ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ ๒๘/๕/๒๕๖๖
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ ๒๘/๕/๒๕๖๖  (อ่าน 2527 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บทที่ ๔๘. คิดถึงเมื่อเธอคิดถึง



2566

2023



“ส่งแค่นี้แหละ” เทปปันบอกกับดีน เมื่อกำลังจะเดินเข้าไปในตัวตึกของคอนโด “เอาของมา” เทปปันยื่นมือออกไปรับถุงข้าวของหลายย่างจากอีกฝ่าย “โห แล้วปันจะเดินถือของขึ้นไปเองคนเดียวยังไง พะรุงพะรังก่ายกองขนาดนี้” ดีนท้วงยกถุงต่าง ๆ ที่ถืออยู่ในมือชูขึ้น “เดี๋ยวดีนช่วยถือขึ้นไปให้เอง ห้องไหน ยังไง ปันเดินนำไปได้เลย” ดีนทำหน้าจริงจัง เสียงพูดขึงขัง แบบขันอาสาเต็มที่

“ปกติไม่ให้ใครขึ้นห้อง” ได้ยินแบบนั้น ใจก็ชื้นฟูขึ้นมาในทันที ดีนทำเป็นไม่แสดงออก รีบตอบกลับไปว่า “ไม่ทำอะไรหรอกน่า ไว้ใจได้” แต่แววตาหลุกหลิกส่อพิรุธออกไปไม่หยุด “ก็ไม่มีทางได้ทำอะไรอยู่แล้ว” ดีนได้ยินแบบนั้น ก็แหม ดีนคิด พยายามใช้สายตามองตากับเทปปันแบบบริสุทธิ์ใจแล้วเชียว “คราวที่แล้วไม่ได้ตั้งใจหันมามองนะ” เทปปันไม่เข้าใจว่า อะไรกันที่ดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น

“แต่ดีนตั้งใจถอยรถกลับมามองนะ” ก็ได้แต่สารภาพไปตามความจริง โดยที่รู้สึกว่า ไอ้ท่าทางทำเป็นเฉยชาใส่ของเทปปัน วันนี้มันดูไม่เนียนเลยสักนิด “แล้วไม่มีแล้วหรือไง เคอร์ฟิวน่ะ” เทปปันถามดีน เมื่อเห็นว่าเวลาตอนนั้นมันเย็นมากแล้ว “หมดแล้ว ไม่มีแล้วล่ะ” ดีนตอบกลับอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มกว้าง ๆ ให้

“จำได้ด้วยหรือเนี่ย ใส่ใจจัง” ไอ้การที่เขาพูดหยอด ดีนคิด แล้วเทปปันทำตาแข็งใส่นี่ มันก็ทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างประหลาด ก็ถ้าคนมันไม่คิดอะไรกันจริง ๆ ไอ้อาการตอบโต้แบบนี้ จะทำไปทำไมกัน “คราวที่แล้วโดนพี่ยามดุเรื่องจอดรถ” เทปปันพยายามหาเหตุให้ดีนเพิ่มเติม

“ก็จอดแอบไว้ด้านในแล้วไง ไม่ได้ขวางทางคนอื่นเหมือนครั้งที่แล้ว” ดีนบอกว่าเขาจัดแจงทุกอย่าง จอดรถไว้เป็นที่เป็นทางเรียบร้อยแล้ว “แต่ไอ้การยืนคุยกันหน้าประตูนี่แหละ ที่ขวางคนอื่นเขา เร็วเข้า ไปเร็วไปกดลิฟต์” อยู่ ๆ เทปปันก็เห็นดีนเดินนำหน้าเขาไป จนเทปปันต้องรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป

“ลิฟต์ไวดีเหมือนกันนะที่นี่” ดีนทำชวนคุย เมื่อลิฟต์ขึ้นมาหยุดจอดชั้นที่ต้องการ “พ่อซื้อไว้น่ะ” อาการเผลอลืมตัว ตอบคำถามหรือพูดคุยกับดีนในเรื่องสัพเพเหระของเทปปัน ทำให้ดีนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่า เทปปันลดเกราะป้องกันส่วนตัวที่ตั้งเอาไว้สูงลิบนั้นลงมาเยอะมากแล้ว

“ห้องรกอย่าบ่นนะ” เทปปันที่เดินนำดีนออกมาจากลิฟต์ พูดขึ้นขณะกำลังแตะคีย์การ์ดที่ประตูห้อง “ถ้านี่เรียกว่ารก ดีนอยากให้ปันไปเห็นห้องของดีนด้วยกันจัง” สายตาที่ส่งไปหาอีกฝ่ายของดีน มันคือการเชื้อเชิญโดยไม่มีการปิดบัง “ใครจะไป” ดีนแอบอมยิ้ม เมื่อได้ยินเทปปันพึมพำออกมาแบบนั้น

“แล้วให้วางขอพวกนี้เอาไว้ไหนครับ” ไอ้การทำเสียงหล่อ ๆ ของดีน มันทำให้เทปปันรู้สึกขยุกขยิกในใจยังไงพิกล “วางไว้บนโต๊ะนี่ก็ได้ ขอบคุณครับ” เทปปันรีบเข้ามาช่วยรับของจากดีนเอาไว้วางไว้บนโต๊ะยาวด้านข้างหน้าต่างบานกระจก “ซื้อของมาตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นจะมีพวกของญี่ปุ่นเท่าไหร่เลย” ดีนชะโงกดูถุงนั้นถุงนี้ เห็นแต่ข้าวของที่ส่วนใหญ่น่าจะมีไว้ทำอาหารไทย

“อาหารญี่ปุ่นก็สั่งเดลิเวอรี่เอา ง่ายกว่า” ดีนที่ได้ยินคำตอบของเทปปัน ก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดว่า “งั้น วันหลังถ้าปันสั่งอะไรมากิน ก็ชวนดีนด้วยนะ อยากกินด้วย” ดีนเองก็ไม่พักเหนื่อย คอยตะล่อมพูดนั่นพูดนี่ เพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่า เทปปันนั้นไม่ได้อยากจะอยู่ห่าง ๆ กัน อย่างที่เคยบอกกับเขาไว้ที่หน้าบ้านในวันนั้น

“ออกไปกินที่ร้านก็ได้ นะ ดีนไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นนานแล้ว ดีนเลี้ยงเอง” ออกตัวอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิดมาก ดีนทำหน้ายู่ตาย่น อ้อนเทปปันในแบบที่เขาเองไม่คิดที่จะทำกับใคร แต่ไม่ได้รู้สึกฝืนอะไร เพราะตอนอยู่กับเทปปัน ดีนเองก็บอกไม่ได้ว่า มันเป็นเพราะความสัมพันธ์ครั้งเก่า หรือความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นใหม่นี้กันแน่ ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“ไม่ได้กินอาหาร ได้กินคนญี่ปุ่นก็ได้” อดไม่ได้ ดีนพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รู้ตัวด้วยซ้ำไป ว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายว่าเอา “มันจะไม่ได้กินทั้งสองอย่าง นั่นแหละ ฝันหวานไปเหอะ” เทปปันทำตาเขียวปัดใส่ดีน ที่ตอนนี้ ทำตัวลีบเดินไปนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว ก่อนจะลอบมองเทปปันที่กำลังเก็บของที่ซื้อมา เก็บเข้าที่จนเรียบร้อย

“จะกลับหรือยัง ค่ำแล้วนะ” เทปปันถามข้ามมาจากส่วนครัว “กินมื้อเย็นกันก่อนได้มั้ย” ดีนต่อรอง ก่อนที่ท้องของเขาจะร้องเสียงดังออกมาจริง ๆ เทปปันอดขำไม่ได้ ด้วยว่าเสียงท้องร้องของดีนนั้น มันดังมากจริง ๆ ดีนเองก็ทำหน้าไม่ถูก ท้องเจ้ากรรม นี่ก็ไม่ไว้หน้าเจ้าของเลยสักนิด ดีนเห็นเทปปันหยิบเอามือถือกดไปกดมาอยู่สักครู่ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเก็บกวาดห้องพัก สักครู่ใหญ่ ๆ ก็รับโทรศัพท์ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกจจากห้องไป

เทปปันกลับขึ้นมาที่ห้องอีกครั้ง เปิดประตูเดินถือถุงใส่อาหารขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่า บนโต๊ะอาหารนั้น ดีนเตรียมจาน เตรียมรินน้ำดื่มเย็น ๆ ใส่แก้วเอาไว้รอแล้ว กลิ่นหอมของอาหารที่เทปปันสั่งให้มาส่ง ลอยทะลุออกมาเตะจมูก เรียกน้ำย่อยและความหิวของดีนให้ทวีคูณมากขึ้นอีก

“ชอบกินไก่ทอดเจ้านี้หรือครับ” ดีนถามขึ้น มือก็ช่วยเทปปันหยิบเอากระบะใส่ไก่ทอดออกมาจากถุงใบใหญ่ “ไม่รู้สิ ไม่ได้กินเองเท่าไหร่ แต่ชอบซื้อให้คนอื่นกิน โดยเฉพาะเด็ก ๆ มันก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ แต่ก็อดไม่ได้” ดีนเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ริมฝีปากของเทปปัน เมื่อเย้าตัวเองว่าซื้ออาหารที่คนอื่นเรียกกันว่าอาหารขยะให้เด็กที่ยากไร้กิน มันก็ไม่แปลก ดีนบอกกับตัวเอง เทปปันตอนนี้นั้น จากเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลย กลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพร้อมทุกอย่าง มันมากเกินความต้องการเสียด้วยซ้ำไป

“เหมือนมันคือสิ่งที่ติดอยู่ในใจมากกว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เทปปันรู้สึกถึงเยื่อใยอะไรบางอย่าง ที่เชื่อมความรู้สึกของเขากับการกระทำนี้เข้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะเห็นดีนยิ้มออกมาน้อย ๆ “ก็คนก่อนนั้น เขาเคยพา” ดีนชี้นิ้วไปที่เทปปัน “ไปดูหนัง ไปนั่งกินไก่ทอดเจ้านี้ด้วยกัน” ดีนพูดพลางสบตากับเทปปัน ก่อนจะเห็นเทปปันหยิบชิ้นไก่วางลงบนจานของดีน

“จำได้หมดทุกเรื่องเลยหรือ” เทปปันที่ดูลังเลอยู่สักพัก ถามขึ้น ดีนเคี้ยวกร้วม ๆ อยู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “คิดว่านะ ไม่ก็เกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้น” เทปปันมองไปที่ดีน แววตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ปันล่ะ” ดีนถามขึ้น “จำอะไรเกี่ยวกับตอนนั้นไม่ได้เลยหรือ” ดีนเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าในความทรงจำของเทปปัน มีเรื่องราวอะไรบ้างที่ย้อนคืนกลับมา เทปปันส่ายหน้าช้า ๆ

“ก็ไม่เชิง” ก่อนจะยอมรับว่า มันมีความรู้สึกที่เหมือนเป็นสิ่งทับซ้อนอยู่เช่นกัน “แต่ลึก ๆ ภายในใจ มันบอกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างเดิมอีก” เทปปันหยิบเฟรนช์ฟรายเข้าปาก ดีนเองก็พอจะเข้าใจอยู่ กับการที่เทปปันนั้นรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวได้เผยออกมา ด้วยที่ว่า ตัวของดีนนั้น จดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดี

“เหมือนถูกเลือกให้เป็นคนที่ต้องการลืม” เทปปันสบตากับดีน ก่อนจะเสมองไปทางอื่น ดีนนั้นรู้สึกสะอึกอยู่ในใจไม่น้อย “ปันอาจจะเป็นคนที่ขอลืมเอง” เจ้าของชื่อหันสายตากลับมาทางคนต้นเสียง “ซึ่งมันก็เข้าใจได้ว่าทำไม หากปันจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นได้” ดีนเองถามตัวเองอยู่เหมือนกัน หากว่าเขาได้ไปแทนที่ของเทปปัน เขาจะเลือกแบบไหน ยังจำหรือลบลืม

“แต่สำหรับดีน” เทปปันมองเห็นความจริงจังได้จากสายตาของดีนที่ใช้มองมา “ก่อนที่เรื่องทุกอย่างในคราวนั้นจะจบลง” เทปปันแปลกใจที่ตอนนี้ ใจของเขากลับนิ่ง ไม่ขุ่นมัว ไม่เคลื่อนไหว ฟังในสิ่งที่ดีนกำลังสื่อสารมา “คนคนนั้นเลือกที่จะตามหา และนั่นมันคือเหตุผลว่าทำไมดีนยังจำทุกอย่างได้ ไม่ลืม” เทปปันมองไปที่ใบหน้าของดีน ที่บอกว่าตัวของดีนนั้น ตามหาเทปปันจนมาพบเจอ และนั่งอยู่ด้วยกันได้ในตอนนี้

ดินเนอร์มื้อนั้น เป็นไปแบบเงียบ ๆ แต่ไม่ได้ขัดขึ้งหรือบรรยากาศอึดอัดแต่อย่างใด ราวกับว่า ทั้งสองคนเองนั้น ดีนและเทปปันใช้เวลาที่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนั้น สังเกตกันและกัน มองวิถีและวิธีของแต่ละฝ่ายว่าจับ ว่าหยิบ ว่าถือ ด้วยอากัปกิริยาอย่างไร รายละเอียดหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มันทำให้อาหารเย็นมื้อนั้นทำอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด เหมือนกับได้กลับมาอยู่กับคนที่เคยคุ้นกันอีกครั้ง

เทปปันเก็บล้างจานชามที่ใช้ หลังจากที่กินมื้อเย็นกันเสร็จ ก่อนจะหันกลับไปทางดีน เพื่อจะเตือนอีกฝ่ายว่า ตอนนี้มันค่ำแล้ว ดีนอาจจะกำลังทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่ เทปปันเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่ดีนล้มตัวลงนอนอยู่ เทปปันได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังเบา ๆ ออกมาจากเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ตรงหน้า เทปปันอยู่ ๆ ก็เผลอยิ้มออกมา เหมือนอะไรบางอย่างย้อนกลับมากระตุ้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของดีนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟา

“ดีน ดึกแล้ว ทำไมยังไม่ถึงบ้านอีก แม่เป็นห่วง” เทปปันเห็นว่าดีนยังไม่ยอมตื่น เลยถือวิสาสะรับสายแทน ก่อนจะได้ยินที่ปลายสายพูดมา “เอ่อ คือ เดี๋ยวยังไง ถ้าดีนเขาตื่นแล้ว ผมจะให้เขาโทรกลับนะครับ” เทปปันกรอกเสียงตอบกลับไป ที่ปลายสายเสียงเงียบหายไปพักใหญ่ ประหนึ่งว่า ตกใจแกมประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะคือเทปปันที่เป็นคนรับสาย

“นี่แม่กำลังพูดกับ” เสียงที่ปลายสายถามกลับมา “ผมเทปปันครับ” ตอบกลับไปด้วยใจที่เต้นแรงแปลก ๆ “เทปปันเองหรือลูก โอเค งั้นแม่ฝากหนูด้วยนะลูก ดีนไปกวนถึงห้องเชียว แหม แม่ก็ไม่ทันตั้งตัว นึกว่าจะมีลูกเพิ่ม เอ๊ย นึกว่าจะได้ยินเสียงเจ้าดีนเป็นคนรับสาย โอเคครับลูก ดีนอยู่กับปัน แม่ก็สบายใจแล้ว” เทปปันรับคำแม่ของดีนไป ก่อนจะกดวางสายเมื่อร่ำลากันเสร็จ

“แม่ดีนเขาเอ็นดูปันมากนะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเพื่อนของดีนเท่าไหร่” เทปปันสะดุ้งเล็กน้อย ที่รู้ว่าดีนตื่นแล้ว และได้ฟังบทสนทนาระหว่างเขากับแม่ของดีนอยู่เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ “นี่หลอกให้พูดกับแม่หรือ” เทปปันถาม มุ่นหน้าขมวดคิ้วใส่ดีน โดยที่คนที่เหลี่ยมเยอะกว่าหัวเราะออกมาอย่างยอมรับผิด

“กลับบ้านได้แล้ว แม่บอกว่าเป็นห่วง” เทปปันเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น บอกกับดีนว่า ให้เขาเตรียมตัวขับรถกลับบ้านได้แล้ว “ไม่ใช่แม่บอกว่า สบายใจแล้ว ที่รู้ว่าดีนอยู่กับปันหรอกหรือ” ดีนชันศอกขึ้นมา ทำให้จากที่ทั้งสองนั่งอยู่ไกลกัน มาตอนนี้ใบหน้าของดีน ขยับขึ้นมาอยู่ไม่ไกลจากใบหน้าของเทปปัน

“เจ้าเล่ห์แถมขี้โกง” เทปปันว่าดีนเข้าให้ โดยที่ดีนพยักหน้าบอกว่าเขายอมรับ “ถ้าปันอยากให้ดีนเล่าถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรา” ดีนวางมือของเขาลงบนมือของเทปปัน ก่อนจะออกแรงดึงเบา ๆ ให้เทปปันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เทปปันอยากจะดึงตัวกลับ แต่ด้วยเหตุใดกัน เขากลับปล่อยให้ดีนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ชิดแบบนี้

“ให้ปันได้รู้ว่า ดีนจริงจังกับเรื่องของเรา” ดีนเลื่อนริมฝีปากของเขาขึ้น จนเกือบจรดกับของเทปปัน และเมื่อเขาไม่เห็นอีกฝ่ายขยับใบหน้าหนี ดีนจึงทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากเทปปัน ดีนมองเห็นเทปปันหลับตา หายใจติดขัดเมื่อดีนเพิ่มน้ำหนักกดลงบนความนุ่มที่รู้สึกได้ จากการสัมผัสนั้น

“คิดถึงความหอมนี้” ดีนพูดบอกกับเทปปัน เมื่อเขาฝังปลายจมูกลงที่ลำคอของเทปปัน “กลิ่นกายของกันและกัน” รอยจูบเบา ๆ ที่ดีนฝากเอาไว้ที่รอยบุ๋มที่ไหล่ของเทปปัน ทำให้เทปปันเผลอผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “ให้ดีนอยู่ด้วยนะ คืนนี้” ดีนสบตากับเทปปัน ด้วยแววตาร้องขอและเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในคราวเดียวกัน

********************************************

คำแปลเนื้ร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=MSPvQrwNgIQ


เธอชอบเพลงที่ฉันนั้นลิสต์เอาไว้

You like the songs I added to my playlist

เธอชอบโทรคุยจนฉันหลับไป

You’re talking on the phone until I fall asleep

เธอชอบวิวในตอนเย็นเย็นริมทะเล

You like the sunset view over the beach

พระอาทิตย์ที่ลับไป

Looking at the sun going away

Girl, you know what I'm saying


เธอชอบถามว่าฉันสบายดีไหม

You like asking how I am

เธอชอบยิ้มตอนอยู่บนมอเตอร์ไซค์

You smile while having a motorbike ride

เธอชอบร้องไห้เวลาคิดถึงกัน

You also cry when you really miss me

ห่างกันแป๊ปเดียวเหมือนไม่เจอกันหลายวัน

Just a brief moment we’re away, that’ s like many many days


เธอไม่ชอบให้ทักว่าอ้วน

You hate when I say to shed some pounds

เธอไม่ชอบให้พูดห้วนห้วน

Though you love me being polite

เธอไม่ชอบเวลาที่ฉันมองใคร

You don’t like me checking out anyone

แต่บางทีเธอก็ลืมง่าย

You’re somehow forgetful

โกรธฉันแต่เธอก็ลืมได้

Mad at me then don’t remember what that is


เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m stuck here – sticking myself to you here

เสพติดแต่ความรักที่มี

Addicted to your love with me

เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m still here – attached myself only with you, dear

ต้องการแค่กลิ่นของเธอ

Need your scent and odor

ที่ทำให้เพ้อถึงเธอ

That makes me need you for more


เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m here for you – only you I’m here for

เสพติดกลิ่นความรักของเธอที่แสนดี

Your love’s additive and let me tell you that my good, sweet bae

เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

I’m stuck here and only here for you

You're my happiness, oh oh baby


เธอทำให้กาลเวลาดูไม่มีความหมาย

You make time to be less meaning

ทำให้เพื่อนเพื่อนนั้นคิดว่าฉันนั้น

It’s you that caused my friends to say

กลายเป็นบุคคลที่สูญหาย

I’m reported missing

เธอทำให้ฉันต้องคิดถึงเธอ

You make me miss you the whole time

อาการไม่ค่อยดี

It’s so critical

หลับลงยังละเมอ

Talking about you in my sleep

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บทที่ ๔๙. คิดถึงที่สูญเสีย



2537

1994



รถพยาบาลค่อย ๆ ถอยหลังออก ก่อนจะเลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ นั้นไป กั้งยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ขอบตามีหยาดน้ำตาใส ๆ ไหลเอ่ออยู่ตลอด และเมื่อน้ำตาใส ๆ นั้นร่วงพ้นขอบตาลงมา หยาดน้ำใสนั้นก็รื้นขึ้นมาทดแทนใหม่ในทันที เจ้หวีได้แต่มองไปที่กั้งด้วยความเศร้าใจ มันคือความเวทนาโดยแท้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เจ้าของบาร์สังหรณ์ใจเอาไว้

เจ้หวีทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ กั้ง มองเห็นมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่ยังคงเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เสื้อสีขาวของกั้งเหมือนถูกฉาบไปด้วยสีแดงสด ๆ แต่นั่นในความเป็นจริง มันคือเลือดจากร่างของทิว ที่ตอนเจ้หวีวิ่งออกไปดู หลังจากได้ยินเสียงกั้งกรีดร้องโหยหวนนั้น กั้งกอดร่างที่ไม่ไหวติงของทิวเอาไว้กับอกจนแน่น

เจ้หวีเคยเห็นกั้งร้องไห้ ด้วยความเสียใจมาก่อน แต่ไม่เคยเลยที่ครั้งไหนนั้น กั้งจะร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องดังลั่นอย่างในครั้งนี้ กั้งร้องแบบไม่สนใจใคร อาการปริ่มว่าจะขาดใจตามไปด้วย คือสิ่งที่คนมายืนมุงดูเหตุการณ์ยังต้องเบือนหน้าหนี ความอาดูรในการจากไปของคนที่เป็นเสมือนหัวใจ เพิ่งได้สิ่งที่มีค่าที่สุดกลับมา ต้องมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

“พี่พยาบาลเขาบอกให้กั้งไปให้ปากคำกับตำรวจที่สถานี” กั้งพูดขึ้นเบา ๆ สายตามองดูมือของตัวเองที่ยังเปื้อนเลือดของทิว “ไว้ไปพรุ่งนี้ ตอนที่แกโอเคกว่านี้ก็ได้” เจ้หวีพยายามพูดปลอบประโลมอีกฝ่าย ก่อนจะมองตามกั้งที่ลุกขึ้นยืน “ไปตอนนี้แหละ ไปตอนที่ยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน” กั้งพูดออกมา ยืนหันหลังให้กับเจ้หวี ไม่ให้เจ้แกเห็นว่า น้ำตาของเขากำลังไหลพรากลงมา

“มันไม่ใช่ความผิดของแกนะกั้ง” เจ้หวีที่อยากให้กั้งนั้นไปเสียจากที่นี่ เพราะรู้สึกใจคอไม่ดี กลัวว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิม จากการที่เจ้หวีเคยเห็นเด็กอีกคนที่เจ้เคยช่วยเหลือเอาไว้ ได้จากไปก่อนวัยอันควร จากน้ำมือของเดนคนที่ตามมาทำร้ายกันอย่างโหดร้ายทารุณ แบบกัดไม่ปล่อย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นยังคงติดแน่นอยู่ในใจของเจ้แก และไม่อยากเห็นว่ามันเกิดขึ้นกับกั้ง

“มันเป็นความผิดเสมอแหละเจ้ กับคนอย่างหนู” เสียงพูดของกั้งสั่นเครือ “ถ้าทิวไม่กลับมา” เสียงของกั้งพูดออกมาด้วยอาการของคนพยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดกำลัง แต่มันก็ทำได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน “ถ้าเพียงแค่หนูไล่ทิวกลับไปซะ อย่ามาเจอ อย่ามาตอแยอะไรคนอย่างหนู อย่ามาสนใจไยดี” กั้งหันมามองเจ้หวีด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาไหลพราก “มันเป็นเพราะหนูทั้งนั้น” กั้งพูดจบ ก็เดินออกไปจากตรงนั้น โดยมีเจ้หวีมองตามไปด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ



กั้งขอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าล้างหน้าล้างตา ล้างคราบเลือดแห้งกรังที่เปื้อนอยู่ตามตัวออกเสียก่อน หลังจากที่เขามาถึงสถานีตำรวจทั้ง ๆ ในสภาพนั้น กั้งเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานมัวที่แสนขุ่นนั้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันนัก มันขมุกขมัวและปนเอนไปด้วยความทรมานจากความเศร้า เสียใจอย่างสุดแสนกับการสูญเสียอย่างกะทันหันในครั้งนี้

“น้องเข้าไปในห้องนั้นได้เลย สารวัตรรออยู่” เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าร้องบอก กั้งพยักหน้ารับ หายใจเข้าปิดจนลึก ก่อนจะผ่อนมันออกมา แล้วจึงเดินไปเปิดประตูห้องบานนั้นเข้าไป “นั่งสิ” เสียงนายตำรวจหนุ่มบอก แบบไม่ต้องเดาอะไรมาก เมื่อเห็นสภาพเสื้อเปื้อนเลือดของกั้งแบบนั้น

“เคสของกรภัทร” นายตำรวจก้มลงอ่านรายละเอียดในแฟ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นกั้งพยักหน้า “ครับ เขาชื่อเล่นว่าทิว” เสียงพูดของกั้งฟังดูไร้เรี่ยวแรงกำลัง สารวัตรหนุ่มสังเกตเห็นน้ำตาที่รื้นอยู่ที่ขอบตาของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “สนิทกันนะ” ถามออกไปแบบนั้น เนื่องจากรู้สึกถึงสายใยความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ลึกซึ้งต่อกัน

“คือ” กั้งไม่รู้จะตอบคุณตำรวจออกไปอย่างไรดี อาการอึกอักที่กระอักกระอ่วน เดาได้ว่าสารวัตรหนุ่มได้รับรายงานแล้ว ว่ากั้งนั้นร้องไห้อย่างหนัก กับร่างขอทิวที่อยู่ในอ้อมแขน “น้องเป็นอะไรกับผู้เสียชีวิต” สารวัตรหนุ่มเอ่ยถามออกไป ก่อนจะเห็นกั้งหลบสายตาหลุบลงต่ำ ในหัวไม่เคยแน่ใจเลย ว่าใครจะเข้าใจถึงความผูกพันนี้ระหว่างเขากับทิว

“บอกพี่ได้นะ พูดมาเถอะ” นายตำรวจหนุ่มพอจะเดาได้ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูแปลกสำหรับเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหม่ขนาดไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่อย่างใด “เป็นแฟนกันครับ” กั้งตอบออกไปในที่สุด โดยประตูห้องถูกเปิดออก ด้วยแรงผลักอย่างแรง จนบานประตูไปกระแทกเข้ากับด้านข้างของโซฟาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน

“ไม่ใช่ สองคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน” กั้งหันไปมองตามเสียงตวาดนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน “แกกับลูกขอฉัน ไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณตำรวจเองก็เถอะ ขีดฆ่าคำพูดของไอ้คนแบบนี้ออกจากรายงานลูกชายดิฉันเดี๋ยวนี้” เสียงด่ากราดของผู้หญิงผู้เป็นแม่ของทิวดังลั่นสถานีตำรวจไปหมด กั้งยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย แต่สีหน้าและแววตาที่รังเกียจกันอย่างชัดเจนนั่นคือการไม่รับไหว้ของอีกฝ่าย

“ลูกฉันไม่มีทางมีอะไร เป็นอะไรกับไอ้พวกวิตถารวิปริตแบบนี้หรอก” เสียงบริภาษอันโกรธเกรี้ยวยงดังออกจากปากแม่ของทิวอย่างโกรธเกรี้ยว “ผมเสียใจ” กั้งรู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ที่อยากให้แม่ของกั้งเข้าใจ แกจะมาเสียใจอะไร ลูกฉันไปหาแก ก็เป็นเพราะแกล่อลวงลูกชายฉันไป เขาไปหาแก แล้วเขาก็ต้องมาตายแบบนี้” เสียงแม่ของทิวตะโกนด่าด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย

“คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ” สารวัตรหนุ่มพยายามพูดจาไกล่เกลี่ยให้แม่ของทิวเย็นลงก่อน “คุณแม่ครับ ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้” กั้งยกมือขึ้นไหว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “แกไม่ต้องมาไหว้ฉัน แกฆ่าลูกฉัน อีฆาตกร อีโรคจิต อีพวกวิปริตผิดเพศ” สิ้นคำด่านั้น แม่ของทิวก็ตรงเข้าทำร้ายกั้ง เธอทั้งตบหน้า ทุบเข้าที่ศีรษะของกั้ง ตามแต่ที่ความเดือดดาลจากการสูญเสียลูกอันเป็นที่รักไปในคืนนี้

“คุณแม่หยุดนะครับ น้องคนนี้พยายามช่วยลูกชายคุณแม่เอาไว้ต่างหาก” สารวัตรหนุ่มตรงเข้าห้ามปราม ก่อนจะแยกกั้งที่ยืนนิ่งยอมให้แม่ของทิวตบตีทำร้าย ให้เบี่ยงเยื้องไปยืนอยู่ด้านหลัง “มันจะมาช่วยอะไรลูกชายฉัน ตั้งแต่มันก้าวเข้ามาในชีวิตลูกชายฉัน ลูกชายฉันก็เหมือนกับตายทั้งเป็น เพราะมันนี่แหละ มันคนเดียวที่ทำให้ทิวเปลี่ยนไป” กั้งได้ยินแม่ของทิวพูดแบบนั้น ก็ได้แต่ร้องไห้ออกมา รู้สึกเจ็บไปทั้งใจ ที่ตัวเป็นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทิวต้องมารับเคราะห์แบบนี้

“มึงฆ่าลูกกู” แม่ของทิวชี้หน้าด่ากั้ง “คุณแม่หยุดพูดอะไรแบบนี้ก่อนเถอะครับ จะกล่าวหาใครต้องมีหลักฐาน เพราะตามที่ผมได้รับรายงานมาจากเจ้าหน้าที่ น้องคนนี้วิ่งหาทางช่วยลูกคุณแม่ทุกวิถีทาง คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อน ผมรู้ว่าคุณแม่เสียใจมาก แต่อย่ากล่าวหา อย่าตบตีกัน ผมไม่อยากที่จะต้องดำเนินคดีกับคุณแม่อีกคน ตอนนี้เราได้เบาะแสคนเมาแล้วขับคนนั้นแล้ว ตำรวจกำลังตามตัวอยู่ และน่าจะได้ตัวมาดำเนินคดีเร็ว ๆ นี้”

นายตำรวจพูดไป ก็มองกั้งด้วยความเห็นใจไป ด้วยเด็กหนุ่มทั้งยืนนิ่งให้แม่ของทิวตบตี ทั้งยอมให้อีกฝ่ายด่าทอ โดยไม่ตอบโต้อะไรออกไป ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนที่สูญเสียเช่นกัน ก่อนที่สารวัตรหนุ่มจะเห็นกั้งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พร้อมก้มลงกราบไปทางแม่ของทิว ที่เดินออกไปจากห้องนั้นในทันที ก่อนที่กั้งจะนอนคู้ตัวลงกับพื้น พยายามกอดตัวเองเอาไว้ ด้วยว่าตอนนี้ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน อย่างควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้



เจ้หวียังคงเห็นกั้งนั่งเหม่อมองไปยังประตูหน้าร้าน ราวกับว่า ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ทิวจะเดินผ่านประตูนั้นเข้ามาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่กั้งเองก็รู้ดี ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่กั้งนึกขึ้นได้ถึงความจริงในข้อนี้ น้ำตาก็ร่วงรินพ้นขอบตาลงมาอีกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีวันจะย้อนหวนคืนกลับไปได้ แต่ใจเจ้ากรรมก็ยังหวังว่าจะให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

“กินอะไรสักหน่อยสิกั้ง แกจะไม่มีแรงนะ” เจ้หวีวางจานข้าวราดแกงลงบนโต๊ะ กลิ่นมันหอมเตะจมูกดูน่ากิน แต่กั้งก็ส่ายหน้า “หนูยังไม่หิวน่ะเจ้” กั้งตอบปฏิเสธออกไป “ฉันรู้ว่าแกยังทำใจไม่ได้” แต่ทิวเอง มันก็คงไม่อยากเห็นคนที่มันรัก อยู่ในสภาพนี้เหมือนกันนะ” เจ้หวีพยายามพูดเตือนสติกั้ง “มันคงอยากเห็นแกมีชีวิตต่อไปได้ โดยไม่มีมัน” กั้งฟังแล้วก็พยายามฝืนยิ้มออกมา แต่มันเป็นยิ้มที่เจ้าตัวพยายามอย่างหนักที่จะห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“หนูมันไม่มีค่าอะไรให้ทิวต้องคิดถึงหรอก หนูนี่แม่งโคตรชั่วอย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ” กั้งน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าตาเหยเกจากการพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “แกพูดอะไรแบบนั้นวะกั้ง ถ้าทิวมันรับรู้ มันจะเสียใจมากนะ” กั้งได้ยินเจ้หวีพูดแบบนั้น “เจ้ไม่รู้หรอก ว่าหนูทำเหี้ยอะไรลงไปบ้าง” กั้งเบะหน้า ร้องไห้ สะอื้น พยายามปาดน้ำตาให้หมดไป แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง น้ำตามันไหลพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย

“หักห้ามใจเอาไว้บ้างเถอะกั้ง ทิวมันไปดีแล้ว เราที่ยังอยู่ ก็ต้องเข้มแข็ง และผ่านมันไปได้” เจ้หวีกอดกั้งเอาไว้ กั้งกอดเจ้แกตอบ ซบหน้าลงกับอกของเจ้หวีผู้มีพระคุณ ร้องไห้จนตัวโยน นึกถึงทิวที่จากไปแล้วอย่างที่สุด นึกถึงความโหดร้ายในชะตาชีวิต ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างโหดร้าย นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่ต่างเคยมีให้กัน ระหว่างตนเองกับทิว และที่สำคัญ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป โดยไม่สามารถเรียกคืนการกระทำนั้นให้กลับมา แก้ตัวใหม่ ไม่ให้ตัวเองทำมันลงไป

เสียงออดดังขึ้น เพื่อเป็นสัญญาณว่า ขอให้ครอบครัว ญาติ และเพื่อนฝูงที่มาร่วมงาน ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ เพื่อส่งดวงวิญญาณของทิว เพื่อไปสู่ภพภูมิที่สงบสุข แม่ของทิวเป็นลมล้มพับไปอีกครั้ง หลังจากเป็นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ตลอดงานฌาปนกิจของลูกชาย พ่อของทิวต้องคอยประคองพัดวีภรรยา ที่ไม่สามารถทำใจเกี่ยวกับการจากไปของลูกชายได้เลย

ควันไฟลอยออกจากปลายปล่องเป็นทางยาว กั้งที่ทำได้เพียงแค่แอบดูอยู่ไกล ๆ พึมพำคำลาให้ทิวจากที่ไกล ๆ ตรงนี้ ที่กั้งทำให้เพียงมาส่งทิวใกล้ได้เพียงแค่นี้ น้ำตาที่ไหลเป็นสาย กับใจที่มันปวดร้าวที่ต้องเห็นคนรักของตัวเองจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะในฐานะใด ๆ ก็ตาม

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=uQWx05Bz64E


เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความหลัง

What’s left is just the memory

กับชีวิตที่อ้างว้างเดียวดาย

And this life that is so lonely

เคว้งคว้างและทุกข์ทน

Stranded and suffered

สับสนจนไร้จุดหมาย

Confused and without a place to go

ไม่มีคนไม่มีใคร

I’m all alone, there’s nobody else


เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ตัวฉัน

What’s left is just me and myself

อยู่กับความฝันที่ต้องพังทลาย

Living through all shattered dreams

ฝันไว้เสียสวยงาม

The dreams I dreamt were beautiful

แต่แล้วมันก็ผ่านไป

Yet they were all gone

ผ่านไปเหมือนสายลมที่ไร้ร่องรอย

Like the wind that breezed through me


ไม่มีใครไม่เหลือใคร

No one’s here, there’s just me

สิ่งที่คว้าไปมันกลับเลื่อนลอย

I was only grasping at straws

ได้แต่รอคอยคนที่จากไป

Could only be waiting for the one that already left

นั่งมองเงามองอย่างเหงาใจ

Looking at the shadow from the angle of despair

ก็ไม่รู้ว่านานอีกเท่าไร

Don’t know how long it’s taking

กว่าสิ่งที่เสียไปจะกลับมา

Until I’ll get what I’ve lost


ความทรงจำมันช่างปวดร้าว

Memory is so painful

เมื่อมีความเหงาคอยทิ่มแทงหัวใจ

Loneliness is the thorn in my heart

หลงเหลือแค่น้ำตา

What I’ve got is tear

ที่เหมือนไหลมาไม่ขาดสาย

That’s flowing down my face, endlessly

กับสิ่งที่ฝังใจไม่อาจลืม

Can’t really forget how it haunts me


ไม่มีใครไม่เหลือใคร

No one’s here, there’s just me

สิ่งที่คว้าไปมันกลับเลื่อนลอย

I was only grasping at straws

ได้แต่รอคอยคนที่จากไป

Could only be waiting for the one that already left

นั่งมองเงามองอย่างเหงาใจ

Looking at the shadow from the angle of despair

ก็ไม่รู้ว่านานอีกเท่าไร

Don’t know how long it’s taking

กว่าสิ่งที่เสียไปจะกลับมา

Until I’ll get what I’ve lost


อาจเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล

It may be like this for eternity

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บทที่ ๕๐. คิดถึง คิดถึงเธอ



2536

1993



“โตขึ้นอย่างเป็นอะไร” คนถูกถามถึงกับต้องหันไปมองคนต้นเสียง “นี่คิดว่าถามเด็กห้าขวบหรือไง” ถามกลับไปแทนคำตอบ อย่างไม่จริงจังอะไรนัก ทำให้เจ้าของคำถามเองก็ต้องเผลอหัวเราะตามออกมา กั้งส่ายหัวให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงหยอกล้อกับทิว ที่ตอนนี้ยิ้มกว้างกลับมาอย่างน่าเอ็นดู

“ถ้างั้นถามใหม่” ทิวพูดกลั้วหัวเราะ กั้งสบตากับแฟนรอฟังคำถามอย่างตั้งใจ “อีกห้าปีข้างหน้า ทำอะไรอยู่ตอนนั้น” กั้งทำท่าคิด หรี่ตาพลางนึกหาคำตอบของคำถามที่ได้ยิน “ก็คงจะ” ทิวลดมือที่ถือกรรไกร กำลังตัดรหัสคณะที่เลือกไว้แปะลงไปในใบสมัครสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย คอยฟังคำตอบนั้น

“ก็คงจะเป็นแฟนเธออยู่แหละ” ทิวหน้าหูเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งเขินทั้งดีใจที่ได้ยิน “เรื่องนั้นน่ะรู้” พูดจบก็ชะโงกหน้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของกั้งหนึ่งที กั้งเองก็ยิ้มขันไปกับอาการของทิว “แล้วยังไงอีก” ความอยากรู้เพิ่มเติม ต้องการให้กั้งขยายความโดยให้รายละเอียดที่มากกว่านั้น

“และก็คงจะคอยเช็กดูว่า ทิวมีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ หรือมีรอยลิปสติก ติดตามเสื้อเชิ้ตทำงานกลับมาบ้านบ้างหรือเปล่า” พูดเล่น ๆ ไปอย่างนั้น แต่สายตาก็คาดโทษอยู่ในที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น “โห กั้ง พูดดูถูกทิวมากเกินไปแล้ว” เสียงทิวพูดฟังดูเข้มขึงขังขึ้นมาในทันที “ทิวไม่มีทางทำแบบนั้นกับกั้งถูกมั้ย” กั้งย้อนถามกลับไป “เปล่า แต่กั้งไม่มีทางจับได้ต่างหาก” ทิวพูดเร็ว ก่อนจะทำตาโต ยิ้มอย่างแบบเล่นหัวกับอีกฝ่าย

“โดนเจี๋ยนให้เป็ดกินแน่” กั้งทำโวยวายใส่ทิว ก่อนที่ทั้งคู่จำหัวเราะกันออกมาอย่างสนุกสนาน ทิวมองใบหน้าของกั้งด้วยสายตารักและเอ็นดู “เริ่มจากการที่เราสองคนไปเรียนที่คณะเดียวกันเสียก่อน” เลขรหัสคณะดุริยางคศิลป์ที่ตัดจากหนังสือระเบียบการ ถูกถืออยู่ในมือทิว “แปะให้ถูกนะ ลำดับที่เท่าไหร่” กั้งส่งเสียงกำชับกำชา

“เอ๊ ลำดับที่ห้าใช่มั้ยนะ หรือยังไงนะ” ทิวทำเป็นส่งเสียงถาม เลื่อนมือขึ้นเลื่อนมือลง ว่าเขาจะแปะรหัสนั้นลงไปที่ช่องไหนดี “ก็ต้องลำดับที่หนึ่งแหละ” เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของกั้งมองมาแบบนั้น ทิวก็ต้องบรรจงแปะรหัสลงไปตามที่ปากพูดออกมา ก่อนจะมองเห็นกั้งยิ้มปริ่มออกมา

“เริ่มจากเรียนด้วยกัน จบด้วยกัน ทำงานพร้อมกัน” กั้งพูดอย่างคนที่วาดฝันเอาไว้ ว่าชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ ผละจากเรื่องราวชีวิตเดิม ๆ ที่มันไม่ใช่ที่ของเขา “และอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน” พูดจบประโยคนั้นให้กั้งด้วยคำพูดที่หนักแน่นและมั่นคง ไม่ใช่เพียงแค่อยากให้ความหวังอีกฝ่ายแค่นั้น แต่เป็นการให้คำมั่นสัญญาไว้ต่อกัน

“อย่าผิดคำพูดล่ะ” กั้งเองนั้น ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินคำพูดนั้นของทิว แต่ลึก ๆ ในใจ ก็ยังมีความหวั่นไหวปะปนอยู่ “อย่าแค่เคาะกะลาให้หมาดีใจ” น้ำเสียงของกั้งเชิงตัดพ้อ แต่ทิวก็จับความรู้สึกจากตรงนั้นได้ดี ว่ากั้งต้องการความมั่นใจว่าคำสัญญานั้นมันจะต้องเกิดขึ้น “ถ้าไม่เป็นไปตามที่พูด ก็มาเอาชีวิตของทิวไปได้เลย” กั้งรีบยกมือแตะริมฝีปากของทิวเอาไว้ ไม่ให้พูดอะไรแบบนั้น

“กว่าจะถึงตอนนั้น โลกคงเปลี่ยนไปแล้วล่ะ หลาย ๆ อย่าง อะไร ๆ คงไม่เหมือนเดิม” ทิวพูดขึ้น จับมือของกั้งเอาไว้อย่างคนรักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน “พอตอนนั้นมาถึง เราคงหายใจโล่งขึ้นอีกเยอะ ทิวสัญญา” กั้งหัวเราะออกมาเบา ๆ มีน้ำตาขึ้นคลอที่หน่วยตา “ตอนนี้ยังไงทิวก็ทนอายไปก่อน เวลาคนเห็นกั้งอยู่กับทิว” น้ำตาที่คลออยู่เต้นระริก เมื่อกั้งเป็นคนที่พูดประโยคนั้นออกมา

“มันไม่มีอะไรที่ต้องอายสักหน่อย” ทิวพูดพลางบีบมือกั้ง “มันอาจจะใช้เวลาอีกสักหน่อย รู้ตัวอีกทีตอนนั้นเราก็จับมือกันเดินเที่ยว บอกใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าเราสองคนรักกัน เป็นแฟนกัน ไม่ต้องหลบซ่อนเมื่อมีใครสักคนมองมา” สิ่งที่ทั้งสองหนุ่มวาดหวังเอาไว้ มันยังดูห่างไกล แต่มันก็คือโลกที่ทั้งสองมองหา ที่ทำให้ยังมีความหวัง

“สักวันเราคงทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรืออย่างน้อยก็พอจะมีที่ว่างเล็ก ๆ ให้ไม่ต้องรู้สึกผิด หรือรู้สึกอายเวลาที่อยากเป็นตัวของตัวเอง ที่กั้งพยายามเรียนให้ได้ดีที่สุด ก็เพราะหวังว่าอย่างน้อย ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้ว่า การทำดีมันไม่เสียหาย ได้ทำงานที่ดี มีชีวิตที่ดี พึ่งพาตัวเองได้ เป็นที่พึ่งกับคนอื่นได้ด้วย คนอื่นจะได้เลิกพุ่งเป้ามองมาเพียงแค่ว่า เราคือผู้ชายสองคนที่รักกัน” กั้งอยากให้ความฝันและความหวังเล็ก ๆ ของเขานี้ เป็นจริงได้ในสักวัน

“แต่ทิวฝันไว้ไกลกว่านั้น” ทิวพูดแย้งขึ้นทันทีที่กั้งพูดจบ “วันหนึ่ง และทิวรู้ว่าวันนั้นมันจะมาถึงไม่ไกลจากนี้ มันจะไม่มีใครสนใจว่าเราชอบผู้ชายด้วยกัน ผู้ชายจะตุ้งติ้ง ผู้ชายจะพูดคะขา ผู้ชายจะใส่เสื้อผ้าผู้หญิง ไว้ผมยาว หรือทาปากแดง” ทิวพูดพลางโยกหัวตัวเองโคลงไปมาเบา ๆ ทำเอากั้งต้องยิ้มตามออกมา

“คนจะสนแค่ว่า เราทำอะไร ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไร้กาลเทศะ จะไม่สนแล้วว่าเราขึ้นเตียงเอากับใครแล้วมีความสุข” พูดจบทิวก็เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของกั้ง “อย่ามา” กั้งเขินทำพูดกลบเกลื่อน “ก็มันจริง” เมื่อทิวยืนยันด้วยตัวเองว่า กั้งคือความสุขนั้นของเขา

“แปะรหัสให้เสร็จเลยนะ นี่ทำให้กั้งด้วยเลย” กั้งทำขึงขังวางหนังสือระเบียบการลงตรงหน้าทิว “สั่งเหลือเกิน ให้เป็นเมียหน่อยเดียว สั่งไม่ยอมหยุด” ทิวบ่นกระปอดกระแปดเมื่อถูกกั้งบังคับ “พูดมาก จะทำไม่ทำ” กั้งถาม ทำสีหน้าจริงจัง “เลือกได้มั้ยล่ะ” ทิวทำขมวดคิ้ว แต่มือก็ดูจะสาละวนกับการตัดแปะตามที่กั้งบอกมา

“ก็รู้นี่ แล้วจะบ่นทำไม” กั้งที่แอบเช็ดน้ำตาจนแห้งไปแล้ว พูดพลางอมยิ้ม “รอไว้เลยแล้วกัน ล้างจาน ซักผ้า อย่าให้ต้องพูดเยอะ” กั้งเองพูดไปแบบนั้น ก็ยังจินตนาการภาพของทิวนั่งอยู่หน้ากะละมังซักผ้าใบโต พร้อมฟองผงซักฟอกฟ่อดไม่ออก ทิวนั้นไม่ได้ปฏิเสธ “ก็บอกมาแล้วกัน ว่าต้องซักต้องล้างอะไรยังไง” พูดไปทิวนั้น เหมือนเห็นภาพตัวเองไกล ๆ จากตรงนี้ ว่าคงจะเป็นพ่อบ้านเต็มตัวในไม่ช้า



2537

1994



“ไปเถอะแม่ เรือพร้อมแล้ว” เสียงเรียกของสามี ทำให้ผู้เป็นภรรยาเริ่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง “ทิวจากเราไปแล้วจริง ๆ หรือพ่อ” ผู้เป็นสามีรู้สึกสงสารภรรยาของตนจับใจ เขาอยากจะมีอำนาจวิเศษ ลบความเป็นจริงทั้งหมดนี้ให้หายไป เพียงแค่การดีดนิ้ว แต่ความโหดร้ายนี้ของชีวิต ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกที่สามารถย้อนเรื่องราวให้กลับไปได้

“เราไปส่งทิวกันเถอะ นะแม่นะ” ผู้เป็นสามีเองก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะทำใจกับการจากไปของทิว ผู้เป็นลูกชายคนเดียวได้ แต่ที่ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนกับว่า ช่างเข้มแข็งเสียเต็มประดาอยู่นี้ ก็ทำเพื่อลูกชายของตัวเองทั้งนั้น หาไม่แล้ว ผู้เป็นพ่อคนนี้ ก็คงจะไม่พ้นนั่งคร่ำครวญ เสียใจอย่างสุดแสนจะบรรยาย

ผู้เป็นสามีประคองภรรยาของเขาให้เดินมาที่ท่าเรือ เจ้าหน้าที่เรียนเชิญประธานของพิธี ยังไงเสียก็คงจะต้องเป็นพ่อของทิวที่รับหน้าที่นี้ ด้วยว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดของทุกคนที่มาในวันนี้ อีกทั้งแม่ของทิวนั้น แทบจะไม่สามารถหักห้ามใจอะไรได้เลย มองไปทางไหนเมื่อเห็นสิ่งใดที่ทำให้นึกถึงลูกชาย เธอก็ได้แต่ปล่อยโฮออกมา

พ่อของทิวเดินตามพิธีกรลงไปในเรือ โดยที่คนที่เหลือยังคงยืนรอกันอยู่ที่ท่าเรือ ยังไม่ได้ตามลงมาด้วย พ่อของทิวนำดอกไม้สดและธูปเทียนวางใส่ไว้ในพาน เพื่อทำการบูชาแม่ย่านางเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตบอกกล่าวแม่ย่านาง โดยพ่อของทิวกล่าวตามพิธีกรด้วยเสียงอันสั่นเครือ เพราะรับรู้แล้วว่า ตัวเองกำลังทำพิธีตามประเพณีเพื่อบอกลากันจริง ๆ แล้ว

พ่อของทิวเมื่อทำพิธีบอกกล่าวแม่ย่านางเรือเสร็จ ก็เดินไปประคองแม่ของทิวให้เดินลงมาในเรือ คนอื่น ๆ ที่มาด้วยทยอยลงตามมาจนครบ เมื่อญาติและมิตรสหายของทิวพร้อมกันในเรือแล้ว จึงนำอังคารตามลงมา ก่อนที่เรือจะได้แล่นออกสู่ท้องน้ำ เพื่อจะได้ไปยังจุดที่จะทำการลอยอังคารต่อไป

กั้งมองตามทุกอย่างโดยอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนั้น น้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ปาดเช็ดเท่าไหร่ ก็ดูท่าว่าจะไม่จางหายไปง่าย ๆ เจ้หวีที่ต้องมาเป็นเพื่อนกับกั้ง ได้แต่พูดปลอบให้กั้งทำใจให้ได้ ได้มีโอกาสมาบอกลาทิวใกล้ที่สุดได้เท่านี้ ก็ดีถมไปแล้ว กั้งได้แต่ยืนนิ่ง มองเรือลำนั้นค่อย ๆ แล่นไกลสายตาออกไป

เรือแล่นมาจนจอดลอยลำ ที่ตรงจุดจะทำพิธีลอยอังคาร พิธีกรจึงได้ทำการเปิดลุ้งที่เป็นภาชนะดินปั้นที่ใช้บรรจุอังคาร และจัดเครื่องไหว้ให้ประธานในพิธี คือพ่อของทิวได้จุดธูปเทียนเพื่อไหว้อังคาร ก่อนที่พ่อของทิวจะหยิบน้ำอบไทยมาสรง โรยด้วยดอกมะลิ และตามด้วยกลีบกุหลาบโรยทับลงไป

“แม่” เสียงพ่อของทิวเรียกผู้เป็นภรรยาเบา ๆ แม่ของทิวหน้าตาเหยเกบิดเบี้ยวไปด้วยอาการโศกเศร้า ร้องไห้ออกมา พูดลาลูกชายของตนจนฟังแทบไม่เป็นภาษา หลายคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอาดูร กับภาพของผู้เป็นพ่อและแม่คน ที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ ในยามที่ลูกชายของพวกเขาจากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

เมื่อทุกคนได้ไหว้อังคารกันครบถ้วน พิธีกรจึงห่อลุ้งนั้นด้วยผ้าขาวกว้างและยาวประมาณครึ่งเมตร ก่อนจะใช้สายสิญจน์รวบมัดเป็นจุกอยู่ที่ด้านบนของลุ้ง แล้วจึงสอดพวงมาลัยเข้าไป ดอกกุหลาบถูกแจกให้กับญาติมิตรของทิวถือเอาไว้คนละหนึ่งดอก บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาลัยกับการจากไปของทิว

เจ้าหน้าที่บนเรือจัดเครื่องบูชาเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดรให้กับพ่อของทิว ที่เป็นประธานในพิธี พ่อของทิวจุดธูปเจ็ดดอกพร้อมกับจุดเทียนหนึ่งเล่ม มีกระทงดอกไม้เจ็ดสีวางอยู่ เพื่อทำการกล่าวบูชาและขอฝากอังคารเอาไว้กับเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดร อันว่าสายน้ำที่ชุ่มชื้นหล่อรวมชีวิตแห่งนี้ จะเป็นความสงบร่มเย็นต่อไปของดวงวิญญาณของทิว ให้เด็กหนุ่มได้เดินทางต่อไปยังภพภูมิที่ดี ไปสู่สุคติ

มาถึงตอนนี้ ทุกคนได้ทำการยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ที่จากไปหนึ่งนาที หลังจากนั้น พ่อของทิวได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ ด้วยความเชื่อว่าได้ทำการซื้อที่เอาไว้ แล้วไปที่กราบเรือทางด้านซ้าย พ่อของทิวค่อย ๆ ลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสีนั้นลงไป ก่อนจะค่อย ๆ ประคองอุ้มลุ้งอังคาร วางแตะลงบนผิวน้ำ โดยมีแม่ของทิวและคนอื่น ๆ ถือสายสิญจน์ถัดมาทางด้านหลัง

“ไปดีนะลูกนะ ทิว” พ่อของทิวสุดจะหักห้ามใจได้อีกต่อไป น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง ก่อนจะโรยกลีบกุหลาบลงไปในน้ำ แม่ของทิวร้องไห้จนอ่อนแรง แทบจะเป็นลมล้มพับไป ปริ่มว่าใจจะขาด เมื่อนี่คือสิ่งสุดท้ายที่ได้ทำ ของการร่ำลากันจริง ๆ แล้ว พ่อของทิวเข้าไปกอดผู้เป็นภรรยาเอาไว้ ก่อนที่เรือจะเริ่มแล่นวนไปทางซ้ายเป็นรอบแรก

กั้งมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเรือจากตรงนี้ เขาเองก็รู้สึกเหมือนว่าจะขาดใจเสียให้ได้ ตรงที่ยืนอยู่ ดูมันไกลแสนไกลจากที่ทิวนั้นอยู่ในตอนนี้ เรือกำลังเริ่มแล่นวนเป็นครั้งที่สาม ก่อนที่เจ้หวีจะทันได้ห้ามอะไร กั้งก็วิ่งออกจากตรงนั้นที่ยืนแอบมองอยู่ วิ่งตรงไปทีท่าเรือ แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำ

เรือกำลังจะแล่นครบสามรอบ เหมือนเป็นเครื่องเตือนสติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ว่าสิ่งใด ๆ ล้วนแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือความไม่เที่ยง คือความเป็นทุกข์ และไม่มีสิ่งใดเลยที่ตนจะยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เสียงคนบนเรือเริ่มโหวกเหวกโวยวาย ทีแรกก็นึกว่าคนตกน้ำ แต่ทุกคนมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังไหว้น้ำตรงเข้ามาหา

“ทิว ทิว” กั้งรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีว่ายน้ำไปที่จุด ตรงที่ครอบครัวของทิวๆ ได้ทำการลอยอังคาร น้ำตาผสมกับน้ำแห่งท้องนทีผสมกันเป็นเนื้อเดียว “ทิว กั้งอยู่นี่ อย่าไป อย่าไป” เหมือนคนสติหลุด กั้งตะโกนโหวกเหวกโวยวาย และทำท่าจะจมน้ำ กลีบดอกกุหลาบอยู่รายล้อมตัวของกั้ง ที่คิดเพียงแค่ว่า อยากอยู่ใกล้ชิดกับทิวเป็นครั้งสุดท้าย เพราะมันจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว

“แกทำอย่างนี้ทำไม แกทำกับลูกฉันจนเขาต้องตายยังไม่พอ แกยังจะตามมารังควานเขาอีก” แม่ของทิวด่ากั้งเสียงดังลั่น ร้องไห้ไปด้วย ด่าทอเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ดึงช่วยขึ้นมาจากน้ำ มานั่งพับบนเรืออย่างหมดแรงเหนื่อยอ่อน “แกจะทำให้ลูกฉันมีห่วง ไม่สงบสุข แกมันไม่เคยทำให้ชีวิตของลูกฉันง่ายขึ้นเลย แกมันคนใจร้าย อีคนใจดำ”

แม่ของทิวด่ากั้งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ขอขมากับทุกคนที่อยู่ตรงนั้น พ่อของทิวเบือนหน้าหนี ยังไงเสียทั้งเขาและภรรยาก็รู้สึกว่า กั้งนั้นคือต้นเหตุของทุกอย่างที่เกิดขึ้น กั้งเองก็ได้แต่ปล่อยโฮออกมา เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ และไม่เคยคิดว่า ตัวเขาเองจะไม่มีแม้โอกาส ได้พูดคำลาแม้สักคำกับทิว

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch?v=pQJvWmXv-no



ขอแค่มีลมหายใจ

Just the air to breathe

ขอแค่มีเธอข้างกาย

Just having you by my side

ไม่หวั่นหวาดแม้ชีวิต

Nothing scares me in life

เมื่อในหัวใจ ฉันมีเธอ

Because my heart belongs to you


แต่เธอกลับจากกันแสนไกล

Yet, now we’re so much apart

เหมือนหมดสิ้นลมหายใจ

Say, literally out of breath

จะอยู่ตรงนี้อย่างไร

How am I supposed to live?

เพราะในหัวใจ

‘Cause all in my heart

ฉันต้องการ

I do really need

เพียงเธอ

Is only you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ



2566

2023



“ดีน ลูกให้สัญญาพ่อกับแม่ไว้แล้วนะ” ดีนฟังปลายเสียงนั้น ซ่อนความเป็นกังวลอยู่ “ดีนรู้ครับแม่” ดีนกรอกเสียงตอบกลับไป โดยมีเทปปันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองมา “ดีนกำลังแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่” เด็กหนุ่มบอกแม่ของเขาไปตามตรง ว่าเขาเองนั้น ตอนนี้กำลังตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

“แกรู้ใช่มั้ยดีน ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแกมาก” ดีนได้ยินเสียงของพ่อพูดกับเขาผ่านโทรศัพท์มาแทนผู้เป็นแม่ “ดีนขอโทษครับพ่อ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วง” น้ำเสียงของดีนบ่งบอกแก่ผู้ฟังได้ชัดเจน ว่าดีนพูดออกมาด้วยความจริงใจ “ถ้าแกมั่นใจในทางเดินชีวิตที่แกเลือกแล้ว พ่อก็” ดีนใจเต้นแรง เมื่อพ่อของพูดแบบนั้นออกมา

“ดีนเลือกแล้วครับพ่อ อนาคตของดีนอยู่ตรงหน้าของดีนตอนนี้” ดีนพูด สบตาแน่วแน่กับเทปปัน ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องเป็นหน้าที่พ่อแล้วสินะ ที่ต้องไปเคลียร์กับพวกผู้ใหญ่ที่ไปพูดฝากฝังแกเอาไว้” เสีงถอนหายใจของพ่อที่ดีนได้ยิน ดีนก็รู้ ว่าพ่อต้องรู้สึกหนักใจมากขนาดไหน

“ดีนขอโทษ” ดีนพูดออกไปตามความรู้สึกจริง เขาไม่ได้อยากให้พ่อต้องมารู้สึกไม่ดีแบบนี้ “แกไม่มีอะไรต้องขอโทษเลยดีน พ่อเป็นคนไปผูกเงื่อนไขเอาไว้ แกไม่ต้องห่วง มันเป็นสิ่งที่พ่อต้องไปแก้ไขเอง ไม่ใช่ความผิดของแก ดีน” ดีนได้ยินเสียงของน้องสาวอยู่ที่ปลายสาย พูดขอบคุณพ่อ ขอบคุณแทนเขาผู้เป็นพี่ชาย ที่ยอมเชื่อใจ

“แค่อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาก็พอ” ดีนยิ้มกว้างออกมา เมื่อได้ยินพ่อพูดกระเซ้าแบบนั้น เทปปันขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นดีนยิ้มออกมาอย่างชอบใจ กับสิ่งที่ได้ยินจากปลายสาย เด็กหนุ่มพูดจากับพ่อของเขาอีกสองสามคำ ก่อนจะวางสายไป เทปปันเห็นแบบนั้น ก็ทำเสมองไปทางอื่น ดีนนึกขำเทปปัน

“ที่นี่สินะ ที่แม่ชีบอก” ดีนพูดขึ้น ทั้งสองคนมองไปที่ขั้นบันไดปูนที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขา “แม่ชีบอกว่า เราจะเจอสิ่งที่เราตามหา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะร้ายหรือดีต่อความรู้สึก ที่บนยอดเขานั่น” เทปปันบอกสิ่งที่แม่ชีได้ว่าไว้ เมื่อทั้งสองคนปรึกษากับแม่ชีในเรื่องนี้ ว่ามันจะมีบทสรุปอย่างไร ทั้งสองคน ดีนกับเทปปันจึงได้ดั้นด้นกันมาที่นี่

“พร้อมมั้ย” ดีนถามสียงจริงจัง ในใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความคิดที่ว่า อะไรกันแน่ที่รออยู่ที่ข้างบนนั้น “พร้อม” เทปปันตอบ พลางพยักหน้าประหนึ่งกำลังบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รออยู่ เขาจะต้องขึ้นไปเผชิญหน้ากับมัน เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวเท้าเดินไป ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่บันไดทางขึ้น มองบันไดขั้นแรกนั้นด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมด

ทางเดินขึ้นไปบนเขานั้น ปูด้วยบันไดปูนทาสีขาว ที่ตอนนี้หม่นลงตามระยะเวลาและสภาพอากาศ มันทอดยาวขึ้นไปด้านบนจนสุดลูกหูลูกตา ดีนทำท่าชักชวนให้เทปปันที่ดูมีความลังเลอยู่ ให้ก้าวเท้าขึ้นไปก่อน เทปปันเองก็ใจเต้นตึกตัก กับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ กับความจริงที่รอคอยเขาอยู่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว

“เอาเรื่องอยู่นะเนี่ย” ดีนพูดขึ้น เมื่อทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาได้สักพัก กับขั้นบันไดที่ค่อนข้างเล็กและชันขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหอบเหนื่อยจากน้ำเสียงเวลาพูด เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นด้วย “อยู่ ๆ ก็มาทำอะไรแบบนี้ ออกกำลังกายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน” เทปปันเองก็รู้สึกหอบหายใจเหนื่อยพอสมควร ดีนหัวเราะกับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย

“มีดีนอยู่ทั้งคนน่า ปันเหนื่อย อยากพักก่อน ปันบอกดีนนะ” สิ่งที่ดีนอยากส่งให้เทปปันได้รู้สึก ก็คือความห่วงใยและความอยากจะดูแลอีกฝ่าย “ไม่เหนื่อยสักหน่อย ก็พูดไปงั้นเอง” ไอ้อาการปากแข็งของเทปปันทำให้ดีนจากที่รู้สึกหมั่นไส้ ก็กลายมาเป็นความเอ็นดู กับการรักษาฟอร์มของตัวเองของเทปปัน

“ปัน” ดีนเรียกอีกฝ่าย หลังจากที่เดินขึ้นบันไดต่ออีกครู่ใหญ่ ๆ เทปปันชะลอฝีเท้าลง หันไปมองทางดีน “ที่แม่ชีพูดเอาไว้ ว่าอาจจะเป็นดีน ที่ทำเอาไว้ไม่ถึง ดีนเลยต้องเป็นฝ่ายไล่ตามปัน” เทปปันจำได้ถึงประโยคนี้ของแม่ชี ที่บอกกับทั้งสองคนเอาไว้ “ปันว่า มันจริงมั้ย แล้วที่ดีนตามปันมาจนเจอในตอนนี้ ปันว่า ดีนทำตัวดีขึ้น ดีนทำมันพอสำหรับปันแล้วหรือยัง” สายตาที่เทปปันมองเห็น สายตาของดีนที่ยอมรับผิดและขอโอกาส พร้อมจะแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ขอแก้ตัวอีกครั้ง

“ถ้าดีนจะสัญญา” ดีนกำลังจะพูดต่อ “อย่า” เทปปันรีบห้ามในทันที “อย่าพูดคำนั้น” ดีนมองเห็นว่า อยู่ ๆ เทปปันก็มีน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตา ดีนพูดกับตัวเองในใจ ว่าสิ่งที่เขาคนก่อน เคยทำเอาไว้ มันยังคงมีผลกับความรู้สึกของเทปปันคนนี้ “คนนั้น เขาเคยได้ยินคำสัญญามาก่อน” เทปปันหลุดปากพูดออกไปในที่สุด

“ปันจำมันได้แล้ว” ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ของดีน มันคือความดีใจหรือความหวาดหวั่นกันแน่ เทปปันไม่ได้ตอบ “ตั้งแต่ที่เราเจอกันที่วัด” แต่พูดย้อนกลับไปในวันนั้นแทน “ภาพที่เห็น” เทปปันมองมือทั้งสองของตัวเองที่หงายขึ้น “มือเต็มไปด้วยเลือด มีใครบางคนฟุบหน้านอนอยู่ที่ตัก” ดีนใจเต้นแรง เมื่อรู้ดีว่าเทปปันพูดถึงช่วงเวลาไหน ก่อนที่ทั้งสองคนที่พวกเขาเคยเป็น จะจากลา

“จากวันนั้น มันก็มีภาพอะไรพวกนี้ เข้ามาให้เห็นบ่อยขึ้น บ่อยจนต้องรู้สึกกลัว” สายตาของเทปปันที่มองมาที่ดีน มีทั้งความเสียใจปะปนอยู่ รวมทั้งความน้อยใจปนโมโหกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น “สิ่งที่พุ่งเข้ามาหา แรก ๆ ก็คือความรู้สึกที่อยากจะหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นั้น แต่พอได้เจอกันอีก ยิ่งเจอกันบ่อยขึ้นอีก” เทปปันชะงักคำพูดเอาไว้แค่นั้น ในใจมันสับสนไม่น้อย เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของดีน ได้ยินน้ำเสียงคำพูดของอีกฝ่าย

“ไปต่อกันได้แล้ว” เทปปันตัดบท ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง ดีนที่ไม่ได้พยายามจะแก้ตัวใด ๆ ด้วยคำพูด เพราะอยากจะทำให้เทปปันเชื่อใจเขา จากสิ่งที่แสดงออกให้เห็นมากกว่า ก็เดินตามอีกฝ่ายไป ช่วงเวลาที่ขมขื่นแบบนั้น ดีนเข้าใจในตอนนี้แล้ว ว่าการจะให้อีกฝ่ายลบเลือนมันไปทั้งหมด มันย่อมไม่สามารถทำได้ คำสัญญาที่ดีนคนเก่าเคยให้ไว้กับเทปปัน คนในอดีต แล้วไม่สามารถรักษามันเอาไว้ได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องเสียใจอย่างที่สุด

มาตอนนี้ บันไดปูนสีขาวหม่นมาถึงขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าของทั้งดีนและเทปปันตอนนี้ เป็นชั้นบันไดเหล็กที่ต้องปีนต่อขึ้นไป ดีนยื่นขวดน้ำดื่มที่หยิบออกจากเป้สะพายหลัง ส่งให้เทปปัน อีกฝฝ่ายรับมันไปดื่มอึกใหญ่ มองขึ้นไปด้านบน ที่บันไดเหล็กจะพาไปถึง เทปปันผ่อนลมหายใจออกมา ความเหนื่อยเริ่มก่อตัวทั้งร่างกายและจิตใจ

“ให้ดีนขึ้นไปดูก่อนนะ ว่าด้านบนเป็นยังไง” ดีนพูดขึ้น ก่อนจะทำท่าปีนขึ้นไป “เอาเป้มาก่อน เราถือให้ก่อน” เทปปันรู้ดีว่า ในเป้นั้นมีน้ำหนักไม่น้อย ที่ดีนสะพายขึ้นหลังแบกมันมาจนถึงตรงนี้ “แค่นี้เอง ไม่เป็นไรสบายมาก” ดีนขยับเป้ที่สะพายบนหลังให้เข้าที่เข้าทาง “ทำไม เป็นห่วงเค้าหรือไง” ดีนถามพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม ก่อนจะต้องหัวเราะออกมา เมื่อเทปปันบอกให้เขารีบปีนขึ้นไปเร็ว ๆ เลย

“ระวังนะ” เทปปันอดไม่ได้ที่จะเตือนดีน มองเลยตามดีนที่ส่งเสียงรับคำ บนฟ้าที่ก่อนหน้านี้มีแดดจ้า เมฆฝนดำครึ้มก่อตัวมาแต่ไกล และขยับลอยมาทางเขาด้านนี้ “ปัน ขึ้นมาได้เลย” ดีนที่ผลุบหายไปด้านบน โผล่หน้าออกมาเรียกให้เทปปันปีนตามขึ้นไป “ไม่น่ากลัว บันไดเหล็กแข็งแรงดี” ดีนให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย และบันไดเหล็กนี้ ก็มีเพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น

“ถ้าฝนตก เหล็กพวกนี้ก็ลื่นอยู่นะ” เทปปันที่ปีนไปถึงด้านบน บอกกับดีน ก่อนจะชี้ให้ดูถึงเมฆดำที่ลอยใกล้เข้ามามากขึ้นกว่าเดิม “เราต้องทำเวลาแล้วล่ะ ควรจะขึ้นไปให้ถึงด้านบนยอด ก่อนที่ฝนจะลงเม็ด” ดีนเห็นด้วย เพราะหากโอ้เอ้ทำเวลาได้ไม่เร็วพอ ทั้งสองคนคงจะต้องลำบากขึ้นมา ถ้าต้องปีนป่ายแบบนี้ท่ามกลางสายฝน

“ไปทางไหนต่อ” เทปปันถามเมื่อตรงนั้น ไม่มีบันไดเหล็กให้ปีน ดีนหันซ้ายและขวา จำได้จากแม่ชี ท่านบอกว่าให้เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามทาง แต่ดีนก็ปากหนัก ไม่ได้ถามให้ละเอียดว่า แต่ละขั้นที่พวกเขาต้องผ่านไปนั้น มันต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง ต้องเดินไกลแค่ไหน กว่าจะไปให้ถึงที่ยอดเขา

“มันมีทางเดินเล็ก ๆ นี่” ทางเดินที่เลาะอ้อมไป ดีนเดินไปหยุดยืนชะโงกดู “มีบันไดเหล็กขึ้นไปได้อีก อยู่ตรงนั้น” ดีนตะโกนบอกเทปปัน ก่อนจะเดินนำไป เทปปันเดินไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ดีน ไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง เพราะนั่นคือเหวดี ๆ นี่เอง ดีนเองก็เสียวสันหลังไม่น้อย ยังดีที่ตรงที่พวกเขายืนอยู่ มีพื้นที่มากพอ ให้ทรงตัวและไม่ได้ชิดกับขอบทางเดินมากนัก

“ช่วงนี้บันไดมันค่อนข้างสูง ปันค่อย ๆ ปีนขึ้นตามดีนมานะ ให้ดีนขึ้นไปก่อน” แววตาของเทปปันมีแววกังวลไม่ใช่น้อย “ไม่ต้องกลัวนะ มีดีนอยู่ทั้งคน” เทปปันพยักหน้า แม้ว่านำลายจะเหนียวฝืดคออยู่ไม่น้อย “มันมีใครคนไหนที่ขึ้นไปบนยอดเขา มาทางเดียวกับเราจริง ๆ หรือ” เทปปันถาม มองตามดีนขึ้นไป ดีนส่งเสียงให้เทปปันปีนตามเขาขึ้นมาได้เลย แม้ว่าดีนจะยังไม่ถึงขั้นด้านบนก็ตาม

“ลานข้างบนนี้ กว้างกว่าข้างล่างเยอะเลย” เสียงดีนตะโกนบอกจากข้างบน เทปปันขยับมือขึ้นจับราวเหล็กด้านบน เพื่อดึงตัวขึ้นตาม ก่อนจะเหยียบเท้าก้าวไปบนเหล็กแต่ละขั้น พลันรู้สึกว่าตัวของเขาขยับเคลื่อนไปด้านหลัง ฝั่งเดียวกับเหวด้านล่าง เสียงเคล้งของเหล็กดังขึ้น เมื่อหมุดที่ปักเข้าไปในหินเพื่อยึดราวบันไดนั้น เคลื่อนตัวหลุดออก

“ดีน” เทปปันตะโกนเรียกอีกฝ่ายดังลั่น ตอนนี้สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะรู้สึกได้ถึงดีนที่คว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ “ปัน” ดีนเองก็ร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยความตกใจเช่นกัน อยู่ ๆ ลมจากที่ไหนก็ไม่รู้ พัดเข้าหาคนทั้งคู่อย่างแรงและบ้าคลั่ง เสียงเหล็กที่กำลังจะยอมให้กำลังลมโยกคลอนให้หลุดออก ฟังดูน่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด

“ดีนจับปันไว้แล้ว ปัน ดีนอยู่นี่แล้ว” ดีนตะโกนแข่งกับเสียงลม เทปปันยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปคว้ามือของดีนเอาไว้ “รีบปีนขึ้นมา” เสียงของดีนดังขึ้น เทปปันยังทำตามที่ดีนบอไม่ได้ ลมที่อื้ออึงพัดเข้าโหมใส่ทั้งคู่ หวีดเสียงร้องได้น่ากลัวจับใจ รู้ตัวอีกทีหนึ่ง น้ำฝนเย็นจัดก็พรั่งพรูลงมาจากฟากฟ้า เทปปันหายใจหอบหนักด้วยความกลัวอย่างที่สุด

“ปัน” ดีนเรียกชื่ออีกฝ่าย ที่ตอนนี้กอดเขาเอาไว้จนแน่น “ปัน” กอดของปันที่ดีนรู้สึกนั้น มันรู้สึกได้ถึงความโหยหาและความหวดหวั่นในคราวเดียวกัน “ปันลืมตาได้แล้ว ลืมตาก่อน” ดีนพูดเบาๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย เทปปันถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะเห็นว่า ตัวเองขึ้นมายืนอยู่ที่ชั้นบนกับดีนแล้ว โดยที่ดีนบอกว่า อยู่ ๆ เทปปันก็เหมือนจะฮึดดันตัวขึ้นมาได้อย่างประหลาดใจ ก่อนที่บันไดเหล็กนั้น จะร่วงหล่นลงไปด้านล่าง

“แล้วเราจะลงไปยังไง” ยังไม่ทันที่คำถามของเทปปันจะได้รับคำตอบ ทั้งสองคนทั้งดีนและเทปปัน ก็หันไปตามเสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลัง เมื่อจู่ ๆ ทั้งลมทั้งฝนก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน ดีนและเทปปันมองเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านยืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำมองมาที่ทั้งคู่ ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

“หลวงพ่อครับ บันไดเหล็กมันพัง ทำยังไงกันดีครับ พวกผมตั้งใจจะไปให้ถึงยอดเขา แต่เราจะลงไปข้างล่างกันยังไง” ดีนพูดเร็วปรื๋อ ในหัวพยายามประมวลผลว่าจะทำอะไรต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับดีนตอนนี้ คือความปลอดภัยของเทปปัน หลวงพ่อท่านยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ทางเข้าถ้ำนั้น

“ท่านจะให้เราเข้าไปในนั้นหรือครับ” หลวงพ่อไม่ตอบอะไร แต่มองตามทั้งดีนและเทปปันที่แม้จะเดินไปที่ปากถ้ำนั้น แต่ก็เต็มไปด้วยความลังเล “ดีน” เทปปันเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ เมื่อกำลังเดินเข้าไปด้านในถ้ำที่มืดแสง “ไม่ต้องกลัวนะ ดีนอยู่ด้วย” ดีนพูดปลอบเทปปัน เขาหันหลังไปมอง หลวงพ่อเองก็มองตามพวกเขาเข้ามา โดยที่ท่านไม่ได้ขยับเดินตามมาแต่อย่างใด ดีนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปด้านในถ้ำ

“เราต้องเดินไปอีกไกลมั้ยครับหลวงพ่อ” ดีนหันกลับไปทางปากถ้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขาไม่เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว กลับกลายเป็นพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงนั้นแทน ตรงที่ดีนเองไม่คิดว่าเขาสังเกตเห็นแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ “ดีน พื้นถ้ำ” เทปปันดึงสติของดีนให้กลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้า ที่กำลังเกิดขึ้น

“เหมือนกับที่วัด วันนั้นเลย” ใช่แล้ว ทั้งคู่กำลังรู้สึกอย่างเดียวกันกับพิธีที่วัดในวันนี้ พื้นถ้ำนั้นสั่นสะเทือนไปหมด เสียงครืน ๆ ดังลั่นจนกึกก้อง แสงจากไฟฉายส่องไปด้านในถ้ำที่มืดมิด “มีทางออก ปัน ทางออกตรงนั้น ตรงนั้นมีแสงลอดเข้ามา” ไวเท่าความคิด ดีนจับมือเทปปัน รีบวิ่งไปที่แสงสว่างที่ลอดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ

“เฮ้ย ไอ้หนู เอ็งสองคนมากันยังไงเนี่ย ทำไมออกมาจากตรงนั้นได้” เสียงลุงชาวบ้านที่ขึ้นมาช่วยดูแลสถานวิปัสสนากรรมฐาน ส่งเสียงตกอกตกใจ เอะอะขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มสองคน วิ่งพรวดออกมาจากถ้ำ “พวกเอ็งเล่นพิเรนทร์อะไรกัน ถึงเข้าไปในถ้ำนั้น รู้มั้ยว่าถ้ำนั้น ไม่มีใครเขาเข้าไปกัน” เสียงลุงเอ็ดตะโรใส่ดีนและปัน

“แล้วเป็นอะไรมั้ยเนี่ย ทีหลังอย่าเข้าไปอีกนะ” ลุงผู้ดูแลยังไม่วายสำทับอีกรอบ “คือ พวกผมขึ้นมาทางบันไดเหล็ก ปีนกันขึ้นมา ก่อนจะเจอหลวงพ่อ ท่านบอกให้เดินเข้ามาในถ้ำ พวกผมก็ทำตาม ก่อนจะได้ยินลุงดุพวกผมนี่แหละ” ดีนเล่าให้ลุงผู้ดูแลฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สีหน้าของลุงดูแล้ว ไม่เชื่อกับสิ่งที่ดีนพูดมา

“ทางการเขาไม่อนุญาตให้มาทางนั้นกันแล้วนะ ไอ้หนุ่ม เอ็งสองคนอย่ามาพูดจาอะไรเรื่อยเปื่อย เขาขึ้นกันมาทางถนนที่ตัดใหม่ นี้ทั้งนั้น” ตรงที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่นี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันคือลานจอดรถ “ถ้าพวกเอ็งมาทางนั้นอย่างที่เล่าให้ข้าฟังจริง บุญรักษาพวกเอ็ง” ลุงพูดพลางยกมือพนม “พระคุ้มครองพวกเอ็งแล้ว” ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว ก่อนที่ลุงจะเดินจากไป

“นี่คือสิ่งที่แม่ชีอยากให้เราเจออย่างนั้นหรือ” เทปปันถามขึ้น “เทปปัน” ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา จากหนุ่มญี่ปุ่นที่เดินเข้ามาหา “ทาเคชิคุง” ปันเรียกอีกฝ่าย ดีนมองตามหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อ ท่าทางดี มาดแมน คนที่เขาเคยเห็นเทปปันขึ้นรถไปด้วย “แม่ชีบอกผม ว่าจะเจอคุณได้ที่นี่ กับเขา” เมื่อได้ยินคำว่า 'กับเขา' ดีนรู้สึกฉุน ขยับเท้าไปยืนขวางระหว่างเทปปันกับหนุ่มญี่ปุ่นเสียงไทยแปร่ง ๆ เอาไว้

“แม่ชีบอกผมเอาไว้ว่า ถ้าเจอคุณที่นี่ เทปปัน ผมจะพบคำตอบทุกอย่างที่เคยได้ถามคุณเอาไว้” ดีนหันไปมองเทปปัน “เขาถามอะไรปัน” ดีนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เมื่อกลั้นใจถามเทปปันไปแบบนั้น เทปปันลังเลอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตอบดีนออกไปว่า “เรื่องไปอยู่กับเขาที่ญี่ปุ่น หลังเรียนจบ” ดีนใจหล่นวูบเมื่อได้ยินแบบนั้น

“โอเนไง ชิมัส” ทาเคชิพูดขึ้น บอกว่าจากนี้รบกวนด้วย “ไดโจบุ เดสกะ” ก่อนที่หนุ่มญี่ปุ่นจะถามขึ้นอีกครั้ง ว่าเป็นอะไรไหม ทำได้ใช่มั้ย เมื่อเขามองไปที่ดีน แล้วหันกลับมาสบตากับเทปปัน “อิ เดสกะ” ทาเคชิถามเทปปันว่า ได้ไหม สายตาของดีนมีความช้ำใจอย่างเห็นได้ชัด เทปปันเองก็มีแต่ความหวั่นไหวในสายตาตอบกลับดีนไป นี่หรือ คือสิ่งที่แม่ชีต้องการให้พวกเขามาเจอ

***************************************

คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=zh8hZD39aK0


ไม่ใกล้เคียงใช่ไหม อะไรที่ฉันเป็น

Not even close, isn’t it? The way that I am

ไม่ค่อยเหมือนใจเธอเท่าไรใช่หรือเปล่า

Not what you’ve imagined who you think I’ll be

ที่เธอฝันในใจกับเรื่องจริงของเรา

In your dreams and things going on between us

ผิดหวังบ้างหรือเปล่าที่รักกัน

Are you disappointed; we are in love?


ที่ตัวเธอนั้นฝันสักวันจะพบใคร

What do you dream about meeting someone?

ที่ดีพร้อมที่ได้อย่างใจมารักกัน

A perfect man that you can deeply fall for

กลับได้พบแค่คนที่มีไม่ครบครัน

Yet, it’s me lacking many things

อย่างฉันคนนี้ คนนี้ที่เคียงข้างเธอ

Yes, I am – the one that’s beside you


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone


จะแทนกันได้ไหมกับใครในฝันเธอ

Will you let me be there instead of that man you wish for?

ด้วยชีวิตที่มีให้เธอเสมอไป ที่จะรักแค่เธอที่สุดในหัวใจ

With my life always with you, you’re the apple of my eye

ตอบฉันได้ไหมว่าฉันเพียงพอหรือเปล่า

Please tell me that I am good enough for


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone


หากว่าเธอไปค้นเจอ ว่าใครที่รักเธอมากกว่าฉัน

If one day you’ll see that someone love you more than I do,

จะทิ้งกันก็เข้าใจ

I’ ll get it that you’ll walk away


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do best


แต่ที่เธอฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว ถ้าแม้ลำบากใจ

What you dream I may not be if that bothers you

วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

One day you’ll leave me, I totally get it

แต่ถ้าจะขอ ให้ฉันรักเธอเสมอ

But if you ask me to love you like I always have

ให้รักเธอหมดใจ ฉันก็ทำเพื่อเธอเสมอมา ตลอดไป

To have and to hold, my love, I do that every day and forever

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด