Ginie Gin: Break the Curse จินนี่จิน คำสาปซ่อนรัก ๑๕ (7/03/2568)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Ginie Gin: Break the Curse จินนี่จิน คำสาปซ่อนรัก ๑๕ (7/03/2568)  (อ่าน 3677 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2025 18:30:31 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้ เรารักเธอมากเท่าไหร่ ทุ่มเทให้เธอมากกว่าใคร เธอมาหลอกเราแบบนี้ได้ยังไง ทำกับเราได้ลงคอ” เด็กหนุ่มพูดได้แค่เพียงเท่านั้น ปลายสายก็ชิงวางหูไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทั้งสิ้น ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ ที่ตอนนี้ไม่มีใครรอบข้างเลย ต้องร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง 

“เสียใจเรื่องอะไร ฮึ เรา” มีเสียงหนึ่งถามขึ้น แทรกเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ออกมาอย่างเสียอกเสียใจนั้น เด็กหนุ่มหันไปมองทางต้นเสียง พบว่าเป็นชายสูงวัยคนหนึ่ง ดูท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ค่อยแข็งแรง กำลังมองมาทางเขา และค่อย ๆ ขยับเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

“ว่าไง” เสียงชายชราถามซ้ำ เด็กหนุ่มเลื่อนตัวไปจนชิดที่เท้าแขนอีกฝั่งของม้านั่ง ชายชรายิ้มใจดี ก่อนจะค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่ง่ ชิดที่พักแขนอีกด้านหนึ่ง “วัยอย่างพวกเธอ ถ้าจะให้เดา ก็คงจะเป็นเรื่องความรักสินะ” เด็กหนุ่มเหลือบตามองไปที่ชายชรา แต่ยังไม่พูดอะไร เห็นเพียงแต่ผู้สูงวัยยิ้มให้อยู่แบบนั้น

“ไปพูดไม่ดีกับเขาก่อนหรือเปล่า ทำตัวแย่ ๆ ขี้วีนขี้เหวี่ยงไปเสียทุกเรื่อง” ยังไม่ทันที่ชายชราจะพูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็ชิงพูดสวนขึ้นมาเสียก่อนว่า “ไม่จริงนะ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น เขาต่างหากที่ทำกับผมแย่ ๆ เขาบอกชอบผม แต่ก็ยังไปมีคนอื่นอีก” กว่าจะรู้ตัวว่า ถูกชายชราหลอกให้พูดความในใจออกมา เด็กหนุ่มก็พรั่งพรูออกมาจนหมด

“ใช่เรื่องความรักจริง ๆ ด้วย” เด็กหนุ่มแปลกใจ ที่เสียงของชายชรา ฟังดูดีใจแบบนั้น “ฉันช่วยเธอได้นะ” ชายชราพูด พร้อมกับยื่นสิ่งที่ถืออยู่ในมือ ส่งให้กับเด็กหนุ่ม “รับมันไปสิ” เด็กหนุ่มส่ายหน้า มือทั้งสองข้างบีบกันไว้แน่น ไม่ยอมรับของที่อยู่ในมือชายชรา

“มันช่วยเธอได้จริง ๆ นะ โดยเฉพาะเรื่องความรัก ฉันจะบอกวิธีใช้มันให้ถูกต้องกับเธอ” ชายชรายืนยัน แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้า พร้อมทั้งผุดลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้น “ผมไม่รับของจากคนแปลกหน้า อย่ามายุ่งกับผม ถ้าคิดว่าหน้าตาผมดูหลอกง่าย แล้วจะเอาตะเกียงบ้าบออะไรนี่มาพูดให้ผมเชื่อล่ะก็ คิดผิดเสียแล้ว” เด็กหนุ่มตะโกนใส่หน้าชายชรา พร้อมทำท่าจะเดินจากไป

“เธอบอกว่า เธอเห็นของในมือนี่เป็นอะไรนะ” ชายชราตะโกนไล่หลังไป ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มหยุดวิ่ง ก่อนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย ก่อนจะได้ยินเสียงด่าทอโวยวายสลับกันไปมาระหว่างเด็กหนุ่มกับคนที่อยู่ปลายสาย เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินแฟนของเขาบอกเลิกมาแบบนั้น พลันชายชรา เห็นเด็กหนุ่มวิ่งตรงมาหาเขา ก่อนจะดึงเอาของที่อยู่ในมือไป

“ไหน มันต้องทำยังไง มันต้องเอามือถู ๆๆ แบบนี้ใช่มั้ย” ชายชราไม่ทันจะได้บอกกล่าวอะไรกับเด็กหนุ่มอย่างที่ตั้งใจไว้ เด็กหนุ่มก็ใช้มือถูไปตามส่วนต่าง ๆ ของตะเกียงอย่างคนกำลังโกรธเกรี้ยว “ใจเย็น ๆ ก่อน อย่าทำแบบนั้น ให้ฉันบอกวิธี” ชายชราพยายามพูดบอก แต่เด็กหนุ่มที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย ไม่ฟังอะไรชายสูงวัยทั้งนั้น

“ถ้ามันได้ผลจริง ฉันขอให้ตะเกียงนี่ ทำให้แฟนของฉันตาย ๆ ไปเลย ตายไปยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ชายชราได้ยินเด็กหนุ่มพูดแบบนั้น ก็ได้แต่ร้องเสียงหลงออกมา เด็กหนุ่มเขวี้ยงสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าเป็นตะเกียงออกจากมือ ก่อนที่ทั่วทั้งบริเวณนั้นจะสว่างจ้าขึ้น “โยนกันแบบนี้ ไม่น่ารักเลยนะ” เด็กหนุ่มเผลอร้องตกใจเสียงดังลั่น เมื่ออยู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

“จิน” ชายชราเรียกผู้ที่มาใหม่ออกไป “แหม อีกนิดเดียวเท่านั้นเองนะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าจิน มองไปทางชายชรา ก่อนจะยิ้ม เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ “ติ๊ก เธอคิดว่าเธอจะชนะฉันได้สินะ อุตส่าห์ยอมเสียสละตัวเอง ไม่ยอมมีความรัก ยอมแม้กระทั่งให้ตัวเองถูกสูบพลังชีวิตไปจนดูแก่เฒ่า ทั้ง ๆ ที่เธอยังอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ” จินพูดจ้องหน้าชายชรา โยนตะเกียงในมือไปมาซ้ายขวา ก่อนจะพลิกมือทั้งสองขึ้นชู ให้ทั้งชายชราและเด็กหนุ่มดู ว่าตะเกียงนั้นหายไปแล้ว

“แต่น่าเสียดาย” จินชี้นิ้วไปทางเด็กหนุ่ม “เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเธอเนี่ย ติ๊ก” จินทำท่าถอนหายใจ สีหน้าเห็นอกเห็นใจเสียเต็มประดา “ช่างโง่เขลาสิ้นดี ใช้อารมณ์นำหน้า ด้อยปัญญาปานนั้น” จินพูดจบ ก็ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับว่าเรื่องราวตรงหน้ามันช่างน่าหัวร่อเสียเต็มประดา

“เธอแก่ลงไปมากจริง ๆ จากครั้งนั้นที่เราเจอกัน” ติ๊กน้ำตาคลอหน่วย ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาใกล้จะทำภารกิจสำเร็จแล้วเชียว “มนุษย์ด้วยกัน พึ่งพา ไว้ใจกันไม่ได้หรอกนะ ติ๊ก” จินพูดจบ ก็หันไปมองทางเด็กหนุ่ม ที่ตอนนี้ยืนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตัวสั่น ก้าวขาไม่ออกอยู่อย่างนั้น

“เธออยากจะจากไปก่อน หรือจะรอดูฉันจัดการกับคำขอของเจ้าหนูคนนี้ก่อนดี” ชายชราปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม “ไม่หรอกนะ จะตอนนี้ตอนไหน ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่มีวันได้พบกับผู้ชายคนนั้น คนที่เธอเสียสละชีวิตเพื่อเขาหรอก” จินมองหน้าติ๊ก ก่อนจะแตะลงที่หน้าผากของติ๊ก แล้วร่างของชายชราก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงไป

“เอาล่ะ” จินหันมายิ้มโชว์เขี้ยวคมให้เด็กหนุ่มได้เห็น “เรามาว่าเรื่องของเรากันบ้างดีกว่า” จินทำเสียงเห็นใจ เมื่อเห็นว่า เด็กหนุ่มกลัวจนลนลานไปหมด “กลัวอะไรขนาดนั้น” จินเดินไปหยุดยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่ม ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มน้ำตาไหลพรากไม่หยุด

“เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ ยิ่งเร็วยิ่งดีใช่มั้ย แบบเจ็บนิด ๆ แทบไม่รู้สึกอะไรเลย” จินทำท่าทำทาง สีหน้าขอคำยืนยันจากเด็กหนุ่ม “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแบบนั้น ยกเลิก ผมขอยกเลิก” เด็กหนุ่มละล่ำละลักบอกกับจิน เสียงอ้อนวอน หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายชรากับตาตัวเองแบบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องคิดให้ดีก่อนจะปากพล่อยพูดอะไรออกมา” เสียงของจินดังกึกก้องด้วยพลังแห่งความน่าหวาดกลัว เด็กหนุ่มยิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้น มองเห็นแววตาอันโหดเหี้ยมน่ากลัวของจิน ที่ดูเหมือนมนุษย์แทบทุกกระเบียดนิ้ว อย่างแยกไม่ออก แต่ในความจริง นี่คือตัวอะไรกันแน่ เด็กหนุ่มบอกไม่ได้จริง ๆ

“พรที่เธอขอ จะสำเร็จใน ณ บัดนี้” จินแตะนิ้วลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม รู้ตัวอีกที ภาพตรงหน้าของเด็กหนุ่ม เหมือนภาพนิมิต เหมือนความฝัน เด็กหนุ่มเห็นจินเดินไปหาแฟนของเขา และเมื่อแฟนหนุ่มของเขาหันมาดูว่า มีใครเดินตามหลังมา ขณะที่กำลังจะเปิดประตูรถยนต์ 

ภาพก็ตัดมาอีกที แฟนหนุ่มนั่งอยู่ที่ด้านหลังพวงมาลัยรถยนต์ โดยมีจินนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง คอยกระซิบที่ข้างหู ให้เขาเหยียบคันเร่ง เร็วขึ้นอีก และเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีก เด็กหนุ่มกรีดร้อง พยายามที่จะตะโกนห้าม แต่ก็ดูจะไร้ผล แฟนหนุ่มของเขาที่น้ำตาไหลนองหน้า กลัวจนสุดขีด แต่ดูจะห้ามตัวเองไม่ได้ ก่อนที่รถยนต์คันงาม จะพุ่งอัดเข้ากับเสาไฟฟ้าจนพังยับ

“นี่คือสิ่งที่เธอขอเอาไว้ ฉันทำตามที่เธอว่าไว้เรียบร้อยแล้วนะ ยินดีให้บริการ” จินพูด โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเสียใจอย่างหนักของเด็กหนุ่ม จินสูดอิสรภาพเข้าไปจนเต็มปอด พันธนาการอันยาวนาน มันเหมือนถูกปลดเปลื้องลงไปจนเกือบหมด

“เธอเหลือพรอีกสองข้อนะ พร้อมจะขอเลยหรือยัง” จินมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าและแววตาอ่อนโยน “ไม่เอาแล้ว ไม่อยากได้อะไรแล้ว” เด็กหนุ่มคร่ำครวญ ความโศกเศร้าเสียใจทวีคูณ เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้ “แต่ถ้าเธอไม่ขอ เธอจะเหลือเวลาบนโลกใบนี้แค่อีกสองวันนะ จะเอาอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มมองมาที่จินทั้งน้ำตานองหน้า

“แล้วพ่อแม่ของเธอจะอยู่ยังไง คิดบ้างหรือเปล่า” จินพูดเอียงคอมอง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเริ่มดูลังเล “เธอไม่อยากให้พ่อแม่ของเธอต้องเสียใจใช่มั้ย” จินพูดอีก ด้วยอาการทำท่าทีเข้าอกเข้าใจเด็กหนุ่มอย่างที่สุด “ให้ความเสียใจนี้ เป็นของพ่อแม่คนอื่นดีกว่าเนอะ เธอว่ามั้ย” จินถาม “เธอเห็นแก่ตัว แต่เธอจะรอดนะ” มองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่ม 

“แต่พรสองข้อที่เหลือ มันมีข้อแม้อยู่ว่า” จินยิ้มโชว์เขี้ยวคม “เมื่อทุกอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่าย” จินมองหน้าเด็กหนุ่ม ความหวาดกลัวในนั้น ทำให้จินรู้สึกจิตใจเหมือนถูกชโลมด้วยน้ำอมฤต มันทำให้จินรู้สึกชื่นชอบเวลาแบบนี้อย่างที่สุด

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Genie In a Bottle - Christina Aguilera

https://www.youtube.com/watch?v=kIDWgqDBNXA



I feel like I've been locked up tight

ฉันถูกจองจำพันธนาการแน่นหนา

For a century of lonely nights

ผ่านศตวรรษแห่งค่ำคืนเดียวดายอันยาวนาน

Waiting for someone to release me

รอคอยใครสักคนมาปลดปล่อยมัน

You're lickin' your lips and blowin' kisses my way

เธอเลาเลียริมฝีปาก ส่งจูบแผ่วเบาผ่านมา

But that don't mean I'm gonna give it away

แต่นั่นอาจะยังไม่ให้ฉันยินยอมพร้อมใจ



Oh (My body's sayin', "Let's go")

กายาฉันอาจคุกรุ่นไฟปรารถนา

Oh (But my heart is sayin', "No, no")

แต่หัวใจนั้นเล่าห้ามปรามหยุดยั้ง



If you wanna be with me

หากว่าเธอต้องการกัน

Baby, there's a price to pay

มันมีบางอย่างที่จะต้องแลก

I'm a genie in a bottle

ฉันคือจินนี่ในขวดแก้ว

You gotta rub me the right way

เธอต้องถูถันให้เหมาะวิธี

If you wanna be with me

หากเธอต้องการตัวฉัน

I can make your wish come true

ฉันจะทำให้เธอสมหวัง

You gotta make a big impression

เธอแค่ต้องทำให้จิตประทับมั่น

Gotta like what you do

ฉันต้องพึงใจสิ่งที่เธอทำ



I'm a genie in a bottle, baby

ฉันคือจินนี่ในขวดแก้ว

You gotta rub me the right way, honey

เธอต้องขัดขยับให้ถูกต้อง

I'm a genie in a bottle, baby

ฉันคือจินนี่ในขวดแก้ว

Come, come, come on and let me out

มาสิ มาเลยปลดปล่อยฉันออกไป



The music's bangin' and the lights down low

ดนตรแดงก้อง แสงไฟหรี่ลง

Just one more dance and then we're good to go

เต้นรำอีกเพียงหนึ่งเพลง พลันพร้อมจะเดินหน้าต่อ

Waiting for someone who needs me

รอคอยใครคนนั้นที่ต้องการฉัน

Hormones racin' at the speed of light

ฮอร์โมนพลุ่งพล่านดุจแรงแสงสาดส่อง

But that don't mean it's gotta be tonight

แต่อาจไม่ใช่ค่ำคืนนี้ที่ต้องลงเอยกัน



Oh (My body's sayin', "Let's go")

กายาฉันอาจคุกรุ่นไฟปรารถนา

Oh, ooh (Mm, but my heart is sayin' no, but my heart is sayin', "No, no")

แต่หัวใจนั้นเล่าห้ามปรามหยุดยั้ง ยังก่อน



If you wanna be with me

หากว่าเธอต้องการกัน

Baby, there's a price to pay

มันมีบางอย่างที่จะต้องแลก

I'm a genie in a bottle

ฉันคือจินนี่ในขวดแก้ว

You gotta rub me the right way

เธอต้องถูถันให้เหมาะวิธี

If you wanna be with me

หากเธอต้องการตัวฉัน

I can make your wish come true

ฉันจะทำให้เธอสมหวัง

Just come and set me free, baby

แค่เข้ามาแล้วให้อิสรภาพแก่กัน

And I'll be with you

แล้วฉันจะยอมเป็นของเธอ



I'm a genie in a bottle, baby

ฉันคือจินนี่ในขวดแก้ว

Come, come, come on and let me out

เข้ามา ตรงมา ปลดปล่อยให้อิสระแก่ฉัน

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“ร้องไห้พอหรือยัง” จินจงใจถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายต่อหน้าเด็กหนุ่ม ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้น ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แถมอาการตกใจกับภาพที่จินทำให้เห็นน ยังคงส่งผลกับเขา อาการตัวสั่นเทาจากความหวาดกลัว และความเสียใจยังไม่ทันจางหายไปไหน

“เธอชื่ออะไร” จินถามเด็กหนุ่ม ที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง แบบไม่อยากจะพูดด้วย “ฉันถามว่าเธอชื่ออะไร” เสียงของจินในครั้งนี้ ฟังดูเยือกเย็น และทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปในอก “ณช ผมชื่อณช” เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา จินใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

“พรข้อที่สองที่เธอต้องการคืออะไร บอกฉันมาได้เลย” จินถามณชออกไป เมื่ออีกฝ่ายมองเขาด้วยดวงตาที่ยังเปื้อนน้ำตาอยู่ จินก็ยิ้มโชว์เขี้ยวคมให้อีกฝ่ายเห็น “ไม่เอาแล้ว ผมไม่ต้องการพรอะไรนั่นแล้ว” ณชพูดพลางส่ายหน้าทั้งจากความรู้สึกหวาดกลัวและสะเทือนใจไปพร้อม ๆ กัน

“นี่เธอไม่ได้ฟังวิธีการจากติ๊กเลยงั้นหรือ” จินถามกลั้วหัวเราะ “เขาไม่ได้บอกเธอหรือยังไง ว่าเงื่อนไขมีอะไรบ้าง” ได้ยินจินพูดออกมาแบบนั้น ณชทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ผมไม่ยอมฟังตอนคุณตาคนนั้นพูด ตอนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม” จินยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มสารภาพออกมาแบบนั้น

“โถ” เสียงพูดทำทีว่าเห็นใจ แต่เสียงหัวเราะแสดงถึงความสะใจ “เอาล่ะ ถึงยังไง เธอก็ต้องขอพรที่เหลืออีกสองข้ออยู่ดี” จินพูดด้วยท่าทีร่าเริง “โดยมีข้อแม้ว่า เมื่อเธอเริ่มพรข้อหนึ่งด้วยความชั่ว” จินจ้องหน้าณชเขม็ง “ข้อต่อไป เธอต้องขอในเรื่องที่ชั่วมากกว่าเดิม” ก่อนจะยิ้มหวานให้อีกฝ่าย ด้วยอาการจงใจล้อเลียน

“ไม่เอา” ณชแทบจะร้องบอกออกมาในทันที “ผมไม่อยากให้ใครตายอีกแล้ว” ญชส่งเสียงเหมือนจะอ้อนวอนอีกฝ่าย “ผมไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว ได้โปรด” ภาพรถยนต์คันนั้นที่พุ่งเข้าหาเสาไฟฟ้าด้วยความเร็วสูง ยังไงติดตาญชแบบยากที่จะลืม

“เธอไม่ได้ฆ่าใครสักหน่อยณช เป็นที่ฉันต่างหาก ที่ทำให้เธอได้สมหวัง โดยที่มือเธอไม่ต้องเปื้อนเลือด” จินพูดออกตัวให้กับณช “เธอคิดมากไปแล้ว ใจเย็น ๆ ก่อน” ใบหน้าที่ดูจริงใจของจินที่ณชเห็น กำลังบอกกับเด็กหนุ่มว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของเขาแต่อย่างใด

“เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ คนที่ต้องจากเราไป เป็นพวกที่ใจร้ายกับเธอทั้งนั้น คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดทั้งนั้น แฟนของเธอที่นอกใจเธอ ถูกมั้ย” พอคิดถึงเรื่องนี้ ณชก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในใจ “ส่วนติ๊ก นี่เธอไม่เห็นจริง ๆ หรือ ว่าแทนที่ติ๊กจะรีบบอกเธอว่าเงื่อนไขการขอพรนี่มันคืออะไร” จินทำน้ำเสียงผิดหวังและโกรธติ๊กแทนณช

“มันมีเงื่อนไขแบบไหน เธอก็ต้องมาตกที่นั่งลำบากซะแล้ว จริงมั้ยล่ะ ถ้าเขาบอกเธอตั้งแต่แรก เธอก็คงตัดสินใจอะไรอย่างอื่นไปแล้ว” จินยิ้มหวานโชว์เขี้ยวคมให้ณชได้เห็น สายตาของจินจับจ้องไปที่ท่าทางของณชในตอนนี้ ที่ดูอ่อนลงกว่าเมื่อครู่

“ฉันน่ะ เข้าใจเธอนะ” จินพูดต่อ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่อย่างใด “ใคร ๆ ก็มองว่าฉันมันเป็นพวกร้ายกาจ โหดเหี้ยม แต่เธอก็เห็นและเข้าใจดีนี่ การจะกำจัดคนเลวให้ออกไปจากชีวิตเรา มันก็ต้องใช้ความเด็ดขาดเท่านั้น ถ้าเธอจะมองฉันในมุมนี้ ฉันมันก็คือผู้กวาดล้างคนเลว ๆ ให้เธอนะ” จินมองลึกเข้าไปในดวงตาของณช

“ในมุมกลับกัน ฉันคือคนที่ช่วยเธอปลดปล่อย ถูกมั้ย จากอะไรก็ตามที่มันทำร้ายเธออยู่ ใครจะรู้ล่ะ ว่าแฟนของเธอจะทำอะไรเลวร้ายมากกว่านี้กับเธอตอนไหน กำจัดไปให้พ้นทางได้ ชีวิตเธอก็ง่ายขึ้น” จินรู้สึกกระหยิ่มในใจ ที่มองเห้นความลังเลโลเลในแววตาของเด็กหนุ่ม

“อีกอย่างนะ” อาการยิ้มย่องในจของจิน เผยออกมาตรง ๆ ให้ณชได้เห็น “ว่าแต่ว่า เธอมาทำอะไรที่สวนสาธารณะนี้ตั้งแต่แรกหรือ” ไอ้อาการซ่อนขำของจิน มันกลับทำให้ณชรู้สึกหน้าชาดิก อาการเดียวกันกับคนที่ถูกจับได้ ว่าไปทำอะไรที่น่าอายมา 

“ที่หลังห้องน้ำเก่า ๆ เหม็น ๆ นั่นน่ะ ใครที่เธอคุกเข่าตรงหน้าเขา ฮึ” จินยิ้มหวาน มองดูณชออกอาการไปไม่ถูก “เธอพูดว่าไงนะ แฟนเธอนอกใจ ถูกมั้ย” จินหัวเราะชอบใจ ที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าถอดสี “ลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวนอย่างเธอ พ่อกับแม่จะว่ายังไงนะ ถ้าได้รู้ว่า ลูกชายสุดที่รักของพวกเขา มีรสนิยมชอบมาหาความสนุกสนามตื่นเต้น ตามห้องน้ำสาธารณะแบบนี้” จินพูดถึงตอนนี้

“อย่านะ พ่อกับแม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้” ณชรีบพูดสวนขึ้นมาในทันที “งั้นพรข้อสองของเธอคืออะไร” จินพูดเกือบตวาดใส่ณช “พรชั่ว ๆ ที่เธอต้องการให้ฉันทำให้ โดยที่ตำรวจไม่สามารถตามสืบได้ว่า ใครเป็นคนทำ มันคือเรื่องอะไร” ดวงตาของจินแดงวาบขึ้น ให้ณชได้เห็น ก่อนจะค่อย ๆ กลับคืนเป็นดวงตาของมนุษย์ปกติ

“ฉันชี้นิ้วจิ้มเลือกให้เธอไม่ได้หรอกนะ มันผิดกฎ” จินปรับโทนน้ำเสียงให้อ่อนลง เมื่อเข้าสู่โหมดชักจูงใจ “แต่ฉันพอจะบอกได้ว่า เธอก็ลองเลือก ๆ อะไรหรือใคร ที่มันสมควรแล้วที่จะชดใช้ให้เธอดูสิ” จินหย่อนเบ็ดตกปลาลงบ่อไป “คนที่ทำให้แฟนผมต้องนอกใจ” ความปรีดาฉายอยู่บนใบหน้าของจิน เมื่อปลางับเหยื่อแทบจะในทันที

“เห็นมั้ยล่ะ มันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่นา” จินหัวเราะออกมาเสียงดัง “เอาล่ะทีนี้ เธอมองหน้าฉัน สบตากับฉัน” จินเริ่มพิธีการในทันที “แล้วพูดขอพรจากฉันดี ๆ” ณชกลืนน้ำลายลงคอ สบตากับจิน เผยอริมฝีปากขึ้น โดยมีจินพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงสนับสนุน เชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มพูดมันออกมา

“ผมขอให้” ณชพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “คนที่แฟนของผมนอกใจด้วย ไปมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง” แววตาของจินฉายแววอำมหิตออกมาอย่างชัดเจน “ผมขอให้เขาหายไปจากโลกนี้อย่างทรมานใจที่สุด” ณชพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะรีบหลับตาลง ปิดเปลือกตาจนแน่น จินยิ้มกว้างด้วยความสะใจอย่างประหลาด

“ได้สิ” จินตอบรับพรข้อที่สองของณช “เรื่องแบบนี้ ฉันจะทำให้เธอสมหวังเองนะ” จินรับปากกับณชอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ณชที่ลืมตาขึ้นมามองหน้าจิน เห็นความกระหายอยากในแววตาแดงวาวคู่นั้น “ครั้งแรก ฉันแค่ทำให้เธอได้เห็นภาพใช้มั้ย” จินถามก่อนจะเผยยิ้มนึกสนุกออกมา

“คราวนี้ฉันจะให้เธอไปเห็นด้วยตาของเธอเอง ว่าฉันทำอะไรให้เธอได้อีกเยอะ” ดวงตาแดงวาวของจิน ตอนนี้กลับแดงก่ำดั่งไฟที่ลุกโชนขึ้น “โดยที่เธอไม่ต้องรู้สึกผิดในเรื่องที่เธอทำ พวกนั้นต่างหาก ที่ทำอะไรไว้กับเธอ จะต้องชดใช้ หรือไม่ก็หายไปจากชีวิตเธอตลอดกาล” หลังจากจินพูดจบ ภาพเบื้องหน้าของณชก็เปลี่ยนไป

ตอนนี้ อยู่ ๆ ณชก็มายืนอยู่ที่รูฟท็อปแห่งหนึ่งที่มีแต่ลูกค้าผู้ชาย เสียงเพลงเปิดคลอ ทำให้บรรยากาศดูหรูหรา เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะมั่งคั่ง ลมเย็น ๆ พัดวูบมา  ก่อนที่ณชจะเห็นจิน ยื่นแก้วเครื่องดื่มสีสวยให้

“ว็อทช์ แอนด์ เอ็นจอย” จินพูดกับณช ขยิบตาข้างหนึ่งให้ ก่อนจะเดินเยื้องย่าง ตรงเข้าไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังพูดโทรศัพท์กับใครอีกคนที่อยู่ปลายสาย “ใช่ครับแม่ เดี๋ยวผมมีเซอร์ไพรส์ไปบอกแม่พรุ่งนี้ด้วย” ชายหนุ่มยังไม่ทันได้บอกลาทางโทรศัพท์กับแม่ของตัวเอง แต่ต้องรีบหันกลับมาทางด้านหลัง เมื่อรู้สึกว่า มีใครเดินมาหยุดยืนอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ กับแววตาที่มองมาที่เขา มันทั้งยั่วยวนและน่าสะพรึงกลัวในคราวเดียวกัน จินไม่ได้ตอบอะไร แต่ยกนิ้วขึ้นแตที่ข้างขมับของชายหนุ่ม พลางหรี่ตาเหมือนกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง “ไม่ใช่” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองพูดแบบนั้น

“อ้อ เจอแล้ว” ณชที่มองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า เห็นกลุ่มก้อนคล้ายหมอกสีขาวลอยออกมาจากขมับของชายหนุ่มคนนั้น ติดปลายนิ้วของจินตามออกมา จินยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาตรงที่ณชยืนอยู่ “มันเกิดอะไรขึ้น” ณชถามจินที่กำลังยืนยิ้มกริ่มอยู่ มองไปทางชายหนุ่มคนนั้น

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ที่ตรงนั้น ณชเห็นผู้ชายอีกคนเดินเข้ามา คนที่ณชจำได้ดี ว่าเป็นผู้ชายที่แฟนของเขามามีความสัมพันธ์นอกใจด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ณชมองเห็นชายหนุ่มดึงแหวนออกจากนิ้วนางชู้รักของแฟน ด้วยท่าทางโมโหอย่างที่สุด

“คุณเอาแหวนแต่งงานของแม่ผมมาใส่ได้ยังไง” ชายหนุ่มตะคอกใส่อีกฝ่ายเสียงดังลั่น ณชมองเห็นชู้รักของแฟน ตกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม “อะไรกัน ก็คุณเพิ่งขอผมแต่งงาน แล้วบอกว่า คุณแม่ของคุณมอบแหวนวงนี้มาให้” น้ำเสียงทั้งตกใจ ทั้งสั่นเครือ เพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผมไม่รู้จักคุณ” ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงดังมากพอ ที่ทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ให้ความสนใจ และหันมามองเป็นตาเดียวกัน “อะไรกับครับ ล้อเล่นแบบนี้ ผมไม่สนุกด้วยนะ” ชู้รักที่ณชเห็น หน้าเสีย เพราะไม่เคยเห็นแฟนหนุ่มตัวจริงของตัวเองเป็นแบบนี้

“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เราไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ” เมื่อเห็นว่าคู่หมั้นคู่หมายของตัวเองไม่ได้มีทีท่าว่า นี่คือการอำกันเล่น ชู้รักคนนั้น ก็รีบเปิดหารูปคู่ของเขาทั้งสองคนในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง “เราจะไม่รู้จักกันได้ยังไง ก็ในเมื่อเราสองคน” แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ภาพที่เคยถ่ายเอาไว้ด้วยกัน ค่อย ๆ เลือนหายไปจากแกลเลอรี่ภาพถ่าย ต่อหน้าต่อตาแบบนั้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น จิน” ณชน้ำตาคลอหน่วย หันมาถามความกับจิน “แล้วเธอคิดว่า การตาย การหายไปจากโลกนี้ มันเป็นอะไรได้บ้างล่ะ” จินยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวคม “การตายไปจากความทรงจำของใคร ๆ มันก็เป็นวิธีที่ไม่เลวเลยนะ” จินหัวเราะชอบใจ “แบบถ้าให้ตาย ๆ ไปซะเลย ยังจะดีเสียกว่า” ณชได้แต่หลับตาลง พร้อมน้ำตาที่ไหลลงมา เมื่อได้ยินเสียงชู้รักของแฟน กรีดร้องดังลั่น แล้ววิ่งไปที่ขอบกระจกกันตกของรูฟท็อป

****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ลืม - สุนิตา ลีติกุล

https://www.youtube.com/watch?v=VsjkAyvjvwQ&ab_channel=SunitaLeetikul-Topic


สิ่งที่ใจฉันได้สัมผัส

What my mind senses from you

เมื่อเวลาที่เราใกล้กัน

When we are close

คืนวันเปลี่ยนไป

That is days and nights they change

ใจเธอเปลี่ยนผัน

So does your heart

แต่ว่าเธอก็ยังทนอยู่

Yet, you are putting up with me

แต่ว่าเธอไม่กล้าจากไป

You want to leave but no guts to do it

คงลำบากใจ ที่จะบอกฉัน

Feeling troubles to let me know


คำที่เคยผูกพันเหมือนสัญญา

Words we exchanged like promises kept

จะมีค่าอะไรถ้าไม่รักกัน

Not worth anything with no love

หากว่าเธอไม่เหลือใจ

When you have no feelings left anymore

เหตุใดทนทรมาน

Why we suffer each other

อาจเป็นเพียงคำสั้นสั้นอย่างเช่นเธอ

A few short words you may try such as


ลืม เธอลืมหมดแล้ว

Forget, you already forgot me

ลืมว่าเราเคยรักกัน

Forgot that once we shared our love

บอกเถอะฉันรู้ว่าเธอ

Just tell me because I know you already

ลืม ลืมคนที่เคยจริงใจ

Forgot who was totally sincere

และคอยห่วงใยเธอทุกอย่าง

And caring all for you

หากไม่รักก็พูดมาให้เข้าใจ

You stopped loving me just say so


หากความรักไม่ใช่คำตอบ

If love is not an answer,

หากความดีไม่มีความหมาย

Good deeds have no meanings,

เธอควรบอกไปเปิดใจกับฉัน

Then you open up with me

จะวันนี้หรือว่าเมื่อไร

Whether today or some other time after

จะอย่างไรก็ต้องจบกัน

The final is only for us to end

เหตุและผลแค่เพียงสั้นสั้น

Not many reasons to come up with

ช่วยทำให้ฉันเข้าใจที่เธอ

To help me understand that you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“อย่ามาทำเป็นปากแข็งหน่อยเลย” จินถามเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังนั่งนิ่งไม่ยอมพูดยอมจา “เธอก็เห็นนี่ ว่าผ่านมาสองวันนี้ มันเกิดอะไรกับร่างกายของเธอบ้าง” จินพูดพลางเดินมองนั่นมองนี้ สำรวจห้องของณชไปด้วย โดยที่เจ้าของห้องนั้น กำลังแสดงอาการลังเลให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะผมอีกแล้ว ไหนจะต้องมีคนตายอีก” ณชต้องเห็นคนต้องมามีจุดจบเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับตัวของเขาถึงสองครั้งสองครา “ผมขอร้อง ปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่เอาแล้วก็ได้ พรข้อที่สามอะไรนั่นน่ะ” เสียงขอร้องอ้อนวอนของณช ฟังดูว่าเจ้าตัวรู้สึกขยาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ

“เธอจะมากลัวอะไรตอนนี้” จินสัมผัสได้ถึงความกลัวจนลนลานของอีกฝ่าย “อีกข้อเดียวเอง ข้อสุดท้าย เธอก็กลั้น ๆ ใจทำมันไปเถอะ ทุกอย่างมันจะได้จบ” จินหันหน้ามาทางณช “ฉันจะได้เลิกยุ่งกับเธอไง เธอก็จะได้เป็นอิสระสักที ไม่ดีหรือ” จินพูดหน้านิ่ง ไม่บ่งบอกอารมณ์ มองดูอาการของณชที่กำลังชั่งใจ

“หน้าด้านซ้ายของเธอ เริ่มเหี่ยวย่นมากกว่าเมื่อวานแล้วนะ” เสียงพูดเรียบ ๆ ของจิน ไม่สามารถซ่อนแววตาขบขันของตัวเองเอาไว้ได้ โดยที่ณชเองนั้น ก้มหน้าลงมองดูทิชชูที่กองอยู่ในมือทั้งสอง ที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน มันเคยชุ่มไปด้วยเลือด ที่ณชไอโขลกมาตั้งแต่ตอนตื่นนอน พร้อมกับมีเลือดสด ๆ ไหลออกมาด้วย 

“พรข้อสุดท้ายที่เธอต้องขอ มันมีเงื่อนไขอยู่เพียงอย่างเดียว” จินพูดกับณช ที่อีกฝ่ายพูดสวนกลับมาทันควัน “มันจะเรียกว่าเป็นพรได้ยังไง ในเมื่อผมต้องขอให้เรื่องชั่ว ๆ ต้องไปเกิดกับคนอื่น” ณชเงยหน้าขึ้นมองจิน สบตากับอีกฝ่าย ด้วยมีน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

“เธอเริ่มพรข้อแรกด้วยความชั่ว ลืมแล้วหรือไง” จินตอบกลับเสียงเรียบ “แต่ตอนนั้นฟผมกำลังโมโห ผมไม่รู้หรอก ว่ามันจะเป็นจริงไปได้แบบนี้” ณชปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นจากขอบตาลงนองแก้ม “แต่เธอก็รู้สึกไปกับมันนี่นา ตอนที่เธอตะโกนมันออกมา มันสั่นสะท้านสะไปทั้งหัวใจ จริงมั้ย” ณชไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงมา

“ก็ในเมื่อคนคนนี้” จินคว้ากรอบรูปของแฟนณชมาชูให้ณชดู “สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ ทิ้งความปวดร้าวไว้ให้กับเธอ” จินโยนกรอบรูปนั้นลงบนตักของณช มันหล่นลงกระแทกกับพื้นจนกระจกแตก “เธอก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว” จินให้เหตุผลหว่านล้อมณช ที่เอาแต่ร้องไห้ส่ายหน้าไปมา

“ผมยืนยันคำเดิม ผมจะไม่ให้ใครมาสูญเสียกับผมอีก” ณชพูดเสียงสะอึกสะอื้น “พรข้อที่สามที่ผมจะขอ” ณชพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “อย่าพูดมันออกมานะ” จินร้องห้ามอีกฝ่าย “ผมต้องการจะแก้ไขในสิ่งที่ผมได้ก่อขึ้น” จินส่งเสียงคำรามดังลั่น

“การเป็นคนดี มันให้อะไรกับเธอบ้าง” จินที่ดวงตาแดงวาวไปด้วยความไม่พอใจ ตะคอกใส่หน้าณชดังลั่น “ผมไม่แน่ใจว่าความดีจะให้อะไรกับผม” ณชพูดด้วยความรู้สึกเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น “แต่ผมรู้แล้วว่าความชั่ว พรากอะไรไปจากผมบ้าง” ณชพยายามฝืนยิ้มทั้งน้ำตา มองเห็นจินอ้าปากแยกเขี้ยวคม ร้องออกมาดังสนั่นห้อง

“ผมขอให้แฟนของผมกลับมา เพื่อให้ผมได้มีโอกาสพูดคำขอโทษ และเล่าความจริงให้เขาได้ฟัง” สิ้นคำพูดของณช ห้องนอนของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง จนณชก็แทบจะทรงตัวงเอาไว้ไม่อยู่ พลันแสงไฟในห้องก็ดับลง พร้อม ๆ กับ ทุกอย่างที่หยุดเคลื่อนไหว

ท่ามกลางความเงียบ ไม่มีอะไรไหวติงนั้น ค่อย ๆ มีแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นจุดสีขาวที่กลางห้อง ก่อนที่ณชจะค่อย ๆ เห็นกลุ่มควันสีขาวนั้น ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา และเมื่อร่างนั้นรวมตัวกันจนเป็นภาพชัดเจนขึ้น ณชก็หัวเราะปนเสียงสะอื้นไห้ออกมา

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เสียงของร่างนั้นถามขึ้น “ครั้งสุดท้ายที่จำได้ คือตอนนั้น เราขับรถอยู่ แล้วก็พุ่งชนเข้ากับ” ร่างนั้นดูสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ณชนั้น รู้สึกดีใจ ที่มีโอกาสอีกครั้ง ที่ได้เจอกับแฟนหนุ่มของตัวเองอีกครั้ง

“ดีจังที่ได้เจอเธออีก” ณชรู้สึกว่าตัวเองสามารถสูดอากาศเข้าปอดได้เต็ม ๆ อีกครั้ง เพราะภาพตอนที่รถยนต์ที่แฟนของณช ขับพุ่งอัดก๊อบปี้กับเสาไฟฟ้านั้น มันทำให้เขาต้องเจ็บปวดทรมานใจมากแค่ไหน ที่ต้องมาสูญเสียคนที่รักไป โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยสักอย่าง

“เราขอโทษนะ” เมื่อได้รับโอกาสใหม่ ณชถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ที่เขาจะต้องใช้เวลานี้สารภาพทุกอย่างที่เคยคิดว่า มันจะต้องกัดกินใจของเขาไปตลอดกาล “เรามีส่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ณชพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอโทษอีกฝ่าย

“เราไม่ควรจะขอให้เธอไปตายแบบนั้น เราไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงไปได้ เราเสียใจ เราขอโทษ” ณชบอกกับแฟนที่ยืนฟังเขาอยู่เงียบ ๆ “เราโกรธ ที่เธอมีคนใหม่ เราเสียใจมากจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย ตอนที่เราไล่ให้เธอไปตาย สติเราไม่เหลืออยู่กับตัว” ความละอายใจแทรกผ่านความรู้สึกในตอนนี้ของณช

“เราได้แต่คิด ว่าทำไม เราไม่ดียังไง เธอถึงได้นอกใจเราไปมีชู้ แถมชู้คนนั้นของเธอ ก็มีคู่หมั้นที่จะแต่งงานกันอยู่แล้ว” ตอนนี้ขอบตาของณชเริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เราไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายใครเลยจริง ๆ เราสบานได้” เสียงของณชตะกุกตะกักเมื่อพูดมาถึงตรงนี้

“แต่ว่าเรา” ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่คอหอยของณช “เรากลัวว่าความลับของตัวเองจะถูกเปิดเผย เธอต้องเข้าใจนะ เรากลัวมาก ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการให้คนคนนั้น เราหมายถึง ชู้ของเธอต้องตายตามเธอไปอีกคน” เสียงกรีดร้องของชู้ยังคงดังก้องอยู่ในหู ตอนที่เขาคนนั้นวิ่งไปที่กระจกขอบกั้นรูฟท็อป บาร์ แล้วพุ่งตัวร่วงลงไป

“สิ่งที่เรากลัวคนจะรู้ก็คือ” เสียงของณชสั่นเครือ จากความเสียใจและความอับอายปะปนกัน “เรา คือเรา” ณชปากคอสั่นระริก เมื่อถึงเวลาต้องพูดความจริง ที่เป็นความลับในมุมมืดของตัวเอง “เราชอบที่จะไปหาเศษหาเลยในสวนสาธารณะ” ณชเป่าปากพ่นลมหายใจออกมา อาการหนักหน่วงในหัวใจ มันทำให้เขาอัดอั้นจนแทบทนไม่ไหว

“เราชอบใช้ปากดูดให้คนอายุเยอะกว่ามาก ๆ ให้จนเสร็จคาปากในห้องน้ำทั้งเหม็นทั้งเก่า” ณชทำได้แค่หวังว่า คำสารภาพของเขานี้ จะพอบรรเทาเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ได้ “เราขอโทษ เราขอโทษจริง ๆ เธอยกโทษให้เราได้มั้ย” ดวงตาของณชพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา ณชกะพริบตาถี่ ๆ ไล่รอยชื้นนั้นให้หายไป

และเมื่อเขามองเห็นได้ชัดอีกครั้ง แสงสว่างที่เห็นตรงหน้า ที่กำลังส่องเข้าตาของเขา ก็คือแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ที่ณชถืออยู่ในมือ หน้าจอกำลังแสดงให้เห็นว่า เขากำลังอยู่ในโลฟ์ถ่ายทอดสดของแอพลิเคชั่นอันหนึ่ง ที่มีคนเข้ามาดูนับพันคน โดยที่ต่างทิ้งความคิดเห็นเข้ามากันถล่มทลาย

“โถ น่าเห็นใจจังเลย” จินที่นั่งเอามือทั้งสองข้างเท้าคางมองมาที่ณช ยิ้มโชว์เขี้ยวคมนั้น ก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมาดังลั่นห้อง “ถือเป็นโชว์ที่สมบูรณ์แบบมาก” จินลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เธออาจจะทำให้ฉันกลับเข้าไปในนั้นได้อีกครั้งก็จริง” ณชมองเห็นตะเกียงที่อยู่ในมือของจิน “ฉันต้องยอมล่ะนะ ที่เธอเลือกวิถีของวิญญูชนกับพรข้อสุดท้ายที่เธอขอ” จินมองณชที่รู้ตัวแล้วว่า ได้พลาดท่าครั้งใหญ่ให้กับจิน

“ฉันไม่สามารถทำให้ใครกลับมาจากความตายได้” จินยักไหล่แบบให้รู้ว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายอีกครั้ง “เธอก็ไม่ได้ถามต่อว่า ติ๊กควรจะบอกวิธีการเงื่อนไขอะไรบ้างกับเธอ” จินมองดูณชที่กำลังเข้าตาจน “พวกมนุษย์อย่างเธอ โง่พอที่คิดว่า จะเอาชนะและอยู่เหนือฉันได้ ทั้งติ๊ก และเธอ” ยิ้มของจินทำให้ณชขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

“คราวนี้เธอคงได้รับคำตอบแล้วนะ ว่าความดีที่เธอเพิ่งทำไป มันจะทิ้งอะไรเอาไว้ให้เธอบ้าง” จินพูด พลันแสงสีแดงเพลิงก็พุ่งออกมาจากตะเกียงโบราณนั้น มาห่อหุ้มร่างของจิน “ฉันเคยบอกกับเธอแล้ว ว่าให้เป็นครอบครัว พ่อแม่ของคนอื่นเสียใจ ดีกว่าที่มันจะเป็นครอบครัวของเธอ” ก่อนที่ทุกอย่างในห้องจะเหลือเพียงแค่ณชและความเงียบงัน

“กำลังเข้านำร่างของผู้เสียชีวิตลงมา เปลี่ยน” ร่างของณชถูกนำลงมาจากกิ่งของต้นไม้ใหญ่ ที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ด้านหลังห้องน้ำสาธารณะ ในสวนกลางเมือง “พ่อ ลูกของเราใช้มั้ย นั่นใช่ลูกของเรามั้ย ณช ณชลูกแม่” เสียงของผู้หญิงสูงวัยตะโกนถามสามีของเธอ ที่กำลังยืนน้ำตานองหน้า พูดอะไรไม่ออก เมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ให้เข้ามาที่นี่ หลังจากได้เห็นไลฟ์สดของลูกชายของพวกเขา สองวันหลังจากนั้น

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ผิดจนเกินอภัย - โบ สุนิตา

https://www.youtube.com/watch?v=8vK9LgJhg64&ab_channel=SunitaLeetikul-Topic


เธอคนเดียวเธอคนดี

You're the one, you're my love

วันนี้ฉันกลืนน้ำตา

Today, I gulped down my tears

สิ่งที่เธอทำไป

What you have done

ฉันเองไม่เคยจะรู้

I didn't get to know

ใจมีเธอแต่เธอมีใคร

My heart is given to you

ซุกไว้ข้างในสายตา

But who really lives in your eyes


ถ้าหากว่ารู้สักหน่อย

If I ever knew

คงไม่คล้อยตามเธอ

I wouldn't fall for

คงไม่เผลอคงไม่รักปักใจ

Would not love head over heels

แต่มันแสนเจ็บปวด

This is so hurtful

เกิดเป็นแผลเจ็บแสบ

The wound causes such pain

อยู่ในใจเก็บเอาไว้จดจำ

That my heart will forever remember


ก็ผิดจนเกินอภัย

Guilty beyond forgiveness

มันมากไป มากไป ก็ใจมันบอก

Too much, so much, my heart cannot deny

เจ็บจนเกินทำใจ

Cannot get over this pain

มันช้ำใจเสียใจเหลือเกิน

My heart hurts with great sorrow


ผิดจนเกินอภัย

Guilty beyond imagination

มันมากไป มากไป ก็ใจมันบอก

Too much, so much, my heart cannot tell lies

เจ็บจนเกินทำใจ

Cannot be fighting this agony

มันช้ำใจเสียใจ

Bruised heart, tormented mind


เพียงคนเดียวโดยลำพัง

Lonely and all alone

ความหวังมันพังทลาย

My dreams have been crushed

จบโดยโดนทำลาย

Ended with everything destroyed

เสียดายทีเคยร่วมฝัน

What a shame, the future we shared

ทนทำใจอยู่ไปวันวัน

Trying to find a way-out day by day

ไม่รู้จะนานเท่าไร

How long can I stay alive?


หากว่าเธอไปเจอคนใหม่

If you find someone new

บอกแล้วไงไม่ต้องบอกลา

No need to give us a proper goodbye

ปล่อยให้ใจฉันเต้นช้าช้า

Just let my heart beats slowly

รับรู้ไว้ว่า

Acknowledging

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“หมู่หวาน รายงานสรุปคดีในสวนสาธารณะ” ผู้กองเขตต์เอ่ยถามขึ้น “เดี๋ยวผมตามเอาไปให้ที่โต๊ะครับผู้กอง” ผู้กองหนุ่มยกนิ้วโป้งแทนคำขอบคุณ ก่อนจะเดินถือแก้วกาแฟไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะเปิดแฟ้มคดีรูฟท็อป บาร์ขึ้นดูรายละเอียด

“พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ระบุว่าผู้ตายมากับผู้ชายอีกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ในกล้องวงจรปิด กลับพบว่า ผู้ตายเดินเข้ามาเพียงลำพัง แต่มีลักษณะพูดคนเดียว” ผู้กองเขตต์เลิกคิ้วขึ้น เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ จึงไล่อ่านทวนอีกครั้ง เนื่องจากรู้สึกติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง

“ผู้ชายที่ถูกระบุว่ามากับผู้ตาย ยืนยันว่าไม่รู้จักกัน และคิดว่าผู้ตายเป็นคนขโมยเอาแหวนเพชรแต่งงานของคุณแม่ไป แต่จำไม่ได้ว่า เพราะสาเหตุใด ถึงเอาแหวนวงนี้ติดตัวมาด้วย” ผู้กองเขตต์เงยหน้าขึ้นจากรายงานสรุปเมื่อหมู่หวานเดินเข้ามาพอดี

“ผู้กองคิดว่ายังไงครับ หรือว่าเราจะเจอเคสของผู้ป่วยจิตเวช” หมู่หวานถามหัวหน้างานของตัวเอง ก่อนจะยื่นเอกสารอีกฉบับให้กับผู้กองเขตต์ “ส่วนอันนี้เคสแขวนคอในสวนสาธารณะครับ” ผู้กองเขตต์ยื่นมือรับเอกสารนั้นไป

“เรื่องที่ผู้ตายพูดคนเดียวน่ะหรือหมู่” คนถูกถามพยักหน้าช้า ๆ บอกถึงอาการเห็นด้วย “ในโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย รวมทั้งของผู้ชายคนนั้น ไม่ระบุอะไรว่าทั้งสองคนรู้จักหรือเกี่ยวข้องกัน อีกทั้งในรายงานชันสูตร ไม่พบว่าผู้ตายใช้สารเสพติดอะไร” ผู้กองเขตต์นิ่งฟังหมู่หวาน ผู้มีประสบการณ์ในทางสืบคดีมากกว่าเขา

“ส่วนคดีในสวน ทางนิติเวชระบุมาว่า สาเหตุการตาย เกิดมาจากการขาดอากาศหายใจ ไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกายอื่น ๆ ไม่พบสารเสพติดเช่นกันครับ” หมู่หวานรายงานให้หัวหน้าทราบ “จากประสบการณ์ หมู่คิดว่าสองคดีนี้ มันมีอะไรแปลก ๆ มั้ย” ผู้กองเขตต์ถามผู้ใต้บังคับบัญชา

“โอ๊ย ผู้กอง คดีสมัยนี้ แปลกประหลาดทั้งนั้นแหละครับ บางเคสนึกว่าฆาตกรรม ที่ไหนได้ เป็นอุบัติเหตุไปซะงั้น ทั้งเรื่องจริง และถูกทำให้เป็น” หมู่หวานหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “นี่ยังไม่นับคดีที่อยู่อีกท้องที่หนึ่ง ที่ขับรถพุ่งอัดกับเสาไฟฟ้า ที่อยู่ดี ๆ รถก็เร่งเครื่องวิ่งทางตรง ก่อนจะหักเลี้ยวไปดื้อ ๆ” ผู้กองเขตต์ได้ดูเคสนั้นจากรายงานข่าวทีวีเช่นกัน

“ถ้าผู้กองอยากได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม คงต้องหาอะไรที่ไม่มีอยู่ในรายงานชันสูตรแล้วล่ะครับ” หมู่หวานพูดกับผู้กองหนุ่ม “แต่ผมว่าอย่าเสียเวลาเลยครับ เพราะคดีฆ่าตัวตาย ก็แบบนี้แหละ” หมู่หวานทำความเคารพผู้กองเขตต์ ก่อนจะเดินจากไป

ผู้กองเขตต์หยิบเอาแฟ้มคดีในสวนสาธารณะขึ้นมาอ่าน ระบุว่าผู้ตายเป็นเด็กเรียนดี ประพฤติดีมาตลอด แต่ก่อนเสียชีวิต ผู้ตายอยู่ ๆ ก็ไลฟ์สด นั่งนิ่งอยู่หน้ากล้องสักพัก แล้วเริ่มร้องไห้ ก่อนจะพูดกับกล้องว่า เขามีอะไรจะสารภาพ 

ก่อนจะเล่าเรื่องที่ตัวเองไปพัวพันกับอีกสองคดี แถมยังเรื่องที่ตัวเอง ชอบมีสัมพันธ์ทางเพศในห้องน้ำสาธารณะอีก โดยที่ยังหาความเชื่อมโยงถึงกันไม่ได้ เพราะเวลาของผู้ที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด ไม่สามารถอยู่ในที่เกิดเหตุทั้งสามคดี พร้อม ๆ กันได้

“นี่คุณอยู่ที่ไหน” ผู้กองเขตต์ยกมือถือต่อสายไปหาใครอีกคน “ผมอยู่ที่ห้องสมุดกลาง” อีกฝ่ายตอบกลับมา “รอผมอยู่ที่นั่นนะ เดี๋ยวผมไปหา” ผู้กองเขตต์บอกกับอีกฝ่ายไป ก่อนจะกดวางสาย แล้วรีบขับรถออกไปจากสถานีตำรวจ

ตาต้าวางสายจากผู้กองเขตต์ ก่อนจะกลับมาสนใจกับสิ่งที่เพิ่งค้นเจอในอินเทอร์เน็ต จากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ในลิงค์ที่ดูไม่น่าสนใจ มันมีรายละเอียดชื่อหนังสือที่ตาต้าคิดว่ามันมีข้อมูลที่เขาตามหาอยู่ และน่าจะค้นเจอจากที่หอสมุดกลางแห่งนี้

ตาต้าลุกขึ้นจากโต๊ะ ก่อนจะเดินตามหาหนังสือจากข้อมูลที่ลิงค์นั้นบอกเอาไว้ เขาเดินไล่ดูไปตามชั้นหนังสือ จนเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านในสุด ตาต้าไล่สายตาไปบนชั้นวาง ก่อนจะดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา กำลังจะเปิดอ่าน พลันสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษถูกพับครึ่งปึกหนึ่ง แนบสนิทกับผนังชั้นวาง 

ตาต้าคลี่กระดาษพวกนั้นเปิดออกอ่าน มันเป็นคล้าย ๆ กับบันทึกอะไรบางอย่าง เขียนด้วยลายมือ ลักษณะเหมือนเรื่องเล่าอะไรบางอย่าง ที่ตาต้ารู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ มันเป็นเรื่องที่คล้ายคลึงกับที่ตาต้ากำลังสืบค้นอยู่

จิณณ์ยืนน้ำตานองหน้า เมื่อมือทั้งสองที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนแข็งแรง กำลังถูกชักรอกขึ้น พร้อม ๆ กับยกแขนทั้งสองข้างของจิณณ์ค่อย ๆ สูงขึ้นไปด้านบน เสียงสวดพิธีกรรมดังระงมไปทั่วบริเวณ จิณณ์ส่ายสายตามองหาใครบางคน ที่อยากจะพบหน้ามากที่สุด

“เมื่อเจ้าอยากเป็นพวกเล่นของบูชาผีมากนัก” เจ้าพิธีประกาศเสียงดังลั่นให้ทุกคนตรงนั้นได้ยินดันถ้วนทั่ว “แถมยังอาจหาญ บังอาจกระทำพิธีครอบหัวบังบดจิตใจลูกชายของท่านเจ้าเมือง ให้ลุ่มหลงมัวเมาไปกับเจ้า ร่วมเสพสังวาสประเวณีกับชายด้วยกัน ด้วยสติอารมณ์บ่สมประดี” ทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้น ทำหน้าท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น ข้ากับเขารักกัน เรารักกัน เขาบอกกับข้าแบบนั้นทุกทิวาแลราตรี” เสียงก่นด่าดังระงม เมื่อจิณณ์เอ่ยปากตะโกนออกไปแบบนั้น “ท่านพันทิศ ช่วยข้าด้วย” คราวนี้ถึงกับทำให้ท่านเจ้าเมือง ต้องผุดลุกกระทืบเท้าเร่า ๆ ร้องสั่งห้ามจิณณ์ออกไป

“มึงจงหยุดพูด เอ่ยนามลูกกูเสีย เพราะไม่มีทางที่ลูกกูจะร่วมสังวาสกับตัวมึง หากมึงไม่พรมคุณไสยแลร่ายเวทชั่วของมึงใส่กัน” ท่านเจ้าเมืองรีบหันไปสั่งเจ้าพิธี “ท่านคิดจะทำการใด ก็ให้รีบกระทำเสียเถิด” เจ้าพิธีเงยหน้าขึ้นมองดูจันทร์สกาวฟ้า

“เอ็งมาถึงตรงนี้ ด้วยเวรด้วยกรรมที่ก่อขึ้นเองทั้งสิ้น” เจ้าพิธีหลับตาลงเพื่อเริ่มร่ายคาถา จิณณ์มองผ่านม่านน้ำตา มองเห็นพันทิศยืนตระกองกอดกับหญิงงามอีกคน ความเสียใจ ความปวดร้าว พุ่งใส่หัวใจที่แตกสลายของตัวเองอย่างสุดแสนประมาณ

“มึงก่อเวรกับกู มึงทำทุกข์เข็ญกับกู” จิณณ์ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงบริกรรมคาถา “มึงเข้าหากู มึงเริ่มบทพิศวาสพวกนั้น แต่มึงกลับริยำ ทิ้งกูลงคอ” ความน้อยเนื้อต่ำใจ กลับปะทุเป็นไฟแค้นสุมใจของจิณณ์ ยิ่งได้เห็นความขลาดเขลาของพันทิศ ที่พอถูกจับได้ว่าแอบลักลอบได้เสียกันเฉกเช่นเมียผัว ก็ทำเป็นฟื้นจากการถูกทำของ ปล่อยให้จิณณ์เผชิญโชคชะตานี้อยู่เพียงผู้เดียว

“วิญญาณร้ายของมึงถูกกักขังอยู่ในหีบถมดำรมยานี้” เสียงเจ้าพิธีสั่งการ “พวกมึงทุกคนที่ร่วมกันทำให้กาลวิโยคนี้กับกู กูขอสาปแช่งพวกมึงทุกสายชั้น” จิณณ์ตะโกนสวนกลับเจ้าพิธีไป “เมื่อกูถูกย่ำยี ไร้ทางสู้ตอนมีชีวิตอยู่” จู่ ๆ ลมก็พัดแรงขึ้น จนแลดูปั่นป่วนไปทั่วทั้งลานพิธีกรรม

“ไฟที่มึงจะจุดเผาผลาญวิญญาณของกู จะลุกขึ้นเป็นเพลิงแค้นยามที่กูสิ้นใจ กูจะตามชำระแค้นพวกมึงจนพินาศสิ้น” จิณณ์ตะโกนด่าด้วยความแค้น เมื่อไฟอาคมเริ่มเผาร่างและวิญญาณของตน “กูจะรอสางแค้นไปชั่วกัปกัลป์ ไม่มีพวกมึงหน้าไหน จะรอดไปจากคำแข่งของกู ต่อให้ตายตกไปตามกัน พวกมึงก็ต้องให้เชื้อให้สายมารับกรรม ต่อจากนี้ไม่จบไม่สิ้น” จิณณ์ร้องโหยหวนไปด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างทั้งวิญญาณ

ตาต้าน้ำตาคลอหน่วย เงยหน้าขึ้นจากกระดาษ ประตูไม้เก่า ๆ ด้านในสุดของทางเดินชั้นวางหนังสือ เงาดำที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างมนุษย์ ทาบทับให้เห็นอย่างชัดเจน ตาต้าร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อมีมือมาแตะเข้าที่ไหล่ของตัวเอง จนผู้กองเขตต์ต้องรีบแสดงตัว

“เป็นอะไรตาต้า” เจ้าของชื่อเมื่อเห็นว่าเป็นผู้กองเขตต์ ก็คลายตกใจ ก่อนจะรีบหันไปมองทางประตูบานนั้นอีกครั้ง เงาดำบนประตู ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา “ผู้กองเห็นมั้ย เงานั่น เงาบนบานประตู” ทั้งผู้กองเขตต์และตาต้า ต่างก็ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่า เมื่อมันไม่มีทางเป็นเงาของเขาทั้งคู่ แล้วเงานั้นเป็นใคร และจู่ ๆ หายไปแบบนั้นได้อย่างไร

******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เจ็บนี้จำไปจนตาย - นัดดา วิยะกาญจน์

https://www.youtube.com/watch?v=T5q1Z_IsFPo&ab_channel=Ch3ThailandMusic


เราเคยดีต่อกันมาก่อน

We were good previously

ไม่คิดเลยเธอจะทำ

Never thought you would do this

ใจของเธอทำไมมันต่ำ

Your heart is such a lowlife

เธอทำกันลงได้ไง

How could you do this to me?


เธอเป็นคนเริ่มก่อน

You started this heat

ให้ฉันต้องร้อนต้องแรงกลับไป

And made me return it with fire

ไม่มีทางอภัย

Nothing can be forgiven

ฉันกับเธอขาดกัน

You and I, we are done


เธอไม่ต้องมาให้เห็น

Don't show up your face

เธอไม่ต้องมาให้เจอกันอีก

Don't dare come see me

บอกกันดีดี

I'm telling you nicely

จะหาว่าฉันไม่เตือน

Consider yourself warned


เจ็บนี้จำไปจนตาย

This pain I took it to the grave

เจ็บนี้ไม่มีวันลืม

This suffering won't be forgotten

เพราะเธอคนเดียว

Because of you

ที่ทำให้ใจแหลกลาญไม่มีชิ้นดี

You had my heart crushed and broken into pieces


เจ็บนี้รอวันเอาคืน

I'm waiting for revenge to this pain

เจ็บนี้แค้นทุกนาที

This suffering reminds me every minute

ให้ฉันตายก็ไม่คืนดี

Though after life, we won't reconcile

ไม่ต้องมีเรื่องที่ดีหลงเหลือในใจ

Nothing good between us is left to spare


เคยทำดีกับเธอเท่าไหร่

I've done so many good things for you

จะขอร้ายคืนไปเท่านั้น

That's how bad I'm gonna return to you

ขอให้ทุกข์แบบฉันเหมือนกัน

Hope this causes the same pain

จะเอาคืนให้สาใจ

You'll get what you deserve


เธอเป็นคนเริ่มก่อน

You started all of this

ให้ฉันต้องร้อนต้องแรงกลับไป

Then I'll give it all back to you as well

ไม่มีทางอภัย

No more forgiveness

นับจากนี้ขาดกัน

We part ways from now
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2025 10:06:58 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0



“น้องศศินี่แต่งหน้าง่ายมากเลยนะคะ เพราะโครงหน้าสวยมาก แค่ปัด ๆ แก้มหน่อย ลงสีลิปสติกนิด ก็สวยมากแล้ว” ช่างแต่งหน้ากล่าวชมนักแสดงสาวที่กำลังมาแรงแห่งยุค “นี่กำลังจะบอกหรือเปล่าคะ ว่าถ้าศศิไม่สวย ถ้าไม่ได้แต่งหน้า” เจ้าตัวพูดพลางทำท่าทางน้อยใจ

“ว้าย ไม่ใช่นะคะน้องศศิ พี่หมายความว่า หน้าน้องสวยมาก ไม่ต้องแต่งยังสวยเลย แต่ถ้าแต่งหน้าก็ยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก ตาย ๆ ถ้าใครมาได้ยินเข้าว่าพี่ไปว่าน้องศศิแบบไม่ดูเงาหัวตัวเอง เอฟซีที่มีอยู่ทั่วประเทศของน้องศศิ จะได้มาเล่นงานพี่แย่เลย” ช่างแต่งหน้าแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนจะหัวเราะเสริมไปกับเสียงหัวเราะชอบใจของนักแสดงสาว และผู้ช่วยช่างแต่งหน้า

ทั้งหมดเงียบเสียงลงพร้อมกัน เมื่อเห็นว่ามีอีกคนที่เดินเข้ามาในห้องอเนกประสงค์ที่ใช้รวมกันของคนทั้งกอง สายตาของทุกคนมองไปยังผู้ที่มาใหม่ ก่อนจะหันมาสบตาแบบรู้กันโดยไม่ต้องพูด ว่ามองอีกคนที่อยู่ในห้องตอนนี้ ว่าแปลกประหลาด

“นี่” เสียงช่างแต่งหน้าเรียก “นี่ เธอ นี่” ก่อนช่างแต่งหน้าจะหยิบเอาดินสอด้ามกุด โยนไปตกตรงหน้าอีกฝ่าย “ชื่อตะวันใช่มั้ยเธอน่ะ” เสียงช่างแต่งหน้าถามออกไป เจ้าของชื่อพยักหน้าตอบรับ หลังจากอ่านริมฝีปากของคนถาม แล้วเข้าใจว่าถูกถามเรื่องอะไร

“เป็นใบ้หรือไง” นักแสดงสาวถามเสียงห้วน เมื่อเห็นอีกฝ่ายแค่พยักหน้าตอบกลับมา “ถึงได้ไม่พูดไม่จา” ตะวันก้มหน้าลงหลบสายตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทั้งหมดที่เหลืออีกครั้งหนึ่ง จนได้เห็นว่า “เห็นเขาพูดกันว่า มันเป็นใบ้หรือหูหนวกอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะน้องศศิ” ศศิฟังที่ช่างแต่งหน้าบอก ตะวันเองก็ยังไม่ชินสักที เมื่อรับรู้ว่า มีคนพูดถึงเขาแบบนี้

“ผมยาว สวยดีนี่” ศศิพูดบอกออกไป ตะวันเผลอยกมือขึ้นจับที่ผมยาวสลวยของตัวเอง “นอกจากพิการแล้ว ก็คงอยากจะสวยเหมือนคนอื่นเขาบ้างน่ะค่ะ น้องศศิ” ช่างแต่งหน้าพูดพลางกลั้วหัวเราะ “เป็นกะเทยสินะ” ศศิพูดก่อนจะพ่นลมออกจากปาก เหมือนหลุดขำออกมาแบบนั้น 

“กะเทยพยายามสวย แต่พังพินาศนั่นแหละค่ะ” ตะวันมองเห็นพี่กะเทยช่างแต่งหน้าและผู้ช่วยหัวเราะเขา ที่ต่างก็ถูกเรียกกว่ากะเทยเช่นกัน อย่างสนุกสนาน ตะวันทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเฉยไว้ ถ้าจะตอบโต้แก้ตัวออกไปด้วยคำพูดด้วยแล้ว ลืมมันไปเสียเถอะ ยังจะง่ายกว่า

“หน้าที่ยัยนี่คือดูแลซ่อมแซมชุดกองถ่ายน่ะค่ะ น้องศศิ” ช่างแต่งหน้าสาธยายให้ศศิฟังต่อ เมื่อเห็นว่า ตะวันนั่งลงที่โต๊ะมุมห้องและหยิบเอาชุดที่ทำค้างอยู่ เอามาทำต่อจากเมื่อวาน “อย่าบอกนะคะ ว่าเป็นชุดของศศิ” มีความขุ่นมัวในน้ำเสียงของนักแสดงสาวอย่างซ่อนเอาไว้ไม่มิด จนช่างแต่งหน้าต้องรีบพูดขึ้นว่า

“โอ๊ย ไม่ใช่หรอกค่ะ ชุดของน้องศศิทางแบรนด์เขาดูแลเอง แต่แม่นี่เขาซ่อมชุดให้กับพระเอก” ช่างแต่งหน้าพูดได้เพียงแค่นั้น ก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “อ้าวศศิ วันนี้มากองเร็วจัง” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังของนักแสดงชายบทนำของเรื่อง กล่าวทักนักแสดงสาว

“ก็ศศิเห็นพี่พายุมาเร็วตลอด ศศิก็อยากจะลองมาเร็วแบบพี่พายุบ้าง ไม่ได้หรือคะ” เสียงพูดออดอ้อนของนักแสดงสาว ทำเอาแม้แต่ช่างแต่งหน้าและผู้ช่วย ยังต้องแอบสบตาเบ้ปากให้กัน “พี่เทคิวให้กองนี้น่ะครับ ก่อนเรื่องหน้าจะเปิดกล้อง วันนี้มีถ่ายหลายซีนด้วยตั้งแต่เช้า” นักแสดงหนุ่มอธิบาย ตะวันที่ก้มหน้างุด แต่ไม่สามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าตัวเองได้ ตั้งแต่ได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวนักแสดงหนุ่ม ตอนเดินเข้ามาแล้ว

“งั้นเดี๋ยวเราไปหน้ากองกันเลยดีมั้ยคะ ศศิอยากลองซ้อมบทกับฉากจริงด้วย ศศิก็ยังไม่ค่อยแม่นเรื่องยืนบล็อกกิ้ง ไหนจะมุมกล้องอีก กลัวไปยืนบังคนอื่น พี่พายุช่วยศศิด้วยนะ” นักแสดงสาวสวยกระโดดเกาะแขนนักแสดงหนุ่มหล่อ พูดจาออดอ้อนฉอเลาะ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปจากห้องนั้น ตะวันได้แต่มองตามนักแสดงหนุ่มไป แววตามีแต่ความดีใจที่ได้เจอกับอีกฝ่าย

“เล่นมาก็ตั้งหลายเรื่อง จริงดิ ที่ไม่รู้มุมกล้อง ไม่รู้บล็อกกิ้ง” ช่างแต่งหน้ากับผู้ช่วย เปิดฉากนินทานักแสดงสาว กันอย่างเปิดเผย ไม่กลัวว่าตะวันจะรู้ เพราะพูดกันอยู่แล้วว่า ตะวันได้ยินไปก็เท่านั้น จะเอาไปเล่าให้ใครฟังได้ “นี่ถ้าไม่ได้มาเห็นเบื้องหลัง ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าเน่าใน ตอหลดตอแหลแค่ไหน” พูดพลางก็เบะปาก นึกสงสารตัวเองที่ต้องมาเจอคนแบบนี้

ตะวันถอนหายใจออกมา เมื่อตอนนี้เขาได้อยู่ตามลำพังในห้องอีกครั้ง ตะวันหยิบเอาเสื้อที่พายุใส่เข้าฉากเมื่อวาน แล้วตรงไหล่เสื้อมันขาด หยิบมันเอามาจัดการซ่อมแซมก่อนจะต้องส่งมันไปซัก กลิ่นน้ำหอมจากตัวนักแสดงหนุ่มยังคงได้กลิ่นจากเนื้อผ้า

พายุคือนักแสดงที่ตะวันนั้นชื่นชม เมื่อรู้ว่าจะได้มาทำงานเสื้อผ้าในกองถ่ายนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แทบจะไม่ได้สนใจเลยว่า งานมันจะหนักและเหนื่อยแค่ไหน หรือได้ค่าจ้างตอบแทนเท่าไหร่ รู้อย่างเดียวว่า ตัวเองมีความสุขที่ได้มากองถ่ายทุกวัน จนกระทั่งหัวใจมันบอกว่า พายุคือคนที่ตะวันตกหลุมรัก แต่ก็ทำได้แค่เพียงแอบซ่อนมันเอาไว้

ตะวันมองหากล่องที่ใส่เข็มกับด้าย ที่จำได้ว่า เมื่อวานนี้วางไว้ตรงกองผ้าพวกนี้ ก่อนจะต้องทำหน้าประหลาดใจ เมื่อเลิกกองผ้าขึ้น ก็พบกล่องไม้อะไรบางอย่างวางอยู่ ตะวันหยิบมันเอามาถือไว้ พลิกมันไปมา เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคือกล่องอะไร ก่อนจะเอามือค่อย ๆ เปิดฝามันออก

“ของแบบนี้มันมาอยู่กับเธอ คงจะไม่เหมาะ” ศศิพูดขึ้น เมื่อดึงเอากล่องไม้นั้นออกไปจากมือของตะวัน “กล่องดนตรีนี้สวยดี พอดีฉันจะต้องถ่ายสกู๊ปของสะสมแสนรักแสนหวงกับพี่พายุอยู่พอดี ฉันขอละกันนะ” ศศิมองตะวันที่แสดงอาการไม่พอใจบนใบหน้า ที่อยู่ ๆ นักแสดงสาวมาทำแบบนี้ แต่สายตาของศศิก็ประกาศให้รู้ว่า ตะวันอย่าได้คิดจะต่อกร ตะวันได้แต่ก้มหน้าแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม

“พี่พายุคะ ศศินึกขึ้นได้แล้วค่ะ ว่าศศิเตรียมมา แต่ลืมเอาไว้ในรถ ดูนี่สิคะ ของสะสมของศศิ ของรักของหวงเลยนะคะเนี่ย” เสียงพูดของนักแสดงสาวดังพอให้มั่นใจว่า ทุกคนในกองถ่ายได้ยินเธอพูด ตะวันนึกเคืองอยู่ในใจ แต่ความรู้สึกอะไรบางอย่าง ทำให้เขาเดินตามออกไปด้านนอก

“นี่ของสะสมของน้องศศิหรือครับเนี่ย” พายุถามขึ้น เมื่อผู้กำกับรายการสั่งให้เริ่มถ่ายวิดีโอ “ใช่ค่ะ ที่บ้านของศศิมีเพียบเลยนะคะ แต่อันนี้เป็นชิ้นที่ศศิรักที่สุด ของเก่าแก่มาเลยนะคะ ศศิคิดว่านะ” นักแสดงสาวรู้สึกขยะแขยงมือตอนที่ถือกล่องไม้นั้นเอาไว้ในมือ แต่ก็ต้องฝืนทน ทำยิ้มแย้มตลอดเวลา

“มันคือกล่องดนตรีค่ะ พี่พายุ” ศศิเปิดฝาด้านบนของกล่องไม้นั้นขึ้น “มันมีตัวตุ๊กตา” ปลายเสียงของนักแสดงสาวแผ่วลงด้วยความงุนงง ที่อยู่ ๆ ตุ๊กตาที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวในกล่อง มันไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว “ไม่มีดนตรีอะไรหรือครับ” พายุถามยิ้ม ๆ ศศิพยายามยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะเห็นมือจับไขลานที่ด้านข้าง

“อ๋อ” ศศิทำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ต้องหมุน ๆ ที่ตรงนี้” จากตรงมุมห้องด้านไกล ตะวันมองไปที่ตรงพายุและศศิให้สัมภาษณ์อยู่ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ อยากจะให้ตัวเองแทนที่ตรงนั้นกับศศิ เพื่อให้มีโอกาสได้อยู่คู่กับพายุสักครั้ง ก่อนที่ตะวันจะสังเกตเห็นคนอื่น ๆ หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“เพลงมันฟังเย็น ๆ น่าขนลุกดีนะครับ” พายุเองยังพยายามยิ้ม ทั้งที่หน้าเจื่อน ไม่แน่ใจว่าเพลงที่กำลังดังอยู่นี้ มาจากกล่องดนตรีนี้จริง ๆ หรือมาจากที่ใดกันแน่ หลังจากศศิหมุนไขลานมัน “ของเก่าแก่ตกทอดกันมาในตระกูล ก็แบบนี้แหละค่ะพี่พายุ” นักแสดงสาวเองก็ยิ้มกับกล้องแบบไม่มั่นใจเช่นกัน เพราะไม่คิดว่ากล่องไม้บ้า ๆ นี่จะเป็นแบบนี้ เธอกะว่าจะเอามาทำคะแนนกับพายุสักหน่อย

ศศิปิดฝากล่องไม้ลง มองไปที่ทีมงานที่ยืนอยู่ด้านหลังกล้อง และมองเห็นชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ศศิเห็นใครคนนั้นมองตรงมาทางเธอ รอยยิ้มที่มุมปากของเขา ทำให้ศศิรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

“นั่นใครคะพี่พายุ ทีมงานใหม่หรือคะ ศศิไม่เคยเห็นหน้า” นักแสดงสาวหันไปพูดกับนักแสดงหนุ่ม “ใครหรือครับ” พายุถามกลับไป “นั่นไงคะ คนนั้น” ศศิพยายามบุ้ยปากให้พายุดู “เดี๋ยวนะครับ ผมขอรับสายนี้ก่อน” นักแสดงหนุ่มรีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนจะรีบขอตัวเดินไปจากตรงนั้น เพื่อรับสายสำคัญ

ศศิเองก็ลุกขึ้น รู้สึกว่าเธอเองไม่อยากจะอยู่ตรงนี้แล้ว ปฏิกิริยาของทีมงานคนอื่น ๆ ก็ดูจะไม่รับรู้ว่า มีใครคนนั้น กำลังยืนจ้องมองเธออยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ จนน่ากลัวเป็นอย่างมาก นักแสดงสาวรีบเดินกลับไปที่ห้องพักส่วนตัวของเธอ ไอเย็นประหลาดทำให้ขนที่หลังคอของเธอตั้งชันขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง ตามหลังเธอมา

ตะวันกลับมานั่งลงที่มุมเดิม ที่เขาใช้ทำงานของตัวเอง เสียงต่าง ๆ ด้านนอกซาลงไป ทีมงานคงเก็บของจนเกือบจะเสร็จแล้ว และพายุคงจะยอมให้ศศิติดรถกลับบ้านไปด้วยเหมือนกับทุกครั้ง ในขณะที่ตะวันเอง ไม่ได้สนิทกับใครในกองถ่ายทำนี้ ก็ต้องเดินออกไปจนถึงถนนใหญ่เอง เพื่อต่อรถโดยสาร

“เอาของเธอคืนไป” ตะวันสะดุ้งตัวโยน เมื่ออยู่ ๆ ศศิก็เอากล่องไม้นั้นมายื่นใส่หน้าแบบนั้น ตะวันเงยหน้าขึ้นมองหน้าศศิ “เอาไปสิ” เสียงของศศิดูร้อนรนแบบประหลาด “รับเอาคืนไป เร็ว” ศศิเร่งเร้าตะวันให้รับเอากล่องไม้นั้นไป “ไม่อยากได้หรือไง” ศศิถามเกือบจะเป็นการตะคอกอีกฝ่าย

ตะวันพยักหน้าให้ศศิ ก่อนที่นักแสดงสาวจะยัดกล่องไม้นั้นใส่มือตะวัน แล้วก็ผลุนผลันเดินออกไปจากห้องนั้นในทันที ตะวันงุนงงกับสิ่งที่ศศิทำไม่น้อย แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้กล่องไม้นี้คืนมา ตะวันยิ้มให้กับกล่องไม้นั้น แม้จะรู้สึกว่าศศินั้น หน้าไม่อายที่เอากล่องไม้นี้ไปแอบอ้างแบบนั้น 

ตะวันเปิดฝากล่องไม้นั้นขึ้น มองเห็นตุ๊กตาคล้ายนางระบำอยู่ที่กลางกล่อง ตะวันมองไปด้านข้างกล่อง มีมือจับที่เอาไว้ใช้ไขลาน ตะวันค่อย ๆ หมุนมันไปช้า ๆ สามสี่รอบ แม้ไม่ได้ยินเสียงเพลงจากกล่องไม้นั่น แต่ตุ๊กตาก็เริ่มขยับ ก่อนที่ไฟในห้องจะดับพรึ่บลง

ตะวันผุดลุกขึ้นยืน เสียงกล่องไม้ที่หลุดมือแล้วตกลงกระแทกกับโต๊ะดังในความมืดนั้น ตะวันใจเต้นแรง มองไปรอบ ๆ ห้อง เขาไม่เห็นอะไรสักอย่าง รู้สึกแต่ว่าหน้าอกที่ของเขาเต้นรัวมาก ก่อนที่ไฟในห้องจะติดขึ้น ตะวันก้มมองที่กล่องไม้ใบนั้น ตุ๊กตาหายไปแล้ว ตะวันพยายามมองหา ก่อนที่หางตาจะเห็นว่า มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูห้อง ที่ตอนนี้ยิ้มโชว์เขี้ยวคมมาทางเขา

**********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

หน้าสวย ใจเสีย - เต้น นรารักษ์

https://www.youtube.com/watch?v=PgbU5ReAl8w&ab_channel=TenNararak-Topic


จุดจบเธอคงจะไปไม่สวย

The end of yours may be ugly

ถ้าหากเธอยังทำตัวเสียเสีย

If you still go on unpretty

เสียดายจริงจริง เสียดายที่รู้จักกัน

Unfortunately, we know each other this way


อุตส่าห์เทใจให้เธอไม่น้อย

Though I gave you my sincerity

เธอยังทำลายมันไปซะงั้น

Yet you destroyed it completely

เพราะความจอมปลอม

A phony you are

เพราะใจเธอไม่รักดี

Cannot stay on the right path


มัวไปชื่นชมกับสิ่งนอกกายเกินไป

You're busy messing with all the materials

จนมันพาเธอไปสู่วันที่ไม่มีใคร

They'll lead you to the day no one's there for you


หน้าตาก็ดีทำไมเป็นอย่างนี้

You're so beautiful, why you're acting like this?

ฉันบอกตรงตรงว่าเสียดาย

I'm telling you that it's shameful

ไม่น่างมงายหลงผิดไม่รู้ชั่วดี

The way you don't know rights from wrongs


หน้าตาก็ดีแต่ใจเธอมันเสีย

You look so gorgeous, but your heart's totally opposite

ขยะคงเต็มล้นในใจ

Garbage is piled up in there

จะตักจะเตือนก็คงจะสายเกินไป

Warning is out of the question

อาจเพราะเป็นเวรเป็นกรรม

Probably, karma is following


จุดจบเธอคงมาเยือนไม่ช้า

The end of yours, it is near

เกิดจากทำตัวเธอเองแท้แท้

No one is to blame but yourself

สงสารจริงจริงไม่รู้จะช่วยอย่างไร

I'm feeling sorry for you, but you're on your own


อาจเพราะเป็นเวรเป็นกรรม

May the karma be kind to you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0



‘นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น’ ตะวันร้องตะโกนถามตัวเองจนดังก้องไปทั้งใจ ก่อนจะเห็นผู้ชายรูปร่างสะโอดสะอง ผู้ที่มีรอยยิ้มโชว์เขี้ยวคมนั้น ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แต่ที่ทำให้ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องน่าตกใจมากขึ้นไปอีกสำหรับตะวัน นั่นก็คือ เขาได้ยินเสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นด้วยเช่นกัน

“กลัวอะไรล่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก” ตะวันมองริมฝีปากของคนที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา ขยับพูดกับเขา เสียงพูดนั้นชัดเจนในโสตประสาท ทั้ง ๆ ที่ว่าการอ่านปากของคนอื่น เป็นเรื่องปกติธรรมดาของตะวัน ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เข้าใจว่าคนอื่นพูดว่าอะไร แต่เขาก็ต้องอยู่ในโลกของความเงียบงันมาโดยตลอด

“มันวิเศษมากใช่มั้ย” จินพูดด้วยรอยยิ้มที่แสดงความดีใจให้เห็น พลางเอานิ้วชี้แตะซ้ำ ๆ ที่หูของตัวเองให้ตะวันเห็น “ที่เธอได้ยินอยู่นี่ เป็นเสียงพูดของฉันจริง ๆ เลยนะ” ตะวันเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง พยักหน้าแบบเป็นกันเอง ดูสดใส และดูเข้าใจความรู้สึกของเขา

“ใคร ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะเธอใช่มั้ย เวลาที่เธอส่งเสียงพูดออกมา แล้วมันมีแต่เสียงอ้อ ๆ แอ้ ๆ น่าอายนั่น” ตะวันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินแบบนั้น น้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วย ทำให้ตะวันต้องรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไล่หยาดน้ำอุ่นที่แสบของตาและบาดลึกลงไปในหัวใจของเขา ให้หายไป

“เธอไม่รู้หรอกหรือไง ว่าเธอไม่จำเป็นต้องแบกความเจ็บปวดนั้นของเธออีกต่อไป” จินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แววตาที่เห็น กำลังลอบมองตะวันอย่างพินิจพิเคราะห์ “นี่ขนาดเธอได้ยินได้เป็นครั้งแรก เธอยังทั้งตกใจทั้งดีใจขนาดนี้” ตะวันดูจะแสดงความตกใจกลัวลดลงเรื่อย ๆ เมื่อจินแม้จะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางอันตรายใด ๆ ให้เห็น 

“แล้วถ้าฉันจะบอกว่า” คำพูดของจิน ทำให้ตะวันแสดงความอยากรู้ให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ “มันจะน่าทึ่งมากกว่านี้อีก ถ้าเธอได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกมา ด้วยหูของเธอเอง” จินทำหน้าตกใจ ไม่อยากเชื่อหูตัวเองให้ตะวันได้เห็น ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ที่สุดท้ายก็ได้เห็นตะวัน แสดงความสนใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

‘จริงหรือ’ ตะวันถามขึ้นในความคิด แต่ไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง ‘เธอทำให้ฉันได้ยินเสียงของตัวเอง เหมือนกับที่ฉันได้ยินเสียงของเธอแบบในตอนนี้ได้จริง ๆ หรือ’ จินสบตากับตะวันตรง ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าที่ตะวันเพิ่งเห็น หายไปจากใบหน้านั้น ตะวันอยากจะก้าวถอยหลังขยับตัวหนี แต่ก็เหมือนกับถูกสะกดเอาไว้ให้ยืนนิ่ง เมื่อจินค่อย ๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา

“ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกเธอ เธอก็แค่” รอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยเผยออกมาแทน แต่ตะวันในตอนนี้ ไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้นของจินแต่อย่างใด “ขอ” จินพูด “เธอก็แค่พูดมันออกมา ว่าเธออยากได้อะไร” ดวงตาของจินระยิบระยับเป็นสีแดงเรื่อ ๆ เมื่อความตื่นเต้นในใจมันกำลังทวีคูณเพิ่มขึ้น

“ถ้าเธอขอ ฉันจะทำให้พรนั้นเป็นจริง” ตะวันมองดูจินเดินไปนั่งลงไขว่ห้างที่บนเก้าอี้ “ว่าไง” อาการลังเล กึ่ง ๆ เกือบจะเชื่อของตะวัน ยิ่งทำให้จินรู้สึกสนุกไปกับมัน เมื่อตะวันเองก็ประจักษ์กับตัวเองแล้ว ว่าอยู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของจินพูด เมื่อจินปรากฏตัวขึ้น

‘แค่พูดขอ ก็ได้ตามนั้นแล้วหรือ’ ตะวันถามออกไป จินไม่ได้ตอบ แต่มองหน้าของตะวันนิ่ง ๆ ตะวันอึกอัก ๆ กับตัวเอง มองหน้าจิน สลับกับถามตัวเองไปมา รู้ดีว่า ถ้าหากเรื่องนี้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ หลาย ๆ อย่างในชีวิตของเขา มันจะปลดล็อกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่เขาคิดไว้ คงจะง่ายมากขึ้นสำหรับเขา

‘ฉันขอให้’ แววตาของจินเริ่มจากสีแดงระเรื่อ ‘ฉันต้องการให้ตัวฉัน’ มันแดงมากขึ้นและมากขึ้น ‘สามารถพูดได้และได้ยินเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา’ สิ้นสุดคำขอของตะวัน ดวงตาของจินก็แดงฉานจนน่ากลัว จินหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนที่ตะวันจะรู้สึกว่า ห้องทั้งห้องสั่นสะเทือนไปหมด ก่อนที่ไฟในห้องนั้นจะดับวูบลง และติดสว่างจ้าขึ้นมาในทันที

“ว้าย” ตะวันหลับตากรีดร้องออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วมองเห็นจิน นั่งเท้าคางมองเขามาด้วยสายตาเอ็นดู “เธอทำอะไรกับฉัน” มาถึงตรงนี้ ตะวันถึงกับต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตัวเอง เมื่อเสียงที่เขาได้ยิน ไม่ใช่เสียงของจินที่ดังขึ้นในสมองของเขา แต่กลับเป็นเสียงที่ประหลาด ไม่คุ้นหูเขาเลยสักนิด

“ยินดีด้วยนะ” จินทำมือทาบอก เอียงคอมองตะวันอย่างให้กำลังใจ “นี่มัน” ตะวันพูดขึ้น “เสียงของฉัน” จินพยักหน้ายืนยันถึงสิ่งที่ตะวันได้ยิน “มันก็ไม่ได้แย่เลยนะ เสียงผู้ชายของเธอ” ตะวันได้ยินแบบนั้น ก็ทำหน้าผิดหวังออกมาในทันที จินมองหน้าของตะวัน แบบคนที่กำลังกลั้นหัวเราะ

“เสียงแบบนี้ ฉันจะไปกล้าพูดกลับคนคนนั้นได้ยังไงกัน” น้ำเสียงของตะวันสั่นเครือ น้ำตาที่รื้นขึ้นขอบตาคราวนี้ มันมาจากความเกลียดชัง ใช่ ตะวันรู้ได้ในทันที ว่าเขาเกลียดเสียงตัวเองอย่างที่สุด “ทำไมเธอให้เสียงพูดนี้กับฉัน ทำไมฉันต้องได้ยินเสียงพูดทุเรศ ๆ นี้ของตัวเองด้วย” หยาดน้ำใสที่ตะวันกลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ไหลล้นลงจากขอบตาทั้งสองข้าง

“เธออยากได้เสียงพูดเพราะ ๆ ไปคุยกับใครกันนะ” จินถามออกไป แกล้งไขสือ ไม่เข้าใจว่าที่ตะวันพูดหมายถึงอะไร จินมองเห็นท่าทางอยากระบายความอัดอั้นของตะวัน เผยออกมาจนห้ามตัวเองไว้ไม่ได้อีกต่อไป กับเสียงร้องกรี๊ดระเบิดความในใจของตัวเองออกมา

“ฉันอยากจะคุยกับพี่พายุ ฉันต้องการให้พี่พายุได้ยินเสียงของฉัน แต่มันไม่ใช่เสียงทุเรศ ๆ นี้ แบบนี้เขาจะชอบฉันกลับได้ยังไง ฉันจะกล้าบอกกับพี่พายุได้ยังไง ว่าฉันชอบเขา ฉันแอบชอบพี่พายุมานานมาก นานจนมันทำให้ฉันเจ็บไปทั้งใจ” ทันทีที่ตะวันพูดจบ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง จนบานประตูมันกระแทกเข้ากับผนังห้อง เสียงดังลั่น

“ตายแล้วนังตะวัน นี่แกแอบชอบคุณพายุเขาหรือนี่” เสียงช่างแต่งหน้าดังขึ้นแบบดูแคลนเสียงมากกว่าจะแสดงถึงความประหลาดใจ “แต่นี่แกไม่ได้เป็นใบ้หูหนวกนี้” ผู้ช่วยช่างแต่งหน้าร้องถามขึ้น ตะวันตกใจ เมื่ออยู่ ๆ ทั้งสองคนนี้ก็มาล่วงรู้เรื่องของเขา แต่ตะวันจะอธิบายออกไปยังไงได้ ว่าอยู่ ๆ อาการที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด อยู่ ๆ มันก็มลายหายไป เพียงเพราะคำขอพรแค่คำเดียวเท่านั้น

“นี่แกหลอกลวงพวกฉันมาตลอดสินะ แล้วนี่ แกเอาความลับที่พวกฉันพูดไปคายต่อให้กับใครแล้วบ้าง ถ้าแกคิดว่าพวกฉันโง่ แล้วจะเอาพวกฉันไปขายให้กับพวกซุบซิบดารา นินทานักแสดงแล้วล่ะก็ แกเล่นผิดคนแล้ว” ไม่ทันตั้งตัว ตะวันก็ล้มทั้งยืน ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น เมื่อถูกช่างแต่งหน้าใช้กำปั้นฟาดเข้าที่หน้าของเขาฉาดใหญ่

“แกไม่รอดแน่ อีตะวัน อีกะเทยเนรคุณ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณศศิ ว่าแกหลอกทุกคนว่าแกเป็นง่อย เพื่อมาแอบสืบความลับของคุณศศิไปบอกคอลัมน์เม้าท์ดารา แถมยังจะใช้ความพิการของแก เข้าหาคุณพายุ จะแสร้งทำตัวน่าสงสาร เพื่อให้คุณพายุตายใจ แต่จะหลอกแอบถ่ายคลิปไพรเวทของเขา ไปขายให้กับพวกในอินเทอร์เน็ต” ช่างแต่งหน้าตะโกนใส่หน้าตะวันด้วยความสะใจ

“แกไม่รอดแน่ อีตะวัน” ผู้ช่วยช่างแต่งหน้าสำทับ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “แล้วแกเอาสมองส่วนไหนคิด ว่าคนอย่างคุณพายุเขาจะลดตัวมามองแก ใครเขาจะมาเอากะเทยผิดรูปผิดร่างอย่างแก ที่ผ่านมา เขาเคยมองแกซะที่ไหนกัน” สองช่างแต่งหน้าหัวเราะเยาะใส่หน้าตะวัน ก่อนที่จะสะบัดหน้า แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น

ตะวันสะอึกสะอื้น ร้องไห้เสียใจออกมาอย่างหนัก ที่ถูกคำคนดูถูกเหยียดหยามแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่สองคนนั้น ไม่ได้รู้จักเขาดีพอด้วยซ้ำ แถมตะวันเอง ก็ไม่เคยไปทำอะไรที่จะให้คนที่ไม่รู้จักกัน มาจงเกลียดจงชังเขาได้ถึงเพียงนี้ ตะวันดันตัวเองให้ลุกยืนขึ้น สองไม้สองมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า อย่างน่าเวทนา

“สองคนนั้น ทำไมถึงร้ายกับเธอจัง เธอจะยอมให้มันเป็นแบบนี้จริง ๆ หรือ” เสียงของจินเอ่ยถามขึ้นจากทางด้านหลังของตะวัน ที่ตอนนี้ เดินไปเก็บข้าวของส่วนตัวจากบนโต๊ะทำงาน “เธอจะไม่ทำอะไรสักหน่อยเลยหรือ” เสียงของจินดังใกล้เข้ามา ตะวันหยิบย่ามของตัวเองขึ้นสะพายไหล่ น้ำตาที่คิดว่าแห้งไปแล้ว ไหลลงมาจากสองหน่วยตาอีกครั้ง

“สองคนนั้น รู้ความลับของเธอแล้วนะ” จินยืนมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของตะวัน ที่ตอนนี้ตะวันมองไปที่ประตูห้อง ที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ “เธอคิดว่า เมื่อสองคนนั้นเอาเรื่องของเธอไปโพนทะนา ป่าวประกาศให้ชาวบ้านชาวช่องได้รับรู้ อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นกับเธอหลังจากนั้น” เสียงของจินทำให้ตะวันที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความเสียใจ เริ่มคุกรุ่นในอารมณ์

“เรื่องที่เธอไม่ได้ทำ” เสียงของจินเหมือนกระซิบอยู่ที่ข้าง ๆ หูของตะวัน “ยัยศศิจะละเว้นเธออย่างนั้นหรือ” เสียงถามของจิน ทำให้ภาพการกระทำของนักแสดงสาวที่มีต่อเขา ผุดขึ้นมาฉายชัดในความคิดของตะวัน “ไอ้เรื่องแอบรักแอบชอบผู้ชายหล่อ ที่มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ของเธอ” เสียงของจินกำลังทำให้ตะวันมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมา

“ที่มันควรจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ มันจะถูกเอาไปประจาน ทำให้เป็นเรื่องน่าอับอาย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย ถ้าเธอจะมีความรัก ความปรารถนาดีให้กับใครสักคน” ตะวันปากคอสั่นระริกไปด้วยความเจ็บช้ำ กับสิ่งที่เธอถูกกระทำย่ำยีจิตใจ “เธอว่าฉันควรทำอะไรเพื่อเธอสักหน่อยมั้ย” คำถามนั้นทำให้ตะวันเอง ก็หมดความอดทนกันคนพวกนี้เช่นกัน

“ฆ่ามันทั้งสองคน กำจัดมันทั้งคู่ แต่ก่อนจะให้พวกมันตาย ฉันขอให้เธอ ทำให้พวกมันเจ็บปวดก่อนตายมากที่สุด ให้มันทุกข์ทรมาน แบบที่มันได้เคยทำเอาไว้กับคนอื่น เอาให้สาสมกับที่มันทำกับฉัน” ตะวันพูดออกมาด้วยโทสะที่เกินระงับ “ดีล” จินแสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ดวงตาลุกเพลิงเป็นสีแดงไฟโชติช่วง เมื่อตะวันขอพรข้อที่สองนั้นออกมา 

************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

แสงและเงา - แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น

https://www.youtube.com/watch?v=yI8WKUIxNHI&ab_channel=GamWichayanee-Topic


มีชีวิตเกิดมาก็เหมือนเงา

My life, living in the shadow

ที่เฝ้ารอเพียงแสงที่ขอบฟ้า

Wishing for a glimpse of light on the horizon

จะได้มีตัวตน เมื่อเธอส่องแสงมา

So, I'll be seen when you shine that light on me

เมื่อขาดเธอ ตัวฉันก็หายไป

Without that, I'll go disappeared


รู้ว่าเธอแสนไกล

Though you're far from here

ขอได้เพียงเฝ้ามอง

It's best to just watch you secretly

ชีวิตฉันต้องการเท่านี้

This is all I'm asking for


แค่รักเธอยังไม่กล้า

I need to dare myself to love you

แอบรักเธอยังต้องกลัว

My love for you needs to stay hidden

ฉันได้แต่เจียมตัว

I must remind myself that

ว่าฉันนั้นเป็นใคร

Who am I to you?

ก็แค่เงาอันเลือนราง

I'm the shadow fading away

ได้แสงสว่างจากเธอเพียงแค่รำไร

The light I need from you is a billion miles away

เท่านี้ก็สุขใจเกินพอ

That makes me the happiest person in the world


ใช้ชีวิตอย่างเป็นเงาของใคร

Living my life under the shadow of darkness

จะสู้ทำเท่าไรก็เท่านั้น

No matter how much I do, I fail

ไม่มีทางที่เธอ จะเห็นความสำคัญ

No way that someone important like you will see me

จะมีฉันคนนี้ในสายตา

To you, I'm always unnoticeable

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


“ตอนนี้ผู้กองอยู่ที่ไหน” เสียงถามผ่านโทรศัพท์มือถือมาหา ตำรวจหนุ่มที่เพิ่งลงจากรถยนต์ ตอบกลับคนที่ปลายสายไป “ผมเพิ่งมาถึงที่เกิดเหตุครับ” ผู้กองเขตต์กล่าวเพียงสั้น ๆ “คดีใหม่หรือครับ” ที่ปลายสายถามเพิ่ม “ใช่ครับ” ผู้กองหนุ่มตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ 

“คดีฆาตกรรมหรือครับ” ตาต้าถามผ่านมือถือไปหาอีกฝ่าย “คือ ผมพูดอะไรเกี่ยวกับคดีไม่ได้มากนะครับ คุณก็รู้นี่” ได้ยินผู้กองเขตต์ตอบกลับมาแบบนั้น “ผมเข้าใจ” ตาต้าพูดกลับไปเบา ๆ “ไม่งอนนะครับ เดี๋ยวผมเสร็จจากตรงนี้แล้ว ผมโทรกลับ นะครับตาต้า” ผู้กองเขตต์ได้ยินตาต้าพูดรับคำเบา ๆ ก่อนจะกดวางสายไป

“ได้ความว่ายังไงบ้าง” ผู้กองเขตต์ถามลูกน้องทีมสืบสวน ที่มาถึงก่อนหน้า “ผู้เสียชีวิตมีสองรายครับผู้กอง” ผู้กองฟังที่ลูกทีมรายงาน “ทั้งคู่เป็นทีมงานในกองถ่ายของที่นี่ คนหนึ่งเป็นช่างแต่งหน้าประจำกอง ส่วนอีกคนเป็นผู้ช่วยช่างแต่งหน้า ที่ช่างแต่งหน้าจ้างมาส่วนตัวครับ” ผู้กองเขตต์เดินมาที่ผู้ช่วยช่างแต่งหน้านอนเสียชีวิตอยู่

“สภาพศพของผู้ตาย พบว่ากระดูกหักทั่วทั้งร่าง” ผู้กองเขตต์เอง เมื่อได้มาเห็นร่างของผู้ช่วยช่างแต่งหน้า ยังต้องเบือนหน้าหนีไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาสำรวจสภาพศพนั้นอีกครั้ง “สาเหตุ” ผู้กองหนุ่มถามออกไป ทำให้เจ้าหน้าที่นิติเวชต้องเข้ามาช่วยพูดเสริมข้อมูลให้

“จากสภาพแวดล้อม ไม่พบสิ่งใดที่พอจะเป็นสาเหตุได้” ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้ว มองเจ้าหน้าที่นิติเวชที่ไม่ได้กำลังพูดล้อเล่นอยู่ “ไม่พบอาวุธอื่นใด ตกอยู่ใกล้กับผู้ตาย” เจ้าหน้าที่นิติเวชพูดต่อ “กระดูกคอหัก กะโหลกแตกเหมือนถูกผ่าครึ่ง ไม่ต้องพูดถึงกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ทั่วร่างกาย เพราะแม้แต่กระดูกฟีเมอร์” ผู้กองเขตต์เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม

“กระดูกต้นขา ที่ถือว่าเป็นส่วนที่หนาและแข็งที่สุดของร่างกาย ยังหักและแตกแทบละเอียด” ผู้กองเขตต์ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน “มันจะเป็นไปได้ยังไง” แม้แต่เจ้าหน้าที่นิติเวชยังไม่สามารถหาคำตอบใด ๆ ให้กับผู้กองหนุ่มได้ในตอนนี้

“มันคงต้องเป็นอะไรที่มีพละกำลังมหาศาล ที่สามารถบดขยี้ร่างกายผู้ตายให้เป็นแบบนี้ได้ แต่จะให้นึกตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถตอบได้แน่ชัด ว่ามันจะเป็นอะไรได้บ้าง” ผู้กองเขตต์พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ “แล้วกล้องวงจรปิด” ตำรวจหนุ่มมองไปทางกล้องที่ส่องออกจากตัวอาคาร

“ภาพจากวงจรปิด จับภาพได้ว่าผู้ตายทั้งสองคนวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากตัวอาคาร เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างออกมา” ภาพวิดีโอที่ลูกน้องในทีมสืบเปิดให้ผู้กองเขตต์ดู “ผู้ช่วยช่างแต่งหน้า มาล้มลงตรงจุดที่เสียชีวิตนี้ ส่วนช่างแต่งหน้าวิ่งต่อไปได้ จนเข้าไปในรถยนต์ของตัวเอง” ภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่า ผู้ช่วยช่างแต่งหน้าอยู่ ๆ ก็ล้มลงไปนอนด้วยความเจ็บปวด

“แล้วภาพจากกล้องหลังจากที่ผู้ตายล้มลงตรงนี้ล่ะ” ผู้กองเขตต์ถามหาภาพเหตุการ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากตอนนั้น ก่อนจะเห็นลูกทีมส่ายหน้าให้แทนคำตอบ “กล้องวงจรปิดกลับมาทำงานอีกครั้ง ตอนที่ผู้ตายเสียชีวิตแล้วครับ” ผู้กองเขตต์หน้าบอกบุญไม่รับ “มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง” ก่อนจะได้ยินตัวเอง พูดประโยคเดิมนั้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง

“แล้วผู้ตายอีกคนล่ะ” ผู้กองเขตต์ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ตามมาทางนี้ครับผู้กอง” ลูกทีมออกเดินนำผู้กองหนุ่มไป ก่อนจะชี้นิ้วไปตรงที่ข้างคูน้ำ ที่ตอนนี้มีรถยกกำลังดึงรถยนต์คันหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ “จากภาพวงจรปิดที่มุมถนนด้านหน้า” ผู้กองเขตต์มองตามไป พบว่ามีกล้องวงจรปิดส่องมาจากฝั่งตรงข้ามถนน

“ผู้ตายเข้าไปในรถ ก่อนเร่งเครื่องเพื่อจะขับออกประตูใหญ่ แต่รถกลับหันหัว แล้วเลี้ยวไปทางขวา ด้วยความเร็วสูง” วิดีโอจากกล้องวงจรปิด ทำให้ผู้กองเชตต์ต้องชะงัก “ก่อนที่รถจะพุ่งตกลงไปในคูน้ำ” กระจกรถทุกด้านรอบคัน มีของเหลวสีแดงกระจายตัวเปื้อนจนแดงฉาน

“หลังจากรถตกลงไปในคูน้ำ ไม่พบว่า ผู้ตายออกมาจากตัวรถแต่อย่างใด คาดว่าจะเสียชีวิตทันที และร่างยังคงอยู่ในรถครับผม” สิ้นคำพูดนั้นของลูกทีม รถยกก็วางรถยนต์คันที่เพิ่งนำขึ้นมาจากคูน้ำลงบนพื้น และไม่มีใครคาดคิด ประตูรถทั้งสี่ด้านก็เปิดออก ก่อนที่เศษร่างชิ้นส่วนของช่างแต่งหน้า จะร่วงกระจัดกระจายออกมาจากตัวรถ ที่แม้แต่เจ้าหน้าที่นิติเวชเอง ยังต้องทำใจอยู่สักครู่ ก่อนจะเข้าไปเริ่มตรวจ

“ฟันของผู้ตาย ถูกถอนออกจนหมดทุกซี่” เจ้าหน้าที่นิติเวชบอกกับผู้กองเขตต์ “ลิ้นถูกตัดขาดและเลื่อนลงไปในลำคอ เหมือนถูกอะไรบางอย่างดันกลับเข้าไปด้วยความแรง” เจ้าหน้าที่นิติเวชรู้สึกว่า นี่มันเป็นความร้ายแรงที่กระทำต่อกัน ราวกับมีแรงแค้นมหาศาลต่อกัน 

“อันนี้เฉพาะท่อนบนของศพผู้ตาย ที่สังเกตด้วยตาคร่าว ๆ” ผู้กองเขตต์เองก็รู้สึกว่าท้องไส้ตัวเองกำลังปั่นป่วนเช่นกัน เมื่อมองตามสายตาของเจ้าหน้าที่นิติเวชไป “ส่วนครึ่งท่อนล่าง ที่ถูกตัดแยกออกจากกัน ความคมกริบมาก ๆ เท่านั้น ที่สามารถตัดครึ่งได้แบบเป็นรอยเดียวแบบนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่า มันคืออะไร” ผู้กองเขตต์เอง ก็ไม่สามารถโทษเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน กับความจนใจนี้

“ไม่มีพยานในที่เกิดเหตุครับผู้กอง” ลูกน้องในทีมรายงานผู้กองเขตต์ “ส่วนผู้ต้องสงสัยมีเพียงคนเดียว คือช่างทำเสื้อผ้าของกอง ที่ผู้ตายทั้งสองเดินออกจากห้องที่ผู้ต้องสงสัยทำงานอยู่ แต่ก็อีกครับผู้กอง ไม่ปรากฏว่า ผู้ต้องสงสัยจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะตามภาพกล้องวงจรปิด ไม่เห็นเขาออกมาจากห้องนั้นจนเช้า แถมเขายังเป็นใบ้และหูหนวกอีกต่างหาก” ในใจของผู้กองเขตต์ได้แต่ตะโกนดังลั่น ว่านี่เขากำลังเจอกับคดีอะไรกันแน่

“คนสมัยนี้น่ากลัวมาก” ตะวันอ่านริมฝีปากที่ขยับพูดของพายุด้วยความเคยชิน ตอนที่นักแสดงหนุ่ม มายืนให้ตะวันจัดเครื่องแต่งกายให้ กลิ่นน้ำหอมกรุ่นจากร่างกายของชายหนุ่ม ทำให้ตะวันรู้สึกเขินและใจเต้นแรง “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ปลอดภัยจากพวกคนใจร้ายนะ” เมื่อตะวันเงยหน้าขึ้นสบตากับพายุ ก็รับรู้ได้ว่า นักแสดงหนุ่มกำลังพูดกับเขา ตะวันยิ้มดีใจ

“ขอบคุณมาก” พายุพูดกับตะวัน ก่อนที่เขาจะมองตามมือของนักแสดงหนุ่มหล่อ ที่มาแตะที่ไหล่ของตะวันแบบแสดงความสนิทสนม “พี่พายุคะ” เสียงเรียกของศศิ ทำให้ตะวันหันขวับไปในทันที ก่อนจะค่อย ๆ หันหน้ากลับมาที่ราวแขวนเสื้อผ้าตรงหน้า ศศิมองมาที่ตะวันแบบไม่วางตา

“อ้าวศศิ วันนี้ไม่มีคิวไม่ใช่หรือครับ เพราะมีแต่คิวบู๊นะวันนี้” พายุพูดพร้อมทำท่าชกลม แสดงความเท่และมัดกล้าม เรียกเสียงหัวเราะจากทีมงานคนอื่น ๆ “อ๋อค่ะ” ปากพูดกับพายุ แต่สายตาของศศิจับจ้องอยู่ที่ตะวัน “คือศศิว่าง ๆ ก็เลยมากองดีกว่า จะได้มาให้กำลังใจพี่พายุด้วย อยู่ที่นี่ข้าวกลางวันก็ฟรี แถมมีคนให้คุยด้วยแก้เหงา ศศิชอบมาที่กองค่ะ”  ศศิเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ พายุ

“ยิ่งเพิ่งมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นด้วย ศศิก็อยากจะมากอง เพื่อให้แน่ใจว่า คนอื่น ๆ ปลอดภัยดี ไม่ได้ถูกพวกชั่ว ๆ มันทำร้ายเอาน่ะ ศศิเป็นห่วง ทุกคนต้องระมัดระวังตัวนะคะ” ศศิพูดบอกกับทีมงานที่อยู่ตรงนั้น เมื่อตอนนี้ตำรวจอนุญาตให้กองถ่ายทำงานได้ต่อ หลังจากได้เคลียร์สถานที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณศศิมากนะ แต่เดี๋ยวพี่ไปเข้าฉากก่อน” พายุพูดขอบคุณนักแสดงสาว ก่อนจะขอตัวไปที่หน้าเซ็ท พร้อม ๆ กับทีมผู้จัดการและผู้ช่วยส่วนตัว ศศิรอจนทีมงานที่อยู่แถวนั้น กระจายตัวไปทำหน้าที่หน้าเซ็ทถ่ายทำของตัวเอง จึงล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพาย

 ตะวันหันขวับไปทางด้านข้างทันที ที่มีเสียงกระพรวนถูกโยนมาตกอยู่ใกล้ ๆ ตัวของเขา ก่อนที่ตะวันจะได้ยินเสียงศศิหัวเราะร่วนออกมาอย่างชอบใจ ก่อนที่ศศิจะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ตะวัน แล้วยื่นหน้ากรี๊ดใส่หูของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ตะวัน ฝืนตัวเองไม่ให้ตัวเองขยับตัวหนี หรือหันไปมองทางศศิ

“จริงอย่างที่พวกช่างแต่งหน้าบอกเสียด้วย” ศศิพูดขึ้น ตะวันได้แต่ยืนนิ่ง มือกำราวแขวนผ้าเอาไว้จนแน่น “แกนี่มันตอแหลได้โล่จริง ๆ นะ ทำเป็นใบ้หูหนวก ทำไม ชอบเรียกร้องความสนใจงั้นสิ” ศศิเบ้ปากใส่ตะวัน ที่ได้แต่ยืนขบกรามกัดฟันจนแน่น

“ตำรวจอาจจะไม่มีหลักฐาน แต่ฉันว่า แกมันร้ายกว่าที่คนคิดกัน” ตะวันต้องเตือนตัวเอง ไม่ให้หันไปพูดจาตอบโต้กับศศิ “แล้วนี่แกคิดจะหลอกคนอื่นไปอีกนานแค่ไหน ว่าแกพูดได้ แถมได้ยินทุกอย่างที่คนอื่นพูด” ศศิไม่พูดเล่า วางมือของตัวเองลงบนมือของตะวัน โดยให้มั่นใจว่าเล็บแหลมยาวของเธอ จิกลงบนเนื้อของตะวันอย่างแรง

“แกไม่มีวันชนะฉันได้หรอก อีกะเทย” ตะวันหันขวับไปมองหน้าศศิ ที่กำลังมองเขาอย่างดูกถูกดูแคลน “ทำไม โกรธหรือไง ได้ยินที่ฉันพูดสินะ” ศศิพูดพลางยิ้มเยาะ “เอาเลยเซ้ ตะโกนเลย แหกปากบอกทุกคนเลยสิ ว่ากำลังถูกฉันรังแก” ตะวันทำได้แค่ห้ามตัวเองเอาไว้ ปากคอสั่นไปด้วยอารมณ์โกรธ แต่ทำอะไรไม่ได้ จ้องหน้าศศิ ด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย จนศศิเดินหัวเราะจากไปอย่างผู้ชนะ

“เอายังไงดี” เสียงของจิน ดังขึ้นที่ข้างหู ตอนที่ตะวันมองรอยเล็บบนมือของตัวเอง ขณะที่หยาดน้ำตาอุ่นใสนั้น ไหลล้นลงจากขอบตา “ยัยนั่นรู้แล้วนะ ว่าเธอพูดได้ หูไม่ได้หนวก” ตะวันปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาแบบนั้น “แล้วอีกเรื่องล่ะ ที่เธอผู้ต่ำต้อย แอบหมายปอง พายุ นักแสดงหนุ่มผู้สูงส่ง” ตะวันหันมามองหน้าจิน

“ฉันยังมีพรเหลือให้เธออีกหนึ่งข้อ” ตะวันมองลึกลงไปในดวงตาที่มีแต่ความหลอกลวงของจิน “แต่ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นตัวมารร้าย จะไม่เอาก็ได้นะ” จินพูดด้วยลักษณะของเจ้ามารยาสาไถย กลับเป็นที่ตะวัน ที่แววตาในตอนนี้ บ่งบอกถึงความกังวลแทน

“เหลือข้อสุดท้าย ข้อเดียว” ตะวันได้ยินจินพูดบอกมา ในใจตอนนี้กำลังสับสน ถ้าหากว่าต่อไปจะไม่ได้เจอกับพายุอีกแล้ว เพราะกองถ่ายทำอื่น ๆ คงจะไม่จ้างเขา ให้ไปทำทีมเสื้อผ้าอีกต่อไป เมื่อจินสามารถทำกับช่างแต่งหน้าและผู้ช่วยได้อย่างเมื่อคืน “คิดให้ดี” จินพูดกับตะวัน พลางยิ้มให้เห็นเขี้ยวคม



***************************************************



คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ต้องเลวใช่ไหม - มุก Stage Fighter

https://www.youtube.com/watch?v=M77bOtemV0g


โลกที่ฉันเลือกเดินไม่มีใครสนใคร

I'm in the world no one cares nobody

ต้องทำทุกทางใครจะขวางไม่สน

Must do anything to keep the path clear

ร้ายมาก็ร้ายไปแย่งมาก็แย่งไป

An eye for an eye, devil is worked up with devil

หัวใจของคนไม่มีวันพอ

It's the core of all the greed


คนที่แพ้คือคนที่พลั้ง

The losers are the failures

ถูกหลอกใช้แล้วแทงข้างหลัง

Been manipulated then get the back stabbed

หากใครล้มก็มีแต่เหยียบซ้ำ

Get walked on all over when fall

มีแต่สวมหน้ากากใส่กัน

Masks used to protect their true colors

เกลียดกันทั้งที่บอกว่ารัก

Hatred spreads out as love

คำคนนั้นที่แท้คือยาพิษ

Words are real poisonous potions


จะต้องทนต้องเสียน้ำตาแค่ไหน

How long do I need to suffer and shed my tears?

อยู่ให้คนอื่นเขาได้ลวงเล่นกัน

Stay still and get deceived by others

คนที่คิดว่ารักมากมายยังทำร้ายกัน

Got hurt by those who said they love me

ฉันต้องเลวเหมือนกันใช่ไหมเธอ

Am I supposed to be as evil?


ฉันอยากจะหนีไปฉันอ่อนล้าหัวใจ

I'd like to escape 'cause my heart is weakened

ไม่เห็นแม้ใครที่จริงใจกับฉัน

No one gives their sincerity to me

สักคนที่เห็นใจสักใจที่รักกัน

Just one who feels the love I always feel

ไม่เห็นฉันเป็นของเล่นเหมือนใครใคร

Someone whose heart beats the same as mine
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2025 15:02:17 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“ถ้าฉันไม่ขอพรข้อสุดท้ายที่เหลือ มันจะเป็นอะไรมั้ย” ตะวันที่นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มาสักครู่ใหญ่ ๆ เอ่ยถามจิน ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบ ๆ เพียรถามถึงพรข้อที่เหลือ เพื่อให้ตะวันบอกออกมา ว่าอยากได้อะไร จินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มองหน้าของตะวันด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ได้ใช่มั้ย ถ้าฉันจะไม่ขอพรข้อที่เหลือแล้ว” ในหัวของตะวันตอนนี้ กำลังคิดกลับไปกลับมา ถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ “เธออยากจะเป็นคนดีขึ้นมา อย่างนั้นสินะ” จินถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดุขุ่นมัว “การเป็นคนดี จะพาเธอมาไกลถึงตรงนี้ได้มั้ย คิดสิ” จินยิ้มเยาะความคิดของตะวันออกมา “เธอก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือไง ว่าชีวิตของเธอจะถูกทำลายลงในไม่ช้า” ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าตะวันก็กลัวในเรื่องนี้มากเช่นกัน

“แต่พรที่เธอให้ฉันขอ มันควรจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ มันควรเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน หรือต้องตาย” ยิ่งตะวันได้เห็นถึงสิ่งที่จินสามารถทำได้ ก็ให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด “พรที่เธอขอมา มันก็ให้คุณกับเธอไม่ใช่หรือไง” เสียงจินตอบตะวันกลับมา “มันจะทำให้ใครต้องเกิดเรื่องราวไม่คาดคิดไปบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมานั่งเป็นกังวลอะไรนี่นา” ตะวันรู้ดี ว่ากำลังถูกจินพูดจาหว่านล้อม

“เธอเริ่มต้นกับมันด้วยความชั่ว แล้วเธอคิดหรือ ว่าเมื่อเธอเปลี่ยนใจจะทำดีขึ้นมา แล้วจะมีใครหน้าไหนมาเห็นใจเธอ” สีหน้าของจินในตอนนี้ที่ตะวันเห็น มันฟังดูเป็นความจริงที่มันเกิดขึ้นกับตัวเขาเองมาตลอด “เธอมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมเธอไม่ไปให้มันสุดทางเลยล่ะ คนอื่นไม่รอด” จินพูดมองหน้าตะวันตรง ๆ “แต่เธอควรจะเป็นคนที่รอดไม่ใช่หรือ” จินพูดย้ำกับตะวัน

“เธอก็รู้นี่ ว่าฉันช่วยเธอได้” ตะวันรู้ดีว่าจินไม่ได้พูดจาเกินจริงแต่อย่างใด “เธอก็แค่พูดขอมันออกมา” จินเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เผยรอยยิ้มที่ดูมีความจริงใจออกมา แต่แววตานั่นต่างหาก ที่ตะวันรู้ว่า มันซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ในความเสี่ยงที่แทบจะกรีดร้องใส่ตะวัน ว่าอย่าถลำตัวเข้ามานั้น

“ได้เลยค่ะ ยังไงศศิต้องรบกวนพี่ ๆ นักข่าวด้วยนะคะ มันเป็นเรื่องสำคัญมากจริง ๆ ที่ถ้าจะให้ศศิเก็บเอาไว้ต่อไป คงไม่ไหวจริง ๆ” ตะวันได้ยินเสียงของนักแสดงสาวดังมาจากบริเวณด้านหน้าห้อง กำลังคุยโทรศัพท์กับนักข่าวที่ตัวเองสนิทสนมด้วย “พากันมาเยอะ ๆ ได้เลยนะคะ บอกต่อกันให้ศศิด้วย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี” ปลายน้ำเสียงทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะกดวางสายไป ด้วยเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ

“จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ก็คงจะถูกด่าว่าตอแหล จริงมั้ย” ศศิเดินเข้าห้องมาด้วยอาการยิ้มร่า รู้สึกสนุกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อนักข่าวมารวมตัวกันเยอะ ๆ เพื่อมาฟังในสิ่งที่เธอจะพูด “ไง จะยอมรับได้หรือยัง ว่าเธอพูดได้ ไม่ได้บ้าใบ้หูหนวก อย่างที่เสแสร้งแกล้งทำมาตลอด ไอ้ความตอแหลนี่ ฉันว่าเธอทำมันได้ยอดเยี่ยมเลยนะ มาสเตอร์พีซ ทีเดียวแหละ” ศศิจงใจเข้ามาทำให้ตะวันได้รู้ ว่าใครที่อยู่เหนือกว่าใคร

“ตามใจแกก็แล้วกันนะ จะไม่ยอมรับกับฉัน ว่าแกมันลวงโลกมากแค่ไหน ก็ไม่เป็นอะไรหรอก” ศศิมองตะวันด้วยสายตาที่เหยียดหยามอย่างเปิดเผย “เพราะคนระดับฉันก็ไม่ได้คาดหวังให้คนอย่างแก จะทำอะไรที่เกินกว่ากำพืด ชาติกำเนิดของแกจะให้ได้อยู่แล้ว” ศศิพูดจบ ก็หันหลังกลับ ทำท่าจะเดินออกจากห้องนั้นไป แต่ก็ต้องหันหลังกลับมาอีกครั้ง

“ฉันไม่เคยทำอะไรไม่ได้ กับเธอเลยสักครั้ง ทำไมเธอถึงต้องทำตัวร้ายกาจ กับฉันแบบนี้” ตะวันตัดสินใจถามนักแสดงสาวออกไป “เธอเองก็มีพร้อมแทบจะทุกอย่างในชีวิต เธอจะมาอะไรกับฉัน ที่ไม่ได้มีอะไรเทียบเธอได้เลยสักอย่าง” ตะวันเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้คนคนหนึ่ง เกิดความเกลียดชังกันได้แบบนี้

“ยอมพูดแล้วสินะ เปิดเผยตัวออกมาแล้วใช้มั้ย ว่าแกมันเป็นพวกมารยา ร้อยเล่ห์เพทุบาย หวังใช้ความน่าสงสาร เพื่อให้คนอื่นหลงกล หลงเชื่อไปกับตอหลดตอแหลของแก” ศศิตะโกนใส่หน้าตะวันเสียงดังลั่น สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจดเท้า ในแบบที่อยากให้รู้ว่า นักแสดงสาวกำลังมองตัวอะไรสักอย่างที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก

“อีกอย่างนะ” ศศิพูดต่อไปว่า “แกไม่มีทางสะเออะเทียบชั้นกับฉันได้ ไม่มีวัน” ศศิรู้สึกทุเรศเสียเหลือเกิน เมื่อมองไปที่ตะวันแล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลกลใดก็ตาม การแพ้ให้กับตะวัน ทำให้ศศิรู้สึกย่ำแย่เกินกว่าจะรับมันได้ “แล้วถ้าแกรู้แบบนี้แล้วล่ะก็ ทางที่ดี ฉันจะบอกบุญชี้ทางสว่างให้ แกไสหัวไปจากที่นี่ซะ ไปให้ไกล ไปตอนนี้เลยได้ยิ่งดี” ศศิชี้นิ้วไล่ตะวันให้ไปเสียพ้น ๆ

“แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ เธอจะทำอะไรฉันได้” ลึก ๆ ข้างในใจ ตะวันรู้ดี ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเขาต้องมาโดนคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างศศิ ไล่เหมือนหมูเหมือนหมาด้วย ศศิได้ยินตะวันพูดมาแบบนั้น ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที “อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย อีกะเทยสวะ” ศศิฉุนเฉียวขึ้นมาในทันที “ไหนแกบอกฉันมาที ว่าทำไมอยู่ ๆ แกก็พูดได้ขึ้นมา ถ้าแกเป็นใบ้หูหนวกจริง” ศศิตะโกนถามตะวันอย่างคนเหลืออด

“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เธอฟังทั้งนั้น” ตะวันเองก็รู้สึกเหลือทนกับคนอย่างนักแสดงสาวคนนี้เหมือนกัน ยิ่งพอศศิเห็นตะวันตอบโต้กลับมา ไม่ได้ทำตัวหงอ ร้องขอความเห็นใจอย่างที่เธอต้องการ มันก็ยิ่งทำให้ศศิเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น “ได้ ถ้าแกคิดว่า แกมันแน่นัก” ศศิตะโกนใส่หน้าตะวัน “งั้นแกก็เตรียมตัวฉิบหายต่อหน้าพวกนักข่าวในไลฟ์ของฉันได้เลย” ศศิตัดสินใจที่จะเปิดกล้องไลฟ์สด ไม่ต้องรอแถลงข่าวอะไรนั่นแล้ว

“เอามานี่นะ เอามา” ตะวันโผเข้าแย่งโทรศัพท์มือถือในมือของศศิในทันที “โอ๊ย อีบ้า” ศศิจ้องเสียงหลงเมื่อตะวันกำลังดึงโทรศัพท์จนเกือบจะหลุดออกจากมือของเธอ “อีกะเทยควาย” ศศิกรีดร้องใส่หน้าตะวัน ก่อนจะยกเท้าเตะเข้าที่หว่างขาของตะวันอย่างแรง ทำให้ตะวันปล่อยมือถือของศศิให้ตกลงบนพื้น ก่อนจะทรุดคุกเข่าลงกับพื้น ศศิหัวเราะสะใจที่เห็นตะวันอยู่ในอาการจุกจนพูดไม่ออก

“กะเทย มันก็ได้แค่นี้ มันก็เป็นได้แค่กะเทย วันยังค่ำ ไม่มีทางจะเป็นผู้หญิงไปได้” ศศิพูดพลางก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถือเอาไว้ “โดยเฉพาะเรื่องของพี่พายุ” ตะวันที่คุกเข่าอยู่กับพื้น เงยหน้าขึ้นมองศศิ ที่ก้มลงมองมาที่ตะวัน ให้รู้ว่าอยู่สูงและอยู่ต่ำ มันเป็นเช่นไร และใครต้องอยู่ตรงไหนของคำพูดนี้

“เพราะต่อให้แกจะชื่อตะวัน ฟังดูสูงส่ง แต่แกไม่ใช่ตะวันที่พี่พายุต้องการ ฉันจะทำให้แกเป็นดวงตะวันดับในใจพี่เขา พี่ตะวันจะต้องเกลียดแก ได้ยินมั้ย พี่พายุจะต้องเกลียดแกเท่านั้น” ศศิพูดได้แค่นั้น โดยไม่ทันตั้งตัว ตะวันกระโจนตัวโถมเข้าหาศศิ ก่อนจะใช้มือกระชากผมของศศิ ดึงให้ติดมือมา จนนักแสดงสาวหัวทิ่มลงนอนกองบนพื้น

“ทำไมเธอถึงคิดว่า เธอจะเป็นคนเดียวที่จะสมหวัง ได้ทุกอย่างที่ใจต้องการ” มาตอนนี้ ตะวันเองก็บ้าเลือดขึ้นมาบ้างเช่นกัน เขากระโดดขึ้นคร่อมร่างของศศิเอาไว้ “จิน” ตะวันตะโกนออกมาเสียงดังลั่นห้อง “พรข้อที่สามของฉัน” ศศิดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้ร่างของตะวัน “ฉันขอให้ ฉันกับศศิ สลับร่างกันเดี๋ยวนี้” ศศิได้ยินแบบนั้นก็กรีดร้องโหยหวนออกมา เมื่อไฟในห้องดับพรึบลง ก่อนจะมีลมพัดกระหน่ำเสียงอื้ออึง แล้วทุกอย่างก็นิ่งเงียบลง

ไฟในห้องติดขึ้นมาอีกครั้ง มองเห็นทั้งตะวันและศศินอนอยู่ที่พื้นห้อง โดยมีจินยืนมองคนทั้งคู่อยู่ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แสดงอาการชอบใจ ศศิขยับตัว พยายามจะลุกขึ้น แต่ยังสับสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ลำดับจับต้นชนปลาย ใช้มือดันตัวเองขึ้นจากพื้น ก่อนจะต้องทรุดลงอย่างเดิม เมื่อนักแสดงสาวกำลังมองร่างของตัวเองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในตอนนี้

“ไม่ ไม่จริง” ศศิรู้ว่าตัวเองเพิ่งตะโกนออกไปด้วยความกลัว แต่เสียงที่ได้ยิน กลับเป็นเสียงทุ้มใหญ่ของผู้ชาย ตะวันที่ตอนนี้มองดูแขนขาของตัวเอง รีบผุดลุกขึ้นมองดูตัวเองในกระจก ถึงกับต้องทำตาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อตอนนี้ เขาได้มาอยู่ในร่างของศศิจริง ๆ ด้วยพรข้อที่สามที่เพิ่งร้องขอจากจิน

“ใครจะเชื่อเนอะ” จินพูดขึ้น กลั้วด้วยเสียงคิกคัก รู้สึกขบขันไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะตรงกลางห้อง จินหยิบมีดด้ามยาวขึ้น ก่อนจะปักมันลงที่กลางโต๊ะ “ความลับมันไม่มีในโลกล่ะนะ” จินพูดก่อนจะหันไปมองทั้งสองคน ตะวันและศศิมองมาที่มีดเล่มนั้น “ถ้าคนที่รู้ความลับเรายังอยู่” ไม่ต้องให้พูดซ้ำ ศศิและตะวันพุ่งตัวเข้ามาแย่งมีดที่ปักอยู่กลางโต๊ะเล่มนั้น

“แกเป็นตัวอะไรกันแน่” ศศิที่อยู่ในร่างของตะวัน พูดขึ้นด้วยอาการอ่อนแรง “พรที่แกให้ หรือเป็นคำสาปกันแน่” จินยิ้มกว้างมองดูศศิในร่างของตะวันไอออกมาเป็นเลือด ที่ท้องของนักแสดงสาว เลือดสด ๆ ไหลออกมาไม่หยุด “ถามตอนนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร” ศศิมองเห็นรอยยิ้มและสายตาแห่งความหลอกลวง ฉาบฉายอยู่บนใบหน้าและดวงตาของจิน ศศิหัวเราะออกมาเบา ๆ จินหันไปมองตะวันในร่างของศศิ ที่ยืนถือมีดเปื้อนเลือดอยู่ในมือที่สั่นเทา

“ฉันจำเป็นต้องทำ” ตะวันพูดกับศศิ ที่อยู่ในร่างเก่าของเขา “อีโง่” ศศิด่าตะวัน ก่อนจะหัวเราะออกมา เลือดสด ๆ ทะลักออกจากปาก เมื่อเธอยิ่งหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “แกมันโง่ อีกะเทยวิปริต” ศศิตวาดใส่ตะวัน กับพละกำลังเฮือกสุดท้าย “ถ้ายังจะปากดีแบบนี้” ตะวันหันเดินไปที่มุมห้อง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับถังน้ำมันที่ฝ่ายเทคนิคของกองถ่ายทำ เพิ่งขอเอามาฝากวางไว้ชั่วคราว

“แกมันโง่ อีใบ้” ตะวันมองดูร่างเดิมของตัวเอง ที่ใกล้จะหมดลมสิ้นสูญ ด่ากลับมา ตะวันในร่างของศศิเทน้ำมันลงบนร่างเดิมของเขา โดยมีจินยืนมองด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่ไม่ไกล “สิ้นสุดกันที” ไฟแช็กถูกปล่อยออกจากมือของตะวัน ไฟที่ลุกพรึบขึ้น ทำให้แม้แต่ศศิในร่างของตะวัน ต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่นานไฟก็เริ่มลามไปทั่วห้อง ด้วยกองเสื้อผ้าที่เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี

“ไฟไหม้ ใครก็ได้ช่วยที มีใครอยู่ในนั้นบ้าง ช่วยด้วยครับ” ตะวันได้ยินเสียงตะโกนอยู่ด้านหน้าห้อง เขาจำได้ในทันทีว่า นั่นเป็นเสียงของพายุ ตะวันดึงคอเสื้อให้แกขาดออก ก่อนจะทำท่าลนลาน วิ่งออกจากห้องไป “พี่พายุ ช่วยศศิด้วย” ตะวันในร่างของศศิ ทำหมดแรงทรุดลงตรงหน้าของนักแสดงหนุ่ม “ศศิ มีใครอยู่ข้างไหนอีกมั้ย มีใครเป็นอะไรมั้ย” พายุตะโกนถาม ชะเง้อมองเข้าไปในเปลวไฟที่ตอนนี้ลุกโหมกระหน่ำ

“ศศิพยายามช่วยแล้วค่ะ ศศิพยายามแล้ว โอย น่ากลัวเหลือเกินค่ะพี่พายุ ช่วยศศิด้วย พี่พายุช่วยศศิด้วย” ตะวันเพิ่งรู้ว่า การมาอยู่ในร่างของศศิ มันทำให้เขาแสดงออกอะไรได้มากขึ้นจริง ๆ ตะวันสวมกอดพายุ ทำเป็นว่าตัวสั่นไปหมดด้วยความกลัว และในตอนนี้ถือว่าเป็นการที่เขา ได้อยู่ใกล้ชิดกับพายุมากที่สุด และมันคงไม่ยากต่อจากนี้ ที่ตะวันจะใช้ร่างของศศิให้เกิดประโยชน์ มากขึ้นและมากขึ้น

...................................................

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เกลียดทุกคน (ที่อยู่ข้างเธอ) - Madear

https://www.youtube.com/watch?v=CmViZPy82GA


เขาอะไรก็ถูก

He’s always right

เขาดี เขามีสิทธิ์

He’s great, he deserves it

ฉันอะไรก็ผิด

I’m always bad

ฉันไกล จากสายตา

I’m far from what you have in mind

ฉันมันเป็นคนอื่นที่เผลอเสนอหน้ามา

I’m that guest who shows up uninvited

แต่เขาเป็นเจ้าของใจ

But he owns the whole heart of yours


อ้อมแขน เธอมีให้เขาเท่านั้น

For him, welcomed with your open arms

แต่ฉันไม่มีใคร

For me, no one cares


ฉันเกลียดทุกคนที่อยู่ข้างเธอ

I hate everyone who’s near you

ยิ่งต้องเจอมันยิ่งโหดร้าย

The more I see, the crueler I feel

เกลียดทุกนาที ที่เขาและเธอสุขใจ

I hate every minute it goes, showing you and him are happy

มันเหมือนว่าฉันจะตายต่อหน้าเธอ

As if I’d drop and die right in front of you


ฉันไม่บริสุทธิ์หัวใจเมื่อใกล้กัน

My heart is filled with bad intentions when I’m near you

รู้ไหมใจมันสั่นทุกทีที่พบเจอ

My heart trembles every time you and I meet

รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ผูกพัน

I know I can’t claim my spot

แต่ฉันรักเธอ

But I do love you

หยุดเพ้อ ก็ยากไป

Stop being delusional, too damn difficult


ชีวิตเธอมีแต่เขาเท่านั้น

Your life is set only for him

แต่ฉันต้องเดียวดาย

For me, I’m lonely and all alone


ฉันเกลียดทุกคนที่อยู่ข้างเธอ

I loathe everybody that comes close to you

ยิ่งต้องเจอมันยิ่งโหดร้าย

The more I see, the harder it gets

เกลียดทุกนาที ที่เขาและเธอสุขใจ

Loathe every minute of it, showing that you and him are happy

มันเหมือนว่าฉันจะตาย

It looks like I’m dying


เกลียดทุกคนที่อยู่ข้างเธอ

Despise all the people showing interests in you

ยิ่งต้องเจอมันยิ่งโหดร้าย

The more I know, the uglier it becomes

เกลียดรักดีดี ที่เขาเป็นคนได้ไป

Despise this true love, he knows he’s winning it

มันเหมือนถูกเผาด้วยไฟต่อหน้าเธอ

As if I’m being burnt up alive, in front of you


อยากรู้ผิดมากใช่ไหม

Am I that much guilty?

ที่รักเธอ

That I’m in love with you


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

เบื้องหน้าเมรุเผาศพ ทุกคนในกองถ่ายมีใบหน้าเศร้าเสียใจ กับการจากไปอย่างน่าตกใจของตะวัน ที่สรุปได้ว่า ตะวันเสียชีวิตในกองเพลิง และเมื่อไม่มีญาติที่ไหนของตะวันมาขอรับศพ ทางพายุ นักแสดงหนุ่มจึงขออาสา จัดงานศพให้กับตะวัน ยิ่งในวันนี้ เป็นวันที่จะได้บอกลากับตะวัน ได้เป็นครั้งสุดท้าย พายุก็ยิ่งดูเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

“ไปดีนะตะวัน พี่จะคิดถึงเรา” พายุปล่อยให้น้ำตาของเขาไหลรินลงมาอย่างไม่อายใคร โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงเวลาประชุมเพลิง พายุก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ “อย่าเสียใจไปเลยค่ะพี่พายุ คนก็ตายไปแล้ว” พายุได้ยินเสียงของศศิพูดขึ้น ก่อนจะรู้สึกถึงมือที่แตะลงเบา ๆ ที่ไหล่ของเขา

“ถ้าศศิไม่ว่าอะไร พี่ขออยู่คนเดียวนะ” พายุเอ่ยกับศศิแบบไม่หันไปมองหน้า “พี่พายุคะ เดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดีนะคะ” ทีนี้ พายุถึงกับต้องหันไปมองหน้าศศิ “ใครจะมองพี่ยังไงก็ช่างเขา พี่ต้องการที่จะใช้เวลาที่พี่มี เสียใจ คิดถึง คร่ำครวญถึงตะวัน” น้ำเสียงของพายุเต็มไปด้วยความขมขื่น พร้อมกับที่ปลายน้ำเสียง แสดงถึงความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

“พี่พายุ” เสียงของศศิพูดออกมาอย่างรู้สึกตกใจจริง ๆ “พี่เคยบอกศศิไปแล้ว ว่าถ้าเป็นเรื่องงาน พี่เต็มที่เสมอ จะโปรดมทยังไง จะต้องทำอะไร พี่ไม่ขัด” พายุพูดออกมาทั้งน้ำตา “แต่ ถ้าเป็นหลังกล้อง เป็นชีวิตส่วนตัว ศศิอย่าเข้ามายุ่ง อย่ามาก้าวก่ายกับพี่อีก พี่บอกศศิไปแล้ว และไม่อยากต้องมาพูดย้ำ ๆ อะไรแบบนี้อีก” พายุนึกถึงวันนั้นที่เขาเคยพูดเรื่องนี้ไปหมดแล้ว

“อะไรนะคะพี่พายุ นี่พี่รู้ตัวไหมคะ ว่าที่พี่เพิ่งพูดออกมา มันฟังดูน่าทุเรศแค่ไหน ศศิฟังแล้วสะอิดสะเอียนแทนมาก ๆ เลยนะคะ” อย่าว่าแต่เรื่องที่พายุพูดออกมา แล้วศศิคิดว่านักแสดงหนุ่มพูดออกมาแบบไม่คิดเลย ตัวเธอเองยังแทบไม่เชื่อหู ว่าพายุจะพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“จะพูดอะไรก็อายปากบ้างเถอะค่ะ ถ้าคนที่พี่พายุว่า จะเป็นศศิ นี่จะไม่ว่าสักคำ” เสียงหวีดแหวของศศิ ดังลั่นแบบไม่เหลือความเกรงใจพายุอีกต่อไป “พี่ไม่ได้แคร์สักนิดเลยนะ ว่าศศิจะรู้สึกยังไง” พายุเองพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อศศิมาพูดแบบนี้กับเขา มาวิพากษ์วิจารณ์ความรู้สึกส่วนตัวที่ชายหนุ่มมี

“แต่อีนั่นมันเป็นกะเทยเป็นใบ้หูหนวกนะ พี่พายุไม่คิดว่ามันทุเรศไปหน่อยหรือไง อุบาทว์ที่สุด” พายุกัดฟันกรอด ขบกรามขึ้นจนเป็นสันนูน พยายามหักห้ามใจอย่างถึงที่สุด ที่จะไม่ทำอะไรออกไป แล้วจะต้องมามีปัญหาทีหลัง “ก็ถ้าศศิหูไม่หนวก ทุก ๆ อย่างที่พี่พูดไป ที่ได้ยินไปนั้น มันก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด” พายุนั้น ต้องการที่จะจบการสนทนานี้ในทันที

“พี่พายุ” ตะวันในร่างของศศิถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก “พี่จะพูดกับศศิเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าพี่รักตะวัน พี่แอบหลงรักเขามาตั้งแต่แรกเห็น ต่อให้เขาจะหูหนวกหรือเป็นใบ้ แต่ทุก ๆ ครั้งที่พี่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้เขา พี่อยากทำอะไรหลายต่อหลายอย่างกับเขา ทั้งเรื่องทั่ว ๆ ไป และเรื่องบนเตียง” ตะวันในร่างของศศิถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“อีกอย่างนะครับ ศศิรู้เอาไว้เลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ตะวันเขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่มันไม่ได้หมายความว่า พี่จะเลิกรักเขา แล้วหันมาสนใจอะไรศศิ พี่เบื่ออย่างที่สุด ที่ต้องมาฟังศศิพูดถึงคนที่พี่รักในแง่ไม่ดี ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ที่จะต้องมาเห็นตัวตนจริง ๆ ของศศิ ที่น่ารังเกียจแบบนี้อีก” พายุพูดอย่างคนที่เหลืออดเหลือทนกับพฤติกรรมของนักแสดงสาวคนนี้แล้ว

ศศิที่รีบเดินกลับไปที่ห้องพักส่วนตัว รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่เหมือนกับว่า มันอยู่ไม่ไกลเธอเลยสักนิด อาการขนลุกเกรียวที่ต้นคอ ทำให้ศศิใจคอไม่ดี ยิ่งสายตาของใครคนนั้น ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในทีมงานใส่ใจ หรืออาจจะมองไม่เห็น มันทำให้ศศิรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ศศิหันไปมองดูทางเดินที่วันนี้ แปลกใจทำไมมันดูวังเวงชอบกล ก่อนที่นักแสดงสาวจะหมุนป้ายด้านหน้าห้องพัก ให้เป็นว่าห้ามรบกวน ก่อนที่จะรีบเปิดประตูเข้าไป

“ประสาทแดกอะไรวะเนี่ยเรา” ศศิพูด หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะกดล็อกประตู แล้วเดินมานั่งที่โซฟาสั่งทำพิเศษ เพื่อความสะดวกสบายให้กับตัวเธอเอง แต่พอนักแสดงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูอีกครั้ง ก็ต้องรู้สึกตกใจสุดขีด หลุดร้องกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่น เมื่อเห็นใครบางคนยืนยิ้มโชว์เขี้ยวคมให้เธออยู่ตรงนั้น

“เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหมดหรอก” ศศิขยับตัวหนี จนหลังพิงชนพนักโซฟาจนสุดทาง เมื่อเห็นจินเดินเข้ามาใกล้ “แกเป็นใคร ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ” ศศิออกค่ำสั่งตามความเคยชิน และนั่นทำให้รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของจิน “อย่าสั่ง” ศศิรู้สึกได้ในทันทีว่า เสียงนั้นฟังดูมีอำนาจ โดยไม่ต้องแหกปากตะโกนเสียงดัง

“ก็แค่ขอดี ๆ” ก่อนที่ศศิจะได้ยินจินพูด พร้อมเห็นรอยยิ้มที่ชวนขนลุกนั่นกลับมาอีกครั้ง “อยากได้อะไรก็บอก” จินยิ้มกว้างให้กับศศิ “สามข้อก็ได้นะ” สายตาของจิน ลอบมองสีหน้าของศศิ “ฉันมีพร้อม ครบทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ฉัน” ศศิทำหน้าไม่ไว้วางใจจิน ที่อยู่ ๆ จะมาให้ไม่ให้อะไรเธอ

“แม้แต่สิ่งที่เธออยากได้ ที่มันเกี่ยวกับเจ้านักแสดงหนุ่มหล่อคนนั้นน่ะหรือ” สีหน้าเจ้าเล่ห์ แววตาสำรวจตรวจตราของจิน ทำให้ศศิที่เพิ่งเชิดหน้า แข็งคอ แสดงความหยิ่งยโส ถึงกับต้องมีท่าทีอ่อนลงในทันที “เรื่องอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ” ไม่ว่าศศิจะสงสัยอยู่ในใจ ว่าคนตรงหน้า จะใช่มนุษย์จริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่ามันจะสามารถทำให้เรื่องของพายุ เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เธอต้องการได้แล้วละก็

“ฉันไม่ไม่ได้ต้องการถึงสามข้ออะไรนั่นหรอก” ศศิพูด ยังคงฟังดูลังเล ว่าจินจะสามารถให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการจริงหรือ “มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ ใช่มั้ย” ศศิเอง เธอไม่ใช่คนโง่ ได้ยินนักแสดงสาวพูดออกมาแบบนั้น ทำให้จินถึงกับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ในความเป็นตัวตนของศศิ ที่ไม่เคยเสียรู้ให้ใครง่าย ๆ

“ฉลาดเป็นกรดจริง ๆ นะ” จินแสดงสีหน้าให้เห็นว่า เรื่องที่ศศิพูดออกมา มันเป็นเช่นนั้นจริง ศศิรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อเธอนั้น จับไต๋ของจินได้ว่า มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน “ถ้าอย่างนั้น” ศศิทำหน้าตาว่า ตัวเธออยู่เหนือกว่าใครทั้งหมดทุกคน “ฉันคงต้องขออะไรที่ไม่มีทาง ทำให้ตัวฉันถูกเอาไปพัวพันด้วยได้” ศศิชื่นชอบความฉลาดล้ำของตัวเองมาเสมอ

“พี่พายุ นี่ตะวันเอง พี่พายุคะ ตะวันที่พี่พายุรักไงคะ” พายุถึงกับปล่อยโฮออกมาเสียงดัง จนคนที่รอจะขึ้นวางดอกไม้จันทน์ตรงบริเวณนั้น หันมาให้ความสนใจกันใหญ่ “นี่จิตใจเธอทำด้วยอะไร” พายุไม่คิดเลย ว่าศศิจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ “สามัญสำนึกของเธอ ดูจะบกพร่องและใช้การไม่ได้เลยจริง ๆ สินะ” พายุรู้ตัวว่า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรักษาน้ำใจผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป

“นี่ตะวันจริง ๆ พี่พายุ ตะวันที่เป็นใบ้ ที่หูหนวก ที่พี่แอบรักไง” ยิ่งได้ยินคำพูดแบบนั้น ความเกลียดชังยิ่งฉายชัดออกมาจากแววตาของพายุ “ศศิ ถ้าคุณยังไม่หยุดการกระทำชั่ว ๆ ของตัวเองแบบนี้ ผมจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะ ผมจะใช้กฎหมายทุกข้อที่เป็นไปได้ เอามาเล่นงานคุณ” พายุตะโกนใส่หน้าศศินักแสดงสาว ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว ผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ต่างพากันซุบซิบ บ้างก็ยกกล้องมือถือขึ้นมาบันทึกวิดีโอเอาไว้

“น้ำหอมที่พี่พายุชอบใช้ ตะวันชอบมันมากเลยนะคะ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้พี่พายุ ช่วยแต่งตัวให้พี่พายุ มันคืออะไรที่เกินกว่าตะวันจะฝันถึง แต่พอรู้ว่าพี่พายุเองก็รักตะวันเหมือนกัน มันเกินกว่าที่ตะวันจะได้รับจริง ๆ นะ” ตะวันที่อยู่ในร่างของศศิ พรั่งพรูทุกอย่างออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ในใจ “ตะวันอยู่นี่แล้วพี่พายุ ตอนนี้ตะวันพูดได้แล้ว พี่พายุบอกรักตะวันอีกนะ ตะวันได้ยินพี่ทุกอย่างแล้ว” พายุใช้มือผลักร่างของศศิให้ออกจากตัวเขา เมื่ออีกฝ่ายโผเข้ามาจะกอดนักแสดงหนุ่ม

“คุณมันร้ายกาจกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากนัก คุณกล้าดียังไง ถึงมาทำแบบนี้” ตะวันได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รู้จะพูดอธิบายยังไงออกไปดี “พี่พายุฟังตะวันนะ คือ ตะวันขอพรกับจิน ขอให้ตะวันกับศศิสลับร่างกัน แล้วทีนี้ ตะวันเลยติดอยู่ในร่างนี้ แล้วร่างจริง ๆ ของตะวันก็ถูกเผาไปแล้ว ตะวันอยู่ในร่างของศศิ พี่พายุเชื่อตะวันนะ นี่ไง เดี๋ยวตะวันจะพิสูจน์ให้พี่ดู” ตะวันละล่ำละลัก พูดกับพายุ

“จิน เธอออกมาตรงนี้ เดี๋ยวนี้นะ ฉันต้องการหลักฐาน ที่เธอให้พรฉัน ขออะไรกับเธอก็ได้สามข้อ แล้วข้อสุดท้าย ฉันขอให้เธอสลับร่างของฉันกับยัยศศินี่ไง” ตะวันหันมองไปรอบ ๆ ปากก็ตะโกนหาจิน ที่ตั้งแต่เกิดเรื่อง ตะวันก็ไม่เห็นจินอีกเลย “ข้อแรก ตะวันขอให้ตะวันพูดได้ และไม่หูหนวกอีกต่อไป” เมื่อยังไม่เห็นว่าจินปรากฏร่างออกมา ตะวันก็หันไปเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้พายุรับรู้

“แล้วข้อที่สองเธอขออะไร” พายุถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ตะวันถึงกับอึ้งไปในทันที ไม่กล้าพูดออกไป ว่าข้อที่สองนั้น มันทำให้ช่างแต่งหน้าและผู้ช่วย ต้องลงเอยแบบใด “ฉันไม่เชื่อเธอ” พายุร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “คนอย่างตะวัน ไม่มีทางที่จะขอไปเป็นคนอื่น คนย่างตะวันที่ฉันรู้จัก” พายุสะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ “ตะวันไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่มีทางที่จะดูถูกตัวเอง ด้วยการขอให้กลายเป็นตัวเธออย่างนี้หรอก ศศิ” พายุส่ายหน้า ไม่มีทางเชื่อที่ศศิบอกกับเขาอย่างแน่นอน

“พี่พายุ นี่ตะวันเอง” ตะวันระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายเชื่อว่า เขาคือตะวันจริง ๆ ไม่ใช่คนที่แสดงเงาในกระจก แล้วกลายเป็นผู้หญิงที่ชื่อศศิ เป็นนักแสดงสาวแบบนี้ “พี่พายุ” ตะวันพยายามโผเข้ากอดพายุอีกครั้ง และถูกพายุผลักออก จนร่างของศศิกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้น โดยในตอนนั้น ผู้กองเขตต์ก็เดินมาถึงพอดี

“ฉันไม่เชื่อเธอ เธอมันคนใจทราม เธอมันคนชั่ว” พายุยืนร้องไห้ปริ่มว่าแทบจะขาดใจ “ยังไง ผมต้องเชิญตัวคุณศศิไปให้การกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ที่โรงพักด้วยนะครับ” ลูกน้องในทีมของผู้กองเขตต์ ช่วยกันพยุงร่างของศศิให้ยืนขึ้น “นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณตำรวจ” ผู้จัดการส่วนตัวของศศิ รีบปรี่เข้ามาถามเจ้าพนักงาน ก่อนที่ผู้กองเขตต์จะพยักหน้าให้หนึ่งในลูกทีม เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดให้ดู

“ศศิ” ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาว อุทานออกมาอย่างตกใจสุดขีด “เราเพิ่งได้รับคลิปจากกล้องวงจรปิดมา” ในวิดีโอนั้น ศศิกำลังถือมีดเล่มยาว จ้วงแทงเข้าไปในท้องของตะวันจนนับครั้งไม่ถ้วน “เธอมันชาติชั่ว” หลายคนต้องเข้ามาดึงตัวของพายุเอาไว้ ที่ทำท่าจะปรี่เข้าทำร้ายร่างกายของศศิ “ขอให้เธอตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด เธอต้องรับกรรมที่เธอก่อเอาไว้ ตะวันทำอะไรให้ เธอถึงทำกับเขาได้เลือดเย็นขนาดนี้ สารเลว” ตะวันในร่างของศศิเอง ก็ได้แต่ร้องไห้โฮออกมาเหมือนคนเสียสติ

“เธอคือตัวอะไรกันแน่ ยังไม่เท่าไหร่” ศศิในร่างของตะวันที่กำลังหายใจรวยริน พูดขึ้น จินมองดูร่างที่กำลังจะหมดลมนั้นอย่างพึงพอใจ “แต่อีกะเทยนั่นสิ เก่งนะ ที่เธอทำให้มันเผยตัวจริงที่มันซ่อนเอาไว้ ออกมาได้” เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกจากปากของร่างตะวัน จินยิ้มโชว์เขี้ยวคม รับคำชมนั้นอย่างชอบใจ

“นี่ฉันพลาดไปเองใช่มั้ย ที่มั่นใจว่า พรข้อเดียวที่ฉันขอ มันจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวฉัน” ศศิในร่างของตะวันนึกตลกและสมเพชตัวเอง ที่ถึงอย่างไร ก็ยังเทียบชั้นกับตัวประหลาดอย่างจินไม่ได้ จินไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองดูตะวันในร่างของศศิ ราดน้ำมันลงบนตัวของตะวันจนชุ่ม “พรที่ฉันขอ ฉันขอให้แก ตะวัน ฉันขอให้แกไม่สมหวังกับสิ่งที่แกขอ ทุก ๆ อย่างที่แกอยากได้ จะไม่สัมฤทธิผล” ไฟเพลิงเผาผลาญทุกอย่างก็ลุกพรึบขึ้น เมื่อไฟแช็กที่ตะวันในร่างของศศิ ถูกปล่อยให้หลุดลงจากมือ

********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ใช่ฉันคนเดิมหรือเปล่า - มาเรียม เกรย์

https://www.youtube.com/watch?v=j27TvF8idd0



นี่ตัวฉันจริงหรือเปล่าคนที่เธอเลือกมา

Am I still the same me that you chose?

นี่คือรักจริงหรือเปล่าหรือเป็นแค่เพียงภาพลวงตา

Is this the identical love you gave or it’s just an illusion?


ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันกำลังถูกรัก

Why I don’t feel that I am being loved?

ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันเป็นคนสำคัญ

Why I don’t feel that I am so important?

ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันคือคนคนนั้น

Why don’t I feel that I am still a significant one?

คนที่เธอบอกว่ารักกันหมดหัวใจ

The one whom you said you love wholeheartedly


แต่ฉันต้องไม่ใช่คนแพ้

Yet I can never be the one that loses

แม้มันอยากจะร้องไห้ในเกมนี้

Though I want to cry in this kind of game

แผลอะไรในใจที่มี

The wounds that have appeared in my heart

ไม่สำคัญเท่ากับตัวฉันยังได้มีเธอ

I don’t care as long as I have you


และฉันต้องไม่ใช่คนแพ้

And I can never be defeated

แม้บางทีมันเผลออยากเดินออกไป

Subconsciously, I want myself walk right out of here

ก็เพราะบางวันข้างในหัวใจ

Because of there are one of those days that in my heart

มีคำถามมากมาย

It is full of all these questions

ว่ารักของเธอคืออะไร

That what actually your love is

ใช่ฉันคนเดิมหรือเปล่า

Is it still me really in there?


ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันกำลังถูกรัก

Why I don’t feel that I am being loved?

ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันเป็นคนสำคัญ

Why I don’t feel that I am so important?

ทำไมฉันไม่รู้สึก ว่าฉันคือคนคนนั้น

Why don’t I feel that I am still a significant one?

แม้เธอมองว่าใครสำคัญสักเท่าไร

Even though I can see that you care someone else much more


แต่ฉันต้องไม่ใช่คนแพ้

Yet I can never the one that loses

แม้มันอยากจะร้องไห้ในเกมนี้

Though I want to cry in this kind of game

แผลอะไรในใจที่มี

The wounds that have appeared in my heart

ไม่สำคัญเท่ากับตัวฉันยังได้มีเธอ

I don’t care as long as I have you


และฉันต้องไม่ใช่คนแพ้

And I can never be defeated

แม้บางทีมันเผลออยากเดินออกไป

Subconsciously, I want myself walk right out of here

ก็เพราะบางวันข้างในหัวใจ

Because of there are one of those days that in my heart

มีคำถามมากมาย

It is full of all these questions

ว่ารักของเธอคืออะไร

That what actually your love is

ใช่ฉันคนเดิมหรือเปล่า

It is still the same me really in there, isn’t it?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


ตาต้าขยับเท้าแบบช้าที่สุด ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปให้ใกล้ โดยไม่ทำให้เกิดเสียงดังให้ได้ยิน สายตาจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคน ที่มานั่งอยู่ตรงนั้นนานพอสมควรแล้ว ตาต้าขยับตัวไปอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ที่มองเห็นชายคนนั้นได้ถนัดมากกว่า ตาต้ายังคงเห็นเขานั่งก้มหน้า ดูเศร้าโศก มีเสียงสะอื้นเบา ๆ ดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

“คุณมาทำอะไรที่นี่” เสียงถามที่ดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้ตาต้าสะดุ้งโหยงจนสุดตัว เผลอกรีดร้องออกมา จนทำให้ชายวัยกลางคนนั่นรู้ตัว “ผู้กองเขตต์” ตาต้าเรียกชื่อนายตำรวจหนุ่มออกไป “ยังจะมาหัวเราะอีก มาเงียบ ๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียง” ตาต้าว่าอีกฝ่ายเข้าให้ ที่ทำให้ตกใจแบบนั้น “ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่” เมื่อการซ่อนตัวถูกทำให้เปิดเผยแล้วแบบนั้น

“คุณก็เช่นกัน ผมต้องถามคำถามเดียวกัน ว่าคุณมานั่งทำอะไรที่นี่” ผู้กองเขตต์เดินนำหน้าตาต้าไปทางที่ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นนั่งอยู่ แม้จะรู้แล้วว่า เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นคนเดียวตามลำพังก็ตาม แต่ชายวัยกลางคน ก็ไม่ได้ขยับตัวลึกขึ้นหนีไปไหน ยังคงนั่งอยู่อย่างเก่า มีเพียงน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มมากยิ่งขึ้น

“คุณพ่อของณช” ผู้กองเขตต์เรียกชายคนนั้น ชายวัยกลางคนขยับใบหน้า หันสายตามามองผู้กองเขตต์แวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปก้มหน้าตามเดิม “ผมจะทำทำความเข้าใจว่า คุณพ่อยังคงเสียใจที่ลูกชายจากไป ถึงได้กลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้งแบบนี้” ตำรวจหนุ่มหล่อพูดกับชายวัยกลางคน ที่ยังไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ ตาต้าสบตากับผู้กองเขตต์ ก่อนจะหันไปมองชายคนนั้นอีกครั้ง

“ใช่มั้ยครับ คุณพ่อ” ผู้กองเขตต์ถามย้ำ สายตาสอดส่ายมองไปรอบ ๆ ที่ด้านหน้าห้องน้ำสาธารณะนั้น บนพื้นซีเมนต์ที่ปูเอาไว้ ยกขึ้นเหนือพื้นดิน มีกระทงเล็ก ๆ หลายใบ ที่ใส่อาหารคาวหวานเอาไว้หลากหลายอย่าง ถูกวางอยู่ ก้านธูปถูกปักบนอาหารเหล่านั้น เดาได้ไม่ยากว่าธูปเหล่านั้น ถูกจุดเอาไว้นานมากแล้วไหม้เหลือแต่ก้านสีแดง ขี้ธูปโรยตัวตกลงบนข้าว อาหาร และขนมเหล่านั้น

“ผมไม่เหลืออะไรแล้ว” เสียงสะอื้นไห้กับลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ บอกให้รู้ว่า ชายวัยกลางคนคนนี้ ยังคงไม่สามารถทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้มากนัก “คุณพ่อต้องหักห้ามใจให้ได้บ้างนะครับ” สายตาของชายวัยกลางคนตวัดขึ้นมองผู้กองเขตต์ในทันที แววตานั้นมันปนกันทั้งความปวดร้าว เสียใจ อาลัยอาวรณ์ รวมทั้งความรู้สึกโกรธเกรี้ยวที่มีของคนเป็นพ่อ

“คุณจะไปเข้าใจอะไร” เสียงพูดนั้นขมขื่นอย่างที่สุด เกินกว่าที่ชายวัยกลางคนจะพูดออกมาได้ ตาต้ามองไปที่พ่อของณช เด็กหนุ่มที่มาทำอัตวินิบาตกรรม ก็รับรู้ได้ถึงความเสียใจที่มีมากมายสื่อออกมาจากทั้งสีหน้าและแววตาของชายกลางคน พ่อของณชเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างสุดใจ

“ผมไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เมื่อไหร่” ชายวัยกลางคนพูด ยังคงปล่อยให้น้ำตาที่มีไหลรินลงมา “เวรกรรมนั้นมันเลยตามผมมาจนเจอ และผมต้องชดใช้คืนไป ให้สาสมกับสิ่งที่ผมทำเอาไว้” ตาต้าเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ได้แต่มองชายวัยกลางคนแบบเงียบ ๆ ส่วนผู้กองเขตต์นั้น ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เช่นกัน

สินที่ได้แต่เดินไปเดินมาจนรอบสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งแต่แสงตะวันยังแรงอยู่ จนกระทั่งตอนนี้ แสงแดดอ่อนแรงจนเกือบจะพลบค่ำ ไฟในสวนก็เริ่มเปิดให้แสงสว่างกับผู้ที่มาพักผ่อนหย่อนใจ เสียงของคนที่ออกกำลังกายตรงบริเวณลานกว้างไกลออกไปจากตรงนี้ สินกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ คนบางตากว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก จนตอนนี้บริเวณหน้าห้องน้ำ ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ และดูเปลี่ยวอย่างถนัดใจ

สินตั้งใจเดินไปที่ห้องน้ำนั่น เขาก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้มีใครมองเห็น ก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน เพื่อหลบสายตาของคนที่อาจจะเดินผ่านมา ภายในห้องน้ำเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ในนั้น โถยืนปัสสาวะชายอยู่สามโถทางด้านใน กลิ่นยูรีนกรุ่นเป็นมวลอยู่ในอากาศ ห้องน้ำเอาไว้ทำธุระหนักเบาสามห้องเรียงกัน ห้องแรกมีเชือกมัดอยู่ที่ตรงประตู พร้อมป้ายบอกว่าชำรุด

สินเลือกเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านในสุด ลงกลอนประตูทันทีที่ปิดประตู สินมองไปรอบ ๆ ห้อง แสงจากหลอดไฟที่อยู่ด้านนอก ทำให้เห็นภายในห้องราง ๆ สภาพไม่ได้น่าดูนัก สินทรุดตัวนั่งลงบนโถนั่ง ทำใจให้ลืมเรื่องความสะอาดของสถานที่ไป ก่อนจะมองไปที่ผนังระหว่างห้องน้ำที่เขานั่งอยู่ กับห้องตรงกลาง มีกระดาษชำระถูกนำมาอุดช่องวงกลมนั้นอยู่หลวม ๆ

เสียงฝีเท้าที่เดินอยู่ข้างนอก ดังใกล้เข้ามาที่ทางเข้าห้องน้ำ ทำให้สินแอบกลืนน้ำลายลงคอ เขารุ้สึกได้ในทันที ว่าหัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นจากความตื่นเต้นและสิ่งเร้าที่มีภายในใจ เสียงเดินนั้นเงียบลง สินเงี่ยหูฟังให้ถนัดขึ้น แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวัง ที่เสียงฝีเท้าที่ได้ยินตอนนี้ ค่อย ๆ ดังห่างออกไปจากทางด้านหน้าห้องน้ำ เหมือนกับว่าเจ้าของเสียงเดิน เกิดเปลี่ยนใจเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมา

สินถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเอง ว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรก และสิ่งที่คาดหวังมันอาจจะไม่เกิดขึ้น สินตัดสินใจนั่งรออยู่แบบนั้นเงียบ ๆ ต่ออีกสักพักใหญ่ ๆ บอกตัวเองว่า คงต้องไว้มาลองใหม่อีกทีวันหลัง เขาขยับตัวกำลังจะลุกขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำมาเร็ว เหมือนรีบจะให้พ้นจากสายตาของคนด้านนอกที่อาจจะผ่านมาเห็นเข้า

สินกะพริบตาถี่ ๆ ใจเต้นระทึก มันเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่เขาเคยรู้สึก เสียงฝีเท้าด้านนอกฟังดูแผ่วลง เหมือนว่าเจ้าของเริ่มผ่อนความเร็วในการก้าวเดิน เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว เสียงขยับตัวของคนด้านนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ดังให้สินได้ยินว่า มีใครอีกคนอยู่ด้านนอกของประตูนั้น เวลาผ่านไปสักอึกใจใหญ่ ๆ สินก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไร ดังขึ้นที่โถยืนด้านนอกแต่อย่างใด

สินยังมั่นใจว่า คนที่อยู่ด้านนอก ยังไม่เปลี่ยนใจเดินออกไป เสียงเปิดน้ำที่ก๊อกน้ำเหนืออ่างล้างมือดังขึ้น สินนิ่งเงียบฟังอากัปกิริยาของคนด้านนอก เพื่อเดาว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ในหวังว่าจะเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เพื่อที่ว่า ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่ มาทำแบบนี้แล้ว มันจะได้ไม่เสียเที่ยว

“จิ๊” สินเผลอส่งเสียงออกไป เมื่อมีสายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เรียกเข้ามา เขารีบหยิบหน้าจอขึ้นมาอ่านดู ใช้นิ้วกดลงบนปุ่มลดเสียงเร็ว ๆ จนเงียบเสียงไป สินไม่ได้กดรับสาย รอจนคนที่โทรหาเขา ปล่อยให้เครื่องมันตัดไปเอง สินตัดสินใจกดแป้นพิมพ์ส่งข้อความกลับไปแทน ใจความว่ากำลังทำธุระติดพัน แล้วจะรีบกลับ แสงหน้าจอวูบวาบ จนทำให้สินรู้ดีว่า คนข้างนอกเอง ก็รู้ว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง

เสียงประตูห้องน้ำกลางที่ติดกับห้องของสิน ถูกลงกลอนเบา ๆ สินใจเต้นแรงจนรู้สึกได้ว่า มันแทบจะหลุดทะลุหน้าอกของเขาออกมาด้านนอก สินค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโถตามเดิม สายตาจับจ้องไปที่ขยุ้มกระดาษาชำระที่อุดช่องวงกลมที่ถูกเจาะเอาไว้อย่างลวก ๆ เงาราง ๆ ใต้ฝาผนังกั้นห้อง มองเห็นความเคลื่อนไหวช้า ๆ ของอีกฝั่ง

สินกลืนน้ำลายเหนียวฝืดนั้นลงคออย่างยากเย็น เมื่อเห็นกระดาษทิชชูนั้น ถูกดึงออกจากรอยเจาะนั้นอย่างช้า ๆ จนมองเห็นทะลุผ่านเข้าไปอีกด้านหนึ่งได้ เงาราง ๆ นั้น สินบอกได้ว่า น่าจะเป็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่มากนัก ที่ดูจะไม่ได้มีความชำนาญจัดเจนในเรื่องนี้สักเท่าไรนักเช่นกัน สินสังเกตจากอาการชะงักของอีกฝ่าย ก่อนที่จะเอานิ้วลอดผ่านเข้ามาทางช่องเจาะรูนั้น

"ขอดูหน้าหน่อย" เสียงของสินที่พูดออกไป แหบพร่าและปร่า ฟังดูไม่ใช่ตัวของเขา เมื่อเขาพูดบอกกับอีกฝั่งไป ก่อนจะเห็นเงาของอีกฝ่ายลุกขึ้นจากโถ เหมือนจะเดินไปที่ประตู “ก็ได้” เสียงปร่าพร่าของสินทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ใช้นิ้วแกกระดุมกางเกง แล้วรูดซิปลงช้า ๆ ตอนนี้ทุกอย่างมันดูกระตุ้นและปลุกเร้าอารมณ์อย่างที่สุด

สินก้มดูที่ช่องเจาะนั้น ก่อนจะเห็นจมูกของอีกฝ่ายฝังลงที่ด้านนอกของสงวนของเขา แบบสูดดมกลิ่นที่อีกฝ่ายคิดว่าเย้ายวนนั้น สินรู้ตัวอีกที กางเกงชั้นในราคาถูกของเขา ก็ถูกดุงลงมาที่ต้นขา พร้อมทั้งความรู้สึกอุ่นร้อน ชื่นฉ่ำ สลับขึ้นลงไปตามความยาวของแก่นกลางความเป็นชายของเขา จนสินต้องเงยหน้าสูดปากเข้าออก ด้วยอารมณ์หฤหรรษ์

“ผมกลับมาที่นี่ และทำแบบนี้อีกหลายครั้ง” ผู้กองเขตต์และตาต้านิ่งฟังสิ่งที่พ่อของณชเล่าออกมาทั้งน้ำตา เสียงสั่นเครือของเขา เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของคนคนหนึ่งที่รู้สึกผิดอย่างที่สุด กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป “แต่กว่าจะรู้ ว่าผมทำในสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ก็อีกหลายครั้งให้หลัง เมื่อความตื่นเต้นในการเฝ้ารอจะเจอกัน มันลดน้อยลง เมื่อผมเริ่มมีสติมากขึ้น ความผิดชอบชั่วดีเริ่มถามผมว่า ได้ฉุกคิดถึงความละม้ายคล้ายคลึงนั้นมั้ย” เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาจากชายวัยกลางคน

“ผมเลยมาดักรอที่ข้างหน้านี้อีกครั้ง แต่มันไม่ใช่ว่าผมต้องการอยากจะทำแบบนั้นอีก แต่ผมมาเพื่อตั้งใจจะห้ามเขา ไม่ให้ทำแบบนี้อีก” เสียงโฮดังลั่นจากความช้ำใจของผู้เป็นพ่ออย่างเขา “แต่ณชก็ไม่ฟังคุณพ่อ” ผู้กองเขตต์พูดออกมาเบา ๆ สินส่ายหน้าเร็ว ๆ ใบหน้าของเขาที่เปื้อนน้ำตาและน้ำมูกแสดงอาการเหยเกของคนที่ไม่อาจจะเก็บกักความน่าละอายใจ รวมถึงความทรมานจากความทุกข์ทนของตัวเองเอาไว้ได้

“ลูกรู้แต่ว่า ผมรู้เรื่องที่เขามาทำแบบนี้” สินพูดด้วยอารมณ์ปวดร้าว “แต่ผมไม่กล้าจะบอกกับลูก ว่ามันเป็นผมที่ยืนอยู่ที่อีกฝั่งผนังของห้องน้ำ” เสียงปล่อยโฮด้วยความเสียใจอย่างสุดแสนดังลั่นไปทั่วบริเวณ “แก” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “แกทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง นั่นมันลูกแท้ ๆ ของแกนะ” ทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นผู้เป็นแม่ของณช ยืนน้ำตานองหน้าถัดไปไม่ไกลจากพวกเขา

“คุณนิตย์ ผมเสียใจ ผมผิดไปแล้ว” สินพูดกับภรรยาในแบบที่ไม่คาดหวังเลยสักนิด ว่าภรรยาจะเห็นใจ “ฉันทนได้มาตลอด แม้ว่าฉันจะรู้ว่าแกชอบผู้ชาย แต่ฉันไม่เคยคิดเลย ว่าแกจะมาทำเรื่องเลวระบำแบบนี้กับณช ลูกชายคนเดียวของฉัน” สินได้ยินความปวดร้าวใจอย่างแสนสาหัส ไหลวนอยู่ในทุกอณูของน้ำเสียงภรรยาของเขา

“ผมทำให้ณชตาย ผมทำให้ลูกของเราต้องตาย” เสียงของสินคร่ำครวญ เขายอมรับผิดทุกอย่าง ขอแค่เพียงว่า ภรรยายอมรับคำพูดของเขาสักครั้ง “แม่” สินเรียกภรรยาของเขา “พ่อขอ” สินตั้งใจจะกล่าวขอให้ภรรยาของเขา แม่ของลูกณชให้อภัยแก่เขา “ไม่” นิตย์พูดด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองเกรี้ยวกราด ไม่ทันที่ผู้กองเขตต์จะห้ามได้ทัน

กระสุนที่วิ่งออกจากรังเพลิง เจาะเข้าที่ข้างขมับของสิน เขาทรุดลงนอนกอง ใบหน้าฟุบลงกับพื้นในทันที ตาต้าได้แต่ตาค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ส่วนผู้กองเขตต์ ก็รีบปัดปืนให้หลุดออกจากมือของนิตย์ แม่ของณช ที่ตอนนี้กำลังร้องไห้และกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง ใจจวนเจียนจะขาดตายตามไปด้วยอีกคน

***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

กลัว - Palmy

https://www.youtube.com/watch?v=8sMJga9XOzM


จมอยู่กับตัวเอง

Feeling down deeply with myself

ติดอยู่กับเวลา

Time is stuck conditionally

ทำไมเธอไม่มา

Why are you not here?

เธอหายไปนานเหลือเกิน

You’ve been away for so long

ยังมีคนที่คอยอยู่

Someone here has been waiting

วันและคืนเฝ้าหมองเหม่อ

Been looking for you, days and nights

ใครทำให้เธอห่างเหิน

Who made you so standoffish?


ผ่านไปแต่ละวัน

Going through each day

ก็ยังหวั่นในใจ

My heart’s petrified

ว่ามันเกิดอะไร

What is really going on?

กับรักที่เธอให้มา

With the love you’re giving

เธอยังรักฉันหรือเปล่า

Am I still the one that you love?

เธอมีใครสำคัญกว่า

Who do you care more than me?

เพียงแค่คิดยังปวดร้าว

Thinking it makes me feel so crushed


เพราะว่าใจกลัว

Because my heart fears

กลัวว่าเธอจะทิ้งกัน

Afraid that you’ll leave me

จากไปลืมคนที่เคยบอกรักกัน

You’ll walk away and forget whom you say you’re in love with

ลืมทุกทุกอย่าง

Forget all and every single thing

มันอ่อนล้าและสับสน

That makes me feel weary and confused


จะต้องทำยังไง

What am I supposed to do?

บอกกับเธอยังไง

How will I tell you?

ความอึดอัดในใจ

The uncomfortable feelings I have

ที่ฉันทนมาตั้งนาน

That I’ve been enduring it for so long

คนดีดีที่เคยห่วง

The good one that I care about

นานวันไปยิ่งไกลห่าง

Time is taking them farther from me

เพียงคิดน้ำตาก็ไหล

Tears down my face thinking about this


เพราะว่าใจกลัว (ใจ กลัว)

Because my heart’s frightened (so terrified of)

กลัวว่าเธอจะทิ้งกัน

Panicking, you’ll abandoned me

จากไป (จากไป)

Leave me (Walk right out of my life)

ลืมคนที่เคยบอกรักกัน

Forget me whom you once said you loved

ลืมทุกทกอย่าง

Erase everything in our memories

มันอ่อนล้าและสับสน

That makes my heart drained and deranged


(มันอ่อนล้าและสับสน)

Worn out and disoriented


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0



“นี่มันอะไรกันนักหนาเนี่ย อะไรมันจะยุ่งเหยิง วุ่นวาย กันขนาดนี้” ผู้กองเขตต์พยายามเรียบเรียงเหตุการณ์และคดีต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นต่อ ๆ กัน จนไม่รู้ว่า จะเริ่มสะสางหรือแกะประเด็นเปลาะไหนก่อนดี ผู้กองหนุ่มมองหาความเห็นใจจากตาต้า ที่นั่งอยู่ข้างกันในรถยนต์ ขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังขับรถพาอีกฝ่ายกลับบ้าน

“ผมจะไปบอกอะไรผู้กองได้” ตาต้าพูดขึ้น เลิกคิ้ว เม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างที่ผู้กองเขตต์ มักจะเห็นอีกฝ่ายชอบทำ “ก็แค่พูดอะไรหวาน ๆ แบบถามว่าเหนื่อยมั้ยครับผู้กองเขตต์ เดี๋ยวพอวันว่าง เราไปหาร้านอาหารอร่อย ๆ กินกันแค่เราสองคนมั้ย อะไรทำนองเนี้ย” ผู้กองเขตต์หันมายิ้มให้กับตาต้า “ดีมั้ยครับ” จากการพูดขอความคิดเห็น ฟังดูเป็นคำเชิญชวนไปออกเดตกันเสียมากกว่า

“คดีเยอะขนาดนี้เนี่ยนะผู้กอง จะมีเวลาว่าง” ได้ยินตาต้าพูดมาแบบนั้น ผู้กองหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมาจากปากพรืดใหญ่ “งานจมหัวจมหางเลย ผมไม่มีเวลาพาตาต้าไปไหนมาไหนเลย ตอนปีใหม่ผมก็ผิดนัดเบี้ยวมารอบหนึ่งแล้ว” ตาต้าหันไปมองนายตำรวจหนุ่มที่ทำเสียงบ่นกระปอดกระแปด

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรผู้กอง” ตำรวจหนุ่มรีบหันมามองสำรวจอีกฝ่ายทันที ว่าไม่ได้พูดด้วยอาการงอน แต่ก็อีก ผู้กองเขตต์เองก็ไม่เคยเห็นตาต้างอนจนต้องให้เขาง้อเลยสักครั้ง “แล้วนี่จะบอกผมได้หรือยัง ว่าไปทำอะไรที่สวนสาธารณะนั่น อย่าบอกนะ ว่าไปตามสืบอะไรเองอีกแล้ว โดยที่ไม่ยอมบอกให้ผมรู้ ผมเป็นห่วงนะครับตาต้า งานตำรวจ เป็นงานที่เกิดอันตรายได้ตลอดเวลา อย่าไปทำอะไรเอง เข้าใจมั้ยครับ” ตาต้าเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะถามผู้กองเขตต์ออกไปว่า

“วันนั้นผู้กองก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือไง” ผู้กองเขตต์พยักหน้าเบา ๆ เมื่อรู้ว่าตาต้าหมายถึงเหตุการณ์ไหน “มันอาจจะเป็นแสงเงาจากนอกห้องสมุด ที่เล่นตลกกับสายตาของเราก็ได้” ตาต้าหันมามองหน้าของผู้กองเขตต์ตรง ๆ ชายหนุ่มชะลอรถเมื่อไฟจราจรสีเหลืองที่สี่แยกข้างหน้าสว่างขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ผู้กองแน่ใจนะ ว่าคิดแบบนั้น” ตาต้าใช้น้ำเสียงเรียบ ๆ ถามออกไป ผู้กองเขตต์ได้ยินแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่คำถามหยั่งเชิงแต่อย่างใด “ด้วยอาชีพของผม” ผู้กองเขตต์พูดขึ้น หลังจากนิ่งกับคำถามนั้น สายตามองดูตัวเลขตรงไฟแดง นับถอยหลังลงสักครู่ “มันก็ต้องอิงหลักทางวิทยาศาสตร์ ในรายงานที่ผมเขียนส่งนาย ก็ต้องอธิบายด้วยหลักการที่มันจับต้องได้ ว่าเหตุการณ์ในคดีมันเกิดขึ้นได้ยังไง” ผู้กองเขตต์อธิบายถึงสิ่งที่เขาต้องเจอในเนื้องานอาชีพของตัวเอง

“ไม่ใช่แค่เพียงเงาวูบวาบบนบานประตู แล้วหายวับไปต่อหน้าต่อตา ยังไงผมก็อยากจะเลื่อนขั้นเป็นสารวัตรกับเขาอยู่นะ” ผู้กองเขตต์พยายามพูดติดตลก “เป็นแฟนสารวัตรเนี่ย ได้เป็นคุณนายเชียวนะ สนมั้ยครับ” ผู้กองหนุ่มหยอกเอินกับชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน ที่มองผู้กองหนุ่มมาแบบหน้านิ่ง ๆ “หัวเราะหน่อยน่า อย่าเครียดไปนักเลย” ผู้กองเขตต์แตะนิ้วลงบนมือของตาต้าเบา ๆ

“ถ้าจะเห็นใจผม” ผู้กองเขตต์พูดค้างเอาไว้นิดหนึ่ง เหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวไปด้านหน้า เมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว “ใช่ว่าผมจะค้านไปทุกเรื่อง แต่ผมไม่สามารถเขียนรายงานกับทุกอย่างที่ผมเห็นลงไปได้” สีหน้าของผู้กองหนุ่มดูเคร่งขรึมขึ้น เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แม้ว่าปกติแล้ว เวลาอยู่กับตาต้า เขาจะเลี่ยงไม่ทำตัวเครียดก็ตาม

“อย่างเรื่องที่สวนสาธารณะวันนี้” ผู้กองเขตต์วกกลับมาถึงเรื่องที่อยู่ ๆ ก็เจอตาต้าที่นั่น พร้อม ๆ กับต้องรับมือกับการที่สองสามีภรรยาคู่นั้น เลือกที่จะจบชีวิตคู่ลงแบบน่าเสียดาย และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ “ผมทำได้ดีที่สุดก็คือ การเขียนลงไปในรายงานว่า ฝ่ายคนเป็นพ่อ ดูเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองลงไปอย่างที่สุด” ผู้กองเขตต์ลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ส่วนคนเป็นแม่ ที่เป็นคนลั่นไก ผมก็พูดได้แค่ ผู้ก่อเหตุน่าจะมีความคับแค้นใจมาก ถึงได้ลงมือไปแบบนั้น แต่ต่อให้ผมจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม ความเห็นใจต่อทุก ๆ ฝ่าย ต่อครอบอครัวนี้ที่เกิดความสูญเสียกันทั้งพ่อแม่ลูก ผมก็ต้องเก็บเอาไว้ส่วนตัว เอาไปยุ่งเกี่ยวกับคดีไม่ได้” แววตาของผู้กองเขตต์นั้น ฉายความรู้สึกในใจออกมา กับคดีต่าง ๆ ที่ได้รับมาทำ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์มากมายอะไรนักก็ตาม

“ต่อให้ผมอยากจะช่วยให้มากกว่านั้นก็เถอะ” ผู้กองหนุ่มพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ตาต้านั่งเงียบ ๆ ฟังที่ผู้กองเขตต์พูด “คุณได้เห็นคลิปที่คนถ่ายแล้วเอาไปแชร์ในเน็ตแล้วใช่มั้ย” ตาต้าหันไปมองผู้กองเขตต์ “คลิปที่งานศพ ที่ผมนำทีมเข้าไปจับกุมนักแสดงผู้หญิงคนนั้นน่ะ” ตาต้าพยักหน้าแทนคำตอบ คลิปนั้นคนพูดถึงกันเป็นวงกว้าง เพราะต่างก็ไม่อยากจะเชื่อกันว่า ศศิจะกล้าทำกับคนอื่นได้ถึงเพียงนั้น

“ผมให้เธอดูคลิปจากกล้องวงจรปิด ที่ตอนแรกทางฝ่ายเทคโนโลยีของนิติเวช แจ้งมาว่า ตัวกล้องและฮาร์ดดิสก์ไม่สามารถกู้ได้ แค่อยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นว่า ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งอยู่ ๆ ก็เปิดติดขึ้นมาเอง และที่มันแปลกมากไปกว่านั้น ก็คือฮาร์ดดิสก์ทั้งก้อนนั้น มีเฉพาะคลิปช่วงที่เกิดการฆาตกรรมเท่านั้น ที่ถูกถ่ายติดเอาไว้ แบบคมชัด” ผู้กองเขตต์เห็นตาต้ามองมา ก็ทำยิ้ม ๆ ให้

“ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ” ผู้กองเขตต์หัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ “แต่มันก็เป็นไปแล้ว” ผู้กองเขตต์พูดย้ำถึงสิ่งที่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน “แต่ในรายงาน ผมเขียนลงไปไม่ได้หรอกนะ ว่าอยู่ ๆ ของมันก็ติดของมันเอง เหมือนมีใครตั้งใจ” ผู้กองเขตต์หยุดนิดหนึ่ง แบบกำลังหาคำพูดให้เหมาะ ๆ กว่านั้น “เรียกว่าจงใจทำให้มันเกิดขึ้นแบบนั้นมากกว่า” ผู้กองเขตต์รอจนคนเดินข้ามถนนจนพ้นขึ้นฟุตปาธไป ก่อนเลี้ยวพวงมาลัยรถยนต์ขับไปทางซ้าย

“แต่ที่มันกวนใจผมมากจริง ๆ แล้ว มันคือ” ผู้กองเขตต์ยังไม่สามารถละความข้องใจจากคดีของศศิและตะวันได้ “ต่อให้ผมให้เจ้าตัวศศิดูคลิปจากกล้องวงจรปิด ที่เป็นตัวเธอเองชัดเจน แต่นักแสดงคนนั้น ก็ยังยืนยันว่า เธอไม่ใช่ศศิ แต่เธอคือตะวัน คนที่เธอฆ่าตายในคลิป” มาถึงตอนนี้ มันคือตอนที่ผู้กองเขตต์ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงดีเหมือนกัน

“ถ้าคุณคิดว่าแค่นี้ก็ปวกกบาลจะแย่อยู่แล้วนะ ตาต้า” ผู้กองเขตต์หัวเราะออกมาอย่างนึกสงสารตัวเองและบรรดาลูกน้องที่ต้องทำสำนวนฟ้องส่งอัยการ “ตามที่คุณเห็นในคลิปนั่นแหละ จนถึงตอนนี้ ศศิก็ยังคงยืนยันว่า เธอคือตะวันที่มาติดอยู่ในร่างของศศิ เพราะว่าตอนที่เป็นตะวัน เกิดได้รับพรให้สามารถพูดได้อีกครั้ง และหูกลับมาได้ยินเป็นปกติ” ผู้กองเขตต์นึกถึงใบหน้าของนักจิตวิทยาที่ยืนยันว่า ศศิไม่สามารถใช้ข้ออ้างว่าเธอจิตวิปลาสได้ เพราะผลตรวจออกมาว่า ศศิมีจิตปกติดี

“แต่ศศิยังคงยืนยันแบบนั้น และหมอบอกกับผมว่า เธอปกติดี ก็ไม่สามารถจับเธอส่งไปรักษาที่สถานบำบัดได้ แค่อาจจะหาทางให้ตัวเองพ้นผิด เพราะตัวเองจิตไม่ปกติ” ตาต้าฟังผู้กองเขตต์มาถึงตรงนี้ “แล้วผู้กองล่ะ คิดว่ายังไง” ผู้กองเขตต์ส่ายหน้าช้า ๆ เมื่อได้ยินคำถามของตาต้า “ไม่รู้สิ” นั่นคือคำตอบอย่างง่ายของตัวผู้กองหนุ่มเอง หากว่าเขาจะตัดบทลงง่าย ๆ เสียตรงนั้น

“ตอนผมมองดูสายตาที่ศศิมองมา ตอนที่เธอให้ปากคำรายละเอียดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น” ผู้กองเขตต์จำแววตาที่แสนจะเจ็บปวดของนักแสดงสาวนั่นได้ดี “มันมีแต่ความเสียใจ หวาดกลัว และเหมือนต้องการใครแค่เพียงสักคน มาเชื่อในเรื่องที่เธอพูด” นั่นคือสิ่งที่ผู้กองเขตต์คิดว่า เขารู้สึกได้จริง ๆ จากผู้หญิงคนนั้น “ยิ่งไอ้เรื่องที่เธอบอกว่า มีกล่องดนตรีสามารถให้พรกับเธอได้สามข้อ ผมก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี เพราะเธอดูจะเชื่อมันมาก ๆ เลยด้วย” ตาต้าถามกลับไปว่า “แล้วผู้กองเขตต์เห็นมันมั้ย กล่องดนตรีที่ว่า” ผู้กองเขตต์ส่ายหน้าดิก แทนคำตอบ

“แต่เธอสามารถเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตะวันได้เป็นฉาก ๆ เรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต แถมยังพูดด้วยว่า บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้มาก่อน เพราะมันเคยเป็นความลับมาทั้งชีวิต” ผู้กองเขตต์จำท่าทีของศศิ ที่ต้องการให้นายตำรวจหนุ่มเชื่อเธอให้ได้ “แต่มันก็ไม่มีใครมายืนยันเรื่องของตะวัน ว่าตกลงแล้วเรื่องที่เล่ามามันเป็นความจริงหรือไม่” ผู้กองเขตต์พูดมาถึงตรงนั้น รถยนต์ก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้าคอนโดมิเนียมของตาต้าพอดี

“ผมก็ได้แต่มานั่งนึก นั่งคิด และก็ฉุกใจได้ว่า” ผู้กองเขตต์พูด ขณะที่ตาต้าเตรียมตัวเปิดประตูรถลงไป “ศศิเธอเป็นนักแสดง ไอ้เรื่องท่องบท จดจำเรื่องราวที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันเป็นงานที่เธอทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว” ตาต้ามองไปที่ใบหน้าของผู้กองเขตต์ตอนจะก้าวเท้าลงจากรถ “ศศิเธอเป็นนักแสดง ใครเชื่อเรื่องบ้า ๆ ที่เธอเล่ามา ก็โง่แล้ว” ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กัน แล้วผู้กองเขตต์ก็มองดูตาต้าเดินเข้าตัวอาคารไป

ตาต้าเดินออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง เขากำลังจะแตะคีย์การ์ดลงบนเครื่องอ่าน หางตามองเห็นอะไรบางอย่างขยับอยู่ที่ทางเดินที่เป็นโถงยาว ไปตรงทางปลายสุด ตาต้ารีบหันขวับไปมอง มองเห็นกลุ่มควันสีดำจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น ไฟทางเดินที่ก่อนหน้านี้ติดสว่างอยู่ ตาต้าเงยหน้ามองขึ้นไปดู หลอดไฟกลับอ่อนแสงลงเอง โดยไม่รู้สาเหตุ

ตาต้ารีบแตะคีย์การ์ดในทันที แล้วผลักประตูเปิดเข้าไป เสียงฝีเท้าหนัก ๆ วิ่งตรงมาหาทางห้องของตาต้า เขาผลักประตูให้ปิดลงจนเหมือนกับจะเป็นการเหวี่ยงให้บานประตูกระแทกลงด้วยซ้ำ เสียงดิจิตอลดังขึ้นแสดงว่าประตูทำงานโดยอัตโนมัติ ไฟสีแดงบอกสถานีว่า ประตูได้ปิดสนิท เสียงเท้าของใครบางคน ที่ตาต้าได้ยิน เดินวนไปมาอยู่หน้าห้อง ที่ตรงตาแมวส่องออกไปข้างนอก มีเงาอะไรบางอย่างวูบวาบไปมา เพราะไฟในห้องยังคงดับมืด

จู่ ๆ ไฟแสดงสถานีประตูดิจิตอลก็ติดสีเขียวขึ้น พร้อม ๆ กับประตูได้เผยอออก ราวกับว่ามีใครหรืออะไรบางอย่างดันมันเข้ามา ตาต้าเห็นแบบนั้นก็รีบโผเข้าหาประตู ใช้มือทั้งสองข้างผลักให้มันกลับไปตามเดิม ไฟสีแดงติดขึ้น ก่อนที่ไฟสีเขียวจะติดกลับมา สลับไปสลับมาอยู่แบบนั้น ตาต้าเกือบจะหวีดร้องออกมา เมื่อประตูถูกผลักกลับเข้ามาและครั้งนี้มันด้วยแรงที่มากกว่าเดิม เหมือนกับว่า อะไรก็ตามที่อยู่ด้านนอก เริ่มแสดงอาการไม่พอใจออกมา

ตาต้ารีบเปิดกระเป๋าสะพาย ก่อนจะหยิบผ้าสีแดงเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า รีบเอาผ้าที่มีอักขระอะไรบางอย่างที่ถูกเขียนลงบนเนื้อผ้าผืนนั้น แปะลงไปที่ประตูห้อง ไฟแสดงสถานีสีแดงติดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ประตูทั้งบานเหมือนกับจะเจอพลังงานอะไรบางอย่างเขย่าจนสั่นไปทั้งบาน ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง ตาต้าเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงเคาะประตูรัว ๆ กระหน่ำดังขึ้น

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

คิดถึง - Palmy

https://www.youtube.com/watch?v=RJvsn8WFKmM


ทุกทุกสิ่งนั้นเปลี่ยนไป

Everything had already been changed

เมื่อตอนลืมตาขึ้นมา

When I did wake up this morning

และมองท้องฟ้าในตอนไหน

Looking up there in the sky any time now

เหงาเหลือเกินเมื่อเธอจากไป

Feeling so lonely after you were gone

เหม่อมองพระจันทร์ทุกคืน

Looking out for the moon every night

ฉันคิดถึงเธอเกินทนไหว

I do really, really miss you


บางครั้งที่ใจอ่อนไหว

Sometimes my heart is vulnerable

น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น

The tears then flow down my face

ร้องออกมาเท่าไหร่เธอรู้มั้ย

How much I cry, I guess you’ll never know


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

Each night I don’t see anyone around

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

Tell myself to be brave but cannot

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

Day, month, year that passes

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

Do you know there’s someone longing for you?

ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

You’re no longer here with me

แต่ย้ำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

But everything shouts at me that you still are

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I do miss you very much


เพราะโอกาสที่เราเจอกัน

The chance we may get to see each other

แค่เพียงในยามค่ำคืนเวลาฉันนอนหลับตาฝัน

Is only at night when I close my eyes and dream away

ทุกทุกสิ่งที่เราผูกพัน

Everything that bonds us so tight

และฉันยังภาวนาเพื่อขอให้เธออยู่ตรงนั้น

And I still pray asking to see you where I met you


บางครั้งที่ใจอ่อนไหว

Sometimes my heart is vulnerable

น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น

The tears then flow down my face

ร้องออกมาเท่าไหร่เธอรู้มั้ย

How much I cry, I guess you’ll never know


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

Each night I don’t see anyone around

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

Tell myself to be brave but cannot

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

Day, month, year that passes

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

Do you know there’ s someone longing for you?

ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

You’re no longer here with me

แต่ย้ำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

But everything shouts at me that you still are

ฉันคิดถึงเธอ

I miss you, dear


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

Right here there’s no one, no one

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

Keeping it strong though the heart’s shaking

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

The whole world keeps changing

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

Do you know that I do really miss you?


ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

You’re not here with me anymore

แต่ย้ำทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

But that hits me in the head, killing me softly

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I do really miss you


เธอจะรู้บ้างมั้ย บ้างมั้ย บ้างมั้ย

Do you ever, ever, ever know?

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I do miss you really so


ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I am missing you my love

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ผู้กองเขตต์กระทืบเท้าลงไปบนเบรกอย่างแรง รถยนต์ของผู้กองหนุ่มหมุนปัดไปทางด้านข้าง ล้อบดไปกับพื้นถนนส่งเสียงจนน่าหวาดเสียว มองไปนอกกระจกหน้ารถอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าเมื่อครู่นี้เขาเห็นอะไรกันแน่ มันเป็นเหมือนร่างคนก็จริง ที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาให้เห็นจะจะ ตา แต่ร่างนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีอะไรหรือที่ไหนอีกแห่ง ที่น่าดึงดูดความสนใจมากกว่า

“มันอะไรกันวะ แม่งเอ๊ย” ผู้กองเขตต์สบถออกมาอย่างหงุดหงิดปนกับความน่าสะพรึงกลัวที่ได้รับ ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่เรื่องประหลาดเริ่มเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวของเขาถี่ขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาคำตอบ หรือมีอะไรมาอธิบายเพื่อไขคำตอบ และมันเริ่มมาตั้งแต่คดีขับรถชนเสาไฟฟ้าและคดีกระโดดลงมาจากรูฟท็อป บาร์ นั่นเกิดขึ้น

“ตาต้า” ผู้กองเขตต์นึกถึงอีกฝ่ายในทันที ก่อนจะรีบยกมือถือขึ้นกดโทรหา “ตาต้า คุณเป็นอะไรมั้ย” ผู้กองหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปในทันทีที่มีเสียงรับสาย “คุณก็ด้วยใช่มั้ย” ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ ผู้กองเขตต์ก็เข้าใจว่า มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตาต้าเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ แล้วคุณปลอดภัยหรือเปล่า คุณโอเคใช่มั้ย” ผู้กองเขตต์ถามออกไปด้วยความเป็นห่วงตาต้าอย่างมาก “ผมโอเค” ตาต้าตอบกลับมา “โล่งอกไปที คุณอยากให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย” ผู้กองถามอีกฝ่าย หากว่าตาต้าต้องการให้เขาไปอยู่ด้วยเพื่อความอุ่นใจ เพราะฟังจากน้ำเสียง ตาต้าเองก็เพิ่งผ่านความน่ากลัวอะไรบางอย่างมาเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่ามันน่าจะโอเคแล้วตอนนี้” ตาต้าบอกกับผู้กองหนุ่มออกไป “เกิดอะไรขึ้น” ผู้กองถามย้ำกลับไปอีกครั้ง เพราะเป็นห่วงตาต้าจริง ๆ “มีอะไรบางอย่างพยายามเข้ามาในห้องผม ประตูดิจิตอลมันไม่ยอมล็อก ไฟมันควรจะเป็นสีแดงเมื่อประตูปิด แต่มันกลับขึ้นสีเขียว แล้วเปิดเข้ามาได้เอง” ตาต้าพูดออกไป ยิ่งทำให้ผู้กองเขตต์เป็นกังวล ร้อนรนว่าจะเกิดอันตรายกับอีกฝ่าย

“ผมไม่เป็นไรแล้วตอนนี้ ประตูมันปิดได้ปกติแล้ว หลังจากที่ผม” ผู้กองเขตต์รีบถามกลับไปในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “หลังจากอะไร หลังจากอะไรตาต้า” เสียงของผู้กองหนุ่มดูตื่นเต้นยิ่งกว่าอีกฝ่ายเสียอีก “หลังจากที่ผมเอาแผ่นคุ้มภัยที่ได้มา เอามาแปะไปบนประตู ทุกอย่างก็ดูจะเงียบลง คือ ไม่ได้สงบลงทันที เสียงทุบประตูนั่น มันน่ากลัวที่สุด แต่ตอนนี้ เหมือนกับว่า มันไม่ได้อยู่ที่หน้าห้องผมแล้ว มันไปแล้ว” น้ำเสียงของตาต้าฟังดูสงบลงกว่าเมื่อครู่

“แล้วคุณล่ะผู้กอง เกิดอะไรขึ้น” ตาต้าถามกลับไปที่อีกฝ่าย “มันโคตรจะน่ากลัวเลย พอมันมาเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแบบนี้” ผู้กองเขตต์ดีใจที่ตอนที่มันเกิดขึ้น ไม่มีรถตามมาด้านหลัง ไม่อย่างนั้น เขาเองก็ไม่อยากจะคิดว่า จะโชคดีจากเหตุการณ์นี้มาแบบนี้ ได้ยังไง โดยเฉพาะถนนเส้นนี้ ที่ปกติแล้ว มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาพลุกพล่านเป็นอย่างมาก

“อยู่ ๆ มันก็โผล่มาตรงหน้ารถผมเลย เงาห่าอะไรก็ไม่รู้ เงาดำ ๆ ดูเหมือนกับคน มันเป็นรูปร่างคนเลยล่ะ แต่มันสีดำทะมึน มันโผล่มาตรงกระจกหน้ารถผม ตอนที่ผมกำลังจะเร่งเครื่อง ก่อนที่มันจะหายไป ตอนที่ผมหักพวงมาลัยรถหลบ เพราะนึกว่าผมกำลังจะชนคนเข้า มันหายวับไปอย่างเร็ว เหมือนว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้น” ผู้กองเขตต์เอง ไม่รู้ว่าหากว่าเรื่องนี้จะต้องไปอยู่ในรายงานคดี เขาจะเขียนมันลงไปว่ายังไง

“แต่ผู้กองรอดมาได้” เสียงตาต้าพูดมาตามสาย “แสดงว่าผู้กองมีอะไรสักอย่างอยู่ติดตัวเหมือนกัน” ตาต้าบอกกับผู้กองหนุ่ม “ของติดตัว” ผู้กองถามกลับมาที่ตาต้า “ของติดตัวอะไร” ผู้กองถาม พลางเอามือแตะไปตามตัว นึกไม่ออกว่าตั้งแต่เป็นตำรวจมา เขาพกอะไรเอาไว้เพื่อป้องกันภัย “ไม่มีนะ” ผู้กองบอกกับตาต้ากลับไป

“มันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่คุ้มครองผู้กองอยู่” ตาต้าพูด ผู้กองตอบกลับว่า เขาไม่มีอะไรพกติดตัวจริง “ของขลัง ของที่มีพลังป้องกันภัย อย่างแผ่นคุ้มภัยที่ผมมี และมันก็ได้ผล” ตาต้ายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ผู้กองต้องลองนึกดู” ตาต้าบอกกับผู้กองหนุ่ม “ผู้กองนึกดูดี ๆ เพราะจะได้รู้ว่า อะไรที่ปกป้องผู้กองอยู่ และจะคุ้มครองผู้กองได้ หากว่าเรื่องอะไรแบบนี้ มันเกิดขึ้นอีก” ตาต้าพูดกับผู้กองด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อย่าว่าแต่เรื่องนั้นเลย ผมว่าเรื่องนี้ก็น่าสงสัยไม่น้อย” ผู้กองเขตต์พูดถึงอีกอย่างที่เขาเองรู้สึกได้ ตอนที่เงาสีดำนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา “ผมรู้สึกกลัวว่า อะไรก็ตามที่เรากำลังเผชิญอยู่ มันจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้น่ะสิ” น้ำเสียงของผู้กองกำลังครุ่นคิด และแน่นอน กำลังเป็นกังวลว่า มันจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น และจะนำมาสู้คดีเพิ่มเติมหลังจากนี้

“เพราะตอนที่ไอ้เงาสีดำนั่นมันหายไป มันเหมือนกับว่ามันมีอะไรทีดึงดูดความสนใจของมันมากกว่าผม” ผู้กองเขตต์พูดด้วยอาการที่อยู่ ๆ ขนแขนทั้งสองข้างของเขาก็ลุกเกรียวขึ้น “เหมือนมันเลิกสนใจผมยังไงยังงั้น” ผู้กองเขตต์คิดว่าเขาคิดไม่ผิด “มันไปหาคุณและผมพร้อม ๆ กันได้ ไอ้เงาเวรนี่มันต้องมีพลังน่ากลัวอย่างร้ายกาจ” ความเป็นตำรวจของผู้กองเขตต์กำลังกรีดร้องใส่หูผู้กองหนุ่มอยู่ในตอนนี้ ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

“แต่มันก็เลิกตอแยคุณและผมพร้อม ๆ กัน ถูกมั้ย” ตาต้าเงียบ นิ่ง ฟังสิ่งที่ผู้กองเขตต์พูด “ลองคิดดูสิ ผมว่า ไอ้เงาฉิบหายนี่ มันไปอยู่ที่ไหน มันต้องมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดูที่มันพยายามจะทำให้ผมรถคว่ำสิ ส่วนคุณ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากว่ามันเข้ามาในห้องของคุณได้สำเร็จ” ตาต้าฟังไปตามที่ผู้กองหนุ่มพูด

“เพราะผมมานึกถึงสิ่งที่นักแสดงสาวคนนั้นพูด คุณศศิน่ะ มันฟังดูโคตรจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนแรก” ผู้กองเขตต์เรียบเรียงความคิด จับเอาคดีต่าง ๆ มาเรียงรายละเอียดดูใหม่ “ถ้ามันคือบ่อเกิดของเรื่องร้าย ๆ ทั้งหมด ทฤษฎีของผมมันก็จะเป็นจริง มันคงจะหาใครสักคน ที่พร้อมจะตอบรับข้อเสนอของมัน ที่คุณศศิบอกว่า มันคือพร มันหยิบยื่นพรอะไรนั่น ให้กับคนที่อยู่ในสถานการณ์ ที่ไม่อาจจะปฏิเสธ” มาถึงตรงนี้ ผู้กองเขตต์ก็ยิ่งหนักใจ หากว่าจะมีคดีอะไรเพิ่มเติมอีกหลังจากนี้

“แต่ถ้าคุณศศิพูดโกหก พยายามแหกตาทุกคน เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี” ผู้กองเขตต์ได้ยินเสียงของตาต้าพูดกลับมาตามสาย “ทฤษฎีของผู้กอง มันจะทำให้ผู้กองเดือดร้อนในหน้าที่การงานได้เลยนะ” ผู้กองหนุ่มปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ที่เขาเพิ่งได้ยินตาต้าพูดมา มันก็มีความเป็นไปได้

“ตาต้า ถ้าเป็นแบบนั้น คุณอาจจะหมดโอกาสเป็นคุณนายเลยนะ ถ้าผมไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นสารวัตรน่ะ” และนี่ไม่ใช่แค่มุกตลก ที่ผู้กองเขตต์พูดเล่นออกมาเท่านั้น “นอกเสียจากว่า ผมจะหาเจอ ว่าเป้าหมายใหม่ที่มันรีบพุ่งไปหา นั้นคือใคร” ผู้กองเขตต์ได้ยินที่ตัวเองพูด แล้วก็อยากจะหัวเราะเยาะใส่หน้าตัวเองดัง ๆ

“คนในเมืองนี้มีเป็นสิบล้านคน” ตาต้าพูดกลับมา ผู้กองเขตต์ถึงกับถอนหายใจพรืดใหญ่ออกมา “จะไปเริ่มจากตรงไหนได้” ตาต้าถาม “ไอ้เงาชั่วนี่ มันคงไม่พ้นหาคนที่พร้อมจะทำอะไรร้าย ๆ ได้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรให้ดี” ผู้กองเขตต์พูดตามที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น “นี่ผมควรจะเริ่มไปเรียนอาชญาวิทยาที่ลงทะเบียนเอาไว้ได้แล้วนะ ผัดมาหลายรอบแล้ว ไม่งั้นผมคงฉลาด คิดทันมันมากกว่านี้” ผู้กองสัพยอกตัวเอง ยังคิดไม่ออกว่า จะเริ่มต้นงมเข็มในมหาสมุทรนี้อีท่าไหนดี

“อีพิม นี่มึงอย่าบอกนะ ว่ามึงให้เขาเอาฟรี ๆ” พิมที่มองรถยนต์คันหรูคันนั้น เคลื่อนตัวออกไปจากหน้าบ้านหลังเท่ารูหนูของเธอ ที่พิมใช้มันซุกหัวนอนอยู่ร่วมกับป้าของเธอ ทีกำลังแหวดแหวใส่เธอ ราวกับจะกุดกัวเธอให้สาสมกับความโง่ ที่ผู้เป็นป้ากำลังคิดว่า หลานสาวอย่างเธอนั้นเป็น

“เจ็บรูฟรี ๆ แบะขาให้เขาเอา อีนี่ มึงคิดได้ยังไง อีห่า” เสียงป้าด่าหลานสาวแว้ด ๆ “ป้านี่ รู้น้อยไปเสียแล้ว” ลักษณะกิริยาอาการ สีหน้า และน้ำเสียงที่พิมพูดตอบกลับป้าของตัวเองไป ไม่ต้องเดา ก็คงไม่ยากที่จะมองหาคนต้นแบบ ที่พิมถอดเอาทุกอย่างออกมา ว่าเป็นคนคนนั้นเป็นใคร พิมทำหน้าทำตาว่า ตัวเองนั้นเหนือชั้นกว่าที่ป้าคิดนัก

“ถ้าป้าไม่รู้อะไร ก็อย่าเพิ่งพูดให้ตัวเองดูโง่มากไปกว่านี้เลย” พิมยิ้มเยาะผู้เป็นป้าอย่างหัวร่อหัวขัน “อีพิม อีดอก อีหลานเวร เดี๋ยวนี้มึงช่างกล้านะ นี่มึงด่ากูว่าโง่เลยหรือ” ป้าหยิบเอาหมอนอิงใกล้มือ หยิบเขวี้ยงใส่หลานสาวในทันที “ก็ถ้าป้ายังอยากได้เงินที่ฉันหว่านโปรยอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้แล้วละก็” พิมโยนธนบัตรสีเทาปึกหนานั้นลงตรงหน้าผู้เป็นป้า ที่รีบคว้าไปนับด้วยตาอันเบิกกว้าง

“ได้เยอะกว่าทุกครั้งเลยนี่หว่า อีพิม” ผู้เป็นป้าไม่ปิดบังเลยสักนิด ถึงความโลภที่ตัวเองมี “มีอีกมั้ยวะอีนี่ ให้กูเพิ่มอีกสักหน่อย กูจะเอาไปต่อดอกทอง แล้วก็ว่าจะเอาไปทำทุนเพิ่มที่ท้ายซ้ายสักหน่อย” ป้าแบมือใส่หน้าหลานสาว ขอเงินเพิ่มจากที่เพิ่งได้ไปก็ไม่น้อยแล้วนั้น แบบไม่มีเหนียมอาย

“เพลา ๆ บ้างนะป้า พนันน่ะ หมดตัวได้เลยนะนั่น” ปากพูดไป แต่ก็ยื่นเงินให้อีกหนึ่งปึกใหญ่ “แล้วก็อย่าวิพากษ์วิจารณ์ปากยื่นปากยาวเรื่องของฉันมากนัก ถ้ายังอยากได้บุญหัว ได้ฉันคุ้มครองเลี้ยงดูอยู่แบบนี้” ผู้เป็นป้าไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากปึกเงินที่หลานสาวยื่นให้ รับคำไปส่ง ๆ แบบนั้น แม้ว่าภายในใจจะด่าทอหลายสาวอย่างหยาบคายจนฟังไม่ได้ก็ตาม

ภรตหยุดรถที่หน้าบ้าน แต่ยังไม่ขับเข้าไปด้านใน แม้ว่าประตูอัตโนมัติจะเลื่อนเปิดแล้ว ชายหนุ่มหยิบเอาขวดน้ำหอมมาฉีดใส่ตัวเองจนหอมฟุ้ง มองดูไฟภายในบ้าน เดาได้ว่า คนด้านในที่รอเขากลับบ้านทุกวัน ยังคงไม่เข้านอน ชายหนุ่มเลิกคิ้วแบบเสียไปที เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ก่อนจะขับรถเข้าไปในตัวบ้าน ภรตหยิบของสองสามอย่าง ก่อนจะลงจากรถ

“กลับมาแล้วหรือคะ” เสียงทักที่ภรตรู้สึกขัดในความรู้สึกทุกครั้งที่ได้ยิน มันแปร่งหู มันไม่เป็นธรรมชาติ มันฟังดูปลอมในความรู้สึกของเขา ตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มฮอร์โมนบำบัด “ครับที่รัก” แต่ภรตก็ต้องเก็บมันเอาไว้ในใจ เก็บมันเอาไว้มานานจนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเขาถึงต้องอดทนกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย

“ตัวหอมจัง” ภรตจำต้องอ้าแขนกว้าง เมื่ออีกฝ่ายโผเข้ากอด “ดีจัง วันนี้คุณทำงานกับพวกนางแบบสวย ๆ นั่นทั้งวัน แต่ก็ไม่มีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดตัวเลย” ภรตยิ้มกว้าง เหตุผลคงเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี่กระมัง ทั้งเงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน เครื่องเพชร ทองหยอง ที่พ่อและแม่ของคนคนนี้ ทิ้งมรดกเอาไว้ให้ แต่มันยังไม่ตกมาถึงมือของเขา

“พวกทีมงานช่วยกันปกปิดเก่ง เอาน้ำหอมที่ไหนก็ไม่รู้ รีบมาฉีดให้ผมน่ะที่รัก” ภรตใช้มุกที่อีกฝ่ายแสดงอาการชอบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเห็นอาการหัวร่องอหาย ตีแขนเขาให้ป้ายใหญ่อย่างชอบใจ “ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะค่ะ” ภรตก้มลงหอมแก้มของอีกฝ่าย มันหยาบ ชายหนุ่มรู้สึกได้ มันไม่นิ่มนวลเหมือนกับแก้มของหญิงสาว ที่เขาเพิ่งหอมและเพิ่มร่ำลามาเลยสักนิด

ศรุตากระดกเหล้าเพียว ๆ ที่ถูกรินใส่ในแก้วเจียระไนชั้นเลิศราคาเรือนหมื่นนั้น ลงคอรวดเดียว ภรตขึ้นไปด้านบนนานแล้ว และไม่มีทางลงมาข้างล่างนี่อีก จนกว่าจะเช้า มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ คงตั้งแต่เขาตัดสินใจจะเป็นศรุตาสินะ มันคงเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนนั้น ศรุตาปาดน้ำอุ่นใสนั้นออกจากขอบตา ก่อนที่มันจะทันได้หยดลงมาโดนแก้ม

เขามองดูรูปถ่ายในมือนั้นอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือค่อย ๆ บีบรูปนั้นลง ก่อนที่จะใช้ทั้งมือขยำรูปของภรตกับผู้หญิงคนนั้นจนยับยู่ยี่ ศรุตาปล่อยรูปให้ร่วงลงบนโต๊ะ สายตามองไปที่หีบกำปั่นสลักลายไม้โบราณ ด้วยอาการครุ่นคิดชั่งใจ ถึงสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ พรอะไรก็ได้สามข้ออย่างนั้นรึ ศรุตาถามกับตัวเอง ว่ามันจะเป็นอะไรไปได้บ้าง

*******************************************

แปลคำร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

รักที่อยากลืม - จิ๋ว ปิยนุช เสือจงพรู

https://www.youtube.com/watch?v=qluxuGHaIQs


ปลิดปลิว

Blown away

เคว้งคว้าง

Disoriented

ชีวิตฉันดั่งใบไม้ที่หลุดลอย

My life is a leaf flying aimlessly

น้ำตาฉันเป็นลำธาร

My tears, the river runs

อาบรักที่ผิดหวังในตัวเธอ

Bathing myself with disappointments in you


ร้องทุกข์กับพื้นทราย

Crying out pains on the sand

ที่เผลอใจไปรักเธอ

That I am falling for you head to toes

จึงต้องมานั่งซึมเหม่อ

That caused me to sit like a fool

เพราะรักเธอเพียงข้างเดียว

Not getting love from you in return


หยาดฝน

Rainfalls

ข้ามฟ้า

Across the sky

ชีวิตฉันปรารถนาเธอผู้เดียว

I’ve never wanted anyone in my life but you

รักเอย เหมือนดั่งคมเคียว

This love is like the edge of sickle

เกี่ยวแม้ข้าวที่เขียว ยังคานา

Too dull, left the rice paddy field all green


ฝนเอย จงเป็นพยาน

Raindrops, be my witness

ข้าขอวานจงเมตตา

I’m begging you your mercy

จงช่วยทำให้ใจข้าได้ร้างรา

Please help my heart to stop memorizing

ลืมรักลง

Forget all of my love

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


ศรุตานั่งตั้งหลังตรง ตามองไปที่ด้านหน้า จับจ้องอยู่ที่ประตูห้อง กำลังเฝ้ามองให้ประตูบานนั้นเปิดเข้ามา ด้วยการรอคอยให้ใครบางคนมาถึง ใจที่เต้นระทึก มันเต้นแรงกระหน่ำ ด้วยที่ว่าความคิดที่อยู่ในหัวตอนนี้ มันวนไปเวียนมาแต่เรื่องที่ทำให้จิตใจสั่นสะเทือน เฝ้าแต่ถามใจตัวเอง ว่าพร้อมแล้วใช่หรือไม่

“ถ้าฉันจะเรียกเธอว่า อีหน้าโง่ เธอจะโกรธฉันมากขนาดไหน” ศรุตาสะบัดหน้าหันไปทางจินทันที รู้สึกถึงอาการเต้นยิบ ๆ ที่บนใบหน้าของตัวเธอเอง ว่ามันมาพร้อมกันทั้งความโกรธ ทั้งความอาย และความเสียใจอย่างถึงที่สุด “มันจะมากไปแล้วนะ” ศรุตาตวาดแว้ดใส่อีกฝ่าย หลังจากที่กดปุ่มให้ที่กั้นระหว่างคนขับรถและที่นั่งด้านหลังรถยนต์คันหรู ดึงตัวขึ้นเพื่อกันเสียงไม่ให้เล็ดลอดไปด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าไม่เห็นกับตา ได้ยินกับหู คนอย่างเธอ ไม่สิ ต้องเอาให้ชัด” จินที่เบ้ปากยิ้มเยาะอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก จงใจที่จะไม่รักษาน้ำใจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย “กะเทยมั่นหน้า แต่สติปัญญาแยกแยะต่ำอย่างเธอ ก็ยังจะหลงเชื่อคารมของไอ้ผู้ชายคนนั้นต่อไปสินะ” ศรุตาคิดว่าตัวเองเหวี่ยงมือออกไป เพื่อตบหน้าอีกฝ่ายแล้วแท้ ๆ

“พวกมนุษย์นี่มันก็เป็นเหมือนกันแทบทุกคน ไม่ต่างกันจริง ๆ” แต่กลับกลายเป็นว่า ศรุตารู้ตัวอีกที ก็ถูกจินเอามือกดใบหน้าด้านหนึ่งของเขาให้แนบติดอยู่กับกระจกประตู “สติจะเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดที่ตัวเองก่อไว้ ก็เป็นศูนย์ แล้วยังจะคิดว่า ตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่นเข้าให้อีก ฉันควรจะสมเพชเธอเรื่องไหนก่อนดี หรือจะเวทนาเธอทั้งสองเรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยดี” คำพูดของจิน ทำให้ศรุตาเป็นเดือดเป็นแค้น

“ฉันจะบอกเรื่องอะไรดี ๆ ให้เอาบุญ” แต่กลับกลายเป็นว่า ตอนนี้ศรุตากลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ทั้ง ๆ ที่กำลังตะโกนกรีดร้อง ด่าทอ อีกฝ่ายจนเต็มเสียง “ว่าไงนะ เธอพูดว่ายังไงนะ” จินทำเป็นแนบหู เอียงคอฟังสิ่งที่ศรุตาพยายามจะพูดออกมา ก่อนที่ศรุตาจะได้ยินเสียงหัวเราะของจิน ที่มันดังลั่นไปหมด แต่มันไม่ได้ดังในหูของเธอ แต่กลับดังไปทั่วทั้งจิตใจและโสตประสาทอย่างน่าสะพรึงกลัว

“ฉันจะให้เธอดูโชว์อะไรดี ๆ” จินพูดจบ ก็ดีดนิ้วมือขึ้นที่ข้างหูของศรุตา “นั่นมันตัวเธอนี่นา” คำพูดของจินทำให้ศรุตามองเห็นตัวเองในภาพฉายนั้น มันคือตัวของเขา ก่อนที่จะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นศรุตาอย่างในตอนนี้ “ใครนะ ตอนนั้นเธอเป็นใครนะ อ้อใช่ ใช่จริง ๆ ด้วย” เสียงหัวเราะอย่างขบขันดังมาจากจิน ที่หัวร่องอหายไปกับรูปลักษณ์เก่าในตอนนั้นของศรุตา

“สุธี นั่นมันสุธีนี่” ศรุตาอยากจะเบือนหน้า หลบตาไม่มองไปที่ภาพฉายนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนตัวเองกำลังถูกตรึงเอาไว้ ให้จ้องมองความเป็นจริงของตัวเขาเอง “โถ ๆๆ อุตส่าห์ เปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายมาเป็นศรุตาได้จนสมใจ” ภาพฉายไล่เรียงสิ่งที่ศรุตาต้องทำ ไม่ว่ามันจะสร้างความทรมานให้เขาแค่ไหนก็ตาม ศรุตาอดทนทำมัน เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่มีในใจ

“แต่เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอเอง น่าสงสารจัง” ภาพฉายที่ศรุตามองเห็น คือวันแรกที่ภรตก้าวเข้ามาในชีวิต ตอนนั้นภรตดูเป็นชายหนุ่มที่ใสซื่อ หล่อเหลา รูปลักษณ์น่าจับต้อง ภาพลักษณ์น่าหลงใหล “แต่เธอทำให้มัน ครั้งแล้วครั้งเล่า” แล้วเพียงไม่นานหลังจากที่ได้รู้จักกัน เรื่องราวมากมาย มันก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น

“ลายเซ็นเธอสวยดีนะ” เสียงของจินฟังดูหยามเหยียดในสิ่งที่ศรุตาได้ทำลงไป ภาพที่เขาเซ็นชื่อลงในใบโอนกรรมสิทธิ์ของห้องชุดคอนโดหรู ที่ศรุตาเฝ้าเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อมันมา กลับกลายเปลี่ยนมือไปเป็นชื่อของภรตโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ชายหนุ่มชักแม่น้ำทั้งห้า รวมทั้งชักแท่งทวนเลี่ยมทองที่พ่อให้ติดตัวมานั้น ใส่หน้าและปากของศรุตาจนเต็มคราบ

“พ่อไอ้หนุ่มคนนี้มันป่วยกี่ครั้งนะ” คำถามของจินดังขึ้นอีก ภาพฉายเปลี่ยนเป็นตอนที่ศรุตาวางสายจากภรตแล้วรีบกดโอนเงินจากแอพธนาคารให้กับชายหนุ่มอย่างร้อนรน เพราะทั้งสงสารและเห็นใจ เมื่อได้ยินว่าตอนนั้น พ่อของภรตกำลังป่วยอย่างหนัก และต้องการเงินเพื่อเข้ารับการผ่าตัดจากอาจารย์หมอ ศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลเท่านั้น เพื่อให้มีโอกาสรอดชีวิต

“แล้วแม่มันตายกี่ครั้งนะ สองหรือว่าสาม” ศรุตาที่แม้จะนึกสงสัย แต่ก็ปากหนัก ไม่ยอมถามออกไป ด้วยกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองคิดจะเป็นจริง “ตายแล้วฟื้น ช่างอัศจรรย์ใจดีเสียจริง” กับตอนนั้นที่ภรตขู่ว่า ถ้าศรุตาไม่โอนเงินมาให้ ภรตก็จะไม่กลับมาหาและมาอยู่กับศรุตาอีก สิ่งที่เขาทำคือโอนเงินไป แล้วนั่งรออีกหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ ให้ภรตกลับมา เพราะใช้เงินก้อนนั้นจนหมดแล้ว

“เรื่องมันแล้วไปแล้ว” จินทำเสียงเล็กเสียงน้อย ล้อเลียนความคิดของศรุตาที่ขุดขึ้นมาจากความทรงจำของอีกฝ่าย “ก็จริงของเธอนะ” จินทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “งั้นเรามาดูอะไรที่มันตื่นเต้นและเป็นปัจจุบันกันหน่อยดีกว่า” เสียงดีดนิ้วของจินดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่ภาพฉายที่ศรุตาเคยเห็น หรือว่าเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต อย่างที่จินทำให้ศรุตาเห็นก่อนหน้านี้

“นี่มัน” ศรุตาได้ยินเสียงของตัวเองร้องถาม “นี่มันคืออะไร” น้ำเสียงของศรุตาทั้งโกรธ ทั้งปวดร้าวในใจ เมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือภาพของภรตกับผู้หญิงอีกคน กำลังทำรักกันอย่างเร่าร้อน ภรตที่โหมกระหน่ำแรงเข้าใส่เรือยร่างของฝ่ายหญิง จนเธอคนนั้นต้องสูดปาก ร้องครวญคราง บอกให้ภรตนั้น เร่งเร้าและโรมรันให้หนักหน่วงขึ้นอีก

“มันมีแค่ภาพ” เสียงของจินดังขึ้นที่ข้างหูของศรุตา ที่ไม่สามารถหลับตาลง เพื่อให้ตัวเองหลีกหนีจากภาพความจริงที่ปวดใจนั้นได้ “ฉันว่ามันขาดอรรถรสมากไปเสียหน่อยนะ” จินพูดจบ มันเหมือนกันจินค่อย ๆ หมุนปุ่มโวลุ่ม ค่อย ๆ เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น และดังขึ้น จนเสียงร้องระงมจากทั้งภรตและผู้หญิงคนนั้น แสดงความหฤหรรษ์ทางอารมณ์ ด้วยความสุขสมในกามรส ดังสนั่นให้ศรุตาได้ยิน

ศรุตารู้สึกรับรู้ถึงความทรมานทั้งสายตา โสตประสาท และแน่นอน หัวจิตหัวใจของเขาในตอนนี้ ที่มันกำลังจะรับสิ่งเหล่านี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เสียงของภรตที่พร่ำพรรณนาถึงรสรักอันแสนอร่อย ที่เขาได้รับจากร่างกายของหญิงสาว เปรียบเทียบกับ ร่างกายของศรุตา ที่มีให้กับภรตได้ ก็เพียงแค่

“นมปลอม ๆ นี่” ศรุตารู้สึกได้ถึงมือทั้งสองข้างของจิน ที่จับหมับ ขยำเข้าที่หน้าอกขนาดใหญ่ ที่แม้จะไม่ใช่ไซซ์ที่เขาปรารถนาแต่อย่างใด แต่เมื่อรู้ว่า ภรตชอบผู้หญิงหน้าอกใหญ่ ศรุตาก็ขอร้องแกมบังคับให้หมอศัลยกรรมตกแต่ง เพิ่มขนาดซีซีให้ทันที โดยไม่ฟังคำทัดทานถึงผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวของตัวเขาเองแต่อย่างใด

“มันเคยจับเล่นบ้างมั้ย” คำถามของจินทำให้ศรุตาถึงกับต้องสะอึกในความรู้สึก “ต่อให้เธอทำแบบนี้” จินถลกชุดเกาะอกที่ศรุตาใส่อยู่ ให้ลงมากองอยู่ที่เอวคอดกิ่ว ที่เขาพยายามควบคุมอาหารและรักษาน้ำหนัก เพื่อให้รูปร่างของตัวเองสวยงาม น่ามอง ไม่แตกต่างไปจากผู้หญิงโดยกำเนิดแต่อย่างใด

“ให้เธอยืนเปลือยนมทั้งสองเต้าให้มันดู ตอนมันกลับมาถึงบ้าน มันทำยังไงกับเธอ” นั่นทำให้ศรุตารับรู้ถึงความเจ็บที่พุ่งจี๊ดตรงเข้าสู่กลางใจเธอในทันที เกือบจะทันทีที่แผลผ่าตัดหน้าอกของเขาหายดี ศรุตาเริ่มตั้งแต่แกล้งทำเป็นผ้าผ่อนหลุดลุ่ยอย่างไม่ตั้งใจ จนถึงที่ว่า ศรุตาตั้งใจแก้ผ้าให้ภรตได้เห็นถึงเต้านมฝีมือหมอคู่สวย ที่มันทั้งกลมกลึง ใหญ่โตเกินขนาด น่าคลึงเคล้นขยำเขย่านั้น

“เธอไปหาหมอคนที่ฝีมือฉกาจฉกรรจ์เรื่องการเปลี่ยนศุธีให้เป็นศรุตา แล้วต้องเจ็บตัวกี่ครั้งกันนะ” ศรุตารับรู้ได้ถึงชายเดรสสั้นของเธอ ถูกดึงรั้งขึ้นมาที่หน้าขา “เพราะเธอคิดว่า แค่มีนมใหญ่มันยังไม่พอ เพราะไอ้ผู้ชายนั่น มันคงจะเบื่อแล้ว ที่จะต้องมาเมื่อยมือ ชักเองจนหลั่งบนนมปลอม ๆ ของเธอ” ศรุตาไม่รู้ว่า เขาควรจะรู้สึกเจ็บเพราะคำพูดของจิน หรือทรมานกับมีดหมอที่กรีดลงบนร่างกายของเขาเอง มากกว่ากันดี

“จากที่มันเคยบอกว่า รูไหน ๆ ก็เหมือนกัน จะรูหน้าหรือรูหลัง” ศรุตารับรู้ถึงมือของตัวเอง ถูกมือของจิน จับให้ล้วงเข้าไปด้านในชายชุดเดรสนั้น “จะรูไหน ๆ ก็สร้างความสุขให้กับผู้ชายชื่อภรตได้เหมือน ๆ กัน” แรงกดของมือจิน ทำให้ศรุตาแสดงอาการเหยเกออกมา “แต่ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันพูดกับเธอยังไงนะ” มาถึงคำถามนี้ ริมฝีปากของศรุตา เริ่มสั่นไปด้วยอารมณ์ที่กำลังทำให้ความเสียใจ เป็นคำอธิบายที่น้อยเกินไป

ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากกลางหว่างขา ที่เมื่อก่อนนี้ เคยมีพวงอวัยวะขนาดใหญ่ที่ภรตปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมใด ๆ ตอนร่วมเพศกับศรุตา ซึ่งนั่น เป็นสิ่งที่ศรุตากลับต้องมาทำความเข้าใจ และเห็นใจภรตเสียเอง ด้วยคำว่า เขาเป็นผู้ชาย ย่อมชอบให้คู่ของตัวเอง สมบูรณ์เพียบพร้อมเสียก่อน ถึงจะเต็มใจร่วมสังวาสกันอย่างเต็มอารมณ์ได้

มือของศรุตาแตะโดนแท่งไดอะเลท ก่อนจะถูกมือของจินดันให้แท่งนั้น มันเลื่อนลึกเข้าไปอีก นี่คือสิ่งที่ศรุตาต้องทำ หลังจากที่แพทย์ผ่าตัดความเป็นชายให้หายไปจากชีวิตของเขาตลอดกาล แล้วมอบความเป็นหญิงที่แทบจะแยกความแตกต่างไม่ออกให้มาใหม่ ศรุตาต้องทำการแยงโม แบบที่รุ่นพี่ ๆ กะเทยแปลงเพศทุกคนทำกัน เพื่อไม่ให้ช่องคลอดที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นั้นตีบตัน

“มันต้องลึกมากพอ มันต้องฟิตมากพอ มันต้องมอบความเสียวซ่านมากพอ สารพัดมากพอที่เธอทำ” เสียงของจินกรอกอยู่ข้าง ๆ หูของศรุตา “เพื่อมัน” มือของศรุตาแปะโดนของเหลวอุ่น ๆ ที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดนั้น “แต่มันกลับไม่แตะต้องตัวเธอเลย ทั้ง ๆ ที่เธอยอมเจ็บตัว ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อมัน” ภาพที่ศรุตามองเห็น มันตอกย้ำว่า สิ่งที่ได้ลงมือทำไปทั้งหมด เพื่อให้ภรตหันมาให้ความสนใจนั้น

“แถมฉันยังไม่ได้เริ่มพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ” นิ้วมือเปื้อนเลือดของศรุตา ถูกป้ายลงไปลูกกระเดือกขนาดใหญ่ ที่เห็นได้ชัดของตัวเขาเอง ที่การทำฮอร์โมนบำบัด ไม่สามารถลบรอยด่างตรงนี้ไปจากชีวิตของเขาได้ที่ต้องการ เสียงที่แหบพร่าได้มาเป็นผลลัพธ์ แทนที่มันจะเป็นเสียงบีบแหลมแบบเนียนนี อย่างที่เขาพูด ๆ กัน ศรุตาถึงกับปรึกษากับหมอศัลยแพทย์อีกครั้ง ถึงความเป็นไปได้ สำหรับเขา ที่จะทำกันผ่าตัดลดขนาดกล่องเสียงลง เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ

“มากันแล้วหรือ” ศรุตาเอ่ยทักภรตที่เปิดประตูเข้ามา ก่อนจะเห็นหญิงสาวอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย “ที่รักมีอะไรหรือเปล่า เห็นให้ผู้ช่วยโทรไปตามมาด่วนเลย นี่ผมกำลังทำงานยุ่งอยู่พอดีเลยนะ” ภรตพูดไปหัวเราะร่วนไป แสดงอาการแปลกใจ ที่ถูกอีกฝ่ายเรียกมาพบเร่งด่วนแบบนี้

“ลำบากแย่เลย” ศรุตาเอียงคอพูด ในแบบที่เคยทำประจำ เพราะคิดว่ามันน่ารักดี และภรตคงชอบอะไรแบบนี้ บางอย่างในแววตาของชายหนุ่มที่ศรุตาเห็น คล้ายกับว่าภรตต้องปรับอารมณ์ที่ได้เห็นศรุตาทำท่าทางแบบนั้น “ไม่หรอกครับ เพื่อที่รัก มันไม่มีอะไรลำบากทั้งนั้น” คำพูดของภรตทำให้ศรุตายิ้มตาหยีออกไปให้ ก่อนจะหันไปมองทางหญิงสาวที่มาด้วยกันกับภรต

“พิมล่ะ คงเหนื่อยน่าดูเลย ต้องเป็นผู้ช่วยให้ภรต ไปไหนมาไหนด้วยตลอด ไม่มีเวลาส่วนตัวเลยสินะ” ศรุตาหันไปพูดกับหญิงสาว ที่รีบส่ายหน้าแทนคำตอบให้กับศรุตาในทันที “ไม่เลยค่ะ พิมเต็มใจ” ศรุตาต้องสะกดกลั้นจิตใจของตัวเองเอาไว้อย่างหนัก ที่จะไม่ตะโกนคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ว่าอีตอแหล ใส่หน้าหญิงสาวออกไป

“ที่ให้คนโทรไปตามมาก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ศรุตาแบมือขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกไปให้ภรตจับ “อะไรหรือครับที่รัก” ภรตถาม จับมือของศรุตาเอาไว้ “พิมคงต้องแสดงความยินดีกับเราสองคนด้วยแล้วล่ะ” ศรุตายิ้มหวาน พิมขมวดคิ้วงง ๆ ที่ได้ยิน ภรตเองก็สงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร

"พิม ฉันอยากให้เธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กับงานแต่งงานของภรตกับฉัน นะ เธอคงเต็มใจไม่ว่าอะไรนะ” พิมทำหน้าปุเลี่ยนออกมาในทันที เพราะไม่ทันตั้งตัว อาการทำเหยหน้าเบ้ปาก เพราะได้ยินเรื่องที่ฟังดูทุเรศที่สุดในชีวิต ก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัว แล้วรีบปรับสีหน้าน้ำเสียง ให้เป็นการแสดงความยินดีแทน

“ดีเลยค่ะ คุณศรุตา สมรสเท่าเทียม เนอะ” พิมลอบสบตากับภรต แบบให้ชายหนุ่มรู้ว่า คงต้องมีการคุยกันนอกรอบหลังจากนี้ ภรตที่กำลังคำนวณถึงผลได้ผลเสียในสมองอย่างเร็วจี๋ ส่งสายตาไปทางพิม ว่าเรื่องนี้ให้เขาจัดการเอง “โอ้ ที่รัก ผมดีใจมากเลย” ภรตรีบทำเสียงให้ตัวเองดูดีใจอย่างถึงขีดสุด

“เหี้ยเอ๊ย โอ๊ะ ขอโทษด้วยที่รัก คือผมไม่ตั้งใจจะพูดคำหยาบ แต่เหี้ยแม่ง กูคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว” ภรตตะโกนดังลั่นไปหมด ก่อนจะทำฟุบหน้าลงบนฝ่ามือ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา น้ำตาแห่งความดีใจที่บีบออกมาให้ไหลลงใบหน้า ก็เริ่มทำงาน ศรุตายื่นมืออีกข้างที่เหลือ ไปให้พิมจับ เพื่อทำการสัญญา หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะต้องยอมจับมือกับคนที่เธอรู้สึกรังเกียจมาตลอดเวลา

“เพื่อน ๆ เป็นพยานให้กับความรักของศรุตาและภรตด้วยนะคะ” ศรุตาที่จับมือของทั้งภรตและพิมบีบจนแน่น หันไปพูดกับกล้อง ที่กำลังถ่ายทอดสดออกอากาศไปทางช่องทางออนไลน์ เพื่อให้คนที่กำลังติดตามได้รับรู้ ความคิดเห็นต่าง ๆ ไหลบ่าเข้ามาจนท่วมท้น มันมีทั้งคอมเม้นต์ที่เห็นด้วยและสาปส่ง จนอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว

*******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

Oscar Winning Tears - RAYE

https://www.youtube.com/watch?v=_cLIG8JiOyg





Hello, it's RAYE here

ไงพวกเธอ นี่ฉันเองนะ

Please, get nice and comfortable and lock your phones

เอาล่ะ พวกเธอก็นั่งให้เรียบร้อย แบบสบายสบาย แล้วปิดมือถือลงก่อน

Because the story is about to begin (uh)

เพราะเรื่องราวที่ฉันกำลังจะเล่า จะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้


Ladies and gentlemen, I'm gonna tell you 'bout

ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ฉันกำลังจะเริ่มต้นเล่าเรื่อง

One of the many men, name is irrelevant, height is irrelevant

คือมันมีผู้ชายคนหนึ่งในบรรดาทั้งหมดที่มี ชื่ออะไรนั้นไม่สำคัญ สูงส่งหรือไม่อย่าเพิ่งสนใจ

He was a one out of a ten, I wish that I knew it then

เขาคนนี้ดูเลิศเลอที่สุดเลยล่ะ ก็แค่คิดว่าฉันควรจะรู้มาก่อนหน้านั้น

I'm still recovering

ตอนนี้ฉันยังคงพักฟื้นอยู่ ยังไม่หายดี


Truly, I'm vulnerable, I love a sentiment

ฉันเองจริงจริงก็หวามไหวหลงใหล ก็เพราะชอบใจอารมณ์อ่อนไหว

Quickly I opened up, I learned my lesson then

เจอไม่ทันไรก็พร้อมเปิดรับเขาเข้ามา ก่อนจะต้องได้บทเรียนอันล้ำค่า

Thought I was safe again, thought he was innocent

คิดว่าตัวเองจะปลอดภัยเสียอีก ก็คือว่าเขาเองดูไม่มีพิษมีภัย

I was so wrong

ฉันเองต่างหากที่คิดผิด


I can't deny

โกหกไม่ได้เลยสินะ

I was stuck in the daze, terrible phase

ที่ฉันเหมือนเดินวนอยู่ในความเพ้อเจ้อ กับช่วงเวลาที่ใครเตือนไม่ฟัง

You were convincing, though

ก็เขาดูพูดจาน่าน่าเชื่อใจไง

Very believable, the role that you played

น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก กับบทบาทที่แสดงเอาไว้อย่างดี


So I'll take this front row seat

ฉันก็ได้แต่นั่งดูอยู่แถวหน้าสุด

And, baby, baby, you can go ahead

เอาเลยที่รัก จัดมาให้เต็มที่

Cry those Oscar-winning tears

ร้องมันออกมาน้ำตาแห่งรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ


Popcorn and I scream

ข้าวโพดคั่วและเสียงกรีดร้องของฉันมันพร้อมแล้ว

Baby, baby, you can go ahead

เอาเลยที่รักเต็มที่

Cry those Oscar-winning tears, baby, hmm

ปล่อยน้ำตาแห่งเวทีนาฏราชให้หลั่งริน


Oh, what a tragedy, it didn't have to be

ช่างเป็นอะไรที่น่าสะเทือนอารมณ์ มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้

Look how you talk to me, cursing and blasphemy

แต่ดูที่เขาพูดกับฉันสิ ด่าทอ ด้อยค่า

Cinematography, get this on camera, please

ฉากจากภาพยนตร์แห่งปี กล้องพร้อม ไฟเต็ม

Or no one gon' believe this here

ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่มีใครเชื่อ


I can't deny

ปฏิเสธยังไงไหว

I thought you were the man, but you had a plan

ฉันก็นึกว่าเขามันคนจริงไม่ใจคด ที่ไหนได้ ดันมาพร้อมกับแผนการ

The fuck you lying for? Fuck you crying for?

เหี้ยแม่งโกหกจนเป็นสันดาน ร้องไห้จนเป็นปกติธุระ

You did it again (yeah, ah-ah-ah)

ทำมันอยู่สองซ้ำ คือซ้ำแล้วกับซ้ำเล่า


So I'll take this front row seat

ฉันก็ได้แต่นั่งดูอยู่แถวหน้าสุด

And, baby, baby, you can go ahead

เอาเลยที่รัก จัดมาให้เต็มที่

Cry those Oscar-winning tears

ปล่อยให้น้ำตาแห่งลูกโลกทองคำห้ำไหลริน


Popcorn and I scream

ข้าวโพดคั่วและเสียงกรีดร้องของฉันมันพร้อมแล้ว

Baby, baby, you can go ahead

เอาเลยที่รักเต็มที่

Cry those Oscar-winning (tears) tears, baby

ปล่อยน้ำตาแห่งนักแสดงแห่งปีได้จารึก


You can miss me with the bullshit

จริงจริงไม่ต้องแกล้งตอแหลแล้วก็ได้

I can see right through your (tears) tears, baby

มันดูกันออกว่าน้ำตามันมาจากความเสแสร้ง

Nine o'clock entertainment

มันก็แค่ละครหลังข่าวสองทุ่ม

Oh, man, I wish I could tape it

โถ นี่ฉันน่าจะอัดเทปเก็บมันเอาไวนะ


Sit down, no tissues

นั่งลง ไม่จำเป็นหรอกทิชชู่

No string section, no tiny violin

ไม่ต้องใช้วงเครื่องสาย สีซอก็ไม่ต้อง

For the last time, I'm your audience

เพราะมันถือเป็นรอบสุดท้าย ที่สีให้ฉันเป็นควายฟัง


I'll take this front row seat

ขอนั่งอยู่ที่นั่งแถวหน้าสุด

And baby, baby, you can go ahead and cry those, baby

เอาเลยร้องไห้ตอแหลมาให้เต็มที่

And baby, baby, baby, would you really go ahead?

เอาเลยที่รักจัดการแสดงมาให้เต็มเหนี่ยว

And would you go ahead and just cry, cry, cry? (Tears, baby)

บีบน้ำตา เค้นมันออกมา ร้อง ร้อง ร้อง

C-cry those Oscar (Oscar) winning (winning) tears (tears) , baby

ให้สมกับน้ำตารางวัลออสการ์ฉากสุดท้าย

(Tears, baby, go ahead, cry those Oscar-winning)

น้ำตาแห่งนักแสดงชายยอดเยี่ยมแห่งปี


And after his Oscar-winning performance

และหลังจากการแสดงอันเอกอุนี้ผ่านไป

I left the room and never saw him again

ฉันหวังว่าเราคงจะไม่ได้พบกันอีก

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

“คุณศรุตาโอเคมั้ยครับ” ชาติชายมองอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง เมื่อศรุตาเปิดประตูเข้ามานั่งที่เบาะท้ายรถ สีหน้าและแววตาดูครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ชาติชายเห็นศรุตาเคร่งเครียดมาตั้งแต่ ได้ประกาศงานแต่งงานออกไป และวันนี้เป็นวันที่ทางร้านเว้ดดิ้งสตูดิโอชื่อดัง ที่รับจัดการแต่งงานแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยค่าใช้จ่ายแพงระยับ ได้นัดมาลองชุดแต่งงานราคาเรือนแสน

“ว่ายังไงนะ ชาติ” ศรุตาที่ได้ยินว่าชาติชายพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันฟังว่า อีกฝ่ายถามอะไร ชาติชายสังเกตเห็นในแววตาของอีกฝ่าย มันดูหม่นและเศร้าหมอง ไม่เหมือนกับศรุตาคนเดิม ศรุตาคนนั้น คนที่ชาติได้เจอเป็นครั้งแรก ศรุตาที่มีความสดใส รอยยิ้มและใบหน้ามีแต่ฉาบฉายไปด้วยความสุข

สายแล้ว ชาติชายอยากจะเขกกะโหลก ไม่ก็เตะก้นตัวเองนัก วันสำคัญแบบนี้ แต่เขากลับตื่นสาย เพราะว่าไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้บนมือถือแบบสมาร์ทโฟน ที่ซื้อมาเป็นเครื่องที่ราคาถูกที่สุดในร้าน เพื่อจะได้ใช้แอพลิเคชั่นแบบคนอื่นเขาได้บ้าง แต่ถ้าจะให้ซื้อเครื่องดี ๆ หรูหราแบบคนอื่น เขาคงจะต้องกินแกลบแทนข้าวไปอีกหลานเดือน

ชาติชายวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมาถึงที่บ้านหลังใหญ่ ชาติชายเดินผ่านเข้าไปใน รั้วบ้านที่ล้อมอาณาเขตกว้างขวางเอาไว้ นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลา ว่าเขายังพอมีเหลืออยู่หลายนาที ยังไม่ถือว่าการมาทำงานวันแรก หลังจากที่ได้ลาออกมาจากงานบริษัทรักษาความปลอดภัย โดยทำงานเมื่อวานวันสุดท้าย แล้วต้องมาเริ่มงานใหม่ที่นี่วันนี้เป็นวันแรกเลย

ชาติชายใช้มือ ดันชายเสื้อเข้าไปด้านในกางเกงให้เรียบร้อย เมื่อเห็นว่านายหญิงคนใหม่เดินออกมาจากตัวบ้าน มือปาดผมที่ดูฟูให้เรียบลงให้ได้มากที่สุด ศรุตาชะงักเท้าเล็กน้อย เมื่อมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่เดาได้ไม่ยากว่า น่าจะเป็นคนขับรถคนใหม่ ที่ทางผู้ช่วยได้จัดหามาให้ โดยศรุตาได้บรีฟไปว่า นอกจากจะขับรถได้ดีแล้ว ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นการ์ดได้ด้วย

“สวัสดีครับนายหญิง” ชาติชายกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้อีกฝ่าย “ผมชาติชายครับ มาทำงานวันนี้เป็นวันแรกครับ” ศรุตานึกขันกับความประหม่าของชายหนุ่มคนตรงหน้า แต่ดูแล้วหน่วยก้านดี ร่างกายดูแข็งแรงกำยำ มาดแมน เหมาะกับงานดี “ขับรถปลอดภัย ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ฉันได้” ชาติชายรีบรับปากว่าเขาทำตามที่ศรุตาบอกมา ได้แน่นอน

“ใบขับขี่” ศรุตาพูดขึ้น พร้อมกับแบมือไปข้างหน้า ชาติชายรีบหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าด้านหลังกางเกง ก่อนจะหยิบเอาใบขับขี่รถยนต์ออกมาจากกระเป๋าใบเก่า ที่จวนจะขาดไม่ขาดแหล่นั้น ก่อนจะยื่นบัตรให้อีกฝ่ายดู ศรุตารับมาอ่านดูรายละเอียด ให้แน่ใจว่าตรงกับรายละเอียดที่ผู้ช่วย ได้แจ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก่อนจะยื่นใบขับขี่คืนกลับไปให้

“อย่างหนึ่งที่ฉันจะต้องถามก่อน” ศรุตาพูดกับชาติชายด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “และเธอต้องตอบฉันมาด้วยความจริงในใจ” ชาติชายมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของศรุตา จากที่ดูอ่อนโยน กลายเป็นเรื่องซีเรียสในทันที “ขับรถให้กะเทยนั่ง แน่ใจนะ” ชาติชายที่แม้จะรู้ล่วงหน้าจากพี่ที่ทำงานเก่า คนที่ช่วยหางานนี้ให้แล้วว่า เจ้านายใหม่ของเขาเป็นใคร แต่ชาติชายเองก็ไม่นึกว่า ศรุตาจะถามคำถามนี้กับเขาตรง ๆ แบบนี้

“ได้ครับ ไม่มีปัญหาครับนายหญิง ผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณที่นายหญิงให้โอกาส ให้ผมมาทำงานด้วยครับ” ชาติชายนึกถึงเงินเดือนที่เขาได้รับ มันมากกว่างานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยหลายเท่านัก แล้วนี่ศรุตาก็ยังยอมให้เขาเบิกเงินมาจำนวนหนึ่งก่อนอีกต่างหาก เพราะเงินประกันงานเก่า กว่าจะได้คืนก็อีกเกือบสองสัปดาห์ ศรุตาได้ยินชาติชายตอบกลับมา ก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะมองสลับกันไปมาระหว่างประตูรถกับใบหน้าของชาติชาย

“อ้อ ขอโทษครับนายหญิง” พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชาติชายก็รีบเปิดประตูให้ศรุตาขึ้นไปนั่งที่เบาะท้ายรถ กลิ่นน้ำหอมจรุงที่ชาติชายได้กลิ่น ตอนที่ศรุตาขยับตัว ทำให้ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบห้ามอาการตื่นตัวของเขาเอง ชาติชายไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะถูกชะตาอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มรีบเก็บใบขับขี่ใส่กระเป๋าสตางค์ ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ของรถคันหรูคันนี้ ก่อนที่ชาติชายมองกระจกมองหลังไปที่นายหญิงคนใหม่ของเขา

“คุณศรุตาจะรับน้ำแร่มั้ยครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้” ชาติชายมองไปที่ศรุตาผ่านกระจกมองหลัง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ที่ชาติชายทำหน้าที่นี้ให้กับศรุตา “อยากได้ยาแก้ปวดหัวด้วย ชาติมีมั้ย” เสียงศรุตาถาม ชาติชายรีบตอบว่ามี ก่อนจะเปิดที่กล่องหน้ารถ แล้วหยิบเอาขวดยาแก้ปวดส่งให้กับศรุตา ที่เลื่อนตัวมาที่ช่องกลางระหว่างช่วงตอนของคนขับ

“เอาน้ำขวดนั้นก็ได้” ศรุตาชี้ไปที่ขวดน้ำที่ชาติชายเปิดดื่มไปแล้ว “นี่มันน้ำธรรมดาครับ แล้วผมก็เปิดดื่มแล้ว” ชาติชายพยายามจะบอกกับศรุตาว่า เดี๋ยวเขาไปหาน้ำแร่แบบที่ศรุตาชอบดื่มประจำมาให้ดีกว่า แต่ก็ต้องยื่นขวดน้ำของตัวเอง ยื่นให้ศรุตาที่โบกมือบอกว่า ให้ส่งมันมาในทันที ชาติชายรับขวดน้ำกลับคืน หลังจากที่ศรุตากลืนยาแก้ปวดนั้นลงคอไป ใจของชาติชายในตอนนี้ นึกเป็นห่วงนายหญิงของเขามากกว่าเดิม

ชาติชายกัดกร้วมใหญ่ลงไปบนขนมปังก้อนที่เขาซื้อมาเป็นอาหารกลางวัน โดยใช้เวลาระหว่างรอศรุตาทำธุระเสร็จ จัดการหาอะไรมากินให้เรียบร้อย วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก เขานึกโทษตัวเองที่เมื่อคืนไปนั่งดื่มกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานเก่า เพื่อเลี้ยงส่งเขา และนั่นเป็นเหตุให้อาการเมาค้างเริ่มส่งผลกับเขา ชาติชายหยิบเอาขวดเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมา ทำท่ากำลังจะเปิดฝา

“ถ้าจะหาอะไรแก้แฮงค์ ก็เอานี่ดีกว่า จิบซะหน่อย” ชาติชายเงยหน้าตามเสียงพูดที่ได้ยิน ก่อนจะเห็นศรุตายื่นกาแฟร้อนให้เขาถ้วยหนึ่ง มันเป็นกาแฟดำที่ส่งกลิ่นหอม “ขอบคุณครับนายหญิง” ชาติชายรีบรับเอาถ้วยกาแฟไปจากมือของศรุตา ก่อนจะวางมันลงก่อน แล้วถอดเอาเสื้อตัวนอกของตัวเอง มาวางลงบนม้านั่งเล็ก ๆ นั้น

“นายหญิงนั่งบนนี้ดีกว่าครับ” ชาติชายกลัวว่าชุดที่ดูราคาแพงที่ศรุตาใส่อยู่ จะเปื้อนเสียก่อน ถ้าหากนั่งลงไปทั้งอย่างนั้น ศรุตากล่าวขอบใจ ก่อนจะนั่งลง ชาติชายที่มองตามศรุตา สายตาของเขาไปพอดีกับหน้าอกของอีกฝ่าย ตอนที่นั่งลงพอดี ชาติชายต้องรีบหันไปหยิบเอาถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ ก่อนจะต้องขยับตัวเลื่อนให้ความแข็งขันระหว่างขา ที่อยู่ ๆ ก็ชักธงรบขึ้นมา ถูกซ่อนจากสายตาของอีกฝ่าย

“ฉันจะให้ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวนะ ถ้ามีอีก เธอคงต้องหางานทำใหม่” ศรุตาบอกกับชาติชายด้วยความจริงจัง “ขอโทษครับนายหญิง ผมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก เผอิญว่าเมื่อคืนพวกที่ทำงานเก่าเขา” ชาติชายก้มหน้ามองไปที่พื้น ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ พยายามไล่ความแข็งขันนั้นไป บอกกับมันว่าให้อ่อนตัวลงเสียที นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน ทำไมถึงเกิดอารมณ์อย่างว่า เมื่อศรุตามาอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้

“อีกอย่าง เรียกฉันว่าคุณศรุตาก็พอ ไม่ต้องเรียกหรอก นายหญิงน่ะ” รอยยิ้มเขิน ๆ ดูอ่อนโยนและเป็นกันเองของศรุตานั้น

มันทำให้ชาติชายมีภาพลามกที่เขาอยากจะทำกับศรุตา ผุดขึ้นมาในหัวมากมายหลายอย่าง ทำให้ชาติชายต้องหักห้ามใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่า ยังไงซะ ศรุตาก็คือผู้ชายแต่กำเนิดเหมือนกันกับเขา มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีอะไรเกิดขึ้นเกินเลยไปมากกว่านี้ ระหว่างเขากับศรุตา อีกฝ่ายหนึ่งคือเจ้านาย และเขาเป็นแค่คนขับรถกินเงินเดือนเท่านั้น

“ถ้าคุณศรุตาไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตแนะนำอะไรสักอย่างได้มั้ยครับ” ศรุตาหันมาสบตากับชาติชาย ผ่านกระจกมองหลัง เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น ศรุตารับรู้มาเสมอว่า ชาติชายหวังดีกับเธอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร “แต่กูว่า” เสียงของภรตที่เปิดประตูเข้ามาด้านเบาะหลังรถเอ่ยขึ้น

“มึงอย่าเสือกเรื่องเจ้านายจะดีกว่า” ภรตนั่งลงคู่กับศรุตาที่เบาะด้านหลัง “จ้างมาทำอะไร ก็หุบปาก แล้วก้มหน้าก้มตาทำไป แค่นั้นแหละดีแล้ว” เสียงของภรตออกคำสั่งกับชาติชาย ที่ตอนนี้ทำได้แค่รับคำเงียบ ๆ “เฮ้ย ไอ้ชาติ เดี๋ยวมึงออกรถ แล้วขับวนไปเรื่อย ๆ ก่อนนะ ยังไม่ต้องขับเข้าบ้าน” ภรตพูดจบ ก็หันไปยิ้มกับศรุตา ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า

“วันนี้กูอารมณ์ดี นึกครึ้มอกครึ้มใจ” แชมเปญอย่างดีราคาแพง ที่ทางร้านเว้ดดิ้งจัดหามาเสิร์ฟแบบไม่อั้น ภรตเองนั้น ดื่มมันไปไม่น้อย “กูว่า กูจะขอหาความสุข สนุกกับว่าที่เจ้าสาวของกูสักหน่อย มึงว่าดีมั้ยวะ ไอ้คนขับรถ” ภรตหัวเราะร่วนออกมา เมื่อเริ่มแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ ก่อนจะถอดมันออก เผยหุ่นทรมานใจใครต่อใครให้ต้องเก็บเอาไปเฝ้าฝัน ชาติชายดึงความคิดของตัวเองกลับมา เมื่อฉากันนั้น ดันตัวขึ้นจนปิดสนิท

“ตบมือเปาะแปะ” เสียงปรบมือและเสียงพูดอย่างประชดประชันดังขึ้นที่เบาะด้านข้างคนขับ ชาติชายรู้ดีว่าจินคือตัวอะไรสักอย่างที่ เขาไม่สามารถหาคำอะไรมาอธิบายได้ “สุภาพบุรุษที่สุดในโลก” ชาติชายพยายามไม่สนใจเสียงพูดเหน็บแนมจากจิน “แอบรักนายกะเทย แต่บอกไม่ได้ ต้องเก็บเอาไว้ให้จุกอกเล่น” ชาติชายเห็นจินครั้งแรก ตอนที่นึกว่า ศรุตาพูดคนเดียวอยู่ด้านเบาะหลังรถ ก่อนจะเห็นจินที่หันมายิ้มแยกเขี้ยวคมนั้นให้

“จะให้ฉันปริ้นท์ภาพลามกในหัวของเธอออกมาให้นายศุธีเขาได้ดูมั้ย ว่าเธออยากทำอะไร ๆ กี่ท่า ท่าไหนบ้าง แล้วเธออยากจะปล่อยน้ำใส่รูไหนของเขา ศุธี เขาถึงจะดูเซ็กซี่ในความคิดของเธอ” เสียงหัวเราะเยาะอย่างจงใจของจิน ต้องการยั่วให้ชาติชายโกรธ “ไปให้พ้น” ชาติชายพูดออกไป พยายามตั้งสติ เพราะรู้ว่าวิธีการที่จะจัดการกับจินได้ดีที่สุด ก็คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้

“อย่ามาอวดดีกับฉันนะ” จินยื่นหน้าแยกเขี้ยวคมเข้ามาประชิดกับหน้าของชาติชาย ที่ตอนนี้ต้องควบคุมตัวเองอย่างที่สุด จินเปลี่ยนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนั้น ให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะกลับมานั่งลงที่เบาะข้างคนขับตามเดิม “ฉันเห็นคนมาไม่น้อย” จินมองดูชาติชายอย่างพินิจพิเคราะห์ “บอกฉันที ว่าเธอเห็นอะไรในมือของฉันตอนนี้” ชาติชายไม่อยากจะต่อปากต่อคำอะไรกับจินมากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น” ชาติชายตอบไปตามที่ตัวเองเห็น มองไปด้านหน้า ขับรถไปเรื่อย ๆ ตามคำสั่งที่ได้รับมา จินยิ้มที่มุมปาก พยักหน้าน้อย ๆ อย่างยอมรับในตัวของชาติชาย “ฉันรู้ดีเวลามีใครพูดโกหก” จินเองก็บอกกับชาติชายไปตามตรง เพราะรู้อย่างหนึ่งว่า คนประเภทอย่างชาติชาย ไม่มีความจำเป็นต้องพูดจาหว่านล้อมให้เสียเวลา “มันเป็นกลิ่นแบบนี้เองสินะ” จินยื่นหน้าตรงเข้าหาลำคอของชาติชาย

“กลิ่นที่แม้แต่ฉันเองยังคิดถึง” จินยิ้มหวานออกมา เมื่อสูดกลิ่นจากตัวของชาติชายเข้าไปจนเต็มที่ ชาติชายเกร็งตัว พยายามจะไม่แสดงอาการอะไรออกไปมากนัก “กลิ่นของคนดี กลิ่นของผู้ถูกพิทักษ์” จินพูดพลางเงยหน้ามองไปที่เบื้องบน เหมือนกับว่ากำลังพูดกับใครที่เหนือขึ้นไป จินเองก็เสียดาย ที่เขาไม่มีโอกาสจะได้เล่นสนุกกับผู้ชายคนนี้

“ผ่านมาไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ เธอเป็นคนเพียงไม่กี่คน ที่ฉันเจอ แล้วต้องยอมละมือให้” จินพูด ก่อนจะหันไปมองทางด้านหลังรถ “แต่เธอไม่อยากรู้หน่อยหรือไง ว่าสองคนข้างหลังนั่น เขาทำอะไรกันอยู่” จินพูดจบก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ภาพในสมองของชาติชายก็ฉายขึ้นมาในทันที

“ไม่ ไม่เอา ไม่ดู” ชาติชายตะโกนออกไปดังลั่น แล้วภาพของภรตกับศรุตา ที่กำลังเริงรักกันอยู่ ก็ดับหายไป “น่าเบื่อ ไม่รู้จักเล่นอะไรสนุกเอาเสียเลย น่ารำคาญ” จินแหกปากตวาดใส่ชาติชาย เมื่อไม่สามารถบังคับชาติชายให้ดูภาพที่กำลังเกิดขึ้นจริง ที่ด้านหลังรถในขณะนี้ได้ ก่อนที่ชาติชายจะใจหายวูบ เมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของจิน จับเข้าที่พวงมาลัยรถ แล้วหักเลี้ยวจนสุดแรง

“ตกใจใช่มั้ยล่ะ” จินหัวร่องอหาย กับท่าทีตกใจสุดขีดของชาติชาย “ล้อเล่นหรอกน่า ฉันทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ก็ถ้าเธอเห็นฉันได้ โดยที่เธอไม่ต้องเห็นสื่อใด ๆ ก่อนหน้า” ชาติชายจำได้ว่า เขาเคยได้ยินศรุตาพูดถึงหีบกำปั่นอะไรสักอย่าง แต่ชาติชายเอง ไม่เคยเห็นหีบกำปั่นอะไรที่ว่านั่นเลย “ถ้าฉันทำกับเธออย่างที่ใจจริง ฉันอยากให้มันเกิดขึ้นได้ละก็ ฉันคงเห็นเธอร้องไห้ขี้มูกโป่ง มองเห็นนายหญิงเธอร่างแหลกเหลวคาถนนไปแล้วล่ะ” จินหัวเราะชอบอกชอบใจกับคำพูดของตัวเอง

“ถ้าสิ่งที่ฉันพูดจะเป็นประโยชน์ใด ๆ กับเธอได้บ้างละก็ ในฐานะที่ฉันเห็นอะไรมาเยอะ” จินพูดจบ ชาติชายก็ตกใจ ที่เห็นอีกที จินก็ไปนั่งอยู่ที่กระโปรงหน้ารถ หันหน้ายิ้มมาทางเขาแล้ว “ไม่ว่าจินจะเป็นตัวอะไรก็แล้วแต่ ชาติชายไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อจินบอกว่าจะไม่แตะต้องเขา ชาติชายก็เห็นว่าจินทำเช่นนั้นจริง ๆ อย่างคนรักษาคำพูด แต่กับศรุตานี่สิ ที่ทำให้ชาติชายกังวล ว่าจินจะทำอะไรให้เกิดอะไรขึ้นกับนายหญิงของเขา

“ทำดีให้ถูกคน” เสียงของจินดังขึ้นในหัวของชาติชาย "ไปซะตั้งแต่ยังมีโอกาส" โดยที่จินไม่ได้ขยับปากพูด “เธอเป็นคนดี แค่อย่าโง่เป็นพอ” ชาติชายเห็นจินยิ้มหวาน แยกเขี้ยวคมให้เห็น “หรือจะขับรถพานายหญิงและผัวของเขา ร่อนเอากันอยู่หลังรถไปเรื่อย ๆ ก็แล้วแต่นะ ตามใจ” เสียงหัวเราะของจินดังขึ้นบาดแก้วหูของชาติชาย “บาย” จินขยับนิ้วมือไปมา โบกมือให้กับชาติชาย ก่อนที่ชาติชายจะเห็นจิน กลายเป็นกลุ่มควันแล้วสลายตัวหายไป

“ค่อยเข้าท่าหน่อย แบบนี้สิ ฉันจะได้ไม่ต้องกลัวคนขับรถของตัวเอง” ศรุตาที่ลุกขึ้นมาจากโซฟา มายืนอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ตัดผมในร้านซาลอนมีระดับในห้างดังใจกลางกรุง “คุณศรุตาเทสต์ดีมากฮ่ะ เลือกทรงผมได้เหมาะกับนายแบบมาก” ช่างตัดผมผู้มีท่าทางอ้อนแอ้น และดูจะกรีดกรายชม้ายชายตามากเป็นพิเศษ กับคนขับรถคนใหม่ของศรุตา ที่กล้ามล่ำ ๆ นั่นทำให้ช่างตัดผมอยากสัมผัสจนน้ำลายหก

“เอ้านี่” แม่บ้านยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ พร้อมกับอีกถุงจากร้านเครื่องสำอางแบรนด์เนมให้กับชาติชาย หลังจากที่ชายหนุ่มเอารถเข้าจอดแล้ว “คุณศรุตาบอกว่า ให้จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนมาทำงานพรุ่งนี้” ชาติชายเปิดถุงใบใหญ่นั้นดู ด้านในคือชุดใส่ทำงานครบทั้งสัปดาห์ ส่วนในถุงแบรนด์เนมนั้น คือบรรดาของใช้ต่าง ๆ ของผู้ชาย ครีมโกนหนวดเป็นแบบที่ชาติชายต้องการมานาน แต่ไม่มีปัญญาจะซื้อใช้เองสักที

เช้านี้ชาติชายตื่นแต่เช้า อาจจะเป็นเพราะอาการตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้ ชายหนุ่มจัดแจงรีบอาบน้ำ โดยใช้เครื่องประทินผิวที่นายหญิงให้มา ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยาสระผม โฟมล้างหน้า เจลอาบน้ำ ชาติชายในชุดทำงานใหม่รีดเรียบกริบ ดูหล่อเนี้ยบกว่าชุดเก่าสีซีดที่เขาใส่ไปเริ่มงานเมื่อวานมาก

ชาติชายเอารถออกมาจอดรอที่หน้าตึก แอบยกแขนดมตัวเองว่า วันนี้ตัวเขานั้น กลิ่นหอมดีแล้ว ไม่ได้ดูมอซอแบบชาติชายคนเมื่อวาน แถมวันนี้ทรงผมใหม่ที่แอบเห็นราคาค่าตัด แล้วทำให้ชาติชายรู้สึกขยาด ไม่กล้าไปตัดเองอย่างแน่นอน ทำให้คนงานคนอื่น ๆ ถึงกับเอ่ยชม หนวดเคราที่ขึ้นเขียวครึ้มถูกโกนทิ้ง และดูสะอาดสะอ้าน พร้อมรับนายหญิงในเช้านี้ ชาติชายยิ้มหล่อให้กับอีกฝ่าย เมื่อได้ยินศรุตาเดินมาที่รถ

ชาติชายที่ยังคงขับรถวนไปเรื่อย ๆ จำได้ว่า เมื่อเขามองกลับไปด้านหลัง ผ่านกระจกมองหลัง มองเห็นศรุตาสบตากับเขาพอดี ม่านบังสายตา เพื่อกั้นความเป็นส่วนตัวระหว่างส่วนของคนขับกับผู้โดยสาร ค่อย ๆ เลื่อนตัวเองขึ้น ภรตก้มลงซุกไซ้ซอกคอของศรุตา มือไม้มั้งสองตะโบมบีบคลึงไปที่หน้าอกใหญ่โตของนายหญิงของชาติชาย ก่อนที่ม่านบังนั้นจะถูกปิดขึ้นจนมิด ชาติชายมองเห็นศรุตา มีหยาดน้ำใสรื้นขึ้นที่ขอบตา

****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

อย่ามารักฉันเลย - Lydia

https://www.youtube.com/watch?v=fj_5OVAO92Y


ถ้าเธอมองเข้ามาในตาฉัน

If you look into my eyes

เธออาจจะเห็นว่ามีสายตาคู่เดิมอยู่ในนั้น

You may see the same ones living in there

ตาคู่นี้ที่เธอนั้นคุ้นเคย

My eyes that you’re used to


แต่ถ้าลองมองเข้าไปลึกข้างใน

But if you look closely deep inside

ใช้ใจเธอนั้นเพ่งมองจนลึกเข้าไปถึงหัวใจ

With your heart focusing to the bottom of my heart

แล้วเธอก็จะเห็น

Then you will see


ว่าใจดวงนี้ มันบอบช้ำ

That this heart of mine has been bruised

โดนกระทำจนไม่มีวันเหมือนเก่า

It’s been victimized, it can never be repaired

มันเป็นแผลและอ่อนแอ

It’ s been scarred and so weakened

จนไม่มีทางกู้คืนมาให้ดีอย่างเดิม

Not a chance it will be restored


ลืมฉันไปเถอะนะ อย่ามารักฉันเลย

Forget all about me, don’t you ever love me

เพราะฉันไม่ใช่คนที่เธอคุ้นเคย

Because I’m not the one you said you knew

ฉันมันไม่คู่ควรจะได้รักใคร

I don’t deserve to love anyone

ไม่ดีพอจะยืนข้างเธอ

I’m not good enough to be with you either


คนนั้นที่เธอเคยรัก โลกนี้ไม่มีอีกแล้ว

The one that you loved has no longer walked upon this earth

เหลือเพียงตัวฉันที่ไม่มีวันได้รักเธอ

What has left is me that will not ever love you

เข้าใจซะเถอะ ว่ามันคือรัก

Get this straight, this is love

ที่ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนวันเก่า

That is not going to be the same


ต่อให้เธอนั้นฝืนสักแค่ไหน

Though you are trying to drag this along

ยิ่งพยายามเข้ามาใกล้กันเท่าไร

Though you are trying to get us closer

ยิ่งผลักไสให้ใจฉันออกไปไกลขึ้นทุกที

That only pushes my heart to go farther away


เก็บใจเธอไว้เพื่อคนที่เหมาะสม

Keep your good heart for the one that’ s right

อย่าเอามาทิ้งกับฉันอีกเลย

Don’t you waste it with someone like me

ขอพูดตามตรงว่าฉันไม่มีค่าพอ

Let’s be honest, I’m not worth it


เพราะว่าใจดวงนี้ มันบอบช้ำ

Because this heart of mine has been bruised

โดนกระทำจนไม่มีวันเหมือนเก่า

It’s been victimized, it can never be repaired

มันเป็นแผลและอ่อนแอ

It’s been scarred and so weakened

จนไม่มีทางกู้คืนมาให้ดีอย่างเดิม

Not a chance it will be restored


ลืมฉันไปเถอะนะ อย่ามารักฉันเลย

Forget all about me, don’t you ever love me

เพราะฉันไม่ใช่คนที่เธอคุ้นเคย

Because I’m not the one you said you knew

ฉันมันไม่คู่ควรจะได้รักใคร

I don’t deserve to love anyone

ไม่ดีพอจะยืนข้างเธอ

I’m not good enough to be with you either


คนนั้นที่เธอเคยรัก โลกนี้ไม่มีอีกแล้ว

The one that you loved has no longer walked upon this earth

เหลือเพียงตัวฉันที่ไม่มีวันได้รักเธอ

What has left is me that will not ever love you

เข้าใจซะเถอะ ว่ามันคือรัก

Get this straight, this is love

ที่ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนวันเก่า

That is not going to be the same


มันไม่มีทางเหมือนวันเก่า

Things between us will not be the same

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0


“เอ็งเข้ามาคุยกับแม่ในห้องก่อน จิณณ์” เจ้าของชื่อได้ยินแม่บอกแบบนั้น ก็ยิ้มให้กับผู้ที่เพิ่งมาถึงเรือน ยกขันน้ำฝนเย็นชื่นใจ ให้ได้ยกขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย “รอข้าสักประเดี๋ยวเถิด” จิณณ์พูดด้วยกิริยานอบน้อม จนเห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มกลับให้ ก็รีบลุกเดินตามแม่ที่เข้าไปรอในห้องนอนอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

“ทำไมท่านพันทิศถึงมาที่เรือนเราถี่ จนนึกว่าเป็นเรือนตนเอง” แม่เปิดฉากถามกับจิณณ์ในทันที เมื่อบานประตูถูกงับลงตามหลังจิณณ์ “เอ๊ะแม่นี่กระไรนะ เอ็ดฉันเสียงดัง เดี๋ยวท่านพันทิศก็ได้ยินเข้าหรอก” จิณณ์ทำท่าบอกกับแม่ว่า ให้เงียบเสียงลงกว่านี้อีก “ก็มันเป็นเยี่ยงไรกันเล่า” นางชุมผู้เป็นแม่ ไม่แน่แก่ใจนัก ว่าสิ่งที่นางคิดอยู่ มันจะตรงกับที่เห็นหรือไม่

“ไม่มีอะไรเสียหน่อย” จิณณ์ตอบกลับแม่ไป แต่มีหรือนางชุมจะยอมเชื่อเสียง่าย ๆ “นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่ เอ็งรู้ตัวใช่มั้ย อ้ายจิณณ์” เสียงของแม่ ที่ฟังดูปะปนไปทั้งความเป็นห่วงและประหวั่นในจิตไปพร้อม ๆ กัน “ที่แม่พูดกับฉันนี่ แม่หมายความว่าเยี่ยงไร” จิณณ์เอง ก็ใช่ว่าจะอยากพูดอะไรกับแม่ไปตรง ๆ เช่นกัน

“หรือว่าไอ้ทองหยองที่แม่สวมคอใส่แขนอยู่นี่ มันจะอุตริมาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้เอง เช่นนั้นแล้ว ฉันจะได้เอาไปคืนเจ้าของเขาเสีย” จิณณ์ไม่พูดเปล่า เอามือไปคว้าข้อมือนางชุมมา หมายจะแก้สร้อยทองคำสีเหลืองสุกอร่ามตานั่น “เอ็งหมายจะทำอะไร อ้ายจิณณ์” นางชุมปัดมือของลูกชายออก ก่อนจะก้าวถอยหลัง เพื่อให้สร้อยทองสุกปลั่งรอบคอของนางเองนั้น รอดพ้นจากมือของจิณณ์เช่นกัน

“ถ้าแม่ยังอยากจะมั่งคั่งลืมตาอ้าปากกับเขาได้เยี่ยงนี้ แม่ก็คงต้องเงียบเสียงให้เป็น หรือกระไรว่ามา” จิณณ์จ้องตาผู้เป็นแม่ด้วยความจริงจัง นางชุมที่เห็นลูกในไส้บอกมาแบบนั้น ก็ทำให้นางพลันนึกไปว่า นางไม่เคยเห็นจิณณ์แสดงออกลักษณะนี้มาก่อน “เอ็งคงไม่ได้สิ้นคิด ทำเรื่องไม่สมควร ถลำลงไปกับเรื่องอุบาทว์อันใดใช่มั้ย” ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของผู้เป็นแม่

“จิณณ์” นางชุมเรียกชื่อลูก “เอ็งไม่ได้เล่นของ ทำมนต์ดำ ทำคุณไสยใส่ท่านพันทิศ ใช่ไหม” น้ำเสียงของนางชุมเบาหวิว กลัวใจของลูก ที่จะตอบกลับมา “จะบ้าหรือไงแม่” จิณณ์รีบเข้าห้ามแม่ไม่ให้พูดแบบนั้น “ฉันไม่ใช่พวกแม่มดหมอผีที่ไหน แม่อย่าเอาความเช่นนั้นมาพูด” แม้จิณณ์จะพูดออกไปแบบนั้น แต่นางชุมก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล นางชุมกดดันจิณณ์ จนเจ้าตัวเดินไปที่หัวนอน แล้วหยิบเอหีบกำปั่นไม้สลักออกมา

“ฉันทำได้อย่างมากที่สุด” ตอนนี้นางชุมเห็นตุ๊กตาดินเหนียวสองตัว ถูกพันด้วยด้านสีขาวจนรอบ อยู่ในมือของจิณณ์ “นี่เอ็งเสียสติไปแล้วรึ” นางชุมแทบจะลมจับสิ้นแรงไปเสียตรงนั้น “แม่ก็ใจเย็น ๆ แล้วฟังฉันเสียก่อน” จิณณ์รีบเก็บตุ๊กตานั่นลงหีบกำปั่นไม้สลักไป ก่อนจะซ่อนมันให้พ้นไปจากสายตา จนดูไม่รู้ว่า มีอะไรซ่อนอยู่ที่หัวนอนนั่น

“ฉันทำได้แค่ปั้นหุ่นสองตัวนั่นจากดินเหนียว และมันก็เป็นได้แค่เท่านั้น” จิณณ์บอกแม่ออกไปด้วยความสัตย์ มันไม่ได้ให้คุณอันใดแก่ฉัน ไม่ว่าจะเรื่องรัก เรื่องใคร่ หรือคุณเมตตามหานิยมอย่างที่เขาว่ากัน มากไปกว่าความสุขทางใจของฉันเท่านั้น” ในแววตาของจิณณ์ หุ่นสองตัวที่ถูกพันธนาการกันเอาไว้นี้ มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ให้คุณค่าทางใจเพียงเท่านั้นเอง

“เอ็งไม่ได้เอาไปให้พ่อหมอครูบา หรือเจ้าพิธีมนต์ดำที่ใดปลุกเสกหรอกรึ” นางชุมยังคงต้องการให้แน่ใจในเรื่องนี้ “ฟังฉันเสียหน่อยเถิดแม่” จิณณ์พูดกับแม่ของตัวเอง และคราวนี้ มันมีความสั่นเครือในน้ำเสียงของเจ้าตัวแทรกออกมา “แล้วฉันจะบอกกับพวกหมอผีพรายหมอผีตายโหงพวกนั้นเยี่ยงไร” ปะปนกันไปด้วยความน้อยใจในความรู้สึก

“จะพูดอย่างไรได้ ว่าหุ่นอีกตัวที่นอกเหนือไปจากตัวฉัน” น้ำใส อุ่นรื้นขึ้นมาที่ขอบตาของจิณณ์ “หุ่นตัวนั้นฉันใช้มันแทนใคร” นางชุมรู้สึกสะท้านไปทั้งหัวใจ เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ในใจของลูกชาย “เอ็งรักเขารึ” คำถามของผู้เป็นแม่จบลง หยาดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมา มันไหลรินจนแก้มของจิณณ์เปียก และยังทำให้ปอนไปถึงดวงใจ

“ถ้าเอ็งยังพอจะก้าวถอยออกมา จิณณ์” นางชุมจับมือทั้งสองข้างของลูกชายเอามาบีบจนแน่น “พอแต่แค่นี้ดีไหม” ผู้เป็นแม่ยิ่งสะท้อนในหัวใจ เมื่อยิ่งเห็นน้ำตาของจิณณ์ไหลพรากลงมาเป็นสาย “เขาจะสัญญาอันใดก็ตาม เอ็งอย่าเอามันมาเป็นสำคัญ ลืมมันไปเสีย อย่าฟังคารมเขาเลย เลิกเสียเถอะลูกแม่” จิณณ์มองหน้านางชุม ที่ผู้เป็นแม่ใช้มือเช็ดน้ำตาให้ออกจากดวงตาและใบหน้าของลูกคนเดียวของนาง

“เอ็งอาจจะเกลียดแม่ที่เอ็ดเองในตอนนี้” นางชุมใช้มือทั้งสองข้างโอบใบหน้าของจิณณ์เอาไว้ด้วยความรักของแม่ “แต่เรื่องที่เอ็งกำลังฝัน สิ่งที่เอ็งเชื่อว่าเขาจะทำให้เอ็ง” นางชุมเจ็บไปหมดทั้งหัวใจของผู้เป็นแม่ ที่ต้องมาเห็นลูกเสียใจ ปวดร้าวแทนลูกที่ตัวนางเองทำได้แค่เพียงเตือนสติ “มันไม่มีทางเป็นจริง” จิณณ์รับรู้ถึงความรักและความปรารถนาดีไหลผ่านความรักของแม่มาที่ตัว แต่มันคงสายเกินไปเสียแล้ว ที่จะหยุดเรื่องทั้งหมดเอาไว้ตรงนี้

ผู้กองเขตต์มองดูสำนวนที่ถูกตีกลับมา วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ลูกน้องในทีมบ่นกันอย่างหัวเสีย เมื่อรับรู้ว่า จะต้องจัดการกับคดีที่กองถ่ายใหม่ทั้งหมด เพราะทางอัยการไม่สามารถหาความเชื่อมโยงได้ว่า เพราะเหตุใด อยู่ ๆ กล้องตัวที่จับเหตุฆาตกรรมได้ จึงโผล่มาในฮาร์ดดิสก์ของทีมสืบสวน ทั้ง ๆ ที่ในรายงานแรกนั้น ไม่ได้มีระบุเอาไว้ ทางอัยการจึงระบุมาว่า หากทางทนายจำเลยยื่นคัดค้านหลักฐานชิ้นนี้ มันมีโอกาสสูง ที่จะโดนยกฟ้อง และไม่อาจจะสั่งฟ้องในข้อหาเดิม ที่มีโทษสูงสุดได้อีก

ผู้กองเขตต์รู้สึกเซ็งไม่น้อย เมื่อสองสามคดีที่เกิดขึ้นติด ๆ กันนี่ เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจเป็นวงกว้าง ทุกอย่างต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ แต่พอเอามาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ความจริงที่ผู้กองเขตต์เข้าไปรับรู้มา มันยิ่งทำให้เขายิ่งหงุดหงิด ว่าเหตุการณ์ลึกลับต่าง ๆ ที่มันแสดงตัวมาให้เห็น กลับไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดจากมันได้ในคดี ทั้ง ๆ ที่มันคือสิ่งที่เขาประสบจริง ในขณะที่ทำการสืบสวน

พูดถึงเรื่องราวลี้ลับ ทำให้ผู้กองเขตต์นึกถึงตาต้าขึ้นมา รายนั้นที่เล่าให้เขาฟังเรื่องที่มีอะไรลึกลับบางอย่าง พยายามจะบุกเข้ามาในห้องที่คอนโดด้วยแล้ว ทำให้ผู้กองหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย แถมตาต้าเองก็ไม่ค่อยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขาสักเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้ผู้กองเขตต์ยิ่งเป็นกังวล

“รับสายสิครับ ตาต้า” ผู้กองเขตต์บ่นกับตัวเอง เมื่อเสียงโทรศัพท์บอกว่าสายว่าง แต่อีกฝ่ายไม่ได้กดรับสาย จนมันตัดลงไปเอง ผู้กองเขตต์โทรหาตาต้าซ้ำแบบนั้นอยู่อีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจไปหาอีกฝ่ายที่คอนโด “ยังไงติดต่อกลับไปที่บริษัทกล้องวงจรปิดอีกครั้ง หาเหตุให้ได้ว่า ทำไมวิดีโอตอนที่เกิดเหตุระหว่างคุณศศิกับตะวัน ถึงเป็นส่วนเดียวที่รอดพ้นไฟไหม้นั่นมาได้ ถ้าหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือจากผู้เชี่ยวชาญที่นั่นมาประกอบการฟ้องคดีได้ เราจะสรุปสำนวนให้อัยการได้แน่นมากยิ่งขึ้น” ผู้กองเขตต์สั่งงานลูกน้อง ก่อนที่จะขับรถตรงไปที่คอนโดของตาต้า

ใช้เวลาพอสมควร กว่าที่ผู้กองเขตต์จะฝ่าการจราจรที่หนาแน่นของเมืองกรุงมาได้ แต่ต้องใช้เวลาเจรจากับเจ้าหน้าที่หน้าป้อมของคอนโดอยู่พักใหญ่ ๆ เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ จำหน้าของผู้กองเขตต์ไม่ได้เหมือนกับชุดเก่าที่คุ้นเคยกันอยู่ กว่าผู้กองเขตต์จะทำให้หน่วยใหม่เชื่อว่า เขาเป็นตำรวจและมาหาเพื่อน คือคนที่ตามจีบ ที่พักอยู่คอนโดนี้เป็นประจำ ก็ทำให้รถคันอื่นที่ต่อแถวรอจะเข้าคอนโด เริ่มบีบแตรไล่หลังกัน

ผู้กองเขตต์กดล็อกรถ ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของตัวเอง เขายิ้มก่อนจะรีบหยิบมันขึ้นมารับ แต่ก็ต้องผิดหวัง ว่ามันไม่ใช่ตาต้าที่โทรกลับมาหาเขา หลังจากที่ผู้กองหนุ่มโทรย้ำหาไปหลายรอบ ผู้กองเขตต์ชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจกดรับสายที่โทรเข้ามานั้น

“ผมกำลังทำคดีสำคัญอยู่น่ะครับ ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่” ผู้กองเขตต์กรอกเสียงตอบกลับไป เมื่ออีกฝั่งนั้นส่งเสียงบ่นแกมว่ากล่าวมา เมื่อช่วงนี้เขาไม่กลับไปกินข้างที่บ้านบ้างเลย “เราพูดเรื่องนี้กันแล้วนี่ครับ” ผู้กองหนุ่มเผลอถอนหายใจหนัก ๆ กลับไปที่อีกฝั่ง จนทำให้เขาได้ยินเสียงบ่นด่ากลับมาตามสาย

“ผมเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ” ผู้กองเขตต์ตอบกลับไป อย่างคนที่ตอนนี้เริ่มออกอาการหงุดหงิด “แล้วทำไมผมต้องเปลี่ยนด้วยล่ะครับ” ผู้กองหนุ่มตอบกลับทันควัน “ผมไม่อาย ไม่มีอะไรที่ผมต้องอาย” สิ่งที่อีกฝั่งถามกลับมา ทำให้ผู้กองหนุ่มทั้งเดือดดาลทั้งน้อยใจ “ผมก็เคยบอกแล้ว ว่าให้ผมพาเขาไปแนะนำให้รู้จัก” ผู้กองเขตต์รีบพูดกลับไปในทันที ถึงเรื่องที่เขานั้นเคยประนีประนอมมาก่อนหน้า

“เพื่ออะไรงั้นหรือครับ” ผู้กองเขตต์ย้อนถามอีกฝั่ง “ก็เพื่อให้ครอบครัวผม ไม่ด่วนตัดสินคนอื่น ก่อนที่จะมีโอกาสได้รู้จักเขาก่อนยังไงล่ะครับ” การสนทนามาถึงจุดที่ผู้กองเขตต์ได้ยินเสียงอีกฝั่ง กดตัดสายไปเสียดื้อ ๆ “แม่งเอ๊ย” ผู้กองเขตต์สบถออกมาเสียงดัง ต้องระงับโทสะเอาไว้ไม่ให้ทำอะไรมากเกินไปกว่านั้น มือที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่สั่นไปหมด จนชายหนุ่มเกือบอดใจไม่ไหว เขวี้ยงมันออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ผมโทรหาตั้งหลายรอบ” และทันทีที่เห็นตาต้าเดินเข้าคอนโดมา ผู้กองเขตต์ก็หันไปพูดกับอีกฝ่ายทันที “ทำไมไม่ค่อยรับสายผมเลย ไหน มือถือเป็นอะไรหรือเปล่า เสียหรือไง เอามาให้ผมดูที” เสียงของผู้กองเขตต์แสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก จากหลาย ๆ เรื่องที่ประเดประดังผสมปนเปเข้ามาพร้อม ๆ กันในตอนนี้

“ผมว่าผู้กองกลับไปดีกว่า” ตาต้าที่ไม่ต้องการจะต่อปากต่อคำด้วยในตอนนี้ พยายามเดินเลี่ยง หลบไปอีกทางเพื่อขึ้นลิฟต์ “ทำไมถึงคิดว่าพูดกับผมแบบนี้ มันดีแล้ว” ตาต้าหันกลับมามองหน้าผู้กองเขตต์ที่ตอนนี้ ดูจะไม่สามารถพูดด้วยเหตุผลใด ๆ ได้แล้ว “ผมโทรหา ด้วยความเป็นห่วง ผมถ่อมาหาถึงที่นี่ ก็ด้วยความเป็นห่วง เห็นความดีกันบ้างได้มั้ย” น้ำเสียงของผู้กองเขตต์ทำให้ตาต้าต้องระงับความรู้สึกเอาไว้เช่นเดียวกัน

“ผมต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นผมจะไม่ตอบโต้อะไรผู้กองออกไป” ตาต้าพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ราบเรียบที่สุด “แต่ผู้กองเขตต์ คุณจะทำอะไร จะแสดงอาการย่ำแย่ น่ารังเกียจต่อไปแค่ไหน ก็แล้วแต่คุณ” ตาต้าพูดจบ ก็ทำท่าจะเดินหนีไปเพื่อขึ้นลิฟต์ ผู้กองเขตต์รีบสาวเท้าเดินเข้าไปยืนขวางหน้าตาต้าเอาไว้จากที่ด้านหน้าลิฟต์

“นี่ผมต้องทำอะไรอีกเท่าไหร่ ตาต้า” น้ำเสียงของผู้กองเขตต์แสดงตัดพ้อ “ผมทำดีกับคุณ แล้วนี่อะไร” ความน้อยใจแสดงอยู่ในน้ำเสียงของผู้กองหนุ่ม “คุณทำดีอะไรตอบกลับมาให้กับน้ำใจผมบ้าง” ผู้กองเขตต์ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน ที่ทำไมตาต้าเองนั้น ถึงไม่ค่อยพูดหรืออธิบายอะไรให้เขาได้ฟังมากนัก จะรู้สึกอะไรก็ตาม ชอบใจหรือไม่ชอบอะไร ต้องการหรือไม่อยากให้เขาทำอะไร ตาต้าไม่ค่อยปล่อยให้ตัวเองเผยความรู้สึกอะไรออกมามากนัก

“ถ้าผู้กองทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน แบบนั้นผมก็จนใจ” ตาต้าตอบกลับไปเสียงเรียบ แววตาของผู้กองเขตต์เต็มไปด้วยความน้อยใจ “แน่นอน ผมทำดี ผมทำดีทุกอย่างให้คุณ ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ แน่ล่ะ ผมหวังผลแน่นอน” ผู้กองเขตต์มองตามตาต้าที่เดินไปกดปุ่มเพื่อเรียกลิฟต์ ผู้กองเขตต์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนเมื่อเห็นตาต้าไม่สนใจเขา

“ผมหวังจะได้คุณมาเป็นเมียผมไง” ผู้กองเขตต์ตะโกนออกไป เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก “เมีย คู่ชีวิต คู่คิด ตายาย อะไรก็ได้ ที่จะได้มีคุณในชีวิตผม ตาต้า” เจ้าของชื่อเดินเข้าไปในลิฟต์ มองกลับมาที่ผู้กองเขตต์ “หวังไว้แบบนี้ทุกวันที่ผมลืมตาตื่น ขอให้มันเป็นไปได้ทุกคืนตอนเข้านอน” ผู้กองเขตต์กำหมัดแน่น เมื่อเห็นตาต้ากดปุ่มขึ้นชั้นไปที่ห้องพัก แทนที่จะออกมาจากลิฟต์เพื่อคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

“ทำไมหรือตาต้า ข้างบนมันมีใครอยู่หรือไง คุณถึงดูรีบที่จะขึ้นไปนัก” ผู้กองเขตต์รู้ตัวว่า ถ้าพูดออกไปแล้ว มันอาจจะทำให้อีกไม่นานต่อจากนี้ ตัวเขาเองจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป “ผมได้แต่รอ” ผู้กองเขตต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “หวังเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าครอบครัวผมไม่ชอบคุณ แต่ก็ไม่เคยบอกให้ตัวเองเลิกหวัง ให้เรามีกันและกันในสักวัน” ผู้กองเขตต์ไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ห้องกับตาต้า แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ใช่ตัวเขาที่อยู่บนนั้น

ผู้กองเขตต์ยังไม่ทันพูดจบ หรือพูดอะไรต่อจากนั้น ประตูลิฟต์ก็ปิดลงไปเสียก่อน หัวใจของผู้กองหนุ่มเต้นแรง แต่มันไม่ได้มาจากความตื่นเต้น เพียงแต่ว่ามันมาจากความกลัวที่กำลังกัดกินอยู่ในใจของเขามากกว่า เมื่อผู้กองเขตต์ถามกับหัวใจตัวเองว่า เขายังมีหวังอยู่อีกบ้างไหม

******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เวลา - ป๊อบ ปองกูล

https://www.youtube.com/watch?v=VCAOUsbzz00


เราอาจจะเคยเดินสวนกัน

We might walk past each other

แค่เป็นวันที่มีใครเดินข้างเธอ

The day you had someone else with you

อาจเป็นเพียงเสี้ยวนาที ที่มองไปแล้วไม่เจอ

That flick of a second, I looked there but

ว่ามีเธอยืนอยู่ใกล้กัน

I didn’t get to see you here next to me


ถ้าวันนั้นฉันแค่เดินให้ช้าลง

If that day I walked a little bit more slowly

หรือถ้าเธอไม่เคยเจอใครคนนั้น

Maybe you might not have already found someone

อาจบังเอิญได้มองตาและบังเอิญยิ้มให้กัน

We might see each other in the eyes and smiled

ไม่ใช่แค่เพียงเดินผ่านฉันไป

Not just parted way like strangers


โอ้ เธอรอนานไหม

Oh, have you waited for me that long?

รู้ไหมฉันรอเธอเหมือนกัน

Did you know I was waiting for you too?

โอ้ เธอรอได้ไหม

Oh, will you wait for me so?

วันที่เวลาจะพาเราพบกัน

The day time will bring us here together


อาจมีสักวันที่เราเดินตรงเวลา

The clock may say we’re on the same time someday

วันที่เข็มนาฬิกาของฉันตรงกับเธอ

The day your second and minute share the same pace

และในวันนั้นที่เวลาได้หมุนเราให้เจอ

Then that very day time will move us here to see

จะกอดเธอไม่ให้เธอจากไปไหน

That I’ll hold you in my arms and never let go

คนที่ฉันรอ

I’m waiting for you


เธอรอได้ไหม เหมือนฉันที่รอเธอ

Can you wait for me, the same way I do it for you?

นานแค่ไหน

No matter how long it takes

คนที่ฉันรอ

The one that I’m waiting for

ฉันจะรอเธอ นานเท่าไร

I’ll wait for you, for how long it’s going to be

รู้ว่าเวลาจะต้องพาให้ได้เจอ

Knowing that time will eventually take me there


คงไม่มีคำว่าสายไป

Too late is no way to be said

ถ้าหัวใจเธอและฉันมั่นคงพอ

If your heart and mine speak to confirm it

เชื่อว่าตรงนั้นมีเธอ และเธอเองก็เฝ้ารอ

Believing that there are you and me, and you’re doing the same thing I do

ฉันเองก็พร้อมเดินต่อไป

Therefore, I am ready to carry on


โอ้ เธอรอนานไหม

Oh, did I make you wait this long?

รู้ไหมฉันรอเธอเหมือนกัน

Did you know I waited for you the same way?

โอ้ เธอรอได้ไหม

Oh, could you wait for me?

วันที่เวลาจะพาเราพบกัน

The date and time would bring us to see


อาจมีสักวันที่เราเดินตรงเวลา

The clock may say we’re on the same time someday

วันที่เข็มนาฬิกาของฉันตรงกับเธอ

The day your second and minute share the same pace

และในวันนั้นที่เวลาได้หมุนเราให้เจอ

Then that very day time will move us here to see

จะกอดเธอไม่ให้เธอจากไปไหน

That I’ll hold you in my arms and never let go

คนที่ฉันรอ

I’m waiting for you


อาจมีสักวันที่เราเดินตรงเวลา

There’s one day the clock says we’re on time

วันที่เข็มนาฬิกาของฉันตรงกับเธอ

The arms tell us, our second and minute match

และในวันนั้นที่เวลาได้หมุนเราให้เจอ

On that day we circle our ways to be here

จะกอดเธอไม่ให้เธอจากไปไหน

You’re in my arms and I’ll never let you go

คนที่ฉันรอ

You’re the one I’m waiting for


เธอรอได้ไหม เหมือนฉันที่รอเธอ

Can you wait for me, the same way I do it for you?

นานแค่ไหน

No matter how long it takes

คนที่ฉันรอ

The one that I’m waiting for

ฉันจะรอเธอ นานเท่าไร

I’ll wait for you, for how long it’s going to be

รู้ว่าเวลาจะต้องพาให้ได้เจอ

Knowing that time will eventually take me there


คนที่ฉันรอ

You are the one I’m longing for

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด