ตอนที่ 16 แก้มอ้วนๆของคนแอบชอบ
'นี่คือคำเตือน หาย ไป ซะ สีเทียน'
เมื่อสิ้นเสียงของพี่ภูผาที่อ่านข้อความที่เขียนไว้บนกระดาษขนาดเอสี่จบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสนิท สีหน้าของพี่ภูผาตอนนี้แปรเปลี่ยนจากแววตาหยอกล้อเเละเจ้าเล่ห์ที่มีก่อนหน้า เป็นสีหน้าที่เคร่งขึมเเละเเววตาที่ดุดันเเทน
ส่วนสีหน้าของผมนั้นไม่ต้องเดาเลยครับ ตอนนี้หน้าของผมซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีกครับ ก็ข้อความบนกระดาษชวนเสียวสันหลังวาบเเบบนั้น สีเทียนคนนี้ไม่ร้องไห้ออกมาก็ถือว่าเข้มแข็งมากๆเเล้วครับ อยากปรบมือรัวให้ตัวเองเลย
"เหมือนว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวๆนะครับ"
หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่นานในที่สุดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง พร้อมกับมือที่ยังคงกำกระดาษใบนั้นไว้แน่น
"ครับ"
เมื่อจบคำตอบรับของผมพี่ภูผายื่นมือมาจับข้อมือของผมพร้อมกับดึงเบาๆให้ผมเดินตามไป โดยที่ผมก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย
"มาคุยกันครับ"
คำพูดที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของคนข้างๆถูกส่งมายังผมทันทีที่เราสองคนนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีเป็นที่เรียบแล้ว
"เราได้ไอ้จดหมายนี้มายังไงครับ" พี่ภูผาชูกระดาษที่ถืออยู่ในมือโบกไปมา
"อืมมมม" ผมครุ่นคิด ถึงที่มาของจดหมายฉบับอยู่แป็บนึงก่อนจะนึกออก "อ้อ! ลุงยามครับ"
"ลุงยาม?"
"ครับ ผมจำได้ว่าเหมือนจะมีคนมาฝากไว้กับลุงยามที่ด้านล่างคอนโดครับ"
"แล้วเราได้ถามลุงยามไหม ว่าใครเป็นคนฝากมา"
"ถามครับ ลุงยามบอกว่าเป็นพนักงานส่งของของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งครับ"
"เเล้วเราได้มันมาตั้งเเต่เมื่อไหร่ครับ"
"ผมก็ไม่เเน่ใจว่านานเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะนานพอสมควรครับ"
เมื่อได้ยินคำตอบของผมคนข้างๆผมก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิมอีกหนึ่งระดับ
"พี่ภูผา" ผมเอ่ยเรื่องคนข้างๆเบาๆ
"ครับ?"
"พี่ภูผาไม่เป็นไรนะครับ"
"พี่ไม่เป็นไรครับ แต่คนที่เป็นน่าจะเป็นเรามากกว่านะ"
เมื่อได้ยินคำตอบของพี่ภูผา ความกังวลก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จริงอย่างที่ภูผาบอกเลยครับ ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงโดนคนหมายหัวเเล้วจริงๆละครับ เเต่ผมก็คิดไม่ออกจริงๆว่าผมไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจขนาดนี้ ทั้งๆที่ชีวิตผมในขณะนี้มีเเค่การทำอาหาร นอนเล่นที่ห้อง ไปเรียน นั่งคุยกับขนมตุลา เเละก็แอบรักพี่ภูผาในทุกๆวัน ก็เท่านั้นเอง
เฮ้อ! มันจะมีอะไรร้ายเเรงอีกไหมนะ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะโดนขังไป กลับมาปุ๊บก็มีเรื่องให้กังวลต่อแทบจะทันที ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้ผมจะโดนผลักตกจากบันไดจนขาหักหรอกนะ แบบนี้มันคล้ายๆกับสุภาษิตไทยที่ว่า 'ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก' หรือเปล่านะ
"พี่ขอเก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ได้หรือเปล่าครับ"
"ครับ ว่าแต่พี่ภูผาจะเอาไปทำไมเหรอครับ"
"ไม่ใช่เรื่องของเด็กครับ" ว่าเสร็จเจ้าตัวก็พับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกงทันที
"ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย แก่กว่าปีเดียวขยันคุยจัง" ผมมุ่ยหน้าใส่คนข้างๆอย่างลืมตัว
"โอเคครับ ไม่เด็กก็ไม่เด็กเนอะ"
ผมยิ้มให้พี่ภูผาทันทีเมื่ออีกฝ่ายยอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กแล้ว
"นอกจากครั้งนี้เเล้วเราเคยได้รับพวกจดหมายเเนวๆนี้หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่แปลกๆอีกหรือเปล่า"
"จดหมายแนวๆนี้เหรอครับ"
"ใช่"
"อ้อ เคยครับ!" ผมยืดตัวตรง ยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างลืมตัว เมื่อตัวเองนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะค่อยๆลดละดับมือตัวเองลงเเละมาวางไว้บนตักเช่นเดิม "คือผมเคยได้รับจดหมายมาก่อนหน้านี้ครั้งนึงครับ ตอนนั้นผมกำลังรอพี่ภูผาที่กำลังไปเอารถ แล้วจู่ๆก็มีคนมาสะกิดบอกว่ามีคนฝากกระดาษใบนั้นมาให้ พอผมถามว่าใครเขาก็ชี้ให้ดูมายืนอยู่ตรงต้นไม้ เเต่เมื่อพอหันไปมองก็ไม่เจอใครเเล้วครับ"
"เเล้วข้อความในกระดาษเขียนว่าไงครับ"
"เขียนคล้ายๆกันเลย ว่าให้ผมหายไปซะ"
"ใช่วันที่เราขอให้พี่คุยเป็นเพื่อนจนกว่าจะหลับไปหรือเปล่า"
"ชะ ใช่ครับ"
"เเล้วทำไมวันนั้นเราถึงไม่บอกพี่ครับ" น้ำเสียงดุๆของคนข้างๆถามขึ้น
".................." ผมก้มหน้ามองต่ำเพราะไม่กล้าสบตาด้วยก็พี่ภูผาตอนนี้ ก็สีหน้าเหมือนของพี่ภูผาในตอนนี้อย่างกับคนที่ถ้าผมตอบคำถามไม่ตรงใจ เจ้าตัวก็พร้อมจะจับผมทุ่มลงพื้นตลอดเวลาเลยละครับ
"สีเทียนครับ" การเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆของใครอีกคนทำให้ผมเสียวสันหลังวาบในทันที
"พะ พี่ผา อย่าดุเราซี~~~~" และด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อโดนข้างๆดุ ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของผมนั้นกลายเป็นการส่งน้ำเสียงเเละสายตาที่ออดอ้อนไปยังคนข้างๆอย่างอัตโนมัติ
"สีเทียนห้ามอ้อนครับ"
"ระ เรา เอ้ย ผมไม่ได้อ้อนซะหน่อย" เเม้ปากจะปฏิเสธ เเต่สายตาที่ส่งไปยังคงมีความเว้าวอนเเละขอความเอ็นดูจากคนข้างๆอย่างแรงกล้าผสมอยู่
"ที่เราทำอยู่ตอนนี้เขาเรียกว่าอ้อนครับ" พี่ภูผายกมือขึ้นกอดอก "เพราะฉะนั้นรบกวนห้ามอ้อนด้วยครับ เพราะมันจะทำให้พี่ใจอ่อนเเละดุเราไม่ลง เรามีความผิดอยู่นะครับ มาคุยกันก่อน"
"ก็ได้ครับ" ผมยอมจำนนต่อความผิดของตัวเองอย่างง่ายดาย
"ดีมากครับ" พี่ภูผายื่นมือมาลูบหัวผมสองสามทีก่อนจะชักมือกลับไป "ทีนี้บอกได้หรือยังครับว่าวันนั้นทำไมถึงไม่บอกพี่"
"คือผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะใหญ่เเบบนี้ ผมคิดเเค่ว่าเป็นการเเกล้งเล่นกันก็เท่านั้นเอง"
"เเต่มันก็ทำให้เราไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ"
"ครับ วันนั้นผมยอมรับว่าผมไม่สบายใจมาก เเต่ว่า..." ผมเว้นการพูดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ภูผา มองตรงเข้าไปในดวงตา เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้มันมาจากข้างในใจผมจริงๆ "เพราะวันนั้นมีพี่ภูผาคอยอยู่ข้างๆมันเลยทำให้ทั้งความกลัว เเละความกังวลใจที่มีอยู่มันหายไปหมดเลยครับ ผมสบายใจจนลืมมันไปจนสนิทเลย เหมือนกับตอนนี้ที่ผมก็รู้สึกกลัว เเต่เพราะมีพี่ภูผานั่งอยู่ตรงนี้ ความกลัวของผมเลยบางเบาลงไปมากเลยครับ"
"เราก็เป็นซะอย่างนี้ เเล้วพี่จะกล้าดุเราต่อไหม"
หลังจากที่ทำหน้าดุอยู่ตั้งนานในที่สุด พี่ภูผาก็อมยิ้มเเล้ว เเม้จะยิ้มเเค่นิดเดียวเเต่ก็ยิ้มละนะ
"งั้นก็อย่าดุสิครับ พี่ภูผาตอนดุน่ากลัวจะตาย"
"พี่น่ากลัวขนาดนั้นเลย"
"ครับ!" ผมตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เเต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ผมจึงหดหัวกลับมาเล็กน้อย "แฮ่ นิดเดียวครับ น่ากลัวนิดเดียว เเต่ไม่ดุน่ารักกว่าเยอะครับ" ผมยกนิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้ให้คนข้างๆดูว่ามันนิดเดียวจริงก่อนจะยิ้มประจบเป็นการส่งท้ายแถมคำชมไปด้วยอีกนิดนึง
"พี่ก็ไม่ได้อยากจะดุเราหรอก เเต่ที่พี่ดุเพราะพี่แค่เป็นห่วงเรามากๆก็เท่านั้นเอง"
"ครับ"
"ดังนั้นเเล้ว วันหน้าถ้าเกิดเรื่องเเบบนี้อีกหรือมีอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจเเม้เพียงนิดเดียว สีเทียนบอกพี่ได้ไหมครับ" สายตาที่จริงจังถูกส่งมายังผม "พี่อยากเป็นความสบายใจของสีเทียนเเละเป็นคนที่สีเทียนสามารถพึ่งพาได้นะ"
น่านนนน! โดนเข้าเเล้วไงสีเทียน พี่ภูผาอย่ายิ้มละมุนใจเเบบนั้นนะครับ ได้โปรดดดด
ห้ามเขินนะ ห้ามหน้าเเดงนะ ฮึบไว้สีเทียน ฮึบไว้ บรรยากาศกำลังมาคุนายจะปลื้มปริ่มในใจไม่ได้นะ
"หน้าเเดงอีกเเล้ว"
ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ขออภัยด้วยครับกระบวนการฮึบของคุณล้มเหลว เพราะพลังทำลายล้างของฝ่ายตรงข้ามรุนเเรงต่อหัวใจจนเกินไป คุณเเพ้อย่างราบคาบครับ
เอิ่ม! ว่าเเต่พี่ภูผาครับ ล้ออย่างเดียว มืออย่าจิ้มเเก้มผมได้ไหมครับ ไม่งั้นผมได้ระเบิดตัวเองตายจริงๆ แน่ครับ
"อะแฮ่ม อืม ผะ ผมร้อนต่างหากครับ" ผมเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากการโดนนิ้วชี้ที่เรียวยาวของคนตรงหน้าจิ้ม ยกมือขวาขึ้นพัดไปมาบริเวณหน้าของตัวเอง
"ครับ ร้อนก็ร้อน" ดูจากสีหน้าของพี่ภูผาเเล้วมันมีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าเชื่อผมกันครับ
หลังจากนั้นผมก็โดนพี่ภูผาซักถามเรื่องราวต่างๆ ต่ออีกสักพัก เราสองคนกลับเข้าสู่โหมดจริงจังกันอีกครั้ง พี่ภูผามีสีหน้าของความกังวลฉายชัดบนใบหน้า ส่วนผมมีทั้งความกังวล ความกลัว ความสงสัย ความอยากรู้ ผสมปนเปอยู่เต็มไปหมด เเละสิ่งหนึ่งของความรู้สึกที่ชัดเจนคือความปลอดภัย ถึงเเม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่น่าจะปลอดภัย เเต่เพราะมีพี่ภูผาคอยนั่งอยู่ใกล้ๆ ความรู้สึกปลอดภัยจึงก่อตัวขึ้นมา ถ้าตอนนี้ผมอยู่แค่ตัวคนเดียวคงจะนั่งจิตตกเเละร้องไห้ขี้มูกโป้งแล้วเเน่ๆครับ
ถาม-ตอบ กันไปสักพัก ก็หมดเรื่องที่จะถาม เเละได้ข้อสรุปว่า พรุ่งนี้คงต้องปรึกษาเพื่อนๆด้วย เพราะเรื่องราวดูไม่น่าไว้ใจ ให้ทุกๆรับรู้เเละช่วยสืบ ส่อง เสาะ หา ดูเเล น่าจะดีกว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะต่อให้โดนสั่งห้ามไม่ให้บอกใคร ยังไงผมก็ไม่มีทางปิดบังขนมกับตุลาเเน่ๆเเละเหมือนพี่ภูผาจะเข้าใจถึงจุดนี้ดี
"กลัวไหมครับ"
ผมที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตอนนี้ยื่นมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน เเละน้ำเสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมา ทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก ตอบออกไปตามความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเอง
"ถ้างั้นก็ไปครับ ไปนอนกัน"
"หืออออ! " ผมอดที่จะทำสีหน้าตกใจออกไปไม่ได้ อะไรคือความเชื่อมโยงของเหตุการณ์นี้ครับ เมื่อกี้เราสองคนกำลังเครียดๆ กันอยู่ จากนั้นก็เเทนที่ด้วยความเป็นห่วงที่อ่อนโยน เเล้วทำไมถึงมาจบที่การชวนไปนอนได้ละครับ ผมยังอยากนั่งสัมผัสความเป็นห่วงอันอ่อนโยนต่ออีกนิดนะครับ
"ตกใจอะไรของเรา" อีกฝ่ายว่าด้วยสีหน้าขำๆ
"ก็ ก็ผมปรับอารมณ์ตามไม่ทันหนิครับ"
"พี่เเค่อยากให้เราพักผ่อน วันนี้นั่งรถมาทั้งวัน เเถมยังมาเจอเรื่องเเบบนี้อีก ยังไงพรุ่งนี้เราก็ได้เครียดเเน่ครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ เวลานี้ เราไปนอนเอาเเรงกันก่อนครับ"
"เรา? " ผมเน้นย้ำเป็นเชิงถามถึงความหมายของคำว่าเรา
"ใช่ครับ เรา ที่หมายถึง พี่ กับ สีเทียน"
"พะ พี่ภูผาจะนอนที่นี้เหรอครับ"
"ใช่ ตอนเเรกพี่ก็กะว่าจะกลับบ้าน เเต่พอเจอเหตุการณ์เเบบนี้พี่คิดว่าไม่ควรปล่อยเราให้อยู่คนเดียว พี่หวังว่าเราจะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของพี่เเละไม่ไล่พี่ให้ขับรถกลับบ้านเวลานี้ใช่ไหมครับ" น้ำเสียงออดอ้อนนิดๆ ของพี่ภูผาทำให้ผมใจอ่อนยวบ
"ได้เเน่นอนอยู่เเล้วครับ! " ผมรีบตอบออกไปด้วยเสียงที่ดังฟังชัด อ่า! มันไม่ดูดีใจจนเกินงามใช่ไหมนะ เเล้วไอ้หน้าที่กำลังอมยิ้มน้อยๆ ของตัวเองเมื่อไหร่จะหุบลงได้ละเนีย
หลังจากที่ได้ข้อสรุปว่าวันนี้เราจะพักเอาเเรงกันก่อนเเล้วค่อยไปเครียดกันต่อในวันพรุ่งนี้ จากนั้นพี่ภูผาก็ลงไปเอาเสื้อผ้าของตัวเองที่อยู่ในรถ ก่อนจะไปอาบน้ำจัดการตัวเองเรียบร้อยเเละตอนนี้พี่ภูผาก็กำลังนอนอยู่บนเตียงผมเเละเล่นโทรศัพท์ด้วยท่าทางสบายๆ
"เอิ่ม พะ พี่ภูผาจะนอนบนเตียงด้วยกันเหรอครับ"
"ใช่ครับ"
"มะ ไม่มีความคิดเเบบ เดี๋ยวพี่ไปนอนโซฟาเองอะไรทำนองนี้เหรอครับ" ผมลองถามอีกฝ่ายออกไป เพราะตัวเองรู้สึกเขินๆกับการนอนเตียงเดียวกันยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างปกติเเล้วถ้าเจอเเบบนี้ ถ้าจะให้ดูโรเเมนติกเเละประทับใจอีกฝ่ายต้องเสียสละตัวเองไปนอนที่โซฟาไม่ใช่เหรอ
"ไม่มีครับ พี่อยากนอนแบบสบายๆมากกว่าไปนอนทรมานบนโซฟาครับ"
ตอบเสียงดัง หนักเเน่นเเละเหตุผลมาเต็มขนาดนี้ ก็คงต้องยอมเขาเเหละเนอะ
"อ่า ครับ ผมปิดไฟเลยนะครับ"
ผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้เเต่เอื้อมมือไปปิดไฟอย่างจำนน เเละเดินตัวลีบตรงไปยังเตียงนอน ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวเองลงเตียงอย่างเเผ่วเบา ราวกับกลัวว่าความยวบของเตียงจะไปรบกวนคนข้างๆ ค่อยๆสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เเละดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ เเละความจริงที่ผมได้ค้นพบอีกหนึ่งข้อของคืนนี้คือ นอกจากนอนเตียงกันเเล้ว ผ้าห่มก็ห่มผืนเดียวกันอีกด้วย
ผีบ้านผีเรือนได้โปรดช่วยสีเทียนด้วย! ไม่ทันเตรียมใจเลย
"นอนตัวเเข็งทื่อเเบบนั้น เดี๋ยวก็เมื่อยตัวหรอก"
"ไม่เมื่อยหรอกครับ"
"เรากลัวพี่เหรอครับ "
"มะ ไม่ใช่นะครับ"
"ถ้าไม่ใช่ก็นอนดีๆครับ เราทำเเบบนี้พี่จะคิดว่าเรารังเกียจพี่"
"ผะ ผมไม่ได้รังเกียจเลยนะครับ คะ เเค่ เเค่รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่นอนเตียงเดียวกัน"
"หืม จะรู้สึกแปลกทำไม ก่อนหน้านี้ก็นอนด้วยกันตั้งหลายคืน เเถมยังละเมอกอดพี่ทุกคืน"
เพราะมีเเค่เเสงสลัวที่มาจากหน้าต่างเท่านั้นทำให้ตอนนี้ผมไม่สามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าเเบบไหนเเต่จากน้ำเสียงที่พูดมา ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าล้อเลียนผมอยู่เเน่ๆ
"ถ้างั้นคืนนี้ผมจะกระโดดขึ้นไปทับพี่ภูผาทั้งคืนเลยครับ"
"ถ้าอย่างนั้นขึ้นมาตอนนี้เลยครับ" ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายก็เอื้อมมือมากระชากเเขนผม จนทำให้ตอนนี้ผมแทบจะขึ้นไปอยู่บนตัวพี่ภูผาจริงๆ
"ผะ ผมพูดเล่นครับ"
"แต่พี่ทำจริงครับ"
"นะ นอน นอนกันดีกว่าครับดึกเเล้ว นอนครับ นอน" ผมว่าเร็วๆขยับตัวออกมานอนบนหมอนตัวเองตามเดิม ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวตัวเองจนมิด
คิดจะสู้กับคนอย่างนายภูผา ชลอนันตร์ ไม่ง่ายจริงๆด้วย เฮ้อ! จะไหวไหมเนียสีเทียน
เวลาผ่านไปซักพักผมที่ยังคงนอนไม่หลับก็รับรู้ถึงลำเเขนหนักๆของคนที่นอนข้างๆพาดผ่านตัวผม ผมหันหน้าไปมองคนข้างๆ ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปบนเเก้มเบาๆสองสามที
"อันนี้ละเมอหรือเเกล้งกันเเน่ครับ" รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม
เเต่ไม่ว่าพี่ภูผาจะละเมอหรือตั้งใจ ยังไงมันก็ดีมากๆเลย ผมขยับตัวเองเบาๆเข้าไปใกล้พี่ภูผามากขึ้นกว่าเดิม จนตอนนี้ผมเเทบจะขึ้นไปนอนทับพี่เขาจริงๆอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้าเเล้ว ผมรู้สึกถึงเเรงกระชับของอ้อมเเขนที่เเน่นขึ้นของคนข้างๆ ผมนอนตัวเกร็งทันทีเพราะกลัวว่าคนข้างๆจะตื่นขึ้นมา เเต่นับว่าผมยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่คนข้างๆไม่ตื่นขึ้นมา
ก็อ้อมกอดนี้มันอบอุ่น มีโอกาสก็ขอใช้หน่อยก็เเล้วกันนะครับ
จากที่มัวเเต่กังวล คิดสับสนจนในหัวมันตีรวนจนนอนไม่หลับ เเต่เพียงเเค่ได้รับอ้อมกอดจากคนข้างๆก็ทำให้ความคิดยุ่งเหยิงหายไปแทบทั้งหมด เเละรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ
เเม้คืนนี้จะมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ เเต่ก็มีเรื่องที่ทำให้สุขใจเช่นกัน
ขอบคุณที่คอยเป็นห่วง เเละอยู่ข้างๆ
ขอบคุณอ้อมกอดที่ช่วยปลอบประโลมให้ทุกอย่างเบาบางลงนะครับ
ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจจีบพี่ภูผาให้ติดนะครับ รอผมหน่อยนะครับ
อ้อมกอดนี้เก็บไว้ให้ผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเอาไปให้คนอื่น
ส่วนเรื่องราวความยุ่งเหยิง เจอกันพรุ่งนี้นะครับ วันนี้สีเทียนขอพักก่อนนะ
"ทำไมกูไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่ามีเหตุการณ์เเบบนี้เกิดขึ้นกับมึง" น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยใจของผู้พูดเป็นอย่างดีดังขึ้น
หลังจากที่มาถึงมหาลัย ผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะ โดยประกอบไปด้วย ผม ขนม ตุลา พี่วา พี่ธูป พี่ภูผา เเละอีกคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยคือพี่โก้ ตอนที่ผมมาถึงที่โต๊ะเล่นเอาผมตกใจจนเเทบช็อกเลยครับ เพราะปกติเเล้วผมแทบไม่ได้เจอพี่โก้ในมหาลัยเลย เมื่อสิ้นเสียงของผมที่เล่าเรื่องราวต่างๆจบลงก็เป็นขนมคนเเรกที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวน้อยใจเเละงอนผมมากๆ
"เราขอโทษ ขนมอย่าโกรธเราเลยนะ" ผมหันไปทำสีหน้าอ้อนวอนเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ
"ถ้าไม่เกิดเรื่องเเบบนี้ขึ้น มึงก็ไม่คิดที่จะบอกพวกกูเลยใช่ไหมสี"
"มะ ไม่ใช่เเบบนั้นนะตุลา"
"เเล้วมันเเบบไหน"
"คือเราไม่อยากให้ขนมกับตุลาเป็นห่วง และอีกอย่างเราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เเบบนี้"
ถึงเเม้ว่าผมจะเตรียมใจมาบ้างเเล้วที่จะโดนเพื่อนสนิททั้งสองคนโกรธ เเต่พอมาเจอเเบบนี้จังๆก็ทำให้ผมใจเสียไม่น้อยเลย
"ต้องรอให้มึงโดนกระซวกไส้ทะลักก่อนหรือไง มันถึงจะเป็นเรื่องใหญ่พอสำหรับมึง"
"ขน๊มมมมม เราผิดไปเเล้ว ขนมอย่าโกรธเราเลยนะ" ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ขนม ยื่นมือไปคล้องเเขนขนมเอาไว้ ใช้หน้าถูไถกับเเขนของขนมไปมา "เรารู้สึกผิดเเละเสียใจจริงๆนะ"
"เฮ้อ มึงนี่นะ ทำผิดเเล้วก็ชอบมาอ้อนให้กูใจอ่อน"
ผมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ให้ขนม เมื่อรู้ว่าตอนนี้เพื่อนของตัวเองกำลังจะใจอ่อนให้ผมเเล้ว
"มึงอย่ามายิ้มเเบบนั้นนะ ไอ้สีเทียน" ขนมหันมาดุผมเบาๆ "กูเป็นห่วงมึงมากนะเว้ย เเล้วก็เสียใจด้วยที่มีเรื่องขนาดนี้เเต่มึงก็ไม่บอกกู ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงกูจะทำยังไง กูอยากเป็นเพื่อนอยู่กับมึงทั้งทุกข์เเละสุข ไม่ใช่เเค่สุขอย่างเดียว มึงเข้าใจกูไหม"
"เรารักขนมมากๆนะ" ผมยังคงส่งยิ้มให้ขนมอยู่ "กับตุลาเราก็รักมากๆเหมือนกันนะ ตุลาอย่าโกรธเรานะ"
"มึงนี้มันจริงๆเลยไอ้สี" ตุลาเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ "ที่ไอ้หนมมันพูดมาก็ถูกนะ กูก็อยากเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมึงนะ ไม่ใช่เพื่อนที่อยากจะสุขอย่างเดียว ถึงเราจะเจอกันไม่นาน เเต่สำหรับกูมึงเป็นเพื่อนที่กูรักมากๆคนนึงเลยนะ" เมื่อสิ้นคำพูดของตุลานั่นยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
"เราขอโทษทั้งสองคนจริงๆนะ เราคิดน้อยไปเอง ขนาดที่ว่ามีจดหมายส่งมาขู่เเต่เราก็เงียบเฉย มัวเเต่พะวงว่าจะทำให้ทั้งสองคนเป็นห่วง โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าถ้าสองคนมารู้ทีหลังจะรู้สึกเเย่เเค่ไหน ขอโทษจริงๆนะครั้งหน้าเราจะบอกทั้งสองคนทันทีเลยนะ"
"คิดได้ก็ดี" ขนม
"ให้มันจริงอย่างที่พูด" ตุลา
"รักที่สุด" สัญลักษณ์บอกรักถูกส่งไปให้ทั้งสองคน
"น้องเทียนไม่บอกรักพี่ธูปบ้างเหรอครับ"
"เงียบไปเลยมึงอ่ะ"
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่ธูปออกไป พี่ภูผาก็เเย่งพูดขึ้นมาซะก่อน
"ไม่ได้เลยนะมึงไอ้ภู นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลย"
"พวกมึงเลิกเถียงกัน เเล้วมาคุยกันเรื่องของไอ้อุปกรณ์เครื่องเขียนก่อนไหม" พี่โก้ที่เงียบอยู่นานว่าขึ้น
"จริง กูฟังเรื่องที่น้องเทียนเล่า เเล้วรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ" พี่วาว่าขึ้น
"น้องเทียนสงสัยใครเป็นพิเศษไหมครับ"
"ไม่เลยครับพี่วา ผมไม่รู้จริงๆว่าใครที่ต้องการให้ผมหายไป"
"เเล้วทำไมใครคนนั้นถึงต้องการให้มึงหายไปด้วยวะสี"
"ขนมถามเราเเล้วจะให้เราไปถามใครเนีย"
"พี่ภู"
"ว่า?"
"ผมไม่ได้เรียกพี่สักหน่อย"
"ไม่เรียกเชี่ยรัยเดือนสิบ เมื่อกี้กูได้ยินมึงเรียกชื่อไอ้ภูอยู่"
"ไม่ คือผมกำลังจะบอกว่า พี่ภู"
ตอนนี้ทั้งโต๊ะหันไปมองตุลากันเป็นตาเดียว เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตุลาต้องการจะสื่อออกมา
"ผมว่าบางที อาจจะเป็นใครสักคนที่ชอบพี่ภู"
"เป็นไปได้" พี่วาเอ่ยเห็นด้วย
"เออ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะถ้าลองคิดดีๆ เหตุการณ์มันเริ่มเกิดขึ้นตอนที่ไอ้ภูเข้าหา..... เอ้ย ตอนที่ไอ้ภูกับน้องเทียนสนิทกันเเล้ว"
"ถ้างั้นก็งานยากเลยนะไอ้ธูป"
"ยากยังไงอ่ะพี่โก้"
"มึงคิดดูนะขนมหวาน ว่าถ้าเป็นเเฟนคลับไอ้ภูจริงๆ เเล้วเราต้องตามหาต้นตอว่าเป็นใคร เราไม่ต้องหากันตาเหลือกเหรอวะ แฟนคลับไอ้ภู แม่ง ปาไปครึ่งค่อนมหาลัย"
เมื่อฟังคำที่พี่โก้พูดผมก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะสิ่งพี่โก้พูดมันไม่ได้เกินไปหรอกครับ
ผมนั่งฟังคนอื่นๆพูดคุยกันไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวผมเองทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหาช่องไฟในการเข้าเเทรกได้เลย เเค่ขนมคนเดียวผมก็เเย่เเล้ว เจอพี่ธูป พี่โก้ เข้าไปอีก เจอเเบบนี้นั่งฟังเเละคอยตอบคำถามทั้งสามคนดีกว่าครับ
นั่งฟังไปได้สักพักจู่ๆสมองผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้
"ทุกคน!" ผมตะโกนออกไปเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนหยุดนิ่งเเละหันมาทางผม ซึ่งมันได้ผล ตอนนี้ทุกคนหันมามองผมอย่างพร้อมเพรียงกัน
"เป็นไรของมึง"
"คือ ขอโทษนะ เเต่เราคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้"
"เรื่องอะไรเหรอครับ" พี่ภูผาถามขึ้น
"คือว่า พี่ภูผาจำวันที่เราไปซื้อของเเล้วไปเจอพี่เท็นในห้องน้ำได้ไหมครับ"
พี่ภูผาพยักหน้าตอบรับ
"วันนั้นก่อนที่พี่ภูผาจะเข้ามาตามผมในห้องน้ำ ผมได้มีโอกาสยืนคุยกับพี่เท็นอยู่แป็บนึง เเละมีประโยคแปลกๆที่พี่เท็นพูดออกมาด้วยครับ"
"พูดว่าไรวะสี"
"พี่เท็นบอกเราว่า ถ้าคิดจะยุ่งกับพี่ภูผา ก็ให้เราระวังตัวเอาไว้สักหน่อย คนที่เป็นที่หมายปอง มักมีมือที่เรามองไม่เห็นคอยมองอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดีเเบบที่เราเห็นนะ"
"หรือว่าไอ้พี่เท็นมันจะรู้อะไร" พี่ธูปพูดขึ้น
"หรือกูไปหลอกถามไอ้พี่เท็นดี" พี่วาเสนอไอ้เดีย
"อย่าเพิ่ง" พี่ภูผาเอ่ยห้ามเพื่อนของตัวเอง
"ทำไมวะ"
"เออนะ"
"โอเค"
เเค่คำว่า 'เออนะ' ของพี่ภูผาเเค่คำเดียว ทำให้พี่วายอมเเพ้ไป พร้อมกับพยักหน้าราวกับว่าตัวเองเข้าใจคำว่า 'เออนะ' ของพี่ภูผาอย่างเเจ่มเเจ้ง
"กูเริ่มกลัวเเทนมึงเเล้วนะไอ้สี" สีหน้าที่จริงจังของเพื่อนสนิทอย่างขนมหันมามองผม
"นั่นสิ ถึงขั้นรู้ที่อยู่ของมึงด้วยนะ กูว่าไม่ปลอดภัยมากๆ"
"เออ จริงอย่างที่ไอ้ลาว่า มึงย้ายมาอยู่กับกูไหมสี"
"ถ้ามึงไม่อยากไปอยู่ห้องสกปรกๆของไอ้หนม มาอยู่กับกูก็ได้นะ"
"เดี๋ยว ทั้งสองคนใจเย็นๆก่อน"
ผมยิ้มน้อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบอกให้ทั้งสองคนหยุดก่อนเเละให้ใจเย็นๆ
"เย็นได้ไงว้า มึงไม่เข้าใจกู" คนดื้อเเละขี้น้อยใจมีอยู่จริง
"ขนมอย่าเพิ่งงอน เราว่าคงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างคอนโดเราก็ใช่ว่าใครๆจะเข้าได้ง่ายๆสักหน่อย"
"ไม่รู้อ่ะ ยังไงกูก็ไม่สบายใจกับการปล่อยมึงอยู่คนเดียว"
"ใช่ กูว่าช่วงนี้มึงมาอยู่กับพวกกูสักพักดีกว่า ไม่งั้นพวกกูคงไม่เป็นอันทำอะไรเพราะมัวเเต่เป็นห่วงมึงเเน่ๆไอ้สี"
"ถ้าไม่อยากไปอยู่กับไอ่สองคนนั้น น้องเทียนสนใจมาอยู่กับพี่ เอ้ย! สนใจมาอยู่กับเพื่อนพี่ไหมครับ" สิ้นเสียงของพี่ธูปความเงียบก็กลับมาสู่โต๊ะผมอีกครั้ง
"เอ้าเงียบกันทำไมครับทุกคน"
"เราส่งจะลูกลิงไปอยู่กับหมาป่าไม่ได้นะเว้ยไอ้พี่ธูป ไอ้สีต้องมาอยู่กับผม"
"มึงอย่าขัดขวางดิว่ะไอ้หนม ถ้ามึงอยากได้เพื่อนนอน เดี๋ยวกูไปนอนเป็นเพื่อนเอง"
"ใครจะอยากไปนอนกับพี่ว่ะ" ขนมเเยกเขี้ยวขู่พี่ธูปฟ่อๆ ส่วนพี่ธูปก็ทำเพียงเเค่ยักไหล่ ไม่ได้มีความกลัวสักนิดเดียว
"อะ เออ เอ้อ ดีเลยความคิดมึงไอ้ธูป ดีเลย ยังไงน้องเทียนก็มามหาลัยพร้อมกับไอ้ภูอยู่เเล้ว อีกอย่างคอนโดไอ้ภูก็มีตั้งสองห้อง สะดวกกว่าเยอะ เเถมอยู่กับไอ้ภูก็ปลอดภัยเเน่นอน" เมื่อพูดเสร็จผมสังเกตเห็นพี่วาตวัดสายตาไปมองพี่ภูผาเเบบเคืองๆก่อนจะก้มเอามือไปลูบหน้าเเข้งตัวเอง โดนมดกันหรือเปล่านะ
"จริง จริงเลย ที่ไอ้ธูปกับไอ้วาพูดมามีเหตุผล ใช่เลย! ไปเลยอุปกรณ์เครื่องเขียน มึงไปอยู่กับไอ้ภูเลย กูรับรองความปลอดภัยเลย"
"เดี๋ยวพี่โก้ ทำไมทำท่าทางเเปลก"
ผมอยากจะขอบคุณขนมมากๆที่ถามคำถามนี้เเทนผม ท่าทางของพี่โก้ดูมีพิรุธจนชวนให้สงสัย
"อะไร๊ ขนมหวาน มึงคิดไปเอง" ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งมีพิรุธนะคนคนนี้ เเล้วอะไรคือการที่พี่รหัสของผม หันซ้ายหันขวา มีอารมณ์ชมนกชมไม้ตอนนี้ครับ
"ก็ดีนะสี" ตุลาว่าขึ้น "อยู่กับพี่ภูกูจะได้ค่อยสบายใจหน่อย"
"เเต่กูจะเครียดยิ่งกว่าเดิม ตอนเเรกห่วงจะโดนทำร้าย ทีนี้ต้องมาห่วงว่าจะโดนเเดกเเทน" ขนมตวัดสายตาไปมองพี่ภูผาด้วยหน้าตาที่ชวนหาเรื่องสุดๆ
"มึงจะเอาไงสี เเต่เรื่องที่จะให้มึงอยู่คอนโดคนเดียวกูขอคัดค้าน" ตุลาหันกลับมาถามความคิดเห็นของผม
"คะ คือเรา............."
**มีต่อด้านล่างนะคะ**