ต้องมาแหล ไอ้สัตว์ยุ มึงอย่ามาทำเนียน กูอุตส่าห์เดินมาคุยกะมึงสองคนเนี่ย มึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะเอาไปบอกใครหรอกน่า”
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “กูว่ากูคงโกหกคนอย่างมึงไม่ได้เท่านั้นเองนั่นแหละว่ะ”
“หมายความว่าไงของมึงวะที่ว่าโกหกคนอย่างกูไม่เนียนเนี่ย และนี่สรุปว่าพวกไอ้ป๊อปมันเป็นอะไรกันแน่วะ เรื่องใหญ่รึเปล่า หรือจริงๆแล้วมันไม่สบายมากรึเกิดอุบัติเหตุอะไร.......”
“เดี๋ยวๆๆ มึงพอเลย ไอ้นนท์ มึงชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไอ้ห่า ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุเหี้ยอะไรขึ้นกับพวกมันหรอกเว้ย มึงไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น” วายุรีบห้ามผมเอาไว้ จากนั้นเขาก็หันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีใครกำลังฟังเราอยู่รึเปล่า “เอาเป็นว่า กูก็อยากบอกมึงนะเว้ย แต่กูไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีจริงๆว่ะ เอาไว้อีกสักพักกูค่อยบอกพวกมึงก็แล้วกัน โอเคป่ะวะ”
“มึงหมายถึงพวกเราทุกคนน่ะนะ”
เขายิ้มแล้ววางมือลงบนไหล่ของผม “กูหมายถึงให้มึงไปบอกไอ้นัทที่ท่าทางก็จะสงสัยกูอยู่ด้วยเหมือนกันแบบที่กูบอกมึงเมื่อกี๊นั่นแหละว่ะ”
“นัทน่ะนะ” ผมแปลกใจ
“ก็เออดิ่วะ เออๆ เอาไว้คุยกันทีหลังแล้วก็กันเว้ย อาจารย์แม่งเดินมานั่นแล้วน่ะ” วายุพูดกับผมก่อนจะหันไปตะโกนบอกเพื่อนคนอื่นๆว่าอาจารย์กำลังเดินมาแล้ว พวกเราทุกคนจึงรีบกลับเข้าไปนั่งที่ของตัวเองในห้องเรียนทันที
“อือ นัทก็สังเกตมันอยู่เหมือนกันว่าไอ้ยุมันเหมือนจะรู้อะไรน่ะ” นัทพูดกับผมในตอนที่เรากำลังเดินไปห้องน้ำด้วยกัน
“แล้วทำไมนัทไม่ถามมันอ่ะ”
“ไม่รู้ดิ่ คือปกตินัทก็ไม่ค่อยจะถามอะไรเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยมั๊ง และที่สำคัญคือนัทรู้ว่าถ้าเกิดมันมีอะไรสำคัญมากๆจริงๆ ไอ้ยุมันก็จะต้องบอกพวกเราแน่นอนอยู่แล้วอ่ะ เพียงแต่ตอนนี้มันคงยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นจริงๆแหละมั๊ง”
“ไม่รู้ว่าพวกไอ้ตี๋มันเป็นอะไรของมันกันนะเนี่ย........”
“เอาน่า นนท์อย่าคิดมากเลย มันคงไม่มีอะไรหรอก มันก็อาจจะแค่ไม่สบายจริงๆนั่นแหละ หรือไม่มันก็อาจจะ.......” นัทชะงักไป
“อาจจะอะไร” ผมหันไปถามเขา
“ปล่ะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เขาส่ายหน้า และเมื่อเราเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้ว นัทก็ผลักประตูห้องน้ำเข้าไป
ผมที่กำลังจะอ้าปากถามต่อว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่กลับต้องหยุดความคิดนั้นลงไปทันที เมื่อพบว่ากลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่ในห้องน้ำก่อนแล้วคือแม็กซ์กับติ๊กสองคน
“ไอ้แม็กซ์” นัทพูดพลางเขยิบมายืนขวางหน้าผมเอาไว้
แม็กซ์มองหน้าผมกับนัทสลับกันก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับติ๊ก “ไปเหอะ ไอ้ติ๊ก อยู่ในนี้แล้วแม่งเหม็นสาปกะเทยว่ะ”
ผมรู้สึกจี๊ดกับคำๆนั้นขึ้นมาทันที
“มึงแน่ใจนะว่าเป็นกลิ่นสาปกะเทย ไม่ใช่กลิ่นลมหายใจเน่าๆของตัวเองน่ะ ไอ้แม็กซ์” นัทโต้กลับ
“อย่าปากดีให้มันมากนัก ไอ้นัท” แม็กซ์เดินก้าวเข้ามาหาพวกเราก้าวหนึ่ง “ตอนนี้มึงก็ดูแลกันไปเถอะ แต่สักวันพวกมึงจะต้องชดใช้ที่กล้ามาหาเรื่องพวกกูเอาไว้ จำไว้ให้ดี ไอ้เหี้ย!”
นัทไม่พูดอะไรตอบกลับไป แม็กซ์จึงหันไปพยักหน้าให้กับติ๊กอีกครั้ง และจากนั้นทั้งคู่ก็เดินผ่านเราสองคนออกจากห้องน้ำไป
“ไอ้พวกเหี้ยนี่แม่งงง”
“อย่าไปสนใจเลย นัท” ผมตบบ่าเขาเบาๆ
“นนท์ อีกนานมั๊ยกว่าข้อมือนนท์จะหายน่ะ”
“อืมมม ถ้าหายสนิทก็คงอีกสักสามอาทิตย์ได้มั๊ง ทำไมเหรอ”
“เปล่าหรอก นัทจะได้รู้และยิ่งระวังเอาไว้ไงว่าอย่างน้อยๆก็อีกสามอาทิตย์ ที่พวกเราจะปล่อยให้นนท์อยู่คนเดียวไม่ได้โดดเด็ดขาดน่ะ.......”
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนพักกลางวัน คราวนี้โจก็ลงไปกินข้าวกับพวกเราด้วย นัทจึงถือโอกาสนี้เล่าเรื่องที่ผมกับเขาเจอแม็กซ์ในห้องน้ำให้ทุกคนรวมทั้งโจฟังไปด้วยพร้อมๆกันเลยทีเดียว ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้รับตอบกลับมาจากเจย์ก็เหมือนเดิมกับที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ส่วนโจที่ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทางอะไรออกมาเป็นพิเศษก็เพียงหันมามองหน้าผมแว่บหนึ่งแล้วส่งสายตาเป็นทำนองว่า “กูบอกมึงแล้ว” ให้ผมเห็น แต่มันก็เป็นเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้นจริงๆ
หลังจากที่พวกเราเริ่มทยอยกินข้าวเสร็จกันไปทีละคนอยู่นั้น จู่ๆเคนที่กินช้ากว่าใครเพื่อนก็วางช้อนส้อมลงและชี้ไปยังประตูโรงอาหารพร้อมกับร้องขึ้น
“เฮ้ยย นั่นมันไอ้เหี้ยป๊อปนี่หว่า!”
พวกเราทุกคนจึงหันไปทางประตูนั้นพร้อมๆกันทันที
“ใช่จริงๆด้วยว่ะ เหี้ยแม่งมาทำไมเอาป่านนี้วะเนี่ย” เจย์พูด
เมื่อป๊อปเดินมาถึงที่โต๊ะของพวกเราแล้ว เขาก็วางกระเป๋าลงและนั่งลงข้างๆเคนโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ที่จริงผมต้องบอกว่าเขาไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเหมือนอย่างที่เคยเป็นสักนิดเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ย เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ ไอ้ป๊อป แล้วนี่มึงมาโรงเรียนยังไงวะ ใครมาส่งมึง” เจย์ถาม
“แล้วไอ้ตี๋อ่ะ มันเป็นไงมั่งวะ” เคนถามขึ้นบ้าง
“กูนั่งรถเมล์มาเอง เหนื่อยชิบหายเลยว่ะ” ป๊อปตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “กูไปซื้อน้ำก่อนนะ ร้อนว่ะแม่งงง คอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย”
“เฮ้ย เดี่ยวดิ่ไอ้ป๊อป แล้วเรื่องไอ้ตี๋อ่ะ” เคนถามซ้ำอีกครั้ง แต่ป๊อปก็เดินออกจากโต๊ะไปซะแล้ว
“เอ้า มันเป็นอะไรของมันวะ” เคนนั่งเกาหัวตัวเองแกรกๆ
“ดูเหมือนมันจะมีเรื่องไม่สบายใจนะ” คริสพูดขึ้น
“พวกมึงนั่งกันอยู่นี่แหละ กูขอไปดูมันหน่อยแล้วกัน” วายุยืนขึ้นบ้าง “เออ แล้วเดี๋ยวกูกลับมา ไม่ต้องแห่ตามกูกันไปหมดอีกล่ะ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกจากโต๊ะไปด้วยเหมือนกัน
“ไอ้ยุมันต้องรู้เรื่องอะไรอีกแหงๆเลยว่ะ กูว่า” เจย์ตั้งข้อสังเกต
ผมกับนัทลอบมองหน้ากันเล็กน้อย ในใจผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่าเพื่อนๆกลุ่มนี้นี่ดูจะสนิทและรู้ใจกันไปหมดซะจริงๆเลยนะเนี่ย
“มันก็รู้แหงอยู่แล้วล่ะ........” คริสพูดขึ้นเบาๆ
“หือออ มึงก็รู้เหรอวะ ไอ้คริส” เคนถาม
“กูไม่รู้หรอก” คริสส่ายหน้า “แต่เมื่อวันเสาร์กะเมื่อวานอ่ะ กูเห็นเหมือนไอ้ยุมันจะคุยโทรศัพท์กะไอ้ตี๋ไม่ก็ไอ้ป๊อปอ่ะนะ แต่มันก็ไม่ได้บอกกูหรอกว่ามันคุยกันเรื่องอะไรน่ะ แล้วกูก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามมันด้วย”
“กูว่าแล้ววววว”
“อะไร ไอ้เจย์” นัทถาม
“ก็กูว่าแล้วว่าไอ้เชี่ยยุมันต้องรู้อะไรแหงๆไง ก็นะ แม่งก็เป็นเหมือนคนกลางประจำกลุ่มพวกเราอยู่แล้วนี่ ถ้าไม่มีมัน พวกมึงก็คงไม่มีใครคอยช่วยไกล่เกลี่ยหรือให้คำปรึกษาอ่ะ จริงป่ะวะ”
“แต่กูชักอยากรู้แล้วอ่ะว่ะว่าคราวนี้ไอ้ป๊อปกะไอ้ตี๋มันทะเลาะอะไรกันอีกอ่ะ แม่งงอนอะไรกันอีกวะเนี่ย”
“สาระแนอีกแล้ว ไอ้เชี่ยแป้น”
“อ้าว เชี่ยเจย์ มึงพูดเหมือนมึงไม่อยากรู้ ไอ้สาดดดด” เคนหันไปพูดกับเจย์ก่อนจะหันมาหาพวกเรา “พวกมึงก็เหมือนกัน อย่าบอกนะว่าพวกมึงไม่อยากรู้อ่ะ”
“เดี๋ยวไอ้ยุมันก็บอกพวกเราเองนั่นแหละน่า” นัทพูด
“ก็ไม่แน่.......” โจพูดขึ้น ทำให้พวกเราทุกคนหันไปมองหน้าเขาพร้อมกันทันที
“อะไรวะ ไอ้โจ” ผมถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร ขอโทษที กูขอกลับห้องก่อนแล้วกัน” เขาลุกขึ้นยืน “กูก็ไม่รู้จะนั่งฟังปัญหาของเพื่อนๆมึงไปทำไมด้วยเหมือนกันว่ะ”
“แล้วตกลงที่มึงบอกว่า ‘ก็ไม่แน่’ น่ะ มันหมายความว่ายังไง ไอ้เชี่ยโจ” เจย์ถาม
“มึงก็ลองหันไปดูหน้าเพื่อนมึงสิวะ แล้วมึงก็จะรู้เอง” เขาพูดพลางมองตรงออกไปยังเบื้องหน้า
พวกเราละสายตาจากโจแล้วมองไปยังตำแหน่งที่เขากำลังมองอยู่พร้อมๆกัน ที่นั่น ท่ามกลางนักเรียนหลายคนที่กำลังเดินสวนกันไปมา ผมเห็นป๊อปกับวายุกำลังยืนคุยกันอยู่ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจและรู้สึกกังวลนั่นก็คือสีหน้าเคร่งเครียดของป๊อปที่ดูแปลกไปราวกับเป็นคนละคน หรือถ้าดูดีๆ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังยืนต่อว่าอะไรบางอย่างวายุอยู่ด้วยซ้ำ
“ดูจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่าง ‘งอนกัน’ แบบที่พวกมึงคิดกันตอนแรกแล้วล่ะมั๊ง” โจพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองขึ้น “แล้วแบบนี้พวกมึงคิดว่าไอ้ยุมันจะบอกพวกมึงได้ง่ายๆจริงๆเหรอวะ ว่ามันไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือว่าไอ้สองคนนั้นมันกำลังมีปัญหาอะไรกันอยู่น่ะ”
“เดี๋ยว ไอ้โจ!” ผมร้องห้ามเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ทัน เพราะเมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกจากโต๊ะของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว