แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT
บทที่
-9-
ฉันอาจจะแอบรักเธอหน่อย ๆ
บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า...เรามองข้ามความรู้สึกเขาไปตอนไหน
พอรู้ตัวอีกอีกที...เราก็เสียเขาไปแล้ว
ผม...ชอบอชิตะ
แต่เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ก็แค่ชอบเวลาที่เขามาชวนผมคุย ชวนติวหนังสือ แนะนำหนังสนุก ๆ ให้ผมดู ทุกครั้งที่เห็นข้อความเขา ผมไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรอนาน รีบกดตอบทันที ก็แค่นั้นเอ๊ง
ผมว่าเราสนิทกันแล้วนะแต่...
หลังกลับมาจากติววันนั้น ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนเขาพยายามหลบหน้าผม พอเทอมสองมีวิชาเลือกเข้ามา เราก็แทบไม่ได้เจอกันเลย เวลาเดียวที่ผมจะเจอเขาได้คือ ตอนเช้า
วันหยุดไม่ยอมออกมาเจอกัน ส่งข้อความไปก็ถามคำตอบคำ บางประโยคก็อ่านไม่ตอบไปซะดื้อ ๆ หรือผมทำอะไรผิดไป อยากถามตรง ๆ ก็ไม่กล้าพอ มันเหมือนเรากลับไปตอนที่รู้จักกันวันแรกยังไงก็ไม่รู้
คิดแล้วก็เครียด ได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้งนับครั้งไม่ถ้วน
“มึงเป็นอะไร พักนี้ถอนหายใจโคตรบ่อย” นิวว่า
“กูแค่รู้สึกแปลก ๆ”
“...?” นิวเอียงคอมอง ใบหน้ามันมีเครื่องหมายคำถาม
“ช่างมันเถอะ” ผมว่าก่อนจะหยิบดินสอขึ้นวาดรูปต่อ
ผมชอบกลิ่นของห้องศิลปะที่สุด ทุกครั้งที่ได้เข้ามาในห้อง ผมรู้สึกเป็นตัวเองมากกว่าทุกครั้ง วิชาเลือกผมก็เลือกวิชานี้ นิวเองก็พลอยติดสอยห้อยตามผมมา
ไม่รู้ว่ามาเป็นเพื่อน หรือภาระ มีงานวาดรูปทีไรให้ผมช่วยตลอด
“ตอนบ่ายจับคณะสี มึงอยากอยู่สีไหน” ไม่ถึงนาทีมันก็ชวนผมคุยอีกแล้ว
“สีไหนก็ได้” ผมตอบสั้น ๆ
“มึงไม่ถามกูหน่อยเหรอว่าอยากอยู่สีอะไร”
“หึ ไม่อยากรู้”
“ถามหน่อยนา อยากตอบ”
“เออ ๆ อยากอยู่สีไหน” ผมถามแบบขอไปที จะได้เลิกกวน
“อยากอยู่... สีเดียวกับมึง”
“ติงต๊อง...” ผมมองหน้ามัน แล้วส่ายหัวเบา ๆ ให้กับมุขห้าบาทสิบบาท
นอกจากอชิตะแปลกไป นิวก็ยังชอบพูดอะไรแปลก ๆ ไปอีกคน หรือว่าสองคนนี้มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่า
เฮ้อ~
ผมถอนหายใจอีกแล้ว...
คนหนึ่งก็เหมือนจะหลบหน้า อีกคนก็ติดหนึบเป็นตังเม
“น้องมอหนึ่ง กับมอสี่เร็วหน่อยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา” เสียงประธานนักเรียนประกาศเสียงดัง พวกเราก็รีบจัดแถวท่ามกลางแดดอันร้อนแรง กันอย่างเป็นระเบียบ
ขืนยังช้ากว่านี้ ได้โดนแดดเผาไหม้เกรียมแน่
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกสภานักเรียนก็ออกมายืนถือป้ายสีตามจุด ปล่อยให้รุ่นน้องมอหนึ่งเดินทยอยกันไปจับฉลากเลือกคณะสี แล้วแยกออกไปประจำตามสีของตัวเอง
หลังจากความวุ่นวายของรุ่นน้องจบลง เด็กมอสี่ก็เริ่มทยอยเข้าไปจับฉลากบ้าง เริ่มจากห้องคิง
ขนาดจับฉลากยังได้อภิสิทธิ์ก่อนเลย ดีเหลือเกิน!
ผมมองหาอชิตะ มองหาเขาน่ะไม่ยากหรอก เพราะเขาตัวเล็ก มักจะได้ยื่นอยู่หัวแถว มีแวบหนึ่งที่เขาหันมามองผม แล้วก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ
ยิ้มแห้งไปเลย จะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ คิดว่าเราสนิทกันมากซะอีกให้ตายเถอะ
ผมยังคงมองอชิตะจากตรงนี้ เขาพูดคุยกับเพื่อนในห้องด้วยท่าทีสบาย ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ ผิดกับตอนที่คุยกับผม เขาทำหน้าอย่างกับคนอมทุกข์ แล้วไอ้ยิ้มแบบนั้นคืออะไร ผมคิดว่านั้นควรเป็นของผมมากกว่า
ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เขาดูมีความสุข ในขณะที่ผมกำลังคิดมากอยู่ฝ่ายเดียว
“น้องทับสามยืนขึ้นค่ะ” นิวสะกิดให้ผมลุก ผมก็ลุก
ในกล่องมีกระดาษที่ม้วนอยู่ในนั้นจำนวนมาก ผมล้วงเข้าไปแล้วหยิบออกมาจากกล่องอย่างไม่คิดอะไร
ค่อย ๆ คลี่กระดาษออกมา ‘อินทนิล’ (สีม่วง) ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก สีไหนก็สีนั่นแหละ
“มึงสีอะไร” นิวว่า
“ม่วง มึงอะ?” ผมถามกลับ
“ปาริชาต สีแดงวะ” นิวว่าอย่างเซ็ง ๆ “ตอนมอหนึ่งจนถึงมอสามกูก็ได้สีนี้ อยากได้สีอื่นบ้าง”
“เอานามึง”
“นิวไม่ยอม นิวจะอยู่กับสกาย” ว่าจบมันก็เดินสะบัดก้น หายเข้าไปในกลุ่มเพื่อน
ไม่นานมันก็เดินกลับมาพร้อมกระดาษในมือ เขียนว่า ‘อินทนิล’ ยอมในความพยายามของมันจริง ๆ
“สีม่วงจ้าาา” ผมฉีกยิ้มพยักหน้าให้มัน
เราพากันเดินไปลงชื่อว่าตัวเองอยู่สีไหน เด็กมอสี่ต้องลงแข่งกีฬาคนละอย่าง ผมเลือกบาสเกตบอล เพราะเป็นกีฬาเดียวที่ผมถนัด หลังจากเขียนเสร็จ นิวก็ลากผมมาหาอชิตะ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เหมือนจะพูดน้อยลงทันที
“อชิอยู่สีไหน” นิวว่า
“ปาริชาต นิวล่ะ”
“อินทนิล มึงมาอยู่กับพวกกูปะ เดี๋ยวกูไปหาเปลี่ยนกับคนอื่นให้” ตอนที่นิวพูดว่าจะเปลี่ยนให้ เขาก็หันมามองผม นัยน์ตาเขาว่างเปล่า
“ไม่เป็นไร สีเดิมก็ดี จะได้ไม่ต้องสั่งเสื้อใหม่”
“เออ ๆ ตามใจ มึงลงกีฬาปะ” นิวถามต่อ
“ไม่วะ”
“ดีเลย มาเชียร์พวกกูด้วยนะ พวกกูลงบาสฯ” นิวว่าพลางกอดคอผมเอาไว้จนแน่น
“อืม งั้นกูขอตัวก่อนนะ เพื่อนกูเรียกแล้ว” ว่าจบ เขาก็ค่อย ๆ เดินห่างผมออกไป
ผมมีเรื่องที่อยากคุยกับเขาเยอะแยะไปหมด แต่พอเจอหน้าผมกลับพูดอะไรไม่ออก ผมยังยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น จนเขาหายไปจากสายตา แล้วจึงเดินออกมาจากตรงนั้น
ทำไมมันถึงได้รู้สึกโหวง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่มองเขาเดินห่างออกไป มันเหมือนเขาอยู่ใกล้ แต่ผมคว้าเอาไว้ไม่ได้ เขาเหมือนกับดาวไม่มีผิด สวยงามแต่ไม่ได้มีไว้ครอบครอง
ความรู้สึกทั้งหน่วง ทั้งหวิว ๆ นี้ มันคืออะไรกัน...
ตั้งแต่วันที่นิวมาหาผมที่บ้านวันนั้น ผมก็ไม่อยากทำอะไร นอกจากนอนโง่ ๆ ดาวที่พับได้ก้นโหลก็ถูกยกมาเก็บไว้บนหัวนอน ในทุก ๆ คืนผมจะมองมันแล้วหลับไป
ผมตัดสินใจทิ้งห่างกับสกายเพื่อรักษาความรู้สึกตัวเอง คิดว่ามันจะดีขึ้นแต่เปล่าเลย มันยิ่งตอกย้ำว่าผมชอบเขามากแค่ไหน
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเทดาวในโหลทิ้ง แล้วเริ่มต้นพับดาวใหม่ จากที่มันเคยเป็นความตั้งใจเพื่อมอบให้ในโอกาสพิเศษ ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนเป็นตามจำนวนวันที่ผมจะชอบสกาย สักวันผมคงจะหยุดพับมัน หรือไม่ก็เต็มโหลจนไม่พอใส่
“อินทนิล มึงมาอยู่กับพวกกูปะ เดี๋ยวกูไปหาเปลี่ยนกับคนอื่นให้” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบตกลงไปแล้ว แต่พอหันไปเห็นสกาย ผมก็ตัดสินใจได้ทันที
หากผมยังปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองอยู่เหนือทุกอย่าง ผมคงไม่มีทางตัดใจจากสกายได้แน่ ๆ
“ไม่เป็นไร สีเดิมก็ดี จะได้ไม่ต้องสั่งเสื้อใหม่” ผมว่า
“เออ ๆ ตามใจ มึงลงกีฬาปะ”
“ไม่วะ”
“ดีเลย มาเชียร์พวกกูด้วยนะ พวกกูลงบาสฯ”
“อืม งั้นกูขอตัวก่อนนะ เพื่อนกูเรียกแล้ว” ผมบอกลา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา บรรยากาศมันค่อนข้างอึดอัด
ผมไม่รู้ว่านิวกับสกายไปถึงไหนกันแล้ว เขาถึงได้สนิทกันมากกว่าเมื่อก่อน
เจ็บวะ...
ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเรียน จริง ๆ ไม่ได้มีเพื่อนคนไหนเรียกผมหรอก ผมแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเดินออกมา
อีกสักพักสกายก็คงจะเดินผ่านห้องผม เพื่อขึ้นไปเรียน ทุกวันจันทร์ผมจะเห็นเขา จากตึกตรงข้ามชั้นสอง
มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้ มองเขาอยู่ห่าง ๆ ผมสะบัดความคิดฟุ้งซ่าน แล้วพาตัวเองมาเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า ล้างตา
บริเวณห้องน้ำเงียบมาก อาจจะเป็นเพราะทุกคนออกไปทำกิจกรรมที่ลานหน้าเสาธงหมด
ผมเดินตรงมายังอ่างล้างมือ บิดหมุนก๊อกเพื่อเปิดน้ำ มือวักเอาน้ำเย็นกระทบกับผิวหน้า ผมมองตัวเองผ่านกระจก ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดน้ำที่เกาะผิว
แกร๊ก!
เสียงคนออกจากห้องน้ำห้องสุดท้าย ผมไม่ได้หันไปสนใจ แต่ทว่าเสียงฝีเท้าขยับมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงตรง
เป็นสกายนั่นเอง...
ผมมองเขาผ่านกระจก เขาเองก็มองผมเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างไม่มีใครยอมพูดอะไรจนกระทั่งผมหมุนตัวเดินออกมาได้ไม่ไกล
“อชิ” เท้าที่กำลังสาวอยู่ก็พลันหยุดชะงักทันที ที่จริงผมควรจะเดินต่อ
“...” ผมไม่ตอบ แต่ก็หันกลับไปมองคนตัวสูง เขาก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวผม
“เราเอามาคืน” ว่าจบเขาก็หยิบสมุดจดที่ผมเคยให้เขาออกมาจากกระเป๋าผ้า
“เราให้สกาย”
“เราจดไว้แล้ว อชิเอาคืนไปเถอะ”
“...” ผมยื่นมือไปรับสมุดจด แล้วหมุนตัวเดินออกมา
“เดี๋ยวสิ” เป็นอีกครั้งที่ผมหยุดเดินตามเสียงเรียกของสกาย แต่หนนี้เขาไม่เดินเข้าหาผม ผมเองก็ไม่ได้หันกลับไป “เราไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ เราถึงได้ดูห่างเหินกันขนาดนี้ อชิโกรธอะไรเราหรือเปล่า”
“...”
“เราคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วซะอีก ทำไมเราถึงไม่คุยกันตรง ๆ”
เพื่อน...
นั้นคงเป็นสถานะที่เขาให้ผมได้สินะ ผมเองก็ไม่ควรโกรธเขาด้วยซ้ำ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ ๆ ผมมันแย่ที่สุด
“เราไม่ได้โกรธสกายหรอก ช่วงนี้ห้องเราเตรียมงานวิชาการน่ะ”
ถ้าเขามองว่าผมเป็นเพื่อน ผมก็ควรมองว่าเขาเป็นเพื่อนเหมือนกัน
“จริง ๆ ใช่ไหม อชิแค่ยุ่ง เราไม่ได้คิดไปเองว่าอชิพยายามหลบหน้าเรา”
“อืม...” ผมตอบเพียงสั้น ๆ
“งั้นอชิสัญญานะ ว่าจะมาเชียร์เราแข่งบาสฯ”
“ได้สิ”
“สัญญากับเรา...”
“สัญญา”
[เดี่ยว Ninew]ช่วงนี้เราสามคนไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ปกติอชิตะจะมาที่บ้านผมในช่วงวันหยุด ตกเย็นเราจะรวมตัวกันอยู่ร้านคอม ดึกหน่อยก็หาอะไรกินกัน แต่เดี๋ยวนี้พอจะชวนไปไหนมันก็อ้างโน่นอ้างนี่ตลอด แต่ก็ดีแหละ ผมจะได้ไปกับสกายสองต่อสอง
เทอมหนึ่งผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเล คะแนนสอบกลางภาคของผมกับสกายไม่ต่างกันเท่าไหร่ มอห้าเราทั้งคู่ก็คงจะอยู่ห้องสามตามเดิม ก่อนสอบสกายยังอยู่ห้องศิลป์อยู่เลย เพิ่งรู้ว่าสกายวาดรูปสวยมาก ส่วนผมก็ตามเฝ้ามันทุกวัน บางวันก็ไปรับไปส่ง
มันจะรู้หรือเปล่าว่าผมกำลังตามจีบอยู่ เหนื่อยแล้วนะเว้ย รู้ตัวสักทีสิวะ
แต่นี้ก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด งานกีฬาสี ไม่มีเรียน มีแต่เล่น...
ก่อนลงแข่งสามสัปดาห์ ผมตัดสินใจถอนตัวออกจากการแข่งบาสฯ ผมไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ หรือฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่...
อยากดูแล โมเมนต์แบบซีรีส์งี้
ผมสืบเท้าไปหาสกายที่นั่งรอลงสนามทันที เขากำลังชะเง้อหน้ามองไปรอบสนาม เขาอาจจะมองหาผมอยู่ก็ได้ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ยังชะเง้อคอหาต่อ ผมลองมองตามสายตาของสกาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร
“สกาย...” ผมเรียก
“อ้าว มึงมาตอนไหนเนี่ย”
“ถ้ากูเป็นงู กูคงฉกมึงตาย” ผมว่าพลางหัวเราะเบา ๆ “มึงเถอะมองหาอะไร”
“อชิ... ทางนี้” ยังไม่ทันได้คำตอบสกายก็ตะโกน โบกไม้โบกมือเรียกไหว ๆ
ผมไม่เข้าใจสองคนนี้เท่าไหร่ ก่อนหน้าเหมือนพวกเขาทะเลาะอะไรกัน สกายก็เอาแต่ถอนหายใจ บางวันก็เหม่อ พอเจอหน้าอชิตะก็ก้มหน้าก้มตา
ส่วนอชิตะก็หายหน้าหายตา เหมือนกำลังหลบหน้าสกายอย่างนั้นแหละ ถ้าอชิตะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องชอบสกายกับผมวันนั้น ผมคงคิดว่าสองคนนี้คบกัน แล้วกำลังทะเลาะกันอยู่แน่ ๆ
แต่มาวันนี้แค่อชิตะโผล่มา สกายกลับกระดี๊กระด๊า ยิ้มจนปากฉีกตาหยี มันเป็นยิ้มที่ผมไม่เคยได้จากเขาเลย
ตอนที่ผมเดินมาก่อน เขายังไม่ดีใจขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ เห็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ น้อยใจว่ะ...
“สู้ ๆ นะ” อชิตะว่า
“นึกว่าจะอชิจะไม่มาซะแล้ว”
“ก็สัญญาแล้วนี่” อชิตะฉีกยิ้มกว้าง คนฟังเองก็ยิ้มจนตาหยี ทำไมผมถึงได้รู้สึกแปลก ๆ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้ แล้วสองคนนี้ไปสัญญาอะไรกันตอนไหน
ไม่นานครูก็เรียกนักกีฬาลงสนาม ผมกับอชิตะเดินมาอีกฝั่ง ในขณะที่ผมเอาแต่เงียบคิดอะไรไปเรื่อย เขาก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน
“ไหนว่าลงแข่งกับสกาย” ผมหันกลับไปมองคนถาม แววตาที่เขาใช้มองผม มันต่างจากตอนที่คุยกับสกาย ตอนนี้มันว่างเปล่าเหมือนที่เคย
หรือผมจะคิดไปเอง...
“เปลี่ยนใจ” ผมตอบสั้น ๆ
“ทำไมล่ะ ตั้งใจมาเชียร์มึงเลยนะ”
“เหรอ...” ผมเงียบไปประมาณสองวิได้ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้ากูลงแข่ง แล้วใครจะคอยดูแลสกายล่ะ เกิดล้มขึ้นมา กูอยากถึงตัวเขาเป็นคนแรก” อชิตะเสหน้าออกจากวงสนทนาทันที ผมไม่เข้าใจภาษากายของเขาเท่าไหร่ เพราะปกติอชิตะก็นิ่งแบบนี้
“พวกมึงคบกันแล้วเหรอ” อชิตะว่า
“ยัง...แต่กูว่าจะบอกชอบสกายหลังงานกีฬาสี”
“อืม...ขอให้สมหวังนะมึง” ผมไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแค่พยัก แล้วหันมาสนใจการแข่งขันในสนามต่อ
ผมยื่นตะโกนเชียร์สกายจนเจ็บคอไปหมด ตอนสกายเล่นบาสฯ แม่งโคตรเท่เลยครับ จังหวะที่เขาชู้ตสามแต้มผมนี่กรี๊ดสาวแตกไปเลย
เสียงของครูที่ปรึกษาเดินมาขอแรงให้ช่วยยกของ ความผมก็ก้มหน้าก้มตา แต่ก็ไม่พ้นโดนครูใช้ “อชิกูฝากของหน่อยนะ เดี๋ยวมา” ว่าจบผมก็เอาน้ำเปล่ากับ ขวดเกลือแร่ยัดใส่มือ ก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่าอชิตะไว้
ของทั้งหมดนี้ผมเตรียมเอาไว้ให้สกายเป็นพิเศษ หวังว่าเขาจะมองเห็นความใส่ใจของผม แล้วเลิกเรียกผมว่าเพื่อนสักที
“ธนากรเร็ว ๆ ครูรอเธออยู่นะ” เสียงครูเร่ง ผมก็รีบผละออกมาทันที
ของจากหลังรถครูเยอะมาก เป็นพวกพวกขนมที่ใช้แจกแต่ละคณะสี ขนมที่เห็นแล้วชวนขนลุก เพราะไม่ว่าปีไหนผมก็เจอมัน ขาไก่ กับขนมปี๊บไส้สับปะรด
WTF!
มันไม่มีขนมที่ดีกว่านี้แล้วใช่ไหม
ผมสะบัดความคิดของตัวเอง แล้วรีบขนทุกอย่างเข้าห้องพักครูอย่างไวว่อง ต้องรีบกลับไปที่สนามแข่ง ไม่รู้ว่าสกายจะพักครึ่งแรกไปแล้วหรือยัง
ยกขนมปี๊บอันสุดท้ายเสร็จ ผมก็ขอตัว แต่ทว่ายังโดนใช้ให้เอาเอกสารไปวางที่โต๊ะครูห้องเคมี ผมหยิบเอาซองเอกสาร วิ่งสี่คูณร้อย แล้วรีบวิ่งกลับออกมา
ผมพาตัวเองกลับมาด้วยความเร็วเทียบเท่าเดอะแฟลช จริง ๆ ผมควรลงกีฬาวิ่งมากกว่าบาสฯ ที่หนึ่งคงไม่ไกลเกินเอื้อม
แต่ผมไม่ได้ต้องการเป็นที่หนึ่งด้านกีฬา ผมอยากเป็นที่หนึ่งของสกาย เหี้ยเขินวะ นี้แค่คิดนะ ถ้าเป็นจริงจะขนาดไหน แอร๊ยยย >///<
ยังไม่ทันถึงสนาม ภาพฝันที่วาดเอาไว้ก็พลันดับวูบ เหมือนโลกนี้ไม่เคยมีดวงอาทิตย์มาก่อน มันเหมือนทุกอย่างรอบตัวไร้เสียง เหมือนทั้งโลกมีแค่ผมคนเดียวที่ยื่นอยู่ตรงนี้
มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าสกายได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า อชิตะก็แค่เข้ามาดู ค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกอย่างเบามือ แล้วใช้ยาทาก่อนจะเอาผ้ายืดพันเอาไว้ มันไม่ได้มีอะไรเลย มันก็แค่การปฐมพยาบาลธรรมดา แต่เขากำลังทำหน้าที่ที่ผมอยากทำ
สกายจ้องอชิตะอย่างไม่ละสายตา มันชัดเจนจริง ๆ มันชัดมานานแล้ว แต่ผมแค่หลอกตัวเอง หวังว่าสักวันเขาจะเห็นผมในสายตาบ้าง แต่พอเห็นภาพนี้กับตา ผมก็รู้สึกได้ทันที คนที่ถึงตัวสกายก่อน มันไม่เคยเป็นผม ที่ตรงนั้นไม่ใช่ของผมมาตลอด...
เท้าเริ่มก้าวถอยหลังออกมาช้า ๆ ถอยมาพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ไม่ดงไม่ดูแม่งแล้ว งานกีฬาสีอะไรวะ ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิด
ผมเดินไปยังโรงจอดรถ แล้วถอยลูกชายขับออกมานอกโรงเรียน ผมอ้างกับยามว่าจะออกไปซื้อของให้ในงาน โชคดีที่กีฬาสีจึงไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตอะไรมากมาย
รถมอเตอร์ไซค์จอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านในเวลาต่อมา เท้าสาวเข้าบ้านโดยไม่ทันสังเกตว่าไอ้นีโอพี่ชายผมนั่งอยู่
กระเป๋านักเรียนถูกโยนไว้บนโซฟาอย่างลวก ๆ
“เฮ้ย ๆ หน้ากู” ผมไม่ตอบพี่ชาย เดินดุ่ม ๆ ขึ้นมาบนห้องของตัวเองทันที
ปัง!
ผมปิดประตูเสียงดัง ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนนุ่ม หยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับเสียบหูฟัง ตามแบบฉบับของคนอกหัก
มือก็เลื่อนหาเพลงในยูทูบ เลือกเพลงที่เศร้าที่สุด นาทีนี้ต้องเพลง *ฝุ่น - Big Ass เท่านั้น
*คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
โฮลลลลลลลลลลลลลล! TT^TT
แค่เสียงของพี่แด๊กขึ้นมาน้ำตาก็ไหลพรากเป็นน้ำป่าไหลหลาก
อะไรที่หวังก็พังไปตั้งนานแล้ว
ไอ้เหี้ยท่อนนี้ก็โดน!
ผมยังคงแหกปากร้องไห้ฟูมฟายเป็นเด็กถูกแย่งลูกโป่ง
จนกระทั่ง...
“จุม...” จุมไหนวะ “เนื้อคู่ของจุม จะมีรอยรูปตะขาบที่ต้นแขน”
เหี้ย! อีจุมมึงมาทำอะไรตอนนี้ คนกำลังดราม่า ความรู้สึกกูมันพักชมโฆษณาไม่ได้นะเว้ยยยย!!!!!!!!!!
ผมนั่งรอจนกระทั่งโฆษณาจบ เพลงก็ดังต่อ จากนั่นผมก็นอนร้องไห้ สลับกับดูโฆษณา คนจะเศร้ายูทูบก็ยังไม่เป็นใจ ค่อยดูเถอะมึง กูจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ กูจะส่งอีเมลไปร้องเรียนให้ยูทูบมีระบบแบบวีไอพี แบบไม่มีอะไรมากั้น
แกร๊ก!
"นิวกูขอเข้าไปนะ"
ฟายเผือก พี่ชายขึ้นมา ผมก็รีบปาดน้ำตาที่อยู่บนหน้าแล้วนั่งฮึบน้ำตาเอาไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าผมเสียใจ ถึงแม้ตาจะปูดเป็นไข่ห่านก็ตาม
“นิวมึงเป็นอะไร”
“กะ...กูเปล่า”
“อย่ามาตอแหล ไอ้เหี้ยแหกปากร้องลั่นบ้าน”
“กูร้องดังเหรอ?” นี่ผมไม่รู้เลยนะ
“ไอ้สัดใส่หูฟังจะไปรู้เหี้ยอะไร กูก็นึกว่าใครมาเชือดควายแถวนี้”
“...” จุกไปเลยไอ้เหี้ย แต่กูยอมมึงวันหนึ่งละกัน ก็เศร้าอยู่ไม่อยากเถียง
นีโอทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน มองหน้าผมอยู่สักพักก็เริ่มถามต่อ “กูถามว่ามึงเป็นอะไร” หนนี้มันถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
มีใครเป็นแบบผมบ้างไหม ตอนที่หยุดร้องไห้ได้แล้ว เพียงแค่ถูกสะกิดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม บ่อน้ำตาที่แห้งเหือดก็ทะลักออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ผมไม่ฮึบ ไม่กั้นปล่อยเขื่อนแตกต่อหน้าพี่ชายอย่างไม่รู้จักอาย
“แง้~ ไอ้เหี้ยโออออ...” ร้องไห้ไม่พอ ผมโผเข้ากอดพี่ชายตัวเองแน่น
“อืมมม กูชื่อนีโอ”
“นีโอออ ฮือออออออ กู โฮลลลลลลล เศร้า งื้ออออ มึง ฮึกกก”
“กูว่ามึงร้องให้พอแล้วค่อยพูด กูฟังไม่รู้เรื่อง”
ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นสิบนาที พอเริ่มฮึบได้ ผมก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟัง สีหน้าของมันนิ่งเรียบ ถอนหายใจทิ้งไปสองที ตามด้วยการกลอกตามองบน แล้วหันมามองผม
“นิวมึงฟังกูนะ”
“...”
“ความรักมีอยู่สองอย่าง” มันว่าพลางชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมา “อย่างแรกสมหวัง” แล้วมันก็เอานิ้วชี้ลง
เอ๊ะ! ทำไมพอเหลือแต่นิ้วกลางที่ชูอยู่ รู้สึกเหมือนโดนด่าวะ
“อย่างที่สองคือผิดหวัง”
“แต่กูผิดหวังไง กูเสียใจ”
“ผิดหวังแล้วไงวะ ความรักไม่จำเป็นต้องครอบครองอย่างเดียวหรือเปล่า”
“...”
“การที่ได้เห็นเขามีความสุข มึงเองก็จะมีความสุขไปด้วย”
“ยังไงกูไม่เข้าใจ มองคนที่ชอบไปรักคนอื่น กูจะมีความสุขได้ไง” ผมไม่เข้าใจที่พี่ชายผมจะสื่อเท่าไหร่
“มึงเชื่อกู แล้วลองดู มึงจะมีความสุขแบบไม่รู้ตัว แถมมึงจะไม่เสียเพื่อนดี ๆ ไปด้วย”
“มึงเคยอกหักไหม” ผมถามกลับ ดูมันช่ำชองจัง
“คนหล่อ ๆ แบบกู ทำไมต้องเคยอกหักวะ”
“กูจะอ้วก”
Rrrr…
ยังไม่ทันได้ด่ามันต่อ มือถือก็สว่างวาบในห้อง ผมไม่รู้เลยว่ากี่โมงกี่ยาม มัวแต่ร้องไห้จนตาปูดตาบวม
แต่พอเห็นเบอร์ที่โทรมาหางผมก็ส่ายดิก ๆ ลืมเรื่องเศร้าเมื่อหลายชั่วโมงไปเลย
“นีโอมึงออกไป ไป เพื่อนกูโทรมา”
“หมดประโยชน์ก็ไล่กูเลยไอ้ห่า” ว่าจบมันก็เดินออกจากห้องไป
เสียงประตูถูกปิดลง ผมก็รีบกดรับสายสกายทันที
“ว่าไง”
[มึงหายไปไหน]
“กูปวดหัวเลยกลับก่อน”
[อ๋อ...]
“ว่าแต่มึงมีอะไร”
[คืองี้...] เสียงของสกายกุกกักเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดต่อ [มึงมีเสื้อคณะสีแดงช่ะ]
“อืม...”
[วันแข่งสแตนเชียร์เอามาด้วยดิ]
“เอาไปทำอะไรอ่ะ”
[กูอยากไปนั่งกับอชิ...]
“...” หัวใจผมหล่นวูบ ไม่อยากฟังสิ่งที่สกายกำลังจะพูดต่อ แต่นั่นคือความจริงที่ผมยอมรับให้ได้
[กูว่า...กูชอบอชิ มึงช่วยกูนะ]
"โอเค กูจะช่วยมึงเอง"
มันอาจจะจริงอย่างที่พี่ชายผมบอกก็ได้ ความรักมันก็มีแค่สมหวังกับผิดหวัง ส่วนผมก็คงเป็นอย่างหลัง แต่อย่างน้อยผมก็ยังอยากเห็นเขามีความสุข ได้อยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าจะสถานะอะไรก็ตาม...
[จบเดียว Ninew]
#แฟนwithbenefits
ตอนนี้ ยกให้นิวเขาแหละ ไม่รู้จะขำหรือสงสารก่อนดี
༼ಢ_ಢ༽
*ชื่อตอน เพลง อยากเป็นคนสำคัญของเธอ OST. I Wanna Be Sup'tar วันหนึ่งจะเป็นซุปตาร์
-กำลังทยอยแก้คำผิด-