อิชั้นเห็นภาพหมูหยดหยองของทู้บนหัวก็ตกใจไปใหญ่โต
นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกะอิชั้น
ที่ไหนได้
ที่แท้ก็.....มหัศจรรย์ในความสามารถที่ซ้อนเล้นของเจ้หรอเคอะคุณน้อง
ยังมีอีกเยอะนะคะ เข้ามาใกล้ๆ สิแล้วเจ้จะกระซิบบอกเบาๆ
"จุ๊บๆ"
อิอิ
เปลี่ยนเรื่อง.......
ได้ไปอ่านเรื่องของนุกับแม็คมา เจอคอมเม้นต์อันหนึ่งที่โดนใจมากๆ
“....ปล่อยให้ความรักมันมีชีวิตสิครับ....”
ผมเลยอดที่จะคิดพิเคราะห์กับข้อความนี้ไม่ได้
จริงสิ! ลองปล่อยให้ความรักมีชีวิตของมันเองแล้วเราเป็นผู้ติดตามเฝ้าดูหรอ?
มันช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร
แต่ก่อนอื่นใดนั้น...ขอผมตามหาความรักของตัวเองให้เจอก่อนเถอะครับ แล้วค่อยมาว่ากันต่อ...หรือไง?
..........เปลี่ยน...........
วันนี้ต่อมแหลทำงานหนักไปหน่อยครับ เลยส่งผลให้ผมทำของขึ้นมาสามอย่าง
แฮมรมควันบนแคนตาลูป ที่ผมขอเรียกมันว่า “แตงเค็ม” กินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเรากินแตงโมปลาแห้งอยู่ที่บ้านนั้นแหละครับ เฮ้อ! คิดไปคิดมาแล้วก็คิดถึงคนทำให้กินจัง
ใครจากผมไปนานแล้วครับ
เค้าและผมเรามีเรื่องประทับใจกันไม่เยอะหรอกครับ แต่มันลึกติดใจ
อยากฟังไหม? มาสิ ผมจะเล่าให้ฟัง
เค้าเป็นคนที่รู้จักผมดีและผมก็คิดว่าผมพอจะรู้จกเค้าบ้าง
เค้าเป็นคนสอนให้ผมรู้จักการเข้าครัว ก็กับข้าวมื้อแรกของผมนั้นแหละ!
กากหมูเจียวผักแตงกวาใส่น้ำปลาน้ำตาล ปลาทูทอด ไข่เจียว และข้าวหุงสุกใหม่ๆ ...กับข้าวพื้นๆ
ผมยังจำแววตาของเค้าได้เมื่อเราเงยขึ้นสบตาพร้อมกันตอนนั่งล้อมวงกินข้าว
กับข้าวพื้นๆ กับใครบางคน....แต่มันช่างอร่อยได้มากมาย
.... “แหวนที่นิ้วนะ! สวยดี อยากได้ เห็นใส่มากนานแล้วนิคงเบื่อ ขอเหอะ”
“เอาสิ” ง่ายๆ สั้นๆ แล้วแหวนเงินวงนั้นก็มาอยู่ในมือผม
เพียงแต่ผมทำมันหายไปกับกระแสน้ำเสียตอนน้ำหลากหลังจากใส่ติดมืออยู่ได้สองสามวัน
“แหวนหายไปไหนแล้ว?” เขาถามขึ้นเมื่อก้มลงมองที่นิ้วผม
“หายแล้ว สงสัยหายตอนไปเล่นน้ำ”
“..............” เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นจากคนๆ นั้น ผมเห็นเขานิ่งเงียบไป ผมเลยเดินออกมาจากที่ตรงนั้น
“ไปไหน? กินข้าวหรือยัง” เขาถาม
“ยัง ก็เนี้ยจะมากินข้าว”
“งั้นเข้ามาสิ”
หรือตอน...
.... “กล้วยน้ำหว้าหวีนี้งอมมากแล้ว เปลือกก็ดำด้วย ท่าจะเน่า ทิ้งดีกว่าเนอะ?”
“อย่าเพิ่ง! เอามานี้...จะแปลงโฉมมันให้ดู”
แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ แบบนี้ส่องลอดรูหลังคาลงมาเป็นลำเมื่อพาดผ่านกลุ่มควันไฟที่ฟุ้งล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่
คนสองคนนั่งยองๆ อยู่ใกล้ๆ กันหน้าเตาถ่านที่ติดขึ้นเพื่อย่างกล้วยหวีนั้น
ผมมองหน้าเค้าแล้วยิ้มให้ เค้าก็ยิ้มตอบกับมาด้วยแววตาที่ผมเห็นแล้วอุ่นใจ
“สุกกินได้ยัง?”
“คงจะได้แล้วหละ”
“งั้นเอาอันนี้ละนะ โอ้ย!”
“ร้อนอะสิ ไม่ระวังเลย เวลาจะกินอะไรให้มันระวังหน่อย เอามานี้ก่อนมา” เค้าเอากล้วยไปจากมือผมแล้วลงมือเป่าให้ไล่ความร้อน
ไอความร้อนยังคงลอยขึ้นจากกล้วยแต่ลดน้อยลงมากแล้วเมื่อเค้าส่งมันคืนให้ผม
“อะ! คงเย็นแล้ว กินได้ ชิมสิ!”
“ไหนๆ อืม....อร่อยจริงด้วย หวานแล้วก็หอมมาก”
“ถึงเรียกว่ายายแก่แปลงโฉมไง”
... “ไม่กินอะ เหม็น!”
“เหม็นที่ไหน? ลองชิมดูก่อนสิ”
ผมรับถ้วยที่อยู่ในมือเค้ามาลองดมๆ เออแหะ! ไม่เหม็นจริงด้วย กินก็ได้
แล้วทุกเช้าผมจะได้รับของสิ่งนี้จากมือคนคนนั้นมาตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน
มันคือ...น้ำเต้าหู้ที่ผมแสนเกลียดเพราะไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของมันในตอนแรก
แต่ตอนนี้ผมกินได้แล้วกลับชอบ เพราะใคร? คนคนนั้นไง....เค้า
หลังจากที่มันเป็นความลับอยู่นาน...มันก็ถูกเปิดเผยขึ้นในเช้าวันหนึ่งเมื่อผมดันเกิดตื่นขึ้นเช้าผิดปกติในรอบปี
“ทำไรนะ?”
“เตรียมชงน้ำเต้าหู้ให้ใครบางคน”
“ชง?”
“ใช่”
“ทำไมต้องชง? ไม่ไปซื้อที่ตลาดหละ”
“ซื้อมาแล้ว นี้ไง”
“แล้วชงอะไรอีก”
“ชงน้ำเต้าหู้ไง”
“ให้ใคร?”
“คนช่างถามที่ยืนอยู่นั่นไง” คงหมายถึงผม
“ไหนดูสิ! นมตรามะลินิ?”
“ใช่”
“ทำไม?”
“ผสมสิ จะได้ดับกลิ่นเหม็นเขียว อะ! กินซะ”
ผมถึงได้รู้ว่าตั้งแต่ตอนแรกเลยมันคือนมตรามะลิล้วนๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ผสมน้ำเต้าหู้ลงไปทีละน้อย ทีละน้อย จนสัดส่วนมันกลายเป็นน้ำเต้าหู้มากกว่านมตั้งหลายเท่าแล้วในตอนนี้
“ต่อไปไม่ต้องใส่นมแล้วนะ”
“ทำไม?”
“เสียเวลา ยุ่งมือเปล่าๆ งานอื่นก็เยอะ”
“ไม่หรอก ทำได้”
“ตามใจ”
ผมรับรู้ได้ในความรู้สึกดีๆ ที่เค้ามีให้ผม หากการที่เค้าต้องมายืนชงนมผสมน้ำเต้าหู้ให้ผมมันจะทำให้เค้ามีความสุขแล้วหละก็....ผมก็คงต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้นอยู่ต่อไป...เพื่อเค้า...คนที่ดีกับผมซะเหลือเกิน
ปล. แล้วจะมาเล่าเรื่องแตงเค็มต่อวันหลังนะ