ความรู้สึกที่ 4 ทั้งเหงาทั้งอิจฉาผมแบกร่างที่เมาเกือบไม่ได้สติของพี่เตอร์ออกมารอเพื่อนของพี่แกที่กำลังจะมารับ
“มันวันศุกร์ก็จริง แต่ถ้าจะเมาขนาดนี้ก็เกินไปนะพี่” บ่นคนเมาไปที ก็ถอนหายใจยาว
ผมมองไปที่ถนน มีรถวิ่งแน่นถนนแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้วก็ตาม สมกับเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลจริงๆ วันนี้เป็นวันศุกร์บางคนก็คงจะมาคลายเครียดเหมือนอย่างพวกเขา เวลาผ่านไปไม่นานพี่ทีเพื่อนของพี่เตอร์ก็มาถึง รถเก๋งสีดำเข้ามาจอดตรงหน้า แล้วพี่ทีก็เดินลงจากรถมาตรงมาหา
“ขอบใจๆ แล้วทำไมมึงถึงเมาอย่างหมาเลยว่ะเนี่ย”พี่ทีเข้ามาช่วยประคองร่างของพี่เตอร์ “เดี่ยวเอามันไว้หลังเลย” ผมกับพี่ทีจึงช่วยกันหอบร่างเข้าประตูหลังไปอย่างทุลักทุเล
“แล้วรถพี่เตอร์ล่ะครับ”
“ก็ทิ้งไว้นี่ล่ะ ไม่เป็นไรหรอก กุญแจกับของอยู่ที่มันใช่ไหม”
“อ่อ ของทั้งหมด...นี่ครับ” ผมส่งกระเป๋าสะพายของพี่เตอร์ให้พี่ที
“เอ้อๆ ขอบใจ แล้วนี่กลับยังไงล่ะ”
“ผมขับรถมาครับ”
“โอเค งั้นเดี่ยวพี่ไปล่ะ แม่งภาระจริงๆเพื่อนเวรนี่”
“ครับ ขับรถปลอดภัยครับ” ผมรอจนรถหายไปจากสายตา จึงเดินไปทางลานจอดรถเพื่อขับรถตัวเองกลับที่พัก มองหารถตัวเองสายตาก็ไปสะดุดกับคนที่คล้าย ๆ ว่าอาจจะรู้จัก นั่นมันคุณเลขาของ... ทำไมถึงมาเจอกันที่นี้ได้นะ ก็คงจะมาสังสรรคืกับเพื่อนนั่นแหละ ทางฝั่งคุณเลขาเหมือนว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ ท่าทางมองซ้ายมองขวา แล้วก้มหน้าโทรหาใครสักคน แล้วเหมือนว่าปลายสายจะไม่สามารถติดต่อได้ แล้วก็เงยหน้ามองซ้ายมองขวาเช่นเดิม ถึงจะเจอกันตอนสัมภาษณ์แต่ผมก็ไม่ได้รู้จักเขาขนาดจะทักทายได้ แต่พอกำลังจะเดินหนีทางนั้นก็บังเอิญหันมาเห็นผมพอดี ผมเลยต้องเข้าไปช่วยเพราะในภายภาคหน้าอาจจะต้องทำงานร่วมกันก็ได้ จึงเพราะเขาเห็นผมแล้ว ถ้าผมไม่แสดงน้ำใจ ผมก็คงดูไม่ดี
“มีอะไรให้ช่วยหรือปล่าวครับ?”
“อ้ะ คุณพนักงานบริษัททรีตเตอร์นี่เอง ก็ว่าหน้าคุ้น ๆ” คุณเลขาเป็นชายอายุพอๆกับเขา ดูเป็นคนสุภาพ หน้าตาจัดได้ว่าดีไม่น้อยหน้าเจ้านายของตัวเอง แต่ถ้ายืนคู่กันสาว ๆ ก็คงเทไปอีกทางมากกว่า
“อ่า ครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผมแค่ติดต่อเพื่อนไม่ได้เท่านั้น แต่รออีกสักพักน่าจะมาแล้ว”
“อ่อ โอเคครับ งั้นผมไปก่อนนะ กลับบ้านดี ๆ นะครับ” ผมยิ้มให้ตามมารยาทแล้วเดินออกมา ทางนั้นไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ ไปช่วยจะกลายเป็นสอดเรื่องคนอื่นมากกว่า อีกฝ่ายกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ผมเข้ามานั่งในรถตัวเอง กดเช็กมือถือ ข้อความคนที่บ้านส่งมาตั้งแต่หัวค่ำ ถึงจะเห็นแล้วแต่ตอนนั้นผมไม่ได้เปิดอ่านเพราะรู้สึกขี้เกียจคุย ข้อความก็บอกเพียงว่าเสาร์อาทิตย์นี้ให้กลับบ้าน
ผมไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย และก็อยู่คนเดียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งทำงาน แต่ก็จะแวะกลับบ้านบ้าง ไปให้พ่อแม่พี่น้องเห็นหน้าบ้างในช่วงวันหยุด อาจจะเดือนล่ะครั้งสองครั้ง แต่นี่ก็เกือบจะสองเดือนแล้วที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลย เผลอถอนหายใจเมื่อนึกถึงภาพตัวเองนั่งร่วมรับประทานอาหารกับที่บ้าน แค่คิดก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ยิ่งถ้ามีข้อความตามแบบนี้ คงจะได้เจอแบบครบองค์ประชุมแน่นอน ผมเก็บโทรศัทพ์และเริ่มขับรถกลับคอนโดของตัวเอง ระหว่างที่ขับรถออกจากลานจอดรถ มันต้องผ่านจุดของคุณเลา ซึ่งเขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม อาจจะเป็นเพราะมีจิตสำนึกที่ดี แม้เขาจะไม่รู้ว่านี่คือรถของผม เพราะฟิลม์มันมืด แต่ผมก็ลดกระจกเพื่อถามอีกฝ่าย
“เพื่อนคุณยังไม่มาหรอครับ”
“อ่า ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย” ท่าทางร้อนรนของอีกฝ่าย ทำให้ผมตัดสินใจถามไปอีกรอบ
“ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอโทษนะครับ ผมรบกวนคุณช่วยไปส่งผมที่คอนโด...”เมื่อได้ยินชื่อคอนโดจากปากของอีกฝ่าย ผมก็แปลกใจเล็กน้อย
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา ผมก็กำลังไปที่นั้นเหมือนกัน”
“อ่อ ดีเลย งั้นต้องรบกวนด้วยนะครับ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ขึ้นมาเลย” ผมออกรถทันทีที่พอคุณเลขาขึ้นรถมา
“ขอบคุณมากเลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็คนพอรู้จักกัน แล้วคุณเลขาพักอยู่ที่คอนโดนี้หรอครับ?”
“อ่อ เปล่าครับ ไม่ใช่ผมเป็นเจ้านายผมครับ” ผมหันไปมองคนพูดอย่างตกใจ อ้าว งั้นหรอเนี่ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยแฮะ “แล้วคุณตินล่ะครับ ก็อยู่คอนโดนี้หรือครับ?” ผมไม่แปลกใจที่เขารู้จักผม เพราะตอนผมแนะนำตัวเขาก็อยู่ด้วย
“ใช่แล้วครับ” หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกัน จนถึงคอนโด ผมเข้าไปจอดที่ช่องจอดของผม ซึ่งข้าง ๆ มีรถแบรนด์ยุโรปสีขาวจอดอยู่ข้าง ๆ เนื่องจากลิฟท์ที่ให้บริการแก่ลูกบ้านในส่วนของลานจอดรถ เป็นลิฟท์ส่วนตัวการทำงานของลิฟท์จึงส่วนตัวแบบสุด ๆ คือ ไม่สามารใช้บริการหลายชั้นพร้อมกันได้ จะเป็นการใช้งานชั้นล่ะรอบเท่านั้น แต่ก็มีลิฟท์ให้บริการสองตัว จึงไม่มีปัญหาในการรอ ผมสังเกตเห็นว่าคุณเลขากดชั้นVIP ซึ่งเจ้าของชั้นจะต้องกดอนุญาตลิฟท์จึงจะสามารถลงมารับ หรือว่ามีคีย์การ์ดจึงจะสามารถขึ้นไปได้ เราเอ่ยลากันหน้าลิฟท์ ผมก็แยกไปขึ้นลิฟท์อีกตัว
เมื่อถึงห้องอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ผมก็มานั่งหานิยายอ่านก่อนจะนอน การอ่านหนังสือ และการนอนสำหรับผมเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด อ่านไปได้สักพัก ก็คิดได้ว่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ทำให้ผมนึกถึงฉากที่นิยายทุกเรื่องต้องมี นั้นคือความบังเอิญที่มาพร้อมกับพรหมลิขิตของเหล่าตัวเอก สำหรับเรื่องที่คุณนักลงทุนคนนั้นอาศัยอยู่บนหัวผม ก็คือเรื่องบังเอิญที่ผมว้าวสุด ๆ มันบังเอิญมากจริง ๆ อีกทั้งช่วงนี้เราพบเจอกันบ่อย ๆ แต่นั้นก็เพราะบริษัทของผมกับเขาทำงานร่วมกันมันเลยไม่ค่อยแปลกถ้าเราจะพอเจอกันบ่อยขึ้น
“หวังว่าความบังเอิญเหล่านี้คงไม่ได้มีส่วนให้ชีวิตผมลำบากมากขึ้นหรอกนะ”
…..
ผมตื่นมาในตอนเช้า เย็นวันนี้ผมมีนัดกินข้าวกับที่บ้าน ในช่วงกลางวันผมจึงเก็บเกี่ยวเวลาแห่งความสุขในการอ่านหนังสือ อ่านนิยายของผมอย่างหวงแหนต่อไป แต่แล้วช่วงบ่ายก็มีสายจากคนในบริษัท
“ฮัลโหลครับ ว่าไงครับพี่บี”พี่บีเลขาของผู้จัดการนั่นเอง
“ติน พี่มีเรื่องรบกวนหน่อยจ้า ตินว่างคุยไหม” ไม่ว่างครับ
“ว่างครับ เรื่องอะไรหรอครับพี่” แต่ความเป็นจริงมันจะตอบแบบที่อยากตอบได้อย่างไง
“พอดีคุณจีน่าอยากได้ข้อมูลทีมซัพพลายเออร์ของบริษัทA น่ะ” จีน่า? ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรบ้างอย่าง
“ผมส่งข้อมูลเกี่ยวกับโปรเจ็คนั้นให้ผู้จัดการไปแล้วนะครับ ข้อมูลนั้นก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”
“คุณเมษไปต่างจัดหวัด ไม่สะดวกส่งข้อมูลให้คุณจีน่า เลยให้มาขอทางตินแทนน่ะจ้ะ”เสียงพี่บีเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ
“คุณจีน่าต้องการใช่ไหมครับ งั้นก็ให้คุณจีน่าติดต่อที่ผมมาเองนะครับ”
“เอ่อ แต่ตินจ้ะ...”
“แค่บอกคุณจีน่าตามที่ผมบอกครับ พี่บีไม่โดนอะไรหรอก” ผมรู้ว่าเธอกลัวอะไรจึงได้บอกไปว่าผมเป็นคนพูดเอง
“อะ งั้นหรอ โอเคจ้ะ งั้นแค่นี้นะติน” พี่บีวางสายไปแล้ว ข้อมูลที่ทางนั้นต้องการเป็นข้อมูลของโปรเจ็คเก่าที่ผมโดนเคลมไป
ผมพึ่งเริ่มทำงานที่บริษัทนี้ได้ไม่นานนัก ยังไม่ถึงปี มีหลายๆจุด หลายๆอย่างที่ผมอยากจะลาออก แล้วไปทำงานที่อื่นซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ต้องยอมรับว่าบริษัตทรีตเตอร์เป็นบริษัทอสังหาฯอันดับต้น ๆ ของประเทศ และยังติดอันดับห้าสิบอันดับบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในโลก สวัสดิการก็ดี ใครๆ ต่างต้องการมายืนในที่ของผม อีกอย่างถ้าผมออกจากที่นี้ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าที่ใหม่มันจะดีกว่านี้ มันอาจจะดีกว่า หรือแย่กว่าก็ได้ ผมก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะลองพยายามให้ถึงที่สุดก่อน เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ตัวเอง แต่ถ้าความพยายามของผมมันวนอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ ผมก็คงต้องมอบโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ความพยายามในเหตุการณ์ใหม่ ๆ บ้าง
ผมไม่เคยเชื่อประโยคที่บอกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น หากเราใช้ความพยายามผิดที่ผิดทางมันก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก อย่างเช่นเรื่องการโดนแย่งงาน อาจจะเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรก ผมจึงยังพยายามที่จะทำผลงานให้ดีขึ้นกว่าเก่า แต่ถ้ามันยังคงมีเหตุการณ์แบบนี้อีกสองครั้ง ผมคงพอกับบริษัทนี้จริง ๆ เพราะต่อให้ผมพยายามขนาดไหน ทำดีกว่าคนอื่นขนาดไหน ผลงานเข้าตาขนาดไหน ผมก็ไม่สามารถรักษางานของผมไว้ได้ มันหมายถึงผมควรพอ ไม่ควรเอาเวลามาลงกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์ และบริษัทนี้ก็ไม่คู่ควรกับความพยายาม และผลงานของผม
เพราะผมรู้ดีว่าความพยายามของผมมันไม่สามารถชนะคำว่าชนชั้นได้ โดยเฉพาะบริษัทนี้ แต่เอาเถอะรอให้เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นแล้วต่อยว่ากัน ทุกวันนี้ผมแค่พยายามให้ชีวิตตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว
แล้วเวลาที่ผมต้องกลับบ้าน เพื่อไปกินข้าวพบปะครอบครัวก็มาถึง ผมกะเวลาออกจากห้องให้พอดีกับช่วงเวลากินข้าวกับครอบครัว เพื่อจะได้ไม่ต้องไปสนทนากันเยอะแยะ ไปถึงก็กินข้าวเลย เมื่อผมมาถึงจึงมีคนนั่งรอรับประทานอาหารแล้ว
“ไง จำทางกลับบ้านได้แล้วหรอ” ผมหันไปมองพี่พิมเจ้าของเสียงหวาน แล้วก็นั่งเก้าอี้ข้าง ๆ กัน
“ก็เกือบลืมไปเหมือนกันครับ”ผมว่านิ่ง ๆ
“จ้ะ!! นี่ถ้าไม่ตาม ก็คงไม่โผล่หน้ามาให้เห็นหรอกมั้งเนี่ย” พี่พิมพูดอย่างน้อยใจ
“ช่วงนี้งานเยอะครับ แล้วพี่พิมเป็นอย่างไงบ้าง”
“ก็ตามที่เห็น สบายดี แต่แกดูผอมลงนะ งานหนักมากเลยหรอ”
“ก็ไม่หนักขนาดนั้นหรอก”
“ไม่คอยได้กินข้าวหรอ เนี่ยเห็นไหมบอกแล้วให้กลับมาอยู่บ้าน อย่างน้อยก็มีคนดูแลเรื่องปากท้องให้”
“ผมก็กินครบสามมื้อนะ แต่มันไม่อ้วนเอง”
“งั้นว่าง ๆ ไปตรวจสุขภาพบ้าง”
“ครับ” ผมและพี่พิมหยุดสนทนากัน เพราะพ่อและแม่มาถึงโต๊ะอาหารแล้ว
“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“อื้ม ก็ดี”พ่อทัศน์ขานตอบ “แล้วแกละ ลาออกหรือยัง”
“...”สิ้นสุดประโยคคำถามของพ่อทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบ
“มาๆ กินข้าวกันดีกว่า” เพราะเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีแม่พุฒจึงเอ่ยทำลายความเงียบ จากนั้นทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหาร บ้านผมจะไม่นิยมให้คุยกันระหว่างรับประทานอาหาร จะคุยกันก็หลังทานเสร็จ ระหว่างที่ทานอาหารกันก็มีเสียงโวยวายดังเข้ามาภายในบ้าน
“พี่ตินนนนนน” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมกับร่างบางของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาหน้าหล่อเหลาก็วิ่งเข้ามาหาผม แต่เมื่อเห็นทุกคนกำลังกินข้าว เจ้าตัวจึงเงียบเสียงลงและยิ้มกว้างมานั่งข้างผมแทน
“วันนี้ผมขอนั่งตรงนี้นะ”ผู้มาใหม่เอ่ยบอกกับพ่อและแม่ก่อนจะนั่งลงข้างผมโดยไม่รอคำอนุญาต จากนั้นก็รีบทานข้าวจนเหมือนว่าได้กินอาหารมื้อแรกในชีวิต
ผมกินเสร็จเป็นคนแรก เพราะไม่ค่อยอยากอาหารนัก และตามมาติด ๆ ด้วยชายหนุ่มในชุดนักศึกษา ทันทีที่กินเสร้จร่างบางก็หันหน้ามายิ้มกว้างให้ผมก่อนจะกอดเอวและซุกหน้าถูไปมาที่ไหล่
“พี่ติน ไม่เจอตั้งนาน ผมคิดถึง”ผมมองน้องชายที่แสนจะขี้อ้อน เอามือดันอีกฝ่ายออกเล็กน้อย
“ปล่อยได้แล้ว เสียมารยาทคนอื่นทานข้าวอยู่นะ”ผมพูดเบา ๆ
“ก็คนมันคิดถึงไม่เจอตั้งสองเดือน จะไปหาพี่ก็ไม่ให้ไป” ร่างบางงอนอย่างน่ารัก คุณเป็นเด็กผู้ชายที่หล่อและน่ารักในเวลาเดียวกัน ท่าทางราวกับคุณชายน้อยทำอะไรก็ดูน่าเอ็นดูไปซะหมดในสายตาคนอื่นน่ะนะ
“เวลาพี่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายเดือนกลับมาคุณไม่เห็นอ้อนพี่แบบนี้บ้างเลย น่าน้อยใจจัง”พี่พิมเช็ดปาก แล้วเท้าคางมองมาที่ผมและคุณ
“ก็นาน ๆทีผมจะได้เจอพี่ติน พี่พิมเจอทุกวันจนเบื่อแล้ว”
“นี่กล้าเบื่อพี่เลยหรอห้ะเรา”
“อ้ะ ล้อเล่นครับ ล้อเล่น ไม่เบื่อๆ ใครจะกล้าเบื่อคนสวยที่สุดของบ้านกัน”
“อ้าว แล้วแม่ล่ะ แม่ไม่สวยหรอ” แม่แหย่ขึ้นมา
“แม่พุฒก็สวยที่สุดในบ้านเหมือนกันครับ”
“แล้วไป ไม่งั้นคุณอาจจะอดได้รถที่ไปดูกับคุณแม่ซะแล้ว”
“อ๊า รถ! ขอบคุณครับ! คุณแม่ดีที่สุด” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปกอดแม่ที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กคนนี้นี่” แล้วเสียงหัวเราะของสาวทั้งสองคนในบ้านก็ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้น คุณเล่าเรื่องที่มหาลัยของตัวเอง เล่าถึงเหตุการณ์ตลกๆในคณะ ซึ่งคุณเรียนคณะวิดศวะ พี่พิม และแม่นั่งฟังไปหัวเราะไป บางครั้งพ่อก็พยักหน้าเห็นด้วย บางครั้งก็ยิ้ม ผมมองดูภาพตรงหน้าราวกับคนนอก รู้สึกเหมือนว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเรา ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะย้ายสายตามาพิจารณาอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง กับข้าวสี่ห้าอย่าง มีปลาทอดสมุนไพรเมนูโปรดของพี่พิม แกงส้มของโปรดคุณพ่อ เป็ดคลุกซอสของคุณแม่ แกงมัสมั่นไก่ของโปรดของคุณ และผัดผักกุ้ง... ที่ไม่ใช่ของโปรดผมแน่นอน และที่สำคัญผมแพ้กุ้ง? ผมละสายตาและหยิบเครื่องดื่มที่เป็นน้ำสมุนไพรมาจ่อที่ปาก คิ้วขมวดเล็กน้อย แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ผมยกดื่มเล็กน้อยก่อนจะวางแก้วลงที่เดิม มันคือน้ำเก็กฮวย และผมก็โคตรเกลียดน้ำเก็กฮวย ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“พี่ตินครับ พี่พิมบอกว่าพี่งานหนักจนไม่มีเวลากินข้าว แล้ววันนี้กินไปแค่นั้นอิ่มหรอ นี่แม่ให้ทำของโปรดพี่ด้วยนะ”
“ของโปรดของตินหรอ? พี่ก็เห็นตินโปรดไปซะทุกอย่างนะ”พี่พิมว่า คิ้วผมกระตุกเล็กน้อย
“ก็แกงมันสมั่นไง พี่ตินชอบเหมือนผมนะ เห็นพี่ตินทานตลอดเลย”ก็จริงอย่างที่คุณบอก ผมจะกินมันทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน มันก็พอจะกินได้ แล้วผมจะได้กินเฉพาะเวลาได้ทานข้าวกับครอบครัวเพราะผมไม่เคยคิดที่จะกินแกงนี้ที่อื่นเลย
ผมยิ้มให้กับความเข้าใจผิด และก็ไม่ได้คิดจะแก้ไขอะไร
“เดี่ยวผมจะกลับแล้วนะครับ” ผมลุกขึ้นและบอกลาทุกคน
“อ้าว จะกลับแล้วหรอ นี่ก็ดึกแล้วพี่ไม่นอนนี่หรอครับ”
“ไม่ดึกมากหรอกกลับได้” ผมว่า
“แต่...”
“พรุ่งนี้มีประชุมด่วนน่ะครับ”ผมโกหกไป เพราะไม่อยากค้างที่บ้านจริง ๆ
“ผมยังไม่หายคิดถึงพี่ตินเลย”คุณทำหน้าเศร้า ๆ “ผมไปหาพี่ตินที่คอนโดบ้างได้ไหม”
“อย่าเลยพี่ไม่ค่อยได้อยู่ห้องน่ะ”
“อ่า ครับไม่เป็นไร”
“แกนี่ก็ทำไมเย็นชากับน้องจังเลย”แม่ว่าขึ้นมา ผมมองหน้าหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาคล้ายผมถึงสามส่วน ก่อนจะหันมองพ่อที่กำลัมองผมอย่างไม่ค่อยจะพอใจเช่นกัน หน้าของผมนั้นคล้ายกับพ่อมากราวกับถอดกันออกมา หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ก็คงเป็นลูกจริง ๆ แหละ?
“นั่นสิ” พี่พิมพูดเสริม
“มันไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องไปรั้ง ลูกนอกคอก”พ่อพูดขึ้นนิ่ง ๆ ผมยิ้มให้ก่อนกล่าวลากับทุกคนอีกรอบ กำลังจะออกจากบ้านแม่ก็เอ่ยขึ้นมา
“คอนโดนั้นเดี๋ยวคุณก็ต้องย้ายไปอยู่นะ เพราะมันใกล้กับมหาลัยน้อง น้องจะได้เดินทางสะดวก”
“อะ ผมอยู่บ้านก็ได้ครับแม่ มันไม่ลำบาก...”คุณเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ
“บ้านกับมหาลัยไกลกันขนาดนี้ มั่วแต่เสียเวลาเดินทาง อยู่คอนโดนั้นแหละลูกใกล้ ๆ คุณจะได้ไม่เหนื่อยไง“แม่เอ่ยกับคุณ
“แล้วพี่ติน...”
“ได้ครับ ผมย้ายคอนโดมาสักพักแล้ว”ผมนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมทำเรื่องย้ายคอนโดตั้งแต่ที่เรียนจบ
“แล้วทำไมไม่รีบบอกจะได้ให้น้องย้ายไปอยู่ตั้งนานแล้ว”
“ขอโทษครับพอดีไม่มีใครถามผมเลยไม่ได้บอก”
“เอ๊ะ แกนี่!” แม่ทำท่าจะพูดต่อ แต่ผมก็สวนขึ้นมาก่อน
“งั้นผมลาแล้วครับเดี่ยวมันจะดึกกว่านี้ สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่พิม พี่ไปก่อนนะคุณ” ผมขับรถออกจากบ้าน และตรงกับที่พักทันที่ ผมส่ายหัวเบา ๆ อย่างปลง ๆ เพราะนี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่ผมเจอ ดังนั้น ผมก็ควรจะชินกับมันได้แล้ว
ควรจะชินได้แล้ว...
แต่ทำไมมันถึงไม่ชินสักที หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น
ผมกลับมาถึงคอนโด ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ๆ ผมตัดสินใจยกแม็คบุ๊คไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟร้านประจำใกล้ ๆ บริษัท ก็ไม่เชิงว่าทำงาน แต่แค่อยากหาอะไรทำแต่ไม่ได้อยากทำอยู่ที่ห้องมากกว่า
ผมเลือกที่นั่งที่ประจำ สามารถมองเห็นถนนที่มีรถวิ่งไปมาได้ คนในร้านมีไม่มาก แต่ก็พอมี เนื่องจากเป็นร้านที่เปิด 24 ชั่วโมง และอยู่ในย่านที่มีบริษัทน้อยใหญ่มากมาย และมหาวิทยาลัยใหญ่ จึงมีคนมาใช้บริการตลอด แต่บริเวณที่ผมนั่งเป็นโซน VIP จึงไม่ได้มีคนมาใช้บริการส่วนนี้มากนัก ผมไม่ได้เปิดเพลงเพราะมีเพลงของร้านที่เข้ากับเทสต์ของผมอยู่แล้ว ผมเปิดแม็กบุ๊ค แต่ก็มองออกไปทางท้องถนนแทน ในหัวก็คิดอะไรไปทั่ว ผมคิดว่ามันจะมีคนที่นั่งมองอะไรแบบนี้เหมือนผมไหม แล้วชีวิตของเขามีปัญหาหรือเปล่า เขาหาทางแก้ไขมันได้ไหม เขาสบายใจขึ้นได้ยังไง เขามีวิธีอะไรจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เขาเหงาบ้างไหม เหงาทั้ง ๆ ที่มีผู้คนอยู่รอบตัวมากมาย
ในขณะที่ผมกำลังนั่งเหม่อมองถนน ผมเห็นผู้หญิงคนนึงที่กำลังเดินอยู่ริมถนน เดาว่ากำลังกลับบ้าน เธอแบกกระเป๋าและของเต็มมือ ดูเหนื่อยล้ามาก เธอเดินมานั่งตรงจุดรอรถโดยสารและมองเหม่อไปที่ถนนเหมือนผมก่อนหน้านี้ ท่าทางแบบนั้นผมเหมือนเห็นตัวเอง ทำให้ผมรู้ว่าทุกคนก็คงมีปัญหาของตัวเอง แล้วอยู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นปัญหาอะไรถึงทำให้คน ๆ นึงร้องไห้ได้โดยที่มีคนอยู่รอบกายมากขนาดนั้น เธอไม่ได้ปล่อยโฮ เธอร้องออกมาแบบไม่มีเสียง แต่ผ่านไปไม่นานก็มีผู้ชายเดินลงจากรถและวิ่งเข้ามากอด ทันทีที่เข้าสู่อ้อมกอดผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อยโฮออกมาราวกับเขื่อนที่แตก ผู้ชายคนนั้นกอดเธอไว้และลูบหลังไปมา ผมมองดูภาพนั้นด้วยความว่างเปล่า ก่อนหน้านั้นผู้หญิงคนนั้นช่างคล้ายผม แต่ตอนนี้เธอไม่คล้ายผมแล้ว เพราะเธอมีคนที่อยู่ข้างเธอจริง ๆ ในขณะที่ผมไม่มีใครเลย...
และภาพนั้นทำให้ความรู้สึกบ้างอย่างในใจมันชัดขึ้น...
ความเหงาในใจผมชัดขึ้น...
มันรู้สึกทั้งเหงาทั้งอิจฉาผู้หญิงคนนั้น
ผมไม่หวังให้โลกนี้ยุติธรรมกับผมจริง ๆ นะ แต่แค่ช่วยเห็นใจผมกว่านี้ได้หรือไม่?
อย่างน้อยก็ขอแค่ใครสักคนที่ไม่ทำให้ผมโดดเดี่ยวไปมากกว่านี้
ผมก็อยากร้องไห้ให้สุดเสียงเหมือนผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันนะ...
******************************************************************
"ไม่ใช่เราคนเดียวที่พบเจอปัญหา เพียงแต่ที่เห็นคนอื่นดูสดใสเพราะเขาซ่อมมันไว้หรือปล่าว"เป็ดยางสีเหลืองได้กล่าวไว้
เดือนนึงพอดี แต่ก็มานะ งื้อออออออออออ ขออภัยที่ให้รอนานนะคะ อารมณ์มันไม่ได้จริง ๆ
เรื่องนี้เป็นสีเทาหม่น ๆ นะคะ ดราม่าแน่นอนเพราะเราชอบชีวิตที่มีปัญหา ดูสิ้นหวังดี ฮ่าๆๆ

ช่วงต้น ๆ อาจจะปูพื้นของตัาละครนะคะ แต่ไม่น่าเบื่อหรอกเนอะ
