⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 15 หมากเกมนี้  (อ่าน 3893 ครั้ง)

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2022 01:00:29 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ไทม์แมชชีน
«ตอบ #1 เมื่อ26-10-2021 21:15:42 »

แนะนำเรื่อง

เมื่อสองหนุ่มใหญ่กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากกันไปในยุค 90 ความผูกพันในอดีตจะสานรักใหม่ได้หรือไม่ หรือต้องใช้ไทม์แมชชีนช่วยย้อนเวลากลับไป



นิยายเรื่องนี้ จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปสัมผัสความสุขแห่งวันวานของวัยรุ่นยุค 90 ยุคที่เพลงไทยเติบโตสุดขีด เพลงคือบันทึกความทรงจำของชีวิตวัยรุ่นของเรา ทุกเพลงที่เคยฟังในวันนั้นมีความหมาย มีเหตุการณ์ให้จดจำ มีคนที่เคยพบ เคยรัก เคยผิดหวังหรือเคยพูกพัน มีสถานที่ มีบรรยากาศ มีเรื่องราวเก่า ๆ ที่เคยประทับใจและฝังใจจำ

ยุค 90 ยุคที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย ความทรงจำของเราจึงมีค่ายิ่ง เพราะเมื่อไหร่ที่จากกัน เราไม่เคยรู้เลยว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะพบกัน แต่ฉันจะจำเธอไปในแบบนี้ จำความรู้สึกนี้ เราจึงลึกซึ้งกับความคิดถึง เมื่อไหร่ที่ผ่านมาเจอที่ที่คุ้นเคย ก็อยากให้เธออยู่ตรงนี้เหมือนที่เป็นเช่นวันนั้น

เราจึงคอยมองฟ้า ฝากความรักไปกับลม ฝากความคิดถึงไว้กับดาว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อเธออยู่ตรงนั้นจะเห็นดาวดวงเดียวกันกับฉันไหม ถ้าหากเธอรับรู้ได้ ฉันก็อยากบอกเธอว่ากลับมาพักตรงที่เดิม ที่มีฉันรอเพียงลำพัง หากเธอเหงาและเหนื่อยล้าเมื่อไหร่ ก็ขอให้ใจของฉันได้แบ่งเรื่องทุกข์ทนเมื่อเธอไม่มีใคร

หากยังคิดถึงกันอยู่ในวันนี้ ขอเพียงหลับตานานๆ คิดถึงวันเก่าจะยังมีเราสองคน แม้ว่าวันหนึ่งโชคร้าย ไม่ได้กลับมาเจอกันอีกแล้ว ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ

มาติดตามเรื่องราวความรักในยุค 90 ของอาร์ตกับม่อน สองหนุ่มใหญ่ที่โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้งในยุคนี้กันนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2021 22:26:51 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 1 อยากให้เธออยู่ตรงนี้


สิงหาคม 2561

"อยากให้เธออยู่ตรงนี้ เหมือนที่เป็นเช่นวันนั้น แม้ว่าสองเราต้องห่างเหินกัน ไกลแสนไกล อยากบอกเธอว่ายังรักเธอ"

ทันทีที่ผมก้าวขาเข้ามาในซูเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่ง เสียงเพลงของนักร้องดังยุค 90 คนหนึ่งก็ดังขึ้น ผมได้ยินตอนท่อนฮุกพอดิบพอดี

ผมจำไม่ได้แล้วว่าฟังเพลงนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หลังจบมหาลัย ชีวิตของผมก็หมดไปกับงาน ไม่มีเวลาฟังเพลงมากนัก อีกอย่างก็เริ่มรู้สึกห่างเหินกับเพลงสมัยใหม่ด้วย ถ้ามีเวลาก็จะฟังเพลงยุค 90 บ้าง เพราะชวนให้นึกถึงตอนเป็นวัยรุ่น มันคือช่วงชีวิตที่สวยงามที่สุดที่เรามีความสุขและสนุกกับเพื่อน เพ้อฝันไปกับความรัก ค้นหาตัวเองและสำรวจโลกกว้าง ทั้งหมดนี้ค่อยๆ หายไปเมื่อเราโตขึ้น ก็ฟังดูน่าเศร้า แต่ก็เป็นความจริงของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมจำได้ดีว่าฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนอายุสิบสาม จำได้แม้กระทั่งว่าฟังที่สนามกีฬาสมโภช 700 ปีเมืองเชียงใหม่ เพราะผมไปดูกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 กับเพื่อนที่นั่น เอาซาวอะเบาท์ไปด้วย แม่เพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด

แน่นอนว่าเรื่องราวคงไม่ได้มีแค่นี้หรอก ที่ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้หลายอย่างเพราะมันไปเกี่ยวข้องกับใครคนหนึ่งต่างหาก

พี่อาร์ต...

ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมเคยแอบรัก คลั่งไคล้ หลงใหลตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่มันก็ไม่สมหวังหรอก ในยุค 90 สังคมยังไม่เปิดกว้างเรื่องชายรักชายมากนัก ซีรี่ส์วายเหมือนสมัยนี้ก็ไม่มี ถ้ามีก็จะเป็นหนังซึ่งจบไม่สมหวังสักเรื่อง ผมเคยดูหนังเรื่องแฮปปี้ทูเกตเตอร์ที่เลสลี่จางเล่นในปี 2540 ก็จบเศร้าเหมือนกัน จนผมเองก็สงสัยว่าเกย์มีความสุขกับความรักไม่ได้หรือไง

แต่ไม่น่าเชื่อว่าผ่านยุค 90 มาไม่ถึงสิบปี นิยายวายและซีรี่ส์วายก็ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย ต้องขอบคุณคนเขียนเรื่อง “เซ็งเป็ด” ในพันธุ์ทิพย์เมื่อปี 50 เขาเล่าประสบการณ์ชายรักชายด้วยสำนวนการเขียนฮาๆ อ่านสนุก ใครๆ ก็อ่านได้ มันก็เลยเกิดกระแส คนก็เริ่มสนใจ ไม่นานนิยายวายก็ผุดเป็นดอกเห็ด ผมก็ตามอ่านบ้างเป็นบางเรื่อง บางเรื่องก็กลายเป็นซีรี่ส์ ทุกวันนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ขนาดพี่สาวผมยังเคยติดซีรี่ส์วายเลย

คงเป็นเพราะเพลงนี้ ผมจึงเกิดอยากรู้ว่าพี่อาร์ตเป็นยังไงบ้าง เราไม่ได้เจอกันตัวเป็นๆ นานมากเหลือเกิน เขาจบมอหกที่เชียงใหม่ในปี 2542 แล้วก็ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ผมไม่ได้เจอเขาอีกเลยตั้งแต่นั้น

นี่ก็สิบเก้าปีผ่านมาแล้ว แต่เรื่องราวเก่าๆ ก็ยังหลงเหลือในความทรงจำอยู่บ้าง แม้รายละเอียดจะเลือนราง แต่ก็พอจำเหตุการณ์สำคัญๆ ได้ แม่เคยพูดกับผมบ่อยๆ ว่าต่อให้เราจำเรื่องราวในอดีตกับคนคนหนึ่งได้ไม่หมด แต่สิ่งที่เราจะจำได้ไม่ลืมก็คือความรู้สึกที่เรามีต่อคนคนนั้น เพราะอย่างนี้ แม่ก็เลยจำฝังใจกับสิ่งที่พ่อผมทำ ไม่เคยให้อภัยเขาอีกเลยจนวันตาย

เอาเถอะ นั่นก็คือเรื่องของแม่ แต่สิ่งที่แม่เคยพูดไว้ก็จริงไม่น้อย ผมจำเรื่องราวเก่าๆ ของผมกับพี่อาร์ตได้ไม่หมดก็จริง แต่สิ่งที่จำได้แม่นจนถึงทุกวันนี้ก็คือความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา ตั้งแต่ความรู้สึกตอนเจอกันครั้งแรกไปจนถึงวันสุดท้ายที่จากลา

ผมจำวันแรกที่เจอพี่อาร์ตได้ดี จำได้แม้กระทั่งวันที่ เพราะมันใกล้วันเกิดของผม และอยู่ในช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาเกือบ 23 ปีแล้ว

ย้อนไปวันนั้น…

8 ธันวาคม 2538 ณ สนามกีฬาสมโภช 700 ปีเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

“ส่งใจไปซ้อม ฝากใจไปแข่ง ชีพจรเต้นแรง เชียร์คนเก่งคนไทย ร้อยพ่อพันแม่ แต่เพื่อเมืองไทย เพื่อความยิ่งใหญ่ ผูกใจเป็นหนึ่ง…”

ผมกับเพื่อนชั้นมอหนึ่งอีกสองคนนั่งรถแดงมาถึงที่นี่ตอนเก้าโมงเช้า มาถึงเราก็ได้ยินเสียงเพลงของอัสนี-วสันต์ดังไปทั่วงาน ส่วนคนอยู่บ้านก็จะได้ยินผ่านโฆษณาทีวีทุกวันในช่วงนั้น

วันนี้เราตั้งใจมาหาซื้อของที่ระลึกงานกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 18 ครั้งนี้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ งานจริงจะเริ่มระหว่างวันที่ 9 ถึง 17 ธันวาคม 2538

แม้ว่าวันนี้จะยังไม่ใช่พิธีเปิด แต่คนก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นหลาม ทั้งคนเชียงใหม่ คนต่างถิ่นและคนต่างชาติ ต่างก็สวมเสื้อกันหนาวหลากสีสันกัน เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเชียงใหม่หนาวมากในช่วงหน้าหนาว หนาวจนควันออกปากเลยล่ะ

เราสามคนตรงดิ่งไปที่ร้านขายของที่ระลึกทันทีเมื่อมาถึง ของที่ระลึกที่ผมกับเพื่อนอยากได้มากที่สุดคือตุ๊กตาแมวซีเกมส์พูดได้ ชื่อจริงๆ ของมันก็คือแมวสวัสดี ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เอามาเท่าไหร่ก็ขายหมด ใครอยากได้ต้องมาแต่เช้า วันนี้จะขายเป็นรอบสุดท้าย ถ้าพลาดแล้วก็จะพลาดเลย แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด

ระหว่างที่เดินไป ผมก็ฟังเพลงจากซาวอะเบ้าท์ไปด้วย แม่เพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อวานหรือวันที่ 7 ธันวาคม ผมเห่อมากเลยล่ะ เพราะใครมีแล้วก็จะดูเท่มากในยุคนั้น

พอเทปหมดผมก็เปลี่ยนมาฟังรายการวิทยุ มีอยู่ช่วงหนึ่งดีเจแนะนำว่ามีเพลงใหม่มาให้ฟัง เป็นนักร้องหญิงหน้าใหม่ของแกรมมี่ อยู่ๆ ก็มาร้องเพลงประกอบละครพริกขี้หนูกับหมูแฮม ทั้งที่ยังไม่เคยมีใครเห็นหน้าเธอมาก่อน คงต้องมีดีและไม่ธรรมดาเป็นแน่ ไม่งั้นแกรมมี่คงไม่เลือกมาเป็นนักร้อง ชื่อเพลงอยากให้เธออยู่ตรงนี้ นักร้องคนนั้นก็คือ...

พี่โบ สุนิตา ลีติกุล นักร้องคนโปรดของผมในยุค 90

แค่ได้ฟังครั้งแรกผมก็รู้สึกชอบ เสียงของนักร้องคนนี้ช่างเพราะจับใจผมเหลือเกิน แถมเพลงก็ยังฟังง่าย ร้องง่ายและติดหู ส่วนความหมายนั้นไม่ต้องพูดถึง เพลงยุค 90 ของผมนั้นกินขาดในเรื่องนี้อยู่แล้ว

"อยากให้เธออยู่ตรงนี้ เหมือนที่เป็นเช่นวันนั้น แหมว่าสองเราต้องห่างเหินกัน ไกลแสนไกล อยากบอกเธอว่ายังรักเธอ..."

ผมฟังเพลงนี้จนมาถึงร้าน คนแน่นมากและต่างก็เบียดเสียดแย่งกัน พวกเราสามคนก็ต้องไปเบียดแย่งกับผู้ใหญ่ด้วย ค่าที่ตัวเล็กพวกเราก็เลยเบียดสู้ไม่ค่อยได้ พวกผู้ใหญ่ต่างก็คว้าแมวสวัสดีหมับๆ ไปคนละตัวสองตัวจนผมกลัวว่ามันจะหมดเสียก่อน

โชคดีว่าผมบังเอิญเหลือบไปเห็นตุ๊กตาแมวซีเกมส์ตัวหนึ่งเหลืออยู่พอดี ก็เลยรีบคว้ามันมา แต่สัมผัสแรกกลับดูแปลกๆ เพราะมันไม่นิ่มเหมือนตุ๊กตาเลย แต่กลับแข็งๆ คล้ายกระดูก ไม่ถึงวินาทีผมก็เห็นว่าเป็นมือของใครสักคนนั่นเอง

"ของพี่นะน้อง"

เจ้าของมือเรียกแทนตัวเองว่าพี่ เมื่อผมหันไปดูก็เห็นผู้ชายหน้าตี๋ ผิวขาว ปากแดงคนหนึ่ง แม้ใส่เสื้อกันหนาวแต่ผมก็เห็นปกเสื้อนักเรียนขาวๆ อายุน่าจะมากกว่าผมสองสามปี เขาอยู่ใกล้ผมมาก ตัวเบียดกันเลยล่ะ เพราะเรากำลังแย่งของชิ้นเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงก็คือ พี่เขาหล่อมาก ทำเอาเด็กอายุสิบสามอย่างผมใจสั่นเลย ตอนนั้นผมรู้ตัวเองแล้วล่ะว่าไม่ชอบผู้หญิง กระนั้น ผมก็ไม่ได้แสดงอาการตุ้งติ้ง และใช้ชีวิตกับเพื่อนผู้ชายเป็นหลัก

"อะไรอ้่ะ ผมเห็นก่อน พี่มาทีหลังผมนะ" ผมใช้อีกมือที่ว่างอยู่ดึงหูฟังออก ปล่อยให้พี่โบร้องเพลงอยากให้เธออยู่ตรงนี้ไปคนเดียวพลางๆ ก่อน

"ก็ดูสิว่าใครจับก่อน" คนตัวโตกว่าบุ้ยปากให้ผมมองดูมือของเรา

ผมรีบหันไปมองดูมือของตัวเองที่จับอยู่ ปรากฏว่าผมกุมมือพี่เขาไว้ แปลว่าเขาจับมันได้ก่อนผมเพียงเสี้ยววินาทีนั่นเอง

เมื่อจำนนด้วยหลักฐานผมก็เอามือออก แม้จะเสียดายแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมปล่อยตุ๊กตาตัวนั้นไปแต่โดยดี เพื่อนผมอีกสองคนรีบเดินเข้ามาดู พวกมันรู้จักพี่อาร์ตด้วย ไอ้วิทย์ก็เลยร้องทักเป็นคนแรก

"พี่อาร์ต"

"อ้าว ไอ้วิทย์ ไอ้ดั๊ก มาด้วยเหรอ" คนชื่ออาร์ตเรียกชื่อเพื่อนผมอย่างคุ้นเคย พวกมันสองคนพยักหน้า

"พี่อาร์ตมาคนเดียวเหรอ" วิทย์ถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสนิทสนม

"แล้วมึงเห็นกูมากี่คนวะ" คนถูกถามย้อนกวนๆ

"ใครเหรอวะ" ผมหันไปกระซิบถามดั๊ก

"พี่อาร์ตไง เรียนโรงเรียนเดียวกัน อยู่มอสาม มึงไม่เคยเห็นพี่เขาเหรอ เขาเรียนห้องเดียวกับพี่เมี่ยงของมึงไง" ดั๊กหันมากระซิบบอกเป็นกำเมือง

"ไม่เคย" ผมส่ายหน้าไปมา ขณะที่สายตาก็มองพี่อาร์ตอย่างสังเกต

หน้าตี๋ๆ บ่งบอกว่าน่าจะเป็นลูกจีนแท้ๆ ไม่ใช่คนเหนืออย่างผมหรอก อีกอย่าง เพื่อนผมสองคนก็ไม่อู้กำเมืองกับพี่อาร์ต ลูกคนจีนส่วนใหญ่ไม่อู้กำเมืองหรอก อย่างมากก็พูดได้นิดๆ หน่อยๆ

"เหลือตัวเดียวเหรอพี่" วิทย์ยื่นหน้ามาดูของที่อยู่ในมือของรุ่นพี่

"เออ เหลือแค่นี้แหละ เกือบไม่ได้แล้วเนี่ย" พี่อาร์ตยิ้มดีใจ แน่นอนว่าใครหาซื้อได้ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เพราะมันหายากเสียยิ่งกว่าทองในเวลานี้

"ซื้อไปให้ใครเหรอพี่" ดั๊กยิ้มมีเลศนัย

"เสือกอะไรวะมึง" พี่อาร์ตเอาแมวตัวนั้นทุบหัวดั๊กเบาๆ จากนั้นก็เดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ส่วนผมกับเพื่อนก็แห้วกินไปตามระเบียบ

จ่ายเงินเสร็จ พี่อาร์ตก็เดินมาหาพวกเราซึ่งได้แต่มองไปทั่วร้าน แต่ของที่อยากได้ก็หมดแล้ว สงสัยว่าคงต้องซื้อพวกหมวก แก้ว โปสต์การ์ดและตราไปรษณีย์แก้ขัดไปก่อน

“เป็นน้องเมี่ยงเหรอ” พี่อาร์ตหันมาทางผม สงสัยจะได้ยินที่ผมคุยกับดั๊กเมื่อกี้ ผมก็เลยพยักหน้า

“แปลก ทำไมไม่เคยเห็น” พี่อาร์ตเอียงคอมอง คล้ายกับพยายามนึกว่าเคยเจอผมหรือเปล่า

“เมื่อก่อนมันเรียนอยู่หางดงน่ะพี่ มันเพิ่งย้ายมาเรียนมอต้นที่นี่” ดั๊กถือโอกาสตอบแทน

พี่อาร์ตพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ ถึงว่าล่ะ ไม่เคยเห็นเลย”

“พี่อาร์ตจะไปไหนต่อครับ ไปดูกีฬากันไหมพี่” วิทย์ถือโอกาสชวน มันคงเห็นว่าพวกเราสามคนเด็กเกินไป ถ้ามีรุ่นพี่ไปด้วยก็น่าจะดี

“เออ ก็ดีเหมือนกัน วันนี้มาคนเดียว” พี่อาร์ตตอบตกลงอย่างว่าง่าย เขาเอาตุ๊กตาแมวซีเกมส์ตัวนั้นใส่กระเป๋าเป้ รูดซิปแล้วก็เอามาสะพายหลังตามเดิม

ตอนนั้นผมยังเคืองพี่อาร์ตอยู่ ก็เลยเดินตามเขาไปเงียบๆ แต่ก็คอยสังเกตเขาตลอด ก็เลยรู้ว่าพี่อาร์ตพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก เวลาเจอชาวต่างชาติเขาจะชอบเข้าไปคุยด้วย ผมทึ่งมากเลย จนนึกอยากเก่งภาษาอังกฤษอย่างเขาบ้าง

ไอ้ดั๊กเอากล้องถ่ายรูปมาด้วย พวกเราก็เลยได้ถ่ายรูปด้วยกันไว้บ้าง แต่เนื่องจากเรามีฟิล์มแค่สองม้วน ม้วนหนึ่งถ่ายได้แค่สามสิบกว่ารูป วันนั้นเราก็เลยไม่ได้ถ่ายเยอะ เพราะจะเก็บเอาไว้ถ่ายงานพิธีเปิดพรุ่งนี้และวันอื่นๆ รวมถึงถ่ายกับนักกีฬาที่เราชื่นชอบด้วย

ผมกับเพื่อนตระเวนถ่ายรูปกับนักกีฬาเป็นว่าเล่นเลยในช่วงนั้น มีรูปถ่ายกับนักกีฬาดังๆ หลายคน ไม่ว่าจะเป็นคุณฉลามนุก รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ คุณแว่น สิริรัตน์ ยลโยธินกุล คุณซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุณอัลเฟรด เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ และอีกหลายๆ คน ล้วนแต่เป็นนักกีฬาที่สาวๆ กรี๊ดในยุคนั้น บางคนก็เจอตอนซ้อม บางคนก็เจอโดยบังเอิญ

ผมได้ถ่ายรูปกับพี่อาร์ตตอนนั้นไว้บ้างสองสามรูป แต่ถ่ายรวมกับเพื่อนๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บไว้ที่บ้านที่เชียงใหม่ แต่ก็แทบไม่เคยเอามาเปิดดูเลย

นั่นแหละ ภาพจำภาพแรกของพี่อาร์ต ผู้ชายหน้าตี๋ ผิวขาว ปากแดง มาพร้อมกับเพลง "อยากให้เธออยู่ตรงนี้"

แน่นอนว่าเรื่องราวของเราไม่ได้มีแค่นี้หรอก เพราะมันมีเหตุให้ผมกับพี่อาร์ตกลายเป็นเพื่อนสนิทต่างวัยกันหลังจากนั้น ทั้งหมดก็มาจากพี่สาวผมนั่นแหละ

แต่ปัญหาก็คือ ยิ่งสนิทกัน ผมก็ยิ่งชอบเขา แต่ชอบแล้วก็ใช่ว่าจะบอกได้ พี่อาร์ตเองยิ่งโตก็ยิ่งเจ้าชู้ ผมเคยเห็นเขานัวเนียกับผู้หญิงโดยบังเอิญหลายครั้ง เสียน้ำตาเพราะเขาก็บ่อย จนวันหนึ่งพี่เมี่ยงก็จับได้ ผมจึงสารภาพกับพี่สาวไปตรงๆ ว่าชอบพี่อาร์ต พี่เมี่ยงตกใจเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ถึงกับแปลกใจมาก ที่บ้านผมเขาก็พอดูออกนั่นแหละ เพียงแต่ไม่พูดกันตรงๆ

ผมไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่อาร์ตรู้หรอก ส่วนเขาจะรู้หรือเปล่าผมเองก็ตอบไม่ได้ แต่ครั้งหนึ่งผมเคยอยากรู้เหลือเกินว่าเขาคิดกับผมยังไง น่าเสียดายที่เขาหายจากชีวิตผมไปโดยที่ผมไม่เคยรู้คำตอบเลย ทิ้งผมให้คร่ำครวญหาอยู่หลายปี จนวันหนึ่งก็ทำใจได้ไปเอง

เมื่อถึงวันนี้ สิบเก้าปีก็ผ่านไปแล้ว ผมไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องราวเก่าๆ แล้วล่ะ ก็เป็นแค่ความทรงจำ ก็แค่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เคยมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและน้ำตาให้กัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่หลงเหลือความผูกพันใดๆ ยกเว้นว่่าจะนึกถึงขึ้นมาบ้างนานๆ ครั้ง

นี่แหละความรักในยุค 90 ของผม มันไปได้แค่นี้จริงๆ

ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ผมจะคิดถึงเรื่องพี่อาร์ตได้เยอะขนาดนี้ เป็นเพราะพี่โบแท้ๆ สงสัยกลับไปคอนโดเย็นนี้คงต้องไปหาเพลงพี่โบและเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในช่วงนั้นมาฟังบ้างแล้ว ผมห่างหายจากการฟังเพลงไปนานเหลือเกิน เพราะเมื่อก่อนทำแต่งาน

ผมเดินซื้อของไปฟังเพลงพี่โบไปจนจบ ตามด้วยเพลงอื่นๆ ที่ผมรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ช่วงหนึ่งผมก็ถามตัวเองในใจว่าถ้าวันหนึ่งผมกับพี่อาร์ตบังเอิญเจอกัน ผมจะดีใจหรือเปล่า เขาจะจำผมได้ไหม อาจจะจำได้ก็ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะอยากคุยกับคนธรรมดาๆ อย่างผมหรือเปล่า

เรื่องของเรื่องก็คือ พี่อาร์ตเป็นดาราดังไปแล้วนั่นเอง ผมจึงได้เจอพี่อาร์ตบ้างในช่วงหลังๆ แต่สัมผัสตัวเป็นๆ ไม่ได้ ตอนเจอเขาในทีวีครั้งแรกก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่หลังๆ ก็เริ่มเฉย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่มีเวลาดูทีวีมากนัก ช่วงนั้นผมสนุกกับงานมาก แทบไม่สนใจอย่างอื่นเลย พี่อาร์ตที่เป็นดาราจึงไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากนัก นานๆ ทีผมจะบังเอิญได้ยินข่าวเขาบ้าง

... ... ...

สามทุ่มกว่าแล้ว อยู่ๆ ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาอีกทั้งที่เพิ่งกินข้าวไปหยกๆ ที่จริงมีของที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาเกตที่พอกินได้อยู่บ้าง แต่ผมขี้เกียจเอามาทำอาหารกินเอง ก็เลยว่าจะลงไปซื้ออะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ที่เซเว่นข้างล่าง คิดแล้วผมก็เดินไปหยิบคีย์การ์ดและลงไปข้างล่างเดี๋ยวนั้นเลย

เมื่อได้ของที่ต้องการผมก็กลับขึ้นมาบนห้อง ขณะที่กำลังเดินออกจากลิฟต์ไปที่ห้องของตัวเองอยู่นั้น ผมก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาตามโถงทางเดินด้วยกัน เข้าใจว่าน่าจะเป็นแฟนกันนั่นแหละ ผู้หญิงแต่งตัวเซ็กซี่น่าดู ส่วนผู้ชายก็หล่อใช้ได้

ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เพราะไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับผมแม้แต่น้อย แต่พอเดินผ่านสองคนนั้นไปสองสามก้าว ผมก็หยุดเดิน มุ่นคิ้วเข้าหากันและหันไปมอง ผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนดาราคนหนึ่งที่ผมเพิ่งนึกถึงเมื่อตอนเย็นเหลือเกิน ค่าที่สงสัยก็เลยว่าจะลองเรียกดู ถ้าไม่ใช่ก็แค่หน้าแตกเท่านั้นแหละ

"พี่อาร์ต"

เมื่อได้ยินเสียงเรียก สองหนุ่มสาวก็หยุดเดิน ฝ่ายชายหันมามองผมก่อน ตามด้วยฝ่ายหญิง คนที่ผมเรียกว่าพี่อาร์ตขมวดคิ้วสงสัย ไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่า แต่ผมเพ่งดูไม่นานก็รู้ว่าใช่ พี่อาร์ตแน่นอน ผมเพิ่งจะนึกถึงเขาเมื่อตอนหัวค่ำแท้ๆ อยู่ดีๆ ก็บังเอิญมาเจอกันเลย ทำไมโลกเพิ่งจะมากลมเอาวันนี้

"พี่อาร์ตจำผมไม่ได้เหรอพี่"

ผมเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มดีใจ แม้ว่าเคยเห็นพี่อาร์ตในทีวีมาหลายครั้งแล้ว แต่ผมก็พบว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอตัวจริง

พี่อาร์ตเอียงคอ ดูเหมือนพยายามคิดอย่างหนักว่าเคยเจอผมหรือเปล่า จากกันไปสองทศวรรษคงมีลืมๆ กันบ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะผมเคยเจอเขาในทีวีมาก่อน ผมก็คงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้คือพี่อาร์ต

“น้องชายพี่เมี่ยง ยุพราชวิทยาลัย เชียงใหม่” ผมบอกชื่อพี่สาวและชื่อโรงเรียนมัธยมที่เราเคยเรียนด้วยกัน ถ้าเขาจำไม่ได้ก็คงเป็นโรคความจำเสื่อมแน่นอน

"ม่อน"

พี่อาร์ตยิ้มดีใจสุดขีด เขารีบผละจากผู้หญิงคนนั้นและเดินมากอดผมหนักๆ โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ค่อยเหมือนการกอดเพื่อนเท่าไหร่ จึงรู้สึกเคอะเขินเพราะหญิงสาวคนนั้นก็มองดูอย่างสนใจ

เมื่อกอดจนพอใจพี่อาร์ตก็ปล่อย ใบหน้าเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เขาดูดีใจยิ่งกว่าผมเสียอีก "ม่อนจริงๆ เหรอเนี่ย พี่ก็นึกอยู่ว่าหน้าคุ้นมาก เหมือนเคยเจอที่ไหน ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเลยนะเนี่ย"

"ทำไมล่ะพี่ ไม่อยากเจอผมเหรอ" ผมแซวเล่นขำๆ

"เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น มันนานมากไง นี่เราไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้วเนี่ย" พี่อาร์ตยกนิ้วขึ้นมานับ ผมก็เลยรีบเฉลยให้เพราะคิดคำนวณมาก่อนหน้านี้แล้ว

"สิบเก้าปีแล้วพี่ พี่จบมอหกตอนปีสี่สองไง"

"เออใช่ ตั้งแต่จบมอหกพี่ก็ไม่ได้เจอม่อนอีกเลย ม่อนสบายดีไหม"

"สบายดีครับพี่ ผมเจอพี่ในทีวีมาหลายปีแล้ว ดังใหญ่เลยนะครับเนี่ย อ้อ พี่เมี่ยงดูทุกเรื่องที่พี่เล่นเลย เขาปลื้มพี่มาก" ผมพูดถึงพี่สาวในตอนท้ายด้วยน้ำเสียงติดตลก

"แล้วเมี่ยงเป็นไงบ้าง สบายดีไหม ตั้งแต่ไปไต้หวันก็ไม่ได้เจอกันเลย”

“สบายดีพี่ ตอนนี้เป็นหมออยู่ที่เชียงใหม่ ลูกสองแล้ว”

“แล้วน้าหมิวล่ะ สบายดีไหม”

“ไปสบายแล้วล่ะพี่”

"หมายความว่าไง" พี่อาร์ตทำหน้าสงสัย แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะพอเดาความหมายได้

"แม่ผมเพิ่งเสียเมื่อปีที่แล้วครับ" บอกไปแล้วผมก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เมื่อไม่มีแม่ ก็เหลือแค่ผมกับพี่สาวสองคน ส่วนพ่อ…เราก็ตัดขาดกันไปแล้ว

พี่อาร์ตคงจำเรื่องราวดราม่าของผมกับครอบครัวได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเห็นใจ "พี่เสียใจด้วยนะม่อน เสียดาย...พี่ไม่รู้เรื่องเลย” พี่อาร์ตยกคิ้วสูงขึ้น เปลี่ยนจากเศร้าเป็นสงสัย “อ้อ ว่าแต่...ม่อนมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อยู่กรุงเทพเหรอ มาอยู่นานหรือยัง"

"เพิ่งมาถึงวันนี้แหละพี่ ช่วงหลังๆ ผมก็อยู่เชียงใหม่ตลอดแหละ พอดีผมมาเรียนต่อโทที่จุฬาฯ น่ะครับ"

"เหรอ แล้วจะมาเรียนกี่ปีล่ะ"

"ปีเดียวพี่ มันเป็นหลักสูตรปีเดียว กะว่าจบแล้วจะเอาไปสมัครงานที่เวียงจันทน์"

"แล้วม่อนจะไปทำอะไรที่เวียงจันทน์ล่ะ" พี่อาร์ตอยากรู้ แทบลืมไปแล้วว่ามีสาวสวยรออยู่

"เรื่องมันยาวน่ะพี่ ว่าแต่พี่อาร์ตจะออกไปเที่ยวไหนหรือเปล่าครับ"

ผมชายตาไปยังหญิงสาวที่ยืนรอพี่อาร์ตอยู่ พี่อาร์ตคงจะรู้ตัวก็เลยยิ้มเขินๆ

"ไปเหอะพี่ นัดกันแล้วไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเขาโกรธเอา" ผมพูดยิ้มๆ

พี่อาร์ตหันไปมองหญิงสาวคนนั้นคล้ายกับจะตัดสินใจ แต่ถ้าผมไม่คิดไปเอง เขาดูเหมือนอยากจะคุยต่อกับผมมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ นัดไว้แล้วก็ต้องไป

"เดี๋ยววันหลังพี่มาหานะม่อน อยู่ที่นี่ใช่ไหม ห้องอะไรล่ะ"

"ห้าสามหกครับ" ผมตอบโดยไม่ลังเล

"พี่ขอเบอร์ไว้หน่อยสิ"

พี่อาร์ตยื่นโทรศัพท์มาให้ ผมจึงกดเบอร์ของผมลงไป เสร็จแล้วก็ส่งให้พี่อาร์ต อึดใจหนึ่งเขาก็โทรเข้าเครื่องผม พอมีเสียงเรียกเข้า ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู

"นี่เบอร์พี่นะ มีอะไรก็โทรหาได้ ไม่ต้องเกรงใจเลย แต่พี่อาจจะไม่ค่อยว่างรับสายเท่าไหร่เวลามีงาน" พี่อาร์ตหัวเราะแหะๆ ตอนท้าย

เรื่องนั้นผมไม่มีปัญหาหรอก เป็นดาราดังก็คงยุ่งเป็นธรรมดา อีกอย่างผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะโทรไปหาทำไม

"ครับพี่ เที่ยวให้สนุกนะครับ" ผมถือโอกาสร่ำลาเสียเอง เพราะเกรงใจสาวคนนั้นที่ชักจะตาเขียวขึ้นทุกที

"โอเค เดี๋ยวเจอกัน ได้เจอกันแน่นอน พี่มีอะไรอยากคุยกับม่อนเยอะเลย เราต้องอัปเดตกันหน่อย"

"ครับพี่" ผมพยักหน้า แม้ว่าไม่รู้สึกมั่นใจนักว่าเขาจะอยากคุยกับผมมากขนาดนั้น

เมื่อพี่อาร์ตจากไปกับสาวคนนั้นแล้ว ผมก็เดินกลับห้องของตัวเอง ไม่คิดหรอกว่าจะได้เจอกันอีก พี่อาร์ตคงพูดไปตามมารยาท อย่างมากก็อาจจะได้คุยไลน์กันหรือนานๆ โทรมาที ดีหน่อยก็อาจจะนัดกินข้าวกันสักมื้อ ไม่น่ามีอะไรมากกว่านั้น ผมต้องเรียนหนังสือ เรียนปอโทงานเยอะแน่นอน ส่วนพี่อาร์ตก็คงทำงานและเฉิดฉายในแวดวงของเขา คนธรรมดาอย่างผมไม่น่าจะเข้าถึงเขาได้ง่ายๆ หรอก

ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่าพี่อาร์ตยังคงเจ้าชู้เหมือนเดิม อีกสองปีพี่แกก็จะสี่สิบแล้ว จะว่าไปมันก็น่าสงสัยไม่น้อยว่าทำไมเขาครองตัวเป็นโสดนานขนาดนี้ สงสัยจะชอบอิสระไม่ผูกมัดกับใครล่ะมั้ง

หลังๆ มานี้ผมก็ไม่อยากคบใครจริงจังแล้วเหมือนกัน โดนหลอกมาเยอะจนเข็ด ครั้งหนึ่งผมก็เคยจะตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายคนหนึ่งไปแล้ว เขาเป็นคนเวียดนาม แต่พอเขาต้องกลับไปทำงานที่ฮานอย เขาก็หายไปเลย ได้ข่าวอีกทีเขาก็แต่งงานกับผู้หญิงไปแล้ว

ผมก็เลยตัดสินใจที่จะเป็นโสด นี่ก็โสดมาสองปีแล้ว ไม่เคยโสดนานขนาดนี้มาก่อนเลย ถามว่าอยากมีแฟนอีกไหม บางทีก็อยากมี บางทีก็รู้สึกเบื่อ เพราะมีแฟนทีไรก็ต้องปรับตัวทุกครั้ง ผมว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่ มันต้องแลกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากเหงาก็ต้องแลกกับชีวิตที่อิสระน้อยลง แต่ถ้าอยากอิสระมากก็ต้องทนเหงาให้ได้ ผมไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตตัวเองตอนนี้เหมือนกัน

ว่าแต่…ผมกับพี่อาร์ตกลับมาเจอกันทำไมหนอ ทำไมต้องมาเจอตอนนี้ด้วย ที่จริงจะเจอเร็วกว่านี้ก็ได้ แต่ผมแค่ไม่พยายามมาเจอเขาเอง เรื่องในอดีตก็จบไปนานมากแล้ว ผมไม่เคยคิดจะรื้อฟื้น พี่อาร์ตเองก็คงลืมไปหมดแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นแค่เรื่องของเด็กที่ไม่ประสีประสาโลก

ช่างเถอะ มันคงไม่มีอะไรสำคัญนักหรอก อย่างมากเราก็คงเจอกันบ้างสองสามครั้ง เรียนจบแล้วผมก็จะไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเองเหมือนเดิม เพราะผมไม่อยากให้เธออยู่ตรงนี้เหมือนที่เป็นเช่นวันนั้นอีกแล้ว

TBC…

https://www.youtube.com/watch?v=JZkbT5vWqR8
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2022 12:40:28 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Brithday

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao7:อยากอ่านต่อแล้วเริ่มเรื่องมาก็คือดีมาก

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 2 หลับตา (โต๋)


“ชีวิตขีดเส้นทาง ไว้ให้เราเจอกัน ขีดทางที่ผกผัน ให้มีวันห่างไกล หลับตานานๆ คิดถึงวันเก่า จะยังมีเราสองคน”

ระหว่างขับรถกลับ ท่อนฮุกของเพลงนี้ก็ลอยเข้ามาในหัว ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้ฟังเพลงนี้เลย เพลงที่ผมเคยบอกใครคนหนึ่งก่อนที่ผมจะจากไป

“วันไหนม่อนคิดถึงพี่ก็ฟังเพลงนี้นะ”

ผมชอบเพลงนี้มาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะออกมาในช่วงปี 2535 ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ปอหก ยังไม่สนใจฟังเพลงแบบนี้หรอก แต่ได้ฟังอีกทีในช่วงที่เป็นวัยรุ่นแล้ว

“ปิดเทอมแล้วพี่อาร์ตต้องกลับมาหาผมนะ”

“พี่ก็อยากทำอย่างนั้น แต่ป่าป๊าน่ะสิ เขาอยากให้พี่กลับมาทีเดียวตอนเรียนจบเลย”

ผมจำได้ว่าคุยกับม่อนประมาณนี้แหละ ถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะพาเขาไปนั่งคุยกันที่สนามกีฬา 700 ปีเมืองเชียงใหม่ ผมอัดเพลงหลับตาโต๋ใส่เทปให้ม่อนเก็บไว้ฟัง เพราะผมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเจอเขาอีกหรือเปล่า

“หลิวครับ หาเพลงหลับตาโต๋ในสป็อตติฟายให้พี่หน่อยได้ไหมครับ”

ผมยื่นโทรศัพท์ผมให้สาวที่นั่งข้างๆ สีหน้าของเธอยังคงบูดบึ้ง เพราะเคืองที่ผมพากลับก่อน ผมอ้างว่ามีงานด่วนพรุ่งนี้เช้า อยู่ดึกไม่ได้

“ค่ะ”

หลิวรับโทรศัพท์ของผมไปด้วยท่าทางสะบัดสะบิ้ง ค้นหาไม่นานเธอก็เจอเพลงที่ผมอยากฟัง

“กดฟังเลย” ผมบอกเมื่อเห็นหลิวมองคล้ายกับจะถามว่าจะให้ทำยังไงต่อ เธอก็ทำตามแต่โดยดี

ไม่นานเพลงที่ผมอยากฟังก็ดังขึ้นผ่านลำโพงในรถ รถของผมรุ่นนี้มีบลูทูธ การเชื่อมต่อกับมือถือจึงไม่ใช่เรื่องยาก

แค่อินโทรของเพลงผมก็ขนลุกแล้ว เพลงยุค 90 มีดนตรีและความหมายกินใจ ฟังทีไรก็ชวนให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตว่าตอนนั้นทำอะไร อยู่ที่ไหน เรียนชั้นอะไร มีเหตุการณ์สำคัญอะไร

ทว่าผมก็พยายามไม่แสดงความรู้สึกมากนัก ปกติจะต้องร้องตามด้วย แต่พอมีคนอยู่ด้วยผมก็เลยนั่งฟังและขับรถไปเงียบๆ ส่วนหลิวก็ยังงอนอยู่ เพราะเธออุตส่าห์ชวนเพื่อนมาเจอกันที่ผับตั้งหลายคน แต่ก็ต้องยกเลิกกะทันหันเพราะผม

ผมขับรถไปส่งหลิวที่คอนโด ไปส่งถึงห้องนอนเลย ที่จริงก็แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะตั้งใจว่าคืนนี้จะปลดปล่อยให้เต็มที่หลังจากกรำงานถ่ายละครเรื่องใหม่จนจบ

ที่จริงผมไม่ได้มีธุระอะไรพรุ่งนี้เช้าหรอก แต่พอเจอม่อนแล้วผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น ผมอยากมาเจอเขา อยากมาคุยกับเขา ก็เลยต้องทำแบบนี้

ออกจากห้องหลิวได้ผมก็ตรงไปที่ห้องของม่อนทันที ช่างบังเอิญเหลือเกินที่อยู่ชั้นเดียวกัน ไม่งั้นผมคงไปหาไม่ได้เพราะคีย์การ์ดให้ไปได้แค่ชั้นของตัวเองเท่านั้น

ระหว่างที่เดินไปผมแอบกังวลเล็กน้อย ผมเดาว่าม่อนน่าจะรู้ข่าวฉาวเมื่อเร็วๆ นี้ของผมแน่ๆ ทั้งที่ก็อุตส่าห์ระวังตัวอย่างดี แต่ก็ดันหลุดออกมาจนได้ พวกผู้หญิงรู้ทั้งนั้นแหละว่าผมชอบอิสระ ส่วนใหญ่พวกเธอก็พอใจและยินดีคบกับผมแบบไม่ผูกมัด แต่วันหนึ่งก็เจอดีจนได้

มีสาวคนหนึ่งที่ผมคบด้วย อยู่ๆ เธอก็คิดอยากจะจับผมขึ้นมา ผมรู้ว่าเธอพยายามหาวิธีมีลูกกับผม แต่ผมก็ระวังตัวสุดฤทธิ์ พอรู้ว่าผมไม่หลงกลง่ายๆ เธอก็เลยเล่นสกปรกด้วยการเอารูปที่เธอแอบถ่ายกับผมไปปล่อยให้นักข่าว ไม่ถึงชั่วโมงก็ว่อนไปทั่วอินเทอร์เน็ต ผมนี่โกรธจนแทบจะฆ่าเธอเลย

มีเรื่องฉาวเมื่อไหร่ คนก็จะยิ่งขุดคุ้ย เรื่องที่ควรจะลับก็ไม่ลับอีกต่อไป ผมนี่โดนแฉแหลกเลย บางอย่างก็จริง บางอย่างก็ใส่สี มีสำนักข่าวบางแห่งเอาไปซุบซิบว่าพระเอก อ. ชอบซาดิสม์ เวลาจะมีอะไรกับผู้หญิงจะต้องตบหน้า บีบคอ พูดคำหยาบและฉีกเสื้อผ้า แถมยังชอบเซ็กซ์โฟนเป็นชีวิตจิตใจ ขนาดทำงานอยู่ก็ยังโทรไปเซ็กซ์โฟนกับผู้หญิง ว่างเมื่อไหร่ก็ชอบไปใช้บริการพริตตี้ ดูเป็นคนมีความต้องการสูงตั้งแต่เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอนและตื่นนอน แถมยังทำอย่างดุดันและหนักหน่วงอีกต่างหาก

เขายังเขียนต่ออีกว่าพฤติกรรมส่วนตัวของพระเอก อ. ช่างขัดกับภาพลักษณ์เวลาออกสื่อ เพราะพระเอก อ. พูดจาดี นุ่มนวล แววตาดูอ่อนโยน ยิ้มละมุนละไม ชอบพูดเรื่องธรรมะ เรื่องเวรกรรม แต่เวลาถูกถามเรื่องผู้หญิงมักจะคิดนานก่อนตอบ มักจะตอบว่าเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ เขาก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมาก็มีคบหลายคน ปัจจุบันก็คุยๆ กับคนนั้นคนนี้บ้าง ส่งข้อความไปคุยบ้าง เวลาถามถึงผู้หญิงที่เป็นข่าวด้วยก็มักจะตอบว่ารู้จักกันแบบพี่น้อง ลงท้ายด้วยการขอโทษว่าไม่สามารถเป็นในสิ่งที่ทุกคนคาดหวังได้ทุกอย่าง คนเราก็มีดีบ้างไม่ดีบ้างปน ๆ กันไป

แม่ม! ประชดประชันเก่งเหลือเกิน ผมล่ะอยากเห็นหน้าคนเขียนข่าวจริงๆ

นี่ถ้าไม่กลัวเสียภาพลักษณ์ผมคงจะฟ้องหมิ่นประมาทไปแล้ว แต่มันทำไม่ได้ ทำเมื่อไหร่ก็เท่ากับแสดงตัวว่าเป็นพระเอก อ. ทันที แล้วผมจะกล้าไหมล่ะ ก็เลยได้แต่กัดฟันกรอดๆ

ถ้าม่อนรู้เรื่องพวกนี้ เขาจะมองผมยังไงหนอ แต่จะว่าไปม่อนก็อายุย่างสามสิบหกแล้ว อายุขนาดนี้คงรับได้แหละ แต่ไม่แน่ เขาอาจจะคิดว่าผมอายุขนาดนี้แล้วไม่น่าทำตัวแบบนี้ก็ได้

ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลยว่าม่อนจะคิดอะไร ตอนนี้ผมอยากคุยกับเขา อยากอัปเดตชีวิตที่ผ่านมาให้เขาฟัง เอาแค่นี้ก่อนดีกว่า

เมื่อมาถึงห้องของม่อน ผมก็กดกริ่งเรียก ไม่นานเจ้าตัวก็เดินมาเปิดประตูให้ เขาคงรู้ว่าเป็นผมจากช่องตาแมว กระนั้นเจ้าตัวก็ทำหน้าแปลกใจ หรือไม่ก็คิดว่าผมมาผิดห้อง

"อ้าว พี่อาร์ต มาหาผมเหรอ"

"อือ พี่มายืนหน้าห้องม่อนก็ต้องมาหาม่อนสิ จะให้มาหาใคร" ผมถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายและมองสำรวจ "ห้องนี้ก็ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย"

"สู้ห้องพี่ไม่ได้หรอก" ม่อนปิดประตูและเดินตามผมมา เจ้าตัวอยู่ในชุดกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นสีฟ้าอ่อนกับเสื้อยืดสีขาวซีด

"เคยเห็นเหรอ" ผมขมวดคิ้ว

"เคย พี่เมี่ยงเคยชวนดูรายการที่เขาไปเยี่ยมบ้านพี่ไง ใหญ่เบ้อเริ่มเลย"

"อ๋อ" ผมพยักหน้ารับรู้

"ทำไมกลับมาไวล่ะครับ" ม่อนเดินนำผมไปที่โซฟา ก่อนผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่ง “ตามสบายเลยนะครับพี่”

ผมนั่งลงตามคำเชิญ เมื่อผมนั่งแล้วม่อนก็นั่งตาม เจ้าตัวอยู่ไม่ห่างจากผมมากนัก

"พี่ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวแล้ว อยากมาคุยกับม่อนมากกว่า เนี่ย...เหล้าก็ไม่ได้กิน อะไรก็ไม่ได้ทำ คิดดูละกันว่าอยากคุยกับม่อนขนาดไหน" ผมพูดยิ้มๆ ม่อนไม่ใช่เด็กแล้ว คงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร

"คนนี้แฟนเหรอพี่" ม่อนทำท่าสนใจ

ผมก็เลยรีบส่ายหน้า "แฟนเฟินอะไร คนที่ว่าจะคบด้วยก็เพิ่งมีเรื่องกันไปเมื่อไม่กี่วันนี่เอง เขาเพิ่งออกมาแฉพี่ไม่เห็นเหรอ ว่าแต่ม่อนได้ตามข่าวพี่บ้างหรือเปล่า"

"ได้ยินผ่านๆ น่ะพี่ แต่ผมไม่ค่อยรู้อะไรหรอก ผมเลิกบ้าดารานานแล้ว" ม่อนหัวเราะเขินๆ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยบ้าดารานักร้องมาก

เมื่อพูดเรื่องดารานักร้อง ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะมีคอนเสิร์ตของนักร้องที่ม่อนเคยชอบในปีนี้พอดี "พี่โบเขาจะมีคอนเสิร์ตครบรอบยี่สิบสามปีโบ สุนิตาช่วงปลายปี ม่อนอยากไปดูไหม เดี๋ยวพี่จะหาบัตรให้"

“อยากครับพี่” ม่อนพยักหน้า แต่ก็ขำระคนเขิน "พี่อาร์ตยังจำได้อีกเหรอว่าผมชอบพี่โบ"

"จำได้สิ พี่ยังจำเพลงแรกของพี่โบที่ม่อนชอบได้เลย” พูดจบผมก็ร้องเพลงนั้นเสียเลย “อยากให้เธออยู่ตรงนี้ เหมือนที่เป็นเช่นวันนั้น"

ม่อนหัวเราะคิกคักชอบใจ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนวันนั้น แต่ผมว่าก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

"ถ้าม่อนอยากดูเดี๋ยวพี่หาบัตรให้” ผมอาสาเป็นมั่นเหมาะ เรื่องนี้ไม่เกินความสามารถผมหรอก พูดถึงพี่โบแล้ว ผมก็นึกถึงปี 39 ที่ผมพาม่อนไปดูคอนเสิร์ตพี่โบครั้งแรก “พี่ยังจำได้เลยนะว่าพี่น่ะพาม่อนไปดูคอนเสิร์ตพี่โบแถวท่าแพ ปีสามเก้า ช่วงหน้าหนาว สนุกมากเลยตอนนั้น ถ้าเรามีไทม์แมชชีนก็น่าจะดีนะ พี่อยากย้อนกลับไปช่วงนั้นอีก ชีวิตโคตรมีความสุขเลย"

"แล้วตอนนี้ไม่ดีเหรอพี่ เป็นดาราดัง มีเงินเยอะ มีชื่อเสียง น่าจะมีความสุขมากกว่าตอนนั้นอีกนะผมว่า” ม่อนทำหน้าแปลกใจ ดูเหมือนเจ้าตัวจะเป็นคนช่างสังเกต ผมพูดแค่นี้เขาก็จับพิรุธในคำพูดผมได้แล้ว

"แรกๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่หลังพี่ว่ามันวุ่นวายไปหน่อย ข่าวฉาวชักจะเยอะไปแล้ว ไว้ใจใครไม่ได้เลย อาทิตย์ที่แล้วผู้ใหญ่ก็เพิ่งเรียกไปเตือน" ผมส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ

"แล้วข่าวมันออกมาได้ไงล่ะพี่" ม่อนเขยิบเข้ามาใกล้เหมือนจะอยากรู้

ผมพ่นลมหายใจยาว ชั่งใจไม่นานก็เล่าให้ม่อนฟัง "ก็พวกผู้หญิงที่เคยคบกับพี่นั่นแหละ พี่ก็ไม่ได้ไปบังคับขืนใจใครนะ เขาเต็มใจมาหาพี่เอง ที่สำคัญ อยากได้อะไรพี่ก็ให้ ไม่ได้เอาฟรีหรอก แต่บางคนเขาอยากจับพี่ไง ก็เลยพยายามหาทางต้อนให้พี่จนมุม บางคนเนี่ย…ถ้าเขาเงียบๆ พี่ก็อาจจะคบจริงจังก็ได้ แต่หลังๆ เริ่มแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากไปหน่อย พี่ก็เลยไม่โอเค"

ม่อนนั่งฟังเงียบๆ แต่ผมคิดว่าเขายังไม่เชื่อผมเต็มที่หรอก แววตามันบอก แต่ก็ไม่แปลก เขาฟังจากผมคนเดียว ผมจะเข้าข้างตัวเองยังไงก็ได้

"อ้อ พี่มารบกวนม่อนหรือเปล่า พรุ่งนี้มีเรียนไหม" ผมทำท่าเกรงใจเมื่อนึกได้

"อ๋อ ไม่มีพี่ ผมมาก่อนอาทิตย์หนึ่ง จะได้มีเวลาปรับตัว ผมไม่ค่อยชินกับกรุงเทพเท่าไหร่ มันวุ่นวายน่ะพี่ มาหลายครั้งแล้วก็ยังไปไหนไม่ค่อยถูกเลย”

"งั้นม่อนก็มาหาถูกคนละ พี่นี่รู้จักทุกซอกมุมของกรุงเทพ จะไปไหนถามพี่ได้เลย พี่บอกได้หมด” ผมพูดติดตลก ขณะเดียวกันก็คอยจับสังเกตแววตาของอีกฝ่ายไปด้วย ผมว่าเขามีอะไรบางอย่างในแววตา

“ว่าแต่...ม่อนอยู่เชียงใหม่ตลอดเลยเหรอ พี่ก็ไปงานที่เชียงใหม่บ่อยนะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนหรอก เสร็จงานก็กลับ ไม่ได้ไปหาม่อนเลย เมี่ยงด้วย" ผมทำหน้ารู้สึกผิด เพราะที่จริงผมก็รู้ว่าม่อนอยู่ไหน เวลาไปเชียงใหม่ทีไรผมก็นึกถึงเขาตลอด แต่ก็ไม่เคยคิดจะไปหาเลย

"ผมก็อยู่ที่เดิมแหละพี่ ส่วนพี่เมี่ยงเขาก็ย้ายไปอยู่กับแฟนตั้งแต่แต่งงานแล้ว แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่"

ผมไม่แสดงอาการแปลกใจนักเมื่อรู้ว่าเมี่ยงแต่งงานแล้ว พี่สาวของม่อนอายุเท่าผม ไม่แปลกที่จะแต่งงานและมีลูก มีแต่ผมนี่แหละที่แปลกกว่าเพื่อนคนอื่นๆ จนป่านนี้ก็ยังไม่ลงเอยกับใคร

“ม่อนส่งเบอร์เมี่ยงมาทางไลน์ให้พี่หน่อยนะ พี่จะโทรไปคุยกับเขาหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเมี่ยงเนี่ย พี่กับม่อนก็คงไม่มีโอกาสสนิทกันหรอก” ผมนึกถึงตอนนั้นพลางอมยิ้ม

“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวผมส่งให้ พี่อาร์ตโทรไปตอนเย็นๆ นะครับ กลางวันเขาไม่ค่อยว่างคุยหรอก”

“ได้ๆ” ผมพยักหน้า ก่อนสบตาม่อนนิ่งค้างไว้สักครู่ เขาคงรู้ตัวว่าคราวนี้จะถูกถามบ้าง “แล้วม่อนล่ะ แต่งงานหรือยัง”

“ยังเลยพี่” ม่อนส่ายหน้าพลางขำ “ผมว่าจะอยู่เป็นโสดแล้วเนี่ย ชีวิตคู่นี่มันโคตรยากเลย”

น่าแปลกที่ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่รู้ว่าม่อนยังไม่แต่งงาน สงสัยจะรู้สึกดีที่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกันยังโสดเป็นเพื่อน เพราะเพื่อนผมเกือบทั้งหมดทิ้งความโสดไปนานแล้ว

“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะพี่ มัวแต่คุยเพลินจนลืมเลย” ม่อนตำหนิตัวเองไม่จริงจังนัก ก่อนจะกุลีกุจอไปหาน้ำหาท่ามาวางให้ผมหนึ่งแก้ว

"ไม่ต้องต้อนรับขนาดนี้หรอก คนกันเอง" ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมก็ยังยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมด เมื่อวางแก้วลงผมก็ถามถึงเพื่อนซี้ของม่อน "ได้เจอไอ้วิทย์กับไอ้ดั๊กมั่งไหม เป็นไงกันมั่ง”

“อ๋อ ไอ้ดั๊กไปอยู่ดูไบพี่ รวยไปแล้ว มันไปทำร้านอาหารไทยที่นั่นน่ะพี่ มีเมียแล้ว เป็นคนไทยนี่แหละ ส่วนไอ้วิทย์ก็ไปอยู่กับเมียที่อุดร ขายพวกหมูยอ แหนมเนือง อยู่ในตัวเมืองเลย ผมเคยไปอุดหนุนอยู่ คนแน่นร้านเลย นั่นก็รวยเหมือนกัน”

ม่อนเล่าถึงเพื่อนด้วยแววตามีความสุข แปลว่าความสัมพันธ์กับสองคนนี้น่าจะยังดีอยู่ แม้จะอยู่ไกลกัน แต่ก็เชื่อว่ายังติดต่อกันผ่านเฟสบุ๊คหรือโซเชียลมีเดียอยู่บ้าง มีแต่ผมนี่แหละที่ไม่เคยคิดจะติดต่อม่อนทางโซเชียลมีเดียเลย

“โห ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะเนี่ย วันไหนไปอุดร พี่จะแวะไปหาไอ้วิทย์มันหน่อย ส่วนไอ้ดั๊กเนี่ย ปีนี้พี่ยังไม่มีแพลนว่าจะไปแถวยูเออี แต่ถ้าไปเมื่อไหร่พี่ก็จะไปหามัน ม่อนส่งคอนแทคให้พี่ด้วยละกัน”

“ได้ครับพี่” ม่อนพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามผมบ้าง “แล้วพี่อาร์ตไปเรียนหมอที่ไต้หวันเป็นไงบ้างครับ แล้ว…ทำยังไงถึงจับพลัดจับผลูมาเป็นดาราล่ะพี่”

เมื่อถูกถามเรื่องนี้ ผมก็หน้าเสียนิดหน่อย น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวชีวิตของผมช่วงนี้ มีแค่คนที่บ้านเท่านั้น แต่ผมก็ตัดสินใจว่าจะเล่าให้ม่อนฟัง เพราะมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ บางอย่างบอกผมว่าเขายังเป็นแบบนั้นอยู่

“เรื่องยาวเลยนะเนี่ย แต่ถ้าจะให้พูดสั้นๆ พี่ก็ต้องบอกว่าชีวิตช่วงนั้นของพี่…โคตรบัดซบเลย”

ม่อนดูจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินผมใช้คำรุนแรง ทว่าเขาก็รอฟังโดยไม่ถามละลาบละล้วง ผมว่าผมชอบนะ เมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบนี้แหละ แสดงว่ามีหลายอย่างที่เขายังเหมือนเดิมอยู่

“พี่เรียนไม่จบหรอก” ผมเกริ่นด้วยสีหน้าเครียดๆ นึกถึงช่วงนั้นทีไรผมก็ได้แต่สมเพชตัวเอง “นอกจากเรียนไม่จบแล้ว พี่ก็ทำผู้หญิงท้อง เรามีลูกด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก พ่อแม่เขาไม่โอเคกับพี่อย่างแรงเลย เขาไม่อยากให้ลูกสาวของเขามาอยู่กับคนไม่เอาไหนอย่างพี่”

ผมหยุดเล่าชั่วคราว พยายามนึกว่าจะเล่ายังไงดีไม่ให้ยืดเยื้อ ไม่งั้นคืนนี้ม่อนคงไม่ได้นอน

“พี่น่ะอยู่ไต้หวันตั้งแต่อายุสิบเก้า จนถึงยี่สิบห้าพี่ก็ยังเรียนไม่จบ มันยากมาก พี่ไม่มีหัวทางด้านนี้เลยม่อนก็รู้ พี่ก็เลยตัดสินใจกลับตอนอายุยี่สิบห้า ยอมให้ที่บ้านด่า พี่ก็ต้องยอมให้ด่าแหละ” ผมขำตัวเองเบาๆ แล้วก็พ่นลมหายใจยาวอีกครั้ง

“ตอนนี้ลูกสาวพี่อายุสิบสี่แล้ว พี่จะบินไปหาเขาปีละครั้ง ตั้งแต่เป็นดาราพี่ก็ส่งเสียเรื่องการเรียนการอยู่ของเขาตลอดแหละ ไม่เคยทิ้งเขาหรอก”

ผมหันไปสบตาม่อน เขาดูเหมือนจะเห็นใจผม แววตามันบอก ผมไม่ค่อยได้เจอแววตาแบบนี้จากใครมากนัก ไม่เคยมีใครแสดงความรู้สึกอย่างนี้กับผมหรอก แต่ม่อนส่งผ่านความรู้สึกนั้นมาให้ผมได้ น่าจะเป็นเพราะเขาเคยรู้จักผม เคยรู้ว่าผมเป็นคนยังไง มีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร เคยมีความหวังความฝันอะไร ครอบครัวเป็นยังไง

ว่ากันว่าเพื่อนมัธยมจะเป็นเพื่อนที่เข้าใจกันลึกซึ้งที่สุด เพราะในวัยนั้นเราจะคบเพื่อนในแบบที่เพื่อนเป็น ไม่ต้องเสแสร้ง เราจะมีความจริงใจต่อกันมาก แต่ทุกวันนี้ผมไม่มีเพื่อนมัธยมคนไหนที่ยังติดต่อกันเลย ห่างเหินกันไปหมด

“ดีแล้วพี่ที่พี่ไม่ทิ้งเขา” ม่อนยิ้มบางๆ เหมือนจะให้กำลังใจ

“ก็ถือว่าเป็นการไถ่บาปให้เขานั่นแหละ เพราะก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลกน่ะ พี่เคยบอกแฟนพี่ให้ทำแท้งด้วย เขาโกรธพี่มาก เขาด่าพี่ใหญ่เลย ด่าเป็นภาษาจีน ถ้าแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า…หมามันยังรู้จักรักลูก ทำไมถึงคิดอะไรชั่วร้ายแบบนี้ ถ้าไม่อยากเลี้ยงก็ไม่ต้องเลี้ยง เขาจะเลี้ยงลูกเขาเอง”

ผมถอนหายใจยาวอีกครั้ง แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่นึกถึงทีไรก็เจ็บปวด ที่จริงผมก็ไม่จำเป็นต้องเล่าให้ม่อนฟังขนาดนี้หรอก แต่เมื่อเล่าแล้วก็อยากให้เขาเข้าใจให้มากที่สุด นี่คือตัวจริงของผม มีไม่กี่คนในโลกนี้หรอกที่ผมอยากให้รู้จักผมลึกขนาดนี้ แต่หนึ่งในนั้นผมให้เป็นม่อน บางทีม่อนอาจจะโกรธที่ผมหายไปจากชีวิตเขา แต่ชีวิตผมตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรดีเลย ก็แค่ผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง

“พอชีวิตมันเป็นแบบนี้ พี่ก็เลยไม่อยากติดต่อใคร พอกลับไทยพี่ก็ไปช่วยป่าป๊าทำร้านขายอะไหล่ที่อุทัยธานี พี่โดนป่าป๊าด่าทุกวันเลยว่าเป็นลูกไม่เอาไหน เป็นลูกชายคนเดียวของที่บ้านแท้ๆ แต่กลับสร้างแต่ปัญหา เรียนก็ไม่จบ หวังพึ่งอะไรไม่ได้ มีแต่เจ๊เอ้ที่คอยประคับประคองธุรกิจของครอบครัว พี่เครียดมากเลยตอนนั้น เครียดกว่าตอนอยู่ไต้หวันอีก พี่ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต ก็เลยลองไปวัด ฟังเทศน์ฟังธรรม มันช่วยให้พี่สงบจิตใจได้เยอะเลยนะ ถ้าม่อนตามข่าวพี่ ม่อนก็จะเห็นว่าพี่ชอบไปทำบุญ ชอบไปวัด เพราะพี่รู้สึกว่าวัดช่วยชีวิตพี่ไว้ ไม่งั้นพี่อาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้”

ม่อนพยักหน้ารับรู้ แสดงว่าเจ้าตัวก็น่าจะพอทราบข่าวทำนองนี้ของผมอยู่บ้าง ที่จริงผมก็มีข่าวดีๆ มาตลอดแหละ เพิ่งมีช่วงหลังๆ ที่ข่าวฉาวเริ่มถี่ขึ้น แต่จะโทษใครล่ะ ก็ผมเจ้าชู้เอง

“พออายุยี่สิบแปด พี่ก็เริ่มหาทางหนีจากที่บ้าน มันอยู่ไม่ได้น่ะ มันร้อน มันไม่มีความสุขเลย พอดีพี่อ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวประกวดนักแสดงชายไทย พี่ก็เลยลองส่งใบสมัครไป ก็ไม่คิดว่าเขาจะเรียกไปหรอก แต่ปรากฏว่าเขาเรียก พี่ก็เลยเข้ากรุงเทพ เขาให้ไปเข้าแคมป์การแสดงก่อนอาทิตย์หนึ่ง จากนั้นก็ให้ลองแสดงจริง โชคดีมากที่เขาเลือกพี่ พี่ก็เลยได้ไปแสดงหนังพีเรียดเรื่องหนึ่ง ก็ไม่ดังมากหรอก แต่มันทำให้พี่ค้นพบว่าพี่ชอบการแสดง อยากเก่งด้านนี้ คนที่เขาชวนพี่มาก็เลยพาพี่ไปฝากฝังกับผู้ใหญ่หลายช่อง จนพี่ได้เล่นเป็นพระรองเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ยังไง คนชอบกันมากเลย นั่นแหละ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้พี่เข้ามาในวงการบันเทิง”

เมื่อหมดเรื่องที่จะเล่า ผมก็เลยถามเรื่องเขาบ้าง เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมสนใจแต่ตัวเอง “เรื่องของพี่ก็ประมาณนี้แหละ แล้วม่อนล่ะ พอพี่ไปแล้ว ม่อนเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพี่” ม่อนพูดด้วยเสียงเรียบๆ แต่แววตาก็ครุ่นคิด “พอเรียนจบมอปลาย ผมก็เอ็นติดที่ มช. ชีวิตแทบจะไม่ได้ไปไหนจากเชียงใหม่เลย”

“ม่อนเรียนคณะอะไร” ผมขัดจังหวะเพราะอยากรู้

“มนุษยศาสตร์ครับ เพราะพี่อาร์ตเลยนะเนี่ย ผมเลยเก่งภาษาอังกฤษ” ม่อนชมพร้อมกับยิ้มตาหยี ไม่นานก็เล่าต่อ

“เรียนจบแล้วผมก็ได้งานทำในบริษัทท่องเที่ยวในเชียงใหม่ แต่ทำได้ห้าปีก็เริ่มเบื่อ อยู่แต่ออฟฟิศ ไม่ค่อยได้ไปไหนเลย พอดีเจอประกาศสมัครงานของเอ็มอาร์ซี ผมก็เลยลองไปสมัครดู ปรากฏว่าได้”

“เอ็มอาร์ซีคืออะไร” ผมขัดจังหวะอีกครั้งเพราะไม่คุ้นกับคำย่อนี้

“อ๋อ มันย่อมาจาก Mekong River Commission ภาษาไทยเขาเรียกว่า…คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ดูแลเรื่องการจัดสรรแล้วก็ใช้ประโยชน์แม่น้ำโขงของทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านน่ะครับ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็ปล่อยให้ม่อนเล่าต่อ

“พอได้งานที่นั่น ผมก็ย้ายไปอยู่เวียงจันทน์ เพราะว่าสำนักงานใหญ่มันอยู่ที่นั่น แต่ก็มาประชุมที่กรุงเทพกับเชียงใหม่ทุกปี ปีละหลายครั้ง ตอนนั้นพี่เมี่ยงเขาก็แต่งงานมีครอบครัวแล้วล่ะ ผมก็เลยไม่ห่วง ห่วงก็แต่แม่ แต่พี่เมี่ยงก็รับปากว่าเขาจะดูแลแม่เอง เขาแวะมาหาแม่บ่อยๆ ได้ ผมก็เลยค่อยสบายใจ ก็เลยอยู่ที่เวียงจันทน์แปดปีเลย” ม่อนระบายยิ้มเต็มหน้าเป็นเชิงบอกว่าขำตัวเอง จากนั้นก็เล่าต่อ

“ที่จริงผมก็ว่าจะทำไปเรื่อยๆ เพราะว่าผมชอบงานนี้มาก สนุกดี ไม่ต้องอยู่แต่ออฟฟิศ ได้ไปต่างประเทศบ่อยๆ ด้วย แต่พอดีแม่ป่วย พี่เมี่ยงก็เริ่มจะดูแลไม่ไหว เพราะต้องดูแลครอบครัวของตัวเองด้วย ผมก็เลยต้องลาออกมาดูแลแม่ ดูแลได้ปีกว่าๆ แม่ก็เสีย แต่ผมก็ยังไม่ได้กลับไปทำงานที่เดิมหรอก ช่วงนั้นชีวิตผมเสียศูนย์ไปพอสมควร แล้วก็มีปัญหากับคนที่คบกันด้วย ก็เลยยังอยู่เชียงใหม่ต่อ ดูแลโฮมสเตย์ของป้าไปพลางๆ แต่ก็เริ่มคิดถึงงานที่เวียงจันทน์ ทางนั้นเขาก็คอยถามผมตลอดว่าจะกลับไปไหม ผมก็ได้แต่บอกว่าจะไปๆ ตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไป แต่ขอเรียนต่อโทก่อน นั่นแหละ…วันนี้ผมก็เลยมาอยู่กรุงเทพ”

ม่อนเล่าจบแล้วก็เหยียดยิ้ม ชีวิตเขาฟังดูเรียบๆ ไม่มีอะไรมากเหมือนผม แต่ก็มีบางช่วงชีวิตที่ลำบากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกได้ว่าม่อนเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องความรัก ค่าที่อยากรู้และปากไวผมก็เลยถาม

“แล้วแฟนของม่อนล่ะ ที่ม่อนบอกว่ามีปัญหากันน่ะ ยังคบกันอยู่หรือเปล่า”

ม่อนดูเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามสำรวมกายใจและตอบด้วยท่าทางปกติ “ไม่ได้คบกันแล้วพี่ เขากลับไปอยู่ฮานอย แล้วก็หายไปเลย”

ผมมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย “อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

ม่อนส่ายหน้าไปมา ดูเหมือนจะเศร้าหน่อยๆ “ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ อยู่ดีๆ ก็หายไปเลย”

“เจอกันที่เอ็มอาร์ซีเหรอ”

ม่อนพยักหน้า “ครับ ทำงานด้วยกัน คบกันตั้งแต่ผมไปทำงานที่เวียงจันทน์ได้ไม่กี่ปี ผมก็หวังว่าเขาจะเป็นคนสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ไม่มาตามนัด”

ม่อนแค่นหัวเราะ ผมก็ได้แต่เห็นใจ แต่ผ่านมาแล้วก็คงช่วยอะไรไม่ได้

“ก็น่าเสียดายเหมือนกันนะ ไม่งั้นม่อนก็คงมีลูกๆ มาวิ่งเล่นแข่งกับพี่เมี่ยงไปแล้ว”

ผมพูดไปอย่างนั้นเพราะเข้าใจว่าม่อนมีแฟนเป็นผู้หญิง ทว่าม่อนก็รีบส่ายหน้าและบอกผมตรงๆ ก่อนที่ผมจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“แฟนผมไม่ใช่ผู้หญิงหรอกพี่อาร์ต นี่ก็ปีสองพันสิบแปดแล้ว ผมจะไม่ปิดบังพี่ละกัน พี่ก็น่าจะรับได้ใช่ไหมครับ…ถ้าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง”

ผมอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็อย่างที่ม่อนบอก ปีสองพันสิบแปดแล้ว ทุกวันนี้ซีรี่ส์วายเต็มบ้านเต็มเมืองจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา พลอยทำให้ความคิดต่อเรื่องนี้ของผมเปลี่ยนไปด้วย ผมจึงไม่ได้มองเรื่องนี้เหมือนยุค 90 อีกแล้ว

“ม่อนชอบผู้ชายเหรอ”

“ครับ ไม่แปลกใช่ไหมพี่” ม่อนถามยิ้มๆ

“ไม่แปลกหรอก พี่ก็ไม่ใช่คนโลกแคบขนาดนั้น นี่ก็ว่าจะรับเล่นซีรี่ส์วายกับเขาบ้าง เผื่อจะดังอีกสักเรื่อง” ผมสัพยอก เราขำด้วยกันทั้งคู่

กลายเป็นว่าผมนั่งคุยกับม่อนนานมาก นานจนลืมไปเลยว่าดึกมาก ง่วงแค่ไหนผมก็ยังอยากคุยต่อ การได้คุยกับใครสักคนที่เขาเคยรู้จักเราตอนวัยรุ่นมันให้ความรู้สึกดีมากๆ เลย จนนึกอยากจะมีไทม์แมชชีนย้อนกลับไปตอนนั้น…ที่สนามกีฬาสมโภช 700 ปีเมืองเชียงใหม่

ที่ผ่านมาผมได้ไถ่โทษให้ลูกสาวไปแล้ว ทำให้ป่าป๊ากับหม่าม้าเลิกห่วงไปนานแล้ว ก็เหลือแค่คนเดียวที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสไถ่โทษให้เลย ผมอยากชดเชยความรู้สึกผิดที่หายไปจากชีวิตเขาตั้งหลายปี แต่ผมจะทำอะไรให้เขาดีล่ะ

เมื่อมองไปรอบๆ ห้องของม่อนผมก็เริ่มนึกออก ก็เลยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังจะร่ำลากลับบ้านถามเขาตรงๆ เลย พออายุมากแล้วผมก็ไม่ค่อยชอบพูดอ้อมไปอ้อมมาหรอก

“ม่อนไปอยู่บ้านพี่ไหม ไม่ต้องเช่าคอนโดให้เปลืองเงินหรอก เอาเงินไว้เรียนหนังสือดีกว่า บ้านพี่มีหลายห้อง ไม่มีคนอยู่หรอกนอกจากพี่ นานๆ ทีเจ๊เอ้จะขึ้นมาหา แต่ก็มาอยู่แค่อาทิตย์เดียวแล้วก็กลับ ไปไหม”

ม่อนดูจะตกใจไม่น้อย เจอกันวันแรกผมก็จะชวนไปอยู่บ้านด้วยกันเสียแล้ว ถ้าผมเป็นม่อน เจอคนแบบนี้ก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน

แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็ถามไปแล้ว เขาจะไปหรือไม่ไปผมก็ไม่บังคับเขาหรอก

TBC…

เพลงหลับตา (โต๋)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-02-2022 12:45:24 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 2 หลับตา (โต๋)
«ตอบ #6 เมื่อ29-10-2021 15:38:23 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ Brithday

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 2 หลับตา (โต๋)
«ตอบ #7 เมื่อ29-10-2021 21:08:42 »

 :hao7: สนุกมาก

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 2 หลับตา (โต๋)
«ตอบ #8 เมื่อ31-10-2021 10:31:18 »

ตอนที่ 3 ไม่กล้าบอกเธอ


“What is development?”

คำถามง่ายๆ ของอาจารย์คาร์ลทำให้นิสิตปริญญาโทต่างก็มุ่นคิ้ว นั่นสิ การพัฒนาคืออะไร ผมเองก็ทำงานด้านการพัฒนาลุ่มน้ำโขงมาตั้งหลายปี แต่ทำไมถึงไม่สามารถหานิยามที่ตรงใจและตอบได้ทันที ตอนแรกผมว่าจะให้คนอื่นตอบก่อน แต่ทั้งห้องเงียบสนิท ผมก็เลยอาสาตอบเป็นคนแรก ช่วยลดบรรยากาศอึดอัดให้อาจารย์แกหน่อย

“การพัฒนาคือการทำให้ชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้น มีรายได้ที่พอเพียง มีแหล่งทรัพยากรที่ยั่งยืน ที่สำคัญ ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกับทุกๆ การพัฒนาที่มีผลต่อพวกเขาครับ”

ผมตอบอาจารย์คาร์ลไปเป็นภาษาอังกฤษ หลักสูตรที่ผมเลือกเรียนนั้นเป็นหลักสูตรนานาชาติ ค่าเทอมแพงสุดๆ แต่ผมก็ต้องลงทุนเพื่ออนาคตของตัวเอง

“ตอบได้ดีมากเลยม่อน”

โจนาธานหันมาชมผมเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับยิ้มให้ เพื่อนใหม่ของผมคนนี้เป็นคนเมียนมาร์ อายุเพียงยี่สิบห้า น้อยกว่าผมสิบเอ็ดปี หน้าตาหล่อเหลาใช้ได้เลย เขาบอกว่าเขาพูดไทยได้เพราะทำงานในไทยมาหลายปีแล้ว

“ขอบคุณครับ ผมก็ตอบไปตามที่ผมได้เรียนรู้จากงานนั่นแหละ”

ผมยิ้มบางๆ ให้หนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆ เจ้าตัวเป็นคนเลือกมานั่งกับผมเอง เขาดูเป็นคนสบายๆ บุคลิกคล้ายๆ กับฮอง ซอน แฟนเก่าของผมนิดๆ ปกติคนที่ทำงานเอ็นจีโอก็จะมีบุคลิกประมาณนี้แหละ เราต้องทำตัวสบายๆ เพราะต้องทำงานกับชาวบ้าน

“ผมว่าการพัฒนามันมีทั้งด้านดีและไม่ดีนะครับ มีคนได้ประโยชน์ แล้วก็มีคนเสียประโยชน์ อย่างเช่น ถ้าเราสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง เราก็อาจจะได้ขายไฟฟ้า ประเทศมีรายได้ก็จริง แต่มันก็ทำให้ระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เสียไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ วิถีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ปลายน้ำก็ได้รับผลกระทบ”

โจนาธานตอบไปบ้าง เขาตอบได้ดีทีเดียว อาจารย์คาร์ลถึงกับชมว่าเยี่ยม ส่วนผมร้องว้าวเบาๆ ด้วยสีหน้าทึ่ง ทว่าหนุ่มน้อยก็หันมายกความดีความชอบให้ผม

“ผมก็ได้คำตอบจากที่ฟังม่อนเล่าให้ฟังก่อนเข้าเรียนนั่นแหละ”

เช้านี้ผมมาถึงไว ก็เลยได้คุยกับโจนาธานอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ผมเล่าให้เขาฟังไปว่าผมเคยทำอะไรมาบ้าง เขาก็เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังเช่นกัน จึงได้รู้ว่าเขาทำงานกับองค์กรเอ็นจีโอแห่งหนึ่งที่แม่สอด ดูแลแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาร์

“ฉันเห็นด้วยกับโจนาธานและม่อนค่ะ แต่อยากเพิ่มไปด้วยว่าเราไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการพัฒนา แต่การพัฒนาต้องวางแผนให้ดี ต้องทำให้มีผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด ถ้ามีคนที่ได้รับผลกระทบ รัฐก็ต้องเยียวยาหรือหาทางช่วยให้สมเหตุสมผล”

หญิงสาวร่างผอมบางฝั่งตรงข้ามกับผมตอบบ้าง เธอชื่อตาล เป็นคนไทย อายุสามสิบ ในห้องผม นอกจากมีคนไทยเกือบครึ่งแล้วก็มีนิสิตจากหลายเชื้อชาติ เช่น เวียดนาม พม่า ลาว เยอรมัน อังกฤษ สวิสและอเมริกัน ก่อนเข้าห้องผมพยายามคุยกับสาวลาวคนหนึ่งด้วยสำเนียงลาวเวียงจันทน์ แต่เธอดูไม่ค่อยไว้ใจผมเท่าไหร่ ก็ไม่แปลกหรอก ผมเจอคนลาวหลายคนที่คิดลบกับคนไทยบ่อยๆ

ผมหันไปยิ้มให้ตาลด้วยแววตาชื่นชม เธอยิ้มเขินๆ เล็กน้อย จากนั้นคนอื่นๆ ก็ตอบจนหมดห้อง แค่คำถามเดียวก็ให้ชวนคิดได้หลายมุม แต่ละมุมก็เชื่อมโยงกัน การพัฒนาจึงมีหลายมิติและมีหลายเรื่องที่ต้องพิจารณา

เรียนวันแรกผมก็ชอบหลักสูตรนี้แล้ว เพราะผมชอบการถกแถลง ชอบฟังหลายๆ มุมมองความคิดเห็น เห็นตรงเห็นต่างบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าเรียนแบบนี้ตลอดหลักสูตรก็น่าจะดี ผมไม่ชอบจดเลคเชอร์อย่างเดียวเพราะมันน่าเบื่อ แถมจำได้ไม่หมดด้วย

หมดคาบเช้าเราก็ลงไปกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหาร ผมไปกับโจนาธาน ตาลและติ๋งห์ คนชื่อติ๋งห์เป็นหนุ่มเวียดนาม น่าจะเพิ่งจบมหาลัยมา เจ้าตัวพูดไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว

หลังอาหารเที่ยงพวกเราก็แยกย้ายไปทำธุระตามความสนใจของตัวเอง ผมแวะไปซื้อกาแฟที่ร้านอะเมซอนใต้ตึกเรียน โจนาธานตามมาด้วย ระหว่างยืนรอคิว พี่สาวผมก็โทรมาหา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ปกติจะโทรมาช่วงเย็นๆ ถ้าโทรมาเวลาอื่นมักคุยได้สั้นๆ เพราะพี่เมี่ยงงานยุ่งมาก

พอผมรับสายพี่เมี่ยงก็ถามเป็นกำเมืองก่อนเลย “เป็นไงม่อนเรียนวันแรก”

“ก็ดีพี่ สนุกมากเลย ได้กลับมาเป็นนักศึกษาอีก ได้เพื่อนใหม่หลายคนเลย หลายชาติด้วย” ผมตอบไปด้วยกำเมืองเช่นเดียวกัน

“ก็น่าสนุกดีนะ แต่พี่คงไม่เรียนอีกแล้วล่ะ” พี่สาวผมหัวเราะ จากนั้นก็ถามถึงเพื่อนเก่า “แล้วอาร์ตล่ะ”

“ไปถ่ายโฆษณาแอร์น่ะพี่ เย็นๆ ก็น่าจะกลับ” ผมบอกด้วยเสียงเรื่อยๆ

“แล้วม่อนโอเคไหมไปอยู่กับเขา”

เมื่อวานพี่เมี่ยงก็ถามเรื่องนี้ วันนี้ก็โทรมาถามอีก แสดงว่าคงเป็นห่วงผมมากจริงๆ ผมจึงต้องย้ำอีกครั้งให้พี่เมี่ยงสบายใจ

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ เรื่องมันตั้งนานแล้ว”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจสิพี่”

“เออ พี่ก็เป็นห่วงไง ตอนนั้นม่อนเสียใจอยู่ตั้งหลายปี กลัวจะเป็นขึ้นมาอีก”

“โหพี่ ผมลืมไปหมดแล้ว จะยี่สิบปีแล้วนะพี่เมี่ยง ไม่ต้องห่วงผมหรอก” ผมยืนยันหนักแน่น ก่อนสัพยอกว่า “แต่พี่เมี่ยงก็เป็นคนบอกผมให้มาอยู่กับพี่อาร์ตเองนะ”

“ก็รู้ แต่พี่เป็นห่วงม่อนไง” พี่สาวผมเสียงอ่อย จากนั้นก็อธิบายต่อ “ตอนแม่ป่วยม่อนก็หมดเงินไปตั้งเยอะ รถก็ต้องขาย เงินที่เอามาเรียนก็เป็นเงินเก็บ มาอยู่กับอาร์ตม่อนก็จะได้ประหยัดเงินเอาไว้ใช้อย่างอื่นไง แต่ก็นั่นแหละ พี่ก็กลัวแผลเก่าม่อนจะกำเริบ”

“ผมโอเคครับพี่เมี่ยง ไม่ต้องห่วงผมหรอก” ผมยืนยันอีกครั้ง

“แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่ละกัน” พี่สาวผมกำชับ พลันก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่อาร์ตเขาก็ดีนะ ได้ดีแล้วเขาก็ไม่ลืมม่อน”

“ครับ” เนื่องจากใกล้ถึงคิวที่ผมต้องจ่ายเงิน ผมจึงรีบบอกพี่สาว “แค่นี้ก่อนนะครับพี่เมี่ยง พอดีผมไม่สะดวก”

“โอเคจ้ะ พี่ก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน ไว้คุยกันวันหลังนะ”

“ครับพี่เมี่ยง”

… … …

ช่วงบ่ายเราเรียนเรื่อง Globalisation หรือโลกาภิวัตน์ อาจารย์ที่มาสอนเน้นบรรยายมากไปหน่อย แต่ก็ได้ความรู้เยอะเลย

หมดคาบบ่ายผมก็ลงมาที่ใต้ตึกเรียน ระหว่างรอเพื่อนอีกสามคนที่ไปห้องน้ำ ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาฟังเพลงฆ่าเวลา มีอยู่เพลงหนึ่งที่ผมอยากฟังมาก อยู่ดีๆ มันก็มันวนเวียนเข้ามาในหัวตอนเรียนคาบบ่าย น่าจะเป็นเพราะพี่เมี่ยงชวนคุยเรื่องพี่อาร์ตนั่นแหละ ผมก็เลยเผลอนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ตอนนั่งเรียน จึงตั้งใจว่าจะต้องฟังเพลงนี้ให้ได้ เมื่อหาเจอแล้วผมก็กดฟัง

“จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราวที่มันยังคั่งค้างใจ ถ้าบอกกับเธอ เธอจะรักหรือไม่ ได้แต่ถามใจ เก็บเอาไว้ ไม่กล้าบอกเธอ”

เพลงนี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งก่อนพี่อาร์ตจะจบมอหก เขาชวนเพื่อนๆ และผมไปเที่ยวแม่ฮ่องสอน ตอนแรกแฟนพี่อาร์ตว่าจะไปด้วย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเพราะอะไร รู้แต่ว่าผมดีใจมาก

ภาพที่ผมจำได้ไม่ลืมคือผมกับพี่อาร์ตปั่นจักรยานชมดอกบัวตองด้วยกันไปตามถนนลูกรังสีแดงเข้ม มองไปข้างหน้าจะเห็นท้องฟ้าสีครามเข้มตัดกับสีเหลืองจัดของทุ่งดอกบัวตอง แม้แดดแรงแต่อากาศก็หนาว ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับคนที่ชอบในบรรยากาศแบบนี้ มันช่างโรแมนติกเหลือเกินที่ได้อยู่กับคนพิเศษในทุ่งดอกไม้ใต้ฟ้าสีครามและสายลมหนาว

ช่วงหนึ่งเราสองคนไปยืนอยู่ตรงที่สูงๆ มองเห็นได้ไกลๆ พี่อาร์ตหันมายิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มเขินๆ ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะบอกรักพี่อาร์ต ผมจำไม่ได้ว่าผมเข้าเรื่องยังไง รู้แต่ว่าใจสั่น ปากสั่น พูดไม่รู้เรื่องเลย จนพี่อาร์ตทำหน้างงและหัวเราะ สุดท้าย…ผมก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป

ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้บอก ไม่งั้นความทรงจำที่ทุ่งบัวตองของผมคงจบไม่สวย เพราะก่อนไปไต้หวัน พี่อาร์ตพูดบางอย่างที่ทำเอาผมเสียใจไปหลายปีเลย

“เรื่องบางเรื่อง ถ้าแค่รู้สึก…มันก็พอได้ แต่เราก็ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรมีสิทธิ์ อะไรไม่มีสิทธิ์ ผู้ชาย…มันก็ต้องไปตามทางของผู้ชาย ม่อนเข้าใจใช่ไหม”

แม้จะฟังดูกำกวม แต่คำพูดประโยคนั้นก็คือการปฏิเสธดีๆ นั่นเอง พี่อาร์ตรู้นั่นแหละว่าผมคิดอะไร แต่ที่จริงเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะไหนๆ เขาก็จะไปอยู่แล้ว จะพูดให้เสียความรู้สึกก่อนจากกันทำไม

เพลง “ไม่กล้าบอกเธอ” ออกมาตอนผมอยู่มอหก ช่วงนั้นผมฟังบ่อยมาก เคยโทรไปขอเพลงนี้ให้พี่อาร์ตหลายครั้ง ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว ขึ้นมหาลัยผมก็ยังฟังอยู่ ไปคาราโอเกะทีไรก็จะร้องเพลงนี้ จนเพื่อนสงสัยว่าผมแอบรักใครหรือเปล่า

แม้ว่าการจากลาของเราจะไม่สวยงามนัก แต่ผมก็ไม่เคยลืมพี่อาร์ต ไม่เคยลืมภาพที่เราปั่นจักรยานเคียงคู่กันไปในทุ่งบัวตอง ไม่เคยลืมสนามกีฬา 700 ปีที่เราชอบไปนั่งคุยกัน และไม่เคยลืมความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีให้เขาเลย

ผมรู้สึกขนลุกเมื่อฟังมาถึงท่อนโซโล่ เสียงกีตาร์ในท่อนนี้ฟังดูเหงาและอ้างว้างเหลือเกิน อดนึกสงสารตัวเองตอนนั้นไม่ได้ เพราะได้ยินโซโล่เพลงนี้ทีไรก็น้ำตาไหล เสียดายโอกาสที่ไม่เคยได้บอกรักใครคนนั้น พอคิดจะบอกเขาก็จากไปเสียแล้ว

“พี่ม่อน”

ผมได้ยินเสียงชายหญิงเรียกชื่อผมพร้อมกัน ก็เลยตื่นจากภวังค์ ผมรีบเอาหูฟังบลูทูธออก เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นเพื่อนๆ ที่นัดกันไว้นั่นเอง

“ไปเลยไหมครับ” โจนาธานเดินเข้ามาถาม ส่งรอยยิ้มสดใสมาให้

ผมพยักหน้า “จะกินอะไรกันดี”

“โจนาธานเขามีร้านจะแนะนำค่ะพี่ โจนาธานเอารูปให้พี่ม่อนดูสิ เผื่อพี่ม่อนจะรู้จักร้านนี้” ตาลบอก

“นี่ครับพี่ม่อน ร้านนี้ ผมเคยไปกินมาแล้วตอนมาสมัครเรียน อาหารอร่อยมาก แต่เสียดายผมจำชื่อร้านไม่ได้”

โจนาธานพูดพลางเปิดภาพร้านที่เขาเคยไปมาให้ผมดู เป็นภาพอาหารที่เขาถ่ายมาเอง เขาคงกลัวผมไม่เห็นก็เลยเขยิบเข้ามาใกล้จนชิด ชิดขนาดที่ว่าได้กลิ่นกายกันเลยทีเดียวล่ะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก

“พี่ม่อนเคยไปกินไหมครับ” โจนาธานหันมาถาม ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ผมมากจนผมต้องเขยิบออกเล็กน้อย

“ไม่เคยไปเลย” ผมส่ายหน้าเดียะ “พี่ไม่ใช่คนกรุงเทพ ไม่รู้จักร้านพวกนี้หรอก แต่ว่าน่าจะหาไม่ยากนะ ลองถามคนแถวนั้นดูก็ได้”

“มันอยู่ชั้นสองครับ อยู่ใกล้ๆ กับลิฟต์ น่าจะหาไม่ยาก” โจนาธานยิ้มให้ผมอีก ทำเอาผมใจสั่นๆ เหมือนกัน

หลังจากที่ได้แนวทางเบื้องต้น พวกเราก็ออกเดินทางกันเลย แต่ก้าวขายังไม่พ้นตึกดีก็มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งวิ่งมาจอดเทียบฟุตบาท พวกเราได้แต่มองด้วยความสงสัย แต่พอเจ้าของรถยนต์หรูไขกระจกลงเท่านั้น โจนาธานกับตาลก็ถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนติ๋งห์ดูงงๆ

“พี่อาร์ต” ตาลอุทานคล้ายกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“ครับ พี่มารับม่อนน่ะครับ” พี่อาร์ตยิ้มให้เพื่อนๆ ของผม ก่อนหันมาถามผมว่า “ม่อนเลิกเรียนแล้วเหรอ”

“ครับพี่ เพิ่งเลิกเมื่อกี้ครับ” ผมตอบพี่อาร์ตแล้วหันไปมองเพื่อนๆ ก็เห็นว่าทุกคนมองมาที่ผมอยู่แล้วด้วยแววตาสงสัย

"พี่ม่อนรู้จักกับพี่อาร์ตด้วยเหรอคะ" ตาลทำเสียงตื่นเต้น ผมก็เลยพยักหน้า

“จะไปไหนกันหรือเปล่า” พี่อาร์ตกวาดตามองทุกคนด้วยความสงสัย

“ผมว่าจะไปกินข้าวกับน้องๆ ในคลาสน่ะครับพี่อาร์ต” ผมทำหน้าไม่แน่ใจ เมื่อเช้าผมจำได้ว่าไม่ได้บอกให้พี่อาร์ตมารับ ผมกลับรถไฟฟ้าเองได้ เพราะบ้านพี่อาร์ตอยู่ไม่ไกลจากบีทีเอสบางจาก

“อ๋อ งั้นก็ไปด้วยกันเลยไหมล่ะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ขึ้นมาเลย พี่จอดนานไม่ได้” พี่อาร์ตเร่งเมื่อเห็นว่ามีรถตามหลังมา

พวกเราใช้เวลาคิดไม่นานนักก็กรูกันเข้าไปในรถของพี่อาร์ต ผมนั่งหน้า ส่วนอีกสามคนนั่งข้างหลัง แต่รถของพี่อาร์ตก็กว้างขวางและนั่งสบาย

หลังขับออกไปได้สักพัก พี่อาร์ตก็หันไปคุยกับเพื่อนๆ ของผมทางด้านหลัง “ชื่ออะไรกันบ้างครับเนี่ย”

เพื่อนผมแต่ละคนแนะนำตัวด้วยภาษาไทย ยกเว้นติ๋งห์ที่ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะหลังจากนั้นพี่อาร์ตก็ชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษเสียเลย เขาชอบอยู่แล้ว

ช่วงแรกๆ เพื่อนๆ ถามผมกันใหญ่ว่าผมกับพี่อาร์ตรู้จักกันได้อย่างไร ผมตอบแค่ว่าเคยเรียนมัธยมด้วยกันที่เชียงใหม่ ใครถามอะไรมาผมกับพี่อาร์ตก็จะตอบกว้างๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเราก็แค่เคยเจอกันเท่านั้น เพื่อนๆ จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นในเวลาไม่นาน

“ละครที่คุณเล่นดังมากเลยนะครับที่เมียนมาร์ แม่ผมชอบดูมาก ผมก็เลยดูตาม ก็เลยจำคุณได้” โจนาธานเล่าขำๆ ดูเหมือนเจ้าตัวตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เจอดาราไทย

“จริงเหรอ ผมไม่เคยรู้เลยว่าที่เมียนมาร์ก็ดูละครไทยด้วย เรื่องไหนเหรอครับที่ดัง” พี่อาร์ตถามขณะเลี้ยวรถออกจากประตูรั้วมหาลัย

“บุพเพสันนิวาส” โจนาธานตอบเป็นภาษาไทย

“เรื่องนี้ดังมากนะโจนาธาน โดยเฉพาะที่ประเทศจีน คนจีนชอบมาก”

ตาลทำเสียงสูงตอนท้าย เธอน่าจะปลื้มพี่อาร์ตกว่าใครในบรรดาสามคนนี้ มีแต่ติ๋งห์เท่านั้นที่ดูจะงงๆ โจนาธานกับตาลก็เลยต้องช่วยกันอธิบายให้ฟัง คราวนี้ติ๋งห์ก็เลยตื่นเต้นบ้าง ถึงกับบอกว่าจะต้องไปหาละครเรื่องนี้มาดูให้ได้

ผมนั่งเงียบๆ และปล่อยให้พี่อาร์ตคุยกับเพื่อนๆ ของผมไป ระหว่างนั้นผมก็สังเกตคนนั่งข้างๆ ไปด้วย ตอนนี้พี่อาร์ตดูภูมิฐานมาก ออร่าดาราฉายชัดผ่านผิวพรรณ เสื้อผ้า รสนิยมการแต่งกาย น้ำหอมที่ใช้ ข้าวของเครื่องประดับและรถที่ขับ ดูแตกต่างจากคนทั่วไปมาก ยืนตรงไหนก็จะโดดเด่นจากฝูงชน ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นดารา

เกือบยี่สิบปีผ่านไป ชีวิตของเราต่างกันราวฟ้ากับเหว พี่อาร์ตเป็นดาราดัง ผมเป็นแค่คนธรรมดา เขาร่ำรวย ผมมีแค่พออยู่พอกิน ช่วงนี้ก็เริ่มอัตคัดด้วยซ้ำ เขาอยู่ในวงสังคมที่เต็มไปด้วยคนมีชื่อเสียง ผมอยู่ในวงสังคมของคนเอ็นจีโอและชุมชนชาวบ้าน ในอดีตเราสนิทกันมาก แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเราจะสนิทกันได้มากแค่ไหน อาชีพต่างกันก็เหมือนมีภูเขากั้นกลาง

… … …

ประมาณสามทุ่ม ผมกับพี่อาร์ตก็กลับมาถึงบ้านที่บางจาก เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ตั้งใจว่าจะลงมานั่งคุยกันข้างล่างก่อนนอนเสียหน่อย แม้ว่าจะคุยกันมาในรถบ้างแล้วก็ตาม

ผมไม่ใช่คนอาบน้ำนานก็เลยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที แต่คนที่อาบนานกว่าก็คือพี่อาร์ต ระหว่างรอผมก็นั่งเล่นเฟสบุ๊กไปพลางๆ โจนาธานทักแชทมาคุยด้วย วันนี้ผมคุยกับเขาเยอะมาก แต่เขาก็ยังหาเรื่องมาคุยกับผมได้ตลอด

ระหว่างแชทกับโจนาธานอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงคนมากดกริ่งหน้าบ้าน ก็เลยวางโทรศัพท์ไว้และเดินออกไปดู ไม่นานก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวดูดีพอจะเป็นดาราได้เลยทีเดียว น่าจะเป็นคนรู้จักของพี่อาร์ตแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาดึกป่านนี้

“พี่อาร์ตอยู่ไหมคะ” เธอคนนั้นร้องถามมาจากช่องประตูเล็กที่มีไว้สำหรับคนเข้าออก

ผมเพ่งมองไม่นานก็ตอบ “อยู่ครับ มาหาพี่อาร์ตเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ คุณเป็นใครคะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเลย”

“อ๋อ ผมเป็นเพื่อนพี่อาร์ตครับ เพิ่งมาอยู่”

“ฉันเป็นแฟนพี่อาร์ต ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวคนนั้นร้องขอ

ผมลังเลในตอนแรก เพราะไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แต่ถ้ารู้ว่าเจ้าของบ้านชื่ออะไรก็คงจะรู้จักกันจริงๆ นั่นแหละ ก็เลยยอมเปิดประตูเล็กให้เธอเข้ามา

“พี่อาร์ตกำลังอาบน้ำอยู่ครับ” ผมบอกหญิงสาวคนนั้น

“อ๋อค่ะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปหาเขาเอง ฉันชื่อผิงนะคะ” ก่อนจะเดินไป หญิงสาวที่ชื่อผิงก็หันมาแนะนำตัวให้ผมรู้จัก

“ผมชื่อม่อนครับ” ไม่รู้ว่าเธออยากรู้จักผมหรือเปล่า แต่ผมก็บอกชื่อตัวเองไป

ผิงเดินเข้าไปในบ้านราวกับคุ้นเคยดี แสดงว่าน่าจะเคยมาแล้ว ผมก็เลยค่อยสบายใจหน่อย ระหว่างนั้นก็ปิดประตูบ้าน พอผมเข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นเธอแล้ว สงสัยจะขึ้นไปหาพี่อาร์ตบนห้อง

ผมยืนหันรีหันขวาง เพราะไม่แน่ใจว่าจะรอพี่อาร์ตต่อ หรือว่าจะขึ้นไปบนห้องของตัวเองดี แต่ดูแล้วพี่อาร์ตไม่น่าจะลงมาได้หรอก ถ้าเขาอยากคุยก็ไปหาผมที่ห้องเองละกัน คิดอย่างนั้นผมก็เลยเดินขึ้นบันไดไป

ก่อนจะเข้าห้องของตัวเองผมก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก แต่ก็ดังพอสมควร ดังมาจากห้องพี่อาร์ตนั่นแหละ ตอนแรกผมก็แอบเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไปกวน จึงเดินเข้าห้องของตัวเองไป

ผมหยิบชีตมาอ่านบนโต๊ะทำงาน อ่านจบก็อ่านงานวิชาการเล่มหนึ่งที่อาจารย์คาร์ลให้มา ชื่อเรื่อง Dependency Theory หรือทฤษฎีภาวะพึ่งพิง เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตกซึ่งทำให้เกิดภาวะทรัพยากรจากประเทศยากจนไหลเข้าสู่รัฐที่ร่ำรวยกว่า นานไปประเทศที่อยู่ตรงกลางก็ยิ่งรวยขึ้น ขณะที่ประเทศชายขอบที่ต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือกลับยิ่งจนลง

การรวมรัฐที่ยากจนเข้าสู่ระบบโลก มีแต่ทำให้รัฐยากจนสูญเสียทรัพยากรไปให้รัฐที่ร่ำรวยมากขึ้น เพราะรัฐที่ยากจนบริหารจัดการทรัพยากรเองไม่ได้ หรือไม่มีสิทธิ์เนื่องจากเงื่อนไขที่ผู้ล่าอาณานิคมสร้างไว้

ด้วยความเชื่อว่าหากประเทศที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยขึ้น ก็จะฉุดให้ประเทศที่จนกว่าให้ค่อยๆ รวยขึ้นตามมาด้วย แน่นอนว่าย่อมมีข้อถกเถียงกันมากมายว่าการกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นจริงแค่ไหน ผมก็เลยอ่านเพลิน ลืมเรื่องพี่อาร์ตไปเลย

… … …

เช้าวันที่สองในบ้านหลังใหม่มาถึงแล้ว ผมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่ก่อนจะไปผมก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าพี่อาร์ตตื่นหรือยัง แม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน เขาจัดการเองได้ แต่ผมก็ว่าจะขึ้นไปถามเสียหน่อยว่าวันนี้เขาจะไปไหนหรือเปล่า อีกอย่างจะบอกด้วยว่าไม่ต้องไปรับ

ผมจึงเปลี่ยนใจและวางรองเท้าไว้บนชั้นตามเดิม พลันก็เหลือบไปเห็นรองเท้าของผู้หญิงคนนั้น ผมจึงรู้ว่าคนชื่อผิงยังอยู่ น่าจะอยู่บนห้องกับพี่อาร์ตนั่นแหละ อย่างว่า คนเป็นแฟนกัน ทะเลาะกันบ้างดีกันบ้างเป็นธรรมดา

เมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็เลยว่าจะไม่ขึ้นไปรบกวน ทว่าขณะที่ผมกำลังจะหยิบรองเท้ามาใส่อีกครั้ง ผมก็ได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดเร็วๆ มา พี่อาร์ตนั่นเอง เขาอยู่ในชุดกางเกงบ็อกเซอร์และเสื้อยืดสีขาว ผมเผ้าหวีพอให้เป็นทรง กระนั้นก็ยังดูดีแบบดารา

“ม่อน จะไปเรียนแล้วเหรอ” พี่อาร์ตร้องถามช่วงที่กำลังจะพ้นบันไดขั้นสุดท้าย

ผมยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าให้กับคนที่เดินมาหา “ครับพี่”

พี่อาร์ตเดินปราดมาหาผมแล้วก็ถามอีก “กินอะไรหรือยังล่ะ เดี๋ยวพี่ทำให้เอาไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่อาร์ต เดี๋ยวผมไปกินที่มหาลัย พี่อาร์ตไม่ต้องห่วงผมเรื่องนี้หรอก” ผมรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ พี่อาร์ตดูชะงักเล็กน้อย

“เอางั้นเหรอ”

“ครับพี่ พี่ไปดูแลแฟนพี่เถอะ ผมจัดการตัวผมเองได้” ผมบอกยิ้มๆ

พอผมพูดถึงแฟน สีหน้าของพี่อาร์ตก็เจื่อนลง “ม่อน…โกรธพี่หรือเปล่า”

“โกรธเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมทำหน้าฉงน

“ก็เรื่อง…” พี่อาร์ตหยุดคิดชั่วครู่ ไม่นานก็เฉลย “ก็เรื่องที่พี่ให้ผู้หญิงมานอนที่บ้านไง”

คราวนี้ผมยิ่งไม่เข้าใจ ก็เลยขมวดคิ้วเป็นปื้น “ผมจะโกรธพี่ทำไมล่ะครับ นี่บ้านพี่อาร์ต ไม่ใช่บ้านผมสักหน่อย พี่อาร์ตใช้ชีวิตตามปกติของพี่เลย ผมไม่มีปัญหาหรอก”

“แต่ว่า…” พี่อาร์ตเงียบไปอีก ไม่รู้ว่ามีเรื่องหนักใจอะไรกันแน่ เพราะสีหน้าดูไม่สบายใจเลย ยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าตัวเองมาทำให้พี่เขาลำบากใจ

“ผมมารบกวนพี่หรือเปล่าครับเนี่ย”

“ไม่เลยม่อน ไม่ใช่อย่างนั้น ม่อนไม่ได้รบกวนอะไรพี่เลย พี่ไม่มีปัญหาหรอกที่ม่อนมาอยู่ด้วย” พี่อาร์ตรีบปฏิเสธ ทว่าสีหน้าก็ยังดูเครียดๆ เหมือนเดิม “แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไรเหรอครับ” ผมหรี่ตามองผู้อาวุโสกว่าเพียงสองปี คราวนี้พี่อาร์ตดูอึกอักยิ่งกว่าเดิม แถมยังไม่กล้าสบตาผมตรงๆ อีก

“พี่ไม่รู้จะบอกม่อนยังไง เอาอย่างนี้ละกัน ต่อไป…พี่จะไม่พาผู้หญิงมาที่บ้านอีก”

ฟังแล้วผมก็จนปัญญาจะเข้าใจ จนต้องกะพริบตาปริบๆ “ทำไมล่ะพี่ ผมไม่มีปัญหาอะไรเลยนะพี่อาร์ต ผมบอกแล้วไงว่าที่นี่เป็นบ้านพี่อาร์ต ไม่ใช่บ้านผม พี่อาร์ตจะทำอะไรก็ได้”

“ถ้าอยู่คนเดียว…มันก็ได้แหละ” พี่อาร์ตพูดสวนทันที เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่งจึงพูดต่อ “แต่ตอนนี้…ม่อนมาอยู่กับพี่แล้ว พี่ไม่ควรทำแบบนี้ให้ม่อนเห็น”

เมื่อพี่อาร์ตไม่กล้าพูดตรงๆ ผมก็เลยพูดแทนเสียเอง “พี่อาร์ต ผมว่าผมต้องมารบกวนพี่แน่ๆ เลย พี่บอกผมตรงๆ ได้นะครับ ผมไม่โกรธหรอก ผมกลับไปอยู่ที่เดิมได้นะพี่ ผมยังไม่ได้คืนห้อง”

“ไม่ใช่ม่อน ไม่ใช่อย่างนั้น” พี่อาร์ตยังคงปฏิเสธอย่างเดิม แต่ผมไม่เชื่อแล้วว่าเขาพูดจริง

“ผมเข้าใจชีวิตคนโสดนะพี่ ถ้าผมอยู่ที่นี่แล้วทำให้พี่ทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเดิม ผมกลับไปอยู่ที่เดิมก็ได้พี่ พี่ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก พี่บอกผมมาตรงๆ เลย” ผมย้ำอีกครั้ง

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะม่อน” พี่อาร์ตมองอย่างวิงวอน แต่ก็ยังดูลังเลที่จะบอกความจริง

“ตกลงพี่อาร์ตมีปัญหาอะไรเหรอครับ บอกผมตรงๆ มาเลยดีกว่า” ผมใช้น้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมกำลังจะหมดความอดทนแล้ว

แต่เมื่อรอฟังอยู่พักใหญ่พี่อาร์ตก็ยังเงียบ ผมก็เลยเอี้ยวตัวหลบ ตั้งใจว่าจะขึ้นไปเก็บของบนห้องตัวเอง วันนี้คงต้องยอมขาดเรียนช่วงเช้า

จังหวะนั้นพี่อาร์ตก็ดึงข้อมือผมไว้ ก่อนฉุดแรงๆ และดึงผมเข้าไปกอด ผมเบิกตาโตและตัวแข็งทื่อทันที ตั้งแต่เลิกกับแฟนชาวเวียดนามไป ผมก็ไม่เคยสัมผัสอะไรแบบนี้อีกเลย โดยเฉพาะอ้อมกอดอุ่นๆ ของผู้ชาย

“ม่อนอยู่กับพี่ที่นี่แหละ พี่อยากให้ม่อนอยู่กับพี่ ม่อนไม่ต้องไปไหน ถ้าพี่ไม่อยากให้ม่อนมาอยู่ด้วย พี่จะคะยั้นคะยอทำไมตั้งหลายครั้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ม่อน ปัญหามันอยู่ที่พี่ เอาเป็นว่าพี่จะไม่พาผู้หญิงมาค้างที่บ้านอีก อะไรที่ม่อนไม่ชอบ พี่จะไม่ทำนะ” พี่อาร์ตอธิบายเสียงสั่น ดูเหมือนเขาประหม่าหรือตื่นเต้นมาก

“ผมยังไม่เคยบอกพี่อาร์ตเลยนะครับว่าผมไม่ชอบ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีปัญหา” ผมยืนยันความคิดเดิม แม้ว่าไม่เข้าใจพี่อาร์ตเลยก็ตาม

“นั่นแหละ ชอบหรือไม่ชอบพี่ก็จะไม่พามา พี่ไม่อยากให้ม่อนน้อยใจพี่เหมือนตอนนั้นอีก ม่อนก็เหมือนกันนะ อย่าพาใครมานอนที่นี่ล่ะ โดยเฉพาะ…ไอ้โจนาธานนั่น”

ผมผละออกจากอ้อมกอดของพี่อาร์ตทันที พร้อมกับคิ้วย่นเป็นปื้นใหญ่กลางหน้าผาก “พี่อาร์ตพูดอะไรน่ะครับ ผมไม่เข้าใจ โจนาธานมาเกี่ยวอะไรด้วยครับ ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย แต่ถึงจะเป็น ผมก็ไม่พาเขามานอนนี่หรอก ผมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”

พี่อาร์ตหน้าเสีย เพราะดูเหมือนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เข้าใจกันผิดมากขึ้น เห็นทีผมคงต้องขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าแน่ๆ พูดกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ผมคงอยู่ด้วยไม่ได้

ดูเหมือนพี่อาร์ตจะรู้ตัวว่าชักช้าไม่ได้แล้ว ทว่าเขาก็ทำได้เพียงอ้าปากจะพูด แล้วก็ทำท่าหงุดหงิดตัวเองที่ไม่กล้าพูด ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ถึงดูยากเย็นเหลือเกิน แต่สุดท้าย…เขาก็พูดออกมาจนได้

“พี่ชอบม่อน”

ผมอ้าปากค้าง ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า แต่ถ้าพี่อาร์ตพูดจริง ผมก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเร็วไปหรือเปล่า ที่น่าตลกก็คือ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วผมไม่เคยกล้าบอกเขา แม้ว่าจะทั้งรักทั้งหลงมากขนาดไหน แต่วันนี้...พี่อาร์ตกลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วันบอกความรู้สึกนี้กับผมตรงๆ

นี่มันอะไรกัน พี่อาร์ตชอบผมจริงหรือเปล่า ชอบได้ยังไง ชอบแบบไหน ผมงงไปหมดแล้ว ผมควรจะตอบยังไงดี ผมควรจะรู้สึกยังไง ผมจะต้องทำตัวยังไง ผมควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปไหม ผมไว้ใจเขาได้แค่ไหนกัน

TBC…

ป.ล. EP4 มาวันที่ 7 พ.ย. เวลา 10.30 น.

เพลงไม่กล้าบอกเธอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2022 20:28:25 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
จะรอวับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 4 อุ่นใจ


เช้านี้ผมตื่นเร็วเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ผมไม่ได้ไปไหนจึงเข้านอนเร็ว วันไหนไปก็มักจะรีบกลับ ตั้งแต่ม่อนมาอยู่ด้วย ผมก็อยากอยู่บ้านมากขึ้น ไม่ค่อยออกไปกับสาวๆ แล้ว

วันนี้ผมว่าจะไม่ไปไหน ตั้งใจจะวาดรูปที่ค้างไว้ให้เสร็จ เพราะอีกไม่ถึงเดือนจะมีงานประมูลเอาเงินไปทำบุญ ผมรับปากทางช่องว่าจะวาดภาพรูปให้ ทว่าก็ไม่ค่อยมีเวลาทำมากนักในช่วงที่ผ่านมา

ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจกบานใหญ่ ยิ้มพอใจเมื่อเห็นว่าหน้าท้องของผมยังเป็นวีเชพ ไร้พุง มีกล้ามพองาม มีไรขนอุยที่สาวๆ บอกว่าเซ็กซี่สุดๆ มันเลื้อยต่ำและหายไปตรงขอบกางเกงในยี่ห้อ "ซาลิเกีย" สีเดนิมทรงบรีฟของผม

เมื่อมองด้านหน้าจะเห็นเป้านูนเด่น รู้ทันทีว่าพ่อให้มาไม่อั้น เมื่อเอียงตัวมองด้านข้าง จะเห็นสะโพกงอนโค้งเว้าตามแนวขอบกางเกงใน ทุกอย่างยังดูแน่นตึงสมส่วน แม้ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน

ตั้งแต่เป็นดารา ผมพิถีพิถันในการดูแลตัวเองมาก ต้องกินอาหารดีๆ ต้องดูแลผิวพรรณด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดูโทรมหรืออ้วนเลย ยิ่งอายุมากก็ยิ่งดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะผมยังต้องใช้รูปร่างหน้าตาทำมาหากิน จนกว่าจะดูแลไม่ไหวนั่นแหละ

ถ้าม่อนเห็นหุ่นผม เขาจะชอบหรือเปล่านะ

ผมมองร่างเกือบเปลือยเปล่าของตัวเองอีกครั้ง มั่นใจว่าม่อนน่าจะชอบ เพราะเก้งกวางในกองถ่ายแอบมองผมประจำ ที่สำคัญ สาวไหนได้มาอยู่ในที่ลับตากับผม ต่างก็หลงใหลในรสสัมผัสที่ผมมอบให้ทั้งนั้น ผมให้พวกเธอได้แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา เซ็กซ์ที่ยอดเยี่ยม การดูแลเอาใจ ความอบอุ่น หรือเงิน ยกเว้น...

ความรัก

เมื่อลงมาข้างล่างผมก็เข้าครัว ตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าให้ม่อนกินเสียหน่อย ค่าที่เป็นลูกคนจีน ผมจึงเลือกทำข้าวต้มแบบที่เคยกินเป็นประจำตอนเด็กๆ กินกับไข่เค็ม ผักกาดดอง ถั่วทอด กานาฉ่าย ไชโป๊วผัดไข่และผัดใบปอ ทำง่าย อร่อยด้วย ช่วงไหนมีเวลาผมก็จะทำกินเอง

ผมทำไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อย กำลังว่าจะไปตามม่อนพอดี เจ้าตัวก็โผล่หน้าเข้ามาในครัวเสียก่อน พอเห็นชุดที่ผมใส่ เขาก็ยืนตะลึง ทำหน้าอย่างกับโดนผีหลอกยังไงยังงั้น

“อ้าวม่อน มาพอดีเลย มากินข้าวต้มกัน สูตรบ้านพี่เลยนะจะบอกให้” ผมก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ ก่อนเงยหน้ามายิ้มเขินๆ “ก็ม่อนบอกพี่ว่าให้ใช้ชีวิตตามปกติไง นี่แหละปกติของพี่ เวลาอยู่บ้านพี่ใส่แค่นี้แหละ”

ม่อนยังคงยืนนิ่ง ผมจึงเดินไปรุนหลังและพามานั่งที่โต๊ะกินข้าว “มา มากินข้าวกัน เดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้”

“ครับ” ม่อนกวาดตามองดูอาหารบนโต๊ะแล้วก็ยิ้ม “น่ากินจังเลยครับพี่อาร์ต พี่อาร์ตทำเองเหรอ ผมรบกวนพี่หรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่รบกวนหรอก วันไหนว่างๆ พี่ก็จะทำแบบนี้กินเป็นประจำแหละ วันนี้พี่ว่าง” ผมพูดขณะตักข้าวต้มใส่ชาม เสร็จแล้วก็เอาไปวางให้อีกฝ่าย ก่อนจัดการของตัวเองบ้าง

ไม่นานเราสองคนก็ได้นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ม่อนใช้ตะเกียบไม่ค่อยเก่งนัก เขาก็เลยใช้ช้อนแทน ส่วนลูกคนจีนอย่างผมไม่มีปัญหาเรื่องตะเกียบอยู่แล้ว

“อร่อยไหม” ผมถามขณะใช้ตะเกียบคีบไชโป๊วผัดไข่ใส่ชามข้าวต้มให้ม่อน “ไชโป๊วผัดไข่ก็อร่อยนะ หวานเค็มกำลังดี”

ม่อนตักใส่ปากเคี้ยวกรุบๆ พอกลืนหมดก็ยิ้มพอใจ “อร่อยมากเลยครับพี่อาร์ต ที่บ้านพี่กินแบบนี้ทุกวันเหรอครับ”

“ก็เกือบทุกวันน่ะ บางทีก็เปลี่ยนเครื่องเคียงนิดๆ หน่อยๆ แต่หลักๆ ก็จะมีแค่นี้แหละ ทำง่าย กินง่าย เมื่อก่อนพี่ไม่ค่อยมีเวลาทำกินเองหรอก แต่หลังๆ งานมันน้อยลง พี่ก็เลยมีเวลาทำกินเองบ่อยขึ้น”

“ทำไมงานน้อยลงล่ะครับ” ม่อนหยุดกินและมองด้วยแววตาอยากรู้

ผมรู้สาเหตุดีอยู่แล้ว จึงตอบได้ทันที “อย่างแรก พี่อายุมากขึ้น สู้ดาราหน้าใหม่ไม่ได้หรอก เขาก็จ้างพี่น้อยลง อย่างที่สอง พออยู่นานคนจะเกรงใจเรา เขารู้ว่าเรามีฝีมือ ต้องหาบทดีๆ ให้เล่น ไม่ให้เล่นก๊องๆ แก๊งๆ เหมือนเมื่อก่อน แต่ปีหนึ่งก็มีแค่เรื่องสองเรื่อง อย่างที่สาม พี่เลือกเองว่าจะทำงานน้อยลง เพราะเมื่อก่อนพี่รับงานเยอะจนควบคุมคุณภาพไม่ได้ สุขภาพก็เริ่มแย่ด้วย”

ม่อนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “ถ้ารับงานน้อยลง แปลว่าต้องได้ค่าตัวเยอะใช่ไหมพี่”

ผมพยักหน้ายิ้มๆ “ก็พอได้อยู่ เล่นเรื่องเดียวอยู่ได้ทั้งปี”

“ขนาดนั้นเลยเหรอพี่” ม่อนทำตาโต ท่าทางดูอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย

ผมพยักหน้า “ก็ประมาณนั้น พี่ว่ามันก็ดีนะ ทำน้อยแต่ได้มาก ดีกว่าทำมากแต่ได้น้อย เมื่อก่อนพี่ต้องตะลอนๆ รับงานเล็กๆ น้อยๆ แทบทุกวัน แทบไม่เคยได้หยุดพักเลย เคยยุ่งถึงขนาดที่ว่า…เช้าอยู่ใต้ บ่ายอยู่อีสาน ตกเย็นไปอยู่เหนือ รับงานไปทั่วเลย แต่พอเริ่มดังมากขึ้น พี่ก็ค่อยๆ ลดงานพวกนี้ลง แก่แล้ว เดินทางเยอะๆ ไม่ไหว” ผมขำตัวเองเบาๆ ตอนท้าย

“ปกติเรื่องหนึ่งพี่ได้เงินเท่าไหร่ครับ” ถามไปแล้วม่อนก็นึกเกรงใจ “ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะพี่”

ถ้าเป็นคนทั่วไปผมคงไม่ตอบ แต่สำหรับม่อนผมบอกได้ “ก็หลักล้าน รวมโฆษณากับออกงานสำคัญๆ ปีหนึ่งก็หลักสิบล้าน”

“โห พี่อาร์ตทำงานชิ้นเดียวยังได้มากกว่าเงินเดือนผมสิบปีเลยมั้ง” ม่อนขำตัวเอง

“แต่มันก็ต้องทุ่มเทนะม่อนกว่าจะได้แบบนี้ วงการบันเทิงไม่ง่าย คู่แข่งเยอะ มีทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ ไม่ชอบเฉยๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่บางคนไม่ชอบแล้วแกล้งกันก็มี เตะตัดขาทุกวิถีทาง อย่างเรื่องล่าสุดที่พี่เพิ่งปิดกล้อง มีคนพยายามดันเด็กของตัวเองมาเล่นแทนพี่ จะให้ผู้จัดเอาพี่ออกให้ได้ หาว่าพี่แก่มั่ง มีข่าวฉาวเยอะมั่ง แสดงไม่ดีมั่ง แต่โชคดีที่ผู้จัดไม่เปลี่ยนใจ แต่ยังไงๆ พี่ก็ต้องเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง เพราะพี่เป็นพระเอกตลอดไปไม่ได้หรอก อายุสี่สิบพี่ก็จะเฟดตัวออกจากวงการบันเทิงแล้วล่ะ”

“แล้วพี่อาร์ตจะไปทำอะไรล่ะครับ”

“วาดรูป” นี่คือเรื่องแรกที่ผมตอบได้ทันที จากนั้นค่อยนึกถึงอย่างอื่น “ทำเกษตรก็ดีนะ พี่ซื้อที่แถวอุทัยธานีไว้หลายไร่ วันไหนม่อนว่างพี่จะพาไปเที่ยว”

“พี่อาร์ตยังวาดรูปอยู่เหรอครับ” ม่อนทำหน้าแปลกใจ

“วาดสิ ที่เรียนไม่จบก็เพราะชอบวาดรูปนี่แหละ” ผมขำเบาๆ เป็นเชิงหยันตัวเอง “เสียดาย พี่เคยวาดรูปม่อนไว้ตอนอยู่ไต้หวัน แต่พี่ทำหายไปแล้ว”

“รูปผม…รูปอะไรเหรอครับ” ม่อนมองผมเหมือนตัวเองฟังผิด

“อ๋อ ตอนอยู่ไต้หวัน พี่เอารูปม่อนติดไปด้วยรูปหนึ่ง รูปที่ทุ่งบัวตอง จำได้ไหม”

ม่อนพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ เมื่อรู้ว่าเขาจำได้ผมก็เล่าต่อ

“พี่ไม่เคยไม่คิดถึงม่อนนะ ตอนที่พี่ไป พี่รู้ว่าพี่ทำอะไรไม่ดีกับม่อนเอาไว้หลายอย่าง แต่…” ผมนึกได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องเครียดๆ ตอนกินข้าว จึงตัดบท “ตอนนี้อย่าเพิ่งคุยเรื่องเครียดๆ เลย เอาไว้ม่อนกลับมาตอนเย็นๆ พี่จะเล่าให้ฟังอีกทีละกัน กินข้าวก่อนดีกว่า”

ม่อนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ก็ยังดูเสียดาย “ได้ครับ วันนี้ผมมีเรียนเช้า บ่ายไม่มีเรียน ว่าแต่…พี่อาร์ตไปไหนไหมครับวันนี้”

ผมส่ายหน้า “วันนี้พี่จะวาดรูปให้เสร็จน่ะ พี่วาดรูปดอยสุเทพค้างไว้ จะเอาไปประมูลหาเงินทำบุญเดือนหน้า”

เมื่อรู้ว่าผมจะวาดรูป ม่อนก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ก่อนไปเรียน ผมไปดูรูปที่พี่อาร์ตวาดได้ไหมครับ”

“ได้สิ” ผมยิ้มและจ้องตาม่อนค้างไว้ ทว่าไม่นานม่อนก็หลบตาผมไปเอง

… … …

หลังอาหารเช้า ผมพาม่อนไปยังห้องที่ผมเอาไว้วาดรูป เขาดูตื่นตาตื่นใจกับผลงานของผมมาก ผมติดไว้ตามผนังเป็นส่วนใหญ่ มีบางส่วนยังวางอยู่บนขาตั้ง

“นี่แหละ ห้องทำงานของพี่ วันไหนว่างๆ พี่ก็จะขลุกอยู่ในนี้ทั้งวัน ถ้าม่อนอยากใช้ห้องนี้ทำงานก็ตามสบายนะ” ผมผายมือให้ม่อนดูโต๊ะกับเก้าอี้ทำงานที่อยู่ตรงมุมห้อง ม่อนหันไปดูตาม ไม่นานก็หันกลับมาสนใจภาพวาดต่อ

“โห…ฝีมือพี่อาร์ตดีขึ้นเยอะเลยนะครับเนี่ย มืออาชีพมาก ผมเห็นพี่เป็นดารา นึกว่าพี่จะไม่ได้วาดรูปแล้วซะอีก”

“ตอนแรกก็เคยคิดอย่างนั้นแหละ แต่มันก็อดใจไม่ไหวทุกที ก็เลยวาดมาเรื่อยๆ เมื่อหลายปีก่อนพี่หาคนมาสอนที่บ้านด้วยนะ พี่ไม่มีโอกาสได้เรียนโดยตรงไง ก็เลยต้องใช้วิธีนี้”

ม่อนพยักหน้ารับรู้ “แล้วพี่อาร์ตเคยจัดนิทรรศการงานศิลปะของตัวเองไหมครับ”

“เคย…แต่ไม่บ่อย พี่ไม่ค่อยมีเวลาวาด กว่าจะได้แต่ละคอลเลคชั่นมันใช้เวลาเยอะ พี่จัดไปแค่สองสามครั้งเอง”

ม่อนพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นผมก็ปล่อยให้เขาเดินดู จนใกล้เวลาผมก็เรียก

“ไปเหอะม่อน เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน วันนี้ให้พี่ไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” ม่อนหันมาปฏิเสธด้วยท่าทางเกรงใจ

“งั้นเอางี้ ให้พี่ไปส่งม่อนที่บีทีเอสละกัน ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก พี่อยากดูแลม่อนบ้าง พี่ไม่ได้ดูแลม่อนมาตั้งนาน ม่อนรู้ไหมว่าพี่ดีใจมากที่ม่อนมาอยู่ใกล้ๆ พี่เหมือนตอนนั้น”

ผมยิ้มตาหวาน กะว่าอีกฝ่ายจะเขินเสียหน่อย ทว่าก็เปล่าเลย ม่อนดูเฉย ไม่ยินดียินร้าย ผมจึงยิ้มเก้อ

“ก็ได้ครับ” ม่อนพยักหน้า

“โอเค งั้นไปกันเลย” ผมยิ้มดีใจและทำท่าจะเดินออกไป ทว่าก็หยุดชะงักเมื่อม่อนร้องเตือน

“พี่อาร์ตจะไปชุดนี้เหรอ”

ผมก้มมองชุดที่ตัวเองใส่แล้วก็ยิ้มเขิน “เออว่ะ ดีนะที่ม่อนเตือนซะก่อน ไม่งั้นพี่ถูกตำรวจเรียกแน่ๆ งั้น ม่อนรอแป๊บหนึ่งนะ พี่จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“ครับพี่”

ม่อนยิ้มเขิน ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวว่าคอยชำเลืองมอง “อาร์ตน้อย” ของผมอย่างสนใจหลายครั้ง ม่อนเริ่มสนใจผมบ้างแล้ว แม้ว่าจะเป็นความสนใจที่เสียวๆ ไปหน่อย แต่ก็เอาเถอะ อายุป่านนี้แล้ว สปาร์กขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จัดไปเลยละกัน ไม่จำเป็นต้องเหนียมอายเหมือนตอนเด็กๆ หรอก

… … …

เมื่อม่อนกลับมาถึงบ้านในตอนบ่าย เขาก็มาขลุกกับผมที่ห้องวาดรูป ซื้อขนมและของกินติดมือมาด้วย หนึ่งในนั้นเป็นขนมกุยช่าย ของโปรดสมัยเรียนมัธยมของผมเลย ม่อนยังอุตส่าห์จำได้ ส่วนผมแทบไม่เคยซื้อกินตอนหลังๆ เพราะไปเดินตลาดทีไรก็มีคนมารุมล้อมทุกที

หลังพักกินขนม ผมก็กลับมาวาดรูปต่อ ส่วนม่อนนั่งทำงานที่โต๊ะทำงาน เขาเอาโน้ตบุ๊กมาพิมพ์งานส่งอาจารย์ด้วย

“ม่อนฟังเพลงไปด้วยก็ได้นะ พี่เอาลำโพงบลูทูธมาให้แล้ว” ผมหันไปบอกม่อนก่อนจะเริ่มทำงานของตัวเอง

“รบกวนพี่อาร์ตหรือเปล่าครับ” ม่อนทำหน้าไม่แน่ใจ

ผมหยิบพู่กันมาถือไว้ เตรียมจะวาดรูปต่อ “ไม่รบกวนหรอก ตามสบายเลย”

ไม่นานก็มีเสียงเพลงดังขึ้น เพลงส่วนใหญ่ที่ม่อนเปิดเป็นเพลงยุค 90 ที่พวกเราเคยชอบนั่นแหละ ส่วนใหญ่เป็นเพลงช้าแบบอีซีลิสเซนนิ่ง มีเพลงเร็วๆ สลับมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

“พรุ่งนี้หรือว่าเมื่อไหร่ หรือว่าวันใด เธอยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยต้องมีคำสัญญา ไม่ต้องบอกรักก็เข้าใจ ไม่เห็นต้องเหมือนคนอื่น ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่เคยต้องมีคำพูดใด แค่มองไปไกลไกลเห็นเธอ ก็อุ่นใจ”

พอได้ยินเพลงอุ่นใจของพี่ติ๊นา หรือคริสติน่า อากีลาร์ ผมก็ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อก่อนผมเฉยๆ กับเพลงนี้ เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยฟังเพลงพี่ติ๊นาหรอก วิธีร้องและเนื้อหาน่าจะถูกจริตผู้หญิงหรือเกย์มากกว่า แต่ท่อนหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจก็คือท่อนที่ร้องว่า

“แค่มองไปไกลๆ เห็นเธอ ก็อุ่นใจ”

มันช่างตรงกับความรู้สึกของผมตอนนี้เหลือเกิน เพราะเมื่อผมหยุดวาดรูปและหันไปมองข้างหลัง ผมก็จะเห็นม่อนอยู่ไม่ไกล มันให้ความรู้สึกอุ่นใจดีไม่น้อย

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงม่อนก็ทำงานของตัวเองเสร็จ เขาเดินมานั่งลงข้างๆ และมองดูผมวาดรูปด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

“ระวังสีเปื้อนเสื้อผ้านะม่อน” ผมหันไปเตือนเมื่อเห็นเขานั่งไม่ระวัง

ม่อนแยงมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติเขาก็หันมาถามผม

“พี่อาร์ตจะขายเท่าไหร่”

“ห้าหมื่นก็น่าจะพอได้นะ”

“โห เงินเดือนทั้งเดือนของผมที่ลาวเลยนะนั่น” ม่อนทำหน้าทึ่ง

“ประมูลไปเรื่อยๆ อาจจะได้หลักแสนนะ คราวที่แล้วพี่ได้หกแสนแน่ะ”

“จริงเหรอพี่” ม่อนทำตาโต

“แค่นี้ไม่แพงหรอก ถ้าพี่ฝีมือดีๆ อย่างอาจารย์ถวัลย์ น่าจะได้เป็นล้านหรือหลายล้านด้วยซ้ำ”

“หกแสนก็เยอะแล้ว ถ้าเอาไปทำบุญก็ช่วยคนได้เยอะเลย แล้วพี่จะเอาไปช่วยที่ไหนบ้างครับ”

“ทางช่องเขาน่าจะเอาไปช่วยหลายที่นะ มีทั้งวัด โรงพยาบาล แล้วก็มูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็กพิการ เด็กยากจน เด็กไร้สัญชาติ”

“มีเงินเยอะๆ นี่มันก็ดีนะพี่ ช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้ามีไม่เยอะ ก็ดูแลได้แค่ตัวเองหรือไม่กี่คน” ม่อนทำเสียงเศร้าๆ ไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า

ผมพยักหน้าเห็นด้วย “แรกๆ พี่ก็ยังไม่คิดแบบนี้หรอก พี่หาเงินได้เยอะก็จริง แต่หมดไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเยอะมาก ทั้งกินทั้งเที่ยว ซื้อเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้แพงๆ รถแพงๆ คอนโดหรูๆ แต่พออายุมากขึ้นก็เริ่มเบื่อ ตอนนี้ขายทิ้งไปหมดแล้ว พอมีคนมาชวนไปทำบุญ พี่ก็เลยลองไปดู ปรากฏว่าชอบ ก็เลยทำเรื่อยมา โดยเฉพาะวัด แต่หลังๆ พี่จะช่วยวัดที่ทำงานพัฒนาชุมชนหรือช่วยเหลือสังคมมากกว่า ไม่เน้นสร้างศาสนวัตถุเท่าไหร่”

“ก็ดีแล้วพี่ ผมว่าเอามาช่วยคนดีกว่า บางวัดเงินเยอะ แต่ไม่เคยเอามาทำประโยชน์ให้ชุมชนเลย แถวบ้านผมสร้างโบสถ์ฝังลูกนิมิตเป็นว่าเล่น”

“ก็ธรรมดาแหละ พี่ไม่ได้ต่อต้านทั้งหมดหรอก ศาสนวัตถุบางอย่างก็เป็นประโยชน์กับชุมชน อย่างเช่น พระพุทธรูปขนาดใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ชาวบ้านเข้าไปขายของหรือทำงานบริการในวัดได้ เขาก็มีอาชีพ ถ้ามาแนวนี้พี่ก็ยินดีช่วย”

ม่อนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “อืม ก็ถูกของพี่อาร์ต ผมไม่เคยมองมุมนี้เลย”

ผมยิ้มให้ม่อนด้วยความรู้สึกเอ็นดู จังหวะนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นข้างๆ ตัว พอเห็นว่าใครโทรมาผมก็ลังเล เธอกวนผมตั้งแต่เช้าแล้ว ถ้าไม่พูดให้เด็ดขาดคงไม่เลิก ผมก็เลยหยิบโทรศัพท์มาและเดินออกไปรับสายนอกห้อง

“พี่อาร์ตวาดรูปเสร็จหรือยัง” เสียงใสถามทันทีที่ผมรับสาย

“ยังเลยหลิว” ผมตอบไปสั้นๆ

“หลิวไปหาที่บ้านพี่อาร์ตได้ไหม”

“วันนี้พี่ไม่สะดวกครับ ถ้าสะดวกพี่จะไปหาหลิวที่คอนโดเอง ไม่ต้องมาหรอก” ผมปฏิเสธด้วยเสียงที่นุ่มนวลที่สุด

“อ้าว ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนหลิวยังไปหาได้เลย หลิวว่าช่วงนี้พี่อาร์ตดูแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก พี่อยากพัก หลิวก็รู้ว่าช่วงถ่ายละครพี่ทำงานหนักมาก”

“ให้มันจริงละกัน ไม่ใช่อยู่กับคนชื่อผิงล่ะ” หลิวสะบัดเสียงเล็กน้อย

“ตอนนี้พี่อยู่กับม่อน เรื่องผิงมันจบไปแล้ว เขาทำพี่ขนาดนี้ พี่ไม่ให้อภัยง่ายๆ หรอก”

“แล้วเขาจะยอมจบง่ายๆ เหรอคะ”

“จบสิ คนอย่างพี่…จบก็คือจบ แค่นี้ก่อนนะหลิว พี่ตั้งใจจะวาดรูปให้เสร็จคืนนี้เลย” ผมรีบตัดบท เพราะถ้าคุยนานไปเขาจะคิดว่าผมว่าง

“อ้าว แล้วที่บอกว่าจะพาหลิวไปเที่ยวหลังปิดกล้องล่ะ หลิวรอมาตั้งหลายวันแล้วเนี่ย วันนั้นก็เบี้ยวหลิวกลางทางไปทีหนึ่งละ” หลิวบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยังไม่กล้าโวยวายมาก

“เอาไว้พี่วาดรูปเสร็จก่อนนะหลิว พี่รับปากทางช่องไว้แล้ว พี่ไม่อยากผิดคำพูด” ผมย้ำประโยคท้ายอย่างหนักแน่น

“ค่ะ”

หลิววางสายไปทันที ผมรู้ว่าเธอไม่พอใจ แต่บางทีผมก็ต้องปฏิเสธบ้าง ชีวิตที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า การตอบรับไปทั่วทำให้เราไม่มีเวลาทำสิ่งสำคัญของตัวเอง ตอนนี้…สิ่งสำคัญของผมเปลี่ยนไปแล้ว

ผมเดินกลับเข้ามานั่งวาดรูปต่อ ม่อนยังคงนั่งพินิจดูภาพวาดดอยสุเทพของผมอย่างสนใจ สงสัยจะคิดถึงเชียงใหม่แน่เลย ผมจึงลองถามเลียบๆ เคียงๆ

“วันไหนว่างๆ เราไปเที่ยวเชียงใหม่กันไหมม่อน”

ม่อนหยุดดูและหันมาพยักหน้ากับผม “ก็ดีนะพี่ ไปช่วงปิดเทอมก็ได้ เขาจะปิดเทอมให้ประมาณอาทิตย์หนึ่งน่ะ”

“อาทิตย์หนึ่งก็ไปได้ ไปรำลึกความหลังกันหน่อยดีไหม”

ม่อนพยักหน้า “เดี๋ยวรู้วันปิดเทอมแล้วผมจะบอกพี่อาร์ตอีกทีนะครับ”

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็หันมาวาดรูปต่อ ม่อนนั่งดูสักพักเขาก็ชวนผมคุย

“ช่วงนี้พี่อาร์ตไปหาหลิวบ้างไหมครับ”

ผมหยุดชะงักเล็กน้อยและหันไปมองคนถาม “ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว”

“เหรอครับ” ม่อนทำท่าเหมือนอยากถามบางอย่าง แต่ก็ดูลังเล

“จะถามอะไรก็ถามมาเลย นี่พี่อาร์ต ม่อนจะเกรงใจทำไม” ผมบอกอย่างรู้ทัน

ม่อนหัวเราะแหะๆ เขานิ่งไปพักหนึ่งก็ถามเรื่องที่อยากรู้ “พี่อาร์ตคิดจะแต่งงานหรือเปล่าครับ หรือว่า…จะอยู่เป็นโสดไปเรื่อยๆ”

“คิดสิ แต่ไม่ใช่กับหลิวแน่นอน” ผมพูดดักอย่างรู้ทัน ก่อนบอกเหตุผลว่าทำไมถึงยังไม่แต่งงาน “ที่ผ่านมา…พี่ยังหาคนรู้ใจไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ก็มีแต่แบบนี้แหละ กินเที่ยวสนุกกันไปวันๆ แต่พี่ก็อยากจะแต่งงานก่อนสี่สิบนะ ไม่งั้นจะแก่เกินไป”

พูดไปแล้วผมก็นึกได้ว่าเหลืออีกแค่สองปีเท่านั้น แต่ก็ไม่น่าห่วงหรอก เพราะผมคิดว่าผมเจอคนที่อยากจะแต่งงานด้วยแล้ว แต่เขาจะตกลงหรือเปล่าก็อีกเรื่อง

เมื่อพูดเรื่องนี้แล้วผมก็นึกถึงผิงขึ้นมาได้ “ม่อนจำผู้หญิงที่มาบ้านพี่เมื่อสองวันที่แล้วได้ไหม”

“จำได้ครับ” ม่อนมองผมด้วยแววตามีคำถาม

“ผิงนี่…เขาก็ดีนะ พี่ยังเคยคิดจะจริงจังกับเขาเลย แต่เขาใจร้อนไปหน่อย ไม่น่าทำแบบนี้เลย” ผมส่ายหน้าด้วยความเสียดาย

“ทำไมล่ะครับ หรือว่า…เขาเป็นคนที่เอารูปพี่ไปปล่อยในเน็ต” ม่อนเดาถูกเสียด้วย แสดงว่าเขาใส่ใจเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังไม่น้อย

“ใช่” ผมยอมรับ จากนั้นก็อธิบายต่อ “ที่พี่ยังไม่ตัดสินใจ เพราะเขาอายุน้อยกว่าพี่มาก เขาเพิ่งจบมหาลัย ช่องว่างระหว่างวัยมันเยอะ พี่ก็เลยลังเล แต่พี่ก็รู้แหละว่าผู้หญิงวัยเดียวกับพี่เขามีลูกมีผัวกันไปหมดแล้ว พี่ก็เลยเจอแต่คนอายุน้อยๆ บางคนเป็นลูกสาวพี่ได้เลย” ผมพูดติดตลกตอนท้าย

“กินเด็กจะได้สดชื่นไงพี่” ม่อนแซวยิ้มๆ

“เรื่องนั้นพี่ไม่เถียง แต่พออายุห่างกันมากๆ มันก็คุยกันไม่ได้ทุกเรื่องไง แต่ช่างเหอะ ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก แต่มันเป็นเพราะเขาใจร้อนและเล่นแรงไปหน่อย วันนั้นที่เขามา เขาก็จะมาขอคืนดีนั่นแหละ แต่พี่ไม่เอา จบก็คือจบ”

“อ๋อ ครับ” ม่อนรับคำ แต่แววตาดูมีคำถามอีกแล้ว

“ม่อนคิดว่าพี่นอนกับเขาเหรอคืนนั้น” ผมถามอย่างรู้ทัน ม่อนไม่ตอบ เขาคงอยากฟังจากผมเองมากกว่า ผมจึงรีบชี้แจง “ทะเลาะกันขนาดนั้น พี่คงนอนด้วยไม่ได้หรอก ม่อนก็รู้นี่ว่าพี่ขี้โมโห พี่ก็เลยไปนอนอีกห้อง”

ม่อนพยักหน้ารับรู้ ถ้าไม่คิดไปเอง ผมว่าเขาดูโล่งใจไม่น้อยเลย

“ม่อนเปิดเพลงอุ่นใจให้พี่ฟังหน่อยสิ” ผมหันไปบอก ในมือถือพู่กันไว้เตรียมทำงานต่อ

“อ๋อ ได้ครับ”

ม่อนลุกขึ้นและเดินไปที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดคอมของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดเพลงที่ผมขอเมื่อกี้ให้ฟัง ผมหันกลับมาวาดรูปต่อ ส่วนม่อนเดินมานั่งลงข้างๆ ผมตามเดิม

“เวลาพี่อาร์ตวาดรูป พี่อาร์ตใส่เกงในตัวเดียวอย่างนี้เหรอ”

ในที่สุดม่อนก็ถามเรื่องที่ผมอยากให้ถามเสียที ผมยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วก็หันไปตอบ “มันสบายไง อีกอย่าง จะได้ไม่ต้องกลัวเสื้อผ้าเปื้อนด้วย เวลาม่อนอยู่บ้าน ม่อนไม่ใส่แบบพี่เหรอ ม่อนทำตัวตามสบายได้เลยนะ พี่ไม่ว่าหรอก”

“ไม่เอาหรอก”

ม่อนเผลอทำเสียงเง้างอด ดูน่ารักไม่น้อย ผมจึงรู้ว่าเขาน่าจะใส่แบบที่ผมใส่นั่นแหละ แค่ไม่กล้าทำแบบนี้ที่บ้านผม

ม่อนคงกลัวผมชวนคุยเรื่องนี้ต่อ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าพี่อยากให้ผมช่วยถ่ายรูปเบื้องหลังให้ บอกได้นะพี่ เผื่อพี่จะเอาไปลงไอจีให้แฟนๆ เห็นภาพเบื้องหลังไง”

ผมถึงกับสะดุ้ง รีบร้องห้ามแทบไม่ทัน “เฮ้ย สภาพนี้ไม่ได้”

เราสองคนต่างก็ขำ สักพักม่อนก็หยุดคุยและปล่อยให้ผมทำงานต่อ ส่วนเขานั่งดูอย่างสนใจ ยี่สิบปีที่แล้วเคยทำยังไงเขาก็ทำอย่างนั้น

พอถึงสี่โมงเย็นผมก็หยุด กะว่าจะพาม่อนไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำหลังบ้านเสียหน่อย เสร็จแล้วก็จะพาไปกินข้าวเย็นข้างนอก ทว่าพอจะลุกขึ้นผมก็ร้องโอดโอย

“อูย เหน็บกินขาแล้ว ม่อนช่วยพี่หน่อย”

ผมยื่นมือไปให้ม่อน เจ้าตัวรีบลุกขึ้นและยื่นมือมาให้ผมจับ ตอนแรกผมก็ว่าจะยืนขึ้นดีๆ แต่ค่าที่แสดงละครมาหลายเรื่อง อยู่ๆ ผมก็นึกถึงฉากที่พระเอกนางเอกล้มทับกันขึ้นมา ก็เลยนึกสนุก

ลุกขึ้นยืนได้แล้วผมก็แกล้งเซ ม่อนตกใจรีบจับตัวผมไว้ จังหวะนั้นผมก็ทิ้งตัว ม่อนล้มตามแรงผมมา ก่อนร่างจะถึงพื้นผมก็เหวี่ยงตัวให้ตัวเองเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน เมื่อล้มทับม่อนแล้วผมก็ใช้มือกดแขนเขาไว้

“พี่อาร์ตทำอะไรน่ะ” ม่อนถามอย่างหวาดระแวง

“ที่พี่พูดวันนั้น พี่พูดจริงนะม่อน” ผมพูดไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าม่อนจำได้หรือเปล่า

ม่อนนอนนิ่ง แต่สีหน้าดูยุ่งยากใจ ผมกลัวเขาอึดอัด ก็เลยบอกไปตรงๆ อีกครั้ง

“พี่ชอบม่อน ชอบจริงๆ ไม่ได้โกหก ไม่ได้พูดเล่น”

คราวนี้ได้ผล ม่อนพูดตอบมาทันที “ชอบแล้วยังไงครับ พี่อาร์ตเป็นผู้ชาย ผมเป็นเกย์ แล้วก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ”

“พี่ก็ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนม่อนนั่นแหละ” ผมเล่นสำบัดสำนวน

ม่อนนอนเงียบ แต่ถ้าสังเกตจะเห็นแววตาไหวระริก บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหวั่นไหว นี่คือโอกาสดีที่ผมจะจู่โจม

“เมื่อเช้าพี่บอกม่อนว่าตอนอยู่ไต้หวัน พี่เอารูปม่อนไปด้วย เป็นรูปที่พี่ถ่ายให้ที่ทุ่งบัวตอง พี่เอารูปนั้นมาวาด วาดตั้งหลายวัน วาดเสร็จก็นั่งดู ดูทีไรก็น้ำตาไหล เพราะพี่คิดถึงม่อน ม่อนคิดว่า…ผู้ชายอย่างพี่จะคิดถึงม่อนทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะว่า…”

ผมเว้นจังหวะและคอยจับดูปฏิกิริยาของคนข้างล่าง ม่อนดูตกใจไม่น้อยเลย คงถึงเวลาที่ผมจะพูดไปตรงๆ ม่อนจะได้ไม่ต้องตีความให้ยุ่งยาก

“พี่ชอบม่อน ชอบตั้งนานแล้ว ม่อนดูไม่ออกเหรอ”

ม่อนตาเบิกโพลง เจ้าตัวคงไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นจริงนั่นเอง

“แต่มันจบไปตั้งนานแล้วนะพี่อาร์ต” ม่อนแย้งเสียงอ่อน

“พี่รู้ว่ามันจบไปนานแล้ว แต่พี่อยากให้ม่อนรู้ว่าพี่เคยชอบม่อน พี่เคยเจ็บ เคยคิดถึง เคยร้องไห้หา ม่อนเองก็ชอบพี่ไม่ใช่เหรอ พี่รู้ตั้งนานแล้วว่าม่อนชอบพี่ ตอนนี้ก็ชอบ”

“ขี้ตู่” ม่อนเถียง ทว่าก็ไม่กล้าสบตาผมตรงๆ

“งั้นก็บอกพี่มาสิมาม่อนไม่ชอบพี่”

ผมท้าทาย ม่อนก็เลยเงียบ เมื่อไม่โต้แย้งก็แปลว่ายอมรับ ผมเอามือข้างหนึ่งมาลูบผมตรงหน้าผากของม่อน จ้องมองใบหน้านั้นอย่างเอ็นดู

“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงชอบม่อน เพราะพี่ไม่ใช่เพิ่งรู้จักม่อนวันนี้ไง วันแรกที่เราได้กลับมาเจอกัน ม่อนเห็นไหมว่าพี่นั่งคุยกับม่อนทั้งคืน พี่แทบไม่อยากกลับบ้านเลย ยิ่งคุยยิ่งชอบ ยิ่งคุยยิ่งใช่ ถึงม่อนจะตัวโตขึ้น เสียงใหญ่ขึ้น แต่พี่ก็รู้ว่า…นี่แหละ…ม่อนที่พี่เคยรู้จัก คนที่พี่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข พี่รู้ทันทีเลยว่าม่อนเป็นคนที่พี่ตามหามานาน พี่ไม่ได้พูดเว่อร์ ม่อนก็รู้ว่าเราสองคนเคยผูกพันกันมากแค่ไหน แค่รู้ว่าคนตรงหน้าคือม่อน พี่ก็ไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสงสัย ม่อนคือคนที่พี่รักได้เลย”

ไม่รู้ว่าม่อนเคลิ้มบ้างหรือเปล่า แต่ปากรูปกระจับนั้นไม่เถียงอีกแล้ว แต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเจ้าน้องชายของผมดันตื่นตัวขึ้นมากะทันหัน สาเหตุน่าจะมาจากช่วงนี้ผมไม่มีสาวๆ มาหาเลย มันคงสงสัยว่าทำไมผมไม่ค่อยใช้งานมัน ม่อนคงสัมผัสได้จึงทำหน้าตื่นตกใจ

“พี่อาร์ตเนี่ย”

ม่อนเอาสองมือผลักผมออก จากนั้นก็รีบลุกขึ้น หน้าแดงจัดเลยทีเดียว ส่วนผมยังนอนคว่ำอยู่ ถ้าลุกขึ้นตอนนี้คงได้ชี้หน้าม่อนแน่

“ม่อนไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ตามไป” ผมหันไปบอกอย่างเขินๆ รู้สึกมีความสุขที่ได้หยอกเอินกับม่อนเหมือนเรายังเด็ก

“แล้วพี่อาร์ตลุกได้หรือเปล่า” ม่อนยังมีแก่ใจเป็นห่วง

“ได้ ม่อนออกไปก่อนเลย ไม่งั้นก็หันหน้าไปทางนู้น” ผมบุ้ยหน้าไปทางประตู

ม่อนหันหน้าไปทางที่ผมบอก ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้น แต่ก็คอยกุมเป้าตัวเองไว้ ม่อนคงนึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงหันมาดู เมื่อเห็นผมยังยืนกุมเป้า เขาก็เสมองไปทางอื่น

ผมยิ้มแหยๆ แล้วก็พูดหยอกอีก “พี่ไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้กับผู้ชายเลยว่ะม่อน”

ม่อนหันมามองผมอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาเขาดูครุ่นคิดและสับสน เขาก้มมองมือผมที่กอบกุมตรงนั้นไว้ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมใหม่ ไม่นานก็ปราดเข้ามากอดและจูบผมหนักๆ อีกมือก็คว้าหมับตรงนั้นของผมและกำไว้ สงสัยผมจะไม่เคยมือผู้ชายมาก่อน จึงรู้สึกเสียวสะท้านจนเผลอร้องครางเบาๆ

แม้ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ แต่ถ้าม่อนต้องการให้พี่คนนี้มอบความสุขสุดยอดให้ ผมก็ยินดี แม้ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ผมก็เชื่อว่าผมทำได้ เพราะแค่เริ่มต้นมันก็ตื่นเต้นและเสียวกระสันดีเหลือเกิน ตัวผมนี่แทบจะลอยแล้ว

TBC…

EP5 มาวันที่ 14 พ.ย. เวลา 10.30 น.

เพลงอุ่นใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2022 21:54:52 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 4 อุ่นใจ
«ตอบ #12 เมื่อ07-11-2021 11:32:18 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 4 อุ่นใจ
«ตอบ #13 เมื่อ08-11-2021 22:19:11 »

น้ำลายหก :hao6:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 4 อุ่นใจ
«ตอบ #14 เมื่อ08-11-2021 22:35:13 »


ตอนต่อไปจะมาในชื่อตอน "ขอโทษที่กวนใจเธอ" เอาตัวอย่างมาให้อ่านเรียกน้ำย่อยครับ พบกัน 14 พ.ย. นะครับ ขอบคุณทุกคนที่มาติดตามครับ

“ก็พี่อาร์ตบอกผมเองนี่ว่าไม่ต้องมายุ่ง” ผมลั่นเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้าตา คราวนี้เสียงเพลง “ขอโทษที่กวนใจเธอ” ของพี่นัท มีเรีย ดังลั่นในหัวเลย

“อยากให้เธออภัยสิ่งที่กระทำ เพราะนั่นคือความจริงใจ สิ่งที่ทำลงไปเพียงคิดไปเอง เข้าข้างตัวเองว่ารักกัน แต่ไม่เคยมองเธอให้ชัดนานๆ ให้รู้ความจริงข้างใน ก็บอกตรงๆ ว่าเสียใจ เมื่อรู้ว่ากวนใจเธอ นับจากวันนี้ จะไปไกลๆ ไม่มาเจอ นี่คือสิ่งเดียว เป็นสิ่งที่หวังว่าเธอนั้น คงจะพอใจ”

“เรื่องแค่นี้เองเหรอ ที่หายไปสองอาทิตย์เพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ” พี่อาร์ตเขย่าไหล่ผมแรงขึ้น แววตาของเขามีคำถามร้อยพันที่จะต้องเค้นเอาคำตอบให้ได้

“แล้วพี่อาร์ตจะสนใจทำไมล่ะครับ น้องก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย” ผมตัดพ้อ น้ำตาเริ่มไหลพรากๆ เพราะห้ามไม่ไหวแล้ว ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายด้วยกันเลย

“คิดอย่างงั้นเหรอ พี่อุตส่าห์เป็นห่วงม่อน แต่ม่อนมาพูดกับพี่แบบนี้นี่นะ” พี่อาร์ตตัดพ้อ แววตาดูผิดหวังจนผมรู้สึกใจหาย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 4 อุ่นใจ
«ตอบ #15 เมื่อ12-11-2021 12:31:11 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 4 อุ่นใจ
«ตอบ #16 เมื่อ13-11-2021 19:11:23 »

ตอนที่ 5 ขอโทษที่กวนใจเธอ


ในที่สุดผมก็พลาดจนได้ ทั้งที่ไม่ต้องการให้เลยเถิด เมื่อวานผมแค่สงสัยว่าพี่อาร์ตพูดจริงหรือเปล่า เขามีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด แต่อยู่ดีๆ ก็บอกว่าชอบผม บอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย เขาน่าจะพูดเพราะไม่รู้มากกว่า

นั่นแหละ ผมก็เลยแกล้งเดินเข้าไปจูบเขา จับตรงนั้นของเขา เพื่อให้เขารู้ว่า สัมผัสของผู้ชายไม่เหมือนของผู้หญิง ผมกะว่าเขาจะตกใจ ขยะแขยง และผลักผมออก ที่ไหนได้มันกลับตรงกันข้าม

สุดท้ายก็มาจบที่เตียงพี่อาร์ต ไม่รู้ว่าเจ้าตัวติดใจอะไรถึงกับขอสองรอบ แม้ยังทำกับผู้ชายไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ แต่ผมก็ยอมรับว่าเซ็กซ์ของพี่อาร์ตสุดยอดมาก ผมไม่เคยเจอใครปรนเปรอให้สุขสมจนแทบขาดใจอย่างนี้มาก่อนเลย

ผมค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากตัวและเลื่อนปลายเท้าลงมาแตะที่พื้นห้อง หันไปดูพี่อาร์ตอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขายังไม่ตื่น เขายังนอนหลับตาพริ้มสบายอยู่ ผมจึงลุกจากเตียง ทั้งเนื้อตัวเหลือกางเกงในตัวเดียว ผมเดินย่องไปเก็บเสื้อผ้าตัวเองที่หล่นกระจายตามพื้นมาถือไว้ จากนั้นก็ย่องออกไปจากห้องพี่อาร์ต

เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็ออกไปมหาลัยเลย วันนี้ไม่มีเรียนหรอก แต่ผมนัดเพื่อนร่วมกลุ่มเอาไว้สิบโมงเช้าที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ ตั้งใจจะแบ่งงานกันทำนั่นแหละ

ระหว่างอยู่บนรถไฟฟ้า ผมก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ทำไมพี่อาร์ตถึงกล้าเลยเถิดกับผมขนาดนี้หนอ ผู้ชายที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย ไม่น่าทำแบบนี้ให้ผมได้ หรือว่าแค่อารมณ์พาไป แต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น

เฮ้อ…ไม่ว่ายังไงผมก็กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอยู่ดี ผมไม่อยากกลับไปร้องเพลง “ขอโทษที่กวนใจเธอ” อีกแล้ว ครั้งหนึ่งผมก็เคยละเมอเพ้อพกว่าพี่อาร์ตคิดอะไรกับผม แต่วันหนึ่งฝันกลางวันของผมก็พังครืนไม่มีชิ้นดี

ภาพที่ยังติดตาผมเกิดขึ้นตอนผมอยู่มอสี่ พี่อาร์ตอยู่มอหก วันหนึ่งพี่อาร์ตกับเพื่อนไปเที่ยวน้ำตกแม่สาที่อำเภอแม่ริม เขาชวนผมกับพี่ต่ายไปด้วย ผมก็ไม่พลาดเพราะชอบเที่ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ขณะที่พวกเราเล่นน้ำตกกันอย่างสนุกสนาน พี่อาร์ตกับพี่ต่ายกลับนั่งคุยกันบนโขดหินสองคน สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าทะเลาะกันหรือเปล่า ด้วยความหวังดีว่าพี่อาร์ตจะไม่ได้เล่นน้ำ ผมก็เลยเดินไปชวนเขามาเล่นด้วยกัน ทว่าพี่อาร์ตกลับหันมาเหวี่ยงใส่ผม

"อย่าเพิ่งมากวนตอนนี้ได้ไหมม่อน เห็นไหมว่าพี่กำลังคุยกับต่ายอยู่"

เจอแบบนี้เข้าผมก็งอน จึงไม่ไปยุ่งกับเขาอีกเลย จนเมื่อถึงเวลากลับนั่นแหละ ผมก็นึกได้ว่ายังไม่เห็นพี่อาร์ตเลย ด้วยความเป็นห่วงจึงไปเดินตามหา เมื่อหาในน้ำไม่เจอก็ขึ้นไปหาบนฝั่ง แต่แล้วก็เจอของดีที่ทำเอาผมช็อกตาตั้ง พี่อาร์ตกำลังกอดจูบลูบคลำกับพี่ต่ายอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้อย่างเร่าร้อน ผมจำได้ติดตาว่าพี่อาร์ตเอามือบีบขยำตรงหน้าอกเปลือยเปล่าของพี่ต่ายด้วย ทั้งคู่หยุดและผละออกจากกันเมื่อรู้ว่ามีคนเดินมา ผมรีบเดินหนีทันที

ขากลับผมไม่พูดกับพี่อาร์ตเลย ไม่มองหน้าเขาด้วย หลังจากวันนั้นผมก็คอยหลบหน้าหลบตาพี่อาร์ต เขาโทรมาเมื่อไหร่ผมก็ให้พี่เมี่ยงรับแทนและบอกว่าผมไม่อยู่ ผ่านไปสองอาทิตย์ พี่อาร์ตก็มาดักเจอผมที่บ้านตอนผมกลับจากโรงเรียน

“หายไปไหนมาม่อน” พี่อาร์ตเดินเข้ามาถามขณะที่ผมกำลังจะจูงมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดในบ้าน

“เปล่าครับ” ผมหยุดมองคนที่มาหาด้วยสีหน้ามึนตึง

“เปล่าเหรอ” พี่อาร์ตหรี่ตา “แต่พี่ไม่ได้เจอม่อนสองอาทิตย์แล้วนะ โทรหาก็ไม่รับ ตกลงเป็นอะไรกันแน่”

“การบ้านเยอะ” ผมตอบสั้นๆ ไม่เต็มเสียง

“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่อาร์ตจ้องตาผมคล้ายจะจับพิรุธ

ผมไม่อยากเถียงก็เลยเงียบ นึกถึงภาพบาดตาบาดใจที่น้ำตกทีไรก็เจ็บทุกที ถ้าเขากอดจูบกันขนาดนั้น แปลว่าคงไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว

เมื่อผมไม่ตอบ พี่อาร์ตก็ตรงมาเขย่าไหล่ผมแรงๆ “เป็นอะไร มีปัญหาอะไร หลบหน้าพี่ทำไมน่ะม่อน”

“ก็พี่อาร์ตบอกผมเองนี่ว่าไม่ต้องมายุ่ง” ผมลั่นเสียงสั่นอย่างเหลืออด น้ำตาคลอเบ้า คราวนี้เสียงเพลง “ขอโทษที่กวนใจเธอ” ของพี่นัท มีเรีย ดังลั่นในหัวเลย

“อยากให้เธออภัยสิ่งที่กระทำ เพราะนั่นคือความจริงใจ สิ่งที่ทำลงไปเพียงคิดไปเอง เข้าข้างตัวเองว่ารักกัน แต่ไม่เคยมองเธอให้ชัดนานๆ ให้รู้ความจริงข้างใน ก็บอกตรงๆ ว่าเสียใจ เมื่อรู้ว่ากวนใจเธอ”

แววตาของพี่อาร์ตมีคำถามร้อยพัน แถมยังขมวดคิ้วเป็นปื้น “เรื่องแค่นี้เองเหรอ ที่หายไปสองอาทิตย์เพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ”

“แล้วพี่อาร์ตจะสนใจทำไม น้องก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย” ผมตัดพ้อ น้ำตาไหลพรากๆ ทำเอาพี่อาร์ตตกใจไปเลย

“คิดอย่างงั้นเหรอ พี่อุตส่าห์เป็นห่วงม่อน แต่ม่อนมาพูดกับพี่แบบนี้นี่นะ” พี่อาร์ตตัดพ้อบ้าง แววตาดูผิดหวังจนผมรู้สึกใจหาย

สักพักพี่อาร์ตก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนลง “พี่มาตามม่อนถึงบ้าน ม่อนคิดว่าเพราะอะไร ถ้าไม่ห่วง ไม่คิดถึง พี่จะมาหาไหม”

เมื่อได้ยินคำว่าคิดถึงผมก็ยืนนิ่ง ส่งสัญญาณว่ายอมแพ้นั่นแหละ พี่อาร์ตดึงผมเข้าไปกอดไว้ ผมตัวแข็งทื่อเลย เพราะเขาไม่เคยกอดผมแบบนี้มาก่อน โชคดีว่าตอนนั้นพี่เมี่ยงกับแม่ออกไปตลาด ไม่งั้นคงตกใจกันทั้งบ้าน

“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะม่อน” พี่อาร์ตพูดด้วยเสียงอ่อนโยนจนผมเคลิ้ม

อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน จนผมนึกอยากหวงเอาไว้คนเดียว แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผมกลับทำได้เพียงทนดูพี่อาร์ตเอาสิ่งนี้ไปให้คนอื่น

นี่ก็ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว แม้ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรอีก แต่ภาพที่น้ำตกนั้นก็ยังติดตา คล้ายกับว่าผมยังฝังใจเจ็บกับมันเงียบๆ

… … …

เมื่อได้หนังสือที่พอจะเอาไปใช้ประโยชน์ในการทำงานกลุ่มได้ พวกเราสามคนก็กลับมานั่งคุยกันที่โต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุด แต่แทนที่จะคุยเรื่องงานวิชาการ โจนาธานกลับสนใจเรื่องส่วนตัวของผม พอหย่อนก้นลงเขาก็หันมาชวนคุย

“พี่ม่อนแต่งงานหรือยังครับ”

“ยัง” ผมลากเสียงสูงเล็กน้อย นึกสงสัยว่าทำไมเขาอยากรู้ “แล้วโจนาธานล่ะ”

“ยังพี่ ผมเพิ่งจะยี่สิบห้าเอง” โจนาธานวางหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนหันไปถามเพื่อนอีกคน “แล้วพี่ตาลล่ะ”

“ลูกสองแล้วจ้า” ตาลบอกยิ้มๆ ก่อนเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ผม “ทำไมพี่ม่อนถึงยังไม่แต่งงานล่ะคะ”

“ก็อยากแต่งอยู่ แต่เจอคนถูกใจทีไร ก็มีอันต้องแคล้วคลาดกันทุกที” ผมพูดให้ฟังดูขำๆ สองหนุ่มสาวมองผมอย่างสนใจ

“หมายถึงเลิกกันเหรอครับ” โจนาธานทำหน้าไม่แน่ใจ เขาน่าจะไม่เข้าใจคำว่า “แคล้วคลาด” แน่ๆ

“ประมาณนั้น” ผมพยักหน้าและหันมองออกไปข้างนอก ชมสีเขียวของแมกไม้ผ่านบานกระจกของชั้นสี่

ผมอดคิดถึงเหงียน ฮอง ซอนไม่ได้เลย จะว่าไปเขาก็ใจร้ายมาก เขาตัดขาดการติดต่อกับผมไปสองปีแล้ว แต่ผมก็ปล่อยวาง ไม่ตาม ไม่ห้าม ไม่ขวาง เพราะรู้อยู่แล้วว่าสักวันมันจะเป็นแบบนี้

ฮอง ซอน อายุน้อยกว่าผมสี่ปี เรียนจบก็ได้มาทำงานที่เอ็มอาร์ซีเลย ผมทำงานกับเขาเจ็ดปี แต่ก็มาเป็นแฟนกันช่วงสามสี่ปีหลังแบบหลบๆ ซ่อนๆ ช่วงหลังๆ เขาเล่าให้ผมฟังว่าที่บ้านเริ่มถามแล้วว่าทำไมยังไม่แต่งงาน ทั้งที่ก็ใกล้จะสามสิบ เท่านี้ผมก็รู้ว่าต้องเตรียมใจ และในที่สุดสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เป็นจริง

ผมเสียใจนะ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนผมทำงานบริษัททัวร์ที่เชียงใหม่ ผมก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย เขาอายุน้อยกว่าผมสองปี แต่คบกันได้ไม่นาน เขาก็ไปมีแฟนเป็นผู้หญิงเฉยเลย หลังจากนั้นผมก็มีคนที่คบด้วยอีกสองสามคน แต่ความสัมพันธ์ก็จบลงในเวลาไม่นานด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน

“ผมถามพี่ม่อนตรงๆ ได้ไหมครับ” โจนาธานเกริ่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ได้สิ จะถามว่าพี่ชอบผู้ชายหรือผู้หญิงใช่ไหม” ผมยกยิ้มอย่างรู้ทัน มั่นใจว่าทั้งสองคนต้องสงสัยเรื่องนี้แน่นอน โจนาธานกับตาลถึงกับทำหน้าเหลอหลาเลยทีเดียว

“เอาเป็นว่า…พี่ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ก็เคยมีผู้หญิงมาชอบนะ โดยเฉพาะตอนเรียนมหาลัย” ผมยิ้มภูมิใจนิดๆ ทว่านึกไปก็รู้สึกตลก เวลามีผู้หญิงมาชอบและตามตื๊อมากๆ มันก็อึดอัดไม่น้อย

สองหนุ่มสาวรุ่นน้องทำหน้าทึ่ง คงไม่คิดว่าผมจะกล้าบอกตรงๆ แบบนี้ แต่หลังๆ มานี้ผมไม่อายที่จะบอกหรอก ใครกล้าถามก็กล้าบอก แต่คงไม่ถึงกับเอาป้าย “ผมเป็นเกย์” มาแขวนคอ

“แล้วมันมีส่วนทำให้พี่ม่อนยังไม่แต่งงานหรือเปล่า” ตาลถามต่อ สีหน้าเกรงใจหายไปแล้วเมื่อเธอรู้ว่าผมกล้าเปิดเผยตัวตน

“ก็มีส่วนนะ” ผมพยักหน้า “สมัยนั้นมันไม่เหมือนสมัยนี้ไง ความรักของเกย์ตอนนั้น…จบไม่สวยหรอก ผู้ชายสมัยนั้นเขาต้องแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกมีหลาน เขาถูกสังคมคาดหวังแบบนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพี่จะคบใคร มันก็จบแบบนี้ตลอดเลย”

“จริงเหรอพี่” ตาลทำหน้าเห็นใจ “แล้ว…พี่อาร์ตเขารู้หรือเปล่าว่าพี่ม่อนเป็น…”

“รู้สิ”

“รู้นานหรือยังคะ” ตาลโน้มตัวมาใกล้ด้วยความอยากรู้

“รู้ตั้งแต่ตอนอยู่เชียงใหม่แล้ว”

“แสดงว่าพี่อาร์ตนี่ก็เปิดกว้างเหมือนกันนะคะ” ตาลพูดด้วยสีหน้าชื่นชม

ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหันไปทางโจนาธานบ้าง เจ้าตัวดูตั้งใจฟังบทสนทนาของผมกับตาลมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจมากแค่ไหน ผมก็เลยถามเป็นภาษาอังกฤษ

“เมื่อกี้โจนาธานฟังเข้าใจทั้งหมดไหม”

“80%” โจนาธานตอบเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็เล่าเรื่องในประเทศของเขาให้พวกเราฟัง “ผมว่าประเทศไทยเปิดกว้างเรื่องแอลจีบีทีมากกว่าเมียนมาร์นะ ที่เมียนมาร์มีกฎหมายมาตรา 377 ที่ห้ามไม่ให้คนเพศเดียวกันมีกิจกรรมทางเพศด้วยกัน ถ้าถูกจับได้ อาจจะติดคุกสิบปีหรือตลอดชีวิต”

“ถึงกับติดคุกเลยเหรอ” ตาลทำท่าตกใจ

“ใช่ แต่ว่าก็ไม่ค่อยมีใครบังคับใช้กฎหมายนี้เท่าไหร่หรอก ผมยังไม่เคยเจอคนติดคุกเพราะกฎหมายนี้เลย แต่กฎหมายมันก็มีอยู่ เอามาบังคับใช้เมื่อไหร่ก็ได้ มีกลุ่มแอลจีบีทีในเมียนมาร์เคลื่อนไหวให้ยกเลิกกฎหมายนี้เหมือนกัน แต่กลุ่มยังไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไหร่ ผมว่ากลุ่มแอลจีบีทีในไทยเข้มแข็งกว่า”

ตามประสาคนทำงานเอ็นจีโอ การคุยกันเรื่องแนวคิดการพัฒนาหรือการเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็พยายามอยู่กลางๆ ไม่เอียงซ้ายหรือขวามากเกินไป ถ้าเจอพวกซ้ายจัดแบบคอมมิวนิสต์ ขวาจัดแบบฟาสซิสต์ หรือพวกแนวคิดสุดโต่ง คุยกันทีไรก็วงแตก

“แต่ถึงยังไงฉันก็ว่าสังคมไทยยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่เยอะ การเลือกปฏิบัติกับแอลจีบีทีก็ยังไม่หายไป” ตาลหันไปเน้นกับโจนาธานเป็นภาษาอังกฤษ “อย่างบางโรงแรมก็ไม่ให้คนแอลจีบีทีเข้าพัก เพราะคิดว่าจะมาขายตัว ที่ทำงานบางที่ก็ไม่รับ คนไทยบางคนยังมองเขาเป็นตัวตลก กฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ก็ยังไม่มี อีกนานเลยกว่าสังคมไทยจะเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง พวกไดโนเสาร์มันเยอะ รอให้พวกนี้ตายหมดก่อนละกัน”

ตาลหัวเราะหึๆ เป็นเชิงหยันในตอนท้าย เธอร่ายยาวมาหลายปัญหา หนักๆ ทั้งนั้น แน่นอนว่ายังมีอยู่จริง ทว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหรอก ผมต่างหาก

“ตอนอายุน้อยๆ ผมก็เคยโกรธแค้นสังคมแบบนี้แหละ แต่พอโตขึ้นมุมมองชีวิตมันก็เปลี่ยน” ผมเกริ่นเรียกความสนใจ เมื่อทั้งคู่หันมามองผมก็พูดต่อด้วยภาษาอังกฤษ “ไม่ใช่เพราะผมชอบที่จะอดทนกับความไม่เป็นธรรมหรือความไม่เท่าเทียมในสังคมหรอก แต่ผมอดทนเพราะอยากให้สังคมเรียนรู้และเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงมากกว่า ใช้เวลาหน่อย แต่มันคุ้มค่า สังคมควรเปลี่ยนเพราะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะถูกบังคับหรือรบราฆ่าฟันกัน”

“แล้วมันจะไม่นานไปเหรอครับ” โจนาธานเอียงคอมองผม

“ถ้ามันต้องใช้เวลานานก็ต้องใช้” ผมย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในยุค 90 คนแอลจีบีทีอย่างผมก็อาจจะต้องอดทนมากหน่อย เพราะสังคมไม่เข้าใจเรา แต่หลายๆ คนก็ช่วยกันสร้างความเข้าใจกับสังคมอย่างต่อเนื่อง ปลายๆ ยุคสองพันเราก็มีนิยายและซีรี่ส์วายมาช่วย สื่อช่วยได้เยอะเลยล่ะ สุดท้ายมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาแค่ยี่สิบปีเอง ยังไม่ดีที่สุดหรอก แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนมาก ที่สำคัญ มันเปลี่ยนได้โดยที่เราไม่ต้องทำร้ายกัน” เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็นึกถึงตอนไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กัมพูชา เหตุการณ์เขมรแดงนี่แหละที่ทำให้ผมคิดได้ จึงอยากเล่าให้อีกสองคนฟัง

“ขนาดเขมรแดงฆ่ากันตายไปสองล้านคนเพราะต้องการความเท่าเทียม แต่ผ่านมาสี่สิบกว่าปี ความเหลื่อมล้ำในกัมพูชาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ต่อให้ตอนนั้นกัมพูชากลายเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่มีการแบ่งชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่เชื่อหรือว่าคนแอลจีบีทีในกัมพูชา จะได้รับการยอมรับในสังคมคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริง”

ตาลกับโจนาธานคิดไม่นานก็พร้อมใจกันส่ายหน้า ผมยิ้มพอใจแล้วพูดต่อ

“ผมก็คิดว่าไม่ เพราะถึงเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าใจปัญหาของทุกคน ความเท่าเทียมมันเกิดจากความเข้าใจ ไม่ใช่ระบบคิดหรือสำนักคิดเพียงอย่างเดียว สุดท้าย…มันก็ต้องทำความเข้าใจกันอยู่ดี มันถึงต้องใช้เวลา เพราะแต่ละคนเข้าใจได้ไม่เท่ากัน แล้วเชื่อไหม ผ่านไปอีกร้อยปีมันก็จะยังมีคนไม่เข้าใจอยู่ เราไม่สามารถกำจัดคนที่คิดต่างกันได้หมดหรอก”

สองหนุ่มสาวพยักหน้า ไม่รู้ว่าเห็นด้วยบางส่วนหรือทั้งหมด แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก หลังๆ มานี้ผมเลิกพยายามทำให้คนคิดเหมือนผมแล้ว เหนื่อยเปล่า

เราสามคนแลกเปลี่ยนประเด็นความไม่เท่าเทียมต่อสักพัก จากนั้นก็ลงไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร ตกบ่ายก็มานั่งคุยกันต่อในร้านกาแฟใต้ตึกเรียน คุยกันไปคุยกันมาตาลก็แซวผมกับโจนาธาน ไม่รู้นึกยังไงถึงแซวอย่างนั้น

“โจนาธานไม่สนใจเป็นแฟนที่ม่อนบ้างเหรอ เห็นสนิทกัน โจนาธานก็ยังไม่มีแฟน พี่ม่อนเขาชอบมีแฟนเด็กนะ ช่วยพี่ม่อนโปรโมตเรื่องความเท่าเทียมหน่อยสิ”

โจนาธานทำหน้างงเล็กน้อย คงมีหลายประโยคภาษาไทยที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขาน่าจะเข้าใจคำว่า “แฟน” จึงหันไปทำสัญลักษณ์มือโอเคกับตาล

“Sure thing!”

โจนาธานบอกว่า “ได้เลย” เขาเอามือโอบไหล่ผมและบอกให้ตาลถ่ายรูปให้ ผมรู้ว่าเขาทำเล่นๆ ก็เลยเล่นด้วย

“ส่งรูปให้ผมกับพี่ม่อนด้วยนะ” โจนาธานกำชับเมื่อตาลถ่ายรูปเสร็จ เมื่อตาลส่งมาให้แล้ว เขาก็หันมาบอกผม “พี่ม่อนเอาขึ้นเฟสบุ๊กนะ แล้วก็เขียนบรรยายว่าเราเพิ่งเป็นแฟนกัน ผมก็จะเอาขึ้นเฟสบุ๊กของผมด้วย”

ผมหน้าเหวอ เนื่องจากผมเองก็มีคนรู้จักเยอะในเฟสบุ๊ก ทั้งคนไทยและต่างชาติ ถ้าโพสต์จริงก็คงจะมีคนมาถามกันใหญ่

“เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมครับ” โจนาธานบอกเป็นภาษาอังกฤษยิ้มๆ แต่พอเห็นผมยังลังเลก็รีบบอก “ค่อยเฉลยทีหลังก็ได้ครับว่าเป็นแคมเปญของคลาสเรา”

เมื่ออยู่กับเด็ก ผมคงต้องเล่นเหมือนเด็กบ้าง จะได้เข้ากับพวกเขาได้ ผมจึงอัปโหลดรูปนั้นขึ้นเฟสบุ๊กโดยไม่ขัดข้อง พร้อมกับคำบรรยายทั้งไทยและอังกฤษ

“Guess what! I have a new boyfriend! แฟนใหม่ผมครับ ชอบมีแฟนเด็กเพราะมันสดชื่น อิๆ”

แล้วก็เป็นดังคาด คนรู้จักผมต่างก็เข้ามาถามกันใหญ่ พี่เมี่ยงถามด้วยว่าจริงหรือเปล่า โจนาธานก็มีคนถามมาเยอะพอกัน ผมกับเพื่อนๆ นั่งขำกันใหญ่

… … …

เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นๆ ผมก็เห็นพี่อาร์ตยืนเท้าสะเอวรออยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาแต่งตัวเหมือนกับจะออกไปข้างนอก พอผมย่างเท้าเข้ามาในบ้านเท่านั้น เขาก็เอาโทรศัพท์มายื่นให้ดูและถามเสียงดุ

“ม่อนหมายความว่าไง”

ผมชะงักกึกเมื่อเห็นภาพในมือถือของพี่อาร์ต เป็นภาพผมกับโจนาธานนั่นเอง ผมก็ลืมคิดไปเลยว่าพี่อาร์ตจะเห็น “ไม่มีอะไรครับ น้องๆ ที่มหาลัยเขาชวนผมโพสต์เล่นเฉยๆ”

“เล่นอะไร” พี่อาร์ตเสียงเขียว เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงและเอามือมาจับไหล่ผม แม้ไม่เจ็บแต่ก็รู้ว่าบีบแรงพอสมควร “จะโพสต์อะไรก็คิดถึงความรู้สึกของพี่บ้างสิ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับพี่อาร์ต เดี๋ยวผมลบทิ้งให้ก็ได้”

“ลบทิ้งแล้วไง คนอื่นเขาก็เข้าใจไปแล้วว่าม่อนเอาแฟนใหม่มาอวด ถามจริง ชอบมันเหรอ พี่สังเกตเห็นตั้งแต่วันนั้นแล้ว ชอบมีแฟนเด็กกว่าล่ะสิ” พี่อาร์ตบีบไหล่ผมแรงขึ้น พอเห็นผมยังเงียบเขาก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น “เออ กูมันแก่นี่ อยู่ด้วยแล้วมันไม่สดชื่น ขนาดเมื่อคืนนอนด้วยกันแท้ๆ แต่ตื่นมาก็หายไปไหนไม่รู้ เบื่อหน้าคนแก่อย่างกูมากใช่ไหม”

“ผมว่าพี่อาร์ตชักจะไปกันใหญ่แล้วนะครับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” ผมบอกอย่างใจเย็น เพราะไม่อยากสาดไฟเพิ่มเข้าไปในกองอารมณ์โกรธ

“ไม่มีอะไรๆ อยู่นั่นแหละ พูดเป็นคำเดียวหรือไง ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วโพสต์อย่างนั้นทำไม มีอะไรกับพี่ขนาดนี้แล้ว ยังจะไปโพสต์แบบนั้นอีก โพสต์เพื่อ!” พี่อาร์ตกระแทกเสียง แถมบีบไหล่ผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ

“เอาไว้พี่อาร์ตใจเย็นๆ แล้วค่อยมาคุยกันดีไหมครับ” ผมเริ่มใส่อารมณ์บ้าง

พี่อาร์ตชะงักและหรี่ตามอง “อ๋อ ไม่อยากคุยกับคนแก่ๆ อย่างพี่สินะ อยากคุยกับไอ้หมอนั่นมากล่ะสิท่า อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าม่อนคุยกับมันเป็นชั่วโมงๆ คงจะสดชื่นมาก งั้นก็คุยกับมันไปเลย”

ตะโกนใส่หน้าผม แล้วพี่อาร์ตก็เดินดุ่มๆ ออกไปที่โรงจอดรถ ไม่นานก็ขับออกไป ส่วนผมได้แต่ยืนทำตาปริบๆ นี่พี่อาร์ตหึงผมหรือเปล่า ดูท่าจะหึงโหดเสียด้วยสิ

ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ตกลงผมคิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมให้เรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้น

… … …

ราวๆ เที่ยงคืนก็มีเสียงบีบแตรดังขึ้นที่หน้าบ้าน ผมรีบลงไปดูเพราะยังไม่นอน เป็นห่วงพี่อาร์ตนั่นแหละ พอเยี่ยมหน้าออกไปดูตรงประตูเล็กก็เห็นว่าไม่ใช่รถพี่อาร์ต

“น้องๆ เปิดประตูให้หน่อย พี่พาอาร์ตมาส่งน่ะ มันเมามากเลย” เจ้าของรถยื่นหน้าออกมาตะโกนบอก ผมรู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าชื่ออะไร อาจจะเป็นดาราก็ได้

ผมรีบเอารีโมตมาเปิดประตูให้ เมื่อรถคันนั้นเข้ามาเรียบร้อย ผมก็ปิดให้อีกที ก่อนตามมาดูที่โรงรถ พี่ผู้ชายคนนั้นกำลังพยุงร่างหนักๆ ของพี่อาร์ตเข้าไปในบ้าน

ผมกลัวคนที่มาส่งจะพยุงไม่ไหว ก็เลยตรงเข้าไปช่วยพยุงปีกอีกข้าง ได้กลิ่นเหล้าหึ่งจนต้องย่นจมูก พี่อาร์ตหันมามองทันที เขาน่าจะรู้ว่าเป็นผม ก็เลยผลักผมออกเท่าที่พอมีแรง

“ไม่ต้องมายุ่งกับกู ไปอยู่กับแฟนเด็กของมึงโน่น”

ผมก็เลยไม่กล้าเข้าไปช่วย ได้แต่เดินตามห่างๆ ไม่รู้ว่าคนที่มาส่งสงสัยหรือเปล่าว่าพี่อาร์ตพูดอะไรเมื่อกี้ ไม่งั้นเขาก็คงคิดว่าพี่อาร์ตเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง

เมื่อพี่คนนั้นเอาคนเมาขึ้นไปนอนบนเตียงได้แล้ว เขาก็เดินมาถามผม “น้องเป็นญาติอาร์ตเหรอ พี่ไม่เคยเห็นเลย”

“เปล่าครับ แค่รู้จักกัน พี่อาร์ตให้ผมมาพักด้วยชั่วคราวครับ” ผมตอบขณะที่สายตาคอยมองคนเมาอย่างเป็นห่วง

“อ๋อเหรอ” พี่คนนั้นพยักหน้ารับรู้ ก่อนทำท่าสงสัย “เอ…น้องรู้ไหมว่าช่วงนี้อาร์ตมันมีปัญหาอะไรกับสาวๆ หรือเปล่า มันเหมือนคนอกหักเลย ไม่รู้ไปโดนใครหักอกมา”

ผมทำหน้ายุ่งยากใจ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดมาจากสาวๆ หรอก แต่เกิดจากหนุ่มที่เริ่มเหลือน้อยคนนี้นี่แหละ

“ไม่นะครับ” ผมส่ายหน้า

“ช่างเหอะ เดี๋ยวพี่จะถามมันเองทีหลัง ตอนนี้มันคุยไม่รู้เรื่อง ให้มันหายเมาก่อน”

“ครับ เดี๋ยวผมดูแลพี่อาร์ตให้เอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”

“โอเค พี่ฝากมันหน่อยละกัน อ้อ พี่ชื่อเพชรนะ รู้จักพี่ใช่ไหม”

“ครับ” ผมพยักหน้า พอเขาบอกชื่อแล้วผมก็จำได้

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาดูมันอีกที ฝากดูแลมันหน่อย พี่ไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้เลย สงสัยครั้งนี้จะรักจริง ใครนะทำให้มันเป็นขนาดนี้” พี่เพชรยิ้มเอ็นดู ก่อนลงไปก็ไม่ลืมหันมาถามชื่อผม “อ้อ แล้วน้องชื่ออะไรล่ะ”

“ม่อนครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เช่นกันครับ” ผมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินลงไปส่งพี่เพชร

กว่าจะได้กลับขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านไปเกือบสิบนาที พี่อาร์ตยังนอนแผ่หลาและพูดอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนเดิม ผมจึงไปหาผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดตัวให้ ถอดเฉพาะท่อนบนเท่านั้น ส่วนท่อนล่างผมเพียงแต่ปลดเข็มขัดให้พอสบายตัว

ตอนแรกผมว่าจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองเลย แต่นึกได้ว่าคนเมาอาจจะอ้วกอีก จึงว่าจะนั่งเฝ้าข้างเตียงสักพัก ระหว่างนั้นผมก็ช่วยถอดกางเกงเขาออก เพราะกลัวเขาจะเดินเข้าห้องน้ำไม่สะดวก เขายังใส่กางเกงในยี่ห้อ “ซาลิเกีย” เหมือนเดิม วันนี้เป็นสีขาว มีลายริ้วขอบทองแลดูเรียบหรู น่าจะแพงไม่น้อย

แล้วก็เปิดดังคาด ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ต้องพาพี่อาร์ตไปอ้วกในห้องน้ำอีกสองรอบ รอบสุดท้ายผมเช็ดตัวให้เขาอีกครั้ง จนกระทั่งหน้าแดงๆ อ่อนสีลง เขาจึงเริ่มพูดรู้เรื่อง

“ม่อนทำอะไรร้อนๆ ให้พี่กินหน่อยสิ” พี่อาร์ตบอกด้วยเสียงเบาและแหบพร่า

“ได้ครับ พี่อาร์ตรอแป๊บหนึ่งนะครับ”

ผมลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็เดินลงไปทำข้าวต้มกุ้งในครัวให้คนเมา ผมพอทำอาหารเป็นบ้าง เพราะตอนแม่ป่วย ผมดูแลอาหารการกินให้แม่ทุกอย่าง

ประมาณสิบห้านาทีผมก็เอาข้าวต้มร้อนๆ มาให้พี่อาร์ตนั่งกินบนเตียง ถาดที่ผมเอามาใช้เป็นแบบมีขาตั้งแบะออก จึงวางบนเตียงได้โดยไม่ต้องกลัวล้ม

ระหว่างพี่อาร์ตตักกินข้าวต้ม ผมก็ไปหาน้ำมาให้ กลับมาอีกทีก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตากินจนหมดชาม แสดงว่าน่าจะหิวจริงๆ

“น้ำครับพี่อาร์ต”

ผมยื่นแก้วน้ำให้และยิ้มน้อยๆ พี่อาร์ตรับไปดื่มจนหมดและคืนแก้วให้

“เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บให้นะครับ”

ผมวางแก้วน้ำลงบนถาดใส่ข้าวต้ม จากนั้นก็ยกลงไปล้างทำความสะอาดที่ห้องครัว ผมไม่ชอบทิ้งจานชามค้างคืน ดึกแค่ไหนก็จะต้องล้างเก็บให้เรียบร้อย ได้มาจากที่แม่สอนนั่นแหละ หากไม่ทำก็จะนอนไม่หลับ

เมื่อเข้ามาในห้องพี่อาร์ตอีกครั้ง ผมก็แปลกใจที่ไม่เห็นพี่อาร์ตนอนอยู่ ตอนแรกผมนึกว่าเขาไปเข้าห้องน้ำ แต่พอจะเดินไปดูก็มีคนเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลังเสียก่อน ผมสะดุ้งตกใจ แต่พอได้ยินเสียงผมก็รู้ว่าเป็นพี่อาร์ตนั่นแหละ ไม่รู้ไปหลบอยู่ตรงไหน

“ม่อนนอนกับพี่อีกนะครับคืนนี้”

น้ำเสียงนั้นฟังดูเว้าวอนเหลือเกิน แต่ผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่ายอมง่ายๆ เพราะยิ่งเผลอใจก็จะยิ่งยุ่งยาก แต่ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวเขาจะน้อยใจอีก

“ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือว่า…ม่อนไม่ชอบคนแก่” พี่อาร์ตทำเสียงน่าสงสาร ผมรีบหันตัวไปปฏิเสธทันที

“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกครับ”

“แต่ม่อนก็เขียนในเฟสบุ๊กนี่ว่าม่อนชอบมีแฟนเด็ก มีแฟนเด็กแล้วสดชื่น” พี่อาร์ตัดพ้อ ทำหน้าเว้าวอนจนผมเกือบหลุดขำ

“ผมเขียนเล่นๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ”

“ม่อนไม่ได้ชอบโจนาธานใช่ไหม” พี่อาร์ตเปลี่ยนคำถาม

ผมชะงักกึก “ไม่ได้ชอบครับ”

เมื่อได้คำตอบที่ต้องการพี่อาร์ตก็ยิ้มพอใจ “ม่อนอย่าชอบเขานะ”

“แล้วพี่อาร์ตจะให้ผมชอบใครล่ะ” ผมถามไปอย่างนั้น แต่ก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดี

“ชอบพี่ไง ถึงพี่อายุเยอะแล้ว แต่พี่ก็ทำให้ม่อนสดชื่นได้นะ เมื่อวานก็สดชื่นดีไม่ใช่เหรอ”

ใบหน้าผมร้อนผ่าวๆ เมื่อพี่อาร์ตขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ แววตาหยาดเยิ้มทำเอาผมใจสั่นหวิว ไม่อยากเชื่อเลยว่าพระเอกอันดับต้นๆ ของเมืองไทยจะมาหลงรักคนหน้าตาธรรมดาๆ อย่างผมได้

“ไม่รังเกียจพี่ใช่ไหม” พี่อาร์ตถามเมื่อเห็นผมยังเงียบ ผมก็เลยส่ายหน้า

“ไม่ครับ ผมจะรังเกียจพี่อาร์ตได้ยังไง” ผมเอียงหน้าหลบ แต่ก็ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายเป็นบางจังหวะ

พี่อาร์ตเขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูของผมและกระซิบเบาๆ “งั้น…คืนนี้ม่อนอยู่กับพี่นะ พี่อยากตื่นมาเจอม่อนทุกวัน ไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว ไม่สงสารคนแก่เหรอ ผ่านมาสามสิบแปดหนาวแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังนอนหนาวคนเดียวอยู่เลย”

“ก็เห็นมีสาวๆ ตั้งเยอะตั้งแยะ” ผมบ่นเสียงมุบมิบ

พี่อาร์ตฝังจมูกลงบนแก้มผมและหอมฟอดหนึ่งครั้งอย่างเอ็นดู เขาจ้องตาผมสักพักแล้วก็พูด “แต่เขาก็ไม่ได้อยู่กับพี่ทุกวันไง อีกอย่าง…ตอนนี้พี่ไม่อยากได้สาวๆ แล้ว อยากได้ม่อนมากกว่า ไปนอนเลยไหม พี่อยากสดชื่นแล้ว”

“ดูพูดเข้า เมาไม่ใช่เหรอ เมาก็นอนพักสิ” ผมแสร้งว่า

“ก็พาพี่ไปนอนสิ”

“พี่อาร์ตสัญญามาก่อนว่าจะนอนเฉยๆ” ผมพูดดัก ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

“อยู่กับคนน่ารัก จะให้นอนเฉยๆ ได้ยังไง”

พูดจบพี่อาร์ตก็จูบผมเสียเลย ไม่งั้นคงต่อล้อต่อเถียงกันไม่เลิก ก็ได้ผลนั่นแหละ เพราะผมหมดแรงเถียงเอาดื้อๆ ยิ่งเจ้าซาลิเกียสีขาวตัวน้อยเบียดเข้ามาแนบชิด ขาของผมก็แทบทรงตัวไม่อยู่ ทว่าก็พร้อมรับความสุขสดชื่นจากพี่อาร์ตทุกรูปแบบ

TBC…

EP6 มาวันที่ 21 พ.ย. เวลา 10.30 น.

เพลงขอโทษที่กวนใจเธอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-02-2022 18:09:55 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนนี้ได้อ่านไวกว่าปกติ 1 วัน เพราะว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่สะดวกทั้งวันเลย ก็เลยเอามาลงให้อ่านก่อนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2021 19:19:39 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ขอบคุณมากๆครับ

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
รออยู่นะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนนี้มีงานเร่งด่วนเยอะมากครับ ผมแทบไม่มีเวลาพักเลย คาดว่าตอนต่อไปจะมาวันอาทิตย์นี้ครับ หลังจากนั้นก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติได้ครับ ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ แต่ไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนครับ

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
สู้งับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ตอนที่ 6 คนแบบฉัน


เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาได้ไม่กี่วินาที ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีคนนอนหลับอยู่ข้างๆ ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นสาวแปลกหน้าที่ผมเจอในผับ เพราะเมาทีไรผมก็มักจะติดมาด้วยแทบทุกครั้ง แต่พอมองคนที่นอนหันหลังให้ดีๆ ก็พบว่าไม่ใช่ผู้หญิงเสียแล้ว ผมสั้นขนาดนี้น่าจะเป็นผู้ชาย ก็ทำเอาผมถึงกับเบิกตาโพลง เพราะต่อให้เมาขนาดไหน ผมก็ไม่เคยพลาดถึงขนาดพาผู้ชายมานอนด้วย

แต่ก่อนที่ผมจะตกใจไปมากกว่านั้น คนที่นอนข้างๆ ก็พลิกตัวมาทางผม ม่อนนั่นเอง แทนที่จะกระโดดลงจากเตียงผมก็อยู่ต่อด้วยความโล่งใจ

เมื่อรู้ว่าเป็นใครผมก็ยิ้ม ก่อนเขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหลับตาพริ้ม พลางก็นึกสงสัยว่าม่อนมานอนอยู่ข้างๆ ผมได้ยังไง ไม่นานผมก็พอนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นหลังกลับจากบ้านเพชรเมื่อคืน ม่อนมาดูแลผมที่ห้องนั่นเอง เขาทำข้าวต้มให้ผมกิน แต่ไม่รู้อีท่าไหนถึงมาลงเอยที่เตียง

ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนนอนอยู่ข้างๆ ผม แต่สิ่งที่ต่างไปจากทุกครั้งคือความรู้สึก จะเป็นเพราะความผูกพันหรือเปล่าผมก็บอกไม่ได้ เอาเข้าจริงม่อนกับผมรู้จักกันแค่สี่ปีเอง แต่เป็นสี่ปีในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของชีวิต มันจึงเป็นความผูกพันที่ผมไม่เคยลืม

ผมนอนมองม่อนอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ม่อนเริ่มขยับตัว ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ลืมตาแป๋ว ตอนแรกผมนึกว่าม่อนจะตกใจและรีบกลับห้อง แต่ไม่เลย เขาส่งยิ้มบางๆ ให้ผม หัวใจแห้งเหี่ยวก็พองโตเหมือนไม้ยืนต้นใกล้ตายได้รับน้ำฝน นานเหลือเกินที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลพี่เมื่อคืนนะม่อน” ผมขอบคุณด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มระบายทั่ว

“กี่โมงแล้วครับเนี่ย” ม่อนถามด้วยเสียงที่ยังงัวเงีย

“เจ็ดโมงครึ่ง” ผมตอบ “วันนี้มีเรียนกี่โมงล่ะ”

ม่อนโงหัวมองไปที่นาฬิกาบนผนังห้องบ้าง “เก้าโมงครึ่งครับ”

“สักแปดโมงครึ่งค่อยไปละกันนะ เดี๋ยวพี่ออกไปด้วย จะไปเอารถน่ะ”

“ไม่ต้องไปหรอกครับ” ม่อนตะแคงตัวมาทางผม “พี่เพชรบอกว่าจะให้คนขับรถที่บ้านขับเอามาให้ตอนแปดโมงเช้า”

“อ๋อเหรอ” ผมพยักหน้ารับรู้ “ก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเอง งั้นวันนี้…พี่ไปส่งม่อนที่มหาลัยได้ไหม พี่อยากไปส่งแฟนน่ะ” ผมทำเสียงอ้อนตอนท้าย เอามือไปจับแขนของม่อนและลูบไล้ไปมาเบาๆ

ม่อนถึงกับหัวเราะกิ๊ก จะว่าคล้ายผู้หญิงก็ไม่เชิง แต่ก็ดูน่ารักดีสำหรับผม

“หัวเราะทำไม ไม่อยากเป็นแฟนพี่เหรอ เพราะพี่แก่ล่ะสิ” ผมแสร้งทำเสียงน้อยใจ เพราะที่เมามายเมื่อคืนก็มาจากความน้อยใจเรื่องนี้แหละ

“โธ่พี่อาร์ต ผมอายุน้อยกว่าพี่อาร์ตแค่สองปีเองนะครับ ถ้าพี่อาร์ตแก่แล้วผมจะเหลือเหรอ”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นโพสต์ขึ้นเฟสว่าชอบมีแฟนเด็ก”

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังละกัน” ม่อนทำสีหน้าจริงจังเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าสืบไป “พอดีวันนั้นโจนาธานกับตาลถามผมว่าทำไมผมยังไม่มีแฟน ผมก็เลยเล่าชีวิตความรักของตัวเองให้สองคนนั้นฟัง พอฟังแล้วเขาก็เห็นใจผมไง เพราะมีแฟนกี่คน…ก็หนีไปกับผู้หญิงหมด คุยไปคุยมามันก็กลายเป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ตาลเขาก็เลยมีไอเดียอยากจะส่งเสริมเรื่องนี้ ก็เลยท้าให้ผมกับโจนาธานโพสต์ว่าเป็นแฟนกันในเฟส เขาอยากดูว่าเพื่อนๆ ในคลาสของพวกเรามองเรื่องนี้ยังไง จากนั้นก็ค่อยเฉลยว่าโพสต์เล่นๆ เรียนกับเด็กๆ ผมก็ต้องปรับตัวเข้ากับพวกเขาไงพี่ ก็เลยยอมเล่น แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรหรอก อีกวันสองวันผมก็จะเฉลยแล้วว่าเป็นเรื่องล้อเล่น”

“แล้วโจนาธานล่ะ เขามีแฟนหรือยัง” แม้จะหายคาใจไปมาก แต่ผมก็ยังระแวงเพื่อนรุ่นน้องของม่อนอยู่

“เขาบอกว่ายังไม่มี แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยๆ กับใครไว้บ้างหรือเปล่า พี่อาร์ตหึงเหรอ” ม่อนถามตรงๆ ตอนท้าย

ผมพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองหึงม่อนหรือเปล่า แต่ก็น่าจะเป็นแบบนั้น “หึงสิ ก็ม่อนเป็นแฟนพี่แล้วนี่ อีกอย่างไอ้หมอนั่นน่ะ มันชอบมองม่อนแปลกๆ พี่เดาว่ามันน่าจะชอบม่อน ม่อนไม่รู้สึกเหรอ”

ม่อนทำท่าคิด “ยังไม่รู้่สึกขนาดนั้นน่ะครับ แต่ถึงเขาจะชอบผม ผมก็คงไม่ชอบเขาง่ายๆ หรอก มันยากมากนะพี่อาร์ตที่จะหาผู้ชายที่รักกันจริง ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มัน…”

อยู่ๆ ม่อนก็หยุดพูด คล้ายกับนึกได้ว่าตัวเองไม่ควรพูดเรื่องนี้ กระนั้น เจ้าตัวก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาบ้างแล้ว แสดงว่าม่อนเจ็บกับรักที่ผ่านมาไม่น้อย จนผมชักอยากรู้เรื่องที่ผ่านมาของม่อนให้มากกว่านี้ ที่จริงเขาก็เล่าให้ผมฟังบ้าง แต่ไม่ลึก ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาและไม่สำคัญอะไรนัก คนที่น่าจะพอเล่าให้ผมฟังได้ก็คงเป็นเมี่ยง

เมื่อม่อนไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่อง “พี่โคตรมีความสุขเลยเวลาตื่นมาแล้วมีคนอยู่ข้างๆ”

“จริงเร้อ” ม่อนทำหน้าไม่เชื่อ “ผมว่าพี่อาร์ตมีสาวๆ มานอนข้างๆ ทุกวันอยู่แล้วนี่”

“บ้าเหรอ ไม่ทุกวันหรอก พี่ไม่ได้หื่นขนาดนั้น พี่อายุสามสิบแปดแล้ว ไม่ใช่สิบแปด” ผมขำเบาๆ เมื่อหยุดขำก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “มันไม่เหมือนกันหรอกม่อน เพราะคนที่พี่อยากตื่นมาเจอมากที่สุดก็คือคนที่พี่รัก แต่หลายปีที่ผ่านมา พี่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย ถ้าพี่ไม่เจอม่อน พี่ก็คงไม่รู้ตัวเองหรอกว่าด้านชากับความรักมากขนาดไหน พูดตรงๆ มันก็มีแต่เรื่องอย่างว่านั่นแหละ แต่สำหรับม่อน…มันมากกว่านั้น”

ม่อนพยักหน้ารับรู้ช้าๆ ดูเหมือนเออออห่อหมก แต่ดูอีกทีก็เหมือนกลั้นหัวเราะมากกว่า

“พี่ดีใจมากนะที่ได้เจอม่อนอีก ที่พี่ไม่เคยรักใครเลยก็น่าจะเป็นเพราะว่า…พี่รอเจอคนแบบม่อนนี่แหละ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้กลับมาเจอกัน พี่ก็รู้เลยว่า…นี่แหละ…คนที่พี่รอคอย”

แทนที่ม่อนจะซึ้ง เจ้าตัวกลับทำท่าเหมือนกำลังจะขำ ผมก็เลยสงสัย “คิดว่าพี่ท่องบทละครอยู่เหรอ”

“เปล่าพี่” ม่อนรีบแก้ตัว ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไม่ได้ ม่อนจึงขำเบาๆ “ผมแค่รู้สึกว่า…พี่อาร์ตทำตัวเหมือนหนุ่มน้อยที่เพิ่งมีความรักเลย”

เมื่อเข้าใจที่มาที่ไปแล้วผมก็ขำบ้าง นอกจากละครแล้ว ในชีวิตจริงผมแทบไม่เคยพูดอะไรแบบนี้หรอก เคยคลั่งรักแค่ครั้งเดียวตอนอยู่ไต้หวันนั่นแหละ แต่ผมก็รู้ดีว่าส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเหงา เพราะตอนนั้นผมไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ขาดที่พึ่งทางใจ จึงหลงสาวคนนั้นอย่างหนัก กระทั่งเลยเถิดถึงขั้นมีลูกมีเต้าด้วยกัน

“ก็ม่อนนั่นแหละทำให้พี่รู้สึกเหมือนอายุสิบแปดอีกครั้งหนึ่ง” ผมยิ้ม คราวนี้ผมอาจจะต้องเลิกพูดเรื่องแฟนไปชั่วคราวก่อน แม้ว่าความสัมพันธ์ทางกายจะเลยเถิด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าม่อนยังไม่พร้อมจะไปถึงขั้นนั้น กระนั้นก็รู้สึกได้ว่าท่าทางหวาดระแวงของม่อนหายไปมากแล้ว ผมรู้จากประสบการณ์ทันทีว่าเขากำลังเปิดใจให้ผม

“ม่อนจำได้ไหมว่าเราสนิทกันได้ยังไง” ผมเปลี่ยนเรื่องและทำท่านึกไปด้วย “พี่จำได้แค่ว่าเกี่ยวกับเมี่ยงนี่แหละ แต่จำไม่ได้ว่าเมี่ยงทำยังไงเราถึงสนิทกัน”

“จำได้” ม่อนลากเสียงยาวเล็กน้อย “ตอนกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่นั่นแหละครับ พี่อาร์ตจำได้ไหมว่าผมกับพี่อาร์ตไปดูฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศด้วยกัน”

ผมทำท่านึกอยู่นานก็พยักหน้า “อ๋อ ใช่คู่ไทยกับเวียดนามไหม ไทยชนะสามศูนย์หรือไงนี่แหละ”

“ใช่ครับ” ม่อนพยักหน้า

“แล้วทำไมพี่กับม่อนถึงได้ไปดูด้วยกันล่ะ” ผมพยายามนึกแต่ก็จำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“พี่เมี่ยงเขาพาผมไปดูไม่ได้ไง รอบชิงมันเล่นตอนสองทุ่ม กว่าจะแข่งเสร็จก็สี่ทุ่ม แต่ผมอยากดูมาก ไอ้ดั๊กกับไอ้วิทย์มันซื้อบัตรไม่ทัน ก็เลยไม่ได้ไป ผมก็เลยไม่มีเพื่อน”

พอฟังม่อนเล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มจะนึกออก “อ้อ พี่จำได้ละ เมี่ยงเขาก็เลยโทรไปหาพี่ บอกให้พี่ไปดูบอลรอบชิงเป็นเพื่อนม่อน…ใช่ไหม” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ เพราะเมี่ยงรักน้องชายมาก เจ้าตัวต้องพยายามสุดชีวิตให้ม่อนไปดูบอลให้ได้

ตอนนั้นผมเกรงใจเมี่ยงมาก เพราะเมี่ยงช่วยติววิทย์-คณิตให้ผม ถ้าไม่ได้เขา ผมคงเรียนสายวิทย์ไม่รอดหรอก แต่ก็เฉียดฉิวทุกครั้ง เกรดออกทีไรป๊าด่าไปสามวันทุกที แถมยังชอบเอาผมไปเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่เรียนเก่งกว่าด้วย

“ถูกต้องแล้วครับ” ม่อนหน้าทะเล้นเหมือนเด็ก “พี่อาร์ตก็เลยมารับผมที่บ้าน พาผมไปซื้อบัตร คนเยอะมาก ต่อแถวกันยาวเหยียดเลย ยาวจนแทบจะถึงทางเข้า”

“ใช่ๆ พี่จำตอนต่อแถวยาวๆ ได้ แล้วก็จำได้ด้วยว่าเมี่ยงน่ะกำชับพี่ให้ดูแลม่อนดีๆ วันนั้น…พี่ก็น่าจะดูแลม่อนดีใช่ไหม”

“ดีสุดๆ เลยพี่” ม่อนตอบพลางยิ้ม “คิดดูนะ พาผมไปซื้อบัตรดูบอลรอบชิงเสร็จ พี่ก็พาผมเดินเที่ยวทั่วงานตั้งแต่เช้ายันเย็นเลย ตอนกลับ พี่อาร์ตจำได้ไหมว่าผมไปนอนที่บ้านพี่อาร์ตด้วย”

ผมส่ายหน้า แต่กระนั้นก็พอจะเดาได้ว่าทำไม “อันนี้พี่จำไม่ได้ว่ะ แต่พี่ก็พอเดาได้ว่าทำไมม่อนถึงไปนอนบ้านพี่ เพราะบ้านม่อนอยู่โคตรไกลจากสนามเจ็ดร้อยปี บ้านพี่ใกล้กว่า อีกอย่างมันก็ดึก เมี่ยงเขาก็เลยให้นอนค้างบ้านพี่ พี่เดาถูกใช่ไหม”

“ถูกต้องครับ” ม่อนตอบพลางขำ “แล้วพี่อาร์ตจำได้ไหมว่าตอนผมนั่งซ้อนท้ายมอไซค์พี่กลับบ้านน่ะ เกิดอะไรขึ้น”

ผมส่ายหน้าเร็วๆ และยิ้มแหยๆ ม่อนจึงเฉลย

“ผมหนาวจนตัวสั่นเลยเพราะลมมันตี”

“แล้วยังไงต่อ พี่บอกให้ม่อนกอดเอวพี่หรือเปล่า” ผมเดาอีกตามเคย แต่ก็คิดว่าน่าจะเดาถูก

“ใช่” ม่อนหัวเราะ “แปลกนะ พี่อาร์ตจำไม่ได้ แต่พี่ก็เดาได้เยอะเลย”

“พี่ว่าพี่ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ ถ้าม่อนหนาว พี่ก็ต้องให้ม่อนกอดเอวอยู่แล้ว เพราะถ้าเมี่ยงรู้ว่าพี่ดูแลน้องชายเขาไม่ดี พี่แย่เลยนะ พี่ไม่เสี่ยงแน่นอน” ผมขำเบาๆ

“พี่อาร์ตเชื่อไหมว่าตอนนั้นน่ะ ผมคิดว่าพี่อาร์ตกับพี่เมี่ยงเป็นแฟนกันซะอีก” ม่อนเขยิบหมอนเข้ามาใกล้ผม

“ใช่ที่ไหน” ผมรีบปฏิเสธ “พี่ไม่ใช่สเปคเมี่ยงเลย เขาไม่ชอบพี่หรอก แต่ก็มีคนแซวเยอะนะตอนนั้น” ผมยิ้มสุขใจเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนย้อนกลับมาถามเรื่องที่คุยค้างไว้ “ตกลงม่อนไปนอนค้างที่บ้านพี่ใช่ไหม”

“ครับ ไปนอนคืนหนึ่ง ตื่นเช้ามาผมก็ได้กินข้าวต้มแบบที่พี่อาร์ตชอบกินตอนเช้านั่นแหละ ตอนสายๆ พี่อาร์ตก็ขี่มอไซค์ไปส่งผมที่บ้าน ตั้งแต่นั้นมา ผมกับพี่ก็เลยสนิทกัน”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ในที่สุดผมก็จำได้เสียทีว่าทำไมเราสองคนถึงได้สนิทกัน

“ทำไมม่อนจำได้เยอะขนาดนี้ล่ะ” ผมทำหน้าอยากรู้

ม่อนคิดไม่นานก็ตอบมาตรงๆ “ก็พี่อาร์ตเป็นรักแรกของผมไง ผมก็ต้องจำได้อยู่แล้วว่าเจอกันยังไง สนิทกันยังไง”

“พี่เป็นรักแรกของม่อนเลยเหรอ” ผมทำหน้าไม่แน่ใจ กระนั้นก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย

“ครับ พี่อาร์ตเป็นรักแรกของผม เป็นรักแรกที่ผมจำฝังใจไปหลายปีเลย” พอพูดถึงตรงนี้ม่อนก็หยุด คล้ายกับนึกได้ว่าตัวเองไม่ควรพูด นี่คงเป็นอีกเรื่องที่เจ้าตัวไม่อยากพูดให้ผมฟัง

“ม่อนเสียใจเพราะพี่นานเลยใช่ไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

ม่อนดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเจ้าตัวก็ยอมตอบอ้อมๆ แอ้มๆ “ก็หลายปีอยู่ครับ แต่พี่อาร์ตไม่ต้องคิดมากหรอก มันไม่มีอะไรแล้ว”

จริงอย่างที่ผมคิด ม่อนไม่อยากเล่าเหตุการณ์ตอนนั้น จึงตัดบทด้วยการบอกว่าไม่สำคัญ แม้ว่าผมไม่อยากจะเซ้าซี้ แต่ด้วยความอยากรู้ ก็เลยว่าจะลองถามอ้อมๆ ดู

“ตอนนั้น…มีเพลงอะไรไหมที่ม่อนชอบฟังเวลาคิดถึงพี่” ผมรู้ว่าม่อนชอบฟังเพลง ถ้ารู้ว่าเขาฟังเพลงอะไรตอนนั้น ผมก็น่าจะพอเดาๆ ได้ว่าเขาคิดถึงผมมากแค่ไหน

“หมายถึงตอนที่พี่อาร์ตไปเรียนไต้หวันเหรอครับ” ม่อนทำท่าไม่แน่ใจ ผมจึงพยักหน้า

“ใช่ ตอนนั้นแหละ”

“ผมขอไม่ตอบได้ไหมพี่” ม่อนต่อรอง สีหน้าดูวิงวอนในที

ผมทำหน้าเกรงใจ กระนั้นก็ตอดนิดตอดหน่อย “ไม่ตอบก็ได้ แต่ว่า…ใบ้ให้หน่อยได้ไหม”

ม่อนทำท่าคิดไม่นานก็ตกลง “ผมว่าพี่อาร์ตคงไม่รู้จักเพลงสองเพลงนี้หรอก มันไม่ค่อยดังเท่าไหร่ เป็นของนักร้องคนเดียวกัน แต่เนื้อหาคล้ายๆ กัน พูดถึงความเป็นห่วง เพลงแรกเกี่ยวข้องกับนักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปตอนนั้น ส่วนอีกเพลงออกมาทีหลัง จังหวะกลางๆ อินโทรด้วยเสียงกีตาร์”

“ฉันยังอยู่ อิงค์ อชิตะ” ผมรีบทายทันที เพราะเพลงนี้อินโทรด้วยกีตาร์ ทว่าม่อนก็ปฏิเสธทันควัน

“โหพี่ เพลงนั้นดังจะตาย ไม่ใช่ครับ”

“อ้าวเหรอ” ผมทำหน้าผิดหวัง แต่ก็รู้ดีว่าให้นึกตอนนี้ก็คงนึกไม่ออก เอาเถอะ สักวันผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองเพลงนั้นคือเพลงอะไร เพลงของใคร “งั้นเอางี้ดีกว่า เรามาสัญญากันดีไหม”

“สัญญาอะไรเหรอครับ” ม่อนมุ่นคิ้ว ท่าทางระแวดระวังเริ่มฉายขึ้นในหน้า

“ก็สัญญาว่า…” ผมยิ้มกริ่ม จ้องหน้าม่อนค้างไว้สักพักจนเจ้าตัวรู้สึกเขิน

“พี่อาร์ตจะให้ผมสัญญาอะไร” ม่อนระแวงหนักขึ้น

ผมมองม่อนนิ่งค้าง สักพักก็ยิ้มอีก คราวนี้ทีผมบ้างล่ะ

“เอางี้ ถ้าพี่รู้ว่าสองเพลงนั้นเป็นเพลงอะไร…ของใคร ม่อนเป็นแฟนพี่นะ ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข”

ม่อนถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีจนผมต้องย้ำอีกรอบ เพราะกลัวเขาจะไม่เข้าใจ

“ม่อนตกลงหรือเปล่า ถ้าพี่รู้ว่าสองเพลงนั้นเป็นเพลงอะไร ม่อนจะเป็นแฟนกับพี่”

ม่อนดูหนักใจไม่น้อย แต่เมื่อโดนต้อนจนมุม เจ้าตัวก็เลยไม่รู้จะหลบหลีกยังไง กระนั้นเจ้าตัวก็มั่นใจมากว่าผมไม่น่าตอบถูก

“ก็ได้ พี่อาร์ตตอบให้ได้ก็แล้วกัน ผมไม่ใบ้อีกแล้วนะ ครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามถามอีก”

“โอเค วันไหนพี่ได้คำตอบ พี่จะเอามาเปิดให้ม่อนฟังทันทีเลย ตกลงตามนี้นะ” ผมย้ำด้วยสีหน้าดูมุ่งมั่น

ม่อนพยักหน้าและหัวเราะเบาๆ ผมจึงคว้าร่างที่น่าทะนุถนอมมากอดอย่างรักใคร่ เพราะอดใจในความน่ารักของเจ้าตัวไม่ไหว แถมยังหอมแก้มเบาๆ อีกด้วย ม่อนก็ไม่ขัดขืนใดๆ ไม่มีท่าทางระวังตัว ไม่มีระยะห่าง

ม่อนซุกหน้าลงกับอกผม แม้ท่าทางจะดูยินยอม แต่เจ้าตัวก็ไม่วายย้ำเตือนเรื่องเดิม “พี่อาร์ตจะชอบผมก็คิดให้ดีๆ นะพี่ ผมน่ะจนก็จน เป็นแค่คนธรรมดา ชอบงานเอ็นจีโอ คนละแวดวงกับพี่เลย แถมยังเป็นผู้ชายอีก ไม่สาว ไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่น่ารัก ไม่น่ามอง ไม่อ่อนหวาน”

“ใครว่าม่อนไม่น่ารัก ม่อนน่ารักจะตาย”

ผมก้มลงดมผมหอมๆ ม่อนเงยหน้าขึ้นมาดู ผมก็เลยจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ

“แล้วพี่อาร์ตไม่กลัวคนในวงการรู้เหรอ” ม่อนเงยหน้ามาถามอย่างไม่มั่นใจ

“พี่ไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดงจนตายหรอก อายุสี่สิบพี่ก็จะเฟดตัวไปทำอย่างอื่นแล้ว ถึงตอนนั้นเขาคงไม่สนใจพี่แล้วล่ะ อีกอย่างสังคมสมัยนี้เขาก็น่าจะรับได้แล้วนะ” พลันผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอางี้ วันแถลงข่าวเปิดตัวละครเรื่องใหม่ของพี่ พี่จะเซอร์ไพรส์คนทั้งวงการเลย”

ม่อนมุ่นคิ้วและทำหน้าเหวอๆ “พี่จะเปิดตัวผมเหรอ”

“ยัง” ผมรีบบอกและขำเบาๆ “เอาไว้ม่อนรอฟังก็แล้วกัน แต่สบายใจได้ว่าพี่ยังไม่เปิดตัวม่อนหรอก พี่รู้ว่าม่อนยังไม่พร้อม แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน”

ม่อนยิ้มแหยๆ บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก ม่อนมีสิทธิ์ที่จะไม่มั่นใจ ผมรอได้

ผมก้มลงจุ๊บหน้าผากม่อนเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็ร้องเพลงเพลงหนึ่งให้เขาฟัง

“บอกว่าตัวฉัน…ก็คือฉัน และแบบนั้นที่ถูกใจเธอ บอกว่าตัวฉัน ก็คือฉัน ที่เธอฝันและอยากจะค้นเจอ รักอยู่อย่างไร ฮืม ก็เหมือนเดิม”

ม่อนหัวเราะกิ๊กชอบใจ ไม่รู้ว่าขำเสียงผมหรืออะไรกันแน่ “พี่อาร์ตจำเพลงนี้ได้ด้วยเหรอ”

“จำได้สิ เพลงนี้ออกมาหลังกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ ปลายปี 2538 ต้นปี 2539 ดังจะตาย ใครเกิดทันยุคนั้นก็รู้จักอยู่แล้ว”

“อ๋อ”

ม่อนลากเสียงยาว จากนั้นก็ซุกหน้าลงกับอ้อมอกผมตามเดิม ผมจึงกอดเขาแน่นขึ้นและยิ้มพอใจ

ความรักครั้งนี้ของผมตรงใจและพิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะมันเป็นรักเก่าจากคนที่เคยผูกพันกันมา แถมยังมาพร้อมกับบรรยากาศเพลงยุค 90 ที่เราเติบโตและใช้ชีวิตช่วงนั้นด้วยกัน มันใช่เลย

… … …

หลังจากส่งม่อนที่มหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็แวะไปคุยธุระกับผู้ใหญ่ที่ช่องเรื่องประมูลภาพเอาเงินไปทำบุญ คุยเสร็จก็ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน

ราวบ่ายสามผมกลับบ้านมาวาดรูปต่อ ที่จริงก็เสร็จหมดแล้วล่ะ แต่ผมแค่อยากเก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อย ทว่าก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าถึงพอใจ ใกล้จะห้าโมงพอดี ผมจึงหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเมี่ยง เพราะเธอบอกผมเองว่าจะว่างช่วงประมาณห้าโมงเย็น

“อ้าวอาร์ต เป็นไงบ้าง เมื่อไหร่จะเปิดตัวละครเรื่องใหม่ล่ะ เรารอดูอยู่” เมี่ยงทักผมมาด้วยเสียงสดใส แต่ก็ใสน้อยกว่าเสียงวัยมัธยมที่ผมเคยได้ยินไปมาก

“อีกสองอาทิตย์ ตอนนี้เขาเร่งตัดอยู่ เมี่ยงยังอยู่ที่โรงบาลหรือเปล่า”

“ใช่ แต่ว่าตอนนี้คุยได้ แป๊บหนึ่งน่ะ เดี๋ยวเราไปหาที่เงียบๆ ก่อน ตรงนี้มันเสียงดัง”

ผมได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเมี่ยงเดินเร็วๆ ไปที่ไหนสักแห่ง จนกระทั่งเสียงคนคุยกันเซ็งแซ่หายไป เจ้าตัวก็ชวนคุยต่อ

“วันนี้ม่อนไปเรียนไหม”

“ไป น่าจะกลับเย็นหน่อย เพื่อนเขาชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”

“อ๋อ” เมี่ยงลากเสียง “ขอบคุณอาร์ตมากเลยนะที่ช่วยดูแลม่อนให้ พอเขาไปอยู่กับอาร์ตเราก็เบาใจไปเยอะเลย”

“ไม่เป็นไร เราเต็มใจอยู่แล้ว เมี่ยงไม่ต้องห่วงเลย เรารู้ว่าเมี่ยงรักน้องชาย เราจะดูแลม่อนให้อย่างดีที่สุด บุญคุณของเมี่ยงน่ะ เราไม่เคยลืมเลยหรอก”

“นี่ยังจำได้อีกเหรอ” เมี่ยงหัวเราะกิ๊ก แล้วก็ถ่อมตัวปิดท้าย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”

“ไม่จริงเลย ถ้าไม่ได้เมี่ยงช่วยเนี่ย สงสัยจะเรียนไม่จบ” ผมเอ่ยเขินๆ จากนั้นก็ชวนเมี่ยงคุยสัพเพเหระอีกนิดหน่อย เมื่อสบจังหวะเหมาะก็เริ่มเข้าเรื่อง

“เออเมี่ยง ม่อนเขายังไม่มีแฟนใช่ไหม”

พอถูกถามเรื่องนี้ เมี่ยงก็เงียบไปหลายวินาที “อ้าว ม่อนไม่ได้เล่าให้ฟังเลยเหรอ”

“ก็เล่าบ้าง แต่เรารู้สึกว่า…เขาไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องนี้เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร” ผมแบ่งรับแบ่งสู้

เมี่ยงเงียบไปอีก สักพักก็ถอนหายใจ “เอางี้ ก่อนที่เราจะเล่าน่ะ เราขอถามอาร์ตเรื่องหนึ่งได้ไหม”

“ได้สิ ถามมาเลย” ผมยืนยันขณะที่เดินออกมาจากห้องวาดรูปของตัวเอง ก่อนตรงออกไปที่สระว่ายน้ำหลังบ้าน

“อาร์ตรู้ใช่ไหม…ว่าม่อนเขาเป็นแบบไหน” เมี่ยงถามมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก

“รู้ รู้ตั้งนานแล้ว” ผมบอกไปตามตรง

“นานแค่ไหนล่ะ” เมี่ยงถามมาทันที

“ก็ตั้งแต่มอห้ามอหกนั่นแหละ”

“รู้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ” เมี่ยงทำเสียงตกใจ

“ใช่” ผมนั่งลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างสระน้ำ เขยิบตัวให้เข้าที่เข้าทาง

“แล้ว…อาร์ตรังเกียจม่อนหรือเปล่า” เมี่ยงยังคงถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจอย่างเดิม

ผมครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบ “ยี่สิบปีที่แล้ว…ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ นิดหน่อยนะ แต่ตอนนี้สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก รับได้ เมี่ยงไม่ต้องกังวลหรอก”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” เมี่ยงทำเสียงโล่งใจ

“ม่อนเขาผิดหวังเรื่องความรักเยอะเลยใช่ไหมเมี่ยง” ผมถือโอกาสถามไปตรงๆ เพราะเห็นว่าเมี่ยงน่าจะหมดความกังวลเรื่องทัศนคติของผมไปแล้ว

เมี่ยงเงียบไปนานทีเดียวกว่าจะตอบ “ประมาณนั้นแหละ แล้ว…อาร์ตรู้ใช่ไหมว่าม่อนเขาเคย…เคยชอบอาร์ตมาก”

“อือ รู้ตั้งแต่สมัยเรียนนั่นแหละ” ผมระบุช่วงเวลาไปด้วย ไม่งั้นเมี่ยงจะถามอีกว่ารู้ตอนไหน

“เขารักอาร์ตมากเลยนะตอนนั้น” เมี่ยงรำพึง “ตอนอาร์ตไปเรียนไต้หวัน เขาซึมไปเป็นปีๆ เลย เราก็ไม่รู้ว่าเขาลืมอาร์ตได้ตอนไหนนะ แต่เขาไม่เคยมีแฟนเลยจนกระทั่งจบออกมาทำงาน”

“จริงเหรอเมี่ยง” ผมถามเสียงแหบพร่า ยิ่งได้รู้แบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะไม่คิดว่าม่อนจะฝังใจกับรักแรกนานขนาดนี้

“อืม แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่เราเล่าให้ฟัง ไม่ใช่เราอยากจะว่าอะไรอาร์ตหรอก มันก็ผ่านมานานแล้ว ม่อนเขาไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

อยู่ๆ ผมอยากรู้เรื่องแฟนคนแรกของม่อนขึ้นมาเฉยๆ แทนที่จะพูดต่อจากเรื่องที่เมี่ยงเพิ่งพูดไป ผมก็เปลี่ยนมาถามเรื่องที่อยากรู้ทันที “เมี่ยงพอจะเล่าเรื่องแฟนคนแรกของม่อนให้เราฟังได้ไหม เราอยากรู้ว่าเขาคบกันนานแค่ไหน เขาเลิกกันเพราะอะไร”

ทว่าคำถามของผมก็ทำให้เมี่ยงสงสัย “ทำไมอาร์ตอยากรู้ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

ผมนั่งนิ่งและเม้มปาก ในใจก็คิดว่าควรจะบอกเมี่ยงไปตามตรงดีไหม ทว่าก็ตัดสินใจไม่ได้ จนเมี่ยงต้องถามซ้ำ

“อ้าวอาร์ต ทำไมเงียบไปล่ะ”

“อ๋อ คือ…” ผมมุ่นคิ้วเข้าหากัน แต่คราวนี้ผมคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้ “เราชอบม่อนน่ะเมี่ยง”

“อาร์ตพูดว่าอะไรนะ” เมี่ยงทำน้ำเสียงตกใจอย่างยิ่ง ก่อนถามซ้ำให้แน่ใจ “อาร์ตชอบม่อน ชอบแบบไหน”

“ก็ชอบแบบอยากเป็นแฟนกันไง” ผมบอกไปตรงๆ

“จะบ้าเหรออาร์ต ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย อาร์ตเป็นดาราดังขนาดนี้ จะมาชอบม่อนได้ยังไง ม่อนเป็นผู้ชายนะอาร์ต” เมี่ยงยังคงไม่เชื่อผมอยู่ดี ผมจึงต้องยืนยันหนักแน่น

“เราชอบม่อนจริงๆ นะเมี่ยง ไม่ใช่เพิ่งชอบ เราชอบเขาตั้งแต่อยู่มอหกแล้ว เมี่ยงดูไม่รู้เหรอ”

คราวนี้เมี่ยงเงียบไป ผมเดาว่าเมี่ยงคงเคยคิดสงสัยเรื่องนี้ในตอนนั้น

“ก็เคยสงสัยนั่นแหละ” เมี่ยงยอมรับตามตรงด้วยเสียงอ่อยๆ “แต่ว่า…อาร์ตคิดดีแล้วเหรอ แฟนคลับของอาร์ตเยอะมากนะ ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา เขาจะรับกันได้ไหม”

“อย่าเพิ่งกังวลเรื่องนี้เลยเมี่ยง เรื่องนั้นเราจัดการเอง” ผมยืนยันหนักแน่น “แต่ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ…เรารู้สึกว่า…ม่อนมีอะไรในใจน่ะเมี่ยง เรารู้สึกว่าเขาไม่เปิด หรือถ้าเปิด…ก็เปิดไม่เต็มที่ เราเป็นห่วงเขาน่ะเมี่ยง”

“ก็แหงอยู่แล้ว มีความรักกี่ครั้งก็โดนเทตลอด เขาจะเปิดใจได้ยังไงล่ะ” เมี่ยงรำพึงอย่างเห็นใจ

“งั้นเมี่ยงเล่าให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากรู้น่ะเมี่ยง เผื่อเราจะช่วยอะไรเขาได้ไง” ผมทำเสียงอ้อนวอนระคนเป็นห่วง

“ได้” เมี่ยงตกลง ทว่าน้ำเสียงก็ฟังดูแปลกๆ “แต่เรามีสองเรื่องที่อยากจะถามอาร์ต เรื่องแรก…อยากให้อาร์ตช่วยยืนยัน ส่วนเรื่องที่สอง เราอยากจะให้อาร์ตรับปาก”

“ได้เลยเมี่ยง ว่ามาเลย” ค่าที่อยากรู้ผมก็เลยตกลงโดยไม่รีรอ

เมี่ยงเงียบไปสักพักก็ถามเรื่องแรก “เรื่องแรก ม่อนเขาชอบอาร์ตด้วยใช่ไหม”

“ใช่” ผมยืนยันไปทันที แม้จะรู้ว่าม่อนลังเล แต่เขาก็ชอบผมนั่นแหละ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจผมได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง

“นึกแล้วเชียว” เมี่ยงหัวเราะหึๆ ในลำคอ

“เรื่องที่สองล่ะเมี่ยง” ผมชักใจร้อน เพราะอยากฟังเรื่องของม่อนเต็มแก่

เมี่ยงถอนหายใจยาว ส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้น่าจะสำคัญมากกว่าเรื่องแรก “ถ้าอาร์ตไม่แน่ใจ เมี่ยงขอให้อาร์ตรีบเปลี่ยนใจตอนนี้เลย แต่ถ้าอาร์ตรักม่อนจริง เมี่ยงขอละกันว่า…อย่าทำให้ม่อนเสียใจเหมือนที่ผ่านมาอีก ม่อนเขาเจ็บอีกไม่ได้แล้วนะอาร์ต เขาคงรับไม่ไหวหรอก ยิ่งเป็นอาร์ต เขาก็จะยิ่งเสียใจมาก เพราะอาร์ตเป็นรักแรกของเขา” เมี่ยงเว้นจังหวะไม่นานก็สรุป “ตอบเรามาว่า…อาร์ตจะเปลี่ยนใจ…หรืออาร์ตจะไปต่อ ถ้าไปต่อ…เราจะเล่าให้ฟัง”

น้ำเสียงของเมี่ยงจริงจังมาก ทำเอาผมถึงกับใจคอไม่ดีไปเลย แปลว่าผมจะทำเล่นๆ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเมี่ยงรักน้องชายเขามาก แถมยังมีบุญคุณกับผมอีก ผมจะทำให้ทั้งสองคนผิดหวังไม่ได้เลย

“เรารักม่อนนะเมี่ยง เราขอไปต่อ” ผมยืนยันหนักแน่น ก่อนพูดสืบไป “เราคงรับปากไม่ได้ว่าระหว่างทางจะไม่มีอุปสรรคอะไรเลย มันอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ม่อนเสียใจก็ได้ แต่ที่เราจะสัญญาก็คือ…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ม่อนจะเป็นคนสุดท้ายของเรา เราจะทำทุกอย่าง…ให้ม่อนมาอยู่กับเราให้ได้”

ดูเหมือนว่าเมี่ยงจะพอใจกับคำสัญญาของผม เจ้าตัวจึงเล่าเรื่องความรักของน้องชายตัวเองให้ผมฟัง ตั้งแต่แฟนคนแรก…จนถึงคนปัจจุบัน

ตกเย็นผมก็มานั่งรอม่อนที่หน้าบ้าน แม้ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาถึงกี่โมง ผมก็รอเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งประตูหน้าบ้านช่องเล็กเปิดออก ผมก็ถลาไปดู ม่อนนั่นเอง

ผมตรงรี่เข้าไปหาร่างที่กำลังง่วนกับการปิดประตูเล็ก เสร็จแล้วเจ้าตัวก็หันมาทางผม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรผมก็รวบตัวม่อนมากอดไว้แน่น เขาดูงงๆ แต่ก็กอดผมตอบ

“พี่จะดูแลม่อนเองน่ะม่อน”

พูดแล้วผมก็น้ำตาซึมเพราะนึกถึงเรื่องที่เมี่ยงเล่าให้ฟัง ชีวิตของม่อนน่าสงสารเหลือเกิน แต่ที่จริงชีวิตเราสองคนก็ไม่ต่างกันหรอก ม่อนมีรักแท้ให้คนอื่น แต่ก็อาภัพคนรักจริง ส่วนผมไม่คิดรักใครจริง ก็เลยอาภัพรักแท้ แต่จากนี้ไปเราสองคนจะดูแลหัวใจให้กันและกัน เติมเต็มและรักษาหัวใจของเราที่เคยอ้างว้าง…เจ็บปวด…สิ้นหวัง

TBC…

EP6 มาวันที่ 19 ธ.ค. เวลา 10.30 น.

เพลงคนแบบฉัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2022 20:14:54 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 6 คนแบบฉัน
«ตอบ #24 เมื่อ12-12-2021 23:59:32 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 6 คนแบบฉัน
«ตอบ #25 เมื่อ13-12-2021 01:04:41 »

 :o8:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ⏲⏲⏲Time Machine - ตอนที่ 6 คนแบบฉัน
«ตอบ #26 เมื่อ04-01-2022 18:05:47 »

ตอนที่ 7 ตัวจริงของเธอ


“ตอนนี้ผมอยู่กรุงเทพ มางานสัมมนาของที่ทำงาน ผมอยากเจอคุณ ผมอยากคุยกับคุณมาก คุณมาเจอผมหน่อยได้ไหม ผมรู้ว่าคุณกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพ”

“คุณมาเจอผมได้หรือเปล่า ผมอยากเจอคุณมากรู้ไหม อีกสองวันผมก็จะกลับแล้ว”

“พรุ่งนี้ผมจะกลับแล้ว คุณมาหาผมที่โรงแรมได้หรือเปล่า ผมรู้ว่าคุณโกรธผมมากแค่ไหน ผมเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา แต่ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณ ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย ได้โปรดเถอะครับ”

ผมเลื่อนดูข้อความที่ส่งผ่านวอทส์แอพมาให้ผมหลายครั้งด้วยสีหน้าครุ่นคิด แม้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยคิดถึงเจ้าของข้อความแทบขาดใจ แต่วันนี้สถานการณ์ชีวิตของผมกับเขาเปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้ยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ ความสัมพันธ์ของเราก็จะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม คงไม่มีประโยชน์ที่จะเจอกันอีก

ทว่า…ใจหนึ่งผมก็อยากเจอเขาอีกสักครั้ง แต่ผมก็กลัวใจตัวเองเหลือเกิน เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ผมใช้ชีวิตด้วยนานที่สุด คงไม่ต้องถามว่าผมจะรู้สึกผูกพันกับเขามากแค่ไหน ถ้าพูดตรงๆ ผมรักเขามากกว่าที่เคยรักใครด้วยซ้ำ แม้กระทั่งพี่อาร์ตผมก็ยังไม่เคยรักเท่านี้

“เป็นอะไรม่อน ทำไมดูเครียดๆ”

เสียงนุ่มๆ เอ่ยถามมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อผมหันไปสบตากับเขา แววตาคู่นั้นก็ดูห่วงกังวลเหมือนอย่างที่พูดมา

ตอนแรกผมกะจะตอบว่าไม่มีอะไร แต่คิดไปคิดมา ผมคิดว่าควรจะบอก เพราะทุกวันนี้ผมกับพี่อาร์ตก็แทบจะเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่ว่าผมจะตัดสินใจยังไง เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับเขาโดยตรง

ผมยิ้มน้อยๆ และตอบเสียงเรียบๆ “เหงียน ฮอง ซอน เขาส่งวอทซ์แอพมาบอกว่าเขามางานสัมมนาที่กรุงเทพครับ เขาอยากเจอผม”

“เหงียน ฮอง ซอน ใครเหรอ” พี่อาร์ตทวนชื่อพร้อมทำหน้าแปลกใจ ขณะที่สายตาก็คอยมองทางข้างหน้าระหว่างขับรถไปด้วย

“แฟนเก่าผม” ผมบอกไปตามตรง พี่อาร์ตมุ่นคิ้วและหันมามองผมแวบหนึ่ง เขาคงจะสงสัยว่าเป็นแฟนเก่าคนไหน ผมจึงต้องขยายความ “คนที่เคยทำงานกับผมที่เวียงจันทน์น่ะครับ”

“อ๋อ คนที่ม่อนบอกว่าเขาหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงหรือเปล่า” พี่อาร์ตถามยิ้มๆ ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนไม่ติดใจสงสัยอะไรนัก

“ครับ”

“แล้วม่อนอยากไปเจอเขาหรือเปล่าล่ะ” พี่อาร์ตถามต่อ

“ไม่รู้เหมือนกันครับ”

“จากประสบการณ์ของพี่ คนตอบแบบนี้มักจะลังเลนะ” พี่อาร์ตยิ้มเหมือนรู้ทัน

“อ๋อ” ผมยิ้มแหยๆ สุดท้ายก็ยอมรับไปตรงๆ “ก็ลังเลอยู่ครับ”

“กลัวถ่านไฟเก่าเหรอ” พี่อาร์ตถามติดตลก

“คงไม่หรอกครับ เขาแต่งงานไปแล้ว” ผมรีบปฏิเสธ พลันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา

“ถ้างั้น…ก็ไม่น่ามีอะไรกังวลนี่ ถ้าอยากไปหาเขา พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ เขาคงอยากมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาคนเคยรู้จักกันนั่นแหละ”

ผมมองพี่อาร์ตด้วยแววตาทึ่งเล็กน้อย ทั้งที่เขาก็ดูเป็นคนขี้หึง แต่กลับยอมให้ผมไปหาแฟนเก่าเสียอย่างนั้น

“คบกันกี่ปีล่ะ” พี่อาร์ตถามเมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่

“อ๋อ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะมัวแต่เหม่อลอย “ห้าปีครับ”

“นานกว่ารู้จักพี่อีกนะเนี่ย” พี่อาร์ตทำหน้าทึ่ง “อย่างนี้ก็แสดงว่าต้องผูกพันเยอะเลย”

“ครับ” ผมรับคำเบาๆ พลันก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อพี่อาร์ตถามมาตรงๆ

“ม่อนยังไม่ลืมเขาใช่ไหม”

ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก แทบไม่กล้าหันไปสบตาคนข้างๆ ตรงๆ เลย “ทำไมพี่อาร์ตถามอย่างนั้นล่ะครับ”

“พี่ก็เคยเป็น” พี่อาร์ตตอบราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก “ตอนเลิกกับแฟนที่ไต้หวันน่ะ พี่ก็ทำใจอยู่หลายปีเหมือนกันกว่าจะลืมได้ เพราะพี่อยู่กับเขาตั้งสี่ห้าปี มันก็เลยรู้สึกผูกพันมาก ตอนกลับไทย พี่แทบแย่เลย คิดถึงเขามาก คิดถึงลูกด้วย พี่ก็เลยเดาว่าม่อนน่าจะเป็นแบบพี่ เพราะม่อนอยู่กับเขาหลายปี ตอนนี้ก็ยังคิดถึงเขาอยู่ใช่ไหมล่ะ”

ดูเหมือนว่าพี่อาร์ตจะอ่านใจผมได้ทะลุปรุโปร่ง ถามทีไรทำเอาผมสะดุ้งทุกที

“ครับ” ผมพยักหน้ายอมรับ

คราวนี้พี่อาร์ตเป็นฝ่ายครุ่นคิดบ้าง พอเห็นเขาเงียบผมก็ชักจะรู้สึกผิด เขาคงไม่รู้สึกดีหรอกที่แฟนตัวเองยอมรับว่าคิดถึงแฟนเก่า ผมจึงต้องรีบออกตัวก่อนพี่อาร์ตจะคิดไปกันใหญ่

“แต่ว่า…ผมไม่คิดจะกลับไปคืนดีกับเขานะพี่อาร์ต ผมแค่…ยังลืมเขาไม่สนิทเท่านั้นเอง”

“ก็พี่บอกแล้วไงว่าพี่เข้าใจ” พี่อาร์ตหันมายิ้มบางๆ ให้ผม ไม่มีท่าทีโกรธขึ้งแม้แต่น้อย “ถ้าม่อนยังไม่ลืมเขา พี่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่…”

พี่อาร์ตพูดค้างไว้ จากนั้นเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาด้วยมือเดียว ใช้นิ้วโป้งกดๆ หน้าจอ สักพักก็เอาจอมือถือมาใกล้และกรอกเสียงลงไป

“ตัวจริงของเธอ”

ไม่นานเสียงเพลง “ตัวจริงของเธอ” ก็ดังขึ้นในรถของพี่อาร์ต เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่ผมชอบ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ตรงกับเนื้อหาในเพลงเลยก็ตาม กระนั้นก็พอเดาได้ว่าทำไมพี่อาร์ตเปิดเพลงนี้ให้ผมฟัง

“อยากเก็บเขาไว้ คงไม่ฝืนหัวใจเธอ ไม่ต้องการอะไรจากเธอ ถ้าต้องฝืนใจให้กัน อยากเก็บเขาไว้ ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน จะรู้ไว้เท่านั้น ว่าฉันเป็นตัวจริงของเธอ”

เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก นอกจากนั่งเงียบๆ ฟังเพลง “ตัวจริงของเธอ” ไปจนถึงมหาลัย วันนี้พี่อาร์ตมาส่งผมเพราะเขามีธุระจะต้องออกมาข้างนอกอยู่แล้ว ผมจึงไม่ขัดข้อง

“ขอบคุณนะครับพี่อาร์ต”

ผมหันไปขอบคุณพี่อาร์ตก่อนจะลงจากรถ เขาระบายยิ้มอบอุ่นทั่วใบหน้า ก่อนคว้าข้อมือผมไว้เบาๆ ผมจึงหันไปดูด้วยความสงสัย คราวนี้พี่อาร์ตยิ้มหวานเลยทีเดียว

“ตั้งใจเรียนนะครับคุณแฟน เป็นเด็กดีนะครับ”

พอถูกเรียกว่าแฟน ผมก็ห้ามความรู้สึกเขินที่กำลังก่อตัวขึ้นไม่ได้เลย ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ผมไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้ ทว่าก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกให้อีกฝ่ายเห็นเท่าไหร่

“เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมบอกพี่อาร์ตด้วยเสียงสั่นๆ

พี่อาร์ตยิ้มเอ็นดู พลันก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มขวาของผมเบาๆ “เจอกันเย็นนี้นะครับ”

ผมพยักหน้ารับอย่างเขินๆ ถ้าส่องกระจกดูตอนนี้คงจะเห็นตัวเห็นหน้าแดงๆ ของตัวเองไปแล้ว ก่อนจะเขินไปมากกว่านี้ผมก็เปิดประตูรถและก้าวขาออกไป ยิ้มให้คนในรถบางๆ ก่อนจะปิดประตู ไม่นานพี่อาร์ตก็ขับรถออกไป แต่สิ่งที่ทิ้งไว้ก็คือเสียงเพลงเมื่อกี้

จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า…พี่อาร์ตจะเป็นตัวจริงของผม เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ช่างเหมือนความฝัน…มากกว่าจะเป็นความจริง

ตกลงว่าผมจะมีแฟนเป็นดาราจริงๆ เหรอ

… … …

หลังเลิกเรียนผมก็นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านเหมือนเคย ระหว่างทางผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาคลิปสัมภาษณ์เปิดตัวละครเรื่องใหม่ของพี่อาร์ต ตาลเอามาให้ผมดูตอนอยู่ในคลาสแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นผมไม่มีสมาธิดู ก็เลยตั้งใจว่าจะดูตอนเลิกเรียน

หาไม่นานผมก็เจอคลิปนั้น ผมหยิบหูฟังบลูทูธจากกระเป๋ามาใส่หูสองข้าง ก่อนกดเล่นคลิปสัมภาษณ์ของพี่อาร์ต เขายืนอยู่หน้าแบ็กดร็อปโปรโมทละครเรื่องใหม่ ขณะที่ด้านหน้ามีนักข่าวยืนล้อมและจ่อไมค์นับสิบมาให้ เกือบทั้งหมดเป็นนักข่าวผู้หญิง

“ตอนนี้พี่อาร์ตทราบหรือยังคะว่าใครเป็นคนปล่อยภาพออกมา”

นักข่าวสาวคนหนึ่งยิงคำถามแรกด้วยความอยากรู้ ตอนแรกผมก็งงเธอหมายถึงภาพอะไร แต่ไม่นานก็จำได้ว่าน่าจะเป็นภาพลับของพี่อาร์ตกับผู้หญิงที่ชื่อผิง ถูกมือดีปล่อยออกมาเมื่อไม่นานนี้จนฮือฮาไปทั้งวงการ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“ผมว่าอย่าไปรื้อฟื้นมันเลยครับ เรื่องมันจบไปแล้ว”

พี่อาร์ตตอบอย่างอารมณ์ดี ผมไม่รู้ว่าเขาจะแอบเคืองในใจบ้างหรือเปล่า ถ้าเป็นผมคงจะรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่

“แล้วใช่คนที่พี่อาร์ตเคยเปรยๆ ว่าจะคบกันจริงจังหรือเปล่าคะ” นักข่าวสาวคนนั้นยังถามเรื่องเดิมต่อ พี่อาร์ตก็เลยต้องสั่งสอนแบบนิ่มๆ

“อืม…พี่ว่าเราคุยกันเรื่องละครดีกว่าไหมครับ พี่ไม่อยากพาดพิงบุคคลที่สามเท่าไหร่ ถามเรื่องละครดีกว่านะ เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจเยอะเลย”

ถ้าเป็นผมคงหน้าชา แต่ผมว่าก็ดีแล้วล่ะที่ปรามบ้าง นักข่าวบางคนชอบขุดคุ้ยเรื่องฉาวๆ ซึ่งไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่ ถ้าผมเป็นพี่อาร์ต ผมคงจะตอบไปแล้วว่า “นี่มันเรื่องส่วนตัวของพี่นะน้อง” แต่ก็นั่นแหละ พี่อาร์ตคงพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก

นั่นแหละ นักข่าวจึงเปลี่ยนมาสัมภาษณ์ละครเรื่องใหม่แทน ฟังๆ ดูแล้วเรื่องนี้ก็น่าสนุก สงสัยผมคงจะต้องตามดูบ้าง แม้ว่าหลังๆ แทบไม่เคยติดละครเรื่องไหนเลยก็ตาม

ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ มีนักข่าวคนหนึ่งถามเรื่องความรักของพี่อาร์ตบ้าง เท่าที่ผมเคยดูสัมภาษณ์ดารามาบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพลาดเรื่องนี้

“ตอนนี้ความรักเป็นยังไงบ้างคะพี่อาร์ต”

“ก็ดีครับ” พี่อาร์ตตอบเสียงเรียบๆ ทว่ากลับเรียกเสียงฮือฮาของนักข่าวตรงนั้นได้เป็นอย่างดี

“แสดงว่าตอนนี้พี่อาร์ตมีแฟนแล้วล่ะสิ ใครคะเนี่ย บอกได้ไหมคะ”

“อืม…ก็มีคนที่กำลังคุยอยู่ครับ”

“คนในวงการหรือว่านอกวงการคะพี่อาร์ต”

“น่าจะไม่มีใครเคยเจอนะครับ”

“แสดงว่าเป็นคนนอกวงการใช่ไหมคะพี่อาร์ต”

“ประมาณนั้นครับ”

“แล้วจะเปิดตัวเมื่อไหร่คะ”

“พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นครับ” พี่อาร์ตตอบกลั้วหัวเราะ

“ปกติพี่อาร์ตไม่ค่อยตอบเรื่องแฟน ถามทีไรก็ไม่ค่อยตอบ ทำไมคราวนี้ยอมบอกง่ายๆ ล่ะคะ หรือว่าคราวนี้พิเศษจริงๆ” นักข่าวสาวคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย น่าจะเคยสัมภาษณ์กันบ่อยจนรู้จักคุ้นเคยกันดี

“ครับ ก็ค่อนข้างพิเศษนะ พิเศษเลยล่ะ”

“แสดงว่าคราวนี้ของจริงใช่ไหมคะ”

“หมายความว่าไงครับ” พี่อาร์ตเลิกคิ้ว

“ปกติพี่อาร์ตไม่ค่อยคบใครนาน หนูไม่เคยเห็นพี่อาร์ตพูดถึงใครด้วยแววตาแบบนี้เลย แววตาเป็นประกายมาก”

“อ๋อ” พี่อาร์ตหัวเราะเขินๆ เขาดูมีเสน่ห์มากเวลาพูดไปยิ้มไป ผมไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ จะพากันเข้าหาจนหัวบันไดไม่แห้ง

“จีบติดหรือยังคะเนี่ย”

“คุยกันอยู่ครับ”

“หลายคนหรือว่าคนเดียวคะ”

“แหมน้อง เห็นพี่เป็นขุนแผนไปได้ ตอนนี้คุยคนเดียวครับ” พี่อาร์ตพูดติดตลก แต่ผมเดาว่าเจ้าตัวคงไม่ชอบใจคำถามแบบนี้เท่าไหร่นัก

“หูย แสดงว่าต้องเป็นรักจริงหวังแต่งแน่ๆ เลยใช่ไหมคะเนี่ย”

“ยังบอกไม่ได้ครับ แต่ว่า…ผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นแหละ” พี่อาร์ตสัพยอกอย่างอารมณ์ดี สักพักก็ถามกลับบ้าง “ไม่มีใครสงสัยเลยเหรอครับว่าคนที่ผมกำลังคุยอยู่…เป็นเพศไหน”

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที ทุกคนคงจะแปลกใจไม่น้อย อย่าว่าแต่นักข่าวเลย ผมเองยังอึ้ง ไม่คิดว่าพี่อาร์ตจะกล้าเกริ่นขนาดนี้

“พี่อาร์ตหมายความว่าไงคะ แฟนพี่อาร์ตไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ”

“อ้าว ก็สำนักข่าวไหนล่ะที่เมื่อก่อนชอบไปลือว่าพี่เป็นเกย์” พี่อาร์ตหัวเราะ

“ตกลงยังไงคะเนี่ย พี่อาร์ตเป็นเกย์จริงๆ เหรอคะ แล้วภาพที่หลุดออกมากับผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

แววตาของพี่อาร์ตกกระตุกอีกครั้ง เขาคงไม่ชอบใจนักที่ถูกถามเรื่องภาพหลุดอีกแล้ว

“ตกลงจะให้พี่ตอบคำถามไหนก่อนครับ”

“อ๋อ” นักข่าวคนนั้นหัวเราะเขินๆ “เรื่องเป็นเกย์ก่อนก็ได้ค่ะ”

“ไม่ได้เป็นครับ”

“อ้าว แล้วพี่อาร์ตพูดเรื่องนี้ทำไมล่ะคะ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ เลย”

“เอาไว้ผมเปิดตัวคนพิเศษของผมเมื่อไหร่ ทุกคนก็จะรู้เองแหละครับ” พี่อาร์ตยิ้มกรุ้มกริ่มดูมีเลศนัย ทำให้บรรดานักข่าวยิ่งอยากรู้อยากเห็น

“ตกลงยังไงคะเนี่ย พี่อาร์ตจะเปิดตัวแฟนผู้ชายหรือว่าผู้หญิงคะเนี่ย”

“ถ้าอยากรู้ก็ต้องรอครับ”

“แย้มๆ หน่อยได้ไหมคะพี่อาร์ต นิ้ดนึงก็ได้”

“เอางั้นเหรอ” พี่อาร์ตทำท่าครุ่นคิด แทนที่จะตอบด้วยการพูด เขาก็ร้องเพลงเสียเลย เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงได้อย่างดี “ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรมแดน รักไม่มีศาสนา”

“ยุคนี้ต้องเพิ่มรักไม่มีเพศด้วยนะครับพี่อาร์ต” นักข่าวชายคนหนึ่งร้องบอก เรียกเสียงฮือฮาปิดท้ายได้อีกคำรบ

คลิปสัมภาษณ์ตัดจบไปพอดี ปกติผมจะหาดูอย่างอื่นต่อ แต่คราวนี้ผมกลับนั่งยิ้ม บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกประทับใจนั่นแหละ ผมเดาว่าพี่อาร์ตตั้งใจทำให้คนสงสัยเรื่องแฟน และน่าจะคิดไปถึงขั้นเปิดตัวขึ้นมาจริงๆ หลังจากนี้นักข่าวคงจะวิ่งสืบหาคนพิเศษของพี่อาร์ตกันวุ่นแน่เลย

กระนั้นผมก็รู้สึกกังวลพอสมควร เพราะผมไม่เคยมีแฟนเป็นคนดังขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเปิดตัวแล้วจะใช้ชีวิตกันยังไง แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ผมกังวลที่สุดหรอก เรื่องที่น่ากังวลมากก็คือแฟนคลับพี่อาร์ตนั่นแหละ ส่วนใหญ่มักเป็นวัยทำงานหรือมีอายุ หากว่าไม่เปิดใจรับ “รักไม่มีเพศ” ขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ง่ายๆ

ผมยิ้มได้ไม่นานนัก เพราะเหงียน ฮอง ซอน ส่งข้อความมาหาผมอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ผมยังพอประวิงเวลาได้บ้าง แต่เมื่อเวลางวดเข้ามา ผมก็จำเป็นต้องตัดสินใจ พรุ่งนี้เขาจะกลับแล้ว ถ้าไม่ไปเจอเขาเย็นนี้ ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีก มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ

แต่…

… … …

ผมไม่รู้ว่าลานน้ำพุหน้าสยามพารากอนเป็นที่ที่เหมาะจะคุยเรื่องสำคัญหรือเปล่า เพราะมันเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็มาเที่ยวห้าง บ้างก็มาพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น มาเป็นกลุ่มบ้าง เดี่ยวบ้าง คู่บ้าง

แต่ผมก็เลือกไม่ได้ เพราะเหงียน ฮอง ซอน ดันพาเพื่อนร่วมประชุมมาซื้อของและกินข้าวเย็นด้วยกันที่นี่ ครั้นจะพาไปที่อื่นก็กลัวเสียเวลา ผมก็เลยพาเขาออกมานั่งคุยกันที่ลานน้ำพุหน้าห้าง ส่วนเพื่อนๆ ของเขาก็เดินช็อปปิ้งกันไป

น่าแปลกที่ผมรู้สึกเฉยๆ เมื่อได้เจอเขา คงเป็นเพราะผมพยายามให้เป็นอย่างนั้น อีกอย่างผมก็เคยพูดกับเขาบ่อยๆ ว่าคนเลิกกันไม่จำเป็นต้องโกรธกันหรอก ขณะที่เหงียน ฮอง ซอน กลับดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าพอเห็นผมยิ้มนิดๆ หน่อยๆ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เจื่อนไปเอง

ก่อนจะคุยกับอดีตแฟน ผมส่งข้อความไปบอกพี่อาร์ตว่าผมมาหาใคร ที่ไหน พี่อาร์ตส่งสติ๊กเกอร์โอเคมาให้ เจ้าตัวก็น่าจะโอเคตามที่บอกไว้เมื่อเช้านั่นแหละ

หลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามประสาคนไม่เจอกันนาน เหงียน ฮอง ซอน ก็บอกเรื่องสำคัญที่สุดซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาอยากเจอผมให้ได้

“ผมหย่ากับภรรยาของผมแล้วครับ”

บอกตรงๆ ว่าผมตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเขาบอกแบบนี้ แม้ไม่รู้ว่าเท็จจริงแค่ไหน แต่ผมก็รู้นิสัยเขาดีว่าคงไม่ได้พูดเล่นๆ หรอก

“จริงเหรอซัน คุณเพิ่งจะแต่งงานกับเขาไม่ใช่เหรอ” ผมถามเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย ปกติผมจะเรียกเขาว่า “ซัน” เพราะเรียกง่ายกว่าชื่อเวียดนาม

“ครับ” เหงียน ฮอง ซอน หรือซันพยักหน้า เขามองผมอย่างใช้ความคิด “ผมไม่ได้รักเขาครับ”

ผมไม่แปลกใจนักหรอก เพราะก่อนนั้นก็เคยมีคนบอกผมแบบนี้ ทุกคนต่างก็จากผมไปโดยให้เหตุผลว่าถูกบีบบังคับ ไม่ใช่เพราะความรัก แต่ทุกคนก็ดูเหมือนพอใจกับชีวิตแบบนั้น ไม่เห็นมีใครกลับมาหาผมสักคน

“หย่ากันนานหรือยัง” ผมหันไปถาม

“ไม่ถึงเดือนครับ” ซันทำหน้าเศร้าสลด ไม่รู้ว่าต้องการให้ผมเห็นใจหรือเปล่า

ผมก็เลยเอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “เสียใจด้วยนะครับ”

“ตอนนี้ผมโอเคแล้วล่ะครับ” ซันหันมายิ้มบางๆ ให้ รอยยิ้มอบอุ่นนี้ผมคุ้นเคยดี

“ก็ดีแล้ว” ผมยิ้มตอบบางๆ

“แต่ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกแย่มาก” ซันทำหน้าเศร้าอีกครั้งและทอดถอนใจ “ผมกับเธอทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แทบทุกวัน เราปรับตัวเข้าหากันไม่ได้เลย ผมบอกพ่อกับแม่หลายครั้งว่าผมไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็บอกให้ผมอดทนอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว ผมรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทีกับชีวิตแบบนี้ ผมก็เลยบอกพ่อกับแม่ไปว่าถ้าไม่ให้ผมเลิกกับผู้หญิงคนนี้ ผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกาและจะไม่กลับมาอีก ผมจะทำจริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่เล่น นั่นแหละ พ่อกับแม่ถึงได้ยอมให้ผมหย่ากับเธอ”

ซันระบายเสียยืดยาว แม้เจ้าตัวจะบอกว่าทำใจได้บ้างแล้ว แต่พอพูดเรื่องนี้เจ้าตัวก็ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“ก็ถือว่าโชคดีแล้วนะที่ได้อิสรภาพกลับคืนมา” ผมพยายามหาแง่ดีมาให้กำลังใจอีกฝ่าย

หนุ่มรุ่นน้องอ่อนกว่าผมราวหกปียิ้มอ่อน ทว่าก็แฝงด้วยความรู้สึกผิด เขาจากผมไปมีครอบครัวตอนอายุยี่สิบแปด ตอนนี้เขาก็จะสามสิบแล้ว หน้าตาดูโทรมไปมาก ไม่หล่อใสเหมือนเมื่อก่อนเลย แสดงว่าคงไม่มีความสุขกับชีวิตครอบครัวอย่างที่เล่ามา

เมื่อนึกได้ว่าเขาอยู่ด้วยกันเกือบสองปี ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัย “คุณไม่ได้มีลูกกับเขาใช่ไหม”

“ไม่มีครับ” ซันส่ายหน้าแล้วก็แค่นหัวเราะ “พ่อกับแม่ผมผิดหวังมากเลยล่ะ แต่ผมไม่อยากมีลูกกับคนที่ผมไม่รัก ผมไม่อยากให้ลูกผมเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รักกัน ผมไม่อยากเห็นลูกผมเป็นเด็กมีปัญหา”

“ถ้างั้นซันก็ต้องหาคนที่ซันรักให้เจอนะ ลูกของซันจะได้เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่รักกันไง” ผมย้อนกึ่งเหน็บเข้าให้ เพราะมันอดไม่ได้จริงๆ

ก็ได้ผล ซันหน้าเสียไปเลย ทว่าเขาก็รีบเปลี่ยนยุทธวิธีโดยชวนให้คิดถึงอดีตที่เคยหวานชื่น

“อ้ายม่อน”

ซันเรียกชื่อผมเป็นภาษาไทยปนลาว เขาใช้คำว่า “อ้าย” แทนคำว่า “พี่” เพราะตอนนั้นเราอยู่ลาว เขาก็เลยเรียกผมเหมือนที่คนลาวเรียก ผมยังจำได้ดีว่าต้องคอยสอนเขาออกเสียงคำว่า “อ้าย” บ่อยๆ เพราะเขาชอบพูดเร็วจนกลายเป็นคำว่า “ไอ้” ซึ่งไม่สุภาพในภาษาไทย เวลาเขาเรียกผมว่า “อ้ายม่อน” ทีไร ผมสะดุ้งตกใจทุกที เพราะฟังยังไงก็เหมือน “ไอ้ม่อน” มากกว่า

“อะไรเหรอ” ผมเลิกคิ้ว

ซันทำสีหน้าครุ่นคิด เขาเม้มปากและทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด

“ว่ามาเลย” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมพร้อมฟังทุกอย่าง นั่นแหละ เขาจึงยอมพูด

“คุณเคยเล่าให้ผมฟังบ่อยๆ ว่าทุกคนที่จากคุณไป…ไม่เคยมีใครกลับมาหาคุณเลย แต่คุณรู้อะไรไหม ตลอดสองปีที่ผ่านมา ผมอยากกลับมาหาคุณทุกวัน ผมยังรักคุณ ผมยังคิดถึงคุณ แต่ผมก็รู้ว่าผมทำคุณเจ็บมากแค่ไหน ผมก็เลยไม่กล้าติดต่อคุณเลย ผมรู้ว่าผมผิด แต่…” ซันเว้นจังหวะและเม้มริมฝีปาก ก่อนเอื้อนเอ่ยประโยคที่เขาเคยพูดกับผมบ่อยๆ เป็นภาษาลาวสำเนียงเวียงจันทน์

“อ้ายม่อน ข่อยฮักเจ้า”

ผมเบิกตาโตและอ้าปากค้าง ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองอาจจะดีใจที่ได้ยินคำนี้ แต่ไม่นานผมก็รู้ว่าไม่ใช่ ผมกำลังโกรธ รู้สึกได้ว่ามือไม้เริ่มสั่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคุมอารมณ์ของตัวเองได้หรือเปล่า

“มันสายไปแล้ว” ผมพูดเสียงสั่น

“ทำไมล่ะครับ ผมเป็นอิสระแล้วนะครับ อ้ายม่อน เจ้าฮักข่อยบ่อ”

ซันพูดเป็นภาษาลาวตอนท้ายอีกครั้ง เขาอยู่ที่เวียงจันทน์เกือบหกปี ก็เลยพอสื่อสารเป็นภาษาลาวได้ เอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนท้องถิ่น ส่วนผมพูดได้คล่องเพราะภาษาลาวเวียงจันทน์แทบไม่ต่างจากภาษาเหนือเลย

“ความรักของผมมันถูกทำลายไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว” ผมเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ ก็เลยพูดเสียงดังขึ้น แต่ก็ต้องคอยสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้

“ผมไม่เชื่อ แค่ผมมองตาคุณ ผมก็รู้แล้วว่าคุณยังรักผมอยู่ เราอยู่ด้วยกันห้าปี เรามีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันตั้งมากมาย ไม่มีทางลืมได้หรอก ผมยังลืมไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้น…ผมคงไม่พยายามขนาดนี้ ผมยอมทิ้งครอบครัวที่ผมเพิ่งสร้างมาเพื่อคุณคนเดียวเลยนะครับ” ซันพยายามเน้นเสียงให้ฟังดูหนักแน่น ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บมากกว่าจะรู้สึกดี

“แต่อยู่ดีๆ คุณก็ทิ้งผมไปตั้งสองปี คุณจะให้ผมเข้าใจว่ายังไง คุณไม่เคยติดต่อผม ไม่เคยบอกเลยว่าจะกลับมาหาผม ไม่บอกอะไรแม้แต่อย่างเดียว อยู่ดีๆ คุณก็ลาออกจากงาน แล้วก็บอกผมแค่ว่าคุณได้งานใหม่ที่ฮานอย คุณบอกผมแค่นั้น พอคุณกลับไปอยู่ฮานอย คุณก็ไม่ติดต่อผมอีก คุณบล็อกเฟสบุ๊กผม ไม่ตอบข้อความผม ไม่เคยส่งข่าวอะไรให้ผมรู้เลย ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตผม คุณรู้ไหมว่าผมต้องการใครสักคนมากแค่ไหน แต่คุณก็หายไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนเวียดนามของผมคนหนึ่งส่งข่าวให้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าคุณแต่งงานไปแล้ว คุณรู้ไหมว่าผมเจ็บแค่ไหนที่ต้องเสียทั้งแม่ เสียทั้งคนรัก”

ผมระบายความรู้สึกออกมาอย่างสุดกลั้นและร้องไห้เบาๆ แม้จะมีคนผ่านไปมาบ้าง แต่ผมก็ปล่อยให้น้ำตาร้อนผ่าวๆ ไหลทิ้งไปอย่างไม่อายใคร คงเป็นเพราะผมเก็บกดความรู้สึกนี้ไว้นานมาก ไหนๆ ซันก็มาอยู่ต่อหน้าแล้ว ผมก็พูดเสียเลย

“ผมเสียใจครับ” ซันทำหน้ารู้สึกผิด

“ถ้าคุณพูดได้แค่นั้น คุณก็อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า คำเสียใจของคุณมันย้อนอะไรกลับไม่ได้หรอก มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันสายไปแล้ว” ผมยืนยันหนักแน่น

“ก็ตอนนั้นผมสับสน” ซันพูดสวนมาเพื่อเรียกความสนใจ ไม่นานเขาก็อธิบายว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น “ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมเคยคิดเรื่องแต่งงาน คิดเรื่องมีครอบครัวกับผู้หญิง เพราะบางทีผมก็อยากใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายทั่วไปบ้าง ตอนนั้นพ่อกับแม่ผมเขาก็สงสัยว่าทำไมผมไม่มีแฟนเสียที อีกอย่างเขาก็รู้ระแคะระคายเรื่องผมกับคุณแล้ว เขาก็เลยบังคับผมให้เลิกกับคุณ พอคุณกลับไปดูแลแม่ที่เชียงใหม่ เขาก็ยิ่งรุกหนัก ตอนนั้นผมรู้สึกเคว้งคว้างไปหมดเลย ในที่สุด ผมก็ตกหลุมพรางของพ่อกับแม่ ผมต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชน ถึงผมเคยคิดเรื่องแต่งงาน แต่ผมก็ไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ผมไม่ชอบเธอเลย แต่ผมก็ขัดพ่อกับแม่ไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็รู้แล้วว่าผมทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะผมยังรักคุณอยู่ แต่ผมก็ไม่กล้าติดต่อคุณเลย เพราะผมไม่รู้จะบอกคุณยังไง”

“นี่คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ” ผมสะอื้นและมองอีกฝ่ายด้วยแววตาผิดหวังอย่างที่สุด “ก่อนจะมาหาคุณ ผมเคยคิดว่าผมน่าจะให้อภัยคุณได้ หรือถ้าคุณเลิกกับผู้หญิงคนนั้น บางที…เราสองคนก็อาจจะกลับมารักกันได้ แต่ตอนนี้ผมไม่มีความคิดแบบนั้นเหลืออยู่แล้ว เหตุผลที่คุณอธิบายมาทั้งหมด คุณไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าคุณเห็นแก่ตัว นี่คือสิ่งที่คุณควรจะอธิบายกับคนที่คุณบอกว่ารักเหรอ ห้าปีที่ผมให้ความรักทั้งหมดของผมไป คุณไม่เห็นคุณค่าของมันเลยเหรอ คุณจะไปแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ ถึงเจ็บแค่ไหนผมก็เข้าใจ แต่คุณควรจะบอกผมตรงๆ คุณไม่ควรทิ้งผมไปเฉยๆ โดยไม่บอกอะไรเลย คนรักกันเขาทำแบบนี้เหรอ”

“อ้ายม่อน” ซันครางอย่างน่าสงสาร สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ แต่ถึงยังไงเขาก็คงไม่เจ็บเท่าผมหรอก

“ใช่ ผมยังคิดถึงคุณอยู่ ผมยังไม่ลืมคุณ แต่ผมเสียใจที่ต้องบอกว่าผมคงกลับไปรักคุณอีกไม่ได้ ลาก่อนนะครับซัน ขอให้คุณโชคดี เราอย่าเจอกันอีกเลย”

พูดจบผมก็ลุกพรวด ก่อนเดินดุ่มๆ ฝ่าลานน้ำพุออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของซัน ขณะที่ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาอยู่นั้น ผมก็ชนเข้ากับร่างของใครสักคน พอเงยหน้าขึ้นมอง ผมก็เห็นคนหน้าคุ้นๆ ส่งยิ้มมาให้

“พี่อาร์ต”

สิ้นเสียงเรียก ผมก็โผเข้ากอดพี่อาร์ตแน่นและร้องไห้ แม้จะมีน้ำพุสาดจนเปียก แต่เราสองคนก็ยืนกอดกันอยู่อย่างนั้น

“ไม่เป็นไรนะม่อน พี่อยู่ตรงนี้แล้ว พี่ขอเป็นตัวจริงของม่อนนะม่อน”

พี่อาร์ตพูดปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน ราวกับรู้ว่าผมโหยหาสิ่งนี้มากแค่ไหน โดยเฉพาะในวัยเด็กที่ผมขาดพ่อ ผมก็เลยยิ่งกอดแน่น พลางก็นึกถึงเพลง “ตัวจริงของเธอ” ที่พี่อาร์ตเปิดให้ฟังในรถเมื่อเช้าไปด้วย ถ้าวันนี้ไม่มีตัวจริงของผมอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่รู้จะไปร้องไห้กับใคร

“จ้วยม่อนตวยเน้อปี้อาร์ต น้องเจ๊บขนาด บ่อเกยเจ๊บจะอี้เลย” ผมละล่ำละลักบอกพี่อาร์ตเป็นภาษาเหนือ

“เปิ้นฮักตั๋วเน้อ บ่อต้องห่วง เปิ้นจะหมั่นมึ้งม่อนเอง อะหยังบ่าดี ก่าละมันเน้อ” พี่อาร์ตตอบผมเป็นภาษาเหนือ ฟังดูแปร่งๆ ไปบ้าง น่าจะเป็นเพราะไม่ได้พูดนาน แปลเป็นภาษาไทยว่าผมรักคุณนะ ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลม่อนเอง อะไรไม่ดี ก็ละทิ้งมันไป

ภาษาเหนือได้นำบรรยากาศและความรู้สึกผูกพันในวันนั้นกลับมาอีกครั้ง หัวใจที่กำลังเจ็บจึงบรรเทาเบาบางด้วยความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากอดีตที่แสนไกล แม้ห้าปีกับซันจะลึกซึ้งแน่นหนาแค่ไหน ก็สู้สี่ปีที่ผมกับพี่อาร์ตผูกพันกันมาไม่ได้ เพราะเราได้ใช้ชีวิตด้วยกันในช่วงวัยที่งดงามที่สุด วันนี้…ช่างโชคดีเหลือเกินที่เขาได้กลับมาเป็นตัวจริงของผมอีกครั้ง ก็คงจะเป็นเขานี่แหละที่ผมจะขอฝากผีฝากไข้

ค่าที่มัวแต่เสียใจ ผมจึงลืมคิดไปเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของคนที่ผมกอดอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าผู้ชายกอดกันเป็นเรื่องแปลกหรอก

แต่คนที่ผมกอดอยู่นั้นเป็นดาราดังระดับประเทศ ต้องมีใครสักคนแถวนี้รู้จักอย่างแน่นอน

TBC…

ช่วงนี้ผมทำวิทยานิพนธ์ อาจจะอัปเดตงานได้ช้าหน่อยนะครับ แต่ยังเขียนอยุ่ ไม่ได้หายไปไหน

เพลงตัวจริงของเธอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2022 08:51:22 โดย Y-Lamoon »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
 :hao6:

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เดี๋ยววันนี้เย็นๆ มาอัปเดตนะครับ

ออฟไลน์ Y-Lamoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
TEASER - EP8

พี่แอนเว้นจังหวะ หันไปสบตากับม่อนแวบหนึ่งก็หันมาสบตาผม “พี่ยอมให้อาร์ตเล่นบทแบบนี้ไม่ได้ พี่ยอมให้มีข่าวแบบนี้ของอาร์ตออกไปในสื่อไม่ได้ ถ้าอาร์ตยังอยากร่วมงานกับพี่อยู่ อาร์ตก็ต้องเข้าใจพี่ด้วยว่าพี่จะป้อนบทแบบไหนให้อาร์ต อาร์ตจะต้องมีภาพยังไง ต้องมีบุคลิกยังไง ตัวจริงของอาร์ตจะเป็นแบบไหนไม่รู้ แต่ในโลกบันเทิง อาร์ตต้องมีภาพแบบนี้ให้พี่ ให้ช่องของเรา ให้สปอนเซอร์ของเรา ให้แฟนคลับของเรา ยกเว้นว่า…อาร์ตอยากจะร่วมงานกับพี่เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด