ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65  (อ่าน 7687 ครั้ง)

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 18 ]
คนแรกที่นึกได้


“อีเอิบ เอาช้อนมาใส่ปากจ่าอ้วนที”

แม่สั่ง และชี้ไม้ชี้มือ

“เอ็งจะวิ่งขวางทางข้าทำไม ฮึ..นังอาบ” ขณะที่ป้าเอิบทั้งตะคอก ทั้งผลักป้าอาบ ผมรีบถลันเข้าไปถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นครับ ?”

“พ่อเอ้ย ! พ่อมหาจำเริญ มาได้เวลาประจวบเหมาะพอดิบพอดี”

อย่างทันทีทันใด ป้าอาบรำพึงหน้าตาตื่นตระหนก พลางยกมือขึ้นพนม  “ช่วยตาอ้วนก่อนเถิดพ่อน้ำ ขืนช้าไปกว่านี้ มีหวังลิ้นคับปากแท้หนา”

แม่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงกึ่งลากตัวผม พลางถลาตัวเข้าหาร่างซึ่งกระตุกเป็นครั้งคราว สองแรงของเราช่วยกันง้างขากรรไกรดั่งหินสลักของจ่าอ้วนอย่างทุลักทุเล จังหวะเดียวกันนั้นป้าอาบก็รับช้อนมาจากป้าเอิบ พันผ้าอย่างรวดเร็วสองทบ ก่อนจะทิ่มเข้าไปในปากของจ่าอ้วน

ท่ามกลางความโกลาหล ผมเหลือบตาไปทางลุงแดร็กที่ทรุดตัวลงนอนตะแคงกับพื้น สองมือหยาบกร้านของแกประคองมีดซึ่งปักอยู่กลางสะดือเอาไว้ เลือดสีแดงไหลจากปลายด้ามหยดลงพื้นอย่างต่อเนื่อง

เสียงโอดโอยแผ่วเบา สลับอาการหอบท้องเป็นพัก ๆ บ่งบอกว่าลมหายใจที่อ่อนแรงนั้นเริ่มช้าลงทุกขณะ เป็นสัญญาณเตือนเสมือนหนึ่งว่าอีกฟากโลกหนึ่งพญามัจจุราชกำลังกระตุกเวลาอย่างกระชั้นถี่ โดยไม่รีรอหรือมัวอ้อยอิ่ง

“ต้นน้ำ เอ็งไปตาม ‘ใคร’ ก็ได้ ช่วยส่งตามืดให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด” แม่ตะโกนอย่างร้อนรน “ปัดโธ่เอ้ย ! วันนี้ ผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่เสียด้วย”

ภายในเศษเสี้ยววินาที ‘ใคร’ ที่แม่ว่านั้น คนแรกที่ผมนึกได้ก็คือนายอัดลม แต่ก่อนที่ขาสองข้างจะพุ่งเร็วกว่านรก แม่ก็สำทับว่า

“ไปตามอาของเอ็ง...เร็วเข้า”

อา....ชาญ
นั่นสิ ! ผมลืมเสียสนิท

จากตรงนี้ไป หากเทียบระยะทางระหว่างบ้านของอาชาญกับกระชังปลาของน้าแหววแล้ว เรียกได้ว่าบ้านหลังแฝดใกล้กว่าชนิดทิ้งห่างหลายกิโล

โถ โถ โถ ความคิดของหนวดจิ้งหรีดเอ้ย   :o12:



และแล้ว...

ท้ายที่สุด ผมก็หายใจโล่ง ในเวลาต่อมาก็หายใจขัด เนื่องจากไอ้แชมป์กลับบ้านไปพร้อมกับเมียใหม่ของอา…

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นให้อาชาญนำรถสปอร์ตของเธอ เอาร่างซูบเลือดของลุงแดร็กกับอีกหนึ่งไร้สติของจ่าอ้วนส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงทีแล้ว หล่อนก็สอบสวนแม่เป็นการใหญ่

ผมเรียกการพูดคุยครั้งนี้ว่าสอบสวน เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมวงสนทนาด้วย ทั้งที่ความเป็นจริงในเวลาเดียวกันนี้ ป้าเอิบก็สาธยายต้นตอทั้งหมดให้ผมฟัง ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า

หลังจากลุงแดร็กไปลงอาคมทั้งตัวแล้วก็พุ่งมาที่นี่ พร้อมมีดก่อเหตุซึ่งเสียบเอวคาดผ้าคะม้า จ่าอ้วนรับหน้าที่เป็นคนพิสูจน์ความขลังของมัน แต่แล้วมือมีดก็ต้องผวาตาตั้งเสียเองจนกระทั่งลมบ้าหมูกำเริบ

สรุปแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดจากความเชื่ออย่างโง่เขลาโดยแท้

เวลาผ่านไป อีกอึดใจ ผมก็เห็นไอ้แชมป์ยืนชะเง้อชะแง้ อยู่ท่ามกลางความกว้างของลานบ้าน จึงผลุนผลันวิ่งลงกระไดก่อนที่มันจะขึ้นมาแล้วปะหน้ากับแม่เลี้ยงอย่างจัง

จากนั้น พาลัดเลาะใต้ถุนโล่งไปทางทิศเหนือ ลอดเงาต้นไม้ร่มรื่นซึ่งแม่ปลูกเอาไว้กินลูกรอบบ้าน

“ป้าจันว่าอย่างไร ?... ป้าจันไม่ยอมเหรอ ?”

ไอ้แชมป์ลั่นคำถามถึงสองครั้งระหว่างเดินผ่านไร่พริก เราสองคนหลบหนามมะกรูดอยู่หลายครั้ง  จนกระทั่งสุดเขตรั้วลวดหนาม ท่ามกลางซุ้มพริกไทยเตี้ยเสมอไหล่ มันจึงได้คำตอบจากผม

“ไม่ใช่แม่กู แต่...ของพ่อมึง” ผมว่า พลางทิ่มนิ้วที่อกอีกฝ่าย

“มึงกำลังจะบอกว่า มึงพากูมาถึงที่นี่ เพราะพ่อ...ตามหากู อย่างนั้นเหรอ ?” ใบหน้าไอ้แชมป์เริ่มมีสีเลือด

ผมสั่นหัว รีบอธิบายว่า

“ตอนนี้ ข้างบนนั้นมีผู้หญิงสามคน นอกจากป้าเอิบกับแม่แล้ว อีกคนก็ไม่ใช่พ่อมึงแต่เป็นเมียพ่อ”

อันที่จริง ถ้าป้าอาบไม่ขึ้นรถตามไปด้วย ข้างบนนั้นก็น่าจะมีสี่ยอดสตรี
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

หลังจากเล่าเหตุการณ์ในชั่วโมงก่อนให้ฟังอย่างคร่าว ๆ แล้ว  ผมก็นั่งลงใต้โคนต้นมะรุมต้นหนึ่ง  ไอ้แชมป์นิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะตามมานั่งชันเข่า ซบใบหน้าลงบนฝ่ามือ

สิบกว่าปีที่เติบโตเคียงข้างกัน ผมตระหนักในความรักที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีให้กับพ่อของเขาเสมอมา ขุนเขาสาปยาที่เลื่องลือและขึ้นชื่อด้านอลังการอย่างน่าหวาดหวั่นก็ไม่เทียมเทียบใจดวงเล็กแต่มโหฬารรักของไอ้แชมป์

ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงพูด ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทว่าทำลายความเงียบระหว่างเรา

“ต้นน้ำ...มึงต้องพากูกลับไป” ผมเอี้ยวคอมอง เนื่องจากไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินนัก สีหน้าของไอ้แชมป์ดารดาษไปด้วยความมุ่งมั่น

“ถ้าเลือกที่จะหนีอยู่ตลอดเวลา โอกาสที่จะได้พบกับความจริงตรงหน้าก็พลอยหมดไป บางทีการเลือกเจรจาพร้อมยื่นข้อเสนอบางอย่างอาจช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่บานปลายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้... กูจำเป็นต้องคุยกับเขา”

“แต่ว่า...” ผมแย้ง

“มึงเองก็คงลำบากใจไม่ใช่น้อยที่ต้องทนฟังป้าจันพูด ถ้าไม่มีกูให้บ่น ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจ” ไอ้แชมป์พูดขัดจังหวะ

 ผมส่ายหัวเพราะไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ขณะเดียวกันก็มองหาช่องทางเพื่อเปลี่ยนเลนส์ความคิดของอีกฝ่ายไปด้วย

“เออ ! เกือบลืมถามถึงเรื่องที่กระชังปลาของน้าแหววเลย”

ไอ้แชมป์นิ่งสักพัก จึงพูดว่า

“พวกอวดเบ่งน่ะ...” มันสลับท่านั่ง ก่อนจะเล่าต่อว่า

“นายตำรวจใหม่เพิ่งมาประจำการในสภ.เมือง พื้นเพของเขาเป็นคนอีกหมู่บ้านหนึ่ง จุดประสงค์จริง ๆ คงต้องการเหยียบจมูกลูกพี่มากกว่า  พอลูกพี่มาถึง เขาก็ถอยฉากกลับไป”

ไอ้แชมป์เห็นผมตั้งใจฟัง มันจึงพูดต่อ

“ไอ้เป๊บซี่บอกว่าตำรวจนายนี้เป็นอริเก่าของลูกพี่ ลูกชายคนโตของท่านดำริอย่างไรล่ะ พอลูกพี่สอบทหารได้ เขาก็ใช้เส้นสายเข้าตำรวจบ้าง มีพ่อเป็นรัฐมนตรีเสียอย่าง อะไร ๆ มันก็ดูง่ายไปหมด ใคร ๆ ต่างก็พูดว่า เลือกตั้งสส.ไม่ว่าจะกี่สมัย ท่านดำริมักเป็นเสือนอนกินเสมอ ในรอบนี้ก็คงแบเบอร์อีกเช่นเคย”

ผมนิ่วหน้า ดูเหมือนว่านายอัดลมกำลังจับอสรพิษข้างหางอยู่ ได้ยินแบบนั้นแล้วก็อดกระหวัดใจอย่างห่วงใยไปถึงอีกคนไม่ได้

“เจอเรื่องทำนองนี้เข้า น้าแหววคงตกใจน่าดู”

ไอ้แชมป์กลืนน้ำลาย อีกอึดใจต่อมา จึงมีเสียงพึมพำอย่างเบา ๆ

“ปากอาจจะบอกว่าไม่คิดอะไร แต่ในใจลึก ๆ คงหวั่นวิตกไม่ใช่น้อย ในเมื่อฝ่ายนั้นมีอิทธิพลเหนือฟ้าแถมวิชามารก็มาเหนือเมฆ” ได้ยินเสียงถอนหายใจดังแทรกระหว่างคำพูดของไอ้แชมป์

“ลูกพี่บอกน้าแหววว่าย้ายมารับตำแหน่งใกล้บ้านแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะทำให้น้าแหววอุ่นใจได้อีกเปลาะหนึ่ง”

ไอ้แชมป์เชื่อมั่นลูกพี่ แต่ผมกลับไม่แน่ใจระหว่างคำว่าอุ่นใจกับร้อนใจ

น้าแหววจะอุ่นใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่นายอัดลมกำลังท้าชนนั้น หาใช่ตอไม้ขาดใบที่ตายแล้ว แต่ทว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากลำต้นใหญ่โตกับแขนงที่แตกใบให้ร่มเงามากมาย กิ่งก้านของมันก็นับวันแต่จะผลิดอก ออกผล ขยายสาขาใหญ่ ทั้งแข็งแกร่งและเติบโต แผ่บุญคุณเบ่งบานเหนือสรรพสัตว์น้อยใหญ่

อย่างฉับพลัน...
 
ความคิดของผมสะดุดลงกึก เมื่อไอ้แชมป์พูดว่า

“ถูกแล้วล่ะ ที่พ่อตำหนิว่า กูน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ทำให้ใครอื่นเขาพลอยเดือดร้อนไปทั่ว”





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2022 10:46:49 โดย Marakun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ กฤตย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 19 ]
คนสุดท้ายที่ได้เจอ


หลังจาก ไอ้แชมป์ขึ้นรถ ผมก็หมดเวลาไปกับการนึกทบทวน

โดยปกติ อาชาญเป็นคนระมัดระวังคำพูด ถนอมน้ำใจคนอื่นอยู่เนืองนิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัว ผมไม่เคยได้ยินอาชาญหลุดคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียว    เหตุใดจึงทำร้ายไอ้แชมป์ด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนั้น

อาชาญมักจะลงท้ายคำพูดอย่างอ่อนโยนกับผมอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ลูก’  ซึ่งฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจ คำเหล่านี้หาได้ยากอย่างยิ่งยวดจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองคน

อันที่จริง ถ้าหากผู้ใหญ่ผันกับเมียผู้ใหญ่จะเลือกใช้คำนี้กับผมในตอนนี้บ้าง ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจะรู้สึกอย่างไร

คง...จั๊กกะจี้ไม่ใช่น้อย

ก็...แหม ! ของมันไม่เคยนี่นา...  :-[

“มานั่งทำหน้าเหมือนหมาเบ่งขี้อยู่ตรงนี้เอง” แม่ทัก จากโคนส้มโอต้นหนึ่ง...อย่างแน่นอนที่สุด   แม่ตัวจริงต้องจัดจ้านอย่างนี้

“พ่อเอ็งรอคุยด้วยเป็นชั่วโมงแล้วนะ”

“อ้าว !..พ่อกลับจากประชุมนานแล้วเหรอจ้ะ”

“เออ ! สิวะ...”

“พ่อเรียกหาฉันทำไมเหรอจ้ะแม่”

“สงสัยจะวานให้เอ็งไปเฝ้าคอกควายแทนตามืดกระมัง” แม่คาดคะเน

ผมผลีผลาม ผละจากเปลอย่างทันท่วงที


ในห้องหนังสือ นอกจากตู้ไม้หลายหลังที่ใช้เก็บตำราโบราณซึ่งตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ที่โต๊ะทำงาน พ่อนั่งลำพังคนเดียวในชุดราชการสีกากี ผมเหลือบตาสำรวจโดยรอบอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีใครบางคนอยู่ในนี้ไหม...

พอเอาเข้าจริง...นายอัดลมก็ไม่มาคุยกับพ่อแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยันให้กับความคิดของตนเองที่เผลอเอาแน่เอานอนกับคนประเภทเช้าสามเย็นสี่

จริงดั่งที่แม่คาดการณ์ ผมถูกพ่อไหว้วานให้อยู่โยงเฝ้าควายในตอนกลางคืน จนกว่าลุงแดร็กจะหายดีเป็นปรกติ อย่างน้อยก็หนึ่งสัปดาห์หรือบางทีอาจมากกว่านั้น

เมื่อคุยธุระกับพ่อเสร็จ ผมก็ออกมาซักไซร้แม่ถึงเบื้องหลังการสนทนากับผู้หญิงของอาชาญ

แม่เปิดเผยแค่ว่า เธอถามเกี่ยวกับการเรียนของผม พอแม่พูดเสร็จก็ขอดูผลการเรียนที่น่าปกปิดของเทอมนี้ มิหนำซ้ำเมียผู้ใหญ่ยังเล่นใหญ่ จนผมตะลึง...!!!

อย่างทันท่วงที ผมรีบรายงานข่าวเพื่อเปลี่ยนกระแสมรสุมว่า นายอัดลมได้ย้ายมาประจำการ ณ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล สถานที่ซึ่งพ่อของไอ้เป๊บซี่เคยจบชีวิตลงที่นั่นอย่างมีเงื่อนงำแล้ว

แม่อุทานด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน ขณะที่ผมลอบถอนใจอย่างโล่งอก จากนั้นแม่ก็ตรงปรี่ไปหาพ่อในห้องหนังสือ ทิ้งให้ผมนึกสงสัยอยู่ครามครันว่า

เจ๊เชอรรี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ?

หล่อนถามเกี่ยวกับการเรียนของผม...!

อุต๊ะ ! แย่แล้ว...ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นต้องมีความคิดอยากคุกคามบุคลากรทางศึกษาแน่ ๆ
 :katai1:


ก่อนหน้าแสงสีทองจะลาขอบฟ้า ป้าเอิบถามผม ในขณะเก็บกวาดห้องบนหอคอยและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ว่า

“ให้ป้ามานอนเป็นเพื่อนไหม...? แน่ใจรึว่าพ่อน้ำอยู่คนเดียวได้”

“ได้สิ” ผมยืนยัน  “น้ำอายุสิบหกแล้วนะฮะ”

“ไม่กลัวผีแล้วรึ ?”

“ไม่...ถ้าผีมีจริง พี่กล้าก็ต้องปรากฏตัวให้น้ำเห็นสิฮะ แต่นี่...น้ำเองก็อยากถามพี่กล้าตั้งหลายเรื่อง” ผมพูด วางหมอนใบใหญ่ซึ่งหอบมาด้วย จากนั้นตบเบา ๆ ให้ขึ้นฟู

“อีกอย่าง น้ำก็ไม่เคยเห็นผีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โลกใบนี้ไม่มีผีเป็นตัวเป็นตนหรอก ซึ่งนั่น...คือคำตอบสุดท้าย” ผมทำท่าชี้นิ้วอย่างนึกสนุก
“เพราะฉะนั้นแล้ว เหตุใดน้ำต้องเสียเวลากลัวต่อสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริงด้วยล่ะฮะ ป้าเอิบมั่นใจเถอะครับ ต้นน้ำของป้าคนนี้เลิกกลัวผีมาตั้งนานนน...น... แล้วล่ะ” ผมคุยโขมง

คำยืนยันหนักแน่นของผม ทำให้ป้าเอิบบอกกับแม่ระหว่างมื้อเย็นว่า “พ่อน้ำของป้าโตเป็นหนุ่มแล้วจริง ๆ นะ แม่จัน”


คืนนี้ อากาศหนาวราวกับมีหิมะ

พอความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ความทรงจำเกี่ยวกับหนังผีเรื่องหนึ่งในคืนหิมะตกของสตีเฟนคิงส์ก็เริ่มหลอนผมอย่างเลวร้าย จากจินตนาการต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะลบมันทิ้งไป

ท่ามกลางหอคอยเวิ้งว้าง ผมรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่รั้งไอ้แชมป์เอาไว้ อย่างน้อยถ้ามีไอ้แชมป์อยู่ด้วย ผมก็อุ่นใจ

ตึง ! ตึง !  ตึง !

เสียงประหลาดบางอย่างดังมาจากคอกของไอ้เผือก

ผมกระตุกไฟฉายของป้าเอิบกระชับเข้าแนบอก
อย่างไรก็ตาม การกดสวิทซ์ไฟเป็นสิ่งเลวร้ายอันดับหนึ่งซึ่งผมไม่ควรกระทำ เพราะแสงไฟคือตัวล่อทำให้วิญญาณร้ายมองเห็นตัวผม

อีกอึดใจใหญ่ต่อจากนั้น เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง สักพักก็มีกลิ่นควันไฟลอดช่องกระจกเข้ามา อีกทั้งแสงวูบวาบจากเพลิงกองเล็กที่ฝ่าความมืดขึ้นมาส่องกระทบบานหน้าต่างนั่นก็ด้วย

สติข้างในบอกผมว่า

นั่นไม่ใช่ผี แต่อาจเป็น...ขโมย
 
ผมลุกขึ้น แง้มบานกระทุ้ง กวาดตามองโดยรอบจากมุมบน เห็นใครคนหนึ่งตัวเตี้ยตัน และที่สำคัญมาแค่คนเดียว

ในห้องหนังสือ พ่อกำชับแล้วกำชับอีกว่า ถ้าเห็นขโมยให้ผมกดปุ่มสีแดงข้างเสา และสัญญาณหวูดจะแผดเสียงดังที่บ้าน จากนั้นชายฉกรรจ์ที่พ่อเกณฑ์เอาไว้จะยกโขยงแห่กันมาที่นี่

แต่ผมคิดว่า พ่อน่าจะภูมิใจมากกว่า ถ้าลูกชายของพ่อสามารถจับหัวขโมยที่เป็นแค่คนแคระได้

เจ้าหัวขโมยร่างแคระแกรนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในคอกอย่างชะล่าใจ

ขณะไต่ลงบันไดเวียนอย่างแผ่วเบา แขนสองข้างของผมก็กระชับไม้คมแฝกกับไฟฉายที่ถือติดมือมาด้วย ก่อนจะฝังตัวเข้าในเงามืดด้านหลังฟางแห้งกองหนึ่ง ผมขยับเท้าเข้าใกล้ฝ่ายนั้นทีละนิด ๆ

ทันใดนั้น เจ้าหัวขโมยก็เหยียดกายลุกขึ้นยืน เขาสูงอย่างน่าตะลึง สูงกว่าที่ผมคาดคิด

เป๊าะ !

เมื่อขาข้างหนึ่งพลาดโดนกิ่งไม้ การจู่โจมในเศษเสี้ยววินาทีจึงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผมบุกตะลุยโจมตีทันที พร้อมกับทำลายการมองเห็นของอีกฝ่ายด้วยแสงเจิดจ้าจากไฟฉาย

“โอ้ย !” เขาร้องเบา ๆ ขณะที่ตัวผมก็อุทานเช่นกันว่า

“ไอ้ขายาว !”





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:44:38 โดย Marakun »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
พี่อัดลมรึเปล่า

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 20 ]
ในห้องนี้ บนเตียงนี้

ไม้ในมือซึ่งเงื้อขึ้น บัดนี้ถูกอีกฝ่ายเข้าผนึกอย่างชะงักงัน

 “คนขี้ขโมย...”

ผมกระชากศอก พยายามแย่งชิงความแข็งแกร่งจากนายอัดลมอย่างสุดพลัง ขณะมองเลือดซึ่งไหลเป็นทาง จากบริเวณหางคิ้วลงซีกแก้มขวาของเขา

“กาลเวลาเติบโตขึ้น แต่ความคิดของเอ็งกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง”

เขาแยกเขี้ยวใส่ผม ขณะยื้อยุดกัน

“ถ้ารู้ว่า เอ็งตอบแทนคุณคนโดยการเอาเลือดหัวออกแบบนี้ ข้าปฏิเสธผู้ใหญ่ผันไปแล้ว”

“...?...”

“แล้วนี่...อยู่โยงเฝ้าควายประสาอะไร ฟืนแม้แต่ดุ้นเดียวก็ไม่มีไฟสุม ไอ้เผือกอยู่ไม่เป็นสุขเพราะเสียเลือดให้เหลือบลิ้นยุงไร แห่กันมารุมทึ้งเนื้อหนังของมันอีกเป็นโขยง” เขาตำหนิเสียงเข้ม

และ...นั่น ทำให้ผมเริ่มตระหนักในความเป็นความตาย

ถ้าหากไอ้เผือกถูกพวกแมลงรุมสูบเลือดอย่างหิวกระหาย กระทั่งอ่อนแอลงถึงขั้นล้มตาย ภารกิจแบบผู้ใหญ่ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่ผมรับปากพ่อเอาไว้ก็ถือว่าล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

จากนี้ คงไม่มีใครเชื่อและวางใจว่าผมโตพอ สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของปู่จนกระทั่งอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์อย่างที่พินัยกรรมส่วนที่หนึ่งบัญญัติเอาไว้        และนั่นหมายความว่าผมต้องรอไปถึงอีกสองปีจึงจะได้เห็นพินัยกรรมส่วนที่เหลือ บางทีนายอัดลมอาจเป็นสปายของพ่อ และมาที่นี่เพื่อจับผิดตัวผม

“เมื่อกี้ นายบอกว่าพ่อส่งมาเหรอ ?” ผมถาม ขณะรามืออย่างสงบ

“เอ็งคงไม่คิดว่าจะเป็นป้าจันดอกนะ” เขาตอบยียวน

“แต่...ตอนมื้อค่ำ ไม่เห็นพ่อพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

“พ่อผู้ใหญ่คงเข้าใจว่าข้าเล่าสู่เอ็งแล้วกระมัง แต่ก็อย่างว่านั่นแหล่ะ...ในเมื่อวันนี้ข้าไม่เห็นหน้าตาจิ้มลิ้มของเอ็งเลยทั้งวัน จะให้ข้าบอกเอ็งเวลาใดเล่า”

เขาต่อว่า พลางทุบหมัดขวากับอกตัวเองเบา ๆ เหมือนต้องการประท้วงผม

“ไม่ใช่นายรึไง ที่เป็นคนพูดว่าจะมาคุยธุระกับพ่อ” ผมโวยกลับ

“โอ... แสดงว่าเอ็งรอข้าทั้งวันเลยซีนะ” มุมปากข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้น เท้าขยับเข้าหาผม
“ไม่คิดเลยว่าเอ็งจะเป็นคนลุ่มร้อนแบบนี้ ข้ากะเวลาผิดไป แค่นิดเดียวเอง ”

“นาย...พูดเฉย ๆ ไม่เป็นรึไง” ผมขู่พร้อมกับสะบัดใบหน้า ถ้าขืนไม่ทำเช่นนั้นนิ้วทั้งสิบของเขาอาจแปะลงข้างแก้มตัวเอง

เขาหัวเราะเบา ๆ เอ่ยเสียงยานคางอย่างเกียจคร้านว่า

“ข้าได้ยินมาว่า ช่วงเช้าพ่อผู้ใหญ่ไม่อยู่ ก็เลยแวะไปที่ค่ายมวยของพ่อครูก่อน แต่...กว่าจะปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นได้ มาถึงบ้านเอ็งก็ตะวันคล้อยหลังเข้าแล้ว” ขณะพูด นายอัดลมก็โยนไม้ที่แย่งได้จากผมทิ้ง

"ระหว่างสนทนากับพ่อผู้ใหญ่ ข้าได้แต่เฝ้ามองเผื่อว่าจะเจอใครสักคนที่มีใบหน้าชวนมองบ้าง อุตส่าห์ตามหาถึงบ้านหลังแฝดในภายหลังก็ยังไม่พบ แต่นับว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างที่บ้านนั้นเมตตา ข้าถึงได้อาบน้ำอาบท่ากับอิ่มท้องมื้อเย็นที่นั่น”

ถึงแม้นายอัดลมจะพล่ามเสียยืดยาวแต่ผมก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะหลุดอะไรบางอย่างที่ช่วยให้ผมรับรู้ถึงบรรยากาศภายในบ้านหลังแฝด ระหว่างไอ้แชมป์และอาชาญ กับวันแรกในกรงทองของแม่เลี้ยง

ทว่าเขาไม่พูดอะไรต่อ นอกจากมองตาผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์

ความหนาวทำให้เลือดที่ไหลจากหางคิ้วของเขาจับตัวกันค่อนข้างเร็ว ดูเหมือนว่านายอัดลมจะไม่รู้สึกอะไรกับบาดแผลนั้น ซึ่งตรงข้ามกับผมที่เห็นลิ่มเลือดของเขาตั้งแต่วินาทีแรก จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอย่างรู้สึกผิดว่า

“นายไม่เจ็บหน้าผากบ้างเหรอ ?”

เขายกมือขึ้น ลูบบริเวณปากแผล

“โอ๊ย...เจ็บ...เจ็บมาก”

ผมเชื่อว่าบางครั้งความรู้สึกของคนเราก็ไม่สัมพันธ์กับร่างกายนัก บ่อยครั้งที่ร่างกายของเรายืนหนึ่งแต่สติตามหลังอยู่อีกช่อง ผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง

ร่างสูงเพรียวของนายอัดลมเซไปด้านข้าง แต่ทว่าก่อนที่ตัวเขาจะทรุดลง ผมก็ตรงเข้าประคองเสียก่อน

จากนั้นลากขายาว ๆ ของเขาบังคับให้นั่งลงข้างกองเพลิงที่เขาเป็นคนสุมควัน เสร็จแล้วผมก็ขยับฟืนเพื่อให้บริเวณโดยรอบอุ่นขึ้นและสว่างอีกหน่อย

จำได้ว่าตอนเด็ก ผมหกล้ม หัวเข่าเปิด อาชาญนำหญ้าชนิดหนึ่งมาสมานแผลให้ รูปทรงใบโพธิ์ของมันมีสีเขียวสด ขอบใบหยักลึก ลักษณะนุ่มมือเหมือนสัมผัสกับผ้ากำมะหยี่  ห่างจากคอกของไอ้เผือกราวสิบค่อนก้าว ผมเห็นพุ่มหนึ่งกำลังขึ้นงาม

ในระหว่างขยี้ตัวยาอย่างลวก ๆ แอบชำเลืองตาไปทางนายอัดลม ก็รู้สึกเบาใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาแช่มชื่น
ไอ้เผือกเงียบเสียงลงแล้ว ขณะเดียวกันกองไฟก็หมดเชื้อแล้วเช่นกัน

หลังจากผมแปะตัวยาเสร็จ นายอัดลมก็ขยับตัวลุกขึ้น

“เฮ่...นายจะทำอะไรน่ะ ?” ผมตะโกน เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระโดดตึงตังบนขั้นบันได

“หาที่นอนอุ่น ๆ”
 
“นายจะนอนบนนั้นไม่ได้นะ”

ผมวิ่งตาม ทำความเร็วติด ๆ กับเขา แล้วก็ยืนหอบ  ขณะที่นายอัดลมผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เขาเปิดสวิทซ์ไฟ แล้วพูดว่า

“กว้างกว่าเวทีมวย แถมด้านหน้ายังมีระเบียงชมจันทร์ด้วย”

ในเวลานั้น ผมกำลังเข่นเขี้ยวอยู่ด้านหลังเขา

เดือนมืดซะขนาดนี้ นายยังจะมีอารมณ์ชมจันทร์อีกนะ !


“นายนอนในนี้ไม่ได้”

“เหตุใดข้าถึงนอนในห้องนี้ บนเตียงนี้ไม่ได้” เสียงของฝ่ายนั้นต่ำยะเยือกยิ่งกว่าอุณหภูมิในห้องเสียอีก

“เพราะว่าฉัน...ฉันนอนละเมอ บางทีก็ลุกขึ้นมาชกหมอนข้างแบบไม่รู้ตัว วันนี้นายต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันคิดว่า...ฉันคงไม่อยากจะทำให้นายต้องเจ็บตัวอีก”

ผมรู้สึกเหมือนกับ...แขนทั้งสองข้างถูกกระตุกอย่างแรง จนร่างกายส่วนหนึ่งกลายเป็นอัมพาต
รู้สึกว่า...อุ้งหมัดของผมตกอยู่ท่ามกลางความเข้มแข็งที่อบอุ่นซึ่งบัดนี้นายอัดลมกำลังเกาะกุมเอาไว้

 “ข้าไม่กลัวหมัดของเอ็งเลย ต่อให้ถูกต่อยจนตาย ข้าก็ยอม”

 “...”
 :pighaun:
ขณะนั้น...หัวใจของผมเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมเผลอคิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะ...หัวใจของผมยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งก้าวกระโดดทีละสองขั้นบันไดก็ได้

จากอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากนายอัดลมเป็นคนดื้อรั้น หากผมพยายามจะเอาชนะเขา สุดท้ายมักพบกับความปราชัยเสมอ
ในครั้งนี้กับเหตุผลแบบผู้ใหญ่ ผมจำต้องปลอบตัวเอง...

เอาเถอะน่า ไอ้น้ำ...มีคนนอนเป็นเพื่อนก็น่าจะดีกว่ามึงต้องนอนลำพังกับความกลัวอย่างหลับ ๆ ตื่น ๆ

ตัดสินใจดังนั้น  ผมจึงใช้หมอนใบหนึ่งเป็นอาณาเขต กั้นกลางระหว่างเขากับผม

พรุ่งนี้วันหยุดยาวสิ้นสุดแล้ว...ผมต้องไปโรงเรียนแต่เช้าด้วย




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:49:59 โดย Marakun »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
จีบกันน่ารัก

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
งุยรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 21 ]
ปฐมบทเสน่หา


“ที่นอนแคบ วางหมอนแบบนั้น จะหลับได้อย่างไร” เขาพึมพำที่ขอบเตียง

“ฉันหลับได้ก็แล้วกันน่า”
 
ผมตอบปัด ก่อนจะคลี่ผ้านวมออก เสร็จแล้วล้มตัวลงและหันหลังให้เขา อีกชั่วอึดใจเขาก็ลุกขึ้นปิดไฟ ครั้นแล้วที่นอนด้านข้างผมก็ยวบตัวลง ชายผ้าห่มถูกเปิดออก

 “นาย...จะทำอะไร ?” ผมคำรามในคอ

“วางใจเถิด ข้าไม่แย่งผ้าจากเอ็งดอก  แค่จะช่วยให้อุ่นขึ้น” เขาตอบ เสียงทุ้มต่ำ

ในเวลาต่อมา วงแขนแข็งแรงบวกบ้าบิ่นของเขาก็โอบรอบตัวผมจากด้านหลัง ลำตัวผมแข็งขืนโดยอัตโนมัติ

ถึงกระนั้นก็ดี ผมรู้สึกว่าวงแขนของเขาเหมือนรังไหมที่เข้มแข็งแต่อ่อนโยนและผนึกความอบอุ่นไว้ในคราวเดียวกัน ความรู้สึกที่มีอิทธิพลบางอย่างทำให้ใจข้างในหวั่นไหวอย่างน่าประหลาด

ขณะเดียวกันความคิดส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ท่ามกลางความสับสน

ขณะนี้ ผมกำลัง...ถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบกอด ตั้งแต่จำความได้ อาชาญก็เป็นอีกคนที่กอดผมแบบนี้เสมอ จนกระทั่งผมหลับ

ผู้ชายสองคน...ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
ก็แหงล่ะ...
ทุก ๆ ครั้ง อาชาญไม่เคยทำจมูกยื่นแบบที่นายคนนี้กำลังทำอยู่...นี่นา ?

“ตาหวาน...” เขาเรียกผมเสียงแผ่วเบา ใกล้บริเวณซอกคอ

ท่ามกลางความปั่นป่วน ผมคิดว่าผมไม่สามารถขานตอบเขาได้

“เอ็งคงจะ...เกลียดข้ามาก เหมือนป้าจันสินะ ”

และเช่นกันความเงียบยังคงเป็นคำตอบสำหรับอีกฝ่าย


เวลานาทีผ่านไป...อย่างเชื่องช้า
ความรู้สึกของผมกลายเป็นความปั่นป่วนใจอย่างลึก ๆ

“หอมเหลือเกิน...” เสียงเขาครวญคราง ขณะที่ผมอยากจะลุกขึ้น แล้ววิ่งกลับบ้าน เพื่อโยนน้ำหอมของพ่อทูนหัวทิ้ง

เสียงสูดลมเข้าปอดจากด้านหลังดังต่อเนื่องยาวนาน หลายต่อหลายครั้ง      ยอมรับอย่างหน้าด้าน ๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังคุกคาม แค่จุดไวสัมผัสถูกเขาขยี้ ผมก็ลืมความคิดก่อนหน้านั้นทั้งหมด

นายอัดลมก็พรั่งพรูคำหยาบออกมาหลายคำติด ๆกัน    ต่อจากนั้นเขาก็ซุกปลายจมูกลงบริเวณท้ายทอยที่ไวต่อการสัมผัสของผมอย่างจาบจ้วงเหมือนเขาอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว   ในขณะเดียวกันสะโพกแข็งแกร่งของเขาก็ข่มเหงก้อนเนื้อหยุ่นบริเวณแก้มก้นผมอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน



ผมได้ยินแค่เสียงหัวใจของตัวเองที่กระทืบโครมคราม ประหนึ่งว่าจะทะยานออกจากอก  ขณะนั้นรู้สึกว่าบั้นท้ายของผมสัมผัสกับอะไรบางอย่างซึ่งกำลังขยายตัวแข็งขึง อย่างรวดเร็ว อุ่นร้อนและแข็งแกร่งอย่างมีชีวิตชีวา ความร้อนรุ่มจากกลางกายของเขาแทรกเนื้อผ้าเข้าสู่ผิวเนื้อบริเวณนั้นจนข้างในหวามระริก

ผมกลืนของเหลวหนืดคออย่างยากลำบาก พยายามจะขู่อีกฝ่ายโดยลืมความจริงบางอย่างของเขาไป

“ถ้าไม่รีบเอาตุ้มพลังของนายออก สาบานได้ ฉันระเบิดมันแน่”

อย่างแน่นอนที่สุด นายอัดลมเด้งสะโพกและบดอัดสิ่งนั้นเข้ามาอย่างท้าทาย กดเน้น ๆ เนื้อตรงส่วนนั้น

“เอ็งจะทำอย่างไรเล่า”  เขายั่วเย้า น้ำเสียงกระเส่า

โดยทันทีทันใด ฝ่ามือของผมตะปบไปด้านหลังด้วยความเร็วแรง แต่แล้ว...

“อาส์...”

ผมกลับรู้สึกตกตะลึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงที่ระเบิดออกมานั้นเป็นของใคร ของเขาหรือว่าของผม รู้เพียงแต่ว่าข้างในตัวผมกำลังร้องหาพระเจ้า !

ตะปบฝ่ามือลงไปแล้ว ผมก็ตกอยู่ท่ามกลางความน่าอัศจรรย์ของนายขายาว...ตะลึงงันต่อความทรงอิทธิพลที่เลยล้นอุ้งมือของเขา

ริมฝีปากหนานุ่มคู่นั้นก็กำลังซุกซนอย่างร้ายกาจอยู่หลังใบหูของผม พลิ้วไหวแบบผู้ชำนาญกาม ความรัญจวนใจถูกเขาขยับจากบริเวณซอกคอเลยไปหาข้างแก้ม

ผมต้องกัดฟันแน่น พยายามข่มเสียงเอาไว้ด้านในอก ทั้ง ๆ ที่ความมืดดำในใจลึก ๆ อยากจะตะโกนออกมาอย่างหน้าด้าน ๆ อาจกล่าวได้ว่าหัวใจสั่นหวิวของผมแทบสะกดกลั้นความต้องการที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนได้

 “ข้าคงจะซึ้งใจมากกว่านี้ ถ้าเอ็งจะช่วยขยับมือด้วย”
  เขากระซิบด้วยน้ำเสียงแตกพร่า ขณะเด้งสะโพกเข้ามา
ทุกถ้อยคำของเขาประหนึ่งมนต์กฤษณาที่ทำให้คนลุ่มหลง

เกินกว่าจะต้านทานไหว ฝ่ามือของผมซึ่งโอบท่อนลำที่เลยล้นของเขา กำลังขยับขึ้นไปยังส่วนบนตามคำบัญชาของอีกฝ่ายดั่งคนเสียสติ     ประสาทสัมผัสร้อนลุ่มรับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อตรงกลางบางส่วนของเขาที่กำลังเต้นตุบ ๆ รู้ถึงอาการตื่นตัวอย่างมีชีวิตชีวา สัมผัสถึงความดิบเถื่อนในตัวเขาที่เร่าร้อนเหมือนภูเขาไฟซึ่งพร้อมจะปะทุอย่างรุนแรงตลอดเวลา

ถึงแม้จะรู้ดีว่าการเดินทางสู่ปลายเปิดของปล่องภูเขาไฟมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่นักปีนเขาก็ยังคงหลงใหลกับความน่าตื่นตระหนกของมัน พวกเขาพร้อมที่จะเสี่ยงสักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อผจญภัยให้ถึงจุดสุดยอดของมัน

 จู่ ๆ ความยิ่งใหญ่อลังการแห่งขุนเขาสาปยา กับนามระบือไกลของนายอัดลมก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

‘อัด แห่งเขาสาปยา’ กระถดถอยความมหึมาอย่างเชื่องช้า พลางสบถคำหยาบ ผมจำต้องละมือ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำให้เขาทรมานอย่างแสนสาหัส     
อันที่จริง ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้อีกฝ่ายทรมานได้

แค่เพียงเศษเสี้ยววินาทีที่ผมลังเล ฝ่ายนั้นก็ใช้ฝ่ามือบังคับใบหน้าของผมให้หงายเงยขึ้น    ขณะผมกำลังอ้าปากจะประท้วง เขาก็ประกบริมฝีปากหนานุ่มลงมา กระแสสวาทที่เปียกชื้นในตัวเขาถลำลึกเข้ามาในโพรงปากผมอย่างเร่งเร้า

“หวานเหลือเกิน...” เขาเพ้อ ขณะดูดโคนลิ้นของผมอย่างช่ำชอง

ให้ตาย...จูบของเขา ทำให้ผมลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจของตัวเอง    ดูเหมือนว่าธรรมชาติการเรียนรู้อย่างรวดเร็วในตัวผมกำลังตอบสนองต่อเขาเช่นเดียวกัน

ผมกำลังดูดลิ้น ตอบกลับเขาอย่างลืมตัว...

ของเหลวระหว่างเราถูกถ่ายเทซึ่งกันและกัน ทั้งของผมและของเขากำลังคละเคล้ากัน เหมือนชอกโกแลตผสมเข้ากับน้ำนม จนรู้สึกฉ่ำเยิ้มในความหอมและหวานมัน

“อืมมม...”

เขาครางในคอ เสียงสั่น ก่อนจะผละใบหน้าออกห่าง

“รู้บ้างไหม...ข้ากำลังตกหลุมเสน่ห์ของเอ็ง จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”

ขณะนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองหายใจหอบ ร่างกายอ่อนปวกเปียก ป้อแป้ เหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง นายอัดลมถลกชายเสื้อของผมขึ้น เลยหลุมสะดือขึ้นไป จากนั้นกองส่วนหนึ่งเอาไว้เหนือราวอก
   
สติอันน้อยนิดของผมร้องว่า ก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกเกินกว่านี้ ผมต้องหยุดเขา

มือสองข้างของนายอัดลมกำลังซอกซอนราวกับหนวดปลาหมึก จากสะโพกไปยังสีข้าง และเลยไปถึงกระบังลม ผมรู้สึกวาบหวิวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็พยายามรั้งมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่มันจะสัมผัสกับสองตุ่มนูนซึ่งเปรียบประดุจปุ่มระเบิดปรมาณูในตัวผม

“ได้โปรดเถิด...ต้นน้ำ ข้าต้องการเอ็ง”

เสียงแหบแห้งของเขาเว้าวอนทะลุความมืด

“ให้ข้า...ได้รักเอ็ง”

โดยไม่รอคำตอบ เขาเกลือกกลิ้งใบหน้าลงกลางสะดือ

 “อึ้มส์...”

เกินกว่าจะต้านทานไหว มันถึงคราวที่ผมต้องส่งเสียงบ้างด้วยเหตุที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ลำตัวของผมหงิกงออย่างอัตโนมัติเพราะรู้สึกเสียวจนตัวสะท้าน ร่างกายบริเวณนั้นเหมือนถูกกระแสไฟในตัวเขาไหลผ่าน      ความต้องการของเขากำลังสร้างความปั่นป่วนในตัวผม

ผมกำลังพ่ายแพ้ต่ออำนาจชั่วร้ายของตัวเอง...


และแล้ว...
จู่ ๆ สิ่งมหัศจรรย์บางอย่างก็ร่วงลงมาจากเบื้องบน

อย่างทันทีทันใด นายอัดลมดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับได้รับความเจ็บปวด

ทะลึ่งตัวแค่พรวดเดียว ผมก็ถึงสวิทซ์ไฟ

หลังจากนั้น ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยุดหัวเราะได้ เพราะจิ้งจกหน้าตาเลิ่กลั่กตัวหนึ่งเกาะติดแผ่นหลังเปลือยเปล่า บนร่างแกร่งสมส่วนแต่ใบหน้าคมคายเสียทรงบิดเบี้ยวไป นายอัดลมกำลังแหกปากร้องขอให้ผมเอามันออก

จิ้งจกน่ารัก...หล่นลงมา เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ของผมโดยแท้




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:52:25 โดย Marakun »

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
ใครก็ได้ เอาจิ้งจกไปเก็บหน่อยยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 22 ]
ฟ้ามืดหลังเงาเมฆ

“ประกาศ...นายนาวา ภูก้อนคำ นักเรียนชั้นม.4 ห้อง 5 เชิญพบผู้อำนวยการด่วน”  ประโยคตามสายในเวลาใกล้เคียง ดังไล่เลี่ยกันสามครั้ง

“มึงมาสายจนกระทั่งผอ.เรียกพบเลยเหรอวะ ?” ตามติดด้วยคำถามจากไอ้เป๊บซี่ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยหรือกำลังเยาะเย้ยผม ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้มาสาย

แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยสนใจอัตลักษณ์แห่งบุรุษเพศมาก่อน เห็นของเพื่อนก็เหมือนกับเห็นของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกอะไร  แต่เหตุใด...ความเสน่หาต่อความเป็นตัวตนของนายอัดลมจึงถีบตัวตื่นอย่างน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น

กลางดึกในคืนที่ผ่านมา   ทั้ง ๆ ที่หนังตาพยายามชักม่านลงแต่ใจของผมกลับดื้อดึง กว่าผมจะข่มตาให้หลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบค่อนคืน

ถึงแม้นายอัดลมจะไม่กล้าเข้าใกล้ผมอีกเพราะผู้พิทักษ์ข้างกาย อีกทั้งยอมทำตามคำสั่งโดยมีแค่เสียงบ่นเพียงเล็กน้อยให้ได้ยิน ในขณะเขานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนพื้นซึ่งห่างออกไปอีกหลายช่วงตัว แต่ทว่าการกระทำสด ๆ ร้อน ๆ ของเขาก็สร้างความทรมานแก่ผมไม่ใช่น้อย

ชั่วโมงกระสับกระส่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิ่งหนึ่งถูกเฝ้าครุ่นคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สับสนอยู่กับความปรารถนาของตัวเอง    แม้กระทั่งในขณะซึ่งผมกำลังจ้วงขาตรงไปที่ตึกอำนวยการ คำถามที่ไม่มีคำตอบก็ยังคงวกวนอยู่   
   



เจ้าหน้าที่หญิงหน้าห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเคาะประตูและพาผมเข้าด้านใน  บนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามกับผู้อำนวยการ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลังตรงในชุดผ้าไหมสีเงินยวง มุ่นผมสีดำขลับถูกจัดทรงเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลังศีรษะอย่างประณีต ปักด้วยปิ่นหยกสีงาช้างเข้าชุดกัน

“ดาวดังที่อยากเจอตัว...มาพอดีเลยครับ” หนุ่มใหญ่อายุใกล้วัยทองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นถึงได้เอี้ยวตัวมา

เจ๊เชอรี่...!

การเจอกันครั้งที่สอง คนของอาชาญก็ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ผมยังไม่รู้จุดประสงค์ที่เธอมาเยือนถึงห้องผู้อำนวยการของโรงเรียนในวันนี้

“อ้าว ! นายน้ำ...สงสัยผมคงต้องกำชับคุณครูประจำชั้นเรื่องมือไม้ของเด็กนักเรียนสักหน่อยแล้วล่ะครับ” ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวตำหนิกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ผมจึงยกมือขึ้น พลางโน้มศีรษะลง

“เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะ ดิฉันจะเอาใจใส่เด็กในปกครองให้มากขึ้น” เสียงที่พูดออกตัวของเจ๊เชอรี่นั้น ฟังดูคล้ายกับคนเป็นหวัด

“เรื่องทุนการศึกษาที่ดิฉันบอกเอาไว้ ทั้งหมดขอให้ทางโรงเรียนสรรหาเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน แล้วติดต่อกับคนของดิฉันให้จบเรื่องและเรียบร้อยภายในเดือนนี้...พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ?”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดครับ เท่าที่ทางคุณได้อนุเคราะห์ให้คอมพิวเตอร์มา เราก็ใช้ประโยชน์ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บข้อมูลของนักเรียน สามารถค้นประวัติของเด็กกว่าครึ่งหมื่นได้อย่างรวดเร็ว”

ผู้อำนวยการกล่าวอย่างเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางผม

“แต่ว่า...เด็กคนนี้โดดเด่นในด้านกิจกรรมมาก เฉิดฉายเป็นดาวเสียจนผมไม่ต้องดูข้อมูลของเขาเลยล่ะครับ”

“แต่ถ้าการเรียนเด่นเหมือนกิจกรรม วันนี้ดิฉันก็คงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่”

“ปัดโถ่ !...อย่ากังวลไปเลยครับ เรามีอาจารย์แผนกสอนพิเศษที่เยี่ยมยอด     แหม...อันที่จริง ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกว่า นายคนนี้อยู่ในปกครองของคุณ ผมจะเคี่ยวเข็ญอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างหนัก ไม่ให้ปล่อยปละละเลยตามแต่ใจเด็กแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสมัยนี้ ยิ่งเราปล่อยให้พวกเขาเลือกเส้นทางกันเองก็อาจหลงทางกันได้ง่าย ๆ ...คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ...”

ดูเหมือนลิ้นของใครบางคนจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ อีกสักพักก็คงจะถึงตาตุ่ม

ครั้นแล้ว...

“เห็นทีดิฉันต้องขอตัวลา”

พอสุภาพสตรีลุกขึ้น บุรุษก็ทำท่าจะลุกตามแต่ทว่าเขาจำต้องนั่งลงที่เดิม เมื่ออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นว่า

“เอ่อ...ไม่ต้องส่งให้ยุ่งยากหรอกค่ะ แล้วก็...ดิฉันต้องการคุยกับเด็กในปกครองเป็นการส่วนตัวด้วย”

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้อำนวยการหนุ่มใหญ่จึงพยักพเยิดให้ผมเดินตามหล่อนออกไป



ตรงโถงด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ชุดโต๊ะเก้าอี้หลายตัวว่างเปล่าอยู่ใต้โดมหลังคา เนื่องจากอยู่ในเวลาเรียน ถ้าหากเป็นเวลาพัก บริเวณนี้จะคลาคล่ำไปด้วยเด็กนักเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษา บ้างก็คุยกันเป็นกลุ่มอย่างเฮฮา แต่บางคนก็เสวนากับอาจารย์เพียงลำพังอย่างเงียบ ๆ หากมองไปทางด้านขวา ใกล้ต้นอินทนิล จะเห็นกระดานบอร์ดที่จัดวางเรียงรายโดยกลุ่มอาจารย์แนะแนว ซึ่งมีห้องพักครูซ่อนอยู่ด้านหลัง

ชายในชุดดำสองคนรีบกุลีกุจอจากโต๊ะตัวหนึ่งมาดึงเก้าอี้ให้พ้นขาโต๊ะ      พอเจ๊เชอรี่นั่งลง เขาก็โค้งคำนับ และทำแบบเดียวกันกับอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วก็มองผมอย่างนอบน้อม

ก่อนจะนั่ง ผมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยที่มุมปาก


“ฉันจะไม่บังคับฝืนใจเธอ แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำเป็นความประสงค์ของคุณเพ็ญพักต์ ถ้าเธอมีใจรักอาทั้งสองของเธออย่างแท้จริง ฉันคิดว่าเธอต้องเลือก...”

ผู้หญิงของอาชาญเหล่ตามองจี้หยกของผม ในขณะพูด   เวลาเดียวกันชายชุดดำอีกคนก็ยื่นกระดาษหลากสีมาให้     มันคือตารางเรียนซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจแม้แต่จะมอง

คำพูดบางคำของเจ๊เชอรี่ทำให้ผมเหลือกตาขึ้น อยากจะถามว่าหล่อนรู้จักอาเพ็ญดีแค่ไหนถึงอ้างเป็นตุเป็นตะแบบนั้น      อย่างไรก็ตามผมเลือกที่จะหยิบกระดาษมาจากชายชุดดำซึ่งยังคงโน้มศีรษะคอยท่าอยู่ ก่อนจะตอบกลับฝ่ายนั้นอย่างสุภาพว่า

“ถ้าคิดจะเรียนเพิ่ม ผมคงเรียนตั้งนานแล้วล่ะครับ”

“การเรียนของเธอแย่มากถึงมากที่สุด...”

ทว่า แม่เจ้าประคุณไม่คิดจะถนอมน้ำใจกันบ้างเลย

“เธอเป็นคนฉลาด แต่...โลกใบนี้อาศัยแค่ความฉลาดอย่างเดียวไม่สามารถนำพาตัวเองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาได้หรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนคนนั้นไม่รู้จักการป้อนอาหารให้กับสมองของตัวเอง”
 
เพราะหล่อนเป็นคนพูดจาฉะฉานและตรงประเด็นเช่นนี้นี่เอง อาชาญถึงให้เธอเป็นคนจัดการทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของผม ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องของหล่อน !

“ถ้าอาชาญเป็นคนบอกให้คุณทำ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ดูเหมือนว่าอาชาญจะไม่ได้บอกคุณด้วยกระมัง  เรื่องการเรียนของพวกผมน่ะ...มีคนดูแลแล้ว และเป็นข้อตกลงที่พ่อกับอาเพ็ญสมัครใจที่จะให้คนนอกเข้ามาดูแล... ผมต้องขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ว่าผมกับไอ้แชมป์มีพ่อทูนหัวรับผิดชอบในเรื่องนี้แล้ว”  ผมบอกเธอ ขณะลุกขึ้นยืน

 เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะถัดไปทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเมื่อผมเดินผ่านและยิ้มแห้ง ๆ ให้เธอ ยอมรับอย่างชาชินว่าตัวเองคุ้นเคยกับอาการเหล่านี้ของรุ่นน้องแล้ว ในบางครั้งบางคนส่งเสียงกรี๊ด ลอยแว่วตามหลังมาด้วยซ้ำ

“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า พ่อทูนหัวก็ต้องการเห็นผลการเรียนในทางที่ดีของเธอเหมือนกัน”

เสียงจากด้านหลังทำให้ขาของผมชะงัก

“อาของเธอ...บอกชั้นว่า พ่อทูนหัวยื่นคำขาดมาแล้ว ถ้าหากเทอมหน้านี้ผลการเรียนของเธอไม่ดีขึ้น ทางนั้นจะยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด เธอรู้ใช่ไหมว่า ตัวเองกำลังทำให้แชมป์ซึ่งมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”




ผมเจอไอ้แชมป์ตอนเย็น หลังเลิกเรียนที่หน้าห้องธุรการ ในขณะลงทะเบียนเรียนพิเศษนอกเวลา นอกจากมันจะไม่ว่าอะไรในเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วย

“กูว่าเขาคงรักพ่อมาก ถึงได้ยอมทำทุกอย่าง”

ไอ้แชมป์ให้ความเห็นเพียงแค่นั้น

“แล้วมึงอ่ะ...โอเคไหม ที่มีเค้าเข้ามาในบ้าน”

ผมถามเพราะรู้สึกห่วง ขณะกรอกเอกสารไปด้วย

“มีหรือไม่มีเขา พ่อก็รังเกียจกูเหมือนเดิม” มันถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เมื่อเช้ากูเจอป้าเอิบกำลังจะไปโรงพยาบาล แกบอกว่าเมื่อคืนมึงเฝ้าควายคนเดียว ถ้างั้น...คืนนี้กูไปนอนเป็นเพื่อนนะ”

ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด รู้สึกราวกับว่าความเครียดทั้งหมดถูกคลี่คลายลงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว




คืนนี้ป้าเอิบต้องนอนเป็นเพื่อนป้าอาบ สาเหตุจากลุงแดร็กมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง  เนื่องจากพยาบาลเฝ้าไข้มีน้อย    หมอจึงให้ญาติช่วยกันเช็ดตัวผู้ป่วยบ่อย ๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย       พ่อบอกว่าถ้าลุงแดร็กรอดพ้นคืนนี้ไปได้ อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

เหตุการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้ง ๆ ที่ผมอยากบอกพ่อให้ยกเลิกความคิดเรื่องเฝ้าควายของนายอัดลมเสีย แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะไม่อยากเห็นแม่เสียความรู้สึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าหากได้ยินเรื่องนี้อีกเรื่อง
ขณะเดียวกันความคิดส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าในเมื่อคืนนี้ผมมีไอ้แชมป์เป็นเพื่อนแล้ว นายอัดลมคงไม่กล้าทำอะไร สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องถอยฉากไปเอง

กว่าผมจะเก็บกวาดงานแล้วเสร็จ ผืนฟ้าก็กลายเป็นสีเทาหม่น ดาวดวงน้อยดวงใหญ่เริ่มดารดาษทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ   

ไอ้แชมป์กำลังเดินย้อนมาด้วยความเร็ว ผมสาดไฟใส่มัน เพิ่งจะเห็นไอ้แชมป์ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหกปี จึงเย้ามันว่า

“ไอ้เผือกหายเหรอวะ มึงถึงได้รีบขนาดนั้น”

“แถวนี้ไม่มีขโมยคนไหนที่ไม่รู้จัก ‘อัด เขาสาปยา’ หรอก...กูดีใจยิ่งกว่าเห็นเกรดสี่ ที่รู้ว่ามึงเข้ากันได้ดีกับลูกพี่”

ผมชักรู้สึกไม่ชอบมาพากล ขณะเดียวกันไอ้แขมป์ก็กำลังเดินเลยผมไป


“แล้วนั่น...มึงจะไปไหนวะ ?”

 “กูเห็นด้วยกับลูกพี่...ถ้ามีกูอยู่ด้วย มึงก็ให้ความสำคัญกับกู แทนที่จะเอาเวลาไปช่วยลูกพี่ดูแลต้นทานตะวันให้ออกดอกไวไว”

“........”

“กูคิดว่ากูกลับบ้านดีกว่า”

ไอ้แชมป์พูด แล้วก็เดินจากไป โดยไม่คิดจะมองสีหน้าของผมเลย

 o22


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:56:00 โดย Marakun »

ออฟไลน์ four4

  • รักนี้ชั่วนิรันด์
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ่านแล้วสนุกเพลิดเพลิน ได้บรรยากาศท้องทุ่งจริงๆครับ รอตอนต่อๆไปนะครับ

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :seng2ped:มีความผิดพลาดจากผู้เขียนเอง...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2022 19:37:57 โดย Marakun »

ออฟไลน์ four4

  • รักนี้ชั่วนิรันด์
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตาหวาน จะอดทนกับการยั่วของอิคนพี่ได้แค่ไหนเนี่ย

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2022 19:38:50 โดย Marakun »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด