สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 240401 ครั้ง)

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๒๓

“ผมไม่ต้องการให้มีคนรู้มากนัก ว่าผมมีตำแหน่งอะไรในโรงแรมแห่งนี้” สเตฟานพูดเบาๆ ขณะเดินอยู่บนฟุตบาทของถนนสายร่มรื่น ที่คนทั้งสองเคยเดินด้วยกันมาก่อน “ทรงศักดิ์เป็นผู้จัดการโรงแรม และเป็นรองประธานด้วย ปรกติก็จะทำงานแทนผม”
“ทำไมคุณไม่บริหารงานเองล่ะ”
“ตำแหน่งที่ผมมี เป็นเพราะผม ... เอ้อ ... ตระกูลของผมเป็นผู้ให้เงินทุนกับโรงแรม ในสายตาคนอื่น ผมเป็นคนหนุ่ม ไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น”
“คุณก็เลยเป็นประธานแต่ในนาม”
“ก็ไม่เชิง มีบ้างบางครั้งที่ผมจำเป็นต้องปรากฏตัว ให้ฝ่ายบริหารรู้ว่า ผมมีตัวตนอยู่จริง และบางครั้งผมก็จำเป็นต้องออกความเห็นบ้าง หากมีความขัดแย้งกันในการบริหาร หรือการแบ่งปันผลประโยชน์”  สเตฟานหยุดเดิน หันมาพูดยิ้มๆ ซุกมือที่สวมถุงมือหนังบางเบาไว้ในกระเป๋าเสื้อโคต
“คุณทรงศักดิ์ถึงได้ดูเกรงใจคุณมากๆ” สเตฟานไม่ตอบ ยังคงยิ้มน้อยๆอยู่ในหน้า “แต่นายทรงเดชนั่น ดูเหมือนไม่ค่อยเกรงคุณเท่าไหร่นะ ทั้งๆที่จะมาทำงานกับคุณแท้ๆ”
“อายุยังน้อย แล้วในสายตาเค้า ผมคงจะเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าผมจะอายุมากกว่าเขามากก็ตาม”
“อายุน้อยเหรอครับ” รังสรรค์พูดขำๆ “คงจะพอๆกับผม ถ้าขนาดนี้เรียกว่าน้อย แล้วคุณล่ะ” สายตาที่จ้องมองมีแววล้อเลียน
“ผมน่ะอายุมากกว่าคุณนะ” สเตฟานส่งสายตาแบบเดียวกันกลับ “มากกว่าจนคุณคิดไม่ถึงเลยหล่ะ” พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มเดินต่อไป
รังสรรค์เห็นท่าทางนั้นแล้วอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ ส่ายหน้าเบาๆ ๒-๓ ครั้ง มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ตรงหน้า ที่เดินช้าๆอย่างสบายอารมณ์ ผิดกับสภาพของเมืองที่ผู้คนต่างเร่งรีบ ถูกบีบรัดด้วยเงื่อนของเวลา แล้วจึงเดินตามไป แล้วระหว่างที่เดินไปคุยไปนั้น เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติอย่างหนึ่ง

ต้นไม้ใหญ่บนฟุตบาทที่พวกเขาเดินผ่าน กิ่งก้านของมันจะสั่นไหวน้อยๆราวกับมีลมพัดเบาๆ และสงบนิ่งทันทีที่พวกเขาเดินผ่านไป
............................................................................
......................................
“ทำไมแกพูดออกไปแบบนั้น” ทรงศักดิ์พูดเสียงดุๆ
“อะไรครับปู่” ทรงเดชพูดพลางประคองผู้เป็นปู่ให้นั่งลงบนโซฟายาว
“ก็เรื่องตำแหน่งของคุณท่านน่ะสิ”
“อ้าว ... ทำไมล่ะครับ” นั่งลงข้างๆแล้วทำหน้าเหรอหรา
“เอาเป็นว่าต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้ คุณท่านไม่ต้องการให้รู้กันมาก นอกจากคนใกล้ชิดเท่านั้น”
“ก็ผมจะทำงานเป็นเลขาท่าน ต่อไปคนก็ต้องรู้อยู่ดี” ทรงเดชเถียง
“ตำแหน่งที่ชั้นเตรียมไว้ให้แกน่ะ ตำแหน่งเลขาชั้น ซึ่งชั้นจะมอบหมายงานที่ต้องทำให้คุณท่านให้แกทำ แกเข้าใจซะใหม่”
“ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะปู่ ผมก็นึกว่าจะได้ทำงานใกล้ชิดคุณท่านซะอีก” น้ำเสียงและสีหน้า แสดงถึงความผิดหวัง จนคนที่เป็นปู่ต้องส่ายหน้าด้วยความระอา
“แกอย่าคิดอะไรแบบนั้นกับคุณท่านเด็ดขาด คุณท่านมีคนรักอยู่แล้ว”
“หา” ทรงเดชเลิกคิ้ว อ้าปากหวอ “นี่ปู่คิดว่าผมคิดกับท่านแบบไหนเนี่ย”
“อ้าว แกไม่ได้นึกชอบคุณท่านหรอกเหรอ” คราวนี้ผู้อาวุโสกว่าขมวดคิ้วบ้าง
“ฮ่าๆๆ” ทรงเดชหัวเราะจนตัวงอ “ปู่เนี่ยทันสมัยเป็นบ้า” หัวเราะอยู่สักพัก ทรงเดชก็อธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ผู้เป็นปู่ฟัง “ผมรู้สึกว่าท่านน่าสนิทสนม ถ้าผมมีพี่ชายแบบนี้สักคน ผมคงดีใจมากเลย”
“แค่นั้นน่ะเหรอ” ผู้เป็นปู่ถามย้ำ หลานชายก็พยักหน้าถี่ “เอาเถอะ แกจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ขอให้แกตั้งใจทำงานเพื่อคุณท่านให้ดีแล้วกัน เพราะที่พวกเราอยู่ดีกินดีกันได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะคุณท่าน”
“เพราะคุณปู่ด้วยแหละครับ คิดดูสิ เป็นคนอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ ไม่ต้องรับใช้ ทำโน่นทำนี่ให้ แค่นี้ก็สบายไปทั้งชาติแล้ว”
“ถ้าแกคิดจะทำอย่างนั้น ก็รอให้ชั้นตายซะก่อน” ทรงศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงดุๆ
“คร๊าบ คุณปู่ ผมรู้ว่าปู่น่ะทั้งรักทั้งภักดีต่อคุณท่านของปู่ ผมรับรองผมไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังหรอกครับ” ทรงเดชพูดยิ้มๆ พลางเอื้อมมือไปบีบมือของผู้เป็นปู่เบาๆ “รับรองได้ครับว่าวันข้างหน้า ผมจะรักและเคารพคุณสเตฟาน ไม่ให้น้อยกว่าคุณปู่เด็ดขาด”
............................................................................
......................................
“ทำไมถึงได้หาไม่เจอซักที” โจชัวร์ส่งเสียงดังด้วยความโกรธ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ
“อาจจะหลบอยู่ก็ได้ ที่ผ่านมามันก็ทำแบบนี้มาตลอดนี่” ไลล่าพูดพลางยักไหล่
“หรือไม่ก็ไปที่อื่นแล้ว” ไป่หลงเสนอความเห็น
“ข้าต้องตามเจ้าให้พบ สเตฟาน” โจชัวร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าต้องกลับมาเป็นของข้าเพียงคนเดียว”

ไลล่ากับไป่เทียนหันหน้ามองตากัน พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมโจชัวร์ถึงได้ยึดติดกับแวมไพร์ที่ชื่อสเตฟานนัก เท่าที่คนทั้งสองรู้ สเตฟานก็เหมือนกับพวกเขา เป็นแวมไพร์จากการถ่ายเลือดของโจชัวร์เข้าไปในร่างกายของตน เมื่อกลายเป็นแวมไพร์แล้ว พวกเขาทั้งสองมีแต่ความกระหายในโลกีย์ และโลหิต ที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น แต่ดูเหมือนแวมไพร์ที่ชื่อสเตฟาน จะไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ในช่วงแรกๆจะมีลักษณะเดียวกัน แต่ความกระหายต่างๆนั้นเหมือนจะหมดไปในช่วงเวลาสั้นๆ สเตฟานกลายเป็นแวมไพร์ที่ไม่อยากดื่มโลหิตมนุษย์ เป็นแวมไพร์ที่ไม่กระหายในกามารมย์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ เพราะมีแต่แวมไพร์ที่มีอายุหลายร้อยเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมตัวเองให้เป็นเช่นนั้นได้ แต่สเตฟานกลับเปลี่ยนไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

ถึงแม้โจชัวร์จะไม่ใช้อำนาจ ควบคุมให้สเตฟานอยู่ข้างกายตลอดเวลา  เหมือนแวมไพร์บางตน ซึ่งข้อนี้เองทำให้ไลล่า และไป่หลงนับถือ ในการให้อิสระแก่พวกตน แต่โจชัวร์ก็จะติดตามสเตฟานไปทุกที่ เพราะด้วยสาเหตุที่โจชัวร์เป็นเหมือน ‘ผู้สร้าง’ สำหรับสเตฟาน ซึ่งเปรียบเสมือน ‘ลูก’ ของโจชัวร์ ผู้สร้างย่อมรับรู้ได้ถึงจิตของลูก ว่าอยู่แห่งใด และมีสภาพความคิดเช่นไร รวมทั้งสามารถควบคุมให้กระทำสิ่งใดก็ได้ ตามที่ผู้สร้างต้องการ แต่โจชัวร์ไม่เคยใช้อำนาจเช่นนี้กับคนทั้งสอง เพราะทั้งไลล่า และไป่หลง ยินดีทำทุกอย่างที่โจชัวร์ต้องการอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของกามารมย์

...แต่ไม่ใช่สำหรับสเตฟาน

เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น สเตฟานก็เริ่มแข็งขืนที่จะสนองอารมณ์ของโจชัวร์ ความกระหายที่จะดื่มกินโลหิตของมนุษย์เริ่มลดน้อยลง สเตฟานเริ่มทำตัวเหมือนมนุษย์มากขึ้น พยายามกินอาหาร ดื่มเครื่องดื่มเหมือนมนุษย์  แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีอาการอาเจียรอาหารที่กินเข้าไปออกมา เหมือนกับแวมไพร์ทั่วไป

...อาหารของมนุษย์ กระเพาะของแวมไพร์ไม่สามารถย่อยสลายหรือขับถ่ายออกมาได้ การอาเจียรจึงเป็นทางเดียวที่จะขับถ่ายอาหารเหล่านั้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นผลร้ายต่อร่างกาย ...

แต่สารอาหารที่ได้จากอาหารของมนุษย์ กลับไม่สามารถทำให้ร่างกายของสเตฟานนำไปใช้ประโยชน์ได้ ร่างกายของสเตฟานซูบซีดลง จนโจชัวร์ต้องให้ดื่มโลหิตของเขาแทน แพราะสเตฟานไม่ต้องการฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอของมนุษย์ เพื่อดูดโลหิตเป็นอาหาร เช่นแวมไพร์ทั่วไป

โจชัวร์กรีดแขนของเขาให้โลหิตหยดลงบนแก้วคริสตัล และป้อนให้เสตฟานด้วยตัวเขาเอง

ตอนที่ไลล่าและไป่หลงได้ฟังเรื่องนี้ ยังต้องอิจฉาในความรักที่โจชัวร์มีให้เสตฟาน และคิดว่าหากเป็นพวกตน จะต้องขอติดตามคนผู้นี้ไปจนกว่าจะถึงวันที่ตนเองดับสูญ ... แต่สเตฟานกลับหนีไป

ถึงแม้สเตฟานจะหนีไปที่ไหน โจชัวร์ก็สามารถตามไปได้ทุกที่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปประมาณ ๒ ปี สเตฟานหนีไปถึงหุบขาแห่งหนึ่งในอินเดีย และที่นั่นเองที่ดวงจิตของสเตฟานหายไป โจชัวร์ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของสเตฟาน แต่เขามั่นใจว่าสเตฟานยังไม่ดับสูญ เขาพยายามค้นหาไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วในระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้ไลล่าและไป่เทียนมาอยู่เคียงข้าง

หลายร้อยปีที่เขาเดินทางไปยังที่ต่างๆ เพื่อตามหาคนที่เขาปรารถนา จนเกือบจะหมดหวัง และคิดว่าบางทีสเตฟานอาจจะถูก ‘ทำลาย’ ไปเสียแล้ว ด้วยน้ำมือของแวมไพร์ที่มีพลังผิดไปจากแวมไพร์ตนอื่น แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียว ทึ่เป็นเหมือนตำนานเล่าขานกันในหมู่แวมไพร์

แวมไพร์ ที่มีชีวิตอยู่มานับตั้งแต่มีการดำรงอยู่ของเผ่าพันธ์
แวมไพร์ ที่สูบพลังของพรรณไม้ และพลังแห่งพิภพเป็นอาหาร
แวมไพร์ ผู้มีอำนาจจิตกล้าแข็งสามารถควบคุมแวมไพร์ด้วยกันได้ ถึงแม้จะไม่มีความผูกพันเช่นผู้สร้างและบุตร
แวมไพร์ ผู้สามารถทำให้แวมไพร์สูญสิ้นความเป็นแวมไพร์ อันจะนำมาซึ่งความสิ้นสุดของชีวิตนิรันดร์
แวมไพร์ ผู้ที่แวมไพร์ด้วยกันต้องหลีกหนีถ้าได้พบ เพราะมันหมายถึงการดับสูญของแวมไพร์ตนนั้น
ไม่มีแวมไพร์ตนใดรู้ว่า เรื่องที่กล่าวขานกันมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ เพราะไม่มีแวมไพร์ตนใดสามารถยืนยันได้ ถึงการมีตัวตนของแวมไพร์ตนนั้น แวมไพร์เพียงหนึ่งเดียวในเหล่าแวมไพร์ที่มีอยู่ไม่น้อยในโลกนี้

แวมไพร์ ที่ถูกขนานนามว่า

... กรีนอายส์ ...

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
^
^
 :กอด1: คนแต่ง ได้อ่านต่อท้ายเลย หุหุ

กรีนอายส์ คือคำเฉลยในสิ่งที่สเตฟานเป็นอยู่ปัจจุบันแน่เลย
เพราะสเตฟานเคยนึกถึงเรื่องราวตอนหนีการตามจากโจชัวร์ แล้วได้ไปเจอกับผู้ที่สอนให้เปลี่ยนแปลงวิถีการเป็นแวมไพร์

ทรงเดชไม่ได้คิดกะสเตฟานเกินเลยก้อโอเคหละ ให้อภัย  :laugh:
แต่ดูเป็นคนที่ไม่สุขุมเหมือนปู่เลยนะนั่น

เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รอลุ้นต่อไป
บวก 1 ให้เช่นเคยจ้า

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
จะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหนนะ  :เฮ้อ:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
ว้าวววว ทำให้แวมไพร์ตนอื่นตับสูญได้ด้วยยยย... :z2:
กรีนอายส์ เป็นอาจารย์สเตฟานแน่นอน ชัวส์
เก่ง ๆๆๆ ตื่นเต้น เร้าใจ หนุกหนานๆๆๆ  :m4:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
รอลุ้นต่อไป :L2:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สงสัยคุงปู่ต้องฝึกคุงหลานหนักๆ หน่อยแล้ว ถ้าจะให้รับช่วงต่อ

ว่าแต่ กรีนอายส์ จะมีบทบาทมากกว่าการถูกเอ่ยถึงหรือเปล่าค่ะ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
ว้าวววว ทำให้แวมไพร์ตนอื่นตับสูญได้ด้วยยยย... :z2:
กรีนอายส์ เป็นอาจารย์สเตฟานแน่นอน ชัวส์
เก่ง ๆๆๆ ตื่นเต้น เร้าใจ หนุกหนานๆๆๆ  :m4:

สงสัยคุงปู่ต้องฝึกคุงหลานหนักๆ หน่อยแล้ว ถ้าจะให้รับช่วงต่อ

ว่าแต่ กรีนอายส์ จะมีบทบาทมากกว่าการถูกเอ่ยถึงหรือเปล่าค่ะ
เริ่มจะคล้ายนิยายกำลังภายในซะแล้ว มีรับช่วงฝีมือ  :laugh:
... กรีนอายส์ ... มีความหมายมากกว่านั้นอีก รอติดตามต่อไปนะครับ  :-[

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
รอติดตามตอนต่อไป   :z1:

sNow

  • บุคคลทั่วไป
กรีนอายส์นี่คือท่านอาจารย์สินะคะ

เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกทีแล้ว

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
อย่าเอาทรงเดชออกมาเยอะเลย หมั่นไส้อ่ะ 55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






christmas

  • บุคคลทั่วไป
กำลังสนุกเลยค้าบ  รออ่านต่อนะ...

ขอบคุณคับป๋ม

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
หูยแวมไพร์มากมาย หลายแบบอีก  :z3:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
เอ รึว่าสานฝันจะเป็น กรีนอายส์ คนใหม่รึป่าว

ยังงี้ก็สู้กะโจชัวร์ได้เลยสิเนี่ย รอลุ้นตอนต่อไปค่า  :L2:

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
รอกรีนอายส์ เย้ย..มะช่ายๆ o22 รอสเตฟานตะหาก หุๆๆ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๒๔

“กรีนอายส์” สเตฟานเรียกชื่อนั้นออกจากปากอย่างแผ่วเบา
“ใช่ ข้าคือกรีนอายส์” เสียงดังกังวาน ตอบมาจากร่างชายชรา ซึ่งนั่งอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่
สเตฟานหลบหนีโจชัวร์ จนมาถึงป่าแห่งนี้ ... ป่าทึบในตอนเหนือของอินเดีย ... เขาจ้องมองดูร่างที่คล้ายชายชราอายุเกือบร้อยปีหรืออาจจะมากกว่านั้น ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่ ประสานกันแน่วนิ่ง
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ” เสียงกังวานถามมา
“กลัวหรือ ... ข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีก นับว่าพระเจ้าของมนุษย์ยังไม่ทอดทิ้งข้า ถึงได้ชี้นำให้ข้ามาพบท่านที่นี่” สเตฟานตอบพลางเดินเข้าไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายชรา “ท่านทำเถอะ ทำให้ข้าสูญสิ้นความอมตะ ทำให้ข้าดับสูญ” สเตฟานพูดวิงวอน
“เจ้าไม่กลัวรึ” คำถามพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่มุ่งมั่นของอีกฝ่าย ก็ต้องหยุดหัวเราะ “แล้วทำไมเจ้าไม่ทำลายตัวเอง เพียงแต่เสียบลิ่มไม้หรือเหล็กแหลมลงไปในหัวใจเจ้า หรือตัดหัวเจ้าออก หรือจะให้ง่ายกว่านั้น เจ้ารออาบแสงอาทิตย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าก็จะได้ดังหวัง”
“ข้าทำไม่ได้ ท่านก็รู้ ไม่มีแวมไพร์ตนใดทำเช่นนั้นได้ มันเหมือนมีคำสั่งที่ฝังอยู่ในความคิด ว่าพวกเราไม่อาจทำเช่นนั้นได้ นอกเสียจากมีผู้อื่นมากระทำเช่นนั้นต่อเรา”
“ก็จริง ... แต่ทำไมเจ้าถึงปรารถนาความตาย ใยเจ้าไม่ใช้ชีวิตนิรันดร์ที่ได้มาให้คุ้มค่า”
“คุ้มค่า…” สเตฟานยิ้มหยัน “ข้าฆ่าคนในครอบครัว ฆ่ามิตรสหาย ต้องใช้ชีวิตเป็นเครื่องมือบำบัดความต้องการของผู้อื่น โดยมิอาจขัดขืน ท่านคิดว่าชีวิตนิรันดร์เช่นนี้ จะมีความสุขหรือ”
“แล้วถ้าเจ้าได้กลับคืนเป็นมนุษย์เล่า” ชายชราถามยิ้มๆ
“หากเป็นมนุษย์ ข้ายังจะอยู่ได้อีกหรือ ในโลกที่ข้าสูญสิ้นแล้วซึ่งบุคคลอันเป็นที่รัก แล้วผู้ที่ทำให้ข้าเป็นแวมไพร์เล่า มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า เขาจะไม่กลับมาทำร้ายข้าอีกครั้ง” สเตฟานถามกลับไป ด้วยน้ำเสียงขมขื่น “หากต้องเป็นเช่นนั้นอีก ให้ข้าตายด้วยน้ำมือท่านตอนนี้จะดีกว่า” หยดน้ำตาเริ่มไหลรินจากดวงตาของสเตฟานช้าๆ
“น่าแปลกที่เจ้าร่ำไห้ ยากนักที่แวมไพร์จะมีน้ำตา ลองเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังสิว่า เจ้าเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร และนานเท่าไรแล้ว”

สเตฟานเล่าเรื่องของตนให้ชายชราฟัง ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับโจชัวร์ จนถึงตอนที่ได้พบชายชรา ตลอดเวลาชายชราจ้องมองดูดวงตาของสเตฟานแน่วนิ่ง ... ดวงตาสีเขียวมรกต ที่ส่องประกายแวววับ ดุจดังประกายจากแก้วเจียระไนเนื้อดี แม้จะอยู่ในความมืด แทบจะไม่ผิดจากดวงตาของชายชรา

“ดี ... ดี ... ดี” ชายชราส่งเสียงหัวเราะดังสนั่น “นับว่ามาได้พอเหมาะ อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า พระเจ้าของพวกมนุษย์อาจจะนำพาเจ้า ให้มาพบกับข้าจริงๆ ... ไปกับข้า”
พูดจบชายชราก็ลุกขึ้น เดินนำสเตฟานเข้าไปในป่าลึก ความมืดมิดในยามราตรี ไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตาของคนทั้งสอง และจากวันนั้นเอง สเตฟานได้รับการสอนถึงการปิดกั้นดวงจิตของตนเอง การใช้ และการควบคุมพลังในลักษณะที่เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยนึกถึง

และไม่นานจากนั้นชายหนุ่มจึงได้รับรู้ถึงพลังอันแท้จริง และความลับของแวมไพร์ที่มีเพียงหนึ่งเดียว
... กรีนอายส์ ...
...................................................................................
.......................................
“กรีนอายส์” รังสรรค์ทวนคำ พร้อมกับจ้องไปยังอัญมณีสีเขียว ที่ร้อยอยู่กับสายสร้อยบนลำคอขาวผ่อง
ปรกติเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า สเตฟานสวมใส่สร้อยคอเส้นนี้หรือเปล่า แต่วันนี้เพราะสาเหตุใดไม่ทราบได้ สายสร้อยเส้นนั้นหลุดออกมาจากคอเสื้อ ประกายสีเขียวที่สะท้อนราวกับจะหยอกล้อกับแสงไฟ ภายในร้านเครื่องดื่มเล็กๆแห่งนี้ ทำให้เขาอดถามถึงที่มาและชื่อของมันไม่ได้
“ใช่ครับ อัญมณีนี้เรียกว่ากรีนอายส์ มีอยู่เป็นคู่”
“อีกเม็ดนึง คุณให้เจ้าทัตไป” รังสรรค์พูดพลางลูบแก้วเบียร์บนโต๊ะเล่น
“ใช่ครับ” สเตฟานตอบ แล้วยกแก้วชอคโกแลตร้อนขึ้นจิบ
“เจ้าชามันบอกว่าเป็นแฟนซีไดมอน”
“ดูเผินๆนะครับ” สเตฟานหัวเราะเบาๆ “แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่อัญมณี”
“อ้าว แล้วมันเป็นอะไรล่ะ” รังสรรค์ยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ
“ตามชื่อของมันนั่นแหละครับ” สเตฟานยังคงยิ้มน้อยๆ
“กรีนอายส์ ... ดวงตาสีเขียว” รังสรรค์ขมวดคิ้ว “เป็นดวงตาเหรอครับ”
“ครับ มันคือดวงตาที่หดเล็กลง และเปลี่ยนเป็นผลึกคล้ายอัญมณี คงคล้ายๆกับเพชรตาแมว”
“จริงเหรอครับ แล้วมันเป็นดวงตาของสัตว์อะไรกันแน่” รังสรรค์ถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ใช่ดวงตาของสัตว์หรอกครับ” สเตฟานยิ้มมากขึ้นอีก
“ไม่ใช่ดวงตาของสัตว์ แล้วมันเป็นดวงตาของอะไร” รังสรรค์ครุ่นคิด “คุณอย่าบอกนะว่าเป็นดวงตาของคน”
“ใช่ครับ กรีนอายส์นี่ เป็นดวงตาของคนจริงๆ” สเตฟานมองดูใบหน้าที่แสดงความตกใจของอีกฝ่าย แล้วก็นึกขัน
“ล้อผมเล่นล่ะสิ” รังสรรค์รู้สึกแบบที่พูด เพราะเห็นสีหน้าที่แสดงความขบขัน ของคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้าม
“ดีแล้วครับ ที่คุณคิดว่าผมล้อเล่น”
“ก็ถ้าเป็นดวงตาของคนจริงๆ คุณจะยังกล้าใส่ไว้แบบนี้เหรอ” รังสรรค์ยิ้มอย่างคนรู้ทัน
“เพราะเป็นผมไงล่ะครับ ถึงได้กล้าใส่ เพราะเป็นดวงตาของคนที่เป็นเหมือนญาติสนิท เป็นคนที่มอบชีวิตใหม่แก่ผม ให้ผมไว้ มันเปรียบเสมือนเครื่องลางคุ้มภัยให้กับผม” ดวงตาของสเตฟานเปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อบุคคลที่ตนพูดถึง
“แปลว่ามันเป็นของสำคัญมาก” รังสรรค์พูดช้าๆ “ที่คุณมอบกรีนอายส์ชิ้นหนึ่งให้กับเจ้าทัต แปลว่าคุณเห็นมันเป็นคนสำคัญล่ะสิ”
“ใช่ครับ ผมอยากให้คนที่ผมรัก ได้รับการคุ้มครองจากกรีนอายส์นี้ด้วยเช่นกัน” ดวงตาของสเตฟานเปลี่ยนเป็นดวงตาของคนที่อยู่ในห้วงของความรัก ผิวหน้าสีขาวอมชมพู เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ก้มหน้าลงจิบชอคโกแลตร้อนช้าๆ
“ฝันก็ยังเป็นฝันอยู่ดี” รังสรรค์ถอนหายใจเบาๆ
สเตฟานได้ยินแว่วๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ดวงตาจึงได้ประสานกับดวงตาสีเข้ม คู่ที่มองมาอย่างมีความหมาย จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆให้ด้วยความเป็นมิตร
“กุหลาบสีขาว” รังสรรค์พูดแล้วก็หยิบดอกกุหลาบสีขาวในแจกันดอกไม้ออกมา “ถึงจะไม่เหมาะกับคุณเหมือนกุหลาบสีชมพู ผมก็ยังอยากให้คุณรับไว้” พูดพลางยื่นกุหลาบในมือให้สเตฟาน
“กุหลาบสีขาว ... ความรักที่บริสุทธิ์” สเตฟานยิ้มให้ “เหมือนความรักของเพื่อน ที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน” พูดแล้วก็ยื่นมือที่สวมถุงมืออยู่ไปรับดอกกุหลาบไว้ “ขอบคุณนะครับ ผมจะรักษามันไว้ให้ดี”

รังสรรค์มองดูรอยยิ้มของคนที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้ยากที่จะตัดใจ แต่กาลเวลาคงจะทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปได้
...................................................................................
.......................................
“ผมมีตั๋วคอนเสริทที่ศูนย์วัฒนธรรม พี่ๆสนใจม๊ะ” กรกฏพูดแล้วก็ส่งตั๋วให้ทุกคน คนละใบ
“โห วงนี้เล่นดีนี่นา” ภูริทัตพูดเสียงดัง เมื่อเห็นชื่อวงกับโปรแกรมการแสดง “อย่างนี้พลาดได้ไง”
“นั่นดิ เอาเป็นว่าคืนนี้พวกเราไปดูด้วยกันนะพี่” น้ำเสียงของกรกฏร่าเริงขึ้นมาทันที
“เสียดาย น่าจะมีอีกใบ” รังสรรค์พูดเบาๆ
“ทำไมเหรอ” ปรีชาถามด้วยความสนใจ”
“ไม่มีไร” รังสรรค์ทำไม่รู้ไม่ชี้
แล้วทั้งสี่คนก็คุยเรื่องอื่นๆกันต่อ พร้อมกับนัดหมายเพื่อไปหาสถานที่สำหรับอาหารมื้อเย็น ก่อนที่จะไปดูคอนเสริทรอบสองทุ่ม
...................................................................................
.......................................
“เอ๊ะ” ปรีชาอุทานเบาๆ เมื่อมองไปเห็นคนที่เดินเข้าขึ้นไปทางบันไดขึ้นชั้นบนของหอประชุม
“อะไรวะ ดูทำหน้าเข้า ยังกับเห็นผี” ภูริทัตขบขันกับสีหน้าของรังสรรค์
“ก็ไหนนายบอกว่าสเตฟานเค้าอยู่ต่างประเทศไง แต่เมื่อกี้”
“เห็นคนเหมือนอีกเหรอไง” ภูริทัตพูดยิ้มๆ “อย่าเสียเวลาเลย คอนเสริทจะเริ่มแล้ว เข้าไปนั่งกันดีกว่า”

แล้วทั้งสี่คนก็พากันเดินเข้าไปในห้องประชุม ตลอดช่วงเวลของการแสดงคอนเสรทในครี่งแรก กรกฏก็พยายามชวนภูริทัตคุยถึงเพลงที่กำลังแสดง หรือแสดงจบไปแล้ว แต่กลับโดนภูริทัตดุว่าไม่มีมารยาทในการดูคอนเสริท ทำให้ความดีใจที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่ตนหลงรัก กลายเป็นความไม่พอใจ เมื่อจบครึ่งแรกของการแสดงดนตรี ทั้งสี่ออกมายืนคุยกันอยู่ในบริเวณลอบบี้หน้าห้องประชุม แล้วสายตาของภูริทัตก็สะดุดเข้ากับร่างของคนคนหนึ่ง

ร่างในชุดสูทกำมะหยี่สีเขียวเข้มจนเกือบเป็นสีดำ ดูแวววาวราวปีกแมลงทับ เรือนผมสีทอง ยิ่งทำให้ใบหน้าสีขาวอมชมพูดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ดวงตาสีเขียวมรกตดูสดใส ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มน้อยๆ

“สเตฟาน” ภูริทัตเรียกเบาๆ แต่เหมือนผู้ที่ยืนอยู่ห่างไปหลายเมตรนั้นจะได้ยิน จึงหันหน้าจากคู่สนทนามาทางเขา และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“พี่ทัตจะไปไหน” กรกฎเรียกเมื่อเห็นภูริทัตเดินออกไปจากกลุ่ม เมื่อมองตามไปก็เห็นคนที่เป็นจุดหมายของภูริทัต
“อ้อ คุณสเตฟานน่ะเอง เข้าไปหากันเถอะ” รังสรรค์พูดแล้วก็เดินตามภูริทัต โดยมีปรีชาและกรกฏเดินตามไปด้วย
“สเตฟาน คุณกลับมาเมื่อไหร่” ภูริทัตถามอย่างดีใจ อดเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไม่ได้
“เมื่อคืนนี้เองครับ” เสียงตอบมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆสเตฟาน
ภูริทัตหันไปมองดูชายหนุ่มรูปร่างสูง แลดูบึกบึน ผิวสองสี หน้าตาคมคายไม่น้อย
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าทักทาย
“เจอกันอีกแล้วนะครับ” รังสรรค์ทักทายอีกฝ่าย
ภูริทัตหันกลับไปมองสเตฟานอย่างงงๆ
“นี่ทรงเดช เป็นหลานของทรงศักดิ์น่ะครับ” สเตฟานพูดราวกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการรู้อะไร
“ต่อไปคุณปู่จะให้ผมมาช่วยงาน ผมเลยขอเริ่มงานแรกด้วยการพาคุณสเตฟานมาฟังดนตรี” ทรงเดชพูดยิ้มๆ “คุณคงเป็นคุณภูริทัต”
“คุณรู้จักผม??” ภูริทัตถามด้วยความสงสัย
“ผมเดาเอาน่ะครับ ผมเคยเห็นชื่อคุณในตั๋วเครื่องบิน”

ทรงเดชอดขำไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าของภูริทัต รู้สึกว่า จากวันนี้ไปเขาคงมีเรื่องให้สนุกได้ไม่น้อยทีเดียว

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
เรื่องสนุก ๆ อร๊ายยยย ตาทรงเดชคิดจะทำอะไรเนี่ย อย่ามาแกล้งภูริทัตของหญิงนะ  :angry2:

sNow

  • บุคคลทั่วไป
สานฝัน เนื้อหอมเกินไปแล้ว

รังสรรค์นี่ก็แอบมาเจออยู่เรื่อย แต่ยังดีที่คิดจะตัดใจ(จะทำได้หรอ)

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
Re: [นิยาย] สานฝันนิ&#
«ตอบ #377 เมื่อ27-03-2009 19:52:57 »

สานฟันสเน่ห์แรงจริงๆ เนอะ....ส่วนทรงเดชต่อไปจะมาหลงด้วยอีกคนมั้ยเนี่ย? หุหุ

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
อีตาทรงเดช จะเข้ามาช่วย หรือเข้ามายุ่งกันแน่

รีบมาเฉลยเร็ว ๆ นะครับ ตั้ม +1ให้เป็นกำลังใจ  :z2:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
น่าเหนื่อยแทนสเตฟานต้องอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ภูริทัติจะรู้เนี่ย :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ทรงเดชนิจะมาเป็นตัวป่วนรึป่าวน้า
 
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :3123:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
กรีนอายส์คงตายไปแล้ว
และสเตฟานคือผู้สืบต่อความเป็นนิรันดร์หรือเปล่านะ
ถ้าใช่ สเตฟานก้อต้องสามารถกำจัดโจชัวร์ได้สิ แต่ที่ยังไม่ทำเพราะมันยังไม่ถึงที่สุดหละมั้ง

รังสรรค์ก้อดีนะ คิดจะตัดใจจากคนรักของเพื่อน
แต่ทรงเดชจะทำอะไรร้ายๆรึเปล่า น่าสงสัย
ยังมีเจ้าปูตัวแสบอีก  :เฮ้อ:

บวก 1 นะจ๊ะ เข้มข้นๆรออ่านต่อจ้า

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
จะทำไรเหรอทรงเดช o18

nartch

  • บุคคลทั่วไป
ความระแวงเริ่มก่อตัว...
ทรงเดชจะมาดีหรือร้ายยังคลุมเคลือ...
 :z13:

ออฟไลน์ Shumi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เดี๋ยวทรงเดช กับ ปู คู่กันหรอ กร๊ากกก

ปู่กรีนอายส์ สืบทอดทายาทด้วยการให้ดวงตา แล้วดวงตานี่เอาไว้กันแวมไพร์ได้รึเปล่าหว่า.. น่าลุ้นเนาะ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๒๕

“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะส่งให้ถึงที่ห้องพักเลย” ทรงเดชพูดยิ้มๆ ส่งสายตาล้อเลียนให้ภูริทัต พลางปิดประตูรถลง แล้วเดินไปขึ้นรถด้านคนขับ

เมื่อการแสดงดนตรีจบลง ภูริทัตกับเพื่อนๆ ก็ได้พบกับสเตฟานและทรงเดชอีกครั้ง พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง กรกฏก็เสนอให้แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันทำงาน ทุกคนจึงเดินมายังลานจอดรถ ภูริทัตอ้อยอิ่งอยู่นานจนสเตฟานขึ้นรถไป ชายหนุ่มมองดูรถสปอร์ตคันนั้นแล่นออกไปจากลานจอดรถ จึงได้เดินมาขึ้นรถของรังสรรค์ที่รออยู่ และออกจากสถานที่นั้นไปในเวลาต่อมา

“ดูคุณจะสนุกมากนะ” สเตฟานพูดเบาๆ
“โกรธเหรอครับ” ทรงเดชพูดทั้งๆที่สายตายังจ้องมองอยู่บนถนน
“เปล่า” ตอบเพียงแค่นั้น สเตฟานก็เงียบไป
“ผมเห็นว่า คนพวกนั้นมีความสัมพันธ์กันยุ่งเหยิงน่าดู ผมก็เลยลองแหย่ๆเล่น” ทรงเดชพูดขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“คุณดูออก”
“ก็พอจะเห็นๆนะครับ คนชื่อปรีชาชอบคุณกรกฏ คนชื่อกรกฏชอบคุณภูริทัต แต่คุณภูริทัตน่ะคงไม่ต้องบอกนะครับว่าชอบใคร” พูดแล้วทรงเดชก็หัวเราะชอบใจ “อ้อมีอีกคน คุณรังสรรค์ เหมือนจะชอบ ...” แกล้งเงียบไปเพื่อจะดูปฏิกิริยาของคนข้างๆ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา
“คุณพอจะรู้มั๊ยครับ ว่าคุณรังสรรค์ชอบใคร” ทรงเดชแกล้งถาม
“อาจจะชอบคุณก็ได้นะ” สเตฟานตอบแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ
“โหย ... ไม่ไหวล่ะครับแบบนั้น ดูก็รู้ว่าเป็นแบบไหน ถ้าสักวันผมต้องชอบผู้ชายนะ ผมไม่เป็นฝ่ายที่เป็นผู้หญิงเด็ดขาด”
“ถ้าถึงเวลาจริงๆแล้วคุณจะรู้ ว่าความรักน่ะ มันทำให้คนเรายอมทำได้ทุกอย่าง และเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก” สเตฟานพูดช้าๆ อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
“เหมือนคุณตอนนี้น่ะเหรอครับ” น้ำเสียงของทรงเดชเป็นงานเป็นการมากขึ้น
ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงถอนใจเบาๆมาจากคนข้างๆ จนทรงเดชไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อให้คนที่เขานับถือเกิดความสบายใจขึ้นบ้าง

เพราะทรงเดชจะต้องรับหน้าที่ต่อจากทรงศักดิ์ เรื่องราวต่างๆของผู้ที่จะเป็นเสมือน ‘นาย’ จึงถูกบอกเล่าอย่างละเอียดมากขึ้น ทำให้ทรงเดชได้รับรู้สภาพตัวตนที่แท้จริงของสเตฟาน รวมทั้งผู้ที่เป็น ‘มิตร’ ผู้ที่เป็น ‘ศัตรู’ ของคนที่เขาจะต้องปกป้อง และดูแลผลประโยชน์ต่างๆให้ต่อไปในอนาคต ชำเลืองมองดูคนข้างๆอีกครั้ง พร้อมกับคิดไปถึงชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาคมปลาบคนนั้น เพียงแค่แววตาของคนทั้งสองยามมองดูอีกฝ่ายหนึ่ง ก็บอกให้รู้ถึงความผูกพันของดวงใจ ไม่มีช่องว่างให้ใครได้เข้าไปแทรกอีก ไม่ว่าจะเป็นกรกฏ หรือรังสรรค์

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ คิดว่าความรักที่เขาได้รับรู้ในครั้งนี้ จะสามารถยืนยาวไปได้สักเพียงใด ถึงแม้มันจะดูมั่นคงทั้งความรู้สึก และการแสดงออก แต่ในเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงมนุษย์ ต่อให้แข็งแรงขนาดไหน มีชีวิตได้ถึงร้อยปี ก็นับว่ายืนยาวมากแล้ว ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นเผ่าพันธ์ที่กล่าวขานกันว่ามีชีวิตเป็นอมตะ

แวมไพร์ ... เผ่าพันธ์ที่ไม่มีวันตาย สามารถดำรงชึวิตอยู่ได้นิรันดร
..........................................................................
...................................
“หาใช่เป็นนิรันดร์ไม่” ชายชราบอกกับชายหนุ่ม “เมื่อก่อนนี้ข้าก็มีรูปลักษณ์เช่นบุรุษฉกรรจ์ดั่งเจ้า แต่ดูบัดนี้” ชายชรากางแขนออก แสดงถึงร่างกายที่ซูบผอม ประหนึ่งมนุษย์ที่ผ่านชีวิตมากว่าร้อยปี “นาฬิกาชีวิตของพวกเราเหล่าแวมไพร์เดินเชื่องช้ากว่ามนุษย์หลายเท่า หนึ่งปีของมนุษย์อาจเป็นเพียงแค่หนึ่งวันของพวกเรา ดังนั้นชีวิตที่เป็นอมตะ คงอยู่ได้นิรันดรนั้นจึงไม่เป็นความจริง”
“แต่ ...” สเตฟานทำท่าเหมือนจะค้าน
“เจ้าจะบอกว่า ทำไมจึงไม่เคยเห็นแวมไพร์ ที่มีสภาพดุจชายชราเช่นข้าเลยใช่หรือไม่”
สเตฟานพยักหน้ารับ
“ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่แวมไพร์เหล่านั้นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสถานที่เงียบสงบ คงจะเหมือนกับมนุษย์ที่มีอายุมาก ซึ่งต้องการความสุขสงบในชีวิตบั้นปลาย แต่หากแวมไพร์ตนใดทนไม่ได้ ต้องการจะจบชีวิตที่เสมือนชีวิตอมตะ มันจะเป็นหน้าที่ของข้า ผู้มีหน้าที่ส่งแวมไพร์ตนนั้นให้คืนสู่ความเป็นมนุษย์ และหมดสิ้นซึ่งความเป็นนิรันดร์ เมื่อถึงเวลานั้น ขอเพียงแวมไพร์ตนนั้นเรียกหาข้า ข้าก็จะรับรู้ และไปปรากฏต่อหน้าแวมไพร์ตนนั้น”
..........................................................................
...................................
“คุณสเตฟานต้องไปต่างประเทศครับ ผมเสียใจด้วยที่สุดสัปดาห์นี้ คุณคงจะไม่ได้พบกับคุณท่าน” เสียงจากทางปลายสายทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียนะครับ คุณท่านบอกว่า ยังไงก็ต้องกลับมาก่อนวันพฤหัสฯแน่นอนครับ” มีเสียงหัวเราะเบาๆตามมาหลังคำพูด
“ทำไมถึงต้องกลับมาก่อนวันพฤหัสล่ะครับ” ภูริทัตกรอกเสียงถามไป
“อ้าว” เสียงอุทานดังมา “นี่คุณไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลยเหรอครับ”
“เตรียมอะไรครับ แล้วทำไมต้องเตรียม”
“คุณทัตไม่รู้จริงๆ หรือว่าต้องการปิดไว้ให้คุณท่านแปลกใจกันแน่ ยังไงผมก็พวกเดียวกับคุณทัต แง้มๆให้ผมรู้บ้างได้มั๊ยครับ” เสียงของทรงศักดิ์ถามอย่างอารมณ์ดี
“เรื่องอะไรครับ คุณทรงศักดิ์ยิ่งพูด ผมก็ยิ่งงง” ภูริทัตยกมือขึ้นเกาท้ายทอย รู้สึกรำคาญขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว นี่แปลว่าคุณทัตไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ดูปฏิทินเลยเหรอครับว่านี่มันเดือนกุมภาฯแล้ว” มีเสียงจุ๊ปากเบาๆเหมือนจะตำหนิ
“เดือนกุมภาฯ” ภูริทัตรีบเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานเล็กๆในห้องนอน เพื่อดูปฏิทิน “เอ๊ะ ...” แล้วเขาก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ
“รู้แล้วใช่มั๊ยครับว่าวันอะไร” เสียงของทรงศักดิ์หัวเราะเบาๆ “ยังพอจะเตรียมตัวทันนะครับ ถ้าขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกผม เดี๋ยวผมจะให้ทรงเดช หลานผมจัดการให้ คุณทัตรู้จักแล้วใช่ไหมครับ เห็นตาเดชมาเล่าให้ผมฟัง ว่าเจอกับคุณทัตในงานแสดงดนตรีเมื่อวันก่อน”
“ทรงเดช” ภูริทัตทวนชื่อ พร้อมกับคิดไปถึงชายหนุ่มร่างสูง ผิวสองสี ใบหน้าคมคายแบบชายไทย “ใช่ครับเราเจอกันแล้ว แต่ทำไมต้องให้มาจัดการเรื่องของผมด้วยล่ะครับ”
“คืออย่างนี้นะครับคุณภูริทัต คุณคงทราบว่าผมเป็นคนดูแลเรื่องต่างๆให้คุณสเตฟาน พูดง่ายๆเหมือนเป็นผู้จัดการส่วนตัว ตอนนี้ผมก็อายุมากแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
“อะไรกันครับ คุณทรงศักดิ์ยังดูแข็งแรงอยู่เลย”
“ยังงั้นก็เถอะครับ” ทรงศักดิ์หัวเราะเบาๆ “ยังไงก็เตรียมไว้ก่อนดีกว่า ความจริงผมก็คิดเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเดชยังเด็กๆ ว่าจะให้รับใช้คุณท่านต่อจากผม เพราะในบรรดาลูกหลาน ก็มีเจ้านี่แหละครับที่สนใจเรื่องของคุณท่านมากที่สุด”
ภูริทัตขมวดคิ้ว เพราะรู้สีกว่าคำบอกเล่านี้ มีอะไรแปลกประหลาดอยู่ แต่ก็ยังคิดไม่ออกในทันที
“ตอนนี้ผมก็ให้ช่วยเรื่องเล็กๆน้อยๆไปก่อน แล้วอีกสักเดือนหรือสองเดือน พอออกจากงานประจำ แล้วค่อยให้มาเป็นเลขาผม รับหน้าที่ดูแลคุณท่านเต็มตัว นี่ถ้าไม่ติดว่างานที่ทำอยู่ยังต้องสะสางให้เรียบร้อย ผมคงให้ตามไปรับใช้คุณท่านแล้ว”
“เหรอครับ” ภูริทัตฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
“เอาเป็นว่าคุณทัตรีบๆคิดแล้วกันนะครับ ว่าจะทำอะไรในวันนั้น แล้วต้องการให้ทางผมช่วยอะไรก็ติดต่อมาได้ทุกเวลานะครับ”
“ครับ แล้วเดี๋ยวถ้าผมตกลงใจยังไงผมจะติดต่อไปนะครับ”
ภูริทัตกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ที่อยู่บนหูฟังบลูธูท แล้วถอดออกวางไว้ใกล้ๆโทรศัพท์มือถือ ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง ด้านหัวนอน ล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดว่า เขาจะทำอะไร หรือมอบอะไรให้เป็นพิเศษแก่สเตฟาน สำหรับวันพิเศษเช่นนั้นดี
..........................................................................
...................................
“คิดอะไรอยู่วะ ไม่พูดไม่จา” รังสรรค์ถาม เมื่อเห็นภูริทัตกินข้าวโดยไม่คุยกับเพื่อนๆเหมือนเคย
“คิดเรื่องนายตัวสูงที่เจอวันนั้นใช่มั๊ยล่ะพี่ จะว่าไปก็ทำไปได้นะ ไหนว่ารักกัน กลับมาก็ไม่บอกสักคำ แถมควงคนอื่นไปเที่ยวด้วยกันอีก” กรกฏพูดแล้วก็เบ้ปาก
“กำลังคิดว่าวาเลนไทน์จะให้อะไรสานฝันดี” ภูริทัตหันไปบอกรังสรรค์ โดยไม่สนใจคำพูดของกรกฏ
“เอาโบว์ผูกเจ้าทัตน้อยสิ ให้เป็นของขวัญ” ปรีชาพูดแล้วก็หัวเราะ ทำให้ภูริทัตและรังสรรค์หัวเราะตามไปด้วย
“อันนั้นแกะโบว์ฉลองกันเรียบร้อยไปนานแล้วเว๊ย” ภูริทัตตอบหน้าตาเฉย “ทีแรกข้าว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่วันนั้นร้านคงแน่นน่าดู เลยคิดว่าจะให้ของขวํญน่าจะดีกว่า ตอบแทนที่ให้เพชรเม็ดนั้นกับข้าด้วย”
“กรีนอายส์” ทุกคนหันไปมองรังสรรค์ ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดขึ้นมาลอยๆนั้น หมายความว่าอะไร “ก็เพชรเม็ดนั้นไง สเตฟานบอกว่ามันมีชื่อเรียกว่า กรีนอายส์”
“กรีนอายส์” ปรีชาและภูริทัตทวนคำแทบจะพร้อมกัน
“แหวะ ... ชื่ออะไรน่าขยะแขยง นึกถึงตาผีขึ้นมาทันทีเลย” กรกฏทำท่าขนลุกขนพอง
“พี่ว่าโรแมนติคดีออก ... กรีนอายส์” ปรีชาทำตาเชื่อม “ตาของสเตฟานเค้าก็สีเขียวนี่ ...กรีนอายส์ ...โห โรแมนติคเป็นบ้า มันจะหมายความว่าอะไรน๊า” ปรีชาทำท่าครุ่นคิด “ให้คุณมองแล้วเหมือนได้มองดวงตาของผม ... หรือว่าดวงตาของผมจ้องมองอยู่ที่คุณเสมอ ...ว๊าวววว” ปรีชาหลับตาพริ้ม
“มากไป ไอ้ชา” รังสรรค์พูดแล้วอมยิ้ม “แต่ความคิดมันก็เข้าท่านะ เอ็งว่าไง” เขาหันไปถามภูริทัต
“ดวงตาอะไรมันจะมีข้างเดียว” กรกฏขัดคอ
“อีกข้างอยู่ที่เจ้าตัวเค้าไง ของมันมีเป็นคู่ เค้าเลยให้เจ้าทัตชิ้นนึง” รังสรรค์อธิบาย
“พี่สรรค์ดูเหมือนจะรู้ละเอียดนะ” กรกฏทำหน้าเหมือนจะค้นหาความจริงจากรังสรรค์
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ตอนที่เจอกัน พี่ก็ถาม แล้วเค้าก็เล่าให้ฟัง มันก็แค่นั้น” รังสรรค์ยักไหล่
“แล้วทำไมเพิ่งจะมาเล่าให้พวกเราฟังตอนนี้ล่ะ” กรกฏยังไม่ยอมหยุด
“อ้าว ก็ไม่มีใครถามนี่นา พี่ไม่ใช่พวกปากโป้ง รู้อะไรมาก็เที่ยวมาบอก มาขยายความ นี่เห็นว่าพูดเรื่องนี้กันขึ้นมา ก็เลยเล่าให้ฟังว่า ของชิ้นนี้น่ะเป็นของสำคัญของเค้าเชียวนะ ได้มาจากญาติผู้ใหญ่อีกทีนึง เอ็งก็ต้องรักษาไว้ดีๆล่ะ” หลายประโยคหลังหันไปพูดกับภูริทัต
“ถึงไม่รู้ก็รักษาอย่างดีอยู่แล้วเว๊ย” ภูริทัตยิ้มจนแก้มแทบปริ

รังสรรค์มองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของภูริทัต แล้วเหลือบไปมองสีหน้าที่บูดบึ้งของกรกฏ มองเลยไปยังสายตาที่หวานเชื่อมของปรีชาที่จ้องมองกรกฏ แล้วคิดถึงความวุ่นวายของสายสัมพันธ์ของพวกตนทั้งสี่ ที่ดูจะยุ่งเหยิงขึ้นทุกขณะ จะเป็นอย่างไรกันต่อไป ถ้าอีกสามคนได้รู้ว่าอัญมณีชิ้นนั้น เป็นสิ่งใดกันแน่

อัญมณีสีเขียวมรกต ส่องประกายแวววาวราวกับดวงตาของบุคคลอันเป็นที่รัก ... ดวงตาสีเขียวมรกต ส่งประกายแวววาวราวอัญมณี

... กรีนอายส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2009 21:10:25 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
^^
วันนี้ขอจิ้มหน่อยนะตั้ม  :m11:จิ้มแล้วมีความสุขจัง

+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ มาลุ้นหันต่อไปว่า กรีนอายส์ จะมีบทบาทอะไร

และจะช่วยภูริทัตได้อย่างไร  :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ไปๆมาๆ รังสรรค์ กลับเป็นคนที่รู้และเก็บรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ได้มากที่สุด

มาแบบนิ่งๆ  :sad4:

RAJCHABUT

  • บุคคลทั่วไป


นอนมะหลับ . . .

. . . แวะมาเยี่ยมอ่ะครับ


namtaan

  • บุคคลทั่วไป
^
^
ขอจิ้มคุณราชบุตรสุดเท่ห์ไปถึงน้องวันบ้าง  :m4:

ยิ่งอ่านยิ่งเบื่อเจ้าปูทำตัวได้น่าเบื่อน่ารำคาญยิ่งนัก

"...จนทรงเดชไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อให้คนที่เขานับถือเกิดความสบายใจขึ้นบ้าง..."
ทรงเดชแค่นับถือสเตฟานหละหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าที่จะสบายใจคนๆนี้ขึ้นมาได้บ้าง

เหมือนว่าคุณทรงศักดิ์จะพยายามเกริ่นให้ภูริทัตรับรู้และสงสัยเรื่องของสเตฟานไปทีละนิด

แล้วถ้ากรีนอายส์ตายไปแล้ว สเตฟานคือกรีนอายส์คนใหม่เช่นนั้นหรือ

บวก 1 ให้เช่่นเคยจ้า  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด