A 126
“เฮ้ยยยย มึงพูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!” ผมอุทานออกมาเบาๆ “มึงหมายความว่ายังไงของมึงวะ ไอ้โจ มึงจะมาอยากมีอะไรแบบไอ้ตี๋ไอ้ป๊อปกับกูอะไรของมึ๊งงงง”
“อะไร มึงลืมไปแล้วรึไงวะว่ากูชอบมึงน่ะ ไอ้นนท์”
“ชู่วว! เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอกเว้ย!” ผมปราม
“ก็ให้แม่งได้ยินไปดิ ยังไงมันก็รู้กันหมดทุกคนอยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่ากูชอบมึง แล้วมึงยังจะกลัวเหี้ยอะไรอีก”
ผมขยับตัวอย่างอึดอัดใจ “กู..... กูว่าเรา..... รีบออกไปกันเหอะว่ะ”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปได้ถึงก้าวที่สาม เขาก็คว้าข้อมือของผมเอาไว้ แล้วเหวี่ยงตัวผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง และยังไม่ทันที่ผมจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บลงบนแก้มของผมอย่างรวดเร็วทันที
“เฮ้ยยยย!!” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ยังคงพยายามบีบเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ทำอะไรของมึงวะ ไอ้โจ!”
“มัดจำ” เขายิ้มที่มุมปาก
“มัดจำเหี้ยอะไรของมึง!” ผมดึงแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมาถูแก้มตามสัญชาติญาณ
“ถูไปเหอะ ถูไม่ออกหรอก เพราะจูบกูอะ มันไม่ได้ประทับลงบนแก้ม แต่มันประทับลงในใจว่ะ”
“ไอ้เหี้ยยย!! น้ำเน่า! กูจะอ้วกกกกก!!” ถึงแม้ว่าผมจะยังรู้สึกตกใจกับการกระทำของเขาไม่หาย แต่ผมก็กลับต้องรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่พบว่าตัวเองกำลังหัวเราะเพราะคำพูดของเขาอยู่ด้วย
เขายิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเขกหัวผมเบาๆ แล้วเดินนำผมออกจากห้องครัวไป
เราเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง แต่ว่านัทกับวายุนั้นไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมอีกแล้ว ผมถามคนที่เหลือว่าทั้งสองคนไปไหน และคริสก็ตอบผมว่าพวกเขาไปเข้าห้องน้ำ และพอคริสพูดจบไม่ทันไร ประตูห้องน้ำที่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นก็ถูกเปิดออก ส่วนคนที่เดินออกมาก็คือวายุ ดังนั้นนัทก็น่าจะไปใช้ห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนที่พี่แม็ทกับเคนเพิ่งเข้าไปนอนด้วยกันนั่นเอง
ผมนั่งชันเข่าห่มผ้าห่มรอนัทกลับมาอยู่ครู่หนึ่งโดยที่มีโจนั่งอยู่ไม่ไกล บางครั้งพอผมหันไปสบตากับเขา เขาก็จะส่งยิ้มกวนๆมาให้ผม ทำให้ผมต้องเบ้ปากและส่ายหน้าออกมาเบาๆด้วยความเอือมระอา แต่ว่าผมก็นั่งรอนัทอยู่แบบนั้นได้ไม่นานก่อนที่ความง่วงจะเริ่มกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง จนในที่สุด ผมก็เผลอสัปหงกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กระทั่งผมมารู้สึกตัวเอาอีกทีก็ตอนที่นัทเขย่าตัวผมเบาๆ และบอกให้ผมไปเอนตัวนอนลงดีๆนั่นแหละ
“ไม่อาวววอะะะะ นนท์ยังไม่อยากนอนเลยยย” ผมดูนาฬิกาข้อมือตัวเองก็เห็นว่ามันเกือบจะตีสองแล้ว
“ไปนอนเถอะ นนท์ เดี๋ยวก็ปวดหัวหรือไม่สบายไปอีกหรอก เรายังมีพรุ่งนี้เหลืออยู่อีกวันกับอีกคืนนึงเต็มๆเลยนะ” นัทพูดเสียงค่อยจนแทบจะเป็นการกระซิบพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ “เดี๋ยวเราเขยิบไปนอนกันตรงมุมนู้นก็ได้ จะได้ไกลพวกมันหน่อยไง”
“อ้าว นัทก็จะนอนแล้วเหมือนกันเหรอ”
“อืมม นัทอยากนอนกับนนท์น่ะ” เขาจับมือผมแล้วบีบเบาๆ
“อืมมม ถ้างั้นก็ได้อะ” ผมตอบตกลง จากนั้นนัทก็ลุกขึ้นยืนและช่วยฉุดผมให้ลุกขึ้นตาม
“เฮ้ย กูกับนนท์ไปนอนก่อนนะเว้ย”
“เออๆ มึงไปเอาผ้านวมที่กองอยู่ตรงนั้นปูนอนได้เลย” เจย์ชี้ไปทางเดียวกับที่นัทบอกผมเมื่อครู่
“อีกเดี๋ยวพวกกูก็คงนอนแล้วเหมือนกันอะว่ะ”
“แล้วไอ้อีกเดี๋ยวของมึงนี่มันเมื่อไหร่วะ ไอ้ยุ” นัทถาม
“ตีสี่มั้ง ไม่เกินนี้หรอก ก็พวกกูยังไม่ง่วงกันเลยนี่หว่า สาดดด”
“เออๆ เรื่องของพวกมึง” นัทตอบแบบไม่ใส่ใจมากนัก ก่อนจะเดินนำผมไปปูผ้านวมลงบนพื้นสำหรับให้เราสองคนนอน และเมื่อเขาปูผ้าเสร็จแล้ว ผมก็ดึงหมอนและผ้าห่มมาวาง แล้วจึงล้มตัวลงหนุนหมอนแทบจะในทันที
“งืมมมมมมม”
“น่ะ แล้วตอนแรกบอกจะยังไม่นอนไง ทั้งที่ตัวเองง่วงขนาดนี้แล้วแท้ๆเหอะ” เขานั่งลงข้างๆผม “เอ้า เขยิบไปดีๆ นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่ไหวเอานะ”
“ค้าบบบ คุณพ่อออออออ”
“หึๆ ทำเป็นปากดีนะเรา.....” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “เออ ลืมว่ะ เดี๋ยวนัทไปปิดไฟดวงเหนือหัวเรานี่ก่อนนะ จะได้ไม่สว่างเกินไป” เขาลุกขึ้นยืน เดินไปปิดสวิทช์ไฟดวงที่เขาบอกลงดวงหนึ่ง แล้วจากนั้นจึงค่อยกลับมานั่งลงที่เดิมข้างๆผมอีกครั้ง
“ทำไมอ่า นอนดิ หรือว่ายังไม่ง่วงรึไง” ผมตบลงบนที่นอนเบาๆ “มาๆ มามะ มานอนกัน”
เขาหันมาหาผมอีกครั้ง แต่เนื่องจากความมืด ผมจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เขาก้มลงหอมแก้มผมเบาๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนเป็นมาจุ๊บที่ปากผมเบาๆอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆเอนตัวลงนอน และกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน
“ฝันดีนะ ไอ้ขี้เซา.....”
“อืออ นัทก็เหมือนกัน” ผมปิดเปลือกตาลง และในที่สุด วันแรกของการมาเที่ยวทะเลของผมกับเพื่อนๆอันแสนจะยาวนานก็ปิดฉากลง.....
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมถูกนัทปลุกให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ตอนแปดโมงตรง หลังจากที่ผมงัวเงียอยู่ครู่หนึ่งและเดินไปยังส่วนห้องนั่งเล่นแล้ว ผมก็เห็นว่าคนอื่นๆที่เคยนั่งกันอยู่ตรงนี้ต่างก็นอนกันระเกะระกะเต็มพื้นห้องไปหมด เว้นก็แต่โจเพียงคนเดียวที่ไม่อยู่ที่นี่ นัทบอกผมว่าตอนนี้พวกอาเมฆ อาไคล์ โจ รวมทั้งพี่แม็ทที่ตื่นขึ้นมาก่อนพวกเรา กำลังนั่งรถออกไปซื้ออาหารเช้ามาไว้ให้ ดังนั้นเขาจึงชวนผมเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน แต่เราก็ไม่ได้เล่นหรือทำอะไรที่จะเป็นการผิดสัญญากับแม่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราก็แค่ผลัดกันสระผมและถูสบู่ให้แก่กันและกันเท่านั้น และเมื่อเราสองคนอาบน้ำกันเสร็จแล้ว เขาก็ชวนผมลงไปเดินเล่นข้างล่างเพื่อรับอากาศดีๆ ลมเย็นๆ และสูดอากาศบริสุทธิ์กันให้เต็มที่
ที่จริงจะเรียกว่ามันเป็นบรรยากาศสดชื่นของยามเช้าก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะตอนที่เราลงมาเดินกันริมชายหาดก็ปาเข้าไปแปดโมงครึ่งแล้ว แต่โชคดีที่อาจเป็นเพราะเมื่อคืนฝนตกตลอดเกือบทั้งคืน ทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก แถมแดดก็ยังไม่แรง คลื่นลมก็กำลังดี ถึงอากาศจะชื้นๆไปสักหน่อย แต่มันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะรู้สึกได้เวลาที่เดินอยู่ริมทะเลแบบนี้
“เป็นไง โอเคมั้ย.....” นัทหันมาถามผม
“อืมม” ผมตอบเขากลับโดยการพยักหน้าเบาๆ
หลังจากที่เราสองคนเดินกันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง นัทก็คว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ ผมหันไปมองหน้าเขา แต่เขาก็กำลังมองตรงไปยังเบื้องหน้า ผมจึงหันกลับมา และเดินจูงมือเขาต่อไปอย่างเงียบๆ จนในที่สุด นัทก็ชวนให้ผมหยุดนั่งลงบนหาดทรายเพื่อพักเหนื่อยสักหน่อย เราสองคนนั่งมองทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อนเลย แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกัน มันก็เป็นความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จริงผมก็พอจะรู้สึกได้อยู่ว่าเช้านี้นัทดูเหมือนจะเงียบลงไปกว่าที่เคยเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อน หรือเป็นเพราะบรรยากาศแบบนี้ ที่ทำให้เขาและแม้แต่ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่อยากจะพูดอะไรออกมามาก แต่อยากจะแค่เพียงซึมซับบรรยากาศและความรู้สึกตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดก็พอ......
“นนท์ไม่รู้สึกไม่ดีกับทะเลแล้วใช่มั้ย” ในที่สุดเขาก็ถามผมขึ้น
“อืมมม ถ้าแบบนี้ก็โอเคน่ะนะ เพราะนนท์ไม่ได้ลงเล่นน้ำหรือลงเรืออะไรแบบนั้นอะ แล้วมันก็ไม่ใช่ตอนกลางคืนหรือตอนที่ฝนตกด้วย”
“อืมมม......” เขาทำเสียงในลำคอเบาๆ “นัทอยากจะให้นนท์มีความสุขนะ”
“นนท์อยู่กับนัท นนท์ก็มีความสุขนี่ไง”
เขาหันมายิ้มให้ผม “นัทก็มีความสุขที่ได้อยู่กับนนท์เหมือนกัน ที่ผ่านมา นัทมีความสุขมากนะเว้ย แล้วนัทก็อยากเห็นนนท์มีความสุขมากๆยิ่งขึ้นไปอีกด้วย...... ยิ่งนนท์ยิ้ม ยิ่งหัวเราะ ยิ่งมีความสุขมากเท่าไหร่ นัทก็จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้นนะ”
ผมเขินจนหน้าแดง ถึงแม้ว่าปกตินัทก็จะพูดอะไรประมาณนี้กับผมเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่บางอย่างในแววตาและน้ำเสียงของเขาที่ดูแปลกไปในวันนี้ บวกกับบรรยากาศที่เรากำลังนั่งกุมมือกันบนชายหาดอันเงียบสงบสองต่อสองแบบนี้ ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเขินมากกว่าปกติหลายเท่าตัวจนไม่สามารถพูดอะไรตอบกลับไปได้เลยจริงๆ
“จริงๆแล้ว...... นัทคิดว่านัทมีเรื่องนึงที่อยากจะคุยกับนนท์นะ”
“เรื่องอะไรอะ”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง “......เอาไว้สักพักก่อนแล้วกัน”
“เฮ้ยยย นั่นไง เอาอีกละ และเดี๋ยวนัทก็ไม่ยอมบอกนนท์อีกอะ ลืมมั่งอะไรมั่ง มีอะไรก็พูดมาเลยเถอะน่า”
“คราวนี้นัทไม่ลืมหรอก ไม่มีทางแน่นอน แต่นัทแค่อยากรอเวลาจนกว่าตัวเองจะแน่ใจและกล้าพูดมันออกมาเท่านั้นเอง.....” เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาที่เหม่อมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าของเขาแลดูเศร้าสร้อยชอบกล
“นัท......” ผมขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่สบายใจ
นัทที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายเงียบลงไป หันกลับมามองหน้าผม และเมื่อเขาเห็นสีหน้าของผม เขาก็ยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ “เฮ้ยยยย เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นเล่า มันไม่ใช่เรื่องซีเรียสขนาดนั้นหรอกน่ะ”
“จริงอะ แต่สีหน้านัทเมื่อกี้มันดูเครียดมากเลยนะ”
เขาหัวเราะ “คิดไปเองแล้วนนท์! ดูนัทใหม่ดีๆดิ๊ นี่หน้าคนเครียดเหรอวะ สงสัยเพราะนัทนอนน้อยมั้ง หน้ามันก็เลยดูเหนื่อยโทรมๆน่ะ”
“อดนอนอะไร ก็เราเข้านอนพร้อมกันไม่ใช่รึไง”
“แต่นัทตื่นขึ้นมาตอนตีสามกว่าๆเกือบตีสี่รอบนึงนะ นัทมานั่งคุยกับพวกไอ้เจย์อีกจนถึงตีห้าได้น่ะ ถึงได้กลับไปนอนกับนนท์อีกทีพร้อมๆพวกมันอะ”
“อ้าว! ตอนไหนวะ นนท์ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“หึๆ ก็คงจะรู้เรื่องอยู่หรอก ก็ตัวเองนอนขี้เซาซะขนาดนั้นนี่” เขาปล่อยมือผมออก ลุกขึ้นยืน และยื่นมือให้ผมจับเพื่อช่วยดึงตัวผมขึ้นจากพื้นทราย “กลับกันเถอะ พวกอาเมฆคงใกล้กลับมาแล้วมั้ง จะได้ไปกินข้าวกัน หิวรึยัง”
ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะจับมือของเขาเอาไว้และดึงตัวเองให้ยืนขึ้น ผมใช้มืออีกข้างปัดทรายออกจากกางเกง แต่มือข้างที่จับมือของเขาเอาไว้ก็ยังคงจับอยู่อย่างนั้น นัทมองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง แล้วจึงชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มให้ผมน้อยๆ
ผมหอมแก้มเขากลับ แล้วก็พยักหน้าให้เขาหนึ่งที “ไปกันเถอะ”
เราเดินจูงมือกันกลับไปตามทางเดิมที่เราเดินออกมาจากคอนโด และระหว่างทางกลับ ตอนที่ใกล้จะถึงคอนโดของพวกเราแล้วนั้น เราก็เห็นคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้พวกเรา ผมจึงจะปล่อยมือออก แต่นัทกลับจับมือของผมเอาไว้แน่น เขาคงไม่รู้สึกแคร์คนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้วล่ะมั้ง ผมจึงปล่อยเลยตามเลย และเมื่อเราสี่คนเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นจนเกือบจะเดินสวนกันอยู่แล้วนั้น ผมถึงได้เห็นหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสองคนนั้นชัดๆ พวกเขามองเราและมือของเราด้วยสายตาแปลกๆ ฝ่ายผู้ชายนั้นขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ส่วนผู้หญิงก็ทำจมูกย่นเหมือนคนรู้สึกขัดใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้แสดงสีหน้าหรือมีท่าทีรังเกียจการที่เราจับมือกันแบบนี้มากนักอยู่ดี ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกว่าพวกเขาดูเหมือนจะรู้สึกแปลกใจมากกว่าไม่ชอบใจเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย เดี๋ยวนะ คนเมื่อกี้นั่นมัน.......” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เขาสองคนเดินคล้อยหลังพวกเราไปสักพักแล้ว “พ่อไอ้แม็กซ์ไม่ใช่เหรอวะ นัท”
“ใช่”
“มิน่าล่ะ! ตอนแรกนนท์ก็ว่าผู้ชายอะ ดูคุ้นๆหน้าชอบกล เพราะตอนที่นนท์เจอเค้าที่บ้านไอ้เจย์ มันก็มืดๆด้วยไง แถมแค่แป๊บเดียวอีก นนท์ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจ”
“ที่จริงนัทเองก็ไม่ค่อยได้เจอพวกเค้าบ่อยเท่าไหร่หรอก แต่ส่วนมากนัทจะเจอแม่มันมากกว่าน่ะ ตามพวกงานประชุมผู้ปกครอง หรือพวกงานที่เกี่ยวกับการประชุมสมาคมอะไรเทือกๆนั้นน่ะ เพราะแม่มันก็เป็นกรรมการอยู่ และนนท์คงจำได้ใช่มะที่พวกเราเคยเล่าให้นนท์ฟังตั้งแต่แรกๆแล้วว่า พ่อแม่ไอ้แม็กซ์น่ะ เป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนรายใหญ่ของเรา พอๆกับพ่อแม่ของไอ้เจย์เลยด้วย”
“จำได้ๆๆ” ผมพยักหน้าหงึกๆ “......อ้อออ และเพราะแบบนี้ด้วยรึเปล่า เพราะว่าคนที่เดินสวนเราเป็นพ่อกับแม่ของไอ้แม็กซ์ นัทก็เลยไม่แคร์ที่จะจับมือนนท์ให้พวกเค้าเห็นอะ ใช่มะ”
“ก็ไม่เกี่ยวหรอก..... คือ ก็ไม่เชิงน่ะ จริงๆต่อให้เป็นคนอื่น นัทก็ไม่แคร์เหมือนกันแล้วล่ะ นัทก็แค่อยากจะจับมือนนท์ให้นานที่สุดแค่นั้นเอง”
ผมเขินจนหน้าแดงอีกครั้ง “แหมเว้ยย วันนี้มาหวานนะเราเนี่ย อารมณ์ดีรึไง นนท์เขินนะเว้ยยย! ไอ้บ้า!”
นัทไม่ตอบแต่แค่ยิ้มตอบผมกลับมา จากนั้นเราก็เดินกันต่อจนกลับมาถึงที่หน้าคอนโด ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นัทเห็นพวกอาเมฆและคนอื่นๆกำลังเดินตรงมาที่เราพร้อมกับถุงใส่ข้าวกล่องจำนวนหนึ่งพอดี เราปล่อยมือออกจากกัน และเสนอช่วยพวกเขาถือถุงของกินและขนมขึ้นลิฟต์กลับตรงไปยังห้องของพวกเรา
ผมที่ยืนอยู่ติดกับโจในลิฟต์มองหน้าเขาแล้วรู้สึกว่าเขามีสีหน้าแย่ๆชอบกล ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาดูต่างกับเมื่อวานหรือเมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเขาเห็นว่าผมกำลังมองหน้าเขาอยู่ เขาก็ตีหน้าเหมือนจะถามว่าผมมีปัญหาอะไรกับเขาหรือเปล่า ผมจึงหันกลับ ไม่ได้พูดอะไร และคิดว่าคงจะเป็นเพราะเขานอนน้อย ไม่ได้นอนเลยอย่างที่เขาบอก หรือไม่เขาก็อาจจะกำลังรู้สึกไม่พอใจที่เห็นผมเดินจูงมือกับนัทเมื่อครู่นี้นั่นแหละมั้ง
หลังจากที่เราปลุกคนที่เหลือให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกันจนเสร็จ ก็ได้เวลาที่พวกเราทุกคนจะลงไปเล่นน้ำทะเลพร้อมกันให้เต็มที่ ถึงแม้ในตอนบ่ายแดดจะค่อนข้างแรง แต่เพื่อนๆของผมต่างก็ไม่มีใครกลัวแดดหรือกลัวดำอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาต่างก็อยากจะเล่นน้ำทะเลให้สะใจเพื่อชดเชยกับเวลาและโอกาสที่เสียไปเมื่อวานเนื่องจากฝนที่ตกลงมากันทุกคน
นอกจากพวกเราแล้ว ทั้งอาเมฆ อาไคล์ และพี่ยอดคนขับรถ ต่างก็ไปคอยเฝ้าดูแลพวกเราที่ชายหาดด้วยเหมือนกัน แต่จะพูดว่า “พวกเรา” ก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะถึงยังไง คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นและมีปัญหาที่สุดในกลุ่ม ก็มีแค่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง
“ไม่ต้องฝืนหรอกนะ นนท์” อาเมฆพูดกับผมในตอนที่ทุกคนต่างก็เดินลงทะเลไปกันหมดแล้ว เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังขอนั่งทำใจและทำตัวให้ชินอยู่ริมชายหาดกับผู้ใหญ่ทั้งสามคนอยู่ “ถ้าไม่อยากลงไปเล่น ก็ไม่ต้องลง นั่งอยู่กับพวกอาบนหาดแบบนี้ก็ได้ พวกเจ้ายุมันเข้าใจเราอยู่แล้ว”
“ครับ อา.....” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เออนี่ จะว่าไปมันเป็นยังไงเหรอ นนท์” อาไคล์หันมาพูดกับผมบ้าง “พอเห็นทะเลแล้วมันทำให้นนท์รู้สึกยังไงอย่างนั้นเหรอ ลองเล่าลองอธิบายให้อาฟังหน่อยได้มั้ย”
“คือ.....” ผมหันไปมองท้องทะเลที่อยู่เบื้องหน้า “ไม่รู้สิครับ จริงๆนนท์ก็ไม่ได้กลัวอะไรมากมายแล้วล่ะครับ เพียงแต่..... มันเหมือนกับ เพราะเสียงคลื่นมั้งครับ แล้วก็ความกว้างใหญ่ความวังเวงของมันเนี่ย คือถ้าตอนน้ำลง น้ำตื้นๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคลื่นแรงๆ น้ำสูงๆหน่อย นนท์จะคิดอะครับว่าถ้าเกิดนนท์ถูกคลื่นกลืนลงไปจะเป็นยังไง ถึงเรื่องตอนนั้นมันจะเกิดขึ้นเมื่อนานมากมาแล้ว แต่นนท์ก็ยังจำได้ดีอยู่เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตอนที่ถูกคลื่นแกระแทกไปมาบนเรือ ตอนที่ตัวเองต้องลอยคออยู่ในน้ำ ความหนาวเย็น แล้วก็.........” ผมเว้นช่วงไป รู้สึกว่าตัวเองสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ฝืนหัวเราะแห้งๆออกมา “แหะๆ ไม่รู้สิครับ นนท์ว่านนท์คงขี้ขลาดเองล่ะมั้ง”
อาเมฆลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาผม นั่งคุกเข่าลงบนพื้นทราย แล้วจากนั้นก็ดึงตัวของผมเข้าไปจูบลงบนหน้าผากและกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน
“ผู้ชายที่รู้จักยอมรับความอ่อนแอของตัวเองต่างหาก คือลูกผู้ชายที่เข้มแข็งที่แท้จริงนะ นนท์ จำคำพูดนี้ของอาเอาไว้ให้ดี” อาเมฆตบหลังผมเบาๆ ก่อนจะดันตัวผมออกแล้วมองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยน “การที่นนท์รู้ตัวว่าตัวเองกลัวอะไร และไม่อายที่จะยอมรับและต่อสู้กับมัน คือหลักฐานที่บอกว่านนท์กำลังจะโตจากเด็กผู้ชาย เป็นลูกผู้ชายคนนึงแล้ว”
“ครับ อาเมฆ” ผมพยักหน้า
“อ้าวนั่นไง ดูท่าแฟนเรากำลังจะขึ้นจากทะเลมาแล้วนะ” อาไคล์พูดขึ้นบ้าง “สงสัยจะมารับเราไปลงทะเลแล้วละมั้งงง นนท์”
“ไม่ต้องไปแซวหลานมันเลย ไคล์” อาเมฆยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองเหมือนเดิม ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหน้าแดงเพราะคำพูดของอาไคล์ไป
เมื่อนัทเดินมาถึงที่เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่แล้ว เขาก็คุกเข่าลงตรงตำแหน่งเดียวกับที่อาเมฆเพิ่งลุกไปพอดี
“ไปมั้ย นนท์” นัทยื่นมือให้ผม “เราจะอยู่ตรงแค่ตื้นๆ ไม่เกินแค่เอวนนท์พอนะ นัทจะดูแลนนท์เอง”
ผมมองมือของนัท แล้วเหลือบไปมองหน้าอาเมฆ อาเมฆพยักหน้าให้กับผมเบาๆ ผมจึงหันกลับมายิ้มให้นัทแล้วจับมือของเขาเอาไว้พร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า ที่ซึ่งเพื่อนๆของผมต่างก็กำลังโบกมือและร้องเรียกชื่อของผมเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมเอาชนะความกลัวในจิตใจของตัวเองอยู่.......
“ไอ้นนท์” โจเดินเข้ามาพูดกับผมเบาๆหลังจากที่ผมลงทะเลไปเกือบจะถึงระดับเอวแล้ว “มึงห้ามออกห่างจากตัวกูเด็ดขาดนะ”