บริษัทหมาชน CHANBAEK {OMEGAVERSE} ตอนที่19มันกำลังจะเริ่ม3/07/64
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บริษัทหมาชน CHANBAEK {OMEGAVERSE} ตอนที่19มันกำลังจะเริ่ม3/07/64  (อ่าน 2498 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ekkanek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ปาณัสม์’ s part



พวกเราใช้เวลาหมดไปกับการท่องเที่ยวตามสถานที่ที่ผู้คนส่วนมากแนะนำว่าต้องไปและห้ามพลาดโอกาสเด็ดขาด ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศช่วงกลางคืนหรือกลางวันทุกอย่างดูสัมผัสได้ถึงความรักสมชื่อ วันสุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน คุณรัชชานนท์ชวนผมมาเดินย่านการค้า

“คนเยอะมากเลย” ผมย่นจมูกเมื่อได้กลิ่นมากมายหลายแบบลอยฟุ้งตัวอยู่ในอากาศ อาการตื่นสถานที่กำลังเข้าเล่นงาน ผมรีบเคลื่อนย้ายตัวเองไปหลบอยู่ทางด้านหลังร่างของคุณรัชชานนท์ในทันที “คุณเดินนำเลย”

ผมว่าพลางออกแรงดึงรั้งชายเสื้อของเขา คุณรัชชานนท์ดูประหลาดใจกับพฤติกรรมของผมอยู่ไม่น้อย ผมรู้ว่ามันคงเป็นเรื่องน่าตลกขบขัน แต่มันควบคุมความรู้สึกตื่นสถานที่และหวาดระแวงไม่ได้เลย อีกอย่างผมลืมหยิบปลอกคอมาด้วย ตอนนี้ผิวสัมผัสบริเวณลำคอจึงรู้สึกราวกับโดนของร้อนลวก มันร้อนจนแสบ ร้อนเสียจนผมรู้สึกงุ่นง่านกับความรู้สึกไม่ปลอดภัยของตัวเอง

“คุณกลัวเหรอครับ” ร่างสูงหมุนกายกลับมาจ้องมองกัน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ผมพยักหน้าให้เขาอย่างขลาดอาย “งั้น... เอาอันนี้ไปใส่กลบกลิ่นอื่นดีไหมครับ”

ผมมองร่างสูงที่ถอดเสื้อนอกของเขาออก เพื่อที่จะนำมาคลุมทับร่างของผมไว้ เมื่อมันอยู่บนตัว มือทั้งสองข้างรีบรวบเนื้อผ้าที่ใหญ่เกินตัวเข้ามาห่อตัวเสียมิด ผมยืนหลุบสายตาหนีคนรักที่ยืนมองศึกษาพฤติกรรมแปลก ๆ ของผม มันน่าอายจะตายไป ผมก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วที่จะต้องมาคิดมากเรื่องการเจอผู้คนมากหน้าหลายตา แต่มันควบคุมไม่ได้ ที่ควบคุมไม่ได้อาจจะเพราะมันแปลกตาจนเกินไป

“น่ารักจัง” ผมได้ยินน้ำเสียงขบขันของคุณรัชชานนท์ ฝ่ามือหนายกขึ้นมาวางแหมะอยู่บนศีรษะของผม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเขาเริ่มทำหน้าที่ในการเยียวยา ผมสูดดมมันเพื่อหาที่พึ่ง “ใส่อันนี้ด้วย”



ยังไม่พอ...



คุณรัชชานนท์ถอดผ้าพันคอของเขา



และมอบมันให้กับผม



ยามที่ร่างสูงตั้งใจพันผ้าพันคอไปรอบ ๆ ผมแอบเหลือบมองใบหน้าจริงจังของเขาอย่างเงียบ ๆ ท่อนแขนที่คอยกอด ไหนจะฝ่ามือใหญ่โตที่ค่อยกอบกุมมือกันไว้นั่นอีก ทุกอย่างส่งคลื่นความอบอุ่นมาถึงตัวของผมราวกับมีเครื่องทำความร้อนประจำตัว ผมไม่รู้สึกถึงความหนาวแล้ว เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ ผมมีคุณรัชชานนท์เป็นต้นกำเนิดพลังงานความร้อน ไม่ว่าจะโดนแตะสัมผัสส่วนไหนของร่างกาย มันจะร้อนและอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“คุณดีขึ้นหรือยังครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังเอ่ยถามผม เขาคงเห็นว่าผมยืนซุกหน้าลงกับผ้าพันคอนานเกินไป

“ด...ดีขึ้นแล้วครับ” ผมพูดพลางยื่นมือออกไปจับเข้าที่ฝ่ามืออุ่น ๆ นั้น

เราสองคนเดินจับมือท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนทางกันไป ผมได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกจากผู้คนรอบกายผ่านกลิ่นอบอวลไปด้วยคลื่นความหอมหวานราวกับเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ มันเป็นกลิ่นที่เจือไปด้วยความรัก รักที่เกิดมาจากผู้คนเหล่านั้น ผมอมยิ้มให้กับบรรยากาศแสนหวาน จดจำร้านค้ามากมายในระหว่างทาง

ผมชี้ชวนให้คุณรัชชานนท์หยุดยืนดูสิ่งต่าง ๆ มากมายด้วยกัน บางอย่างก็เหมือนกับในหน้าหนังสือที่ผมอ่าน บางอย่างก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน การมาเยือนดินแดนห่างไกลคราวนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกใหม่ คนรักของผมก็เก่งไม่มีแผ่ว คุณรัชชานนท์มีความรู้รอบตัวอยู่สูง ผมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเมื่อเขาอาสาเล่าถึงความเป็นมาของสิ่งต่าง ๆ ให้ผมฟัง บางเรื่องเป็นตำนาน บางเรื่องเป็นความเชื่อ ทุก ๆ สถานที่มีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น

“หิวแล้ว” ผมพูดบ่นออกมาเมื่อรู้สึกว่าท้องของผมกำลังเรียกหาของกิน

“เดินไปข้างหน้า ตรงนั้นที่คนเยอะ ๆ น่าจะมีอะไรให้คุณเลือกดูเยอะเลยครับ” คุณรัชชานนท์พาผมเดินไปยังเส้นทางที่พูดถึง

เราสองคนพาตัวเองมาปะปนไปกับฝูงชนที่เดินแทบจะชนไหล่ คุณรัชชานนท์กุมมือของผมไว้แน่น แต่ด้วยความที่ผมตัวเล็กกว่า และมีช่วงขาที่สั้นทำให้ถูกดันไปทางด้านหลังของคู่ชีวิต ผมพยายามก้าวเท้าเดินเร็วเพื่อตามให้ทัน ผู้คนรอบข้างต่างตัวโตกันทั้งนั้น คนตัวเล็กแบบผมรู้สึกหนักใจหน่อย ๆ เวลาถูกเบียดจนตัวกลืนหายไปกับผู้คนบนท้องถนน



จังหวะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าท่อนแขนแข็งแรงของสามี กระเป๋าเงินของคุณรัชชานนท์ที่ถูกเหน็บไว้ตรงหน้าผมหายไปราวกับภาพตัด มันรวดเร็วและเป็นไปด้วยฝีมือของจอมโจร คลื่นโทสะเดือดปะทุเป็นไปตามสัญชาตญาณ ผมสะบัดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจากการกุมจับ หมุนกายวิ่งตามชายชุดดำที่วิ่งชนผู้คนข้างหน้าไปอย่างไม่แยแสอะไร ผมวิ่งตามไป ไม่สนใจเสียงเรียกของสามีที่ตะโกนถามว่าจะวิ่งไปไหน

ผมตะโกนด่าร่างสูงที่วิ่งหนีไปพร้อมกับกระเป๋า เร่งฝีเท้า ขับส่งแรงไปตามสัญชาตญาณนักล่าเข้าช่วย ไม่สนใจความหิว หรืออาจจะเป็นเพราะหิวกันแน่ ที่ผลักดันให้ทุกอย่างปะทุเดือดดาลเตรียมเข้าฉีกกระชากคนนิสัยไม่ดี พอเห็นว่ามีคนขโมยเงินไปถึงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น













ใจของผมราวกับหลุดหายไปกับแรงสะบัด หมุนกายหมายคว้าเข้าที่ท่อนแขนกลมของคนรักที่จู่ ๆ ก็หลุดจากมือ ผมจ้องมองร่างเล็กที่วิ่งสุดแรงไปทิ้งให้ผมยืนมึนงงท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมตะโกนเรียกชื่อคนรักพร้อมกับออกตัววิ่งตามร่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสในความเป็นจ่าฝูงเริ่มทำงาน ผมตามกลิ่นหอมหวาน ทุกอย่างเด่นชัดเพราะคลื่นความหอมที่ถูกปลดปล่อยออกมาเต็มไปด้วยความโกรธเข้มข้น ถึงจะไม่เข้าใจว่าปาณัสม์วิ่งไปไหน แต่การพรากจากกันในเมืองต่างถิ่นเช่นนี้ไม่น่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นย่านท่องเที่ยวผู้คนแปลกหน้าแปลกตามองไม่ออกว่าใครเป็นชนชั้นไหนด้วยแล้ว ผมเป็นห่วงคนรักจนแทบคลั่ง

เห็นตัวเล็กดูแรงน้อยแต่ฝีเท้ากลับรวดเร็วราวกับนักกีฬาทีมชาติ ผมหยุดยืนอยู่ตรงทางแยก ด้านขวามือเป็นตรอกคับแคบ กวาดสายตามองหาเผื่อจะเจอคนรักที่ไม่รู้ว่าตอนนี้วิ่งไปไหนต่อไหนแล้ว กลิ่นหอมประจำตัวเริ่มเจือจางลง รู้สึกตามไม่ทันเพราะทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว แวะถามตามร้านค้าและผู้คนบริเวณนั้นด้วยภาษาฝรั่งเศส ว่าเห็นคนในรูปถ่ายบ้างไหม ความร้อนใจเล่นงานผมจนอยู่ไม่ติดที่ ต้องหาให้เจอ ปาณัสม์หายไปไหน โทรไปก็ไม่รับสาย ไม่มีอะไรตอบกลับมาหาผมเลย

ผมพยายามจดจำกลิ่น วิ่งย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม คลำทางไปเรื่อย ๆ ตามกลิ่นหอมไปจนเดินทะลุทางลัดหนึ่งออกมายังถนนสายหนึ่ง

“เอาคืนมา!!”

ผมหันไปตามเสียงตะคอก เบิกตากว้างกับสิ่งที่พบเห็น

“ปาณัสม์...” ผมเตรียมตะโกนเรียกชื่อคนรัก แต่เสียงทั้งหมดกลับกลืนหายไปในลำคอ เมื่อผมเห็นสองมือเล็กนั้นพุ่งตรงเข้ากระชากคอเสื้อชายคนหนึ่ง ท่อนแขนเล็กเตรียมวาดหมัดใส่หน้าอีกฝ่าย

“อยากตายหรือไง!!”

“ปาณัสม์ เดี๋ยว!” ผมรีบเข้าไปแยกภรรยาที่กำลังจะต่อยใครสักคน ผมสับสนมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าคนรักทำอะไรอยู่ “อย่า...”

“หูหนวกหรือไงวะ!!” ท่อนแขนเล็กที่หลุดออกจากอ้อมกอดของผมเอื้อมไปดึงสาบเสื้อของอีกฝ่ายสุดแรง ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะพ่นภาษาฝรั่งเศสยาวเหยียดออกมาจนผมตามไม่ทัน มือเล็กดึงกระเป๋าเป้ของคนตรงหน้า ยื้อแย่งกันไปมา “บอกว่าให้คืนมาไง!!”

อีกฝ่ายล้วงหยิบบางอย่างออกมา ก่อนที่ผมจะเข้าใจว่ามันคือมีดพก



อะไรกันวะเนี่ย!!



ผมเตรียมเหวี่ยงร่างของภรรยาให้หลบไปด้านหลัง แต่ปาณัสม์กลับปัดแขนของผมออก ร่างเล็กหมุนกายตวัดฟาดท่อนขาใส่ข้อมือบุคคลปริศนา ผมตกตะลึง... ยืนอึ้ง



มองร่างเล็กที่เดินไปเปิดกระเป๋าล้วงหยิบเอาสิ่งของบางอย่างออกมา



พบว่ามันคือกระเป๋าเงินของผม...



ผมคลำตามเนื้อตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันหายไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่อึ้งกว่าคือร่างตรงหน้าที่แสดงศิลปะป้องกันตัวให้ผมเห็น



ปาณัสม์ก็ยังคงเป็นปาณัสม์...



ที่มือเท้าหนักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

























ปาณัสม์’ s part

ผมนั่งจมอยู่กับกองเอกสารที่สูงเกือบท่วมหัว การได้ลาหยุดไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกกับคนรักนับจากวันนั้นก็เป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ผมต้องมานั่งชดใช้กรรม ตามเก็บงานต่าง ๆ ที่บริษัท

ในขณะที่กำลังอ่านรายงานในช่วงที่ผมไม่อยู่นั้น แรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือและหน้าจอที่ขึ้นแสดงว่ามีข้อความเข้ามา ทำให้ผมละสายตาจากแผ่นกระดาษตรงหน้า เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครกันนะที่ส่งข้อความมาหา



เป็นพี่อัยย์นั่นเองที่ส่งข้อความมาถามว่าวันนี้เข้าออฟฟิศหรือเปล่า



ผมกดส่งข้อความตอบคำถามนั้นไป ไม่นานก็มีข้อความส่งกลับมาในทันทีว่าพี่เขาจะชวนไปกินข้าว ผมตอบตกลงคำเชิญชวนนั้นของพี่อัยย์ ไม่ได้เจอกันนานมาก ๆ เมื่อมีโอกาสก็อยากเจอรุ่นพี่คนสนิทอีกครั้ง มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้ฟัง แล้วก็อยากจะถามไถ่ว่าช่วงนี้พี่เขาเป็นอย่างไรบ้าง

ผมนั่งทำงานต่อไปจนถึงเวลาพักเที่ยง พี่อัยย์ส่งข้อความมาถามพอดีว่าถึงเวลาพักหรือยัง จะยืนรออยู่หน้าบริษัทนะ ผมพิมพ์บอกพี่เขาไปว่ากำลังจะเดินไปหา เมื่อกดส่งข้อความสุดท้ายไปยังห้องแชทก็เก็บมือถือแล้วรีบเดินไปหารุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ๆ

“พี่มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ” ผมถามพี่อัยย์

“มาทำธุระแถวนี้พอดี เลยแวะมาหา”

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดเหล่านั้นของรุ่นพี่คนสนิท ก่อนจะเอ่ยชวนไปทานข้าวที่ร้านประจำ ผมจัดการเดินนำ ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความไปบอกคุณรัชชานนท์ว่าถ้ามาถึงแล้วให้มาหาที่ร้านอาหารร้านเดิมที่ไปนั่งด้วยกันบ่อย ๆ

“พี่อัยย์ แฟนผมอาจจะมานั่งด้วยนะ”

พี่อัยย์พยักหน้าน้อย ๆ เห็นแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจตรงที่พี่เขาไม่คิดอะไรมาก เพราะบางคนเขาอาจจะไม่ค่อยสบายใจถ้าหากเราพาคนรักมานั่งร่วมโต๊ะอาหาร... ประมาณนั้น

ใช้เวลาในการเดินไปยังร้านอาหาร 20 นาที มันไม่ได้อยู่ไกลกับที่ทำงานมาก ถ้าไม่ได้มากับคุณรัชชานนท์ ปกติผมก็เดินไปได้สบาย ๆ อยู่แล้ว และเมื่อผมมาถึงร้านประจำ จัดการเลือกมุมที่จะนั่ง ผมให้พี่อัยย์สั่งก่อน เพราะวันนี้มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณป้าพอดี ผมยืนพูดคุยในหัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้อย่างสนุกสนานตามประสาแม่ค้ากับลูกค้าคนสนิท โดยไม่ทันระมัดระวังตัว กว่าจะรู้ตัวอีกที ความเจ็บร้าวบริเวณต้นคอก็วิ่งแปลบไปทั่วร่าง แข้งขาไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ผมยกมือขึ้นกุมต้นคอบริเวณที่รู้สึกเจ็บปวด มึนงงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของผู้คนทำให้ผมรู้สึกตื่นตระหนก หันไปมองด้านหลังเห็นพี่อัยย์ยืนถือบางสิ่งที่ผมคุ้นเคยมันเป็นอย่างดีอยู่ในมือนั้น...



ผมหน้าซีดเผือด เมื่อเริ่มเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้า



ในมือนั้นมันคือยาเร่งฮีท

















//  อัยย์... 

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ekkanek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ผมกดอ่านข้อความที่ปาณัสม์ส่งมา เจ้าตัวบอกให้ผมไปเจอกันที่ร้านประจำร้านเดิม ผมยิ้มให้กับข้อความนั้น ก่อนที่จะกลับไปให้ความสนใจกับข้อมูลที่เพื่อนสนิทนักกฎหมายของผมหามาให้เพิ่มเติม ฐานอธิบายทุกอย่างตามลำดับ ว่าถ้าหากจะใช้กฎหมายควรทำอย่างไร

ใช้เวลาพูดคุยกันไม่นาน เมื่อทุกอย่างกระจ่างชัด ผมจึงขอตัวกลับไปหาปาณัสม์ ระหว่างทางที่ขับรถไปตามถนนหนทาง ผมเอาแต่นึกถึงบรรดาข้อมูลล่าสุดที่ได้รับมา มันเป็นข้อมูลในเชิงหมาจนตรอกของแฟนเก่า เพื่อนสนิทของผมยังไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ว่านั่นเป็นไปในทำนองไหน ต้องลงรายละเอียดให้ลึกลงไปมากกว่านั้นถึงจะใช้มันเล่นงานกันได้



ยิ่งขุดลึก ยิ่งบานปลาย...



ทำไมตอนนั้นผมถึงดูไม่ออก ทำไมถึงไม่ระมัดระวังตัวเองให้มาก แต่มันคงคิดแบบนั้นไม่ได้หรอกก็ในเมื่อตอนนั้นเขายังปกติดีไม่มีที่ท่าว่าจะทำอะไรผิด ๆ บิดเบี้ยวเช่นนี้เลย เรื่องเงินที่ผมให้ใช้ ผมให้ก็เพราะลูก ตอนนั้นทุกอย่างปกติไม่มีกลิ่นอายใด ๆ หลุดลอดออกมาให้รู้สึกเคลือบแคลง แต่สุดท้าย... การทะเลาะกันเพียงเพราะผมเห็นรอยช้ำบนเนื้อตัวของลูกก็พาให้เรื่องที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน ผุดขึ้นมาเป็นหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของผม





และในตอนนี้ความเจ็บปวดที่ได้รับก็คงไม่ต่างกัน...



เป็นรอยแผลจากคนเดิมเมื่อหลายปีก่อน



ผมเห็นภาพคนรักทรุดลงไปกับพื้น หลังจากคนที่ผมไม่คิดฝันว่าจะได้พบเจอกันอีก ผมรีบพาตัวเองก้าวลงจากรถ คลื่นโทสะปะทุดุเดือดขึ้นมายากที่จะระงับได้ ผมเร่งฝีเท้าโดยไวหมายจะเข้าไประเบิดอารมณ์ที่สุมอยู่ในอกใส่คนที่เกลียดขี้หน้า แต่เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างมันเหลือเกิน เป็นสายตานั้นที่มองมาทางผม ผมเตรียมจะพุ่งตรงเข้าไปกระชากร่างนั้นมาฉีกเป็นชิ้น ๆ แต่กลับถูกเสียงสั่นเครือของปาณัสม์รั้งไว้

“คุณ...” ผมรีบเข้าไปประคองร่างขาวซีดของภรรยามาแนบอก อาการหอบหายใจอย่างรุนแรงกระตุ้นให้ตัวผมยิ่งร้อนอกร้อนใจมากขึ้นไปอีกเท่าตัว ผมไม่รู้ว่าอัยย์ทำอะไร แล้วมาทำอะไรที่นี่

“เรียกรถพยาบาลหรือยังครับ” ผมถามผู้คนในบริเวณนั้นเสียงเข้ม ไม่อาจรอเวลาอีกต่อไป

“ป้าเรียกรถพยายาลแล้วค่ะคุณ! ป้าเห็นหนูปาณัสม์ล้มลงสีหน้าไม่ดีเลยรีบโทรไปแล้ว”

“ปาณัสม์!” ผมส่งเสียงเรียกคนรัก ทุกอย่างนิ่งสนิทจนผมกลัว รีบประคองให้ร่างในอ้อมแขนนอนราบไปกับพื้น ตรวจหาชีพจรแต่กลับไม่พบเจอ ราวกับโลกทั้งใบค่อย ๆ พังทลายลงมา ผมรีบทำ CPR ในทันที ทำทุกอย่างให้ถูกวิธี เฝ้าภาวนาให้เขารู้สึกตัวและผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ด้วยดี

“ปาณัสม์... ผมขอร้อง” จังหวะการกดหน้าอกเต็มไปด้วยความปรารถนาของผม ความรู้สึกวูบโหวงว่างเปล่าเล่นงานผมราวกับถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อวันวานอีกหน ผมพยายามช่วย ผมอยู่ตรงหน้าไม่ได้หนีไปไหนเหมือนเช่นเมื่อก่อน ถึงจะมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์... ผมก็จะขอมันให้กับคนที่ผมรัก

“รถพยาบาลมาแล้ว!”

ผมทำหน้าที่ของตัวเองจนพวกเขาเข้ามารับช่วงต่อ ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผม ทั้งร่างที่นอนนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหวของคนรัก เครื่องช่วยหายใจและเสียงตะโกนของผู้คน ความรู้สึกมึนตึงที่หัวเล่นงานกันอย่างโหดร้าย ผมไม่อาจรับมันไหวถ้าหากปาณัสม์เป็นอะไรไป



ผมสูญเสียเขาไปไม่ได้









ผมเฝ้าคอยให้ประตูตรงหน้าเปิดออก นั่งภาวนากับลมฟ้าอากาศ สองมือกอบกุมเข้าหากันเพื่ออ้อนวอนให้ทุกสรรพสิ่งช่วยพาให้คนในห้องนั้นฟื้นคืนกลับมาหากัน ผมไม่ได้หนี ผมอยู่ตรงนี้เพื่อเขา ผมสาบาน นับต่อจากนี้ผมจะเด็ดขาดกับเรื่องราวของคนที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นเช่นนี้ คนที่เข้ามาทำร้ายความรักของผม ผมกัดฟันแน่นเมื่อนึกถึงหน้าคนรักเก่า ความโกรธแค้นเริ่มตีรวนขึ้นมา ผมพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน

และในตอนนั้น ทุกความว่างเปล่ากำลังถูกเติมเต็ม ผมลุกขึ้นยืนเดินตรงเข้าไปหาแพทย์ผู้รับผิดชอบในทันทีเมื่อบานประตูนั้นเปิดออก

“เป็นไงบ้างครับ... เขาปลอดภัยใช่ไหม” ผมถามออกไป ความคาดหวังมีอยู่เต็มอก

“ตอนนี้ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แต่ผู้ป่วยได้รับยาเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป อีกทั้งยาที่เพิ่งได้รับเข้าไปเป็นยาเร่ง ผลการออกฤทธิ์ของยาส่งผลไปถึงระบบร่างกายที่ต่อต้านมันจึงเกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วหมอจำเป็นต้องเอายาที่ผู้ป่วยฝังอยู่ทั้ง 2 ชนิดออก และต้องนอนรักษาตัวเพื่อดูอาการต่อจากนี้ ผู้ป่วยสุขภาพร่างกายอ่อนแอมากกว่าที่คิด”

ผมประมวลผลตามคำพูดของหมอ หวนนึกถึงถุงยาประจำตัวที่เขามักจะพกพาไปไหนมาไหนทุกครั้ง ทั้งกินทั้งฝังยา ไม่รู้ว่าตัวแค่นั้นจะสามารถรองรับสารมากมายเข้าสู่ร่างกายไปได้อีกนานแค่ไหน ผมเข้าใจเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ในการฝังยาจำเป็นพวกนั้นของปาณัสม์

“ตามจริงหมอเอาแค่ยาระงับออกอย่างเดียวก็ได้ ถ้าคุณไม่สบายใจที่จะนำยาคุมกำเนิดออก แต่ระหว่างการรักษาก็จะกินเวลานานออกไป เนื่องจากผู้ป่วยรับผลกระทบจากตัวยาเยอะ ทางเราไม่อยากให้มีสารใดตกค้างแล้วส่งผลย้อนกลับในภายหลัง หมอแนะนำให้ถอนยาทั้งหมดออกแล้วค่อยวางแผนรับยาในอนาคตหลังผู้ป่วยกลับไปเป็นปกติแล้วครับ”



ผมนิ่งฟังพลางทบทวนความคิดที่อยู่ภายในหัว



ภาพที่คู่ชีวิตล้มลงไปต่อหน้า



ชีพจรที่หยุดเต้นไปทำให้ผมหวาดกลัวอนาคต



ผมไม่อยากสูญเสียปาณัสม์ไป...



ผมต้องเป็นคนเลือกหนทางแทนปาณัสม์



“เอาออกเลยครับ เอายาพวกนั้นออกไปจากร่างกายภรรยาของผมที” ผมพูดในสิ่งที่ตัดสินใจออกไป พูดออกไปอย่างนั้นเพียงเพราะว่าเป็นห่วงคนที่นอนอยู่ในห้องหลังบานประตูนั้น ผมก้มหน้ายอมรับในทางเลือก ผมต้องการช่วย ช่วยให้คนรักพ้นขีดอันตรายให้มากที่สุด ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี

นายแพทย์ผู้รับผิดชอบก้มศีรษะรับคำตัดสินใจของผมก่อนกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ผมยืนมองบานประตูนั้นนิ่งนาน...

ราวกับว่าความรู้สึกของผมในตอนนี้ได้หลุดลอยไปกับคำพูดนั้น มันเป็นการตัดสินใจ ตัดสินใจแทนปาณัสม์ ผมกำมือแน่น รู้สึกว่าคนตัวเล็กต้องปลอดภัยในทางที่ผมเลือกให้ แต่ทำไมภายในใจของผมลึก ๆ แล้วกลับรู้สึกแย่กับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ





ผมลูบไปตามกลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างเบามือ ทอดมองใบหน้าที่นอนหลับตาโดยมีเครื่องช่วยหายใจสวมไว้อยู่ตลอดเวลา เส้นสายจากอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายเข้ามาช่วยเหลือให้การรักษาปาณัสม์ผ่านพ้นไปได้

‘ภายในได้รับผลกระทบรุนแรง ระยะการพักฟื้นอาจจะนานมากกว่าปกตินะครับ ส่วนแผลที่ได้จากการถอนยา ไม่กี่วันก็หายแล้ว’

ผมกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นพาตัวเองมานั่งเฝ้ามองร่างของภรรยาที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ข้อมูลการรักษาต่าง ๆ ถ่ายทอดมายังผมในฐานะคนใกล้ชิดมากที่สุด ผมกุมมือบอบบางนั้นไว้ อวยพรให้เขาฟื้นขึ้นมาคุยกันเร็ว ๆ คนทางนี้รู้สึกเงียบเหงาเหลือเกิน

“รีบตื่นขึ้นมาคุยกับผมนะครับปาณัสม์” ผมนั่งพูดคุยกับความเงียบตามลำพัง เฝ้ารอวันที่ภรรยาจะหายดี



ระหว่างที่รอ ผมเดินหน้าลุยในเรื่องพื้นที่สีเทาของคนรักเก่า เก็บรวบรวมหลักฐานให้ได้มากที่สุดโดยมีเพื่อนสนิทเข้าช่วย



กว่าปาณัสม์จะถูกปล่อยให้กลับไปพักที่บ้านได้ก็กินเวลาไปเป็นสัปดาห์



หนึ่งสัปดาห์ที่ยาวนานผมดำเนินการฟ้องอดีตคนรักจนได้รับโทษในที่สุด



ผมจัดการทุกอย่างรวดเร็ว มีปาณัสม์และลูกชายที่จากไปแล้วเป็นแรงผลักดันให้สู้จนถึงที่สุด



คนผิดก็คือคนผิด กฎหมายไม่อาจลดทอนความผิดนั้นได้ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม





















“นนทัช คุณหาวันเรียกประชุมให้ผมภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมครับ ผมมีเรื่องต้องคิดบัญชี”

“ได้ครับคุณรัชชานนท์ ถ้าหากผมลงวันให้คุณได้แล้วจะรีบโทรกลับไปทันทีครับ”

“ขอบคุณครับ”

ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนที่มีร่างของปาณัสม์นอนหลับอยู่ ผมพาคนรักกลับมานอนพักรักษาตัวตามที่หมอกำชับไว้ หลังจากที่เจ้าตัวรู้สึกตัวในวันที่แปดนับจากวันที่เข้ารักษาตัว ผมรีบเข้าไปปรึกษาว่าต่อจากนี้ต้องทำอย่างไรต่อไปบ้าง ทางนั้นบอกว่าช่วงนี้ให้งดรับประทานยาหรือใช้ยาฉีดฉุกเฉินทุกชนิด รอให้พ้นสองสัปดาห์นับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาลไปก่อน

เดินตรงเข้าไปห่มผ้าห่มให้ร่างนั้นอย่างมิดชิด มองนาฬิกาเรือนโตที่บ่งบอกถึงเวลาเที่ยงวัน ผมหยิบกุญแจรถ ตั้งใจไว้ว่าจะออกไปซื้อข้าวต้มและของกินอย่างอื่นติดไม้ติดมือกลับมาให้ปาณัสม์







ผมใช้เวลาไม่นานสำหรับการเลือกซื้อของ มีข้าวต้มกับต้มเลือกหมูและผลไม้ที่ปาณัสม์ชอบ ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวเล็กจะตื่นหรือยัง คงจะรู้สึกงุ่นง่านอยู่ไม่น้อยเลยถ้าตื่นขึ้นมาแล้วหิวจนท้องร้อง ผมคิดได้ดังนั้นจึงรีบเดินทางกลับไปหาคนที่บ้านในทันที



แต่...



ผมขมวดคิ้วให้กับสัญชาตญาณที่อยู่ดี ๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นม่านหมอกของการหวงถิ่นและคู่ของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู มันมีกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยว่าเคยได้กลิ่นจากที่ไหนสักที ผมหมุนลูกบิดประตู ก้าวเดินเข้าไปในบ้านก่อนที่จะปล่อยรังสีกดดันออกมาเมื่อรู้สึกโดนบุกรุกที่พักอาศัย

เดินตรงไปยังห้องครัวที่มีกลิ่นอาหารลอยออกมา ผมปั้นหน้ายักษ์ขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่ามีคนเข้ามาจริง ๆ อยากรู้นักว่ามันเป็นใคร กลิ่นเข้มข้นไม่ต่างจากผมมากนัก ผมรู้ว่าเป็นชนชั้นเดียวกัน แล้วมันเข้ามาทำอะไรที่นี่ ในบ้านหลังนี้

“คุณเป็นใคร” ผมถามออกไปยังแผ่นหลังของบุคคลปริศนา เขาหยุดชะงัก ก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากัน

“อ๋อ ผมเป็นเพื่อนของปาณัสม์น่ะครับ”



อ่า... กลิ่นที่เคยติดตัวอยู่บนเสื้อของปาณัสม์



“เข้ามาได้ยังไง”

“ปาณัสม์บอกที่ซ่อนกุญแจไว้”

ผมคิ้วกระตุกในทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น คำถามน่าหงุดหงิดผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด ปาณัสม์ซ่อนกุญแจไว้ทำไม แล้วทำไมต้องบอกให้คนตรงหน้ารู้เยอะแยะมากมายขนาดนั้น

“ผมขึ้นไปด้านบน” ผมตวัดสายตามองใบหน้านั่น มันพูดว่าอะไรนะ ขึ้นไป? บนห้องนอนของปาณัสม์? “เห็นเพื่อนยังไม่ตื่นเลยเดินลงมาข้างล่าง เพื่อนไม่สบายเหรอครับ ปกติตื่นเช้ามากเลย”

“อือ ป่วย”



รู้ดีไปหมดทุกอย่าง



รู้ดีจนน่าหงุดหงิด



ผมเดินฮึดฮัดเข้าไปในครัว เมื่อแขกไม่ได้รับเชิญเห็นผมเดินปล่อยรังสีข่มจึงเลี่ยงหลบไป ผมใช้ครัวเพื่อเตรียมมื้อเที่ยงให้คนรัก

แต่ทว่า...



ทางตากลับมองเห็นถ้วยข้าวต้มที่เตรียมไว้ ไหนจะบรรดาถุงใส่ผลไม้เต็มไปหมด ผมพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเปิดตู้เย็นยัดข้าวของที่ซื้อมาใส่เข้าไปข้างใน หมุนกายจะเดินขึ้นไปหาภรรยาที่อยู่ชั้นบน แต่พอเดินผ่านร่างเกะกะที่ยืนมองหน้ากันอยู่ก่อนแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ผมปรายสายตามอง แววตานั้นมีประกายขบขันปะปนอยู่



ผมไม่อยากหยุดเสวนา



เดินปึงปังขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนของปาณัสม์



“ปาณัสม์” ผมแตะที่ตัวของคนรัก ออกแรงขยับเบา ๆ บนหัวไหล่ ไม่นานดวงตากลมโตนั้นก็ขยับปรือปรอยขึ้นมามองหน้ากัน มือเล็กยกขึ้นเช็ดตาไปมา ผมจับมือนั้นไว้ไม่ให้ขยี้มัน เกรงว่าตาของเขาจะอักเสบเอาได้

ปาณัสม์กระพริบตาปริบ ๆ ใส่ผม จมูกเชิดรั้นน่าเอ็นดูย่นยู่ ก่อนจะพูดบ่นเรื่องกลิ่นประจำตัวของผมที่เข้มข้นจนน่าอึดอัด

“มีคนมาหาคุณ อยู่ด้านล่าง”

คนตัวเล็กนิ่งนึกอยู่สักพัก... ก่อนที่จะขยับลุกจากที่นอน ผมที่กำลังเก็บพับทุกอย่างให้คนรัก ออกเสียงห้ามปรามร่างนั้นไม่ทัน ปาณัสม์เดินออกไปทั้ง ๆ ที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่โตเพราะเอาเสื้อของผมไปใส่นอน กางเกงขาสั้นอวดขาขาวนั่นอีก ผมหัวเสีย เดินตามลงไปในทันที



ไม่ได้



ให้คนอื่นเห็นปาณัสม์ตอนใส่ชุดแบบนั้นไม่ได้



ผมเดินลงบันไดเพื่อที่จะไปเรียกให้ร่างเล็กนั้นกลับขึ้นมาใส่กางเกงและเสื้อที่ดีกว่านี้ก่อนที่จะลงไปหาใคร

แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ทุกความอดทนพังทลายลง ร่างของคนสองคนที่กอดกันกลมต่อหน้าต่อตาผม



ผมสติแตกในทันที



“ทำอะไรกัน”







// พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา พ่อต้องใจเย็น

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ekkanek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ปาณัสม์’ s part



“ทำอะไรกัน”

ผมถูกคุณรัชชานนท์ดึงตัวเข้าไปกอด ใบหน้าจมอยู่กับแผ่นอกกว้างของสามีที่พูดเสียงเข้ม แรงกดตรงศีรษะ ไหนจะท่อนแขนแข็งแกร่งที่โอบรัดร่างของผมเอาไว้ราวกับงูตัวใหญ่ กลิ่นประจำตัวของเขาชัดเจนและเข้มขึ้น ทุกอย่างรวมกันเรียกว่า ‘หึงหวง’

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เพื่อนกัน” ผมขยับใบหน้าพูดเสียงอู้อี้ เขาไม่ยอมคล้ายวงแขนเลยแม้แต่นิด

“ไม่มีอะไรอย่างที่แฟนคุณพูดนั่นแหละ” ผมยันตัวออกจากอกกว้างของสามีเพื่อที่จะหันไปปรามเพื่อน เพราะรู้ว่ามันเป็นคนนิสัยยังไง “เป็นเพื่อนสนิทกัน แค่กอดเอง”

เสียงขู่ในลำคอของคุณรัชชานนท์เริ่มทำให้ผมเห็นภูเขาไฟที่กำลังปะทุตัวอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมยกมือขึ้นลูบท่อนแขนนั้นเพื่อขอร้องให้เขาสงบอารมณ์ “เพื่อนผมเอง”

“แต่ผมเป็นสามี” สายตาดุจ้องลึกไปยังเพื่อนสนิทของผม “คุณไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวผมตามไปปอกผลไม้ไว้ให้”

คุณรัชชานนท์ดันร่างของผมไปทางห้องครัว การกระทำเชิงบังคับบีบให้ผมต้องทำตามคนตัวสูง ผมใช้สายตาเหลือบมองภคิน เห็นมันส่งยิ้มขบขันมาให้ ทำไมชนชั้นแบบพวกเขาถึงชอบใช้ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของข่มกัน พวกผมไม่เคยเข้าใจในวัฒนธรรมเหล่านั้นสักนิด



ภาวนาขอให้ทั้งสองคนไม่ทำอะไรรุนแรงใส่กันก็เพียงพอแล้ว











ผมยืนจ้องหน้าหนุ่มรุ่นน้อง ท่าทางสบายอกสบายใจแบบนั้นยิ่งมองยิ่งรู้สึกหงุดหงิด สายตายียวนกวนประสาทส่งมอบมาให้ผม ไหนจะรอยยิ้มขบขันบนใบหน้านั่นอีก ผมทำเสียงฮึดฮัดในรอบที่สองของวันก่อนจะเดินผ่านร่างของเขาไป ไม่วายยังหันกลับไปประสานสายตากัน ผมจ้องลึกเข้าไปในแววตานั้น คลื่นรังสีความเป็นจ่าฝูงของเราสองคนสาดซัดใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมรู้ รู้ดีว่าสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องกระทำอยู่เป็นไปในทำนองที่พอเจอชนชั้นทัดเทียมกัน มันจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ ในฝูงมีผู้นำมากกว่าหนึ่งไม่ได้ และพวกผมกำลังทำแบบนั้นอย่างไม่ตั้งใจ

ส่วนตัวของผม ทำไปเพราะหวงปาณัสม์ เมื่อมีคู่ของตัวเองให้ดูแล ก็จะหวงและไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของกลิ่น อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความปลอดภัยของคนที่อ่อนแอกว่าในกฎของธรรมชาติ

ผมเดินตามร่างของคนรักเข้าไปในห้องครัว เห็นร่างเล็กนั่งตักข้าวต้มที่เพื่อนซื้อมาตัดหน้าผม สีหน้าของเขาดูดีขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นฟู ทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นปกติ ผมเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเอาบรรดาผลไม้มากมายออกมา นำมาล้าง นำมาหั่นให้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำ

“มีต้มเลือดหมู คุณเอาไหมครับ” ผมเอ่ยถามคนรัก

“เอาครับ” ปาณัสม์พยักหน้าหงึกหงัก “คุณออกไปซื้อมาเหรอ”

“อือ” ผมเปิดตู้เย็นหยิบถุงต้มเลือดหมูออกมาเทใส่ถ้วย “อุ่นก่อน แปปเดียว”

ในระหว่างรอเวลาอุ่นกับข้าว ผมจัดจานผลไม้แล้วเดินไปให้ปาณัสม์ หางตาเห็นร่างเพื่อนสนิทของปาณัสม์เดินเข้ามาวางถุงบางอย่างลงบนโต๊ะ

“เอาไป ของที่มึงสั่ง”

“เออ ขอบใจ” ปาณัสม์รับถุงนั้นมาดู มือเล็กล้วงหยิบบางสิ่งขึ้นมา ทุก ๆ อย่างอยู่ในสายตาของผม “แบบที่ดีที่สุดเลยเหรอ”

“เออดิ ใช้ทำไมของราคาถูก”

“ก็ราคามันสูงเกินไป กินแล้วช่วยได้ไม่เยอะเท่าไหร่”

ผมพ่นลมหายใจออกมาให้กับบทสนทนาเหล่านั้นของคนสองคน หมุนตัวกลับไปปิดเตาแก๊ส ผมปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกันตามประสา ถึงจะหงุดหงิดที่เห็นว่าในถุงนั่นมันคือแผงยาระงับก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามผมไม่อาจปล่อยให้คนรักรับยาเข้าสู่ร่างกายได้ในช่วงนี้





บรรยายในบ้านวันนี้เต็มไปด้วยบทสนทนาระหว่างปาณัสม์กับเพื่อนสนิท ผมปลีกตัวออกมาเฝ้ามองคนรักอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายสิ่งใด ปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกันต่อไป

ผมหยิบรายงานออกมาอ่าน นั่งทำงานอยู่เงียบ ๆ เฝ้ารอเวลาให้ผ่านไป มันเป็นบรรยากาศที่ผมเฝ้าคิดถึงเมื่อตอนที่ยังมีฝันเกี่ยวกับความรักในอุดมคติ ผมต้องการครอบครัวที่สามารถมอบความอุ่นใจได้ ยามหลับตาก็จะสัมผัสได้ถึงมวลความสุข บรรยากาศของคำว่าบ้านที่แท้จริง สำหรับผมแล้ว คงเหมือน ฤดูร้อน ไม่ได้หมายถึงสภาพอากาศที่ร้อนจัดจนน่าหงุดหงิด แต่หมายถึงบรรยากาศในช่วงหน้าร้อน ผมเคยอ่านเจอมาจากที่ไหนสักที่



หน้าร้อน หมายถึง การหวนนึกถึงวัยเด็ก



ผมรู้สึกตามคำนิยามนั้น จึงเข้าใจมันได้อย่างดี



บางคนอาจจะนิยามความสุขเป็นช่วงเช้าของหน้าหนาว



ความเหงาในช่วงหน้าฝน



ทุกคนมีคำนิยามแตกต่างกัน



“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

ในขณะที่กำลังนั่งพักสายตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น เสียงกล่าวลาเรียกให้ลืมตาขึ้นมามองร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้นของคนที่อายุน้อยกว่า ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะที่อยู่อาศัยมีกลิ่นแปลกปลอมปะปน แต่เขาก็ไม่ได้มีพิษภัยอะไร “ขอบคุณนะครับที่เป็นปาณัสม์”



ผมมองสบสายตาของเขาอย่างไม่เข้าใจในคำพูดนั้น



“เห็นแบบนี้แล้วผมก็สบายใจ ว่าเพื่อนผมต้องสบายดี” เจ้าเด็กนั่นก้มศีรษะให้ผมก่อนจะเดินไปที่ประตูบ้าน ปาณัสม์เดินตามไปส่งเพื่อนของตัวเอง ปล่อยให้ผมประมวลในประโยคเหล่านั้น



ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาขอบคุณกันในเรื่องแบบนี้ด้วย





















วันเวลาล่วงเลยไป สุขภาพของปาณัสม์เริ่มกลับมาดีขึ้น มันดีขึ้นพร้อมกับอาการฮีทที่ผมไม่คุ้นเคย ผมนอนกอดร่างที่เปลือยเปล่าข้างกาย หนึ่งวันหมดไปกับการรับมือในสถานการณ์ร่วมรักที่มันกะทันหัน จู่ ๆ ปาณัสม์ก็เริ่มมีอาการต้องการความรักจากผมไม่หยุด ร่างเล็กออดอ้อนร้องขอไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ก้าวเดินออกจากห้องนอนแม้แต่ก้าวเดียว ผมไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับพฤติกรรมแบบนี้ของปาณัสม์ มันทั้งเอาแต่ใจและแปลกหูแปลกตาไปกว่าทุกที

“ที่รัก...”



รวมไปถึงคำพูดคำจาด้วย...



“ว่าไง” ผมขานรับด้วยเสียงที่เหนื่อยอ่อน ผมหมดแรงไปกับการจู่โจมของคนตัวเล็กที่เริ่มขมับมือลูบสัมผัสไปตามเนื้อตัวของผมอีกรอบ “ยังไม่หายอีกเหรอครับ”

“ยังเลย มันปวดท้องอีกแล้ว” ปาณัสม์พลิกตัวขึ้นมานอนเกยบนตัวของผม ผมประคองร่างของภรรยาไว้ ท่อนขาขาวยกขึ้นถูไถกับหน้าขาของผม สัมผัสแปลกใหม่เริ่มส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่าอารมณ์ของคนตัวเล็กกำลังจุดติดอีกรอบในช่วงหัวค่ำนี้

“เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ไม่สบายได้ยังไง ออกจะสบายตัว”

“ปาณัสม์” ผมทำเสียงดุ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับมันเลย

“คุณเคยดูหนังโป๊ไหมครับ” ผมยกมือขึ้นมานวดขมับคลายอาการปวดหัว คำถามแบบนั้นมันหมายความว่าอะไร “ไม่เคยเหรอครับ”

ผมมองแววตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างรอคอยคำตอบ ผมรู้สึกปากหนักไม่อยากตอบคำถามนั้นของคนรัก

“ถามแบบนี้ทำไมครับ”

ปาณัสม์ไม่ตอบ แต่กลับยกสะโพกกลมกลึงลอยเด่น ผมมองพฤติกรรมของภรรยาอย่างเงียบ ๆ วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้าตัวมีอาการ ผมรู้ว่าปาณัสม์จะมีรอบฮีท แต่ไม่รู้ว่ามันจะนานถึงกี่วัน นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจ้าตัวเลือกที่จะฝังยาระงับ เพราะรู้ตัวว่าตอนที่มีอารมณ์ทางเพศจะกระทำอะไรลงไปบ้าง หรือไม่ก็เพราะหน้าที่การงาน

ห้วงความคิดของผมสะดุดลงเมื่อเรียวลิ้นเล็กแตะสัมผัสลงบนอกของผม ปาณัสม์เอื้อมท่อนแขนไปทางด้านหลังก่อนจะทำการสอดนิ้วมือส่งเข้าไปยังช่องทางสีหวาน ผมกลั้นหายใจกับภาพตรงหน้า ไหนจะลิ้นเล็กที่กำลังดุนดันอยู่ตรงบริเวณอกของผม อาการปวดหนึบที่ท่อนเนื้อเพิ่มมากขึ้นตามความยั่วยวนของคนรัก

ผมตวัดฝ่ามือฟาดลงบนก้นขาว ๆ นั้น เสียงร้องตกใจดังออกมาจากปากที่ขึ้นสีสด “เอามือออก”

“อึก... หาไม่เจอ”

“เอาออกสิ เดี๋ยวผมหาให้” ผมบอกให้ภรรยาเอานิ้วออกจากช่องทางรัก ปาณัสม์ทำตามคำสั่ง เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงพลิกตัวคนรักลงกับเตียงนอน ดันให้ร่างเล็กนั้นอวดแผ่นหลังขาวเนียน “ไหน หาไม่เจอเหรอ”

“อื้อ... มันเล็กไป” ผมฟาดมือลงบนแก้มก้นนั่นอีกหน รอยแดงกระตุ้นให้ผมยึดสะโพกของเขาไว้แน่น ก่อนจะขยับตัวเข้าไปนอนซ้อนแผ่นหลังนั้น ใช้ท่อนแขนช้อนท่อนขาเล็กขึ้นมาเพื่อเตรียมท่าสำหรับการร่วมรัก

“พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม” ผมหยัดตัวขึ้นจ้องมองใบหน้าหวานที่นอนน้ำตาคลอ มองริมฝีปากเล็กที่ขยับอ้ากอบโกยอากาศเข้าปอด ผมส่งกลางกายที่พร้อมสอดใส่เต็มที่เข้าสู่ช่องทางคับแน่น “เจอหรือยังครับ” ผมสอบสะโพกช้า ๆ แกล้งคนที่นอนตัวสั่นเพราะความเสียดเสียว เห็นบอกว่าหาไม่เจอ แต่ตอนนี้คงจะหาเจอแล้วแหละ

“ลึก อย่าทำ...ท่านี้” ผมไม่สนใจเสียงบ่นของคนรัก สนใจแค่ว่าตอนนี้ต้องส่งแรงประมาณไหนใส่ร่างของเขา พูดห้ามนู่นห้ามนี่ แต่ก็ได้แต่พูดเท่านั้นนั่นแหละ

“ใส่ปลอกคอไหม” ผมกระซิบชิดแก้มนุ่มที่ชื้นเหงื่อ รู้สึกปวดคมเขี้ยวที่โผล่พ้นออกมาอย่างรู้หน้าที่ มันรู้สึกดีมากกว่าทุกครั้ง อาจจะเพราะกลิ่นหอมที่ระเบิดตัวรุนแรงกว่าครั้งไหน

“ไม่ใส่” ผมเอื้อมมื้อลงไปลูบไล้บริเวณหน้าท้องของปาณัสม์

“ผมรัทแล้ว” ผมหอบหายใจรุนแรง อาการกำหนัดตามสัญชาตญาณเริ่มครอบงำ “ผมจะเผลอกัดคุณเอาได้”

“ผมเป็นของคุณนี่... อื้อ!” ผมขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคนรักพูด ช่องทางสีหวานตอดรัดเอาแต่ใจ ผมขยับตอกอัดไปตามความปรารถนา ยิ่งคนตัวเล็กพูดจากระตุ้น ผมยิ่งขยับกายบดเบียดสะโพกกลม



ผมชั่งน้ำหนักของหัวใจ



หลับตารับรู้จังหวะตอกอัดสะโพกใส่ร่างภรรยา กลิ่นหอมหวานเชิญชวนให้ผมทำพันธะ



ผมรู้ว่าตัวผมเลือกเขาหมดหัวใจ แต่ถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นปกติ ปาณัสม์จะรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกกัดคอสร้างพันธะหรือไม่



ห้วงอารมณ์เกือบถึงปลายทาง



ท่อนแขนเล็กยกขึ้นเกี่ยวรั้งให้ใบหน้าของผมฝังลงตรงต้นคอ ทุกอย่างรวดเร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน



ถ้อยคำหวานที่พร่ำบอกผมย้ำ ๆ ในนัดสุดท้ายเป็นกรรไกรคู่คมที่ตัดฉับเส้นความอดทน



“อื้อ... เจ็บ”



ผมฝังคมเขี้ยว



พร้อม ๆ กับปลดปล่อยน้ำพันธุ์มากมายใส่ช่องทางสีหวาน ก่อนหน้าที่จะถึงรอบนี้ มันถูกรังแกมาอย่างยาวนาน



“ปาณัสม์” ผมเรียกชื่อคนรักพร้อม ๆ กับที่กลางกายเชื่อมติดกับช่องทางหวานแน่นสนิท ร่างเล็กสั่นเพราะอาการอึดอัด ผมยกมือลูบไปตามหน้าท้องบาง สัมผัสส่วนนูนเที่เกิดจากการรองรับของเหลวไว้มากมาย

“มันอุ่น...” ปาณัสม์คงหมายถึงสิ่งที่กำลังถูกอัดฉีดใส่ร่าง ผมกระตุกปลดปล่อยทุกหยาดหยด คงใช้เวลาสักพักมันถึงจะคลายออก และผมมั่นใจว่ารอบฮีทในวันนี้ของปาณัสม์จบลงแล้ว...



จบลงไปพร้อม ๆ กับการผูกพันธะ

















// ในมือของทุกคนมีกล่องเก็บความลับอยู่หนึ่งใบ ส่วนเราเป็นได้เพียงผู้บรรยายที่กุมความลับไว้ เรารอวันที่กล่องใบนั้นจะถูกเปิดออก 

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ekkanek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ปาณัสม์’ s part



ผมโบกมือลาคุณรัชชานนท์ด้วยความรู้สึกหงอยเหงา ยืนมองรถยนต์ที่ออกตัวมุ่งหน้าเข้าเมืองห่างไกล ผมยกมือขึ้นลูบไล่ไปตามรอยพันธะที่ลำคอ เราสองคนทำพันธะกันในคืนที่ผมแสดงอาการฮีทครั้งแรกในรอบหลายปี ตอนนี้ผมเป็นของคุณรัชชานนท์โดยสมบูรณ์ ผมจดจำคำคืนสุดท้ายได้ดี เมื่อทุกอย่างอยู่เหนือสัญชาตญาณ ผมลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างกายที่เปลือยเปล่า ท่อนแขนแข็งแกร่งที่พาดทับเอวของผมไว้ คนข้างกายมีสภาพไม่ต่างกัน ผมข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดี



รุ่งเช้าของวันนั้น ผมเช็คดูวันในหน้าปฏิทิน พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเรียกได้ว่า เป็นการแสดงอาการก่อนกำหนดหลายวันจนน่าใจหาย



ผมตีความไปว่า ยาที่ฝังอยู่อาจจะครบกำหนด บวกลบวันตามอายุของมันนับจากวันที่ผมไปฝังใส่ในร่างกายของตัวเอง



อย่างที่รู้ เมื่อเกิดการผูกพันธะระหว่างคู่รัก ชนชั้นแบบพวกผมจะตกเป็นของเจ้าของคมเขี้ยวบนต้นคอในทันที ร่างกายจะร้องเรียกเพียงคู่ โหยหาเพียงคู่ของตัวเอง แถมอาการติดกลิ่นจะยิ่งมีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว อย่างเช่นผมในตอนนี้นี่ไง ที่ยืนส่งสายตาหงอย ๆ ยามส่งคนรักออกเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปทำธุระสำคัญ เห็นท่าแล้ว คงจะไม่ใช่แค่เรื่องกลิ่นที่มีอิทธิพลมาก แต่มันรวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดอีกด้วย

ผมเดินกลับเข้าไปในบ้าน รู้สึกบ้านกว้างใหญ่มากกว่าปกติ บรรยากาศเงียบเหงากลับคืนมา คุณรัชชานนท์มาอยู่ด้วยจนผมติดภาพยามลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบเจอร่างใหญ่โตของเขานอนอยู่ข้างกายมากกว่า ไหนจะทุกส่วนของบ้าน มันก็ยังมีภาพของเขาชัดเจน ผมถอนหายใจออกมากับความคิดเพ้อ ๆ เหล่านั้นของตัวเอง ผมไม่ชินกับตัวเองในตอนนี้เลย



เป็นเวลาหลายวันอยู่ ที่คุณรัชชานนท์มาอยู่ด้วยที่บ้านหลังนี้ ถ้านับดูแล้วก็เกือบหนึ่งเดือนได้ที่เขาทิ้งงานจากในเมืองมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัดกับผม คอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ คอยดูแลเอาใจใส่ และคอยช่วยเหลือผมเวลาต้องการความรัก

และในตอนที่รู้ว่ากลิ่นของผมนั้นจะไม่สามารถส่งผลต่ออัลฟ่าตัวไหนบนโลกได้อีก จึงจัดการต่อสายไปยกเลิกการฝังยาระงับของเดือนถัดไปในทันที พี่ภูถามว่าระหว่างที่ฝังยาไว้ในร่างกายพร้อมกันมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ ผมตอบเขาไปอย่างสัตย์จริงว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้น... ตอนที่ถูกแบกเข้าโรงพยาบาลเมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้วน่ะนะ



‘ถ้าปาณัสม์วางแผนเรื่องลูกแล้ว สามารถมาถอนยาคุมได้นะ’

เป็นประโยคทิ้งท้ายที่นายแพทย์รุ่นพี่บอกกับผมไว้



ผมพาตัวเองไปแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อที่จะไปทำงานหลังจากที่ลาหยุดยาวไปนานโข ป่านนี้ กองรายงานคงเทินอยู่เต็มโต๊ะทำงานของผมจนดูเหมือนห้องเก็บของแล้วมั้ง

เมื่อแต่งตัวและตรวจดูของใช้จำเป็นที่ต้องพกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็พาตัวเองลงมาจัดกล่องข้าว ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ มีกับข้าว และผลไม้หลากหลายชนิด ผมพาตัวเองมาถึงที่ทำงานด้วยการเดินเท้า ลูกทีมเอ่ยทักทาย มีบ้างที่เดินเข้ามาคุยด้วยหลังจากที่เห็นว่าผมลางานยาว ส่วนมากผมจะสนิทกับคนอายุน้อยกว่าได้ไว น้อง ๆ มักจะพูดเสมอว่าผมนั้นเลี้ยงดูพวกเขาราวกับเป็นคุณแม่ใจดีคนหนึ่ง แต่พอถึงเวลาที่ผมตรวจงานหรือแจงงานก็โหดเอาเรื่องอยู่

“พี่ปาณัสม์เอามะม่วงปะ” เป็นเด็กในทีมที่เดินถือจานมะม่วงเข้ามาหาผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาไล่อ่านรายงานการประชุมครั้งล่าสุด ผมเงยหน้าจากเอกสาร จ้องมองไปที่ชิ้นมะม่วงห้าหกชิ้นนั้น “มะม่วงร้านป้าเลยนะ”

“อ๋อ วันนี้ป้ามาขายเหรอ” ผมรับจานมะม่วงมาจากมือรุ่นน้อง

“ใช่พี่ แกเข็นมาหน้าบริษัทพอดี แล้วทำไมพี่ยังนั่งทำงานอยู่อีก ไม่ทานข้าวเหรอ” ผมหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้มันเลยเวลาพักมาหลายนาทีแล้ว “ระวังจะป่วยอีกนะพี่ปาณัสม์”

“พี่ขออ่านรายงานชุดนี้ก่อน เดี๋ยวจะรีบไปเลย”

“เชื่อได้ไหมพี่ปาณัสม์” ผมหลุดหัวเราะให้กับน้ำเสียงหยอกล้อของรุ่นน้อง

“เชื่อพี่ เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว ขอเวลาอ่านงานแปปเดียว”

“จ้า”



แต่แปปเดียวไม่มีอยู่จริง...



ผมเดินเร็วมุ่งหน้าไปทางห้องประชุมในช่วงเวลาบ่ายโมง ในมือเป็นซองใส่เอกสารที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาให้สด ๆ ร้อน ๆ ผมยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา อีกไปกี่นาทีการประชุมเร่งด่วนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว จากการเดินสับขาไว ๆ กลายเป็นวิ่ง งานเร่งงานด่วนงานไฟไหม้ในตอนนี้สามารถเรียกใช้มันได้หมด ผมเดินเข้าห้องประชุมด้วยความเร่งรีบเพราะกลัวจะพลาดหัวข้อสำคัญ

การประชุมเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายเนื่องจากมันเป็นงานใหม่ ทุกคนในห้องส่งเสียงปรึกษาหารือในโครงการที่มีโครงสร้างบางส่วนปรับเปลี่ยนออกไปจากเดิม ผมกุมขมับในทันทีเมื่อเห็นว่ามีชื่อตัวเองถูกตีพิมพ์เด่นหราในส่วนของการรับผิดชอบงานด้านการตลาด มือขยับจด สายตาก็กวาดมองอ่านรายละเอียด สองหูก็ต้องฟัง ไหนจะผู้คนที่ทำงานด้วยกันเริ่มมีคำถามผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ตอบโต้กันไม่หวาดไม่ไหว



ผมพาร่างพัง ๆ ของตัวเองเดินออกมาจากห้องประชุมในเวลาหกโมงเย็น



เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งพิงพนักอย่างไร้เรี่ยวแรง หยิบยาดมขึ้นมาดม นี่แค่กลับมาทำงานวันแรกยังขนาดนี้เลยแล้ววันต่อ ๆ ไป จะมากมายมหาศาลขนาดไหน ที่เป็นแบบนี้เพราะทางบริษัทคุณรัชชานนท์ประกาศถอนการลงทุนไปเมื่อไม่นานมานี้ พอมีเรื่องใหญ่โต สิ่งที่ตามมาก็คือผลกระทบในด้านธุรกิจ ลูกทีมที่เป็นคนของบริษัทที่สามีของผมไปเจรจาไว้พากันถูกเรียกตัวกลับกันยกกลุ่ม คนที่ถูกส่งมาให้จับงานในด้านต่าง ๆ เริ่มไม่มี อย่างวันนี้ การตลาดมันก็กลายเป็นผม ผมนั่งส่ายแท่งยาดมไปมา รู้สึกปวดหัวแบบมึนตึง ตั้งใจไว้ว่าจะขอนั่งพักต่ออีกสักสิบนาทีแล้วค่อยลงมือปั่นงานต่อให้เสร็จ วันนี้คงต้องทำใจอยู่ดึกเพื่อตามเก็บงานให้ทัน



ครืด...



ในขณะที่ผมกำลังยัดยาดมไว้ที่รูจมูก หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งไว้ตั้งแต่เช้าก็สั่นครืดคราด ผมเอื้อมมือไปหยิบ กดรับสายก่อนที่จะพูดเสียงยานคางออกไปถึงปลายสาย

“สวัสดีครับ”

“กลับบ้านหรือยัง” คุณรัชชานนท์ถาม ผมยกมือนวดคลึงขมับ ทุกอย่างดูติดลบไปเสียหมด

“ยังครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ทำงานอยู่เลย”

“เอางานกลับไปทำที่บ้าน อยู่คนเดียวอันตราย”

“ไม่เอาด้วยหรอก บ้านก็คือบ้าน” จะให้เอากลับไปนั่งทำต่อที่บ้านมีหวังผมนั่งกรี๊ดจนสลบแน่นอน “อยากกลับไปถึงบ้านแล้วนอนหลับไปเลย ไม่อยากมีภาระเยอะ”

“งานเยอะมากเลยใช่ไหม ช่วงนี้มันจะหนักหน่อยนะครับ” คุณรัชชานนท์พูด “ผมก็จะรีบจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ไว้จะไปอยู่ด้วยนาน ๆ”

“อือ” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน มือยังถือสาย ฟังน้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นพูดเล่าปัญหาต่าง ๆ ที่พบเจอให้ฟัง อาการเหนื่อยล้าอย่างหนักเล่นงานผม เหมือนร่างทั้งร่างกำลังแตกสลายเป็นเพียงเศษฝุ่น ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมยินดีให้มันลอยหายไปตามลมเลย “ผมเหนื่อยมากเลยวันนี้ วิ่งวุ่นทั้งวัน”

“อดทนหน่อยนะปาณัสม์ ผมจะรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด รอบนี้อาจจะนานหน่อย”

ผมตอบรับคำพูดนั้นในลำคอ ตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง เหนื่อยมาก อยากนอนพักในตอนนี้เลยได้ไหมนะ...











คุณเชื่อไหม ผมใช้ชีวิตวนเวียนซ้ำ ๆ อยู่กับขุมนรกแห่งความวุ่นวายนี่เกือบสองเดือน ผมทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อนก็ต้องประสบพบเจอ ไหนจะเข้าประชุมแล้วโดนด่าโดนว่าอีก ไหนจะงานเอกสารที่ต้องหอบเอากลับไปอ่านที่บ้าน พอก้าวเท้าเข้ามาในบริษัทก็ต้องวิ่งไปวิ่งมาเพื่อแก้ปัญหาและช่วยเหลือลูกทีม ร่างกายที่เคยคึกคักกลับมอดดับลงเหมือนเปลวเพลิงที่โดนน้ำราดดับ หลายครั้งหลายหนที่ผมหลับไปกับรายงานบนโต๊ะ เหนื่อย...ทำไมงานไม่ทำเราบ้าง ทำไมงานไม่ทำเอง



เฮ้อ...



ทำงานจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน



การพูดคุยกับคุณรัชชานนท์ก็เว้นช่วงห่างหายกันไป



มีบ้างที่ตอบข้อความ มีบ้างที่โทรคุยถามไถ่ซึ่งกันและกัน



เหมือนพวกเราต่างกำลังสู้รบฆ่าฟันศัตรูเพื่อรอดชีวิต แล้วมาเจอกันอย่างในนิยาย





“พี่ฝากซื้อของหน่อยได้ไหม” เมื่อม่านหมอกความขี้เกียจเริ่มคืบคลาน การขอความช่วยเหลือคงเป็นทางที่ต้องใช้

“พี่ปาณัสม์จะไม่ไปกินข้าวกลางวันอีกแล้วเหรอ” ผมพยักหน้าให้กับรุ่นน้อง ก่อนจะยื่นเงินให้ อยากจะไหว้วาน เพราะตอนนี้งานเยอะมาก มากแบบที่ว่าเห็นแล้วก็คืออยากลาออกจากงานไปนอนมองเพดานโง่ ๆ เลย

“พี่เอานมเปรี้ยวขวดใหญ่ ข้าวผัดกุ้ง ถ้าเจอป้าพี่ฝากซื้อน้ำมะพร้าวหน่อย เจอขนมไทยก็เอามา” ผมร่ายเมนูอาหารที่นึกอยากกินขึ้นมา นั่งทำงานอ่านเอกสารจนพลังงานหมด หิวจนเมนูอาหารงอกเป็นดอกเห็ดขนาดนี้ก็คงไม่แปลก ถึงจะสั่งเยอะ แต่ถ้ากินไม่หมดก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ได้สั่งเพื่อความสบายใจตามประสาคนหิว

“พี่จะนั่งอยู่แบบนี้ทั้งวันจริงเหรอ”

“ก็คงแบบนั้น งานเยอะไม่อยากขยับตัวไปไหน”

“งั้นเดี๋ยวหนูซื้อมานั่งกินกับพี่ด้วยเลยแล้วกัน”



ผมพยักหน้า ก่อนจะกลับไปอ่านรายงานในมือต่อ รอให้รุ่นน้องกลับมาพร้อมกับของที่ฝากซื้อไป แค่นึกถึงบรรดาของกิน ก็รู้สึกหิวมากจนทนไม่ไหวแล้ว





“กุ้งเหม็นว่ะ” ผมดันถ้วยข้าวผัดออกห่างจากตัว กลิ่นเหม็นคาวของกุ้งตีขึ้นจมูก ความอยากอาหารลดลงไปในทันที เวรกรรมอะไรของคนหิว หิวแบบที่ว่ามองอะไรก็ดูน่ากินไปเสียหมด

“เหม็นเหรอพี่” ผมมองรุ่นน้องที่ก้มลงไปดมข้าวผัด

“เออดิ”

“ไม่เห็นจะเหม็นเลย นี่ เดี๋ยวหนูกินให้ดูเลย”

“เหม็นคาวจะตาย” ผมขมวดคิ้วให้กับข้าวผัดตรงหน้า นี่ผมดวงซวยขนาดที่ว่าได้กุ้งเน่าเลยหรือไง

“พี่ทำงานจนจมูกเพี้ยนเปล่า”

“บ้าเหรอ” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบเอาถุงน้ำมะพร้าวมาเทใส่แก้ว ก้มลงไปลองดม เกรงว่าจะได้ของกลิ่นไม่ดีอีก แต่ก็พบว่ามันปกติดี สงสัยคงดวงซวยจริง ๆ นั่นแหละมั้ง

“วันนี้พี่อยู่ทำงานต่ออีกเปล่า อยากให้พักผ่อนบ้างนะพี่ เมื่อวานหนูเห็นพี่หลับคาโต๊ะเลย”

“งานเยอะ กลับบ้านไปก็นอนไม่หลับถ้างานไม่เสร็จ”

“อีกนิดเดียว”

“อีกนิดเดียวจะตายน่ะสิ” ผมจิ้มขนมทองหยอดเข้าปาก รสความหวานที่ละลายอยู่ในปากทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เวลาเครียด ๆ ของหวานช่วยเยียวยาจิตใจได้เสมอ “กินไหม”

“ไม่เอาพี่ พี่กินเลยจะได้มีแรงทำงาน”

ผมนั่งเคี้ยวของหวาน รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองกินเหมือนพายุเข้า ยิ่งเครียดยิ่งกิน คิดแล้วก็รู้สึกแย่ ไฟในการทำงานมอดดับ ดับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้สาเหตุ รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีสมาธิทำอะไรได้นานเหมือนแต่ก่อนแล้ว ทุก ๆ ครั้งที่นั่งทำงาน ความรู้สึกไม่สบายใจที่จะทำมันมีมากเสียจนน่ากลัว และบ่อยครั้งผมก็แอบหงุดหงิดด้วย หงุดหงิดที่งานไม่เป็นไปตามใจของตัวเอง ตลอดเวลาเกือบสองเดือน... มันทำให้ผมรู้สึกเป็นก้อนขี้เกียจแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

















ผมจุดเทียนหอมที่คุณรัชชานนท์เคยให้ไว้ จ้องมองมันส่องแสงพร้อม ๆ กับปล่อยกลิ่นหอมคล้ายกับของคนที่อยู่ห่างไกลกัน เมื่อผมหลับตาลงสูดดมมัน ความรู้สึกแย่ทั้งหมดค่อย ๆ เบาบางลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ผมดึงผ้าห่มมาคลุมตัว เอนตัวลงนอนมองเทียนหอมอันเล็กน่ารัก เปลวไฟขยับไหวไปมาสะกดให้ผมจ้องมองมันอย่างไม่วางตา แสงสีส้มของมันช่างเข้ากับความมืดภายในห้องนอนจริง ๆ

ผมก้มใบหน้าซุกเข้ากับผ้าห่มที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดอยู่ มันเป็นกลิ่นของคุณรัชชานนท์ ผมทำแบบนี้ทุกคืน ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้วนอกจากห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของเราสองคน คิดถึงรสจูบ คิดถึงน้ำเสียงที่เฝ้ากระซิบคำว่ารัก เมื่อไหร่หนอ วันและเวลาจะล่วงเลยผ่านไป อยากตื่นมาเพื่อพบเจอกับร่างสูงใหญ่ของคนรักที่นอนอยู่เคียงข้างกัน





อาการวิงเวียนศีรษะเข้าเล่นงานกันตั้งแต่เช้า...



อาจจะเพราะช่วงนี้ผมพักผ่อนน้อย แถมเครียดด้วย ร่างกายเลยเริ่มแย่ลง อยากลุกไปทำงานแต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะไหว ตัดสินใจโทรไปบอกลูกทีมในทันทีว่าวันนี้ขอลาหยุด มันเหนื่อยจนไม่อยากขยับไปไหนเลย อยากนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ว่าแล้วก็มุดหายกลับเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของคนรัก ไม่นานความง่วงก็พาให้หนังตาของผมหนัก ยากที่จะลืม







โชคดีของผมที่จัดการงานที่บริษัทเสร็จไวก่อนกำหนด เมื่อตวัดปลายปากกาลงลายมือชื่อครั้งสุดท้ายพร้อมเก็บมันใส่ซองยื่นให้นนทัช ผมรีบเก็บกระเป๋าทำงานคว้าเอาข้าวของทุกอย่างมุ่งหน้าเดินออกจากห้องทำงานในทันที จะได้ไปหาคนรักแล้ว อีกอย่าง งานที่ช่วงนี้ดูวุ่นวายก็จะได้เบาลงด้วย ทางปาณัสม์เองก็เช่นกัน ที่มันหนักหนาสาหัสขนาดนี้เพราะความวุ่นวายเมื่อผมถอนการลงทุนกับบริษัทที่เล่นสกปรกกับผมก่อน ถึงจะเสียเพื่อนร่วมลงทุนไป แต่เพื่อความถูกต้องแล้ว ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ผมควรกระทำมากที่สุด

ผมจัดการโทรศัพท์ไปหาปาณัสม์ แต่กลับไม่มีใครรับสาย ตั้งใจว่าจะโทรไปบอกสักหน่อยว่าวันนี้งานทุกอย่างจบลงแล้ว จะได้ไปอยู่ด้วยกันนาน ๆ อย่างที่เคยบอกไว้ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าปาณัสม์ทำไมถึงไม่รับสาย ต่อให้งานจะเยอะมากแค่ไหน เจ้าตัวเล็กจะต่อสายโทรกลับมาหากันทุกครั้ง แต่รอบนี้ไม่ใช่แบบที่คิดเลย



ไม่เป็นไร...



ไปหาแบบเงียบ ๆ เอาก็ได้



ผมมาถึงบ้านของปาณัสม์ในเวลาหกโมงเย็น ก้าวขาลงจากรถรีบเดินไปยังบ้านหลังน้อยในทันที คลื่นความดีใจตีตื้นขึ้นมารวมอยู่ที่อก ระยะเวลาร่วมสองเดือนที่หายหน้าหายตาไปทำงานส่งผลให้ความคิดถึงทำงานอย่างหนัก ยิ่งระยะห่างที่จะถึงตัวบ้านสั้นลง หัวใจของผมยิ่งเต้นระรัว มันเต้นตึกตัก ตึกตัก... เป็นจังหวะของความคิดถึง

ผมไขกุญแจ ประหลาดใจในความเงียบสนิท ทั้งบ้านเงียบราวกับไม่มีคนอยู่อาศัย บ้านมืดไม่มีแสงไฟ ผมเอื้อมมือไปเปิดมัน จัดการพาตัวเองเดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน กลิ่นจาง ๆ ที่เฝ้าคิดถึงลอยมาแตะจมูก มันแผ่วจางคล้ายกลิ่นหอมที่อยู่ห่างไกลแต่ถูกสายลมพัดพามาให้ได้กลิ่น ผมเปิดประตูห้องนอนที่มืดสนิทไม่แพ้ด้านล่าง แต่ภายในบ่งบอกให้ผมรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตแสนรักนอนหลับสบายไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมอาศัยความชินทางสายตา เดินเข้าไปหาก้อนดักแด้ที่นอนขดตัวหลับสนิท ห้องนอนอบอวลไปด้วยกลิ่นเทียนหอม ผมมองมันอย่างเข้าใจ คนรักคงมีอาการติดกลิ่นยามที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยหรือไม่สบายใจเอามาก ๆ เลยต้องพึ่งพามัน

ผมย่อตัวลงจูบที่ขมับของปาณัสม์ เมื่อรู้สาเหตุการหายตัวไปของปาณัสม์แล้วก็ค่อยสบายใจหน่อยว่าไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น มันแค่การนอนหลับพักผ่อน ที่เกิดจากการไม่สบาย เพราะบริเวณหน้าผากมีความอุ่น ๆ ผมจัดการตัวเอง อาบน้ำเปลี่ยนชุด เดินลงไปทำมื้อเย็นเตรียมไว้ให้คนรัก ไม่นานหรอก ประมาณสักครึ่งชั่วโมง เสียงลงฝีเท้าก็ดังขึ้นให้ได้ยิน

“มาถึงนานแล้วเหรอครับ” ร่างเล็กเดินเฉาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“สักพักแล้วครับ คุณรีบกินข้าวนะ แล้วทานยาด้วย ผมเห็นคุณตัวอุ่น ๆ”

“อือ แย่มากเลยช่วงนี้”

“สักพักงานที่บริษัทก็คงอยู่ตัวแล้ว ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยนะครับ” ผมตักน้ำซุปใส่ไปในถ้วย เดินไปวางตรงหน้าคนรักที่ก้มมองของในถ้วยเงียบ ๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมมองปาณัสม์ที่ค่อย ๆ ก้มลงไปดมของกินตรงหน้า “ดีหน่อย กลิ่นหอมดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ทานเยอะ ๆ เดี๋ยวผมจัดผลไม้ไว้ให้” ผมเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบผลไม้มาล้างและหั่นตามความเคยชิน

“คุณรัชชานนท์”

“ว่าไง”

“ออกไปซื้อทองหยอดให้ผมหน่อยได้ไหม” ผมมองหน้าคนรักด้วยความงุนงง

“ตอนนี้เหรอ” ผมถามให้แน่ใจ ปกติปาณัสม์ไม่ค่อยกินของหวานช่วงเวลานี้เท่าไหร่ ปกติจะไปหนักพวกผักและผลไม้มากกว่า

“ซื้อมาเยอะ ๆ เลยได้ไหมครับ ช่วงนี้ผมรู้สึกชอบกินมากสงสัยจะติดมาจากรายการทำอาหาร”

ผมหัวเราะให้กับคำพูดของภรรยา นี่คงนอนดูของกินตอนกลางคืนแล้วอยากกินตามสินะ ผมตอบรับคำขอ ว่าจะออกไปซื้อให้ ไหน ๆ ก็จะออกไปซื้อของข้างนอก เผื่อคนตัวเล็กอยากติดรถออกไปนั่งรถเล่นด้วยกันจึงออกปากชวนเมื่อเห็นว่าปาณัสม์ทานข้าวจนหมดแล้ว

“ไปด้วยกันไหม”

“ไม่เอาดีกว่าครับ” ผมมองตามร่างเล็กที่เดินขึ้นชั้นบนไป



ทำไมวันนี้ไม่ไปข้างนอกด้วยกันนะ...



ปกติร้องตามไปไหนมาไหนตลอด





อาการป่วยของปาณัสม์ดูท่าแล้วจะหนักพอสมควร ผมเฝ้าดูแลอีกคนอย่างใกล้ชิด เป็นแบบนี้มาสามสี่วันแล้วนับตั้งแต่ผมมาอยู่ด้วย ให้กินยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว ทุกอย่างไม่มีลางว่าจะดีขึ้นเลย

“เอางานออกมาทำอีกแล้วเหรอ” ผมมองคนรักที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนที่นอน แต่ถึงจะป่วยมากแค่ไหน ปาณัสม์ก็ยังคงมีใจรักที่จะทำงานไม่เคยเปลี่ยน “นอนพักก่อนปาณัสม์”

“ขอนิดเดียวครับ”

“นิดเดียวของคุณคือจนฟ้าสว่างอีกหรือเปล่า” ผมถอนหายใจ “แล้วที่บ่นว่าปวดท้องหายหรือยังครับ”

“ตอนนี้ไม่ปวดแล้วครับ”

“ไปหาหมอกัน” คนตัวเล็กวางเอกสารลงในทันที ปาณัสม์เป็นโรคเกลียดโรงพยาบาล... ต่อให้ช้างมาฉุด คนตรงหน้าของผมก็ไม่มีวันยอม “ยอมไปเถอะนะ ผมเป็นห่วง”

“ถ้าคุณยังพูดแบบนี้ผมจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”



ครับ...



ผมยอมถอยทัพกลับไปนอนอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ข้างกายคนรัก ก็นะ ไม่อยากโดนโกรธ



วันหยุดเมื่อครบกำหนดซักผ้า ผมจัดการเดินหิ้วตะกร้าผ้าลงไปชั้นล่างของบ้าน เห็นปาณัสม์ยืนหยิบจับเสื้อผ้าก่อนจะโยนลงถังไป ผมส่งต่อให้เขา คนตัวเล็กชี้นิ้วลงพื้นย้ำ ๆ ให้ผมรู้ว่าเอามันวางไว้ตรงนั้นนั่นแหละเดี๋ยวทำเอง ผมเดินออกไปนอกบ้าน งานอย่างอื่นที่ต้องทำมีอีกเยอะ ไม่รู้ว่านึกคึกอะไรถึงชวนกันทำงานบ้าน... ใช่ อยู่ดี ๆ ก็สะกิดผมขึ้นมาให้ช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เช้าตรู่

ผมยืนทำหน้าที่ชาวประมงจำเป็น...

โรยอาหารเม็ดให้ปลาสวยงามที่ภรรยาเลี้ยงไว้

นอกจากปลาแล้วก็ยังมีเต่าญี่ปุ่น... ที่เพิ่งจะซื้อมาไว้ที่บ้าน ผมยืนมองหน้าของมัน อะไรเป็นแรงจูงใจให้ปาณัสม์อยากได้สิ่งมีชีวิตพวกนี้กัน ผมนั่งยอง ๆ เล่นกับเต่าตัวเล็กสีเขียว ๆ แก้มแดง ๆ ปาณัสม์สอนให้มันเดินมาหา ฟังรู้เรื่องเหมือนเลี้ยงหมาไว้

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมพาตัวเองกลับเข้าบ้านไป ไม่เห็นปาณัสม์อยู่ตรงเครื่องซักผ้า สงสัยจะอยู่บนห้องนอนแน่ ๆ ไปบอกคนรักก่อนว่าเลี้ยงบรรดาลูก ๆ ในสวนข้างบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผมบิดลูกบิด ออกแรงเปิดประตู

“ปาณัสม์ ผม...”





“คุณรัชชานนท์... ผมเลือดออก”

















//พ่อ!!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด