บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ
2566
2023
“ดีน ลูกให้สัญญาพ่อกับแม่ไว้แล้วนะ” ดีนฟังปลายเสียงนั้น ซ่อนความเป็นกังวลอยู่ “ดีนรู้ครับแม่” ดีนกรอกเสียงตอบกลับไป โดยมีเทปปันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองมา “ดีนกำลังแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่” เด็กหนุ่มบอกแม่ของเขาไปตามตรง ว่าเขาเองนั้น ตอนนี้กำลังตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
“แกรู้ใช่มั้ยดีน ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแกมาก” ดีนได้ยินเสียงของพ่อพูดกับเขาผ่านโทรศัพท์มาแทนผู้เป็นแม่ “ดีนขอโทษครับพ่อ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วง” น้ำเสียงของดีนบ่งบอกแก่ผู้ฟังได้ชัดเจน ว่าดีนพูดออกมาด้วยความจริงใจ “ถ้าแกมั่นใจในทางเดินชีวิตที่แกเลือกแล้ว พ่อก็” ดีนใจเต้นแรง เมื่อพ่อของพูดแบบนั้นออกมา
“ดีนเลือกแล้วครับพ่อ อนาคตของดีนอยู่ตรงหน้าของดีนตอนนี้” ดีนพูด สบตาแน่วแน่กับเทปปัน ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องเป็นหน้าที่พ่อแล้วสินะ ที่ต้องไปเคลียร์กับพวกผู้ใหญ่ที่ไปพูดฝากฝังแกเอาไว้” เสีงถอนหายใจของพ่อที่ดีนได้ยิน ดีนก็รู้ ว่าพ่อต้องรู้สึกหนักใจมากขนาดไหน
“ดีนขอโทษ” ดีนพูดออกไปตามความรู้สึกจริง เขาไม่ได้อยากให้พ่อต้องมารู้สึกไม่ดีแบบนี้ “แกไม่มีอะไรต้องขอโทษเลยดีน พ่อเป็นคนไปผูกเงื่อนไขเอาไว้ แกไม่ต้องห่วง มันเป็นสิ่งที่พ่อต้องไปแก้ไขเอง ไม่ใช่ความผิดของแก ดีน” ดีนได้ยินเสียงของน้องสาวอยู่ที่ปลายสาย พูดขอบคุณพ่อ ขอบคุณแทนเขาผู้เป็นพี่ชาย ที่ยอมเชื่อใจ
“แค่อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาก็พอ” ดีนยิ้มกว้างออกมา เมื่อได้ยินพ่อพูดกระเซ้าแบบนั้น เทปปันขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นดีนยิ้มออกมาอย่างชอบใจ กับสิ่งที่ได้ยินจากปลายสาย เด็กหนุ่มพูดจากับพ่อของเขาอีกสองสามคำ ก่อนจะวางสายไป เทปปันเห็นแบบนั้น ก็ทำเสมองไปทางอื่น ดีนนึกขำเทปปัน
“ที่นี่สินะ ที่แม่ชีบอก” ดีนพูดขึ้น ทั้งสองคนมองไปที่ขั้นบันไดปูนที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขา “แม่ชีบอกว่า เราจะเจอสิ่งที่เราตามหา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะร้ายหรือดีต่อความรู้สึก ที่บนยอดเขานั่น” เทปปันบอกสิ่งที่แม่ชีได้ว่าไว้ เมื่อทั้งสองคนปรึกษากับแม่ชีในเรื่องนี้ ว่ามันจะมีบทสรุปอย่างไร ทั้งสองคน ดีนกับเทปปันจึงได้ดั้นด้นกันมาที่นี่
“พร้อมมั้ย” ดีนถามสียงจริงจัง ในใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความคิดที่ว่า อะไรกันแน่ที่รออยู่ที่ข้างบนนั้น “พร้อม” เทปปันตอบ พลางพยักหน้าประหนึ่งกำลังบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รออยู่ เขาจะต้องขึ้นไปเผชิญหน้ากับมัน เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวเท้าเดินไป ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่บันไดทางขึ้น มองบันไดขั้นแรกนั้นด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมด
ทางเดินขึ้นไปบนเขานั้น ปูด้วยบันไดปูนทาสีขาว ที่ตอนนี้หม่นลงตามระยะเวลาและสภาพอากาศ มันทอดยาวขึ้นไปด้านบนจนสุดลูกหูลูกตา ดีนทำท่าชักชวนให้เทปปันที่ดูมีความลังเลอยู่ ให้ก้าวเท้าขึ้นไปก่อน เทปปันเองก็ใจเต้นตึกตัก กับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ กับความจริงที่รอคอยเขาอยู่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว
“เอาเรื่องอยู่นะเนี่ย” ดีนพูดขึ้น เมื่อทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาได้สักพัก กับขั้นบันไดที่ค่อนข้างเล็กและชันขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหอบเหนื่อยจากน้ำเสียงเวลาพูด เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นด้วย “อยู่ ๆ ก็มาทำอะไรแบบนี้ ออกกำลังกายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน” เทปปันเองก็รู้สึกหอบหายใจเหนื่อยพอสมควร ดีนหัวเราะกับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย
“มีดีนอยู่ทั้งคนน่า ปันเหนื่อย อยากพักก่อน ปันบอกดีนนะ” สิ่งที่ดีนอยากส่งให้เทปปันได้รู้สึก ก็คือความห่วงใยและความอยากจะดูแลอีกฝ่าย “ไม่เหนื่อยสักหน่อย ก็พูดไปงั้นเอง” ไอ้อาการปากแข็งของเทปปันทำให้ดีนจากที่รู้สึกหมั่นไส้ ก็กลายมาเป็นความเอ็นดู กับการรักษาฟอร์มของตัวเองของเทปปัน
“ปัน” ดีนเรียกอีกฝ่าย หลังจากที่เดินขึ้นบันไดต่ออีกครู่ใหญ่ ๆ เทปปันชะลอฝีเท้าลง หันไปมองทางดีน “ที่แม่ชีพูดเอาไว้ ว่าอาจจะเป็นดีน ที่ทำเอาไว้ไม่ถึง ดีนเลยต้องเป็นฝ่ายไล่ตามปัน” เทปปันจำได้ถึงประโยคนี้ของแม่ชี ที่บอกกับทั้งสองคนเอาไว้ “ปันว่า มันจริงมั้ย แล้วที่ดีนตามปันมาจนเจอในตอนนี้ ปันว่า ดีนทำตัวดีขึ้น ดีนทำมันพอสำหรับปันแล้วหรือยัง” สายตาที่เทปปันมองเห็น สายตาของดีนที่ยอมรับผิดและขอโอกาส พร้อมจะแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ขอแก้ตัวอีกครั้ง
“ถ้าดีนจะสัญญา” ดีนกำลังจะพูดต่อ “อย่า” เทปปันรีบห้ามในทันที “อย่าพูดคำนั้น” ดีนมองเห็นว่า อยู่ ๆ เทปปันก็มีน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตา ดีนพูดกับตัวเองในใจ ว่าสิ่งที่เขาคนก่อน เคยทำเอาไว้ มันยังคงมีผลกับความรู้สึกของเทปปันคนนี้ “คนนั้น เขาเคยได้ยินคำสัญญามาก่อน” เทปปันหลุดปากพูดออกไปในที่สุด
“ปันจำมันได้แล้ว” ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ของดีน มันคือความดีใจหรือความหวาดหวั่นกันแน่ เทปปันไม่ได้ตอบ “ตั้งแต่ที่เราเจอกันที่วัด” แต่พูดย้อนกลับไปในวันนั้นแทน “ภาพที่เห็น” เทปปันมองมือทั้งสองของตัวเองที่หงายขึ้น “มือเต็มไปด้วยเลือด มีใครบางคนฟุบหน้านอนอยู่ที่ตัก” ดีนใจเต้นแรง เมื่อรู้ดีว่าเทปปันพูดถึงช่วงเวลาไหน ก่อนที่ทั้งสองคนที่พวกเขาเคยเป็น จะจากลา
“จากวันนั้น มันก็มีภาพอะไรพวกนี้ เข้ามาให้เห็นบ่อยขึ้น บ่อยจนต้องรู้สึกกลัว” สายตาของเทปปันที่มองมาที่ดีน มีทั้งความเสียใจปะปนอยู่ รวมทั้งความน้อยใจปนโมโหกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น “สิ่งที่พุ่งเข้ามาหา แรก ๆ ก็คือความรู้สึกที่อยากจะหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นั้น แต่พอได้เจอกันอีก ยิ่งเจอกันบ่อยขึ้นอีก” เทปปันชะงักคำพูดเอาไว้แค่นั้น ในใจมันสับสนไม่น้อย เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของดีน ได้ยินน้ำเสียงคำพูดของอีกฝ่าย
“ไปต่อกันได้แล้ว” เทปปันตัดบท ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง ดีนที่ไม่ได้พยายามจะแก้ตัวใด ๆ ด้วยคำพูด เพราะอยากจะทำให้เทปปันเชื่อใจเขา จากสิ่งที่แสดงออกให้เห็นมากกว่า ก็เดินตามอีกฝ่ายไป ช่วงเวลาที่ขมขื่นแบบนั้น ดีนเข้าใจในตอนนี้แล้ว ว่าการจะให้อีกฝ่ายลบเลือนมันไปทั้งหมด มันย่อมไม่สามารถทำได้ คำสัญญาที่ดีนคนเก่าเคยให้ไว้กับเทปปัน คนในอดีต แล้วไม่สามารถรักษามันเอาไว้ได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องเสียใจอย่างที่สุด
มาตอนนี้ บันไดปูนสีขาวหม่นมาถึงขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าของทั้งดีนและเทปปันตอนนี้ เป็นชั้นบันไดเหล็กที่ต้องปีนต่อขึ้นไป ดีนยื่นขวดน้ำดื่มที่หยิบออกจากเป้สะพายหลัง ส่งให้เทปปัน อีกฝฝ่ายรับมันไปดื่มอึกใหญ่ มองขึ้นไปด้านบน ที่บันไดเหล็กจะพาไปถึง เทปปันผ่อนลมหายใจออกมา ความเหนื่อยเริ่มก่อตัวทั้งร่างกายและจิตใจ
“ให้ดีนขึ้นไปดูก่อนนะ ว่าด้านบนเป็นยังไง” ดีนพูดขึ้น ก่อนจะทำท่าปีนขึ้นไป “เอาเป้มาก่อน เราถือให้ก่อน” เทปปันรู้ดีว่า ในเป้นั้นมีน้ำหนักไม่น้อย ที่ดีนสะพายขึ้นหลังแบกมันมาจนถึงตรงนี้ “แค่นี้เอง ไม่เป็นไรสบายมาก” ดีนขยับเป้ที่สะพายบนหลังให้เข้าที่เข้าทาง “ทำไม เป็นห่วงเค้าหรือไง” ดีนถามพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม ก่อนจะต้องหัวเราะออกมา เมื่อเทปปันบอกให้เขารีบปีนขึ้นไปเร็ว ๆ เลย
“ระวังนะ” เทปปันอดไม่ได้ที่จะเตือนดีน มองเลยตามดีนที่ส่งเสียงรับคำ บนฟ้าที่ก่อนหน้านี้มีแดดจ้า เมฆฝนดำครึ้มก่อตัวมาแต่ไกล และขยับลอยมาทางเขาด้านนี้ “ปัน ขึ้นมาได้เลย” ดีนที่ผลุบหายไปด้านบน โผล่หน้าออกมาเรียกให้เทปปันปีนตามขึ้นไป “ไม่น่ากลัว บันไดเหล็กแข็งแรงดี” ดีนให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย และบันไดเหล็กนี้ ก็มีเพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น
“ถ้าฝนตก เหล็กพวกนี้ก็ลื่นอยู่นะ” เทปปันที่ปีนไปถึงด้านบน บอกกับดีน ก่อนจะชี้ให้ดูถึงเมฆดำที่ลอยใกล้เข้ามามากขึ้นกว่าเดิม “เราต้องทำเวลาแล้วล่ะ ควรจะขึ้นไปให้ถึงด้านบนยอด ก่อนที่ฝนจะลงเม็ด” ดีนเห็นด้วย เพราะหากโอ้เอ้ทำเวลาได้ไม่เร็วพอ ทั้งสองคนคงจะต้องลำบากขึ้นมา ถ้าต้องปีนป่ายแบบนี้ท่ามกลางสายฝน
“ไปทางไหนต่อ” เทปปันถามเมื่อตรงนั้น ไม่มีบันไดเหล็กให้ปีน ดีนหันซ้ายและขวา จำได้จากแม่ชี ท่านบอกว่าให้เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามทาง แต่ดีนก็ปากหนัก ไม่ได้ถามให้ละเอียดว่า แต่ละขั้นที่พวกเขาต้องผ่านไปนั้น มันต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง ต้องเดินไกลแค่ไหน กว่าจะไปให้ถึงที่ยอดเขา
“มันมีทางเดินเล็ก ๆ นี่” ทางเดินที่เลาะอ้อมไป ดีนเดินไปหยุดยืนชะโงกดู “มีบันไดเหล็กขึ้นไปได้อีก อยู่ตรงนั้น” ดีนตะโกนบอกเทปปัน ก่อนจะเดินนำไป เทปปันเดินไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ดีน ไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง เพราะนั่นคือเหวดี ๆ นี่เอง ดีนเองก็เสียวสันหลังไม่น้อย ยังดีที่ตรงที่พวกเขายืนอยู่ มีพื้นที่มากพอ ให้ทรงตัวและไม่ได้ชิดกับขอบทางเดินมากนัก
“ช่วงนี้บันไดมันค่อนข้างสูง ปันค่อย ๆ ปีนขึ้นตามดีนมานะ ให้ดีนขึ้นไปก่อน” แววตาของเทปปันมีแววกังวลไม่ใช่น้อย “ไม่ต้องกลัวนะ มีดีนอยู่ทั้งคน” เทปปันพยักหน้า แม้ว่านำลายจะเหนียวฝืดคออยู่ไม่น้อย “มันมีใครคนไหนที่ขึ้นไปบนยอดเขา มาทางเดียวกับเราจริง ๆ หรือ” เทปปันถาม มองตามดีนขึ้นไป ดีนส่งเสียงให้เทปปันปีนตามเขาขึ้นมาได้เลย แม้ว่าดีนจะยังไม่ถึงขั้นด้านบนก็ตาม
“ลานข้างบนนี้ กว้างกว่าข้างล่างเยอะเลย” เสียงดีนตะโกนบอกจากข้างบน เทปปันขยับมือขึ้นจับราวเหล็กด้านบน เพื่อดึงตัวขึ้นตาม ก่อนจะเหยียบเท้าก้าวไปบนเหล็กแต่ละขั้น พลันรู้สึกว่าตัวของเขาขยับเคลื่อนไปด้านหลัง ฝั่งเดียวกับเหวด้านล่าง เสียงเคล้งของเหล็กดังขึ้น เมื่อหมุดที่ปักเข้าไปในหินเพื่อยึดราวบันไดนั้น เคลื่อนตัวหลุดออก
“ดีน” เทปปันตะโกนเรียกอีกฝ่ายดังลั่น ตอนนี้สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะรู้สึกได้ถึงดีนที่คว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ “ปัน” ดีนเองก็ร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยความตกใจเช่นกัน อยู่ ๆ ลมจากที่ไหนก็ไม่รู้ พัดเข้าหาคนทั้งคู่อย่างแรงและบ้าคลั่ง เสียงเหล็กที่กำลังจะยอมให้กำลังลมโยกคลอนให้หลุดออก ฟังดูน่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด
“ดีนจับปันไว้แล้ว ปัน ดีนอยู่นี่แล้ว” ดีนตะโกนแข่งกับเสียงลม เทปปันยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปคว้ามือของดีนเอาไว้ “รีบปีนขึ้นมา” เสียงของดีนดังขึ้น เทปปันยังทำตามที่ดีนบอไม่ได้ ลมที่อื้ออึงพัดเข้าโหมใส่ทั้งคู่ หวีดเสียงร้องได้น่ากลัวจับใจ รู้ตัวอีกทีหนึ่ง น้ำฝนเย็นจัดก็พรั่งพรูลงมาจากฟากฟ้า เทปปันหายใจหอบหนักด้วยความกลัวอย่างที่สุด
“ปัน” ดีนเรียกชื่ออีกฝ่าย ที่ตอนนี้กอดเขาเอาไว้จนแน่น “ปัน” กอดของปันที่ดีนรู้สึกนั้น มันรู้สึกได้ถึงความโหยหาและความหวดหวั่นในคราวเดียวกัน “ปันลืมตาได้แล้ว ลืมตาก่อน” ดีนพูดเบาๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย เทปปันถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะเห็นว่า ตัวเองขึ้นมายืนอยู่ที่ชั้นบนกับดีนแล้ว โดยที่ดีนบอกว่า อยู่ ๆ เทปปันก็เหมือนจะฮึดดันตัวขึ้นมาได้อย่างประหลาดใจ ก่อนที่บันไดเหล็กนั้น จะร่วงหล่นลงไปด้านล่าง
“แล้วเราจะลงไปยังไง” ยังไม่ทันที่คำถามของเทปปันจะได้รับคำตอบ ทั้งสองคนทั้งดีนและเทปปัน ก็หันไปตามเสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลัง เมื่อจู่ ๆ ทั้งลมทั้งฝนก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน ดีนและเทปปันมองเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านยืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำมองมาที่ทั้งคู่ ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“หลวงพ่อครับ บันไดเหล็กมันพัง ทำยังไงกันดีครับ พวกผมตั้งใจจะไปให้ถึงยอดเขา แต่เราจะลงไปข้างล่างกันยังไง” ดีนพูดเร็วปรื๋อ ในหัวพยายามประมวลผลว่าจะทำอะไรต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับดีนตอนนี้ คือความปลอดภัยของเทปปัน หลวงพ่อท่านยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ทางเข้าถ้ำนั้น
“ท่านจะให้เราเข้าไปในนั้นหรือครับ” หลวงพ่อไม่ตอบอะไร แต่มองตามทั้งดีนและเทปปันที่แม้จะเดินไปที่ปากถ้ำนั้น แต่ก็เต็มไปด้วยความลังเล “ดีน” เทปปันเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ เมื่อกำลังเดินเข้าไปด้านในถ้ำที่มืดแสง “ไม่ต้องกลัวนะ ดีนอยู่ด้วย” ดีนพูดปลอบเทปปัน เขาหันหลังไปมอง หลวงพ่อเองก็มองตามพวกเขาเข้ามา โดยที่ท่านไม่ได้ขยับเดินตามมาแต่อย่างใด ดีนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปด้านในถ้ำ
“เราต้องเดินไปอีกไกลมั้ยครับหลวงพ่อ” ดีนหันกลับไปทางปากถ้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขาไม่เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว กลับกลายเป็นพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงนั้นแทน ตรงที่ดีนเองไม่คิดว่าเขาสังเกตเห็นแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ “ดีน พื้นถ้ำ” เทปปันดึงสติของดีนให้กลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้า ที่กำลังเกิดขึ้น
“เหมือนกับที่วัด วันนั้นเลย” ใช่แล้ว ทั้งคู่กำลังรู้สึกอย่างเดียวกันกับพิธีที่วัดในวันนี้ พื้นถ้ำนั้นสั่นสะเทือนไปหมด เสียงครืน ๆ ดังลั่นจนกึกก้อง แสงจากไฟฉายส่องไปด้านในถ้ำที่มืดมิด “มีทางออก ปัน ทางออกตรงนั้น ตรงนั้นมีแสงลอดเข้ามา” ไวเท่าความคิด ดีนจับมือเทปปัน รีบวิ่งไปที่แสงสว่างที่ลอดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ
“เฮ้ย ไอ้หนู เอ็งสองคนมากันยังไงเนี่ย ทำไมออกมาจากตรงนั้นได้” เสียงลุงชาวบ้านที่ขึ้นมาช่วยดูแลสถานวิปัสสนากรรมฐาน ส่งเสียงตกอกตกใจ เอะอะขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มสองคน วิ่งพรวดออกมาจากถ้ำ “พวกเอ็งเล่นพิเรนทร์อะไรกัน ถึงเข้าไปในถ้ำนั้น รู้มั้ยว่าถ้ำนั้น ไม่มีใครเขาเข้าไปกัน” เสียงลุงเอ็ดตะโรใส่ดีนและปัน
“แล้วเป็นอะไรมั้ยเนี่ย ทีหลังอย่าเข้าไปอีกนะ” ลุงผู้ดูแลยังไม่วายสำทับอีกรอบ “คือ พวกผมขึ้นมาทางบันไดเหล็ก ปีนกันขึ้นมา ก่อนจะเจอหลวงพ่อ ท่านบอกให้เดินเข้ามาในถ้ำ พวกผมก็ทำตาม ก่อนจะได้ยินลุงดุพวกผมนี่แหละ” ดีนเล่าให้ลุงผู้ดูแลฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สีหน้าของลุงดูแล้ว ไม่เชื่อกับสิ่งที่ดีนพูดมา
“ทางการเขาไม่อนุญาตให้มาทางนั้นกันแล้วนะ ไอ้หนุ่ม เอ็งสองคนอย่ามาพูดจาอะไรเรื่อยเปื่อย เขาขึ้นกันมาทางถนนที่ตัดใหม่ นี้ทั้งนั้น” ตรงที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่นี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันคือลานจอดรถ “ถ้าพวกเอ็งมาทางนั้นอย่างที่เล่าให้ข้าฟังจริง บุญรักษาพวกเอ็ง” ลุงพูดพลางยกมือพนม “พระคุ้มครองพวกเอ็งแล้ว” ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว ก่อนที่ลุงจะเดินจากไป
“นี่คือสิ่งที่แม่ชีอยากให้เราเจออย่างนั้นหรือ” เทปปันถามขึ้น “เทปปัน” ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา จากหนุ่มญี่ปุ่นที่เดินเข้ามาหา “ทาเคชิคุง” ปันเรียกอีกฝ่าย ดีนมองตามหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อ ท่าทางดี มาดแมน คนที่เขาเคยเห็นเทปปันขึ้นรถไปด้วย “แม่ชีบอกผม ว่าจะเจอคุณได้ที่นี่ กับเขา” เมื่อได้ยินคำว่า 'กับเขา' ดีนรู้สึกฉุน ขยับเท้าไปยืนขวางระหว่างเทปปันกับหนุ่มญี่ปุ่นเสียงไทยแปร่ง ๆ เอาไว้
“แม่ชีบอกผมเอาไว้ว่า ถ้าเจอคุณที่นี่ เทปปัน ผมจะพบคำตอบทุกอย่างที่เคยได้ถามคุณเอาไว้” ดีนหันไปมองเทปปัน “เขาถามอะไรปัน” ดีนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เมื่อกลั้นใจถามเทปปันไปแบบนั้น เทปปันลังเลอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตอบดีนออกไปว่า “เรื่องไปอยู่กับเขาที่ญี่ปุ่น หลังเรียนจบ” ดีนใจหล่นวูบเมื่อได้ยินแบบนั้น
“โอเนไง ชิมัส” ทาเคชิพูดขึ้น บอกว่าจากนี้รบกวนด้วย “ไดโจบุ เดสกะ” ก่อนที่หนุ่มญี่ปุ่นจะถามขึ้นอีกครั้ง ว่าเป็นอะไรไหม ทำได้ใช่มั้ย เมื่อเขามองไปที่ดีน แล้วหันกลับมาสบตากับเทปปัน “อิ เดสกะ” ทาเคชิถามเทปปันว่า ได้ไหม สายตาของดีนมีความช้ำใจอย่างเห็นได้ชัด เทปปันเองก็มีแต่ความหวั่นไหวในสายตาตอบกลับดีนไป นี่หรือ คือสิ่งที่แม่ชีต้องการให้พวกเขามาเจอ
***************************************
คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=zh8hZD39aK0ไม่ใกล้เคียงใช่ไหม อะไรที่ฉันเป็น
Not even close, isn’t it? The way that I am
ไม่ค่อยเหมือนใจเธอเท่าไรใช่หรือเปล่า
Not what you’ve imagined who you think I’ll be
ที่เธอฝันในใจกับเรื่องจริงของเรา
In your dreams and things going on between us
ผิดหวังบ้างหรือเปล่าที่รักกัน
Are you disappointed; we are in love?
ที่ตัวเธอนั้นฝันสักวันจะพบใคร
What do you dream about meeting someone?
ที่ดีพร้อมที่ได้อย่างใจมารักกัน
A perfect man that you can deeply fall for
กลับได้พบแค่คนที่มีไม่ครบครัน
Yet, it’s me lacking many things
อย่างฉันคนนี้ คนนี้ที่เคียงข้างเธอ
Yes, I am – the one that’s beside you
ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว
A man of your dream, I can’t possibly be
ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ
If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so
ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ
A man like me can only always adore you
แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร
Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone
จะแทนกันได้ไหมกับใครในฝันเธอ
Will you let me be there instead of that man you wish for?
ด้วยชีวิตที่มีให้เธอเสมอไป ที่จะรักแค่เธอที่สุดในหัวใจ
With my life always with you, you’re the apple of my eye
ตอบฉันได้ไหมว่าฉันเพียงพอหรือเปล่า
Please tell me that I am good enough for
ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว
A man of your dream, I can’t possibly be
ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ
If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so
ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ
A man like me can only always adore you
แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร
Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone
หากว่าเธอไปค้นเจอ ว่าใครที่รักเธอมากกว่าฉัน
If one day you’ll see that someone love you more than I do,
จะทิ้งกันก็เข้าใจ
I’ ll get it that you’ll walk away
ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว
A man of your dream, I can’t possibly be
ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ
If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so
ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ
A man like me can only always adore you
แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี
Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do best
แต่ที่เธอฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว ถ้าแม้ลำบากใจ
What you dream I may not be if that bothers you
วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ
One day you’ll leave me, I totally get it
แต่ถ้าจะขอ ให้ฉันรักเธอเสมอ
But if you ask me to love you like I always have
ให้รักเธอหมดใจ ฉันก็ทำเพื่อเธอเสมอมา ตลอดไป
To have and to hold, my love, I do that every day and forever