พิมพ์หน้านี้ - ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๔. คิดถึงคนที่จากไป ๑๒/๖/๒๕๖๖

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: KADUMPA ที่ 07-11-2022 17:46:29

หัวข้อ: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๔. คิดถึงคนที่จากไป ๑๒/๖/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 07-11-2022 17:46:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑. (๗/๑๑/๒๕๖๕)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 07-11-2022 17:47:15
บทที่ ๑. ความคิดถึงเดินทาง

๒๕๖๕

2022



“มาครบกันแล้วใช่มั้ย ทุกคนพร้อมนะ งั้นเรามาเริ่มซ้อมบทกันเลยดีกว่า” เสียงรุ่นพี่ปีสี่ ที่เป็นผู้กำกับการแสดงร้องบอก เมื่อเห็นว่า เวลามันล่าช้าไปกว่าที่ตั้งเอาไว้มากแล้ว “ยังขาดนางเอกอีกคนครับ ไม่รู้หายไปไหน โทรตามก็ไม่รับสาย ติดต่ออะไรไม่ได้เลย” หนึ่งในทีมงานบอกปัญหาที่ทีมงานกำลังประสบอยู่ให้ผู้กำกับรับรู้

“เฮ้ยอะไรวะ” ผู้กำกับพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “เมื่อวานก็เห็นรับปากเอาไว้อย่างดิบดี ทำไมเป็นอย่างนี้อีกแล้ววะ” คำว่า 'อีกแล้ว' ที่ท้ายประโยคของผู้กำกับ ทำให้ทุกคนในทีมงานหันมามองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก เพราะคำพูดนั้นมันทำทุกคนที่พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง เรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า มันคืออาถรรพ์ของละครคณะ ที่ต้องเกิดขึ้นทุกปี

“มึงโทรตามอีกทีซิ” รุ่นพี่ผู้กำกับชี้นิ้วสั่งทีมงานรุ่นน้องให้ติดต่อนักแสดงนำคนสำคัญอีกครั้ง ก่อนจะเห็นรุ่นน้องที่กดโทรศัพท์หานางเอกประจำเรื่อง ส่ายหน้ากลับมา เมื่อปลายสายเปลี่ยนจากไม่มีคนรับสาย เป็นติดต่อไม่ได้ เพราะได้ปิดเครื่องไปแล้ว “มันอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย” อาการหัวเสียของผู้กำกับ ทำเอาบรรยากาศตึงเครียดไปทั้งกองถ่าย

“โคตรสียเวลากูมากเลย มึงรู้มั้ย” ดีน หนุ่มฮอตปี 4 อดีตเดือดมหาวิทยาลัย ผู้มารับบทพระเอกของเรื่อง ในละครเวทีงานครบรอบมหาวิทยาลัยพูดขึ้น พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างจงใจให้รู้ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เฮ้ย ดีน ใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวกูรีบเคลียร์ตรงนี้ให้ ใจเย็น ๆ” ผู้กำกับจากต่างคณะกัน ที่เป็นคนดึงตัวดีนให้มาร่วมแสดงในงานนี้ด้วย รีบพูดขึ้น

“กูไม่สามารถเสียนักแสดงเพิ่มได้แล้วว่ะ” ผู้กำกับพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “แล้วจะเอายังไงต่อ” ดีนถาม ผู้กำกับทำหน้าแหย ๆ ก่อนทำท่าครุ่นคิด เมื่อรุ่นน้องในทีมงานยืนยันมาอีกครั้งว่า นางเอกของเรื่องปิดโทรศัพท์มือถือไปแล้ว แถมยังเห็นมีเรื่องที่ส่งต่อกันในโซเชียลว่า นางเอกละครเวทีคนนี้ กำลังมีเรื่องคลิปหลุดอะไรทำนองนั้น

“นี่พวกมึง ที่กูบอกให้ไปไหว้เจ้าที่ พวกมึงทำกันแล้วใช่มั้ย” ผู้กำกับเริ่มหันไปหาเรื่องทีมงาน ที่ต่างพากันบอกว่า ได้ทำทุกอย่างตามที่รุ่นพี่ผู้กำกับสั่งแล้ว “อาถรรพ์จริง ๆ ด้วย แน่ ๆ เลย มันเกิดขึ้นทุกปีสิน่า อย่างที่เขาพูดกัน เมื่อปีที่แล้ว นางเอกก็ถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว มาซ้อมบทไม่ได้อย่างนี้เลย” ดีนหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินทีมงานพูดแบบนั้น ทำเอาหลายคนพูดลอย ๆ ขึ้นมา

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องหัวเราะก็ได้” หนึ่งในทีมงานรู้สึกไม่พอใจที่เห็นท่าทางแบบนั้นของดีน “งมงาย” ดีนขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงใส่ทีมงาน แบบให้มั่นใจว่า ทุกคนอ่านริมฝีปากของเขาออก “ดีน มันเรื่องจริงนะเว้ย มึงน่ะโชคดีที่เล่นเป็นพระเอก เพราะเรื่องราวซวย ๆ มันเกิดกับคนที่มารับบทเป็นนางเอกเท่านั้น” รุ่นพี่ผู้กำกับที่ตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนมาตอนนี้ เขาชักจะมั่นใจแล้ว

“เอายังไงกันดีวะ พวกมึง ช่วยกูคิดหน่อย” รุ่นพี่ผู้กำกับถามทีมงาน “นี่ถ้ากูทำละครเวทีครั้งนี้ล่ม อาจารย์เล่นงานกูยับแน่” รุ่นพี่ผู้กำกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเกาศีรษะแรง ๆ ด้วยเผื่อว่า มันจะทำให้เขาคิดหาทางออกได้ “หานางเอกใหม่ทันมั้ยพี่” ใครอีกคนในทีมงานถามขึ้น ก็เมื่อมันเป็นแบบนี้ ก็หาคนอื่นมาแทน

“นางเอกคนนี้ คือคนเดียวที่ตกลงกล้ารับเล่น เผื่อพวกมึงจะไม่รู้ กูเนี่ยแทบจะไล่กราบนักศึกษาสวย ๆ ทั้งมหาวิทยาลัยของเรา เพื่อให้มาแสดงเรื่องนี้ แล้วพวกมึงคิดว่า กูจะไปหานางเอกคนไหนมาได้อีก ยิ่งถ้าทั่วทั้งมอรู้กันหมดเรื่องคลิปหลุดนี่เข้าไปอีก ใครจะยอมมาเล่นวะ” รุ่นพี่ผู้กำกับร่ายยาว กว่าเขาจะหานางเอกมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น

“งั้นก็เปลี่ยนบท แบบ ให้เป็นนายเอกไปเลยพี่” รุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งเสนอขึ้น หลาย ๆ คนพากันคิกคักกับความเห็นนี้ “มันกำลังมานะเว้ย สมัยนี้ ยังไงก็ต้องวายป่ะวะ มีหนังวาย ซีรี่ส์วายแล้ว ละครเวทีวายก็ต้องมาแล้วมั้ย โปรโมทไปเลย ว่าปีนี้ละครมหาวิทยาลัยเน้นเป็นการตระหนักรู้และความเข้าใจเรื่องของแอลจีบีทีคิวพลัส อีกอย่างพอเราเปลี่ยนมาเป็นนายเอก ไม่ใช่นางเอก อาถรรพ์อะไรนั่น ก็คงไม่มีแล้วมั้ง หรือไงวะ” มาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนฟังแล้วก็เริ่มคล้อยตาม

“กู แม่ง ต้องแก้บทอีก แต่ แล้วจะเอาใครมาเล่นวะ” สิ้นสุดเสียงถามของรุ่นพี่ผู้กำกับ “ผมเอาเอกสารจากอาจารย์มาพี่เซ็นครับ” ทุกสายตาหันมองไปทางต้นเสียงของผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ “เออ วางไว้ก่อน เดี๋ยวกูเซ็นให้” รุ่นพี่ผู้กำกับพูดแบบขอไปที เพราะกำลังพยายามใช้ความคิดอยู่

“แต่อาจารย์ต้องการให้พี่เซ็นชื่อเดี๋ยวนี้นะครับ เรื่องใช้อาคารสถานที่” คนที่เดินเอาเอกสารมาให้ ยังไม่ลดความพยายาม “ก็กูบอกว่า” รุ่นพี่ผู้กำกับหันมา กำลังจะตวาดใส่ เมื่อโดนเซ้าซี้ไม่เลิก แต่พอเห็นว่าเป็นใคร ที่เอาเอกสารมาให้เขาเซ็น ก็พาให้ทุกคนตรงนั้น เริ่มสะกิดสะเกากันให้หันมามองดูด้วย

“ไอ้ปัน” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับเรียกชื่อคนที่มาใหม่ “กูเป็นรุ่นพี่คณะมึง กูสั่งอะไร มึงต้องทำ มันคือคติประจำคณะเรา มึงจำได้ใช่มั้ย” พูดจบรุ่นพี่ผู้กำกับก็คว้าแขนของดีนและปันไว้คนละข้าง ก่อนจะดึงตัวทั้งสองคน เดินตามเขาขึ้นไปที่ด้านบนเวที “อะไรเนี่ยพี่” ปันร้องเสียงหลง ก่อนจะเห็นดีนหันมองมาทางเขาแวบหนึ่ง

“เทปปัน มึงยืนตรงนี้” รุ่นพี่ผู้กำกับจัดแจงกำหนดจุดที่จะให้นักแสดงยืนตอนแสดงจริง “ส่วนไอ้ดีน มึงยืนตรงนี้” แล้วกำหนดตำแหน่งที่ยืนของดีนตามมา “หันหน้ามามองกัน” รุ่นพี่ผู้กำกับสั่ง ภาพที่ทุกคนตรงนั้นเห็น ต่างพากันพยักหน้า “ว่าไงพวกมึง” รุ่นพี่ผู้กำกับหันมาถามกับทีมงาน

“ดูความต่างของความสูงนั่นสิ นั่นมันเมะเคะวายในตำนานชัด ๆ” ทุกคนใช้สายตาวัดระดับความสูง แล้วก็ยิ้มไม่ได้ เมื่อศีรษะของปันอยู่แค่ปลายคางของดีนเท่านั้น ทีมบทส่งเสียงวี้ดว้ายกัน เมื่อนึกถึงฉากหนึ่งที่ต้องเข้าพระเข้านางกัน แล้วพระเอกต้องก้มตัวเข้าหานางเอก ถ้านักแสดงความสูงต่างกันแบบพอเหมาะพอเจาะแบบนี้ มันก็ตรงตามที่ทีมเขียนบทวางไว้เป๊ะ ๆ

“พี่ผมไม่เล่น” ปันส่งเสียงประท้วง รุ่นพี่ผู้กำกับรีบส่งเสียงห้ามแกมบังคับ “ดีน กูจะเปลี่ยนให้มันเป็นละครวายแทน มึงไม่มีปัญหาอะไรนะ แล้วนี่ไอ้เทปปันรุ่นน้องปีสามที่คณะกูเอง หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักคนนี้แหละ นายเอกคนแรกของมึง” ดีนมองไปที่เทปปัน นึกขำกับชื่อของอีกฝ่าย “แค่ชื่อก็น่ากินแล้ว หิวเลยเนี่ย” ปากนั้นไวกว่าความคิด พูดออกไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว

“ไอ้สัสดีน หยอกนายเอกกูตั้งแต่วันแรกเจอเลยหรือ ดี สลายพฤติกรรมกันตั้งแต่เริ่ม เวลาเล่นจริงจะได้ไม่เขินกัน ว่าแต่ มีใครถ่ายคลิปไว้ทันมั่งมั้ยวะ เผื่อกูจะเอาไว้โปรโมท” เสียงผู้กำกับพูดติดตลก ก่อนจะมีทีมงานยกไม้ยกมือ ให้รู้ว่า ทุกอย่างได้ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว

“กูแค่พูดเล่นมั้ย” ดีนแก้ตัว แต่ยังไม่ละสายตาจากเทปปัน จน คนชื่ออร่อยน่ากิน ต้องเสหันไปมองทางอื่น เพราะรู้สึกประหลาดกับสายตาแบบนั้น “ดีน กูขอคิวมึงตามเดิมนะ” รุ่นพี่ผู้กำกับรีบรวบรัดตัดความ เมื่อเห็นว่าดีนไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเปลี่ยนบทและตัวนักแสดงนำ “ส่วนปัน เดี๋ยวกูส่งคิวให้ มึงมีหน้าที่ทำตัวให้ว่างตามทุกคิวที่กูบอก แค่นั้น” ปันพยายามจะทักท้วง แต่รุ่นพี่ก็ยังยืนยันตามเดิม

“แล้วนี่เราจะไม่ลองซ้อมกันซักซีนสองซีนหรือ ไหน ๆ ก็ครบทีมกันแล้วนี่” ดีนที่เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนใจของปัน ก็นึกอย่างจะแกล้งขึ้นมา ปันหันมาขมวดคิ้วใส่ดีน ที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยิ่งเห็นท่าทางไม่พอใจจากปัน ดีนก็ยิ่งนึกสนุก อยากจะทำให้อีกฝ่ายได้อายมากขึ้น

“เออ ก็ดีนะ” รุ่นพี่ผู้กำกับเห็นด้วย ก่อนทีมบทจะบอกว่าให้ลองเล่นซีนไหน ดีนที่เคยอ่านบทมาแล้ว พอจะรู้ซีนที่ว่านี้คร่าว ๆ ผู้กำกับอธิบายว่าตัวละครของปันกำลังรู้สึกโกรธตัวละครของดีนอยู่ พูดเท่านั้น ก็บอกให้ดีนเล่นไปได้เลย เพราะดีนจะเป็นตัวนำในฉากนี้ จากนั้นผู้กำกับก็บอกว่าจะลงไปดูที่ด้านล่างเวที ก่อนจะวิ่งลงไป

ปันไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี เขาไม่เคยคิดที่จะมาทำอะไรแบบนี้ การแสดงออกต่อหน้าผู้คน ถ้าอยู่ในกลุ่มเพื่อน มันก็เป็นแค่เรื่องสนุกสนาน ตลกเฮฮากันไป แต่นี่ มันคืองานใหญ่ของมหาวิทยาลัย ที่จะมีการขายบัตรเข้าชมการแสดง แถมเปิดให้คนนอกเข้ามาร่วมงานได้ด้วย ในหอประชุมที่จุผู้ชมได้หลายพันคนแบบนี้

ดีนที่เห็นว่าปันยืนไกลจากจุดมาร์คบนพื้นแบบนั้น ก็ขยับเดินเข้าไปใกล้ เขาเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งตัวขึ้น ท่าทางไปไม่เป็นแบบนั้น ทำให้เขาต้องรีบซ่อนความสะใจเอาไว้ในใบหน้า เสียงตะโกนบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในซีนนี้ดังออกจากปากรุ่นพี่ผู้กำกับ ฉากนี้เป็นหนึ่งในฉากสำคัญ เป็นซีนอารมณ์ให้ทุกคนเงียบเสียง ก่อนจะบอกให้ดีนดึงตัวของปันเข้ามากอด

“เดี๋ยวพี่ ต้องกอดด้วยหรือ” เทปปันร้องถามเสียงหลง “มันคือเลิฟซีน” ดีนบอกกับปัน ลงใจจะกระตุ้นให้อีกฝ่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าเขาบอกออกไปตรง ๆ ว่าไม่อยากเล่นกับปัน เพราะว่าปันเป็นผู้ชาย เขาคงโดนประณามอย่างแน่นอน สู้ให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ควรเข็นแนวคิดนี้ เพราะมันไปไม่รอด ได้เห็นมันกับตาของตัวเองจะดีกว่า ว่าปันไม่มีทางทำมันออกมาได้ดีอย่างแน่นอน

“จบซีนด้วยการจูบ” ดีนพูดแหย่ปันเพิ่ม ปันยิ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ดีนยิ่งรู้สึกชอบใจ “ในบทต้องจูบจริง” ตอนนี้ปันหูอื้อได้ยินเสียงวิ้งดังลั่นไปหมด ไฟในหอประชุมดับลง เหลือเพียงไฟฟอลโลที่ส่องมาที่ดีนและปัน แต่แรกดีนตั้งใจที่จะแค่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับปันให้มากที่สุด เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายสติแตกแล้วร้องโวยวาย ไม่ยอมเล่นต่อ ไม่ยอมแสดงแล้วแบบนั้น

“ผมใช้เวลาตามหาคุณมานานแสนนาน” ดีนพูดไปตามบท ปันมองหน้าสบสายตากับดีน ความรู้สึกเหมือนกับต้องมนต์สะกด ปันยืนนิ่ง ไม่ขยับตัวหนี เมื่อดีนยื่นใบหน้าใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ “มันคงเป็นโชคชะตา หรือไม่ก็ฟ้าลิขิตเอาไว้ ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในชาตินี้” ไม่พูดเปล่า ไม่แต่เพียงยื่นหน้าเข้าใกล้เท่านั้น ดีนดึงตัวของปันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“จำผมได้มั้ย” เสียงพูดของดีน ปันเหมือนได้ยินมันมาจากที่อันแสนไกล เขาอยากจะแข็งขืนต่อการถูกดึงเข้าไปใกล้กับคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ราวกับว่า มันมีพลังดึงดูดบางอย่าง ที่ทำให้หัวใจของเขาไม่ต่อต้าน “ผมรักคุณ” ดีนพูดประโยคนั้นจบ แล้วความรู้สึกประหลาดก็แล่นเข้าสู่กลางหัวใจของเขา ดีนจ้องเข้าไปในดวงตาของปัน เขามองเห็นความหวาดหวั่นข้างในนั้น

ดีนโน้มตัวลงตามบท ที่เขาจะต้องจูบกับนางเอก ปันเห็นท่าทางนั้นของดีน เขาร้องอยู่ในใจให้ตัวเองปัดป้อง แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ มันอาจจะมาจากความโกรธที่เห็นว่าตัวเขากลับทำตรงกันข้ามกับที่ตัวเองสั่ง 'รอรับการจูบนั้น' ปันตกใจกับความคิดที่แล่นเข้ามาครอบทับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ตัวเขาปันสั่นเทิ้ม และดีนก็รับรู้ได้ ทีมงานที่อยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น กับเคมีที่เข้ากันอย่างลงตัวของคนทั้งคู่

“เดี๋ยวก่อน ไม่” ปันร้องห้ามออกมา ก่อนจะดันตัวให้หลุดออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย ดีนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกปฏิเสธ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ ทำไมเขาต้องผิดหวังกับท่าทีไม่ตอบรับของปันด้วย ทั้งรุ่นพี่ผู้กำกับและทีมงานทั้งหมดร้องฮือออกมาด้วยความผิดหวัง ที่ไม่ได้เห็นจุดไคลแม็กซ์ของฉากนี้

“เฮ้ย ไอ้สองคนบนเวทีน่ะ ทำไมไม่เล่นต่อให้จบฉาก” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับโวยวายดังลั่นมาจากข้างล่างเวที “กูยังไม่ได้สั่งคัทนะ” เสียงโวยวายนั้น ทำเอาทีมงานหัวเราะออกมาครืนใหญ่ แต่ท่ามกลางความขบขันของทุกคนที่ตรงนั้น สองคนที่ยืนอยู่บนเวที กับสิ่งที่คนทั้งคู่รับรู้ ไม่มีใครสังเกตเห็นมัน

“รู้สึกใช่มั้ย” ดีนถามออกมา มองหน้าของปันที่พยายามจะหลบสายตา “รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ย” ดีนถามย้ำ เมื่อปันหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินลงจากเวที ปันไม่รู้จะตอบดีนว่าอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถหาคำมาอธิบายอะไรได้ในตอนนี้ กับสิ่งที่เขารู้สึก รวมไปถึงภาพแปลก ๆ ที่แล่นผ่านมาให้เขาเห็น ภาพต่าง ๆ เหล่านั้น ที่เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

***********************************

แปลคำร้องภาษาอังกฤษโดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=vOFIxSQ2vi4

ยังเดินผ่านทุกวัน

Still walk pass there every day

ที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน

The place we used to meet back then

ยังจำซ้ำซ้ำได้ทุกตอน

Remember that like the back of my hand

ราวกับมีใครมาหมุนย้อนเวลา

As if someone made the time stand still



แต่ก็คงจะหมุนย้อนได้แค่ในความคิด

But that would only exist in my thought

ในชีวิตจริงคงไม่เจอกันอีกแล้ว

For real, there’s no chance I will see you again

ยืนอยู่ตรงที่เดิม

Standing here all alone

แต่ไม่มีวี่แวว

No sight of you

เธอจากไปแล้ว

You’ve already been long gone

และคงไม่ย้อนคืนมาหา

No way you would come back to me



ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้

Here’s my reminiscence that’s kept alive

เผื่อวันไหนเธอผ่านมา

Perhaps one day you’ll stroll along

เห็นที่เดียวกันนี้

At this very same place

เธอจะนึกขึ้นได้ว่า

Should you suddenly recall

เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ

There was me standing by your side

อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา

Always, and ever would be



ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้

You might recognize how I felt

อาจไม่เห็นได้ด้วยตา

And that might be invisible to naked eyes

ฉันจะฝากเอาไว้

I left it there

อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า

On all ground and up in the sky

มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า

A whisper to your very heart

ฉันยังรักเธอ

That I love you



อยากเจอเธอเหลือเกิน

I wish I could go see you

เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทาง

Before we took our separate ways

ฉันมีความคิดหลายหลายอย่าง

I had all these thoughts for words

หลายอย่างเหลือเกินที่ฉัน

So many, too many of them

ไม่ได้พูดไป

That were unspoken



แต่กลับมานึกขึ้นได้ในเวลานี้

Now, it’s all coming back to me

ในเวลาที่เธอเดินจากฉันไปแสนไกล

The day you walked away so damn far

หากเธอนั้นยังอยู่

If you stayed,

จะกอดเธอให้ชื่นใจ

I’d put you in my arms

และค่อยพูดออกไป

Then I’d say

ทุกสิ่งที่อยู่ในใจฉัน

Everything that my heart desires



ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้

Here’s my reminiscence that’s kept alive

เผื่อวันไหนเธอผ่านมา

Perhaps one day you’ll stroll along

เห็นที่เดียวกันนี้

At this very same place

เธอจะนึกขึ้นได้ว่า

Should you suddenly recall

เคยมีคนหนึ่งยืนข้างเธอ

There was me standing by your side

อยู่ตรงนี้เสมอตลอดมา

Always, and ever would be



ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้

You might recognize how I felt

อาจไม่เห็นได้ด้วยตา

And that might be invisible to naked eyes

ฉันจะฝากเอาไว้

I left it there

อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า

On all ground and up in the sky

มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า

A whisper to your very heart

ฉันยังรักเธอ

That I love you



ขอ ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้

I’m asking of you to feel how I feel

อาจไม่เห็นได้ด้วยตา

Take your heart to perceive mine

ฉันได้ฝากเอาไว้

What I’ve had for you

อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า

Upon this earth and up there in the sky



มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า

And that whisper goes …
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒. (๘/๑๑/๒๕๖๕)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-11-2022 14:53:04
บทที่ ๒. ใจกลางความรู้สึก



1994

2537



กั้งดันเทปคาสเซทเพลงอัลบั้มใหม่ปิดเข้าซาวเบาท์ที่เขาเพิ่งเก็บเงินซื้อมา ก่อนจะกดปุ่มเพลย์เพื่อเล่นเพลง เสียงพูดเหมือนบทพระสวดที่ต้นเพลง ดังขึ้นผ่านสายหูฟัง กั้งยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ มันเป็นอัลบั้มที่เขารอคอยที่จะได้ฟัง เพราะกว่าที่เขาจะเก็บเงินพอที่ซื้อซาวเบาท์มือสองเครื่องนี้ได้ครบ

พอเลิกเรียนวันนี้ กั้งก็ตรงไปที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ร้านที่เขาเทียวเวียนไปดูเครื่องเล่นเทปแบบพกพานี้อยู่บ่อยครั้ง กั้งแวะไปดู ไปสอบถาม ไปชวนคนขายคุย จนเจ้าของร้านที่เห็นว่าเขาอยากได้มันมาก บอกว่าจะเก็บเอาไว้ให้ ถ้ากั้งเก็บเงินซื้อได้ครบทันกำหนดที่ได้ตั้งกันไว้

จนเมื่อกั้งเก็บเงินจากค่าขนมไปโรงเรียนได้ครบ จะเรียกว่าอดกินของอร่อยมานานเลยก็ว่าได้ กั้งก็รีบไปที่ร้านนี้ ก่อนจะพาเจ้าซาวเบาท์เครื่องสุดที่รักนี้ ตรงดิ่งกลับมาที่บ้าน ก่อนจะเข้าห้องนอนปิดประตู ขังตัวเองอยู่กับความสุขในหัวใจที่กำลังเอ่อล้น ทั้งจากแววตาของกั้งเอง และจากหัวใจที่ปลาบปลื้มนี้

กั้งตื่นเต้นดีใจ ในมือของเขาถือปกเทปเอาไว้ เปิดดูเนื้อร้องของเพลงแรกในอัลบั้ม มันเป็นเพลงที่มีจังหวะคึกคัก ชวนให้ขยับแข้งขยับขาไปตามท่วงทำนองที่กวน ๆ นั้น กั้งกวาดตาดูเนื้อร้องทั้งหมดบนปกเทปไปอย่างเร็ว ๆ และรอให้นักร้องที่กั้งรู้สึกว่า เธอเท่ที่สุดในสายตาของเขา เริ่มร้องเพลงประโยคแรกของเพลง

'จะจองเวรไปถึงไหน วุ่นวายอะไรกันถึงนี่ วนวนเวียนเวียนอยู่แถวนี้ รื้อฟื้นอะไรกันยกใหญ่' กั้งร้องตามเนื้อเพลงบนปก ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอน เพื่อรอท่อนฮุคที่กำลังจะมาถึง ในเมื่อมีเขาคนเดียวที่อยู่บ้าน ดังนั้น กั้งจึงตะโกนออกมาจนสุดเสียง ร้องตามเนื้อร้องที่มี และโยกหัว ยักไหล่ ขยับเอวไปมา กระโดดโลดเต้นไปจนทั่วห้อง

โดยเฉพาะเมื่อถึงท่อนที่มีเสียงกีตาร์โซโล่ดังขึ้น กั้งเหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึก ให้นักร้องที่เขาชอบ เพลงที่เขาถูกใจ และดนตรีที่เขาปลาบปลื้ม ที่มันเล่นผ่านซาวเบาท์เครื่องแรกที่เขารักมาก นำพาเขาให้หลุดไปอยู่ในโลกที่มันมีแต่ความสุข มันช่างแสนสนุก และมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจ

กั้งกดกรอเทปกลับไปที่จุดเริ่มต้น และให้มันเล่นเพลงที่เขาชอบอีกหลายครั้ง และทุก ๆ ครั้ง เขาจะร้องตามไปอย่างมีความสุข ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่เขารัก มันคือความสุขที่เขาสามารถหามันมาได้จริง ได้ดื่มด่ำ เหมือนถูกโอบกอดด้วยเสียงดนตรี เป็นการบรรเทาเบาบางอะไรก็แล้วแต่ ที่เข้ามารบกวนจิตใจของตัวเอง

หลังจากนั้น กั้งก็ปล่อยให้เครื่องเล่นเพลง ได้เล่นผ่านเพลงในอัลบั้มนั้นไปเรื่อย ๆ แต่ละเพลงที่ผ่านไป กั้งยิ่งรู้สึกดีใจ ที่เขานั้นเก็บเงินซื้อทั้งเทปและเครื่องเล่นนี้มา ที่ก่อนหน้านี้ โลกของเขาภายในห้องนอนเล็ก ๆ ที่ดัดแปลงมาจากห้องที่เคยใช้เก็บเครื่องมือช่างของพ่อ มันเงียบเหงาและว้าเหว่มากจนเกินไป

“แม่ วันนี้มีอะไรกินบ้าง” กั้งที่ฟังเพลงจนจบทั้งอัลบั้มแล้ว ดูเวลา แม่น่าจะกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาจึงลงมาจากชั้นสองของบ้าน ก็เห็นแม่อยู่ในครัวพอดี กั้งไล่เปิดดูกับข้าวในถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวกลางหห้องครัวขนาดย่อมนั้น “เคาะประตูเรียกตั้งนาน ทำไมไม่ตอบ” เสียงถามนั้น ฟังดูขุ่นมัวอย่างชัดเจน กั้งเหลือบสายตามองเจ้าของคำถามแวบเดียว ก่อนจะหยิบแกงถุงมาแกะใส่ถ้วย

“ฟังเพลงอยู่ ไม่ได้ยิน” กั้งตอบคำถามนั้น “แกมีวิทยุหรือไง ถึงมีเพลงฟังได้” คำถามนั้นยังคงต่อเนื่อง “ซาวเบาท์” กั้งตอบ นึกหงุดหงิดเหมือนกัน ที่ถูกถามแบบนี้ต่อหน้าแม่ “ก็เก็บเงินซื้อมา เก็บเงินซื้อเอง มือสอง” กั้งตอบหญิงสาวที่ใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวฝั่งตรงข้าม

“รวยจังนะ” กั้งเงยหน้าขึ้นจ้องตากับพี่สาวของตัวเอง “เก็บตังค์เอา ค่อย ๆ เก็บ ออมจากค่าขนม” กั้งพูดช้า ๆ กึ่ง ๆ ให้พี่สาวรู้ว่า สิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร “ไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่” แม่ถามขึ้น เมื่อบทสนทนาระหว่างกั้งกับพี่สาว เรียกความสนใจจากแม่จนได้ “กั้งเก็บเงินมานานแล้ว เพิ่งได้ครบ เพิ่งไปซื้อวันนี้” กั้งปากก็ตอบแม่ไป แต่ก็มองหน้าพี่สาวด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

“แล้วฟังเพลงอะไร ร้องซะเสียงดังลั่นบ้าน เคาะเรียกก็ไม่ได้ยิน ฉันกลับบ้านมาปุ๊บ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย” พี่สาวของกั้งถามคำถามอย่างไม่ลดละ “พี่กุ้งนี่กลับถึงบ้านปุ๊บ อ่านหนังสือปั๊บเลยหรือ อัจฉริยะมาเกิดแน่ ๆ” เสียงพูดเหน็บแนมจากกั้ง ทำเอากุ้ง ผู้เป็นพี่สาวยืดหลังขึ้น หน้าเชิด เพราะรู้ว่ากำลังโดนน้องชายแดกดันเข้าให้

“อยากเป็นยู่ยี่หรือไง” สายตาของกุ้งที่มองมาที่กั้ง มีแววแห่งความขบขันอยู่ในที “ผมยาวตรง ตัดหน้าม้า ใส่ยีนขาด ๆ งี้ รึไง” กุ้งไม่ได้ปิดบังใด ๆ ว่าเขากำลังเย้ยหยันกั้ง “เป็นได้ก็ดี เป็นได้เหมือนคนเก่ง ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน” กั้งสวนกลับทันควัน และนั่นยิ่งทำให้กุ้งยิ่งไม่ลดราวาศอก

“อยากเป็นผู้หญิง” กุ้งยักไหล่ยักคอ เหมือนกำลังรอคำตอบจากกั้งให้พูดออกมา ส่วนกั้งนั้นความรู้สึกหน้าชาไปกับคำถามนั้น ที่มันฟังดูแทงใจดำของเขาอยู่แล้ว และนี่ คำถามนี้ ยิ่งมาถามต่อหน้าแม่แล้วด้วย “กั้งมันเป็นผู้ชาย มันจะเป็นผู้หญิงอะไรนั่นไปได้ยังไง” แม่พูดขึ้น ก่อนจะบอกให้กั้งตักข้าวใส่จานให้ทุกคน

“แม่ไม่เคยเห็นกะเทยหรือ” กุ้งเลื่อนจานข้าวที่กั้งเพิ่งส่งให้ มาไว้ที่ด้านหน้าของตัวเอง ก่อนจะทำท่าชี้นิ้วโบ้ยไปโบ้ยมาไปทางกั้ง “พูดจาอะไรเหลวไหล กินข้าวได้แล้ว กั้งนั่งลง กินข้าว” แม่พูดตัดบท ก่อนจะบอกให้กั้งนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กัน “แล้วถ้าแกอยากจะเอาอย่างผู้หญิงเก่ง ๆ จริง แกก็เอาแบบพี่กุ้งเขานี่” กั้งเม้มปากเขาหากันจนเป็นเส้นตรง กับอีกครั้ง ที่เขาได้ยินแม่พูดแบบนี้ จากนับครั้งไม่ถ้วน

“เรียนดี เอนทรานซ์เข้าคณะดี ๆ ได้ นี่แม่ยังเสียดายนะ ที่แก เจ้ากุ้ง ยอมสละสิทธิ์เรียนหมอ มาเรียนเภสัชนี่แทน” แม่ถอนหายใจ ที่เห็นลูกต้องเลือกเรียนคณะที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เพราะเธอเองมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในตอนนั้น “กุ้งไม่อยากให้แม่เหนื่อยนี่นา เนี่ย รีบเรียนให้จบ กุ้งจะได้ออกมาทำงาน หาเงิน ดูแลแม่” กั้งเหลือบมองกุ้งที่เอื้อมมือไปบีบมือแม่ โดยที่แม่ของเขา เริ่มมีน้ำหูน้ำตาให้เห็น

“แกจะเอาเยี่ยงเอาอย่าง ก็ทำให้ได้อย่างพี่กุ้งเขา แกจะเอนทรานซ์อยู่ ตั้งใจให้มาก ๆ” กั้งที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้น รู้สึกว่า รสชาติของแกงถุงที่เขาเพิ่งตัดเข้าปากไปนั้น มันช่างแย่มากจริง ๆ ในมื้อนี้ “แล้วแกคิดจะเอนทรานซ์เข้าคณะอะไร ให้ฉันช่วยอะไรบอกได้นะ ฉันยินดี” กุ้งหันมาตั้งหัวข้อการสนทนาเกี่ยวข้องกับกั้งอีกครั้ง

“นั่นสิ ไม่เห็นบอกให้แม่รู้บ้างเลย ว่าแกจะเรียนต่อคณะอะไร” แม่ถามกั้ง โดยที่กั้งมีอาการอึกอักที่จะพูดออกไปอย่างชัดเจน กุ้งแค่นหัวเราะออกมาอย่างสะใจ กั้งนั้นเผลอกัดกรามอย่างลืมตัว เหตุเพราะพี่สาวของเขารู้อยู่เต็มอก ว่าเขาต้องการเข้าเรียนที่คณะไหน มหาวิทยาลัยอะไร ยิ่งเมื่อวันก่อน มีอาจารย์จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่เพิ่งเปิดใหม่ มาบรรยายแนะแนวทางที่โรงเรียน

“แกเรียนสายวิทย์คณิตมา แกจะเลือกเรียนหมอก็ได้นะกั้ง เรียนแทนพี่กุ้งเขา ที่พี่เขาเสียสละไม่เรียน เพื่อตอนนั้นแม่จะได้ส่งทั้งแกทั้งพี่กุ้งเรียนไหว แต่ตอนนี้ ถ้าแกจะเรียนจริง ๆ ไม่ต้องห่วง แม่หาทางส่งแกเรียนได้” แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลังจากเคยผิดหวังกับลูกสาวคนโตมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะเข้าใจดีว่าเพราะอะไรก็ตาม

“เรียนอย่างอื่นดีกว่ามั้งแม่ ใช้เงินน้อย ๆ หรือกั้งก็ขอทุนเอา” แม่รีบโบกไม้โบกมือห้าม ตั้งแต่กั้งยังพูดไม่จบ “แกก็ดีแต่เถียงไปเรื่อย เหมือนพ่อแกไม่มีผิด รั้นอะไรไม่เข้าท่า ฉันบอกให้ทำอะไร ทำไมถึงต้องขวางโลกไปเสียทุกครั้ง” แม่พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ น้ำเสียงของแม่ยังคงชัดเจนว่า ยังเคืองพ่ออยู่ไม่เสื่อมคลาย

“แล้วแกอย่ามาพูดนะ ว่าพ่อแกดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพ่อแกดีจริง พ่อแกต้องทิ้งอะไรไว้ให้ฉันบ้างสิ ไม่ให้ฉันต้องก้มหน้าทำงานงก ๆๆ แบกภาระ แบกหนี้ทุกอย่างที่พ่อแกสร้างเอาไว้อยู่คนเดียวแบบนี้ มันต้องทิ้งสมบัติ เงินทองเอาไว้ให้กันบ้าง แต่นี่อะไร ไม่มี ไม่มีเลย” โต๊ะกินข้าวของสามแม่ลูก เงียบสงัด เสียงพูดของแม่สั่นเครือ มันเจือไปทั่วด้วยความโกรธ น้อยใจ เสียใจ และหวั่นไหวอยู่ในที

“ถ้างั้น แกฟังฉันนะ กั้ง” แม่พูดโดยไม่หันมามองกั้ง แต่ทั้งเขาและกุ้งพี่สาวได้เห็นคือ น้ำตาที่ไหลลงมาบนใบหน้าของแม่ “แกตั้งใจเอนทรานซ์เข้าหมอให้ติด ไม่ใช่แค่พยายามนะ แต่ต้องสอบให้ติด ต้องเข้าไปเรียนแทนพี่แกให้ได้ เอามหาวิทยาลัยดี ๆ เวลาใครถามฉัน ว่าแกเรียนที่ไหน ฉันจะได้บอกเขาได้แบบไม่อายปาก” แม่ใช้นิ้วปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ออกจากแก้ม

“ฉันเองก็ไม่อยากที่จะต้องเหนื่อยอยู่อย่างนี้แล้ว ทุกวันนี้ ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้แกได้มีโอกาสมากกว่าใคร ๆ มากกว่าฉัน มากกว่าพี่สาวแก นี่แกฟังฉันอยู่ใช่มั้ย” แม่ถามกั้งเสียงเครียด กุ้งกลั้นขำ กั้งพยักหน้ากับแม่ “ตอบฉันสิ พูด ไม่ใช่พยักหน้า ฉันถามแกว่า ที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี่ ที่ฉันปากเปียกปากแฉะพร่ำสอนแก กั้ง แกเข้าใจใช่มั้ย” แม่หันมามองหน้ากั้งในที่สุด

“กั้งเข้าใจแล้วแม่” กั้งหันไปสบตากับแม่ ก่อนจะก้มลงมองข้าวในจานของตัวเอง ที่แทบจะไม่พร่องลงไปเลย ก่อนที่เขาจะได้ยินแม่ของเขาพูดถึงลูกของป้า ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับเขาอีกว่า “กุ้ง แกจำพี่พลอย ลูกป้าจิตต์ได้มั้ย นั่นน่ะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษแล้วนะ เห็นบอกว่าจะเรียนสองปี มันเรียนอะไรนะ” แม่ถามขึ้น กุ้งตอบแม่ไปว่า พี่พลอยที่เป็นลูกพี่ลูกน้องนั้น เรียนจบป.ตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์

“เออ มันเก่งมากเลยนะ แถมยังขวนขวายหาทางไปเรียนต่อโทเมืองนอกเมืองนาได้อีก ลูกบ้านป้าจิตต์สามคน ได้ดิบได้ดีกันทุกคน นี่ป้าจิตต์เล่าให้ฟังว่า ไปเรียนนี่ ไปเรียนด้วยกันกับเพื่อน มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วยกันอีกคนหนึ่ง ก็ดีนะ ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีเพื่อนไปด้วย จะได้ไม่เหงา”

“แต่ป้าจิตต์นี่ก็นะ อวดลูกตัวเองมากจนเกินไป ทำข้ามหน้าข้ามตาลูกบ้านคนอื่น น่าเกลียดไปหน่อย ฉันรึ ก็อยากจะบอกตอกหน้าแกกลับไปเหมือนกันแหละ แต่ติดตรงที่ กับแกนะ กุ้ง ฉันน่ะไม่ห่วงหรอก จะมีก็แต่ไอ้กั้งนี่แหละ อยากจะให้มันได้ดิบได้ดี จบเป็นหมงเป็นหมออะไรไป บั้นปลายชีวิตเผื่อฉันจะฝากผีฝากไข้กับมันได้บ้าง ก็ไม่รู้ว่า มันจะทำให้ฉันได้สักกี่มากน้อยกัน”

“เอ้า จะกินมั้ยน่ะ ข่าวน่ะ นั่งเขี่ยอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่กินก็ไปซะ อย่ามานั่งขวางหูขวางตาอยู่ ไป เก็บล้างให้เรียบร้อย ทำไมฉันต้องพูดบอกแกเยอะแยะตลอดเวลาด้วย อะไรที่ต้องทำ ทำไมถึงไม่รู้ตัว ไม่รู้เอาเองบ้าง” แม่เอ็ดตะโรใส่กั้ง ที่เห็นเขานั่งใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจานตรงหน้าไปมา ก่อนสุดท้ายจะเอ่ยปากไล่กั้งให้กลับเข้าห้องไป

กั้งปิดประตูห้องนอนตามหลัง ก่อนจะลงกลอนให้เสียงแผ่วเบาที่สุด เขาเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่บนเตียงนอน ภาพสีหน้าประหนึ่งว่าสาแกใจนักหนาของกุ้ง ที่เห็นน้องชายโดนแม่เล่นงาน มันติดตากั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันคือสิ่งที่ติดค้างในใจของเขามาตั้งแต่จำความได้ มันมีแต่ความสงสัย ว่าทำไม ทำไม เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน

คืนนั้น กั้งเสียบหูฟัง ปล่อยให้เพลงจากเทปคาสเซทที่เขาเพิ่งซื้อมากับซาวเบาท์เครื่องใหม่ ส่งผ่านเสียงเพลงให้ขับคลอวนไปมา กับเพลงที่เขาชื่นชอบ กั้งกรอมันกลับไปมา ฟังซ้ำ และวนกลับไปฟังมันอีกครั้ง จนพลังจากถ่านไฟฉายที่ขับเคลื่อนซาวเบาท์เริ่มอ่อนแรง และตัวของเขาเอง ที่จิตใจโรยรา ได้หลับไปทั้งน้ำตาในยามดึกดื่นเที่ยงคืน ของค่ำคืนนั้น

*********************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=CHNO85mTJAI&list=OLAK5uy_kpiyWZXbcwH9C_smMK80qvWpGhu_UVTtM


จะจองเวรไปถึงไหน

Vindictive much?

วุ่นวายอะไรกันถึงนี่

Keep stirring things up

วนวนเวียนเวียนอยู่แถวนี้

Been around here too much

รื้อฟื้นอะไรกันยกใหญ่

Say there’s so much to talk


ไม่มีอะไรต้องรื้อฟื้น

Nothing really needs to talk about

ไม่มีอะไรต้องเริ่มใหม่

None needs to get restarted

ที่เคยทำอย่างไรไว้

Whatever that happened before

อโหสิกรรมให้ทุกอย่าง

I say we’re all even


ก็จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด

Be happy and live well

อย่าเบียดเบียนกันและกันเลย

Don’t take advantage of one another

ไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด

Stay in the right place

อย่าเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเลย

Keep all the bad karma away


จะจองเวรไปถึงไหน

Revenge, why now?

เลิกแล้วต่อกันไปซะเถอะ

Just give it all up

อะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ

There’re so many things to do

แยกย้ายไปทำกันซะไป

Let’s part ways, shall we?


ก็จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด

Sleep soundly and peace out!

อย่าเบียดเบียนกันและกันเลย

Leave other people alone

ไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิด

Be where you are pleased

อย่าเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเลย

Stop all negative energy out there


จะจองเวรไปถึงไหน

Tit for tat, what for?

เลิกแล้วต่อกันไปซะเถอะ

Call a truce, can’t we?

อะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ

So much left to see in the world

แยกย้ายไปทำกันซะไป

Get a life, don’t you think?
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓. (๙/๑๑/๒๕๖๕)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 09-11-2022 17:33:53
บทที่ ๓. ความคิดถึงกลับมา



2565

2022



“คุณเจ็บหรือเปล่า” หนุ่มใหญ่รูปร่างกำยำสมส่วนถามขึ้น ก่อนที่เขาจะขยับถอนตัวออกจากอีกฝ่าย ที่กำลังลดขาทั้งสองข้างลงวางกับพื้น แล้วลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียงนอน หนุ่มใหญ่คนนั้นดึงกระดาษาทิชชูออกจากกล่อง ก่อนจะใช้มันพันแล้วถอดอุปกรณ์ป้องกันที่มีน้ำสีขาวขุ่นขังแน่นอยู่ในนั้นออก

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค” ตฤณตอบกลับเบา ๆ เมื่ออีกฝ่ายนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ทำท่าจะครอบปากลงที่ส่วนความเป็นชายของเขา เพื่อต้องการจะปลดเปลื้องอารมณ์ให้ “ผมเข้าห้องน้ำก่อน” นฤเบศ หนุ่มใหญ่เจ้าของห้องเพ้นท์เฮ้าส์ราคาแพงระยับใจกลางกรุงเทพฯ พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมองตามร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย เดินเข้าห้องน้ำไป

ตฤณเปิดน้ำจากเรนชาวเวอร์ ให้ไหลผ่านผมที่เขาเพิ่งไปตัดมาใหม่ ที่มันสั้นจนเกือบเกรียน น้ำที่เย็นจัด พอจะทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ตฤณพ่นลมหายใจเบา ๆ ออกจากปาก ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นรับน้ำเย็นจัดนั้น ให้กระทบกับใบหน้าของเขาตรง ๆ ตฤณค้างตัวอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนจะผลักก๊อกน้ำให้กลับขึ้นที่เดิม น้ำจากเรนชาวเวอร์หยุดไหล ตฤณมองหาผ้าขนหนู แต่ก็ไม่พบ

“เช็ดตัวครับ” นฤเบศพูดพร้อมยื่นผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่หนาหนุ่มให้ เมื่อตฤณเลื่อนบานประตูกระจกฝ้านั้นออกมา ตฤณรับมันมาพันรอบตัว ต่อหน้าหนุ่มใหญ่ที่มองเขาด้วยสายตาพึงใจ “คุณผอมไปนะ” หนุ่มใหญ่มองตามอีกฝ่ายที่เดินไปกองเสื้อผ้าบนพื้นห้อง ก่อนจะหยิบกางเกงยีนสีซีดขึ้นมาเริ่มสวม

“ไม่หรอก กางเกงยังคับอยู่เลยนะ” ตฤณทำพูดติดตลก นฤเบศเดินเข้าไปหา ทั้ง ๆ ร่างกายที่ยังเปลือยเปล่าอยู่ “ยังไม่กลับได้หรือครับ” หนุ่มใหญ่ขอร้อง ก่อนเอื้อมแขนทั้งสองไปรั้งเอวของตฤณไว้จากทางด้านหลัง เจ้าของเอวสวมเสื้อเชิ้ตเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ติดกระดุม “คุณก็ยังไม่เสร็จเลย” หนุ่มใหญ่ก้มลงจูบเบา ๆ ที่ต้นคอของตฤณ

“ให้ผมช่วยนะ” นฤเบศทำเสียงอ้อนให้อีกฝ่ายอยู่ต่อ ให้ค้างคืนกับเขาที่นี่ “เสร็จในปากผมก็ได้ คุณชอบไม่ใช่หรือ” ตฤณหลับตาเมื่ออีกฝ่ายประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา “ดูของผมสิ ตื่นอีกแล้ว” ตฤณหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่านฤเบศไม่ได้แค่พูดเล่น ก่อนหนุ่มใหญ่จะเอามือของตฤณไปจับทดสอบความแข็งแกร่งของแก่นกายนั้น

“ตฤณ” หนุ่มใหญ่เรียกชื่ออีกฝ่าย เมื่อรับรู้ถึงมือนุ่ม ๆ ที่รูดขึ้นลงบนความเป็นชายนั้น “อย่าแกล้งผมแบบนี้สิ” แทนที่ตฤณจะสานต่อจนเลยเถิดไปถึงขั้นไหน ๆ เขากลับหยุด ปล่อยให้ความแข็งขันนั้นเป็นอิสระ แล้วสวมเสื้อผ้าของตัวเองต่อจนเสร็จ “คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบหลับบนเตียงคนอื่น” ตฤณพูดพลางมองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง นฤเบศมองตามอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่ยังค้างคา

“ว้าว” ตฤณหยิบโทรศัพท์มือถือของเขา หย่อนมันใส่กระเป๋ากางเกงยีน ก่อนจะหันมาหัวเราะเบา ๆ เมื่อหันมาเห็นว่า นฤเบศยังคงปึ๋งปั๋งไม่ลดลงเลย “ได้ใช้ตัวช่วยอะไรไปบ้างครับเนี่ย” ตฤณพูดหยอกกับเจ้าของห้องเพ้นท์เฮ้าส์ไปอย่างนั้น แต่เขาก็รู้ว่า กับผู้ชายอายุขึ้นเลขห้าแล้ว นฤเบศถือว่าดูแลรักษาสุขภาพ และปั้นหุ่น รักษากล้ามท้องได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่ง

“งั้นคุณก็ต้องอยู่พิสูจน์แล้วล่ะ” นฤเบศตอบกลับ แต่เขาก็รู้ดี ว่าถ้าลองว่าตฤณไม่ตอบตกลงว่าจะทำ ยังไงเสีย ตฤณไม่ยอมทำอย่าแน่นอน ก็ดูอย่างทรงผมสั้นเกือบกุดนี่ปะไร ใครเลยจะห้ามได้ ทั้ง ๆ ที่นฤเบศชอบผมสลวยดำขลับของตฤณมากกว่า เหมือนตฤณจะรู้ว่านฤเบศอยากจะพูดอะไร เขาเอามือลูบผมสั้น ๆ ของตัวเอง ก่อนจะพูดว่า

“ปีนี้ผมสี่สิบห้าแล้ว ไม่ไหวแล้วล่ะ กับทรงผมเกาหลีแบบที่เคยตัดมา” และเช่นกัน นี่เป็นวิธีการเลี่ยงเรื่องที่ตฤณไม่อยากพูดเช่นกัน และนั่นก็คือ เขาไม่อยู่ขึ้นเตียงกับหนุ่มใหญ่กล้ามสวย เจ้าของห้องพักหรูหราแพงระยับในคืนนี้อีกครั้งอย่างแน่นอน “ให้ผมขับรถไปส่งคุณที่คอนโดนะ” ตฤณส่ายหน้าปฏิเสธขณะสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง มันแทบจะลืมสีขาวที่มันเป็นตอนตฤณซื้อมันมา แต่มันทนทาน ใส่สบาย และตฤณก็รักมันมาก

“งั้นคุณเอารถผมไป” นฤเบศกำลังจะเดินไปหยิบกุญแจรถให้ “ไม่เอาครับ” ตฤณพูดสั้น ๆ เรียบ ๆ และเขาหมายความตามนั้น “ถ้าผมจะต้องอด” นฤเบศพูดขึ้น ชี้นิ้วไปที่ส่วนกลางกายของเขา ที่อ่อนตัวลงแล้ว “คุณก็ต้องพบกันกับผมครึ่งทาง” นฤเบศยื่นคำขาด เมื่อเห็นตฤณกำลังจะเปิดประตูออกจากห้องชุดสุดหรูของเขาไป

“คุณตฤณจะให้ผมขับรถไปส่งที่คอนโดเลย หรือว่า คุณตฤณอยากแวะซื้อของหรือทำธุระที่ไหนก่อนมั้ยครับ” สุดท้าย ตฤณก็ยอมให้คนรถของนฤเบศขับรถคันหรูมาส่ง “ไปที่คอนโดเลยก็ได้ ขอบคุณครับ” ตฤณตอบขอบคุณคนรถไปอย่างสุภาพ ก่อนจะนั่งไปในรถแบบเงียบ ๆ สายตามองออกไปที่การจราจรด้านนอก มองดูรถราที่ขวักไขว่ และความเปลี่ยนแปลงไปของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ

ขับรถมาอีกพักใหญ่ ๆ ฝ่าการจราจรที่ไม่ค่อยหนาแน่นมากนัก ในเวลายามเย็นของวันอาทิตย์ คนรถของนฤเบศ ก็เบนหัวรถคันหรูเข้าไปในคอนโดที่ราคาแพงไม่เบาของตฤณ เขาบอกให้คนรถขับตรงไปที่ตึกด้านในสุด เพื่อให้ไปใกล้กับทางวนรถออกไปที่ตึกด้านหน้าได้ง่ายขึ้น

“คุณตฤณครับ คือนายสั่งผมเอาไว้ว่า” คนขับรถที่จอดรถตามคำสั่งของตฤณ ทำท่าอึกอัก อยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา “ไปบอกนายของพี่นะ ว่าผมไม่เอา พูดตามที่ผมบอกนะครับ ตามนี้เลย” ตฤณพอจะรู้ว่า คนรถโดนนฤเบศหนุ่มใหญ่ขู่บังคับมาอย่างไร “แล้วถ้าเขามาเล่นงานหรือลงโทษอะไรพี่ ให้พี่อ้างชื่อผมไปเลย ให้นายของพี่มาเคลียร์กับผมเอง” ตฤณพูดพลางยิ้มให้กับพี่คนรถ ก่อนจะกล่าวขอบคุณก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถไป



คนรถเองนั้นรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างนฤเบศนายของตน กับคุณตฤณหน้าสวยคนนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า สิบกว่าปีที่ทั้งคู่ไปมาหาสู่กันในเชิงคู่ขานี้ คนรถเห็นนายของตัวเอง ตัดคนอื่นออกจากชีวิตไปมากมาย มีหนุ่มมากมายหลายคนที่นายเคยพากลับไปที่คอนโดหรูที่อื่น ๆ ของนายมีมากมาย ยกเว้นเพียงคุณตฤณคนเดียวที่นายยอมให้ไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ แถมยังคะยั้นคะยอให้คุณตฤณคนนี้ใช้รถยุโรปคันงามสุดหวงคันนี้อีก นี่ถ้าเป็นคนก่อน ๆ หน้านี้ล่ะก็ รับรองไม่มีทางพูดปฏิเสธแบบนี้แน่นอน

ตฤณยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดู เมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มันเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เขาไม่ได้บันทึกเอาไว้ ใจจริงเขาเหนื่อยมาก อยากจะแค่สั่งอาหารเย็นมากิน แล้วพักผ่อนอยู่ที่ห้องคอนโดเงียบ ๆ ไม่อยากจะรับสายใคร กับวันอาทิตย์แบบนี้ แค่เขาออกไปหานฤเบศที่เพ้นท์เฮ้าส์ ก็รู้สึกเพลียมากแล้ว

“ครับ สวัสดีครับ นี่ใครครับ” ตฤณกรอกเสียงลงไปตามสาย ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ตฤณกำลังจะบอกตัดสาย “ที่เราโทรคุยกันวันก่อนไงครับ ที่ติดต่องานเอาไว้” เสียงทุ้ม ๆ ที่ปลายสายดังขึ้น ตฤณนึกทบทวน ก่อนจะจำได้ว่า ก่อนหน้านี้สองวัน มีสายโทรมาสอบถามเขาเรื่องงาน แต่เขาบอกไปว่า ให้โทรกลับมาอีกครั้งวันอาทิตย์

“อ้อ เรื่องนั้น ผมคงต้องปฏิเสธนะครับ ขอโทษด้วยจริง ๆ แค่นี้นะครับ” ตฤณพูดตัดบท ก่อนจะกดวางสาย เขาเดินเข้าไปด้านในของล็อบบี้คอนโด ที่เป็นตึกส่วนด้านในสุด เป็นสัดเป็นส่วนและค่อนข้างจะมีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะมีจำนวนยูนิตน้อยกว่าตึกทางด้านนอก ตฤณกำลังจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ พลันมีเสียงพูดมาจากทางด้านหลังเขาว่า

“ปกติ ตัดสายคนอื่นแบบนี้ประจำหรือครับ” เสียงพูดนั้นเหมือนกับเสียงในโทรศัพท์ที่ตฤณเพิ่งวางสายใส่ไป ตฤณหันกลับไปมอง ก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาคมคาย ตัวสูง สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กวัยรุ่นทั่วไปสมัยนี้อย่างแน่นอน “ตามตัวก็ยาก แถมยังเล่นตัวอีก น่าจะคุ้มกับที่ต้องเหนื่อยออกตามหานะครับ มันดูลึกลับดี” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่บอกอารมณ์ ไม่แน่ใจว่านี่แค่เป็นการพูดไปอย่างนั้น หรือตฤณกำลังโดนเด็กหนุ่มคนนี้ถากถางกันแน่

“คือผม เอ่อ เรื่องงานนั่น ผมคงไม่มีวันว่างให้เลยนะครับ ไม่ว่างจริง ๆ ครับ” ตฤณพูดออกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ “ที่บอกไม่ว่างนี่ ไม่ว่างเฉพาะวันนี้หรือเปล่าครับ เห็นกลับเสียเย็นเลย” เด็กหนุ่มพูดไปยิ้มไป ตฤณเดาทางไม่ถูก เหมือนมันเป็นวิธีการชวนคุยของอีกฝ่าย ที่กระแนะกระแหนไป แต่ก็ดึงให้เขาตอบโต้ไปด้วย

“ไปไหนมาครับเนี่ย ไปทำอะไรมา บอกได้มั้ยครับ เล่าให้ฟังหน่อย เอาที่พอจะเล่าได้ก็พอครับ หรือจะเล่าแบบหมดเปลือกเลย ก็พร้อมฟังครับ” ตฤณรู้สึกสะอึกกับคำพูดของเด็กหนุ่ม แถมยังสะกิดใจกับคำถามที่แสนจะธรรมดานั้น เด็กคนนี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาไปทำอะไรมา แต่ทำไมเขาถึงไม่กล้าตอบคำถามง่าย ๆ นี้ออกไป ไม่สิ เขาจะตอบออกไปตามตรงได้อย่างไร ว่าเขาเพิ่งไปมีอะไรกับคู่ขามา แต่ถ้าให้พูดเป็นอย่างอื่น จู่ ๆ ทำไมถึงกลัวการพูดโกหกกับเด็กหนุ่มคนที่เพิ่งเคยเจอคนนี้ล่ะ

“ว่าไงครับ” เด็กหนุ่มถามย้ำ ตฤณรู้สึกราวกับว่า เขากำลังถูกเด็กหนุ่มที่น่าจะอายุน้อยกว่าเขาเกินสองรอบ ต้อนให้จนมุม “นั่นมันเรื่องส่วนตัวนะครับ” ปลายเสียงของตฤณซ่อนความขุ่นเอาไว้ไม่มิด แต่แทนที่มันจะทำให้เด็กหนุ่มกลัวว่า อาจจะทำให้ตฤณโกรธ กลายเป็นว่าเด็กหนุ่มกลับยิ้มออกมาอย่างนึกขัน เหมือนกับว่า เด็กหนุ่มกำลังเอ็นดูเขาเสียมากกว่า แวบนั้น รอยยิ้มของเด็กหนุ่ม มันทำให้ตฤณใจกระหวัดนึกถึงอะไรบางอย่าง ที่เขาไม่ได้คิดถึงมานานแสนนานแล้ว

“ว่าแล้ว” ตฤณรู้สึกหงุดหงิดกับไอ้ท่าทางการพูดของเด็กหนุ่มอยู่ไม่น้อย ไอ้อาการพูดไปยิ้มไป ที่มันน่าหมั่นไส้อย่างกับรู้ว่า ถ้าตัวเองทำแบบนี้แล้วมันจะดึงดูดความรู้สึกของคนที่พูดด้วย แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ก็หยุดต่อปากต่อคำด้วยไม่ได้ “ก็ไม่เป็นไรครับ เผื่อว่า วันหลังเราอาจจะได้ทำอะไร ๆ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวนี่ด้วยกันบ้าง” ไอ้การพูดสองแง่สองง่ามกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันนี่ ตฤณถามตัวเอง ว่าเขาควรจะรู้สึกกับเด็กสมัยนี้ยังไงดีนะ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะ” ตฤณไม่คิดว่า เขาควรจะยืนต่อล้อต่อเถียงกับเด็กหนุ่มไปให้เนิ่นนานกว่านี้ ตฤณกำลังจะหันเดินไป “เชื่อเรื่องสัญญามั้ยครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้น ตฤณตวัดสายตาขึ้นมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ถ้าได้ให้สัญญากับใครสักคนไปแล้ว สัญญาต้องเป็นสัญญามั้ยครับ” ตฤณชะงักงันไปกับประโยคคำถามนั้นของเด็กหนุ่ม

“คนเราต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มพูดพลางขยับเท้าเดินเข้าหาตฤณ อะไรกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มาพูดอะไรแบบนี้กับเขา ตฤณถามตัวเขาเองด้วยคำถามมากมาย “อะไรที่มันสำคัญมาก ๆ สำหรับเรา” เด็กหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ห่างจากตฤณเพียงแค่คืบ

“เราจะลืมมันลงได้จริง ๆ หรือเปล่า” ตฤณมองหน้าเด็กหนุ่ม สายตาประสานเข้ากับของคนที่อายุน้อยกว่า “ถ้ามันหายไป” เสียงทุ้มนุ่มกว่าเด็กหนุ่มทั่วไปนั้น ดังมากระทบโสตประสาทของตฤณอย่างชัดเจน “เราจะคิดถึงมันมั้ยครับ” แววตาของเด็กหนุ่ม ทำให้ความรู้สึกประหลาดอะไรบางอย่าง แล่นเข้าไปที่กลางหัวใจของตฤณ มันทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบที่กลางใจนั้น

มันคืออะไรกัน มันไกลแต่เหมือนอยู่ใกล้ มันจับต้องไม่ได้ แต่เหมือนอิ่มเอมแม้ไม่มีตัวตน ความอบอุ่นที่ไหลวน แม้ว่านี่คือคนแปลกหน้า มันคืออะไร ตฤณตอบตัวเองไม่ได้สักอย่าง แล้วเจ้าความรู้สึกที่มันทำให้เขาเหมือนจุกอยู่ที่อก จะสลัดทิ้งก็กลัวว่าจะสูญเสียมันไปตลอดกาล จะดึงรั้งมันเอาไว้ กลับเป็นว่าเขากลัวมันจะทำให้เขาทนรับมันไม่ไหว

“เราขึ้นไปคุยกันต่อบนห้องกันดีมั้ยครับ” เสียงของเด็กหนุ่มคราวนี้ อ่อนลง ฟังดูไม่ใช่การแดกดันอย่างก่อนหน้า “ฮะ” ตฤณไม่แน่ใจว่า เขาได้ยินมันถูกต้องอย่างที่เด็กหนุ่มได้พูดออกมาหรือไม่ “ทำไม กลัวหรือ” คำพูดสั้น ๆ นี้ ทำให้ตฤณถึงกลับต้องขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะว่าไม่พอใจกับการพูดท้าทายอะไรนั่น แต่มันคือความรู้สึกตกใจ เมื่อนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างในอดีตขึ้นมาได้ บางอย่างที่มันผ่านเวลามาเนิ่นนาน และตฤณคิดว่า เขาได้ลืมมันไปหมดสิ้นแล้ว

***********************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=4KBSJBr-QxQ



ลมเอยลมเจ้าผ่านพัด พาเธอมาให้เจอฉัน

Wind, you brought my love to me

ลมเอ๋ยลมเจ้านั้นก็พัดเธอผ่านไป

Then you did take him away from me as well

คนที่เคยอยู่เคียง แต่วันนี้เค้าอยู่ที่ไหน

My love was here, but now he went away

เจ้าลมเอ๋ย เจ้าลมพัดไปแห่งใดกันหนา

Wind, where did you take him to?


ลมเอยลมเจ้าผ่านพบ เจอผู้คนนับหมื่นพัน

Wind, lots of people out there you’ve seen

วอนสายลมเจ้านั้นช่วยพัดเธอกลับมา

Begging of you bring back the one to me

นานแล้วนานเท่าไหรยังจดจำทุกคำสัญญา

It’s been really long, but the promise is still kept

เฝ้ารอคอยสายลมพัดพาเธอมาอีกครั้ง

Cause I know wind will bring him home again


ลมเจ้าเอ๋ย ไฉนเลยไม่เคยจะหวนมา

Wind, why you never go the same path?

ลมเจ้าขา พัดพาเธอมาได้ไหม

Wind, would you please have him come back to me?


ลมเอยลมเจ้าผ่านพัด พาถ้อยคำรักจากฉัน

Wind, whichever way you go; take my love with you

วอนสายลมเจ้านั้นช่วยพัดไปบอกเธอ

Asking of you to let him hear me well

คนที่คอยตรงนี้ยังคิดถึง เขาคิดถึงเธอ

That I’ve been waiting for him, and I miss him so

ว่าเมื่อไหร่เขาจะได้เจอ ได้เจออีกครั้ง

When will we see each other once again?


คนที่คอยตรงนี้ เฝ้ารอคอยทุกวันเวลา

I’ve been longing for him, waiting for him to come back home

เฝ้ารอคอยสายลมพัดพาเธอมาอีกครั้ง

Wishing the wind would bring him to me for one last time
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่๔.ประมาณนี้หรือเปล่า ๑๑/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 10-11-2022 15:42:55
บทที่ ๔. ประมาณนี้หรือเปล่า



2536

1993



ท็อปตื่นแต่เช้า เขาเด้งตัวลงจากที่นอนทันที เพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะวันนี้เขามีนัดไปดูหนังกับเพื่อน ท็อปรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย นี่ถือเป็นการนัดไปดูหนังครั้งแรกด้วยกันกับเพื่อนคนนี้ เมื่อคืนเขาต้องรออยู่เกือบสองทุ่ม กว่าที่เพื่อนคนนี้จะโทรมายืนยันว่า จะได้ไปกับเขาด้วยหรือไม่

“ปิดเทอม ปกติลูกแม่ไม่ตื่นเช้าขนาดนี้นี่นา” แม่ของท็อปถึงกับพูดกระเซ้าลูกชาย เมื่อเห็นเขาเดินลงบันไดมา “แล้วนี่แต่งตัวซะหล่อ ตัวหอมฟุ้งเชียว มีนัดกับสาวที่ไหนจะเนี่ย” แม่ของท็อปพูดติดตลก ส่วนพ่อของเขาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา ลอบมองลูกชายมาแบบเงียบ ๆ

“ไม่มีสาวที่ไหนทั้งนั้น แหละครับแม่” ท็อปที่เดินไปนั่งที่โต๊ะทานอาหาร ตอบกลับแม่ของเขา “วันนี้ผมนัดกับเพื่อน ว่าจะไปดูหนังกัน” พ่อของท็อปละสายตาจากลูกชาย ก่อนจะก้มนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป แม่ของท็อปพยักหน้าให้กับแม่บ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงของแม่บ้านถามท็อปขึ้นว่า

“เช้านี้ คุณหนูจะรับอาหารเช้าฝรั่ง หรือจะรับข้าวต้มกุ้งดีคะ” ท็อปหยุดนิ่งไปนิดหนึ่ง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แม่ของเขาเห็นรอยยิ้มจาง ๆ แต้มอยู่ที่ริมฝีปากของลูกชาย ดูแล้วเหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องที่ทำให้นึกพึงพอใจ “ผมขอข้าวต้มครับแม่นวล” ท็อปหันไปตอบแม่บ้านอย่างสุภาพ ก่อนที่แม่บ้านจะนำถ้วยข้าวต้มมาวางไว้ตรงหน้า ทำให้ท็อปนึกถึงวิชาคหกรรมที่ได้เรียนเมื่อเทอมที่ผ่านมา

“แล้วนี่จะออกไปยังไง” แม่ของท็อปรินนมและน้ำส้มใส่แก้วให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ ก่อนแม่บ้านจะนำแก้วน้ำดื่มอุณหภูมิห้องมาวางเพิ่มให้ “คงแท็กซี่น่ะครับแม่” ท็อปตอบแม่ของเขาออกไป เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจากหมู่บ้านของเขา จะไปถึงโรงหนังที่นัดกันไว้ จะไปยังไงเหมือนกัน

“แล้วจะไปถูกหรือท็อป” แม่ของเขาพูดอย่างเป็นห่วงลูกชาย “คุณก็ ลูกมันเป็นผู้ชาย ปล่อย ๆ มันไปบ้างเถอะน่า ให้มันได้ไปเจอความลำบากอะไรของมันบ้าง แล้วก็ใช่ว่านั่งรถแท็กซี่มันจะลำบากอะไร นี่เขาก็บังคับให้ติดมิเตอร์ค่าโดยสารแล้วด้วย อีกอย่างลูกมันก็โตแล้ว มันไม่มีคนขับรถไปส่งสักวัน เป็นไรหรอกคุณ” พ่อของท็อปส่ายหน้าไปกับความช่างเป็นห่วงของภรรยา

ท็อปที่ตักข้าวต้มกุ้งเข้าปาก เคี้ยวไปยิ้มไป เมื่อเห็นแม่ของเขาค้อนขวับใส่พ่อเสียวงใหญ่ ปีนี้ท็อปเรียนจบมัธยมต้นแล้ว ปีหน้าเขาก็จะขึ้นมัธยมปลายเป็นปีแรก เขารู้สึกว่า เขาไม่ใช่เด็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว เรื่องแค่นี้กับการนั่งรถแท็กซี่ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ดีซะอีก เขาไม่อยากถูกเรียกว่าลูกคุณหนูสักเท่าไหร่ อย่างน้อย ก็ไม่อยากให้เพื่อนคนที่เขาจะไปเจอวันนี้ มองเขาเป็นลูกคุณหนูอะไรนี่เหมือนกัน

“ยังไงก็แล้วแต่ อย่ากลับบ้านเย็นมากนักนะลูก แม่เป็นห่วง” แม่ของเขาไม่วายสำทับไว้กับท็อปเรื่องเวลากลับบ้าน “เดี๋ยวแม่ให้ลุงศักดิ์ออกไปเรียกแท็กซี่ให้” ยังไม่ทันที่ใครจะได้คัดค้านอะไร แม่ของท็อปก็เดินออกไปเรียกคนขับรถให้ไปตามแท็กซี่มารับลูกชาย ท็อปกับพ่อมองหน้ากัน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่

ท็อปต้องรีบขึ้นแท็กซี่ออกจากบ้านมา เพราะไม่อย่างนั้น เผลอ ๆ เดี๋ยวจะไม่ได้ออกมาจนได้ เขาบอกคนขับรถแท็กซี่ถึงที่หมาย มันคือโรงหนังเอเธนส์ ที่ตั้งอยู่บนถนนพญาไท นั่งรถไปก็ลองกะเวลาไป ว่าคงจะไปถึงพอดีกับอีกฝ่ายที่จะนั่งรถเมล์มา จุดที่นัดกันไว้ ก็คือป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าซอยทางเข้าโรงหนังแห่งนั้น

ใช้เวลาพอประมาณ รถแท็กซี่ก็มาจอดใกล้ ๆ กับทางเข้าโรงภาพยนตร์แบบสแตนด์อะโลนโรงใหญ่ ที่ปกติจะฉายภาพยนตร์ไทยเสียส่วนใหญ่ ท็อปจ่ายค่าโดยสาร ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินไปที่ป้ายรถเมล์ เขาสอดส่ายสายตามองหาเพื่อน แต่ก็ยังไม่เห็น เลยไปหยุดยืนอยู่เลยป้ายรถเมล์ไปเล็กน้อย แล้วมองสายรถเมล์ที่วิ่งเข้ามาจอดที่ป้าย ยืนอยู่สักพัก ก็มีรถเมล์สีครีมแดงขับเข้ามาจอด ก่อนที่ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น เดินลงจากรถมา

“รอนานมั้ย” คนที่เพิ่งมาใหม่ถาม เมื่อเห็นท็อปเดินมาหา “เราก็เพิ่งมา” ท็อปตอบออกไป ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายมองเหมือนสำรวจไปทั่วใบหน้าของเขา “เหงื่อเต็มหน้าเลย” ท็อปรู้สึกใจเต้นตึกตัก “มาเราเช็ดหน้าให้” เมื่ออีกฝ่ายหยิบกระดาษทิชชูสีชมพูในย่ามผ้าสะพายข้าง ขึ้นมาซับเหงื่อให้กับเขา ท็อปมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ที่ดูซูบลงจากตอนก่อนปิดเทอม

“ยังไม่ถึงรอบฉายเลยนะ อีกตั้งนาน” คนที่เพิ่งมาใหม่ พูดพลางยัดทิชชูที่ซับเหงื่อให้ท็อปลงใส่ย่าม “เราก็ไปซื้อตั๋วกันก่อน จะได้เลือกที่นั่งดี ๆ ไง” ท็อปที่เป็นคนนัดเวลาให้มาเร็ว ๆ ตอบกลับ ก่อนจะนำอีกฝ่ายเดินเข้าไปในที่โรงหนัง “ท็อปอยากดูหนังเรื่องนี้หรือ” คำถามเหมือนชวนคุย ไม่ได้อยากได้คำตอบอะไรจริงจัง

“อืม เรื่องนี้ เราว่ามันน่าจะสนุกนะ เราเคยดูพี่มอสพี่แท่งตั้งแต่เรื่องกลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้แล้วล่ะ ตลกมาก ๆ เลย หนังสนุกมาก” ท็อปพูดด้วยท่าทางร่าเริงสนุกสนาน ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายยิ้มพลางพยักหน้าให้ “นันยังไม่เคยดูหรือ” เสียงพูดของท็อปอ่อนลง เมื่อรู้สึกว่า ตัวเขาอาจจะพูดจาอวดตัวมากจนเกินไป

“ไม่เคยหรอก” นันตอบเพื่อนกลับไป ท็อปจึงพอจะเดาได้ว่า ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่นันได้มาดูหนังในโรงภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน ถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็เดินมาถึงช่องจำหน่ายตั๋วพอดี พนักงานได้เปิดขายตั๋วแล้ว มีคนยืนต่อคิวซื้อเพียงไม่กี่คน ไม่นานก็ถึงคิวของทั้งคู่ ท็อปบอกคนขายไปว่าเขาเลือกที่นั่งตรงไหน บนกระดาษแผนผังนั้น ยังเหลือที่นั่งดี ๆ อีกเยอะ

“คนละห้าสิบบาทเอง” ท็อปรับตั๋วมาถือไว้ในมือ พูดออกไปโดยไม่คิดอะไร นันสะดุ้งเหมือนนึกขึ้นได้ ก่อนจะล้วงมือลงไปในย่ามผ้าที่สะพายอยู่ แต่ก็ดูจะอึกอักอยู่ไม่น้อยที่จะหยิบของในย่ามนั้นออกมา “คือ” นันตัดสินใจรวบรวมความกล้า หยิบเอาถุงพลาสติก ที่รัดหนังยางวงนั้นออกมา

“เราขอโทษที มันมีแต่เหรียญนะ” นันข่มเอาความรู้สึกอาย ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขารู้สึกยิบ ๆ ไปหมด ที่ต้องยื่นถุงพลาสติกใส่เหรียญ ที่เขารวบรวมมา เพื่อจ่ายค่าตั๋วหนังคืนให้กับท็อป แต่นันก็รู้ว่า มันดีกว่าจะเอาเปรียบอีกฝ่าย เพียงเพราะรู้ว่าที่บ้านของท็อปนั้นรวยมาก และท็อปไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับเงินจำนวนนี้

ท็อปอึ้งไปพอสมควร แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องเหรียญอะไรนั่น แต่เป็นเพราะเขาลืมนึก พูดออกไปแบบไม่ทันคิดอีกแล้ว ที่นันรีบหยิบเงินให้เขา คงรู้สึกว่าเขาพูดทวงค่าตั๋วนี่แน่ ๆ เลย ท็อปรู้สึกว่าเขาจะทำมันพังเสียแล้ว เพราะเขาอยากให้นันประทับใจ ที่ออกมาเที่ยวกับเขาในวันนี้

“เดี๋ยวก่อนก็ได้” ท็อปรีบบอกกับนัน “ฝากไว้ที่นันก่อน เราไม่ได้เอาเป้มา” ท็อปรีบยิ้มให้กับนัน เขาเห็นว่านันหน้าเสียแวบหนึ่ง ท็อปเลยพยายามทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น “นันหิวมั้ย” ท็อปถาม ก่อนจะมองหาร้านอาหารใกล้ ๆ แต่มันยังเช้าอยู่มาก ยังไม่ค่อยมีร้านไหนเปิดเลย และนี่คือสาเหตุที่เขาบอกแม่นวลว่า เขาขอเพียงข้าวต้มกุ้งถ้วยเล็ก ๆ เท่านั้น เพื่อที่ว่า เขาจะได้เก็บท้องมากินข้าวกับนัน

“เรากินข้าวมาแล้ว” นันรู้ตัวว่าพูดโกหก เพราะเขาคำนวณเงินมาพอดี ค่าตั๋วหนัง ค่ารถเมล์ รวมทั้งถ้าจะกินข้าวกลางวัน ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวสักชาม น้ำเปล่าดื่มจากที่ร้าน ก็คงจะพอ ท็อปได้ยินนันตอบแบบนั้น ก็รู้สึกหงอย ๆ เพราะเขาอยากเลี้ยงข้าวนัน อยากกินข้าวด้วยกัน หลังจากที่รู้สึกคิดถึงอีกฝ่าย ตั้งแต่ปิดเทอมไปแล้วไม่ได้เจอกันที่โรงเรียนอย่างทุกวัน

“ระหว่างที่รอหนังฉาย ไปเดินเล่นสยามกันก่อนดีกว่า” ไวเท่าความคิด ท็อปคว้ามือของนันให้เดินตามเขาออกไปที่ป้ายรถเมล์ “เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปกัน” ท็อปพูด เมื่อทั้งสองเดินใกล้จะถึงป้ายรถเมล์ นันได้ยินแบบนั้น ถึงกับต้องดึงมือของท็อปเอาไว้ “สยามอยู่เลยแค่นี้เอง ไม่ไกล” พูดจบนันก็มองไปเห็นรถเมล์สายที่วิ่งผ่านไปหน้าสยามเซนเตอร์พอดี เขาเลยบอกให้ท็อปวิ่งตามไปขึ้นรถเมล์คันที่เพิ่งเข้ามาจอดที่ป้าย

บนรถเมล์คนแน่นพอสมควร เหลือที่นั่งว่างเดี่ยวอยู่ที่เดียว ท็อปเลยบอกให้นันเป็นคนนั่ง ก่อนที่เขาจะมายืนจับราวพนักพิงเอาไว้หน้าหลัง เหมือนโอบป้องกันนันที่นั่งอยู่เอาไว้ นันยื่นค่ารถเมล์คนละสามบาทห้าสิบสตางค์ให้กับพนักงานเก็บค่าโดยสาร ก่อนจะรับตั๋วมา นันเอาเลขแปดมาหารผลบวกรวมของเลขบนตั๋ว ก่อนจะยิ้ม ๆ เมื่อนึกถึงคำทำนาย

“ทายว่าอะไร” ท็อปก้มลงจนใบหน้าของเขาเกือบสัมผัสกับแก้มของนัน “เราได้เศษเจ็ด ของท็อปหารลงตัว” นันตอบเสียงดังแข่งกับเสียงรถเมล์ “ของเราจะโชคดี ส่วนของท็อป หวังอะไรอยู่ก็จะสมหวัง” ท็อปยิ้มกว้างออกมาในทันที ที่ได้ยินนันบอกแบบนั้น อาการที่ไม่รู้จะเอามือไม่ไปวางไว้ตรงไหน มันกำลังเกิดขึ้นกับท็อปอยู่ในตอนนี้

ทั้งสองคนลงจากรถเมล์ ก่อนจะเดินเข้าไปในศูนย์การค้าที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ความหรูหราด้านใน ทำให้นันตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ปกติสถานที่แบบนี้ เขาไม่คิดที่จะเข้ามา แม้จะเข้ามาเดินเล่นตากแอร์แค่นั้นก็ตาม นันกลัวว่า ถ้าหากเขาเดินไปชนอะไรล้ม แตกหักเสียหายเข้า เขาไม่มีปัญญาจะหาเงินมาชดใช้ให้ได้

“กินเคเอฟซีกัน” ท็อปจับมือของนันที่พยายามจะดึงมือเพื่อห้าม ท็อปจับมือของนันแน่นขึ้น แล้วพาเดินเข้าไปในร้าน “นันนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวเราไปซื้อมาให้” นันพยายามจะห้ามท็อป เพื่อให้ท็อปเปลี่ยนใจไปหาอะไรกินที่ราคาย่อมเยากว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ท็อปบังคับให้นันนั่งรอที่โต๊ะ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วสั่งอาหารมาจนพูนถาดอาหาร

“กินให้เต็มที่เลยนัน เราเลี้ยงเอง” ท็อปรีบพูด เมื่อเขายกถาดอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ “กินด้วยกัน เร็วนัน” ไม่พูดเปล่า ท็อปจัดแจงตักไก่ทอดชิ้นใหญ่ที่สุดใส่จานให้นัน “ซิงเกอร์เบอร์เกอร์ก็มี อร่อยนะ อ้ะ นี่เป๊ปซี่” นันมองอาหารมากมายที่ท็อปตักใส่จานให้เขา “ท็อป” นันเรียกชื่ออีกฝ่าย ท็อปไม่เงยหน้าขึ้นมองนัน

“เราอยากฉลองกับนันที่เรียนจบม.สาม และจะได้เรียนต่อม.สี่ ที่โรงเรียนเดียวกันอีกไง” ท็อปพูดพลางเสยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม นันมีรอยยิ้มน้อย ๆ แต้มบนใบหน้า ท้อปพอจะโล่งใจขึ้นมาได้หนึ่งเปลาะ “อ้อ ท็อป เราเอานี่มาคืนให้” นันยื่นบัตรโทรศัพท์ให้กับท็อป “เราไม่ได้ใช้โทรไปที่ไหนนะ ใช้แค่โทรไปหาท็อปเมื่อวานเท่านั้น” บัตรโทรศัพท์ราคาหนึ่งร้อยบาท เป็นบัตรที่ท็อปให้นันไว้ ก่อนที่จะปิดภาคเรียน เพื่อให้นันโทรมาคุยเล่นกับเขาบ้าง

“นันเก็บเอาไว้ ท็อปให้นันนะ นันจะได้โทรมาหาท็อปบ่อย ๆ ได้ไง เดี๋ยวท็อปซื้อให้นันอีก นันเก็บเอาไว้หลาย ๆ ใบ จะได้ไม่ต้องกลัวหมด ท็อปอยากให้นันโทรหาท็อป” นันมองเห็นความจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่าย ท็อปพูดด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นที่ขอบตา เพราะเขารู้ว่า สามปีที่เป็นเพื่อนกันมา ความเป็นอยู่ของนันลำบากขนาดไหน นันที่ต้องการทุนในการเรียนมาตลอด แต่เพิ่งจะมาได้ทุนให้เปล่า สำหรับนักเรียนที่มีความประพฤติดีและมีผลการเรียนดีเยี่ยมตลอดมา แต่ยากจน เมื่อจะขึ้นมัธยมปลายนี่เอง

จากนั้น ทั้งสองก็เริ่มลงมือกินมื้ออาหารฉลองปิดเทอมกันอย่างเอร็ดอร่อย นันที่เพิ่งเคยได้ลิ้มรสชาติอาหารเชนใหญ่จากเมืองนอก ก็พอจะเข้าใจว่า เพื่อน ๆ ในห้องส่วนใหญ่ ทำไมถึงชอบนัดกันมากินที่ร้านนี้ ท็อปเองนั้น ดีใจที่เขาทำให้นันยิ้มออกมาได้ เขาหาเรื่องตลก ๆ มาเล่าให้นันฟัง สลับกับเรื่องขำ ๆ ฮา ๆ ที่เกิดขึ้นตอนเรียนมัธยมต้นมาด้วยกัน

จนเมื่อใกล้ถึงเวลาที่หนังจะฉาย ท็อปเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงหนังเอเธนส์ เพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันรอบฉาย วันนี้คนมาดูเกือบเต็มโรง ในรอบเดียวกันกับเขาทั้งสองคน ท้อปซื้อขนมซื้อน้ำ ก่อนที่เขากับนันจะช่วยกันหอบเข้าไปในโรงหนัง หนังวัยรุ่นที่มีชื่อเรื่องว่า ปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม ถ้าจะเปรียบเนื้อเรื่อง ก็น่าจะเทียบได้กับหนังแนว คัมมิ่ง ออฟ เอจ หนังที่มีเนื้อหาของวัยรุ่น ที่กำลังค้นหาตัวตนที่ตัวเองเป็น อะไรทำนองนั้น

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=cJ3t_4uSaRk


เพลงนี้ควรเปิดดังดัง

This song should be played loudly

โดยเฉพาะบริเวณที่มีคนหนาแน่น

Especially in the crowded areas


แต่ก่อนไม่เคยเอาใจใคร

Never once wanted to please anyone

ไม่อยากจะมีคนพิเศษ

Never needed someone special

ไปเจอะกับใครยังไม่เคยหยุด

None of people out there could make me stop


แต่เจอะกับเธอมันจังงัง

But with you I am stunned

เกิดอยากเอาใจเธอที่สุด

Anything I can do you for

แต่ทำอย่างไรมันไม่เคยรู้

But what things you do prefer


ต้องโทรไปหาทุกวันเลย

Give you a call every day

ไปไหนต้องคอยตาม

Ask you where you are

ต้องหาเรื่องคุยอยู่เสมอ

Talk to you non - stop

ถ้าแต่งตัวสวยต้องคอยชม

Compliment about your dress

ต้องยิ้มเมื่อเจอเธอ

Smile always on my face

ต้องมีดอกไม้ให้ทุกวัน

Flowers sent to you daily


ประมาณนี้หรือเปล่า

Is this how they do?

ทำนองนี้หรือเปล่า

Is this what it is?

อย่างที่เขา ทำทำกันให้มีรัก

Like people who fall in love

ราวราวนี้ หรือเปล่า

Any of these they do?

แนวแนวนี้ หรือเปล่า

Is it correct as we say?

อย่างที่เขา ทำทำกันให้ถึงใจ

That you’re pleased how I roll


ไปหยิบตำราเอามาดู

Reading through many books

ต่างต่างนานาตั้งร้อยแปด

Plenty of ways to make impressions

ต่างต่างกันไป มันไม่มีหมด

Countless methods after methods


ไอ้อย่างที่ใครว่าดีดี

What they say that’s good

บอกบอกกันมาก็ขอจด

I’m taking notes all the way

แต่ถูกใจเธอน่ะมันอย่างไหน

But what exactly you do love


ต้องส่งต้องรับทุกวันเลย

Drive and pick you up right at your door

คำพูดต้องดูดี

Speak elegantly

ต้องช่วยดูแลอยู่เสมอ

Take care of you to the fullest

ถ้าแต่งตัวสวยต้องคอยชม

Compliment about your dress

ต้องยิ้มเมื่อเจอเธอ

Smile always on my face

ต้องมีดอกไม้ให้ทุกวัน

Flowers sent to you daily


ประมาณนี้หรือเปล่า

Is this how they do?

ทำนองนี้หรือเปล่า

Is this what it is?

อย่างที่เขา ทำทำกันให้มีรัก

Like people who fall in love

ราวราวนี้ หรือเปล่า

Any of these they do?

แนวแนวนี้ หรือเปล่า

Is it correct as we say?

อย่างที่เขา ทำทำกันให้ถึงใจ

That you’re pleased how I roll


เธอจะชอบยังไงล่ะเนี่ย

What things do you really like?

จะเลือกอะไรไปให้เธอล่ะ

What do I get you to get your heart?

เลือกยาก เลือกยาก

Difficult, dame difficult

ก็แค่ดอกไม้น่ะ

They’re just flowers

สีที่เธอชอบ

The color you like

จะเหลือง เอ๊ะ รึจะม่วง

Daffodil or Magenta

สีที่เธอชอบ

The color you’ll pick

คิดคิดว่าม่วงน่า

Or just simple Violet

ยิ้มยังไงจะเท่ มันจะเท่

How to look cool when I smile

ควรจะเท่มั้ยเนี่ย

Or do I even look bright?

พูดโน่น พูดนี่

Say this, talk that

เธอจะชอบมั้ยเนี่ย

Will you be okay with it?

ไปรับเธอถึงที่บ้าน

Go ask you out for a date

เธอจะชอบ เธอจะมามั้ยล่ะ

Will you say Yes, my pumpkin?

พูดดีดีเข้าไว้ คิดว่าชอบน่า

Just say what you like, I guess I’ll be fine
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕ สัญญาให้จำ ๑๒/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 12-11-2022 18:05:14
บทที่ ๕. สัญญาให้จำ



2565

2022



เทปปันเดินเข่าเข้าไปด้านในศาลาการเปรียญ ก่อนจะนั่งพับเพียบลงที่ด้านหน้าพื้นที่ยกสูงขึ้น เขาก้มตัวลงกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะหมู่บูชา ก่อนจะก้มลงกราบอีกครั้งใกล้กับเท้าของอิสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เทปปันเงยหน้าขึ้นมองสตรีวัยกลางคนผู้นั้น ที่ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเช่นกัน

“ปันอยากมากราบขอพรจากแม่ ปันใกล้จะสอบแล้ว” ปันเอ่ยประโยคนั้นออกไป ใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันนั้นเรียบเฉย แต่สายตาบอกความเมตตาและความปรารถนาดีอย่างเปี่ยมล้น “ตั้งใจอ่านหนังสือ และก็ส่งงานอาจารย์ให้ครบ หากไม่บกพร่องในสิ่งเหล่านี้ การสอบของปันก็จะเป็นไปได้ด้วยดี” เสียงพูดนั้นอ่อนโยน แม้จะไม่แสดงอาการยินดียินร้ายอะไรมากมาย แต่ก็ยังคงความอบอุ่นอยู่ในน้ำเสียงที่ฟังแล้วสบายใจนั้น

“ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท” เทปปันทวนคำสอนของแม่ที่ย้ำกับเขาเสมอมา หญิงวัยกลางคนพยักหน้าให้ช้า ๆ แทนคำพูด ผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขาเอง แม่มาอาศัยอยู่ที่วัดได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เพื่อเตรียมตัวปลงผมบวชชีตลอดชีวิต เทปปันมาหาแม่ของเขาบ่อยเท่าที่ทำได้ เพราะแม่ของเขาทำความตกลงก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อแม่ได้บวชเป็นแม่ชีโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งสองคนจะไม่สามารถใกล้ชิดและพบกันบ่อยเหมือนอย่างตอนนี้

“ความกลัวคือการปรุงแต่ง” แม่ของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตา “โมหะคือความหลง หลงไปในความไม่รู้ ความเขลา มันเป็นภัยแก่ตัวเอง คิดไปก่อน คิดไปเอง คิดจนไกลเกินความจำเป็นของตัวเอง” เหมือนว่าผู้เป็นแม่จะรู้ ว่าลูกชายของเธอในใจนั้นคิดอะไรอยู่ รู้สึกแบบไหนในตอนนี้

“กลัวอะไร ก็ให้ลองอยู่กับสิ่งนั้นเสีย จะได้ลดโมหะที่ครองความคิดนั้นลงด้วย” ความจริงแล้ว เทปปันจะต้องกลัวอะไร ในเมื่อมรดกของพ่อและแม่ เงินสด บ้าน ที่ดิน เครื่องประดับ รถยนต์หรู ทุกอย่างมันมากมายจนกินจนใช้ไม่หมด ถูกโอนมาเป็นชื่อของเขาหมดแล้ว แถมด้วยหุ้นในบริษัทของพ่อที่เพิ่งขายไปนั้น เงินจำนวนมหาศาลเพิ่งถูกโอนเข้าบัญชีของเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้

เทปปันเสียพ่อของเขา ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นไปแล้วคนหนึ่ง และนั่นคือการจากตาย จากกันอย่างไม่มีวันหวนกลับ และนั้นก็ทำให้เขากลัวมากพออยู่แล้ว แต่เขากำลังจะเสียแม่ไปอีกคน แม้จะไม่ใช่การจากแบบที่ไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก แต่การจากแบบนี้ มันช่างทรมานจิตใจ รู้ว่าแม่ยังอยู่ แต่จะมาหา จะมากอด หอม จะทำไม่ได้อย่างเคย

“วันหนึ่งสัญญาจะทำให้ปันนั้นรู้ ว่าปันจะต้องทำอย่างไรต่อไป” เทปปันได้ยินแม่ของเขาพูดเรื่อง 'สัญญา' กับเขาอยู่หลายครั้ง ทีแรกเขาก็นึกว่า แม่พูดเกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจ หรือคำมั่นอะไรที่เคยให้กันไว้ แต่มันหาเป็นเช่นนั้นไม่ “จำที่แม่บอกได้ใช่มั้ย สัญญาคือหนึ่งในขันธ์ห้า คือความจำ สิ่งที่เราจำได้ วันหนึ่งข้างหน้านี้ ปันจะมองเห็นว่าสัญญาที่มีของปันคืออะไร แม้สัญญาจะย้อนกลับไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่จะลึกได้ขนาดไหนนั้น แม่ก็ตอบแทนปันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอวิชชาที่ขวางไว้ คือกิเกสวัฏฏะและมิจฉาทิฐิ ที่มี”

เทปปันสบตากับแม่ เขาไม่แน่ใจนัก ว่าเขาเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูดมานี้หรือไม่ เพราะทั้งหมดที่แม่พูดมา เขายังมองไม่เห็นเลยว่า สัญญา ที่ว่า จะมาในรูปแบบไหน อย่างไร เขารู้เพียงว่า นี่เป็นสาเหตุหลักที่แม่ของเขา ตัดสินใจที่จะบวชตลอดชีวิต หากว่าอย่างน้อย มันจะช่วยอะไรเทปปัน ลูกชายของเธอได้บ้าง

วันนี้เทปปันมีเรียนช่วงบ่าย หลังจากที่ไปหาแม่ของเขาที่วัดมาแล้วในช่วงเช้า เขาก็ขับรถมาที่มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่ใต้ตึกคณะ พอเพื่อน ๆ เห็นหน้าเขา ก็เริ่มส่งเสียงแซวกันใหญ่ เพราะรับรู้กันแล้วว่า นางเอกละครเวทีของมหาวิทยาลัยปีนี้ ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นนายเอกแทน และนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเทปปันหนุ่มลูกครึ่งไทย - ญี่ปุ่น เพื่อนของพวกเขานี่เอง

“แถมอาจารย์ที่ปรึกษาการแสดง ก็อนุมัติเรื่องการเปลี่ยนบทแล้วด้วย” ใครคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อน พูดขึ้น พลางโชว์ประกาศที่ส่งต่อ ๆ กันในโลกโซเชียลให้ดู เทปปันลอบถอนหายใจ เขาหวังเอาไว้ว่า อาจารย์จะไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่สุดท้ายแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษางานนี้ ก็อนุญาตแนวคิดนี้ ที่ว่าอยากให้เปิดกว้างทางความคิด และจะได้ลดกระแสหรือว่าถ้าเป็นไปได้ ก็กลบกระแสคลิปหลุดอะไรนั่นของนางเอกคนก่อนไปเลย เบี่ยงประเด็นให้คนมาพูดถึงละครเวทีวายนี่แทน

“ไอ้ปัน มึงมาก็ดีแล้ว มึงอ่านไลน์มึงด้วย กูส่งคิวซ้อมให้มึงแล้ว มึงห้ามเบี้ยว ถ้าเบี้ยวกูจะให้อาจารย์เล่นงานมึง” รุ่นพี่ผู้กำกับเดินผ่านมาที่ใต้ตึกพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง หลายคนกระซิบกระซาบกัน เพราะอยากเห็นหน้านายเอกละครเวทีคนใหม่ รุ่นพี่ผู้หญิงบางคน รีบยกกล้องถ่ายรูปของเทปปัน พร้อมขอแกมบังคับเพื่อจะเอารูปไปลงเพจโปรโมทงานละคร

“แล้วเจอกันเวลาซ้อม” รุ่นพี่ผู้กำกับร้องบอกแล้วเดินจากไป พวกรุ่นพี่คนอื่น ๆ ก็ทำโบกไม้โบกมือ ทำท่าทำทางสนุกสนานเฮฮากันไป 'ใช่สิ ก็ไม่ใช่ตัวเองนี่' เทปปันพูดกับตัวเองในใจ รู้สึกเซ็งที่ไม่สามารถพาตัวเองออกจากความซวยนี้ได้ เพราะทั้งอาจารย์ รุ่นพี่ และเพื่อน ๆ ต่างพากันสนับสนุนเรื่องบ้า ๆ นี้กันหมด

เทปปันพยายามจะสลัดความคิดเรื่องละครเวทีวายออกจากความคิด แต่กลับกลายเป็นว่า มันคอยวนเวียนเข้ามาทำลายสมาธิเขาตลอดทั้งคาบเรียน เขารู้สึกไม่โอเคที่อะไรที่อาจารย์บรรยายในวันนี้ แทบไม่ได้หัวเขาเลย แถมภาพใบหน้าของดีน พระเอกละครเวทีวาย ยังคอยแวบมาแวบไปในห้วงความคิดของเขาอีก

เสียงออดบอกหมดเวลาคาบเรียน ทำเอาเทปปันสะดุ้ง อะไรกัน ทำไมวันนี้วิชานี้ถึงได้ผ่านไปเร็วนัก เขาอยากจะยืดเวลาให้ออกไปอีกนาน ๆ เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะต้องไปซ้อมละครเวทีในเย็นนี้ เทปปันอ่านดูคิวที่รุ่นพี่ผู้กำกับส่งมาให้ เขามีคิวซ้อมมันแทบจะทุกวันเลย บทจะเยอะอะไรขนาดนั้น

เทปปันเก็บของลงกระเป๋าสะพาย ก่อนจะต้องเดินฝ่าวงเพื่อน ๆ ที่แซวเขาอย่างหนักหน่วง จนเขาต้องหันกลับไปยกนิ้วกลางให้พวกมัน พวกนั้นพากันส่งเสียงโห่ฮากันอย่างชอบใจ เทปปันเดินลงมาจากตึก ก่อนจะรู้สึกได้ในทันทีว่า ตลอดทางที่เขาเดินมานั้น เริ่มมีคนมองมาที่เขา ชี้มือชี้ไม้ชวนกันพูดถึง นี่แสดงว่ารุ่นพี่เอารูปที่ถ่าย ไปโพสต์ลงเพจโปรโมทแล้วแน่ ๆ

เทปปันมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าหอประชุมใหญ่ เขาได้ยินเสียงทีมงานดังมาจากด้านใน แต่เขาไม่อยากจะเดินเข้าไป อยากจะคิดว่า นี่มันคือฝันบ้า ๆ ที่แค่หลับตาแน่น ๆ แล้วพอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างก็เป็นแค่เพียงเรื่องหยอกกันเล่น แต่พอเทปปันหลับตาปี๋ แล้วลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าดีนยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

“ทำอะไรน่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ แต่แววตาของดีน กลับบอกไปอีกเรื่องเลยว่า ไอ้ท่าทางประหลาด ๆ ที่เขาเพิ่งเห็นเทปปันทำ มันตลกแกมน่าเอ็นดูไม่น้อย เทปปันไม่ตอบ แต่เลี่ยงหลบตามองไปทางอื่น “ทำไมไม่เข้าไปข้างใน” ดีนเดินมายืนหยุดอยู่ข้าง ๆ เทปปัน “หรือคิดจะเบี้ยว” ดีนถามเสียงดุ ก่อนจะเห็นเทปปันทำตาเขียวใส่ “ป๊อดว่ะ” พูดจบ ดีนก็เปิดประตูเดินเข้าหอประชุมใหญ่ และไม่พลาดที่จะส่งเสียงบอกทีมงานด้านในว่า นายเอกยืนอยู่ที่ด้านนอกแล้ว นั่นทำให้เทปปันต้องจำใจเดินตามเข้าไปเช่นกัน

“ปัน นี่บท” ทีมงานยื่นบททั้งหมดให้กับเทปปัน เขารับมันมาถือไว้ในมือ มีทีมงานอีกคน มารับกระเป๋าสะพายเขาไปเก็บไว้ให้ก่อน อาการเกร็ง ๆ ของเทปปันแสดงออกมาอย่างชัดเจน มีทีมแอคติ้งมาช่วยพูดให้ผ่อนคลายลง เทปปันมองไปทางดีน มองเห็นได้ชัดว่า ดีนนั้นดูผ่อนคลายกว่าเขาเยอะ ส่วนดีนนั้น เขาพยายามทำตัวให้นิ่งมากที่สุด ไม่อยากให้ใครจับสังเกตได้ ว่าเขาเองนั้น กำลังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

“ดีนเอ็งอ่านบทมาแล้ว” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับถามพระเอกสุดหล่อของเรื่อง ดีนพยักหน้ารับ “ส่วนเรา ปัน เรามีหน้าที่ต้องไปอ่านบทมาให้ครบ เข้าใจมั้ย แล้วถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจ ถามได้เลย อารมณ์ตัวละคร การตีความบท อะไรก็ตาม อย่าเก็บเอาไว้ ให้มาคุยกัน เข้าใจนะ” เทปปันเริ่มสังเกตเห็นว่า รุ่นพี่ผู้กำกับและทีมงานทุกคน เริ่มเข้าสู่โหมดจริงจังกันแล้ว

“เราเริ่มจากตัวละครนำสองตัวนี้กันก่อนเลยแล้วกัน” แอคติ้งโค้ชพูดกับดีนและเทปปัน ซึ่งแน่นอน ดีนได้รับการบรีฟไปแล้วก่อนหน้า ว่าตัวละครเขามีความรู้สึกนึกคิดอะไร “ปัน ก่อนหน้านี้บทนี้เป็นผู้หญิง แต่พอมาปรับบทแล้ว ฉันอยากให้แกลองวาดภาพขึ้นมา ว่าตัวละครของแกรักพระเอก แต่ที่ยังแข็งขืน เพราะยังไม่แน่ใจในคำพูดของพระเอก ยังไม่แน่ใจในตัวเขามากนัก” ปันฟังแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขาจะไปเริ่มไอ้ความรู้สึกอะไรนี่จากที่ไหน

“เอาฟีลแกกำลังงอนแฟนอยู่ก็ได้ พูดอะไรมา ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับบอกกับเขา ตายล่ะ เทปปันนึกกับตัวเอง งอนแฟน งอนยังไงล่ะเนี่ย เกิดมาเคยมีแฟนกับเขาที่ไหนกัน แววตากังวลของเทปปันมองเห็นได้ไม่ยากเลย “เรามาเริ่มจากฉากที่พระเอกมาง้อนายเอกเลยแล้วกัน วอร์มอัพ ก่อนจะไปฉากที่ยากกว่านี้” รุ่นพี่ผู้กำกับเริ่มซ้อมบทจากฉากที่ว่า ง่ายที่สุดแล้วในเรื่อง ปันเปิดบทไปที่ฉากนี้ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นดีน ที่มีบทพูดค่อนข้างเยอะหลายประโยค

“คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้เราได้มาเจอกัน” ดีนเริ่มต้นพูดบทของเขา เทปปันหันไปมองหน้าอีกฝ่าย “ถ้าไม่ใช่โชคชะตา มันจะเป็นสิ่งใด ที่ทำให้เรามาอยู่ด้วยกันตรงนี้” อะไรบางอย่างในสองประโยคนี้ของดีน ทำให้เทปปันรู้สึกสะกิดในหัวใจ การได้สบตากับดีน มันยิ่งทำให้อารมณ์ประหลาดบางอย่าง ก่อตัวไหลวนอยู่ในความรู้สึกของเทปปัน

“จะให้เชื่ออะไรได้อีก” เทปปันพูดบทของเขาออกไป ดีนชะงักไปนิดหนึ่ง ทำไมเขารู้สึกเหมือนเคยได้ยินเทปปันพูดประโยคนี้มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เมื่อไหร่ เขานึกไม่ออก ซึ่งนั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อนี่คือการเข้าฉากต่อบทกันครั้งแรกของเขาและเทปปัน ความรู้สึกจากเมื่อครั้งที่แล้ว ที่อยู่ ๆ ดีนก็เกิดความน้อยใจ เสียใจ แบบไม่มีที่มาที่ไป เมื่อเห็นเทปปันไม่ตอบรับเขานั้น มันกลับมาอีกครั้ง

“เออ ๆๆ พอได้ อารมณ์พ่อแง่แม่งอน พระเอกก็จะง้อ นายเอกก็จะงอน แบบนี้ดี” รุ่นพี่ผู้กำกับรู้สึกว่า การแสดงออกด้วยท่าทีอะไรบางอย่างระหว่างสองคน ดูเหมือนจะเข้ากับบท แต่อาจจะเป็นเพราะเขาคิดไปเอง เหมือนกับว่า ทั้งสองคน มีเรื่องให้ต้องงอนง้อกันจริง ๆ

“ดีนฉากนี้ มึงต้องคว้าตัวของปันเอาไว้ ตอนที่ปันมันต้องหันแล้วเดินหนีไป กูอยากให้คนดูนั้นเก็ทฟีลว่า มึงทั้งหวง ทั้งห่วง ทั้งรัก อยากดูแลปันไปตลอดชีวิต ไอ้ดีน” พระเอกของเรื่องพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะมองไปที่นายเอกของเรื่อง ที่รุ่นพี่ผู้กำกับบอกให้ปันขยับเดินเข้าใกล้ดีนอีก เพราะฉากนี้ทั้งสองคนต้องโต้เถียงกันในระยะประชิด

“ดีนมึงพูดประโยคต่อจากนั้นเลย แล้วเดี๋ยวปัน สะบัดหน้า หันตัวหนี ทำท่าจะเดินจากไป” รุ่นพี่ผู้กำกับอธิบายบทให้กับทั้งสองฟัง ก่อนจะให้ดีนและปันต่อบทที่เหลืออยู่ให้จบ “ผมจะไม่ยอมเสียคุณไปอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแยกเราให้จากกันได้อีก” ดีนพูดจบ เทปปันก็สะบัดหน้าหนี พร้อมก้าวขา กำลังจะเดินไป ดีนคว้าข้อมือของเทปปันเอาไว้ ก่อนที่เทปปันจะได้ยินดีนเรียกชื่อตัวละครของเทปปันออกมา

เทปปันในหัวขาวโพลนไปหมด เมื่อได้ยินชื่อนั้น ที่มันดังก้องไปทั้งโสตประสาทของเขา ตอนนี้มือของเขาเย็นเฉียบ แต่ในใจกลับร้อนวูบวาบอย่างประหลาด ก่อนที่เทปปันจะเริ่มได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนหลายคนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เทปปันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขากะพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนเริ่มรู้สึกตัว และเมื่อเขาลืมตามองและเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น เทปปันพบว่า เขากำลังนอนอยู่บนพื้น โดยมีทีมงานอยู่รอบตัวเต็มไปหมด

แต่ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เทปปันรู้สึกตัว ฟื้นคืนสติขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของดีน ที่คว้าตัวเทปปันไว้ได้ทัน ตอนที่เขาเป็นลมหมดสติไป โดยที่เทปปันมองเห็นแววตาที่เป็นห่วงเป็นใยของดีน ที่แสดงออกมาได้อย่างชัดเจน

***************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=k-b4eKycJeg



สวัสดีครับ

Hey, there

เรามีสิ่งดีแนะนำคุณ หวังไว้ว่าคุณนั้นสนใจ

This good thing is available, thinking you may be interested in

โปรดีที่ไม่เคยให้ใคร ล็อกไว้ให้คุณคนพิเศษ

A great promo that’s locked specially only for you

เรามีบริการครบวงจร ดูแลตั้งแต่ตอนที่คุณตื่น

One stop service, starts from the very dawn

เช้าสายช่วงเย็นหรือว่ากลางคืน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

Throughout the day with no holidays


พร้อมรับและส่งคุณ ว่ามาเถอะคุณไม่ว่าที่ไหน

Ready to pick up and drop off, wherever you want to go

พร้อมหามาให้คุณ ว่ามาเถอะคุณต้องการอะไร

Ready to give you all, whatever your heart desires

พร้อมรักเพียงแค่คุณ ถ้าเพียงแต่คุณนั้นยอมเปิดใจ

Ready to love just you, all you need is to open your mind

ขอให้ผมรับใช้ได้ไหมคุณ

And I’ll be at your service


สิ่งดีดีที่เรียกว่ารัก คุณจะรับสักที่ไหมครับ

The nice thing’s called love, will you take one home?

มีแต่คุณที่จะได้รับ 24 ชั่วโมงไม่เคยจะพัก

The service is all around, 24 hours non - stop

ไม่ต้องให้ผมสักอย่าง คุณก็ได้ไปทั้งใจ

Nothing you need to give back; my heart is yours to yearn

ลองพิจารณา เปิดโอกาสให้กันเถอะนะ

Put it in your thought, give me a chance

แค่คุณทดลองใช้ รับประกันยินดีคืนใจ

It’s a trial run, satisfaction guaranteed

ถ้าผมไม่ใช่ ยินดีรับใจคืน

If I’m not as advertised, feel free to return my heart


มีคำว่ารักให้ไม่จำกัด

This love is unlimited

อยากให้ลองรักผมดูสักครั้ง

Why not give it a try

ถ้าผมไม่ใช่ ยินดีรับใจคืน

If I’m not the one you need, I’m pleased to take my heart back


เต็มใจบริการให้คุณฟรี ถ้าคุณว่าดีก็ทิปด้วยใจ

This service is free of charge, but a small tip is always appreciated

รักแท้ดีดีผมมีให้ รับไว้ไม่มีวันผิดหวัง

The true and genuine love to give, you’ll never be disappointed

คุณยังไม่ต้องมารักผมหรอก จะรอจนกว่าคุณนั้นมั่นใจ

Don’t need to say you love me right away, tell me when you are certain

แค่รู้ไว้เลยนานเท่าไหร่ รักผมไม่มีหมดเขต

Just so you know that my love never ever expires


พร้อมรับและส่งคุณ ว่ามาเถอะคุณไม่ว่าที่ไหน

Ready to pick up and drop off, wherever you want to go

พร้อมหามาให้คุณ ว่ามาเถอะคุณต้องการอะไร

Ready to give you all, whatever your heart desires

พร้อมรักเพียงแค่คุณ ถ้าเพียงแต่คุณนั้นยอมเปิดใจ

Ready to love just you, all you need is to open your mind

ขอให้ผมรับใช้ได้ไหมคุณ

And I’ll be at your service


สิ่งดีดีที่เรียกว่ารัก คุณจะรับสักที่ไหมครับ

The nice thing’s called love, will you take one home?

มีแต่คุณที่จะได้รับ 24 ชั่วโมงไม่เคยจะพัก

The service is all around, 24 hours non - stop

ไม่ต้องให้ผมสักอย่าง คุณก็ได้ไปทั้งใจ

Nothing you need to give back; my heart is yours to yearn

ลองพิจารณา เปิดโอกาสให้กันเถอะนะ

Put it in your thought, give me a chance

แค่คุณทดลองใช้ รับประกันยินดีคืนใจ

It’s a trial run, satisfaction guaranteed

ถ้าผมไม่ใช่ ยินดีรับใจคืน

If I’m not as advertised, feel free to return my heart


มีคำว่ารักให้ไม่จำกัด อยากให้ลองรักผมดูสักครั้ง

My love has no limit, come taste it for yourself

ผมจะรับประกันว่าในทุกวันจะรักแค่คุณ

I do definitely love you every single day
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgiaบทที่๖.มาเจอคนที่รักและเข้าใจ ๑๕/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 15-11-2022 19:12:57
บทที่ ๖. มาเจอคนที่รักและเข้าใจ



2536

1993



ท็อปทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นนันน้ำตาไหลพรากลงนองหน้า หลังจากที่ทั้งสองคน เดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ ท็อปไม่เคยเห็นนันร้องไห้มากมายอย่างนี้มาก่อน นันพยายามเช็ดน้ำตาให้หมดไป แต่ยิ่งเช็ดก็เหมือนกับว่า เป็นการเร่งเร้าให้ตัวเองนั้น ต้องน้ำตาไหลลงมามากกว่าเดิม นันจึงเดินเลี่ยงหลบไปที่อีกมุมของโรงภาพยนตร์

“นัน อย่าร้องไห้แบบนี้สิ เราใจไม่ดีเลย” ท็อปที่เดินตามมา พยายามพูดปลอบอีกฝ่าย ที่ยังคงมีน้ำหูน้ำตาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เป็นผล “เราพยายามจะหยุดร้องแล้ว แต่มันทำไม่ได้” นันพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึ้นจมูก ตอนนี้ทั้งดวงตาและจมูกของนันมีสีแดง จากการร้องไห้ออกมาอย่างหนัก

“ก็หนังมันเศร้านี่นา” นันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ๆ พลางเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ท็อปพยายามกลั้นหัวเราะด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย แต่ก็นึกเห็นด้วยกับนัน ที่เนื้อเรื่องมันชวนให้เศร้าจริง ๆ “การมีพี่ชายแบบนั้น มันดีจริง ๆ นะ” นันถอนหายใจยาวออกมา เพื่อไล่ความรู้สึกเสียใจที่เกิดขึ้น จากที่ตัวเองรู้สึกเข้าถึงไปกับบทและการแสดงของนักแสดงในเรื่อง

“ถ้านันอยากมีพี่ชายแบบในหนัง เราเป็นพี่ชายให้นันก็ได้นะ” ท็อปบอกกับอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่อ่อนโยน เขาพูดไป ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการจะปลอบใจนันเท่านั้น แต่เป็นเพราะท็อปเองก็รู้ดีว่า นันนั้น แทบจะไม่มีที่พึ่งอื่นใดเลยในชีวิต “จริงๆ นะ” เหมือนท็อปกลัวว่านันจะไม่เชื่อ และคิดว่าเขาแค่พูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง

“นันมีปัญหาอะไร มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูด อยากจะคุย หรืออยากจะระบายสัพเพเหระ อะไรก็ได้ เรายินดีเสมอที่จะอยู่กับนันในช่วงเวลาแย่ ๆ” ท็อปรู้ตัว ว่าเขานั้นพูดออกมาด้วยความจริงใจ “แต่สักวันเราก็ต้องจากกัน” นันนึกถึงเนื้อเรื่องในหนังที่เพิ่งดูจบไป การร่ำลามันคือส่วนที่เศร้าที่สุดแล้วในความรู้สึก

“ถ้าเอาตามเนื้อเรื่องในหนัง ก็ต้องให้เราตายไปเสียก่อนล่ะนะ” ท็อปทำเป็นพูดติดตลกออกไป แต่นันที่ได้ยินท็อปพูดแบบนั้นออกมา สีหน้าของนันนั้นดูสลดลง “ไม่พูดเรื่องแบบนี้ได้มั้ย” เสียงของนันฟังดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก เพราะเท่าที่ท็อปรู้มา ที่นันเหลือตัวคนเดียว ก็เพราะว่าทุกคนได้จากนันไป การอยู่ตัวคนเดียวในโลก มันอ้างว้างมากเกินกว่าที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เผชิญความขาดตกบกพร่องในชีวิตแบบท็อป

“เราจะกลับมา” ท็อปพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะกลับมาหานัน เราจะไม่ทิ้งนันไปไหนทั้งนั้น เราสัญญา” ท้อปเอื้อมมือไปจับมือของนันเอาไว้ ก่อนจะบีบมือของนันเบา ๆ แทนคำมั่นสัญญาให้นันได้เชื่อใจและวางใจ นันดึงมือออกจากมือของท็อป เมื่อมีครอบครัวพ่อแม่ลูกสี่คน ได้เดินผ่านมา และมองมาที่ทั้งคู่ ด้วยสายตาที่ดูตำหนิติเตียน

“ยืนทำอะไรกันตรงนั้น สองคนนั้นน่ะ” เสียงหญิงกลางคนร้องถามออกมา “เปล่าครับ ผมกับเพื่อน เรายืนคุยกันเฉย ๆ” ท็อปตอบกลับไป ก่อนจะพยักหน้าให้นัน เป็นเชิงให้เดินออกไปจากที่ตรงนั้น “พ่อแม่รู้มั้ยเนี่ย ว่ามาทำอะไรกันแบบนี้ ยังเด็กอยู่ทั้งคู่เลย แถมเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวสำทับผู้เป็นภรรยาของตัวเอง

“พวกผมไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ” ท็อปเถียงทั้งสองคนนั้นไป เพราะเขาไม่คิดว่า เขากับนันนั้นทำอะไรผิดหรือไม่ดีไป “ก็เห็นอยู่เนี่ย ว่ายืนจับมือถือแขนกันอยู่ ทำตัวน่าเกลียดในที่สาธารณะแล้วยังจะมาบอกว่าเปล่าอีก ผู้หญิงผู้ชายเขายังไม่กล้าทำอะไรแบบนี้กันเลย น้ากับแฟนยังไม่กล้าจับมือกันเดินเลย” ท็อปนึกฉุนที่หญิงชายคู่นี้ไม่ยอมลดละ

“ผมจะทำมากกว่านี้ยังได้เลย” ท็อปไม่พูดเปล่าเขาดึงตัวของนันเข้ามาโอบไหล่เอาไว้จนแน่น “จะให้ผมหอมแก้มเพื่อนผมตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้เลย” นันได้ยินท็อปพูดแบบนั้น ก็รีบห้ามปรามอีกฝ่ายเอาไว้ “นี่ฉันพูดเตือนดี ๆ ทำไมถึงพูดจาย้อนพูดใหญ่แบบนี้ล่ะ” เสียงของหญิงกลางคนได้แหวขึ้น จนเริ่มมีผู้คนแถวนั้นหันมามอง สงสัยว่าเกิดการโต้เถียงอะไรกันขึ้น

“ไปเถอะท็อป” นันพูดเสียงสั่น เพราะไม่อยากให้ท็อปมีเรื่องตต่อล้อต่อเถียงกันคนแปลกหน้า “คุณน้าครับ ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ” ไม่พูดเปล่า นันยกมือไหว้ขอโทษหญิงชายวัยกลางคนคู่นั้นอย่างนอบน้อม “ไม่ต้องไปไหว้ ไม่ต้องไปขอโทษคนแบบนี้” ท็อปกุมมือของนันเอาไว้ รีบกดลง เพราะไม่อยากให้นันเสียมือไหว้คนทั้งคู่

“มีอะไรกันครับ” เสียงถามจากคนที่เดินผ่านมาเจอ “ก็ไอ้เด็กสองคนนี่น่ะสิ มันยืนจับมือจับไม้ ลูบ ๆ คลำ ๆ กันอยู่ในมุมลับตานั่น ฉันเข้ามาเตือน พวกมันก็ด่าฉันกับแฟนแบบเสีย ๆ หาย ๆ” หญิงวัยกลางคนพูดเสียงดัง ด้วยความไม่พอใจอย่างที่สุด ที่เห็นท็อปพูดตอบโต้กลับมากับเธอ

“ถ้ามันลับตาคนแล้วพี่เห็นเด็กมันทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ” ชายวัยกลางคนที่เข้ามาสอบถาม ได้พูดขึ้น หญิงชายที่มีวิวาทะกับท็อปทำหน้าเหวอ เมื่อเห็นว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้เข้าข้างพวกเขา “ไป ๆ ไอ้หนุ่มสองคนนั่น รีบไปซะ” ท็อปยกมือไหว้ของคุณชายวัยกลางคนที่เข้ามาไกล่เกลี่ยเรื่องให้ “แล้วทีหลังอย่าทำอะไรประเจิดประเจ้ออีก เข้าใจมั้ย” ท็อปรับคำผู้อาวุโสกว่า ก่อนจะจงใจจับมือนัน แล้วเดินพาอีกฝ่ายออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้คู่ผัวเมียนั่น ร้องโวยวายหาว่าตนโดนดูถูก อยู่ที่ด้านหลังนั่น

“คราวหลังเราไม่มาเที่ยวกับท็อปแล้วดีกว่า” นันพูดขึ้น พอทั้งคู่เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ “อ้าว ทำไมล่ะนัน” ได้ยินแบบนั้น ท็อปถึงกับรู้สึกใจแป้ว “เราไม่อยากให้ท็อปมีเรื่องกับคนอื่น” นันหมายความตามที่เขาพูดจริง ๆ นันไม่อยากเห็นท็อปต้องมีปัญหา เพราะว่ามีเขาเป็นตัวต้นเหตุ

“เราบอกแล้วไง ว่าเราจะปกป้องนันเอง” ท็อปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราดูแลตัวเองได้” นันตอบกลับไป ท็อปยิ้มน้อย ๆ ในหน้า “เรารู้ แต่เราก็ยังอยากจะดูแลนันอยู่ดี” ท็อปอยากจะพูดประโยคนี้กันนันมานานแล้ว “ท็อปปล่อยมือเราก่อน” นันพูดขอคืนมือของเขา จากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ท็อปยิ้มเขิน ๆ ทำท่าลังเลเหมือนจะอิดออด แต่ก็ยอมปล่อยมือของนันให้เป็นอิสระแต่โดยดี

“นันให้ท็อปเป็นพี่ชายแล้วนะ จำไม่ได้หรือ” ท็อปทวงคำสัญญาที่นันเพิ่งให้กับเขาหยก ๆ นันสบสายตากับท็อป แต่ความรู้สึกอะไรบางอย่าง ที่ส่งผ่านสายตาของท็อปมาให้กับเขา ทำให้นันต้องเส หลบสายตาจากอีกฝ่ายไป “พี่ชายก็ต้องดูแลน้องชายนะ” ท็อปพูดพลางยกมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของนันเบา ๆ ท็อปไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรเหมือนกัน ที่วันนี้ เขาทำทุกอย่างที่เคยได้คิดแต่แค่อยู่ในใจ เพราะปกติเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะการเถียงผู้ใหญ่ หรือการแสดงออกกับนัน เพื่อนสนิทของเขาคนนี้

“เดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนนะ” นันบอกกับท็อป ที่สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกเสียดาย ที่วันนี้จะได้อยู่ด้วยกันเพียงเท่านี้ นันยื่นย่ามที่เขาสะพายมา ส่งให้กับท็อป “เงินค่าตั๋วหนังส่วนของเรา” นันบอกกับท็อป ก่อนจะเห็นท็อปส่ายหน้า บอกให้นันเก็บเงินนั้นเอาไว้ ด้วยที่ว่า วันนี้เขาอยากจะพานันมาเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังจริง ๆ แต่ถ้าบอกก่อน ท็อปก็กลัวว่านันจะปฏิเสธ ไม่ยอมมากับเขา

ท็อปเดินข้ามสะพานลอยมาส่งนันขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม แม้ว่านันจะห้ามเขาเอาไว้ แต่ท็อปก็ทำเป็นหูทวนลม เดินมาส่งนันที่อีกฝั่งถนนอยู่ดี ขณะรอรถเมล์สายที่นันจะขึ้นไป ในใจของท็อปก็ภาวนาไป ให้รถเมล์สายดังกล่าวมาช้า ๆ หรือไม่มาเลยได้ยิ่งดี เขาจะได้มีข้ออ้าง นั่งรถแท็กซี่ไปส่งนันที่บ้าน

“เรากลับก่อนนะ” เสียงพูดของนัน ทำให้ท็อปแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด รถเมล์สายที่นันรอ เยี่ยมหน้าขับตรงมาแต่ไกล “โทรหาเราบ่อย ๆ นะ” ท็อปบอกกับนัน เมื่อรถเมล์กำลังจะเข้าเทียบจอดที่ป้าย นันยิ้มให้กับท็อปแทนคำตอบ ก่อนจะหันไป และกำลังจะเดินขึ้นบันไดรถเมล์ ท็อปก็รีบยัดมือใส่อะไรบางอย่างลงในย่ามของนัน โดยที่นันไม่ทันจะได้ท้วงอะไร รถออกมาจากป้ายไกลพอสมควรแล้ว นันถึงได้รู้ว่า ท็อปใส่บัตรโทรศัพท์หลายใบมาให้ เพื่อนันจะได้โทรหาท็อปจากตู้โทรศัพท์สาธารณะได้

จากวันนั้น ที่ท็อปและนันได้ไปดูหนังด้วยกัน มันเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ท็อปได้แต่เฝ้ารอให้นันโทรหาเขา แต่จนแล้วจนรอด นันก็ยังไม่โทรมาเสียที ทุกครั้งที่โทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น ท็อปจะใจเต้นแรงทุกที เพราะหวังใจว่า สายที่เพิ่งโทรเข้ามานั้น จะเป็นสายของนัน ที่ท็อปเฝ้ารอ แต่ทุกครั้ง ก็เป็นคนอื่นที่โทรมา ท็อปได้แต่ถอนหายใจ เพราะนึกเป็นห่วงนัน ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง

“บ้านคุณฤทธิ์ค่ะ” ท็อปที่วิ่งมาจากทางด้านหน้าบ้าน เมื่อเขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ไม่ว่าคุณแม่บ้านนั้นรับสายเสียก่อน “จะเรียนสายกับใครคะ” เสียงคุณแม่บ้านกรอกเสียงถามไปที่ปลายสาย “จะให้แจ้งว่า ใครจะเรียนสายด้วยคะ คุณนันนะคะ” ท็อปได้ยินแบบนั้น ก็รีบเดินเข้าไปหาคุณแม่บ้านทันที

“เพื่อนผมเองครับแม่นวล” ท็อปบอกกับคุณแม่บ้านไป “อย่าคุยสายนานนะคะ เดี๋ยวคุณพ่อจะดุเอา” คุณแม่บ้านเตือนให้ท็อปรับรู้ ก่อนจะเดือนเลี่ยงไปทางด้านหลังครัว เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่คุณหนู ผู้เป็นลูกชายเจ้าของบ้าน “นัน นัน เป็นอย่างไรบ้าง ทำไมไม่โทรหาเราเลย เราเป็นห่วงนันมากรู้มั้ย นี่มันสองอาทิตย์กว่าแล้วนะ” ท็อปพูดรัวเร็วกรอกหูโทรศัพท์ลงไปหาอีกฝ่ายในทันที

“ท็อป” นันไม่ได้พูดตอบอะไรมา เพียงแต่ เรียกชื่อของอีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “นัน นันเป็นอะไรหรือเปล่า” ท็อปถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยความเป็นห่วง “นันโอเคมั้ย” ท็อปยิ่งห่วงนันมากยิ่งขึ้น เมื่อนันพยายามตอบกลับมาว่าโอเค แต่น้ำเสียงที่ท็อปได้ยินนั้น ฟังดูก็รู้ ว่านันกำลังรู้สึกแย่มาก ๆ อย่างแน่นอน

“ตอนนี้นันอยู่ที่ไหน นันปลอดภัยดีใช่มั้ย” ท็อปร้อนรนมากกว่าเดิม “นันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวเรานั่งรถแท็กซี่ไปหา” ท็อปได้ยินนันตอบกลับมาว่า มันดึกแล้ว ท็อปอย่านั่งรถออกมาคนเดียว “เพราะมันดึกแล้วน่ะสิ นัน เราถึงอยากจะนั่งรถไปรับ นันไม่ได้อยู่ที่บ้านใช่มั้ยตอนนี้” มาถึงตอนนี้ นันถึงค่อยยอมรับกับท็อปว่า เขาออกจากบ้านมา ก่อนที่ท็อปจะได้ยินนันถามว่า บ้านของท็อปอยู่แถวไหน ถ้านันจะนั่งรถเมล์ไปเอง

“นันจะมายังไงคนเดียว” ท็อปนึกเป็นห่วง เพราะจากบ้านของนัน นั่งรถมาที่บ้านเขา ก็ใช้เวลาพอสมควร ท็อปบอกพิกัดบ้านของเขาให้นันรู้ เมื่อนันยืนยันว่า เขาจะนั่งรถเมล์มาเอง ท็อปกำชับป้ายรถประจำทางพร้อมกับจุดสังเกตกับนัน และถ้านันหาไม่เจอหรือยังไง นันต้องรีบหาตู้โทรศัพท์ แล้วโทรบอกท็อปให้รู้ในทันที

ท็อปนั่งรอนันอยู่เป็นชั่วโมง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย แถมนันก็ยังไม่โทรหาเขาเลย ตั้งแต่วางหูกันไป ท็อปที่ร้อนใจ เดินออกไปชะโงกมองที่หน้าบ้าน เพื่อมองหาใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น แต่จนแล้วจนรอด นันก็ยังมาไม่ถึง ท็อปเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าบ้าน ผุดลุกผุดนั่งที่เก้าอี้ม้าหินอ่อน ก่อนท้ายที่สุด ตัดสินใจ เดินออกไปดูที่ด้านนอกตัวบ้าน

“นัน” ท็อปที่เดินออกมาจนเกือบถึงด้านหน้าหมู่บ้าน ก็เห็นนันเดินเหงื่อโทรมกายเข้ามาหา “ทำไมนันมาช้าจังเลย” เกือบจะฟังดูแล้ว เป็นการตำหนิ ท็อปถามออกไปด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด จากราว ๆ เกือบหนุ่งทุ่มที่ได้คุยกัน จนตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว “เราเดินมา” น้ำเสียงของนันรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วง

“เดินมา” ท็อปตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “เดินมาจากไหน จากป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านเราน่ะหรือ” ท็อปถามออกไป ไม่ทันได้สังเกตอะไรอย่างอื่น รวมถึงท่าทีของนัน ด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย ก่อนที่ท็อปจะต้องตกใจ เมื่อรู้ว่า นันเดินมาไกลกว่านั้นมาก เพราะเขามีเงินค่ารถพอแค่หนึ่งต่อ จึงเดินจากป้ายรถที่ต้องลงป้ายนั้น แล้วเดินต่อมาจนมาถึงที่นี่

“นั่นมันไกลมากเลยนะ แล้วนันเป็นอะไรมั้ย” ท็อปถามออกไป จนสังเกตเห็นว่า นันหันไปหน้าด้านขวาหนีเขาอยู่ตลอดเวลาที่พูดด้วย ท็อปยกมือขึ้นแตะคางของนัน เพื่อหันใบหน้าด้านนั้นของนันมาให้เขาดู แก้มด้านนั้นของนันบวมช้ำ มุมปากของนันแตกเป็นทางยาว ยังมีเลือดซึมออกมาให้เห็น

“ใครทำอะไรนัน” ท็อปถามออกไป ก่อนจะรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่รื้นขึ้นขอบตาของเขา “มีอะไรหรอก เราแค่หกล้มน่ะ” นันตอบกลับมา พยายามข่มความรู้สึก และทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่มันก็ชัดเจนเหลือเกิน ท็อปได้ยินเสียงที่สั่นเครือของนันอย่างชัดเจน แล้วมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ

“ไม่เป็นไรแล้วนะ นันปลอดภัยแล้ว ท็อปอยู่ตรงนี้กับนันแล้วนะ” ท็อปดึงตัวของนันเข้ามากอดเอาไว้จนแน่น และทันทีที่นันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของท็อป ความอบอุ่นกายและความอบอุ่นใจที่ได้รับ มันทำให้ทุกสิ่งที่นันพยายามเก็บ พยายามกลั้นมันเอาไว้ ได้พังทลายลงมาเหมือนทำนบแตก เสียงสะอื้นของนัน ทำให้ท็อปยิ่งกอดนันแน่นขึ้นอีก โดยที่ท็อปเอง ก็รุ้สึกเจ้บปวดไปกับนัน น้ำตาของเขาไหลจากของตา ได้แต่พูดปลอบประโลมจิตใจของอีกฝ่าย ให้นันได้ระบายความรู้สึกทั้งมวลในใจนั้นออกมา โดยที่เขาจะไม่ปล่อยให้นันต้องอยู่อย่างอ้างว้างและเดียวดาย ท็อปจะไม่ทิ้งนันไปไหนทั้งนั้น

******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=z9KaLdOqZs0



ฉันเดินอย่างอ้างว้าง กับทิศทางที่ไม่มั่นใจ

I am feeling desolated in the uncertain directions

บอกกับใคร ใครเขาจะเชื่อ

Who will believe me if I tell them this?

เบื่อตัวเอง ที่ยังสับสน

I’m fed up with myself being so confused


เหงา ฉันเหงาเหลือเกิน

Lonely, and all alone that I am

เมื่อฉันเดินไปข้างหน้า

Yet, I have to go through what lies ahead

อยากรู้เหลือเกินว่า

I wish I would know

จะเดินไปเพื่ออะไร

The reason of me keeping this up

เมื่อใครคนนั้นได้จากไปแล้ว

Now that someone I love is now gone


ไม่เคยจากไปไหน ไม่เคยจะจางหายไป

I never ever left you, and I will never do

อยู่ใกล้ใกล้ ส่งใจผูกพัน

Always be here, showing you how we’re bonding

ในเมื่อวันนี้ นายยังไม่มีความสุข

Cause today you’re still unhappy

ฉันจึงกลับมา กลับมา

Therefore, I’m back, back here


กลับมาแล้ว กลับมา

I am here, I’m with you

กลับมาแล้ว กลับมา

I am here, I’m here for you

จะกลับมา เมื่อนายต้องการ

I’ll come back anytime you need me

ฉันจะกลับมา กลับมา

I’ll be home to you, for you

เมื่อนายต้องการ

Every time you need me to
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๗. อยากลืมกลับจำ ๑๖/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 16-11-2022 16:52:47
บทที่ ๗. อยากลืมกลับจำ



2565

2022



“ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องกลัว” ตฤณตอบกลับเด็กหนุ่มไป “ถ้าอย่างนั้น เราก็ขึ้นห้องกันเลยสิครับ” เด็กหนุ่มดูท่าทางกระตือรือร้น ที่ได้ยินแบบนั้น “แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะให้คุณขึ้นไปที่ห้องด้วยนะ” ตฤณเสียงเขียวด้วยตั้งใจจะกำราบให้อยู่หมัด “กับคุณ” เด็กหนุ่มพูดออกมา หยุดเว้นช่วงนิดหนึ่ง ขยับเท้าเดินเข้าหาตฤณจนเกือบชิด

“เรื่องสถานที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่ไหนก็ได้” อยู่ ๆ ตฤณก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ใบหน้า ที่รู้สึกว่ามันกำลังเต้นยิบ ๆ จากอากัปกิริยา คำพูด และท่าทางของเด็กหนุ่ม ที่เหมือนจะจงใจใช้คำพูดที่ชวนให้คิดไปไกลกับเขา “พูดอะไรเพ้อเจ้อ” ตฤณดุเด็กหนุ่มเข้าให้ แต่แทนที่จะเขาจะเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มีท่าทีสลดลง ไอ้ท่าทางพึงพอใจ ยิ้มกรุ้มกริ่มในใบหน้านั่น มันหมายความว่าอะไรกัน

“พรุ่งนี้วันหยุด เจอกันเช้าหน่อยก็ดี” เด็กหนุ่มพูดออกมา เหมือนกับว่า เขากับตฤณได้ตกลงนัดกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย “ผมไม่ว่างจะมาเจอคุณหรอกนะ” ตฤณประท้วง แต่ดูไปแล้ว คำพูดของเขาแทบจะไม่มีผลต่อความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้เลยสักนิด “ทำตัวให้ว่าง นี่ไม่ใช่การต่อรอง” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ประหนึ่งเหมือนกำลังออกคำสั่ง

“กรุณาตรงเวลาด้วย” สายตาของเด็กหนุ่มที่ใช้มองมานั้น ทำให้ตฤณต้องหลบสายพัลวัน “ไม่ได้รับปาก ผมไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น” แม้ตฤณจะพูดปฏิเสธออกไปตรง ๆ แบบนั้นแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงมองตามตฤณที่เดินเข้าลิฟต์ไปด้วยความเอ็นดู ซึ่งตฤณรู้สึกว่า เด็กหนุ่มคนนี้ทำอย่างกับทั้งสองคนนั้น คุ้นเคยกันมาก่อนยังไงยังงั้น

ตฤณกลับเข้ามาในห้องคอนโด เขาพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อต้องการสลัดใบหน้าของเด็กหนุ่มให้ออกไปจากความคิด แต่ยิ่งทำมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่า ภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับยิ่งลอยเข้ามาให้เห็น โดยเฉพาะสายตาที่เด็กหนุ่มนั้นใช้มองเขา จะให้ตฤณปฏิเสธว่า มันไม่ทำให้เขารู้สึกหวามไหว เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก

“ให้ตายเถอะ” ตฤณบ่นออกมาดัง ๆ นี่เขาทั้งอาบน้ำ ทำอาหารเบา ๆ สำหรับมื้อเย็น ก่อนจะมานั่งจิบเหล้าผสมที่เขาชอบ แต่จนแล้วจนรอด เหมือนกับเนื้อเพลงเก่าเพลงหนึ่งในอดีต ที่ร้องไว้ว่า อยากจะลืมแต่กลับยิ่งจำ “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้ว” ตฤณพูดกับตัวเอง เพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่ไปเจอเด็กคนนี้อีก จะเลี่ยงไม่พบปะ ไม่พูดคุยด้วย เดี๋ยวพอเด็กหนุ่มคนนี้เบื่อ เพราะตฤณทำตัวน่ารำคาญ ก็รามือไปเอง

เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ขณะที่ตฤณกระดกเหล้าลงคอไปจนหมดแก้ว และกำลังจะลุกไปชงแก้วใหม่ หน้าจอมือถือบอกว่า เป็นรุ่นพี่ที่นับถือกัน ที่เคยช่วยเขามาในอดีต ตฤณผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ใจจริงเขาไม่อยากจะรับสายเท่าไหร่ แต่ก็อีก สำหรับผู้ที่เคยมีพระคุณกับเขามา อย่างรุ่นพี่คนนี้ ตฤณจึงหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย

“สวัสดีครับพี่ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” ตฤณกรอกเสียงพูดลงไป “แกช่วยฉันได้แน่นอน ตฤณ” เสียงนั้นตอบกลับมาแทบจะในทันที และฟังดูแล้ว ดีใจมากด้วยซ้ำ ที่ตฤณช่วยพูดออกตัวนำแบบนั้น “แกช่วยเอาไอ้เด็กบ้านี่ไป เอาไปให้ห่าง ๆ ฉันสักที นี่ฉันจะบ้าตายกับมันวันละร้อยรอบแล้ว” รุ่นพี่ของตฤณพูดด้วยความรู้สึก ราวกับได้ตฤณมาเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ

“พี่พูดเรื่องอะไรครับเนี่ย เด็กอะไรที่ไหน” ตฤณไม่เข้าใจที่รุ่นพี่ผู้หญิงคนนี้พูดมา “อ้าว นี่มันไม่ได้ไปหาแกที่คอนโดหรอกหรือ ก็ไหนมันบอกกับพี่ว่า มีเรื่องด่วน เรื่องสำคัญ ต้องเจอแกให้ได้ มันมานั่งคาดคั้นเอาที่อยู่ เบอร์มือถือแกจากพี่นี่แหละ” ตฤณขมวดคิ้วไปกับคำพูดของรุ่นพี่ที่เขาได้ยิน เพราะถ้าเป็นเด็กบ้า มันมีอยู่คนเดียวเท่านั้น ที่ตฤณได้เจอในวันนี้ และนั่นก็คือ

“ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบอสพี่เอง” รุ่นพี่บอกกับตฤณ และเขาเองก็คิดว่า น่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่มาหาเขาที่ใต้คอนโดนี่แหละ “รักมาก ตามใจมาก สปอยล์ขั้นสุด จะทำอะไร อยากได้อะไร ไม่มีขัดใจ” รุ่นพี่ของตฤณพูดยาว เหมือนกับดีใจที่มีคนมาให้เธอได้มีโอกาส พูดระบายความอัดอั้นออกมาเสียที

“ก่อนหน้านี้ก็ดูจะไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจอะไรมากมายขนาดนี้ ฉันก็เพิ่งเห็นมาเคสอยากจะเจอแกนี่แหละ บอกว่าสัญญาต้องเป็นสัญญาอะไรก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่เข้าใจนะ แกเคยเจอกับมันมาก่อนหรือไง” กับรุ่นพี่ของตฤณเอง ยังรู้สึกว่า เด็กหนุ่มรู้จักกับรุ่นน้องของเขาคนนี้ดี แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทั้งสองคน ไม่ได้อายุรุ่นราวคราวเดียวกันสักหน่อย

“ผมก็เคยเจอเขา ก็เพิ่งหนแรกวันนี้แหละพี่” ตฤณตอบกลับรุ่นพี่ของเขาไป เขาเองก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่เด็กหนุ่มดูผ่อนคลาย เหมือนคลายกังวลลง เมื่อได้เจอหน้าตฤณ ได้รู้ว่าตฤณอยู่ที่ไหน และมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของตฤณ ให้ติดต่อมาหาได้ “แล้วเขารู้จักผมได้ยังไง พี่พอจะรู้มั้ย” ตฤณเอง ก็อดถามออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน กับเจ้านายพี่ พี่ไม่ค่อยกล้าเซ้าซี้ไรนัก” รุ่นพี่เอง ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากสอบถามความเป็นมาเป็นไปจากเจ้านายของเธอเหมือนกัน “ไม่อยากรนหาเรื่องเดือดร้อน” เสียงรุ่นพี่ฟังดูแล้ว ดูขยาดจริง ๆ กับการทำตัวขัดหูขัดตาเจ้านาย “ลูกชายคนนี้ กว่าจะได้มา” แม้แต่การจะทำตัวขัดใจลูกชายคนเดียว ทายาทนักธุรกิจใหญ่คนสำคัญของประเทศด้วย

“พูดได้เลยว่า ลูกชายคนนี้ พระให้มา” ตฤณสะดุดกับคำพูดนี้ของรุ่นพี่ จนต้องถามกลับไปด้วยความสงสัย “ฟังดูก็ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ” รุ่นพี่ส่งเสียงกลับมาจากปลายสาย “เขาเม้าท์ต่อ ๆ กันมา ว่านายพี่กับเมียอยากมีลูกมาก ๆ มากถึงมากที่สุด แต่ก็นะ รวยมหาศาลขนาดนี้ ขาดแต่ทายาทที่จะมาสืบทอด” รุ่นพี่ของตฤณ เมื่อได้ที ก็เอ่ยปากนินทาเจ้านายของตัวเองอย่างออกรส

“ทำยังไง ก็ไม่สามารถมีลูกได้สักที เลยไปหาพระ ไปขอกับพระ ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า หากมีใครที่เคยล่วงลับไปที่มีวาสนาต่อกัน อยากจะมาเกิดเป็นลูก พวกตนยินดีเป็นพ่อแม่ให้ ยินดีที่จะเลี้ยงดูอย่างดี ไม่มีวันจะทำให้ต้องเสียใจ” ตฤณฟังแบบนั้นแล้ว ก็รู้สึกทึ่ง ที่ทั้งสองคนที่มีฐานะอยู่ในระดับเจ้าสัว ยังต้องพึ่งพาเรื่องอะไรแบบนี้เช่นกัน

“แล้วเป็นไงล่ะ ขอปุ๊บ ได้ปั๊บ คุณผู้หญิงแกท้องในเดือนนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ทำกิฟท์มาไม่รู้จะกี่หนต่อกี่หน เสียเงินไปเป็นสิบ ๆ ล้าน แต่พอขอลูกจากพระปุ๊บ ปั่มปั๊มกันทีเดียว ลูกชายมาเกิดเฉย” รุ่นพี่พูดพลางกลั้วหัวเราะ “แกพอจะเข้าใจฉันแล้วใช่มั้ยตฤณ ว่าทำไมแกถึงต้องรับใช้ฉัน ตามที่แกพูดตอบรับสายฉัน แกพูดเองนะ อย่ามากลับคำตอนนี้ เพราะฉันไม่อยากจะพูดลำเลิกทวงบุญคุณอะไรกับแก” ตฤณฟังแล้วรู้สึกอยากเขกกะโหลกตัวเอง ที่ปากไว ใจนึกอยากจะดึงประโยคนั้นของตัวเองกลับมา

“ไม่ว่า ไอ้เด็กบ้านี่ต้องการอะไร แกจัดการให้มันซะ เข้าใจมั้ย มันจะได้เลิกกวนฉันเสียที ฉันจะเป็นโรคประสาทตายอยู่แล้ว ตั้งแต่มันไม่เลิกไม่รา จนฉันแทบไม่ต้องทำอะไร เมื่อมันกวนประสาท โทรหาฉันทุกนาที ฉันบอกแกเลยนะ ว่ามันโทรไม่เลิกจริง ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่า มันเป็นลูกชายของนายนะ แม่จะ” รุ่นพี่ของตฤณเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะเมื่อคิดถึงจำนวนเงินโบนัสงาม ๆ ตอนปลายปีแล้ว ก็ได้แต่รับคำ 'รับทราบค่ะ คุณหนู' ไม่ก็ 'ทันทีค่ะ คุณหนู' ไปทุกครั้ง

“ฉันรับรอง ว่างานนี้ฉันไม่ให้แกเหนื่อยฟรีหรอก” เหมือนจะรู้ทัน รุ่นพี่บอกจำนวนเงินค่าเหนื่อยที่ตฤณจะได้รับ ซึ่งมันก็มากโขทีเดียว เพื่อแลกกับอะไรก็ตาม ที่เด็กหนุ่มบ้านรวยคนนี้ต้องการให้เขาทำ “โอเคนะตฤณ ฉันไม่กวนแกแล้ว แกจะได้พักผ่อน ฉันรู้ว่าวันหยุดแบบนี้ แกไม่ก็ไม่อยากจะรับสายใครนักหรอก ไม่เว้นแม้แต่สายของฉัน” ตฤณลอบถอนหายใจ เมื่อโดนรุ่นพี่พูดดักคอ ที่ปลายสายด้านโน้นจบการสนทนาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และรวบรัดเพื่อเป็นอันรู้กันว่า ตฤณห้ามปฏิเสธ

ตฤณวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่ามันส่งเสียงดังขั้นอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นสายของนฤเบศที่เรียกเข้ามา ตฤณนั่งมองดูหน้าจอนั้น แต่ไม่หยิบมันขึ้นมา มันเงียบเสียงลง ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง ตฤณปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น จนมันตัดสายไปเอง ก่อนที่จะมีข้อความส่งมาว่า นฤเบศชวนเขาไปกินข้าวเย็นด้วยพรุ่งนี้ ตฤณหยิบมันขึ้นมากดอ่าน ก่อนจะส่งข้อความกลับไปว่า เขาอยากพักผ่อน ไว้เจอกันวันหลัง นฤเบศโทรกลับมาอีกครั้ง แต่ตฤณไม่ได้กดรับสายแต่อย่างใด

คืนนั้นตฤณเข้านอนเกือบเที่ยงคืน เขารู้สึกกระสับกระส่ายกับอากาศด้านนอกห้องที่ร้อนอบอ้าว ตฤณเหงื่อชุ่มโชก แม้ว่าเขาจะเปิดเครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติ กึ่งหลับกึ่งตื่น ตฤณรับรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ เหมือนกับเขากำลังยืนมองดูตัวเองทำโน่นทำนี่ ในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็ก มันประหลาดในความรู้สึก เมื่ออยู่ ๆ เขาก็เห็นตัวเองที่อยู่ในความฝัน กำลังร้องไห้ตัวโยน กรีดร้องเสียงโหยหวนชวนหดหู่ กับภาพตรงหน้า ที่แสนจะสะเทือนใจนั้น

ตฤณสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงตัวเองร้องตะโกนเสียงหลง เขาหายใจหอบหนัก เมื่อเรื่องราวในความฝันนั้น เขาได้กลบมันทิ้งอยู่ในความทรงจำ พยายามจะไม่หวนนึกถึงมันมานานหลายปีแล้ว ไม่สิ มันนานมากจริง ๆ เพราะตอนนี้อายุของเขาก็ล่วงเข้าสี่สิบกว่าแล้ว

เช้านี้ ตฤณพยายามจำประคองอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ขุ่นมัว พยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น แม้ว่าจะมีข้อความหลายต่อหลายข้อความส่งมาหาเขา ถามเขาตั้งแต่เขาตื่นหรือยัง กินกาแฟอร่อยมั้ย ไปจนถึงข้อความที่ส่งมาย้ำว่า วันนี้ตฤณมีนัดกับเขา เด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายของรุ่นพี่ ตฤณได้แต่อ่านแต่ไม่ตอบ จนเด็กหนุ่มต้องส่งรูปอิโมจิร้องไห้มาให้เขา และตฤณต้องรีบวางมือถือของเขาลง เมื่ออยู่ ๆ ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“รู้แล้วน่า กำลังจะลงไป” ตฤณจงใจทำเสียงหงุดหงิดใส่ เมื่อยังไม่ทันจะถึงเวลานัด เด็กหนุ่มก็โทรมาหาเขา และพอคุยกันรู้เรื่องแล้ว ก็ยังโทรมาหา ถามเขาซ้ำ ๆ ว่าลงมาหรือยัง ลงมาหรือยัง จนตฤณต้องทำเสียงดุใส่ แต่นั่น กลับทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใสออกมา ฟังดูชอบอกชอบใจด้วยซ้ำ ที่แกล้งตฤณได้สำเร็จ

“ลงมาช้ามาก สายเกินเวลาที่นัดกันไว้” เด็กหนุ่มเปิดฉากทันที ที่เห็นตฤณเดินมาหาเขา “ก็ถ้าไม่มีคนส่งข้อความกวน โทรมายิ่งกว่าแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ผมก็ไม่ลงมาช้าหรอก” ตฤณพูดกลับไป นึกอยากจะลอก ดึง ทึ้ง ไอ้รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของอีกฝ่ายออก แล้วเอาไปทิ้งไกล ๆ ให้เจ้าตัวหาไม่เจอ จะได้ไม่ทำท่าทียิ้มแบบจะเยาะเย้ยก็ไม่ใช่ จะผูกมิตรก็ดูจะกวนโมโหมากกว่านี้ได้อีก

“แล้วนี่จะยังไง” ตฤณพูดตัดบท เมื่อรู้สึกตัวว่า กำลังทำให้เด็กหนุ่มพึงพอใจอีกแล้ว ที่ทำให้เขาพูดจาต่อล้อต่อเถียงด้วยได้ “ก็ถ้าเราไปคุยกันดี ๆ” เด็กหนุ่มเน้นเสียงไปที่คำว่า 'ดี ๆ ' แต่ก่อนที่ตฤณจะได้พูดอะไร “ที่ห้องของคุณ” เด็กหนุ่มก็จบประโยคของตัวเอง ด้วยการชวนตฤณขึ้นห้องอีกแล้ว

“พูดจาให้มันเป็นผู้ใหญ่หน่อย คุณโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กน้อย” ตฤณกำลังนึกไปว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เหลิงไปกันใหญ่ ก็คือ เรื่องที่ไม่มีใครคอยว่ากล่าวตักเตือนนี่แหละ “ก็ได้” เด็กหนุ่มทำท่ายอมแพ้ “เราก็ขึ้นไปที่ห้องของคุณ แล้วทำอะไร อย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ไปสิ” อยู่ ๆ เด็กหนุ่มก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของตฤณ จนเขาต้องตกใจ รีบดึงแขนของตัวเองกลับมา

“พูดจาอะไรเลอะเทอะ” ตฤณไม่เพียงแต่ดุเด็กหนุ่มออกไป แต่เขาเผลอตัว ตีเข้าให้ที่แขนของเด็กหนุ่มเสียงดังเพี้ยะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่ควรจะทำแบบนั้น เด็กหนุ่มกลับทำตรงกันข้าม เขายิ้มกว้างที่อยู่ ๆ ตฤณก็มาสัมผัสร่างกายของเขาแบบนั้น “ยังมือหนักเหมือน” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ก่อนจะกลืนท้ายประโยคนั้นลงไป

“แต่งตัวเชย” อยู่ ๆ เด็กหนุ่มก็หันมาวิจารณ์การแต่งตัวของเขา กับเสื้อยืดกางเกงยีนสบาย ๆ รองเท้าผ้าใบมอ ๆ คู่เก่ง “ผมอายุเยอะแล้ว จะเอาอะไรมาก” ตฤณแอบเคืองนิด ๆ เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มพูดแบบนั้น แต่ เอ๊ะ ทำไมเขาต้องมารู้สึกหงุดหงิดเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ “ดูน่ารักดี” แล้วตฤณก็ต้องหลบตาจากเด็กหนุ่ม เมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินคำพูดอะไรแบบนั้น แบบไม่ทันจะได้ตั้งตัว

“แล้วนี่จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร” ใช่สิ ตฤณเพิ่งนึกได้ว่า เขายังไม่รู้จักชื่อของเด็กหนุ่มเลย แถมเขาก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เด็กหนุ่มไม่ใช้สรรพนามเรียกแทนตัวเองหรือว่าแทนตัวของตฤณสักครั้ง “อยากเรียกว่าอะไรล่ะ” คำถามนั้นทำให้ โดยไม่คาดคิดมาก่อน ชื่อ ๆ หนึ่ง ที่ตฤณเก็บอยู่ในใจมานานแสนนาน ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาเป็นชื่อแรก

“แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ” ตฤณกลืนชื่อนั้นให้กลับสู่ความทรงจำไป แล้วถามเด็กหนุ่มออกไปแบบนั้น “พ่อตั้งชื่อให้ว่าวิน” ตฤณได้ยินแล้ว ก็พลางคิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของผู้เป็นพ่อและแม่ ที่ได้เขามาเกิดเป็นลูกสินะ “โอเค” ตฤณรับทราบตามนั้น “ตฤณ อีกชื่อน่าเรียกกว่าตั้งเยอะ” ตฤณที่เดินนำออกไป กำลังจะเปิดประตูเพื่ออกไปนอกอาคาร ชะงักเท้าเมื่อได้ยินแบบนั้น

“แต่เรียกตฤณก็ได้ เรียกตฤณเฉย ๆ นะ วินกับตฤณ โอเคนะ” เด็กหนุ่มพูดออกมาแบบตัดสินใจแทนอีกฝ่ายเรียบร้อย “เพียงแต่ วินคิดว่า วินรู้จักตฤณในอีกแบบมากกว่า” คำพูดของวิน ทำให้เรื่องราวความหลังที่ตฤณไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนมัน กำลังหลั่งไหล พรั่งพรูกลับมาหาเขาจนท่วมท้น

*************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=O-QWKCcbRFg



เธอไม่เหมือนกับคนที่เคยฝันใฝ่

Nothing like I have pictured you to be

และตัวฉันก็คงไม่ใช่ ใครคนนั้น

And I’m not who you’ll fall for either

แต่เพียงได้พบเหมือนเรานั้นเคยเคยพบเจอในฝัน

Yet, we’re here as if we were in each other’s dreams before

หัวใจฉันเต้นไม่เหมือนเดิมเมื่อใกล้เธอ

My heart is never the same when I’m close to you


เสี้ยวนาทีที่ใกล้กับเธอโลกนี้ก็เปลี่ยน

The world has changed now that we’re together

แค่มีเธออยู่เคียงต้องการแค่เพียงเท่านั้น

If you’re here with me, that means the whole world to me

ไม่อาจหาเหตุผลข้อไหน ไม่มีสิ่งใดยืนยัน

I can’t find a good reason for it; nothing can prove what I say

ทุกเรื่องระหว่างเรานั้นมันคืออะไร

What’s really going on between us


ดังนิทานที่เล่ากี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม

As it goes, the tale remains unchanged

นั่นคือฉันรักเธอ รักเธอ ไม่เคยเปลี่ยนผันไป

That I am falling in love with you, only you as time flies

หากดาวได้ยินคำอธิษฐาน ของหัวใจ

Stars hear the prayer coming from my heart

กี่พันครั้งก็ยังจะขอ ให้ดวงใจฉันอยู่ใกล้เธอ

A thousand times still, I’m asking my heart to be yours


ดังนิทานที่เล่ากี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม

As it goes, the tale remains unchanged

นั่นคือฉันรักเธอ รักเธอ ไม่เคยเปลี่ยนผันไป

That I am falling in love with you, only you as time flies

หากดาวได้ยินคำอธิษฐาน ของหัวใจ

Stars hear the prayer coming from my heart

กี่พันครั้งก็ยังจะขอ ให้ดวงใจฉันอยู่ใกล้เธอ

A thousand times still, I’m asking my heart to be yours


หากดาวได้ยินคำอธิษฐาน ของหัวใจ

The stars hear my wish, true to my heart

กี่พันครั้งก็ยังจะขอ ให้ดวงใจฉันอยู่ใกล้เธอ

No matter how long it is, my heart still belongs to you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๘. มีใครให้คิดถึง ๑๘/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 18-11-2022 19:51:35
บทที่ ๘. มีใครให้คิดถึง



2537

1994



กั้งเท้าคางมองออกไปทางด้านนอกประตูห้องเรียน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนหลังสุด ทางมุมห้องด้านซ้าย เมื่อหันหน้าเข้าหากระดานดำ อาจารย์กำลังอธิบายเกี่ยวกับวิชาเรียนในช่วงท้าย ๆ คาบ กั้งฟังไปอย่างนั้น ไม่ได้ซึมซับเข้าหัวสักเท่าไหร่ เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้เอาวิชานี้ไปใช้สอบต่อ เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย เอาแค่พอผ่าน ไม่ต้องเสียเวลากลับมาสอบซ่อมก็พอ

กั้งที่นั่งเหม่อออกไปด้านนอกห้องนั้น อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามีใครบางคนตัวสูงใหญ่ เดินผ่านหน้าห้องเรียนของเขาไปแบบเร็ว ๆ เหมือนกลัวว่าใครจะจำได้ว่าเป็นตัวเองแบบนั้น ก่อนที่จะทิ้งช่วงไปสักอึดใจ แล้วเดินย้อนกลับมาใหม่ เยี่ยมหน้ามองเข้ามาในห้อง แล้วกวาดสายตามองหา จนมาสบตากับกั้งที่มองอยู่ก่อนแล้ว

กั้งเห็นเพื่อนชั้นเรียนเดียวกันแต่ต่างห้อง มายืนพยักพเยิดยักคิ้วให้ ทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา คนตัวสูงใหญ่มีท่าทางเขิน ๆ ก่อนจะชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ว่ามันหมดเวลาเรียนแล้ว กั้งส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนที่จะทำปากบุ้ยบ้ายไปที่อาจารย์ประจำวิชา ที่ยังยืนสอนอยู่ที่หน้าห้อง และก่อนที่เด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่นั้นจะได้ทันรู้ตัว

“นี่นายกรภัทร เธอมายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรอยู่ที่หน้าห้องเรียนคนอื่น” เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินอาจารย์ประจำชั้นของตน ถามประโยคนั้นออกมาเสียงดัง เพื่อน ๆ ในห้องเรียนของกั้ง พากันหัวเราะออกมาครืนใหญ่ “เปล่าครับอาจารย์ คือผม” กรภัทรอึกอัก ไม่รู้จะตอบคำถามของอาจารย์ไปว่าอย่างไรดี

“หรือเธอมารอใคร จะกลับบ้านพร้อมใครในห้องนี้หรือไง” อาจารย์ถามต่อ กรภัทรเริ่มมือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน ยิ่งเพื่อนในห้องเรียนเริ่มส่งเสียงฮือฮากันออกมา เหมือนรู้กันว่ากรภัทรมาดักรอใคร กั้งเห็นกรภัทรทำหน้าไม่ถูก ก็ขำไปกันท่าทางของเพื่อนต่างห้องอย่างอดไม่ได้

“กั้ง นายกรภัทรเขามารอเธอใช่มั้ย” สิ้นเสียงถามของอาจารย์ เพื่อน ๆ ทั้งหมดก็โห่แซวกันออกมาพร้อมกัน กรภัทรยกมือขึ้นลูบต้นคอไปมาแบบคนกำลังอาย “เราแค่บ้านอยู่ทางเดียวกันเท่านั้นครับอาจารย์ บ้านผมอยู่เลยบ้านเขาไปอีก” กั้งพูดตอบอาจารย์ไป ยิ่งทำให้เพื่อน ๆ ต่างพากันเอิ๊กอ๊าก แซวกันต่อแบบไม่หยุด

“ไปก่อน กรภัทร ยังไม่เลิกคาบเรียน เธออย่ามารบกวนสมาธิเพื่อน” อาจารย์ไล่ไม่ให้เด็กหนุ่มตัวสูงคนนี้ มายืนเกะกะที่หน้าห้องเรียนคนอื่น กรภัทรเลยทำตัวลีบ ๆ เดินเลี่ยงหลบฉากไป เพื่อน ๆ ในห้องเดียวกันกับกั้ง ยังคิกคักไปกับ 'คู่ขวัญ' ที่ต่างพากันเริ่มแซวทั้งคู่ ตั้งแต่กลับมาจากการเข้าค่ายนักศึกษาวิชาทหาร รักษาดินแดน ที่ผ่านมา ว่าทั้งคู่นั้นเป็นบัดดี้กันตอนไปฝึกที่เขาชนไก่ และแม้จะอยู่คนละห้องกัน แต่ก็ดูตัวติดกันอยู่ตลอดเวลา

อาจารย์สอนเกินเวลาคาบเรียนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะสั่งงานให้ไปทำ แล้วเอามาส่งในคาบถัดไป กั้งนัดแนะกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงอีกสองคนว่า ให้ไปหาข้อมูลมาแชร์กัน ทั้งสามพูดคุยกันอยู่สักพัก เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ในห้องเรียนทยอยกลับบ้านกันไปแล้ว หลังจากหมดเวลาเรียนวิชาสุดท้ายของวัน

“แก งานปัจฉิม ห้องเราจะแสดงอะไรบนเวทีดี” หนึ่งในเพื่อนสนิทของกั้งถามขึ้น กั้งส่ายหน้า บอกว่าเขาเองก็ยังคิดไม่ออก เพราะตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมการแสดงงานกีฬาสีไปตั้งแต่เทอมแรก ก็ไม่ได้ทำโปรเจ็กต์งานโรงเรียนอะไรอีก “มันต้องแบบเจ๋ง ๆ เป็นที่ฮือฮา เอาแบบคนต้องโจษจันเล่าขานกันต่อ อีกนานเท่านาน” เพื่อนอีกคนเสนอไอเดีย พลางพูดให้เพื่อนชวนกันเคลิ้มตาม

“ใช่ ฉันเห็นด้วย” คนแรกรีบพูดสนับสนุน “และก็ต้องเป็นแกเท่านั้น กั้ง” เพื่อนทำท่าวาดฝัน ประหนึ่งเห็นภาพจริงบนเวทีหอประชุมใหญ่ของโรงเรียน “แกจะต้องขึ้นแสดงอะไรที่มันเฉิดฉาย เร่าร้อน ไฟลุกพึ่บ” พูดจบทั้งสามคนก็พากันหัวเราะกันจนน้ำตาไหล ต่างตลกไปกับทั้งความคิดและท่าทางชม้อยชม้ายชายตาที่ทำใส่กันเอง

“แล้วนี่ แกกับคุณชายกรภัทร ยังไงกันแน่” หนึ่งในเพื่อนสนิทของกั้งถามขึ้น หลังจากกลั้นขำกันได้แล้ว “ก็ไม่ยังไง” กั้งตอบเพื่อนกลับไป ก่อนจะเก็บข้าวของใส่กระเป๋านักเรียนสีดำ เขาขยับคลิปหนีบสีดำที่ใช้หนีบด้านข้างกระเป๋า ให้กระชับขึ้น ทำให้กระเป๋าแบนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

“ไม่ยังไง แต่มาหาถึงห้องเรียน มารับกลับบ้านด้วยกันเนี่ยนะ น่าเชื่อตายล่ะ” อีกคนทำเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่เชื่อในสิ่งที่กั้งพูด “กลับบ้านด้วยกันมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว ไม่ยักจะมีใครสนใจพูดถึง” กั้งพูดต่อ เขาเก็บข้าวของเรียบร้อย ทำท่าจะลุกขึ้น “ก็มันไม่ชัดเจนเหมือนตอนแกสองคนกลับมาจากค่ายรด.นี่หว่า” เพื่อนดึงตัวของกั้งเอาไว้ก่อน ยังไม่ยอมให้ลุกเดินออกจากห้องเรียนไป

“ใช่” อีกคนเห็นด้วย ก่อนพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ฉันได้ยินพวกกลุ่มผู้ชายมันคุยกัน ว่าแกสองคนสนิทกันมาก ตอนไปเข้าค่าย บอกมาเดี๋ยวนี้นะกั้ง ว่าแกสนิทกันมากแค่ไหนแล้ว” เสียงถามนั้นคาดคั้น เพราะอยากรู้คำตอบจากปากของเพื่อนรักจริง ๆ ไม่ได้แค่ถามเอาความบันเทิงโห่ฮาป่าเท่านั้น กั้งมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนสลับไปมา

“ก็นอนด้วยกันทุกคืน พอใจยัง” กั้งตอบเพื่อนรักทั้งสองคนไป ก่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กึ่งจริงกึ่งเล่น พูดให้มีเลศนัย ทิ้งให้เพื่อนเกิดความสงสัยใคร่รู้ต่อไปอีกเสียอย่างนั้น “เฮ้ย กั้ง แกกลับมาก่อน มาเล่าต่อให้จบก่อน มันยังไงกัน กั้ง อีกั้ง” เสียงเรียกของเพื่อนดังลั่นไล่ตามหลังเขามา กั้งแอบหัวเราะไปกับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนผู้หญิงทั้งสองคนของเขา ก่อนจะเดินลงบันไดตึกเรียนลงมาชั้นล่าง

“ทำไมสองคนนั้น ชอบเรียกกั้งว่าอี” เสียงทักดังขึ้นที่ด้านหลังของกั้ง คนถูกทักหันไปมอง ก่อนจะเห็นคนที่ยืนรออยู่ก่อนหน้า ทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ก่อนแล้ว “ทำไมล่ะ มันสองคนก็เรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพื่อนกัน ไม่มีอะไรหรอก” กั้งตอบไปตามตรง เพื่อนผู้หญิงทั้งสองคนนั่น คบกับเขามาตั้งเข้ามัธยมปีที่หนึ่งที่โรงเรียนนี้แล้ว

“ทิวไม่ชอบเลย เวลาได้ยินแบบนั้น” กั้งนึกเอ็นดูสีหน้าของเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กรภัทรก็เป็นแบบนี้เอง ตอนไปเข้าค่ายด้วยกัน จนกระทั่งกลับมาแล้ว กั้งก็ได้เขาคนนี้ดูแลและปกป้องมาตลอด “หวงหรือ” กั้งถามแบบทีเล่นทีจริง “แล้วหวงได้มั้ยล่ะ” ทิวย้อนถามอีกฝ่ายกลับไป ก่อนจะเห็นกั้งส่ายหัวโยกคลอนไปมา เหมือนทุกครั้งที่กั้งทำแกล้งเขา

“คิดมาก แก่เร็วนะ” กั้งพูดหยอกทิว มันทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงกว่า ยกมือขึ้นจะเอามะเหงกเขกเข้าให้ กั้งหัวเราะออกมาเสียงใส การได้อยู่กับทิว มันก็ทำให้กั้งรู้สึกอารมณ์เบิกบานขึ้นมาได้ “มา เอากระเป๋ามา ทิวถือให้” ทิวยื่นมือไปจะหยิบกระเป๋านักเรียนมาจากมือของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร เราถือเอง” กั้งปฏิเสธ แต่ทิวยังยืนยัน พร้อมดึงกระเป๋าของกั้งไปถือคู่กับของตัวเอง “ทำไมหนักจัง แบกหินมาโรงเรียนหรือไง” ทิวที่ออกเดินนำหน้าไปทางประตูโรงเรียน หันมาถามแบบติดตลก กับน้ำหนักกระเป๋านักเรียนของกั้ง “ความรู้ทั้งนั้นนะนั่นน่ะ” กั้งพูดอวดกลับไป ทำท่าเป็นผู้ทรงภูมิ ที่มีกระเป๋านักเรียนหนักกว่าใคร ด้วยวิชาความรู้ที่อัดแน่นอยู่ในนั้น

“ใช่ แต่เป็นกระเป๋านะ ที่คงแก่เรียน แต่ไม่ใช่ในนี้ของเจ้าของมัน” ไม่พูดเปล่า ทิวชี้นิ้วไปที่หัวของตัวเอง เป็นเชิงว่าเย้าแหย่กั้งว่า กระเป๋านั้นฉลาดว่าเจ้าตัว “อ๋อ นี่ว่ากั้งโง่เหรอ” กั้งทำเสียงฮึดฮัดใส่ ยกมือตีผัวะเข้าให้ที่ต้นแขนใหญ่ ๆ ของทิว เจ้าของตันแขนนั้นหัวเราะชอบใจ ก่อนตอบกลับมาว่า

“ก็ทิวกลัวว่าถ้ากั้งไม่โง่” ทิวหยุดเดิน ทำให้กั้งเดินเข้ามาทันกันพอดี “กั้งจะไปเดินกับคนอื่น ไม่มาเดินกับทิว” เสี้ยวหนึ่งในน้ำเสียงของทิว ฟังดูแล้วรับรู้ถึงความหวั่นไหวลึก ๆ ข้างในใจ แวบหนึ่งในสายตาคู่นั้นของทิวที่มองมา กั้งสังเกตเห็นว่า มันมีความหวาดหวั่นที่เจ้าตัวพยายามซ่อนมันเอาไว้ กดมันลงไปไม่ยอมให้มันเผยออกมา

“ยังไม่กลับบ้านได้มั้ย” กั้งที่เดินตามทิวออกมาจนถึงป้ายรถเมล์ด้านหน้าโรงเรียนถามขึ้น ทิวหันมามองอีกฝ่าย พยักหน้าช้า ๆ ก่อนตอบว่าได้ “ไปไหนกันดี” ทิวถาม กั้งจู๋ปากทำหน้านึก “ไปไหนก็ได้ที่มีแค่เราสองคน” กั้งยื่นหน้าเข้าหาทิว เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า เวลาที่กั้งทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา

“อย่าท้านะ” ทิวพูดออกไป บางทีเขาก็นึกฉุนกั้งที่มักจะทำอะไรทีเล่นทีจริง จนเขาแสดงออกกับอีกฝ่ายกลับไปไม่ถูก “กลัวไม่พาไปมากกว่า” กั้งยังไม่วาย ยังไม่เลิกพูดจาเย้าทิว “งั้นก็เตรียมตัวไว้ได้เลย เร็ว ๆ นี้ ได้ไปกัดก้อนเกลือกินด้วยกันแน่” ทิวพูดแบบจริงจัง กั้งเอามือกุมท้อง ล้อเลียนกลับว่า ตัวเองต้องหิวจนอดตายแน่ ๆ ก่อนที่จะเห็นทิวหลุดยิ้มออกมา จากความทะเล้นของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า

เย็นวันนั้น ทั้งสองคนจึงตกลงกันว่า จะไปร้องคาราโอเกะกัน ราคาค่าห้องสำหรับนักเรีนแบบเขาทั้งสองคนนั้นเอาการอยู่ แต่ทิวที่ที่บ้านพอจะมีฐานะ เป็นคนจ่ายค่าบริการ เครื่องดื่ม และของกินเล่น กั้งบอกว่าจะเก็บเงินมาใช้คืนให้ ทิวพูดแววตาเป็นประกายดูจริงจัง ว่าให้กั้งเตรียมตัวใช้ให้เขาเป็นอย่างอื่นดีกว่า

ทั้งสองคนร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ทิวชอบฟังกั้งร้องเพลง เพราะกั้งเป็นคนร้องเพลงเพราะ แถมยังมีพระสวรรค์ในเรื่องการจัดการแสดงต่าง ๆ อย่างตอนกีฬาสี กั้งก็เป็นแม่งานทำการแสดงจนได้รับรางวัลชนะเลิศ ต่างกับตัวเขา ที่ทิวถนัดการออกแรงใช้กำลัง ทิวเป็นฝ่ายช่วยทำฉาก จัดเวทีในงานโรงเรียน และก็เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลทีมโรงเรียน

“เหนื่อยแล้ว ขอพักหน่อยนะ” ทิวได้ยินกั้งพูด ก่อนที่จะเห็นกั้งเอนตัวพิงศีรษะลงมาบนไหล่กว้าง ๆ ของเขา ส่วนหนึ่งของแผนหลังของกั้ง ทาบทับมาบนแผงอกด้านซ้ายของเขา ทิวหัวใจเต้นแรง เขารู้ตัวว่ามันกำลังเต้นจนแทบจะหลุดออกมานอกอกของเขา กั้งพิงตัวมาที่เขา ก่อนจะเริ่มร้องเพลงไปด้วย จมูกของทิว อยู่ไม่ไกลจากที่ข้างหูของกั้ง มันทำให้ทิวนึกย้อนไปถึงค่ำคืนนั้น ที่ทั้งสองไปเข้าค่ายฝึกด้วยกัน

การฝึกคืนสุดท้ายที่ค่าย มันทำให้นักศึกษาวิชาทหารเหนื่อยล้าไปตาม ๆ กัน ครูฝึกดูจะไม่ค่อยเคร่งเครียดมากเท่ากับวันแรกที่มาถึง คืนนี้ทุกคนได้รับคำสั่งจากครูจ่าให้อาบน้ำและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย หลังจากได้รับประทานอาหารเย็นกันแล้ว มีกิจกรรมตรวจเยี่ยมเล็กน้อย ก่อนที่ครูจ่าจะปล่อยให้ทุกคนกลับเข้าเต็นท์และพักผ่อนนอนหลับได้

คืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาวเย็น ผ้าห่มที่ทิวและกั้งเตรียมมา หากว่าแยกกันห่ม มันไม่ช่วยต้านความหนาวเหน็บในยามค่ำคืน ที่น้ำค้างลงจัดได้สักเท่าไหร่ ทั้งสองคนเลยเอาผ้าห่มมาซ้อนกัน แล้วซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ความเงียบที่โรยตัวลงมาโดยรอบพื้นที่กางเต็นท์นอน ทำให้ทุกอย่างสงัดลง ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองและลมหายใจที่อุ่นนั้น ท่ามกลางความเหน็บหนาว

กั้งรู้สึกในกลางดึก ว่าทิวขยับตัวเข้ามานอนชิดที่แผ่นหลังของเขา ก่อนที่จะรับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของทิว ที่กำลังแผ่เข้าหาตัวของเขา กั้งขยับตัวให้ทิวรู้ ว่าเขารู้สึกตัวแล้ว ความเงียบที่ทั้งสองคนได้ยิน กับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม ที่บันท้ายของกั้ง ความแข็งแกร่งแข็งขืนแนบเข้ามาหา กั้งไม่แน่ใจว่าทำไม แต่หนั่นเนื้อด้านหลังของเขาแอ่นรับความชูชันภายใต้กางเกงฝึกหนานั้นโดยอัตโนมัติ

ในความมืด กั้งเอื้อมมือไปด้านหลัง ความนูนเป่งที่รอคอยมือของเขาให้ไปสัมผัสนั้นผงกตัวเข้าให้มือของกั้งแทบจะในทันที เสียงลมหายใจของทิวแรงขึ้น เมื่อกั้งลูบมันไปมาจากด้านนอก ทิวคว้ามือของกั้งเอาไว้ เมื่อรู้ว่ากั้งจะดึงมือกลับ เสียงรูดซิปกางเกงลงอย่างช้า ๆ แผ่วเบา ให้เกิดเสียงดังน้อยที่สุด

มือของกั้งถูกทิวดึงเข้าไปในร่องระหว่างซิปกางเกงของทิว ก่อนจะลดเลี้ยวเข้าไปสัมผัสกับหนั่นเนื้อที่เคยอ่อนหยุ่น มาตอนนี้แข็งแกร่งดังเหล็กกล้า ที่ร้อนจนทำละลายมือของเขา ทิวกอดเอวของกั้งแน่นขึ้น เมื่อความเร็วในการขยับมือของกั้งกำลังจะทำให้เขาไม่สามารถทนกักเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป ทิวซุกจมูกฝังลงมาที่ข้างใบหูของกั้ง ลมหายใจของทิวฟืดฟาด ก่อนจะที่เขาจะเกร็งตัวกระตุกเอาความข้นเหลวเนืองนองใส่มือของกั้ง

โดยไม่ต้องพูดกัน ทิวรับรู้ว่า กั้งจัดการกับความหนืดข้นขาวพวกนั้นด้วยการกลืนกินมันลงไป ทิวเอื้อมมือไปที่ด้านหน้าของกั้ง ก่อนจะได้ยินกั้งกระซิบบอกเขาเบา ๆ ว่า ไม่เป็นไร กั้งดึงมือของทิวมาแทบไว้ที่หน้าอกของตัวเอง ทิวขยับตัวกอดกั้งเอาไว้จนแนบชิด ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับผล็อยลงไป ด้วยความอบอุ่นของร่างกายกันและกันอย่างนั้น

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=DGZDLuBBkuM


ผ่านการฆ่าเชื้อบรรจุเอาไว้อยู่ในกล่อง

Sterilized and ready to drink out of the package

อยากเป็นเจ้าของไม่ต้องไปซื้อให้ฟรีฟรี

You can own it, and it is free of charge

สะอาดแท้แท้นี่แหละความรักยูเอชที

All perfectly clean and that’ s the UHT love

ให้เธอคนนี้ให้เธอมีไว้เพียงผู้เดียว

It is for you and you and you only


ดูเธอตัวก็โต๊โตคงดื่มนมทุกวัน

You seem big enough ‘cause drinking it up

วิ่งตามเธอยังไม่ค่อยทันเธอช่างดูแข็งแรงและสดใส

Fit, firm and healthy, and that you are

อารมณ์เธอก็ดี๊ดีดีกับคนทั่วไป

Great feelings towards all crowds

ไม่ว่าพบเจอใครมาตั้งหลายรายชมว่าเธอนั้นดีกันประจำ

All of them saying that you are the best


ก็คิดมาแล้วจึงอยากเอาของมาให้เธอ

Without any doubt, I’m giving it to you

อยากมาเสนอหัวใจให้เธอนี้

This heart of mine I am offering it to you

ประกอบด้วยรักที่กลั่นมาแล้วเป็นของดี

This is the refined love that’s one of a kind

ไม่ได้เติมสีเติมสารอันตราย

No harms and no nothing else added


พูดง่ายง่ายว่าชอบมาก เข้าท่ามากใช่เข้าท่ามาก

Easy to say that I like, it fits all that matter

พูดง่ายง่ายว่าใช่แน่ ต้องใช่แน่ต้องใช่ต้องใช่แน่

Easy to call it genuine, it is all I need

พูดง่ายง่ายว่าชอบมาก เข้าท่ามากใช่เข้าท่ามาก

Easy to say that I like, it fits all that matter

พูดง่ายง่ายว่าใช่แน่ ต้องใช่แน่ต้องใช่ต้องใช่แน่

Easy to call it genuine, it is all you need

ใช่แน่แน่

We’ll concede


ใจเรามันก็สร้างมามาจากความคิดดี

My heart is made of great attitudes

เฝ้าดูแลมาตั้งหลายปียังไม่เคยให้ใครมาก่อนเลย

Been carefully taken a good care of, no one can ever touch it

เกเรเข้าสักครั้งหนึ่งเราก็ยังไม่เคย

Never once disarrays nor disobeys

ถ้าไม่เชื่อลองดูลองมาคบเลยไปด้วยกันสักทีจะติดใจ

Questions? Come get me and you’ll be hooked instantly


ก็คิดมาแล้วจึงอยากเอาของมาให้เธอ

Been thinking about it and this is all for you

อยากมาเสนอหัวใจให้เธอนี้

This heart is going to be given to you

ประกอบด้วยรักที่กลั่นมาแล้วเป็นของดี

Everything about it is precisely thought to be a perfection

ไม่ได้เติมสีเติมสารอันตราย

No feelings have been harmed in the making of it
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๙. แล้วคิดถึงกัน ๒๑/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 21-11-2022 19:02:11
บทที่ ๙. แล้วคิดถึงกัน



2565

2022


“ผมไม่ได้อยากมา พ่อก็บังคับผมอยู่เรื่อย” ดีนยืนโต้เถียงอยู่กับพ่อของเขา โดยที่คนอื่น ๆ เริ่มพากันเดินเข้าจับจองที่นั่งกันจนหนาตาแล้ว “แกนี่นะ ฉันสั่งให้ทำอะไร ก็ทำให้ฉันสักหน่อย มันจะเป็นอะไรไป” ผู้เป็นพ่อนึกเอือมระอานิสัยรั้นเอาแต่ใจของลูกชายของตนเองอยู่ไม่น้อย เช้านี้ก็เช่นกัน ที่กว่าที่ผู้เป็นพ่อจะเข็นพ่อลูกชายตัวดีคนนี้ให้มาถึงที่นี่ได้

“เด็กสมัยใหม่อย่างแก อย่าทำตัวห่างวัดห่างวากันนัก” ดีนเบือนหน้าหนีบิดาของตน ที่เริ่มบ่นเขามาตั้งแต่เช้ามืด จนสามารถแซะเขาออกมาจากที่นอน และมายืนอยู่ที่ด้านหน้าบริเวณพิธีในตอนนี้ “เอาแต่เที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ หัดเข้าวัดทำบุญกับเขาเสียบ้าง” เสียงพ่อของดีนยังคงบ่นกรอกหูเขาไม่หยุด

“แล้วมันมีคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมมากันเสียที่ไหน พอลองมองออกไปดูสิ” ดีนไม่วายเอ่ยปากเถียงพ่อของเขา ท้าให้ผู้เป็นบิดา มองหาได้เลย “มีแต่รุ่นบุกเบิกกันทั้งนั้น” ดีนรู้สึกเซ็งด้วยที่ว่า วันหยุดแทนที่เขาจะได้ไปพักผ่อนได้ตามใจ กลับต้องมาเข้าพิธีน่าเบื่อ ๆ อะไรที่วัดนี้ด้วยก็ไม่รู้

เทปปันพยายามทำตัวให้เล็กลง เขาย่นตัวให้ค่อย ๆ ไหลลงไปกับเก้าอี้พลาสติกสีฟ้า ที่ทางวัดเอาผ้าสีขาวมาหุ้มเอาไว้ ให้บรรดาผู้มาเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้นั่งอย่างรู้สึกสบายขึ้น เขาตกใจไม่ใช่น้อย ที่อยู่ ๆ ก็หันไปเห็นดีนยืนหน้ามุ่ย คุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เป็นแขกวีไอพีของงาน จากที่เขาได้ยินพวกลูกศิษย์ของหลวงพ่อของวัดแห่งนี้ พูดกันก่อนหน้านี้

ไวเท่าความคิด เพราะไม่อยากจะเจอหน้ากับอีกฝ่าย แถมไม่ต้องการให้อีกคนนั้นมองเห็น เทปปันรีบลุกขึ้น เพื่อจะเดินออกจากแถวที่นั่ง ที่เขานั่งอยู่ เพื่อแทรกตัวออกไปทางด้านข้างพิธี แต่พอเทปปันลุกขึ้นยืน ก็มีผู้เข้าร่วมในพิธีสองสามคน เดินเข้ามาพอดี เทปปันจึงต้องหยุดยืนเพื่อให้คนอื่น เดินแทรกเข้าไปด้านในของแถวที่นั่ง พอทำท่าว่าคนจะหมด เทปปันก็จะเดินออก ก็มีคนเดินเข้ามาอีก

“นั่นไง ทำไมจะไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกับแก” พ่อของดีนี้นิ้วบอกลูกชายจองตัวเองให้มองตามไป “หน้าตาดี ผิวพรรณผ่องใสอีกต่างหาก นี่คงเพราะเด็กคนนี้ เขาเข้าวัดเข้าวา ทำบุญบ่อย ๆ แกดูเอาไว้เป็นตัวอย่างเจ้าดีน อ้าว แล้วนั่นแกจะไปไหน” อยู่ ๆ ดีนก็เดินไปทางที่นั่งของผู้ร่วมเข้าพิธี

“ก็พ่อบอกให้ผมมาวัดกับพ่อ มาร่วมพิธีด้วย ผมก็ตามใจพ่ออยู่นี่ไง พ่ออย่าสับไปสับมาสิครับ ตกลงจะให้ผมกลับหรือให้ผมอยู่ต่อ” ผู้เป็นบิดานึกฉุนที่ถูกลูกชายย้อนเข้าให้แบบนั้น แต่ก็โบกมือไล่ให้ดีนเดินเข้าไปในบริเวณพิธี เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องทั้งด่าทั้งติ ทั้งหว่านล้อมให้ดีนอยู่ที่วัดนี้ต่อ

“พี่ครับ ผมมาด้วยกันกับคนนี้ พี่พอจะขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวได้มั้ยครับ ผมอยากนั่งกับเขา” ดีนที่เดินมาถึง สะกิดผู้หญิงที่ดูอายุเยอะกว่าเขาสักหน่อย แล้วบอกความต้องการของตัวเองให้รู้ “นะครับ เขางอนผมอยู่ ต้องตามมาง้อเนี่ย” ดีนทำตาเศร้าหน้าหงอยบอกกับพี่ผู้หญิงคนนั้นไป เทปปันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเห็นพี่ผู้หญิงคนนั้นบอกให้เพื่อน ๆ ของเธอขยับไล่กันเข้าไปนั่งด้านใน เพื่อเหลือเก้าอี้ว่างให้ดีนได้นั่งด้วยอีกคน

“ขอบคุณมากครับพี่” ดีนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ทรุดตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ กันกับเทปปัน ที่คนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างเทปปัน ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี กลุ่มของพี่ผู้หญิงคนนั้น หลังจากที่รู้เรื่องแล้ว ก็พากันยิ้ม ๆ แล้วหันมามองดีนกับเทปปัน “อย่าลุกเดินเพ่นพ่าน เกรงใจคนอื่นเขา พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว นั่งลง” ดีนคว้าข้อมือของเทปปัน ฉุดให้อีกฝ่ายกลับลงมานั่งข้าง ๆ กันอีกครั้ง

เทปปันจำเป็นต้องนั่งลง เพราะพอมองไปรอบ ๆ ผู้เข้าร่วมพิธีต่างพากันเข้ามานั่งที่เก้าอี้จนเต็มพื้นที่แล้ว เทปปันหันไปดีน ที่อีกฝ่ายจ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว เทปปันขมวดคิ้วใส่อีกฝ่าย ดีนยิ้มแบบกลั้นขำ เหมือนถูกใจที่แกล้งเทปปันได้ เจ้าของข้อมือนั้น ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ว่าดีนยังไม่ยอมปล่อยข้อมือของเขาให้เป็นอิสระ

“ปล่อยได้แล้ว” เทปปันพูดเสียงดุ ก่อนจะดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมนั้น ดีนทำหน้าเหมือนเสียดายอยู่ในที พอนึกขึ้นได้ว่า ก็ประหลาดใจอยู่ครามครัน ว่าเขาจะนึกเสียดายทำไม แปลกชะมัด ที่เดินมานั่งตรงนี้ ก็เพราะว่าแค่เห็นว่าเป็นเทปปันไม่ใช่หรือไง แค่อยากจะยั่วโมโหอีกฝ่าย และจะได้มีอะไรทำแก้เซ็ง เมื่อตัวเขาเองหนีจากการบังคับของพ่อไม่ได้ในครั้งนี้ แค่นั้นเองไม่ใช่หรือ

“แล้วเธอเป็นยังไงบ้างเนี่ย” ดีนยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย ถามไถ่เทปปันแสดงความเป็นห่วง “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เทปปันเลื่อนใบหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าใบหน้าของดีน และของเขาเองนั้น มันดูจะใกล้กันเกินไปแล้ว “ก็ไม่ใช่อะไร” ดีนพูดขึ้น ยืดตัวนั่งหลังตรงพิงพนักอีกครั้ง “ตั้งแต่เธอเป็นลมล้มพับไปคราวที่แล้ว” ดีนที่นึกถึงภาพที่เขาคว้าตัวเทปปันไว้ในอ้อมแขนในวันนั้น

“ไม่ได้เป็นลมสักหน่อย” เทปปันเถียงอีกฝ่าย “ทำไมถึงชอบเถียงนักนะ” ดีนดุเทปปันกลับไป เพราะจากวันที่เขาโอบตัวเทปันไว้ในอ้อมกอดได้ทัน จนอีกฝ่ายไม่ล้มฟาดไปกับพื้นเสียก่อนนั้น เขาก็พยายามทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาจากผู้กำกับละครเวทีอย่างเคร่งครัด แต่เป็นที่เทปปันนั่นแหละ ที่ไม่ยักจะอยากร่วมมือด้วยดี ๆ

“ต่อไป เดี๋ยวทางลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อ จะเดินแจกเชือกขาวให้กับแขกผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่านนะครับ” เสียงประกาศออกไมโครโฟนแจ้งออกลำโพง ดีนมองเห็นลูกศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาทางด้านใกล้ที่เทปปันนั่งอยู่ เขาจึงยื่นมือออกไปรับเชือกขาวนั้น ก็พอดีกับที่เทปปันยื่นมือออกไปด้วยพอดี

“เขาชอบแย่งผมทำนั่นนี่ประจำ” ดีนทำขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเอือมระอากับลูกศิษย์หลวงพ่อ ที่หัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น “เอา ๆ แบ่งกันดี ๆ วันนี้วันดีอย่าตีกัน” เทปปันหลุดเสียงจิ๊จ๊ะปากออกมา ดีนเม้มปากแต่ดวงตาของเขานั้นยิ้ม “เอาไปผูกกับสายสิญจน์ด้านบนนั่น” ลูกศิษย์ของหลวงพ่อบอกกับทั้งคู่ ก่อนจะเดินไปแจกเชือกขาวให้กับคนอื่นต่อ ดีนและเทปปันแหงนหน้าขึ้นมองสายสิญจน์เส้นยาวหลายเส้น ที่ผูกไขว้เอาไว้ที่ด้านบนเหนือศีรษะ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของพิธี

“ผูกให้เอามั้ย” ดีนนั้น ยืนขึ้นผูกเชือกเข้ากันสายสิญจน์ ตามองทที่ถูกไป แต่ปากก็ถามเทปปันไปด้วย แทนคำตอบเทปปันนั่งลงบนเก้าอี้ทันที ที่ผูกเชือกนั้นเสร็จ ดีนย่นจมูกใส่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ ทำเองได้สบายมาก ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากดีนแต่อย่างใด

“เก่ง” ดีนนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่วายจะค่อนขอดเข้าเทปปันเข้าให้อีก “เธออย่าลืมสิ ว่าผู้กำกับสั่งเราสองคนเอาไว้ว่ายังไง” ใช่ว่าเทปปันจะลืมเรื่องที่รุ่นพี่ผู้กำกับบอกเอาไว้ สั่งแล้วสั่งอีก ย้ำนักย้ำหนา “นายก็เห็นว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันสบายดี” เทปปันพูดโดยไม่มองหน้าดีน “แต่เธอจะเห็นแต่ตัวเองไม่ได้สิ” ดีนพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูจริงจัง

“เธอเป็นนายเอก ฉันเป็นพระเอก เป็นตัวนำของเรื่อง” คำพูดของดีน ทำให้กลุ่มพี่ผู้หญิงก่อนหน้า พากันตั้งใจฟังบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นของคนทั้งคู่ “ฉันก็ดูแลตัวเองดีที่สุดอยู่นี่ไง” เทปปันลืมตัวเถียงขึ้น พูดเสียงดังทั้งแข่งกับเสียงที่ดังจ้อกแจ้กอยู่รอบข้าง และก็อยากจะใช้มันข่มอีกฝ่ายด้วย

“ถ้าเธอเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรไป มีอีกหลายคนที่จะต้องเดือดร้อนไปด้วย” ดีนพูด สบตากับเทปปัน โดยที่ฝ่ายหลังก็รู้ดี ว่าที่ดีนพูดมันไม่ผิดอะไร และก็เข้าใจได้ เพราะว่าทีมงานละครเวทีทุกคนตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด “ฉันต้องดูแลเธอ” ดีนพูดกับเทปปัน “เธอต้องให้ฉันดูแล” ดีนพูดย้ำไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่เขาต้องทำ แต่รวมถึงสิ่งที่เทปปันต้องยอมให้เขาทำด้วย

“ว่ายังไง” ดีนถาม ก่อนจะยักคิ้วให้กับเทปปันหนึ่งที นี่ถ้าไม่มีทีมงานมาเกี่ยวข้อง ว่าจะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หากว่าละครเรื่องนี้ ต้องหานายเอกคนใหม่อีกครั้งล่ะก็ “รู้แล้วน่า” เทปปันก็ไม่คิดจะยอมทำอะไรแบบนี้เช่นกัน เพราะดีนไม่ใช่คนที่เทปปันคิดจะคบค้าหรือจะสมาคมด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ด้วยลักษณะท่าทาง การพูด การแสดงออก หรือแม้แต่วิถีการเลือกใช้ชีวิต ดีนไม่ได้อยู่ในวงการโคจรของชีวิตเทปปันอย่างแน่นอน

“พิธีจะค่อนข้างยาว ขอให้ทุกคนตั้งใจ มีสมาธิ ตั้งจิตภาวนา” เสียงประกาศเตือนให้ผู้เข้าร่วมพิธีในวันนี้อยู่ในอาการสำรวม ดีนหันไปมองเทปปัน ที่กำลังคล้องปลายเชือกที่ผูกห้อยลงมาจากสายสิญจน์ด้านบน ให้เป็นห่วงวงกลม ก่อนจะวางไว้บนศีรษะ เทปปันหันมามองทางดีน ที่อีกฝ่ายนั้น มือก็ผูกคล้องเชือกไป แต่ไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าของเทปปันเลย พอคล้องเชือกนั้นเสร็จ ก็นำมันมาวางไว้บนศีรษะของตัวเอง

ดีนเองก็แปลกใจ ที่ว่าเมื่อเช้านี้ กว่าที่พ่อจะลากเขาออกจากบ้านมาได้ เขานั้นทั้งขัดทั้งขืน ทั้งหาวิธีพูดจาเอาตัวรอด ให้หลุดออกจากการบังคับของพ่อ เพราะไม่อยากจะมาที่วัดนี้เลยสักนิด แต่แปลก เมื่อตอนที่เขาได้เห็นว่าเทปปันก็อยู่ที่นี่ด้วย เขากลับรู้สึกว่า ใจที่เคยร้อนรุ่ม ดิ้นรนที่จะหนีไปจากที่นี่ พยายามที่จะพาตัวเองออกไป ไปที่อื่นเสียให้พ้น ๆ กลับกลายเป็นว่า ตอนนี้ใจของเขาสงบขึ้น มันรับรู้ได้ถึงความร่มเย็นโดยรอบ

“ถามอีกอย่างสิ” ดีนชะโงกหน้าเข้าหาเทปปัน “วันนั้นน่ะ ตอนที่ฉันพูดตามบท แล้วต้องเรียกชื่อตัวละครของเธอในเรื่อง อยู่ดี ๆ เธอก็ล้มฟุบลงไป” ดีนค่อย ๆ ลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้เทปปันฟัง “ฉันคว้าตัวเธอเอาไว้ เธอร่วงลงไปเหมือนไร้น้ำหนัก แถมยังนอนนิ่งมาก ไม่ขยับเลยในอ้อมแขนของฉัน” ดีนยังคงจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดเมื่อหลัด ๆ ที่ผ่านมานี่เอง

“ฉันตกใจเหมือนกันนะ ก็ตอนนั้นฉันนึกว่า ฉันเสียเธอไปแล้ว” เทปปันมองตากับดีน น้ำเสียงของดีนที่ปลายประโยคประโยคนั้น ทำให้เทปปันรู้สึกใจเต้นแปลก ๆ “ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้น เธอเอามือมาแตะที่อกฉันแบบนี้” ดีนดึงมือของเทปปันมาวางไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา ใจของเทปปันอยากดึงมมือของตัวเองกลับ แต่ร่างกายกลับปล่อยให้มือของตัวเอง รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

“ก่อนลืมตา เธอเรียกชื่อใครบางคน” ดีนจำชื่อนี้ได้ดี เพราะมันไม่ใช่ทั้งชื่อของเขา หรือว่าชื่อตัวละครของเขาในบทละครเวที “เธอเรียกฉันว่า” ดีนกำลังจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา ก็พอดีกับที่มีลมพัดผ่านเข้ามาในบริเวณพิธีนั้นวูบใหญ่ พัดเอาเชือกที่คนอื่น ๆ วางพาดเอาไว้ที่บนศีรษะ ร่วงลงมา มีเพียงเชือกของแค่ดีนกับเทปปันนั้น ที่ยังคงวางนิ่งสนิทอยู่ที่เดิม ดีนกับเทปปันมองไปรอบ ๆ ที่ผู้มาร่วมพิธีต่างพากันจัดเชือกของพวกเขาใหม่อีกครั้ง

“เธอว่ามันแปลกมั้ย” ดีนถามเทปปัน ที่คราวนี้เจ้าตัวคนถูกถามพยักหน้าตอบรับ “แปลก” เทปปันพูดออกมา ดีนขยับเก้าอี้ให้เข้าใกล้เทปปันอีกนิด ก่อนจะดึงเชือกขาวให้เคลื่อนตามเขามาด้วย “น่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ” ดีนทำเป็นพูดติดตลก เทปปันส่ายหน้า เพราะเพิ่งจะเห็นดีนทำท่าทางจริงจัง แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นหยอกล้ออีกแล้ว

“ขอวางหน่อย” ดีนร้องบอกเทปปัน เมื่อเทปปันขยับตัว ตอนที่ดีนเอาข้อศอกไปวางบนพนักเก้าอี้ของเทปปัน “นั่งดี ๆ สิ” เทปปันบอกกับอีกฝ่าย “ก็มันเมื่อย” ดีนประท้วง แต่ก็ยังไม่ยอมเอาข้อศอกออกอยู่ เทปปันเหนื่อยที่จะห้ามอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ดีนเลยขยับตัวนั่งตัวตรงขึ้น แล้ววางแขนของเขาพาดไปตามตวามยาวของพพนักพิง โอบด้านหลังของเทปปันเอาไว้

'นี่เชือกขาวหรือสายสิญจน์มงคลแฝดงานแต่งกันแน่คะเนี่ย' พี่ผู้หญิงที่สละเก้าอี้ให้ดีนได้นั่ง แอบแชะภาพของคนทั้งคู่เอาไว้ เพราะในสายตาของเธอ ดีนและเทปปันดูกะหนุงกะหนิงเกินกว่าแค่เพื่อน ที่บังเอิญมาด้วยกันและแค่อยากนั่งใกล้กันไปมากจริง ๆ เธอจึงตั้งแคปชั่นนั้นขึ้น ก่อนจะกดโพสต์ภาพลงในแอพโซเชียลมีเดีย ทุกแอพที่เธอมี

เสียงเตือนว่า พิธีกำลังจะเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง แม่ของเทปปันที่ตอนนี้ได้บวชเป็นแม่ชีโดยสมบูรณ์แล้ว แม่ชียืนหลบอยู่ที่ด้านข้าง แต่สามารถมองดูได้จนทั่วบริเวณพิธี แม่ชีมองตรงมาที่เทปปัน ก็ให้สะท้อนใจลึก ๆ ว่าสิ่งที่แม่ชีคิดเอาไว้ ไม่น่าจะผิดอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้แม่ชีมองเห็น เชือกสีขาวของคนอื่น ๆ ในพิธีนั้น เป็นเชือกขาวธรรมดา แต่เชือกขาวที่คล้องจากสายสิญจน์ลงมาที่ศีรษะของทั้งลูกชายและเด็กหนุ่มอีกคนนั้น ตอนนี้มีแสงเรือง ๆ ส่องออกมาแค่สองคนนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ในงาน ดูจะไม่สังเกตเห็นแสงเรืองเรื่อสวยงามเย็นตานี้ แต่อย่างใด

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=d58dAfkkP3s


เธอเปรียบดังเสมือนดวงใจ ตามติดตรึงแนบชิดข้างกาย

You are absolutely my heart, always right here by my side

หวังว่าเธอจะไม่ไปไหน รักจำนนถึงเธอคนดี

Wish you are here forever; I surrender to you my dear

ผู้เป็นที่รักในใจ ไม่มีเธอคงคิดตรอมใจ

You’re my love, without you I’m saddened

ฉันสัญญาจะไม่ไปไหน

I promise you I’ll be here

ขอเพียงเธอเข้ามา นั่งในดวงใจ

Just so you hold a special place in my heart


โปรดส่งยิ้มมาสักหน่อย ช่วยบอกรักฉันบ่อยบ่อย

Give your smile to me, often tell me that you love me

วอนเธอจงอย่าจืดจาง ใจคงบางถ้าขาดเธอ

Please don’t give us up, otherwise my heart will be torn

หากแม้นวันใดที่ไม่มีกันคงช้ำ

No way I can live my life without you


เธอเปรียบดังเสมือนดวงใจ ตามติดตรึงแนบชิดข้างกาย

You are absolutely my heart, always right here by my side

หวังว่าเธอจะไม่ไปไหน รักจำนนถึงเธอคนดี

Wish you are here forever; I surrender to you my dear

ผู้เป็นที่รักในใจ ไม่มีเธอคงคิดตรอมใจ

You’re my love, without you I’m saddened

ฉันสัญญาจะไม่ไปไหน

I promise you I’ll be here

ขอเพียงเธอเข้ามา นั่งในดวงใจ

Just so you hold a special place in my heart


ดวงใจฉันมีแค่หนึ่ง และรักอย่างสุดซึ้งเต็มดวงใจ

There’s one heart I own, and I use it to love you the best way I can

หากแม้นใครทำเธอหวั่นไหว ขอเธอจงไม่เปลี่ยนไป

If someone tries to steal you from me, please think of me how sad I will be

ก็เพราะเธอเป็นเจ้าของดวงใจ ดวงนี้

You know you own my heart, you own me


เธอเปรียบดังเสมือนดวงใจ ตามติดตรึงแนบชิดข้างกาย

You are absolutely my heart, always right here by my side

หวังว่าเธอจะไม่ไปไหน รักจำนนถึงเธอคนดี

Wish you are here forever; I surrender to you my dear

ผู้เป็นที่รักในใจ ไม่มีเธอคงคิดตรอมใจ

You’re my love, without you I’m saddened

ฉันสัญญาจะไม่ไปไหน

I promise you I’ll be here

ขอเพียงเธอเข้ามา

Come near and you’ll see


มีฉัน แล้วจะไม่ผิดหวัง

You have me, no disappointments

จะไม่มองจะไม่มอง ใครซ้อนทับใจ

You’ll the only one I see, never a two - timer

ใจดวงนี้ จะไม่หยุดพัก

This heart will work hard

จะปรนนิบัติภักดี เธอทุกวัน

Taking care of you every day

มีฉัน แล้วจะไม่ผิดหวัง

You have me, no disappointments

จะไม่มองจะไม่มอง ใครซ้อนทับใจ

You’ll the only one I see, never a two - timer

ใจดวงนี้ จะไม่หยุดพัก

This heart will work hard

จะปรนนิบัติภักดีเป็นฮันนี่ให้ทุกวัน

Taking a good care of you, because you are my daily honey


หวังว่าเธอจะไม่ไปไหน ถึงเธอคนดี

Wish you’ll stay with me, asking of you my love

ฉันสัญญาจะไม่ไปไหน ขอเพียงเธอเข้ามา

I’m keeping my promise, if you that

นั่งในดวงใจ

Hold a special heart right here in my mind
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๐. อยากให้คิดถึง ๒๓/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 23-11-2022 16:43:20
บทที่ ๑๐. อยากให้คิดถึง



2536

1993



เสียงโกลาหลนั้น ดังมาจากรอบบริเวณ ความสับสนวุ่นวายสร้างความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจได้โดยฉับพลัน เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงร่ำไห้ด้วยความเสียใจ เสียงผู้คนพยายามเรียกหาคนที่ตัวเองรัก ความทุกข์โศกโทมนัสในจิตใจเหล่านั้น รับรู้ได้อย่างไม่ยากเย็น โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย

ควันไฟที่ลอยอยู่ในอากาศ มันดูหนาตาและน่ากลัว นันใช้มือปัดไปมาที่ด้านหน้าของตัวเอง หวังใจว่าจะทำให้ควันไฟที่เกาะกันหนาทึบ ได้เบาบางจางลง แต่ยิ่งนันปัดมือมากขึ้นเท่าไหร่ เพื่อหวังจะไล่กลุ่มควันนั้นให้หมดไป กลับทำให้ควันที่ทำให้ต้องรู้สึกร้อนระอุนั้น รายล้อมรอบตัวของเขามากยิ่งขึ้น

'นัน' เสียงเรียกชื่อของเขาดังมาจากที่ไหนสักแห่ง นันขยับหันไปทางต้นเสียง แต่กลับมีเสียงอีกทิศทางหนึ่ง 'นัน' เรียกชื่อเขาดังแว่วมาให้ได้ยิน 'ทางไหน ต้องไปทางไหน' นันรู้สึกได้ว่า เขาตะโกนถามออกไปจนสุดเสียง เพียงแต่มันกลับฟังดูแล้ว เขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงพูดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ใจของนันในตอนนี้หวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดรอบกายเขา ควันหนาทึบที่รังแต่จะหนามากขึ้นทุกที ทำให้เขามองเห็นได้ไม่เกินหนึ่งฝ่ามือจากปลายจมูก ลมหายใจที่หอบหนักขึ้น มันมาจากความกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ อะไรกันแน่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น นันพยายามก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เผื่อว่า เขาจะเจอกับใครหรืออะไรก็ได้ ที่พอจะทำให้เขาได้รับรู้ ว่าเขากำลังเจอะเจอกับอะไร

เสียงเหมือนเหล็กกระทบกันดังขึ้นจากทางเบื้องหน้าของนัน นันหยุดเท้า จ้องมองฝ่ากลุ่มควันหนานั้น แต่เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อะไรบางอย่างส่งเสียงคลิก ฟังดูประหลาดในความรู้สึก มันทำให้หัวใจของเขายิ่งเต้นแรง มันคือความกลัวที่ผสมกับความไม่รู้ และนั่นยิ่งทำให้นันรู้ได้ถึงความกลัวที่มันจับจิตจับใจ

นันหันขวับไปทางด้านหลัง เมื่อมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่เสียงเดินนั้น จะเปลี่ยนเป็นเสียงวิ่งอย่างเร็ว เข้าหานัน ปฏิกิริยาตอบสนองกับเสียงนั้นก็คือ นันถอยเท้ากรูด เพื่อให้ตัวเองออกห่างจากเสียงที่ฟังดูคุกคามนั้น แต่อาการก้าวถอยหลังของตัวเอง ดูเหมือนมันจะช้ากว่า เสียงวิ่งที่พุ่งตรงมาที่เขา

“ไม่นะ” นันได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเอง ก่อนที่เขาจะรู้ตัวอีกที ก็นั่งอยู่บนพื้น ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านบน ร่วงใส่ตัวของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน นันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านบน แรงกระแทกที่ตกลงบนแขนของนัน ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบ แต่แปลก ที่ความเจ็บนั้นมันแล่นจากแขน ตรงเข้าสู่กลางหัวใจของเขา และความเจ็บปวดนั้นมันยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น จนนันไม่คิดว่า เขาจะรับมันได้ไหวอีกต่อไป

“ท็อป” นันกรีดร้องชื่ออีกฝ่ายออกมาจนสุดเสียง เมื่ออยู่ ๆ เอเขาก้มลงมอง ร่างของท็อปก็นอนสลบไม่ไหวติงอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ท็อปตื่น ท็อปเป็นอะไรไป” นันเขย่าตัวของท็อปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามี พยายามจะปลุกให้อีกฝ่ายนั้นตื่นลืมตาขึ้นมา แต่ต่อให้นันเขย่าตัวของท็อปแรงแค่ไหน แต่ดูไปแล้ว ร่างของท็อปกลับนิ่ง ไร้การตอบสนองใด ๆ

“ท็อปตื่นสิ ลืมตาขึ้นมามองนัน ท็อป ตื่น ตื่น ท็อป” นันได้ยินตัวเองกรีดร้องดังลั่น มันโหยหวนและฟังดูวังเวงทะลุเข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจ ร่างของท็อปไหวไปตามแรงมือของนัน ที่พยายามทั้งผลักทั้งดันตัวของท็อป นันพยายามยกร่างของอีกฝ่ายขึ้น ขาทั้งสองข้างนั้นตะเกียกตะกาย เหยียบดันพื้น เพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นจากพื้น

แต่ยิ่งทำพื้นก็ยิ่งลื่น แต่ยิ่งพยายามมากขึ้น ร่างของท็อปก็ยิ่งหนักขึ้น และหนักขึ้น และเริ่มที่จะเคลื่อนออกจากอ้อมแขนของนัน ที่กรีดร้องชื่อของท็อปนับครั้งไม่ถ้วน ขืนแรงที่แขนที่อ่อนล้าและหมดกำลังลงทุกที ๆ น้ำตาที่ไหลพรากออกมาจากสองหน่วยตา ปริ่มว่าจะขาดใจ เมื่อเห็นร่างของท็อปค่อย ๆ ร่วงไหลออกจากกอดนั้น และแวบหนึ่งในหัว นี่คือการเจอะเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย

นันสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง และสูดลมหายใจเข้าปอด เหมือนว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศนั้น ดวงตาที่เปิดลืมขึ้น มีคราบน้ำตาเปรอะอยู่บนแพขนตา นันหายใจเหนื่อยหอบ พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ให้ตัวเองหายตื่นตระหนกลง เมื่อสายตามองเห็นใบหน้าของท็อป ที่นอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียงนอนนั้น

นันที่นอนตะแคงหันข้างอยู่ มีใบหน้าของท็อปที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ข้าง ๆ กัน ท็อปกำลังหลับอยู่ นันรีบไล่สายตาลงไป เลื่อนจากดวงตาของท็อป ลงไปที่ปลายจมูกโด่งเป็นสันนั่น ก่อนจะมองดูที่หน้าอกของท็อปใต้เสื้อนักฟุตบอลทีมโรงเรียน ท็อปหายใจเข้าออกหน้าอกของเขาเคลื่นขึ้นเลงอย่างเป็นจังหวะ ดูแล้วปกติ นั้นที่รวบรวมสติได้แล้ว ก็รู้ว่า ตัวเองเพิ่งผวาตื่นจากความฝัน

ตั้งแต่วันนั้น ที่นันได้มาหาท็อปที่บ้าน หนึ่งสัปดาห์แล้วสินะ นันบอกกับตัวอง หนึ่งสัปดาห์เต็มที่เขายังไม่ได้กลับบ้าน และได้อาศัยค้างอ้างแรมอยู่ที่บ้านของท็อป โดยที่ท็อปนั้น ให้นันนอนบนเตียงนอน แล้วตัวของท็อปมานอนหลับฟุบ เฝ้านันอยู่ที่ข้าง ๆ เตียง เพื่อให้แน่ใจว่า นันนั้นนอนหลับสบายดี นันเกรงใจท็อปเป็นอย่างมาก บอกให้ท็อปกลับขึ้นมานอนบนเตียงนอนของตัวเอง แต่ท็อปก็ไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะทำแบบนี้

นันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อเห็นว่า ท็อปยังคงอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ กายของเขา ไม่ได้จากไปไหน และรู้สึกใจชื้นขึ้น เมื่อรับรู้ว่า สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นนั้น มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ถึงแม้ว่าความรู้สึกจากความฝัน มันยังคงติดอยู่ในใจ ฝันมันดูแล้วประหลาด แต่ความกลัวที่เกาะกุมอยู่ มันท่วมท้นจนทำให้ใจนึกประหวั่นไม่น้อย

“นัน ร้องไห้ทำไม” ท็อปที่รู้สึกว่า นันขยับตัวอยู่ใกล้ ๆ ลืมตาขึ้นมามอง ก็เห็นว่าคราบน้ำตายังคงไหลเปื้อนแก้มของอีกฝ่ายอยู่ “ไม่มีอะไร” นันรีบเช็ดรอบคราวน้ำตานั้นออกจากใบหน้า ยิ้มให้กับท็อป เพื่อยืนยันว่าตัวเขานั้นสบายดี “ฝันร้ายใช่มั้ย” เสียงถามของท็อปอ่อนโยน ฟังดูแล้ว มันปลอบประโลมหัวใจของนั้นให้รับรู้ได้ว่า ยังมีคนที่ใส่ใจความเป็นไปของเขาอยู่ตรงนี้

“ไม่เป็นไรแล้วนะ มันก็แค่ความฝัน” ท็อปใช้ปลายนิ้วของเขา ไล่ซับความชื้นจากหยาดน้ำตา ที่ยังคงเหลืออยู่จากใบหน้าของนัน ความอ่อนโยนที่ท็อปแสดงออก นันรู้สึกมันได้ด้วยการสัมผัสกาย และรับรู้มันได้ด้วยการสื่อถึงใจ “ท็อปอย่าใจดีกับเรานักเลย” นันพูดออกไป เพราะเขาคงต้องใจหาย หากว่าหลังจากนี้ สิ่งต่าง ๆ ที่ท็อปทำให้เพื่อเขา มันจะเหลือแค่เพียงในความทรงจำเท่านั้น

“ท็อปบอกนันแล้วไง คนเป็นพี่ชายก็ต้องดูแลน้องชายให้ดีที่สุด” ท็อปยืนยันว่า เขานั้นต้องการที่จะรักษาคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับนันก่อนหน้า “ท็อปเป็นคนพูดเอง ก็ต้องทำให้ได้” ท็อปยิ้มให้กับนัน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้นันรู้สึกว่า เขาปลอดภัยเมื่อได้เห็น เมื่อมีท็อปอยู่ใกล้ ๆ มันช่วยให้นันเกิดกำลังใจขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ท็อปมองไปที่แก้มของนัน ที่มันมีรอยช้ำ จากวันที่เขาออกไปเจอนันที่หน้าหมู่บ้าน นันส่ายหน้าแทนคำตอบ แววตาที่ท็อปเห็นจากนันนั้น ยังไม่พ้นความเศร้าที่เจ้าตัวไม่สามารถหลบเลี่ยง แม้นันจะพยายามมากแค่ไหน เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท็อปเดือดร้อนใจ

“แล้วที่หลังล่ะ ยังเจ็บอยู่ใช่มั้ย” ท็อปถามนัน เพราะก่อนหน้านี้ ท็อปตกใจที่ได้เห็นรอยช้ำขนาดใหญ่ ที่ด้านหลังช่วงเอว ที่มันเป็นจ้ำเขียว อีกทั้งยังได้เห็นรอยฟกช้ำเก่า ที่มีทั้งหายแล้ว และยังไม่ดีขึ้น กระจายอยู่ทั่วแผ่นหลังของนัน เจ้าของแผ่นหลังนั้น ไม่ทันที่จะซ่อนรอยพวกนี้จากสายตาของท็อป แม้ว่าจะบอกว่า มันเป็นเพราะตัวของเขาเองที่ซุ่มซ่าม มักจะหกล้มหรือเดินตกบันไดเอง แต่ท็อปนั้นไม่ใช่คนโง่ ทำไมท็อปจะไม่รู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับนัน

“ขอท็อปดูหน่อยได้มั้ย จะได้ทายา” ท็อปพยักหน้ากับนัน ก่อนจะขยับตัว เพื่อขึ้นไปบนเตียงนอน ท็อปนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของนัน รอให้เจ้าตัวลุกขึ้นนั่ง นันทำท่าลังเล ก่อนจะเห็นท็อปหยิบเอาหลอดยาแก้ฟกช้ำมาถือไว้ในมือ ท็อปเห็นนันหันมองตรงไปด้านหน้า ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาว ที่ท็อปหามาให้นันใส่ ท็อปค่อย ๆ มองดูเสื้อเชิ้ตนั้นคล้อยลงจากไหล่ของนัน เผยให้เห็นผิวขาว ๆ ของนัน ที่มันตัดกับรอยช้ำเหล่านั้นค่อนข้างชัด

นันพยายามนั่งนิ่ง ๆ เพราะในใจของเขานั้นสั่น และมันทำให้ร่างของเขาเทิ้มไปด้วย ความเย็นจากครีมนั้นรู้สึกได้ เมื่อมันสัมผัสลงบนผิวของนัน ความเจ็บของในทำให้นันเผลอบีบมือเพื่อกลั้นมันเอาไว้ ท็อปเบามือลง เมื่อเห็นว่านันเอี้ยวตัวแบบนั้น และตอนนี้ เมื่อท็อปได้สัมผัสเนื้อตัวของนัน บางอย่างในร่างกายของท็อปก็เริ่มตื่นตัว โดยที่ท็อปห้ามมันไม่ได้

ท็อปเอามือข้างหนึ่งลงดันความแข็งขันที่กึ่งกลางลำตัวของเขาเอาไว้ ให้ซ่อนจากสายตาของนัน หากว่าอีกฝ่ายจะฟันมาเห็นเข้า แต่ยิ่งห้าม ความแข็งแกร่งนั้น มันก็ยิ่งดันมือของเขามากขึ้นอีก นันได้ยินเสียงหายใจหนัก ๆ ของท็อป ก่อนจะรู้สึกได้ว่า ท็อปนั้นขยับตัวเข้ามาทางด้านหลัง แล้วนั่งชิดติดกับตัวของนัน

“นัน” เสียงกระซิบของท็อปที่ข้างหู “หันหน้ามาหน่อยได้มั้ย” ท็อปบอกกับนัน ที่ยังคงนั่งมองตรงไปข้างหน้า “นัน” ท็อปเรียกนันอีกครั้ง ก่อนจะเห็นนันค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองเขา “นันรู้ใช่มั้ย ว่าท็อปไม่ได้แค่อยากเป็นพี่ชายของนัน” ท็อปถามอีกฝ่ายเสียงสั่น ๆ นันเองก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ กลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นว่าใบหน้าของท็อปห่างจากใบหน้าของตัวเองไม่ถึงคืบ แถมตามด้วยคำพูดของท็อป ที่เดาได้ไม่ยาก ว่าท็อปกำลังจะพูดนำไปในทางไหน

“ท็อป คือเรา” นันพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่สั่นไหวไหวหวั่น รับรู้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ สะอาด ๆ จากท็อป ที่ใบหน้าของทั้งสอง ขยับเข้ามาใกล้กันแบบนี้ “ท็อปขอจูบนันได้มั้ย” ด้วยฮอร์โมนและความใกล้ชิด เด็กหนุ่มสองคนในวัยที่กำลังใฝ่ในเรื่องเพศ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องกระตุ้นความรู้สึกของพวกเขาได้ มันก็สร้างแรงขับให้การแสดงออกนั้นไวกว่าความคิดมากนัก

“ท็อปเคยทำหรือ” นันถามอีกฝ่ายออกไป ท็อปส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แต่ท็อปอยากทำกับนัน” ท็อปพูดออกไป รู้สึกเหมือนกับว่าเขาโล่งอก ที่ได้พูดในสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจมานาน “ท็อปชอบผู้ชาย” นันถามออกไปเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนประโยคว่า “ท็อปชอบแบบเราหรือ” ท็อปพพยักหน้า สายตาไม่ละไปจากริมฝีปากของนัน ก่อนยื่นหน้าเข้าหานัน และประกบริมฝีปากเข้ากับนันแบบเร็ว ๆ

“เขาทำกันแบบนี้หรือ” นันถามอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ท็อปเองก็ยิ้มเขิน สั่นไปหมด เพราะนี่คือครั้งแรกของเขา ที่ได้จูบกับใครสักคน ชายหรือหญิงก็ตาม “หรือแบบนี้” ท็อปเอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าหานันอีกครั้ง แล้วบรรจงประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับนัน ก่อนจะขยับไปมา เพื่อเปิดริมฝีปากของนันให้เผยอขึ้นรับความนุ่มนวลนั้น ก่อนจะรู้ตัวอีกที ท็อปก็แทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของนัน แล้วตวัดรัดกับลิ้นของอีกฝ่าย

“ชอบมั้ย” ท็อปถอนปากออก ก่อนจะถามนัน แล้วเห็นนันพยักหน้าแทนคำตอบ “เราเขิน” นันบอกกับท็อป ก่อนที่จะได้ยินท็อปเองหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ว่าเขาสามารถทำให้นันรู้สึกแบบนั้นได้ “เราก็เขิน” ท็อปบอกออกไป “แล้วเราก็ตื่นเต้นด้วย” ท็อปก้มลงมองที่เป้ากางเกงของตัวเอง ที่มันนูนขึ้นมาอย่างมาก นันมองไปที่ตรงนั้นก่อนจะมองมือของท็อป ที่เอื้อมมาจับมือของเขาแล้วเอาไปวางบนความอุ่นแข็งที่รออยู่

**********************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=xYZDTFZyqcU



คืนนั้นคืนที่นอนฝัน ว่ามันถึงวันสุดท้าย

That night I was dreaming the day everything’s come to an end

มองเห็นเราต้องลากันไป ใจทั้งใจมันสั่น

Saw ourselves saying goodbye, my whole heart was shaken

ตื่นขึ้นมาน้ำตายังคลอตา ขออย่าให้เหมือนในฝัน

Then I woke up, tears still there and I prayed nothing like that ever to happen

มันไม่จริง มันไม่จริง เราไม่เป็นอย่างนั้น

None of it is true, it can’t be real, we’re not that way


คืนนั้นเป็นแค่เพียงฝัน ยังรับมันไม่ไหว

That very night it was all dream, still I couldn’t take it

ความฝันมันจะจริงวันใด ในหัวใจยังหวั่น

That dream is some day going to happen, my heart trembles

อยากวิงวอน ขอเธอด้วยดวงใจ ขออย่าใจร้ายกับฉัน

I’m begging of you with all my heart, please be gentle and kind to me

มีอะไร ให้อภัย มีจิตใจต่อกัน

Whatever is between us, forgive me and care for me


อย่าให้ถึงวันนั้นเลย

The day can never come true

แค่เพียงแต่คิด หัวใจก็เจียนสลาย

Thinking of that already breaks my heart

วันแห่งความปวดร้าว วันที่เจ็บช้ำใจ

The day consumed by the pain, the day my heart is wrenched

อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง

Please never let that day come true, never ever let it be real

อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง

Never let it happen, never allow this to be us


สิ่งใดใดที่มี เทียบไม่ได้กับเธอ

Everything out there in the world, you’re irreplaceable

โลกยังดีเสมอ ถ้าเธอยังอยู่

The world isn’t shattered if you’re still here with me


อยากวิงวอน ขอเธอด้วยดวงใจ ขออย่าใจร้ายกับฉัน

I’m begging of you with all my heart, please be gentle and kind to me

มีอะไร ให้อภัย มีจิตใจต่อกัน

Whatever happens between us, forgive me and care for me


อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง

That day is forbidden, it cannot become true

อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง

That day is taboo, it cannot be all real

อย่าให้ถึงวันนั้นเลย อย่าให้มันต้องกลายเป็นจริง

That day is impermissible, it ain’t for real

อย่าให้ถึงวันนั้นเลย

Never let that day be truth
หัวข้อ: Re:ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgia บทที่๑๑. เขาคนนั้นที่คิดถึง ๒๔/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-11-2022 18:07:20
บทที่ ๑๑. เขาคนนั้นที่คิดถึง



2565

2022



“อย่างน้อยคุณก็ควรจะมีคำเรียกนำหน้าชื่อของผม” ตฤณท้วงกับเด็กหนุ่ม ที่ดูจะพอใจที่จะเรียกเพียงแค่ชื่อของกันและกันเท่านั้น “อย่างเช่นคำว่าอะไรล่ะครับ” วินทำหน้ากลั้นยิ้มเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “น้า อา หรือเรียกว่าป้าดีล่ะ” วินพูดจบ แทนจะได้คำตอบเป็นคำพูด กลับได้สายตาเขียวปั้ดมาจากอีกฝ่ายแทน

“แค่พี่ก็พอมั้ย” ตฤณตอบกลับวินไป ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มตัวสุงตรงหน้า ยิ้มกว้างกลับมาให้เขา “เราอย่ามาเถียงเรื่องอะไรแบบนี้กันอยู่เลย วินจะเรียกว่าตฤณ” เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย “และตฤณก็จะเรียกวิน” ก่อนที่จะจิ้มนิ้วชี้ที่แผงอกกว้างของตัวเอง ทำเอาตฤณต้องเสหลบตามองไปที่อื่น เพราะนอกจากรอยยิ้มที่ทำให้โลกดูสดใสขึ้นแล้ว ยังมีเสื้อเชิ้ตสีขาวที่วินใส่อยู่แบบจงใจปลดกระดุมโชว์กล้ามอกนั้นด้วย

“ตกลงคุณจะให้ผมช่วยทำอะไรก็บอกมา” ตฤณเปลี่ยนเรื่องที่คุยกันอยู่ไปเสียดื้อ ๆ “วินบอกตฤณแน่นอน แต่ไม่ใช่ที่นี่ ตฤณต้องไปกับวินก่อน” รถยนต์คันหรูเข้ามาจอดเทียบตรงที่ทั้งสองคนยืนอยู่ “ขึ้นรถสิครับตฤณ” เจ้าของชื่อแลดูลังเลที่จะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ที่คนขับลงมาเปิดประตูรอไว้ให้แล้ว

“ตฤณนี่เป็นคนขี้กลัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ยักรู้” สีหน้า แววตา และน้ำเสียงที่แสดงออกมา มันคือการกระทำที่จงใจจะยั่วให้อีกฝ่ายโต้ตอบอย่างลืมตัว “มีอะไรที่ผมต้องกลัว” ตฤณตอบกลับวินไปแทบจะในทันที และเป็นอีกครั้ง ที่อะไรบางอย่างในแววตาของวิน ที่ทำให้ตฤณต้องแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

“ดีครับ ถ้าอย่างนั้น ตฤณก็แสดงความกล้าให้วินเห็นหน่อยสิครับ” วินผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ ปกติตฤณไม่ค่อยชอบวิธีการอะไรแบบนี้ ถ้าจะขึ้นรถ เขาเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งเองได้ นฤเบศเคยจะทำแบบนี้เช่นกันในครั้งแรก ๆ ที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ตฤณก็ปฏิเสธบอกให้หนุ่มใหญ่มาดีผู้นั้น เลิกทำแบบนั้นให้เขา

“หรือจะต้องให้วินอุ้ม ได้นะ วินไม่ติดอยู่แล้ว” แม้จะอยู่ต่อหน้าคนขับรถ แต่วินก็ทำท่าจะเข้ามาอุ้มตัวของตฤณจริง ๆ จนตฤณต้องรีบเดินเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี วินยิ้มแล้วมองตามอีกฝ่ายที่ดูจะตุปัดตุป่องกับเขา ก่อนที่วินจะก้าวขึ้นรถ ตฤณเลื่อนตัวเองให้ขยับเข้าไปนั่งชิดกับประตูอีกด้านหนึ่ง คนขับโค้งให้กับวิน ก่อนจะปิดประตูให้เขา แล้วรีบไปนั่งประจำเบาะที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว

“ขับไปตามที่บอกเอาไว้” วินออกคำสั่งกับคนขับรถ ที่รับคำในทันที “ครับนายน้อย” เสียงคนขับตอบกลับมา ตฤณพอจะเห็นภาพที่รุ่นพี่บอกกับเขาทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้แล้ว ว่านายน้อยวิน เป็นแก้วตาดวงใจของตระกูล ที่ว่าใครก็ตามที่มาทำงานให้กับครอบครัวนี้ ยังไงก็ห้ามขัดใจ เพราะไม่ว่าวินจะต้องการอะไร แค่เอ่ยปาก นายใหญ่และนายหญิงก็จัดหามาให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ถึงยังไงก็ควรพูดกับเขาดี ๆ ทั้งคำพูดและน้ำเสียง” เหมือนจะพูดลอย ๆ ออกมา แต่วินก็หันมาทางตฤณ ที่ร่นตัวไปนั่งติดกับประตูรถอีกฝั่ง อย่างจงใจทำให้นายน้อยรู้ว่า ตฤณไม่ได้อยากนั่งใกล้ด้วย “ตฤณว่าแต่วิน แล้วตัวของตฤณล่ะ พูดกับวินดี ๆ ทั้งคำพูดและน้ำเสียงหรือยัง” ตฤณรู้สึกจี้เข้าที่กลางอก เมื่อถูกเด็กหนุ่มย้อนเกล็ดเข้าให้ แต่วินดูจะไม่ได้จริงจังอะไรกับคำพูดประโยคนั้นของเขา แค่อยากจะยั่วให้ตฤณต่อปากต่อคำด้วยมากกว่า

“ผมไม่หลงกลเถียงกับคุณหรอกนะ” ตฤณแสดงตนว่า ตอนนี้เขาเริ่มทันเกมของเด็กหนุ่มแล้ว “ว้า โดนรู้ทันเสียแล้ว” ตฤณทำหน้าเศร้า ยื่นหน้าเข้าหาตฤณ “ไม่น่ารักเลยนะครับ เดี๋ยวก็คุณ เดี๋ยวก็ผม” วินทำแววตาเศร้า และดูหงอย ๆ ให้ตฤณได้เห็น ตฤณที่เห็นแบบนั้น ก็ทำเป็นมองออกนอกหน้าต่าง เสทำเป็นชะโงกดูนั่นดูนี่

“แล้วนี่คุณจะพาผมไปไหน” ตฤณถามขึ้น เมื่อคนขับได้ขับรถเข้าสู่กระแสการจราจรของเมืองหลวง “ไม่ต้องกลัวหรอกครับตฤณ” วินพูดหน้านิ่ง ๆ “วินไม่พาตฤณไปขายหรอก ส่งตฤณต่อให้พวกค้ามนุษย์ ไม่น่าจะได้ราคาเท่าไหร่” ตฤณรู้สึกหน้าชายิบ ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาถึงกับนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่ถามอะไรต่อ

“ปิดพาร์ทิชั่นซะ” สิ้นคำสั่ง คนขับรถก็รับคำนายน้อยของตระกูล ก่อนที่ตฤณจะเห็นกระจกไฟฟ้าสีดำทึบ เลื่อนขึ้นปิดระหว่างคนขับกับห้องโดยสารทางด้านหลัง รถวิ่งอยู่ในการจราจรที่ค่อนข้างคับคั่ง ตฤณค่อย ๆ แอบชำเลืองมองไปที่อีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่า วินจะจับทางเขาได้ เหมือนจะรู้ทันความคิดของไปเสียทุกอย่าง เพราะตฤณที่หันไปมอง ก็เจอสายตาของวินที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

ตฤณจึงเลือกที่จะหลับตา ทำเป็นแกล้งหลับ ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาเริ่มที่จะสับสน เริ่มที่จะตั้งคำถามให้กับตัวเอง อะไรบางอย่างมันกำลังกระตุ้นเตือนให้เรื่องราวของใครบางคน ที่ตฤณคิดว่าเขาได้ซ่อนเขาคนนั้นเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ไม่มีใครได้ล่วงรู้ ว่ามีใครคนนั้น 'ยังคงมีชีวิตอยู่' ที่นั่นมาตลอด เหมือนกับว่า เขาที่เป็นคนคนนั้นของใจ ไม่เคยจากไปไหน

ตฤณเดินตามวินมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าร้านหนังสือ เมื่อที่นี่คือที่แห่งแรกที่คนขับได้รับมอบหมายให้ขับรถพาวินและตฤณมา ตอนมาถึง วินก็ออกคำสั่งให้คนขับรออยู่ที่รถนี่ ส่วนเขาและตฤณจะเข้าไปทำธุระ ตฤณหันไปมองหน้าวิน เหมือนกับเพื่อให้แน่ใจจริง ๆ ว่าวินจะมาที่นี่จริง ๆ หรือเปล่า ก่อนจะเห็นวินพยักหน้าแล้วก็เดินนำตฤณเข้าไปที่ด้านในของร้าน

“ตฤณช่วยวินเลือกหนังสือหน่อย” นายน้อยแห่งตระกูลผู้มั่งคั่งพูดขอร้องคนที่มาด้วย กับน้ำเสียงที่ตฤณฟังแล้วก็คงเสียงมารยาท ถ้าจะบอกปัดหรือปฏิเสธ “อยากได้หนังสือเกี่ยวกับอะไร แนวไหนครับ” ตฤณถามออกไป เพราะร้านหนังสือขนาดใหญ่แบบนี้ เริ่มต้นจากการรู้แนวหนังสือ รู้ชื่อหนังสือ น่าจะดีที่สุด

“ก็ดูไปเรื่อย ๆ ชอบอันไหนก็ซื้อ” วินตอบ ซึ่งมันฟังดูแล้วแปลกกับที่เด็กหนุ่มบอกกับเขาว่า ต้องการให้มาช่วยเลือกก่อนหน้านี้ เพราะตฤณคิดว่าวินมีเล่มที่หมายตาเอาไว้แล้วเสียอีก ตฤณเดินไปตามชั้นหนังสือต่าง ๆ นานเท่าไหร่แล้ว ที่เขาเองก็ไม่ได้มาเดินดูหนังสือแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อน ตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น ใช่สินะ มันนานมากมาแล้ว ที่เขาเคยมาเดินดูหนังสือแบบนี้กับใครคนหนึ่ง

“เขายังทำหนังสือแบบนี้ขายอยู่อีกหรือ” ตฤณประหลาดใจแกมดีใจ ก่อนจะหยิบหนังสือเนื้อเพลงภาษาอังกฤษมาหยิบเปิดไล่ดู “ทำไมล่ะ มันเชยมากขนาดนั้นเลยหรือ” วินถามขึ้น ยืนมองตฤณที่สีหน้าและแววตาดูสว่างขึ้นด้วยความดีใจ “คุณไม่รู้อะไร สมัยผมเป็นวัยรุ่น อายุเท่า ๆ กับคุณ หนังสือเพลงนี่คือที่สุดแล้วนะ” วินยิ้มออกมา เขามองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มเช่นกันของตฤณ อย่างไม่วางตา

“คนยุคนั้น” วินพูดขึ้น มองท่าทางของตฤณอย่างสำรวจ “หมายถึง คนยุคเก้าศูนย์ เขาซื้อหนังสือเพลงกันเป็นว่าเล่นเลยหรือครับ” คำถามนั้นของวิน ทำให้ตฤณถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะแย้งออกไปว่า “ใครว่ากันล่ะคุณ” ตฤณพูด วินเห็นแววตาแห่งความสดใสฉาบทับอยู่ในนั้น จนวินรู้สึกว่าตฤณนั้นช่างน่าเอ็นดู

“ผมก็เตรียมกระดาษ เตรียมดินสอ มาลอกเนื้อเพลงน่ะสิ” ตฤณพูดพลางคิดถึงเรื่องราวย้อนอดีตกลับไป “ก็มีเงินไม่พอเท่าจำนวนเพลงที่อยากได้นี่นา จะซื้อหลายเล่มก็หมดตัวพอดี ก็สมัยนั้น เขายังไม่เคร่งเรื่องลิขสิทธิ์อะไรทำนองนั้นนี่นะ แล้วส่วนใหญ่ร้านหนังสือสมัยนั้น เขาก็วางเล่มหน้าสุด เอาไว้ให้อ่านฟรีอยู่แล้ว ขอแค่อย่าทำหนังสือของเขายับ และอย่าขโมยเป็นพอ ผมก็ต้องเพียรมาร้านหนังสืออยู่บ่อย ๆ แหม ก็มันไม่มีให้โหลดได้ง่าย ๆ เหมือนตอนนี้นี่นา” ตฤณหัวเราะ พลางส่ายหัวให้กับตัวเองในสมัยนั้น

“น่ารักดี” วินเอ่ยขึ้น ก่อนรอสบตากับตฤณ “น่าเอ็นดูดีนะ วินว่า” สายตาที่วินมองมาที่ตฤณ ทำให้ตฤณรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่ใบหน้า มันเป็นอาการที่ไม่เกิดขึ้นกับเขานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกอะไรแบบนี้ มันเมื่อไหร่กับใครกันนะ แล้วแวบนั้น ใบหน้าของคนคนนั้น ก็ฉายสว่างวาบขึ้นมาในความทรงจำของตฤณ

“เล่มนี้ ถ้าเราจะกลับมาอ่านใหม่ทีหลัง แล้วกลัวว่าใครจะมาซื้อไปเสียก่อน หรือหาไม่เจอ ก็เลื่อนมันไปไว้ด้านในแบบนี้” ตฤณมองดูเด็กหนุ่มดันหนังสือเล่มนี้เข้าไปที่ด้านในสุดของชั้นวาง แต่ว่าก็ยังคงมองเห็นได้จากด้านนอก วิธีนี้ แบบนี้ ตฤณเคยเห็นใครคนหนึ่งทำมันมาก่อน และตอนนี้ภาพแห่งความหลังภาพนี้ที่เหมือนกับว่า มันกลับลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ หลังจากที่จมอยู่ที่ด้านล่างสายนทีนั้นมานานแสนนาน

“แล้วอย่างการ์ตูนพวกนี้ล่ะ วินรู้มาว่า สมัยยุคไนน์ตี้มันดังมาก ๆ เลยนี่นา” วินเดินนำไปหยิบแผ่นดีวีดีการ์ตูนเรื่องดังในอดีต ที่จัดวางอยู่บนชั้นไม่ไกลจากตรงนั้น ขึ้นมาถือไว้ในมือ ตฤณเดินตามมาดูแผ่นการ์ตูนที่วินถืออยู่ “ตฤณเป็นตัวไหน” วินกระเซ้า ถามเอาคำตอบกับตฤณ อะไรบางอย่างดึงตฤณกลับไปหาภาพความทรงจำในครั้งนั้น

“เป็นตัวไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” ตฤณตอบออกไป ไม่เลือกตัวการ์ตูนที่อยุ่บนหน้าปกนั้นเลยสักตัว “ไม่ได้สิ แบบนี้หน้ากากทักซิโด้จะได้คู่กับนางเอกอย่างเซเล่อร์มูนหรือ” ตฤณท้วง ยังคงต้องการให้ตฤณเลือกตัวละครเอกนั้นอยู่ดี “สมัยนั้น คนอย่างพวกผม เขาไม่เรียกกันว่านางเอกน่ะสิ” ตฤณพูดขึ้นต่อจากคำพูดของวิน ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มเห็นแววความเศร้าสั่นไหวในดวงตาของตฤณ

“มันไม่เหมือนกับสมัยนี้ ที่คนเขาก็ช่างคิดช่างเข้าใจ มีคำเรียกให้เลือกใช้ว่านายเอก” ตฤณมองภาพตัวละครในการ์ตูน แล้วนึกถึงความรู้สึกที่ยังคงสะท้อนอยู่ภายในใจของตัวเอง “ถ้าตอนนั้น มันเป็นอย่างทุกวันนี้ บางที อะไร ๆ มันคงจะดีกว่านี้” ตฤณหลบสายตาจากวิน ที่มองและฟังตฤณพูดอย่างเงียบ ๆ

“ผมว่า ผมคงไม่ได้เรื่อง คงช่วยคุณเลือกหนังสือไม่ได้ คุณอยากได้เล่มไหน ก็หยิบเอาเองแล้วกันนะ เดี๋ยวผมเดินไปรอคุณที่ข้างนอกร้าน” พูดจบ ตฤณก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้น ความรู้สึกที่มีก้อนอะไรแข็ง ๆ แล่นเข้ามาจุกที่คอหอย ทำให้เขาหวั่นไหวและอ่อนไหวไปหมด ยิ่งภาพของใครบางคนขึ้นมาทาบทับเข้ากับวิน เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันทำให้ตฤณบอกกับตัวเองว่า เขาต้องเดินออกไปจากตรงนั้น

วินเดินตามออกมาที่ด้านหน้าร้าน ตฤณถามถึงหนังสือที่วินต้องการ แต่เด็กหนุ่มบบอกว่า เอาไว้เขาจะกลับมาดูอีกครั้งในวันหลัง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง บอกว่า เขามีอีกที่ที่อยากจะไป ตฤณพยักหน้า คิดว่ามีนคงจะเป็นการดี ที่จะได้ไปที่อื่น ไปในที่ที่ไม่มีอะไรกระตุ้นเตือนความทรงจำที่เคยมีในครั้งก่อน กับใครบางคนที่ไม่เคยลบเลือนออกไปจากใจ

แต่แล้ว ตฤณก็ต้องหยุดก้าวเท้า เขาชะงักจนแทบจะสะดุดเท้าของตัวเอง เมื่อเห็นว่าวินกำลังจะพาเขาไปที่ไหน วินหันมามองตฤณที่หยุดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เด็กหน่ามเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไป ตฤณส่ายหน้า และหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินหนี วินรีบสาวเท้าเข้าไปดักหน้าตฤณไว้ได้ทัน

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม” ตฤณถาม เมื่อวินคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้ทัน เมื่อเห็นตฤณทำท่าจะวิ่งหนี “ตฤณจะหนีวินทำไม” เสียงพูดนั้นฟังดูน้อยใจมากกว่าที่จะขุ่นใจ “เข้าไปด้านในด้วยกัน” วินพูดกึ่งบังคับ ก่อนจะใช้แขนทั้งสองกึ่งโอบกึ่งช้อนเอวของอีกฝ่ายให้เดินตาม ตฤณขยับขืนตัว ส่ายหน้าบอกกับวินว่า เขาจะไม่เข้าไปในนั้น

“ช่วยพาผมออกไปจากที่นี่ ได้โปรด ผมขอร้อง” วินเห็นตฤณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หยาดน้ำใส ๆ เอ่อท้นขึ้นที่ขอบตาทั้งสอง วินรู้สึกตกใจเช่นกัน ที่ได้เห็นแบบนั้น และยิ่งทำนองของเพลงฮิตสมัยเก้าศูนย์เพลงนั้นดังขึ้นจากลำโพงด้านหน้าร้านคาราโอเกะด้วยแล้ว วินรับรู้ได้ทันทีถึงความรู้สึกเสียใจ เศร้าใจ และความเจ็บปวดที่แสดงออกมาจากสีหน้าและแววตาของตฤณ

************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=RJvsn8WFKmM


ทุกทุกสิ่งนั้นเปลี่ยนไป

Everything seemed to change

เมื่อตอนลืมตาขึ้นมา และมองท้องฟ้าในตอนไหน

I opened my eyes today and saw the sky up there

เหงาเหลือเกินเมื่อเธอจากไป

I am so lonely since the day you were gone

เหม่อมองพระจันทร์ทุกคืน ฉันคิดถึงเธอเกินทนไหว

Seeing the moon each night, it makes me miss you so desperately


โอ้ว บางครั้งที่ใจอ่อนไหว

Oh, dear, my heart feels empty

น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น

Tears endlessly pain me

ร้องออกมาเท่าไหร่ เธอรู้มั้ย

How long those nights last, don’t you know?


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

No one’s home at night

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

My heart’s shaking yet holding up

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

Months turned to years and so on

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

And that doesn’t change me, I miss you so

ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

Though I don’t have you here

แต่ย้ำ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

But it’s still the same as usual

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I do miss you dearly


เพราะโอกาสที่เราเจอกัน

The chance we both will meet

แค่เพียงในยามค่ำคืน เวลาฉันนอนหลับตาฝัน

Is in the night when I am away dreaming

ทุกทุกสิ่ง ที่เราผูกพัน

Everything that has been bonding us

และฉันยังภาวนาเพื่อขอให้เธออยู่ตรงนั้น

That’s what I’m praying to have you with me right here


โอ้ว บางครั้งที่ใจอ่อนไหว

Oh, dear, my heart feels empty

น้ำตายิ่งบีบยิ่งคั้น

Tears endlessly pain me

ร้องออกมาเท่าไหร่ เธอรู้มั้ย

How long those nights last, don’t you know?


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

No one’s home at night

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

My heart’s shaking yet holding up

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

Months turned to years and so on

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

And that doesn’t change me, I miss you so

ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

Though I don’t have you here

แต่ย้ำ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

But it’s still the same as usual

ฉันคิดถึงเธอ

I do miss you


แต่ละคืนที่มองไม่เห็นใคร

Each night, I have no one to spend it with

อดทนไว้หัวใจยังสั่น

Be patient though my heart aches

แต่ละวันเดือนปีที่หมุนไป

Months and then years that went by

เธอรู้มั้ยว่าใครคิดถึงเธอ

Do you know who misses you still?

ตรงนี้ไม่มีเธอแล้ว

No, you’re no longer here anymore

แต่ย้ำ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

Yet it still screams at me that I don’t change

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I miss you so so much


เธอจะรู้บ้างมั้ย บ้างมั้ย บ้างมั้ย

Do you know this? Don’t you? Will you?

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I miss you with my whole heart

ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน

I miss you so much, boy
หัวข้อ: Re:ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgia บทที่๑๑. เขาคนนั้นที่คิดถึง ๒๔/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-11-2022 18:07:49
*****
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgia บทที่๑๑. เขาคนนั้นที่คิดถึง ๒๔/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 26-11-2022 07:21:06
ใครเป็นใครในแต่ละพาร์ทอ่ะ
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง ... ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๒. คิดถึงจึงมาหา ๒๖/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 26-11-2022 17:39:07
บทที่ ๑๒. คิดถึงจึงมาหา



2545

2002



“คุณอดทนเอาไว้นะ หมอ ลูกผมจะคลอดอยู่แล้ว ทำไมหมอยังดูใจเย็นอยู่ได้” ชายผู้ที่กำลังจะได้เป็นพ่อคน รอคอยการกำเนิดของลูกคนแรกของตัวเองและภรรยา ถามคุณหมอที่อยู่ในห้องคลอดด้วยกัน ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเป็นกังวลและหวาดหวั่นอยู่ในที นายแพทย์ผู้รับหน้าที่ทำคลอดให้กับภรรยาของเขา ถึงกับต้องโบกมือให้เขาใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

“รอให้ช่องคลอดของคุณแม่ขยายให้ถึงสี่ถึงหน้านิ้วก่อนนะครับ คุณพ่อใจเย็น ๆ ก่อน และคุณแม่อย่าเพิ่งเบ่งคลอดนะครับ เดี๋ยวพอถึงเวลา หมอจะให้จังหวะ แล้วตอนนั้น คุณแม่ค่อยเบ่งให้สุดแรงเลยนะครับ” คำอธิบายของคุณหมอ ยังไงก็ไม่สามารถทำให้เหงื่อเม็ดเป้งที่ไหลซึมออกมาบนหน้าผากว่าที่คุณพ่อให้แห้งหายไปได้

“ฉันเจ็บจะแย่อยู่แล้วหมอ หมอยังจะบอกให้รออยู่อีกหรือ แล้วหมอจะเปิดเพลงอะไรของหมอ ถ้าจะเปิดเบา ๆ งุ้งงิ้ง ๆ แบบนี้ หมออย่าเปิดเลยดีกว่า” เสียงของว่าที่คุณแม่คนใหม่ ที่เริ่มจะไม่ทนกับความเจ็บปวดจนเกินจะทนนี้แล้ว เริ่มหันมาแว้ดใส่นายแพทย์ประจำเคสคลอดธรรมชาติ

“ใจเย็น ๆ ครับคุณแม่ เพลงนี้กำลังดังเลย คุณแม่เคยได้ยินชื่อนักร้องคนนี้มั้ยครับ ปาล์มมี่ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเปิดเพลงนี้ดัง ๆ แล้วถ้าคุณแม่อยากจะร้องดัง ๆ ก็ร้องดัง ๆ ปล่อยออกมาให้เต็มที่เลยนะครับ” คุณหมอบอกกับว่าที่คุณแม่ “เอาล่ะช่องคลอดของคุณแม่ขยายได้ห้านิ้วแล้ว แต่หมอจะตัดฝีเย็บเพิ่ม พอหมอให้สัญญาณคุณแม่ก็เบ่งเลยนะครับ คุณพ่อด้วย ช่วยคุณแม่เบ่งนะครับ พร้อมนะ” เสียงเพลงจากวิทยุเปิดเร่งโวลุ่มดังขึ้น พร้อมกับการกรีดร้องที่ดังที่สุดของชีวิตจากทั้งว่าที่คุณพ่อคุณแม่คู่นี้ รวมถึงชีวิตใหม่ของเด็กผู้ชายคนนี้ที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก

“เด็กสมบูรณ์แข็งแรงดีนะคะ ดีใจด้วยนะคะ คุณพ่อคุณแม่” เสียงพยาบาลร้องบอก ก่อนจะนำเด็กชายแรกเกิดมาวางไว้ที่หน้าอกของผู้เป็นแม่ สองสามีภรรยาก้มลงมอง จูบหอมเด็กน้อยด้วยความรัก “มีปานแดงเล็ก ๆ ที่หัวไหล่ด้วยนะคะ” สองสามีภรรยาสบตากัน นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อ ที่เคยพูดกับพวกเขาไว้ ว่าหากว่าเด็กที่ขอพรจากองค์พระไป เกิดมาพร้อมกับตำหนิ นั่นก็หมายความว่า เรื่องราวเดิม ได้ติดตามเด็กน้อยคนนี้มาด้วย



2550

2007



“ปลายปีนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันดีคุณ” เสียงนายหญิงถามผู้เป็นสามี ขณะที่คุณแม่บ้านกำลังตั้งโต๊ะอาหารมื้อเย็น “จะอยู่ที่ไทยนี่ หรือว่าจะไปแถวยุโรปกันดี” คำถามนั้นทำให้นายใหญ่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ในมือ “ไปสวิตเซอร์แลนด์ก็ดีนะ” ผู้เป็นสามีพูดขึ้น ก่อนจะมองไปที่เด็กชายตัวน้อยที่กำลังจะอายุครบห้าขวบในปีนี้ ที่กำลังไถรถแข่งในมมือเล่นอยู่ที่พรมราคาแพงระยับ

“วินเริ่มโตพอที่จะเดินทางไกล ๆ ได้แล้ว ปกติก็ไม่ค่อยงอแงเท่าไร่ นวลตักข้าวให้คุณท่านเลย” เสียงนายหญิงพูดบอกคุณหัวหน้าแม่บ้าน “ก็ให้นวลไปช่วยดูด้วยก็ได้ ได้มั้ยล่ะ ฮึ” นายใหญ่ที่เป็นคุณท่านของบ้านถามกับแม่บ้านผู้รู้ใจนายหญิงที่สุด “นวลก็ยังไม่เคยไปยุรงยุโรปอะไรกับเขาเลยสักครั้ง ถ้าคุณท่านจะกรุณา” นายหญิงหันไปบีบแขนคุณแม่บ้าน ก่อนจะยิ้มเป็นเชิงรับรองและอนุญาต ว่าให้ไปช่วยเธอดูแลนายน้อยวินด้วยกัน

“วันเกิดคุณวินก็ปลายปี ดีเสียอีกนะคะ คุณวินน่าจะชอบ” คุณแม่บ้านนวลที่ช่วยเลี้ยงนายน้อยของตระกูลนี้มาเห็นดีเห็นงามด้วย “งั้นก็ยื่นวีซ่าแต่เนิ่น ๆ เวลาหนึ่งเดือน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร วินเดี๋ยวค่อยเล่นต่อ มากินข้าวก่อนลูก” เสียงผู้เป็นภรรยาเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เอ่ยเรียกลูกชายคนเดียวของตน ก่อนจะต้องลุกขึ้นไปเดินมองหา เมื่อไม่เห็นว่าเด็กชายนั่งเล่นอยู่ตรงนั้นแล้ว

สองสามีภรรยาร้อนรน รีบเดินตามหาพร้อมเรียกชื่อบุตรชายของตัวเองไปด้วย ก่อนที่นายท่านและนายหญิงของบ้าน จะหันมามองหน้ากัน เมื่อได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากทางหน้าบ้าน ทั้งสองคนสามีภรรยา จึงเดินออกไปดู ก่อนจะเห็นคนขับรถยืนอยู่ข้าง ๆ ตัวรถ ที่ประตูด้านข้างคนขับเปิดอ้าเอาไว้อยู่

“ผมกำลังจะเอารถไปล้าง แต่นายน้อยเดินขึ้นมานั่งเสียก่อน ผมก็เลย” นายท่านพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาบุตรชาย ที่กำลังกดเปิดเพลงเดิมขึ้นฟังอยู่แบบนั้น “วิน ทำอะไรลูก” นายใหญ่ของคฤหาสน์หลังงาม ถามลูกชายคนเดียวของเขา ที่จ้องไปที่หน้าจอแอลซีดีภายในรถ ก่อนจะกดเล่นเพลงเดิมนั้นซ้ำอีก

“เฝ้าแต่คิดถึง ได้แต่คิดถึงสิ่งที่สองเราเคยมี เฝ้าแต่คิดถึง ได้แต่คิดถึง นึกทีไรก็ยิ้มทุกที มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง อยากให้เธอได้อยู่ตรงนี้ คิดถึงเธอ คิดถึงเธอ” เสียงร้องนั้นดังออกไปจนทั่วบริเวณ “ชอบเพลงนี้หรือลูก วิน” ผู้เป็นพ่อถามบุตรชาย ก่อนที่เด็กชายจะหันมาพยักหน้าแทนคำตอบ “คิดถึง สัญญาแล้ว ต้องเป็นสัญญา” สองสามีภรรยามองหน้ากันอีกครั้ง ที่ได้ยินลูกชายคนเดียวของพวกเขาพูดแบบนั้น



2561

2018



“เฮ้ยกูปวดท้อง กูไม่ไหวแล้วจริง ๆ กูไปก่อนล่ะ ไม่ทันแล้วกู ไม่ทันแล้ว” เสียงนักร้องนำของวง ที่เมื่อวานตอนเย็น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า วันนี้เป็นวันงานโรงเรียน ที่ตัวเองต้องขึ้นแสดง แต่ก็ยังจะไปร่วมปาร์ตี้ส้มตำจนเต็มคราบ ซึ่งก็ออกอาการตั้งแต่เมื่อคืน ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ นี่ยังดีที่ไม่ถึงกับล้มพังพาบไป ยังมีเรี่ยวแรงเดินเหิน ทั้ง ๆ ที่เทียวไปเทียวมาห้องน้ำอยู่ไม่ขาด

“เอาไงล่ะทีนี้ แล้วใครจะมาเป็นคนร้องนำวะ” เพื่อนในวงพากันเซ็ง เมื่อนักร้องนำของวงทำท่าว่าจะทำให้งานคราวนี้ล่มเสียแล้ว “ไอ้วินไง” ใครคนหนึ่งนึกขึ้นได้ รีบตะโกนบอกเพื่อนด้วยความหวัง “ไอ้วินนั่นแหละเหมาะที่สุด” เพื่อนอีกคนก็เห็นด้วยเช่นกัน ก่อนที่ใครอีกคนจะรีบกดมือถือ ถามว่าตอนนี้วินอยู่ที่ไหน แล้วพากันรีบวิ่งไปหา

“แต่กูไม่เคยซ้อมกับวงเลย” วินออกตัว เพราะเขารับหน้าที่ในส่วนอื่นให้กับงานโรงเรียน ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นเวทีร้องเพลงให้คนทั้งโรงเรียนฟังแต่อย่างใด “แต่มึงน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว ไอ้วิน ช่วยพวกกูหน่อย” เสียงกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง กับเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานในตอนนี้ ที่ทั้งวงกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

“ใช่ มึงน่ะชอบอะไรที่มันยุคเก้าศูนย์แบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เพลงนี้ นักร้องก็ยุคเดียวกันกับที่มึงชอบ” เพื่อนอีกคนรีบแจกแจงเหตุผล “เออ จริงนะ มึงก็ชอบเพลงแนวนี้อยู่แล้ว” เพื่อนคนที่เป็นต้นคิดให้วินมาเป็นนักร้องนำช่วยชีวิตวงของพวกเขาไว้ พูดเสริมขึ้น “กูว่า ไอ้วินแม่งน่าจะไม่ใช่แค่ชอบอะไร ๆ ในยุคนั้นนะเว้ย แม่งอาจจะหลุดมาจากยุคนั้นเลยก็ได้ แบบวิน รีบอร์น กำเนิดใหม่ไดโนวินเลยนะเว้ย” เพื่อน ๆ ทุกคนตรงนั้นทีได้ยิน ถึงกับพากันหัวเราะแล้วเฮกันลั่น

“คนที่ฉันนั้นมองอยู่ทุกทุกวันน่ะใช่รึเปล่า คนที่ฉันนั้นคุยอยู่ทุกทุกวันน่ะใช่รึเปล่า คนที่ยิ้มให้กันอยู่ทุกทุกวันน่ะใช่รึเปล่า คนที่รักฉันอยู่ไหน คนที่เค้าต้องการให้ฉันเข้าใจอยู่นี่รึเปล่า คนที่เค้าต้องการให้คิดถึงกันอยู่นี่รึเปล่า คนที่เค้าต้องการให้ฉันรักจริงอยู่นี่รึเปล่า เป็นผู้ต้องหาต่อไป”

วินเด็กหนุ่มในวัยสิบหกปี ขึ้นเวทีสนุกสนานไปกับเพื่อน ๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก ที่ทำให้งานโรงเรียนในครั้งนี้ ไม่ล่มอย่างที่กลัวกัน เพื่อนคนที่ท้องไส้ปั่นป่วน เข้ามาขอบคุณวินที่ช่วยเหลือวงเอาไว้ในครั้งนี้ วินเองก็คิดว่าเขาตัดสินใจถูก ในขณะที่เขากำลังร้องเพลงนี้อยู่บนเวที ใบหน้าของใครคนนั้น ที่เขาเห็นในฝัน ก็ลอยเข้ามาให้เขาเห็นในห้วงคำนึงอยู่ไม่ได้ขาด



2565

2022



“เรากินมื้อกลางวันกันก่อนนะครับ วินหิวแล้ว ตฤณหิวมั้ย” วินชวนอีกฝ่ายคุย เพราะตั้งแต่ทั้งสองคนมานั่งที่โต๊ะในร้านอาหารที่วินได้จองไว้ โดยพื้นที่บริเวณสวนด้านนอกทั้งหมด ทางร้านจะปิดให้บริการแก่ลูกค้าคนอื่น จนกว่าวินและตฤณจะทานอาหารเสร็จ จะมีแค่เพียงเขาทั้งสองคนที่กันพื้นที่เอาไว้เป็นการส่วนตัว

“วินเลือกอาหารไว้แล้วบางส่วน แต่ถ้าตฤณอยากจะกินอะไรเพิ่ม สั่งได้เลยนะ” วินยิ้มให้กับอีกฝ่าย พนักงานวางเมนูอาหารไว้ให้กับตฤณ “ผมไม่ได้อยากจะกินอะไรเป็นพิเศษ คุณสั่งเอาไว้แล้ว ตามนั้นก็แล้วกัน” ตฤณตอบกลับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ทางด้านขวามมือของตัวเองไป วินเลยหันไปบอกกับพนักงานให้จัดอาหารมาเท่าที่เขาสั่งไว้ล่วงหน้าก่อน

“ร้านนี้วินมากินหลายครั้งแล้ว อาหารอร่อยหลายอย่าง วันหลังเราก็มากินด้วยกันบ่อย ๆ” วินพูดด้วยท่าทางที่อยากจะชวนอีกฝ่ายคุยด้วย ตฤณมองท่าทางของวินที่แสดงออกแบบนั้น “เมนูเนื้อของที่นี่ก็เด็ดหลายอย่าง” อาหารที่วินได้สั่งไว้ พนักงานได้นนำมาวางจนเต็มโต๊ะ การพูดการจาของวิน ทำให้ตฤณสะกิดใจอยู่ไม่น้อย

“เอามาตัดเป็นชิ้นพอคำแบบนี้” ตฤณมองดูวิน ใช้มีดหั่นเนื้อเกรดพิเศษ ก่อนจะตักเอามาวางไว้ในจานของตฤณ “จะให้ดีนะ ต้องราดซอสแจ่วชุ่ม ๆ แต่เสียดาย ที่นี่เขาเสิร์ฟแบบฝรั่ง” ตฤณกะพริบตาถี่ ๆ พยายามไล่เรียงความคิด ว่าลักษณะการพูด การกินอาหารแบบนี้ เหมือนใครบางคนที่เขาเคยรู้จัก

“ลองกินนี่ด้วยนะตฤณ” เจ้าของชื่อมองดูวินที่กำลังตักเส้นสปาเกตตีมาจัดไว้ในจานเล็ก ม้วนเส้นให้มีขนาดพอดีคำ “วางแฮมลงไปด้านบน โปะด้วยเบคอนกรอบ ๆ” ตฤณรู้สึกตัวชา มือไม้ของเขารู้สึกสั่นเทิ้ม ใจของตฤณเต้นรัวเร็ว “พริกแห้งนี่ถึงมันจะเผ็ดไปหน่อย แต่มันช่วยเรื่องความเลี่ยน” ตฤณขยับริมฝีปากพูดประโยคเดียวกันกับวิน ตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายได้พอดี ถูกต้องทุกคำ

“กินเยอะ ๆ นะตฤณ หรือจะให้วินป้อน” วินพูด ก่อนจะยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่ม ตฤณมองตามทุกอิริยาบถของเด็กหนุ่ม วินวางแก้วน้ำลง ตฤณมองตามมือของวินที่วางแก้วนั้น ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่ริมฝีปากของวิน ที่กำลังขยับก้อนน้ำแข็งที่เอาเข้าปากไปด้วย ตอนที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนที่ก้อนแข็ง ๆ อะไรบางอย่างจะแล่นเข้ามาจุกที่คอหอยของตฤณ

ตฤณแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง มองวินที่กำลังเคี้ยวน้ำแข็งแบบนั้น มีใครคนหนึ่งที่ชอบเคี้ยวน้ำแข็งเล่นแบบนี้ แถมลักษณะการเคี้ยวนั้นยิ่งทำให้ตฤณจุกอยู่ในอก วินมองตรงมาที่ตฤณ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาใกล้ ตฤณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากของวิน ที่ขยับเคี้ยวน้ำแข็งช้าลง จนหยุดในที่สุด

ตฤณรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสำลักอากาศ ราวกับว่าอากาศไม่พอที่จะหายใจ เมื่อวินจุมพิตเบา ๆ เข้าที่ปลายนิ้วของตฤณ ก่อนจะหลับตา แล้วเลื่อนจมูกหอมไปที่ปลายนิ้วมือของตฤณ ที่เจ้าของมือรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย จนทำให้วินรู้สึกได้ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองไปที่อีกฝ่าย ตฤณมีน้ำตารื้นขึ้นขอบตาทั้งสองข้าง เมื่อมองเห็นสายตาที่แสดงความโหยหา ออกมาจากแววตาของวินแบบนั้น

“ตฤณเคยคิดถึงใครสักคน มากจนมันปวดไปทั้งใจมั้ย” ตฤณมองเด็กหนุ่มดึงมือของเขาไปแนบเข้ากับแก้ม ความอบอุ่นที่มันเลือนหายไปจากใจเป็นเวลานานนับปี ตฤณกลับรู้สึกได้ว่า มันกำลังแผ่ซ่านออกมาจากแก้มของวิน ที่ทั้งนำเสียง แววตา และคำถามของวินประโยคนั้น มันทำให้ตฤณสั่นไปทั้งหัวใจ

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=2kh-re0Wass



คงจะจริงที่วันเวลา

May be true that date and time

มันจะพาอะไรให้เปลี่ยน

Will change every single thing

เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็เข้าใจ

It’s nothing new for us to understand


ใจของคนก็คงเหมือนกัน

Like our hearts, won’t be any different

เพียงไม่นานก็เปลี่ยนผันไป

Doesn’t take long to utterly change

แต่อาจไม่ใช่สำหรับฉัน

But that may not apply to me

ที่ยังคงทำอะไรเดิมเดิมอย่างนั้น

‘Cause I still do things exactly the same

แค่เพราะฉันไม่ชอบเปลี่ยนแปลง

None of alterations I do

ไม่ใช่ยังรักใคร

Not that I’m still in love


ตรงนี้ไม่มีใครคิดถึงเธอ

No one here is still thinking of you

เป็นแค่เพียงบางครั้งยังไม่ชินเท่าไร

Just sometimes I slip, unfortunately

คงเพราะวันเหล่านั้นสวยงามเกินไป

Maybe the old days were too ravishing

จนฉันเองก็ไม่เข้าใจ เพราะอะไรต้องลืม

It’s beyond my imagination as to why to forget the whole thing


ฉันแค่รู้สึกดีที่ได้นึกถึงมัน

I am feeling good remembering it

คงไม่ผิดถ้าเก็บไปฝันบางคืน

Would it be bad for me to dream it in some nights?

ไม่ต้องคิดมากมาย

Don’t you worry about that

ไม่มีใครเขาคิดถึงเธอ

No one seemingly think of you


ขอเถอะเธออย่าโทษฉันเลย

Please, dear, don’t you blame me for

ที่ไม่เคยจะลืมทุกอย่าง

That I can’t literally throw everything away

คงสักวันที่มันจะจางหายไป

It might be one day, they would disappear


ที่ยังทำอะไรเดิมเดิมอย่างนั้น

‘Cause I still do things exactly the same

แค่เพราะฉันไม่ชอบเปลี่ยนแปลง

None of alterations I do

ไม่ใช่ยังรักใคร

Not that I’m still in love


ตรงนี้ไม่มีใครคิดถึงเธอ

No one here is still thinking of you

เป็นแค่เพียงบางครั้งยังไม่ชินเท่าไร

Just sometimes I slip, unfortunately

คงเพราะวันเหล่านั้นสวยงามเกินไป

Maybe the old days were too ravishing

จนฉันเองก็ไม่เข้าใจ เพราะอะไรต้องลืม

It’s beyond my imagination as to why to forget the whole thing


ฉันแค่รู้สึกดีที่ได้นึกถึงมัน

I am feeling good remembering it

คงไม่ผิดถ้าเก็บไปฝันบางคืน

Would it be bad for me to dream it in some nights?

ไม่ต้องคิดมากมาย

Don’t you worry about that

ไม่มีใครเขาคิดถึงเธอ

No one seemingly think of you


ตรงนี้ไม่มีใครคิดถึงเธอ

Shouldn’t someone still miss you over here

เป็นแค่เพียงบางครั้งยังไม่ชินเท่าไร

It may be some chance ‘cause I’m still not used to it

คงเพราะวันเหล่านั้นสวยงามเกินไป

Those old times were too precious and priceless

จนฉันเองก็ไม่เข้าใจ เพราะอะไรต้องลืม

That makes me to not comprehend the reason to forget


ฉันแค่รู้สึกดีที่ได้นึกถึงมัน

I’m feeling alive thinking about it

คงไม่ผิดถ้าเก็บไปฝันทุกคืน

Would I be so wrong to dream of you every night?

ไม่ต้องคิดมากมาย

Please be trouble – free

ไม่มีใครเขาคิดถึงเธอ

No one here fantasizes about you


คิดถึงเธอ

I’ve been longing for you so
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๓. อยู่ด้วยคิดถึง ๒๘/๑๑/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 28-11-2022 21:08:22
บทที่ ๑๓. อยู่ด้วยคิดถึง



2565

2022



ดีนเปิดประตูรถตู้ก่อนจะก้าวลงมายืนบิดตัวไปมา เพื่อไล่ความเมื่อยขบ โดยมีพ่อของเขาก้าวตามลงมา ผู้เป็นบิดามองลูกชายแล้วต้องส่ายหน้าให้ ดีนหาวหวอด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีน้องสาวและผู้เป็นแม่เดินตามเข้าไป ขณะที่พ่อของดีน ยืนสั่งงานคนขับรถต่ออีกเล็กน้อย จึงค่อยเดินตามไปเป็นคนปิดท้าย

ดีนล้มตัวลงนอนบนโซฟายาวในห้องรับแขก แม่บอกกับดีนว่า เย็นนี้จะต้องไปงานเลี้ยงกับผู้ใหญ่ในกระทรวง ดีนฟังนิ่ง ๆ ไม่ทำท่าหืออือใด ๆ ในใจรู้อยู่แล้ว ว่าแม่ต้องการอยากจะให้เขาไปพบเจอผู้หลักผู้ใหญ่ให้ได้มากที่สุด เมื่อเขาเองก็กำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่พูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนกับน้องสาวของเขา ที่น้องของดีนดูจะตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะไปงานเลี้ยงที่น่าเบื่อนี้มากกว่าเขาเสียอีก

“แกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วดีน เดี๋ยวแกต้องไปงานเลี้ยงกับแม่แก” พ่อที่เดินตามเข้าบ้านมา พูดกับลูกชายของตัวเองที่ยังเห็นนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาห้องรับแขก “ฉันรู้ว่าแกไม่อยากไป แต่มันถึงกับจะทำให้แกลำบากขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าแกจะทำอะไรเพื่อเอาใจแม่แกสักหน่อย” ดีนเลื่อนตัวขึ้นนั่งจากท่านอน ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า เขามักจะต้องทำอะไรเอาใจคนอื่นอยู่เสมอ ๆ มานานเท่าไหร่แล้ว

“ฉันดีใจนะ ที่แกไปวัดกับฉันในวันนี้” เหมือนว่าผู้เป็นพ่อเองก็พอจะเดาความรู้สึกของลูกชายตัวเองได้ไม่ยากนัก “แกเอาใจฉันไปแล้ว ก็เอาใจแม่แกอีกสักคน ไหวมั้ย” ดีนสบตากับพ่อของเขา ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ แม้ว่าสายตาของเขาจะเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายที่จะต้องไปยืนแกร่วในงานแบบนี้

“เออ พ่อเห็นแกไปนั่งกับเด็กคนนั้น ลูกเต้าเหล่าใครกัน เพื่อนแกหรือ” พ่อของดีนที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน นึกขึ้นได้ จึงหันมาถามกับลูกชาย ดีนตอบรับคำเบา ๆ “ครับ” พ่อของเด็กหนุ่มนึกประหลาดใจ ที่ดีนดูจะปุบปับดูสดใส สดชื่นขึ้น เมื่อได้ยินพ่อเอ่ยถึงเด็กหนุ่มคนนั้น “เพื่อนที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ ชื่อปัน เทปปัน” ดีนไม่รู้สึกท้วงตัวเองเหมือนครั้งก่อน ๆ กลับพูดบอกพ่อของเขา แนะนำชื่ออีกฝ่ายกับพ่อของตัวเองเสร็จสรรพ

“เห็นมั้ยล่ะ ไม่ใช่มีแต่คนแก่ ๆ รุ่นบุกเบิกอย่างที่แกค่อนขอดเสียที่ไหน” พ่อของดีนรีบชี้ให้ลูกชายเห็น “แถมดูท่าทางเพื่อนของแก คงจะไม่ช่างคัดช่างค้านพ่อแม่สักเท่าไหร่นักด้วย” ดีนหัวเราะเบา ๆ ออกมา รู้ทั้งรู้ว่าเพิ่งโดนพ่อว่าเข้าให้ แต่คราวนี้ เขากลับไม่รู้สึกเซ็งไปกับคำพูดตำหนิของพ่อที่ใช้ตำหนิเขา เหมือนอย่างทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกดีใจที่ความบังเอิญในวันนี้ รวมกับการตัดสินใจตัดปัญหาของเขา ยอมไปวัดกับพ่อ ทำให้ได้เจอและได้ใช้เวลากับเทปปันทั้งวัน

เทปปันก้มลงกราบแม่ชี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่าน ที่มองเทปปันอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาที่อ่อนโยน เทปปันตั้งใจเข้ามากราบแม่ชี ก่อนที่จะขอตัวลากลับบ้านก่อน หลังจากที่อยู่ช่วยพี่ ๆ ทีมครัว เป็นลูกมือล้างจานชามที่ใช้ใส่อาหารในโรงทาน เลี้ยงแขกเหรื่อและผู้ที่เข้ามาร่วมในงานพิธีวันนี้

“แม่ชีสบายดีนะครับ” ถึงแม้ว่า สถานภาพของแม่ชีจะเปลี่ยนไปเป็นผู้ทรงศีล แต่สายใยที่มีทั้งความรักและความผูกพันระหว่างกัน ก็ยังคงอยู่ และไม่อาจจะตัดรอนลงไปได้ง่าย ๆ “แม่สบายดี ปันไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” น้ำเสียงที่แสดงถึงความมีเมตตาบวกกับท่าทางที่นิ่งสงบของแม่ชี ทำให้เทปปันนั้นพลอยสบายใจไปด้วย

“ปันจะบอกให้แม่ชีทราบด้วยว่า ช่วงนี้หลังเลิกเรียน ปันอาจจะไม่ได้มาเยี่ยมแม่ชีเหมือนทุกครั้ง เผอิญว่า ปันต้องไปช่วยกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยครับ” ปันเองบอกไปแบบนั้น ก็คิดกังวลอยู่ในใจว่า การที่ไม่บอกออกไปตรง ๆ กับแม่ชี ว่าตัวเองต้องไปซ้อมละครเวที ซึ่งตัวเองนั้นแสดงเป็นตัวนายเอกของเรื่อง และอีกคนนั้น นั่นก็คือพระเอกที่ต้องเล่นคู่กัน ซึ่งมันจะถือว่าเป็นความผิดมั้ย เพราะใจก็เกรงว่าจะทำให้แม่ชีไม่สบายใจ

“กับพ่อหนุ่มที่นั่งคู่กันวันน่ะหรือ” ปันได้ยินแม่ชีพูดแบบนั้น ก็ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี “เพื่อนที่มหาวิทยาลัยใช่มั้ย มีคนสนิทกับเขาแล้วหรือ” แม่ชีถามต่อ ปันยิ้มแห้ง ๆ ก่อนตอบออกไปว่า “ใช่ครับ เป็นรุ่นพี่ปีสี่” แม่ชีพยักหน้ารับทราบ “แม่ชีทราบโดยญาณ” เหมือนจะกึ่ง ๆ ถามออกไปแบบว่าแน่ใจอยู่แล้ว

“เปล่าหรอกลูก” แม่ชีตอบปฏิเสธ “ไม่ต้องใช้ญาณจิตใด ๆ เห็น ก็พอจะบอกได้ ว่าเขาอยากจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วยกันกับปัน” แม่ชีบอกกับเทปปัน มองเห็นใบหน้าของลูกชาย ที่แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ “เมื่อบุญให้ผล จะมีคนดี ๆ เข้ามาหาเราเอง” ด้วยความที่แม่ชีนั้น ตัดสินใจละทางโลก ท่านจึงรู้สึกเบาใจ หากว่าเทปปันจะแวดล้อมไปด้วยลักษณะทางสังคมที่ดี และนั่นรวมถึงคนดี ๆ ที่อยู่ใกล้ชิดในชีวิตด้วย

“เราไม่ได้สนิทอะไรกันมากขนาดนั้นหรอกครับแม่ชี” เทปปันรีบบอกแม่ชีออกไป โดยที่พูดออกไปแบบนั้น แต่กลับไม่กล้าสบตากับแม่ชีตรง ๆ “ศีลเป็นเครื่องหอมทางใจที่เสมอกัน เมื่อคนมีการงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน ใจสองใจนั้นจึงจะไปด้วยกันได้” เทปปันฟังแม่ชีสอน ก็กระหวัดใจถึงดีน คนที่ชอบพูดจาเย้าแหย่ ชอบพูดแกล้งนั่นแกล้งนี้ไม่มีหยุดคนนั้น

“อย่างน้อย ก็พอจะดูแล้วว่า พ่อหนุ่มคนนั้นดูมีศรัทธาไปในทางเดียวกัน ยอมละความสุขส่วนตัว สละเวลามานั่งจำกัดตัวเองอยู่ในกรอบ ตามผู้ใหญ่มาอยู่ในวัดในวา” ดั่งคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเอาไว้ถึงคำว่า 'คู่บุญ' ที่จะมีความเหมือนกันเอาไว้อยู่สี่ประการ และสองในสี่ประการนั้น ก็ดูจะเข้ากันกับทั้งดีนและเทปปันในวันนี้ และนั่นก็คือ มีศรัทธาเหมือนกันและมีศีลที่เป็นเครื่องหอมดึงดูดให้เข้าหากัน

เทปปันกราบลาแม่ชี ก่อนที่เวลาที่แม่ชีจะเริ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น ระหว่างทางที่กลับบ้าน เทปปันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาและดีนในวันนี้ มันแปลกอยู่ไม่ใช่น้อย ที่สิ่งนี้มันเกิดขึ้น เพราะคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่ ที่เขาทั้งสองคน จะมาเจอกันที่วัดและนั่งอยู่ในพิธีด้วยกันตลอด จนเกิดอะไรบางอย่าง ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำอธิบายดี ๆ แบบไหน มาพูดได้ และนั่นมันทำให้ทั้งเทปปันและดีน ต่างก็อยากที่จะหาคำตอบเพื่อไขความกระจ่างให้มากขึ้น

ดีนเดินตามแม่ของเขา ที่เพียรพาลูกชายเข้าไปสวัสดีผู้ใหญ่นายโตหลายต่อหลายคน ที่มางานเลี้ยงนี้ เธอให้ลูกชายได้ฝากเนื้อฝากตัว และหลายต่อหลายครั้ง ดีนก็ได้ยินแม่ฝากฝังเขาเอาไว้กับผู้หลักผู้ใหญ่ เผื่อเอาไว้ตอนที่เขาเรียนจบแล้ว โดยที่แม่พูดกับดีนว่า อย่างน้อยก็ให้ได้รู้จักหน้าค่าตาเอาไว้ก็ยังดี รู้จักคนเยอะ ก็มีโอกาสดึงตัวเรียกไปใช้งาน เรียกไปแทนคนอื่นที่ไม่พร้อม ได้มากกว่าคนอื่น

ดีนที่แม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ที่ต้องคอยปั้นหน้าคอยยิ้ม คอยตอบรับคำ กับบรรดาผู้มีหน้ามีตาในวงสังคม หรือผู้ที่สามารถกำหนดเรื่องราวต่าง ๆ ให้เป็นไปได้ โดยที่เขาเอง ก็ลอบมองเห็นความสุขที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของแม่เขาเอง ดีนจึงไม่ทำตัวขบถต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ที่เขาคิดว่ามันไม่จำเป็นแล้วในสมัยนี้ แต่ทั้งพ่อและแม่ของเขาบอกเอาไว้ ว่าทำไปก็ไม่เสียหลาย

“หน่วยก้านดีนี่เรา มีแฟนหรือยังล่ะ” ว่าแล้วเชียว ดีนคิดกับตัวเอง นี่ถ้าเขาเสี่ยงโชคแล้วมันแม่นแบบนี้ ว่าจะต้องมีใครสักคนถามคำถามแบบนี้กับเขา “ยังครับ ผมรอเจอคนที่ถูกใจอยู่” ดีนตอบออกไป ใจคิดว่าอยากจะพูดจาร้าย ๆ ตอบกลับ แต่ก็รู้สึกสงสารแม่ หากว่าเขาจะต้องมาฉีกหน้าคนระดับอธิบดีต่อหน้าแม่ของเขา

“เข้าใจ ๆ ผู้ชายหล่อ ๆ แบบเรา ๆ ก็ต้องเลือกผู้หญิงสวย ๆ เป็นธรรมดา” ดีนได้ยินคนในวงสนทนาหัวเราะกันครืน เมื่อได้ยินประโยคแบบนั้น เขาเองไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน พลันก็คิดถึงใบหน้าของใครบางคน แล้วเกิดเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว “ไม่ใช่ว่า แอบมีใครแล้วไม่บอกแม่เขานะ ไอ้หนุ่ม” เสียงใครสักคนเอ่ยแซวเขา ดีนถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ จนทุกคนหัวเราะและแซวเขาออกมา ว่าหูของดีนแดงก่ำไปหมดแล้ว

เทปปันเปิดกระปุกไอศกรีมที่สั่งซื้อผ่านแอพลิเคชันส่งอาหารมา เขากลับมาถึงที่ห้องนานแล้ว ช่วงนี้เขาเลือกที่จะมาอยู่ที่คอนโด เพราะว่ามันสะดวกที่จะไปกลับมหาวิทยาลัย หากว่าต้องซ้อมละครเวทีจนถึงค่ำ ส่วนบ้านหลังใหญ่หลังเดิมที่เขาอยู่กับพ่อและแม่มาตั้งแต่เกิด ก่อนที่ทุกอย่างในชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไป เทปปันก็ให้คนงานที่เคยทำงานให้กับบ้านของเขามาก่อน ช่วยดูแลให้

เทปปันหันไปมองโทรศัพท์มือถือของเขา ที่เพิ่งส่งเสียงว่า มีคนส่งข้อความมาทางแอพสนทนา เทปปันตักไอศกรีมเข้าปากก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู ที่หน้าจอขึ้นให้เห็นว่า เป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากนายตัวแสบที่คอยแต่จะยียวนกวนประสาทเขาไม่เลิก และเหมือนว่า ดีนจะเดาทางเทปปันถูก อีกหนึ่งข้อความที่ถูกส่งมาหาเทปปัน บอกว่า ถ้าเทปปันอ่านแต่ไม่ยอมตอบกลับ ดีนจะกวนอีกฝ่ายทั้งคืนแน่

“กำลังกินไอติม” ข้อความจากเทปปันถูกส่งกลับไป ดีนที่แอบหลบออกมาด้านนอกงานเลี้ยง หลุดยิ้มออกมาในทันที “กินด้วยคนสิ” ดีนรีบตอบกลับไป แล้วใจจดใจจ่อรอให้เทปปันตอบกลับมา “ไปซื้อเอง” อ่านแล้ว ดีนก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “ทำไมใจร้ายจัง” ดีนเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงต้องหวังใจที่จะเห็นคำพูดดี ๆ ประโยคนุ่มนวลตอบกลับมาจากเทปปัน

เทปปันถึงกับเม้มปากเข้าหากัน เมื่ออ่านข้อความล่าสุดของดีน ที่ว่าเขาเป็นคนใจร้าย อะไรกัน เทปปันดุตัวเอง อยู่ ๆ จะไปนึกสงสาร รู้สึกผิดทำไมกับคนแบบนี้กัน ยังไม่ทันที่เทปปันจะตกลงกับตัวเองยังไม่ได้เลย ถึงเรื่องที่ว่า ควรจะพูดกับดีนให้ดีกว่าที่ทำมา หรือว่าจะต้องเห็นใจอีกฝ่ายด้วยหรือ หากว่าพูดอะไรออกไป แล้วดีนแสดงท่าทีน้อยใจนั้นออกมา

“เธออยู่ไหนเนี่ย” ทันทีที่ภาพใบหน้าของเทปปันปรากฏขึ้นบนหน้าขอโทรศัพท์ของเขา ที่ได้โทรศัพท์ผ่านวิดีโอไปหา ดีนก็ถามขึ้นทันที “อยู่บ้านสิ” เทปปันตอบกลับไป ก่อนจะสังเกตเห็นดีนผมเผ้าเรียบร้อย อยู่ในชุดสูทหล่อเหลา “แต่งตัวหล่อเชียว” เทปปันรู้สึกตัวทันทีว่าเขาเผลอที่พูดออกไป แต่ก็ไม่สามารถเรียกมันคืนกลับมาได้แล้ว

“เธอชอบหรือ” ดีนถาม พยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แต่เขาก็ไม่สามารถซ่อนมันเอาไว้ได้มิดแต่อย่างใด “ชอบชุดสูทที่ใส่ต่างหาก” เทปปันรีบพูดออกไปทันทีเช่นกัน ดีนทำอมยิ้ม เมื่อเห็นเทปปันพยายามกลบเกลื่อน “แล้วเธอล่ะ อยู่บ้านไม่เห็นโป๊เลย” ดีนพูดเมื่อเห็นว่า เทปปันอยู่ในชุดนอนแล้ว

“เพี้ยนหรือไง” เทปปันพูดพลางขมวดคิ้วใส่ “ในบทมันมีตอนที่เธอต้องถอดเสื้อผ้าด้วยนะ เธอน่าจะเตรียมพร้อมสำหรับบท ก็แก้ผ้าต่อหน้าฉันให้ชินไปก่อน” เทปปันถึงกับเบิกตาโพลง ที่ได้ยินดีนบอกว่าในบท เขาต้องถอดผ้าถอดผ่อนด้วย “ไหน ตรงไหน อยู่ฉากไหน องค์ไหนของบท” เทปปันรีบเดินไปเปิดบทที่ได้รับมาพลิกหาดู ดีนเองก็ได้เห็นภาพคร่าว ๆ ของห้องคอนโดของอีกฝ่ายไปด้วย โดยที่ทำให้เขาโล่งใจ พอจะบอกได้ว่าเทปปันอยู่คนเดียว

“เธอเนี่ยนะ” ดีนพูดออกไปด้วยอาการกลั้วหัวเราะ ก่อนที่เทปปันจะรู้ตัวว่า เพิ่งโดนดีนหลอกอำเข้าให้ “แต่ในบทมีการป้อนอาหารกันนะ เธอไม่ลองป้อนไอติมให้ฉันกินดูก่อน ซ้อม ๆ ไง” ดีนทำท่าให้เทปปันตักไอศกรีมป้อนเข้าปากเขา “อ้ำ” ดีนทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเห็นเทปปันทำท่าทางเกร็งไปหมด เมื่อรู้ว่า บทที่ว่านี้มันมีอยู่จริง และดีนไม่ได้หลอกเหมือนก่อนหน้า

“ไว้ฉันโทรมาหาอีกนะ วิดีโอ คอลกัน” ดีนพูดกับเทปปัน ไม่ใช่คำขอ แต่เหมือนเป็นคำสัญญา ว่าจะโทรมาหาอีก “จะดีหรือ” เทปปันไม่แน่ใจว่า ทำไมเขาถึงถามออกไปแบบนั้น เพราะถ้าไม่ต้องการให้ดีนโทรมาอีก ทำไมไม่พูดสั้น ๆ ห้ามเขาออกไปตรง ๆ ก็สิ้นเรื่อง ซึ่งนั่นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเทปปันเลยสักนิด

“เธอมองตาฉัน แล้วบอกกับฉันสิ ว่าไม่อยากให้ฉันโทรหาแล้ว” ดีนที่นำเสียงเหมือนจะตัดพ้ออยู่ในที พูดกับเทปปัน ที่อยู่ ๆ เมื่อมองหน้าดีน ก็ไม่สามารถจ้องตากับอีกฝ่ายได้อย่างที่เคยทำ แถมไอดีที่ดีนบังคับจากเขาเพื่อเอาไปเพิ่มเพื่อนในแอพ มันก็บล็อกอีกฝ่ายได้ไม่ใช่หรือ “เงียบคือยอมให้โทรหานะ” ดีนพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะได้ยินเทปปันพูดขึ้นว่า “ตามใจก็แล้วกัน” แล้วกดวางสายไป ทิ้งไว้แค่ใจที่เต้นรัวของปลายสายทั้งสองด้าน

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=MYmRz0Qkwkw


หยุดตรงนี้แค่เท่านี้เข้าใจไหม

This is where my heart is held up

ท่องเอาไว้บอกหัวใจให้หยุดฝัน

Telling it to stop having such a dream

เมื่อความจริงคงไม่เป็นเหมือนนิทาน

The truth is nothing like what’s in the fairy tales

ที่มีแค่เธอกับฉัน กับความรักที่สวยงาม

That’s it just you and me, love and what a wonderful world


พยายามปิดไว้ให้มันลึกจนสุดใจ

Trying so hard to bury it deep in my heart

ทำยังไงไม่ให้เธอได้รู้

Every single way to not let you find out


อย่าให้เธอมองสายตา

Never let you look in my eyes

อย่าไปเผยความในใจ เก็บเอาไว้แค่ในใจ

You’ll see what’s kept inside, it’s supposed to stay on my mind

ที่ฉันสบตาไม่ได้ กลัวเธอได้ยินคำข้างใน

Can’t let you catch my eyes, afraid that you’ll hear on the inside

เพราะสายตาฉันมันโกหกไม่เป็น

‘Cause my eyes can’t tell no lies


ถ้าใจฉันและใจเธอไม่ต่างกัน

If you and I that we both are on the same page

ถ้าสงสัยว่าฉันนั้นคิดอย่างไร

If you wonder how I really do feel

ช่วยมองตาและ ฟังเสียงของหัวใจ

Look into my eyes, listen to my heart

แล้วเธอจะได้ยิน คำคำนั้น

Then you’ll realize those words I have


พยายามปิดไว้ให้มันลึกจนสุดใจ

Trying so hard to bury it deep in my heart

ทำยังไงไม่ให้เธอได้รู้

Every single way to not let you find out


อย่าให้เธอมองสายตา

Never let you look in my eyes

อย่าไปเผยความในใจ เก็บเอาไว้แค่ในใจ

You’ll see what’ s kept inside, it’s supposed to stay on my mind

ที่ฉันสบตาไม่ได้ กลัวเธอได้ยินคำข้างใน

Can’t let you catch my eyes, afraid that you’ll hear on the inside

เพราะสายตาฉันมันโกหกไม่เป็น

‘Cause my eyes can’t fool no one


อยากให้เธอมอง สายตา แล้วเธอจะได้ยิน

Now look into my eyes, you’ll hear what it has to say

แค่เธอมองตา เธอจะได้ยินคำข้างใน

Look me in the eyes, it’ll speak directly to you

เพราะสายตาฉันมันโกหกไม่เป็น

‘Cause my eyes cannot really fool you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๔. ให้หวนคิดถึง ๑/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 01-12-2022 20:01:21
บทที่ ๑๔. ให้หวนคิดถึง

 

2536

1993



“เดี๋ยวก่อนนัน” ท็อปโหย่งตัวออก ทำให้ส่วนแก่นกายความเป็นชายของเขา ที่ชุ่มไปด้วยโลชั่นทาผิว เลื่อนหลุดจากอุ้งมือของนัน “เรายังไม่อยากเสร็จ” ท็อปที่ตอนนี้อารมณ์เตลิดจนกู่ไม่กลับ จึงทำให้เขากล้าพูดเรื่องอย่างว่านี้ได้โดยถนัดปากและสะดวกใจขึ้น นันมองใบหน้าแดงก่ำของท็อป ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหฤหรรษ์ พึงพอใจกับกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ ระหว่างเขากับนัน

“เราช่วย ของนันดันกางเกงแล้ว” ไม่พูดเปล่า ท็อปเอื้อมมือไปจับเบา ๆ ที่กลางหว่างขาของนัน “เอาออกมาเถอะนะ” ท็อปสบตากับนัน แล้วดึงเอากางเกงขาสั้นของนันออกจากตัว ก่อนจะรูดมันออกไปที่ปลายเท้า นันหลบสายตาของท็อป ชั้นในเก่าคร่ำ ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสีขาวสะอาดตา ปรากฏอยู่ต่อหน้าของท็อป

“ถอดออกเลยนัน ท็อปอยากเห็นของนัน” ท็อปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย นันลังเลในทีแรก แต่ด้วยที่ว่าท็อปนั้น ส่งเสียงหายใจหนักหน่วง ฟังกระเส่าอยู่ที่ข้างหูของนัน มันช่วยกระตุ้นอารมณ์ของเด็กหนุ่มให้พลุ่งพล่านมากยิ่งขึ้น เมื่อตอนนี้ ทั้งสองคน ท็อปและนัน นอนร่างเปลือยเปล่าอยู่ข้าง ๆ กัน สายตาของทั้งสองคนนั้น ต่างฝ่ายต่างผลัดกันสำรวจและแทะโลมกันและกัน

ท็อปและนันนอนมองสบตาของกัน มือของทั้งสองขยับขึ้นลง เพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกดี หลายครั้งที่ทั้งคู่ต้องผ่อนแรงลง เพื่อยืดระยะเวลาความสุขสมนี้ให้ยาวนานออกไปก่อน ไม่อยากที่จะให้ถึงฝั่งฝันจนเร็วเกินไปนัก แต่สุดท้าย วัยคึกคะนองอย่างที่ทั้งคู่เป็นอยู่ ทุกอย่างก็เนืองนองออกมาใส่กันและกัน

“ดีกว่าทำเองเยอะเลย” ท็อปพูดพลางหัวเราะ ในขณะที่นันกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก เช็ดคราบเหนียวข้นออกจากมือและหน้าท้องของตัวเอง “ท็อปคงทำบ่อย” นันพูด สบตากับอีกฝ่าย “ก็บ่อยนะ” ท็อปบอก ทำท่าเขิน ก่อนจะหัวเราะออกมากลบเกลื่อน “ของนันสวยดีนะ” ท็อปที่เช็ดคราบข้นเหนียวที่กระเซ็นมาจนถึงหน้าอก มองไปที่แก่นกายของอีกฝ่ายอย่างชื่นชอบ

“ไม่รู้ว่า อีกด้านจะสวยแบบนี้หรือเปล่า” นันได้ยินแบบนั้น ถึงกับต้องหลบตาจากท็อป แล้วทำท่าเขินอายออกมาให้เห็น “พูดอะไรน่ะท็อป” ถามออกไปแบบนั้น แต่ก็พอจะเดาได้ ว่าท็อปนั้นกำลังจูงบทสนทนานี้ไปทางไหน “ก็ท็อปอยากรู้ ว่าตรงเนี้ยของนัน จะทำให้ท็อปรู้สึกดีกว่ามือของนันหรือเปล่าน่ะสิ” ท็อปขยับตัวเข้าหานัน ก่อนจะประกบปากลงจูบนันอย่างดูดดื่ม

“ลองทำกันดูมั้ย” ท็อปชวน ในขณะที่ใช้มือไล้ลงไปจากหลังของนัน จนไปหยุดอยู่ที่หนั่นเนื้อกลมกลึงด้านหลัง “ท็อปเคยทำหรือ” นันถามเสียงเบาหวิว ท็อปส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่ท็อปอยากลอง ได้มั้ย” ท็อปไล้นิ้วไปตามเนินเนื้อที่เต็มไม้เต็มมือนั้นของนัน “ท็อปมีถุงยางมั้ย” นันถามขึ้น “ไม่มี มันเป็นครั้งแรกของเราสองคน ไม่มีอะไรต้องกลัว นะ” ท็อปพยักหน้าช้า ๆ เหมือนเพิ่มความมั่นใจให้กับนันเช่นกัน

“เคยเห็นแต่ในหนังสือ” ท็อปพูดขึ้น ก่อนจะหยัดตัวขึ้น แล้วเดินโทง ๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนอน ก่อนจะขยับดึงเอาชั้นวางหนังสือที่อยู่ติดกับหน้าต่างออกมา ด้วยอาการที่พยายามทำให้เกิดเสียงดังเมื่อลากของหนัก ๆ บนพื้นให้น้อยที่สุด ก่อนที่นันจะเห็นท็อปชะโงกเข้าไปที่ด้านหลังตู้นั้น แล้วหยิบเอาแมกาซีนสองสามเล่มติดมือออกมาด้วย

หน้าปกของนิตยสารเหล่านั้น เป็นรูปของนายแบบหุ่นดี อยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำ ที่แสดงถึงความอวบอูมแห่งสรีระความเป็นชายอย่างจงใจ ท็อปขยับดันนิตยสารเข้าไปตรงหน้าของนัน ก่อนจะบอกให้นันเปิดดู ท็อปยิ้มแบบเขิน ๆ เมื่อในตอนนี้เขาได้เปิดเผยตัวตนกับนัน อย่างหมดเปลือกขนาดนี้

“เปิดดูสินัน” คนถูกคะยั้นคะยอพลิกกระดาษปกออก มันเป็นรูปของนายแบบในชุดว่ายน้ำ โพสต์ท่าทางต่าง ๆ ก่อนจะเหลือเพียงร่างกายที่เปลือยเปล่า กับท่อนอันแข็งแกร่งยามที่บุรุษเพศถูกกระตุ้นกำหนัด เมื่อเปิดอีกเล่มขึ้นดู ภายในเล่มนี้ มีชายหนุ่มสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ด้วยว่าทั้งสองคนนั้นเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน จากสายยางที่ต่างฝ่ายต่างฉีดใส่กันจนร่างกายเปียกชุ่ม

“ชอบมั้ยนัน” ท็อปถามขึ้น เมื่อนันเปิดถึงหน้าที่ชายคนตัวเล็กกว่า จับเอาท่อนเอ็นอุ่นลำเขื่องของชายหนุ่มคนที่ร่างกายสูงและกำยำกว่า เข้าปากไปจนเกือบหมดความยาว นันเงยหน้าขึ้นสบตากับท็อป ก่อนจะก้มลงไปมองที่หน้าตักของท็อปที่ทรุดตัวลงมานั่งที่ข้าง ๆ เขาอีกครั้ง “ทำแบบนี้ให้ท็อปหน่อยได้มั้ยนัน” ท็อปพูดขึ้น ก่อนจะหอมแก้มของนันเบา ๆ

“แล้วแบบนี้ล่ะ” มือของนันเปิดหนังสือจนมาหยุดอยู่ที่หน้ากลางของเล่ม มันคือภาพที่ตอนนี้ ท่อนเขื่องลำนั้น ชำแรกหายเข้าไปในร่างกายทางบั้นท้ายของอีกฝ่ายเกินกว่าครึ่ง “ท็อปเคยอ่านในเล่ม เขาบอกว่า ใช้โลชั่นทาเยอะ ๆ นันจะไม่รู้สึกเจ็บ” ท็อปบอกกับนัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วดันเอวของตัวเองให้ส่วนหน้าเข้าหานัน จนปลายความแข็งขืนของตัวเองนั้น ไปแตะอยู่บนริมฝีปากของนันพอดี

หลังเลิกเรียนวันนี้ นันกลับบ้านไปแล้ว โดยให้เหตุผลกับท็อปว่า ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ทำให้ท็อปนั้นต้องนั่นแกร่วอยู่ที่ใต้ตึกเรียน เพราะทีแรกเขาตั้งใจจะชวนนันไปเดินเล่นดูนั่นดูนี่ที่ห้างสรรพสินค้า เด็กหนุ่มเลยบอกกับคนรถว่า ไม่ต้องมารับ เพราะจะไปกับเพื่อน แต่แผนที่จะใช้เวลาอยู่กับนันในช่วงเย็นก็ต้องมาพังลง

ท็อปเดินไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนอีกสองสามคน นั่งคุยเฮฮากันไปสักพัก เพื่อนกลุ่มนี้ก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน ท็อปจึงเดินออกไปที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนด้วย เขารู้สึกเซ็ง ๆ ไม่น้อย และยังไม่อยากจะกลับบ้านในทันที ท็อปมองเห็นรถเมล์สายที่เคยขึ้นผิดครั้งหนึ่ง จำได้ว่า รถเมล์สายนี้มันไปสุดสายอยู่ที่ตลาดชานเมือง ที่ไม่ไกลเท่าไหร่หากว่าเขาจะนั่งย้อนกลับมา เพื่อมาขึ้นรถเมล์สายที่กลับบ้านได้

ไวเท่าความคิด ท็อปรีบขึ้นรถเมล์สายนี้ทันที จ่ายเงินกับกระเป๋ารถ ก่อนจะคิดในใจว่า นั่งรถเมล์เล่นก็แล้วกัน เผื่อเจออะไรอร่อย ๆ ที่ตลาด ไว้ค่อยซื้อติดมือกลับไปกินด้วย นี่รถเข็นขายขนมโตเกียวเจ้าอร่อย ที่เคยมาขายอยู่หน้าโรงเรียน ก็ไม่เห็นมาหลายวันแล้ว เมื่อเย็นอยากจะกินเกี๊ยวทอดราดน้ำจิ้มฉ่ำ ๆ ก็มีเด็กนักเรียนรุมซื้อกันจนเยอะเกิน

รถเมล์วิ่งไปตามเส้นทาง แดดเวลาห้าโมงเย็นเริ่มอ่อนแสงลง เย็นย่ำในฤดูหนาวแบบนี้นั้น ทำให้มืดเร็วเสียด้วย รถแล่นผ่านสถานที่ต่าง ๆ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้าของท็อป มันก็ทำให้รู้สึกสดชื่นไปอีกแบบ บนรถสลับแน่นไปด้วยผู้โดยสารบ้าง พร่องจำนวนลงไปบ้างตลอดทางที่ขับไป

ใช้เวลาไม่นาน รถเมล์ก็แล่นมาจนเกือบสุดทาง กระเป๋ารถเมล์ประกาศให้ผู้โดยสารรับทราบว่า ป้ายหน้าจะสุดสายของเส้นทางแล้ว ผู้โดยสารที่เหลือเตรียมตัวลง ท็อปก็เช่นกัน เมื่อรถเมล์เข้าจอดที่ป้าย เด็กหนุ่มเดินลงจากรถมา มองซ้ายมองขวาเหมือนจะดึงเอาความจำจากเมื่อครั้งที่ขึ้นรถผิดนั้นมาใช้

“ทางนี้แหละ” ท็อปพูดกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปทางซ้ายมือ ด้วยจำได้ว่าเป็นตลาดเย็นที่ตั้งแผงเป็นแนวยาว ขายอาหารนานาชนิดในช่วงเย็น แต่ตอนนั้น ด้วยความไม่คุ้นที่ กลัวว่าจะกลับบ้านช้าเกินไป ท็อปเลยเดินผ่าน ๆ ไม่ทันได้สำรวจอะไรมากมาย มาวันนี้เมื่อดูเวลาแล้ว เดินเล่นดูนั่นดูนี่สักหน่อย ยังพอมีเวลา

ท็อปเดินมาทางที่ตัวเองจำได้ แต่เย็นนี้ แผงอาหารที่มาตั้งขาย ดูบางตาจากเมื่อครั้งนั้นมาก ท็อปเดินไล่ดูว่า แต่ละร้านขายอะไรบ้าง แต่ยังไม่มีร้านไหนเตะตา ทำให้เขาอยากเข้าไปอุดหนุน ท็อปเดินดูไล่ยาวมาจนเกือบถึงด้านท้าย ที่เลยไปก็จะเป็นตัวตลาดสด ที่เปิดขายในช่วงเช้า ท็อปมองไปด้านหน้า เห็นทางเล็ก ๆ เลี้ยวเข้าไปก่อนจะถึงทางเข้าตลาด

ท็อปเดินลงไปทางนั้น ก่อนจะเห็นทางเดินที่เลาะเข้าไป ก็เจอเข้ากับแผงหนังสือ ท็อปสะดุดตากับหนังสือผู้ใหญ่ ที่วางขายตั้งอยู่บนแผงคู่กับหนังสือธรรมดาอื่น ๆ อย่างเปิดเผย มันเป็นหนังสือที่สื่ออย่างชัดเจนว่า เนื้อหาด้านในนั้นเป็นไปในแนวไหน หญิงสาวที่เป็นแบบบนหน้าปก กับชุดที่เกินคำว่าวับ ๆ แวม ๆ นั้นบ่งบอกว่าเมื่อเปิดดูด้านใน ก็จะร้อนแรงอล่างฉ่างมากขึ้นทวีคูณ

“ดูได้เลยน้อง อยากได้เล่มไหนบอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดการให้ แจ่มทุกเล่ม” เสียงเจ้าของแผงหนังสือเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท็อปเดินมาหยุดด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่หน้าร้าน แต่ดูลังเลยังไม่กล้าเดินเข้ามาด้านใน “สนใจแบบไหน ถามพี่ได้ รับรองจัดให้ตามความต้องการ” เจ้าของร้านอวดอ้างโฆษณาสรรพคุณเสร็จสรรพ ท็อปยิ้มแบบกลบเกลื่อนความตื่นเต้นของตัวเอง

“ปกติปกแข็งนี่พี่ขายเล่มละร้อย แต่สำหรับน้องพี่ลดให้ เหลือเล่มละเก้าสิบ ปกอ่อนนั่นพี่ให้แปดสิบไปเลย” ท็อปนั้นหูก็ฟังไป ส่วนตาก็ละไล่ดูปกหนังสือเย้ายวนอารมณ์ที่วางขายอย่างละลานตา ท็อปเดินจากด้านที่คนขายนั่งอยู่ ลึกเข้าไปด้านใน หนังสือทางด้านในนี้ ทำให้ท็อปถึงกับต้องใจเต้นเร็วและรัว เพราะเขาไม่คิดว่า จะมีนิตยสารแบบนี้ทำออกมาขายด้วย

ท็อปมองหน้าปกที่มีรูปของนายแบบที่กล้านุ่งน้อยชิ้น และเน้นให้ความเป็นชายนั้น ชัดเจน ยั่วยวน และชวนจ่ายเงินซื้อ แม้ว่าจะยังคงมีอาภรณ์บาง ๆ ชิ้นสุดท้ายนั้นห่อหุ้มอยู่ก็ตาม ทีแรกท็อปก็แค่มองภาพหน้าปกเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น แต่ที่มันทำให้ท็อปถึงกับต้องเอากระเป๋านักเรียนมาบังด้านหน้ากางเกงของเขาเอาไว้ ก็คือหนังสือเล่มหนึ่ง ที่วางซุกอยู่ด้านในสุดของแผง

ที่หน้าปกนั้นเป็นผู้ชายสองคน ที่เผยอปากเหมือนกับว่า ทั้งสองเพิ่งแยกออกหลังจากจูบกันอย่างดื่มด่ำ ท็อปนึกสงสัยว่าด้านในของหนังสือมันจะเป็นเช่นไร แต่ก็ไม่กล้าถามกับคนขาย ท็อปหยิบหนังสือเล่มอื่นมาสองเล่ม พร้อมกับเอาเล่มที่เขาหมายตานี้ มาสอดเข้าไว้ข้างใต้สองเล่มนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนขาย

คนขายรับหนังสือทั้งสามเล่มไปจากท็อป ก่อนจะมองหน้าท็อป เมื่อเห็นว่าเล่มที่อยู่ใต้สุด เป็นหนังสือแบบไหน ท็อปนั้นใจเต้นระรัวด้วยกลัวว่า คนขายจะทักเรื่องหนังสือเล่มนั้นที่เขาหยิบติดมาด้วย แต่คนขายก็หยิบเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลไม่มีลวดลายอะไรด้านหน้า เอามาเปิดขึ้น แล้วสอดหนังสือหน้าปกชายสองคนนั้นใส่ลงไป

ท็อปยื่นเงินค่าหนังสือให้กับคนขาย ก่อนจะรับหนังสือทั้งหมดมาด้วยมือที่ดูสั่น ๆ ท็อปไม่กล้ามองหน้าคนขาย ก่อนจะเดินไปไกลจากร้าน ท็อปเอาหนังสือทั้งหมดรีบใส่ในกระเป๋านักเรียน แล้วเดินก้มหน้างุด ๆ รีบออกไปจากตรงนั้น ในใจเต้นไม่เป็นส่ำ อยากจะนั่งรถเมล์กลับให้ถึงบ้านเร็ว ๆ เพื่อเปิดดูว่า ด้านในหนังสือเล่มนั้นเป็นอย่างไร

ท็อปตัวสั่นเทิ้มไปหมด เมื่อเขากดร่างกายเข้าหานัน จนสุดแรง ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียง โดยไม่สนว่าของเหลวที่ได้ปลดปล่อยออกไปจากร่างกาย จะหยดลงเปื้อนไปที่ตรงไหนบ้าง ท็อปกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงไป รู้สึกคอแห้งกระหายน้ำไม่น้อย หลังจากที่ใช้พลังไปค่อนข้างมาก

“สุดยอดเลย” ท็อปพูดขึ้น ก่อนดึงตัวนันเอามากอด “นันชอบมั้ย” นันที่ไม่ได้ตอบท็อป แต่เลือกที่จะซุกตัวเข้าหาแผงอกของท็อปแทน “เจ็บหรือเปล่า” แทนคำตอบ นันส่ายหน้าเข้ากับไหล่กว้างของท็อปแทน “เดี๋ยวเริ่มใหม่นะ ขอท็อปอีกรอบ” ท็อปพูดยิ้มกรุ้มกริ่ม นันที่หน้าขึ้นมาเห็นท็อปยิ้มแบบนั้น ก็ใช้มือตีแขนอีกฝ่ายเข้าให้ ท็อปกอดนันเอาไว้จนแน่น แล้วหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ

********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=5puJ1EK6oFk


หากฉันเก็บเวลาในขวดแก้ว

If I ever stored time in a glass bottle,

สิ่งที่ฉันจะทำคือสะสมคืนและวัน

I would collect those days and nights

ที่ล่วงเลยมานิรันดร์

That seemed to have been an eternity

เพียงรอวันจะมอบมันแก่เธอ

To give all of them to you


หากฉันทำให้คืนวันเป็นนิรันดร์

If I ever turned days and nights to be forever,

ที่จะทำให้ความหวังกลับเป็นจริงขึ้นมา

That could bring back hopes as reality

ฉันจะเก็บทุกโมงยามราวสมบัติอันล้ำค่า

Every single hour I deemed it priceless

จะนำมาให้แก่เธอ

To be given you for


หากฉันมีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง

I’d use a box to place in hopes

หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน

In another box, I’d put only dreams

ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า

Those were never real, boxes are still empty

หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ ที่วันนั้นมีเธออยู่

Yet it is filled with good memories that I had you then


หากฉันมีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง

I’d use a box to place in hopes

หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน

In another box, I’d put only dreams

ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า

Those were never real, boxes are still empty

หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ ที่วันนั้นมีเธออยู่

Yet it is filled with good memories that I had you then


ถ้าวันนี้เพียงแค่ฉัน

If today I’ve only got

มีกล่องสักใบ ฉันจะใส่แต่ความหวัง

A box to put all my hopes

หากฉันมีกล่องอีกใบ ฉันจะใส่แต่ความฝัน

Another box to put all my dreams

ที่ไม่เคยเป็นจริง กล่องนั้นคงว่างเปล่า

That they haven’t become real, boxes are still unoccupied

หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ ที่วันนั้นมีเธออยู่

Yet it is full of memories that I had you back then
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๕. ให้คิดถึงสัญญา ๔/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-12-2022 21:07:13
บทที่ ๑๕. ให้คิดถึงสัญญา



2537

1994



“ทำไมเดินช้าจัง” ทิวที่เดินล้ำหน้าอีกคนไปอยู่หลายก้าว หันมามองแล้วเอ่ยถามขึ้น กั้งที่ชะลอเท้าลงจนหยุดเดิน สายตามองเลยไปข้างหน้า ทิวมองตามสายตาของกั้งไป ทั้งสองหยุดอยู่ไม่ไกลจากบ้านของกั้งเท่าไรนัก “ยังไม่อยากเข้าบ้าน” กั้งพูดไปตามความจริง จากความรู้สึกที่ตนมี

“เป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้ทิวฟังได้นะ” ทิวที่พอจะรู้มาบ้าง ว่ากั้งนั้นไม่ค่อยลงรอยกับพี่สาว เดินเข้ามาหา หยุดยืนตรงหน้า ก่อนจะใช้มือขยี้หัวเกรียน ๆ ที่กั้งเพิ่งประชดโกนหัวจนเลี่ยนเตียนโล่งแบบนี้ “มันก็เรื่องเดิม ๆ นั่นแหละ” กั้งตอบก่อนจะชักสีหน้าให้เห็น ทิวหัวเราะเบา ๆ เพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดี

“ทนอีกหน่อยนะ” ทิวพูดเสียงอ้อนอยู่ในที กั้งทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ว่าตัวเองต้องอึดอัดอดกลั้นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ และมันชัดเจนว่า ทั้งสองคนเคยได้พูดปรึกษากันถึงสถานการณ์นี้มาก่อนหน้าแล้ว “เดี๋ยวพอเราได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน อะไร ๆ มันก็จะดีขึ้นกว่านี้” กั้งสบตากับทิว ที่ทิวนั้นไม่ใช่เพียงแค่พูดปลอบใจกั้ง

“แน่นะ ไม่ได้พูดให้ฝันเก้อฝันค้าง แบบเคาะกะลาให้หมาดีใจนะ” กั้งถามออกไป มันฟังดูติดตลก แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวอยากได้คำยืนยันที่หนักแน่นจากอีกฝ่าย “น้อยใจอะไรเนี่ย” ทิวที่เห็นสีหน้าของกั้งที่ทำตุปัดตุป่อง ก็พลอยนึกขำ “ทิวทำอะไรให้กั้งไม่พอใจหรือเปล่า” ทิวแกล้งทำหน้าเศร้าให้กั้งเห็น

“เปล่า” กั้งพูดเสียงอ่อน ตั้งแต่ได้ใกล้ชิดสนิทกับทิว ก็มีแต่ทิวต่างหากที่คอยทำทุกอย่างตามใจกั้ง แม้แต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง กินนั่นกินนี่ อะไรต่าง ๆ ที่ฟุ่มเฟือย ทิวเป็นคนรับผิดชอบจัดการให้ทั้งหมด “แต่ทิวสัญญาเอาไว้แล้ว จำได้มั้ย” กั้งทวนความทรงจำให้กับอีกฝ่าย กับสิ่งที่ทั้งสองได้พูดจาและทำข้อตกลงกันไว้แล้ว

“ทิวก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจนี่นา” ทิวตอบให้อีกฝ่ายคลายกังวล “รอให้เราได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันแค่นั้น” ทิวพูดสบตากับกั้ง “ยังไง ทิวก็ต้องออกไปอยู่หอข้างนอก ที่บ้านทิวก็เห็นด้วยและก็ตกลงแล้ว นี่พ่อกับแม่ก็หาหอพักให้อยู่ เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาแน่นอน” ทิวพูดปลอบกั้งด้วยเสียงอ่อนโยน เขาอยากให้กั้งสบายใจขึ้น

“ถึงตอนนั้น กั้งก็ย้ายไปอยู่ที่หอทิว เราก็จะได้ไปเรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน” ทิวเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน ไม่ต่างจากกั้งกับเรื่องที่คิดเอาไว้ในอนาคตอันใกล้นี้ “ได้นอนด้วยกัน” กั้งพูดปิดท้ายประโยคให้ ทิวทำตาโต หันมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินเข้า

“ไม่ปล่อยให้รอดตั้งแต่คืนแรกหรอก” ทิวยื่นตัว ชะโงกหน้ามากระซิบที่ข้างหูของกั้ง “ทำเป็นหรือไง” กั้งเย้าทิวออกไป ทิวตอนนี้หน้าหูแดงไปหมด ไม่ตอบแต่ก็มองกั้งไม่วางตา “ถ้าทำแค่อย่างตอนไปค่าย แบบเด็ก ๆ ทำกัน แบบนั้นไม่เอาแล้วนะ” กั้งพูดบอกกับทิว ก่อนจะนึกเขินเองเหมือนกัน ทิวนั้นส่ายหน้าให้กับการพูดแบบไม่กลัวอายของกั้ง

“เดี๋ยวขอเวลาทิวศึกษาก่อน เรื่องนั้นน่ะ” ทิวพูดเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะใช้กระเป๋านักเรียนมาบังเป้ากางเกงของตัวเอง ที่อยู่ ๆ มันก็เกิดอาการพองตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน กั้งมองเห็นแบบนั้น ก็ทำยิ้ม ๆ นึกถึงคืนวันนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาใจสั่นเช่นกัน ทิวนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่กั้งยอมใกล้ชิดด้วยในแบบนั้น คนแรกและเพียงคนเดียว

“ไม่ต้องคิดมาก” ทิวพูดขึ้น “เข้าบ้านได้แล้ว มืดแล้ว” ทิวยื่นกระเป๋านักเรียนของทิว ที่เขาเอาไปถือให้ ส่งคืนให้กับกั้ง “พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน” กั้งพูดหลังจากรับกระเป๋านักเรียนของตัวเองกลับคืนมา ทิวพยักหน้ารับคำ “ไปนะ” กั้งบอกกับอีกฝ่าย ท่าทางชัดเจนว่ายังไม่อยากจะเข้าบ้าน

“พรุ่งนี้ก็เจอกัน ทิวยังไม่รีบตายสักหน่อย” ทิวพูดพลางหัวเราะขบขัน เมื่อเห็นกั้งทำยืดยาดอ้อยอิ่ง ไม่ยอมเดินเข้าบ้าน “อย่าพูดแบบนั้นสิ” กั้งที่ใจหาย ใจของเขาหล่นวูบลงไปในทันที รีบเดินเข้าไปหาทิวแล้วเอาปลายนิ้วมือแตะลงไปที่ริมฝีปากของทิว เป็นเชิงห้ามไม่ให้เขาพูดจาอะไรแบบนี้ ทิวก้มลงมองที่มือของกั้ง เข้าใจว่ากั้งหมายความว่าอย่างไร ทิวหลับตาลง กั้งมองเห็นอีกฝ่ายปิดเปลือกตา ก่อนจะเห็นทิวยื่นริมฝีปากจุมพิตไปเบา ๆ ที่ปลายนิ้วของกั้ง

“โอ๊ย อะไรมันจะสวีทกันขนาดนั้น” ทันทีที่กั้งเดินเข้าบ้านมา ก็ได้ยินเสียงกั้ง ผู้เป็นพี่สาว ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ราวกับว่าได้นั่งรออยู่นานแล้ว ที่จะพูดประโยคนี้กับน้องชายของตน กั้งมองไปตามต้นเสียงนั้น ใบหน้าของกั้งที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ แต่มันไม่ใช่ยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมใด ๆ แต่มันดูออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยว่า นี่คือการยิ้มเยาะ

“หวานแหววแต๋วจ๋าเสียจริง ๆ ให้ตายเถอะ” กั้งมองดูกุ้งเดินเข้ามาหา เสียงพูดของกุ้งนั้นจงใจที่จะจี้ใจดำอีกฝ่ายมากกว่า “ต้องการอะไร” กั้งโพล่งถามออกไป น้ำเสียงนั้นฟังดูสั่น ๆ “ก็เปล่านี่ ฉันก็พูดอะไรของฉันไปเรื่อย” กุ้งทำพูดปฏิเสธ “ก็พูดไปตามที่ตามันเห็น” อาการทำตามองขึ้นมองลงของกุ้ง มันยียวนชวนโมโหอยู่ไม่น้อย

“เดี๋ยวนี้มีแฟนมาส่งถึงบ้านเลยนะ” กุ้งไม่ออมปากออมคำ พูดใส่กั้งออกไปตรง ๆ “เพื่อนกัน” กั้งแก้ไขคำพูดของพี่สาว “เพื่อนกันต้องเดินกะหนุงกะหนิงมาส่งกันถึงหน้าบ้านด้วย” พูดเปล่า กุ้งทำหน้าไม่เชื่อในคำแก้ต่างของน้องชาย “ถือกระเป๋านักเรียนให้กัน แกนี่นะ กั้ง ช่างโชคดีเป็นบ้าเลย ฉันที่เป็นผู้หญิงแท้ ๆ” กุ้งพูดเน้นกระแทกเสียงลงไปที่คำว่า 'แท้ ๆ '

“ยังไม่มีผู้ชายเดินตามต้อย ๆ ทำให้ขนาดนี้เลย” กุ้งพูดพลางทำมือปิดปาก ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ประหนึ่งว่าที่เธอได้ยินตัวเองพูด มันเป็นเรื่องช่างน่าขบขันเสียเต็มประดา “ที่ไม่มีผู้ชายคนไหนเดินตาม คงไม่ใช่เรื่องที่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรอก พี่กุ้ง” กั้งสบตาพี่สาวของตัวเองตรง ๆ พูดออกไปด้วยความพยายามให้ทั้งน้ำเสียงและท่าทางเรียบนิ่งที่สุด

“แต่น่าจะเป็นเพราะสันดานมากกว่า ที่ทำให้ผู้ชายเขาขยาด” กั้งถึงกับรู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องที่เขาพูดจาแรง ๆ กับพี่ของตัวเองหรอก แต่มันเป็นเพราะว่า กั้งไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่ง และวันนั้นมันก็ได้มาถึง วันที่เขากล้าพูดประโยคแบบนี้ออกไปตรง ๆ พูดกับคนที่เป็นพี่สาวของตัวเอง

“อีกั้ง นี่ปากหรือกระโถน อีตุ๊ดนี่ มึงจบเห่แน่ ถ้ากูเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง” กุ้งอารมณ์พุ่งปรี๊ด เพราะเธอเองก็ไม่เคยเห็นท่าทีตอบโต้แบบนี้จากกั้งเช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่เป็นพี่น้องกันมา ตั้งแต่เกิด กั้งมีแต่เงียบเสียงเมื่อมีอะไรมากระทบความรู้สึก มีคำพูดมาสะกิดใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ฉวัดเฉวียนเฉียดเข้าหาเรื่องเพศแบบนี้

“กั้งถามจริง ๆ เถอะ” กั้งพูดต่อ นึกเสียใจไม่ใช่น้อยกับคำบริภาษที่ได้ยินจากปากของพี่สาว คนที่ถือได้ว่า กำเนิดเกิดคลานตามกันมา “เคยรักกันบ้างมั้ย” กุ้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามจากปากของกั้ง “คือถ้ากั้งรู้ ว่าพี่กุ้งไม่ได้รักกั้ง แม้ว่าเราจะเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน กั้งจะได้เข้าใจ ว่าอย่าได้หวังอะไรที่มันดีงามจากคนที่เป็นพี่” กั้งเองก็ไม่อยากจะเก็บเอาเรื่องนี้มานั่งเสียใจ เหมือนกับที่เขารู้สึกทรมานกับมันมาตลอด อีกต่อไป

“อะไรกันอีกสองคนนี้” แม่เปิดประตูบ้านเข้ามา กั้งรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไล่รอยชื้นที่รื้นอยู่ที่ขอบตาให้หายไป “ไม่มีอะไรหรอกแม่ กุ้งก็แค่ถามไถ่กั้ง น้องชายสุดที่รักไปตามประสา” กุ้งรีบพูดออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยถือถุงพลาสติกหลายต่อหลายถุงในมือแม่ เอาไปวางไว้บนโต๊ะกลมทานข้าว “แล้วนี่ทำไมเพิ่งถึงบ้าน” แม่ถามกั้งที่ยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบและในมือยังคงถือกระเป๋านักเรียนอยู่

“กั้งไม่กินข้าวนะ กินมาแล้ว เพื่อนเลี้ยง” กั้งพูดจบ ก็ทำท่าจะเดินไป “เออดีนี่ ฉันทานงก ๆ แทบตาย แทนที่จะช่วยกันประหยัด กลับทำตัวเป็นผู้ดี กินข้าวนอกบ้าน แหม จริง ๆ เลยนะไอ้กั้ง” ผู้เป็นแม่พูดด้วยอาการหัวเสีย เมื่อได้ยินลูกชายเสียเงินเสียทอง กินข้าวมาจากนอกบ้าน “กั้งไม่ได้จ่ายเอง เพื่อนมันเลี้ยง” กั้งหันมาแก้ตัว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย แม่เอ่ยปากไล่กั้งไปให้พ้นหน้า กั้งหันหลังเดินไป ได้ยินเสียงพูดฉอเลาะ คำออเซาะแม่จากกุ้งดังอยู่เบื้องหลัง

“กลับเสียเย็นเลยลูก พ่อกับแม่รอไม่ไหว กินข้าวเย็นกันไปแล้ว” ทิวที่กลับถึงบ้าน เห็นแม่ของเขารออยู่ที่หน้าบ้าน “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับคุณแม่ แต่ทิวกินมาจากข้างนอกแล้ว อิ่มมากเลย” ทิวหอมแก้มแม่ของเขาฟอดใหญ่ ก่อนจะใช้มือตีเข้าที่ท้องเพื่อแสดงว่า เขาอิ่มมากจริง ๆ

“คุณอาผู้ว่ามาเยี่ยมคุณพ่อแน่ะลูก ทิว ลูกเข้าไปกราบสวัสดีคุณอาเขาเสียหน่อย” แม่พูดพลางใช้มือดุนหลังลูกชายให้เดินไปที่ห้องรับแขก โดยที่ทิวไม่ทันจะได้เอ่ยปากปฏิเสธแต่อย่างใด “มาแล้วสินะเจ้าตัวดี ไปเถลไถลโอ้เอ้ถึงไหนมา กว่าจะกลับถึงบ้านได้” พ่อของทิวส่งเสียงดุลูกชาย เมื่อเห็นทิวเยี่ยมหน้าเข้าไปที่ห้องรับแขก

“สวัสดีครับคุณอา” ทิวยกมือไหว้ท่านผู้ว่า ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวแพงที่สั่งมาจากเมืองนอก “โอ้โฮ ไม่ได้เจอกันไม่เท่าไหร่ ดูเข้าเถอะ เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มหล่อ สูงยาวเข่าดี เอ๊ะ ว่าแต่ จะไข่ดีด้วยหรือเปล่าวะ” ทิวยิ้มแห้ง ๆ ให้กับการทักทายของคุณฯอาผู้ว่า เพื่อสนิทของคุณพ่อของเขา และยิ่งได้เห็นว่า ยังมีอีกคนหนึ่งนั่งรวมอยู่ในวงสนทนาด้วย

“น้องจุ๋มไง ลูกสาวอาเอง จำได้มั้ยล่ะ ที่เคยมาวิ่งเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ ไงล่ะ ตอนนั้นนะ โอย เจ้าทิวนี่ร้องไห้ใหญ่เลย ตอนจุ๋มต้องกลับบ้านเพราะเปิดเทอม ติดสาวตั้งแต่เด็กแต่เล็ก” เสียงของคุณอาผู้ว่าคุยดังโขมงโฉงเฉงไปหมด ทิวพยักหน้าให้กับจุ๋มที่นั่งอยู่ข้างกับพ่อของเธอ จุ๋มยิ้มตอบ ก่อนจะเอียงหน้าหลบไปแอบยิ้ม เมื่อได้กลับมาเจอทิวอีกครั้ง

“ไม่ใช่ว่าตอนนี้ ก็ติดหญิงอยู่เหมือนกันล่ะ” คุณอาผู้ว่ายังไม่วายพูดแซวทิวต่ออีก คำพูดของคุณอาผู้ว่า ทำให้พ่อของทิวมองหน้าเขาด้วยสายตาและท่าทีที่ดูเคร่งขรึม “มานั่งนี่ก่อนทิว” พ่อของทิวเรียกลูกชาย ให้มานั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ที่อยู่ตรงข้ามกับจุ๋ม ที่ตอนนี้เธอมองเขาด้วยท่าที เหมือนจะงอนอยู่เล็ก ๆ หากว่าทิวจะไปติดสาวที่ไหนจริง ตามคำที่พ่อของเธอว่า

“ทิวสบายดีนะคะ” จุ๋มเอ่ยทัก ยิ้มหวานให้กับเขา “สบายดีครับ จุ๋มสบายดีนะ” ทิวตอบกลับตามมารยาท “ลูกทิวไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ที่ไหนหรอกค่ะ ท่านผู้ว่า ช่วงนี้ติวหนังสือหนัก สถาบันกวดวิชานั้นวิชานี้ ทิวเป็นเด็กรักเรียนมากค่ะ” ทิวมองแม่ของเขา ที่ยกถาดผลไม้เข้ามาวางที่โต๊ะ “ทานผลไม้กันค่ะ” ก่อนจะเชิญชวนทุกคนให้ลิ้มรสผลไม้ส่งตรงมาจากเมืองนอก

“พูดถึงเรื่องเรียนขึ้นมาก็ดีแล้ว จบม.ปลายแล้ว ผมจะส่งลูกสาวให้ไปเรียนเมืองนอกเลย อยากให้เขาได้ภาษาอังกฤษ จะให้ไปประเทศใกล้ ๆ ก็กลัวจะไม่แน่นปึ้กเหมือนไปประเทศเจ้าของภาษา ไหน ๆ ก็เรียนที่ไทยเก่งแล้ว” คุณอาผู้ว่าหันไปกล่าวชมจุ๋ม ที่ยิ้มรับคำพูดของพ่อตัวเอง พ่อของทิวกล่าวชมเด็กสาวด้วยอีกปาก

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอฝากลูกชายผมไปด้วยสักคน จะได้ไหมครับท่านผู้ว่า” แทบไม่เชื่อหู ทิวหันขวับไปมองพ่อของเขา และกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่แม่ของทิวจับลงที่บ่าของลูกชาย บีบเบา ๆ เป็นเชิงห้ามให้ทิวกลืนคำพูดอะไรก็แล้วแต่ที่เขามีลงไป และสายตาของพ่อที่มองมาที่ทิว ก็ไม่แตกต่างกัน

“โอ้ว งั้นก็ดีเลยสิครับ ลูกจุ๋มของผมจะได้มีเพื่อน ช่วยกันเรียนช่วยกันจบ ไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองจะได้ไม่เหงาด้วย ดีมั้ยทิว จุ๋มเอาพวกรายละเอียดมหาวิทยาลัยที่โน่นมาให้ทิวเขาเลือกดู” คุณอาผู้ว่าถามทิวแบบไม่ต้องการคำตอบ “จุ๋มลองอ่านหลาย ๆ ที่แล้ว มีแต่ที่ดัง ๆ ดี ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะทิว” เพราะหลังจากนั้น ทิวก็ได้แต่นั่งฟังผู้ใหญ่ตกลงกันเองเออเอง แต่ภายในหัวของเขา กลับมีแต่ภาพของกั้งฉายวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ส่วนในใจของทิว ก็กระวนกระวายถึงความรู้สึกของกั้ง คนที่เขาสัญญาอะไรต่ออะไรหลายอย่างเอาไว้มากมาย

********************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.sanook.com/music/song/5csZVqKdqtH06ktfdkx2rA==/


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’ve been lost trying to reach our destination


เวิ้งว้างสายตา ภายใต้ตะวันสีแดง

Deserted before you, under the red-hot sun

ทั้งร้อนทั้งแรงกับลมร้อนผ่าว

Scorching heat to burn down the wind

พบเห็นแต่ทราย ทอดยาวไปตามเส้นทาง

Dunes after dunes, just sands the whole place

ด้วยตาที่แสนเลือนลาง เห็นเงาบางอย่างไกลไกล

With blurry eyes, seeing something in the distance


เหมือนท้องทะเล ปรากฏอยู่เหนือพื้นทราย

As if the ocean appeared above the desert

เหมือนพื้นละลายด้วยไอร้อนแดด

As though the ground melting in a ray of sunlight

เห็นเห็นอยู่ไกล หัวใจมีแรงกลับคืน

Looking it out there, strength coming back to my heart

กัดฟันลุกขึ้นยืน ฝืนใจตะเกียกตะกาย

Bite the bullet to be struggling through


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’ve been lost trying to reach our destination


แต่มันเป็นสิ่งลวงตาเท่านั้น

It turned out to be all delusion

สิ่งปลอมปลอม สิ่งลวงลวงที่หลอนสายตา

Phony and fake you name it deceiving you

ไม่มีทาง ไม่มีวันไขว่คว้า

Not a chance, no way to grasp it

เมื่อมันเป็นเพียงภาพลวงตา

Since it is all illusion

ที่แท้ทุกอย่าง ก็เหลือเพียงแต่ผืนทราย

The truth reveals, sand is what was left


เวิ้งว้างหัวใจ ทนอยู่ภายในสังคม

Lost in your feelings, stuck in this society

ที่หลงชื่นชมกับความสวยงาม

That appreciates perfections

พบเห็นผู้คน ที่คอยดิ้นรนไขว่คว้า

People then are found, battling through expectations

ตกอยู่ในห้วงมายา ทะเลคอนกรีตในเมือง

Drowning under hallucinations of the sea in city of concrete


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’ve been lost trying to reach our destination


แต่มันเป็นสิ่งลวงตาเท่านั้น

It turned out to be all delusion

สิ่งปลอมปลอม สิ่งลวงลวงที่หลอนสายตา

Phony and fake you name it deceiving you

ไม่มีทาง ไม่มีวันไขว่คว้า

Not a chance, no way to grasp it

เมื่อมันเป็นเพียงภาพลวงตา

Since it is all illusion

ที่แท้ทุกอย่าง ไม่ใช่ความสุขแท้จริง

None of these is unable to give you blissfulness


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away out there

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’re still lost with no way out


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away out there

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’re still lost, how blind we are


ไกลโพ้น มันไกลเหลือเกิน

Away, so far away out there

เรายังหลงเดินไม่มีจุดหมาย

We’re kept from our journey’s destination
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๖. คิดถึงเมื่อกลับมา ๑๔/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 14-12-2022 18:32:39
บทที่ ๑๖. คิดถึงเมื่อกลับมา



2565

2022



“อ้าว ๆ ไอ้สองคนนั้น ท่องบทกันไปก่อน อย่าให้เห็นว่าอู้กันนะเว้ย” เสียงรุ่นพี่ปีสี่ ผู้กำกับการแสดงละครเวทีงานครบรอบของมหาวิทยาลัย ร้องตะโกนสั่งสองนักแสดงนำที่ยืนอยู่บนเวที “ส่วนพวกฉาก พวกกำกับศิลป์ พวกมึงตามกูมานี่เลย มาคุยกับกูหน่อยสิ ว่าทำไมงานของพวกมึงถึงไม่คืบหน้ากันเลย” รุ่นพี่ผู้กำกับบ่นเสียงดังอย่างหัวเสีย เมื่อฉากที่เขาต้องการยังออกมาไม่ได้ดั่งใจ

“ฉากนี้เราอยากให้ทั้งสองคน แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ” ผู้ช่วยผู้กำกับสาวลักษณะห้าวหาญทอมบอย แต่มีความละเมียดละไมอยู่ในที กำลังทำความเข้าใจกับฉากที่ดีนและเทปปันต้องเข้าบทส่งอารมณ์ให้กันและกัน “แต่ทีนี้ พอมันมาเป็นละครเวที มันก็ต้องเล่นให้ชัด ให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ไกลออกไป ได้รู้สึกได้มากเท่า ๆ กับคนดูที่นั่งอยู่ด้านหน้า” ดีนพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะหันไปมองหน้าของเทปปันที่มีความกังวลแสดงออกมา

“ปัน ถึงแม้ว่าแกจะเป็นนายเอก แต่ฉากนี้แกจะต้องเล่นด้วยความเข้มแข็ง” ผู้ช่วยผู้กำกับกำชับกับเทปปัน “แกต้องเข้มแข็งทางอารมณ์ แม้ว่าแกจะอยากได้ยินคำว่ารักจากพระเอกมากขนาดไหน แต่แกก็ต้องซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้จากท่าทาง” เทปปันฟังผู้ช่วยผู้กำกับ อธิบายความรู้สึกของตัวละครของเขาในเรื่อง

“แต่สายตาของแก กลับจะต้องบอกความจริงในใจของตัวละครออกมา” เทปปันได้ยินแบบนั้น แล้วก็ให้ต้องพะวงว่า เขาจะแสดงมันออกมาอย่างไรดี “แกเคยโดนจีบมั้ยปัน เคยมีใครบอกรักแกมั้ย” ผู้ช่วยผู้กำกับโพล่งถามเทปปันออกมา ทำเอาคนถูกถามถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไร โดยเฉพาะการมีดีนที่ยืนมองหน้า สังเกตอากัปกิริยาของกันอย่างซึ่ง ๆ หน้า

“แกน่ารักขนาดนี้ ไม่มีคนมาจีบได้ยังไงวะ งง” ไม่พูดเปล่า ผู้ช่วยผู้กำกับยังหันไปหัวเราะกับทีมงานที่เห็นพ้องด้วยคล้อยตามกัน อย่างเปิดเผยอีก เทปปันรู้ดีว่ากำลังโดนสายตาของดีนจับจ้องอยู่ จึงเลี่ยงไม่ยอมสบตากับอีกฝ่าย ส่วนดีนนั้น เขากำลังถามตัวเองว่า ไอ้ความรู้สึกที่วูบวาบอยู่ภายในใจนี้ ที่มันเกิดขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำถามนี้ของผู้ช่วยผู้กำกับ มันคืออะไรกัน

“ส่วนแก ดีน” ผู้ช่วยผู้กำกับหันมาพูดกับเขา “ตัวละครแกนั้น ใจอยากจะบอกความรู้สึกที่มีออกไป” ผู้ช่วยผู้กำกับหยุดนิดหนึ่ง เมื่อเห็นดีนมองเทปปันแบบไม่ละสายตา “เออ คงเอาไว้ คีพเอาไว้ เลี้ยงมันเอาไว้ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้แหละ สายตาอย่างนี้เลย” ผู้ช่วยผู้กำกับนั้นมองเห็นได้ ว่าดีนนั้นกำลังเก็ทฟีล

“อยากบอกให้เขารู้ใจจะขาด ว่าลึก ๆ แล้ว รู้สึกกับเขายังไง” เสียงของผู้ช่วยผู้กำกับผ่านเข้ามาให้ดีนได้ยินเป็นระลอก “แต่ในกลับไม่กล้า กลัวไปหมด กลัวความรู้สึกของตัวเอง” ดีนมองไปที่เทปปัน ที่กำลังจงใจเลี่ยง ไม่ยอมสบตากับเขา เทปปันนั้นกำลังรู้สึกพลุ่งพล่านอยู่ในใจอย่างประหลาด

“และที่กลัวที่สุด ก็คือ” เสียงของผู้ช่วยผู้กำกับกำลังสร้างอารมณ์และบรรยากาศให้กับสองนักแสดงนำของเรื่อง “ที่กลัวที่สุด นั่นก็คือ กลัวเขาไม่รับรัก” ที่มันแปลกสำหรับดีนก็คือ เขารู้สึกสะท้อนอยู่ในอก เมื่อผู้ช่วยผู้กำกับพูดออกมาแบบนั้น “ดีน แกน่าจะมีประสบการณ์จีบสาวมาเยอะ” เทปปันได้ยินผู้ช่วยผู้กำกับพูดแบบนั้น ก็ผ่านสายตาเพียงแวบเดียว มองเร็ว ๆ ไปที่ดีน เห็นอีกฝ่ายมองมาที่เขา ในแววตาดูจะอยากบอกว่า มันไม่ใช่อย่างที่เทปปันคิด

“ในเรื่อง แกต้องทำเหมือนว่าแกสับสน ทั้ง ๆ ที่แกเองไม่ได้สับสน แกรู้ตัวอยู่แล้ว ว่าแกชอบนายเอก ชอบมาตลอด ชอบเพียงคนเดียวเท่านั้น” ดีนถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อนึกถึงความเป็นจริงบางอย่างขึ้นมา ความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า “แกโกหกตัวเอง” ผู้ช่วยผู้กำกับอธิบายถึงสถานการณ์ของตัวละครพระเอกในเรื่อง ให้ดีนได้เข้าใจ

“แต่ในเรื่อง แกต้องจีบผู้ชาย คนที่แกรักคือผู้ชาย นายเอกของเรื่อง แกไม่สนหรอกเรื่องนั้น แกแค่อยากได้รักกัน แค่ได้รักกันก็พอ” ผู้ช่วยผู้กำกับดึงข้อมือของดีน ให้ยื่นไปด้านหน้า ก่อนจะดันให้ดีนพลิกมือแบขึ้น “ความรู้สึกรักที่มันเอ่อจนล้นใจ ความผูกพันที่เกิดจากความชิดใกล้ ต้องการอยากจะปกป้องและดูแล” มือของเทปปัน ถูกนำมาวางไว้บนมือของดีน

เทปปันมองตามมือของตัวเอง ที่ผู้ช่วยผู้กำกับดึงมาวางประกบเอาไว้กับมือของอีกฝ่าย พลันความประหลาดก็ได้เกิดขึ้น มันคลับคล้ายคลับคลากับเมื่อตอนที่ทั้งสองคน นั่งฟังบทสวดที่วัด ดีนทำตาโต เมื่อรู้สึกเช่นเดียวกันกับเทปปัน พื้นเวทีที่ทั้งสองคนนั้นยืนอยู่ เริ่มสั่นไปหมด ดีนและเทปปันหันไปมองคนรอบ ๆ ข้าง แต่ทุกคนกลับดูไปแล้ว ไม่ได้แตกตื่นหรือรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

พระคุณเจ้านำสวดภาษาบาลีบทต่าง ๆ ผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว ดีนขยับตัวแล้วขยับตัวอีกด้วยความเมื่อยขบ เขาเหลือบตาดูเทปปันที่นั่งนิ่ง หลังตรง แทบจะไม่ยุกยิกใด ๆ เลย ด้วยความทึ่ง ในขณะที่ดีนเอง ต้องดันตัวเองให้ขึ้นจากพนักพิง เพราะเขาไหลตัวลงไป เหยียดขายาวออกไปด้านหน้าอย่างคร้าน ๆ

“ฉันเมื่อยมาก ขอพิงหน่อยสิ” ดีนหันไปทำกระซิบกระซาบกับเทปปัน ที่ทำเสียงจุ๊ปากใส่เขาทันทีที่ดดีนชวนคุย “อย่าเสียงดังสิ” เทปปันดุอีกฝ่ายเข้าให้ ดีนดันตัวเองขึ้นนั่งตรง ๆ “ก็ถ้าเธอให้ฉันนั่งพิง” ดีนพูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อบทสวดขออโหสิกรรมดังขึ้น ดีนรู้สึกถึงเก้าอี้ที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ ขาเก้าอี้มันขยับสั่นได้เอง

“นั่งดี ๆ ได้มั้ย อย่าสั่นขาเล่นสิ” เทปปันที่เริ่มเสียสมาธิ เพราะรู้สึกถึงอาการสั่นและขยับของเก้าอี้ นึกไปว่า น่าจะเป็นเพราะดีน ที่นั่งสั่นขากระดิกเท้าเล่น ก่อนที่เทปปันจะหันไปสบตากับดีนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว เทปปันก้มลงไปมองที่พื้น ภาพที่เห็นก็คือ ดีนนั้นยกเท้าทั้งสองข้างลอยขึ้นจากพื้น แต่พื้นตรงที่ทั้งสองนั่งอยู่กลับสั่งแรงขึ้นเป็นทวีคูณ

ดีนรีบหันไปมองรอบ ๆ ผู้มาร่วมงานบุญ ต่างดูนิ่งเฉย ไม่ได้มีท่าทีแตกตื่นไปกับการที่พื้นของบริเวณพิธีนั้น กำลังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแบบนั้น แต่อย่างใด ดูแล้ว มีเพียงแค่เขาและเทปปันเท่านั้นที่รู้สึก ทั้งสองหันซ้ายหันขวา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนอื่น ๆ จะสังเกตเห็นอาการตระหนกของทั้งคู่แต่อย่างใด กลับเป็นว่า ทุกคนยังคงนั่งฟังพระสวดด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบบุญ

“ดีน” เทปปันเผลอหลุดเรียกชื่อของอีกฝ่าย เมื่อพื้นมันสั่นแรงมากขึ้นจนน่ากลัว “ปัน จับเอาไว้” เทปปันที่ได้ยินดีนร้องบอก ก็เอื้อมมือไปจับมือของดีนเอาไว้ ทันทีที่ทั้งสองจับมือกัน ทุกอย่างโดยรอบนั้นกลับดูนิ่งสงัด ทุกอย่างเหมือนหยุดเคลื่อนไหว ภาพที่ก่อนหน้าเป็นภาพของเหล่าผู้มาร่วมงานบุญนั้นเลือนหายไป

เทปปันรู้สึกตัวอีกที เขาก็จำได้ว่า นี่เป็นสถานที่เดิมที่เขาเห็น จากเมื่อครั้งงานบุญที่วัด มาครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน จากภาพการซ้อมละครบนเวที ตอนนี้เทปปันนั่งอยู่บนเก้าอี้ในที่ที่หนึ่ง ที่รอบข้างปกคลุมไปด้วยความมืด แต่แปลกที่เทปปันมองเห็นสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน ในระยะห่างไปไม่เกินสองช่วงแขน

เทปปันเงยหน้ามองไปที่ด้านบน เชือกสีขาวที่ผูกเอาไว้แบบพาดกันไปมา เหมือนกับที่งานบุญยังคงอยู่ เหมือนกับตอนที่เขาเห็นครั้งก่อน แต่วันนี้มีเชือกเส้นหนึ่ง มันเรืองแสงขึ้นมา เชือกเส้นนั้นปลายเชือกหายเข้าไปในความมืดด้านหน้า เทปปันลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ใต้เชือกเส้นนั้น มองมันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นเชือกสีขาวเรืองแสงนั้นขยับสั่นเบา ๆ เทปปันมองตามไปอีกครั้ง ก่อนได้ยินเสียงเรียกชื่อของใครบางคน ดังมาจากที่ไกล ๆ

แรงดึงแผ่วเบา ทำให้เทปปันก้มหน้าลงมองที่มือของตัวเอง ด้านสีแดงเส้นบาง ๆ เส้นหนึ่ง ถูกร้อยผูกเข้ากับนิ้วก้อยมือซ้ายของเขา มันมีแรงดึงเบา ๆ เกิดขึ้น เทปปันไล่สายตาไปตามด้ายสีแดงนั้น เช่นกัน ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง พุ่งหายเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า เทปปันได้ยินเสียงเรียกชื่อใครบางคน ดังแว่วผ่านมาจากความมืดนั้น

อะไรบางอย่าง ดึงดูดความอยากรู้ของเทปปันให้เพิ่มมากขึ้น เขาอยากจะสิ้นความสงสัย ว่ามันมีอะไรกันแน่ ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านหลังม่ายสีดำสนิทที่อยู่เบื้องหน้า แรงกระตุกที่เทปปันรู้สึกได้ที่นิ้วก้อยของเขา ทำให้เทปปันตัดสินใจละความกลัว ก้าวเท้าไปข้างหน้า หนึ่งก้าว สองก้าว รับรู้ได้ว่า ตัวของเขากำลังเดินเข้าหาความมืดสนิทนั้น โดยมีแค่เพียงเชือกสีขาวเรืองแสงด้านบนศีรษะทำทาง และมีด้ายสีแดงเส้นนี้นำใจ

เทปปันสืบเท้า ค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าฝ่าความมืดอย่างระมัดระวัง ใจเต้นแรงโครมครามไปหมด เมื่อคิดว่า ตัวเองกำลังจะได้เจอกับอะไรที่ด้านหน้านั่น แสงเรืองจากเชือกสีขาวเส้นที่อยู่ด้านบนหัว พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง ว่าอย่างน้อยก็ยังมีที่พึ่ง พอให้คลายความกลัวลงไปได้บ้าง แม้ว่าจะไม่รู้เลย สิ่งใดกัน ที่กำลังรอคอยเขาอยู่

อาจจะเป็นสิ่งของ อาจจะเป็นคน หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่อีกฝั่งของความมืดนี้ แต่เขาก็อยากรู้ ท่ามกลางความกังวลและความหวาดหวั่นที่กำลังรุกเร้าความรู้สึก ความอยากรู้มันฆ่าคนได้ มันไม่ได้ต่างอะไรกับที่เทปปันกำลังทำอยู่นี่เลย แรงดึงจากเส้นด้ายสีแดงแรงขึ้น เมื่อเทปปันก้าวเท้าเร็วขึ้น มันเหมือนกับว่า ด้านสีแดงเส้นนี้ก็กำลังกระตุ้นและผลักดันให้เทปปันเดินต่อไป จนกว่าความสงสัยในหัวใจจะสิ้นลง

เทปปันเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ มันเหมือนกับทางเดินนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เชือกสีขาวเรืองแสงที่เขาใช้มันเป็นเครื่องนำทาง ความยาวของมันก็ดูจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แปลกแต่จริง เพราะเขารู้ดีว่า เขาไม่ได้กำลังฝันอยู่ เชือกที่ไหนจะยาวได้ขนาดนี้ และใครกันที่สามารถผูกเชือกที่มองไม่เห็นปลายทั้งสองข้าง ได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แถมยังด้านสีแดงนี่อีกล่ะ เทปปันมองเห็นด้ายสีแดงกระตุกดึงนิ้วก้อยซ้ายของเขาเบา ๆ เป็นระยะ ๆ เทปปันก้าวเท้าเร็วขึ้น เขาอยากจะรู้แล้ว ว่าที่อีกฝั่งนั้น มันมีอะไรกันแน่ จะดีจะร้าย จะเป็นจะตายอย่างไร เขาขอรับรู้มันเสียเลยในวันนี้ จากคราวที่แล้ว ที่ทุกอย่างมันหยุดลง ที่เขาและดีน ถูกคนที่มาในงานพิธีช่วยพยุงให้ลุกขึ้นจากพื้น เพราะคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้น ผล็อยหลับไปเพราะง่วงนอนจากเสียงพระสวด จนร่วงตกจากเก้าอี้

ทันใดนั้น จู่ ๆ ที่ด้านหน้าของเทปปัน เงามืดที่ปกคลุมอยู่ เริ่มจะคลายตัวลงและค่อย ๆ มีแสงสว่างเรื่อขึ้น เชือกขาวด้านบนที่นำทางเขามา หายไปต่อหน้าต่อตา เทปปันก้มลงมองที่ด้านสีแดง มันมีแรงดึงที่ทำให้ตัวเขาถึงกับต้องรีบเดินให้ไว้ขึ้น มาคราวนี้ มันแปลกประหลาดเหลือเกิน ที่อยู่ ๆ พื้นที่เทปปันรู้สึกว่าตัวเองเหยียบอยู่ กลับมลายหายไป เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ และทันใดนั้น เทปปันก็รู้สึกว่า ตัวเองได้ร่วงตกจากที่สูงจนวูบวาบไปทั่วท้อง

“เธอก็เดินตามเชือกสีขาวมีแสงนั่นมาใช่มั้ย” เทปปันตกใจที่อยู่ ๆ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก็คือดีน ที่ตอนนี้เทปปันบีบมือทั้งสองของดีนจนแน่น “ทำไมเธอรู้” เทปปันถามดีนออกไป สีหน้าของดีนเองก็บ่งบอกถึงความประหลาดใจไม่แพ้กัน “แล้วด้ายสีแดงที่นิ้วก้อยล่ะ” เทปปันถามขึ้น มองไปที่มือของตัวเองที่จับกับมือของดีน

“เธอก็เห็นมันเหมือนกัน” ดีนพูดขึ้น สบตาเข้ากับเทปปัน เมื่อทั้งสองยืนอยู่คนละฟากฝั่ง และเดินเข้าหากันจนมาบรรจบ ณ ที่ตรงนี้ “สองคนมันอิมโพรไวซ์บทหรือยังไงวะ” รุ่นพี่ผู้กำกับที่เดินมาสมทบกับผู้ช่วยของเขา พลิกหาในบท “แต่มันได้อารมณ์ดีนะ เหมือนสองคนนี้ มันได้กลับมาเจอกันอีกครั้งจริง ๆ” ผู้ช่วยผู้กำกับรู้สึกถึงสายตาที่ทั้งดีนและเทปปันใช้มองกัน ว่ามันดีมาก ดีจนคิดว่า นี่มันไม่ใช่แค่การแสดง

“ไม่อยากเป็นพี่แล้ว ได้ไหม” ดีนบอกกับเทปปัน ด้วยประโยคที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในความคิด เทปปันพอได้ยินประโยคนั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกลมเย็น ๆ พัดเข้าต้องกับผิว มันเหมือนกับว่า เขาเคยได้ยินประโยคนี้จากที่ไหนสักแห่ง จากใครสักคน จากช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ที่ไม่แน่ใจว่า ทำไมมันถึงมีผลต่อหัวใจของเขาอยู่ในตอนนี้

******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=dtwJQF98lHs


Hey ข้างบนนั้น

Hey, you up there

อากาศมันคงจะดีใช่ไหม

The weather is fine, isn’t it?

รู้ คนอย่างฉัน

I know that I

ไม่มีวันที่จะได้ขึ้นไป

Can’t bump myself up where you are


แม้ฉันพยายามจะทำเท่าไร

Though I may as well try so hard

ดูเหมือนมันไม่มีประโยชน์อะไร

But it turns out to be all useless

และมันคงเป็นได้เพียงแค่ฝัน

It can only stay in a dream

แม้ฉันพยายามจะเดินเข้าไป

Even I manage to walk right through

เหมือนว่าเธอก็จะยิ่งห่างไปไกล

To you, still we’re very far from it

ไม่มีทาง

Just no way


อยากเป็นคนนั้นคนที่เธอรัก

Wish I would be the one you love

ต้องเป็นคนแบบไหน

What in a man you’re searching for?

จะมีทางไหนที่ทำให้เธอ

What more can I do to make you,

มองที่ฉันบ้างไหม

Look right at me?

ฉันยินดีจะทำ ฉันจะทำ

I’m more than happy to do it, I’ll do it

แม้ยากเย็นเท่าไหร่

It will be so darn difficult

หรือไม่ว่าจะทำยังไง

Or it’s an out-of-this-world quest

ก็เป็นได้แค่คนนอกสายตา

You’re still way out of my league


ไม่มีทางขึ้นไปบนฟ้า

Can’t stay up there with you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๗. คิดถึง (ที่) รัก ๑๕/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 15-12-2022 16:47:51
บทที่ ๑๗. คิดถึง (ที่) รัก



2565

2022



“เข้ามาสิ ห้องรกหน่อยนะ” ตฤณดันประตูห้องให้เปิดค้างเอาไว้ ก่อนจะขยับเท้าเพื่อหลีกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาด้านใน “ห้องกว้างดีจัง” วินที่เดินตามเข้ามากล่าวชมห้องพักของอีกฝ่าย “ตกแต่งสวยอีกต่างหาก” วินเอ่ยชมอีกครั้ง เมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะสบตากับเจ้าของห้อง ที่ปิดประตูตามหลังมา

“ขอบคุณนะครับ” วินกล่าวกับตฤณ ด้วยแววตาที่ดูหยอกล้ออยู่ในที “ขอบคุณเรื่องอะไร” ตฤณถามกลับไปด้วยความสงสัยในคำพูดนั้นของเด็กหนุ่ม “ก็ขอบคุณ” เหมือนกับว่าตฤณเอง กลับเป็นฝ่ายหลงกลอีกฝ่าย เมื่อวินตอบกลับมาว่า “ก็ขอบคุณที่พาวินขึ้นห้องนอน” ไม่ใช่แค่แววตาที่มันมีความซุกซนเหมือนลูกแก้วกลิ้งไปมาอยู่ในนั้น

“พาผู้ชายขึ้นห้องนะเรา” แต่น้ำเสียงของวินที่ใช้ ที่ตฤณได้ยิน มันมีอะไรบางอย่างที่ไหววนอยู่เช่นกัน ที่ทำให้ตฤณเหมือนว่ากำลังคุยกับเพื่อนเก่า ที่ห่างหายกันไปนาน ใช่แล้ว ห่างหายกันไปนานแสนนาน “ยินดีที่ได้เป็นคนแรกเสมอ” เสียงพูดของวินนั้นฟังดูภูมิใจอยู่ไม่ใช่น้อย

“รู้ได้ยังไงว่าเป็นคนแรก” ตฤณที่อยู่ ๆ ก็เกิดใจเต้นตึกตักขึ้นมา รีบพูดเร็วปรื๋อ ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ส่วนครัวฝรั่งที่สั่งให้ช่างทำขึ้นพิเศษ “รู้มาว่าหวงห้องมาก” วินพูดพลางมองตามอีกฝ่ายที่ทำท่าว่าไม่ได้ยินที่เด็กหนุ่มพูด ตฤณเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ครัวนั้น กับประโยคของเด็กหนุ่มที่แทรกตัวเข้ามาติดอยู่ในความคิด

ตฤณหันกลับไปมองวิน เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผย มันเป็นรอยยิ้มที่ตฤณเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดูแล้วสบายตาสบายใจ ตฤณหยิบเอาแก้วไวน์ราคาแพงระยับเข้าไปเก็บเอาไว้ในตู้ด้านบน สายตามองตามไปที่วิน ที่กำลังเดินดูนั่นดูนี่ เหมมือนกับกำลังสำรวจห้องไปในตัว

“ที่ไหนเนี่ย” วินร้องถาม มองมาที่ตฤณให้รู้ว่า เด็กหนุ่มถามขึ้นเพื่อต้องการคำตอบจริง ๆ “ญี่ปุ่น” ตฤณตอบเด็กหนุ่มกลับไป วินหันกลับไปมองรูปถ่ายในกรอบเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลมเล็ก ๆ ลำลองนั้น ก่อนที่ตฤณจะเห็นเด็กหนุ่มเดินตรงไปที่กรอบรูปอีกบาน ที่ตั้งอยู่ที่บนตู้โชว์ ดูแยกจากรูปอื่น ๆ อย่างตั้งใจ

“แล้วรูปนี้ล่ะ ที่ไหน” เสียงวินถามขึ้น ในน้ำเสียงฟังแล้วสั่น ๆ เหมือนกับมันมีผลกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มเสียแบบนั้น “ดอยเสมอดาว” ตฤณตอบออกไปเบา ๆ เห็นวินพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะได้ยินเด็กหนุ่มถามขึ้นอีกครั้ง โดยไม่ได้หันกลับมามองตฤณ “ไปกับใคร บอกได้มั้ย” วินถามออกไป ก่อนจะเม้มปากแน่น เหมือนรอคอยคำตอบที่เด็กหนุ่มเอง อาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังเอาไว้

“ไปคนเดียว” แปลกใจอยู่เหมือนกัน ตฤณรู้สึกได้ในทันที ว่าคำตอบนี้เขาอยากที่จะบอกความจริงออกไป ไม่อยากให้อีกฝ่ายฟังคำตอบอื่นใด “ไม่ได้ชวนใคร ตอนนั้นอยากไป ก็เก็บกระเป๋าไปเลย ไม่ได้วางแผนเสียด้วยซ้ำ” ตฤณเล่าถึงปุบปับแพลนของเขา เมื่อปลายปีนั้น ที่เขามีเวลาว่างยาวติดกับหนึ่งสัปดาห์เป็นปีแรก

“สนุกมั้ย” วินถามขึ้น หันมามองตฤณอีกครั้ง และเขารู้ตัวว่าตอนนี้เขายิ้มออกแล้ว “ถือเป็นทริปเที่ยวที่ดีที่สุด เท่าที่เคยไปมา” ตฤณตอบไปตามความจริงอีกครั้ง อากาศบนดอยที่หนาวเหน็บ แต่กลับอบอุ่นใจไม่คลาย ซึ่งนั่นตรึงอยู่ในความคิด และยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของตฤณจนถึงตอนนี้

“น่านสิ” วินพูดทำเสียงยานคาง ล้อไปกับชื่อจังหวัดที่ดอยเสมอดาวตั้งอยู่ ตฤณเองยังหลุดหัวเราะออกมา เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มจงใจและต้องการที่จะให้เป็นแบบนั้น วินรู้สึกดีและเขาฟังที่ตฤณเล่าด้วยความรู้สึกเพลิดเพลิน อะไรบางอย่างทำให้เด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่า ตฤณเริ่มผ่อนคลายขึ้นที่ได้อยู่ใกล้กันกับเขา

“จริง ๆ ถ้าได้ไปกับใครสักคน มันคงจะดีไม่น้อย” ตฤณเผลอพูดสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในความคิดออกมา “คนที่ยังอยู่ในใจน่ะหรือ” วินถามขึ้น สายตาที่มองมาที่ตฤณ ไม่มีแววล้อเล่นอย่างเคย ตฤณเมื่อรู้ตัวว่าอาจจะแชร์ความรู้สึกออกไปมากเกิน ก็ทำเหมือนไม่ได้ยินประโยคคำถามของเด็กหนุ่มไปเสียอย่างนั้น

“เวลาเกือบสามสิบปี เกิดอะไรขึ้นมาตั้งมากมายสินะ” เสียงพูดของวิน ฟังดูเหมือนกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับตฤณ กำลังสนทนาอยู่กับเขา ตฤณเสหันไปหยิบผ้ามาเช็ดที่เคานเตอร์เพื่อเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่าย วินขยับเดินเข้ามาหาตฤณ มองเห็นว่าอีกฝ่ายจงใจไม่หันมามอง ทำเช็ดนั่นจัดนี่กับของที่อยู่ตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างก็ดูเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านอยู่แล้ว

“นี่เราจะเริ่มสอนเริ่มเรียนกันได้หรือยัง” ตฤณเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็แกล้งพูดขึ้น เบนเข็มให้การสนทนาเปลี่ยนไปเรื่องอื่น “ตฤณรีบหรือ” เจ้าของชื่อต้องหันไปมองอีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น “แต่วินไม่รีบ” เด็กหนุ่มพูด ทั้ง ๆ ที่ข้อตกลงคือ ค่าจ้างจะถูกคิดเป็นรายชั่วโมง ยิ่งนานมากเท่าไหร่ ใช้เวลานาน เสียเวลาไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น

“ผมรู้ว่าคุณรวย แต่ว่า” ตฤณพยายามจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นก็รู้แล้วนะ ว่าวินไม่สนว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับตฤณ มันจะแพงแค่ไหน” คำพูดนั้น หากในสถานการณ์อื่น ตฤณคงคิดได้แค่แง่เดียว ว่าเด็กหนุ่มคงเป็นแค่ลูกเศรษฐี ที่อวดรวยไปตามประสา แต่กับครั้งนี้ ที่มันมีความรู้สึกอื่น ๆ ประกอบด้วย ถ้าจะพูดแบบไม่โกหกกัน ตฤณกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดที่ได้ยินวินพูดแบบนั้น

“ใช้แต่ครัวฝรั่ง กินแต่อาหารฝรั่งแล้วหรือเดี๋ยวนี้” วินถาม พลางลูบมือไปตามไอส์แลนด์ครัวนอกที่ตฤณสั่งทำมาด้วยราคาแพงหูฉี่ “ก็ถ้ารีบ ๆ ทำอะไรง่าย ๆ กิน มันก็สะดวกดี เร็วด้วย แป๊บเดียวก็ได้กินเลย ไม่เสียเวลา” ตฤณบอกกับอีกฝ่ายไปตามความจริง ชีวิตที่เร่งรีบ มันก็ทำให้การใช้ชีวิตในช่วงก่อนหน้ากับเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง

“ครัวไทยอยู่ด้านหลังใช่มั้ย” วินถามเสร็จ ก็ออกเดินนำเจ้าของห้องไป ตฤณเดินตามเด็กหนุ่มไปที่ห้องครัว ที่อยู่ติดระเบียงด้านหลัง โดยไม่ทักท้วงใด ๆ ทั้ง ๆ ที่ตฤณไม่เคยให้ใครได้ย่างกราย ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาได้มากขนาดนี้มาก่อน “ไหนมีอะไรกินบ้าง” ตฤณมองวิน ที่อีกฝ่ายเหมือนกับเด็กชายตัวน้อย ๆ ที่มองหาของกินในครัว

“ไม่ค่อยได้ทำ ก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรติดไว้เลย” ไม่พูดเปล่า ตฤณเดินไปเปิดตู้เย็นไซด์บายไซด์ขนาดใหญ่ให้วินดู ว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด “หิวจัง” วินพูดพลางทำหน้าตาน่าสงสาร “ทำอะไรให้วินกินหน่อย นะครับตฤณ” ก่อนจะพูดออดอ้อนอีกฝ่าย รบเร้าจนตฤณต้องยอมตอบตกลงออกไป

“แต่มีข้อแม้นะ” ตฤณมองหาของในตู้เย็น และคิดว่าเขาพอจะทำอะไรให้เด็กหนุ่มแก้หิวไปก่อน “ออกไปนั่งรอข้างนอก อย่าเกะกะในนี้” ตฤณออกคำสั่ง ด้วยแต่ไหนแต่ไรเวลาเขาทำอาหาร ตฤณไม่ชอบให้มีคนมาวุ่นวายในครัวของเขา “ขออยู่ดูไม่ได้หรือ” วินร้องขอข้อแม้ แต่สุดท้าย ก็ต้องยอมออกจากครัวตามที่เจ้าของห้องยื่นคำขาด

“มาแล้ว” ใช้เวลาเพียงไม่นาน เมนูที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลอยออกมาจากส่วนครัว ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าของวิน “โห น่ากินสุด ๆ” ในชามกลมสีขาวใบใหญ่ อย่างที่ร้านอาหารหรู ๆ ใช้กัน มันคืออาหารสุดแสนที่จะธรรมดาที่สุด แต่หน้าตาน่ากินมากที่สุดในความรู้สึกของวิน ตฤณส่งช้อนสั้นและตะเกียบให้กับเด็กหนุ่ม

“ขอบคุณนะครับ” คำขอบคุณของวิน ทำให้ตฤณกระหวัดนึกถึงใครบางคน “ในตู้เย็นมีเหลือแค่หมูบด ก็เลยทำได้แค่นี้ ไม่รู้จะอร่อยหรือเปล่านะ” ตฤณพูดออกตัว ตั้งใจจะพูดออกไปด้วยว่า 'ไม่ได้ทำนานแล้ว' แต่ก็เลือกที่จะเงียบเสียงลง “โอ้โห” วินที่มองดูเมนูที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนร้องออกมา

“นอกจากจะน่ากินมาก ๆ แล้ว ยังเหมือนต้นฉบับอีกต่างหาก” ที่วินพูด นั่นคือการที่ตฤณนั้น ทำหมูสับแผ่นกลม ๆ วางโปะลงบนเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เหมือนเป๊ะ “ก็เห็นในโฆษณามาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เคยดูมั้ย มันว่ายังไงนะ อ้อ เสียงอะไรน่ะ เสียงหมูสับ” ตฤณพูดพลางหัวเราะออกมา เมื่อจำได้ดีถึงโฆษณาที่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว ที่ตอนนั้นที่ผลิตภัณฑ์นี้ออกมาขายใหม่ ๆ ตฤณยังนึกว่าในห่อแถมหมูสับแบบนี้มาให้เลยด้วยซ้ำ

“เคยมีคนเขาบ่น ว่าตอนที่ผมทำบะหมี่นี่แรก ๆ มันไม่เห็นจะเหมือนกับที่ดูในทีวี” ตฤณระลึกถึงความหลัง ครั้งยังสมัยวัยรุ่น “ผมก็เลยไปฝึกทำอยู่นาน ฝึกแล้วฝึกอีก ต้องการที่จะทำให้เหมือน ทำไปกินไปจนเอียนบะหมี่กันเลยทีเดียว” ตฤณพูดกลางนึกขำตัวเองเมื่อครั้งก่อนนั้น ด้วยว่า ต้องการที่จะทำเอาใจใครคนหนึ่งคนนั้น

“ฟังแล้วอิจฉาคนคนนั้นจัง” ตฤณละสายตาจากชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นสบตากับวิน “อยากให้ตฤณทำแบบนี้ให้วินกินบ่อย ๆ” เด็กหนุ่มบอกออกไปตามสิ่งที่เขาอยากให้เป็น “เคยทำได้เหมือนแค่เพียงครั้งเดียว” ตฤณพูดออกไป “แล้วก็ไม่ได้ทำอีกเลย จนมาวันนี้” วินฟังที่ตฤณพูดออกมาเงียบ ๆ สีหน้าและแววตาของตฤณเจือไปด้วยความเศร้าอย่างปิดเอาไว้ไม่มิด

“อร่อย” วินกล่าวชม หลังจากตักมันเข้าปากไป “ไม่ได้กินอร่อย ๆ แบบนี้มานานแล้ว” ตฤณมองดูเด็กหนุ่มคีบเส้นบะหมี่เข้าปากด้วยความรีบร้อน “กินช้า ๆ เดี๋ยวสำลัก เป่าก่อน เดี๋ยวมันลวกปาก” พอตฤณพูดดุอีกฝ่ายจบ ก็เดินไปรินน้ำดื่มใส่แก้วมาให้กับวิน เด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะกำลังกินเมนูที่แสนจะถูกใจ ทั้งรสชาติของอาหารในชาม และอาหารตาที่อยู่ตรงหน้าเขา

ตฤณเดินกลับออกมาจากครัวไทยด้านหลัง เพื่อเก็บล้างชามบะหมี่จนเรียบร้อย เขาขยับกำลังจะเรียกเด็กหนุ่ม ก่อนจะเห็นว่าวินนั้น นอนเหยียดยาวบนโซฟาตัวยาว ผล็อยหลับไปแล้ว ตฤณเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านข้าง มองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูไม่กวนโมโห เท่าตอนที่ตื่น ตฤณทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างของโซฟา มองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเงียบ ๆ

“ขอต่ออีกหน่อยนะ อีกห้านาที” วินขยับตัวใช้มือโอบกอดเอวตฤณเอาไว้ ก่อนนะซุกหน้าเข้าหาตักของอีกฝ่าย พูดขอเวลางีบต่ออีกหน่อย ตฤณที่ได้ยินคำพูดนั้นของวิน บวกกับกิริยาท่าทางที่แสดงออกมาของเด็กหนุ่ม ทำเอาตฤณถึงกับต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทาง เมื่ออยู่ ๆ น้ำตาอุ่น ๆ ก็ไหลออกมาจากสองหน่วยตา จนอาบแก้มไปหมด

วินลืมตาขึ้น เมื่อหยาดน้ำตาใส ๆ ของตฤณ ร่วงหล่นลงบนแก้มของเขา วินรีบหยัดตัวลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้อยู่ แม้ว่าตฤณจะพยายามปาดน้ำตาให้หมดไปอย่างลวก ๆ แต่ใจเจ้ากรรม มันกลับยิ่งหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หยดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงอย่างไม่อาจจะห้ามได้

“ร้องไห้กับวินก็ได้นะตฤณ ร้องเถอะ ปล่อยมันออกมา อย่าเก็บเอาไว้” วินที่รั้งตัวของตฤณที่พยายามจะลุกเดินหนีเอาไว้ พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะโอบกอดตัวของตฤณ ให้อีกฝ่ายซุกเข้ากับแผงอกกว้างของตัวเขา ตฤณที่รู้ดีว่ามันยากเหลือเกิน กับการจับเรื่องราวทุกอย่างยัดกลับเข้าไปในซอกหลืบของหัวใจ ที่ตฤณเคยคิดว่า เขาได้ปิดตายและขังลืมมันไปแล้ว

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=xXUFl-hDG2g



ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you ever love someone, will you then know?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love serves for a limited time or that it is for a longer period

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ

If you ever meet someone, and that one really matters to you

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

To meet someone’s gaze, what that makes you feel?


รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิตหรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ

One love can be destined, or else it is love at first sight

หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด ใครเล่าเลยใครจะเลยล่วงรู้

Then there can be other reasons, who will be able to predict it?

อาจเกิดเพราะใครกำหนดหรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ

It can turn out it’s because of a mighty power or that it is predetermined

ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอ ทุกครั้งไป

That we do have to be together, as always


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you ever love someone, will you be able to realize?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love is such impermanent or it stays forevermore

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ

If you ever meet someone and you know that this is the one,

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

How do you feel when the eyes are met?


เมื่อรักผลิบานในความรู้สึก เธอไม่ต้องตรึกตรองลึกลงไป

When love’s blooming and flourishing, no need to lose your sleep over it

ขอเธอติดตามฟังเสียงหัวใจ พาล่องลอยไปจนไกลดุจฝัน

Just follow the voice in your own heart and let it freewheel and dream away

เมื่อรักไม่อาจกำหนด และไม่อาจกดเก็บไม่ให้เกิด

Since love may not be designed and cannot be held back and whatnots

เธอเพียงแค่ปล่อยให้ใจเตลิด ลอยไป

All you do is let your heart be free and float on air


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you ever fall in love, will you then know?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love serves for a limited time or that it is for a longer period

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่ง ที่เธอให้ความสำคัญ

If you ever see someone, and that’s how your feet getting swept off

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

To meet someone’s gaze, doesn’t that make you feel amazed?


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง แลติดตราตรึงหัวใจ

If you ever fall head over heels, your heart is all that is imprinted

ความรักจะเกิดขึ้นมาแบบไหนอย่างไรคงไม่สำคัญ

Love in whichever way occurs, it doesn’t really matter now, does it?

เท่าเธอรักด้วยทั้งหมด ทุกสิ่งที่มันเป็นฉัน

As long as you love me with every fiber of my being

ในชีวิตนี้แค่นั้นที่ใจฉันต้องการ

In my life, I never do need anything more


แม้นานแค่ไหน

It can be an eternity

จะเป็นความรักหนึ่งเดียวที่ใจ

This is one love that my very heart

ฉันต้องการ

Will ever ask for
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่๑๘. ถ้าไม่(อยาก)คิดถึง ๑๙/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 19-12-2022 20:41:42
๑๘. ถ้าไม่ (อยาก) คิดถึง



2536

1993



“นันอยู่กับเราไปก่อนก็ได้ ถ้ากลับบ้านไปตอนนี้ ท็อปเป็นห่วง” ท็อปที่ได้ยินนันบอกกับเขาว่า อยากจะกลับไปดูบ้าน เอ่ยห้ามอีกฝ่ายขึ้นมาในทันที ด้วยสภาพร่างกายที่เขาเห็นนันเป็นในคืนวันนั้น ท็อปก็ทำใจไม่ลง ที่จะยอมให้นันกลับไปเจออะไรก็แล้วแต่ ที่อีกฝ่ายต้องผ่านมาอย่างยากลำบาก

“เราอยากกลับไปดูบ้าน ไม่รู้ว่าข้าวของของเราจะยังอยู่มั้ย” ท็อปเข้าใจที่นันพูด ก่อนหน้านี้นันหลุดปากบอกกับเขาแล้วว่า ตอนที่นันออกจากบ้านมาได้ เสียงตะโกนด่าไล่หลังนั้น ขู่ว่าจะทิ้งข้าวของของนันไปให้หมด เพราะยังไงมันก็เป็นขยะเช่นเดียวกันกับเจ้าของของมันนั่นแหละ

“แต่เราอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วนะ” นันพูดพลางทำหน้าที่แสดงออกว่า ตัวเองนั้นเกรงใจอยู่ไม่น้อย ที่มาอยู่รบกวนท็อปแบบนี้ “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ท็อปรีบตอบออกไปในทันที ที่ได้ยินนันบอกแบบนั้น “พ่อกับแม่ท็อปก็ไม่อยู่ จะมีก็แต่ป้านวล ป้าแม่บ้าน ป้านวลเอง เขาก็ดูเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ” ท็อปพูดเล่าเรื่องราวให้นันได้ฟัง

“แล้วท็อปก็บอกพ่อกับแม่แล้ว ว่าขอให้นันอยู่ที่นี่ก่อน รอให้ทุกอย่างโอเค แล้วก็ค่อยกลับไป” ท็อปบอกกับนัน พยายามพูดให้นันสบายใจได้ ไม่ต้องห่วงว่าพ่อและแม่ของเขาจะว่าอะไร เพราะท็อปได้รับอนุญาตแล้ว อีกอย่าง ก็ยังอีกหลายวัน กว่าที่พ่อและแม่ของท็อปจะกลับมาจากต่างจังหวัด

“พ่อกับแม่ของท็อปใจดีจัง ยอมให้เรามาอยู่ด้วย ไม่ว่าอะไรสักคำ” นันพูดจบ มีสีหน้าและแววตาที่เศร้าลง ท็อปเห็นแบบนั้นก็ยื่นมือไปบีบมือของอีกฝ่าย “บ้านเรายินดีต้อนรับนันเสมอ นันทำใจให้สบาย คิดเสียว่าเป็นบ้านของนันเอง ทำตัวตามสบายได้เลย ที่นี่ไม่มีใครทำอะไรนัน ไม่มีใครคิดร้ายกับนันแน่นอน เราสัญญา” ท็อปพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เดี๋ยวเราก็เหลิงพอดี” นันบอกกับท็อปออกไปแบบนั้น “นันเหลิงได้เลยเต็มที่ ท็อปพร้อมจะเอาใจนันเอง” ท็อปพูดตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดที่บ้านของนัน ถึงได้ใจร้ายกับนันนัก ทั้ง ๆ ที่นันทั้งนิสัยดี ทั้งไม่คิดจะเอาเปรียบใคร แถมยังออกจะติดเจียมตัวจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ

“ตอนนี้มีแค่นันกับท็อป เราจะทำอะไรยังไง ก็ไม่มีใครว่า” ท็อปรับรองกับนั้นว่า ตอนนี้บ้านทั้งหลังเป็นของคนทั้งคู่ จะกิน จะนั่ง จะเล่น จะนอน ยังไงก็มีแค่เขาสองคนเท่านั้น “นันอยู่ต่อกับท็อปนะ อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวรอให้พ่อกับแม่กลับมา ค่อยถามดู ว่าจะช่วยนันยังไงได้บ้าง เผลอ ๆ ท็อปพูดให้พ่อกับแม่รับนันมาดูแลด้วยเลยก็ได้” ท็อปพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย แสดงออกถึงความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูด

“อีกไม่กี่วันก็จะสงกรานต์แล้ว เราจะได้ไปเล่นน้ำด้วยกัน ดีเลย ปีก่อนท็อปเล่นคนเดียว เหงาจะแย่” อย่างน้อย ท็อปบอกกับตัวเอง ถ้าเขาไม่อยากจะเล่นน้ำคนเดียวแบบเซ็ง ๆ โดยมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขามีนันออกไปเล่นน้ำสงกรานต์เป็นเพื่อน ทีนี้เขากับนันก็จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตา สนุกสนานกันได้อย่างเต็มที่

“แต่ถ้าจะให้เราอยู่ต่อจนถึงสงกรานต์” นันพูดขึ้น แววตาบ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “เรายิ่งต้องกลับบ้าน” นันบอกกับท็อปออกไป และยืนยันว่า มันจะเป็นการดี ถ้าหากว่านันจะจัดการอะไรบางอย่างก่อน แล้วค่อยกลับมาที่บ้านของท็อปใหม่อีกครั้ง หลังจากนี้

จากที่ไม่อยากให้นันกลับมาที่บ้านเพียงลำพัง ท็อปที่ดึงดันจะนั่งรถเมล์หลายต่อมากับนันด้วย ถึงกับออกอาการจนนันต้องยิ้มแห้ง ๆ กลับไป แทนคำขอโทษกับคำว่า ไกลปืนเที่ยงแม้ในเมืองกรุงของจริง แต่การนั่งรถไกลหลายต่อ ยังไม่เท่ากับการที่ท็อปได้มาเห็นสภาพบ้านที่นันอยู่ แม้อีกฝ่ายจะเกริ่นล่วงหน้าให้ท็อปได้รู้ก่อนแล้ว แต่ท็อปก็ไม่นึกว่ามันจะโกโรโกโสขนาดนี้

“มันรกหน่อยนะ” หากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ นันเองก็คิดว่า เขาน่าจะอับอายมากพอแล้ว ถ้าหากเทียบกับบ้านของท็อปที่เขาได้ไปใช้อาศัยคุ้มหัวมาหลายคืน ท็อปเดินตามนันเข้าประตูบ้านไม้ ที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่า ตัวบ้านที่ได้รับการซ่อมแซม คือการเอาของเก่าจากที่อื่น มาปะเป็นของใหม่ของที่นี่ ประตูบ้านบานนี้ จะเป็นสังกะสีผุจากที่อื่น มาตอกเข้ากับโครงไม้ ที่ดูไม่ออกถึงที่มา ว่ามันเคยเป็นอะไรเมื่อก่อนหน้านี้

ท็อปเดินตามนันเข้ามาในบ้าน สภาพภายในทำให้ท็อปถึงกับอึ้ง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ติดของหรูอะไร แต่การต้องอยู่ในบ้านแบบนี้ มันก็เกินกว่าที่เขารับได้เช่นกัน ท็อปที่ได้แต่เก็บเอาคำพูดต่าง ๆ ให้กลืนกลับลงคอไป เพราะรู้ดีว่า แค่นี้ นันก็คงจะทนอับอายไม่ไหวแล้ว ที่ต้องให้เขามาเห็นความเป็นอยู่ที่แท้จริงของตัวเอง ท็อปมองตามนันเดินไปทางด้านหลัง ที่มีแผ่นฝ้าขวางขึ้น คล้ายเป็นที่บังสายตาคนด้านนอกเอาไว้

นันบอกกับท็อปว่า ถ้ากลับบ้านมาช่วงนี้ จะไม่มีใครอยู่บ้าน เป็นโอกาสเหมาะที่จะรีบจัดการอะไรก็ตาม ที่นันบอกกับท็อปว่ามันสำคัญมาก ท็อปชะเง้อมองตามเข้าไปด้านหลัง ที่เห็นนันเดินหายเข้าไป นันไม่ได้เปิดไฟเพื่อให้ความสว่าง เพราะไม่อยากให้เป็นที่สังเกต ท็อปห็นว่านันยังไม่เดินออกมาเสียที ก็เดินเข้าไปด้านหลัง หวังจะเดินไปดูว่านันกำลังทำอะไรอยู่

“นัน มึงกลับมาบ้านได้แล้วสินะ กูนึกว่ามึงจะแน่ สุดท้ายมึงก็ไปไหนไม่รอด ต้องซมซานกลับมาหากูอยู่ดี อีดอก” ท็อปที่เกือบจะร้องออกมาด้วยความตกจ เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง ดังมาจากประตูบ้าน นันเอามือปิดปากของท็อปไว้ได้ทัน ในความสลัวนั้น ท็อปเห็นนันส่ายหน้าเป็นการห้ามไม่ให้ท็อปส่งเสียงอะไรออกไป

“หลบอยู่ในนี้ก่อน” นันกระซิบให้แน่ใจว่า จะมีแค่ท็อปเท่านั้นที่ได้ยิน ก่อนจะดันให้ท็อปเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าเก่าเหม็นอับนั่น ท็อปอยากปฏิเสธ และให้นันกับเขาแค่เดินออกไปจากบ้านหลังนี้ แต่นันรู้ดี ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นอย่างแน่นอน นันส่ายหน้าให้กับท็อปอีกครั้ง รีบกระซิบบอกให้ท็อปเงียบเสียงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่นันจะงับประตูตู้เสื้อผ้านั้นเอาไว้ ท็อปที่อยู่ในความมืด ได้ยินเพียงแต่เสียงฝีเท้าของนันที่เดินห่างออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงด่าทอของผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาดังขึ้น มีเสียงพูดตอบโต้จากนัน และนั่นทำให้ท็อปได้ยินเสียงของหล่นโครมครามดังลั่นบ้านไปหมด ก่อนจะได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของนัน และเสียงหนัก ๆ ของคนที่ล้มลงกระแทกพื้น

“มึงคิดว่ามึงแน่นักใช่มั้ย มึงคิดว่าที่กูทำให้มึงทุกอย่างนี่ มันไร้ค่ามากเลยสินะ อีนัน อีเนรคุณ” เสียงคำรามด่าหยาบคายรวมกับเสียงร้องออกมาของนัน ทำให้ท็อปคิดว่า เขาจะยังแอบอยู่ในนี้ต่อไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้มึงคิดสู้กูนะ อีเวร” เสียงด่าดังขรมไปหมด เมื่อนันหยิบทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่หล่นอยู่ใกล้ตัว เขวี้ยงใส่ผู้ชายที่กำลังเดินย่างสามขุมด้วยท่าทางมาดร้ายเข้ามาหานัน

“โอ๊ย อีนัน อีเหี้ย” เสียงด่าดังลั่น ผสมปนไปกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อนันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองคว้าไปจับโดนอะไร โดยไม่ได้สนใจจะมอง เมื่อมือสัมผัสได้ว่าเป็นโลหะแข็งอะไรบางอย่าง ก็เขวี้ยงเข้าใส่ผู้ชายร่างใหญ่คนนั้นในทันที “อีดอกทอง อีเหี้ย อีนัน โอ๊ย ตากู ตากูจะบอดมั้ยเนี่ย” เจ้าของเสียงร้องโวยวายนั้นยกมือขึ้นกุมเบ้าตา ที่ขณะนี้มีของเหลวข้นสีแดง ไหลอาบอยู่

“นันไปเร็ว ลุกขึ้น ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้” ท็อปร้องบอกนันที่ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น ยังคงรู้สึกจุกที่ท้องจากการโดนถีบจนก้นจ้ำเบ้า ท็อปที่ตัดสินใจออกมาจากที่ซ่อนตัว ไม่คิดว่าทั้งเขาและนันควรจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป โดยเฉพาะนันที่ว่าหากท็อปรั้งรอให้เนิ่นนานไป นันคงได้นอมจมกองเลือดแทนผู้ชายคนนั้นที่กำลังบ้าคลั่งเลือดเข้าตา

“พวกมึงคิดจะไปไหนกัน คิดว่าจะหนีกูรอดงั้นหรือวะ” ท็อปรู้สึกอีกที ก็ถูกมือจากด้านหลังคว้าเข้าที่คอเสื้อ แล้วกระชากเขาให้ถอยหลังหลุน ๆ ตามแรงดึงนั้นไป “ท็อป” นันเรียกอีกฝ่ายเสียงหลง เมื่อมือที่จับกันอยู่ หลุดออกเพราะแรงดึงอย่างแรง “เฮ้ย” ท็อปหลุดร้องออกมาเสียงดังลั่น

“ไอ้เด็กเหี้ยนี่” เสียงคำรามอีกคำรบดังขึ้นมาปนกับเสียงครวญด้วยความเจ็บปวดปนเจ็บใจ เมื่อทีนี้ ตัวเองเป็นฝ่ายต้องล้มลงก้นกระแทกพื้นเข้าให้บ้าง ท็อปดึงตัวเองหลุดจากการเกาะกุมของผู้ชายร่างใหญ่คนนั้นได้ เมื่อเขาเอาศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง และไม่ต้องรีรออะไรอีก ท็อปที่คว้ามือของนันได้ ก็ดึงอีกฝ่ายให้วิ่งตามเขาออกมาจากบ้านหลังนั้นในทันที

วิ่งมาไกลเท่าไหร่ไม่รู้ ท็อปคิดแต่เพียงว่า เขาจะต้องพานันวิ่งหนีไปให้ไกลมากที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้ แม้ว่าท็อปจะยังไม่เข้าใจ ว่าทำไม ผู้ชายคนนั้นถึงต้องทำร้ายนันแบบนั้นด้วย แต่เขาก็พอจะบอกได้ว่า คนคนนั้นคือตัวอันตราย และนันจะต้องอยู่ห่างจากบ้านหลังนั้นให้ไกลแสนไกล สถานที่ที่ควรจะเป็นที่พึ่งพิงใจและพักพิงกาย แต่กลับกลายเป็นว่า

“นัน นั่นนันจะไปไหน” ท็อปร้องเรียกอีกฝ่าย เมื่ออยู่ ๆ นันก็สะบัดมือของเขาทิ้ง และเริ่มวิ่งออกไปอีกทาง “นันเดี๋ยวก่อน จะไปไหน” ท็อปวิ่งตามมาจนทันอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าดักหน้าขวางนันไว้ ไม่ให้วิ่งหนีเขาได้อีก “นันวิ่งหนีท็อปทำไม” ท็อปกางมือทั้งสองข้างออก กั้นอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ยอมให้วิ่งหนีเขาได้อีก

“ท็อป อย่ามายุ่งกับเราเลย” นันที่ตอนนี้น้ำตาไหลพรากนองแก้ม พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ จนท็อปตกใจที่ได้เห็นแบบนั้น “นัน” ท็อปรู้สึกเศร้าใจอย่างที่สุด เมื่อนันกำลังร้องไห้จนตัวโยนต่อหน้าเขา “ท็อปไม่เห็นหรือไง ว่าชีวิตของเราแม่งโคตรเหี้ย และบัดซบแค่ไหน” ท็อปที้ไม่เคยได้ยินคำหยาบหลุดออกจากปากนันเลย แม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่รู้จักและเป็นเพื่อนกันมา

“ไปซะ ไปมีชีวิตที่ดีของท็อป ไปต่อ เดินไปต่อ ก้าวต่อไป อย่าให้เราเป็นตัวถ่วงของท็อปอีกเลย” นันพยายามจะเดินหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้ ท็อปคว้าตัวของนันเข้ามากอดเอาไว้ “ปล่อย ปล่อยเราท็อป” นันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของท็อป “ไม่ นัน เราจะไม่ยอมปล่อยให้นันไปไหนทั้งนั้น” ท็อปกอดนันแน่นขึ้น ท็อปรับรู้ได้ถึงน้ำตาหยาดใส ๆ ของนัน ที่มันกระเซ็นมาถูกตัวของเขา

“นันต้องอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” ท็อปถามนันด้วยน้ำเสียงที่ปลอบประโลม “นันไม่เคยมีใครถามไถ่ คอยห่วงใยมานานมากแล้วใช่มั้ย” คำถามของท็อป ยิ่งทำให้นันร้องไห้โฮออกมาหนักกว่าเดิม “ไม่เป็นไรนะนัน ท็อปอยู่ตรงนี้แล้ว นันอยู่กับท็อปตรงนี้นะ ไม่เป็นไรแล้ว นันปลอดภัยแล้ว” ท็อปปล่อยให้นันซุกห้าเข้าหาอกของเขา ปล่อยให้นันร้องไห้ออกมาเสียให้พอ เพื่อว่าต่อจากนี้ไป น้ำตาแห่งความทุกข์ระทมและขมขื่นนี้ จะต้องจางหายไป

************************************************

คำแปลเนื้อร้งเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=zeKh6fR6YbI


หนใดที่ใจเหงา ทุกคราวที่เราท้อ

When there’s time of loneliness, and time in despair

ขอเพียงแต่มีแค่ ใครคนหนึ่ง

Wish there’s someone here for

ทุกข์จนสุดทนไหว ร้อนรนขึ้นยามใด

Going through hell, needing help desperately

อยากจะบอกใครซักคน

Wish someone here is listening


ถึงใครต่อใครเขา เห็นเราหมดความหมาย

Though the whole world thinks less of me

ขอเพียงแต่มีแค่ ใครคนหนึ่ง

Wish there’s only one waiting for

ถึงวันที่สับสน ทุกข์ทนอยู่ในใจ

The day I’m all confused, cannot bear any more pain

อยากจะบอกใครซักคน

Wish that someone is here to care for


สักคน ที่จะรู้ สักคน จะได้ไหม สักคน

Someone, just one, wishing for, will that be?


ถึงคราวที่สดใส ครั้งใดที่สุขสม

When it’s a brighter day, happiness is all around

ขอคนชื่นชมแค่เพียงคนหนึ่ง

Wish there’s one giving me that compliment

ถึงวันที่มองฟ้า คว้าดาวได้ดังใจ

When looking up upon the sky, accomplished reaching for the stars

อยากจะบอกใครซักคน

Wish there’s someone to share it with


ใจเรามันเป็นเพียงแต่เนื้อแค่ก้อนหนึ่ง

Our heart is just this one big muscle

มันจึงมีเวลาจะอ่อนแอ

So, there’s a chance for it to get weak

เพียงตัวเราลำพังอ้างว้างไร้ทางแก้

When the world left us stranded and no way out

จึงจำใจยอมทนเก็บไว้

What we did was to swallow all our pride

แต่อยากจะบอกใครซักคน

But wish there’s someone to talk it through


เพียงคนเดียวจริงจริง ที่ขอไว้เป็นเพื่อน

Just one, only one that I’m asking to be my friend

เพียงคนเดียวคอยเตือนและเข้าใจ

And this one to warn me off and be understanding

มีคนเป็นพันพันหมื่นแสนล้านที่บนโลก

There are gazillions of people out there in this world

เพียงคนเดียวจะมีบ้างไหม

Will there be just one for me?

อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could tell someone


สักคน ที่จะรู้ สักคน จะได้ไหม สักคน

Someone, just one, wishing for, will there be someone?


เพียงคนเดียวจริงจริง ที่ขอไว้เป็นเพื่อน

Just one, the only one that I’m asking to be my friend

เพียงคนเดียวคอยเตือนและเข้าใจ

And this one to warn me off and be understanding

มีคนเป็นพันพันหมื่นแสนล้านที่บนโลก

There are gazillions of people out there in this world

เพียงคนเดียวจะมีบ้างไหม

Will there be just one for me?

อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could tell someone


อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could talk to someone

อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could say this to someone

อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could get it off my chest

อยากจะบอกใครซักคน

Wish I could talk to you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๑๙. คน (ที่) คิดถึง ๒๐/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-12-2022 21:47:25
บทที่ ๑๙. คน (นี้) ที่คิดถึง



2565

2022



“มาครับแม่ เดี๋ยวดีนช่วย” ผู้เป็นแม่ถึงกับมองผู้เป็นลูกชายของเธอเองแบบไม่เชื่อสายตา ข้าวของพะรุงพะรังในมือของเธอก่อนหน้านี้ ดีนได้หอบเอาไปถือเอาไว้เองทั้งหมด “ในรถมีอีกมั้ยครับแม่ ถ้ามีอีก แม่ไม่ต้องยกนะครับ เดี๋ยวดีนออกมาขนเข้าไปในบ้านเอง” ไม่พูดเปล่า ดีนยังให้น้องสาวของเขา พาแม่เข้าไปนั่งพักที่ห้องนั่งเล่นก่อน

แม่และน้องสาวของดีนนั่งมองลูกชายและพี่ชาย ยกข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เพิ่งไปซื้อมาจากซูเปอร์มาเก็ตเข้าไปไว้ในครัว แถมยังช่วยบรรดาพี่ ๆ คนงานจัดเก็บของเหล่านั้นให้เข้าที่เข้าทางจนเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เพื่อถามไถ่แม่และน้องว่า ต้องการจะรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มหรือเปล่า หลังจากคุณแม่บ้านนำมาเสิร์ฟให้ก่อนหน้านี้

“นี่พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า” น้องสาวถามขึ้น ก่อนจะเหลียวไปสบตากับแม่ “พี่จะเป็นอะไรไปได้ นอกจากเป็นพี่ชายสุดที่รักของเรายังไงล่ะ ยัยตัวเล็ก” ดีนพูดด้วยอาการร่าเริง เขายิ้มให้น้องสาวคนเดียวของเขา ก่อนจะหยิกแก้มเข้าให้เบา ๆ “แม่” น้องสาวของดีนร้องเรียกเสียงหลง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปนั่งจนชิดผู้เป็นแม่

“พี่ดีนไม่สบายแน่ ๆ” น้องสาวอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดันออกไป เพราะนี่ไม่ใช่พี่ชายที่เธอรู้จัก คือ ดีนที่เธอเห็นมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ใกล้เคียงแบบนี้ “ดีนโอเคใช่มั้ยลูก” แม้แต่แม่ของเขาเอง ยังต้องถามย้ำกับลูกชายของเธอเอง ถึงแม้ว่าดีนจะชอบทำตัวขบถให้เธอต้องระอาใจอยู่เนือง ๆ แต่อยู่ ๆ เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ เธอเองก็กังวลใจ

“แม่ครับ ดีนสบายดี” พูดจบดีนก็หอมแก้มแม่เข้าให้ฟอดใหญ่ “ดีนรักแม่นะครับ” ดีนบอกรักแม่ของเขาออกไปด้วยความรู้สึกที่อยากให้แม่รู้และได้ยินออกจากปากเขา “แกแน่ใจนะ ว่าแกโอเค เจ้าดีน” พ่อของดีนถึงกับต้องร่วมเช็กลูกชายของตัวเองด้วยเช่นกัน ไอ้อาการธุระไม่ใช่ที่ลูกชายของเขาเป็นมาโดยตลอด ไม่ช่วยหยิบช่วยจับอะไร อยู่ ๆ จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ยังไงก็ต้องแปลกใจ

“พ่อ อะไรเนี่ย ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ดีนก็แค่อยากจะช่วยแค่นั้นเอง” พ่อ แม่ และน้องสาววของดีนถึงกับต้องมองหน้ากันไปมา “แม่ว่าเป็นแบบนี้มันก็ดีนะดีน” คนเป็นแม่ ได้เห็นลูกชายปรับปรุงตัว มันก็คือของวิเศษที่สุดที่เธอได้รับมา “มันจะทำแบบนี้ไปได้สักกี่วันกันเชียว” ผู้เป็นพ่อเองก็คิดว่าตัวเองนั้นรู้จักลูกชายคนนี้ดีพอ “คุณคะ” ผู้เป็นภรรยาอดไม่ได้ที่จะเข้าข้างลูก เมื่อเห็นผู้เป็นสามีตำหนิลูกแบบนั้น

“คือยังไง” พ่อของดีนยังไม่คลายสงสัย “ไอ้ที่ฉันเห็นช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ” พ่อของดีนกำลังปะติดปะต่อความเป็นมาเป็นไป “แกเข้าบ้านมาหลังเลิกเรียน แล้วแกก็กลับออกไปช่วงเย็น เสร็จแล้วค่ำ ๆ หน่อย แกก็เข้าบ้านมา กระดี๊กระด๊าเหมือนถูกหวยบ้าง ดูกระเง้ากระงอดเหมือนงอนใครมาบ้าง” พ่อของดีนพูดจากทั้งที่ได้เห็นเองและที่ได้รับรู้เข้าหูมา

“จากนั้นก็ขลุกอยู่แต่ในห้อง จะมีก็ได้ยินเสียงงุ้งงิ้งดังออกมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าแกคุยกับใครได้ทุกคืน” พ่อของดีนมองหน้าลูกชาย แล้วถึงกับต้องกลับไปทบทวน เมื่อครั้งที่เขาเองยังเป็นหนุ่มวัยทีน ที่เพิ่งเริ่มจีบแม่ของดีนใหม่ ๆ “หรือใครก็ตามที่แกคุยด้วย ทำให้แกคิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไหนแกบอกพ่อกับแม่มาให้หายข้องใจที” พ่อของดีนเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อธิบายตัวเอง

“พ่อว่า ถ้าวันหนึ่งเราอยากจะเป็นที่พึ่งให้ใครสักคนได้ แบบให้เขาคนนั้นฝากผีฝากไข้กับเราได้” ดีนพูดไป ก็ทำท่าคิดถึงใครบางคนไปด้วย “คือ ดีนหมายถึง เป็นเราที่ให้เขาปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ให้เขากลับบ้านมาเจอเรา ซบไหล่เรา วางใจเรา พ่อว่าดีนเริ่มทำให้เขาเชื่อใจดีนตั้งแต่ตอนนี้ ดีนคิดถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ” คำพูดของดีนทำเองทั้งพ่อและแม่ของเขาได้แต่ประหลาดใจ

“ตอนพ่อเอง พ่อเข้าทางผู้ใหญ่ว่ะ” ผู้เป็นพ่อเองยังเผลอหลุดปากบอกความลับของตัวเองเมื่อครั้งวัยหนุ่มให้ลูกชายได้รับรู้ ดีนที่ได้ยินแบบนั้น ถึงกับยิ้มออกมา “จริงสิ ดีนก็ลืมคิดไปเลย มันอาจจะได้ผลเร็วกว่าก็ได้ พ่อนี่เจ๋งเป็นบ้าเลย ผมรักพ่อนะ” ดีนทำท่าลิงโลด สวมกอดพ่อของเขา “จุ๊บที” หอมแก้มผู้เป็นพ่อ เสร็จแล้วก็วิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน ก่อนจะกลับลงมาอีกครั้ง แล้วบอกกับทุกคน ว่าจะออกไปข้างนอก ดีนยังคงทิ้งปริศนาค้างคาเอาไว้ให้กับทุกคนในบ้านต่อไป

เทปปันเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับแม่ชีเอาไว้จนครบ เขาเช็กอีกรอบว่าทุกอย่างถูกบรรจุใส่ถุงใส่ห่อเรียบร้อย มองดูที่หน้าจอมือถือ เมื่อเห็นว่ารถที่เรียกผ่านแอพใกล้จะมาถึง ก็ขนข้าวของลงไปรอที่ด้านล่างคอนโด เทปปันกล่าวขอบคุณพี่รปภ.ที่กุลีกุจอเข้ามาช่วยเขาถือของไปไว้ที่ด้านหน้าตึก ไม่นานนักรถที่เรียกมา ก็มาถึง

“ไม่ต้องครับพี่ ไม่เป็นไรครับ ของทั้งหมดนี่เดี๋ยวขนขึ้นรถผมเอง” ดีนเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาเคาะกระจกคนขับรถอีกคัน เพื่อบอกให้คนขับรู้ว่า เดี๋ยวเขาจัดการเอง “ปันเดี๋ยวฉันขับรถไปส่งเธอเอง” ดีนร้องบอกกับอีกฝ่าย “แต่ผมเรียกรถไว้แล้ว” เทปปันพยายามจะทักท้วงอีกฝ่าย

“นี่ค่ารถครับพี่ โทษทีนะครับ ที่ทำให้พี่เสียเวลา” ดีนยื่นเงินให้กับคนขับ ก่อนจะกล่าวขอโทษขอโพยแล้วคะยั้นคะยอให้คนขับนั้น ขับรถออกไปจนได้ ดีนหันมาทางเทปปันที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ “ผมไปของผมเองได้” เทปปันที่ได้แต่บ่นออกมา แต่ดีนก็ทำเป็นไม่ได้ยิน รีบเอาข้าวของทั้งหมดไปใส่ไว้ในรถ

“นั่งรถไปกับฉันมันจะเป็นอะไรไป” ดีนถามเทปปันออกไป ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ เทปปันเลี่ยงเดินไปที่รถ ดีนส่ายหัวให้กับความดื้อของอีกฝ่าย “โห อะไรกัน เลยไม่มีซีนพระเอกคาดเข็มขัดให้นายเอกแบบในซีรี่ส์เขาทำกันเลย” ดีนออกอาการเซ็งอยู่ไม่น้อย ที่เห็นเทปปันคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เมื่อเข้ามานั่งในรถ

“ขับรถไปเลยนะ” เทปปันออกคำสั่ง สายตามองตรงไปด้านหน้า เพราะรู้ดีว่าถ้าหากหันไปมองทางดีน ก็จะเจอสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว “ครับผม ได้เลย ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับผม” ดีนรับคำอีกฝ่าย รีบทำตาม ยิ่งเทปปันเอ่ยอนุญาตออกมามัดตัวเองด้วยแล้วแบบนี้ ดีนสตาร์ทรถก่อนจะค่อย ๆ ขับรถนำคนทั้งคู่ไหลเข้าสู่กระแสการจราจรในเมืองหลวง

“แอร์เย็นไปมั้ย” ดีนที่เห็นว่าภายในรถดูจะเงียบเกินไป เอ่ยถามเทปปัน เพื่อสร้างบรรยากาศการนั่งรถไปด้วยกัน “ไม่” คำตอบสั้น ๆ จากเทปปันทำให้ดีนต้องเหลือบไปมองอีกฝ่าย “หลบหน้าไปก็เท่านั้น ยังไงเราสองคนก็ต้องเจอกันอยู่ดี มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป” เทปปันได้ยินที่ดีนพูดและรู้ดี ว่านั่นคือความจริงที่กำลังเกิดขึ้น

“ก็เจอแค่ตอนซ้อมละครเวทีก็ได้” เทปปันตอบกลับไป ตั้งแต่เย็นวันนั้น ที่ทั้งสองอยู่บนเวที เทปปันดูจะพยายามมากขึ้นที่จะหลบหน้าหลบตาดีน “เรามีเรื่องที่ต้องพูดกัน ต่อจากเย็นวันนั้น เธอกับฉัน เราต่างคนรู้ดีว่า วันนั้นมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งด้ายสีขาวข้างบนหัวในที่มืด ๆ ดำ ๆ นั่น ทั้งเสียงเรียกชื่อประหลาด ๆ รวมทั้งด้ายสีแดงที่ผูกเอาไว้ที่นิ้ว”

“ถึงแล้ว เดี๋ยวเลี้ยวเข้าไปด้านใน แล้วจอดรถทางซ้ายมือนี่แหละ” เทปปันถือโอกาสรีบตัดบท เมื่อดีนขับรถมาถึงวัด และเทปปันเห็นว่าอีกฝ่าย เริ่มที่จะพูดถึงเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ บนเวทีในวันนั้น ดีนลอบถอนหายใจเบา ๆ นึกแปลกใจอยู่พอสมควร ที่เทปปันนั้นหาทางเลี่ยงที่จะพูดถึงมันอย่างเห็นได้ชัด

เทปปันเปิดประตูลงไป ก่อนจะขนของลงจากรถ ดีนลงไปช่วย โดยเอาของส่วนใหญ่ที่เทปปันเอามา ไปถือเอาไว้เสียเอง และทำเป็นไม่ได้ยินที่เห็นเทปปันกึ่งบ่นกึ่งเอ็ดเขา เมื่อดีนไม่ยอมคืนของเหล่านั้นไปให้เทปปันถือ ดีนที่เริ่มออกเดินไปสองสามก้าว หันมามองเทปปัน เป็นเชิงให้อีกฝ่ายเดินนำไป

“อ้าวปัน มาหาแม่ชีหรือ” เสียงป้าคนครัวที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้ที่วัด เพราะบ้านของป้าอยู่ติดกับกำแพงวัดทางด้านหลัง “ครับป้า เอาของใช้มาให้แม่ชี แล้วก็ถุงพวกนี้ มีของที่หลวงพ่อเคยเกริ่นเอาไว้นานแล้ว ว่าทางวัดต้องการ ผมมีโอกาสไปเดินซื้อพอดี เลยเอามาให้พร้อมกันวันนี้เลยทีเดียว”

ดีนมองเห็นลักษณะท่าทางการพูดจาของเทปปัน การพูดคุยกับผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย มันทำให้ดีนรู้สึกสบายใจที่ได้เห็น แปลกดี ดีนบอกตัวเอง เขารู้สึกอบอุ่นที่ได้เห็นเทปปันอยู่ใกล้ ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาไม่มีทางเลย ที่จะรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับผู้ชายคนไหน อย่าว่าแต่กับผู้ชายเลย ไม่ว่าคนไหน ไม่ว่าใคร ดีนก็ไม่รู้สึกอยากจะเข้าใกล้ในลักษณะเดียวกันนี้

“ให้ผมเอาวางไว้ไหนดีครับ” ดีนเอ่ยถามกับป้าครัว ถึงถุงพวกนี้ที่ ดีนถืออยู่เต็มสองมือสองไม้ “เอามาไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้ลูก” ป้าพูดบอก พลางชี้มือไปที่แคร่ไม้ใหญ่ที่มีที่ว่างอยู่ ป้าคนครัวยิ้มให้กับดีน รู้สึกดีที่เด็กหนุ่ม ๆ เข้าวัดเข้าวา มาสนใจว่าทางวัดขาดเหลืออะไร เป็นธุระจัดหามาให้แบบนี้

“เดี๋ยวผมขอไปกราบแม่ชีก่อนนะครับ ก่อนท่านจะเริ่มทำวัตรเย็น” เทปปันพูด ไม่รอให้ดีนมีจังหวะขอตามไปด้วย พอพูดจบ เทปปันก็เดินไปตรงทางเดินเล็ก ๆ ที่นำทางไปด้านหลัง “แล้วเราล่ะ ว่างอยู่มั้ย” ป้าคนครัวถามดีน เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เดินตามเทปปันไป ดีนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบป้าไปว่าว่าง

“ถ้าไม่ลำบากมากไป ป้าขอแรงคนหนุ่มหน่อยนะลูก ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนช่วยเท่าไหร่ ป้าทำไปบ้างแล้วบางส่วน เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ ถือว่าทำบุญถวายหลวงพ่อนะลูก หนุ่ม” ดีนเดินตามป้าคนครัวมาถึงที่ด้านข้างวัด พอได้เห็นสถานที่นี้ ไม่ต้องบอกก็พอจะมองออก ว่าป้าคนครัวอยากจะขอแรงเขาทำอะไร

เทปปันเดินกลับมาจากกุฏิของแม่ชี หลังจากช่วยจัดข้าวของที่เอามาให้แล้ว แม่ชีขอตัวไปทำวัตรเย็น วันนี้เลยไม่สามารถอยู่คุยกับเทปปันได้ ด้วยเทปปันเองก็มาถึงวัดเวลาเย็นไปสักนิด เทปปันเดินย้อนกลับมาทางเดิม รถของดีนยังคงจดอยู่ แต่มองไม่เห็นเจ้าของรถ เทปปันหันซ้ายหันขวามองหาอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าดีนหายไปไหน

ดีนยืนเหงื่อโชกเสื้อเชิ้ต ในมือถือแปรงขัดส้วมเอาไว้ ก่อนจะใช้ขันตักน้ำราดซู่ลงพื้นห้องน้ำไล้เอาคราบสกปรกสีดำให้ไหลไปลงท่อระบายน้ำ ก่อนหน้านี้ ดีนแทบจะทนไม่ไหวกับกลิ่นของมัน แต่มันเป็นอย่างที่ป้าคนครัวบอกไว้เลย ว่าเมื่อเราทำให้มันสะอาดแล้ว ทุกอย่างมันก็จะกลับมาเป็นปกติ น่ามองอีกครั้ง

“คุยกับแม่ชีเสร็จแล้วหรือ” ดีนที่เห็นเทปปันเดินมาหยุดยืนมอง เอ่ยถามอีกฝ่ายออกไป เทปปันพยักหน้าให้แทนคำตอบ พยายามซ่อนยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ “ป้าเขาบอกว่า ล้างห้องน้ำวัดเป็นเววาวะจะมัย อะไรนี่แหละ” ดีนยิ้มเขิน ๆ เมื่อเห็นเทปปันมายืนมองเขาทำอะไรแบบนี้ เพราะตอนแรกคิดว่าจะรีบทำให้เสร็จ ก่อนที่เทปปันจะกลับมา

“เวยยาวัจจมัย” เทปปันแก้คำพูดให้ดีน “ขวนขวายรับใช้ผู้อื่น ทำงานที่ดูต่ำด้วยใจที่สูง เป็นข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุทั้งสิบ” เทปปันที่เดินสวนกับป้าคนครัวพอดี จึงรู้ว่าดีนอยู่ที่นี่ “นั่นแหละ” รอยยิ้มกว้าง ๆ แอบเขินของดีน มันทำให้โลกนี้ดูสว่างขึ้นมาอย่างประหลาด “เสร็จพอดี สะอาดแล้ว” ดีนพูดก่อนจะหย่อนแปรงขัดลงไปในกระแป๋งเล็ก ๆ ที่ป้าคนครัวเอามาวางไว้ให้ก่อนหน้านี้

“น้ำ” เทปปันพูดเบา ๆ ก่อนจะส่งขวดน้ำดื่มเย็น ๆ ให้กับอีกฝ่าย ดีนรับมาถือไว้ มองเทปปันด้วยสายตาขอบคุณ ก่อนจะบิดฝาเปิดขวดยกขึ้นดื่ม “ป้าเขาบอกว่า ขัดห้องน้ำวัด จะได้พบกับนางฟ้า” ดีนที่ลดปากขวดน้ำดื่มออกจากริมฝีปาก พูดขึ้น พอดีกับเทปปันที่มองสบตาดีนพอดี

“ไม่คิดว่าจะเจอเร็วขนาดนี้ ล้างเสร็จปุ๊บ เดินมาให้เจอปั๊บเลย” เทปปันได้ยินแบบนั้น ถึงกับจะวางมือวางไม้ไว้ตรงไหน ดูอาการจะรวนไปหมด “ไปรอที่รถนะ” ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก บอกดีนว่าเขาจไปรออีกฝ่ายที่รถ ให้ดีนเดินตามไปก็แล้วกัน ดีนมองตามอีกฝ่ายไปด้วยการหัวเราะออกมาเบา ๆ “หรือตามสมัยนิยม เดี๋ยวนี้ ต้องเรียกว่านายฟ้ากันนะ” ดีนนึกขำตัวเองที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ไปหาอะไรกินกันก่อนนะ ดีนหิว” อยู่ ๆ เทปปันก็ได้ยินอีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัว “ปันล่ะ หิวมั้ยครับ” ดีนถามขณะมองไปด้านหลังเมื่อค่อย ๆ ถอยรถยนต์ เทปปันใจเต้นตึกตัก พยายามไม่คิดถึงอาการที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง “ไว้วันหลัง ดีนขอไปกราบแม่ชีด้วยนะ ได้มั้ย” ดีนพูดขออนุญาตอีกฝ่ายออกไป เทปปันไม่ได้ตอบ และตามนิสัยดีน การที่เทปปันไม่ตอบปฏิเสธ ถือว่าอีกฝ่ายได้ตอบรับไปโดยปริยาย

*****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=D-aCb9xsqTE


ฉันชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

I like myself being with you

ชอบที่ฉันเป็นตอนอยู่กับเธอ

I love the way I am spending time with you

เหมือนฉันได้กลายมาเป็นอีกคนที่ดีกว่าเดิม

As if I became a better version of myself


ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

Like the way I am with you

และชอบตัวเธอตอนอยู่กับฉัน

Love how you are here with me

ฉันชอบเวลาที่เรามีกัน

Crazy about how we have each other


เป็นคนหนึ่งคนที่ไม่ได้ดีอะไร

I am just a person with no good deeds

เป็นคนที่ธรรมดาทั่วทั่วไป

I am just a person with nothing unique

บางทีก็ใจร้อน บางทีก็ใจร้าย

A hotheaded, sometimes people say I’m mean

บางเรื่องก็ไม่เอาไหนเสียเลย

For some things I am unbelievably lousy


วันวันก็ใช้ชีวิตมันเรื่อยไป

Days have been spent aimlessly

วันวันก็ทำอะไรเหมือนเคยเคย

Days have been wasted as usual

ไม่มีหรอกจุดหมาย ไม่มีอะไรเลย

Nothing’s achieving goals, nothing’s ever on point

ไม่มีหรอกวันที่สวยงาม

None of beautiful days to be had


จนวันนี้ที่เธอได้เดินเข้ามา

Until the day you walked into my life

เธอทำให้ฉันรู้ว่า

You’ve been giving me these lights

ฉันเป็นคนที่ดีได้มากแค่ไหน

How I can become so much better


ฉันชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

I like myself being with you

ชอบที่ฉันเป็นตอนอยู่กับเธอ

I love the way I am spending time with you

เหมือนฉันได้กลายมาเป็นอีกคนที่ดีกว่าเดิม

As if I became a better version of myself


ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

Like the way I am with you

และชอบตัวเธอตอนอยู่กับฉัน

Love how you are here with me

ฉันชอบเวลาที่เรามีกัน

Crazy about how we have each other

ชอบที่ฉันนั้นได้รักเธอ

Like it how I get to love you


เธอทำให้คนที่ไม่มีหัวใจ

You made me a man with no heart

ได้รู้ในเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจ

Understand things I never thought I’d get

คนที่เคยใจร้อน คนที่เคยใจร้าย

Used to rush into things, unnecessarily cruel

กลายเป็นอีกคนที่รักใครเป็น

Now I am a man who knows how to love


เธอเมื่อเธอได้เดินเข้ามา

You, you are now in my life

เธอทำให้ฉันรู้ว่า

You showed me how things are

ฉันเป็นคนที่ดีได้มากแค่ไหน

Now I want to be a better man for you


ฉันชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

I like myself being with you

ชอบที่ฉันเป็นตอนอยู่กับเธอ

I love the way I am spending time with you

เหมือนฉันได้กลายมาเป็นอีกคนที่ดีกว่าเดิม

As if I became a better version of myself


ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

Like the way I am with you

และชอบตัวเธอตอนอยู่กับฉัน

Love how you are here with me

ฉันชอบเวลาที่เรามีกัน

Crazy about how we have each other

ชอบที่ฉันนั้นได้รักเธอ

Love this chance that I love you


ชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับเธอ

I like myself the way I’m with you

และชอบตัวเธอตอนอยู่กับฉัน

And I love you how you’re treating me

ชอบเวลาที่เรามีกัน

Treasure the time that now we share

ชอบที่ฉันนั้นได้รักเธอ

Love the way I am falling for you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๐. หวน (ให้) คิดถึง ๒๓/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 23-12-2022 13:50:00
บทที่ ๒๐. หวน (ให้) คิดถึง



2537

1994



“แกคิดเอาไว้หรือยัง กั้ง ว่าแกจะแสดงอะไรวันปัจฉิมนิเทศ” หนึ่งในเพื่อนผู้หญิง ที่สนิทที่สุดของกั้งถามขึ้น กั้งที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋านักเรียน ทำหน้าคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ “แกต้องรีบคิดได้แล้วนะ ไหนจะต้องเผื่อเวลาซ้อมอีก” เพื่อนสนิทอีกคนของกั้งพูดเสริมขึ้น

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย” กั้งถาม มองหน้าสองเพื่อนสาวสลับไปมา “ยังจะต้องถามอีกหรือ” หนึ่งในนั้นทำหน้าทำตาว่ารู้ทันความคิดของกั้ง “แกก็รู้ ว่าแกอยากขึ้นแสดงบนเวที ใช่มั้ย ยู่ยี่” เสียงเพื่อนทั้งสองคนของกั้งเอ่ยแซวอย่างเฮฮา “ยับเยินล่ะไม่ว่า” กั้งพูดพร้อมหัวเราะเสียงใส “ยวบยาบ” อีกคนต่อคำ “ย้วยยาน” คนที่เหลือเสริม

“ไม่รู้ล่ะ แกไปคิดมาเลย ว่าจะทำอะไรเป็นการแสดงของห้องเรา” เพื่อนทั้งสองคนสรุปให้กั้งเสร็จสรรพ “เออ ๆ รู้แล้วน่า” กั้งตกปากรับคำเพื่อนทั้งสองออกไป “แล้วนี่แกกลับบ้านเลยมั้ย” กั้งเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเมื่อได้ยินคำถามนั้น “ยังหรอก” กั้งตอบเพื่อนไปสั้น ๆ สายตามองออกไปด้านนอกประตูห้องเรียน

“วันศุกร์ทั้งที” กั้งกำลังคิดว่า จะไปเดินเล่นที่ไหนดี เมื่อพรุ่งนี้คือวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาไม่ต้องไปโรงเรียนและสามารถนอนตื่นสายได้อีกหน่อย เพื่อนทั้งสองคนของกั้งมองหน้ากันยิ้ม ๆ “จะไปออกเดตกันที่ไหนอีกล่ะ” ก่อนจะเอ่ยปากแซวกั้งอีกคำรบหนึ่ง กั้งยิ้ม ๆ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ก็จงใจจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น

“ถามจริง ๆ เถอะ แกสองคนยังไงกันแน่ กับไอ้ทิวน่ะ” เพื่อนถามด้วยอาการอยากรู้จริง ๆ จัง ๆ “อะไรของพวกแกเนี่ย” กั้งเฉไฉทำเป็นไม่เข้าใจเจตนาของคำถามนั้น “เป็นแฟนกันจริง ๆ แล้วใช่มั้ย แกบอกพวกฉันสองคนมาเถอะ” สองคนนั่นยังคงคะยั้นคะยอให้กั้งตอบคำถาม บอกในสิ่งที่อยากได้ยิน

“เพื่อนกันทั้งนั้น” กั้งตอบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องเรียน “ไปนะ” ก่อนจะร่ำลาเพื่อนคนสนิททั้งสองเขา “อีกั้ง บอกพวกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ สารภาพมาซะ” เพื่อนได้แต่โหวกเหวกไล่หลังไป เมื่อกั้งยังไม่คลี่คลายความคลุมเครือ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและทิว ที่นับวันดูจะแยกกันไม่ออกแล้ว ว่าสนิทกันแบบเพื่อน หรือว่าสนิทกันแบบแฟน

กั้งเดินจงมาจากอาคารเรียน ก่อนจะไปนั่งรอที่โต๊ะใต้ตึกอย่างทุกครั้งที่เคยทำมา เป็นอันรู้กันระหว่างทิวและกั้ง ว่าเมื่อถึงวันสุดสัปดาห์แบบนี้ มันตั้งสองวันที่จะไม่ได้เจอกัน ดังนั้น เย็นวันศุกร์คือวันที่ทั้งคู่นัดแนะกัน ว่าจะให้เวลากัน จะเป็นเย็นของวันพิเศษ ที่จะไปเดินเที่ยว ไปกินข้าว หรือทำกิจกรรมอื่นใด ตามแต่จะต้องการ

“รอไอ้ทิวหรือกั้ง” เพื่อนในกลุ่มของทิวทักขึ้น เมื่อเดินผ่านมาทางนี้พอดี “อืม เลิกเรียนแล้วหรือยัง” กั้งถามออกไป ก็ถ้าเพื่อนในห้องของทิวออกมาจากห้องเรียนได้แบบนี้ ก็แสดงว่าเลิกคาบแล้ว “โอ๊ย เลิกตั้งนานแล้ว วันนี้อาจารย์ไม่มา ฝากงานเอาไว้ พวกกูสลายตัวกันตั้งแต่ต้นคาบ” เพื่อนต่างห้องของกั้งอธิบายให้ฟัง

“ไอ้ทิวก็ด้วย” คำพูดของเพื่อนกลุ่มเดียวกับทิว ว่าไว้อย่างนั้น “มันกลับไปตั้งนานแล้วนะ เห็นบอกว่ามีธุระพอดี มันไม่ได้บอกกับมึงหรือวะกั้ง” คนที่นั่งฟังนั้น ได้แต่นิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง “อ๋อ เปล่าหรอก เออ ๆ ทิวบอกเราเลย ไม่ได้รอหรอก จะกลับพอดี เจอกันวันจันทร์นะ” กั้งพูดเร็วปรื๋อ ก่อนจะรีบคว้ากระเป๋านักเรียน แล้วเดินออกมาในทันที

กั้งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเคว้งคว้างอย่างประหลาด อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่เคยมีอะไรแบบนี้ เกิดขึ้นกับเขามาก่อน ไม่เลย ไม่เคยเลย กับทิวนั้น คนคนนั้นเป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่ตัวของทิว เพราะปกติแล้วแม้อะไรเพียงเล็กน้อย เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ ทิวจะบอกกับกั้งเสมอ กับทิวกั้งไม่เคยต้องเดา แต่กับวันนี้ มันแตกต่างไป

กั้งนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พ่นลมหายใจออกมาอย่างเนือย ๆ มองดูรถเมล์คันแล้วคันเล่า สายนั้นสายนี้ผ่านไป มองดูนักเรียนที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักก็เยอะ เคยเห็นหน้าแบบผ่าน ๆ คุ้นเคยกันดี พากันขึ้นรถเมล์จากไป แต่กั้งยังไม่รู้เลย ว่าเขาจะไปไหน วันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปที่ไหนสักที่หนึ่งกับคนที่เป็นพิเศษในหัวใจ

กั้งนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น มีอาจารย์บางคนที่จำกั้งได้ ถามไถ่ว่าเย็นแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน กั้งได้แต่ยิ้มตอบ ไม่ได้พูดอะไร เมื่อแสงตะวันที่ร้อนแรงเมื่อสักชั่วโมงก่อน ตอนนี้แสงแดดนั้นโรยแรงลงไปแล้ว แสงไฟตามท้องถนนและรถราที่วิ่งอยู่ เริ่มแสดงตัวให้เห็น แต่กั้งนั้น จะให้เขาตรงดิ่งกลับบ้านในตอนนี้ นั่นไม่ใช่ทางเลือกแรกของเขาอย่างแน่นอน

รู้ตัวอีกที กั้งก็ก้าวเท้าลงจากรถเมล์ ที่เขานั่งมาไกลพอสมควร ถนนสายที่เขาได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ยังไม่เคยได้มาเห็นกับตาเลยสักที ก่อนหน้านี้ก็ได้แต่เปรย ๆ เอาไว้กับทิว แต่รายนั้นยังลังเลที่จะมา กั้งเลยพับเรื่องนี้เอาไว้ จนกระทั่งกั้งบอกกับตัวเองว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะมาให้รู้กันไป

กั้งเดินไปตามถนนเส้นนี้ เหมือนกับว่าตัวเองคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี หัวค่ำเช่นนี้ มีหนุ่มสาวชาวออฟฟิศหลายคนที่ยืนรอรถเมล์เพื่อกลับบ้าน แต่กั้งนั้นรู้ดีว่า เขามาเพื่อจะสำรวจแถวนี้ให้หายสงสัย ช่วงกลางวันมันก็เป็นถนนเศรษฐกิจสายหลักสายหนึ่งของกรุงเทพมหานคร แต่พอเย็นย่ำค่ำมา มันก็คือถนนเส้นที่คนมากมายมาหาความสุข มาเติมความสำราญในยามค่ำคืนให้กับตัวเอง

กั้งแวะซื้อลูกชิ้นจากรถเข็นข้างทางมากินแก้หิว เพื่อให้ตัวเองได้มีข้ออ้างนั่งลงที่แท่นปูนเตี้ย ๆ ที่ตึกและอาคารแถวนั้นก่อขึ้นเป็นแนวกั้นตัวตึกเอาไว้จากริมทางเดินเท้า กั้งมองดูผู้คนที่ขวักไขว่ไปมา บ้างก็รีบขึ้นรถเมล์เพื่อจะได้กลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด บ้างก็หันมองมาทางกั้ง ที่อยู่ในชุดนักเรียน ว่าทำไมถึงมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ในย่านนี้

กั้งกินลูกชิ้นเสร็จ นั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก พอเห็นว่าเริ่มจะเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้ชายที่เดินผ่านมาผ่านไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยใบหน้าคมคาย ที่ค่อนข้างเตะตาผู้คน กั้งลุกขึ้นจากขอบปูนเตี้ย ๆ นั้น โยนถุงใส่ลูกชิ้นลงถังขยะ ก่อนจะเดินผ่านกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้น ที่มองกั้งอย่างสนใจ แต่ก็ติดที่ว่า กั้งนั้นอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม พวกนั้นจึงได้แต่มองตามกั้งเดินไป โดยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

กั้งนึกถึงชื่อร้านกินดื่มที่เคยได้ยินคนเขาพูดกัน ว่ามันอยู่ในละแวกถนนสายนี้ เดินไปตามทางเดิน กั้งก็มองหามันไปด้วย กั้งเดินขึ้นลงตรอกซอกซอยที่เรียงรายอยู่ติดกันบ้าง ห่างกันบ้าง จนเมื่อยขาไปหมด แต่ก็ยังไม่เห็นป้ายหน้าร้านอย่างที่แอบฟังคนเขาคุยกัน ว่าร้านนี้เป็นร้านพิเศษ ของบรรดาชายกลุ่มพิเศษที่พวกเขาจะมานั่งสังสรรค์กัน

แต่จู่ ๆ สายตาของกั้งก็มองเห็นป้ายไฟนีออน เขียนชื่อร้านที่เขามองหา ทีแรกกั้งทำทีเดินผ่านไปรอบหนึ่งก่อน ไม่แสดงออกว่าตัวเองมีท่าทีสนใจ เดินผ่านไปเฉย ๆ ก่อนจะเดินย้อนกลับมา แล้วทำชำเลืองมองแบบไม่ให้มีพิรุธมากที่สุด จนทำให้กั้งต้องเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้าร้านนั้นอยู่หลายรอบ

“มาทำอะไรแถวนี้ เห็นเดินไปเดินมาอยู่หน้าร้านนี่หลายรอบแล้ว” เสียงทักนั้นทำให้กั้งถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง ยิ้มแหย ๆ ให้กับชายร่างสูงผอม ที่แต่งตัวแต่งหน้ากึ่ง ๆ ผู้หญิง “พี่ ผมขอเข้าไปดูในร้านพี่ได้มั้ย อยากรู้ว่าข้างในมันเป็นยังไง” กั้งตัดสินใจพูดออกไป กับคนที่ดูไปแล้ว ก็น่าจะเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว

“ยังอยู่ในชุดนักเรียนเนี่ยนะ ไป รีบกลับบ้านไป อย่าให้ต้องออกมาไล่อีก” สิ้นเสียงพูดนั้น เจ้าของร้ายก็หันขวับเดินเข้าร้านไป กั้งได้แต่ทำหน้าเสียดาย นั่งลงที่ข้าง ๆ ทางเข้าร้านอย่างเสียดาย มองไปทางที่เดินกลับไปป้ายรถเมล์ ก็ให้นึกเซ็ง “ฉันไม่ได้บอกนะ แต่ถ้าแกเห็นซอยแคบ ๆ ตรงนั้น เดินเข้าไป มันจะเจอกับทางเข้าหลังร้าน” กั้งหันไปมองอีกฝ่าย ยิ้มกว้างออกมาในทันที ก่อนจะรีบเดินไปตามที่บอก เพราะอีกฝ่ายพูดว่า ขืนชักช้าจะเปลี่ยนใจ

“เปลี่ยนซะก่อน” กั้งคว้าเสื้อยืดและกางเกงวอร์มที่เจ้าของร้านโยนให้ แล้วก็ถอดรองเท้านักเรียนชขายของแกออกด้วย โน่น ห้องน้ำ” กั้งตอบรับคำไปเบา ๆ ก่อนจะรีบทำตาม เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เยี่ยมหน้าออกไปที่ด้านหน้าร้าน มันเป็นร้านกึ่ง ๆ บาร์เหล้า มีเวทีเตี้ย ๆ อยู่ที่มุมด้านหนึ่งของร้าน ที่ใช้สำหรับแสดงดนตรีสด

“ขอบคุณนะครับพี่ ที่ใมให้ผมเข้ามาดู” กั้งพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ “ผม” เสียงถามจากพี่เจ้าของร้านด้วยเสียงสูง กับความสงสัยที่ได้ยินกั้งพูดแบบนั้น “หนูก็ได้ หนูขอบคุณพี่มากนะคะ” กั้งตอบออกไปด้วยท่าทีอ้อนแอ้น เจ้าของร้านหลุดหัวเราะออกมา กั้งเองก็ยิ้มกว้าง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นกว่าในตอนแรก

“ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” เจ้าของร้านพูดกับกั้ง ที่ตอนนี้มองสำรวจไปรอบ ๆ ร้าน มีผู้ชายกลุ่มเล็ก ๆ กระจายนั่งอยู่ที่โต๊ะต่าง ๆ ทั่วร้าน “แกไม่ได้คิดจะมาขายอะไรแถวนี้ใช่มั้ย” เสียงถามนั้นฟังดูจริงจังและเข้มงวดอยู่ในที “ขาย” กั้งทวนคำพูดนั้นออกไป พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เพราะถ้าแกจะมาอัพราคาด้วยการใส่ชุดนักเรียน ฉันจะจับแกโยนออกไปนอกร้านเสียตอนนี้” กั้งถึงกับต้องส่ายหน้าดิก ๆ บอกว่าเขาไม่ได้คิดจะมาทำการค้าอะไรแถวนี้จริง ๆ ก่อนจะยื่นบัตรนักเรียนให้กับเจ้าของร้านดู “แกจะทำให้ฉันต้องปิดร้าน ติดคุก ก็ตอนนี้แหละ” ไม่พูดเปล่าสายตาดุ ๆ ที่ใช้มองมาที่กั้งนั้น มีแววอาทรอยู่ในที ราวกับว่า พี่เจ้าของร้านเองพอจะเข้าใจกั้งอยู่ไม่น้อย

“เจ้” กั้งเรียกพี่เจ้าของร้านอย่างตีสนิท “เขาดื่มอะไรกันน่ะ น้ำสีสวย ๆ นั่นน่ะ ขอหนูแก้วหนึ่งสิ นะ” กั้งบอกกับพี่เจ้าของร้าน “แกอยากกินไอ้น้ำสี ๆ นั่น” พี่เจ้าของร้านทวนคำของกั้ง ไม่นานนัก ก็ยื่นแก้วน้ำสีสวยส่งให้ กั้งรับมันมาก่อนจะรีบยกมันขึ้นดื่มอึกใหญ่ “โหย เจ้ นี่มันน้ำส้มนี่” กั้งประท้วง เมื่อเห็นว่าในแก้วมันไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่นึกเอาไว้

“อีเด็กเวร จะให้ฉันถูกสั่งปิดร้านวันนี้ให้ได้เลยใช่มั้ย” เสียงด่ากลับมาแต่ฟังดูไม่จริงจังนัก กั้งหัวเราะชอบใจไปกับคำด่าที่ได้ยิน ก่อนจะหุบยิ้มลง เหมือนกับนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ “เจ้หวี” กั้งเรียกพี่เจ้าของร้าน “เจ้เหมือนพี่สาวที่หนูอยากให้เป็นเลยนะ” กั้งสบตากับอีกฝ่าย ที่มองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของเด็กคนนี้

“จะให้ดี เจ้เป็นแม่หนูไปเลยดีกว่า” กั้งพูดจบ ก็รีบกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะเสยกแก้วน้ำส้มนั้นขึ้นดื่ม เจ้หวีหยิบแก้วน้ำไปเติมน้ำส้มเพิ่มให้อีก “หิวมั้ย” เจ้หวีถามเมื่อวางจานไก่ทอดเจ้าอร่อยที่เธอซื้อเอาไว้เมื่อเย็น ไว้ตรงหน้ากั้ง คนถูกถามไม่ตอบ แต่ยกไก่ชิ้นใหญ่ขึ้นกัดเข้าปาก “อร่อย” กั้งบอกกับเจ้หวีออกไปแบบนั้น

คืนนั้น กั้งพูดคุยกับเจ้หวี กะเทยแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอย่างถูกคอ เจ้หวีเป็นคนดุ แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนใจร้ายอะไร สายตาที่เจ้หวีมองกั้ง เหมือนรู้จักเด็กผู้ชายคนนี้ดี อะไรบางอย่างในตัวของกั้งสะท้อนให้เห็นภาพของเธอเมื่อนานมาแล้ว กั้งเองนั้น รู้สึกสนุกมากที่ได้ช่วยเจ้หวีหยิบจับนั่นนี่ วิ่งเติมน้ำแข็งให้ลูกค้าบ้าง ช่วยเก็บจานเคลียร์โต๊ะอย่างคล่องแคล่ว มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าให้เห็นตลอดเวลา

“เจ้ไม่เปลืองค่าน้ำส้ม ค่าไก่ทอดที่เอามาให้หนูกิน ไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ แน่นอน” เจ้หวีนึกขำไปกับคำพูดฉอเลาะของกั้ง เจ้เอง แกก็นึกประหลาดใจ ที่อยู่ ๆ วันดีคืนดี เด็กน้อยคนนี้ ก็โผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มาชวนคุย มาพูดนั่นพูดนี่ราวกับว่า กั้งเป็นสมาชิกในครอบครัวของเธอเอง ที่ร้างห่าง หายหน้าหายตาจากกันไปนาน

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=rdU0cWct9dc


ดวงตะวันก็ลับ ดาวก็จับเต็มฟ้า

The sun already set, stars now up in the night sky

นกกาใหญ่น้อย กลับเข้ารัง

Birds flew back to their nests

ใครที่มีคนรัก มีคนที่รอข้างหลัง

Those with loved ones, waiting for them

ทุกคนต่างคง กลับบ้านไป

All return to their homes


แต่ว่าฉันยังไม่ยอมกลับ

But I am still out here

ฉันยังไม่ยอมกลับ

I’m not yet going back

อยากนั่งอยู่เรื่อยไป

Still sitting around here

อยู่กับเพื่อนที่ไม่รู้จัก

Staying behind with unfamiliar faces

เพื่อนที่ไม่รู้ใจ

Total strangers as new friends

ก็พอให้คลายเหงา

Loneliness seems to fade


ไม่อยากกลับบ้าน ที่นั่นไม่มีใครรอฉันอยู่

Don’t want to go home, no one’s waiting for me there

จะทุกข์ใจเท่าไร

How sad it’ s gonna be

เมื่อไม่มีใครเฝ้าดู จะอยู่กับใคร

That nobody cares, who I’m gonna be with


ไม่อยากกลับบ้าน

Not really want to be home

ที่นั่นไม่มีใครห่วงใครเข้าใจ

No one’s willing to understand me

ไม่เห็นใครสักคน

Nobody wants to see me

ที่คอยมาห่วงใย กลับไปทำไม

To care, why bother to be there?

เมื่อไม่มีใคร เขาต้องการ

Since no place is really for me


คงจะดีกว่านี้ คงไม่เป็นอย่างนี้

It might be better, it may not be this way

ถ้าเพียงแค่มี ใครซักคน

If there’s someone to care for

มีสักคนรอรับ มีสักคนเท่านั้น

Someone who waits for my return, just only one

ฉันเองก็คง กลับบ้านไป

I will be going home right now


แต่ว่าฉันยังไม่ยอมกลับ

But I am still out here

ฉันยังไม่ยอมกลับ

I’m not yet going back

อยากนั่งอยู่เรื่อยไป

Still sitting around here

อยู่กับเพื่อนที่ไม่รู้จัก

Staying behind with unfamiliar faces

เพื่อนที่ไม่รู้ใจ

Total strangers as new friends

ก็พอให้คลายเหงา

Loneliness seems to fade


ไม่อยากกลับบ้าน ที่นั่นไม่มีใครรอฉันอยู่

There’s no way home, no one’s waiting for me there

จะทุกข์ใจเท่าไร

How sad it’s gonna be

เมื่อไม่มีใครเฝ้าดู จะอยู่กับใคร

That nobody cares, who I’m gonna be with


ไม่อยากกลับบ้าน

Can’t find a place called home

ที่นั่นไม่มีใครห่วงใครเข้าใจ

No one’s willing really understand me

ไม่เห็นใครสักคน

Nobody wants to see me

ที่คอยมาห่วงใย กลับไปทำไม

To care, why bother to be there?

เมื่อไม่มีใคร เขาต้องการ

Since that place isn’t for me
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๑. ลมหนาวคราวคิดถึง ๒๔/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-12-2022 17:06:39
บทที่ ๒๑. ลมหนาวคราวคิดถึง



2560

2017



ตฤณก้าวลงจากรถยนต์คันหรู หลังจากที่คนรถเปิดประตูให้ จากคำสั่งที่ถูกกำชับกำชามาเป็นอย่างดี จากเจ้าของรถยนต์สัญชาติยุโรปราคาแพงระยับคันนี้ ตฤณเดินผ่านอาคารทรงทันสมัยที่อยู่ตรงด้านหน้าเข้าไปด้านใน มีพนักงานอยู่ในชุดสูทที่ดูดีคอยต้อนรับและบอกทางเป็นระยะ ๆ ด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับที่อบอุ่น บ่งบอกถึงระดับชั้นสูงของสถานที่นี้ได้เป็นอย่างดี

ตฤณเดินต่อมาอีกนิด ก็มีพนักงานที่ได้รับมอบหมายมาเป็นพิเศษ ออกมากล่าวทักทาย ก่อนจะเรียกให้บริกรนำแชมเปญสีสวยมาเสิร์ฟให้ถึงมือ พร้อมเดินนำไปในส่วนทางเดินของลูกค้าระดับซูปเปอร์วีไอพี ที่แยกออกจากลูกค้าทั่วไปอย่างชัดเจน เมื่อเดินออกไปทางประตูที่เป็นสัดส่วน แตกต่างจากคนอื่น ตฤณมองเห็นเรือริเวอร์ครูซขนาดใหญ่ จอดเทียบท่ารออยู่

ตฤณมองขึ้นไปบนชั้นสองของเรือ มีทางเดินปูพรมทอดยาวขึ้นไปจนถึงด้านบน ก่อนที่เขาจะเห็นเจ้าของไอเดียเดินยิ้มออกมาที่ด้านบนเรือนั้น ตฤณเดินขึ้นไปบนเรือตามท่าทางผายมือเชื้อเชิญของอีกฝ่าย ที่อยู่ในชุดสูทลำลองที่เป็นแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากชุดสูทลำลองคัตติ้งเนี้ยบ ที่ตฤณใส่มาในวันนี้ ที่คนที่ยืนรอเขาบนเรือลำนี้ ส่งมาถึงที่คอนโดเมื่อวันก่อน

“ต้องขนาดนี้เลยหรือครับ” ตฤณเอ่ยถามเอากับเจ้าตัว ที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบ แต่ชี้ไปที่แก้วแชมเปญที่ตฤณต้องดื่มรวดเดียวให้หมดในตอนนี้ “ชอบมั้ยครับ” ตฤณสบตากับเจ้าของคำถาม “เพราะผมจะได้ให้เขาขนขึ้นมาบนเรือหลาย ๆ ลัง ก่อนกัปตันนำเรือออก” ตฤณยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ กับที่ได้ยิน

“ขี้โอ่จัง” ตฤณพูดก่อนยื่นแก้วแชมเปญนั้นส่งให้กับพนักงานประจำเรือ “มันคือความทรงจำดี ๆ ของเราสองคน” พูดจบ เจ้าของความคิดที่เจ้ากี้เจ้าการทำมาทั้งหมดนี้ ก็ยื่นวงแขนให้ตฤณได้คล้อง เพื่อเดินเข้าไปด้านในตัวเรือ “ล่องเรือกินข้าวเย็น มันก็ดีอยู่หรอกนะครับ แม่น้ำเจ้าพระยายามเย็นก็สวยมากอยู่ แต่เล่นเหมาเรือทั้งลำนี่” ตฤณหยุดประโยคของเขาเอาไว้ เป็นเชิงถามกลับไปที่อีกฝ่าย

“ก็ถ้าเราไม่เหมาให้เรือลำนี้ ตลอดช่วงสามชั่วโมงต่อจากนี้ เป็นของเราแค่สองคน ผมจะทำแบบนี้ได้มั้ย” คนถาม โน้มใบหน้าเข้าหาตฤณ ก่อนที่จะบรรจงหอมแก้มตฤณไปฟอดใหญ่ “ได้แน่นอนค่ะ คุณนฤเบศ” ผู้จัดการเรือที่เป็นผู้ร่วมวางแผนดินเนอร์ในครั้งนี้กับหนุ่มใหญ่ เอ่ยขึ้น

“กัปตันให้มาเรียนคุณนฤเบศและคุณตฤณว่า เรือจะออกอีกภายในสิบนาทีนี้ ถ้าคุณนฤเบศต้องการที่จะหอมอีกเป็นฟอดที่สิบยี่สิบ น้อง ๆ พนักงานจัดเตรียมโต๊ะที่ด้านหัวเรือพร้อมแชมเปญที่คุณตฤณชอบเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เชิญทางนี้ค่ะ” นฤเบศหัวเราะชอบใจอย่างเปิดเผย ตฤณนั้นรู้สึกได้ถึงความเปิดกว้างในการดำเนินงานของเจ้าของธุรกิจแห่งนี้

“ต้องการอะไร ขาดเหลืออะไร อยากเพิ่มตรงไหน เรียกใช้ได้เลยนะคะ เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ รวมถึงแจ้งน้อง ๆ ได้เลย หากว่าคุณนฤเบศและคุณตฤณต้องการเป็นส่วนตัว ออลไพรเวซี่” คุณผู้จัดการเรือพูดจบก็ขอตัวไปทำหน้าที่ของเธอ บรรดาน้อง ๆ พนักงานสองสามคน ต่างเข้ามารินแชมเปญ เสิร์ฟอาหารต่าง ๆ ที่มันน่ากินมากเสียจน ไม่อยากจะตักมันขึ้นมาจากจานเหล่านั้น เพราะนั่นคือจะต้องทำลายความสวยงามของมันลง

“คริสต์มาส อีฟ ไม่รู้จะไปไหน” นฤเบศพูด มองดูตฤณที่เติมแชมเปญลงแก้วเป็นรอบที่สาม “ปกติวันอาทิตย์ ผมต้องทำงาน” ตฤณตอบนฤเบศกลับไป “คนเป็นลูกจ้างเขา” นฤเบศสบตากับตฤณ เมื่อได้ยินแบบนั้น “ผมบอกคุณแล้ว ว่าคุณไม่จำเป็นต้องทนเป็นลูกจ้างใครอีก” ตฤณจิบแชมเปญรสชาติเยี่ยม ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ “ผมจะไปหาเงินขนาดนั้นมาคืนคุณยังไงดี” ตฤณพูดถึงเงินจำนวนไม่น้อย ที่ตฤณจ่ายให้กับร้านที่เขาทำงานอยู่ เพื่อที่ว่าคืนนี้ ตฤณจะได้ออกมาล่องเรือกับเขาได้

“คุณไม่ต้องจ่ายเงินอะไรคืนให้ผมสักสตางค์แดงเดียว” นฤเบศพูด “แค่คุณตอบตกลงเป็นแฟนกับผม” นฤเบศจำได้ว่า เขาเคยขอตฤณมากกว่าแค่การย้ายมาอยู่ด้วยกันกับเขาเสียด้วยซ้ำ “รอดูอีกห้าปี ถ้าเราต่างยังไม่มีใคร” แต่ตฤณก็ปฏิเสธเขามาตลอด และเมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ ตฤณก็บอกว่าอีกห้าปีค่อยว่ากัน

“เราไม่ต้องปิดบังใครแล้วนะตอนนี้ ตฤณ เผื่อคุณไม่ทันสังเกต” จากยุคนั้นของนฤเบศ ที่แม้แต่คนที่มีเงินทองมากมายมหาศาล ฐานะรวยล้นฟ้าอย่างนฤเบศ ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ “คำพูดของคนที่เพิ่งหย่าเมีย” ตฤณเย้าแรง ถ้าเป็นเมื่อก่อน นฤเบศคงจะนึกเคืองอีกฝ่ายอยู่บ้าง

“เมียที่ไม่ได้อยากมีตั้งแต่แรก” นฤเบศพูดจบ ก็หยิบแก้วแชมเปญขึ้นกระดกรวดเดียว “เงินที่จ่ายไป มันก็คุ้มราคาดี กับเสรีภาพที่ได้กลับคืนมา” พนักงานเติมแก้วที่พร่องเครื่องดื่มราคาแพงนั้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปประจำการในสเตชั่นที่ไกลออกไป เพื่อความเป็นส่วนตัวขั้นสูงสุดของลูกค้า

ตฤณรู้ดีว่านฤเบศต้องผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง ทันทีที่บิดาของเขาเสียชีวิต นฤเบศประกาศหย่าขาดจากภรรยาที่พ่อของเขาเป็นคนหาให้แทบจะในทันที ตอนนั้นนฤเบศบอกกับตฤณว่า มันคือความหวานอมขมกลืนที่เหมือนกับว่าเขาดีใจที่พ่อของตัวเอง ไร้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป เพื่อที่ว่า คนอย่างนฤเบศจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตที่เขาต้องการได้เสียที

“ต่างจากคนที่ผมรอให้เขาตกลงมาเป็นเมียมาโดยตลอด” สายตาที่กรุ้มกริ่มของนฤเบศ หากสาวน้อยหรือเกย์วัยกระเตาะได้ยินเข้า คงหวั่นไหวใจละลายกันไปข้าง “เราแค่เอากันเท่านั้น” ตฤณพูดขึ้น เพราะนั่นคือพันธะที่ทั้งสองคนสร้างขึ้นระหว่างกัน ด้วยการขีดเส้นเอาไว้ว่า มันไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ชายสองคนที่นัดมาเจอกัน เมื่อมีความต้องการ

“ผมเอาดีนะ” นฤเบศพูดยิ้ม ๆ “เอาดี ๆ” ตฤณตอบกลับไป “ผมเคยเอาไม่ดีด้วยหรือครับ” ตฤณยิ้ม เสยกแก้วแชมเปญขึ้นดื่ม “หวังว่าการจ่ายค่าเรือดินเนอร์ในคืนนี้ เพื่อคนอย่างผม จะคุ้มราคานะครับ” ตฤณสัพยอก นฤเบศจ้องตากับตฤณ “สำหรับคุณ มันคือคุณค่าครับ ไม่ใช่เรื่องราคา” บางครั้งการได้ยินคำชมอย่างจงใจพูดแบบนี้ มันก็ทำให้ตฤณอดเขวไปกับการเกี้ยวพาราสีแบบโต้ง ๆ นี้ไม่ได้เช่นกัน ด้วยที่ที่จะไปจบลงในราตรีคืนนี้ ทั้งตฤณและนฤเบศต่างก็รู้ดี ว่ามันเป็นที่ใด

ดินเนอร์หรูบนเรือดำเนินไปเป็นอย่างดี และจบลงด้วยความประทับใจ เป็นสามชั่วโมงของนฤเบศและตฤณที่แพงระยับ แต่เจ้าของไอเดียนั้นมองว่า มันช่างเป็นการจ่ายเงินที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ดีกว่าการใช้เงินแบบคนโง่ ที่นฤเบศยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับเขาอยู่บ่อยครั้ง กับการจ่ายเงินซื้อความสุขเท่าที่ผ่านมาในชีวิตของชายหนุ่มอย่างเขา

นฤเบศพาตฤณกลับมาที่เพ้นท์เฮ้าส์สุดหรูหราของเขา ทั้งสองนั่งดื่มต่อกันอีกเล็กน้อย คุยกันด้วยเรื่องราวสัพเพเหระ ที่ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่แสนวิเศษค่ำคืนหนึ่งของทั้งคู่ การได้นั่งดื่มเครื่องดื่มชั้นยอดด้วยกัน ได้พูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่ ตลอดจนถึงการที่ทั้งสองคน จบค่ำคืนดังกล่าวลง ด้วยการขึ้นเตียงด้วยกัน

เมื่ออารมณ์ของทั้งสองนั้น คุกรุ่นและพร้อมเต็มที่ นฤเบศช้อนบั้นท้ายของตฤณให้ยกสูงขึ้น ก่อนดันหมอนใบหนึ่งเข้าไว้ข้างใต้ เขาจับขาของตฤณแยกออก มองเห็นทางเข้าลอยเด่น เจลลื่นเย็นถูกป้ายและแทรกเข้าไปในช่องทางนั้น ตฤณบีบต้นแขนกำยำของนฤเบศแน่น เมื่อนฤเบศดันตัวเข้าไปด้านในของตฤณจนสุด

นฤเบศค้างตัวเองเอาไว้แบบนั้น พรมจูบระดมหอมทั้งซอกคอและติ่งหูของตฤณจนทั่ว และเมื่อเห็นว่าตฤณเริ่มผ่อนคลายแล้ว เขาก็เริ่มขยับโยกตัวเข้าออก จากช้า ๆ เนิบนาบ จนกลายเป็นเร่งความเร็วที่ทำให้ตฤณนั้น ถึงกับหลุดครางออกมาเป็นระยะ ๆ เสียงครางด้วยความสุขสมของอีกฝ่าย ทำให้นฤเบศเริ่มโหมแรงหนักขึ้นมากขึ้น

ตฤณนั้นปล่อยใจปล่อยอารมณ์ไปกับการนำพาของนฤเบศ ความรู้สึกที่เตลิดไปไกลจนไม่อาจจะเรียกกลับมาได้อีก ตฤณบีบแขนของนฤเบศจนแน่น ความเจ็บมันยังคงมีอยู่ เขาหลับตาลง เมื่อรับรู้ได้เลยว่านฤเบศเร่งเครื่องอย่างเมามัน อยู่ ๆ ภาพของใครบางคน ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของตฤณ อย่างไม่มีที่มาที่ไป

ตฤณลืมตาขึ้น ด้วยทั้งตกใจและไม่คิดว่าตัวเองจะคิดถึงใครคนนั้นขึ้นมา ในความสลัวของห้องนอนมาสเตอร์ในเพ้นท์เฮ้าส์ ใบหน้าของคนที่ตฤณมองเห็น เขามองเห็นใครคนนั้น คนที่เขาเคยมีจากเมื่อหลายสิบปีก่อน กำลังแทรกตัวเข้าออก มอบความสุขนี้ให้กับเขา ตฤณบีบหัวเข่าเข้าหากันจากความสะท้านสั่นที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา

นฤเบศรู้ดีว่าแบบไหน ที่เขากำลังให้ตฤณอารมณ์พลุ่งพล่าน เข่าทั้งสองข้างของตฤณที่บีบเข้าหาเอวของเขา จนตอนนี้มันกระหวัดรัดรอบเอวของเขาอยู่ ประหนึ่งกลัวว่านฤเบศจะถอนตัวออกไปเสียก่อนก็ไม่ปาน เสียงร้องครางออกมาของตฤณ ยิ่งทำให้นฤเบศกระแทกกระทั้นส่วนอันแข็งแกร่งของเขาเข้าไปในช่องทางของตฤณ ด้วยอารมณ์ที่โหมกระพือ

ตฤณยกมือทั้งสองข้างแนบแก้มของนฤเบศเอาไว้ เสียงครางเรียกชื่อตฤณ นั้นเป็นเสียงของนฤเบศ แต่ใบหน้าในความคิดของคนที่กำลังมอบความสุขสมให้กับตฤณในตอนนี้ กลับไม่ใช่ ตฤณรู้ตัวเองดี ว่าเขากำลังจะถึงที่หมายในไม่ช้านี้ นฤเบศขยับบั้นท้ายเข้าใส่ร่างของตฤณอย่างไม่ลดละ แปลกใจอยู่เล็ก ๆ เมื่อเห็นตฤณขยับช่องเท้าเข้าหาส่วนแข็งแกร่งของเขาเอง และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ตฤณก็ปล่อยให้ตัวเขาเองเนืองนองออกมาจนเต็มท้องน้อย

“ว้าว” นฤเบศร้องออกมาอย่างทึ่งในสิ่งที่เขาเห็น “ผมเอาดีมากจนคุณถึงกับหลั่งเองเลยหรือนี่” อีโก้ในจิตใจของนฤเบศกำลังทำงานแทนเขา เขาเองกำลังชื่นชมความสามารถของตัวเอง ที่ทำให้คนรักถึงที่หมายได้โดยไม่ต้องสัมผัสส่วนสำคัญของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ได้เห็นส่วนนั้นของตฤณแข็งแกร่งตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นยันวินาทีทะลักทลาย

“ผมขอไปล้างตัวก่อน” ตฤณดันมือผลักที่หน้าท้องของตฤณเบา ๆ ก่อนที่จะรับรู้ถึงการถอนตัวออกของนฤเบศ “ผมยังไม่เสร็จ ไว้เดี๋ยวเรามาต่ออีกกันรอบนะครับตฤณ” นฤเบศดึงเอาเครื่องป้องกันออกจากตัว ก่อนจะใช้ผ้าผืนเล็ก ๆ เช็ดความแข็งแกร่งนั้นของตัวเองแบบลวก ๆ ตฤณไม่ได้ตอบอะไร เขาเข้าไปในห้องน้ำ มองตัวเองที่ในกระจก ด้วยรู้ตัวเองว่า ที่เขาถึงจุดอย่างรวดเร็วในครั้งนี้ เป็นเพราะอะไร และเป็นเพราะใคร



2565

2022



“กำลังคิดอะไรอยู่” เสียงถามนั้นดังขึ้น ดึงความคิดของตฤณให้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าของคนถาม ที่อยู่บนโซฟาตัวที่อยู่ตรงกันข้าม “อยู่ด้วยกันขนาดนี้ ไว้ตฤณค่อยคิดถึงวิน วันที่วินไม่ได้มาหาก็ได้” เสียงพูดเย้าแหย่นั้นเจือไปด้วยความชอบอกชอบใจของเจ้าตัว

“เด็กบ้า” ตฤณยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา ที่เขานอนตะแคงเข้าหาวินที่นอนท่าเดียวกันอยู่ที่อีกฝั่ง “อะไร ๆ ของวินมันบอกว่าไม่มีอะไรที่เด็กแล้วนะ” ตั้งแต่ตฤณยอมให้วิน เด็กหนุ่มคนนี้ ได้แวะเวียนมาหาเขาที่ห้องคอนโดได้บ่อย ๆ เด็กหนุ่มตัวสูงคนนี้ ก็ชักจะไม่ลดราวาศอก เรื่องพูดจนแทะโลมตฤณแบบจงใจ

“ใครอนุญาตให้ลากโซฟามาแบบนี้ ยกไปเก็บที่เดิมเลยนะ” ถึงโดนดุ วินก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายไม่ได้ดุเขาแบบจริงจัง กะจะกำราบเขาเหมือนในตอนแรก ๆ ที่ได้เจอกัน “ก็ถ้านอนบนโซฟาตัวเดียวกันได้ วินก็ไม่ต้องลากโซฟามานอนมองหน้าตฤณหรอก” เด็กหนุ่มให้เหตุผลกับเจ้าของห้องไป ก่อนจะรีบลุกขึ้นมาขวางอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นตฤณกำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา

“อยู่กินข้าวเย็นวันคริสต์มาส อีฟ กับเด็ก มันก็ทำให้กระชุ่มกระชวยดีไม่ใช่หรือครับ” ตฤณต้องหลบสายตาที่มองดูก็รู้ ว่าถ้าเขายอมตกลง วินก็พร้อมจะเริ่มต้นทำกิจกรรมวัยผู้ใหญ่กับเขาที่กลางห้องนี่ได้ในทันที “ดื่มนมแล้วเข้านอนน่ะได้” ตฤณตอบกลับไป “นมข้น ๆ เหนียว ๆ มันก็มีหลายแบบอยู่นะ” พูดจบ วินก็คลำต้นแขนของตัวเองป้อย ๆ เมื่อถูกตฤณใช้มือฟาดเข้าให้

“หิวแล้ว” เปลี่ยนจากอาการยียวนกวนประสาท วินก็อ้อนอยากกินข้าวเย็นแทน “สั่งอะไรมากินแล้วกัน” ตฤณเสนอทางออก “ไม่ทำมาม่าหมูสับกินแล้วหรือ” วินถามแกล้งทำหน้าเศร้า “ยังไม่เบื่ออีกหรือไง” ตฤณที่จำได้ว่า เขาทำเมนูนี้ให้วินกินมาหลายมื้อแล้ว “ไม่เบื่อ ไม่มีวันเบื่อ” วินตอบกลับไป ก่อนที่จะแกล้งพูดนั่นพูดนี่ ให้ตฤณเผลอตอบโต้และเถียงด้วยอย่างลืมตัว

นฤเบศกดวางสาย ก่อนเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง หนุ่มใหญ่ยืนอยู่บนเรือล่องแม่น้ำ ที่ถูกเตรียมการเอาไว้ดีกว่าเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ว่าเขาเพียรโทรหาตฤณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับสายเขา ใจเขาอยากจะโกรธตฤณที่ไม่แม้แต่จะโทรมา แต่ก็ไม่รู้จะโกรธตฤณยังไง เมื่อดินเนอร์ล่องเรือในวันคริสต์มาส อีฟ ปีนี้ เขากะจะทำเซอร์ไพรซ์ครั้งใหญ่ นฤเบศจึงไม่ได้นัดกับตฤณเอาไว้ล่วงหน้า เหมือนที่ทำเมื่อครั้งก่อนหน้า

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=SyAlPTwPD5U


จากวันนั้นก็นาน

It was a long time ago

มันนานแสนนานที่เราได้แยกทาง

It has been very long since the day we went separate ways

เรื่องราวของเรามันควรจบลงอย่างสวยงาม

Our time together should have had a beautiful ending

เมื่อเราต่างเดินทางไปพบ คนที่แสนดี

Since we had found a new life, and a new awesome people


แต่แม้จะนาน

Though it seems that long

ยังดูเหมือนมีบางอย่างที่ฝังในใจ

Something inside my heart never fades away

ร่องรอยความรักที่เธอได้ทิ้งมันเอาไว้

Traces of your love you have left them there

ไม่เคยจางจากใจสักที

They’re still so fresh, obviously


เจ็บแทนเขาทุกครั้ง ทุกครั้ง ทุกครั้ง ที่ยังคงคิดถึงเธอ

Hurtful, mischievous, obnoxious for him that I still miss you so

อ้อมกอดเขาจะแน่นเท่าไร ยังอดนึกถึงเธอไม่ได้

His hug is always tight, but my mind yet slips through to you

ผิดกับเขากี่ครั้ง กี่ครั้ง กี่ครั้ง ที่ยังซ่อนเธอเอาไว้

Guilty, shameful, despicable for me that I’ m hiding you in my mind

แม้จะลึกเท่าไร

Even deep in my heart


ยังแอบนัดพบเจอกับเธอบางคืนในฝัน

I still see you in some nights I dream away

แอบอิงซบบนเงาของเธอในอ้อมกอดเขา

Snuggling up against his warmth pretending it was your arms

แม้นานเท่าไหร่ไม่เคยได้พบเจอ

Yet I know there’s no chance I will see you again

ก็ไม่เคยเลือนลบเธอไปจากความทรงจำ

I never ever erase you from my good old memory

แอบเอาเธอนั้นฝังไว้ในใจ

Keep you hidden deep down my heart


(ใจเรานะใจ ใยจึงไม่เคยฟัง

Dear, heart or thou shall not listen

ใจเรานะใจ อย่าทำใครให้เจ็บช้ำ

My heart, please don’t get anyone hurt

คนที่ควรจะลืมแต่ทำไมหัวใจยิ่งจำ

Forget you already, why my heart is still fond of?

กลับไปคิดถึงเธอซ้ำซ้ำ

All about you, repeatedly)


ไม่ได้ร่ำร้องให้เธอกลับมา เข้าใจดีที่ต้องเลิกรา

Never ask of your return, totally got it we had our goodbyes

ไม่ได้อาวรณ์ไม่โทษชะตา เดินมาไกลจากวันที่ลา

Nothing personal, fate isn’t to blame, and I have moved on since that day

แค่เพียงเสี้ยวนาที ของในบางราตรี

Just this split of second in some of those crazy nights

ได้ยินเสียงของเธอในยามนิทรา

Your voice is what I hear in my sleep


ยังแอบนัดพบเจอกับเธอบางคืนในฝัน

I still see you in some nights I dream away

แอบอิงซบบนเงาของเธอในอ้อมกอดเขา

Snuggling up against his warmth pretending it was your arms

แม้นานเท่าไหร่ไม่เคยได้พบเจอ

Yet I know there’s no chance I will see you again

ก็ไม่เคยเลือนลบเธอไปจากความทรงจำ

I never ever erase you from my good old memory

แอบเอาเธอนั้นฝังไว้ในใจ

Keep you alive deep down my heart


ยังแอบนัดพบเจอกับเธอบางคืนในฝัน

In my dreams where you and I, we will meet

แอบอิงซบบนเงาของเธอในอ้อมกอดเขา

Curling up under your shadow knowing it is him all along

แม้นานเท่าไหร่ไม่เคยได้พบเจอ

Our thing was long gone, I don’t get to see you

ก็ไม่เคยเลือนลบเธอไปจากความทรงจำ

Yet I can’t get you out of my mind


สบตาเขาบางทียังเผลอคิดว่าเธอมองฉัน

Every time I look into his eyes, I see you looking right back at me

ได้ยินเสียงเพลงรักของเธอในใจซ้ำซ้ำ

Hearing your love song played in my heart, over and over

รู้ดีเราคงไม่มีวันพบเจอ

I know we won’t see each other again

แต่ไม่เคยเลือนลบเธอไปจากความทรงจำ

But I still keep you fresh in my very own memory

แอบเอาเธอนั้นฝังไว้ในใจ

Deep down in my heart, there’s only you


(ใจเรานะใจ

My dear heart

ใจเรานะใจ

My misbehaving mind)
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๒. หากคิดย้อนกลับไป ๒๖/๑๒/๒๕๖๕
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 26-12-2022 21:44:58
บทที่ ๒๒. หากคิดย้อนกลับไป



2536

1993



หลังจากปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งพัก สงบจิตสงบใจอยู่ครู่ใหญ่ ท็อปเดินกลับมาตรงที่นันนั่งอยู่ ก่อนจะยื่นขวดน้ำดื่มเย็น ๆ ส่งให้ไป นันกล่าวขอบคุณเบา ๆ แล้วรับไปถือเอาไว้ ยังไม่ได้เปิดขวดขึ้นดื่ม ความเย็นจากขวดส่งผ่านไปที่มือของนัน แต่มันยังเย็นจัดไม่เท่ากับที่ในหัวใจของเขา รู้สึกในตอนนี้

“ดื่มน้ำก่อน” ท็อปคะยั้นคะยอ มองดูอีกฝ่ายจนยอมเปิดฝาแล้วยกขึ้นดื่ม “เราปลอดภัยแล้วตอนนี้” ท็อปพูดโดยใช้น้ำเสียงหนักแน่น เพื่อหวังให้นันคลายความกังวลใจลง “นันปลอดภัยแล้วนะ” ท็อปกล่าวย้ำอีกครั้ง นันลดมือที่ถือขวดน้ำเย็นนั้นลง มองสบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกหายกังวลลงไปแต่อย่างใด

ทั้งสองคนนั่งอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้นั่งรถเมล์ ไกลออกมาจากบ้านของนันสักพัก ท็อปตัดสินใจดึงมือของนันห้ามเขาลงมาจากรถ ก่อนจะพากันเดินหลบเข้ามาในสวนแห่งนี้ ท็อปให้เหตุผลว่า ถ้าเผื่อผู้ชายคนนั้นตามพวกเขามา กลัวว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ หากให้รู้ว่าบ้านท็อปอยู่ที่ไหน

“เรานั่งอยู่ที่นี่กันสักพักก่อน เดี๋ยวค่อยเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้านท็อป” นันนั่งฟังท็อปวางแผน บอกเล่าวิธีการที่ทั้งสองจะทำต่อไป “ยังไงนันก็ต้องกลับไปกับท็อป” เขายืนยันหนักแน่น ว่าจะไม่ให้นันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ชายบ้า ๆ คนนั้นอีก “ท็อปจะไม่ให้นันต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้อีกแล้ว ท็อปให้สัญญา” ท็อปพูดปลอบนั้นไปด้วย สร้างความเข้มแข็งให้กับตัวของเขาด้วยเช่นกัน

“สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปอยู่ดี” นันพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “เราจะไปอยู่ที่ไหนกับใครได้นาน” นันน้ำตาคลอหน่วย บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าความรู้สึกจุกอยู่ในอกนี้มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ ระหว่างอาการสมเพชตัวเองกับความทดท้ออาลัย ในโชคชะตาของตัวเอง ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรามือจากเขาไปง่าย ๆ

“นันก็อยู่กับท็อปไง” ท็อปรีบพูดให้นันมั่นใจ “อยู่กับท็อปตลอดไปเลย ท็อปบอกพ่อกับแม่แล้ว ว่านันจะอยู่ที่บ้านของเรา อยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ พ่อกับแม่ของท็อปก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ่งท็อปบอกให้พ่อกับแม่รู้ ว่านันเป็นคนดี แบบนั้น ยิ่งไม่มีปัญหาแน่นอน” ท็อปนั้น ทบทวนถึงสิ่งที่เขาได้พูดบอกกับพ่อและแม่ไป โดยที่มั่นใจเต็มร้อย ว่าไม่มีปัญหาอะไรตามมา

“เราไม่ใช่คนดีอะไรเลย” นันพูดด้วยน้ำตาหยาดใส ๆ สั่นระริกอยู่ในหน่วยตา “ท็อปก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แล้วนี่” นันแค่นหัวเราะออกมา พอจะนึกออกแล้ว ว่าความสมเพชเวทนา มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่เขาสมควรจะมีต่อตัวเองมากที่สุด “คนที่เลว คือผู้ชายคนนั้น คนที่ทำร้ายนันสิ มันถึงจะถูก” ท็อปรีบแย้ง เพราะรู้สึกไม่ดีที่ได้เห็นนันพูดจาโทษตัวเองแบบนั้น

“อย่างน้อย ก็ยังมีท็อปนะ ที่เห็นว่าเรายังดีอยู่” นันพูดจบ หลับตาลง ก่อนหยาดน้ำตาจะไหลลงมาเปื้อนแก้ม ท็อปขยับถัดตัวเข้าไปนั่งชิดกับอีกฝ่าย “อย่าพูดแบบนั้นสิ นันเป็นคนดี นันกับท็อปมาโดยตลอด ไม่เคยคิดจะเอาเปรียบท็อปเลยสักครั้ง” ท็อปพูดก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้กับอีกฝ่าย

“แต่นัน พอจะเล่าให้ท็อปฟังได้มั้ย” ท็อปใช้สองมือประคองใบหน้าของนันเอาไว้ สบตากับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ “ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ท็อปเองก็อยากจะรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ อยากจะเข้าใจกับสิ่งที่นันต้องเจอะเจอมา นันหลุบสายตาลงต่ำ เมื่อได้ยินท็อปถามออกมาแบบนั้น เขาเม้มปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง

“ท็อปรู้ว่ามันยากสำหรับนัน ที่จะเล่าถึงเรื่องนี้” ท็อปพูดบอกกับนัน “แต่ท็อปอยากให้นันเชื่อใจและไว้ใจท็อป อยากให้นันไม่เห็นว่าท็อปเป็นคนอื่น ให้ท็อปเป็นคนที่นันหนีร้อนมาพึ่งเย็นได้” นันฟังท็อปพูดออกมา เขาลังเลอยู่ไม่น้อย ที่จะเปิดเผยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวลึก ๆ ที่ไม่กล้าที่จะบอกใคร อีกทั้งนันเองนั้น ก็ไม่เคยเจอใครที่จะสนใจไถ่ถามเขาแบบนี้เลยสักคน

“บ้านเรายากจน” นันเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ตั้งแต่จำความได้ เราก็เห็นแต่ความขาดแคลน ไม่สมบูรณ์ไปเสียทุกสิ่ง” นันยิ้มออกมา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าเพียงชั่วครู่ ก่อนจะจางหายไปอย่าวรวดเร็ว และมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขที่กำลังเกิดขึ้นในหัวใจ แต่มันแค่ยิ้มออกมาแกน ๆ แค่น ๆ เมื่อต้องเล่าเรื่องน่าอายของตัวเองให้คนอื่นฟัง

“ตอนเด็กเราชอบอยู่กับพ่อนะ พ่อชอบทำให้เราหัวเราะ พ่อทำให้เรายิ้มได้ พ่อชอบเล่าเรื่องตลกให้เราฟัง” ท็อปแอบแวบหนึ่ง มองเห็นรอยความสุขจาง ๆ ที่คงจะห่างหายไปนานแล้วจากชีวิตของนัน มันผุดขึ้นมาแค่ชั่ววินาทีหนึ่ง ตอนที่นันพูดถึงพ่อ ก่อนที่มันจะลบตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับไปเป็นใบหน้าที่อมทุกข์ของนันอีกครั้ง

“แต่พอจากเราไปตั้งแต่เราขึ้นประถมหนึ่ง” นันมองดูมือของตัวเอง ที่ถือขวดน้ำในมือ ที่เริ่มลดทอนความเย็นฉ่ำของตัวเองลง อาจจะเหมือนกับว่า นันเองก็ค่อย ๆ ละลายน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ ที่ห่อหุ้มหัวใจที่ควรจะอุ่นนั้น ให้กลับเป็นเหมือนคนที่มีเลือดเนื้อ มีหัวใจที่ใช้สูบฉีดเลือดที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นอีกครั้ง

“พอพ่อตาย เราก็เหลือแค่แม่” นันเล่าต่อ “แต่เราไม่รู้จักแม่ของเราเท่าไหร่หรอกนะ” นันขยายความสิ่งที่ตัวเองพูดหลังจากนั้น “แม่ทิ้งพ่อเราไปตั้งแต่เราเพิ่งเกิด แม่บอกว่าเราเป็นสิ่งที่ถ่วงชีวิตของแม่เอาไว้” ท็อปฟังสิ่งที่นันพูดออกมา แล้วก็ให้นึกจินตนาการไปว่า เขาคงจะเศร้าและเสียใจมาก ๆ แน่ ๆ ถ้าหากว่า เขาได้ยินพ่อและแม่พูดแบบนั้นกับเขา

“ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อของนัน” ท็อปพอจะโล่งอก เมื่อรับรู้ว่า ผู้ชายคนที่ทำร้ายร่างกายนัน ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ นันส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อไปว่า “แม่มารับเราไปอยู่ด้วย เพราะตอนนั้นนอกจากเราจะไม่มีญาติคนไหนอีก ที่อยากจะรับภาระเอาเราไปเลี้ยงดูแล้ว แม่ก็ยังได้เงินอุดหนุนจากหน่วยงานที่แม่ทำงานอยู่ เป็นเงินยังชีพบวกกับทุนเด็กขาดแคลนให้เข้าโรงเรียน” ท็อปลอบถอนหายใจออกมา ฟังดูแล้วนันเหมือนเป็นสินค้าที่คนซื้อสนใจของแถมที่แนบมาด้วย มากกว่าตัวสินค้าเองจริง ๆ

“มันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ กับการได้อยู่กับแม่ของตัวเอง แม่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดแม่ของเราเลย” นันยิ้มแกน ๆ เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ “ถ้าเทียบกับการที่เราต้องเข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เราเป็นตัวเงินตัวทองให้แม่มีเงินใช้คล่องมือ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรนัก” ท็อปรู้สึกสะท้อนในใจ กับสิ่งที่เขาได้ยินนันเล่าออกมา ท็อปนึกไม่ออกเลย ว่าถ้าพ่อและแม่ของเขา ทำแบบเดียวกันนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร

“ตอนแรก แม่ก็บอกว่า แม่จะอยู่กับเรา จะมีแค่เราสองคนแม่ลูก เพราะแม่เบื่อแล้วกับชีวิตคู่ เบื่อผู้ชายที่ไม่เอาไหนอย่างพ่อ แม่บอกเรา ว่าอย่าเป็นอย่างพ่อให้แม่เห็น เราฟังแล้ว เราก็นึกโกรธแม่ แต่เราได้แต่เก็บสิ่งที่เราอยากเถียงแม่ออกไปใจจะขาดเอาไว้ ก็พ่อไม่ได้เป็นอย่างที่แม่ว่า เราเห็นมาตลอด ว่าพ่อพยายามทำทุกอย่างเพื่อดูแลเราให้ดีที่สุด แต่เหล้าที่พ่อดื่ม มันจัดการพอของเราได้ไวกว่า” สองปีก่อนที่พ่อจะจากนันไป นันพอจะจำได้ ว่าพ่อของเขาดื่มหนักมาก

“ผ่านมาจนเราขึ้นม.หนึ่ง แม่ก็บอกว่า แม่ไม่ไหวกับเราแล้ว” สีหน้าของนันดูเศร้าสร้อย เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ “เงินทุนการศึกษาที่เราเคยได้ ที่หน่วยงานแม่เขาหยุดแจก เพราะเราโตแล้ว ขึ้นเรียนมัธยมแล้ว” นันกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ความชื้นที่รื้นขึ้นขอบตา “แม่บอกว่าแม่เหนื่อย แม่ต้องการหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระภายในบ้าน และเราคือหนึ่งในส่งที่ถ่วงความเจริญในชีวิตของแม่เอาไว้” ท็อปรู้สึกสงสารนันขึ้นมาอย่างจับใจ กับสิ่งที่นันต้องได้ยินแม่ของตัวเองพูดกรอกหูอยู่ซ้ำ ๆ

“วันหนึ่ง แม่ก็พาผู้ชายคนนี้มาที่บ้านด้วย” ริมฝีปากของนันสั่นระริกไปด้วยความรู้สึกที่ระคนกันไปหมด เมื่อเริ่มต้นเล่าถึงคนคนนี้ “ทีแรกแม่ก็สอนให้เราเรียกเขาว่าอา แต่ตอนหลังแม่ก็ไม่ปิดบังเราอีก แม่บอกเราว่า เขาคือผัวใหม่ของแม่ และให้เราเรียกเขาว่าพ่อ” นันเล่าให้กับท็อปฟัง และท็อปก็เป็นคนแรกที่นันพูดถึงเรื่องราวนี้

“มันควรจะเป็นสิ่งที่ดีใช่มั้ย สำหรับชีวิตเด็กคนหนึ่งที่ขาดพ่อ และต้องการพ่อในชีวิต ดีกว่าไม่มีใครเลย” นันหัวเราะเบา ๆ แต่นั่นไม่ใช่เสียงหัวเราะจากความสุขใจ “เราเต็มใจเรียกเขาว่าพ่อ เรามองข้ามทุกอย่าง เพื่อได้มีเขามาเป็นพ่อ แต่ทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้ได้เพียงไม่นาน ทุกอย่างที่เราจินตนาการเอาไว้ มันก็จบลง” นันแตะนิ้วลงที่แก้มของตัวเอง

“มันเริ่มจากโดนตบแบบแบมือตรงนี้” ท็อปมองตามไปที่มือของนัน “ก่อนมันจะกลายเป็นหมัดที่กระแทกเข้าที่ตรงนี้” นันกำหมัดแล้วเอามาวางไว้ตรงที่เรียกว่าครึ่งปากครึ่งจมูก “รสชาติเลือดสด ๆ ของตัวเอง มันเค็มปะแล่ม ๆ ดี แค่ว่ารสของมันแย่กว่าน้ำตานิดเดียว” ท็อปรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ที่ได้ยินนันเปรียบเทียบรสชาติ จากการที่ได้ชิมรสของน้ำตาและเลือดของตัวเอง ที่ไหลเข้าปากแบบนั้น

“แล้วแม่ของนันไม่ว่าอะไรเลยหรือ ทำไมแม่ไม่ห้ามพ่อเลี้ยงไม่ให้ทำร้ายนัน” ท็อปถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ กับการที่เกิดมาในบ้านที่พ่อและแม่ของท็อป พร้อมที่จะปกป้องเขาในทุก ๆ เรื่อง นันยิ้มให้ท็อปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “แม่บอกว่า ดีเลย เขาจะได้สอนเราให้เป็นผู้ชาย” ใบหน้าของนัน ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะร้องไห้

“ท็อปเข้าใจใช่มั้ย สอนเราให้เป็นผู้ชาย ให้เราเลิกตุ้งติ้ง ให้เราเลิกเป็น” ริมฝีปากของนันสั่นระริก เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก้อนแข็งอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย มันเป็นคำคำหนึ่ง ที่ยากเหลือเกินที่นันจะพูดออกมา “เขาเกลียดที่เราเป็นตุ๊ด เขาบอกว่ามันไม่ถูกต้อง มันผิดที่เราเป็นแบบนี้” นันพูดออกมา น้ำตาร่วงหล่นพร้อม ๆ กับคำคำนั้น

“แม่เห็นด้วย และไม่เคยคิดที่จะบอกเขาให้หยุด แต่หลัง ๆ มา เขาเลือกที่จะไม่ต่อยหน้าเรา แต่ทุบตีและเตะต่อยเราตรงอื่น เพื่อที่ว่าคนอื่นจะได้ไม่สังเกตเห็น” ท็อปรับรู้ถึงในคืนนั้น ที่เนื้อตัวของนันเขียวช้ำไปหมด มันเป็นเพราะสาเหตุนี้เอง “แล้วตอนนี้แม่ของนันอยู่ที่ไหน” ท็อปถามออกไป ภายในใจห่อเหี่ยวไปหมดที่ได้ยินเรื่องราวอะไรแบบนี้

“เราไม่รู้” นันส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “วันหนึ่งแม่ก็หายไป และไม่กลับมาบ้านอีกเลย ทิ้งให้เราอยู่กับเขา ที่ชาวบ้านต่างชื่นชมและเห็นใจ ต่างพูดกันว่า แม้เขาจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเรา แต่ก็ดีมาก ๆ ที่ยังเลี้ยงดูเราต่อ ไม่ได้ทิ้งเราไป เป็นพ่อเลี้ยงที่หาได้ยาก ที่ลูกเลี้ยงคนหนึ่งจะมีได้ พวกเขาไม่เลยรู้เลย ว่าเราต้องเจอกับอะไร ผ่านอะไรมาบ้าง” น้ำตาของนันไหลลงมาเป็นสาย

“พวกเขาไม่รู้เลย ว่าเราต้องเผชิญกับอะไรในแต่ละวัน พวกเขาคิดว่าเราโชคดี ท็อป พวกเขาคิดว่า เรามีความสุขดี” นันปล่อยโฮออกมา น้ำตาที่ถูกกักเก็บเอาไว้มานาน พอมาวันนี้ วันที่มีคนถามไถ่ว่าเขาเป็นอย่างไร มีอะไรจะเล่าให้ฟังบ้างไหม ทุกอย่างก็ถล่มทลายพรั่งพรูออกมา จนไม่สามารถที่จะผลักมันกลับไปที่เดิมได้อีก

“ไม่ต้องกลัวนะนัน ต่อไปจะไม่มีใครทำร้ายนันได้อีก ท็อปอยู่ตรงนี้แล้ว ท็อปจะทำให้นันมีความสุขเอง ท็อปสัญญา” ท็อปดึงนันเข้ามากอดไว้จนแน่น นันที่ร้องไห้ตัวโยน ถามท็อปออกมาด้วยหัวใจที่ปวดร้าว “ท็อปไม่ใช่แค่พูดออกมานะ ท็อปไม่ใช่แค่พูดแล้วทำเหมือนคนอื่นนะ” ท็อปกอดนันแน่นยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินนันถามคำถามนั้นกับเขา คำถามที่มาจากหัวใจของคนคนหนึ่งที่พร้อมจะแหลกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ

*****************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=FzrQsNMs2JA


มันคงเป็นกรรมเป็นบาปที่ทำไว้

Not a good cause, had to be evil deeds I had done

คิดและฝันหรือหวังอะไร ไม่เคยได้มา

Thoughts, dreams, and hopes, they never come true

มีแต่ความชอกช้ำในใจ

There’s only pain in my heart

มีแต่เพียงน้ำตา ที่กลับคืน

All I’ve got is only tears in return


มันคงเป็นกรรมเป็นบาปที่ทำไว้

I must have wronged someone outrageously

คิดและฝันหรือหวังอะไร ไม่เคยยั่งยืน

Thoughts, dreams, and hopes, they never last long

รวมทั้งความรักและจริงใจ ยังไม่เคยได้คืน

Including love and sincerity, there’s not one chance to see them

มีแค่วันและคืน ที่ปวดร้าวในใจ

All I’ve got through days and nights is pure heartache


ทั้งทุกข์ ทั้งท้อ ทั้งทนทรมาน

Suffering and despair all in agony

มองดูความฝันที่มันค่อยค่อยทลาย

Looking at dreams I had shattered right before my eyes

เหมือนคนที่ชีวิตพัง หมดหวังหมดลมหายใจ

The same way the person has his life ruined, hopelessly grasping for air

อยู่คนเดียวลำพัง กับความหลังที่เจ็บและช้ำจนตาย

Just only me to look back and gain more pains and sorrow to grave

ไม่มีไม่เหลือใครเลย

I am all by myself


มันคงเป็นกรรมเป็นบาปที่ทำไว้

It must be karma inevitably taking its course

คิดและฝันหรือหวังอะไร ไม่เคยยั่งยืน

Thoughts, dreams, hopes, they never ever sustain

รวมทั้งความรักและจริงใจ ยังไม่เคยได้คืน

All the love and honesty I know, I never have earned

มีแค่วันและคืน ที่ปวดร้าวในใจ

Days followed by nights to show my heart grief and sorrow


มีแค่รอยน้ำตา มีแค่รอยอาลัย

Traces of tears, try my best to be clinging on

กับชีวิตที่เดียวดาย

The devilishly lonely life

ที่ไม่เหลือใครเลย

That I am left alone
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๓. ฉันและเธอที่คิดถึง ๑/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 01-01-2023 18:49:09
บทที่ ๒๓. ฉันและเธอที่คิดถึง



2566

2023



“โอย ถึงสักที นั่งรถมานานเป็นบ้าเลย” ตฤณทำท่าบิดขี้เกียจ บ่นเสียงดัง ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป “อากาศดีสุด ๆ ไปเลย” วินที่นั่งอยู่ที่หลังพวงมาลัยด้านคนขับ ยิ้มออกมาอย่างนึกขัน เมื่อคนบ่นกระปอดกระแปด ถามแล้วถามอีกว่าถึงหรือยัง เมื่อไหร่จะถึง ตอนมาครั้งที่แล้วไม่เห็นจะต้องนั่งรถนานแบบนี้ ลงไปยืนกางแขนสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอยเข้าปอด

“ดีนะ ที่มาถึงไม่ตอนยังเย็นมาก จะได้หาที่นอนได้ทัน” ตฤณหันกลัมาพูดกับวิน ที่ฝ่ายหลังเดินตามลงจากรถมาสมทบ ลมเย็น ๆ พัดมาเบา ๆ จนตฤณต้องลู่ไหล่ห่อตัว “บอกแล้วให้ใส่เสื้อกันหนาวเอาไว้ด้วย ทำไมต้องให้บ่น” วินส่ายหัวพูดกับคนตรงหน้า ก่อนจะเอาเสื้อกันหนาวที่เขาเตรียมมาด้วย บังคับให้อีกฝ่ายใส่เสียเดี๋ยวนั้น

“ผมโตแล้วนะ ผมดูแลตัวเองได้หรอกน่า แล้วนี่ก็แค่ลมหนาวนิด ๆ หน่อย ๆ เอง” ตฤณเถียงเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนพี่ชายเอ็ดเข้าให้ ที่ทำตัวเป็นเด็กน้อยไม่เชื่อฟัง วินสบตากับตฤณตอนสวมเสื้อกันหนาวให้ หัวเราะเสียงดังหึ ๆ ในลำคอ บอกให้รู้เลยว่า ตัวเขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะโตแล้วตามอย่างปากว่าจริง

“รอวินอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยววินไปดูที่พักก่อน” ตฤณย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ที่ยิ้มหัวกับท่าทีของคนที่มาด้วยกัน ก่อนที่ตฤณจะมองตามวินเดินออกไป โดยที่ตฤณใส่แจ็คเก็ตกันหนาวตัวที่บางกว่าที่สวมให้กับเขา วินหายไปสักพักใหญ่ โดยระหว่างนั้น ตฤณก็ถ่ายรูปเล่น ด้วยวิวที่สวยกับธรรมชาติที่งามของสถานที่แห่งนี้

“ที่พักเต็มหมดเลย จุดกางเต็นท์ก็ด้วย” วินพูดขึ้นใบหน้ามีแววกังวลและเครียดแสดงออกมาเล็กน้อย “นี่ขนาดเลือกมาวันหลังคนเคาท์ดาวน์กันแล้วนะ” ตฤณพูดขึ้น ถอนหายใจในความหมายว่าทำอย่างไรได้ “มันก็ยังเป็นวันปีใหม่อยู่ กว่าคนจะกลับลงไปข้างล่างกันกับวันหยุดยาวแบบนี้” ตฤณยักไหล่ใหกับความอับโชคของทั้งสองคน ที่ดุ่มและสุ่มขับรถกันมาไกลจากกรุงเทพฯ

“งั้นก็ขับรถกลับเลยแล้วกัน เริ่มเย็นแล้ว” ตฤณพูดจบ ก็เดินไปที่รถ “เสียดายน่ะ” วินพูดขึ้น ตฤณหันกลับไปมองอีกฝ่าย “เตรียมของขึ้นมาพักบนนี้อย่างดิบดี” วินหมายถึงข้าวของมากมายที่แบกใส่รถกันมา “ที่พักมันเต็มแล้ว” ตฤณเตือนอีกฝ่าย “กลับเถอะ ถ้ามืดเดี๋ยวมันขับรถยาก” ตฤณให้เหตุผล โดยบอกว่าลงไปหาที่พักที่ในตัวเมืองก่อนคืนนี้ แล้วค่อยคิดกันต่อว่าจะเอายังไง

“หาที่พักกันอยู่หรือ” เสียงถามดังขึ้นจากด้านหลังทั้งสองคน “ปีนี้คนมาท่องเที่ยวเยอะ ทั้งไทยและเทศ” วินและตฤณหันไปมองทางต้นเสียง ก็เป็นผู้ชายรูปร่างสันทัด หน้าตาดูดีแบบหนุ่มชาวเหนือ ลักษณะดูเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ที่นั่น “ตรงนี้ที่นอนห้องหับมันเต็มหมดแหละ อีกวันสองสามวันโน่น ถึงจะซา” คำพูดนั่นบอกตรง ๆ ว่า ยังไงคืนนี้ ทั้งสองก็ไม่สามารถหาที่พักบนดอยนี้ได้

“พี่เป็นเจ้าหน้าที่ที่นี่หรือครับ” วินรีบถามออกไป ถ้าหากคนที่เข้ามาพูดคุยกับพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ เผื่อว่าจะช่วยคิดและช่วยหาทางออกอะไรดี ๆ ให้กับพวกเขาได้ โดยที่ไม่ต้องขับรถลงดอยไปหาโรงแรมพักในเมือง ผู้ชายคนนั้นมองหน้าทั้งสองคน วินและตฤณสลับกันไปมา ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นมาว่า

“ที่ตรงนี้นี่มันยอดนิยม แต่มันมีอยู่อีกที่หนึ่ง ขับรถไม่ไกลหรอก สี่หรือห้ากิโลเมตรเอง สนใจมั้ยล่ะ” อีกฝ่ายถามขึ้น วินตาเป็นประกายเมื่อได้ยินแบบนั้น “ที่ไหนครับ ไปครับ สนใจ ไปยังไงครับ” ยังไม่ทันที่ตฤณจะเอ่ยห้ามปรามอะไร ก็ไม่ทันวินที่ถามรายละเอียดจากพี่เจ้าหน้าที่ให้ได้ ผู้ชายที่เสนอสถานที่พักให้กับคนทั้งคู่ หัวเราะออกมาเบา ๆ

“นี่ก็จะหารถติดไปที่ที่ว่านี่พอดี ไปไหมล่ะ ถ้าไปก็ออกรถสิ เดี๋ยวจะบอกทางไปให้เอง ขับรถไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง” วินรีบเดินไปที่ด้านคนขับ โดยที่ทำเป็นไม่เห็นสายตาคัดค้านของตฤณแต่อย่างใด จนตฤณต้องยอมเปิดประตูเขามานั่งในรถแต่โดยดี “พี่ขึ้นมาเลยครับ" วินหันไปมองด้านหลัง ร้องบอกพี่เจ้าหน้าที่ แต่ก็เห็นเขาขึ้นมานั่งที่เบาะด้านหลังรถเรียบร้อยแล้ว

“ขับออกไปทางนี้เรื่อย ๆ นะ เดี๋ยวจะบอกทางให้เอง” วินได้ยินคนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังรถพูด สบตากับตฤณนิดหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะบ่นเขาจนจมหู แต่ก็ทำยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะออกรถยนต์ให้เคลื่อนออกไป ทั้งสามนั่งกันมาเงียบ ๆ ได้สักพัก ผู้ร่วมทางคนใหม่ก็พูดขึ้น ทำลายความเงียบในรถนั้นลง

“ชอบที่ที่มีตำนานมั้ย” คำถามนั้น ทำให้วินและตฤณหันมาสบตากันอีกครั้ง “ดอยเสมอดาวนี่มีตำนานด้วยหรือครับ” ตฤณถามออกไปแบบคนไม่รู้จริง ๆ “ผาชู้” เสียงตอบดังมาจากด้านหลังรถ “ผาชู้ต่างหาก ที่ที่เรากำลังไปนี่ไง” เสียงพูดนั้นอธิบายเพิ่มเติม “ว่าแต่ เป็นอะไรกัน” เสียงถามนั้น “สองคนนี่ เป็นอะไรกัน” ทำเอาทั้งวินละตฤณประมวลผลว่าจะตอบกลับไปยังไงดี

“เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา แบบนั้นน่ะหรือครับ” วินถามกลับไปแทนที่จะตอบคำถาม “ลองฟังดูไหม” คนที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังดูจะไม่ได้ใส่ใจเอาความกับการเลี่ยงคำตอบอย่างชัดเจน ของทั้งวินและตฤณแต่อย่างใด “ฟังครับ” วินตอบกลับไป ก่อนที่รถทั้งคันจะเงียบไปสักพัก กับการรอให้เพื่อนร่วมทางคนใหม่ เริ่มเล่าตำนานของผาชู้

“พอไปถึงที่ผาชู้ จะมีต้นจันผาจะขึ้นอยู่” วินขมวดคิ้วมุ่น งงกับชื่อต้นไม่ที่ขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ตฤณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นดูในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะโชว์รูปต้นจันผาหรือเรียกว่าจันทร์แดง ให้อีกฝ่ายดู “ที่ได้ยินเขาเล่ากัน ชื่อที่ว่านั้นมาจากเจ้าจันผา ที่ไม่สมหวังในความรัก ไม่ได้อยู่เคียงคู่กันกับคนที่รัก” เสียงนั้นเล่าออกมาช้า ๆ แต่ฟังดูชัดเจนในความรู้สึก

“หมายถึงว่า เจ้าจันผา ไม่ได้สมหวังในความรักหรือครับ” ตฤณฟังตัวเองถามออกไป เหมือนกำลังทวนความไปในตัว “การโดนขัดขวางในความรัก ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด วิธีใด ล้วนแต่สร้างความเจ็บปวดทั้งนั้น” วินกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างลำบาก ก่อนจะกระแอมออกมา เหมือนไล่ความขื่นที่อยู่ ๆ ก็จับขึ้นมาในคอเสียอย่างนั้น

“แต่บางที ความรักของเจ้าจันผา ก็อาจจะสมหวังหลังจากความสูญเสียนั้นก็เป็นไปได้นะ” ผู้ชายหน้าตาดีที่นั่งอยู่ที่เบาะรถด้านหลัง ที่กำลังนำทางวินและตฤณไปยังที่พัก เริ่มเล่าต่อ “เจ้าจันผาตัดสินใจกระโดดหน้าผา ตายตามคนรักของตนไป มันเป็นทางออกเดียวที่เจ้าจันผาเลือก” เสียงคนเล่านั้นเจือไปด้วยความเศร้าอยู่ลึก ๆ

“ที่ใต้ต้นจันผานั้น เคยเห็นเอื้องผึ้งไหม” คำถามนั้นดังขึ้น ทั้งวินและตฤณส่ายหน้าก่อนตอบเบา ๆ ออกมาว่าไม่เคย “คนนั้นล่ะ เจ้าเอื้องผึ้งที่เจ้าจันผากระโดดกระโดดหน้าผาตามลงไป หลังจากที่รู้รักเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนั้น เลือกจบชีวิตลงไปแบบนั้นแล้ว ด้วยความที่คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก” วินหันไปมองทางตฤณที่ตอนนี้นั่งนิ่งตั้งใจฟังตำนานความรักนั้น

“ใต้ต้นจันผาจึงมีเอื้องผึ้ง ดอกกล้วยไม้สีเหลืองสวยงามมาเกาะอยู่ เหมือนว่าเจ้าจันผาไปอยู่ ณ แห่งหนใด ก็จะเห็นเจ้าเอื้องผึ้ง ตามไปอยู่คู่ที่ ณ แห่งหนนั้นด้วย คนสมัยนี้เขาพูดว่าอะไรนะ โรแมนติกใช่มั้ย โรแมนติกดีอยู่นะ ว่ามั้ย” เสียงถามดังมาจากทางเบาะด้านหลังรถ เจือด้วยเสียงขบขันเบา ๆ เหมือนจงใจเกินไปในเสียงหัวเราะนั้น

“จะว่าผิดหรือถูก ก็บอกไม่ได้หรอกนะ จะจริงหรือเท็จ ก็ไม่รู้เช่นกัน” เหมือนว่าคนที่กำลังเล่าตำนานเรื่องนี้อยู่นั้น จะล่วงรู้ถึงความคิดที่กำลังไหลวนอยู่ในหัวของทั้งตฤณและวิน “ผมบอกให้เขาใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ เมื่อวันที่ไม่มีผม” วินพูดขึ้น สายตายังคงมองตรงไปที่ถนนเบื้องหน้า ตฤณมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของวิน ก่อนที่เจ้าของใบหน้านั้นจะหันกลับมาสบตากับเขา

“และดูเหมือนว่า เขาจะทำมันได้ดีไม่ใช่น้อย” วินหันมามองตฤณ แววตาของวินที่ใช้มองตฤณนั้น มันแสงออกมาถึงความภาคภูมิใจไม่น้อย “การได้เจอะเจอกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ” เสียงจากเบาะด้านหลังรถพูดขึ้น “ทางเข้าอุทยานอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เลี้ยวรถเดี๋ยวนี้” อยู่ ๆ ป้ายทางเข้าอุทยานก็ปรากฏขึ้นมาเสียอย่างนั้น วินที่เกือบจะขับรถชนเข้ากับป้ายนั้น หักพวงมาลับรถเลี้ยวขวับเข้าไปได้ทัน เสียงหัวเราะอย่างนึกขำขันดังมาจากทางเบาะด้านหลัง

“เดินไปถามเจาหน้าที่ตรงนั้น” วินมองตามเพื่อนร่วมทางจำเป็นคนนั้น “ยังมีเหลือที่กางเต็นท์อยู่ ไปถามเขาเอานะ” วินและตฤณที่ลงมาจากรถพยักหน้ารับคำ บรรยากาศยามเย็นย่ำจวนเจียนจะค่ำแล้ว บ่งบอกว่าทั้งคู่ควรจะรีบกางเต็นท์ให้เสร็จโดยเร็ว วินและตฤณเดินมาตรงที่เจ้าหน้าที่นั่งกันอยู่สามสี่คน ก่อนจะเอ่ยถามถึงที่ว่างในการกางเต็นท์นอนคืนนี้

“เหลืออยู่ที่เดียวเลย ที่สุดท้ายพอดี โชคดีมากเลยไอ้น้อง” เจ้าหน้าที่คนที่เช็กที่ว่างให้ตอบกลับมา ลมเย็น ๆ ก็พัดโชยผ่านมา “ต้องขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่อีกคนครับ เขาเป็นคนพาผมสองคนมา บอกว่าที่นี่มีที่ว่างแน่ ๆ จะได้ไม่ต้องลงไปนอนที่ในเมือง ไหน ๆ ก็ขึ้นมาถึงนี่แล้ว” วินจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนที่จะเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมองหน้ากันไปมา

“เจ้าหน้าที่ไหนน้อง” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา “ก็เจ้าหน้าที่ที่นี่ไงครับ” วินตอบพาซื่อ จนเจ้าหน้าที่ที่ตรวจที่ว่างของลานกางเต็นท์ให้เขา พูดขึ้นมาว่า “พวกผมก็อยู่กันครบตรงนี้แล้วนะครับ จะเป็นเจ้าหน้าที่คนไหนได้อีก” คำพูดที่ได้ยินนั้นทำเอาวินและตฤณมองหน้ากัน วินทำท่าจะถามอะไรเพิ่มเติม แต่ตฤณก็ดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้

“เอ่อ พี่ครับ” แต่ก็ด้วยความอดสงสัยไม่ได้ วินจึงหันกลับไปถามกลุ่มเจ้าหน้าที่อีกครั้ง “ที่ว่าตำนานผาชู้ ถ้ามีแค่เจ้าจันผากับเจ้าเอื้องผึ้งแค่สองคน แล้วทำไมถึงเป็นชื่อผาชู้ได้ล่ะครับ” วินที่ยังคงติดอยู่ในใจ ถึงตำนานที่ได้ยินเพื่อนร่วมทางจำเป็นคนนั้นเล่า ถามถึงสิ่งที่ยังฟังดูไม่กระจ่างในใจนักออกไป

“น้องเห็นต้นสนนั่นไหม” วินและตฤณมองเห็นต้นสนเขา ขึ้นอยู่เรียงราย “เจ้าจ๋วง สมการสุดท้ายในตำนานรักสามเส้า ที่เห็นเจ้าจันผาและเจ้าเอื้องกระโดดหน้าผาตายตามกันไป ได้เห็นเป็นพยานถึงรักแท้ของเจ้าจันผาและเจ้าเอื้อง เจ้าจ๋วงด้วยเช่นกัน ก็กระโดดตามคนทั้งคู่ลงไป แต่ร่างของเจ้าจ๋วงกระเด็นห่างออกไป กลายมาเป็นต้นสน จ๋วงในภาษาเหนือ แปลว่าต้นสน” วินเหลือบมองไปตรงที่เขาจอดรถ ต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่เหนือรถยนต์ของเขาพอดี

วินและตฤณช่วยกันกางเต็นท์อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรกัน เหมือนต่างคนยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวที่เพิ่งพบเจอกันมา ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ลองสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนร่วมทางคนนั้น เพราะอาจจะเจอและพาไปยืนยันกับพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ แต่ก็หาไม่พบ มีแต่เพื่อนใหม่ ที่กางเต็นท์อยู่ไม่ไกลกันนัก ที่ช่วยแบ่งปันสิ่งของที่ขาดเหลือให้กับเขาทั้งสองคน

“ใส่เสื้อดี ๆ เดี๋ยวก็ปอดบวมหรอก” ตฤณโยนเสื้อใส่ไปที่วิน ที่นอนตะแคงเปลือยแผงอกอยู่ในเต็นท์ “หนาว ๆ แบบนี้ มันก็ต้องหนาวเนื้อห่มเนื้อ ถึงจะหายหนาว” วินไม่พูดเปล่า ขยับตัวเข้าหาตฤณ ที่นั่งชันเข่ายืดขาออกไปด้านหน้าเต็นท์ มองดูดาวระยิบระยับบนฟ้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ๆ

“ยังจะกล้าพูดจาพิเรนทร์อยู่อีกหรือ” ตฤณพูดเสียงดุเข้าให้ วินยักไหล่ “เรื่องมันจะเกิดที่ด้านในเต็นท์ ไม่มีใครเห็นสักหน่อย” วินถือวิสาสะ แหมะมือวางไว้บนต้นขาของตฤณ “มันจะอดยังไงไหว จะห้ามใจยังไงอยู่ หนาว ๆ เบียด ๆ อุ่น ๆ เดี๋ยวก็ไฟลุก” วินทำเสียงกระเส่า ขยับตัวเข้าหาตฤณอย่างจงใจ

“กินนมแล้วนอนซะนะ” ตฤณเจาะหลอดใส่กล่องนม แล้วยื่นให้วิน อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ ก่อนจะรับนมกล่องนั้นมาดื่มแต่โดยดี ตฤณส่ายหน้าให้กับเด็กหนุ่มร่างสูงคนนี้ “ครั้งสุดท้ายที่นอนเต็นท์ เมื่อไหร่กันนะ” ตฤณได้ยินวินถามขึ้น เขาเกือบจะหลุดตอบคำถามนั้นออกมา แต่พอนึกขึ้นได้ก็ยั้งคำตอบนั้นเอาไว้

“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตฤณรู้ใช่มั้ย” วินยันตัวลุกขึ้นนั่ง แผงอกอุ่นของเขาแนบไปกับแผ่นหลังของตฤณ “ใครจะเชื่อ ว่าจะได้กลับมา” ตฤณเอี้ยวใบหน้าหันมามองวิน ที่ตอนนี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กันกับเขา จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นในลมหายใจของกันและกัน “มันนานเหมือนกัน ว่ามั้ย กว่าจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้อีก” ตฤณมองไปที่ริมฝีปากของวิน ยามมันขยับไปตามที่เด็กหนุ่มพูด

“พูดอะไรน่ะ เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” วินยิ้มกว้างออกมาในทันที ตฤณเองก็หลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน “ก็ให้วินกินนมทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มประท้วงออกมา “แต่จริง ๆ มันมีอีกอย่างหนึ่งนะ ขาว ๆ ขุ่น ๆ ข้น ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ใช่กลิ่นแบบนี้” วินพูดทำตาระยิบระยับใส่อีกฝ่าย “โอ๊ย” ก่อนจะสะดุ้งโหยง ร้องเสียงดังออกมา

“เอาอีกมั้ยล่ะ พูดอีกสิ เด็กบ้า” ตฤณหยิกเข้าที่เอวของวิน ทำเอาเด็กหนุ่มคลำเนื้อตรงที่โดนหยิกป้อย ๆ “คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก ดูถูกกันเข้าไปเถอะ ไว้คอยดู เดี๋ยวก็รู้” แววตาซุกซนของวิน ทำให้ตฤณต้องเสหลบตาไปทางอื่น โดยตฤณรับรู้กับใจตัวเองว่า เขากำลังมีช่วงเวลาอยู่กับวิน หรือว่าใครอีกคน คนนั้น

“ไฟลต์ไปมิลาน ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วค่ะ” นฤเบศพยักหน้ารับทราบกับพนักงานในเลาจน์รับรองของผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ของสายการบิน ที่มาแจ้งเตือนผู้โดยสาร หนุ่มใหญ่กดโทรศัพท์มือถือเพื่อวางสาย ที่หน้าจอบอกจำนวนหลายสิบครั้งที่เขาพยายามโทรหาคนที่ปลายสาย ตฤณปิดเสียงโทรศัพท์มือถือก่อนจะซุกมันลงไปในช่องว่างด้านในเป้ ก่อนจะปล่อยให้ภายในเต็นท์ท่ามกลางลมหนาวนั้น มืดลงอีกครั้ง

******************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=a0M_QUS3kC0



ได้เจอครั้งสุดท้ายตอนที่ดูรูปถ่าย

I saw you in your photos last

และเมื่อหลับตาครั้งใดยังเห็นเธอ

I closed my eyes, and you were there

กอดเธอในฝัน ฉันน้ำตาล้นเอ่อ

In my dream, I held you tight with tears covering my eyes

สุขเพียงได้เจอในจินตนาการ

My own happiness existed in my fantasy


แม้เพลงนี้เธอไม่ได้ฟัง

This song you didn’t get to listen

ทุกทุกคำที่เคยบอกไว้

Every single word says it all

งดงามแม้ยิ่งห้ามใจ

Its beauty shines, though my mind shuts

ฉันจำได้เสมอ

I always remember


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

What you told me, it says please don’t cry

อยู่ให้ได้ถ้าเธอไม่อยู่

Go on with my life when you’re not around

โปรดรับรู้เธอยังอยู่ในใจ

Please realize that you’re always on my mind


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

Oh, what you said to me that boys don’t cry

อยากขอโทษที่ทำไม่ได้

Forgive me, I couldn’t, and I did really try

ที่วาดไว้ด้วยกัน

What we have together pictured us to be

จากนี้ฉันต้องฝันคนเดียว

From now on it’ s gonna be me alone


บรรจงวาดฝันให้งดงามเหมือนเก่า

I am truly painting our splendid dreams as memorized

สุขเกิดเพียงเราถ่วงทุกข์ให้จมดิ่ง

Blissfulness happens when we know to sink what’s bitter

เพียงแค่ตื่นนั้นก็เลือนรางทุกสิ่ง

Waking up to the new dawn to fade grief away

เพราะความเป็นจริงนั้นมีบางสิ่งที่จากไป

The truth goes that something has already been gone


แม้เธอนั้นไม่หวนคืนกลับ

You left, and would never really come back

ใจซึมซับไปด้วยความหมาย

My heart’s trying to deal with its meaning

เหมือนว่ามีเธอข้างกาย ยังจำได้เสมอ

Though I feel that you’re still by my side, always remember that


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

What you told me, it says please don’t cry

อยู่ให้ได้ถ้าเธอไม่อยู่

Carry on with my life when you ain’t here

โปรดรับรู้เธอยังอยู่ในใจ

But you’re still with me, don’t you know that?


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

Oh, what you said to me that boys never cry

อยากขอโทษ ที่ทำไม่ได้

I’m sorry I didn’t know how to pull that off

ที่วาดไว้ด้วยกัน

‘Cause what we’ve had for our future together


แต่ว่าเธอไม่ได้มาส่งถึงฝั่งฝันไกล

You didn’t come with me on this far end of the road I’m taking

นานแค่ไหนยังคงวาดไว้ว่าเรามีกัน

Been ages I am still dreaming us together


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

You once told me that no more tears

อยู่ให้ได้ถ้าเธอไม่อยู่

I’d live though you’re not here with me anymore

โปรดรับรู้เธอยังอยู่ในใจ

Please let me tell you once and for all


ที่เธอเคยบอกฉัน อย่าร้องไห้

You said that I shouldn’t be in tears

อยากขอโทษที่ทำไม่ได้

I’m sorry that I can’t, I still cry

ที่วาดไว้ด้วยกัน

‘Cause dreams we have for both of us

จากนี้ฉันต้องฝันคนเดียว

From now on there’s only me
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๔. สิ่งที่คิดถึงตามหา ๔/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-01-2023 21:43:29
บทที่ ๒๔. สิ่งที่คิดถึงตามหา



2566

2023





“ขึ้นมากันก่อน” แม่ชีเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มทั้งสอง ที่เดินถือข้าวของพะรุงพะรังมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้ากุฏิ “เอามาวางไว้ตรงนี้ก็ได้หนุ่ม” แม่ชีชี้ไปตรงที่ว่างทางด้านมุมชานกุฏิ ที่พอจะวางข้าวของไว้ได้ “ปันเอาของจำเป็นมาเผื่อให้แม่ชีไว้ใช้ หรือว่าถ้ามีใครต้องการ ขาดเหลืออะไร” เทปปันพูดกับแม่ชี โดยมีสายตาของเขาและของแม่ชีเอง ที่มองตามเด็กหนุ่มอีกคน ที่ช่วยเทปปันถือของมาด้วย

“ผมกราบครับแม่ชี” ดีนก้มลงกราบผู้ทรงศีลที่อยู่เบื้องหน้าของเขา แม่ชียิ้มรับด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตา “ชื่ออะไรหรือเรา” แม่ชีถาม พลางมองไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ “รู้จักกับปันนานแล้วรึ” ดีนฟังสิ่งที่แม่ชีถาม ก่อนจะตอบกลับออกไปว่า

“ผมชื่อดีนครับ ก็ เพิ่งรู้จักกับปันได้ไม่นานครับ” ดีนพูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม โดยมีเทปปันนั้นนั่งลุ้นอยู่ข้าง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ระหว่างทางที่ขับรถมาด้วยกัน เทปปันได้กำชับหนักแน่น ไม่ให้ดีนพูดจาอะไรแปลก ๆ กับแม่ชีเป็นอันขาด “นี่ผมก็เป็นคนขอให้ปัน อนุญาตให้ผมได้มากราบแม่ชีสักครั้ง” ดีนเล่าให้แม่ชีฟังเพิ่มเติม

“เห็นว่าปีใหม่แล้วด้วย ผมเลยอยากทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตกับเขาบ้าง” แม่ชีรับฟังความจากดีนด้วยท่าทีสำรวม พยักหน้าน้อย ๆ ให้กับเด็กหนุ่ม เพื่อนของลูกชายทางโลกของท่าน “ความดีนั้น ถ้าทำได้ให้มุ่งมั่นทำ เพื่อต่อความดีให้ยาวมากขึ้น แม่ชีขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะ” ดีนได้ยินแม่ชีพูดแบบนั้น เขาก็ก้มลงกราบแม่ชีอีกครั้งหนึ่ง

“ครับแม่ชี ผมว่า ผมก็อยากเป็นคนที่ดีขึ้นกับเขาบ้าง” ดีนหันไปมองทางเทปปัน ที่ทำเป็นมองเห็น ว่าดีนกำลังมองมาที่เขา “เพราะวันก่อน ผมเพิ่งโดนปันดุเอา เรื่องมงคลสามสิบแปด” ดีนพูดขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้เห็น “ที่บอกไม่ให้คบคนพาล ผมเลยอยากคบบัณฑิตแบบเทปปัน เพื่อชีวิตที่เป็นมงคล” เทปปันนั้นรู้สึกอยากจะเขกกะโหลกตัวเองเป็นที่สุด

“เทปปันเป็นเด็กดี เรียนดี ประพฤติตัวดี แม่ชีรับรองได้” แม่ชีรู้จักเทปปันมาตลอดชีวิตของท่าน ทราบดีว่าเทปปันเป็นคนอย่างไร “หากดีนไม่รังเกียจ คบกับเทปปันเอาไว้ เพื่อการเป็นกัลยาณมิตร ก็ไม่เสียหลาย” นั่นอย่างไรล่ะ เทปปันพูดกับตัวเองในใจ ไม่นึกว่าการยกเอาคติธรรม เอามงคลชีวิตขึ้นมาสั่งสอนอีกฝ่าย จะกลายมาเป็นบูมเมอแรงวกกลับ พุ่งเข้ามาใส่หน้าของเขาเองเสียอย่างนั้น

“โอ๊ย ไม่รังเกียจเลยครับแม่ชี ผมยินดีครับ ให้คบกัน เป็นมากกว่าเพื่อนที่ดี ก็ยิ่งไม่รังเกียจครับ” ดีนที่พูดจาดูออกนอกหน้า ขันอาสากับแม่ชี ว่าจะดูแลเทปปันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะให้เขาขับรถพาเทปปันมาหาแม่ชี หรือว่าจะให้ดูแลเทปปันเรื่องอื่น ๆ เพราะรู้มาว่า เทปปันต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังคนเดียว ดีนจึงบอกกับแม่ชีให้ท่านคลายกังวล ว่าเทปปันนั้นมีดีนอยู่ด้วยทั้งคน

หลังเลิกเรียนวันนั้น ดีนมานั่งรอเทปปันที่ใต้ตึกคณะของอีกฝ่าย ทำเอาหลาย ๆ คนต่างพากันพาเหรดโพสต์รูปของพระเอกละครเวที ว่ามานั่งรอรับนายเอกถึงที่คณะ เพื่อจะได้ไปซ้อมละครพร้อมกัน คอมเม้นต์มากมายหลั่งไหลเพิ่มจำนวนจนเพจทีมงานผู้จัดละครของมหาวิทยาลัยแทบแตก

“นี่ไอ้ดีนมันรู้จักโปรโมทละครให้ฟรี ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องกราบกราน ขอร้องให้มันได้ที ต้องเล่นตัว โยกโย้ ท่ามากเรื่องเยอะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” รุ่นพี่ผู้กำกับละครเวที ที่ดูยอดกดไลค์รูปของดีนในเพจละคร ถามขึ้นอย่างซ่อนความแปลกประหลาดใจเอาไว้ไม่ได้ ทำเอาทีมงานคนอื่น ๆ พากันเห็นพ้องร่วมด้วย

“หรือมันอาจจะไม่ใช่แค่ไอ้ดีนรู้จักทำเพื่อคนอื่นเป็นแล้ว” ผู้ช่วยผู้กำกับที่คิดว่า เธอเห็นอะไรบางอย่างในการแสดงออกของดีน พูดขึ้น “มันอาจจะเป็นว่า ใครต่างหาก ที่ทำให้ไอ้ดีนสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่เราคาดไม่ถึง ให้เห็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ” พูดยังไม่ทันจะขาดคำ ผู้ช่วยผู้กำกับก็โชว์รูปของดีนและเทปปัน ที่เพิ่งถูกโพสต์ลงในเพจเดี๋ยวนั้น

“นี่มันแค่เรื่องโปรโมท แค่นั้น ไม่มีอะไรอื่นอีก ใช่มั้ย” คำถามนั้นของรุ่นพี่ผู้กำกับ ทำให้หลายคนตรงนั้นพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไปกับรูปของทั้งสองพระนาย “มันช่วยเรื่องยอดขายบัตรได้เยอะมากเลยแหละ” หนึ่งในทีมขายบัตรเข้าชมการแสดงบอก “แถมเริ่มจะมีกระแสให้เพิ่มรอบการแสดงแล้วด้วยนะ เป็นรอบบ่ายกับค่ำ” นั่นมันทำให้ทีมงานเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า งานที่พวกเขากำลังช่วยกันทำอยู่นี้ ขนาดของความรับผิดชอบ มันใหญ่โตมากขึ้นทุกที ๆ

“เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก” รูปที่ถูกถ่ายเอาไปขึ้นเพจ มาจากการที่ดีนนั้น ก้มลงไปดึงเอาหนามกิ่งไม้ ที่เกี่ยวเข้ากับชายกางเกงของเทปปันให้หลุดออก ทั้ง ๆ ที่เทปปันนั้นบอกว่าเขาจะจัดการมันเอง แต่ดีนก็ไม่ยอม ก้มลงดึงมันออกให้ ดีนที่ยังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหน้าเทปปัน เงยสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย

“พี่สัญญากับแม่ชีเอาไว้แล้ว พี่ก็ต้องทำตามคำพูดสิ” สายตาที่สบกันของทั้งคู่ อีกทั้งคำพูดของดีน มันทำให้เทปปันเผลอเม้มปาก เพื่อพยายามไม่ให้อาการกระตุกไหวของความรู้สึกในใจ เพิ่มอิทธิพลประหลาดให้กับความรู้สึกของตัวเอง ส่วนดีนนั้น ก็พยายามปกปิดความเขินของตัวเองเอาไว้จากอีกฝ่าย ด้วยการปั้นหน้านิ่ง แม้ว่าในใจนั้นมันออกจะเต้นตูมตามไปหมดแล้วตอนนี้

“ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” ถึงดีนจะได้ยินเทปปันพูดแบบนั้นก็ตาม “ดูแลก็คือดูแล” ดีนตอบอีกฝ่ายกลับไป ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วขยับเท้าไปยืนอยู่เคียงกัน คนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงแถวนั้น ต่างพากันยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นส่องไปทางทั้งสองคน ก่อนจะส่งเสียงจ้อกแจ้กตามมาจากด้านหลัง เมื่อเห็นดีนและเทปปันเดินไปด้วยกันแบบนั้น

“ดีนมึงขยับเข้าใกล้ปันอีกนิดสิ เออ อย่างนั้นแหละ ดี ๆ ค้างเอาไว้ก่อน” รุ่นพี่ผู้กำกับตะโกนขึ้นไปบนเวที “อย่างนี้หรือเปล่า” ดีนตะโกนถาม เมื่อเขากระชับแขนทั้งสองข้างของตัวเอง ให้โอบรอบตัวของเทปปันได้แนบแน่นขึ้น เจ้าของลำตัวที่กำลังถูกโอบกอดนั้น มองเห็นปลายคางและริมฝีปากของดีน ที่มีไรหนวดเขียว ๆ นั่น อยู่ห่างไปเพียงหนึ่งจมูกก้มหอมแก้ม

“ฉากนี้เป็นฉากเต้นรำ เราจะทำออกมาให้เป็นฉากที่เต้นรำกันแบบจริงจัง หมายความว่า การเต้นรำของเราจะต้องถูกต้องและสวยงามตามแบบฉบับ” รุ่นพี่ผู้กำกับประกาศบอกให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน กับอีกหนึ่งฉากใหญ่ของเรื่อง “ปัน เอามือวางไว้บนบ่าของไอ้ดีนให้พี่ดูหน่อย” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับออกคำสั่ง เทปปันเลื่อนมือมาวางตามที่ได้รับการกำกับ

“จำตำแหน่งมือเอาไว้นะปัน เพราะนี่คือตอนท้ายของฉาก หลังจากที่ทั้งคู่เต้นรำเสร็จแล้ว ที่นายเอกจะต้องถูกพระเอกรวบตัวเข้ามากอดและซุกไซ้ นายเอกอยากจะขัดขืน แต่กลายเป็นว่า กลับกอดพระเอกจนแน่นเสียเอง เข้าใจนะ” ผู้ช่วยผู้กำกับสาวมาดแมน ทำความเข้าใจบทกับเทปปัน

“บทอะไรของมันวะ” ดีนพูดออกมาขำ ๆ เทปปันยังไม่วายหัวเราะตาม “แต่ก็ดีนะ มีบทแบบนี้เยอะ ๆ พี่ก็ไม่ขัด” เดี๋ยวนี้ดีนเนียนเรียกตัวเองว่าพี่ แถมยังเรียกเทปปันอย่างสนิทสนม ราวกับได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมานานแล้ว “เดี๋ยวจะบอกให้เขาแก้บทใหม่” เทปปันพูดบ่น และก็ต้องพยายามขืนตัวเล็กน้อย เพื่อให้แก้มของตัวเองอยู่ห่างจากปลายจมูกและริมฝีปากของดีนให้ได้มากที่สุด

“ปันขืนแรงกอดพี่ทำไมเนี่ย” ดีนถามเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน เมื่อรู้สึกได้เลยว่า เทปปันนั้นเอนตัวออกจากอ้อมแขนของเขา “ก็แล้วทำไมเขาต้องให้กอดค้าง เอาไว้แบบนี้ด้วยล่ะ” ดีนพูดก่อนใช้สายตาไล้มองใบหน้าของคนขี้บ่น “เราเป็นนักแสดง ก็ต้องทำตามที่ผู้กำกับต้องการ” ที่แก้มของอีกฝ่ายอยู่ห่างไปเพียงแค่เขาก้มลงฝังปลายจมูกลงไปเท่านั้น

“ปันใช้น้ำหอมอะไร” ไม่ทันได้ตั้งตัว เทปปันรู้อีกที อยู่ ๆ ดีนก็เกือบจรดปลายจมูกลงบนข้างแก้มเขาแล้ว “หอมจัง” ดีนสูดความหอมนั้นเข้าปอดจนลึก “ว่าจะถามหลายทีแล้ว” ดีนลืมตาขึ้น ก่อนจะสบตากับเจ้าของความหอมที่เขากำลังดมดอมอยู่นี้ เทปปันใจเต้นแรง เมื่อต้องอยู่ใกล้กับดีนมากขนาดนี้ และไม่กล้าพูดบอกดีนออกไป เกี่ยวกับน้ำหอมนิชที่ตัวเองใช้มาได้สองสามเดือนแล้ว

“ไอ้ดีน เออ มึง เอาแบบนี้ สายตาแบบนี้ ค้างเอาไว้ เออ มองนายเอกด้วยสายตาแบบนี้ เหมือนจะกลืนกิน เหมือนว่าคนที่อยู่ตรงหน้า นายเอกคนนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือคนที่หัวใจของมึง กูหมายถึง ของพระเอกไม่สามารถที่จะขาดไปได้อีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม” รุ่นพี่ผู้กำกับที่หันมาเห็นแววตาที่แสดงถึงความยินยอมที่จะตกอยู่ภายใต้อาณัติ ที่ดีนแสดงออกมา โดยใช้มองเทปปันแบบนั้น ก็ตะโกนบอกดีนออกไปเสียงดังลั่นหอประชุม

“มึงจำความรู้สึกนี้เอาไว้เลยนะ คงไว้แบบนี้ แม่งโคตรดี ตอนเล่นจริง กูอยากให้มึงแสดงแบบนี้ เรียล รักจริง เรียล รุ้สึกจริง มึงพอจะทำได้มั้ยวะ แบบ เหมือนว่ามึงรู้สึกจริง ๆ ไอ้สายตาแบบถ้าพวกกูไม่อยู่ตรงนี้ มึงทำเรื่องลามก ๆ บัดสี ๆ อย่างไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกละอายใจใด ๆ กับน้องมันแน่นอนน่ะ” เสียงรุ่นพี่ผู้กำกับบรรยายถึงสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้จากท่าทางของดีน ที่แสดงออกมา

“เออ ได้สิ ความรู้สึกนี้เลยน” ดีนตะโกนตอบเพื่อนที่เป็นผู้กำกับละครเวทีกลับไป โดยที่ไม่ละสายตาไปจากแก้มของเทปปัน ว่าถ้าไม่มีใครอยู่ตรงนี้จริง ๆ ดีนถามตัวเองด้วยความซีเรียส ว่าเขาจะทำอะไรกับเทปปันลงไปบ้าง อะไร ๆ ที่มันวนเวียนอยู่ในหัวนานแล้ว ไอ้อะไร ๆ ที่จะเกิดทางกายต่อกัน ระหว่างเขากับเทปปัน

“ปันลองใส่อันนี้ดูหน่อยนะ” ผู้ช่วยผู้กำกับสาวมาดเท่ เอาผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวมาใส่ให้กับเทปปัน โดยที่เทปปันไม่ทันจะได้พูดทัดทานอะไร “เฮ้ย เขากันดีว่ะ” ผู้ช่วยผู้กำกับตะโกนออกมาอย่างพอใจ “ว่ามั้ยวะดีน” เจ้าของชื่อที่ตกตะลึงเมื่อได้เห็นแบบนั้น อะไรบางอย่างสะกิดกระตุ้นความทรงจำที่เหมือนจเลือนหายไปแล้ว ให้กลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง

“ปัน” ดีนใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของปันเอาไว้ ก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือ ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวลูกไม้สีขาวนั้นขึ้น เมื่อผ้านั้นถูกดีนยกเปิดขึ้น เทปปันเองมองเห็นใบหน้าของดีน ที่มีภาพใบหน้าของใครบางคนราง ๆ เหมือนกับว่า เขาเคยเล่นหรือทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว

“ไอ นาว โพรเนาซ์ ยู ฮัสแบนด์ แอนด์ ไวฟ์” เสียงผู้ช่วยผู้กำกับพูดเย้าเบา ๆ ด้วยว่าอยากจะดูปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ “เมย์ ไอ คิส มาย บรายด์” ดีนถามออกมาเหมือนว่า เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ ว่าเมื่อนานมาแล้ว เขาเคยรู้สึกว่าเขาต้องการที่จะจูบเจ้าสาวของเขามากแค่ไหน ดีนเชยคางของเทปปันขึ้น ริมฝีปากของเทปปันเผยอขึ้น เหมือนกำลังตอบรับคำของของดีนแล้ว

เทปปันนั้นเหมือนล่องลอยไปในอากาศ เสียงพูดของดีนทำให้ทุกอย่างดูอบอวลไปด้วยก้อนมวลความทรงจำบางอย่าง เสียงของดีนเมื่อเช้า พูดแทรกขึ้นมาในความทรงจำของเทปปัน ว่าดีแล้ว ที่เทปปันใช้มงคลสามสิบแปดประการ มาคิดจัดการกับดีน เพราะพอไล่ดู เมื่อเห็นมงคลข้อที่สิบสาม ดีนก็ร้องออกมาอย่างมั่นใจแกมสะใจที่ได้ตอบกลับเทปปัน ด้วยมงคลข้อนั้น ว่าไว้ด้วยเรื่องของการสงเคราะห์ภรรยา ถือเป็นสิ่งที่ดีนคิดว่า เขาน่าจะทำมันได้เป็นอย่างดี

***************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=u1rE-v-KpFY


รู้ไหมว่าฉันนั้นชอบเธอขนาดไหน

You know how much I am fond of you

ไม่ถึงกับเสี้ยวหนึ่งที่เธอคิดเอาไว้

Nope, what you think that’s not even close

รู้ไหมเวลาฉันใกล้เธอทีไร แทบหยุดหายใจทุกที

You know every time you’re around, that could easily take my breath away


ไม่รู้เธอจะรู้ไหม ว่ามีใครสักคนเขารอ

Don’t you ever know that there’s someone is waiting for?

ที่จะดูแลเธอทุกอย่าง

To be taking a good care all for you

และคนนั้นก็คือฉันนี่ไง ไม่ใช่ใครไหนไกล

And that’s me right here, no need to look elsewhere

ฉันรอมานานแล้ว

I’ve been longing for you


อยากดูแลแบบคนที่รักเขาทำ มันจะพอเป็นไปได้ไหมเธอ

I’ll do what a lover must, will there be a chance for me, babe?

แบบที่คนรักเขาทำ ฉันจะทำให้เธอทุกเรื่องเลย

Exactly like a lover will do, everything I do, I do it for you

ให้ฉันเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่เธอนึกถึงจะได้ไหม

Can I be the first and also last that comes to your mind?

ฉันขอเป็น Mr. Everything ให้เธอ

I’ll be that Mr. Everything for you


Mr. Everything

Mr. Everything

Mr. Everything

Mr. Everything


จะเช้าจะสายบ่ายหรือเย็นหรือตอนไหน

Whether morning, at brunch, in the afternoon or after moonrise

เธอมีอะไรเรียกฉันเลยจะไปหา

You need me there; I’ll go all the times and we’ll share

ฉันพร้อมจะแสตนด์บายให้ทุกเวลา

I’m always ready, standbys are set

เมื่อไรที่เธอนั้นมีปัญหา

Whenever you reach out for me


ไม่รู้เธอจะรู้ไหม ว่ามีใครสักคนเขารอ

Don’t you ever know that there’s someone is waiting for?

ที่จะดูแลเธอทุกอย่าง

To be taking a good care all for you

และคนนั้นก็คือฉันนี่ไง ไม่ใช่ใครไหนไกล

And that’s me right here, no need to look elsewhere

ฉันรอมานานแล้ว

I’ ve been longing for you


อยากดูแลแบบคนที่รักเขาทำ มันจะพอเป็นไปได้ไหมเธอ

I’ll do what a lover must, will there be a chance for me, honey?

แบบที่คนรักเขาทำ ฉันจะทำให้เธอทุกเรื่องเลย

Exactly like a lover will do, everything I do, I do it for you

ให้ฉันเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่เธอนึกถึงจะได้ไหม

Can I be the first and also last that comes to your mind?

ฉันขอเป็น Mr. Everything ให้เธอ

I’ll be that Mr. Everything for you


อยากดูแลแบบคนที่รักเขาทำ มันจะพอเป็นไปได้ไหมเธอ

Can I look after you ‘cause I’m falling for you, will there be me by any chance?

แบบที่คนรักเขาทำ ฉันจะทำให้เธอทุกเรื่องเลย

Like someone falling heads over heels, no matter what it is

ให้ฉันเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่เธอนึกถึงจะได้ไหม

Can I be your sunrise and also sunset of each and every day you think of?

ฉันขอเป็น Mr. Everything ให้เธอ

Can I? I’m asking to be your Mr. Everything



Mr. Everything

Mr. Everything

Mr. Everything

Mr. Everything
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgiaบทที่๒๕.คิดถึงเมื่อครั้งคุยกัน ๑๔/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 14-01-2023 20:16:56
บทที่ ๒๕. คิดถึงเมื่อครั้งคุยกัน



2537

1994



กั้งเดินกลับเข้าบ้านด้วยท่าทางโหลเหล ดวงตาที่ใกล้จะปิดบ่งบอกถึงการอดนอนมาทั้งคืน แต่มันเป็นทั้งคืนที่กั้งรู้สึกมีความสุขมากถึงมากที่สุด มันมากในระดับที่กั้งไม่คิดว่า ตัวเองเคยได้รับความสุขถึงขั้นนี้มาก่อน และความรู้สึกที่ว่านี้ กั้งได้รับมันมาจากการที่ไปช่วยเจ้หวีที่ร้าน ช่วยหยิบนั่นเสิร์ฟนี่ พร้อมกับค่าแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นอนอุ่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่เจ้หวีให้ไว้เพื่อเป็นค่าขนม

“ไง เดี๋ยวนี้ถึงกับกลับเช้าเลยหรือ” ทันทีที่กั้งเปิดประตูเดินเข้าบ้าน เสียงทักของกุ้ง พี่สาวของเขา ก็ดังทักขึ้น แต่มันไม่ใช่น้ำเสียงหรือสิ่งที่กั้งอยากพบเจอในยามเช้า โดยเฉพาะในวันที่เขากำลังง่วงนอนอย่างถึงที่สุด ลำไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ายามเช้าที่เงียบสงบ และการได้ล้มตัวลงนอนบนหมอนนุ่ม ๆ และหลับเพื่อพักเอาแรง

“แรก ๆ ก็ทำเนียนว่ากลับเข้าบ้านดึก และรีบตื่นเช้า ทำทีว่าไม่ได้หายหัวไปทั้งคืน เพื่อให้แม่ตายใจ” กุ้งไม่พูดเปล่า เดินไปหยุดยืนขวางหน้ากั้งเอาไว้ ไม่ให้น้องชายของเธอเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน “แต่ผ่านไปสองสามสัปดาห์นี่ก็เก่งกล้ามากขึ้นทันตาเห็น กลับเช้ามันเสียเลย ไง คงจะเปรมปรีดิ์มาเลยสิท่า” กั้งมองเห็นสีหน้าและแววตาของกุ้งที่เย้ยหยันอยู่ในที

“หลบไป กั้งง่วงนอนมากเลยตอนนี้” กั้งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เขาไม่อยากที่จะต้องมาต่อร้องต่อเถียงอะไรกับพี่สาวในตอนนี้ “โอ๊ย นี่อย่าบอกนะ ว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ฉันคิดไม่ผิด” กุ้งพูดกลั้วหัวเราะ เชื่อแล้วว่าที่เธอคิดเกี่ยวกับน้องชายมันเป็นความจริงตามนั้น

“คิดอะไร เปรมปรีดิ์อะไร ถ้าไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” กั้งบอกพี่สาวของเขาออกไปแบบนั้น พยายามดันตัวของกุ้งให้พ้นทาง แต่กั้งผู้เป็นพี่สาว ยังไม่ยอมหลีกให้ง่าย ๆ “โดยพวกวิปริตมันรุมยำจนสมใจยังไงล่ะ แหม่ ยังจะต้องให้ฉันเสียปากพูดให้ฟังอีกหรือไง แค่นี้นั่งส้วมก็ไม่ต้องเบ่งเองแล้วมั้ง” กุ้งหัวเราะชอบใจกับคำพูดของตัวเอง ที่คิดว่ามันทิ่มแทงน้องชายของเธอได้อย่างสุดลิ่ม

“หายไปทั้งคืนแบบนี้ และหายไปแบบนี้ ทำแบบนี้มาสองสามอาทิตย์แล้ว เป็นใครก็ต้องดูออก ก็ต้องบอกได้แหละ ว่าหายไปไหน ไปทำอะไรมา” กุ้งทำหน้าตาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า เธอได้อยู่เหนือน้องชายของเธอ “ที่พูดนี่ เอามาจากอะไร เทียบกับเรื่องไหน หรือเทียบกับสิ่งที่ตัวเองทำกันแน่” กั้งชักจะเริ่มอดรนทนไม่ไหว ที่พี่สาวของเขา วอแวกับเขาไม่เลิก

“แกก็รู้ดีก็ว่าแกไปทำตัวเหลวแหลกอะไรมา แกเห็นว่าทางปลอด แม่ต้องนอนค้างใกล้ที่ทำงานสุดสัปดาห์ เพราะต้องทำโอทีเพิ่ม สบโอกาสเลยล่ะสิ ถึงได้ร่านออกไปหาพวกผิดเพศให้มันเอาตูดถึงที่” กุ้งที่รู้สึกโกรธที่ถูกน้องชายพูดตอบโต้กลับมา พูดเสียงสั่นเพื่อต้องการจะกลบการกระด้างกระเดื่องจากกั้งให้มิด

“ที่พูดนี่ ได้เห็นมันกับตามั้ย ว่ากั้งทำแบบนั้นจริง ๆ” กั้งนึกเสียใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าภายในใจ เขาจะคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แต่ความน้อยใจในตัวพี่สาว ที่เขาถูกพูดจาดูถูกเหยียดหยัน มันพุ่งขึ้นมาในความรู้สึกที่มีอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้มีหลักฐานอะไรว่ากั้งทำแบบนั้น แล้วพี่กุ้งพูดออกมาได้ยังไง ทำไมถึงหน้าด้านพูดแบบนั้นอยู่ได้” แม้จะพยายามควบคุมตัวเอง และบอกว่าคนตรงหน้านี้ นี่คือพี่สาวของเขาเอง แต่กั้งก็อดไม่ได้

“มึงกล้าดียังไงมาด่ากูว่าหน้าด้าน” กุ้งกึ่งหวีดกึ่งแหวออกมา ทันทีที่ได้ยินน้องชายตำหนิเธอว่า เธอเป็นคนหน้าด้าน “คนผิดเพศ ผิดธรรมชาอย่างพวกมึง ในหัววัน ๆ จะมีอะไรไปได้ นอกจากเรื่องอุบาทว์ ๆ โสโครก น่าสะอิดสะเอียนอย่างว่า เพราะไม่อย่างนั้น พวกแกคงไม่เกิดมาพร้อมกับความต้องการที่จมอยู่กับสิ่งสกปรก วุ่นวายอยู่กับรูที่คนเขาเอาไว้ขับถ่ายแบบนั้นหรอก” กุ้งในตอนนี้ คิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ว่าคำพูดไหนที่จะทำให้กั้งรู้สึกเจ็บแสบที่สุด

“กั้งน่ะหรือ ที่วัน ๆ คิดถึงแต่เรื่องอย่างว่านี่” กั้งเริ่มออกอาการไม่พอใจขึ้นมาเช่นกัน เมื่อถูกพี่สาวพูดจี้เรื่อง ที่เป็นจุดเปราะบางทางความรู้สึกอยู่แล้ว “มันน่าจะเป็นพี่กั้งมากกว่านะ ที่แลดูหมกมุ่นอยู่แต่กับว่า คนอื่นเขาจะเอากันแบบไหน จะทำกันยังไง” กั้งไม่คิดว่า เขาเองนั้นคิดถึงเรื่องพรรค์อย่างว่าอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่กำลังโดนกุ้งกล่าวหา

“พี่กุ้งนั่นแหละ ให้แฟนเอามากี่รอบแล้ว อ้อ เดี๋ยว ต้องพูดให้เคลียร์ ต้องถามว่า พี่กุ้งน่ะตั้งแต่แฟนคนแรกยันคนปัจจุบันนี่ ไม่ทราบว่าพรุนไปแค่ไหนแล้ว แฟนคนแรก หนแรกนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ตอนม.สามเลยใช่มั้ย พอขนขึ้นเต็มก็เริ่มเลยไม่ใช่หรือไง เธอน่ะ อย่าคิดว่าเรื่องของตัวเองจำไม่มีใครรู้สิ เถียงสิ” จากที่ตอนแรก กั้งคิดว่าเขาแค่อยากจะขอขึ้นไปนอน ไม่เปิดศึกใด ๆ มาถึงตอนนี้ กั้งลืมสิ่งที่ได้บอกตัวเองไว้ก่อนหน้าไปหมดสิ้นแล้ว

“อีกั้ง อีตุ๊ดโสโครก มึงอย่ามาพูดเหี้ย ๆ ใส่กูนะ อีสันดาน” กุ้งตะโกนด่าน้องชายอย่างเหลืออด “เอาสิ หยาบอีก กุ้ง เธอยังหยาบคาย ออกอาการสถุนได้อีก เธอไม่คิดว่าฉันเป็นน้องเธออยู่แล้วนี่ เธอไม่สนว่าฉันจะรู้สึกแบบไหนยังไงทั้งนั้น งั้นเอาเลย แสดงธาตุแท้ของเธอออกมาให้เต็มที่ มันจะต้องแคร์อะไรกันอีก ต่อให้ฉันจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเธอ จริงมั้ย” พูดออกมาแบบนั้น กั้งรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจทันที

“คนผิดเพศอย่างพวกมึง พวกอีตุ๊ดอย่างพวกมึง ไม่มีทางที่จะได้ดีไปกว่านี้หรอก” กุ้งที่กำลังโกรธคำพูดของกั้ง ตะโกนด่าออกมา อย่างไม่กลัวว่าใครคนไหน บ้านติดกัน หรือไกลออกไป จะได้ยินว่าเธอกับน้องชายกำลังด่าทอกันเรื่องอะไร “เรามาลองดูกันมั้ยล่ะ” กั้งพูด ก่อนจะก้าวเท้าช้า ๆ เดินเข้าหากุ้ง

“นี่มึงจะทำอะไร” กุ้งก้าวเท้าถอยหลังไปสองสามก้าว “จะทำอะไรดีล่ะ” กั้งยักไหล่ เดินเข้าหา “ในเมื่อมันไม่ต้องแคร์กันแล้ว ว่าเราสามารถทำร้ายกันได้มากขนาดไหน ถ้าอย่างนั้น เราก็อย่ารอช้าเลยดีกว่า เริ่มมันเสียตอนนี้ ตรงนี้เลยแล้วกัน” กุ้งกรีดร้องออกมา เพราะคิดว่ากั้งจะเข้ามาทำร้ายร่างกายเธอ แต่กุ้งกลับเห็นกั้งวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน แต่เขาไม่ได้ไปที่ห้องของตัวเอง กลับตรงไปที่ห้องของกุ้งพี่สาว

“อีกั้ง นั่นมึงจะทำอะไร นั่นมันห้องกูนะ อย่าเข้าไป อีกั้ง” กุ้งร้องตะโกนห้าม เมื่อตั้งสติได้ ก่อนจะรีบวิ่งตามน้องชายขึ้นไปชั้นบนของบ้าน กั้งหมุนลูกบิดประตูห้องนอนของพี่สาว ก่อนจะรี่เข้าไปด้านใน กั้งที่ยืนอยู่กลางห้อง หันซ้ายหันขวาเหมือนพยายามนึกให้ออกว่า อะไรอยู่ตรงไหนในห้องนี้

“อีกั้ง อย่ายุ่งกับของของกู” กุ้งที่วิ่งตามเข้ามาในห้อง ก่อนจะเห็นกั้งยืนอยู่ที่หน้าชั้นวางของ “อีกั้ง อีเหี้ย มึงจะทำอะไร หยุดนะ” กั้งเขย่งเท้าเอื้อมแขนขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของชั้นวางของ ก่อนจะหยิบปึกอะไรบางอย่างที่ถูกดันให้เข้าไปด้านในลงมา “ดูไปกี่เรื่อง เก็บไว้ครบทุกเรื่องมั้ย” กั้งมองกระดาษปึกหนาในมือ สลับกับมองไปที่กุ้ง

“เอาเงินมาจากไหน ไปดูหนังมากมายขนาดนี้ อ้อ แล้วนี่เลี้ยงผู้ชายด้วยสินะ สันดานยังไงกันล่ะเนี่ย” กั้งไม่พูดเปล่า แกะเชือกที่ใช้ผูกรวมหางตั๋วโรงภาพยนตร์นั้นให้คลายออก “เอามานี่นะ มึงมีสิทธิ์อะไรมาเสือกเรื่องของกู” กุ้งตรงเข้ากระชากของที่อยู่ในมือของกั้ง ตั๋วหนังเหล่านั้น ตกกระจายจนเต็มพื้นห้อง

“แล้วถ้าเป็นพวกนี้ล่ะ มีสิทธิ์มั้ย” กั้งกระโดดขึ้นไปบนเตียงนอนของกุ้ง ก่อนจะยกมุมฟูกด้านในบนหัวนอนขึ้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของกุ้ง “อีกั้ง อีตุ๊ด นี่มึงเข้ามาแอบดู รื้อของในห้องกูใช่มั้ย” ในมือของกั้งคือรูปถ่ายของกุ้งกับผู้ชาย รวมถึงสติ๊กเกอร์ที่กุ้งไปถ่ายจากตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้า

“นี่ขว้างงูไม่พ้นคอเลยนะ” กั้งบอกกับพี่สาว กุ้งพยายามจะแย่งรูปถ่ายเหล่านั้นไปจากมือกั้ง แต่น้องชายของเธอไวกว่า ดึงมือหลบแล้วเดินออกไปที่ทางเดินหน้าห้อง “ที่บอกแม่ว่าไปติวหนังสือ ไปค้างหอกับเพื่อนผู้หญิง จะพูดได้มั้ย ว่าตอแหลมาตลอด” กั้งพูด ไม่หันมามองกุ้ง แล้วโยนรูปถ่ายพวกนั้นลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน มันตกกระจายไปทุกซอกทุกมุมที่ด้านล่างนั่น กุ้งที่วิ่งออกมาห้ามกั้งไม่ทัน ใจตกลงไปถึงตาตุ่ม เมื่อคิดว่า ถ้าเก็บมันไม่ทันและแม่ของเธอมาเห็นเข้าละก็

“อีกั้ง อีสัตว์ อีเหี้ย” กุ้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองกั้งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “เจ็บเป็นด้วยหรือ ไม่สิ เวลาโดนกระทำบ้าง มันต้องทนให้ได้สิ เหมือนกับที่ฉันทนเธอมาตลอด ตั้งแต่จำความได้” กุ้งพูดด้วยความเจ็บแค้นในใจ แต่ใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องนอนของกุ้งอีกครั้ง กุ้งตามกั้งเข้าไป ทั้งที่ในใจอยากจะลงไปเก็บรูปพวกนั้นเสียก่อน

“ฉันมันไม่มีอะไรจะเสีย แต่เธอมี ลูกรักอย่างเธอ ที่ฉันถูกแม่เปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา” กั้งก้มลงไปที่ใต้เตียงนอนของกุ้ง เจ้าของเตียงเห็นแบบนั้น ก็รีบตรงรี่เข้ามาผลักน้องชายของตัวเอง “อย่านะ ออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้” กั้งไม่สนคำด่าพวกนั้นของกุ้ง ดันตัวขึ้น ก่อนจะรวบแขนของกุ้งที่พยายามทั้งผลักทั้งดันเขาออกไป พอรวบได้ กั้งก็คว้ากล่องไม้ขนาดย่อม ๆ กล่องหนึ่งออกมาจากใต้เตียง

“โอ้โห พัฒนาแล้วนี่ ตอนแรกก็มีแต่จดหมายรัก จดหมายสองแง่สองง่าม สื่อแต่เรื่องลามกจกเปรตเท่านั้น แต่ตอนนี้ มีถุงยางด้วย โห ไซส์ใหญ่ซะด้วย หลากหลายขนาดอีกต่างหาก ฟาดพร้อม ๆ กันกี่คนกันแน่ไม่ทราบ แม่คุณ” ด้านในกล่องใบนั้น กั้งบรรยายสิ่งของที่เขาเห็น กุ้งหน้าถอดสี เมื่อกล่องใบนั้น ไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น” เสียงถามนั้น ทำให้กุ้งหน้ายิ่งหดเหลือสองนิ้ว “ทั้งสองคน ไหนบอกแม่มาซิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันเรื่องอะไร” กั้งสบตากับกุ้งด้วยท่าทีเรียบเฉย หากว่าเป็นเหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้า กุ้งคงพูดเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ฉวัดเฉวียนเรื่องที่น้องของเขามีท่าทางกระเดียดไปทางผู้หญิงต่อหน้าแม่ แต่ในวันนี้ แค่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า กุ้งก็รับมือได้ยากแล้ว

“ก็กุ้งเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ มันเป็นอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน” กั้งโพล่งออกไปแบบนั้น แม่มองไปที่กล่องในมือของกั้ง “แม่เชื่อด้วยงั้นหรือ” กั้งเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ที่ข้าง ๆ แม่ ก่อนจะยื่นกล่องใบนั้นให้ “กลับไปที่ห้องของแกก่อน กั้ง” แม่พูดขึ้น เมื่อกั้งยัดกล่องใบนั้นใส่มือของแม่จนสำเร็จ กุ้งใบหน้าบอกบุญไม่รับในทันที

“อย่าบอกนะ ว่าแม่เชื่อด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริง” กั้งถามย้ำซ้ำมันอีกครั้ง เขามองหน้าแม่ที่หลบสายตาจากลูกชาย “เข้าห้องของแกไป แล้วจะไปทำอะไรก็ไป” แม่บอกปัดกั้ง ทำให้เขาแค่นหัวเราะออกมา “แกจะไปไหน” แม่คว้าแขนของกั้งเอาไว้ แต่กั้งสะบัดแขนของเขาจนหลุดออก “กั้งจะไปไหน กลับมาเข้าห้องของแกเดี๋ยวนี้ กั้ง กลับมาเดี๋ยวนี้นะ กั้ง” เสียงประตูบ้านปิดกระแทกลงพร้อม ๆ กับที่แม่เห็นกั้งผลุนผลันออกจากบ้านไป

กั้งกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงป้ายรถเมล์ เขาถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา รู้สึกตื้อตันไปหมด เหมือนคิดอะไรไม่ออก มองซ้ายมองขวาเห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะ จึงตรงดิ่งเข้าไป กั้งยกหูโทรศัพท์ หยอดเหรียญที่มีอยู่ไม่กี่เหรียญลงไปในช่องรับเหรียญจนหมด ก่อนจะกดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาท่องจนจำได้ขึ้นใจ

“คุณทิวไม่อยู่บ้านค่ะ ออกไปทำธุระข้างนอกกับคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงตั้งแต่เช้าแล้ว” เสียงจากอีกฝั่งตอบกลับมา “เขาไปไหนครับ” กั้งถามกลับไปที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง “ไม่ทราบค่ะ เป็นเรื่องของเจ้านายค่ะ” กั้งเลยพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น “ถ้าอย่างนั้น ฝากบอกเขาด้วยได้มั้ยครับตอนเขากลับมา ว่ากั้ง เพื่อนที่โรงเรียนโทรมาหา” กั้งพูดจบก็กล่าวขอบคุณออกไป ก่อนจะวางสายลง

“ตื๊อมากเลยค่ะ เสียงพูดแปลก ๆ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้ชาย ก็นึกว่าแฟนโทรมาตามหึงนะคะเนี่ย” สาวใช้ที่รับโทรศัพท์พูดขึ้นพลางหัวเราะไปกับคำพูดนั้นของตัวเอง “เขาบอกว่าชื่อกั้งค่ะ เสียงฟังดูแปลก ๆ ยังไงพิกล เหมือนผู้หญิงกำลังโทรตามแฟน” ทิวพยายามปั้นหน้าให้นิ่ง รับฟังที่สาวรับใช้บอกกับเขา นึกในใจว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

“ไปกันได้แล้วมั้งทิว เดี๋ยวบ้านโน้นเขาจะรอนาน” พ่อของทิวที่เพิ่งเดินเข้ามา ร้องบอกลูกชาย “ลูกสาวบ้านนั้นเขาเก่งมากเลยนะคะ ดีใจที่ลูกทิวจะได้รู้จักมักจี่กับหนูจุ๋มมากขึ้น” แม่ของทิวที่เดินเข้ามาสมทบพูดขึ้น “ไปกันเถอะคุณ เดี๋ยวจะถึงหัวหินสายเกิน สุดสัปดาห์แบบนี้ ผมกลัวรถมันจะเยอะ” พ่อกับแม่ของทิวเดินไปรอขึ้นรถ ทิวมองไปที่เครื่องโทรศัพท์ คิดถึงคนที่เพิ่งจะโทรมาหาเขา แล้วเขาเลือกที่จะให้คนรับใช้โกหกแทน ว่าเขาไม่อยู่บ้าน ทั้ง ๆ ที่เขากำลังจะออกไปเที่ยวกับครอบครัวของเด็กผู้หญิงอีกคน กับทริปหรรษาสุดสัปดาห์นี้

**************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=z_4X5e9rlR8


พูดค่อยค่อยก็ได้ ถ้าพูดไม่ได้ก็ค่อยค่อยพูด

Softly speaking if you can’t then gradually say it

เรื่องที่พูดไม่ยาก ไม่ต้องให้มากก็น่าจะได้

Something’s so simple, no need to make it difficult

พูดประนีประนอม ค่อยค่อยตะล่อมก็ไม่มีเรื่อง

Compromising, that’s how you keep things at peace

เรื่องที่ไม่ได้เรื่อง จะให้ได้เรื่องก็ได้ก็ได้

Something’s not so fine; if you ask for it then you’ll get it


อะไรก็ฟังอยู่แล้ว มีอะไรก็ฟังอยู่แล้ว

I’m all ears, ready to listen what you have to say

ได้ยินได้ยินอยู่แล้ว ยังจะซัดซะเกินทน

I can hear you good, still you slam your voice at me

ก็คนได้ยินอยู่แล้ว ยังตะโกนให้มันหนวกหู

I’m listening to you, cut the shouts to give me noise pollution

ตะโกนอะไรไม่รู้ ทำให้หูฉันหมองหม่น

Stop yelling, you’re making my ears bleed


พูดค่อยค่อยก็ได้ ถ้าพูดไม่ได้ก็ค่อยค่อยพูด

Softly speaking if you can’t then gradually say it

เรื่องที่พูดไม่ยาก ไม่ต้องให้มากก็น่าจะได้

Something’s so simple, no need to make it difficult

พูดประนีประนอม ค่อยค่อยตะล่อมก็ไม่มีเรื่อง

Compromising, that’s how you keep things at peace

เรื่องที่ไม่ได้เรื่อง จะให้ได้เรื่องก็ได้ก็ได้

Something’s not so fine; if you ask for it then you’ll get it


จะพูดกับเพื่อนกับฝูง พูดกับแฟนกับลูกกับหลาน

Talking to friends, lovers, and all loved ones

ถ้าเอาแต่โวยอย่างนั้น ก็ประเดี๋ยวหัวใจวาย

If you keep the yelling up, risks of the cardiac arrest

กับคนที่ยังไม่รู้ พูดดีดีสักคำก็รู้

With someone who isn’t quite following, easy explanation will do

ตะโกนให้มันหนวกหูทำไม

Why you keep screaming like this?


โกรธอะไร ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Why so angry? Take it easy, say it nicely

ก็บอกออกไป ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Gradually let it out, take it easy, say it nicely

ตะโกนทำไม ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

What’s to yell? Take it easy, say it nicely

ก็บอกออกไปด้วยเสียงที่นุ่มนวล

Say it with manners that are with decency


จะพูดกับเพื่อนกับฝูง พูดกับแฟนกับลูกกับหลาน

Talking to friends, lovers, and all loved ones

ถ้าเอาแต่โวยอย่างนั้น ก็ประเดี๋ยวหัวใจวาย

If you keep the yelling up, risks of the cardiac arrest

กับคนที่ยังไม่รู้ พูดดีดีสักคำก็รู้

With someone who isn’t quite following, easy explanation will do

ตะโกนให้มันหนวกหูทำไม

Why you keep screaming like this?


โกรธอะไร ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Why so angry? Take it easy, say it nicely

ก็บอกออกไป ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Gradually let it out, take it easy, say it nicely

ตะโกนทำไม ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

What’s to yell? Take it easy, say it nicely

ก็บอกออกไปด้วยเสียงที่นุ่มนวล

Say it with manners that are with decency


โกรธอะไร ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Why you’re so pissed? Stay calm, collect yourself

ก็บอกออกไป ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

Start with politeness, take it slowly and somehow chilling

ตะโกนทำไม ค่อยค่อยพูด ค่อยค่อยพูด

What’s with the yells? Gently let it out, say it casually

ก็บอกออกไปด้วยเสียงที่นุ่มนวล

Use the voice that won’t make dogs howl


พูดค่อยค่อยก็ได้ ถ้าพูดไม่ได้ก็ค่อยค่อยพูด

Softly speaking if you can’t then gradually say it

เรื่องที่พูดไม่ยาก ไม่ต้องให้มากก็น่าจะได้

Something’s so simple, no need to make it difficult

พูดประนีประนอม ค่อยค่อยตะล่อมก็ไม่มีเรื่อง

Compromising, that’s how you keep things at peace

เรื่องที่ไม่ได้เรื่อง จะให้ได้เรื่องก็ได้ก็ได้

Something’s not so fine; if you ask for it then you’ll get it
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgiaบทที่ ๒๖. คิดถึงความจริงย้อนไป ๑๙/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 19-01-2023 22:18:22
บทที่ ๒๖. คิดถึงความจริงย้อนไป



2535

1992



“มึงนี่นะนัน กูใช้อะไรมึงนี่ไม่ได้เรื่องได้ราวเลย” เสียงแม่ของนันตะโกนด่าลูกชายดังไปสามบ้านแปดบ้าน “กูใช้ให้มึงไปซื้ออะไร” แม่หวีดเสียงถามนัน “ผงซักฟอก” นันตอบออกไปเสียงเบา หลบสายตาของแม่ ที่มองมาทางเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “แล้วมึงซื้ออะไรมาให้กู มึงเคยเห็นกูใช้แบบนี้ด้วยหรือไง ตั้งแต่เมื่อไหร่” นันเหมือนจะพูดอะไรออกไป แต่ก็เงียบเสียงลง

“เสียงดังอะไรกัน คนจะหลับจะนอน” สามีของแม่ พ่อใหม่ของนันเดินออกมาเจอนันที่กำลังโดนแม่ด่าทออยู่ “ก็ให้มันไปซื้อผงซักฟอก แต่มันดันซื้อน้ำยาอะไรไม่รู้มาให้” อารมณ์ของแม่ยังคงคุกรุ่น “ยี่ห้อที่แม่อยากได้มันไม่มี อันนี้เขาบอกเป็นน้ำยาซักผ้า เพิ่งออกมาใหม่ ใช้น้อยกว่าผงซักฟอก ประหยัดกว่า นันเห็นแม่รีบใช้ ก็เลยซื้อมา” เด็กหนุ่มพยายามอธิบายเหตุผลให้แม่ของตัวเองได้เข้าใจ

“มึงจะมาคิดแทนกู” แม่ไม่พูดเปล่าทำท่าง้างมือจะตบนันเข้าให้ “เธอนี่ เอะอะจะตบจะตีลูก” พ่อเลี้ยงของนันส่งเสียงปรามแม่ของนัน ก่อนเดินเข้ามาขวางระหว่างแม่กับนันเอาไว้ “นี่พี่เข้าข้างมันทำไม” ถึงแม้แม่ของนันจะอายุมากกว่าสามีใหม่ แต่ก็ให้เกียรติ ยอมเรียกผู้เป็นสามีว่าพี่

“เฮ้ย ฉันก็ไม่ได้เข้าข้างมัน” นันตัวสั่นเล็ก ๆ เมื่อพ่อเลี้ยงของเขาใช้แขนโอบรอบไหล่ของเขาเอาไว้ “มันก็ใช้ได้ไม่ใช่หรือไง ไอ้น้ำยาซักผ้าอะไรนั่น เธอลองใช้ดูหรือยัง” เสียงของพ่อเลี้ยงเหมือนกับจะพยายามไกล่เกลี่ยให้แม่ลูกได้ใจเย็นลง “ฉันรู้ว่าพี่รักมัน” คำพูดของแม่ ทำเอานันและพ่อเลี้ยงมองไปยังผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าตาเขม็ง

“พี่เป็นพ่อมัน พี่รักมันเหมือนลูกแท้ ๆ” แม่ของนันพูดต่อ “แต่ถ้าพี่ให้ท้าย ถือหางมันแบบนี้ มันจะเสียคนเข้าให้สักวันหนึ่ง” แม่ของนันพูดติงสามีของเธอออกไป “เธอนี่ก็พูดจาไปเรื่อย ฉันก็แค่หวังดีกับมัน ยังไงมันก็ลูกเรา” พ่อเลี้ยงของนันกระชับวงแขนของตัวเอง ให้โอบตัวนันแน่นขึ้น

“หรือไม่จริง” เสียงหัวเราะจากพ่อเลี้ยง ที่หันหน้ามามองนันพร้อมกับลมหายใจคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ค้างจากเมื่อคืนนั้น ทำให้เด็กหนุ่มต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “ฉันรู้พี่” แม่ของนันคล้อยตาม นันเห็นแม่เป็นแบบนี้บ่อยครั้ง ไม่ว่าสามีของแม่จะชี้นำไปทางไหน สุดท้ายแม้ว่าแม่จะคัดค้านอย่างหัวชนฝาเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ต้องยอมศิโรราบกับคำพูดและความคิดของผู้ชายคนนี้

“เธอจะไปทำโอทีไม่ใช่หรือไง ไป ๆ รีบไปสิ เดี๋ยวผ้านี่ ฉันให้นันมันซักให้เอง” อีกแล้ว นันรู้ดีกว่าใคร ว่าเรื่องพูดดีเอาหน้า เอาความดีเข้าใส่ตัวของผู้ชายคนนี้ เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร “พี่นี่ดีกับฉันจริง ๆ” แม่ของนันพูดออกมา ทำให้นันถึงกับต้องหลับตาลง ความเจ็บแปลบปราดแล่นเข้ากลางใจของเด็กหนุ่ม

“พี่ดีกับฉัน แถมยังดีเผื่อแผ่ไปถึงลูกของฉัน ไม่สิ ลูกของเราด้วย ฉันขอบใจพี่มากนะ” เดาได้ไม่ยาก ว่าสายตา ท่าทางของแม่ของนันจะแสดงออกมาอย่างซาบซึ้งเพียงใด จากคำพูดและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนหวานขนาดนั้น “พี่ไม่รังเกียจฉันและลูก แค่นี้ ฉันกับไอ้นันก็ติดหนี้บุญคุณพี่ไปตลอดแล้ว” นันได้ยินแม่พูดกับสามีแบบนั้น ทำให้ความเจ็บแปลบในใจ แล่นลึกเข้าไปบดขยี้ความรู้สึกของเขายิ่งขึ้นไปอีก

“ไป รีบไปเถอะ เดี๋ยวสายเขาจะว่าเอา” น้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจ แต่นันดูออกว่ามันไม่ได้เจืออะไรเหล่านั้นเลยสักนิด ไม่ได้ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ แต่แม่ของเขากลับมองไม่ออก นันมองแม่ของเขาเดินไปหยิบกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเดินเข้ามาให้สามีของแม่หอมแก้ม ก่อนออกไปทำงาน โดยที่แขนของสามียังคงโอบรอบไหล่ของลูกชายของเธอเอาไว้

“อีนี่” ทันทีที่แม่ออกจากบ้านไป นันก็สะพัดให้ตัวเองหลุดออกจากการโอบของพ่อเลี้ยง ส่งผลให้อีกฝ่ายหลุดปากบริภาษเขาออกมา “ทำยังกับเป็นสาวรุ่น ๆ ไปได้” แม้จะพูดกระแทกแดกดันนันออกมา แต่สายตาของพ่อเลี้ยงของนันที่มองเขา บ่งบอกถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม

“จะว่าไป มึงก็เนียน ๆ นุ่ม ๆ เหมือนอีพวกนั่งรอแขกมาหิ้วอยู่ไม่น้อย อีนัน” ความกะลิ้มกะเหลี่ยที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนและเปิดเผย ทำให้นันรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย “จะพูดจะจาอะไร ก็คิดถึงความรู้สึกของแม่บ้าง” นันพูดออกไป สิ่งที่พ่อเลี้ยงแสดงออกมานี้ มันคงทำให้แม่ของเขารู้สึกแย่มาก ถ้าหากได้รับรู้มัน

“นี่ถ้าเอาคำพูดพวกนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง คงสนุกดีพิลึก” นันนึกอยากจะพูดเสียดสี นึกหาคำแรง ๆ มาด่าทอผู้ชายคนนี้ให้ได้รู้สึกถึงพฤติกรรมของตัวเองบ้าง แต่เปล่าเลย ประโยคที่นันเพิ่งพูดออกไป กลับทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง “มึงนี่แม่ง พูดอะไรได้จี้ดีเป็นบ้าเลยว่ะ” นันมองเห็นพ่อเลี้ยงของตน หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล

“มึงคิดสินะ ว่ากูจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนกราบกราน ขออยู่กับแม่มึง” สายตาและสีหน้ายวน ๆ กวนเบื้องล่างนั้น แสดงออกมาว่า คนพูดไม่ได้นึกยี่หระอะไรกับคำขู่ของนันเลยสักนิด “มึงคิดหรือไง ว่ามันจะไม่ใช่แม่มึง ที่จะเป็นคนต้องก้มลงเอาหัวแนบตีนกู อ้อนวอนร้องขอให้กูอยู่ต่อ อีนัน มึงมันสมองน้อยฉิบหาย สมองเท่าเม็ดถั่ว เล็กกว่าที่กูคิดไว้ซะอีก” พ่อเลี้ยงของนัน พูดไปก็กลั้วหัวเราะไป

“เอาสิ มึงจะวิ่งตามไปฟ้องแม่มึงก็ได้นะ แต่มึงคิดว่า แม่มึงจะเชื่อคำพูดของมึงมั้ยล่ะ กับอีแค่เรื่องผงซักฟอก มีอันไหนก็ใช้อันนั้น แม่มึงยังเข้าใจชีวิตยากขนาดนั้นเลย” นันรู้สึกหน้าชา เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อเลี้ยงด่าแม่ของตัวเองแบบนั้น “แล้วถ้ามันเป็นเรื่องระหว่างมึงกับกู มึงคิดว่า แม่มึงจะไม่คิดหรือไง ว่าเป็นที่มึงนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายยั่วยวนเพื่อแย่งกูไป” สิ่งที่ได้ยินจากปากของผู้ชายคนนี้ ทำให้นันรับรู้ได้ ว่าคนคนนี้เลวกว่าที่คิด

“เถียงไม่ออกเลยสิมึง อีตุ๊ด” นันถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินพ่อเลี้ยงตอบโต้กลับมาแบบนั้น ใช่สิ มีครั้งไหนบ้างที่แม่ของเขาเชื่อหรือฟังในสิ่งที่เขาพูด มีเรื่องไหนบ้าง ที่แม่ของเขาจะเห็นด้วยและมองความคิดของนันเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และยอมรับว่านันพูดถูก คิดดี และยอมรับเอาไปทำตาม ไม่เลย ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว

“ไม่เอาน่า” พ่อเลี้ยงของนันทำเสียงอ่อนลง เดินเข้ามาหานัน ที่ก้าวเท้าถอยหลังไปสองสามก้าว “เล่นตัวไปก็ใช่ว่าจะรอด” สายตาที่ใครมองมาเห็น ก็จะเข้าใจความหมายที่พ่อเลี้ยงของนันสื่อออกมาได้ในทันที “แม่มึงให้กูเอาจนเบื่อแล้ว” ท่าทางที่ไม่ปิดบัง “ต่อไปก็ถึงตามึงที่จะทำให้กู จนกว่ากูจะเบื่อแทนแม่มึง” คำพูดที่บ่งบอกถึงความต้องการ

“มันไม่มีทางเกิดขึ้น อย่าได้หวังไปเลย” นันตกใจตัวเองเหมือนกัน ที่เขาพูดออกไปจนเกือบจะเป็นการตะโกนแบบนั้น มันอาจจะเป็นกลไกการป้องกันตัวอย่างหนึ่งกระมัง เขาเองก็ไม่แน่ใจ เมื่อเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ภัยจากพ่อเลี้ยงกำลังคืบคลานเข้ามาถึงตัว และมันใกล้ตัวกว่าที่เขาคิดมากนัก

ยิ่งนันไม่มีแม่คอยให้การปกป้อง มันจะเป็นยังไงต่อไป ในเมื่อคนแรกและคนเดียวที่นันจะหันไปหาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ กลับจะเป็นคนที่ไม่เชื่อในคำพูดของเขาเลยสักนิด แล้วจะมีใครอีก ที่คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักมากพอ ว่าพ่อเลี้ยงของเขา ที่ดูเป็นผู้ชายปกติทั่วไป กำลังคิดจะเคลมลูกเลี้ยงที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน อย่างไม่ปิดบังอำพรางใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังมั่นใจว่าตัวเองจะทำแบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้นจะเชื่อ และจะช่วยหยุดยั้งการกระทำนั้นของเขา

“ทำปากดีไปเถอะ แล้วมึงจะติดใจกู อีนัน” เสียงนั้นกึ่งคำรามเมื่อดูไปแล้ว นันจะไม่ยอมสยบใต้อำนาจของพ่อเลี้ยงง่าย ๆ “ไอ้อีตัวไหนที่เคยโดนขอกูเข้าให้แล้ว แม่ง ร้องครางหงิง ๆ น้ำลายหยด ออดอ้อนขอกูเบิ้ลทุกตัว” คำพูดที่น่าสะอิดสะเอียนที่พ่อเลี้ยงสำรอกใส่เขานั้น สำหรับนัน มันช่างน่าขยะแขยงและน่าคลื่นไส้ยิ่งนัก

“ยังไง วันนี้แม่มึงก็ไม่อยู่บ้าน มึงกับกูมาจัดการเรื่องอย่างว่า ให้มันแล้ว ๆ ไปดีกว่า” พ่อเลี้ยงพูดก่อนจะพยายามคว้าตัวของนันเอาไว้ แต่นันไหวตัวได้ทันและขยับตัวไวกว่า เขารีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน แล้วปิดประตูล็อกกลอนได้ทัน อีนัน เปิดประตู อีเหี้ยนี่ ออกมาเดี๋ยวนี้ อีห่าราก อย่าให้กูหมดความอดทนนะ มึงหลบอยู่ในนั้นได้ไม่ตลอดไปหรอก อีเวร”

นันทรุดตัวลงนั่งพิงประตูห้อง ที่เป็นสิ่งเดียว ที่ช่วยกั้นเขาเอาไว้จากความโหดร้ายและป่าเถื่อนของหลุมดำของจิตใจมนุษย์ น้ำตาคลอขึ้นสองหน่วยตา ก่อนที่มันจะไหลพรั่งพรูลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างนั้นอย่างเนืองนอง เขาตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัว เขาคิดถึงใครคนหนึ่งที่ได้จากเขาไปไกล อย่างไม่มีวันหวนกลับมาช่วยเขาได้อีกแล้ว



2527

1984



เด็กชายนันนั่งนิ่งดวงตาเหม่อลอยอย่างจุดหมาย นันเองไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นและอย่างนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่นันนั้น ไม่คิดที่จะขยับไปไหน ไม่อยากจะลุกจากไป ที่ตรงนี้เหมือนจะเป็นที่ป้องกันภัยสุดท้ายที่นันเหลืออยู่ เพราะถ้าหากนันไปจากที่นี่ คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วบนโลกใบนี้ ที่จะมอบความรู้สึกปลอดภัยให้กับเขาได้อีก

“นัน ไปกันเถอะ” เสียงใครบางคนพูดขึ้นที่ด้านหลังของเขา แต่นันนั่งนิ่งไม่ไหวติง มือของเขาจับกระชับแน่นขึ้นกับมือของผู้เป็นพ่อ ที่ตอนนี้แข็งและเย็นเฉียบ “พ่อเขาไปสบายแล้วนะนัน” เสียงใครอีกคนพยายามปลอบประโลมใจเด็กชายตัวน้อย ที่นั่งอยู่กับร่างของพ่อตัวเองมานานนับชั่วโมง ๆ

“ปล่อยสินัน อย่าดื้อ เขาจะได้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง” ใครบางคนที่คงเหลืออด ขึ้นเสียงใส่นัน และตรงเข้ามากระชากตัวนันให้ลุกขึ้นยืน เด็กชายนันไม่ได้พูดจาอะไร กลับล้มตัวลงกอดพ่อของตัวเองเอาไว้จนแน่น บางคนสะเทือนใจกับภาพที่เห็น จนต้องเบือนหน้าหนีไปพร้อมคราบน้ำตา

“เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว” ใครอีกคนตวาดใส่นันมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง นันยังคงกอดพ่อของเขาเอาไว้ พ่อที่เมื่อวานยังคงลูบหัวปลอบประโลมใจเขาว่าไม่ให้กลัว พ่อที่บอกกับเขาว่า จะไม่จากไปไหน และจะอยู่กับนันตลดไป “ปล่อยมือออก ปล่อยสิ” เสียงนั้นออกคำสั่งและพยายามแกะมือของนันออก แต่เด็กชายยิ่งกอดร่างของพ่อแน่นยิ่งขึ้น

“พอแล้ว อย่าทำกับเด็กมันแบบนั้น” ใครบางคนทนเห็นนันถูกกระทำแบบนั้นไม่ไหว ก็ร้องขอออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่ก็ไม่เป็นผล นันถูกกระชากออกจากร่างของพ่อ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเด็กชายตัวน้อยโผกลับเข้าไปกอดพ่อของเขาอีกครั้ง “เด็กเปรตนี่” คนเดิมผรุสวาทออกมาอย่างรำคาญ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นใครอีกคนมาจับตัวนันไปรั้งเอาไว้ โดยที่นันไม่ปริปากส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ แต่ดิ้นรน ทั้งถีบทั้งเตะเพื่อให้หลุดจากการขืนบังคับ เพื่อที่จะกลับไปกอดพ่อของเขาเอาไว้ ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย และหัวใจดวงน้อย ๆ ของเขาที่กำลังจะแตกสลาย

***************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=m8t3xS4Qs6Q


ก็เป็นเพียงแค่คนที่ค้นหาทางเดิน

I am just someone who’s trying to find a way

เมื่อมีทางให้เดินก็จะเดินไป

If there’s one, I won’t hesitate to go through

เพื่อเก็บดาวซักดวงที่ฉันนั้นเคยใฝ่

To collect a star that I’ve been longing for

เพื่อเจอคนที่ใจเขาจะจริงจัง

To find that one man who is meant to be


แต่ความจริงที่เจอชีวิตนั้นวกวน

But in reality, life is more complicated than that

ไม่เคยมีผู้คนที่จะจริงใจ

No one seems to be sincere, entirely

จะมีเพียงแค่ดาวบนฟ้าแสนกว้างใหญ่

There are those stars shining up in the vast sky

ที่เอื้อมมือเท่าไรยิ่งจะไกลห่าง

That keeps stretching far and far away


กลายเป็นเพียงนิยายที่ยาวนานเรื่องหนึ่ง

All of this now is just a long story been told

ซึ่งถูกแต่งมาด้วยใจและด้วยความฝัน

That’s filled with heart - felt moments and full of dreams

แต่ในความจริงที่เจอคือผิดหวังเท่านั้น

Yet what happens really is only sad disappointment

ไม่เคยเหมือนที่ใจฝันสักที

None of this became true like my heart had hoped
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน:Nostalgiaบทที่ ๒๖. คิดถึงความจริงย้อนไป ๑๙/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 22-01-2023 00:23:33
ทิว-กั้ง = วิน-ตฤณ
ท็อป-นัน = ดีน-เทปปัน

เราเข้าใจถูกไหม555 มาต่อไวๆน๊าาาา
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๓. คิดถึงซึ่งคำลา ๑๐/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 23-01-2023 19:27:18
บทที่ ๒๗. คิดถึงไม่สมมติ



2566

2023



“โรยใบโหระพาตบท้าย ก็ปิดเตาไฟ ยกหม้อลงได้” ตฤณพูดพร้อมกับขยับแกงเขียวหวานเนื้อหม้อใหญ่นั้น ให้ขยับไปวางอยู่บนแผ่นรองความร้อน “หอมมาก” เสียงของเจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ที่ยืนอยู่ข้าง ดังขึ้น “ผมหิวข้าวมาก” ทั้งสายตาและรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของนฤเบศ บ่งบอกถึงความดีใจ ที่ตฤณมาทำอาหารให้เขากินในวันนี้

นฤเบศขับรถไปรับตฤณที่คอนโดตั้งแต่เช้า เพราะอีกฝ่ายบอกว่า ถ้าจะกินแกงเขียวหวานแบบรสชาติเด็ดขาดสูตรโบราณ ก็ต้องออกไปเลือกซื้อของเองที่ตลาดสด ทั้งเนื้อวัว ทั้งพริกแกง ทั้งผักสด รวมถึงหัวหางกะทิที่คราวนี้ จะไม่พึ่งพากะทิกล่อง เพราะตฤณบอกว่า จะทำแกงแตกมันได้ยาก และไม่หอมเท่ากะทิที่คั้นน้ำจากมะพร้าวขูดสด ๆ จากร้าน

“ผมคิดถึงอาหารไทยสุด ๆ” นฤเบศสารภาพไปตามความจริง “อะไรกัน” ตฤณที่กำลังเก็บล้างภาชนะที่ใช้ประกอบอาหารท้วงขึ้น “มีร้านอาหารไทยอยู่ทั่วยุโรปแล้วนะ” นฤเบศได้ยินตฤณพูดแบบนั้น ก็เดินเข้าไปยืนแนบด้านหลังของอีกฝ่าย “แต่ยุโรปขาดฝีมือทำกับข้าวของคุณนี่นา” พูดจบหนุ่มใหญ่ก็ก้มลงหอมแก้มตฤณฟอดใหญ่

“อะไรเนี่ย” ตฤณถาม หัวเราะนิด ๆ ขณะหยิบผ้าเช็ดมือจากตะขอแขวนเหนืออ่างล้างจาน “แทนคำขอบคุณ” นฤเบศยิ้มกว้าง ตฤณส่ายหน้าน้อย ๆ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ “คุณไปเมืองนอกแค่สองสัปดาห์เองนะครับ” ตฤณบอกกับอีกฝ่าย มือหยิบแก้วกาแฟที่ชงเอาไว้ตั้งแต่กลับมาจากตลาดขึ้นจิบ มันเย็นชืดแล้วก็จริง แต่ตฤณคิดว่ารสชาติมันไม่ได้แย่อะไรสักนิด

“ซึ่งโคตรน่าเบื่อเลย” นฤเบศพูดก่อนเดินนำไปบริเวณพื้นที่นั่งเล่น “มิลานออกจะสวย” ตฤณเถียง เดินตามหนุ่มใหญ่เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์แพงระยับนี้ ไปหย่อนตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกัน “ก็คิดว่าจะมีเพื่อนร่วมทริป” เสียงของนฤเบศฟังดูตัดพ้ออยู่ในที ตฤณหลบตาวูบ ไม่ได้ต่อคำอะไรกับประโยคนี้ของอีกฝ่าย

“มิลานมันก็ดี แต่มันไม่ดีตรงที่เราไม่ได้ไปด้วยกัน ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว” จริงอย่างที่นฤเบศพูด “ดีตรงไหน แทบจะไม่ได้ออกจากห้องที่โรงแรมไปไหนกับเขาเลย” ตฤณนึกย้อนกลับไปเมื่อทริปยุโรปครั้งที่แล้ว ที่เขาไปกับนฤเบศ “มันดีตรงนั้นแหละ” ทั้งสองคนสบตากัน ต่างรู้ดีว่าเหตุใดทั้งคู่ทำอะไรกันในห้องทั้งวันทั้งคืน ถึงแทบไม่ได้ออกไปเดินเที่ยวชมเมืองที่ไหน

“อุตส่าห์บินไปตั้งไกล” ตฤณนึกถึงครั้งนั้น ที่ต่างก็นึกบ้าอะไรขึ้นมา วีซ่ายังไม่หมดอายุ จองตั๋วเครื่องบินแบบปุบปับที่แพงแสนแพง จองโรงแรมด้วยราคาที่อาจจะทำให้ใครบางคนต้องล้มละลาย จัดกระเป๋าเดินทางเพียงไม่นาน รู้ตัวอีกที ทั้งสองคนก็อยู่บนเครื่องบินที่ทะยานจากสนามบินสุวรรณภูมิ ขึ้นไปอยู่บนฟ้า มุ่งหน้าสู่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลีแล้ว

“สนุกดีนะ” นฤเบศพูดขึ้น เขาเองก็คิดว่าปีใหม่ที่ผ่านมา จะได้ไปทำเรื่องสนุก ๆ กับตฤณแบบนั้นอีก “ผมอยู่มิลานได้สองสามวันก็เบื่อ เลยไปต่อที่เมืองนีซ” ชื่อเมืองที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มใหญ่ ทำให้ตฤณถึงกับตาโต “เสียดายเลยทีนี้” ตฤณพูดพลางทำท่าทางเสียอกเสียใจ นฤเบศเองก็เสียดายเช่นกัน ที่แผนทั้งหมดของเขานั้นล่มลง

“ผมรู้ว่าคุณอยากไปเมืองนี้มาก ก็กะว่าจะทำเซอร์ไพรซ์ให้สักหน่อย ผิดแผนไปหมด คุณดันไม่รับโทรศัพท์ผมเลย” ตฤณสบตากับนฤเบศ เข้าใจเลยว่า หนุ่มใหญ่กำลังกึ่งบ่น กึ่งตำหนิ กึ่งพูดใส่หน้า ว่านี่คือความผิดของตฤณ “อยากรับผิดชอบอะไรขึ้นมาบ้างไหมล่ะ” นฤเบศยิงคำถามออกไป ก่อนจะเห็นแววตาที่รู้ทันฉายอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย

“ก็มาทำแกงเขียวหวานแสนอร่อยนี่ให้กินวันนี้แล้วไง” ตฤณรีบพูดออกไป กลั้วหัวเราะทำกลบเกลื่อนความผิด “โห มันน้อยไปมั้ยครับ รับผิดชอบกับใจดวงน้อย ๆ ของผมแค่นี้เองหรือ” ตฤณนึกหมั่นไส้อยู่เสมอ เวลาเห็นนฤเบศอ้อนแบบนี้ หนุ่มใหญ่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ รูปร่างเฟิร์มกล้ามท้องแน่น มาทำตาหวานใส่ พูดจาออดอ้อนด้วย มันก็ทำให้ใจสั่นไม่น้อย

“แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะครับ” ตฤณพูดออกไป ก็ทำให้นึกได้ทีหลังว่า การพูดถามอีกฝ่ายปลายเปิดแบบนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก เพราะมันมักจะจะกลายเป็นสิ่งที่มัดตัวเขาภายหลังเสมอ ๆ “เสร็จผมล่ะ” ทันทีที่ได้ยินตฤณเปิดโอกาสแบบนั้น นฤเบศก็ไม่พลาดที่จะแสดงออกมาอย่างเปิดเผย กับสิ่งที่เขาต้องการจากอีกฝ่าย

“คืนนี้อยู่กับผมทั้งคืนนะครับ คนดี” ตฤณได้ยินอีกฝ่ายพูด ก่อนจะเห็นนฤเบศลุกจากโซฟาหรูตัวยางนั้น เดินตรงมาหาเขา “คิดถึงเป็นบ้าเลย” ก่อนที่ตฤณจะรู้สึกถึงจูบที่แผ่วเบา แต่หวานละมุนนั้นบนหน้าผากของเขา “ข้าวสุกพอดี” ตฤณพูดขึ้น รู้สึกเหมือนระฆังจะช่วยเขาเอาไว้ได้พอดี เมื่อเสียงตัดของหม้อหุงข้าวดังขึ้น

“ก็คุณบอกเองว่าหิวข้าวมาก” ตฤณที่ลุกขึ้นยืนขึ้น โดยที่ความสูงของเขาเสมอเพียงแค่คางของหนุ่มใหญ่ ที่ตอนนี้รู้สึกว่า ตัวเองโดนแก้เกมได้โดยง่ายอีกแล้ว “ฝากไว้ก่อนเถอะ” หนุ่มใหญ่ทำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตฤณหัวเราะเสียงใสออกมา แววตาของนฤเบศแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า เขาดีใจและมีความสุขมากแค่ไหน ที่ตฤณมาอยู่กับเขาในวันนี้

“เดี๋ยวผมทำไข่เจียวเพิ่ม แนมกับเขียวหวานเนื้อ อร่อยเหาะเชียวแหละ” ไม่พูดเปล่า ตฤณเดินกลับเข้าไปในส่วนครัว นฤเบศเดินตามไปเท้าข้อศอกมองจากไอส์แลนด์ครัวแบบฝรั่ง ดูตฤณทำโน่นทำนี่ ฟังเสียงของอีกฝ่ายบรรยายว่า ตัวเองกำลังทำอะไร ปรุงอะไร ทำอาหารแบบไหน นฤเบศมองเห็นภาพในอนาคตของเขา ที่เขาตื่นขึ้นมา มีตฤณอยู่ในทุกวันของชีวิตแบบนี้

“คุณจะกินแบบเป็นกับข้าว หรือว่าจะลูกทุ่ง ๆ แบบเป็นข้าวราดแกงโปะไข่เจียวไปเลย ดีครับ” ตฤณที่ตักข้าวใส่จาน หันมาถามนฤเบศเสียงใส “ราดข้าวมาเลยครับผม” นฤเบศตอบกลับไปแบบไม่ลังเล ก่อนจะชี้ไปที่ถ้วยที่วางอยู่ไม่ไกลกันนั้น “ขอน้ำปลาพริกให้ผมเยอะ ๆ เลยครับ แหม คิดถึงสมัยยังเด็กจริง ๆ พับผ่าสิ” ตฤณที่จัดให้ตามคำขอของอีกฝ่าย หัวเราะตามไปกับหนุ่มใหญ่ด้วย

ตฤณยื่นจานข้าวที่พูนไปด้วยแกงเขียวหวานร้อนกรุ่น ไข่เจียวหอม ๆ และน้ำปลาพริกขี้หนูแดงเขียว ก่อนจะนึกตามคำพูดของนฤเบศ จริงสินะ สมัยยังเด็ก ที่ความทรงจำในช่วงนั้น มันกลับมาส่งผลกับความรู้สึกของตฤณมากอยู่เช่นกันในตอนนี้ กับใครบางคน เมนูบางเมนู ที่เขาเองก็ตั้งใจลองผิดลองถูก ตั้งใจทำ เพื่อใครคนนั้นเช่นกัน

ตฤณรับรู้ถึงสัมผัสที่เริ่มต้นอย่างแผ่วเบานั้น ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น จากการขบด้วยริมฝีปากที่ติ่งหูของเขา จนการซุกไซ้ไรหนวดเขียวนั้นไปตามซอกคอ แผ่นหลัง และไล่ลงไปจนถึงร่องหลืบที่อีกฝ่าย ใช้เวลาอยู่นาน กับการลิ้มชิมรสและเพิ่มความซ่านกระสันให้กับตฤณ ที่เขาไม่อาจจะปฏิเสธที่จะแยกขาออกจนกว้าง เพื่อรับรู้ความอุ่นนุ่มแต่ดุดัน ที่แทรกซุกเข้าหามันได้เช่นกัน

“ผมขอนะ” ตฤณดิ้นนฤเบศถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กระเส่าอยู่ในที ท่ามกลางแสงไฟสลัว ตฤณพยักหน้ารับ อนุญาตให้อีกฝ่ายใช้นิ้วป้ายเจลเย็น ๆ นั้นลงไปยังที่หมาย ตฤณครางออกมาเมื่อนิ้วของนฤเบศล่วงล้ำพาเจลลื่นนั้นเข้าไปในช่องทาง หนุ่มใหญ่มองดูตฤณ จากที่ดึงตัวหนีนิ้วของเขา จนอีกฝ่ายขยับตัวเข้าหานิ้วของเขาเอง โดยที่เขาไม่ต้องบังคับใด ๆ

นฤเบศสวมเครื่องป้องกันลงบนความแข็งขันของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นไปประกบแผ่นหลังของตฤณ หนุ่มใหญ่ดึงบั้นท้ายของตฤณให้ยกสูงขึ้น ก่อนจะดันส่วนที่ชูชันนั้น ค่อย ๆ แทรกผ่านความหนั่นแน่น ฝังส่วนกลางลำตัวแห่งความเป็นชายของตน เข้าไปจนสุดความยาว

“เจ็บมั้ย” นฤเบศรับรู้คำตอบจากตฤณด้วยการที่อีกฝ่ายบีบมือของเขาเอาไว้จนแน่น ถึงแม้ว่าตฤณกับเขาจะมีอะไรกันมาหลายครั้ง แต่ตฤณก็ยังไม่ชินกับความเขื่องที่แทรกผ่านเข้ามาในตัว “เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งขยับ” ตฤณสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อเรียบของเขาคลายความเจ็บลง นฤเบศก้มลงจูบเบา ๆ ที่แผ่นหลังของตฤณ โดยที่หนุ่มใหญ่รอให้อีกฝ่ายส่งจังหวะเหมาะให้กับเขา

“ตฤณ คุณคับแน่นจังเลย” นฤเบศกระซิบบอกตฤณเบา ๆ ที่ข้างหู และเมื่อตฤณพยักหน้าเป็นสัญญาณ นฤเบศก็เริ่มขยับเอวเข้าออกช้า ๆ โดยมีเสียงร้องครางของตฤณดังออกมา ให้เขารู้ว่า เขาสามารถเพิ่มความถี่และความแรงในการขยับตัว และเมื่อตฤณยอมเอี้ยวตัวหันมาจูบปากแลกลิ้นกับเขา นั่นก็ทำให้นฤเบศสามารถกระหน่ำย้ำสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ได้อย่างหนักหน่วง และพลิกแพลงท่วงท่าได้ตามใจต้องการ

แม้ว่าเครื่องปรับอากาศภายในห้องนอนจะเย็นฉ่ำ แต่ทั้งตฤณและนฤเบศก็เหงื่อท่วมตัว หนุ่มใหญ่ฟุบตัวซุกหน้าลงที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย จูบเบา ๆ ลงไปตรงนั้น ก่อนจะเลื่อนตัวไปหอมแก้มบอกขอบคุณ แล้วจึงค่อย ๆ ถอนตัวออกจากช่องทางของตฤณ ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ปีหน้าเห็นได้ข่าวว่า จะมีสลีปเปอร์เทรนเชื่อมระหว่างซูริคกับบาร์เซโลน่า” นฤเบศที่ลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่ปลายเตียงพูดขึ้น “คุณไปกับผมนะ ไปเริ่มต้นที่สวิส แล้วก็ไปให้ทั่วสเปนเลย” อีกมือก็ดึงเครื่องป้องกันที่มีน้ำสีขาวขุ่นขังตัวอยู่ในนั้นออกจากความแข็งเขื่อง ตฤณมองตามนฤเบศที่เดินไปโยนยางบางเฉียบนั้นลงไปในถังขยะที่มุมห้อง

“ถ้าว่างนะครับ” ตฤณไม่รู้จะตอบแบบไหนออกไป เลยกึ่งรับกึ่งออกตัวไปแบบนั้น ก่อนจะเห็นหนุ่มใหญ่ยิ้มกว้างแล้วเดินมาหา “ผมจะทำให้มั่นใจว่า คุณว่างไปกับผม ตฤณ” ก่อนจะประทับจูบหนัก ๆ ลงบนริมฝีปากของตฤณที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียงใหญ่หนานุ่มนั้น ตฤณสบตากับนฤเบศแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในหัวยังไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนกับคำชวนนี้ของนฤเบศ

ตฤณกลับมาถึงที่คอนโดก็เกือบจะเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาบอกกับหนุ่มใหญ่ว่า มีงานค้างอยู่ต้องกลับไปสะสาง ตฤณเดินเข้ามาในส่วนรับรองของตึกคอนโด ก็เห็นวินนั่งรออยู่ที่โซฟา ตรงส่วนต้อนรับ เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมองตรงมาที่ตฤณที่เพิ่งเดินเข้ามาในตัวอาคาร ตฤณมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินตรงมาหาเด็กหนุ่ม

“มาทำอะไรแต่เช้า” ตฤณยิงคำถามออกไป เห็นเด็กหนุ่มยักไหล่ ทำยิ้ม ๆ “ก็อยากมาหา อยากเจอตฤณ ก็เลยมาที่นี่เลย ทำไมล่ะ มาไม่ได้แล้วหรือ” น้ำเสียงของวินไม่ได้แสดงอาการตัดพ้ออะไร ถามออกมาเรียบ ๆ แบบชวนคุยเสียมากกว่า “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ตฤณตอบกลับไป ในใจแอบกังวลเล็กน้อย ว่าวินจะถามอะไรเพิ่มหรือไม่ ที่เห็นเขากลับเข้าคอนโดมาในตอนเช้าแบบนี้

“ก็มาได้ แต่ถ้าผมไม่อยู่ คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งรอนาน ๆ ไง เสียเวลาออก” ตฤณบอกเด็กหนุ่มออกไปแบบนั้น วินเดินเข้ามา แล้วก็ยิ้มให้ ส่ายหน้าเป็นเชิงว่ามันไม่ได้อะไรนักสำหรับเขา “คิดถึงจัง” วินโน้มใบหน้าลงมาจนเกือบจะถึงใบหน้าของตฤณ ซึ่งสิ่งที่วินทำต่อจากนั้น ก็ทำให้ตฤณรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ขอกอดหน่อยนะ” ตฤณถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม วินกอดตฤณเอาไว้จนแน่น กลิ่นบางอย่างที่วินรู้ว่า ไม่ใช่กลิ่นประจำตัวของตฤณ โชยออกมาให้เขาได้รับรู้ “อะไรเนี่ย” ตฤณถามออกไป ความอุ่นจากกายของเด็กหนุ่มที่ส่งผ่านออกมาจากถึงตัวของเขา ทำให้ตฤณรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ

วิน เด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังกอดตฤณไว้ในอ้อมแขนนั้น ส่งสายตามองผ่านกระจกบานใหญ่ของอาคารออกไป ที่ตรงนั้น มีหนุ่มใหญ่ดูภูมิฐานคนหนึ่ง ยืนมองพวกเขาสองคนอยู่ วินจ้องไปที่ใบหน้าของนฤเบศอย่างตาไม่กะพริบ เปิดเผยเช่นกันว่า เขาไม่กลัวหากว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำต่อจากนี้ คือการทำทุกวิถีทาง ที่จะให้ตฤณเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น

****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=LTtlD37_bD8


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I always dream of a life that you do pick me

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Dreaming that he doesn’t exist in this world, supposedly we’re so in love

ฉันเข้าใจหมดทุกอย่าง ไม่ว่าเธอเลือกทางไหน

I totally get it – all of it, no matter what you’ re gonna choose

จะไปคาดหวังอะไรได้ คนจะไปก็ต้องไป

What can be expected if one wants to leave?


แต่ตอนนี้ มันยังมีเวลา ไม่ต้องคิดถึงหน้าใคร

There’s still time, no need to ever care about anyone

และเราก็อยู่ด้วยกัน

And we’re now here together

ก่อนเดินจากกันไป ลองหลับตาแล้วนึกดูได้ไหม

Before we would say goodbye, close your eyes and think one minute

จับมือฉันไว้สักครั้ง

Hold my hand tight just once


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I always dream of this life that you literally choose me

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Picturing a world without him, supposedly we fall in love

เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดี ไม่ห่าง

We will have ourselves days and nights full of good stuff

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

You smile, stand by me and walk along with

อยากให้ลองคิดถึงฉันไม่ใช่เขา

Think of me please – not him

สมมติว่าเราได้คบกัน

Supposedly, we’re seeing each other

สมมติว่าเราได้รักกัน

Supposedly, we fall head over heels


สมมติฉันไม่ยอมแพ้ แล้วเรื่องจริงจะเปลี่ยนไหม

I suppose I never quit; will all of this alter all the facts?

สมมติฉันไม่ยอมรับ และขอร้องเธอไม่ให้ไป

I suppose I never accept it, on my knees asking you not to leave me

หากสองเราได้ย้อนเวลา มีโอกาสได้แก้ไข

If we could turn back time, we’d get a chance to make it right

เราจะยอมให้ทุกทุกอย่าง เป็นไปตามนี้หรือไม่

We’ll do whatever it takes, will it be as we really want?


แต่ตอนนี้ เวลามันยังมี ตรงนี้ไม่มีผู้ใด

Now there’s still time and no one is around

เราอยู่ลำพังอีกหน

We are here together just the two of us

ก่อนเดินจากกันไป ลองหลับตาแล้วนึกดูได้ไหม

Before we say we’d part ways, close your eyes and picture it once again

โลกที่มีเราสองคน

The world of our own, you and me


ฉันฝันเห็นอยู่เสมอ ชีวิตที่เธอได้เลือกฉัน

I always dream of this life that you literally choose me

ฝันว่าโลกไม่มีเขา สมมติว่าเราได้รักกัน

Picturing a world without him, supposedly we fall in love

เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดี ไม่ห่าง

We will have ourselves days and nights full of good stuff

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

You smile, stand by me and walk along with

อยากให้ลองคิดถึงฉันไม่ใช่เขา

Think of me please – not him

สมมติว่าเราได้คบกัน

Supposedly, we’re seeing each other

สมมติว่าเราได้รักกัน

Supposedly, we fall head over heels


เราจะได้ มีคืนวัน ที่ดีดี ไม่ห่าง

What we’re gonna have is the delights every single day

มีเธอยิ้ม มีเธอยืน มีเธอเดินข้างข้าง

Your smile, your stay and us walk hand in hand

เพียงแต่เราคิดถึงฉันหรือว่าเขา

Just one thing, we; refers to him or me?

สมมติว่าเราได้คบกัน

Supposedly, we are now dating

สมมติว่าเราได้รักกัน

Supposedly, we are now madly in love
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๘. คิดถึงสารภาพ ๒๙/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 29-01-2023 18:18:17
บทที่ ๒๘. คิดถึงสารภาพ



2566

2023



“ดีนอยู่ไหนลูก” ทันทีที่เขารับสายเฟซไทม์จากผู้เป็นแม่ “ดีนออกมากับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยครับแม่” ดีนก็บอกแม่ออกไปว่า เขากำลังทำอะไรอยู่ “เป็นงานของทางมหาวิทยาลัยครับ จำที่ดีนเล่าให้แม่ฟังได้มั้ย งานละครเวทีที่ดีนร่วมแสดงด้วย วันนี้เรามาดูสถานที่จริง ที่เอาไปเขียนเป็นฉากในเรื่องน่ะครับ” ดีนบอกกับแม่ของเขาอย่างอารมณ์ดี

“ดูสถานที่จริงหรือลูก” แม่ของเขาถามลูกชายของเธอต่อ “ใช่ครับแม่ พวกมันจะเล่นใหญ่ จำลองฉากนี้ขึ้นมาบนเวที” จากกล้องของดีน มองเห็นกลุ่มเพื่อนของเขา ที่เป็นบรรดาทีมงานเบื้องหลังของละครเวทีเรื่องนี้ “ก็เลยพานักแสดงนำมาดูของจริง เพื่อซึมซับบรรยากาศโดยรวม จะได้มีอารมณ์ร่วมตอนเฉากแสดงจริง” แม่ของดีนมองดูกลุ่มเพื่อนของลูกชาย ก่อนจะยิ้มให้

“ที่พี่ดีนเล่นเป็นพระเอกของเรื่องอ้ะนะ” เสียงของน้องสาวของเขาดังแทรกเข้ามาให้ได้ยิน “แน่นอน พี่ชายสุดหล่อของเธอคนนี้ ต้องเล่นเป็นพระเอกอยู่แล้ว” ดีนยิ้มกว้างเห็นฟันขาวสวย พร้อมยืดอกแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ที่ตนได้รับเลือกให้แสดงบทนำนี้ น้องสาวที่ดูหน้าพี่ชายฉีกยิ้มขนาดนั้น ก็ทำเสียงแหวะดังข้ามมาให้ได้ยิน

“มันคือเรื่องจริง” ดีนตอบกลับไปพร้อมกลั้วหัวเราะ แม่ของเขาเองยังนึกประหลาดใจ ที่เดี๋ยวนี้เธอไม่ค่อยเห็นดีนจะถือสาหาความอะไรน้องสาว ที่ว่าหากเป็นเมื่อก่อน น้องพูดอะไรไม่เข้าหู ดีนคงไม่ยอมเป็นแน่ “แล้วมีใครแสดงกับดีนบ้างล่ะลูก” แม่ของดีนถามคำถามนั้นขึ้น ก็พอดีกับที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เดินผ่านหน้ากล้องโทรศัพท์มือถือของดีนไปพอดี

“เทปปันครับแม่” ผู้เป็นแม่ได้ยินเสียงของลูกชาย ออกเสียงชื่อของใครบางคน ด้วยความอ่อนโยน “เทปปัน” แม่ของดีนทวนชื่อนั้นซ้ำ “ใช่ครับแม่ เทปปัน” ดีนแพนกล้องมือถือไปทางเจ้าของชื่อ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน “น่ารักดีนะ” เสี้ยวหน้าด้านข้างที่แม่ของดีนเห็นทำให้แม่ของดีนเอ่ยปากชมออกมา

“ลูกเต้าเหล่าใครกัน” แม่ของดีนถามต่อ เมื่อเทปปันหันหน้ามาให้เห็นแบบเต็ม ๆ “ลูกครึ่งญี่ปุ่นครับแม่” ดีนที่ตอนแรกมองใบหน้าของเทปปันผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือเหมือนกับแม่ของเขา “น่ารักใช่มั้ยครับ ดีนว่าปันเขาน่ารักมากครับ” ดีนบอกกับแม่ของเขาออกไป ก่อนจะเลื่อนสายตาของตัวเองออกจากหน้าจอ แล้วมองตรงไปยังเจ้าตัวจริง ๆ

“พี่ดีนพูดไป แล้วทำไมต้องเขินด้วย” เสียงยัยน้องสาวตัวดีของเขา ทำให้ดีนที่เผลอหลุดยิ้มออกมา ถึงกับต้องทำท่าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เปล่าเสียหน่อย พี่ก็แค่พูดไปตามที่เห็น แค่นั้นเอง” ฝ่ายน้องสาวส่ายหน้า แบบไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ชายตัวเองเพิ่งพูดออกมา ก่อนจะพึมพำว่า พิรุธเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ ยังจะกล้าแก้ตัวอีก

“หนูก็พูดตามที่หนูเห็นเหมือนกันนะแม่” น้องสาวของดีนพยายามส่งเสียงข้ามอีกครั้ง ก่อนที่แม่จะส่งเสียงห้ามปรามสองพี่น้องเอาไว้ “ถ้าไม่ได้เขิน ไม่ได้คิดอะไรกับเขา ก็พามาบ้านสิ มากินข้าวเย็นก็ได้ กล้ามั้ยล่ะ ไม่กล้าหรอก สุดท้ายก็ป๊อด เพราะพี่ดีนน่ะ ถ้าชอบใครขึ้นมาจริง ๆ แค่นี้ก็รู้แล้ว คนไหนพี่ดีนหงอกับเขา คนนั้นแหละที่พี่ดีนชอบ” น้องสาวของดีนร่ายยาวออกมาเป็นชุด

“ยัยน้องจอมยุ่ง แม่ครับ แค่นี้ก่อนนะครับ” ยังไม่ทันที่ผู้เป็นแม่จะได้ทันทักท้วงอะไร ดีนก็กดตัดสายไปเสียก่อน “หนูบอกเลย พี่ดีนชอบพี่คนนั้นแน่นอน” น้องสาวของดีนยืนยันกับแม่ของตน “นี่พ่อฟังไม่ผิดใช่มั้ย ที่ว่าเจ้าดีนชมคนอื่นว่าน่ารัก” พ่อที่นั่งฟังการสนทนาทั้งหมดมาโดยตลอด ถามขึ้น

“ไม่ได้แค่ชมเฉย ๆ หรอกค่ะ พี่ดีนชอบพี่คนนั้น ไม่งั้นก็แอบชอบเขาข้างเดียว พ่อกับแม่เชื่อหนู” ผู้เป็นพ่อและแม่สบตากันเมื่อได้ยินลูกสาวคนเล็กของพวกเขาพูดออกมาแบบนั้น “เจ้าดีนเนี่ยนะ” พ่อเองก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองนัก “ร้อยทั้งร้อยค่ะ” ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาว่าเอาไว้อย่างอย่งหนักแน่นแบบนั้น

“หนูเคยเห็นพี่ดีนคุยกับเพื่อน ก็ไม่เห็นจะทำท่าทางทำอะไรเป็นพิเศษแบบตอนพูดถึงเพื่อนคนนี้เลยสักครั้ง” พ่อกับแม่มองหน้ากัน นั่งฟังลูกสาวบรรยายความออกมา “คนป๊อบปูล่าร์อย่างพี่ดีน ท่าเยอะเรื่องมากจะตาย ไม่มีทางจะมาที่อ่อนโยนกับใครง่าย ๆ แน่นอน ถ้าไม่ใช่ว่าคนคนนั้นคือคนสำคัญ” คำพูดของลูกสาวทำให้พ่อและแม่สบตากันอีกครั้ง แบบที่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน

ดีนวางสายจากแม่ของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเทปปัน ที่รวมกลุ่มอยู่กับทีมเบื้องหลังของละครเวทีมหาวิทยาลัย ดีนใช้ไหล่ดันต้นแขนของเทปปัน เขาชนมันเบา ๆ แต่ก็แรงมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว รับรู้ถึงเจตนานั้น ดีนที่รอสบตาเทปปันอยู่ก่อนแล้ว มองเห็นอีกฝ่ายช้อนสายตามามองเขา ดีนตอบรับมันด้วยรอยยิ้มที่แลดูพึงพอใจ

“ดีนเพิ่งเฟซไทม์คุยกับแม่” ดีนพูดขึ้น คนอื่น ๆ ในทีมกำลังปรึกษากันเรื่องฉากใหญ่ที่จะประกอบกันขึ้นบนเวที เทปปันพยักหน้าเบา ๆ รับรู้ที่ดีนพูดออกมา “แม่ชมปันด้วยนะ” ดีนพยายามพูดกระซิบกระซาบเพื่อให้รู้กันแค่สองคน แต่มันดันดังมากพอที่จะทำให้ผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับหูผึ่ง ตั้งใจฟังโดยไม่หันมามองดีนและเทปปันให้เป็นที่ผิดสังเกต

“แม่ชมปันใหญ่เลยว่าปันน่ารัก” ดีนทำหน้ากรุ้มกริ่มเมื่อพูดถึงสิ่งที่แม่ว่าเอาไว้ก่อนหน้านี้ “พูดอะไรน่ะ” เทปปันที่อยู่ ๆ ได้ยินดีนพูดชมออกมาแบบนั้น ก็ทำหน้านิ่ง พูดเสียงเรียบ ๆ ซ่อนอาการเขินนั้นเอาไว้ภายใต้ใบหน้าและแววตาที่ทำดุใส่อีกฝ่าย “ก็แม่พูดแบบนั้นจริง ๆ แล้วดีนก็เห็นด้วยกับแม่” เทปปันดึงชายเสื้อของดีนเบา ๆ เป็นเชิงว่ากลัวคนอื่นจะได้ยิน

“น้องสาวดีนเองยังขอให้แม่ชวนปันไปกินข้าวที่บ้านเลย ทุกคนตื่นเต้นมากนะ ที่ปันจะไปกินข้าวที่บ้านดีน” ดีนพยักหน้าเป็นเชิงยืนยันเรื่องที่เขาพูด เมื่อเทปปันทำหน้าเหมือนจะไม่เชื่อ “ยังไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย” เทปปันอยากจะบอกปัดออกไปตรง ๆ “ปันรังเกียจ ไม่อยากไปขนาดนั้นเลยหรือ” ประโยคนี้ของดีน ทำเอาสองผู้กำกับและผู้ช่วยถึงกับกลั้นหายใจรอฟังคำตอบจากเทปปัน

“พูดว่ารังเกียจ ก็ใช้คำแรงไปนะ” ใจจริงของเทปปัน เขาไม่ได้รังเกียจอะไรดีน “แล้วปันกลัวอะไร ฮึ บอกดีนได้มั้ย” รุ่นพี่ผู้กำกับถึงกับรู้สึกหมั่นไส้ในความอ่อนโยนของดี ที่มีต่อเทปปัน เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยได้เห็นมุมนี้จของดีนเลยสักครั้ง ขนาดมีผู้หญิงมาทอดสะพานให้ไม่ขาด มีผู้ชายมาวอแวด้วยนับไม่ถ้วน ไอ้อาการง้องอนขอร้องใคร ๆ อย่างที่ดีนทำกับเทปปันนี่ ไม่มีทางจะหลุดออกมาจากไอ้ดีนที่เขารู้จัก

“ว่าไง” ดีนที่เห็นว่าเทปปันยังไม่ตอบคำถามของเขา ก็ถามซ้ำอีกครั้ง “ปันยอมให้ดีนไปเจอแม่ชีแล้ว ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ดีนจะพาปันไปรู้จักแม่ของดีนบ้าง ผู้ใหญ่จะได้รู้ว่าเราสนิทสนมกัน เขาจะได้ไม่เป็นห่วงไง ดีนรู้ว่าปันเป็นเด็กดี ไม่เหมือนกับดีนที่ต้องให้ปันช่วยให้ดีนทำตัวดีขึ้น ดีนก็อยากให้เราอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่ดีหรือครับ” ผู้ช่วยผู้กำกับทอมบอยถึงกับย่นจมูก เบะปาก มองบน ทำหน้าเหม็นเบื่อ ที่ได้ยินดีนพูดออกมาเสียหล่อเหลาเอาการขนาดนั้น

“เออ ปัน ฉันว่าจะถามความเห็นแกอยู่พอดีเลย” ผู้ช่วยผู้กำกับทอมบอยที่ก่อนหน้านี้ ได้คุยกับรุ่นพี่ผู้กำกับ ว่าเธอรู้สึกแหม่ง ๆ ถึงอะไรก็แล้วแต่ระหว่างดีนกับเทปปัน จงใจพูดขึ้นเพื่อขัดจังหวะของดีน ที่กำลังจะมัดมือชกเทปปันได้สำเร็จ “คือฉันอยากถามว่า” เสียงถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ ของดีน ทำให้ทั้งผู้กำกับและผู้ช่วย แอบนึกขำอยู่ในใจ

“คือฉันฟังความรู้สึกของแกหน่อย เกี่ยวกับบทนายเอกที่แกได้รับ” เทปปันรู้สึกโล่งขึ้น เมื่อผู้ช่วยผู้กำกับถามขึ้นมาแบบนั้น “คืองี้ ฉันกับพี่ผู้กำกับตีความให้แกแสดงก็อย่างหนึ่ง แต่ฉันอยากจะรู้ว่า แกเองพออ่านบทแล้ว ได้รู้จักตัวละครตัวนี้แล้ว แกรู้สึกแบบไหน ยังไงบ้าง คือ มุมมองที่แกมีต่อตัวละครนี้ มันเป็นแบบไหน” เทปปันหยุดนิ่งไป เมื่อได้ยินคำถามนั้น ตัวรุ่นพี่ผู้กำกับเอง ผู้ช่วยผู้กำกับทอมบอย หรือแม้แต่ดีน ก็สนใจในคำตอบของเทปปัน

“อึดอัด” เทปปันตอบออกมาในที่สุด ดีนมองแววตาของเทปปันในขณะที่อีกฝ่ายพูดนั้น “ไม่รู้ว่าการได้เป็นตัวของตัวเอง มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้นแล้วหรือยัง” เทปปันรู้สึกว่าตัวละครของเขาเก็บงำซุกซ่อนสิ่งที่ตัวเองเป็นเอาไว้ จนเขาเองยังรู้สึกเจ็บที่ใจแทนตัวละครตัวนี้อยู่ไม่น้อย

“สับสน” อีกหนึ่งสิ่งที่เทปปันรู้สึกจากตัวละครของเขา “ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ใช่ความจริงที่ตามหาหรือเปล่า” ดีนสบตากับเทปปัน “คนที่อยู่ตรงหน้า ใช่คนที่ตามหามานานแสนนานหรือเปล่า เขาจะใช่คนที่ไม่ทำให้หัวใจต้องวนเวียนอยู่กับคำถาม ที่ไม่ว่าคำตอบไหน ก็ยังทำให้ลังเลอยู่ดี มันใช่เขาคนนี้หรือเปล่า” เทปปันหลบสายตาจากดีน แปลกที่คำถามนี้ เขานึกว่าตัวละครของเขากำลังถามพระเอกของเรื่อง ไม่ใช่เทปปันที่กำลังถามเอาความจากดีน

“คิดถึง” คำตอบนี้ของเทปปันทำเอารุ่นพี่ผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับสาวหล่อถึงกับอมยิ้ม ส่วนดีนนั้น แววตาเป็นประกาย มองเทปปันด้วยสายตาที่ทั้งเอ็นดูและทะนุถนอม “อยากให้ความชิดใกล้ไม่ใช่เรื่องที่ฝันไปเอง ความโหยหาที่มันอยู่ในความรู้สึก อยากได้การตอบรับ เป็นคำสัญญาว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป จะไม่จากไปไหน” ดีนรู้สึกว่าที่เทปปันพูดออกมา มันมีความหมายพิเศษกับเขามากมายนัก เขารู้สึกว่า อะไรบางอย่างมันเชื่อมโยงเขากับอีกฝ่ายไขว้ไปมา ระหว่างตัวละครทั้งสองตัวที่พวกเขาแสดง รวมทั้งเรื่องราวของดีนและเทปปันด้วย

รุ่นพี่ผู้กำกับและผู้ช่วยทอมบอยรู้สึกได้เลยว่า เทปปันเข้าถึงตัวละครมากกว่าที่พวกเขาคิด ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ เทปปันคือตัวละครนายเอกของเรื่องที่พวกเขาตามหา เทปปันนั้นพอนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองนั้นเผยความรู้สึกลึก ๆ มากไปเสียหน่อย ก็ทำเลี่ยง เดินนำหน้าไปทางถนนด้านหน้าตรอก โดยมีดีนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองตาม ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปทางนั้นด้วย

“ปัน ระวัง” ดีนตะโกนออกมาจนสุดเสียง ก่อนจะคว้าตัวของเทปปันเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่รถยนต์ที่อยู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากหัวมุมถนน เกือบจะชนเทปปันเข้า “ปันเป็นอะไรมั้ย เฮ้ย ขับรถยังไงวะ เลี้ยวโค้งมาทำไมถึงไม่ดูให้ดีก่อน จะรีบไปไหนอะไรขนาดนั้น” ดีนตะโกนด่าตามหลังรถยนต์คันดังกล่าว ที่ไม่หยุดรอรับฟังอะไรจากเขาแต่อย่างใด ทีมงานทั้งหมดรีบมาดูว่า เทปปันที่นั่งอยู่บนพื้น โดยมีดีนโอบกอดปกป้องอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง

“ปันโอเคนะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เทปปันส่ายหน้า ยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร แค่ตกใจนิดหน่อยเพราะเทปปันมองไม่เห็นรถคันนี้เลยสักนิด ในวินาทีที่ดีนดึงตัวเทปปันให้กลับเข้ามาได้ทัน ทั้งคู่มองเห็นภาพอะไรบางอย่างแวบผ่านเข้ามาในฉับพลัน ตอนที่ดีนถามว่าเทปปันเป็นอะไรมั้ย ทั้งคู่ที่สบตากัน ต่างก็รับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างเห็นภาพเหตุการณ์เดียวกันนั้น

“ดีนตกใจหมดเลย” เทปปันรู้ตัวอีกที ใบหน้าก็ซุกเข้าที่แผงอกกว้างของดี เพราะดีนนั้นดึงตัวเข้าไปกอดจนแน่นด้วยความเป็นห่วงปนโล่งใจ “ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เทปปันยืนยันให้ดีนได้สบายใจ ดีนคลายอ้อมกอดของตัวเองออก ก้มลงมองไปที่ใบหน้าของเทปปัน และท่ามกลางสายตาของทีมงานทุกคนนั้น ดีนก้มลงประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของเทปปันอย่างปลอบประโลม

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=4zGHenMMYnY


ไม่เคยมีใครเลย ทำฉันเป็นได้อย่างนี้

No one could ever do and make me like this

วันคืนที่น่าเบื่อ มีชีวิตขึ้นทันที

Turning dull boring days into delightful lively ones

แค่มีเธอเข้ามา แค่นี้ก็รู้ว่า

The second you walked in that made me realize

เธอคือพรุ่งนี้ที่ฉันรอ

Your is my tomorrow future I’ve been waiting for


แววตาที่เธอมอง ทำหัวใจฉันสั่นไหว

The way you look at me makes my heart all tremble

แค่คำธรรมดาทำฉันเพ้อลอยหลุดไป

You’re saying simple words and I am on cloud nine

ทุกครั้งที่ต้องลา ทำใจฉันวุ่นวาย

Every time we say goodbye, my heart’s confused inside

ให้ถึงพรุ่งนี้เลยได้ไหม

Why tomorrow is not now, yes right now


ฝืนฉันฝืนไม่ได้แล้ว

I can’t deny it, not anymore

ไม่รู้ว่าถ้าฉันคิดไปเกินกว่านี้จะผิดไหม

Will I be so guilty if I think about you more than just friends?

ยอมฉันยอมแพ้เธอไปแล้วไง

Yes, I am defeated, and you conquer my all

ก็ยอมรับว่าใจมันมีเพียงแค่เธอ

Need to accept the fact that my heart is yours


อยากสารภาพอยู่นะ

I’d like to make a confession

แต่ต้องพูดว่าอะไร

Well, what will be the best word for me?

ฉันก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า

If this is it, is this it? Is it really?

อาการแบบนี้ มันแปลว่าอะไร

Whatever I’m feeling now, tell me what this means?

คงไม่จำเป็นที่เราต้องเข้าใจ

We might not need to comprehend everything

รู้แค่เพียงมันโคตรพิเศษเลย

Just we know that it super supreme magnificent


ฉันเลือกที่จะเก็บแทนที่จะพูดออกไป

I choose to keep it instead of telling it

ฉันเลือกที่จะปิด ดีกว่าเห็นเธอเปลี่ยนไป

I choose to keep it hidden rather than seeing you completely change

ความจริงที่ซ่อนอยู่ รู้ไหมยากเท่าไหร่

The truth is it’s so damn difficult to live a lie

ที่ต้องเก็บไว้แค่คนเดียว

Keeping it all inside to my own
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๘. คิดถึงสารภาพ ๒๙/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 29-01-2023 18:31:13
ชอบคู่ ดีน เทปปัน ที่สุด
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๘. คิดถึงสารภาพ ๒๙/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 31-01-2023 00:16:26
ดีน&เทปปันเขาจูบกันแล้ววววววววว :hao7:  :hao7:
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๙. คิดถึงที่เสียใจ ๓๑/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 31-01-2023 18:05:54
๒๙. คิดถึงที่เสียใจ



2537

1994



“ตกลงแกจะใช้เพลงนี้แสดงจริง ๆ หรือ” เพื่อนสนิทของกั้งถามขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะกังวลแต่อย่างใด แต่มันคือความรู้สึกตื่นเต้นแทน และคิดต่อไปว่า มันจะออกมาเป็นอย่างไรมากกว่า “ก็งานปัจฉิมมันมีครั้งเดียวไม่ใช่หรือไง มันก็ต้องเป็นอะไรที่ลืมไม่ลง” กั้งพูดไป พลางทำหน้าตาแสดงออกถึงความมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง

เพื่อนผู้หญิงคนสนิททั้งสองคนของกั้งเอง ก็รับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นในตัวเองของกั้ง ที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นจากแต่ก่อน กั้งนั้น ตั้งแต่ได้รู้จักกับเจ้หวี ได้ฟังการสั่งสอนของเจ้ ที่กลายมาเป็นพี่สาวคนสำคัญในชีวิตของเขา กั้งก็ได้เก็บอะไรหลาย ๆ อย่างมาจากเจ้หวี คนที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือ ช่วยเตือนกั้งในหลาย ๆ เรื่อง

“ก็ต้องลองซ้อมดู มันจะเป็นยังไง เดี๋ยวก็รู้” กั้งหัวเราะออกมา แม้ว่าในแววตามันเจือเอาไว้ด้วยความเศร้าบางอย่าง แต่ก็ถูกกลบเกลื่อนไปด้วยท่าทางร่าเริงนั้น “แต่เพลงนี้มันไม่จ้องมีคนเต้นด้วยหรือไง” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น กั้งทำหน้าพยายามซ่อนยิ้ม “อะไร มีอะไรบอกมา” เพื่อนอีกคนคาดคั้นเอาคำตอบ

“ไม่มีอะไรนี่ ไม่มีอะไรสักหน่อย” กั้งพูดปฏิเสธ ก่อนได้ยินเพื่อนสองคนพากันรุมถาม แบบไม่ยอมเชื่อกับสิ่งที่กั้งพูด “อ๋อ ฉันว่าฉันรู้นะ” เพื่อนคนหนึ่งทำหน้าเหมือนจะรู้ทันกั้ง “มันจะเป็นใครไปได้ล่ะ ที่จะยอมมาเต้นแร้งเต้นกาอะไรแบบนี้กับอีกั้ง” เพื่อนทั้งสองคนต่างก็มั่นใจว่า พวกเธอนั้นพอจะเดาได้อยู่หรอก ว่าใครจะมาแสดงร่วมด้วยกับกั้ง

“เราจะซ้อมกันที่นี่เลยหรือ” ยังไม่ทันที่กลุ่มเพื่อนทั้งสามคนจะได้พูดอะไรกันต่อ ก็มีเสียงหล่อ ๆ เสียงหนึ่งทักขึ้นที่หน้าประตูห้องเรียน “อืม ที่นี่แหละ ไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านดี” กั้งตอบออกไป ยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่เพิ่งมาถึง “กั้งอะไรวะ” เพื่อนของกั้งถามขึ้น เมื่อเห็นคนที่เพิ่งมาใหม่นั้น ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่พวกเธอคิดว่าจะเป็น

“ไม่มีอะไรนี่” กั้งยิ้ม ตอบกลับเพื่อนไป ก่อนจะชวนให้ผู้ชายคนที่เพิ่งมาถึง ให้เข้ามาห้องเรียน “หายากมั้ยพี่ นี่กั้งก็ไม่แน่ใจว่า บอกทางพี่ละเอียดหรือเปล่า” ชายหนุ่มส่ายหน้า ยิ้ม แล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้าง ๆ กั้ง “สองคนนี้เพื่อนสนิทกั้งเอง” กั้งแนะนำเพื่อนของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จัก สาว ๆ ทั้งสองคนยกมือขึ้นไหว้

“เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องไหว้ก็ได้” ชายหนุ่มพูดห้าม บอกให้เพื่อนทั้งสองของกั้ง ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร “พี่ต้องทำอะไรยังไงบ้าง” คำถามนั้นส่งตรงไปถึงกั้ง “พี่รู้แล้วนะ ว่ากั้งจะใช้เพลงอะไร” กั้งถามอีกฝ่ายออกไป ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ พยักหน้ารับ “ฟังแล้ว” ก่อนตอบออกมา “เปรี้ยวมาก แสบทรวง” ก่อนจะยกนิ้วแทนการชื่นชมให้กับกั้ง

“แน่นอน” กั้งค้อมหัวลงเล็กน้อย รับคำชมนั้น “พี่ไม่อายแน่นะ จะมาแสดงอะไรแบบนี้ด้วยกับกั้ง คือ กับตุ๊ดน่ะ” เพื่อนสนิททั้งสองคนของกั้ง ยังนึกตกใจแกมกังวลกับคำถามนั้นของกั้ง ว่าชายหนุ่มจะมีคำตอบกลับมาเช่นไร “ไม่มีปัญหาครับผม” เพื่อน ๆ ทั้งสองถึงกับแปลกใจกับชายหนุ่มตรงหน้า ที่ไม่มีอาการอึกอักแต่อย่างใด แถมคำตอบของเขารวมถึงการพูดการจา ก็ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ตอบเพื่อเอาใจกั้งแต่อย่างใด

“เพลงมันแค่สั้น ๆ เอง ดังนั้น กั้งจะอัดลงเทปให้เพลงมันต่อกันสองรอบ เพื่อให้มันยาวขึ้นหน่อย กั้งเลยคิดว่า จะเต้นตามในโฆษณาอันนี้กับเพลงจบแรก ส่วนจบที่สอง เราค่อยมาคิดท่าเต้นเพิ่งเติม แบบเอาให้ทั้งโรงเรียนกรี๊ดคอแตกกันไปเลย” กั้งพูดไป อธิบายไปถึงความคิดของเขา กับการแสดงประกอบเพลงในงานปัจฉิมนิเทศนี้

“เราจะเริ่มยังไงดี” กั้งถามชายหนุ่ม ที่เขาเองก็ทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อกั้งยกมือขึ้นจะจับมือกับเขา “แบบนี้ล่ะ” ชายหนุ่มสอดแขนเข้าโอบไปด้านหลังของกั้ง ส่งผลให้กั้งต้องขยับตัวแนบเข้ากับแผ่นอกของชายหนุ่ม “ใกล้ไปมั้ย หรือว่าดีแล้ว” ชายหนุ่มถาม เมื่อกั้งกับเขาสบตากันพอดี “ก็ดีนะ แต่ถ้าจะกอดกันกลมขนาดนี้ คงต้องเอาไปไว้ใช้ในเพลงรอบสอง” คำพูดของกั้งทำให้เขาและชายหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ก็ถ้าจะเอาอย่างนั้น กั้งลองเอามือโอบรอคอพี่เอาไว้ด้วยสิ ลองดู” เพื่อนสนิทของกั้งถึงกับทำหน้าเหวอ มองหน้ากัน เมื่อได้ยินชายหนุ่มแนะนำกั้งทำตามแบบนั้น “แบบนี้น่ะหรือ” กั้งทำตามที่ชายหนุ่มบอก มือของกั้งสัมผัสไปบนต้นคอของชายหนุ่ม ก่อนจะรู้ได้ว่าชายหนุ่มนั้นก้มหน้าลงมามากกว่าที่กั้งคิดว่าเขาจะทำ

“ใช่” ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “แล้วลองยกขาขึ้นแนบกับตัวพี่แบบนี้” มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มช้อนเข้าใต้หนั่นเนื้อตรงบั้นท้ายของกั้ง ก่อนจะไล่ดันขาของกั้งให้สูงขึ้น เพื่อให้เหมือนกับว่า เขากำลังแทรกตัวเข้ากลางระหว่างขาทั้งสองข้างของกั้ง กั้งเองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะเขาเองไม่ได้คิดถึงท่าทางอะไรที่มันมากขนาดนี้

“เฮ้ย ทำอะไรกัน กั้ง นี่มันอะไรกัน ทำไมทำอะไรแบบนี้” โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสียงตวาดดังลั่นดังมาจากหน้าประตูห้องวเรียน ก่อนที่จะได้ยินเสียงเพื่อนผู้หญิงของกั้งส่งเสียกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “กั้งมานี่ เรามีเรื่องต้องพูดกัน แล้วมึงไม่เกี่ยว มึงอย่ามายุ่งกับกั้งอีก” เสียงสั่งนั้นเฉียบขาด ดุดัน ด้วยอารมณ์โมโหที่ฉุนเฉียวอย่างที่สุด

“นั่นมันใครกัน มันกล้าดียังไง” ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นยืน จากที่ล้มลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นห้อง ด้วยแรงผลักอย่างแรงจากเด็กหนุ่มคนนั้น “เขาคงต้องกล้าแหละพี่ นั่นน่ะแฟนกั้งมัน สองคนนั้นเป็นแฟนกัน” เพื่อนกั้งเฉลยให้กับชายหนุ่มได้รับรู้ “กั้งมีแฟนแล้ว” ชายหนุ่มทวนคำพูดนั้น ก่อนจะแสดงสีหน้าว่าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด

กั้งพยายามบิดข้อมือออกจากอุ้งมือที่แข็งแรงนั้น แต่แม้ว่ากั้งจะพยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถดึงข้อมือของตัวเองให้หลุดพ้นจากกึ่งลากกึ่งจูงนั้นได้ กั้งบอกให้อีกฝ่ายปล่อยขาได้แล้ว แต่เด็กหนุ่มอีกฝ่ายที่กำลังโกรธอย่างถึงที่สุด กับภาพที่กั้งไปทำอะไรแบบนั้นกับผู้ชายอีกคน มันทำให้เขาออกแรงดึงแขนของกั้งให้เดินตาม แม้ว่าเขากำลังทำให้กั้งรู้สึกเจ็บก็ตาม

“ทิวปล่อยกั้งเดี๋ยวนี้ มันเจ็บนะ” สุดท้ายกั้งออกแรงสะบัดข้อมือออกให้หลุดจนสำเร็จ ทิวหันมามองกั้งด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขากำลังเดือดดาล “กั้งรู้ตัวมั้ย ว่ากั้งทำอะไรลงไป” ทิวเปิดฉากระเบิดอารมณ์ใส่กั้ง “ทำอะไร” กั้งเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของทิวเป็นแบบนั้น ก็นึกฉุนขึ้นมาในทันทีเช่นกัน

“กั้งทำอะไร” กั้งถามย้ำ “ทิวคิดว่ากั้งทำอะไร” คำพูดน้ำเสียง และแววตาของกั้ง ตั้งใจที่จะตอบโต้ทิวอย่างไม่ลดละ “นี่กั้งเพิ่งกอดกับผู้ชายคนอื่นนะ กั้งคิดว่าทิวจะรู้สึกยังไงที่ได้เห็นกั้งทำอะไรแบบนั้น” กั้งถามกลับออกไป โดยไม่ทันได้รู้สึกตัวว่า ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของตัวเอง มันก้าวร้าวกับอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“กั้งซ้อมการแสดงวันปัจฉิม” กั้งพูดออกไป ตัวสั่นไปหมดด้วยความโกรธ “ถ้ากั้งจะซ้อมงานปัจฉิม ทำไมกั้งไม่บอกทิว กั้งไม่คิดจะบอกทิวสักคำ ทิวยังเป็นแฟนกั้งอยู่หรือเปล่า” ทิวเองก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือ อะไรที่เขากำลังต้องพาตัวเองผ่านมันไปในตอนนี้ ทำให้ทิวเองก็ต้องเผชิญความยากลำบากทางอารมณ์เช่นกัน

“บอกทิวหรือ จะกั้งบอกทิวอย่างนั้นน่ะหรือ” กั้งสวนกลับไปในทันทีที่ได้ยินทิวพูดแบบนั้น “งั้นกั้งถามหน่อยนะทิว หลัง ๆ มานี่ ทิวหายไปไหนมา ทิวมาให้กั้งได้เห็นหน้าด้วยหรือไง” กั้งถามอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ ความรู้สึกน้อยใจที่มันเกาะกินความรู้สึกของกั้งมาได้พักใหญ่แล้ว กำลังได้จังหวะเข้าเล่นงานหัวใจของกั้งในทันที

“กั้ง มันไม่ใช่ กั้ง ก็ทิว” กั้งมองเห็นท่าทางของทิวอึกอัก กระอักกระอ่วนไปกับคำถามนั้นของเขา เหมือนทิวอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา อยากจะอธิบายเรื่องราวให้กั้งเข้าใจ แต่กั้งก็เห็นทิวเงียบเสียงลง ไม่ได้พูดอะไรออกมา กั้งที่เห็นทิวเป็นแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า สิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ไกลหรือเกินเลยไปจากความเป็นจริง

“ไอ้ที่เคยมาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ไอ้ที่เคยมาไปรับไปส่ง มารับกลับบ้าน เดินตามไปจนถึงหน้าบ้าน มันก็ไม่มีอะไรจริงสักอย่างสินะ” พูดเอง ก็เหมือนกับกั้งกำลังทำร้ายหัวใจของตัวเขาเองอย่างเจ็บช้ำ “กั้ง ไม่มีอะไรที่ทิวทำให้กั้ง แล้วมันเป็นเรื่องโกหก ทิวรู้สึกกับกั้งยังไง ทิวก็ทำไปตามนั้น กั้งคือคนเดียวที่ทิวแคร์” เสียงของทิวพูดออกมาด้วยความหนักแน่น แต่กั้งตอนนี้ ไม่มีแก่ใจรับฟัง

“งั้นกั้งขอถามทิวคำเดียว กล้ามั้ย กล้าที่จะเต้นกับกั้ง ถ้ากั้งแต่งหญิง นุ่งกระโปรงสั้น ๆ ต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนมั้ย” กั้งรู้สึกน้อยใจล่วงหน้าไปกับคำตอบที่คิดว่าทิวจะตอบ “มันไม่แฟร์เลยนะกั้ง” และมันยิ่งทำให้อาการน้อยใจของกั้งนั้น ทวีมากขึ้นอีก เมื่อทิวพูดออกมาแบบนั้น ท่าทีของทิวเหมือนกับมีอะไรที่ไม่รู้ว่าจะบอกกับกั้งยังไง

“แน่นอนทิว มันไม่แฟร์สำหรับทิวหรอก แต่มันแฟร์สำหรับกั้ง เพราะอย่างน้อยพี่คนนั้น เขาไม่อายที่จะเต้นกับอีตุ๊ดอย่างกั้งต่อหน้าคนอื่น” กั้งพยายามกะพริบตาถี่ ๆ ไล่หยาดน้ำอุ่นที่กำลังทำให้ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผะผ่าว ยิ่งทิวก้มหน้า ไม่พูดอะไรต่ออีก ยิ่งทำให้กั้งรู้สึกเสียใจมากขึ้นไปอีก บวกกับสิ่งที่ได้ยินเพื่อนในลุ่มของทิวพูดกันเมื่อก่อนหน้า มันยิ่งทำให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องที่คนพูด ๆ กัน

กั้งเดินกลับมาที่ห้องเรียน ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว กั้งเดินมาหยุดยืนที่โต๊ะเรียนของตัวเอง เขาหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาถืออย่างเนือย ๆ กั้งถอนหายใจออกมา ก่อนจะค่อย ๆ หันตัวเดินออกจากห้องเรียน เดินลงบันไดตึกเรียนอย่างช้า ๆ เหมือนเรี่ยวแรงกำลังที่มีก่อนหน้านี้ มันจะถูกใช้ไปจนเกือบหมดสิ้น

กั้งเดินลงมาจนถึงใต้อาคารเรียน เขาฝืนยิ้มให้กับรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งที่พูดแซวอะไรบางอย่างเขามา กั้งยิ้ม แต่ไม่ได้พูดตอบกลับติดตลกไปอย่างทุกครั้ง กลุ่มน้อง ๆ เหล่านั้นเองยังคุยกันเลย ว่าวันนี้พี่กั้งดูเหงา ๆ เศร้า ๆ พิกล กั้งที่คิดว่าจะนั่งเบื่อ ๆ อยู่ใต้ตึกเรียน ก็เปลี่ยนใจ เขาเดินออกไปทางประตูใหญ่ด้านหน้าโรงเรียนแทน

“หลบหน่อยเร็ว จะเดินก็อย่าให้ขวางทางรถจะวิ่ง” กั้งสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนพร้อมบีบแตรรถจากทางด้านหลัง กั้งหันไปมองก็ถึงกับตัวชา รถยนต์คันหรูจอดอยู่ที่ด้านหลังของกั้ง มันคงจะไม่เป็นอะไรเลย หากแต่ว่า เมื่อกั้งมองผ่านเข้าไปจากกระจกด้านหน้ารถ ทิวนั่งอยู่กับเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่เบาะทางด้านหลัง กั้งเผลอกัดฟันจนแน่น หัวใจเต้นแรงระรัว

“เอ้า หลบเสียทีสิ” เสียงบีบแตรไล่ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคนขับรถที่ลดกระจกลง พร้อมตะโกนออกมาอีกครั้ง “พวกตุ๊ดผิดเพศนี่ เขาสมองทึบกันจังนะคะ ทิว พูดสองสามรอบไม่ยักจะรู้จักขยับหลบทางให้คนอื่น คุณพ่อของหนูจุ๋มยิ่งรอพวกเราสองคนอยู่ด้วย” ทิวที่นั่งคู่อยู่กับหนูจุ๋มมองออกไปเห็นใบหน้าของกั้งแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่ากั้งกำลังรู้สึกอะไรอยู่ กั้งนั้น มองเห็นทิวนั่งนิ่ง มองมาทางเขา มันทำให้กั้งทนไม่ไหว ต้องเดินหลบมายืนอยู่ด้านข้างทาง หลบสายตาจากทิว

“ก็หลบรถเป็นนี่ ฉันก็นึกว่าคนอย่างพวกเธอพูดภาษาคนแล้วไม่เข้าใจ” หนูจุ๋มลดกระจกด้านของตัวเองลง พูดใส่กั้งที่ยืนกำขอบกระเป๋านักเรียนจนแน่น ไม่มีเสียงพูดใด ๆ ดังออกมาจากปากของทิว ไม่มีเลยสักคำ ที่ฟังแล้วดูเป็นการปกป้องกั้ง รถยนต์คันนั้นแล่นจากไปแล้ว กั้งที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ถึงได้ขยับตัว ลมเย็น ๆ พัดวูบผ่านมากระทบตัวของเขา กั้งถึงได้รู้สึกถึงหยดน้ำตาร้อน ที่ล้นและไหลลงจากสองขอบตานั้น

*********************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=_qdbzeWQCQw


เมื่อในวันหนึ่งที่เธอต้องตัดใจ

There was the time where you needed to make up your mind

เลือกใครซักคนที่ต้องการ

Choosing someone as your desire

เหลือเพียงคนหนึ่งสุดท้ายก็เป็นฉัน

This one person was there and that happened to be me

วันนั้นเธอต้องการ เธอเลือกเอง

That day you picked me, you yourself chose me


แต่ว่าจิตใจเธอกลับอยู่กับคนนั้น

Yet, your heart is still with someone you know

ฉันต่างหาก ที่เธอไม่แคร์

You don’t really care about me

เจ็บยิ่งกว่าลืมกัน

It’s more hurtful than getting forgotten

เจ็บยิ่งกว่าการแพ้

It’s more damaging than getting defeated

ฉันได้แต่ทนทรมาน

All I could was to take the pains


ไม่มีใครขอให้เธอมาอยู่กับฉัน

No one asked you to stay with me

และในวันนั้นก็เป็นเธอตัดสินใจ

That day you said you did already decide

ไม่เคยขอให้เธอมา เข้าใจไหม

I never begged you to be here, don’t you understand?

ถ้าหากวันนี้คิดจะไป ก็ได้เลย

If you wanna leave, so be it


ฉันพอเข้าใจว่าเธอต้องทนฝืน

It’ s comprehensible why you had to suffer yourself

เพราะมีคนอื่นมาแสนนาน

Because you’ve had that one for so long

แต่ฉันไม่เข้าใจ

What I don’t really get is

เหตุใดต้องเป็นฉัน

Why it was me put in this

เธอฝืนความต้องการ ไปเพื่อใคร

What good does this do for, what for, dear?


เจ็บที่จิตใจเธอติดอยู่กับคนนั้น

It hurts to know whom you always think of

ฉันซะอีก ที่เธอไม่แคร์

It’s not me that you do care

เจ็บยิ่งกว่าลืมกัน

It’s more hurtful than getting forgotten

เจ็บยิ่งกว่าการแพ้

It’s more damaging than getting defeated

ฉันได้แต่ทนทรมาน

All I could was to take the pains

ไม่มีใครขอให้เธอมาอยู่กับฉัน

No one asked you to stay with me

และในวันนั้นก็เป็นเธอตัดสินใจ

That day you said you did already decide

ไม่เคยขอให้เธอมา เข้าใจไหม

I never begged you to be here, don’t you understand?

ถ้าหากวันนี้คิดจะไป ก็ได้เลย

If you wanna leave, so let it be


นี่แหละคือฉัน ผู้ชนะที่ปวดใจ

This is me, you see – the winner full of heartaches

ความเป็นจริงคือความเป็นจริง

The truth you say is the truth I bear

ฉันแพ้ แพ้ไปทุกอย่าง

Me; the loser in all of this entire charade


ไม่มีใครขอให้เธอมาอยู่กับฉัน

No one asked you to stay with me

และในวันนั้นก็เป็นเธอตัดสินใจ

That day you said you did already decide

ไม่เคยขอให้เธอมา เข้าใจไหม

I never begged you to be here, don’t you understand?

ถ้าหากวันนี้คิดจะไป ก็ได้เลย

If you wanna leave now, so be it


ไม่เคยขอให้เธอมา เข้าใจไหม

Never once said I need you here, don’t you get it?

ถ้าหากวันนี้คิดจะไป ก็ได้เลย

It’s fine if you want to say goodbye, please do so
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๒๙. คิดถึงที่เสียใจ ๓๑/๑/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 01-02-2023 00:25:52
สำหรับทิว  :z6: :z6: :z6: :m16: :fire:
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๐. คิดถึงวันจากมา ๒/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 02-02-2023 21:36:24
บทที่ ๓๐. คิดถึงวันจากมา



2536

1993



“เด็กมันก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรนะ” พ่อของท็อปให้ความเห็นเพิ่มเติม กับบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้น “แต่เด็กมันก็ดูไม่มีหัวนอนปลายตีนนะคะ” ป้านวลผู้เป็นแม่บ้านเสริมขึ้น “เด็กที่มาจากบ้านที่ไม่มีอะไรพอยาไส้แบบนั้น นวลว่าไม่น่าเอามาไว้ใกล้ ๆ” ป้านวลพูดพลางส่ายหน้า ว่าไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง

“นวลหมายถึงเรื่องที่ว่า” แม่ของท็อปนั้นดูลังเลที่จะพูดในสิ่งที่คิดออกมา “คุณผู้หญิงก็ลองคิดดูสิคะ อยู่บ้านไม่มีอะไรสักอย่าง มาอยู่ที่นี่ ข้าวของเครื่องใช้แพง ๆ มากมาย มันก็ต้องเกิดอาการอยากจะมีอยากใช้กับเขาขึ้นมาบ้างแหละ เห็นคุณท็อปมีนั่น ใช้นี่ กินอันนั้น ซื้ออันนี้ มีหรือคะที่จะไม่อยากสบายกับเขาขึ้นมาบ้าง สายตามันรึ ก็ดูจะแพรวพราวเอาการอยู่” ป้านวลออกตัวอย่างเต็มที่ว่ากังวลอย่างที่สุดในเรื่องใด

“เด็กมันมีแวว มีท่าทางจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ามันไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น เราก็จะว่าเด็กมันเกินจริง ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้” พ่อของท็อปนั้น ถึงจะเข้าใจที่ป้านวลกำลังจะสื่อสาร แต่ก็ไม่ยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่ปรักปรำเด็ก “คุณผู้ชายก็จะใจดีเกินไปไม่ได้นะคะ กันเอาไว้ดีกว่าแก้” ป้านวลยังไม่ลดละที่จะโน้มน้าวความคิดของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน

“ถ้าตัดเรื่องฐานะทางบ้านของเด็กออกไปก่อน จริง ๆ แล้วสำหรับฉัน เด็กคนนี้ก็ดูน่าสงสาร น่าเห็นใจอยู่นะคะคุณ” แม่ของท็อปพูดกับผู้เป็นสามี “โอ๊ย คุณผู้หญิงขา มันเสแสร้งแกล้งให้คุณผู้หญิงตกหลุมพรางมันน่ะสิไม่ว่า อย่าไปให้ใจอะไรกับคนพวกนี้เยอะเกินไปนักเลยค่ะ กลิ่นน้ำครำ กลิ่นกองขยะ จะไปหาเพชรพลอยเจอ มันก็มีแค่ในนิยายประโลมโลกแค่นั้นแหละค่ะ” สิ้นเสียงพูดของป้านวล เสียงประตูด้านบนชั้นสองก็ปิดดังปัง

พ่อและแม่ของท็อปมองสบตากัน เพราะมั่นใจว่า เสียงประตูนั้นถูกปิดด้วยอารมณ์โมโหโทโสอย่างแน่นอน ก่อนที่ทั้งหมดจะได้ยินเสียงทุ่มเถียงกันดังลงมาจากด้านบน มันดังขึ้น และดังขึ้นทุกที ก่อนที่จะเห็นท็อปที่ลากตัวของนันลงมาจากบันได โดยมีนันที่พยายามพูดขอร้อง และรั้งตัวเอาไว้ ไม่ให้ท็อปที่ทั้งฉุดทั้งกระชากโดยไม่ปรานีปราศรัย ให้นันเดินไปที่ประตูบ้าน

“ท็อปฟังนันก่อน เราขออธิบาย ขอเราได้พูดให้ท็อปเข้าใจก่อนได้มั้ย” นันที่เสียงสั่นเครือ พยายามพูดดี ๆ เพื่อหวังว่าท็อปที่กำลังฉุดกระชากข้อมือของเขาอยู่ จะใจเย็นลง และจะให้โอกาสรับฟังในสิ่งที่เขาพูด มันไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้วทั้งนั้น” เสียงของคนตรงหน้า ฟังดูเย็นชาและแห้งเหือดจากน้ำเย็นใส กับทุก ๆ ครั้งที่นันเคยได้ฟังจากปากของท็อป

“มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดกันดีกว่ามั้ยลูก” แม่ของท็อปเอ่ยขึ้น เธอเองรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจที่ได้เห็นกิริยาท่าทางของลูกชาย ที่ไม่เคยเห็นว่าท็อปเคยแสดงท่าทางอย่างนี้มาก่อนเลยสักครั้ง “ท็อปไม่จำเป็นต้องพูดดี ๆ กับคนอย่างนี้หรอกครับแม่” ท็อปไม่พูดเปล่า ฉุดดึงข้อมือของนันอย่างแรง เพื่อลากอีกฝ่ายให้ไปที่ประตูหน้าบ้าน

“ท็อป นันขอร้อง ฟังนันก่อน นันไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ท็อปดีกว่าที่จะมารู้เรื่องอะไรแบบนี้ไง” เสียงของนนสั่นเครือไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันไป และที่เด่นชัดที่สุดก็คือความหวาดหวั่น สับสน และอึดอัดใจอย่างที่สุด “ก็แล้วยังไง จะให้ท็อปกลายเป็นตัวตลก เป็นไอ้งั่ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไปเรื่อย ๆ จนตลอดไปอย่างนั้นน่ะหรือ” ท็อปดึงข้อมือของนันอย่างแรง ตะคอกเสียงใส่หน้านัน

“ท็อปไม่เอาลูก อย่าทำแบบนี้ ปล่อยมือนันก่อน แล้วพูดกันดี ๆ” พ่อของท็อปจำเป็นต้องห้ามปรามลูกชายของตน เมื่อเห็นว่าท่าทีของท็อปที่มีกับนัน มันชักจะก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นทุกที ท็อปสะบัดมือของเขาออกจากการเกาะกุมข้อมือของนัน ซึ่งมันน่าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ที่นันถูกกระชากที่ข้อมือก็จริง แต่มันกลับเจ็บร้าว ปวดไปหมดที่หัวใจ

“คุณท็อปอย่าบอกนะคะ ว่าไอ้เด็กนี่มันขโมยขอคุณท็อปไป ไม่น่าล่ะ ป้าก็ว่าแล้วเชียว ว่าทำไมคุณท็อปถึงโกรธเดือดดาลมากขนาดนี้” ป้านวลพูดขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปหานัน “ไหน แกเอาอะไรของคุณท็อปไป ฉันว่าแล้วเชียวว่าคนอย่างแกจะต้องเผยธาตุแท้คนขี้ขโมยออกมาเข้าสักวัน” ป้านวลลงมือค้นตัวของนัน อยากจะรู้ว่าของที่ป้านวลคิดว่านันเอาไป อยู่ที่ไหน

“ผมไม่เคยขโมยของใครนะครับ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น” นันร้องบอกกับทุกคน มองไปทางพ่อแม่ของท็อป ที่สีหน้าแสดงถึงความไม่สบายใจเลยกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้ นันนั้นก็ยืนนิ่งให้ป้านวลค้นตัว ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด “หรือมันจะเอาไปซ่อนที่อื่นแล้วคะ คุณท็อป” ป้านวลยังไม่เลิกกล่าวหาว่านันเป็นพวกหัวขโมย

“ถ้ามันแค่เป็นการขโมยของ มันก็คงจะดีกว่านี้มากครับ ป้านวล” ท็อปพูด มองไปที่นันอย่างโกรธเกรี้ยว “แล้วถ้านันเขาไม่ได้ขโมยของอะไรของลูกไป ท็อป ถ้าอย่างนั้นลูกเล่าให้พ่อฟังที ว่าเพราะอะไรลูกถึงได้โมโห โกรธคนที่ลูกเคยบอกพ่อว่า นันเป็นเพื่อนคนที่ลูกสนิทมากที่สุดได้มากขนาดนี้” พ่อของท็อปคิดว่าหากอยู่เฉย ไม่เข้าไปแทรกแซง เรื่องมันคงจะบานปลายไปกันใหญ่เป็นแน่

“เล่าให้พ่อเขาฟังสิลูก ว่ามันเรื่องอะไรกัน เผื่อบางทีพ่อกับแม่อาจจะช่วยแก้ปัญหา ช่วยคิดหาทางออกให้กับลูกได้” ท็อปยังคงยืนนิ่ง มองจ้องไปที่ใบหน้าของนัน ที่ตอนนี้ แววตาของนันเต็มไปด้วยอาการของคนที่รู้ตัว ว่าได้ทำสิ่งผิดพลาดลงไปอย่างมหันต์ “ท็อป ว่ายังไงลูก” แม่ของท็อปย้ำเอากับลูกชายของตัวเอง

“แม่ไม่ได้สอนให้ลูกของแม่โตมาเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลนะ” ผู้เป็นแม่ไม่อยากจะเห็นลูกชายของเธอทำอาการแบบคนที่โตขึ้นมาแบบไร้วุฒิภาวะ ซึ่งปกติท็อปนั้นไม่ใช่คนที่จะโวยวาย เอาแต่ใจ หรือโกรธขึ้งจนขาดสติ ซึ่งตอนนี้ท็อปกำลังทำทุกอย่างที่ว่ามา กับเพื่อนสนิท “ท็อป แม่จะเสียใจมากถ้าท็อป” ยังไม่ทันที่แม่ของท็อปจะพูดได้จบประโยค

“สกปรก” ท็อปก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน “โสโครกสิ้นดี” นั่นถึงกับทำให้พ่อและแม่ของท็อปตกใจเป็นอย่างมาก ที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นลูกออกจากปากลูกชายของพวกเขา แม้แต่ป้านวลเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “มาทางไหน ก็ไสหัวกลับไปทางนั้นเลยนะ” แม้ว่าแม่ของท็อปจะพยายามห้ามปราม ไม่ให้ท็อปพูดอะไรที่เป็นการหักหาญน้ำใจเพื่อนอีก

นันได้ยินแบบนั้น ก็ทำได้เพียงพยักหน้าเบา ๆ แทนคำพูดที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ ท็อปไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้เขาได้อธิบายตัวเองเลย นันหันไปมองทางพ่อกับแม่ของท็อป ผู้ใหญ่สองคนนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “หรือพ่อกับแม่เลือกที่จะไม่เข้าข้างท็อปครับ” เด็กหนุ่มที่ตอนนี้อาการเป็นฟืนเป็นไฟของเขา ทำให้ทุกคำพูดที่หลุดออกจากปากของเขา คือการทิ่มแทงความรู้สึกของทุกฝ่าย

“จะไปก็รีบไปสิยะ เขาไล่ขนาดนี้แล้ว จะมาหน้าด้านยืนโอ้เอ้ให้มันยืดเยื้ออยู่อีก นี่เขาหาของที่แกเอาไปไม่จอ เขาไม่จับแกส่งตำรวจก็ดีแค่ไหนแล้ว ไป ๆ รีบออกไปจากบ้านนี้ซะ” ป้านวลนั้นรู้สึกว่าคุณท็อปของเธอทำถูกต้องก็ครั้งนี้แหละ จึงเดินไปเปิดประตูบ้านค้างเอาไว้ เป็นการบอกให้นันรีบเดินออกไปเร็ว ๆ

พ่อและแม่ของท็อปได้ยินคำถามของลูกชาย ต่อให้ทั้งสองจะรักความถูกต้องมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องเลือก ทั้งสองก็ต้องเลือกลูกของตัวเองเอาไว้ก่อน โดยที่ไม่ได้คิดต่อไปเลยว่า เด็กคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ ได้หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่บ้านหลังนี้ ถ้าต้องออกไปเผชิญโลกข้างนอกนั่นตามลำพังอีกครั้ง ที่คุ้มหัวจะเป็นที่ไหน ใครจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ต่อจากนี้

นันเดินผ่านประตูบ้านนั้นออกมา มันคนละความรู้สึกกันกับวันที่ท็อปได้พูดว่า นันจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี จะไม่มีใครทำร้ายนันได้อีก เด็กหนุ่มเดินช้า ๆ ใจจริงเขาไม่อยากจะจากที่นี่ไป ระยะทางจากประตูบ้านไปจนถึงรั้วไม่ได้ไกลมากนัก นันหวังใจว่าจะมีเสียงของท็อปเรียกชื่อของนัน เพื่อรั้งตัวของเขาเอาไว้

เปล่าเลย เมื่อนันหันหน้าไปมอง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ป้านวลโยนเสื้อผ้าและข้างของเพียงไม่กี่สิ่งที่เขามีตามหลัง ก่อนจะปิดประตูบ้าน เป็นการพูดบอกกับนันอย่างชัดเจน ว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป นันก้มลงเก็บเสื้อผ้าและข้างของของเขาขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะหันหลังเดินออกมา ความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเล่นงานความรู้สึกของนันในทันที

'เราจะไปที่ไหนดี' คำถามนั้นแล่นอยู่ในหัวของนัน การสิ้นไร้ไม้ตอก ไร้สาแหรกในชีวิต ทำให้นันรู้สึกเคว้งคว้างอย่างที่สุด นันล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง เงินเพียงไม่กี่ร้อยที่ท็อปบังคับให้นันเก็บเอาไว้เมื่อวันก่อน ตอนที่ฝ่ายนันยังไม่รับรู้เรื่องนี้ ทำให้นันยังพอใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่มันจะพาให้เขารอดไปได้สักกี่วันกันเชียว

นันขึ้นรถเมล์คันแรกที่เข้ามาจอดที่ป้าย เขาจะต้องแคร์อะไรอีก ว่ารถเมล์สายนี้จะพาเขาไปไหน ในเมื่อเขาไม่มีจุดหมายให้ไปอยู่แล้ว ให้กลับไปที่บ้าน นันบอกตัวเอว่า เขาไม่พร้อมที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงของเขา นันนั่งรถเมล์ไปเรื่อย ๆ สายแรกพาเขาไปจนสุดสาย นันลงจากรถ และขึ้นนั่งรถเมล์อีกสายไปจนรถเมล์หมดระยะ ทำอยู่อย่างนี้จนดวงอาทิตย์เริ่มโรยแสง

รถเมล์คันสุดท้ายพานันมาลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ นันพอจะคุ้นกับสถานที่นี้อยู่ ตอนที่มาดูหนังกับท็อป นันก็ต้องนั่งรถเมล์ผ่านมาทางนี้ นันเดินวนรอบวงเวียนไปมา อย่างคนไม่รู้ว่าจะไปไหนดี นันเดินจนเมื่อยเท้าไปหมด เด็กหนุ่มนั่งพักที่ตรงป้ายรถเมล์ มองดูผู้คนมากมาย คนแล้วคนเล่าขึ้นลงรถสายนั้นสายนี้ จนไฟถนนเริ่มติดขึ้น บอกถึงเวลายามค่ำเข้ามาเยือน

นันจึงเริ่มถามตัวเองว่า เย็นนี้เขาจะไปนอนที่ไหน นันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองเห็นถุงพลาสติกปลิวมาตามลม เขารีบเดินไปหยิบมันมาใส่เสื้อผ้าข้าวของที่หอบมันพะรุงพะรังมาทั้งวัน อาการเหนื่อยและล้าเริ่มเกาะกินทั้งร่างกายและจิตใจของเด็กหนุ่ม ไฟจากร้านรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะจากร้านอาหาร รวมถึงกลิ่นหอม ๆ ยวนยั่วของอาหารเหล่านั้น มันทำให้ท้องของเขาร้องหิว

นันเตือนตัวเองว่า เขาไม่สามารถซื้ออะไรกินได้ตามใจ เงินที่เขามีติดตัวอยู่ในตอนนี้ คงต้องกระเหม็ดกระแม่ เขียมใช้อย่างรู้คุณค่าของมันมากที่สุด นันเดินถือถุงพลาสติกใส่เสื้อผ้าข้าวของเดินขึ้นบันไดสะพานลอย พอมาถึงด้านบน เขามองเห็นร้านหนังสือร้านหนึ่งเปิดไฟสว่างจ้า มีทางขึ้นเชื่อมกับสะพานลอยให้ลูกค้าสามารถเดินเข้าร้านได้

เห็นอย่างนั้น นันจึงตั้งใจจะใช้ร้านหนังสือแห่งนี้ นั่งฆ่าเวลาไปจนกว่าร้านจะปิด มันคงดีกว่าการเดินตะลอน ๆ ไปมา อย่างน้อยร้านหนังสือก็ยังมีหนังสือให้อ่านฟรี นันจำได้ว่าเพื่อนที่โรงเรียนบอกว่าร้านนี้ อนุญาตให้หยิบหนังสือเล่มแรกของแต่ละเล่มมาอ่านฟรีได้ แต่ห้ามทำยับ ห้ามเอาเล่มที่ห่อพลาสติกเอาไว้มาแกะอ่าน และอย่าขวางทางหรือทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ รำคาญ

นันเดินเข้าไปในร้านหนังสือ อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องรับอากาศ ทำให้นันรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น นันหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้มาอ่าน โดยมีพนักงานของทางร้านชะโงกหน้ามาดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นันหลบมุมให้ห่างจากลูกค้าคนอื่นให้มากที่สุด โดยเอาถุงพลาสติกที่มีสมบัติติดตัวเหล่านั้น ไปฝากที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าเพื่อความสะดวก

นันเดินมาที่ชั้นหนังสือคำกลอนต่าง ๆ มันเลยทำให้เด็กหนุ่มนึกย้อนภาพก่อนหน้า เมื่อไม่นานมานี้ ที่ท็อปเคยคัดกลอนความหมายดี ๆ คำกลอนจากหนังสือที่ฮิตกันในหมู่วัยรุ่น ยามที่พวกเขาอยากสื่อความปรารถนาดี ๆ ให้กับใครสักคน หรือพวกเขาเลือกคำกลอนสุดประทับใจ เพื่อบอกรักกับใครคนนั้น

“น้อง น้องคะ เป็นอะไรหรือเปล่า น้อง” สิ่งที่นันได้กักเก็บมันมาตลอดทั้งวัน มันมาพังทลายลงเอาที่ตรงนี้ มันหนักหน่วงในใจของเขามากมายเหลือเกิน ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามันได้สูญสิ้นไปภายในพริบตา ไม่เหลืออะไรให้ไขว่คว้าได้อีก ไม่มีสักอย่างให้มือได้เหนี่ยวยึด น้ำตาที่พรั่งพรูลงมาอย่างหนักจากสองตา เหมือนกำลังบอกนันว่า นี่คืออากาศเฮือกสุดท้าย ก่อนที่เขาจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทร

***************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=G4hzIZ2v6JY



แต่ก่อนทุกครั้งทีไร ได้อ่านได้เห็นในบทกวี

There were times before, reading these words and rhymes

แค่อ่านแล้วทิ้งมันไป

I just read then tossed them away

ไม่เคยใยดีไม่ซึ้งชวนฝัน

Nothing’s special or dreamy about

ใจความนั้นก็มีแต่เรื่องเก่า

Nothing’s new just plain old boring stuff

คือความรักที่กลายเป็นเศร้า

Just love turned into despair


อ่านไปก็งั้นงั้น เรื่องราวที่ซ้ำซ้ำ

Reading through these repeated and pathetic stories

อ่านไปยังขำ ซ้ำเติมเรื่องเก่า

It made me laugh at this ancient scenario

ต้องมีคนสมหวัง ต้องมีคนชอกช้ำ

Story goes a happy guy and of course a sad clown

ไม่จำ ไม่ซึ้งไม่เกี่ยวกับเรา

Why waste your brain cells, nothing’s relevant


จนวันที่เขาลืมเรา จู่จู่ความเหงาก็เกิดมี

Until the day I was forgotten, this loneliness came calling

กลับเกิดลึกซึ้งในบทกวี

Those cheesy rhymes cut deep than before

ได้อ่านอีกทีน้ำตาจะไหล

This time around, tearjerker indeed

ใจความนั้นคงมีแต่เรื่องเก่า

Everything is all similar that I’ve already heard

คือความรักที่กลายเป็นเศร้า

It’s love turning into despair


อ่านไปอย่างช้าช้า เรื่องราวคนช้ำช้ำ

Reading now slowly, stories about the heartbroken

แต่มันไม่ขำ เพราะเป็นตัวเรา

Couldn’ t even laugh because it’s all about me

ไม่เคยจะนึกฝัน จะเจอเองสักครั้ง

Never dreamed of this that it would be me today

กับความผิดหวัง ต้องเจ็บต้องเหงา

With this heartache, all pain and being alone


เก็บความหมายทุกตอน เก็บอักษรทุกตัว

Keeping all the meaning in each verse, every single word

อยู่ในหัวใจเรา เข้าไปข้างใน

Deep down in my heart, deep deep down

ให้มันช้ำไปอีก ให้มันช้ำเข้าไป

Strike my heart with sorrow, add some more pains to it

ให้มันสาแก่ใจ ให้ช้ำกว่านี้

To the best satisfaction, to the highest amount of suffering


อ่านไปอย่างช้าช้า เรื่องราวคนช้ำช้ำ

Reading them carefully, the story of the brokenhearted

ให้มันตอกย้ำ ซ้ำเติมใจเรา

Let it remind you of, and repeat you your pain

ไม่เคยจะนึกฝัน จะเจอเองสักครั้ง

Never thought it would happen, never say never

กับความผิดหวัง ต้องเจ็บ ต้องเหงา

This failure, this pain, and this solitude

ต้องเจ็บต้องช้ำ เป็นอย่างตัวเรา

It hurts, it bruises and that’s me in the end
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๑. คิดถึงที่ทำไว้ ๓/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 03-02-2023 21:32:59
บทที่ ๓๑. คิดถึงที่ทำไว้



2566

2023



“และตอนนี้พวกเรากลุ่มเพื่อน ก็อยู่กับคุณพชรดล ที่แปลว่าไอ้ดีนตัวสัปดนคนกล้าหาญ รุ่นพี่ปีสี่สุดฮอทของมหาลัยเรากันแล้วนะครับ” กลุ่มเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ของดีน หันกล้องมือถือไปทางเขา เพื่อถ่ายคลิปวิดีโอกันอย่างเฮฮา “หลังจากที่หนุ่มดีนคนหล่อ เพิ่งหักอกใครต่อใครด้วยการจูจุ๊บรุ่นน้องกลางกรุง จนเป็นลือลั่นสนั่นมอมาแล้ว” เพื่อน ๆ ของดีนพาโห่ฮาป่ากันยกใหญ่

“เฮ้ย พวกมึงจะอะไรกันนักหนาวะ” ดีนพยายามบอกให้เพื่อนของเขาหยุดถ่ายคลิปได้แล้ว “มันจะไม่อะไรนักหนาหรอกครับไอ้คุณดีน ถ้าพวกกูเนี่ยเคยเห็นมึงกล้าจูบใครต่อหน้าคนอื่น มาก่อนหน้านี้” ดีนหลบสายตาจากกล้อง ที่เพื่อนกำลังซูมเข้าไปจับสีหน้าของเขาอย่างชัด “และคนที่มึงเพิ่งไปจูบเขาน่ะ ก็เป็น ก็เป็น” เพื่อนของดีนทิ้งประโยคปลายเปิดเอาไว้

“เป็นอะไร มึงพูดดี ๆ นะ” น้ำเสียงของดีนดุขึ้นในทันที เมื่อได้ยินเพื่อนของเขากำลังจะพาดพิงไปถึงงใครคนนั้นที่เขาจูบ “ไอ้ดีน นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ มึงไม่ใช่แค่หักอกสาว ๆ ทั้งมหาลัย แต่มึงยังทำให้หนุ่ม ๆ ใจสาวทั้งมอ ดูมีความหวังขึ้นมาเลยนะเว้ย” ดีนส่ายหน้าให้กับความคิดเพี้ยน ๆ ของเพื่อน

“หรือมึงจะบอกว่า ไอ้เรื่องจูบเนี่ย คือรักโปรโมทวะ” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนตะโกนถามขึ้น “เออ หรือมึงจะจริงจังกับละครที่มึงเล่นมากจนเกินไป ถึงได้หาทางอัพยอดขายตั๋ววะไอ้ดีน” เพื่อนอีกคนถามเชิงออกความเห็นไปในตัว “ขนาดไอ้ดีนยังกลัวว่าจะไม่มีคนมาดูละครที่มันเล่น ไม่ใช่แล้วมั้ง” เพื่อนของดีนต่างพากันยิงคำถามใส่เขา

“กูถามมึงจริง ๆ วะไอ้ดีน” เพื่อนคนที่ใช้กล้องมือถือถ่ายคลิปเอ่ยขึ้น “มึงรู้ตัวหรือเปล่า ว่ามึงทำอะไรลงไป” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น พากันนิ่งเงียบรอฟังคำตอบ “มึงรู้หรือเปล่า ว่าใครที่มึงจูบ” ดีนเงยหน้ามองเพื่อน ๆ ที่นั่งรอคำตอบอยู่ตรงหน้า “กูต้องรู้สิ” ดีนตอบออกมาในทันที “ใช่ กูรู้ตัว เพราะถ้าเป็นมึง มึง พวกมึงทั้งหมด” ดีนพูดพลางชี้นิ้วไปยังกลุ่มเพื่อนของเขา

“กูไม่มีทางจูบกับพวกมึง” ดีนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแน่ใจในคำตอบนี้ของตัวเอง “กูรู้ตัว ว่ากูจูบเทปปัน คือกูดึงตัวปันเอาไว้ไม่ให้ถูกรถชน ปันดูตกใจมาก กูอยากปลอบเขา กูก็ก้มลงจูบเขาเลย ใช่ กูจูบปันเอง ปันเขาไม่ได้ให้ท่ากู เขาตกใจด้วยซ้ำ พวกมึงไม่เห็นนี่ ตอนกูโดนปันผลักตัวกูออกอย่างแรง” เพื่อนคนที่ถือกล้องถ่ายคลิป ยิ้มออกมา ก่อนจะกดปิดการถ่ายวิดีโอ

“งั้นกูถามมึงในฐานะเพื่อนสนิท มึงเป็นเกย์ใช่มั้ยวะ” ดีนมองเพื่อน ๆ ที่นั่งล้อมรอบเขาอยู่ “ถ้าการที่กูจูบปันแล้วมันหมายความว่ากูเป็นเกย์ ถ้าอย่างนั้นกูก็เป็น” ในความรู้สึกตรงนั้น ดีนรู้ว่าระหว่างเขากับเทปปัน มันมีเรื่องราวอะไรอีกมากมายในความสัมพันธ์ ที่เขายังไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้

“เฮ้ยไอ้ดีน อยู่นี่เอง กูเดินตามหามึงจนทั่ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วว่ะ” ยังไม่ทันที่กลุ่มเพื่อนของดีนจะได้พูดบอกกับดีน ว่าพวกเขาโอเคไม่ว่าดีนจะเป็นอะไรก็ตาม รุ่นพี่ผู้กำกับก็เข้ามาทักดีนและพูดเรื่องด่วนจี๋อย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นวะ” ดีนเองก็พลอยตกใจไปกับท่าทางของรุ่นพี่ผู้กำกับไปด้วย

“ไอ้ปัน ไอ้ปันคุยอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาละคร” รุ่นพี่ผู้กำกับเร่มล่ารายละเอียดให้ดีนรับรู้ “มันมีคนมาคืนตั๋วเข้าชม เป็นร้อยใบเลยมึง ไอ้ปันเลยไปขอพบอาจารย์ เรื่องที่มึงไปจูบมันนั่นแหละ” รุ่นพี่ผู้กำกับที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเครียดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าอนาคตของละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

“เรื่องนี้ปันไม่ได้ผิดอะไร แล้วปันจะ” แม้ดีนจะไม่ได้พูดประโยคนั้นของเขาจนจบประโยค แต่รุ่นพี่ผู้กำกับก็พยักหน้าให้ เป็นเชิงว่า ดีนเข้าใจถูกต้องแล้ว ดีนผลุนผลันลุกขึ้นจากโต๊ะม้านั่ง ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ห้องอาจารย์ที่ปรึกษาละคร ดีนแทบจะเหาะขึ้นบันไดอาคาร เขาวิ่งอย่างเร็ว ไปจนถึงที่ห้องพักที่ชั้นสาม ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในทันที

“เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเทปปันนะครับ” ทั้งหมดในห้องนั้นหันมามองดีนเป็นตาเดียวกัน ยกเว้นเพียงเทปปันเท่านั้น “เรากำลังได้บทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่พอดี ดีน เธอยังคงรับบทเป็นพระเอกของเรื่องอยู่” อาจารย์ที่ปรึกษาละครพูดขึ้น “ส่วนบนนางเอก ก็จะให้เจ้าของบทเดิมเขามารับช่วงต่อไป เพราะเทปปันเขาไม่ขัดข้องอะไร ที่จะต้องถูกเปลี่ยนตัว” สีหน้าของดีนบอกออกมาอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เห็นด้วย

“อาจารย์ครับ เรื่องนี้ผมเป็นคนเริ่มนะครับ ปันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย” ดีนพยายามท้วงกลับไป “จะไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง” นางเอกที่ก่อนหน้ามีเรื่องฉาวโฉ่ จนต้องให้เทปปันมาเป็นนายเอกแทนพูดขึ้น “ก็ในเมื่อดีนจูบกับคนคนนี้” แม่นางเอกชี้นิ้วไปที่เทปปัน ที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“แต่อาจารย์ครับ อาจารย์เป็นคนบอกเองนะครับ ว่าละครเวทีของเราจะส่งเสริมเรื่องความหลากหลายให้ผู้ชมทุกกลุ่มเข้าใจ แล้วทำไมอาจารย์จะมาเปลี่ยนตัวนักแสดงง่าย ๆ แบบนี้ล่ะครับ” ดีนย้ำถึงเหตุผลที่ละครเรื่องนี้ถูกรีไรต์ใหม่ให้มีพระเอกคู่กับนายเอกให้อาจารย์ผู้ที่เป็นคนให้ไฟเขียวกับงานในครั้งนี้ฟังอีกครั้ง

“ดีน อาจารย์ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เธอดูนี่” อาจารย์ยื่นเอกสารที่ผู้ชมแสดงความประสงค์จะขอคืนตั๋ว “มากกว่าสองร้อยใบ และยังจะมีมาอีก” ดีนมองดูรายชื่อยาวเหยียดบนกระดาษนั้น “เราก็ขายให้คนอื่นที่อยากดูสิครับ มันไม่เห็นจะยากเลย เดี๋ยวผมช่วยขายตั๋วอีกแรงก็ได้” ดีนบอกอาจารย์กลับไป

“ดีน มันคือแบดพับลิซิตี้ เธอคิดว่าคนเหล่านี้ ที่เห็นว่าเรายังคงดันละครเรื่องนี้แบบที่มันเป็นต่อไป จะไม่ลากเราไปฆ่าตายกลางโซเชียลอย่างนั้นหรือ” อาจารย์ให้เหตุผลกลับมา “งั้นผมก็ไม่แสดง อาจารย์ถอดผมออกจากบทได้เลย” ดีนยื่นคำขาดอย่างคนหัวเสีย “ได้ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็พังหมด ทีมงานเบื้องหลังทุกคน นักแสดงสมทบ ตัวอาจารย์เอง คณะที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวมหาวิทยาลัยด้วย” อาจารย์เตือนสติของดีน

“ทางออกที่ง่ายที่สุด ก็” สายตาของอาจารย์ที่ปรึกษาละครมองไปที่เทปปัน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับอาจารย์” เทปปันยกมือไหว้ก่อนจะหันตัวจะเดินออกจากห้องไป “ปันไม่เอาสิ ไม่ทำอย่างนี้ ปันฟังดีนนะ” ดีนเอื้อมมือจะไปจับต้นแขนเจ้าของชื่อ แต่ก็ต้องสะอึกในใจ ที่เทปปันเบี่ยงตัวหลบ ไม่ให้ดีนโดนตัว

“ดีน เราต้องเริ่มซ้อมละครกันเดี๋ยวนี้เลย มันเสียเวลามามากแล้ว” นางเอกพร้อมข่าวฉาวคนนั้น ร้องเรียกดีนที่ส่ายหัวอย่างเอือมระอากับเธอ “ปัน ปัน รอดีนก่อน” ดีนรีบตามเทปปันออกจากห้องพักของอาจารย์ไป “อาจารย์คะ หนูต้องมีพระเอกแสดงด้วยนะคะ” อาจารย์ที่ปรึกษาละครพยักหน้าอย่างเนือย ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดีเหมือนกัน ที่รู้สึกปวดกะโหลกกับแม่นางเอกคนนี้มากกว่าใคร ๆ

“ปัน เดี๋ยวก่อน ปัน รอดีนก่อน” ดีนต้องรีบวิ่งให้เร็วขึ้น เพื่อไปหยุดขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ “ทำไมปันไม่คุยกับดีนล่ะ พูดกันดี ๆ สิ” ดีนพูดขอร้องผสมกับอ้อนให้เทปปันคุยกับเขา ไม่ใช่เดินหนีไปแบบนี้ “เราไม่มีอะไรจะต้องคุยกัน” ดีนได้ยินเทปปันพูดแบบนี้กับเขามาหลายรอบเหลือเกิน แรก ๆ ที่ได้ยินดีนก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้ยินบ่อยเข้า ดีนชักจะรู้สึกไม่ดีเสียแล้ว

“เราไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน แล้วเราค่อย ๆ คุยกันไป นะครับ” ดีนเอ่ยชวนเทปปัน เขากางแขนสองข้างกันเทปปันเอาไว้ ไม่ให้เดินผ่านไป “ผมว่าผมพูดเคลียร์ตัวเองกับคุณไปเรียบร้อยแล้วนะครับ” ดีนได้ยินเทปปันพูดแบบเป็นทางการแบบนั้น ก็ทำท่าเย้าอีกฝ่าย “ไม่เอาน่า ผมผมคุณคุณอะไรล่ะ ปันพูดกับดีนดี ๆ สิครับ” ดีนชักใจไม่ดีที่ได้ยินเทปปันพูดแบบไม่มีเยื่อใยกับเขาแบบนั้น

“ปัน” ดีนเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาเบา ๆ เทปปันไม่ได้พูดอะไรออกมา “ได้ ถ้างั้นดีนจะงอนบ้าง ไม่ต้องมาพูดกันเลย” ดีนแกล้งพูดใส่เทปปัน หันหลังทำเดินจากไป แต่ก็เดินช้า ๆ เพื่อรอให้เทปปันเรียกให้เขาหยุดก่อน แต่พอดีนหันกลับมามองหาเทปปัน อีกฝ่ายไม่ได้ยินอยู่ตรงนั้นแล้วความรู้สึกของดีนเหมือนว่า เขาถูกเหล็กแหลมร้อน ๆ ทิ่มเข้ากลางหัวใจ เมื่อเห็นว่าเทปปันไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ อย่างที่เขาอยากให้เป็น

ดีนกลับมาถึงบ้านแบบงง ๆ เขาเดินเข้าบ้านอด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว มันทั้งตื้อทั้งตันไปหมด เฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเองไปร้อยแปดคำถามนั้นก็ทำให้เขารู้สึกแย่ คำถามนี้ก็ทำให้เขายิ่งปวดใจ ใบหน้าของเทปปันที่แทรกเข้ามาให้เขาเห็นในความคิดอยู่ไม่ห่างหาย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และริมฝีปากนุ่ม ๆ ของอีกฝ่าย ทำให้ดีนรู้สึกจะเป็นบ้าตาย

“วันนี้กลับบ้านเย็นจังเลยดีน” แม่ของดีนทักลูกชายเมื่อเห็นเขาเยี่ยมหน้าเข้าบ้านมา “ดีนขอโทษครับแม่ เดี๋ยวขอดีนนั่งพักสักครู่ เดี๋ยวดีนขับรถพาแม่ไปซื้อของนะครับ” ดีนพูดจบก็เดินหายเข้าห้องนอนชั้นบนของบ้านไป “พี่เขาเป็นอะไรของเขา” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูกสาวของเธอ “จุ๊บ ๆๆๆ” น้องสาวของดีนที่เห็นคลิปที่เป็นไวรัลนั่น ทำเสียงแทนคำตอบให้แม่ของตัวเอง

ดีนทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนอน ใจของเขาโหวง ๆ มันอึดอัดเทา ๆ ทึม ๆ อย่างบอกไม่ถูก ไอ้ที่ได้ยินเทปปันบอกว่าเขากับอีกฝ่ายไม่ต้องมาเจอกันอีก มันกำลังสั่นคลอนความรู้สึกในใจของดีนเป็นอย่างมาก ดีนถึงกับหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง อะไรบางอย่างมันทำให้ดีนอยากจะไปหาเทปปันและคุยกันให้รู้เรื่อง แต่อาการเฉยชาของเทปปันที่แสดงกับดีน ก็ทำให้เขาใจฝ่อลงในทันที

“ดีน” เสียงแม่ของเขาเรียก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเคาะประตูเบา ๆ “แม่ไปได้มั้ยลูก” แม่ของดีนถามลูกชาย “ครับแม่” ดีนตอบกลับไป ก่อนจะเห็นแม่ของเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง “เดี๋ยวดีนลงไปครับ” ดีนบอกกับแม่ของเขา สีหน้าและแววตาของลูกชาย ทำให้ผู้เป็นแม่รับรู้ได้ว่าดีนกำลังมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ

“มีอะไรหรือเปล่าลูก เล่าให้แม่ฟังได้นะ” แม่ของดีนเดินมมานั่งที่ปลายเตียงของดีน ก่อนจะเห็นลูกชายของเธอขยับตัวเลื่อนเอาหลังไปพิงที่หัวเตียง “ดีน” เขาพูดไม่ออก รู้ว่าแม่ของเขาเป็นห่วง แต่ไอ้อาการหน่วงในอก จุกที่หัวใจนี่มันคืออะไรกันนะ “พี่ดีน” น้องสาวของเขาเดินเข้ามาสมทบ ดีนไม่ได้ไล่น้องสาวให้ออกไปจากห้องเหมือนอย่างเคย เสียงเรียกของน้องสาวที่เจือไปด้วยห่วงใย ดีนรับรู้ได้ น้องสาวของดีนกระซิบที่ข้างหูของแม่

“ลูกของแม่กำลังมีความรักใช่มั้ย” แม่ของดีนพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน “ดีนไม่รู้ว่าดีนทำอะไรผิด” ดีนพูดออกมาในที่สุด “หรือดีนเคยผิดต่อเขาไว้มาก และมันถึงคราวที่ดีนต้องเป็นฝ่ายชดใช้คืนให้เขาไป” แม่และน้องสาวไม่เคยเห็นดีนเป็นแบบนี้มาก่อน ดีนที่ไม่เคยแคร์ว่าใครจะคิดกับเขาอย่างไร ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะรู้สึกกับเขาแบบไหน คนที่ไม่เคยใส่ใจใคร

“เขาทำกับดีนเหมือนดีนไม่มีตัวตนสำหรับเขา” ดีนเลื่อนตัวลงนอนหนุนหมอนที่หัวเตียง ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง พ่อของดีนยืนฟังบทสนทนานี้จากด้านนอกของห้อง “เขาไม่ต้องการดีนเลย” ดีนยกฝ่ามือขึ้นปิดตาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ แม่ของดีนแตะที่ขาของลูกชายเบา ๆ “เขาไม่ต้องการดีนแล้วครับแม่” เสียงพูดของดีนสั่นเครือ ก่อนที่แม่และน้องสาวของเขาจะเห็นน้ำตาหยาดใส ๆ นั้น ไหลลงมาจากหางตาของดีน

***************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=n8jWtTnYYYU


ใครเล่าเลยจะรู้ว่าความรัก

Who would be enlightened about love?

แม้แรกเจอต่างคนไม่รู้จัก

Since we are two unfamiliar faces

แต่ปักใจเพียงครั้งเดียว

But the first love has struck

ติดในใจชั่วกาล

It’s forever in our hearts


ยามที่เราทั้งสองได้พานพบ

The moment we both have come across

ลบเรื่องราวอดีตที่ร้าวราน

To erase all bad and tragic past

เธอคือความรักแท้

You’re my only true love

ที่ฉันหามาเนิ่นนาน

I have been longing for


แต่ความรักดูเหมือนเลือนราง

Yet this very love is fading away

ปลายทางไม่เป็นดังใจ

The ending is not what I’d hope for

ถ้าจะให้เราพบกันใยต้องกีดกั้นเราให้ไกล

If we are supposed to meet again, why then the world takes us apart?


กีดกั้นด้วยแผ่นฟ้าแม้ไกลฉันยินดีจะฝ่าไป

Divide us with the vast sky, I’d be going through that

กีดกั้นด้วยภูผาสูงชันลับตาฉันไม่หวั่นไหว

Divide us with the enormous mountain, nothing scares me away

กีดกันด้วยเวลาฉันยินดีรอ

Divide us by time, I’d be more than happy to wait for

แต่กีดกั้นด้วยชะตาฉันคงต้องยอมพ่ายแพ้

Divide us by destiny, that means I need to give this all up

ใช่ไหม

Don’t I?

ใช่ไหม

Is that right?


ในตอนจบสุดท้ายนิยายรัก

At the end of a love story,

มักให้คนห่างไกลได้ย้อนกลับ

Usually the long - gone one would return

กลับมาเพื่อพบเจอ

Come back here to see

บอกรักเธออีกครั้ง

And say I love you once again


แต่ความจริงของฉัน

But in reality of mine

รักเราคงเป็นไปดังนั้นไม่ได้

Our love isn’t going that way

พยายามแค่ไหนไม่มีทางใดที่เราจะใกล้กัน

As much as I try, nothing about us is even close


กีดกั้นด้วยแผ่นฟ้าแม้ไกลฉันยินดีจะฝ่าไป

Divide us with the vast sky, I’d be going through that

กีดกั้นด้วยภูผาสูงชันลับตาฉันไม่หวั่นไหว

Divide us with the enormous mountain, nothing scares me anyway

กีดกันด้วยเวลาฉันยินดีรอ

Divide us by time, I’d be more than happy to wait for

แต่กีดกั้นด้วยชะตาฉันคงต้องยอมพ่ายแพ้

Divide us by destiny, that means I need to give this all up

ใช่ไหม

Don’t I?

ใช่ไหม

Is that right, babe?
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๒. คิดถึงที่ร้ายกับเธอ ๔/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-02-2023 18:46:02
บทที่ ๓๒. คิดถึงที่ร้ายกับเธอ



2566

2023



“ผมเองก็มีแพลนที่จะขยับขยายธุรกิจที่ทำอยู่ คิดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อสรุปเรื่องการลงทุน ว่าจะเป็นแบบไหนอย่างไรบ้าง” นฤเบศตอบบทสัมภาษณ์ด้วยความเป็นกันเอง ด้วยลักษณะท่าทางของหนุ่มใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มากล้นไปด้วยความมั่นใจ และเป็นที่มาของหนุ่มโสดที่เป็นที่หมายปองคนล่าสุดในวงสังคม ถ้าหากว่าเรื่องที่เขาผ่านการหย่าร้างมาก่อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“แล้วถ้าเป็นเรื่องของหัวใจล่ะคะ” คำถามที่เกี่ยวกับธุรกิจของนฤเบศ ดูจะเป็นข้ออ้างการขอเข้าสัมภาษณ์เสียมากกว่า จริง ๆ น่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องซุบซิบส่วนตัวของหนุ่มใหญ่มากกว่า ที่ทางต้นสังกัดของผู้หญิงคนนี้ ต้องการที่จะเอาไปขยายความต่อ กับสถานะพ่อหม้ายหย่าเมียของหนุ่มใหญ่ผู้เพียบพร้อมอย่างเขา

“โอ้ เรื่องนั้นหรือครับ” อย่างน้อยนฤเบศบอกกับตัวเอง เขาเองก็ต้องเล่นเกมนี้ให้เป็น ตามคนพวกนี้ให้ทัน “ไปได้ยินอะไรมาครับเนี่ย” นฤเบศพูดกลั้วหัวเราะ แต่ไม่ลืมที่จะทำหน้าเขิน ๆ เหมือนกับหลังว่า เขาจะไม่หลุดพิรุธอะไรออกมาให้เห็น “มันอาจจะมีมูลความจริงสินะคะเนี่ย เรื่องกุ๊กกิ๊ก ๆ เกี่ยวกับหัวใจของหนุ่มหล่ออย่างคุณนฤเบศ” หนุ่มใหญ่เองก็พอจะมองออก ว่าผู้หญิงคนที่กำลังสัมภาษณ์เขาอยู่นี้ ก็เปิดเผยไม่น้อยว่าสนใจในตัวเขา

“ยังไม่เจอที่ถูกใจมั้งครับ” นฤเบศตอบทีเล่นทีจริง “คือเป็นที่ผมนะ ที่ถูกใจเขา แต่เขาอาจจะยังไม่ถูกใจผม” นฤเบศยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างคนที่บริหารเสน่ห์ของตัวเองเป็น รู้ดีว่าส่วนไหน ท่าทางอะไรของเขานั้น เป็นที่ต้องตาของคนอื่นและสามารถนำมาแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้ และนฤเบศก็ทำมันได้ดีมาตลอด

“แล้วถ้าเจอคนที่ถูกใจล่ะคะ” คำถามนั้นจงใจชี้นำคำตอบ ด้วยความอยากรู้โดยส่วนตัวของผู้สัมภาษณ์ นฤเบศยิ้มน้อย ๆ ก้มหน้านิดหนึ่ง หลบสายตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายอีกครั้ง “ก็คงจะต้องเปิดตัวกันไปเลย” อาการทีเล่นทีจริง กึ่งยั่วกึ่งเย้า มันทำให้ผู้สัมภาษณ์ยิ่งแสดงออกถึงความต้องการลึก ๆ ภายในใจออกมา

“คงจะเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่” ไม่ถามเปล่า แต่เธอเอามือแตะลงไปที่แขนของนฤเบศอย่างจงใจ หนุ่มใหญ่เหลือบมองไปที่มือข้างนั้นของเธอ เขาม่ได้ว่าอะไร แต่ตอบออกมาอย่างทันควันว่า “เซอร์ไพรส์แน่นอนครับ” โดยที่เสียงหัวเราะที่ดังตามออกมาของนฤเบศนั้น เขาคิดในใจว่า หน้าของผู้หญิงคนนี้คงตลกดีพิลึก ทันทีที่ได้รู้ความจริง จริง ๆ

“อ้าว นั่นน้องวิน น้องวินคะ น้องวิน” หญิงสาวที่กำลังจะจบการสัมภาษณ์กับนฤเบศ มองเห็นเด็กหนุ่มทายาทมหาเศรษฐีเดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้พอดี เจ้าของชื่อหันมามองตามเสียงเรียก ก่อนจะยิ้มทักทาย มองเห็นหญิงสาวและชายหนุ่มอีกคนที่สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้น ดูก็รู้ว่าจำใจเดินตรงมาทางนี้

“เป็นหนุ่มหล่ออีกคนที่ตามหาตัวยากมากนะคะ น้องวินเนี่ย” ท่าทางแบบออกหน้าออกตาของผู้หญิงคนนี้ยังคงไว้จได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยโดยแท้ของเธอ หรือเป็นลักษณะจำเป็นทางด้านอาชีพการงานก็ตาม “พี่ตามคิวน้องวินมาสองสามเดือนแล้ว ไม่มีคิวว่างให้พี่เลย ยิ่งช่วงหลัง ๆ มานี่ ได้ข่าวว่าน้องวินยุ่งมาก ติดแฟนหรือคะ” เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยอดเรื่องนินทาซุบซิบไฮโซ ที่เอาไปต่อยอดขายยอดวิวในโซเชียลได้อีกนาน

“ทำนองนั้นมั้งครับ” วินตอบกลับไปแบบไม่ลังเล “พูดแบบนี้ แปลว่าให้พี่เอาไปเขียนข่าวได้ใช่มั้ยคะ” นักข่าวอย่างเธอหูผึ่งตาเบิกโพลงกันเลยทีเดียว กับเรื่องราวฉาว คาว จริงมั่งไม่จริงมั่ง เติมไข่ใส่เข้าไป คนก็ชอบเหลือเกินกับเรื่องราวทำนองนี้ “ถ้าพี่จะเขียน เดี๋ยวผมบอก เอ สมัยก่อนเขาเรียกว่าอะไรนะครับ รังรักใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมใบ้รังรักของผมกับแฟนให้ด้วย” วินพูดพลางมองไปทางนฤเบศที่แน่นอน หนุ่มใญ่คนนี้ย่อมจำเขาได้อย่างแน่นอน

“แหม น้องวินนี่ ใช้คำโบราณจังนะคะ นี่ถ้าไม่บอกว่ากำลังจะอายุยี่สิบ พี่ก็นึกว่าน้องวินหลุดออกมาจากยุคไนน์ตี้” หญิงสาวจำสำนวนอะไรแบบนี้ได้ จากงานเขียนของพวกรุ่นพี่ของเธอ “ก็ไม่แน่นะครับ ยุคเก้าศูนย์สำหรับผม เป็นยุคที่มีอะไรให้น่าจดจำอยู่ไม่น้อย และผมคงจะยังจำมันได้ดีอยู่” สองหนุ่มต่างวัยสบตากัน นฤเบศรู้สึกเหมือนกับว่า เด็กหนุ่มชื่อวินคนนี้ จงใจพูดประโยคนั้นกับเขา

“แหม พี่ก็เสียมารยาท น้องวินคะ ขอโทษด้วยนะคะคุณนฤเบศ นี่น้องวินทายาทครอบครัวมหาเศรษฐี ที่หยิบจับทำธุรกิจอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ส่วนนี่ก็” ยังไม่ทันที่เธอจะแนะนำนฤเบศให้วินรู้จัก “ผมกำลังสนใจในธุรกิจที่คณจะลงทุนเพิ่มอยู่พอดีเลย ได้ข่าวว่ายังจะต้องใช้เงินอีกมหาศาล ใช่มั้ยครับ” วินก็พูดแซงขึ้นมาก่อน นฤเบศไม่คิดว่านี่เป็นแค่คำถามปกติทั่วไป ที่ไม่มีนัยอะไร

“ไม่ต้องห่วงครับ เงินจะเยอะแค่ไหน ผมมีวิธีจัดการของผมได้” นฤเบศยังจำสายตาเอาเรื่อง สีหน้าหยิ่งผยองของเด็กหนุ่ม ที่เขาเห็นในเช้าวันนั้นได้ “บริษัทในตลาดหุ้น ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ ราคาหุ้นของบริษัทคุณกำลังทำกำไรดีทีเดียว ถ้าอยากซื้อคืนก็ได้นะครับ ไว้ผมจะพิจารณาขายคืนให้ ถ้าคุณต้องการเงินด่วนขนาดนั้น” คำพูดของวิน ทำเอาหญิงสาวต้องลอบมองสีหน้าของทั้งสองหนุ่ม เธอว่าเธอได้ข้อมูลดิบอะไรดี ๆ ไปเขียนขยายและขายข่าวได้อีกเยอะ

“สองคนนี้ รู้จักกันแล้วก็ไม่บอกนะคะ” ใจจริงเธอเองก็อยากจะสุมไฟให้ลุกโชนมากกว่านี้ ถ้าทำได้ “แล้วนี่น้องวินมาทานข้าวหรือคะ ทำไมมาคนเดียวล่ะคะ ร้านออกจะโรแมนติกขนาดนี้” แทนคำตอบนี้ มีใครอีกคนเดินเข้ามาในร้านพอดี แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่ามีใครที่ยืนอยู่ด้วยกันบ้าง

“ตฤณมาช้าจัง วินหิวแล้ว” วินยื่นมือออกไปด้านหน้า เมื่อเจ้าของชื่อเดินเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ในมือ และแน่นอน การกระทำนั้น มันอยู่ในสายตาของทั้งนักข่าวและของนฤเบศ “มาเดทหรือเปล่าคะเนี่ย” ตามสัญชาตญาณของนักข่าว อะไรคุ้ยได้ให้รีบ อะไรเขี่ยได้ให้ทำ

“ปฏิเสธยังไงให้ยังน่าเชื่ออยู่ครับเนี่ย” วินเองก็ดูจะรู้เหลี่ยมมุมของตัวเองเป็นอย่างดี ตฤณนั้นได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งสายตาที่เต็มไปด้วยอาการต่อว่าและตัดพ้อจากนฤเบศส่งมาให้เห็นแบบนั้นด้วย วินทั้งชวนแกมบังคับให้เขาออกมาเจอที่ร้านอาหารนี้ให้ได้ ตฤณที่ไม่รู้จะปฏิเสธจะเลี่ยงยังไงแล้ว ก็ยอมออกมาพบเด็กหนุ่ม แต่เขาเองคิดไม่ถึงว่าจะเจอนฤเบศที่นี่ด้วย

“ไม่คิดเลยนะคะ ว่าน้องวินจะชอบ แบบ” หญิงสาวมองไปทางตฤณที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ “แบบ ชอบรุ่นพี่” เธอเลือกที่จะลงท้ายประโยคให้สมบูรณ์แบบนั้น “เอาเป็นว่า” วินพูดขึ้นแทนคำตอบตรง ๆ “ถ้าเผื่อมีใครเกิดอยากเอาไปเขียนข่าว หรือเอาไปพูดต่อ คือมันไม่ใช่แค่รุ่นพี่คนไหนก็ได้นะครับ” วินพูดพลางหันไปมองตฤณ แต่เป็นได้แค่เฉพาะรุ่นพี่คนนี้เท่านั้น” วินพูดจบก็เอื้อมมือไปโอบไหล่ของตฤณเอาไว้ โดยมีสายตาที่ไม่พอใจเป็นอย่างมากของนฤเบศจับจ้องอยู่อย่างไม่ละสายตา

“คิดดีแล้วหรือครับที่ทำแบบนั้น” วินถามขึ้นเสียงเรียบ ๆ แต่ฟังดูมีความหมายแฝงอยู่ เมื่อนฤเบศที่ทนไม่ไหวกับภาพที่เห็นตรงหน้า เดินเอาไหล่ชนแขนของวินอย่างจงใจ “ผมว่า ครั้งนี้มันจะไม่ใช่แค่ลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้น เหมือนที่แล้วมานะครับ” คำพูดของวินทำเอานฤเบศถึงกับต้องเก็บเอาไปทวนความทรงจำ ว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นกับเขาหรือไม่ ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะเดินออกจากร้านอาหารไป

อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างปกติดี วินทำทุกอย่างที่เป็นการเอาใจตฤณ อาหารทุกจานที่ถูกนำมาเสิร์ฟ คือเมนูที่ตฤณชอบทั้งนั้น รสชาติ การตกแต่ง ทุกอย่างที่ถูกรังสรรค์ออกมา คือการที่วินเน้นย้ำกับทางร้านว่า เขาไม่ต้องการอะไรที่น้อยกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ และมันทำให้ตฤณนั้นมีช่วงเวลาที่ได้คิดถึงเรื่องราวในวันเก่า ๆ มากมาย

“จะให้เชื่อใช่มั้ย ว่าทั้งหมดนี้ เป็นแค่เรื่องบังเอิญ” ตฤณเปิดฉากถามเด็กหนุ่ม หลังจากที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับไปที่รถ “ไม่นะ วินตั้งใจเลือกเมนูบนโต๊ะทุกอย่างด้วยตัวเอง วินบอกกับทางร้านว่ามันเป็นของที่ตฤณชอบทั้งนั้น” วินตอบคำถามนั้นออกไปด้วยสีหน้าที่ว่าตัวเขานั้นบริสุทธิ์ใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์

“อย่ามาทำเล่นลิ้น ทำไมถึงเป็นเด็กที่ร้ายกาจแบบนี้นะ” ตฤณนั้นไม่รู้จะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี “ก็เพราะผู้ใหญ่ไม่ยอมทำตามความรู้สึกของตัวเองเสียที” วินพูดสบตากับตฤณ โดยที่ตฤณหลบสายตา จนวินต้องตามจ้องตากับตฤณที่หลบไม่ยอมมองด้วย “เด็กบ้านี่” ตฤณที่ทนไม่ไหวตีเข้าที่ต้นแขนของวิน เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ

“ก็ถ้าตฤณปากตรงกับใจเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น” วินพูด น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด “ต้องการอะไร ทั้งหมดนี้ ต้องการอะไรจากผม” ตฤณหยุดเดิน ก่อนจะยิงคำถามออกไป วินหยุดเดินเช่นกัน ก่อนจะหันมามองตฤณ “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่วินตามหาตฤณจนเจอ” เด็กหนุ่มพูด “อีกครั้ง” ตฤณไม่ใช่ไม่อยากยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยากเกินจะเชื่อ

“วินอยากขอโอกาสจากตฤณ ให้โอกาสวินอีกครั้ง จากเรื่องในวันนั้น” เด็กหนุ่มที่ท่าทาง ลักษณะ การพูดการจานั้น เหมือนใครบางคนที่ตฤณเคยรู้จัก “หลังจากตอนนั้น มันมีอะไรเกิดขึ้นกับผมมากมายเหลือเกิน” กับช่วงชีวิตของตฤณจนมาถึงตอนนี้ เขาต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มาในทุกรูปแบบ

“วินรู้” เด็กหนุ่มตอบกลับอีกฝ่ายไป “ก็เห็นอยู่” ตฤณรู้ดีว่าวินหมายถึงอะไร ไม่สิ ตฤณรู้ว่าวินหมายถึงใคร “บางเรื่องมันก็ไม่เรื่องที่ผมภูมิใจอะไรกับมันนักหรอก” ตฤณเม้มปากแน่นจนเกือบจะเส้นตรง กับเรื่องราวที่เขาไม่อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรมันได้อีก มันคือการดำเนินชีวิตของเขา ที่ตฤณเลือกมันดีแล้วสำหรับในวันนั้น

“วินว่าวินข้าใจนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองเงียบเสียงกันไปนาน “ไม่ใช่เพราะว่าวินเป็นคนใจกว้างอะไรไ เด็กหนุ่มอธิบายในส่วนของตน “อะไรพวกนั้นมันเกิดขึ้นตอนที่วินไม่อยู่ วินทำอะไรไม่ได้ นอกจากยกผลประโยชน์ให้จำเลย” วินชี้นิ้วไปที่ตฤณ ผู้ที่แน่นอน เป็นจำเลยของเหตุการณ์ในตอนนี้

“แต่เมื่อวินอยู่ตรงนี้แล้ว วินอยู่ตรงหน้าตฤณแบบนี้แล้ว ตฤณเป็นของวินคนเดียวเท่านั้น” การที่ตฤณได้ยินวินพูดกับเขาแบบนั้น เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า มันทำให้หัวใจของเขาอิ่มเอมและเติมเต็มมากแค่ไหน กับหัวใจที่เคยร้าวรานจนแทบแตกสลาย หัวใจที่โรยราแห้งผาก อยู่ไปโดยไม่คิดว่าจะได้รู้จักกับรัก แบบที่เขาเคยรักเป็นได้อีกแล้ว

“แล้วอีกอย่างวินก็ไม่เด็กแล้วด้วย ไม่เชื่อตฤณลองจับได้เลย มันทั้งใหญ่ ทั้งอวบ” ยังไม่ทันที่วินจะได้พูดขยายสรรพคุณอย่างอื่นเพิ่มเติม ตฤณก็ใช้มือปิดปากวินเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มทำปากขยับพูดต่อ ทำเสียงอู้อี้ ทำท่าทำทางตลกกับมือของตฤณที่ปิดปากเขาอยู่ จนตฤณเองยังต้องหลุดหัวเราะออกมา

“จริงหรือเปล่าไม่รู้ ที่เขาว่ากินเด็กแล้วเป็นอมตะ” วินแกะมือของตฤณออกจากปากเขา ทั้งริมฝีปากและแววตานั้นยิ้มแบบแทบจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไป “มันก็น่าจะจริง” วินพูดพลางพยักหน้าเห็นด้วย “เพราะร่ำลือกันว่า กินผู้ใหญ่ก็ถือว่าได้กินยาอายุวัฒนะ” วินพูดจบก็เดินนำกลับไปที่รถยนต์ของเขา ก่อนที่จะออกรถพาตฤณเข้าสู่กระแสการจราจรยามค่ำที่วุ่นวายของมหานครอย่างกรุงเทพ ฯ

******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=6Ixqnzv02fQ


เธอ เรามีเรื่องต้องคุยกัน

Hey there, we really need to talk

เรื่องที่ฉันว่าเธอก็รู้

Something you already knew

เอาเป็นว่าฉันพูดก่อนแล้วกัน

Yet, let me be the one to speak up


ฉัน นั้นยังไม่ลืมเธอ

I, I never ever forget you

จำเรื่องของเธอได้เสมอ

Remember everything about you

ยังไม่มีใครแทนเธอได้เลย

No one can take your place in my heart


วันนี้ แค่ฉันมองตาเธอก็รู้

Today, I see all of that in your eyes

ว่าหัวใจของเธอยังไม่เคยเปลี่ยนเลย

Of course, you heart also has been the same

ถ้างั้น

If so


คนที่เลิกกันไป จะกลับมาคบกันอีกได้ไหม

Those who’ve broken up, would they return and reconcile?

ฉันว่าถึงเวลา กลับมาคบกันเถอะ

I think it’s about time for us to come back and get together

เพราะตอนนั้นที่เลิกกันไป เรานั้นยังรักกันอยู่ใช่ไหม

Because we went separate ways that day, knowing we were still pretty much in love

ฉันว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง กลับมาคบกันเถอะ

Isn’t it the perfect time now? Baby, come stay and be with me


Please, please babe

Please, please babe

Please, please babe

Please, please babe


ตอนนี้ เรานั้นเสียเวลาพอแล้ว

Now that we’ve wasted too much precious time

ทั้งที่หัวใจเราก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย

Though our hearts, they are both unchanged

ไม่ว่านานแค่ไหนก็เหมือนเดิมอยู่เลย

No matter how long it’s been, they’re still the same



ถ้างั้น

If it’s like that,


คนที่เลิกกันไป จะกลับมาคบกันอีกได้ไหม

Those who’ve broken up, would they return and reconcile?

ฉันว่าถึงเวลา กลับมาคบกันเถอะ

I think it’s about time for us to come back and get together

เพราะตอนนั้นที่เลิกกันไป เรานั้นยังรักกันอยู่ใช่ไหม

Because we went separate ways that day, knowing we were still pretty much in love

ฉันว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง กลับมาคบกันเถอะ

Isn’t it the perfect time now? Baby, come stay and be with me


Please, please babe

Please, please babe

คบกันได้ไหม

Will you be with me?


Please, please babe

Please, please babe

กลับมาคบกันได้ไหม

Come back and be mine again

Please, please babe
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๒. คิดถึงที่ร้ายกับเธอ ๔/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 04-02-2023 21:54:08
โถ่ดีน ไม่ร้องน๊าาาาา ชาติที่แล้วทำกับเขาไว้เยอะนี่ :m16:
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๓. คิดถึงเมื่อเธอหมดใจ ๖/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 06-02-2023 17:39:07
บทที่ ๓๓. คิดถึงเมื่อเธอหมดใจ



2537

1994



นันทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงลงนี้มาได้สักพัก อาการของคนที่ไม่มีที่จะไป มันทำให้ไม่เพียงแต่ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงจะก้าวเดินต่อ แต่รวมไปถึงกำลังใจที่เหือดหายไปจากความรู้สึก ทำได้แค่บอกตัวเองว่า อยากอยู่ตรงนี้ไปสักพัก จมอยู่กับความเป็นจริงที่แสนจะโหดร้ายนี้ไปก่อน เมื่อรู้ตัวดีว่า ตัวเองนั้นได้พ่ายแพ้ต่อเกมชีวิตในตานี้อย่างราบคาบ

รถประจำทางที่มาหมดระยะพอดีที่ป้ายรถเมล์ไม่ไกลจากตรงนี้ แถมกว่าที่รถเที่ยวแรกจะเริ่มวิ่งอีกครั้ง ก็เช้าตรู่โน่นเลย นันได้แต่ถือถุงพลาสติกในมือใบนั้น หอบสมบัติอันน้อยนิดที่มีติดตัว เดินเลาะไปมา มองหาที่พึ่งพิงสักที่ให้ตัวเองได้พ้นผ่านคืนนี้ไปได้ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ปรอยฝนที่อยู่ ๆ ก็พรำลงมาเมื่อก่อนหน้าตอนที่นั่งอยู่บนรถเมล์ ดูเหมือนจะขาดเม็ดไปแล้ว

นันนั่งลงบนพื้นถนน ทั้ง ๆ ที่มันเปียก ๆ แบบนั้น ไม่มที่ว่างอื่นใดแห้งปราศจากการโดนฝนตกใส่ แต่อย่างน้อยที่ตรงนี้ มันก็ดูหลบมุมและพ้นสายตาจากคนที่อาจจะเดินผ่านถนนใหญ่ที่ด้านนอกนั่น ซอยเล็ก ๆ ซอยนี้คงจะเรียกได้ว่าทางเดินข้างตึกข้างอาคารอะไรสักอย่างมากกว่า มันพาเขามาซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี ในเวลาที่นันรู้สึกว่าทั้ง ๆ ที่เขาแทบไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องหาที่ที่จะซ่อนตัวของเขา ให้พ้นจากสายตาของคนอื่นอยู่ดี

หวังว่าฝนคงไม่ลงเม็ดอีกครั้ง นันคิดอยู่ในใจแบบนั้น เดาว่าตอนนี้คงเลยเวลาเที่ยงคืนมาเล็กน้อย เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวายด้วยความเมาที่ด้านนอกถนนเมื่อก่อนหน้า ฟังดูเงียบเสียงลงไปเยอะ ตรงนี้อาจจะทำให้เขาได้พักตาหลับได้สักงีบหนึ่ง ก่อนที่อะไร ๆ ของวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

นันซุกตัวเข้ากับซอกเล็ก ๆ ที่เกิดจากผนังอาคารกับถังสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่น่าจะเอาไว้ใส่สิ่งของที่คนไม่ต้องการแล้ว ไม่อย่างนั้น มันก็คือถังขยะดี ๆ นี่เอง โชคดีที่มันคงไม่ใช่ถังที่ใส่พวกเศษอาหารอะไรเทือกนั้น เพราะมันไม่ได้ส่งกลิ่นเน่าเหม็นอะไรออกมา นันพิงศีรษะหลับตาลง หวังใจว่าจะหลับเอาแรงสักครู่ พลันแสงไฟจากด้านในอาคารก็ส่องมาแยงตา เมื่อประตูด้านหลังตึกนั้นพูดเปิดออก

“อ้าว นี่มันอะไรกัน เธอเป็นใครมานอนอะไรอยู่ตรงนี้ ไป ๆ อย่ามานอนขวางประตูด้านหลังร้าน เมายาหรือเปล่าเนี่ย อย่ามาเล่นยาแถวนี้นะ เดี๋ยวฉันแจ้งตำรวจมาจับ ไป ๆ ไปไหนก็ไป” เสียงไล่นั้นดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ประตูบานนั้นถูกเปิดออก และคนด้านในมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น นันรีบลุกขึ้นยืนแม้ว่าเรี่ยวแรงแทบจะไม่มีเหลืออยู่

“ขอโทษครับ ผมแค่อยากนั่งพักสักเดี๋ยว ผมไม่มีที่ไปจริง ๆ ขอโทษครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” นันก้มลงคว้าถุงพลาสติกใบน้อยนั้น ท่ามกลางการสังเกตของคนที่เพิ่งเอ่ยปากไล่เขา นันตัวลีบเล็กลงอีก เมื่อกำลังจะหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น “แล้วรู้หรือยัง ว่าจะไปที่ไหนต่อ” เสียงถามนั้นมีความเป็นห่วงเจืออยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้

“เดี๋ยวผมลองหาดูครับ” นันพูดเสียงเบา ไม่เลยด้วยซ้ำว่า เขาจะไปหาที่แบบนั้นได้จากตรงไหน เสียงถอนหายใจดังออกมาจากคนคนนั้น ให้นันได้ยิน “เออ เนี่ยเที่ยงคืนกว่าแล้ว ฉันมัวแต่ยุ่ง ๆ ในร้าน ยังไม่ได้กินข้าวเลย หิวจะแย่ เธอล่ะ กินอะไรหรือยัง หิวมั้ย” คำถามนั้นของคนที่นันพอจะเดาได้ว่าเป็นเจ้าของร้าน มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด คำถามจากคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้ากัน และแทบจะไม่รู้จักกันเลย จากบทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค

“เข้ามาก่อน” เสียงชวนให้นันเข้ามาด้านในร้าน นันยกมือไหว้พร้อมถุงพลาสติกใบนั้นในมือ สายตาของเจ้าของร้านลอบมองอยู่ตลอดเวลา “นั่งสิ” เมื่อเดินออกจากครัวด้านหลังมาที่ด้านในร้าน นันมองไปรอบ ๆ ร้านนั่งดื่มนั้น “อย่างเธอฉันเสิร์ฟแค่น้ำเปล่าเท่านั้นแหละ นั่ง” เสียงดุนั้นไม่ได้จริงจังอะไร ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าบาร์นั้น

นันนั่งลงตามคำสั่งของเจ้าของร้าน เขาวางถุงพลาสติกลงบนบาร์เหล้า เจ้าของร้านมองตามไปที่ถุงพลาสติก ก่อนจะเหลือบตามองใบหน้าของนันแวบหนึ่ง ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วหันไปทำอะไรขลุกขลัก ๆ อยู่สักพัก กล่องข้าวผัดที่เย็นชืดแล้ว เนื่องจากซื้อมาตั้งแต่หัวค่ำเพิ่งจมีโอกาสได้นั่งกินมัน ถูกนำมาวางไว้ที่ตรงด้านหน้าของนัน นันเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้าน แววตาอันอ่อนโยนของความมีเมตตา อยู่ในดวงตาคู่นั้นที่มองมาที่เขา

นันมองดูคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเขา ที่นันคุกเข่าอยู่ต่อหน้า กำลังมีน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมื่อรับเอาพวงมาลัยดอกไม้พวงเล็ก ราคาไม่กี่บาทไปจากมือของนัน สิ่งที่มากไปกว่านั้นมหาศาล คือสีหน้าที่ปลาบปลื้มกับแววตาที่เป็นสุข ที่มันฉายความเอิบอิ่มออกมาให้นันได้มองเห็น จากวันนั้น วันที่นันได้รับการช่วยเหลือจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในวันนี้

“นี่แกว่าฉันแกงั้นหรือ เจ้านัน” ปากก็พูดไป แต่ก็เอาพวงมาลัยพวงนั้นหันไปอวดกับผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน “เจ้ก็เป็นแม่นันได้นะ” นันพูดพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะโดนตีเบา ๆ เข้าที่ต้นแขน “ฉันแทบจะคลอดแกออกมาเองเลยล่ะ เจ้านัน จริงมั้ย” ความฝันที่เจ้มีมาตลอด แม้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ เรื่องที่แกมีลูกเป็นของตัวเอง

“ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ” ปากเพิ่งด่าไป แต่ก็ยอมรับนันเป็นลูกอย่างไม่อิดออด “ถ้าเธอเป็นแม่ อย่างนั้น ฉันก็เป็นพ่อแล้วสิ” ผู้ชายคนนั้นหยอกล้อกับเจ้เจ้าของร้านอย่างคนที่รักและอยู่ด้วยกันมานาน “ถ้าดื้อ จะโดนไม้เรียวเข้าให้นะ” เสียงสูดน้ำมูก อาการปาดน้ำตาลวก ๆ นั้น ทำเอาทุกคนหัวเราะกันใหญ่ นันรู้สึกเป็นสุขใจที่เห็นทั้งสองคนที่ยื่นมือช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงแก่เขา มีความสุข เวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมา นันซาบซึ้งใจอย่างที่สุด เพราะทั้งสองคนมีบุญคุณท่วมหัวนันมากจริง ๆ

“เจ้หวี ขอบคุณนะครับ นันขอบคุณมากจริง ๆ” นันกล่าวของคุณ ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของเจ้หวี “ไม่เป็นไร ฉันเห็นแกเป็นแบบนี้ ฉันก็สบายใจ” เจ้หวีเจ้าของร้านรับไหว้นัน ก่อนจะลูบหัวลูบหางนันอย่างเอ็นดู “วันนี้วันดี ใครเขามาทำเศร้าทำซึ้งอะไรกัน” พูดไปอย่างนั้น แต่เจ้หวีก็ยังมองพวงมาลัยที่ถืออยู่ในมืออย่างชื่นชม แฟนหนุ่มของเจ้หวี ดึงเจ้เข้าไปกอดแล้วหอมแก้มอย่างรักใคร่

“สงกรานต์ทั้งที แกจะมานั่งจุดเตาทอดไข่เจียวขายทำไม ไอ้นัน ไปเล่นน้ำกับเขาไป” แฟนของเจ้หวีที่ก่อนหน้าคะยั้นคะยอให้นันออกไปเล่นสนุกอย่างคนอื่นเขาบ้าง สุดท้ายก็ห้ามนันไม่ได้ ต้องปล่อยให้นันตั้งแผงเล็ก ๆ ด้านหน้าร้าน ทำข้าวไข่เจียวขาย “บาร์เรามันค่อนมาทางสุดปลายถนนที่เขาเล่นสาดน้ำกัน มันจะขายได้กี่มากน้อย เจ้านัน” เสียงเจ้หวีดังขึ้น รู้สึกชื่ชมไม่น้อยกับความขยันที่มีของนัน

“เชื่อนันสิเจ้ เล่นน้ำเหนื่อย ๆ มา ยังไงก็ต้องหิว ได้กลิ่นไข่เจียวหอม ๆ แบบนี้ ปี๊บเดียวไข่หมดแผงแน่นอน” นันบอกกับเจ้าของร้านทั้งสองคน ยิ้มกว้าง ไม่อยากให้โอกาสหารายได้เข้าร้านหลุดลอยไป “อีกอย่าง นันไม่มีใครออกไปสาดน้ำด้วยสักหน่อย ออกไปนะ กลับมาถึงบ้านตัวแห้ง ไม่เปียกกับเขาหรอก” เสียงหัวเราะใส ๆ นั้น นันทำให้เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน เจ้หวีพยักหน้าบอกนันว่าตามใจ หลังจากนั้น ข้าวไข่เจียวของนัน ขายได้เรื่อย ๆ แฟนของเจ้หวียังเย้าเจ้ว่า ต้องเรียนรู้การตลาดจากเจ้านันมันแล้วล่ะ

“มีข้าวไข่เจียวขายใช่มั้ยครับ ขอโทษนะครับ ขอข้าวไข่เจียวหนึ่งกล่องครับ” เสียงถามจากด้านนอกนั้น “มีครับ ได้เลยครับ” ทำให่นันรีบวิ่งออกมาที่ด้านหน้าร้าน ก่อนจะสะดุดกึก เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มาสั่งไข่เจียวที่ร้าน “นัน” เสียงเรียกชื่ออย่างตื่นเต้น “นันมาอยู่ที่เองหรือ นัน สบายดีมั้ย ท็อปคิดถึงนั้นมาก เป็นห่วงนันมากจริง ๆ” เสียงพูดรัวนั้นดังมากพอ ที่จะให้เจ้หวีเดินออกมาดูที่หน้าร้าน ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ใครน่ะ รู้จักกันหรือนัน” เจ้หวีถามขึ้น ก่อนจะยกมือรับไหว้จากเด็กหนุ่มที่ด้านหน้าร้าน “ครับ” ท็อปชิงตอบแทนนัน ที่ยืนนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร “นันคุยกับท็อปหน่อยได้มั้ย” เสียงถามนั้นฟังดูก็รู้ว่า คนพูดมีความรู้สึกผิดติดค้างกับนันอยู่ “เราต้องดูร้าน ไม่สะดวก” นันตอบท็อปออกไปในที่สุด ท็อปสีหน้าสลดลงเมื่อได้ยินแบบนั้น แม้ว่าในใจเขาจะโล่งอก เมื่อได้มาเจอนันอีกครั้ง

“ไปนัน ไปหาที่คุยกับเพื่อนกันให้เรียบร้อย เดี๋ยวตรงนี้ ฉันดูลูกค้าให้” เจ้หวีที่พอจะมองออกว่าเกิดอะไรขึ้น บอกนันให้ไปคุยกับท็อปให้รู้เรื่องก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่ค้างคากันอยู่ “แกเพิ่งสัญญากับฉันนะ นัน ว่าจะไม่ดื้อ” นันพยักหน้ารับคำเจ้หวี ก่อนจะบอกให้ท็อปเดินไปที่ตรอกเล็ก ๆ ด้านข้างตึก แฟนเจ้หวีเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้หวีบอกไปว่า เด็กหนุ่มคนนั้นคงจะเป็นคนที่นันอยากจะออกไปสาดน้ำสงกรานต์ด้วย ถ้าเรื่องราวมันไม่เป็นไปแบบนี้เสียก่อน

“นันสบายดีมั้ย” ท็อปยิงคำถามทันที ที่นันเปิดประตูด้านหลังร้านออกมาพบกับเขา “เราไม่เป็นอะไร” นันตอบออกไปเสียงเบา ในใจกำลังสับสนพร้อมด้วยอาการหัวใจที่เต้นระรัว “นันพูดกับท็อปห่างเหินดีจัง” ท็อปรู้สึกโหวงเหวงในใจกับท่าทีและคำพูดของนันที่มีให้เขา “ก็สมควรแล้ว ว่ามั้ย” ท็อปพูด หัวเราะแห้ง ๆ ด้วยสีหน้าของคนที่พยายามสู้หน้าอีกฝ่ายให้ได้

“มันผ่านมาเป็นเดือนแล้วนี่นา” นันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปรกติ แต่ใครจะรู้ ว่าภายในใจของนันนั้น มันกำลังเต้นระส่ำไปหมด “อะไร ๆ มันก็คงเปลี่ยนไป” แม้ไม่ได้พูดตอกหน้าใส่กกัน แต่มันก็เหมือนใช่ ท็อปกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่บ้านของเขา ท็อปแอบตามไปหาที่บ้านของนัน แต่ก็ไม่พบอีกฝ่าย เจอแต่พ่อเลี้ยงของนัน ที่นอนเมายาอยู่ในละแวกแถวบ้าน เป็นที่เอือมระอาของผู้คนแถวนั้น

“ถ้าไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดทักทายกัน เราขอตัวนะ เรามีงานทำค้างเอาไว้อยู่” นันพูดตัดบท ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ได้ ที่จะเห็นตัวเองกลับไปเป็นนันคนเดิม ก่อนหน้าที่เรื่องทุกอย่างนี้จะเกิดขึ้น ท็อปเองที่ตั้งใจว่าแต่แรก ว่าจะบอกนันว่า กี่ครั้งกันแล้วที่เขาเพียรไปหานันที่บ้าน กลับต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป

“ให้โอกาสท็อปอีกครั้งได้มั้ย นัน” ในขณะที่นันกำลังจะหันหลังเดินกลับเข้าร้านไป คำถามของท็อป มันได้พาความรู้สึกเสียดแทงใจ กลับมาให้นันรู้สึกอีกครั้ง นันมองหน้าท็อปอีกครั้ง ใบหน้าของคนที่นันได้มอบหัวใจไปจนหมดทุกห้อง “ฟังดูคุ้น ๆ จัง” นันพูดพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่ได้เจือเลยสักเล็กน้อย ถึงความสุขในหัวใจ

“ท็อปขอโทษ ท็อปผิดเอง ท็อปควรจะให้โอกาสนันได้อธิบาย ท็อปควรจะให้โอกาสกับนัน กับเรื่องไอ้หนังสือบ้า ๆ นั่น” ท็อปรีบพูดเร็วปรื๋อ ในใจกลัวว่าจะเป็นอย่างที่เขาทำกับนัน ไม่มีโอกาสได้พูดบอกความจริงในใจ “หนังสือที่ท็อปก็ซื้อมันมาดู เปิดมันนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อสนองความไคร่ของตัวเองน่ะหรือ” นันถามออกไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด

“ไม่เป็นไรหรอก” นันพูด “มันก็คุ้มค่าราคาหนังสือที่ท็อปจ่ายไป” นันพูดบอกกับท็อปไป ว่าเรื่องนี้มันเข้าใจได้ “นัน ท็อปผิดไปแล้ว” ท็อปจะเดินเข้ามาหานัน แต่นันถอยหลังเดินหนี “ถ้าคำนี้ ท็อปพูดมันออกมาในวันนั้น เราคงยกโทษให้ได้ไม่ยาก แต่วันนี้ ใจเรามันมีแผลเป็นเสียแล้ว ท็อปเข้าใจมั้ย ว่าใจเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว” นันพูดบอกความจริงจากใจให้ท็อปได้รับรู้

“เราไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น แต่เราไม่เหลือใจให้ท็อปทำร้ายอีกแล้ว” นันพรั่งพรูคำพูดออกมา “นัน กลับมาคบกับท็อปอีกครั้งเถอะนะ ท็อปสัญญา ว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น นะ นัน นะ” ท็อปพูดขอร้อง น้ำตาของเด็กหนุ่มที่กำลังรับรู้ว่า เขาจะไม่มีโอกาสได้รับของขวัญอันล้ำค่าในชีวิตกลับคืนมา

“เราสองคนลากันที่ตรงนี้” นันพูดออกไป ทำใจไม่หั่น ทำเสียงไม่ให้เครือ กั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล “ไม่เอาอ้ะ นัน ไม่เอาแบบนี้ อย่าทำแบบนี้เลย ท็อปขอร้อง ท็อปผิดไปแล้ว ขอร้อง ท็อปขอร้องนะนัน” คำตอบของนัน คือการที่เหลือเพียงแค่ท็อปเท่านั้น ที่ยืนร้องไห้อยู่เพียงลำพัง

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=hwQUNl5ORKc


สิ่งดีดี ที่ทำไว้

All the good stuff to please

ที่มันมาจากความจริงใจ ครั้งนั้น

Those coming straight right from my heart

คิดว่าแสนเนิ่นนาน ที่เธอได้ไป

Think you have had that for quite some time


แต่เธอเองในวันนั้น

It was simply you that day

เหมือนว่าเธอไม่เคย จะมาสนใจ

Never showed you cared or anything

รักที่มีให้ไป แต่เธอนั้น ไม่ต้องการ

My love given to you was not the same things you wanted


วันที่เธอ กลับคืนมาครั้งนี้

You came back right before me today

น่าที่จะรู้ดี ว่าจะไม่เหมือน วันวาน

You should have known, nothing is like those old times

คำว่ารัก ที่เคยมีให้นั้น

Plenty of love I used to have

นับตั้งแต่นี้ ไม่มีสิ่งนั้น เหลือให้เธอ

Starting from now, nothing I felt left for you


หมดแล้ว หมดเลย ใจที่เคยให้กัน

No more, it’s all up; my heart that was for you

ก็เหมือนลม ที่พัดผ่าน ก็คงจะเลยลับไป

Like a nice good breeze, it came and then went away

ผ่านแล้ว ผ่านเลย ก็คงไม่มีครั้งใหม่

What passed, that’s gone; things wouldn’t be renewed

เมื่อผ่านคำว่าช้ำใจ

Once sorrow couldn’t have been unrestored

ก็ไม่มีใคร อยากช้ำ ซ้ำรอยเก่า

No one really wants to go down that old path


สิ่งดีดี ในวันนั้น

All the good deeds that day

ค่ามันคงไม่พอให้เธอ สนใจ

Were not your good pleases to care

ถึงทำดีอย่างไร แต่เธอนั้น ไม่ต้องการ

Tons of that being poured yet you didn’t need any of them


วันที่เธอ กลับคืนมาครั้งนี้

You came back right before me today

น่าที่จะรู้ดี ว่าจะไม่เหมือน วันวาน

You should have known, nothing is like those old times

คำว่ารัก ที่เคยมีให้นั้น

Plenty of love I used to have

นับตั้งแต่นี้ ไม่มีสิ่งนั้น เหลือให้เธอ

Starting from now, nothing I felt left for you


หมดแล้ว หมดเลย ใจที่เคยให้กัน

No more, it’s all up; my heart that was for you

ก็เหมือนลม ที่พัดผ่าน ก็คงจะเลยลับไป

Like a nice good breeze, it came and then went away

ผ่านแล้ว ผ่านเลย ก็คงไม่มีครั้งใหม่

What passed, that’s gone; things wouldn’t be renewed

เมื่อผ่านคำว่าช้ำใจ

Once sorrow couldn’t have been unrestored

ก็ไม่มีใคร อยากช้ำ ซ้ำรอยเก่า

No one really wants to go down that old path


เธอมาครั้งนี้ รู้สึกยินดี ที่ได้มาเจอ

Today you came to see me, I am okay

ก็ยังพอมีใจ ไว้ให้กับเธอ

There’s just friend - zone for you here in my heart

อย่างคนที่เคยคบกัน

At least we once were together


เจ็บแล้ว เจ็บเลย เป็นบทเรียนล้ำค่า

What hurts, stays hurting; that the priceless lesson

เมื่อผ่านความเจ็บช้ำมา

Been through hell called heartache

ก็ถึงเวลา ที่จะขอ เป็นคนใหม่

Now it’s time that I become a new me

ขอโทษจริงจริง

I’m truly sorry, love

ที่ทำให้เธอ เสียใจ

That I am hurting you this time
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๔. คิดถึงเธอห่างเหิน ๘/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-02-2023 14:04:52
บทที่ ๓๔. คิดถึงเธอห่างเหิน



2566

2023



“โธ่ ไอ้เสือ ไง ซึมเลย ยังนั่งหงอยอยู่อีกรึ ไอ้ลูกชาย” หลังจากที่ปล่อยให้ลูกชายได้ปรับอารมณ์อยู่หลายวัน เมื่อกินข้าวเย็นวันนี้กันเสร็จแล้ว พ่อของดีนก็เริ่มบทสนทนาอีกครั้ง ด้วยการเย้าแหย่ลูกชายของตน “คุณก็” แม่ของดีนที่เป็นฝ่ายประนีประนอม เป็นฝ่ายรอมชอมมากกว่าผู้เป็นสามี ทำเสียงปรามขึ้น เพราะเห็น ๆ กันอยู่ ว่าเรื่องนี้มีผลกับลูกชายของพวกเขาค่อนข้างมาก

“ก็ดูหน้ามันสิ หมดกัน ไอ้ลูกหมาของพ่อ” ดีนที่พอจะปรับความรู้สึกขึ้นมาได้บ้าง เพราะอย่างน้อยท่าทีของพ่อและแม่เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรับรู้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า คนที่ดีน ลูกชายของพวกเขาให้ความสนใจมาเป็นคนสำคัญนั้น คือเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารัก ที่ผู้เป็นแม่เห็นเมื่อวันก่อน ตอนได้วิดีโอคอลไปหาลูกชายของเธอ พ่อกับแม่มีปฏิกิริยาที่แม้ไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ยงมี่ท่าทีต่อต้านใด ๆ

“แต่แม่เองก็ไม่เคยเห็นดีนเป็นแบบนี้เหมือนกันนะลูก” ผู้เป็นแม่นั้น รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายอยู่ไม่น้อย “ดีน” เด็กหนุ่มกำลังคิด ว่าเขาจะบอกกับพ่อและแม่ออกไปอย่างไรดี “มันเกิดขึ้นโดยที่ดีนเอง ก็ไม่ทันรู้ตัว” ดีนเองก็อยากจะอธิบายให้ทั้งสองเข้าใจเรื่องทั้งหมดด้วยเช่นกัน เขาจึงเริ่มเล่าจากจุดเริ่มต้นของทั้งหมด

“ดีนไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย เรียนที่นี่จนปีสี่ จะจบอยู่แล้ว” ดีนเริ่มเล่าถึงเรื่องที่มารู้จักกับเทปปันได้อย่างไร “ดีนได้มาเล่นละครเวทีของทางมหาวิทยาลัย พอดีนางเอกเขามีปัญหาเรื่องส่วนตัว ก็เลยโดนถอดออกและมีการปรับบท ตอนนี้เองที่เทปปัน” ดีนดูลังเลอยู่เล็กน้อย “พี่น่ารัก ๆ คนนั้นที่พี่ดีนชอบเขาข้างเดียว” ยัยน้องสาวตัวแสบได้ทีพูดแหย่พี่ชายเข้าให้

“นั่นแหละครับ” ดีนสบตากับน้องสาว ถึงแม้ว่าจะยียวนกวนประสาทเขาไม่เลิก แต่ดีนก็พอจะมองออกว่า น้องของเขาพยายามช่วยพี่ชายคนนี้ของเธอ ในรูปแบบของตัวเอง “มีการปรับบทให้เข้ากับสมัยนิยม ที่วาย คือ ชายคู่กับชาย กำลังเป็นที่นิยม เทปปันเลยได้มาเล่นเป็นนายเอกของเรื่อง” มาถึงตรงนี้ พ่อและแม่ของดีนหันมามองสบตากัน ก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ดีนเล่าต่อ

“ตอนแรกมันก็เหมือนจะไม่มีอะไรครับ จนเมื่อพ่อลากดีนไปวัดด้วยเช้าวันนั้น” ทั้งแม่และลูกสาวต่างหันไปมองที่พ่อเป็นตาเดียวกัน “พ่อเนี่ยนะ นี่มันเป็นเพราะพ่อหรือเนี่ย พ่อคือตัวต้นเรื่อง” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นอย่างงง ๆ ดีนนั้นกำลังเรียบเรียงคำพูดต่อไปนี้ ที่เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าวันหนึ่งจะต้องมาถามคำถามอะไรแบบนี้กับพ่อของตัวเอง

“พ่อกับแม่ เชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยครับ” ดีนถามทั้งสองท่านออกไป “แม่เชื่อว่า ของบางอย่างมันก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” ผู้เป็นแม่มีตอบกลับลูกชายไป “แล้ว พ่อล่ะครับ เชื่อว่าเรื่องที่เราเจอใครสักคน มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญแค่นั้นหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อยังไม่ตอบออกไปในทันที ปล่อยให้ดีนลูกชายของพวกเขา เล่าต่อไป

“เช้าวันนั้น ดีนไม่อยากที่จะทำตามที่พ่อสั่งเลยสักนิด” ดีนนั้นหลบสายตาจากพ่อนิดหนึ่ง “แต่ถ้าไม่ใช่เป็นพ่อบังคับดีนให้ไปด้วย ดีนคงไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งกับดีนและกับเทปปัน” สิ่งที่ดีนพูด ทำให้ทุกคนตรงนั้นมองมาที่เขาอย่างจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นพี่ดีน” แม้แต่น้องสาวของเขายังอดไม่ได้ที่จะคะยั้นคะยอให้พี่ชายของเธอเล่าให้ฟังให้หมด

“มันทำให้พี่ต้องถามตัวเองเหมือนกัน” ดีนตอบกลับน้องสาวของเขาไป “ว่ามันคือเรื่องจริงแน่ ๆ ใช่มั้ย” ดีนนั้นทบทวนความรู้สึกในวันนั้นที่เขาได้รับ “พ่อกับแม่เชื่อเรื่องชาติภพมั้ยครับ” ผู้สูงวัยกว่าทั้งสองคนได้รับฟังการเล่าเรื่องของลูกชาย รับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น ลูกชายของเขาทั้งสอง ไม่ได้กำลังพูดล้อเล่นอยู่

มันคงเป็นครั้งแรกที่เทปปันไปหาแม่ชี โดยไม่ได้เล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้ฟังอย่างเคย และกลับมาโดยเลือกที่จะบอกตัวเองว่า ถ้าไม่ได้เล่า ก็เท่ากับไม่ได้โกหก แม้ว่าจะรู้ตัว ว่าไม่มีทางพ้นจากสายตาของแม่ชีไปได้ แต่นั่นเอง แม่ชีนั้นไม่ได้ทักหรือถามอะไรออกมา แม้ว่ามันออกจะชัดขนาดนั้น ว่าเทปปันกำลังเผชิญกับเรื่องราวอะไรบางอย่าง

เสียงข้อความเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของเทปปันรัว ๆ อยู่หลายครั้ง เทปปันที่พยายามเลี่ยงไม่เข้าไปอ่านหรือดูอะไรในโลกโซเชียล มีเดีย โดยเฉพาะเมื่อกลับมาถึงห้องพักแล้วแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอด ข้อความที่กระหน่ำส่งมาจากบรรดาเพื่อน ๆ หลายต่อหลายคนของเขา ทำให้เด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น จำใจต้องหยิบมันมาเปิดขึ้นดู

'ไอ้ปัน แกเห็นคลิปนี้หรือยัง เปิดดูเลยแก' เกือบจะทั้งหมดกับข้อความที่เพื่อนส่งมาหาเขา ส่งลิงค์ของคลิป ๆ หนึ่งมาให้เขาเปิดดู เทปปันชั่งใจอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าที่ต้นคลิปนั้นเป็นดีนที่นั่งอยู่กับเพื่อน ๆ ก่อนจะกดคลิปนั้นให้เริ่มเล่น 'มึงรู้ตัวหรือเปล่า ว่ามึงทำอะไรลงไป มึงรู้หรือเปล่า ว่าใครที่มึงจูบ' เสียงถามนั้นเริ่มต้นขึ้น พร้อมใบหน้าของดีนที่ดูจริงจังขึงขัง ดูไม่เหมือนดีนที่เทปปันเจอครั้งแรก

'กูต้องรู้สิ กูรู้ตัว ว่ากูจูบเทปปัน' ก่อนจะเห็นดีนตอบคำถามนั้น โดยไม่มีท่าทีลังเลหรืออับอายใด ๆ ในคลิปนั้น ถูกตัดต่อให้ประโยคที่ดีนพูดออกมานี้ วนอยู่หลายรอบ แล้วจึงตัดจบไป โดยมีข้อความด้านล่างคลิปบอกว่า สามารถตามเข้าไปดูคลิปฉบับเต็มได้ ที่หน้าเพจของหนึ่งในเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกับดีน

เทปปันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะมีเสียงข้อความหลั่งไหลเข้ามาจากกรุ๊ปแชท ที่เห็นว่าข้อความที่แทรกคลิปสั้นนั้นไว้ ถูกเทปปันอ่านแล้ว หลายคนพิมพ์เข้ามาว่า มันคือการสารภาพรักที่หน้ามึนที่สุด บางคนก็ว่า ไหงหนุ่มฮอทถึงได้มาสะดุดรักหนุ่มเนิร์ดได้หนักขนาดนี้ บางคนก็บอกว่า เทพเจ้าวายช่างดลบันดาล เล่นละครเรื่องแรกด้วยกัน ก็แทบจะขอแต่งงานกันแล้ว หลายต่อหลายข้อความแซวทั้งดีนและเทปปัน แต่ไม่มีข้อความไหนที่พูดถึงทั้งสองคนไปในเชิงลบเลยแม้แต่ข้อความเดียว

'ไอ้ปัน พูดอะไรบ้างสิวะ' ใครบางคนส่งข้อความมาแบบนั้น เทปปันเห็นมันแล้ว แต่จะให้เขาพูดอะไร 'แกรู้สึกยังไงก็พูดออกมาเลย' อะไรบางอย่างผุดขึ้นในความรู้สึกของเทปปัน อยู่ ๆ มันก็แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย 'ตอนดีนมันจูบแก ตอนนั้น แกรู้สึกยังไงวะปัน' เทปปันเผลอแตะนิ้วที่ริมฝีปากของตัวเอง พอนึกขึ้นได้ก็รีบลดมือลง วินาทีนั้น วินาทีที่อยู่ ๆ ก็รับรู้ถึงแรงกดหนัก ๆ จากปากของดีน ลมหายใจอุ่น ๆ และสายตาที่สบกันพอดี อาการปั่นป่วนมันหมุนวน ไหลเวียน วุ่นวายไปหมด และตอนที่เทปปันผลักดีนให้ออกจาตัวเขา สายตาน้อยใจของอีกฝ่าย วนกลับมาให้เทปปันได้เห็นอีกครั้ง

รู้ตัวอีกที เทปปันก็มาหยุดยืนทำเก้ ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังนี้ ตอนแรกก็ว่าพกความกล้ามาจนเต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ เขาคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ที่อยู่ ๆ ไวกว่าที่ความคิดและการตัดสินใจที่ถี่ถ้วนถูกต้อง ที่เป็นนิสัยของเทปปันจะตามทัน เจ้าตัวก็มาทำหน้ากังวลทำท่าลังเลอยู่หน้าบ้านของคนอื่นแบบนี้

“เราทำอะไรอยู่เนี่ย” เทปปันทำท่าจะหันหลังกลับ ก็พอดีที่ประตูบ้านหลังนั้นถูกเปิดออก “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงทักนั้นฟังดูใจดีมาก ๆ “มาหาใครครับ” ผู้หญิงวัยกลางคนเดินออกมาที่ประตูรั้ว “สวัสดีครับคุณน้า” เทปปันยกมือไหว้ผู้หญิงที่ดูดีสมวัยที่เดินออกมาหา ผู้ใหญ่กว่ายกมือขึ้นรับไหว้เทปปัน

“คือว่าผม” เทปปันไม่รู้จะพูดออกไปยังไงดี ว่าตัวเองนั้นจู่ ๆ ก็มาหาลูกชายของบ้านอื่นแบบนี้ “แม่คะ คนนี้แหละค่ะ” เด็กสาวอีกคนที่เดินออกมาหยุดยืนดูที่ประตู ตะโกนบอกแม่ของเธอ “เทปปันใช่มั้ยลูก” ผู้ถูกเรียกว่าแม่หันกลับมาถามเด็กหนุ่ม “ใช่ครับ” เทปปันตอบกลับผู้อาวุโสกว่าไป โดยมีสายตาของผู้ใหญ่กว่านั้น พินิจพิเคราะห์ลักษณะรูปร่างหน้าตาของเทปปันด้วยความเอ็นดู

“เห็นแบบนี้แล้ว น้าก็ไม่แปลกใจ น่ารักกว่าในกล้องโทรศัพท์เป็นไหน ๆ” เทปปันนึกสงสัยว่า ผู้อาวุโสกว่าเคยเห็นเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “มาหาดีนหรือลูก” เป็นคำถามที่เทปปันไม่ทันได้เตรียมตัวตอบจริง ๆ “คือว่าผม” เทปปันอยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่า คลังคำศัพท์ภาษาไทยในสมอง หายวับไปซะดื้อ ๆ กลับพูดอะไรไม่ออก

“หนูรู้มาว่า พี่ปันเรียนเก่ง พี่ช่วยสอนพี่ชายคนเดียวของหนู ให้หายบื้อได้มั้ยคะ” เด็กสาวตะโกนออกมาดังลั่น เทปปันได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ โดยมีผู้เป็นแม่หันไปปรามลูกสาว “หนูล่ะเสียดายแทนหนุ่ม ๆ ดี ๆ หล่อ ๆ คนอื่นจริงจริ๊ง ถ้าพี่ชายหนูได้พี่ปันเป็นแฟน แบบนั้นนะ พี่ชายหนูเนี่ย ลูกรักพระเจ้าจริง ๆ เล้ย” ถึงจะโดนปราม แต่เด็กสาวก็ไม่วายพูดเรื่องน่าขายหน้าของพี่ชายของตัวเองต่อ

“ตอนนี้ดีนไม่อยู่บ้าน” แม่ของดีนบอกกับเทปปัน พอเห็นเทปปันทำหน้าดูผิดหวัง “น้าใช้เขาไปซื้อของที่ร้านของชำใกล้ ๆ นี่เอง” ก็รีบพูดต่อให้เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักไม่เข้าใจผิด “ผมเองก็รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่เหมือนกัน” เทปปันก้มลงมองดูของที่ถือเอาไว้ในมือ “ถ้าจะเอาของมาคืนดีนเขา เข้ามานั่งรอในบ้านก่อนก็ได้นะ” แม่ของดีนบอกกับเทปปัน

“กินข้าวมาหรือยังล่ะ” เสียงของผู้ใหญ่อีกคนดังเสริมขึ้น เทปปันมองเห็นพ่อของดีนายืนอยู่ที่ประตูบ้านเช่นกัน “ทานแล้วครับ” เทปปันตอบกลับไป “งั้นก็เข้ามากินน้ำกินท่า กินขนม ระหว่างรอเจ้าดีนมันก็ได้” พ่อของดีนเอ่ยชวน เทปปันลังเล “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า” เทปปันตอบผู้อาวุโสกว่าทั้งสองกลับไป ทำท่าว่าจะร่ำลากลับในตอนนั้นเลย

“เออ” ดีนกดรับสายจากเพื่อนสนิทของตัวเอง “มึงนี่นะ ใครใช้ให้มึงเอาคลิปไปลงแบบนั้นวะ แม่ง” ดีนที่หยิบขวดซีอิ๊วกับขวดน้ำมันหอยมาวางให้เจ้าของร้านชำคิดเงิน บ่นกับเพื่อนทันทีที่รับสาย “มึงต้องขอบใจกูถึงจะถูก ไอ้ดีน” เพื่อนของดีนว่ามาแบบนั้น “กูจะต้องขอบใจมึงทำไม ห่า ถ้าเขาโกรธกูมากกว่าเดิม กูเล่นงานพวกมึงแน่ อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ว่ามีใครรวมหัวกันทำเรื่องนี้บ้าง” ดีนนึกเซ็ง ถ้าหากว่าเทปปันจะโมโหเขาซ้ำสอง

“เทปปันไปหามึงที่บ้าน” ประโยคที่ดีนได้ยินนั้น เหมือนปลุกเขาให้ออกจากความหม่นหมอง “มึงว่าไงนะ” ดีนถามกลับเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว “เออ กูลงคลิปเต็มที่หน้าเพจกู ปันส่งข้อความมาหากูที่เพจ ถามว่าบ้านมึงอยู่ตรงไหน ป่านนี้น่าจะไปถึงแล้วมั้ง แต่กูว่าพ่อกับแม่มึงไล่นายเอกละครเวทีหวานใจมึง กลับบ้านร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วล่ะ” สิ่งที่เพื่อนพูดแหย่ดีนมา ทำให้เขาไม่รู้จะด่ากลับไปด้วยคำว่าอะไรดี

“พ่อแม่กูจะไปทำอย่างนั้นกับปันทำไม โธ่ ไอ้เพื่อนเวร ไอ้พวกชั่ว แล้วทำไมไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้” ดีนตะโกนด่าเพื่อนดังลั่น เพื่อนปลายสายที่กำลังหัวเราะไปกับอาการลนลานของเขา “ค่าของเท่าไหร่ครับ” ดีนถามราคาของจากเจ้าของร้าน “มึงทำอะไรของมึง” เพื่อนถามกลับมา “กูมาซื้อของให้แม่ที่ร้านชำ” ดีนที่พยายามหาเงินให้พอดีกับราคา แต่เหมือนกับว่าจิตใจเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่วิ่งกลับไปถึงบ้านก่อนตัวเขาแล้ว

“ไว้ผมมาเอาเงินทอน แปะอย่าลืมนะ” ดีนยื่นเงินให้กับเจ้าของร้าน “เออ แค่นี้ก่อน กูจะรีบวิ่งกลับบ้าน” ไม่ทันจะได้ร่ำลาเพื่อนให้ดี ดีนก็กดวางสายพร้อมออกวิ่งในทันที “ไอ้พชรดล ไอ้คนเห็นเมียดีกว่าเพื่อน” ทิ้งเอาไว้เพียงเพื่อนที่ทิ้งคำด่าเอาไว้ แต่ก็รู้สึกพอใจ ที่ได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของดีน และได้มีส่วนช่วยไอ้หน้าหล่อแต่ทึ่มบื้อเพื่อนสนิทของเขา ไม่มากก็น้อย

“ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ” เทปปันยกมือขึ้นไหว้พ่อและแม่ของดีน “จะคืนของให้ไอ้ดีนมัน อาว่า คืนให้ทันกับมือดีกว่ามั้ย” พ่อของดีนถามขึ้น เมื่อเห็นได้ชัดว่าปากกาด้ามที่อยู่ในมือของเทปปันคือข้ออ้าง “เดี๋ยวดีนก็กลับแล้ว น้าว่า” แม่ของดีนช่วยพูดเสริม “พี่ปันโกรธที่พี่ดีนจูบพี่หรือคะ” คำถามนั้นไม่ใช่แค่เพียงเทปปันที่อึ้ง แม้แต่พ่อกับแม่ที่หันขวับไปมอง เพราะคิดว่าก่อนหน้านี้ ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาพูดเล่น

************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=Nsn9W-1oFY8


ถึงเวลาต้องทำใจ

It’s time to make peace with myself

โง่เกินไป ฉันถึงเป็นอย่างนี้

So stupid, and here I am

ไม่เคยมองไม่เคยแคร์

Never realized, never ever cared about you

จนเมื่อเธอไป ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี

Then you’re gone, the whole sky changed colors


เธอคือเรื่องดีดี แต่วันนี้เธอนั้นเป็นแค่สิ่งที่ฉันเคยมี

You’re one good thing I had, but today you were what I used to have

และฉันขาดไม่ได้ เพิ่งเข้าใจในวันที่สาย

Something I can’t do without, I got it the day it was too late

So give me One Last Chance


เพราะฉันจะทำทุกทางไม่ให้เธอจากฉันไป

I’ll do everything, in every way not to let you go

ขอให้เธอมอบโอกาสที่เคยทำพลาดไป

Just so you give me one more chance to amend what I’d missed

เธอพอจะมีวิธีที่จะไม่เสียเธอ แลกอะไรก็ได้

Tell me what to do so I won’t lose you again, anything it takes

ขอเพียงให้เธอไม่ไปไหน

All I’m asking that you won’t leave me

Please forgive

Please forgive

Please forgive me


ฉันคือจันทร์ที่มืดมน

I am a new moon

เฝ้ารอคอยเจอแสงของตะวัน

Waiting for the sun to shine upon

ฉันจะรอ ที่ตรงนี้

I’m waiting, right here waiting

กลับมาส่องแสงมอบความสว่างให้ฉันที่

For you to have me be the full moon once again


เธอคือเรื่องดีดี แต่วันนี้เธอนั้นเป็นแค่สิ่งที่ฉันเคยมี

You’re one good thing I had, but today you were what I used to have

และฉันขาดไม่ได้ เพิ่งเข้าใจในวันที่สาย

Something I can’t do without, I got it the day it was too late

So give me One Last Chance


เพราะฉันจะทำทุกทางไม่ให้เธอจากฉันไป

I’ll do everything, in every way not to let you go

ขอให้เธอมอบโอกาสที่เคยทำพลาดไป

Just so you give me one more chance to amend what I’d missed

เธอพอจะมีวิธีที่จะไม่เสียเธอ แลกอะไรก็ได้

Tell me what to do so I won’t lose you again, anything it takes

ขอเพียงให้เธอไม่ไปไหน

All I’m asking that you won’t leave me

Please forgive

Please forgive

Please forgive me
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๔. คิดถึงเธอห่างเหิน ๘/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 08-02-2023 18:23:23
มาต่อไวๆน๊าาาาาา เจ้าดีนรีบกลับบ้านด่วนเล๊ยยยยยย เทปปันมาง้อแล้ว o18
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๕. คิดถึงใจสลาย ๙/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 09-02-2023 20:54:08
บทที่ ๓๕. คิดถึงใจสลาย



2537

1994



“เป็นไงมั่งวะแก กั้ง ตื่นเต้นมั้ยแก” คำถามจากเพื่อน ที่แม้ว่าอากัปกิริยาของกั้งจะชัดเจนออกปานนั้น “สุด ๆ ไปเลยซิ” กั้งตอบกลับเพื่อนไป ทั้งสามคนหัวเราะออกมาจนเกือบจะพร้อม ๆ กัน “แกนี่ก็นะ กล้าบ้าบิ่นจริง ๆ เชียว” เพื่อนสนิทของกั้งที่ช่วยกับแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทำผมให้กับกั้งจนเสร็จสมบูรณ์ ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ว่ากั้งจะดูเป็นคนละคนเลยทีเดียว

“แล้วนี่ ทำไมคนมันถึงได้เยอะขนาดนี้เนี่ย” นักเรียนจากเกือบทุกชั้นปี โดยเฉพาะชั้นมัธยมปีที่หกนั้น ยังคงนั่งกันอยู่จนเต็มหอประชุม “ทำไมไม่หนีกลับกันก่อนเหมือนกับทุก ๆ ครั้งวะ” กั้งถามออกไปอย่างนึกสงสัย เมื่อแอบมองจากทางด้านหลังเวที แล้วพบว่า คนยังนั่งกันอยู่เต็มหอประชุมอย่างนั้น

“จะอะไรเสียละ” เพื่อนที่เอาชุดของพี่สาวมาให้กั้งยืมพูดขึ้น “ก็อีพวกเพื่อนผู้ชายห้องเรา มันเที่ยวไปโพนทะนา โฆษณาเอาไว้น่ะสิ” เพื่อนคนเดิมพูดให้กั้งหายสงสัย “มันเที่ยวเอาไปโม้ให้ห้องอื่นฟังกันเสร็จสรรพ ว่าแกน่ะจะแก้ผ้าโชว์ แสดงเมียงูบนเวที ให้ทุกคนได้ดู” จะว่าขำก็ขำ จะว่าเพื่อน ๆ ทำเกินไปก็ว่า แต่กั้งมองหน้ากับเพื่อน แล้วก็พากันหลุดหัวเราะออกมา

“ซวยแล้วอีกั้ง แก เปลี่ยนเป็นแสดงจ้ำบ๊ะเถอะ ฉันว่า” พูดพลางหัวเราะกันคิกคัก ๆ “ดี ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แล้ว ให้คนมาดูกันเยอะ ๆ ไม่งั้นเสื้อผ้าหน้าผมที่แต่งครั้งเดียว สวยจนจำไม่ได้ขนาดนี้ ฉันขาดทุนแย่” กั้งพลอยเห็นดีเห็นงามไปกับการโฆษณาเกินจริงของเพื่อนผู้ชายในห้องไปเสียอย่างนั้น

“แล้วนี่ พี่เขาไปไหนแล้วล่ะ” หนึ่งในเพื่อนสนิทของกั้งถามขึ้น เมื่อมองไม่เห็นผู้ร่วมแสดงของกั้ง เตรียมพร้อมอยู่แถวนั้น “อีกไม่นานแกจะต้องออกไปแสดงแล้วนะ” เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้น “ไม่รู้สิ” กั้งตอบ “แต่เมื่อกี้ก็ยังเห็นอยู่แถวนี้นะ” กั้งจำไม่ได้แม่นยำนักว่า เขาเห็นอีกฝ่ายครั้งสุดท้ายตอนไหน

“ออกไปโทรศัพท์หรือเปล่า” เพื่อนอีกคนตั้งข้อสังเกต เพราะก่อนหน้าได้ยินเขาถามหาตู้โทรศัพท์อยู่เหมือนกัน “โทรหาแฟนมั้ง” กั้งบอกออกไป ทำให้ทั้งสองสาวเพื่อนซี้นั้นหันมามองหน้ากัน “พี่เขามีแฟนแล้วจริงหรือวะกั้ง” เสียงถามนั้นฟังดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่นัก หากว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ

“คงงั้นมั้งแก” กั้งตอบเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะมองหน้าทั้งสองคนอย่างสงสัย “มีอะไรกันวะ” กั้งถามออกไป เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเพื่อน “ก็ไม่อะไรหรอก” เพื่อนตอบกั้งกลับมา “แต่ที่ว่าพี่เขามีแฟนน่ะ หมายถึง แฟนที่เป็นผู้หญิงใช่มั้ย” กั้งหยุดคิดนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ในใจไม่รู้คำตอบแน่ชัด แต่ก็คิดว่าเป็นอย่างที่เพื่อนว่าเอาไว้

“คิดว่านะ” กั้งตอบ ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร “แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แกไม่คิดว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรตามมาหรือวะกั้ง” คำถามนั้นเจือไปด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย “คือ ที่พี่เขาเต็มใจมาร่วมแสดงกับแกด้วย ก็ดีอยู่หรอกนะ ที่ไม่แสดงทีท่ารังเกียจอะไรแก” กั้งฟังดูแล้ว ก็พอจะรู้ว่า เพื่อนทั้งสองกำลังหมายความว่าอย่างไร

“แต่ถ้าแฟนพี่เขารู้เข้า มันจะไม่เป็นไรหรอกหรือ” กั้งผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อเพื่อนเขาถามออกมาแบบนั้น “มันก็เป็นแค่การแสดงป่ะวะ ไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้น” กั้งคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร “มันเป็นงานปัจฉิม ก็แสดงกันแบบขำ ๆ สนุก ๆ ตั้งใจมาเรียกเยงกรี๊ด เรียกเสียงหัวเราะกันเท่านั้นเอง เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำของรุ่นพี่รุ่นน้องต่อไป” ในความคิดของกั้ง มันมีแค่นี้จริง ๆ กับการเตรียมการแสดงทั้งหมดนี้

“พร้อมกันหรือยังครับ สำหรับการแสดงลำดับต่อไป” เสียงประกาศดังมาจากที่ด้านหน้าเวที บรรดานักเรียนหลากหลายชั้นเรียนต่างส่งเสียงจ้อกแจ้กมากขึ้นกว่าเมื่อนาทีก่อน “การแสดงต่อไปนี้ น่าจะเป็นที่รอคอยของใครหลาย ๆ คนที่นั่งกันอยู่ตรงนี้” มีใครบางคนชะโงกเข้ามาที่ด้านหลัง เพื่อเป็นสัญญาณให้กั้งที่เป็นการแสดงชุดต่อไป เตรียมตัวขึ้นโชว์

“กั้ง พร้อมนะครับ” เสียงถามดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อกั้งหันไปมอง ก็เห็นผู้แสดงร่วมกับเขามายืนรออยู่แล้ว “กั้งพร้อมแล้ว” เจ้าตัวตอบกลับไป “พี่เบศล่ะ พร้อมมั้ย” คนถูกถามยิ้มกว้าง ก้มหน้าลงมาใกล้จนเกือบชิดกับกั้ง “พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม” ก่อนจะพูดต่อท้ายเพิ่มเติมว่า “วันนี้กั้งดูเซ็กซี่ผิดหูผิดตาเลยนะครับ” กั้งหัวเราะออกมา ก่อนจะค้อมหัวเป็นเชิงยอมรับคำชมนั้น

“เดี๋ยวฉันสองคนลงไปเตรียมตัวรอที่หน้าเวทีนะ” เพื่อนสนิททั้งสองคนของกั้งเดินไปทางด้านหน้าเวที “อากาศร้อน ๆ แบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่า การได้เครื่องดื่มเย็น ๆ มาดื่มดับกระหายจริงมั้ย” เสียงผู้ประกาศดังออกลำโพงเป็นการนำเข้าสู่การแสดงชุดถัดไป “ร้อน ๆ แบบนี้ เรามาดื่ม ๆๆ เรามาเต้น ๆๆ กันดีกว่า” นักเรียนที่นั่งกันอยู่จนเต็มหอประชุม ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันอย่างท่วมท้น เมื่อรู้ว่า ใครจะออกมาทำการแสดงเป็นคนถัดไป

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกคนพบกับ สาวสวยสุดเซ็กซี่ สาวเชคคนใหม่สุดร้อนแรง ยู่ยี่” สิ้นเสียงประกาศนั้น กั้งก็เดินนวยนาดออกไปที่ด้านหน้าเวที ซึ่งสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจนหูแทบแตกได้อย่างล้นหลาม ท่ามกลางสายตาของทุกคนตรงนั้น กั้งที่ใส่วิกผมยาวดำขลับ ดัดพองฟู ใบหน้าแต่งคมเฉี่ยว ใส่ชุดโชว์หน้าท้องเอวบางคอด เสื้อเอวลอยสีขาวกับกระโปรงบานจีบระบาย ที่สั้นจนแทบจะปิดอะไรไม่มิดสีเดียวกัน กับเท้าที่เปลือยเปล่าไม่ต่างอะไรกับพรีเซนเตอร์ตัวจริงในโฆษณา

เสียงดนตรีดังขึ้น เพื่อนของกั้งโยนกระบอกเชคให้กั้งรับมาถือไว้ในมือ ก่อนที่กั้งจะวาดลวดลายโชว์ลีลาส่ายเอว ร่อนสะโพกโยกย้ายไปมาตามจังหวะดนตรี อาจารย์หลาย ๆ ท่านถึงกับเอ่ยปากถาม ว่านั่นใช่นายกั้งคนเดียวกับที่พวกท่านเคยสอนหรือไม่ เพราะตอนนี้ กั้งดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

และเพื่อเป็นการให้คิวกัน กั้งสะบัดหน้าหันไปทางด้านหลังเวที ก่อนจะปรากฏร่างของชายหนุ่มที่ทุกคนต้องส่งเสียงฮืออา เมื่อชายหนุ่มคนนั้น เดินออกมาที่ด้านหน้าเวที ด้วยมีกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวติดตัว อกเปลือยเปล่าโชว์กล้ามอกและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามหน้าท้องสวยงาม

กั้งเดินเข้าไปเอาแขนโอบรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ คนดูด้านล่างเริ่มจากการชะเง้อคอมอง จนตอนนี้ต่างพากันยืนขึ้น ร้องกรี๊ดเชียร์การแสดงตรงหน้ากันอย่างสนุกสนาน กั้งก้าวเท้าเดินถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายเดินรุกเข้าหาเขา ก่อนจะทันได้ตั้งตัว กั้งถูกจับหมุนตัวให้แผ่นหลังแนบกับลำตัวและแผงอกของชายหนุ่ม มันไม่ได้อยู่ในสคริปต์ ไม่ได้เป็นไปตามที่ซ้อมกันไว้

“พี่เบศ” กั้งเรียกอีกฝ่าย แต่ใบหน้ายังคงยิ้ม เพื่อไม่ให้คนดูจับสังเกตได้ ว่ามีอะไรผิดปกติขึ้นบนเวที “ทำอะไรเนี่ย” คนถูกถามไม่ตอบ แต่โอบแขนรอบเอวของกั้งดึงตัวแนบกันจนแน่น ก่อนจะก้มหน้าซุกเข้าที่ด้านข้างแก้มของกั้งอย่างจงใจ มันเรียกเสียงกรี๊ดได้อย่างมหาศาล แต่อาจารย์หลาย ๆ ท่านเริ่มมองหน้ากันเพราะเห็นว่า การแสดงออกแบบนี้มันชักจะเกินเลยไปมาก

กั้งพยายามคิดหาทางแก้สถานการณ์ รู้แล้วว่าตอนนี้ ชายหนุ่มเล่นนอกบทและจะไม่ยอมกลับไปแสดงแบบที่ได้นัดแนะกันไว้ กั้งที่อาศัยจังหวะในการเต้น ดันตัวเองออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของเบศได้ ก็ขยับเดินห่างออกมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลดละ ที่จะเดินตามเข้ามาหา กั้งยกมือดันหน้าอกของอีกฝ่ายเอาไว้ กลบเกลื่อนคนดูด้วยการเต้นโยกย้ายส่ายสะโพก แววตาของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความในใจ ว่าเมื่อการแสดงนี้จบลง เขาต้องการอะไรกันแน่จากกั้ง

กั้งต้องการหาทางออกแบบแนบเนียน ปกติท่าจบกั้งต้องถูกชายหนุ่มยกขาข้างหนึ่งขึ้น เพื่อแทรกตัวเข้ามาแนบกัน แต่กั้งคิดว่า หากทำตามที่ซ้อมเอาไว้ มันคงจะต้องเกินเลยไปมากกว่าที่คิดอย่างแน่นอน กั้งมองเห็นที่ว่างด้านล่างเวที เมื่อเพลงใกล้จะจบ กั้งสาวเท้าเดินไปทันที เหมือนชายหนุ่มจะรู้เท่าทัน เขาสาวเท้าก้าวตาม

กั้งกระโดดลงจากเวที ในจังหวะเดียวกับที่เบสเองก็กระโดดตามลงมาพอดี ใบหน้าของกั้งกับของเบสเกือบชนกัน เสียงฮือฮาดังขึ้น เมื่อคิดว่าริมฝีปากของทั้งสองคนนั้นสัมผัสกันแล้ว และทุกคนคิดว่านี่อยู่ในคิวการแสดงของทั้งคู่ กั้งขยับเท้าถอยหลังนิดหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวไปอีกทาง ชายหนุ่มขยับเดินตามจนเกือบถึงตัวกั้ง เพลงจบลง และได้ยินเสียงของกั้งพูดขึ้นว่า

“แม่” กั้งตกใจอย่างที่สุด ใจหล่นวูบถึงตาตุ่ม เมื่อหันมาเจอแม่ของเขายืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มที่ยังยิ้มกว้างชอบใจที่ได้แทะโลมกั้ง ยื่นหน้ามาพิงที่ไหล่ของกั้ง “มึงคิดว่ามึงทำอะไรอยู่” แม่ของกั้งถามด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว เสียงนั้นดังจนทั้งหอประชุมเงียบกริบ แม่กระชากแขนของกั้ง คางของเบศหลุดจากไหล่ที่วางเอาไว้ เบศพยายามคว้าตัวของกั้งให้กลับมาทางเขา แขนของเบศโดนเล็บของแม่กั้งจิกเป็นทางยาว

“อย่าเสือก” แม่ของกั้งแทบจะคำรามใส่ชายหนุ่ม คนในห้องประชุมมองหน้ากันไปมา ไม่รู้จะทำยังไงดี “ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ” อาจารย์ท่านหนึ่งพยายามพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แต่มันไม่เคยเป็นผลทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะยิ่งแย่ลง “ครูที่นี่สอนให้ลูกศิษย์เป็นตุ๊ดหรือคะ” แม่ของกั้งตะโกนถามเสียงดังลั่น มองกราดไปที่บรรดาอาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ มันเป็นแค่การแสดง ดิฉันเชื่อว่ากั้งไม่ได้เป็นแบบที่คุณแม่เข้าใจ” ยังไม่ทันที่อาจารย์ท่านนี้จะพูดจบ “ใช่แล้ว แม่มีลูกเป็นตุ๊ด ใช่แล้ว กั้งเป็นตุ๊ด” สายตาของกั้งมองเห็นใบหน้าของทิวที่กำลังเดินเข้ามาทางด้านหลังของแม่ ก่อนที่จะเห็นทิวสะดุ้งเฮือกใหญ่ หยุดยืนนิ่ง เมื่อใบหน้าของกั้งสั่นอย่างแรง ตามแรงตบของแม่ตัวเอง

“เฮ้ย ทำไมทำกับลูกตัวเองแบบนี้วะ แม่ง เกินไปแล้วว่ะ” เสียงของเบศดังมาจากทางด้านหลังของกั้ง ในขณะที่กั้งกำลังสบตากับทิว ที่ตอนนี้ยืนนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ อาจารย์หลายท่านมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสลดใจ อาจารย์วิชาแนะแนวนั้น รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ รู้ทั้งรู้ที่กั้งนั้นเป็นแบบนี้ และกั้งเองก็เคยมาพูดเปรย ๆ ขอคำแนะนำ แต่สิ่งที่กั้งได้กลับไป คือการบอกให้ไปคุยกับผู้ปกครองดี ๆ เพราะเชื่อว่าผู้ปกครองจะเข้าใจและหาทางออกที่ดีให้ได้

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนมึงคนนี้ กูก็คงจำไม่รู้ ว่าตอนอยู่โรงเรียนมึงมีพฤติกรรมระยำยังไงบ้าง” กั้งมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสองคนของเขา หนึ่งในนั้นส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แต่อีกคนก้มหน้าหนี “เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่าเป็นค่าที่ทำให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร” กั้งเห็นแม่ยัดเงินจำนวนไม่น้อยใส่มือเพื่อนของเขา

“แกไม่สมควรจะได้ทิวไป ทิวควรจะมองฉัน ไม่ใช่มองแก” เพื่อนคนนั้นหลุดปากพูดออกมาในที่สุด ทิวเองยิ่งพูดอะไรไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะเข้าไปกอดปลอบกั้งมากเท่าไรก็ตาม “ไหน ๆ มันก็เหี้ยขนาดนี้แล้ว” กั้งพูดทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนจะหันไปจูบปากแลกลิ้นกับเบศ ที่ยิ่งกว่ายินดีในการให้ความร่วมมือ

“อีกั้ง” แม่ของกั้งกรีดร้องใส่เขา ดึงตัวของกั้งออกจากชายหนุ่ม ตบเข้าที่ใบหน้าของลูกชายของเธออีกครั้ง จนขึ้นรอยแดง กั้งสลัดแขนจนหลุด โผเข้าจูบกับเบศอีกครั้ง บดขยี้แลกลิ้นกับอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง ท่ามกลางเสียงด่าทอของแม่ ภายในใจกั้งไม่รู้ว่ามันเจ็บจนชา จากการที่โดนแม่ทั้งด่าทั้งตบ หรือจากการที่เห็นทิวยืนเฉยแบบนั้นกันแน่

***********************************

เชค ยู่ยี่ อลิสา อินทุสมิต

https://www.youtube.com/watch? v=yEpcLHJIyKE


แปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=_IpVUCwvDKo


เวิ้งว้างห่างไกล ลอยไปสุดคว้า

The mighty space, be out of reach

น้ำตาหลั่งริน หมดสิ้นจิตใจ

Crying my eyes out, losing all my mind

ถามใจตัวเอง นั้นเป็นเช่นไร

Asking my own heart, how is it holding up?

ถามใครสักคน สักคนมีไหม

Looking for someone else, is there anyone really?


คนเดียวต้องยืน

Just me standing over here

คนเดียวกล้ำกลืน

It’s me taking all these jabs

มีใครเข้าใจ

Will someone understand me?

มีใครกี่คน

Is there anybody out there?


เวิ้งว้างว่างเปล่า

The hollow empty feeling

เพราะเขาหรือไร

Is it because of him?

จะมีแห่งใด

Is there this one place?

ให้ใจพึ่งพิง

For my heart to rest upon


หัวใจอ่อนไหว

The trembling heart

หัวใจเปลี่ยนไป

The heart that is changed

ถามใจจากใคร

Asking it from whom?

ถามใจตัวเรา

Questioning my very own
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๕. คิดถึงใจสลาย ๙/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-02-2023 16:24:31
อีเพืีอนเชี้ยยยยย :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๖. คิดถึงให้ต้องยื้อ ๑๕/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 15-02-2023 21:02:45
บทที่ ๓๖. คิดถึงให้ต้องยื้อ



2566

2023



“ลูกวิน” เสียงเรียกนั้นทำให้เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ต้องหยุดชะงัก ขณะกำลังก้าวเท้าเดินไปที่ประตูบ้าน “ครับคุณแม่” วินหันกลับไปขานรับต้นเสียง ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา “มานั่งคุยกับแม่สักเดี๋ยวสิครับ” วินได้ยินแม่ของเขาเอ่ยเรียก สายตาของวินมองไปที่ประตูบ้าน ลังเลอยู่ไม่น้อย เพราะความตั้งใจเดิมคือเด็กหนุ่มกำลังจะออกไปข้างนอก

“คุณแม่มีอะไรกับวินหรือครับ” วินนั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้ามกับแม่ของเขา เด็กหนุ่มเหลือบสายตตามองไปด้านขวามือ พ่อของเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตรงนั้น แต่วินรู้ดีว่า พ่อทำท่าอ่านหนังสือไปอย่างนั้นเอง แต่จริง ๆ แล้ว ได้พูดนัดแนะกับแม่ของเขาก่อนหน้านี้ ให้เรียกเขามานั่งคุยด้วย พ่อของเขานั้น ตามใจเขามาตั้งแต่เด็ก เรื่องจะเรียกคุยแบบนี้ พ่อไม่เคยทำ

“พักนี้แม่ไม่เห็นวินอยู่ติดบ้านเลยลูก” แม่ของเขาเปิดบทสนทนาขึ้น วินสบตากับผู้เป็นแม่ก่อนพูตอบกลับไปว่า “ช่วงนี้วินมีเรื่องให้ทำหลายอย่างน่ะครับ นี่วินก็ว่าจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน อาจจะกลับดึกหน่อยนะครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ป้านวลก็เข้านอนได้เลยนะครับ วินกลับเข้าบ้านมาเองได้” วินหันไปแจ้งกับแม่นมที่ช่วยพ่อกับแม่ ดูแลเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ที่หลบมุมแอบนั่งฟังอยู่ห่าง ๆ

“แม่ว่า วินไม่ลองทบทวนสิ่งที่วินทำดูอีกทีหรือลูก” ผู้เป็นแม่นั้น รักลูกชายคนเดียวของเธอดุจแก้วตาดวงใจ ต่อให้จะตามใจมากแค่ไหน อย่างไรเสีย จะไม่ให้เกิดความเป็นห่วงในพฤติกรรมของลูกเลย มันก็เป็นไปไม่ได้ “เช่นเรื่องอะไรครับคุณแม่” วินถามแม่ของเขา ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่นั่นเป็นที่รู้กัน ว่าวินกำลังเริ่มที่จะขึ้งข้องขัดเคืองใจ

“พ่อว่า การที่เราไปเสียมารยาท กว้านซื้อหุ้นของบริษัทคนอื่นด้วยท่าทีเป็นนักเลงหัวไม้ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนะลูก วิน” พ่อของเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ พูดกับลูกชายคนเดียวของเขา ลูกชายที่เขายอมทุกอย่างเพื่อให้ได้มา “พ่อครับ วินก็ทำทุกอย่างด้วยความถูกต้อง หุ้นเหล่านั้นวินก็ซื้อมาตามราคาตลาด เดี๋ยวนะครับ คุณพ่อทราบได้ยังไง นี่เรากำลังพูดกันถึงหุ้นตัวไหนกันครับ คุณพ่อ” วินย้อนถามพ่อของตัวเอง เมื่อรเรื่องซื้อหุ้นล่าสุดนี้ เขายังไม่ได้บอกพ่อของเขาให้รับรู้

“แม่งโคตรจะขี้ขลาดเลย” วินสบถพร้อมแค่นลมหายใจออกมา “วินระวังคำพูดหน่อยสิลูก” แม่ของเด็กหนุ่มเตือนเขา เมื่อเห็นว่าวินใช้คำพูดที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย “ก็มันจริงนี่ครับแม่ วินไปสู้กับเขาซึ่ง ๆ หน้า แต่นี่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าวินเยอะ อายุก็มากกว่าหลายสิบปี แต่กลับวิ่งโร่มาฟ้องคุณพ่อกับคุณแม่ลับหลังกันแบบนี้ ไม่ไหวนะครับ” พ่อกับแม่ของวินมองหน้าสบตากัน วินที่พออายุจะบรรลุนิติภาวะแล้ว ลูกชายของพวกเขาก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ความมุทะลุดุดันถูกแสดงให้เห็นอย่างบ่อยครั้ง และเปิดเผย โดยที่วินนั้นไม่สนใจว่า ใครจะคิดกับเขายังไง

“วิน แม่ว่า ลูกลองใจเย็นลงก่อน แล้วคิดดูอีกทีมั้ยลูก มันมีคน หรือใครอีกตั้งเยอะ ที่จะให้ลูกของแม่” แม่ของวินพูดได้เพียงเท่านั้น วินก็พูดสวนขึ้นทันที “คุณแม่ครับ เราพูดเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วนะครับ” วินไม่เคยคิดที่จะก้าวร้าวกับแม่ของเขา “วินพิสูจน์สิ่งที่วินบอกคุณพ่อกับคุณแม่ไปหมดแล้ว” เด็กหนุ่มนั้น ไม่เพียงแต่มีแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เขายังไปกว้านหาหลักฐานมาแสดงให้กับพ่อและแม่ของเขาดูไปแล้ว

“วินไม่ได้เป็นเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ ที่ชื่นชอบเรื่องราวเก่า ๆ ในยุคนั้น หรือแค่โหยหาความเป็นไปในยุคนั้น” วินยืนยันกับพ่อและแม่ของเขาอีกครั้ง “จากยุคเก้าศูนย์ วินกลับมาทั้งจิตวิญญาณ” วินมองหน้าพ่อกับแม่ของตัวเอง “รวมทั้งความทรงจำทั้งหมดที่เคยมี” ได้ฟังดังนั้น พ่อของวินหวนนึกถึงคำทำนายที่ได้รับมา ว่าการที่เขาขอใครก็ได้ ให้มาเกิดเป็นลูกของกับภรรยา มันจะเป็นสิ่งที่สมหวังก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว ลูกของเขาจะไม่ได้เป็นของเขาอย่างที่ขาหวังใจให้เป็น

“แล้ววินก็บอกกับคุณพ่อคุณแม่แล้วด้วยว่า วินชอบผู้ชายด้วยกัน” พ่อและแม่ของเด็กหนุ่มจำได้ดี ในวันที่เด็กชายวิน ในวัยสิบขวบ เดินมาหาเขาทั้งสองคน แล้วพูดขึ้นว่า 'วินชอบผู้ชายนะฮะ คู่ชีวิตที่วินจะอยู่กับเขาไปจนตาย เป็นผู้ชาย แล้ววันหนึ่งวินจะแสดงให้ทุกคนได้ดู' จากวันนั้น อะไรต่าง ๆ ที่เกิด อยู่ และเป็นในช่วงปีเก้าศูนย์ ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นในการกรำทำต่าง ๆ ของวิน แต่เรื่องการชอบผู้ชายนั้น มันมาแน่นอนเอาตอนที่วินหอบเอกสาร หลักฐานอะไรมากมายกลับมาที่บ้าน ตอนวินอายุได้สิบเจ็ดปี

“วิน ลูกก็รู้ดี ว่าพ่อกับแม่” พ่อของวินเอื้อมมือไปจับกับมือของภรรยา “พ่อกับแม่รักลูกสุดหัวใจ” พ่อของวินบอกกับเด็กหนุ่ม “ลูกวิน ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร ลูกจะชอบใคร มันไม่ใช่เป็นปัญหาที่พ่อกับแม่เป็นกังวลเลยสักนิดนะลูก” แม่ของเด็กหนุ่มช่วยพูดเสริมในสิ่งที่สามีของเธอพูดเอาไว้ เพราะไม่ว่าวินจะเลือกคู่ครองเพศไหน พ่อและแม่ของวินนั้น เปิดรับเรื่องพวกนี้ได้โดยสมบูรณ์

“แต่ ลูกวินไม่ลองดู ลองคบหากับคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูก” แม่ของวิน ไม่รู้ว่าจะพูดแบบไหนดี ที่จะฟังดูไม่น่าเกลียดมากจนเกินไป “คุณแม่ครับ” วินหน้าขึงขังขึ้นมาในทันที “ผมไม่ได้กลับมาเพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าหรือมากกว่าผมในตอนนี้นะครับ” เมื่อวินตัดสินใจในเรื่องใดไปแล้ว พ่อกับแม่ของเขาก็รู้ดี ว่ายากที่จะเปลี่ยนใจลูกชาย

“วินกลับมาเพื่อตามหาคนของวิน หัวใจของวินอยู่กับเขา” วินใบหน้าเศร้าก่อนจะพูดออกมาว่า “วินตามหาเขาจนเจอ เพื่อที่วินจะไถ่โทษกับเขา ในสิ่งที่เคยวินทำเอาไว้” วินถอนหายใจออกมาเบา ๆ กับความเสียใจที่ตัวเองเคยก่อเรื่องราวร้าย ๆ เอาไว้ “วินทำผิดกับเขาเอาไว้ครับ ผิดมาก วินทำให้เขาเสียใจ” เด็กหนุ่มโตกว่าอายุตัวเองมาเสมอ นั่นคือสิ่งที่พ่อและแม่ของเขาเห็นมาโดยตลอด

“วินจะไม่ยอมให้ตัวเองทำผิดพลาดอีกครั้ง” วินนั้นเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาเสมอ อาจจะมีดื้อบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่จะทำให้พ่อและแม่ต้องหนักใจหรือเสียน้ำตา “วินจะไม่เสียโอกาสที่จะเป็นตัวของตัวเอง หรือเลือกที่จะปกปิดความรู้สึกของวิน เพราะวินไม่รู้เลย ว่าวินอาจจะไม่มีโอกาสจะได้กลับมาแบบนี้อีก” วินรักพ่อกับแม่ของเขามาก แต่สิ่งที่เขาค่อย ๆ จำมันได้ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา มันทำให้วินรู้ว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำ

ตฤณนั่งอยู่ที่โซฟาด้านล่างคอนโดสุดหรูแห่งนี้ สายตามองไปที่ลิฟต์ตัวที่จะพาขึ้นไปที่ห้องเพ้นท์เฮ้าส์ ที่ก่อนหน้านี้ เคยมาอยู่เป็นประจำนับครั้งไม่ถ้วน แต่มาในวันนี้ เขายังคงนั่งอยู่ตรงส่วนรับรองบุคคลภายนอก ที่จัดไว้สำหรับผู้ที่มารอพบเจ้าของห้องชุด ทั้ง ๆ ที่ตฤณสามารถสแกนลายนิ้วมือ ขึ้นไปนั่งรออยู่ที่ด้านบนห้องพักได้เลย

“เดี๋ยวนี้ถึงกับไม่กล้าขึ้นไปรอที่ห้องแล้วหรือ” ตฤณที่ตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะเปลี่ยนใจ ต้องการจะเดินออกจากที่แห่งนี้ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงทักนั้น ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ทำไมไม่ขึ้นไปรอที่ห้อง” ตฤณที่หันมาทางเจ้าของเสียง ทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน กับคำถามที่สร้างความกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย

“จริง ๆ ฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ด้านล่างก็ได้” ตฤณเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เสพูดอย่างอื่นออกไป “ผมก็แค่มารับจากพนักงานที่ด้านล่างนี้ ไม่เสียเวลาดีด้วย” ตฤณยิ้มออกไปกลบเกลื่อน ทั้งเรื่องที่เขาไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย และเรื่องที่สะดุ้งให้ได้เห็น ราวกับว่า ตัวเองกำลังทำความผิดอะไรอยู่ แล้วโดนจับได้ในที่สุด

“ไม่อยากเจอหน้าผมขนาดนั้นเลยหรือ” นฤเบศถามคำถามนั้นออกไปด้วยอาการหัวใจที่มันสั่น จากที่ทั้งสองได้เจอกันคราวที่แล้ว นฤเบศยอมรับกับตัวเองอย่างไม่อายเลยว่า เขานั้นเสียศูนย์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก กับการที่ต้องเห็นตฤณยืนเคียงคู่กับผู้ชายคนอื่น มันเหมือนกับโดนเหยียบจมูกจนถึงถิ่น

“ผมแค่มารับของที่ลืมทิ้งไว้ ถ้าคุณจะกรุณาไม่พูดถึงเรื่องอื่น หรือคนอื่น” ตฤณที่ชั่งใจอยู่นาน ว่าเขาควรจะมาที่นี่ดีหรือไม่ รู้แล้วว่า เขาน่าจะเชื่อความคิดที่ผ่านเข้าหัวมาแต่แรก “ไอ้เด็กนั่นมันมีดีมากขนาดนั้นเชียวหรือ ดีกว่าผมอีกงั้นหรือ ตฤณ” เสียงของนฤเบศฟังดูแล้ว เป็นการพูดหาเรื่องกันอย่างเปิดเผย

“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องใครดีกว่าใครทั้งนั้นแหละ คุณยังไม่เข้าใจเรื่องระหว่างผมกับเขา” ตฤณเองก็รู้ว่าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้กับนฤเบศอย่างไรดี ให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด “อย่าบอกนะ ว่าคุณเอากับไอ้เด็กนั่นแล้ว” นฤเบศหลุดปากออกไปด้วยความโมโห ก่อนจะรู้สึกตัว ว่าไม่สามารถเรียกคำพูดนั้นกลับคืนมาได้แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของตฤณ ที่ไม่ชอบและไม่พอใจคำพูดนั้นอย่างที่สุด

“เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบเลย ตกลงนี่คุณนฤเบศเห็นผมเป็นคนยังไง นอกจากผมจะตกลงยอมรับข้อเสนอ ยอมขึ้นเตียงเอากับผู้ชายที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ยังเลวไม่พอ นี่ผมยังจะเอากับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนั้นน่ะหรือ แหม คนอย่างผมนี่ ต้องเลวมันไปทุกเรื่องสินะ มันถึงจะครบสูตร” นฤเบศสะอึกไปกับคำพูดของตฤณเช่นกัน

“คุณก็ถอยออกมาสิ คุณก็อย่าไปยุ่งกับไอ้เด็กนั่น ทำไมถึงยอมให้มันมาวุ่นวายเรื่องของเราอยู่ได้” นฤเบศขยับเท้าเดินเข้าหาตฤณ “ผมอยู่ตรงนี้แล้ว คุณมองแต่ผม สนใจแต่ผมก็พอ” ความรู้สึกของหนุ่มใหญ่ปั่นป่วนไม่น้อย กับความคิดที่ว่า เขาและตฤณกำลังจะห่างกันออกไปทุก ๆ ขณะ ตราบใดที่ตฤณยังไม่ยอมตอบตกลงกับเขาอย่างเป็นทางการ

“เรื่องของเราคือการที่เราสองคนตกลงว่าจะเป็นคู่นอนแก้อยากให้กันและกัน” ตฤณพูดถึงสิ่งที่นฤเบศและเขา สร้างพันธะแบบไหนกันตั้งแต่แรก “ผมไม่เคยรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ ตอนที่นอนกับคุณทุกครั้งที่คุณโทรหา ทั้ง ๆ ที่คุณยังไม่ถอดแหวนแต่งงานนั่น” รอยแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของนฤเบศยังคงเด่นชัดอยู่ให้เห็น

“จนมาถึงตอนนี้ หลังจากที่คุณหย่า หลังจากที่มีเขากลับเข้ามา” ตฤณที่ก่อนหน้านี้ หัวเราะออกมาด้วยซ้ำที่ได้เห็นภรรยาของนฤเบศโทรตามสามีจนจ้าละหวั่น กรีดร้องอย่างคนบ้า เรียกร้องให้สามีของเธอกลับไปหา มาถึงตอนนี้ อะไรบางอย่างกำลังสั่งสอนเขาเช่นกัน ว่าตัวเองได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวง ที่ยังคงสานสัมพันธ์กับหนุ่มใหญ่ เพียงเพราะฝ่ายภรรยาของนฤเบศ ไม่กล้าเอาเรื่อง เพราะกลัวว่าสังคมจะรู้ ว่านฤเบศนั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน

“ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น ตฤณ คุณต้องอยู่กับผม” นฤเบศเข้าสวมกอดตฤณจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นว่า อีกฝ่ายกำลังจะหันหลังเดินไป “คุณเบศ อย่าทำอย่างนี้” ตฤณเองตกใจอยู่ไม่น้อย ที่หนุ่มใหญ่อย่างเขาตั้งแต่เป็นที่รู้จักและมีหน้ามีตาในวงสังคม จะแสดงอาการใกล้ชิดอะไรแบบนี้กับเขา อย่าว่าแต่กอดเลย ทั้งสองคนเดินจับมือกันยังไม่เคย

“มีคนอื่นอยู่ตรงนี้ คุณเบศ” ตฤณเตือนหนุ่มใหญ่ พยายามดึงตัวเองให้หลุดออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย “ช่างมันสิ ผมจะกอดคนรักของผม ทำไมจะต้องแคร์ใครด้วย” นฤเบศพูดเสียงดัง หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียวกัน “ถ้าไอ้เด็กไก่อ่อนนั่นทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้” ตฤณดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนของนฤเบศ ที่ตอนนี้พยายามจะใช้กำลัง เพื่อจูบตฤณต่อหน้าทุกคนให้ได้

ตฤณลงจากรถแท็กซี่ด้วยท่าทางห่อเหี่ยว ก่อนจะมองเห็นวินที่ยืนรอที่ด้านหน้าตึกคอนโดอยู่ก่อนแล้ว วินยิ้มให้ตฤณทันทีที่อีกฝ่ายลงจากรถมา ตฤณยิ้มตอบกลับเด็กหนุ่มไป ยอมรับว่าต้องปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะวินเป็นคนที่จับสังเกตเก่งไม่เบาคนหนึ่ง ตฤณเดินเข้าไปหาวิน ที่ตอนนี้เอาสิ่งที่ถือซ่อนไว้ด้านหลัง ออกมาให้ตฤณเห็น

“หนังสือรุ่น” ตฤณพึมพำออกมาเบา ๆ ตกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง “ไม่ใช่หนังสือรุ่นทั่วไปนะครับตฤณ” พอตฤณพิจารณามันอีกครั้งดี ๆ ก็ต้องรู้สึกใจหาย เมื่อจำรอยขาดที่ขอบของมันได้ วินยิ้มอย่างพอใจ ที่สังเกตได้ว่า ตฤณจำหนังสือรุ่นเล่มนี้ได้ ก่อนจะพลิกหน้าที่เขาคั่นเอาไว้ เปิดให้ตฤณดู

“รูปมันน่าเกลียดจะตาย” ตฤณเอามือปิดรูปของนักเรียนมัธยมปลายคนนั้นเอาไว้ “น่ารักไม่เปลี่ยนต่างหาก” วินสบตากับตฤณ สายตาที่ใช้มองมายังตฤณนั้น มันช่างอ่อนโยนและทำให้ตฤณหวั่นไหว “มาดูอีกคนด้วยดีกว่า” ตฤณรีบคว้ามือของวินเอาไว้ ส่ายหน้าห้ามปรามเด็กหนุ่ม ก่อนจะเห็นรอยยิ้มที่มุมปากอย่างที่เคยเห็นใครบางคนทำมันเสมอ ทุกครั้งที่สามารถแกล้งให้เขารู้สึกประหลาดใจได้

****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=dLEgOalq7sU


ก็มันยังไม่พร้อม ที่จะเสียเธอไปอีกคน

‘Cause I’m never ready to not see you here anymore

เพราะว่าใจฉันคงจะทน ต่อไปไม่ไหว

‘Cause my heart can’t keep going on like that

ก็เธอคือชีวิต ไม่มีเธอจะทำอย่างไร

“Cause you’re my life that makes me know I’m still alive

ฉันจะเดินก้าวไปยังไง หากไม่มีเธอจริงจริง

‘Cause I don’t know what to do without you by my side


อย่าไปจากฉัน สัญญาได้หรือเปล่า

Please don’t leave me, promise me you won’t

ให้โอกาสฉัน รักเธออีกต่อไป

Give me this chance to stay in love with you

เธอก็รู้ว่าฉันนั้นไม่มีใคร

You know I have no one, really

ขาดเธอไปสักคน ฉันคงจะตาย

I lose you, I’d surely die

จะหายใจอย่างไร โดยที่ไม่มีเธอ

You’re the air I breathe, please don’t you ever go


แค่เพียงได้ซื้อเวลา

Let me buy us some time

ได้ยื้อเวลาเพื่อให้เธอไม่จากไปไหน

Stalling time to make you change your mind

จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะยอมทั้งนั้น

Whatever I can do, I’ll do it for you here

แค่เพียงให้เธอคืนมา ได้ยื้อเวลา

All I need is to get you back to get myself more time

สักนาทีก็มีค่ากับฉัน ขอร้องเธอได้ไหม

One minute that means the world to me, could you please?

อย่าให้ฉันต้องทนต้องอยู่คนเดียว

Don’t leave me just here all alone


อยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีเธอให้รักต่อไป

Keep all the things we have here and have and to hold

เพราะว่ามันรวดเร็วเกินไป ที่จะทำใจ

It’s too fast for me to see, it’s harsh to take it all in


อย่าไปจากฉัน สัญญาได้หรือเปล่า

Please don’t leave me, promise me you won’t

ให้โอกาสฉัน รักเธออีกต่อไป

Give me this chance to stay in love with you

เธอก็รู้ว่าฉันนั้นไม่มีใคร

You know I have no one, really

ขาดเธอไปสักคน ฉันคงจะตาย

I lose you, I’d surely die

จะหายใจอย่างไร โดยที่ไม่มีเธอ

You’re the air I breathe, please don’t go


แค่เพียงได้ซื้อเวลา

Let me buy us some time

ได้ยื้อเวลาเพื่อให้เธอไม่จากไปไหน

Stalling time to make you change your mind

จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะยอมทั้งนั้น

Whatever I can do, I’ll do it for you here

แค่เพียงให้เธอคืนมา ได้ยื้อเวลา

All I need is to get you back to get myself more time

สักนาทีก็มีค่ากับฉัน ขอร้องเธอได้ไหม

One minute that means the world to me, could you please?

อย่าให้ฉันต้องทนต้องอยู่คนเดียว

Don’ t leave me just here all alone


จะทำอย่างไร ให้ฉันยังมีเธอต่อไป

What can I still do to still have you in my life?

ฉันไม่รู้จริงจริง ฉันไม่รู้จะทำไง

I don’t really know, I’m all now cornered

จะมีทางสักทางบ้างไหม ที่จะรั้งใจเธอ

Is there just any way to make you still love me?


แค่เพียงได้ซื้อเวลา

Let me buy us some time

ได้ยื้อเวลาเพื่อให้เธอไม่จากไปไหน

Stalling time to make you change your mind

จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะยอมทั้งนั้น

Whatever I can do, I’ll do it for you here

แค่เพียงให้เธอคืนมา ได้ยื้อเวลา

All I need is to get you back to get myself more time

สักนาทีก็มีค่ากับฉัน ขอร้องเธอได้ไหม

One minute that means the world to me, could you please?

อย่าให้ฉันต้องทนต้องอยู่คนเดียว

Don’t leave me just here all alone
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่๓๗. คิดถึงเรื่องงอนง้อ ๒๐/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-02-2023 21:54:27
บทที่ ๓๗. คิดถึงเรื่องงอนง้อ



2566

2023



“กว่าจะมาง้อกันได้นะ ปล่อยให้ดีนรอตั้งนาน” จะไม่พูดออกไปก็ไม่ได้ แต่พอพูดออกไปก็เขินเสียเอง “ก็ให้ตั้งตัวกันบ้างสิ” คำตอบที่ได้ยินนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ดีนต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมา “หายโกรธดีนแล้วหรือไง” คนที่เพิ่งวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาบ้าน เพราะรู้จากเพื่อนว่า อีกฝ่ายนั้นมาหาที่บ้าน ถามขึ้นเพื่อขอยืนยันความแน่ใจ

“ก็จะให้โกรธต่อมั้ยล่ะ พร้อมนะ ไม่ติด” ดีนได้ยินแบบนั้น ถึงกับส่ายหน้าดิก “โอย แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วมั้ย ใจร้ายกันจัง ยังไง ทำไม ถึงได้ทั้งใจแข็งแถมใจร้ายแบบนี้ ดีนไม่เข้าใจ” พอถามออกไปเสร็จ ก็เห็นอีกฝ่ายบุ้ยปาก ท่าทางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดีนยิ่งเห็นแบบนั้นก็ยิ่งนึกมันเขี้ยว อยากจะขยำตัวอีกฝ่ายเสียให้หนำใจ

“ไม่เอาแล้ว เข้าใจแล้ว เข็ดแล้วครับ” เสียงออดอ้อนของดีนนั้น ทำได้ดีไม่แพ้ที่เขาได้คิดเอาไว้ เพราะเห็นอีกฝ่ายหลุดยิ้มออกมาจนได้ “ยิ้มให้กันแบบนี้ ดีกว่าตั้งเยอะ จริงมั้ย” สายตาที่ดีนมอบให้ คือความดีใจ ความจริงใจ ที่เจ้าตัวไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสทำ และมอบมันให้กับใครมาก่อน แต่วันนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ เขายกมันให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ถ้าอย่างนั้น” ดีนทำพูดเลียบ ๆ เคียง ๆ เดินเข้าใกล้กับอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะมือของอีกฝ่าย พอเห็นว่าเขาไม่ขยับมือหนี ดูไม่ได้อิดออดใด ๆ ดีนก็คว้ามือหมับที่มือของอีกฝ่ายทันที และราวกับว่ากระแสไฟฟ้าได้แล่นผ่านจากมือของทั้งสองคนนั้น พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ มันแปลบปลาบ หนุบหนับ หมุบหมับในความรู้สึกไปหมด

“พ่อครับ แม่ครับ” มาถึงตอนนี้ จะปล่อยให้เนิ่นนานไป จนโอกาสทองหลุดลอยก็คงจะใช่เรื่อง “เทปปันครับ คนนี้แฟนผม” ดีนจัดการตะโกนเสียงดัง ประกาศออกไปในทันที ว่าเขากับอีกฝ่ายนั้นเป็นอะไรกัน “เขาหายโกรธผมแล้ว พ่อกับแม่เป็นพยานนะครับ” ดีนจับมือที่กุมกันเอาไว้นั้น ชูขึ้นโชว์ให้พ่อกับแม่ได้เห็น

“แล้วไปยืนอะไรกันอยู่ตรงนั้น มา ๆ เข้ามาคุยกันในบ้าน” แม่ของดีนเรียกทั้งคู่ให้เข้าบ้านกันก่อน “พี่ดีนเนี่ยเห่อพี่เทปปันไม่หยุด” เสียงยัยน้องสาวแขวะพี่ชายออกมาตามเคย “เออ ๆ คนทั้งซอยตอนนี้รู้กันหมดแล้วล่ะ ว่าแกกำลังจะมีเมีย” พ่อของดีนพูดหยอกเอินกับลูกชาย ที่ตอนนี้ กำลังยิ้มหน้าบานหุบไม่ลง

ดีนหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเดินจูงมืออีกฝ่ายให้เดินตามเขาเข้าบ้าน ยัยน้องสาวตัวแสบรีบกระซิบว่าอย่ายอมดีนพี่ชายของตน กำราบได้แต่เนิ่น ๆ ให้ทำ แม่ของเขาบอกจะหาขนมและเครื่องดื่มมาให้ ระหว่างนั่งคุยกัน พ่อของดีนตบบ่าลูกชายของตน ชมเปาะ ว่าดีนตาแหลมมาก ที่เลือกเทปปันมาเป็นแฟน ดีนก็ได้แต่ยิ้น้อยยิ้มใหญ่ เอ่ยปากขอบคุณพ่อและแม่ของเขา ที่อ้าแขนต้อนรับแฟนของเขาเป็นอย่างดี โดยมีดีนโอบเอวอีกฝ่าย ที่กำลังเขินบิดตัวไปมาต่อหน้าทุกคน

“เฮ้ย เดี๋ยวนะ” เพื่อนสนิทของดีนขัดจังหวะขึ้นมาแบบทะลุขึ้นกลางปล้อง “เรื่องเล่าอะไรของมึงวะเนี่ย” เพื่อนของดีนถึงกับต้องขมวดคิ้ว มองหน้าดีนอย่างงง ๆ ดีนที่โดนเบรกเรื่องเล่าวิมานฉิมพลีนั้นเอาไว้ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบกับไปว่า “เออ นี่คือเวอร์ชัน เรื่องที่กูอยากให้เป็น” ดีนยอมรับกับเพื่อนแบบคนหมดสภาพ

“เรื่องที่กูอยากจะเล่าให้ใคร ๆ ได้ฟัง” ดีนสารภาออกมาจนได้ ว่าเรื่องทั้งหมด มันมาจากจินตนาการของเขาเองล้วน ๆ “โอ๊ย ไอ้ดีน กูก็ว่า อย่างไอ้เทปปันเนี่ยนะ จะมายืนเขินตัวบิดไปบิดมา ให้มึงเคลมเป็นเมียได้ง่าย ๆ หืม ไอ้อิ๊บอ๊ายดีน เลือกเล่าเรื่องได้เข้าข้างตัวเองสัส” เพื่อนสนิทของดีนถึงกับอดไม่ได้ที่จะด่าดีนออกมาเสียงดังลั่น

“มึงอย่าด่ากูเยอะ กูไม่รู้ว่าจะเริ่มรู้สึกผิดจากตรงไหนก่อนเลย” ใบหน้าของดีนในตอนนี้เจื่อนลงไปถนัดใจ จากที่เมื่อครู่นี้ เพื่อนของดีนยังมองเห็นความสดใสในแววตา ได้ฟังความร่าเริงในน้ำเสียง จากเรื่องเล่าที่ดีนอุปโลกน์ขึ้นมา “แล้วเวอร์ชันของเทปปันมันเป็นยังไง” ดีนหันไปมองหน้าเพื่อน ที่กำลังรอเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเย็นวันนั้น

“คนที่เละคือกู” ดีนบอกกับเพื่อนออกไป “เทปปันบอกกับกูว่า อย่าทำคลิปอะไรแบบนั้นไปลงโซเชียลอีก ขอให้เรื่องทุกอย่างยุติเพียงเท่านี้ การขอถอนตัวจากละครเวทีของเทปปัน คือวิธีการพูดใส่หน้ากูอย่างสุภาพที่สุดแล้ว ว่าอย่าเสนอหน้าไปให้เขาเห็นอีก” ดีนพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อน ที่ไม่เคยมีใครเห็นด้านนี้ของเขามาก่อน

“ลูกครึ่งญี่ปุ่นคนนี้ ด่ากูด้วยความเงียบ ความนิ่ง ได้เจ็บแสบที่สุดแล้ว” ดีนนึกถึงตอนนั้น ที่เขาเดินคอตกเข้าบ้านไปอย่างผู้ผิดหวัง สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้หวาน ไม่ได้ชื่นมื่น ไม่ได้ง่ายดาย เหมือนอย่างในเรื่องที่เขาคิดขึ้นในหัว เขียนในหัวใจ “ส่วนเรื่องที่กูไปจูบเขา กูโดนแม่ด่ายับ พ่อกูยังอึ้ง ที่เห็นแม่ด่ากูขนาดนั้น ขนาดน้องสาวกูยังไม่ซ้ำเติมกูเลย เพราะนึกสงสารกู แม่กูด่าหนักจริง ๆ เรื่องนี้” พ่อหนุ่มฮอทในสายตาของเพื่อนอย่างดีน ทำหน้าหงอยอย่างน่าเห็นใจ

“แต่แม่กูไม่ได้ด่าเรื่องที่กูจูบกับผู้ชายนะ แม่กูด่าเรื่องที่ทำรุ่มร่ามกับลูกของบ้านอื่นเขา ยิ่งได้รู้ว่า แม่ของปันบวชอยู่ที่วัด โอย กูงี้โดนด่าจนหูชา หาว่ากูจะพาทั้งบ้านตกนรกกันหมด” ดีนยังไม่ลืมที่แม่สั่งสอนเขา เพราะไม่อยากจะให้ลูกชายของแม่ เป้นต้นเหตุทำให้คนอื่นเดือดร้อน ต่อให้มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็ตาม

“กูนะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เทปปันก็ไม่อยากจะเจอกูอีก แถมโดนที่บ้านสั่งเคอร์ฟิว อะไรของกูกันวะเนี่ย” ดีนขยี้หัวตัวอย่างแรง ๆ เผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้นบ้าง “ดีน มึงเปลี่ยนไปมากเลยนะ มึงรู้ตัวหรือเปล่า” เพื่อนสนิทของดีนพูดขึ้น มองดูใบหน้าของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับว่า ดีนคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้ ไม่ใช่ดีนคนเดิมที่รู้จักคุ้นเคยกันมา

“กูถามมึงอย่างหนึ่งสิ ไอ้ดีน” ดีนได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงว่าเพื่อนนั้น อยากจะถามอะไร “กับเทปปันนี่ มันยังไงกันแน่วะ คือ กูไม่ได้ติดใจเรื่องที่มึงชอบผู้ชายหรืออะไรนะ” เพื่อนของดีนรีบออกตัว ไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว “กูแค่ไม่เข้าใจ คือ มึงเพิ่งเจอเทปปันก็ตอนที่ต้องมาซ้อมละครเวทีด้วยกัน” เพื่อนสนิทของดีนเริ่มลำดับความให้กระจ่างขึ้น

“แต่กูเห็น อยู่ ๆ มึงก็แสดงออกว่ามึงชอบเขามาก มากเสียจนกูไม่อยากจะเชื่อว่า ระยะเวลาไม่เท่าไหร่ที่มึงเจอกับเขา จะทำให้มึงเป็นไปได้ขนาดนี้” เพื่อนของดีนติดใจตรงส่วนนี้มากที่สุด “มึงรู้จักเขามาก่อนหรือวะ หรือมันยังไงกันแน่” ดีนฟังเพื่อนถามมา เขารู้ดีในเรื่องนี้ และมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว เพียงแต่

“มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อนะเว้ย ถ้าตัวกูเองไม่ได้มาสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ กูก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน” ดีนพูดขึ้น ภาพในหัวตั้งแต่ที่วัดในวันนั้น มันยังแจ่มชัดมาถึงตอนนี้ “กูว่ากูรักเขา กูรักเทปปัน โดยที่เทปปันก็รักกู แต่ยังไม่รู้ตัว หรือยังจำไม่ได้เท่านั้น” เพื่อนของดีนฟังที่เขาพูด แล้วก็ขมวดคิ้ว เพราะสิ่งที่ดีนพูดออกมา มันดูแล้วเป็นอาการของคนเพ้อหลงตัวเองมากกว่า

“มึงฟังกูก่อน” ดีนเองก็พอจะรู้ว่า สิ่งที่หลุดออกจากปากของเขาไป มันฟังดูเหมือนเขาเป็นพวกเข้าข้างตัวเอง “กูกับเทปปันเจอกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ดีนพูดออกมา ทำหน้าจริงจัง จนเพื่อนสนิทของเขาเองยังรู้ว่า ดีนไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ “แต่กูคนก่อน กูคนที่แล้ว ทำผิดกับเขาเอาไว้เยอะ ทำกับเขาในเรื่องที่ว่า ถ้าเขาจะไม่ให้อภัยกูอีก มันก็สมควรแล้ว” ดีนพูดออกมาแบบนั้น รู้สึกใจหาย ที่เทปปันมีทีท่าไปในทางนั้นจริง ๆ

“มึงคนก่อน มีอีกคน อะไรวะ แล้วมึงคนนี้ล่ะ” เพื่อนของดีนขมวดคิ้ว ชี้นิ้วมาที่ดีน “เออ กูรู้ว่ามันฟังดูเหมือนกูเป็นคนบ้า” ดีนหัวเราะออกมาเบา ๆ กับสิ่งที่ตอนนี้เขารับรู้มันทั้งหมด “มัลติเวิร์ส” ดีนพูดออกไป หัวเราะเบา ๆ กับสิ่งที่เขาได้เทียบเคียงมัน “ใช่ มันเหมือนมัลติเวิร์ส เพียงแต่กูไม่สามารถเดินทางไปพบตัวกูอีกคนนั้นได้” สิ่งที่เกิดขึ้น มันอาจจะสลับซับซ้อนจนหลาย ๆ คน ไม่เข้าใจมัน

“กูคนนั้นคือสิ่งที่กูตอนนี้ไม่สามารถกลับไปแก้ไขความผิดพลาดที่ได้ทำเอาไว้ กูคนก่อน คือสิ่งที่ตัวกูต้องก้มหน้ารับมันเอาไว้เอง” ดีนบอกเพื่อนออกไปแบบนั้น โดยไม่ได้สนใจว่า เพื่อนสนิทคนนี้ของเขาจะเข้าใจที่เขาพูดบ้างหรือเปล่า แต่อย่าง้อยในตอนนี้ เมื่อดีนอยากเล่า อยากระบายความในใจออกมา ก็มีเพื่อนเขาคนนี้ ที่อยู่คอยรับฟัง

ดีนแยกกับเพื่อน หลังจากที่นั่งคุยกันพักใหญ่ ๆ ถึงแม้ว่า ดีนจะไม่ได้คลายความทุกข์ที่ยู่ภายในใจออกไปได้หมด แต่อย่างน้อย เขาก็รู้สึกโล่งขึ้นบ้าง ที่รู้ว่า ยังมีเพื่อนสักคนที่ได้นั่งพยักหน้าคลอ ในขณะที่เขาเล่าเรื่องบางอย่างออกไป แม้สุดท้ายแล้ว เพื่อนเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นเพื่อนคนนี้ ที่ตบบ่าให้กำลังใจดีนอย่างเต็มใจ

“ครับ ดีนกำลังกลับครับ” ดีนกดวางสาย หลังจากกรอกเสียงลงไปเบา ๆ ว่าเขารู้แล้วว่าต้องกลับบ้านก่อนเวลา ที่แม่ได้ขีดเอาไว้ เพื่อเป็นการทำโทษดีน กับเรื่องที่เขาได้ก่อขึ้น ดีนถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ นี่ถ้าไม่มีซ้อมละครเวที ดีนไม่สามารถหาข้ออ้างเพื่ออยู่เถลไถลแบบที่เคยทำมาได้อีก แต่ก็อีก ดีนบอกกับตัวเอง มีเวลาก็เท่านั้น ถ้าหากว่าคนที่เขาอยากจะใช้เวลานั้นด้วย กลับบอกให้เขาอยู่ให้ห่างกันเอาไว้

“ขอโทษนะครับ” รถยนต์คันหรู สีดำมันปลาบ ลดกระจกลง เมื่อเข้าจอดเทียบตรงที่ดีนยืนอยู่ “ไม่ทราบว่า พอจะบอกได้มั้ยว่า อืม ลานหน้าคณะอยู่ตรงไหนนะครับ” เสียงพูดภาษาไทยแบบแปร่ง ๆ แบบคนต่างชาติที่พยายามจะพูดให้คนไทยเข้าใจ “ผมมาตามหาคนรู้จัก” บทสนทนาจบลงแค่นั้น เมื่อมีเสียงภาษาต่างประเทศดังขึ้นภายในรถคันนั้น “อาริกาโต” เสียงพูดขอบคุณภาษาญี่ปุ่นดังขึ้นมาแทน ก่อนที่รถยนต์หรูคันดังกล่าว จะรีบออกตัวแล่นไปข้างหน้า

ดีนมองตามรถยนต์คันนั้นไป ก่อนจะเห็นว่า มีใครคนหนึ่ง เดินออกมาจากตึกหน้าลานคณะพอดี รถยนต์คันนั้นหยุดเทียบที่ด้านข้างคนคนนั้น ดีนเห็นเทปปันหยุดยืนนิ่ง มองตรงเข้าไปยังคนที่นั่งอยู่เบาะหลังภายในรถ หนุ่มญี่ปุ่นหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ที่ดูภูมิฐาน ดูมีฐานะเป็นอย่างมาก มาถึงตอนนี้ ดีนก็เพิ่งจะคิดขึ้นได้ ในใจร้องตะโกนออกมาว่า 'ปัน อย่าขึ้นรถไปกับไอ้หมอนั่นนะ'

ยังไม่ทันที่ดีนจะได้ทำอะไรต่อ คนขับรถคันนั้น ก็ก้าวลงมาจากรถ แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้กับเทปปัน โดยที่เจ้าตัวนั้นดูลังเล เทปปันเว้นระยะห่างระหว่างตัวเขากับรถยนต์คันหรูนั้นพอสมควร ดีนเห็นเทปปันขยับปากพูดอะไรบางอย่างออกไป พร้อมทำท่าจะเดินหนี แต่ก็ต้องหยุดชะงัก แล้วหันไปมองคนในรถยนต์นั้นอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเหมือนกับบอกว่า เขาเข้าใจที่หนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อคนนั้นพูดแล้ว

“เทปปัน” ดีนหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปดังลั่น เมื่อเห็นว่าเทปปันได้ก้าวเข้าไปนั่งในรถ ที่เบาะหลังคู่กับหนุ่มญี่ปุ่นคนนั้น ก่อนจะเห็นคนขับรถโค้งคำนับให้ แล้วเดินกลับเข้าไปนั่งที่ด้านหลังพวงมาลัยคนขับ “เทปปัน” ดีนเรีกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่นอีกครั้ง ก่อนที่จะออกวิ่ง เมื่อรถยนต์คันนั้น เริ่มแล่นออกจากตรงนั้น

“หยุดก่อน รอเดี๋ยว โธ่เว้ย จอดก่อน จอดสิวะ” ดีนที่วิ่งตามรถยนต์คันนั้นอย่างเต็มฝีเท้า ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายออกมา แต่แล้ว รถยนต์คันหรูที่เทปปันขึ้นไปคันนั้น ก็เลี้ยวออกจากประตูมหาวิทยาลัย ก่อนกลืนเข้ากับกระแสการจราจรที่ด้านนอกนั่น ดีนวิ่งตามออกมาจนถึงถนนด้านหน้า นอกรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยอาการเหนื่อยหอบ แต่มองไม่เห็นท้ายรถยนต์คันนั้นแล้ว

*************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=A7agZzKQbQM


เป็นเพราะเธอไม่รับไม่รู้ เรื่องราว

Because you said no need to hear my side of the story

แหละฟังถ้อยคำใด

All explanations in the world are pointless

เป็นเพราะเธอเท่านั้นที่คิดมากไป

It’s only that you’re overthinking

ด้วยใจเธอเองทั้งนั้น

Made a snap judgement by your own


เป็นเพราะเธอไม่คิดจะให้โอกาส

It’s because you’re not giving me one more chance

ปรับความเข้าใจกัน

For us to reconcile

เพียงถ้อยคำเท่านี้ที่ฉันต้องการจะอธิบาย

These words are my heart given to you


แค่อยากให้รับให้รู้ไว้

Wish you could hear me out

ให้เธอเข้าใจหัวใจกัน

Please, don’t you want to feel my sincere apology?

ที่ทำกับเธอวันนั้น

What I did to you that day

ตัวฉันคนนี้ก็มีแต่เสียใจ

I now regret with a real deep sorrow


แหละใจของฉันก็ชอกช้ำ

My heart is now bruised and burnt

จากการกระทำที่ทำไป

From my hideous actions I did

ก็อยากจะย้ำให้รู้เอาไว้

I wish you would listen to me once

ว่าฉันมีแต่เธอ

All I ever need is you


เพียงให้เธอได้รับได้รู้ เรื่องราว

Just once you hear what I have to say

แหละลองคิดดูใหม่

And give it a second thought

ฟังแล้วเธอยังคิดจะทิ้งกันไป

If that still makes you feel you’re gonna leave me back here

ก็อยู่ที่เธอ

That’s then up to you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่๓๗. คิดถึงเรื่องงอนง้อ ๒๐/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 21-02-2023 21:30:57
ใครมารับเทปปัน พ่อ พี่ชาย หรือใครอะ :katai1:
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgiaบทที่๓๘. คิด(ไม่)ถึงให้งอนง้อ ๒๒/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 22-02-2023 15:30:46
บทที่ ๓๘. คิด (ไม่) ถึงให้งอนง้อ



2537

1994



“มีอะไร” เจ้หวีถามคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานานของตัวเอง “เห็นจะพูด จะพูดอะไรตั้งนานแล้ว ก็ไม่พูดสักที เป็นอะไร” เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำท่าจะบอกอะไรเจ้หลายต่อหลายที “อืม” เจ้าตัวไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี ก็ได้แต่ทำเสียงให้เจ้หวีดูเอาเอง เจ้เจ้าของร้านก้มลงมองหนังสือเล่มที่แฟนของเธอวางลงตรงหน้า

“เดี๋ยวนี้ดูหนังสือแบบนี้ด้วยหรือ” เจ้ทำเสียงแซวแฟน แต่เมื่อเห็นเขาไม่ได้ยิ้มแย้มหรือดูจะพูดเล่นหัวด้วย เจ้หวีก็หยิบมันขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะเบิกตาโต “ไปเอามาจากไหน” เจ้แกถามด้วยความตกใจ เมื่อจำคนในรูปที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้ “เดินไปเก็บค่าข้าวพวกเด็กในซอยอโกโก้มา เห็นพวกมันกำลังแย่งกันเปิดดู” เจ้หวีปิดหนังสือเล่มนั้นลง เพราะเธอไม่ได้อยากจะดูมันต่อ

“เด็กพวกนั้น หลายคนก็จำได้” เจ้หวีส่ายหน้า มีท่าทางที่หนักใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “พูดหยอกล้อว่าจะเดินมาดูตัวจริงที่นี่ พี่เลยด่ามันไปยกใหญ่ ว่าอย่าให้เห็นมาป้วนเปี้ยนเสนอหน้าแถวนี้ ไม่งั้นจะเล่นงานพวกมันทุกตัว” แฟนของเจ้หวีบอกว่า ได้กำชับกำชาเด็กหนุ่มวัยคะนองพวกนั้น ว่าอย่าได้คิดลองดีกัน

“เจ้ นันเก็บกวาดหลังร้านเรียบร้อยแล้วนะ อ้อ ส่วนพวกหม้อไหพวกนั้น นันล้างแล้ว แต่ว่าจะไปหาซื้อฝอยขัดหม้อมาใหม่ อันเก่ามันย้วย แทบขัดตู้หม้อไม่ออกแล้ว” เจ้หวีมองเห็นนันเดินเข้ามาพูดด้วยใบหน้าและรอยยิ้มที่สดใส “มีอะไรกันหรือเจ้” โดยไม่ต้องการให้ใครพูดอะไร นันก็ได้คำตอบแก่ตัวเอง เมื่อเห็นหนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือของเจ้หวี

“ความจริงนี่ มันหนีกันไม่พ้นจริง ๆ ด้วยสินะ” นันหุบยิ้มทันที พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่เหน็ดเหนื่อยกับชีวิตมาอย่างยาวนาน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเพิ่งมีอายุไม่เท่าไหร่ “เกิดอะไรขึ้น นัน” เจ้หวีถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง ตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ก็อยากจะรู้ความจริงจากปากของนันเอง ไม่ได้อยากรู้จากขี้ปากของคนอื่น

นันรู้สึกตัวอีกที มันเหมือนมีร่างหนัก ๆ ของใครบางคนกำลังทับตัวของเขาอยู่ นันพยายามเอื้อมมือเพื่อผลักร่างนั้นออก แต่สองมือสองไม้ของเขา กลับรู้สึกเหมือนว่าไม่มีแรง มันป่ายสะเปะสะปะไปมา ได้ยินเสียงที่ข้างหูบอกว่าให้เขาอยู่เฉย ๆ อย่าดิ้น ดวงตาที่หนักอึ้งนั้นนันพยายามจะลืมมันขึ้น แต่มันก็ทำได้แสนที่จะยากเย็น

“อยู่นิ่ง ๆ สิวะ” นันได้ยินเสียงนั้นออกคำสั่ง ก่อนที่ความเจ็บแปลบจะเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา มันเจ็บจนนันต้องเอี้ยวตัวหนี เอาเท้าที่ถูกขับยกชูขึ้น ถีบอากาศไปมาอย่างไร้ทิศทาง และไร้ผล “อีห่านี่” เสียงด่านั้นดังขึ้นอีก ก่อนที่ความเจ็บแปลบจะเพิ่มมากขึ้น เมื่อร่างบนตัวของนัน ทิ้งน้ำหนักลงมา เพื่อสอดความเขื่องใหญ่แทรกเข้าไปในตัวของนัน ที่ตอนนี้กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“ปิดปากมันสิวะ นั่งบื้อทำเหี้ยอะไรอยู่” คนที่ทับอยู่บนตัวของนัน ออกคำสั่งอย่างหยาบคาย “พี่ก็น่าจะให้ผมเอามันก่อน” นันที่พยายามลืมตาขึ้นมอง แต่ก็พร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตาใส จำได้ดีว่า เสียงนี้คือเสียงของพ่อเลี้ยงของเขา “ได้ไงวะ เล่มนี้มันเอาไว้ขายพวกฝรั่ง ของกูใหญ่กว่ามึงเยอะ กูก็ต้องเป็นพระเอกสิโว้ย ยิ่งนางเอกแม่งยังซิงอยู่อีกต่างหาก” เสียงนั้นบ่งบอกถึงความกักขฬะทั้งคำพูดและความคิด

“แม่ง กูโคตรเสียดายเลย อีนัน ที่กูไม่ได้เป็นผัวคนแรกของมึง” พ่อเลี้ยงของนันเลียริมฝีปากไปมา มองดูผู้ชายอีกคนกำลังกระหน่ำร่างของลูกเลี้ยงของตัวเองอย่าหื่นกระหาย “แน่นฉิบหาย แม่งเอ๊ย” ทั้งมือและเท้าของนันจิกกำจนแน่น ร่างกายเหมือนจะแยกแตกออกเป็นสองซีก หัวใจของเขาเหมือนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อรับรู้แล้ว ว่ากำลังเกิดขึ้นกับเขา

“หยุด หยุดเถอะ พอแล้ว ขอร้องล่ะ” เสียงร้องขอความเห็นใจดังอู้อี้อยู่ภายใต้ฝ่ามือของพ่อเลี้ยง นันน้ำตาไหลเป็นทาง ยิ่งพยายามดิ้นหนีเพื่อเอาตัวให้รอด กลับกลายบเป็นที่สนุกสนานของผู้ชายอีกสองคน ที่พูดเร่งเร้ายั่วยุกันอย่างเฮฮา ความทรงจำของนันเริ่มกลับมาหาเขา จากที่เขานั้น พยายามหลบหน้าพ่อเลี้ยงมาได้หลายวัน

จนมาวันนี้ วันที่นันพลาดพลั้ง ด้วยความเหนื่อย ด้วยความหิว นันเห็นห่อข้าวห่อหนึ่งวางเอาไว้ในครัว แน่นอน มันต้องเป็นของพ่อเลี้ยงของนันอย่างแน่นอน ท้องที่ร้องโครกคราก ความทรมานจากความหิว ทำให้นันแกะห่อข้าวนั้นออก ตั้งใจว่าจะตักชิมเพียงไม่กี่คำ แต่สุดท้าย เพื่อให้ท้องอิ่มได้นานขึ้นอีก นันก็จัดการข้าวห่อนั้นจนหมด

กว่าจะรู้ว่าเสียที นันก็ตื่นขึ้นมาเจอกับความเลวร้ายยิ่งกว่า ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นันทั้งโกรธกับความโง่ของตัวเอง ผิดหวังกับความอดทนไม่พอของเขา และเสียใจกับความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน มันสุดแสนจะเจ็บช้ำ เมื่อเขาได้อยู่ในสภาวะที่สามารถช่วยเหลือและป้องกันตัวเองเอาไว้ได้

“มึงถ่ายรูปเอาไว้เยอะ ๆ หลาย ๆ มุม เอาให้เห็นชัด ๆ อีนี่มันจะเป็นตัวเงินตัวทองของเราต่อไปอย่างแน่นอน” สิ้นเสียงพูดนั้น แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป ก็วาบแสงขึ้น จากหนึ่ง เป็นสอง และกลายเป็นนับไม่ถ้วน นันหลับตาลงอย่างคนสิ้นหวัง เพราะทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น กำลังถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานทั้งหมด

“เอามา มึงมาต่อจากกู แต่มึงห้ามเสร็จข้างในอีนี่ก่อนกูนะ” ไม่ต้องให้เชิญชวนอีกเป็นคำรบสอง พ่อเลี้ยงของนันก็แทรกร่างเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว นันกัดฟันกรอดเมื่อพ่อเลี้ยงนั้น ใส่เต็มแรงแบบไม่บันยะบันยังใด ๆ ทั้งสิ้น “อีนัน กูรู้อยู่แล้ว ว่ามึงจะต้องเด็ดกว่าแม่ของมึงอีก” คำพูดนั้นเสียดแทงความรู้สึกของนันอย่างที่สุด หัวใจของนันตอนนี้ร้าวรานจนเกินคำบรรยาย

“เฮ้ย ๆ อย่าทำมันแรงมาก เผื่อเอาไว้อีกสักสองสามเล่ม เดี๋ยวมันจะช้ำมากเกิน” ห้ามปรามพ่อเลี้ยงของนันไป ก็ถ่ายรูปนันทุกซอกทุกมุม นันได้แต่กัดฟันยอมรับความต่ำช้าที่พวกมันทั้งสองคนทำกับเขาเอาไว้ “พี่ผมจะไม่ไหวแล้ว” พ่อเลี้ยงของนันคำรามเสียงดัง “ไอ้เหี้ย ดึงของมึงออกไปก่อน” ไม่พูดเปล่าแต่ผลักร่างของพ่อเลี้ยงของนันให้กระเด็น

“ไอ้เหี้ยนี่ ก็บอกว่าให้กูก่อน” ปากเ แต่ก็กดถ่ายรูปความเนืองนองที่ล้นทะลักนั้นไม่หยุดมือ “มันช่วยไม่ได้จริง ๆ พี่ ของมันฟิต ผมหยุดไม่ทัน” เสียงพ่อเลี้ยงของนันหัวเราะชอบใจ “แม่ง มึงนี่ เล่นซะเลือดเลย ต่ออีกน้ำ ไหวมั้ยวะอีหนู” ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดที่จะเห็นใจอะไรทั้งสิ้น เพราะนันรับรู้ถึงสิ่งที่แทรกเข้ามาอีกครั้ง ที่ตอนนี้มันทำให้เขาเจ็บจนชาไปทั้งตัวและหัวใจ

“พอแล้ว นัน พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว” เจ้หวีร้องห้ามเสียงดัง ก่อนจะเดินไปสวมกอดนันเอาไว้จนแน่น “พวกระยำ พวกอัปรีย์” เจ้หวีด่าด้วยความรู้สึกเศร้าสลด กับสิ่งเลวร้ายที่นันได้ผ่านมันมา นันร้องไห้จนตัวโยนอยู่ในอ้อมแขนของเจ้หวี แฟนของเจ้นั้นได้แต่ส่ายหน้า หลังจากได้ฟังนันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“นันโง่เอง นันมันสกปรก นันมันชั่ว” เสียงตำหนิด่าทอตัวเองดังออกจากปากของนัน เจ้หวีรีบบอกว่า มันไม่ใช่ความผิดของนันเลยสักนิด “แกอย่าโทษตัวเอง แกไม่ได้ทำอะไรผิด พวกสัตว์นรกนั่นต่างหากที่แม่งชั่วช้า กูขอแช่งพวกมัน ระยำตำบอน แบบพวกมัน ต้องไม่ตายดี ต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสม ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” เจ้หวีกอดนัน ลูบเนื้อลูบตัวปลอบประโลมใจ

“แล้วที่ต้องโซซัดโซเซมาจนถึงร้านนี้ ก็เพราะไอ้เด็กผู้ชายคนนั้น แฟนเอ็งมันรู้เรื่องนี้เข้า” ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ ว่าที่แฟนเจ้หวีถามออกมา เป็นความจริงตามนั้น “โธ่เว้ย ใจแคบกันฉิบหาย ตัวมันเองก็ดูหนังสือพวกนี้ไม่ใช่หรือ ห่าเอ๊ย” แฟนของเจ้หวีนั้นรู้สึกเห็นใจนันอย่างที่สุด แต่ก็นั่นเอง ด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่ประสีประสาความซับซ้อนของชีวิตและอารมณ์มนุษย์ ก็คิดอำว่า สิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินคนอื่น นั้นถูกต้องสมควรแล้ว

“แกได้เล่าให้เจ้าเด็กท็อปฟังมั้ย นัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแก ทำไมแกถึงได้ไปมีรูปอยู่ในหนังสือพรรค์อย่างว่าได้” เจ้หวีถามนัน เมื่อเห็นว่า นันพอจะทุเลาอาการสะอื้นไห้นั้นลงแล้ว นันส่ายหน้าตอบปฏิเสธ “เขาไม่รับฟังอะไรเลย นันไม่มีโอกาสได้อธิบายอะไรทั้งสิ้น เขาไม่สนว่านันต้องการจะบอกอะไรเขา” นันเสียงสั่นเครือไปด้วยความเสียใจอย่างที่สุด

“ไม่เป็นไรนะนัน” เจ้หวีพูดกับนัน “แกปลอดภัยแล้วไม่มีใครทำอันตรายอะไรแกได้อีก แกอยู่กับฉันที่นี่ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น แกรู้ใช่มั้ย ว่าฉันเอ็นดูแกเหมือนลูกในไส้” เจ้หวีถาม ก่อนจะมองหน้านันที่พยักหน้าตอบมา “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แกอยู่กับฉันที่นี่ อยู่ได้นานเท่าที่แกต้องการ แกไม่ต้องกลัวอะไรแล้วทั้งนั้น แกรู้ใช่มั้ย ชีวิตแกไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายอีกแล้วนะ” เจ้หวีกอดนันแน่น ๆ หวังว่า ความรักและความปรารถนาดีจากหัวใจของแก จะแล่นผ่านเข้าไปในหัวใจของนัน ให้เด็กหนุ่มรับรู้

“ไม่ใช่ว่าจะมีเจ้หวีนะ แกมีทั้งเจ้หวีและฉันด้วยอีกคนนะ นัน” แฟนของเจ้หวีพูดกับนัน พยักหน้าให้นันเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของตัวเอง นันยิ้มจาง ๆ ออกมา ยกมือไหว้ ก่อนจสวมกอดเจ้หวีกลับ ในหัวใจพอจะชุ่มชื้นขึ้นมาได้สักหน่อย “ส่วนเรื่องหนังสืออะไรนี่ เดี๋ยวฉันจะไปดู ว่าจะทำอะไรได้บ้าง ไอ้พวกเด็กอโกโก้น่ะ ไม่เท่าไหร่ ใครไม่ฟัง ก็ไม่ให้พวกมันเชื่อตังค์กินข้าวอีก” แฟนของเจ้หวี ร่วมคิดช่วยหาทางออก

“เลยไปทางโน้น เคยเห็นแผงหนังสืออยู่สองสามแผง ขายหนังสือแบบนี้อยู่ จะไปดูให้ ว่ามีเหลืออยู่อีกมั้ย จะได้กว้านซื้อมันมาเผาทิ้งซะ ไปบอกพวกแผงว่า ถ้ามีมาอีกก็เหมาหมด เราทำเท่าที่ทำได้ โอเคนะนัน” นันรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่ทั้งสองผัวเมียมีต่อเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน แต่เจ้หวีและแฟน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อรับรู้ถึงทุกข์ของนันที่มีนั้น

ท็อปที่ยืนแอบฟังการสนทนานั้นอยู่ที่ด้านหน้าร้านของเจ้หวี คอตก ก้มหน้าด้วยความละอายใจกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไปทั้งหมด ทุกคำพูดของนัน ที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความชอกช้ำในหัวใจ จากความเจ็บปวดที่ต้องทนเก็บไว้ในใจ รอยช้ำตามร่างกายที่เกิดขึ้นจากการโดนทำร้าย เมื่อไม่ตกลงที่จะตกเป็นเบี้ยล่างของพ่อเลี้ยงและพวก

มีอย่างที่ไหน คนที่เคยบอก เคยสัญญา เคยพูดเสียใหญ่โต ว่าจะดูแล จะทำดี จะปกป้อง กลับกลายเป็นคนที่สร้างบาดแผลใหญ่ที่กรีดลึงลงไปกลางใจของนัน มันเลวร้ายและส่งผลในทันที มันถาวรและมันทำร้ายนัน คอยหลอกหลอนความรู้สึกของนันไม่เว้นแต่ละวัน ทุกครั้งที่ตื่นลืมตา ทุกคืนที่พยายามข่มตาหลับ มันชัดเจนจนยากที่นันจะลืมการกระทำนั้นของท็อป

ท็อปเสียใจอย่างที่สุด ที่เขาตัดสินนันด้วยความโง่เขลาของเขาเอง ไม่รับฟัง ไม่เห็นใจ ไม่มีแม้แต่ใส่ใจในความดีที่นันเคยมีต่อกัน เมื่อเขาเห็นนันกำลังอ่อนแอและอ่อนไหวกับอดีตที่ตามมาทำร้าย ท็อปมองเห็นตัวเองทำตัวเป็นปีศาจที่ร้ายกาจ เพิกเฉยต่อคำขอร้อง เสียงอ้อนวอน และเสียงคร่ำครวญ มองไม่เห็นถึงความจนตรอกของอีกฝ่าย ที่นันมองเห็นท็อปเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่สิ่งที่ท็อปทำคือผลักไสนัน ที่มันกลายมาเป็นภาพจำในความรู้สึกของนันไปแล้ว

ท็อปกัดฟันกรอด โกรธทุกคนที่ทำร้ายนัน โกรธเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และที่สำคัญ ท็อปโกรธตัวเองมากที่สุด มาถึงตอนนี้ เขาบอกตัวเองว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อแก้ปัญหานี้ให้นันให้ได้ ทุกอย่างมันจะต้องจบลง ไม่ว่ามันจะทำให้เขายังพอมีโอกาส ที่จะได้นันกลับมาอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม

************************************

คำแปลเนื้ร้องเป็นภาษาอังกษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=l_DT_NFpkJs


ถึงแม้ว่ามันจะไกลสุดไกลแสนไกล

Though it seems that this is an endless journey

และฉันก็คงจะไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง

And I may be able to go just halfway through

ในวันที่ฉันได้จับมือของเธอคราวนั้น

The moment I touched your hand that day

ฉันเหมือนได้เห็นทางเดินสู่หัวใจ

I already knew I saw the way to your heart


แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม

But from here, is it really far?

จากมือเธอนั้นไปสู่ใจ

From that hand to the very heart of yours


ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I don’t really know how long it’s gonna take

เพราะมันดูแสนจะยาวไกล

It seems like forever

ไกลสักเพียงไหน

Though it really certainly is

ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I’m not sure how far it’ s gonna be

ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป

I’m ready to take my chance

จะไปสู่กลางใจเธอ

To reach my destination, your heart


No Me Importa Si Todos Te Miran

I don’t care how people look at you

No Me Importa Lo Que Digan De Ti

I don’t care they may have opinions about you

No Me Importa Como Pasa El Tiempo

I don’t really care how long it now takes

Sabiendo Yo Que Tu Me Quieres

As long as I know that you love me


แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม

From where I am, is it still far?

จากมือเธอนั้น ไปสู่ใจ

From your hand to your heart


ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I don’t really know how long it’s gonna take

เพราะมันดูแสนจะยาวไกล

It seems like forever

No Lo Se

Don’t really know

ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I’m not sure how far it’s gonna be

ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป

I’m ready to take my chance

A Tu Corazon

To your very heart


แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม

From where I am, is it still far?

จากมือเธอนั้น ไปสู่ใจ

From your hand to your heart


ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I don’t really know how long it’s gonna take

เพราะมันดูแสนจะยาวไกล

It seems like forever

ไกลสักเพียงไหน

Though it really certainly is

ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร

I’m not sure how far it’s gonna be

ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป

I’m ready to take my chance

จะไปสู่กลางใจของเธอ

To the bottom of your heart


A Tu Corazon

My heart to yours
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๓๙. คิดถึงที่ลังเล ๒๘/๒/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 28-02-2023 20:38:45
บทที่ ๓๙. คิดถึงที่ลังเล



2566

2023



“คุณแม่ครับ วินรักคุณแม่นะครับ แต่วินคิดว่า วินได้เคลียร์เรื่องส่วนของวินเรียบร้อยแล้ว และไม่ว่าจะยังไง วินได้ตัดสินใจไปแล้ว และวินจะไม่เปลี่ยนใจ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กรอกเสียงพูดลงไปผ่านโทรศัพท์มือถือ “วิน ฟังแม่ก่อน ลูกไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนตัดสินใจอะไร เอาเป็นว่า ลูกเข้าบ้านมาก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อกับแม่” ยังไม่ทันที่แม่ของเขาจะพูดจบ

“วินพูดทุกอย่างไปครบแล้วครับคุณแม่ และคุณพ่อเองก็สัญญากับวินเอาไว้นานแล้ว ว่าโดยเฉพาะเรื่องนี้ วินคือคนที่คุณพ่อมอบสิทธิ์ให้ทำได้ทุกเรื่อง ตามแต่ใจของวินต้องการ” วินประหนึ่งว่า กำลังทวงถามสัญญาจากผู้เป็นพ่อเสียดื้อ ๆ สัญญาที่แม้แต่พ่อของวิน ก็นึกไม่ถึงว่ามันจะมีวันที่ต้องเกิดขึ้นจริง ๆ

“วินต้องขออนุญาตเสียมารยาทนะครับคุณแม่ วินขอวางสายตอนนี้ วินไม่อยากให้เขาได้ยินเรื่องที่ทำให้ต้องไม่สบายใจอีก วินเคยสร้างความลำบากใจ ก่อความเสียใจให้เขามามากพอแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับคุณแม่ แล้วเดี๋ยววินโทรหาวันหลัง” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวกดวางสายลงไปแล้ว ผู้เป็นพ่อและแม่ได้แต่สบตากัน จนใจกับสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้กับลูกชาย เพราะตอนนั้น ทั้งสองคนไม่คิดว่า สิ่งที่ลูกชายเล่าให้ฟัง มันจะเป็นเรื่องจริงได้

“มีอะไรหรือเปล่า หน้าดูซีเรียสเชียว” วินหันไปมองทางต้นเสียง ตฤณที่เดินเข้ามาพอดี ถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูเคร่งขรึมขึ้น แต่พลันพอวินได้ยินตฤณถามแบบนั้น สีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่ม ก็ปรับเปลี่ยนไปในทันที “ไม่มีอะไรสักหน่อย” วินยิ้มออกไปในทันที ก่อนจะมองเห็นของที่อยู่ในมือตฤณ

“คิดถึงนะ ว่ามั้ย” ตฤณไล่สายตาตามเด็กหนุ่ม กำลังมองมาที่ของที่เขาถืออยู่ ยังไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย ว่าไปหามันเจอได้ยังไง” น้ำเสียงของตฤณนั้นจริงจังอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับจะคาดคั้นอีกฝ่าย “ก็ไม่ยาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่ายเท่าไหร่” วินพูดทำทีสำบัดสำนวน ตฤณส่งสายตาดุเข้าใส่ วินหัวเราะออกมาแบบชอบใจ

“ไม่มีอะไรที่วินทำไม่ได้นะตฤณ” ตฤณมองดูแววตาของเด็กหนุ่ม ที่มันมีความมุ่งมั่น มีความมั่นใจในตัวเองอยู่เต็มเปี่ยม “มันไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว ที่ว่าอะไร ๆ ก็ต้องหดหัวหรือยอมในเรื่องที่ไม่ควรจะต้องยอม” วินสบตากับตฤณแบบที่ว่า สองคนรู้กันว่าวินกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะอยู่ ๆ คิดจะหามันเจอ ก็ทำได้เลย” ตฤณวางหนังสือรุ่นลงบนโต๊ะ วินยิ้มออกมา เด็กหนุ่มดูภาคภูมิใจไม่น้อย ที่ทำให้ตฤณดูทึ่งและประทับใจได้ในคราวเดียวกัน “ก็อาศัยเวลา คอนเนคชั่น และเงินมากหน่อย” วินบอกกับตฤณตรง ๆ กับวิธีที่เขาใช้กับการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

“กังวลเรื่องไหนมากกว่ากัน” วินถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากให้คนถูกถามต้องเป็นกังวล “ว่าวินได้มายังไง หรือว่า” เด็กหนุ่มหยุดเล็กน้อย “หรือว่าวินได้มันมาจากใคร” ก่อนจะพูดท้ายประโยคนั้นออกมา ตฤณสบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตา ส่ายหน้าอย ๆ หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงลืมตาเพื่อมองเห็นวินส่งยิ้มมาให้อยู่ก่อนแล้ว

“ชื่อวินแปลว่าชัยชนะ” เด็กหนุ่มขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ กับตฤณ “อย่ากังวลไปเลยนะ” เสียงที่อ่อนโยนกำลังปลอบประโลมตฤณให้รู้สึกได้อย่างที่เคยจำได้แต่ก่อนเก่า “วินไม่เคยแพ้” วินไม่พูดเปล่าดันเบา ๆ ให้ตฤณนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่แสนแพงหนานุ่มนั้น “ถ้าวินต้องการอะไรแล้ว วินไม่เคยพลาดที่จะเอามาไว้ในครอบครอง” วินพูดพร้อมกันทรุดตัวลงนั่งตามตฤณ

“ถ้าตฤณอยากรู้ว่า วินได้เจอพะพวกเขาหรือเปล่า ตอนที่ไม่รับหนังสือรุ่นนี้มา” ตฤณมองเด็กหนุ่มอาศีรษะหนุนลงบนตักของเขา “ตฤณแค่บอกวิน แล้ววินจะเล่าให้ฟังทั้งหมด” วินจับมือของตฤณมากุมเอาไว้ บีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจส่งไปถึงหัใจและความรู้สึกของอีกฝ่าย ตฤณมองดูวินนอนหนุนตักเขา ภายในใจกำลังต่อสู้กันระหว่างความอยากรู้ และอาการดึงตัวเองให้อยู่เหนือความรู้สึกเก่าที่แสนเจ็บช้ำนั้น

“หอมจัง” หลังจากที่ทั้งสองทิ้งช่วงบทสนทนาไปพักใหญ่ วินที่จับมือของตฤณมาหอมก็พูดขึ้น “ยังมีขายอยู่อีกหรือเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย” ตฤณส่งเสียงอืมสั้น ๆ ในลำคอแทนคำตอบ เมื่อวินถามถึงครีมทาผิวที่ตฤณนั้นใช้มานาน และที่น่าประหลาดใจก็คือ มันยังเป็นยี่ห้อเดียวกันนี้ ที่มีขายมาจนถึงปัจจุบัน

“ขายดีขนาดนี้เชียวหรือ ไม่ใช่ว่าตฤณหรอกนะ ที่ไปเหมามาใช้จนหมด” วินแหงนหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะเห็นว่า ตฤณหัวเราะออกมา ไม่ได้ตอบปฏิเสธ “ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ซื้อมาเรื่อย ๆ” อะไรบางอย่างทำให้ตฤณเองเพิ่งรู้สึกตัวว่า เขายังคงความทรงจำบางอย่างเอาไว้กับตัว ด้วยการกระทำที่ตัวเองไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ มันเหมือนกับว่า มันคือสิ่งที่แสดงถึงความรู้สึกจากจิตใจที่ได้ไหลล้นออกมาภายนอก เพียงแต่ไม่มีใครล่วงรู้

“สบายดีจัง” วินขยับตัวให้หันมานอนหงายหนุนตักของตฤณ “อยากอยู่ด้วยกันไปแบบนี้” ตฤณมองดูวินดึงมือของเขาไปวางไว้อยู่บนหน้าอกของตัวเอง “เวลามันช่างยาวนาน” วินพูด มองไปที่ใบหน้าของตฤณแบบไม่คลาดสายตา “มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเหมือนกันนะ เวลาที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ โดยไม่มีอะไรหรือใครมาบอกว่า นั่นไม่ได้ความ นี่ไม่ถูกต้อง” วินพูดด้วยความรู้สึกโล่งในใจ กลิ่นหอมจากตัวของตฤณ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลาย

“เราจะจูบกันได้หรือยัง” วินยกมือขึ้นจับที่คางของตฤณเบา ๆ ก่อนจะลดมือลงมากุมมือของตฤณเอาไว้ “เป็นเด็กเป็นเล็ก” ตฤณทำพูดดุใส่เด็กหนุ่ม “ก็แค่เด็กจากสายตาที่คนอื่นมองเห็นเท่านั้น” วินค้าน ตฤณส่ายหน้าให้กับนิสัยของเด็กที่อยากจะเอาชนะ “ตอนขึ้นเขานั่น ก็ห้ามใจเอาไว้แทบแย่” ภายในเต็นท์เล็ก ๆ อากาศหนาว ๆ สองคนได้ใกล้ชิดกัน ไออุ่นจากที่ได้สัมผัสเคียงข้างนั้น ทำให้อารมณ์ความรู้สึกที่มีนั้นหวั่นไหว

“อายุยี่สิบก่อน ค่อยมาว่ากัน” ตฤณพูด พลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “เด็กแบบนี้ จะจูบอะไรเป็นกับเขา” ตฤณทำหน้าเชื่อ ว่าเด็กหนุ่มจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ขอ “ถ้าเห็นว่าวินเด็ก ไม่ประสีประสา” วินพูดขึ้น สายตานั้นกะลิ้มกะเหลี่ยอีกฝ่ายชัดเจน “ตฤณก็สอนสิ สอนให้วินทำเป็น วินจะได้จูบแบบที่ตฤณเคยชอบ” เกือบหลบไม่ทัน เพราะไม่ได้ระวังตัว ตฤณหลบความพยายามที่จะขโมยจูบของวิน ได้อย่างฉิวเฉียด

“ขี้โกง” วินประท้วง หลังพลาดจากที่กะเอาไว้ “ใครกันแน่ที่ขี้โกง” วินหัวเราะออกมา หลังจากโดนตฤณตีเข้าให้ที่ต้นแขน “ใครสั่งใครสอนกัน ให้ทำอะไรแบบนี้” ตฤณทำท่าว่าตัวเองโตกว่า ดุเด็กหนุ่มเข้าให้ “หัวใจดวงนี้ไงที่สั่ง” วินที่กุมมืออีกข้างของตฤณอยู่ เอามันไปแนบที่อกข้างซ้ายของตัวเอง พร้อมกันขยี้เบา ๆ ที่หัวใจของเขา ตฤณรับรู้ได้ถึงใจของเด็กหนุ่มที่เต้นตึกตัก

“แพรวพราวเหลือเกินนะตอนนี้” ตฤณว่าเข้าให้ “ก็ไม่อยากรอแบบที่เคยทำแล้วนี่” วินให้เหตุผลกับอีกฝ่าย “การรอที่ทำให้ลังเลไปหมดเสียทุกอย่าง ก็ไม่ได้ทำให้ได้อะไรที่ดีคืนมาสักอย่าง” แวบนั้น แววตาของวินเหมือนกระหวัดไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว “ไม่อยากรอจนต้องพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปอีกแล้ว” น้ำเสียงของวินนั้นฟังดูหนักแน่น

“ไม่อยากมองเห็นคนที่สำคัญกับหัวใจ หลุดมือไปอีก” ตฤณมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่ม ที่แสดงออกว่า เขาไม่ได้เพียงแค่พูดเพื่อให้ฟังดูดีเท่านั้น แต่สิ่งที่ออกมาจากใจ ผ่านทางคำพูดของเขานั้น มันคือสิ่งที่วินรู้สึก “เวลาผ่านมาเนิ่นนาน” ตฤณพูดขึ้น ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “มันก็มีหลายเรื่องให้ยังต้องคิด” ตฤณนั้น กว่าจะถึงตอนนี้ได้ ได้ผ่านเรื่องราวมามากมายสารพัน

“บางทีคนเราก็ไม่ได้หลีกพ้นจากตัวตนจริง ๆ ไปได้ไกลอย่างที่ใจคิด” ตฤณพูดอย่างคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร “แน่นอน มันง่ายกว่าที่จะทำเป็นไม่แคร์ใครทั้งนั้น ไม่สนใจว่าใครจะคิดหรือรู้สึกอะไร” สิ่งที่ตฤณพูด เขาได้ทั้งทำและผ่านมันมาแล้วทั้งนั้น “แต่สุดท้าย สิ่งที่เราพยายามวิ่งหนี สิ่งที่ผมพยายามบอกว่า ผมไม่ได้เป็น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมันแล้ว” ตฤณมองดูใบหน้าของวินที่นอนหนุนตักเขาอยู่

“ทุกสิ่ง มันก็กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง” สายตาของตฤณ ไล่พินิจพิเคราะห์โครงหน้า ดวงตา สันจมูก ริมฝีปาก คาง ที่รวมกันเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งอย่างวิน “มันเหมือนหลับไปพักใหญ่ ๆ ฝันอะไรต่อมิอะไรปนเปไปหมด แล้วก็ตื่นขึ้นมาพบว่า ความเป็นจริงนั้นมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แม้ว่าความทรงจำยังคงเดิม” ใบหน้าของวินนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับใครคนนั้นที่ใจของตฤณ ได้จดจำไว้

“นั่นก็คือสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับวิน” เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่า ตฤณกำลังพูดแทนใจเขา “วินหลับไปพักใหญ่ ๆ แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมความจริงอันใหม่” วินไล่มองใบหน้าที่เขาเห็นแค่เพียงครั้งแรก ก็รู้สึกได้ทันที ถึงความคุ้นเคยและใกล้ชิดอย่างประหลาดนั้น “กับหัวใจที่มีความรู้สึกเดียว” วินยกมือของตฤณขึ้นมาหอม สบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ๆ

“ด้วยความทรงจำอันเดิม” วินบอกกับตฤณออกไป “มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง” ตฤณรู้สึกได้ถึงมวลอารมณ์ก้อนมหึมา ที่ไหลประดังประเดเข้าหาเขา “อยู่ใกล้ ๆ วินนะ อย่าไปไกลจากวิน ตฤณ” เสียงอ้อนวอนนั้น ทำให้ตฤณรู้สึกใจสั่นสะท้าน “นะครับ” วินที่หลับตาลง รับรู้ถึงรอยจูบเบา ๆ ที่สัมผัสลงมาที่หน้าผากของตน “ตอนนี้ เอาไปแค่นี้ก่อน” ตฤณต่อรอง แต่วินขมวดคิ้ว ส่งสัญญาณว่ามันยังไม่พอ เขาต้องการมันมากกว่านี้ “อย่าเป็นเด็กเอาแต่ใจ” ตฤณดุวินอีกครั้ง กับการเป็นผู้ใหญ่ที่แม้อยากจะทำอะไรตามแต่ใจต้องการ ก็ยังต้องยั้งใจเอาไว้อยู่เสมอ

“อย่าเพิ่งมาวุ่นวาย ตอนนี้ฉันกำลังยุ่ง” นักข่าวสาวที่เคยสัมภาษณ์หนุ่มใหญ่อย่างนฤเบศบอกปัดรุ่นน้องในสำนักงาน ที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน “เจ้ไม่อยากได้ข่าวเอ็กซ์คลูซีฟ ระดับทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ หรือไง” รุ่นน้องจีบปากจีบคอถาม เพื่อต้องการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนักข่าวรุ่นพี่

“ถ้าข่าวระดับนั้นจริง หูตาเป็นสับปะรดอย่างฉัน จะพลาดไปได้ยังไง แกอย่ามาโม้ ถ้าเป็นแค่ดาราหางแถวตั้งวงนินทาหรือตบตีกัน ฉันขอผ่านนะ เสียเวลา เสียดายพื้นที่หน้าข่าว” นักข่าวสาวรุ่นพี่ ทำท่าไม่สนใจอะไรที่ไม่ใช่เรื่องเด็ดจริง “ไม่อยากจะบอกว่า รู้น้อยเป็นเหมือนกันหรือฮะ” รุ่นน้องทำหน้าเหนือกว่า ราวกับเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ก่อนจะกดคลิปในโทรศัพท์ให้รุ่นพี่ได้ดู

“แกไปเอามาจากไหน แกได้มายังไง เดี๋ยว นี่มัน” นักข่าวรุ่นพี่คว้าโทรศัพท์มือถือจากมือรุ่นน้องไปเลื่อนดูกลับไปกลับมา “แบบนี้ น้องจะเรียกเงินได้เท่าไหร่กันคะคุณพี่ ค่าคลิปของไฮโซนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ที่กำลังกอดคู่ขาออดอ้อนขอความรักกันแบบนี้” นักข่าวสาวเอง กำไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นเช่นกัน

“ฉันให้เธอสมน้ำสมเนื้อแน่นอน อย่าห่วงเลย” นักข่าวสาวกำลังคำนวณถึงยอดวิว ยอดแชร์ ยอดเอนเกจเม้นท์ ที่จะทำให้เพจข่าวของเธอนั้นกำลังจะสร้างกระแสถล่มทลาย จากความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคาว ๆ ของคนในสังคม “เผอิญหนูเคยกุ๊กกิ๊กกับคนคุมกล้องวงจรปิดในคอนโดนั้น” หนุ่มนักข่าวรุ่นน้องสาธยาย “ได้กินผู้ชายไม่พอ และก็ได้คลิปนี้ติดไม้ติดมือมาด้วย” นักข่าวสาวรุ่นพี่ หัวเราะให้กับความกระสันซ่านของรุ่นน้อง

“เอาคลิปลงเลย” นักข่าวสาวสั่งงานทันที “สร้างแอคหลุมขึ้นมา ปกปิดร่องรอยให้ดี อย่างที่เคยทำ” ของแบบนี้ มันต้องเป็นเพจของเธอที่เป็นเจ้าแรกในการขยี้ขยำ “แล้วเพจเราก็อ้างว่า เอามาจากคนอื่นที่เขาเม้าท์กัน แค่เอามาขยาย ไม่ได้เป็นคนต้นเรื่อง” สองนักข้างรุ่นพี่รุ่นน้อง หัวเราะให้กับเรื่องที่กำลังจะสั่นสะเทือนชีวิตใครหลาย ๆ คน

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=CnAaByxzsxI


ใกล้ได้แค่ไหนที่ดูยังไม่น่าเกลียด

How close is too close that it looks tedious?

อยู่ไกลแค่ไหน ที่ฉันจะไม่ต้องเสี่ยง

How far is too far and I’m not taking risks?

ต้องเก็บอาการแค่ไหนให้ดูเป็นแค่เพียง

How much I need to keep it hidden so we look

คนเพิ่งรู้จักกัน

Like casual friends


ต้องห่างกันอีกนิด เดี๋ยวมันจะดูใกล้ไป

A little bit far away from you, well it seems we’re too acquainted

แต่หากว่าฉันหายก็กลัวว่าเราต้องห่าง

But what if I’m too far from you, we’re not in touch

จะต้องเข้าไปชิดหรือต้องมีช่องว่าง

Am I supposed to close the gap and be in your presence?

ที่เว้นไว้ระหว่างเรา

So, we’re close at a good range


คิดเก็บไปคิดและบางทีเก็บไปฝัน

Think, I’m thinking and dreaming away

เรื่องเธอกับฉันอีกแล้วไง

The dream’s about you and me, always

คิดได้แต่คิดแต่ไม่เคยตอบคำถามที่ค้างคาในใจ

Think this, and thinking again with no answers to questions on mind


ไม่ใช่ไม่รู้สึกแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะรู้สึกได้เท่าไร

Not that I’m not feeling for you, but hey!, how much can I actually feel?

คิดวนไปอย่างนี้

It’s on and on and on


อยากหลบตาแต่ก็กลัวจะเสียเวลาได้มองเธอ

Avoiding have the eye contact but afraid I’d miss something

อยากเก็บความลับเอาไว้ก็กลัวเธอจะเผลอ

Keep the secret safe, yet fear that you would then

ตกไปเป็นของใคร ถ้าช้าเกินไปกว่านี้

Be swept away by someone if I hold it out


ไม่อยากให้เธอรู้แต่ถ้าเธอไม่รู้ก็คงจะไม่ดี

Don’t want you to know, but you have got to know this

ต้องบอกกับเธอตอนไหน หรือว่าเป็นตอนนี้

Is it okay now to say something now or is it some other time?

เธอทำให้คนหนึ่งเขาต้องลังเล

You’re making me so confused and hesitant

ก็ใจฉันกำลังเซเพราะเธอ

My heart is now going crazy because of you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๐. คิดถึงที่ขอโทษ ๔/๓/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-03-2023 20:30:46
บทที่ ๔๐. คิดถึงที่ขอโทษ



2537

1994



“ใจลอยไปถึงไหนกันคะทิว” เสียงพูดแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนนั้น ทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “หนูจุ๋มถามดี ๆ นะ ทิวถึงกับต้องถอนหายใจเลยหรือ นี่ทิวกำลังจะบอกใช่มั้ย ว่าการอยู่กับหนูจุ๋มมันน่าเบื่อมากขนาดนั้น” เสียงพูดกระแทกกระทั้นมากกว่าจะกระเง้ากระงอด เพื่อให้อีกฝ่ายเอาใจเหมือนที่เคยทำมาทุกครั้ง

“พูดสิคะ นิ่งเงียบอยู่ทำไม ตอบมาเลย ว่าหนูจุ๋มมันน่าเบื่อ จนทิวถึงกับต้องแสดงท่าทีทั้งเบื่อทั้งเซ็งใส่กัน” ทิวได้แต่อดกลั้นความรู้สึก นิ่งเงียบเอาไว้ ไม่ได้ปริปากออกไปตามที่หนูจุ๋มเซ้าซี้ “ถ้าไม่พูด ก็แสดงว่าจริง ทำไมคะทิว กับแค่คำถามง่าย ๆ ตอบสบาย ๆ มันจะอะไรกันนักหนา ทำไมทิวถึงได้ทำกับหนูจุ๋มแบบคนไม่มีใจกัน” ทิวฟังที่หนูจุ๋มร่ายยาว ก็ไม่แน่ใจว่า เขาควรจะถอนหายใจออกมาอีกสักรอบดีหรือไม่

“ทิวคงเหนื่อย ทั้งเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยและก็เรื่องอื่น ๆ” ทิวตอบออกไปแบบกลาง ๆ นึกสงสัยตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเดี๋ยวนี้ตัวเขาต้องสรรหาข้อแก้ตัวมาพูด เพื่อให้ตัวเองรอดจากการโดนจับผิด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ทิวไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้ มันมีแต่ความสบายเนื้อสบายตัว มันมีแต่ความสบายใจที่รู้สึกได้เลย ว่าชีวิตมีแต่เสียงหัวเราะและความสุขอยู่รายล้อมตัว

“เหนื่อย” หนูจุ๋มแค่นคำพูดนั้นออกมา “อยู่กับหนูจุ๋ม ทิวเหนื่อยมากเลยสินะคะ” ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด นั่นคือความคิดที่แวบเข้าหัวทิวในทันที “ที่หนูจุ๋มทำทุกอย่าง ก็เพื่อให้เราสองคนมีความมั่นคงมากที่สุดในชีวิต” หนูจุ๋มผลักเอกสารการเรียนต่อต่างประเทศออกจากตัว มันไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทิว มันเป็นกิริยาที่ทิวชักเริ่มจะหมดความอดทน ที่หนูจุ๋มทำเหมือนกับว่า เขาเป็นเบี้ยล่างอยู่เสมอ

“คุณพ่อของหนูจุ๋มเป็นผู้ว่าฯ จะให้หนูจุ๋มมาอยู่กับคนที่ไม่คู่ควรไม่ได้หรอกนะคะ” ทิวเงยหน้าขึ้นมองหนูจุ๋มทันที เขาเห็นความเย่อหยิ่งอยู่ในใบหน้า และความอวดดีถือตัวอยู่ในแววตาของหนูจุ๋ม “ทิวต้องประสบความสำเร็จในชีวิตระดับไหนกันแน่” ทิวถามออกไปด้วยความรู้สึกของคนที่รู้ตัว ว่าตัวเองได้สูญเสียคนที่เข้าใจเขามากที่สุดในชีวิตไปแล้ว

“ทิวหัวเราะอะไร มีอะไรน่าขำนักหนา หรือว่าทิวหัวเราะเยาะหนูจุ๋ม” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ที่ลุกขึ้นยืน และยังหัวเราะไม่หยุด “ทิวขำตัวเองน่ะ หนูจุ๋ม” ทิวพูดออกมา สายตามองไปที่เอกสารการเรียนต่อเมืองนอกนั้น เสียงของใครบางคนดังเข้ามา ว่าจะไปเรียนคณะดนตรีด้วยกัน ทิวนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น จนภายในใจมันเจ็บจนจุกไปหมด

“ทิวเข้าใจตัวเองแล้วล่ะ ว่าอะไรที่ทิวต้องการ” ทิวมองหน้าหนูจุ๋ม สบตากับเด็กสาวตรง ๆ “ใครกันที่ทำให้ทิวมีความสุข ต่อให้คนทั้งโลกจะมองว่า มันคือความผิดก็ตาม” ตอนนี้ทิวว่า เขาพอจะรับรู้แล้ว ว่าความรู้สึกนี้ เคยเกิดขึ้นกับใครบางคน คนที่เคยยืนมองเขาจากไปกับคนอื่น ความเจ็บปวดนี้จะให้เขาบรรยายมันออกมาอย่างไรดี

“หนูจุ๋มไม่มีทางยอมให้ทิว กลับไปหาอีพวกลักเพศลักปิดลักเปิด ลักกินขโมยกิน แบบอีกั้งนั่นอีก” หนูจุ๋มตะโกนออกมาจนสุดเสียง เมื่อเห็นว่า อยู่ ๆ ทิวก็จะเดินออกจากบ้านไป ทิวหยุดเท้า รับรู้ว่าหนูจุ๋มนั้น รู้เรื่องของกั้งมาโดยตลอด “หนูจุ๋ม คนที่ลักขโมยกิน ไม่ใช่กั้งนะ ทิวรับรองได้ เพราะว่ากั้งเขามาก่อน” ใบหน้าของหนูจุ๋มนั้นแสดงอาการโกรธเกรี้ยวเดือดดาล

“ทิว กล้าดียังไง” หนูจุ๋มละล่ำละลักไปด้วยความโมโห “ทิวกล้าดียังไง ที่เอาอีวิปริตนั่น ยกมันมาตีเสมอ เอามันมาเปรียบเทียบกับคนมีชาติตระกูลอย่างหนูจุ๋ม” ทิวยืนนิ่ง ๆ มองดูหนูจุ๋มกรีดร้องออกมาแบบสุดเสียง “ทิวได้กับกั้งก่อน หนูจุ๋มสิ ที่ลักทิวจากกั้งไปกิน” ทิวรุ้ ว่าเขาไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ แต่นั่นยังไม่เท่า ที่เขาปล่อยให้ตัวเองมีอะไรเกินเลยกับหนูจุ๋ม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีใจให้เด็กสาวคนนี้เลยสักนิด

“ทิว ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้วิปริต ไอ้คนชั้นต่ำ ไปตายซะไป” ทิวก้มหัวให้กับคำด่าเหล่านั้นของหนูจุ๋ม ใช่ เขาเป็นแบบที่โดนด่านั่นจริง ๆ แหละ “เสียงดังอะไรกัน ทิว เกิดอะไรขึ้นลูก หนูจุ๋ม ใจเย็น ๆ ก่อน ไหนทิว บอกแม่ซิ ว่าทำไมหนูจุ๋มถึงได้โกรธอะไรมากมายขนาดนี้” แม่และพ่อของทิวเดินเข้ามาดู เมื่อได้ยินเสียงเอะอะด่าทอกันดังลั่นไปหมด เพราะก่อนหน้านี้ ก็เห็นว่าทิวและหนูจุ๋มนั่งคุยกันอยู่ดี ๆ จนพ่อและแม่ของทิวปล่อยให้ทั้งสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ ทิวแค่บอกให้หนูจุ๋มเขาเข้าใจ เรื่องลำดับก่อนหลังง่าย ๆ น่ะครับ” แปลก ทิวบอกกับตัวเอง อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเองนั้นเบาขึ้นครึ่งหนึ่งจากความหนักอึ้งที่มีก่อนหน้านี้ “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะ” หนูจุ๋มพูดขึ้นด้วยเสียงเคียดแค้นชิงชัง ด้วยความรู้สึกที่โดนอีกฝ่ายหยามหน้ากันขนาดนั้น

“ทิวเขากำลังจะกลับไปหา กะเทยคู่ขา ที่เคยทำเรื่องวิปริตกันมา” มาถึงตอนนี้ ทิวมั่นใจเต็มที่แล้ว ว่าเขาได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตไปแล้ว “หนูจุ๋ม หนูพูดเรื่องอะไร เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว” พ่อของทิวพูดขึ้นในทันที “ทิว ไหนบอกพ่อซิ ว่าอะไรมันเป็นอะไรกันแน่ แกไม่ได้ทำแบบที่หนูจุ๋มเขาพูด บอกเขาไปสิ ทิว” พ่อของทิวผลักที่หัวไหล่ของเขา เพื่อเร่งให้ทิวพูดอะไรออกไปบ้าง

“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่นอนหนูจุ๋ม ลูกชายแม่คนนี้ แม่เลี้ยงมาเองกับมือ ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง นิสัยใจคอเป็นแบบไหน ชอบอะไรไม่ชอบอะไร อย่างทิวน่ะ ไม่มีทางทำเรื่องอะไรแบบนั้นแน่นอน หนูจุ๋มสบายใจได้ นี่ไปเอาอะไรที่ไหนมาพูด พูดเล่นกันแบบนี้ แม่ใจคอไม่ดี แล้วมีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันสิจ๊ะ อย่าขึ้นเสียงเอะอะกัน มันไม่ดีหรอกลูก” แม่ของทิว พยายามพูดไกล่เกลี่ยให้สถานการณ์ตรงนั้นดีขึ้น

“เอ้า เจ้าทิว แกก็พูดอะไรออกมาสักหน่อยสิ เคลียร์เรื่องนี้ให้หูจุ๋มเขามั่นใจ ยืนนิ่งอยู่ได้ นี่ผู้หญิงเขาคิดไปไกล เตลิดไปกันใหญ่แล้ว เรื่องทุเรศพรรค์อย่างว่าแบบนั้น แกจะไปทำได้ยังไง ใช่มั้ย เอ้า บอกเขาไป ปล่อยให้หนูจุ๋มเขาเข้าใจผิดแบบนี้มันไม่ดีนะ เสียเหลี่ยมลูกผู้ชายอย่างเราหมด จริงมันวะ ไอ้ลูกหมา” พ่อของทิวพูดแหย่ลูกชายของตัวเอง ทิวมองหน้าแม่และพ่อของเขาทีละคน

“ระวังคำพูดของตัวเองเอาไว้บ้างก็ดีนะคะ พูดจาอะไรเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะประเภทที่เรียกลูกตัวเองว่าไอ้ลูกหมา หนูจุ๋มเป็นห่วงค่ะ กลัวว่าจะไม่ได้มีแค่ลูกหมาน่ะสิคะ” ทิวไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหนูจุ๋ม โดยที่พ่อกับแม่ของทิวเองก็ตกใจไปกับคำพูดของเด็กสาวชาติตระกูลดีคนนี้ ที่พูดให้ทั้งผู้อาวุโสกว่าทั้งสองอย่างพวกเขา รู้สึกได้เลยว่า กำลังโดนเด็กสาวถอนหงอกเข้าให้

เจ้หวีอึก ๆ อัก ๆ ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด ทำเหมือนมีอะไรจะบอก จะเรียกกั้ง แต่เจ้แกก็ไม่ยอมพูดมันออกมาเสียที กั้งนั้นทำทีไม่สนใจ จัดนั่นทำนี่ เรียงแก้ว คว่ำจาน รออยู่เหมือนกันว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นที่เจ้หวีรวบรวมความกล้า แล้วพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดออกมา หรือจะเป็นตัวกั้งเอง ที่หมดความอดทน แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนเสียเอง

“เจ้มีอะไรเนี่ย” สุดท้ายก็เป็นกั้งที่เป็นฝ่ายแพ้ “จะพูดก็ไม่พูด ยึก ๆ ยัก ๆ อยู่นั่นแหละ มีอะไรกับหนูกันแน่เนี่ย” กั้งพูดกลั้วขำ แต่มันก็ดูแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เจ้หวีแกจะขำไปด้วย “ก็” เจ้หวีนั้น ปรึกษากับแฟนมาทั้งคืนจนมาหลับเอาจนเกือบรุ่งเช้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่เจ้แกก็ยังทำเหนียมไปมา ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก” ถ้ามาแบบนี้ แสดงว่าเจ้ต้องมีอะไรในใจอย่างแน่นอน “เจ้ อย่าลีลา พูดมา” กั้งทำพูดแบบรำคาญออกไป หวังใจว่า จะถูกเจ้หวีด่าอย่างทุกที “เดี๋ยวนะ หนูพูดจาใส่เจ้ขนาดนี้แล้ว เจ้ยังไม่แว้ดใส่หนู เจ้หวี ถ้าหนูทำอะไรผิด ล่วงเกินเจ้ไป หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เจ้หนูขอโทษ เจ้หายโกรธหนูนะ” กั้งยกมือปลก ๆ ไหว้เจ้หวี อย่างคนที่กลัวว่า ได้พลั้งเผลอทำให้ผู้มีพระคุณไม่พอใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้น แกไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก” เจ้หวีปัดมือปัดไม้ บอกว่าไม่ใช่อย่างที่กั้งนั้นกลัว “ขอโทษครับ” ยังไม่ทันที่เจ้หวีจะพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงทักดังขึ้นจากที่ประตูหน้าร้าน กั้งหันไปมองตามเสียงนั้น “มาทำไม ที่นี่ไม่ต้อนรับ” น้ำเสียงแข็งกระด้างออกจากปากของกั้งในทันที “กั้ง” เจ้หวีเรียกชื่อของเด็กหนุ่มแบบเตือนสติ

“ทิวมาหากั้ง อยากเจอ ทิวอยากคุยด้วย” เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึง “สวัสดีครับเจ้” ยกมือไหว้ทำความเคารพผู้อาวุโสกว่า ยิ้มให้แบบเด็กที่เข้าทางผู้ใหญ่ เพื่อเข้าหาอีกฝ่าย “ผมขอเวลาคุยกับกั้งสักเดี๋ยวจะได้มั้ยครับ” ทิวกล่าวขออนุญาตจากผู้ใหญ่ฝ่ายของกั้งอย่างนอบน้อม ต่อหน้ากั้งที่ทำท่าทางปั้นปึ่งใส่ทิว

“กั้ง มีอะไรค้างคาใจกัน ก็ไปคุยกันให้เรียบร้อย อย่าทิ้งไว้ให้มันเกาะกินใจกันอยู่ มีอะไรก็พูดออกไปซะ ในขณะที่ยังคงรับฟังได้ยินอีกคนพูดอยู่ อย่าให้มันเป็นบ่วงผูกติดคอเราไป” เจ้หวีบอกให้กั้งพาทิวออกไปคุยที่ด้านหลังร้าน เพื่อให้เป็นส่วนตัวมากกว่าออกไปหน้าร้าน หรือว่าคุยกันตรงนี้ ทิวยกมือไหว้ของคุณเจ้หวี กั้งทำท่าอิดออด แต่เมื่อเป็นคำสั่งกึ่งคำแนะนำจากเจ้หวี ที่มีแต่ความหวังดีให้กับกั้ง เด็กหนุ่มก็ทำตามแต่โดยดี

“กั้งผอมไปนะ ปกติก็ผอมอยู่แล้ว” ทิวเอ่ยขึ้น เมื่อทั้งสองอยู่กันตามลำพังแล้ว กั้งที่ยืนพิงกำแพงตึก หันหน้าไปอีกทาง “ทิวเองก็ผอมลงเหมือนกัน” ทิวทำพูดติดตลก “เนี่ย เพราะไม่มีใครทำของโปรดให้กิน” ก่อนทิวจะทำท่าใช้มีดสับหมูให้กั้งดู แล้วต้องยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เมื่อกั้งไม่ยอมหันมามองเขาเสียด้วยซ้ำ

“ยกโทษให้ทิวได้มั้ย กั้ง” ทิวถามขึ้น เสียงของเขาไม่ได้มั่นใจเลยสักนิด กับคำตอบของอีกฝ่ายที่จะมีให้ “มันไม่มีอะไรที่กั้งต้องยกให้” กั้งพูดออกมาในที่สุด แม่จะยังไม่หันมามองทิวก็ตาม “มีสิ” ทิวรีบพูดขึ้น “มีสิ มีมากด้วย” ทิวเสียงอ่อนลง “กับความผิดที่ทิวได้ก่อเอาไว้ ทิวทำให้กั้งเสียใจ เป็นต้นเหตุที่ทำให้กั้งโดนทำร้าย” กั้งฟังแล้วก็พยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้

“เจ็บมั้ย” ทิวเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของกั้ง “แค่เจ็บกายน่ะ แป๊บเดียวก็หาย” กั้งเลื่อนหน้าออกจากปลายนิ้วแผ่วเบาของทิว “แล้วที่เจ็บใจล่ะ จะหายได้หรือเปล่า” คำถามนั้นของทิว ทำให้กั้งหันไปสบตากับทิว “แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้อนแข็งอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาจุกอยู่ที่คอหอยของเด็กหนุ่มทั้งสองคน

“นี่ถ้าจะมาถามแค่นี้ เสร็จแล้วก็กลับไปเถอะ” กั้งทำทีโวยวาย หลบซ่อนกลบเกลื่อนความรู้สึกที่มันกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจ “จะมาหากันทั้งที นี่กั้งก็หวังว่าจะได้เห็นการ์ดงานแต่งนะ ไหนล่ะซองช่วยงาน จะได้ใส่สักหน่อย” กั้งทำพูดพลางหัวเราะพลาง ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาตอนนี้เจ็บจนอธิบายเป็นคำพูดออกมาไม่ถูก

“ถ้ามันจะมีการ์ดงานแต่ง มันก็จะมีชื่อของทิว” เด็กหนุ่มพูดขึ้น ก่อนจิ้มนิ้วไปที่ตัวของอีกฝ่าย “กับชื่อของกั้งอยู่บนการ์ดสิ รู้ใช่มั้ย” กั้งพยายามอย่างที่สุด ที่จะไม่ร้องไห้ออกมา “จะมาพูดแบบนี้ทำไม เพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา” กั้งน้ำเสียงสั่นเครือ “ทิวมันเลวเอง ทิวมันเหี้ยเอง ยกโทษให้ทิวได้มั้ย ทิวผิดไปแล้ว” ทิวเข้าสวมกอดกั้ง น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้ม เสียใจอย่างที่สุด กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป กั้งนั้นพยายามอย่างที่สุด ที่จะไม่ให้น้ำตาไหลลงมา กั้งแก้มือของทิวออก แต่ทิวไม่ยอม กอดกั้งแน่นขึ้น จนกั้งได้ยินเสียงของหัวใจทิวเต้นระรัวอยู่ข้าง ๆ กันกับใจของกั้งเอง

*****************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=YH6ZK9EvNIY


อึดอัดใจอยู่ใช่ไหม แววตานั้นมันบอก

Something’s bothering you, it shows in your eyes

หลอกลวงกันอยู่ใช่ไหม ว่าใจยังมั่นคง

You’re lying to my face, said your heart was the same

ปากจะบอกให้เชื่อกัน

You asked me to believe you

แต่มันเชื่อไม่ลง

But I simply just can’t

เธอพูดไม่ตรงกับหัวใจ

What you say isn’t what you feel


อยู่กับฉันอย่างวันนี้ เธอมีแค่ร่างกาย

You may be with me, but that is just your presence

แต่ว่าใจอยู่ที่ไหน มันลอยไปหาใคร

Where your mind goes, who is it with?

อยู่อย่างเก็บความรู้สึก

Doing things against your will

เธอก็คงลำบากใจ

You must feel really awkward

ถ้าอยากไปก็ได้เลย

You want to go now, please do so


ก็เมื่อใจทั้งใจ ไม่เหลือไว้ให้ฉัน

Since your heart is not made for me

ก็เอาตัวทั้งตัว ไปด้วยกัน

Please be wherever your heart desires

ไปอยู่กับคนที่เธอรักและต้องการ

Better you stay with someone you love and need

จะไม่ว่ากันสักคำ

I’ll keep my mouth shut

ไปเถอะไปเลย

Just go now, go


สิ่งสุดท้ายจากตัวฉัน คือการบังคับใจ

The last thing I’ll do is to force you

ไม่อ้อนวอนไม่เรียกร้อง ให้เธอมาเห็นใจ

No begging, no demanding for your sympathy

ไม่ให้มือทั้งสองมือ

My two hands won’t hold you back

ยื้อเธอให้วุ่นวาย

They’ll let you go free, I promise

ไม่ร่ำร้องหลั่งน้ำตา

No crying, no more tears


ก็เมื่อใจทั้งใจ ไม่เหลือไว้ให้ฉัน

Since your heart is not made for me

ก็เอาตัวทั้งตัว ไปด้วยกัน

Please be wherever your heart desires

ไปอยู่กับคนที่เธอรักและต้องการ

Better you stay with someone you love and need

จะไม่ว่ากันสักคำ

I’ll keep my mouth shut


ก็เมื่อใจทั้งใจ ไม่เหลือไว้ให้ฉัน

Since your heart is not made for me

ก็เอาตัวทั้งตัว ไปด้วยกัน

Please be wherever your heart desires

ไปอยู่กับคนที่เธอรักและต้องการ

Better you stay with someone you love and need

จะไม่ว่ากันสักคำ

I’ll keep my mouth shut

อย่ามาฝืนทนกับฉัน

Don’t need to be struggling here

ไปเถอะไปเลย

Just go, now go
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๑. คิดถึงที่ไม่ลืม ๘/๓/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-03-2023 18:58:05
บทที่ ๔๑. คิดถึงที่ไม่ลืม

2566

2023

“นั่งก่อนสิ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว” ดีนยิ้มแห้ง ๆ ยกมือขึ้นไหว้ เมื่อแม่ชีที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ หันมาพูดกับเขา ทั้ง ๆ ที่ดีนคิดว่า แม่ชี้ไม่เห็นเขาแท้ ๆ “สวัสดีครับแม่ชี” ดีนกล่าวออกไป แม่ชียิ้มให้อย่างเมตตา ชี้ให้ดีนนั่งลงที่ม้านั่งหินถัดไปไม่ไกล ก่อนที่แม่ชีเองก็นั่งลงบนขอนไม้ยาว ที่เอามาวางพาดเป็นที่นั่งพัก

“แม่แต่เช้าเลยวันนี้” แม่ชีทักเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมมีเรื่องอะไรบางอย่างอยากจะสอบถามแม่ชี” จริง ๆ ดีนนั้นก็ลังเลไม่น้อย เพราะเขาไม่รู้ว่า แม่ชีนั้นอยากจะพูดหรือเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากรู้หรือเปล่า “คนที่ดีนต้องการรู้เรื่องของเขา ไม่อยู่ที่นี่ด้วยกับเรานะ” ราวกับว่า แม่ชีเอ่ยเตือนดีนถึงการที่ดีนกำลังจะพูดถึงใครคนนั้นลับหลัง

“แม่ชีทราบใช่มั้ยครับ ว่าผมอยากรู้เรื่องอะไร” ดีนนั้นมีท่าทางหนักใจอย่างเห็นได้ชัด แม่ชีไม่ได้ตอบคำถามของดีนกลับไปตรง ๆ แม่ชีพูดอะไรไม่ได้มากนักหรอกนะ” ดีนรู้มาว่า แม่ชีมีญาณหยั่งรู้ แต่หากว่ามันไม่ใช่เรื่องของแม่ชีโดยตรง ก็ยากที่แม่ชีนั้น จะเอ่ยปากอะไรออกมา ดีนพอเข้าใจเรื่องนี้ดี แม้จะเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มในใจ

“ตอนเด็ก ๆ เทปปันเลี้ยงง่ายมั้ยครับ แม่ชี” คำถามของดีน ทำให้แม่ชียิ้ม หัวเราะออกมาเบา ๆ “ไม่เลย เทปปันเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาก ๆ นะ” แม่ชีย้อนนึกถึงตอนที่เทปปันยังเป็นเด็กชายตัวน้อย ๆ “ยิ่งตอนที่พ่อของปันอุ้มเขาเอาไว้ แล้วพูดกล่อมเป็นภาษาญี่ปุ่น ปันจ้องมองพ่อตาใสแป๋ว ปันรักพ่อของเขามาก” ดีนนึกภาพตาม ตอนนั้นเทปปันคงน่ารักน่าหยิกไม่หยอก

“แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงดื้อจังเลยล่ะครับ” ไม่เชิงเป็นคำถามแต่อย่างไร แต่ฟังดูแล้ว เหมือนดีนกำลังตัดพ้อมากกว่า “เราต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง วิบากในชีวิตก็มีผลทำให้ชีวิตของเราเคลื่อนคล้อยไป” ดีนก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างกับสิ่งที่แม่ชีบอกเขา เพราะเขาเองนั้น หลาย ๆ อย่างในตัวเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อวิบากกรรมได้นำพาให้เขามาเจอเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้

“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมปันเขาถึงได้ใจร้ายกับผมนัก” ดีนถามแม่ชี สบตากับแม่ชี ก่อนจะเห็นแม่ชียิ้มน้อย ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “การที่เราได้มาเจอกัน มันมีมูลเหตุสำคัญทั้งสิ้น” ดีนตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่ชีกำลังจะกล่าวต่อไป “หากไม่ใช่เป็นเพราะความผูกพันที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาก่อน ไม่ใช่การติดค้างกันมาแต่หนเก่า ก็อาจจะเป็นบ่วงที่ผูกเข้ากันไว้ ให้ต้องกลับมาพบกันอีก ต่อให้ว่าเคยจากกันไป คนหนึ่งอาจจะเคยอยากตัดขาด แต่อีกคนกลับสาบานว่าจะไม่ยอมห่างไกล” แม่ชีมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหวของดีน

“แม่ชีครับ” ดีนเอ่ยขึ้น “หากว่าใครบางคนไม่คิดจะจบความสัมพันธ์ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างเอาไว้ และวันนี้ ความทรงจำของเขาคนก่อน เขาจำมันได้ทุกอย่าง ถ้าเขาอยากจะเล่าให้แม่ชีฟัง แม่ชีจะเชื่อเรื่องพวกนี้มั้ยครับ แม่ชีจะเชื่อเขามั้ยครับ” แม่ชีฟังที่ดีนถามมา ก็ยิ้มให้อย่างเมตตา

“ไม่ใช่อยู่ที่แม่ชีหรอกนะ ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ” แม่ชีบอกกับเด็กหนุ่มออกไป “ดีนล่ะ เชื่อมันมั้ย” แม่ชีพูดโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ทั้งกับผู้พูด รวมถึงผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังนั้นโดยเฉพาะ ได้ครองสติและไตร่ตรองดูด้วยตนเอง “เพราะหากว่าดีนเชื่อ สิ่งสำคัญคือดีนเชื่อแล้วดีนทำอย่างไรกับมัน ต่อให้ดีนเชื่อ หากดีนปล่อยมันเอาไว้เฉย ๆ มันก็จะอยู่ตรงนั้นของมัน เป็นความจริงที่เกิดขึ้น ที่ดีนจดจำมันได้ แต่มันก็จะไม่ทำให้ชีวิตของดีนเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ดีนยังคงดำเนินชีวิตต่อได้ อย่างเป็นปกติ” ดีนฟังทุกคำที่แม่ชีพูดกับเขา และคิดตามทุกคำนั้นเช่นกัน

“เทปปันเคยน้อยใจพ่อของเขา โดยที่เขาเองก็จำไม่ได้ ว่าน้อยใจพ่อเรื่องอะไร แต่สิ่งนั้นติดอยู่ในใจของเทปปันมาหลายปี จนถึงวันที่เขาต้องร่ำลาพ่อของเขาไปตลอดกาล” แม่ชีพูดถึงเรื่องราวตอนเด็กของเทปปัน “เขาเป็นคนแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อะไรบางอย่างมีผลกับการตัดสินใจของเขา เมื่อเขาต้องการจะตัดอะไรออกจากใจ เขาเหมือนมีสวิตช์ที่ปิดความรู้สึกนั้นได้เลย”



“ผมคือคนที่ยังจำได้ทุกอย่าง” ดีนบอกกับแม่ชีออกไป แม่ชีมองเขาด้วยท่าทางนิ่ง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางสนับสนุนหรือคัดค้านแต่อย่างใด สายตาของแม่ชี เต็มไปด้วยความเข้าใจเด็กหนุ่ม “ผมจำได้ ว่าผมได้ทำเลวอะไรกับเขาไว้บ้าง” มาถึงตอนนี้ แววตาของดีนบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า เขานั้นรู้สึกผิด สำนึกได้ และอยากที่จะแก้ไข กระทำการอะไรบางอย่างเพื่อให้ทุกอย่างนั้นดีขึ้น

“แต่เหมือนกับว่า ปันเขาพยายามลืม หรือว่าแย่ไปกว่านั้น ปันเขาลืมมันไปหมดแล้ว” ดีนพูดจบ ก็หันขวับไปมองทางด้านหลัง เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน เหยียบลงบนใบไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง เทปปันยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงที่แม่ชีดีนกำลังนั่งสนทนากันอยู่ เทปปันรีบหลบสายตาจากดีน

“ปัน เดี๋ยวก่อนปัน รอดีนด้วย” ดีนเรียกอีกฝ่ายออกไป “แม่ชีครับ ขอบคุณมากนะครับ ผมขอตัวก่อน” ดีนรีบก้มกราบแม่ชี ก่อนที่เขาจะผลุนผลัน วิ่งตามเทปปันไป แม่ชีได้แต่มองตามเด็กหนุ่มทั้งสองคนด้วยอาการนิ่งสงบ “ปัน หยุดรอดีนก่อนสิครับ” ดีนเร่งฝีเท้าของตัวเอง จนสามารถวิ่งเลยอีกฝ่าย แล้วไปหยุดยืนขวางด้านหน้าของเทปปันได้

“ดีนมีอะไรมากมายอยากพูดกับปัน” ดีนบอกกับอีกฝ่าย เมื่อเทปปันยอมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา “ให้โอกาสดีนนะ ขอร้องล่ะ” น้ำเสียงของดีนนั้น ฟังดูก็รู้ว่าต้องการความเห็นใจจากเทปปันมากแค่ไหน “ด้วยการเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มารบกวน มาทำให้แม่ชีต้องเป็นกังวลน่ะหรือ” เทปปันรู้สึกว่า การมาหาแม่ชีของดีนในครั้งนี้ ออกจะมากเกินไปสักหน่อย

“ดีนจนปัญญาแล้วจริง ๆ” ดีนสารภาพกับเทปปันไปตรง ๆ “ดีนโทรไปหากี่สายต่อกี่สาย ปันไม่เคยรับสายดีน” ดีนนั้น จำไม่ได้แล้ว ว่าเขากดมือถือโทรหาเทปปันกี่ร้อยกี่พันครั้ง “ปันดื้อกับดีนขนาดที่ว่า จากอ่านข้อความที่ดีนส่งไป จนกลายเป็นเพิกเฉย ไม่แม้แต่จะอ่านมัน” อาการน้อยใจแทรกตัวอยู่ในทุกคำพูดของดีน โดยเฉพาะแววตาของดีนที่ไม่สามารถเก็บซ่อนมันเอาไว้ได้อีกต่อไป

“ก็ถ้าเห็นว่าผมไม่อ่านข้อความอะไรนั่น ไม่รับสาย ก็เลิกทำมันได้แล้ว” เทปปันบอกกับดีนออกไป ก่อนจะเห็นดีนส่ายหน้าพร้อมพูดปฏิเสธ “ดีนทำไม่ได้” น้ำเสียงนั้นฟังหนักแน่นและมั่นคง “ดีนจะยอมให้ปันดื้อกับดีนนะ ถ้าปันจะฟังดีนบ้าง” หากเป็นดีน คนก่อนหน้า ที่จะได้มาเจอกับเทปปัน เขาคงล้มกลิ้งไปหัวเราะงอหาย หากได้ยินตัวเองพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ดีนรู้แล้วนะ ดีนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับปัน คือ ปันคนก่อน” ดีนพยายามจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น “หยุดพูดเถอะ” แต่เทปปันพยายามจะให้ดีนหยุดพูดถึงมัน “ดีนจำมันได้ทั้งหมด ดีนรู้ว่า ปันต้องเสียใจมากขนาดไหน” ดีนเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ปันคนนั้นต้องเจอะเจอ เขาก็สะท้อนหัวใจอย่างที่สุด

“ผมไม่อยากจำอะไรทั้งนั้น” เทปปันบอกกับดีนออกไป แต่ดีนจับน้ำเสียงที่สั่นเครือของเทปปันได้ “ช่วยอย่าพูดอะไรแบบนี้ออกมาอีกเลย” คำพูดของเทปปันทำให้ดีนหน้าสลดลง “ปันจะดื้อกับดีนก็ตามใจ ดีนยอมให้ปันได้” ดีนบอกความรู้สึกจากใจของเขาให้อีกฝ่ายรับรู้ และมันคือสิ่งที่ดีนไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน

“แต่ดีนขอร้องปันได้มั้ย” สายตาของดีนขอร้องและอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา “ปันอย่าใจร้ายกับดีนเลย นะ ดีนทนไม่ไหวจริง ๆ” เทปปันรู้สึกเหมือนถูกกระแสความรู้สึกแปลก ๆ อะไรบางอย่าง พุ่งตรงเข้าสู่กลางหัวใจ มันทั้งสุขและเศร้าอยู่รวมปนเปกันไปหมด จนแยกไม่ออก ว่าตกลงแล้ว เขาควรจะต้องรู้สึกแบบไหนดี

ดีนขับรถกลับมาถึงบ้าน เด็กหนุ่มดับเครื่องยนต์ ก่อนจะนั่งนิ่ง ๆ อยู่สักพัก ก่อนจะเปิดประตูรถยนต์และก้าวลงมา ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ได้สดใสอย่างทุกครั้งที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้านี้ ที่มีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นแทบจะไม่มีช่องว่างให้หยุดพัก ดีนเดินเข้าบ้านอย่างเนือย ๆ เหมือนร่างกายมันหมดเรี่ยวแรงลงไปอย่างฉับพลัน ไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม

“ดีน หายไปไหนมาทั้งวัน แม่เป็นห่วงมากรู้มั้ย แล้วโทรไปก็พูดตอบแม่กลับมาสั้น ๆ” ทันทีที่ดีนเดินผ่านห้องนั่งเล่น แม่ของดีนก็รีบเดินเข้ามาหา ถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ดีใจที่เห็นลูกชายของตนกลับถึงบ้าน “พ่อสั่งห้ามแกแล้วนะ ว่าแกถูกจำกัดบริเวณ” พ่อของดีนเสียงเข้มกับลูกชายคนโตของบ้าน

“พ่อครับ แม่ครับ” เสียงของดีนฟังดูก็รู้ได้ทันที ว่าเจ้าตัวนั้นพยายามข่มความรู้สึกอย่างหนัก ไม่ให้หยาดน้ำตาอุ่นใสนั้น ไหลรินล้นขอบตาลงมา “เอาไว้พ่อกับแม่ค่อยดุดีนต่อวันหลังได้มั้ยครับ” เด็กหนุ่มเสียงสั่นเครือ อย่างที่เขาเอง็ไม่รู้ว่าจะห้ามมันได้อย่างไร “วันนี้ดีนว่า ดีนไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ดีนพูดจบ ก็เดินช้า ๆ ขึ้นชั้นบนของตัวบ้านไป

ดีนปิดประตูห้องนอนของเขาตามหลัง ก่อนจะกดล็อกประตูเบา ๆ เสียงฝีเท้าด้านนอก ที่ดีนได้ยินว่าเดินตามเขามาหยุดลง ก่อนจะได้ยินเสียงเดินลงบันไดไป ดีนผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ขณะที่เชาค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ ดีนใช้เท้าดันพื้นเพื่อให้เก้าอี้หมุนไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ

“ทำไมดีนกับปันถึงจะเป็นอย่างใคร ๆ เขาไม่ได้ ดีนยอมรับกับปันแล้วไง ว่าดีนจะแก้ไขทุกอย่าง” บทสนทนาของดีนกับปัน ดังกลับเข้ามาในห้วงความคิดของเด็กหนุ่ม “เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้” เสียงเทปปันตอบกลับมาให้ดีนได้ยิน “เพราะอะไรกันปัน” ดีนไม่เข้าใจ ไม่เชื่อว่าปัญหาระหว่างเทปปันกับตัวเขา จะถูกแก้ไขจัดการไม่ได้

“วันแรกที่ได้เจอกัน มันไม่อะไรเลย ไม่ได้รู้สึกอะไร” เทปปันตอบกลับมา “แต่หลังจากจูบในวันนั้น” น้ำตาที่รื้นเอ่ออยู่ที่ขอบตาของเทปปัน “ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ากัน มันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด” น้ำตาหยดอุ่น ๆ นั้น ก็ไหลลงมานองหน้า ดีนหยุดเท้าของตัวเอง เก้าอี้ที่กำลังหมุนอยู่ ค่อย ๆ ช้าลง และหยุดนิ่งในที่สุด “ยิ่งเห็นหน้ากัน ก็ยิ่งเสียใจ” ดีนนั่งนิ่ง ๆ บนเก้าอี้นั้น ปล่อยให้ตัวเขานั้น ได้ยินเสียงร่ำไห้เบา ๆ ของตัวเอง

ตั้งแต่กลับถึงคอนโด เทปปันพยายามทำนั่นทำนี่ไม่หยุด เพื่อให้ตัวเขาได้ห่างจากความรู้สึกประหลาด ที่มันไม่ยอมจางหายไปเสียที สวิตช์ที่เขาคิดมาตลอดว่าเขาเคยมีนั้น วันนี้ มันกลับเด้งเปิดขึ้นเอง ทั้งที่เขาคิดว่า เขาได้ปิดมันลงไปแล้ว อารมณ์ที่เทปปันมีในตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกอ่อนไหว และนี่ไม่ใช่ตัวของเขาแต่เก่าก่อน

เทปปันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ทำให้ใจสงบไม่ได้อย่างเคย ทั้ง ๆ ที่เขาเคยผ่านเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ มันกลับทำให้เขาวกกลับไปคิดถึงเรื่องดังกล่าวไม่รู้จักจบสิ้น เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของเขา เทปปันมองไปที่โทรศัพท์เครื่องที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปดูว่า คนที่กำลังโทรหาเขานั้นเป็นใคร

“ฮัลโหล” เทปปันกรอกเสียงลงไป หลังจากกดลำโพงให้ดังขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงคำถามสำเนียงคนต่างชาติดังออกมาจากสปีกเกอร์โฟน เทปปันพูดตอบกลับคนที่ปลายสายไปหลายประโยค ก่อนที่จะได้ยินเสียงลงท้ายประโยคคำถามจากอีกฝั่ง “โอชิเอเตะ กุดาไซ” ถามเทปปันว่า ได้ไหม พร้อม ๆ กับที่เทปปันมองเห็นข้อความเด้งขึ้นมาที่หน้าจอมือถือ

“ดีนรักปันไม่เปลี่ยนแปลงนะ” ประโยคในข้อความที่ส่งมาจากดีน ทำให้เทปปันหยุดนิ่งไป จ้องมองหน้าจอนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงคนที่ปลายสาย ถามย้ำมาอีกสองสามครั้ง “ไฮ้ วาคาริมาชิตะ” เทปปันพูดออกไป ใจความว่า เขาเข้าใจแล้ว และนั่นทำให้เทปปันเองก็ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเขาเข้าใจหรือพูดตอบรับเรื่องอะไรกันแน่

*************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=6wknTXstAK0


คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว

The word `LOVE` you said now turned into dust

อะไรที่หวังก็พังไปตั้งนานแล้ว

Whatever the hope now already had crashed

แต่ชีวิตไม่รู้ทำไม มันยังคงค้างคาใจ

Yet, life is still questioning, things are stuck in mind

ไม่มีวันใดที่ฉันไม่จดจำ

Not even one day I don’t remember it


ก็คำว่ารักยังจำได้อยู่เสมอ

‘Cause the word `LOVE` is always in my heart

หลับตาทุกครั้งยังเจอเธออยู่ตรงนี้

I close my eyes and then there’s forever you

ความเข้มแข็งที่ฉันเข้าใจ อ่อนแอลงทุกนาที

The strength I thought I got, it’s making me weary every minute passed

อยู่ดีดี ใจก็ร้องไห้อีกครั้ง

Out of the blue, tears are running down my face


ยังคิดถึงเธอเหลือเกิน ได้ยินมั้ย

I still miss you so, do you hear me, love?

เธอยังอยู่ในหัวใจของฉัน

You’re the only one who’s on my mind

ข่มตานอนทุกคืน ยังฝันยังเห็นว่าเรารักกัน

Force myself to sleep, seeing we’re still together

เธออยู่ที่ไหน คิดถึงเธอ

Where are you? I am thinking of you

ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์เจอ จบแล้ว ก็เข้าใจ

This life, I understand, may forbid us to come across in the end

แต่จะให้ทำยังไง เมื่อในหัวใจยังจดจำ

What can I do about it that my heart still remembers you?


คำว่ารักยังพอให้ต่อชีวิต

The word `LOVE` really prolongs my life

ยังทำให้คิดถึงวันเก่าเก่าเหล่านั้น

Those old days are running through my mind

ได้แต่หวังลึกลึกในใจ จะมีบ้างไหมสักวัน

Wish that one day, they all come right back to me

สิ่งที่ดีดี เหล่านั้นจะกลับมา

Good old things shall come find us


ยังคิดถึงเธอเหลือเกิน ได้ยินมั้ย

I still miss you so, do you hear me, love?

เธอยังอยู่ในหัวใจของฉัน

You’re the only one who’s on my mind

ข่มตานอนทุกคืน ยังฝันยังเห็นว่าเรารักกัน

Force myself to sleep, seeing we’re still together

เธออยู่ที่ไหน คิดถึงเธอ

Where are you? I am thinking of you

ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์เจอ จบแล้ว ก็เข้าใจ

This life, I understand, may forbid us to come across in the end

แต่จะให้ทำยังไง เมื่อในหัวใจมีแต่เธอ

What do you want me to do since my heart is always yours
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๒. คิดถึงที่ไถ่โทษ ๑๐/๓/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 10-03-2023 18:00:33
บทที่ ๔๒. คิดถึงที่ไถ่โทษ



2537

1994



ท็อปยืนรี ๆ รอ ๆ สังเกตดูอยู่พักใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าปลอดคนจริง ๆ ไม่มีใครอยู่ภายในบ้านหลังนั้น ท็อปจึงเดินเข้าไปทางด้านข้าง ที่หน้าต่างบานหนึ่งเปิดแง้มเอาไว้ พอให้ออกแรงใช้มือดึงให้เปิดกว้างขึ้น มองไปด้านในมีตะแกรงเหล็กดัดงับปิดเอาไว้ ทีแรกท็อปก็ผิดคาดเล็ก ๆ แต่พอดันให้มันเปิดออก เสียงเหล็กที่บอกได้ว่า หน้าต่างเหล็กนี้ไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมานาน ดังขึ้นพอสมควร

ท็อปเหลียวซ้ายแลขวา ไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมาแต่อย่างใด แสงจากภายนอกลอดเข้าไปด้านในตัวบ้าน มองดูข้าวของเครื่องใช้เป็นเงาตะคุ่ม ๆ แวบหนึ่งที่มองเข้าไป ท็อปเองนึกว่าเขามองเห็นใครบางคนอยู่ในนั้น แต่พอปรับสายตาให้ชัดเจนขึ้น เสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกแขวนเอาไว้บนตะปู ที่ตอกเข้ากับฝาผนัง

ท็อปดันสองมือของเขาบนขอบหน้าต่าง ดันส่งแรงให้ตัวเขาใช้เท้าเหยียบบนขอบหน้าต่างดังกล่าว ก่อนจะก้าวขาข้ามมัน แล้วลงไปยืนอยู่ภายในตัวบ้าน มันดูไม่ต่างไปมากนัก จากครั้งที่แล้วที่เขาได้เข้ามาในนี้ ท็อปปรับสายตาตัวเองไม่นานนัก ก็พอจะมองเห็นลักษณะภายในบ้าน โดยไม่ยากนัก ที่เขาจะเดินไปโดยไม่เตะเข้ากับอะไรสักอย่างจนเกิดเสียงดังขึ้น

ความจำจากครั้งก่อน พาท็อปเดินอย่างระมัดระวัง มาที่ห้องด้านหลัง ครั้งนั้น นันให้เขาหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า ที่มันอยู่ในห้องนอนใหญ่ กลิ่นอับ กลิ่นควันอะไรบางอย่างลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ มันคาดเดาได้ไม่ยากว่า เจ้าของบ้านนั้นคงมีกิจกรรมพิเศษที่ห้องนอนด้านหลังนี้ ท็อปทำจมูกฟุดฟิดขยับไล่กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ที่ยากจะทำให้รู้สึกชินได้ในเวลาอันสั้น

ท็อปเอื้อมมือไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ที่เขาเข้าไปหลบอยู่ในครั้งที่แล้ว มันแง้มเปิดออกมา มองเห็นเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัวแขวนอู่บนราว ดูไปแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด ท็อปก้มลงมองที่ด้านล่างของตู้ มีกล่องใบหนึ่งวางเอาไว้ ท็อปรีบนั่งลงแล้วเปิดกล่องนั้นดู ด้านในมีไพ่กระดาษสำรับหนึ่ง ที่มีตัวเลขและสัญลักษณ์เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ภาพบนไพ่เหล่านั้น เป็นภาพของชายหญิงที่กำลังร่วมเพศกันอย่างโจ๋งครึ่ม

ท็อปวางมันลง ก่อนจะรื้อดูไปจนทั่วกล่อง มันไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่า กล่องไม้ขีด ไฟแช็กที่จุดไม่ติด ซองบุหรี่ที่ถูกขยำทิ้ง และก็สมุดบัญชีธนาคารเล่มหนึ่ง ท็อปเปิดมันดู มันมีชื่อของนันเป็นเจ้าของบัญชี ท็อปพอจะยิ้มออกมาได้ เพราะจำได้ว่าเคยได้ยินนันให้ฟัง ว่าบัญชีธนาคารของตัวเองไม่มีบัตรเอทีเอ็ม จะเบิกถอนได้ ตอนที่พ่อเลี้ยงสั่งให้ไปธนาคารด้วยกันเท่านั้น

ท็อปเสียบสมุดบัญชีธนาคารเล่มนั้นลงที่กระเป๋าด้านหลังกางเกงยีน ปิดกล่องใบนั้นให้ดูเหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นยืน สำรวจตู้เสื้อผ้านั้นไปรอบ ๆ อีกครั้ง กำลังจะปิดมันลง ก็ต้องเปิดประตูตู้อีกครั้ง ที่ผนังตู้นั้น มีรอยบากแปลก ๆ ที่หากมองเผิน ๆ ก็จะเหมือนกับว่า มันเป็นร่องรอยของความเก่าครึของตัวตู้เอง ที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน

แต่ไม่ใช่เลย ท็อปสะกิดร่อง ที่เป็นรอยกรีดนั้น ก่อนจะพบว่ามันขยับได้ ท็อปพยายามดันมันแต่รอยบากนั้นก็แคบจนเกินไป ดังว่าคนที่ทำมันจงใจให้มันเป็นอย่างนั้น ท็อปมองหาอะไรแบน ๆ เพื่อมาง้างร่องยาวนั้นออก ท็อปก้มลงเปิดกล่องที่วางอยู่บนพื้นตู้อีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอาที่เปิดขวดแบน ๆ ออกมา ก่อนที่จะแทรกเหล็กแบน ๆ นั้นเข้าไปในช่อง แล้วออกแรงดึงมันกลับมา

แผ่นไม้ที่ถูกปิดเอาไว้ค่อนข้างแน่น หลุดตามแรงของท็อป ด้านในเป็นช่องที่มีชั้นวาง ทำด้วยไม้ยาวแผ่นหนึ่ง มันมีกระเป๋าผ้ามีซิปสีดำใบหนึ่งวางอยู่ ที่ดูก็รู้ว่า มันถูกซ่อนเอาไว้ตรงนี้อย่างจงใจ ท็อปหยิบมันออกมา รูดซิปนั้นเพื่อเปิดออกดู มันมีม้วนฟิล์มอยู่ในนั้นมากมายหลายม้วน ท็อปใจเต้นแรงและมือสั่นไปหมด เรื่องที่เพิ่งได้ยินนันเล่าให้เจ้หวีและแฟนของเจ้หวีฟังเมื่อไม่กี่วันก่อน ย้อนกลับมาเข้าความทรงจำเขาอีกครั้ง

ท็อปรีบรูดซิปปิดกระเป๋าใบนั้น เขาคิดว่าเขาได้ยินเสียงประตูปิดงับลงเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก รีบเดินออกไปจากห้องนอนทางด้านหลัง ตรงไปที่หน้าต่างที่เป็นทางที่เขาเข้ามา ท็อปที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เหลียวไปมองประตูบ้าน ทุกอย่างดูเงียบ ไม่ไหวติง ท็อปถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อคลายความตื่นเต้น

“เข้ามาแล้ว มึงอย่าหวังว่าจะรอดออกไปจากบ้านกูง่าย ๆ” ท็อปสะดุ้งสุดตัว ขณะที่กำลังจะปีนหน้าต่างออกไป เสียงคำรามดังลั่นมาจากปากของพ่อเลี้ยงของนัน ที่ตอนนี้เดินตรงดิ่งเข้ามาหา ท็อปหลบมือพ่อเลี้ยงของนันที่หมายจะกำลำคอของเขาเอาไว้ในอุ้งมือได้อย่างหวุดหวิด ท็อปจะวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน แต่พ่อเลี้ยงก็รู้ทัน ขยับวิ่งไปขวางเอาไว้

“มึงนี่ น่าจะขายได้ไม่ต่างจากอีนันหรอก” เสียงพูดกับท่าทางกักขฬะนั้น มันช่างน่าสะอิดสะเอียน “คนชั่วอย่างแก มันทำไมไม่หมดโลกไปสักทีวะ” ยิ่งคิดท็อปก็ยิ่งสงสารนัน กับสิ่งที่นันถูกสัตว์นรกตัวนี้กระทำย่ำยีมาตลอด “เดี๋ยวหลังจากที่มึงโดนกูสอย เหมือนอีนัน มึงจะไม่มาทำปากดีอย่างนี้กับกูได้อีก” ไม่พูดเปล่า พ่อเลี้ยงของนันตรงรี่เข้ามาหา

ท็อปที่คิดแผนในหัวอยู่แล้ว ก็กระชากเสื้อคลุมที่แขวนอยู่บนตะปูนั้นลงมา แล้วคลุมไปที่ใบหน้าของพ่อเลี้ยง พันแขนเสื้อหมุนเป็นเกลียวจนแน่น ก่อนจะกระชากมันลงเพื่อให้พ่อเลี้ยงของนันล้มตามแรงดึง ไปนอนอยู่บนพื้น เสียงหลังกึ่งเอวกระแทกลงบนพื้นดังแอ้ก อาการคนที่เจ็บจนจุกแต่ร้องไม่ออกของพ่อเลี้ยง ทำให้ท็อปมีเวลามากพอที่จะเปิดประตู แล้วรีบออกมาจากบ้านหลังนั้น

ตั้งแต่เช้า นันช่วยเจ้หวีทำความสะอาดและตกแต่งร้านเสียใหม่ เจ้แกบอกให้นั่งพักบ้าง นันก็หยุดกินข้าว พักเหนื่อยเพียงแค่เดี๋ยวเดียว ก็หยิบโน่นจัดนี่ต่อ ตามประสาเด็กที่ขยันทำงาน หนักเอาเบาสู้ เพื่อตอบแทนพระคุณของเจ้วีและแฟน ที่ได้ยื่นมือเข้าช่วยนันในหลาย ๆ เรื่อง เจ้หวีเองก็ได้แต่ปล่อยให้นันทำโน่นทำนี่ไป เพราะห้ามยังไง นันก็ไม่เชื่อ

“ถ้าคืนนี้ลูกค้าเข้าเยอะ ขายดี ฉันจะแบ่งทิปให้แกอย่างงาม เจ้านัน” เจ้หวีให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ นั่นยิ้มกว้าง ดูหน้าตาสดใสขึ้นเป็นกองเวลานันยิ้มแบบนี้ ดีกว่านันทำหน้าอมทุกข์ นั่งทำหน้าเศร้าเป็นไหน ๆ “นันเตรียมรอทิปก้อนโตแล้วนะ อย่าเบี้ยวนันนะเจ้” นันตอบกลับเจ้หวีไป ทำให้แฟนเจ้หวีถึงกับเอ่ยแซว

“ขืนถ้าเบี้ยวเจ้านันนะ เรื่องใหญ่แน่” ทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน เจ้หวีเดินเข้ามาหานัน ก่อนสวมกอดนันจนแน่น “เจ้หวี” นันเรียกชื่ออีกฝ่าย เจ้หวีคลายกอดนั้นออก มีหยาดน้ำตาใส ๆ รื้นขึ้นขอบตา “ฉันก็อยากให้แกรู้” เจ้หวีพยายามจะพูดอะไรซึ้ง ๆ เป็นความรู้สึกลึก ๆ ที่อู่ภายในใจออกมา แต่ก็บอกปัด แกล้งพูดเสไปทางอื่น

“ไป ๆ ตรงนี้ ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เดี๋ยวฉันดูเอง แก นัน ไปดูในตู้แช่แข็งทีซิ ว่ามีเนื้อพอจะผัดขายให้ลูกค้ามั้ย เผื่อจะได้สั่งมาเพิ่ม” เจ้หวีบอกให้นันไปดูของที่หลังร้านให้ หลังจากยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแบบลวก ๆ นันยิ้มออกมา เมื่อเห็นเจ้หวีทำท่าทางแบบนั้น ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเดินไปดูของที่หลังร้านตามที่เจ้หวีบอก

นันที่เดิมาด้านหลังร้าน ก่อนจะหยุดยืนมองของอะไรบางอย่างที่วางตั้งอยู่บนเก้าอี้ไม้นั้น ประตูด้านหลังร้านถูกเปิดเอาไว้ นันเดินช้า ๆ เข้าไปหาของที่วางอยู่ อย่างจำมันได้ดี กระเป๋าซิปสีดำที่นันรู้ดีว่าด้านในนั้น มันใส่อะไรเอาไว้ นันมือสั่นตัวสั่นเทิ้ม เมื่อหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ในใจเต้นรัว เร็วและแรง

สิ่งที่นันเห็นด้านใน หลังจากรูดซิปเพื่อเปิดมันออก ทำเอานันถึงกับต้องเม้มริมฝีปากจนแน่น เพราะมันคือความเจ็บปวดที่กัดกินจิตใจของนันมาเนิ่นนาน มันคือความแตกร้าวทางอารมณ์ที่ไม่เคยหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ ทุกอย่างที่ถูกกักเก็บเอาไว้ มันพุ่งตัวทะลักทลายออกมา จนตอนนี้ นันรู้สึกถึงอารมณ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น ท่วมท้นไปหมด จนทำอะไรไม่ถูก

ท็อปที่ก่อนหน้านี้ แอบย่องเงียบ ๆ เข้าไปที่ด้านหลังร้านของเจ้หวี แอบดูและมองนันจากตรงนั้น ท่าทางที่ผ่อนคลายของนัน ทำให้ท็อปเผลอยิ้มออกมาในทันที หัวใจของท็อปเบิกบานโดยอัตโนมัติ เมื่อรอยยิ้มของนันปรากฏขึ้น มันคือรอยยิ้มที่ทำให้ท็อปตกหลุมรักนัน มันคือรอยยิ้มที่ในวันนั้น ยิ้มที่ทำให้ท็อปรวบรวมความกล้า เข้าไปคุยกับนัน

ผ่านมาถึงตอนนี้ มันก็ยังเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ท็อปอบอุ่นใจที่ได้เห็น ได้รับรู้ว่า นันอยู่ในที่ที่ทำให้ท็อปเองคลายกังวล เจ้หวีและแฟนดูเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเป็นผู้ปกครองของนันได้อย่างดี เพราะท็อปไม่เคยเห็นรอยยิ้มนั้นจากนันที่ไหนอีก หลังจากที่เขาเคยเป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้น แต่ตอนนี้ นันยิ้มแบบนั้นได้อีกครั้ง ที่นี่

“ท็อป” นันเดินออกไปที่ด้านหลังร้าน เรียกชื่อของคนคนนั้น “ท็อปใช่มั้ย” คนที่นันคิดว่า จะเป็นเพียงคนเดียว ที่ทำอะไรอย่างนี้ให้กับนัน และมันบ้ามาก เมื่อนันคิดว่า ท็อปต้องเข้าไปในบ้านหลังนั้น ม้วนฟิล์มและสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร นันไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้มันมาไว้ในมือ โดยเฉพาะม้วนฟิล์มเหล่านี้ เพราะตลอดเวลา นันรู้สึกเหมือนมันคือคำสาป ที่สั่งให้เขาต้องอยู่ใต้อาณัติความหยาบช้าของมันตลอดไป

“ท็อปอยู่ตรงนี้ใช่มั้ย” ตรอกทางเดินเล็ก ๆ ทำให้เสียงเรียกของนันดังมาพอที่จะได้ยินไปทั่วบริเวณนั้น “ปลอดภัยหรือเปล่า” คำถามของนัน ทำให้ท็อปที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกล ยิ้มออกมา ก่อนจะพยักหน้าตอบ ว่าเขาปลอดภัยดี “ขอบคุณนะ” คำพูดของคุณของนัน ทำให้ท็อปต้องเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน ขอบตาที่ร้อนผะผ่าวของเขา ทำให้ท็อปต้องสะกดกลั้นความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้น กล้ำกลืนมันกลับลงไป

“ดูแล้วตัวเองด้วย” นันพูด น้ำตารื้นขึ้นของตาทั้งสอง ริมฝีปากสั่นไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ท็อปขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงออกมา ใจความของมันบอกว่า 'ยินดีเสมอ ดวงใจของผม' แม้ว่าท็อปจะต้องอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะวิ่งเข้าไปสวมกอดนันเอาไว้ในแน่นที่สุด ให้นันรู้ว่า ท็อปเองนั้นคิดถึงการมานันในอ้อมกอดอีกครั้งมากแค่ไหน

รู้ตัวอีกที ท็อปก็เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ เขาแอบมองนันเดินกลับเข้าไปในร้าน ก่อนจะเห็นประตูด้านหลังร้านนั้น ปิดตามหลังไป มันเหมือนเป็นสัญญาณและคำพูดคืนกลับมาให้ท็อปว่า เขาได้ทำหน้าที่ของเขาสำเร็จแล้ว มันคือสิ่งที่เขาสามารถทำให้นันได้ ก่อนที่เขาจะต้องย้ายไปจากที่นี่ มันคือสิ่งสุดท้าย สิ่งดี ๆ สิ่งเดียวที่ท็อปตั้งใจจะทำให้กับนัน

ท็อปทรุดตัวลงนั่งบนรถเมล์ ก่อนที่รถเมล์จะเคลื่อนออกจากป้าย เขายื่นเงินค่ารถเมล์ให้กับพนักงานที่เดินเก็บเงิน ท็อปมองดูตั๋วรถเมล์ในมือ ก่อนที่ทุกอย่างจะพรั่งพรูเข้ามาหาเขา ท็อปพยายามยิ้ม แต่น้ำตาก็ไหลลงจากขอบตาอย่างหักห้ามไม่ได้ รถเมล์ยิ่งแล่นไกลออกไป หัวใจของท็อปก็ยิ่งเหมือนถูกบดขยี้ ด้วยหัวใจที่รับรู้แล้วว่า นี่มันคือการจากลากันครั้งสุดท้าย แล้วท็อปกับนัน ก็จะไม่ได้เจอกันอีก

*********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch?v=ahY9o330WcU


เราไม่เข้ากันเลย

Irreconcilable, we are

เธอก็รู้สึกหรือเปล่า

Don’t you feel the same?

ไม่อยากต้องฝืน

Can’t go on like this

ใจที่ขัดขืน

Uneasy feelings

เพราะว่ามันไม่ใช่เรา

That’s not who we want to be


ปรับตัวไม่ช่วยเลย

Trying to make things change

ปรับกี่ครั้งก็เหมือนเก่า

All end up the same way

มันคงถึงวันที่เราต้องฟัง

It’s time for us to listen

เพราะใจที่พังกำลังส่งเสียงดัง

To our broken hearts making this noise


ให้เราบอกลา

We’ll say goodbye

มันคงไม่เป็นไร

That’ ll be okay

เพราะเรายังมีวันที่ผ่านมา

We still have the old days

ให้เธอและฉันได้มองกลับไป

That you and I can look back to

ถึงผ่านมาแล้ว

Things already passed

ไม่มีวันผ่านไปอยู่ในนี้

Yet they’re kept alive here

เสียงที่เธอบอกรักกันมันยังดังข้างในใจ

The way you said you loving me echoes right here


ยังมีวันวานให้เราได้คิดถึงตลอด

Those day are still memorable

แม้เรื่องเราจบไป

Though what we had ended

แค่ได้คิดถึงมันก็พอ

Think of it sometimes

และจะไม่มีวันลืม

Unforgettable anyway

รอยยิ้มที่สวยที่สุด

The prettiest your smile is

กอดนั้นช่างแสนอบอุ่น

The hug that always warms me

ทุกทุกช่วงเวลายังคงยิ้มทั้งน้ำตา

Those memorabilia makes me smile in tears


อยากจะรักษาใจ

Wish our hearts heal

ไม่อยากให้โทษกันอีก

No one gets blamed

แต่ความเป็นตัวฉัน

‘Cause how I am

และของเธอนั้น

And how you are

ยิ่งทำเราพังทุกที

Makes everything much worse

สิ่งแย่แย่ทิ้งไป

Nasty feelings, leave them

เก็บไว้แค่สิ่งที่ดี

Though keep the good ones

มันคงถึงวัน

It is time

ที่เราต้องฟัง

That we must listen

เพราะใจที่พังกำลังส่งเสียงดัง

To the broken hearts that want us hear


ให้เราบอกลา

We’ll say goodbye

มันคงไม่เป็นไร

That’ll be okay

เพราะเรายังมีวันที่ผ่านมา

We still have the old days

ให้เธอและฉันได้มองกลับไป

That you and I can look back to

ถึงผ่านมาแล้ว

Things already passed

ไม่มีวันผ่านไปอยู่ในนี้

Yet, they’re kept alive here

เสียงที่เธอบอกรักกันมันยังดังข้างในใจ

The way you said you loving me echoes right here


ยังมีวันวานให้เราได้คิดถึงตลอด

Those day are still memorable

แม้เรื่องเราจบไป

Though what we had ended

แค่ได้คิดถึงมันก็พอ

Think of it sometimes

และจะไม่มีวันลืม

Unforgettable anyway

รอยยิ้มที่สวยที่สุด

The prettiest your smile is

กอดนั้นช่างแสนอบอุ่น

The hug that always warms me

ทุกทุกช่วงเวลายังคงยิ้มทั้งน้ำตา

Those memorabilia makes me smile in tears

ไม่มีพรุ่งนี้ให้เธอและฉันได้ไปต่อ

There’s no tomorrow for you and me, we can’t go on

ไม่มีอีกต่อไปภาพอนาคตของเราทั้งสอง

Not at all future that we picture us in

ภาพที่เราจับมือกัน

That we’re holding hands

และสัญญาว่าจะไม่ปล่อย

Promise we never let go

แอบฝันถึงภาพนั้นบ่อยบ่อย

I’ve been dreaming of that often

ถึงเราต้องบอกลา ยังคงยิ้มทั้งน้ำตา

Yet, we need to part ways with smile and tears on our faces


พรุ่งนี้ถึงแม้ไม่มีเรา

There’s no us when tomorrow comes

อย่างน้อยยังมีวันเก่าเก่า

At least there’re good old times

ถึงเราต้องบอกลา

We say our goodbyes

ฉันจะยิ้มทั้งน้ำตา

I’ll smile while in tears
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๒. คิดถึงที่ไถ่โทษ ๑๐/๓/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 03-04-2023 21:15:24
หายไปนานจังรอบนี้
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๒. คิดถึงที่ไถ่โทษ ๑๐/๓/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 04-04-2023 15:16:49
หายไปนานเลยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๓. คิดถึงซึ่งคำลา ๑๐/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 10-04-2023 18:25:00
บทที่ ๔๓. คิดถึงซึ่งคำลา



2566

2023



“วิน ลูกต้องหยุดทำอะไรแบบนี้ได้แล้วนะ” เสียงห้ามนั้น ฟังดูแล้ว ค่อนข้างกังวลและแคร์กับสายตาของผู้คนที่อยู่รอบข้างนั้นมากโข “นี่ลูกกำลังอยู่ต่อหน้าคนอื่นเยอะแยะ ลูกไม่เห็นหรือไง วิน” เจ้าของชื่อมองไปรอบ ๆ ตามที่ได้ยินผู้เป็นมารดาของตนพูดออกมา บรรดาคนเหล่านั้น มีทั้งมองมาแบบตรง ๆ และแบบลอบมอง แต่ทั้งหมดนั้น หันกลับไปซุบซิบกัน ซึ่งนั่นมันแน่นอนว่า มันไม่มีทางเป็นเรื่องอื่นไปได้

“คุณแม่แคร์คนที่เราไม่รู้จักด้วยหรือครับ” วินหันกลับมาทางผู้เป็นแม่ “แถมคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้จักเราดีด้วยซ้ำ” ก่อนจะยิงคำถามออกไปตรง ๆ “วิน แม่เขาก็แค่เป็นห่วงเรา ลูกอย่าพูดจาย้อนแม่เขาแบบนั้นเลย” ผู้เป็นพ่อพยายามพูดให้วินใจเย็นลง และไม่อยากได้ยินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเขานั้น ส่อเสียดกลับผู้เป็นแม่ราวกับว่าเป็นคู่ศัตรูบาดหมางกัน

“ผมไม่ได้กำลังพูดจายอกย้อนอะไรคุณแม่นะครับ” วินตอบกลับพ่อของเขาด้วยความพยายามทำให้น้ำเสียงเรียบนิ่งที่สุด “แต่คุณพ่อต้องทราบนะครับ ว่าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงผมมายังไง และรับรู้เรื่องราวจากปากของผมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด” เด็กหนุ่มอย่างวิน ยึดถือการปฏิบัติและข้อตกลงที่เขาได้รับจากบุพการีอย่างแน่วแน่

“สัญญาที่คุณพ่อคุณแม่ทำไว้กับผม ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ สำหรับผม” วินพูดออกมาจากความรู้สึกจากใจของเขาจริง ๆ “ผมเชื่อมั่นมาตลอด ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ผิดสัญญากับผม เมื่อถึงเวลาของผม” วินตอบกลับพ่อและแม่ของเขาไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “และเวลานั้นมันก็มาถึงแล้ว” วินหันไปมองคนที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง ที่เด็กหนุ่มอย่างเขาเป็นกำบังกายให้

“วิน ฟังที่แม่กับพ่อของคุณกำลังพูดก่อน” ตฤณเอ่ยขึ้น โดยที่เขาอยากให้วินได้ใจเย็นลงเช่นกัน “คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เท่าที่เป็นอยู่นี้ คุณก็สร้างเรื่องสร้างราว สร้างความลำบากให้ครอบครัวของเรามากพออยู่แล้ว” ตฤณสะอึกในอก เม้มริมฝีปากเข้าหากัน หลุบสายตาต่ำลงมองพื้น เมื่อถูกแม่ของวินว่าเข้าให้แบบนั้น

“คุณแม่ครับ แบบนี้ ผมไม่โอเคนะครับ” วินออกโรงปกป้องตฤณในทันที “คุณแม่ก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าตฤณคือคนสำคัญของผม” เด็กหนุ่มเองไม่รู้ว่า ทำไมแม่ของเขาถึงได้แสดงท่าทอะไรแบบนี้ออกมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ขาจำความได้ แม่ของเขาเข้าใจในตัวเขาอย่างที่สุด ไม่เคยหลุดปากพูดคำใด ๆ ให้ต้องขุ่นข้อง น้อยใจ หรือเสียน้ำใจกันเลย แม้แต่ครั้งเดียว

“ตฤณ เมื่อมันถึงเวลา วินจะไม่ยอมให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว” เด็กหนุ่มหันกลับมาพูดกับตฤณ ยกมือแตะแก้มของตฤณอย่างแผ่วเบารักใคร่ “ตฤณ” เจ้าของชื่อขยับใบหน้าออกจากมือของอีกฝ่าย ทำให้เด็กหนุ่มเรียกชื่อของเขาออกมาในทันที ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกไม่ดีอย่างที่สุด

“วินกลับไปบ้านก่อนนะ กลับไปพูดคุยกับพ่อและแม่ของคุณแบบดี ๆ” ตฤณเองก็ข่มใจเอาไว้ พยายามพูดโดยไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นเครือ “วินไม่ต้องพูดอะไรกับพ่อแม่อีกแล้ว ทุกอย่างวินได้อธิบายและยืนยันไปหมดแล้ว พ่อกับแม่วินเขาก็รู้ดี ว่าวินเป็นเกย์” เด็กหนุ่มหันไปมองผู้ให้กำเนิดของตน โดยเสียงพูดของเขาดังมากพอ จนมั่นใจว่า ทุกคนที่กำลังรุมสนใจบทสนทนานี้ ได้ยินกันถนัดถนี่ชัดเจน

“แม่ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ลูกวิน เรื่องที่ลูกชอบผู้ชายด้วยกัน แต่แม่” แม่ของวินพูดขึ้นมา ด้วยความรู้สึกสัตย์จริงในหัวใจอย่างที่สุด แต่เมื่อมองไปที่ตฤณ คนที่ลูกชายของเธอกำลังกุมมือจนแน่นคนนั้น “แต่อะไรครับคุณแม่” วินชักเริ่มไม่พอใจกับเรื่องราวตรงหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแม่ของเขามีท่าทีรังเกียจรังงอนตฤณแบบนี้

“คนเป็นแม่ย่อมรักลูกตัวเอง” ตฤณพูดขึ้น ก่อนจะยิ้มให้กับวิน “และแม่ของคุณ เขาก็รักคุณมาก” ตฤณไม่ได้แปลกใจอะไรเลย กับท่าทีเดียดฉันท์ที่แม่ของตฤณมีต่อเขา หากว่าเป็นลูกของคนอื่น ก็คงจะพอมองผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่เมื่อมาเป็นลูกของตัวเอง ทุกอย่างมันถูกบีบมาจากรอบด้าน ทุกทิศทุกทางที่พุ่งเข้าหาความรู้สึกของผู้เป็นแม่ สุดท้ายสัญชาตญาณของผู้เป็นแม่ ก็ต้องออกมาปกป้องลูกของตัวเองกันทั้งนั้น ยกเว้นก็เพียงแค่ มันมีความเกลียดชังเลือดในอกเป็นที่ตั้ง เป็นทุนเดิมแต่แรก

“แม่ไม่เคยรังเกียจลูกของแม่ ลูกจะรักจะชอบกับผู้ชาย ลูกจะเป็นเกย์ เป็นไบ หรือแม้แต่ลูกวินของแม่ วันหนึ่งจะลุกขึ้นแล้วเดินมาบอกแม่ว่า ลูกอยากจะแปลงเพศ แม่จะเป็นคนพาลูกของแม่ไปทำเอง แต่กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ กับคนคนนี้” สิ่งที่ทำให้วินรู้สึกเสียใจ ก็คือการที่แม่ของเขานั้นเลี่ยง ไม่ยอมเรียกชื่อของตฤณออกมา

“ฉันไม่คิดว่า แม่ของเธอเอง จะภูมิใจไปกับพฤติกรรมของเธอหรอกนะ” แม่ของวินพุ่งตรงคำถามไปที่ตฤณ “คุณแม่” วินถึงกับร้องเรียกแม่ของเขาเสียงหลง “เธอไม่มีลูก แต่ถ้าเธอมี ฉันก็คิดว่า เธอคงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกของเธอเช่นกัน เธอคงต้องเฟ้นหาคนที่คู่ควรกับลูกของเธอ ต่อให้เธอจะรู้ว่า ลูกของเธอเพียรพยายามจะกลับมาหาคนในอดีตมากขนาดไหนก็ตาม” ตฤณรู้สึกเหมือนกับว่า คำพูดที่ได้ยินจากแม่ของวิน กำลังแผดเผาเขาทั้งเป็น

“เธอยังกล้าคิดอยู่อีกหรือ ว่าเธอคู่ควรกับวิน” ตฤณตวัดสายตาไปสบตากับวิน ที่มองมาที่ตฤณอยู่ก่อนแล้ว ตฤณกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คำถามประโยคธรรมดา ๆ นั้น ดังกึกก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในโสตประสาทของเขา ก่อนที่สมองของเขาจะประมวลภาพต่าง ๆ ที่ผ่านมาของเขา ฉายให้เห็นเป็นฉาก ๆ

“ตฤณ” วินเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ อยู่เพียงใกล้กันแค่นี้ แต่ตฤณรู้สึกราวกับว่า ระยะทางระหว่างกันมันกลับไปไกลเท่าเดิม ไกลเท่า ๆ กับก่อนที่ทั้งสองคนจะหากันเจอ และกลับมาพบหน้ากันได้อีกครั้ง ตอนนี้เอง เป็นที่จังหวะนี้เอง ตฤณรู้สึกว่าทำไมหนอ เขารู้สึกสู้หน้ากับวินไม่ไหว ก้อนแข็ง ๆ ที่แล่นมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้ตฤณอยากจะหายตัวได้ จะได้หายไปจากตรงนี้เสียเลย ใจมันรู้สึกเจ็บจี๊ด มันไม่ได้เจ็บมากแล้วก็รีบจางหายไป

“ตฤณ” แต่มันกลับเจ็บหน่วง เนิ่นนาน และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกวินาที ที่ได้เห็นหน้ากัน ยิ่งเขาได้ยินเด็กหนุ่มเรีกชื่อเขาซ้ำแบบนั้น มันไม่ใช่แค่การเรียกเพื่อให้ตฤณพูดอะไรสักอย่างออกไปบ้าง แต่มันเป็นการเรียกที่ทำให้ตฤณได้ทบทวนและเรียบเรียงสติ ความคิด ของเขาอีกครั้ง

“วิน แม่ของคุณพูดถูกนะ ผมไม่ได้คู่ควรกับคุณอีกต่อไปแล้ว” ตฤณพูดออกมาในที่สุด วินรีบส่ายหน้า แสดงออกทันทีว่าไม่เห็นด้วย “ขอบคุณนะ ที่พูดคำคำนั้นออกมาด้วยตัวเอง เธออาจจะคิดว่า สมัยนี้แล้ว เธอไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง” แม่ของวินพูดสวนขึ้นมาในทันที วินรู้สึกเสียดขึ้นมาในหัวใจ ได้เห็นแววตาที่รู้สึกผิดของตฤณ

“ใช่ครับคุณแม่” วินพูดออกไป “วินไม่แคร์” วินพูดจบก็หันไปทางแม่ของเขา “ไม่ว่าตฤณจะไปทำอะไรมา แต่นั่นมันเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะกลับมาเจอตฤณ” วินไม่คิดว่า นี่คือความผิดของตฤณที่ต้องยอมจำนนและรับมันไว้คนเดียว “ลูกวิน นี่ลูกร้ตัวบ้างมั้ย ว่าลูกพูดอะไรออกมา” แม่ของวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งโกรธทั้งผิดหวัง

“คนคนนี้ทำลายครอบครัวของคนอื่นนะ” แม่ของวินพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอ “คนคนนี้หลับนอนกับผู้ชายอื่นไปทั่ว แถมรู้ทั้งรู้ ว่าผู้ชายเขามีเมียแล้ว ก็ไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ลักกินขโมยกินนั้น ถึงขนาดสะใจที่ทำให้ผัวเขาหย่าเมียจนได้” แม่ของวินมองไปที่ตฤณแบบหัวจรดเท้า

“สกปรก โสโครก หยำฉ่า” แม่ของวินบริภาษใส่ตฤณโดยไม่อ้อมค้อม “เป็นเกย์มันไม่ผิด แต่ผิดที่เธอทำลายชีวิตของคนอื่น บนความกาลีของตัวเธอเอง” ตฤณรู้สึกได้เลยว่าเขากำลังถูกเปลือยตัวตน ต่อหน้าเด็กหนุ่มอย่างวิน เด็กหนุ่มคนนี้ คนที่พยายามกลับมาหาเขาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ จนไม่คิดว่าจะทำได้อีกครั้งในชีวิตก็ตาม

“วินไม่แคร์” เด็กหนุ่มพูดประโยคนั้นออกมาอีกครั้ง “คุณต้องแคร์นะ” ตฤณนั้น แม้จะมีข้อแก้ตัวที่คิดว่าเหมาะสม เมื่อเขานั้น ไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนที่จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก เขาจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไม่สน ว่าใครจะรู้อย่างไร “สิ่งที่ผมทำ ที่ผมเลือกทำมันลงไป ความเหลวแหลกที่ผมไม่ยอมปฏิเสธ” ตฤณนั้นรู้สึกแสบสันดีพิลึก เมื่อมองเห็นแววตาของวินที่ยังคงส่งมาแต่ความเข้าใจให้เขา

“แม่คุณพูดถูกนะ วิน แต่ใครจะนึก” ตฤณแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “ว่าที่เขาว่ากัน ว่าการกระทำของเรา มีผลตามมาเสมอ มันจะกลับมาตอบแทนผมได้อย่างสาสม” ตฤณบอกกับวินไปแบบจริงใจที่สุด ก่อนจะเห็นนฤเบศ หนุ่มใหญ่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ไกล

“วินกลับมาหาตฤณ เพราะวินไม่ต้องการให้มันเป็นแบบเดิมอีก วินต้องการกลับมาแก้ไขสิ่งที่วินเคยทำพลาดมา” เด็กหนุ่มนั้น พูดด้วยหัวใจที่ยังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดั้งเดิม “มันก็คงจะง่ายแบบนั้น” ตฤณพูด พยักหน้าเบา ๆ “ถ้าผมไม่สารเลว เล่นชู้กับผัวคนอื่น แล้วยังทำให้เขาต้องเลิกรากัน” ตฤณรู้สึกอับอายไม่น้อย เมื่อต้องสารภาพมันออกมาต่อหน้าวิน แต่บางอย่างมันทำให้เขากลับรู้สึกโล่งใจ เมื่อได้พูดออกไปแบบนั้น

“มันคงง่ายกว่านี้เยอะ เราคงไม่ต้องสนใจหรือแคร์อะไรมากมายนัก ถ้าผมทำอย่างที่คนดี ๆ เขาทำกัน หรืออย่างน้อย ก็ไม่ได้เลวจนยากที่จะให้อภัยแบบนี้ คิดดูสิ พ่อแม่ที่ไหนจะยืดอกแนะนำ เฮ้ นี่ไง คู่รักของลูกชายพวกเรา แต่ว่า เขาเคยเป็นคู่ขา คู่นอน เอากับคนมีเมียแล้วนะ” ตฤณพูดก่อนจะยิ้มออกมา แต่ในใจกำลังถูกกรีดเป็นชิ้น ๆ

“แล้วทำไมต้องเป็นเราสองคน ที่ต้องปล่อยมือจากอีก” วินรู้สึกว่า นี่มันไม่ได้ยุติธรรมเลยสักนิด ตฤณสบตากับวิน ยิ้มน้อย ๆ ให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เพราะเราไม่อยากให้คนที่รักเราต้องเสียใจน่ะสิ” วินหันกลับที่พ่อและแม่ของเขา “โธ่เว้ย” ก่อนจะสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนตฤณมองไปที่นฤเบศที่ยืนรออยู่เงียบ ๆ

“ไม่ ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้” วินตรงเข้าสวมกอดตฤณเอาไว้จนแน่น หยาดน้ำตาที่ตฤณพยายามกักเก็บมันเอาไว้ ไม่ให้มันไหลริน ร่วงเผาะลงมา “เราเจอกันในวันที่สายไป” ความอบอุ่นของอ้อมกอดที่ตฤณได้รับจากวิน ทำให้ตฤณบอกกับตัวเองว่า แค่เพียงเท่านี้ ก็ดีแค่ไหนแล้ว “โอกาสหนึ่งในกี่พันล้าน ที่เราสองคนจะมีโอกาสได้กลับมาเอ่ยคำลากันอีกครั้ง” ตฤณรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่แน่นขึ้น อ้อมกอดที่แข็งแรงของวิน ว่าครั้งที่แล้ว ทั้งคู่จากกันไปโดยที่ไม่ได้ร่ำลา

****************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=nbJa3bwwTJ0


ฉันแค่เพียงไม่อยากหายใจ

Somehow, I just wish I stopped breathing

ไม่มีเธอจะทำเช่นไร เพื่ออยู่ให้ไหว

Without you, what can I do to go on

ไม่เคยเผื่อใจเอาไว้

Never thought about that before


ทุกวันวันก็ยังเหมือนเดิม

Every day, things are the same

วันเวลาก็ยังหมุนไปไม่เคยหยุดพัก

Date and time, they’re changing endlessly

แม้ใจจะอยากหยุดพัก

Though I do need it to rest


อยากจะพบแค่เพียงได้บอกเธอ

I want to see you just to say this

ขอได้เพียงแค่บอกลา

The goodbye I am willing to

มีทางไหน

Whichever way there is

ก่อนที่เธอ นั้นจะจากไป

Before you are gone


เพราะฉันนั้นยังตั้งตัวไม่ทัน

Out of the blue, I’d say

ตอนเธอไปไม่ได้ลาสักคำ

That’s when you left with no words

กลับมาบอกวิธีฉันก่อน

Come back, please tell me this

เธอไม่ได้สอนให้ฉันอยู่คนเดียว

You didn't teach me how to live alone


เพราะฉันนั้น คิดถึงเธอเหลือเกิน พยายามไม่นึกถึงหน้าเธอ

‘Cause I miss you so and I fail not to see your face

กลับมาบอกวิธีฉันก่อน

Come back once more to tell me the way

มาสอนฉันก่อน วิธีการอยู่คนเดียว

Enlighten me how to be all alone


พยายามจะทำเหมือนเดิม

Trying to make everything exactly the same

ยังคงรอว่าเธอจะกลับมา เธอจะกลับมา

Still waiting that you are, you’re coming back to me


อยากจะพบแค่เพียงได้บอกเธอ

I wish I could see you again

ขอได้เพียงแค่บอกลา

Wish I could say goodbye

มีทางไหน

What way you’d say

ก่อนที่เธอ นั้นจะจาก

Before you’d walk away from me


เวลาที่ดีดีอยากให้มีเธอ

I’d like to share our quality time

อยู่ข้างข้างกันตรงนี้ อยากให้เธอรู้

You’ll be right beside me, I need you to know

แต่ไม่มีเธอ แล้วทำอย่างไร

But without you here, what can I do?
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๔. คิดถึงเรื่องที่ยอม ๑๑/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 11-04-2023 18:35:43
บทที่ ๔๔. คิดถึงเรื่องที่ยอม



2566

2023



“เฮ้ย ไอ้ดีน มึงทำไมเล่นได้ไม่ถึงเลยวะ กูว่า มึงเล่นได้อีก ได้มากกว่านี้เยอะ” เสียงบ่นของรุ่นพี่ผู้กำกับละครเวที บ่นอุบเมื่อพระเอกของเรื่อง เข้าฉากแสดงอารมณ์ออกมาอย่างแกน ๆ จนต้องสั่งเทคแล้วเทคอีก เพื่อให้แสดงใหม่ “กูได้เท่านี้จริง ๆ ว่ะ” ดีนพูดตอบกลับไปตามความจริงที่เขารู้สึก และมันคือสิ่งที่เขารู้สึกได้แบบไม่ต้องเสแสร้ง

“กูไม่อิน” ดีนพูดกลับไปอีก “กูไม่อินเลยสักนิด” ผู้กำกับดึงตัวของดีนให้หลบมาคุยกันเป็นการส่วนตัว หลังจากที่ดีนพูดออกมาแบบนั้น เพื่อให้ห่างจากทีมงานที่ยืนอยู่ตรงนั้น “พูดอะไรอย่างนั้นวะดีน ไอ้เวร มึงเป็นนักแสดงนะ มึงต้องเสแสร้งให้ได้ ต้องจำลองว่ามึงคือตัวละครนี้ มึงต้องเข้าถึงบท มึงต้องทำให้ได้” ก็ไม่ใช่ว่าดีนจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่รุ่นพี่ผู้กำกับพูดออกมา

“ไอ้เหี้ย งานส่วนรวม” ดีนถอนหายใจออกมา เมื่อเขาก็รู้ดี ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนด้วย “นี่มันหน้าที่ของมึง” ดีนฟังเพื่อนที่เป็นผู้กำกับละครเวทีพูด เขาเดินกลับไปกลับมา สายตาก็มองไปที่ประตูทางออกจากหอประชุมใหญ่แห่งนี้ “เออ กูแม่งเหี้ยเองแหละ ไม่มีความรับผิดชอบ แต่มึงไม่มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอก มึงต้องมาลองเป็นกูดูสักครั้ง” พูดจบดีนก็ผลุนผลันเดินไปที่ประตู

“จะไปไหนไม่ทราบ ไอ้เพื่อนรัก” ก่อนที่ดีนจะกระชากประตูให้เปิดออก เพื่อนสนิทของดีนก็เปิดประตูเยี่ยมน้าเข้ามาเสียก่อน “กูเล่นไม่ได้ กูว่าจะกลับบ้านแล้ว” ดีนพูดห้วน ๆ รู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก ยังไม่อยากถูกสัมภาษณ์อะไรตอนนี้ทั้งนั้น “ช้าก่อน เย็นไว้โยม” เพื่อนสนิทของดีนห้ามปรามเพื่อน รุ่นพี่ผู้กำกับเดินเข้ามาสมทบ

“อะไรกันวะ” แม้แต่รุ่นพี่ผู้กำกับก็สงสยกว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อแววตาและสีหน้าของเพื่อนรักแสดงท่าทีมีพิรุธ “จะมีใครสักคนไหมวะ สักคนบนโลกนี้ที่จะสามารถพูดให้ไอ้ดีน พชรดล คนหล่อคนนี้ ให้สามารถตั้งสติ และใช้ความสามารถสวมบทบาทพระเอกละครเวที ที่เป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัยเราให้ออกมาอย่างดีที่สุด” ดีนนั้นเอือมที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้

“อย่างเช่น” แต่ก่อนที่ดีนจะพูดอะไรออกไป เพื่อนรักของเขาก็ขยับเลื่อนตัวไปด้านข้าง เผยให้เห็นใครคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ตรงด้านหลัง “ปัน” ดีนเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา “เทปปัน มาได้ยังไง มาหาดีนหรือ” และก็แค่นั้น เพียงเท่านั้นจริง ๆ “โอ้โห พลังอำนาจเกินต้านทานจริง ๆ ว่ะ ไอ้เหี้ยดีนน้ำเสียงอ่อนหวานขึ้นมาได้ทันที” รุ่นพี่ผู้กำกับอดไม่ได้ที่จะต้องค่อนขอดเพื่อน เพราะเห็นท่าทีของดีนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน จากที่ดูหงุดหงิดไม่สบอารมณ์มาตลอดวัน

“อย่าทำให้คนอื่นเขาเสียงาน” เทปปันตั้งใจจะมาช่วยพูดให้ดีนตั้งใจแสดง หลังจากที่อาจารย์ที่ปรึกษาการแสดง โทรหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ “ดีนรู้ครับ” รุ่นพี่ผู้กำกับได้ยินดีนพูดจาไพเราะ ทำให้รู้สึกอยากจะขย้อน เพราะมันผิดวิสัย ผิดไปจากตัวตนดีนเวลาอยู่กับคนอื่นเป็นอย่างมาก แต่พอมาเป็นเทปปัน “ไอ้ปันแม่ง เหมือนเสกได้” รุ่นพี่ผู้กำกับต้องยอมซูฮกจริง ๆ เรื่องนี้

“ตั้งใจจะมาพูดแค่นี้แหละ พยายามเข้า” เทปปันนั้น ก็คิดว่า ตัวเองก็คงช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับตัวของดีนเป็นหลัก “ปันอย่าเพิ่งกลับสิ รอดีนก่อน เนี่ย ซ้อมอีกแป๊บเดียวก็จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวดีนขับรถไปส่งที่คอนโด” ดีนพูดเร็วปรื๋อ ยังไม่ยอมให้เทปปันขอตัวกลับ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำเช่นนั้น

“อ้าว เร็วสิวะ รีบซ้อม จริงจังหน่อย” ดีนเดินนำกลับเข้าไปในเซ็ท เรียกให้นักแสดงคนอื่น ๆ มาเข้าฉาก เทปปันทำท่าอึกอัก ๆ จะกลับก็ไม่ได้ เพราะรับปากอาจารย์มาแล้ว เพื่อนสนิทของดีนหัวเราะออกมาเบา ๆ ก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าดีนมันจะยอมง่ายดายขนาดนั้น ไม่ต้องให้เทปปันต้องพูดหว่านล้อมอะไรให้เยอะจนมากความ

“ถ้าแอบกลับก่อน เดี๋ยวมันก็กลับมาคลั่งอีกหรอก” เพื่อนสนิทของดีน กระซิบกับเทปปัน ก่อนจะเดินกึ่งนำให้เทปปันเดินตามไปหาที่นั่งรอ อยู่ดูดีนเข้าฉากซ้อมละครเวทีให้เสร็จเสียก่อน อีกอย่าง ตัวเองก็รับปากตอบรับคำอาจารย์ที่ปรึกษาการแสดงไปแล้วอย่างดิบดี ว่าจะพูดให้ จนดีนนั้นกลับมาตั้งใจเหมือนเดิม อย่างตอนที่เทปปันยังร่วมแสดงอยู่ด้วย

“ดีมากทุกคน วันจริงให้ได้แบบนี้ ไอ้ดีน เยี่ยมเลยมึง แบบนี้เลย เอาแบบนี้ กูชอบมาก” รุ่นพี่ผู้กำกับกล่าวชมนักแสดงร่วมฉากทุกคน ที่ทำให้ฉากใหญ่ฉากนี้ออกมาได้อย่างเรียกได้ว่า เกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เหลือที่ต้องปรับแต่งอะไรอีกนิดหน่อย และเมื่อไฟ ฉาก และนักแสดงพร้อมเข้าที่เข้าทาง มันจะต้องออกมาอย่างดีแน่นอน

“ดีนแล่นดีมั้ย ปันได้ดูดีนเล่นมั้ย มีตรงไหนที่ปันอยากคอมเม้นท์มั้ย” เทปปันส่ายหน้า ไม่ได้ต้องการจะติอะไรตรงไหน แม้ว่าในใจคิดว่าดีนน่าจะปรับแต่งอะไรอีกนิด เทียบจากตอนที่ซ้อมฉากนี้ด้วยกัน “กลับก่อนนะ” เทปปันรีบบอกออกไป ก่อนจะรีบเดินไปที่ทางออก “เฮ้ยพวกมึ กูกลับแล้ว ไว้เจอกัน” ดีนรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไป ไม่รอคำตอบจากเพื่อนแต่อย่างใด

“ไอ้ปันมันทำได้ยังไงวะ แม่ง แมจิคฉิบ” รุ่นพี่ผู้กำกับที่มองตามเทปปันและดีนจนทั้งคู่เดินออกจากหอประชุมไป กล่าวขึ้นอย่างทึ่งในความรู้สึก เพื่อนรักคนสนิทของดีนยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ใครบางคนก็เจอกันด้วยพรหมที่ลิขิตเอาไว้แล้ว” และนั่นพูดจากสิ่งที่ได้รับรู้มาจากดีน “คนสองคน บางทีก็ดิ้นรนเพื่อกลับมาตามหากันจนเจอ” รุ่นพี่ผู้กำกับยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ๆ เพราะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ก่อนจะชวนเพื่อนและทีมงานไปหาเหล้ากระดกลงคอกันสักหน่อย

“ก็ถ้าไม่ขึ้นรถ ก็ถือว่ากลัว” ดีนพูด เมื่อเทปปันปฏิเสธที่จะขึ้นรถไปกับเขา “ปันกลัว ถูกมั้ย” เทปปันหันกลับมามองทางดีนที่ยืนรออยู่ที่รถ “มันไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว” เทปปันหลุดปากพูดตอบกลับอีกฝ่ายมา “งั้นก็ขึ้นรถ” ดีนพูดพลางยิ้มน้อย ๆ เทปปันเห็นแบบนั้น ก็ไม่รู้ทำไมถึงต้องรีบเสมองไปทางอื่น หลบสายตาจากรอยยิ้มบ้า ๆ นั่นของดีน ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ ดีนยิ้มกว้างก่อนจะทำอย่างเดียวกัน

“นั่งรถพอเพลิน ๆ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้วนะครับ” ดีนพูดก่อนจะค่อย ๆ ออกรถเข้าสู่กระแสการจราจรของค่ำวันศุกร์ที่คับคั่ง ซึ่งรถรานั้นแน่นขนัดไปหมด มันใช้เวลาอยู่ไม่น้อย เพราะดีนก็ต้องค่อย ๆ ปล่อยรถให้เคลื่อนตัวไปตามจังหวะไฟจราจร “ทำไมรถติดจังวันนี้” เทปปันพึมพำบ่นออกมาเบา ๆ ดีนที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำชวนคุยนั่นคุยนี่ เพื่อให้เทปปันคลายความเบื่อ แต่กลายเป็นว่าเทปปันกลับนั่งนิ่งใส่เขาหลังจากนั้น ทำเป็นไม่หือไม่อืออะไร

“โอ้โห ดูนั่นสิ คนญี่ปุ่นมาเที่ยวกันกลุ่มใหญ่เลย คอนนิจิวะ” ดีนแกล้งตะโกนออกไปเสียงดัง “คมบังวะ” ได้ผล “พระอาทิตย์ตกดินแล้ว” เทปปันกล่าวแก้ไขคำพูดที่ถูกต้องให้กับดีน ที่ตอนนี้พยายามซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้อย่างที่สุด รอยยิ้มแห่งความดีใจ “อ้อ คมบังวะหรอกหรือ คมบังวะ” ดีนตะโกนออกไปตบท้าย ก่อนที่จะเคลื่อนรถตามคันข้างหน้า ไกลออกจากหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นริมถนนใหญ่นั้นไป

“ดีใจนะ ที่ปันมาหาดีน” เมื่อเห็นว่าวิธีของตนได้ผล ที่หลอกล่อให้เทปปันพูดด้วยได้ แถมยังได้ขับรถไปส่งอีกฝ่ายที่คอนโดได้ ดีนก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป “วันก่อนดีนไปล้างห้องน้ำที่วัดมาอีกรอบนะ” ดีนพูดพลางหันไปสบตากับเทปปันที่หันมามองทางเขาเช่นกัน “คุณป้าคนดูแลที่วัดบอกแล้ว” เทปปันตอบกลับดีนไป รับรู้ว่าดีนไปช่วยที่วัดมาเช่นกัน

“แต่ดีนไม่ได้ไปกวนแม่ชีนะ แค่ไปกราบสวัสดีท่านเฉย ๆ ไปบอกแค่ว่า ดีนมาช่วยล้างห้องน้ำ” ดีนเลี้ยงโมเมนตัมการสนทนาระหว่างกันเอาไว้ “ปันจดเอาไว้ให้ดีนด้วยนะ” ดีนบอกอีฝ่าย ก่อนจะขยับรถไปด้านหน้าตามจังหวะการเลื่อนไหล “จดอะไร” เทปปันขมวดคิ้วสงสัยว่า ดีนจะให้เขาจดเรื่องอะไรกัน

“คะแนนไง คะแนนของดีน เพิ่มหนึ่งแต้ม เข้าไว้ในหัวใจของปัน” เทปปันถึงกับประหลาดใจที่ได้ยินดีนพูดแบบนั้น อีกอย่าง อะไรกัน ทำไมหัวใจของเต้นตึกตักขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็เคยถามตัวเองมาแล้วไม่ใช่หรือ เทปปันรีเชคกับตัวเองในใจ เราไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่คนนี้เสียหน่อย เขาจะพูดจาเกี้ยวพาราสีอะไร มันก็ต้องไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิด ดีนเห็นอาการอึกอักไปไม่เป็นของเทปปัน ก็ใจชื้น จากการค่อย ๆ รู้จักกันและกันมากขึ้น ว่านี่คืออาการปฏิเสธความจริงของเจ้าตัว

'ก็อยากทำดีให้เธอเห็น ก็อยากคือความจำเป็นของเธอ' เสียงเพลงจากวิทยุดังเบา ๆ คลอออกมา ทั้งสองหนุ่มที่บังเอิญหันมาสบตากันเข้าพอดี ต่างก็ไม่รู้จะวางหน้ายังไง ไปกับอาการตอบสนองกับความหมายที่เนื้อร้องว่าเอาไว้ ดีนทำเป็นร้องคลอตามไปด้วย แกล้งถามเทปปันว่า เพลงนี้ท่อนต่อไปร้องว่ายังไง ก่อนจะหัวเราะชอบใจ เมื่อเทปปันตอบกลับมาว่า 'ไม่รู้'

“ใจจริง ดีนอยากชวนปันกินข้าวเย็นด้วยกัน” ดีนบอกกับอีกฝ่าย เมื่อขับรถมาได้สักพัก และใกล้ที่จะถึงคอนโดที่พักของเทปปัน “แต่ว่า” ดีนพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้น เมื่อกำลังหมุนพวงมาลัยรถขับผ่านทางเข้าของคอนโดไปด้านใน เทปปันมองไปที่ดีน รอให้ดีนพูดให้จบจากที่ค้างเอาไว้เช่นกัน

“แต่ว่า” ดีนพูดต่อเมื่อจอดรถที่หน้าประตูอาคารคอนโดที่เทปปันอาศัยอยู่ “แม่ยังไม่ยอมยกเลิกเคอร์ฟิวให้ดีนเลย เรื่องที่ดีนทำตัวไม่ดี” ดีนจบประโยคของตัวเองในที่สุด เทปปันทำเป็นแค่ฟังที่ดีนพูดเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่า ดีนพยายามจะพูดขอโทษเขาอีกครั้ง “ช่วยไม่ได้ ทำตัวเอง” เทปปันพูดจบ ก็เปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินเข้าตึกไป

“หันมา หันมาปัน หันมามองดีน” ดีนมองตามอีกฝ่ายไป อยากให้ปันหันกลับมามองเขา “อย่าหันกลับไป อย่าหันกลับไปมองเชียวนะ” เทปปันที่กำลังเดินไปที่ลิฟต์ออกคำสั่งกับตัวเอง ว่าห้ามเด็ดขาด ห้ามหันกลับไปมองดีน ต้องรีบเดินเข้าลิฟต์ไปเลย บอกตัวเองเสร็จสรรพดังนั้น เทปปันก็เหลียวหันกลับไปมองที่ประตูทางเข้าตึก โดยที่ปรากฏแก่สายตา คือรถของดีนไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่ได้จอดอยู่ตรงที่เดิมตอนที่ดีนจอดรถส่งเขา

“ดีน” เทปปันเรียกชื่อดีนออกมาอย่างตกใจ "จริง ๆ เลย" เพราะยังไม่ทันที่เทปปันจะได้ทำอะไรต่อ จะรู้สึกผิดหวังหรือไม่อย่างไร เมื่อไม่เห็นรถของดีนจอดรออยู่ตรงนั้นแล้ว อยู่ ๆ ดีนก็ถอยรถอย่างเร็วกลับมาจอดที่เดิม โดยที่เจ้าตัวยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจอย่างที่สุด ที่เทปปันหันกลับมามองเขาจริง ๆ กับแผนที่คิดขึ้นมาปัจจุบันเดี๋ยวนั้น ด้วยว่าเทปปันเก้ ๆ กัง ๆ จะหันกลับเดินเข้าลิฟต์ หรือจะเดินกลับไปที่รถเพื่อด่าดีนให้สาแก่ใจดี ก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะอย่างไรดี เมื่อถูกอีกฝ่ายที่ตอนนี้มองมาด้วยรอยยิ้มชอบใจ จับได้ว่า หันกลับมาลอบมองกันแบบนี้

“โอ๊ย หมดกัน” เทปปันได้แต่บ่นตัวเอง ก่อนจะรีบก้มหน้างุด ๆ เดินเข้าลิฟต์ไป เพราะเสียรู้กับวิธีเอาล่อเอาเถิดของดีน ที่ตอนนี้ หัวเราะร่า ชอบอกชอบใจไม่ใช่แค่เพียงจับโกหกเทปปันได้เท่านั้น แต่ดีนดีใจและมั่นใจว่า ความในใจจริง ๆ ของเทปปัน นั้นก็แสดงออกมาจากท่าทีไม่ยินดียินร้าย ทำหมางเมิน ทำเป็นไม่สนใจใส่ใจดีนไปอย่างนั้นเอง

**************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษโดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=MFnKm6aB938


ดูดูเธอไม่เคยจะเข้าตา

You never got my attention

เป็นคนธรรมดาที่ทักทาย

Just someone I said Hi to

ก็ไม่ได้รู้สึกดี กว่าใครคนไหน

No such thing’s romantically involved

(Why do you always cross my mind?)


ไม่ได้มีอะไรที่คล้ายกัน

Nothing we have in common

ไม่ได้ทำอะไรประทับใจ

Not even first impression

แต่ก็ไม่รู้ทำไมยังต้องได้เจอ

But we keep running into each other


เธอกับฉันเปรียบ เหมือนดวงดาวที่ห่างไกล

You and I, we stand on planets across the universe

ให้หมุนยังไงไปคนละทาง ก็วนมาเจอทุกที

We circle in an opposite directions yet find our ways to cross path

(I don't know why)


ยิ่งเผลอเท่าไรยิ่งผูกพัน

Without notice, we are bonding

ยิ่งเหมือนนานวันหัวใจก็ยิ่งสั่นสั่น

The longer we’re here, the more heart trembling


อยู่ดีดีใจมันก็คิดถึงเธอ (Is it you?)

Now all I’m thinking is you

ไม่ได้เจอทำไมมันเริ่มไหวหวั่น (You)

Why I’m feeling blue when you’re not around

จากที่ฉันไม่คิดอะไร

I thought I’d never fall for you

กลับกลายเป็นห้ามใจไว้ไม่อยู่

Now I do, I do think of you dearly

จะรักให้รู้ไปเลยดีไหม (Is it you?)

Am I supposed to give myself a chance to love?

ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้จริงจริง

Can’t really deny this feelings of mine


นานนานไปก็ดูจะเข้ากัน

The more we see, the better we get along

นานนานวันก็ดูจะชัดเจน

Now it seems so crystal clear

และก็เป็นเธอนั้นที่ใจยอมแพ้

And that’s me who have now given up to you

(Have I ever crossed your mind?)


กลายเป็นมีอะไรที่เหมือนกัน

We see things eye to eye

เธอเติมเต็มให้วันของฉันงดงามกว่าเก่า

You’ve filled up those gaps and my days are prettier

เข้ามาลบความเหงา ที่ฉันเคยมี

You chased my loneliness to go away
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๕. คิดถึงที่ยังรอ ๑๒/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 12-04-2023 20:34:30
บทที่ ๔๕. คิดถึงที่ยังรอ



2537

1994



“กั้ง แกอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว” กั้งที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดชั้นวางแก้วบนผนังด้านหลังบาร์ ชะงักมือในทันที “อ้าว เจ้หวี นี่หนูทำอะไรให้เจ้ไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมเจ้พูดแบบนั้นล่ะ” กั้งสบตากับเจ้าของบาร์เหล้าที่ได้ยื่นมือช่วยเขาไว้มาหลายต่อหลายครั้ง นับเป็นหนี้บุญคุณที่กั้งไม่มีวันลืมมันไปได้

“แกทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน ฉันคิดถึงเขาวนเวียนมาเป็นสัปดาห์แล้ว” เจ้หวีพูดกลับมา “แกต้องไปจจากที่นี่ซะ ตั้งแต่ยังมีโอกาส” เจ้หวีบอกกับกั้งในสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ดีแล้ว “นี่เจ้เกลียดหนูหรือ” กั้งถามออกไป ด้วยใจที่กลัวเหมือนกัน ว่าคำตอบจากปากเจ้หวีที่จะตอบเขากลับมา คือคำว่าใช่

“แกอย่าบ้าน่า ฉันไม่เคยคิดเกลียดแกเลย” คำถามของกั้งนั้น กั้งเองก็รู้แหละ ว่าเจ้แกจะมาเกลียดขำได้ยังไง ในเมื่อตลอดเวลาที่ได้รู้จักกัน ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เจ้หวีมีแต่น้ำใจมอบให้เท่านั้น รวมถึงความรักความอาทรที่คนแปลกหน้า ไม่ต้องมอบให้กับก็ได้ แต่เจ้หวีก็ไม่รีรอลังเลที่จะทำให้

“เชื่อเจ้แกเถอะ กั้ง” แฟนเจ้หวีที่ปกติไม่ค่อยพูดอะไรเยอะ บอกกับกั้งไป เจ้หวีกับแฟนมองหน้ากัน ต่างรู้ดีถึงเหตุผลว่าทำไม เจ้หวีถึงต้องบอกกั้งให้ออกไปจากที่นี่เสีย “เอาเป็นว่า ฉันไม่ได้เกลียดแก กั้ง แถมฉันยังหวังดีกับแกเสียด้วยซ้ำ ฉันถึงพูดแบบนี้” เจ้หวีดูก็รู้ว่าแกเองก็หนักใจ และดูเสียใจที่จะต้องบอกให้กั้งจากไป

“ฉันใจคอไม่ดี เมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น” เจ้หวียังจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนได้ดี “ฉันจะให้เงินติดตัวแกไปก้อนหนึ่ง ขาดเหลืออะไรแกก็ติดต่อกลับมา ไม่ใช่ว่าจากกันแล้ว จะตัดขาดกันเลย” เจ้หวีที่เดินเข้ามาหากั้งพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “แกไม่ใช่ แต่ก็เหมือนฉันเบ่งแกออกมาเอง” เจ้แกใช้มือลูบหน้าลูบตากั้งด้วยความปรานี

“แล้วเจ้หวีจะให้หนูไปอยู่ที่ไหน” เสียงของกั้งสั่นเครือ ไม่อยากจากเจ้หวีไปไหน ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะเลือกจะทำอะไรอย่างไรต่อไป “งั้นกั้งก็ไปอยู่กับผม” เสียงพูดดังขึ้นมาจากประตูหน้าร้าน ทั้งสามคนหันไปมองที่ตรงนั้น ทิวยกมือไหว้เจ้หวีและแฟนของเจ้ “ผมจะอยู่กับกั้งเอง เจ้หวีไม่ต้องห่วงนะครับ” ทิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูกระตือรือร้น

“พูดอะไรเนี่ย แล้วใครให้เข้ามา” กั้งฉุนเฉียวใส่ทิว “จากครั้งที่แล้ว ก็ว่าไล่ไปแล้วนะ ยังจะพูดจาไม่รู้เรื่องอีกหรือไง” กั้งพูดยาว แต่ครั้งนี้ดูทิวจะไม่หน้าเสีย ถอดใจอย่างเคย “จะว่าอะไรทิวก็ว่าไป ทิวพูดจริง ๆ นะ เราไปอยู่ด้วยกัน” ทิวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากั้ง “ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครแยกเราจากกันได้อีก” ทิวพูดด้วยลักษณะท่าทางที่ตรึกตรองมาแล้วเป็นอย่างดี

“พูดอะไรออกมาเนี่ย รู้ตัวบ้างมั้ย อย่ามาพูดอะไรเหมือนเป็นเรื่องเล่น ๆ ไปซะหมด” กั้งว่าทิวเข้าให้ เหตุเพราะในใจนึกกลัว หากว่านี่เป็นเพียง แค่การให้ความหวังกันลม ๆ แล้ง ๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้น กั้งไม่เหลือหัวใจให้ทิวหลอกให้เจ็บช้ำอีกแล้ว “เจ้กับเฮียยังทำได้” ทิวหันไปมองคู่รักเพศเดียวกัน ที่ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคกันมาแล้วสารพัด

“ทิวกับกั้ง เรามาเริ่มใหม่กันอีกครั้ง สร้างทุกอย่างด้วยกัน ไม่ต้องไปสนว่าใครจะคิดยังไง แคร์แค่ว่า เราสองคนรู้สึกยังไง รับรู้กันแค่เราก็พอ” ความจริงใจสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากคำพูดของทิว “มันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ” กั้งโยนผ้าเช็ดของในมือลงบนบาร์ ก่อนจะผลุนผลันเดินหลบเข้าไปที่ด้านหลังร้าน เจ้หวีบอกทิวรีบเดินตามคนปากแข็งอย่างกั้งเข้าไปคุยกันให้รู้เรื่อง

“กั้ง” ทิวเรียกชื่ออีกฝ่าย ที่ทำเป็นไม่ได้ยิน ยืนเด็ดผักที่จะใช้เตรียมทำอาหารให้กับลูกค้าบาร์ค่ำนี้ ทิวยิ้มนิด ๆ เมื่อรู้ดีว่า นี่คืออาการงอนของแฟน ที่ไม่ใช่อาการโกรธ ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง กั้งแทบจะไม่อยากมองหน้าทิวด้วยซ้ำ “กั้ง” ทิวเรียกชื่ออีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนไปยืนอยู่ข้าง ๆ ช่วยเด็กผักที่อยู่ในกะละมังนั้น

“ที่บ้านทิวรู้แล้วนะ” ทิวพูดขึ้น “ว่าทิวเป็นเกย์ ว่าทิวชอบผู้ชายด้วยกัน” กั้งได้ยินทิวพูดแบบนั้น ก็หยุดมือที่เด็ดผักนั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเด็ดมันต่อ “คราวที่แล้ว ที่ทิวมาหากั้ง พอกลับไปทิวก็ไปบอกกับพ่อและแม่” กั้งเองก็รู้ดี ว่ามันเป็นเรื่องยากมากสำหรับทิว “บ้านแทบแตก” ทิวพูดกลั้วหัวเราะ มือก็ไม่หยุดช่วยกั้งเด็ดผัก กั้งจับมือของทิวเอาไว้ให้หยุด

“โอเคหรือเปล่าเนี่ย” ต่อให้กั้งได้ยินทิวหัวเราะออกมา แต่เมื่อถามออกไปและได้สบตากับทิว ก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องผ่านความสาหัสทางความรู้สึกมาอย่างแน่นอน ทิวพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะหันหลังพิงขอบโต๊ะตรงหน้า “ทิวพูดไปหมดทุกอย่าง” เด็กหนุ่มตอบคนคนเดียวที่เขาคิดว่าเป็นแฟนอย่างกั้ง

“ทิวสารภาพไป ว่ามีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น เพราะคิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้” การเปลี่ยนแปลงที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีต้นแบบที่ดีหรือคำแนะแนวแนะนำใด ๆ คิดเอาว่า หากมีอะไรกับผู้หญิงแล้ว ไอ้ความรู้สึกพึงใจอยากหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง สามารถกลับมาเป็นผู้ชายที่สามารถเพียงเสพสังวาสกับสตรีเพศเท่านั้น

“พ่อกับแม่ด่าว่าทิวยกใหญ่ ดีนะที่พวกเขาไม่ได้ลงมือลงไม้อะไรกับทิว แต่ก็โหย โดนด่าเละเทะเลย” ทิวพูดออกมา ยิ้ม โคลงหัวไปมา ทำราวกับว่าตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว จากเรื่องที่ทำให้ต้องรู้สึกแย่เหลือเกิน “เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นพ่อกับแม่ที่เกรี้ยวกราดใส่ทิว ทำกับทิวยังกับไม่ใช่ลูก” คงเป็นความเสียใจที่เต้นระริกอยู่ในแววตาของเด็กหนุ่มอย่างทิว ที่กั้งได้มองเห็น

“ทั้ง ๆ ที่ทิวแค่บอกถึงตัวตนของทิว กับสิ่งที่ทิวเป็น” แค่นั้นจริง ๆ นั่นคือสิ่งที่กั้งเองก็ไม่แตกต่างจากทิว และนั่นคือการได้เป็นตัวของตัวเอง ได้บอกกับใครต่อใครได้อย่างไม่ต้องปิดบัง ถึงสิ่งที่เป็น แต่ว่ากับสิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้มันมา มันมีราคาที่แพงระยับ และนั่นอาจจะแพงถึงการต้องหนีหาย ตัดขาดจากครอบครัวของตัวเองที่อยู่ด้วยกันมาแตกอ้อนแต่ออก

“อืม” กั้งทำเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนจะใช้ไหล่ชนเบา ๆ เข้าที่ไหล่ของทิว เป็นเชิงว่ากับสิ่งที่ทิวว่ามานั้น กั้งเข้าใจมันเป็นอย่างดี “บอกไปแล้วมันก็โล่งใจดี ไม่ต้องมีอะไรเก็บซ่อนปิดบังอีกต่อไป” กั้งพูดสบตากับทิวตรง ๆ ประกายตาของกั้งหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ ทิวยิ้มออกมา พยักหน้าเห็นด้วยกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

“ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารู้ ความลับไม่มีอีกต่อไป ก็ไม่ต้องกังวลให้เหนื่อยใจ” ทิวเองก็เพิ่งจะเข้าใจคำพูดของกั้งอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ กับเพื่อนที่แซวเรื่องที่เขาชอบกั้ง มันก็ยังเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น แต่กับคนอื่นที่อยู่ในสังคม ที่ไม่แม้แต่จะเสียเวลาทำความรู้จักตัวตนกัน หากว่ามันยังเป็นความลับอยู่อย่างนั้น สักวันก็คงจะมีคนเอามันมาหาผลประโยชน์จากเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นว่า ทั้งคู่ไม่กล้าที่จะบอกออกไปตรง ๆ ว่าเป็นอะไรกัน

“ที่ทิวเคยพูดไว้ คราวที่แล้ว เรื่องชื่อบนการ์ดแต่งงานน่ะ” ทิวยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับกั้ง ที่ตอนนี้รู้สึกร้อนผ่าววูบวาบขึ้นมาบนใบหน้าอย่างทันทีทันใด ที่ได้ยินทิวเกริ่นนำมาแบบนั้น “ก็มีได้ชื่อเดียวคือชื่อกั้งแล้วนะ ชื่อจริงสั้น ๆ อย่างกับชื่อเล่น ไม่กินเนื้อที่บนการ์ดดี เหลือเอาไว้ให้ทิวบรรยายความน่ารักของเมียได้เยอะเลย” ทิวพูดออกไปยาวเหยียด กั้งตีเข้าให้ที่ต้นแขน

“พอเลย พูดเรื่อยเปื่อย” กั้งดุทิวเข้าให้ “ใครจะให้ทำแบบนั้น เป็นอย่างนั้นจริง ทิวไม่ได้เป็นคนตัดสินใจหรอกว่าการ์ดจริงมันจะออกมาเป็นยังไงน่ะ” ทิวทำหน้าเหวอ ไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “นี่ขนาดยังไม่แต่งนะ” กั้งเผลอหัวเราะออกมาเสียงใส ก่อนจะรีบหุบยิ้มนั้น เมื่อเห็นแววตาของทิวที่มองมาอย่างเอ็นดู

“ใครจะกล้าบอกพ่อแม่ตัวเอง ว่าจะแต่งงานกับตุ๊ดกับกะเทย” กั้งหลุดพูดออกไป หัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด แต่ทิวไม่ได้หัวเราะไปกับกั้งด้วย เห็นอีกฝ่ายดูนิ่งเงียบลง กั้งก็รู้ตัวว่า ตัวเองปากเสียอีกครั้งอีกคราแล้ว “ก็คงจะเป็นทิวคนแรกล่ะมั้ง” กั้งขมวดคิ้วที่ได้ยินทิวพูดแบบนั้นออกมา

“ทิวบอกที่บ้านไปแล้ว ว่าทิวมีอะไรกับกั้งแล้ว หลายรอบแล้ว” กั้งเม้มปากจนเกือบจะเป็นเส้นตรงกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของทิว “แจกันเลยลอยเฉียดหัวทิวไปนิดเดียว” ทิวทำท่าประกอบเมื่อพ่อของเขาเขวี้ยงแจกันที่อยู่ใกล้ตัว ลอยเลยหัวเขาไปเพียงไม่เท่าไหร่ จากความโกรธที่ลูกชายตน บรรยายลักษณะการร่วมรักกับแฟนผู้ชายของตนให้ฟัง เพราะต้องการให้พ่อกับแม่หยุดฟังและยอมรับว่า ทิวเป็นรักร่วมเพศที่การมีอะไรกับผู้หญิงได้ลง เป็นสิ่งที่เขานั้นฝืนทำ และเขารู้สึกขยะแขยงมันอย่างที่สุด แต่กับเรือนร่างผู้ชายที่มาสอดรับให้เขาได้เสพสม มันคือความสุขทางเพศ ทางกาย ทางใจอย่างแท้จริง

“ขอโทษนะ ที่เอาไปใช้กับของผู้หญิง ไม่ได้อยากทำ ด้วยความสัตย์จริง” ทิวบอกกับกั้งออกไปตามตรง อยากให้กั้งยกโทษให้ “เอาน้ำล้างอีกกี่ทีถึงจะหมด” กั้งไม่รู้ว่าจะว่าทิวออกไปยังไงดี “งั้นกั้งก็ล้างให้ทิวทีสิ” ทิวทำพูดกึ่งเล่นแต่เอาจริง ที่ขยับแก่นกลางลำตัวเข้าหาอีกฝ่าย “อย่ามาทำเป็นปากดี” กั้งว่าเข้าให้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เราไปหาที่ที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแคร์ว่าเรารักกัน อยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่า” ทิวบอกกับกั้ง เมื่อทั้งสองหยุดหัวเราะ “มันจะมีที่ไหนกันที่เป็นแบบนั้น บนโลกใบนี้” กั้งถามออกไป แม้ว่าจะรู้ว่าทิวจริงจัง แต่นั่นมันคือสิ่งที่จะไปหาได้จากที่ไหน “มันต้องมีสักที่ ที่เราจะอยู่กันไป ใช้ชีวิตของเรากันไป โดยไม่มีใครตั้งคำถามให้เราต้องตอบ” ทิวหมายความตามที่พูดออกมา ใช้เจ้หวีกับเฮียเป็นต้นแบบ แล้วหาทางปรับให้มันเป็นเราสองคนในที่สุด” ทิวพูดเป็นแนวทาง

“แน่ใจแล้วนะ” กั้งถามย้ำกับทิว “ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว” ทิวตอบ “ทิวจัดกระเป๋ารอไว้ที่บ้านแล้ว แค่กลับไปเอามัน แล้วเราก็ออกไปใช้ชีวิตของเรากันได้เลย ทิวมาคุยกับกั้งก่อน อยากรู้ว่ากั้งคิดยังไง ว่ากั้งยังรอทิวอยู่มั้ย” โดยไม่ต้องพูดคำใดออกมา ทิวก้มลงจูบที่ริมฝีปากของกั้งเบา ๆ โดยที่กั้งไม่ขัดขืน แทนคำตอบว่ากั้งนั้นยังรอทิวกลับมา

“ทิวรีบกลับไปเอากระเป๋าดีกว่า แล้วเดี๋ยวทิวรีบกลับมาหา เราจะได้คิดกัน ว่าเราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนกันดี” ทิวเดินขยับตัวตรง ก่อนจะกอดกั้งเอาไว้จนแน่น “ชื่นใจจัง” ทิวบอกกับกั้ง เมื่อถอนกอดที่แข็งแรงแต่อ่อนหวานละมุนนั้นออก “รอทิวนะ กั้ง เดี๋ยวทิวกลับมา” ทิวพูดจบก็เดินออกจากประตูทางเข้าหลังร้านไป กั้งสูดหายใจเข้าปอดจนลึก ตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ทิว ทิว เดี๋ยวก่อน” กั้งวิ่งตามทิวไป หลังจากทิวออกไปได้สักครู่ กะว่าจะเอาเบอร์โทรศัพท์ที่ร้านไปให้ทิวเอาไว้ เผื่อว่ามีอะไร เสียงเรียกทิวของกั้ง ทำให้เจ้หวีและแฟนเดินตามออกมาดูที่ด้านหลังร้าน เพียงเจ้หวีก้าวขาออกจากประตูหลังร้าน เสียงกรีดร้องเรียกชื่อทิวของกั้ง ก็ดังขึ้นอย่างโหยหวน บาดใจเข้าไปในความรู้สึกที่สุดของความทรมาน ราวกับว่ากั้งเอาจะขาดใจตายตามอีกฝ่ายไปด้วยเสียอย่างนั้น

*******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch? v=UnfH9-jU5Fk


ค่ำคืนนี้ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ใด

Tonight, wherever you are

สุขในหัวใจ หรือมีแต่น้ำตา

Happiness in the heart, or tears down the face

ค่ำคืนนี้ ไม่ว่ารักจะคืนย้อนมา

Tonight, whether love returns

อยู่ในสายตา หรืออยู่ห่างแสนไกล

Right in front of your eyes, or very far far away


จะยังมีพรุ่งนี้ให้เธอได้พบ

There’ll be tomorrow for you to see

และใช้เช็ดน้ำตา

To wipe off the tears

พรุ่งนี้ยังมีให้เราได้ไขว่คว้าหัวใจ

Tomorrow for us to gain back our heart

ยังมีพรุ่งนี้ ให้เธอได้รัก

Tomorrow for us to love

และใช้เดินก้าวไป

And go on with life

พรุ่งนี้ยังมีให้เราเริ่มใหม่

Tomorrow for us to restart

ถ้าเธอ ยังรอ

If you’re still waiting


ค่ำคืนนี้ ไม่ว่าทางที่เธอเลือกไป

Tonight, whether you choose to leave

อยู่อีกแสนไกล หรือว่าอีกไม่นาน

Will be forever long, or just a moment away


จะยังมีพรุ่งนี้ให้เธอได้พบ

There’ll be tomorrow for you to see

และใช้เช็ดน้ำตา

To wipe off the tears

พรุ่งนี้ยังมีให้เราได้ไขว่คว้าหัวใจ

Tomorrow for us to gain back our heart

ยังมีพรุ่งนี้ ให้เธอได้รัก

Tomorrow for us to love

และใช้เดินก้าวไป

And go on with life

พรุ่งนี้ยังมีให้เราเริ่มใหม่

Tomorrow for us to restart,

ถ้าเธอ ยังรอ

If you’re still waiting


พรุ่งนี้ยังมี ให้เราได้ไขว่คว้าหัวใจ

Tomorrow, there’s a chance to catch your heart

ยังมีพรุ่งนี้ ให้เธอได้รัก

Tomorrow, there’s love to place in hands

และใช้เดินก้าวไป

To carry on with our lives

พรุ่งนี้ยังมีให้เราเริ่มใหม่

To kick off a brand new day,

ถ้าเธอ ยังรอ

If we all wait
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๖. คิดถึงที่เธอให้รอ ๑๗/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 17-04-2023 21:20:30
บทที่ ๔๖. คิดถึงที่เธอให้รอ



2537

1994



“เราไปกันได้แล้วลูก ท็อป” เสียงพ่อของเด็กหนุ่มเรียกลูกชายที่กำลังยืนมองดูบ้านที่กำลังจะกลายเป็นอดีต “เดี๋ยวพอเราไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ลูกก็จะค่อย ๆ ลืมมันไปได้เอง หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้คิดถึงมันมากนัก” แม่ของท็อปเดินเข้ามาจับมือ พูดบอกกับเขา ก่อนจะออกแรงดึงมือเบา ๆ ท็อปเดินตามเธอไปขึ้นรถที่จอดรออยู่

“ฝากด้วยนะ ให้ทางเอเย่นต์ขายบ้านหลังนี้ให้ได้เร็วที่สุด” ท็อปได้ยินพ่อออกคำสั่ง ขณะที่เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังรถ สายตาของท็อปมองเห็นพ่อชี้มือชี้ไม้สั่งงานคนงานอีกสองสามอย่าง ก่อนจะเดินมานั่งที่เบาะด้านคนขับ “ต้องกำชับกันทุกเรื่องจริง ๆ ให้ตายเถอะคนงานเดี๋ยวนี้ คิดกันเองไม่ค่อยได้” พ่อบ่นพลางรอให้คนขับรถเดินมาประจำที่ แม่ของท็อปที่นั่งอยู่ด้านหลังด้วยกันกับท็อป ปรามผู้เป็นสามีว่าอย่าพูดเรื่องไม่ดีในวันเดินทางแบบนี้

ท็อปหยิบเอาวอล์คแมนออกมาจากเป้สะพายหลัง เขาครอบเฮดโฟนลงก่อนจะกดเปิดเพลง เสียงเพลงจากเทปคาสเซ็ทท์ดังขึ้น มันเป็นเพลงรักที่มีท่วงทำนองและเนื้อร้องที่กินใจ พ่อของท็อปหันมามองลูกชายที่เหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถ ขณะที่ยวดยานพาหนะในช่วงเย็นนี้ ค่อนข้างที่จะหนาแน่นพอสมควร แม่ของท็อปเองก็มองลูกชายของเธอด้วยสายตาห่วงใย

รถพาทั้งสามคนผ่านการจราจรมาจนถึงย่านที่คุ้นตาสำหรับท็อป เด็กหนุ่มดูจะสนใจสภาพด้านนอกรถมากกว่าเพลงอกหักเพราะ ๆ แต่เนื้อหากระแทกกระทั้นจิตใจ ที่พาเขาจมดิ่งไปกับอารมณ์อนธการ คนรถกำลังจะเลี้ยวซ้ายเพื่อออกไปตามทางสู่จุดหมาย ท็อปขยับตัวด้วยความรุ้สึกที่ว่า เขาต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่รถจะขับไปไกลมากกว่านี้

“ช่วยหยุดรถก่อนได้มั้ยครับ คือ ผมอยากจะซื้อถ่านใส่ซาวอะเบาท์น่ะครับ ถ่านมันใกล้หมดแล้ว ผมไม่ได้ซื้อเตรียมอาไว้” ท็อปพูดพลางสบตาพ่อกับแม่ของเขา โดยที่แม่ถามท็อปว่า ไม่มีเหลือเตรียมเอาไว้สะพายหลังเลยหรือ ท็อปส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ในหัวสมองเห็นภาพถ่านขนาดสองเอนั้น แอ้งแม้งอยู่ในช่องลับด้านหลังเป้ ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็ไม่มีทางรู้แน่นอน

“แวะร้านสะดวกซื้อก็ได้ครับ ท็อปลงไปซื้อเดี๋ยวเดียว” พ่อของเด็กหนุ่มทำท่าลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมให้ลูกชาย ท็อปพยายามนิ่งเข้าไว้ เมื่อได้ยินพ่อสั่งให้คนขับรถจอดเลยร้านสะดวกซื้อด้านหน้าไปเล็กน้อย “งั้นเดี๋ยวแม่ลงไปเป็นเพื่อน” แม่ของเด็กหนุ่มขยับเปิดประตูก้าวลงจากรถ ท็อปทำได้แต่ตามลงจากรถไปโดยไม่ทำตัวมีพิรุธ พ่อของท็อปพูดขึ้นว่าจะไปด้วย ให้คนรถติดเครื่องรออยู่ ก่อนที่ทั้งสามคนเดินจะเดินเข้าไปซื้อของกัน

“ซื้อเผื่อไปเยอะ ๆ เลยก็ได้นะลูก ท็อป” แม่ของเขาร้องบอก “คุณคะ ซื้อขนมหรืออะไรรองท้องกันด้วยดีมั้ย” แม่ถามพ่อขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะเห็นดีเห็นงาม แล้วเดินไปที่ชั้นวางของที่อยู่ด้านในเลยลึกเข้าไป ท็อปเห็นจังหวะนั้นสบโอกาส วางถ่านไฟฉายที่ถืออยู่ในมือลงบนเคาน์เตอร์ชำระเงิน ก่อนที่พ่อและแม่ของเขาจะเดินกลับออกมา ได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ประตูอัตโนมัติเลื่อนปิดเบา ๆ แต่มองไม่เห็นลูกชายของพวกเขายืนอยู่ในร้านแล้ว

ท็อปหอบจากการวิ่งเร็วปรื๋อออกมาจากหน้าร้านสะดวกซื้อ วิ่งมาตามทางเลี้ยวอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะมองเห็นปากซอยที่อยู่ด้านข้างของบาร์กึ่งร้านอาหารนั้น ท็อปเร่งฝีเท้าขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วรีบหลบเข้าไปด้านหลังแผงร้านค้า เพราะตกใจไม่น้อยที่เห็นพ่อเลี้ยงของนัน เดินไปเดินมาอยู่ไม่ไกลจากร้านของเจ้หวี

ท็อปค่อย ๆ ยื่นหน้าแอบมองอีกครั้ง พ่อเลี้ยงของนันยืนด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าร้านของเจ้หวีอยู่สักพัก แต่ไม่ได้เดินเลยมาทางซอยเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้าง สายตาเชิงสำรวจเหมือนกับไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะใช่ในสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้หรือเปล่า ท็อปประมวลผลในหัว ว่าจะต้องไปหานันเพื่อเตือนอีกฝ่ายในเรื่องนี้ทันที

เมื่อเห็นจังหวะเหมาะ ท็อปรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ปากซอยข้างร้านเจ้หวีในทันที พยายามไม่ให้เกิดเสียงดังตอนที่วิ่ง เมื่อเห็นว่าพ่อเลี้ยงของนันไม่ได้อยู่แถวหน้าร้านเจ้หวีแล้ว ท็อปมองเห็นประตูด้านหลังร้านเปิดทิ้งเอาไว้ ท็อปรีบเข้าไปในร้านของเจ้หวี เดินทะลุจากครัวกำลังจะถึงส่วนของหน้าร้าน

“ท็อป” เสียงเรียกด้วยความประหลาดใจจากปากของนันดังขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ “ร้านยังไม่เปิดนะ นี่คุณเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง” ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้หวีดังลั่นที่ด้านหน้าร้าน ท็อปชะโงกหน้าออกไปดู ก่อนที่นันจะเดินออกไปเช่นกัน พ่อเลี้ยงของนันยืนคร่อมร่างของเจ้หวีที่ลงไปนอนกองอยู่บนพื้น

“กูไม่ได้โง่หรอก มึงนั่นแหละไอ้หนู ที่พากูมาเจออีนันถึงที่นี่” เสียงพ่อเลี้ยงของนันคำรามใส่ทั้งคู่ “นัน ไปกับท็อป” สิ้นเสียง ท็อปก็กระชากข้อมือของนันที่กำลังจะถลาไปช่วยเจ้หวี ให้วิ่งตามออกมาทางหลังร้าน “หนีก่อน นัน เร็ว วิ่ง” ท็อปตะโกนบอกเสียงดังลั่น “พวกมึงสองตัวหนีกูไม่พ้นหรอก” เสียงตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มทั้งสองคนมา ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้หวีกรีดร้อง บอกให้นันและท็อปรีบหนีไป พ่อเลี้ยงของนันเตะเข้าที่ชายโครงของเจ้หวีซ้ำ ๆ จนเจ้หวีจุกหายใจแทบไม่ออก จึงปล่อยมือที่จับขาของพ่อเลี้ยงเอาไว้

“เราต้องหนีไปให้ไกลที่สุด” ท็อปที่พานันวิ่งไปตามฟุตปาธข้างถนนใหญ่ร้องบอกนันที่ก็รู้ว่าต้องหนี แต่ใจก็เป็นห่วงเจ้หวีเหลือเกิน “แล้วเราจะไปที่ไหนกันดี” เสียงนันถามกระหืดกระหอบวิ่งตามท็อป “ที่ไหนก็ได้ ที่ไอ้เลวนั่นมันจะหาเราสองคนไม่เจอ” ท็อปหยุดวิ่งหันมาบอกนัน ก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายจนแน่น แล้วจึงพานันออกวิ่งต่อ

เด็กหนุ่มทั้งสองคน วิ่งกันมาไกลมากพอ ก่อนจะหยุดเหนื่อยหอบหายใจ พากันบอกว่าจะต้องไปให้ไกลกว่านี้ แค่นี้ยังไม่ปลอดภัยจากความสารเลวของไอ้อมนุษย์คนนั้น นันตอนนี้ทั้งกลัว ทั้งสับสน ทั้งเป็นห่วงเจ้หวี มันปนเปกันไปหมดกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ นึกขอบคุณท็อปที่มาช่วยได้จังหวะเวลา แต่ก็พยายามกั้นน้ำตาเมื่อคิดว่า เจ้หวีจะเป็นอย่างไรบ้าง

“เฮ้ย มันมานั่นแล้ว” ท็อปตะโกนขึ้น เห็นหน้าตาเข่นเขี้ยวพยาบาทของพ่อเลี้ยงของนัน ที่กำลังวิ่งตรงมาหาพวกเขาอย่างเต็มตีน นันจับมือกับท็อปรีบวิ่งหนีอย่างสุดแรงเกิดเช่นกัน สายตาของเด็กหนุ่มทั้งคู่สอดส่ายหาทางไป รีบคิดประมวลผลหาทางรอดจากไอ้คนวิปริตนั่นให้ได้

“นัน รถเมล์” ท็อปตะโกนบอก เมื่อเห็นรถเมล์จอดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ไม่ไกลจากตรงนั้น “รอด้วยครับ รอก่อน จอดด้วย รอพวกเราด้วย” ท็อปตะโกนร้องบอกออกไปจนดังลั่น รู้ดีว่า ต้องเร่งฝีเท้าแล้ว “นันเร็ว อีกนิดเดียว แข็งใจหน่อย” ท็อปรู้ว่านันจะหมดแรงอยู่แล้ว แต่ก็ต้องบังคับให้นันอย่าหยุดวิ่ง กับยามหน้าสิ่วหน้าขวานจวนตัวแล้วแบบนี้

“ท็อปหนีไป ส่งนันแค่นี้พอ ท็อปรีบไปซะ” นันรีบบอกกับท็อป เมื่อทั้งสองคนมาหยุดยืนอยู่ที่ประตูรถเมลื แล้วพบว่า มันจอดเสียอยู่ “ไปซะ รีบไปเสียตอนนี้” นันพูดพร้อมทั้งผลักทั้งดัน ไล่ท็อปให้รีบไปจากที่ตรงนี้ “ไม่ ท็อปจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ท็อปจะอยู่ปกป้องนันอย่างที่ท็อปเคยสัญญาเอาไว้” ท็อปไม่ยอมที่จะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว แล้วปล่อยนันเอาไว้เบื้องหลัง

“ท็อป ท็อปฟังนันนะ ท็อปสำคัญกว่านั้น อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องทุเรศอะไรแบบนี้ ไปสิ ไปซะ” นันเอ่ยปากไล่ท็อปอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ยินเสียงของพ่อเลี้ยงคำรามมาจากด้านหลัง “อีนัน มึงจะหนีไปไหน มานี่อีตัวดี” ศีรษะของนันถูกรั้งไปด้านหลัง เมื่อพ่อเลี้ยงกระชากผมของนั้นอย่างแรง

“อย่าทำอะไรนันนะ ไอ้ชาติชั่ว” ท็อปตะโกนดังลั่น พร้อมกระโดดเข้าใส่พ่อเลี้ยงของนัน ก่อนจะรัวกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย “ไอ้สัตว์ ไอ้ระยำ มึงต่อยกู” พ่อเลี้ยงด่าเสียงขรม พยายามจะสวนหมัดคืนใส่ท็อป แต่ก็ไม่เป็นผล ท็อปปัดป้องฉากหลบหมัดอย่างคนไม่เป็นมวยของพ่อเลี้ยงได้ด้วยชั้นเชิง

“นันขึ้นไปบนรถแล้วปิดประตูรถซะ” ท็อปออกคำสั่ง บอกนันในทันที ก่อนจะเข้ายืนขวางระหว่างนันและพ่อเลี้ยงเอาไว้ ทำให้พ่อเลี้ยงพลาดที่จะคว้าตัวของนันเอาไว้ “รีบขึ้นไปสิ แล้วปิดประตูซะ” ท็อปร้องตะโกน ยืนขวางดูเชิงไม่ให้พ่อเลี้ยงเข้าถึงตัวของนันได้ “ทำตามที่ท็อปบอก เร็วเข้า” ท็อปสวนหมัดเฉียดเข้าที่ปลายคางของพ่อเลี้ยง จนอีกฝ่ายต้องจำเบ้าลงไปนั่งสะบัดหัว ให้คลายความมึนงง

“ท็อปขึ้นมาด้วยกัน ขึ้นมาด้วยกัน เร็ว” นันที่ยืนอยู่ด้านบนรถเมล์ ตะโกนบอกท็อปเมื่อเห็นท็อปเป็นฝ่ายได้เปรียบ “ปิดประตูซะนัน” ท็อปตะโกนบอกคำเดิม “ไม่ ท็อป ขึ้นมาด้วยกันเดี๋ยวนี้” นันร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ ๆ ท็อปก็ถูกพ่อเลี้ยงใช้ต้นแขนคว้าลำคอเอาไว้ ก่อนที่ทั้งสองจะดิ้นสู้กันขลุกขลัก ๆ นันกรีดร้องออกมาดังลั่น เมื่อเห็นท็อปถูกชกเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง

“หยุดนะ อย่าทำท็อป เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” นันกรีดร้องใส่พ่อเลี้ยง “มึงไม่รอดแน่อีนัน วันนี้กูเอามึงตาย” พ่อเลี้ยงพูดจบก็ทำท่าจะผลุนผลันขึ้นไปบนรถเมล์ ก่อนจะต้องหน้าคะมำลงกับเพื่อนอย่างแรง เมื่อท็อปพุ่งตัวเข้าใส่พ่อเลี้ยงจัง ๆ โดยที่ท็อปล้มตามลงไปด้วย ก่อนจะตะเกียกตะกายรีบลุกขึ้น เลือดสด ๆ ไหลจากมุมปากของท็อป ที่โซเซเดินขึ้นไปบนรถเมล์

“ท็อปเจ็บมากมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า” นันรีบเข้ามาเช็ดเลือดให้ท็อป “ปิดประตู นัน ปิดประตูรถ” ไม่ทันที่นันจะได้ทำตามที่ท็อปบอก นันก็ต้องเดินถอยกรูดไปที่เบาะยาวด้านหลังของรถ แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้นผ่านอากาศแผดเสียงไปทั่วบริเวณ ท็อปตกใจกับเสียงปืนนั้น ก่อนจะเห็นนันที่ทรุดตัวลงกับพื้น เสื้อยืดสีขาวตรงชายโครงด้านขวาของนันแดงฉานไปด้วยเลือด

“นัน” เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ท็อปจะตรงรี่เข้าไปหานัน ที่ตอนนี้นั่งนิ่งอยู่ที่พื้น “นัน” ท็อปเรียกชื่ออีกฝ่าย เอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของนัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็ล้มตัวลงนอนคว่ำหน้า อยู่ไม่ไกลกัน พอจะได้ยินนันพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ไม่เอาอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว” ท็อปพยายามฮึดเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดึงตัวเองขึ้นจากพื้นรถเมล์ แต่มันก็แสนจะยากเย็นเหลือเกิน

“ท็อปมาแล้วนัน ท็อปอยู่นี่แล้ว” ท็อปคิดว่าตัวเองบีบมือของนันอย่างสุดแรง แต่ทำไมท็อปไม่รู้สึกถึงความนุ่มของมือนัน ที่ท็อปเคยชอบเลย “นัน ท็อปจะตามหานันให้เจอ” ท็อปที่พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ขยับตัวเข้าเอาศีรษะไปพิงไว้บนตักของนัน ที่ตอนนี้ใบหน้าเอียงก้มลงมองที่มือบนตักของตัวเอง

“เราจะเจอกันอีก รอท็อปนะนัน” ท็อปพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา ก่อนจะได้ยินเสียงคนวิ่งกรูกันขึ้นมาบนรถเมล์ “คนนี้ยังมีชีพจรอยู่ ขอเปลด้วย” เสียงหน่วยกู้ชีพสั่งการ รีบจัดการช่วยชีวิตของท็อปที่กำลังหายใจรวยริน แต่เจ้าหน้าที่สลดใจที่เด็กหนุ่มอกคน คือนัน หมดลมหายใจไปแล้ว พ่อแม่ของท็อปกรีดร้องโหยหวนด้วยความเศร้าใจ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่พาร่างของท็อปลงมาจากรถเมล์ ก่อนที่จะรับรู้ในภายหลังว่า ลูกชายของพวกเขา สิ้นใจในเวลาต่อมาระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปั๊มหัวใจให้กลับคืนขึ้นมาเต้นใหม่อีกครั้งได้

*******************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=77fThUtVqEA


เสียงดนตรี ที่คุ้นเคย

Melody is so familiar

กับความรักที่ล่วงเลย จากกันไป

With our love that was all gone

เก็บภาพรอยยิ้ม ซ่อนรอยน้ำตา

I had your smile to hide my tears

ไว้ในบทเพลงที่ยังเพราะ และสวยงามของเรา

Embedded in the most beautiful song of ours


เหตุการที่เราสองต้องจากกัน

The incident that made us part ways

ยังจดและจำวันนั้น

Still remember it all since that day

ไม่ลืมเลือน ผ่านมาเนิ่นนาน

Never fades away, though it’s such a long time

ความเจ็บช้ำยังไม่จาง

It still really pains me

วันวานยังคงหวนให้ใจหาย

The old days that always makes me sigh


วันนี้บังเอิญเจอเพลงโปรดเธอ

Today, coincidentally, listened to the song you loved

เพลงที่เราใช้แทนความรักมีให้กัน

This song we shared our love for each other

เธอร้องให้ฉันฟัง ในวันสำคัญ

You sang it to me on our grand occasion

เสียงเพลงยังคงย้อนให้คิดถึง

The song sends the vibe of reminiscence


อ้อมกอดที่เคยคุ้น

You hug that I knew

สายตาอบอุ่นที่เคยได้มอง

The kindest eyes you looked at me

บทเพลงที่เธอเคยร้อง

The song that you sang

ยังคงรั้งให้ตัวฉันไม่ไปไหน

Still have me stand right here and wait


เปิดฟังเพลงรักที่เคยหวาน

The sweetest song of our love

ที่เราต่างเคยซึ้งในวันวาน

That we cherished back in the days

เปิดมันให้ดัง ปิดบังเสียงของน้ำตา

Let it blast so it hides the sobbing of tears

เมื่อวันและเวลาไม่อาจย้อนคืน

‘Cause date and time, they don’t return


หากว่าใน ตอนนี้เธอบังเอิญ

If you now happen to see

เดินผ่านมาได้ยินเสียงเพลงดัง

And hear this song playing to you

โปรดมองที่ฉัน ส่งยิ้มให้กัน

Please look for me and then give me that smile

เพลงนี้ยังรอเธอกลับมาร้องให้ฟัง อีกครั้งนึง

This song is still waiting for you to sing it one more time


เพลงรักของเรานั้นยังสวยงาม

This beautiful love song of ours is here

กลับมาได้ไหมเธอ

Could you please come back to me, dear?
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๗. คิดถึงที่เลวชั่ว ๒๐/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-04-2023 15:56:01
บทที่ ๔๗. คิดถึงที่เลวชั่ว



2566

2023



“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าซีเรียสแบบนั้นสิ ยิ้มหน่อย ยิ้มหวาน ๆ ให้ผมเห็นที” ตฤณขยับใบหน้าหลบปลายนิ้วของหนุ่มใหญ่ ที่ทำทีจะมาแตะแก้มของเขาอย่างหยอกล้อ “ปฏิเสธมั้ย ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” ตฤณยิงคำถามให้อีกฝ่ายตอบ นฤเบศยักไหล่ ไม่พูดอะไร ก่อนจะหัวเราะออกมา เมื่อนึกได้ว่ามันสนุกสำหรับเขามากแค่ไหน

“สนุกมาสินะ ตลกมาเลยบนความเดือดร้อนของคนอื่น” นฤเบศหุบยิ้มนั้น ทำหน้าเซ็งเมื่อสุดท้าย เขาก็คือคนที่ถูกตฤณด่าว่า “จะรู้เร็วหรือรู้ช้า สุดท้ายพ่อแม่ของไอ้เด็กนั่นก็ต้องรู้อยู่ดี” นฤเบศคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันดีแล้วต่างหาก “แต่อย่างน้อย ก็ควรที่จะเป็นตัวเขาที่บอกพ่อแม่เอง ไม่ใช่คุณ ที่เอาเรื่องนี้ไปพูด” น้ำเสียงของตฤณกล่าวโทษหนุ่มใหญ่อย่างไม่อ้อมค้อม

“ก็แล้วยังไงล่ะ ต่อให้ผมไม่พูดอะไร ที่ไอ้เด็กนั่นแสดงออกต่อหน้านักข่าว มันก็อยากให้คนอื่นรับรู้จะตายไม่ใช่หรือ ว่ามันกับคุณเป็นอะไรกัน” นฤเบศคิดว่าตฤณออกหน้ารับแทน ปกป้องไอ้เด็กหนุ่มคนนั้นมากเกินไปหน่อย “มันไม่ได้ใสซื่ออย่างที่คุณคิดหรอก ผมดูออก” นฤเบศแค่นเสียงพูดออกมา ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้คนที่เขาพูดถึงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“มันๆ ไม่ใช่เด็กใส ๆ ที่เพิ่งจะมาเจอโลกภายนอกหรอกนะ แต่ก็อีก อย่างน้อยคุณก็ได้เอากับมันแล้ว ก็ถือว่ากำไรล้วน ๆ” นฤเบศหัวเราะคิกคักไปกับคำพูดของตัวเอง ที่ว่าถ้าเป็นก่อนนี้ คำพูดเชิงเสียดสีทีเล่นทีจริงแบบนี้ทตฤณคงเล่นหัวไปกับเขาด้วย แต่ว่าในตอนนี้ กับสถานการณ์นี้ และกับเด็กหนุ่มคนดังกล่าว มันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

“คือถ้ามันเป็นผมนี่ ใช่สิ ก็ต้องเอากับทุกคนที่เข้ามาเจอเลยถูกมั้ย” สายตาที่ตฤณใช้มองนฤเบศ มันทำให้หนุ่มใหญ่รับรู้ได้ในทันที ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปนั้น ทำให้ตฤณไม่พอใจเป็นอย่างมาก “วินเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นผม มันแสดงยี่ห้อร่าน ดอกงิ้วมันคงบานจนเต็มหน้าเลยถูกมั้ย” ตฤณรู้สึกโกรธไม่น้อย แต่ก็อีก ทำไมมันถึงบอกตัวเองไม่ได้ว่า ที่นฤเบศพูดมันผิดตรงไหน

“ก็ถ้าจากประสบการณ์ตรงนะ” ตฤณชาไปทั้งหน้าเมื่อนฤเบศพูดออกมาแบบนั้น เขายังคงจำได้ดี เขาลากบฤเบศขึ้นเตียงทั้ง ๆ ที่เพิ่งเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต “ก็นั่นไง ตฤณ” นฤเบศพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง “คุณกับผมเราจะเอากันยังไงก็ได้ ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย คุณกับผมมันเม้นท์ทูบี” นฤเบศยิ้มให้กับตฤณ ว่าเขาหมายความตามที่พูดมาทั้งหมด

“ผมทำทุกอย่างลงไปก็เพราะผมรักคุณ” ท่าทีการพูดของนฤเบศไม่ได้บ่งบอกว่าเขากำลังล้อเล่น “มันจะเป็นความรักไปได้ยังไงกัน” ตฤณส่ายหน้าให้กับคำพูดนี้ของนฤเบศ “มันเป็นความรักสิ ในเมื่อผมไม่ปิดบังอะไรกับทั้งนักข่าวและก็พ่อแม่ของไอ้เด็กนั่น ว่าเรามีประวัติร่วมกันมายาวนานขนาดไหน” ตฤณหันกลับมามองใบหน้าของนฤเบศ

“ผมเล่าทุกอย่าง ผมพูดทุกเรื่อง โดยที่ผมไม่แคร์ ไม่สนแม้ว่าผมจะไม่เหลืออะไร แม้แต่ธุรกิจที่ผมเฝ้าฟูมฟักมันมาเป็นสิบ ๆ ปี” นฤเบศดูเปิดเผยและจริงใจกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยแสดงออกกับตฤณ “คุณไม่เข้าใจ คือคุณไม่เข้าใจ วินเขากลับมาหาผม คือ ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ยังไงดี” ตฤณอยากจะหาคำพูดง่าย ๆ บอกกับนฤเบศไปกับความจริงระหว่างเขากับวิน

“ตฤณ คุณคิดว่าไอ้เด็กนั่นมันเอาหนังสือรุ่นมาอวดคุณได้ยังไงกัน” ตฤณมองไปที่นฤเบศอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง กับสิ่งที่ได้ยิน “ถ้ามันไม่ใช่เพราะผม ที่ปล่อยเบาะแสให้ไอ้เด็กนั่นรู้ ว่ามันควรจะไปหาที่ไหน” นฤเบศผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ออกมา “ผมยอมให้ทันดูเป็นฮีโร่ในสายตาของคุณเสียด้วยซ้ำไป ผมพูดถูกมั้ย” ตฤณไม่ได้เอ่ยปากพูดค้านแต่อย่างใด

“ผมให้โอกาสมันมาพูดเพ้อเจ้อกับคุณด้วยซ้ำ” นฤเบศแม้จะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะทำ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ แต่ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น “ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้อยู่เต็มอก ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่มันต้องการคืออะไร” หนุ่มใหญ่เองก็ไม่อยากจะเสียเวลามาพูดอ้อมค้อมอะไรกันอยู่อีก

“มันจงใจเปิดหน้าเพื่อจะแย่งคุณไปจากผมไง ตฤณ” นฤเบศพูดต่อทันที ที่เห็นตฤณส่ายหน้า เหมือนพยายามจะบอกว่า ที่หนุ่มใหญ่เข้าใจนั้น มันไม่ใช่แบบนั้น “ถ้าผมจะเล่าทุกอย่าง ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คุณได้รู้” ตฤณเห็นนฤเบศยิ้มออกมา “เรื่องที่มันเกิดใหม่แล้วกลับมาหาคุณน่ะหรือ” ตฤณมองหน้านฤเบศเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมา

“ก็ถ้ามันเป็นเรื่องจริง มันก็สมควรแล้ว ที่จะต้องชดใช้คืนให้ผม” นฤเบศไม่คิดว่านี่เป็นการกระทำอะไรที่เกินไป เลยสักนิด กับสิ่งที่เขาชี้นำให้มันเกิดขึ้น “ผมกับเขาเคยเป็นคู่กันมาก่อน” ตฤณเตือนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง “แล้วมันปกป้องอะไรคุณได้บ้าง มันทำอะไรเพื่อคุณบ้าง มันได้ทำอย่างที่ผมทำให้คุณมั้ยตฤณ” ไม่วาย นฤเบศเองก็รู้สึกถึงความน้อยใจที่เขาเก็บสะสมมันมานานหลายปี ความน้อยใจที่ตฤณนั่นแหละ ที่มอบให้กับเขามาโดยตลอด

“คุณจำไม่ได้เลยหรือไง แก้มคุณเนี่ย ที่โดนตบต่อหน้าคนอื่นน่ะ” นฤเบศชี้นิ้วไปที่แก้มของอีกฝ่าย “ผมยังจำได้เต็มตา ชัดเจน ว่าวันนั้นมันขึ้นรอยนิ้วยังไง” เสียงของนฤเบศโพล่งออกมา ด้วยความที่เขาเองก็อยากจะระบายความอัดอั้นตันใจในความรู้สึกเช่นกัน “ตอนคุณโดนตบน่ะ มันยืนอยู่ตรงนั้น ดูคุณโดนด่า โดนทำร้าย มันยืนนิ่งอมสากกะเบืออะไรอยู่ก็ไม่รู้ มันไม่มีแม้แต่จะเข้ามาขวาง แสดงตัวว่ามันอยู่ข้างคุณ” นฤเบศเองไม่คิดว่า เขาจะจดจำเรื่องราวในวันนั้นได้ชัดขนาดนี้

“นั่นต่างหาก ที่คุณควรจะถามว่า นั่นใช่ความรักอย่างนั้นหรือ และคุณควรจะถามเสียงดัง ๆ ด้วย” ในวันที่โหดร้ายอย่างแสนสาหัส ตฤณหลับตาลง ยังจำได้ว่า เป็นใครที่ยืนอยู่กับเขา ไม่หนีหายไปไหน “ตอนนั้นมันไม่ได้เปิดกว้างเหมือนตอนนี้” ตฤณเองรู้สึกว่า เขาชักจะหาคำพูดมาแก้ตัวได้ยากขึ้นทุกที “ผมก็อยู่ที่นั่นตอนนั้นกับคุณนะ ในช่วงเวลาเดียวกัน คุณ ตฤณ คุณคว้าผมมาจูบ เราดูดปากแลกลิ้นกัน ต่อหน้าทุกคน” นฤเบศย้ำเตือนความทรงจำให้กับตฤณ

“แล้วผมทำยังไง ผมผลักไส รู้สึกอับอาย หรือเดินหนีคุณไปหรือเปล่า” นฤเบศถามอย่างคนต้องการคำตอบจริง ๆ เช่นกัน แม้จะรู้ว่า เขาเองอาจจะไม่เคยได้ยินคำตอบนั้นเลยสักครั้งจากตฤณ “แถมคืนวันนั้น เราเอากันกี่รอบ คุณลากผมขึ้นเตียงซึ่งผมก็ยอมรับว่าผมไม่ปฏิเสธคุณ ตฤณ ผมเอาคุณทุกท่าที่คุณร้องขอ ที่คุณต้องการ ถึงลึก ๆ ใจผมจะรู้ดี ว่าคุณเห็นผมเป็นแค่ที่ระบายความอยาก” ตฤณรู้สึกเหมือนถูกชำแหละพฤติกรรมด้านเลวของตัวเองอีกครั้ง

“ถ้าเราสองคนจะชั่ว มันก็ชั่วมาด้วยกันตั้งนานแล้ว” นฤเบศขยับเดินเข้าหาตฤณอย่างช้า ๆ “คุณกับผม สุดท้ายก็วนกลับมาหากันอยู่ดี” นฤเบศเองก็รู้ ว่าตฤณกับเขาถอยห่าง กลับมาหากันใหม่ มากี่ครั้งกี่รอบแล้ว “แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยทิ้งผมสักหน่อย” ตฤณเองก็ไม่อยากให้นฤเบศมองตัวเองเป็นผู้ที่ทำทุกอย่างถูกต้องเสมอมาเช่นกัน

“วันที่ผมไม่เหลือใครจริง ๆ สักคนเดียว” นฤเบศทำหน้าปุเลี่ยน เมื่อคิดถึงวันนั้น วันที่เขาต้องทิ้งตฤณเอาไว้เบื้องหลัง เมื่อเขาจำเป็นต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้ “ตฤณ สุดท้ายผมก็เลือกคุณอยู่ดี ผมหาทางหย่ากับเขาจนได้ ก็เพื่อกลับมาหาคุณ” นฤเบศนั้น คิดเสมอมาว่า การหย่ากับภรรยาของเขานั้น เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจถูกต้องที่สุดแล้ว

“ก็เพราะว่าเมียคุณเขาจับได้ไง ว่าเราเล่นชู้กัน” ตฤณนั้นหน้าชาเอง เมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเขาพูดออกมา “เราก็ไม่เคยหยุดลากกันขึ้นเตียงนะ คุณบอกว่าคุณไม่แคร์ด้วยซ้ำ เราเอากันนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนที่ผมจะหย่ากับเขา ฟังมาถึงตรงนี้ ตฤณชักพอจะเข้าใจพ่อและแม่ของวินแล้วว่า ทำไมพวกเขาถึงอยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแก้วแหวนคนเดียวนั้น อยู่ให้ไกลจากคนอย่างเขา

“ถ้าคุณจะชั่ว ผมก็เลว เราก็เหมาะกันแล้วไงตฤณ” นฤเบศพยายามจะตะล่อมให้ตฤณมองเห็นภาพใหญ่ของสถานการณ์นี้ เป็นภาพเดียวกันกับเขา “คุณฟังผมนะ ตฤณ” ตฤณพยายามจะบ่ายเบี่ยง “ตฤณ คุณฟังนะ” นฤเบศจ้องหน้าของตฤณตรง ๆ “ไอ้เรื่องของเราที่ออกไปในสื่อน่ะ เราไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น ผมมีเงินมากพอที่จะทำให้พวกนั้นเจอหน้ากัน ก็ยังทำดีกับเรา” นฤเบศยักไหล่แบบไม่ยี่หระ

“อย่างน้อยก็ต่อหน้าเรา เงินที่ผมมี จะทำให้คนพวกนั้นเสแสร้งทำดีกับเรา” นฤเบศนั้นรู้ดี ความตลบตะแลงของคน ก้มหัวให้กับคำถามที่ว่า เขามีเงินเท่าไหร่ มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด “คนพวกนี้ง้างได้ด้วยเงิน เผลอ ๆ ถ้าเงินหล่นใส่ปากกา หล่นใส่หมึกพิมพ์ ขี้คร้านจะเขียนเชียร์เราสองคน ว่าเป็นคู่ที่น่ารักเหมาะสมกัน เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ความจอมปลอมมันก็ต้องจิ้มด้วยความจอมปลอม ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน” ตฤณรู้ ว่าที่นฤเบศพูดมามันคือความจริงคนของจำพวกนี้

“ยังไงพ่อกับแม่ของไอ้เด็กนั่น ก็ไม่มีวันยอมรับคุณไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแน่นอน” เหมือนถูกเข็มนับพันเล่ม รุมทิ่มเข้ากลางหัวใจ เมื่อตฤณได้ยินแบบนั้น “ผมรู้ ว่าสิ่งที่ผมพูดกับคุณ มันฟังดูเหี้ยมากแค่ไหน” นฤเบศรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ทั้งเขาและตฤณจะต้องดึงผ้าพันแผลนี้ออกเสียที

“ผมกับคุณต่างถูกทำร้าย และทำร้ายคนอื่นตลอดระยะทางที่เดินมา” นฤเบศพยายามรวบสิ่งที่เขาคิดอยู่ในกระชับเข้ามา “เราอาจจะเคยต้องแคร์คนนั้นคนนี้ แต่นั่นมันเป็นตอนที่เราต้องง้อใครต่อใคร แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่เรามีเงินมากมายมหาศาล ที่จะงัดกับใคร เราก็ไม่สน และจะไม่แพ้ด้วย คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย ว่าเราอยู่ด้วยกันได้ อยู่กันสองคน โดยที่ต่อไปนี้ ไม่มีความคิดของใครมีผลกับเราอีก” นฤเบศต้องการให้ตฤณรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้

“ผมทำให้คุณได้เลย ทำได้เลยตอนนี้ โดยที่ไอ้เด็กนั่น ไม่มีวันจะทำได้ มันเคยหงอ มันเคยกลัวยังไงตอนนั้น ตอนนี้มันก็เป็นเหมือนตอนนั้น ต่อให้มันกลับหาคุณได้อีกครั้งด้วยปาฏิหาริย์ใด ๆ ก็ตาม มันก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ ไอ้ลูกแหง่ที่พ่อกับแม่ของมันจะจับหันซ้ายหันขวายังไงก็ได้ มันไม่มีทางเปลี่ยน ไม่ว่ามันจะเป็นทิวหรือเป็นวินก็ตาม” นฤเบศดึงตัวของตฤณเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ตฤณใช้มือดันแผงอกของหนุ่มใหญ่เอาไว้

“ผมยืนอยู่ต่อหน้าคุณตรงนี้ อย่างคนไม่มีพันธะใด ๆ อย่างคนที่บอกจากใจว่ารักคุณ ต้องการที่จะอยู่กับคุณ อย่างคนที่ให้คุณได้ทุกอย่างจากนี้ไป แน่ล่ะ ผมเคยพลาดอะไรมามากมาย แต่ตอนนี้ ผมคนนี้ พร้อมทำให้คุณทุกอย่าง ตฤณ อยู่กับผมนะ” ตฤณจะขยับริมฝีปากพูดอะไรออกมา นฤเบศชิงห้ามเอาไว้ก่อน

“คุณขอให้ผมเปลี่ยนมาเรียกชื่อจริงของคุณ ผมก็ทำตาม ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่า ชื่อเล่นของคุณน่ารักกว่าตั้งเยอะ มันแสดงออกชัดเจนไม่ใช่หรือ ว่าผมยอมคุณมากแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผมถึงต้องยอมคุณ แต่ผมก็ทำ ทำมานานแล้วด้วย คุณต้องเห็นสิ่งที่ผมทำให้ได้แล้วนะ คุณต้องเลิกทำให้ผมรู้สึกน้อยใจ เลิกทำให้ผมคิดว่า คุณมองไม่เห็นคุณค่าของผมเลยสักนิด นะ กั้ง ถึงเวลาที่คุณต้องทำเพื่อผมบ้างแล้ว” นฤเบศยิ้มให้กับตฤณ ที่กลืนคำพูดที่มีกลับคืนลงไป

*************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=Q3nKzm0KxdU


ทำไมคนอย่างฉันต้องเป็นห่วงเธอเสมอ

Why does a guy like me need to always care about you?

แค่ไม่เห็นเธอเพียงสักวัน

Just because I don’t come see you for one day

ทำไมคนอย่างฉันต้องร้อนรนอย่างนั้น

Why does a man like me need to feel anxious?

แค่ได้เห็นเธออยู่กับใครที่ไม่ใช่ฉัน

Seeing you with someone other than me


ไม่เคยรู้ ไม่เคยถาม

With no clue, never have asked

ไม่แน่ใจคืออะไร

Not even sure what that is

แต่ที่รู้คือไม่อยาก

But so sure that I

จะต้องเสียเธอไป

Don’t want to lose you


ก็ได้แต่ถาม

If I could ask,

แต่หัวใจไม่เคยได้ตอบ

My heart never would reply

ว่าที่เรามีกันเมื่อก่อน

What we’ve had going on

คือฉันรักเธออยู่แล้วหรือเปล่าไม่รู้

Is that love I’m feeling for you since?


หัวใจยังแปลไม่ออก

My heart can’t say for sure

แค่รู้เพียงว่าใจฉันอ่อน

But you’re my kryptonite

แทบไม่ไหว

Can’t let it pass

เมื่อเป็นเรื่องเธอ

If it is you

มันหมายความว่าอย่างไร

What’s that all about?


ทำไมคนอย่างฉันต้องคิดถึงอย่างนั้น

Why does a guy like me need to think of that?

ทำไมทุกคืนมีแต่เธอในใจฉัน

Each and every night is you and only you, why?


ไม่เคยรู้ ไม่เคยถาม

With no clue, never have asked

ไม่แน่ใจคืออะไร

Not even sure what that is

แต่ที่รู้คือไม่อยาก

But so sure that I

จะต้องเสียเธอไป

Don’t want to lose you


ก็ได้แต่ถาม

If I could ask,

แต่หัวใจไม่เคยได้ตอบ

My heart never would reply

ว่าที่เรามีกันเมื่อก่อน

What we’ve had going on

คือฉันรักเธออยู่แล้วหรือเปล่าไม่รู้

Is that love I’m feeling for you since?


หัวใจยังแปลไม่ออก

My heart can’t say for sure

แค่รู้เพียงว่าใจฉันอ่อน

But you’re my kryptonite

แทบไม่ไหว

Can’t let it pass

เมื่อเป็นเรื่องเธอ

If it is you

มันหมายความว่าอย่างไร

What’s that all about?


ไม่เคยรู้ไม่เคยถาม

Never knew, never asked

ไม่แน่ใจคืออะไร

Not sure about it

แต่ที่รู้คือไม่อยาก

What I really know which is

จะต้องเสียเธอไป

I cannot really lose you


ก็ได้แต่ถาม

So, I’m now asking

แต่หัวใจไม่เคยได้ตอบ

Yet, my heart is still shadowed

ว่าที่เรามีกันเมื่อก่อน

What’s been going between us

คือฉันรักเธออยู่แล้วหรือเปล่าไม่รู้

That I’ve been falling in love with you, have I?


หัวใจยังแปลไม่ออก

My heart has no explanation

แค่รู้เพียงว่าใจฉันอ่อน

It knows though that I’m weak

แทบไม่ไหว

Can’t fight it

เมื่อเป็นเรื่องเธอ

If it is about you

มันหมายความว่าอย่างไร

What is that telling you?


มันหมายความว่าอย่างไร

What exactly does this really mean?
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๘. คิดถึงที่เธอคิดถึง ๒๔/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-04-2023 14:52:33
บทที่ ๔๘. คิดถึงเมื่อเธอคิดถึง



2566

2023



“ส่งแค่นี้แหละ” เทปปันบอกกับดีน เมื่อกำลังจะเดินเข้าไปในตัวตึกของคอนโด “เอาของมา” เทปปันยื่นมือออกไปรับถุงข้าวของหลายย่างจากอีกฝ่าย “โห แล้วปันจะเดินถือของขึ้นไปเองคนเดียวยังไง พะรุงพะรังก่ายกองขนาดนี้” ดีนท้วงยกถุงต่าง ๆ ที่ถืออยู่ในมือชูขึ้น “เดี๋ยวดีนช่วยถือขึ้นไปให้เอง ห้องไหน ยังไง ปันเดินนำไปได้เลย” ดีนทำหน้าจริงจัง เสียงพูดขึงขัง แบบขันอาสาเต็มที่

“ปกติไม่ให้ใครขึ้นห้อง” ได้ยินแบบนั้น ใจก็ชื้นฟูขึ้นมาในทันที ดีนทำเป็นไม่แสดงออก รีบตอบกลับไปว่า “ไม่ทำอะไรหรอกน่า ไว้ใจได้” แต่แววตาหลุกหลิกส่อพิรุธออกไปไม่หยุด “ก็ไม่มีทางได้ทำอะไรอยู่แล้ว” ดีนได้ยินแบบนั้น ก็แหม ดีนคิด พยายามใช้สายตามองตากับเทปปันแบบบริสุทธิ์ใจแล้วเชียว “คราวที่แล้วไม่ได้ตั้งใจหันมามองนะ” เทปปันไม่เข้าใจว่า อะไรกันที่ดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น

“แต่ดีนตั้งใจถอยรถกลับมามองนะ” ก็ได้แต่สารภาพไปตามความจริง โดยที่รู้สึกว่า ไอ้ท่าทางทำเป็นเฉยชาใส่ของเทปปัน วันนี้มันดูไม่เนียนเลยสักนิด “แล้วไม่มีแล้วหรือไง เคอร์ฟิวน่ะ” เทปปันถามดีน เมื่อเห็นว่าเวลาตอนนั้นมันเย็นมากแล้ว “หมดแล้ว ไม่มีแล้วล่ะ” ดีนตอบกลับอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มกว้าง ๆ ให้

“จำได้ด้วยหรือเนี่ย ใส่ใจจัง” ไอ้การที่เขาพูดหยอด ดีนคิด แล้วเทปปันทำตาแข็งใส่นี่ มันก็ทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างประหลาด ก็ถ้าคนมันไม่คิดอะไรกันจริง ๆ ไอ้อาการตอบโต้แบบนี้ จะทำไปทำไมกัน “คราวที่แล้วโดนพี่ยามดุเรื่องจอดรถ” เทปปันพยายามหาเหตุให้ดีนเพิ่มเติม

“ก็จอดแอบไว้ด้านในแล้วไง ไม่ได้ขวางทางคนอื่นเหมือนครั้งที่แล้ว” ดีนบอกว่าเขาจัดแจงทุกอย่าง จอดรถไว้เป็นที่เป็นทางเรียบร้อยแล้ว “แต่ไอ้การยืนคุยกันหน้าประตูนี่แหละ ที่ขวางคนอื่นเขา เร็วเข้า ไปเร็วไปกดลิฟต์” อยู่ ๆ เทปปันก็เห็นดีนเดินนำหน้าเขาไป จนเทปปันต้องรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป

“ลิฟต์ไวดีเหมือนกันนะที่นี่” ดีนทำชวนคุย เมื่อลิฟต์ขึ้นมาหยุดจอดชั้นที่ต้องการ “พ่อซื้อไว้น่ะ” อาการเผลอลืมตัว ตอบคำถามหรือพูดคุยกับดีนในเรื่องสัพเพเหระของเทปปัน ทำให้ดีนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่า เทปปันลดเกราะป้องกันส่วนตัวที่ตั้งเอาไว้สูงลิบนั้นลงมาเยอะมากแล้ว

“ห้องรกอย่าบ่นนะ” เทปปันที่เดินนำดีนออกมาจากลิฟต์ พูดขึ้นขณะกำลังแตะคีย์การ์ดที่ประตูห้อง “ถ้านี่เรียกว่ารก ดีนอยากให้ปันไปเห็นห้องของดีนด้วยกันจัง” สายตาที่ส่งไปหาอีกฝ่ายของดีน มันคือการเชื้อเชิญโดยไม่มีการปิดบัง “ใครจะไป” ดีนแอบอมยิ้ม เมื่อได้ยินเทปปันพึมพำออกมาแบบนั้น

“แล้วให้วางขอพวกนี้เอาไว้ไหนครับ” ไอ้การทำเสียงหล่อ ๆ ของดีน มันทำให้เทปปันรู้สึกขยุกขยิกในใจยังไงพิกล “วางไว้บนโต๊ะนี่ก็ได้ ขอบคุณครับ” เทปปันรีบเข้ามาช่วยรับของจากดีนเอาไว้วางไว้บนโต๊ะยาวด้านข้างหน้าต่างบานกระจก “ซื้อของมาตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นจะมีพวกของญี่ปุ่นเท่าไหร่เลย” ดีนชะโงกดูถุงนั้นถุงนี้ เห็นแต่ข้าวของที่ส่วนใหญ่น่าจะมีไว้ทำอาหารไทย

“อาหารญี่ปุ่นก็สั่งเดลิเวอรี่เอา ง่ายกว่า” ดีนที่ได้ยินคำตอบของเทปปัน ก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพูดว่า “งั้น วันหลังถ้าปันสั่งอะไรมากิน ก็ชวนดีนด้วยนะ อยากกินด้วย” ดีนเองก็ไม่พักเหนื่อย คอยตะล่อมพูดนั่นพูดนี่ เพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่า เทปปันนั้นไม่ได้อยากจะอยู่ห่าง ๆ กัน อย่างที่เคยบอกกับเขาไว้ที่หน้าบ้านในวันนั้น

“ออกไปกินที่ร้านก็ได้ นะ ดีนไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นนานแล้ว ดีนเลี้ยงเอง” ออกตัวอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องคิดมาก ดีนทำหน้ายู่ตาย่น อ้อนเทปปันในแบบที่เขาเองไม่คิดที่จะทำกับใคร แต่ไม่ได้รู้สึกฝืนอะไร เพราะตอนอยู่กับเทปปัน ดีนเองก็บอกไม่ได้ว่า มันเป็นเพราะความสัมพันธ์ครั้งเก่า หรือความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นใหม่นี้กันแน่ ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“ไม่ได้กินอาหาร ได้กินคนญี่ปุ่นก็ได้” อดไม่ได้ ดีนพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รู้ตัวด้วยซ้ำไป ว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายว่าเอา “มันจะไม่ได้กินทั้งสองอย่าง นั่นแหละ ฝันหวานไปเหอะ” เทปปันทำตาเขียวปัดใส่ดีน ที่ตอนนี้ ทำตัวลีบเดินไปนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว ก่อนจะลอบมองเทปปันที่กำลังเก็บของที่ซื้อมา เก็บเข้าที่จนเรียบร้อย

“จะกลับหรือยัง ค่ำแล้วนะ” เทปปันถามข้ามมาจากส่วนครัว “กินมื้อเย็นกันก่อนได้มั้ย” ดีนต่อรอง ก่อนที่ท้องของเขาจะร้องเสียงดังออกมาจริง ๆ เทปปันอดขำไม่ได้ ด้วยว่าเสียงท้องร้องของดีนนั้น มันดังมากจริง ๆ ดีนเองก็ทำหน้าไม่ถูก ท้องเจ้ากรรม นี่ก็ไม่ไว้หน้าเจ้าของเลยสักนิด ดีนเห็นเทปปันหยิบเอามือถือกดไปกดมาอยู่สักครู่ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเก็บกวาดห้องพัก สักครู่ใหญ่ ๆ ก็รับโทรศัพท์ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกจจากห้องไป

เทปปันกลับขึ้นมาที่ห้องอีกครั้ง เปิดประตูเดินถือถุงใส่อาหารขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่า บนโต๊ะอาหารนั้น ดีนเตรียมจาน เตรียมรินน้ำดื่มเย็น ๆ ใส่แก้วเอาไว้รอแล้ว กลิ่นหอมของอาหารที่เทปปันสั่งให้มาส่ง ลอยทะลุออกมาเตะจมูก เรียกน้ำย่อยและความหิวของดีนให้ทวีคูณมากขึ้นอีก

“ชอบกินไก่ทอดเจ้านี้หรือครับ” ดีนถามขึ้น มือก็ช่วยเทปปันหยิบเอากระบะใส่ไก่ทอดออกมาจากถุงใบใหญ่ “ไม่รู้สิ ไม่ได้กินเองเท่าไหร่ แต่ชอบซื้อให้คนอื่นกิน โดยเฉพาะเด็ก ๆ มันก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ แต่ก็อดไม่ได้” ดีนเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ริมฝีปากของเทปปัน เมื่อเย้าตัวเองว่าซื้ออาหารที่คนอื่นเรียกกันว่าอาหารขยะให้เด็กที่ยากไร้กิน มันก็ไม่แปลก ดีนบอกกับตัวเอง เทปปันตอนนี้นั้น จากเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลย กลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพร้อมทุกอย่าง มันมากเกินความต้องการเสียด้วยซ้ำไป

“เหมือนมันคือสิ่งที่ติดอยู่ในใจมากกว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เทปปันรู้สึกถึงเยื่อใยอะไรบางอย่าง ที่เชื่อมความรู้สึกของเขากับการกระทำนี้เข้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะเห็นดีนยิ้มออกมาน้อย ๆ “ก็คนก่อนนั้น เขาเคยพา” ดีนชี้นิ้วไปที่เทปปัน “ไปดูหนัง ไปนั่งกินไก่ทอดเจ้านี้ด้วยกัน” ดีนพูดพลางสบตากับเทปปัน ก่อนจะเห็นเทปปันหยิบชิ้นไก่วางลงบนจานของดีน

“จำได้หมดทุกเรื่องเลยหรือ” เทปปันที่ดูลังเลอยู่สักพัก ถามขึ้น ดีนเคี้ยวกร้วม ๆ อยู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “คิดว่านะ ไม่ก็เกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้น” เทปปันมองไปที่ดีน แววตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ปันล่ะ” ดีนถามขึ้น “จำอะไรเกี่ยวกับตอนนั้นไม่ได้เลยหรือ” ดีนเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าในความทรงจำของเทปปัน มีเรื่องราวอะไรบ้างที่ย้อนคืนกลับมา เทปปันส่ายหน้าช้า ๆ

“ก็ไม่เชิง” ก่อนจะยอมรับว่า มันมีความรู้สึกที่เหมือนเป็นสิ่งทับซ้อนอยู่เช่นกัน “แต่ลึก ๆ ภายในใจ มันบอกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างเดิมอีก” เทปปันหยิบเฟรนช์ฟรายเข้าปาก ดีนเองก็พอจะเข้าใจอยู่ กับการที่เทปปันนั้นรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวได้เผยออกมา ด้วยที่ว่า ตัวของดีนนั้น จดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดี

“เหมือนถูกเลือกให้เป็นคนที่ต้องการลืม” เทปปันสบตากับดีน ก่อนจะเสมองไปทางอื่น ดีนนั้นรู้สึกสะอึกอยู่ในใจไม่น้อย “ปันอาจจะเป็นคนที่ขอลืมเอง” เจ้าของชื่อหันสายตากลับมาทางคนต้นเสียง “ซึ่งมันก็เข้าใจได้ว่าทำไม หากปันจำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นได้” ดีนเองถามตัวเองอยู่เหมือนกัน หากว่าเขาได้ไปแทนที่ของเทปปัน เขาจะเลือกแบบไหน ยังจำหรือลบลืม

“แต่สำหรับดีน” เทปปันมองเห็นความจริงจังได้จากสายตาของดีนที่ใช้มองมา “ก่อนที่เรื่องทุกอย่างในคราวนั้นจะจบลง” เทปปันแปลกใจที่ตอนนี้ ใจของเขากลับนิ่ง ไม่ขุ่นมัว ไม่เคลื่อนไหว ฟังในสิ่งที่ดีนกำลังสื่อสารมา “คนคนนั้นเลือกที่จะตามหา และนั่นมันคือเหตุผลว่าทำไมดีนยังจำทุกอย่างได้ ไม่ลืม” เทปปันมองไปที่ใบหน้าของดีน ที่บอกว่าตัวของดีนนั้น ตามหาเทปปันจนมาพบเจอ และนั่งอยู่ด้วยกันได้ในตอนนี้

ดินเนอร์มื้อนั้น เป็นไปแบบเงียบ ๆ แต่ไม่ได้ขัดขึ้งหรือบรรยากาศอึดอัดแต่อย่างใด ราวกับว่า ทั้งสองคนเองนั้น ดีนและเทปปันใช้เวลาที่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันนั้น สังเกตกันและกัน มองวิถีและวิธีของแต่ละฝ่ายว่าจับ ว่าหยิบ ว่าถือ ด้วยอากัปกิริยาอย่างไร รายละเอียดหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มันทำให้อาหารเย็นมื้อนั้นทำอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด เหมือนกับได้กลับมาอยู่กับคนที่เคยคุ้นกันอีกครั้ง

เทปปันเก็บล้างจานชามที่ใช้ หลังจากที่กินมื้อเย็นกันเสร็จ ก่อนจะหันกลับไปทางดีน เพื่อจะเตือนอีกฝ่ายว่า ตอนนี้มันค่ำแล้ว ดีนอาจจะกำลังทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่ เทปปันเดินไปที่โซฟาตัวยาวที่ดีนล้มตัวลงนอนอยู่ เทปปันได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังเบา ๆ ออกมาจากเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ตรงหน้า เทปปันอยู่ ๆ ก็เผลอยิ้มออกมา เหมือนอะไรบางอย่างย้อนกลับมากระตุ้นความรู้สึกในใจ ก่อนจะมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของดีนที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟา

“ดีน ดึกแล้ว ทำไมยังไม่ถึงบ้านอีก แม่เป็นห่วง” เทปปันเห็นว่าดีนยังไม่ยอมตื่น เลยถือวิสาสะรับสายแทน ก่อนจะได้ยินที่ปลายสายพูดมา “เอ่อ คือ เดี๋ยวยังไง ถ้าดีนเขาตื่นแล้ว ผมจะให้เขาโทรกลับนะครับ” เทปปันกรอกเสียงตอบกลับไป ที่ปลายสายเสียงเงียบหายไปพักใหญ่ ประหนึ่งว่า ตกใจแกมประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะคือเทปปันที่เป็นคนรับสาย

“นี่แม่กำลังพูดกับ” เสียงที่ปลายสายถามกลับมา “ผมเทปปันครับ” ตอบกลับไปด้วยใจที่เต้นแรงแปลก ๆ “เทปปันเองหรือลูก โอเค งั้นแม่ฝากหนูด้วยนะลูก ดีนไปกวนถึงห้องเชียว แหม แม่ก็ไม่ทันตั้งตัว นึกว่าจะมีลูกเพิ่ม เอ๊ย นึกว่าจะได้ยินเสียงเจ้าดีนเป็นคนรับสาย โอเคครับลูก ดีนอยู่กับปัน แม่ก็สบายใจแล้ว” เทปปันรับคำแม่ของดีนไป ก่อนจะกดวางสายเมื่อร่ำลากันเสร็จ

“แม่ดีนเขาเอ็นดูปันมากนะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเพื่อนของดีนเท่าไหร่” เทปปันสะดุ้งเล็กน้อย ที่รู้ว่าดีนตื่นแล้ว และได้ฟังบทสนทนาระหว่างเขากับแม่ของดีนอยู่เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ “นี่หลอกให้พูดกับแม่หรือ” เทปปันถาม มุ่นหน้าขมวดคิ้วใส่ดีน โดยที่คนที่เหลี่ยมเยอะกว่าหัวเราะออกมาอย่างยอมรับผิด

“กลับบ้านได้แล้ว แม่บอกว่าเป็นห่วง” เทปปันเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น บอกกับดีนว่า ให้เขาเตรียมตัวขับรถกลับบ้านได้แล้ว “ไม่ใช่แม่บอกว่า สบายใจแล้ว ที่รู้ว่าดีนอยู่กับปันหรอกหรือ” ดีนชันศอกขึ้นมา ทำให้จากที่ทั้งสองนั่งอยู่ไกลกัน มาตอนนี้ใบหน้าของดีน ขยับขึ้นมาอยู่ไม่ไกลจากใบหน้าของเทปปัน

“เจ้าเล่ห์แถมขี้โกง” เทปปันว่าดีนเข้าให้ โดยที่ดีนพยักหน้าบอกว่าเขายอมรับ “ถ้าปันอยากให้ดีนเล่าถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรา” ดีนวางมือของเขาลงบนมือของเทปปัน ก่อนจะออกแรงดึงเบา ๆ ให้เทปปันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เทปปันอยากจะดึงตัวกลับ แต่ด้วยเหตุใดกัน เขากลับปล่อยให้ดีนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ชิดแบบนี้

“ให้ปันได้รู้ว่า ดีนจริงจังกับเรื่องของเรา” ดีนเลื่อนริมฝีปากของเขาขึ้น จนเกือบจรดกับของเทปปัน และเมื่อเขาไม่เห็นอีกฝ่ายขยับใบหน้าหนี ดีนจึงทาบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากเทปปัน ดีนมองเห็นเทปปันหลับตา หายใจติดขัดเมื่อดีนเพิ่มน้ำหนักกดลงบนความนุ่มที่รู้สึกได้ จากการสัมผัสนั้น

“คิดถึงความหอมนี้” ดีนพูดบอกกับเทปปัน เมื่อเขาฝังปลายจมูกลงที่ลำคอของเทปปัน “กลิ่นกายของกันและกัน” รอยจูบเบา ๆ ที่ดีนฝากเอาไว้ที่รอยบุ๋มที่ไหล่ของเทปปัน ทำให้เทปปันเผลอผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ “ให้ดีนอยู่ด้วยนะ คืนนี้” ดีนสบตากับเทปปัน ด้วยแววตาร้องขอและเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในคราวเดียวกัน

********************************************

คำแปลเนื้ร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=MSPvQrwNgIQ


เธอชอบเพลงที่ฉันนั้นลิสต์เอาไว้

You like the songs I added to my playlist

เธอชอบโทรคุยจนฉันหลับไป

You’re talking on the phone until I fall asleep

เธอชอบวิวในตอนเย็นเย็นริมทะเล

You like the sunset view over the beach

พระอาทิตย์ที่ลับไป

Looking at the sun going away

Girl, you know what I'm saying


เธอชอบถามว่าฉันสบายดีไหม

You like asking how I am

เธอชอบยิ้มตอนอยู่บนมอเตอร์ไซค์

You smile while having a motorbike ride

เธอชอบร้องไห้เวลาคิดถึงกัน

You also cry when you really miss me

ห่างกันแป๊ปเดียวเหมือนไม่เจอกันหลายวัน

Just a brief moment we’re away, that’ s like many many days


เธอไม่ชอบให้ทักว่าอ้วน

You hate when I say to shed some pounds

เธอไม่ชอบให้พูดห้วนห้วน

Though you love me being polite

เธอไม่ชอบเวลาที่ฉันมองใคร

You don’t like me checking out anyone

แต่บางทีเธอก็ลืมง่าย

You’re somehow forgetful

โกรธฉันแต่เธอก็ลืมได้

Mad at me then don’t remember what that is


เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m stuck here – sticking myself to you here

เสพติดแต่ความรักที่มี

Addicted to your love with me

เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m still here – attached myself only with you, dear

ต้องการแค่กลิ่นของเธอ

Need your scent and odor

ที่ทำให้เพ้อถึงเธอ

That makes me need you for more


เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

So, I’m here for you – only you I’m here for

เสพติดกลิ่นความรักของเธอที่แสนดี

Your love’s additive and let me tell you that my good, sweet bae

เลยติดอยู่ตรงนี้ ติดแต่เธอคนนี้

I’m stuck here and only here for you

You're my happiness, oh oh baby


เธอทำให้กาลเวลาดูไม่มีความหมาย

You make time to be less meaning

ทำให้เพื่อนเพื่อนนั้นคิดว่าฉันนั้น

It’s you that caused my friends to say

กลายเป็นบุคคลที่สูญหาย

I’m reported missing

เธอทำให้ฉันต้องคิดถึงเธอ

You make me miss you the whole time

อาการไม่ค่อยดี

It’s so critical

หลับลงยังละเมอ

Talking about you in my sleep
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๔๙. คิดถึงที่สูญเสีย ๒๗/๔/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 27-04-2023 20:41:27
บทที่ ๔๙. คิดถึงที่สูญเสีย



2537

1994



รถพยาบาลค่อย ๆ ถอยหลังออก ก่อนจะเลี้ยวออกจากซอยเล็ก ๆ นั้นไป กั้งยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ขอบตามีหยาดน้ำตาใส ๆ ไหลเอ่ออยู่ตลอด และเมื่อน้ำตาใส ๆ นั้นร่วงพ้นขอบตาลงมา หยาดน้ำใสนั้นก็รื้นขึ้นมาทดแทนใหม่ในทันที เจ้หวีได้แต่มองไปที่กั้งด้วยความเศร้าใจ มันคือความเวทนาโดยแท้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เจ้าของบาร์สังหรณ์ใจเอาไว้

เจ้หวีทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ กั้ง มองเห็นมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่ยังคงเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เสื้อสีขาวของกั้งเหมือนถูกฉาบไปด้วยสีแดงสด ๆ แต่นั่นในความเป็นจริง มันคือเลือดจากร่างของทิว ที่ตอนเจ้หวีวิ่งออกไปดู หลังจากได้ยินเสียงกั้งกรีดร้องโหยหวนนั้น กั้งกอดร่างที่ไม่ไหวติงของทิวเอาไว้กับอกจนแน่น

เจ้หวีเคยเห็นกั้งร้องไห้ ด้วยความเสียใจมาก่อน แต่ไม่เคยเลยที่ครั้งไหนนั้น กั้งจะร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องดังลั่นอย่างในครั้งนี้ กั้งร้องแบบไม่สนใจใคร อาการปริ่มว่าจะขาดใจตามไปด้วย คือสิ่งที่คนมายืนมุงดูเหตุการณ์ยังต้องเบือนหน้าหนี ความอาดูรในการจากไปของคนที่เป็นเสมือนหัวใจ เพิ่งได้สิ่งที่มีค่าที่สุดกลับมา ต้องมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

“พี่พยาบาลเขาบอกให้กั้งไปให้ปากคำกับตำรวจที่สถานี” กั้งพูดขึ้นเบา ๆ สายตามองดูมือของตัวเองที่ยังเปื้อนเลือดของทิว “ไว้ไปพรุ่งนี้ ตอนที่แกโอเคกว่านี้ก็ได้” เจ้หวีพยายามพูดปลอบประโลมอีกฝ่าย ก่อนจะมองตามกั้งที่ลุกขึ้นยืน “ไปตอนนี้แหละ ไปตอนที่ยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน” กั้งพูดออกมา ยืนหันหลังให้กับเจ้หวี ไม่ให้เจ้แกเห็นว่า น้ำตาของเขากำลังไหลพรากลงมา

“มันไม่ใช่ความผิดของแกนะกั้ง” เจ้หวีที่อยากให้กั้งนั้นไปเสียจากที่นี่ เพราะรู้สึกใจคอไม่ดี กลัวว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิม จากการที่เจ้หวีเคยเห็นเด็กอีกคนที่เจ้เคยช่วยเหลือเอาไว้ ได้จากไปก่อนวัยอันควร จากน้ำมือของเดนคนที่ตามมาทำร้ายกันอย่างโหดร้ายทารุณ แบบกัดไม่ปล่อย จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นยังคงติดแน่นอยู่ในใจของเจ้แก และไม่อยากเห็นว่ามันเกิดขึ้นกับกั้ง

“มันเป็นความผิดเสมอแหละเจ้ กับคนอย่างหนู” เสียงพูดของกั้งสั่นเครือ “ถ้าทิวไม่กลับมา” เสียงของกั้งพูดออกมาด้วยอาการของคนพยายามกลั้นสะอื้นอย่างสุดกำลัง แต่มันก็ทำได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน “ถ้าเพียงแค่หนูไล่ทิวกลับไปซะ อย่ามาเจอ อย่ามาตอแยอะไรคนอย่างหนู อย่ามาสนใจไยดี” กั้งหันมามองเจ้หวีด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาไหลพราก “มันเป็นเพราะหนูทั้งนั้น” กั้งพูดจบ ก็เดินออกไปจากตรงนั้น โดยมีเจ้หวีมองตามไปด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ



กั้งขอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าล้างหน้าล้างตา ล้างคราบเลือดแห้งกรังที่เปื้อนอยู่ตามตัวออกเสียก่อน หลังจากที่เขามาถึงสถานีตำรวจทั้ง ๆ ในสภาพนั้น กั้งเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานมัวที่แสนขุ่นนั้น ด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันนัก มันขมุกขมัวและปนเอนไปด้วยความทรมานจากความเศร้า เสียใจอย่างสุดแสนกับการสูญเสียอย่างกะทันหันในครั้งนี้

“น้องเข้าไปในห้องนั้นได้เลย สารวัตรรออยู่” เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าร้องบอก กั้งพยักหน้ารับ หายใจเข้าปิดจนลึก ก่อนจะผ่อนมันออกมา แล้วจึงเดินไปเปิดประตูห้องบานนั้นเข้าไป “นั่งสิ” เสียงนายตำรวจหนุ่มบอก แบบไม่ต้องเดาอะไรมาก เมื่อเห็นสภาพเสื้อเปื้อนเลือดของกั้งแบบนั้น

“เคสของกรภัทร” นายตำรวจก้มลงอ่านรายละเอียดในแฟ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นกั้งพยักหน้า “ครับ เขาชื่อเล่นว่าทิว” เสียงพูดของกั้งฟังดูไร้เรี่ยวแรงกำลัง สารวัตรหนุ่มสังเกตเห็นน้ำตาที่รื้นอยู่ที่ขอบตาของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “สนิทกันนะ” ถามออกไปแบบนั้น เนื่องจากรู้สึกถึงสายใยความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ลึกซึ้งต่อกัน

“คือ” กั้งไม่รู้จะตอบคุณตำรวจออกไปอย่างไรดี อาการอึกอักที่กระอักกระอ่วน เดาได้ว่าสารวัตรหนุ่มได้รับรายงานแล้ว ว่ากั้งนั้นร้องไห้อย่างหนัก กับร่างขอทิวที่อยู่ในอ้อมแขน “น้องเป็นอะไรกับผู้เสียชีวิต” สารวัตรหนุ่มเอ่ยถามออกไป ก่อนจะเห็นกั้งหลบสายตาหลุบลงต่ำ ในหัวไม่เคยแน่ใจเลย ว่าใครจะเข้าใจถึงความผูกพันนี้ระหว่างเขากับทิว

“บอกพี่ได้นะ พูดมาเถอะ” นายตำรวจหนุ่มพอจะเดาได้ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูแปลกสำหรับเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหม่ขนาดไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่อย่างใด “เป็นแฟนกันครับ” กั้งตอบออกไปในที่สุด โดยประตูห้องถูกเปิดออก ด้วยแรงผลักอย่างแรง จนบานประตูไปกระแทกเข้ากับด้านข้างของโซฟาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ กัน

“ไม่ใช่ สองคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกัน” กั้งหันไปมองตามเสียงตวาดนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน “แกกับลูกขอฉัน ไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณตำรวจเองก็เถอะ ขีดฆ่าคำพูดของไอ้คนแบบนี้ออกจากรายงานลูกชายดิฉันเดี๋ยวนี้” เสียงด่ากราดของผู้หญิงผู้เป็นแม่ของทิวดังลั่นสถานีตำรวจไปหมด กั้งยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย แต่สีหน้าและแววตาที่รังเกียจกันอย่างชัดเจนนั่นคือการไม่รับไหว้ของอีกฝ่าย

“ลูกฉันไม่มีทางมีอะไร เป็นอะไรกับไอ้พวกวิตถารวิปริตแบบนี้หรอก” เสียงบริภาษอันโกรธเกรี้ยวยงดังออกจากปากแม่ของทิวอย่างโกรธเกรี้ยว “ผมเสียใจ” กั้งรู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ที่อยากให้แม่ของกั้งเข้าใจ แกจะมาเสียใจอะไร ลูกฉันไปหาแก ก็เป็นเพราะแกล่อลวงลูกชายฉันไป เขาไปหาแก แล้วเขาก็ต้องมาตายแบบนี้” เสียงแม่ของทิวตะโกนด่าด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย

“คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ” สารวัตรหนุ่มพยายามพูดจาไกล่เกลี่ยให้แม่ของทิวเย็นลงก่อน “คุณแม่ครับ ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้” กั้งยกมือขึ้นไหว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “แกไม่ต้องมาไหว้ฉัน แกฆ่าลูกฉัน อีฆาตกร อีโรคจิต อีพวกวิปริตผิดเพศ” สิ้นคำด่านั้น แม่ของทิวก็ตรงเข้าทำร้ายกั้ง เธอทั้งตบหน้า ทุบเข้าที่ศีรษะของกั้ง ตามแต่ที่ความเดือดดาลจากการสูญเสียลูกอันเป็นที่รักไปในคืนนี้

“คุณแม่หยุดนะครับ น้องคนนี้พยายามช่วยลูกชายคุณแม่เอาไว้ต่างหาก” สารวัตรหนุ่มตรงเข้าห้ามปราม ก่อนจะแยกกั้งที่ยืนนิ่งยอมให้แม่ของทิวตบตีทำร้าย ให้เบี่ยงเยื้องไปยืนอยู่ด้านหลัง “มันจะมาช่วยอะไรลูกชายฉัน ตั้งแต่มันก้าวเข้ามาในชีวิตลูกชายฉัน ลูกชายฉันก็เหมือนกับตายทั้งเป็น เพราะมันนี่แหละ มันคนเดียวที่ทำให้ทิวเปลี่ยนไป” กั้งได้ยินแม่ของทิวพูดแบบนั้น ก็ได้แต่ร้องไห้ออกมา รู้สึกเจ็บไปทั้งใจ ที่ตัวเป็นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทิวต้องมารับเคราะห์แบบนี้

“มึงฆ่าลูกกู” แม่ของทิวชี้หน้าด่ากั้ง “คุณแม่หยุดพูดอะไรแบบนี้ก่อนเถอะครับ จะกล่าวหาใครต้องมีหลักฐาน เพราะตามที่ผมได้รับรายงานมาจากเจ้าหน้าที่ น้องคนนี้วิ่งหาทางช่วยลูกคุณแม่ทุกวิถีทาง คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อน ผมรู้ว่าคุณแม่เสียใจมาก แต่อย่ากล่าวหา อย่าตบตีกัน ผมไม่อยากที่จะต้องดำเนินคดีกับคุณแม่อีกคน ตอนนี้เราได้เบาะแสคนเมาแล้วขับคนนั้นแล้ว ตำรวจกำลังตามตัวอยู่ และน่าจะได้ตัวมาดำเนินคดีเร็ว ๆ นี้”

นายตำรวจพูดไป ก็มองกั้งด้วยความเห็นใจไป ด้วยเด็กหนุ่มทั้งยืนนิ่งให้แม่ของทิวตบตี ทั้งยอมให้อีกฝ่ายด่าทอ โดยไม่ตอบโต้อะไรออกไป ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนที่สูญเสียเช่นกัน ก่อนที่สารวัตรหนุ่มจะเห็นกั้งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พร้อมก้มลงกราบไปทางแม่ของทิว ที่เดินออกไปจากห้องนั้นในทันที ก่อนที่กั้งจะนอนคู้ตัวลงกับพื้น พยายามกอดตัวเองเอาไว้ ด้วยว่าตอนนี้ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน อย่างควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้



เจ้หวียังคงเห็นกั้งนั่งเหม่อมองไปยังประตูหน้าร้าน ราวกับว่า ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ทิวจะเดินผ่านประตูนั้นเข้ามาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่กั้งเองก็รู้ดี ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่กั้งนึกขึ้นได้ถึงความจริงในข้อนี้ น้ำตาก็ร่วงรินพ้นขอบตาลงมาอีกครั้ง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีวันจะย้อนหวนคืนกลับไปได้ แต่ใจเจ้ากรรมก็ยังหวังว่าจะให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

“กินอะไรสักหน่อยสิกั้ง แกจะไม่มีแรงนะ” เจ้หวีวางจานข้าวราดแกงลงบนโต๊ะ กลิ่นมันหอมเตะจมูกดูน่ากิน แต่กั้งก็ส่ายหน้า “หนูยังไม่หิวน่ะเจ้” กั้งตอบปฏิเสธออกไป “ฉันรู้ว่าแกยังทำใจไม่ได้” แต่ทิวเอง มันก็คงไม่อยากเห็นคนที่มันรัก อยู่ในสภาพนี้เหมือนกันนะ” เจ้หวีพยายามพูดเตือนสติกั้ง “มันคงอยากเห็นแกมีชีวิตต่อไปได้ โดยไม่มีมัน” กั้งฟังแล้วก็พยายามฝืนยิ้มออกมา แต่มันเป็นยิ้มที่เจ้าตัวพยายามอย่างหนักที่จะห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“หนูมันไม่มีค่าอะไรให้ทิวต้องคิดถึงหรอก หนูนี่แม่งโคตรชั่วอย่างที่เขาว่ากันจริง ๆ” กั้งน้ำเสียงสั่นเครือ หน้าตาเหยเกจากการพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ “แกพูดอะไรแบบนั้นวะกั้ง ถ้าทิวมันรับรู้ มันจะเสียใจมากนะ” กั้งได้ยินเจ้หวีพูดแบบนั้น “เจ้ไม่รู้หรอก ว่าหนูทำเหี้ยอะไรลงไปบ้าง” กั้งเบะหน้า ร้องไห้ สะอื้น พยายามปาดน้ำตาให้หมดไป แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง น้ำตามันไหลพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย

“หักห้ามใจเอาไว้บ้างเถอะกั้ง ทิวมันไปดีแล้ว เราที่ยังอยู่ ก็ต้องเข้มแข็ง และผ่านมันไปได้” เจ้หวีกอดกั้งเอาไว้ กั้งกอดเจ้แกตอบ ซบหน้าลงกับอกของเจ้หวีผู้มีพระคุณ ร้องไห้จนตัวโยน นึกถึงทิวที่จากไปแล้วอย่างที่สุด นึกถึงความโหดร้ายในชะตาชีวิต ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างโหดร้าย นึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่ต่างเคยมีให้กัน ระหว่างตนเองกับทิว และที่สำคัญ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป โดยไม่สามารถเรียกคืนการกระทำนั้นให้กลับมา แก้ตัวใหม่ ไม่ให้ตัวเองทำมันลงไป

เสียงออดดังขึ้น เพื่อเป็นสัญญาณว่า ขอให้ครอบครัว ญาติ และเพื่อนฝูงที่มาร่วมงาน ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ เพื่อส่งดวงวิญญาณของทิว เพื่อไปสู่ภพภูมิที่สงบสุข แม่ของทิวเป็นลมล้มพับไปอีกครั้ง หลังจากเป็นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ตลอดงานฌาปนกิจของลูกชาย พ่อของทิวต้องคอยประคองพัดวีภรรยา ที่ไม่สามารถทำใจเกี่ยวกับการจากไปของลูกชายได้เลย

ควันไฟลอยออกจากปลายปล่องเป็นทางยาว กั้งที่ทำได้เพียงแค่แอบดูอยู่ไกล ๆ พึมพำคำลาให้ทิวจากที่ไกล ๆ ตรงนี้ ที่กั้งทำให้เพียงมาส่งทิวใกล้ได้เพียงแค่นี้ น้ำตาที่ไหลเป็นสาย กับใจที่มันปวดร้าวที่ต้องเห็นคนรักของตัวเองจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะในฐานะใด ๆ ก็ตาม

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=uQWx05Bz64E


เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความหลัง

What’s left is just the memory

กับชีวิตที่อ้างว้างเดียวดาย

And this life that is so lonely

เคว้งคว้างและทุกข์ทน

Stranded and suffered

สับสนจนไร้จุดหมาย

Confused and without a place to go

ไม่มีคนไม่มีใคร

I’m all alone, there’s nobody else


เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ตัวฉัน

What’s left is just me and myself

อยู่กับความฝันที่ต้องพังทลาย

Living through all shattered dreams

ฝันไว้เสียสวยงาม

The dreams I dreamt were beautiful

แต่แล้วมันก็ผ่านไป

Yet they were all gone

ผ่านไปเหมือนสายลมที่ไร้ร่องรอย

Like the wind that breezed through me


ไม่มีใครไม่เหลือใคร

No one’s here, there’s just me

สิ่งที่คว้าไปมันกลับเลื่อนลอย

I was only grasping at straws

ได้แต่รอคอยคนที่จากไป

Could only be waiting for the one that already left

นั่งมองเงามองอย่างเหงาใจ

Looking at the shadow from the angle of despair

ก็ไม่รู้ว่านานอีกเท่าไร

Don’t know how long it’s taking

กว่าสิ่งที่เสียไปจะกลับมา

Until I’ll get what I’ve lost


ความทรงจำมันช่างปวดร้าว

Memory is so painful

เมื่อมีความเหงาคอยทิ่มแทงหัวใจ

Loneliness is the thorn in my heart

หลงเหลือแค่น้ำตา

What I’ve got is tear

ที่เหมือนไหลมาไม่ขาดสาย

That’s flowing down my face, endlessly

กับสิ่งที่ฝังใจไม่อาจลืม

Can’t really forget how it haunts me


ไม่มีใครไม่เหลือใคร

No one’s here, there’s just me

สิ่งที่คว้าไปมันกลับเลื่อนลอย

I was only grasping at straws

ได้แต่รอคอยคนที่จากไป

Could only be waiting for the one that already left

นั่งมองเงามองอย่างเหงาใจ

Looking at the shadow from the angle of despair

ก็ไม่รู้ว่านานอีกเท่าไร

Don’t know how long it’s taking

กว่าสิ่งที่เสียไปจะกลับมา

Until I’ll get what I’ve lost


อาจเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล

It may be like this for eternity
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๐. คิดถึง คิดถึงเธอ ๐๔/๕/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-05-2023 15:35:27
บทที่ ๕๐. คิดถึง คิดถึงเธอ



2536

1993



“โตขึ้นอย่างเป็นอะไร” คนถูกถามถึงกับต้องหันไปมองคนต้นเสียง “นี่คิดว่าถามเด็กห้าขวบหรือไง” ถามกลับไปแทนคำตอบ อย่างไม่จริงจังอะไรนัก ทำให้เจ้าของคำถามเองก็ต้องเผลอหัวเราะตามออกมา กั้งส่ายหัวให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงหยอกล้อกับทิว ที่ตอนนี้ยิ้มกว้างกลับมาอย่างน่าเอ็นดู

“ถ้างั้นถามใหม่” ทิวพูดกลั้วหัวเราะ กั้งสบตากับแฟนรอฟังคำถามอย่างตั้งใจ “อีกห้าปีข้างหน้า ทำอะไรอยู่ตอนนั้น” กั้งทำท่าคิด หรี่ตาพลางนึกหาคำตอบของคำถามที่ได้ยิน “ก็คงจะ” ทิวลดมือที่ถือกรรไกร กำลังตัดรหัสคณะที่เลือกไว้แปะลงไปในใบสมัครสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย คอยฟังคำตอบนั้น

“ก็คงจะเป็นแฟนเธออยู่แหละ” ทิวหน้าหูเริ่มแดงเรื่อขึ้นมา ทั้งเขินทั้งดีใจที่ได้ยิน “เรื่องนั้นน่ะรู้” พูดจบก็ชะโงกหน้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของกั้งหนึ่งที กั้งเองก็ยิ้มขันไปกับอาการของทิว “แล้วยังไงอีก” ความอยากรู้เพิ่มเติม ต้องการให้กั้งขยายความโดยให้รายละเอียดที่มากกว่านั้น

“และก็คงจะคอยเช็กดูว่า ทิวมีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ หรือมีรอยลิปสติก ติดตามเสื้อเชิ้ตทำงานกลับมาบ้านบ้างหรือเปล่า” พูดเล่น ๆ ไปอย่างนั้น แต่สายตาก็คาดโทษอยู่ในที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น “โห กั้ง พูดดูถูกทิวมากเกินไปแล้ว” เสียงทิวพูดฟังดูเข้มขึงขังขึ้นมาในทันที “ทิวไม่มีทางทำแบบนั้นกับกั้งถูกมั้ย” กั้งย้อนถามกลับไป “เปล่า แต่กั้งไม่มีทางจับได้ต่างหาก” ทิวพูดเร็ว ก่อนจะทำตาโต ยิ้มอย่างแบบเล่นหัวกับอีกฝ่าย

“โดนเจี๋ยนให้เป็ดกินแน่” กั้งทำโวยวายใส่ทิว ก่อนที่ทั้งคู่จำหัวเราะกันออกมาอย่างสนุกสนาน ทิวมองใบหน้าของกั้งด้วยสายตารักและเอ็นดู “เริ่มจากการที่เราสองคนไปเรียนที่คณะเดียวกันเสียก่อน” เลขรหัสคณะดุริยางคศิลป์ที่ตัดจากหนังสือระเบียบการ ถูกถืออยู่ในมือทิว “แปะให้ถูกนะ ลำดับที่เท่าไหร่” กั้งส่งเสียงกำชับกำชา

“เอ๊ ลำดับที่ห้าใช่มั้ยนะ หรือยังไงนะ” ทิวทำเป็นส่งเสียงถาม เลื่อนมือขึ้นเลื่อนมือลง ว่าเขาจะแปะรหัสนั้นลงไปที่ช่องไหนดี “ก็ต้องลำดับที่หนึ่งแหละ” เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของกั้งมองมาแบบนั้น ทิวก็ต้องบรรจงแปะรหัสลงไปตามที่ปากพูดออกมา ก่อนจะมองเห็นกั้งยิ้มปริ่มออกมา

“เริ่มจากเรียนด้วยกัน จบด้วยกัน ทำงานพร้อมกัน” กั้งพูดอย่างคนที่วาดฝันเอาไว้ ว่าชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ ผละจากเรื่องราวชีวิตเดิม ๆ ที่มันไม่ใช่ที่ของเขา “และอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน” พูดจบประโยคนั้นให้กั้งด้วยคำพูดที่หนักแน่นและมั่นคง ไม่ใช่เพียงแค่อยากให้ความหวังอีกฝ่ายแค่นั้น แต่เป็นการให้คำมั่นสัญญาไว้ต่อกัน

“อย่าผิดคำพูดล่ะ” กั้งเองนั้น ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินคำพูดนั้นของทิว แต่ลึก ๆ ในใจ ก็ยังมีความหวั่นไหวปะปนอยู่ “อย่าแค่เคาะกะลาให้หมาดีใจ” น้ำเสียงของกั้งเชิงตัดพ้อ แต่ทิวก็จับความรู้สึกจากตรงนั้นได้ดี ว่ากั้งต้องการความมั่นใจว่าคำสัญญานั้นมันจะต้องเกิดขึ้น “ถ้าไม่เป็นไปตามที่พูด ก็มาเอาชีวิตของทิวไปได้เลย” กั้งรีบยกมือแตะริมฝีปากของทิวเอาไว้ ไม่ให้พูดอะไรแบบนั้น

“กว่าจะถึงตอนนั้น โลกคงเปลี่ยนไปแล้วล่ะ หลาย ๆ อย่าง อะไร ๆ คงไม่เหมือนเดิม” ทิวพูดขึ้น จับมือของกั้งเอาไว้อย่างคนรักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน “พอตอนนั้นมาถึง เราคงหายใจโล่งขึ้นอีกเยอะ ทิวสัญญา” กั้งหัวเราะออกมาเบา ๆ มีน้ำตาขึ้นคลอที่หน่วยตา “ตอนนี้ยังไงทิวก็ทนอายไปก่อน เวลาคนเห็นกั้งอยู่กับทิว” น้ำตาที่คลออยู่เต้นระริก เมื่อกั้งเป็นคนที่พูดประโยคนั้นออกมา

“มันไม่มีอะไรที่ต้องอายสักหน่อย” ทิวพูดพลางบีบมือกั้ง “มันอาจจะใช้เวลาอีกสักหน่อย รู้ตัวอีกทีตอนนั้นเราก็จับมือกันเดินเที่ยว บอกใครต่อใครได้อย่างเต็มปากว่าเราสองคนรักกัน เป็นแฟนกัน ไม่ต้องหลบซ่อนเมื่อมีใครสักคนมองมา” สิ่งที่ทั้งสองหนุ่มวาดหวังเอาไว้ มันยังดูห่างไกล แต่มันก็คือโลกที่ทั้งสองมองหา ที่ทำให้ยังมีความหวัง

“สักวันเราคงทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรืออย่างน้อยก็พอจะมีที่ว่างเล็ก ๆ ให้ไม่ต้องรู้สึกผิด หรือรู้สึกอายเวลาที่อยากเป็นตัวของตัวเอง ที่กั้งพยายามเรียนให้ได้ดีที่สุด ก็เพราะหวังว่าอย่างน้อย ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้ว่า การทำดีมันไม่เสียหาย ได้ทำงานที่ดี มีชีวิตที่ดี พึ่งพาตัวเองได้ เป็นที่พึ่งกับคนอื่นได้ด้วย คนอื่นจะได้เลิกพุ่งเป้ามองมาเพียงแค่ว่า เราคือผู้ชายสองคนที่รักกัน” กั้งอยากให้ความฝันและความหวังเล็ก ๆ ของเขานี้ เป็นจริงได้ในสักวัน

“แต่ทิวฝันไว้ไกลกว่านั้น” ทิวพูดแย้งขึ้นทันทีที่กั้งพูดจบ “วันหนึ่ง และทิวรู้ว่าวันนั้นมันจะมาถึงไม่ไกลจากนี้ มันจะไม่มีใครสนใจว่าเราชอบผู้ชายด้วยกัน ผู้ชายจะตุ้งติ้ง ผู้ชายจะพูดคะขา ผู้ชายจะใส่เสื้อผ้าผู้หญิง ไว้ผมยาว หรือทาปากแดง” ทิวพูดพลางโยกหัวตัวเองโคลงไปมาเบา ๆ ทำเอากั้งต้องยิ้มตามออกมา

“คนจะสนแค่ว่า เราทำอะไร ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไร้กาลเทศะ จะไม่สนแล้วว่าเราขึ้นเตียงเอากับใครแล้วมีความสุข” พูดจบทิวก็เอานิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของกั้ง “อย่ามา” กั้งเขินทำพูดกลบเกลื่อน “ก็มันจริง” เมื่อทิวยืนยันด้วยตัวเองว่า กั้งคือความสุขนั้นของเขา

“แปะรหัสให้เสร็จเลยนะ นี่ทำให้กั้งด้วยเลย” กั้งทำขึงขังวางหนังสือระเบียบการลงตรงหน้าทิว “สั่งเหลือเกิน ให้เป็นเมียหน่อยเดียว สั่งไม่ยอมหยุด” ทิวบ่นกระปอดกระแปดเมื่อถูกกั้งบังคับ “พูดมาก จะทำไม่ทำ” กั้งถาม ทำสีหน้าจริงจัง “เลือกได้มั้ยล่ะ” ทิวทำขมวดคิ้ว แต่มือก็ดูจะสาละวนกับการตัดแปะตามที่กั้งบอกมา

“ก็รู้นี่ แล้วจะบ่นทำไม” กั้งที่แอบเช็ดน้ำตาจนแห้งไปแล้ว พูดพลางอมยิ้ม “รอไว้เลยแล้วกัน ล้างจาน ซักผ้า อย่าให้ต้องพูดเยอะ” กั้งเองพูดไปแบบนั้น ก็ยังจินตนาการภาพของทิวนั่งอยู่หน้ากะละมังซักผ้าใบโต พร้อมฟองผงซักฟอกฟ่อดไม่ออก ทิวนั้นไม่ได้ปฏิเสธ “ก็บอกมาแล้วกัน ว่าต้องซักต้องล้างอะไรยังไง” พูดไปทิวนั้น เหมือนเห็นภาพตัวเองไกล ๆ จากตรงนี้ ว่าคงจะเป็นพ่อบ้านเต็มตัวในไม่ช้า



2537

1994



“ไปเถอะแม่ เรือพร้อมแล้ว” เสียงเรียกของสามี ทำให้ผู้เป็นภรรยาเริ่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง “ทิวจากเราไปแล้วจริง ๆ หรือพ่อ” ผู้เป็นสามีรู้สึกสงสารภรรยาของตนจับใจ เขาอยากจะมีอำนาจวิเศษ ลบความเป็นจริงทั้งหมดนี้ให้หายไป เพียงแค่การดีดนิ้ว แต่ความโหดร้ายนี้ของชีวิต ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกที่สามารถย้อนเรื่องราวให้กลับไปได้

“เราไปส่งทิวกันเถอะ นะแม่นะ” ผู้เป็นสามีเองก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะทำใจกับการจากไปของทิว ผู้เป็นลูกชายคนเดียวได้ แต่ที่ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนกับว่า ช่างเข้มแข็งเสียเต็มประดาอยู่นี้ ก็ทำเพื่อลูกชายของตัวเองทั้งนั้น หาไม่แล้ว ผู้เป็นพ่อคนนี้ ก็คงจะไม่พ้นนั่งคร่ำครวญ เสียใจอย่างสุดแสนจะบรรยาย

ผู้เป็นสามีประคองภรรยาของเขาให้เดินมาที่ท่าเรือ เจ้าหน้าที่เรียนเชิญประธานของพิธี ยังไงเสียก็คงจะต้องเป็นพ่อของทิวที่รับหน้าที่นี้ ด้วยว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดของทุกคนที่มาในวันนี้ อีกทั้งแม่ของทิวนั้น แทบจะไม่สามารถหักห้ามใจอะไรได้เลย มองไปทางไหนเมื่อเห็นสิ่งใดที่ทำให้นึกถึงลูกชาย เธอก็ได้แต่ปล่อยโฮออกมา

พ่อของทิวเดินตามพิธีกรลงไปในเรือ โดยที่คนที่เหลือยังคงยืนรอกันอยู่ที่ท่าเรือ ยังไม่ได้ตามลงมาด้วย พ่อของทิวนำดอกไม้สดและธูปเทียนวางใส่ไว้ในพาน เพื่อทำการบูชาแม่ย่านางเรือ เพื่อกล่าวบูชาและขออนุญาตบอกกล่าวแม่ย่านาง โดยพ่อของทิวกล่าวตามพิธีกรด้วยเสียงอันสั่นเครือ เพราะรับรู้แล้วว่า ตัวเองกำลังทำพิธีตามประเพณีเพื่อบอกลากันจริง ๆ แล้ว

พ่อของทิวเมื่อทำพิธีบอกกล่าวแม่ย่านางเรือเสร็จ ก็เดินไปประคองแม่ของทิวให้เดินลงมาในเรือ คนอื่น ๆ ที่มาด้วยทยอยลงตามมาจนครบ เมื่อญาติและมิตรสหายของทิวพร้อมกันในเรือแล้ว จึงนำอังคารตามลงมา ก่อนที่เรือจะได้แล่นออกสู่ท้องน้ำ เพื่อจะได้ไปยังจุดที่จะทำการลอยอังคารต่อไป

กั้งมองตามทุกอย่างโดยอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนั้น น้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ปาดเช็ดเท่าไหร่ ก็ดูท่าว่าจะไม่จางหายไปง่าย ๆ เจ้หวีที่ต้องมาเป็นเพื่อนกับกั้ง ได้แต่พูดปลอบให้กั้งทำใจให้ได้ ได้มีโอกาสมาบอกลาทิวใกล้ที่สุดได้เท่านี้ ก็ดีถมไปแล้ว กั้งได้แต่ยืนนิ่ง มองเรือลำนั้นค่อย ๆ แล่นไกลสายตาออกไป

เรือแล่นมาจนจอดลอยลำ ที่ตรงจุดจะทำพิธีลอยอังคาร พิธีกรจึงได้ทำการเปิดลุ้งที่เป็นภาชนะดินปั้นที่ใช้บรรจุอังคาร และจัดเครื่องไหว้ให้ประธานในพิธี คือพ่อของทิวได้จุดธูปเทียนเพื่อไหว้อังคาร ก่อนที่พ่อของทิวจะหยิบน้ำอบไทยมาสรง โรยด้วยดอกมะลิ และตามด้วยกลีบกุหลาบโรยทับลงไป

“แม่” เสียงพ่อของทิวเรียกผู้เป็นภรรยาเบา ๆ แม่ของทิวหน้าตาเหยเกบิดเบี้ยวไปด้วยอาการโศกเศร้า ร้องไห้ออกมา พูดลาลูกชายของตนจนฟังแทบไม่เป็นภาษา หลายคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอาดูร กับภาพของผู้เป็นพ่อและแม่คน ที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ ในยามที่ลูกชายของพวกเขาจากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ

เมื่อทุกคนได้ไหว้อังคารกันครบถ้วน พิธีกรจึงห่อลุ้งนั้นด้วยผ้าขาวกว้างและยาวประมาณครึ่งเมตร ก่อนจะใช้สายสิญจน์รวบมัดเป็นจุกอยู่ที่ด้านบนของลุ้ง แล้วจึงสอดพวงมาลัยเข้าไป ดอกกุหลาบถูกแจกให้กับญาติมิตรของทิวถือเอาไว้คนละหนึ่งดอก บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาลัยกับการจากไปของทิว

เจ้าหน้าที่บนเรือจัดเครื่องบูชาเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดรให้กับพ่อของทิว ที่เป็นประธานในพิธี พ่อของทิวจุดธูปเจ็ดดอกพร้อมกับจุดเทียนหนึ่งเล่ม มีกระทงดอกไม้เจ็ดสีวางอยู่ เพื่อทำการกล่าวบูชาและขอฝากอังคารเอาไว้กับเจ้าแม่นทีและท้าวสีทันดร อันว่าสายน้ำที่ชุ่มชื้นหล่อรวมชีวิตแห่งนี้ จะเป็นความสงบร่มเย็นต่อไปของดวงวิญญาณของทิว ให้เด็กหนุ่มได้เดินทางต่อไปยังภพภูมิที่ดี ไปสู่สุคติ

มาถึงตอนนี้ ทุกคนได้ทำการยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ที่จากไปหนึ่งนาที หลังจากนั้น พ่อของทิวได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ ด้วยความเชื่อว่าได้ทำการซื้อที่เอาไว้ แล้วไปที่กราบเรือทางด้านซ้าย พ่อของทิวค่อย ๆ ลอยกระทงดอกไม้เจ็ดสีนั้นลงไป ก่อนจะค่อย ๆ ประคองอุ้มลุ้งอังคาร วางแตะลงบนผิวน้ำ โดยมีแม่ของทิวและคนอื่น ๆ ถือสายสิญจน์ถัดมาทางด้านหลัง

“ไปดีนะลูกนะ ทิว” พ่อของทิวสุดจะหักห้ามใจได้อีกต่อไป น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง ก่อนจะโรยกลีบกุหลาบลงไปในน้ำ แม่ของทิวร้องไห้จนอ่อนแรง แทบจะเป็นลมล้มพับไป ปริ่มว่าใจจะขาด เมื่อนี่คือสิ่งสุดท้ายที่ได้ทำ ของการร่ำลากันจริง ๆ แล้ว พ่อของทิวเข้าไปกอดผู้เป็นภรรยาเอาไว้ ก่อนที่เรือจะเริ่มแล่นวนไปทางซ้ายเป็นรอบแรก

กั้งมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเรือจากตรงนี้ เขาเองก็รู้สึกเหมือนว่าจะขาดใจเสียให้ได้ ตรงที่ยืนอยู่ ดูมันไกลแสนไกลจากที่ทิวนั้นอยู่ในตอนนี้ เรือกำลังเริ่มแล่นวนเป็นครั้งที่สาม ก่อนที่เจ้หวีจะทันได้ห้ามอะไร กั้งก็วิ่งออกจากตรงนั้นที่ยืนแอบมองอยู่ วิ่งตรงไปทีท่าเรือ แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำ

เรือกำลังจะแล่นครบสามรอบ เหมือนเป็นเครื่องเตือนสติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ว่าสิ่งใด ๆ ล้วนแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือความไม่เที่ยง คือความเป็นทุกข์ และไม่มีสิ่งใดเลยที่ตนจะยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เสียงคนบนเรือเริ่มโหวกเหวกโวยวาย ทีแรกก็นึกว่าคนตกน้ำ แต่ทุกคนมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังไหว้น้ำตรงเข้ามาหา

“ทิว ทิว” กั้งรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีว่ายน้ำไปที่จุด ตรงที่ครอบครัวของทิวๆ ได้ทำการลอยอังคาร น้ำตาผสมกับน้ำแห่งท้องนทีผสมกันเป็นเนื้อเดียว “ทิว กั้งอยู่นี่ อย่าไป อย่าไป” เหมือนคนสติหลุด กั้งตะโกนโหวกเหวกโวยวาย และทำท่าจะจมน้ำ กลีบดอกกุหลาบอยู่รายล้อมตัวของกั้ง ที่คิดเพียงแค่ว่า อยากอยู่ใกล้ชิดกับทิวเป็นครั้งสุดท้าย เพราะมันจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว

“แกทำอย่างนี้ทำไม แกทำกับลูกฉันจนเขาต้องตายยังไม่พอ แกยังจะตามมารังควานเขาอีก” แม่ของทิวด่ากั้งเสียงดังลั่น ร้องไห้ไปด้วย ด่าทอเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ดึงช่วยขึ้นมาจากน้ำ มานั่งพับบนเรืออย่างหมดแรงเหนื่อยอ่อน “แกจะทำให้ลูกฉันมีห่วง ไม่สงบสุข แกมันไม่เคยทำให้ชีวิตของลูกฉันง่ายขึ้นเลย แกมันคนใจร้าย อีคนใจดำ”

แม่ของทิวด่ากั้งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ขอขมากับทุกคนที่อยู่ตรงนั้น พ่อของทิวเบือนหน้าหนี ยังไงเสียทั้งเขาและภรรยาก็รู้สึกว่า กั้งนั้นคือต้นเหตุของทุกอย่างที่เกิดขึ้น กั้งเองก็ได้แต่ปล่อยโฮออกมา เขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ และไม่เคยคิดว่า ตัวเขาเองจะไม่มีแม้โอกาส ได้พูดคำลาแม้สักคำกับทิว

**********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch?v=pQJvWmXv-no



ขอแค่มีลมหายใจ

Just the air to breathe

ขอแค่มีเธอข้างกาย

Just having you by my side

ไม่หวั่นหวาดแม้ชีวิต

Nothing scares me in life

เมื่อในหัวใจ ฉันมีเธอ

Because my heart belongs to you


แต่เธอกลับจากกันแสนไกล

Yet, now we’re so much apart

เหมือนหมดสิ้นลมหายใจ

Say, literally out of breath

จะอยู่ตรงนี้อย่างไร

How am I supposed to live?

เพราะในหัวใจ

‘Cause all in my heart

ฉันต้องการ

I do really need

เพียงเธอ

Is only you
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ ๒๘/๕/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 28-05-2023 14:08:00
บทที่ ๕๑. คิดถึงที่มองหาเธอ



2566

2023



“ดีน ลูกให้สัญญาพ่อกับแม่ไว้แล้วนะ” ดีนฟังปลายเสียงนั้น ซ่อนความเป็นกังวลอยู่ “ดีนรู้ครับแม่” ดีนกรอกเสียงตอบกลับไป โดยมีเทปปันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองมา “ดีนกำลังแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองอยู่” เด็กหนุ่มบอกแม่ของเขาไปตามตรง ว่าเขาเองนั้น ตอนนี้กำลังตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

“แกรู้ใช่มั้ยดีน ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแกมาก” ดีนได้ยินเสียงของพ่อพูดกับเขาผ่านโทรศัพท์มาแทนผู้เป็นแม่ “ดีนขอโทษครับพ่อ ที่ทำให้ต้องเป็นห่วง” น้ำเสียงของดีนบ่งบอกแก่ผู้ฟังได้ชัดเจน ว่าดีนพูดออกมาด้วยความจริงใจ “ถ้าแกมั่นใจในทางเดินชีวิตที่แกเลือกแล้ว พ่อก็” ดีนใจเต้นแรง เมื่อพ่อของพูดแบบนั้นออกมา

“ดีนเลือกแล้วครับพ่อ อนาคตของดีนอยู่ตรงหน้าของดีนตอนนี้” ดีนพูด สบตาแน่วแน่กับเทปปัน ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องเป็นหน้าที่พ่อแล้วสินะ ที่ต้องไปเคลียร์กับพวกผู้ใหญ่ที่ไปพูดฝากฝังแกเอาไว้” เสีงถอนหายใจของพ่อที่ดีนได้ยิน ดีนก็รู้ ว่าพ่อต้องรู้สึกหนักใจมากขนาดไหน

“ดีนขอโทษ” ดีนพูดออกไปตามความรู้สึกจริง เขาไม่ได้อยากให้พ่อต้องมารู้สึกไม่ดีแบบนี้ “แกไม่มีอะไรต้องขอโทษเลยดีน พ่อเป็นคนไปผูกเงื่อนไขเอาไว้ แกไม่ต้องห่วง มันเป็นสิ่งที่พ่อต้องไปแก้ไขเอง ไม่ใช่ความผิดของแก ดีน” ดีนได้ยินเสียงของน้องสาวอยู่ที่ปลายสาย พูดขอบคุณพ่อ ขอบคุณแทนเขาผู้เป็นพี่ชาย ที่ยอมเชื่อใจ

“แค่อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาก็พอ” ดีนยิ้มกว้างออกมา เมื่อได้ยินพ่อพูดกระเซ้าแบบนั้น เทปปันขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นดีนยิ้มออกมาอย่างชอบใจ กับสิ่งที่ได้ยินจากปลายสาย เด็กหนุ่มพูดจากับพ่อของเขาอีกสองสามคำ ก่อนจะวางสายไป เทปปันเห็นแบบนั้น ก็ทำเสมองไปทางอื่น ดีนนึกขำเทปปัน

“ที่นี่สินะ ที่แม่ชีบอก” ดีนพูดขึ้น ทั้งสองคนมองไปที่ขั้นบันไดปูนที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขา “แม่ชีบอกว่า เราจะเจอสิ่งที่เราตามหา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะร้ายหรือดีต่อความรู้สึก ที่บนยอดเขานั่น” เทปปันบอกสิ่งที่แม่ชีได้ว่าไว้ เมื่อทั้งสองคนปรึกษากับแม่ชีในเรื่องนี้ ว่ามันจะมีบทสรุปอย่างไร ทั้งสองคน ดีนกับเทปปันจึงได้ดั้นด้นกันมาที่นี่

“พร้อมมั้ย” ดีนถามสียงจริงจัง ในใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความคิดที่ว่า อะไรกันแน่ที่รออยู่ที่ข้างบนนั้น “พร้อม” เทปปันตอบ พลางพยักหน้าประหนึ่งกำลังบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่รออยู่ เขาจะต้องขึ้นไปเผชิญหน้ากับมัน เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวเท้าเดินไป ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่บันไดทางขึ้น มองบันไดขั้นแรกนั้นด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมด

ทางเดินขึ้นไปบนเขานั้น ปูด้วยบันไดปูนทาสีขาว ที่ตอนนี้หม่นลงตามระยะเวลาและสภาพอากาศ มันทอดยาวขึ้นไปด้านบนจนสุดลูกหูลูกตา ดีนทำท่าชักชวนให้เทปปันที่ดูมีความลังเลอยู่ ให้ก้าวเท้าขึ้นไปก่อน เทปปันเองก็ใจเต้นตึกตัก กับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ กับความจริงที่รอคอยเขาอยู่เพียงแค่ไม่กี่ก้าว

“เอาเรื่องอยู่นะเนี่ย” ดีนพูดขึ้น เมื่อทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาได้สักพัก กับขั้นบันไดที่ค่อนข้างเล็กและชันขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหอบเหนื่อยจากน้ำเสียงเวลาพูด เริ่มเห็นได้ชัดขึ้นด้วย “อยู่ ๆ ก็มาทำอะไรแบบนี้ ออกกำลังกายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน” เทปปันเองก็รู้สึกหอบหายใจเหนื่อยพอสมควร ดีนหัวเราะกับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย

“มีดีนอยู่ทั้งคนน่า ปันเหนื่อย อยากพักก่อน ปันบอกดีนนะ” สิ่งที่ดีนอยากส่งให้เทปปันได้รู้สึก ก็คือความห่วงใยและความอยากจะดูแลอีกฝ่าย “ไม่เหนื่อยสักหน่อย ก็พูดไปงั้นเอง” ไอ้อาการปากแข็งของเทปปันทำให้ดีนจากที่รู้สึกหมั่นไส้ ก็กลายมาเป็นความเอ็นดู กับการรักษาฟอร์มของตัวเองของเทปปัน

“ปัน” ดีนเรียกอีกฝ่าย หลังจากที่เดินขึ้นบันไดต่ออีกครู่ใหญ่ ๆ เทปปันชะลอฝีเท้าลง หันไปมองทางดีน “ที่แม่ชีพูดเอาไว้ ว่าอาจจะเป็นดีน ที่ทำเอาไว้ไม่ถึง ดีนเลยต้องเป็นฝ่ายไล่ตามปัน” เทปปันจำได้ถึงประโยคนี้ของแม่ชี ที่บอกกับทั้งสองคนเอาไว้ “ปันว่า มันจริงมั้ย แล้วที่ดีนตามปันมาจนเจอในตอนนี้ ปันว่า ดีนทำตัวดีขึ้น ดีนทำมันพอสำหรับปันแล้วหรือยัง” สายตาที่เทปปันมองเห็น สายตาของดีนที่ยอมรับผิดและขอโอกาส พร้อมจะแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด ขอแก้ตัวอีกครั้ง

“ถ้าดีนจะสัญญา” ดีนกำลังจะพูดต่อ “อย่า” เทปปันรีบห้ามในทันที “อย่าพูดคำนั้น” ดีนมองเห็นว่า อยู่ ๆ เทปปันก็มีน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมาที่ขอบตา ดีนพูดกับตัวเองในใจ ว่าสิ่งที่เขาคนก่อน เคยทำเอาไว้ มันยังคงมีผลกับความรู้สึกของเทปปันคนนี้ “คนนั้น เขาเคยได้ยินคำสัญญามาก่อน” เทปปันหลุดปากพูดออกไปในที่สุด

“ปันจำมันได้แล้ว” ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ของดีน มันคือความดีใจหรือความหวาดหวั่นกันแน่ เทปปันไม่ได้ตอบ “ตั้งแต่ที่เราเจอกันที่วัด” แต่พูดย้อนกลับไปในวันนั้นแทน “ภาพที่เห็น” เทปปันมองมือทั้งสองของตัวเองที่หงายขึ้น “มือเต็มไปด้วยเลือด มีใครบางคนฟุบหน้านอนอยู่ที่ตัก” ดีนใจเต้นแรง เมื่อรู้ดีว่าเทปปันพูดถึงช่วงเวลาไหน ก่อนที่ทั้งสองคนที่พวกเขาเคยเป็น จะจากลา

“จากวันนั้น มันก็มีภาพอะไรพวกนี้ เข้ามาให้เห็นบ่อยขึ้น บ่อยจนต้องรู้สึกกลัว” สายตาของเทปปันที่มองมาที่ดีน มีทั้งความเสียใจปะปนอยู่ รวมทั้งความน้อยใจปนโมโหกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น “สิ่งที่พุ่งเข้ามาหา แรก ๆ ก็คือความรู้สึกที่อยากจะหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นั้น แต่พอได้เจอกันอีก ยิ่งเจอกันบ่อยขึ้นอีก” เทปปันชะงักคำพูดเอาไว้แค่นั้น ในใจมันสับสนไม่น้อย เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของดีน ได้ยินน้ำเสียงคำพูดของอีกฝ่าย

“ไปต่อกันได้แล้ว” เทปปันตัดบท ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง ดีนที่ไม่ได้พยายามจะแก้ตัวใด ๆ ด้วยคำพูด เพราะอยากจะทำให้เทปปันเชื่อใจเขา จากสิ่งที่แสดงออกให้เห็นมากกว่า ก็เดินตามอีกฝ่ายไป ช่วงเวลาที่ขมขื่นแบบนั้น ดีนเข้าใจในตอนนี้แล้ว ว่าการจะให้อีกฝ่ายลบเลือนมันไปทั้งหมด มันย่อมไม่สามารถทำได้ คำสัญญาที่ดีนคนเก่าเคยให้ไว้กับเทปปัน คนในอดีต แล้วไม่สามารถรักษามันเอาไว้ได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องเสียใจอย่างที่สุด

มาตอนนี้ บันไดปูนสีขาวหม่นมาถึงขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าของทั้งดีนและเทปปันตอนนี้ เป็นชั้นบันไดเหล็กที่ต้องปีนต่อขึ้นไป ดีนยื่นขวดน้ำดื่มที่หยิบออกจากเป้สะพายหลัง ส่งให้เทปปัน อีกฝฝ่ายรับมันไปดื่มอึกใหญ่ มองขึ้นไปด้านบน ที่บันไดเหล็กจะพาไปถึง เทปปันผ่อนลมหายใจออกมา ความเหนื่อยเริ่มก่อตัวทั้งร่างกายและจิตใจ

“ให้ดีนขึ้นไปดูก่อนนะ ว่าด้านบนเป็นยังไง” ดีนพูดขึ้น ก่อนจะทำท่าปีนขึ้นไป “เอาเป้มาก่อน เราถือให้ก่อน” เทปปันรู้ดีว่า ในเป้นั้นมีน้ำหนักไม่น้อย ที่ดีนสะพายขึ้นหลังแบกมันมาจนถึงตรงนี้ “แค่นี้เอง ไม่เป็นไรสบายมาก” ดีนขยับเป้ที่สะพายบนหลังให้เข้าที่เข้าทาง “ทำไม เป็นห่วงเค้าหรือไง” ดีนถามพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม ก่อนจะต้องหัวเราะออกมา เมื่อเทปปันบอกให้เขารีบปีนขึ้นไปเร็ว ๆ เลย

“ระวังนะ” เทปปันอดไม่ได้ที่จะเตือนดีน มองเลยตามดีนที่ส่งเสียงรับคำ บนฟ้าที่ก่อนหน้านี้มีแดดจ้า เมฆฝนดำครึ้มก่อตัวมาแต่ไกล และขยับลอยมาทางเขาด้านนี้ “ปัน ขึ้นมาได้เลย” ดีนที่ผลุบหายไปด้านบน โผล่หน้าออกมาเรียกให้เทปปันปีนตามขึ้นไป “ไม่น่ากลัว บันไดเหล็กแข็งแรงดี” ดีนให้ความมั่นใจแก่อีกฝ่าย และบันไดเหล็กนี้ ก็มีเพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น

“ถ้าฝนตก เหล็กพวกนี้ก็ลื่นอยู่นะ” เทปปันที่ปีนไปถึงด้านบน บอกกับดีน ก่อนจะชี้ให้ดูถึงเมฆดำที่ลอยใกล้เข้ามามากขึ้นกว่าเดิม “เราต้องทำเวลาแล้วล่ะ ควรจะขึ้นไปให้ถึงด้านบนยอด ก่อนที่ฝนจะลงเม็ด” ดีนเห็นด้วย เพราะหากโอ้เอ้ทำเวลาได้ไม่เร็วพอ ทั้งสองคนคงจะต้องลำบากขึ้นมา ถ้าต้องปีนป่ายแบบนี้ท่ามกลางสายฝน

“ไปทางไหนต่อ” เทปปันถามเมื่อตรงนั้น ไม่มีบันไดเหล็กให้ปีน ดีนหันซ้ายและขวา จำได้จากแม่ชี ท่านบอกว่าให้เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามทาง แต่ดีนก็ปากหนัก ไม่ได้ถามให้ละเอียดว่า แต่ละขั้นที่พวกเขาต้องผ่านไปนั้น มันต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง ต้องเดินไกลแค่ไหน กว่าจะไปให้ถึงที่ยอดเขา

“มันมีทางเดินเล็ก ๆ นี่” ทางเดินที่เลาะอ้อมไป ดีนเดินไปหยุดยืนชะโงกดู “มีบันไดเหล็กขึ้นไปได้อีก อยู่ตรงนั้น” ดีนตะโกนบอกเทปปัน ก่อนจะเดินนำไป เทปปันเดินไปหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ดีน ไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง เพราะนั่นคือเหวดี ๆ นี่เอง ดีนเองก็เสียวสันหลังไม่น้อย ยังดีที่ตรงที่พวกเขายืนอยู่ มีพื้นที่มากพอ ให้ทรงตัวและไม่ได้ชิดกับขอบทางเดินมากนัก

“ช่วงนี้บันไดมันค่อนข้างสูง ปันค่อย ๆ ปีนขึ้นตามดีนมานะ ให้ดีนขึ้นไปก่อน” แววตาของเทปปันมีแววกังวลไม่ใช่น้อย “ไม่ต้องกลัวนะ มีดีนอยู่ทั้งคน” เทปปันพยักหน้า แม้ว่านำลายจะเหนียวฝืดคออยู่ไม่น้อย “มันมีใครคนไหนที่ขึ้นไปบนยอดเขา มาทางเดียวกับเราจริง ๆ หรือ” เทปปันถาม มองตามดีนขึ้นไป ดีนส่งเสียงให้เทปปันปีนตามเขาขึ้นมาได้เลย แม้ว่าดีนจะยังไม่ถึงขั้นด้านบนก็ตาม

“ลานข้างบนนี้ กว้างกว่าข้างล่างเยอะเลย” เสียงดีนตะโกนบอกจากข้างบน เทปปันขยับมือขึ้นจับราวเหล็กด้านบน เพื่อดึงตัวขึ้นตาม ก่อนจะเหยียบเท้าก้าวไปบนเหล็กแต่ละขั้น พลันรู้สึกว่าตัวของเขาขยับเคลื่อนไปด้านหลัง ฝั่งเดียวกับเหวด้านล่าง เสียงเคล้งของเหล็กดังขึ้น เมื่อหมุดที่ปักเข้าไปในหินเพื่อยึดราวบันไดนั้น เคลื่อนตัวหลุดออก

“ดีน” เทปปันตะโกนเรียกอีกฝ่ายดังลั่น ตอนนี้สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยความตกใจสุดขีด ก่อนจะรู้สึกได้ถึงดีนที่คว้าหมับเข้าให้ที่ข้อมือ “ปัน” ดีนเองก็ร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยความตกใจเช่นกัน อยู่ ๆ ลมจากที่ไหนก็ไม่รู้ พัดเข้าหาคนทั้งคู่อย่างแรงและบ้าคลั่ง เสียงเหล็กที่กำลังจะยอมให้กำลังลมโยกคลอนให้หลุดออก ฟังดูน่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด

“ดีนจับปันไว้แล้ว ปัน ดีนอยู่นี่แล้ว” ดีนตะโกนแข่งกับเสียงลม เทปปันยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปคว้ามือของดีนเอาไว้ “รีบปีนขึ้นมา” เสียงของดีนดังขึ้น เทปปันยังทำตามที่ดีนบอไม่ได้ ลมที่อื้ออึงพัดเข้าโหมใส่ทั้งคู่ หวีดเสียงร้องได้น่ากลัวจับใจ รู้ตัวอีกทีหนึ่ง น้ำฝนเย็นจัดก็พรั่งพรูลงมาจากฟากฟ้า เทปปันหายใจหอบหนักด้วยความกลัวอย่างที่สุด

“ปัน” ดีนเรียกชื่ออีกฝ่าย ที่ตอนนี้กอดเขาเอาไว้จนแน่น “ปัน” กอดของปันที่ดีนรู้สึกนั้น มันรู้สึกได้ถึงความโหยหาและความหวดหวั่นในคราวเดียวกัน “ปันลืมตาได้แล้ว ลืมตาก่อน” ดีนพูดเบาๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย เทปปันถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะเห็นว่า ตัวเองขึ้นมายืนอยู่ที่ชั้นบนกับดีนแล้ว โดยที่ดีนบอกว่า อยู่ ๆ เทปปันก็เหมือนจะฮึดดันตัวขึ้นมาได้อย่างประหลาดใจ ก่อนที่บันไดเหล็กนั้น จะร่วงหล่นลงไปด้านล่าง

“แล้วเราจะลงไปยังไง” ยังไม่ทันที่คำถามของเทปปันจะได้รับคำตอบ ทั้งสองคนทั้งดีนและเทปปัน ก็หันไปตามเสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลัง เมื่อจู่ ๆ ทั้งลมทั้งฝนก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน ดีนและเทปปันมองเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านยืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำมองมาที่ทั้งคู่ ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

“หลวงพ่อครับ บันไดเหล็กมันพัง ทำยังไงกันดีครับ พวกผมตั้งใจจะไปให้ถึงยอดเขา แต่เราจะลงไปข้างล่างกันยังไง” ดีนพูดเร็วปรื๋อ ในหัวพยายามประมวลผลว่าจะทำอะไรต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับดีนตอนนี้ คือความปลอดภัยของเทปปัน หลวงพ่อท่านยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ทางเข้าถ้ำนั้น

“ท่านจะให้เราเข้าไปในนั้นหรือครับ” หลวงพ่อไม่ตอบอะไร แต่มองตามทั้งดีนและเทปปันที่แม้จะเดินไปที่ปากถ้ำนั้น แต่ก็เต็มไปด้วยความลังเล “ดีน” เทปปันเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ เมื่อกำลังเดินเข้าไปด้านในถ้ำที่มืดแสง “ไม่ต้องกลัวนะ ดีนอยู่ด้วย” ดีนพูดปลอบเทปปัน เขาหันหลังไปมอง หลวงพ่อเองก็มองตามพวกเขาเข้ามา โดยที่ท่านไม่ได้ขยับเดินตามมาแต่อย่างใด ดีนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปด้านในถ้ำ

“เราต้องเดินไปอีกไกลมั้ยครับหลวงพ่อ” ดีนหันกลับไปทางปากถ้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขาไม่เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว กลับกลายเป็นพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงนั้นแทน ตรงที่ดีนเองไม่คิดว่าเขาสังเกตเห็นแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ “ดีน พื้นถ้ำ” เทปปันดึงสติของดีนให้กลับมาที่สถานการณ์ตรงหน้า ที่กำลังเกิดขึ้น

“เหมือนกับที่วัด วันนั้นเลย” ใช่แล้ว ทั้งคู่กำลังรู้สึกอย่างเดียวกันกับพิธีที่วัดในวันนี้ พื้นถ้ำนั้นสั่นสะเทือนไปหมด เสียงครืน ๆ ดังลั่นจนกึกก้อง แสงจากไฟฉายส่องไปด้านในถ้ำที่มืดมิด “มีทางออก ปัน ทางออกตรงนั้น ตรงนั้นมีแสงลอดเข้ามา” ไวเท่าความคิด ดีนจับมือเทปปัน รีบวิ่งไปที่แสงสว่างที่ลอดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของถ้ำ

“เฮ้ย ไอ้หนู เอ็งสองคนมากันยังไงเนี่ย ทำไมออกมาจากตรงนั้นได้” เสียงลุงชาวบ้านที่ขึ้นมาช่วยดูแลสถานวิปัสสนากรรมฐาน ส่งเสียงตกอกตกใจ เอะอะขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มสองคน วิ่งพรวดออกมาจากถ้ำ “พวกเอ็งเล่นพิเรนทร์อะไรกัน ถึงเข้าไปในถ้ำนั้น รู้มั้ยว่าถ้ำนั้น ไม่มีใครเขาเข้าไปกัน” เสียงลุงเอ็ดตะโรใส่ดีนและปัน

“แล้วเป็นอะไรมั้ยเนี่ย ทีหลังอย่าเข้าไปอีกนะ” ลุงผู้ดูแลยังไม่วายสำทับอีกรอบ “คือ พวกผมขึ้นมาทางบันไดเหล็ก ปีนกันขึ้นมา ก่อนจะเจอหลวงพ่อ ท่านบอกให้เดินเข้ามาในถ้ำ พวกผมก็ทำตาม ก่อนจะได้ยินลุงดุพวกผมนี่แหละ” ดีนเล่าให้ลุงผู้ดูแลฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สีหน้าของลุงดูแล้ว ไม่เชื่อกับสิ่งที่ดีนพูดมา

“ทางการเขาไม่อนุญาตให้มาทางนั้นกันแล้วนะ ไอ้หนุ่ม เอ็งสองคนอย่ามาพูดจาอะไรเรื่อยเปื่อย เขาขึ้นกันมาทางถนนที่ตัดใหม่ นี้ทั้งนั้น” ตรงที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่นี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันคือลานจอดรถ “ถ้าพวกเอ็งมาทางนั้นอย่างที่เล่าให้ข้าฟังจริง บุญรักษาพวกเอ็ง” ลุงพูดพลางยกมือพนม “พระคุ้มครองพวกเอ็งแล้ว” ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว ก่อนที่ลุงจะเดินจากไป

“นี่คือสิ่งที่แม่ชีอยากให้เราเจออย่างนั้นหรือ” เทปปันถามขึ้น “เทปปัน” ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา จากหนุ่มญี่ปุ่นที่เดินเข้ามาหา “ทาเคชิคุง” ปันเรียกอีกฝ่าย ดีนมองตามหนุ่มญี่ปุ่นสุดหล่อ ท่าทางดี มาดแมน คนที่เขาเคยเห็นเทปปันขึ้นรถไปด้วย “แม่ชีบอกผม ว่าจะเจอคุณได้ที่นี่ กับเขา” เมื่อได้ยินคำว่า 'กับเขา' ดีนรู้สึกฉุน ขยับเท้าไปยืนขวางระหว่างเทปปันกับหนุ่มญี่ปุ่นเสียงไทยแปร่ง ๆ เอาไว้

“แม่ชีบอกผมเอาไว้ว่า ถ้าเจอคุณที่นี่ เทปปัน ผมจะพบคำตอบทุกอย่างที่เคยได้ถามคุณเอาไว้” ดีนหันไปมองเทปปัน “เขาถามอะไรปัน” ดีนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เมื่อกลั้นใจถามเทปปันไปแบบนั้น เทปปันลังเลอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตอบดีนออกไปว่า “เรื่องไปอยู่กับเขาที่ญี่ปุ่น หลังเรียนจบ” ดีนใจหล่นวูบเมื่อได้ยินแบบนั้น

“โอเนไง ชิมัส” ทาเคชิพูดขึ้น บอกว่าจากนี้รบกวนด้วย “ไดโจบุ เดสกะ” ก่อนที่หนุ่มญี่ปุ่นจะถามขึ้นอีกครั้ง ว่าเป็นอะไรไหม ทำได้ใช่มั้ย เมื่อเขามองไปที่ดีน แล้วหันกลับมาสบตากับเทปปัน “อิ เดสกะ” ทาเคชิถามเทปปันว่า ได้ไหม สายตาของดีนมีความช้ำใจอย่างเห็นได้ชัด เทปปันเองก็มีแต่ความหวั่นไหวในสายตาตอบกลับดีนไป นี่หรือ คือสิ่งที่แม่ชีต้องการให้พวกเขามาเจอ

***************************************

คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=zh8hZD39aK0


ไม่ใกล้เคียงใช่ไหม อะไรที่ฉันเป็น

Not even close, isn’t it? The way that I am

ไม่ค่อยเหมือนใจเธอเท่าไรใช่หรือเปล่า

Not what you’ve imagined who you think I’ll be

ที่เธอฝันในใจกับเรื่องจริงของเรา

In your dreams and things going on between us

ผิดหวังบ้างหรือเปล่าที่รักกัน

Are you disappointed; we are in love?


ที่ตัวเธอนั้นฝันสักวันจะพบใคร

What do you dream about meeting someone?

ที่ดีพร้อมที่ได้อย่างใจมารักกัน

A perfect man that you can deeply fall for

กลับได้พบแค่คนที่มีไม่ครบครัน

Yet, it’s me lacking many things

อย่างฉันคนนี้ คนนี้ที่เคียงข้างเธอ

Yes, I am – the one that’s beside you


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone


จะแทนกันได้ไหมกับใครในฝันเธอ

Will you let me be there instead of that man you wish for?

ด้วยชีวิตที่มีให้เธอเสมอไป ที่จะรักแค่เธอที่สุดในหัวใจ

With my life always with you, you’re the apple of my eye

ตอบฉันได้ไหมว่าฉันเพียงพอหรือเปล่า

Please tell me that I am good enough for


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี ยิ่งกว่าใคร

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do better than anyone


หากว่าเธอไปค้นเจอ ว่าใครที่รักเธอมากกว่าฉัน

If one day you’ll see that someone love you more than I do,

จะทิ้งกันก็เข้าใจ

I’ ll get it that you’ll walk away


ผู้ชายในฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว

A man of your dream, I can’t possibly be

ถ้าแม้ลำบากใจ วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

If you find it hard, one day you’ll leave me please feel to do so

ผู้ชายอย่างฉัน แค่รักเธอได้เสมอ

A man like me can only always adore you

แค่รักเธอหมดใจ แค่นี้ที่ทำเพื่อเธอได้ดี

Can love you wholeheartedly, it’s the thing I do best


แต่ที่เธอฝัน ฉันคงเป็นไม่ไหว ถ้าแม้ลำบากใจ

What you dream I may not be if that bothers you

วันไหนจะเดินแยกทางไม่โทษเธอ

One day you’ll leave me, I totally get it

แต่ถ้าจะขอ ให้ฉันรักเธอเสมอ

But if you ask me to love you like I always have

ให้รักเธอหมดใจ ฉันก็ทำเพื่อเธอเสมอมา ตลอดไป

To have and to hold, my love, I do that every day and forever
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๒. คิดถึงคนเคยแพ้ ๐๕/๕/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 05-06-2023 19:02:47
บทที่ ๕๒. คิดถึงคนเคยแพ้



2566

2023



“โอโต้ซังฝากให้ผมช่วยดูแลเทปปัน” เจ้าของชื่อตวัดสายตามองไปทางคนต้นเสียง หนุ่มหล่อชาวแดนอาทิตย์อุทัย นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “โต ๆ กันแล้ว ไม่ต้องทำตามที่คุณพ่อเคยสั่งแล้วก็ได้ ทาเคชิซัง” ตั้งแต่รู้จักคุ้นเคยกันมา เทปปันก็ไม่เคยเห็นครั้งไหน ที่อีกฝ่ายจะขัดคำสั่งพ่อของเขาเลย

“มันคือหน้าที่ที่ผมได้รับ เทปปันจัง” ได้ยินอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้น เทปปันเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “เลิกเรียกต่อท้ายชื่อผมว่าจังได้แล้ว” ทาเคชิเองก็ยังเลิกความเคยชินนั้นไม่ได้เช่นกัน “นั่นก็คำสั่งโอโต้ซัง” เทปปันบอกกับทาเคชิออกไป หนุ่มหล่อชาวญี่ปุ่นยิ้มบาง ๆ ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ

“ผมยินดีรับคำสั่งนั้น ผมทำตามคำสั่งนั้นด้วยความเต็มใจ” หนุ่มญี่ปุ่นพูด รอจนเทปปันหันหน้ามาหา แล้วจึงสบตา ด้วยแววตาที่แดงออกว่า เป็นไปตามทุกอย่างที่พูด “เราเคยพูดเคลียร์กันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่โอโต้ซังได้สั่งเอาไว้” เทปปันย้ำเตือนถึงข้อนี้ ซึ่งทาเคชิเองก็รับรู้เรื่องนี้ดี

“แต่มันไม่ใช่มีเพียงแค่ผมที่ต้องทำตามคำสั่ง มันยังมีอีกหลายอย่างประกอบกัน” ทาเคชิพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่นุ่มนวล เป็นเสียงที่เทปปันนั้นคุ้นเคยมานานหลายปี “คำสั่งพวกนั้นมันคือการบังคับ” เทปปันพูดแก้ให้อีกครั้ง “มันมีทั้งความผูกพัน” ทาเคชิเองก็พูดแก้ให้กับคำพูดของเทปปันเช่นกัน

“มันเป็นทั้งความห่วงใย” ทาเคชิทิ้งช่วงเล็กน้อย “และมันคือความเข้าใจ” ก่อนจะจบประโยคของตัวเองลง เทปปันส่ายหน้าเหมือนไม่เห็นด้วย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น “แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำตามเสมอไป ทุกอย่างมันไม่จำเป็นต้องดำเนินไปในแบบที่ใครสักคนบอกว่ามันต้องเป็น” ทาเคชิเข้าใจเป็นอย่างดี ในสิ่งที่เทปปันพูดมา

“เทปปันจังเคยบอกผมแล้ว” ทาเคชิพูดเหมือนกับว่า เป็นการบอกตัวเองมากกว่าจะเอ่ยปากเถียงอีกฝ่าย “แต่โอโต้ซังก็บอกเหตุผลของท่านให้ผมฟังเช่นกัน ว่าทำไมและเพราะอะไร ที่ผมจะต้องทำตามที่โอโต้ซังสั่งเสียเอาไว้” เทปปันรู้ดี ว่าทาเคชินั้นรับใช้ ดูแล ช่วยเหลือคนในครอบครัวของเขามาโดยตลอด

“โอโต้ซังรู้ความจริงทุกอย่าง และนั่นทำให้โอโต้ซังเองก็เปลี่ยนความคิด” เทปปันสบตากับทาเคชิ “ความคิดที่เกี่ยวกับเทปปันจัง” ทาเคชิหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเทปปันจัง ความจริงที่มันควรจะต้องเป็นไป” ทาเคชินั้นย้อนความทรงจำที่เกี่ยวกับนายเก่า ที่จากไปอย่างมี่วันหวนกลับ

“พ่อก็แค่อยากจะเอาใจผม” เทปปันพูดพึมพำออกไปเบา ๆ “ไม่เลย” ทาเคชิพูดขึ้น “เทปปันจังก็รู้ดี ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง” เทปปันเม้มปากแทบจะเป็นเส้นตรง ความรู้สึกจากครั้งเก่าก่อนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านั้น ก่อนวันที่โอโต้ซังรู้ความจริง อาจจะใช่” ทาเคชิที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด ที่ถูกถ่ายทอดโดยตรงจากโฮโต้ซังของเทปปัน

“โอโต้ซังเปลี่ยนใจจากความเชื่อเดิมที่มี อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ โอโต้ซังรักเทปปันจังมาก” เทปปันรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไล้หยาดน้ำอุ่นใสที่รื้นขึ้นขอบตา “โอโต้ซังยอม ยอมที่จะตัดขาดจากทางโน้น” นี่เป็นอีกเรื่องที่พ่อของเทปปันใจกล้า ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด หลังจากเรื่องแรกที่ทำ นั่นก็คือการไม่ฟังคำทัดทาน และตัดสินใจแต่งงานกับแม่ของเทปปัน

“เทปปันจังก็รู้ ว่าโอโต้ซังพอได้รู้ความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดของเทปปันจัง คนก่อน” เทปปันไม่สามารถหาคำมาตอบโต้หรือปฏิเสธความจริงที่หนุ่มญี่ปุ่น ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้านี้ กำลังพูดมาได้เลย “โอโต้ซังก็บอกกับโอก้าซังของเทปปันจัง จนได้รู้ความจริงอีกอย่างว่า โอก้าซังนั้น รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว และพยายามบอกกับโอโต้ซังมาโดยตลอด” โอก้าซังของเทปปัน ผู้หญิงผู้ซึ่งเป็นแม่ ที่มีความรักเปี่ยมล้นต่อลูกของเธออย่างบริสุทธิ์

“โอก้าซังมองเห็นในสิ่งที่โอโต้ซังพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด จนกระทั่งโอโต้ซังยอมรับตัวเอง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อวาระมาถึง โอโต้ซังก็ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ และโอก้าซัง ไม่สิ อามะ ก็ได้ถือศีลปฏิบัติธรรม และออกบวชเป็นแม่ชีหลังจากนั้น” ทาเคชิลำดับเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป

“ทั้ง ๆ ที่ผมจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองในตอนนั้น แทบไม่ได้ด้วยซ้ำ” เทปปันพูดขึ้น แต่ทาเคชิยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่จริงหรอก ไม่จริงหรอกเทปปันจัง” ทาเคชินั้น รู้ดีว่า พอมีใครคนหนึ่งได้เข้ามาในชีวิตของเทปปัน ความทรงจำแต่เก่าก่อนของเทปปันก็เริ่มกลับมา และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามไม่แสดงออกอาการรับรู้ในเรื่องนั้น

“เพียงแต่โอโต้ซังไม่รู้อยู่ข้อหนึ่ง ว่าคนคนนั้นของเทปปันจังเป็นใคร” ทาเคชิพูดกับเทปปันไปตรง ๆ “และนั่นก็เป็นที่มาของผม คนที่โอโต้ซังของเทปปันจัง คิดว่าไว้ใจมากที่สุด” เทปปันจำได้ว่า เมื่อตอนที่เขาเริ่มเข้าวัยรุ่น ก็ได้รู้จัก ได้เริ่มทำความคุ้นเคยสนิทสนมกับทาเคชิ หนุ่มญี่ปุ่นที่เพียบพร้อมไปเสียทุกเรื่อง

“โอโต้ซังจึงอยากให้ผมดูแลเทปปันจัง” ทาเคชิบอกในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของเทปปันฝากกับเขาเอาไว้ “โอโต้ซังพูดเอาไว้ว่า ถ้าจะเป็นใครสักคน ก็อยากให้เป็นผม” ทาเคชิจำคำพูดของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี “ทาเคชิซังพูดเหมือนกับว่า ตัวเองไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก แบบนี้มันเกินไป และผมก็เคยพูดกับทาเคชิซังแล้ว” เทปปันเอง ไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ ที่แม้จะเป็นคำสั่งเสียของผู้เป็นบิดา จะยุติธรรมต่อหนุ่มญี่ปุ่นผู้หล่อเหลาและแสนดีคนนี้

“การเป็นคู่หมายของเทปปันจังไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจหรือรังเกียจแต่อย่างใด” นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เทปปันพยายามจะพูดเพื่อทำให้ทาเคชิเข้าใจว่า หนุ่มญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่โอโต้ซังสั่งทุกเรื่อง “แม้ว่าแม่ชีจะคัดค้านน่ะหรือ” เทปปันถามออกไป ทาเคชิพยักหน้า “แม้ว่าอามะจะคัดค้าน เพราะผมเองก็ห่วงเทปปันจังมากเกินกว่าจะยอมละทิ้งคำสั่งของโอโต้ซังได้” คงเป็นด้วยเหตุนี้ ที่พ่อของเทปปันถึงได้ไว้วางใจทาเคชิเป็นอย่างมาก แม้ยามที่ลาจากไปแล้ว

“เทปปันจัง เตรียมตัวกลับไปที่ญี่ปุ่นกับผม หลังจากที่เรียนจบแล้ว” และเหมือนกับว่า ทาเคชิจะรู้ล่วงหน้า ว่าเทปปันจะพูดอะไร “ผมได้คุยกับอามะแล้ว ท่านบอกวา เรื่องนี้ก็ให้แล้วแต่เทปปันจังจะตัดสินใจ อามะตั้งใจจะละทางโลกในที่สุด จึงไม่มีความเห็นอะไร แต่ว่าหากเทปปันจังจะกลับไปที่โน่นกับผม โอะจีซังและโอะบาซังก็คงจะดีใจมาก ที่หลานปู่หลานย่าคนเดียวของพวกท่าน ได้คืนกลับไปสู่อ้อมอกท่านทั้งสองแล้ว” ทาเคชิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และที่ต้องเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าทางปู่และย่าของเทปปันได้ให้ทนายความส่วนตัว ติดต่อเร่งมาหลายครั้งแล้ว

“สิ่งที่โอโต้ซังทิ้งเอาไว้ให้ รวมกับที่โอะจีซังมีและจะมอบให้อีก” ทาเคชิพูดบอกกับอีกฝ่าย “ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผูกพันอะไรกันเลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเนี่ยนะ” เทปปันพูดเองก็รู้สึกไม่เข้าใจเสียเอง “ยังไงเทปปันจังจะไม่ลำบากแน่นอน” ทาเคชิพูดในสิ่งที่โอโต้ซังของอีกฝ่ายต้องการให้มั่นใจว่า ลูกชายคนเดียวของเขาจะต้องไม่ลำบากเหมือนอย่างที่เคยประสบมาอีกเป็นอันขาด

“ทาเคชิซังได้ฟังที่ตัวเองพูดกับผมบ้างหรือเปล่า” เทปปันถามหนุ่มหล่อชาวญี่ปุ่นออกไปตรง ๆ “ทาเคชิซังรักใคร” หนุ่มชาวญี่ปุ่นชะงักเล็กน้อย ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินที่เทปปันถาม “รับรองว่าผมจะดูแลเทปปันจังเป็นอย่างดี” ทาเคชิมอบคำมั่นสัญญาให้กับลูกชายคนเดียวของเจ้านายผู้ล่วงลับ

“นี่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าปู่กับย่ายอมเรื่องนี้ได้ยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายคัดค้านและดุด่าโอโต้ซังมาโดยตลอด แถมยังไม่เคยพอใจในตัวแม่ของผมเลยสักครั้ง” นี่มันอะไรกัน เทปปันถามตัวเอง ทั้งเรื่องสมบัติพัสถานที่ปู่จะประเคนให้เขา แล้วยังจะเรื่องที่รับรู้ว่า กับทาเคชิจะกลับไปที่โน่นในฐานะที่เป็นอะไรกันมากกว่าคนคุ้นเคย

มาถึงตอนนี้ ความสับสนที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ ทำให้ดีนที่นั่งแอบฟังการสนทนาของคนทั้งสองอยู่ ถึงกับต้องรีบแสดงตัวตรงนั้น กับเรื่องที่ดีนได้ฟังมาจนถึงตอนนี้ เรื่องของเทปปันนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก ยิ่งมาผนวกรวมเข้ากับเรื่องกาลก่อน ที่ดีนนั้นรู้ด้วยแล้ว สิ่งที่เขาต้องการให้เป็น มันดูจะสวนทางกับสิ่งที่ชีวิตของเทปปันกำลังจะก้าวไป

“ผมชื่อดีน และผมรักปัน และผมไม่สนว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน” ดีนประกาศเสียงกร้าวออกไป “ผมว่าคุณน่าจะรู้เรื่องในอดีตของปันมาอยู่ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่คุณควรจะรู้เพิ่มเติมเดี๋ยวนี้เลยก็คือ” ดีนพูดส่งตรงไปยังทาเคชิ “ผมคือคนที่โอโต้ซังอยากรู้ว่าเป็นใคร ผมคือคนในกาลเก่าคนนั้น” ดีนพูดก่อนจะหันมาทางเทปปัน

“ผมมาตามหาดวงใจของผม คนที่ผมเคยละเลย คนที่ผมเคยทำร้าย แต่จากนี้ไป ผมจะดูแลเทปปันเป็นอย่างดี เทปปันจะไม่ต้องเสียใจอย่างที่โอโต้ซังเป็นกังวลใจ” ยังไม่ทันที่ดีนจะพูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น “ครับ ดีนพูดครับ” ทันทีที่เขากรอกเสียงพูดลงไป ที่ปลายสายคืออาจารย์ที่ปรึกษาละครเวที ที่โทรมาหาดีนเพื่อให้ดีนกลับไปทำหน้าที่ที่ค้างไว้ให้เสร็จสมบูรณ์

“ผมเข้าใจครับอาจารย์ แต่ตอนนี้ผมกำลังติดธุระสำคัญมากที่สุดในชีวิตจริง ๆ ครับ” สิ่งที่อาจารย์พูดกลับมาก็คือ ความสำคัญของทีมงานคนอื่น ๆ ที่กำลังรอคอยดีนแสดงความรับผิดชอบ กลับมาซ้อมให้เสร็จเพื่อรอเปิดการแสดง ดีนมองเห็นสายตาของทาเคชิ หนุ่มญี่ปุ่นที่มองมาทางเขา สายตาของเจ้าบ้านั่น ดีนรู้สึกได้เลย ว่านอกจากจะถูกใช้เพื่อประเมินเขาแล้ว ยังจะเป้นสายตาที่ออกจะดูแคลนเขาเสียด้วยซ้ำ

“เทปปันจัง โอะจีซังต้องการพูดสายด้วย” ทางด้านของทาเคชิเอง ก็เพิ่งกดรับโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ ที่เพิ่งโทรเข้ามาจากญี่ปุ่นเช่นกัน “ดูเหมือนกับว่า ทางโอะบาซังจะดีใจมาก ท่านได้เตรียมเรือนพักสำหรับเราสองคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และหวังว่าหลานย่าของท่านจะชอบในสิ่งที่ท่านทำให้” เสียงของทาเคชิ ฟังดูก็รู้ได้ในทันที ว่าใช้มันข่มดีนอย่างเปิดเผย

“ปันครับ ปันอยู่กับดีนนะครับ ได้มั้ย” ดีนเอื้อมมือไปจับมือของเทปปันเอาไว้ บีบเบา ๆ ส่งผ่านความรู้สึกไปหาอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา และครั้งนี้ดีนก็ทุ่มหมดหน้าตัก เพราะมันคือความจริงใจอย่างที่สุด ที่เขามีให้กับเทปปันแล้ว “ปู่กับย่ายอมรับเรื่องที่ทาเคชิคุงจะมาดูแลผมแล้ว” เทปปันบอกกับดีนออกไปอย่างนั้น

“ดีนสัญญา ว่าดีนจะทำให้คุณปู่และคุณย่าของปันยอมรับในตัวดีน และยินดีที่เราสองคนเป็นคู่กันได้อย่างแน่นอน” ดีนพูดด้วยความรู้สึกที่กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “เกรงว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูเทปปันมองหานะ ผมกล้ารับประกัน” ทาเคชิพูดกับดีนตรง ๆ เช่นกัน แม้ว่าน้ำเสียงสำเนียงจะแปร่งหู แต่ความหมายนั้นชัดเจนที่สุดแล้ว

“นายจะไปรู้อะไร ฉันรักปัน นายคงอยากจะได้ยินอีกครั้ง ว่าฉันรักปัน นายเองต่างหาก นายกล้าพูดรึ ว่านายรักปัน” ดีนถามออกไปเสียงเข้ม “มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจกับความรู้สึกของผม” ทาเคชิพูดก่อนจะหันไปทางเทปปัน “มันอยู่ที่ว่า เทปปันจังรักใครต่างหาก” เทปปันที่ยืนอยู่ตรงกลาง กำลังถามไถ่ตัวเองว่าเขาควรจะใช้สมองตัดสินใจในเรื่องนี้ หรือจะปล่อยให้มันเป็นไปตามเสียงของหัวกันแน่นะ

**************************************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=pNtac8DmVWM


แน่นอน เมื่อเรารักเขาเข้าแล้วเขาไม่ยอมรักตอบ

For sure, when our love isn’t returned

ก็ต้องเจ็บต้องช้ำไป

It hurts us like hell

แน่นอน ถ้ามันเป็นเกมอะไรสักเกม

Of course, if we take it as a game

ก็ต้องมีคนเสียใจ

One will be defeated

แต่การแพ้ เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง

But losing without a match

น่าเสียดาย น่าเสียดาย

What a pity, what a shame


อย่าเก็บมันไว้ อย่าปิดมันไว้

Don’t keep it, and don’t hide it

เมื่อไปเจอใครที่แคร์

When you see someone, you care

ไม่อยากเอ่ยยิ่งช้ำ ไม่อยากแข่งยิ่งแพ้

Keep it silent bruises, unparticipating regrets

และคนที่เราแคร์ไม่มีวันรู้เลย

And the one you care will never know


ฉันเอง ได้แต่ฝันได้แค่นี้

I, myself kept on dreaming

เพราะว่าใจขี้ขลาด พลาดสิ่งที่แสนดี

Yet, a coward – missed all the good things

เสียดาย ที่มัวไปกลัวตัวเองช้ำใจ

Bitterly, afraid that it would frail myself

เมื่อรู้ก็สายทุกที

It’s too late, unfortunately

ก็การแพ้ เพราะไม่เคยได้ลงแข่ง

Losing with a doubt without trying

น่าเสียดาย น่าเสียดาย

Damn it, what a waste


อย่าเก็บมันไว้ อย่าปิดมันไว้

Don’t keep it, and don’t hide it

เมื่อไปเจอใครที่แคร์

When you see someone, you care

ไม่อยากเอ่ยยิ่งช้ำ ไม่อยากแข่งยิ่งแพ้

Keep it silent bruises, unparticipating regrets

และคนที่เราแคร์ไม่มีวันรู้เลย

And the one you care will never know


อย่าเก็บมันไว้ อย่าปิดมันไว้

Never hold it back, don’t try to cover it

เมื่อไปเจอใครที่แคร์

When there’s one you care about

ไม่อยากเอ่ยยิ่งช้ำ ไม่อยากแข่งยิ่งแพ้

Say it out loud, compete whenever you can

และคนที่เราแคร์ไม่วันรู้เลย

You’ ll regret when you never take that chance
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๓. คิดถึงคนคุ้นเคย ๐๙/๖/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 09-06-2023 19:55:12
บทที่ ๕๓. คิดถึงคนที่คุ้นเคย



2573

2033



ตฤณนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น มองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง อากาศกำลังดี แสงแดดไม่ร้อน ลมพัดมาเอื่อย ๆ ทำให้ผ้าม่านกรองแสงบาง ๆ นั้น ไหวไปตามแรงกระทบ ตรงที่ตฤณนั่งอยู่นี้ ถือเป็นมุมโปรดที่สุดมุมหนึ่งของเขา เมื่อได้มาที่นี่ มาพักผ่อน ใช่มาพักผ่อน ตฤณให้ความหมายของการมาที่นี่เอาไว้แบบนั้น

“คุณตฤณต้องการอะไรเพิ่ม เรียกได้นะคะ แต่ตอนนี้ดิฉันขอไปทำธุระด้านโน้นสักครู่” ตฤณหันไปยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันกลับไปมองบรรยากาศที่ด้านนอกหน้าต่างต่อ ชายทะเลที่ทอดยาวไปจาสุดลูกหูลูกตา ทัศนียภาพที่ตฤณนั้นอยากเห็น อยากดูมันทุกวัน เพราะมันช่วยให้อะไร ๆ ที่หนักหนาอยู่นั้น เบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

“เสร็จแล้วหรือ ทำไมไปไวจัง” ตฤณพูดขึ้น เมื่อได้ยินสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง และเมื่อหมุนเก้าอี้หันกลับไปมอง “ก็ตามหาไม่ยากเท่าไหร่นะ” วินนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน กั้นเอาไว้เพียงแค่โต๊ะกาแฟตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านั้น “คนรวยมีเงินมหาศาล ทำอะไรก็ง่ายดายไปหมดนั่นแหละ ใช่มั้ย” ตฤณพูดพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ

“มันก็เป็นเพราะคนที่วิน ต้องการหาเขาให้พบ เลิกปกปิดข้อมูล เลิกย้ายที่อยู่หนีวินด้วยแหละ” วินแซวอีกฝ่าย ตฤณหัวเราะเบา ๆ “เหนื่อยแล้วน่ะ ตามเก่งเหลือเกิน” ตฤณจำได้ดี ถึงช่วงที่ขาต้องเปลี่ยนที่พักบ่อย ๆ บ่อยเสียจนเขาเองก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนั้น มันจะไปหยุด จบสิ้นเมื่อไหร่กัน

“ก็ตามมาตลอดสิบปี” วินที่ตอนนี้เติบโตขึ้นตามวัย จนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมื่อครั้งสุดท้าย ที่ได้เจอกัน “อาจจะเสียดายที่ตามหาจนเจอ” ตฤณพูดหยอกกลับไปที่อีกฝ่าย “ไม่เลย เสียดายสิบปีที่ผ่านมามากกว่า” วินตอบเสียงจริงจัง “ไม่หรอก เป็นสิบปีที่มีคุณค่า เป็นสิบปีที่ทำให้เราเติบโตขึ้น ดูอย่างวินตอนนี้สิ” แววตาชื่นชมฉายออกมาจากดวงตาของตฤณ

“ลองคิดดูแล้วกัน ถ้าวันนั้น ที่ใต้คอนโดนั่น” ตฤณพูดให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น “ถ้าวินไม่ยอมกลับไปกับพ่อและแม่” วินมองตฤณที่เล่าเรื่องย้อนอดีต “ถ้าวินคิดสั้น วิ่งให้รถชนในคืนนั้น ตามปากว่า” วินยังจำค่ำคืนที่เขารู้สึกว่า ชีวิตของเขาเดินมาถึงทางตัน มืดมน และไม่มีทางออกได้ดี ในคืนที่ตฤณวิ่งตามหาเขาจนเจอ และเป็นมือของตฤณ ที่จับมือของวินเอาไว้ได้ทัน

“ตายเพราะอัตวินิบาตกรรม การกระทำที่ทำต่อตนเองโดยตั้งใจ วันนี้เราคงไม่ได้นั่งคุยกันอีกครั้ง” วินนึกดีใจและขอบคุณตฤณ ที่รั้งตัวของเขาเอาไว้ และเติมสติให้กับเขาได้ทัน “แถมถ้าตายไปอีกครั้งแบบนั้น จะกลับมาเกิดและเจอกันใหม่ ไม่น่าจะได้แล้วนะ เรื่องแบบนี้ โอกาสมันคือหนึ่งในกี่พันล้านกัน” ณ วันนี้ เมื่อคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อารมณ์มันช่างต่างจาก ณ วันนั้น โดนสิ้นเชิง เพราะแววตาของวินเอง ก็เต็มไปด้วยความยินดี

“สิบปีมันก็ไม่ได้นานจนรอไม่ได้” วินพูดพลางพยักหน้าให้กับคำพูดนั้นของตนเอง “เพราะวินไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนใจ” ตฤณยกนิ้วโป้งให้ คนทั้งคู่หัวเราะชอบใจ “มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย กับสิบปีผ่านมา” วินพูด โดยที่ทั้งสองคนก็เห็นพ้องตรงกัน ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด “แต่สำหรับตฤณ มันสโลว์และเดินช้าลงเยอะ กับสองสามปีให้หลังมานี้” ตฤณยิ้มกว้างให้กับวิน แม้ว่าจะดูเหนื่อย ๆ อยู่ไม่น้อย

“นายคนนั้นเขาไม่มาวอแวแล้วหรือ” วินถาม ปลายเสียงขุ่น ๆ จนรับรู้ได้ “นายคนไหน” ตฤณทำเป็นนึกไม่ออก ว่าวินหมายถึงใคร “เจ้าประจำคนนั้น” วินไม่ยอมเอ่ยชื่อนั้นออกมาตรง ๆ ตฤณยิ้มแลดูชอบใจ ที่วินยังคงไม่ยอมปล่อยวางเรื่องของนฤเบศง่าย ๆ “จะเอาอะไรมากกับคนที่มีเมียแล้วล่ะ” ตฤณขยับตัวบนที่นั่งให้รู้สึกสบายขึ้น วินมองตาม ตฤณบอกว่าเขาโอเค

“หลังจากที่เราสองคนตัดสินใจ ที่จะยุติความสัมพันธ์และเลิกติดต่อกัน เพื่อให้พ่อแม่ของวินสบายใจ และเพื่อให้วินได้มีอนาคตที่ดี โดยการให้วินไปเรียนต่อให้จบ จนตอนนี้มีบริษัทสองสามบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตฤณเองก็ภาคภูมิใจในตัววินมากนะ” วินได้ยินตฤณพูดทุกถ้อยคำ เขายกมือขึ้นส่งจูบให้กับตฤณ อีกฝ่ายยิ้มรับอย่างชื่นใจเช่นกัน

“มันก็ไม่ได้สวยหรูอะไร สิ่งที่ตฤณให้เขาไม่ได้ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไหนจะเรื่องฟ้องร้องกับนักข่าวผู้หญิงคนนั้นอีก นฤเบศเขาเงินหนา ก็เกือบจะชนะแล้วล่ะ แต่ตฤณบอกกับนักข่าวว่า ให้เลิกรากันเถอะ ตฤณจะถอนฟ้อง ให้พอแค่นี้ดีกว่า แล้วก็เดินออกจากชีวิตของคนพวกนั้นมาเลย และไม่หวนกลับไปอีก” วินมองดูตฤณเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ออกมา

“สุดท้าย เขาก็กลับไปคืนดีกับเมียของเขาอีกครั้ง รายละเอียดเป็นอย่างไร ตฤณก็ไม่ได้รับรู้เลย เพราะได้เลือกความสบายใจไปแล้ว” ตฤณเล่าให้วินฟัง กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น นฤเบศเพียรพยายามติดต่อมา แต่ตฤณก็วางเฉย ไม่รับรู้ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจใด ๆ “อยากรู้มั้ยว่านายคนนั้นเป็นยังไงแล้วตอนนี้” วินถามคำถามนั้นออกไป ตฤณส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่อยากรู้” ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา ๆ หลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก “ดีแล้ว” วินพูด แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนฤเบศบ้าง “วินจะได้เลิกหึงคนคนนี้ได้สักที เพราะตฤณไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว” วินพูดพลางทำท่าจริงจัง ตฤณหัวเราะพลางส่ายหน้า วินทำเป็นไม่สนใจ “ก็วินรักของวิน” วิพึมพำ ทำหน้างอนให้ตฤณง้อ

“มีแฟนเด็กนี่เหนื่อยมั้ย” ตฤณหยอก จนวินต้องหลุดยิ้มออกมา “มีแฟนแก่กว่าต้องเอาใจเยอะ ๆ วินรู้แค่นี้” ตฤณหัวเราะออกมา ก่อนจะหยุดไอคล้ายจะสำลัก วินยกแก้วน้ำ จับหลอดให้ตฤณดื่มได้สะดวก “ขอบคุณ” ตฤณพูดเสียงเบา “แต่หมดแรงแล้วนี่สิ” ตฤณทำท่านอนแผ่ลงบนเก้าอี้ทรงสูงตัวนั้น

“ต่อไปนี้และในทุก ๆ วัน วินจะเป็นกำลังให้ตฤณเอง” วินพูดด้วยความจริงใจ “เหนื่อยเปล่า ๆ” ตฤณพูดไม่ใช่เป็นการบอกปัด แต่หมายความว่าตามนั้นจริง ๆ “ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเทียบกับที่ตฤณเคยเสียสละให้วินได้มีวันนี้ เติบโตขึ้น ได้ก้าวเดิน มาจนถึงตรงนี้” วินมองหน้าของตฤณด้วยแววตาแห่งความอบอุ่น ที่แสนจะอ่อนโยน

“แอนตี้ซูเปอร์ฮีโร่ของวิน” วินพูดพลางชี้นิ้วไปที่ตฤณ ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน แม้ว่าเสียงหัวเราะของตฤณจะโรยแรงไปมากหน่อย “นานแล้วนะ ที่วินไม่ได้หัวเราะแบบนี้” วินบอกออกไป เพราะสิบปีที่ผ่านมา ในหัวของเขามีแต่ความมุ่งมั่น ทั้งการเรียน การทำงาน บทพิสูจน์ที่เขาต้องทำให้ทุกคนเห็น กับความสำเร็จที่ต้องไปให้ถึง เพื่ออิสรเสรีที่เขาต้องการ และนั่นคือการที่เขาได้รักคนคนนี้ ตฤณ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

“มิอาจเอื้อม” ตฤณบอกว่าการเรียกเขาว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบนั้น มันออกจะเกินไป “ตฤณแปลว่าต้นหญ้า ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย” วินฟังแล้ว ก็ส่ายหน้าทันที เพราะไม่เห็นด้วย “วินแปลว่าชัยชนะก็จริง แต่หากว่าตฤณจะคือหญ้าที่ดูไม่มีคุณค่า แต่หญ้าอย่างตฤณนี่แหละ ที่คลุมและยึดดินอย่างวินเอาไว้ ไม่ให้พังทลายไปเสียก่อน” วินรู้ดีว่า ใครคือหนึ่งในแรงผลักดัน ที่ทำให้ชีวิตของเขา ได้ดีอย่างทุกวันนี้

“กั้งคิดถึงทิวบ้างมั้ย” ตฤณที่พักศีรษะบนพนักหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามนั้นออกมา “คิดถึงสิ มากเลยล่ะ” ตฤณยังคงจำวันที่ต้องจากทิวตลอดไปไม่ลืม “จากกันไป โดยไม่ได้เอ่ยคำลาสักคำ” แววตา โครงหน้า ลักษณะท่าทางของวิน หนุ่มหล่อตรงหน้า ทำให้ตฤณรู้สึดีใจมากแค่ไหนแล้ว

“ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ว่าจะมีโอกาสได้คุยกันอีก” หน่วยตาของตฤณรื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำใส “ชีวิตนี่ช่างไม่มีอะไรคาดเดา กะเกณฑ์ หรือกำหนดได้เต็มร้อยจริง ๆ ด้วยสิ” ตฤณผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ วินพยักหน้าเห็นด้วย “โอกาสที่ยิ่งใหญ่ ที่วินได้กลับมาอีกครั้ง ในขณะที่กั้งยังอยู่” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ที่วินมาอยู่ตรงนี้และยังจำเรื่องราวทั้งหมด เมื่อคราวที่เขายังเป็นทิวอยู่ วินขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นเขาในวันนี้

“และต้องขอบคุณพ่อและแม่ ที่ยอมทำตามที่เคยได้พูดเอาไว้ ตั้งแต่ไปไหว้ขอพรให้ได้วินมาเกิดเป็นลูก ใครก็ได้ ที่อยากจะมาเกิด ลัดคิวมาก็ได้ แล้วจะยอมทุกอย่างที่ลูกของพ่อและแม่ร้องขอ และนั่นคือปล่อยให้วินได้มีอิสระ ได้เลือก ได้รัก” ไม่รู้เหมือนกัน วินเองก็ตอบไม่ได้ ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วยคำพูดง่าย ๆ ได้อย่างไร

“แต่กั้งตอนนี้ อายุก็ปาเข้าไปเลขห้าแล้วนะ” ตฤณพูดเย้าตัวเอง “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เดี๋ยววินจะไล่ตามกั้งให้ทันเอง” วินพูดพลางยิ้มให้อีกฝ่าย “กั้งหกสิบ วินก็แถว ๆ นั้นแหละ” ตฤณได้ยินแบบนั้นก็หลับจาลง พยายามยิ้ม แต่ริมฝีปากล่างสั่นระริก “อยู่ถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้” ตฤณลืมตาขึ้นมองวิน ก่อนจะพูดประโยคนั้นออกไป

“ขออนุญาตนะคะ” เสียงพูดของเจ้าหน้าที่สาวก่อนหน้า ที่ขอตัวไปทำธุระที่อีกแผนกหนึ่ง ดังขัดจังหวะขึ้น “ขอปรับสายนิดหนึ่งนะคะ” เจ้าหน้าที่เดินมาหยุดที่ด้านข้างของตฤณ ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ พร้อมสายอะไรระโยงระยางเต็มไปหมด “คนไข้มีอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ หรือแสบร้อนบริเวณที่คีโมแล่นเข้า บ้างไหมคะ” ตฤณส่ายหน้าให้แทนคำตอบ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยพูดเอาไว้แล้ว ว่าถึงมีก็ยอมไม่บอก คุณเจ้าหน้าที่ทำปากพึมพำกับวิน ว่าตฤณนั้นดื้อ

“ฝากด้วยนะคะ มีอะไร เรียกดิฉันได้ทันทีนะคะ” หญิงสาวพูดกับวิน ก่อนจะหันมาทางตฤณ ที่ด้วยความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ตฤณทำท่าหน่าย ๆ ก่อนจะโบกมือไล่ ก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มหัวให้กัน วินหันกลับมามองตฤณ หลังจากคุณเจ้าหน้าที่พยาบาลเดินลับตาไปแล้ว

“ถ้าห้าสิบแล้ว งั้นผมก็สีเทาเต็มหัวแล้วสิ” วินหยอกกลับไป “ไม่เหลือให้หงอกแล้วล่ะ” ตฤณยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือที่อ่อนแรง ดึงเอาผ้าโพกหัวให้หลุดออก เผยให้เห็นว่า มีเส้นผมเหลืออยู่เพียงหร็อมแหร็ม,หย็อมแหย็มเท่านั้น ผลจากการให้ยาบำบัดอาการมาหลายครั้ง “ชินแล้วล่ะ” ตฤณพูดออกไป แต่วินก็รู้ดี ว่าเจ้าตัวไม่ชินหรอก

“ยังไงก็สวยเสมอสำหรับวิน” วินก้มลงหอมและจูบผมของตฤณเบา ๆ “ยังไงก็รัก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” วินก้มลงจูบหน้าผากของตฤณที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา “นั่งด้วยได้มั้ย” วินเอ่ยถามตฤณ ก่อนจะเห็นเจ้าตัวพยักหน้าเบา ๆ วินช่วยประคองร่างกายที่ผ่ายผอมและโรยแรงของตฤณขึ้น วินนั่งลงเก้าอี้ ก่อนจะให้ตฤณนั่งลงบนตักและในอ้อมกอดของเขา

“เราจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่นะ” วินกระซิบบอก ตฤณน้ำตาไหลริน ซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกของอีกฝ่าย “ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะ วินอยู่นี่แล้ว วินอยู่นี่แล้ว” วินพูด พลางโยกตัวเบา ๆ กล่อมและปลอบประโลมตฤณที่อยู่ในอ้อมแขนแกร่งของเขา “ชีวิตของวิน สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะวินมีกั้ง” วินพูด พยายามกลั้นน้ำตา แต่มันก็ไหลลงมา ปะปนไปกับความสุขและความขมขื่น แต่วินก็รู้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา ที่คนทั้งคู่มีกันและกัน

********************************

คำแปลเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

https://www.youtube.com/watch?v=FtpU5XGn1qg



หยิบกุญแจขึ้นมา
Picked up the key
เตรียมตัวออกเดินทาง
Ready to go for a journey
ไปกับรถคันเดิมคันโปรด
With the favourite good old car
เดินขึ้นมาก่อนใคร
Got in that car before anyone

บนจุดหมายแสนไกล
The long way ahead of our destination
ไม่เคยกลัวอะไร
Never afraid of anything
และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้
Yet the last piece I can't live without
นั่นคือเธอคนนี้
That is you, my darling

เปรียบเธอดั่งมนต์วิเศษ
You're like that, the magic
เธอทำให้โลกของฉันหมุนไป
It makes my world go round
เธอเปลี่ยนให้ฉันได้เห็นภาพใหม่
You changed me to get new perspective
ที่ไม่มีใครได้เห็น
No one has ever seen

การเดินทางครั้งนี้จะสวยงาม
This journey is, of course, beautiful
ขอเพียงเธอจับมือกับฉันไป
As long as you and I are hand in hand
การเดินทางครั้งนี้จะสดใส
This journey is absolutely all bright
แค่เพียงเธอเดินไปกับฉัน
As long as you're by my side

การเดินทางครั้งนี้จะงดงาม
This journey is at all fantastic
ขอเพียงเธอนั่งไปกับฉัน
As long as you're taking this ride with me
จะไกลแค่ไหนหรืออันตราย
Doesn't matter how far or menacing
แค่มีเธอข้างข้างกาย จะไปเสมอ
All I ask is that you are with me as always

บนจุดหมายแสนไกล
On this long journey from here
ไม่เคยกลัวอะไร
None ever I have a fear of
ขอเพียงโลกนี้ มีแค่เพียงเธอ
Always in this world, there you are
นั่งอยู่ข้างข้างฉันไป
Being right beside me

เพราะเธอเป็นดั่งมนต์วิเศษ
Because that you are my true magic
เธอทำให้โลกของฉันหมุนไป
It makes my world go round
เธอเปลี่ยนให้ฉันได้เห็นภาพใหม่
You changed me to get a new better place
ที่ไม่มีใครได้เห็น
No one has ever been

การเดินทางครั้งนี้จะสวยงาม
This journey is, of course, beautiful
ขอเพียงเธอจับมือกับฉันไป
As long as you and I are hand in hand
การเดินทางครั้งนี้จะสดใส
This journey is absolutely all bright
แค่เพียงเธอเดินไปกับฉัน
As long as you're by my side

การเดินทางครั้งนี้จะงดงาม
This journey is at all magnificent
ขอเพียงเธอนั่งไปกับฉัน
As long as you're taking this ride with me
จะไกลแค่ไหนหรืออันตราย
Doesn't matter how far or menacing
แค่มีเธอข้างข้างกาย จะไปเสมอ
All I ask is that you are with me as always

จะไกลแค่ไหนหรืออันตราย
Near or far, or even through hell
แค่มีเธอข้างข้างกายจะไปเสมอ
Having you with me is always my peace
หัวข้อ: Re: ในห้วงคำนึง...ที่คิดถึงกัน: Nostalgia บทที่ ๕๔. คิดถึงคนที่จากไป ๑๒/๖/๒๕๖๖
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 12-06-2023 13:23:32
บทที่ ๕๔. คิดถึงคนที่จากไป



2574

2034



“วันนี้แก้วที่เท่าไหร่แล้ว” เสียงถามนั้น ไม่ได้ทำให้ตฤณสะดุ้งอย่างที่เคยเป็น แต่กลับหันไปทางคนต้นเสียง ยิ้มอย่างเด็ก ๆ ที่โดนจับได้ ว่าขโมยขนมกิน “สามเอง ไม่เป็นไรหรอก อยากดื่มน่ะ” วินเดินมาที่ข้างเตียงนอนที่ตฤณยังคงนอนอยู่ “เดี๋ยวกลางคืนนอนไม่หลับ” ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟนั้นไปวางให้ไกลจากตฤณ

“ไม่อยากนอนนี่นา” ตฤณกระปอดกระแปด วินส่ายหน้าให้กับคนแสนดื้อ “กินข้าวก่อน มา วินป้อน” ตฤณอยากจะบ่ายเบี่ยง เขาไม่รู้สึกหิวแต่อย่างใด แค่อยากกินกาแฟในเช้าวันนี้ แต่ก็ยอมให้วินค่อย ๆ ช้อนร่างที่ผ่ายผอมนั้น ให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนหนุนใบใหญ่ ที่วินสั่งทำมาเป็นพิเศษ เพื่อให้ตฤณรู้สึกนั่งพิงแล้วสบายตัวมากที่สุด

“จะได้มีแรงเถียงกับวิน” ตฤณเย้าคนป้อนข้าวต้มให้เขา “ดี อย่างนั้นวินชอบ” วินพูดตบกลับไป ตฤณอ้าปากกินข้าวต้มช้อนนั้น เคี้ยวช้า ๆ ก่อนจะกลืนลงไป แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันแสนจะยากลำบาก และทรมานไม่น้อย ตฤณไอออกมา เมื่อวินป้อนข้าวต้มเพิ่มให้อีกสองสามคำ แล้วโบกมือว่า เขากินพอแล้ว วินยื่นแก้วน้ำดื่มให้กับตฤณ คนที่นอนแบ็บอยู่บนเตียง ดื่มน้ำจากหลอดอึกใหญ่

“กินได้เยอะขึ้นแบบนี้ แข็งแรงขึ้นเยอะ” วินพูดกบอกกับอีกฝ่าย ตฤณรู้ดี ว่าวินเองก็ต้องการอะไรที่เป็นกำลังใจให้กับตัวเองเช่นกัน เพื่อให้ในแต่ละวันที่ต้องยืนหยัดกับอะไรก็แล้วแต่ ที่เขาต้องเผชิญอยู่ ให้เป็นวันที่ดีที่สุด ให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ไม่อย่างนั้นแล้ว วินเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรมารวบรวมเรี่ยวแรงพลัง

“กินยานะ” วินพูด ก่อนจะส่งสายตาดุ เมื่อตฤณทำหน้าเบื่อหน่ายให้เห็น แต่แล้วก็ยอมแต่โดยดี แม้ว่าจะทำส่งสายตาและทำหน้าตุปัดตุป่องให้เห็น “เหนื่อยแทน” ตฤณพูด เมื่อวินใช้ผ้าเช็ดปากให้กับตฤณ “ไม่เคยเหนื่อย กั้งอย่าพูดเรื่อยเปื่อย” วินพูดพลางยิ้มให้ สายตาที่วินแสดงออกไปให้อีกฝ่ายเห็น เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาดี

“เป็นปีแล้วนะ” ตฤณพูด เสียงฟังดูโรยแรงไปไม่น้อย “นานเกินไปแล้ว” วินสบตากับตฤณ ที่ยิ้มหยอกล้อกับเขา “นานกว่านี้ก็จะทำ” วินเดินไปหยิบหนังสือเล่มโปรดของตฤณจากชั้นวาง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงนอนของตฤณ “จะทำจนกว่าโลกจะแตก” วินหัวเราะเบา ๆ ตฤณเองก็อดจะหัวเราะตามไปไม่ได้

วินชอบใจทุกครั้ง ที่เขาทำให้ตฤณหัวเราะหรือยิ้มออกมาได้ หลัง ๆ มานี้ ตฤณยิ้มน้อยลง หัวเราะเล่นหัวกับเขาน้อยลง แม้ว่าวินเองจะเห็นว่า ตฤณพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนเดิม วินเองก็เช่นกัน เขาอ่านหนังสือเล่มโปรดสงสามเล่มที่ตฤณชอบ วนไปวนมา ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย

“จบอย่างนี้อีกแล้ว ทำไมอ่านทุกครั้งก็จบแบบนี้ทุกที” ตฤณทำท่าทำทาง ทำสีหน้าว่าไม่ชอบตอนจบของหนังสือเล่มโปรดเลย “ก็มันเล่มเดิม เล่มเดียวกัน กั้งจะให้มันจบยังไงได้อีก” วินวางหนังสือเล่มนั้นลงที่โต๊ะหัวนอน “บางอย่างมันก็ควรจะจบแบบที่ไม่ต้องมีภาคต่อ” ตฤณพูดเสียงเรียบ แววตาดูจริงจัง แม้จะโรยรา

“ไม่น่าจะใช่ตอนจบที่ใคร ๆ ชอบกัน นี่วินพูดจริงนะ” วินเอื้อมมือไปยกผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอกของอีกฝ่าย ความซูบผอมสัมผัสผ่านมือของวินได้จากการหายใจเข้าออกของตฤณ “เรามักจะพูดเข้าข้างความคิดตัวเองเสมอ” ตฤณพูดออกไป วินหยุดนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะส่ายหัวไปมา ว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตฤณพูด

“นี่วินวางแผนเอาไว้ ว่าพอตฤณหาย เราสองคนไปทริปขึ้นเหนือล่องใต้กัน หรือทริปอย่างยุโรป ทริปญี่ปุ่น อะไรก็ได้ ที่ตฤณต้องการ” ตฤณเลื่อนสายตาจากชั้นวาง ที่หนังสือนำเที่ยวต่าง ๆ ที่วินประโคมขนซื้อมา และพยายามอ่านรวมทั้งเชื้อเชิญให้ตฤณฟัง กลับมาสบตากับวิน ที่รู้ดี ว่าทำไมตฤณถึงอยากจะฟังเขาอ่านซ้ำกับหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม

“วินน่ารักเสมอ” ตฤณพูด วางมือที่ผอมซูบจนเกือบหนังหุ้มกระดูกนั้นลงบนข้อมือของวิน “แล้วสิ่งที่วินต้อการล่ะ” ตฤณขยับเลื่อนมือของตัวเองออกจากข้อมือของวิน “ความต้องการของวิน” มือของตฤณวางลงบนเป้ากางเกงของวิน ก่อนจะขยับเลื่อนมือไปมาบนความเป็นชายของวิน

“เดี๋ยวมันแข็ง” และทันทีที่วินพูดจบ ภายใต้ร่มผ้านั้น ก็เกิดการขยายตัวขึ้น “เห็นไหมบอกแล้ว” ตฤณหยุดมือ มองสบตากับวิน ที่เอื้อมมือมาสัมผัสและลูบแก้มอันตอบของเขาอย่างแผ่วเบา “กับสภาพอย่างนี้เนี่ยนะ” ตฤณถาม “ก็เพราะเป็นกั้งไง” วินก้มลงจูบที่ริมฝีปากของตฤณเบา ๆ ความรู้สึกอุ่นจนร้อนแล่นจากริมฝีปากนั้น เข้าสู่กลางหัวใจของตฤณ

“ให้กั้งโทรหาให้นะ” วินส่ายหน้า เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ เมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อกั้งไม่สามารถช่วยวินในความต้องการได้ไหวแล้ว วินยอมให้ตฤณโทรเรียกเด็กบริการมาให้ วินจ่ายเงินค่าเสียเวลาให้ ก่อนจะไล่กลับไป แม้จะรู้สึกทรมานใจที่เห็นตฤณทำแบบนั้น แต่ก็เข้าใจ แต่ก็รู้ดีถึงเหตุผล

“อย่ารู้สึกผิดนะ ถ้าถึงวันนั้นแล้ว” ตฤณพูดย้ำคำเดิม วินก็ทำทีเลี่ยงฟังทุกครั้ง แต่ก็อยากจะได้ยินตฤณพูดแบบนี้กับเขาอีก เพราะนั่นหมายความว่า ตฤณยังอยู่ที่นี่กับเขา อะไรก็ได้ที่ตฤณพูด เขาอยากได้ยิน และจะฟังมันด้วยความเข้าใจ ไม่รู้สึกว่ามันคือการทำร้ายจิตใจ เพราะเขายังมีตฤณอยู่ข้าง ๆ กาย

“การที่เราเจอกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” วินบอกกับตฤณออกไปอย่างนั้น ตามความรู้สึกจริงที่อยู่ในใจเขา ตฤณพยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็นด้วยกับตฤณ “การเจอะเจอกันทำให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่การจากลาหรอกนะ” ตฤณพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา กับอาการที่เขาต้องฝืนกับความเจ็บปวดภายในร่างกายที่มี

“การจากลาจะปลดเราออกจากพันธะทั้งหลาย และมอบอิสระให้กับเราอีกครั้ง” ตฤณพูดขึ้น น้ำตาริ้นที่ขอบตา วินมองเห็นตฤณปิดเปลือกตาลง เขาใช้นิ้วเช็ดน้ำตาอุ่น ๆ นั้นให้กับตฤณ เจ้าของน้ำตาลืมตาขึ้นมอง วินยิ้มให้กับอีกฝ่าย ด้วยอาการแข็งใจ ไม่ให้ตฤณได้เห็นเขาตอนร้องไห้

“มันดีเท่าไหร่แล้ว ที่เราได้เจอกันถึงสองครั้ง แม้จะในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ก็ด้วยความทรงจำชุดเดิม ชุดเดียวกัน” เสียงพูดของตฤณสั่นเครือเล็ก ๆ เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แต่มมันก็ดูจะอ่อนแรงเสียเหลือเกิน “เดี๋ยวเราก็เจอกันอีก เราสงคนเจอกันอีกเสมอ” วินบอกกับตฤณแบบนั้น ด้วยจิตที่เชื่อแบบนั้น

“กั้งหนีทิวไปไม่พ้นหรอก เราสองคนมันคู่กัน” ตฤณยิ้มออกมา มีหยาดน้ำใสระเรื่ออยู่ในแววตา วินยิ้มตาม ก่อนจะบอกว่า ให้ตฤณนอนพักไปก่อน ส่วนตัวเขาเองนั้น วินจะออกไปทำธุระเรื่องงานสักหน่อย จะกลับถึงบ้านช่วงค่ำ ๆ ก่อนออกจากบ้าน วินกำชับให้พยาบาลพิเศษโทรหาเขาทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร

ค่ำวันนั้น วินกลับมาถึงบ้าน บ้านดูเงียบเชียบ ในใจของวินประหวั่นไม่น้อย เจอพยาบาลพิเศษยืนรออยู่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อพยาบาลรายงานว่าคุณตฤณบ่นว่าปวดศีรษะ ก่อนเธอจะให้ยาแก้ปวด และตอนนี้คุณตฤณเข้านอนแล้ว วินเข้าไปหาตฤณที่ห้องนอนทันที มีไฟสลัว ๆ หัวเตียงเปิดไว้

“วินกลับมาแล้ว” เขาบอกกับตฤณที่นอนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนบนเตียง มองเห็นตฤณพยายามจะลืมตาขึ้น “นอนด้วยกันนะคืนนี้” ตฤณพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เตียงมันใหญ่และกว้างเกินไป” ก่อนที่วินจะทำตามที่ตฤณขอ เขาสอดร่างของตัวเองเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับตฤณ แม้ว่าเตียงนอนนั้น มันจะนอนสบายเพียงแค่คนเดียวก็ตาม

วินดึงตัวของตฤณเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ตฤณซุกหน้าเข้าหาแผงอกอุ่นอันแข็งแกร่งของวิน ตฤณวางมือลงบนอกอุ่นนั้น วินจับมือของตฤณมาแนบที่หัวใจของเขา ตฤณยิ้มจาง ๆ ออกมา เมื่อรับรู้ถึงเสียงเต้นของหัวใจของอีกฝ่าย วินก้มลงจูบหน้าผากของตฤณ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่าย ขอร้องให้ถอดหมวกไหมพรมออกให้ที

“ร้อนหรือครับ” วินถาม ตฤณส่ายหน้าในอกของวิน “กั้งไม่ต้องใช้มันแล้ว” เสียงตอบกลับมานั้นแผ่วเบา แต่มันสะเทือนวินไปทั้งใจ วินกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น ตฤณดูเปราะบางเหลือเกินในตอนนี้ “กั้ง” เสียงอันสั่นเครือของวินดังขึ้น ในค่ำคืนที่เงียบสงัดนี้ ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากตฤณ

“กั้ง กั้ง” วินเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำ ๆ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ดังออกมาเบา ๆ “เราจะได้เจอกันอีกใช่มั้ย” วินถาม ด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังจะสูญเสียคนอันเป็นที่รักไป “เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน วินสัญญา” ก่อนที่วินจะรับรู้ถึงลมหายใจสุดท้ายของอีกฝ่าย ทุกอย่างดูนิ่งสนิท เงียบเชียบ มีเพียงเสียงร้องไห้ของตฤณที่ดังออกมาอย่างไม่อายใคร

“วินรักกั้งนะ วินรักกั้งเสมอ” วินกอดร่างของตฤณเอาไว้ ร้องไห้จนตัวโยน เสียใจอย่างที่ไม่เคยต้องเสียใจมาก่อน อาการปวดใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง วินร้องไห้ออกมาอย่างหนัก และเมื่อคิดว่าจะหยุดร้อง เขายิ่งเริ่มร้องหนักกว่าเดิม ทุกอย่างมันเหมือนพังทลายลง ไร้ความหมายไปเสียทั้งหมด

วินได้รับรู้แล้ว ถึงความไม่แน่นอนที่ชีวิตนั้นมี วินกอดคนที่เขารักทั้งเมื่อตอนเขาเป็นทิว และรักแม้เขาจะเป็นวินในวันนี้แล้วก็ตาม แม้จะสงสัยและเคลือบแคลงอยู่ดี ว่าการจากลาจะปลดปล่อยเขาได้อย่างไร เมื่อความชอกช้ำในใจมันแสนสาหัสถึงเพียงนี้ กาลเวลามันเดินทางมาถึงวัน ที่พรุ่งนี้เขาจะไม่ได้อ่านหนังสือเล่มโปรดให้ตฤณได้ฟังอีก กับสิ่งที่เขาบอกกับตฤณ คนรักของเขาเอาไว้ ว่าเขาจะทำมัน จนถึงวันโลกแตก และวันนี้นี่เอง คือวันโลกแตกวันนั้น

*************************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=bPT2P0IWsLU



หากรู้ว่าช่วงชีวิตมันจะไม่ยืนยาว

If knowing that like isn’t gonna be long

มันจะสั้นเกินไป เกินจะให้แก้ไข

It is too short, too short to amend things

หากรู้ว่าคนที่รักจะจากกันไปแสนไกล

If ever realizing we’ll lose someone we love forever

จะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

I’ll change my tracks of thoughts

ไม่ให้เธอต้องปวดใจ

I’ll never hurt your feelings


ฉันขอแค่มีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไป

All I would asking if I could turn back time

จะทบจะทวนทุกสิ่งที่ทำ

Would reconsider everything I had done

จะคิดทุกคำที่พูดจา

Put more care for what I had said


จะทำดีก่อนที่จะสายไป

Will only do good things before it’ s too late

ไม่ให้เธอต้องเสียใจ

And you won’t put up with sorrow

ไม่ให้เธอต้องเสียน้ำตา

Then I’ll never see you cry

จะดูแล จะทำให้ดูเหมือนว่า

Taking a good care of you, to be reminded that

เป็นวันสุดท้ายทุกเวลา

As if everyday was the very last day

และทุกนาที ให้เหมือนไม่มีพรุ่งนี้ให้แก้ตัว

Every minute counts, there’s no tomorrow for a second chance


หากรู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน

If I ever be reminded of us being together

มันเหลือเพียงเเค่ควันไฟ ลอยจางหายไปก็ตาม

There’s only fume of smoke left, to be the last picture of you