Toxic Love club ตอนที่ 6 กฏสามเดท 27-11-68
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedsengped[at]gmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Toxic Love club ตอนที่ 6 กฏสามเดท 27-11-68  (อ่าน 143 ครั้ง)

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2025 22:58:44 โดย khrinpi »

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
                            Toxic Love club
                                             ตอนที่ 1
แสงไฟที่พร่างพราว เสียงเพลงที่เร้าใจ และเหล้าที่รินไม่รู้จบ
สิ่งเหล่านี้หลอมรวมผู้คนให้เข้ามาเกี่ยวพันกัน ก่อเกิดมิตรภาพ ความสัมพันธ์ทางร่างกายที่มอบให้กันชั่วข้ามคืน สิ่งที่เราเรียกว่า “เซ็กซ์” บางครั้งมันอาจนำเราไปสู่การตามหาบางสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’

แสงนีออนสีม่วงอมชมพูของ อีบาร์ ผับชื่อดังย่าน อ.ต.ก สะท้อนบนกระจกเงาที่เรียงรายรอบบริเวณ ในคืนวันศุกร์ปลายฝนต้นหนาวกลิ่นเหล้าผสมกลิ่นน้ำหอมลอยปะปนในอากาศ เสียงเพลงดังสั่นสะเทือนจากลำโพงรอบห้อง

ซัน นายแบบหนุ่มหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เพิ่งกลับจากงานถ่ายแบบในสตูดิโอในย่านพระรามเก้า เขาก้าวเข้ามาภายในอีบาร์ สวมเสื้อยืดสีดำพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีซีด แสงไฟสลัวสะท้อนกับเหงื่อบางๆ บนผิวขาวยิ่งขับให้รูปร่างเขาดูโดดเด่น ท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่เต็มพื้นที่

“กว่าจะมาถึงนะมึง”เสียงของจันดา เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะทรงสูงสีดำทักพร้อมรอยยิ้ม เขายื่นแก้วเหล้าใส่น้ำแข็งให้เพื่อนโดยไม่รอคำปฏิเสธ
ซันรับแก้วมาด้วยความเต็มใจ
 “งานพึ่งเสร็จ ขอโทษทีนะมึง” เขาตอบสั้นๆ เสียงเหนื่อยหอบยังแฝงอยู่ในน้ำเสียง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองรอบๆ อีบาร์ คืนนี้แน่นขนัดผู้คนยืนเรียงชิดกันจนแทบไม่มีทางเดิน กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นควันบุหรี่ลอยคลุ้งในอากาศ เสียงเพลงจากลำโพงกระแทกลงกลางอก ชายหนุ่มหลายคนโยกตัวเต้นอย่างสนุกสนาน บางคนหัวเราะเสียงดัง บางคนแอบเหลือบตามองเขาด้วยความสนใจ

จันดาวางมือลงบนโต๊ะ มองเพื่อนด้วยความเข้าใจ
 “เกิดเป็นคนหล่อแบบมึง นี่มันดีจริง ๆ มึงดูสิใคร ๆ ก็มองมึง”

ซันหัวเราะแผ่วเบา พลางยกแก้วขึ้นจิบ ปล่อยให้รสขมของเหล้าไหลผ่านลำคอจนรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา สายตายังมองไปอย่างไร้จุดหมาย ในขณะที่เสียงดนตรีกระหึ่มกลบทุกความคิด
“กูขอตัว ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ จันดา”เขาหันไปบอก อีกคนพยักหน้าตอบรับ

ซันถอนหายใจ เดินแทรกตัวผ่านฝูงชนที่ยืนอัดแน่นอยู่ภายในอีบาร์ จนแทบไม่มีช่องทางให้เดิน
ระหว่างที่ก้าวตรงไปยังทางเข้าห้องน้ำ ไหล่ของเขาก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ร่างนั้นสูงประมาณ185 เซนติเมตร เสื้อยืดเข้ารูปสีน้ำเงิน ขับให้เห็นเส้นสายกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน ใบหน้าคมสันอยู่ใต้แสงไฟ แต่สิ่งที่เตะตาที่สุด คือดวงตาคมวาวใต้คิ้วหนา ราวกับมีประกายแอบแฝงบางอย่าง

ซันชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที สายตาสบประสานกับเขา
“ก็หล่อดี”ความคิดผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะกล่าวออกไปด้วยประโยคสั้น ๆ
“ขอโทษนะ...”อีกฝ่ายยิ้มกรุ้มกริ่มพยักหน้าตอบรับ
ซันกรอกตามองแวบหนึ่ง ก้าวผ่านไปทันทีโดยไม่ใส่ใจอะไรอีก ทิ้งไว้เพียงสัมผัสบนไหล่และแววตาของชายหนุ่มผู้นั้นที่ยังมองตามหลังเขาอยู่เงียบ ๆ

เจ้าขุนเดินกลับมายืนพิงโต๊ะของเขา น้ำแฟนหนุ่มร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเขากำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่ข้างๆกับโหน่งชายหนุ่มรูปร่างผอม เพื่อนสนิทของเขา ในขณะที่เสียงเพลงยังดังสั่นสะเทือนพื้นร้าน

น้ำกับโหน่งเริ่มโยกตัวตามเสียงเพลงที่ดังคลออยู่รอบ ๆ ร่างกายขยับตาม จังหวะอย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มของชายหนุ่มทั้งสองคนทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะเต็มไปด้วยความสดใส

แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะ และความสนุกสนาน เจ้าขุนกลับเหลือบสายตาไปยังชายหนุ่มคนเมื่อครู่
ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังเดินแหวกฝูงชนกลับไปยังโต๊ะของเขา ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์จนสามารถทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว หรือชายหนุ่มผู้นั้น จะเป็นรักแรกพบของเขา
เจ้าขุนมองแฟนหนุ่มตรงเบื้องหน้า ก่อนที่น้ำจะหันมารั้งแขนเขา
“เจ้าขุน มาเต้นด้วยกันได้ไหม” น้ำยิ้มกว้าง รบเร้าอย่างไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเฉย เจ้าขุนจึงละสายตาจากแผ่นหลังกว้างที่กำลังเลือนหายไปในฝูงชน หันกลับมาหาแฟนหนุ่มยกยิ้มบาง ๆ พลางยอมขยับร่างกายตามจังหวะดนตรี

ที่โต๊ะของซัน ชายหนุ่มหลายคนเดินเข้ามาขอชนแก้ว บางคนถือโอกาสแตะต้นแขนหรือหัวไหล่ด้วยท่าทีสนิทสนมเกินเหตุ ซันฝืนยิ้มแต่ภายในใจกลับรู้สึกว่า คืนนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

เสียงดนตรีอัดแน่นทั่วทั้งร้านเหมือนจะกลืนทุกการสนทนาให้จมหายไปในจังหวะเบสหนัก ๆ โต๊ะรอบ ๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเต้น หัวเราะหรือยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ชายหนุ่มรูปร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีเข้ม เขายืนอยู่โต๊ะด้านข้างมองใบหน้าคมคายของซันอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจยกแก้วเหล้าขึ้นมาถือ แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ก่อนเอ่ยขึ้น
 “สวัสดี”น้ำเสียงเขาทุ้มและชัดเจนพอที่จะทะลุทะลวงเสียงเพลงได้

ซันชะงักไปเสี้ยววินาที เพียงส่งยิ้มสุภาพ เขายกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรสขมเฝื่อนซึมผ่านลำคอ ราวกับใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการสนทนาที่ไม่ต้องการ

แสงไฟสลัวสีแดงฉายวาบลงบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง เส้นผมดำขลับปรกหน้าผากเพียงเล็กน้อย ดวงตาคมวาวเหมือนกำลังอ่านใจคนตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ แต่ซันไม่คิดแม้จะสบตา เขาเลือกเบือนสายตากลับไปยังแก้วเหล้าในมือแทน

ในขณะที่จันดายืน อมยิ้ม หรี่ตามองชายผู้นั้น รู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่เห็นชายหนุ่มมากมาย แวะเวียนเข้ามาแจกขนมจีบให้เพื่อนรักของเขา

เสียงโทรศัพท์ โนเกียเอ็นเจ็ดศูนย์ ของซันดังขึ้น แทรกผ่านเสียงดนตรี ราวกับเจตนาให้เจ้าของได้ยิน หน้าจอสว่างวาบขึ้นพร้อมตัวอักษรเพียงสองคำ Unknown number
   
ซันชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีดวงตาหันไปจากหน้าจออย่างไม่ไยดี ก่อนนิ้วโป้งจะกดปุ่มตัดสายโดยไม่ลังเล สีหน้าดูเรียบเฉยแต่เงียบงันเกินไปสำหรับสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

“ใครโทรมา” จันดาโน้มตัวเข้ามาใกล้กลบเสียงเพลงด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้ชัดเจน พลางยกแก้วขึ้นจิบ สายตายังไม่ละจากเพื่อนตรงหน้า

ซันถอนหายใจยาว “ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้ที่คอนโดก็มีโทรศัพท์แปลก ๆ เข้ามาทุกวัน ถามว่าเป็นใครก็ไม่ยอมตอบ”

“แล้วมึงไม่อยากรู้ใช่ไหม”จันดาขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
ซันยักไหล่เหมือนพยายามไม่ใส่ใจ “รำคาญมากกว่า”

จันดาเงียบไปชั่วครู่ สายตายังคงจับจ้อง เขาเข้าใจนิสัยเฉยชาของเพื่อนรักเป็นอย่างดี บางทีความเย็นชาอาจจะเป็นหนึ่งในเสน่ห์ที่ดึงผู้คนให้วิ่งเข้ามาหาซัน ความคิดนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างออกมา

ขณะเดียวกันเสียงดนตรีรอบอีบาร์กลับดังกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม เสียงคนตะโกนหัวเราะชวนให้รู้สึกคึกคัก จนอยากลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเสียงเพลง

ซัน วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ปล่อยให้หน้าจอมืดสนิทอีกครั้ง เขาไม่ต้องการรู้ด้วยซ้ำว่าปลายสายเป็นใครหรือมีจุดประสงค์ใด สิ่งเดียวที่ต้องการคือให้คนคนนั้นหยุดโทรมาก่อกวนเขาเสียที

เสียงหัวเราะของชายหนุ่มโต๊ะด้านข้างดังผสมกับจังหวะเพลงทำให้พื้นที่คับแคบยิ่งดูวุ่นวายมากขึ้น แสงนีออนสีม่วงกระทบผิวแก้วเหล้าที่ซันถือเอาไว้ จนดูราวกับเป็นประกายไฟเล็กๆ

ซันเงยหน้ามองฝูงคนที่โยกตัวตามจังหวะอยู่รอบ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอล์เริ่มออกฤทธิ์หรือเพราะบางอย่างในอากาศที่ทำให้คืนนี้ดูแตกต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา

ชายหนุ่มผู้ที่เคยเอ่ยทักทายเขาว่า “สวัสดี” ยกแก้วเหล้าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินมายืนด้านข้าง ยกแก้วยื่นเข้ามาขอชนแก้วกับซัน เสียงกระทบดังแผ่วแต่กลับแทรกผ่านจังหวะเพลงกึกก้องได้อย่างน่าประหลาด

“เราชื่อ กุน” เขาแนะนำตัว เสียงทุ้มฟังชัด แม้รอบข้างจะวุ่นวายเพียงใด

ซันพยักหน้ารับเป็นมารยาท ริมฝีปากยกขึ้นเพียงนิดเดียวไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกไป

กุนหัวเราะเก้อเขิน ก่อนผายมือไปทางชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ร่างสูงกว่าตนเล็กน้อย ใบหน้าเรียบนิ่ง สุขุมในทุกอากัปกิริยา เสื้อเชิ้ตสีดำของเขากลืนอยู่ในแสงไฟสลัวส่งให้ผิวขาวเด่นชัดขึ้น

“นี่ พี่กานต์ พี่ชายผม”

กานต์เพียงยกแก้วขึ้นยิ้มบาง ๆ เป็นเชิงทักทาย ท่าทีสุภาพเรียบร้อยแต่สายตาของเขากลับกวาดผ่านซันไปหยุดที่จันดา เพียงชั่วครู่สายตาคู่นั้นเรียบเฉยเหมือนมองผ่าน แต่ในความจริงมันเต็มไปด้วยความสนใจชัดเจน

จันดารับรู้ถึงแววตานั้นทันที หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างเผลอตัว ก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง ตั้งใจปิดบังความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ใต้ท่าทีสงบเสงี่ยม

บรรยากาศรอบโต๊ะยังคงเต็มไปด้วยเสียงดนตรีและผู้คนที่กำลังสนุกสนาน แต่ระหว่างสายตาที่ไขว้กันอยู่ชั่ววินาทีสั้น ๆ กลับก่อความเงียบแทรกขึ้นมาอย่างที่ไม่มีใครตั้งใจ

เสียงดนตรีเปลี่ยนจากจังหวะเก่าเข้าสู่ท่อนเปิดอันคุ้นหูของ “Sexy Back” โดย จัสติน ทิมเบอร์เลค เบสหนักกระแทกเข้ากับผนังจนพื้นสั่นสะเทือน ผู้คนรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวตามจังหวะ เสียงตะโกน เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกันดังระงม ร่างกายมากมายเบียดเสียดเข้ามา จนพื้นที่ระหว่างโต๊ะแทบไม่เหลือ

ซันยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด รับรู้ได้ว่ากุนยังคงพยายามเปิดบทสนทนาอยู่ใกล้ ๆ ท่าทีเหมือนอยากจะสานต่อ แต่เขากลับยังไม่แน่ใจว่าจะปล่อยให้คืนนี้พัฒนาไปทางไหน สายตาเพียงกวาดมองไปโดยรอบเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการผูกพันเกินความจำเป็น...

ด้านข้าง กานต์ ขยับตัวเข้ามาใกล้ ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับแก้วของจันดาเสียงกระทบใสกังวานแผ่วเบา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาดูตั้งใจเกินกว่าจะเป็นการทักทายทั่วไป แววตาทอประกายบางอย่างที่บอกได้ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่การคุยเล่นฆ่าเวลา

“คืนนี้ดูคึกคักดีนะ”เสียงทุ้มของกานต์ดังก้อง ในระยะใกล้เกินกว่าที่จะถือเป็นประโยคธรรมดา

จันดาเลิกคิ้ว รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นราวกับเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อเขาเอียงศีรษะน้อย ๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
 “ถ้าจะจีบผม ก็บอกมาตรงๆก็ได้”

คำตอบนั้นทำให้กานต์หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ ที่ถูกจับไต๋ได้ง่ายดาย แทนที่จะถอยห่างเขากลับก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเขาลอยปะปนกับกลิ่นแอลกอฮอล์ในอากาศ

ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกัน ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกลบโลกภายนอก ซันมองผ่าน ๆ เห็นว่าระยะห่างระหว่างจันดากับกานต์สั้นลงทุกที เสียงหัวเราะที่หลุดออกมา จากทั้งสองฟังดูเป็นธรรมชาติ แต่กลับแฝงความสนิทสนมรวดเร็วจนน่าแปลกใจ

แสงแฟลชจากเวทีส่องผ่าน ฝุ่นควันบาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือฝูงชนบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ซันมองใบหน้าและรอยยิ้มสดใสของเพื่อนรัก เขาดีใจเหลือเกินที่จันดามีความสุข ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดแก้ว เสียงเพลงดัง จนแทบกลบทุกคำพูดที่ลอยมา เขาได้ยินเพียงเสียงหัวเราะสั้น ๆ และเศษประโยคที่ฟังไม่ชัดจากปากของทั้งคู่

ขณะนั้นกุนที่ยืนอยู่ด้านข้างซัน ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นเขาก้มมองหน้าจอเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ คล้ายไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น เขาโน้มตัวเข้ามาเอ่ยกับซัน
“ผมขอตัวสักครู่นะ”เสียงนั้นแทบไม่ได้ยิน เพราะถูกกลบด้วยจังหวะดนตรีกุนผละตัวออกไปยืนรับ สายตรงมุมมืดใกล้ประตูทางเข้า

ในเงาไฟสลัว ท่าทางของกุนกลับดูจริงจังกว่าตอนที่เข้ามาชวนชนแก้วหรือเผยยิ้มเสียอีก แผ่นหลังนั้นดูเคร่งเครียดเมื่อเขาก้าวออกไปจากพื้นที่ครึกโครม เข้าสู่มุมที่เหมือนไม่มีใครสังเกต

ซันเหลือบมอง ก่อนหันสายตามองไปทางอื่นอย่างเย็นชา

ไม่นานนัก กุนเดินกลับมาที่โต๊ะ สีหน้ามีร่องรอยเร่งรีบอย่างชัดเจน เส้นผมที่หล่นลงบนหน้าผากขยับตามทุกจังหวะก้าวย่าง

“พี่กานต์ เรากลับกันเถอะ ผมมีงานด่วนต้องไปตอนนี้เลย”น้ำเสียงเขากดต่ำ เร่งรีบจนฟังได้ชัดว่าไม่ใช่ข้ออ้างลอย ๆ กานต์เลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยแต่รอยยิ้มยังคงอยู่เหมือนเดิม ดวงตานิ่งสงบจนยากจะคาดเดาความคิดที่แท้จริง

กุนหันกลับมาทางซัน แววตาที่ฉายแววจริงจังเมื่อครู่อ่อนลงจนน่าประหลาดใจ
“ขอเบอร์ไว้หน่อยได้ไหม เผื่อว่าง ๆ คุยกัน”
ซันเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มือถือจากกุน นิ้วยาวกดตัวเลขลงไปอย่างมั่นคงโดยไม่รีรอ เมื่อส่งคืนก็เอ่ยสั้น ๆ “ผมชื่อ ซัน”

“ขอบคุณนะ”กุนยิ้มบาง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหมาย ดวงตาสบเข้ากับซัน ราวกับจะมองลึกเข้าไปเกินกว่าที่เจ้าตัวอยากให้เป็น ก่อนเขาจะหมุนตัวออกไปทางประตู ฝ่าฝูงชนที่กำลังเต้นตามจังหวะเสียงเพลงร่างสูงของกุนค่อย ๆ เลือนหายไปในแสงไฟและกลุ่มผู้คนที่เบียดเสียด

ก่อนจะก้าวตามน้องชายออกไป กานต์เหลือบสายตามาทางโต๊ะอีกครั้ง ดวงตาคมสบเข้ากับจันดาเพียงเสี้ยววินาที สั้นพอที่จะดูเหมือนบังเอิญแต่ยาวพอที่จะสื่อสารความหมายบางอย่างได้ชัดเจน เขาขยิบดวงตาเล็กน้อยเป็นสัญญาณเงียบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆ ราวกับกำลังบอกว่า “ตามมา”

จันดายิ้มมุมปาก ตอบรับด้วยแววตาที่ฉายชัดว่ารู้ความหมาย เขาหยิบแก้วขึ้นจิบอีกนิด ก่อนเอนตัวไปใกล้ซัน เสียงเพลงยังกระแทกดังจนแทบกลบทุกคำพูด แต่คำที่หลุดออกมากลับฟังสบาย ๆ ไม่มีพิรุธใด ๆ

“เดี๋ยวกูไปห้องน้ำนะ”

ซันพยักหน้ารับ ไม่ได้เอะใจอะไร รอยยิ้มจาง ๆ แตะริมฝีปากก่อนหันกลับไปสนใจกับแก้วเหล้าในมือ

โต๊ะสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อจันดาวางแก้วลงบนพื้นไม้ เสียงก้องแข่งกับเบสที่ดังกระแทกในอก เขาขยับตัวอย่างแนบเนียนแทรกฝูงชนที่กำลังโยกตัวตามจังหวะไฟกระพริบสลับสี แต่เส้นทางของเขาไม่ได้ตรงไปยังห้องน้ำตามที่บอก หากกลับมุ่งสู่ทางออกของอีบาร์ทิศทางเดียวกับที่กานต์กำลังก้าวหายลับไป พร้อมกับเงามืดบนทางเดิน

แสงไฟสลัวส่องลงบนใบหน้าของจันดา เผยรอยยิ้มที่ซ่อนความหมายมากกว่าความบันเทิงในค่ำคืนนี้ ทุกย่างก้าวคือการตัดสินใจและเขาเลือกที่จะเดินตามคนแปลกหน้า ผู้ทิ้งสัญญาณไว้ให้เพียงสั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด

เสียงดนตรีภายในอีบาร์ยังคงดังต่อไปแต่สำหรับจันดาแล้ว ทุกสิ่งรอบกายเหมือนค่อย ๆ จางหายเหลือเพียงแผ่นหลังสูงใหญ่ของ กานต์ที่อยู่ข้างหน้า

เมื่อก้าวพ้นประตูออกมาอากาศในยามค่ำคืนภายนอกก็โถมเข้าสู่ร่างกายทันที ความเย็นของลมกลางคืนแตกต่างจากความอบอ้าวในอีบาร์ราวกับโลกคนละใบ เสียงดนตรีดังอื้ออึงจากด้านในค่อย ๆ ถูกกลืนให้เหลือเพียงเสียงทุ้มที่ก้องอยู่ ทางเบื้องหลัง

กานต์หยุดยืนใต้ต้นตะแบกที่ถูกปลูกเอาไว้ริมถนน แสงไฟส่องลงมาบนไหล่กว้าง เขาหันกลับมามองจันดาที่เพิ่งเดินตามออกมา แววตาไม่ได้เหมือนนักล่าหรือคนเจ้าชู้ แต่กลับนิ่งลึกราวกับมีเพียงสองอย่างที่อยากจะสื่อความตั้งใจและความปรารถนา

“คืนนี้”เสียงทุ้มเรียบของเขาเอื้อนช้า ๆ “ไปกับผมไหม”

คำพูดนั้นไม่ได้ยาวแต่แรงกว่าที่จันดาคาดคิด หัวใจเขาเต้นแรงจนได้ยินชัดในอก ยามสบตากับกานต์ก็เหมือนถูกดึงเข้าสู่วงล้อมบางอย่างที่ไม่อาจต้านทาน

จันดายิ้มบาง ๆ มุมปากสั่นไหวเล็กน้อย เขาเป็นคนอ่อนไหวและลึก ๆ ในใจกำลังตามหาความรักมานานเกินไป ที่จะปฏิเสธโอกาสที่มาถึงตรงหน้า

“ไปสิ...” เขาตอบทันที แทบไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรอง รอยยิ้มของกานต์กว้างขึ้น ก่อนเขาจะขยับเข้ามาใกล้เอื้อมมือไปสัมผัสที่ต้นแขนอีกฝ่าย
“เชิญครับ... รถผมจอดอยู่ทางโน้น..”พูดจบก็เลื่อนมือใหญ่ ลงมาจับมือของจันดาเอาไว้ แล้วเดินนำหน้าไปช้า ๆ

ลมกลางคืนพัดแรงขึ้น ทำให้เงาของทั้งสองทอดยาวเคียงกันไปตามทางเดิน ก่อนจะเคลื่อนหายเข้าสู่ความมืด

ในจังหวะเดียวกัน เสียงดนตรียังคงดังต่อเนื่องอย่างไม่ลดละทนนท์ เพื่อนสนิทอีกคนของซัน เพิ่งโผล่เข้ามาภายในอีบาร์ แสงไฟสลัวสะท้อนบนผิวหน้าของเขา
เขามองไปโดยรอบด้วยดวงตาลุกวาว ก่อนสายตาจะหยุดลงที่ซันทันทีรอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้า นนท์ยกมือขึ้นโบกให้เพื่อนรักโดยไม่รู้เลยว่าจันดาไม่ได้อยู่ที่โต๊ะแล้ว เขาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาใกล้โต๊ะ หยุดยืนชิดกับซันท่ามกลางแสงไฟและแรงสั่นสะเทือนของดนตรี

ทันทีที่แขวนกระเป๋าลงใต้โต๊ะทรงสูง นนท์ก็ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว ราวกับกลัวว่าจะตามไม่ทัน บรรยากาศรอบโต๊ะยังคงคึกคัก เสียงหัวเราะ แก้วกระทบกัน และจังหวะเบส
“จันดาไปไหนวะ...” เขาตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลง ซันหันไปมองโต๊ะว่าง ๆ ที่จันดาเคยยืน พร้อมถอนหายใจเล็กน้อย
“ไม่รู้… มันเพิ่งบอกว่าจะไปห้องน้ำ”ซันตอบ
นนท์ยักไหล่แล้วหันไปสอดส่องรอบอีบาร์อีกครั้ง แสงแฟลชและผู้คนยังคงเคลื่อนไหวราวกับไม่มีวันหยุด

เสียงโทรศัพท์ของซันดังขึ้นอีกครั้ง ชื่อ “จันดา” โชว์บนหน้าจอที่สว่างขึ้น
“พูดถึงก็โทรมาเลย...” ซันหัวเราะในลำคอ ก่อนยกโทรศัพท์แนบหูและกดรับ ปลายสายเป็นเสียงของจันดาชัดเจน และติดรอยยิ้มแม้จะแค่ฟังไม่ได้มองเห็น
“กูขอกลับก่อนนะมึง กูมีธุระด่วน”
ซันหัวเราะออกมาเบา ๆ รู้ทันทีว่าปลายสายกำลังจะทำอะไร
“มึงจะกลับกับพี่กานต์ใช่ไหม”
“ใช่”อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายที่อีกคนรู้เท่าทันทุกอย่าง
“ไปเถอะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”ซันพูดก่อนสายถูกตัดไป นนท์มองหน้าซัน
“นาน ๆ มันจะได้ผู้ชาย ปล่อยมันไปเถอะ”ซันพูดแบบไม่ใส่ใจ เพราะรู้ว่าไม่บ่อยนักที่จะมีผู้ชายมาสนใจจันดา เขาอยากให้เพื่อนของเขามีความสุข

นนท์ยักไหล่ เลิกคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่ซันปิดมือถือ ยกแก้วขึ้นมาดื่ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นมือ ไปแตะไหล่ของนนท์แล้วพูดขึ้นเบา ๆ
“กูขอออกไปสูบบุหรี่ก่อนนะ...”พูดจบก็เดินออกไปจากอีบาร์

ซันยืนอยู่บริเวณหน้าอีบาร์ พลางพ่นควันบุหรี่จนควันลอยวนรอบตัว ร่างสูงโปร่งของเขาเด่นชัดในแสงสลัว เหมือนนายแบบกลางแสงไฟใบหน้าคมคายและท่าทางนิ่ง สงบ ดึงสายตาของชายหนุ่มหลายคนให้จ้องมาที่เขา

เสียงเพลงดังกระแทกเข้าหู แต่สำหรับซันเหมือนถูกกรองออกไป ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เพลงหรือผู้คน แต่กลับอยู่กับความรู้สึกเฉพาะตัวที่แปลกแยกความพอใจที่มีคนมองเขา แม้เขาจะไม่ได้สนใจผู้คนเหล่านั้นก็ตาม

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดก้าวเข้ามาขอชนแก้วกับเขา พร้อมเผยรอยยิ้มอารมณ์ดี
“มาคนเดียวหรือครับ”เสียงทุ้มทักทายอย่างเป็นมิตร
ซันนิ่งไม่ได้ตอบอะไรแค่มองแวบเดียวให้รู้ว่าเขารับรู้การมีตัวตนของอีกฝ่าย
ชายคนนั้นยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดต่ออย่างสุภาพ
“ผม ชื่อช้าง”
ซันพยักหน้าตอบรับเป็นมารยาท แววตาเย็นชาไม่ได้สนใจแต่ก็ไม่ปิดกั้น
“ขอเบอร์นายได้ไหม”ชายหนุ่มผู้นั้นพูดเสียงสั่นเล็กน้อย ซันหยิบโทรศัพท์กดตัวเลขให้ทันทีด้วยท่าทีเรียบง่าย
“เอาไว้ผมโทรหานะ”ช้างรับโทรศัพท์มือถือคืนไป ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปภายในอีบาร์ ท่ามกลางฝูงคนที่เต้นโยกตามจังหวะไฟกระพริบ

ซันสูดควันบุหรี่ลึก ๆ ควันขมปนหวานไหลผ่านปอด ความคิดของเขากลับหมุนวนอยู่กับเหตุการณ์รอบตัว ทั้งความสนใจที่ผู้คนมีต่อเขาและบรรยากาศโดยรอบ

บุหรี่มวนสุดท้ายถูกบดทิ้งลงในที่เขี่ยด้วยท่าทีสงบ เขาเดินผ่านโต๊ะและฝูงชนกลับเข้าไปหานนท์ ลมเย็นจากภายนอกพัดผ่านประตูอีบาร์เข้ามาทำให้เส้นผมปลิวเล็กน้อย แสงไฟกระพริบสลัวสะท้อนกับใบหน้าของซันให้ดูคมคายขึ้นกว่าเดิมบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงเพลง เสียงแก้วกระทบกัน และผู้คนที่เคลื่อนไหวเหมือนจะกลืนทุกสิ่งเข้าด้วยกัน

แต่สำหรับซันกลับเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่เต็มไปด้วยสายตาและความสนใจ ที่เขาเองก็พึงพอใจที่จะให้มันเป็นเช่นนั้น

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
                   Toxic Love club
                                 ตอนที่ 2
การมี เซ็กซ์ กับคนแปลกหน้า คงไม่ต่างจากหนังสือปกดำ ที่ยังไม่ได้เปิดออก ไม่มีใครรู้เนื้อหาล่วงหน้า จนกว่าจะได้เปิดอ่าน และได้สัมผัสเรื่องราวนั้น

มือที่พลิกหน้ากระดาษ เหมือนก้าวเข้าไปในโลกเร้นลับ ที่เต็มไปด้วยความปรารถนา อันร้อนแรง แฝงอยู่ในทุกตัวอักษร

และความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในทุกบรรทัด แต่เมื่ออ่านจนจบ ร่างกายและหัวใจ จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

เสียงเบสจากลำโพงกระแทกจังหวะ ดังสนั่น ซันยกแก้วขึ้นจิบช้า ๆ ขณะที่นนท์กระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว เพลง “คนใจง่าย” ของไอซ์ ศรัณยู ดังชัดเจน

แสงไฟสลับสีตัดกับเงาผู้คน ที่ยืนเบียดกันรอบโต๊ะ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงและราคาถูก ผสมกันจนกลายเป็นกลิ่นเฉพาะของคืนวันศุกร์

ผู้คนโดยรอบเริ่มโยกตัวเต้นกันบนพื้นที่จำกัด บ้างก็หัวเราะ บ้างก็แอบก้มกระซิบข้างหูคนข้าง ๆ เสียงชนแก้วดังขึ้นเป็นระยะ ซันเหลือบมองเพื่อนที่หน้าเริ่มแดง ตาเยิ้ม รอยยิ้มนนท์เริ่มยาวนานกว่าปกติ

รอบโต๊ะของพวกเขา ชายหนุ่มหลายคนยังคงแวะเวียนเข้ามาทักทาย ทิ้งสายตาและรอยยิ้ม ที่ชัดเจนว่ามีเจตนา แต่ซันเพียงยกยิ้มเฉยชา แล้วหันกลับมามองแก้วในมือ เหมือนใช้มันเป็นข้ออ้างไม่ต้องพูดอะไรต่อ

ไฟสปอร์ตไลต์หมุนกวาดผ่านโต๊ะ ทำให้แก้วเหล้าในมือของเขาสะท้อนวูบวาบ

นนท์หัวเราะในลำคอ หลังดื่มจนหมดแก้วอีกครั้ง เขามองเพื่อนรักที่ยืนพิงโต๊ะอย่างสบาย ใครต่อใครก็แวะเวียนเข้ามา พูดคุย ส่งสายตา และชนแก้วกับซัน เหมือนเป็นแม่เหล็กดึงดูดไม่รู้จบ

“มึงนี่มันโคตรฮอตเลยนะ ไอ้ซัน” นนท์พูดกึ่งล้อกึ่งจริง พลางตบไหล่เพื่อนรัก ซันหัวเราะ ไม่ได้ตอบ แค่ยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง

ภาพของอีบาร์และผู้คนรอบตัว ทำให้นนท์นึกย้อนกลับไปถึงครั้งก่อน วันที่เขาเคยท้าซันเล่นเกม “จีบใครก็ได้ภายในหนึ่งคืน” ใครทำได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ และรางวัลของผู้ชนะ คือไม่ต้องจ่ายค่าเหล้าในคืนนั้น

นนท์ยังจำความรู้สึกนั้นได้ชัดเจน และแน่นอนผลสุดท้ายซันเป็นฝ่ายชนะ ใบหน้าชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

ขณะที่นนท์ต้องเป็นฝ่ายจ่ายค่าเหล้า ให้เพื่อนรักด้วยความพ่ายแพ้ ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสอง จะหัวเราะร่วนด้วยความสุข

“คืนนี้กูว่ามึงลองอีกสักครั้งดีไหม” นนท์เอ่ย พลางเหล่มองไปรอบ ๆ อีบาร์ เหมือนกำลังค้นหาเหยื่อรายใหม่ให้เพื่อน

ซันยิ้มมุมปาก ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนยกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย
“ก็ได้ ไม่มีปัญหาเลยเพื่อนรัก”
นนท์พอใจจนยิ้มกว้าง เขายกแก้วขึ้นชนกับเพื่อนรักอย่างชอบใจ
“เออ แบบนี้สิ ถึงจะสนุก”

ซันมองไปรอบบริเวณอีบาร์อีกครั้ง ดวงตาของเขากวาดไปยังชายหนุ่มหลายคน เสียงเพลงและแสงไฟสลัว ทำให้ทุกอย่างเหมือนเป็นเวทีสำหรับเกมครั้งนี้ และเขาพร้อมแล้ว พร้อมจะเล่นเกมในคืนนี้

นนท์ยิ้มให้ซันอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ อีบาร์ พยายามมองหาเป้าหมายให้เพื่อน เขาอยากเลือกคนที่จะสามารถ ต้านทานเสน่ห์ดึงดูดของซันได้ และแน่นอนเขาอยากเป็นฝ่ายชนะ

ยังไม่ทันที่นนท์จะได้ในสิ่งที่เขากำลังมองหา เสียงทักทายก็แทรกเข้ามาจากด้านข้าง

“ซันใช่ไหม”

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ไว้ผมทรงรากไทร รอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า เขาเดินเข้ามายืนตรงเบื้องหน้า เสื้อสีสดตัวใหญ่เกินขนาด ดูมีสไตล์เป็นของตัวเองชัดเจน

“ผมชื่อโหน่ง เคยชนแก้วกับนายหลายครั้งแล้ว จำได้ไหม”
เสียงของเขาดังชัดเจนพอ จะลอดผ่านคลื่นเสียงเพลงมาถึงหูซัน

นนท์เหล่มองซัน สายตาเต็มไปด้วยความหมายเหมือนอยากบอกว่า
“มึง นี่แม่เหล็กของจริง”

ซันเพียงยิ้มสุภาพ ยกแก้วขึ้นเล็กน้อย
“อ๋อ จำได้” ตอบทั้งที่ความจริงจำไม่ได้ และคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องมานั่งจำทุกคนที่เข้ามาขอชนแก้วกับเขา

โหน่งหัวเราะสดใส “ดีเลย คืนนี้ขอชนแก้วด้วยหน่อย”

ร่างผอมสูงขยับเข้ามาใกล้จนแทบชิดกับซัน ทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เหมือนส่วนเกินที่ซันไม่ต้องการ เริ่มแทรกซึมเข้ามา

ซันขยับร่างถอยออกมาเล็กน้อย รับรู้ถึงความสนใจนั้น แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ยกแก้วชนเบา ๆ กับโหน่ง
เสียงแก้วกระทบกันแผ่ว ๆ แต่ชัดเจนพอให้คนรอบตัวสังเกต ในขณะที่นนท์ยกแก้วขึ้นมาชนกับโหน่งบ้าง ก่อนส่งยิ้มที่เป็นประกายเต็มไปด้วยความหมาย แล้วถามขึ้น
“แล้วนายอยู่โต๊ะไหน”

โหน่งยกมือชี้ไปทางมุมหนึ่งของโต๊ะสูงที่แก้วเรียงรายเต็ม แสงไฟสลัวสะท้อนบนแก้ว และใบหน้าผู้คนรอบโต๊ะจนเป็นประกาย
“นั่นไง… โต๊ะโน้น กับเจ้าขุน แล้วก็น้ำเพื่อนของผม”

ซันและนนท์เหลือบตามองตามมือโหน่ง เสียงเพลงยังดังสนั่นรอบตัว... สายตาของเขาโฟกัสไปยังโต๊ะนั้นทันที

ใบหน้าคมสัน ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ชายหนุ่มผู้ที่ซันเคยเดินชนเมื่อครู่ ยืนอยู่ข้างแฟนหนุ่มร่างเล็ก ทั้งคู่พูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนิทสนม จนกลายเป็นจุดเด่นของโต๊ะ

เสียงหัวเราะนั้นอยู่ไกล จนเกินกว่าจะได้ยิน หากแต่ซันกลับรู้สึกว่า มันกำลังดังแทรกผ่านเข้ามาในหูของเขา

“นั่นมันเจ้าขุน ไช่ไหม” นนท์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ซันเลิกคิ้วช้า ๆ
“มึงรู้จักเขาหรือไง”
“นักกีฬาว่ายน้ำไงมึง” นนท์เหลือบตาไปทางชายหนุ่มผิวขาว ที่ยืนเกาะแขนอยู่ข้าง ๆ แฟนหนุ่มของเขา
“กูไม่ยักรู้ว่าเขาเป็นเกย์” นนท์พูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
“เจ้าขุนเขาอาจจะไม่ได้เป็นเกย์ก็ได้นะ เขาแค่ชอบน้ำเพื่อนของผมเท่านั้น”โหน่งพูดขึ้นบ้าง

ซันจับสังเกตชายหนุ่มทั้งสองคนอย่างละเอียด เขาประเมินคำพูดของโหน่ง ที่บอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นเกย์ แต่มีแฟนเป็นผู้ชายเพียงเพราะรักในตัวตนของผู้ชายอีกคนเท่านั้น

ฟังแล้ว มันช่างตลกสิ้นดี หากแต่ทุกรอยยิ้ม และการสื่อสารด้วยสายตาของเจ้าขุน ทำให้ซันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมากกว่าที่ควรจะเป็น

แสงไฟสลับสีสะท้อนบนผิวแก้วเหล้า เสียงดีเจประกาศเปลี่ยนเพลงดังขึ้น จังหวะใหม่กระแทกลงมาแรง จนทุกคนในบาร์ขยับตัวตามเสียงเบส คนเต้นโยกตัวไปตามจังหวะ สายตาของซันยังคงมองไปที่ร่างสูงของเจ้าขุน

โหน่งยิ้มกว้าง หันกลับมาจ้องมองใบหน้าคมคายตรงหน้า แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ผมขอยืนใกล้นายทั้งคืนได้ไหม ซัน”โหน่งพูดขึ้น

ซันเพียงหัวเราะในลำคอ ยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง ควันจากเครื่องดื่มและแสงไฟสลัว ทำให้เขาดูเย็นชามากขึ้นอีกนิด เขาไม่ได้สนใจคำพูดไร้สาระของโหน่งเท่าไร แต่ก็ชอบการได้เป็นจุดสนใจ

เมื่อเห็นชัดเจนว่าซัน ไม่ยอมรับไมตรีจากตนเอง โหน่งยักไหล่ เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังโต๊ะของเขา

ซันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอย เขารู้สึกถึงความต้องการในค่ำคืนนี้  มันไม่ใช่แค่เรื่องเกมอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของเจ้าขุนที่เริ่มปรากฏขึ้นในสายตา

เขาอยากได้ผู้ชายคนนั้น ริมฝีปากซันโค้งเป็นรอยยิ้มมุมปากอีกครั้ง รอยยิ้มเย็นชาที่ดึงดูดให้คนอื่นอยากเข้าหา

เสียงเพลงยังคงดังกระแทกหัวใจ แก้วเหล้ายังคงกระทบกันเป็นจังหวะ

นนท์หันมองตามร่างสูงของโหน่ง ที่เดินกลับไปยังโต๊ะ เจ้าขุนยืนโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟสลับสี เสื้อยืดสีน้ำเงิน แนบ กับแผงอกกว้างตัดกับผิวแทน เส้นผมเปียกชื้นนิด ๆ จากเหงื่อ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ชวนมองมากยิ่งขึ้น

ซันเพียงยักคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มบาง ๆ แบบไม่แสดงอารมณ์ชัดเจน
แต่ในสายตาของนนท์ มันช่างแตกต่างและชัดเจนเหมือนเป็นการตอบรับว่า เจ้าขุนอาจเป็นเป้าหมายใหม่ของซัน

ซันกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะของเจ้าขุน ชายหนุ่มกลุ่มนั้นยังคงหัวเราะ และขยับร่างกายตามจังหวะเพลง

แสงไฟสีสลับสะท้อนบนแก้วเหล้า และผิวสีแทนของเจ้าขุนทำให้ภาพนั้นยิ่งดึงดูดความสนใจจากซัน

นนท์หัวเราะในลำคอพลางส่ายหัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเพื่อนรักของเขาไม่เคยพลาดโอกาส ถ้าเกิดสนใจผู้ชายคนไหนขึ้นมา

นนท์ยกแก้วขึ้นจ่อกับเพื่อนรัก สายตาเปล่งประกายความตื่นเต้น
“กูเลือกคน ที่มึงต้องจีบในคืนนี้ได้แล้ว”นนท์ยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแฝงความท้าทายอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มชี้ไปยังเจ้าขุน ผู้ชายหน้าหล่อเจ้าของร่างสูงใหญ่ ที่กำลังหัวเราะอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลับสี สะท้อนบนเสื้อยืดสีน้ำเงินของเขาทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าใคร
“มึงต้องจีบเจ้าขุน”

ซันเลิกคิ้วด้วยความสนใจ ดวงตาเย็นชาเริ่มจับจ้องไปยังชายหนุ่มผู้นั้น พิจารณาทุกการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มทรงเสน่ห์
“แต่เขามีแฟนแล้วนะมึง”ซันพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“เขาเป็นถึงนักว่ายน้ำ แถม หล่อ ล่ำ กล้ามใหญ่ ที่สำคัญยังมีแฟนแล้ว รับรองมึงจีบไม่ติดชัวร์”นนท์บอกเหตุผล ที่เลือกเจ้าขุนเป็นเป้าหมายให้เพื่อนรัก
ซันหัวเราะเสียงดัง “ไอ้เลว”เขาด่านนท์
“หรือมึงแคร์”นนท์ยักคิ้วท้าทาย

แสงไฟสีฟ้าสาดผ่านใบหน้าคมคาย ที่โดดเด่นขึ้นในความมืดของซัน เขาเลิกหัวคิ้วขึ้นสูง ราวกับเริ่มวางแผนอะไรบางอย่างในหัว
“ไม่แคร์”ชายหนุ่มพูดก่อนยกแก้วในมือ เดินตรงไปยังโหน่งที่กำลังยืนคุยกับน้ำและเป้าหมายของเขา

“ขอชนแก้วหน่อยได้ไหม” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
โหน่งหัวเราะเบา ๆ ตอบรับ รีบยกแก้วชนกับซันด้วยความดีใจ เสียงแก้วกระทบกันสั้น ๆ แต่ดังชัดเจน

ซันใช้โอกาสนั้นคุยกับโหน่งสองถึงสามประโยค ก่อนแทรกตัวเข้าใกล้เจ้าขุนอีกนิด ทำทุกอย่างให้ดูเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่สายตายังเหลือบมองใบหน้าคมเข้มอยู่ตลอด

เขาเอียงแก้วเหล้ายกขึ้นสูง ส่งรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจให้ชายหนุ่มผู้นั้นเห็น ราวกับเพียงผ่านสายตา แต่ความจริงทุกท่วงท่าถูกวางแผนเอาไว้อย่างตั้งใจ

เจ้าขุนยืนทื่อ มือถือแก้วเหล้าไว้หลวม ๆ ดวงตาคมกริบเหลือบมองเพียงชั่ววินาที ก่อนหันกลับไปสนใจบทสนทนาของน้ำ สีหน้านิ่งราวกับลมพัดผ่าน ซันกำมือแน่น หัวใจร้อนรนขึ้นทันที
“กล้าดียังไง”เขาพูดกับตัวเอง 
อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นสูง แต่ก็พยายามควบคุมเอาไว้ ก่อนเดินเข้าไปใกล้ แล้วแกล้งสะดุดขาตัวเองเซถลาเข้าไป
เจ้าขุนรีบเผยอ้อมแขนออก โอบรัดร่างของซัน ไม่ให้ล้มคว่ำลงไป

ซันซบหน้าลงไปบนแผงอกกว้าง มืออีกข้างยังถือแก้ว ในขณะที่มืออีกข้างลูบแผงอกแข็งแรง ช้าๆ ไล่ลงมาจน ถึงมวลคลื่นแห่งลอนกล้ามท้องแน่น
พลางมองเจ้าขุนด้วยสายตายั่วยวน ทอดสะพานให้อีกฝ่ายเดิน ข้าม มา
“ขอบคุณนะ”ซันพูดเสียงนุ่ม

ดึงร่างสูงของตนเองออกมาจากอ้อมอกนั้น อย่างมีชั้นเชิง

เจ้าขุนไม่ได้พูดอะไรออกมาซักคำ แววตาที่มองซันเต็มไปด้วยประกายที่อ่านไม่ออก

ชั่วขณะเขาก็หันกลับไปมองน้ำ ที่กำลังจ้องมองด้วยความไม่พอใจ น้ำรีบยกมือขึ้นมาคล้องแขนของเจ้าขุนเอาไว้ทันที เหมือนต้องการประกาศความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายรับรู้

เสียงเพลงยังดังสนั่น แสงไฟสีฟ้าและสีแดงสลับกัน กระทบกับแก้วเหล้าและใบหน้าผู้คนรอบโต๊ะ

เจ้าขุนหันมาส่งสายตา และรอยยิ้มมุมปาก ให้ซันเพียงครู่เดียว ก่อนหันกลับไปคุยกับแฟนหนุ่มร่างเล็กตรงหน้า ราวกับซันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ท่าทีเย็นชาทำให้หัวใจซันเริ่มสั่นไหว ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้านิ่งเพราะไม่สน หรือแค่กำลังอ่านเกมของเขาอยู่กันแน่

ซันกลับมายืนที่โต๊ะ มือยกแก้วขึ้นกระดกทีเดียวหมด ก่อนจะวางกระแทกลงกับโต๊ะ เสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว ดังสะท้อนในบรรยากาศคึกคักของอีบาร์

ความรู้สึกโกรธและท้าทายพุ่งขึ้นมาในอกทันที ไม่มีผู้ชายคนไหนเคยทำเมินเขามาก่อน ความอยากเอาชนะไม่ใช่แค่เรื่องเกมกับนนท์อีกต่อไป... แต่กลายเป็นความอยากเอาชนะผู้ชายเย็นชาที่ชื่อเจ้าขุน

ซันกัดริมฝีปากเล็กน้อย สายตาจับจ้องร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่าย ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเอาชนะใจผู้ชายคนนั้นให้ได้ในคืนนี้

เขาหันไปสบตากับนนท์ที่กำลังยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้าง ๆ ก่อนเพื่อนรักจะพูดออกมาอย่างผู้มีชัย
 “แพ้แล้วมึง”

ซันพ่นลมหายใจยาวทันที
“เออ เดี๋ยวคืนนี้กูจ่ายค่าเหล้าเอง”เขาพูดออกมาเพราะรู้ว่าเขาแพ้เกมพนันกับนนท์ หากแต่หัวใจของเขาจะไม่ยอมแพ้ ผู้ชายที่ชื่อเจ้าขุนอย่างเด็ดขาด เสียงเพลงและแสงไฟสลัว ไม่ได้ลดทอนความรู้สึกนั้น แต่กลับยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากเอาชนะมากขึ้น

ซันมองไปยังโต๊ะของเจ้าขุนอีกครั้ง ดวงตาแฝงประกายความมุ่งมั่น เขาบอกกับตัวเองในใจว่า คืนนี้ต้องเอาชนะให้ได้ แต่ความหวังปลายอุโมงค์เหมือนจะหมดลงทันที

เมื่อเหลือบสายตาไปยังอีกฝั่งของอีบาร์ เจ้าขุนกับน้ำยื่นบิลคืนให้พนักงานเสิร์ฟ รอยยิ้มและท่าทีที่ผ่อนคลายของเจ้าขุน ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนบั่นทอนความมั่นใจ และความเป็นซันกำลังถูกสั่นคลอน

ซันถอนหายใจออกมาพร้อมความรู้สึกหงุดหงิด ทั้งเรื่องที่แพ้เพื่อนรัก และเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถอ่านใจเจ้าขุนออกเลยสักนิด คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าชนกัน ความท้าทายและความอยากเอาชนะ ยังคงเดือดอยู่ภายใน ทำให้เขารู้สึกเหมือนติดอยู่ กลางสนามรบที่จบลงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม

เสียงเพลงที่เคยเร้าใจ เริ่มเปลี่ยนเป็นจังหวะช้าลง คนบนฟลอร์บางส่วนเริ่มผละออกไปยืนคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ แสงไฟสลัวสะท้อนบนแก้วเหล้า และใบหน้าผู้คน ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่สำหรับซัน ความตึงเครียดยังคงอยู่

ซันเดินออกมาจากโต๊ะ เลื่อนตัวผ่านฝูงชนไปที่โซนระเบียงด้านนอกอากาศเย็นกว่าในอีบาร์เล็กน้อย ร่างสูงโปร่งของเขาสะดุ้งจากความเย็นชื้น เขาผ่อนลมหายใจออกมา
“โอเค กูยอมแพ้ ก็ได้” เขาบอกตัวเอง ใบหน้าคมคายกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง
“ก็แค่ผู้ชายคนเดียว มันจะอะไรนักหนา”ซันยังรำพันในลำคอ
แต่ซันก็คือซัน
เขาไม่เคยคิดจะลดตัวลงไปยุ่งกับคนที่ไม่สนใจเขา เพราะต่อให้เขาพยายามแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ มันเป็นการลดทอนคุณค่าในตัวเอง
ซึ่งเป็นเรื่องที่คนถือตัวแบบซัน จะไม่ยอมทำอย่างเด็ดขาด

ซันควักซองบุหรี่ออกมา เคาะมวนลงกับฝ่ามือ ก่อนจะจุดไฟ สูดควันลึก ๆ ให้ไหลผ่านปอด พยายามปล่อยความหงุดหงิดออกไปกับลมหายใจ แต่สุดท้ายความเข้าใจและควันบุหรี่ ก็ช่วยให้ใจของเขาสงบลงในท้ายที่สุด

สายตาของเขามองออกไปยังท้องฟ้ามืดสลัว สายลมพัดผ่านเส้นผมเส้นเล็กของเขาจนปลิวไสว ถึงใบหน้าจะเรียบนิ่งแต่ความคิดกลับยังวนเวียนอยู่กับภาพดวงตาของเจ้าขุน เหมือนหัวใจจะบอกว่า ผู้ชายคนนี้แตกต่างจากผู้ชายอีกหลายต่อหลายคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา

ซันเดินกลับเข้ามาจากโซนสูบบุหรี่ กลิ่นควันยังติดปลายจมูก แสงไฟในบาร์สลัวลงกว่าเดิม เพราะเพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะปิดท้าย เขากำลังก้าวผ่านฝูงคนที่กำลังทยอยกลับบ้าน น้ำกับโหน่งเดินสวนมาพอดี

โหน่งหันมาโบกมือลา พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร แต่คนที่เดินข้างหลังกลับทำให้หัวใจซันชะงักไปในเสี้ยววินาที

โดยไม่ทันตั้งตัว เจ้าขุนยื่นมือมาจับมือซันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสอดกระดาษใบเล็กเข้าไปในฝ่ามือเขา แล้วโน้มตัวกระซิบใกล้พอให้ได้ยินเพียงคนเดียว

“เจอกันนะ...”

เสียงทุ้มนั้นยังอุ่นอยู่ข้างหู แม้เจ้าขุนจะเดินออกไปแล้ว เขาก้าวตามกลุ่มของน้ำออกไปจากอีบาร์  ทิ้งซันให้ยืนอยู่ท่ามกลางเสียงเพลง กับกระดาษที่กำลังอุ่นจากสัมผัสเมื่อครู่

ซันก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ กระดาษใบเล็กพับเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใบหน้าคมคายเผยรอยยิ้มออกมา เขารู้ดีว่าข้างในมันอาจจะเปลี่ยนเกมคืนนี้ไปเลย ชายหนุ่มคลี่กระดาษใบเล็กออกด้วยปลายนิ้ว ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ

บนกระดาษมีตัวเลขสิบหลัก เขียนด้วยลายมือเรียบร้อย พร้อมข้อความสั้น ๆ ที่เหมือนจะธรรมดา แต่กลับทำให้เขายิ้มออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

โทรมานะ
เจ้าขุน

ซันมองตัวหนังสืออยู่พักหนึ่ง ก่อนพับเก็บให้เหมือนเดิม ราวกับมันเป็นของสำคัญมากกว่ากระดาษแผ่นบาง ๆ

ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม หัวใจกลับมามีความหวังอีกครั้ง เขาเดินกลับมาที่โต๊ะด้วยรอยยิ้มมุมปาก พลิกกระดาษในมือไปมาอย่างตั้งใจ ก่อนจะวางลงตรงหน้านนท์ เหมือนวางไพ่เด็ดในเกมพนัน

“นี่…พอจะยืนยันได้ไหม ว่าใครชนะ” ซันยักคิ้วอย่างเหนือกว่า

นนท์เหลือบตามองกระดาษ แล้วหัวเราะในลำคอ
“โอเค…ดีใจด้วยที่มึงได้เบอร์ของเจ้าขุน กูจะถือว่านี่เป็นก้าวแรก แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนกติกาแล้ว”

ซันเลิกคิ้ว “เปลี่ยนอะไรของมึงอีกวะ”

“มึงจะชนะก็ต่อเมื่อมึงได้ เอา กับเจ้าขุนเท่านั้น”นนท์เน้นเสียงคำว่า เอา ชัดถ้อยชัดคำ แถมยังส่งสายตาท้าทาย

ซันส่ายหน้า แต่แววตากลับเป็นประกาย
“ก็ได้…”

ในใจเขาไม่เพียงแค่คิดจะชนะนนท์เท่านั้น แต่สิ่งที่เขาอยากได้ที่สุดในเวลานี้คือการได้มี “เซ็กซ์” กับผู้ชายกล้ามแน่นที่ชื่อ เจ้าขุน

ก่อนที่อีบาร์จะปิด คนขายดอกไม้นำดอกกุหลาบสีขาวกำใหญ่เดินเข้ามา ยื่นให้ซัน พร้อมชี้ไปยังชายหนุ่มร่างสันทัดที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะด้านในสุด
“พี่คนนั้นฝากมาให้ ครับ” เสียงคนขายดอกไม้แทรกผ่านเสียงเพลงที่ดังแผ่วลง

ซันมองตามที่มือของคนขายดอกไม้ชี้
เขาคือ...ช้าง
ชายหนุ่มที่เขาเจอขณะดูดบุหรี่ ยกแก้วขึ้นเหมือนจะชน ก่อนเดินเข้ามาหา

ซันยกแก้วชนกับช้าง ด้วยท่าทีเรียบเฉย เสียงแก้วกระทบกันดังชัดเจน เสมือนเป็นสัญญาณสั้น ๆ ว่า “ผมไม่ได้สนใจนาย”

เขาเงยหน้าขึ้น ยกเหล้าแก้วสุดท้ายขึ้นดื่มจนหมด เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วดัง กรุ๋งกริ๋ง พลางปล่อยลมหายใจออกจากปอด

นนท์โน้มใบหน้ามาใกล้ กระซิบแผ่วเบา
“ถ้ามึงไม่เอากูเอานะ” พร้อมหันไปทำตาเจ้าชู้ใส่ช้างทันที

“แล้วแต่มึง กูไปรอด้านนอกนะ” ซันพูดจบ ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะ ไม่คิดแม้จะหยิบกุหลาบสีขาวติดมือไปด้วย

เมื่อซันก้าวพ้นประตูอีบาร์ออกไปแล้ว ช้างยังยืนมองดอกกุหลาบสีขาวที่ซันทิ้งไว้บนโต๊ะ ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเสียใจปนความผิดหวัง ราวกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของโอกาสที่หลุดลอย

“ผมยังอยู่ตรงนี้นะ เผื่อจะแทนไอ้ซัน ได้บ้าง” นนท์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มยั่วยวน พลางเหล่หางตามองชายหนุ่มอีกคน

ช้างขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนส่ายหัว
“ผมไม่ได้ชอบนาย ผมชอบเพื่อนนายต่างหาก”
คำพูดนั้นดังชัด ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งความเงียบให้เกิดขึ้นชั่วครู่

นนท์เพียงยักไหล่ไม่ใส่ใจนัก สายตากวาดมองไปรอบ ๆ  ดวงตาเริ่มฉายประกายแห่งความสนุกปนความท้าทาย เขารู้ดีว่าเกมคืนนี้สำหรับเขามันยังไม่จบ เพราะยังมีเป้าหมายใหม่ อีกมากมายให้เขาไล่ตาม

“หน้าตาก็งั้นๆ ทำเหมือนว่าไอ้ซันมันจะเอาตัวเอง ไอ้เราก็แค่ไม่อยากให้เสียใจ เสือกมาทำเชิดใส่กู...ซะงั้น กูหาคนใหม่ก็ได้” นนท์พึมพำกับตัวเองก่อนยกแก้วขึ้น จ้องไปยังกลุ่มผู้คนที่กำลังทยอยออกจากอีบาร์

ภายในอีบาร์เริ่มเงียบลง แต่สำหรับนนท์ แม้ซันจะออกไปแล้ว ความต้องการและแรงปรารถนายังคงอยู่ และคืนนี้เกมล่าคู่นอนของเขาพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น และมันจะไม่จบลงจนกว่าเขาจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Toxic Love club ตอนที่ 3 เฮ้ อันตราย 15-11-68
«ตอบ #3 เมื่อ15-11-2025 06:43:15 »

Toxic Love club
                                           ตอนที่ 3
ว่ากันว่า การมีเซ็กซ์กับคนหล่อ ก็ไม่ต่างอะไรจากการดื่มไวน์ราคาแพงในแก้วคริสตัล แค่ได้มองก็เร้าใจแล้ว รสชาติอาจไม่ต่างจากเหล้าราคาถูก แต่บรรยากาศต่างหากทำให้หัวใจสั่นรัว

ส่วนการมีเซ็กซ์กับคนหน้าตาธรรมดา มันก็เหมือนมื้ออาหารที่เรียบง่ายที่ซ่อนรสชาติแน่นลึก ไม่ได้สะดุดตา แต่บางครั้งกลับทำให้อิ่มนานกว่าที่คิด

และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ใครหลายคน ยังคงไล่ตามรอยยิ้มของคนหล่อ แม้จะรู้ดีว่าแก่นแท้ของความสุข มันอาจไม่ได้ต่างอะไรกันเลยก็ตาม

ถนนหน้า อีบาร์ผับ ในย่านตลาด อ.ต.ก. ในเวลาตีสอง ยังมีแสงไฟนีออนไม่กี่หลอด ที่ยังกะพริบแข่งกับเสียงเครื่องยนต์จากแท็กซี่ที่แล่นผ่านเป็นระยะ กลิ่นควันบุหรี่ปนกลิ่นเหล้าคละคลุ้งในอากาศ

ซันยืนโงนเงนอยู่ริมถนน หลังส่งนนท์ที่พลาดโอกาสจากการตามหาใครสักคนหลังอีบาร์ผับปิดลง  ให้ขึ้นแท็กซี่คันสีชมพูไปเมื่อครู่

เขาทรุดตัวนั่งลงบนขอบทางเท้า มือข้างหนึ่งกุมกระเพาะที่ปั่นป่วน เพราะเหล้ากับเบียร์ผสมกันอย่างเละเทะ สายลมอุ่นของกรุงเทพฯ เวลากลางคืนปะทะใบหน้า ทำให้ดวงตาที่กำลังอ่อนแรงรู้สึกหนักขึ้นกว่าเดิม

ข้างตัวมีเพียงบุหรี่แอลเอ็มซองสีเขียว กับกระดาษแผ่นเล็กในกระเป๋ากางเกงที่เจ้าขุนยัดให้ก่อนจากไป หลักฐานของเกมเดิมพันที่แสดงว่า ในที่สุดเขาก็เป็นผู้ชนะ

ซันหายใจลึก พ่นลมออกมาเหมือนจะระบายทั้งควันและความมึนออกไปพร้อมกัน ก่อนเอนหัวพิงเสาไฟฟ้า ปล่อยให้แสงสีเหลืองซีดจางสาดลงบนใบหน้า เหมือนฉากเปิดของเรื่องราว ที่เขาไม่รู้เลยว่ามันจะพาไปไกลแค่ไหน

จู่ ๆ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังแผ่วข้างหู รถสปอร์ตคันหนึ่งชะลอแล้วจอดเทียบริมถนนตรงหน้า ซันเงยหน้าขึ้นมอง ไฟหน้ารถสาดแสงขาวจัดใส่จนต้องหยีตา

กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง เผยให้เห็นชายหนุ่มลูกครึ่งไทย–ฝรั่งเศส ใบหน้าคมคายแบบนายแบบนิตยสารวัยรุ่นยุคนั้น เส้นผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเอาไว้อย่างประณีต ราวกับทุกเส้นผ่านการคำนวณมาเพื่อความสมบูรณ์แบบ

“ไปส่งไหมครับ” เสียงทุ้มติดห่วงใยดังออกมาจากด้านหลังพวงมาลัย

ซันขมวดคิ้วเล็กน้อย กว่าภาพตรงหน้าจะประมวลผลชัด เขาก็จำได้ว่าเคยเดินแฟชั่นโชว์งานเดียวกัน กับผู้ชายคนนี้เมื่อสองเดือนก่อน  แพทริคแม้จะไม่สนิทกันแต่ชื่อและใบหน้าของชายหนุ่มก็ยังติดอยู่ในความทรงจำ

ไฟถนนสีเหลืองสลัวตัดกับแสงนีออน จากป้ายร้านเหล้าด้านหลังทำให้บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนภาพถ่ายจากฟิล์มที่เริ่มซีดจาง

ซันหัวเราะในลำคอด้วยความเมา “เออ…ได้สิ” ก่อนยันตัวลุกขึ้น แม้ขาจะโงนเงนจนต้องพยุงกับเสาไฟฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง

แพทริคเอื้อมมือเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เสียงเพลงจากวิทยุในรถสปอร์ตคันนั้นยังดังคลอแผ่วเบา

ชายหนุ่มเหลือบมองซัน ที่นั่งเอนหัวพิงกระจกอย่างคนหมดแรง กลิ่นแอลกอฮอล์เจืออยู่ในลมหายใจ และกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ยังหลงเหลือจากในบาร์

“นายอยู่แถวไหน บอกทางผมด้วยนะ”เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน

ซันถอนหายใจยาว ก่อนเอียงหน้ามามองคนขับตาเยิ้ม”ผมยังไม่อยากกลับ” น้ำเสียงติดอ้อแอ้เหมือนเด็กงอแง

ใบหน้าคมสันยกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปาก
“แล้วอยากไปไหน”
“ถ้าบอก จะพาไปไหมล่ะ”ซันหันทั้งร่างเข้าหาอีกฝ่าย สายตาจับจ้องกล้ามแขนแน่นที่โผล่พ้นเสื้อยืดออกมา กล้ามอกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงช้า ๆ ตามจังหวะหายใจ ภาพตรงหน้าชวนหลงใหลจนซันลืมเก็บอาการ
“ได้ทุกอย่างที่นายต้องการ” แพทริคยิ้มหันมามองคนเมาแวบหนึ่ง

ซันมองตาเขาอยู่สองวินาที ก่อนพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน
 “ไปคอนโดนายได้ไหม”

รถทั้งคันเงียบลงชั่วครู่ เสียงเพลงในวิทยุกลายเป็นเพียงฉากหลัง แพทริคหัวเราะแผ่วเบา ไม่รู้ว่าด้วยความประหลาดใจหรือความพอใจ ก่อนที่เขาจะเหยียบคันเร่ง พารถสปอร์ตคันหรูออกไปช้า ๆ และมุ่งหน้าสู่ค่ำคืนที่เขาสองคนอาจกำลังอยากค้นหาคำตอบ

ถนนสุขุมวิทในยามดึกเงียบกว่าที่ซันคิด แสงไฟบนถนนไหลย้อนผ่านกระจก เหมือนฟิล์มเก่าที่กำลังฉายซ้ำเสียงเครื่องยนต์นุ่มต่ำประสานกับเพลงสากลที่คลอออกมาจากลำโพง เสียงเพลงที่ทำให้บรรยากาศในรถเหมือนตัดขาดจากโลกข้างนอก

ซันนั่งเอนพิงเบาะหนัง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของน้ำหอมผู้ชายจากแพทริค ลอยคลุ้ง ร่างกายเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย แต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล

“นายดูเมามากนะ” แพทริคถาม แล้วเหลือบตาดูเพียงชั่ววินาที ก่อนหันกลับไปมองถนน

ซันยิ้มมุมปาก “ก็… เมานิดหน่อย”

คนฟังหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มของเขาฟังแล้ว เหมือนดนตรีแจ๊สที่เพิ่งเล่นโน้ตต่ำ “เนี่ยนะนิดหน่อย ถ้าผมไม่ผ่านมา นายคงนั่งอยู่ข้างถนนยันเช้า”

ซันหันไปมองชายหนุ่มผู้ที่กำลังขับรถอยู่ แสงไฟริมถนนวาบผ่านใบหน้าคมสันของเขา เผยความคมชัดราวกับหลุดมาจากปกนิตยสาร LIPS หรือ Image ในยุคนั้น

มัดกล้ามแกร่งภายใต้เสื้อยืดพอดีตัว ประกอบกับผิวขาวเนียนละเอียด ปลุกเร้าทุกจินตนาการของซันให้กระเจิดกระเจิง ภาพตรงหน้าเย้ายวนเกินกว่าที่ซันจะละสายตา
   
ความเมาและความต้องการทำให้ซัน เผลอเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มขาวที่มีไรหนวดเขียวเล็กน้อย ก่อนลูบต่ำลงมาที่กล้ามแข็งแรง และไล่ลงไปจนรู้สึกถึงซิกแพคใต้เสื้อยืด มือเขาแทบจะเลื่อนไปจนถึงสะดือของอีกฝ่าย

แต่ทันใด มือแข็งแรงของชายหนุ่มอีกคน ก็รีบคว้าข้อมือเขาเอาไว้ ก่อนที่สายตาคมกริบแต่เจือรอยยิ้มปนขบขันจะจ้องมองเขา
“นายจะทำอะไร ซัน”

ซันสะดุ้ง รู้สึกได้สติกับสิ่งที่ทำลงไป ใบหน้าแดงก่ำ ก่อนหันหน้าแกล้งมองไปข้างหน้า ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

แพทริคหัวเราะ ก่อนพูดติดตลก
“ใจเย็นสิ ขี้เมา รอให้ถึงคอนโดผมก่อนนะ ถึงตอนนั้น ผมจะให้นายทำมากกว่าจับอย่างแน่นอน”

คำพูดนั้นทำให้คนฟังหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม จนต้องแอบหยิกตัวเองเต็มแรง

ไม่นานนัก รถก็เลี้ยวเข้าซอยที่เงียบสงัด ก่อนหยุดที่อาคารสูงสีขาวตัดดำ มีโลโก้ทองคำปั๊มไว้เหนือทางเข้า  คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองที่ซันเคยเห็นแต่ในนิตยสารอสังหาริมทรัพย์

แพทริคดับเครื่องยนต์ หันมามองพร้อมรอยยิ้มบาง
“เชิญครับ ขี้เมา”

ซันไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที ก่อนเปิดประตูลงจากรถ เสียงประตูปิดดัง “ปึก” กลายเป็นเหมือนเสียงเริ่มต้นของบางสิ่ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ สิ่งที่เขาคาดหวังอยากจะให้มันเกิดขึ้น

ลิฟต์เงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ ที่ฟังชัดเกินไปในพื้นที่แคบ
ซันยืนพิงผนังเย็นเยียบ ดวงตาสบกับแพทริคที่ยืนตรงหน้า สายตาคมคู่นั้นเหมือนอ่านใจเขาออกทุกอย่าง

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เสียงส้นรองเท้าหนังของแพทริคกระทบพื้นไม้สักเงาวับ เขาไขกุญแจเข้าห้อง

ซันมองไปรอบ ๆ ห้องสไตล์โมเดิร์นยุคต้นสองพัน โซฟาหนังสีดำ เตียงคิงไซส์ผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด และชุดเครื่องเสียงวางอยู่มุมหนึ่งกำลังเปิดเพลงแผ่วเบา

แพทริควางกุญแจบนโต๊ะแล้วหันกลับมามองซัน
“อยากดื่มต่อไหม”

ซันส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกาย ย้อนคิดถึงคำพูดของชายหนุ่มบนรถเมื่อครู่

“แล้วอยากทำอะไร อาบน้ำไหม” แพทริคถามต่อ เสียงทุ้มแฝงรอยยิ้มยียวน

ซันยิ้มมุมปาก ก่อนตอบอย่างไม่ลังเล
“ไม่ ผมอยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

เพียงแค่นั้น แพทริคก้าวเข้ามาใกล้ มือหนายกขึ้น แตะปลายคางซันแผ่วเบาให้เงยหน้าขึ้น ก่อนประกบจูบอย่างหนักแน่น

จูบนี้ ไม่มีการเกริ่น ไม่มีการขออนุญาต และไม่มีทางถอย ซันรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่รุนแรงทั้งร้อนแรงและมั่นคงในเวลาเดียวกัน

ลมหายใจของทั้งสองสลับกัน ราวกับเวลาหยุดชั่วขณะ ทุกความรู้สึกถูกถ่ายทอดผ่านเพียงสัมผัสเดียว

ซันแทบกลั้นลมหายใจ เขาปล่อยตัวให้จูบนั้นพาไปตามจังหวะของ แพทริค แรงแต่ไม่หยาบหากเต็มไปด้วยความมั่นใจ
 
เมื่อแพทริคถอนจูบออก เขาลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกยืนอวดร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าซัน แสงไฟอ่อนจากโคมไฟเพดาน สาดลงบนร่างกายแน่นเห็นมัดกล้ามทุกเส้นสาย คลื่นลอนกล้ามท้องเด่นชัดทุกมุม ทำให้ซันใจเต้นแรงเกินกว่าจะห้ามความรู้สึกได้

มือหนาของแพทริคคว้ามือซัน ให้สัมผัสสิ่งที่เขาต้องการ พลางพูดเสียงทุ้มกึ่งยียวน

“ตอนนี้ เชิญนายจับและทำทุกอย่างตามใจนายได้เลย”

ซันไม่รอช้า มือเริ่มสำรวจความยิ่งใหญ่ตรงกึ่งกลางลำตัว ก่อนลามไปตามแนวกล้ามเนื้อของชายหนุ่มตรงเบื้องหน้า ทุกแรงสัมผัสเต็มไปด้วยความปรารถนา ความต้องการ และความตื่นเต้น  แววตาของเขาเปล่งประกายราวกับเปลวไฟที่ไม่อาจดับลงได้

ร่างล่ำสันโน้มตัวลงมาจูบหนักแน่นและร้อนแรงขึ้นทุกวินาที ลมหายใจสลับกันดังราวกับจังหวะกลอง ซันค่อย ๆ ก้มต่ำลงตามแรงปรารถนา มือสัมผัสความยิ่งใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย และสัมผัสทุกส่วนอย่างหลงไหล เป็นไปตามความต้องการของซันเอง หัวใจของเขาเต้นแรงและเลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง

ลมหายใจของแพทริคร้อนผ่าวสอดประสานกับจังหวะเสียงคราง ดังเกินควบคุม เสื้อยืดสีดำของซันถูกถอดออก เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผิวหนังดังแผ่ว ๆ เหมือนยั่วให้ไฟลุกลามเร็วขึ้น ไม่นานซันก็ถูกดันไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับพื้น ก่อนจะถูกจับยกตัวขึ้นวางบนเตียงอย่างง่ายดาย

ทุกสัมผัสของแพทริคทั้งรุนแรงและแม่นยำเหมือนรู้ว่าซันต้องการอะไร และคืนนี้ เขาตั้งใจจะให้มากกว่าที่ซันต้องการ เขาโน้มตัวลงจูบซ้ำหนักกว่าเดิม จนซันต้องเผลอส่งเสียงครางในลำคอ

มือของซันจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ เพราะแรงกระแทกถี่ ๆ ที่รุนแรงเกินคาด  เสียงบางอย่างที่กำลังถูกสอดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังอยู่ในความเงียบ กลายเป็นเสียงเดียว ที่แข่งกับเพลงแจ๊สในพื้นหลัง

แพทริค กระซิบข้างหู “คืนนี้ผมจะทำให้มันเป็นคืน ที่นายจะไม่มีวันลืม” ลมหายใจร้อนวาบนั้น ทำให้ซันขนลุกซู่ไปทั้งตัว

ร่างถูกดันให้เอนนอนลงบนเตียง รู้สึกถึงแรงกดจากร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงมา ก่อนจะรู้สึกหนักอึ้งเหมือนจะทนรับแรงกระแทกถี่ ๆ ไม่ไหว

มือหนาไล้ไปตามกล้ามท้องที่เป็นคลื่นลอน ก่อนจะล้วงลึกลงขยับมือให้โดยไม่ให้เวลาเตรียมใจ

เสียงครางหลุดจากริมฝีปากของซันอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าความคิดที่พยายามจะเก็บอาการ

ร่างกำยำที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามไม่พูดมาก แต่ทุกสัมผัสกลับสื่อความตั้งใจชัดเจน เขาไม่ได้มาเพื่อหยอกล้อ เขามาเพื่อพิสูจน์ว่า ซันจะลืมผู้ชายคนนี้ไม่ได้

เวลาผ่านไปเหมือนหนึ่งชั่วโมงสั้นลง ทุกภาพจำถูกย้อมด้วยแสงไฟสีเหลืองอุ่นจากโคมบนหัวเตียง เงาของทั้งคู่ยังเคลื่อนไหวอยู่บนผนัง
จนกระทั่งเสียงหอบกระชั้นของซัน ดังสอดประสานกับลมหายใจหนักของ แพทริค
ก่อนที่ทุกอย่างจะถึงจุดสูงสุด และจบลงด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ทำให้ ซันแทบลืมว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน

ชายหนุ่มลูกครึ่ง ล้มตัวนอนลงด้านข้าง  หันมามองและยิ้มบาง ๆ
“นายนี่ อันตรายชะมัด”
ซันหัวเราะเบา ๆ  หลับตาลง ปล่อยให้เสียงเพลงแจ๊สกล่อมจนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น

ซันเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้า ๆ  ชายหนุ่มร่างสูงกล้ามแน่นยังหลับสนิทอยู่เคียงข้าง เขาขยับตัวลุกขึ้นด้วยความระมัดระวัง แสงไฟจากภายนอกสาดเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย

เขาทอดมองร่างกำยำ มีกล้ามท้องเป็นคลื่นลอนชัดเจนอีกครั้ง ก่อนขยับร่างอย่างเงียบเชียบ ใส่เสื้อผ้าแผ่วเบา เพราะไม่ต้องการให้ผู้เป็นเจ้าของห้องตื่น จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินไปวางโน้ตลงบนโต๊ะข้างเตียง

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

ไม่มีชื่อ ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ เพียงประโยคสั้น ๆ ที่ตั้งใจจะสื่อว่าเรื่องระหว่างเรามันจบลงแล้ว

ซันมองร่างของแพทริคอีกครั้ง ความจริงลึกๆเขาอยากสานต่อความสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่รู้ดีว่าควรเก็บมันไว้ให้เป็นแค่ วันไนท์สแตนด์ เพราะผู้ชายตรงหน้าสมบูรณ์แบบเกินไป

ชายหนุ่มกลัวว่าเขาอาจจะต้องเจ็บปวด ถ้าความสัมพันธ์ลึกซึ้งไปมากกว่านี้  ใจหนึ่งเต็มไปด้วยความเสียดาย ทว่าอีกใจหนึ่งก็เตือนให้ตัดไฟแต่ต้นลม

ซันเปิดประตูให้เบาที่สุดย่องออกจากคอนโดของแพทริคอย่างเงียบกริบ ฝ่าเงามืดของโถงทางเดิน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ซันเลือกที่จะให้มันจบลงเพียงเท่านี้

เสียงนาฬิกาปลุกแบบเข็มดัง “กริ๊ง” บนโต๊ะหัวเตียง แพทริคขยับตัว ลืมตาช้า ๆ แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านสีขาว สาดเป็นเส้นฝุ่นระยิบระยับในห้องกว้าง เผยให้เห็นผ้าปูที่นอนยับย่น จากบทรักที่ร้อนแรงเมื่อคืน เตียงด้านข้างว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของซัน กลิ่นบุหรี่ผสมกับกลิ่นเหล้าจาง ๆ ของชายหนุ่มผู้นั้น ยังคงติดอยู่บนหมอน

ชายหนุ่มโน้มตัวไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะหัวเตียง ดื่มช้า ๆ ครึ่งแก้วก่อนสายตาจะมองไปที่กระดาษโน้ตแผ่นเล็ก เขียนด้วยลายมือเร่งรีบ

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
ไม่มีชื่อ ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่จะตามหาต่อ

แพทริควางกระดาษโน้ตลงถอนหายใจยาว พลางยกมือแตะใบหน้าตัวเองรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในหัวใจ

เขาลุกจากเตียงเดินไปเปิดม่านออก แสงแดดสาดเข้ามาเต็มห้อง เสียงรถบนถนนสุขุมวิทดังลอดเข้ามาเป็นระลอกลมร้อนปะทะใบหน้า

ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาสงบนิ่งแต่ลึกลงไปในความคิด
เขารู้ดีว่าในชีวิต เซ็กซ์ ของเกย์การจากไปเงียบ ๆ ของซัน อาจเป็นเพียงเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำกัน หรือไม่ชายหนุ่มผู้นั้นก็ตั้งใจจะตัดขาดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น

ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าคือรอยยิ้มของความพอใจหรืออยากครอบครอง แม้ความเงียบจะปกคลุม แต่ความทรงจำของค่ำคืนที่ผ่านมายังคงชัดเจนในทุกสัมผัส เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่ซันทิ้งเอาไว้

ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งรู้ตัวว่าไม่อาจลืมคืนที่ผ่านมาได้ง่าย ๆ แต่ก็รู้ว่าต้องยอมรับ ซันคือสิ่งที่เขาไม่อาจครอบครองได้ในเวลานี้

แพทริคนั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สายตายังคงมองออกไปข้างนอก แต่ในหัวเต็มไปด้วยภาพเมื่อคืน รอยยิ้มและแววตาที่อ่านยากของซัน ยังติดอยู่ในความทรงจำ

ทันใด ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ซันคือนายแบบในโมเดลลิ่งของเจ๊เค เขารีบคว้าโทรศัพท์กดหมายเลขเจ๊เค ด้วยมือสั่นเล็กน้อยจากความตื่นเต้น

“สวัสดีครับ เจ๊  วันนี้ซันมีเดินแบบกับเราไหม” เสียงของเขาดัง แต่ยังคงเก็บความใจเต้นเอาไว้

ปลายสายตอบกลับแบบรวดเร็วและมั่นใจ
“มีสิ  ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”อีกฝ่ายพูด
“ไม่มีอะไร ขอบคุณครับ เจ๊”

แพทริควางหูยิ้มมุมปาก รู้สึกถึงโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับซันอีกครั้ง
สายตาของเขาเปล่งประกาย ขณะที่สมองเริ่มวางแผนการบางอย่างที่จะครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจของชายหนุ่มผู้นั้น ความคิดอยากเจอซันอีกครั้งเริ่มก่อตัวขึ้นชัดเจน

ไม่เขาจะไม่ยอมให้ซัน จากไปแบบนี้แน่นอน คืนนี้อาจเป็นแค่ วันไนท์ สแตนด์ แต่วันนี้แพทริคจะไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปอีก ริมฝีปากเผยยิ้มที่แฝงด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม แผนการของเขาเริ่มก่อตัวในใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะตามหา และทำให้ซันรู้ว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยชายหนุ่มผู้นั้นไปง่าย ๆ

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 Toxic Love club 
                                           ตอนที่ 4
เซ็กซ์ ที่ไร้ซึ่งความรัก ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน เพื่อตอบสนองความต้องการทางร่างกาย เมื่อลืมตาตื่นในรุ่งเช้าวันใหม่ ทุกอย่างก็เลือนลางหายไปเหมือนไอหมอกขาว
คนที่เมื่อคืนยังแนบชิด สอดประสานอยู่ในร่างกายของกันและกัน บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า
ริมฝีปากที่เคยบดขยี้ แววตาที่เคยจ้องกันราวกลับจะกลืนกิน เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าฉายแสง
ร่างกายยังจำสัมผัสนั้น แต่หัวใจกลับไม่เหลือสิ่งใดให้จำ
วันไนท์สแตนด์ คือ เส้นที่ถูกขีดเอาไว้เพื่อขวางกั้นไม่ให้ ผู้ที่กำลังตามหาความรักก้าวข้ามมา

กรุงเทพฯ  ปี 2548
ลมร้อนยามเช้าพัดกลิ่นฝุ่นและละอองอากาศ เข้ามาในโถงคอนโดในย่านวิภาวดี ซันเดินโซเซเข้ามาในลิฟต์ มือยังถือกุญแจคอนโดพร้อมซองบุหรี่ ยับ ๆ กลิ่นเหล้าคลุ้งติดเสื้อยืดสีดำที่ยับยู่ยี่ ประตูลิฟต์เปิดออก เขาก้าวเข้าห้องอย่างคนหมดแรง กดปิดประตูด้วยส้นเท้า ถอดรองเท้าผ้าใบสีขาวเตะไปข้างฝา

แสงแดดยามสายสาดผ่านกระจกบานใหญ่ ส่องให้เห็นฝุ่นลอยในอากาศเหมือนหมอกจาง ๆ ซันทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เบอร์โทรศัพท์ของเจ้าขุน เขียนด้วยหมึกสีน้ำเงิน เขามองมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรออก

ซันกลับลุกไปที่โต๊ะหัวเตียง เปิดลิ้นชักไม้วางกระดาษแผ่นนั้นไว้ใต้ซองบุหรี่ แล้วปิดทันทีราวกับตั้งใจปิดความคิดบางอย่างทิ้งไป

เขาทิ้งตัวลงบนเตียง เสียงพัดลมติดผนังหมุนเอื่อย ๆ กล่อมให้หนังตาหนักลงเรื่อย ๆ ในหัวเต็มไปด้วยภาพสลับ ระหว่างรอยยิ้มของเจ้าขุนกับสัมผัสร้อนแรงจากแพทริคที่ยังติดอยู่บนผิว

กรุงเทพฯ ในปี 2548 ยังเงียบเกินไปสำหรับเกมที่เพิ่งเริ่มต้น เสียงริงโทนโมโนโฟนของมือถือโนเกียเอ็นเจ็ดศูนย์ดังแทรกผ่านความเงียบ ซันครางออกมา พลิกตัวควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง เขากดรับแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น

“ฮัลโหล…”
 “อย่ามาทำเสียงงัวเงียใส่ฉันนะยะ  เย็นนี้หกโมงครึ่งแกต้องอยู่หลังเวที ที่เซ็นทรัลเวิลด์ งานเดินแบบวันนี้มันสำคัญมากนะ”
“เจ๊ ผมเพิ่งถึงห้อง ยังไม่ได้นอนเลยนะ”
“แล้วไง ไม่ว่าแกจะไปเมากับใครมา เจ๊ก็ไม่สน อย่าให้ต้องตามไปลากจนถึงเตียง นาน ๆ มีงานซะที ยังจะเรื่องมากอีก”

ซันถอนหายใจ ยกมือปิดตาบดบัง แสงแดดที่ลอดเข้ามา เขามองลิ้นชักไม้ที่ซ่อนกระดาษเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าขุนเอาไว้เมื่อคืน ก่อนฝืนลุกขึ้นนั่ง

“โอเค เดี๋ยวผมไป”
“แล้วมาให้ตรงเวลานะยะ อย่าให้เจ๊ต้องโทรตาม เข้าใจใช่ไหม”ปลายสายย้ำหนักแน่น
“ได้ครับ ผมจะรีบไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นเลย เจ๊จะได้สบายใจ”ซันประชดเล็ก ๆ
“ดี...”ผู้จัดการส่วนตัวของเขาตอบสั้น ๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ตัดไป ทิ้งให้ห้องเงียบลงอีกครั้ง

ซันทิ้งโทรศัพท์ไว้บนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดึงผ้าม่านออก แสงแดดยามสาย พุ่งเข้ามาจนแสบตา ชายหนุ่มก้าวออกมายืนตรงระเบียง ภาพถนนเบื้องล่างค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

รถเมล์สีส้มที่อัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารวิ่งปะทะสายลม แท็กซี่เขียวเหลืองแล่นสวนไปมาอย่างไร้ทิศทาง เสียงแตรรถ เสียงเครื่องยนต์ และเสียงผู้คนตะโกนขายของจากข้างถนนดังแว่วขึ้นมาถึงชั้นบน

เขายกแขนพาดกับขอบระเบียง มองทุกอย่างด้วยสายตาเหม่อลอย รู้ดีว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่แค่งานเดินแบบหรูหรา หากแต่สิ่งสำคัญคือรายได้ที่จะนำมาใช้จ่าย ซันตัวคนเดียวไม่มีครอบครัวคอย ซัพพอร์ต ดังนั้นอาชีพนายแบบจึงเป็นทั้งงานและที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขา

ซันหันกลับมามองห้องที่ยังรกเหมือนไร้เวลาดูแล เสื้อยืดสีดำยังกองอยู่ปลายเตียง แก้วเหล้าวางค้างอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง กลิ่นบุหรี่จาง ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมลอยอยู่ในอากาศ เขาหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น

“นี่หรือคือชีวิตนายแบบ ที่คนอื่นอิจฉา”ภายนอกอาจหรูหรา แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และความลับที่ไม่มีใครรู้

สายตาเหลือบไปที่ลิ้นชักไม้ตรงหัวเตียง ข้างในยังมีเศษกระดาษพับเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ หมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าขุนที่เพิ่งได้มาเมื่อคืน

เพียงแค่คิดถึงชื่อของเจ้าขุน เสียงหัวเราะและแววตาคมคู่นั้นก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง หากแต่ในเวลานี้ใบหน้าคมสันของแพทริคกับซ้อนทับเข้ามาอีกชั้น

เขาเอื้อมมือไปแตะลิ้นชัก แต่หยุดไว้เพียงแค่นั้น ราวกับไม่กล้าเปิดออกมาเผชิญความจริง เพราะเพียงเรื่องงานคืนนี้ ก็หนักพออยู่แล้ว

ซันสูดหายใจลึก ปล่อยมือจากลิ้นชักแล้วเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้สายน้ำเย็นไหลรดร่างเปลือยเปล่า น้ำเย็นจัดจนต้องกัดฟันแต่ก็ช่วยให้สติคืนกลับมาได้บ้าง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ซันที่เพิ่งเข้าไปในห้องน้ำต้องรีบโผล่ออกมารับสายทั้งที่ผมยังเปียกชื้นจากละอองน้ำ
“สวัสดี ซัน” เสียงทุ้มของปลายสายเอ่ยทัก
ซันขมวดคิ้ว พลางยกมือถือแนบหู“นายเป็นใคร”
“ผม ช้าง จำได้ไหม”

ซันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนภาพเมื่อคืนจะผุดขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสันทัดที่พยายามเข้ามาจีบเขาหน้าอีบาร์ เจ้าของดอกกุหลาบสีขาวที่เขาไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย

“มีอะไรหรือเปล่า” ซันถามกลับ ด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย
“ผมอยากชวนนายไปทานข้าว” ช้างตอบอย่างจริงใจ
ซันถอนหายใจ “ขอโทษนะ ผมไม่ว่าง ผมต้องทำงาน”พูดจบก็กดตัดสายทันที...

เขาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยท่าทางหัวเสีย ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้น้ำเย็นไหลผ่านร่างกายต่อไป  ราวกับจะชะล้างความรำคาญที่ติดค้างอยู่ในใจ
ตัดกลับมาในค่ำคืนวันเดียวกัน
เสียงเครื่องยนต์ดังแผ่วๆ ขณะรถยนต์ของกานต์แล่นออกจากถนนสุขุมวิทหลังส่ง กุน ผู้เป็นน้องชาย จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนวิภาวดี  จันดานั่งอยู่บนเบาะด้านข้าง มองแสงไฟนีออนริมถนนที่ไหลผ่านหน้าต่าง ก่อนที่รถจะเลี้ยวผ่านห้าแยกเข้าสู่ถนนลาดพร้าว

“หิวไหม”
“นิดหน่อย”
 “งั้นแวะกินก๋วยเตี๋ยวตุ๊ด ตรงข้างทางหน่อยดีไหม เดี๋ยวขับต่อไม่ไหว”
“เอาสิ”จันดาส่งรอยยิ้มหวาน

รถเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ตรงบริเวณลาดพร้าวซอยหนึ่ง ฝั่งที่ตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำหรือที่บรรดานักเที่ยวกลางคืนเรียกกันว่า
“ก๋วยเตี๋ยวตุ๊ด”

ชื่อนี้ได้มาเพราะร้านเปิดเฉพาะช่วงกลางคืนจนถึงเช้า และมักเป็นที่นัดพบของนักเที่ยวที่ยังไม่มีเพื่อนกลับบ้านหรือยังไม่เจอคู่นอน

สถานที่นี้จึงเหมือนเป็นโอกาสที่สองที่จะไม่ต้องกลับไปนอนคนเดียว

ดังนั้นทุกวันหลังอีบาร์ปิดลงผู้คนต่างทยอยมานั่งรวมตัวกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ทั้งที่จุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ใช่อยากกินก๋วยเตี๋ยวแต่กลับต้องการเปิดโอกาสที่สองให้ตัวเองได้เจอใครสักคน

แสงไฟนีออนสีขาวสว่างตัดกับความมืดภายในซอย เสียงน้ำซุปเดือดปุด ๆ ลอยแตะจมูกทันทีที่ก้าวลงมาจากรถ กลิ่นหอมและน้ำมันกระเทียมเจียว ทำให้ท้องจันดาร้องเบาๆ

กานต์ยกมือสั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำพิเศษสองชามเพิ่มเกี๊ยวทอด ก่อนหันมาสั่งให้จันดาอีกชาม ชายหนุ่มหันกลับมามองอีกฝ่าย

“ผมต้องกินเยอะ ๆ หน่อย เดี๋ยวคืนนี้น่าจะต้องเจองานหนัก” คนพูดตั้งใจให้คนฟังคิดไปไกล
จันดาหัวเราะในลำคอเหมือนรู้ทัน
 “งานอะไรดึกป่านนี้”
กานต์ ยิ้มมุมปาก
 “ก็พานายไปส่งบ้านไงหรืออยากให้ไปส่งที่อื่น”

จันดาเลิกคิ้ว รีบก้มลงหยิบตะเกียบในกระบอกพลาสติกแทนคำตอบ รู้สึกเหมือนแววตาของอีกฝ่ายกำลังจ้องลึกเข้ามาจนเกินกว่าจะสบสายตาได้

“ผมกลับเองก็ได้ รถเมล์ยังมี” จันดาพูดขึ้น แต่กานต์กลับหัวเราะเบา ๆ
“พูดเหมือนเด็กมหาลัยเลยนะ โตแล้วต้องรู้จักเลือกวิธีที่สบายกว่า ไม่ใช่ทรมานตัวเอง”
“ผมก็พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจริงจังอะไร”จันดาพูดเบา ๆ แต่ในใจกลับคิดว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะยอมกลับบ้านง่าย ๆ

กานต์พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาที่ทอดมองเหมือนจะเข้าใจ มากกว่าที่ชายหนุ่มอีกคนคิด เขาหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะ มาเช็ดฝุ่นที่เกาะบนฝาขวดพริกป่น ก่อนพูดต่อเสียงต่ำ

“หรือนายจะกลับกับผมก็ได้นะ”

คำพูดนั้นทำให้มือของจันดาชะงักไปชั่วขณะ เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเขามาด้วยขนาดนี้แล้ว จุดประสงค์เดียวของเขา ก็คือกลับบ้านกับกานต์

จันดาไม่ได้พูดอะไรออกมา หันไปรับชามก๋วยเตี๋ยวที่พ่อค้านำมาเสิร์ฟพอดี กลิ่นหอมของน้ำซุปเข้มข้น ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงกว่าเดิม

สายลมกลางคืนพัดแผ่ว ท่ามกลางเสียงจักรยานยนต์ที่วิ่งผ่าน กับเสียงตะโกนสั่งก๋วยเตี๋ยว จากลูกค้าโต๊ะข้างๆ ผสมรวมกันเป็นบรรยากาศแสนธรรมดาที่แฝงความรู้สึกสุขใจ

หลังจากก๋วยเตี๋ยวชามสุดท้ายหมดลง กานต์ลุกไปจ่ายเงินแล้วกลับมาหยิบกุญแจรถขึ้นมา

“ไปบ้านผมกันก่อนนะ ดึกมากแล้ว”
จันดาเอียงคอมอง
“อ้าว ไม่ไปส่งผมใช่ไหม” เขาพูดติดแซว แต่ความจริงเป็นแผนการตั้งแต่แรกแล้ว แผนที่เขาตั้งใจอยากกลับบ้านกับกานต์ และจงใจทิ้งซัน เพื่อนรักไว้ในอีบาร์ตามลำพัง
กานต์ยิ้มมุมปาก
“บ้านผมใกล้กว่า แถมฝนก็กำลังจะตกแล้วด้วย”
“พี่มีแผนอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูง 168 เซนติเมตรยั่วเย้า
“อย่าถามในสิ่งที่นายรู้อยู่แล้วสิจันดา”กานต์เอื้อมมือมากุมมือจันดาเอาไว้ก่อนจะขับรถออกไปยังถนนลาดพร้าว

ระหว่างนั่งรถ เสียงเพลงเก่า ๆ จากวิทยุ FM คลอเบา ๆ เพลง“รักเธอ” ของ สบชัย ดังกล่อมในบรรยากาศ จันดามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสายฝนเริ่มโปรยลงมา

กานต์เหลือบตามองคนด้านข้าง
 “ชอบเพลงนี้ไหม”
“ก็เพราะดี แต่เก่าไปหน่อย” จันดาตอบ แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็เผลอผุดขึ้นบนใบหน้า
“เก่า แต่ความหมายมันยังอยู่” เสียงทุ้มพูดช้า ๆ คล้ายจะตั้งใจทิ้งน้ำหนักไว้ให้คิดตาม

จันดาขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกถึงเบาะรถที่เบียดกัน แคบกว่าปกติ
 “พี่กานต์ นี่ชอบพูดอะไรให้คิดมากนะ”
กานต์หัวเราะเบา ๆ ไม่ตอบ แต่เหยียบคันเร่งให้รถวิ่งช้าลง ราวกับอยากยืดเวลาที่มีร่วมกัน

“ความจริงผม ก็อยากไปส่งนายเหมือนกันนะ” กานต์พูดขึ้นอีกครั้งหลังเงียบไปพักใหญ่
“แล้วทำไมไม่ไปล่ะ”
“เพราะผมรู้ว่า นายยังไม่อยากกลับ”

จันดาหันมามองแววตาที่ฉายแสงผ่านกระจกหน้ารถ แม้ไม่ชัดเจน แต่กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

บ้านกานต์เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้นตั้งอยู่ในซอยที่เงียบและค่อนข้างลึก ไฟหน้าบ้านถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เมื่อเข้าไปด้านในกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของผู้ชายผสมกับกลิ่นกายของเจ้าของบ้านก็ลอยมาแตะจมูกชัดเจน

กานต์โยนกุญแจลงบนโต๊ะ เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมา แล้วส่งให้จันดา

 “ดื่มหน่อยไหม”

อีกฝ่ายยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ ขณะที่กานต์นั่งลงข้างๆ ใกล้เกินกว่าปกติมือใหญ่แตะไหล่เขาอย่างแผ่วเบา ก่อนเลื่อนมาที่ต้นคอ จันดาหันกลับไปมอง สายตาของกานต์บอกความต้องการชัดเจน

“นายรู้ไหม ผมชอบนายตั้งแต่ นายก้าวเข้ามาในอีบาร์เลยนะ”

คำพูดนั้นเหมือนตัดลมหายใจ จันดาไม่ทันได้ตอบ ปลายจมูกของอีกฝ่ายก็เฉียดแก้มเขา มืออุ่นจับต้นแขนเขาแน่นขึ้น

“นายรู้ใช่ไหม ผมไม่ได้แค่ชอบเฉย ๆ ผมยังอยากเอานายด้วย” กานต์กระซิบ เสียงต่ำแผ่วเบาแต่ทรงพลัง คนฟังรู้สึกใจเต้นแรงจนพูดอะไรไม่ออก

จันดาพยายามเอียงตัวถอยมาตั้งหลัก เขาไม่ได้กลัว หากแต่กลับกำลังดื่มด่ำกับหัวใจที่เป็นสุข เพราะไม่บ่อยนัก ที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา กานต์เอื้อมมือมาจับเอวเขาไว้แน่น ร่างสูงโน้มลงต่ำ ริมฝีปากประทับจูบเบา ๆ บนหน้าผาก

“พี่ กานต์” จันดาเผลอเอ่ยชื่อ รู้สึกตัวว่ากำลังถูกดึงเข้าสู่โลกที่ไม่เคยสัมผัส โลกที่คนโสดอย่างเขาอาจไม่เคยเข้าใจมาก่อน

กานต์ยิ้มมุมปาก ก่อนเลื่อนมาจูบที่ขมับจนถึงลำคอของจันดา มือหนาลูบไหล่ไล่ลงมาช้าๆที่แผ่นหลัง ขยับร่างสูงเข้ามาใกล้มากขึ้น
“พี่ขอนะครับ จันดา” กานต์กระซิบ พลางจับมือจันดาแน่น ราวกับบอกว่าเขาจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ

จันดาสูดลมหายใจลึก ใจเต้นแรงเกินจะควบคุม รู้ตัวว่าเขาเองก็ต้องการใจแทบขาด ทั้ง เซ็กซ์ และความรักที่กำลังวิ่งตามหา ร่างกายของเขาจึงยอมตอบสนองต่อทุกสัมผัสของกานต์

กานต์ดันร่างจันดาให้นอนราบลงที่พื้น มือหนายังคงสัมผัสเขาอย่างแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความต้องการที่ฉายชัดในแววตา

“ผม…” จันดาเริ่มพูดติดขัด ใบหน้าแดงระเรื่อ เมื่อกานต์ถอดเสื้อของเขาออก
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่รู้ว่าพี่ต้องการนายก็พอ” กานต์ตอบ พร้อมก้มลงกดจูบลงที่ริมฝีปากของจันดา จูบหนักแน่นและเร่าร้อน พลางดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาแนบชิด
“เบาๆ นะครับพี่กานต์ ผมไม่ได้ให้ใครมานานแล้ว” จันดากระซิบเสียงกระเส่า เมื่อกานต์รูดซิปและถอดกางเกงของตัวเองออก
ร่างสูงเปลือยเปล่าบดเบียดความรักเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย ก่อนจันดาจะหลับตาลง เปิดทั้งร่างกายและหัวใจรับรสรักที่เร่าร้อนและรุนแรง ราวกับกานต์ไม่ได้สนใจที่จะฟังประโยคร้องขอของเขาด้วยซ้ำไป

ฝนยังคงตกกระทบกระจกเป็นจังหวะดนตรี ท่ามกลางเสียงกระแทก...รุนแรงเป็นจังหวะ มันกินเวลาอยู่นาน

จนกระทั้ง เสียงสายฟ้าฟาดลงมาในอากาศ กานต์เกร็งร่างเปลือย ส่งเสียงครางแข่งกับสายฝน มือกดไหล่จันดาแน่น ก่อนจะฟุบลงนอนด้านข้างหอบหายใจแรงๆ ออกมา จันดารีบซุกใบหน้าลงบนแผงอกกว้าง ใช้สองมือโอบกอดกานต์เอาไว้แนบแน่น หัวใจเต็มเปลี่ยมไปด้วยความสุขและความเสน่หา

เช้าวันนั้น แสงแดดอ่อนๆ สาดลอดผ่านผ้าม่าน ภายในห้องนอนพื้นไม้ยังคงอุ่นจากบทรักอันเร่าร้อน จันดาลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ภาพเมื่อคืนยังติดตา เขายังคงจดจำทุกสัมผัส ทุกแรงกระแทก ทุกสายตาที่กานต์มองมา ราวกับโลกทั้งใบของเขาหยุดหมุนเพื่อ กานต์ เพียงคนเดียว

จันดาซบใบหน้าลงไปกับหมอนของกานต์ สูดกลิ่นกายชายหนุ่มผู้นั้นด้วยความหลงใหล เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงของความรัก ทั้งอบอุ่น ทั้งหวั่นไหว แต่เหนืออื่นใด ในใจมีความเชื่อมั่นว่ากานต์ต้องเป็นของเขา และเขาจะไม่ต้องรู้สึกเหงาและเดียวดายอีกต่อไป

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ร่างกายยังเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอม จากรสสวาทที่ได้รับตลอดทั้งคืน จันดามองไปรอบห้อง ทุกอย่างเหมือนถูกแต่งเติม ด้วยแสงแดดอ่อนๆ และกลิ่นความรักที่แผ่วเบา

“นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกว่าความสุข” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงหัวใจเต้นรัวเพราะความฝันที่ซ่อนอยู่ภายใน ชายหนุ่มอยากเก็บช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ตลอดไป ช่วงเวลาที่ทำให้เขารู้ว่า ตัวเองอยู่ในรักแท้ของผู้ชายที่ชื่อ กานต์ 
และกานต์จะเป็นผู้ชายคนเดียวของเขาตลอดไป เพียงแค่ความรู้สึกจากเมื่อคืน ก็เพียงพอให้จันดาบอกตัวเองว่า กานต์คือความรักในแบบที่เขาต้องการมาโดยตลอด และเขาไม่ต้องวิ่งตามหาความรักอีกต่อไป

จนกระทั่งกานต์เดินออกมาจากห้องน้ำสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์เรียบง่าย เหมือนกำลังเตรียมตัวออกไปข้างนอก ใบหน้าเรียบเฉยทำให้จันดาหันไปมองแล้วรู้สึกแปลกใจ

“แต่งตัวสิ เดี๋ยวผมไปส่ง” คำพูดนั้นช่างเย็นชาต่างจากเมื่อคืนยิ่งนัก
“เอ๊ะ จะไปส่งผมทำไม ผมอยู่ต่อก็ได้” จันดาใจหาย

ร่างสูงหลบสายตา ก้มลงหยิบกุญแจรถอย่างเย็นชา ก่อนพูดชัดเจนว่า “อย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องเมื่อคืนมันก็แค่...เซ็กซ์”

หัวใจจันดาหล่นวูบ เสียงครางแข่งกับสายฝนจากค่ำคืนแห่งความรักของ กานต์ยังคงก้องอยู่ในหู ทอดสายตามองดวงตาว่างเปล่าตรงหน้า เขาพยายามฝืนยิ้มทั้งที่มือเย็นเฉียบ และหัวใจปั่นป่วนราวกับถูกทิ้งไว้กลางทาง

ชายหนุ่มพูดเหมือนแกล้งงอน “ผมกลับเองก็ได้” ภายในใจหวังว่าอีกฝ่ายจะง้อ แต่กานต์กลับตอบสั้น ๆ ด้วยความเย็นชา “ตามใจ”

จันดานั่งลงบนเตียง รู้สึกเหมือนตัวเองยังคงลอยอยู่ระหว่างความฝันและความจริง คืนที่เขาหวังว่าจะได้พบรักแท้จากใครสักคน กลับกลายเป็นความรู้สึกเจ็บปวดและเสียดายอย่างคาดไม่ถึง

หัวใจเขาเหมือนถูกบีบรัด ด้วยความต้องการให้คืนที่ผ่านไปไม่จบลงเพียงแค่ “เซ็กซ์” ความอบอุ่น รอยยิ้มและรสสัมผัสของกานต์ ยังติดอยู่ในทุกประสาทสัมผัสของเขา แต่ตอนนี้กลับถูกแทนที่ ด้วยความเย็นชาที่อีกฝ่ายมอบให้

เขาสวมเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเงียบ ๆ มือสั่นเล็กน้อยจากความอัดอั้นก่อนจะเดินออกจากทาวน์เฮาส์ของกานต์ สายตาของอีกฝ่ายไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย ความเงียบและท่าทีเย็นชาเหมือนแทงใจจันดาให้ช้ำยิ่งขึ้น เขาอยากพูด อยากอ้อน อยากบอกว่ากานต์ต้องเป็นของเขา แต่ปากกลับไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

จันดาก้าวออกไปยืนริมถนน ลมเย็นยามเช้าซัดเข้าใบหน้า ร่างเขาสั่นเล็กน้อยแต่หัวใจกลับร้อนผ่าวจากความผิดหวังและความเสียดาย ลึกๆ เขารู้ว่าตัวเองไม่มีวันได้สิ่งที่ปรารถนาใครสักคนที่จะเป็นของเขาเพียงคนเดียว ท้ายที่สุด เขาก็เหลือเพียงตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า

เสียงเครื่องยนต์แท็กซี่ดังสม่ำเสมอ แต่ในหูของจันดากลับเหมือนมีเพียงเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นหนักเกินไป เขานั่งพิงกระจกหน้าต่างมองภาพตึกและป้ายร้านที่เลื่อนไปช้าๆ ราวกับเมืองทั้งเมืองกำลังถอยห่างออกไป กลิ่นน้ำหอมของกานต์ยังติดอยู่บนคอเสื้อ ความอบอุ่นเมื่อคืนแทรกซึมอยู่ในผิวหนัง ทว่ามันกลับถูกทับด้วยประโยคสั้นๆ ที่ยังดังซ้ำอยู่ในหัว 
"มันก็แค่... เซ็กซ์ "

เขากำมือแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามกลืนก้อนแข็งในลำคอ
ทำไมมันถึงเจ็บแบบนี้ ทั้งที่รู้จักกันไม่นาน ทั้งที่ไม่ควรคาดหวังอะไรตั้งแต่แรก แต่ความจริงที่หลบไม่พ้นคือ เขาชอบกานต์เข้าแล้ว

มันไม่ใช่แค่ความชอบ หากแต่เป็นความต้องการ อยากได้ อยากเป็นเจ้าของชายคนนั้น ที่สำคัญกานต์ไม่ได้คิดแบบเดียวกันและนั่นต่างหาก ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองโง่เหลือเกิน

ภายในห้องที่เหมือนโลกใบเล็กของจันดา ความว้าเหว่กัดกินหัวใจ ความเหงากระจายอยู่รอบตัว จันดานั่งพิงหัวเตียงมือกำโทรศัพท์แน่น ก่อนจะกดโทรออกไปยังหมายเลขที่คุ้นเคย

“ฮัลโหล มึงยังไม่หลับใช่ไหม” เสียงของจันดาแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าสะท้อนแสงไฟอ่อนในห้อง ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบ
“ยัง เป็นอะไรไป เสียงมึงฟังดูไม่ดีเลย”

จันดาหัวเราะในลำคอ แต่เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น
“กูโดนผู้ชายไล่กลับ เหมือนหมาโดนเตะออกจากบ้าน”

“ใคร” น้ำเสียงของนนท์เริ่มจริงจัง
“คนที่กูกลับด้วยเมื่อวาน” จันดาตอบสั้นๆ แล้วเงียบไป ราวกับแค่พูดถึงก็ทำให้หัวใจหนักขึ้น

นนท์ถอนหายใจแรง“ กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ไอ้พวกแบบนั้นมันไม่จริงจังกับใครทั้งนั้น”
“กูรู้ แต่กูดันชอบเขาไปแล้ว” เสียงของจันดาเริ่มสั่นไหว

ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง ก่อนนนท์จะพูดช้าๆ
“โอเค มึงฟังนะ มึงต้องเลือกว่าจะเจ็บทีเดียวแล้วจบ หรือจะยอมให้มันกัดกินมึงไปเรื่อย ๆ”
คนฟังกัดริมฝีปาก พยายามกลั้นไม่ให้เสียงสั่น
“แต่กู ยังอยากเจอเขาอีก”
นนท์หัวเราะเบา ๆ แต่แฝงด้วยความห่วงใย
“งั้นก็อย่ามาโวยวายทีหลัง ถ้าสุดท้ายมันพังกว่าเดิมนะ”

จันดาวางสายลง คำพูดของเพื่อนยังดังก้องอยู่ในหัว เขานอนนิ่งอยู่บนเตียง แสงไฟจากถนนลอดผ่านผ้าม่านสีขาวบาง ๆ ลงมากระทบใบหน้า
หัวใจเจ็บปวดราวกับทุกความปรารถนา ถูกกักขังเอาไว้ภายในอกความคิดวนซ้ำไปซ้ำมา ภาพรอยยิ้มเสียงหัวเราะ และบทรักจากกานต์ยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

เขารู้ตัวดีว่ากำลังเดินเข้าไปในกองไฟ ร่างกายอ่อนล้าจนไม่มีแรงจะถอย ความหวังลึก ๆ ในใจ กลับตีกันระหว่างความเสียดายและความอยากได้
ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความอ่อนไหว  ความเหงา และความปรารถนา ทั้งหมดหลอมรวมกัน กลายเป็นไฟร้อนที่เผาผลาญใจของเขาอย่างช้า ๆ

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
                  Toxic Love club   
                           ตอนที่ 5
กลิ่นสเปรย์ฉีดผมและเครื่องสำอาง ลอยอบอวลทั่วห้องแต่งหน้าเบื้องหลังเวที เสียงช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์ คุยกันแข่งกับเพลงป๊อปยุคต้นสองพัน ที่เปิดคลอจากวิทยุทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะ

เจ๊เคยืนอยู่ด้านหน้าซัน มือหนึ่งกำลังปัดแป้ง อีกมือหนึ่งกำลังแต่งคิ้วให้เข้มรับกับสปอร์ตไลต์
“อย่าขยับนะซัน เดี๋ยวคิ้วไม่เท่ากัน”

ประตูห้องเปิดออก พร้อมกับเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
แพทริค ก้าวเข้ามาในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ฟอกซีด ใบหน้าคลี่ยิ้มบาง
“สวัสดี ซัน” ชายหนุ่มทักทาย มองซันด้วยแววตาวาบหวาม ก่อนหันไปทางร่างอวบใหญ่
“สวัสดีครับ” เขายกมือไหว้คนสูงวัยกว่าด้วยความสุภาพ

เจ๊เคหันไปยิ้มตอบ “สวัสดี แพท วันนี้หล่อเชียวนะ”
ซันเพียงเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนหันกลับไปมองกระจกทันที ราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงอากาศ

รอยยิ้มของแพทริคชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ความงุนงงผสมกับความอยากเอาชนะ ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น

ซันนั่งนิ่ง เหมือนไม่สนใจใคร และนั่นทำให้ผู้ที่พึ่งมาถึง รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ

“อะไรกันซัน  ทำไมต้องเมินใส่กันด้วย” เขาคิดในใจ ก่อนบอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ซันชอบเขาให้ได้ ความคิดผุดขึ้นมามากกว่าที่เคยรู้สึก
ไม่ใช่แค่อยากเอาชนะ แต่ความเย็นชาของซัน ทำให้เขาชอบชายหนุ่มตรงหน้ามากยิ่งขึ้น และเขาจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ซันเป็นผู้ชายของเขาเพียงคนเดียว

“งั้นผมขอตัวไปแต่งหน้าก่อนนะครับ” แพทริค พูดน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงด้วยความขุ่นเคือง เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกฝั่งของห้อง ปล่อยให้ช่างอีกคนเริ่มลงรองพื้นบนใบหน้า สายตาเขายังลอบมองเงาสะท้อนของซันในกระจกบานใหญ่

ทุกครั้งที่ชายหนุ่มผู้นั้น ขยับหัวหรือรับคำสั่งจากเจ๊เค ราวกับพยายามอ่านทุกความคิด ทุกท่วงท่าของคนที่ทำเหมือนไม่รู้จักกัน หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นซันยังนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ความรู้สึกที่เคยคิดว่า เป็นแค่ความอยากเอาชนะ เริ่มกลายเป็นความปรารถนาที่แท้จริง
เขาอยากได้ซัน ทั้งร่างกายและหัวใจ

และในขณะนั้น แพทริครู้แล้วว่าเรื่องระหว่างเขากับซัน จะไม่ใช่แค่การทำงานร่วมกัน แต่เขาต้องทำให้ชายหนุ่มผู้เฉยชา หันมาสนใจเขาให้จงได้

“รู้ไหมว่า เจ๊ชื่นชมแพทมากเลยนะ” เจ๊เคเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ พลางเหลือบมองแพทริคที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“แพท นี่นะ นอกจากจะเป็นคนตรงต่อเวลา ยังทำงานไม่เคยพลาดเลย”

เมื่อผู้ที่ถูกพูดถึงได้ยิน เขาเพียงเผยรอยยิ้มบาง ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับมาแต่หางตายังมองไปทางซันเหมือนเดิม

ซันทำเพียงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ช่างปัดไฮไลต์ใต้โหนกแก้ม

เจ๊เคหันไปบอกช่างแต่งหน้าอีกคนที่กำลังปัดแก้ม ให้นายแบบหนุ่มข้างๆซัน
“ที่สำคัญ วันนี้แพทได้เดินฟินนาเล่  ตำแหน่งนี้ต้องใช้คนที่เหมาะสมจริง ๆ เท่านั้น แกรู้ไช่ไหมยะ นังหนูดำ”
จากนั้นจึงหันกลับมาทางซัน “พยายามให้ได้อย่างเขานะ ถึงแกจะสูงแค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด แต่ถ้าคอนฟิเดนซ์ดีก็เอาอยู่”
ซันยิ้มเกร็ง พยักหน้าตอบรับ “ครับ เจ๊” แต่หางตายังแอบชำเลืองไปทาง แพทริค ก่อนต้องรีบหลบ เมื่อสายตาสบประสานเข้ากับแววตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลือของอีกฝ่าย
บรรยากาศเบื้องหลัง เต็มไปด้วยเสียงไดร์เป่าผม และขวดสเปรย์ฉีดผมดัง “ฟู่” เป็นจังหวะ แต่ในหัวของเขา กลับได้ยินเพียงความเงียบที่ยืดยาว เหมือนกำลังรอเวลาระเบิดออกมา

เสียงดนตรีจังหวะอิเล็กทรอนิกส์ ก้องสะท้อนในสถานที่จัดงานแฟชั่นโชว์ แสงไฟสีขาวสว่างวาบเหนือรันเวย์ยาวเหยียด บรรยากาศแฟชั่นโชว์ฤดูหนาวปีสองพันห้าร้อยสี่สิบแปด เต็มไปด้วยกล้องฟิล์มและกล้องดิจิทัล รุ่นแรกที่แสงแฟลช กระหน่ำราวกับพายุ

“นายแบบทุกคน เตรียมพร้อมขึ้นเวทีนะคะ” เสียงผู้ควบคุม ตะโกนขึ้น

ซันก้าวออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง สูทผ้าไหมไทยประยุกต์แนบลำตัว ช่วงไหล่กว้าง และกางเกงขายาวรีดจีบคมกริบ ทุกย่างก้าว ช้าแต่มั่นคง เสียงส้นรองเท้าหนัง ตีกับพื้นรันเวย์เป็นจังหวะดังก้อง

อีกฟากหนึ่งของเวที แพทริคกำลังก้าวออกมาในชุดตัดเย็บคัตติ้งเนี้ยบ
แสงไฟจับต้องใบหน้าคมสัน ดวงตาสีอ่อน ทอดมองตรงไปข้างหน้า แต่เมื่อเดินมาถึงจุดตัดกลางรันเวย์ แววตานั้นก็เฉียงไปสบกับซันอย่างแม่นยำ

เพียงเสี้ยววินาที ที่ทั้งคู่เฉียดผ่านกันบทรักที่ร้อนแรงของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของซัน ความจริงเขาชอบแพทริคมาก แต่เขากลัวความเจ็บปวดเกินกว่าที่จะเปิดใจยอมรับผู้ชายคนนั้น

ในฉากฟินนาเล่ แพทริคเดินออกมาด้วยชุดสูทสีเทา แล้วหยุดโพสกลางรันเวย์ ซันในตำแหน่งปิดท้ายยืนในมุมตรงข้าม แสงไฟจากสปอร์ตไลท์ห้าตัวส่องตัดกันพอดี เสียงแฟลชดัง แชะๆ รัวไม่หยุด

แพทริคยังคงยืนนิ่ง ใบหน้าเชิดขึ้นสูงโดดเด่นเป็นสง่า แต่ปลายนิ้วกลับกำลังสั่นไหว หัวใจเขารำพึงถึงร่างเปลือยเปล่าของซันในอ้อมแขนเป็นภาพจำที่ยังติดอยู่ในห้วงแห่งความคำนึงไม่เสื่อมคลาย

ส่วนซัน แม้จะพยายามวางหน้าเฉยเมย แต่ภายในใจกลับคิดว่าแพทริค กำลังจะทำอะไรต่อไป ก่อนเผลอเหลือบหางตาไปมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงตบมือ ที่ดังกึกก้องขึ้นมา

แสงไฟจากสปอร์ตไลท์ห้าตัวหรี่ลงช้าๆ  ซันผ่อนลมหายใจออกมา หันร่างสูง เดินกลับเข้าไปด้านหลังเวที ตามจังหวะเสียงเพลง เขาบอกกับตัวเองว่า “ผ่านไปอีกหนึ่งงานและสินะ ซัน”

ซันโบกมือลาเจ๊เค ก่อนก้าวเข้าสู่ลานจอดรถ เสียงรองเท้าหนังแตะพื้นดังก้องท่ามกลางความเงียบในยามค่ำคืน เขาเดินตรงมาที่รถยนต์ของตัวเอง มือหมุนกุญแจเสียบสตาร์ท  เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น

แต่เมื่อเขาเหยียบเกียร์ เตรียมที่จะถอย รถกลับหยุดกึก เพราะมีเงาจากร่างสูงใหญ่ ยืนกางแขนขวางอยู่ตรงเบื้องหน้า ร่างสูง 186 เซนติเมตร ไหล่กว้างเต็มสูท กล้ามเนื้อเด่นชัด แม้ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดสีขาว ดวงตาคมกริบจ้องเขาไม่กะพริบ ราวกับกำลังอ่านลึกลงไปภายในใจ

ซันขมวดคิ้ว ลดกระจกลงทันที
"หลบไป" น้ำเสียงเรียบแต่เย็นชา

แพทริค กลับยิ้มมุมปากนิดเดียว
“ไม่หลบ” อีกคนดื้อดึง
“ผมบอกให้นายหลบไป” ซันตะโกนอย่างเหลืออด
"ไม่หลบ จนกว่านายจะบอกผมว่า เรื่องเมื่อคืน นายลืมหมดแล้วใช่ไหม" น้ำเสียงต่ำชัดกดจังหวะให้ช้า จนเหมือนกำลังน้อยใจ

ซันเบือนหน้าหนี "ผมบอกแล้ว ว่าอย่ามายุ่ง"

ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ลมหายใจร้อนผ่าวลอดเข้ามาทางกระจก "ผมไม่ยุ่งไม่ได้หรอกซัน นายทำให้ผมติดใจนายแล้ว"

หัวใจซันสะดุด รีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง มือจับพวงมาลัยแน่น พยายามไม่มองร่างสูงใหญ่ที่ยังยืนขวางอยู่
เสียง "แก๊ก" ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
แพทริคเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร สอดตัวเข้ามานั่งอย่างหน้าตาเฉย ราวกับเป็นที่นั่งประจำของตัวเอง

"ใครอนุญาตให้ขึ้นมา" ซันหันขวับ เสียงห้วนตวัดสูง

ร่างสูงใหญ่เอนพิงเบาะ สายตานิ่ง แสดงให้รู้ว่าเขาไม่สนใจถ้อยคำที่อีกฝ่ายพยายามห้าม
"ผมไม่ได้เอารถมา ไปส่งหน่อยสิ"

"ไม่มีเวลา" ซันตอบสั้นๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดประตู แต่แพทริคกลับดันมันปิดลงเอง เสียงปิดดัง ปัง เหมือนเป็นการปิดประตูหนีทางเลือกของซันไปด้วย

"ถือว่าเป็นการตอบแทนเรื่องเมื่อคืน" น้ำเสียงผู้พูดต่ำและชัดเจน สายตาคมกริบไล่จากปลายนิ้วบนพวงมาลัย ขึ้นมาจนถึงดวงตาของอีกฝ่าย
"นายเห็นผมเป็นแค่ที่ระบาย แล้วคิดจะปล่อยให้ผม นั่งแท็กซี่กลับคนเดียวไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง"

ซันเม้มปากแน่น พยายามไม่สบตา แต่หัวใจกลับเต้นแรง จนรู้สึกได้ถึงเสียงอื้ออึงในหู กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจากตัว แพทริค ลอยมาติดอยู่ในอากาศปิดทึบของรถยนต์

ซันรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อคิดถึงแรงกระแทกหนักหน่วงจากคนตัวสูง ในค่ำคืนที่ แพทริคแสดงบทรักแบบถึงพริกถึงขิงกับเขา กลิ่นน้ำหอมนั้นยังกรุ่น ติดอยู่ที่ปลายจมูก

"ขึ้นมาเอง ก็ต้องลงไปเอง" ซันพยายามพูดเสียงเรียบ แต่รู้ดีว่าความมั่นคงในน้ำเสียงเริ่มสั่น
แพทริคยิ้มมุมปาก ราวกับได้ยินคำท้าทาย
"ไปส่งผัวหน่อยนะ เมียจ๋า" คนพูดทำเสียงออดอ้อน จนน่าหมั่นไส้
“ใครเป็นเมียนาย”ซันตวาด

“เมื่อคืนผมนอนกับใคร ก็คนนั้นแหละ เมียผม” ชายหนุ่มลูกครึ่งโน้มใบหน้าเข้ามาจนแทบชิด “ถ้าไม่ไปส่ง ผมจะจูบนายตรงนี้แหละ”
“แค่ไปส่งใช่ไหม” พูดจบซันก็กดคันเร่ง ให้รถยนต์เคลื่อนออกจากลานจอดรถ ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แต่ภายในรถกลับอึดอัดราวกับมีอะไรหนักอึ้งกดทับอยู่

 แพทริค เอนตัวพิงเบาะ สายตายังจับจ้องใบหน้าของซันตลอดเวลา เขากำลังอยากรู้ว่า อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

"ทำไม ต้องทำเหมือนไม่รู้จักกันต่อหน้าเจ๊เค" คราวนี้พูดน้ำเสียงเรียบ แต่ชัดเจนว่าไม่พอใจ

ซันเม้มปากแน่น ไม่ตอบคำถามนั้น

"หรือเรื่องเมื่อคืน มันไม่สำคัญพอให้นายจำ" แพทริคก้มลงเล็กน้อย กดเสียงต่ำให้หนักขึ้น
ซันถอนหายใจแรง "มันก็แค่ คืนหนึ่ง"
แพทริค หัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ
“ถ้าคืนหนึ่ง มันทำให้นายตัวสั่นขนาดนั้น ผมว่าเราควรมีอีกหลาย ๆ คืน”
“พูดบ้าอะไรของนาย” ซันซัดแหวใส่อีกครั้ง

ก่อนท่าทีแข็งกร้าวของชายหนุ่มร่างสูง จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แพทริคยื่นใบหน้าขาวจัดเข้ามาใกล้ มองซันด้วยแววตาเหมือนเด็กชายตัวน้อย
“ผมหิว” คนพูดยิ้มมุมปาก โน้มตัวเข้ามาใกล้ซันเล็กน้อย พลางใช้เสียงนุ่มแผ่ว
“วันนี้ ผมอยากกินข้าวกับนายจังเลย ไปกินข้าวกันก่อนได้ไหม ซัน”
ผู้ที่พยายามทำตัวให้เย็นชา เลิกคิ้ว “ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ”
 แพทริคเอียงศีรษะนัยน์ตากลมโตเต็มไปด้วยความออดอ้อน
“ก็ผมอยากพานาย ไปกินอาหารจีนร้านอร่อยนี่นา ไปนะซัน นะครับ”ท่าทางและน้ำเสียงเว้าวอน ทำให้ซันถึงกลับถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบทันที

แพทริคเบียดไหล่กว้างเข้ามาใกล้กว่าเดิม วางมือบนไหล่ของซันอย่างแผ่วเบา ก่อนเลื่อนลงมากุมมือที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่
 “ซัน แค่ไปกินข้าวกับผม เท่านั้นเองนะ ผมสัญญาว่าจะไม่กวนใจนายอีก”ซันทอดมองดวงตาใสจงใจอ้อนวอน หัวใจที่แข็งกระด้างก็เริ่มอ่อน ยวบในที่สุด
“ก็ได้ ไปก็ไป”

แพทริคยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่กำลังดีใจที่สุดในโลก
“ขอบคุณนะ ซัน” พูดจบ ก็ถือวิสาสะโน้มใบหน้าเข้ามาหอมแก้มซันด้วยความรวดเร็ว มือใหญ่ของเขากระชับมือของอีกคนเอาไว้แน่น ราวกับกำลังบอกว่าความสุขของเขาตอนนี้ ขึ้นอยู่กับซันเพียงคนเดียว

ซันครางในลำคอ อยากจะต่อว่าเรื่องที่ถูกขโมยหอมแก้มแบบหน้าด้านๆ ของอีกฝ่าย หากหัวใจกับอ่อนระทวยด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ มันเต็มไปด้วยความอบอุ่น จนไม่สามารถเปล่งถ้อยคำใด ให้เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากได้

ซันทำได้เพียงมองไปที่มือของแพทริคที่กำลังกุมมือเขาอยู่ พลางยักคิ้วเหมือนบอกให้อีกฝ่ายปล่อย แต่ชายหนุ่มอีกคนแสร้งมองตรงไปข้างหน้ามือยังคงเกาะกุมมือของซันเอาไว้แน่น ซันหัวเราะเบาๆ แล้วปล่อยให้ทุกอย่าง เป็นไปตามที่ชายหนุ่มผู้นั้นต้องการ

    แพทริคก้าวนำร่างสูงโปร่งเข้ามาภายในภัตตาคารจีน ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โคมไฟสีแดงระยิบระยับสาดแสงอ่อนลงบนผนังไม้แกะสลัก ปูพื้นด้วยพรมลายมังกรสีทองอร่าม ทำให้บรรยากาศหรูหรา และอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ภายในมีโต๊ะไม้เนื้อดี จัดเป็นโซนส่วนตัว แบ่งกั้นด้วยฉากกระจกแกะสลักลายดอกโบตั๋น

 แพทริคเลือกโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ ให้เป็นมุมส่วนตัวโดยเฉพาะ ด้านบนมีม่านบาง ๆ คลี่ลงมาจากเพดาน สร้างความรู้สึก เงียบ สงบ ให้เกิดขึ้นภายในใจ
“ไม่ยักรู้มาก่อน ว่าคนอย่างนาย ก็มีรสนิยมเหมือนกัน” ซันเอ่ยถ้อยคำประชดประชันออกมา พลางนั่งลง

คนฟังไม่ได้โกรธ เพียงยิ้มบาง ๆ มองซันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
“ผมอยากให้ ทุกวินาที ที่เราใช้ร่วมกัน มีความพิเศษสำหรับนาย ซันจะได้รู้ตัวซะทีว่า ซันคือคนสำคัญสำหรับผม” ประโยคนั้นหวานล้ำ จนหัวใจคนฟังสั่นไหว มันเป็นถ้อยคำที่สวยงาม จนซันอยากจะเก็บเอาไว้ชื่นชมไปอีกนานแสนนาน
“ขอบคุณนะ” เขาตอบพลางหลุบสายตาหลบแววตาคมที่ยังจับจ้อง

“นอกจากผมจะหล่อแล้ว ผมยังเลือกเก่งด้วยนะ เพราะฉะนั้น ผมถึงได้เลือกนายไงล่ะ” แพทริคพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ กึ่งยั่วเย้า
ซันเหล่มองด้วยความหมั่นไส้ อีกคนยกคิ้วหนาขึ้น พลางส่งเมนูให้

“ตามสบายเลยนะซัน” ชายหนุ่มยิ้มรับ พลางเปิดเมนูเลื่อนสายตา ไปยังภาพ อาหาร หลากหลาย ก่อนเอ่ยสั่งออกมา
“เอาเป็ดปักกิ่งหนึ่งชุด แล้วก็ผัดผักรวมมิตร กุ้งทอดซอสพริกและก๋วยเตี๋ยวเสฉวนด้วยครับ”

แพทริคหน้าถอดสีหากแต่ยังฝืนยิ้มออกมา เขาแพ้กุ้งและอาหารทะเลทุกชนิด แต่เขาไม่อยากบอกเพราะกลัวจะทำให้ ช่วงเวลาที่งดงามที่ได้ใช้ร่วม กับซันจางหายไป
“ฟังดูน่าอร่อยนะ” เขาพูดเสียงนุ่ม พลางแอบลอบมองใบหน้าคมคายด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข

พนักงานเสิร์ฟ ยกจานอาหารมาวางเรียงรายลงบนโต๊ะ แสงสีแดงจากโคมไฟ สะท้อนบนกุ้งทอดซอสพริก ทำให้มันดูน่ากินยิ่งขึ้น

แพทริคเอื้อมมือไปใช้ช้อนตักกุ้งตัวโต วางลงบนจานของซัน มองชายหนุ่มผู้นั้นตักกุ้งเข้าปาก ทั้งที่ตัวเองกลับไม่คิด แม้จะแตะต้องอาหารตรงหน้า
“อร่อยไหม” เขาถามเบา ๆ
ซันยิ้มกว้าง ยังตอบด้วยความยียวนเหมือนเดิม
 “อยากรู้ ก็กินเองสิ”

คนฟังหัวเราะเบาๆ ขยับตัวไปมา
ซันมองใบหน้าขาวจัด แล้วย่นคิ้วถามเสียงแข็ง
“ทำไมไม่กินล่ะ ไหนบอกว่าหิวไง”

แพทริคนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกทั้งขวยเขิน จนสองแก้มขาวเปื้อนด้วยสีแดง
“ผมแพ้อาหารทะเล”

ซันหัวเราะเสียงดัง ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายในใจ เมื่อสบเข้ากับดวงตาวาวระยับตรงหน้า
“แล้วทำไมไม่บอกเล่า รู้ตัวไหม ว่านายเป็นคนโง่ที่สุด ที่ผมเคยรู้จัก” เขาพูดพลางหัวเราะขบขัน ก่อนหันไปสั่งอาหารจานใหม่ที่ไม่มีกุ้งให้

ในขณะที่แพทริคพลอยหัวเราะตามอีกฝ่าย ด้วยหัวใจที่ถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ที่มากกว่าคำว่า “ความสุข”                                                     

ระหว่างทานอาหารร่วมกัน ซันเผลอมองใบหน้าหล่อเหลาบ่อยครั้ง ความใกล้ชิดและท่าทีที่ทรงเสน่ห์ของอีกฝ่าย ทำให้หัวใจอิ่มฟูแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังมื้ออาหาร ซันสั่งเช็คบิล แล้วยื่นเงินส่วนของตัวเองให้ชายหนุ่มตรงหน้า แพทริคส่ายหน้าเล็กน้อย ผลักเงินคืนให้ซัน
“ผมชวนนายมา ผมรับผิดชอบเอง นายแค่ขับรถไปส่งผมที่คอนโดก็พอ”

ซันแอบยิ้มกับความดื้อรั้น และท่าทีกรุ้มกริ่มของอีกฝ่าย ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความโรแมนติก จนซันเผลอคิดไปว่าตัวเองกำลังหลง อยู่ในความฝันอันแสนหวาน ทุกอย่างมันเรียบง่าย และงดงาม จนเขาอยากให้มันเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป

ซันเดินนำออกมาจากร้านอาหารจีน  ก่อนแพทริคจะสาวเท้ายาวๆ ตามหลังมา ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนพาตัวเองมาเดินเคียงข้าง ร่างสูงใหญ่ของเขา ทำให้ซันดูตัวเล็กลงไปชัดเจน เขาแกล้งเอามือมาชนเล่นกับมือของซัน แล้วค่อย ๆ สอดนิ้วเข้ากับนิ้วของอีกฝ่าย อย่างแนบเนียนก่อนทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

ซันแค่มอง เผยรอยยิ้มออกมา ปล่อยหัวใจให้ไหลไปตามความรู้สึก ที่กำลังสัมผัสอยู่

รอยยิ้มของซัน ทำให้หัวใจแพทริคเต้นแรง เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า ความรู้สึก ที่เขามีต่อซันมันมากกว่าแค่อยากเอาชนะ หรือแค่ต้องการร่างกายของชายหนุ่มผู้นั้น เพราะเขากำลังตกหลุมรักซัน

รถยนต์สีดำเลี้ยวเข้าสู่ถนนสุขุมวิท ที่เงียบเชียบกว่าที่เคยเป็น แสงไฟจากข้างถนนลอดผ่านกระจกเป็นช่วง ๆ ก่อนซันจะจอดรถตรงหน้าคอนโดของแพทริคเมื่อรถจอดสนิท ผู้เป็นเจ้าของรถก็พูดขึ้นทันที
"ลงไปได้แล้ว"ซันโบกมือไล่ ราวกับรำคาญเต็มแก่ แต่ความจริงกลับรู้สึกกลัวตัวเองจะตกหลุมรักชายหนุ่มลูกครึ่งไปมากกว่าที่กำลังรู้สึก

แพทริคกลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ กลิ่นน้ำหอมลอยวนรอบตัว กลิ่นคุ้นชินที่ทำให้ซันหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้สัมผัส ซันขยับร่างกายให้ถอยห่างออกมาพยายามบอกหัวใจให้สงบลง
"ขึ้นไปข้างบนก่อนไหม"

"ไม่"อีกคนตอบเสียงแข็ง ทั้ง ๆ ที่หัวใจกำลังเรียกร้อง

"ขึ้นเถอะน่า" แพทริคเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วก้มลงสบตาอย่างท้าทาย
"หรือว่านาย กลัว”

ซันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนก้าวลงมาจากรถยนต์ของเขา มองดวงตาท้าทายของอีกฝ่าย
“ทำไม ผมต้องกลัว”เขายักคิ้วหนาตอบกลับคำท้าทายนั้น แล้วเลือกที่จะปิดประตูรถสุดแรง เดินนำเข้าไปในล็อบบี้คอนโดทันที

แพทริคเดินตามด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความสมหวัง เขาก้าวตามช้าๆ ในจังหวะที่ไม่เร่งรีบ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ระยะห่างเกินหนึ่งก้าว

ประตูลิฟต์เปิดออก เสียงรองเท้าหนังของเขากระทบพื้นไม้ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ

ซันยืนก้มหน้า ไม่แม้แต่จะหันไปมอง แต่เขารู้ได้จากปลายหางตาว่าร่างสูงใหญ่ยืนใกล้พอให้กลิ่นกายแตะปลายจมูก

"นายจะให้ผมขึ้นมาทำไม" เสียงของซันต่ำและหยาบ เพราะเริ่มหงุดหงิด ที่รู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไรตัวเองถึงยอมตามผู้ชายตรงหน้า ขึ้นมาภาพฉากรักร้อนแรงยังคุกรุ่นอยู่ในความทรงจำ คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
"นายลองถามตัวเองไหมว่าตามผมขึ้นมาทำไม"อีกคนตอบเหมือนรู้เท่าทันความคิดของเขา

ซันหันมามองด้วยแววตากระด้าง "ผมจะกลับ"
แพทริค ยิ้มมุมปาก"ผมก็ไม่ใช่คนที่นาย จะใช้แล้วทิ้ง ง่ายๆ เหมือนกัน"
 ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ร่างที่อุดมไปด้วยมัดกล้าม ก็เอื้อมมือคว้าข้อมือของซัน ออกแรงกำเอาไว้แน่น ราวกับไม่ให้มีโอกาสหนีไปไหน
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว เขาก็ช้อนตัวซันขึ้นอย่างง่ายดาย แล้วก้าวไปยังห้องของเขาอย่างรวดเร็ว

ซันดิ้นขลุกขลัก พยายามแกะมือที่กอดรัดออก แต่แพทริคกลับออกแรงกอดแน่นและมั่นคงเกินกว่าจะหลุด
“ปล่อยผมเถอะนะ แพท” ซันผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง

แพทริควางซันลงบนโถงทางเดิน ที่ปูพื้นด้วยไม้สักเงาวับ พร้อมก้าวเข้ามา ในระยะประชิดจนแผ่นหลังอีกฝ่ายแทบชนกับประตู มือหนายันข้างกรอบประตู ปิดทางหนีเอาไว้
"หยุดหนีผมได้แล้ว" เสียงเขาแผ่วแต่กดต่ำ ราวกับเป็นประโยคขอร้อง

ซันจ้องตาเขานิ่ง หัวใจเต้นแรงเกินกว่าจะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มชะงักไปชั่ววินาที ก่อนจะพยายามผลักไหล่แพทริคให้ถอยออก แต่แรงนั้นไม่เพียงพอที่จะขยับร่างสูงใหญ่ได้
แพทริคหัวเราะในลำคอ เน้นเสียงให้ทุ้มต่ำและยั่วยวน
"นายรู้ตัวมั้ย ว่าสายตานาย ไม่ได้ปฏิเสธผมเลยซักนิด"

"อย่ามามั่ว"ซันตอบห้วน แต่ปลายนิ้วกลับสั่นไหว เมื่อเผลอมองสายตาคมเข้มคู่นั้น
 แพทริคไม่พูดอะไรอีก เขาแค่เอื้อมมือไปดันบานประตู เปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย
ซันก้าวถอยโดยสัญชาตญาณแต่ก็ไม่วาย ถูกมือหนาคว้าข้อมือดึงร่างเข้ามาภายในห้อง ปิดประตูก่อนหันมากดล็อกทันที

"ความจริงที่ผมบอกผมหิว ผมไม่ได้อยากกินอาหารจีน แต่ผมอยากกินนาย"แพทริคกระซิบชิดใบหู ด้วยลมหายใจที่ร้อนผ่าว

ซันเม้มปากแน่นเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่กลับเผลอสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายยกมือมาลูบแนวกราม แล้วไล่นิ้วลงมาที่ซอกคอ

"หยุดนะ" เสียงซันแผ่วลง เพราะมืออีกข้างของชายหนุ่มโอบเข้าที่เอว รั้งร่างเขาเข้าหาจนแนบสนิท
แผ่นอกแข็งแรงกับกล้ามหน้าท้องที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืด แนบชิดจนได้ยินจังหวะหัวใจของกันและกัน

แพทริคโน้มใบหน้าลงมา จนริมฝีปากเฉียดปลายจมูกของซัน
"นายบอกให้ผมหยุด แต่ทำไมนายถึงไม่ยอมถอย"

ซันจ้องตาเขานิ่ง เหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเอง ใช่...เขาต้องการ แพทริค

ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมา ริมฝีปากของทั้งคู่จะบดขยี้กันอย่างรุนแรง
“บอกผมสิ ว่านายไม่อยาก ผมจะหยุด”
“ผมต้องการนาย” ซันตอบด้วยน้ำเสียงระทวย ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความต้องการที่ท่วมล้นในอก
ร่างสูง 186 เซนติเมตรยิ้มกว้าง โน้มใบหน้าลงมากดจูบรุนแรงกว่าที่ เคยจนซันแทบหายใจไม่ทัน
เสื้อยืดของซันถูกกระชากออกอย่างไม่รีรอ ทุกสัมผัสแน่วแน่และมั่นคงเหมือนคนที่รู้จักร่างนี้ ดีกว่าเจ้าของมันเอง

จากที่คิดว่าจะเป็นแค่คนขับรถมาส่ง กลายเป็นว่าซันถูกลากให้เข้าไปในอ้อมแขนของแพทริคอีกครั้ง จังหวะทุกอย่างหนักแน่น ร้อนแรง และตรงจุด จนเขาต้องกัดฟันกดเสียงครางออกมา พยายามจะไม่ยอมให้แพ้แต่ร่างกายกลับทรยศ

ไม่นานซันก็ได้รับรู้ ฉากรักของแพทริคในคืนนี้มันหนักแน่นและร้อนแรงกว่าคืนแรก กลิ่นเหงื่อและไออุ่นยังคงคลุ้งอยู่ในห้อง

เสียงลมหายใจของแพทริคค่อย ๆ สงบลง หลังจากบทรักที่หนักหน่วงสิ้นสุด เขานอนพิงพนักโซฟา หลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน ร่างล่ำสันเปลือยเปล่าหลับไปอย่างสงบ

ซันนั่งมองชายหนุ่มตรงหน้า สายตาเต็มไปด้วยความสับสน หัวใจอยากสานต่อ แต่ก็กลัวว่าเขาจะเป็นเพียงของเล่นของอีกฝ่าย เพราะผู้ชายตรงหน้า ดูสมบูรณ์แบบเกินไปสำหรับเขา

ซันค่อย ๆ คว้าเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์มาสวม ก่อนจะย่องออกไปจากห้องของแพทริค ในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา แพทริคลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มือเอื้อมควานข้างตัว แต่ความว่างเปล่ากลับตอกย้ำว่า ซันหายไปอีกแล้ว

“ให้ตายสิ…” เขาพึมพำกับตัวเอง ลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่หัวใจยังปั่นป่วน จากความรู้สึกเมื่อคืน ทั้งความหื่นกระหาย ความห่วงใย และความโกรธปนขมขื่น

บนโต๊ะ เหลือเพียงแก้วน้ำครึ่งแก้ว กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของซันยังพอให้รู้สึกถึงการอยู่ใกล้ แต่กลับจางลงทุกวินาที ราวกับเจ้าตัวไม่เคยอยู่ที่นี่เลย

แพทริคพิงแผ่นหลังลงบนพนักโซฟา มุมปากยกยิ้มขมขื่น แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทั้งที่อยากดึงซันกลับมา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ความโกรธค่อย ๆ พุ่งขึ้นมารวมอยู่ กับความรักที่พึ่งเกิดขึ้นมาภายในหัวใจ เขารู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน โดยความเย็นชาของซัน
“นายหนีไปอีกแล้วสินะ” เสียงเขาเรียบ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แววตาเฝ้ามองพื้นที่ว่างตรงหน้า ราวกับต้องการมองให้แน่ใจว่า ชายหนุ่มผู้ที่ เขากำลังตกหลุมรัก ได้จากไปแล้วจริง ๆ

ความคิดของแพทริคยังติดอยู่กับภาพเมื่อคืน แววตาที่เย็นชาและรอยยิ้มที่ทำเหมือนไม่สนใจ บนใบหน้าคมคายของชายหนุ่มผู้นั้น ทำให้เขารู้สึกว่า หัวใจของเขาเต็มไปด้วยผู้ชายที่ชื่อ...ซัน
 
“คิดว่าจะหนีได้นานแค่ไหนกัน” เขาพึมพำอีกครั้ง คราวนี้เสียงสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความโกรธเพียงอย่างเดียว แต่เพราะความอยากได้...ซัน  อยากให้ชายหนุ่มผู้นั้น เป็นผู้ชายของเขาเพียงคนเดียว

แพทริคลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไป นอกระเบียงแสงแดดยามเช้าส่องลงมาอบอุ่น แต่กลับไม่สามารถทำให้ใจเขาเย็นลงได้ ความรู้สึกเจ็บปวดและความเสียดาย ผสมปนเปกัน

เขาอยากให้ซันกลับมา อยากได้สัมผัสนั้นอีกครั้ง แต่เขารู้ดีว่าไม่สามารถบังคับใครให้รักเขาได้

มุมปากยังยกยิ้มขมขื่น พร้อมกับความโกรธที่ค่อย ๆ เย็นลง เมื่อนึกถึงแววตาแสนกลคู่นั้น ความขมขื่นเลือนหายไปจากรอยยิ้มบนใบหน้าเหลือเอาไว้เพียงแววตา ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยละอองแห่งความรักที่พึ่งเกิดขึ้น
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนพูดกับตัวเองแผ่วเบา
“นายหนีผมไม่พ้นหรอก...ซัน”

ออฟไลน์ khrinpi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Toxic Love club ตอนที่ 6 กฏสามเดท 27-11-68
«ตอบ #6 เมื่อ27-11-2025 22:58:06 »

Toxic Love club 
                                    ตอนที่ 6
เสียงเพลงสากลยุคต้นสองพัน ดังลอดจากลำโพงซีดี ที่ตั้งอยู่หลังอีบาร์ เสียงแตกพร่าจากแผ่นที่ผ่านการเปิดมาหลายรอบ ให้ความรู้สึกคุ้นหู แสงไฟนีออนสีชมพูอมม่วงสะท้อนผิวโต๊ะไม้เคลือบเงา บาร์เล็ก ๆ แห่งนี้ ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ และกลิ่นเหล้าที่อบอวลในอากาศ เสมือนเป็นรอยด่างของค่ำคืนที่ไม่เคยหยุดหมุน

ซันยืนอยู่ปลายเคาน์เตอร์ตรงมุมสุดหน้าบาร์ที่เขาเลือก เหมือนหลบมุมโลกได้ชั่วคราว มือข้างหนึ่งกุมแก้วเหล้า ส่วนอีกข้างกำแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ที่มีหมายเลขโทรศัพท์และข้อความ “โทรมานะ...เจ้าขุน” เขียนเอาไว้ ด้วยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน

ภาพใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มผู้นั้น ผุดขึ้นมาในความคิด ในขณะที่ภาพใบหน้าของแพทริคซ้อนทับขึ้นมาอีกชั้น เหมือนความรู้สึกส่วนลึกบอกให้เขาต้องเลือก

เขาจ้องกระดาษแผ่นเล็กอยู่นานราวกับกำลังชั่งใจ เสียงหัวเราะของผู้คนภายในอีบาร์ ดังอยู่ในความรู้สึก ก่อนที่ซันจะสูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจขยำกระดาษแผ่นนั้น แล้วโยนมันลงถังขยะข้างตัว เสียงกระดาษกระทบโลหะดังแผ่ว แต่กลับดังก้องในหัว

เขาหยิบโทรศัพท์โนเกียขึ้นมา ตัดใจแน่วแน่ ที่จะลบเจ้าขุนทิ้งไปจากความทรงจำ ภายในหัวใจร่ำร้องให้เลือกผู้ชายอีกคนที่ชื่อ แพทริค เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ  กดปุ่มโทรศัพท์ในมือจนเกิดเสียงดัง “ติ๊ก” ลอยหายไปในเสียงดนตรี เขาพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ถึงนนท์

“เรื่องเจ้าขุน กูขอยอมแพ้”

ซันกดส่ง เสียง “ตื๊ด” ดังยืนยันว่า SMS ถูกส่งออกไป เขาวางมือถือไว้ข้างแก้วเหล้า แล้วเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ สายตาจ้องไปยังบาร์เทนเดอร์ที่กำลังเช็ดแก้วอย่างไม่ใส่ใจ โลกปี 2548 ยังคงหมุนต่อไป แต่สำหรับซันเหมือนมันหยุดลงตรงนี้

เสียงรองเท้าผ้าใบเสียดสีกับพื้นไม้ดังขึ้นใกล้ตัว ก่อนที่ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวจะเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง กลิ่นโคโลญจน์ผสมกลิ่นบุหรี่ลอยแตะจมูก

“จำผมได้หรือเปล่า”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับดวงตาคมที่มองตรงเข้ามา ซันหันไปช้า ๆ และเห็นใบหน้าที่หลุดมาจากความทรงจำ

ไฟนีออนสีชมพูสาดเงาลงบนใบหน้าของผู้ที่พึ่งมาถึง ทำให้เสี้ยวหน้านั้นดูทั้งอ่อนโยนและชวนมอง

ซันขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ้วมือยังคงแตะแก้วเหล้า “ชื่อกุน ใช่ไหม”เขาตอบด้วยคำถาม ทั้งที่ท่าทางยังดูเรียบเฉย

กุนมองชายหนุ่มตรงหน้า ด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วพูดเบา ๆ แต่ชัดเจน
“ผมดีใจนะ...ที่นายยังจำผมได้”
“นั่นสิ” ซันตอบแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ  เหมือนตั้งใจจะบอกว่า ตัวเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน
“ผมไม่คิดว่าจะได้เจอนายในวันนี้” กุนพูดต่อ
“ทำไมล่ะ”
“ก็เห็นเมื่อวานนายพึ่งจะมา”
ซันยิ้มแทนคำตอบ

บรรยากาศรอบตัวเงียบลงอย่างประหลาด เหมือนเสียงเพลงและเสียงผู้คนถูกดึงออกไป เหลือแค่ซันกับกุนในโลกเล็ก ๆ  ตรงหัวมุมบาร์

ภายในอีบาร์แสงไฟสลัว ตัดกับสีฉูดฉาดของไฟนีออน ซันยืนนิ่งปล่อยให้เสียงเพลงฮิตยุคนี้อย่าง “My Humps” ดังคลอไปกับจังหวะหัวเราะของผู้คนรอบตัว กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นบุหรี่คลุ้งอยู่ในอากาศ

เขาปล่อยจอยเต็มที่กับเพื่อนใหม่ กุนชายหนุ่มผู้มีผิวขาวรับกับผมเส้นเล็กสีเข้ม ชายหนุ่มทั้งคู่คุยกันได้อย่างลื่นไหล ตั้งแต่เรื่องเพลง เรื่องหนัง จนถึงการประกวดนางงาม กุนมีวิธีพูดที่ทำให้ซันหัวเราะได้ง่าย ๆ  ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย จนเผลอหัวเราะเบาๆ ออกมา

ซันชอบในความตรงไปตรงมาและในความจริงใจที่อีกฝ่ายแสดงออก โดยไม่ต้องเสแสร้ง กุนมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับซัน ทั้งวิธีคิด มุมมอง และทัศนคติ แต่ในใจลึก ๆ เขารู้ดีว่า ความชอบนี้หยุดอยู่แค่คำว่า “เพื่อน”

ในขณะที่กุน เผลอมองซันนานเกินกว่าคำว่าเพื่อนจะอธิบายได้ ซันก็เลือกจะยิ้มตอบเหมือนเดิม ยิ้มแบบไม่ให้ความหวัง แต่ก็ไม่ตัดใจให้ขาด

หลังจากเพลงสุดท้ายเงียบลง และไฟในบาร์เริ่มสว่างขึ้น  เสียงพนักงานตะโกนไล่ให้เก็บแก้ว ในขณะที่ผู้คนทยอยออกจากอีบาร์ เกิดเสียงดังแข่งกับเสียงหัวเราะของคนเมาที่เริ่มโซซัดโซเซ

ซันกับกุนเดินเคียงกัน ออกมาสู่ถนนหน้าอีบาร์ อากาศกลางคืนปลายปีเย็นสบาย กลิ่นดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ข้างถนนลอยอ้อยอิ่งมากับสายลมช่วยล้างความขมของแอลกอฮอล์ให้จางลงได้บ้าง

กุนเดินมาส่งซัน จนถึงรถยนต์สีดำของซันที่จอดอยู่ริมฟุตบาธ
 “ขอบคุณนะที่เดินมาส่ง” ซันหันไปยิ้มพร้อมพูดต่อ “คืนนี้ ผมสนุกมาก”กุนมองใบหน้าคมคายอยู่ชั่วครู่ แววตาเต็มไปด้วยประกายบางอย่างที่ซันเลือกจะไม่อ่านต่อ เขาหัวเราะเบา ๆ
“งั้น เอาไว้เจอกันอีกนะ”

ซันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ปิดฉากคืนนี้อย่างเรียบง่าย ก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง เหยียบคันเร่ง ขับออกไป ทิ้งให้กุนยืนมองตามไฟท้ายที่ค่อย ๆ ห่างออกไป

บนถนนในช่วงเวลาที่เข็มสั้นวิ่งเข้าใกล้เลขสาม กุนขับรถยนต์คันเก่าไปเรื่อย ๆ  วิทยุในรถ เปิดคลื่นเพลงสากล สลับกับเพลงไทย ก่อนเสียงเพลง “Music Lover” จากเสียงของ มาช่า เริ่มลอยมา

“ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ อีกแล้วใจ
ก็เธอดึงดูด ขนาดนี้
ยิ่งได้ใกล้ เธอคนดี
ยิ่งมีใจ ให้เธอ มากทุกวัน”

กุนวางมือข้างหนึ่งบนพวงมาลัย อีกข้างพาดกระจกหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดผ่านปลายนิ้วที่ยื่นออกไปด้านนอก เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังฟังเนื้อเพลง หรือฟังความเงียบในหัวใจกันแน่

ทุกประโยคของเพลงเหมือนตอกย้ำ ภาพรอยยิ้มของซันในคืนนี้ รอยยิ้มที่ดูจริงใจแต่ก็มีระยะห่างพอให้เขาเข้าใกล้ได้แค่คำว่า “เพื่อน”

เขาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองอย่างขมขื่น ก่อนจะเร่งเครื่องให้ผ่านสี่แยกไฟแดงที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงมาช่ายังขับกล่อมอยู่ในรถจนถึงหน้าคอนโด พร้อมกับความรู้สึกที่กุนไม่รู้ว่าควรอธิบายกับหัวใจตัวเองอย่างไรดี

ร้านเหล้าเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ข้างห้างเซ็นทรัล สาขา ลาดพร้าวท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อม ทำให้บรรยากาศ เงียบ สงบ กว่าถนนด้านหน้า แสงไฟวอร์มไวท์สาดลงบนโต๊ะไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง กลิ่นเบียร์และกลิ่นอาหารปรุงสุกใหม่ผสมกับกลิ่นใบไม้ชื้นจากฝนเมื่อเช้า ทำให้กุนรู้สึกสบายใจ เกินกว่าที่ควรจะเป็น

เสียงเพลง เพื่อนเท่านั้น ของ แอนนา ดังคลอไปกับเสียงแก้วกระทบกันและเสียงหัวเราะของลูกค้า โต๊ะไม้กระจายอยู่เป็นมุมเล็ก ๆ  ให้ความเป็นส่วนตัว ทุกมุมมีต้นไม้หลายขนาดตั้งเรียงราย ทั้งกระถางต้นไม้ในมุมโต๊ะและกระถางพลูด่างที่เลื้อยตามกรอบระเบียง ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสวนลับใจกลางเมือง แสงไฟจากร้านสะท้อนกับใบไม้ ทำให้เกิดเงาละมุนบนพื้นไม้เพิ่มความโรแมนติก ให้กับทุกบทสนทนาที่เกิดขึ้น

กุนสวมเสื้อเชิ้ต ลายทางเข้ารูป กับแว่นสายตาล้อมกรอบสีดำ ทำให้ลุคดูเรียบง่าย และแปลกตากว่าทุกครั้ง

ซันดันประตูหน้าร้านเข้ามา ก้าวเท้าผ่านแสงไฟวอร์มไวท์ที่สาดลงบนโต๊ะไม้เก่า กลิ่นเหล้า กลิ่นเบียร์ ผสมกลิ่นใบไม้เปียกชื้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ขณะที่สายตามองไปยังกุนที่นั่งอยู่มุมหนึ่ง

“สวัสดี กุน” ซันมองผู้ที่นั่งตรงหน้าพลางอมยิ้ม
“สวัสดี ซัน” กุนทักบ้างพลางมองสำรวจตัวเอง เพราะสายตาขบขันของอีกฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่า” กุนถาม
“เปล่า วันนี้ลุคนายดูแปลกตาดี ดูเหมือนคนละคนกับเมื่อคืนเลย”

รอยยิ้มของกุนปรากฏบนใบหน้า แม้จะพยายามทำตัวเป็นแค่เพื่อนแต่สายตายังคงลอบมอง ใบหน้าคมคายอย่างชื่นชม
 “ผมแค่อยากลองเปลี่ยนบ้าง ให้แต่งตัวเหมือนเดิมทุกวัน น่าเบื่อแย่”
ซันหัวเราะ พลางนั่งลงตรงข้าม “จริงด้วย แต่ผมว่าลุคนี้ ทำให้นายดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ”

กุนยิ้มมุมปาก หยิบแก้วเบียร์ขึ้นแตะกับแก้วของซัน
 “โอเค ผมยอมรับคำชม ถึงมันจะฟังดูเหมือนนายกำลังจะบอกว่าผมแก่ก็ตาม” กุนหัวเราะในลำคอ
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ” ซันร้องเสียงสูง
กุนมองด้วยความแปลกใจ
“ไม่ยักรู้ ว่านายก็มีมุมนี้ด้วย นึกว่ามีแค่มุมเรียบนิ่งและเย็นชาเท่านั้น”
 “ผมแค่ทำตัวเป็นซันไง ไม่ได้ตั้งใจทำตัวเย็นชาเลยสักนิด”

กุนโน้มตัวเล็กน้อย แววตาเป็นประกาย ราวกับอยากบอกความในใจให้อีกคนได้รับรู้
 “ความจริงผม ชอบนะ เวลานายทำตัวนิ่งๆ แบบนั้น”
ซันย่นคิ้ว ทำหน้าขึงขัง “ชอบ อะไร กุน” คนถูกถามหัวเราะเสียงดังกลมกลืนไปกับเพลงป็อปยุค 2548 ที่กำลังคลอแผ่วเบา
 “ไม่มีอะไรหรอก ผมมันแค่พวกชอบเรียกร้องความสนใจ”

ซันถอนหายใจ ปัดสายตาไปทางอื่น รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังจคิดไปไกล ชายหนุ่มจึงรีบสร้างกำแพงกั้นเอาไว้ให้ชัดเจน
 “ดื่มเถอะ” ซันยกแก้วขึ้นชน ก่อนดื่มจนหมดแก้ว
กุนพยักหน้า แต่อารมณ์ในแววตายังคงอ่อนไหว
“เพื่อเรา” กุนบอกพลางยกแก้วดื่มบ้าง

ซันกัดริมฝีปาก เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายที่อยากมอบให้ หากแต่ก็พยายามยึดเส้นแบ่งให้ชัดเจน
กุนยิ้มอย่างรู้ทัน เลื่อนแก้วมาชนแก้วของซันอีกครั้ง
“หมดแก้ว”

แม้บทสนทนาจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และความเป็นมิตรที่ชัดเจนแต่ซันสัมผัสได้ถึงความพยายามของกุน ที่อยากเข้าใกล้เขามากกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนกุนเองก็รู้สึกชอบความนิ่งและความเย็นชาของอีกฝ่าย จนยากที่จะละสายตาและหยุดความรู้สึกกับชายหนุ่มตรงหน้าแค่คำว่า “เพื่อน”

เสียงเพลงจากดีเจกลางอีบาร์ ค่อย ๆ เบาลง เมื่อซันกับกุนเข้ามายืนที่โต๊ะทรงสูง ทั้งสองสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มบทสนทนา

กุนหัวเราะ ขณะหยิบแก้วขึ้นดื่ม “จริง ๆ นะ ซัน ผมไม่คิดเลยว่าคนอย่างนายจะชอบดูการประกวดนางงาม”

ซันยักคิ้วพร้อมรอยยิ้ม “มันสนุกดีนะ แต่มากกว่านั้นคือผมชอบเรียนรู้บุคลิกของคน เพราะมันสามารถนำมาปรับใช้กับงานของผมได้”

กุนพยักหน้าอย่างสนใจ “แต่ผมชอบดูทัศนคตินางงาม ตอนตอบคำถามมากกว่า สำหรับผมความฉลาด สามารถสร้างเสน่ห์ได้มากขึ้น”

ซันหัวเราะ “สำหรับผมความมั่นใจ ก็สำคัญมากนะ”
กุนเลื่อนสายตามองซัน คราวนี้เต็มไปด้วยความสนใจจริงจัง
 “แล้ว นายชอบคนที่มั่นใจ แบบไหนล่ะ”

ซันถอนหายใจ แววตากลับมาเย็นชาอีกครั้ง แต่ก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา “คนที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่ต้องพยายามทำ ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น”

กุนหัวเราะในลำคอ พลางโน้มตัวเข้ามาใกล้ “ฟังนายพูดแล้ว ทำให้ผมอยากเห็นผู้ชายที่จะมาเป็นตัวจริงของนาย”

ภาพชายหนุ่มลูกครึ่งไทย–ฝรั่งเศส ผุดขึ้นมาในความคิดของซัน แต่ใจเขากลับตั้งคำถามแล้วถ้าเป็น แพทริค ล่ะ จะสามารถเป็นตัวจริงของเขาได้หรือเปล่า

เสียงเพลงเบา ๆ คลออยู่รอบโต๊ะ ในขณะที่ซันกับกุนกำลังคุยกันอย่างถูกคอ ชายหนุ่มร่างสันทัดก็เดินตรงเข้ามาและหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสอง
“สวัสดี ซัน เจอกันอีกแล้วนะ” ซันไม่ตอบยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแบบเฉยชา
“สวัสดี ผมชื่อ ช้าง” เขาหันไปแนะนำตัวกับกุน
“เป็นเพื่อนซัน ใช่ไหม” กุนถาม

ผู้ถูกถามไม่ตอบ นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนหันไปพูดกับซันแทน
“ทำไม นายไม่รับโทรศัพท์ผมเลย” คนพูดขยับเข้ามาใกล้
“ผมโทรหานายทุกวันแต่นายก็ไม่เคยรับ” ซันไม่ตอบ กลับยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง ราวกับช้างไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
ท่าทางเย็นชาของซัน ทำให้กุนต้องเบือนหน้าไปมองช้าง ชายหนุ่มผู้นั้นกำมือแน่น เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดัง แข่งกับม่านเสียงเพลง

“ซัน…ผมชอบนาย” ช้างสารภาพด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

ในขณะที่ซันยังนิ่งเฉย เหมือนกับชินชากับการที่มีคนมาสารภาพความจริงเช่นนี้ เขาไม่ได้มองหน้าช้างด้วยซ้ำไป

ฝั่งกุน ยืนนิ่ง มือเกาะแก้วเครื่องดื่มไว้แน่น เขามองซันด้วยสายตาชื่นชมก่อนหันไปมองช้าง รู้สึกถึงความอิจฉาเล็ก ๆ ในความกล้าเผยความในใจของช้าง เพราะความจริงกุนก็อยากสารภาพความรู้สึกกับซันเหมือนกัน แต่หากยังไม่มีความกล้าเพียงพอจะทำเช่นนั้น

ช้างเห็นสีหน้าและท่าทีของซัน เขากลืนน้ำลายลงคอ พยายามจ้องตาของอีกฝ่าย “ผมหมายความ อย่างที่พูดจริง ๆ นะ  ผมชอบนายมาก”

ซันยังยืนนิ่ง สายตาไหลไปมองกุน ที่ยืนอยู่ด้านข้าง อยากจะปฏิเสธและไล่ช้างไปให้พ้น ๆ แต่ก็กลัวกุนจะมองว่า เขาเป็นคนใจร้ายจนเกินไป
ในขณะที่แววตาของกุน กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายกว่านั้น ทำให้ซันรู้สึกถึงแรงดึงดูดจากทั้งสองทางที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งกุนและช้าง กุนอดชื่นชมในบุคลิกที่โดดเด่นชัดเจนของซันไม่ได้ เขาพยายามบอกให้ตัวเองคิดกับซันแค่เพื่อน แต่ยิ่งมองความรู้สึกของเขายิ่งชอบซันมากขึ้น

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางยกแก้วขึ้นแต่ไม่ได้ชนกับใคร เขาแอบขำในใจ รู้ว่าตัวเองต้องใช้ความกล้าอีกมาก ถึงจะกล้าสารภาพความรู้สึก เหมือนที่ช้างพึ่งทำลงไป

ซันคิดในใจว่า บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นการปฏิเสธที่ไม่ดูใจร้ายจนเกินไป เขาหันมามองช้าง ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
 “ถ้านายซื้อดอกกุหลาบสีแดงให้ผม 9,999 ดอกในวันวาเลนไทน์ ผมจะยอมคิดดู”

ช้างหน้าชาวูบ รู้ดีว่าประโยคนั้น เป็นเพียงการบอกปัด แต่เขายังฝืนยิ้ม
“ได้...ผมทำได้ ผมจะทำให้นายเห็นว่า ผมจริงจังแค่ไหน...”

ซันยกมือไล่ช้างให้กลับโต๊ะไปราวกับรำคาญเต็มที ช้างเดินจากไปแต่ภายในใจยังเต็มไปด้วยความต้องการอยากเอาชนะ และที่เหนือกว่านั้น คือความมุ่งมั่นที่จะพิชิตหัวใจของซัน เขาชอบซันมาก และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

ซันหันมาคุยกับกุน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายิ้มและหัวเราะเบา ๆ ทำให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลง แต่ในขณะเดียวกัน กุนกลับกำลังรู้สึกว่าภาพของซันตรงหน้าช่างเย็นชา ลึกลับ เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ล้นเหลือ

กุนมองซันด้วยใจเต้นแรง เขาพยายามฝืน ทำตัวเป็นแค่เพื่อน แกล้งหัวเราะ แกล้งพูดคุยเรื่องงาน แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองซันอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกชอบเพิ่มพูนภายในใจ มันมากพอที่จะเลิกหลอกตัวเองอีกต่อไป หากแต่เสน่ห์จากรอยยิ้มและความเย็นชาบนใบหน้าคมคายทำให้กุนรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนขอบหน้าผา

“ใจเย็นไว้นะกุน ยังไม่ใช่วันนี้”กุนคิดในใจ กลัวว่าถ้าสารภาพว่าชอบซันไปจริง ๆ เขาอาจต้องเจอกับการปฏิบัติที่แสนเย็นชาแบบที่ซันพึ่งทำกับช้าง ต่อหน้าเขา แต่ในใจลึก ๆ กุนก็รู้ดีว่าความรู้สึกนี้ มันชัดเจนเกินกว่า จะเก็บไว้เป็นเพียงเพื่อนอีกต่อไป

ซันขับรถมาส่งกุน ที่คอนโดย่านสุขาภิบาลสาม รถจอดลงตรงฟุตบาธ กุนเปิดประตูลงมาแล้วเดินมาฝั่งคนขับ ซันเลื่อนกระจกลง กุนเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
 “ขึ้นไปก่อนไหม”
ซันหัวเราะเบา ๆ พลางพูดติดตลก
 “ผมไม่ขึ้นห้องกับใคร ถ้ายังเดทกันไม่ครบสามครั้ง”

คำพูดนั้นเป็นเพียงมุกขบขันของซัน แต่กุนกลับคิดจริงจังจนหัวใจเต้นแรงความหวังและความตื่นเต้นผสมกันอย่างแปลกประหลาด
ชายหนุ่มกระซิบกับตัวเอง ภายในใจ
“แค่สามเดท ผมรอได้ ซัน”

กุนยืนอยู่ที่ประตูคอนโด สายตาจับจ้องไปที่ไฟท้ายรถของซันที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืด ทุกความรู้สึกยังวิ่งวนอยู่กับคำพูดนั้น ก่อนถ้อยคำของซันจะฝังรากลึกลงไปในความคิด

เขากัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มที่อยากจะเผยออกมา กุนค่อย ๆ ถอนหายใจ พยายามเก็บความหวังไว้ให้ตัวเอง พลางคิดถึงรอยยิ้มและสายตาเรียบเฉยของซัน

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในคอนโดไขกุญแจเข้าห้อง หากชะงักอยู่ตรงโซฟาเงยหน้ามองเพดาน สายลมเย็นจากหน้าต่างพัดเข้ามาแต่ความรู้สึกภายในใจกลับอบอุ่นและหวั่นไหวไปพร้อมกัน

ไม่รู้ว่าซันจะคิดอย่างไร หรือว่าเขาจะทำให้ซันรำคาญ แต่ความจริงเพียงอย่างเดียวที่ชัดเจนคือเขาอยากเจอซันอีก และอยากอยู่ใกล้ชิดซันให้มากขึ้น

กุนลูบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ครุ่นคิดว่าควรส่งข้อความไปหาซันหรือไม่ควรส่งไปดี แต่สุดท้ายเขาแค่ยิ้มกับตัวเอง อย่างน้อยความหวังเล็ก ๆ แอบเติบโตในใจของเขา ท่ามกลางความเงียบของคอนโด ที่เต็มไปด้วยกลิ่นความทรงจำจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้

ซันขับรถออกจากคอนโดกุน เสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วเหมือนกำลังขับกล่อม ภายในหัวใจของเขา ถนนด้านหน้ามืดและเงียบ สายตาของชายหนุ่มมองไปยังไฟสลัวของตึกสูงที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน

เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองที่พูดเรื่องกฎสามเดทขึ้นมา ซึ่งมันอาจจะทำให้กุน กำลังเข้าใจผิดและรอคอยอะไรบางอย่างจากเขา

ซันถอนหายใจ ยกมือขึ้นตบพวงมาลัยแผ่วเบา ความจริงกฎสามเดทมันเคยเป็นเรื่องจริงในชีวิตของเขา หากแต่ไม่ใช่กับกุนเพราะเขาต้องการจริงๆ  ที่จะเป็นเพื่อนกับกุนเท่านั้น

เขากลัวว่าเมื่อเขาไปสร้างความหวังให้ชายหนุ่มผู้นั้น กุนอาจจะปฏิเสธคำว่าเพื่อนจากเขา
“ทำไมเรื่อง มันซับซ้อนขนาดนี้” ซันถอนหายใจ พลางพูดกับตัวเอง

จนกระทั่งชายหนุ่มขับรถมาจนถึงคอนโด ซันจอดรถในที่จอดรถประจำทอดสายตามองไฟสลัวที่สะท้อนบนพื้นปูน เขาเปิดประตูรถออกมาเดินช้าๆ เข้ามาภายในคอนโด กดลิฟท์ขึ้นไป

ก้าวเข้าไปในห้องที่คุ้นเคย ทุกอย่างเงียบสงบ สายลมเย็นจากประตูหลังพัดเข้ามา ทำให้หัวใจเย็นลงเล็กน้อย แต่ความคิดเกี่ยวกับกุนยังถาโถม เข้ามาไม่จบสิ้น

ซันถอดเสื้อยืดออก ก้าวไปหยิบแก้วน้ำแล้วเปิดตู้เย็นรินน้ำลงในแก้วเขายกน้ำขึ้นดื่มจนหมด แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ

ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าคมคายของตนเองที่สะท้อนอยู่ภายในกระจกเงา พลางคิดว่า นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมต้องใส่ใจกุนมากกว่าที่ควรจะเป็น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด