Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน? โดย SeenYu - Day 17  (อ่าน 10180 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayuYume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------

วั้ย ยังมีคนอ่านเรื่องนี้ด้วย มันดราม่าหนักอยู่เลยคิดว่าไม่ใช่ไทป์ของเล้าซะอีก ขอบคุณน้า
ปล. เรื่องคู่คุณจิณณ์เป็นความลับเด้อ อยู่ในรวมเล่มค่า แต่ยังไม่ออกนะ

ออฟไลน์ MayuYume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือไม่ชอบดราม่าหนักแบบนี้เลยอิฐผ่านอะไรมาเยอะมาก *กอดๆ*
แต่พี่แต่งสนุกมากค่ะทำให้อยากต่อ
แต่คุณจิณณ์แสนดี(?)ขนาดนี้อยากให้มีคู่เลยค่ะ แหะๆ------------------

วั้ย ยังมีคนอ่านเรื่องนี้ด้วย มันดราม่าหนักอยู่เลยคิดว่าไม่ใช่ไทป์ของเล้าซะอีก ขอบคุณน้า
ปล. เรื่องคู่คุณจิณณ์เป็นความลับเด้อ อยู่ในรวมเล่มค่า แต่ยังไม่ออกนะ

เพราะ incest(?) เรากะจะไม่อ่านแล้วแต่มีนิดเดียวจริงๆค่ะเราอ่านต่อได้ๆ เข้มข้นมากค่ะแล้วก็แต่งสนุกจริงๆค่ะรอลงในเล้านะคะพี่ยู  :L2:
อู่ววว เป็นความลับด้วยตื่นเต้นเลยค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอววดราม่าไปไหน ไปให้สุด ไปได้ต่ออีกนะ เราชอบบบบ 555555 เฮ้ยสนุกว่ะ!! ชีวิตอิฐทำไมมันบัดซบจริง เป็นอะไรที่แบบคิดไม่ตก จะเอาไงกับชีวิตดี ถ้าให้ออกมามันก็พูดง่ายเนอะ แต่จริงแล้วก็ยังคิดได้แค่ว่าจะให้อิฐเอาไงดีว่ะ 55555 อิงเพย์มีไรก็บอกอิฐไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายไป แล้วตอนนี้อิฐก็ติดสัมผัสหรือคล้ายชอบๆเพย์ไปแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับตัวเองเพราะติดที่อิง เหมือนคิดไปคนละทาง ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดี จู่ๆอิฐลุกขึ้นมาปาดคอตัวเองทำไง ฮ่าๆ หึหึ!! ว่าแต่ใครทำนะปล่อยความลับโครงการ บางทีหรือหลายทีคุณเพย์พ่อคูณก็น่าถีบดีจัง 5555 ส่วนคุณจิณณ์ก็ทั้งความอยากเอาชนะเพย์ด้วยและอยากช่วยอิฐด้วย เลยมาวอแวอิฐใหญ่้เลย อ่านรวดเดียวสนุกมาก รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำจะแก้ปัญหาอะไรยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ รรรรรค่ะ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
โอววดราม่าไปไหน ไปให้สุด ไปได้ต่ออีกนะ เราชอบบบบ 555555 เฮ้ยสนุกว่ะ!! ชีวิตอิฐทำไมมันบัดซบจริง เป็นอะไรที่แบบคิดไม่ตก จะเอาไงกับชีวิตดี ถ้าให้ออกมามันก็พูดง่ายเนอะ แต่จริงแล้วก็ยังคิดได้แค่ว่าจะให้อิฐเอาไงดีว่ะ 55555 อิงเพย์มีไรก็บอกอิฐไปเถอะ เดี๋ยวมันจะสายไป แล้วตอนนี้อิฐก็ติดสัมผัสหรือคล้ายชอบๆเพย์ไปแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับตัวเองเพราะติดที่อิง เหมือนคิดไปคนละทาง ปล่อยไปแบบนี้ไม่ดี จู่ๆอิฐลุกขึ้นมาปาดคอตัวเองทำไง ฮ่าๆ หึหึ!! ว่าแต่ใครทำนะปล่อยความลับโครงการ บางทีหรือหลายทีคุณเพย์พ่อคูณก็น่าถีบดีจัง 5555 ส่วนคุณจิณณ์ก็ทั้งความอยากเอาชนะเพย์ด้วยและอยากช่วยอิฐด้วย เลยมาวอแวอิฐใหญ่้เลย อ่านรวดเดียวสนุกมาก รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำจะแก้ปัญหาอะไรยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ รรรรรค่ะ

มายาวเลย ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
| Day 14 |
On the rock

(08/12/62)


   ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกกระวนกระวายทุกครั้งที่ไม่เห็นร่างผอมบางอยู่ในสายตา

   ตั้งแต่วันแรกที่เจอเขา ผมก็ถูกใจจนใช้การหว่านล้อมทุกวิธีเพื่อจะได้เขามาอยู่ข้างกาย หรือแม้แต่ใช้น้องสาวของเขามาเป็นเครื่องมือเพื่อให้เขายอมอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้

   ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่าการเป็นเจ้านายกับคนขับรถ

   ใช่... ถึงผมจะไม่แคร์คนทั้งโลก แต่ผมไม่แคร์ครอบครัวผมไม่ได้

   ตระกูลของผมมีแต่ลูกชาย และลูกชายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนโต คนรอง คนที่สามหรือคนเล็กสุด ย่อมถูกคาดหวัง ทั้งด้านการศึกษา การทำงาน และชีวิตครอบครัว

   “เจ้าภัทร เมื่อไหร่จะแต่งงานสักที”

   บนโต๊ะกินข้าว เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนายอดฮิต ได้ยินทุกครั้งที่กลับบ้านมากินข้าว พี่ชายคนโตที่อายุจะสามสิบเอ็ดปีนี้ตักซุปเข้าปากอย่างเชื่องช้าก่อนจะตอบเมื่อกลืนลงไปหมด

   ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้กลืนแค่ซุป พี่กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงไปด้วย

   “ผมยังมีภาระอีกเยอะ สาขาที่สิงคโปร์กำลังโต ผมไม่มีเวลาหรอกครับคุณแม่”

   ถ้าพี่ชายคนโตคือความสมบูรณ์แบบที่พ่อกับแม่คาดหวัง ลูกชายคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน

   พี่ภัทรคือแบบอย่างที่น้องทุกคนต้องทำตาม พี่ไม่เคยพลาด ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียใดๆ มาให้ใครครหาวงศ์ตระกูล แม้จะมีข่าวคบหาดูใจกับลูกสาวนักเมืองหรือลูกสาวนายทุนมากมาย แต่พี่ไม่เคยพาคนไหนเข้าบ้านเลยสักคน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเรื่องอนาคตของทายาทไอยราสุวรรณ

   พี่ภีม ลูกชายคนที่สอง โชคดีหน่อยที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะแต่งงานกับลูกสาวนักธุรกิจใหญ่แล้ว    

   ผมเคยถามว่าทำไมพี่ถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่พี่รัก พี่ภีมตอบกลับมาว่า...

   เราอาจจะไม่รู้ว่ามันคือความรัก แต่เราจะรู้ว่ารักเมื่อขาดเขาไปไม่ได้

   นั่นอาจเป็นโชคดีของพี่

   ส่วนไอ้พีท มันอายุห่างจากผมแค่ปีเดียว เราสนิทกันเพราะอายุใกล้กัน เรื่องแย่ๆ ของผมมันรู้แทบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่ผมเคยลองของไม่ดีมากมายในช่วงวัยเด็ก หรือแม้แต่เรื่องผู้หญิง มันก็เป็นคนคอยห้ามปรามผม แต่มีเรื่องเดียวที่มันไม่รู้

   คือเรื่องของอิฐ

   ผมไม่เคยแสดงออกด้านไหนเลยที่บอกว่าผมชอบผู้ชาย ผมปิดบังเรื่องนี้ไว้ เพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่ผิดหวัง

   ผมเอาอิฐมาเลี้ยงพร้อมน้องสาวของเขา ควงน้องอิงเพื่อให้แม่สบายใจและจะได้ไม่เซ้าซี้ถามเรื่องแฟนให้กระอักกระอ่วนใจเหมือนพี่ภัทร พี่ชายผู้สมบูรณ์แบบ

   “อะไรกันคะ ดูเจ้าภีมสิ จะแต่งงานอยู่แล้ว ภัทรเป็นพี่ชายทำไมยอมให้น้องแต่งก่อน”

   คุณหญิงวรรณิศา สะใภ้ใหญ่ผู้เพียบพร้อมของตระกูลไอยราสุวรรณค้อนลูกชายคนโต พี่ภัทรยิ้มส่งคืนผู้เป็นแม่เหมือนคนไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ส่วนผมนั่งเขี่ยข้าวเล่นอย่างคนเบื่อบทสนทนามื้อค่ำจนพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยปากถาม

   “เอาแต่เขี่ยข้าว อาหารไม่ถูกปากเรอะเจ้าเพย์”

   ผมเหลือบตามองพ่อก่อนจะส่ายหน้า

   “เปล่าครับ”

   “คิดถึงสาวมั้งพ่อ เห็นว่าน้องอิงไปทัศนศึกษาต่างจังหวัดกับโรงเรียน”

   ไอ้พีทตัวเสือกประจำบ้านพูดถึงน้องอิงที่ผมเพิ่งจะประกาศเปิดตัวไปว่าได้คบหาดูใจกันอยู่เมื่อประมาณปีก่อน พ่อกับแม่ผมยินดีอ้าแขนต้อนรับน้องอิงเต็มที่ เพราะเธอน่ารัก ฉลาดและเรียนเก่งมากจนได้ทุนเรียนระยะยาว แต่ถึงกระนั้น พ่อของผมก็ยังคอยสนับสนุนน้องอิงอยู่เผื่อขาดเหลืออะไร

   พ่อแม่ผมอยากได้ลูกสาวแต่ทั้งบ้านมีแต่ลูกชาย พอได้รู้จักน้องอิง พ่อกับแม่ผมจึงรักและเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ต่างจากลูกสาวเลยทีเดียว

   บ้านเรามีเงินเยอะมากพอแล้ว ดังนั้นคนที่จะมาเป็นสะใภ้ตระกูล ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรือเป็นลูกผู้ดี ขอแค่ลูกโอเค พ่อกับแม่ชอบ บ้านเราไฟเขียวให้อยู่แล้ว

   ผมตวัดตามองไอ้พีทที่หัวเราะหึๆ อยู่ข้างผม

   “อ้าว น้องอิงไม่อยู่หรอกเหรอ มิน่าล่ะ เจ้าเพย์ถึงยอมกลับมากินข้าวที่บ้าน”

   คุณหญิงวรรณิศาแซว ทุกคนรู้ว่าน้องอิงอาศัยอยู่คอนโดของผม ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะก่อนที่จะตัดสินใจ ผมเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ภัทรแล้วว่ามันจะทำให้เด็กสาวดูไม่ดีรึเปล่า พี่ภัทรบอกว่าถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีปัญหาและสถานที่ที่พี่น้องคู่นั้นเคยอาศัยอยู่มันแย่มากจริงๆ

   ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว ที่ทำไปทุกอย่างเพียงเพราะสนองความต้องการของตัวเองแค่นั้น

   วันที่ทุกคนรู้ว่าผมจะเปลี่ยนคนขับรถ แม่ถึงกับออกปากถามว่าเหตุผล ผมเลยบอกว่าเจอเด็กน่าสนใจ เขาดูฉลาดน่าจะมีอนาคตดีกว่านี้ แถมมีน้องสาวที่ต้องเลี้ยงด้วยตัวคนเดียว และเกรดของเด็กสองคนนั้นก็ดีมาก บ้านผมบ้าคนเก่ง สนับสนุนเด็กมีอนาคต การที่ผมอยากส่งเสริมใครสักคน ไม่ใช่เรื่องแปลกของบ้านเรา เพราะทุกคนที่ทำงานกันหมดแล้วต่างมีเด็กที่ตัวเองอุปถัมภ์อยู่ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้พีท

   วันที่ผมพาทั้งสองคนมาให้คนที่บ้านรู้จัก แม่ถึงกับเรียกน้องอิงว่าลูก

   ผมรู้ครับ น้องอิงน่ารักมากจริงๆ

   แต่ผมไม่ได้รักเธอแบบนั้น

   คนที่ผมสนใจคืออิฐ พี่ชายผู้มีชีวิตน่าสมเพช นัยน์ตาโศกเศร้าตลอดเวลาทำให้ผมละสายตาจากเขาไม่ได้

   แน่นอน ไม่มีใครสงสัยเจตนาที่แท้จริงของผม

   น้องอิง คุณพ่อเป็นคนส่งเสียการเรียนทั้งหมดให้เธอ ส่วนอิฐ ผมเป็นคนส่งเรียนภาคพิเศษให้เขา ตอนแรกตั้งใจให้เขาลงทะเบียนเรียนเป็นนักศึกษาเต็มตัว ได้ไปมหาวิทยาลัยเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะไปลงทะเบียนแบบ sit in class ที่เป็นการเข้าไปนั่งฟังเฉยๆ ไม่เอาเกรดเสียแบบนั้น ผมถึงกับถอนหายใจในความซื่อของเขาเมื่อเขาบอกว่า เขาต้องเอาเวลามาทำงาน การไปเรียนของเขาก็แค่เอาความรู้มาประดับหัวไว้ เพราะผมบอกว่า ผมเกลียดคนโง่

   เออ... เขามันโง่

   ผมทำตัวเป็นเจ้านายที่ดีมาตลอด คอยสอนในสิ่งที่เขาไม่รู้ ปั้นแต่งให้เขาเป็นเลขาไปด้วยในตัว แน่นอนว่าอิฐฉลาด เขาเรียนรู้ไว รอบคอบ แต่ไม่ก้าวก่ายและอวดรู้ เขาเจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าสบตาใคร และรักน้องสาวเป็นที่สุด   

   แต่รักของอิฐที่มีต่อน้องอิงไม่เหมือนของผม...



   วันนั้นผมช็อคมากที่ในที่สุดเหตุการณ์ที่ผมเคยกลัวก็เกิดขึ้นจริง

   ผมกะว่าจะเอาของฝากจากแม่ไปฝากสองพี่น้องนั่น มันอาจจะดึกหน่อย แต่ผมก็เข้าๆ ออกๆ ที่นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

   ในห้องมืดๆ ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องอิงดังออกมา อิฐที่กำลังเมาจับร่างเล็กๆ ของน้องสาวตรึงไว้กับพื้นในสภาพล่อแหลม อีกนิดเดียวเท่านั้น ไอ้นั่นของอิฐก็จะเข้าไปในตัวน้องอิง

   อาจเป็นเพราะเขาเมาและไม่เคยมาก่อนจึงทำให้การสอดใส่เป็นไปไม่ได้ดั่งใจ

   ภาพนั้นทำให้ผมช็อค เหวี่ยงร่างผอมแห้งของคนขาดสติออกห่างเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา ในเวลานั้นผมสนใจแค่ความปลอดภัยน้องอิง รีบพาเด็กสาวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที โชคดีที่ระยะห่างระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาลห่างกันแค่สิบนาที เมื่อน้องอิงถึงมือหมอ ผมที่เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่สักพักก็นึกถึงคนที่โดนผลักกระเด็นไปเมื่อกี้ขึ้นมา

   ผมรีบกดมือถือโทรหาเขาทันที โทรเป็นสิบๆ สายแต่เขาก็ไม่รับ ผมจึงรีบบึ่งรถกลับไป

   “อิฐ!!!”

   มือไม้ผมสั่นเมื่อเห็นเลือดท่วมนองห้องอาบน้ำสีขาวจนกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวคละคลุ้ง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นคือภาพคนที่ไม่ต่างจากศพกำลังจรดคัตเตอร์ลงที่คอของตัวเอง

   อีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ อิฐจะจากผมไปตลอดกาล

   ผมรีบคว้าเอาผ้าขนหนูมาพันรอบแขนเขา พยายามเอามือกดตรงคอที่มีรอยกรีดจนเลือดไหลออกมาอย่างทุลักทุเล จู่ๆ น้ำตาผมก็คลอเบ้า สุดท้ายก็ไหลพรากไม่รู้ตัว

   ผมส่งเขาที่โรงพยาบาลเดียวกัน สภาพเลือดท่วมตัวทำให้พยาบาลเข้ามาถามไถ่ว่าผมมีแผลตรงไหนหรือเปล่า ผมส่ายหน้า แต่พยาบาลกลับทักว่าเลือดที่มือมันไหลไม่หยุด ผมยกฝ่ามือขึ้นมาดู มันเป็นแผลเหวอะหวะจากการคว้าใบมีดคัตเตอร์ไว้นั่นเอง

   ผมทิ้งตัวนั่งลงปล่อยโฮอย่างหมดสภาพ ภาวนาขอให้เขาไม่เป็นอะไร



   จากวันนั้นมาผมก็แทบไม่ปล่อยให้อิฐอยู่คนเดียวอีกจนผ่านไปเกือบครึ่งปี

   น้องอิงเธอสามารถให้อภัยพี่ชายเธอได้ ในขณะที่พี่ชายของเธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้

   “วันนี้ค้างที่บ้านมั้ยคะ พรุ่งนี้วันเสาร์ เพย์ไม่ต้องทำงานนี่นา นานๆ ทีอยู่บ้านทานข้าวเช้ากับแม่หน่อยจะเป็นไร”

   คุณวรรณิศาเริ่มงอแงอยากให้ผมนอนที่บ้านหลังจากจบมื้อเย็น ผมมองหน้าแม่ที่ส่งสายตาปริบๆ มาให้ก่อนจะถอนหายใจ พยักหน้ารับแต่มีข้อแม้ว่าต้องให้อิฐพักที่นี่ด้วย ซึ่งคุณแม่ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

   ผมเดินตามหาคนขับรถที่ไม่รู้ป่านนี้ไปแอบอู้รออยู่ที่ไหน ลองถามพวกแม่บ้านดูก็บอกว่าเห็นแวบๆ อยู่ที่สวนหลังบ้าน ผมจึงเดินออกไปหา

   ฝนกำลังจะตก...

   ผมได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ กลิ่นฝนลอยมาพร้อมกับกลิ่นดอกมะลิที่แม่เป็นคนปลูกไว้ ผมเดินผ่านทางเดินหินไปยังสวนหลังบ้าน สิ่งที่เห็นสะกดสายตาของผมเอาไว้

   ชายหนุ่มร่างผอม ตัวซีด ริมฝีปากแดงก่ำเช่นเดียวกับนัยน์ตาโศกเศร้า เขายืนแหงนหน้ามองเมฆบนท้องฟ้า แสงจันทร์ส่องลงมาจนทำให้เห็นใบหน้าหวานชัดเจน

   มือขวาของเขากำคัตเตอร์ไว้แน่นข้างตัว ข้อมือซ้ายมีรอยเลือดซึมออกมาจากแขนเสื้อเชิ้ตสีขาว

   ผมเดินเข้าไปปัดคัตเตอร์ออกจากมือเขาก่อนจะดึงแขนอีกข้างที่มีเลือดซึมขึ้นมาดู อิฐเอียงคอมองผม นัยน์ตาโศกว่างเปล่าจนน่ากลัว

   “ทำอะไร!”

   “ครับ?”

   “นี่!”

   ผมกำแขนส่วนที่ไม่ใช่แผลแน่น อิฐเงียบก่อนจะดึงแขนตัวเองออกช้าๆ

   “ผมแค่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ”

   ผมอยากจะด่าเขาเหลือเกิน แต่ก็อดเอาไว้ ดึงมืออีกข้างของเขาให้เดินตามมา อิฐไม่ได้ขัดขืนอะไร

   “วันนี้กูค้างที่นี่”

   “งั้นเดี๋ยวผมกลับคอนโด แล้วพรุ่งนี้จะมารับครับ”

   “มึงคิดว่ากูจะยอมให้มึงอยู่คนเดียวรึไง”

   “แต่ว่า...”

   “ไม่มีแต่”

   “ครับ”

   ผมพาเขาขึ้นมาบนห้องแล้วรื้อค้นเอากล่องยาออกมา ร่างผอมบางปลดกระดุมแขนเสื้อออกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปิดก๊อกน้ำล้างแผล ผมรีบตะโกนด่าลั่นแล้วสั่งให้เขาออกมานั่งรอเฉยๆ บนเตียง

   ผมจัดการทำแผลให้เขา ล้างด้วยน้ำเกลือสะอาดแล้วใส่ยาลงไป รอยกรีดของอิฐไม่ลึกมากมาย วันเดียวก็น่าจะหาย อย่างที่เขาบอก ว่าเขากรีดแค่เพื่อให้ตัวเองสบายใจ ไม่ได้กรีดเพื่อให้ตัวเองตาย

   “มึงนอนนี่แหละ”

   “แต่มันไม่เหมาะ ผมเป็นแค่คนใช้นะครับ” อิฐมองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมจึงยัดเสื้อนอนของตัวเองใส่มือเขาแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำ ทำตัวยิ่งกว่าพ่อมันอีก ณ จุดจุดนี้

   “หน้าที่ของมึงคือทำตามที่กูสั่ง ไปอาบน้ำ!”

   เขาเดินคอตกเข้าห้องน้ำไป ผมตะโกนไล่หลังตาม

   “อย่าให้แผลโดนน้ำ!”

   

   อิฐหลับแล้ว หลับสนิทเลยด้วย แต่ผมเนี่ยสิ นอนไม่หลับ!

   ร่างผอมบางในชุดเสื้อนอนหลวมโพรกยาวถึงเข่า กางเกงของผมเขาก็ใส่ไม่ได้จนต้องยอมใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว ตอนแรกเขาตั้งท่าจะนอนที่โซฟา แต่ผมลากคอเขาให้ไปนอนบนเตียง บอกว่าผมไม่ถือ จนสุดท้ายความอ่อนเพลียก็ทำให้เขายอมแพ้ นอนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ริมขอบเตียง สำหรับเตียงขนาดสิบสองฟุต ต่อให้เขานอนอ้าแข้งอ้าขาก็ไม่มีทางโดนตัวผมอยู่ดี...

   เขานอนก่อนผมในท่านั้น แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะขยับไปไหนมากกว่านี้ จนผมต้องค่อยๆ ช้อนร่างเขาให้ขยับมานอนดีๆ ก่อนจะตกเตียง

   ร่างของอิฐเบามาก เบาจนน่าใจหาย

   ทันทีที่เขาได้พื้นที่กว้างขึ้น คนตัวเล็กก็ค่อยๆ ทำการขยายอาณาเขตพื้นที่นอนของตัวเองโดยการพลิกตัว ผมนอนลงข้างๆ เขาโดยเว้นระยะห่างให้ ปิดไฟแล้วหลับตา

   หลับได้เหี้ยไรล่ะ!

   คนที่ตอนนอนอยู่ขอบเตียงแทบจะไม่กระดิก แต่ตอนนี้ดิ้นฉิบหาย!

   ขาเรียวยกพาดเอวผมแทนหมอนข้าง ตะแคงหันมาหายใจรดไหล่ เจ้าตัวนอนคู้จนหน้าซุกอยู่แถวๆ แขนผม

   ไอ้ที่ว่าจะสงบ แม่งเสือกไม่สงบแล้วสิ

   “แม่งเอ้ย”

   ผมสบถเบาๆ โดยเฉพาะเมื่อเข่าของคนตัวเล็กขยับๆ ถูกลางลำตัวผมพอดี ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นนิสัยเวลานอนของเขาหรือเปล่า หรือเขาอยากแกล้งอะไรผม ผมนอนหงายนิ่งๆ พยายามข่มตานับแกะในใจ

   แม่งเอ้ย อยากข่มขืนแกะฉิบหาย!

   “อิฐ”

   ผมเรียกเขาเบาๆ ตั้งใจจะขยับขาที่โผล่พ้นเสื้อให้ออกไป แต่ทันทีที่สัมผัสเนื้อเนียนไร้ขนไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป มันทำให้มือที่จะผลักเขาออก เปลี่ยนเป็นลูบแทน

   ผมกลืนน้ำลาย มือที่จับน่องเนียนไว้เริ่มลามขึ้นมาที่ต้นขา จู่ๆ ปลายนิ้วมันก็เลยเข้าไปในช่องว่างของขากางเกงบ๊อกเซอร์ที่กว้างขวางมหาศาลนั่น มือปาดป่ายไปทั่วจนทำให้รู้ว่า อิฐไม่ได้ใส่กางเกงใน

   “อา...”

   ผมได้ยินเสียงเขาครางแผ่ว ผมหันตัวพลิกกลับไปกอดเขาไว้ บีบเนื้อต้นขานุ่มจนติดมือ ร่างกายผมร้อนผ่าว อยากทำ... อยากทำให้เขาร้อง...

   “อิฐครับ”

   “คร่อก...”

   เขากรนอัดหน้าผม ไอ้เวร...

   ผมปล่อยมือแล้วหันกลับมานอนหงายดีๆ

   เอาวะ... ถ้าทำให้มันหลับได้ ก็ให้มันทำไป

   

   “เจ้าเพย์ ตื่นเช้าเชียวนะคะ”

   คุณวรรณิศาตื่นมาโยคะเช้าเป็นปกติ แต่มันไม่ใช่ปกติของลูกชายคนเล็กของบ้าน ถ้าเป็นวันหยุด ผมจะตื่นประมาณเก้าโมงเป็นที่รู้กัน แต่วันนี้ผมลงมาข้างล่างตั้งแต่หกโมง... ด้วยสภาพตาโหล

   “ขอกาแฟดำ”

   ผมทิ้งตัวนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นด้านล่าง เรียกหากาแฟดำ คุณวรรณิศาในชุดอยู่บ้านธรรมดาสามัญเป็นคนเดินเอาเข้ามาเสิร์ฟให้แทนคนใช้พร้อมกับสโคน

   ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยกซดแบบรวดเดียว

   “ทำไมหน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนคะ แปลกที่รึไง?”

   “เปล่าครับ ผมตรวจงานดึกไปหน่อย”

   “อ้าว แล้วทำไมไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะคะ ปกติลูกตื่นสายจะตายไปในวันหยุด”

   ผมส่ายหน้า หยิบสโคนขึ้นมากัด

   เดี๋ยวคนที่นอนอยู่จะตื่นมาแล้วตกใจกับสภาพการนอนของตัวเอง ผมยอมตื่นก่อนดีกว่าเห็นสีหน้าพะอืดพะอมของเขา

   “แล้วอิฐล่ะคะ แม่ยังไม่เห็นเขาเลยตั้งแต่เช้า เมื่อวานเพย์ให้เขาไปนอนที่ไหน”

   “ห้องผม”

   “หืม?”

   คุณวรรณิศาเบิ่งตาก่อนจะยกมือปิดปาก ส่ายหัวให้กับความคิดลบของตัวเอง แน่นอนว่าแม่ไม่พูดมันออกมาหรอก และผมเองก็จะไม่พูดออกมาเช่นกัน

   คนตัวเล็กวิ่งหน้าตั้งลงมาจากบันไดจนสุดท้ายมาพลาดลื่นเอาตอนเกือบจะถึงชั้นล่างจนได้ยินเสียงดังโครม ผมกับคุณแม่และคนอื่นๆ สะดุ้งเฮือก วิ่งไปดูที่มาของเสียงแล้วร้องวี้ดว้าย ผมวิ่งเข้าไปประคองร่างเขาที่เอาหน้าทิ่มพื้นอย่างตกใจ

   “เชี่ยอิฐ มึงทำอะไรเนี่ย!”

   “ขะ... ขอโทษ... ครับ”

   เลือดกำเดาหยดแหมะ อิฐเบะหน้า ยกมือขึ้นจับจมูกตัวเอง ผมรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับแล้วสั่งให้คนใช้สักคนเอาน้ำแข็งมาประคบให้ก่อนที่มันจะช้ำมากกว่านี้

   “อิฐรีบร้อนอะไรขนาดนั้นคะ วันนี้วันเสาร์ เจ้าเพย์ไม่ต้องไปทำงานเสียหน่อย”   

   คุณวรรณิศาเลื่อนจานสโคนให้อย่างเอ็นดูเจ้าพี่ชายตัวน้อยที่ทำทุกอย่างเพื่อน้องสาวคนสำคัญ จมูกเขาตอนนี้มีทิชชู่ม้วนอุดห้ามเลือดอยู่ เขาเอ่ยขอบคุณขณะนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่เกือบจะอยู่กันครบ ขาดแต่คุณพ่อของผมกับไอ้พีท

   “ผม ผมขอโทษครับ”

   ทันทีที่เจ้าบ้านลงมานั่งที่หัวโต๊ะ อิฐเตรียมลุกทันทีเพราะกลัวเสียมารยาท แต่คุณพ่อรั้งเขาไว้แล้วบอกให้ทานมื้อเช้าด้วยกัน แม้จะปฏิเสธแต่เขาก็ฟังคำสั่งสุดท้ายของผมอยู่ดี นั่นก็คือ...

   “นั่ง!”

   “ครับ”

   ไอ้พีทลงมาเกือบแปดโมง ปกติมันจะนั่งข้างผม แต่วันนี้กลายเป็นที่นั่งของอิฐไปแล้ว มันถึงกับถอนหายใจเฮือกไม่สบอารมณ์ ยอมย้ายก้นไปนั่งข้างๆ พี่ภีม

   “อิฐคะ เจ้าเพย์ดีกับน้องอิงมั้ยคะ ได้รังแกอะไรน้องบ้างรึเปล่า บอกฉันได้นะ”

   บทสนาบนโต๊ะอาหารเริ่มขึ้น อิฐวางช้อนลงทั้งๆ ที่กินไปได้ไม่กี่คำ เขากินน้อยเป็นปกติ

   “ไม่ครับ คุณเพย์ดูแลน้องอิงดีมากๆ”

   อิฐตอบอย่างจริงใจ แม้จะไม่สบตากับใครเลยบนโต๊ะอาหาร

   แน่นอนว่า ผมบอกอิฐตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกับน้องอิง และอิฐก็ร้องไห้ เขาเกาะขาผมแล้วเอ่ยขอบคุณที่ไม่รังเกียจน้องอิง... เขาขอบคุณที่ผมปกป้องน้องอิง... เขาสัญญาว่าจะอยู่อย่างเจียมตัวให้มากที่สุด จะไม่ทำให้เรื่องเสื่อมเสียมาถึงผมกับน้องอิงอีก

   ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมน้องอิงถึงขอให้ผมคบกับเธอ

   เพราะการที่เธอจะอยู่ข้างพี่ชาย มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ

   แต่การที่จะขอให้พี่ชายอยู่ข้างๆ เธอ จำเป็นต้องมีไม้กันหมาไว้

   ให้อิฐพึงระลึกเสมอว่าน้องอิงเป็นของผม... เขาไม่มีสิทธิ์คิดทุเรศกับเธออีก

   นอกจากจะสามารถทำให้อิฐอยู่ข้างน้องอิงต่อได้ เธอยังสามารถใช้ผมเป็นเครื่องมือดูแลพี่ชายเธอเวลาเธอไม่อยู่ได้อีกด้วย ส่วนผมก็มีข้ออ้างในการอยู่ข้างอิฐ

   หรือคนที่น่ากลัวที่สุดคือน้องอิงกันนะ เธอวางโพซิชั่นตัวเองไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ในขณะที่ทุกคนยังอยู่ข้างๆ เธอได้โดยไม่มีปัญหา ผมยอมรับนับถือเด็กอายุสิบห้าคนนั้นเลยจริงๆ

   และมันก็จะไม่มีปัญหา ถ้าหากว่าผมไม่ทำเรื่องนั้น



   “วันนี้จะไปไหนดีครับคุณเพย์ ร้านเดิมหรือร้านใหม่ดีครับ ผมเห็นว่ามีร้านเปิดใหม่แถวๆ ทองหล่อ ลองไปมั้ยครับ”

   วันเสาร์เป็นวันที่ผมมักจะออกไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากงานที่สะสมมาทั้งอาทิตย์เป็นปกติ ผมแค่ไปกินเหล้า ฟังเพลงแล้วก็กลับบ้านนอน แต่ตั้งแต่เริ่มคบกับน้องอิง ผมก็หยุดนอกลู่นอกทางมาพักใหญ่ๆ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติเธอ

   อิฐมองกระจกมองหลังเพื่อดูท่าทีของผม หลังจากเรากลับคอนโดใครคอนโดมันตอนเที่ยง อิฐก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดประจำของเขา ผมนั่งไขว่ห้างอยู่เบาะหลัง เท้าศอกกับขอบประตูรถมองออกไปข้างนอกอย่างไม่มีอารมณ์อยากเที่ยว

   “ที่ไหนก็ได้”

   “งั้นทองหล่อนะครับ”

   อิฐเข้าเกียร์แล้วออกรถ ผมมองแสงไฟจากตึกรามร้านรวงต่างๆ ก่อนจะเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เพราะผมนั่งคนละฝั่งกับเขา จึงทำให้มองเห็นหน้าด้านข้างของเขาได้

   จมูกเล็กรั้นๆ นั่นยังเจ็บอยู่ไหมนะ หน้ากระแทกจนคิดว่าดั้งอาจจะหัก...

   ผมเลื่อนไปมองริมฝีปากเล็กอิ่มน้ำ สงสัยเขาจะทาบาล์มก่อนออกมา เพราะมันวาวแปลกๆ คงเป็นสิ่งที่น้องอิงบังคับให้เขาทาเพราะปากเขามักจะแห้งเพราะขาดน้ำ

   และมันคงทำให้เขารำคาญ เพราะลิ้นเล็กๆ นั่นเอาแต่เลียริมฝีปากเหนียวเหนอะของตัวเองไม่หยุด

   มันทำให้ผมเผลอเลียตาม

   เลื่อนลงมาที่ลำคอเรียวมีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ชายทั่วไป รอยแผลเป็นยังคงอยู่ แต่โดนบดบังด้วยปกคอเสื้อเชิ้ตที่สูงกว่าปกติ

   อยาก... เลีย

   “คุณเพย์ ถึงแล้วครับ”

   ผมสะบัดหน้าไล่ความคิด อิฐลงจากรถมาเปิดประตูให้ตามหน้าที่ การ์ดหน้าประตูต้อนรับผมอย่างดี ผมหันไปบอกเขาว่าให้รออยู่แถวนี้ ผมน่าจะอยู่ไม่นาน อิฐรับคำแล้วกลับขึ้นรถไป ส่วนผม... เข้าไปจัดการกับอารมณ์ของตัวเองด้วย ออน เดอะ ร็อค แรงๆ สองสามช็อต

   สุดท้ายผมก็กลายเป็นหมาจนลำบากอิฐที่มาหิ้วผมขึ้นรถ ตัวเขาบางแค่นี้ การแบกผมที่สูงร้อยแปดสิบกว่าขึ้นรถไม่ใช่เรื่องง่ายเลย... แต่เขาก็ทำได้ดี เขาพยายามพยุงร่างผมขึ้นห้อง เนื้อตัวเปียกปอนจากการโดนฝนสาดเทมาระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถจากหน้าผับ

   “คุณ คุณเพย์ครับ คุณเพย์โว้ย...”

   อิฐพยายามทุ่มผมลงกับโซฟา แต่ผมกลับเป็นฝ่ายดันเขาลงไปนอนกับพื้นแทน... อิฐตัวแข็งทื่อเพราะจู่ๆ ไฟที่เปิดอยู่ก็ดับพรึ่บ เสียงลมฝนกระแทกกระจกหน้าต่างทำให้รู้ว่าพายุเข้าหนักจนทำให้ไฟฟ้าดับ มีเพียงแสงสลัวๆ จากท้องฟ้าที่แลบแปรบปราบลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้สามารถมองเห็นได้เลือนลางเท่านั้น

   “คุณเพย์ ผมหนักนะ ออกไปครับ”

   คนตัวเล็กพยายามดันร่างผมออกไปเพราะเขาคงคิดว่าผมเมาจนล้มพับไม่ได้สติ แต่ผมกลับยืดตัวขึ้น สองแขนคร่อมร่างเขาไว้ด้านใต้ นัยน์ตาแดงก่ำจากแอลกอฮอล์มองเขาอย่างหลงใหล

   ผมมีสติ ผมทำทุกอย่างด้วยความรู้ตัว แค่ขาดความยับยั้งชั่งใจเท่านั้น

   ผมถอดสูทของตัวเองออก โยนมันไปข้างๆ จากนั้นก็โน้มหน้าลงไป คลอเคลียซอกคอที่ผมแอบมองอย่างกระหายอยาก อิฐยกมือขึ้นยันอกผมไว้พลางหันหน้าหนี

   “คุณเพย์! คุณเมาแล้วนะครับ ผม... ผมเป็นผู้ชายครับ ไม่ใช่ผู้หญิงของคุณเพย์”

   เขาพยายามเรียกสติผม แต่กลับได้แค่รอยยิ้มกลับไป

   มือใหญ่จับคางแหลมไว้แน่น เป็นไม่กี่ครั้งที่เขายอมสบตากับใครสักคนตรงๆ นัยน์ตาโศกมีแววตื่นกลัวจนผมอยากจะแกล้งเขาให้หนัก ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอิ่มที่รสของบาล์มกลิ่นส้มยังหลงเหลืออยู่ จากแค่เลียเบาๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจูบซึ้ง ผมกดริมฝีปากจนแนบแน่น พยายามขยับให้เขาอ้ารับลิ้นที่พยายามแทะสอดลงไป

   จูบของเขาเหมือนเด็กแรกเกิด... อ่อนด้อย ไม่รู้แม้กระทั่งการหายใจ

   “หายใจทางจมูกนะ”

   ผมกระซิบหลังถอนปากออกแล้วจูบลงไปใหม่

   ผมลูบหัวเขา ลากมือผ่านลำคอแล้วลูบไล้

   “อิฐ ตัวมึงหอม”

   ผมกระซิบอยู่ข้างหูเขา สูดดมกลิ่นกายที่ผมเฝ้าจินตนาการว่า ถ้าใกล้ขนาดนี้ ผมจะได้กลิ่นแบบไหน มือใหญ่พยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเปียกชื้นออกทีละเม็ดอย่างไม่รีบร้อน  เพราะยังไงๆ อิฐก็ขัดขืนผมไม่ได้อยู่แล้ว

   รสแอลกอฮอล์จากผมคงทำให้เขามึนเมา... อิฐกินเหล้าไม่เก่ง ผมรู้

   “คุณเพย์ หยุดครับ”

   อิฐร้องห้าม น้ำตารื้นอย่างหวาดกลัว ผมรู้ว่าเขากลัวอะไร... เหตุการณ์นี้คงทำให้เขานึกถึงน้องอิง

   แต่ผมจะทำให้เขาลืม... ให้เขาลืมน้องอิง

   วันนี้เขาต้องจำได้แค่ผม

   “เพย์ขอนะอิฐ”

   เนคไทถูกรูดออกไป ผมประคองหลังเขาขึ้นเพื่อถอดเสื้อเปียกๆ ให้พ้นตัว อิฐตัวสั่นระริกจนเหมือนลูกแมว

   “อย่า... อย่าทำผมครับ”

   เขากระถดตัวหนี แต่ผมรั้งเอวเขาไว้แน่นแล้วกดมันติดพื้น ขาเรียวขยับหนีบชิดแต่ผมสอดตัวเข้าไปแทรกตรงกลางอย่างรู้ทัน

   “ถ้ากลัว หลับตาซะ”

   ผมเลื่อนเนคไทขึ้นไปพันรอบดวงตาโศก ร่างบอบบางราวกับจะหักคามือผมได้หากทำรุนแรงปรากฏแก่สายตา เนื้อตัวที่ปกติขาวซีดตอนนี้แดงก่ำ กระตุ้นไฟอารมณ์จนผมอยากทำร่องรอยไว้ให้ทั่วเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ  ลำคอขาวเชิดขึ้นเมื่อผมลากมือผ่านไปสัมผัสรอยแผล

   “คุณเพย์... คุณเพย์เป็นแฟนน้องอิงนะครับ ลืมแล้วเหรอ หยุดครับ”

   ผมชะงักไป มือของเขาที่ยันอยู่ตรงอกของผมจิกเล็บเข้าไปถึงเนื้อ หวังให้ความเจ็บดึงสติผมกลับมา แต่ผมกลับกดจูบอ่อนโยนลงไปแทนคำตอบ น้ำตาของอิฐไหลลงมาผ่านผ้าลื่นๆ ของเนคไทที่ปิดดวงตาคู่สวยไว้ ผมดึงเข็มขัดออกจากกางเกงสแลคตัวเล็กของเขา จัดการรวบมันเข้าที่ข้อมือบางทั้งสองแล้วรั้งขึ้นไปเหนือศีรษะ รัดแน่นจนผมคิดว่าเขาไม่อาจต่อต้านอะไรผมได้อีก

   “กูจำได้”

   ผมถอดกางเกงของเขาออกให้พ้นขา

   “แล้วคุณเพย์ทำแบบนี้ทำไม”

   อิฐครางเสียงแผ่วพร้อมสะอื้นฮักจนสะอึก

   “เพราะกูต้องการมึง”

   ผมไม่อาจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป...

   “เป็นของกูนะ เป็นของกูคนเดียว”

   แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้หัวใจ... แต่ขอแค่ตัวเป็นผม สักวัน... วันที่ผมเป็นอิสระจากน้องอิง วันที่น้องอิงเข้มแข็งพอจะพูดความจริงออกไป ผมก็จะบอกความจริงเขาเหมือนกัน

   จะบอกเขาซ้ำๆ ว่าผมรักเขา

   รักมากเหลือเกิน...

   

   “คุณเพย์ครับ”

   เสียงที่ไม่ได้ยินมานาน ผมไม่เคยห่างจากเขาเกินหนึ่งเดือน ถ้าไม่ติดเรื่องงาน ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่เจอเขา ไม่ได้ยินเสียงเขา

   แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากฟัง

   “ผมขอลาออก”

   ผมเบือนหน้าหนี มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

   “ผมขอคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ครับ”

   เขากำลังจะฆ่าผม



น้องยูก็กำลังจะฆ่าตัวเองเหมือนกัน

ตอนนี้เหมือนเป็นการย้อนอดีตของคุณเพย์นะคะ

เป็นคนชอบเขียนอะไรวนๆ งงๆ 

#คุณเพย์รักอิสระ


https://twitter.com/_SeenYu
 :mew2:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
| Day 15 |
Funeral

(15/12/62)


   ตั้งแต่เริ่มจำความได้... มือที่คอยกุม คอยปกป้อง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ คือมือของพี่ชาย ความอบอุ่นทั้งหมดที่ได้มาทั้งชีวิต มาจากร่างผอมบางของพี่ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ

   ไม่ว่าร่างกายของพี่จะเต็มไปด้วยบาดแผลโหดร้ายขนาดไหน พี่ไม่เคยร้องไห้ออกมาให้เห็น เขามักจะส่งรอยยิ้มให้น้องสาวที่ไม่ได้เรื่องอย่างเธอเสมอ

   สำหรับเธอ พี่อิฐคือบ้าน พี่อิฐคือโลกที่ปลอดภัย

   เธอไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไมพี่อิฐถึงรักและหวงเธอจนเกินกว่าที่พี่ชายของเพื่อนคนอื่นๆ แสดงออกมา

   จนกระทั่ง... คืนนั้น คืนที่พี่อิฐทำลายโลกที่ปลอดภัยที่สุดของเธอลง

   “เป็นยังไงบ้างครับ”

   หมอรักษ์ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ร่างเล็กของเด็กสาววัยสิบห้าที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงข้าม เธอตัวแข็งทื่อ ดวงตาไร้ซึ่งความสดใสเหมือนทุกครั้ง

   “น้องอิงครับ”

   มือใหญ่กำลังจะยกขึ้นมาแตะแขนเล็ก แต่เด็กสาวกลับสะดุ้งสุดตัว เธอปัดมือเขาทิ้งอย่างแรง

   “อย่ามาแตะต้องตัวหนู!”

   เด็กสาวเบิกตากว้าง เหงื่อเย็นไหลซึม ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก สีหน้าซีดเซียวทำท่าพะอืดพะอมจนหมอรักษ์ต้องเรียกพยาบาลผู้หญิงเข้ามาช่วย ร่างบอบบางโก่งคออาเจียนลงถังขยะที่ถูกยกขึ้นมารองรับไว้ทัน น้ำหูน้ำตาไหลจนแสบไปหมด แต่สิ่งที่ออกมามีเพียงของเหลว

   หมอรักษ์ถอยออกห่าง ไม่กล้าเข้าใกล้ เขากำลังคิดว่าจะเปลี่ยนให้เป็นหมอผู้หญิงมาดูแลดีไหมในเมื่อเธอมีอาการหวาดกลัวผู้ชายจนแพนิครุนแรงแบบนี้

   “น้องอิง!”

   ร่างสูงของเพย์เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก อิงลดาเบือนหน้าไปมองทั้งน้ำตา เพย์ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ร่างบางแล้วโอบร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขน เด็กสาวปล่อยโฮร้องไห้ออกมา เรียวแขนเล็กกอดร่างของผู้มีพระคุณแน่นเหมือนต้องการที่พึ่งพิง

   “พี่เพย์ อิง อิงทำอะไรผิด ฮือ! อิง... อิงทำอะไรให้พี่อิฐโกรธ”

   หัวใจของเธอแหลกสลายหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจำเหตุการณ์นั้นได้ แม้ว่าร่างกายเธอจะยังไม่ถูกล่วงล้ำจนบอบช้ำ แต่สภาพจิตใจของอิงลดานั้นถูกทำลายไปแล้วด้วยน้ำมือของคนที่ไว้ใจที่สุด

   เธอใช้เวลาในการบำบัดจิตใจน้อยมาก แม้ลึกๆ แล้วมันจะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย

   แต่พี่ชายสำคัญสำหรับเธอ... จะบาดแผลหรืออะไรที่เขาทำ เธอรับได้ทั้งนั้น

   เพราะเขาเองก็เป็นโลกเพียงใบเดียวของเธอเช่นกัน

   อิงลดารู้... รู้ว่าเจ้านายที่แสนใจดีรักพี่ชายของเธอขนาดไหน

   แต่ตอนนี้... เธอกลับขอให้เขาทำตัวเป็นโล่... โล่ที่แสนอ่อนโยน

   แล้วสักวัน... เธอจะคืนเขาให้พี่ชายของเธอ คนที่เธอรักทั้งสองคน

   “อิงจะสอบหมอค่ะ อิงอยากเป็นจิตแพทย์”

   แม้จะมีบาดแผลทางใจ แต่อิงลดาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีจิตใจที่เข้มแข็งและอยากจะคอยช่วยเหลือคนที่มีบาดแผลเหมือนกับเธอ เด็กสาวบอกเรื่องนี้ให้หมอรักษ์ฟัง เขายินดีที่เด็กสาวสามารถก้าวข้ามความกลัวของตัวเองได้ คุณหมอหนุ่มนัดเธอมาคุยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกว่าเธอสามารถใช้ชีวิตปกติธรรมดาได้แล้ว

   อิงลดาอยู่ในฐานะคนรักของเพย์มาสองปีแล้ว ทุกอย่างปกติดี... จนกระทั่งวันที่เธอกลายเป็นนักศึกษาแพทย์เต็มตัว เจ้านายของพี่ชายกลับเดินเข้ามาบอกกับเธอว่า เขาเผลอทำตามใจตัวเองไปแล้ว เขาเข้ามาขอโทษที่ทำอะไรลับหลังเธอ... ทั้งๆ ที่ควรจะซื่อสัตย์กับเธอในฐานะที่เรายังคบกัน

   แม้ว่าเราจะไม่ได้รักกันเลยก็ตาม

   “พี่เพย์... อยากเลิกกับอิงมั้ยคะ?”

   ว่าที่คุณหมอเอ่ยถามออกไปตรงๆ ตลอดสองปีที่คบกันมา เพย์เป็นคนรักที่ดี เป็นพี่ชายที่ดีอีกคน เขาไม่เคยล่วงเกินเธอมากกว่าการจับมือ และอิงลดาก็ไม่เคยก้าวล้ำเส้นไปมากกว่าการเป็นคู่ควง

   แม้ลึกๆ เธอก็แอบหวั่นไหวไปกับความใจดีของเขา

   แต่ความใจดีของเพย์ มีไว้เพียงเพื่อปกป้องเธอเท่านั้น

   “พี่ยังเลิกกับอิงตอนนี้ไม่ได้”

   พี่เพย์รู้ว่าพี่อิฐยังไม่สามารถตัดใจจากเธอได้ สายตาของพี่อิฐยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ที่พี่ชายยังอยู่เคียงข้างเธอได้ เพราะมีพี่เพย์อยู่ในสถานะของคนรัก แต่ความรู้สึกของพี่เพย์ที่มีต่อพี่อิฐ มันคงเกินจะห้ามใจไปแล้ว

   “พี่เพย์ แล้วความรู้สึกพี่อิฐล่ะคะ”

   อิงลดาเอ่ยออกมา เธอเห็นว่าเขาบีบมือตัวเองแน่น

   “พี่อิฐต้องรู้สึกยังไงกับการมีอะไรกับแฟนน้องสาวตัวเอง”

   “พี่ต้องการให้แน่ใจ ว่าอิฐจะตัดใจจากอิงได้จริงๆ”

   “พี่เพย์ต้องการให้พี่อิฐอยู่กับความรู้สึกผิดไปจนตายเหรอคะ! แค่นี้พี่อิฐก็ใจสลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว พี่เพย์... ทำไมพี่ใจร้ายขนาดนี้”

   เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง นึกถึงสภาพจิตใจของพี่ชายเธอแล้วเจ็บปวดแทน

   พี่ชายเธอต้องทนแบกรับทุกความรู้สึกมากมาย ความผิดหนึ่งครั้งของเขาทำให้เป้าหมายในการใช้ชีวิตของพี่อิฐเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

   “ไม่มีใครใจดีทั้งนั้นอิง”

   เพย์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาช่างว่างเปล่า นัยน์ตาของเขาเหม่อมองออกไปข้างนอก

   “อิงใช้พี่เป็นเครื่องมือ เพื่อทำให้อิฐอยู่ข้างอิง”

   “...”

   “พี่เองก็ใช้อิงเป็นเครื่องมือในการอยู่ข้างๆ อิฐเหมือนกัน”

   คนที่น่าเศร้าที่สุด คือคนที่ต้องการเพียงอิสระ... อิสระที่ไม่มีใครให้เขาทั้งนั้น



   ในที่สุด ความอดทนของนายอิสระก็สิ้นสุดลง เพราะระเบิดลูกเดียวที่คุณภาวิตทิ้งลงไป

   อารมณ์ของเพย์คือสิ่งเดียวที่อิงลดาไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้

   ทันทีที่เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายซึ่งมันไม่ใช่เรื่องปกติที่เขาจะโทรหา เพราะเขารู้ว่าเธอเรียนอยู่ แต่ในวันนั้นอิงลดาต้องขอตัวออกจากห้องเรียนเพื่อรีบกลับคอนโดหลังจากที่พี่ชายทิ้งประโยคสั้นๆ ไว้ก่อนตัดสาย

   [“คุณเพย์หัวแตก ฮึก! เรียกหมอให้ที ฮึก...”]

   “ว่ายังไงนะคะพี่อิฐ... ฮัล ฮัลโหล พี่อิฐคะ”

   อิงลดาเลิ่กลั่กอยู่ในห้องเลคเชอร์ที่มืดสนิทโดยมีเพียงแสงจากโปรเจคเตอร์เท่านั้น เธอขออนุญาตอาจารย์ออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงกลับคอนโด ระหว่างทางเธอยังคงพยายามติดต่อทั้งอิฐและเพย์ตลอด แต่ไม่มีใครรับสาย ก่อนตัดสินใจโทรเรียกรถฉุกเฉินตามที่พี่ชายสั่งทิ้งท้ายไว้ด้วยมือที่สั่นเทา

   เด็กสาวแทบจะร้องเสียงหลงเมื่อหน้าประตูห้องเต็มไปด้วยเลือด ร่างสูงใหญ่ของเพย์นอนคว่ำเลือดอาบหัว รอบๆ เต็มไปด้วยเศษแจกันกระเบื้องแตกๆ เด็กสาวตั้งสติ ทำการเช็คชีพจรและปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามที่เรียนมาก่อนที่รถฉุกเฉินจะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน

   แล้วพี่ชายเธอล่ะ? พี่ชายเธอหายไปไหน

   “พี่อิฐ...”

   อิงลดาไม่สามารถหาค้นหาตำแหน่งจากมือถือของอิฐได้เนื่องจากมันถูกปิดไว้ การจะตามหาจากเบอร์โทรศัพท์ต้องติดต่อ Operator ของผู้ให้บริการ ซึ่งต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการให้ แต่ถ้าคนหายไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจก็ไม่รับแจ้งเรื่องอีก

   หรือว่า... จะอยู่กับคุณจิณณ์?

   วันก่อนพี่อิฐบอกว่าไปหาคุณจิณณ์นี่นา

   คิดได้จึงลองกดเบอร์โทรที่เมมไว้ตอนคุณจิณณ์เป็นคนโทรมา ไม่นานปลายสายก็รับ

   “สะ... สวัสดีค่ะ คุณจิณณ์รึเปล่าคะ? คือฉัน... อิงลดานะคะ น้องสาวพี่อิฐ”

   เธอเอ่ยตะกุกตะกักออกไป สีหน้าเครียดเขม็ง เดินวนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

   [“ครับ ผมจำได้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เสียงคุณฟังดูไม่โอเค”] เสียงทุ้มสุภาพตอบกลับมา

   “พี่อิฐ... พี่อิฐอยู่กับคุณรึเปล่าคะ?”

   [“ครับ? ไม่นะครับ เกิดอะไรขึ้นกับอิฐรึเปล่า”] เสียงคุณจิณณ์ดูร้อนรนขึ้นมาเมื่อเธอเอ่ยถึงพี่ชาย อิงลดาเงียบเพื่อชั่งใจอยู่สักครู่ว่าจะถามเขาดีมั้ย เขาจะช่วยอะไรเธอได้รึเปล่า... จนอีกฝ่ายเอ่ยถามอีกครั้ง [“ว่าไงครับ เกิดอะไรขึ้นกับอิฐกับน้องอิง”]

   “คือพี่อิฐหายไปค่ะ อิงติดต่อไม่ได้ จีพีเอสก็ถูกปิดไว้ คิดว่าพี่อิฐน่าจะปิดเครื่อง อิง... อิงไม่รู้จะหาพี่อิฐยังไง ถ้าเรื่องไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจก็ไม่ถือเป็นคดีคนหายด้วย”

   ปลายสายเงียบไป เขาบอกให้ถือสายรอสักเดี๋ยว เหมือนจะหายไปคุยอะไรกับใครสักคนใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาในสายอีกครั้ง

   [“ผมจะให้คนของผมช่วยหา ผมรู้จักกับตำรวจอยู่ น้องอิงใจเย็นๆ นะครับ”]

   “ขอบคุณมากนะคะคุณจิณณ์ อิงขอบคุณมากๆ ค่ะ”

   อิงลดากำมือถือแน่น ถ้าตอนนี้พี่เพย์มีสติ เขาคงจะรีบออกไปตามหาพี่ชายเธอแล้วแน่นอน ไม่รู้ว่าไปทะเลาะกันท่าไหนถึงออกมาในสภาพนี้ได้ ถึงแม้สองคนนี้จะทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่อิฐจะไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อนเพราะไม่อยากมีปัญหา

   ครั้งนี้คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ

   [“น้องอิงครับ”]

   “คะ... คะ?” อีกฝ่ายยังไม่วางสาย และเธอก็ไม่กล้าวางก่อน

   [“ไอ้เพย์ล่ะครับ ถ้าอิฐหายไป ผมว่า ไอ้เพย์ไม่น่าจะอยู่เฉยให้น้องอิงจัดการทุกอย่างเอง”] ปลายสายถามอย่างสงสัย เขาดูรู้จักพี่เพย์ดี และการที่ถามแบบนี้... แสดงว่าเขาก็น่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ประหลาดของพี่เพย์กับพี่ชายเธอด้วยแน่นอน

   “พี่เพย์อยู่โรงพยาบาลค่ะ”

   [“ผมนึกว่ามันอยู่อเมริกา?”] คุณจิณณ์ดูสงสัย

   เธอเองก็สงสัยไม่ต่างกันหรอก คนที่ควรจะนั่งประชุมอยู่อเมริกา วันนี้กลับนอนเลือดอาบอยู่ในห้องที่ไทย... เธอไม่รู้จะไปถามใครดี ถ้าพี่อิฐไม่หายตัวไป เขาคงจะเป็นคนที่รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่เพย์แน่นอน

   “คุณจิณณ์คะ อิงฝากเรื่องพี่อิฐด้วยนะคะ”

   ในเมื่อหาคำตอบให้ไม่ได้ เธอจึงตัดบทสนทนาด้วยประการนี้ และก็คาดหวังว่า เขาจะไม่ถือสากับความเสียมารยาทของเธอ รองประธานหนุ่มปลายสายเอ่ยรับคำก่อนจะวางสายไป

   “พี่อิฐคะ อย่าเป็นอะไรเลยนะ”



   เกือบสองวันที่พี่ชายหายไป เสียเวลากับการตามหาโทรศัพท์พี่ชายอยู่ถึงวันนึงจนไปเจอว่ามันกลายเป็นค่ารถแท็กซี่ไปแล้ว พอไปสอบถาม คนขับรถแท็กซี่เขาก็คืนโทรศัพท์มาให้พร้อมกับบอกว่าเขาไม่ได้ขโมยมันมา ลูกค้าของเขาจ่ายให้เป็นค่ารถเพราะเขาไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลย เขาจำได้แม่นว่าไปส่งลูกค้าคนนั้นที่ไหน เพราะลูกค้าคนนั้นโดดเด่นด้วยชุดเสื้อเชิ้ตตัวเดียวแถมยังร้องห่มร้องไห้ตลอดทางอย่างกับคนโดนข่มขืนมา

   และคนที่ตามหาพี่อิฐเจอคือคุณจิณณ์ เขาโทรมาบอกว่าเจอพี่ชายของเธอแล้ว กำลังพาแอดมิดเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการขาดน้ำขาดอาหาร แต่คุณจิณณ์ขอให้เธอไม่บอกพี่เพย์ว่าพี่อิฐอยู่ที่ไหน จนกว่าพี่อิฐจะหายดีและอยากกลับไปด้วยความเต็มใจ

   อิงลดาเอ่ยขอบคุณเพื่อนพี่ชายคนนั้นด้วยความจริงใจ

   ในใจก็คิดว่า... ดีแล้ว

   ให้พี่อิฐออกห่างจากพี่เพย์น่ะ ดีแล้ว

   ให้พี่อิฐได้พักบ้าง

   ส่วนเธอจะทำในสิ่งที่คิดว่าทำได้ และจะทำในสิ่งที่ควรทำมาตลอดเสียที



   “พี่เพย์คะ”

   วันที่สี่แล้วที่คุณเพย์ของพี่อิฐนอนเป็นซากผักอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยสภาพใจสลายไม่ต่างอะไรกับพี่อิฐตอนนั้น อิงลดาที่เดินเข้าเดินออกห้องนี้มาตลอดหลายวันมองสภาพที่แทบจะเรียกว่าหมดอาลัยตายอยากของเพย์อย่างสะท้อนใจ

   ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องยกเลิกประมูลสัมปทานที่พี่เพย์ทุ่มเทกับมันมาตลอดสามปี โดยประมูลตกไปเป็นของบริษัทคู่แข่งอย่างเดอะลูฟ แผนที่น่าจะมีแค่พี่เพย์กับพี่อิฐรู้กัน แต่กลับมีบุคคลที่สามที่รู้เรื่อง และเป็นเรื่องที่ทั้งพี่เพย์และพี่อิฐต่างพลาดทั้งคู่

   ข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบซิงค์ของเลขาถูกแฮกออกไปด้วยฝีมือเลขาคนปัจจุบันของพี่เพย์ที่รับเข้ามาจากการคัดกรองของคุณพีท โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ลอบเข้ามาสืบข้อมูลจากฝั่งเดอะลูฟ

   และนั่นทำให้พี่เพย์สงสัยคนใกล้ตัวก่อนใคร จนถึงกับพูดจาทำร้ายพี่อิฐจนเขาเตลิด

   ถ้าตรวจสอบดีๆ คนอย่างพี่เพย์ไม่น่าพลาดกับเรื่องแบบนี้ได้ แต่ที่ทำให้เขาพลาด อาจเป็นเพราะความสงสัยและระแวงจากการที่พี่อิฐแอบไปเจอคุณจิณณ์โดยที่ไม่บอกให้พี่เพย์รู้ก็เป็นไปได้ คนที่ปกติแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ กลับสมองดับเพราะความโกรธ

   อิงลดารู้เรื่องนี้จากคุณภัทรที่มาเยี่ยมน้องชายตัวเองที่โมโหจนหน้ามืดบินกลับจากอเมริกามากะทันหัน โดยทิ้งคุณภีมให้ประชุมต่อคนเดียว ส่วนเรื่องเลขาที่เข้ามาเป็นหนอนบ่อนไส้ คุณพีทกำลังจัดการเอาเรื่องให้ถึงที่สุดอยู่ เพราะเขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบที่มองคนไม่ขาด

   ส่วนพี่เพย์ตอนนี้...

   “พี่เพย์คะ ทานข้าวหน่อยนะคะ”

   “เมื่อไหร่พี่จะได้ออกจากโรงพยาบาล”

   หน้ารกหนวดรกเคราเพราะไม่ได้รับการดูแลโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด อิงลดาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้

   “ถ้าพี่เพย์ยังดื้ออยู่แบบนี้ หมอก็ไม่ยอมให้ออกหรอกนะคะ”

   เธอทั้งปลุกทั้งปลอบให้พี่เพย์เลิกทำตัวดื้อเป็นเด็กสามขวบเสียที ทั้งขู่ทั้งเข็ญว่าตั้งแต่พี่เพย์ไม่อยู่ หุ้นบริษัทตกลงไปตั้งสามจุด อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านอะไร เอาแต่ทำตัวซังกะตายไปวันๆ

   แม้ว่าทุกคืน... เขาจะแอบร้องไห้อยู่คนเดียวโดยที่เธอทำได้แค่แอบมองอยู่นอกห้องเพราะไม่กล้าเข้าไป

   ส่วนพี่อิฐ เขาโทรกลับมาหาเธอสองครั้ง... ครั้งแรกคือหลังจากที่เขาฟื้นในเวลาไล่เลี่ยกับพี่เพย์ เพื่อบอกว่าตัวเองสบายดีและถามถึงอาการของเจ้านายของเขา พี่ชายไม่ยอมบอกเธอว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แค่บอกว่าอีกไม่นานจะกลับไป

   และอีกไม่นานของพี่อิฐ... ก็ไม่นานจริงๆ

   ส่วนครั้งที่สอง... เป็นสายด่วนกลางดึก เสียงที่ติดจะแหบแห้งและเสียงกลั้นสะอื้นของปลายสาย

   [“น้องอิง...”]

   เสียงของพี่อิฐแย่มาก มันแย่จนทำให้เธอน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว มีไม่กี่เรื่องที่พี่อิฐจะโทรมาหาเธอในเวลาแบบนี้

   [“แม่เสียแล้วนะ”]



   - Eit part -

   งานศพของนางนภารัตน์ วิภาสกุล ถูกจัดอย่างเรียบง่าย ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีครอบครัวคนไหนที่ยังเหลืออยู่ เราถูกตัดญาติขาดมิตรเพราะข่าวเสียมากมาย ตั้งแต่พ่อน้องอิงกลายเป็นบุคคลล้มละลายและฆ่าตัวตาย แม่กลายเป็นบ้า ลูกถูกลักพาตัวโดยพ่อแท้ๆ เพื่อเอาไปขัดดอกเจ้าหนี้

   ครอบครัวแบบนี้ จะมีใครอยากสุงสิงด้วย พวกเขาตัดผมกับน้องอิงออกจากสารบบชีวิตตั้งนานแล้ว

   ผมที่หนีไปอาศัยใบบุญชั่วคราวกับคุณจิณณ์รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ผมฝันถึงเรื่องเก่าๆ ฝันถึงพ่อน้องอิงที่ยิ้มให้และลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ฝันถึงพ่อแท้ๆ ที่พยายามจะบีบคอผมให้ตาย และฝันถึงแม่...

   แม่ที่นั่งเฉยๆ นั่งหันหลังให้ผม

   มันทำให้คืนนั้นผมสะดุ้งตื่นกลางดึกและขอให้คุณจิณณ์ขับรถพาผมไปที่โรงพยาบาล ผมขอพยาบาลเข้าเยี่ยมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งความจริงแล้วไม่น่าจะได้ แต่ผมขอร้องสุดตัวจนพวกเธอยอม

   สุดท้ายแล้ว...

   ผมก็ไปไม่ทันดูใจแม่

   แม่ที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว วันนี้เธอจากไปอย่างสงบ... โดยที่ไม่มีอาการใดๆ เป็นสัญญาณให้น่าเป็นห่วงมาก่อนเลย

   ผมมาช้าไป...

   มือผมสั่นไปหมด นอกจากน้องอิงจะเป็นโลกทั้งใบของผม แม่คือแรงใจที่ทำให้ผมมีกำลังใจทำงานให้คุณเพย์ต่อไป... เพราะเขาเป็นคนคอยจ่ายค่ารักษาแสนแพงเพื่อการดูแลที่ดีที่สุดให้กับแม่ที่ป่วยของผม

   ตอนนี้โซ่เส้นนั้นหลุดออกไปแล้ว... หลุดออกไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

   ผมใช้โทรศัพท์ที่คุณจิณณ์ซื้อมาให้ใช้ไปก่อนในการโทรหาน้องอิง กรอกเสียงที่แหบพร่าจากการร้องไห้ลงไป

   “น้องอิง... แม่เสียแล้วนะ”

   

   คนที่เป็นธุระในการจัดงานศพให้คือคุณภัทร เขาเป็นหนึ่งในคนที่มานั่งร่วมฟังสวดจนครบสามคืน แขกอันน้อยนิด งบประมาณในการจัดยังถูกกว่าค่าอาหารหนึ่งมื้อของเจ้านาย แม้คุณภัทรจะเสนอให้ผมจัดให้ใหญ่กว่านี้หน่อย หรือเลือกวัดที่ดีกว่านี้ก็ได้ แต่ผมปฏิเสธ... วัดนี้เป็นวัดที่เราจัดงานศพให้พ่อน้องอิง

   ถูก... ประหยัด... และเรียบง่าย

   คุณจิณณ์ตัวติดผมแทบตลอดเวลา แม้คุณพีทที่อุตส่าห์มาร่วมฟังสวดจะมองเขาจนเหมือนอยากฆ่าให้ตายตรงนั้นก็ตาม ส่วนผมก็ไม่ทำอะไรมากมายนัก นอกจากคอยจุดธูปเคารพศพกับเสิร์ฟน้ำ ครอบครัวตระกูลไอยราสุวรรณมากันครบทุกคน ยกเว้น... เขา

   แม้จะพยายามไม่มองหา แต่สุดท้ายก็มองหา

   ตั้งแต่วันที่แม่ตาย... ผมร้องไห้ครั้งเดียว แค่ครั้งนั้น... จากนั้นก็ไม่ร้องอีก ปล่อยให้น้องอิงเป็นคนร้องแทน

   ผมไม่ถามใครทั้งนั้นว่าทำไมคุณเพย์ถึงไม่มา...

   ก็ไม่แปลก เพราะผมขอน้องอิงไว้ว่าไม่ให้ใครบอกคุณเพย์

   วันสุดท้าย... เป็นวันที่ผมต้องส่งแม่ไปสวรรค์

   น้องอิงร้องไห้อีกครั้ง... เธอลูบโลงศพของแม่ก่อนจะถูกนำไปใส่ไว้ในเตา... เธอพูดสองสามประโยคแล้ววางดอกไม้จันทน์ลงในเตา ก่อนจะเป็นผมที่อยู่ด้านหลัง

   ผมวางดอกไม้กระดาษลง ยกมือลูบโลงไม้เบาๆ

   “แม่เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว...” ผมแย้มรอยยิ้ม กลั้นความรู้สึกทั้งหมดไม่ให้ออกมาจากตาโศกของตัวเองที่ตอนนี้คงแดงจนน่ากลัว

   “พักผ่อนนะครับแม่”

   จากนั้นก็เป็นแขกคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักกับแม่ผมสักนิด เขามาเพียงเพราะมารยาท ผมถอยออกไปเพื่อรอให้สัปเหร่อจุดไฟ... ยืนมองปล่องควันที่เริ่มจะมีควันสีดำโพยพุ่งออกมา

   แม่เป็นอิสระแล้ว...

   ผมยืนหลบมุมอยู่เงียบๆ แขกเหรื่อทยอยกันกลับ น้องอิงทำหน้าที่ส่งแขกได้ดี เธอปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพัง

   แดดตอนเที่ยงแรงจนแผดหัว แต่ผมยังคงยืนเงยหน้ามองควันดำอย่างเหม่อลอย ก่อนที่ข้างกายจะมีเงาดำจากร่างสูงมาพาดทับ ผมเหลือบมองก่อนจะเบิกตาเล็กน้อย

   “ไม่คิดจะบอกกูหน่อยเหรอ ทั้งอิง ทั้งมึง”

   ผมเบือนหน้ากลับมา ไม่ตอบเขา

   คุณเพย์สวมชุดสีดำมายืนข้างๆ ผม

   “กูไม่มีอะไรรั้งมึงได้อีกแล้วใช่มั้ยอิฐ”

   “....”

   ผมเงียบ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อกลั้นความรู้สึกที่อยากจะเอื้อมไปจับมือเขาไว้

   เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกสงบและปั่นป่วน

   “คุณเพย์ครับ”

   ผมเรียกเขา

   “ผมขอลาออก”

   คุณเพย์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำให้ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ผมกำมือตัวเองแน่นตอนที่พูดคำนี้ออกไป กลั้นมันทุกอย่าง กลั้นแม้กระทั่งน้ำตาที่คลอจวนเจียนจะหยดแล้ว

   “ผมขอคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้ครับ”

   ผมอยากร้องไห้... ผมไม่รู้ว่าผมจะร้องไปทำไม ผมร้องเพื่อใคร อาจจะเพื่อตัวเอง... เพื่อน้องอิง เพื่อพ่อ เพื่อแม่...

   ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกจากคนข้างตัว ที่ผมอยากจะพูดมีแค่นี้... ผมรวบรวมเอาความกล้าทั้งชีวิตมาใช้พูดออกไปแล้ว สองขาสั่นๆ พาร่างของตัวเองออกจากตรงนั้น ไม่อยากได้ยินอะไร แต่สุดท้าย...

   ข้อศอกถูกรั้งเอาไว้ ก่อนจะโดนดึงกลับมา ร่างของผมโอนอ่อนราวกับตุ๊กตา กลับมาสู่อ้อมกอดที่ห่างหายไปเป็นเดือนๆ อีกครั้ง มันแน่น... จนหายใจไม่ออก

   “ถ้ากูขอว่าไม่ให้ไป มึงจะอยู่กับกูมั้ย”

   “...”

   “ถ้ากูบอกว่าขอโทษ มึงจะให้อภัยกูมั้ย”

   “...”

   “ถ้ากูบอกว่ากูรักมึง มึงจะรักกูกลับบ้างมั้ยอิฐ”

   “คุณ... เพย์”

   เขาพูดอะไรน่ะ?

   “กูรักมึงอิฐ คนเดียวที่กูรัก คือมึง... รักมาตลอด”

   “...ผม... คุณเพย์”

   เขาละเมออีกแล้ว ยาแก้ปวดทำให้คุณเพย์สับสนเหรอครับ

   “อยากดูแล อยากอยู่ด้วย อยากให้อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา...”

   “คุณเพย์ครับ”

   “รักกูบ้างได้มั้ย”

   “....”

   เขากอดผมแน่นขึ้น ส่วนผมนั้น... นอกจากอยู่ให้เขากอด ผมทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย

   “ทุกอย่างมันอยู่ในที่ที่มันควรอยู่แล้วครับคุณเพย์”

   ผมถอนอ้อมกอดเขาออกมาอย่างแผ่วเบา ยิ้มบางๆ ให้เขา ยกมือเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มเป็นเด็กๆ ให้

   “ถ้าคุณเพย์รักผม ผมขอให้คุณเพย์ดูแลสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมได้มั้ยครับ”

   “อิฐ... ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย...”

   เขาส่ายหน้าแต่ผมกลับจับมือเขาไว้แน่น เป็นครั้งสุดท้าย... ก่อนจะปล่อยออก

   “ผมทำอะไรให้น้องอิงไม่ได้แล้ว... จากนี้ไป ถ้าคุณเพย์รักผม...” ผมกลืนก้อนบางอย่างลงไป “รักน้องอิงนะครับ... รักเธอให้มากกว่าที่ผมรัก ดูแลเธอแทนผม...”

   ผมมันน่ารังเกียจ...

   “...”

   “และตอนนี้ ผมขออิสระของผมคืนนะครับ”

   ผมใช้ความรักของคุณเพย์ ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคุณเพย์

   “ลาก่อนครับ”

   เงินจำนวนห้าสิบล้านถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของนายภาวิต ไอยราสุวรรณ เป็นเงินจำนวนที่ซื้ออิสระให้ผมได้... เป็นเงินที่ผมแลกมาจากข้อตกลงอันน่ารังเกียจกับคุณจิณณ์

   ผมรู้ว่าน้องอิงกับคุณเพย์ คบกันโดยที่ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก

   ผมได้ยินที่เขาคุยกันตั้งนานแล้ว

   แต่ถ้าผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นข้อตกลงนั้น เราสามคนจะไม่กระอักกระอ่วนใจกับการอยู่แบบนี้ และผมก็คิดว่า สักวัน... น้องอิงกับคุณเพย์จะรักกันจริงๆ และผมจะหมดห่วงเสียที...

   ผมรู้ว่าคุณเพย์ไม่สามารถบอกใครต่อใครได้ว่าชอบผู้ชาย

   เพราะหน้าตาทางสังคมที่แบกรับไว้ ภาระของเขามีเต็มบ่า... คนมีครอบครัวให้ห่วงความรู้สึกอย่างเขา ไม่มีผมมาเป็นข้อบกพร่องในชีวิตจะดีกว่า

   คำถามที่ว่าผมยังรักน้องอิงอยู่มั้ย...

   รักครับ... แน่นอนว่าผมรักเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

   เพียงแต่ว่า... น้องอิงไม่ใช่คนที่ผมรักที่สุดแล้วก็เท่านั้น

   ส่วนคำถามของคุณเพย์ที่ผมไม่เคยตอบ...

   คำถามที่ว่า ผมจะสามารถรักเขาบ้างได้มั้ย

   ผมตอบได้เต็มหัวใจ...

   ว่าผมรักเขาไปแล้ว



   “จะไปจริงๆ เหรออิฐ”

   “ครับ”

   กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกจัดอย่างไม่พิถีพิถันมากนักในห้องชุดส่วนตัวที่เป็นของคุณจิณณ์ เขาตั้งใจยกห้องนี้ให้ผม แต่ผมไม่ต้องการ ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น...

   ผมขายร่างกายตัวเองในราคาเจ็ดสิบล้าน

   เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีราคาขนาดนี้

   ห้าสิบล้านคืนคุณเพย์ไป ชดใช้หนี้ชีวิตทั้งหมดที่เขามอบให้

   อีกยี่สิบล้าน คือทุนในการเริ่มชีวิตใหม่ ที่คุณจิณณ์จ่ายให้

   สำหรับคุณจิณณ์และคุณเพย์ เงินจำนวนนี้ซื้อได้แค่คอนโดห้องหนึ่งของเขาเท่านั้น แต่สำหรับผม มันซื้อได้ทั้งชีวิต

   คุณจิณณ์ซื้อการมีชีวิตอยู่ของผม เขาขอให้ผมใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้าง อย่าเป็นเหมือนน้องสาวเขาที่ใช้ชีวิตด้วยความสิ้นหวัง

   ใช่แล้ว... คนที่สั่งให้คนไปขโมยข้อมูลโครงการสัมปทานก็คือคุณจิณณ์ เขาทำเพื่อแก้แค้นให้น้องสาวที่ยังจมปลักอยู่กับความแค้น และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะขัดขาคุณเพย์ เพราะเขาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคุณเพย์หมดแล้ว

   เขาแย่งโครงการที่คุณเพย์ทุ่มเทกับมันมาสามปีเต็มเพื่อพิสูจน์ตัวเอง มันเป็นข้อตกลงระหว่างท่านประธานและคุณเพย์ ซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้ แต่มันทำให้คุณเพย์เหมือนหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง

   และแย่งผมมาได้อย่างที่เขาบอกคุณเพย์ไว้

   แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาด คุณเพย์ใจสลาย... ผมไม่ขอนึกถึงสภาพของเขาตอนนี้

   ทุกคนมีส่วนได้ และส่วนเสีย...

   “ผมอยากขอให้อิฐอยู่”

   “ผมอยู่ให้แล้วนะครับ คุณจิณณ์ไปหาผมได้ตลอดถ้าคุณจิณณ์อยากไป”

   เขาทำหน้าบึ้ง ยกมือเท้าเอวให้กับความดื้อด้านของผม ผมหัวเราะ รูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางที่มีของไม่มากมายนัก คุณจิณณ์มองเอกสารในมือแล้วเลิกคิ้ว

   “ติดต่อไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้แล้วเหรอ?”

   “ครับ ความจริงผมลองส่งใบสมัครกับเขียน Essay ส่งไปเป็นพักๆ ตั้งนานแล้ว”

   ผมลากกระเป๋าลงจากเตียงแล้วเข็นไปตั้งไว้แถวประตูห้อง ตรวจเช็คของให้ครบอีกครั้ง ของทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนที่ผมพกมาจากคอนโดเดิมเลย ผมซื้อใหม่หมด ส่วนใหญ่คุณจิณณ์ซื้อให้อีกตามเคย เพราะผมเน้นประหยัด

   สิ่งเดียวที่ผมพกติดตัวตลอดเวลา คือนาฬิกาเรือนละสองแสนห้าของคุณเพย์

   ผมมองมันสักพักก่อนจะเดินไปเก็บอย่างอื่นต่อ

   “ที่นั่นอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อิฐอยู่ไหวเหรอ” เขายังถามเหมือนอยากให้ผมเปลี่ยนใจ

   วีซ่าผมผ่านแล้วนะ ยังจะมาถามอะไรอีก

   “ไหวครับ ผมโอเคอยู่แล้ว”

   “หรือผมทำเรื่องเปิดสาขาที่อังกฤษดี”

   คุณจิณณ์ทำหน้าคิดไม่ตก ส่วนผมอยากจะชมว่าเขาบ้า

   “พวกคุณเดินทางข้ามประเทศกันบ่อยจะตาย ไว้ถ้าผ่านไปอังกฤษก็จอดหาผมก็ได้ครับ”

   คุณจิณณ์หัวเราะก่อนจะเดินเข้ามารวบผมเข้าไปกอด ผมปล่อยกล่องที่หยิบขึ้นมาร่วงลงพื้น ก่อนจะยกมือกอดตอบเขา ริมฝีปากสวยกดจูบลงบนผมนุ่ม

   “ผมอยากดูแลคุณจริงๆ”

   “ขอบคุณสำหรับชีวิตใหม่นะครับ คุณจิณณ์”

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สงสารเพย์นะ

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อ่านแล้วหน่วงมากกกกกกก โอ้ยแต่งละคนแต่ละปม ผมร่วงเพราะซดมาม่า ไปหลายถ้วยแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
| Day 16 |
Move on



   - Pay Part -

   “ไล่ออก!”

   ปีนี้ผมไล่เลขาออกเป็นคนที่ห้าแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานและการตัดสินใจของผมลดฮวบจนแทบจะตกต่ำ ผมพลาดบ่อย บ่อยกว่าไอ้พีทที่เมื่อก่อนเป็นตัวพลาดประจำบ้าน พลาดจนพ่อเรียกเข้าไปด่ากลางห้องทำงาน

   น้องอิงขอเลิกกับผมแล้วตั้งแต่ที่อิฐย้ายออกไป เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ผมรู้ว่าเขาอยู่กับใคร และคนคนนั้นก็ปกป้องเขาจนผมไม่สามารถตามตัวเจอได้

   น้องอิงบอกว่า อิฐรู้อยู่แล้วว่า ผมกับเธอคบกันเพราะอะไร

   ก่อนที่อิฐจะออกจากคอนโดไป เขาเปิดใจนั่งคุยกับน้องอิงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

   แต่อิงไม่บอกรายละเอียด เธอบอกว่าพี่ชายของเธอคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้ผมแล้ว ชดใช้ให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าเลี้ยงดูและค่าพยาบาลแม่

   เขาคิดจะตัดผมออกจากชีวิตจึงทำแบบนี้

   ส่วนน้องอิง เธอเป็นเด็กในอุปถัมภ์ของคุณพ่ออยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเลิกกันโดยเป็นที่รับรู้ของคนทั้งบ้าน แต่แม่และพ่อของผมก็ยังคงต้อนรับน้องอิงให้มากินข้าวที่บ้านเสมอ รวมถึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะย้ายออกจากคอนโดเพื่อไปแชร์ห้องอยู่กับเพื่อน

   คอนโดที่มีความหลังถึงเจ็ดปี ตอนนี้มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปเหยียบ

   เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นที่นั่น ก็ต้องจบที่นั่น

   ผมหงุดหงิดกับความผิดพลาดของงานที่เลขาทำจนปัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะเกลื่อนกระจาย เดือดร้อนผู้ช่วยต้องเข้ามาจัดการเก็บกวาดให้อย่างหวาดหวั่น ผมทิ้งตัวนั่งลงพิงเก้าอี้อย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นปิดปาก ใจสั่นเหมือนคนดื่มกาแฟเกินลิมิต ก่อนจะล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

   บุหรี่ยี่ห้อที่เขาสูบประจำ

   “บ้าเอ้ย!”

   ผมเดินออกไปที่ระเบียง เท้าแขนบนราวเหล็กก่อนจะซบหน้าลงไป มือที่ถือบุหรี่กลิ่นของเขาสั่นจนน่ากลัว

   ผมคิดถึงเขา... คิดถึงเหลือเกิน

   “พี่เพย์คะ”

   เสียงหวานที่ไม่ได้ยินมาเกือบสามเดือนดังขึ้นจากด้านหลัง มีไม่กี่คนที่กล้าเข้ามาหาผมในตอนที่เป็นแบบนี้ ผมหันกลับไป ขอบตาคล้ำเพราะอาการนอนไม่หลับและความเครียดสะสม สายตาเวทนาของสาวน้อยที่เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิคแล้วทำให้ผมหลบสายตา

   เธออยู่ในชุดไปรเวทน่ารัก หน้าตาและนิสัยของน้องอิงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มที่พบเห็น มันคงจะดีถ้าผมรักเธอได้ และจะดีกว่านี้ถ้าเธอไม่เห็นผมในสภาพหมาขี้แพ้

   หญิงสาวเดินเข้ามาลูบหน้าผมที่ไม่เนี้ยบเหมือนเดิม คงจะโทรมมากสินะ

   “นอนหลับบ้างมั้ยคะ ทานอะไรบ้างรึเปล่า”

   “ไม่”

   ผมตอบเสียงห้วนเพราะอารมณ์ที่ยังค้างอยู่

   “อิงจัดยาให้มั้ยคะ”

   “ไม่ต้อง”

   “พี่เพย์คะ...”

   “ไม่ต้องมายุ่งกับพี่หรอกอิง ปล่อยพี่ไว้แบบนี้แหละ”

   ผมกระชากเสียง น้องอิงไม่ได้มีท่าทางสะดุ้งสะเทือนอะไร เธอสามารถรับมือกับนายภาวิตตอนนี้ได้แล้ว แม้เราจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่คบกัน แต่เธอยังคงเป็นน้องสาวที่ดีเสมอมา ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วง แต่การที่เห็นหน้าเธอ มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด

   ผิดที่ทำให้พี่ชายเธอหนีไป ผิดที่ทำให้เธอต้องตัวคนเดียว

   “ไปนอนพักค่ะ”

   เธอดื้อที่จะลากผมให้กลับเข้าไปในห้องทำงาน มือเล็กดึงบุหรี่ออกจากมือผมแล้วดับลงตรงที่เขี่ยบุหรี่ ร่างเล็กแค่อกจับผมนั่งลงบนโซฟา แล้วดันให้นอนลงโดยมีเธอนั่งเฝ้า

   “ไม่ได้นอนมากี่วันแล้วคะ”

   “น่าจะสาม หรือสี่ หรืออาทิตย์นึง”

   ผมยกหลังมือปิดตา ตอบอย่างเหม่อลอย ไม่แน่ใจ... ถามว่าได้นอนกี่วันยังง่ายกว่า

   น้องอิงถอนหายใจยาว เธอลูบหัวผมเบาๆ

   “พี่ถามไรหน่อยสิ”

   “คะ?”

   “เจออิฐบ้างมั้ย?”

   “....” น้องอิงเงียบไป ไม่ตอบแปลว่าเจอ... ผมจับมือเธอที่ลูบหัวผมไว้เบาๆ 

   “อิฐ สบายดีใช่มั้ย”

   “ค่ะ พี่อิฐสบายดี”

   อิงลดายิ้มให้ ผมจึงค่อยโล่งใจ ก่อนจะหลับตาลง ไม่รู้เพราะอะไร... แค่รู้ว่าเขาสบายดี ผมก็รู้สึกเหมือนอาการหนักๆ ที่หัวมันถูกยกออกไป

   “พี่เพย์คะ” จู่ๆ น้องอิงก็เรียก ผมปรือตาขึ้นนิดหน่อย ครางตอบ น้องอิงจับมือผมไว้ เธอเงียบไปเหมือนกำลังคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “พี่อิฐ กำลังจะไปต่างประเทศ”

   ผมลุกพรวด น้องอิงกลั้นหายใจ สังเกตปฏิกิริยาของผม...

   ผมอยากจะเขย่าตัวถามเธอ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่หลุบตามองต่ำ ก้มหน้าแล้วบีบมือตัวเองแน่น

   “เหรอ” ผมยิ้มจืดจาง “ดีแล้ว เขาจะได้หนีไปให้ไกล ไกลจากที่ที่สร้างแต่บาดแผลให้เขา”

   “พี่อิฐจะไปเรียนต่อค่ะ เขาได้ทุนจากมหาวิทยาลัย”

   น้องอิงเล่า เธอรู้ว่าเรื่องของอิฐทำให้ผมสงบลง แต่เป็นการสงบที่เหมือนโดนกล่อมด้วยยาระงับประสาท การได้ฟังเรื่องของเขามันเหมือนทำให้ผมยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หายไปไหน

   “อิฐเป็นคนเก่ง ไม่ยากหรอกถ้าเขาคิดจะทำอะไร เขาแค่ไม่เคยใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเลยต่างหาก”

   ผมรู้ เขาเก่งมาก ดูจากการช่วยงานต่างๆ ของผม รวมถึงโครงการนั้น ข้อเสนอและแนวคิดที่ถูกขโมยไปทำให้โครงการของเดอะลูฟผ่านได้อย่างง่ายดาย ผมคิดว่าถ้าเราเสนอไปเร็วกว่าทางนั้น มันคงจะผ่านได้ไม่ยากเย็นเลย

   แต่มันก็ผ่านไปแล้ว... ทำได้แค่เริ่มต้นใหม่

   น้องอิงเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก่อนจะตัดสินใจบอก

   “พี่เพย์... อยากไปส่งพี่อิฐมั้ยคะ”

   ผมเงยหน้า สายตาคงน่าสมเพชมากเมื่อได้ยินข้อเสนอของน้องอิง

   ผมไม่ได้เจอหน้าเขามาเกือบปีแล้ว...

   “พี่...” ผมกลืนน้ำลายที่แห้งผาก ความรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้ทำให้ผมสับสน ก่อนจะนึกถึงวันสุดท้ายที่เราเจอกัน

   คำว่า ลาก่อน ของเขา... ผมไม่อยากได้ยินมันอีก

   “พี่ไม่ไปดีกว่า” ผมปฏิเสธด้วยเสียงเบาหวิวเหมือนพูดแค่เตือนสติตัวเอง

   “แน่ใจนะคะพี่เพย์?” เธอถามย้ำอีกรอบ

   “พี่ว่าอิฐคงไม่อยากเจอหน้าพี่หรอก ปล่อยเขาไปเจออะไรใหม่ๆ โดยที่ไม่มีพี่ส่งท้ายน่ะดีแล้ว”

   อิงลดาถอนหายใจยาว เธอลุกขึ้น ลูบไหล่ผมเบาๆ ผมจับมือเธอไว้แล้วยิ้มให้

   “ฝากลาเขาให้พี่ด้วยนะ”

   “ค่ะ”



   ผมนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน แสงสีส้มมันย้อมทุกสิ่งอย่างให้แดงไปหมด สีเหมือนสีของก้อนอิฐ... มันจะย้อมแค่ไม่นาน จากนั้นมันจะลับฟ้าไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความมืดมิด

   ผมยังไม่ยอมลุกออกจากห้องทำงาน เอกสารประมาณสี่ห้าแฟ้มยังวางเรียงตั้งไว้ตรงนั้นรอให้ผมไปจัดการ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ให้นานที่สุดเพราะไม่อยากกลับคอนโด ผมไม่อยากกลับไปในสถานที่ที่มีความทรงจำร่วมกับเขา ห้องนี้เป็นห้องที่อิฐเคยเข้ามานับครั้งได้ เป็นสถานที่ที่ไม่มีความทรงจำร่วมกันมากที่สุดแล้ว

   สุดท้ายผมก็ฟุ้งซ่าน

   “ยังไม่กลับอีกเหรอเพย์”

   ผมหันเก้าอี้กลับมา ร่างสูงของพี่ภัทรยืนพิงกรอบประตูห้องทำงานอยู่ เขาส่งยิ้มใจดีมาให้ ผมขยับตัวนั่งหลังตรง มือจับปากกาเตรียมทำงานต่อ

   “งานผมค้างอีกเยอะ”

   พี่ภัทรเดินเข้ามา เขานั่งลงตรงข้ามกับผมก่อนจะดึงปากกาออก ผมจิปากรำคาญ

   “จะไม่ไปส่งเขาจริงๆ เหรอ”

   “...”

   พี่ชายผมคงรู้มาจากน้องอิง ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าพี่ภัทรกับน้องอิงเริ่มสนิทกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะเขาเป็นห่วงผมที่อยู่ในสภาพนี้มาจะปีนึงแล้วก็เป็นได้ พี่ภัทรเป็นอีกคนที่รู้เรื่องรสนิยมของผม รวมถึงรู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับอิฐไม่ได้เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง

   พี่ภัทรเป็นพี่ที่เข้าใจน้องทุกคน เขาไม่พูดเยอะ แต่จะคอยช่วยแก้ปัญหาให้ตามที่เห็นสมควร

   ข้อบกพร่องอย่างเดียวของพี่ภัทร คือเขาไม่สามารถแต่งงานได้... เพราะเขาก็เหมือนกับผม

   เรารู้กันในเรื่องนี้

   “มันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกันนะเพย์”

   “...”

   “ทำในสิ่งที่คิดว่าจะไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังเถอะ”

   

   - Eit Part -

   @ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

   “พี่อิฐจัดกระเป๋าเอง โอเคแล้วใช่มั้ยคะเนี่ย?”

   สาวน้อยของผมถามอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ผมเช็คอินเพื่อโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ที่ติดตัวก็มีเพียงกระเป๋าสะพายเอาไว้ใส่ของจุกจิกที่ต้องพกติดตัว พาสปอร์ตและบอร์ดดิ้งพาส

   ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ น้องอิงทำหน้าไม่ไว้ใจ

   “อิงจะไปช่วยจัด พี่อิฐก็ไม่ยอม อิงไม่ไว้ใจเลยค่ะ พี่อิฐยิ่งขี้หลงขี้ลืมอยู่ด้วย”

   “อิง ของพี่ไม่เยอะแยะหรอก”

   ไม่เยอะจริงๆ นะ ผมเลือกที่จะไปหาซื้อใหม่เอาถึงแม้จะแพงนิดหน่อย แต่ผมใช้อะไรผมใช้นาน หอพักมหาวิทยาลัยก็ใกล้ศูนย์การค้าด้วย ขาดเหลืออะไรก็คงไปหาซื้อเอาได้ไม่ยาก

   “ใกล้จะได้เวลาเข้าเกทแล้วนะ”

   คุณจิณณ์ดูเวลาแล้วพูดขึ้น  น้องอิงยิ้มแหย ก่อนจะเบะปาก น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เล่นเอาผมอยากจะเบะตามเลย

   “อิงต้องคิดถึงพี่อิฐมากแน่ๆ เลยค่ะ”

   สาวน้อยโถมตัวเข้ามากอดผมแน่น ผมขยับมือกอดน้องสาวที่เป็นเสมือนดวงใจของผมตอบ ลูบหัวเธอเบาๆ น้ำตาแห่งการลาจากคลอเบ้าจนแทบจะหยดลงมา

   ตลอดเวลายี่สิบกว่าปี เราแทบจะไม่เคยต้องห่างกันเลย เรามีกันสองคนพี่น้อง ไม่ว่าจะมีเรื่องร้ายมากมายขนาดไหนเข้ามา เรามักจะจับมือกันไว้เสมอ

   ถึงวันนี้... เราคงต้องปล่อยมือ เพื่อไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเสียที

   “พี่รักอิงนะ พี่ยังคงรักอิงเสมอ”

   ผมลูบหัวน้องสาวที่ร้องไห้งอแงเป็นเด็กก่อนจะยิ้มให้

   “ดูแลตัวเองดีๆ นะน้องอิง อย่าหักโหมมากนัก กินให้อิ่ม นอนให้หลับ” ผมสั่งทิ้งท้ายเหมือนเป็นคุณพ่อ “ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ โทรหาพี่นะ ติดต่อพี่ได้ตลอด ถ้าไม่ไหวจริงๆ พี่จะกลับมาหา”

   “ถึงพี่อิฐไม่มาหาอิง อิงก็จะไปหาพี่อิฐเองค่ะ ไม่ยอมให้พี่อิฐทิ้งไปง่ายๆ หรอก”

   ผมหัวเราะกับคำพูดของน้องสาวที่ทำหน้าย่นใส่ ก่อนจะหันไปหาคุณจิณณ์ที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ข้างๆ

   “คุณจิณณ์ครับ”

   เขาเลิกคิ้ว ส่งยิ้มให้ผมอย่างใจดีเหมือนเดิม

   “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ”

   เจ้าของดวงตาสีน้ำข้าวยกมือวางบนหัวของผม เขาลูบมันอย่างอ่อนโยน 

   “ดูแลตัวเองดีๆ นะอิฐ ค่ารักษาพยาบาลที่นั่นแพงมาก จะทำอะไรก็ระมัดระวัง”

   “ผม... ผมโตแล้วนะครับ”

   “ครับๆ”

   ร่ำลากันอีกสักพักก็มีเสียงประกาศเตือนของไฟล์ตบินผม ผมเดินเข้าไปในเกท ไม่วายหันกลับมามองคนที่ยืนส่งผมจนวินาทีสุดท้ายอยู่ จนกระทั่งผมลงบันไดเลื่อนไป

   “อิฐ!!”

   ผมสะดุ้งสุดตัว... รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมานานมาก แต่ผมลงบันไดมาแล้ว... ถ้าจะให้กลับขึ้นไปอีกครั้งมันก็...

   ผมคงคิดถึงเขามากไป... จนหูฝาดแหงๆ

   “เอาวะ... เริ่มต้นใหม่นะอิสระ”

   ผมยิ้มให้ตัวเองก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก

   

   - Pay Part -

   ผมมาช้าไป...

   รถตอนเย็นวันศุกร์ติดจนลงทางด่วนแทบไม่ได้ กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง

   ไฟล์ตบินของเขาต้องเข้าเกทตอนสามทุ่ม แต่ผมมาถึงตอนสามทุ่มยี่สิบ

   ผมวิ่งหน้าตั้งไปยังประตูขาออกนอกประเทศจนคนรอบข้างหันมามอง รถจอดทิ้งไว้หน้าประตูทางเข้าสนามบินโดยไม่สนว่าหลังจากนี้จะโดนยกไปไหนหรือเปล่า ผมเห็นร่างของไอ้จิณณ์กับน้องอิงยืนอยู่หน้าทางเข้าเกทเหมือนกำลังจะกลับ พวกเขามองผมอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะไอ้จิณณ์

   “เชี่ยเพย์ มึงมาได้...”

   “อิฐ!!”

   ผมไม่สนใจใครทั้งนั้น พยายามเข้าไปในเกทแต่ก็ถูกรั้งตัวไว้โดยเจ้าหน้าที่ ความโกลาหลจึงบังเกิด น้องอิงรีบเข้ามาลากตัวผมให้ออกมาก่อนที่จะเกิดเรื่องไปมากกว่านี้ ผมหอบหายใจ สภาพเหงื่อท่วมจากการวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างสุด

   “พี่เพย์คะ พี่เพย์! ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ พี่อิฐเข้าเกทไปตั้งนานแล้วค่ะ”

   “อิง... พี่... พี่...”

   ผมถูกจับให้นั่งลง หญิงสาวเอาแผ่นกระดาษแถวนั้นมาพัดวีให้เพราะกลัวผมจะเป็นลมล้มไป หน้าซีดเผือดจนน้องอิงต้องรีบล้วงเอายาดมที่พกติดตัวขึ้นมาปัดผ่านจมูกผมให้

   “ใจเย็นๆ นะคะ”

   “อิฐ... อิฐล่ะ”

   “พี่เพย์คะ พี่อิฐเข้าเกทไปนานแล้วค่ะ”

   ผมเบิกตากว้าง... ก่อนจะหรี่ตาลง กัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ

   ไอ้จิณณ์ที่ยืนดูอยู่ข้างมองผมด้วยสายตาสมเพชก่อนจะกอดอกแล้วหัวเราะในลำคอ

   “หึ กูอุตส่าห์ยอมให้น้องอิงไปชวนมึงมาส่งเขา เสือกเล่นตัวจนสายไปแล้ว สมน้ำหน้ามึงนะเพย์”

   “เชี่ยจิณณ์!!”

   ผมลุกขึ้นจะกระชากคอเสื้อมัน แต่กลับโดนน้องอิงดึงกลับมาก่อน

   “พี่เพย์คะ อย่าทะเลาะกันที่นี่สิคะ พอแล้วค่ะ!”

   “อิงไม่เห็นเหรอว่ามันหยามหน้าพี่!” ผมมองหน้าไอ้จิณณ์ที่ทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนอย่างโกรธแค้น เห็นแล้วอยากกระทืบให้จมตีนเลยจริงๆ!

   “กูหยามมึงตรงไหน มึงทำตัวเองทั้งนั้น!”

   “ไอ้สัสเอ้ย!”

   “พี่เพย์คะ หยุดได้แล้วนะ!”

   น้องอิงดึงผมให้กลับลงไปนั่งเหมือนเดิม ตาคู่โตดุจัดอย่างไม่เคยเป็น สีหน้าเธอบอกว่าถ้าผมยังอาละวาดอยู่ เธอจะเอากระเป๋าหนังของเธอฟาดหน้าผมแน่นอน ผมสะบัดหน้าหนีพลางบีบมือตัวเอง

   “คุณจิณณ์ก็หยุดกวนพี่เพย์ได้แล้วค่ะ”

   น้องอิงหันไปดุอีกคนบ้าง ไอ้เหี้ยจิณณ์กอดอกสะบัดหน้าไปอีกทาง

   ผู้ชายตัวโตๆ สองคนต้องมาถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สูงไม่ถึงอกดุจนเงียบนี่มันไม่ใช่อะไรที่น่าดูเลยสักนิด

   “มันช้าไปแล้วค่ะพี่เพย์”

   ในที่สุด เมื่อผมสงบลง น้องอิงก็เดินเข้ามาจับมือแล้วย่อตัวลงนั่งตรงหน้า เธอปลอบผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่คำพูดของเธอช่างตอกย้ำผมเหลือเกิน

   “กลับบ้านกันดีกว่านะคะ”



   ก่อนจะแยกกันโดยที่น้องอิงกลับกับผม ไอ้จิณณ์เดินเข้ามาแล้วเรียกผมไว้ น้องอิงที่รู้ว่ามันคงเป็นการอยากคุยกันแบบลูกผู้ชายจึงขอตัวไปนั่งรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ส่วนผมกับมัน เดินไปยืนเกาะราวระเบียงเพื่อหาที่คุย

   “โครงการสัมปทานนั่น กูจงใจให้มึงเข้าใจอิฐผิด”

   “ไอ้สัด”

   ผมด่ามันแต่ก็ไม่ได้รุนแรงหรือมีอารมณ์มากมายเหมือนตอนแรก สายตามองออกไปนอกอาคารผ่านกระจก แสงไฟจากรถและตึกรามทำให้ข้างนอกดูไม่มืดเท่าที่ควร

   “ครั้งสุดท้ายแล้วเพย์ ที่กูจะตามขัดแข้งขัดขามึงเพราะความแค้น”

   ผมเหลือบตามองมัน ไอ้จิณณ์ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงถอนหายใจยาว

   “อีกสามเดือน เจนจะแต่งงานแล้ว”

   ผมเงียบ อยากจะถามแต่ก็ยังไม่กล้า ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้มันให้อภัยในสิ่งที่ผมทำ

   “เจนก้าวข้ามความสิ้นหวังได้แล้ว กูเองก็แย่งทุกอย่างของมึงมาหมดแล้ว สำหรับกู... กูไม่มีอะไรติดค้างกับมึงอีกแล้ว”

   ผมเบือนสายตากลับมา อยากอัดบุหรี่เข้าปอดเหลือเกินในตอนนี้

   “มึง... ดูแลเขาดีมั้ย”

   ไอ้จิณณ์หัวเราะหึ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบ

   “ดีสิ ดีกว่ามึง”

   “งั้นเหรอ...” ผมกัดปากตัวเอง “ขอบคุณ”

   “แต่ถึงจะดียังไง กูก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องการว่ะ”

   ไอ้จิณณ์ล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขายื่นมันให้ผมที่รับมาแบบไม่เข้าใจ

   สมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ผมเคยเห็นสมุดแบบนี้มาบ้าง แต่ไม่ใช่เล่มนี้

   “เขาทิ้งมันไว้ ตอนแรกกูกะจะเอาไปทิ้ง แต่คิดๆ ดู กูคิดว่าเขาอาจจะอยากให้มึง” ไอ้จิณณ์หันตัวจะเดินจากไป ผมมองสมุดเล่มเล็กๆ นั่นสักพักจึงตะโกนเรียกมันที่เดินไปเกือบจะถึงบันไดเลื่อนแล้ว

   “จิณณ์!”

   ผมเดินตามไป ไอ้จิณณ์เงยหน้ามองผมขณะก้าวลงบันไดเลื่อน

   “กูขอโทษ”

   มันเป็นคำที่ผมควรจะพูดออกมาตั้งแต่เก้าปีก่อน ไอ้จิณณ์เบิ่งตาเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วยกมือขึ้นปัดๆ เขาไม่ตอบอะไร จนสุดบันไดเลื่อน ร่างนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนเดียวดายมองสมุดเล่มเล็กนั้นเพียงลำพัง



   หลังจากทำเรื่องเอารถคืนเพราะจอดในที่ห้ามจอดได้ ผมก็ขับไปส่งน้องอิงที่คอนโดที่เธอกับเพื่อนแชร์ห้องกัน ระหว่างทางที่กลับคอนโดตัวเอง ผมรู้สึกคิดถึงห้องนั้นขึ้นมา จึงตบไฟเลี้ยวเพื่อกลับรถ มุ่งไปยังสถานที่ที่มีความหลังทั้งสุขและเศร้าเคล้ากันไปตลอดเจ็ดปีแห่งนั้น

   ห้องที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็นปี มีฝุ่นจับเล็กน้อยเพราะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ผมไม่อยากปล่อยให้มันร้างไป ข้าวของในห้องยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมๆ ของมัน มีเพียงของๆ น้องอิงที่หายไปบ้าง แต่ของๆ เขายังคงอยู่ครบ เพราะอิฐไม่เอาอะไรติดตัวไปเลยสักชิ้นเดียว

   ผมเดินเข้าไปในห้องของเขา...

   ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินที่เขาชอบ เขาบอกว่าสีมันดูสงบ ต่อให้เปื้อนก็ไม่มีใครเห็น...

   ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง หยิบหมอนใบใหญ่ของเขาขึ้นมาวางบนตัก

   ห้องของอิฐไม่มีอะไรเลยนอกจากของจำเป็น หมอนก็มีแค่ใบเดียว แม้ผมจะใช้ห้องนี้บ่อยเสียกว่าห้องน้องอิง แต่เขาก็ไม่คิดจะซื้อหมอนเพิ่ม ผมจำได้ว่าหลังจากที่เรามีอะไรกันจบ ผมมักจะยึดหมอนของเขา แล้วดึงรั้งให้เขาหนุนแขนของผมแทน

   อิฐที่ตัวเล็ก ผอมแห้ง บอบบาง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ยามหลับเขาเหมือนมีแค่ตัว ไม่มีลมหายใจ... ผมจึงอยากกอดเขาไว้ ให้รู้ว่าร่างกายเขายังอุ่น

   อิฐที่แม้ปากจะด่าผม แต่ไม่มีเคยมีครั้งไหนที่จะไม่ยอมทำตาม

   อิฐดื้อ แต่ยอมทุกอย่างเพียงเพราะผมสั่ง

   ผมกอดหมอนใบนั้นไว้พลางซบหน้าลงไป

   กลิ่นของเขายังติดอยู่ ผมไม่ยอมให้ใครเอาของๆ เขาไปซัก... ผมไม่อยากให้ร่องรอยที่เคยมีเขาหายไป

   ‘คุณเพย์ครับ วันนี้มีนัดประชุมกับบอร์ดตอนสิบโมง...’

   ‘คุณเพย์ครับ วันนี้ต้องไปทานข้าวกับมิสอารีน่านะครับ เขาจะมาเป็นพรีเซนเตอร์ตัวใหม่ให้สินค้าเรา คุณต้องมารยาทดี และที่สำคัญ เธอไม่ชอบผู้ชายใส่สูทสีดำ’

   ‘คุณเพย์ครับ เรื่องงบประมาณของโครงการนี้ ผมว่ามันเยอะไปหน่อยนะครับ เราลองลดค่าใช้จ่ายบางส่วนดูน่าจะทำให้ตัวเลขดีขึ้นนะครับผมว่า’

   ‘คุณเพย์ครับ เพลาๆ เรื่องเที่ยวหน่อยจะดีกว่านะครับ พรุ่งนี้มีงานสำคัญ’

   ‘คุณเพย์ครับ น้องอิงสอบติดหมอแล้วนะครับ น้องอิงนี่เก่งที่สุดจริงๆ’

   ‘คุณเพย์ครับ ไม่เอา...’

   ‘คุณเพย์ครับ ผมเจ็บ...’

   ‘คุณเพย์ครับ...’

   ‘ผมขอลาออก’

   

   สารพัดคุณเพย์ที่เขาเรียก... เสียงเจื้อยแจ้วที่อยู่ข้างผมตลอดเจ็ดปี

   น้ำตาที่คิดว่าน่าจะแห้งไปแล้วค่อยเอ่อขึ้นมาจนสุดท้ายก็ซึมลงบนหมอนที่ซบอยู่

   “กลับมาได้มั้ยอิฐ... กูขาดมึงไม่ได้จริงๆ”

   

    ในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ของเขามักจะเขียนแนวคิด ข้อสรุป ตารางงาน หรืออะไรก็ตามที่เขาไม่สามารถพิมพ์ไว้บนมือถือได้ทัน อาจเป็นความคิดที่แวบเข้ามา หรือความรู้สึกในตอนนั้น เป็นของส่วนตัวที่เขาไม่เคยเอาให้ใครดูหรือวางทิ้งไว้เรี่ยราด

   เล่มนี้ก็เหมือนกัน...

   มันคงจะเป็นเล่มที่เริ่มเขียนตอนที่เขาย้ายไปอยู่กับจิณณ์

   มันไม่มีวันที่ แต่มันจะเป็นสัญลักษณ์สภาพอากาศในตอนที่เขาจด

   หน้าแรกๆ ที่เขาเขียนคงเป็นช่วงที่แม่เขาเสีย เพราะมันมีแต่คำว่าขอโทษ กับค่าใช้จ่ายในงานที่เสียไป

   ต่อจากนั้นก็เป็นพวกประโยคภาษาอังกฤษที่เขาอาจจะถูกใจจากการดูข่าวในโทรทัศน์

   กลางๆ มาก็เป็นพวกคำแนะนำตัวเองบ้าง ขีดๆ ฆ่าๆ อยู่หลายหน้า เหมือนกับกำลังลองเรียบเรียง Essay

   แต่หลังๆ...



   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไม่ยอมกินข้าว... ไอ้โง่เอ้ย ก็เคยเห็นสภาพผมตอนไม่กินข้าวแล้วนี่ว่ามันจะเป็นยังไง

   ควายชัดๆ...



   ผมถึงกับคิ้วกระตุก... นี่เขาด่าผมแบบนี้มาตลอดเหรอเนี่ย ผมกำลังคิดว่าหลังจากนี้มันจะมีคำด่าที่ชวนปวดใจกว่านี้อีกมั้ย... จะทำใจอ่านต่อได้อีกรึเปล่า ทำใจสักแป๊บ ก็เปิดหน้าต่อไป



   น้องอิงบอกว่าหุ้นตัวที่คุณเพย์ดูแลอยู่ร่วงไปตั้ง 7 จุด ชิบหายแล้วมั้ยละ จะมีใครโดนระเบิดของคุณเพย์ลงบ้างนะ

   สงสัยต้องเรียกหน่วยกู้ระเบิดรอ... 555



   WTF!!

   น้องอิงอัพเดททุกข่าวสารของผมให้เขารู้งั้นเหรอ มีแค่ผมที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยเนี่ยนะ

   

   น้องอิงบอกว่าวันนี้คุณเพย์ไปโรงพยาบาล เขาเป็นลมในไซส์งานที่ไปดูเพราะอดนอนและอดข้าว

   ทำไมถึงไม่มีใครดูแลเขา... ทำไมน้องอิงปล่อยให้เขาไม่สบาย

   

   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไล่เลขาออกอีกแล้ว นี่คนที่สามแล้วนะ...

   

   น้องอิงบอกว่าคุณเพย์ไม่ใช้คนขับรถแล้ว เขาขับเองมาตลอด

   ผมกลัวเขาขับไปแหกแยกไฟแดงจริงๆ

   คุณเพย์ขับรถน่ากลัว แถมยังประมาท

   ผมไม่อยากให้คุณเพย์ขับรถ

   

   คุณเพย์ไม่ออกสื่อเลย คุณจิณณ์บอกว่าเขาถูกถอดออกจากโปรเจคใหญ่ๆ

   ทำไมเขาเป็นแบบนี้ ต่อให้เมื่อก่อนเขาเมาหยำเปทำตัวทุเรศแค่ไหน เขาไม่เคยละทิ้งงานตัวเอง เขารับผิดชอบเสมอ

   

   คุณเพย์ไล่เลขาออกเป็นคนที่สี่แล้ว... น้องอิงบอกว่าเขาซื้อบุหรี่มาให้ผิดยี่ห้อ คุณเพย์เลยไล่เขาออก แต่น้องอิงบอกว่า เลขาก็ซื้อยี่ห้อเดิมที่เขาสูบประจำนี่นา...

   หรือเขาเปลี่ยนยี่ห้อแล้ว...

   

   ผมยกมือปิดปาก... ไม่รู้จะกลั้นยิ้ม... กลั้นขำ หรือกลั้นน้ำตาตัวเอง

   ในสมุดช่วงหลังๆ เขียนแต่เรื่องของผม... มีแต่คุณเพย์ๆ

   มันทำให้ผมรู้ว่า... คำตอบของคำถามที่ผมถามเขาบ่อยๆ ว่าเขารักผมบ้างไหม... มันคืออะไร



   คุณเพย์ไม่สบายอีกแล้ว...

   ทำไมเขาไม่รักตัวเองมากกว่านี้...

   ผมเป็นห่วงจะตายแต่ผมไปหาคุณไม่ได้

   หยุดทำให้ผมเป็นห่วงเสียที

   ก้าวต่อไปข้างหน้าได้แล้วครับ



   ผมสูดน้ำมูกตัวเอง ก่อนจะกดโทรศัพท์หาเลขาที่เพิ่งโดนผมไล่ออกไปเมื่อเช้า เขารับโทรศัพท์ผมด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี

   “ผมขอโทษคุณกวิน พรุ่งนี้คุณกลับมาทำงานเหมือนเดิม แล้วช่วยเตรียมเอกสารโปรเจคใหม่ที่คุยกันวันนี้ไว้ด้วยนะครับ”



เขียนไปร้องไห้ไป... โถลูกกกกกกกกกกก

หมอในเรื่องนี้ลำบากทุกเจนเนอเรชั่นเลยจริง

สู้เขานะน้องอิง รับมือกับคนบ้ารอบตัว

#คุณเพย์รักอิสระ

https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เพย์รีบตามไปเลย

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นั้มตาาา แง้ร้องไห้หนักมาก สงสารไปหมดไม่รุ้จะทำไงดี

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
| Day 17 |
Sorry

(30/12/63)



   สี่ปีผ่านไป...

   “อย่าวิ่งสิ เฮ้ยๆ”

   ผมโวยวายลั่นเมื่อไอ้ตัวเล็กร่างป้อมๆ วิ่งตุบตับมาทางผมที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนหลังบ้าน เด็กชายวัยสามขวบวิ่งถือหนังสือมาด้วยความเร็วไม่น้อยจนพี่เลี้ยงไล่จับไม่ทัน

   “แด๊ดดี้เพย์ฮ้าบบบ”

   ตุบ!

   สุดท้ายร่างป้อมๆ ก็ล้มหน้าคว่ำกับพื้นหญ้า เล่นเอาผมรีบลุกเดินไปอุ้มตัวเล็กๆ นั่นขึ้นมา เด็กชายเริ่มเบะปากเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวด พี่เลี้ยงที่วิ่งตามมายกมือปิดปากอย่างตกใจ ทำท่าจะเข้ามาช่วยปลอบเพราะเจ้าตัวเล็กเริ่มเบะปากร้องไห้

   “คุณหนูรัณ! ตายแล้วๆ เจ็บมากมั้ยคะเนี่ย”

   “ไม่ต้อง”

   ผมสั่งพี่เลี้ยง ก่อนจะจับเด็กชายให้ยืนขึ้นแล้วพูดเสียงเข้ม

   “เป็นลูกผู้ชาย เจ็บแค่นี้ต้องไม่ร้องไห้ แด๊ดสอนว่าไง”

   เด็กชายดรัณสะอึกสะอื้นเสียงสั่น ยกมือปาดน้ำตา พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองจนหน้าแดงตอบผม

   “เป็นลูกผู้ชาย ฮึก! ต้อง ต้องอดทน ฮึก! ฮับ”

   “ครับ รัณคนเก่ง”

   สุดท้ายแล้วผมก็จูงเจ้าตัวเล็กมานั่งที่โต๊ะในศาลาหลังบ้าน จับเนื้อจับตัวดูว่ามีแผลตรงไหนหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่มีรอยถลอกอะไรก็โล่งอก เดี๋ยวแม่มันจะมาโวยวายใส่ผมอีก ขี้เกียจได้ยิน

   “แด๊ดเพย์ฮับ รัณเอาหนังสือมาให้แด๊ดอ่านให้ฟังฮับ”

   ดรัณยื่นหนังสือนิทานให้ผม มันเป็นเรื่อง ฮันเซลกับเกรเธล ผมรับมาแล้วมองหน้าเด็กชายที่จ้องผมด้วยนัยน์ตากลมโตสีดำสดใส หน้ากลมๆ ขาวๆ พวงแก้มแดงๆ ไม่ทิ้งเชื้อทำให้ผมยิ้มบางๆ แล้วเปิดหน้านิทาน

   “สัญญานะว่าจบเรื่องนี้แล้ว รัณจะไปทานข้าว และที่สำคัญ ต้องไม่อมข้าว โอเคมั้ย”

   “สัญญาฮับแด๊ด”

   เด็กชายยื่นนิ้วก้อยป้อมๆ มาเกี่ยวกับนิ้วผมเพื่อให้สัญญา เด็กชายตัวน้อยที่ได้รับความรักจากคนรอบข้างมากมาย เขาเติบโตมาด้วยความรักของพ่อและแม่ ท่ามกลางความสมบูรณ์พูนพร้อมทุกอย่าง ไม่ต่างอะไรกับผมที่ไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกขาด ความใสซื่อของเขาทำให้ผมนึกถึงคนที่หนีไปในที่ที่ไกลแสนไกล

   ผมเล่านิทานเรื่องฮันเซลกับเกรเธลด้วยอินเนอร์ราวกับนักแสดงมืออาชีพ ตลอดสี่ปีมานี้ผมเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ดรัณเกิด ผมเลี้ยงเขามาเองกับมือเพราะแม่ของเจ้าตัวเล็กต้องบินไปบินมาระหว่างญี่ปุ่นกับไทย แล้วผมที่กำลังใจสลายก็ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว พอมีเด็กสักคนมาให้ลองเลี้ยง ลองเอาใจใส่ มันก็ทำให้ผมรู้ว่า การเลี้ยงเด็กคนนึงให้โตมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย... ไม่รู้ทำไมพี่ชายตัวน้อยถึงกัดฟันสู้ เลี้ยงน้องอิงให้โตมาเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมได้ขนาดนั้น

   เขาเก่งมากจริงๆ

   เรื่องฮันเซลกับเกรเธลทำให้ผมนึกถึงสองพี่น้องนั่น คนนึงหนีไปต่างประเทศ และอีกคนนึงก็กำลังจะกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาเยี่ยมผู้มีพระคุณที่คอยเกื้อหนุนเธอตลอดมาอย่างพ่อกับแม่ผม

   หลังจบแพทย์ปีสุดท้ายและได้ทำงานใช้ทุนปีแรกจบไป เธอตัดสินใจไปเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ที่อเมริกาโดยใช้ทุนคืนเป็นเงินในส่วนที่ยังทำงานใช้ทุนไม่หมด

   สองพี่น้องนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับฮันเซลและเกรเธล พวกเขาถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก ถึงทำให้มาเจอกับแม่มดร้ายอย่างผม ที่ล่อลวงพวกเขาให้ติดกับดักบ้านขนมหวาน กันเกรเธลออกไป แล้วจับฮันเซลไว้ขังไว้ในกรง ขุนให้อ้วนจึงค่อยจับกิน

   เสียอย่างเดียว... ฮันเซลของผมไม่เคยอ้วนเลย

   “จบแล้ว ไปกินข้าวกัน”

   “ฮับ แด๊ด”

   ผมจูงมือพาร่างป้อมๆ เข้าไปในบ้าน ป่านนี้มื้อเย็นคงจะเริ่มตั้งแล้วล่ะมั้ง ตั้งแต่อิฐจากไป ผมก็กลับมาที่บ้านบ่อยขึ้นเพราะไม่อยากอยู่คนเดียวให้มันฟุ้งซ่าน จนมีเจ้าตัวน้อยนี่มาคอยเติมเต็มชีวิตที่ขาดแรงจูงใจของผม และมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า ครอบครัวนั้นสำคัญขนาดไหน

   “อ้าว อยู่นี่เอง”

   ทันทีที่พวกผมเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ พี่ภีมที่กลับบ้านพอดีก็หันมาทักด้วยรอยยิ้ม หลังจากพี่ภีมแต่งงาน เขาก็ย้ายออกไปอยู่บ้านของเขากับภรรยาที่ต้องคอยไปดูบริษัทสาขาญี่ปุ่นที่กำลังเปิดใหม่ พี่สะใภ้ผมเธอเป็นเวิร์คกิ้งวูเมนตัวแม่ ไม่ว่าจะท้องหรือใกล้คลอด ก็ไม่ยอมหยุดนอนอยู่บ้านเฉยๆ จนกระทั่งพี่ภีมต้องขู่เข็ญว่าจะจับมัดนั่นแหละถึงยอมอยู่เฉยๆ ในสองเดือนสุดท้าย

   “คุงพ่อฮ้าบ!”

   เจ้าตัวเล็กที่เห็นหน้าพ่อตัวเองปล่อยมือผมแล้ววิ่งไปกอดขาแข็งแรงของพี่ภีมที่ย่อตัวลงกอดรับร่างป้อมๆ ไว้ก่อนจะอุ้มมาหอมแก้มซ้ายขวาให้ชื่นใจ ผมเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมานั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

   “น้องรัณดื้อกับแด๊ดเพย์มั้ยครับ” พี่ภีมถามลูกชายตัวเอง เด็กอ้วนส่ายหน้าก่อนจะยกหนังสือนิทานขึ้นมา

   “รัณให้แด๊ดเพย์อ่านนี่ให้ฟังฮับ”

   “หืม ฮันเซลกับเกรเธล?” พี่ภีมหันมามองผมที่ยกชาร้อนขึ้นมาจิบ “มีความเป็นคุณพ่อจริงๆ ไม่ยักรู้ว่าแกเล่านิทานเป็น”

   “พี่ภีมเล่นทิ้งให้ผมเลี้ยงรัณคนเดียวตลอด ไม่หาอะไรหลอกล่อก็ซนไปทั่วน่ะสิ” ผมไม่แก้ตัวอะไร พี่ภีมหัวเราะก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ผม โดยส่งดรัณให้พี่เลี้ยงพาไปอาบน้ำก่อนมาทานข้าวเย็น

   “อยากมีเองสักคนมั้ย”

   “ไม่”

   ผมเบือนหน้าหลบ พี่ภีมยิ้มมุมปาก

   “หลังจากเลิกกับน้องอิง แกก็ไม่มีใครอีกเลย เที่ยวก็ไม่ค่อยจะเที่ยวแล้ว คุณเพย์สายเปย์ผู้หว่านแบงค์ไปทั่วคนนั้นหายไปไหนซะล่ะ”

   “อายุมากขึ้นมันก็ขี้เกียจเที่ยว เอาเวลามาเลี้ยงหลานแทนพี่ชายผู้ไม่มีเวลากับพี่สะใภ้ที่บินบ่อยกว่านกดีกว่า สงสารเด็กมันจะขาดความอบอุ่น”

   พี่ภีมตีหลังผมดังป้าบที่พูดจาไม่ดี จนชาในมือเกือบกระฉอก

   “พี่เคยทิ้งลูกที่ไหน ปากเสีย”

   ผมก็หยอกไปงั้นแหละ พี่ภีมเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เขาแทบจะไม่ใช่พี่เลี้ยงเลย เพราะแม่ของผมก็เลี้ยงลูกสี่คนด้วยตัวเองเหมือนกัน ความอบอุ่นของพ่อแม่ดีที่สุดแล้วสำหรับเด็กที่กำลังเริ่มจำความได้ ผมเองก็ช่วยเขาเลี้ยง รวมถึงพ่อกับแม่ผมที่หลงหลานคนแรกของบ้านจนตอนนี้พ่อผมไม่เข้าบริษัทแล้ว ยกให้พี่ภัทรเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนตัวเองเกษียณมาเลี้ยงหลานที่บ้านดีกว่า

   ส่วนทำไมดรัณถึงเรียกผมว่าแด๊ดน่ะเหรอ เพราะพี่สะใภ้ผมน่ะแหละสอนเรียก เธอบอกว่าจริงๆ อยากสอนให้รัณรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็ก แล้วคำแรกที่เธอสอนให้รัณพูดก็คือแด๊ดดี้ เธอตั้งใจให้รัณเรียกพี่ภีม แต่รัณกลับเอามาใช้เรียกผมแทนเพราะผมดันเข้ามาช่วงที่รัณกำลังลองพูดพอดี

   กลายเป็นว่า... เด็กมันจำ แต่จำผิดคน จากนั้นมา แทนที่จะเป็นอาเพย์ เลยกลายเป็นแด๊ดเพย์ซะงั้น

   มันเลยทำให้ผมเริ่มมีความเป็นแด๊ดไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้แทนที่จะเปย์สาว กลายเป็นเปย์หลานแทน

   “กลับมาแล้วเหรอคะเจ้าภีม เจ้าเพย์ แล้วหลานน้อยของแม่ไปไหนแล้วล่ะ” คุณวรรณิศาที่เพิ่งกลับมาจากสโมสรอะไรสักอย่างเนี่ยแหละเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น เธอถามหาหลานตัวน้อยก่อนอะไร พี่ภีมลุกขึ้นไปช่วยถือกระเป๋าแล้วประคองให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกันก่อนจะตอบ

   “อาบน้ำครับ”

   “เหรอคะ ไม่เจอหน้าตั้งครึ่งวัน แม่คิดถึง”

   “เว่อร์” ผมค่อนขอดไม่จริงจัง คุณวรรณิศาทำหน้าย่น

   “แกก็ติดหลานไม่แพ้แม่หรอกค่ะ”

   “คร้าบๆ”

   คร้านจะเถียงคนแก่



   มื้อเย็นวันนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันเกือบจะครบ ขาดก็แต่สะใภ้คนเดียวของบ้านที่จะกลับมาเดือนหน้า

   “เออ เจ้าเพย์ พ่อว่าจะคุยกับแกเรื่องประชุมงานที่อังกฤษเดือนหน้า พ่อว่าจะให้แกไปเพราะมันเกี่ยวกับโครงการที่แกดูแลอยู่ตอนนี้”

   ระหว่างทานข้าว อดีตประธานไอยรากรุ๊ปก็พูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเกษียณตัวเองออกมาเลี้ยงหลานแล้ว แต่คุณพ่อของผมก็ยังคงเข้มงวดกับงานและโครงการต่างๆ อยู่ดี โดยเฉพาะงานที่มีชื่อผมกับพีทเป็นคนดูแล เพราะผมเคยทำประวัติเสียหายตอนเสียศูนย์เมื่อห้าปีก่อน แม้ตอนนี้ผมจะกลับมาทำงานได้ดีและมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิมแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน ผมก็เข้าใจ เพราะโครงการประมูลสัมปทานเป็นโครงการใหญ่ที่พ่อคาดหวังในตัวผมไว้มาก พอมันหลุดมือไป พ่อก็หมดความเชื่อถือในตัวผมไปด้วย คงต้องใช้เวลากว่าผมจะได้ความเชื่อใจนั่นกลับมาอีกครั้ง

   “ครับ ผมทราบเรื่องนั้นแล้ว”

   “อย่าให้พลาดนะ ทางนู้นเขามีหลายบริษัทที่อยากจะดีลด้วย ถ้าเราสามารถจับมือกับเขาได้ก่อน จะมีโอกาสเปิดตลาดที่อังกฤษได้มาก” พ่อย้ำอีกครั้ง ผมพยักหน้ารับเงียบๆ ความผิดพลาดเมื่อห้าปีก่อนทำให้ผมถูกจับตามองทั้งจากบอร์ดและพ่อ คุณวรรณิศาที่เห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะเริ่มตึงเครียดก็คิดจะเปลี่ยนเรื่อง

   “ดีเลยค่ะ ถือว่าไปพักผ่อนด้วย ช่วงนี้ที่อังกฤษอากาศกำลังดีเลย แม่อยากไปด้วย ได้มั้ยคะคุณ”

   “อยากไปเหรอ เอาสิ” คุณพ่อผมก็ยังคงตามใจแม่เหมือนเดิม เมื่อได้รับคำอนุญาตจากสามีที่รัก คุณวรรณิศาผู้ติดหลานก็หันไปถามเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที

   “น้องรัณอยากไปเที่ยวอังกฤษกับย่ามั้ยคะลูก”

   “อังกฤษเหรอฮับ! สนุกมั้ยฮับ!” พอเจ้าตัวเล็กได้ยินคำว่าเที่ยวก็หูผึ่งตาผึ่งทันที

   “สนุกสิครับ ช่วงนี้กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิเลย สวยมากๆ เลยนะลูก”

   “ไปฮับๆ รัณชอบที่สวยๆ”

   “เดี๋ยวครับ รัณไปด้วยไม่ได้นะครับ ใครจะดูแล” พี่ภีมขัดคอย่าหลานที่กำลังตื่นเต้นกันอย่างออกรส ส่วนผมเริ่มคิดถึงปัญหาแล้วล่ะสิ ถ้ารัณไป... ใครจะดูแล มันก็จริง เพราะอย่างน้อยอยู่ที่บ้านก็ยังมีพี่เลี้ยงคอยดูนู่นนี่ตอนไม่มีใครว่าง แล้วแม่ผมก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันไอ้ตัวเล็กอยู่ด้วย วิ่งซี้ซั้วหลงทางจะเป็นยังไง

   ผมเริ่มคิดหนักทั้งๆ ที่พี่ภีมยังไม่ทันอนุญาตแท้ๆ

   “ก็แม่ไงคะ เจ้าเพย์ก็ไปทำงาน เดี๋ยวแม่กับน้องรัณจะไปเที่ยวเล่น อย่ามาดูถูกแม่ลูกสี่นะคะ แค่นี้ไม่คณามือแม่หรอกค่ะ!”

   เจอคำนี้เข้าไป พี่ภีมถึงกับพูดไม่ออกเลย ผมเองก็เช่นกัน



   “เพย์ ถ้าวุ่นวายนัก จ้างพี่เลี้ยงชั่วคราวก่อนก็ได้ พี่พอรู้จักบริษัทจัดหาที่ไว้ใจได้ ส่งข้อมูลให้ในไลน์แล้วนะ”

   พี่ภีมดูกังวลมาก ถ้าไม่ติดงาน ผมว่าต้องบินตามไปดูแลลูกด้วยแน่นอน เรื่องนี้ยังไม่ได้บอกพี่สะใภ้ผมเลย ถ้าเธอกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วไม่เจอลูกมีหวังอาละวาทบ้านแตกแหงๆ

   “อา... รู้แล้วครับ”

   ผมหันไปมองสองย่าหลานที่แต่งตัวจัดเต็มพร้อมลั้ลลากันอีกทวีปแล้วก่อนจะหันมามองหน้าพี่ภีมอีกรอบ

   “ไม่ต้องห่วงครับ ผมดูไหว”

   “แล้วเลขาแกล่ะ”

   “เห็นเขาบอกว่ารถติดอยู่แถวๆ ทางด่วน ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงก็ทัน” ผมมองนาฬิกา อีกตั้งชั่วโมงนึงกว่าจะเช็คอิน พี่ภีมเลิกคิ้วแปลกใจกับความใจเย็นของผม

   “แกเปลี่ยนไปนะเพย์”

   “ครับ?”

   “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เลขามาช้ากว่าแก คงพูดว่า ‘ไล่ออก’ ไปแล้ว แต่นี่ยังใจเย็นอยู่ได้” พี่ชายตบบ่าผมป้าบๆ ในขณะที่ผมหัวเราะในลำคอ มันก็ใช่ ผมใจเย็นลงมากถ้าเทียบกับเมื่อสี่ห้าปีก่อน อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบที่มากขึ้น และประสบการณ์เลวร้ายจากความใจร้อนของผมจนทำให้เกิดความสูญเสีย

   “ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูสองคนนั้นหน่อยดีกว่า เจ้ารัณดูจะเริ่มซนจนแม่จับไม่อยู่แล้วมั้ง”

   แล้วพี่ภีมก็เดินผละไปดูสองย่าหลาน ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ผมนั่งเมื่อสี่ปีก่อน

   ผมมองป้ายบอร์ดดิ้งไทม์ ก่อนจะหลุบมองพาสปอร์ตกับมือถือในมือ

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหนีไปประเทศอะไร น้องอิงก็ไม่ยอมบอก ส่วนไอ้จิณณ์ผมก็ไม่เคยคิดจะถาม ตั้งแต่วันนั้นผมกับมันก็เจอกันแค่ในงานเลี้ยงสำคัญๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คุยหรือทักทายอะไร ทำเหมือนเป็นแค่คนแปลกหน้า

   สี่ปีแล้ว... แต่เวลาที่อยู่ร่วมกับเขามันยังไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำ

   เจ็ดปีที่อยู่ด้วยกัน หนึ่งปีที่หายไป กับสี่ปีที่จากลา

   ความทรงจำเกี่ยวกับเขาอยู่กับผมมาสิบสองปี... มันนานมาก นานจนผมคิดว่าบางทีผมน่าจะลืมๆ มันไปซะ แล้วเริ่มต้นใหม่...

   แต่สมุดโน้ตเล่มนั้นผมยังคงพกมันติดตัวตลอดเวลา

   "คะ... คุณเพย์คะ ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

   ผมเงยหน้ามองเลขาคนล่าสุด เธอลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารที่จำเป็น บนกระเป๋าเดินทางมีกระเป๋าถืออีกใบสำหรับใส่ของจุกจิกล่ะมั้ง ผมสั้นประบ่าสีน้ำตาลดูยุ่งเหยิงไปหน่อย ดูท่าเธอจะรีบมากจริงๆ เพราะหน้าเธอแดงและมีเหงื่อเยอะพอดู

   ผมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นพาสปอร์ตสามเล่มให้เธอ

   “จัดการเช็คอินให้ด้วยครับ”

   “ค่ะๆ”

   ผมทำท่าจะเดินไปตามสองย่าหลานที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าโดนจับไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในร้านอาหารที่ไหนสักร้านเนี่ยแหละ ก่อนจะไปผมหันไปถามเลขา

   “คุณสา คุณอยากได้เครื่องดื่มอะไรมั้ย”

   อาริสาที่กำลังง่วนอยู่กับการค้นหาพาสปอร์ตกับเอกสารต่างๆ ในกระเป๋าหันมาตามคำเรียก เธอทำหน้าเหวอไปสักพักก่อนจะเลิ่กลั่กปฏิเสธ

   “มะ... ไม่เป็นไรค่ะคุณเพย์ เชิญคุณเพย์เลยค่ะ”

   ผมผงกหัวรับทีนึงก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าไปตามหาย่าหลานนั่น แอบขำกับท่าทางเลิ่กลั่กประหลาดของเลขาที่ทำงานพลาดตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ แต่ผมก็ยังไม่ยอมไล่เธอออกไป อาจเป็นเพราะเธอมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับคนที่เคยอยู่ข้างกายผมก็เป็นได้

   ผมกลับมาพร้อมกับมอคค่าปั่น อาริสาในชุดเรียบร้อยนั่งรออยู่หน้าทางเข้าเกทอย่างเจี๋ยมเจี้ยม แว่นตาอันใหญ่ของเธอดูแล้วเฉิ่มเชยเป็นที่สุด ผมอยากสั่งให้ไปเปลี่ยนเป็นคอนแทคเลนส์จริงๆ เห็นแล้วเกะกะ

   ผมยื่นแก้วมอคค่าปั่นให้เธอ อาริสาสะดุ้งก่อนจะมองหน้าผมที่เอียงคอเล็กน้อย ผมยื่นแก้วเข้าไปใกล้ขึ้นเพื่อบอกให้เธอรับไปซะ หญิงสาวร่างเล็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยรับมา เอ่ยขอบคุณผมแผ่วเบา

   “เตรียมเอกสารเรียบร้อยใช่มั้ย ข้อมูลบริษัท ข้อมูลลูกค้า ตัวอย่างแผน”

   “ค่ะ ดิฉันเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ เช็คสามรอบเป็นอย่างต่ำ มีแบคอัพไว้ในแฟลชไดร์ฟ เอกเทอนอล แล้วก็อัพโหลดเผื่อไว้ในคลาวด์บริษัท” เธอร่ายรายการที่เตรียมมาให้ผมฟัง ส่วนผมก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เธอ ฟังสิ่งที่หญิงสาวที่อายุน่าจะพอๆ กับน้องอิงพูดอย่างขอไปที แต่จู่ๆ เธอก็หยุดพูด จนผมแปลกใจแล้วหันไปมอง เห็นอาริสาจ้องผมอย่างเหม่อๆ ผ่านแว่นตากรอบโตเชยๆ

   “จบแล้วเหรอ”

   “อ่า...ค่ะ ค่ะ คุณเพย์ยังอยากให้ดิฉันหาข้อมูลอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”

   “อืม...” ผมเหลือบตามองบน หางานให้เธอโดยไม่จำเป็น “งั้นเอาเป็นร้านอาหารอร่อยในลอนดอนละกัน ผมไม่ได้ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อยบ้าง”

   “ได้ค่ะ” อาริสาจดสิ่งที่เธอต้องทำลงสมุดเล่มเล็ก ผมเห็นแล้วอดเอ่ยปากถามไม่ได้

   “คุณใช้สมุดจดเหรอ ผมนึกว่าสมัยนี้เขาพิมพ์ใส่มือถือหรือไอแพดเสียอีก”

   “ออ... คือว่าดิฉันว่ามันเร็วและสะดวกดีน่ะค่ะ บางทีพิมพ์มือถือไปทำงานไปมันดูไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่”

   ผมพยักหน้าตาม พาลนึกไปถึงคนที่ชอบใช้สมุดเหมือนกันเพราะบางอย่างใช้มือถือมันก็ไม่ทันใจ โดยเฉพาะเมื่อสี่ห้าปีก่อนที่เทคโนโลยีไม่ได้สะดวกสบายแบบนี้ ผมยิ้มให้บางๆ

   “เหมือนกันเลย”

   เหมือนอิฐ...

   ไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคิดไปถึงไหน เพราะเธอหน้าแดงขึ้นมาก่อนจะหันกลับไปแล้วดูดมอคค่าปั่นจนเกือบหมดแก้วทีเดียว


ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
   บนเครื่องบินแบบชั้นธุรกิจ ผมนั่งคู่กับอาริสา ส่วนสองย่าหลานเขานั่งด้วยกัน โชคดีที่ดรัณเป็นเด็กว่าง่ายเลยไม่ลุกป่วนเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่นั่งนานๆ แล้วมักจะเบื่อ เขาชอบที่จะนั่งอ่านหนังสือที่พกมา แม้จะอ่านไม่เก่งแต่เขาชอบดูหนังสือภาพ ดูได้ทั้งวันไม่เบื่อ

   ใช้เวลาประมาณสิบเอ็ดชั่วโมง เครื่องก็เทคออฟลงที่สนามบินฮีทโธรว์ ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติลอนดอน จากนั้นก็ตรวจวีซ่าเข้าประเทศตามขั้นตอน เสร็จแล้วก็พากันนั่งรถไปยังโรงแรมที่จองไว้ เป็นโรงแรมที่อยู่ในบริเวณเขตของสวนไฮด์พาร์ค ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ทำให้คนมาใช้สวนสาธารณะที่ขึ้นชื่อของลอนดอนมีจำนวนมาก ยิ่งช่วงดอกไม้บานยิ่งทำให้ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติ

   หลานชายที่ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นแม้แต่ทะเลเลยเพราะยังเล็กและพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยว่าง นี่คงเป็นการมาเที่ยวครั้งแรกของดรัณที่พอจะจำความได้ มันคงน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กวัยสามขวบ

   “คุงย่าฮับ แด๊ดดี้เพย์ฮับ รัณอยากไปวิ่งจังเลยฮับ”

   พอเห็นสวนกว้างๆ คงทำให้เจ้าเด็กอ้วนอยากออกกำลังกายขึ้นมา คุณแม่ของผมจึงรับปากว่าถ้าเก็บของเสร็จแล้วจะพาออกมาเดินเล่น ไม่รู้จะวางใจให้คุณวรรณิศาดูแลหลานคนเดียวได้มั้ย ถึงแม้สมัยก่อนเธอจะมาลอนดอนบ่อยก็ตาม

   เมื่อถึงโรงแรม ผมให้อาริสาจัดการเช็คอินห้องพักให้เรียบร้อย โดยให้ย่าหลานพักด้วยกัน ส่วนผมกับอาริสาก็แยกกันไปอีกคนละห้อง ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร คุณวรรณิศาก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะพาหลานออกไปเดินเล่น ผมนี่เดินออกจากห้องไปหาแทบไม่ทัน

   “แม่ ไม่ทานอะไรก่อนเหรอครับ”

   “เดี๋ยวแม่ไปหาอะไรกินกับน้องรัณข้างนอกเอาค่ะ ลอนดอนก็เหมือนสวนหลังบ้านของแม่แหละค่ะ เพย์ไม่ต้องห่วงน่า”

   “แต่...”

   “คุณเพย์มาทำงานก็ไปทำงานสิคะ ส่วนแม่มาเที่ยว แม่ก็จะไปเที่ยวค่ะ”

   เล่นเอาผมหมดปัญญาจะเถียงอะไรแล้ว เลยกำชับว่าต้องกลับก่อนกี่โมงแทนเพื่อจะได้ไปทานอาหารด้วยกันในร้านที่จองไว้ สองย่าหลานจึงลั้ลลาออกไปเที่ยวตะลุยลอนดอนกันอย่างสบายใจ ปล่อยให้คนไม่สบายใจเป็นผม

   ผมถอนหายใจยาว กระชับเสื้อโค้ทหนาแล้วเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ ที่เป็นห้องของเลขาสาว ไม่นานประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างที่กำลังงัวเงียในชุดเดิม แต่กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดออกจนเห็นเนินเนื้อวับๆ แวมๆ

   “คะ... คะ คุณเพย์”

   “ง่วงเหรอ งั้นไปพักก่อนก็ได้”

   “ไม่ค่ะไม่ ดิฉันแค่เผลองีบไป คุณเพย์ต้องการอะไรรึเปล่าคะ” อาริสาตาตื่นทันที

   “ผมแค่จะบอกว่าให้คุณมาเตรียมแผนงานกับผมหน่อย แต่ผมว่า... คุณไปพักสักหน่อยดีกว่า เอาไว้บ่ายๆ ค่อยคุย” ผมบอกปัดๆ ขืนพูดไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง มีแต่จะทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เวลาคุยกับคนง่วงอะไรก็ไม่เข้าสมองทั้งนั้นแหละ อาริสาทำหน้าสลดก่อนจะผงกหัวรับ และก่อนจะไปผมก็ทักเลขาไปอีกเรื่อง

   “คุณน่ะ หัดระวังตัวซะบ้าง แต่งตัวแบบนี้ออกมาเปิดประตูให้คนอื่นได้ยังไง”

   ทันทีที่ทัก อาริสาก็รีบก้มมองตัวเองก่อนจะรีบตะครุบอกเสื้อที่กระดุมหลุดออกจนแทบจะเห็นชั้นในอย่างเขินอาย ผมหัวเราะแล้วจะเดินกลับห้องตัวเองไป นึกถึงหน้าน้องอิงขึ้นมาเลย ถ้าน้องอิงแต่งแบบนี้มีหวังโดนอิฐด่ายับเยิน

   ผมชะงักไป... ก่อนจะใช้นิ้วนวดระหว่างคิ้วตัวเองเมื่อเผลอคิดถึงคนคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว

   “ให้ตายเถอะเพย์”

   

   ผมมีกำหนดการอยู่ลอนดอนเจ็ดวัน การติดต่อธุรกิจเป็นไปด้วยดี เลขาของผมยังไม่ทำพลาดให้ขายขี้หน้าชาวบ้าน แม้จะเงอะงะไปบ้างกับการรัวภาษาอังกฤษไฟแลบ แต่ก็ถือว่าโอเคที่เธอตอบกลับได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องหรือรัวภาษาต่างดาวออกมา งานที่ต้องทำจึงเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่สี่ที่มาถึง เวลานอกจากนั้นก็เป็นโบนัสเอาไว้เที่ยวพักผ่อน

   “คุณอยากไปไหนรึเปล่า ไหนๆ งานก็เสร็จแล้ว ใช้วันที่เหลือไปเที่ยวสิ”

   ระหว่างที่กำลังตรวจงานอื่นๆ อยู่ที่เล้าจ์ของโรงแรม ผมก็เอ่ยถามเลขาที่นั่งอยู่ตรงข้ามลอยๆ ผมไม่อยากให้เธอใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนตัวติดกับเจ้านาย ถ้ามีโอกาสได้เที่ยวก็ควรเที่ยวซะ

   อาริสาเงยหน้าขึ้นจากไอแพดก่อนจะปฏิเสธ

   “มะ... ไม่ค่ะ คือดิฉันไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน”

   “ลอนดอนมีที่สวยๆ เยอะนะ ผมเห็นว่าคุณพกกล้องมาด้วย ไม่ถ่ายไปอวดเพื่อนหน่อยเหรอ” ผมพลิกเอกสารพลางพูดไปด้วย อาริสาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะดันแว่นขึ้น

   “คุณ... คุณเพย์ อยากไปไหนรึเปล่าคะ”

   “ผมเหรอ... ถ้าอยากไปคงอยากไปผับ ว่าจะไปคืนนี้ ร้าน The Porterhouse ตรงย่าน Covent garden น่ะ” ผมตอบไปโดยไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนเลขาสาวผมจะคิด

   “งั้น... งั้นดิฉันไปด้วยได้มั้ยคะ คือ... ดิฉันไม่เคยลองเที่ยวผับเลย ไม่กล้าไปน่ะค่ะ”

   “หืม? เอาจริงเหรอ ไม่เคยไปผับแสดงว่าไม่ค่อยจะเที่ยวสินะ แล้วคุณดื่มเป็นเหรอ?” ผมลองถามดู อาริสาหน้าแดงนิดๆ พยักหน้ารับเหมือนไม่แน่ใจ

   “เคยดื่มบ้างค่ะ ในงานเลี้ยงรุ่นกับงานเลี้ยงมหาลัย”

   ผมอยากจะยกยิ้ม...

   “งั้นตามใจ แต่ผมบอกก่อนว่าผมไม่ดูแลนะ คุณอยากดื่มเอง ต้องดูแลตัวเอง”

   “ค่ะ!”

   

   ผมโทรหาคุณวรรณิศาที่ตอนนี้กำลังไปช็อปปิ้งกับหลานรักและเพื่อนที่อาศัยอยู่ในอังกฤษของเธอเพื่อบอกว่าคืนนี้ผมอาจจะกลับดึกหน่อย ซึ่งฝั่งนู้นก็บอกว่าเธออาจจะไม่กลับเหมือนกัน จะไปค้างบ้านเพื่อนวันนึงเพราะไม่เจอกันนาน เอารัณไปด้วย ผมก็โอเค หายห่วงไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยหลานก็จะได้ไม่เห็นอามันตอนเมาเละ

   ผมนั่งรอเลขาอยู่ด้านล่างเล้าจ์โรงแรมในชุดออกล่า... เอ่อ ชุดออกเที่ยวแบบปกติ เสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสามเม็ดจนเห็นอกแผลมๆ กางเกงยีนส์สีซีดหน่อยกับเข็มขัดหนัง ไม่สุภาพอะไรมากเพราะที่นี่เป็นเมืองที่ผมไม่รู้จักใครและใครก็ไม่รู้จักผม ไม่นานหญิงสาวที่ผมรอจะไปพร้อมกันก็เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาหา ผมย่นคิ้วแล้วทำหน้าเหมือนเห็นตัวประหลาด

   “ใส่อะไรน่ะ”

   “คะ? คือ... ก็ชุดไปเที่ยว”

   อาริสามองตัวเองในชุดปกติฉบับเธอ มันเป็นชุดเสื้อยืดสีชมพูกับกางเกงยีนส์ขายาวทรงกระบอก... แล้วไอ้แว่นตาเชยสะบัดนั่นอีก...

   ให้ตาย...

   “คุณจะไปผับจริงๆ เหรอ ผมนึกว่าจะเข้าวัด”

   “คุณเพย์ก็พูดเกินไปค่ะ! ดิฉันไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วยเยอะนะคะ ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ชุดทำงาน” หญิงสาวเถียงหน้าดำหน้าแดง ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินนำไปยังรถที่เช่าไว้ใช้ขับในลอนดอน ถึงจะเป็นพวงมาลัยซ้ายก็ไม่มีปัญหา ผมขับได้หมดนั่นแหละ หญิงสาวเดินตามมา เธอไม่แน่ใจว่าควรจะนั่งตรงไหน หรือจะเป็นคนขับ... เพราะปกติตอนทำงานถ้ามีเลขาไปด้วย ผมจะใช้คนขับรถขับให้ และเธอนั่งข้างหน้า แต่คราวนี้คนขับเป็นผม เธอคงลังเลตำแหน่งที่ถูกที่ควรจนทำให้ไม่กล้าเปิดประตู

   “นั่งหน้า เร็ว”

   “คะ ค่ะๆ”

   ผมออกรถ มุ่งไปยังถนนที่มีร้านเสื้อผ้าเปิดอยู่ ก่อนจะจอดหน้าร้านๆ หนึ่งที่มีเสื้อผ้าหลากสไตล์ ผมลงจากรถแล้วเคาะกระจกเรียกให้คนที่นั่งนิ่งลงตามมา

   “คุณเพย์มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ ผับที่ว่าอยู่ถนนนี้เหรอ” เจ้าตัวคงจะงงๆ เพราะถนนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นสถานที่อโคจรเลยสักนิด ผมผลักประตูร้านเข้าไป พนักงานเข้ามาต้อนรับ ผมชี้ไปทางแม่เลขาที่แต่งเชยสะบัด

   “ช่วยจัดการทำอะไรกับชุดของเธอหน่อยนะครับ”

   พนักงานในร้านมองตามมือผมก่อนจะส่งยิ้มการค้าให้อย่างสวยงาม เธอลากอาริสาเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า ส่วนผมก็นั่งเล่นมือถือรอไป เห็นข้อความจากน้องอิงที่ผมยังไม่ได้อ่าน



   ING : พี่เพย์ไปอังกฤษเหรอคะ

   ING : อิงพึ่งกลับมาถึงไม่เจอพี่เพย์ ถามพี่ภีมก็บอกว่าพี่เพย์ไปประชุมที่อังกฤษ

   ING : ไปเมืองอะไรเหรอคะ?

   ปกติน้องอิงไม่ใช่คนชอบถามซ่อกแซ่ก การที่เธอถามแม้กระทั่งไปเมืองอะไรมันทำให้ผมประหลาดใจ ก่อนจะได้ตอบไป เสียงพนักงานร้านก็เรียกให้ผมหันไปสนใจ

   “เรียบร้อยค่ะมิสเตอร์ ถูกใจมั้ยคะ?”

   ผมมองหญิงสาวรูปร่างสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนในชุดกางเกงหนังขาสั้นสีดำกับเสื้อคอเต่าแขนยาวที่มีเว้าหน้า เว้าหลัง เว้าไหล่สีแดงเลือดนก รองเท้าถูกเปลี่ยนเป็นบูทหนังสีเดียวกับกางเกงทำให้ดูโฉบเฉี่ยวเปรี้ยวขึ้นเยอะ แม้แว่นตานั่นจะบดบังดวงตาโตๆ ของเธอไปหมดก็ตาม แต่แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะมั้ง

   “ดี อย่างน้อยก็ไม่เหมือนจะไปวัด”

   ผมจัดการยื่นบัตรให้พนักงาน ส่วนอาริสาเอาแต่ยืนบิดไปบิดมาเพราะไม่คุ้นชินกับการแต่งตัว เมื่อจ่ายเงินเสร็จผมก็เดินกลับมาขึ้นรถ หญิงสาวที่ถูกจับเปลี่ยนเสื้อผ้าหันมาถามผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

   “ทำไมคุณเพย์ต้องเปลี่ยนชุดให้ดิฉันคะ แล้ว... แล้วค่าชุด เท่าไหร่กันคะ”

   “เอาน่ะ ผมไม่หักเงินเดือนคุณหรอก”

   จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปยังถนน Maiden Ln จอดรถแถวๆ นั้นแล้วเดินนำเข้าไปในร้านที่ตกแต่งด้วยสไตล์ไอริส วันนี้มีดนตรีสดเสียด้วย ปกติผมไม่ได้ชอบฟังเพลงแนวร็อคเก่าๆ เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่ามันกลายเป็นแนวที่ติดหูไปตอนไหน จนลองค้นๆ ดูเลยเจอรีวิวร้านนี้ อยากมาลองสักครั้งก่อนกลับไทยไปเจอเพลงแนวตื๊ดๆ

   หญิงสาวผู้ไม่เคยสัมผัสกับความอโคจรเดินแทบจะตัวติดกับผม คนเยอะมากจนแทบจะไม่มีที่นั่ง อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยล่ะมั้ง จนในที่สุดผมก็สามารถแย่งชิงโต๊ะกับเขาได้ อาริสานั่งตรงข้ามผม มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น ผมเท้าคางถามเธอ

   “ดื่มอะไรดี อยากลองอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

   “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แล้วแต่คุณเพย์จะสั่งให้เลยค่ะ แต่... เอาเบาๆ นะคะ”

   “เอาเบาๆ... คำพูดกำกวม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบว่า เบาไม่เป็น ชอบแรงๆ”

   อาริสากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหน้าแดงเถือกเมื่อเข้าใจความหมาย ผมหัวเราะชอบใจกับปฏิกิริยา สั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองและสาวน้อย

   เมื่อแอลกอฮอล์เข้าปาก คนที่ทำตัวเรียบร้อยก็เริ่มออกลายแผลงฤทธิ์

   ปึก!   

   เสียงวางแก้วเหล้ากระทบโต๊ะทำให้ผมเลิกคิ้ว

   “คุณ เพ้ คุณรู้ตัวมั้ยคะ ว่าคุณน่ะ ทั้งหล่อ ทั้งสุภาพ... อึก เย็นชานี้ดๆ แต่ความจริงแล้วคุณเพ้ ใจดี... มากๆ เลยนะ”

   ผมมองคนที่เริ่มจะเมาแล้วคายทุกความลับในใจออกมา ผมไม่แปลกใจกับสิ่งที่เธอพูดหรอก ผมรู้ว่าเธอรู้สึกยังไง แต่ผมก็ยังจะชวนเธอออกมา บางทีผมอาจจะอยากให้เธอลองพูดมันออกมาตรงๆ เพราะผมก็จะพูดกับเธอตรงๆ เหมือนกัน

   “ผมน่ะเหรอใจดี คุณคิดไปเองมากกว่า”

   “ไม่นะคะ ไม่เลย...” อาริสาลุกจากเก้าอี้ เดินมาหยุดข้างผมแล้วจับแขนของผมไว้ สายตาผ่านแว่นกรอบโตนั่นฉ่ำวาว แสดงออกมาทุกความรู้สึก “คุณเพย์ใจดี ใจดีมากๆ... ใจดีจนสา... หวั่นไหว”

   เธอคล้องแขนผมพลางซุกหน้าเข้ามา ผมถอนหายใจ เบือนหน้าหนี

   “แต่สารู้ค่ะ ว่าคุณเพย์คงไม่สนใจผู้หญิง... เชยๆ แบบสา”

   “คุณเมาแล้วคายความลับออกมาหมดเลยนะ รู้ตัวมั้ย”

   ผมเตือนด้วยความหวังดี

   “สารู้จุดยืนของตัวเองค่ะ”

   ผมประคองเธอให้นั่งลงอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะไหลและเลื้อยไปมากกว่านี้

   “คุณเหมือนน้องสาวผม แล้วก็เหมือนใครบางคนที่ผมลืมไม่ได้”

   อาริสาสะอึก เธอมองหน้าผมก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามาซัดอีกหนึ่งอึก เหมือนกลืนคำพูดตัวเองลงไป

   “สาเข้าใจค่ะ” เธอแย้มรอยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นอีกครั้ง “ไปเต้นกันดีกว่า คุณเพย์ สาจะสนุกให้ลืมคุณไปเลย!”

   ว่าแล้วเธอก็ลากผมให้ออกไปตรงแถวๆ เวทีที่มีนักร้องร้องเพลงอยู่ เธอเดินไปโยกตัวอยู่แถวนั้นกับจังหวะร็อคๆ ผมส่ายหัวแล้วเดินไปยืนข้างๆ แสงไฟในนี้ไม่ได้มืดขนาดที่จะทำให้มองใครไม่เห็นเพราะไม่ใช่ผับที่เน้นเต้นแต่เป็นผับนั่งชิลมากกว่า

   จู่ๆ ก็เหมือนกับมีคนชนเข้าที่ด้านหลังของผม ในร้านที่ไม่ใหญ่มากแบบนี้การชนกันเป็นเรื่องธรรมดา ผมกะจะไม่หันไปมองด้วยซ้ำ แต่เสียงที่เอ่ยขอโทษทำให้ผมเอะใจ

   “Sorry”

   ผมใจกระตุกวูบ... ท่ามกลางเสียงเบสหนักๆ แต่ผมกลับได้ยินเสียงนั้นชัดเจน...

   ร่างที่ชนผมค่อยๆ ผละออกไป ผมหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นแผ่นหลังแคบในชุดเสื้อยืดสีดำพอดีตัวที่คุ้นตา... คุ้นจนผมรีบเดินไปคว้าแขนเขาไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะเบียดหายไปกับฝูงชน

   แขนเล็กบางแต่มีเนื้อมีหนังมากขึ้น ผิวละเอียดเนียน สัมผัสที่คุ้นเคย

   ผมดึงแขนนั้นให้หันกลับมา นัยน์ตาโศกคู่เดิมสบกับตาที่เบิกกว้างของผม...

   “อิฐ...”

   เหมือนเวลาหยุดลง... เสียงเพลงใดๆ ล้วนไม่เข้าหูผมแล้ว มีเพียงแค่เสียงแผ่วเบาที่ดังออกจากริมฝีปากสีสดเท่านั้นที่ผมได้ยินชัดเจน

   “คุณเพย์”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ foncassi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :impress2:  ดี ต่อใจมมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด