ตอนที่ 1 พี่ชายที่แสนดี (ต่อ...)
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่พอรู้สึกตัวและมีสติจนพอจะเดาได้ว่าตัวเองกำลังตื่นจากความฝัน แม้จะไม่อยากตื่นแค่ไหน ผมก็จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมา เพื่อยอมรับว่าภาพครอบครัวที่เห็นและความอบอุ่นที่เพิ่งจะได้รับ มันเป็นแค่ความฝัน และผมก็ต้องลุกขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความจริง
…
“กูจะดูแลมึงเอง ขอแค่มึงนึกถึงกู กูจะไปอยู่ข้างมึง”
…
“เชื่อเหมือนอย่างที่พี่เขาบอกนะฮิว พวกเราอยู่กับลูกเสมอนะ”
…
“พ่อรู้ว่ามันยากจะเชื่อ พ่อจะไม่ว่าอะไรแกเลย ถ้าแกจะไม่เชื่อพวกเราตอนนี้ แต่ฮิวฟังพ่อดีๆ นะ ชีวิตลูกมันอาจจะไม่ได้อับจนหนทางจริงๆ แต่เพราะลูกกำลังเหนื่อยมากๆ ดวงตาของลูกมันอาจจะล้าจนมองเห็นอะไรไม่ชัด และพ่อก็ไม่อยากให้ลูกฝืนมองอะไรตอนที่ดวงตาพร่ามัวแบบนี้ ลูกควรพักผ่อน ลองหาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ ดูนะ อะไรก็ได้ที่นอกเหนือจากการทำงานและปล่อยให้ตัวเองอยู่กับสิ่งใหม่ๆ บ้าง แม้ชีวิตของลูกจะไม่ได้ดีขึ้นทันตา แต่ลูกก็จะได้เรียนรู้จากอะไรก็ตาม นอกเหนือจากงานประจำที่ลูกทำ”
…
อย่างน้อย ผมก็ขอบคุณที่ตัวเองยังจำความฝันและทุกคำพูดของคนในครอบครัวได้แม่น บางที ผมน่าจะลองทำตามที่พวกเขาบอก เชื่อว่าพวกเขายังคอยเป็นกำลังใจให้ผมและลองหาอย่างอื่นทำ นอกเหนือจากงานประจำ มันอาจจะทำให้ผมพอจะมีใจใช้ชีวิตต่อจากนี้ ผมคิดแล้วก็ได้ถอนหายใจให้กับความอ่อนแอของตนเอง
เอาวะ ชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละ ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก
และผมก็สูดลมหายใจเข้าปอดสุดแรง และรวบรวมกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ ดึงตัวเองออกมาจากเตียงนอน
“เชี้ย…”
ผมร้องพร้อมยกมือขึ้นกุมขมับ เพราะรีบลุกไปหน่อย เลยพาลให้หน้ามืด
“สัสเอ๊ยยย แค่จะลุกจากเตียงเองนะเว้ย”
ผมอดบ่นไม่ได้ ก็ดูสิครับ แม่งงง แค่จะพาตัวเองไปเข้าห้องน้ำ ถึงกับเซเกือบล้ม ผมเลยต้องยืนหลับตา ตั้งสติและปล่อยให้ร่างกายปรับตัวสักพัก ถึงได้พาตัวเองเข้าไปอาบน้ำและขจัดคราบความเมาออกจากร่างได้
ผมแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้น เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ผมจึงมีเวลาอยู่กับตัวเองทั้งวัน แต่ก่อนอื่น ผมควรไปหาอะไรกินก่อน ตอนนี้ท้องว่างมากจนมีเสียงเล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆ ตลอดทางที่ผมเดินออกมาจากห้อง
แต่ว่า…ทำไมเหมือนได้กลิ่นอาหารแถวนี้วะ
ผมทำจมูกฟุดฟิด สอดสายตามองหาที่มาของกลิ่น จนกระทั่งผมเดินไปที่ห้องครัว ก็พบกับที่มาของกลิ่น…
“กูฝัน…ฝันแน่ๆ”
ผมทั้งสบัดหน้า ขยี้ตาซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่าแล้วเล่าอีก อีกแล้ว…แล้วก็อีก จนสุดท้าย
“โอ๊ย”
ผมก็ตบหน้าตัวเอง ผลที่ได้ก็คือ อาหารบนโต๊ะตรงหน้ายังอยู่ แต่ที่เพิ่มมาน่าจะเป็นรอยฝ่ามือบนแก้ม ที่ผมรู้สึกว่ามันเจ็บจนเริ่มชาๆ แล้ว
หรือผมจะฝันซ้อนฝันครับ
ผมกระพริบตาปริบๆ ค่อยก้าวเข้าไปในห้องครัว โดยไม่ละสายตาไปจากอาหาร จนผมไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ แล้วเผลอกัดปากล่างอย่างชั่งใจ
แกร๊กๆๆ
“ของจริงว่ะ”
ผมอ้าปากค้าง หลังจากเอาช้อนลองตักกับข้าวในจาน อย่างไม่รู้จะวิเคราะห์สถานการณ์ยังไง ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองซ้ายทีขวาที ประตูกับหน้าต่างห้องครัวก็ปิดสนิท
“มาได้ไงวะ”
ผมพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วก็สาวเท้าออกจากห้องครัว เดินสำรวจจนทั่วบ้าน ขณะที่ใจของผมก็เริ่มระส่ำระส่าย คล้ายจะจับลางสังหรณ์ไม่ดีได้ เพราะไม่ใช่แค่อาหารบนโต๊ะ แต่ทั้งข้าวของในบ้านที่รก ยังถูกเก็บเข้าที่จนเป็นระเบียบเรียบร้อย เท่านั้น เท้าของผมก็มุ่งตรงไปยังประตูบ้านและผมก็ได้พบกับกระดาษเล็กๆ แปะเอาไว้ พร้อมข้อความบนกระดาษที่ว่า
กูให้คนมาช่วยเก็บกวาดบ้านให้แล้วนะ
มึงกินข้าวเสร็จ ก็ไปอาบน้ำเเต่งตัวแล้วออกไปเที่ยวข้างนอก
ไปในที่ๆ มึงอยากไปนะ
กูเตรียมเงินให้มึงแล้ว
ไปหยิบในลิ้นชักที่ชั้นวางโทรทัศน์ได้เลย
มีความสุขกับชีวิตใหม่นะ น้องชาย
จากพี่ดิวคนดีคนเดิม เพิ่มเติมคือกูรู้สึกตัวเองสวยมากเลยว่ะ
พลันคำพูดของไอ้พี่ดิวในความฝันก็วิ่งกลับมาเข้าหัวผมอย่างไว จนผมถึงกับมึนไปชั่วขณะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน
“ฮิว ฟังกูนะ ถึงสิ่งที่มึงรับรู้อยู่ตอนนี้ มันจะเป็นความฝัน แต่หลังจากมึงตื่นขึ้นมา ถึงมึงจะไม่มองไม่เห็นใครแล้ว แต่ขอให้มึงเชื่อว่าพวกเรายังอยู่กับมึง”
ถ้าวิเคราะห์จากคำพูดของมันแล้ว แปลว่าทั้งพ่อกับแม่ และพี่ดิวยังอยู่ พวกเขาอยู่กับผมจริงๆ แบบนั้นเหรอ ทั้งที่พวกเขาเสียชีวิตไปได้สิบปีแล้ว
ยิ่งคิด ภาพเหตุการณ์ในความฝันก็พรั่งพรูเข้ามาจนผมรู้สึกแน่นหน้าอก เริ่มปวดตัวขึ้นมาแล้วครับ จนสุดท้าย ผมก็ได้แต่ไล่ความคิดและความฝันทั้งหมดออกจากหัว ไหนๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ ผมก็ขอใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน ให้มันสบายใจก่อนตื่นก็แล้วกันครับ เดี๋ยวใกล้ตื่นเมื่อไหร่ผมก็หลุดจากความฝันบ้าๆ นี่เองล่ะวะ
ผมตัดสินใจจะกลับไว้ในห้องครัว โดยไม่ลืมที่จะเเวะไปที่ชั้นวางโทรทัศน์ตามคำบอกในกระดาษ พอเปิดลิ้นชักออก ผมก็เผลอเบิกตากว้าง เพราะเงินที่ไอ้พี่ดิวมันบอก ล้วนแต่เป็นแบงค์พันที่มัดรวมกันมาเป็นปึกๆ หลายปึกเสียด้วย ไม่พอครับ ผมแอบเปิดกระเป๋าเงินดู ก็ปรากฏบัตรเดบิต พร้อมกระดาษโน๊ตเล็กๆ ที่เขียนเอาไว้ว่า
ในนี้มีเงินอีกจำนวนหนึ่ง มึงเช็คจากแอพในมือถือได้เลย
ส่วนรหัสมือถือกับแอพ คือวันเดือนปีเกิดของกู
ถ้ามึงจำได้ก็ถือว่าทั้งหมดนี้เป็นของขวัญสำหรับมึง
แต่ถ้ามึงจำไม่ได้ก็ไม่ต้องเอา! ถือว่า กูลงโทษที่มึงไม่รักกู
และลืมเรื่องทุกอย่างของพี่ชายที่แสนดีอย่างกูไป
ผมอ้าปากค้าง ก็ดูไอ้พี่ดิวมันทำสิครับ จะให้ของขวัญหรือแกล้งผมกันแน่ นี่ขนาดในความฝันนะครับ
“โทษทีว่ะ เผอิญว่ากูเป็นน้องชายที่แสนดีมากพอ กูเลยจำทุกอย่างของมึงได้”
ผมยิ้มกว้าง หยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์รหัสลงไปและลองเข้าแอพธนาคารตามที่มันบอก คราวนี้ล่ะครับ ผมตาแทบจะถลนออกจากเบ้า เพราะจำนวนเงินในบัญชีกว่าเจ็ดหลัก
“มึงไปเอามาจากไหนเยอะแยะวะ”
ผมว่าอย่างอดไม่ได้ แต่ก็อึ้งกับจำนวนเงินได้เพียงเดี๋ยวเดียว ความคิดอันแสนประเสิรฐก็ผุดขึ้นในหัว
“ดี! กูจะใช้เงินซื้อความสุขให้เต็มที่ก็แล้วกัน ขอบคุณนะเว้ยพี่ดิว”
และผมก็เดินกลับเข้าครัวไปอย่างอารมณ์ดี พาตัวเองไปนั่งที่โต๊ะอาหาร จัดการกับทุกเมนูตรงหน้าจนอิ่มแปล้ หลังจากนั้น ก็กระดกน้ำพรวดๆ เข้าปาก
“ฮ้าาา อิ่มฉิบหายยย”
เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ผมกินอิ่มจนพุงกางเเบบนี้ หลังจากที่ใช้ชีวิตตามใจความขี้เกียจมากไปหน่อย แบบกินข้าวไม่ตรงเวลา อาศัยความหิวเป็นตัวนำทาง หรือแม้บางทีหิวนิดหน่อย ผมก็ปล่อยให้กระเพาะทนหิวจนลืมหิว
ในเมื่อกินอิ่มแล้ว ผมก็รีบตรงไปที่ห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปข้างนอกก็ขอดูดีหน่อยครับ และผมก็จะใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย
“เชี้ยยยย”
ผมชักเท้ากลับมาแทบไม่ทัน หลังจากเปิดประตูห้องนอนแล้วเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด จนต้องขยี้ตา กวาดสายตามองไปรอบห้องซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแน่ใจว่าที่อยู่ตรงหน้าและกำลังกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องผม มันคือสารพัดสัตว์จริงๆ
“พวกมึงเข้ามาได้ยังไงวะ!”
แวบหนึ่งที่ผมเห็นพวกมันหันไปมองหน้ากัน? เอ๊ะ หรือผมคิดไปเองวะ มันจะสื่อสารกันรู้เรื่องได้ไง ในเมื่อพวกมันแม่งต่างสายพันธุ์กันอะครับ ที่เห็นอยู่ตอนนี้ มันมีทั้งหมา แมว กระต่าย กระรอก นกแก้ว เม่นแคระ เต่า ที่แม่งมาเข้ามาจากรูไหนกันก็ไม่รู้ แถมมันยังหันมามองหน้าผมอย่างพร้อมเพรียง
จะรุมกัดกูหรือเปล่าวะ
“ฮะ…เฮ้ยๆๆ อย่าเข้ามานะเว้ย”
ผมถอยหลังทันที ที่จู่ๆ พวกมันก็ตรงดิ่งเข้ามาหาผมกันราวกับพวกมันมีเป้าหมายหนึ่งเดียวก็คือผม
“อะ…ออกไปนะเว้ย”
ผมสอดสายตามองหาอาวุธที่ใกล้มือที่สุด แต่เคราะห์ร้ายที่มีแค่หมอน มือไม้ผมรีบคว้าหมอนมาไว้ในมืออย่างหมดที่พึ่ง กระทั่งไอ้หมาไซต์บิ๊กมันเข้ามาประชิดตัวผมพร้อมกับแยกเขี้ยว เสียงคำรามของมันทำเอาผมสะดุ้ง กระโดดผลุงขึ้นไปนั่งยองๆ บนโซฟา
“จ๊ากกกกกกกกก”
ผมร้องลั่น ยกหมอนขึ้นมาบังหน้า เพราะจู่ๆ ไอ้หมาบ้ามันก็กระโจนเข้าใส่ จนผมได้แต่หลับตารอรับความเจ็บปวดเต็มที่ ในใจได้แต่ภาวนาให้ผมสะดุ้งตื่นจากฝันบ้านี่สักที
ทว่า…มันกลับหลงเหลือเพียงแค่ความเงียบ
จนผมชั่งใจและลดหมอนที่บังหน้าลง เห็นสารพัดสัตว์ทั้งเจ็ดตัว มันพากันมานั่งอยู่หน้าโซฟา มองผมตาแป๋วเลยครับ แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรต่อ เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น แบบที่ผมเหล่ตามองพวกสัตว์สักพัก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยขยับตัวออกจาโซฟา สลับกับสังเกตุอาการของกลุ่มสัตว์ตรงหน้าไปด้วย และพอเห็นว่ามันไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับ นอกจากมองตาม
ผมก็วิ่งสิครับ!
ผมพาร่างตัวเองออกมานอกบ้านและรีบปิดประตูด้วยความไวแสง จนหอบแหกๆ ปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากแบบลวกๆ ก็สมกับเป็นความฝันล่ะครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ
“ไอ้ฮิวโว้ย เปิดประตูให้กูก่อน กูร้อน!”
ผมหันไปมองหน้าประตู เห็นไอ้นิคโบกมือหยอยๆ อยู่หน้ารั้วบ้าน พร้อมกับไอ้เทมป์ ไอ้ภีม สงสัยเมื่อคืนอยู่ด้วยกัน พวกมันถึงได้มาเข้าฝันผมด้วย เพราะแบบนั้น ผมก็เลยเดินไปเปิดประตูให้พวกมันแบบไม่คิดอะไร แต่ที่น่าสงสัยคือ…
“แต่งตัวดูดีจังวะ จะพากันไปเที่ยวที่ไหน”
ผมมองสำรวจพวกมันแต่ละคน ที่แม่งเหมือนมีแสงออร่าเป็นประกายวิ้งค์ๆ อยู่รอบตัว ไอ้นิคแต่งตัวไสตล์คูลๆ แต่งดูมีเสน่ห์แบบที่ไม่เคยเห็น ไอ้เทมป์ถึงจะแต่งตัวแบบชิลๆ แต่ก็หล่อฉิบหาย ขณะที่ไอ้ภีม มันมาสไตล์คุณชายมาดเนี้ยบ ดูดีแบบลูกคุณหนู
ทั้งหมดทั้งมวลที่ไอ้ฮิวคนนี้ ตั้งแต่รู้จักมันมาสิบกว่าปี ไม่เคยแม้แต่จะเห็นมุมนี้ของพวกมันแม้แต่แวบเดียวเลยครับ และคิดว่าคงไม่มีทางได้เห็นในชีวิตจริงแน่นอน
แบบว่าจะเข้าฝันกูทั้งที ต้องดูดีขนาดนี้เลย
“มองอะไรพวกกูขนาดนั้นวะเพื่อน” ไอ้นิคหลุดขำกับท่าทางของผม
“แล้วมึงแต่งตัวอะไรวะ จะออกไปสภาพนี้จริงดิ” ไอ้เทมป์มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หรือว่ามึงลืมนัดของพวกเรา” ภีมมันหรี่ตามองผมอย่างจับพิรุธ
อยากบอกเหลือเกิน ว่าผมไม่ได้ลืม แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก
“อะ…เออ พอดีวันนี้กูตื่นสาย ก็เลยไม่ทันได้เปลี่ยนชุดว่ะ”
“เออๆ จะอะไรก็ช่าง มึงเปิดประตูให้พวกกูก่อนได้ไหมวะ ยืนตากแดดจนเปียกไปหมดแล้วกูเนี่ย”
ไอ้นิคเริ่มโวยวายให้ผมรีบเปิดประตูให้พวกมันเข้ามาข้างในบ้าน แต่เหมือนผมจะลืม…
“พวกมึงระวังนะเว้ย!”
ผมเข้าไปขวางหน้าพวกมันที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในหน้า จนพวกมันหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรของมึงวะ”
“คือข้างในมันมีไอ้พวกสัตว์อยู่เว้ย แม่งไม่รู้ว่าเข้ามาบ้านกูได้ไง เมื่อเช้ากูเพิ่งเกือบจะโดนมันกัดเนี่ย”
คราวนี้พวกมันหันไปมองหน้ากัน ก่อนจะกลับมามองหน้าผมด้วยสายตาที่กำลังด่าว่าผมโคตรไร้สาระ
“ตลกอะไรมึงครับ สัตว์พวกนั้น มึงก็เลี้ยงมาเป็นปีๆ แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ห้ะ!?”
งงเลยสิครับ กับคำพูดของไอ้เทมป์
“เออ อย่าบอกนะ ว่าเลี้ยงสัตว์เยอะเกินจนหลอนอะมึง ไหนมึงบอกว่ามันเชื่องนักเชื่องหนาไง”
ไอ้นิคสมทบจนผมหน้าเหวอยิ่งกว่าเดิม แบบที่เกือบจะโวยวายใส่หน้าพวกมันไปแล้ว หากผมไม่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองฝันอยู่
“อ่อ กูแค่หยอกเล่น ฮ่าๆ”
หัวเราะแก้เก้อไปเลยสิครับ สุดท้ายผมก็ยอมให้พวกมันเข้าไปในบ้าน ที่มีสารพัดสัตว์อยู่กันจนครบ แถมพวกแม่งยังเข้าไปเล่นกับสัตว์พวกนั้นแบบสนิทสนม สมกับคำพูดของมันที่บอกว่าผมเลี้ยงมาเป็นปีๆ แล้ว
“กูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะพวกมึง”
พวกมันพยักหน้าให้ผมอย่างพร้อมเพรียง ผมเลยไม่ได้สนใจอะไรต่อ เดินเข้าห้องนอนของตัวเองและจัดการถอดเสื้อผ้า นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไปที่หน้าห้องนน้ำ หมายจะเข้าไปอาบน้ำเสียหน่อย หลังจากทำตัวขี้เกียจไม่ยอมอาบน้ำเมื่อเช้า ด้วยข้ออ้างที่ว่าไม่ได้ออกไปไหน จนตอนนี้เริ่มเหนียวตัวหมดแล้วครับ
แกร๊กๆ
ผมชะงัก เมื่อลูกบิดประตูมันล็อคอยู่ ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะผมอยู่คนเดียว
แกร๊กๆๆ
ผมลองบิดลูกบิดอีกหลายสิบรอบ แต่ก็พบว่ามันเปิดไม่ได้สักที จนคิดไปว่าหรือประตูห้องน้ำจะเสีย กระทั่ง…
“เฮ้ย!”
ผมอ้าปากค้าง เมื่อจู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกเอง ก่อนจะปรากฏร่างผู้ชายคนหนึ่ง ที่โคตรจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย แถมมันยังนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว เนื้อตัวก็ยังมีหยดน้ำเกาะประปราย แถมผมยังไม่แห้งสนิท เหมือนคนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ
“มึงเป็นใครวะ มึงเข้ามาในนี้ได้ยังไง!”
มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหันมาสบตากับผม แล้วมันก็ยิ้มมุมปาก พร้อมสีหน้าและท่าทางที่โคตรจะกวนประสาตเลยเหอะ
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
“ครับพ่อมึงสิ มึงเป็นใคร! เข้ามาอยู่ในห้องกูได้ยังไงห้ะ!”
ผมเริ่มกลัวๆ ขึ้นมาแล้วนะครับ สายตามันโครตรไม่น่าไว้ใจอะ แล้วดูมัน ผมตะคอกใส่ไปขนาดนั้น ยังมีหน้ามายืนยิ้มอยู่ได้ มันบ้าป่ะวะ
“จะเอาคำถามไหนก่อนดีล่ะครับ ผมเป็นใครหรือว่าผมเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
มันว่าแบบไม่สะทกสะท้าน ให้ผมเม้มปากแน่น เริ่มจะหมดความอดทนกับไอ้นี่ขึ้นมาแล้วนะ
“โอเคๆ ผมไม่กวนแล้วก็ได้ครับ”
มันยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้
“จริงๆ ไม่ว่าจะคำถามไหน ก็ใช้คำตอบเดียวกัน”
มันสบตาผมอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่ผมได้แต่มองมันอย่างหงุดงหงิด แม่ง จะตอบก็รีบตอบมาสิโว้ย
“ผมเป็นสามีของคุณไงครับ ถึงได้เข้ามาอยู่ที่นี่ได้…”
“ห้ะ!”
เหวอแดกครับ ณ จุดนี้ ผมมองเท้าสะเอวจ้องหน้ามันกลับ
“มึงพูดเชี้ยอะไรของมึง! แฟนกูยังไม่มีเลยเว้ย ไม่มีแม้แต่คนคุยด้วยซ้ำ! แล้วมึงจะมาเป็นสามีกูได้ยังไง!!”
คราวนี้มันหัวเราะออกมา จนผมเผลอชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ ให้มันเห็นว่าความอดทนผมขาดหมดแล้วนะเว้ย!
“อะไรกันครับ ผมอุตส่าห์เข้ามาถึงในบ้านคุณได้ แถมเมื่อคืนยังเร่าร้อนขนาดนั้น หรือคุณจะบอกว่าที่ทำไปเมื่อคืน คุณเห็นผมเป็นคู่นอนเองหรือครับ”
เชี้ยๆๆๆๆ ในหัวของผมแม่งมีแต่ตัวเหี้ยวิ่งเต็มไปหมดแล้วครับ มันพูดบ้าพูดบออะไรวะ ยิ่งกว่าสามี แม่ง คู่นอนเลยเหรอวะ
“เมื่อคืนกูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นโว้ยยย”
ผมร้องใส่หน้ามันไปที จนมันหุบยิ้มและมองสำรวจผมอยู่สักพัก แล้วดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้นมาของมันก็จ้องเข้ามาในตาจนผมสะดุ้ง
“อะไร! มึงไม่ต้องมองแบบนั้น ออกไปจากบ้านกูเลยนะโว้ยยย”
“คิดเหรอว่าผมจะปล่อยให้คุณลืมเรื่องระหว่างเราได้ง่ายๆ”
คราวนี้ผมถึงกับผงะ ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดของมัน แต่เพราะการกระทำ ที่จู่ๆ มันก็ดึงผ้าเช็ดตัวของมันออก เหลือร่างกายเปล่าเปลือยของมัน แต่เรื่องอะไรผมจะยอมล่ะครับ ร่างกายมันมียังไง ผมก็มีเหมือนกันล่ะวะ ก็แค่ร่างกายของมนุษย์ทั่วไป ถ้าคิดว่าแค่นี้จะทำให้คนอย่างไอ้ฮิวกลัวได้ มันคิดผิดล่ะครับ
“ออกไป!!”
ผมชี้ไปทางประตูห้องนอน ถลึงตามองหน้ามัน อย่างต้องการให้มันรู้ว่าผมไม่ได้กลัว
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น”
มันปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ คงคิดว่าผมจะกลัวจนต้องถอยให้มันเหรอครับ ฝันไปเหอะ!
“งั้นมึงก็เลือกเอาว่าจะหัวแตกออกไปหรือจะให้ตำรวจพาตัวมึงออกไป”
ผมมองมันอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า ทว่า…สักพักมันก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทั้งเจ้าเล่ห์และโคตรจะโรคจิตเลยครับ
“ขอบคุณนะครับ ที่ให้ทางเลือกกับผม แต่ว่ากับคุณ…ผมคงไม่มีทางเลือกให้”
“เชี้ยยยย”
ผมร้องเสียงหลง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมรู้สึกตัวอีกที มันก็ดึงผมเข้ามาในห้องน้ำ พร้อมจับแขนผมทั้งสองข้างแนบไปกับผนังห้องน้ำแล้ว
“ปล่อยกูนะเว้ย!”
“คุณพยศกับผมเองนะครับ”
ผมเบี่ยงหน้าหลบ ใบหน้าของมันที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนลมหายใจของมันรดลงที่แก้ม กระทั่งริมฝีปากร้อนของมันแนบลงกับแก้มของผมช้าๆ จนความรู้สึกข้างในของผมมันเริ่มจะพุ่งพล่าน พยายามคิดว่าผมจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ยังไงดี
“ปล่อย…ปล่อยกู”
ผมรับรู้ได้แค่ว่าเสียงผมมันเริ่มสั่น ด้วยความกลัวที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจ ขณะที่อีกฝ่ายมันยังใช้ริมฝีปากหยอกล้อกับใบหน้าของผมไม่เลิก กระทั่งปากของมันค่อยงับเข้าที่หูของผม ทำเอาผมสะดุ้ง สติที่พยายามประคับประคองอยู่ตอนนี้เริ่มเลือนหายไปช้าๆ
“ปล่อย…”
ผมว่าแบบนั้นซ้ำๆ จนไม่แน่ใจว่าพูดกับมันไปกี่ครั้งแล้ว แต่ทุกสัมผัสที่มันกำลังมอบให้ มันทำให้ร่างกายของผมอ่อนลงไปทุกที อย่างไม่รู้และไม่แน่ใจถึงสาเหตุที่ร่างกายของผมเป็นแบบนี้ รู้แต่ว่าตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ข้างใน อาการเหมือนไข้จะจับยังไงก็ไม่รู้
“เป็นเด็กดี แล้วจะสบายเองนะครับ”
มันกระซิบบอก ก่อนที่แขนของผมจะถูกจับไปคล้องคอ อย่างที่ไม่รู้ว่าผ้าเช็ดตัวของผมมันหลุดไปตั้งแต่ตอนไหน ให้เนื้อหนังของผมสัมผัสเข้ากับทุกสัดส่วนของมันอย่างแนบชิด…จนผมรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา
ก่อนที่มันจะประกบจูบผมด้วยความเร็ว มือข้างหนึ่งพยายามดันปากของผมให้เปิดออก ขณะที่ลิ้นร้อนโลมเลียไปทั่วริมฝีปากราวกับบังคับให้มันอ่อนลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายผมก็อดทนไม่ไหว เผลออ้าปากให้มันไป เท่านั้น ลิ้นร้อนก็แทรกเข้ามาเล่นกับลิ้นของผมทันที มันค่อยดูดดุนลิ้นของผมเป็นระยะๆ เพื่อเว้นให้ผมมีจังหวะได้ตอบกลับ
มือใหญ่ขยับเค้นคลึงสะโพกของผมไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะขยับมาด้านหน้า ไล้มือไปตามสัดส่วนที่กำลังสงบนิ่ง จนผมเริ่มสั่นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ มันทำแบบนั้น จนความร้อนมันเริ่มลามไปทั่วร่างกายของผม ผมเหมือนจะหายใจไม่ออกไปทุกที ยิ่งมันเน้นย้ำที่ส่วนนั้นเท่าไหร่ ผมยิ่งเกร็งตัวอย่างอดไม่ได้ และก่อนที่ผมจะหมดความอดทนลงจริงๆ
…ผมขอภาวนาให้ตัวเองรีบตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่ ก่อนที่มันจะมีอะไรถลำลึกมากไปกว่านี้