พิมพ์หน้านี้ - สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 18:06:16

หัวข้อ: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 18:06:16
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************************************************************
                                                           สีเทียนจะปีนภูผา


ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แม้บางครั้งจะมาในรูปแบบของการแอบชอบก็ตาม  บางคนสมหวัง บางคนผิดหวัง สำหรับผมเหรอครับ แม้ความรักของผมจะไม่เติบโตในใจเขาก็ไม่เป็นไร แค่มันเติบโตในใจผมก็เพียงพอแล้ว..........



แนะนำเรื่อง

"ไอ้สี มึงจะทำแค่แอบชอบพี่เขาจริงดิ"

"ใช่ แค่ได้คอยมอง ได้เห็นรอยยิ้ม ได้เห็นว่าพี่เขามีความสุขในทุกๆวันก็พอแล้ว"

"ปล่อยมันไปเหอะหนม เพื่อนมึงมันโลภน้อย"

"วันไหนพี่ภูผาของมึงมีแฟนขึ้นมานะ กูจะเหยียบซ้ำมึงให้"

ผมมองค้อนขนมหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น จะให้ผมเข้าไปจีบพี่เขายังไงล่ะครับ ความกล้าของผมมีเท่ากับมด เพราะถ้ากล้าพอผมคงไม่ต้องรั้งสถานะคนแอบชอบมาเป็นปีๆหรอก   อีกอย่างพี่เขาก็มีคนมาชอบเยอะเเยะ ธรรมดาๆเเบบผมจะเอาอะไรไปสู้เขา ขนมกับตุลาสองเพื่อนสนิทของผม ไม่เข้าใจผมเลย

"ขนมพูดจาใจร้าย เราจะร้องไห้แล้วนะ"











"เฮ้ย ไอ้ภู สีเทียนแอบมองมึงอีกแล้วว่ะ นู่น ยืนอยู่ตรงร้านน้ำ"

"................."

"ไหนๆๆๆ น้องสีเทียน"

"สัสวา อย่าเสียงดังดิ เดี๋ยวน้องเขารู้หมด ว่ามีคนแถวนี้กำลังนั่งเก๊กท่าให้น้องเขาแอบมอง"

"ท่ามาก"

"ขอให้หมาเอาไปแดก"

"พูดมากนะพวกมึงสองคนอ่ะ"

"มึงลุกไปไหนวะภู"

"กูหิวน้ำ จะไปซื้อน้ำ"

"ไอ้ธูป มึงว่าไอ้ภูมันลืมไปป่ะวะ ว่าตอนนี้มันนั่งอยู่ในร้านกาแฟ น้ำบานเลยไอ้สัส"











**** นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายผู้ชายกับผู้ชายนะคะ จะเป็นแนวแอบรักแอบชอบ น่ารักๆ feel good อมยิ้มๆนะคะ ****

เราเป็นนักเขียนใหม่อย่างไรก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ  ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ









หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (บทนำ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 18:09:12
                                                       
    จุดเริ่มต้นของการแอบชอบ


โฮ่ง ! โฮ่ง!  แห้! เเห้! โฮ่ง!

ผมหยุดชะงักเท้าที่กำลังก้าวอยู่ทันที ที่ได้ยินเสียงหมาเห่าขึ้นมา วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันเเรกของชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะบริหารธุรกิจ และผมกำลังเดินไปที่คณะเพื่อร่วมกิจกรรมของคณะ แต่ดันมาเจอกับเเก๊งหมาเจ้าถิ่นซะก่อน ร่างกายผมสูบฉีดขึ้นมาทันใด อาการกลัวกำเริบจนผมอยากจะร้องไห้ออกมา มือชื้นเหงื่อ ใจเต้นสั่นแรง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับไปไหน  ผมเคยโดนหมารุมกัดเมื่อครั้งยังเด็กเพราะหมาหวงลูกของตัวเอง เลยชวนเเก๊งหมามารุมผม ตอนนั้นถึงผมจะบาดเจ็บไม่เยอะมากเพราะมีคนมาช่วยวไว้ทัน แต่มันก็กลายเป็นความกลัวที่ฝังใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงเเม้ว่าหลายๆคนจะไม่เข้าใจในความกลัวของผมก็ตาม บางคนบอกว่าหมาก็ตัวแค่นี้จะไปกลัวทำไม กระแดะบ้างล่ะ ผมได้แต่ถอนหายใจเเละปล่อยผ่านไป แรกๆก็มีจิตตกบ้างแต่หลังๆต้องเลือกที่จะปล่อยผ่าน ผมกลัวก็จริงแต่ผมไม่ได้เกลียดน้องหมานะครับ ถ้าให้มานั่งดูคลิปน้องหมา ผมดูได้เป็นวันๆเพราะมันน่ารักจริงๆ ตอนนี้ผมพยายามทำใจดีสู้หมาเเล้ว แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร

"อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามานะ" ผมพยายามพูดออกมา เพื่อจะขู่หมา แต่เสียงผมสั่นเกินไปที่หมาจะกลัว นอกจากไม่กลัวยังเดินมาหาผมอีก ถ้าตัวเดียวผมพอไหว แต่สามตัวผมกลัวจริงๆนะ ที่เขาว่ากันว่า เจอหมาอย่าไปกลัว หมามันรับรู้ได้ว่าเรากลัว มันจะยิ่งเข้าใกล้ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง

น้องหมาพวกนี้ที่กำลังยืนขวางผมอยู่ อาจจะไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายผมก็ได้ แต่ใจผมก็กลัวไปแล้ว

"ขนม ช่วยเราด้วย" ผมได้เเต่เรียกชื่อเพื่อนสนิทในใจ ปากก็เริ่มเบะออกเต็มที

บริเวณนี้มีคนเดินผ่านไปมาตลอด แต่เหมือนทุกคนจะมองไม่เห็นความกลัวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของผม จึงเดินผ่านไปโดยไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือใดๆ สงสัยคงคิดว่าผมกำลังจะเล่นกับพวกน้องหมา

โฮ่ง!

ฮึก ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อหนึ่งในสามตัวส่งเสียงเห่ามาอีกครั้ง



ฟึบ! จู่ๆข้อมือของผมก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้

"ถ้ากลัวมาก ก็หลับตาแล้วเดินตามมา" ผมหลับตาแล้วเดินตามเขาไป  มือเขาที่จับข้อมือผมไว้กระชับแน่นขึ้น เขารู้ด้วยว่าเรากลัว ความรู้สึกตอนนี้คือ เขาเหมือนกับฮีโร่ที่มาช่วยผมเลย

ผมไม่รู้ว่าเขาจัดการหมาพวกนั้นอย่างไร รู้เพียงว่าตอนนี้ผมดีใจมาก ความกลัวที่มีค่อยๆจางหายไป



"ปลอดภัยแล้ว" อีกคนปล่อยมือผมและเอ่ยขึ้น

ผมหันหน้ามองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอกับแก๊งหมาเจ้าถิ่นแล้ว

"เฮ้ออออ! รอดเเล้ว" ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

"เอ่อ ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยไว้" ผมสบตากับคนที่สูงกว่า ตาสีนิลสวยจัง

"ไม่เป็นไร ทีหลังก็ระวังด้วยล่ะ หรือไม่ ถ้ากลัวขนาดนั้นก็ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นซะ"

"ครับ"

 ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อก็มีเสียงแทรกขึ้นมาซะก่อน

"ไอ้สัสภู ทำไรอยู่วะ เร็วดิเดี๋ยวไม่ทัน"

"เอออออ" อีกฝ่ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ก่อนจะหันหลังเดินไปสมทบกับเพื่อนที่ยืนรออยู่แล้ว โดยที่ผมยังได้กล่าวลาเลย จะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหมนะ





“น้องที่ยืนอยู่ตรงนั้น จะยืนอยู่อีกนานไหมครับ ไม่เห็นหรือไงว่าเพื่อนเขารออยู่” เสียงของผู้ชายคนนึงที่ยืนบริเวณหน้าห้องประชุมตะโกนถามขึ้น

“ขอโทษครับ” ผมผงกหัวรัวๆ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษออกไป เหตุผลที่ผมยืนเก้ๆ กังๆ ไม่ยอมไปนั่งสักทีเพราะว่า ผมกำลังสอดส่ายสายตามองหาเพื่อนตัวดีที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ของผม นักศึกษาจำนวนหลายร้อยชีวิตที่นั่งอยู่จึงเป็นอุปสรรคพอสมควรในการมองหาเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้ไม่รู้นั่งอยู่ตรงไหน

“สี ไอ้สี ทางนี้” ผมหันไปตามเสียงเรียกที่ตะโกนขึ้นมา น้ำเสียงที่คุ้นเคยและคำเรียกที่มีไม่กี่คนที่เรียกเขาแบบนี้ ทำให้ผมไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นใคร เมื่อหันไปก็เจอ "ขนม" เพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งลูกพี่ลูกน้องของผมกำลังโบกมือเรียกให้ผมเดินไปหา

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์เราเลย” ผมยิงคำถามใส่ขนมทันทีที่นั่งลงบนพื้น

“มึงโทรมาเหรอ” ผมพยักหน้าหงึกๆ

“โทษทีพอดีโทรศัพท์กูอยู่ในกระเป๋าที่วางอยู่มุมห้องอ่ะ” ขนมพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปทางกระเป๋าของตัวเองที่ตั้งอยู่

"หนมมมมมมมมมม"

"อะไรมึง"

"เมื่อกี้เราเจอผู้ชายอยู่คนนึง เขามาช่วยเราจากการโดนแก๊งน้องหมาล้อมไว้ เหมือนเป็นฮีโร่ของเราเลย เขาเท่มากเลย เรานะใจเต้นตึกตักๆๆเลย" ผมบอกกับขนม พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างของตัวเองไปแนบไว้ที่หน้าอก

"เพ้อเจ้ออะไรของมึงเนีย" ขนมส่ายหน้าเหมือนไม่เข้าใจ



"ทุกคนฟังครับ" เสียงที่ตะโดนดังออกมาทำให้บทสนทนาระหว่างผมกับขนมต้องหยุดเอาไว้ก่อน  "ต่อไปพวกพี่จะเเนะนำตัวก่อนนะครับ"

"เริ่มต้นที่คนแรก คนหล่อประจำคณะเรา พี่ภูผา ปีสองคร้าบบบบบบบ"

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงกรี๊ดที่ดังสนั่น พร้อมเสียงปรบมือที่ดังเกรียวกราว ทำให้ผมเงยหน้ามองไปข้างหน้า เมื่อ พร้อมกับมือที่เอื้อมไปเขย่าตัวหนมแรงๆๆ

"หนมๆๆๆๆ คนนี้เลย หนมมมมม นั่นเลย คุณฮีโร่ของเรา"

"ห๊ะ"



หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่1) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 18:11:51
เพลงของคนแอบชอบ
[/b]

***ฝันถึงงานแต่งงานของเรา

ฝันว่าเราจับมือด้วยกัน

และยังคงฝันว่ามีสักวัน

ที่ฉันได้นั่งดูหนังข้างเธอ***

                                             เพลง   เพ้อเจ้อ ALARM9




"ฟังเพลงเหมาะกับตัวเองดีหนิ" ผมหันไปส่งยิ้มกว้างให้กับขนมที่เดินกลับมาจากซื้อน้ำ

"ใช่ม้าาาาาาา" ผมตอบขนมกลับไปด้วยเสียงที่สดใส

"เหมาะไงวะหนม" ตุลาถามขึ้น ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"ก็ทั้งเพลง มีแต่ ฝัน ฝัน ฝัน เเล้วก็ฝัน ก็เหมาะกับเพื่อนมึงเเล้วไอ้ลา ชาตินี้คงได้แค่ฝัน"  ขนมพูดขึ้นมาพร้อมกับหันมาแสระยิ้มให้ผม

"ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้เหี้ยคิดได้" ตุลาหัวเราะด้วยความชอบใจ

ผมหยิบกระดาษที่ไม่ได้ใช้มาขยำเป็นก้อนกลมๆตั้งใจปาออกไปให้โดนขนม แต่ขนมดันหลบทัน พร้อมกับส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้ผมอีกที ผมเบะปากใส่เพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้

ผมชื่อ สีเทียน กิตติโชจน์ คุณานนต์ ครับ ตอนนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่2 คณะบริหารธุรกิจ สถานะตอนนี้ โสดสนิท แต่มีคนที่แอบชอบแล้วครับ กลัวหมา ไม่กินปลา ชอบกินน้ำอบเชย มีพี่ชายหนึ่งคน มีเพื่อนสนิทสองคน คือ ขนม ที่พ่วงตำแหน่งลูกพี่ลูกน้อง กับตุลา เพื่อนที่มาเจอกันตอนเข้ามหาลัยปีแรก แต่ความสนิทใจนั้นเหมือนคนที่รู้จักกันมาสิบปี และนี้คือประวัติของผมคร่าวๆครับ



"แอบชอบเขามาตั้งเเต่วันเเรกที่เข้าปี 1 นี่ก็ปีสองแล้วยังไม่คิดจะทำไร กูละนับถือมึงจริงๆ เป็นกูนะ เข้าไปจีบตั้งเเต่วันแรกแล้ว" ตุลาพูดขึ้นมา ขนมนั่งพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตุลา

"จริง เป็นกูจะเดินวนในดงหมาจนกว่าจะจีบติดเลย"

"กูเห็นด้วย" ทั้งสองคนยกมือขึ้นแตะกัน

"ไอ้สี มึงจะทำแค่แอบชอบพี่เขาจริงดิ" ขนมเอ่ยถามขึ้น

"ใช่ แค่ได้คอยมอง ได้เห็นรอยยิ้ม ได้เห็นว่าพี่เขามีความสุขในทุกๆ วันก็พอแล้ว"

"ปล่อยมันไปเหอะหนม เพื่อนมึงมันโลภน้อย"

"วันไหนพี่ภูผาของมึงมีแฟนขึ้นมานะ กูจะเหยียบซ้ำมึงให้"

ผมมองค้อนขนมหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น จะให้ผมเข้าไปจีบพี่เขายังไงล่ะครับ ความกล้าของผมมีเท่ากับมด เพราะถ้ากล้าพอผมคงไม่ต้องรั้งสถานะคนแอบชอบมาเป็นปีๆ หรอก อีกอย่างพี่เขาก็มีคนมาชอบเยอะเเยะ ธรรมดาๆ เเบบผมจะเอาอะไรไปสู้เขา ขนมกับตุลาสองเพื่อนสนิทของผม ไม่เข้าใจผมเลย

"ขนมพูดจาใจร้าย เราจะร้องไห้แล้วนะ"

"ไอ้หนมมึงก็หาเรื่อง เดี๋ยวมันร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ชิบหายเลยนะ" ตุลาพูดขึ้น

"เออๆๆ ไม่พูดเเล้ว แล้วยังไง งานเสร็จไปถึงไหนเเล้ว" ขนมโน้มตัวมาดูงานที่ผมกำลังเขียนอยู่

ผมจับเอกสารเบี่ยงหลบ "เราไม่บอกหรอก ไม่คุยด้วย" ผมหันหน้าไปอีกทาง หันหลังใส่ขนม ก่อนจะเอื้อมมือไปรื้อหาหูฟังที่อยู่กระเป๋ามาเสียบกับโทรศัพท์เพื่อที่จะฟังเพลง ผมงอนขนมจริงๆด้วย ขนมทำให้ผมใจแฟ้บ

"สมน้ำหน้า ปากหาเรื่อง" ผมได้ยินเสียงตุลาเล็ดลอดเข้ามาเบาๆ

"ไอ้สี เอาจริงดิ"  ขนมขยับมานั่งข้างๆ ยื่นมือมาเขย่าตัวผมแรงๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจให้ผมหันไปหา แต่ผมไม่หันไปง่ายๆหรอก



ถ้าว่ากันตามจริงผมไม่ได้โกรธขนมหรอกครับ เข้าใจด้วยว่าเพื่อนหวังดี อยากให้ผมสมหวังกับความรัก เเต่เรื่องเเบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะสุขสมหวังเสมอไป ทุกวันนี้ผมก็มีความสุขดีกับสถานะนี้ อย่างที่ผมบอกไป ได้คอยมอง คอยส่อง คอยเป็นห่วงห่างๆ ได้เห็นรอยยิ้มในทุกวันๆของเขาผมก็มีความสุขแล้ว

ถ้าถามว่าไม่อยากให้เขารับรู้ความรู้สึกของเราเหรอ ใจจริงผมก็อยากนะครับ อยากจะเดินไปบอกว่า 'พี่ภูผา ผมชอบพี่มากๆนะ ชอบตั้งแต่วันนั้น และเหมือนจะชอบมากขึ้นเรื่อยๆ เรามาเป็นแฟนกันไหม' แต่ก็นั่นละครับ ความคิดอะไรก็ง่ายไปหมด ถ้าให้กระทำแค่เห็นหน้าพี่เขาความกล้าก็มลายหายสิ้นแล้วครับ 

บางคนอาจจะคิดว่าบอกชอบไปเลย บอกไปแล้วถ้าเขาไม่รักจะได้ตัดใจ หาเป้าหมายใหม่ดีกว่า เสียเวลาเปล่าๆ ผมแค่อยากจะบอกว่า อย่าดูถูกความรู้สึกของใครเลยครับ ทุกคนล้วนมีเหตุผลในความรู้สึกตัวเองทั้งนั้น บางคนอาจไม่ได้แอบชอบเพื่อต้องการคบ บางคนแอบชอบเพื่อให้ตัวเองมีกำลังใจหัวใจกุ๊กกิ๊กซาบซ่า บางคนมีความสุขในมุมของตัวเองที่ยืนอยู่ บางคนก็อาจจะกลัวเกินกว่าจะออกมาจากเขตของการแอบชอบ เราเเนะนำพวกเขาได้แต่ไม่ควรยัดเยียดความคิดของเราใส่พวกเขาเกินไป เมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ ผมว่าเวลานั้น คนที่อยู่ในสถานะแอบชอบจะตัดสินใจและเดินทางไปสู่จุดที่ดีที่สุดให้ตัวเองแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นตราบใดที่การแอบชอบของคนที่เรารู้จักไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น ก็ปล่อยเขาให้อยู่ในพื้นที่ของเขาเถอะครับ เพราะเรื่องเเบบนี้มันละเอียดอ่อนมากจริงๆ

อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่ได้งอนขนมแบบจริงจรัง ผมเข้าใจดีว่าขนมอยากให้ผมมีความสุขและหวังดีกับผมมากๆ เเต่ที่ผมนิ่งเงียบไปเพียงแค่ผมกำลังคิดตามสิ่งที่ขนมพูด ว่าวันนึงพี่เขาก็ต้องมีเเฟน มีครอบครัว ต้องเเยกจากกันเมื่อพี่เขาเรียนจบไม่ได้เจอ ไม่ได้มอง ไม่ได้เห็น  ใจผมก็ดันห่อเหี่ยวจนหมดอารมณ์พูดคุยไปโดยปริยาย แค่คิดน้ำตาก็เอ่อนอง จะให้เข้าไปจีบก็กลัวไปหมดทุกอย่าง คือถึงแม้ว่าผมจะมีความคิดที่ว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้พี่เขาเป็นแฟนแน่ๆ เนื่องจากใจของผมที่มันกาก แต่ถ้าพี่เขามีเจ้าของการแอบชอบของผมคงต้องจบลง และคงต้องตัดใจ ทำไงดี? ผมยังอยากชอบพี่เขาไปเรื่อยๆอ่ะ ไม่ไหวหรอก ตัดใจไม่ไหวหรอก



"ตั้งแต่เจอเธอ     ใจก็คอยเพ้อ    อยากเจอทุกทีเรื่อยไป....." ผมร้องเพลงออกมาเสียงดัง ในขณะที่มือก็กำลังทำการบ้านที่กองล้นโต๊ะอยู่ จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างใดๆทั้งสิ้น เพราะสมาธิทั้งหมดของผมอยู่กับกองเอกสารตรงหน้าเท่านั้น



"ไอ้สี สี" ขนมกลับมาเขย่าแขนผมแรงๆอีกครั้ง หลังจากล้มเลิกความพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม แต่ผมก็ยังเลือกที่จะไม่สนใจแรงเขย่านั้น

ฟึบ!

"ตุลาดึงหูฟังเราทำไม" ผมเอ่ยถามขึ้นหลังจากตุลาเอื้อมมือมาดึงหูฟังออกจากหูของผมไป ตุลาเพยิดหน้าไปทางด้านหลัง ผมหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง เมื่อหันไปก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาของผมดันไปสบเข้ากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ ถึงแม้ว่าพวกพี่เขาจะยืนกันอยู่สามคน แต่ดวงตาผมมีไว้เพื่อคนๆเดียวจริงๆ ผมยกมือไหว้พวกพี่ๆ พร้อมกับส่งยิ้มทักทายไปให้ พวกพี่ๆพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับส่งยิ้มกลับมาให้ผม

ใจเจ้ากรรมดันเต้นตึกๆตักๆ ไม่หยุด สบตาพี่เขาทีไรพาลให้ใจสั่นไหว เหมือนโดนมนต์สะกดทุกทีเลย

"ขนม ทำไมไม่บอกเรา" ผมหันไปกระซิบคุยกับขนม

"สัส กูเขย่ามึงยิ่งกว่าเขย่าถุงมาม่าดิบอีก มัวเเต่สะดีดสะดิ้ง งอนกูไง"



"น้องเทียนนนนนน ร้องเพลงซะดังลั่น อารมณ์ดีอะไรครับ เพลงแอบรักซะด้วย" เสียงพี่ธูปเอ่ยทักขึ้น

"นั่นสิ แอบรักใครอ่ะเรา" พี่วาถามต่อ

"มะ ไม่มีครับ แค่เพลงมันเพราะเฉยๆ" ผมรีบตอบอย่างรวดเร็ว

"หว้า! พี่ก็คิดว่าน้องเทียนจะมีคนที่แอบชอบเเล้วซะอีก" พี่ธูปหันมายิ้มกรุ่มกริ่มให้ผม

"ไม่-" ยังไม่ทันที่ผมจะตอบเสร็จ เสียงขนมก็เอ่ยขึ้นมา

"จริงๆมันมีนะพี่ คนที่แอบชอบ แบบแอบชอบมานานม๊ากกกก แต่ก็นั้นละ มัวแต่แอบ สักวันเถอะ หมาจะคาบไปแดก" ขนมพูดพร้อมกับตวัดสายตาไปหาใครอีกคนที่ยืนอยู่ 'พี่ภูผา'

พี่ภูผา มีชื่อจริงว่า ภูผา ชลอนันตร์ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่3 คณะบริหารธุรกิจ มีเพื่อนสนิท 2 คน คือพี่วากับพี่ธูป และสถานะของพี่ภูผาคือ โสด แต่มีผมที่แอบชอบอยู่ และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายชีวิตในมหลัยที่ชอบพี่เขาเหมือนกัน คนหล่อนี่ลำบากเหมือนกันนะ



"จริงดิขนม" เสียงพี่วาเอ่ยยถามด้วยความตื่นเต้น

"จริงพี่ ถามไอ้ลาดู" ขนมตอบแทนและชี้ไปทางตุลาที่นั่งอยู่  ตุลาพยักหน้าเป็นการยืนยัน

"น้องเทียนแอบชอบใครครับ ให้พี่ธูปคนนี้ช่วยไหม" พี่ธูปพูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆตุลา

"นั่นดิ ให้พี่ช่วยไหม" พี่วาพูเสร็จก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆกับขนม

"พี่ภู ไม่นั่งเหรอพี่ นั่นอ่ะ ที่นั่งข้างไอ้สีว่างอ่ะ" ตุลาเอ่ยขึ้น อีกคนพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆผม



ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจเต้น เต้นแรงมาก ไม่ดีเลย นั่งใกล้กันเเบบนี้ไม่ดีเลย ผมส่งสายตาคาดโทษไปทางตุลา แต่ตุลาก็ตีหน้ามึนทำหน้าไม่รู้ไม่ชีหันไปคุยกับพี่ธูปแทน

"มาไมวะพี่"

"ดูพูดกับพี่กับเชื้อ ทำไมกูมาหาไม่ได้"

"มาได้ แต่แบบถ้ามีมาหาเองแบบนี้มันต้องมีอะไรสักอย่างอ่ะ"

"สัส เสือกรู้มาก พรุ่งนี้เลี้ยงรหัส ร้านเหล้า มาด้วยนะไอ้เสือ" เหตุผลที่พี่ธูปเรียกตุลาว่าเสือ เหมือนจะเป็นเพราะว่าชอบออกล่า เหมือนกันมั้งนะถ้าผมจำไม่ผิด  หน้าตาดีถึงดีมากทั้งคู่ขนาดนี้ แถมเป็นพี่น้องสายรหัสที่นิสัยมาโทนเดียวกันซะด้วย ความสนิทเข้าขาของทั้งคู่ยืนหนึ่งมาก เจ้าชู้แบบเงียบๆ เหมือนจะเป็นผู้ชายที่ดีแต่ก็ได้แค่เหมือน เฉพาะเรื่องความรักนะ เรื่องอื่นก็ไม่เถียงหรอกว่าดีมากๆทั้งคู่



เนื่องจากพี่ธูปกับตุลาเป็นพี่น้องรหัสกันเพราะเหตุนี้ทำให้ผมได้เจอกับพี่ภูผาบ่อยๆ เเต่ก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับพี่เขามากเท่าไหร่ จะเรียกว่าสนิทไหม ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเพราะผมขี้เขินเกินกว่าที่จะกล้าคุยด้วย ส่วนพี่ภูผาก็เหมือนจะนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้มีความอึดอัดอะไรระหว่างกัน ถ้ามีงานอะไรก็สามารถทำงานร่วมกันได้ไม่มีปัญหา พบเจอข้างนอกพูดคุยได้ปกติ เพียงเเต่ผมมักจะหลบหน้า หนีไปเขินพี่เขาซะส่วนใหญ่ ส่วนพี่รหัสของขนมเป็นสาวสวยสายธรรมะชื่อพี่เบลล์ พี่รหัสของผมชื่อพี่โก้ เป็นนักวาร์ปแห่งคณะ คือพี่เขาหายตัวบ่อยมาก ตอนนี้คือผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาอยุ่ ณ แห่งหนใด ยังมีตัวตนอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้

"เอาดิ ร้านไหนๆๆๆ พี่เลี้ยงป้ะ"

"แน่นอน 1 ทุ่ม เจอกัน 'เล่าเรื่องราว' "

"ผมไปด้วยดิพี่ธูป" ขนมเอ่ยขึ้น

"ไปทำไมมึงอ่ะ เมาเเล้ววุ่นวายคนอื่น สายกูก็ไม่ใช่"

"โหยพี่ นี่ก็น้องในคณะนะเว้ย"

"อยากไป ก็ไปกับพี่รหัสมึงนู่น"

"โหย พี่เบลล์อะนะ มีแต่ชวนผมไปปฏิบัติธรรม แม่ง ผมกลัวพี่แกจะหนีไปบวชก่อนเรียนจบจริงๆ"

"มาเลยขนม เลี้ยงสายแค่ข้ออ้างไอ้ธูปมันแค่อยากเเดกเหล้าเท่านั้นแหละ พวกพี่ก็ไป" พี่วาพูดขึ้น

"พี่วาน่ารักที่สุด" ขนมเอื้อมมือไปเกาะแขนพี่วา ก่อนจะซบหน้าถูกับไหล่พี่วาไปมา



ผมนั่งฟังการสนทนาเพลินจนลืมไปเลยว่ามีคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจผมนั่งข้างๆ

"นั่งดีๆ" ผมนั่งยืดหลังตรงทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มพูดขึ้นมา

"ขอโทษครับ"

"จะขยับออกไปถึงไหน เดี๋ยวก็ได้ตกเก้าอี้หรอก ขยับเข้ามานั่งดีๆ" ผมขยับตัวทันทีที่ได้ยินเสียงดุๆพูดออกมา บอกตรงๆผมรับคำสั่งเหมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมอัตโนมัติไว้ก็ไม่ปาน



"อุ๊ย แล้วน้องเทียนคนน่ารักละครับ พรุ่งนี้ไปด้วยกันหรือเปล่า" พี่ธูปหันมาถามผม

"ทีกับไอ้สีล่ะเสียง 5 เชียว" ขนมบ่นขึ้น

"พูดมากนะมึง"

"พอ อย่าเพิ่งเถียงกัน" พี่วาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพี่ธูปกับขนมจะเปิดศึกกันอีกรอบ "ส่วนน้องเทียนไปด้วยกันสิ" พี่วาเอ่ยปากชวนผม

"คือว่าผม คือผมขอนอนอยู่ที่ห้องดีกว่าครับ ไม่ค่อยเข้าถึงแอลกอฮอร์สักเท่าไหร่" ผมตอบปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจ

"ว๊า อย่างนี้คนแถวนี้ก็เสียใจแย่เลยดิ" พี่ธูปด้วยน้ำเสียงเเละสายตาที่กรุ่มกริ่ม

"ใครจะเสียใจวะพี่มึง" ตุลาถามขึ้น



"ไปด้วยกันสิ ออกไปผ่อนคลายบ้าง" ยังไม่ทันที่พี่ธูปจะได้ตอบคำถาม เสียงของคนนั่งข้างๆก้ดังขึ้นมา

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสบตากับคนที่นั่งข้างๆ ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ผมดูเป็นคนใจง่ายไปหรือเปล่านะ

"ก็ได้ครับ" ตอบเสร็จรีบหันหน้ากลับมา ก่อนจะก้มมองพื้น ไม่ไหวแล้วหัวใจ พี่เขายิ้มนิดนึงด้วย ถ้าจะทำให้ใจเต้นเเรงไปกว่านี้ พี่ภูผาต้องเรียกรถพยาบาลมาให้ผมแล้วนะครับ



"ไปพวกมึงถึงเวลาไปเรียนแล้ว" พี่วาเอ่ยชวนเพื่อนๆ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนของพวกพี่ๆแล้ว

"เดี๋ยวนะ พวกพี่มาเพื่อมาบอกผมแค่นี้ คือถ้าจะบอกแค่นี้ พี่มึงไลน์มาก็ได้" ตุลายกโทรศัพท์ให้พี่ธูปดู

"มึงสงสัยมากจังวะ มหาลัยนี่พ่อมึงสร้างหรือไง กูถึงเดินมานั่งตรงนี้ไม่ได้ ถ้าว่างมานั่งสงสัยก็โทรฯบอกน้องรหัสมึงเรื่องนัดด้วย ไปล่ะ" พี่ธูปพูดเสร็จก็ยกมือขึ้นบ๊ายบาย

"คุณภูผาครับ ลุกครับแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วไหมครับ" พี่ธูปหันหน้ามาคุยกับพี่ภูผา

"นั่นดิ ลำบากเพื่อนฝูงชิบหายมึงอ่ะ"

"พูดมากจังวะพวกมึงสองคน" พี่ภูผาด่าพี่สองๆคน ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้

"พี่ไปก่อนนะครับ" พี่ภูผาพูดกับผม ผมพยักหน้าและส่งยิ้มกลับไปให้ ผมว่าผมต้องเป็นโรคหัวใจในสักวันแน่ๆ





วันๆนึงเวลาผ่านไปรวดเร็วแป็นเดียวชีวิตก็ดำเนินมาจนถึงวันสุดสัปดาห์ วันนี้พวกผมมีนัดกับพวกพี่ๆ ที่ร้านเล่าเรื่องราว ทำให้ตอนนี้พวกผมสามคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะภายในร้าน มีเพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องทั้งในคณะและต่างคณะนั่งรวมกันหลายคน ยิ่งดึกทุกคนก็ยิ่งได้ที่ แอลกอฮอร์เข้าปาก พฤติกรรมก็แปลกๆ กันไปแทบทุกคน



"ไอ้สี ไม่กินเหล้าหน่อยว่ะ แดกแต่โค้กอยู่ได้" ขนมถามขึ้น

"นั่นดิไอ้สี กินให้ล่มจมเลย ตังค์พี่ธูป"

"สัส" พี่ธูปเอื้อมมือมมตบหัวตุลาหนึ่งที

"ตบทำไมเนียพี่มึง" ตุลาโวยวาย ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง

"ถามตังค์ในกระเป๋ากูบ้าง"

"บ้านก็รวย พี่อย่างกดิ" ขนมพูดขึ้น



"ไม่เป็นไร เราคอไม่แข็ง กินนิดๆ ก็เมาแล้ว ลำบากคนอื่นเปล่าๆ " ผมว่าขึ้น

"้แต่พี่ว่าอาจจะมีบางคนอยากลำบากก็ได้นะ" พี่วาพูดขึ้น

"หือ" ผมทำหน้าสงสัยกับคำพูดของพี่วา

"ใครอ่ะพี่" ขนมถามขึ้น

"สงสัยมากอีกมึง แดกๆไป" เป็นพี่ธูปที่พูดขึ้นมา ยื่นเเก้วให้ขนม ขนมเอื้อมมือไปรับแก้วจากมือพี่ธูป มาวางไว้ตรงหน้า

"ขอบคุณพี่"





ถึงจะมีหลายๆคนมากินด้วย แต่ใช่ว่าจะนั่งโต๊ะเดียวกันทั้งหมด เพราะคนที่เยอะเกินไป ทำให้ต้องกระจัดกระจายกันไป ส่วนพวกผมได้มานั่งโต๊ะเดียวกับพี่ธูป ซึ่งแน่นอนว่าถ้านั่งโต๊ะเดียวกับพี่ธูปก็ต้องมีพี่วา และอีกคนคือ พี่ภูผา บุคคลที่ไม่ค่อยอ่อนโยนต่อหัวใจของผมเท่าไหร่  ส่วนคนอื่นๆก็มีแวะเวียนมาชนแก้วกับพวกผมและพวกพี่ๆบ้างเป็นครั้งคราว



พี่ภูผานั่งตรงข้ามกับผม และเป็นผมเองที่พยายามมองผ่าน หนีการเงยหน้าไปสบตากับพี่เขา อาจจะมีแอบๆมองบ้างนิดๆหน่อยๆ ตอนนี้พี่ภูผาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ นาฬิกาหนังสีดำที่ใส่ติดข้อมือในทุกๆวัน  ขนาดไม่ได้แต่งตัวอะไรเยอะเเยะแต่ความดูดีก็ไม่ลดลงเลย



ผมเบี่ยงสายตาไปมองรอบๆร้านก็เห็นว่าหลายๆสายตาจ้องมองมาที่โต๊ะของพวกผม ก็แน่ละ มีคนหน้าตาดีนั่งรวมกันอยู่ตั้งหลายคน ทั้งพี่ธูป ตุลา พี่ภูผา ขนมกับพี่วาก็น่ารัก ไม่แปลกหรอกที่จะมีหลายๆสายตาจับจ้องมาทางนี้  พี่ธูปกับตุลาอาจจะมีการยกยิ้มตามมารยาทบ้าง แต่พี่ภูผาทำเพียงนั่งเงียบๆยกแก้วขึ้นมาดื่มเป็นระยะเท่านั้น



"ขนม" ผมยื่นมือไปสะกิดขนม

"ว่า" ขนมเอียงหัวมาใกล้ๆเพื่อจะฟังว่าผมต้องการอะไร เนื่องจากเสียงที่ดัง จริงทำให้ต้องพูดใกล้ๆกัน หรือไม่ก็ต้องตะโกนคุยกัน

"เราไปห้องน้ำนะ"

"เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน"

"ไม่เป็นไร เราไปเองได้"

"กุไปด้วย เดี๋ยวมึงหลง ไป" ขนมลุกขึ้นยืน ดึงแขนผมให้ลุกตาม

"ไปไหนกันวะหนม" ตุลาถามขึ้น

"ไปเป็นเพื่อนไปสีเข้าห้องน้ำ" ขนมตอบออกไป ตุลาพยักหน้ารับ



ผมชะงักตัวเองเมื่อเดินกลับมายังโต๊ะหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ ที่นั่งที่ผมนั่งในตอนแรกโดนพี่ธูปแย่งไปแล้ว ส่วนที่ว่างข้างๆพี่วาก็โดนขนมตัดหน้านั่งลงก่อน เพราะฉะนั้นที่ว่างที่เหลืออยู่ตอนนี้คือที่นั่งข้างๆกับพี่ภูผา ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมเดินไป

"นั่งดิวะ ยืนรอใครเชิญเนียสี" ตุลาถามขึ้น

"คือว่า ที่นั่งเรา" เราชี้นิ้วไปที่พี่ธูป

"โทษทีน้องเทียน ขอสลับที่นั่งหน่อยนะ พอดีมีเรื่องจะคุยกับไอ้เสือมันหน่อย" พี่ธูปว่ามา ผมจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งใกล้ๆพี่ภูผา พี่ภูผาขยับนิดหน่อย เพื่อให้มีที่ว่างมากพอสำหรับผม ผมก้มหัวขอบคุณพี่ภูผา ก่อนจะนั่งลงข้างๆพี่เขา

ไม่ชิน ไม่ชินสักที ทั้งที่นั่งข้างๆกันมาก็หลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยชินสักที ผมนั่งตัวแข็งทื่อตอนที่คนที่นั่งอยู่ข้างๆวาดแขนตัวเองพาดผ่านด้านหลังผมไปวางพาดบนโซฟา ถ้าจะให้มองมันเหมือนว่าผมโดนพี่ภูผากอดอยู่เลย ผมกระชับมือตัวเองที่ประสานกันบนตักให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เม้มริมฝีปากเพื่อซ่อนอาการเขินและประหม่าของตัวเอง



"เบาได้เบานะเพื่อน" เสียงพี่ธูปดังขึ้น

"กูเกลียดมันมากเลย" พี่วาพูดต่อ

"สี เอ้า! แก้วมึง" ตุลายื่นแก้วน้ำมาให้ผม

"ขอบคุณ" ผมเอ่ยขอบคุณ เอื้อมมือไปรับแก้วมาถือไว้ในมือ



ผมรู้สึกประหม่าทำตัวไม่ค่อยถูก จึงจัดการยกเเก้วน้ำที่อยู่ในมือกระดกดื่มหมดภายในทีเดียว แต่เอ๊ะ! ผมว่ารสชาติน้ำในแก้วมันแปลกๆ เหมือนจะมีรสขมๆหน่อยๆ

ผมยื่นแก้วออกไปตรงหน้าและพินิจพิจารณาอยู่แป็บนึงก็มีเสียงถามขึ้น

"เป็นอะไร" คนที่นั่งข้างๆผมถามขึ้น

"เอ่อ คือว่า ผมว่าน้ำในแก้วมันรสชาติแปลกๆ" ผมหันหน้าไปตอบอีกคน

อีกคนดึงแก้วไปถือไว้ในมือ ก่อนจะด่าเพื่อนออกไป

"สัสธูป มึงผสมเหล้าให้น้องเหรอ"

"เปล่า ไอ้ตุลานู่น" ผมหันหน้าไปมองตุลาทันทีที่พี่ธูปพูดจบ ตุลาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ มีขนมยกนิ้วโป้งให้ตุลา

"น่า พี่ภู มาร้านเหล้าทั้งที ไม่กินเหล้าได้ไง " ตุลาตอบกลับมา ผมสังเกตเห็นเหมือนพี่ภูผาจะมีสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดหน่อยบนใบหน้า ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพี่ภูผาต้องอารมณ์เสีย หรือกลัวว่าผมจะเมาจนเป็นภาระให้คนอื่นเดือดร้อนกันนะ



"อีกแก้วไอ้สี มา" ขนมยื่นแก้วเหล้าของตัวเองมาตรงหน้าเพื่อจะชนเหล้ากับผม ผมได้แต่สะบัดหัวปฏิเสธ เพราะจากที่ผมเผลอกกินไปตอนนั้น นี่น่าจะเป็นแก้วที่ 4 แล้วที่ผมกินเหล้าผสมโค้กเข้าไป และผมคิดว่าตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ

"ไม่ เราไม่ไหวแล้วนะ"

"เฮ้ย อะไรว่ะ สามสี่แก้วก็เมาเเล้วเหรอมึง กระจอกว่ะ มาอีกแก้วเดียว" ขนมยังไม่ละความพยายามในการชวนผม

"ก็ได้ แก้วเดียวแล้วนะ" ขนมพยักหน้า ส่งยิ้มมาให้ ผมเอื้อมมือจะไปหยิบแก้วน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ก็วืดเพราะเเก้วของผมถูกใครอีกคนแย่งไปซะก่อน



"พอแล้วครับ เราเมาแล้ว"

"เรายังไม่ได้เมาสักหน่อย" ผมว่าที่เขาบอกน้ำเมาเปลี่ยนคนน่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าเป็นตอนปกติผมคงไม่กล้าพูดแบบนี้กับพี่ภูผาแน่นอน "พี่ผาเอา แก้วเราคืนมานะ" ผมงอแงพยายามจะเเย่งแก้วคืน

"ไม่ได้ครับ พี่ไม่ให้"  อีกฝ่ายเบี่ยงแก้วหนี

"ทำไมล่ะ" ผมถามไปด้วยความเอาใจและน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เมื่อถูกขัดใจ

"ถ้าไม่เมาหน้าเราจะแดงแบบนี้เหรอครับ" พี่ภูผาพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มลงมาที่แก้มด้านขวาของผม

ยามที่นิ้วของพี่ภูผาแตะโดนแก้มของผม ร่างกายของผมแข็งทื่อ เลือดในร่างกายสูบฉีดวิ่งไหลพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย ความร้อนเห่อตัวไปรวมกันที่บริเวณใบหน้าของผม ผมว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงมากๆแบบห้ามไม่อยู่แน่ๆ



"เราไม่ได้เมาสักหน่อย" ผมพูดจาอ้อมแอ้มบอกออกไป สัมผัสที่แก้มยังอยู่อยู่เลย

"เออ ให้น้องเขากินต่อดิวะ หวงเหรอมึงอ่ะ"

"เสือก"

"จ้าๆๆ กูเองแหละ กูเสือกเอง สัส" พี่ธูปเลิกสนใจพี่ภูผา หันไปชนเหล้ากับตุลาต่อ

"ไม่ดื่มแล้วนะครับ" พี่ภูผาหันหน้ากลับมาคุยกับผม  ผมพยักหน้าตอบรับ เอื้อมมือไปรับแก้วน้ำเปล่าที่พี่ภูผาส่งมาให้ มาดื่มแทน



ผมนั่งมึนๆอึนๆอยู่ตรงนี้ เหมือนแอลกอฮอร์ที่ดื่มลงไปจะออกฤทธิ์กับร่างกายผมซะแล้ว ผมมีความรู้สึกว่ามันโคลงเคลงนิดๆ มึนๆหน่อยๆ เหมือนสติเริ่มๆหายไปทีละนิด แต่ก็ยังพอควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้อยู่ ในขณะที่นั่งฟังคนอื่นๆคุยกัน หูของผมก็ได้ยินเพลงนึงที่เป็นเพลงโปรดประจำตัวของผมดังขึ้นมา ผมเผลอดีใจตะโกนบอกขนม

"ขนม เพลงเราๆ" เราส่งยิ้มกว้างให้ขนม ขนมทำหน้างงส่งมาให้ผม ก่อนจะร้องอ่อ เมื่อได้ยินเพลงที่ดังขึ้น เพลงที่ผมเปิดฟังตลอดเวลาหลังจากที่ได้สถานะคนแอบชอบมาครอบครอง



"ตั้งแต่เจอเธอ  ใจก็คอยเพ้อ อยากเจอทุกทีเรื่อยไป เธอนั้นคือดวงใจ......" ผมร้องเพลงด้วยความแม่นยำในเนื้อเพลง และใช่พี่ภูผานั่งอยู่ข้างๆผมนี่น่า และไม่รู้ว่าผมไปเอาความกล้ามาจากไหน ผมหันหน้าไปทางพี่ภูผา ก่อนจะร้องท่อนถัดไปต่อ และครั้งนี้ผมสบตากับพี่ภูผาตรงๆโดยที่ไม่ได้หลบสายตาหนีไปไหน

ผมยังคงร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตา พี่ภูผาก็มองเข้ามาในตาผมเช่นกัน ผมอยากจะสื่อความรู้สึกทั้งหมดของผมผ่านบทเพลงนี้ ว่าผมชอบพี่จริงๆนะ ผมเก็บพี่เอาไปฝัน ใจผมคอยเพ้อหา แต่ผมทำได้แค่เพียงแอบมอง ผมยังมีความหวังเล็กๆในหัวใจให้พี่มองมา ผมเคยฝันถึงช่วงเวลาของเรานะ และถ้าเราได้เดินจับมือกันมันคงจะดีน่าดู

".....ได้โปรดเข้าใจเพราะฉันชอบเธอ"ผมโยกตัวไปด้วยร้องเพลงไปด้วย ก่อนจะยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ให้กับคนที่ผมนั่งสบตาอยู่เมื่อท่อนฮุคท่อนแรกจบลง ตอนนี้สมองของผมไม่อาจสั่งการอะไรได้อีกแล้ว เหมือนหัวใจของผมจะกลายเป็นแกนนำหลักแทนไปเสียแล้ว ผมรู้เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ ผมอยากบอกให้พี่ภูผารับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่แอบชอบผ่านเพลงเพลงนี้ ถึงแม้พี่ภูผาอาจจะไม่รับรู้สิ่งที่ผมจะสื่อก็ไม่เป็นไร ผมอยากขอบคุณเหล้าสี่แก้วที่ผมกินเข้าไป จนทำให้ผมมีความกล้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม กล้าที่จะสบตากับพี่เขาตรงๆ กล้าที่จะทำอะไรแบบนี้ ผมจะถือว่าการที่สติผมไม่ครบร้อยเปอร์เซนต์ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ดีก็แล้วกัน

"สงสัยเพื่อนกูต้องเปลี่ยนเพลงประจำตัวใหม่แล้ว" ขนมพูดขึ้น

"ต่อไปเพื่อนผมอาจจะไม่ใช่แค่ฝัน" เสียงของตุลาแทรกขึ้นมา

"นี่มันบรรยากาศอะไรวะเนีย" พี่วาพูดขึ้น

"ไอ้เหี้ย กูหมั่นไส้ พวกมึง ชน!" เสียงพี่ธูปดังปิดท้าย ก่อนที่ทั้งสี่คนจะหยิบแก้วขึ้นมาชนและกระดกดื่มในทีเดียวจนหมดแก้ว

ผมละสายตาไปมองทางแก๊งเพื่อนๆเเละพี่ๆที่ส่งเสียงดังขึ้นมา ก่อนจะหันกลับมามองหน้าพี่ภูผาอีกครั้ง ส่งยิ้มกว้างตาปิดให้พี่ภูผาอีกหน พี่ภูผายิ้มมุมปากกลับมาให้ผม

 พอเเล้วแค่นี้ก็พอแล้ว แค่เห็นรอยยิ้ม แม้จะเป็นเพียงแค่ยิ้มมุมปากก็ไม่เป็นไร แค่ได้เห็นใกล้ๆแบบนี้ก็พอแล้ว มันดีมากเเล้วจริงๆ















จบไปแล้วนะคะ สำหรับตอนที่ 1 เป็นยังไงกันบ้างค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนมากเลยนะคะ ที่เข้ามาอ่านกัน

ยังไงเราของากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

ขอขอบคุณเพลง เพ้อเจ้อ ของ ALARM9 ด้วยนะคะ









































หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 31-01-2021 19:43:40
น้องสีเทียนน่ารักจัง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่2) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 20:11:10
ปิ่นโตของคนแอบชอบ



อึก!

"โอ๊ย" ผมร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกได้ถึงท่อนอะไรหนักๆหล่นลงมาใส่หน้าท้องของตัวเอง ผมหน้าขมวดด้วยความจุก  เอื้อมมือไปยกลำท่อนหนักๆเหวี่ยงออกไปแรงๆให้พ้นตัว  ผมพยุงตัวเองขึ้นนั่ง สะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความมึนงงหายไป แสงแดดที่ส่องลอดผ้าม่านมาทำให้ผมต้องหยีตาตัวเองลง เพื่อปรับดวงตาให้ชินกับแสงแดดที่จ้าซะเหลือเกิน คงจะสายมากแล้วแน่ๆ

ผมหันซ้ายหันขวาก็เจอเพื่อนตัวดีทั้งสองคนนอนอยู่ข้างๆ สภาพแต่ละคนดูไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้ขนมนอนท่าที่เหมือนสไปเดอร์แมนกำลังไต่กำแพง ส่วนตุลานอนท่าขัดสมาธิ ถ้าทุกคนนึกไม่ออกก็เหมือนกับเรานั่งขัดสมาธิแต่อันนี้เปลี่ยนจากนั่งเป็นนอนแทน แถมหัวยังเบี่ยงไปทางปลายเตียงอีก หมดสภาพเลยคนหล่อของสาวๆ เมื่อกี้ก็คงเป็นขาของขนมสินะ ที่เหวี่ยงลงใส่หน้าท้องผม จนทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

"โอ๊ย ปวดหัวชะมัด" ผมบ่นกับตัวเอง นั่งชันเข่า ใช้ข้อมือทั้งสองข้างกระแทกเข้าที่ขมับเบาๆ เพื่อหวังขับไล่ความปวดที่วิ่งแล่นอยู่ภายในหัวให้จางหายไป นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมไม่ค่อยชอบกินเหล้าสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะดื่มนิดหน่อยหรือเยอะ ตื่นเช้ามาผมมักจะปวดหัวเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ผมก็อยากที่จะเลี่ยงเหลือเกินการปาร์ตี้ที่มีแกนนำหลักเป็นเหล้าเนีย

เมื่อสติเข้าที่เข้าทาง ผมสอดส่ายสายตาดูสิ่งที่อยู่รอบๆห้อง หือ! นี่มันห้องผมหนิ พวกขนมคงตั้งใจจะพาผมมาส่งที่ห้อง และคงเมาหนักจนกลับไปที่ห้องตัวเองไม่ไหวเลยนอนค้างที่นี่สินะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เพราะห้องผมเปรียบเสมือนห้องส่วนกลางของกลุ่มเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะทำงานกลุ่ม ดูบอล ดูหนัง เปลี่ยนบรรยากาศการนอน ก็จะตกมาอยู่ที่ห้องผมซะส่วนใหญ่ คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา จนผมจะปั๊มกุญแจห้องให้ทั้งสองคนอยู่แล้ว ว่าแต่เมื่อคืนผมนอนหลับคอพับไปตั้งแต่ตอนไหนเนีย สุดท้ายก็ไม่วายลำบากเพื่อนๆอีกคนได้

ห้องที่ผมอยู่ตอนนี้เป็นคอนโดของพี่ชายผมที่ซื้อไว้ และเนื่องจากพี่ชายผมต้องย้ายไปทำงานที่อื่น คอนโดนี้จึงว่าง พอขึ้นปีสองผมก็ขอย้ายออกจากหอในมหาลัยมาอาศัยอยู่ที่คอนโดนี้แทน ซึ่งมันสะดวกสะบายกว่าการอยู่หอในมหาลัยพอสมควร อย่างน้อยๆ เรื่องเวลาเข้า-ออกก็ไม่ต้องกังวลกลัวกลับมาไม่ทันหอปิด พวกขนมกับตุลาก็ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเหมือนกันครับ ถึงจะไม่ได้อยู่คอนโดเดียวกันแต่ก็อยู่ใกล้ๆกัน คอนโดตรงนี้ทำเลดีใกล้มหาลัย ใกล้บริษัทต่างๆ ร้านอาหารหลากหลาย ทำให้มีผู้คนพลุกพล่านอยู่ตลอด พอพูดถึงพี่ชายก็คิดถึงจังเลยน๊า ไม่ได้โทรฯหามาสามวัน ไม่รู้จะงอนไปถึงไหน อาทิตย์หน้าไปหาดีไหมนะ แต่ผมว่าตอนนี้ผมควรไปอาบน้ำก่อนดีกว่า

ผมจับผ้าห่มเหวี่ยงออกไปให้พ้นตัว ก้าวเท้าลงจากเตียงมุ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เวลานี้ร่างกายของผมต้องการโดนน้ำมากครับ ทั้งกลิ่นเหล้าที่ติดอยู่กับเสื้อผ้า ทั้งเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะจากการที่ไม่ได้อาบน้ำก่อนนอน ผมเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวพาดไว้บนบ่า สองมือก้มคุ้ยเขี่ยหาชุดที่จะใส่ วันนี้ไม่อยากไปไหน ใส่อะไรง่ายๆก็แล้วกัน ได้ของที่ต้องหารจนครบก็หอบทั้งหมดไปยังห้องน้ำทันที

ผมใช้เวลาในห้องน้ำประมาณยี่สิบนาที เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณกลางห้องด้วยเนื้อตัวที่หอมสะอาด สวมใส่เสื้อยืดสีชมพูกางเกงบอลสีดำ ยืนเอามือกอดอก คิดวิธีการปลุกเจ้าคนที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

"เฮ้อ! จริงๆเลยนะ" ผมสะบัดหัวด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาขนมที่ยังนอนในท่าเดิม

"ขนม ตื่นได้แล้ว" ผมเอื้อมมือไปเขย่าตัวขนมแรงๆ แต่ก็คนที่นอนอยู่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่น

"อือ อย่ากวนดิว่ะ คนจะนอน" ขนมสะบัดแขนหลุดออกจาการจับกุมของผม

ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากขนมเป็นตุลาที่ตอนนี้ยังนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมแทน

"ตุลา ตื่นได้แล้ว เที่ยงแล้วนะ ตุลา!" กริบ เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

ได้จะเอาแบบนี้ใช่ไหมทั้งสองคน ได้! ได้เลย!



ทั้งสองคนได้นอนต่อเลย ปลุกยากเย็นขนาดนี้ไม่ปลุกก็ได้ นอนท้องหิวตายไปเลยทั้งสองคน ผมพาตัวเองเดินลงมายังด้านล่างคอนโด หลังจากที่ภารกิจการปลุกเพื่อนๆล้มเหลวไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ผมหิวเกินกว่าที่จะทำอาหารกินเอง จึงตัดสินใจเดินลงมาหาร้านอาหารแถวๆคอนโดกิน อยากได้อะไรร้อนๆไว้ซดให้โล่งคอจังเลยนะ

"โอ๊ะ พี่ไผ่ สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้พี่ที่รู้จัก เราอาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกัน เจอกันบ่อยๆ พูดคุยกันประจำ พี่ไผ่เป็นคนที่ชวนคุยเก่งมาก จึงสนิทกันพอสมควร

"ไง ไอ้น้องเทียน จะไปไหนเนีย"

"จะไปซื้อของกินนะครับ"

"อ่อ แล้ว...." ยังไม่ทันที่พี่ไผ่จะพูดจบก็มีเสียงผู้ชายอีกคนดังแทรกเข้ามาซะก่อน

"ไผ่เสร็จยังครับ"

"อ่อ เสร็จแล้วครับๆ" พี่ไผ่หันไปตอบใครอีกคน ก่อนจะหันมาพูดกับผม "ไว้คุยกันใหม่นะไอ้น้องเทียน วันนี้พี่ขอตัวก่อน" พี่ไผ่ส่งยิ้มให้ผมพร้อมโบกมือลา

"ครับ" 



ผมเดินมายังร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งใกล้ๆคอนโด ก่อนจะสั่งกับข้าวประเภทต้มสองสามอย่าง และข้าวอีกสองถุง กลับไปกินที่ห้อง ใจจริงผมก็ไม่อยากจะซื้อไปเผื่อทั้งสองคนหรอกครับ แต่ศีลธรรมด้านดีของผมเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้ ทำให้ต้องซื้อไปเผื่อทั้งสองคนด้วย ผมไม่ได้เป็นห่วงจริงๆนะ

เมื่อได้อาหารมาแล้ว ผมก็เดินหิ้วถุงกับข้าวกลับคอนโด ไม่รู้ว่าป่านนี้สองคนนั้นจะตื่นหรือยัง จะเที่ยงอยู่แล้ว นอนกินโลกกินจักรวาลจริงๆ และก่อนที่จะกลับขึ้นห้อง ผมก็ไม่ลืมเเวะซื้อพวกน้ำเกลือแร่ ขนมนิดหน่อยติดมือไปด้วย ส่วนกาแฟดำของตุลาให้ชงกินเองที่ห้องก็แล้วกัน ผมหยิบสินค้าที่ต้องการก่อนเดินไปจ่ายเงินและกลับขึ้นห้อง

ผมเปิดประตูห้องมาก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอกับเพื่อนรักทั้งสองนั่งโงนเงนจนหัวจะชนกันตรงโซฟาหน้าทีวี

"ตื่นได้แล้ว?"

"ยังไม่ตื่นดีเลย" ขนมตอบกลับมาทั้งที่ตายังปิดอยู่

"ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเลยทั้งสองคน ห้องน้ำมีสองห้อง เข้าคนละห้องเลย จะได้มากินข้าวพร้อมกัน"

"ซื้อมาเผื่อพวกกูด้วยเหรอ" ขนมหันหน้ามาถาม

"มึงคือคนดีที่แท้จริงว่ะสี" ตุลาว่าขึ้น

"จะพูดอีกนานไหม เร็วๆเลย ทั้งสองคน!"



"สี ขอกาแฟดำแก้วนึงดิ นะ" ตุลาเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ ตรงมายังโต๊ะกินข้าวที่มีผมยืนรออยู่

"ชงเอง"

"สีไม่ใจร้ายดิ"

"ถ้าเราใจร้ายจักรวาลกาแลคซี่นี้ก็ไม่มีคนใจดีแล้ว"

"เถียงไรกันแต่เช้าวะ" ขนมผู้มาใหม่ถามขึ้น

"สีมันไม่ชงกาแฟให้กู"

"สัส ไม่มีมือชงเองหรือไงมึงอ่ะ" ตุลาหน้าเหวอ เมื่อขนมด่าเจ้าตัวอีกคน

"เนอะสีเนอะ ว่าแต่มึงซื้อเกลือแร่มาฝากกูป้ะสี" ขนมหันมายิ้มหวานให้ผม

พลั่ก! ตุลาผลักหัวขนมแรงๆหนึ่งที

"สัส กูว่าแล้ว แล้วทำมาเป็นด่ากู"

"พอ! หยุดเลยทั้งสองคน" ผมต้องรีบห้ามทัพก่อนที่เรื่องราวการเถียงจะบานปลาย

ผมบอกให้ทั้งสองคนนั่งรอนิ่งๆอยู่ตรงโต๊ะอาหารที่มีอาหารวางเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ก่อนจะเดินไปหยิบขวดเกลือแร่มาให้ขนม และชงกาแฟให้ตุลา เป็นการตอบแทนเรื่องที่เมื่อคืนอุตส่าห์แบกผมกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัย

ผมนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับวางแก้วกาแฟดำไว้ใกล้ๆกับตุลา และวางขวดเกลือแร่ใกล้ๆกับขนม ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ผม

"กูคิดไว้อยู่แล้วว่ามึงไม่ใจร้าย" ตุลาเอ่ยขึ้น

"แม่ง ดีกว่ามึงก็เทวดาแล้วเพื่อน" ผมส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจกับความพูดไปเรื่อยของทั้งสองคน

"ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ดูแลเราเมื่อคืน และขอบคุณที่มาส่งเรากลับถึงห้องอย่างปลอดภัย"

เกร๊ง! ปั๊ก! เมื่อผมพูดจบตุลาวางแก้วกาแฟที่กำลังยกแนบชิดริมฝีปากลง ส่วนขนมก็หมุนฝาขวดน้ำเกลือแร่ปิดไว้เหมือนเดิมก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ

"อ้าว ทำไมไม่กินอ่ะ"

"ถ้ามึงอยากให้สองสิ่งนี้เป็นการขอบคุณคนที่ดูแลมึง แบกมึงมาส่ง นู่น มึงเอาไอ้พวกนี้ไปให้พี่ภู นู่น" ขนมว่าขึ้น

"หือ?" ผมยังคงมีสีหน้าสงสัยในคำพูดของขนม

"หือไรสี เอ้า! งง ทำหน้างงอีก" ตุลาส่ายหัวให้ผม " พี่ภูทั้งนั้นที่ลากพวกเรากลับมาห้องเนีย"

"เออ เมื่อคืนกูก็เมาหนักอยู่ ส่วนไอ้ลาก็เซๆ มึงว่าสภาพพวกกูสองคนจะแบกมึงกลับมาห้องไหวไหมละ"

"พี่ภูเลยอาสามาส่ง กูที่สติดีที่สุดในสามคนเป็นคนลากไอ้หนม ส่วนมึง" ตุลาชี้มาที่ผม ผมขยับตัวเข้าใกล้โต๊ะกินข้าวมากขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดประหม่าเล็กน้อย

"พี่ภูผาเป็นคนลากเรามาเหรอ" ถามไปใจของผมก็สั่นไป หน้าแดงนำหน้าคำตอบของตุลาไปแล้ว

"เปล่า พี่ภูไม่ได้ลากมึงมา"

"อ้าว!" ผมหน้างอทันทีที่ตุลาพูดออกมา

"แต่มึงอ้อนขอขี่หลังพี่เขาต่างหากละไอ้สี"

หือออออออ! ผมหันหน้าไปหาตุลาด้วยความรวดเร็วจนคอแทบเคล็ดเมื่อตุลาพูดจบ ผมทำอะไรแบบนั้นไปด้วยเหรอ

"ระ เรา เราทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ"

"เออดิ พี่ภูแบกมึงขึ้นหลังตั้งเเต่ร้านเหล้ายันขึ้นมาบนห้อง มึงเกาะพี่เขาอย่างกับลูกลิงเลย แถมพูดอะไรก็ไม้รู้งุ้งงิ้งๆใส่หูพี่เขาตลอดทาง"

"อ่ะ อ่ะ ซีด ไอ้สัสซีด เลิกลั่ก เลิกลั่กไปหมด ทีเมื่อคืนกูเห็นกล้าหาญชาญชัยชิบหาย" ขนมพูดขึ้น

"เออ ยังใจกล้าร้องเพลงสบตาผู้ชายอยู่เลยเมื่อคืน" ตุลามองผมด้วยสายตาล้อเลียน

ปรี๊ดดดด! และนี่คือเสียงของความร้อนที่วิ่งไปรวมตัวที่บริเวณใบหน้าจนหน้าแดงก่ำและกลายเป็นไอน้ำทะลุออกหัวครับ ผมว่าจะไม่พูดถึงมันแล้วแท้ๆไอ้เหตุการณ์คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรเเบบนั้น อุตส่าห์ปล่อยผ่านไปตลอดตั้งแต่ตื่นนอนมา ขนมจะมารื้อฟื้นทำไม

"เพราะขนมนั้นแหละ ยุให้เรากินเหล้าอยู่ได้" ผมยกมือปิดหน้าตัวเอง

"เอ้านี่กูผิดเหรอ?" ขนมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ส่วนผมพยักหน้ารัวๆให้กับคำถามของขนม

"ไอ้สี แล้วมึงจำเหตุการณ์หลังจากนั้นได้ป้ะ" ตุลาถามขึ้น

"เราจำได้แค่ว่าพอร้องเพลงเสร็จเราก็หิวน้ำมากๆ เลยเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมากระดกดื่มรวดเดียวหมดแก้วเลย แต่น้ำรสชาติไม่อร่อยเลย หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย" ผมบอกเพื่อนๆ "เราไปทำอะไรน่าเกลียดๆไว้เหรอ"

"หึ" "หึ" ทั้งตุลาเเละขนมส่งเสียงหึในลำคอออกมาพร้อมกัน ทำให้ผมรู้สึกคอแห้งผาด คล้ายๆว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะสร้างความลำบากในภายภาคหน้าให้ผมแน่ๆ

"ระ เราไปทำอะไรไว้เหรอ" ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ และหวั่นๆในใน

"มึงอ้อนพี่ภู"

ผมเผลอทำตาโตเมื่อได้ยินสิ่งที่ขนมพูด ผมหันหน้าไปหาตุลาเพื่อจะถามย้ำว่ามันคือเรื่องจริงใช่ไหม ตุลาพยักหน้ากลับมาให้ผม

"มึงหยิบแก้วเหล้าผิด ไปหยิบของพี่วา พอโดนแก้วนั้นไป มึงก็เข้าโหมดเมาจริงจัง แต่ดันเสือกจำหน้าพี่ภูได้ชัดเจน สัส กูยอมมึงจริงๆเรื่องนี้"

"...................."

"แต่มึงเมาก็ดีเหมือนกันนะสี ความกล้าพุ่งเข้าใส่มึงเกินล้านมาก วอแวพี่ภูทุกวินาที พี่ภูก็ใจเย๊นใจเย็น เป็นกูนะมาเที่ยวแง๊วๆแบบนั้น กูตบหน้าทิ่มพื้นจริงๆ" ตุลาว่าขึ้น

"ทำแง๊วๆคือ?" ผมถามขึ้นเพราะไม่เข้าใจว่าตัวเองไปทำอะไรไว้

"ก็แง๊วๆอะมึง"

"แล้วมันคืออะไรล่ะ"

"ก็คือแง๊วๆไง"

"แล้ว......."

"พอ หยุด! แง๊วๆกันทั้งวันก็ไม่จบหรอกพวกมึง" ขนมพุดขึ้น "ก็มึงทั้งดื้อดึง ดึงดัน พี่ภูบอกอย่ากิน มึงก็แย่งแก้ว พอไม่ได้ดั่งใจก็งอน" 

ผมพูดได้อย่างเดียวเลยครับว่าตอนนี้ถ้าใครมาเห็นหน้าผมคงคิดว่าผมเป็นผีดิบแน่ เพราะหน้าผมตอนนี้คงซีดยิ่งกว่าเเดร็กคูล่าไม่ได้ดื่มเลือดมาสิบวันแน่ๆ

"แล้วพอโดนดุหน่อยนะ หันไปอ้อนพี่เขาเฉย พี่ผาอย่างนั้น เราอย่างนี้ แถมมีไปจับมือถือแขนพี่เขาด้วยนะ "

"ละ แล้วพี่ภูผาพูดอะไรบ้างไหม"

"หึ รายนั้นนะ นั่งยิ้มอย่างเดียว กูก็ไม่เข้าใจนั่งยิ้มทำไม นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนกูคิกว่าพี่แกเมากัญชาไม่ใช่เหล้า" ขนมบอก ปากก็เคี้ยวข้าวไปด้วย ไม่มีมารยาทเลยบอกกี่รอบไม่เคยจำเลย

"กูนะอย่างลุ้นมึงเลยสี ว่ามึงจะหลุดบอกชอบพี่ภูไหม" ตุลาเอ่ยขึ้นมา ขนมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตุลา

"แม่ง! เสือกไม่หลุด ทำทุกอย่าง ยกเว้นบอกชอบ" ตุลาว่าพลางเอื้อมมือไปตักน้ำต้มยำมาซด

ผมถอนหายใจแรงๆให้กับสิ่งที่ตัวเองทำไปคิดว่าเรื่องราวในร้านเหล้าจบลงแล้ว แต่ขนมก็เอ่ยขึ้นมาต่อ

"แล้วมึงรู้ไหมสี อะไรที่ประทับใจกูที่สุด" ผมส่ายหน้าให้ขนม

"มึงอยากกลับห้องไปนอน แต่พวกกูขออยู่ต่ออีกหน่อย พี่ภูจะพามึงกลับ แต่กูบอกรอพาพวกกูกลับด้วยอีกแค่แป็บเดียวขอแค่เหล้าหมดเพราะเหลือนิดเดียวแล้ว พี่ภูก็ตกลง แต่มึงงอเเงบอกว่าง่วงมากๆ กูเลยบอกมึงว่าหานอนแถวๆนี้ไปก่อน มึงก็พยักหน้ารับ แต่ที่กูบอกว่าให้หานอนแถวๆนั้นคือกูหมายถึงนอนๆไถๆ ไหลไปกับโต๊ะ เลื้อยไปกับโซฟา แต่มึงมันแน่ แน่มาตั้งแต่เหล้าเข้าปาก" ผมลุ้นกับคำบอกเล่าเรื่องราวของขนมมาก มือที่ถือช้อนอยู่ก็ชะงักค้างไว้กลางอากาศ ตุลานั่งยิ้มกรุ่มกริ่มซดน้ำต้มยำอย่างสบายใจ

"มุงเล่นไหลกายเอนตัวไปซบพี่ภูเลยครับ แถมยังเอาหน้าไปซุกคอเขาด้วยนะ กูนี่ยืนขึ้นปรบมือให้เลยครับ" ขนมวางช้อนลงเเละปรบมือให้ผม

"แล้วทำไมขนมกับตุลา ถึงไม่ห้าม ไม่แยกเรา ออกจากพี่ภู"

"ก็กูอยากให้เพื่อนมีความสุข ไม่อยากขัดขวางไง"

"มัวแต่ห่วงแดกเหล้าก็บอกมันไปหนม อย่ากั๊ก"

"เออ แต่เพราะคนนั้นเป็นพี่ภูไงกูเลยไว้ใจว่าเขาไม่ทำอะไรมึงหรอก อีกอย่างเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้มีกันบ่อยๆ กูก็เลยไม่ลืมที่จะมอบสิ่งนี้ให้มึงเป็นของขวัญ" ขนมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างตัวเอง ก่อนจะกดเลื่อนๆเหมือนหาอะไรสักอย่าง พอเจอสิ่งที่หาก็ส่งยิ้มกว้างมาทางผม พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้

ทันทีที่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ก็พาลให้ผมตาโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า นั่นมันผมกับพี่ภูผา ผมที่กำลังนอนซบอกพี่ภูผา มือของพี่ภูผาที่กำลังโอบผมไว้ และสีหน้าที่มีรอยยิ้มแต้มอยู่นิดหน่อย ตอนนี้ผมควรรู้สึกอย่างไหนเป็นอย่างแรกดีครับเนีย

"หนม"

"ว่า"

"รูปอะ ขอนะ นะ ส่งรูปมาให้เราหน่อยนะ นน้าา" ผมเอื้อมมือไปจับแขนขนมเขย่าแรงๆ และใช่ครับ นี่คือสิ่งเเรกที่ผมรู้สึกตอนเห็นรูปนี้ ยิ่งกว่าเขินก็อยากได้รูปเก็บไว้นี่แหละครับ อย่างที่ขนมบอกเลยว่าเหตุการณ์แบบนี้ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

"เออๆๆๆ เลิกเขย่า กูจะอ้วก" ผมปล่อยมืออกจากแขนของขนม ขนมหยิบโทรศัพท์ตัวเองคืนไป

ตึ๊ง! ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีที่ได้ยินเสียงข้อความ ผมกดเซฟรูปด้วยความรวดเร็ว นั่งยิ้มให้กับรูปที่อยู่ในจอโทรศัพท์

"มึงกับกูกินข้าวกันเหอะหนม สีคงอิ่มแล้ว" ตุลาว่าขึ้น  แต่ก็อาจจะจริงอย่างที่ตุลาว่า การกินข้าวหกคำของผมในวันนี้ทำให้ผมอิ่มยิ่งกว่ากินข้าวสองจานอีก

แต่ทั้งนี่ทั้งนั้นผมก็ยังรู้สึกผิดที่สร้างความเดือดร้อนให้พวกพี่ๆอยู่ดี โดยเฉพาะพี่ภูผา ผมหวังว่าพี่ภูผาจะไม่โกรธผม จนไม่ยอมคุยกับผม หรือหนีหน้าผมไปหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมต้องเศร้าใจและเสียใจมากๆแน่ ไว้วันจันทร์ค่อยไปขอโทษพวกพี่ภูผาดีกว่า เมื่อคิดว่าจะไปขอโทษพี่ภูผาในวันจันทร์ สมองผมก็มีไอเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผมดันเก้าอี้ออกอย่างแรง ดีดตัวเองออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนเก้าอี้เกือบจะล้มไปกองกับพื้น ก่อนตั้งท่าจะเดินออกจากบริเวณโต๊ะกินข้าว

"เดี๋ยว" ขนมเอื้อมมือมาจับผมไว้ "จะไปไหนของมึง"

"ไปซื้อของ"

"ซื้ออะไรอีกวะ" ตุลาถามขึ้นด้วยสีหน้างงๆ

"เราจะไปซื้อส่วนผสมของขนม"

"ขนม?"

"ใช่ ขนมฝอยทองกับเม็ดขนุน เราจะทำให้พี่ภูผาเป็นการขอโทษ"

"แต่ที่กูจำได้พี่ภูผาไม่ค่อยชอบกินของหวาน" ผมนิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่ขนมพูด จริงๆด้วยผมลืมไปซะสนิทเลย แต่พี่ภูผาแค่ไม่ค่อยชอบกิน ก็แสดงว่ากินได้ ถ้าได้ลองชิมฝีมือผมพี่ภูผาต้องติดใจแน่ๆ

"งั้นเราจะทำสูตรหวานน้อย"

"มึงจะทำยังไง โรยฝอยทองในน้ำเปล่างี้เหรอ หรือผสมถั่วทองบดกับน้ำตาลหญ้าหวาน ถ้าจะทำแบบหวานน้อยจะเกิดมาเป็นขนมหวานทำไมวะ" ขนมว่าขึ้น

"กูคาดไม่ถึงจริงๆสี ว่ามึงจะทำขนมไทยไปขอโทษ พี่ภูคงตกใจอ่ะกูว่า"

"ล้มเลิกความคิดนั้นซะ กูว่าพี่ภูไม่กินหรอก"

"หึ! ก็ไม่แน่"

"มึงหมายความว่าไง" ขนมหันหน้าไปถามตุลา

"เปล๊า ไม่มีไร แดกๆ กับข้าวเย็นหมดละ"

"แต่เราอยากขอโทษพี่เขาที่ทำให้ลำบาก ถ้าไม่ได้ขอโทษเราจะรู้สึกไม่ดี เหมือนมีเรื่องค้างคาใจตลอดเวลา"

"เออ จะขอโทษอะไรค่อยว่ากัน แดกข้าวก่อนไหมตอนนี้"

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ขนม กระเเทกตัวเองลงบนเก้าอี้ นั่งกินข้าวต่อ ในใจก็คิดไปเรื่อยว่าจะทำอะไรไปให้พี่ภูผาเพื่อเป็นการขอโทษที่สร้างความลำบากให้พี่เขาดี



หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ตุลากับขนมก็ขอนอนต่อที่ห้องผมอีกสักพักจนตกเย็น พวกเราไปหาอะไรกินด้วยกันในมื้อเย็น ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปห้องใครห้องมัน ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนเตียง เตรียมตัวพร้อมนอนเต็มที ผมนอนเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ อยู่ๆสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นกับผม แชทของคนที่ผมกดเข้าไปทุกวันแต่ไม่เคยกล้าที่จะส่งข้อความไปหาเด้งเข้ามา 'พี่ภูผา'

PP : เป็นไงบ้าง หายเมาหรือยังครับ

ผมกดอ่านข้อความที่พี่ภูผาส่งมา

สีเทียนครับ : หายแล้วครับ

ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว และอีกฝ่ายก็เหมือนจะกดอ่านอย่างรวดเร็วเหมือนกัน เพราะพอผมส่งไปปุ๊บก็ขึ้นว่า 'อ่านเเล้ว' ปั๊บ

PP : ดีแล้ว ตื่นมาปวดหัวหรือเปล่า

PP : แล้วเราทำอะไรอยู่ พี่ทักมากวนหรือเปล่า

สีเทียนครับ :ตอนตื่นปวดครับ

                   แต่ตอนนี้หายเเล้ว

                   ไม่รบกวนเลยครับ

                                 ผมนอนเล่นเฉยๆไม่ได้ทำอะไรครับ

PP : แล้วเราจะนอนหรือยัง

สีเทียน : คิดว่าอีกสักแป็บครับ

พี่ภูผาครับ

PP : ครับ

สีเทียน : คือเรื่องเมื่อคืนขอโทษนะครับ

                            ผมคงสร้างความเดือดร้อนให้พี่ภูผาเยอะเลย

ผมรวบรวมความกล้าที่มีพิมพ์ลงไป

PP : ไม่เป็นไรครับ

       แต่วันหน้าถ้าจะไปเมาที่ไหน ต้องมีพี่ไปด้วยนะครับ

สีเทียน : ครับ?

PP : ถ้าครั้งไหนที่มีนัดร้านเหล้าอีกเเล้วพี่ไม่ได้ไปด้วย  เราห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาดเข้าใจไหมครับ

ผมงงนิดหน่อยกับสิ่งที่พี่ภูผาพูดออกมา สงสัยผมคงป่วนน่าดู พี่ภูผาคงกลัวผมไปป่วนคนอื่นจนโดนเขาด่าละมั้ง

สีเทียน : *ส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายโอเค*

                   แล้วก็ขอบคุณมากนะครับที่มาส่งผม

อีกฝ่ายส่งมาเพียงแค่สติ๊กเกอร์ยิ้มกว้างมาให้

ผมคุยกับพี่ภูผาต่ออีกสองสามประโยค ก่อนจะขอตัวไปนอนเพราะรู้สึกง่วงเกินจะฝืนเเล้ว

PP : ฝันดีนะครับ

สีเทียน : ฝันดีเช่นกันครับ




****** มีต่อด้านล่างนะคะ ****




















หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่2 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 31-01-2021 20:12:37
ต่อ ตอนที่ 2


เช้าวันจันทร์ที่แสนสดใสก็มาถึง น้องสีเทียนกับปิ่นโตสี่ชั้นมาละจ้าาาาาาาาา  ผมวางปิ่นโตไว้ตรงกลางโต๊ะทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะที่มีตุลากับขนมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

"อะไรของมึง คิดไงห่อข้าวมากินเองวันนี้" ขนมเป็นคนแรกที่ทักขึ้น

"ไม่ทำมาเผื่อกูบ้างวะสี เบื่อๆกับข้าวที่โรงอาหารเเล้วเหมือนกัน" ตุลาพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหมุนๆปิ่นโต

ผมใช้มือตีลงบนหลังมือตุลาแรงๆหนึ่งที เมื่อเห็นตุลามาซุกซนวุ่นวายกับปิ่นโตน้อยๆของผม

"เราไม่ได้เอามากินเอง"

"อ้าว แล้วมึงเอามาให้ใครวะสี"  ขนมถามขึ้น

"พี่ภูผา"

"พี่ภู?"

"ช่ายยยยยยย เราเอามาให้พี่ภูผาเพื่อเป็นการขอโทษพี่เขา" ผมยืนกอดอก ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในความคิดของตัวเอง

"ไม่เล่นใหญ่ไปใช่ไหม มาสี่ชั้นเลย"

"ไม่เลยหนม สี่ชั้นแค่เบาๆ ใจจริงอยากทำมาสักหกชั้นแต่กลัวจะเยอะเกินไป"



ผมตื่นมาตั้งแต่ตีสี่เพื่อที่จะทำอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อเป็นการขอบคุณและขอโทษพี่ภูผา โดยชั้นล่างสุดเป็นข้าวสวยหอมๆอร่อยๆ ชั้นที่สองเป็นผัดหอยลายกับใบโหระพา ชั้นที่สามเป็นไข่เจียวฟูฟ่องหอมกรุ่น ส่วนชั้นบนสุดตบท้ายด้วยผลไม้ แล้วก็ตู้ม กลายเป็นปิ่นโตสีพาสเทลสี่ชั้นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในตอนนี้



"ยังดีที่มีความกลัวอยู่ในความคิดบ้าง"

"ใครก็ได้ ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยดิ" ผมพูดขึ้น

"ไปไหนวะสี" เป็นตุลาที่เงยหน้ามาคุยกับผม

ผมเอื้อมมือไปยกปิ่นโตชูขึ้นสูงๆ

"พาน้องปิ่นโต ไปให้เจ้าของ" ผมส่งยิ้มแฉ่งให้กับตุลา

"กูไม่ว่าง" ขนมปฎิเสธอย่างรวดเร็ว   

"ตุลาาาาาา" ผมเรียกตุลาด้วยเสียงที่ออดอ้อนเต็มที่

"ถ้าจะเรียกเสียงหวานขนาดนี้ กุคงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธสินะ"ผมส่งยิ้มกว้างให้กับตุลา "ไป เร็วๆเลย จะกลับมาทำการบ้านต่อ" ตุลาลุกจากเก้าอี้เดินนำผมออกไป เห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งตามไปให้ทันตุลา

"พี่ตุลา พี่เทียน หวัดดีครับ" ยังไม่ทันที่ผมจะเดินพ้นบริเวณโต๊ะก็เจอกับกลุ่มรุ่นน้องเอ่ยทักขึ้น

"เออๆหวัดดี" ตุลาพุดขึ้น ส่วนผมทำเพียงยืนกอดปิ่นโตส่งยิ้มกลับไป

"จะไปไหนกันเหรอครับ" เมฆ น้องรหัสของตุลาถามขึ้น

"พาหมาไปหาเจ้าของ"

"หือ" เมฆทำหน้างงๆ

"ช่างเหอะ มาทำไมมึงอ่ะ"

"เอ้า มาหาพี่ผิดด้วยเหรอ คิดถึงไง"

"คิดถึงกู หรือคิดถึงใคร เมื่อวันศุกร์ชวนไปก็ไม่ยอมเสนอหน้าไป"

"ก็ผมไม่ว่าง" เมฆตอบตุลา ก่อนจะหันหน้ามาทางผม "พี่เทียนจะเอาปิ่นโตไปไหนเหรอครับ"

"คือ พี่....."

"เสือกจริงมึง เสียเวลาจริงคุยกับมึง กูมีธุระไปละ ไว้เจอกัน" ยังไม่ทันที่ผมได้ตอบน้องเมฆ ตุลาก็เป็นคนแย่งพูดซะเสร็จสรรพ

"พี่ไปก่อนนะเมฆ" ผมส่งยิ้มโบกมือบ๊ายบายให้น้องๆคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้วย

"ครับ"



ผมกับตุลาเดินมาถึงโรงอาหารที่ตึกคณะ จากที่ให้ตุลาโทรฯถามพี่ธูป ได้ใจความว่าพวกพี่ๆกำลังจะมาหาข้าวเช้ากินกันทีนี้

"เดี๋ยวๆๆ" ผมยืนมือไปดึงเสื้อตุลาไว้

"อะไรอีกครับคุณสี"

"เราขอ ขอทำใจแป็บนึง"

"ทีเมื่อกี้ละใจกล้าดังราชสีห์จะมาให้ได้ พอตอนนี้ละหงอเหมือนหมาโดนน้ำสาดใส่" ตุลาหันมาด่าผม ก่อนจะยื่นมือมาจับเเขนผมลากให้ตามเข้าไปในโรงอาหาร หันซ้ายหันขวาสองสามทีก็เจอพวกพี่ภูผาที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ ตุลาลากผมเดินตรงไปยังโต๊ะของรุ่นพี่ทันที

"หวัดดีพี่" ตุลาทักทายพวกพี่ๆ ส่วนผมได้เเต่ยืนกอดปิ่นโตอยู่นิ่งๆ ความประหม่าเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง เมื่อเจอหน้าพี่ภูผาจังๆ

"เออๆ หวัดดี มาทำไรวะ หาข้าวกินเหรอ มาดินั่งด้วยกัน" พี่ธูปถามขึ้น

"เปล่าพี่ พาไอ้สีมาส่งข้าว"

"หือ ส่งข้าวอะไรเหรอ" พี่วาที่ก้มหน้ากินก่วยเตี๋ยวอยู่เงยหน้าขึ้นมาถาม  ตุลาเพยิดหน้ามาทางปิ่นโตที่ผมยืนกอดอยู่

ตุลาเอื้อมมือมาดึงผมให้ออกมาจากการหลอยู่ด้านตัวเอง

"เอ้า ให้เร็วๆ ต้องรีบกลับไปทำการบ้านอีก"

"คือ คือ เอ่อคือ"

"คืออะไรของมึงเยอะเเยะเนียสี"

"คือว่า นี่ครับ!" ผมยื่นปิ่นโตไปตรงหน้าพี่ภูผา

"หือ ให้พี่เหรอคับ" พี่ภูผายื่นมือมารับปิ่นโตที่ผมยื่นไปให้

"ชะ ใช่ครับ" ผมพยักหน้ารัว"  "คือผมทำปิ่นโตมาให้พี่ภูผาเพื่อเป็นการขอโทษและขอบคุณพี่ภูผาสำหรับเรื่องเมื่อคืนวันศุกร์นะครับ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณมากๆนะครับ" ผมพูดด้วยความด้วยเร็วเหมือนกลัวจะมีคนมาแย่ง พี่ภูผายิ้มน้อยๆกลับมาให้ผม

"ขอบคุณครับ"

"มีแต่ของไอ้ภูเหรอน้องเทียน ของพี่ธูปไม่มีเหรอครับ"  ผมยืนหน้าถอดสีเมื่อพี่ธูปพูดจบ จริงด้วยพวกพี่ๆก็อยู่ในคืนนั้นด้วยนี่น่า ผมอาจจะรบกวนพวกพี่ๆด้วยเหมือนกัน แต่ใจผมดันนึกถึงแต่ภูผาคนเดียวซะอย่างนั้น ผมก้มหน้าลงนิดหน่อยเพราะรู้สึกผิด

พลัก! เสียงพี่วาที่ยกมือขึ้นตบหัวพี่ธูปหนึ่งที

"มึงทำอะไรบ้างคืนนั้น แม่ง! เมาจนจำทางกลับบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ" พี่วาว่าขึ้น "เทียนอย่าไปสนใจมันเลย เลิกทำหน้าเศร้าได้เเล้ว มันก็มีแค่ไอ้ภูคนเดียวนั้นแหละที่ดูแลเราคืนนั้น"

"ใช่ๆๆ พี่แซวเล่นเฉยๆ อย่าทำหน้าเศร้าสิครับ เดี๋ยวพี่จะโดนคนเเถวนี้ถีบเอา ยิ้มครับยิ้ม" พี่ธูปพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้ทั้งสองข้าง ยกมือมุมของตัวเองขึ้นให้เหมือนยิ้มกว้างๆ ผมเห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมา

"ว่าแต่มึงไม่กินข้าวเช้าไม่ใช่เหรอวะ ปกติเห็นแดกแต่กาแฟดำหนิ" พี่ธูปหันไปถามพี่ภู "ให้กูกินแทนไหม" ผมมองตามที่พี่ธูปพูดจริงๆด้วน พี่ภูผามีเเค่กาแฟเเก้วเดียวตรงหน้า ต่างจากพี่ธูปที่มีผัดกระเพรา พี่วามีถ้วยก๋วยเตี๋ยว

"เสือก" พี่ภูผาตอบกลับ "ปกติไม่กิน แต่วันนี้อยากไม่ปกติ"

"เออ กูก็ลืมไป โทษทีๆ"

ผมยืนมองพี่ภูผาที่ค่อยๆแกะปิ่นโตสี่ชั้นของผมออกมา

"โหย อย่างน่ากินอะ" พี่วาพูดขึ้น

"สารอาหารครบ จบในปิ่นโตเดียว" พี่ธูปชะโงกหน้ามาดูอาหารในปิ่นโต

"ขอชิมหน่อยดิ" พี่วาเอื้อมมือที่จับช้อนอยู่มุ่งตรงไปยังชั้นผัดหอยลาย แต่โดนพี่ภูเบี่ยงหลบ

"นี่มันของกู"

"สัส แค่ของกินยังหวง"

พี่ภูผาจัดเเจงวางชั้นปิ่นโตให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะจัดการตักผัดหอยลายใบโหระพามาราดบนข้าวตามด้วยไข่เจียว ยกเข้าปากเคี้ยวค่อยๆเหมือนค่อยๆชิมรสชาติ แค่กินข้าวยังดูดี บ้าไปเลย!

"อร่อยมากๆ"

ผมยิ้มจนปากเเทบจะฉีกถึงท้ายทอยเมื่อได้ยินคำว่าอร่อยจากปากพี่ภูผา ปกติเวลาที่ใครๆ ได้ชิมรสชาติอาหารฝีมือผม ก็มักจะชมผมเป็นประจำว่า อาหารที่ผมทำนั้นอร่อย ผมก็ทำเพียงแค่ยิ้มรับและเอ่ยขอบคุณ ตอนคนอื่นชมมันก็ดีใจแต่อารณ์เหมือนดีใจแค่ขั้นปกติ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันแปลกไป อาจจะเป็นเพราะครั้งนี้คนที่พูดเป็นพี่ภูผา ความดีใจที่พี่เขาชอบ ความปรื้มปริ่มที่พี่เขาชม ทำให้ผมสุขใจของผมนั้นพุ่งทะยานไปถึงขั้นสุด ชนิดที่ว่าอยากจะทำปิ่นโตมาให้พี่เขาทานทุกวันเลยล่ะครับ



"ส่งถึงมือแล้วมึงกับกูก็กลับได้แล้วไหม หรือต้องรอป้อนพี่เขาด้วย การบ้านกูยังไม่เสร็จเลย" ตุลาหันมาพูดกับผม

"แต่ปิ่นโตเรา" ผมชี้ไปที่ปิ่นโต

"เดี๋ยวพี่เอาไปคืนให้ตอนเย็นเองครับ เรากลับไปก่อนได้เลย แล้วก็ขอบคุณสำหรับอาหารเช้าที่อร่อยนะครับ" พี่ภูผาหันหน้าส่งยิ้มมาให้ผม

อาการเขินหน้าแดงเข้ามาแทรกแซงผมทันทีที่ผมได้รับรอยยิ้มพี่ภูผากลับมา 

"ครับ ทานให้อร่อยนะครับ"




<<<< TBC >>>>
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 31-01-2021 21:23:04
น้องเมฆมาจีบแน่ ๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 3) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 01-02-2021 10:19:50
ตอนที่ 3 ความสุขไม่เล็กของคนแอบชอบ


ตั้งแต่ภารกิจส่งปิ่นโตในตอนเช้าประสบความสำเร็จ ผมก็ไม่สามารถที่จะห้ามให้ตัวเองหยุดยิ้มได้เลย

"ไอ้สี มึงจะไม่หยุดยิ้มจริงๆใช่ไหม" ขนมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปลงตก

หลังจากเรียนวิชาในคาบบ่ายเสร็จ พวกผมก็มานั่งกันอยู่บริเวณโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าคณะ

"ก็เรามีความสุข แบบมีความสุขมากๆ มากจนไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลยจริงๆนะขนม"

"กูละเชื่อมึงเลยจริงๆสี" ขนมเอื้อมมือมาผลักหัวผม "ขนาดโดนอาจารย์ด่า ยังตอบแค่ 'ครับ' แล้วส่งยิ้มกลับหน้าตาเฉย ปกติต้องทำหน้าหงอยเป็นหมาแล้ว พลานุภาพของความรัก แม่ง! ช่างน่ากลัวจริงๆ ฮึ๋ย!" ขนมลูบแขนตัวเองและส่ายหัวไปมา

"ปล่อยมันไปเหอะหนม ตั้งแต่แอบชอบพี่เขามา ครั้งนี้ถือว่าเป็นพัฒนาการแรกเลยก็ว่าได้มั้ง " ตุลาว่าขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับตุลา

"แค่ได้ให้ปิ่นโตพี่เขา มันทำให้มึงมีความสุขขนาดนั้นเลย?"

ผมส่งยิ้มกว้าง ยกนิ้วโป้งซ้ายขวา พร้อมกับยักคิ้วหงึกๆให้กับขนม

ที่ตุลาว่ามามันไม่ผิดเลยครับ ตั้งแต่มีสถานะเป็นคนแอบชอบ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่มีพัฒนาการที่สุดเลยก็ว่าได้ 

หลายต่อหลายครั้งที่พวกเราได้มีโอกาสไปร้านเหล้าด้วยกัน ผมมักเลือกที่จะนั่งห่างหรือนั่งคนละโต๊ะกับพี่ภูผาตลอด ถ้าต้องดื่มของมึนเมาก็จะดื่มเพียงนิดหน่อย พยายามคุมสติตัวเองให้ดีที่สุดไม่ให้เผลอไปทำอะไรแปลกๆใส่พี่เขา แต่ครั้งนี้มันเหมือนกับว่าความชอบที่มันวิ่งเล่นอยู่ภายในหัวใจของผมคงจะอึดอัดมากพอตัว หัวใจจึงชนะสมองไปในที่สุด บวกกับคำพูดของขนมที่บอกว่าพี่ภูจะหนีไปมีแฟน มันยิ่งเหมือนเป็นการเติมเชื้อเพลิงลงไปในหัวใจของผมให้ลุกโชติช่วงเกินกว่าที่จะดับได้ง่ายๆ ถึงเเม้ว่าบางอย่าง บางเหตุการณ์ บางการกระทำ บางคำพูด ผมจะจดจำมันไม่ได้ ได้แค่ฟังผ่านการบอกเล่าของคนอื่นก็ไม่เป็นไร แค่ผมจำได้ว่าคืนนั้นผมกล้าที่จะสบตากับพี่ภูผาโดยไม่หลบซ่อนแม้แต่น้อย ส่งความรู้สึกผ่านบทเพลงที่ผมร้องไปให้พี่ภูผา ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่กล้าที่จะทำเเบบนี้ และถ้าผมไม่เมาเหตุการณ์นี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น ขอบคุณความรู้สึกที่อึดอัดอยู่ภายใน ถ้าวันนั้นมันไม่อึดอัดจนระเบิด สิ่งที่ดีคงไม่เกิดขึ้น ขอบคุณคำพูดของขนมที่มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าควรทำอะไรสักนิดหน่อยก็ยังดี ขอบคุณอะไรก็แล้วเเต่ที่ช่วยให้เรื่องราวดีๆเกิดขึ้น ผมรู้สึกขอบคุณมากจริง และที่ขาดไม่ได้เลยคือผมขอบคุณตัวเองมากๆที่ยอมทำตามหัวใจ ถึงเเม้ตอนหลังจะรู้สึกอายกับสิ่งที่กระทำ รู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นลำบาก แต่ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังเลือกที่จะทำแบบนี้อยู่ครับ ก็โอกาสมันไม่ได้มีมาบ่อยๆนี่ครับ เเม้โอกาสจะมีแค่นิดเดียว แต่ถ้ามันทำให้ผมขยับเข้าใกล้พี่ภูผาได้ ผมก็เลือกที่จะคว้าโดยไม่ลังเลเลยครับ

การมาของปิ่นโตสี่ชั้นก็เช่นกัน ผมเคยคิดอยากจะซื้อขนม นม เนย หรือเเม้เเต่การทำอาหารให้พี่ภูผาได้ลองชิมฝีมือ แต่ก็ต้องพับเก็บโครงการทุกครั้งเพราะอยู่ๆจะไปยื่นให้พี่ภูผามันก็ดูแปลกๆไปซะหน่อย ผมเคยทำอาหารหลายครั้งมากตั้งใจว่าจะแอบเอาไปวางให้พี่ภูผา ตอนทำก็คึกครับคิดสารพัดเมนู พอถึงเวลาจะเเอบเอาไปให้ ใจมันดันไม่สู้ สุดท้ายอาหารที่ทำมาก็ตกเป็นของขนมกับตุลาทุกครั้ง บางครั้งผมเจอขนมอร่อยๆก็อยากที่จะซื้อไปฝากพี่ภูผา แต่ก็ต้องทำเนียนซื้อไปทั้งเเถวทำเหมือนกับว่าซื้อมาฝากทุกๆคน ทั้งที่ในใจอยากฝากเเค่พี่ภูผาคนเดียว ของอร่อยๆเราก็อยากแบ่งปันให้คนที่เราชอบได้ลองชิมมันก็ไม่แปลกใช่ไหมละครับ พอซื้อรวมๆอยู่ในถุงเดียวกัน ก็มักจะโดนพี่ธูปมือไวแย่งของอร่อยๆไปตลอดเลย แต่ครั้งนี้มันมีเหตุผลที่ทำให้ผมสามารถทำอาหารไปให้พี่ภูผาได้โดยที่มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คนรับรู้สึกแปลกใจ ผมก็ไม่รอช้ารีบคว้าโอกาสนั้นไว้ในมือทันที เพราะโอกาสแบบนี้ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะมีอีกครั้ง

พัฒนาการครั้งนี้ของผมถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆเลย มันคือความสุข ความปลื้มใจ การที่เราได้ทำอะไรให้คนที่ชอบ เเล้วเขาชอบสิ่งนั้น มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆเลยละครับ แล้วแบบนี้จะให้ผมหยุดยิ้มได้ยังไงกันครับ



"พี่ภูจะมาตอนไหนวะสี" ขนมถามขึ้น

เนื่องจากตอนที่กลับมาขนมถามถึงปิ่นโตว่าไม่ได้เอากลับมาด้วยเหรอ ผมจึงบอกไปว่าเดี๋ยวพี่ภูผาจะเอามาคืนให้ตอนเย็น

"พี่ภูผาไลน์มาบอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง"

"อ๋อ"ขนมพยักหน้ารับรู้ "ว่าแต่เดี๋ยวนี้ธรรมดาที่ไหน มีคุยลงคุยไลน์กันด้วย กิ้วๆ" ขนมยื่นมือมาเกาคางผม

"ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย" ผมเบี่ยงหน้าหลบมือของขนม

"เออ ไม่เห็นแปลกเลย มึงอ่ะไปแซวเพื่อนไอ้หนม" ตุลาว่าขึ้น "แค่ปกติเวลาคุยก็จะคุยกันแค่เรื่องงานในคณะ และคุยกันแค่ในไลน์กลุ่มเท่านั้นนะ ส่วนครั้งนี้เขาก็แค่คุยกันในไลน์ส่วนตัวสองต่อสองเอง แปลกตรงไหน ไม่แปลกเล๊ย"

ผมที่ตอนเเรกยิ้มดีใจที่ตุลาเข้าข้าง ก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินสิ่งที่ตุลาพูดจนจบ

"ก็ ก็มัน"

"ก็มันอะไรค้าบบบบ"  ขนมว่าขึ้น

"ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไปคุยส่วนรวมน่าเกลียดแย่เลย" ผมพยายามหาเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้มาต่อสู้กับทั้งสองคน แต่เหมือนผมจะคิดผิดที่ยกเหตุผลข้อนี้มาอ้าง

"อุ๊ต๊ะ!"ขนมยกมือขึ้นทาบอก "เดี๋ยวนี้มีเรื่องส่วนตงส่วนตัว ส่วนเราสองคน คนอื่นอย่าเสือกด้วย"

"มึงต้องเข้าใจเพื่อนนะหนม"ตุลายกยิ้มมุมปากน้อยๆ"ตั้งแต่เหตุการณ์ร้านเหล้าเพื่อนเราก็เปลี่ยนไป"

"หยุดเลยทั้งสองคน! ไปกันใหญ่แล้ว"  ผมยกมือห้ามเพื่อนทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่



"แต่กูดีใจนะสี" ขนมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "วันนั้นมึงดูมีความสุขมากนะ วันนี้ก็ด้วย"

ผมส่งยิ้มให้กับขนม "อื้อออออ เรามีความสุขมากๆเลยละ"

"จากเด็กน้อยที่คอยแต่แอบมอง แอบชอบเขา วันนี้ได้ขยับก้าวไปข้างหน้าแล้วนะมึง แม้จะก้าวเล็กๆก็เถอะ" ตุลาเอื้อมมือมาขยี้หัวผม

ผมรู้ดีว่าเพื่อนผมทั้งสองคนเป็นห่วงผมมากๆ อยากเห็นผมมีความสุข อยากเห็นผมสมหวังกับคนที่ตัวเองชอบ เวลาที่ผมได้ยินข่าวว่าพี่ภูผาเป็นแฟนคนนั้นคนนี้ ผมจะเจ็บจี๊ดๆตรงหัวใจทุกครั้ง ไม่สามารถปิดบังความเศร้าได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินว่าคนที่ชอบจะมีแฟนหรือชอบพอกับใครสักใคร ผมรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของเขา ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไร ผมขอแค่สิทธิ์เล็กๆให้ผมได้เสียใจในฐานะคนแอบชอบในมุมของตัวเองเท่านั้นก็พอครับ  ทุกครั้งที่ผมรู้สึกเศร้าก็ได้ทั้งสองคนที่คอยเคียงข้างและปลอบใจ บางครั้งก็ช่วยไปสืบข่าวจากพี่ธูป พี่วาให้ คอยปลอบ คอยให้กำลังใจ ผมโชคดีมากๆที่มีขนมกับตุลาอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดี เข้าใจ ยอมรับ เคารพในเรื่องความชอบส่วนตัวของผม คนที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เริ่มต้นและเห็นความสัมพันธ์ที่แทบจะไม่ขยับไปไหนของผมจนทั้งสองคนหมดหวังแทนผมไปแล้ว แต่เมื่อมีการก้าวไปข้างหน้าเกิดขึ้น เพื่อนๆคงดีใจกับผมมากจริงๆ อย่างน้อยครั้งนี้ผมก็ได้ให้ของถึงมือพี่ภูผา โดยที่ไม่ทิ้งลงถังขยะหรือวิ่งหนีไปอย่างที่เคยเป็นมา

"ก้าวต่อไปนะสี"

"อื้อ! ถ้าเรามีโอกาสให้ก้าวไปได้ เราจะก้าวไปเรื่อยๆจนถึงพี่ภูผาเลย" ผมหันไปพูดกับขนม

"ไปถึงอยู่แล้วมึงอ่ะ"

"ตุลาว่าอะไรนะ" ผมหันหน้าไปหาตุลา ผมได้ยินเหมือนตุลาพูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ถนัด

"กูถามว่า หิวข้าวหรือเปล่ามึงอ่ะ"

"หิวมาก ก.ไก่ ยี่สิบล้านตัว"

"กูถามไอ้สีไหมสัสหนม"

"สัสกูก็มีกระเพาะไหมลา"

"จ้าๆๆๆๆ"

ผมส่ายหัวให้กับเพื่อนทั้งสองที่เถียงกันทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงบางครั้งจะปวดหัว แต่มันก็ทำให้มีสีสันดีนะ

"ว่าแต่พวกพี่ภูจะมายังวะ" ขนมถามขึ้น

"คงใกล้แล้วแหละ" ผมมองนาฬิกาแล้วตอบคำถามของขนม

"แล้ววันนี้มึงจะไปซื้อของเข้าห้องไหมสี" ตุลาถามขึ้น

"ไปสิ ของหมดหลายอย่างเลย"

"โอเค งั้นเดี๋ยวหาไรกินกันที่ห้างเลยแล้วกัน ว่าไงหนม"

"ได้หมด"





พวกผมนั่งพูดคุยกันสักพักก็เห็นพวกพี่ภูผาเดินลงมาจากอาคารเรียน มีพี่ธูปที่เดินยิ้มกว้างมาเเต่ไกล พี่วาที่เดินตามหลังมา ส่วนอีกคนที่เดินรั้งท้าย สีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดเลย เป็นอะไรหรือเปล่านะ

"ลา มึงว่า อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก"

"อะไรวะ"

ผมหันไปตามเสียงของเพื่อนทั้งสองคนที่คุยกัน

"ก็ปิ่นโตสีพาสเทลของไอ้สีไง เชี่ย! สีอย่างหวาน แล้วมึงดูหน้าคนถือ"

ขนมชี้ไปทางพี่ภูผา ผมกับตุลาหันหน้าไปมองตามนิ้วมือของขนม

"แม่ง! หน้าอย่างนิ่ง กูถามจริงมันเข้ากันเหรอวะ" ขนมขมวดคิ้วสงสัย

"ก็เขาชอบของเขา"

"หือ ชอบไรวะลา ปิ่นโตนั่นนะ?"

"งั้นมั้ง แต่กูยอมใจพี่ภูจริงๆปิ่นโตไอ้สี สีอย่างหวานเจี๊ยบจนแสบคอเลย ถ้าไอ้สีถือก็ดูเข้ากันกันอยู่หรอก"

ขนมพยักหน้าแรงๆ เป็นเชิงว่าเห็นด้วยมากๆ

ผมคิดตามสิ่งที่พวกเพื่อนทั้งสองคนพูด ก็รู้สึกผิดขึ้นมา ผมชอบสีสันที่มันสดใส ตอนหยิบปิ่นโตใบนี้ขึ้นมาก็คิดว่ามันน่ารักและสีสดใสดี แต่ก็ลืมคิดไปว่าคนที่รับอาจจะไม่ชอบ พี่ภูผาจะอายคนอื่นไหมนะที่ต้องถือปิ่นโตสีหวานขนาดนั้น บางทีอาจจะโดนคนอื่นล้อก็ได้ หรือที่มีสีหน้าหงุดหงิดจะเป็นเพราะปิ่นโตของผม

"ทำหน้าเศร้าทำไมวะสี" ขนมถามขึ้น

"เรารู้สึกผิด เรื่องสีของปิ่นโต เราน่าจะเลือกหยิบปิ่นโตสีพื้นๆมา พี่ภูผาถือปิ่นโตสีแบบนั้นคงอายคนอื่น ไม่ก็โดนล้อแย่เลย" ผมก้มหน้าลงเพราะรู้สึกไม่ดีจริงๆ

"ไม่หรอกน่ามึง พวกกูแค่แซวเล่นเอง ถ้าพี่ภูอายจริง พี่มันไม่หิ้วอวดคนทั้งคณะแบบนั้นหรอกหรอก" ตุลาเขย่าตัวผมเบาๆ "ถ้าพี่มันไม่ชอบมันคงโยนทิ้ง ไม่ก็ใส่กระเป๋าไปแล้วแหละ อย่าทำหน้าเศร้าดิ"

"เออ เห็นมึงทำหน้าเศร้าแล้วรู้สึกผิดชิบหาย กูขอโทษ" ขนมว่าขึ้น

"เออ มึงอย่าเศร้าดิสี"

"แต่พี่ภูผาเหมือนกำลังหงุดหงิดเลย"

"ไอ้พี่ธูปไปกวนตีนอะไรหรือเปล่า" ขนมพูดขึ้น

ผมเงยหน้าจะคุยกับทั้งสองคนต่อ ก็ต้องเงียบไปเพราะพวกพี่ภูผาเดินมาถึงโต๊ะแล้ว

"ไงพวกมึง สวัสดีครับน้องเทียน"

"ไม่ค่อยลำเอียงเลยนะพี่ธูป"ขนมว่าขึ้น

"ลำเอียงตรงไหน กูชัดเจนอยู่แล้ว"

"เหอะ! คนเรา" ขนมเบะปากใส่พี่ธูป

"พอเลยทั้งสองคน เจอกันทีไรเถียงกันตลอด" พี่วาเข้ามาห้ามทัพ ก่อนที่สองคนนั้นจะเถียงกันไปไกล "เทียนเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมทำหน้าแบบนั้น"

"เปล่าครับ" ผมสะบัดหน้าไปมา ก่อนสายตาจะมองที่ปิ่นโตที่พี่ภูผาถืออยู่

"เป็นอะไร" คนที่ถือปิ่นโตอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆติดดุนิดหน่อย

"ไม่มีอะไรคร........." ยังไม่ทีนที่ผมจะพูดจบ เสียงขนมก็แทรกขึ้นมาซะก่อน

"ไม่มีอะไรที่ไหนละครับ พวกผมแซวเรื่องสีปิ่นโตที่พี่ภูถืออยู่ จนทำให้มันคิดมาก พวกผมยังสำนึกผิดในบาปอยู่เลยเนีย"

"หือ เรื่องปิ่นโต ปิ่นโตทำไมวะ" พี่ธูปเข้าร่วมบทสนทนาอย่างรวดเร็ว

"เบาๆบ้างพี่มึง คนอื่นจะรู้หมดว่าขี้เสือก" ตุลาว่าพี่รหัสตัวเอง เลยโดนฝ่ามือตบลงบนหัวหนึ่งที

"ก็มันจิตตกที่ให้ปิ่นโตสีหวานแหววกับพี่ไป แล้วพี่หิ้วไปมาจะอายคนอื่นไง"

"โอ๊ะ! นึกว่าเรื่องอะไร" พี่ธูปตบเข่าตัวเองหนึ่งที "อายอะไรละ แม่งถืออว............."

พลั่ก!  จู่ๆคนที่ยืนอยู่ก็ยกเท้าถีบพี่ธูปเบาๆหนึ่งที

"ไอ้สัสภู รุนแรงจังวะ"

"ก็มึงพูดมาก"

"สมน้ำหน้า" พี่วาเอ่ยซ้ำเติมพี่ธูปพร้อมกับยิ้มสะใจ



"ที่ขนมพูดจริงหรือเปล่า" พี่ภูผาหันมาถามผม

"ครับ" ตอนแรกผมตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาทำให้ผมต้องยอมรับแต่โดยดี

"เด็กน้อย"

อีกคนเอื้อมมือมาขยี้หัวผม การกระทำของพี่ภูผาในครั้งนี้มันช่างไม่อ่อนโยนต่อหัวใจเลยครับ ล้านวันหมื่นปีพี่ภูผาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แล้วทำไมวันนี้?  ไม่ไหวแล้วหัวใจ ไม่ไหวแล้ว

"ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลย ปิ่นโตอันนี้น่ารักดีออก" อีกฝ่ายชูปิ่นโตขึ้น "และก็ไม่มีใครล้อพี่ด้วย เพราะฉะนั้นเลิกทำหน้าเศร้าได้เเล้วครับ"

"ครับ"

"ยิ้มด้วยครับ"

ผมส่งยิ้มกลับไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินพี่ภูผาบอกให้ยิ้ม ตอนนี้ผมไม่กังวลเรื่องปิ่นโตแล้วครับ แต่ผมกำลังงงเรื่องอื่นมากกว่า คือพี่ภูผาพูดยาวๆเป็นด้วย ยิ้มให้ผมด้วย แล้วก็คำพูดดูละมุนขึ้นด้วย เกิดอะไรขึ้นกับคุณฮีโร่ของผมกันครับเนีย จะอะไรก็ช่าง รู้แค่ว่าตอนนี้ ดีใจจนแทบจะบ้าตายอยู่เเล้ว ภาษาวัยรุ่นเขาเรียว่า "ฟิน" มันฟิน ยิ้มไปให้สุดถ้าห้ามไม่ได้ ผมยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่ได้ หน้าเน่อร้อนไปหมด

"ตอนมึงกับกูพูดนะ แทบกราบเท้าให้มันเลิกคิดมาก" ขนมหันไปกระซิบกับตุลาด้วยเสียงที่ไม่เบาเท่าไหร่ "แล้วมึงดูเพื่อนมึง พี่ภูบอกให้ยิ้มทีเดียว แม่ง! ยิ้มจนหาทางหุบกลับไม่ได้แล้ว"

"เออ กูก็ปลอบไปเถอะ"

เหมือนผมจะพบเพื่อนขี้น้อยใจสองอัตรา

"กระซิบไรกันพวกมึงสองคน งุ้งงิ้งๆ" พี่ธูปหันไปถามพวกเพื่อนๆของผม

"เปล๊า" "เปล๊า" ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

"เปล่าได้น่าเชื่อถือมากพวกมึงสองคน"

"แล้วพี่ภูเป็นไรอ่ะเมื่อกี้ทำหน้าเหมือนจะไปฆ่าใคร" ตุลาหันหน้าไปถามพี่ภูผา

"มันจะฆ่ากูนี่แหละ" เป็นพี่ธูปที่ตอบแทรกขึ้นมา

"มึงก็รู้ว่ามันรีบก็จะไปกวนตีนมันอีก" พี่วาพูดขึ้น

"สัส กับเพื่อนอะนิดหน่อยไม่ได้เลย"

"ไอ้สีมันก็จิตตกคิดว่าพี่หงุดหงิดเพราะปิ่นโตมันซะอีก"ขนมเป็นฝ่ายพูดขึ้น

"มันหงุดหงิดเพราะกลัวว่าจะมีคนรอนานมากกว่า สิบนาทีให้เพื่อนไม่ได้เลย" ก็ยังคงเป็นพี่ธูปที่บ่นออกมา

"หนึ่งวิก็นานเเล้ว สำหรับใครคนนั้น" พี่วาพูดเสริม

"ใครวะพี่ พูดรู้เรื่องกันอยู่สองคน" ขนมถามขึ้น

"ก็........."

จ๊อกกกกกกกกก~~ พวกเรานั่งคุยกันไปได้สักพัก เสียงท้องเจ้ากรรมของผมก็ร้องขึ้นมา อาจเป็นเพราะตอนเที่ยงผมกินข้าวไปไม่เยอะ จึงทำให้ท้องส่งเสียงประท้วงเร็วกว่าปกติ ทุกสายตาหันมาทางผมอย่างพร้อมเพรียงกัน จนผมรู้สึกอายมากๆเลย

"ขอโทษครับ"

"หิวเเล้วเหรอ" พี่ภูผาที่นั่งข้างๆผมถามขึ้น

"ครับ เพราะตอนเที่ยงกินข้าวไปนิดเดียว"

"ทำไมถึงกินแค่นิดเดียว"  อีกคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุๆ

"คือว่า......"

"มึงอย่าทำหน้าดุ น้องกลัวหมดเเล้วสัสภู" พี่วาพูดขึ้น

"งั้นก็เก็บของไปกินข้าวกัน"

"พี่ภูผาชวนผมเหรอครับ" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา "แต่ว่าผมนัดกับพวกขนมไว้เเล้ว" ผมหันไปทางเพื่อนรักทั้งสองคน

"โอ๊ะ ไอ้เชี่ย บ้าจริงลืมได้ไปไงเนี่ย" ขนมทำสีหน้าตื่นตกใจเหมือนคนที่เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญไป "แม่บอกให้ไปช่วยเฝ้าร้านนี่หว่าวันนี้ ตายๆโดนด่าตายแน่ๆ สายเเล้วด้วย" ขนมทำท่าทางลุกลี้ลุกลนเก็บกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

"โทษทีวะสีกูลืมสนิทเลย มึงไปกับไอ้ลาสองคนนะ กูขอตัวกลับก่อนเดี๋ยวแม่ด่า เจอกันพรุ่งนี้"ขนมเอื้อมมือมาตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะลุกจากเก้าอี้ "พี่ธูปไปส่งหน่อยดิ"

"กูเหรอ"

"เออ พี่นั่นเเหละ น่า ไปส่งน้องหน่อยเร็ว" ขนมเอื้อมมือไปดึงเเขนพี่ธูปให้ลุกตามมา

"เออๆ อะไรของมึงเนีย" พี่ธูปลุกขึ้นสะพายกระเป๋า " เจอกันพรุ่งนี้พวกมึง น้องเทียนเจอกันนะครับ"

ขนมยกมือไหว้พวกพี่ๆที่เหลือ ก่อนจะเดินออกไปกับพี่ธูป ได้ยินเสียงพี่ธูปแว่วๆว่า

"ชงมอคค่าฟรีให้กูด้วยแก้วนึง"



ผมหันหน้าไปหาตุลาที่กำลังคุยอะไรกับพี่วาสักอย่าง

"ตุลา"

"สี โทษทีว่ะมึง วันนี้กูคงไปด้วยไม่ได้เเล้วว่ะ พอดีกูต้องคุยเรื่องค่ายกับพี่วาว่ะ"

"ใช่น้องเทียน พี่ต้องขอยืมตัวเพื่อนเราก่อนนะวันนี้ เรื่องนี้มันสำคัญมากเลย"  พี่วาหันมาพูดกับผม " ไอ้ภู มึงไปกับน้องเขาหน่อยดิ"

"ใช่พี่ภูผมฝากไอ้สีด้วยดิ ไปกินข้าวเสร็จเเล้วพามันไปซื้อของด้วยนะพี่" ตุลาบอกกับพี่ภูผา "พี่วาผมว่าเราลองไปถามอาจารย์กันเถอะ" ตุลาว่าเเล้วก็รีบเก็บของใส่กระเป๋า โดยมีพี่วาเก็บของใส่กระเป๋าตาม

"ไปกัน" พี่วาลุกนำตุลาไป "พี่ไปก่อนนะน้องเทียน ไว้เจอกันนะ ทำตัวดีๆนะมึงอ่ะ"ประโยคแรกพี่วาพูดกับผม ส่วนประโยคที่สองหันไปพูดกับเพื่อนของเขา

"กูไปนะสี"ตุลาหันมายิ้มให้ผม"ผมฝากเพื่อนผมด้วยนะพี่"

พี่ภูผาไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าตอบกลับไปเท่านั้น

ผมได้ยินเสียงคุยของตุลากับพี่วาไกลๆ "พี่วาหิวข้าวไหมครับ เราไปกินข้าวกันเถอะ ผมหิวเเล้วอ่ะ" แล้วทั้งสองคนก็เดินห่างออกไปโดยไม่หันมามองผมเลย

"เราก็ไปกันเถอะ"

"ครับ" ผมรีบเก็บของใส่กระเป๋า ลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋า เอื้อมมือจะไปหยิบปิ่นโตมาถือเอง แต่มีใครคนนึงตัดหน้าไปเสียก่อน

"อันนี้พี่ถือเองครับ"

"ครับ" ผมก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้มและใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆของตัวเอง ที่พี่ภูบอกว่าไม่อายที่ถือปิ่นโตน่าจะเป็นเรื่องจริงนะเนีย ดีใจจัง!





รถของพี่ภูผา นี่มันรถของพี่ภูผา รถที่ผมได้เเต่นั่งมองเวลาพี่ภูผาขับผ่านไปผ่านมา แต่ตอนนี้เวลานี้ ผมกำลังจะได้นั่งรถของพี่ภูผา ขนม! ตุลา! ช่วยเราด้วย

"เชิญครับ" พี่ภูผาบอกผม ขณะที่ตัวเองกำลังเปิดประตูฝั่งคนขับ

ผมยืนตั้งสติเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เมื่อนั่งเสร็จผมก็ถือวิสาสะสำรวจรถของพี่ภูผาทันที รถสะอาดจังเลย ในรถเป็นกลิ่นเดียวกับที่อยู่บนตัวพี่ภูผาเลย ดมกลิ่นเเบบนี้จะดูเหมือนผมเป็นโรคจิตไหมนะ  โอ๊ะ มีแก้วกาแฟที่ยังไม่ได้ทิ้งด้วย ทำไมกินเสร็จเเล้วไม่เก็บไปทิ้งนะ เดี๋ยวก็ลืมจนเน่ากันพอดี

"อ๊ะ!" ผมเผลอร้องตกใจเมื่อคนที่นั่งข้างๆโน้มตัวพาดผ่านผมไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ผม ผมได้เเต่นั่งตัวเเข็งทื่อ กลั้นหายใจ ไม่เเม้เเต่จะขยับร่างกายสักนิดเดียว

"คาดเข็มขัดด้วย"

"พะ พี่ภูผาบอกผมก็ได้ครับ"

"พี่เรียกเราเเล้วเเต่เราไม่ได้ยิน"

"ขอโทษครับ" ผมก้มหน้ามองมือตัวเองที่ประสานกัน ก็เหตุการณ์เมื่อกี้มันทำให้ผมเขินสุดๆไปเลย เห็นหน้าพี่ภูผาชัดในระยะ 15 เซนติเมตรแบบนั้น ผมไม่ช็อกคารถก็ดีมากๆเเล้วครับ

ภายในรถเงียบสงบ ผมรู้สึกเกร็งๆเพราะยังไม่คุ้นชินเวลาที่อยู่กับพี่ภูผาสองคน ปกติเวลาเจอพี่ภูผาหรือไปไหนด้วยกันก็จะมีพวกเพื่อนๆ พี่ๆ อยู่ด้วยเสมอ พอครั้งนี้ไปด้วยกันสองคน มันทำให้ผมประหม่าจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะคุยอะไรดี เปิดประเด็นอะไรดีนะ เครียดเเล้วนะ สีเทียนเครียดแล้ว

"เป็นอะไร" อีกคนที่นั่งเงียบมาตลอดถามขึ้น

"เปล่าครับ" ผมสะบัดหน้าเเรงๆ

"แล้วทำไมถึงทำหน้าเครียดขนาดนั้น" พี่ภูผาหันหน้ามามองผมแว้บนึงก่อนจะหันไปมองทางต่อ

"เอ่อ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยครับ"

"อืม ว่าเเต่เราจะไปที่ไหนกันเหรอ" พี่ภูผาถามขึ้นในขณะที่รถก็วิ่งตรงไปเรื่อยๆ

"หือ!" ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่ายทันที อ้าว พี่ภูผ๊าาาา ทำไมพี่ไม่ถามตั้งเเต่ขึ้นรถ ผมก็มัวเเต่ปลื้มใจจนลืมไปเลย แล้วนี้อยู่ที่ไหนเเล้วเนีย ผมรีบหันหน้ามองออกไปนอกกระจกเพื่อดูว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย

"พี่ภูผากลับรถเลยครับ" ผมมุ่ยหน้าใส่อีกคนอย่างลืมตัว เหมือนเราจะขับออกมาไกลพอสมควรเลย

"เราจะโกรธพี่ไม่ได้นะ ก็เราไม่ได้บอกว่าจะไปไหน"

"พี่ภูผาก็ไม่ถามเหมือนกันครับ"

"หือ พี่ผิดเหรอ"

"ผมไม่ได้บอกว่าพี่ภูผาผิดสักหน่อย"

"แล้วมันยังไง"

"คนละครึ่งครับ แบ่งความผิดกันคนละครึ่ง"

"หึ" ผมหันไปมองตามเสียงหัวเราะ พี่ภูผากำลังอมยิ้มอยู่ ไม่ไหวเเล้วหัวใจ มันสั่นไหวจนเจ็บไปหมดแล้ว


*** มีต่อ***

หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 3 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 01-02-2021 10:21:11
ต่อ ตอนที่3



ตอนนี้เราสองคนกำลังนั่งรออาหารอยู่ในร้านอาหารร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าใกล้ๆคอนโดของผม เมื่ออาหารมาเสิร์ฟผมก็จัดการอาหารในส่วนของตัวเองทันทีเพราะว่าหิวมากๆ

"กินช้าๆก็ได้ ไม่มีใครแย่งหรอก" พี่ภูผาพูดขึ้น

"ผมรู้ครับว่าไม่มีใครแย่ง แต่ว่ามันหิวนี่น่า"

"รู้ว่าหิว แต่กินช้าๆค่อยๆเคี้ยวเข้าใจไหม" พี่ภูผาว่าผมเสียงดุๆ

"เข้าใจเเล้วครับ" ผมตอบด้วยเสียงหงอยๆเมื่อโดนดุ

"พี่ไม่ได้ดุเราสักหน่อย ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น"

"แบบไหนครับ"

"ก็เเบบหน้าเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้เพราะโดนเเม่จับได้ว่าอมข้าวไว้ในปาก"

หืม ผมทำหน้าตาเเบบนั้นเหรอ ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย แล้วสีหน้าที่โดนเเม่จับได้ว่าอมข้าวมันเป็นยังไงล่ะเนีย ผมรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ส่งยิ้มเร็วๆให้พี่ภูผาหนึ่งที

"แล้วเราจะไปซื้ออะไรเหรอ"

"อ่อ พวกของใช้ส่วนตัวครับพอดีว่ามันจะหมดแล้ว"

อีกฝ่ายพยักหน้าไม่พูดอะไร ตักอาหารที่อยู่ตรงหน้ากินอย่างช้าๆ

"อร่อยสู้อาหารเมื่อตอนเช้าไม่ได้เลย" อีกฝ่ายพูดเบาๆคล้ายกับพูดคนเดียว แต่มันก็ดังพอให้ผมได้ยิน

"พี่ภูผาว่าอะไรนะครับ?" ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าที่ได้ยินนั้นถูกต้อง

"พี่บอกว่าอาหารที่กำลังกินอยู่ตอนนี้ อร่อยสู้อาหารเมื่อตอนเช้าไม่ได้เลย" พี่ภูผาวางช้อนลง ก่อนจะมองมาที่ผม "ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากกินฝีมือสีเทียนอีกนะ"

วี้หว่อ! วี้หว่อ! วี้หว่อ! นี่คือเสียงสัญญาณฉุกเฉินภายในอกของผมกำลังส่งเสียงเตือนครับ ว่าหัวใจตอนนี้ได้รับเเรงกระเเทกจากคนตรงหน้าจนจะรับไม่ไหวเเล้ว  ผมว่าตอนนี้ผมต้องเขินจนหน้าแดงมากๆแน่ๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้โปรดช่วยลูกด้วย

"พี่จะมีโอกาสนั้นไหมครับ" พี่ภูผาส่งยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ผม

"ดะ ได้ครับ! ได้เเน่นอนอยู่เเล้วครับ" ผมตอบอีกคนออกไป ตอนนี้ในหัวผมมีเมนูอยู่ประมาณร้อยเมนูสำหรับพี่ภูผาเเล้วครับ

"พี่จะรอนะ" อีกคนเอื้อมมือมาขยี้หัวผม "กินต่อเถอะ จะได้ไปซื้อของกัน"

"คะ ครับ" ถึงจะตอบรับคำไปแต่ตอนนี้ประสาทสัมผัสของผมทั้งห้าเหมือนจะใช้งานไม่ได้ชั่วคราวเลยครับ รู้สึกดี รู้สึกดีมากๆ รู้สึกดีจนผมไม่รู้สึกหิวเลยสักนิดเดียว มือก็ได้เเต่จับช้อนเขี่ยอาหารในจานวนไปวนมา





หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็มาเดินซื้อของต่อ ตอนเเรกตั้งใจจะไปเดินซื้อคนเดียวและให้อีกคนกลับไปก่อนเพราะผมมักจะเลือกซื้อของนาน จะให้พี่ภูผามารอก็เกรงใจ แต่พี่เขาก็ไม่ยอมบอกว่าจะเดินเป็นเพื่อนและจะไปส่งที่คอนโดเอง ผมก็อยากจะเถียงต่อ เเต่พอเจอสายตาดุๆเข้าไปก็ได้เเต่ยอมเเพ้ปล่อยเลยตามเลย ก็ดีเหมือนกันครับ อย่างน้อยๆผมก็ได้อยู่ใกล้ชิดพี่ภูผานานขึ้นอีกหน่อย

"เราว่ากลิ่นนี้หอมดีนะ" ผมเปิดฝาสบู่เหลวส่งให้ใครอีกคนด้วยความลืมตัว "ขอโทษครับ ผมลืมตัว คิดว่ามากับพวกขนม" ผมเอ่ยขอโทษอีกคน กำลังจะหันหน้าเอาขวดสบู่ไปเก็บที่เดิม เเต่ก็ต้องชะงักเมื่อมือของอีกคนยื่นมาจับเอาไว้

"ก็หอมดีนะ" อีกคนโน้มตัวลงมาและยื่นหน้ามาใกล้ๆผม ก่อนจะทำจมูกฟุตฟิต เพื่อดมกลิ่น

"ผะ ผมหมายถึงกลิ่นของสบู่เหลวขวดนี้ต่างหากครับ" ผมยื่นขวดสบู่เหลวที่ถือในมือให้อีกคนดู

"อ้าว นึกว่ากลิ่นเดียวกันซะอีก" อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดไป แต่สำหรับการที่พี่ภูผาทำเเบบนั้นมันเป็นเรื่องร้ายเเรงมากนะครับ ร้ายเเรงต่อใจผมเนีย "ก็หอมดี" อีกคนพูดขึ้นมา เมื่อยื่นจมูกมมดมกลิ่นของสบู่ที่อยู่ในมือผม

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ รีบวางขวดสบู่ไว้ในรถเข็น จัดการซื้อของต่างๆอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้กลับคอนโดเร็วๆ วันนี้มันมากเกินไปสำหรับผมแล้วครับ ผมจะสู้ไม่ไหวแล้ว





"ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้ ทั้งเลี้ยงข้าว ทั้งพาไปซื้อของ แถมยังมาส่งอีก" ผมบอกขอบคุณอีกฝ่ายเมื่อรถมาจอดบริเวณหน้าคอนโดของผม

"เราอยู่คอนโดนี้เหรอ"

"ใช่ครับ"

"ใกล้มหาลัยดีหนิ"

"ครับ"

"อยู่คนเดียวเหรอ"

"ใช่ครับอยู่คนเดียว"

อีกฝ่ายเงียบไปไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมจึงขอตัวขึ้นห้องก่อน เปิดประตูรถ หิ้วของพะรุงพะรังเต็มมือ และก็ไม่ลืมเอาปิ่นโตมาด้วย เเต่ก่อนที่จะปิดประตู สายตาผมเหลือบไปเห็นแก้วกาแฟที่ยังไม่ทิ้ง มันชวนให้ผมหงุดหงิดใจจริงๆ

"ขออนุญาตนะครับ" ผมเอ่ยขออนุญาตเจ้าของรถก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเเก้วกาแฟออกมา "วันหลังกินเสร็จเเล้วก็ทิ้งเลยนะครับ เดี๋ยวก็ลืมจนเน่าคารถพอดี" ผมอดไม่ได้ที่จะบ่นออกไปเมื่อเห็นสิ่งที่ขัดตาขัดใจ "อ๊ะ! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่ภูผานะครับ" ผมลุกลี้ลุกลนพูดขอโทษออกไปเมื่อรู้สึกตัวว่าเหมือนจะไปวุ่นวายกับพี่เขาเกินไป

"จะขอโทษทำไม" อีกคนว่ามาด้วยเสียงนิ่งๆ "พี่ต้องขอบคุณเรามากกว่า ขอบคุณนะครับ" พี่ภูผาส่งยิ้มมาให้ผม

"ไม่เป็นไรครับ" ผมยิ้มตอบอีกฝ่าย "ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ" ผมปิดประตูรถหลังจากพูดเสร็จ ยกมือขึ้นบ๊ายบาย ยืนรอส่งอีกฝ่ายจนรถเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา





ผมจัดการนำสิ่งของต่างๆที่ซื้อมาใส่ไว้ในลิ้นชักหลังจากกลับมาถึงห้อง จัดการตัวเองเสร็จสรรพพร้อมนอน ผมนอนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ทำให้เผลอยิ้มออกมา วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขกว่าวันไหนๆ เกิดเรื่องชวนแปลกใจก็เยอะ ไหนจะการพูดของพี่ภูผาที่เหมือนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย ผมที่มีโอกาสนั่งรถพี่ภูผา นั่งกินอาหารกันสองคน ไปซื้อของด้วยกัน พูดคุยกันมากขึ้นกว่าเดิมมันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น แม้ตอนเเรกจะมีการเกร็งบ้างแต่พอได้คุยกันไปเรื่อยๆมันก็ลดความเกร็งลงไปเยอะพอสมควร เเต่อาการเขินไม่ลดลงเลยครับ มันเป็นความสุขเล็กๆของคนที่มีสถานะแอบชอบแบบผมที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับคนที่ชอบขนาดนี้ มันทั้งตื่นเต้น ประหม่า เขิน ไม่กล้าสู้หน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องพยายามเก็บอาการให้ดีที่สุด ซึ่งผมว่าผมก็เนียนอยู่นะ พี่ภูผาจับไม่ได้แน่นอน

วันนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้ขยับเข้าใกล้คุณฮีโร่เพิ่มขึ้นอีกนิดนึงเลยครับ

ตึ๊ง!  เสียงเเจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นพี่ภูผาที่ส่งข้อความมา

PP : ฝันดีนะครับ

ผมยิ้มกว้างออกมาทันทีที่เห็นข้อความ

                                   สีเทียนครับ : ฝันดีเช่นกันครับ

PP : *ส่งสติ๊กเกอร์ตุ๊กแกยิ้มกว้าง

ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆตัว คว้าผ้าห่มมาคลุมตัว พลิกตัวไปมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า วันนี้มันไม่ใช่เเค่ความสุขเล็กๆเเล้วละครับ ผมว่าวันนี้มันคือความสุขไม่เล็กของคนแอบชอบเเบบผมแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมมีความสุขหนักมาก

ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับคุณฮีโร่ของสีเทียน :)




<<< TBC >>>
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 01-02-2021 22:28:37
 :o8: หวานกันมากเลย อ่านไปยิ้มไปครับ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่4) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 02-02-2021 11:55:04
ตอนที่4 ฝันเล็กๆของคนแอบชอบ


"ลา มึงได้กลิ่นอะไรป้ะวะ"

ผมได้ยินเสียงขนมดังขึ้น ขณะที่ผมเดินใกล้จะถึงโต๊ะที่พวกขนมกำลังนั่งกันอยู่ ขนมทำจมูกฟุตฟิตๆเหมือนกำลังดมกลิ่นอะไรสักอย่าง

"กลิ่นไรของมึงวะ" ตุลาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่สงสัย ชูแขนทั้งสองขึ้นหันหน้าซ้ายขวาดมรักเเร้ของตัวเอง "กูไม่มีกลิ่นนะ"

"สัส ไม่ใช่กลิ่นตัวมึง" ขนมว่า ก่อนจะค่อยๆเหลือบสายตามายังผมที่เดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะ "แต่เป็นกลิ่นของความรักที่มันลอยฟุ้งอยู่รอบๆตัวไอ้สีไง วี๊ดวิ๊ว" ขนมหัวเราะถูกใจในคำพูดของตัวเอง

"เพ้อเจออีกแล้วนะขนม" ผมพูดขึ้น "ความรงความรักอะไรเล่า" ผมก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเอง

"อ่ะ ยิ้ม ยิ้ม" ขนมยื่นมามาจับหน้าผมให้เงยขึ้น ส่วนผมก็เบี่ยงหลบมือของขนมที่ยื่นมา "เป็นไงเมื่อวานได้ไปเดตกับพี่ภู"

"ไม่ได้เดตสักหน่อย"  หน้าผมเริ่มเห่อร้อนขึ้นสีแดง เมื่อได้ยินขนมพูดคำว่า 'เดต' ที่ออกมาจากของขนม

"เขินไปอีก โถ่ๆๆ น้องสีเทียนของพี่ขนม" ขนมยื่นมือมาลูบหัวผม

"ตรงไหนที่เขิน ไม่มี๊"

"เออ ไม่เขินก็ไม่เขิน เเล้วเป็นไงบ้างเมื่อวาน เล่ามาให้ไว"

"ก็ไม่มีอะไร ปกติดี"

"สีหน้ามึงนี่บ่งบอกว่าพร้อมเสือกมากเลยไอ้หนม" ตุลาที่ฟังนิ่งในตอนเเรกพูดขึ้นมา

"หรือมึงไม่อยากรู้"

"อยากดิ เล่ามาให้หมดอย่ากั๊กนะสี"

"สัส" ขนมขว้างฝาปากกาใส่ตุลา ตุลาขว้างคืนไป เกิดสงครามย่อมๆระหว่างเพื่อนๆทั้งสองคน

"คือว่า....." แค่ผมเอ่ยเริ่มต้นประโยคเพื่อนทั้งสองที่ทะเลาะกันอยู่ก่อนหน้า ก็หันหน้ามาทางผมอย่างพร้อมเพรียง มันขนาดนั้นเลยนะ ความอยากรู้เนีย

"ว่า" ขนมมองผมด้วยสีหน้าที่ลุ้นๆ

"................" ผมมองขนมสลับกับตุลา

"ว่าไรวะสี" ตุลาพูดขึ้น

"เออ อย่าเงียบดิสี" ตามมาด้วยขนมที่ยื่นมาเขย่าเเขนผมเบา

"คือว่า...............เราอยากกินน้ำอบเชยอ่ะ"

"ไอ้สัสสี" "ไอ้เหี้ยสี" ตุลาเเละขนมอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

"หิวน้ำตายไปเลยมึงอ่ะ อยากแดกไม่รู้เวล่ำเวลา"

ขนมผลักหัวผมเบาๆหนึ่งที ผมผิดอะไรเนีย ก็แค่อยากกินน้ำอบเชยเอง

"มึงอย่ามาลีลาสี ถ้ามึงไม่เล่าก็ไม่ต้องไปแดกน้ำ"

"ตุลาาาาาาาาาาา"

"ไม่ต้องมาเรียก"

"ก็ได้ๆ เล่าก็เล่า"



ผมนั่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเย็นของเมื่อวานให้เพื่อนๆฟัง ทั้งสองคนตั้งใจฟังเเบบใจจดใจจ่อยิ่งกว่าฟังอาจารย์อธิบายเเนวข้อสอบในห้องเรียนเสียอีก ขนมและตุลาต่างมีสีหน้าที่เเตกต่างกันกันในขณะที่ฟังผมเล่า ตุลาทำเพียงเเต่อมยิ้มน้อยๆ ส่วนขนมมีทั้งยิ้ม งง สับสน สงสัย ถามยิ่งกว่าสอบปากคำผู้ต้องหาอีกครับ

"จบเเล้ว! เราบอกแล้วว่ามันไม่มีอะไร"

"แต่กูว่ามี" ขนมเเย้งขึ้น

"มีไรวะหนม"

"กูไม่รู้ แต่จากความรู้สึกมันบอกว่า เหมือนจะมีอะไร แต่กูยังไม่รู้ว่ามันมีอะไร แต่มันต้องมีอะไรแน่ๆ" ขนมพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเเละมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง

"สัส อะไร อะไร ของมึงเยอะแยะไปหมด"

"ไม่รู้อะ เเต่กูว่ามันมีอะไรๆสักอย่าง"

"ถ้ามึงยังไม่เลิกอะไร กูจะอะไรๆกับมึงเอง"

"อะไรวะลา"

"ถีบมึงไงไอ้สัส " ตุลายกเท้าขึ้นมา

"เฮ้อ!" ผมถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นเพื่อนสองคนตั้งท่าจะเปิดศึกกันอีกรอบ  "เราไปซื้อน้ำดีกว่า"  ผมลุกออกจากเก้าอี้ "หนมกับตุลาเอาอะไรไหม" ทั้งสองส่ายหน้า





ผมเดินตรงไปยังบริเวณโรงอาหารใต้ตึกคณะ พวกผมนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนใกล้ๆกับโรงอาหารครับ ผมจึงไม่ต้องเดินไปซื้อน้ำไกลๆ ระหว่างทางก็เจอรุ่นพี่รุ่นน้องเอ่ยทักบ้าง ผมจึงส่งยิ้มเเละทักทายกลับไป ผมชอบกินน้ำอบเชยมากๆเลยครับ ตอนเเรกที่ผมเห็นว่ามีร้านน้ำขายน้ำอบเชยด้วยผมทึ่งไปเลยครับ ผมว่าน้ำอบเชยหาซื้ออยากพอสมควรเลย ในเเต่ละวันคุณป้าร้านน้ำจะทำมาขายเเค่ไม่กี่แก้วเองครับ บางวันก็หมดตั้งเเต่ช่วงเช้าเลย อย่างเช่นวันนี้ 

"สวัสดีครับป้าพร น้ำอบเชยแก้วนึงครับ" ผมส่งยิ้มเอ่ยทักทายคุณป้าร้านน้ำ

"สวัสดีจ้ะหนูเทียน" คุณป้าเงยหน้าจากการชงน้ำมาทักทายผม ผมกับคุณป้าร้านน้ำคุ้นเคยกันดีครับเพราะผมมาอุดหนุนร้านของคุณป้าแทบจะทุกวัน "วันนี้เหมือนหนูเทียนจะมาช้าไปนะจ้ะ"

"หมดเเล้วเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ เนียแก้วสุดท้ายป้ากำลังจะเทใส่แก้วพอดี มีคนมาสั่งไว้" ป้าพรมองซ้ายมองขวาทีสองทีก็ยิ้มออกมา "นู่นไง คนที่ได้แก้วสุดท้ายไปเดินมาเเล้ว"

ผมมองตามสายตาป้าไปก็เจอกับใครคนนึงที่ไม่ค่อยอ่อนโยนกับใจของผมกำลังเดินมาทางนี้

"พี่ภูผา" ผมเรียกชื่อพี่ภูผาเบาๆ



"เท่าไหร่ครับป้า" พี่ภูผาถามป้าเจ้าของร้าน

"20 บาทจ้ะ"

"นี่ครับ"

"ขอบใจจ้ะ" ป้าเจ้าของร้านน้ำยื่นมือมารับเงินจากพี่ภูผา "หนูเทียนไว้มากินพรุ่งนี้นะ ป้าจะเก็บไว้ให้" คุณป้าร้านน้ำส่งยิ้มใจดีมาให้ผม

"ครับ" ผมตอบรับไปอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะรู้สึกผิดหวังเเต่ผมก็ต้องอดทนเพราะเป็นผมเองที่มาช้าเกินไป





พี่ภูผายังไม่ได้เดินไปไหนหลังจากได้น้ำแล้ว ผมได้แต่ยืนเงียบๆ เเม้จะบอกให้ตัวเองอดทนกับความอยากเเต่สายตาของผมก็จ้องมองเเก้วใบนั้นที่มีน้ำอบเชยสีน้ำตาลน่ากินอยู่ภายใน อยากกินจังเลย

"อยากกินเหรอ มองตาละห้อยเลย"

"เปล่าครับ" ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอทำหน้าเเบบไหนออกไป

"นึกว่าคนแถวนี้จะอยากกินเสียอีก พี่ว่าจะยกให้สักหน่อย"  ผมตาเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินพี่ภูผาพูดเเบบนั้น "สงสัยคงคิดไปเอง"

"เดี๋ยวครับ" ผมเอื้อมมือไปจับเสื้อพี่ภูผาไว้หลวมๆตอนที่พี่ภูผากำลังจะเดินออกไปจากบริเวณหน้าร้านน้ำ "ผะ ผมขอซื้อต่อได้ไหมครับ" ผมรวบรวมความกล้าถามออกไป เพราะผมอยากกินมันมากจริงๆ ถ้าพี่ภูผาพูดเเบบนนั้นก็น่าจะมีโอกาสที่พี่ภูผาจะขายต่อให้ผมเเน่ๆเลย

"มีอะไรมาเเลกเปลี่ยนไหม" อีกฝ่ายยกเเก้วขึ้นมา พร้อมกับรอยยิ้มนิดๆที่ปรากฎบนใบหน้า

"แลกเปลี่ยนเหรอครับ" อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา ผมพยายามคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี ตาก็จ้องมองไปยังเเก้วน้ำเจ้าปัญหาในมือพี่ภูผา คิ้วขมวดเเน่นเพราะต้องใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อมีความคิดดีๆเกิดขึ้น ผมหยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา เพราะผมเป็นประเภทไม่ค่อยชอบพกกระเป๋าสตางค์ติดตัว ตอนนี้ในมือผมจึงมีทั้งเหรียญ ทั้งธนบัตรสภาพยับยู่ยี่อยู่ในมือ

"นี่ครับ" ผมเลือกหยิบธนบัตรใบละ20บาทจำนวน 1ใบ กับเหรียญ 5 อีก 1เหรียญส่งให้พี่ภูผา

"............................." พี่ภูผามีสีหน้างงๆนิดหน่อย

"25บาทครับ ผมซื้อต่อในราคา 25 บาท พี่ภูผาจะได้กำไร 5 บาทจากการขายน้ำให้ผมในครั้งนี้ครับ น้ำแก้วถือว่าเป็นมือสอง จริงๆมันควรจะถูกกว่านี้ แต่เนื่องจากพี่ภูผายังไม่ได้กิน ผมเลยยังให้ราคา 20 เหมือนเดิม เเละให้เพิ่มอีก 5 บาทเพื่อเป็นค่าเสียเวลา เป็นไงครับ วินวินทั้งคู่ พี่ภูผาได้กำไร ผมได้กินน้ำ " ผมยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าทันทีหลังจากพูดจบ

"ฮ่าๆๆๆ" พี่ภูผาหัวเราะออกมา เเม้จะไม่ได้หัวเราะเเบบขำเอาเป็นเอาตายเเต่มันก็มีพลังทำลายล้างต่อใจผมมากครับ

ตึกตัก! ตึกตัก! พระเจ้าโหดร้ายกับผมเกินไปแล้ว การได้เห็นพี่ภูผาหัวเราะในระยะใกล้ๆเเบบนี้มันอันตรายต่อหัวใจของผมเกินไป ยิ่งการหัวเราะครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมด้วยเเล้วนั้น ขนมไม่ต้องพาไปโรงพยาบาลเเล้วนะ พาเราไปวัดเลย หัวใจเราเหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว พี่ภูผาทำอะไรได้โปรดเห็นใจคนแอบชอบแบบผมด้วยครับ ผมมองอีกคนที่หัวเราะอยู่ด้วยสายตาเพ้อๆที่เปี่ยมไปด้วยความสุข วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆอีกเเล้ว

"เรานี่มันจริงๆเลย" พี่ภูผายื่นมือมาขยี้หัวผม "แต่พี่อยากได้อย่างอื่นมากกว่า"

"หือ" ผมมองอีกคนด้วยความสงสัยใคร่รู้ "อะ อะไรเหรอครับ" ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ติดขัด เมื่อเห็นสายกรุ้มกริ่มของอีกคนที่มองมา

"พอดีพี่จองตั๋วดูหนังตอนเย็นไว้ เเต่พวกเพื่อนๆดันไม่ว่าง จะทิ้งบัตรก็เสียดาย" อีกคนว่าขึ้น ก่อนจะมองมาที่ผม "ถ้าตอนเย็นเราว่าง ไปดูหนังเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหมครับ" อีกคนมองผมด้วยสายตาเหมือนจะอ้อนๆ "เเล้วพี่จะยกน้ำเเก้วนี้ให้"

"ได้ครับ!" ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ต้องเสียเวลาคิด เจอสายตายเเบบนี้ให้ไปเดินก้าวลงกองไฟยาวแปดเมตรยังได้เลยครับตอนนี้ อีกอย่างได้มีโอกาสไปดูหนังกับคนที่ชอบเเบบนี้ ไม่คว้าไว้ก็อย่ามาเรียกผมว่าสีเทียนเลยครับ ยังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้ใจของสีเทียนไปรออยู่ที่โรงหนังเเล้วครับ

"น้ำแก้วนี้เป็นของเราเเล้วครับ" พี่ภูผายื่นเเก้วน้ำมาให้ผม

"ขอบคุณครับ" ผมรับแก้วน้ำมา ใช้ปากงับหลอดทันทีเพื่อซ่อนรอยยิ้มความดีใจที่มันทะลักออกมาจนห้ามไม่อยู่ อึก! อึก! ผมดูดน้ำอบเชยเข้าปากอย่างรวดเร็ว อ๊าาา สดชื่นนนน แต่เหมือนจะยืนคุยกันนานไปหน่อยน้ำเเข็งละลายทำให้น้ำเสียรสชาติไปนิดนึงเลย





"พี่ภูผาดื่มน้ำอบเชยด้วยเหรอครับ" ผมถามพี่ภูผาขณะที่กำลังเดินออกจากโรงอาหาร เพื่อจะกลับไปหาพวกขนมที่รออยู่

"เปล่า"

"อ้าว!"

"ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อให้ตัวเองอยู่เเล้ว"

ผมยิ่งมีสีหน้างงเข้าไปใหญ่ ผมไปแย่งน้ำของใครมาหรือเปล่าเนีย

"ทำหน้าสงสัยอะไรครับ"

"เปล่าครับ"  ผมก้มหน้าหลบสายตาของพี่ภูผาอย่างรวดเร็ว ไม่ชินสักทีกับสายตาของผู้ชายคนนี้





"พี่ภู พี่เทียน สวัสดีครับ"

ผมเงยหน้าจากการก้มมองแก้ว ก็พบกับน้องเมฆยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า

"อืม" พี่ภูผาบอกกลับไปด้วยหน้านิ่งๆ

"สวัสดีเมฆ จะไปไหนเหรอ"  ตอนนี้พวกเรากำลังหยุดคุยกันบริเวณแถวๆบันไดหน้าอาคารครับเเต่ไม่ได้ขวางทางใครเเน่นอนครับ

"ผมว่าจะไปซื้อน้ำอบเชยกินหน่อยครับ อยู่ๆก็อยากกินขึ้นมา" เมฆชี้นิ้วไปยังร้านน้ำ ผมหันหลังมองตามมือของเมฆ

"ร้านป้าพรเหรอ"

"ครับ"

"เมฆกินน้ำอบเชยด้วยเหรอ"

"ของชอบเลยละครับ"

"จริงเหรอ" ผมพูดด้วยความตื่นเต้นที่มีคนชอบกินน้ำอบเชยเหมือนผม ตอนที่ผมให้ขนมกิน ขนมยังว่าผมกินน้ำอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นจะอร่อย ขนมเข้าไม่ถึงเลย  "ของชอบพี่เหมือนกันเลย"

"ที่อยู่ในมือใช่ไหมครับ" เมฆชี้นิ้วมายังเเก้วที่อยู่ในมือผม

"ใช่" ผมพยักหน้ารับ "แต่พี่เสียใจด้วยนะ วันนี้เมฆคงต้องอดกิน เพราะเเก้วสุดท้ายอยู่ในมือพี่เเล้ว" ผมยกเเก้วน้ำขึ้นมาอวดรุ่นน้อง ส่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะไปให้

"โห เสียใจเลย" เมฆทำหน้าเศร้าๆส่งมาให้ผม

"ต่อให้ทำหน้าเศร้ายังไง พี่ก็ไม่เเบ่งให้หรอกนะ แก้วนี้ยังไงก็ให้ไม่ได้" ผมเเสดงจุดยืนอย่างชัดเจน

"ครับๆ ไม่กล้าเเย่งเเล้วครับ" เมฆทำหน้าทะเล้นๆกลับมา

"จะคุยกันอีกนานไหม" เสียงของคนที่เงียบอยู่นานดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ลืมไปเลยว่าพี่ภูผายืนอยู่ด้วย

"ขะ ขอโทษครับ"

"โหย พี่ภูทำหน้าดุอีกเเล้ว"

"เสือก" พี่ภูผาตอบกลับหน้านิ่ง "ไอ้วาหาตัวอยู่ไม่ใช่เหรอมึง"

"ครับ"

"ไปดิ มัวเเต่มายืนพูดมาก"

"แล้วพี่ไม่ไปเหรอ"

"สมเเล้วที่มึงเป็นหลานรหัสไอ้ธูป"

"หล่อเหมือนกัน"

"ขี้เสือก" พี่ภูผาว่าขึ้นก่อนจะหันหน้ามาทางผม "เดินกลับโต๊ะดีๆ เเล้วตอนเย็นเจอกันนะครับ เดี๋ยวพี่ไลน์มาหาอีกที"  พี่ภูผายื่นมือมาขยี้หัวผมก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ผมหัวใจทำงานหนักอยู่ที่เดิม

"คะ ครับ"

"เจอกันนะครับพี่เทียน"

"อะ อื้ม" ผมตอบกลับเมฆไปทั้งที่ยังเบลอๆอยู่

"พี่ภูรอด้วยค้าบบบบบบบบบ" ผมได้ยินเสียงน้องเมฆตะโกนเรียกชื่อรุ่นพี่ของตัวเองห่างออกไป ก่อนทั้งคู่จะเดินหายลับสายตาผมไปทั้งสองคน







"ขนม ขนม หน๊มมมมม" ผมก้าวเท้าเดินเร็วๆ เรียกชื่อเพื่อนเสียงดังมาเเต่ไกลด้วยความตื่นเต้น

"เป็นไรของมึง พี่ภูบอกรักมาหรือไง" ขนมว่าด้วยน้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ

"ไม่ใช่ซะหน่อย" ผมทำหน้ามุ่ยใส่คู่สนทนา

"เเล้วมีอะไร"

"ก็เมื่อกี้เราไปซื้อน้ำใช่ไหม แต่น้ำหมดเเล้ว คนที่ได้เเก้วสุดท้ายไปคือใครขนมรู้ไหม"

"ไม่รู้อ่ะ"

"พี่ภูผาได้เเก้วสุดท้ายไป" ผมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ

"พี่ภูได้ไปแล้วยังไงวะ" ขนมทำหน้างงๆ

"ก็......" ผมนั่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ภูผาให้ขนมฟังอย่างละเอียดยิบ ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง โดยมีตุลากำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่าง เเต่ผมมั่นใจว่าหูของตุลากำลังทำงานอยู่เเน่ๆ เเต่ผมก็ตั้งใจพูดให้ตุลาได้ยินอยู่เเล้ว ไม่ได้จะปิดบังอะไร

"ห๊ะ! ไปดูหนัง"

"ใช่" ผมพยักหน้ารัวๆ

"ไอ้เชี่ย! บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลย กูไม่เข้าใจความเเลกน้ำเเก้วเดียวกับการไปเป็นเพื่อนดูหนังเลย" ขนมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"ก็คงทนไม่ไหวเเล้วมั้ง" ตุลาพูดเเทรกขึ้นมา แต่ดูจากการพูดเหมือนตั้งใจจะพูดลอยๆมากกว่า

"แล้วเขาว่าไงตอนชวนมึง" ขนมถาม

"พี่เขาบอกจริงๆนัดพวกเพื่อนๆไปแล้ว เเต่พวกเพื่อนดันไม่ว่างกะทันหัน จะทิ้งตั๋วทั้งหมดก็เสียดาย"

"กูว่าแล้วว่ามันเหมือนมีอะไรสักอย่าง สัสเอ้ย" ขนมว่า

"เริ่มได้เเล้วเหรอวะ" ตุลาหันมามองหน้าผม ยิ้มมุมปากนิดๆ

ผมมองเพื่อนทั้งสองคนที่มีสีหน้าเเตกต่างกันไปอย่างงงๆ ทำไมไม่ดีใจกับผมเลยนะ ช่างเถอะ! อ๊ากกกกกก! ไม่ไหวเเล้ว ดีใจจนไม่ไหวเเล้ว อยากตะโกนระบายความดีใจ อยากให้ถึงตอนเย็นเร็วๆจังเลยน่า





โครม!

"โอ๊ย" ผมร้องออกมาเมื่อตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น

"น้องเทียน! เป็นไงบ้าง พี่ขอโทษ"

ผมเงยหน้ามองผู้หญิงที่ยืนตรงหน้าก็เจอกับพี่เบลล์ที่เป็นพี่รหัสของขนม ก่อนจะมองกองเอกสารกับอุปกรณ์ต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ตรงพื้น

"ไม่เป็นไรครับพี่เบลล์"

ผมดันตัวเองนั่งยองๆ ช่วยพี่เบลล์เก็บเอกสารที่กระจายอยู่ตรงพื้น หลังจากเลิกเรียนผมก็ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ โดยที่ให้พวกขนมไปหาโต๊ะนั่งรอ ผมก็มัวเเต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์เลยไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินมา จนทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้น อีกอย่างทางเลี้ยวตรงนี้เป็นทางที่เเบบพอลงจากบันไดมาสามสี่ก้าวก็จะเป็นทางเลี้ยวไปยังส่วนทางเดินอีกที วิสัยทัศน์การมองก็แคบ ทำให้เกิดการเดินชนกันบ่อยๆ

"พี่เบลล์เจ็บตรงไหนไหมครับ" ผมลุกขึ้นยืน ยื่นเอกสารส่วนหนึ่งที่ตัวเองเก็บให้พี่เบลล์

"ไม่เลย พี่ขอโทษนะน้องเทียน พี่มัวเเต่ก้มดูนาฬิกาเพราะรีบ ไม่ได้มองทางเลยชนกับเราเลย" พี่เบลล์บอกด้วยความรู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรเลยครับผมก็ผิดเหมือนกันที่มัวเเต่ดูโทรศัพท์"

"เเล้วเราเจ็บตรงไหนไหม"

"ไม่เลยครั....."

ฟึบ! ยังไม่ทันที่จะพูดจบพี่เบลล์ก็ดึงเเขนผมไปดู ผมหันหน้ามองตามแรงดึงก็เห็นเเขนของตัวเองคล้ายๆโดนอะไรบาดจนเป็นทางที่ไม่ยาวมาก เเต่ก็มีเลือดซึมออกมา ก็ว่าทำไมรู้สึกแสบๆบริเวณเเขน

"น้องเทียนมีเลือดด้วย" พี่เบลล์พูดออกมาด้วยความตกใจ "ตายๆ ภูด่าพี่ตายเเน่ๆ" ประโยคหลังพี่เบลล์พูดเสียงเบาๆคล้ายกับบ่นกับตัวเองทำให้ผมได้ยินไม่ถนัด

"พี่เบลล์ว่าอะไรนะครับ"

"เปล่าๆ ไม่มีอะไร เอาไงดี พี่รีบไปหาอาจารย์ด้วย" พี่เบลล์มองแผลที่เเขนผมด้วยสีหน้ากังวล

"ไม่เป็นไรครับแผลเเค่นี้เอง พี่เบลล์รีบไปหาอาจารย์เถอะครับเดี่ยวไม่ทันนะ" ผมส่งยิ้มให้พี่เบลล์เพื่อให้พี่เบลล์รู้ว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ แผลที่ได้รับก็มีเเค่เลือดซึมออกมานิดๆ ไม่ได้ร้ายเเรงอะไรเลย

"งั้นพี่ไปก่อนนะ เเล้วพี่จะกลับมารับผิดชอบทีหลังนะ" พี่เบลล์บอกกับผมก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางเดิน แต่ก็ยังไม่วายหันหน้ามาขอโทษผมอีกรอบ



 ผมใช้มืออีกข้างไปจับบริเวณแผลตัวเอง ถึงจะเป็นแค่เเผลเล็กๆเเต่ก็เเสบไปถึงใจเลยครับ มีเลือดซึมๆด้วย ผมเดินไปยังห้องน้ำก่อนจะรื้อหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าเรียนมาซับเลือดที่ซึมๆออก จัดการธุระของตัวเอง เดินกลับไปยังโต๊ะที่พวกขนมนั่งอยู่

เมื่อถึงโต๊ะผมก็เจอกับพวกรุ่นพี่อยู่ที่โต๊ะกับพวกขนม ผมยืนเรียกขวัญเเละกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินไปสมทบกับทุกคนที่โต๊ะ ผมเอ่ยทักทายสวัสดีพี่ๆ ทุกคนส่งยิ้มกลับมาให้ผม ก่อนจะคุยอะไรกับพี่ภูผาสักอย่างเเละทุกคนก็เดินออกไป เหลือเเค่พี่ธูป พี่วา พี่ภูผา เเละเพื่อนตัวดีของผมทั้งสองคน  ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้างๆขนม

"ไอ้สี!"

ขนมตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ทุกคนที่โต๊ะหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว

"แขนไปโดนอะไรมาวะ"

ผมมองขนมที่มีท่าทางตกใจประหนึ่งว่าผมโดนรถชนจนเเขนหักกลับมา แล้วได้เเต่อมยิ้มน้อยๆกับความขี้เป็นห่วงของเพื่อนคนนี้

"ยังจะยิ้มอีก" ตุลาหันมาดุผม

"มีอุบัติเหตุนิดหน่อยตอนไปห้องน้ำ เเต่เราไมไ่ด้เป็นไรนะ มีแค่แผลนิดเดียวเอง"

"มึงนี่ ปล่อยให้ห่างตาไมไ่ด้เลย" ขนมหันมาดุผมอีกคน

ผมโดนขนมบ่นไปเรื่อยๆ คนอื่นๆก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ผมสังเกตเห็นพี่ภูผามีสีหน้าที่เหมือนจะหงุดหงิดอะไรสักอย่าง นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ผมแอบมองหน้าพี่ภูผา เเต่เมื่อพอมองไปแล้วเจอกับสายตาอีกคนที่มองอยู่ก่อนเเล้วก็ได้เเต่ก้มหน้าหลบสายตาของพี่ภูผาที่มองมา พี่ภูผาโกรธอะไรผมหรือเปล่านะ

"ไอ้ธูปไปกันเถอะสายเเล้ว" เป็นพี่วาที่พูดขึ้น

"น้องเทียนพี่ฝากเพื่อนพี่ด้วยนะ หนังเรื่องนี้เพื่อนพี่อยากดูมากกกกกกกกกกกก" พี่ธูปลากเสียงยาวๆ เป็นเสียงที่ผมฟังเเล้วเหมือนกำลังประชดมากกว่า

"ครับ"

"ไปนะภูเพื่อนรัก" พี่ธูปยื่นมามาตบบ่าพี่ภูผาสองสามที

"รีบไปไกลๆเลยมึงอะ"

"กับเพื่อนก็งี้เเหละ ไปกันเหอะธูป" พี่วาว่าพร้อมกับดึงเเขนพี่ธูปให้เดินตาม พวกพี่ๆยกมือโบกลาพวกผมก่อนจะเดินออกไป

"มึงกับกูก็ไปได้เเล้ว" ตุลาพุดขึ้นบ้าง

"กูเหรอ" ขนมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

"เออ"

"เดี๋ยวดิเเต่กูมีเรื่องสงสัยจะถามพี่ภู" ขนมยื้อตัวเองจารกการดึงของตุลา

"ไม่รู้สักเรื่องไม่ตายหรอกไอ้หนม ไปเร็ว"

เเละเป็นขนมที่เเพ้ให้กับตุลา ทั้งสองคนหันมาบอกลาผมกับพี่ภูผา ก่อนจะเดินออกไปโดยมีเสียงขนมด่าตุลาดังไปตลอดทาง





"พี่ภูผาครับ" ผมรวบรวมความกล้าเรียกอีกคน

"ครับ"

"คือเรา.... ไปกันเลยไหมครับ"

อีกฝ่ายพยักหน้า ลุกจากเก้าอี้ ผมรีบลุกตามเเละเดินไปยังรถของพี่ภูผาที่จอดอยู่ในอาคาร พี่ภูผาขับรถอย่างรวดเร็วเมื่อพ้นเขตสถานศึกษา

"รอพี่แป็บนะ" อีกคนว่าขึ้นหลังจากรถจอดสนิทภายในปั๊มน้ำมันปั๊มนึง พร้อมกับถอดเข็มขัดนิรภัยออก เปิดประตูรถเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อ ผมได้เเต่มองตามไปด้วยความมึนงง สงสัยจะหิวน้ำมั้ง

รอไม่นานพี่ภูผาก็กลับมาพร้อมกับถุงอะไรสักอย่างที่อยู่ในมือ พี่ภูผาเปิดประตูรถกลับมานั่งประจำตำเเหน่งของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆหยิบของที่อยู่ในถุงออกมา ของที่อยู่ภายในถุงคือชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับพกพา

"ส่งเเขนมาครับ"

ผมส่งเเขนไปให้ใครอีกคนอย่างว่างาย

"ทำไมถึงได้เเผลมาครับ" ปากถามส่วนมือก็ยุ่งวุ่นวายกับแผลของผมอยู่

ผมได้เเต่มองการกระทำของพี่ภูผาด้วยหัวใจที่เต้นเเรง ผมว่าต่อให้เอาเเอลกอฮอล์มาราด มันก็คงไม่เเสบเเล้วละครับนาทีนี้ การกระทำของคนตรงหน้าไม่สามารถทำให้ผมละสายตาไปมองอย่างอื่นได้เลย

"สีเทียนครับ"

"คะ ครับ" ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินพี่ภูผาเรียกชื่อ

"พี่ถามว่าทำไมถึงได้แผลมาครับ ใครทำอะไรเรา?" พี่ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ มองมายังผม

"คือผมชนกับพี่เบลล์ตอนเข้าไปห้องน้ำครับ ไม่เเน่ใจเหมือนกันว่าโดนอะไรมา"

อีกฝ่ายเงียบไม่พูดอะไรต่อ มือกำลังเเกะพลาสเตอร์ เมื่อเห็นลายพลาสเตอร์รูปหัวใจสีพาสเทลน่ารักๆ ก็ทำให้ผมถึงกับต้องหัวเราะออกมา

"ลายไม่น่ารักไปเหรอครับ"

"พี่ตั้งใจซื้อลายที่เข้ากับเรามาให้" อีกฝ่ายว่าด้วยเสียงเรียบๆ

"แต่ลายนี้มันน่ารักนะครับ"

"ใช่ น่ารัก" พี่ภูผาก้มหน้ามาใกล้ๆเเขนผมก่อนที่จะเป่าเบาๆให้ผม "เพี้ยง"

ขนม ขนมว่าถ้าเราเอาหัวโขกกับกระจกรถตอนนี้พี่ภูผาจะเตะเราออกจากรถไหม ทำไมพี่ภูผาทำอะไรไม่เห็นใจผมเลย พี่ภูผาครับจะพูดจะจา จะทำอะไรเห็นใจสถานะคนแอบชอบเเบบผมด้วยครับ ถ้าพี่จะใจดี อ่อนโยน แบบนี้มันจะทำให้ผมไม่อยากอยู่สถานะนี้เเล้วนะครับ ใจผมก็เท่ามด พี่ภูผาจะขยี้มันเเบบนี้ไม่ได้นะครับ

"วันหลังอย่าให้ตัวเองเจ็บตัวอีกเข้าใจไหม"

"คะ ครับ" ผมกัดปากตัวเอง เพื่อสะกดกลั้นความดีใจที่มันทะลักอยู่ในอก


***มีต่อ ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่4 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 02-02-2021 11:56:36
***ต่อ ตอนที่ 4 ***

ตลอดการเดินทางมายังห้างผมไม่สามารถห้ามรอยยิ้มของตัวเองได้เลย เมื่อถึงห้างผมกับพี่ภูผาตัดสินใจจะหาอะไรกินกันก่อนระหว่างรอหนังฉาย ถ้าจะกินหลังจากดูหนังจบคงได้หิวจนปวดท้องเเน่ๆ หลังจากจัดการอาหารเสร็จพวกเราก็พาตัวเองไปยังชั้นโรงหนัง ผมจัดการเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพเพราะกลัวว่าจะไปปวดระหว่างดูหนัง เดี๋ยวการดูหนังจะขาดช่วงหมดสนุกกันพอดี



ผมเดินกลับมาจากห้องน้ำก็เจอกับพี่ภูผากำลังซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ผมยืนรอพี่ภูผาอยู่ใกล้ๆ เมื่อซื้อเสร็จพี่ภูผาก็เดินตรงมาหาผมที่กำลังยืนรออยู่ ผมยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจะรับป๊อปคอร์นมาถือเองเเต่อีกฝ่ายดันเบี่ยงตัวหลบ เเละบอกให้ผมถือตั๋วเเทน ผมก้มมองดูตั๋วเพื่อจดจำแถวเเละหมายเลข ผมมองนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาหนังฉายเเล้ว ผมชวนพี่ภูผาเข้าไปด้านในโรงหนัง เพราะผมอยากดูหนังตัวอย่างด้วย อีกฝ่ายลุกเดินตามผมมา เเต่ยังไม่ทันจะเดินถึงเคาน์เตอร์ตรวจตั๋วผมกับพี่ภูผาก็ดันเจอกับกลุ่มคนสี่คนที่ไม่คิดว่าจะเจอ

"เอ้าเพื่อนภู บังเอิญจนกูประหลาดใจ" เป็นพี่ธูปที่เอ่ยขึ้นมา

"สาบานให้ธุรกิจมึงเจ๊งไหมธูป" พี่ภูผาตวัดสายตามองเพื่อนตัวเอง

"ไอ้เหี้ย เล่นของเเรง" พี่ธูปด่าเพื่อนตัวเอง

"กูบอกมึงเเล้วว่าอย่าตามมาๆ " พี่วาหันหน้าไปด่าพี่ธูปอีกคน

"ไงสี มึงมาดูหนังที่นี่เหรอ บังเอิญจังเน๊อะ" ขนมทักทายผม ส่งยิ้มที่ดูแปลกๆมาให้ผม

"บังเอิญมากกกกกก" ตุลาหันไปผลักหัวขนมจนเซ

"พวกพี่ๆกับขนมมาทำอะไรกันเหรอครับ" ผมถามทั้งสี่คน

"อ้อ พี่มาหาไรกินนะ แล้วบังเอิญเจอสองคนนั้นเลยชวนมาด้วยกัน เนอะ"

"ใช่ๆ" ขนมเอ่ยรับคำพี่ธูป

"มึงแค่อยากเสือก" พี่วาด่าพี่ธูป

"มึงก็ด้วยไอ้หนม" ตุลาว่าขนม



ผมมองคนสี่คนที่กำลังเถียงกันอยู่ตอนนี้เเล้วได้เเต่อมยิ้มน้อยๆ ชีวิตผมไม่เคยเงียบสงบเลยจริงๆเวลาที่รวมกลุ่มกันอย่างนี้ แต่มันก็รู้สึกดีไปอีกเเบบนะครับ ไม่เหงาดี

"พวกมึงจะเถียงกันอีกนานไหม กูจะได้เข้าไปก่อน" เสียงคนที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น

ทุกคนที่กำลังเถียงกันอยู่ถึงกับเงียบสงบมองมายังพี่ภูผาอย่างพร้อมเพรียง สงครามสงบ ทุกคนเดินตามเข้ามาในโรงหนัง สรุปคือพวกเราทั้งหกคนได้มาดูหนังกันทั้งหมด ตอนที่ทุกคนเดินตามมาก็ยังงงๆว่ามาดูหนังกันด้วยเหรอ ไหนตอนเเรกพี่ภูผาบอกว่าเพื่อนๆไม่ว่าง เมื่อถามพี่ธูปก็ได้คำตอบว่า 'ไอ้ภูมันบังคับพี่ให้มีธุระ ตอนนี้พี่ว่างมาก' เมื่อพูดเสร็จพี่ธูปก็เดินหนีไป ส่วนขนมก็บอกว่า 'กูไม่ได้เข้าโรงหนังนานเเล้ว เห็นมึงมาดูก็อยากดูบ้าง' เมื่อพูดเสร็จก็วิ่งไปหาพี่ธูปทันที เเต่เท่าที่ผมจำได้ ขนมเพิ่งไปดูหนังมาเมื่อสองอาทิตย์ที่เเล้วเองนะ ส่วนพี่วากับตุลาทั้งสองคนเดินข้างกันด้วยสีหน้าที่ไปในทิศทางเดียวกันคือเหมือนโดนบังคับมา ส่วนคนที่เดินรั้งท้ายสุด ก็เดินตามเเบบเงียบๆไม่พูดอะไร

โรงหนังตอนนี้มืดสนิททำให้การเดินลำบากพอสมควร ถึงเเม้จะดูหนังโรงเดียว รอบเดียวกันเเต่พวกเราก็นั่งกระจัดกระจายกันคนละที่เลยครับ ผมกับพี่ภูผานั่งเเถวบนสุดตรงกลางๆ ด้วยความที่โรงหนังมันมืดเเละผมเป็นคนส่องไฟฉาย ด้วยความเผลอตัวผมจึงยืนมือไปจับเเขนอีกคนเพื่อเดินนำ

"พี่ภูผาระวังนะครับ เดินตามผมมานะครับ" ผมบอกกับอีกคนที่เดินตามหลัง

เมื่อถึงเก้าอี้เราสองคนก็นั่งลง พี่ภูผาวางน้ำไว้ฝั่งของตัวเอง และส่งป๊อปคอร์นมาให้ผมถือไว้ ผมนั่งดูหนังตัวอย่างไปเรื่อยๆจนถึงเวลาหนังฉาย ผมดูหนังไปถึงกลางเรื่องก็รู้สึกอินกับหนังพอสมควร ผมวางป๊อปคอร์นไว้บนเก้าอี้ที่ว่างๆข้างๆตัว มือก็วางไว้ตรงข้างๆเก้าอี้

ระหว่างที่ผมกำลังอินกับหนังอยู่นั้นจู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบริเวณมือของตัวเอง พอก้มลงมองก็เห็นว่าตอนนี้มือของพี่ภูผากำลังจับมือของผมอยู่

"พอดีพี่ขี้หนาว แอร์ก็แรงมาก" พี่ภูผามองตาผมท่ามกลางเเสงไฟสลัวๆ "ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป พี่ขอความอบอุ่นจากมือของสีเทียนหน่อยได้ไหมครับ"

"ดะ ได้ครับ" แย่เเล้ว ไม่ดีเเน่ๆ ไม่ดีเเน่ๆ ผมไม่สามารถปฏิเสธผู้ชายคนนี้ได้เลย

"ขอบคุณครับ" อีกคนหันหน้ากลับไปสนใจหนังในจอใหญ่ต่อโดยที่มือกระชับมือผมแน่นขึ้น

ผมนั่งหลังพิงเบาะ ตัวเกร็ง เพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง หนังเป็นยังไงตอนนี้ผมไม่อาจรับรู้ได้ ผมพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับเข้าตัว เหลือบสายตามองพี่ภูผา ได้เห็นพี่ภูผาในมุมข้างที่กำลังตั้งใจดูหนังอยู่เเบบนี้ เหมือนฝันเลย ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชอบขนาดนี้ ผมมองอีกคนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกชอบ ความรู้สึกรัก ที่ล้นทะลักผ่านสายตาออกมา

พี่ภูผาครับ ขอบคุณนะครับที่ทำให้ความฝันเล็กๆของคนที่แอบชอบคนนี้เป็นจริง พี่ภูผารู้หรือเปล่าครับว่ามือของพี่ทั้งอบอุ่นเเละรู้สึกดีมากๆเลยละครับ รู้สึกดีจนผมไม่อยากปล่อยมันเลยครับ อยากจับไว้เเน่นๆแบบนี้ไปตลอด ผมก้มหน้ามองไปยังมือของเราสองคนที่ประสานกันอยู่  วันนี้เหมือนกับว่าผมได้ขยับเข้าใกล้คุณเพิ่มขึ้นอีกเเล้วนะ 'คุณฮีโร่'

ผมกระชับมือพี่ภูผาให้แน่นขึ้น หันหน้ากลับไปสนใจหนังที่กำลังฉายในจอด้วยความสุขใจ เเม้ในหนังจะเป็นฉากดราม่าน้ำตาท่วมก็ตาม


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-02-2021 03:04:26
 :katai3:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 5) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 03-02-2021 11:58:22
ตอนที่ 5 ในวันที่ฝนตกของคนแอบชอบ


ซ่า! ซ่า! เปาะแปะ! เปาะแปะ!

หยาดฝนร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าเเบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน ทั้งที่แท้จริงเเล้วเพิ่งจะสี่โมงเย็น สายลมที่พัดผ่านทำให้หยดน้ำฝนสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ร่มปลิวสะบัดไปตามเเรงลมกลุ่มนักศึกษาที่เดินกางร่มอยู่ด้านนอกจึงเปียกปอนไปตามๆกัน ส่วนคนที่หลบฝนอยู่ตามมุมต่างๆก็คาดว่าคงจะเปียกปอนไม่แพ้กัน เพราะฝนที่จู่ๆก็ตกแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยทำให้หลายๆคนอาจจะไม่ได้เตรียมพร้อมพกอุปกรณ์กันฝนมา ทำให้ต้องรอเวลาให้ฝนหยุดตก แต่ดูๆแล้วคงอีกนานแน่ๆกว่าที่ฝนจะหยุดตก บางคนรอไม่ไหวก็วิ่งฝ่าฝนไปหวังว่าพวกเขาจะไม่ป่วยนะ

"สี เล่มนี้มึงว่าเป็นไงบ้าง"

"..........."

"สี"

ปั๊ก!

"โอ๊ย!" ผมเผลอร้องเสียงดัง ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองตรงบริเวณที่เหมือนจะโดนอะไรสักอย่างกระแทกลงมา "เอาหนังสือมาตีหัวเราทำไมเนียตุลา เจ็บนะ" ผมหน้าบึ้งใส่คนที่ทำร้ายร่างกายผม

"ก็ตีให้เจ็บ" ตุลาว่าพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามผม "เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน มัวเเต่นั่งเหม่ออยู่นั้นละ"

"เสียงดังอะไรกันวะพวกมึง นี่มันห้องสมุดนะเว้ยเดี๋ยวก็โดนไล่ออกนอกห้องหรอก" ขนมที่เดินมาจากไหนไม่รู้พูดขึ้น ในมือมีหนังสืออยู่ประมาณสามสี่เล่ม

ตอนนี้พวกผมทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องสมุดครับเพราะต้องมาหาข้อมูลจากหนังสือประกอบการทำรายงาน และถือเป็นการหลบฝนไปในตัว เนื่องจากพวกเราทั้งสามไม่มีใครพกร่มกันมาสักคน โชคดีตอนที่เดินมาห้องสมุดฝนยังไม่ตก ไม่งั้นละเเย่แน่ๆ ถ้าเกิดเปียกฝนเเล้วมานั่งโดนแอร์เย็นๆภายในห้อง ว่าเเต่คนอื่นๆไม่หนาวกันหรือไงนะ แอร์เย็นจังเลย

"มีเรื่องไรกัน" ขนมวางหนังสือไว้ตรงกลางโต๊ะ ดึงเก้าอี้ข้างผมออกก่อนจะนั่งลงไป

"เพื่อนมึงอ่ะ มัวเเต่นั่งเหม่อลอยมองมือตัวเอง เเล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เรียกก็ไม่ได้ยิน" ตุลาว่าขึ้น

"ไอ้สีเอ้ย!" ขนมยื่นมือมาผลักหัวผม"มึงยังไม่เลิกนั่งจ้องมือมึงอีกเหรอ"

"ขนมอย่าว่าสิ" ผมบอกขนมด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ

"แค่โดนจับมือนิดหน่อยมึงเพ้อเป็นอาทิตย์ขนาดนี้เลยนะสี" ขนมเอื้อมมือมาจับมือข้างซ้ายผมยกขึ้น

อย่างที่ขนมบอกเลยครับ ผมนั่งมองมือตัวเองมาประมาณจะอาทิตย์แล้วครับ ตั้งเเต่ไปดูหนังกับพี่ภูผาวันนั้นแล้วได้จับมือกับอีกฝ่าย ผมไม่สามารถเก็บซ่อนความปลื้มปริ่มได้เลยครับ ยังรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นในวันนั้นอยู่เลย

"ขนม อย่าจับ!" ผมสะบัดข้อมือตัวเองออกจากการจับกุมของขนม

"มึงได้ล้างมือบ้างไหมสีกูถามจริง" ตุลาถามขึ้น

"ตอนแรกเราว่าจะไม่ล้างนะเพราะไม่อยากให้สัมผัสของพี่ภูผาหายไป" ผมก้มหน้ามองมือข้างซ้ายของตัวเองขณะพูด "แต่เราต้องอาบน้ำ ถูสบู่อ่ะตุลา เราพยายามเเล้ว แต่มันไม่ได้" ผมเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าตาเศร้าๆส่งไปให้ตุลา

"มึงไม่เอาถุงมาครอบมือไว้ล่ะ" ขนมว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด

"เราทำแล้ว แต่ยังไงก็ต้องล้างมืออยู่ดี"

"กูยอมมึงเเล้วสี" ตุลายกมือขึ้นสองข้าง เพื่อบอกว่ายอมเเพ้เเล้วจริงๆ

"กูด้วย กูขอยกธงขาว"

"ขนมกับตุลาไม่เข้าใจหรอก กว่าเราจะทำใจล้างมือได้นะคืนนั้น เราใช้เวลาตั้งนาน"

"แล้วเเต่มึงเลยสี" ขนมตอบมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากูยอมเเล้ว

"ดีเเค่ไหนเเล้วที่มันยอมเปลี่ยนพลาสเตอร์ แม่ง!" ตุลาสบถออกมา

"จริงๆก็อยากติดไว้เหมือนเดิมนะ แต่กาวมันหายไปหมดเเล้วอ่ะ" พูดถึงก็อดเสียดายไม่ได้ แต่ผมก็เก็บไว้ในกล่องนะ มีรอยเลือดนิดๆมันคงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมนะ

"ทำงานกันเถอะสี" ตุลาว่าขึ้น พร้อมกับดันสมุดกับหนังสือมาให้ผม

หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็ต่างตั้งใจหาข้อมูลในการทำรายงานอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด พวกเรานั่งหาข้อมูลกันจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เเล้ว ผมวางปากกาลงเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมชะโงกหน้าไปดูก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นรายชื่อที่โทรฯ เข้ามา ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายทันที



'ภาพเขียน' สายเรียกเข้า



"คิดถึงจังเลย" ผมเอ่ยทักทายคนปลายสายด้วยน้ำเสียงติดอ้อนหน่อยๆ

("คนที่เขาคิดถึงกัน เขาไม่หายไปแบบนี้หรอกนะ")

ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อของคนปลายสาย เล่นใหญ่ตลอดเลยนะคนคนนี้

"เราไม่ได้โทรหาแค่สองอาทิตย์เอง"

("ตั้งสองอาทิตย์เลยนะสีเทียน เราไม่รู้หรอกว่าพี่คิดถึงเราขนาดไหน")

"ภาพเขียนไม่งอเเงสิ" ผมอดที่จะอมยิ้มให้กับคนปลายสายไม่ได้

ภาพเขียน คือพี่ชายของผมเองครับ เห็นงอแงเป็นเด็กๆแบบนี้ เเต่จริงๆเเล้วภาพเขียนอายุ 25 ปีเเล้วนะครับ อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถืออยู่ครับ เเต่พอกับคนในครอบครัวจะแปลงร่างเป็นเด็กเสมอเลย ผมกับภาพเขียนเราสนิทกันมาตั้งเเต่เด็กๆ มีอะไรจะพูดคุยปรึกษาด้วยเสมอ ภาพเขียนเป็นพี่ชายที่เเสนดีมากๆ แถมอบอุ่นสุดๆ เป็นหนึ่งในพื้นที่ปลอดภัยของผมเลยครับ ตอนนี้เราอยู่กันสามคนแม่ลูกครับ คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวตั้งเเต่ผมเด็กๆ

ภาพเขียนคอยปกป้องดูเเลผมอย่างดีเสมอมา ไม่เคยขาดตกบกพร่องในหน้าที่ ออกเเนวเกินไปด้วยซ้ำในบางครั้ง ที่ผมยังไม่มีเเฟนก็เป็นเพราะภาพเขียนด้วยส่วนหนึ่งเลย  ตอนที่ภาพเขียนต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่คอนโด ตอนเเรกผมคิดว่าจะเป็นผมที่ร้องไห้หนัก ที่ไหนได้ ภาพเขียนแย่งร้องไห้ก่อนผมซะงั้น กลายเป็นผมที่คอยปลอบภาพเขียนแทน นึกถึงวันนั้นก็อดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นพี่เป็นน้องกันเเน่   

ตอนนี้ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ  ภาพเขียนก็ดูเเลธุรกิจขนาดกลางของครอบครัวที่คุณพ่อสร้างไว้ เดิมทีเป็นคุณเเม่ที่คอยบริหารดูแลหลังจากที่คุณพ่อเสีย เเต่พอภาพเขียนเรียนจบและโตพอจะบริหารได้คุณแม่ก็ยกบริษัทให้ภาพเขียนบริหารอย่างเต็มตัว ส่วนตัวคุณแม่เองก็ไปช่วยน้องสาวที่เปิดร้านขายกาแฟทำขนมขาย  ซึ่งน้องสาวคนนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณแม่ของขนมครับ ส่วนผมก็ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเรียนจบก็จะกลับไปช่วยภาพเขียนทำงาน   

("พี่จะโทรมาบอกว่าอาทิตย์หน้าพี่ไปหานะ")

"จริงเหรอภาพเขียน" ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

("จริงสิ สีเทียนเตรียมตัวให้พร้อมนะ ไปเที่ยวกัน")

"ได้เลย เรานับวันรอที่จะได้เจอภาพเขียนเลย"

เนื่องจากพี่ชายของผมไปต่างประเทศตั้งเเต่ต้นเดือนซึ่งกำหนดกลับคืออาทิตย์นี้ แต่สงสัยกลับมางานคงยุ่งถึงได้โทรมานัดผมไปเจอาทิตย์หน้า จริงๆ ทั้งบ้านเเละบริษัทอยู่ไม่ไกลจากคอนโดผมเท่าไหร่ครับ เเต่เป็นเพราะเเม่อยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตช่วงมหาลัยอย่างเต็มที่ จึงให้ผมออกมาอยู่คอนโด เเม่ของขนมก็เช่นกัน พวกเขาคิดเองเออเองกันสองคนพี่น้องเสร็จสรรพ คนเป็นลูกมีหน้าที่ทำตามเท่านั้นครับ

("งั้นพี่วางก่อนนะ อาทิตย์หน้าเจอกันครับ")

"อื้มอาทิตย์หน้าเจอกันนะ ภาพเขียนดูเเลตัวเองดีๆนะ คิดถึงนะครับ" เมื่อพูดเสร็จผมก็กดวางสายไป รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้า

"พี่ภาพเหรอ" ขนมถามขึ้น

"อื้ม"

"กลับมาเเล้วเหรอ"

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ  ขนมไม่ได้พูดอะไรกลับมา ก้มหน้าทำงานที่วางอยู่ตรงหน้าต่อ





"อ้าว! พี่ภู พี่ธูป มาไงพี่"

ผมนั่งหลังตรงโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินชื่อคนที่ตุลาเงยหน้าขึ้นไปทักทาย ผมค่อยๆเอี้ยวตัวไปข้างหลังก็เจอ พี่ธูปกับพี่ภูผายืนอยู่ข้างหลังผม มาตั้งเเต่ตอนไหนนะไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย

"นั่งเครื่องบินมา" พี่ธูปเป็นคนตอบคำถาม

"ถ้าไม่เห็นว่าเป็นพี่ผมจะด่าว่ากวนตีน"

พี่ธูปยักไหล่หนึ่งที คล้ายกับว่าไม่ได้สนใจคำด่าของตุลาสักเท่าไหร่ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงข้างๆตุลา ส่วนพี่ภูผานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างตรงหัวโต๊ะ

"ทำอะไรกันอยู่วะ" พี่ธูปเอ่ยถามหลังจากที่นั่งเรียบร้อย หยิบหนังสือที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะไปดูแป็ปๆ ก่อนจะวางไว้ที่เดิม

"รายงานดิพี่ เนื้อหาเยอะสัสๆ" ตุลาเป็นคนตอบคำถาม

"ปรึกษาไอ้ภูดิ วิชานี้มันเก่ง"

"ไหนขอพี่ดูหน่อยครับ" พี่ภูผาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาจับหนังสือที่ผมกำลังเปิดค้างอยู่ให้เอียงไปหาเจ้าตัว พี่ภูผาขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ๆกับผมมากขึ้น มองดูเนื้อหาในกระดาษที่ผมจดบันทึกไว้

"พี่ว่าตรงนี้ เราควรเอาตรงนี้เพิ่มไปอีกหน่อยนะ" พี่ภูผาชี้ข้อมูลตรงที่ว่าในหนังสือให้ผมดู ผมยื่นหน้าเข้าดูว่าเป็นเนื้อหาส่วนไหนจะได้จดไว้ ในขณะที่ผมยื่นหน้าเข้าไปมองเนื้อหาในหนังสือก็เป็นจังหวะเดียวกันที่พี่ภูผายื่นหน้ามาดูเนื้อหาในกระดาษของผมอีกครั้ง ทำให้หน้าผากของผมชนเข้ากับคางพี่ภูผาเต็มๆ

ปั๊ก!

"เจ็บไหมครับ" พี่ภูผารีบยื่นมือมาจับๆลูบๆบริเวณหน้าผากของผมทันที

"มะ ไม่เจ็บครับ" ผมอดที่จะประหม่าไม่ได้ หน้าตอนนี้ขึ้นสีเเดงระเรื่อแล้วเเน่ๆ สัมผัสได้จากความร้อนที่ลามจากหูมาที่บริเวณใบหน้า ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะมองไปยังคางของอีกคนที่เหมือนจะมีรอยแดงๆขึ้นมานิดๆ

"พี่ภูผาเจ็บไหมครับ"

"ไม่ครับ"

"ขอโทษนะครับ ผมไม่ทันระวังเลยทำให้พี่ภูผาเจ็บตัวเลย" ผมมองสบตาอีกคนโดยที่ไม่หลบไปไหน เพื่อให้พี่ภูผารู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ

"คนละครึ่งครับ ผิดกันคนละครึ่ง" พี่ภูผายกมือมาขยี้หัวผมสองสามที ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ เมื่อเห็นเเบบนั้นผมก็ส่งยิ้มกว้างกลับคืนให้อีกคน

"โอ๊ย เบาได้เบา"

ผมละสายตาจากพี่ภูผาไปมองยังพี่ธูปที่จู่ๆก็พูดขึ้นมา ผมเห็นตุลาอมยิ้มนิดๆ ส่วนขนมทำหน้าเป็นเชิงล้อเลียน ผมรีบก้มหน้ามองงานของตัวเองที่วางอยู่ตรงหน้าทันที รู้สึกความเขินพุ่งทะยานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลย

"ไอ้สัส" ผมได้ยินเสียงพี่ภูผาด่าพี่ธูป มือก็ขว้างเศษกระดาษที่ขยำเป็นก้อนกลมๆใส่พี่ธูป

"แล้วพี่วาไปไหนอะพี่ธูป" ขนมมองซ้ายมองขวาหาคนที่ตัวเองกำลังถามถึง

ผมก็เองก็ใช้สายตามองไปรอบๆเช่นกันเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้พี่วาไม่ได้มากับพวกพี่ๆด้วย

"เออ พูดถึงมัน ไอ้ตุลา" พี่ธูปหันหน้าไปคุยกับตุลาแทนที่จะตอบคำถามของขนม

ขนมทำหน้าเหวอๆ พูดคำว่า 'อ้าว' ออกมาแบบไม่มีเสียง

"ครับ?"

"ไอ้วาฝากบอกว่า........"พี่ธูปมีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องสะบัดหน้าเหมือนคนที่คิดเรื่องที่จะพูดไม่ออก "อะไรไม่รู้ละ มึงอ่านไลน์มันด้วย มันไลน์มานานละมึงไม่ตอบ เห็นว่าจะคุยเรื่องค่ายมั้ง ไลน์ไปคุยกันเอง"

"ได้พี่" ตุลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะลงมือกดโทรศัพท์ยิกๆ สงสัยคงจะตอบไลน์พี่วา

พวกผมนั่งทำรายงานกันต่ออีกสักพัก โดยมีพี่ภูผากับพี่ธูปคอยให้คำเเนะนำทำให้การหาเนื้อหาทำรายงานครั้งนี้ลื่นไหลกว่าเดิมมาก

"วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ กูไม่ไหวเเล้ว" ขนมชูมือขึ้นบิดตัวซ้ายขวา ด้วยความเมื่อยล้า

"เออ กูเห็นด้วยหิวข้าวโครตๆ" ตุลาทยอยเก็บของบนโต๊ะใส่กระเป๋า

"กูก็เห็นด้วย กูไม่เข้าใจทำไมกูต้องมานั่งช่วยพวกมึงด้วย แม่ง!" พี่ธูปทำหน้าเบื่อๆ "อีกคนก็ลำบากเพื่อนฝูงชิบหาย" ประโยคท้ายคล้ายๆพี่ธูปจะพูดลอยๆ แต่ผมฟังยังไงก็เหมือนด่าพี่ภูผา

"เดี๋ยววันนี้กูเลี้ยงข้าว" เป็นพี่ภูผาที่พูดกับพี่ธูป

"จริงป้ะ อยากกินชาบูวะวันนี้"

"ฝนตกๆเเบบนี้น่าสน ผมไปด้วยดิพี่" ขนมยกมือขึ้นเห็นด้วยกับพี่ธูป

"ตามอีกหนึ่ง" ตุลาก็เป็นอีกคนที่เห็นด้วย

"ตกลงมติเป็นเอกฉันท์ ชาบูนะเว้ยไอ้ภู"

พี่ภูผาไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับหันหน้ามาทางผมเเทน

"เราอยากกินอะไร"

"ผมเหรอครับ" ผมถามย้ำกลับไปอีกครั้ง

"ใช่ครับ" อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้

"ผะ ผม อยากบะหมี่เกี๊ยวครับ"

"ตกลง ไปกินบะหมี่เกี๊ยวกัน เก็บของดิ" พี่ภูผาหันไปบอกทั้งสามคน โดยทั้งสามคนมีสีหน้าที่เหวอไม่ต่างกัน พี่ธูปกับขนมอ้าปากพะงาบๆ เหมือนอยากจะด่าอะไรสักอย่างเเต่หาคำมาด่าไม่ได้ พี่ธูปเลยได้เเค่ยืนชี้หน้าพี่ภูผาแทน ส่วนผมเหรอครับ ยิ้มหน้าบานสิครับ พี่ภูผาเลือกสิ่งที่ผมอยากกินด้วย ใจดีจังเลยนะคนคนนี้





"เหี้ยเอ้ย ชาบูกู" พี่ธูปใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่ในถ้วยไปมา

"แดกไป อย่าเรื่องมาก อิ่มเหมือนกันไหมสัสธูป" พี่ภูผาหันหน้าไปด่าเพื่อนตัวเอง

"เออกูมันก็แค่เพื่อนไง" พี่ธูปยังคงบ่นไปเรื่อยๆ ทำเอาผมแอบรู้สึกผิดนิดๆที่ไปขัดขวางการกินชาบูของพี่เขา

ตอนนี้พวกเราทั้งหมดอยู่กันที่ร้านบะหมี่ใกล้ๆมหาลัยครับ บรรยากกาศในร้านตอนนี้คนค่อนข้างที่จะหนาตา เสียงคนพูดคุยกันเจื้อยเเจ้ว มองออกไปนอกร้านบนถนนมีรถวิ่งขวักไขว่ไปมาแต่ก็วิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ริมทางเดินมีคนเดินกางร่มผ่านไปมาเนื่องจากฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย ตอนเเรกก็มีที่ท่าว่าจะหยุดตก ผ่านไปสักพักก็ดันตกหนักลงมาอีก ระหว่างการกินบรรยากาศภายในโต๊ะก็มีการพูดคุยกันบ้างเล็กๆน้อยๆ มีพี่ธูปกับขนมที่เถียงกันเเทบจะตลอดเวลา

พวกเราทุกคนต่างจัดการอาหารในส่วนของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ตอนที่เรียกพนักงานมาเก็บเงินผมกำลังจะล้วงเงินในกระเป๋าเพื่อมาจ่ายส่วนของตัวเอง แต่พี่ธูปมาห้ามไว้ บอกว่ามื้อนี้พี่ภูผาเป็นเจ้ามือ ผมมองพี่ภูผาด้วยสายตาที่เกรงใจ แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร





ตอนนี้พวกเรายืนกันบริเวณหน้าร้าน ฝนที่ตกหนักตอนนี้ทำให้ต้องยืนคิดว่าจะกลับกันยังไงดี ตอนมาผมมารถพี่ภูผา ส่วนขนมกับตุลานั่งรถของพี่ธูปมา รถที่จอดอยู่ก็ไม่ได้ไกลจากหน้าร้านมาก เเต่ถ้าวิ่งฝ่าฝนไปก็มีตัวเปียกเเน่นอน

"เอาไงดี วิ่งเลยไหม ถ้ารอฝนหยุดอีกนาน"พี่ธูปเสนอความคิดขึ้น "เดี๋ยวกูไปส่งสองคนนี้เอง มึงไปส่งน้องเทียน"

พี่ภูพยักหน้ารับ และทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของพี่ธูป

"เจอกันมึง" ขนมหันหน้ามาคุยกับผม "ฝากไอ้สีด้วยนะพี่ภู" และหันไปฝากฝั่งผมกับพี่ภูผา ส่วนตุลาเเค่ยกมือลาเท่านั้น

พวกขนมเป็นฝ่ายที่วิ่งไปที่รถก่อน โดยที่ผมยังยืนเตรียมความพร้อมอยู่ตรงบริเวณหน้าร้านกับพี่ภูผา

"พร้อมไหม"

"พร้อมครับ" ผมตอบด้วยความมั่นใจ

"งั้นก็......วิ่ง" อีกฝ่ายออกวิ่งด้วยความเร็ว แต่เดี๋ยวก่อนนะ มือ พี่ภูผาจับมือผมอยู่ตอนนี้

ผมก้มมองมือตัวเองที่ภูผาจับอยู่ ยิ้มออกมาด้ยความรู้สึกดี ขาก็วิ่งไป หน้าก็ก้มมองมือที่จับกันเเน่น ผมกระชับมือของตัวเองให้แน่นขึ้น

"ขึ้นรถเร็วครับ"  พี่ภูผาปล่อยมือผม เปิดประตูรถดันผมให้เข้าไปในรถ

อ้าว! ถึงรถเเล้วเหรอ ทำไมระยะทางการวิ่งมันถึงสั้นจังเลย ผมขอวิ่งต่ออีกสัก 1 กิโลเมตรได้ไหมครับ ผมเข้าไปนั่งในรถโดยมีพี่ภูผาปิดประตูให้ จากนั้นอีกคนก็รีบเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับ เนื้อตัวเปียกไปหมดเลย ผมมองพี่ภูผาที่ตอนนี้ผมลู่ลงมีหยดน้ำไหลหยดลงมา พี่ภูผาใช้มือขยี้หัวตัวเองเเรงๆ ก่อนสะบัดอีกสองสามที หล่อ! หล่อมาก! ขนาดเปียกฝนยังดูดี! ดูดีจนใจสั่นไม่ไหว ผมจ้องมองอีกคนอย่างไม่วางตา

"มีอะไรติดหน้าพี่หรือเปล่าครับ"

"ปะ เปล่าครับ" ผมยกมือสะบัดผมตัวเองที่เปียกไม่ต่างจากของพี่ภูผา เพื่อซ่อนอาการเขินที่โดนจับได้ว่าแอบมอง

ฮัดชิ้ว!

"ขอโทษครับ"  ผมยกมือลูบเเขนของตัวเองขึ้นลงเพื่อขับไล่ความหนาวที่มากระทบผิว

"หนาวเหรอ"

"ครับ" ผมบอกออกไปตรงๆเพราะตอนนี้ผมหนาวมากจริงๆ

พี่ภูผายื่นมือไปปรับแอร์ให้ผม ก่อนจะดึงเสื้อเเขนยาวที่พาดไว้ตรงเบาะส่งมาให้ผม

"ใส่เอาไว้"

"ขอบคุณครับ"

ผมเอื้อมมือไปรับเสื้อที่พี่ภูผายื่นมาให้ จัดการใส่เสื้อด้วยความรวดเร็ว อุ่นจัง ผมยิ้มออกมาเมื่อใส่เสื้อเสร็จ เหมือนเสื้อตัวนี้จะอุ่นเป็นพิเศษเลย ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้ใส่เสื้อของคนที่ที่ชอบด้วย มีกลิ่นของพี่ภูผาติดที่เสื้อด้วย แบบนี้เรียกว่าโดนกอดทางอ้อมหรือเปล่านะ บ้าจริงๆเลยนะสีเทียนคิดอะไรเนีย คิดเองก็เขินเอง คงมีเเต่ผมเเล้วละที่คิดเข้าข้างตัวเองได้ขนาดนี้   แต้มบุญของผมยังเหลืออีกเท่าไหร่นะ วันหยุดนี้ชวนขนมกับตุลาไปสร้างบุญเพิ่มดีไหมเนีย เหมือนช่วงนี้ใช้เเต้มบุญเยอะเกินไปแล้ว

"อาทิตย์หน้าเราว่างหรือเปล่า"

"หือ? อาทิตย์หน้าเหรอครับ?"

"ใช่ครับ"

"พี่ภูผามีอะไรหรือเปล่าครับ พอดีผมนัดกับภาพเขียนไว้"

"ภาพเขียน?" อีกฝ่ายมีสีหน้างงๆกับชื่อของบุคคลที่ไม่รู้จัก "แฟนเหรอ" อีกฝ่ายถามขึ้น สายตามองตรงไปยังถนน

"ปะ เปล่าครับ" ผมโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว "ภาพเขียนเป็นพี่ชายของผมเองครับ" ผมรีบอธิบายให้อีกคนเข้าใจ

"พี่ชาย?"

"ครับ!"

"เกือบไปแล้ว" พี่ภูผาถอนหายใจเบาๆ

"พี่ภูผาว่าอะไรนะครับ" อีกคนพูดเสียงเบาทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดว่าพูดอะไร

"เปล่าครับ" พี่ภูผาหันมายิ้มให้กับผมก่อนจะหันหน้ากลับไปมองถนนต่อ

"ว่าเเต่พี่ภูผาถามทำไมเหรอครับ ว่าอาทิตย์หน้าว่างไหม"

"ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากชวนเราคุยเฉยๆ"

"อ่อครับ" ถึงแม้จะยังงงๆเเต่ถ้าพี่ภูผาพูดมาแบบนั้นก็คงเป็นแบบนั้น







ใช้เวลาบนท้องถนนไม่นานรถก็มาเทียบท่าหน้าคอนโดผมเป็นที่เรียบร้อย

"ขอบคุณพี่ภูผามากๆนะครับ"

"ขึ้นห้องไปอาบน้ำเลยนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย"

"ครับ พี่ภูผาขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ กลับถึงบ้านก็รีบอาบน้ำนะครับ" ผมเว้นระยะคำพูดแป็บนึงก่อนจะพูดต่อ "อย่าลืมสระผมด้วยนะครับ เดี๋ยวจะป่วย ผมเป็นห่วง" ประโยคสุดท้ายผมพูดเสียงที่ไม่ดังมาก แต่คนที่อยู่ใกล้เเบบพี่ภูผาต้องได้ยินเเน่ๆ พี่ภูผาจะมองว่ามันแปลกๆไหมที่อยู่ๆก็มีคนบอกว่าเป็นห่วงเเบบนี้ เเต่ปกติใครๆก็พูดกันเเบบนี้อยู่เเล้วคงไม่เป็นไรหรอก แต่สำหรับคำว่าเป็นห่วงของผมพี่ภูผาคงไม่รู้หรอกว่ามีความรักเป็นส่วนผสมลงไปด้วย

"ครับ คืนนี้ฝันดีนะน้องสีเทียน" รอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาจากพี่ภูผาทำให้ผมรู้สึกหูอื้อตาลายขึ้นมาในทันที

"คะ ครับ พี่ภูผาก็ฝันดีนะครับ"  ผมรีบเปิดประตู ก้าวลงจากรถ ปิดประตูอย่างแรง วิ่งเข้าคอนโดอย่างรวดเร็ว


***มีต่อนะคะ***


หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 5 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 03-02-2021 11:59:20
ต่อ ตอนที่ 5

เมื่อก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง ผมเดินตรงไปยังโซฟาก่อนจะล้มตัวนอนบนโซฟาด้วยความอ่อนเเรง ทั้งๆที่ผมไม่ได้ทำอะไรที่รู้สึกเหนื่อยเลย เเต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองโดนสูบแรงกาย แรงใจออกจากตัวไปเกือบหมดเเล้วนะ ผมลืมตามองแขนตัวเองที่ตอนนี้โดนห่อหุ้มด้วยเสื้อของพี่ภูผา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มออกมา ลืมถอดคืนพี่เขาจนได้ รีบถอดไปซักดีกว่าพรุ่งนี้จะได้ไปคืนพี่ภูผา

ผมจัดการโยนเสื้อพี่ภูผาใส่เครื่องซักผ้า ส่วนตัวเองก็ไปจัดการอาบน้ำสระผมจนเสร็จเรียบร้อย กลับออกมานั่งรอไม่นานเสื้อที่ใส่ถังไว้ก็เสร็จเรียบร้อย ผมหยิบเสื้อออกมาแขวนตากลมโดยการนำพัดลมไปจ่อไว้ หวังว่าจะเเห้งทันเเละไม่มีกลิ่นอับนะ

ผมยืนมองเสื้อของพี่ภูผาที่ปลิวสะบัดไปตามเเรงลม ผมยืนกอดอกคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านๆมา หนึ่งปีที่ผมทำได้เพียงแค่แอบชอบพี่ภูผาอยู่เงียบๆในพื้นที่ของตัวเอง พยายามแอบส่อง แอบมอง โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัว ทำเนียนๆซื้อขนมๆไปให้ พาตัวเองไปแทรกตัวใกล้ๆพี่เขาด้วยสถานะรุ่นน้องคนนึงที่ต้องทำงานร่วมกัน แต่หลังจากเหตุการณ์ร้านเหล้าจนถึงวันนี้ เป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ จากคนที่อยู่ในมุมที่ไฟส่องสว่างไม่ค่อยจะถึง มาวันนี้เหมือนไฟดวงนั้นค่อยๆหันมาในมุมที่ผมยืนอยู่จนมันค่อยๆสว่างขึ้น ตอนนี้ผมชักไม่เเน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผมก้าวไปเอง หรือเป็นพี่ภูผาที่ก้าวมาหาผมแทน ผมรู้สึกว่าเราใกล้กันมากขึ้นและเหมือนระยะห่างยิ่งลดลงเรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ตอนนี้ผมรู้เพียงแค่ว่ามือของพี่ภูผามันอุ่นมากๆจนผมอยากที่จะจับมือคู่นั้นไปเรื่อยๆ

"ถ้าพี่ภูผายังใจดีเเบบนี้ผมก็เเย่สิครับ" ผมพูดกับเสื้อของพี่ภูผาที่แขวนอยู่

"การที่พี่เปิดโอกาสให้ผมสามารถขยับเข้าใกล้พี่ได้เเบบนี้ แล้วผมจะห้ามใจตัวเองให้อยู่ในมุมมืดของตัวเองได้ยังไงกันครับ"

"ผมจะมีโอกาสได้ไปยืนข้างๆพี่ไหมครับ"

  ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดที่วิ่งวุ่นวายอยู่ภายในหัว ก่อนจะเดินไปปิดไฟ เดินเข้าไปในห้องนอน วันนี้ขอพักก่อนก็แล้วกันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที วันนี้ทำดีแล้วนะสีเทียน





"พวกพี่ๆสวัสดีครับ"

"มาทำไมมึงอ่ะ"

"พวกพี่ๆสวัสดีครับ" ผมเอ่ยทักทายพวกพี่ๆที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

"น้องสีเทียนมาหาพี่เหรอครับ มีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ" พี่ธูปเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงหวานๆ

"โหยไอ้พี่ธูปความลำเอียงนี้" ขนมโวยวายออกมา และเหมือนทั้งสองคนกำลังตั้งท่าจะเปิดศึกกัน ผมจึงรีบเอ่ยแทรกก่อนที่ศึกจะเปิดเเละลากยาว

"คือ พี่ภูผาไม่อยู่เหรอครับ" ผมถามออกไปเมื่อมองไปรอบๆเเล้วไม่เจอคนที่ต้องการเจอตัว

"เอ่อ คือ....." พี่ธูปทำหน้าเหมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"เอ้าน้องเทียน ขนม มาทำอะไรกันจ้ะ"

"พี่เบลล์สวัสดีครับ" พวกผมสองคนยกมือไหว้ทักทายพี่เบลล์



เมื่อพูดถึงพี่เบลล์ก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ วันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่พี่เบลล์ชนผมล้มเป็นแผลมีเลือดไหลซึมนิดๆ ตอนเช้ามาพี่เบลล์หิ้วกระเช้าผลไม้กระเช้าใหญ่มาให้ผม ซึ่งผมงงมาก ว่าทำไมถึงเล่นใหญ่อะไรขนาดนี้ คือผมเเค่โดนอะไรไม่รู้เกี่ยวนิดเดียวเอง เมื่อผมบอกไปว่าผมเป็นแผลเเค่นิดเดียวเองนะครับไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ พี่เบลล์ก็ตอบกลับมาว่า

'นั่นนะสิพี่ก็ว่าน้องเทียนเป็นเเผลนิดเดียวนะ เเต่พี่กลับโดนใครบางคนด่าจนพี่คิดว่าพี่ขับรถชนน้องเทียนแขนหัก'          ตอนนั้นผมได้เเต่ส่งยิ้มเจื่อนๆออกไปให้พี่เบลล์ที่ยืนทำหน้าเหมือนโกรธใครสักคน

'ไหนๆพี่ก็ซื้อมาเเล้วช่วยรับไว้ด้วยนะ ไม่งั้นพี่คงรู้สึกผิดไปอีกนาน พี่ขอโทษนะที่ทำเราเจ็บ'                                    ผมอมยิ้มกับสีหน้าที่จริงจังของอีกฝ่าย ใครไปว่าพี่เบลล์เนีย ผมถามว่าใครต่อว่าพี่เบลล์ พี่เบลล์ก็บอกเเค่ว่าอย่าไปสนใจคนเเบบนั้นเลย สุดท้ายผมก็ต้องย้ำพี่เบลล์อีกรอบว่าไม่เป็นไร วันนั้นผมก็ผิดหมือนกัน และแล้ววันนั้นทุกคนก็ได้กินผลไม้แสนอร่อยกันถ้วนหน้า



"พอดีพาไปสีมาหาพี่ภูหนะพี่ ไอ้สีจะเอาเสื้อมาคืนพี่ภู"

"อ่อภูเหรอ เหมือนจะอยู่เเถวๆหน้าห้องน้ำสุดทางเดินเเถวๆบันไดนะ"

"ไอ้เบลล์!" เป็นพี่วาที่ตะโกนเรียกชื่อพี่เบลล์เสียงดัง และเหมือนกับว่าสาวเจ้าจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเหมือนจะทำอะไรผิดพลาดไป จึงรีบยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองไว้

"น้องเทียนนั่งรอไอ้ภูตรงนี้ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวมันก็กลับมาเเล้ว" พี่วาหันหน้ามาคุยกับผม

"พวกผมรีบอ่ะดิพี่วา" ขนมพูดขึ้น "ไปเหอะสีได้ไปเคลียร์งานต่อ" ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับขนม

"ขอบคุณนะครับพี่เบลล์" ผมก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อขอบคุณพี่เบลล์ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวพี่ๆไปหาพี่ภูผา

"มึงโดนเเน่ไอเบลล์" "เตรียมไปบวชชีเลยมึง"ผมได้ยินเสียงพี่วาเเละพี่ธูปด่าพี่เบลล์ลอยตามหลังมา



ผมกับขนมเดินมาตามทางเดินเพื่อตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ตรงมุมบันได เมื่อเดินไปใกล้ๆก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนกำลังคุยอะไรสักอย่างกับใครสักคน เสียงของคู่สนทนาที่ดังออกมาทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินอยู่ทันที

"ภูไปเป็นเพื่อนอิงหน่อยได้ไหมคะ"

"ผมบอกไปแล้วว่าไม่ว่าง ต่อให้ว่างก็ไม่ไป" เสียงของพี่ภูที่เปร่งออกมาบ่งบอกว่าอีกคนเริ่มที่จะหงุดหงิด

"ภูจะปล่อยให้อิงไปคนเดียวได้ไงคะ อิงอายเพื่อนเเย่เลย"

"นั่นมันเรื่องของอิง ไม่เกี่ยวกับผม"

"ภูขาาาาาาาาาา" พี่ผู้หญิงที่ชื่ออิงเรียกพี่ภูผาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน เเละออดอ้อน มือทั้งสองข้างคล้องอยู่กับเเขนของพี่ภูผา

ผมยืนหลบมุมอยู่กับขนมตรงใกล้กับที่ภูผายืนอยู่ สายตาผมมองไปยังมือของผู้หญิงคนนั้นที่คล้องอยู่ที่เเขนของพี่ภูผา กับท่าทางที่ออดอ้อนนั้น ทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ตรงใจของตัวเอง เเต้มบุญผมคงใช้หมดไปแล้วจริงๆสินะจึงมาเห็นอะไรแบบนี้

นี่สินะความรู้สึกของคนที่อยู่ในสถานะคนแอบชอบ เมื่อรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกเศร้า ก็ทำได้เพียงเเค่ยืนเสียใจอยู่ในมุมของตัวเองที่ยืนอยู่ โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยได้รับรู้ ก็เป็นเเค่คนแอบชอบนี่น่า เขาจะทำอะไรก็ได้เพราะมันเป็นสิทธิ์ของเขา หรือผมจะจีบพี่ภูผามาเป็นเเฟนผมดี ผมจะได้มีสิทธิ์ทำอะไรได้เต็มที่ แต่ถ้าจีบแล้วพี่เขาไม่เล่นด้วยก็จบกันพอดี เฮ้อ! ผมควรจะนั่งรออยู่ที่โต๊ะเหมือนที่พี่วาบอกจริงๆด้วย ต่อให้รู้ว่าพี่ภูผามีคนชอบเยอะเเยะเต็มไปหมด เเต่ให้มาเจออะไรเเบบนี้ก็เซได้เหมือนกันนะครับ

"พี่อิงฟ้าคนสวยของคณะมนุษย์มาแอบทำอะไรตรงนี้กับพี่ภูวะ" ขนมพูดทั้งๆที่สายตายังจ้องมองไปยังทั้งสองคน "ไอ้สี" ขนมเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วง

"เรากลับกันก่อนเถอะขนม แอบดูอย่างนี้ไม่ดีนะ" ผมก้มหน้าซ่อนตาที่เริ่มเเดงขึ้นนิดๆ

"พี่ภูแม่ง! เหมือนจะมาให้ท่าเพื่อนกูอยู่เลยก่อนหน้านี้" ขนมบ่นออกมา

"ไปกันเถอะ" ผมยื่นมือไปดึงขนมให้เดินตามมา แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมไม่ง่ายๆเหมือนกัน

ผมพยายามดึงขนมให้ออกไปจากตรงนี้ด้วยเเรงทั้งหมดที่มี ผมอยากออกไปจากตรงนี้ ไม่อยากเห็นตอนที่พี่ภูผาอยู่กับคนอื่น ยิ่งอยู่ในที่ลับตาคนเเบบนี้เเสดงว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ฝ่ายหญิงก็มีท่าทีที่ออดอ้อนพี่ภูผาขนาดนั้น แสดงว่าคงสนิทกันมากพอตัว ผมอยากกลับไปตั้งหลักให้กับหัวใจของตัวเองที่รู้สึกเจ็บจี๊ดๆอยู่ตอนนี้ แต่เหมือนว่าลูกพี่ลูกน้องที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนของผมที่ชื่อขนมเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจผมสักเท่าไหร่ เพราะจู่ๆเจ้าตัวก็ตะโกนเสียงดังออกมา

"พี่ภู! สวัสดีครับ"

ขน๊มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 03-02-2021 14:21:25
ขนมใจเด็ดมาก o13 ตอนหน้าคงสนุก
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 6) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 04-02-2021 07:52:40
ตอนที่ 6 การตกหลุมรักซ้ำๆของคนแอบชอบ


"พี่ภู! สวัสดีครับ"

เมื่อสิ้นเสียงของขนม ความเงียบก็คืบคลานเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณหน้าห้องน้ำ พี่ภูผากับพี่อิงฟ้าหันหน้ามาทางพวกผมอย่างพร้อมเพรียงกัน พี่อิงฟ้ามีสีหน้าที่สงสัยและไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ส่วนพี่ภูผาหันหน้ามองมายังผม เมื่อเห็นสายตาของพี่ภูผาที่มองมา ทำให้ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาของพี่ภูผาอย่างรวดเร็ว ถ้าให้ผมมองหน้าพี่ภูผาตรงๆในตอนนี้ น้ำตาผมได้ไหลเเน่ๆ คนแอบชอบก็เจ็บเป็นนะครับ

"พวกน้องมีอะไรหรือเปล่า" พี่อิงฟ้าเอ่ยถามพวกผมด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ

"พี่ภู อยู่นี่เอง หาตั้งนาน" ขนมมองผ่านคำถามของพี่อิงฟ้าไป หันไปทักทายกับพี่ภูผาแทน

"มีอะไร" พี่ภูผาถามขนม เเต่สายตายังคงจ้องมองมาที่ผมไม่ละไปไหน

"ไอ้สีอ่ะดิพี่ มันอยากเจอพี่"

ขนมเอื้อมมือมาดึงผมให้ขยับมายืนใกล้ๆตัวเอง ทำให้ตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงหน้าของพี่ภูผาพอดิบพอดี

"เราอยากเจอพี่เหรอครับ"

"คะ คือว่า ผมจะเอาเสื้อที่ยืมไปเมื่อคืนมาคืนครับ" ผมยื่นถุงไปตรงหน้าพี่ภูผา

พี่ภูผาเอื้อมมือมาหยิบถุงไปไว้ในมือ เปิดถุงดูของที่อยู่ด้านในนิดหน่อย ก่อนจะปิดถุงไว้เหมือนเดิม

"ขอบคุณมากครับ" รอยยิ้มของพี่ภูผาถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง

"คะ ครับ" ผมก้มหน้าตอบรับอีกฝ่าย เพราะไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าพี่ภูผาเลย ยิ่งเห็นพี่อิงฟ้ายืนข้างพี่ภูผายิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆในใจมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของพี่เขาจะทำให้ผมใจเต้น ก็ไม่สามารถเพียงพอที่จะลบล้างความเศร้าที่อยู่ภายในใจให้หายไปหมดได้

"รุ่นน้องภูเหรอคะ"  พี่อิงฟ้าใช้เเขนของตัวเองไปคล้องกับเเขนพี่ภูผา

"อืม"

"คืนของกันเสร็จแล้ว เรามาคุยเรื่องของเราต่อสิค่ะ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย" พี่อิงฟ้ามีสีหน้าเว้าวอน ติดอ้อนๆนิดหน่อยให้พอดูน่ารัก น่าเอ็นดู

"เอ่อ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ" ผมเอ่ยขอตัวกับอีกฝ่าย เพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจไปมากว่านี้ ผมก้มหัวให้พี่ภูผากับพี่อิงฟ้านิดหน่อย ก่อนจะยื่นมือไปดึงชายเสื้อของขนมให้เดินตามมา ตอนเเรกขนมก็มีท่าทีดื้อดึงไม่ยอมเดินตามมา เเต่เมื่อผมเงยหน้าไปสบตากับเพื่อนรัก ขนมก็เลิกยื้อ ยอมอ่อนตามแรงดึงของผม



ฟึบ!

ผมที่หันหลังยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนก็ต้องหยุดชะงัก เพราะรู้สึกว่าข้อมือข้างนึงของตัวเองโดนใครบางคนจับไว้และดึงเบาๆ ผมหันไปมองตามเเรงดึงก็เห็นว่าเป็นมือของพี่ภูผาที่จับข้อมือผมอยู่ ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่งุนงง

"เดี๋ยวก่อนครับ"

ผมเอียงคอมองอีกฝ่าย ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เห็นจะเข้าใจเลยพี่ภูผาจะยื้อไว้ทำไม ไม่ดีหรือไงที่พวกผมกำลังจะไป จะได้ไม่ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอพวกพี่ทั้งสอง



"มีไรป้าวพี่" เป็นขนมที่ถามขึ้น เมื่อเห็นพี่ภูผาไม่ยอมปล่อยข้อมือผมสักที เเละผมก็มองพี่ภูผาเฉยๆไม่ได้ถามอะไรออกไป

"กูมีเรื่องจะคุยกับเพื่อนมึงหน่อย" พี่ภูผาหันหน้าไปตอบขนม

"เราต้องเลี้ยงกาแฟพี่นะ " พี่ภูผามองมาที่ผมโดยที่ผมไม่สามารถคาดเดาสายตาที่มองมาได้

"ผะ ผม เหรอครับ" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเเบบงงๆ

"ใช่ ก็เรายืมเสื้อพี่ไป เราก็ต้องเลี้ยงกาแฟพี่เป็นการตอบแทนด้วยครับ"

หือ ผมเอียงหน้าน้อยๆ กระพริบตาปริบๆ มองผู้ชายที่ยืนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ 

"ฮ่าๆ เอาแบบนี้เลยนะพี่ภู" ขนมพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง



"ภูจะไปไหนคะ" ผู้หญิงคนเดียวที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

พี่ภูผาปล่อยข้อมือผม ก่อนจะใช้มือข้างนั้นเเกะเเขนของพี่อิงฟ้าที่กำลังเกาะเกี่ยวเเขนของเจ้าตัวให้หลุดออกจากการเกาะเกี่ยว

"ผมจะไปกับน้อง ส่วนเรื่องไปงานเลี้ยงผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ไป อิงกลับไปเรียนเถอะ" ว่าจบพี่ภูผายื่นมือมาจับมือผม ออกเเรงดึงเบาๆให้ผมเดินตามไป

"พี่ภู อีกครึ่งชั่วโมงไอ้สีต้องเข้าเรียนนะเว้ยพี่" ขนมตะโกนตามหลังมา

"ภู! เดี๋ยวก่อน ภู!" เสียงพี่อิงฟ้าก็ไล่ตามหลังมาติดๆ





ผมเดินตามเเรงดึงของพี่ภูผาไปเรื่อยๆ สายตาก็เหลือบมองมือของเราที่ผสานกันอยู่ ใจก็อดไม่ได้ที่จะเต้นเเรงขึ้นมาอีกครั้ง ได้จับมือกันอีกเเล้ว เมื่อกี้ผมยังรู้สึกเศร้าอยู่เลย แต่เพียงเเค่ได้จับมือพี่ภูผาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างง่ายดายเลย

"เฮ้ย! ไอ้ภู จะพาน้องสีเทียนไปไหนวะ" เสียงพี่ธูปตะโกนถามขึ้น ในตอนที่เราสองคนกำลังเดินผ่านโต๊ะของพวกพี่ๆที่นั่งกันอยู่

"เสือก" พี่ภูผาหันหน้าไปตอบคำถามพี่ธูป "เดี๋ยวกูกลับมาเคลียร์พวกมึงเเน่" พี่ภูผาส่งสายตาคาดโทษไปให้เพื่อนๆที่นั่งกันอยู่

"กูไม่เกี่ยวนะเรื่องนี้" เสียงพี่วาพูดขึ้น

"องค์พ่อมาเเล้ว" ตามมาด้วยเสียงของพี่ธูป

"รอบนี้กูต้องจัดพานไปขอขมาน้องเทียนหรือเปล่าวะ" ปิดท้ายด้วยเสียงของพี่เบลล์



ผมโค้งตัวสั้นๆสองสามทีให้พวกพี่ๆเพื่อเป็นการบอกลาขณะที่กำลังจะเดินพ้นโต๊ะที่พวกพี่ๆนั่งกันอยู่ ผมรีบหลบสายตาทันทีที่บอกลาพวกพี่ๆเสร็จ เพราะสายตาพวกพี่ๆที่มองมาตอนที่ผมเงยหน้าไปสบตาด้วย มันทำให้ผมรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าเเบบไม่รู้สาเหตุ สายตาเเต่ละคนมันเหมือนว่ากำลังพบเจอเรื่องสนุกๆ มันดูกรุ้มกริ่มเเบบไม่น่าไว้ใจ





"เราเอาอะไรไหม"

พี่ภูผาหันมาถามผม เมื่อเราทั้งคู่มาถึงร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆกับตึกคณะ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ อีกฝ่ายหันไปสั่งส่วนของตัวเอง ส่วนผมเดินมานั่งที่โต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน

"ค่ากาแฟเท่าไหร่ครับ" ผมว่าขึ้นพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกางเกง เพื่อจะหยิบเงินมาให้อีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาพน้อมกับแก้วกาแฟในมือ

"ไม่เป็นไรครับ พี่ซื้อเอง"

"แต่ว่า...."

"ไม่ดื้อนะครับ"

ในใจผมอยากตะโกนถามออกไปว่า ผมดื้อตรงไหนกันครับ เเต่ความเป็นจริงทำได้เพียง

"คะ ครับ" เชื่อฟังเขาอย่างง่ายดาย ผมชักมืออกจากกระเป๋า มาประสานกันวางไว้บนตักเเทน เม้มปากเข้าหากันเพื่อซ่อนอาการประหม่าของตัวเอง ไหนตอนเเรกบอกว่าจะให้เลี้ยงกาแฟ พี่ภูผานี่ยังไงนะ เดาอารมณ์ไม่ถูกเลย



"พี่กับอิงฟ้าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน" จู่ๆพี่ภูผาก็พูดขึ้นมาโดยไร้ซึ่งการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น

"ครับ?"

"อิงฟ้าเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทเเม่พี่เอง รู้จักกันมาตั้งเเต่เด็กๆ เล่นอยู่กลุ่มเดียวกัน ไอ้วากับไอ้ธูปก็อยู่ด้วยกัน" อีกฝ่ายว่าต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าผมที่กำลังมึนงงอยู่ในตอนนี้สักเท่าไหร่ "อิงฟ้ามาชวนพี่ไปงานเลี้ยงที่บริษัทเฉยๆ ไม่มีอะไรเกินเลยทั้งนั้น"

".........................."

"เราเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมครับ"

"........................." ผมยังคงนิ่งเงียบ นั่งก้มหน้าหลบสายตาของพี่ภูผาที่มองมา

"สีเทียนครับ" อีกฝ่ายเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดุนิดๆ

"ครับ"

"เข้าใจที่พี่พูดไหมครับ"

"เข้าใจครับ"

"เข้าใจว่าอะไรครับ" พี่ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆกับใบหน้าของผม จนหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาก็จ้องมองมายังใบหน้าของผม ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเขินมากๆ

"เข้าใจว่า พี่ภูผากับพี่อิงฟ้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน ไม่มีอะไรเกินเลยกันครับ" ผมหลับตา พูดเร็วๆตอบอีกฝ่ายไป

"ดีมากกครับ" พี่ภูผายื่นมือมาขยี้หัวผมด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอนหลังไปพิงกับเก้าอี้ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ผมเหลือบสายวตาแอบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย คนอะไรกินกาแฟยังทำให้ใจเต้นเเรงได้ ร้ายเกินไปแล้ว



ผมไม่เข้าใจพี่ภูผาเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆพี่ภูผาถึงพูดเรื่องพี่อิงฟ้ากับผม ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับผมด้วยซ้ำ มันคล้ายๆกับว่าพี่ภูผากลัวผมจะเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของเขากับพี่อิงฟ้าอย่างนั้นเเหละ แต่การกระทำในครั้งนี้ของพี่ภูผามันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆเลย เเละผมก็อยากจะพูดคำคำนึงกับพี่ภูผามากๆนั้นคือคำว่า

"ขอบคุณนะครับ"

ผมยิ้มกว้างชนิดที่ว่าเห็นฟันครบ 32 ซี่ หลังจากพูดคำว่าขอบคุณเสร็จ อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร มีเพียงรอยยิ้มที่ถูกส่งกลับมา และเป็นอีกครั้งที่ผมตกหลุมรักผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า แค่นี้หลุมก็ลึกมากพอเเล้วนะ พี่จะทำให้หลุมมันลึกไปถึงไหนกันละครับเนีย



 ผมรู้สึกขอบคุณพี่ภูผามากจริงๆที่ยอมพูดเรื่องพี่อิงฟ้ากับผม เพราะถ้าพี่ภูผาไม่บอกถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน วันนี้ทั้งวันผมอาจจะจมอยู่กับความเศร้าก็ได้ ไม่ว่าพี่ภูผาจะมีเหตุผลอะไรที่ทำเเบบนี้แต่ผมก็อยากบอกขอบคุณมากๆเลยครับ



เเละผมคิดว่าถ้าพี่ภูผายังใจดีกับผมอยู่เเบบนี้ มันจะทำให้ผมได้ใจเเละคิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่ก็ชอบผมเหมือนกัน ถึงเเม้ว่าบางทีความรู้สึกของพี่ภูผาอาจจะเป็นเเค่พี่ชายเอ็นดูน้องชายเท่านั้น เเต่สำหรับคนแอบชอบเเบบผม สถานะพี่น้อง มันเจ็บปวดจึ๊กๆนะครับ ผมยังไม่พร้อมมีพี่น้องเพิ่มในตอนนี้นะครับ



ผมกับพี่ภูผานั่งคุยกันต่อที่ร้านกาแฟอีกสักแป็บ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าเรียน พี่ภูผาเดินมาส่งผมที่หน้าห้องเรียน ก่อนจะขอตัวกลับเพราะตัวเองก็ต้องไปเข้าเรียนเหมือนกัน ผมหันซ้าย หันขวาทีสองที ก็เจอกับเพื่อนๆทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงกลางห้อง เห็นดังนั้นผมจึงยิ้มกว้าง เดินไปหาเพื่อนๆทั้งสองที่นั่งรออยู่เเล้ว

"ยิ้มมาเเต่ไกลเลยนะ" ตุลาเอ่ยทักขึ้น

"กูก็คิดว่าวันนี้จะได้ปลอบเด็กซะอีก"

"ขนมก็ว่าไป เราไม่ใช่เด็กๆสักหน่อย" ผมยู่ปากใส่อีกคน

"แล้วพี่ภูลากมึงไปไหนมา" ตุลาหันมาถามต่อ สงสัยขนมคงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตุลาฟังเเล้ว

"ไปร้านกาแฟ"

"แล้วพี่ภูว่าไงบ้าง กับพี่อิงฟ้าสาวสวยคณะมนุษย์ มันยังไง"ขนมเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดๆ จนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

"เขารู้จักกันมาตั้งเเต่เด็กๆ เป็นเเค่เพื่อนกัน พี่อิงฟ้าเเค่มาชวนพี่ภูไปงานเลี้ยงด้วยกัน"

"น่าน! เพื่อนเรา ธรรมดาที่ไหนเดี๋ยวนี้ ปกติมันต้องเป็นหน้าที่กูกับไอ้ลาที่ต้องคอยไปตามสืบให้มึงไม่ใช่เหรอวะสี"

"นั่นดิสี ไม่ธรรมดานะเราเดี๋ยวนี้" ตุลายื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

"ทั้งสองคนอย่าล้อ เราเขิน" ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันทีที่พูดจบ



"มึงเมื่อกี้กูเจอพี่ภูผาของมึงด้วย ยังหล่อดูดีเสมอต้นเสมอปลายไม่มีแผ่ว" คำพูดของเพื่อนร่วมคลาสดังขึ้น ชื่อของพี่ภูผาที่อยู่ในวงสนทนาทำให้ผมเอียงหน้าไปมองด้วยความสนใจ

"ว่าเเต่ดาว เมื่อไหร่มึงจะไปบอกชอบพี่เขาสักทีวะ เเอบชอบมาตั้งนาน ไม่ยอมทำอะไรสักที"

"เราคิดมาเเล้วเเหละ ว่าเราจะบอกชอบพี่เขา ผลจะออกมายังไงเราก็จะยอมรับ อย่างน้อยๆขอเเค่ได้บอกให้พี่เขาได้รับรู้ว่าเราชอบเขาก็ยังดี" คนที่น่าจะชื่อดาวพูดขึ้น

"เออ สักทีเหอะ เห็นเเล้วสงสารเหี้ยๆ แอบชอบมาราธอนชิบหาย"เพื่อนอีกคนของคุณดาวเอ่ยเห็นด้วย

"เนอะ ยังไงก็คงไม่สมหวังอยู่เเล้ว เพราะงั้นบอกชอบให้รู้เเล้วรู้รอดไปเลยเนอะ จะได้รู้ไปเลยว่าต้องทำยังไงต่อ" คุณดาวว่าขึ้น คล้ายๆว่าเขาจะทำใจมาเเล้วระดับนึง เเต่ก็ยังเลือกที่จะบอกกับพี่ภูผา เพื่อเเสดงตัวตนของตัวเองออกมา

"สู้ๆมึง" "กูอยู่ข้างมึงเสมอ"



ผมหันกลับมามองเพื่อนๆทั้งสองคน ที่ตอนนี้หันมองมาทางผมอย่างพร้อมเพรียง ผมยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าผมโอเค ซึ่งผมก็โอเคจริงๆนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะชอบพี่ภูผา ซึ่งผมไม่มีสิทธิ์ไปหึงหวงใดๆทั้งสิ้น ผมรู้สถานะของตัวเองดี จะมีก็คงอารมณ์ลุ้นระทึกละมั้งครับ เพราะถ้าคนที่ชื่อดาวไปบอกชอบเเล้วพี่ภูผาตกลง สถานะของผมก็คงต้องจบ ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเองเป็นคนเลือกที่จะเป็นเเบบนี้เอง ฟังเหมือนผมจะเป็นคนดีใช่ไหมครับ เเต่ดีไม่จริงหรอก ในใจส่วนลึกก็มีภาวนาให้พี่ภูผาบอกปฏิเสธเหมือนกัน





เวลาในเเต่ละวันช่างผ่านไปเร็วจนรู้สึกราวกับว่าในเเต่ละวันได้ทำสิ่งต่างๆเเค่ไม่กี่อย่าง เช้าเรียน เที่ยงพัก บ่ายเรียนต่อจนถึงเย็น วันนี้ทั้งวันทำได้เเค่เรียน กิน เรียน ก็หมดไปอีกหนึ่งวันเเล้ว 24 ชั่วโมง บางทีก็ดูน้อยไปนะ

"พวกมึง พี่วาบอกว่าให้ไปคุยเรื่องค่ายที่ห้องประชุมวะ" ตุลาเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มาคุยกับพวกผม

"ตอนนี้เนียนะ" ขนมถามย้ำด้วยน้ำเสียงโอดครวญนิดหน่อย

"เออ ไปให้ไว อย่าบ่นมาก" ตุลาพาดเเขนไปลากคอขนมให้เดินตามมา ผมได้เเต่ส่ายหน้า อมยิ้มให้กับเพื่อนทั้งสองที่ลากถูกันอยู่ตอนนี้





เรื่องค่ายที่พวกผมพูดถึงกันเป็นค่ายที่ทางคณะจัดขึ้นครับ โดยที่เด็กปีหนึ่งทุกคนต้องเข้ากิจกรรมนี้ เป็นค่ายที่เกี่ยวกับจิตอาสา โดยปีสองต้องคอยดูเเลปีหนึ่ง  เเละจะมีพี่ปีสามคอยดูเเลภาพรวมอีกทีนึง ส่วนพี่ปีสี่แล้วเเต่ความว่างของเเต่ละคนเลยครับ  โดยมีอาจารย์ประจำคณะไปด้วยสี่ท่าน กิจกรรมสร้างขึ้นเพื่อกระชับสัมพันธ์พี่น้อง เพื่อน ให้สนิทกันมากยิ่งขึ้น เน้นสร้างสรรค์ ได้ประโยชน์จริงๆ โดยในเเต่ละปีจะไปประมาน 5 วัน ครับ





พวกผมเดินมาถึงห้องประชุมก็เจอกับพวกพี่ปีสามประมาณ 12 คนซึ่งผมก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะเป็นพวกเพื่อนๆของพี่ภูผาทั้งนั้น  โดยมีพี่ปีสี่อยู่ประมาณ 5คน ส่วนปีสองก็รับสมัครอาสาประมาณ 35 คน ตุลากับขนมสองคนนี้เขาชอบกิจกรรมอะไรเเบบนี้อยู่เเล้วครับ ทำให้ผมต้องไปด้วยโดยปริยาย

"น้องเทียน" ผมหันไปตามเสียงเรียกชื่อของตัวเอง ก็เจอกับพี่วาที่กวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปหา

"สวัสดีครับพี่ๆ" พวกผมทั้งสามคนยกมือไหว้ทักทายพวกพี่ๆที่นั่งกันอยู่

"หวัดดีๆ นั่งก่อนๆ" พี่ผู้ชายคนนึงว่าขึ้น ก่อนขยับนิดๆหน่อย จนเหลือพื้นที่บนพื้นมากพอให้พวกผมเเทรกตัวลงไปนั่งได้

"พี่ธูปไปไหนอ่ะพี่วา" ขนมหันไปถามพี่วาเพื่อนเห็นว่าคู่อริของตัวเองไม่อยู่บริเวณนี้

"ไปขนน้ำกับไอ้ภู" พี่ว่าตอบขนม ก่อนจะหันมาคุยกับผม "น้องเทียน พี่ขอยืนยันอีกเสียงว่าอิงฟ้าเป็นเเค่เพื่อนจริงๆ ตอนเด็กๆพวกเราเล่นด้วยกันตลอด" พี่วาส่งยิ้มน่ารักมาให้ผม ประโยคของพี่วาถึงกับทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเลย



"น้องเทียน! มาตั้งเเต่เมื่อไหร่ครับ"

"คือคนแปลกหน้ามาเพิ่มตั้งหลายคน แต่ทักแค่ไอ้สี" ขนมไม่วายต้องหันไปเปิดศึกกับพี่ธูป

"ก็คนอื่นไม่ได้อยู่ในสายตากูไง" พี่ธูปเดินมาผลักหัวขนม ก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆขนม ผมละไม่เข้าใจสองคนนี้จริงๆ ทั้งๆที่ทะเลาะกันตลอด เเต่ก็ชอบอยู่ใกล้ๆกันตลอด

"ทำไมไปนานจังวะ กูคิดว่าไปผลิตน้ำกันเอง" พี่วาถามขึ้น

"ไอ้ภูดิ เจอสาวมาดักรอบอกรักระหว่างทาง กูล่ะเบื่อคนหล่อ" พี่ธูปตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาปกติที่พบเจอได้ในทุกๆวัน

"เเล้วเป็นไงคนนี้"

"ก็น่ารักดี เเต่ก็เหมือนเดิม โดนปฏิเสธเเบบไร้เยื่อใยสุดๆ"

ผมว่าพี่วากับพี่ธูปจะสบายๆเกินไปหรือเปล่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือคนคนนึงอกหักเลยนะ แล้วพี่ภูผาปฏิเสธเเบบไร้เยื่อใยขนาดไหนเนีย ไม่ใช่ว่าจะโดนคนอื่นเกลียดไปแล้วนะ



ฟึบ!  ผมสะดุ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าที่นั่งข้างๆผมมีใครสักคนนั่งลงมา ทั้งๆที่ตอนเเรกก็มีคนนั่งข้างผมอยู่เเล้วนะ เมื่อหันหน้าไปก็เจอกับบุคคลที่ไม่เคยจะอ่อนโยนกับหัวใจผมเลยนั่งอยู่ข้างๆ

ผมรับรู้ได้ถึงความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ละสายตาจากผู้ชายที่นั่งข้างๆไปมองรอบๆวง ก็เจอกับสายตาของพวกพี่ๆ รวมทั้งเพื่อนรักทั้งสองคนของผมมองมา จนทำให้ผมรู้สึกเขิน จนทำตัวไม่ถูก รู้สึกว่ามือไม้ดูเกะกะไปซะหมด

"เหมือนโลกมีเเค่เราสอง"

"บางทีเพื่อนเราก็เกินไป"

"ให้เขาหน่อย อ่อยอยู่นาน แต่เด็กมันซื่อ"

"หวงเก่ง หวงทั้งที่เด็กไม่รู้ว่ามันหวง"

"สงสารใจเพื่อนผมด้วยค้าบบบบบบบ"

ผมไม่สามารถเเยกเเยะได้จริงๆในตอนนี้ว่าประโยคไหนเป็นของใคร ใครพูดอะไร ใครทำสีหน้าอย่างไร สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ในตอนนี้คือ พื้นตรงนี้มีรูบ้างไหมครับ ผมอยากกระโดดลงรูเเล้วกลบดินฝังตัวเองมากๆ

"จะประชุมกันได้ยัง ไม่ประชุมกูกลับนะ" พี่ภูผาพูดขึ้น

"ไอ้นี่ก็ใจร้อนจังวะ มาๆๆ ทุกคนรวมตัวครับ"



พวกเราใช้เวลาประชุมเกือบสามชั่วโมง กว่าจะได้ข้อสรุปในเเต่ละหัวข้อยิบย่อย จริงๆวันนี้พวกเราประชุมกันเเค่หัวข้อยิบย่อยในรายละเอียดเล็กน้อยครับ หัวข้อใหญ่อย่างจะไปที่ไหน เมื่อไหร่ ตรงส่วนนี้เรามีกำหนดการ การเตรียมงาน ประสานงานกันเรียบร้อยเเล้วครับ เราจะไปกัน 5 วัน ไปช่วยซ่อมเเซมโรงเรียนในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งกำหนดการคือต้นเดือนที่ใกล้จะถึงนี้ โดยรายละเอียดยิบย่อยในวันนี้จะมีตุลาที่ทำหน้าที่ในการส่งต่อข้อมูลให้กับน้องๆชั้นปีที่1 อีกที เมื่อทุกอย่างลงตัวก็ถึงเวลาที่ต้องเเยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน


***มีต่อ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่6 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 04-02-2021 07:53:31
ต่อ ตอนที่ 6

เปรี้ยง! โครม! ซ่า! ซ่า!



เมื่อออกจากหอประชุมสิ่งที่พวกเราพบเจอก็คือฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างหนักหน่วง เเล้วผมจะกลับบ้านยังไงละเนีย

"กลับกันยังไงอ่ะพวกเรา" พี่วาเดินมาหยุดอยู่ที่กลุ่มของพวกผมถามขึ้น

"สงสัยต้องรอฝนหยุดก่อนเเน่เลยอะพี่วา ผมไม่ได้เอารถมาด้วยดิ" ตุลาเป็นคนตอบพี่วา

"กลับกับพี่ไหมตุลา พี่เอารถมา จอดอยู่ตรงนี้เอง" พี่วาชี้ไปยังรถตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ

"โหย มันจะดีนะพี่ ขอรบกวนด้วยนะค้าบบบบบ" ผมว่าตุลาตอนที่อยู่กับพี่วาจะคล้ายๆหมาตัวโตๆ ยิ่งตอนนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ ตุลาเหมือนหมาตัวโตๆที่กำลังส่ายหางเพราะเจ้าของยอมเล่นด้วยมากๆ

"เอ้า! แล้วผมอ่ะพี่" ขนมโวยวายขึ้นทันทีเมื่อเห็นเค้าลางว่าตัวเองจะโดนทิ้ง

"กลับกับกูมึงอ่ะ" พี่ธูปเดินมาผลักหัวขนม จนขนมเซนิดหน่อย

"ผลักทำไมเนียพี่มึง" ขนมหันหน้าไปต่อว่าพี่ธูปอย่างเอาเรื่อง "เลี้ยงข้าวผมด้วยเลยนะ เป็นค่าปลอบขวัญ" พี่ธูปส่ายหน้าเหมือนจะเอือมระอากับขนมเต็มทน เเต่ผมแอบเห็นนะว่าพี่ธูปมีการแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อย

"เอ่อ คือว่า เเล้วผม" ผมยกมือเพื่อเป็นการขออนุญาตในการเอ่ยเเทรก

"น้องเทียนคนน่ารักไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวคนขับรถของน้องก็มา" พี่ธูปหันมองซ้าย มองขวา อยู่สองสามทีก่อนจะยิ้มออกมา " นั่นไงมาเเล้ว"

"ผมมองตามการมือของพี่ธูปที่ชี้ไปก็เจอกับพี่ภูผาที่กำลังเดินมาทางนี้

"งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ" พี่ธูปโบกมือลาผม ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงขนมให้ตามไป

"เจอกันมึง"

"พี่ไปก่อนนะน้องเทียน ไว้เจอกัน"

"กลับบ้านดีๆนะสี" ตุลาโบกมือให้ผม "พี่วารอผมด้วยค้าบบบบบ" ตุลาเหมือนหมาตามเจ้าของจริงๆด้วย





"คนอื่นกลับกันเเล้วเหรอ"

"ครับ"

"รถพี่จอดอยู่ด้านนอก เราจะรอฝนหยุด หรือวิ่งไปที่รถเลยดีครับ"

"วิ่งไปเลยก็ได้ครับคงเปียกไม่เยอะ" ผมที่มองออกไปแล้วเห็นว่ารถของพี่ภูผาจอดอยู่ใกล้ๆ คาดว่าคงเปียกไม่เยอะ ตัดสินใจว่าวิ่งไปเลยดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่

ผมกระชับกระเป๋าตัวเอง เตรียมตัวออกวิ่ง แต่จู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างคลุมลงมาบนหัว ผมใช้มือจับดูก็เห็นว่าเป็นเสื้อตัวเมื่อวานที่ผมยืมไป

"ใช้เสื้อคลุมไว้ครับ" อีกฝ่ายก้มหน้าลงมาให้หน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน "โดนฝนติดๆกันหลายวันเดี๋ยวจะไม่สบาย เข้าใจไหมครับ"

"คะ ครับ"  ผมก้มหน้าอมยิ้มอย่างปิดไม่มิด รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีความสุขมากๆ เเม้มันจะเป็นการกระทำที่เล็กๆน้อย เเต่มันก็บ่งบอกถึงความใส่ใจได้เหมือนกัน ใจเจ้าเอย เจ้าต้องรอดนะ เหมือนใจผมจะบอบช้ำหนักเพราะตกหลุมรักซ้ำๆกับคนเดิมๆ

ผมกับพี่ภูผาวิ่งฝ่าฝนกันมาจนเข้ามานั่งในรถได้อย่างทุลักทุเลพอสมควร ลำพังผมไม่เท่าไหร่ เปียกไม่เยอะเพราะมีเสื้อคลุมอยู่ เเต่พี่ภูผานี่สิสภาพเหมือนคนเพิ่งตกคลองมาเลย

ระหว่างทางที่นั่งรถ ผมก็เผลอสำรวจรถพี่ภูผาดังเช่นทุกครั้งที่มีโอกาสนั่ง เมื่อมองภายในรถมันก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

"พี่ภูผาครับ ผมขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหมครับ"

อีกฝ่ายเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ผมพูดได้

"ขอโทษนะครับ คือแก้วน้ำผมบอกเเล้วใช่ไหมครับกินเสร็จให้ทิ้ง เดี๋ยวมันจะเน่าคารถ  ส่วนเสื้อตรงเบาะหลังทำไมกองเเบบนั้นละครับ ไหนจะขวดน้ำที่กลิ้งไปมาตรงพื้นรถอีก มันอันตรายนะครับ พวกใบทางด่วนปลิวว่อนเต็มไปหมดเลย ทำไมไม่ดูเเลรักษาความสะอาดเลยละครับ" ผมอดไม่ได้ที่จะบ่นออกไป ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรักความสะอาดพอสมควร เมื่อเห็นอะไรที่ชวนให้ขัดใจเเบบนี้มันพาลให้ผมรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ

"สกปรกเเบบนี้ไม่ดีเลยเนอะ"

"ใช่ครับ"

"พี่เป็นพวกไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้ด้วยสิ เเย่จังเลยเนอะ"

"ครับ"

"ถ้ามีคนคอยดูเเลคงดีเนอะ"

"ครับ"

"ถ้าคนนั้นเป็นสีเทียนได้ไหมครับ"

"ครับ" หือ เมื่อกี้พี่ภูผาพูดว่าอะไรนะ

"พี่ถือว่าเรารับปากเเล้วนะ"

"เดี๋ยวครับพี่ภูผา"

"ไม่รู้แหละ เราจะผิดสัญญากับพี่เหรอ"

"คือผม คือผม"

"ไม่รู้ละ ตกลงตามนี้"อีกฝ่ายพูดเองเออเองเสร็จสรรพ พูดเสร็จมีการผิวปากอย่างอารมณ์ดีด้วย

"ดีจัง ต่อไปนี้รถพี่คงไม่รกอีกเเล้วเนอะ" คือฝ่ายละสายตาจากถนนมาคุยกับผม

"แล้วผมจะรู้ได้ไงละครับว่าวันไหนที่รถพี่ภูผาสกปรกบ้าง"

"ไม่เห็นยาก พี่ก็มารับมาส่งเราทุกวันไง ดีไหม พี่ว่าดี ตกลงตามนี้ ข้อเสนอนี้เข้าท่า" และก็เป็นอีกครั้งที่คุณเขาคุยเอง ตกลงเองโดยไม่ถามผมสักคำ

ผมทำได้เพียงนั่งเอามือประสานกันวางไว้บนตัก เม้มปากเน้น เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เรื่องราวของผมมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงกันละเนีย





เช้านี้บริเวณหน้าคอนโดผมมีรถคันสวยคันหนึ่งกำลังจอดรอผมอยู่ เเละเขาก็มาจริงๆครับ พี่ภูผามารับผมจริงๆอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้เลยครับ

"สวัสดีครับพี่ภูผา" ผมเปิดประตูรถทักทายคนด้านใน ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ

"สวัสดีครับ เป็นไงบ้างเมื่อคืนหลับฝันดีไหม"

"ครับ เเล้วพี่ภูผาละครับ"

"พี่ตื่นเต้นจนเเทบจะนอนไม่หลับเลย" อีกฝ่ายละสายตาจากถนนมามองผม

ผมหลบสายตาก้มหน้ามองมือตัวเอง ปล่อยให้ในรถมีเพียงความเงียบที่เข้าปกคลุม เเต่เป็นความเงียบที่สบายๆ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเเต่อย่างใด

ระยะทางจากคอนโดไปมหาลัยไม่ได้ไกลมากใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึง พี่ภูผาบอกให้ผมยืนรอตรงบริเวณนี้เพราะตัวเองจะเอารถไปจอด เเต่ในขณะที่ยืนรออยู่ เเก้งค์น้องหมาเจ้าถิ่นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้งสามตัวเดินตรงมายังผม เเละตอนนี้ผมก็โดนน้องหมาล้อมไว้หมดเเล้ว ความกลัวเริ่มเข้ามากัดกินหัวใจ ตัวผมเริ่มสั่น เหงื่อเริ่มไหลตามนิ้วมือ นิ้วเท้า ร่างกายรู้สึกเย็นเฉียบ ทุกครั้งที่น้องหมาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ๆมันทำให้ใจผมยิ่งเต้นเร็วมากขึ้นเช่นกัน ผมบอกเเล้วว่าผมไม่ได้เกลียดน้องหมา ผมเเค่กลัว ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยความกลัวผมจะลดลงบ้าง เเต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่คนเดียว ร่างกายผมจะเเสดงปฏิกิริยาต่อต้านอัตโนมัติ ผมพยายามทำใจดีสู้หมา เเต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจไม่ได้ สิ่งที่จะทำก็ไร้ประสิทธิภาพ ผมยืนกุมมือตัวเอง อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เเต่เเล้วภาพเหตุการณ์ที่เหมือนฉายซ้ำกับเมื่อปีที่เเล้วก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

ฟึบ! ผมเงยหน้ามองเจ้าของมือที่ตอนที่กำลังจับข้อมือผมอยู่

"บอกเเล้วใช่ไหม ถ้ากลัวก็ให้ขอความช่วยเหลือ"อีกคนว่าด้วยน้ำเสียงดุ

พี่ภูผาจำได้เหรอ

"ถ้ากลัวก็หลับตา"

ผมหลับตาตามที่อีกคนบอก ก่อนอีกฝ่ายจะกระตุกมือผมให้เดินตามไป

"ปลอดภัยเเล้ว"

ผมค่อยๆลืมตากวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นน้องหมาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที

"ขอบคุณพี่ภูผามากๆนะครับ" ผมรู้สึกขอบคุณจากใจจริงๆ ขอบคุณมากๆที่มาช่วยผมให้รอดพ้นจากความกลัวอีกครั้ง



"เฮ้ยสีเป็นไรวะ หน้าซีดเชียว" ขนมที่ผมไม่รู้ว่าเดินมาจากไหน ส่งเสียงทักผมมาตั้งเเต่ยังเดินมาไม่ถึงตัวผม

"เราโดนน้องหมาเจ้าถิ่นรุม"

"เฮ้ย! เเล้วมึงเป็นไงบ้างวะ" ขนมมีสีหน้าตื่นตกใจ จับผมหมุนซ้ายหมุนขวาจนผมเริ่มจะเวียนหัว

"เราไม่เป็นไร พี่ภูผามาช่วยไว้พอดีเลย"

"ขอบคุณมากเลยนะพี่ที่ช่วยไอ้สีไว้" ขนมหันไปขอบคุณพี่ภูผา

"ไม่เป็นไร งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ" พี่ภูผาหันมาพูดกับผม "ดูเเลเพื่อนดีๆด้วย" ก่อนจะหันไปพูดกับขนมด้วยเสียงที่ต่างกันลิบลับ

"กับกูละพูดเสียงเเข็งเชียว" ขนมบ่นออกมาเบาๆ

เปาะแปะ! เปาะแปะ! ฝนเริ่มลงเม็ดพอปรอยๆ

"เอ้าไอ้เชี่ย ฝนตกเฉย คิดจะตกก็ตก"

"เนอะขนมเนอะ เช้าก็ตก เที่ยงก็ตก เย็นก็ตก" ผมคุยกับขนม เเต่สายตายังไม่สามารถละไปจากใครบางคนที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่ตรงบริเวณบันไดทางขึ้นอาคารได้

"มึงหมายถึงฝน?"

"หึ หมายถึงตกหลุมรักพี่ภูผาต่างหาก ตกซ้ำๆจนหาทางขึ้นมาไม่ได้เเล้ว" ผมยืนยิ้มแฉ่งใส่ขนม

"เหอะ! ฟ้า! ได้โปรด ผ่ากูที"




<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมากๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 04-02-2021 12:08:39
พี่ภูชัดเจนมาก :-[
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-02-2021 01:03:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 7) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 05-02-2021 10:41:37
ตอนที่ 7 การขอคำปรึกษาของคนแอบชอบ


"หาเรื่องตายอะไรตั้งเเต่เช้าวะหนม"

ผมกับขนมหันไปตามเสียงที่ดังขึ้น ก็เจอกับตุลาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ โดยที่มีกระเป๋าบังหัวไว้เพื่อกันไม่ให้ฝนหล่นใส่หัว

"มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีเหรอ ถึงได้ไปยืนแหกปากตะโกนท่ามกลางสายฝนให้ตัวเปียกเล่นอยู่หน้าอาคารเรียนเเบบนั้น"

"ปล่อยกูไปสักวันเถอะลา" ขนมยกมือไหว้ด้วยสีหน้าขอร้อง ก่อนจะพูดต่อว่า "ถ้ามึงมาทันประโยคไอ้สีเมื่อกี้ มึงจะอยากตายเเบบกู"

ตุลาส่ายหัวให้กับความเล่นใหญ่ของขนม "ค่อยตายวันอื่น ตอนนี้รีบไปเรียนก่อนไหมจะสายอยู่เเล้ว ไปเร็ว! " ตุลาว่า ก่อนจะเดินเข้าไปภายในตึกเรียน โดยไม่เหลียวหลังมามองพวกผมเลยว่าได้เดินตามตัวเองไปไหม

"สัส!" ขนมตะโกนไล่หลัง รีบวิ่งเข้าไปในตึกเรียน เมื่อวิ่งถึงตัวตุลาก็ใช้ตัวเองกระโดดกระเเทกใส่ตุลาหนึ่งที จนตุลาเซนิดๆ ส่วนขนมก็โดนตุลาถีบไปตามระเบียบ ขยันหาเรื่องเจ็บตัวจริงๆเลย

ผมอดที่จะหัวเราะให้กับสองเพื่อนรักไม่ได้ ผมว่าจริงๆตุลาคงเป็นห่วงเเหละที่เห็นพวกผมยืนตากฝนเเบบนั้น แต่ฝนก็เเค่ลงเม็ดนิดๆ ไม่ได้ถึงกับว่าตกหนักจนเปียกปอนสักหน่อย  ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในตึกเรียน รีบสาวเท้ายาวๆเพื่อให้ตามทันเพื่อนรักทั้งสองที่เดินทิ้งระยะห่างจากผมซะหลายก้าวเลย

"ไม่รอกันเลย" ผมโวยทั้งสองคนเล็กน้อย

"รู้ว่าขาสั้นก็ก้าวให้มันเร็วๆดิน้องสี"

"ตุลา ขนมบูลลี่เรา" ผมหันหน้าไปฟ้องตุลาทันที

"ขามึงกับมันห่างกันเเค่สองเซนได้มั้ง ยังมีหน้าไปว่ามันอีก"

"เกิดเป็นกูช่างอาภัพ ใครๆก็ไม่รัก ใครๆก็ไม่เข้าข้าง" ขนมยกมือขึ้นทำท่าทางปาดน้ำตา ซ้ายทีขวาทีให้ดูน่าสงสาร เเต่ผมว่ามันดูไม่ค่อยน่าสงสารสักเท่าไหร่ ดูน่าหมั่นไส้มากกว่านะ

"เลิกดึงดราม่าแล้วรีบเดิน" ตุลาผลักหัวขนมหนึ่งที "มึงก็ด้วยไอ้สี สู้ไม่ได้เเล้วงอเเงตลอด"

ผมมุ่ยหน้าใส่ตุลา นี่เพื่อนหรือพ่อ ดุจังเลย! รีบก้าวเท้าเดินเร็วๆเพื่อไปห้องเรียน เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเราสามคนใกล้จะสายกันเต็มทีแล้ว





"เราไปซื้อน้ำอบเชยก่อนนะ" ผมบอกเพื่อนๆในขณะที่วางจานข้าวลงบนโต๊ะ

ตอนนี้พวกผมกำลังอยู่ที่โรงอาหารใต้ตึกคณะครับ พวกผมเรียนเสร็จก็เที่ยงพอดีครับ เลยหอบหิ้วความหิวมาฝากท้องที่นี้ ผมเดินตรงไปยังร้านน้ำป้าพรเพื่อซื้อน้ำอบเชยที่เเสนอร่อย

"น้ำอบเชยเเก้วนึงครับ" ผมส่งยิ้มกว้างให้กับคุณป้าเจ้าของร้านน้ำ

"หนูเทียน" คุณป้าร้านน้ำส่งยิ้มใจดีมาให้เมื่อเงยหน้ามาเห็นผมยืนอยู่ด้านหน้าร้าน "ได้เลย รอแป็ปนะจ้ะ" จากนั้นคุณป้าร้านน้ำเอื้อมมือไปหยิบเเก้วพลาสติกมา 1 ใบ จัดการตักน้ำเเข็งใส่ในเเก้ว หยิบขวดน้ำที่ภายในมีน้ำอบเชยสีน้ำตาลน่าอร่อยเทใส่ลงไปในเเก้ว ผมมองตามด้วยสายตาที่ลุกวาว

"เรียบร้อยเเล้วจ้ะ"

"ขอบคุณครับ นี่ครับ" ผมยื่นธบัตรใบละ 20 บาทให้ป้าพร 1 ใบ รับเเก้วมาไว้ในมือ เดินกลับไปยังโต๊ะที่มีตุลากับขนมนั่งรออยู่เเล้ว



"พวกพี่ๆสวัสดีครับ"

พวกผมเงยหน้าจากการก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยความหิว มองคนมาใหม่ที่ยืนยิ้มแป้นเเล้นสดใสอยู่ตรงหัวโต๊ะ

"สวัสดีเมฆ" ผมเอ่ยทักทายรุ่นน้องที่เป็นน้องรหัสของตุลา

"โอ๊ะ! น้ำอบเชยใช่ไหมครับ" น้องเมฆชี้นิ้วไปยังเเก้วน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆผม "วันนี้หมดหรือยังครับ"

"ตอนพี่ไปซื้อยังมีอยู่นะ เเต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหมดหรือยัง" ผมบอกรุ่นน้องออกไป "ถ้าเมฆไม่อยากผิดหวัง ต้องรีบๆเลยนะ ไม่งั้นอดกินของอร่อยอีกเเน่ๆ"

"ฮ่าๆๆ ครับผม" น้องเมฆตอบผมก่อนจะหันไปหาตุลาที่นั่งกินข้าวอยู่ "พี่ตุลา เตะบอลกันตอนเย็น"

"เตะบอลเชี่ยไรมึง"

"ก็ฟุตบอลที่เล่นเป็นทีมไงพี่ มีสองฝ่าย โดยเราจะเเย่งลูกบอลที่มีลักษณะเป็นทรงกลมกันอ่ะครับ ทีมไหนที่ทำประตูได้มากกว่าทีมนั้นก็เป็นฝ่ายชนะไป"

ผมยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของน้องเมฆ จะโทษใครดีละงานนี้

"มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยมึงอ่ะ" ตุลาชี้นิ้วไปทางที่น้องเมฆเดินมา

"โหยพี่ตุลา น้องหยอกเล่นน้า" น้องเมฆลงนั่งข้างๆตุลา "นะ ไปเตะบอลกัน เมื่อกี้ผมเจอพวกพี่ภู ผมชวนพวกพี่ภูเเล้วด้วย พวกพี่ภูก็ไป สนามหลังม. ตอนหกโมงเย็น ตกลงนะครับ"

"มึงพูดมาขนาดนี้ไม่ต้องถามมันหรอก บังคับกันทางอ้อมชัดๆ" ขนมว่าขึ้น

"พี่หนมไปด้วยกันนะครับ เผื่อคนไม่พอ"

"กูก็เป็นได้เเค่ตัวสำรองสำหรับมึงเเหละ อีกอย่างเผื่อมึงลืมกูเตะบอลไม่เป็น"

"ใครจะลืม คนที่เเยกประตูตัวเองกับประตูฝั่งตรงข้ามไม่ออกละครับ" น้องเมฆยิ้มล้อเลียนขนมผู้ที่เคยลงเล่นฟุตบอลเเล้วเตะเข้าประตูเอง เพราะเห็นว่าประตูอยู่ใกล้

"ถึงกูจะเตะบอลไม่เป็น เเต่กูเตะคนเก่งมากนะ ยิ่งคนที่เด็กกว่ายิ่งถนัดเลย" ขนมทำหน้าโหดๆที่ไม่ค่อยจะโหดเท่าไหร่ในสายตาผมใส่น้องเมฆ คนที่โดนขู่ก็ไม่นึกกลัว เเถมยังหัวเราะชอบใจอีกต่างหาก

"พี่ตุลา สรุปยังไงครับเนีย ไปนะ" น้องเมฆยังไม่วายหันไปทวงคำตอบจากพี่รหัสของตัวเอง

"เออๆ" ตุลาตอบรับรุ่นน้องที่นั่งทำตาปริบๆใส่

เมื่อได้ยินคำตอบรับของตุลาอีกฝ่ายก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะหันมาชวนผม

"พี่เทียนก็ไปด้วยกันสิครับ"

"พี่ไปได้ เเต่พี่ก็เตะบอลไม่เป็นเหมือนกันนะ" ผมบอกรุ่นน้องออกไป

"ไม่เป็นไรครับ เเค่พี่เทียนไปก็พอเเล้วครับ" น้องเมฆว่าพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ผม

"โหย ไอ้เด็กเหี้ย!" ขนมว่าขึ้นพร้อมกับปาถั่วงอกใส่น้องเมฆ

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ จะรีบไปซื้อน้ำอบเชยเดี๋ยวจะหมดซะก่อน" ว่าจบน้องเมฆก็ลุกขึ้นยืน " ไปนะครับพี่ๆ เจอกันตอนเย็นนะครับ" อีกฝ่ายว่าก่อนจะยกมือไหว้เเละเดินไปยังร้านขายน้ำทันที

"เอ้า! ยิ้มอยู่ได้"ขนมหันหน้ามาว่าผม "รีบๆกินดิ๊สี ปกติก็กินช้าอยู่เเล้ว พอมีคนมาชวนคุยยิ่งช้าเข้าไปอีก"

ผมหันไปมองจานข้าวของเพื่อนๆก็เห็นว่า อาหารในจานของเพื่อนๆถูกจัดการหมดเรียบร้อยเเล้ว พอก้มมองจานของตัวเองยังเหลือเกือบครึ่งจานเเหนะ ผมกินช้าหรือพวกเพื่อนๆกินเร็วกันเกินไปครับเนีย ได้เคี้ยวข้าวกันบ้างหรือเปล่านะ

"ก็เราต้องเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เเม่บอกว่าถ้าเคี้ยวไม่ละเอียดเดี๋ยวจะปวดท้อง" ผมบอกออกไป

"ตามสบายเลยครับคุณสี คุณจะเคี้ยว100ครั้งต่อหนึ่งคำก็ได้ครับ พวกผมรอได้ครับ" ตุลาว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

"ใช่ครับ ห้องสมงห้องสมุดไม่ต้องไปก็ได้ครับ งานไม่เสร็จก็ไม่เป็นไรครับ" ขนมว่าต่อ

"ทำไมต้องประชดกันด้วย เราจะรีบกินเดี๋ยวนี้เเหละ" ผมมุ่ยหน้าใส่เพื่อนทั้งสองคน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่อยู่ในจานของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย





หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกผมก็มาห้องสมุดกันต่อครับ วันนี้พวกผมมีเรียนเเค่ตอนเช้า เเต่ยังมีรายงานที่ยังค้างอยู่ ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงตกลงกันว่าหลังจากเรียนคาบเช้าเเละกินอาหารเที่ยงเสร็จไปนั่งห้องสมุดกันเพื่อทำรายงานให้เสร็จเรียบร้อย

"เดี๋ยวเราจะลองไปหาหนังสือมาเพิ่มนะ" ผมบอกกับเพื่อนๆ เมื่อเห็นว่าข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ไม่น่าจะเพียงพอ

"เดี๋ยวกูไปด้วย" ขนมวางปากกา กำลังจะลุกยืน เเต่ตุลาห้ามไว้ซะก่อน

"มึงอยู่เฝ้าของกับหาข้อมูลจากหนังสือกองนี้เเหละ เดี๋ยวกูไปกับไอ้สีเอง" ตุลาว่าขึ้น "เวลาเจอหนังสืออยู่ชั้นสูงๆจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตามกู"

ผมกับขนมยืนทำหน้าอึ้งๆให้กับคำพูดของตุลา เดี๋ยวนะตุลาหวังดีจริงๆใช่ไหม ไม่ได้หลอกด่าพวกผมอยู่ใช่ไหม ทำไมคำพูดฟังดูแปลกๆ

"ไอ้ลา มึงหลอกด่ากู"

"มึงคิดไปเอง ไปกันสี" ตุลาตอบขนมก่อนจะลุกจากเก้าอี้เเละเดินนำผมไป



"เดี๋ยวเเยกกันหานะ ถ้าหยิบไม่ถึงก็เรียกเข้าใจไหม"

ผมพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินเเยกกับตุลาคนล่ะโซนเพื่อหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการทำรายงานของตัวเอง ผมมองดูหนังสือไปเรื่อยๆ ก็เจอเข้ากับชื่อหนังสือที่ดูว่าน่าจะพอมีประโยชน์ต่อพวกผม เเต่ปัญหามันติดที่ว่ามันอยู่สูงไปสักหน่อย ผมพยายามเขย่งเท้าเพื่อจะหยิบหนังสือเล่มนั้น เเต่มันช่างยากเย็นเสียจริงๆ เอ้า! ฮึบ ฮึบ ในขณะที่ผมกำลังวุ่นวายกับการพยายามหยิบหนังสือ ก็มีร่างร่างหนึ่งทาบทับด้านหลังผม มือเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นลงมา ผมหันกลับมาก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ของตัวเอง





"นี่ครับ"  อีกฝ่ายยื่นหนังสือเล่มนั้นมาให้ผม

"ขอบคุณมากครับพี่เท็น" ผมเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย รับหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมือ

"ไม่เป็นไรครับ" อีกฝ่ายว่าพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

พี่เท็นเป็นรุ่นพี่ปี4 ที่เรียนคณะเดียวกันกับผมครับ ตั้งเเต่เปิดเทอมมาไม่ค่อยเห็นพี่เขาเลย พี่เท็นจัดได้ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะฮอตเลยทีเดียว มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายที่เข้ามาจีบ เเละชื่อเสียงที่ร่ำลือกันมาคือ พี่เท็นจะเจ้าชู้มากๆ คบใครได้ไม่นานก็เลิก ดูๆเเล้วนิสัยเรื่องความรักพี่เท็นค่อนข้างที่จะติดลบ แต่ก็ชีวิตของเขาครับ เราก็ว่าไม่ได้ ปล่อยไปตามเวรตามกรรมครับ ส่วนเรื่องอื่นๆจากที่เคยคุยกันพี่เขาก็ไม่ได้เเย่ครับ เเต่สายตาวิบวับๆที่ส่งมาให้กัน ทำผมขนลุกซู่เเปลกๆ ไม่ค่อยชอบเเบบนี้เลย

"มาหาหนังสือทำรายงานเหรอครับ" อีกฝ่ายถามต่อ

"ใช่ครับ"

"มีอะไรถามพี่ได้นะ พี่ผ่านมันมาก่อน"

"อ่า ขอบคุณครับ"

"ว่าเเต่ น้องเทียนครับ" อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิด "พี่เห็นรายชื่อเราไปค่ายด้วยหนิ ใช่ไหมครับ"

"ใช่ครับ"

"พี่ก็ไปเหมือนกัน"และอีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้ผมเพิ่มอีกนิด จนผมเผลอขยับขาถอยหลังโดยอัตโนมัติ "พี่......"

"ไอ้สี!"

ยังไม่ทันที่พี่เท็นจะได้พูดอะไรต่อ ตุลาก็เดินมาพร้อมกับเรียกชื่อผม ทำให้ผมหันหน้าไปมองยังคนที่มาใหม่ ผมมองหน้าตุลาที่ตอนนี้เเสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง

"ตุลา" ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา

"หวัดดีพี่" ตุลายกมือไหว้พี่เท็นด้วยอารมณ์ประมาณเเบบขอไปที "มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ"

"เปล่า เเค่เข้ามาทักท่ายตามประสารุ่นพี่รุ่นน้อง" พี่เท็นบอก

"เเค่ทักทายตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องจริงก็ดี" ตุลาว่าพลางจ้องหน้าอีกคนไปด้วย

"ตุลา เราได้หนังสือเเล้วไปกันเถอะ" ผมที่เห็นไม่ท่าไม่ค่อยดี เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อตุลา ชูหนังสือให้ตุลาดูว่าได้หนังสือมาเเล้ว อีกฝ่ายหันมามองนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้ารับ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตุลาถึงไม่ค่อยชอบพี่เท็นสักเท่าไหร่ เพราะเวลาเจอพี่เท็นทีไรตุลาเหมือนจะไม่พอใจทุกครั้ง เเละเเทบจะไม่ค่อยพูดกันดีๆสักเท่าไหร่ คือเหมือนจะพูดดีกันนะครับ เเต่พอฟังจริงๆมันเหมือนกับว่าพร้อมมีเรื่องกันตลอดเวลามากกว่า

"ขอบคุณพี่เท็นมากนะครับที่ช่วยหยิบหนังสือให้" ผมหันไปขอบคุณรุ่นพี่อีกครั้ง" พวกผมขอตัวก่อนนะครับ"

"ไว้เจอกันที่ค่ายนะครับน้องเทียน" อีกฝ่ายส่งยิ้มให้มา

ผมส่งยิ้มกลับไปนิดหน่อย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับตุลาให้เดินตามมา





"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นวะ" ขนมที่เงยหน้าขึ้นมาเเล้วเห็นสีหน้าของตุลาเอ่ยถามขึ้น

"กูเจอไอ้พี่เท็นมา" ตุลาตอบ "ยืนทำสายตาวิบวับๆ ใส่ไอ้สีอยู่"

"ตัวอันตรายเลยคนนี้" ขนมว่าขึ้น "กูเห็นหลายครั้งละ จ้องไอ้สีอย่างกับจะกลืนลงท้อง"

"เออกูได้ยิรว่าพี่มันจะไปค่ายด้วยนะ"

"จริงดิ กูไปเอารายชื่ออกดีไหมวะ"

"คิดมากกันไปหรือเปล่าไม่มีอะไรหรอก ทำงานๆ เดี๋ยวไม่เสร็จหรอก" ผมบอกกับเพื่อนๆออกไปเพื่อหวังให้เลิกคิดมาก ถึงเเม้ว่าภายในผมจะคิดเหมือนกันว่าพี่เท็นมักจะมองผมด้วยสายตาเเปลก ทำให้ผมมักจะเลี่ยงการพูดคุยกับพี่เขาอยู่เสมอ



ครืด ครืด



โทรศัพท์ของผมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมา ผมยื่นหน้าไปมองว่าใครที่ส่งข้อความมา เมื่อเห็นชื่อของคนที่ส่งข้อความมา ทำให้ผมต้องรีบวางปากกาที่เพิ่งจับขึ้นมาไว้ตรงที่เดิมเเทบจะทันที

PP : ทำอะไรอยู่ครับ

      เลิกเรียนหรือยัง

            สีเทียน : เลิกเเล้วครับ

              ตอนนี้มานั่งทำรายงานที่ห้องสมุดครับ

PP : เเล้วกินข้าวหรือยังครับ

              สีเทียน : กินเเล้วครับ

               พี่ภูผาล่ะครับกินข้าวหรือยัง

                ตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ เรียนอยู่หรือเปล่า

PP : เรียบร้อยเเล้วครับ

      เปล่าครับ ตอนนี้พี่มาเป็นเพื่อนไอ้ธูปคุยงานกับอาจารย์ครับ

      เราจะกลับตอนไหน

      ตอนเย็นพี่มีนัดเตะบอล

      เราไปนั่งรอพี่ที่สนามบอลได้ไหมครับ จะได้กลับพร้อมกัน

        คงเตะกันไม่นาน

ผมอ่านข้อความล่าสุดก็ได้เเต่อมยิ้ม พี่ภูผาจริงจังกับคำพูดที่ว่า จะไปรับ ไปส่งผมทุกวัน มากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ไม่ดีเลยนะครับ ทำเเบบนี้ไม่ดีเลย

            สีเทียน : ตอนเย็นผมก็ไปที่สนามบอลเหมือนกันครับ

             พอดีเมฆมาชวนตุลาไปเตะบอลเหมือนกัน

PP: ดีเลย

     งั้นตอนเย็นเจอกันที่สนามบอลนะครับ

   * ส่งสติ้กเกอร์หมีดีใจ*

                 สีเทียน : ครับไว้เจอกันครับ

                   *ส่งสติ้กเกอร์หมียิ้มกว้าง

ตลอดเวลาที่คุยแชทกับพี่ภูผาผมไม่สามารถกลั้นยิ้มได้เลยสักนิด ก็คนมันมีความสุขจะไม่ให้ยิ้มยังไงไหว เป็นเเบบนี้มันดีจังเลยนะ เมื่อก่อนทำได้เเค่เข้าช่องเเชท พิมพ์ข้อความเเล้วกดลบ ไม่กล้าที่จะส่งไป เเล้วดูตอนนี้สิครับ จะเพราะอะไรก็ไม่รู้เเต่ผมขอขอบคุณมากจริงๆครับ ที่ในที่สุดผมก็ได้คุยกับพี่ภูผาในช่องเเชทส่วนตัว ที่ไม่ใช่คุยกันผ่านเเชทของกลุ่ม



ฮือ! สีเทียนอยากร้องไห้ด้วยความปลื้มใจ



"เหอะ! ยิ้มหน้าบานเเบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคุยกับใคร" ขนมว่าขึ้น เเสระยิ้มนิดหน่อยในตอนที่พูด

ผมค่อยๆหุบรอยยิ้มลง กดออกจากโปรเเกรมเเชท กดล็อกหน้าจอ ก่อนจะค่อยๆวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตามเดิม

"สีเทียน"

จู่ๆตุลาก็เรียกผมด้วยชื่อเล่นเต็มคำ ผมกับขนมหันหน้าไปมองตุลาพร้อมๆกัน เห็นสีหน้าท่าทางที่จริงจังของเพื่อนก็พาลให้ขนลุกซู่ ผมไปทำอะไรผิดมาโดยที่ไม่รู้ตัวหรือเปล่าเนีย ในเวลาปกติไม่ว่าจะขนมหรือตุลาทั้งสองคนเเทบไม่เรียกชื่อเล่นผมเเบบเต็มๆคำเลย

"กูมีเรื่องจะถาม เเละตอบความจริงมาด้วย" ตุลาว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนผมต้องกลืนน้ำลาย อึกๆ "เมื่อเช้าทำไมมึงมาพร้อมพี่ภู"

"ตุลาเห็น?" ผมเผลอถามเสียงดังออกไป

"ชู่วววว ดังไปไอ้สี" ขนมยกนิ้วชี้เเตะที่ปาก

"โทษทีๆ" ผมเอ่ยขอโทษเพื่อนๆ ก่อนจะหันหน้าไปขอโทษคนอื่นๆที่นั่งอยู่ใกล้

"มึงมากับพี่ภูจริงดิสี"

ผมพยักหน้ายอมรับกับขนมเเต่โดยดี

"เล่ามา" ขนมว่าต่อ

"ก็ตั้งใจจะเล่าให้ฟังอยู่เเล้ว" ผมบอกทั้งสองคนออกไป เป็นเรื่องจริงที่ผมตั้งใจบอกทั้งสองคนอยู่เเล้ว ไม่คิดที่จะปิดบัง เเต่ที่ตกใจคือไม่คิดว่าตุลาจะเห็น เเถมจู่ๆก็ถามขึ้นมาเสียดื้อๆ

ผมจัดการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เพื่อนรักทั้งสองคนฟัง ขนมก็ยังเป็นคนที่มีสีหน้าหลากหลายระหว่างฟังเรื่องราว ส่วนตุลาก็เเค่ทำหน้านิ่งๆตั้งใจฟังเท่านั้น

"สรุปคือพี่ภูบอกว่าจะมารับ มาส่งมึงทุกวัน" ขนมถามขึ้นเมื่อผมเล่าเรื่องทั้งหมดจบ

"ใช่"

"อะไรของเขาว่ะ เเค่ไอ้สีบ่นเรื่องรถรกเนียนะ มันกลายเป็นเเบบนั้นได้ยังไง ขนมไม่เข้าใจความเชื่อมโยงของเรื่องนี้" ขนมขมวดคิ้วเข้าหากัน

"หึ แผนสูงชิบหายเลยพี่ภู" ตุลาพูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

"เออ ตอนเเรกกูก็ไม่เเน่ใจ เเต่กูว่าตอนนี้มันเริ่มมั่นใจ" ขนมหันไปพูดกับตุลา

"มึงไม่ต้องเริ่ม มึงมั่นใจได้เลยไอ้หนม" ตุลายกยิ้มมุมปาก ขนมพยักหน้าเห็นด้วย

"จริง เล่นพูด 'คนนั้นเป็นสีเทียนได้ไหม' ซะขนาดนั้น"

"มั่นใจอะไรกันเหรอ" ผมมองทั้งสองคนด้วยสีหน้างงๆ นิดหน่อย

"ไม่มีไร ทำงานๆ เดี๋ยวไม่เสร็จ" ขนมดันหนังสือมาตรงหน้าผม ส่วนตัวเองทำท่าทางสนอกสนใจกับงานตรงหน้าเสียเต็มประดา



นั่งทำงานต่อไปสักพัก ก็ใกล้ถึงเวลานัดของตุลา พวกผมตัดสินใจเก็บของบนโต๊ะลงกระเป๋าก่อนจะไปสนามบอลที่นัดกับน้องเมฆไว้ ก่อนจะถึงสนามบอลพวกผมเเวะซื้อพวกน้ำ เเละเกลือเเร่ติดมือไปด้วย ตุลากับขนมซื้อให้ใครไม่รู้ เเต่สำหรับผมนนั้นซื้อให้พี่ภูผาเเน่นอนอยู่เเล้ว เเต่หยิบไปเยอะๆก่อนละกันจะได้ไม่ดูน่าเกลียด



เมื่อมาถึงสนามบอลก็เห็นน้องเมฆกับคนอื่นทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง กำลังวอร์มร่างกายอยู่ในสนาม บนอัฒจันทร์มีคนนั่งอยู่บ้างประปราย บางคนอาจจะมารอเพื่อน บางคนอาจจะมารอเเฟน ส่วนผมมารอเพื่อนกับรอคนที่อยากได้มาเป็นเเฟนครับ



ผมกับขนมเดินมานั่งที่ว่างตรงอัฒจันทร์ ตุลาเดินเอากระเป๋ามาฝากไว้กับพวกผม ก่อนจะเดินไปหาน้องเมฆที่ยืนอยู่ข้างๆสนามอีกฝั่ง น้องเมฆเมื่อเห็นตุลาก็ส่งยิ้มกว้าง ก่อนจะหันหน้ามาทางผม โบกมือพร้อมส่งยิ้มกว้างสดใสมาให้

"มันยิ้มจนน่าเดินเข้าไปตบสักที"

"ขนมอย่าว่าน้อง" ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ





ผมนั่งคุยกับขนมได้สักพักสายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนนึงที่เดินมากับเพื่อนๆ คนที่โดดเด่นกว่าใครในสายตาผม ไม่ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดไหน สายตาผมก็มองเห็นเเค่เขาคนเดียวเท่านั้น

พี่ภูผามองมาทางผม เราสองคนสบตากันเเป็บนึง ก่อนที่พี่ภูผาจะเดินตรงมายังผมที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นเเรกข้างๆสนามบอล

"มานานหรือยัง" อีกฝ่ายถามขึ้นเมื่อเดินมาถึงผม

"ก็สักพักเเล้วครับ" ผมบอกออกไป

"พอดีพี่ต้องคุยงาน เลยมาช้าไปหน่อย"

"คะ ครับ" ผมตอบรับไป ในใจก็เต้นตึกๆกับคำพูดของพี่ภูผา

มันอาจจะดูธรรมดาเเต่สิ่งที่พี่ภูผาบอกมาเป็นสิ่งที่พี่ภูผาไม่จำเป็นต้องบอกกับผมก็ได้ เเต่พี่เขาบอกผม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเรื่องเเบบนี้เเทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับผมเลย

"เเล้วเราหิวยัง"

"ยังเลยครับ"

"รอจนเตะบอลเสร็จไหวไหม" อีกคนมองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน จนผมอดที่จะเขินไม่ได้

"ได้ครับ สบายมาก" ผมยิ้มให้กับอีกฝ่าย

"พี่ฝากกระเป๋าด้วยนะครับ" พี่ภูผาว่าพร้อมกับยื่นกระเป๋ามาให้ผม ผมยื่นมือไปรับมาถือไว้

"รอกลับพร้อมกันนะครับ" พี่ภูผายื่นมือมาขยี้หัวเผาเบาๆ

"คะ ครับ" ไม่ดี ไม่ดีเลย ทำเเบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ มันทำให้ผมได้ใจจนเกินไป



"ไอ้ภูรอด้วย" พี่ธูปตะโกนตามพี่ภูผาไป ตอนที่อีกฝ่ายเดินไปกลางสนามเเล้ว

"กูฝากกระเป๋าด้วย" ว่าจบพี่ธูปก็โยนกระเป๋าให้ขนม

"ไอ้พี่ธูป" ขนมตะโกนตามหลัง เพราะพี่ธูปโยนมาโดยไม่บอกก่อนทำให้กระเป๋านโดนหน้าขนมจริงๆ

"ฝากไว้ก่อนเหอะ ไอ้พี่ธูป" ขนมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองคู่อริที่กำลังวอร์มร่างกายอยู่กลางสนาม



"ลำบากหน่อยนะขนม"

เสียงของคนมาใหม่ดังขึ้นทำให้พวกผมหันไปนั่งมอง

"พี่วา สวัสดีครับ" พวกผมทั้งสองคนยกมือไหว้พี่วาที่เดินมานั่งอยู่ข้างๆ

"สวัสดีครับ เป็นไงกันบ้าง" อีกฝ่ายส่งยิ้มใจดีมาให้

"ก็เรื่อยๆอ่ะพี่" ขนมตอบ "เปิดเทอมไม่ทันไรงานบานเลย"

"ฮ่าๆๆ เรื่องธรรมดา ปีสามยิ่งกว่านี้"

"พี่พูดซะผมอยากอยู่เเค่ปี2 เลย"

"ฮ่าๆๆๆ" พวกเราหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

ผมกับขนมนั่งคุยกับพี่วาไปด้วย นั่งมองการเเข่งขันในสนามไปด้วย พี่วาเป็นคนที่น่ารัก อ่อนโยน ในกลุ่มสามคนพี่วาน่าจะเป็นที่ดูมีเหตุผลที่สุด พี่ธูปดูจะปากไว ใจร้อนไปหน่อย ส่วนพี่ภูผานั้นผมอยากบอกว่า 'เรามาเรียนรู้กันเถอะครับ ผมอยากรู้จักพี่ให้มากขึ้นกว่านี้' ฮ่าๆ ว่าไปนั้น

นั่งคุยกันไปสักพัก พี่วาก็ขอตัวไปหาเพื่อนๆที่นั่งอยู่ข้างๆสนามอีกฝั่งเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องค่ายที่ใกล้จะถึง





"ไง เลิกเตะเเล้วเหรอ" ขนมถามตุลาที่กำลังเดินมา

"เออ ไม่ได้เตะนาน เหนื่อยชิบหาย" ตุลาเอื้อมมือไปรับน้ำที่ขนมส่งไปให้  ยกขึ้นกระดกดื่มราวกับคนไมไ่ด้กินน้ำมาสามวัน

"เป็นไงบ้างสี มาสนามบอลวันนี้" ตุลาหันหน้ามาถามผม

ผมมีสีหน้างุนงงนิดหน่อยในตอนเเรกก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา "การมาสนามบอลในครั้งนี้มันรู้สึกดีมากๆเลย" ผมตอบอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข

ผมมองออกไปในสนาม ไม่ว่าจะมองออกไปกี่ครั้งทุกครั้งสายตาผมก็จะจดจ้องอยู่กับคนคนเดียวเสมอ มีสาวๆหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆสนาม คอยจ้องมอง คอยกรี๊ดกร๊าดคนที่ผมแอบชอบอยู่ พี่ภูผาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็มักจะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นเสมอ เเถมมีเเฟนคลับอยู่ทุกหนทุกเเห่งในมหาลัยด้วย

ผมมองคนที่ตอนนี้กำลังครอบครองลูกฟุตบอล ก่อนจะส่งมันไปให้พี่ธูป  ส่วนตัวเองก็ยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้า ต้องทำขนาดนั้นเลยนะ สาวๆกรี๊ดกันจนคอเเทบเเตก และที่สำคัญ มันไม่อ่อนโยนต่อหัวใจผมเลยสักนิด

อีกฝ่ายหันมาทางผมที่กำลังมองอยู่เเล้ว ผมที่หลบสายตาไม่ทันจึงทำได้เเค่ส่งยิ้มออกไปเล็กน้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งยิ้มกว้างๆกลับมาให้  ฝัน! ฝันอยู่เหรอ ตอนนี้ผมฝันไปใช่ไหม ช่วยบอกผมที



***มีต่อ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 7 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 05-02-2021 10:42:40
***ต่อ ตอนที่ 7 ***

ผมนั่งเงียบๆมองคนในสนามไปสักพักก่อนหันให้ไปพูดกับเพื่อนรักทั้งสองคน

"ขนม ตุลา" ทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่หันมามองผมพร้อมๆกัน

"เราจะเริ่มจีบพี่ภูผาเเล้วนะ" พูดจบผมก็ส่งยิ้มกว้างๆจนเห็นฟันครบทุกซี่ให้ทั้งสองคน

"ห๊ะ!" "หือ" ขนมเเละตุลามีสีหน้าที่ตกใจไม่ต่างกัน

"เกิดอะไรขึ้นวะสี" ตุลาถามขึ้น

"นั่นดิสี แอบชอบเขามาเป็นปีๆไม่เคยคิดที่จะเข้าไปจีบหรือเเสดงตัวให้พี่เขารับรู้ เเล้วทำไมตอนนี้...." ขนมยังคงมีสีหน้าที่ตกใจอยู่บนใบหน้า ก่อนจะหันมองหน้าผมที พี่ภูผาที สลับกันไปมา

"ตุลากับขนมคิดว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำมันดีไหม" ผมมองหน้าทั้งสองคนด้วยสายตาที่จริงจัง ก่อนจะพูดต่อ

"เราแอบชอบพี่ภูผามาตั้งเเต่วันเเรกที่เข้าปีหนึ่ง จากความปลื้มที่พี่เขาเป็นเหมือนคุณฮีโร่มาช่วยเราไว้จากแก้งค์น้องหมาในวันนั้น ทำให้เราคอยเเอบมองพี่เขาอยู่ตลอด ไม่ว่าพี่เขาจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร เราก็จะพาตัวเราเองไปแอบอยู่ใกล้เขาเเบบเงียบๆทุกครั้งที่มีโอกาส จนเกิดเป็นความชอบขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว" ผมยังคงพูดไปเรื่อยๆโดยที่เพื่อนเพื่อนทั้งสองคนยังคงเป็นผู้ฟังที่ดี



"เราไม่เคยคิดที่จะเข้าไปวุ่นวาย หรือขยับเข้าไปใกล้พี่เขาเกินความจำเป็น เพราะเราคิดเสมอว่าความเป็นไปได้ที่เราจะสมหวังเเทบไม่มี เราไม่อยากเสียพี่ภูผาไปไม่ว่าจะในสถานะไหนก็ตาม" ผมทอดสายตาไปมองคนที่กำลังวิ่งอยู่ในสนาม ก่อนจะหันมาพูดกับเพื่อนๆต่อ



"เขาบอกว่าคนที่แอบชอบไม่ควรที่จะหวังมากเกินไป และต้องยอมรับความผิดหวังที่จะเกิด เราจึงมีเพียงความหวังเล็กๆที่ทำได้เเค่เเอบมีความสุขอยู่ในความคิดและความฝันของตัวเราเอง เพราะเราไม่อยากที่จะผิดหวังไม่กล้าที่จะขยับเข้าไปใกล้จนเกินไป และเขาก็ยังบอกกันว่า อย่าทำตัวเป็นเจ้าของเกินไป ดังนั้นทุกครั้งที่เราได้ยินคนพูดว่าชอบพี่ภูผาหรือจะไปบอกชอบพี่ภูผา เราจะบอกกับทั้งสองคนเสมอว่า เราโอเค ซึ่งเราก็โอเคจริงๆนะ เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน เราจึงไม่มีสิทธิ์เรารู้ถึงข้อนั้นดี" ผมมองทั้งสองคนโดยไม่ได้หลบสายตาไปไหน ตอนนี้ทั้งสองคนมีเเววตาที่ผมไม่สามารถลอกได้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร



"มีคนเคยบอกเราว่าอย่าเอาความสุขของเราไปแขวนกับเขา ซึ่งข้อนี้มันทำได้ยากมากๆเลย เเต่เราก็พยายามที่จะทำมัน เรามีความสุขนะที่ได้เจอ ได้พูดคุย ได้เเอบทำเรื่องเล็กๆน้อยให้พี่เขา ได้เเอบซื้อขนมให้ ทุกอย่างที่ทำเราล้วนเเล้วเเต่มีความสุขเสมอ พี่เขาเป็นเหมือนกำลังใจของเราด้วยนะ ครั้งนึงที่เราท้อพี่ภูผาบอกเเค่คำว่า 'สู้ๆ' เเค่คำคำเดียวเเต่ทำให้เรามีกำลังใจมากมายเลย" ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคิดถึงครั้งที่ผมท้อเเท้กับการอ่านหนังสือมากๆ ส่วนพี่ภูผาก็เดินมากับพี่ธูปพอดี เราพูดคุยกันนิดหน่อยก่อนจากไปพี่ภูผามองมาที่ผมก่อนจะพูดว่า 'สู้ๆ' ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับผม



"และสุดท้ายเเละสำคัญมากๆคือ ห้ามคิดไปเอง ข้อนี้เป็นอะไรที่เราคิดว่าทำยากที่สุดเเล้ว ช่วงหลายวันมานี้ในหัวของเราวนเวียนอยู่กับคำนี้ตลอด เราไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองสักครั้ง จนหลังจากการไปกินเหล้าในครั้งนั้นอะไรหลายๆอย่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป เราพยายามเเล้วที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเอง เเต่ขนมกับตุลารู้ไหมมันยากมากจริงๆ ถึงเราจะไม่ได้เก่งในเรื่องของความรัก เเต่เราก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่สังเกตอะไร เเละเพราะเหตุนี้ เราจึงคิดว่า เราจะจีบพี่ภูผา"



"เราเคยบอกกับทั้งสองคนไปแล้วว่าถ้ามีโอกาสเราจะคว้าไว้เเน่นอนไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป และในความรู้สึกของเรา ในหัวใจเราของเราตอนนี้ เราว่าตอนนี้โอกาสมันมาถึงเเล้ว เราอยากจะคว้าโอกาสนี้เเล้วลองดูกันสักตั้ง"



"ไอ้สี มึงโตเเล้วจริงๆด้วย ดีๆเอาเลยจีบเลย กูเห็นด้วย" ขนมเป็นฝ่ายที่พูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน

"ถ้ามึงว่าดีพวกกูก็จะคอยอยู่ข้างๆมึงเอง" ตุลาพูดต่อ

"เเต่ถ้าทั้งหมดเป็นเเค่เราที่คิดไปเอง สุดท้ายต้องพบกับความผิดหวัง ทั้งสองคนจะอยู่ข้างๆเราใช่ไหม"

"ไม่ว่ามึงจะพบเจอเหตุการณ์อะไร จะเเย่ จะดีเเค่ไหน เเค่มึงมองมาสี มึงจะเจอกูอยู่ข้างๆมึงเสมอ" ขนมเอื้อมมือมาจับมือผม

"มึงไม่ต้องห่วงสี ถ้าพี่ภูมันแค่เล่นๆเเละทำมึงเสียใจกูจะไปต่อยพี่มันให้ตายคามือกูเลย" ตุลาว่าด้วยสีหน้าที่จริงจัง "และมึงไม่ต้องห่วงกูก็จะเป็นอีกคนที่อยู่ข้างๆมึงเสมอ มึงเห็นตรงนี้ไหม" ตุลาชี้ไปที่ไหล่ของตัวเอง " ถ้าถึงวันที่มึงต้องเสียใจจนร้องไห้ ไหล่กูตรงนี้มึงมาซบได้เลย กูจะปลอบมึงเอง"

"เเต่กูว่าจีบไปเหอะมึงไม่ผิดหวังหรอก" ขนมว่าขึ้น



"ขนมกับตุลารู้ไหม เพราะการมาสนามบอลครั้งนี้เลยนะที่ทำให้เรามั่นใจว่าการตัดสินในครั้งนี้ของเราต้องดีเเน่ๆ จากคนที่ตามตุลามาเพื่อมาดูคนที่ชอบเตะบอล คนที่ซื้อน้ำ ซื้อเกลือเเร่มาเยอะๆเเล้วไปตั้งกองๆรวมๆให้คนที่แอบชอบได้หยิบไปกิน คนที่พี่ภูผาไม่เเม้เเต่จะชวนมาสนามบอลเหรือเดินเข้ามาคุยด้วยสักครั้ง เเต่วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด เราได้อยู่ใกล้กันมาขึ้น ได้พูดคุยกันมากขึ้น ราวกับว่าพี่ภูผากำลังหยิบยื่นโอกาสให้คนที่อยู่ในมุมมืดเเบบเราได้มีเเสงสว่างเเละกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองกลัวมาตลอดเลย" ผมยังคงมีรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า



"ไอ้สีเอ้ย มึงนี้มันจริงๆเลย" ขนมเอื้อมมือมาขยี้หัวผม

"เก่งขึ้นอีกนิดเเล้วนะสีเทียน สู้ๆนะ มีอะไรให้ช่วยบอกมาเลยพวกกูพร้อมช่วยเต็มที่" ตุลาบอกผม

"ใช่ กูพร้อมช่วยมึงมาก" ขนมพยักหน้าเห็นด้วย "กูยุของกูมาเป็นปีๆ คราวนี้เเหละ หึ สนุกเเน่" ขนมยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์นิดๆ

"นั่นนะสิ พวกกูยุกันเเทบตาย บทถึงคราวจะสู้ก็ง่ายๆเเบบนี้เลย" ตุลาว่าต่อ

นั่นสินะครับบทถึงคราวที่จะรู้ก็สู้ขึ้นมาง่ายๆซะนั้น ไม่รู้การตัดสินใจครั้งนี้จะดีอย่างที่คิดไหม ทุกคนๆให้กำลังใจผมด้วยนะครับ



พวกเรานั่งคุยกันไปอีกสักพักคนที่เป็นหัวข้อหลักของบทสนทนาก็เดินตรงมายังผม เหมือนว่าตอนนี้การเล่นฟุตบอลได้สิ้นสุดลงเเล้ว

"น้ำครับ" ผมยื่นน้ำไปให้คนตรงหน้า พร้อมกับยิ้มกว้าง การได้ส่งน้ำให้กับมือตรงๆเเบบนี้มันดีกว่ามากๆเลย

"ขอบคุณครับ" พี่ภูผารับน้ำไป ก่อนจะเปิดดื่มอย่างรวดเร็ว

"ไม่มีน้ำให้กูบ้างเหรอมึงอ่ะ" ผมได้ยินพี่ธูปคุยกับใครสักคน

"ไม่ซื้อมาเองว่ะ บ้านก็รวย ทำตัวเป็นภาระอีก" อ่อ ขนมนี่เองที่พี่ธูปคุยด้วย เเละทั้งสองคนก็เปิดศึกขนาดเล็กด้วยกันอีกรอบ

ผมได้เเต่ส่ายหัวให้กับความไม่ลงรอยกันของสองคนนี้ เเต่เวลาจะสามัคคีก็สามัคคีกันจนน่ากลัว พี่ภูผาหันหน้าไปมองทางเพื่อนตัวเองและส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมและเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมรู้ดีเเบบบอกไม่ถูก

"เรากลับบ้านกันดีกว่าครับ"



<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมากๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-02-2021 10:59:05
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 8) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 06-02-2021 09:47:17
ตอนที่ 8 สิ่งที่ชอบของคนแอบชอบ


หลังจากที่ประกาศกร้าวออกไปว่าจะเริ่มจีบพี่ภูผาตั้งเเต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาผ่านไปประมาณอาทิตย์กว่าๆ สีเทียนผู้นี้ยังไม่ได้เริ่มจีบพี่ภูผาอย่างที่ลั่นวาจาไว้เลยสักนิด เนื่องจากเวลาเจอพี่ภูผาทีไรความกล้าที่ตระเตรียมไว้หนีหายไปหมดซะทุกที อีกอย่างผมไม่เคยจีบใครมาก่อนด้วยสิ จะเริ่มต้นจีบยังไงยังไม่รู้เลย สีเทียนเป็นเครียด

ผมปล่อยตัวเองไหลไปกับโต๊ะในร้านกาแฟใกล้ๆกับตึกคณะอย่างอ่อนเเรง บวกกับว่าในวันศุกร์ผมจะมีวิชาเรียนที่โครตจะหนักหน่วง เลิกเรียนเเต่ละครั้งเรียกได้ว่าพลังผมโดนสูบไปแทบไม่เหลือ ร่างกายจึงอ่อนล้าเป็นพิเศษ

ตอนเเรกผมตั้งใจว่าจะกลับห้องไปนอนเลยหลังจากเรียนเสร็จ เเต่ดันมีข้อความของผู้ชายที่ไม่ค่อยอ่อนโยนต่อใจผมเด้งมาซะก่อน พี่ภูผาส่งข้อความมาบอกให้รอกลับพร้อมกัน อีกประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะมารับ ผมตอบตกลงไปทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมไม่ได้ใจง่ายนะครับเเค่การนอนเราจะนอนตอนไหนก็ได้ แต่เวลาที่จะได้อยู่กับพี่ภูผาใช่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ได้สักหน่อย

"ใครหน้าไหนที่มันบอกกูว่าเรียนเสร็จจะกลับบ้านเลย" ตุลาที่เดินมาพร้อมกับถาดที่มีเเก้วอยู่บนนั้นสามเเก้วกับเค้กอีกสองชิ้นพูดขึ้น ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับผม

"ขอบคุณ" ผมยื่นมือไปรับแก้วนมชมพูที่ตุลาส่งมาให้

"เออ บอกกูเหนื่อยอย่างนั้น เพลียอย่างนี้ เราจะรีบกลับไปนอน" ขนมยกแก้วโอวัลตินเย็นขึ้นดูด พร้อมกับทำสีหน้าล้อเลียนผม "ผู้ชายทักมาข้อความเดียว ความเพลียเพื่อนกูหายไปหมดไม่เหลือเลย"

"ขนมกับตุลาอย่าว่าสิ" ผมมุ่ยหน้าใส่เพื่อนทั้งสองคน

"ไหนตอนเเรกมึงบอกว่าพี่ภูไม่ว่าง" ตุลาถามขึ้น

"ก็เมื่อวานตอนเย็นพี่ภูผาบอกเเบบนั้นหนิ เราจะไปรู้ได้ไงว่าทำไมจู่ๆถึงว่างขึ้นมา"

"แล้วเมื่อเช้าทำไมไม่ได้มาด้วยกันวะ" ขนมเป็นฝ่ายถามบ้าง

"ก็เมื่อคืนพี่ภูผาต้องอยู่ทำงานกลุ่มกับพวกพี่ธูปพี่วาจนดึก เราจึงเป็นฝ่ายบอกให้เขาไม่ต้องมารับเองเเหละเพราะอยากให้พี่เขาพักผ่อนได้เต็มที่"

เราทั้งสองคนเคยเกือบทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ เพราะมีอยู่ครั้งนึงที่พี่ภูผาต้องอยู่ทำงานกับพวกเพื่อนๆ จนดึกดื่นเเทบไม่ได้นอน เเต่ก็ยังฝืนตัวเองมารับผมไปมหาลัยในตอนเช้า วันนั้นผมสังเกตเห็นความอ่อนเพลียบนใบหน้า เมื่อถามจนทราบสาเหตุ ผมก็อดไม่ได้ที่จะบ่นอีกคนไปชุดใหญ่ ผมเป็นห่วงพี่เขามากๆ ไม่อยากให้ลำบากเพราะผม อีกอย่างการขับรถทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมมันเป็นอันตรายมาก เราต้องรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองเเละคนที่ใช้ถนนร่วมกันกับเรา ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอาจจะไม่ใช่เเค่เราที่เดือดร้อน คนอื่นที่ใช้ถนนร่วมกับเราอาจจะต้องเดือดร้อนเพราะเราด้วยก็ได้ เรื่องเเบบนี้ไม่ประมาทดีที่สุดครับ เราทั้งสองคนเลยต้องมาตั้งข้อตกลงกันใหม่ เเต่กว่าจะได้ข้อตกลงที่ลงตัวก็เกือบจะได้วางมวยกันไปหนึ่งยกเลยทีเดียวเเละจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับพี่ภูผาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อนั้นก็คือ พี่ภูผาดื้อมากๆ

"อ่อ" ขนมพยักหน้ารับรู้



"ว่าเเต่สี ไหนมึงบอกจะเริ่มจีบพี่ภู กูยังไม่เห็นมึงจะทำอะไรเลย" ตุลาว่าขึ้น

"เออจริง! ตอนที่มันบอกว่าจะจีบพี่ภู ภาพฝันกูคือวันถัดมาไอ้สีต้องทำอะไรสักอย่างให้กูประหลาดใจเเน่ๆ เเต่ตัดภาพมาที่ความจริง สัสเอ้ย! อยู่ต่อหน้าพี่เขาก็ยังกากเหมือนเดิม"

"ทั้งสองคนต้องเข้าใจนะว่าของเเบบนี้ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป รีบไม่ได้"

"รีบไม่ได้หรือจีบไม่เป็น" ตุลาว่าขึ้น

"จีบไม่เป็นหรือเริ่มต้นไม่ถูก เอาให้เเน่ๆ" ขนมรีบเอ่ยสมทบ

ผมได้เเต่กระพริบตาปริบๆใส่เพื่อนรักทั้งสองคนที่พร้อมใจกันรุมผม เเถมประโยคที่เพื่อนๆพูดมาแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเลย

"มะ มันก็..."



ครืด  ครืด  ครืด  ครืด



ผมที่กำลังจะอ้าปากต่อสู้กับทั้งสองคนต้องหยุดชะงักลง เมื่อโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสั่นรัวๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนโทรฯเข้ามา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะดูว่าใครกันนะที่โทรฯมา เมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย

"ภาพเขียน" ผมกดรับสายด้วยความดีใจ

("ไง ทำอะไรอยู่เหรอเรา")

"ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟกับตุลาเเละขนม"

"พี่ภาพ ของฝากผมอ่ะ เดี๋ยววันอาทิตย์ผมเข้าไปเอานะ" ขนมตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์

("ใครจะซื้อมาฝาก ไม่มีหรอก ไม่ต้องมา") ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้จริงจังมากนัก

"ภาพเขียนบอกว่า ไม่มีของฝากให้ขนม ไม่ต้องไปเอานะ"

ขนมทำหน้าอึ้งๆแป็ปนึงก่อนจะตะโกนใส่คนที่อยู่ปลายสาย "ผมจะฟ้องเเม่!"

("ฮ่าๆๆๆๆๆ") คนปลายสายหัวเราะชอบใจที่ได้เเกล้งขนมสำเร็จ

"ภาพเขียนโทรฯมามีอะไรหรือเปล่า"ผมถามออกไปเพราะรู้สึกแปลกๆที่ภาพเขียนโทรฯมาทั้งๆที่พรุ่งนี้เราจะได้เจอกันอยู่เเล้ว

("สีเทียน") เสียงปลายสายเรียกชื่อผมออกมา น้ำเสียงบ่งบอกว่ามีความกังวลอยู่ไม่น้อย

"มีอะไรหรือเปล่าภาพเขียน" ผมขมวดคิ้วสงสัย

("ที่พี่นัดกับสีเทียนไว้ว่าจะไปเที่ยวกันเสาร์นี้") ปลายส่ายเว้นจังหวะแป็บนึงก่อนจะพูดต่อ ("พี่คงไปไม่ได้เเล้ว พอดีที่บริษัทมีปัญหานิดหน่อย") ปลายสายพูดด้วยเสียงหงอยๆ จนผมอดที่อมยิ้มออกมาไม่ได้

"เราก็นึกว่าเรื่องอะไร ไม่เป็นไรนะภาพเขียน เราเจอกันวันหลังหรือไว้เราว่างเราจะไปหาภาพเขียนเองก็ได้"

("เเต่สีเทียนวางเเผนการเที่ยวไว้หมดเเล้วไม่ใช่เหรอ") ปลายสายยังคงมีน้ำเสียงกังวลไม่หาย

"เดี๋ยวเราไปกับขนมก็ได้ ภาพเขียนอย่ากังวลซี้" ผมพยายามปลอบคนปลายสายให้หายจากความกังวล

("พี่ขอโทษเรามากๆเลยนะ ไว้พี่จัดการปัญหาที่บริษัทเสร็จพี่จะไปหาเรานะ"

"ภาพเขียนเหนื่อยไหม" ผมพูดออกไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงที่ล้นอยู่เต็มอก

("ไม่เลยครับ") ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

"ภาพเขียนรอเราหน่อยนะ เราจะรีบเรียนให้จบไวๆ เเล้วจะไปช่วยภาพเขียนนะ"

("ได้เลย พี่จะรอนะครับ")

"ภาพเขียนไปพักผ่อนนะ ห้ามรู้สึกผิดกับเราด้วยเข้าใจไหม"

("รับทราบครับ") อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นนิดๆ

"ดีมาก รักภาพเขียนนะ" ผมยิ้มออกมาทั้งๆ ที่คนในสายมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ

(พี่ก็รักสีเทียนนะครับ ดูเเลตัวเองด้วยนะ เเค่นี้นะครับ")

"อื้ม"

หลังจากคุยเสร็จผมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตามเดิม

"พี่ภาพมาไม่ได้เหรอพรุ่งนี้" ขนมถามขึ้น

"ใช่ เห็นว่าที่บริษัทมีปัญหานิดหน่อย"

พูดถึงตรงนี้ผมก็อดที่จะเป็นห่วงภาพเขียนไม่ได้ ตั้งเเต่มาดูเเลบริษัทเเบบเต็มตัวแทนคุณเเม่ ภาพเขียนก็มักจะโหมงานหนักตลอด เวลามีปัญหาหรือทำงานหนักจนไม่สบาย ก็มักที่จะปิดบังไม่ยอมบอกให้ผมกับคุณเเม่รู้

ผมพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเท่าที่สมองเเบบผมจะทำได้ ผมตั้งใจไว้ว่าเมื่อเรียนจบจะต้องไปช่วยเเบ่งเบาภาระงานของภาพเขียน ผมไม่อยากให้ภาพเขียนเหนื่อยเหมือนที่เป็นอยู่ เวลาผมถามว่าเหนื่อยไหม ภาพเขียนมักส่งรอยยิ้มกลับมาเเละจะตอบกลับมาเสมอว่าสบายมาก

ผมรู้ว่าภาพเขียนกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อพวกเรา ผมก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ภาพเขียนได้ภูมิใจเหมือนกัน





"งั้นวันเสาร์นี้มึงก็ไม่ได้ไปเที่ยวเเล้วดิ" ตุลาถามขึ้น

"ก็น่าจะเป็นเเบบนั้น" ผมหันหน้าไปตอบ

"ทำไมไม่ลองชวนพี่ภูดูอ่ะ" ตุลาเสนอความคิดขึ้น

"หือ! จะ จะดีเหรอ" จู่ๆผมก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะดื้อๆ เพราะดันจินตนาการเตลิดไปไกลซะแล้ว

"เป็นความคิดที่ดีนะสี ไหนๆก็จะจีบพี่เขาอยู่เเล้วหนิ จัดเลย" ขนมเอ่ยเห็นด้วยกับความคิดของตุลา เอียงไหล่มากระเเทกไหล่ผม

"พี่ภูผาจะว่างไปกับเราเหรอ"

"กูจะรู้ไหมละ"ขนมว่า"เดี๋ยวพี่มันมามึงก็ถามพี่มันเองดิ"





พวกเราสามคนนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เวลาผ่านไปไม่นานผมก็เห็นคนที่ผมกำลังนั่งรออยู่เดินตรงมาทางนี้ มีพี่วาเดินตามมาด้านหลัง พี่ภูผาเดินตรงมาหาผมที่โต๊ะ ส่วนพี่วาเเวะตรงเคาน์เตอร์สั่งกาแฟ ก่อนจะเดินส่งยิ้มกว้างมาทางพวกผม

"พวกพี่ๆสวัสดีครับ" พวกผมทั่งสามคนเอ่ยทักทายรุ่นพี่ทั้งสอง

"ไง รอนานไหม" พี่วาถามขึ้น

"ไม่นานเลยครับ" ตุลาเป็นคนตอบ

"วันนี้พี่ธูปไปไหนอ่ะพี่วา ทำไมไม่เห็นเลย" ขนมถามหาคู่อริของตนเอง หันซ้าย หันขวามองหาคนที่ตัวเองถามถึง

"มันต้องรีบไปเคลียร์ที่บริษัทเลยกลับไปแล้ว"

"อ่อ ครับ" ขนมพยักหน้ารับ

ผมพอจะรู้มาบ้างว่าพวกพี่ๆทั้งสามคนเข้าไปช่วยงานธุรกิจของครอบครัวตัวเองตลอด ผมคิดว่าพี่ๆทั้งสามคนเก่งมากๆเลยทั้งทำงาน ทั้งเรียน ยิ่งพี่ธูปเห็นเเบบนั้นเเต่ใครๆก็บอกว่าพี่เขาเก่งสุดๆไปเลย



"เรากลับกันเลยไหมครับ" พี่ภูผาถามขึ้น

"ครับ" ผมรีบกุลีกุจอเก็บของลงกระเป๋า ก่อนจะลุกขึ้นยืน "พร้อมครับ"

"เดี๋ยวพี่ขอเเวะส่งไอ้วาก่อนนะ พอดีมันไม่ได้เอารถมา"

"อ่า ครับ" จู่ๆความเขินก็วิ่งขึ้นบนใบหน้าผมอีกครั้ง จริงๆรถพี่ภูผา พี่ภูผาจะไปรับส่งใครก็ได้เเต่พี่ภูผามาบอกผมเเบบนี้ ฮื้อออ! รู้สึกดีอยู่ในอก

"พี่วาไม่เอารถมาเหรอครับ กลับกับผมไหมผมเอารถมา กลับด้วยกันสิครับ" ตุลาหันหน้าไปคุยกับพี่วา

"ไม่เป็นไรพี่กลับกับไอ้ภูก็ได้"

"พี่วาไม่ดื้อสิครับ กลับกับผมนี่เเหละ ปล่อยพี่ภูไปกับไอ้สีเถอะ" ตุลาว่าไปมือก็เก็บของลงกระเป๋าไปด้วย "ไปครับ" ตุลายืนขึ้นยื่นมือไปจับข้อมือพี่วา

พี่วาได้เเต่มองตาปริบๆในการคิดเอง พูดเอง ตัดสินใจเองของตุลา เเละสุดท้ายก็ยอมตามใจเด็กตรงหน้าของตัวเอง

พวกเราทั้งหมดทยอยกันเดินออกจากร้านกาแฟเพื่อกลับบ้านโดยที่ผมกลับกับพี่ภูผา ส่วนตุลากลับกับพี่วา ส่วนขนมนั้นเดินดูดโอวัลตินสบายๆ มือก็ควงพวงกุญเเจรถที่อยู่ในมือไปมา

เนื่องจากพี่ภูผากับตุลาจอดรถที่เดียวกัน พวกเราจึงเดินมาทางเดียวกัน ส่วนขนมที่วันนี้ขับมอไซค์มาขอตัวเเยกไปอีกทางนึง

ในขณะที่พวกเราเดินไปใกล้จะถึงรถของพี่ภูผา สายตาของผมก็มองเห็นผู้หญิงสองคนกำลังยืนด้อมๆมองๆอยู่ตรงเเถวๆรถพี่ภูผา เมื่อเดินไปใกล้ๆผมก็เห็นว่าเป็นพี่อิงฟ้ากับผู้หญิงสักคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนเขายืนอยู่ๆข้างๆรถพี่ภูผา คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆผมจิ๊ปากด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าเป็นใคร

"มาทำไม" พี่ภูผาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

"ทำไมต้องทำเสียงเเบบนั้นด้วย" อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ

"เเล้วมาทำไม" พี่ภูผาถามย้ำอีกครั้ง

"เรื่องงานเลี้ยงพรุ่งนี้"

"ไม่ไป ไม่ว่าง พรุ่งนี้มีธุระสำคัญ" พี่ภูผาปฏิเสธพี่อิงฟ้าเสียงเเข็ง

พรุ่งนี้พี่ภูผาไม่ว่างสินะ ผมมีสีหน้าที่ผิดหวังเล็กน้อย

"เเต่งานเลี้ยงมันมีในตอนเย็นนะ" พี่อิงฟ้ายังคงไม่ยอมเเพ้

"ตอนเย็นอยากพักผ่อน ไม่อยากออกไปทำอะไรไร้สาระ" อีกฝ่ายตอบกลับด้วยหน้านิ่งๆ

อ่า ไร้สาระ ขนาดงานเลี้ยงที่เหมือนจะสำคัญยังไร้สาระ เเล้วการไปเที่ยวกับผมจะเหลืออะไรละครับ หมดเเล้วความหวัง ความกล้าก็ไหลลงสู่พื้นดินหมดเเล้ว

"ภู!" พี่อิงฟ้าตะโกนเรียกชื่อพี่อิงฟ้าเสียงดัง

"หลบ" พี่ภูผาผลักพี่อิงฟ้าเบาๆให้หลบไป ก่อนจะหันมาทางผม "ขึ้นรถครับ"

ผมรีบเดินไปฝั่งประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ก่อนจะหันไปลาตุลากับพี่วาที่ยืนทำหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นคล้ายๆมันเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ตลอดเวลาอย่างนั้นเเหละ

พี่ภูผาไม่มีที่ท่าจะสนใจพี่อิงฟ้าเลยสักนิด เหยียบคันเร่งทะยานรถออกสู่ท้องถนน โดยไม่หันไปมองพี่อิงฟ้าที่กำลังกรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างหลังเลย ผมไม่รู้เบื้องลึกหนาบางของการกระทำเเบบนี้ เพราะฉะนั้นผมขอไม่ออกความคิดเห็นว่าทำไมพี่ภูผาถึงทำเเบบนั้นกับพี่อิงฟ้า จากความรู้สึกของผมพี่ภูผาเป็นผู้ชายที่ดี สุภาพบุรุษ เเละอ่อนโยนมากๆเลย มันคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้พี่ภูผาทำเเบบนี้กับพี่อิงฟ้า





"เย็นนี้กินอะไรดีครับ" คนข้างๆที่เงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย "อยากกินข้าวมันไก่จังเลยครับวันนี้"

"อ้วนนะ" อีกฝ่ายหันมายิ้มล้อๆผม

"ผมถือคติ 'ยอมอ้วนอย่างมีความสุข ดีกว่าต้องทุกข์เพราะอดกินของอร่อย' ครับ"

"โอเคครับ ยอมเเพ้เเล้ว วันนี้กินข้าวมันไก่กัน"

ผมหันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายทันทีที่อีกฝ่ายตอบตกลงว่าจะพาผมไปกินข้าวมันไก่

เป็นเรื่องปกติของผมตั้งเเต่ที่พี่ภูผามารับมาส่ง โดยตอนเย็นพวกเรามักจะเเวะกินข้าวเย็นด้วยกันทุกครั้งที่มีโอกาส เเรกๆที่นั่งกินข้าวกับพี่ภูผาสองคน ผมรู้สึกเกร็งเเละประหม่าไม่น้อย เเต่พอเวลาผ่านไปผมก็เริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อการกินข้าวกันสองคนเเล้ว บอกไว้เลยน้องสีเทียนคนนี้เก่งที่หนึ่ง

พี่ภูผามักจะตามใจผมในเรื่องของการกินมาก พี่ภูผามักจะถามผมเสมอว่าอยากกินอะไร เวลาที่ผมเสนอเมนูออกไปพี่ภูผาไม่ปฏิเสธเลยสักครั้ง อาจจะมีเเซ็วๆบ้างเเต่สุดท้ายก็พาไปกินอยู่ดี

ผมว่าผมเข้าใกล้พี่ภูผาเพิ่มขึ้นอีกเเล้ว ใครจะคิดกันนะว่าคนที่รั้งสถานะแอบชอบมาตลอดหนึ่งปีเเบบผมจะได้มานั่งกินข้าวกับคนเเอบชอบเเบบนี้ ปกติก็ได้เเค่คิดเเละฝัน เเต่วันนี้ไม่ต้องคิดไม่ต้องฝันอีกเเล้วละครับ



ตลอดทางการไปร้านข้าวมันไก่ ผมอดคิดเรื่องการชวนพี่ภูผาไปเที่ยวไม่ได้ ใจผมก็อยากลองชวนพี่ภูผาดู เเต่จากบทสนทนาของพี่ภูผากับพี่อิงฟ้าเมื่อกี้ ก็พอจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างพี่เขาก็บอกเเล้วว่าตัวเองไม่ว่าง เเต่ใจผมก็ยังอยากที่จะลองชวนพี่ภูผาดู อย่างๆน้อยชวนเผื่อวันอื่นพี่เขาว่างก็ยังดี

ผมเหลือบมองอีกฝ่ายตลอดทางอย่างคิดไม่ตก เดี๋ยวความกล้าก็มา เดี๋ยวความกล้าก็หนีหาย ผมละเบื่อตัวเองที่เป็นเเบบนี้จริงๆ ถ้าเป็นขนมป่านนี้คงรู้เรื่องไปแล้ว

ผมเเอบชำเลืองสายตาไปมองคนที่กำลังขับรถอีกครั้ง เเต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออีกฝ่ายมองมาพอดี พร้อมกับยักคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าผมมีอะไรหรือเปล่า ผมจึงได้เเค่ส่งยิ้มให้ไป ก่อนจะหันกลับมามองถนนต่อ





"อิ่มจนท้องจะเเตกเเล้ว" ผมบ่นออกมาหลังจากที่จัดการข้าวมันไก่พิเศษเสร็จเรียบร้อย

"ไม่ใช่เเค่ท้องจะเเตกนะ" คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น

"หือ?" ผมทำหน้างงๆใส่อีกฝ่าย

"แก้มเราก็จะเเตกเเล้วเหมือนกันนะ" อีกฝ่ายว่ายิ้มๆ

"ผมไม่มีเเก้มสักหน่อย" ผมบ่นอุบอิบ

"ไม่มีที่ไหนดูสิเนีย เต็มไม้เต็มมือเลย" อีกฝ่ายไม่ว่าเปล่ายื่นมามาบีมเเก้มผมทั้งสองข้างขึ้นลง

"อี้อูอ๋าอ่อยอ๊มอ้ะ (พี่ภูผาปล่อยผมนะ)" ผมบอกอีกคนด้วยเสียงอู้อี้เพราะโดนบีบเเก้มอยู่ มือก็ตีรัวๆลงบนมือของอีกคน

"ครับๆ ยอมเเล้วครับ" อีกฝ่ายหัวเราะนิดหน่อย ก่อนจะยอมปล่อยมืออกจากเเก้มผม

ผมยื่นมือมาลูบเเก้มตัวเอง ความเห่อร้อนวิ่งขึ้นบนใบหน้า เเก้มผมคงเเดงมากเเล้วเเน่ๆผมรู้สึกได้ เพราะหน้าผมตอนนี้มันร้อนจนเเทบจะระเบิดอยู่เเล้ว

ผมกับพี่ภูผาเเทบไม่ได้สัมผัสตัวกันเลย อยู่ๆพี่ภูผามาจับเเก้มกันเเบบนี้ ผมตัดเเก้มตัวเองไปใส่โหล่ไว้ดีไหมครับ





ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในรถของพี่ภูผาเพื่อเดินทางกลับคอนโดหลังจากที่กินอาหารเย็นจนจุกเรียบร้อยเเล้ว เเต่ตลอดเวลาผมไม่สามารถไล่ความคิดเรื่องการชวนพี่ภูผาให้ออกไปจากหัวของผมได้เลยเเละผมคิดว่าอีกฝ่ายคงสังเกตเห็นผมที่เหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเเละเเอบมองเขาอยู่บ่อยๆ

"เรามีอะไรจะถามพี่หรือเปล่า" อีกฝ่ายละสายตาจากท้องถนนมามองผมแว้บนึง

"คือ คือว่า เอ่อ" ผมเม้มปากซ่อนอาการประหม่า "ไม่มีอะไรครับ เเค่รู้สึกอยากกินน้ำอบเชยหน่ะครับ แหะๆ " ผมหัวเราะเเห้งๆออกไป โกหกไม่เนียนเลยน้องสีเทียน

พี่ภูผาไม่ได้พูดอะไรกลับมาเพียงเเค่พยักหน้า ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบครอบครุมภายในตัวรถ ผมนั่งเอามือผสานวางไว้บนตัก หันหน้ามองด้านข้าง



ไม่นานรถคันหรูก็ทะยายมาสู่จุดหมายนั้นก็คือหน้าคอนโดผม ผมที่กำลังเตรียมพร้อมจะลงจากรถ ก็ต้องมีอันให้หยุดชะงักเมื่อเสียงนิ่งๆ ของพี่ภูผาเอ่ยขึ้น

"สีเทียนครับ"

"คะ ครับ"

"มีอะไรในใจอยากจะพูดกับพี่หรือเปล่า" อีกฝ่ายส่งเเววตาดุๆ มาให้ผม

"มะ ไม่มีครับ"

"เราจะบอกพี่เองหรือจะให้พี่ทำตามวิธีของพี่ในการทำให้เราพูดความจริงครับ" อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา โดยใบหน้าของเขาอยู่ห่างกับผมนิดเดียว นิดเดียวจริงๆครับ

ในตอนที่ใบหน้าหล่อๆเข้ามาใกล้ๆ มันทำให้การหายใจของผมเริ่มผิดจังหวะเเละทำอะไรไม่ถูก ผมรู้เเค่ว่าถ้าไม่รีบตอบความจริง เเละดันใบหน้าหล่อๆนี้ให้ออกห่าง ผมจะต้องเป็นลมล้มพับเเน่

"คือ คือว่า" ผมเอนตัวไปด้านหลังจนติดกับประตูรถ "คือตอนเเรกผมอยากจะชวนพี่ภูผาไปเที่ยวด้วยกันในวันพรุ่งนี้ครับ เเต่เมื่อกี้ผมได้ยินพี่ภูผาบอกกับพี่อิงฟ้าว่าพรุ่งนี้ไม่ว่าง แต่ใจหนึ่งของผมก็อยากลองชวนดู คือว่าพรุ่งนี้ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ ไปเที่ยวกันวันอื่นก็ได้ครับ เเบบ เเบบ เอ่อ...." ผมรู้สึกประหม่า หายใจติดขัด เมื่ออีกฝ่ายใช้สายตาสีนิลเข้มจ้องมองมาที่ผมใกล้ๆ คำพูดที่มีอยู่ในความคิดเริ่มกระเจิดกระเจิง

"ตกลงครับ" อีกฝ่ายพูดพร้อมดันตัวเองกลับไปที่เดิม

"หือ! " ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำว่า 'ตกลงครับ' ของอีกฝ่าย

"ตกลงเหรอครับ" ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"ใช่ครับ" อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ

"พรุ่งนี้เหรอครับ"

"ใช่ครับ"

"เเต่พี่ภูผาไม่ว่างหนิครับ" ผมยังคงยิงคำถามอย่างต่อเนื่อง

"ตอนนี้ว่างเเล้วครับ พร้อมไปเที่ยวกับเราได้ทั้งวันเลยครับ โอเคนะ" อีกฝ่ายยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"อ่า ครับ" เจอเเบบนี้ยอมเเล้วครับ



"ว่าเเต่พี่ภูผาไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าทำไมผมจึงชวนไปเที่ยว เเล้วเราจะไปเที่ยวที่ไหนกัน"

"ไม่ครับ ไม่เห็นจะต้องถามเลย" อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ "จะเหตุผลอะไรก็ช่าง จะที่ไหนก็ได้พี่ไปได้หมด แค่มีเราไปด้วยก็พอ"

"ผมจะพาไปเที่ยวป่าช้า คอยดู"ผมบ่นอุบอิบในลำคอ

ผมก้มหน้าหลบสายตาของคนข้างๆ พี่ภูผาให้ให้ผมรู้สึกเขินเเละหน้าร้อนไปหมด ไม่เคยปราณีหัวใจผมเลยสักครั้งคุณคนนี้

"ถ้าที่ตรงนั้นมีเราอยู่ด้วย ถึงพี่จะกลัวพี่ก็พร้อมต่อสู้กับความกลัวเพื่อไปกับเรานะ"

ตึกตัก! ตึกตัก! ใครก็ได้ครับโทรฯ สายด่วน 1669 ให้ผมที เเล้วบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าน้องสีเทียนคนนี้ หัวใจอ่อนล้าเต็มทีเหตุเพราะคนที่นั่งข้างๆ ตอนนี้ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของน้องสี เต้นเร็วเเรงเเละผิดจังหวะจนเเทบจะกระเด็นออกจากตัว





เมื่อลงจากรถผมรีบวิ่งพาตัวเองขึ้นไปยังห้องด้วยความเร็วเเสง ไม่ไหวเเล้ววันนี้ขอมาหลบมุมก่อน ผมโดนเเรงปะทะเยอะเกินไปแล้ว

ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยพร้อมนอน เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องนอนผมก็เดินตรงไปยังบริเวณโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง ก่อนจะหยิบปากกามากากบาทลงบนปฏิทิน โดยขีดฆ่าคำว่า 'วันของพี่น้อง' บนปฏิทินออกไปและเขียนคำว่า 'วันของเรา' ลงไปแทน วันของพี่น้องเอาทิ้งไป เพราะมีเเต่วันของเรา พี่น้องไหนใครอยากเป็น งื้อ~ พูดเองก็เขินเอง

ก่อนจะนอนเพื่อเก็บเเรงไว้วันพรุ่งนี้ ผมก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มเพื่ออวดว่าตัวเองอย่างเก่ง สามารถชวนพี่ภูผาไปเที่ยวได้ด้วย ขนมที่ดูถูกผมไว้ตลอดยังชมผมเลย ส่วนตุลาก็อวยพรให้เป็นวันที่ดีของผม ก็ผมบอกเเล้วน้องสีเทียนซะอย่าง จะบอกว่าผมกากไม่ได้เเล้วนะ ต้องบอกว่าน้องสีเทียนคนเก่งที่หนึ่ง





เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากวันนี้มีนัดไปเที่ยวกับคนที่ผมไม่คิดว่าในชีวิตจะมีโอกาสเเบบนี้ ผมยืนหมุนตัวเองอยู่หน้ากระจกนานพอสมควร เพราะคิดไม่ตกว่าจะใส่อะไรดี ผมก็อยากดูดีในสายของคนที่แอบชอบนะครับ

หมุนซ้ายหมุนขวาต่ออีกสองสามรอบ หยิบชุดนั้นชุดนี้วางทาบตัวอีกสองสามหน ก็ตัดสินใจได้ว่าใส่เสื้อยืดสีเหลืองสดใสกับกางเกงยีนส์รัดรูปสีดำ ตบท้ายด้วยหมวกสีขาวก็พอเเล้ว

ผมมองนาฬิกาฝาผนังก็เห็นว่าใกล้จะ 10 โมงซึ่งเป็นเวลานัดเเล้ว จัดการตรวจเช็คของต่างๆอีกรอบ เสียงโทรศัพท์ผมสั่นขึ้นบ่งบอกให้รู้ว่าอีกคนคงมารออยู่เเล้ว ผมจึงรีบพาตัวเองลงไปยังลานจอดรถหน้าคอนโดด้วยความรวดเร็ว





ผมเปิดประตูไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับ เมื่อนั่งรถเรียบร้อยสายตาก็สำรวจคนข้างๆ พบว่าอีกคนก็เเต่งตัวสบายๆ เเต่ไม่ค่อยสบายกับสายตาผมเท่าไหร่ เเค่ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ นาฬิกาข้อมือหนังสีน้ำตาล เเละเเว่นกันเเดดอีกหนึ่งอัน มันทำให้คนเราดูดีได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่สบายตาผมเลยจริงเพราะมันทำให้ผมมัวเเต่คอยเหลือบสายตาไปแอบมองเขาจนตาจะเหล่อยู่เเล้ว

"แต่งตัวได้สดใสเหมาะกับสถานที่ที่จะไปมาก" พี่ภูผาพูดขึ้น

"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มแฉ่งรับคำชม



ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับว่าสถานที่ที่ผมจะไปเดต น่าน! ว่าไปนั้น สถานที่ที่ผมจะไปเที่ยวกับพี่ภูผาคือสวนสัตว์ครับ หลายๆคนอาจจะมองว่ามันดูพื้นๆ ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ดูน่าเบื่อ ซึ่งตอนเเรกผมก็แอบหวั่นนะครับตอนที่บอกพี่ภูผาเกี่ยวกับสถานที่อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรเเถมตกลงอย่างง่ายดาย เหตุผลที่ผมอยากไปสวนสัตว์เพราะผมชอบสัตว์มากๆครับ ผมอยากจะเลี้ยงสัตว์เหมือนกันเเต่ก็ติดปัญหาหลายๆอย่าง  ผมชอบสัตว์แปลกๆ ผมชอบความน่ารักของสัตว์ตัวเล็กขนฟู ชอบลวดลายของงูที่สวยงาม ชอบความสง่าของเจ้าป่า เสียงคำรามของเหล่าสัตว์  ชอบน้องนากที่คอยเทาะหิน  เวลาผมมาสวนสัตว์ผมมักจะสนุกเเละตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาเห็นพวกมันใกล้ๆ และคนที่มากับผมเสมอก็คือภาพเขียนครับ พี่ชายคนนี้ไม่เคยบ่นที่ต้องมาสวนสัตว์กับผมซ้ำเเล้วซ้ำเล่าเลย

ที่สำคัญผมอยากให้พี่ภูผาได้รู้จักผมมากขึ้นด้วยครับ ผมหวังว่าการมาสวนสัตว์ครั้งนี้คงทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น


***มีต่อด้านล่าง***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 8 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 06-02-2021 09:48:39
*** ต่อตอนที่ 8 ***

เมื่อมาถึงสวนสัตว์ผมที่มาบ่อยจนเเทบจะเป็นพนักงานของที่นี้เเล้ว เดินนำพี่ภูผาอย่างชำนาญทาง

"มาบ่อยเหรอเรา" พี่ภูผาที่เดินอยู่ข้างๆถามขึ้น

"ครับ"

"มากับใครเหรอ"

"ภาพเขียนครับ"

"ชอบสวนสัตว์มากเลยเหรอ ขนาดมาบ่อยยังตื่นเต้นขนาดนี้" อีกฝ่ายยังคงถามเรื่อยๆ

"ที่สุดเลยครับ ผมชอบสัตว์เเทบทุกชนิดเลย มาที่นี้คือสามารถเห็นได้ครบเลย ผมตื่นเต้นตลอดเลยเวลามาที่นี้" ผมบอกอีกฝ่ายสายตาก็สอดส่ายหาน้องลิง

"พี่ภูผา ดูลิงสิครับ กำลังห้อยโหนเลย ผมอยากโหนได้เเบบนั้นบ้างจัง" ผมบอกอีกคนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"กินเยอะเเบบเรา โหนไม่ไหวหรอก" อีกฝ่ายว่ายิ้มๆ

ผมหันไปมองค้อนอีกคนทันที ทำไมชอบว่าผมอยู่เรื่อยเลยนะ

ผมยืนดูลิงอีกแป็บก็พาอีกคนนึงเดินต่อ



"โอ๊ะ พี่ภูผาดูสิครับ ลูกช้างวิ่งเล่นจนลื่นเลย ฮ่าๆ" ผมสะกิดอีกคนให้ดูลูกช้างที่กำลังวิ่งเล่นใกล้ๆเเม่ช้างเเต่เหมือนจะวิ่งเร็วไปหน่อยเลยลื่นหน้าจิ้มดินเลย



"พี่ภูผาดูน้องนากสิครับ กำลังใช้หินเคาะอะไรด้วย" ผมวิ่งไปยืนเกาะกรง ชี้นิ้วให้พี่ภูผามองตาม



"พี่ภูผาเเยกงูเหลือมกับงูหลามออกไหมครับ" ผมถามอีกคนเมื่อมาถึงบริเวณที่มีงูนานาชนิด

"เเยกยังไงเหรอครับ" อีกฝ่ายถามก่อนก้มหน้ามองงูเหลือมตัวใหญ่ๆตรงหน้าใกล้ๆ

"สังเกตจากลายบนหัวงูครับจะสังเกตง่ายที่สุด ของงูหลามลายจะดูคล้ายหัวลูกศรสีขาว ส่วนงูเหลือมจะเป็นหัวลูกศรเหมือนกันแต่สีจะออกดำ ซึ่งเมื่อจะสังเกตงูประเภทนี้ให้มองที่หัวก่อนเป็นอันดับแรกครับ"

"เก่งนะเนีย" พี่ภูผาวางมอลงมาบนหัวผม

เวลที่คนอื่นชมผมว่าเก่งผมมักจะยิ้มขอบคุณ เเต่เวลาที่พี่ภูผาชมมันคือความรู้สึกดีที่บอกไม่ถูก



"พี่ภูผา น้องกระต่ายชูสองขาให้เราด้วย น่ารักจังเลย" ผมหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดถ่ายรูปน้องกระต่ายรัวๆ

"พี่ภูผารู้หรือเปล่าเดี๋ยวนี้กระต่ายจะเรียกให้น่ารักต้องเรียกยังไง"

อีกฝ่ายส่ายหน้า

"เรียกว่า กาตู่ยย"

ในขณะที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นปากก็จู๋โดยอัตโนมัติอีกฝ่ายไม่รู้นึกครึ้มอะไร ยื่นมือมาบีบปากผมพร้อมสีหน้าบ่งบอกว่าหมั่นเขี้ยว ผมนิ่งไปกับการกระทำของอีกคน ความร้อนวิ่งเเล่นสู่ใบหน้า อาการประหม่าเข้ามาครอบคลุมผมอีกเเล้ว

"ฮะ ฮ่าๆ เราไปดูอย่างอื่นต่อดีกว่าครับ" ผมหัวเราะเเห้งๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

ผมว่าช่วงนี้พี่ภูผาเริ่มเเตะเนื้อต้องตัว เเละใกล้ชิดกับผมขึ้นเยอะเลย



พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆจนเกือบจะดูสัตว์ครบทุกตัวที่มีในสวนสัตว์เเล้ว ผมที่เห็นอีกคนเหมือนจะร้อนจัด จึงบอกให้อีกคนนั่งพักก่อนส่วนตัวเองวิ่งไปซื้อน้ำที่อยู่ใกล้ๆพร้อมกับผ้าเย็นมาให้อีกฝ่าย

"นี่ครับ ช่วยได้" ผมยื่นขวดน้ำที่เย็นเฉียบกับผ้าเย็นให้อีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงข้างๆ

อีกฝ่ายรับน้ำไปดื่ม ก่อนจะหันมาเเกะผ้าเย็น ผมมองการกระทำของอีกฝ่ายตลอด ตอนเเรกผมคิดว่าพี่ภูผาฉีกถุงผ้าเย็นเพื่อจะเช็ดหน้าตัวเอง เเต่เเล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อผ้าเย็นผืนนั้นตอนนี้กำลังอยู่บนหน้าผมโดยมีใครอีกคนกำลังบังคับมันอยู่

"เราควรจะเช็ดมากกว่านะ หน้าเเดงเหงื่อท่วมหมดเเล้ว"

ผมได้เเต่นั่งนิ่งๆให้อีกคนเช็ดหน้าให้โดยไม่ขยับไปไหน มองหน้าอีกคนที่ก้มลงมาใกล้ๆตอนที่กำลังตั้งใจเช็ดหน้าให้ผม พี่ภูผาทำเเบบนี้มันยิ่งทำให้ผมเข้าข้างตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเกิดสิ่งที่พี่ทำกับสิ่งที่ผมคิดมันสวนทางกัน ผมจะทำอย่างไรดีครับ ในเมื่อตอนนี้มันรู้สึกดีจนไม่อาจถอยหลังกลับไปอยู่จุดเดิมได้อีกเเล้ว

 "ขอบคุณครับ" ผมกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย "เราไปกันต่อดีกว่าครับ ดูใกล้จะครบเเล้ว" ผมเปลียนเรื่องเพื่อจะไล่ความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวให้หายไป

พี่ภูผาลุกเดินตามผมมาโดยไม่อิดออดเเม้เเต่น้อย



เดินต่ออีกไม่นานก็จบครบทั้งสวนสัตว์ ผมชวนอีกคนกลับเพราะสงสารที่อีกคนต้องมาเดินตามผมทั้งวันโดยไม่บ่นออกมาสักคำ เเถมยังสนใจสิ่งที่ผมสนใจด้วย เรามากันตั้งเเต่ 11 โมง จนตอนนี้เวลาประมานใกล้จะสี่โมงเย็น ผมเพลินจนไม่ได้ดูเวลาเลย





"พี่ภูผาเหนื่อยไหมครับวันนี้" ผมเอ่ยถามอีกคนตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถเพื่อกลับบ้าน

"ถ้าบอกไม่เหนื่อยพี่คงโกหก วันนี้น่าจะเป็นวันที่พี่เดินเยอะที่สุดเเล้วนะ" อีกฝ่ายหันมายิ้มให้ผม

"เบื่อไหมครับ"

"ไม่ครับ"

"จริงๆนะครับ" ผมถามย้ำอีกครั้ง

"จริงครับ" อีกฝ่ายตอบมาด้วยน้ำเสียงหนักเเน่น

"อ่า ค่อยยังชั่ว" ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก "ขอบคุณนะครับ"

"กลัวพี่เบื่อเหรอ" อีกฝ่ายถามขึ้น

"ก็ ครับ" ผมยอมรับออกไปแต่โดยดี "สำหรับบางคนการมาเที่ยวอะไรเเบบนี้มันก็ดูน่าเบื่อ ไม่สนุก เเต่เพราะผมชอบเลยอยากลองชวนพี่ภูผามาดูว่ามาเที่ยวเเบบนี้มันก็มีเสน่ห์ในตัวมันไปอีกเเบบ"

"พี่บอกเเล้วไง ที่ไหนก็ได้เเค่มีเราก็พอ พี่พูดจริงนะครับ" พี่ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

"ทำไมละครับ" ผมอดที่จะถามออกไปไม่ได้

"นั้นนะสิ ทำไมนะ" พี่ภูผาพูดขึ้น "หิวจังเลยครับ เราหิวหรือเปล่า"

เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยมากๆ เเต่ไม่เป็นไรครับ ผมว่าสักวันนึงผมต้องได้รู้คำตอบเเบบไม่ต้องพยายามถามเเน่ๆ

"ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ พี่ภูผาอยากเเวะกินอะไรก่อนไหมครับ"

"ไม่ครับ" พี่ภูผาส่ายหน้าน้อยๆ "พี่อยากกินกับข้าวฝีมือสีเทียนอีกจังเลยครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ขอไปกินข้าวที่ห้องสีเทียนได้ไหมครับ"  อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงเเกมขอร้องเเละหันหน้ามาส่งสายตาอ้อนๆให้ผม

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก พี่ภูผาตอนอ้อน ฮือ! น่ารัก  สีเทียนกำลังจะตาย

"ดะ ได้ครับ" ผมตอบกลับไปทันทีเมื่อเห็นส่ายตาอ้อนๆของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้

ถ้าถามว่าโลกนี้ใครใจง่ายที่สุดก็คงหนีไม่พ้นสีเทียนคนนี้เเหละครับ  เเค่เขาหันหน้ามาอ้อนนิดๆหน่อยๆก็ใจง่ายตกลงปลงใจกับเขาไปแล้ว ทั้งๆที่ผู้ชายขอขึ้นห้องเลยนะ ยังไม่เสียเวลาคิดเลย

"ขอบคุณครับ" พี่ภูผาอมยิ้มน้อยๆหันหน้ากลับไปมองถนนตามเดิม



"ฟังเพลงไหมครับ" 

"ก็ได้ครับ"

พี่ภูผาเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ เเละเพลงที่สถานีวิทยุกำลังเปิดอยู่ตอนนี้คือเพลง 'เพ้อเจ้อ' ซึ่งเป็นเพลงโปรดประจำตัวผมมาตั้งเเต่รั้งสถานะคนแอบชอบไว้กับตัว

"ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราจับมือด้วยกัน และยังคงฝันว่ามีซักวัน ที่ฉันได้นั่งดูหนังข้างเธอ ฝันให้มีครอบครัวของเรา ฝันว่าเราแก่ไปด้วยกัน......"ผมเผลอโยกตัวร้องเพลงด้วยความคุ้นชิน

"เราชอบเพลงนี้มากเลยเหรอ"

"ครับ คิดว่ามันโดนใจดี" ผมตอบยิ้มๆ  เเต่รอยยิ้มของผมก็ต้องหายไปกลายเป็นนิ่งไปเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกคน

"ยังอยากให้มันเป็นเเค่ความฝันอยู่อีกเหรอครับ"


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมากๆนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2021 23:39:04
 :katai3:

หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 9) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 07-02-2021 21:15:01
ตอนที่ 9 ความรู้สึกของคนโดนชอบ

**** ตอนนี้อาจจะมีการบรรยายเยอะหน่อยนะคะ เพราะอยากให้เห็นมุมมองของพระเอกเราบ้าง หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการอ่านนะคะ ****



ภูผา พาร์ท

"พี่ภูผานั่งรอตรงโซฟาก่อนนะครับ"

เจ้าเด็กขี้เขินหันหน้ากลับมาคุยกับผม สายตายังคงมองพื้นแทบตลอดเวลา  ผมได้แต่อมยิ้มน้อยๆให้กับความขี้เขินของเจ้าเด็กตรงหน้า ตั้งเเต่ผมพูดว่า 'ยังอยากให้มันเป็นแค่ความฝันอยู่อีกเหรอครับ' ออกไป น้องก็ไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆเลย แถมยังปล่อยผ่านประโยคนี้ไปเสียดื้อๆ จะมีก็แต่เเก้มอ้วนๆทั้งสองข้างของน้องที่ขึ้นสีเเดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุก



ผมพูดอะไรผิดไปไหมนะหรือว่าผมจะรุกน้องเร็วเกินไป



ตอนนี้ผมอยู่ภายในห้องของน้องครับ ตอนที่บอกน้องเขาออกไปว่าอยากกินอาหารฝีมือน้อง ตอนนั้นผมก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่าน้องจะยอม ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าน้องไม่ตกลงผมก็จะถอยทัพไปก่อนเเล้วค่อยจู่โจมใหม่ เเต่เจ้าเด็กขี้เขินตรงหน้าไม่ทำให้ผมผิดหวัง น้องตอบตกลงผมอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกใจพองโตเลยทีเดียว

"ให้พี่ช่วยอะไรไหม พี่ล้างผักเป็นนะ"

"มะ ไม่เป็นไรครับ พี่ภูผาไปนั่งรอดีกว่าครับ"

ก็ยังไม่ยอมสบตากันตรงๆละนะ แก้มอ้วนๆทั้งสองข้างก็ดูเหมือนว่าจะยังคงเเดงระเรื่อไม่หาย เขินง่ายไปไหมเนียเจ้าเด็ก

"โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยบอกนะครับ" ผมยอมถอยทัพเพราะสงสารเจ้าเด็กขี้เขินตรงหน้า ให้น้องได้มีสมาธิกับการทำอาหารดีกว่า ถ้าผมอยู่ด้วยสมาธิน้องคงหายไปหมด เดี๋ยวจะเป็นอันตรายได้เพราะใกล้มีด ใกล้ไฟ

ผมเดินตรงไปนั่งยังโซฟาตามที่เจ้าของห้องบอก หันหน้าไปมองเจ้าของห้องที่กำลังก้มๆเงยๆหาของในตู้เย็น ก่อนจะยืนชูถุงยิ้มแฉ่งให้กับสารพัดถุงที่ตัวเองหยิบออกมา สงสัยจะเจอของที่ต้องการเเล้วสินะ



ผมมองน้องที่กำลังหยิบนู่น ทำนี้ ด้วยท่าทางที่คล่องเเคล่วอย่างเพลินตา เเละเหมือนน้องจะรู้ว่าตัวเองโดนจ้องมองอยู่ น้องเงยหน้าจากการหั่นผักมองมาที่ผม สายตาของเราประสานกัน ผมเลิกคิ้วขึ้นส่งยิ้มให้น้องเล็กน้อยเเต่เหมือนว่าการกระทำของผมมันเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เพราะทำเอาคุณเชฟใหญ่ถึงกับหั่นผักพลาดกันเลยทีเดียว



ผมได้เเต่อมยิ้มเเละส่ายหัวน้อยๆ ยอมละสายตาตัวเองออกจากน้อง เพราะกลัวน้องจะโดนมีดบาดเข้าถ้าผมยังมองน้องไม่เลิก ผมนั่งพิงหลังกับโซฟา ใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ปลดล็อกหน้าจอก่อนจะเข้าแอปพลิเคชั่นนึงที่ไม่ค่อยจะได้เล่นสักเท่าไหร่ กดเลือกรูปที่ผมถ่ายไว้ตอนที่อยู่ที่สวนสัตว์มา 1 รูป เเต่งรูปปรับเเสงนิดหน่อย ก่อนจะกดโพสออกไป



รูปที่ผมลงเป็นรูปของน้องที่กำลังยืนอยู่หน้ากรงลิง โดยในรูปจะเป็นมุมกว้างๆ มีผู้คน มีลิงติดเข้ามาในรูปด้วย เเต่เด่นชัดสุดคงจะเป็นเด็กผู้ชายเสื้อเหลืองหมวกขาวกางเกงยีนส์สีดำที่หันมายิ้มกว้างใส่กล้อง โดยที่มือชี้ไปยังลิงที่กำลังห้อยโหนอยู่ ที่ผมลงรูปนี้เพราะรอยยิ้มของน้องที่สดใสมากๆ มากจนผมถึงกับต้องยิ้มตาม จริงๆเเล้วผมตั้งใจจะแอบถ่ายน้องเเบบเงียบๆแต่น้องดันหันมายิ้มใส่กล้องพอดี เเละรูปก็ออกมาน่ารักเสียด้วย



Phu_Phupha

มีเด็กอยากเป็นลิง *อีโมจิลิงปิดหน้า*

ถูกใจ 77    คอมเมนต์ 20



ธูป_ธูป_ธูป   รอยยิ้มน้องสีเทียนทำหัวใจพี่ธูปแทบละลาย ปล.ไม่ค่อยจะเท่าไหร่หรอกมึงอ่ะ

Wa_Nawa   เปิดตัวหรือยังไง กูจะได้ทำตัวถูก

October_20    ชัดเจนแบบไม่ต้องส่องกล้องจุลทรรศน์

Khanom_555   อยากเป็นลิงยังไงให้ดูน่าเอ็นดู @October_20  ลา มึงว่าถ้ากูบ่นอยากเป็นลิงบ้างจะดูน่าเอ็นดูแบบนี้ไหม

ธูป_ธูป_ธูป@Khanom_555 เป็นหมาก็ดีอยู่แล้วมึงอ่ะ อย่ากลายพันธุ์เลยเดี๋ยวลูกๆในปากไม่มีที่อยู่

แสนฉลาด ขาดเฉลียว @นมเปรี้ยวหรือนมบูด มึงมาดูผัวไม่ลงรูปมานาน กลับมาลงทีทำกูใจหวิว รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง

อิงฟ้า นภัสสรณ์   นี่เหรอธุระที่ภูว่าสำคัญนักหนาจนถึงขั้นปฏิเสธอิงเสียงเเข็ง

Bell Bella   อะไรยังไง กูไปปฏิบัติธรรมเเว้บเดียว มันยังไงกัน

มิลล์ที่แปลว่านม  เหมือนกลิ่นดราม่ากำลังจะมา

ชายกลาง ไม่ได้อยู่บ้านทรายทอง   นั่นมันน้องสีเทียนคนน่ารักหนิครับ คนนี้เด็กไอ้ภูเหรอวะครับ



ผมกดปิดเเจ้งเตือนโทรศัพท์ทันที เมื่อเห็นว่ามีการเเจ้งเตือนส่งเข้ามาถี่ยิบ ผมไม่คิดที่จะสนใจอ่านพวกคอมเมนต์อยู่เเล้วไม่ว่าจะเป็นของเพื่อนๆหรือคนอื่น เพราะผมเพียงเเค่อยากลงรูปของน้องก็เท่านั้นเอง ลงรูปเสร็จทุกอย่างคือจบ

ผมปิดหน้าจอใส่โทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงไว้ตามเดิม ลุกขึ้นเดินไปยังบริเวณครัวที่ตอนนี้มีกลิ่นอาหารที่ส่งกลิ่นหอมมาจนถึงบริเวณหน้าทีวี กลิ่นหอมๆของอาหารทำให้ท้องผมร้องขึ้นมาเเทบจะทันที



"พี่ภูผารออีกแป็บนะครับ เหลือเเค่ทอดไข่เจียวก็เสร็จเเล้วครับ" น้องบอกผมเมื่อเงยหน้ามาเจอผมที่กำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทำอาหาร

"พี่ภูผาจะทานตรงเคาน์เตอร์หรือยกไปทานที่โต๊ะดีครับ" น้องว่าพร้อมกับมือที่ชี้ไปยังโต๊ะที่วางอยู่ไม่ไกล

"ทานตรงนี้ดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องยกไปมา"

"ครับ"



พูดเสร็จเจ้าเด็กขี้เขินก็หันหน้ากลับไปวุ่นวายกับการเจียวไข่ เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ก็เทไข่ใส่ลงไปในกะทะ กลิ่นไข่เจียวส่งกลิ่นหอมอบอวน น้องพลิกไข่ไปมาสองสามครั้งก็ยกไข่เขียวฟูกรอบใส่จาน ปิดเตาเเก๊ส หันมาวางจานไข่เจียวใกล้ๆกับจานกระเพราหมูสับ ก่อนจะหันไปหยิบถ้วยในตู้ จัดการตักแกงจืดเต้าหู้หมูสับที่มีควันลอยฟุ้งลงในถ้วย จากนั้นก็จัดการหยิบจานเพิ่มอีกสองใบเพื่อคดข้าวสวยร้อนๆที่อยู่ในหม้อหุงข้าวเเละไม่ลืมตบท้ายด้วยน้ำเปล่าคนละแก้ว

"วันนี้ผมทำเมนูง่ายๆ พี่ภูผาทานได้ไหมครับ" น้องที่นั่งลงตรงข้ามกับผมถามผมด้วยสีหน้าที่มีความกังวลนิดๆ

"แค่เราทำ อะไรพี่ก็กินได้หมดครับ" ผมอดไม่ได้ที่จะหยอดเด็กขี้เขินตรงหน้า

แก้มอ้วนๆของเจ้าเด็กขี้เขินขึ้นสีเเดงระเรื่ออีกครั้ง วันนี้เเก้มอ้วนๆของน้องเหมือนจะทำงานหนักเกินไปแล้ว

"กิน กินกันดีกว่าครับ เดี๋ยวจะเย็นหมด"

"ครับ"



ผมมีความรู้สึกว่าวันนี้ผมเจริญอาหารมากกว่าปกติ ผมขอเติมข้าวเพิ่มอีกรอบ ตอนที่ผมขอข้าวเพิ่มผมเห็นเเววตาเป็นประกายในดวงตาน้องคล้ายๆคนที่กำลังดีใจมากๆ ผมไม่ได้จะเอาใจน้องนะเเต่อาหารของน้องมันอร่อยถูกปากผมมากๆ เเม้จะเป็นอาหารธรรมดาเเต่มันทั้งอร่อยเเละอิ่มเอมใจไปในตัว



ระหว่างที่ทานข้าวอยู่เราทั้งสองคนเเทบไม่ได้คุยอะไรกัน เจ้าเด็กตรงหน้าก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ดูก็รู้ว่าประหม่าไม่น้อย กินข้าวด้วยกันก็บ่อยยังไม่เลิกประหม่าอีกเหรอ เเต่บรรยากาศเงียบๆที่เกิดขึ้นมันไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจเเต่อย่างใด



หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็เป็นคนเสนอตัวล้างจานเอง ตอนเเรกน้องจะไม่ยอมเเต่ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน สุดท้ายเป็นน้องที่ยกธงขาวยอมให้ผมล้างจาน เเต่สีหน้าน้องก็ยังคงกังวลอยู่ บางครั้งมองๆอยู่ก็ทำท่าทางเหมือนจะพุ่งเข้ามาช่วยผม คือผมก็ไม่ได้ลูกคุณหนูขนาดนั้น เรื่องพื้นฐานเเบบนี้ผมทำได้อยู่เเล้วเเต่เจ้าเด็กข้างๆดูไม่ค่อยจะไว้ใจผมสักเท่าไหร่ สงสัยต้องเปลี่ยนจากเจ้าเด็กขี้เขินเป็นเจ้าเด็กขี้กังวลซะเเล้วมั้ง



"พี่ภูผาจะกลับเลยไหมครับ" น้องเอ่ยถามผมเมื่อเห็นว่าผมคว่ำจานใบสุดท้ายเสร็จเเล้ว

"เเบบนี้เรียกไล่หรือเปล่าครับ" ผมพูดหยอดน้องเล่น เเต่เหมือนจะทำให้คนตรงหน้าคิดเป็นจริงเป็นจังรีบส่ายหน้าปฏิเสธจนผมสะบัดเสียทรง

"ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้ไล่นะครับ"

ตื่นตูมเเบบนี้เป็นลิงไม่ได้หรอกเป็นกระต่ายน้อยชูสองขาน่าจะเหมาะกว่า

"ป่านนี้รถติดเเย่เลย ถ้าออกตอนนี้ต้องอยู่บนถนนนานเเน่ๆ" ผมพูดคล้ายๆบ่นกับตัวเอง เเต่ตั้งใจให้น้องได้ยิน

"ถ้าพี่ภูผาไม่รีบ" น้องเว้นวรรคการพูดไปแป็ปนึง "นั่งเล่นที่นี่ก่อนก็ได้ครับ ค่อยออกไปตอนค่ำๆ รอให้รถโล่งๆ"

"จะไม่รบกวนเราเหรอ"

"ไม่เลยครับ ไม่เลย"

"ขอบคุณครับ" ผมขอบคุณเจ้าของห้องจากนั้นก็เดินตรงไปนั่งโซฟาหน้าทีวีทันที



ผมเดินมานั่งตรงทีวีได้สักแป็บเจ้าของห้องก็เดินตามมา พร้อมกับจานผลไม้ที่อยู่ในมือ น้องวางจานผลไม้ไว้บนโต๊ะ ส่วนตัวเองก็นั่งลงอีกฝั่งนึงของโซฟา



เราสองคนเปิดหนังดูเเก้เบื่อ มีพูดคุยกันบ้างเล็กๆน้อยๆ เเละตอนนี้ผมรู้สึกว่าเจ้าของห้องเงียบผิดปกติ พอหันหน้าไปมองก็พบว่าเจ้าของห้องหลับหัวโยกไปมาเเล้ว



ผมยิ้มน้อยๆ ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะเอื้อมมือไปประคองหัวน้องให้นอนลงมาบนตักผม อีกฝ่ายคล้ายๆจะอารมณ์เสียที่โดนรบกวน ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อเจอท่านอนที่สบายตัว สงสัยพลังงานจะหมดเเล้ว ก็วันนี้เล่นเดิน เล่นวิ่ง ไม่มีหยุด พลังงานคงโดนสูบไปหมด



วันนี้น้องดูมีความสุขเเละยิ้มตลอดทั้งวัน เเม้อากาศจะร้อนเเต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าตัวสักนิด สงสัยจะชอบมากจริงๆสินะกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย



ผมยกมือขึ้นมาเกลี่ยเเก้มอ้วนเบาๆ สายตาก็มองคนที่นอนอยู่บนตักอย่างไม่วางตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กกลัวหมาจนตัวสั่นในวันนั้นจะกลายมาเป็นคนที่ผมชอบในวันนี้



ใช่เเล้วครับ ผมชอบสีเทียน ถ้าถามว่าชอบตั้งเเต่ตอนไหนผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันมันเหมือนเป็นการชอบที่ค่อยๆตกผลึกจนวันนึงมันไม่ไหวอยากจะปะทุออกมา





ย้อนกลับไปในวันเเรกที่ผมเจอกับน้อง ตอนนั้นผมกำลังจะเดินไปหอประชุมกับพวกเพื่อนๆ เนื่องจากเป็นวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของคณะบริหาร ระหว่างที่รอเพื่อนๆซื้อของผมสังเกตเห็นเด็กผู้ชายคนนึงกำลังยืนอยู่ในวงล้อมของน้องหมาสามตัว ตอนเเรกผมคิดว่าเจ้าตัวกำลังจะเล่นกับน้องหมา เเต่พอดูดีๆเด็กคนนั้นมีความกลัวที่เเสดงออกมาทางสีหน้าชัดเจน เเละตอนที่น้องหมาตัวนึงในสามตัวนั้นเห่าขึ้นมา เด็กคนนั้นสะดุ้งจนตัวโยน ปากก็เบะออกจะร้องไห้เต็มที ผมตัดสินใจเดินเข้าไปคว้าข้อมือเล็กๆนั่นไว้ ในจังหวะที่น้องเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสของน้องคลอไปด้วยน้ำตา สีหน้าที่ทั้งตกใจ กลัว ดีใจ โล่งใจ มันฉายอยู่บนใบหน้าน้องอยู่ในคราเดียวกัน



ผมบอกให้น้องหลับตาเเละเดินตามผมมา ผมพาน้องเดินฝ่าดงน้องหมาไปอีกฝั่งของถนน ในตอนที่ผมบอกว่าปลอดภัยเเล้ว น้องค่อยๆเเง้มตาตัวเองออกมา มองซ้าย มองขวาอย่างระเเวง มันทำให้ผมนึกขำอยู่ในใจ จะกลัวอะไรขนาดนั้น เเต่ก็นะขึ้นชื่อว่าความกลัว ของเเบบนี้ไม่โดนกับตัวคงไม่รู้ เมื่อรู้ว่าตัวเองรอดเเล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามาสบตาผม ตอนที่เราสบตากัน มันเป็นตอนที่ผมได้เห็นดวงตาของน้องอย่างชัดเจน สีน้ำตาลใสชวนหลงใหลไม่น้อย ยิ่งบวกกับเเววตาที่เป็นประกาย ยิ่งทำให้น่ามอง ยังไม่ทันที่ผมจะได้คุยกับน้องมากนะ เสียงเพื่อนตัวดีก็เรียกขึ้น วันนั้นผมก็หวังเเค่ว่าคงได้มีโอกาสเจอกันอีก เเละเหมือนคำขอจะเป็นผลเร็วเกินคาด เมื่อเด็กผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามายังบริเวณหอประชุม ที่เป็นเเหล่งรวมของชาวบริหาร หึ! โลกกลมเกินไปแล้ว



ผมใช้ชีวิตของการเป็นนักศึกษาปีที่ 2 ไปเรื่อยๆ เรื่องการมีคนแอบชอบสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ปกติ ผมไม่ได้จะอวยตัวเองนะครับเเต่หลักฐานมันอยู่บนหน้า และสีเทียนก็เป็นหนึ่งในนั้น

'เฮ้ย ไอ้ภู น้องสีเทียนแอบมองมึงอีกแล้วว่ะ นู่น ยืนอยู่ตรงร้านน้ำ' เสียงไอ้ธูปว่าขึ้น เมื่อมันหันไปเจอน้องที่ยืนด้อมๆมองๆอยู่ จริงๆผมเห็นน้องนานเเล้วนะครับ เห็นก่อนมันอีก

"................."

'ไหนๆๆๆ น้องสีเทียน' เป็นไอ้วาที่อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

'สัสวา อย่าเสียงดังดิ เดี๋ยวน้องเขารู้หมด ว่ามีคนแถวนี้กำลังนั่งเก๊กท่าให้น้องเขาแอบมอง'

'ท่ามาก' ไอ้วาหันมาว่าผม

'ขอให้หมาเอาไปแดก' ไอ้ธูปที่ได้ทีก็ว่าผมยับ

'พูดมากนะพวกมึงสองคนอ่ะ'

ผมด่าสองทั้งสองคนออกไป ก่อนจจะวางชีทที่กำลังอ่านอยู่ไว้บนโต๊ะ

'มึงลุกไปไหนวะภู' ไอ้ธูปถามขึ้นด้วยสีหน้าที่สงสัยเมื่อเห็นผมลุกขึ้นยืน

'กูหิวน้ำ จะไปซื้อน้ำ' บอกเสร็จผมก็เดินออกมา

'ไอ้ธูป มึงว่าไอ้ภูมันลืมไปป่ะวะ ว่าตอนนี้มันนั่งอยู่ในร้านกาแฟ น้ำบานเลยไอ้สัส'

ผมเดินออกมาจากร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโรงอาหารคณะโดยไม่หันไปสนใจกับเพื่อนๆที่ด่าตามหลังมา เพราะสายตาผมนั้นสนใจแต่เด็กคนนึงที่คอยชะเง้อมองเข้าไปในร้าน เเสดงสีหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

'อ้าวพี่ภู เป็นไงมาไงพี่" ขนมที่เป็นเพื่อนสนิทของน้องทักขึ้นเมื่อหันหน้ามาเจอผม

'เดินมา' ผมตอบขนมเเต่สายตากลับไม่ได้มองที่ขนมเลยสักนิด

สายตาผมมองยังไปเด็กผู้ชายแก้มอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆขนม น้องทักทายผมเเค่นิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆขยับตัวไปแอบอยู่หลังเพื่อนของตัวเอง ก้มหน้าก้มตางับหลอดมองพื้นไม่ยอมหันมาพูดคุยหรือสบตากันสักนิด มีเพียงเเก้มอ้วนๆที่ขึ้นสีเเดงอย่างเห็นได้ชัด



ผมมีคนมาชอบมากหน้าหลายตาซึ่งผมล้วนปฏิเสธแทบจะทุกคน อาจจะมีบางคนที่ยื่นข้อเสนอที่เเตกต่างมาให้เเละทำให้ผมตอบรับข้อเสนอนั้น ผมก็ผู้ชายคนนึงนะครับเรื่องเเบบนั้นก็ต้องมีกันบ้างเเต่มันก็นานๆครั้ง เเละตอนนี้ก็เลิกนิสัยเเบบนั้นไปแล้วครับ



ในตอนเเเรกผมก็ไม่เเน่ใจสักเท่าไหร่ว่าน้องชอบผมหรือเปล่า เเต่พอลองสังเกตดีๆผมก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจ ก็อาการที่น้องเเสดงออกมาให้มองจากดาวพลูโตก็ยังรู้เลยครับว่าน้องแอบชอบผม ผมรู้ เพื่อนๆรู้ หลายๆคน เเต่เหมือนน้องจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีพิรุธขนาดไหน ผมจึงสั่งเพื่อนๆว่าห้ามเเซ็วน้องเด็ดขาด เพราะกลัวน้องจะอายจนหนีหายไป เวลาที่เจอผมน้องจะพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติจนดูไม่เป็นธรรมชาติซึ่งผมว่ามันน่ารักดี



น้องมักจะเอาตัวเองมาอยู่ข้างๆผมเเบบเงียบๆ เงียบชนิดที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็มองเเทบไม่เห็น น้องไม่เคยก้าวเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกอึดอัด น้องจะยืนอยู่ที่เดิมของน้องเสมอ ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยเเสดงตัว ไม่เคยเปลี่ยนไป ขนาดว่าผมมีข่าวกับผู้หญิงผมว่าน้องน่าจะเสียใจพอตัวดูจากเพื่อนๆของน้องที่เข้ามาสืบข่าวจากพวกไอ้ธูป เเต่ตอนเจอผมน้องยังเป็นน้องคนเดิม เหมือนน้องรู้ถึงสถานะของตัวเอง คนแอบชอบบางคนย้ำนะครับว่าบางคนไม่ได้ดีเเบบน้อง บางคนทั้งเข้ามาวุ่นวาย เเสดงความเป็นเจ้าของ เกาะเเกะจนน่ารำคาญ ตามติดจนผมอึดอัด ก้าวก่าย ล้ำเส้น สารพัดรูปเเบบที่ต้องพบเจอ การที่มีคนมาชอบเยอะๆก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปนะครับผมขอยืนยันว่ามันวุ่นวายสุดๆ



น้องทำให้ผมรู้สึกว่าตัวน้องเองพิเศษโดยที่น้องไม่ต้องพยายาม เพียงเเค่น้องเป็นน้องอย่างที่น้องเป็นอยู่ มันก็ทำให้ผมสะดุดตาเเล้ว ผมจำหน้าน้องได้ตั้งเเต่ครั้งเเรกที่เราสบตากัน อาจจะเป็นเพราะดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสน่าหลงใหลดวงนั้นที่ทำให้ผมจำน้องได้เเม่นยำ เคยเป็นกันไหมครับเวลามองตาใครสักคนเเล้วเราจะเผลออุทานหรือพูดในใจว่า 'ตาสวยจัง'



ตลอดเวลาที่เฝ้ามองน้องผมก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ามันกลายเป็นความรู้สึกชอบตั้งเเต่ตอนไหน ผมชอบแก้มอ้วนๆที่มักจะเเดงขึ้นมาเสียดื้อๆตอนที่อยู่ต่อหน้าผม อาการประหม่าของน้องยามที่ผมเข้าไปใกล้ ผมเฝ้ามองน้องจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีก็ไม่มีวี่เเววที่น้องจะเข้ามาใกล้ๆผมเลยสักนิด ขนาดผมให้ท่าเเล้วให้ท่าอีก เก๊กเเล้วเก๊กอีก น้องก็ยังยืนอยู่ที่เดิม



ไอ้ธูปเป็นคนเเรกที่เริ่มสังเกตเห็นอาการผมที่มีต่อน้องเเละผมก็ยอมรับกับมันทันทีเพราะไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง มันมักจะบอกให้ผมทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มัวเเต่นั่งเก๊กท่าให้น้องนั่งส่องอยู่เเบบนี้ ผมก็อยากจะทำอะไรสักอย่างเหมือนกันเเต่พอจะทำอะไรสักอย่างน้องวิ่งหนีเเทบจะทันที น้องเเทบไม่เปิดโอกาสให้ผมเลย ผมอยากจะเดินเข้าไปขวางด้านหน้าน้องเเล้วพูดว่า 'อยากอยู่เเค่สถานะเเอบชอบไปตลอดจริงๆเหรอครับน้องสีเทียน'



หลังจากนั่งเก๊กให้น้องส่องมาเป็นปี เหมือนว่าเวลาของผมจะมาถึง หลังจากเปิดเทอมปี 3 ได้ไม่นาน ไอ้ธูปเกิดอาการอยากกินเหล้าขึ้นมากะทันหัน ผมจึงเสนอให้มันชวนพวกน้องๆไปด้วย  วันที่ไปร้านเหล้าถ้าเป็นครั้งก่อนๆน้องจะหลีกเลี่ยงการนั่งโต๊ะเดียวกับผม เเต่รอบนี้พวกเราได้นั่งโต๊ะเดียวกัน ตอนที่น้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำผมไล่ให้ไอ้ธูปไปนั่งเเทนที่น้อง เจ้าตัวเมื่อเห็นว่าที่โดนเเย่งเเละที่ว่างมีเเค่ข้างๆผม จึงยืนหมุนซ้ายขวาอยู่นานจนเพื่อนน้องต้องดึงลงนั่ง เมื่อน้องมานั่งผมพาดมือตัวเองพาดผ่านด้านหลังน้อง ที่ผมทำเเบบนี้เพราะมีคนในร้านหลายคนมองน้องเหมือนเจอเหยื่อที่โดนใจ เห็นเเบบนั้นเเล้วผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เลยต้องแสดงความเป็นเจ้าของกันสักหน่อย



เวลาผ่านไปจนดึกดื่นเด็กน้อยผู้ห่างไกลเเอลกอฮอล์โดนมอมเหล้าอย่างง่ายดาย กินไปนิดเดียวก็เมาเเล้วดูได้จากหน้าเเดงๆกับสรรพนามการเรียกชื่อที่เปลี่ยนไป 'พี่ผา' กับคำว่า 'เรา' น่ารักว่ะ



ครั้นตอนที่น้องร้องเพลงเพลงนึงเเล้วหันหน้ามาสบตาผม มันเป็นครั้งเเรกที่น้องสบตาผมตรงๆโดยที่ไม่หลบไปไหน ผมได้เเต่นั่งยิ้มมองดูการกระทำของเด็กตัวน้อย สายตาที่น้องส่งมาให้ผม เพลงที่น้องตั้งใจร้องเพื่อสื่อให้ผมได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง ผมอยากจะบอกน้องว่า 'พี่ได้รับเเล้วนะครับ'



หลังจากกินเหล้ากันเสร็จถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านผมอาสาไปส่งน้องๆกับเพื่อนๆที่คอนโดเอง น้องงอเเงอ้อนผมขอขี่หลัง ผมที่ต้านทานความน่ารักนั้นไม่ไหว ยอมให้น้องขี่หลังอย่างง่ายดาย ระหว่างทางที่เดินจากร้านไปลานจอดรถของร้านน้องพูดข้างๆหูผมไปตลอดทาง

'คูณณณ คูณรู้จักพี่ภูผาป้าวค้าบ'   เสียงอ้อเเอ้ของน้องถามขึ้น

'รู้จักครับ'

'รู้จักด้วยเหรอ ดีจาง'  น้องหัวเราะหึหึก้มหน้าซบบ่าผม ก่อนจะเงยหน้ามาพูดต่อ

'คุณรู้ป้าว เรา!' น้องชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง 'สีเทียนคนนี้ ชอบพี่ภูผามากๆเลย'

'จริงเหรอครับ'

'จริงเซ่! อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นยืนยันเสียงดัง 'แต่คุณห้ามไปบอกใครนะ มันคือความลับ หึหึ' ก่อนจะกลับมาซบบ่าผมต่อ 'วันนี้ขนมบอกว่า ให้เราเข้าไปจีบพี่ภูผาสักทีเเต่เราไม่กล้า ขนมบอกว่าสักวันพี่ภูผาจะมีเเฟน มีครอบครัว' เสียงอีกฝ่ายคล้ายกำลังจะร้องไห้ ผมได้ยินอย่างนั้นเเทบอยากจะกลับไปถีบขนมสักที

'เราไม่ได้โกรธขนมเลยที่ขนมพูดเเบบนั้น เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เรารู้ว่าขนมหวังดี เเต่ตรงนี้! ตรงนี้ของเรา' น้องตบออกของตัวเองปั๊กๆ 'มันเจ็บมากๆเลย คุณว่าพี่ภูผาจะมีแฟนเร็วๆนี้ไหม เรายังไม่พร้อมเลย ถ้าพี่ภูผามีเเฟนจริงๆ เราไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไง"

ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้เด็กน้อยของผมเหมือนจะมีน้ำตาไหลอาบเเก้มแล้วหล้ะ

'เเล้วทำไมถึงไม่บอกเขาล่ะหรือเข้าไปจีบเลยสิ' ผมบอกน้องด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

น้องสะบัดหัวอย่างเเรงตรงบ่าผม จนผมกลัวว่าจมูกจะหักเข้าเสียก่อน

'ไม่ได้หรอก ทำเเบบนั้นไม่ได้หรอก' น้องเว้นจังหวะไว้แป็บนึงก่อนจะพูดต่อ 'ไม่อยากเสียพี่ภูผาไปไม่ว่าสถานะไหนก็ตาม แอบชอบอยู่แบบนี้ ดีกว่าให้คนที่ชอบเมินหรือหนีหายไปซะอีก อยู่ตรงมุมมืดๆของตัวเองเเบบนี้ก็ดีเเล้ว ถึงจะเจ็บบ้าง เศร้าบ้างก็ไม่เป็นไร เมื่อหายดีเงยหน้าขึ้นมามองก็ยังมองเห็นเขายืนอยู่ที่เดิม เเต่ถ้าออกมาจากมุมของตัวเองมันจะออกบวกลบยังไม่รู้เลย ถ้าออกบวกก็ดีไป เเต่ถ้าออกลบขึ้นมาคราวนี้ต้องเศร้าเเบบยาว เจ็บเเบบนานๆ พอเงยหน้าไปมองตรงนั้นตรงที่เขาเคยยืนมันไม่มีเขายืนให้เรามองอยู่อีกต่อไปเเล้ว มันเจ็บมากๆนะ'

ผมรับรู้ถึงความชื้นบริเวณบ่าของตัวเองเป็นอย่างดี เหมือนน้องกำลังร้องไห้เเบบเงียบๆ

'พี่ภูผาของเราอาจจะคิดเหมือนกันกับเราก็ได้นะ'

'พี่ภูผาของเราเหรอ ดีจังคำนี้' น้องใช้เเขนทั้งสองข้างโอบรอบคอผมเเน่นขึ้น 'แต่เป็นไปไม่ได้หรอก เราไม่กล้าเข้าข้างตัวเองมากขนาดนั้นหรอก'

'เเล้วเคยคิดที่จะเข้าไปจีบบ้างไหม'

'เคยเซ่ คิดตลอดเลย ว่าอยากเดินเข้าไปแล้วบอกว่า 'พี่ภูผา ผมชอบพี่มากๆเลย เรามาเป็นแฟนกันดีไหมครับ' แต่ก็ได้เเค่คิด' จู่ๆเจ้าเด็กที่เกาะหลังผมอยู่ก็เด้งตัวขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเเน่วเเน่ 'แต่ถ้าเรามีโอกาส เราก็จะลองเสี่ยงนะ ถ้าโอกาสบินผ่านหน้า เราจะคว้าไว้ให้ได้เลย' ว่าเสร็จก็ยื่นมือไปด้านหน้าคว้าอากาศเล่นซะงั้น

'ไม่ลองหาโอกาสให้ตัวเองบ้างล่ะ'

'ความกล้าก็มีเท่ามด เจอหน้าพี่เขาก็เขินจนต้องวิ่งหนี เเล้วจะมีไหมโอกาส ใจก็กากขนาดนี้ เฮ้อ! เลยบอกงายว่าคงได้เเค่เเอบชอบตลอดไป หรือถ้ารอให้ใจเราหายกากพี่ภูผาคงมีลูกห้าคนเเล้วหล้ะ' เด็กที่ร้องไห้เมื่อกี้หายไปไหนเเล้วเนีย ทำไมกลายเป็นเกรี้ยวกราดเเล้วละ

'แล้วเคยคิดจะเลิกชอบไหม'

'เลิกชอบคืออะไรหรอ ไม่เห็นจะรู้จักคำนี้เลย"

ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ของน้อง เเละมันทำให้ผมรู้ว่าคงถึงเวลาที่ผมต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง ผมไม่อยากเห็นน้องเศร้าเเบบนี้เลย

ผมจัดการไปส่งน้องถึงยังที่หมาย ตอนเเรกตั้งใจจะตามไปดูเเลน้องให้เรียบร้อยถึงในห้อง เเต่ไอ้ตุลาหลานรหัสตัวดีไอ้ธูปเข้ามาขัดขวางเเละไล่ให้ผมกลับไป ผมตัดสินใจถอยทัพในวันนี้ ส่วนหลังจากนี้รอรับเเรงปะทะได้เลยนะน้องสีเทียน



ตอนเย็นวันถัดมาผมส่งข้อความไปหาน้องเพื่อถามว่าหายเมาหรือยัง เราสองคนไม่เคยคุยกันในเเชทส่วนตัวเลย นี่คงเป็นครั้งเเรกเเละผมคิดว่าอีกฝ่ายก็คงตกใจไม่น้อย



เช้าวันถัดมาผมนั่งอยู่โรงอาหารกับพวกไอ้ธูปพร้อมด้วยกาเเฟเเก้วนึง ไอธูปบอกว่าเดี๋ยวน้องรหัสมันจะมาหา เเต่ผมไม่คิดว่าน้องจะมาด้วย เเถมถือปิ่นโตสีเด่นสะดุดตาไว้ในมือด้วย น้องมีท่าทางกล้าๆกลัว ก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นปิ่นโตมาให้พร้อมกับพูดจาเร็วๆจนเเบบลืมหายใจ ผมได้เเต่ยิ้มขำกับการกระทำของคนตรงหน้า เเก้มอ้วนๆทั้งสองข้างก็เเดงง่ายจริงๆ ปกติผมไม่ชอบทานอาหารเช้า เเต่ผมพูดได้เลยว่ามือเช้าวันนั้นเป็นมื้อเช้าที่อร่อยที่สุด



วันนั้นทั้งวันผมเดินถือปิ่นโตไปมาด้วยความภาคภูมิใจ เพื่อนๆถามก็บอกไปแบบไม่มีปิดบัง เพราะหลายๆก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเธอเนื่องจากผมสั่งทุกคนว่าห้ามจีบน้องเด็ดขาด ตกเย็นตอนเอาปิ่นโตไปคืนก็เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของน้องถามไปมาสรุปได้ว่าเจ้าตัวกังวลว่าผมจะอายกับสีปิ่นโตของตัวเอง เด็กน้อยเอ๋ยช่างไม่รู้อะไร พี่เดินอวดเขาทั้งตึกคณะเเล้วครับ หลังจากปลอบน้องให้กลับมายิ้มได้ก็ถึงเวลาที่ต้องเเยกย้าย ผมชวนน้องไปกินข้าวเเต่เหมือนน้องจะมีนัดกับเพื่อนๆเเละเหมือนเพื่อนๆของน้องจะเป็นใจมีธุระกะทันหันกันหมด ผมว่าเพื่อนน้องก็คงรู้สึกได้บ้างเเหละคงเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กับน้อง วันนั้นเป็นวันเเรกที่เราได้กินข้าวด้วยกันสองคนเเละเดินไปซื้อของด้วยกัน



*** มีต่อด้านล่างค่ะ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 9 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 07-02-2021 21:16:12
*** ต่อตอนที่ 9 ***


วันถัดมาผมตั้งใจจะไปซื้อน้ำอบเชยที่น้องชอบกินไปฝาก เเต่บังเอิญเจอน้องมาซื้อน้ำพอดีซึ่งเเก้วสุดท้ายเป็นของผม ผมบอกน้องว่าจะยกน้ำให้เเต่ต้องมีข้อเเลกเปลี่ยน น้องยืนคิดสักครู่ก็ยื่นขอเสนอมา ข้อเสนอของน้ำทำให้ผมรู้สึกหมั่นเขี้ยวจนอยากเข้าไปบีบเเก้มอ้วนๆนั้นให้หลุดติดมือมา สุดท้ายผมก็บอกข้อเสนอของตัวเองไป น้องตกลงอย่างรวดเร็วเเววตาฉายความดีใจออกมาจนชัดเจน ตกตอนเย็นผมมารอรับน้องไปดูหนังด้วยกัน ผมสังเกตเห็นเเขนของน้องมีแผลจนเลือดซิบ มันทำให้ผมหงุดหงิดอย่างมาก อย่าให้รู้ตัวคนทำนะ พ่อจะด่าให้

ระหว่างทางผมเเวะซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้น้อง น้องขำเมื่อครั้นเห็นพลาสเตอร์ลายน่ารัก ที่ผมซื้อลายนี้มาเพราะมันน่ารักเข้ากับน้องดี ตอนที่ผมบอกน้องไปว่าน้องน่ารัก หน้าน้องดูอึ้งๆ เเก้มก็ดูเเดงๆจนอยากจะฝั่งจมูกลงไปบนเเก้มนั้นสักที เเละวันนั้นก็เป็นที่เราได้ไปดูหนังด้วยกันสองคนครั้งเเรก ผมถือว่าไปสองคนก็เเล้วกันเพราะผมนั่งกับน้องเเค่สองคน ส่วนพวกขี้เสือกไม่นับ เเละเป็นครั้งเเรกที่เราได้จับมือกัน ตอนที่น้องกระชับมือผม มันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเเบบบอกไม่ถูก เหมือนเด็กหัดรักเลย



หลายๆวันถัดมาผมที่บังเอิญเจอน้องในห้องสมุดเเละได้ยินน้องคุยโทรศัพท์กับใครสักคนสีหน้าท่าทางมีความสุขมากๆมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด เเต่ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ลึกสุดใจ จนสุดท้ายผมก็ได้รู้ความจริงว่าคนที่น้องคุยด้วยคือพี่ชายของตัวเอง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะมีคู่เเข่งซะเเล้ว



ถัดมาอีกวันผมกำลังหัวเสียอย่างหนักกับการโดนตื้อจากเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างอิงฟ้าที่กำลังมาตามตื้อให้ผมไปงานเลี้ยงกับเธอเพราะเธอไม่มีคนควงไปด้วย อิงฟ้าเป็นคนที่เอาเเต่ใจมากๆเพราะถูกตามใจมาตลอด เเละความซวยก็บังเกิดเมื่อน้องมาเห็นเข้าพอดี หน้าน้องเศร้าอย่างเห็นได้ชัด น้องพยายามหาทางหนีออกไปให้เร็วที่สุด ผมที่จะไม่ยอมให้น้องหนีไปอีกเเล้วยื่นมือไปดึงข้อมือก่อนจะพาน้องไปยังร้านกาแฟเเละอธิบายให้น้องฟัง เพราะไม่อยากให้น้องต้องเศร้าเเละเข้าใจผมผิดๆ

 ตกเย็นในวันเดียวกันเป็นวันที่ต้องประชุมเรื่องค่าย หลังจากประชุมเสร็จฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นโอกาสที่ผมจะได้ไปส่งน้องอีกครั้ง เมื่อไปถึงหน้าคอนโดน้องก็บ่นผมเรื่องที่ชอบลืมเเก้วกาแฟที่ทิ้งไว้ กับของที่วางไม่เป็นระเบียบ ผมจึงถือโอกาสตรงนั้นมัดมือชกให้น้องคอยดูเเลส่วนตัวเองจะมาตามรับตามส่งน้องเอง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลครับ เข้าทางผมหละ



หลังจากนั้นผมก็ไปรับไปส่งน้องตลอด จนมีครั้งนึงที่ผมต้องอยู่ทำงานยันเช้าเเต่ก็อยากไปรับน้องจึงฝืนตัวเองไป เจ้าตัวที่เห็นผมดูไม่สดชื่นก็สอบสวนผมยกใหญ่ พอรู้ความจริงก็บ่นผมไม่หยุด ปากเล็กๆคอยบ่นผมไปตลอดทาง ถ้าเป็นเเฟนกันผมคงจะจับจูบไปแล้ว เก็บไว้ทบต้นทบดอกละกัน การที่มีใครสักคนคอยเป็นห่วงเราเเบบนี้มันดีนะครับ อีกอย่างน้องดูเป็นห่วงผมออกมาจากใจจริงๆ ไม่ใช่เเค่การพูดให้มันผ่านๆไป



ความสัมพันธ์ของผมกับน้องเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามขยับเข้าหาน้องอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ดูว่ามันรวดเร็วเกินไปจนดูเป็นความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ผมต้องการให้น้องเเน่ใจเเละมั่นใจในความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ น้องก็เหมือนจะประหม่าน้อยลง มีภูมิต้านทานมากขึ้น กล้าพูด กล้าถาม กล้าเถียง กล้าบ่นผมมากขึ้น ไม่มีการวิ่งหลบหรือวิ่งหนียามเจอหน้า กล้าเอาของมาให้ตรงๆโดยไม่ต้องผ่านคนอื่น อาการเกร็งๆในตอนเเรกก็เเทบไม่มีเหลือ ส่วนอาการเขินสงสัยคงจะเเก้ไม่หายเเน่ๆ



ผมจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากเเละผมไม่มีความคิดว่าอยากจะให้มันพังลง ผมจะทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำได้ หวังว่าอีกไม่นานเราคงได้เดินไปพร้อมๆกันนะสีเทียน พี่พยายามส่องเเสงไปยังมุมมืดที่เรายืนอยู่ให้เราเดินออกมาโดยไม่ชนเข้ากับอะไรจนต้องเจ็บตัว พี่หวังว่าเราจะเดินออกมาหาพี่นะ มาเดินจับมือไปด้วยกัน ไม่ต้องคอยฝันอีกต่อไป





ตัดภาพมาที่ปัจจุบันผมมองคนที่หลับสนิทอยู่บนตักตัวเองด้วยเเววตาที่อ่อนโยน ลมหายที่เข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับสนิทเเค่ไหน ให้น้องนอนต่ออีกสักนิดค่อยปลุกก็แล้วกัน นิ้วโป้งของผมยังคงเกลี่ยอยู่บนเเก้มอ้วนๆของน้องอย่างหลงใหล ผมคิดมาตลอดว่าเเก้มอ้วนๆของน้องจะนิ่มขนาดไหนนะ  วันนี้ผมขอเป็นคนนิสัยไม่ดีสักวันก็เเล้วกัน อย่าบอกน้องนะครับ คิดได้ดังนั้นผมก็ไม่รอช้าก้มหน้าไปใกล้ๆเเก้มอ้วนๆของน้องก่อนจะ

ฟอดดดดดดดดด

"นิ่มกว่าที่คิด"

<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-02-2021 22:24:09
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 07-02-2021 23:56:35
 :o8: หอมแก้มแล้ว
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-02-2021 22:55:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 10) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 09-02-2021 10:38:46
ตอนที่ 10 วันงงๆของคนแอบชอบ


"อือ" ผมส่งเสียงเบาๆในลำคอ ขยับตัวเล็กน้อย ชูแขนทั้งสองข้างขึ้น บิดตัวซ้ายขวาเนื่องจากรู้สึกเมื่อยตัวจากการนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน


นอนเหรอ? ผมชะงักมือค้างไว้กลางอากาศ ร่างกายที่กำลังบิดซ้ายขวาชะงักนิ่ง คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นเข้าหากัน ผมจำได้ว่าเมื่อกี้ยังนั่งดูหนังกับพี่ภูผาอยู่เลยเเล้วผมนอนได้ยังไง


พี่ภูผา ใช่เเล้วพี่ภูผาอยู่ในห้องของเรานี่น่า เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รีบดีดตัวขึ้นนั่งทันที


โป้ก!

"โอ๊ย!"

"โอ๊ย!"

ผมส่งเสียงร้องออกมาเมื่อหน้าผากของผมกระเเทกกับอะไรบางอย่างอย่างเเรง ผมหันหน้าไปทางเสียงร้องโอ๊ยของใครอีกคนที่ดังออกมาพร้อมๆกัน ก็เจอกับพี่ภูผากำลังใช้มือจับๆลูบๆอยู่ที่บริเวณคางของตัวเอง

"พี่ภูผาเจ็บมากไหมครับ" ผมรีบขยับตัวเข้าหาพี่ภูผาอย่างรวดเร็วอย่างลืมตัว ทำให้ตอนนี้ผมกับพี่ภูผานั่งใกล้กันมากๆ

"ผมขอดูหน่อยครับ" ผมจับมือของพี่ภูผาออก ก่อนจะใช้มือของตัวเองไปสัมผัสบริเวณคางที่มีรอยสีเเดงเด่นชัดขี้นมา "เจ็บมากไหมครับ ผมขอโทษ" ผมมองรอยเเดงบริเวณคางด้วยความรู้สึกผิด "แดงหมดเลย"


ผมที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับคางของพี่ภูผาอยู่นั้นเริ่มรับรู้ได้ถึงความเงียบเเละความผิดปกติของคนตรงหน้า ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพี่ภูผาเป็นอะไรหรือเปล่า จึงเงยหน้าขึ้นมองพี่ภูผาก็เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาที่ผมอยู่เเล้ว สายตาของเราทั้งสองประสานกัน ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผมอยู่ใกล้กับพี่ภูผาขนาดนี้เลยเหรอ


ทุกครั้งที่ผมได้มองตาที่ภูผา มันเหมือนราวกับว่าผมโดนมนต์สะกดก็อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสีนิลสวยที่ชวนให้หลงใหล ทำให้ไม่สามารถหนีไปจากมันได้เลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ได้สบตากันมันทำให้ผมไม่อยากจะละสายตาไปไหน และสายตาของพี่ภูผาที่มองมายังผมมันทำให้ผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับสายตาของอีกฝ่ายเสมอ ผมเลยเลือกที่จะหลบสายตาของพี่ภูผาอยู่บ่อยๆ


และตอนนี้ผมรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นมันอยู่ใกล้ๆกับผมมากๆ มากจนผมเห็นมันชัดมากกว่าครั้งไหนๆ ไม่สิ ไม่ใช่เเค่ดวงตาที่เห็นชัดขึ้น เเต่ตอนนี้หน้าของพี่ภูผาผมก็เห็นชัดขึ้น ใบหน้าของเราอยู่ใกล้ๆกันมาก จมูกของเราเเทบจะชนกันอยู่เเล้ว ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร และผมก็ไม่มีความคิดว่าจะหลบหนีหรือถอยออกไปเช่นกัน ผมยังคงมองตาของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา


หน้าของพี่ภูผาใกล้เข้ามาอีกนิด อีกนิด เเละอีกนิด ปลายจมูกของเราชนกันเบาๆ พี่ภูผาเอียงหน้านิดหน่อย เเละทันใดนั้นเอง


ครืดครืด~     ครืดครืด~     ครืดครืด~


เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะทำให้เราสองคนดีดตัวออกห่างกันโดยอัตโนมัติ

"อะเเฮ่ม! อืม!" พี่ภูผาส่งเสียงกระเเอมออกมา หันหน้ามองซ้ายทีขวาทีราวกับว่ากำลังประหม่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า อีกอย่างที่ผมสังเกตเห็นเหมือนว่าหูของพี่ภูผาจะเเดงนิดๆด้วย หนาวหรือเขินนะ

"เอ่อ เอ่อ" ผมก็รู้สึกประหม่าไม่ต่างจากอีกฝ่าย จากเหตุการณ์เมื่อครู่มันทำให้ความรู้สึกของผมตีวนปะปนสับสนกันอยู่ในหัว เเต่สิ่งหนึ่งที่โชว์เด่นอยู่บนใบหน้านั้นคือความเเดงที่เกิดจากความเขินอาย

ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเบาๆเพื่อขับไล่ความประหม่าเเละความเขินอายที่มีอยู่เเต่เหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย

"พะ พี่ภูผาเจ็บมากไหมครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้พี่ภูผาเจ็บตัว" ผมรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดที่มีอยู่ในตัวถามอีกฝ่ายออกไป พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด

"ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก"พี่ภูผาหันหน้ามาตอบผม

"ว่าเเต่ทำไมหัวเราถึงชนกันได้นะ" ผมบ่นกับตัวเองเบาๆด้วยความสงสัย เเต่เหมือนว่าคนข้างๆจะหูดีเกินไป

"พอดีพี่เห็นเรานอนโงนไปเงนมา พี่เลยจับเรามานอนตักพี่แทน" พี่ภูผาหันมาบอกผมด้วยหน้าตานิ่งๆ

"นะ นอนตักเหรอครับ" ผมตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะได้นอนบนตักของคนข้างๆ

"ใช่ครับ" พี่ภูผาตอบผมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นหน้าของผมที่กำลังเหวอให้กับเรื่องที่พูดก่อนหน้า "ทำหน้าอะไรของเรา ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ" พี่ภูผาว่าพร้อมกับยื่นมือมาวางบนหัวผม

"โอ๊ย ซี๊ด!" ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาเมื่อมือของพี่ภูผาโดนเข้ากับบริเวณที่กระเเทกกับคางของคนตรงหน้า

"เป็นอะไรครับ เจ็บเหรอ ไหนขอพี่ดูหน่อย" พี่ภูผามีสีหน้าตกใจ ขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆกับผม ใช้มือของตัวเองลูบบริเวณหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา




ผมมองหน้าของคนตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินจนความเจ็บที่มีก่อนหน้าไปซะหมด ใบหน้าของพี่ภูผาที่ตอนนี้คิ้วขมวดจนแทบจะเป็นปม สายตาก็จับจ้องไปยังบริเวณหน้าผากของผมพร้อมกับมือที่ยังลูบอยู่เบาๆนั้น มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ เจอเเบบนี้ยาไม่ต้อง ประคบเย็นไม่เอา ขอมือคู่นั้นมาประคบหน้าผากผมแทนได้ไหมครับ ฮ่าๆ เหมือนจะเก่ง แต่ก็เก่งได้เเค่ในความคิดเท่านั้น น่าสงสารจริงๆนะตัวเรา


"สีเทียน"

"สีเทียนครับ"

"สีเทียน! "

"คะ ครับ" ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเองเมื่อรับรู้ถึงเเรงเขย่าบริเวณต้นแขน

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เจ็บมากไหม ไปหาหมอไหมครับ พี่ว่าเราดูไม่ค่อยโอเคนะ เรียกตั้งนานก็ไม่ตอบ"

พี่ภูผายิงคำถามใส่ผมมาเป็นชุด เเบบนี้เขาเรียกว่าเป็นห่วงใช่ไหม เป็นห่วงใช่หรือเปล่านะ เป็นห่วงเเหละเนอะ ขอเข้าข้างตัวเองสักนิดจะผิดไหม

"ไม่เป็นไรครับผมเเค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย"

"แน่ใจนะ" พี่ภูผาถามย้ำผมอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ยังติดกังวลอยู่

"แน่ใจครับ" ผมตอบคนตรงหน้าด้วยความหนักเเน่น อีกฝ่ายพยักหน้ากลับมาและมีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น


"ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนดีกว่า ดึกมากเเล้วเราจะได้พักผ่อนต่อ" อีกฝ่ายว่าเสร็จก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือกับกุญเเจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ

ส่วนผมที่ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าดึกมากเเล้ว รีบหันหน้าไปมองยังนาฬิกาที่เเขวนอยู่กับฝาผนังทันที เมื่อเห็นเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาตอนนี้ก็แทบอยากจะหันไปตีคนข้างๆแรงๆสักที



"ทำไมพี่ภูผาไม่ปลุกผมครับ นี่มันจะห้าทุ่มเเล้วนะครับ" ผมหันหน้าไปถามคนข้างๆด้วยสีหน้าพร้อมมีเรื่องเต็มที่

"ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่เห็นเรากำลังนอนนอนสบายเลยไม่อยากปลุก"

"ไม่เป็นไรไม่ได้ครับ มันดึกมากๆเลย" ผมมุ่ยหน้าใส่คนตรงหน้า "ขับรถดึกๆมันอันตรายนะครับ"

"เป็นห่วงเหรอครับ" พี่ภูผาถามผมด้วยน้ำเสียงประมาณว่าจะเเซวเล่นเเต่สำหรับคือไม่เล่นครับ

"ครับ ผมเป็นห่วง" ผมบอกคนตรงหน้าด้วยเสียงที่ดังฟังชัด

พี่ภูผาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคที่ผมพูดออกไป ก่อนจะยิ้มนิดๆบริเวณมุมปาก สายตาที่มองมาราวกับว่ากำลังดีใจอยู่

"คราวหน้าไม่เอาเเบบนี้เเล้วนะครับ"

"โอเคครับ" พี่ภูผายื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ ส่งยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ผม "ไปกันครับ ถ้าดึกกว่านี้จะมีเด็กงอนพี่อีก" ว่าเสร็จพี่ภูผาก็ลุกออกจากโซฟาเดินนำผมไป

"ผมไม่ได้งอนสักหน่อย" ผมบ่นเบาๆก่อนจะลุกเดินตามอีกฝ่ายไป


ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ คีการ์ดเเละกุญเเจบ้านที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าว ก่อนจะเดินมาหาพี่ภูผาที่รอผมอยู่ที่บริเวณหน้าประตู

"จริงๆส่งพี่ที่หน้าประตูก็ได้"

"มีคีการ์ดเหรอครับ"

อีกฝ่ายยกมือยอมเเพ้เพราะตัวเองไม่มีคีการ์ดของคอนโด จากนั้นก็เอื้อมมือไปเปิดประตูเดินออกจากห้องไปพร้อมๆกัน


เราสองคนเดินตรงมายังบริเวณลานจอดรถหน้าคอนโดที่มีรถของพี่ภูผาจอดอยู่ พี่ภูผาที่กำลังเปิดประตูรถชะงักค้างไว้ ก่อนจะหันหน้ามามองผม

"หน้าผากของเราแดงมากเลยไม่รู้จะปูดหรือเปล่า ถ้าปูดอย่าลืมหาน้ำเเข็งมาประคบด้วยนะ"

ผมยกมือขึ้นจับหน้าผาตัวเองทันทีที่พี่ภูผาพูดเสร็จ

"ครับ"

พี่ภูผาพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม "ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนนะ" พี่ภูผาว่าจบก็เตรียมตัวจะเข้าไปนั่งไปรถ

"เดี๋ยวครับพี่ภูผา"

พี่ภูผาชะงักตัวเองหันหน้ามามองผม เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"คือ คือว่า" ผมสูดหายใจเเรงๆเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดรัวๆออกไป "ขอโทษนะครับที่ทิ้งพี่ภูผาไว้คนเดียว ส่วนตัวเองก็หลับสบายเลย เเถมพอตื่นมาก็ทำให้พี่ภูผาเจ็บตัวอีก" ผมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด "อีกอย่างผมยังสร้างความลำบากด้วยการไปนอนบน เอ่อ บนตักพี่ภูผาอีก" ผมรู้สึกเขินกับประโยคหลังที่พูดไป บีบมือตัวเองที่กำลังจับกันอยู่

"ไม่เป็นไรครับ" พี่ภูผาส่งยิ้มที่ดูเเล้วอบอุ่นส่งมาให้ผม ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น


และต่อไปผมกำลังจะใช้ความกล้าหลอดสุดท้ายของวันนี้ออกไปกับประโยคที่ว่า


"วะ ไว้วันหน้ามาทานข้าวอีกนะครับ ผมจะทำอาหารอร่อยไว้ไถ่โทษเเละขอบคุณ" พูดไปแล้ว พูดออกไปแล้ว

"ตกลงครับ"

"ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านดีๆนะครับ" ผมส่งยิ้มกว้างให้กับพี่ภูผา "แล้วก็ ถึงบ้านเเล้วส่งข้อความมากบอกด้วยนะครับ" ประโยคหลังผมพูดออกมาด้วยความไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่เเน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร

"โอเคครับ" ว่าจบพี่ภูผาก็เข้าไปนั่งตำเเหน่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์ ผมที่คิดว่าพี่ภูผาจะขับออกไปเลยก็ต้องงงๆเมื่ออีกฝ่ายลดกระจกฝั่งข้างๆคนขับ พี่ภูผาเอี้ยวตัวมายังเบาะข้างๆคนขับ เพื่อลดระยะห่างของเราสองคนให้ได้คุยกันใกล้ขึ้น

ส่วนผมก็ขยับตัวไปใกล้ๆกับกระจกเพราะไม่เเน่ใจว่าอีกฝ่ายลืมอะไรหรือเปล่า

"พี่ภูผาลืมอะไรหรือเปล่าครับ"

"เปล่าครับพี่จะบอกว่า จริงๆของไถ่โทษไม่ต้องก็ได้นะครับ เพราะว่าพี่ได้จากเรามาเเล้ว นิ่มดี " พี่ภูผาส่งรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์มาให้ผม "ไว้เจอกันนะครับ ถึงบ้านพี่จะส่งข้อความมาบอกนะครับ เราก็กลับขึ้นห้องได้เเล้วนะครับ"

เมื่อว่าประโยคยาวๆจบพี่ภูผาก็ปิดกระจกและขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ทิ้งให้ผมงงกับคำว่า นิ่มดี ของอีกฝ่ายอยู่ที่เดิม อะไรของเขานะที่บอกว่านิ่มดี ผมยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงงๆ สะบัดหัวตัวเองสองสามทีเพื่อสลัดคำนั้นทิ้งเพราะไม่รู้จริงๆว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร


ผมหมุนตัวกลับหลังเดินกลับเข้าไปในคอนโดเมื่อเห็นว่ารถของอีกฝ่ายวิ่งห่างออกไปจนสุดสายตา

"หนูเทียน"

"ครับคุณลุง" ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังเดิน และหยุดเดินลงเมื่อคุณลุงยามเอ่ยเรียกชื่อผม "มีอะไรหรือเปล่าครับ" ผมถามลุงยามออกไป

"พอดีเมื่อเย็นมีคนมาฝากเอกสารไว้ให้" ลุงยามยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ผมพร้อมรอยยิ้ม

"ขอบคุณครับ" ผมยื่นมือไปรับซองเอกสารมาจากมือคุณลุง จากนั้นก็พลิกซองไปมาเพื่อจะดูว่าใครส่งมาเเต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีชื่อบ่งบอกที่มาที่ไป มีเเต่ชื่อของคนรับอย่างเดียว "เขาบอกไหมครับว่าส่งมาจากใคร"

" อืมม ไม่นะ ตอนนั้นเขาถามเเค่ว่าที่คอนโดมีคนที่ชื่อสีเทียนใช่ไหม เเล้วก็บอกลักษณะมา ลุงเห็นว่าเป็นหนูเทียนเลยบอกว่าใช่ จากนั้นเขาก็ยื่นซองเอกสารมาเเล้วบอกว่าฝากให้หนูเทียนด้วย มีคนฝากส่งมาให้"

"อ่อ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ"


ผมเดินถือเอกสารขึ้นมาบนห้องพร้อมกับความสงสัยว่าใครส่งอะไรมา หรือจะเป็นภาพเขียนส่งอะไรมาให้เเล้วลืมโทรฯมาบอก ผมถือซองพลิกไปมาก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง เเละเดินตรงเข้าไปยังห้องนอนทันทีเพื่อจะหยิบคัตเตอร์มาตัดซองออกดูเอกสารด้านใน


ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง  ตึ๊ง


ผมที่ตอนเเรกตั้งใจว่าจะเปิดซองดูก่อน ต้องยอมเเพ้ให้กับข้อความที่เข้ามาถี่ยิบ ผมละความสนใจจากซองเอกสาร หยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาไว้ในมือเเทน ก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงเพื่อจะคุยกับบุคคลที่ส่งข้อความเข้ามารัวๆ


Khanom 555 : ไอ้สี สีเว้ย สี

     สี ไอ้สี

     สีเพื่อนร๊ากกกก


October20 : มึงจะรัวทำไมเนีย


Khanom 555 : ก็กูอยากเสือกอ่ะ


ผมอ่านข้อความที่ค้างอยู่ตั้งเเต่เมื่อเย็นของขนมกับตุลาจนถึงข้อความล่าสุดที่ขนมทักผมมารัวๆ ผมส่ายหัวน้อยๆ ให้กับขนม ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งกลับไป


สีเทียน : *ส่งสติกเกอร์ลิงสวัสดี*


Khanom : ไอ้เชี่ยสี หายไปไหนมาวะ

     กูคิดว่ามึงย่อยสลายไปแล้วนะสัส


สีเทียน : ขนมพูดไม่เพราะ

   * ส่งสติกเกอร์ลิงโกรธ*


Khanom : ใช่เวลาบ่นกูไหมสี

    อย่างไรครับคุณสี วันนี้อย่างไรครับ

     แฮปปี้สวนสัตว์เดย์ป้ะครับวันนี้


October20 : ความเสือกมึงมันเด่นชัดมาก

   ชัดจนทะลุออกมานอกจอ

    มึงเห็นคำว่าเสือกวิ่งทับซ้อนตัวอักษรมึงป้ะหนม


ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเห็นข้อความล่าสุดที่ตุลาส่งมา ถ้าให้ผมเดาป่านนี้ขนมคงคันปากยิบๆ อยากจะสวนตุลากลับเต็มเเก่เเล้วเเน่ๆ


สีเทียน : ไม่มีอะไรหรอก

     ก็ไปเที่ยวกันปกติ



ตึ๊ง  ตึ๊ง


ในขณะที่ผมกำลังตอบข้อความเพื่อนๆ อยู่ ก็มีข้อความของใครสักคนส่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน ผมเลื่อนดูก็เห็นเป็นชื่อของพี่ภูผา ผมรีบออกจากช่องเเชทของเพื่อนๆทันทีทั้งๆที่ยังคุยกันไม่จบ เพื่อไปคุยกับบุคคลที่ส่งข้อความเข้ามาใหม่ ผมหวังว่าการกระทำนี้เพื่อนๆจะเข้าใจเเละเห็นใจผมนะ


PP : พี่ถึงบ้านเเล้วนะครับ

    เราทำอะไรอยู่


ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เห็นข้อความที่ส่งมาของพี่ภูผา ผมม้วนตัวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ดีใจที่พี่ภูผายอมทำตามที่ผมบอกด้วย ก่อนจะตั้งสติพิมพ์ตอบกลับไป


สีเทียน : โอเคครับ

   ผมกำลังคุยกับพวกเพื่อนๆอยู่ครับ

   พี่ภูผารีบไปอาบน้ำนะครับ

   จะได้พักผ่อน

   วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย


ผมส่งข้อความไปรัวๆไปให้พี่ภูผา


PP : โอเคครับ

   เราก็อาบน้ำด้วยนะ


สีเทียน : ครับ

    พี่ภูผาครับ


PP : ครับ?


สีเทียน : สำหรับวันนี้ขอบคุณมากนะครับทุกๆอย่างเลย

  *ส่งสติกเกอร์กระต่ายขอบคุณ*


PP : ด้วยความยินดีเเละเต็มใจครับ

  *ส่งสติกเกอร์หมียิ้มกว้าง*


สีเทียน : ถ้าอย่างนั้นพี่ภูผาฝันดีนะครับ


PP : ฝันดีครับ


สีเทียน : *ส่งสติกเกอร์กระต่าย good night*


PP : *ส่งสติกเกอร์หมี good night*


ผมวางโทรศัพท์มือถือไว้เเนบอก พลิกตัวไปมาซ้ายขวาด้วยความเขินอายและดีใจ จนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ เมื่อพลิกตัวจนเหนื่อยหอบก็นอนหงายนิ่งๆเพื่อพักให้หายเหนื่อย เเต่ในตอนที่นอนอยู่นิ่งๆหัวสมองผมก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนดึกที่หน้าของเราอยู่ใกล้ๆกัน

"พี่ภูผาจะทำอะไรนะ" ผมบ่นออกมาเบาๆ  "หรือว่า......"

"อ๊ากกกกกก!" ผมส่งเสียงดังออกมาให้กับความคิดที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ของตัวเอง ใช้เท้าเกี่ยวผ้าห่มที่อยู่บริเวณปลายเตียงขึ้นมาคลุมตัว วางโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง จากนั้นก็ม้วนตัวเองไปมากับผ้าห่มเพราะความเขินอายที่มีมันล้นจนต้องหาทางระบายเเละสภาพผมตอนนี้ก็ไม่ต่างมัมมี่ที่โดนห่อเลย


ผมสะบัดหน้าพยายามดึงสติของตัวเองให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำเเละเข้านอนทันที ก่อนจะนอนผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะลืมอะไรไปหรือเปล่านะ แต่ก็คงไม่หรอก เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนเข้าสู่ห้วงนินทราอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่รู้เลยว่ามือของผมที่เผลอกดไปโดนปุ่มปิดเสียงไว้ทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า มีข้อความจากเพื่อนที่ชื่อว่า ขนม ส่งเข้ามาอย่างล้นหลาม ขนม สีเทียนซอรี่นะ



เสาร์อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนหก เช้านี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่ไม่ค่อยสดใสสักเท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าท้องฟ้าจะมีเมฆฝนเข้าปกคุลมจนพาลให้อากาศรู้สึกร้อนอบอ้าวไปด้วย สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกอีกเเน่ๆเลย


ตอนนี้ผมกำลังยืนรอพี่ภูผาอยู่ด้านล่างคอนโด เนื่องจากพี่ภูผาส่งข้อความมาบอกว่าใกล้จะถึงเเล้วผมที่เเต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วจึงรีบลงมาทันทีเพราะไม่อยากให้อีกคนรอนาน


เอี๊ยดดด!

ผมส่งยิ้มเข้าไปในรถเมื่อรถของพี่ภูผามาจอดสนิทใกล้ๆกับผม ผมไม่รู้ว่าอีกคนในรถทำสีหน้าอย่างไรเนื่องจากรถพี่ภูผาติดฟิล์มสีดำสนิท ตอนค่ำคงขับรถลำบากเเน่ๆ ไม่รู้ว่าจะติดให้มืดสนิทขนาดนี้ทำไม


ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูเเละเข้าไปนั่งประจำตำเเหน่งที่นั่งข้างๆคนขับ ก่อนจะวางของที่หอบหิ้วมาอย่างพะรุงพะรังให้เข้าที่เข้าทาง

"สวัสดีครับ" ผมเอ่ยทักทายออกไป

"ครับ" อีกฝ่ายตอบรับพร้อมกับขับรถออกไปจากบริเวณคอนโด "หัวไม่ปูดหนิ" อีกฝ่ายพูดขึ้นหลังจากจ้องมองมายังบริเวณหน้าผากของผม

"อ่า ครับ"

"เอาอะไรมาเยอะเเยะเลย"

"อ่อ" ผมก้มตัวลงไปหยิบของที่อยู่ในถุงมาให้พี่ภูผา "นี่ครับ"

อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

"ผมทำเเซนวิสมาฝากครับ"

"ฝากพี่เหรอครับ"

"ใช่ครับ" ผมนำเเซนวิสมาวางไว้บนตักของตัวเอง "พอดีว่าผมเห็นพี่ภูผาชอบทานอาหารเช้าเป็นกาแฟเเค่เเก้วเดียว ซึ่งผมว่ามันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่" ผมบอกอีกฝ่าย "จะเป็นไรไหมครับถ้าผมจะขอให้พี่ภูผากินกาแฟกับเเซนวิสอันนี้ อย่างน้อยๆก็ดีกว่ากินแต่กาแฟอย่างเดียว" ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเเกมขอร้อง อยากให้อีกฝ่ายรับฟังคำขอร้องของผม

"ตกลงครับ"

"หือ! จริงเหรือครับ" ผมอดที่จะตกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายตกลงอย่างง่ายดาย

"จริงสิ "

"ทำไมพูดง่ายจังครับ"

"ก็เราคือสีเทียนเลยนะ" พี่ภูผาว่าเสร็จก็หันมาส่งยิ้มให้ผม

"อ่า! ครับ" ผมไม่ค่อยเข้าใจประโยคที่พี่ภูผาพูดสักเท่าหร่ ว่าเป็นผมเเล้วมันทำไม เเต่จากสายตของพี่ภูผาที่เหลือบมามองผมมันทำให้ผมรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก


แต่เช้าเลย พี่ภูผาไม่อ่อนโยนต่อหัวใจเเต่เช้าเลย


ใช้เวลาบนท้องถนนไม่นาน เราสองคนก็มาถึงมหาลัยโดยสวัสดิภาพ

"รอพี่ด้วยครับ เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง" พี่ภูผาตะโกนบอกผมในขณะที่มือก็กดล็อคประตูรถ

"ไม่เป็นไรครับ พวกขนมอยู่ใกล้ๆนี่เอง"

"ไม่ดื้อนะครับ" พี่ภูผาไม่สนใจคำคัดค้านของผมเดินตรงมาเเย่งของที่อยู่ในมือผมไปถือเอง

"ผมถือเองก็ได้ครับ" ผมตกใจที่จู่ๆอีกคนก็เเย่งถุงไปถือเองซะอย่างนั้น รีบพุ่งตัวหมายจะไปจับถุงในมือของพี่ภูผาเพื่อจะเเย่งกลับมาถือเอง เเต่ก็ต้องคว้ามาได้เพียงแค่อากาศเพราะพี่ภูผาเบี่ยงหลบไปอีกทาง

"ไปครับ รีบเดิน เดี๋ยวฝนจะตก"


ผมจำใจยอมทำตามที่พี่ภูผาว่ามาเเละปล่อยให้พี่ภูผาถือถุงของผมแทน เราสองคนเดินมาเรื่อยๆตามทางเดินฟุตบาท เวลานี้ในมหาลัยนักศึกษายังคงบางตาอยู่เพราะว่ายังเป็นช่วงเช้า จากเมื่อกี้ที่อากาศรู้สึกว่าอบอ้าว เเปรเปลี่ยนเป็นเย็นๆชื้นๆ สายลมเย็นๆที่เกิดจากความชื้นของอากาศพัดมาปะทะกับใบหน้าของผม พาลทำให้รู้ขนลุกชันขึ้นมา ลืมเอาเสื้อเเขนยาวมาด้วยสิ ได้นั่งหนาวตายในห้องเรียนเเน่


ผมเหลือบสายตามองคนที่เดินอยู่ข้างๆเป็นระยะๆ อดคิดไม่ได้ว่ามาไกลมากเเล้วนะสีเทียน วันนี้ได้เดินข้างๆกันเเล้วนะ ถึงเเม้ว่าจะยังเป็นเเค่สถานะคนเเอบชอบเเละเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิม เเต่อย่างๆน้อยๆ ก็ได้สนิทกันมากขึ้น พูดคุยกันมากขึ้น ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณคนข้างๆ ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้มาถึงขั้นนี้ได้ ถึงจะเคยคิดว่าอยากเดินข้างๆกันเเบบนี้ดูบ้างเเต่ไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าจะมีโอกาสสมหวัง


เราสองคนเดินกันไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน มีเเค่ความเงียบ สายลมที่พัดมา ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องที่ดังเป็นครั้งคราว นักศึกษาที่เดินสวนทางไปมา น้องเเมวตัวอ้วนที่เดินผ่านหน้า มอไซค์ที่ขับด้วยความเร็ว รถยนต์ที่จอดให้นักศึกษาข้ามถนน เสียงพูดคุยของผู้คนที่ดังผ่านหูเป็นระยะๆ


ผมมองไปรอบๆกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นในเช้านี้ก่อนจะหยุดสายตาที่คนข้างๆ พี่ภูผาก็หันมามองผมเช่นกัน เมื่อตาของเราทั้งสองประสานกันก็เกิดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าของเราทั้งคู่ ก่อนจะเดินกันเรื่อยๆจนใกล้จะถึงบริเวณที่พวกเพื่อนๆของผมนั่งอยู่


"ภู! น้องเทียน!"

ผมกับพี่ภูผาหันไปตามเสียงเรียกของผู้หญิงคนนึงที่ตะโกนเรียกเสียงดังอยู่ฝั่งตรงข้าม หันไปมองก็เจอกับพี่เบลล์กำลังกระโดดโบกมือให้พวกผม ก่อนจะบอกให้พวกผมรอก่อน จากนั้นพี่เบลล์ก็ข้ามถนนมาหาผมกับพี่ภูผา

"ไงทั้งสองคน ทำไมมาด้วยกันได้เนีย" พี่เบลล์ถามผมด้วยสายตาที่ยิ้มกรุ่มกริ่ม

"คะ คือว่า" ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

"ฮ่าๆๆ ใจเย็นๆ" พี่เบลล์เอื้อมมือมาตบบ่าผม "เพื่อนของเราเดี๋ยวนี้ธรรมดาซะที่ไหน" พี่เบลล์ตวัดสายตาไปทางพี่ภูผา

"ยุ่งน่าเบลล์" พี่ภูผาบอกพี่เบลล์ด้วยน้ำเสียงติดรำคาญนิดหน่อย "ทำวันนี้มาเช้าได้" พี่ภูผาถามพี่เบลล์ต่อ

"มาเคลียร์เรื่องค่ายกับวา เนียมันก็อยู่ที่ห้องประชุมเล็กอ่ะ ไปด้วยกันป้ะ"

"ไปส่งน้องก่อน"

"อ่ะจ้า ยอมละจ้า ถ้าจะขนาดนี้" พี่เบลล์ว่าพร้อมกับถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว "งี้สาวๆที่รอมาสารภาพรักในทุกๆวันจะทำยังไงละเนีย"


หืม! พี่ภูผามีคนมาสารภาพรักทุกๆวันเลยเหรอ คือผมเเค่คิดว่าพี่ภูผามีคนมาชอบนะ เเต่ไม่คิดว่าจะชอบเยอะขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะมีสักคนที่พี่ภูผาชอบก็ได้ ผมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนเผลอขมวคิ้วออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว


"อย่าไปฟังเบลล์ มันพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีหรอกสารภาพรักทุกวัน" พี่ภูผาหันหน้ามาบอกผม

"มีเเต่วันเว้นสองวัน ฮ่าๆๆ" พี่เบลล์ว่าจบก้หัวเราะออกมา

"จะหยุดได้ยัง" พี่ภูผาถามพี่เบลล์ด้วยน้ำเสียงนิ่ง

พี่เบลล์เม้มปากเข้าหากัน ก่อนจะหันหน้ามาทางผม "พี่เเซวเล่นอย่าคิดมาก งั้นพี่ไปก่อนนะน้องเทียน เจอกัน" พี่เบลล์ยกมือขึ้นบ๊ายบายผม

"ไม่ได้คิดมากใช่ไหม" พี่ภูถามขึ้นมาหลังจากที่พี่เบลล์เดินห่างไปไกลเเล้ว

"ครับ?"

"เรื่องที่เบลล์มันพูด"

"อ่อ ไม่ครับ"

"เเน่ใจนะ" พี่ภูผาถามย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

"เเน่ใจมากๆครับ" ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักเเน่น

จะว่ายังไงดีนะ ความรู้สึกของผมตอนนี้กังวลมากกว่า ไม่ได้รู้สึกคิดมากอยู่เเล้วกับสิ่งที่พี่เบลล์พูดว่าพี่ภูผามีคนมาชอบ มาสารภาพรักเยอะเลย เเต่ผมกังวลกลัวว่าพี่ภูผาจะหนีไปมีเเฟนซะก่อน ก่อนที่ผมจะจีบติดนะสิครับ เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้จีบอีกคนอย่างจริงๆจังๆเลย

ไม่ได้เเล้วนะสีเทียน จะชักช้าไม่ได้เเล้ว วันนี้กลับบ้านไปต้องไปศึกษา How to การจีบให้ได้ผล



"ขอบคุณครับพี่ภูผาที่มาส่ง" ผมกล่าวขอบคุณพี่ภูผาพร้อมกับยื่นมือไปรับถุงที่พี่ภูผายื่นมาให้

"วันนี้เราอยู่ถึงเย็นใช่ไหม"

"ครับ"

"ถ้าอย่างนั้นรอกลับพร้อมกัน"

"ครับ"

"เเล้วเจอกันนะครับ

"ครับ"

พี่ภูผาบอกลาผมเสร็จก็หันไปพยักหน้าลาตุลากับขนมที่นั่งอยู่

"อ้อ สีเทียน"

"ครับ?"

"นี่" พี่ภูผายื่นเสื้อเเขนยาวมาให้ผม

"ให้ผมเหรอครับ"

"ใช่ วันนี้อากาศคงหนาว นั่งในห้องเเอร์นานๆไม่มีเสื้อเเขนยาเดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ"

"เเต่ว่า"

"มไม่มีเเต่ครับ" พี่ภูผาว่าด้วยน้ำเสียงดุ

"ขอบคุณครับ" ผมเอื้อมมือไปรับก่อนจะกล่าวขอบคุณ พี่ภุผาส่งยิ้มให้เเละเดินออกไปยังทางเข้าตึกคณะ


*มีต่อนะคะ*
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่10 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 09-02-2021 10:39:53
***ต่อตอนที่ 10***

ผมมองตามอีกฝ่ายที่เดินจากไปจนสุดสายตา ก่อนจะเดินทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมไปยังโต๊ะที่มีขนมหันหน้ามามองผมอย่างไม่วางตา

"ไงน้องสีเทียน"

"ขะ หนมมมมมมม" ผมเรียกชื่อเพื่อนอย่างออดอ้อน

"ไม่ต้องมาอ้อนวอน กูไม่ให้อภัย เพื่อนเหี้ยหายไปเลย ส่งข้อความก็ไม่ตอบ วันอาทิตย์ก็หายไปเลย กูคิดว่ามึงย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยไปแล้วนะ"

"ไม่โกรธกันนะ" ผมส่งยิ้มกระพริบตาปริบๆให้ขนม "นี่ ขนมเราเอาเเซนวิสไส้ทูน่ามาให้ขนมด้วย เราทำเองเลยนะ"

ผมส่งเเซนวิสที่เพิ่งหยิบออกมาจากในถุงให้ขนม

"มีของกูไหมสี"

"มีอยู่เเล้ว" ผมล้วงมือเข้าไปในถุงอีกรอบ พร้อมกับหยิบเเซนวิสอีกสองชิ้นออกมา "นี่ของตุลาไส้แฮมเเละชีสใส่มะเขือเทศเยอะๆ" ผมยื่นให้ตุลาพร้อมส่งยิ้มหวานๆไปหนึ่งที

"ขอบใจ"

"มึงคิดว่าทำเเซนวิสมาเเล้วกูจะหายงอน?" ขนมว่าเเต่มือก็เอื้อมมาหยิบเเซนวิสไปแกะ

"เปล๊า เราไม่ได้ทำดีหวังผลอะไรเลยนะ ไม่มี๊ ไม่มี๊จริงๆ" ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ

"เรื่องเสือกอ่ะไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือมึงหายไปโดยที่ไม่บอกสักคำ เเถมวันอาทิตย์ทั้งวันมึงก็หายไปอีก อย่างน้อยๆก็บอกกันบ้างไม่ใช่คิดจะหายก็หายไปเลย ถ้าไม่ได้คุยกันก่อนหน้าก็คงไม่เป็นไร เเต่นี่กำลังคุยกันอยู่เเล้วจู่ๆมึงก็หายไป ไม่ตอบข้อความ ไม่รับโทรศัพท์ทำเเบบนี้มันไม่ถูกต้องเข้าใจไหม คนอื่นเขาเป็นห่วงมึงรู้บ้างไหมเนียสีเทียน ยังดีที่ส่งข้อความมาบอกในตอนเย็นไม่งั้นกูคงไปแจ้งความคนหายเเล้ว" ขนมบ่นผมออกมาเป็นชุด เเววตาเเฝงไปด้วยความน้อยใจเเละเป็นห่วง มันทำให้ผมรู้สึกผิดมากๆ

"เราขอโทษ วันหลังจะไม่หายไปแล้ว เราขอโทษตุลาด้วย" ผมหันหน้าไปมองตุลาที่กำลังกัดเเซนวิสอยู่ ตุลาส่งยิ้มมาให้ผมเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

"ดี วันหลังอย่าให้มีอีก เเล้วนี่มึงเอามาเเต่เเซนวิสอย่างเดียว ไม่คิดจะมีน้ำอะไรให้กูกินเเก้ติดคอบ้างเหรอ" ขนมถามขึ้น เเละเหมือนว่าจะกลับมาเป็นขนมคนเดิมของผมเเล้ว

"มีสิ" ผมล้วงเข้าไปในถุงอีกรอบเพื่อหยิบนมจืดสำหรับตุลา เเละนมช็อคโกเเลตสำหรับขนมออกมา "นี่ไง" ผมวางนมไว้ตรงหน้าทั้งสองคน

"ถือว่าวางเเผนมาดีสำหรับการง้อในครั้งนี้ กูให้อภัย" ขนมว่า เอื้อมมือมาหยิบนมไปเจาะก่อนจะดูดไปสองอึกใหญ่ๆ

"คนรู้ตัวว่ามีความผิดก็งี้เเหละมึง" ตุลาว่าขึ้น เอื้อมมือมาหยิบนมไปดูดเช่นกัน

"ว่าเเต่เป็นไงบ้างวะทริปกระชับความสัมพันธ์ที่สวนสัตว์" ขนมถามขึ้นหลังจากจัดการของกินตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย

"ก็ปกติเลย ไม่ได้มีอะไร พี่ภูผาเก่งมากเลยไม่บ่นสักคำ" ผมบอกเพื่อนๆด้วยความตื่นเต้น

"ธรรมด๊า จะบ่นได้ไง" ขนมพูดขึ้นมา

"แค่นี้เองเหรอวะสีความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น" ตุลาถามขึ้น


ผมหยุดคิดเเป็บนึงว่าจะพูดดีไหมเรื่องที่พี่ภูผาขอไปกินข้าวเย็นบนห้องเเต่บอกไปคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


"ก็หลังจากนั้นตอนเย็นพี่ภูผาขอขึ้นไปกินข้าวบนห้องเพราะว่าหิวเเละอยากกินอาหารที่เราทำอีก"

"เเล้วมึงก็ยอม" ขนมถาม

"พี่ภู เเม่ง! ร้ายจริง" ภูผายกยิ้มมุมปากและส่ายหน้าเบาๆ

ผมพยักหน้ารัว เม้มปากเข้าหากัน "ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย"

"ตอนนี้กูอยากได้ก้านมะยมมาก"

"มึงเอาไปทำไรวะหนม"

"เอามาฟาดเพื่อนมึงไงลา"

"ทำไมวะ"

"ไปเที่ยวกับเขาแค่ครึ่งวัน ก็ให้ผู้ชายขึ้นห้องอย่างง่ายดายเเล้ว มันน่าฟาดให้น่องลาย" ขนมตวัดสายตามาทางผม ส่วนผมก็ทำได้เพียงเเค่ส่งยิ้มเเห้งๆกลับไป

"แล้วมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกไหม" ขนมยังคงถามต่อ

 เมื่อได้ยินประโยคที่ขนมถามขึ้นมันก็พาลให้ผมคิดถึงเหตุการณ์ที่พี่ภูผาขยับหน้ามาใกล้ๆ ผมสะบัดหน้าสองทีเพื่อไล่ความคิดแปลกๆให้ออกไป หน้าขึ้นสีเเดงโดยอัตโนมัติ

"ไอ้สีมึงหน้าเเดง ยังไงสีเทียนมันมีอะไร" ตุลาที่สังเกตเห็นเเก้มเเดงๆของผมถามขึ้น

"ไม่มี๊ ไม่มีอะไรเลย จะมีอะไรละ กินข้าวเสร็จดูหนัง พี่ภูผากลับบ้าน นอน สบายใจเลย" ผมยกมือปฏิเสธพัลวัน

"มึงเห็นความมีพิรุธนี้ไหมไอ้ลา"

"เออ กูไม่สามารถมองข้ามมันไปได้เลย"

"บ้าน่า ทั้งสองคนคิดมาก พิรุธที่ไหน ใครมี เราธรรมชาติมาก"

"หึ" "หึ" เพื่อนทั้งสองคนส่งเสียงออกมาพร้อมกัน สายตาที่จับจ้องมองมาทางผม ทำให้ผมรู้สึกร้อนๆยังไงก็ไม่รู้

"ปะ ไปเรียนกันดีกว่าเนอะ ไป สายเเล้ว เดี๋ยวอาจารย์ด่า ลุกสิลุก" ผมลุกออกจากเก้าอี้พร้อมกับเร่งให้เพื่อนๆลุกตามมา

"ได้! วันนี้กูจะปล่อย เเต่คราวหน้ามึงอย่าหวังว่าจะรอดนะสี" ว่าเเล้วทั้งขนมเเละตุลาก็เก็บของลงใส่กระเป๋า เดินก้าวตามผมมา

ผมได้เเต่ถอนหายใจเบาๆที่อย่างน้อยๆวันนี้ก็รอดเเล้ว


วันนี้ผมว่าบรรยากาศรอบๆตัวผมมันชวนให้รู้สึกเเปลกๆ ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมโดนมองมากเป็นพิเศษ บางครั้งมีรุ่นพี่เดินเข้ามาถามว่าผมไปเที่ยวมาสนุกไหม ซึ่มันทำให้ผมรู้สึกงงมากๆว่าพวกพี่เขารู้ได้อย่างไรว่าผมไปเที่ยวมา บางคนรู้เเม้กระทั่งว่าผมไปเที่ยวสวนสัตว์มา หรือพวกพี่ๆเขาก็ไปเที่ยวเหมือนกันเเล้วบังเอิญเจอผมเเต่ผมไม่เห็นพวกพี่ๆ บางครั้งเดินผ่านโต๊ะพวกผู้หญิงก็จะโดนสายตามองมาราวกับว่าจะทิ่มเเทงให้ตายกันไปข้าง บางสายตาก็มองมาด้วยความสนใจใคร่รู้มองเสร็จก็หันหน้าไปซุบซิบกัน ที่น่าตกใจสุดก็น่าจะเป็นโต๊ะของพวกเจ้ๆสาวประเภทสองที่ถามผมว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ของดีไปครอบครอง ผมก็ได้เเต่ยืนงงๆเเล้วยิ้มเเห้งๆกลับไป อะไรคือการได้ของดีไปครอบครอง ขนาดน้องเมฆก็ยังมาถามผมว่าไปสวนสัตว์ทำไมไม่บอกกันบ้าง ตัวเองก็อยากไป รอบหน้าถ้าไปให้ชวนด้วย คือเรื่องนี้ผมไม่ได้บอกใครจริงๆ แล้วเขารู้กันได้ไง อย่างน้องเมฆอาจจะเป็นเพราะตุลาไม่ก็ขนมบอกเเต่เอาเวลาตอนไหนไปบอก ส่วนคนอื่นรู้มาจากใครพี่ภูผาเหรอ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย


"เฮ้ออออออออออออออ!" ผมถอนหายใจออกมายาวๆ วางหนังสือไว้บนโต๊ะก่อนจะซบหน้าลงไป

"เป็นไรอีกอ่ะ" ขนมละสายตาจากเอกสารตรงหน้ามาถามผม

วันนี้พวกผมเรียนกันเสร็จเเล้วเเละขณะนี้เป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็นเเล้ว ซึ่งผมเเละเพื่อนๆกำลังนั่งทำงานที่คั่งค้างอยู่ตรงโต๊ะนั่งบริเวณข้างๆตึกคณะ

"เราว่าวันนี้มันแปลกๆ" ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงๆ

"แปลกยังไงวะ" ตุลาถามขึ้น ขนมก็มีสีหน้าที่สงสัยไม่ต่างกัน

"ไม่รู้สิ" ผมมองออกไปยังบรรยากาศรอบๆบริเวณที่ผมนั่งอยู่ นักศึกษาที่ส่วนมากเป็นเด็กคณะบริหารเดินไปมาขวักไขว่ บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมองมาทางนี้บ้างเป็นบางครั้ง ผมมองออกไปทั่วบริเวณก่อนจะเบนสายตากลับมายังเพื่อนทั้งสอง

"วันนี้เรารู้สึกว่ามีคนมองเราเยอะผิดปกติ มองด้วยสายตาที่หลากหลาย" ผมพูดด้วยความจริงจัง "เเล้วก็นะ บางครั้งเราก็เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ถามคำถามเเปลกๆด้วย"

"เช่น?"

"เช่นอะไรเหรอ ขนมคิดดูนะจู่ๆก็มีคนมาถามเราไปเที่ยวเป็นไงบ้าง ไปสวนสัตว์สนุกไหม ขนมไม่คิดว่ามันเเปลกเหรอ"

"มันแปลกยังไงวะ" ขนมทำหน้าไม่เข้าใจ

"เออ มันแปลกยังไงวะสี"

"เอ้า! ก็เราไม่ได้บอกใครเลยนะ"

"โถ่ๆๆ เเมงกระพรุนน้อยของพี่" ขนมยื่นมือมาลูบหัวผม ผมทำหน้างงๆกับคำเรียกของขนม

"ทำไมต้องแมงกระพรุนวะหนม"

"กูอยากเรียกมึงจะทำไม" ขนมตอบตุลา เเต่ผมก็พยักหน้าด้วยเช่นกันเพราะผมก็สงสัยเหมือนกันทำไมต้องเเมงกระพรุน

"ส่วนมึงนะไอ้สี ที่คนอื่นถามมึงอ่ะมันไม่แปลกหรอก ก็นะพี่....."


"สวัสดีครับน้องๆ"

ยังไม่ทันที่ขนมจะพูดจบประโยคเสียงทักทายอันคุ้นหูก็ดังขึ้น เราสามคนหันไปมองยังต้นเสียงก็เจอกับพี่ธูปที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะ พี่วากับพี่ภูผาเดินมาใกล้จะถึงโต๊ะเเล้ว

"โอ๊ะ ขัดจังหวะคนอื่นเขาจริงๆ" ขนมบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

"ขัดจังหวะไรวะ" เเต่คนหูดีมากมีอยู่จริง

"มาทำไมพี่มึง"

"ไม่ได้มาหามึงก็เเล้วกัน"

"เออ เเล้วใครอยากให้มาหา"

"เออ กูก็ไม่อยาก....."

"หยุดเลยทั้งสองคน" นาทีนี้ผมอยากขอบคุณพี่วามากๆที่เข้ามาห้ามศึกของทั้งสองคน ไม่อย่างนั้นศึกครานี้ต้องกินเวลานานเป็นเเน่เเท้

"ทำอะไรกันอยู่เนีย ว่างกันไหม" พี่วาถามขึ้น

"ก็ว่างนะพี่" ขนมตอบออกไป

"แต่เห็นกองชีทเต็มเลย"

"เเค่นั่งทำฆ่าเวลา ตอนนั่งเป็นเพื่อนไอ่สีรอพี่ภูเองพี่" ตุลาว่าพร้อมกับเก็บชีทที่กระจัดกระจายอยู่มาไว้ในมือ

"ดีเลย งั้นไปเดินตลาดกัน พี่อยากกินเค้กของคณะคหกรรมอ่ะ"

"ตลาดหลังมหาลัยเหรอพี่" ขนมถามขึ้น

"ใช่"

"ไปๆๆ ผมไปกินเค้กด้วย" ขนมตอบรับข้อเสนอพี่วาอย่างรวดเร็ว "รีบเก็บของดิพวกมึงไปตลาดกันกูก็อยากกินเค้ก" ก่อนจะหันมาเร่งให้พวกผมเก็บของ


ผมกับตุลารีบเก็บของตามคำเร่งของขนม ไม่นานพวกเราทั้งหมดก็มาถึงตลาดที่ตั้งอยู่บริเวณหลังมหาลัย ตลาดนัดนี้เป็นตลาดที่มีไว้ให้นักศึกษาของมหาลัยมาขายของอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นของกิน สิ่งของ เครื่องใช้ เรียกว่ามีครบเเทบทั้งหมด ตลาดนี้สร้างมาเพื่อให้นักศึกษาสามารถหารายได้เสริมจากการขายของได้ ซึ่งตลาดจะมีในวันจันทร์ วันศุกร์เเละวันเสาร์



บรรยากาศภายในตลาดวันนี้ค่อนข้างที่จะคึกคัก มีผู้คนมาเดินซื้อของกันอย่างหนาตา อาจจะเพราะบรรยากาศที่มีลมพัดเย็นๆ ข้างๆตลาดเป็นสวนไว้ให้นั่งพักผ่อนหรือนั่งรับประทานอาหารได้จึงทำให้ตลาดหลังมหาลัยได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษา เสียงพ่อค้าเเม่ค้ากำลังเรียกเเขกกันอย่างสนุกสนาน เเต่ละซุ้มเเต่ละร้านมีสไตล์การขายที่เเตกต่างกันออกไปในการเรียกลูกค้า


เราทั้งหกคนเดินไปเรื่อยๆโดยมีเป้าหมายเเรกคือซุ้มร้านค้าของคณะคหกรรม ซุ้มนี้จัดโดยนักศึกษาคณะคหกรรมที่ผลัดกันมาตั้งซุ้มขายของ โดยจะเน้นขายเค้กซะส่วนใหญ่เเละเค้กของเขาก็อร่อยมากๆ


"เราอยากไปร้านไหนเป็นพิเศษไหม" เสียงคนที่เดินข้างๆผมถามขึ้น

"อืมมม" ผมหยุดคิดนิดหน่อยก่อนจะยิ้มออกมา "ร้านขายต้นไม้ครับ"

"ไว้ไปดูกัน"

"ครับ"


"ถึงเเล้วร้านเค้ก เค้กจ๋าเค้ก " ขนมรีบเดินเข้าไปภายในซุ้มทันที ก่อนจะกวักมือเรียกพี่วาให้รีบๆเดินไปหาเพราะภายใน้ร้านเค้กใกล้จะหมดเต็มทีเเล้ว

"สักวันไอ้ขนมมันต้องเป็นเบาหวานตายแน่ๆ" พี่ธูปยืนบ่นข้างๆผม

"ที่บ่นเพราะเป็นห่วง?" พี่ภูผาหันไปเลิกคิ้วถามพี่ธูป

"ใครจะไปห่วงมัน เเค่สงสารพ่อเเม่มันที่ต้องคอยพามันไปโรงพยาบาลตามนัด"

"เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นมาก" พี่ภูผาตอบกลับพี่ธูปด้วยน้ำเสียงที่ผมฟังยังไงมันก็คือการประชด  ส่วนพี่ธูปก็มองเเรงกลับมา

"เราไม่กินกับเขาเหรอ" พี่ภูผาหันมาทางผม

"รอกินกับขนมก็ได้ครับ ยังไงก็ต้องมีตกมาถึงผมอยู่เเล้ว" ผมพูดไปยิ้มไปก็ขนมเวลาที่ซื้อของกินที่ตัวเองชอบไม่เคยมีคำว่าพอดีเลยเพราะอะไรๆก็น่ากินไปเสียหมด

"จริง มันซื้อมาเเต่ละทีผมคิดว่ามันจะซื้อไปถมที่" ตุลาที่กลับมาจากซื้อน้ำมะตูมร้านข้างๆกล่าวสมทบคำพูดของผม

รอไม่นานทั้งพี่วาเเละขนมก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงใบใหญ่ที่อยู่ในมือที่ข้างในเต็มไปด้วยเค้กเเละสารพัดขนม เห็นไหมละครับผิดกับที่ผมพูดซะที่ไหน ยิ่งปล่อยให้สองคนนี้เขาไปซื้อด้วยกันเเล้วยิ่งไปกันใหญ่


หลังจากที่ได้เค้กเเล้ว พวกเราก็เดินกันไปเรื่อยๆ เเวะซื้อของซุ้มนู่นซุ้มนี้จนตอนนี้ได้ของกันจนเเทบจะล้นมืออยู่เเล้ว พวกเราเดินกันมาเรื่อยๆจนมาถึงซุ้มของพวกพี่ๆที่เรียนคณะเดียวกับพวกผม

"ไอ้ภูมาอุดหนุนร้านกูเลย"

"มึงด้วยไอ้วา"

"ไอ้ธูปมึงต้องเหมานะเว้ย"

เสียงของพวกพี่ๆที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นพ่อค้ากำลังตะโกนเรียกกึ่งบังคับให้พี่ภูผาเข้าไปอุดหนุน พี่ภูผาเเละเพื่อนๆเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปในซุ้มทันที

"คิดไงวันนี้ถึงมาขายข้าวโพดอบเนย ไม่ได้เข้ากับพวกมึงเลยสัส" พี่ธูปเอ่ยถามเพื่อนๆตัวเอง

"เอ้าคนเราก็ต้องทำงานหารายได้เสริมกันบ้างสิครับ"

"เออ พูดมากจัดไปคนละถ้วยเลยพวกมึงอ่ะ"

"เรากินด้วยไหมครับ" พี่ภูผาหันหน้ามาถามผม เเละยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรเสียงเเซวจากพวกพี่ๆก็ดังขึ้น


วี๊ดวิ้ว วี๊ดวิ้ว กิ้วกิ้ว

"ธรรมดาที่ไหนละคนนี้"

"น้องสีเทียนคนน่ารักนี่เอง"

"สวนสัตว์สนุกไหมครับ"

"อยากเป็นลิงจังเยยยยย"

"อยากเป็นลิงเหรอครับ เเต่พี่ว่าน้องไม่เหมาะกับการเป็นลิงเเต่เหมาะกับการมีซัมติงกับพี่มากกว่านะครับ"

"ถ้าพี่อยากรู้เรื่องสัตว์รบกวนน้องสีเทียนหน่อยได้ไหมครับ เพราะพี่ไม่ถนัดเรื่องสัตว์ เเต่ถ้าเป็นเรื่องรักมาปรึกษาพี่ได้นะคร้าบบบบบบ"

"สวนสัตว์อยู่เขาเขียว รักเดียวใจเดียวคือเขาเอง"

"ไอ้สัส เนียนโปรโมทตัวเองเลยนะมึง"


ผมได้เเต่มองทุกคนด้วยสีหน้างง ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร หรือใครเป็นคนพูดประโยคไหน เพราะเสียงเเซวที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย


"จะขายไหม ถ้าไม่ขายกูจะได้ไป"

ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบเมื่อพี่ภูผาพูดขึ้นมา

"ขายสิครับ ใจร้อนจริงๆ เอากี่ถ้วยดีครับ"

"6 "

"จัดไปครับ"

"ของผมขอหวานๆนะพี่" ขนมตะโกนบอก

"มึงจะติดหวานเกินไปแล้วนะ" พี่ธูปเอ่ยเเย้งขนม

"เอ้า ก็คนชอบกินหวานอ่ะ"

พวกเราทั้งหมดได้เเต่ยืนมองทั้งสองคนเถียงกันอย่างเงียบๆ

"เอ่อ ตรงนั้นทะเลาะกันเสร็จยังครับ กระผมจะได้คลุกข้าวโพดให้ครับ"

ทั้งขนมเเละพี่ธูปหันไปมองพี่พ่อค้าก่อนที่พี่ธูปจะยอมเเพ้เเละขนมได้กินหวานอย่างที่ใจต้องการ



ตอนนี้เราออกจากซุ้มของพี่ๆข้าวโพดเเล้ว เมื่อกี้ตอนที่พวกพี่ๆเเซวมามันก็ไม่วายทำให้ผมรู้สึกงงกับคำเเซวของพวกพี่ๆ ทำไมใครเขาก็รู้กันหมดว่าผมไปไหนมา เขารู้ได้ไงนะ ผมงงจริงๆนะ ผมยื่นมือไปสะกิดขนมยิกๆ ตอนนี้ผมยืนรอคนอื่นๆกับขนมสองคนส่วนคนอื่นๆเเยกกันไปซื้อของ

"อะไรมึง สะกิดจนกูจะถลอกอยู่เเล้ว"

"ขนมเห็นไหมเมื่อกี้ ที่พวกพี่ๆพูดกัน ทำไมพวกพี่ๆถึงรู้ละว่าเราไปเที่ยวสวนสัตว์มา เรางงไปหมด"

"มึงยังไม่หายงงอีกเหรอสี มากูจะเฉลยความงงเเละความข้องใจมึงให้เอง" ขนมว่าเสร็จก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะเลื่อนๆทีสองที เเล้วส่งมันมาให้ผม



ผมเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ขนมส่งมาให้ ก่อนจะตาโตยิ่งกว่าไข่ห่านเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ นั่นมันรูปของผมตอนที่อยู่ที่กรงลิงหนิ พร้อมกับมีสเตตัสว่า

'มีเด็กอย่างเป็นลิง    *อีโมจิลิงปิดหน้า*'

"ขะ หน๊มมมม! ผมหันหน้าไปเรียกขนมเสียงหลง

"ทีนี้รู้ยัง" ขนมถามพร้อมกับยื่นมือมาดึงโทรศัพท์กลับไปถือไว้ในมือ


ผมได้เเต่ยืนยิ้มอย่างคนบ้า พี่ภูผาลงรูปผมด้วย นี่มันคือเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นที่สุดในชีวิตผม ทำไมพี่ภูผาถึงลงรูปผมหล้ะ ถ้าอยากบอกให้คนอื่นรู้ว่าไปเที่ยวสวนสัตว์มาลงรูปอื่นก็ได้นี่น่า หรือลงเพราะไม่ได้คิดไรอยู่เเล้วผมก็เเค่คนๆนึงที่ติดเข้าไปในรูป เเต่จากสเตตัสที่พี่ภูผาตั้งมันหมายถึงผมชัดๆ


ช่างมัน! จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ รู้เพียงเเต่ว่าตอนนี้หัวใจของผมมันพองโตจนคับเเน่นอยู่ในทรวงอก ผมจะไม่ถามหาเหตุผลในสิ่งที่พี่ภูผาทำก็เเล้วกันเพราะการกระทำครั้งนี้มันทำให้ผมมีความสุข ไม่ว่าจะลงรูปภาพด้วยสถานะไหน มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่พี่ภูผาสนิทด้วยในระดับนึง ดูจาการที่พี่ภูผาไม่ค่อยจะลงรูปใครเลยนอกจากคนที่สนิทจริงๆ


ก้าวเข้าไปใกล้เเล้วจริงๆสินะ จากไม่มีตัวตน กลายเป็นเริ่มมามีตัวตนในชีวิตของอีกคนเเล้ว ผมมองตรงไปยังซุ้มน้ำซุ้มนึงที่มีพี่ภูผายืนต่อเเถวซื้อน้ำอยู่ ไม่นานก็เห็นพี่ภูผากำลังเดินกลับมาหาผม ผมสบตากับพี่ภูผาก่อนจะส่งยิ้มไปให้ อีกคนเมื่อเห็นผมส่งยิ้มไปให้ก็ส่งยิ้มกลับมาให้ผมเช่นกัน


พี่ภูผาเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆและใกล้ผมเรื่อยๆ และในตอนที่พี่ภูผาเดินมาได้ประมาณครึ่งทางผมเองก็ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

"น้ำครับ"

"ขอบคุณครับ"

<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเะลติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 11 ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 10-02-2021 17:17:25
ตอนที่ 11 วันวุ่นๆของคนแอบชอบ


บรรยากาศช่วงสายภายในโรงอาหารใต้ตึกคณะบริหาร มีนักศึกษา คณาจารย์ ทั้งในเเละนอกคณะ เดินไปมาอย่างหนาตาเพื่อเลือกซื้ออาหารที่ขายภายในโรงอาหารเเห่งนี้เเละเหมือนกับว่าร้านอาหารตามสั่งจะขายดีกว่าร้านไหนๆ สังเกตได้จากเเถวยาวๆที่ตอนนี้หางเเถวอยู่ตรงร้านขายน้ำที่ตั้งข้างๆกัน ผมอยากจะตะโกนบอกว่า 'ก๋วยเตี๋ยวก็อร่อยนะครับ ไม่ต้องรอนานด้วย' เเต่กลัวโดนเขาด่าว่า 'ยุ่ง' กลับมา

โต๊ะนั่งมีนักศึกษาจับจองนั่งกันจนเกือบเต็มทุกโต๊ะ บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็กำลังเคร่งเครียดอยู่กับกองเอกสารเเละโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่เต็มโต๊ะ บ้างก็กำลังกินข้าวไปเล่นโทรศัพท์ไปทั้งๆที่มีเพื่อนๆนั่งอยู่ด้วยกันแต่พวกเขาไม่คิดจะคุยกันบ้างหรือไงนะ มือจับโทรศัพท์กันทุกคนเลย  บางโต๊ะก็มีคู่รักที่กำลังจีบกันหวานชื่น มีป้อนข้าวกันด้วย เห็นเเล้วอดที่จะเขินไม่ได้ ดีจังเลยนะ คนมีความรักและสุขสมหวังเนีย หือ! ผมว่าผมไม่ชมดีกว่าเพราะผมยังชมไม่ทันขาดคำผู้หญิงก็ตีพี่ผู้ชายดังป้าบเเล้วก็หันหน้าหนีทันที อ่า! สู้ๆนะครับ ถือว่ารสชาติของชีวิต ส่วนโต๊ะของผมนั้น

"ไอ้หนม กูบอกเเล้วอย่าวิ่งออกไป มันมีคนอยู่บ้านหลังนู่น"

"ก็กูไม่รู้อ่ะว่าหลังไหน"

"ก็กูมาร์คตำแหน่งให้เเล้วไง"

"ก็กูไม่เห็นอ่ะ"

"มึงนี่มันจริงๆเลย วิ่งไปแบบนั้นก็ตายห่ากันหมด"

"ไอ้ล๊า กูโดนยิง ชุบกูหน๊อย"

"โอ๊ยยย! ไอ้ไส้เดือนเอ้ย"

ปั๊ก! ปั๊ก! เเละเเล้วทั้งสองคนก็โยนโทรศัพท์ไปด้านหน้าของตัวเองอย่างพร้อมเพรียงกัน

"กูบอกเเล้วว่าอย่าออกไป" ตุลาหันหน้ามาโวยวายใส่ขนม

"เอ้า! ก็กูไม่รู้อ่ะ มึงบอกบ้านหนังนู่นหลังนั้น หลังไหนของมึง มีตั้งเป็นสิบหลัง" ขนมเถียงกลับอย่างไม่ยอมเเพ้

"แล้วมึงจะพกปืนลูกซองมาแห่นางเเมวอะไร ถนัดก็ไม่ถนัด" ตุลาก็เถียงกลับอย่างไม่ยอมเหมือนกัน

"เลิก! เลิกเลย กูจะลบเกมส์ทิ้ง ไม่เล่นกับมึงเเล้ว " ขนมมุ่ยหน้าใส่ตุลาอย่างงอนๆ

"มึงนี่มัน..."ตุลายกนิ้วชี้หน้าขนม ก่อนจะเก็บนิ้วชี้กลับเข้าที่ทำหน้าตาอย่างเหลืออดราวกับว่าไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาสู้รบด้วย



"แล้วมึงนั่งอ่านอะไรทั้งวี่ทั้งวัน กูเห็นเอาเเต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์มาสองสามวันเเล้ว" ขนมเปลี่ยนเป้าหมายจากตุลามาทางผมเเทน

ผมนั่งมองขนมตาปริบๆ เราผิดอะไรเนียขนม เฮ้อ! คนพาลมีอยู่จริง!

"เรากำลังนั่งศึกษาหาข้อมูลอยู่" ผมตอบขนมออกไป

"หือ! ข้อมูลไรวะ อาจารย์สั่งงานใหม่เหรอ ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่อง" ขนมหันหน้าไปถามตุลา

"กูก็ไม่รู้" ตุลาเเบมือยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้น "ข้อมูลอะไรวะสี" ก่อนจะหันหน้ามาถามผมอีกคน

นี่คือทั้งสองคนหายหัวร้อนเเละคืนดีกันเเล้วใช่ไหมเนีย บทจะหายหัวร้อนก็หายง่ายกันจริงๆ บทจะหัวร้อนก็ทำอย่างกับจะฆ่ากัน สีเทียนเหนื่อยเหลือเกิน



ผมยื่นโทรศัพท์ของตัวเองไปตรงกลางโต๊ะ ขนมกับตุลาโน้มตัวเเละยื่นหน้ามามองยังหน้าจอโทรศัพท์ของผม ผมเลื่อนข้อมูลที่ตัวเองกำลังนั่งอ่านอยู่ให้ขนมกับตุลาดู

"How to จีบ อย่าง ไร ให้ ได้ ผล" ขนมอ่านหัวข้อของกระทู้ที่ผมอ่านเน้นๆชัดๆที่ละคำ "หือ! สี" ขนมเอื้อมมือของตัวเองมาหยิบโทรศัพท์จากมือของผมไป ก่อนจะกลับไปนั่งตัวยืดตรง ตรงที่นั่งของตัวเอง สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ของผมไปมา

"จีบอย่างไรให้กลายเป็นที่น่าจดจำ,ขอวิธีการจีบผู้ชายนิ่งๆให้ได้ผลหน่อย, 9 วิธีมัดใจฝ่ายตรงข้ามให้อยู่หมัด, วิธีพิชิตใจคนที่แอบชอบให้หันมามองเรา,ถ้าเขาไม่สนใจเรารวบหัวรวบหางเลยดีไหม หือ! ไอ้สี" ขนมหันมามองหน้าผมตาโตเมื่ออ่านถึงหัวข้อกระทู้อันล่าสุดที่ผมเปิดค้างไว้ "คือตลอดสองสามวันที่ผ่านมา คือ อ่านอันนี้" ขนมชี้มือไปยังโทรศัพท์ของผม

"ใช่เเล้ว เเต่อันล่าสุด มือเรากดไปโดนเฉยๆนะ" ผมตอบรับพร้อมกับเอื้อมมือไปจับโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา

"สาบาน?"

"ไม่ดีหรอก ช่วงนี้ฝนตกบ่อย" พูดเสร็จก็เเลบลิ้นใส่ขนมหนึ่งทีก่อนจะหันหน้ากลับมามองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง

"เดี๋ยวนี้เด็กมันร้าย" ขนมยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆหนึ่งที

"แล้วเป็นไงสรุปใจความได้ว่าไงบ้าง" ตุลาที่นั่งเงียบอยู่นานถามขึ้นมาบ้าง

"สรุปได้ว่า ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป อ่อยบ้างเป็นครั้งคราว สม่ำเสมอ ไม่วุ่นวายจนเกินไปจนเกิดความอึดอัด มีความกล้า เป็นตัวของตัวเอง ที่สำคัญคือ ความจริงใจ" ปากบอกตุลาไป มือก็ขยับนับนิ้วตามได้วย "ประมาณนี้"



"แล้วสีหน้าที่มีความกังวลปะปนอยู่ตอนนี้หมายความว่าไง" ตุลาว่าพร้อมกับจิ้มนิ้วมายังหน้าผากของผม

"ก็ ก็" ผมอึกอักที่จะตอบคำถาม เงยหน้ามองทั้งสองคนที่กำลังตั้งใจฟังมองมายังผม "เราอ่านไปเจอบางกระทู้ เมื่อได้ลองอ่านเเล้วเเบบ เราก็รู้สึกกลัว"

"ถ้าให้กูเดา มึงคงไปอ่านกระทู้เเนวแอบชอบของใครหลายๆคนเเต่ส่วนมากที่มึงเจอคือสุดท้ายก็พบเจอกับความผิดหวังใช่ไหม" ตุลาถามผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง ผมพยักหน้าตอบรับอย่างจำยอมเพราะสิ่งที่ตุลาพูดมามันถูกทั้งหมด

"สีเทียน กูจะไม่บอกมึงว่าอย่าไปกลัวเพราะเรื่องเเบบนี้ทุกคนย่อมมีความกลัวเกิดขึ้นในใจอยู่เเล้ว ต่อให้เก่งเเค่ไหนพอเจอคนที่เราอยากจะจริงจังด้วยจริงๆ ความกลัวก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เเต่ในเมื่อมึงเลือกที่จะก้าวเเล้วกูอยากให้มึงเก็บความกลัวไว้ให้ลึกสุดใจ เเละก้าวต่อไปด้วยความกล้าหาญ มึงอ่านบทความหรือกระทู้ต่างๆเป็นเเนวทางได้ มึงสามารถอ่านเรื่องราวความรักของคนอื่นได้มันไม่ผิด เเต่อย่าเอามายึดติดกับความรักของตัวเอง ความรักของตัวเรา เราก็ต้องดำเนินเรื่องของเราเอง เลิกกังวล เเล้วเก็บเอาเเต่คำเเนะนำดีๆ สิ่งดีๆมาปรับใช้ดีกว่า เข้าใจคำว่าปรับใช้ใช่ไหม ปรับใช้ไม่ใช่หมกมุ่นทำตามเเต่ทฤษฎีที่ศึกษามาหรือยึดติดกับคำเเนะนำจนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป"

ผมตั้งใจฟังสิ่งที่ตุลาพูดอย่างตั้งใจ สายตาจับจ้องยังหน้าของตุลาโดยที่ไม่หลบสายตาไปไหน

"ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป เป็นตัวของตัวเอง เเสดงความจริงใจให้เขาเห็น ในเมื่อเลือกเเล้วว่าจะก้าวเข้าไปหาเขาก็พยายามให้เต็มที่ เอาเเบบที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจในทีหลัง ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร อย่างน้อยๆถ้าเราทำมันเต็มที่เเล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง เข้าใจที่พูดไหมสี"

"เราเข้าใจ"

"เข้าใจเเน่นะ" ตุลาถามย้ำผมอีกครั้ง

"เข้าใจจริงๆ" ผมพยักหน้ายืนยันอย่างหนักเเน่น

"ไหนเข้าใจว่าอะไรสรุปมาให้ฟังสักสองบรรทัดสิ" ตุลายังคงหาทางยืนยันความเข้าใจของผม

"ความรักของเราเราต้องกำหนดเอง ความสุขความผิดหวังเกิดขึ้นได้กับทุกคน อย่ายึดติดกับความรักของคนอื่นจนทำความรักของตัวเองพัง เเค่เลือกเอาเเต่คำเเนะนำดีๆมาปรับใช้ก็พอ เมื่อเลือกที่จะสู้เเล้วต้องทำให้เต็มที่จะได้ไม่เสียใจทีหลัง" ผมส่งยิ้มกว้างให้กับตุลา

"เก่งมาก" ตุลายื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

"ไอ้ลา" ขนมเรียกชื่อตุลา พร้อมกับมีสีหน้าอึ้งๆ

"อะไรของมึง"

"ทำไมวันนี้มึงดูเป็นคนจังวะ"  ว่าเสร็จก็โน้มตัวมามองหน้าตุลาใกล้ๆ

"ไอ้สัส" ตุลาผลักหัวขนมเเรงๆ จนเจ้าตัวเซกลับไปนั่งตรงที่ของตัวเอง

"สี สิ่งที่ลาพูดมามันก็ถูกนะเว้ย อ่านได้ ดูเป็นเเนวทางได้ เเต่สุดท้ายเเล้วความรักของเราก็กำหนดเอง ทำเอง ผลลัพธ์ก็ใช่ว่าจะเศร้าเสมอไป เพราะฉะนั้น สู้ๆ ทำให้เต็มที่ กูกับไอ้ลาจะคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆมึงเอง"

"ใช่ เพราะฉะนั้นเลิกกังวลได้เเล้ว"

"เออ เก็บความกังวลไว้ร้องไห้ตอนจีบพี่ภูไม่ติดดีกว่า"

"ขน๊มมมมมมมมมมมมม" ผมเรียกชื่อขนมเสียงหลงเมื่อฟังประโยคของอีกฝ่ายจบ

"กูหยอกเล่นน่า มึงคือสีเทียนเลยนะ ยังไงมันต้องออกมาดีอยู่เเล้ว"

"อื้ม สาาาาาาาาาาาาา ธุ " ผมพนมมือยกขึ้นเหนือหัวรับพรของขนมพร้อมกับลากเสียงคำว่าสาธุยาวๆ



ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยเมื่อฟังสิ่งที่ตุลากับขนมพูด จริงสินะ ความรักของผม มันก็เเค่เพิ่งเริ่ม ยังไม่ได้จบสักหน่อย ปลายทางจะเป็นอย่างไรช่างมันคิดไปก็เสียกำลังใจเปล่าๆ ทำปัจจุบันกับระหว่างทางให้ดีที่สุดก็เเล้วกัน





พวกผมนั่งคุยกันไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลาเข้าเรียน ขณะที่กำลังคุยกันอย่างออกรส ก็ต้องชะงักเเล้วหันหน้าไปยังต้นเสียงที่ส่งเสียงเรียกชื่อพวกผม

"พี่ตุลา พี่ขนม พี่สีเทียน" น้องเมฆเรียกชื่อพวกผมมาตั้งเเต่ไกล พร้อมกับรอยยิ้มกว้างชนิดที่ว่าเห็นฟันครบ 32 ซี่ "สวัสดีครับ ทำอะไรกันอยู่ครับ" เมื่อเดินมาถึงโต๊ะน้องเมฆก็ยกมือไหว้ทักทายพวกผม ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆกับตุลา

"กำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่" ขนมเป็นคนตอบคำถามของน้องเมฆ

"พี่ขนมไม่ได้เกลียดผมเป็นการส่วนตัวใช่ไหมครับ" น้องเมฆถามด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ

"เเล้วมึงมานั่งทำไมตรงนี่ เพื่อนๆมึงนั่งอยู่ตรงนู่นไม่ใช่ไง" ตุลาหันหน้าไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนๆของน้องเมฆนั่งกันอยู่

"เนีย ทำไมใครๆก็ไล่ผม พี่เทียนครับช่วยผมด้วย" น้องเมฆหันมาทำหน้าอ้อนๆให้ผม

"พอเลยมึง ไม่ได้น่ารักสักนิด น่าถีบมากกว่า" ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไป ขนมก็เเย่งพูดไปเสียก่อน

"พี่ขน๊มมมมมมมมม"



"เสียงดังอะไรกันวะ"

เสียงของผู้มาใหม่ทำให้พวกเราทั้งหมดหันไปมองพร้อมๆกัน ก็เจอกับพี่ธูปที่เเต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่ ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะ

"มาอีกคนเเล้วคนขี้เสือก" ขนมบ่นออกมาเบาๆ เเต่ผมว่าทุกคนได้ยินนะ

"ขนม" ผมยื่นมือไปตีขนมเบาๆหนึ่งทีเพื่อเป็นการเตือน สองคนนี้นี่เจอหน้ากันไม่ได้เลยจริงๆ จะต้องมีการปะทะคารมเกิดขึ้นเสมอ

พี่ธูปก็ไม่ได้สนใจคำของขนมเเม้เเต่น้อยเเถมยังดึงเก้าอี้ที่ว่างข้างๆขนมออกมา ก่อนจะนั่งลงไป ขนมเมื่อเห็นดังนั้นถึงกับหันขวับไปมองอีกฝ่ายราวกับจะฆ่ากัน ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เลยว่า ใครคนใดคนหนึ่งเเอบไปปล่อยลมยางรถของอีกคนหรือเปล่า จนเกิดเป็นความเเค้นขึ้นมาในใจของทั้งสองคน

"พี่ธูป ทำไมวันนี้มาคนเดียวอ่ะ" น้องเมฆถามขึ้น

"หรือที่ไอ้ภูมันพูดมันจะจริงวะ เกี่ยวกับสายรหัสของกู"

"ยังไงอ่ะพี่ธูป" น้องเมฆผู้มีความสงสัยเหมือนกับผมถามขึ้น

"ขี้เสือก เหมือนกันหมดไง"

"ฮ่าๆๆๆ"

ทุกคนบนโต๊ะหัวเราะออกมาพร้อมๆกันเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ธูป

"อย่างผมเขาเรียกถามไถ่ สารทุกข์สุกดิบต่างหาก สรุปเเล้วทำไมมาคนเดียวครับ พี่ภูกับพี่วาล่ะครับ"

"เดี๋ยวพวกมันก็มา นู่นไงมานู่นเเล้ว" พี่ธูปบอกพร้อมเพยิดหน้าไปตรงทางเข้าอาคาร พวกเราทั้งหมดหันไปมอง ก็เจอกับพี่วาเเละพี่ภูผากำลังเดินมาทางนี้ โดยที่พี่วายิ้มมาเเต่ไกล ส่วนพี่ภูผานั้น หน้าจะนิ่งไปไหนครับเนีย



เมื่อมาถึงโต๊ะไม่พูดพร่ำทำเพลง พี่ภูผาดึงเก้าอี้ตัวที่ว่างข้างๆผมออก ก่อนจะนั่งลงโดยไม่ถามใดๆทั้งสิ้น

"เมื่อเช้าเรามายังไงครับ" เมื่อนั่งเสร็จก็ยิงคำถามใส่ผมทันที

เนื่องจากเช้านี้ผมไม่ได้มากับพี่ภูผาเนื่องจากเมื่อคืนพี่ภูผาไปนอนที่คอนโดของพี่ธูปเนื่องจากมีงานที่ต้องเคลียร์กัน ผมคิดว่าต้องดึกเเน่ๆ เลยบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องมารับ พี่ภูผาออกอาการงอเเงนิดหน่อย เเต่สุดท้ายก็ยอมจำนนเเต่โดยดี

"นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาครับ"

พี่ภูผาขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของผม "ทำไมถึงนั่งวินมาครับ มันอันตรายนะ"

"พอดีว่าผมตื่นสาย กลัวมาไม่ทันเลยนั่งวินมาครับ"

"เเล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกกันเลยว่าถึงเเล้ว" น้ำเสียงของพี่ภูผาที่ส่งมาถึงผมมันผสมความน้อยใจอยู่ในนั้นด้วยนิดนึง

"โอ๊ะ ขอโทษครับ" ผมรีบขอโทษอีกคนทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำผิดกับคนข้างๆ "พอดีมาถึงเเล้วมีเรื่องต้องทำจนผมลืมไปซะสนิทเลย ขอโทษนะครับ" ผมขอโทษคนข้างๆด้วยความรู้สึกผิด

"พี่เป็นห่วงรู้ไหมครับ"

ให้ตายเถอะ! พี่ภูผาพูดอะไรออกมาเนีย ทำไมพูดมันออกมาได้หน้าตาเฉยขนาดนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองมีความผิดเเต่ผมก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มได้เลย  ผมพยายามซ่อนความดีใจอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น เมื่อพี่ภูผาจะเล่นกับสีเทียนเเบบนี้ ผมนับ 1 2 3 ใจใน เรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะพูดกับคนข้างๆว่า

"ผมขอโทษนะครับ พี่ภูผาไม่โกรธกันนะครับ นะ" ผมส่งยิ้มหวาน กระพริบตาปริบๆให้อีกฝ่าย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน  เเละเหมือนการกระทำของผมจะเข้าเป้าเต็มๆ นั่นไง! เห็นไหมครับ มันได้ผล ผมเห็นพี่ภูผาเเอบยิ้มเเถมหูก็ขึ้นสีเเดงนิดๆด้วย รอบนี้ 1 : 1

"เรานี่มันจริงๆเลย" พี่ภูผาว่าพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบา ผมปล่อยให้อีกคนขยี้ผมจนพอใจ พร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงอยู่บนใบหน้า คล้ายกับน้องหมาที่กำลังดีใจเวลาที่เจ้าของกำลังเล่นด้วย


"พวกมึงว่าเรายังมีตัวตนกันอยู่ไหมวะ" พี่ธูปคือคนแรกที่พูดขึ้น

"เขาคิดว่าโลกนี้มีเพียงเราสองครองบัลลังก์เหรอวะ" ตามมาด้วยขนม

"บางครั้งเพื่อนภูก็ออกตัวเเรงไป" พี่วาก็ร่วมสมทบด้วย

"ส่วนเพื่อนสีผม ก็ไม่มีเบรกเเถมยังเร่งเครื่องอีกต่างหาก" ตุลาก็ไม่พลาดที่จะเเซวผมอีกคน

"ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน เเละเหมือนว่าผมกำลังตกข่าวอะไรบางอย่าง" เเละเป็นน้องเมฆที่พูดขึ้นมาคนสุดท้าย


ผมได้เเต่ก้มหน้าเขินอายจากการกระทำของตัวเอง เเละคำเเซ็วของคนอื่นๆ ตอนทำก็ลืมคิดไปเลยว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ด้วย เขินไม่ไหวเเล้ว สีเทียนเขิน


"จะเลิกเเซ็วกันได้ยัง" พี่ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆทำให้ทุกคนที่กำลังพูดอยู่ถึงกับเงียบ "น้องเขินจนตัวเเดงไปหมดเเล้วไม่เห็นเหรอ" ว่าเสร็จก็หันหน้ามาล้อเลียนผม ยิ่งทำให้ผมเขินจนตัวเเดงเข้าไปใหญ่ คนอื่นๆบนโต๊ะก็ส่งเสียงเเซ็วกันเจี๊ยวจ๊าวยิ่งกว่าเก่า


"ภูค่ะ"

เสียงทุกเสียงบนโต๊ะเงียบสนิท เมื่อมีเสียงของใครบางคนเเทรกเข้ามา ทำไมวันนี้ใครๆก็เดินมายังโต๊ะผมกันนะ ผมหันหน้าไปตามเสียงที่เรียกชื่อพี่ภูผาก็เห็นพี่อิงฟ้าคนสวยยืนอยู่ โดยข้างๆมีพี่เบลล์ยืนยิ้มเเห้งๆอยู่ข้างๆเมื่อเห็นสายตาของพี่ภูผามองไปยังตัวเอง

"เราไม่รู้เรื่อง เจอกันหน้าตึก เลยเดินมาด้วยกัน" พี่เบลล์รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

"อิงมาทำอะไรที่นี้เหรอ" พี่ภูผาถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ติดเย็นชาหน่อยๆ ถ้าพี่ภูผาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเเบบนี้ผมคงร้องไห้ออกมาเเน่ๆ

"ทำไมอิงจะมาไม่ได้" ว่าเสร็จพี่อิงฟ้าก็เดินมายืนอยู่ข้างหลังผม "น้องช่วยลุกไปนั่งตรงอื่นได้ไหม พี่มีธุระจะคุยกับภูหน่อย"

"อ่า ครับ" ผมกำลังจะลุกเพื่อให้พี่อิงฟ้านั่ง ต้องชะงักเมื่อพี่ภูผาเอื้อมมือมาดึงผมให้กลับไปนั่งที่เดิม

"จะไปไหน นั่งตรงนี้เเหละดีเเล้ว ไม่อยากนั่งข้างพี่เหรอครับ" พี่ภูผาพูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนๆมาให้ผม พี่ภูผาครับ มันใช่เวลามาอ้อนกันตอนนี้ไหมครับ

"อิงจะนั่งก็ไปนั่งตรงที่ว่างๆ ไม่ใช่มาไล่คนอื่นเเบบนี้"

"ภู!"

"อิงจะตะโกนทำไม ยืนห่างกันเเค่นี้"

พี่อิงฟ้าสะบัดตัวเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างข้างๆพี่ธูปตรงกันข้ามกับพี่ภูผา ก่อนจะกระเเทกตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเเรง ส่วนพี่เบลล์ก็ไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆมานั่งข้างกับน้องเมฆที่ตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

"ลมอะไรหอบน้องอิงคนสวยมาถึงที่นี้ได้ครับ" พี่ธูปเอ่ยถามขึ้นเมื่อพี่อิงฟ้านั่งลงเรียบร้อยเเล้ว

"พอดีว่าเราว่าง เเล้วรู้ว่าภูอยู่ที่นี้ เราไม่เจอภูหลายวันเลยอยากมาหา อีกอย่างก็...."พี่อิงฟ้าลากเสียงยาวๆก่อนจะหันหน้ามาจ้องหน้าผม "เราอยากจะมาดูหน้าใครบางคนให้ชัดๆด้วย" พี่อิงฟ้ายังคงจ้องมองผมอย่างไม่ละสายตา เป็นผมเองที่ต้องก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้นของพี่อิงฟ้าที่มองมา

"ภูค่ะ วันพรุ่งนี้อิงไปทานข้าวเย็นที่บ้านด้วยนะคะ ภูรู้หรือยัง คุณป้าโทรฯมาชวนคุณเเม่เมื่อวาน"

"พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง"

"ไม่ว่างได้ยังไง คุณป้าบอกว่าวันเสาร์นี้ภูว่างนี่ค่ะ"


ผมฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างเงียบๆ ได้ใจความว่าครอบครัวของทั้งคู่คงสนิทกันมากน่าดูเลย เเต่ก็นะทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งเเต่เด็กๆนี่น่า จะสนิทกันก็คงไม่แปลก


"พอดีว่าผมต้องไปซื้อของก่อนจะไปค่ายวันพุธนี้"


จริงสิ วันพุธนี้ถึงเวลาที่พวกเราชาวบริหารจะไปค่ยกันเเล้วนี่น่า ผมก็ยังไม่ได้ไปซื้อของเลย


"ไปซื้อของเหรอคะ ให้อิงไปเป็นเพื่อนไหมคะ"

"ไม่เป็นไร พอดีว่าผมนัดกับคนอื่นไว้เเล้ว"



หือ พี่ภูผามีนัดเเล้วเหรอ  พี่ภูผาไปซื้อของกับใครนะ



"ใครคะ" พี่อิงฟ้าถามพี่ภูเสียงเเข็งเมื่อรู้ว่าพี่ภูผาจะไปกับคนอื่น

"ไปกับสีเทียน"

หือ ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ภูผาที่ตอบพี่อิงฟ้าไป ผมไปนัดกับพี่เขาตอนไหน ทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย

"ใช่ไหมสีเทียน วันเสาร์นี้เรามีนัดไปซื้อของด้วยกัน"

"ผะ ผมเหรอครับ" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ

"ใช่ครับ เราจะลืมนัดพี่ไม่ได้นะ วันเสาร์ไปซื้อของกัน " พี่ภูผาว่าพร้อมกับส่งยิ้มที่ละลายใจมาให้ผม

"คะ ครับ" เเละสุดท้ายรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมเเพ้พ่ายดังเช่นเคย



"พี่ภูเล่นงี้เลยเหรอ" เสียงขนมถามขึ้น

"มึงก็ออกตัวเเรงจัด" พี่ธูปว่าขึ้น



ผมเงยหน้าขึ้นเเต่สายตาก็ดันไปสบตากับพี่อิงฟ้าอย่างไม่ตั้งใจ พี่อิงฟ้าจ้องผมตาเขม็ง ผมทำได้เเต่หลบสายตาของคู่นั้นไปมองคนอื่นเเทน



"เอ่อ เอ่อ จะถึงเวลาเข้าเรียนกันเเล้วนี่หว่า เเยกย้ายๆไปเรียนกันดีกว่าไหม"พี่วาพูดขึ้น เมื่อเห็นบรรยากาศบนโต๊ะมันดูแปลกๆไป "อิง ไม่มีเรียนเหรอ"

"อืม"

"เเล้วยังไงจะกลับบ้านเลยไหม หรือไปไหนต่อ" พี่วายังคงถามต่อ

"ก็คงกลับเลย รู้สึกเหมือนความอดทนจะพุ่งเต็มหลอด หึ! อย่าได้ใจไปนะ " พี่อิงฟ้าตอบคำถามพี่วา เเต่สายตายังมองมาทางผมกับภูผา "งั้นเรากลับดีว่า ไว้เจอกันใหม่" ว่าจบเจ้าตัวก็ดันเก้าอี้อย่างเเรงจนเก้าอี้ล้มลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับสะบัดตัวเดินจากไปโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น



"นี่เเหละข้อดีของอิงฟ้า ถึงจะดูเเรงๆ งี่เง่า เอาแต่ใจ เเต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ภูอิงจะระงับสติอารมณ์ของตัวเองได้ดีเสมอ ก็ได้เเต่ภาวนาว่าอย่าให้สติอิงหลุดก็แล้วกัน" พี่ธูปพูดขึ้นเมื่อพี่อิงฟ้าเดินจากไปแล้ว

"พี่อิงฟ้าชอบพี่ภูเหรอพี่ธูป" ขนมถามขึ้นด้วยความอยากรู้

"ก็คงใช่มั้ง" เเต่เป็นพี่วาที่ตอบเเทน "อิงเคยบอกชอบไอ้ภู เเต่ไอ้ภูก็ตอบปฏิเสธชัดเจนนะ ทำทุกอย่างชัดเจนมาก ว่าเป็นได้เเค่เพื่อนกันเท่านั้น เเต่เหมือนอิงจะยังคงตื้อเเละเชื่อว่าสักวันไอ้ภูจะยอมเปิดใจให้กับตัวเอง"

"จะว่าไปพี่อิงฟ้าก็น่าสงสาารนะครับ" ตุลาพูดขึ้น

"เออ จะโทษไอ้ภูก็ไม่ได้ด้วยเรื่องนี้" พี่ธูปว่า

"พลังของความรักน่ากลัวจังเลยเนอะ"

ทุกคนหันไปมองยังคนที่พูดขึ้นมา ก็เจอกับน้องเมฆที่ยังคงนั่งยิ้มหน้าตาสดใสอยู่ตรงที่เดิม

"มึงยังอยู่อีกเหรอ" ขนมเป็นคนถามขึ้น

"เรื่องมาอยู่ตรงหน้า ถ้าผมหนีไปก็เสียชื่อหลานรหัสพี่ธูปหมด"

"ไอ้เด็กเลว" เเละน้องเมฆก็ได้รับพรจากพี่ธูปไปเต็มๆ


"จะเลิกนินทากันได้ยัง" พี่ภูผาที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

"นินทาที่ไหนเขาเรียกเล่าสู่กันฟัง เนอะขนม"

"ใช่ นินทาตรงไหน" ผมมองพี่ธูปสลับกับขนมไปมา สรุปคือสองคนนี้ไม่เถียงกันเองเเล้วใช่ไหมครับเนีย

"เฮ้อ กูละท้อใจกับพวกมึงสองคนจริงๆ น่าจะกลับไปเถียงกันเหมือนเดิมนะ" พี่ภูผาส่ายหัวอย่างระอา "ถึงเวลาเรียนเเล้วไม่ใช่เหรอ มึงไม่ไปเรียนหรือไงเมฆ"

"ไปค้าบบบบบ"

"แล้วมึงอะวาไหนบอกกูว่าถึงเวลลาเรียนเเล้ว เเต่มานั่งนินทาคนอื่นอยู่เลย"

"เอ้า ไอ้เหี้ยภู"

"มึงก็ด้วยไอ้ธูป"

"กูผิดอะไร"

"เบลล์อย่าคิดว่านั่งเงียบๆเเล้วจะรอด"

"ว๊า ไม่รอดเหรอ"

"ขนม เราก็อย่าไปบ้าตามไอ้ธูปเยอะ"

"ผมเหรอพี่ภู"

"ส่วนตุลา อย่าปล่อยให้คนพวกนี้กลืนกิน"

"ฮ่าๆๆ พี่ภู๊ ผมจะระวังครับ ฮ่าๆ"



"เรามีเรียนตอนกี่โมงครับ" เมื่อบ่นทุกคนเสร็จพี่ภูผาก็หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่เเตกต่างไปจากคนอื่นๆ

"ไอ้สัสเอ้ย ทีกับน้องเทียนละเสียง 12 เเม่ง!" เเละก็ตามมาด้วยเสียงโวยวายของคนอื่นๆตามมาอย่างไม่ขาดสาย

"อย่าไปสนใจเสียงวัวเสียงควาย"

ผมเผลอหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคที่พี่ภูผาบอกกับผม

"ผมมีเรียนตอน 11.15 น. ครับ"

"เวลาเดียวกันเลย งั้นไปกันครับ ใกล้ถึงเวลาเรียนเเล้ว"

"ครับ" ผมจัดการเก็บของที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋า

"ตอนเย็นรอกลับพร้อมกันนะ"

"ครับ"


พวกผมทั้งหมดต่างเเยกย้ายกันไปเมื่อถึงเวลาเรียน ผมที่เดินมาพร้อมๆกับพวกพี่ภูผาก็ต้องเเยกย้ายกันตรงหน้าบันไดเนื่องจากพี่ภูผามีเรียนที่ชั้นสอง ส่วนผมมีเรียนที่ชั้นสาม

"พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน"

"เดี๋ยวครับพี่ภูผา" ผมเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อพี่ภูผาไว้หลวมๆ อีกฝ่ายหันหน้ามาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น "คือที่พี่ภูผาพูดกับพี่อิงฟ้า เอ่อ เรื่องไปซื้อของวันเสาร์"

"พี่พูดจริงครับ วันเสาร์นี้เราต้องไปซื้อของเป็นเพื่อนพี่ ตกลงไหมครับ" ผมที่ยังถามไม่จบอีกฝ่ายก็ตอบคำถามกลับมาให้ผมหายสงสัย

"ตกลงครับ!" ผมตอบรับด้วยความเต็มใจเพราะไม่คิดที่จะปฏิเสธอยู่เเล้ว เเถมยังภาวนาอยู่ในใจด้วยซ้ำว่าให้เรื่องที่พี่ภูผาพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง เราจะได้ไปซื้อของด้วยกันอีกเเล้ว ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะขอตัวไปเรียนเช่นกัน


***มีต่อค่ะ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 11 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 10-02-2021 17:18:27
***ต่อ ตอนที่ 11 ***

"พี่ภูมาเเล้วใช่ไหม" ขนมถามขึ้นเมื่อยกข้อมือดูนาฬิกาเเล้วเห็นว่าตัวเองใกล้จะสายเเล้วเต็มทีเเล้ว

หลังจากเลิกเรียนตุลาก็ขอตัวกลับก่อนเนื่องจากต้องไปรับน้องสาวที่สนามบิน ตอนนี้จึงเหลือเเค่ผมกับขนมผู้ที่มีนัดเช่นกันเเต่บอกว่าจะมายืนรอพี่ภูผาเป็นเพื่อนผมก่อน

"เราบอกขนมเเล้วว่ากลับไปก่อนเลย เดี๋ยวโดนคุณน้าดุนะ" ผมบอกขนมออกไป เนื่องจากคุณน้าหรือก็คือคุณเเม่ของขนมให้ขนมซื้อของไปให้ที่ร้าน เนื่องจากตอนนี้ที่ร้านกำลังวุ่นวายกับการทำขนมสำหรับการงานเลี้ยงของบริษัทเเห่งหนึ่งในวันพรุ่งนี้

"เอางั้นเหรอ" ขนมมีสีหน้าลังเล

"ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ภูผาบอกว่าไม่เกินห้านาที ขนมอย่ากังวลเกินไปสิ" ผมยืนยันเพิ่มความมั่นใจให้กับอีกฝ่าย

"เออ ก็ได้ เเต่ถ้ามีไรเกิดขึ้นมึงโทรฯมาหากูทันทีเลยนะสี ถ้ามีน้องหมามาใกล้ๆมึงวิ่งหนีเลยนะ ไม่ก็ขู่เลยหรือถ้าสุดๆเเล้วก็ตะโกนเรียกให้คนอื่นมาช่วยนะ" อีกฝ่ายยังไม่วายหันมาย้ำผมอีกรอบก่อนไป

"เรารู้เเล้ว ขนมเหมือนภาพเขียนเข้าทุกวัน เราโตเเล้วนะ" ผมมุ่ยหน้าใส่อีกฝ่าย

"เออๆ กูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน" ขนมยกมือขึ้นโบกลาผม ก่อนจะวิ่งไปยังทางลานจอดรถมอเตอร์ไซค์

ผมมองตามขนมไปจนสุดสายตา ก่อนหันหน้ากลับมายังถนน พร้อมกับอมยิ้มเเละส่ายหน้าน้อยๆให้กับความขี้เป็นห่วงอันเกิดเหตุของขนม ตุลาก็อีกคนกว่าจะไปรับน้องสาวได้ ก็ย้ำกับขนมซ้ำเเล้วซ้ำเล่าจนเกือบจะได้วางมวยกัน ยังไงกันนะสองคนนี้ ยังเห็นผมเป็นเด็กๆอยู่หรือไง



ผมยืนเล่นโทรศัพท์ระหว่างที่รอพี่ภูผา เเต่จู่ๆก็รู้สึกได้ถึงเเรงสะกิดจากทางด้านหลัง ผมหันหน้ากลับไปมองด้านหลังก็เจอกับผู้ชายคนนึงที่ผมไม่คุ้นหน้าคุ้นตายืนยิ้มให้ผมอยู่

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"

"คือมีคนฝากอันนี้มาให้ครับ" ผู้ชายคนนั้นยื่นกระดาษใบนึงมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้ม

"ให้ผมเหรอครับ"

"ครับ"

"อ่า ขอบคุณครับ" ผมยื่นมือไปรับกระดาษมาไว้ในมือ "ว่าเเต่ใครฝากมาเหรอครับ"

"อ่อ พี่ผู้หญิงตรงนู่น อ้าว หายไปไหนเเล้ว" น้องชี้นิ้วไปยังมุมต้นไม้มุมหนึ่ง ผมมองตามไปแต่ก็ไม่เจอใคร "เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย" น้องหันหน้ามาบอกผม

"แล้วเขาบอกหรือเปล่าครับว่าชื่ออะไร"

"อ่อ เปล่าครับเขาเเค่บอกว่า รบกวนช่วยเอาเอกสารให้คนที่อยู่อยู่บนฟุตบาทหน่อย พอดีว่าพี่เขาต้องรีบไปที่อื่นต่อ"

"อ่อ ครับ ขอบคุณมากนะครับ" ผมกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้

"ครับ" ผู้ชายคนนั้นส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนตัวเองที่ยืนรออยู่


ผมเปิดกระดาษเอสี่พับครึ่งที่อยู่ในมือออก ก่อนจะเห็นข้อความที่อยู่ด้านในที่ทำให้ผมรู้สึกเสียววาบตั้งเเต่หัวลงไปสู่เท้า 'หาย ไป ซะ สี เทียน' เมื่ออ่านข้อความที่อยู่บนกระดาษเสร็จ ผมก็หันหน้ากลับไปมองยังบริเวณมุมต้นไม้อีกครั้ง เเต่กลับไร้วี่เเววของคนที่น่าจะเป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้ ใครกันนะที่ส่งมา เเล้วเขาต้องการอะไร ทำไมถึงบอกให้ผมหายไป เเล้วให้ผมหายไปจากอะไร

ทำไมความรู้สึกผมถึงบอกว่า ความวุ่นวายเเละความยุ่งยากกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้นะ



ปรื้น! ปรื้น! ผมสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงบีบเเตรของรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างๆ เมื่อหลุดจากภวังค์ก็เห็นว่าพี่ภูผามาถึงเเล้ว ผมรีบพับกระดาษใส่กระเป๋าสะพายข้างของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถเพื่อเดินทางกลับไปยังคอนโดของตัวเอง



ผมขอพักเรื่องราวชวนให้ปวดหัวก่อนก็เเล้วกัน ไว้ค่อยปรึกษาพวกขนมกับตุลาวันหลัง  ช่วงนั่งรถกลับบ้านเป็นเวลาของการกอบโกยความสุขเพราะฉะนั้นความมทุกข์จงไปรออยู่ที่คอนโดเราก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับไปหา


การใช้ชีวิตช่วงเย็นของผมกับพี่ภูผาก็เหมือนเดิมในทุกๆวัน ก่อนจะกลับคอนโดก็จะเเวะกินอาหารเย็นให้เสร็จเรียบร้อย มันเป็นเเบบนี้เเทบทุกวันจนวันไหนที่ไม่ได้ทานข้าวเย็นด้วยกัน มันจะเกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาภายในอกของผม พี่ภูผามาทำให้ผมเคยชินกับเรื่องเเบบนี้เเล้วต่อไปผมจะทำอย่างไร ถ้าเกิดว่าวันนึงพี่ภูผาต้องหายไป แล้วผมจะกลับมากินข้าวคนเดียวได้เหมือนเดิมไหมนะ เฮ้อ! คิดเเต่เรื่องเเย่ๆอีกเเล้วนะสีเทียน ปลายทางไม่รู้ ช่วงนี้กอบโกยไปก่อนก็เเล้วกัน




หลังจากกลับมาถึงห้องเรียบร้อยผมก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมนอน ผมเปิดเพลงคลอเบาๆเพื่อไม่ให้ห้องเงียบเหงาเกินไป  สายตาผมจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษเอสี่ที่วางอยู่ไปโต๊ะ กระดาษใบนั้นทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจวิ่งพลุกพล่านอยู่ภายในใจของผม จนต้องเปิดเสียงเพลงคลอเบาๆภายในห้อง เพราะวันนี้ความเงียบของห้องมันทำให้ผมรู้สึกกังวลเหลือเกิน


นี่มันเรื่องอะไรกันนะ



ตึ๊ง! ตึ๊ง!

เสียงข้อความที่ดังขึ้นทำให้ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางข้างๆตัวมาดูว่าเป็นใครที่ส่งข้อความมา เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่ความอบอุ่นก็เข้าปกคลุมที่หัวใจ จนความกังวลจางหายไปเกือบครึ่ง

PP : นอนหรือยังครับ



      สีเทียน : ยังเลยครับ



PP : ทำอะไรอยู่ครับ

   ง่วงหรือยัง



      สีเทียน : นอนเล่นครับ

       ยังเลยครับ

       พี่ภูผาล่ะครับ ง่วงยัง



PP : ยังเลยครับ



ในตอนที่ผมกำลังยิ้มกว้างกับการคุยกับพี่ภูผา สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษเอสี่เจ้าปัญหาเข้าอีกครั้ง ความกังวลแทรกเข้ามาอีกครั้ง  เฮ้อ! ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จะนอนหลับไหมเนียคืนนี้ ถ้ายังมีความกังวลวิ่งเเล่นอยู่เต็มหัวเเบบนี้ ทำไงดีนะ หรือว่า....



     สีเทียน : ผมขอนุญาตโทรฯหาได้ไหมครับ



ผมนั่งลุ้นมากเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งอ่านข้อความของผมเเล้ว พี่ภูผาจะยอมให้ผมโทรฯหาไหมนะ



ครืดครืด   ครืดครืด    ครืดครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่อยู่ในมือทำให้ผมตาโตเมื่อเห็นว่า 'พี่ภูผา' เป็นคนโทรฯเข้ามา ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดรับสาย

"สวัสดีครับ"

("ไง")

"ผมรบกวนพี่ภูผาหรือเปล่า"

("เปล่าเลย ว่าเเต่เราเป็นอะไรหรือเปล่า จู่ๆก็อยากโทรฯคุยกับพี่ขึ้นมา")

"เอ่อ พอดีว่าผมมีเรื่องกังวลนิดหน่อยครับ" ผมเว้นจังหวะไว้แป็บนึงจึงพูดต่อ "เเต่พอได้คุยกับพี่ภูผาก็รู้สึกสบายใจขึ้น เลยคิดว่าถ้าได้ยินเสียงคงจะดีกว่า" ผมบอกไปตามความรู้สึกจริงๆของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง

("เราไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม") พี่ภูผาถามมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน จนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา

"อยากช่วยเหรอครับ"

("ใช่ ถ้าพี่ช่วยได้ เเละมันทำให้เราสบายใจขึ้น") พี่ภูผาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ถ้าอย่างนั้นช่วยคุยเป็นเพื่อนจนกว่าผมจะหลับได้ไหมครับ" ผมพูดบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเเกมขอร้อง ตอนนี้ความอายต้องพับเก็บเเละงัดเอาความกล้าขึ้นมาก่อน เพราะความกังวลที่มีมันส่งผลให้ผมกล้าขออะไรเเบบนี้กับคนที่อยู่ปลายสายออกไป

("หึหึ สำหรับสีเทียนเเล้ว ด้วยความยินดีครับ")

ผมยิ้มกว้างให้กับคำตอบที่ได้รับ เราทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมเรื่องนัดของเราสองคนที่จะไปซื้อของกันในวันพรุ่งนี้ คุยไปได้สักพักความง่วงงุนก็เริ่มเข้าครอบงำผมจนเหมือนว่าตาจะปิดอยู่รอมร่อ ตั้งเเต่ที่ผมได้คุยกับพี่ภูผาความกังวลใจก็หายสิ้น จนผมลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ผมกังวลใจมากเพียงใด ความอบอุ่นใจ ความสบายใจเข้ามาเเทนที่ ดีจังเลยนะ การมีพี่ภูผาอยู่ข้างๆ เเละไม่นานผมก็จมเข้าสู่ห้วงนินทราอย่างง่ายดาย

("สีเทียนครับ สีเทียน หลับเเล้วเหรอครับ หึหึ! ฝันดีนะครับน้องสีเทียนของพี่ภูผา")




"อื้อออออ"

ผมบิดขี้เกียจเมื่อรู้สึกตัวตื่นจาการโดนเเสงเเดดที่ลอดผ่านหน้าม่านมาเเยงตาของผม

ฟึ่บ! เมื่อสติเข้าที่เข้าทาง ผมก็ดีดตัวขึ้นนั่งบนเตียงนอนเมื่อคิดได้ว่าวันนี้มีนัดกับพี่ภูผา เเละเมื่อคืนผมคุยกับพี่ภูผาค้างอยู่ เเถมเผลอหลับไปตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมกดปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์อย่างรวดเร็วเเต่เมื่อเห็นว่าพี่ภูผาวางสายของผมไปตั้งเเต่เมื่อคืนก็รู้สึกโล่งใจ

"เฮ้อ! นึกว่าจะยังคาสายอยู่"

ผมมองนาฬิกาก็ต้องตกใจตาโตอีกรอบ เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดของผมกับพี่ภูผาเเล้ว ผมรีบกุลีกุจอพาตัวเองไปอาบน้ำ ก่อนจะคว้าเสื้อผ้ามาใส่เเบบไม่ได้พิถีพิถีนในการเลือกสักเท่าไหร่ การเเต่งตัววันนี้คือ เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์รัดรูปสีซีด บวกกับกระเป๋าคาดอกสีดำอีกหนึ่งใบ ตบท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย


ผมรีบวิ่งลงจากคอนโดอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับข้อความจากพี่ภูผาว่าตอนนี้มารออยู่ใต้คอนโดเเล้ว ผมวิ่งมายืนหอบ แฮกๆ อยู่ข้างๆรถ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างคุ้นชิน

"ขอโทษครับที่มาช้า"

"ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย" พี่ภูผาหันหน้ามาส่งยิ้มให้ผม "เมื่อคืนนอนหลับสนิทไหมครับ" อีกฝ่ายส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผม

"อ่า ขอโทษนะครับ ผมทิ้งพี่ภูผาอีกเเล้ว" ผมหลบสายตาก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานกันบนตัก

"ไม่เป็นไรครับ" มือขอพี่ภูผายื่นมาลูบหัวผม "เเล้วพี่พอจะเป็นความสบายใจให้เราได้ไหม"

"ครับ พี่ภูผาเป็นได้อย่างไม่มีข้อเเม้เลยครับ" ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มจริงจังที่ต้องการยืนยันคำพูดของตัวเอง  พี่ภูผาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงเเค่รอยยิ้มเท่านั้นที่ส่งมาให้ผม


ใช้เวลาไม่นานเราสองคนก็เดินทางมาถึงห้างห้างนึงที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดนของผมสักเท่าไหร่ เราสองคนตัดสินใจว่าจะหาอะไรกินกันก่อนที่จะเดินไปเลือกไปซื้อของกัน


บรรยากาศภายในห้างในวันหยุดเเบบนี้ค่อนข้างที่จะคึกคัก มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินไปมากันขวักไขว่ ห้างเป็นสถานที่นึงที่เป็นทางเลือกในการนัดเจอกัน เดินเล่น หรือซื้อของ เเละอากาศที่ค่อนข้างจะร้อนในวันนี้ เเอร์เย็นๆภายในห้างจึงเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้ผู้คนหนีร้อนมาพึ่งเย็นในสถานที่เเห่งนี้



เราสองคนเลือกทานอาหารร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง เลือกสั่งเซ็ทเมนูง่ายๆมาทานกัน รอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ เราสองคนไม่รอช้าจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว



หลังจากทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาไปซื้อของสำหรับการไปค่ายที่จะถึงในวันพุธนี้

"พี่ภูผาได้จดมาหรือเปล่าครับว่าจะซื้ออะไรบ้าง"

อีกฝ่ายส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ

"เเล้วอย่างนี้จะรู้ไหมครับว่าขาดอะไรบ้าง ทำไมถึงไม่เตรียมพร้อมเลย" ผมอดที่จะบ่นคนที่กำลังเข็นรถอยู่ข้างๆไม่ได้

"ก็พี่ไม่เคยจัดกระเป๋าเดินทางหรือซื้อของเอง"

"ห๊ะ!" ผมหันขวับไปมองหน้าคนข้างๆทันทีที่ได้ยินคำตอบ จะลูกคุณหนูเกินไปหรือเปล่าเนีย

"พี่พูดจริงๆ ปกติคุณเเม่จะจัดกระเป๋าให้ตลอด เเต่ครั้งนี้พี่อยากจัดเองบ้าง" อีกฝ่ายตอบกลับผมหน้าตาย

"เเล้วเเบบนี้จะรอดไหมครับ"

"เพราะเเบบนี้พี่ถึงชวนเรามาไงครับ มีสีเทียนทั้งคนพี่ก็ไม่ต้องกังวลเเล้วครับ"

"ใครบอกว่าผมจะช่วยพี่ภูผาในการเลือกซื้อของครับ" ผมบอกอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ หลังจากเห็นท่าทางเล่นหูเล่นตาของอีกคน

"เราไม่ใจร้ายกับพี่หรอก พี่เเน่ใจ"

"เเน่ใจไปหรือเปล่าครับ ผมไม่ช่วยครับ จัดการเองเลย" ผมตีหน้านิ่งใส่อีกฝ่าย

"เราพูดจริงเหรอ"

"จริงครับ" ผมยังคงยืนยันหนักเเน่น อยากจะเเกล้งอีกฝ่ายนานๆ

"สีเทียนค้าบบบบบบ ช่วยพี่เลือกซื้อของหน่อยนะครับ นะ"

ผมยืนมองพี่ภูผาตาค้างเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่ค่อยจะได้พบเจอของคนตรงหน้า ยอมครับ ยอมเเพ้ครับ เจอเเบบนี้ยอมเเพ้ครับ พี่ภูผาจะจัดสักกี่กระเป๋าครับ ให้ผมไปจัดให้ทุกครั้งที่พี่ภูผาจะเดินทางก็ได้นะครับ ถ้าพี่ภูผาจะพูดเเละทำหน้าตาออดอ้อนขนาดนี้

"ขะ เข็นรถตามาเลยครับ" ผมอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินนำพี่ภูผาออกไปเพราะไม่อยากให้พี่ภูผาเห็นอาการเขินเเก้มเเดงๆของตัวเอง


"พี่ภูผาใช้สบู่ตัวไหนอยู่เหรอครับ" ผมหันหน้าไปถามคนที่เข็นรถตามหลังอยู่

"กลิ่นไหนก็ได้เราเลือกมาเลย"

"ครับ"



"พี่ภูผาครับ ใช้แปรงเเบบนี้ดีไหมครับ"

"ตามใจเราเลยครับ"


"พี่ภูผาครับ ยาสีฟันเเบบไหนดีครับ"

"เเล้วเเต่เราเลยครับ เเต่ซื้อไปอันเดียวก็พอใช้ด้วยกัน"

"หือ?"

"จะได้ช่วยกันประหยัดไง เราใช้คนเดียวหมดหรอกห้าวัน"

เฮ้อ! เชื่อเขาเลยจริงๆ


"พี่ภูครับ ครีมกันเเดดตัวนี้ดีไหมครับ"

"ถ้าเราว่าดีพี่ก็ดี"

"พี่ภูผาครับ" ผมกอดอกมองคนที่ยืนอยู่หลังรถเข็น "จะไม่ช่วยออกความคิดเห็นหน่อยเหรอครับ บางครั้งผมก็อยากได้ความคิดเห็นนะครับ"

"ก็พี่ไม่เคยซื้อของ พี่คิดว่าสีเทียนคงถนัดกว่า พี่ผิดเหรอครับ"

"เฮ้อ! ผมจะทำยังไงกับพี่ภูผาดีครับ"

"ไม่ยากเลย ถ้าเรามาซื้อของก็ชวนพี่มาด้วยทุกครั้ง เเล้วสอนพี่เลือกซื้อของ พี่จะได้เก่งๆ เเต่กว่าจะเก่งคงใช้เวลาอีกนานเลย" พี่ภูผาว่าเสร็จก็ยิ้มเเป้นเเล้นให้กับคำพูดที่พูดเองเออเองของตัวเอง


ผมเหนื่อยที่จะเถียงกับคนดื้อเเบบนายภูผาเเล้ว จึงจัดการเลือกซื้อสิ่งของของผมกับของอีกคนโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของคนที่กำลังจับรถเข็นอยู่ พอผมไม่ถามเจ้าตัวก็ดันเข้ามาวุ่นวาย อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเสียอย่างนั้น สิ่งของบางอย่างเจ้าตัวก็ให้ซื้อมาเพียงเเค่ชิ้นเดียวเเล้วบอกว่าให้ใช้ด้วยกันจะได้ประหยัด ผมที่คิดว่าไหนๆก็ไหนๆเเล้วยอมรับข้อเสนอของอีกคนก็เเล้วกัน จะได้ประหยัดด้วย อีกอย่างใช้ด้วยกันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ว่าเเต่ ผมกับพี่ภูผามาถึงจุดนี้กันได้ยังไงครับเนีย ให้ตายเถอะ!



"พี่ภูผาครับเดี๋ยวผมขอไปซื้ออหารสดไว้ติดตู้เย็นหน่อยนะครับ " ผมบอกอีกคนเนื่องจากตอนนี้ผมจัดการซื้อของที่จำเป็นสำหรับการไปค่ายเรียบร้อยเเล้ว

"ได้สิ เเต่มีข้อเเม้นะ"

"หือ?"

"เราต้องทำอาหารเผื่อพี่สำหรับเย็นนี้ด้วยนะครับ"

"ติดใจฝีมือผมก็บอกมาตรงๆครับ" ผมเเซ็วอีกคน

"นั้นสิ สงสัยคงจะติดใจมากๆจนไปไหนไม่ได้เเล้วเเน่ๆ" สายตาเเวววาวของอีกฝ่ายที่ส่งมาทำให้ผมทำสีหน้าไม่ถูก

"ปะ ไปซื้อของกันดีกว่าครับ"



ผมรีบเดินนำพี่ภูผาไปยังโซนอาหารสด เลือกซื้อของที่ต้องการเสร็จก็ถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงิน เราสองคนต่อเเถวรอจ่ายเงินนานหน่อย เนื่องจากมีคนมาซื้อของกันเยอะในวันนี้ ทำให้เเต่ละเคาน์เตอร์มีคนยืนรอเเถวจ่ายเงินกันยาวเหยียด มีเด็กเล็กวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวระหว่างที่รอพ่อเเม่ต่อเเถวจ่ายเงิน บางคนก็ยืนคุยกันอย่างสนุกสนานเพื่อรอเวลา บางคนก็ก้มหน้ามองจอโทรศัพท์อย่างไม่วางตา รอสักแป็บก็ถึงคิวของพวกผม ตอนเเรกผมจะเเยกจ่ายเเต่พี่ภูผาไม่ยอมบอกว่าค่อยไปเคลียร์กันที่ห้องดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเลือกของ คนต่อเเถวเยอะ ผมที่หันไปมองก็เห็นว่ามีคนต่อเเถวเยอะจริง เลยยอมเลยตามเลย ค่อยไปเคลียร์ทีหลังก็ได้



"พี่ภูผาครับ ผมขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหมครับ ปวดฉี่ไม่ไหวเเล้ว"

ผมบอกพี่ภูผาที่กำลังเข็นรถตามมาหลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยเเล้ว

"ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม"

"ไม่ต้องครับ พี่ภูผารอข้างหน้าก็ได้จะได้เฝ้าของด้วย เดี๋ยวของหาย ผมไปแป็บเดียว"

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบตกลง ผมก็รีบวิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ผมจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ไม่ลืมที่จะล้างมือของตัวเองให้สะอาด ระหว่างที่ผมกำลังล้างมืออยู่นั้น ใครบางคนก็เปิดประตูห้องน้ำออกมายืนล้างมือข้างๆผม



"ไงครับ บังเอิญจังเลย น้องสีเทียน"

"พี่เท็น" ผมมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

"มาคนเดียวเหรอ"

"เปล่าครับ"  ผมรีบล้างสบู่ที่ฟอกอยู่ตรงมือออก ก่อนจะไปดึงทิชชู่มาเช็ดมือ ขว้างกระดาษทิ้งลงถังขยะ

"ผมขอตัวก่อนนะครับ" ผมหันไปบอกลารุ่นพี่เตรียมตัวจะเดินออกจากห้องน้ำ เเต่คำถามของพี่เท็นทำให้ผมหยุดเดิน เเละหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย

"เราคบกับภูผาอยู่เหรอ"

"เปล่าครับ"

"คิดดีเเล้วที่จะยุ่งกับภูผา"

"ทำไมเหรอครับ" ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"หึ ถ้าคิดจะยุ่งกับภู ก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ คนที่เป็นที่หมายปองมักมีมือมืดที่มองไม่เห็นคอยมองอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดีเเบบที่เราเห็นนะ"

ผมขมวดคิ้วเเน่นเมื่อได้ยินประโยคที่พี่เท็นพูดออกมา

"พี่เท็นหมายความว่ายังไงครับ"

"ก็......"


"สีเทียน"

ยังไม่ทันที่พี่เท็นจะได้ตอบอะไรผม คนที่เป็นหัวข้อสนทนาก็เปิดประตูโผล่เข้ามา

"ครับ" ผมขานรับผู้มาใหม่

"พี่เห็นเราเข้ามานานเเล้วยังไม่ออกไป เลยเข้ามาตาม"


"ไง ภู"

"สวัสดีครับพี่เท็น" พี่ภูผาหันหน้าไปทักทายพี่เท็น เเต่สีหน้าที่เเสดงออกมานั้นมันช่างสวนทางกับคำทักทาย

"ก็คิดว่ามากับใคร ที่เเท้ก็มากับภูนี่เอง พี่ว่าจะเสนอตัวไปส่งสีเทียนสักหน่อย เสียดายจัง" ถ้าฟังอย่างไม่อคติผมว่ามันก็เป็นคำพูดปกติทั่วไป เเต่ทำไมผมถึงมองว่าพี่เท็นกำลังยั่วยุเเละหาเรื่องพี่ภูผาอยู่

"ขอบคุณในความหวังดีครับ เเต่น้องมากับผมเพราะฉะนั้นคนอื่นไม่จำเป็นต้องมายุ่ง คนของผมผมดูเเลได้"

"ก็ดูเเลให้ดีให้ตลอดก็เเล้วกัน"

เมื่อจบประโยคของพี่เท็น สายตาของทั้งสองคนก็ปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเเทบจะมีเสียง เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ออกมา ผมมองคนทั้งสองคนสลับไปมาอย่างปลงตก เฮ้อ! ทำไมช่วงนี้ชีวิตมันถึงดูวุ่นวายขนาดนี้ เเต่ก่อนที่มันจะบานปลายไปกว่านี้

สีเทียนเอ้ย! ห้ามศึกก่อนเถอะ สู้เว้ย!


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 10-02-2021 17:39:28
หูย มีคนจ้องทำร้าย :serius2:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 12) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 12-02-2021 23:26:53
ตอนที่ 12 ระหว่างทางการไปค่ายของคนแอบชอบ


"น้องๆคนไหนที่มาเเล้วรบกวนมาเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยนะครับ"

เวลาตีห้าของเช้าวันพุธอันแสนสดใส นักศึกษาคณะบริหารกว่าร้อยชีวิตมารวมตัวกันยังลานกว้างบริเวณหน้าตึกคณะเพื่อเช็กชื่อสำหรับการไปค่ายอาสาที่จัดขึ้น สายลมเย็นอ่อนๆตอนหัวรุ่งพัดผ่านมาเป็นระยะ ท้องฟ้าโปร่งใสถือเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดี

"ตอนเซ็นชื่อรบกวนน้องๆดูหมายเลขรถที่ตัวเองต้องขึ้นด้วยนะครับ อย่าขึ้นรถผิดคันนะครับ"

เสียงประกาศของรุ่นพี่ตะโกนดังขึ้นเป็นระยะ  น้องนักศึกษาบางคนก็ดูตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก บางคนก็มาทั้งที่ตายังปรืออยู่เลย แต่ละคนมีกระเป๋าใบเล็กใบน้อยวางอยู่ข้างๆ บางคนก็เตรียมความพร้อมด้วยการสวมหมอนรองคอไว้ที่คอ มีทั้งส่วนที่ยืนจับกลุ่มคุยกัน เเละบางส่วนก็เดินไปมาจนดูเป็นเช้าที่วุ่นวายอยู่ไม่น้อย

เนื่องจากระยะทางในการเดินทางไกลพอสมควร ทำให้ต้องนัดรวมตัวกันตั้งเเต่ตะวันยังไม่โผล่ขึ้นท้องฟ้า เพราะจะได้ไปถึงปลายทางไม่ค่ำจนเกินไป


"ฮ๊าววววววว เหี้ยเอ้ย ง่วงนอนชิบหาย" ขนมที่ยืนอยู่ข้างๆผมอ้าปากกว้างหาวออกมาโดยที่ไม่ได้เอามือปิดปากเเต่อย่างใด ขอให้เเมลงวันบินเข้าปากด้วยเถอะ

"เมื่อคืนนอนดึกหรือไงมึง" ตุลาที่ยืนจิบกาแฟอยู่ถามขึ้น ว่าเเต่ตุลาไปเอากาเเฟมาจากไหนนะ

"เมื่อคืนดูหนังเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ตีสองเเล้ว"

"ทนหน่อยนะขนม เดี๋ยวค่อยไปนอนบนรถเอา" ผมบอกขนมที่ตอนนี้ยืนตาจะปิดอยู่รอมร่อ

"เออเดี๋ยวค่อยไปนอนบนรถ ตอนนี้มึงช่วยกระปรี้กระเปร่าเเละดูเเลความเรียบร้อยให้น้องๆก่อน เร็ว!" ตุลาว่าพร้อมกับลากขนมตรงไปยังหมายเลขรถที่พวกผมมีหน้าที่รับผิดชอบดูเเล

ผมยืนยิ้มส่ายหัวให้กับภาพตรงหน้า ขนมมีท่าทียึกยื้อยึกยือไม่ยอมเดิน ตุลาก็หันมาทำหน้าดุๆก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากขนมไปยืนประจำตำเเหน่ง จากนั้นตุลาก็ยื่นเเก้วกาแฟไปให้ขนมถือ ส่วนตัวเองวิ่งไปเอาแผ่นรายชื่อจากรุ่นพี่มาถือไว้เพื่อเช็กน้องๆอีกทีนึง ผมที่เห็นว่าทั้งสองคนพร้อมเเล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังเพื่อนๆทั้งสองคนเพื่อจะช่วยดูเเลความเรียบร้อยของน้องๆอีกเเรง


"น้องๆครับ ใครที่ได้เลขรถหมายเลข 3 เตรียมพร้อมมาขึ้นรถทางด้านนี้เลยนะครับ" ตุลาตะโกนบอกน้องๆปี 1 ที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกัน

น้องๆหันหน้ามาตามเสียงเรียกของตุลา คนที่ได้หมายเลขรถหมายเลข3 ก็ทยอยเดินมาทางที่พวกผมยืนอยู่ จากนั้นก็มีผู้ดูเเลคนอื่นประกาศเรียกสมาชิกในรถของตัวเองบ้าง



"ไงอุปกรณ์เครื่องเขียน"

คำเรียกแปลกๆเเบบนี้ที่ผมไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน ทำให้ผมต้องหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความเร็วจนคอเเทบจะหลุดออกจากบ่า

"พี่โก้!" ผมเรียกชื่ออีกคนเสียงดังด้วยความตกใจ

"จะตะโกนทำไมเนียอุปกรณ์เครื่องเขียน" พี่โก้หันมาบ่นผมเบาๆ

"ก็ผมตกใจที่อยู่ๆก็เจอพี่ที่นี่" ผมบอกอีกคนไปทั้งที่ตัวเองยังมีสีหน้าตกใจไม่หาย


ถ้าทุกคนจำได้พี่โก้เป็นพี่รหัสของผมเองครับ  เเต่เป็นพี่รหัสที่ผมนี่เเทบไม่เจอเลย นานๆถึงจะเจอหน้ากันสักครั้ง เเต่พี่เขาก็ยังมาเรียนเป็นประจำนะครับฟังจากที่พวกพี่ๆคนอื่นๆบอกมา ส่วนผมเจอครั้งล่าสุดก็ตอนเปิดเทอมวันเเรกของปี 2 ส่วนหลังจากนั้นก็ไม่เจอเลย พี่โก้เป็นคนที่นิสัยดีนะครับ ถึงจะเจอกันไม่บ่อยเเต่ผมสัมผัสได้ จุดเด่นพี่เเกก็คงเป็นเรื่องเข้ากับคนง่าย พูดจาเก่ง ชวนคุยเก่ง เป็นกันเองครับ   ส่วนการเรียกชื่อเเบบนี้ก็เกิดขึ้นตั้งเเต่ครั้งเเรกที่เจอกันเล้วครับ เมื่อผมบอกชื่อของตัวเองเสร็จเรียบร้อย พี่เขาก็เรียกผมเเบบนี้เลย


"พี่โก้ผมถามจริง เรียกมันว่า 'สี' 'เทียน' หรือ'สีเทียน' ไม่ง่ายกว่าเหรอ" ขนมถามขึ้น

"เอ้า! ก็กูจะเรียกเเบบนี้มีปัญหาไรไม่ทราบครับ คุณขนมหวาน"

"ไอ้คุณพี่โก้" ขนมโวยวายทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตัวเองเเบบนั้น พี่โก้ก็ไม่ได้สลดกับคำอวยพรยามเช้าของขนมสักนิด ยืนทำหน้ายั่วยุอารมณ์ของขนมให้พุ่งขึ้นด้วยความสนุกสนาน

"เดือนสิบ คนครบยังคันนี้"

ไม่ต้องบอกก็รู้ชื่อเรียกว่า เดือนสิบ ที่พี่โก้พูดขึ้นหมายถึงใคร

"ยังเลยครับ ยังขาดอีกนิดหน่อย" ตุลาเงยหน้าจากการดูรายชื่อน้องๆมาตอบพี่โก้

"พี่จะเรียกชื่อให้ถูกสักคนไม่ได้เลยใช่ไหม" ขนมผู้ที่ยังขัดข้องใจกับคำเรียกชื่อของรุ่นพี่ตรงหน้าถามขึ้น

"ได้ เเต่กูไม่อยากเรียก มีปัญหาอะไรไหมครับคุณขนมหวาน" ว่าเสร็จพี่โก้ก็ใช้นิ้วชี้ดันหน้าผากขนมหวานเเรงๆหนึ่งทีจนทำให้ขนมเซนิดหน่อย

"พี่โก้ก็ไปค่ายด้วยเหรอครับ"

"เอ้าคุณอุปกรณ์เครื่องเขียนครับ เห็นมายืนเสนอหน้าอยู่เเบบนี้ไม่ไปมั้งครับ"

ผมได้เเต่ยืนอ้าปากค้างกับคำตอบของพี่รหัสตัวเอง ผมก็เเค่ถามเองอ่ะ ก็ใครจะไปรู้บางทีพี่โก้อาจจะมาส่งเฉยๆก็ได้นี่น่า ผมทำเพียงเเค่ยืนมุ่ยหน้าให้พี่รหัสตัวเองหลังจากได้ยินคำตอบ เพราะถ้าจะให้ไปเถียงด้วย ผมสู้ไม่ได้หรอก รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าต้องเเพ้ราบคาบเเน่ๆ

"ไม่น่าเชื่อ ร้อยวันล้านปีไม่เคยพบเจอหน้า คิดยังไงถึงไปค่ายด้วยครับคุณพี่โก้" ขนมถามขึ้น

"กูก็มามหาลัยทุกวัน พวกมึงไม่มาหากูเอง"

"เเล้วทีพี่ละทำไมไม่มาหาพวกผมบ้าง ผมคิดว่าไอ้สีมันไม่มีพี่รหัสกับเขาเเล้วนะ"

"ถึงตัวกูไม่อยู่ เเต่ใจกูส่งถึงน้องรหัสกูเสมอนะครับ" พี่โก้เเสระยิ้มมุมปากพร้อมกับยักคิ้วข้างนึงให้ขนม


ที่พี่โก้พูดมาก็ไม่ผิดหรอกครับ เพราะพี่โก้มักจะฝากหนังสือเรียนหรือเอกสารโน๊ตย่อต่างๆมาให้ผมเสมอ ซึ่งบางครั้งมันก็ช่วยผมได้มากเลยทีเดียว จากที่ผมอ่านเอกสารต่างๆของพี่โก้ทำให้ผมรู้ข้อนึงว่า พี่โก้ก็เรียนเก่งในระดับนึงเช่นกัน เเละช่วงที่เราจะได้เจอกันบ่อยคงเป็นช่วงสอบ พี่โก้จะคอยวนเวียนมาหา มาสอน มาเเนะนำการทำข้อสอบให้ผมเสมอ



"นั่นดิพี่โก้ ผมเองก็สงสัยนะพี่ไปไหนอ่ะ ทำไมผมไม่ค่อยเจอพี่ในมหาลัยเลย ตอนประชุมเรื่องค่ายพี่ก็ไม่มา" ตุลาที่เช็กชื่อน้องๆที่ต่อเเถวคนสุดท้ายเสร็จถามขึ้นมาบ้าง

"พวกมึงนี่มันขี้เสือก ขี้สงสัยจริงๆ รำคาญ!" พี่โก้ส่ายหัวเล็กน้อย "กูไปดีกว่า" ว่าเเล้วเจ้าตัวก็หมุนตัวเดินออกไปโดยที่ปล่อยให้พวกผมยืนงงๆกันอยู่ที่เดิม



"เฮ้ย พวกไอ้ภูอยู่ไหนวะ ไม่เห็นหน้าสักตัว" ถึงตัวจะจากไปเเต่เสียงตะโกนอันดังกังวาลของพี่โก้ก็ยังคงมีอยู่ "ไอ้เหี้ยธูปมึงอยู่ ณ แห่งหนใด" พี่โก้ก็ยังตะโกนบ่นไปเรื่อยๆ เมื่อไม่รู้ว่าบุคคลที่ตนเองต้องการเจออยู่เเห่งหนใด

"เพื่อนธู๊ปปปปป~ เลี้ยงกาแฟเพื่อนโก้หน่อย"

"มึงแหกปากโวยวายถามหากูเพราะเเค่อยากให้กูเลี้ยงกาแฟเนียนะ"

"ช่ายยยยยยยยยยยยยยยย"

และเเล้วพี่โก้ก็โดนพี่ธูปถีบเน้นๆไปหนึ่งที ทำให้พี่โก้ถึงกับเซเล็กน้อย ก่อนจะยกมือชี้หน้าด่าพี่ธูปเเละเดินไปหาเพื่อนคนอื่นๆเเทน


ผมใช้สายตามองผ่านพี่ธูปไปก็เจอกับพี่ภูผาที่กำลังนั่งกอดอกหลับตารอเวลาเดินทางอยู่อยู่ข้างๆพี่ธูป อุตส่าห์บอกให้รีบเเท้ๆเมื่อคืน ดูสิ ตอนนี้จึงต้องมานั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้เลย เห็นเเล้วอยากจะไปนั่งข้างๆ เเล้วจับหัวให้มาพิงไหล่ จะได้หลับสบายขึ้น


ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องมองอีกฝ่ายนานเเค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่พี่ภูผาลืมตาขึ้นมามอง ผมที่หลบสายตาไม่ทันจึงทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มไปให้ พี่ภูผาที่เห็นผมส่งยิ้มไปให้ก็ส่งยิ้มกลับคืนมา ก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามทีเเละเดินไปหาพี่วาที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจเช็กชื่อของนักศึกษาคนอื่นๆ


การไปค่ายครั้งนี้หน้าที่หลักๆจะตกเป็นของปีสองเเละปีสาม ที่ต้องคอยดูเเลความเรียบร้อยให้กับน้องๆปีหนึ่ง ส่วนพี่ปีสี่ไม่มีความจำเป็นต้องไปก็ได้เเต่ก็มีคนไปบ้างสามสี่คนโดยให้เหตุผลมาว่า 'ปีสี่มันเครียดขอหากิจกรรมอะไรทำผ่อนคลายสักหน่อย' ในส่วนของการดูเเลความเรียบร้อยเเละกิจกรรมปีสี่จึงจะไม่เข้ามายุ่ง พวกพี่ๆเขาจะไปช่วยออกเเรงเเละเก็บเกี่ยวบรรยากาศกันเท่านั้น


ในส่วนของปีสองเเละปีสามก็ไม่ได้มากันทุกคนเนื่องจากข้อเเม้หลายๆอย่าง โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณทำให้เราต้องจำกัดจำนวนคนให้มันพอดีเเละลงตัว  เเล้วถ้าจะถามว่าเเล้วพวกปีสองปีสามที่เหลือละทำยังไง ก่อนหน้านี้เรามีการจัดกิจกรรมหาเงินบริจาค เตรียมของ หาซื้ออุปกรณ์ ดำเนินการเรื่องต่างๆ คนที่เหลือมาทำทดเเทนในส่วนนี้กันครับ


แสงตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าในเวลาหกโมงเช้า นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทยอยกันมาเกือบครบทุกคนเเล้ว รถบางคันจำนวนนักศึกษาที่ขึ้นก็ครบตามจำนวนเตรียมพร้อมเดินทางเเล้ว เเต่รถของผมยังขาดน้องนักศึกษาปีหนึ่งอีกหนึ่งคน เเละจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก


"น้องรหัสกู ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะตรงเวลา โผล่หน้ามาเมื่อไหร่กูจะตบให้มันเห็นนาฬิกาบนหัวเลย" ตุลาบ่นน้องรหัสตัวเองอย่างเซ็งๆ

"มาเเล้วค้าบบบบ มาเเล้ว" น้องเมฆวิ่งหอบมาเเต่ไกล ดูจากสภาพของเจ้าตัวเเล้วคล้ายกับว่าเพิ่งตื่นนอนอย่างไงอย่างงั้น

"น้องเมฆมารายงานตัวเเล้วครับผม" หลังจากไปเซ็นชื่อเเละดูหมายเลขรถมาเสร็จ เจ้าตัวก็ยิ้มหน้าเเป้นเเล้นเดินตรงมายังพวกผมที่ยืนรออยู่

"น้องพ่อง รีบขึ้นรถเลยมึงอ่ะ มาสายเเล้วยังจะพูดมาก เพื่อนเขามากันตั้งเเต่ตีห้า เคยสำนึกในความผิดบาปบ้างไหม"

"พี่ตุล๊า~" น้องเมฆเรียกตุลาเสียงหลงเมื่อได้รับคำด่ายาวๆจากตุลา "ก็เขานัดเส้นตายคือ 6.30 ไม่ใช่เหรอครับ นี่ผมมา 6 โมงไม่ถือว่าสายนะ"

"ยังมีหน้ามาเถียงอีก ไปขึ้นรถเลย ให้ไว!"

"ค้าบๆๆๆๆๆ" น้องเมฆรีบเอากระเป๋าไปใส่ไว้ตรงช่องเก็บของก่อนจะวิ่งขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว


เมื่อตรวจดูจำนวนคนบนรถเรียบร้อยพวกผมก็เดินไปยังโต๊ะกลางที่มีอาจารย์นั่งอยู่ ตุลาเดินไปรายงานความเรียบร้อยกับอาจารย์ก่อนจะกลับมายืนรวมกับพวกผม ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยลงตัว ก็ถึงเวลาที่พวกรุ่นพี่เเบบเราๆจะเเยกย้ายกันขึ้นรถตามหมายเลขที่ตัวเองต้องดูเเลรับผิดชอบกันบ้าง


"เดี๋ยวค่ะ รอก่อนค่ะ"

พวกเรามองตามเสียงของผู้มาใหม่ก็เห็นเป็นพี่อิงฟ้าที่เดินลากกระเป๋าเดินทางใบโตเดินตรงมาทางนี้ ผมกับขนมหันหน้ามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย

"อิงมาทำไม" พี่ธูปถามขึ้น เมื่อพี่อิงฟ้าเดินมาถึงโต๊ะที่พวกเรายืนล้อมรอบอยู่

"ทำไมจะมาไม่ได้ ในเมื่ออิงก็จะไปด้วย"

"ไปไหน"

"ไปค่าย"

"อิงอ่ะนะ" พี่ธูปมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นิ้วก็ชี้ไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

"ใช่ ธูปมีปัญหาอะไร"

"เเต่นี่มันเป็นกิจกรรมของคณะบริหารนะอิง"  พี่วาที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง

"แล้วยังไงละ วันนี้อิงมาในนามของตัวเเทนของคุณพ่อที่เป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดค่ายครั้งนี้ ไม่ใช่นักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์สักหน่อย"

เมื่อได้ยินพี่อิงฟ้าตอบกลับมาเช่นนั้น พี่วาก็มีท่าทียอมเเพ้ ถอยกลับมายืนข้างๆพี่ภูผาเช่นเดิม


พี่อิงฟ้าเป็นลูกสาวของอธิการบดีมหาลัยครับ เนื่องจากงบที่ได้รับมามันไม่เพียงพอ ทำให้พวกเราต้องหางบประมาณจากที่อื่นด้วยหนึ่งในนั้นคือหาผู้สนับสนุนเพิ่มเติม เเละท่านอธิการบดีก็เป็นผู้สนับกระเป๋าหนักที่สุดในการออกค่ายครั้งนี้ครับ จะเรียกว่าเกิดจากการใช้เส้นสายความสนิทของพวกพี่ภูผาเป็นส่วนช่วยด้วยก็ว่าได้ เเต่ผมก็ไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้พี่อิงฟ้าใช้เป็นข้ออ้างในการมาร่วมค่ายครั้งนี้ด้วย


"อ่า งั้นเเยกย้ายเนอะ เเยกย้าย ไปรถประจำตำเเหน่งของเเต่ละคนเลยครับ" พี่โก้พูดขึ้น ทุกคนจึงทยอยเเยกย้ายไปยังตำเเหน่งของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย


"ภูนั่งคันไหนคะ อิงจะไปคันเดียวกับภู" พี่อิงฟ้าว่าพร้อมกับลากกระเป๋ามาหาพี่ภู

"รถคันเราเต็มเเล้ว อีกอย่างในรถก็มีเเต่ผู้ชาย ถ้าอิงจะไปด้วยก็ไปนั่งกับเบลล์" พี่ภูว่า มือก็ชี้ไปยังพี่เบลล์ที่ยืนข้างๆพี่โก้

"เราเหรอ" พี่เบลล์ถามกลับด้วยสีหน้างง นิ้วมือชี้เข้าหาตัวเอง

"ไม่ค่ะ อิงจะนั่งกับภู" พี่อิงฟ้ายังคงมีสีหน้าที่ดื้อดึง

"งั้นก็ตามใจ ถ้าจะเรื่องมากก็ไม่ต้องไป ถ้าจะไปก็ไปนั่งกับเบลล์รถคันเรามีเเต่ผู้ชายทั้งนั้น เบลล์ฝากอิงด้วย" ประโยคหน้าพี่ภูผาพูดกับพี่อิงฟ้า ก่อนจะหันไปพูดประโยคหลังกับพี่เบลล์

"ไปครับสีเทียน ถึงเวลาขึ้นรถแล้ว เดี๋ยวตกรถนะ" ผมที่ยังคงยืนงงๆ ก็โดนพี่ภูผาลากออกไปอย่างง่ายดาย

"ภู ภูค่ะ ภู!"

เสียงพี่อิงฟ้าตะโกนเรียกชื่อพี่ภูดังไล่หลังมาติดๆ


"เดี๋ยวครับ" ผมใช้มืออีกข้างดึงเเขนพี่ภูผาไว้เพื่อให้พี่ภูผาหยุดเดิน พี่ภูผาหันหน้ากลับมาเอียงคอมองผมเล็กน้อย

"พี่ภูผาไปรถคันเดียวกับผมเหรอครับ" ผมถามคนที่ยืนตรงหน้าออกไป

"ใช่ครับ"

"ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย" ผมบ่นอุบอิบเบาๆ

"ทำไมครับ เราไม่อยากนั่งรถคันเดียวกับพี่เหรอ" พี่ภูผาเเสร้างทำหน้าเศร้ามาทางผม

"มะ ไม่ใช่นะครับ" ผมรีบปฏิเสธออกไปอย่างด่วนจี๋

"งั้นไปกัน คนอื่นขึ้นนั่งประจำที่กันหมดเเล้ว ไปครับเดี๋ยวขึ้นรถไม่ทันไม่ได้ไปค่ายนะ" พี่พูดขึ้นพร้อมกับมือที่กระขับข้อมือผมเเน่นก่อนจะกระตุกข้อมือเป็นสัญญาณให้ผมก้าวตามไป

"กลัวไม่ได้ไปค่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ" ผมเอ่ยเเซวคนข้างหน้าออกไป

"ใช่ครับ เพราะการไปค่ายมันทำให้พี่สามารถเจอเราได้ตลอด 24 ชม.เลยนี่น่า" พี่ภูผาหันหน้ามายิ้มให้ผม ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม


ผมที่ได้ยินประโยคชวนให้ดีใจของคนตรงหน้า ก็อดที่จะหัวใจเเรงไม่ได้ ความเขินพุ่งทะยานขึ้นสู่ใบหน้าพาลให้ใบหน้าขึ้นสีเเดงระเรื่อเล็กน้อย ไม่ดีเลย เเบบนี้ไม่ดีเเน่ๆ


ผมที่เบี่ยงหน้าหันไปมองด้านข้างเพื่อจะขจัดความเขินอายของตัวเองให้หายไป สายตาก็พลันไปสบเข้ากับพี่เท็นที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหมายเลขสี่พอดี พี่เท็นส่งยิ้มที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยมาให้ผม ผมเมื่อเห็นดังนั้นจึงโน้มตัวเล็กน้อยเป็นการทักทายเเละส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่ายเช่นกัน


เห็นพี่เท็นก็อดที่จะคิดถึงเหตุการณ์ภายในห้างเมื่อวันเสาร์ไม่ได้ กว่าจะลากพี่ภูผาออกมาได้เล่นเอาเลือดตาเเทบกระเด็น เเถมอีกฝ่ายก็มีสีหน้าหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด กว่าจะทำให้กลับมาอารมณ์ดีได้เล่นเอาซะเหงื่อไหลไคลย้อยกันเลยทีเดียว เเตกต่างจากพี่เท็นที่ดูสบายๆ สามารถยิ้มได้ไม่เดือดร้อนอะไร เเต่ยิ่งพี่เท็นมีการเเสดงออกเเบบนั้นมันเหมือนเป็นการกระตุ้นพี่ภูผาให้หงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ผมอยากจะบอกให้พี่เท็นหุบยิ้มเเละเลิกทำท่าทางสบายๆได้เเล้ว เเต่ก็ไม่กล้า กลัวจะด่ากลับมา



"ลากกันออกมาก่อนกู เเต่ทำไมมาถึงหลังกู" พี่ธูปเอ่ยทักทันทีที่เราสองคนขึ้นมาบนรถ

รถคันที่พวกผมนั่งเป็นรถสองชั้น โดยที่ชั้นบนจะเป็นน้องๆปีหนึ่งทั้งหมดที่นั่งอยู่ ส่วนชั้นล่างจะเป็นปีสองกับพี่สามที่นั่งกัน ซึ่งชั้นล่างก็จะเป็นเบาะคู่เรียงกันเหมือนกับด้านบน ไม่ได้เป็นเเบบโซฟาเเต่อย่างใด  เเละรถคันนี้ไม่มีอาจารย์นั่งมาด้วยสักคน

"ยุ่งน่า" พี่ภูผาตอบกลับพี่ธูป ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเเละดันผมให้เข้าไปนั่งยังเบาะด้านในเเถวหลังสุด ส่วนตัวเองก็ตามานั่งตรงเบาะข้างๆผม

"มึงไม่คิดจะถามความสมัครใจของน้องหน่อยเหรอว่าอยากนั่งข้างมึงไหม" พี่วาที่นั่งเบาะข้างหน้าผมโผล่หน้าขึ้นมาถาม

"นั่นดิพี่ภู บางทีได้สีมันอาจจะอยากนั่งกับผมก็ได้นะ" ขนมผลักพี่ธูปให้ชิดเบาะส่วนตัวเองก็ยื่นหน้าออกมาถามพี่ภูผา

"เราไม่อยากนั่งกับพี่เหรอครับ" พี่ภูผาหันหน้ามาถามผมด้วยสีหน้าออดอ้อนทันทีที่ขนมถามเสร็จ เเละเเน่นอนครับถ้ามีภูผาน้ำด้วยน้ำเสียง สีหน้า เเละเเววตาเเบบนี้คำตอบเดียวของผมที่อยู่ภายในใจนั่นคือ

"อยากนั่งครับ"

"จบนะ" คนที่นั่งข้างผมยิ้มพอใจในคำตอบ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับอื่นๆ


"โหย พี่ภูเล่นถามเเบบนั้น ไอ้สีจะตอบอะไรได้" ขนมยังคงโวยวายออกมา

"นั่งนิ่งๆไปมึงอ่ะ บ่นมาก"  พี่ธูปยื่นมือไปดันหัวขนมให้กลับไปนั่งตัวตรงเช่นเดิม

เดี๋ยวนะเเล้วทำไมพี่ธูปกับขนมถึงนั่งด้วยกันได้ละเนีย ผมหวังว่าทั้งสองคนจะไม่ตีกันตายก่อนที่จะถึงค่ายนะ


ในที่สุดเวลาของการเดินทางก็มาถึง รถเคลื่อนตัวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปตามทางถนนเรื่อยๆ เช้าๆเเบบนี้รถไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่ทำให้การจราจรลื่นไหล บรรยากาศภายในรถยามเช้าเเบบนี้เงียบสงบเเทนที่จะคึกคัก อาจจะเพราะต้องตื่นตั้งเเต่หัวรุ่งทำให้ยามนี้หลายๆคนเลือกที่จะหลับตาพักผ่อนเอาเเรงกันก่อน


"กูไม่คิดเลยจริงๆว่าอิงจะตามไปค่ายด้วย" เสียงพี่ธูปที่ดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากการมองวิวนอกกระจกไปมองพี่ธูปแทน

"เออ ปกติไม่เคยเห็นจะตามไป" พี่วาที่นั่งเบาะข้างหน้า ยืดตัวคุกเข่าบนเบาะเเล้วหันหน้าไปยังทางพี่ภูผา

"ก็รอบนี้มันมีตัวกระตุ้นนี่หว่า" พี่ธูปว่า

"นั่นดิ กูว่ารอบนี้อิงบุกหนักไม่ปล่อยไอ้ภูไปแน่" พี่วากล่าวสมทบ

"หยุดเลยพวกมึงทั้งคู่" พี่ภูผาเอ่ยปากห้ามเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะหันมามองทางผม "พูดอะไรเกรงใจน้องบ้างเดี๋ยวน้องคิดมาก"


ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาของพี่ภูผาทันทีที่ได้ยินพี่ภูผาพูด คิดมากอะไรกันเล่า!


"แต่มันต้องพูดเเละปรึกษาเว้ย จะได้รับมือได้ จริงไหมวา"

"กูเห็นด้วยกับไอ้ธูป" พี่วายกมือเเตะกับพี่ธูป ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม "เราก็อย่าคิดมากนะ พี่เเค่ปรึกษาถึงความน่าจะเป็นกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก"

"อ่า ครับ" ผมไม่รู้จะตอบอะไรออกไป ทำได้เพียงเเค่ส่งเสียงตอบรับเบาๆในลำคอ


ผมไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ดี จริงๆผมกับพี่ภูผาไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ เเต่จากที่พี่ๆพูดมามันเหมือนกับว่าผมกับพี่ภูผา..... บ้าไปแล้ว คิดเเล้วก็เขิน เรื่องเพ้อเจ้อขอให้บอก


"ปล่อยอิงไปเถอะสักวันเดี๋ยวก็เหนื่อยเอง" พี่ภูผาว่าขึ้น

"ถ้าอิงจะเหนื่อย อิงคงเหนื่อยไปนานเเล้วไหมไอ้ภู" พี่ธูปแย้งขึ้น

"เเต่อิงก็ต้องยอมรับความจริง ว่ากูไม่ได้ชอบเขาเเบบชู้สาวสักนิด กูเห็นอิงเป็นเเค่เพื่อนที่ดีคนนึงเท่านั้น"

"มึงก็เลยเลือกที่จะพูดจาไม่ค่อยใส่ใจเเละทำตัวเย็นชาใส่เขาว่างั้น" พี่วาเป็นอีกคนที่เเย้งขึ้นมา

"เเล้วมึงจะให้กูทำยังไง กูไม่อยากให้ความหวังเเละอีกอย่างตอนนี้" พี่ภูผาเว้นจังหวะไว้แป็บนึงก่อนจะหันหน้ามามองผมส่งยิ้มเบาๆมาให้ ก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนๆของตัวเองเเละพูดว่า "กูมีคนที่กูต้องเเคร์เขาให้มากๆนี่หว่า"

"ส่งมาขนาดนี้ กูว่าจะไม่ชง เเต่เอาสักหน่อย" พี่ธูปยิ้มสายตากรุ่มกริ่มมองมาทางผม "ใครคนนั้นเป็นใครเหรอครับเพื่อนภูบอกเพื่อนธูปหน่อยได้ไหมคร้าบบบบ"

"ก็..." พี่ภูลากเสียงยาวๆ ตวัดสายตามองมาทางผม อมยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์มาให้ผม "ใครสักคนที่นั่งข้างๆกูอยู่ตอนนี้"

"ฮิ้วววววววววววววววววววววววว" เสียงโห่ร้องผสมผสานดังขึ้นทันทีที่พี่ภูผาพูดเสร็จเเม้เเต่ขนมที่ตอนเเรกผมเห็นว่าหลับไปแล้วก็ยังลุกมาทำสีหน้าล้อเลียนใส่ผมเช่นกัน เเต่คนที่ทำให้ผมตกใจคงหนีไม่พ้น พี่โก้ พี่โก้มาอยู่บนรถคันนี้ได้ไง เเล้วมาตั้งเเต่เมื่อไหร่เนีย

"มึงอยู่คันนี้ด้วยเหรอไอ้โก้" พี่ธูปผู้ที่มีความสงสัยเช่นเดียวกับผมถามคนที่เดินมาจากเบาะหน้า มานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงที่พักเเขนตรงเบาะของตุลา

"กูนอนอยู่ตรงเบาะหน้าสุดอยู่คนเดียว ไม่มีใครคิดจะสนใจกูสักคน" พี่โก้หันหน้าไปด่าเพื่อนตัวเอง ก่อนจะมองมาทางผม "เเล้วไงอุปกรณ์เครื่องเขียน ไอ้ภู มึงสองคน คิดว่ามารถส่วนตัวกันหรือไง หวานไม่เกรงใจใครเลยนะ น้ำตาลกูจะพุ่งเเล้วเนีย"


ยิ่งมีคนเเซ็วมากเท่าไหร่ ความร้อนก็ยิ่งพุ่งทะลุจนใกล้ถึงจุดเดือดมากเท่านั้น ใบหน้าผมเห่อร้อนอย่างห้ามไม่อยู่ เเละตอนนี้หน้าผมคงเเดงยิ่งกว่าลูกตำนึงสุกเเน่ๆ ผมได้เเต่ก้มหน้าซ่อนความเขินอายไว้ ไม่กล้าจะสู้หน้าใครทั้งนั้น ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเจอกับอะไรเเบบนี้ด้วยสิ เเล้วที่พี่ภูผาพูดออกไปหมายความว่าไงนะ เเบบนี้สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้เเล้วใช่ไหม



"เเคร์ใครสักคนของมึงมันก็ดี เเต่อย่าเผลอทำร้ายจิตใจคนอื่นจนเกินไปนะ ยังไงอิงก็เพื่อนกันมาตั้งเเต่เด็กๆ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาก็เยอะ บางครั้งเวลาเห็นมึงพูดจาเย็นชาใส่กูยังเจ็บแทน" พี่ธูปเอื้อมมือมาตบบ่าพี่ภูผาสองถามที พี่ภูผาไม่ตอบอะไรทำเพียงเเค่พยักหน้าตอบรับไป


ผมนั่งฟังสิ่งที่พี่ธูปพูดนิ่งๆ ซึ่งผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ธูปพูดกับพี่ภูผา พี่ภูผาค่อนข้างที่จะใจร้ายกับพี่อิงฟ้ามากเลยทีเดียว สังเกตจากหลายๆเหตุการณ์ที่ผมเคยเห็น บางทีพี่อิงฟ้าอาจจะเเค่ต้องการเวลาก็ได้ การให้เลิกชอบใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งตอนนี้พี่ภูผาไม่คิดจะคบใครจริงจังด้วย พี่อิงฟ้าก็คงคิดว่าตัวเองยังคงมีหวัง ผมเชื่อว่าสักวันนึงพี่อิงฟ้าจะต้องตัดใจได้เเน่ๆถ้าเกิดเห็นว่าพี่ภูผามีคนที่รักอย่างจริงใจเเละจริงจัง ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าพี่อิงฟ้าจัดอยู่ในกลุ่มเเอบชอบที่ดี ความรู้สึกของผมมันบอกเเบบนั้น เเต่พี่อิงฟ้าเเค่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนเเปลงบางอย่างเเละเเสดงออกผิดวิธีไปบ้างก็เท่านั้น อีกทั้งพวกพี่ๆเขาก็เป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันมาตั้งเเต่เด็กๆ เเละถ้าคนที่นั่งข้างๆพี่ภูผาตอนนี้ที่พี่ภูผาพูดถึงป็นหนึ่งในตัวเเปรของพี่ภูผาเเล้วละก็......


"พี่ภูผาครับ"

ผมที่นั่งฟังเงียบๆอยู่นานตัดสินใจเรียกชื่ออีกคนออกไป พี่ภูผาหันหน้ามามองผมเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

"เรื่องพี่อิงฟ้า"

เมื่อพี่ภูผาได้ยินชื่อพี่อิงฟ้า คิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที ผมสังเกตเห็นพวกพี่ๆกับเพื่อนๆ หยุดพูดคุยกัน เเละคล้ายกับว่ากำลังตั้งใจฟังบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ภูผาเเบบเนียนๆ

"พี่ภูผาชอบพี่อิงฟ้าไหมครับ"

"ไม่ครับ อย่างที่พี่เคยบอกเราไปพี่กับอิงฟ้าเป็นได้เเค่เพื่อนกันเท่านั้น" พี่ภูผาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักเเน่น

"ครับ ถ้าอย่างนั้นผมอยากจะบอกพี่ภูผาว่า คนที่นั่งข้างๆพี่ภูผาไม่คิดมากหรอกครับ" ผมส่งยิ้มให้อีกคน

"ก็พี่ภูผาบอกเองหนิครับว่าไม่ได้ชอบ เเค่นั้นก็เพียงพอเเล้วครับ คนที่นั่งข้างๆพี่ภูผาเชื่อใจพี่ภูผามากกว่าที่พี่ภูผาคิดนะครับ เพราะฉะนั้นพี่ภูผาสามารถทำหน้าที่เพื่อนที่ดีให้พี่อิงฟ้าได้โดยไม่ต้องกังวลนะครับว่าจะมีใครคิดมาก คนที่นั่งข้างๆพี่ภูผาไม่อยากให้พี่ภูผากลายเป็นคนใจร้ายหรอกนะครับ" ผมส่งยิ้มกว้างไปให้คนที่นั่งข้างๆพร้อมเเววตาที่เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย ทุกคำพูดที่ผมพูดออกไปมันสื่อออกมาจากภายในใจของผมทั้งหมด ไหนๆก็มีสิทธิ์คนนั่งข้างๆก็ขอใช้หน่อยนะครับ

น่าน! คิดเองเขินเองนักเลงพอ

"เด็กดี" พี่ภูผายื่นมือมาลูบหัวผมเบา พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ผม เเต่มันดันไม่อ่อนโยนต่อใจผมเลยสักนิดเดียว ใจผมตอนนี้เหลวยิ่งกว่าน้ำอีกครับ


"กูเกลียด กูเกลียดบรรยากาศเเบบนี้" เป็นพี่โก้ที่โวยววายขึ้นมา

"เป็นอะไรอีกอ่ะพี่โก้" ขนมถามขึ้น

"ก็กูอิจฉา เเม่ง! กูจะไปนอน ใครอย่าส่งเสียงดังให้กูต้องตื่นมาพบเจอสถานการณ์เเบบนี้อีกนะ ไม่งั้นกูจะจุดธูปสาปแช่งจริงๆด้วย" ว่าเสร็จเจ้าตัวก็เดินไปยังเบาะด้านหน้าที่ตัวเองจากมา


"เราก็นอนเหอะไอ้พี่ธูป บรรยากาศชวนคันยิกๆ"

"ทำไมวะหนม"

"ก็หวานจนมดเเห่กันมาตอมเเล้วไง"

ว่าเสร็จขนมก็หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบกับโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะยัดหูฟังใส่หูตัวเอง เเต่ก็โดนพี่ธูปเเย่งไปหนึ่งข้าง จากนั้นพี่ธูปก็เอนหัวพิงเบาะ โดยที่ไม่สนใจคำโวยวายของขนม จนในที่สุดขนมก็ยอมเเพ้ไปเอง


"ตุลาฟังเพลงกับพี่ไหม เผื่อเเบบไม่อยากได้ยินคำพูดอะไรที่เป็นมลพิษต่อโสตประสาทการรับรู้"

"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับพี่วา ผมคิดว่าเป็นเเค่เสียงหนูเสียงเเมววิ่งผ่านก็เเล้วกัน"



ผมที่รู้สึกขัดเขินกับคำพูดของตัวเอง ไม่รู้จะทำยังไงเลยเลือกที่จะหันหน้าหนีพี่ภูผาออกไปมองบรรยากาศด้านนอกเเทน


"ถ้าง่วง ไหล่พี่พร้อมให้เราซบตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ"

ผมสะดุ้งตกใจเมื่ออีกคนขยับมาใกล้ๆเเละพูดข้างๆหูผม ผมหันไปมองพี่ภูผาเป็นจังหวะที่พี่ภูผายื่นมาหาผมพอดี ทำให้ปลายจมูกของเราเฉียดกันเพียงเสี้ยววินาที ผมตกใจรีบถอยหน้าหนีคนตรงหน้าทันที เเก้มตัวเองก็ขึ้นสีเเดงระเรื่อ


นี่มันยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ ทำไมผมรู้สึกว่าพลังงานในร่างกายของผมมันเเทบจะหมดหลอดอยู่เเล้ว เเต่ต่อให้ร่างกายรู้สึกเหมือนโดนสูบพลังงานเเต่วันนี้มันก็เป็นวันที่ดีจริงเเหละนะ


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันทำให้ผมรู้สึกว่า สีเทียนคนนี้มีความหวัง ดังนั้นสีเทียนสู้ตาย จะปีนภูผาให้ได้เลย เอาให้ถึงยอดภูผาเลย


เพราะฉะนั้นเเล้วตอนนี้ขอนั่งหลังตรง หาวนิดหน่อย พิงตัวไปด้านหลัง หลับตา เเละค่อยๆเอียงตัวไปหาคนข้างๆ จากนั้นก็วางหัวไว้ตรงไหลกว้างๆของคนข้างๆ ก็พี่ภูผาเปิดโอกาสให้ผมเองนี่น่า สีเทียนคนนี้ขอรับไว้นะครับ ไหล่กว้างดีจังเลยนะ


**มีต่อค่ะ**
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ต่อตอนที่ 12) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 12-02-2021 23:27:45
**ต่อ ตอนที่12**

การเดินทางยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ มีการจอดเเวะปั๊มเพื่อให้นักศึกษากินอาหารเที่ยง โดยมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงในการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับขึ้นไปประจำตำเเหน่งบนรถของตนเอง


วิวสองข้างทางตอนนี้เปลี่ยนเป็นธรรมชาติที่เขียวขจี มีภูเขาอยู่ตลอดทางสองฝั่งถนน ผมไม่ได้เห็นบรรยากาศเเบบนี้มานานมากเเล้ว ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่เเต่ในเมืองเห็นเเต่บรรยากาศของตึกราขนาดใหญ่สูงทัดฟ้า บ้านช่องที่ตั้งกันเบียดเสียด มลพิษรอบทิศทางที่ต้องพบเจอ พอได้มาเห็นบรรยากาศเเบบนี้เเล้วพาลให้ปอดชุ่มชื่น เเม้ว่าตัวเองจะยังนั่งอยู่บนรถก็ตาม


ขนมผู้ที่นอนเเล้วนอนอีก ตอนนี้มีสีหน้าที่เบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากว่าบนรถไม่มีกิจกรรมอะไรให้ได้ทำมากนัก นอกจาก กิน นอน พูดคุย

การเดินทางของเราไม่มีการอนุญาตให้ลุกขึ้นมาเต้นรำ ตีกลอง โยกย้าย หรือเปิดเพลงเสียงดังๆครับ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมา มันจะเสี่ยงต่อทุกๆคนอยู่บนรถ กันไว้ดีกว่าแก้ครับ ลูกเขามีพ่อมีเเม่ เอามาเเล้วก็ต้องเอาไปคืนในสภาพที่ครบเหมือนเดิมครับ อดทนสักนิดหน่อยเเล้วค่อยไปปลดปล่อยเมื่อถึงค่ายดีกว่า เพราะพวกอุปกรณ์สร้างความบันเทิงขนไปครบครัน


เวลาประมาณสี่โมงเย็นนิดๆ พวกเราก็เดินมาถึงจุดจอดรถส่งนักศึกษา พวกเราจะต้องลงที่ตรงบริเวณจุดจอดรถตรงนี้หลังจากนั้นก็ต้องเดินเท้ากันไปเเองอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะรถใหญ่ไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ ทุกๆคนทยอยลงจากรถเเละไปหยิบกระเป๋าของตัวเองมาถือไว้ในมือ


เเต่ยังถือว่ามีความโชคดีอยู่บ้างที่มีรถกะบะของชาวบ้านจำนวนสามคันที่สภาพเก่าไปตามกาลเวลาเเละการใช้งาน มาช่วยขนกระเป๋าของนักศึกษาไปยังที่พัก อาจารย์สาโรจน์หนึ่งในอาจารย์ผู้ดูเเล เดินเข้าไปทักทายกับกลุ่มชาวบ้านสี่ห้าคนที่มารอรับ โดยมีพี่โก้กำลังยิ้มหน้าเเป้นเเล้นพูดคุยกับชาวบ้านราวกับรู้จักกันมาก่อน



"น้องๆทุกคนครับเดียวเราจะเอากระเป๋าไปตั้งไว้ตรงใต้ต้นไม้ตรงนู่นนะครับ" ทุกคนหันไปมองยังต้นไม้ใหญ่ตามการชี้ของพี่โก้ "เดี๋ยวพี่ๆเขาจะเป็นคนกระเป๋าไปให้เรา เเต่อะไรที่พอเเบกเองไปได้ก็เเบกไปนะครับ ช่วยๆกัน ตกลงไหมครับ"

"ค่ะ / ครับ" น้องๆทยอยเดินไปยังทางต้นไม้ใหญ่เเละวางกระเป๋าของตัวเองไว้ โดยบางคนก็สะพานไปเองเพราะพาเสื้อผ้ามาไม่เยอะ กระเป๋าใบเล็กใบน้อยก็ช่วยกันถือ

"ใครที่วางกระเป๋าเสร็จเเล้วรบกวนมาช่วยกันขนอุปกรณ์ต่างๆ เเละของบริจาคลงจากรถด้วยนะครับ ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ" พี่โก้ยังเป็นคนที่ป้าวประกาศเช่นเดิม

น้องๆทุกคนช่วยกันอย่างไม่มีอิดออด รุ่นพี่คนอื่นก็ร่วมด้วยช่วยกัน ไม่นานของทุกอย่างก็ลงมากองอยู่ตรงพื้นเป็นที่เรียบร้อย

"ขอบคุณทุกคนมากๆนะครับ" พี่โก้พูดขอบคุณทุกๆคนด้วยรอยยิ้ม


"น้องๆครับ เดี๋ยวเราต้องเดินกันไประยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ทางอาจจะเป็นเนินบ้าง ขรุขระบ้างระวังกันด้วยนะครับ" พี่วาถือโทรโข่งพูดอยู่ข้างๆพี่โก้ "โดยจะมีพี่ดำ" พี่วาชี้ไปที่ผู้ชายคนนึงที่ยืนอยู่ "เป็นคนนำทางนะครับ แล้วก็ระหว่างทางดูเเลเพื่อนข้างๆด้วยนะครับ"


"พี่ภูผาไม่ต้องครับ ผมถือเองก็ได้" ผมพยายามเเย่งกระเป๋าของตัวเองมาถือเอง เเต่คนที่เดินอยู่ข้างๆเหวี่ยงหลบไม่ยอมส่งมันกลับมาให้ผม

"พี่ถือให้"

"มันไม่ได้หนักเลยนะครับ ผมถือเองได้" ผมมีสีหน้าดื้อดึงเมื่ออีกคนไม่ยอมส่งมาให้ผมถือเเต่โดยดี

"เเต่ในนี้มีของของพี่ด้วย เพราะฉะนั้นพี่จะช่วยถือ" พี่ภูผาก็ดื้อดึงไม่ต่างกัน

"แค่แปรงสีฟันอันเดียวเนียนะครับ" ผมเลิกคิ้วถามอีกคน

"ครับ ไปเร็วรีบเดิน อย่ามัวเเต่บ่นพี่อยู่ เดี๋ยวเดินไม่ทันเขานะ" พี่ภูผาว่าพร้อมกับดึงเเขนผมให้เดินตามไป

ผมได้เเต่ถอนหายใจกับความดื้อดึงของคนตรงหน้า ถึงคราวจะดื้อก็ดื้อจนเอาไม่อยู่จริงๆคนคนนี้


"ถ้าอยากถือนักมาถือกระเป๋ากูนี้ไอ้สี" ขนมที่เดินตามหลังมาพูดขึ้น

"ถือไปเองเลยมึงอ่ะ ขนอะไรมาเยอะเเยะกูคิดว่าจะย้ายบ้าน" พี่ธูปว่าขึ้น

"ในกระเป๋าของมัน 90% คือขนมเเละของกินทั้งนั้นพี่ธูป สงสัยกลัวจะอดตาย" ตุลาเอ่ยเสริมขึ้น

"เหมือนกันเลยขนม ในกระเป๋าพี่ 99% คือขนมทั้งนั้นเลย" พี่วาพูดกับขนมด้วยสีหน้าดีใจที่มีคนเหมือนตัวเอง



"ไอ้พวกข้างหน้ารีบเดินดิ๊ มัวเเต่คุยกันอยู่นั้นล่ะ มึงกะว่าจะเดินไปถึงที่พักพรุ่งนี้หรือไง" พี่โก้ที่เดินรั้งท้ายขบวนกับพี่สินที่เป็นชาวบ้านที่นี้ตะโกนด่าขึ้น



กลุ่มของพวกผมเดินรั้งท้ายขบวนโดยมีพี่สินที่เป็นชาวบ้านชำนาญทางเป็นคนเดินคุมหลังอีกทีนึง หน้าขบวนเป็นพี่ดำ พี่เบลล์เเละคนอื่นๆที่เดินนำหน้า ส่วนอาจารย์ที่มาด้วย พวกเรามีความเห็นว่าควรให้ท่านๆนั่งรถไปกับชาวบ้านดีกว่า ดูจากอายุอานามเเล้วเดี๋ยวต้องคอยถามหายาคลายเส้นตอนดึกเเน่ๆถ้าให้เดินไป โดยที่มีพี่อิงฟ้านั่งรถไปด้วย



ใช้เวลาไม่นานพวกเราทั้งหมดก็มาถึงที่พักกันอย่างสวัสดิภาพ ระหว่างทางที่เดินมาบรรยากาศโดยรอบล้อมรอบไปด้วยภูเขา ป่าไม้ อากาศยามเย็นค่อนข้างที่จะเย็นๆหนาวๆ พวกเราเดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆเพื่อไปยังโรงเรียนหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเราจะมาช่วยกันซ่อมเเซมเเละบริจาคสิ่งของ รวมทั้งยังเป็นที่นอนสำหรับพวกเราตลอดเวลาของการมาค่ายครั้งนี้ด้วยเช่นกัน



"น้องๆทุกคนมากันครบเเล้วนะครับ" พี่วาถือโทรโข่งยืนอยู่บนเก้าอี้ "วันนี้ก็เย็นมากเเล้ว เราจะให้ทุกคนเเยกย้ายกันเข้าที่พัก เดี๋ยวเราจะเเบ่งกันนอนโดยที่หอประชุมใหญ่จะเป็นน้องๆผู้หญิงนะครับ ส่วนห้องประชุมเล็กกับห้องเรียนต่างๆให้พวกน้องๆผู้ชายเเยกกันไปนอนนะครับ โดยพวกเราจะมีรุ่นพี่ไปนอนด้วยประมาณสองสามคนตามขนาดห้องนะครับ ผมให้เวลาทุกคนสามสิบนาทีในการเอาของไปเก็บนะครับ น้องผู้ชายจำได้ใช่ไหมครับว่าตัวเองนอนตรงไหน ใครจำไม่ได้มาขอดูรายชื่อตัวเองตรงโต๊ะที่อาจารย์ยุพินนั่งอยู่นะครับ ส่วนปีสองปีสาม รอก่อนนะครับ"



เมื่อพี่วาพูดจบทุกคนก็กระจัดกระจายกันไปยังที่พักของตัวเอง เพื่อนำสัมภาระที่เอามาไปเก็บไว้ยังที่พัก



"ปีสองปีสามเดี๋ยวเราจะหยิบฉลากกันนะเพื่อความเสมอภาค เนื่องจากที่พักไม่เพียงพอ อย่างที่บอกไปต้องมีเเบ่งกันกางเต็นท์นอนด้านนอก เต็นท์ละสองคน โดยเรามีทั้งหมดสิบเต็นท หมายถึงมี 20 คนที่จะได้นอนในเต็นท์ตลอดการอยู่ค่าย ฉลากมีหมายเลขกำกับไว้เเล้ว ตามเวรตามกรรมนะครับ ใครได้หมายเลขอะไรรบกวนเก็บเงียบนะครับ จะได้เซอร์ไพร์ มาครับ ตามเวรตามกรรมกันครับ อ้อ ผู้หญิงไม่ต้องนะจ้ะ ให้ไปนอนกับน้องๆผู้หญิงที่หอประชุมได้เลยจ้ะ"

หลังจากจบคำพี่โก้ พวกผู้ชายที่เหลือก็ทยอยกันจับฉลาก ผมที่เเอบมองรายละเอียดข้างในก็ได้เเต่ถอนหายใจ ได้นอนเต็นท์ตลอดทริปเลยเหรอเนีย ผมเเอบกระซิบถามขนมกับตุลาก็เห็นว่าทั้งสองคนก็ได้นอนเต็นท์เช่นเดียวกัน เเต่คนละหมายเลขกัน



"ทุกคนได้ที่นอนกันเเล้วนะจ้ะ ไปจ้ะไปหาที่อยู่ของตัวเอง รีบๆนะจ้ะ อย่ามัวเเต่ดีใจหรือจีบกันในเต็นท์นะ เสนอหน้ามาทำอาหารเย็นให้น้องๆด้วย เเยกย้ายเลยจ้ะ" พี่โก้ตะโกนบอกหลังจากที่จับฉลากกันเสร็จเรียบร้อย



ผมที่กำลังจะเดินไปที่เต็นท์ต้องชะงักเมื่ออาจารย์ยุพินกวักมือเรียกให้ผมไปเอาเอกสารไปให้อาจารย์สาโรจน์หน่อย ผมจึงบอกให้พวกเพื่อนๆเดินไปก่อน เมื่อจัดการส่งเอกสารเรียบร้อยผมก็เดินตรงไปยังลานกว้างที่มีต้นไม้รอบๆเห็นเต็นท์วางเรียงเเถวกันอย่างสวยงาม ถัดไปไกลๆ ก็เห็นเป็นเต็นท์ของพี่ๆปีสี่ที่พกพามาเองกำลังกางเต็นท์กันอย่างขมักเขม้น ดูเเตกต่างจากเต็นท์ของพวกผมมาก

ผมเห็นตุลายืนอยู่กับพี่โก้ตรงเต็นท์หมายเลข 6 พี่ธูปกับขนมนั่งอยู่ในเต็นท์หมาย 4 ส่วนพี่วายืนกับพี่ตินเพื่อนอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน เเล้วพี่ภูผาอยู่ไหนนะ หรือว่าไปนอนในอาคาร ผมเดินตรงไปยังเต็นท์หมายเลข 5 ซึ่งเป็นเต็นท์ที่ผมต้องใช้เป็นที่หลับนอนตลอดการมาค่าย เต็นท์ผมมีการขยับเล็กน้อยเเสดงว่าคนที่ผมต้องนอนด้วยมาเเล้วสินะ

"สวัสดีครับ"

ผมไม่รู้ว่าภายในเต็นท์มีใครอยู่จึงเลือกกล่าวคำทักทายออกไป ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงประตูเต็นท์ขึ้น เมื่อเห็นหน้าคนที่นั่งยิ้มสดใสรออยู่ในเต็นท์ใจของผมก็เต้นโครมครามจบเเทบจะไม่เป็นจังหวะ


 สีเทียนไม่ได้เตรียมใจมาพบเจออะไรเเบบนี้นะ



"สวัสดีครับ สี่คืนจากนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ"


พี่ภูผามาได้ยังไง เเล้วสี่คืนนับจากนี้ผมจะนอนหลับให้สนิทได้อย่างไรกันครับเนี๊ย


<<< TBC >>>
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 13-02-2021 03:27:00
บุกถึงเต๊นต์แล้ว :hao6:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 13) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 14-02-2021 18:35:48
ตอนที่ 13 ความโลภของคนแอบชอบ


เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก!  เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก!

เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นเเล้ว อากาศหนาวในช่วงเช้าบนดอยสูงพาลทำให้ขนลุกชัน ร่างกายขยับเข้าหาความอบอุ่นอย่างอัตโนมัติ ขยับนิดหน่อยก็เจอกับความอบอุ่นที่ตามหา มือเลื่อนไปจับผ้าห่มที่พาดอยู่ประมาณอกให้สูงขึ้นเสมอคอ รอยยิ้มบนใบหน้าเเต่งเเต้มขึ้นเล็กน้อย


อุ่นจังเลยนะ!


"อือ" เเรงเขย่าเบาๆทำให้ผมที่เพิ่งจะได้นอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย "ขนมเราขออีก 10 นาทีนะ"


เมื่อผมพูดความต้องการออกไปคนที่ผมเข้าใจว่าเป็นขนมก็หยุดเขย่า ผมกระชับมือตัวเองที่กำลังกอดคนที่นอนข้างๆเเน่นขึ้น จนแทบจะสิงร่างของเขาอยู่เเล้ว ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าขนมก็กอดอุ่นเหมือนกัน


"อากาศหนาวจังเลยเนอะขนม กอดขนมอุ่นจังเลย" ผมที่รู้สึกตัวตื่นเเต่ตายังคงปิดสนิทอยู่เหมือนเดิมเอ่ยทักทายกับคนที่ตัวเองกำลังนอนกอดอยู่

"ตื่นเเล้วเหรอครับ"

เสียงที่เปล่งออกมาของคนข้างๆ ทำให้ผมตัวแข็งทื่อราวกับโดนแช่เเข็ง ผมลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันสายตาก็ไปสบเข้ากับเจ้าของเรือนร่างที่ตัวเองกำลังกอดเเน่นอยู่ในตอนนี้

"พี่ภูผา!" ผมตะโกนเรียกชื่อคนข้างๆอย่างลืมตัว

"ครับ?"

ผมรีบดึงเเขนของตัวเองกลับมา พร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรพี่ภูผาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาซะก่อน

"สงสัยอากาศคงจะหนาวมากจริงๆ คนแถวนี้เลยกอดพี่เเน่นเชียว"

ผมที่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงเเค่ก้มหน้ามองดูผ้าห่มของตัวเองด้วยความรู้สึกเขินอาย ผมลืมไปได้ยังไงนะว่าผมกับพี่ภูผาได้นอนด้วยกัน รู้สึกอายเป็นบ้า ไปกอดเขาซะเเน่นเลย ไอ้สีเทียนเอ้ย มันน่าตีมือจริงๆเลย

"ผมขอโทษนะครับ พอดีผมคิดว่าเป็นขนม มันเป็นความคุ้นชิน ผมไม่ได้ตั้งใจ" ผมรีบอธิบายกับคนตรงหน้า เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดคิดว่าผมฉวยโอกาส



ที่ผมพูดไม่ได้ต้องการที่จะเเก้ตัวนะครับ เพราะปกติถ้าจะมีใครสักคนนอนข้างๆผมก็มักจะเป็นขนมเสมอ มันเป็นความเคยชินของผมจริงๆ อีกอย่างผมก็รู้สึกเพลียมากด้วย ไหนจะเพลียจากการเดินทาง ยังจะมาเพลียกับการเต้นของหัวใจที่ทำงานหนักซะเหลือเกินตั้งเเต่เปิดประตูเต้นท์มา เเล้วเจอกับพี่ภูผาส่งยิ้มที่ชวนใจเหลวมาให้ หลังจากจัดการเรื่องต่างๆเสร็จกลับมาที่เต้นท์เพื่อจะพักผ่อน ก็เจอกับร่างสูงที่รออยู่ในเต้นท์เเล้ว แค่บังคับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติก็เต็มกลืนเเล้วครับ กว่าจะสงบสติตัวเองได้นาฬิกาก็เลยวันใหม่มาหลายชั่วโมงเเล้ว


"พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย" พี่ภูผามองผมด้วยสีหน้าติดรอยยิ้มขำ "พี่เข้าใจว่าอากาศมันหนาวมากจริงๆ เพราะพี่ก็รู้สึกหนาวมาก ดังนั้นเเล้วขอบคุณนะครับสีเทียนที่มอบความอบอุ่นให้กัน"

"อ่า ครับ" ผมตอบรับเสียงเบา รู้สึกทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเเละสายตาอ่อนโยนของพี่ภูผาที่มองมา ทำได้เพียงนั่งขยำผ้าห่มตัวเองไปมา

"ไปครับ ไปล้างหน้ากันดีกว่า" พี่ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี "วันนี้มีงานรออยู่เยอะเลย ป่านนี้พวกไอ้โก้ก็คงไปเตรียมอาหารเช้ารอเเล้ว" พูดเสร็จมือก็เหวี่ยงผ้าห่มของตัวเองไปกองๆอยู่บนหมอนโดยไม่สนใจที่จะพับมันสักนิด

"พับด้วยสิครับ" ผมที่เป็นพวกค่อนข้างที่จะเรียบร้อยสักหน่อยจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นคนข้างๆ

"เดี๋ยวตอนค่ำก็ต้องกลับมานอนต่ออยู่ดีไม่ใช่เหรอ จะเสียเวลาพับๆคลี่ๆทำไม"

ผมมุ่ยหน้าให้คนตรงหน้า เมื่อได้ฟังเหตุผลของเจ้าตัวเเล้วก็ไม่รู้จะเถียงยังไงดี ผมจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มของอีกคนมาพับให้เรียบร้อยเเทน อย่าหาว่าผมจุ้นจ้านเลยนะครับ เเต่ขอนิดนึง มันเห็นเเล้วคันไม้คันมือ

"ขอบคุณครับ" พี่ภูผาเอ่ยขอบคุณตอนที่เอื้อมมือมารับผ้าห่มที่ผมพับเสร็จเเล้วไปวางไว้บนหมอนของตัวเอง

"ไม่เป็นไรครับ" ผมส่งยิ้มให้พี่ภูผา จัดการกับผ้าห่มของตัวเองบ้างก่อนจะหันไปรื้อพวกขันน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้าผ้าผืนเล็กสำหรับเช็ดหน้า ให้พร้อม


"พี่ภูผาจะไปล้างหน้าเลยไหมครับ"

"ไปสิ" พี่ภูผาว่าพร้อมกับตัวเองที่กำลังจะออกจากเต้นท์เเต่เป็นผมที่เอื้อมมือไปดึงไว้ก่อน  พี่ภูผาหันหน้ามามองผม เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"พี่ภูผาจะไปล้างหน้ามือเปล่าเหรอครับ"

"ก็แปรงอยู่กับเราเเล้วไง" ทุกคนฟังไม่ผิดครับแปรงของพี่ภูผาอยู่กับผมจริงๆเเต่ไม่ใช่ว่าใช้อันเดียวกันนะครับ ตอนไปซื้อของอีกฝ่ายให้หยิบเเพ็คคู่มาเเล้วก็ฝากไว้ในกระเป๋า

"แล้วไม่หยิบ เเบบพวกผ้าเช็ดหน้าไปหน่อยเหรอครับ"

"พี่ไม่ได้เอามา" พี่ภูผาตอบได้หน้าตายมาก

"เฮ้อ! จริงๆเลยนะคุณคนนี้" ผมบ่นกระปอดกระแปด มือก็รื้อกระเป๋าอีกรอบก็เจอกับสิ่งที่ตามหา ผ้าสำหรับเช็ดหน้าผืนเล็กสีเหลืองลายหมีพูห์ถูกยื่นไปตรงหน้าพี่ภูผา

พี่ภูผาไม่พูดอะไรทำเพียงเเค่เลิกคิ้วทำหน้างงๆส่งมาให้ผม

"รับไปสิครับ เอาไว้ใช้เช็ดหน้า ผมมักจะพกมาเผื่ออยู่เเล้ว ผมให้พี่ภูผายืมใช้ก่อนก็ได้ครับ"

"สีเหลือง?"

ผมพยักหน้ารับ

"ลายหมีพูห์ด้วย"

"ห้ามบ่นครับ" ผมรีบยัดผ้าใส่มืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ยกนิ้วชี้ขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้าดุๆใส่อีกฝ่าย

"พี่ไม่ได้จะบ่น เเค่จะบอกว่าเลือกลายได้เหมือนกับเราดี"

ผมเลิกคิ้ว เอียงคอเล็กน้อยมองอีกคนที่กำลังมองมา "เหมือนยังไงเหรอครับ"

"ก็ผ้าลายนี้มันน่ารักดี"

"ครับ"

"ก็เหมือนกับเราไง น่ารักดี"  ไม่พูดเปล่าพี่ภูผาใช้นิ้วชี้ของตัวเองมาจิ้มเเก้มผมสองจึ๊ก ให้พอได้จั๊กจี้หัวใจเล่นด้วย

พูดเสร็จเจ้าตัวก็ออกจากเต้นท์ไปโดยทิ้งให้ผมหูอื้อกับสิ่งที่ได้ยิน นั่งมึนๆงงกับตัวเองอยู่ภายในเต้นท์เพียงลำพัง



หลังจากนั่งดึงสติของตัวเองให้กลับมาอยู่กับตัวเองได้แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องออกจากเต้นท์เสียที ผมก้าวออกมาจากเต้นท์ด้วยความมั่นใจ ก่อนจะต้องรีบนั่งยองๆกอดตัวเองลูบเเขนไปมาอย่างรวดเร็วเมื่อลมหนาวยามหัวรุ่งตอนตี 5 พัดมากระทบผิวกาย

"ฮึ๊ย  หนาว! หนาว! ไม่ไหว ทำไมหนาวจัง" ผมก้มหน้าบ่นงึมงัมกับตัวเอง

"สีทำไรวะ เหรียญหายเหรอ"

ผมเงยหน้ามองคนที่กำลังเดินมา ขนมมีสีหน้าที่งัวเงียสุดๆ  บ่งบอกว่าเจ้าตัวเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน

"ไม่ใช่สักหน่อย เราหนาวต่างหาก ขนมไม่หนาวเหรอ"

"หนาว?"

ผมพยักหน้าหงึก ในขณะที่กำลังนั่งยองๆกอดเข่าอยู่ที่เดิม

ขนมนิ่งไปแป็บนึง "ไอ้เชี่ย หนาวจริงด้วย ฮึ๋ย มึงทักทำไมเนียสี กูก็มัวเเต่ง่วง" ขนมยกมือขึ้นลูบเเขนตัวเองบิดขาไปมา



"สีเทียน!" ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็เจอกับพี่ภูผาที่กำลังมาทางผม "ทำอะไรอยู่ พี่รอเราตั้งนาน"

"รอผมเหรอครับ"

"ใช่สิ ก็ทั้งเเปรง ทั้งยาสีฟันอยู่ที่เราหมดเลย" พี่ภูผาว่าขึ้น "แล้วทำไมถึงลงไปนั่งเเบบนั้น"

"เอ่อ คืออากาศมันหนาวหน่ะครับ"

"ไปครับ" พี่ภูผายื่นมือมาตรงหน้าผมพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆยื่นมือไปจับอีกฝ่าย ผมในตอนเเรกที่คิดว่าพี่ภูผายื่นมือมาเพื่อจะช่วยดึงให้ผมลุกขึ้นยืนได้ง่ายๆ กลับต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มของตัวเองไว้เมื่อพี่ภูผากระชับมือผมเเน่นขึ้น จูงมือผมเดินไปตลอดการเดินไปห้องน้ำ

"จะได้อุ่นๆเนอะ"

ถ้าพี่ภูผาจะไม่อ่อนโยนต่อหัวใจขนาดนี้ อย่างนั้นก็

"ครับ"  ผมตอบกลับพี่ภูผาพร้อมกระชับมือของตัวเองให้เเน่นขึ้นกว่าเดิม 



"มายืนเอ๋อเเดกอะไรตรงนี้"

"พี่ธูป ทำไมผมรู้สึกเหมือนผมเป็นเเค่อากาศธาตุที่ไร้ซึ่งตัวตน"

"เพ้อเจ้ออะไรเเต่เช้าของมึงเนียหนม ไปล้างหน้าไป!"

"รู้เเล้วน่า ฮึ๊ย!"







"เล่ามาสีกูพร้อมฟังเเล้ว" ขนมพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่ผมนั่งรออยู่ก่อนเเล้ว พร้อมกับจานอาหารเช้าในมือ จากนั้นก็นั่งลงตรงที่ว่างตรงข้ามกับผม

"เดี๋ยวนะมึงจะให้มันเล่าเรื่องอะไร" ตุลาที่นั่งข้างๆผมถามขึ้น

"ไม่รู้อ่ะ เเต่กูว่ามันต้องมีเรื่องเล่า" ขนมพูดไปมือก็ตักข้าวเข้าปากไป "เมื่อคืนมันได้นอนเต้นท์เดียวกับคนที่เเอบชอบเลยนะเว้ย ยังไงมันก็ต้องมีอะไรให้ยุบยิบหัวใจบ้างล่ะวะ ใช่ไหมสี"

"บ้าน่าขนม จะมีอะไร ไม่มีหรอก" ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆจนผมสะบัดเเทบจะเสียทรง

"ไม่มีอะไรเเล้วทำไมเเก้มมึงถึงเเดง"

ผมรีบยกมือทั้งสองข้างของตัวเองมาปิดเเก้มทันทีหลังจากจบประโยคของขนม "อากาศมันร้อนไง"

"ร้อนก็เหี้ยเเล้ว" ขนมเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ "ให้ไวสี กูดูหน้ามึงก็รู้เเล้วว่าเจอเรื่องดีๆมาจนอยากจะเเบ่งปัน"

"บ้าน่า ขนมก็ว่าไป คือว่าอย่างนี้นะ" ผมเว้นจังหวะหายใจไปแป็บนึงเพื่อรวบรวมคำพูดที่จะเล่าออกมา "ขนมกับตุลาก็รู้ใช่ไหมว่าที่นี้ตอนกลางคืนอากาศมันหนาวมาก"

"เออ" ขนม

"รู้" ตุลา

"เเล้วเมื่อคืนคือพอเราได้หลับเราก็หลับสนิทเเบบหลับเอาตายเลย เนื่องจากเราก็เพลียจากอะไรหลายๆอย่าง เเถมกว่าจะสงบสติอารมณ์ข่มตาหลับได้ก็ดึกมากเเล้ว"

"อ่าฮะ"

"เเล้วขนมก็รู้ว่าปกติถ้าจะนอนกับใครสักคน คนคนนั้นมักจะเป็นขนมเสมอ"

"เเล้วมันยังไงสี"

"ตุลาก็รู้ว่าเราไม่ค่อยชอบอากาศหนาวมากๆสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเยียวยาให้ความหนาวของเราลดลงได้ก็คือ......"

"ไอ้สี อย่าบอกนะว่ามึง" ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบขนมก็พูดเเทรกขึ้นมาก่อน เเถมยังทำตาโตๆใส่ผมอีก

"อือ เเบบนั้นเเหละ"  ผมรู้สึกถึงหน้าของตัวเองที่มีอุณภูมิสูงขึ้น "เราเผลอไปกอดพี่ภูผาเเน่นเลยอ่ะตุลา" ผมมุดหน้าลงกับไหล่ของตุลาด้วยความเขินอาย

"แล้วพี่มันรู้ไหมว่าโดนมึงกอด"

ผมพยักหน้ารับ

"เเล้วพี่มันว่าอะไรมึงป้ะ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

"เเล้วมึงรู้สึกไงบ้างสีที่ได้กอดพี่ภู" ตุลาเป็นฝ่ายถามบ้าง

"อุ่น อุ่นมากๆเลยตุลา อุ่นจนเราไม่อยากคลายอ้อมกอดจากพี่เขาเลย เป็นไปได้ก็อยากจะกอดพี่ภูผาเเบบนี้ไปทุกๆวัน"



ถึงเเม้ในตอนเเรกผมจะตกใจเเละรู้สึกอายกับการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของตัวเอง เเต่พอได้สติความตกใจเเละความอายก็เเปรเปลี่ยนเป็นความสุขอย่างง่ายดาย ผมได้กอดคนที่เฝ้าเเอบชอบมาตลอดหนึ่งปีเลยนะครับ เเละดูเหมือนว่าตอนนี้ความโลภจะเริ่มเข้าครอบงำผมซะเเล้ว ตอนที่ไม่ได้กอดก็ไม่เป็นไรหรอกครับเเต่เมื่อได้กอดเเล้วก็อยากจะกอดอีก กอดไปเรื่อยๆ กอดทุกๆวัน


ไม่น่าเลยสีเทียน ไม่น่าไปเผลอตัวกอดพี่ภูผาเลย เเล้วอีกสามคืนที่เหลือจะห้ามใจยังไงไม่ให้ไปทำเนียนกอดพี่ภูผาที่นอนอยู่ข้างๆละเนีย

ถ้าอ้างว่าลืมตัวเพราะคิดว่าเป็นขนมตลอดทั้งสามคืนจะดีไหมนะ




หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยเเล้วก็ถึงเวลาของพวกเราชาวค่ายลงมือบำงรุง ซ่อมเเซม ปรับปรุง โรงเรียนเเห่งเดียวของหมู่บ้านอันห่างไกลนี้ ก่อนจะเเยกย้ายกันไปทำงานพวกเราทุกคนจะได้รับการมอบหมายงานในส่วนต่างๆให้ได้รับผิดชอบกัน งานหนักๆที่ต้องใช้เเรงส่วนมากก็จะตกเป็นของพวกผู้ชาย พวกผู้หญิงจะให้ทำงานเบาๆ ไม่โลดโผนจนเกินไป เเต่ก็อาจจะมีบ้างบางคนที่ถึก ทน เก่ง เเละเเรงดีมากๆจนผมยังอึ้งเลย พวกรุ่นพี่ปีสองปีสามก็จะกระจายกำลังกันไปตามส่วนต่างๆ ช่วยกันดูเเล สอดส่อง โดยไม่ได้เเบ่งหน้าที่ชัดเจน ก็เรียกได้ว่าทำหมดทุกหน้าที่เลยครับ



ส่วนอาหารการกิน พวกเราก็จะเเบ่งเวรกันทำครับ ทุกคนจะมีส่วนร่วมในการช่วยกันทำอาหาร อาจจะได้เป็นหน่วยหาวัตถุดิบ หน่วยหั่นผัก ปรุงอาหารก็ว่ากันไป อารมณ์มาค่ายของพวกเรานั้นเน้นการช่วยเหลือซึ่งกันเเละกันไม่ใช่คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มนึงทำอยู่ฝ่ายเดียว รุ่นน้องรุ่นพี่ช่วยกันทำทุกๆอย่าง ร่วมด้วยช่วยกันทำ

จะมีก็เเค่การเเบ่งงาน การวางเเผน จะมีรุ่นพี่เป็นดูเเลความเรียบร้อยเเละเเบ่งงานให้ทำ ซึ่งหัวเรือใหญ่ครั้งนี้เป็นพี่โก้กับพี่วา เเละอีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญของรุ่นพี่คือการดูเเลความปลอดภัยของน้องๆปีหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ลูกเขามีพ่อมีเเม่เพราะฉะนั้นเราจึงต้องช่วยกันดูเเลเขาให้ดีที่สุดตลอดการมาค่าย


หลังจากฟังการมอบหมายงานเสร็จก็ถึงเวลาเเยกย้ายกันไปทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย อากาศตอนนี้ไม่ได้หนาว เเต่ก็ไม่ได้ร้อนมาก เเต่ถ้ายืนกลางเเดดนานๆก็พาลให้เหงื่อไหลได้เหมือนกัน


"ระวังสีเข้าตาด้วยนะครับ เข้าใจไหม" พี่ภูผาพูดกับผมเมื่อรู้ว่าพี่โก้บอกให้ผมไปช่วยน้องๆผู้หญิงกลุ่มนึงทำป้ายห้องเรียนเเละป้ายห้องสมุดใหม่ ส่วนพี่ภูผาเเน่นอนครับรูปร่างเเบบนี้หน่วยเเบกหามเเละใช้เเรงงานอย่างเเน่นอน

"ครับ"

"จะหยิบจับอุปกรณ์อะไรต้องระวัง ถ้าอะไรที่หนักมากๆก็ให้คนอื่นมาช่วยยก ห้ามฝืนยกเองเด็ดขาด เเล้วก็....."

"โอ๊ย ไอ้เหี้ยภู ไอ้อุปการณ์เครื่องเขียนมันไปทำป้ายไหม มันไม่ได้ไปกู้ระเบิดนะมึง" พี่โก้พูดขึ้น

"เออ เป็นห่วงพวกกูเนีย ถือมีด ถือเลื่อย ถือค้อน อันตรายกว่าเป็นไหนๆ" พี่ธูปว่าพร้อมกับชูอุปกรณ์เเหลมคมในมือให้ดู

"นิ้วมือก็มีตั้งสิบนิ้ว โดนตัดไปสักนิ้วพวกมึงก็ไม่ตายหรอก" พี่ภูผาหันไปพูดหน้าตายใส่เพื่อน

"โหย ไอ้เลว " "ไอ้เพื่อนเหี้ย" เเละเเน่นอนสิ่งที่พี่ภูผาได้รับกลับมาคือคำอวยพรจากเพื่อนๆนั่นเอง



"พี่ภูผาก็ระวังตัวด้วยนะครับ อย่าปล่อยให้ตัวเองเจ็บตัวนะ" ผมส่งยิ้มให้และมองอีกคนด้วยสายตาที่เเฝงไปด้วยความเป็นห่วง เพราะงานพี่ภูผาค่อนข้างจะอยู่กับของมีคม ผมรู้ว่าอีกคนเก่งเเต่ก็ไม่อยากให้ประมาท ผมไม่อยากเห็นพี่ภูผาเจ็บจริงๆนะครับ

"รับทราบครับ" พี่ภูผาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้หัวผม

ฟึบ! จู่ๆก็มีหมวกสานปีกกว้างใบนึงมาอยู่บนหัวผม

"ใส่อันนี้ไว้ด้วย อากาศค่อนข้างร้อน เดี๋ยวเราจะไม่สบาย"

"ขะ ขอบคุณครับ" ผมเขินจนพูดตะกุกตะกัก



"ไอ้ภู ไอ้อุปกรณ์เครื่องเขียนมันอยู่เเต่ในร่ม"

"ไอ้เหี้ยเอ้ย หมู่บ้านนี้ขายหมวกไหมวะกูจะไปเหมา"

"กูอยากชื่อสีเทียนบ้าง"

"ใส่หมวกได้ทีละใบ ใส่ใจได้ทีละคนนะคร้าบบบบบบบ!"

"ฮิ๊ววววววววววววววววววววว!"

"โอ๊ย ผมก็ร้อนเหมือนกันนะพี่ อยากได้หมวกบ้าง" ขนมก็ร่วมด้วยช่วยกันเเซ็วกับเขาด้วย



ผมมั่นใจมากๆเลยว่าตอนนี้ตัวเองคงแก้มเเดงมากเเน่ๆ เพราะผมเขินจนเเทบจะเเทรกเเผ่นดินหนีอยู่เเล้ว พวกพี่ๆก็ขยันเเซ็วกันซะเหลือเกิน ไม่สงสารใจของผมบ้างเลย

เเต่คนอย่างสีเทียนเมื่อตั้งใจไว้เเล้วว่าจะปีนภูผา ในเมื่อพี่ภูผาเล่นเเบบนี้สีเทียนก็ขอสู้ขาดใจ

"เเต่พี่ภูผาทำงานกลางเเจ้ง พี่ภูผาควรเก็บไว้ใส่ดีกว่านะครับ"

"ไม่เป็นไร"

"เเต่เดี๋ยวหน้าพี่ภูผาจะไหม้เเดดนะครับ"

"ก็บอกเเล้วไงครับว่าไม่เป็นไร"

"ถ้าอย่างนั้นแป็บนึงนะครับ" ผมล้วงมือเข้าไปหยิบครีมกันเเดดหลอดเล็กที่พกติดกระเป๋าไว้ออกมา "พี่ภูผาทาครีมกันเเดดหน่อยนะครับ" ผมบอกอีกคนพร้อมกับยื่นครีมกันเเดดไปให้ตรงหน้า

"พี่ก็อยากทานะเเต่มือพี่ไม่ว่างเลย" พี่ภูผาว่าพร้อมกับชูมือทั้งสองข้างของตัวเองที่ถือเเค่ถุงใส่ตะปูกับค้อนหนึ่งอันให้ผมดู

ซึ่งสีเทียนคนนี้ได้สังเกตเห็นเเล้วว่ามือของพี่ภูผาไม่ว่างเเละพี่ภูผาต้องให้ผมทาให้เเน่ๆ เเต่ในใจก็มีเเอบลุ้นเหมือนกันกลัวพี่ภูผาจะวางของเเละเอื้อมมือมาหยิบครีมกันเเดดไปทาเอง เฮ้อ! โล่งอก ไม่งั้นอดได้สัมผัสหน้าพี่ภูผาเเน่ๆ

"ขอโทษนะครับ" ผมเอ่ยขอโทษอีกคน ก่อนจะป้ายครีมกันเเดดที่บีมออกมาจากหลอดลงบนหน้าของพี่ภูผาค่อยๆบรรจงเกลี่ยครีมไปทั่วหน้าอย่างช้าๆ โดยไม่ลืมที่จะสำรวจหน้าของอีกฝ่าย

หน้านิ่มจังเลย  ไม่มีสิวเลยด้วย  ขนตาก็ยาว  จมูกก็โด่ง  ปากก็สีชมพู  คิ้วก็เท่   

สรุปคือส่วนผสมทุกอย่างมันลงตัวมากๆเลย ผมเผลอสำรวจหน้าของพี่ภูผาอย่างลืมตัว เเละลืมรอบข้างไปซะสนิทมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนอื่นๆตะโกนเเซ็วขึ้นมา



"พี่วาผมไม่อยากอยู่ตรงนี้เเล้ว" นี่มันเสียงตุลานี่น่า

"พี่ก็ว่างั้น เราไปหาลุงผู้ใหญ่กันเถอะ เบื่อการเป็นอากาศเเล้ว"

"ทำไมกูต้องมาเจออะไรเเบบนี้เเต่เช้า"

"เเม่งเอ้ย ใครมีครีมกันเเดดบ้างวะ เอามาสาดใส่หน้ากูที

"อยากมีคนทาครีมกันเเดดให้บ้าง"

"ไม่ได้ชื่อภูผาก็ลำบากกันหน่อยนะทุกคน"

"กูรับไม่ได้ เมื่อวานกูก็เจอเเบบนี้ วันนี้กูมาเจออีก กูรับไม่ได้ เเยกย้ายไปทำงาน กูขอร้องล่ะ เเยกย้ายเถอะ ก่อนที่มันจะหวานไปมากกว่านี้" พี่โก้ตะโกนขึ้นพร้อมกับบอกให้ทุกคนรีบเเยกย้ายเพราะมีเเค่กลุ่มพวกเรากลุ่มเล็กๆประมาณสิบคนที่ยังยืนอยู่ตรงที่เดิม



"ขอบคุณนะครับ"

"มะ ไม่เป็นไรครับ" คนที่ตอนทำกล้าหาญ เเต่หลังจากทำเเล้วใจเหลือเท่ามดมีอยู่จริงยืนอยู่ตรงนี้เองครับ

ผมได้เเต่ยืนก้มหน้ามองพื้นอยู่นิ่งเพราะไม่มีความกล้าเหลือพอที่จะให้เงยมามาสบตากับคนรอบๆข้างหรือเเม้กระทั่งสบตากับพี่ภูผาก็ตาม

"ผมขออนุญาตพาเพื่อนผมไปทำงานก่อนนะพี่ วันนี้พอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวเพื่อนผมจะเขินตัวเเตกตายไปซะก่อน ไปกันสี" ขนมพูดกับพี่ภูผาก่อนจะเดินมาโอบคอผมเเละลากให้เดินตามไป

"เดี๋ยวไอ้หนม"

"อะไรวะไอ้พี่ธูป" ขนมหันหลังกลับไปมองคนที่เรียกชื่อตัวเองด้วยสีหน้ายุ่งๆ

"เอานี่ไป" จากนั้นก็มีหมวกใบนึงมาอยู่บนหัวของขนมเป็นที่เรียบร้อย

"ให้ผมทำไม" ขนมถามออกไป ผมที่กำลังจ้องหน้าขนมอยู่จึงเห็นสายตาที่วูบไหวของขนมที่ปรากฏขึ้นเสี้ยวนึงเเล้วก็หายไป

"ใส่ไปเหอะน่า กูบอกเเล้วให้เอาหมวกมาด้วยไม่เอามา ยิ่งป่วยง่ายอยู่ด้วยมึงอ่ะ โดนเเดดเดี๋ยวก็ไม่สบายตายห่าพอดี ลำบากคนอื่นอีก"  ผมละสงสัยจริงๆเเค่พี่ธูปพูดออกมาว่า เป็นห่วง มันยากขนาดนั้นเหรอครับ

"เหอะ! ขอบคุณ" ขนมพูดขอบคุณพี่ธูปเเบบเสียงกระชาก ซึ่งพาลให้ผมรู้สึกไม่ดีไปด้วย ไม่อยากให้คนอื่นมองขนมไม่ดี เพราะอย่างน้อยๆพี่ธูปก็ดูเป็นห่วงถึงจะพูดจาไม่ค่อยรื่นหูสักเท่าไหร่ เเต่ก็น่าจะขอบคุณดีๆกว่านี้สักหน่อย

"ไปกันเถอะสี" ขนมลากผมให้เดินต่อไปยังกลุ่มของน้องๆที่กำลังทำป้ายกันอยู่หน้าระเบียงห้องเรียนห้องหนึ่ง

"ขนมน่าจะพูดขอบคุณพี่ธูปดีๆหน่อย พี่เขาเป็นห่วงนะ เเถมยังให้หมวกมาอีก"

"เป็นห่วงก็บ้าเเล้ว คงกลัวกูเป็นภาระมากกว่า" ขนมหน้ายุ่งทันทีที่พูดถึงพี่ธูป

เฮ้อ! ผมล่ะเชื่อสองคนนี้เลยจริงๆ


***มีต่อค่ะ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 13 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 14-02-2021 18:36:46
***ต่อ ตอนที่ 13***

การทำงานในวันเเรกผ่านไปอย่างราบรื่น ทุกคนขยันขันเเข่งในการช่วยกันทำงานเพื่อให้มันเสร็จทันเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด


ผมใช้สายตามองไปยังใครคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเลื่อยไม้อย่างตั้งใจอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ๆกับสนาม เเดดช่วงบ่ายสามค่อนข้างที่จะทำให้อากาศอบอ้าว อาจจะทำให้เหงื่อไหลจนรบกวนสมาธิ สังเกตได้จากการยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อของพี่ภูผาเเล้ว คงจะร้อนเเละเหนื่อยน่าดู ก็เล่นทำงานเเทบไม่ได้พัก ตอนเที่ยงก็เห็นรีบๆกินข้าวเพื่อจะไปขนไม้มาเพิ่ม



"มองขนาดนี้ไม่เดินเข้าไปหาเลยล่ะ"

"บ้ามองอะไรเราไม่ได้มอง ขนมพูดมั่ว"

"เออ กูเชื่อว่ามึงไม่มอง ไม่มองเลย"

ผมมุ่ยหน้าใส่ขนมไปหนึ่งทีก่อนจะกลับมาสนใจการลงสีป้ายห้องสมุดอีกครั้ง

"ร้อนน่าดูเลยพี่ภู หิวน้ำบ้างไหมนั้น ทำงานไม่ได้หยุดเลย"

"คงไม่หิวหรอกมั้ง เราเห็นมีหลายๆคนเอาน้ำไปให้ พี่ภูผาปฏิเสธทุกคนเลย"

"เเหม คนไม่ได้มอง" ขนมหันหน้ามาเเซะผม "เเต่กูว่าบางทีพี่ภูอาจจะกำลังรอน้ำจากใครเเถวนี้อยู่ก็ได้นะ"

"ใครคนนั้นอาจไม่ใช่เรา"

"พนันไหม"

"ขอเหตุผลที่เราต้องพนัน"

"เอ้าสี มึงคิดดูนะเว้ย ถ้าสมมุติว่ามึงเอาน้ำไปให้เเล้วพี่ภูผาของมึงรับน้ำไป มึงเตรียมตัวฟินไปสามเดือนได้เลยนะเว้ย สุขใจไปอีกหนึ่งปี มึงมันคือความรู้สึกพิเศษที่จะได้รับเลยนะ"

"เเล้วถ้าพี่ภูผาไม่รับขึ้นมาเราก็ต้องช้ำในตายไปอีกสามเดือน ผิดหวังไปอีกหนึ่งปี"

"กูเอาหัวเป็นประกันเลย ถ้าพี่ภูไม่รับน้ำจากมึง กูจะยอมพูดเพราะๆกับไอ้พี่ธูปสามเดือนเลยเอ้า เเต่ถ้าพี่ภูรับน้ำจากมึงมึงจะต้องหอมเเก้มพี่ภูโชว์กูหนึ่งฟอดดังๆ"

"จะบ้าเหรอขนม จู่ๆให้ไปหอมเเก้มได้ไง"

"พี่ภูชอบมึงเชื่อกู อีกอย่างมึงมั่นใจไม่ใช่เหรอว่าพี่ภูจะไม่รับ มึงจะไปกลัวอะไรวะ"

ผมเริ่มคล้อยตามสิ่งที่ขนมพูด ผมสังเกตเห็นว่าพี่ภูผาจะไม่รับน้ำจากใคร ถ้าหิวจะเดินไปหยิบมากินเองตลอด อีกอย่างก่อนหน้านี้พี่ภูผาก็เพิ่งดื่มน้ำไป ก็มีสิทธิ์เพิ่มขึ้นที่จะไม่รับน้ำจากผมเพราะไม่กระหายเเล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นขนมอาจมีสิทธิ์ที่จะเเพ้ เเละต้องทำตามข้อตกลงไว้ ก็ดีเหมือนกันผมอยากให้ขนมพูดจาเพราะๆกับพี่ธูปบ้าง เพราะบางครั้งสองคนนี้ก็ดูพูดจาที่ค่อนข้างจะรุนเเรงใส่กัน เดี๋ยวจะกลายเป็นความบาดหมางที่เกิดขึ้นภายในใจเเบบไม่รู้ตัว

"ก็ได้ เราตกลง"

"จัดไป"



ผมกับขนมหันไปบอกน้องๆว่าเดี๋ยวจะกลับมาช่วยต่อ ขอไปกินน้ำก่อนแป็บนึง จากนั้นก็เดินตรงไปยังถังเเช่น้ำเย็นๆ หยิบขึ้นมาหนึ่งขวด โดยมีเป้าหมายเป็นชายผู้ที่กำลังเลื่อยไม้ด้วยท่าทางเท่ๆอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

เมื่อใกล้ถึงผมก็ยืนรวบรวมความกล้าอยู่แป็บนึงก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหา เเต่เหมือนว่าผมจะช้าไปเสี้ยววินาทีนึงเพราะมีผู้หญิงคนนึงมาปาดหน้าส่งน้ำให้พี่ภูผาไปเสียก่อน

"ภู กินน้ำหน่อยไหม เราเอามาให้ เหงื่อไหลเต็มเลย" พี่เบลล์ยื่นขวดน้ำไปตรงหน้าพี่ภูผา

"เราไม่หิว เบลล์กินเลย ขอบใจ" พี่ภูผาเงยหน้าขึ้นมามองพี่เบลล์เเว้บนึงจากนั้นก็ก้มหน้าตั้งใจเลื่อยไม้ต่อ

"กินหน่อยเหอะน่าภู เดี๋ยวก็เป็นลมกันพอดี" พี่เบลล์พูดจบก็มีเเต่ความเงียบจากฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมา

"เอามานี่มาเบลล์ไอ้ภูไม่กิน กูกินเอง หิวน้ำชิบหายเลยตอนนี้" พี่ธูปเป็นฝ่ายพูดขึ้นทำลายความเงียบ เดินมาหยิบน้ำจากมือพี่เบลล์ก่อนจะเปิดฝาเเละกระดกดื่มอย่างรวดเร็ว



นั่นไง ได้ยินเต็มหูทั้งสองข้างเลย อย่างนี้น้ำเปล่าของผมได้กลายเป็นน้ำเเห้วไปอีกขวดนึงเเน่ๆ ไม่น่ารับคำท้าขนมเลย ในใจก็เเอบหวังว่าจะฟินสามเดือน เเต่คงได้ความช้ำใจตลอดสามเดือนมาเเทนเเน่ๆ เฮ้อออออออออออ! ถอนหายใจยาวๆไปเผื่ออีกสามเดือนเลย



"เอ้า! น้องเทียน มาทำอะไรตรงนี้ครับ" ตาดีจริงๆเลยนะครับพี่ธูป

"คือว่าผมจะเอาน้ำมาให้" ผมพูดเสียงเบาๆ ชี้นิ้วไปที่ขวดน้ำสลับกับชี้ไปหาพี่ภูผา

ผมค่อยๆขยับเดินเข้าไปบริเวณร่มเงาของต้นไม้ใหญ่โดยที่มีขนมเป็นฝ่ายดันอยู่ข้างหลัง

พี่ภูผาเงยหน้าขึ้นมามองผม จากนั้นก็วางงานทั้งหมดที่กำลังทำอยู่ เดินตรงมายังทางที่ผมยืนอยู่

"เราเอาน้ำมาให้พี่เหรอ"

"ครับ" ผมตอบรับเสียงเบาๆ "เเต่ถ้าพี่ภูผาไม่หิวก็ไม่เป็น...."

"ขอบคุณครับ" ผมที่ยังพูดไม่จบก็โดนคนตรงหน้าดึงขวดน้ำออกไปจากมือ เปิดฝา ยกกระดกดื่มราวกับคนที่กระหายน้ำเเทบขาดใจ "พี่กำลังหิวน้ำพอดีเลย"  รอยยิ้มพิฆาตถูกส่งมาให้ผมอีกเเล้ว โอ๊ยหัวใจ

ขนมที่ยืนอยู่ข้างหลังผมใช้มือสะกิดผมยิกๆจนรู้สึกเเสบๆหน่อยๆ

"กูบอกมึงเเล้ว กูบอกมึงเเล้ว ไอ้เหี้ยเอ้ย พี่ภูเเม่ง!" ขนมกระซิบที่ข้างๆหูผมอย่างตื่นเต้น



"พวกมึงสองคนมาทำอะไรตรงนี้เนีย" เสียงผู้มาใหม่ทำให้ผมรีบหันไปมอง

"ตุลา"

"เออ มาทำไรกัน งานเสร็จเเล้วไง"

"ไอ้สีมันเอาน้ำมาให้พี่ภู"

"หึ!" ตุลาไม่พูดอะไรมากใช้เพียงสายตาล้อเลียนส่งมาให้ผมรู้สึกเขินเล่นๆ

"เเหม่ภู ไม่ได้เลยนะ ตอนเรานะปฏิเสธเสียงเเข็งเชียว เสียใจนะเนีย" พี่เบลล์เดินมาใกล้ๆพี่ภูผาพร้อมกับกำหมัดยื่นไปต่อยไหล่พี่ภูผาสองสามที

"เราชัดเจนอยู่เเล้ว" พี่ภูผาตอบกลับพี่เบลล์ออกไป

"ยอมเเล้วจ้า เราไปดีกว่า หนีน้องๆมานานเเล้ว เจอกันนะน้องเทียน" พี่เบลล์โบกมือส่งท้ายก่อนจะเดินตรงไปยังกลุ่มของน้องๆที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่ไม่ไกล



"เป็นไงบ้างครับเหนื่อยไหม"

"ไม่ครับ"

"ร้อนมากเลยเหรอ เหงื่อไหลเต็มเลย" พี่ภูผาไม่ได้ทำเพียงเเค่พูดเฉยๆ มืออีกข้างของเจ้าตัวที่ไม่ได้ถือขวดน้ำยื่นมืออกมาเช็ดเหงื่อผมบริเวณตรงขมับอย่างเเผ่วเบา

พี่ภูผ๊า ต้องให้ผมบอกอีกสักกี่ครั้งครับว่าใจผมก็เท่ามด มันเป็นความอ่อนโยนที่ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด

"ขอบคุณครับ"

ผมช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่อาจปิดมันไว้ได้ สายตาที่บ่งบอกว่า ชอบไม่ไหวเเล้ว ใจเหลวไปหมด ตกหลุมรักซ้ำๆย้ำๆอยู่เรื่อยไป



"เอ่อ ก็ไม่ได้อยากจะขัดอะไรคนจีบกันหรอกนะ เเต่มึงกรุณาช่วยกลับมาเลื่อยไม้ต่อได้ไหมครับเหี้ยภู ของมันต้องใช้นะเว้ย" พี่ธูป

"เออจริง ถ้าอยากจะสวีตหวานก็เก็บไว้หวานในเต้นท์กันสองคนในค่ำคืนนี้เถอะครับ" พี่วา

"พวกมึงสองคนควรไปเกิดใหม่เป็นฝอยขัดหม้อ ขัดกูเก่งชิบหาย" พี่ภูผาหันหน้าไปด่าเพื่อนๆ

ผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อได้ยินคำด่าของพี่ภูผา

"ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ"

ผมเอ่ยลาพวกพี่ๆก่อนจะเดินกลับไปทำงานในส่วนของตัวเองที่ทำค้างไว้อยู่ โดยมีขนมคอยพูดกรอกหูตลอดการเดินกลับด้วยคำว่า' เห็นไหมกูบอกเเล้ว' 'กูชนะนะสี' 'มึงอย่าลืมนะว่าถ้ามึงเเพ้ต้องทำอะไร' เเค่คิดถึงบทลงโทษของคนเเพ้ผมก็เริ่มที่จะไม่ไหวเเล้ว ผมจะไปกล้าหอมเเก้มพี่ภูผาได้ยังไง จู่ๆไปหอมเเก้มเขาถ้าเกิดโดนเขาต่อยกลับมาจะทำยังไงล่ะครับ

เเต่ก็นะอย่างๆน้อยๆที่ขนมบอกว่าจะรู้สึกฟินไปสามเดือน มีความสุขไปหนึ่งปีก็อาจจะเป็นจริงก็ได้ ก็ตอนนี้หน้ะสีเทียนคนนี้ยังไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย พี่ภูผารับน้ำจากผมด้วยล่ะ มันดี ดีมากจริงๆ ดีที่สุดเลย





วันนี้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันจากการทำงานจนเเทบไม่มีเวลาพัก หลังจากจัดการมือเย็นกันเรียบร้อยในที่สุดเวลาของการพักผ่อนก็มาถึงทุกๆคนเข้าประจำตำเเหน่งของตัวเองเพื่อพักผ่อนสำหรับเก็บเเรงไว้ในการทำงานของวันพรุ่งนี้ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันที่ตอนนี้กำลังอยู่ในเต้นท์เดียวกับคนที่แอบชอบมาตลอด

"วันนี้เป็นไงบ้างครับ" พี่ภูผาถามขึ้นเมื่อล้มตัวลงนอนข้างๆผม

"สนุกดีครับ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ พี่ภูผาเหนื่อยมากไหมครับ"

"ไม่เท่าไหร่ครับ สงสัยได้กินน้ำขวดพิเศษเลยมีพลังมากเป็นพิเศษ" พี่ภูผาหันหน้ามามองผมที่หันไปมองพี่ภูผาอยู่ก่อนเเล้ว

ผมรีบหันหน้ากลับมาเพราะสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆทำให้ผมไม่สามารถสู้สายตานั้นได้ เลยเลือกที่จะไม่มองมันดีกว่า

"นอนกันดีกว่าครับ พรุ่งนี้ต้องทำงานหนักกันอีก พี่ภูผาฝันดีนะครับ

"ฝันดีครับ"

ผมหลับตารอเวลาไม่นานก็รู้สึกว่าคนข้างๆน่าจะหลับสนิทเเล้วดูจากลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ ผมค่อยๆขยับตัวเองเข้าไปใกล้คนข้างๆอย่างค่อยๆ ไม่อยากให้อีกคนนึงตื่น

"พี่ภูผาครับ จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะขอเป็นคนโลภในการนอนกอดพี่ภูผาในทุกๆคืน ตลอดสามคืนที่เหลืออยู่ เพราะผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กอดพี่ภูผาอีก หวังว่าตื่นเช้ามาพี่ภูผาจะยอมฟังเหตุผลเเย่ๆของผมเเละไม่โกรธผมนะครับ" ผมพูดกับคนตรงหน้าเบาๆ เเม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเเต่ผมก็อยากที่จะพูดมันออกมา

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมก่อนจะค่อยๆวาดเเขนไปบนตัวอีกคน เเม้จะลำบากไปสักนิดก็ไม่เป็นไร

"ชอบ ผมชอบพี่ภูผามากจริงๆนะครับ" เเละนั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนพิเศษ วาเลนไทน์) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 14-02-2021 18:39:32
ตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์

***ตอนนี้เป็นตอนพิเศษที่เขียนขึ้นเนื่องในวันวาเลนไทน์ เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับตอนหลักนะคะ***


14 กุมภาพันธ์ของทุกๆปีคือวันวาเลนไทน์หรือจะเรียกอีกอย่างนึงว่าวันเเห่งความรัก วันที่คนมีคู่หลายๆคนรอคอย เพราะเป็นวันพิเศษที่เหมาะสำหรับการทำอะไรที่พิเศษๆให้กับคนที่เรารัก


ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นกับมันนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆนะครับ เนื่องจากวันวาเลนไทน์ปีนี้เป็นปีเเรกของผมกับพี่ภูผาเเละเป็นปีเเรกที่ผมมีคู่ในวันวาเลนไทน์ เเต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดไม่ตกก็คือของขวัญที่จะมอบให้อีกคนนี่เเหละครับ ผมอยากจะให้อะไรสักอย่างกับพี่ภูผาเเต่ก็ไม่รู้จะให้อะไร ก็คนมันไม่เคยมีเเฟนมาก่อนนี่น่า พอลองถามเจ้าตัวตรงๆเจ้าตัวก็บอกว่าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น เเค่เราอยู่ด้วยกันในทุกๆวันก็เป็นสิ่งที่พิเศษเเล้ว งื้อ สีเทียนใจละลาย


เเม้พี่ภูผาจะยืนยันเเบบนั้นเเต่เป็นสีเทียนคนนี้นี่เองที่ยังอยากจะทำอะไรให้พี่ภูผาสักนิดก็ยังดี ตอนเเรกตั้งใจจะทำอาหารจัดโต๊ะใต้เเสงเทียนเเต่ผมว่ามันดูยิ่งใหญ่ไปหน่อย อีกอย่างอาหารผมก็ทำเเทบทุกวันอยู่เเล้ว หัวข้อนี้จึงโดนปัดตกไปอย่างง่ายดาย


ครั้นโทรฯไปปรึกษาขนมกับตุลา ก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้คำตอบอะไรให้ชุ่มชื่นหัวใจเลยสักนิด เฮ้อ! สีเทียนท้อใจ


วันนี้จริงๆเเล้วผมกับพี่ภูผาตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยกันทั้งวันในห้องไม่ไปไหน เเต่พี่ภูผาดันมีงานเข้ากะทันหัน บอกว่าจะกลับมาตอนเย็นๆเลย ซึ่งผมก็เข้าใจ ไม่มีอาการงอเเงใดๆทั้งสิ้น เพราะยังไงตอนเย็นก็ได้เจอกันอยู่เเล้ว กลางดึกก็ได้นอนกอดกัน เพราะฉะนั้นสีเทียนโอเค


"จริงด้วย อันนั้นไง ที่ยังไม่ได้ทำมาตลอด" ในขณะที่นั่งเพลินๆผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


ผมรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบลงไปโบกเเท็กซี่เพื่อกลับบ้านของตัวเองเเต่ก็ยังไม่ลืมที่จะโทรฯบอกพี่ภูผาก่อน เดี๋ยวมารู้ทีหลังจะงอนอีก


เมื่อมาถึงบ้านผมรีบเปิดประตูรั้วเเละไขกุญเเจเข้าบ้านทันที


"ไม่มีใครอยู่จริงๆด้วย" ก็คิดไว้เเล้วว่าวันนี้คงไม่มีใครอยู่บ้าน เเม่คงจะอยู่ที่ร้านเพราะว่าวันนี้เป็นวันพิเศษจะมีลูกค้ามาใช้บริการมากกว่าปกติ ส่วนภาพเขียน คงไปตามหาหัวใจมั้งครับ ช่างเรื่องคนอื่นดีกว่า ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเองทันที

"อยู่ไหนนะ" ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อของที่ผมกำลังตามหาอยู่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

"ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี เฮ้อ!" ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเเรงเมื่อหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ "จริงสิ ห้องเก็บของ" เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบวิ่งลงไปห้องเก็บห้องทันที

"อยู่ไหนน่า อืม อืม อ๊ะ เจอเเล้ว ฟู่วว เเค่กๆ" ผมสำลักฝุ่นที่ตัวเองเป่าลมออกไปจนมันกระจาย จากนั้นก็ใช้มือปัดกล่องสีเหลี่ยมที่อยู่ในมือเเผ่วเบา ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ




"พี่ภูผาครับ" ผมเอ่ยเรียกพี่ภูผาที่กำลังนั่งจ้องไปยังทีวีที่กำลังฉายหนังแอคชั่นเรื่องนึงอยู่ เเละเราทั้งสองก็จัดการทานมื้อเย็นกันเรียบร้อยเเล้ว

"ครับ" พี่ภูผาละสายตาจากจอทีวีตรงหน้า หันมามองผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

"ช่วยเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวนี้ให้หน่อยได้ไหมครับ" ผมยื่นเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโตไปตรงหน้า

"หืม มีอะไรหรือเปล่า"

"ห้ามถามครับ" ผมส่งน้ำเสียงดุๆออกไป


อีกฝ่ายรับเสื้อไปอย่างงงๆเเต่ก็ยอมถอดเปลี่ยนอย่างง่ายดาย เเต่เดี๋ยวครับ! พี่จะเล่นถอดเสื้อกลางบ้านเเบบนี้ไม่ได้ ผมรีบหันหน้าหนีทันที ต่อให้เห็นบ่อยเเค่ไหนก็ไม่ชินสักที ใจมันเต้นตึกตักรู้สึกร่างกายมันจะกระตุก


"ยังไม่เลิกเขินอีกเหรอ กลางคืนพี่ก็ถอดเเทบจะทุกคืน"

"พี่ภู!" ผมส่งเสียงดุอีกคนออกไป เเต่มีเหรอครับที่นายภูผาจะกลัว ยืนยิ้มเเววตาเป็นประกายมองมาทางผมจนดูน่าหมั่นไส้

เพี๊ยะ!

"โอ๊ย ตีพี่ทำไมครับ"

"ผมตีเบาๆ พี่ภูผาไม่เจ็บหรอก ไม่ต้องเล่นใหญ่เลยนะ"

"ไม่สงสารสักนิดเหรอครับ"

"เปลี่ยนเสื้อเสร็จก็นั่งลงเลยครับ เดี๋ยวผมมา"

ผมเลิกให้ความสนใจกับคนที่กำลังงอเเง รีบวิ่งไปยังห้องนอนเพื่อหยิบของบางอย่างออกมา

"หืม อะไรครับ พี่บอกเเล้วไงว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้ เเค่มีเราอยู่ด้วยก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของพี่เเล้ว" พี่ภูผาดึงผมให้ลงไปนั่งบนตักตัวเองทันทีที่พูดจบ

"คือผมไม่ได้ซื้อครับ ไม่สิจะบอกว่าไม่ซื้อก็ไม่ได้ คือผมซื้อครับเเต่เมื่อนานมาเเล้ว" ผมส่งยิ้มน้อยๆไปให้อีกคน

"ยังไงเหรอครับ" อีกฝ่ายว่าพร้อมกับยื่นมือมาปัดผมเบาๆให้เข้าทรง

"ของพวกนี้" ผมพูดพร้อมกับเปิดฝากล่องออก "เป็นของที่ผมซื้อไว้ตั้งเเต่สมัย ม.ต้นเเล้วครับ ทุกๆปีในวันวาเลนไทน์จะมีพวกร้านขายของมาตั้งหน้าโรงเรียน ทุกอย่างมันดูสีชมพู สีเเดงไปซะหมด บรรยากาศภายในโรงเรียนก็ครึกครื้นเเละคึกคัก บางคนได้เป็นเเฟนกัน บางคนก็อกหักในวันนี้ เเละมันก็เป็นวันที่ดีในการบอกชอบใครสักคน" ผมเงยหน้าจากกล่องมามองคนตรงหน้า ใบหน้าของผมมีรอยยิ้มเเต้มอยู่ตลอดเวลา

"ของชิ้นเเรกที่ผมซื้อคือดอกกุหลาบดอกนี้ครับ" ผมหยิบดอกกุหลาบปลอมสีขาวขึ้นมา "ตอนที่ผมซื้อขนมถามผมว่าจะซื้อไปทำไม ผมเลยบอกจะซื้อไปให้คนที่แอบชอบ ขนมตกใจจนตาโตเลยครับ รีบวางดอกไม้ที่ตัวเองเลือกอยู่หันมาคาดคั้นเอาคำตอบกับผมยกใหญ่" ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

"เเล้วตอนนั้นเราตอบขนมไปว่าไงครับ" ดวงตาที่อ่อนโยนที่ผมมักจะได้รับเสมอส่งมาให้ผมอีกครั้ง

"ผมตอบขนมไปว่า ก็อยากซื้อถือเท่ๆเเบบคนอื่นเขาบ้าง เผื่อเดินไปเจอคนที่ถูกใจจะได้ยื่นให้เลย เเต่ตลอดทั้งวันจนกลับบ้านดอกกุหลาบดอกนั้นก็ยังคงอยู่ในมือผมตลอด ผมจึงตัดสินใจเก็บมันไว้เพื่อที่สักวันผมจะสามารถมอบมันให้กับคนที่ควรจะได้คนที่ควรจะเป็นเจ้าของมัน ดังนั้นเเล้ว พี่ภูผาครับ ดอกกุหลาบที่ผมซื้อดอกเเรกในวันวาเลนไทน์ ผมให้พี่ภูผาครับ " ผมยื่นดอกกุหลาบให้พี่ภูผา

"ขอบคุณครับ" อีกคนยื่นมืออกมารับพร้อมกับเอ่ยของคุณ เเถมจูบตรงขมับผมอีกหนึ่งที

"ในที่สุดก็หาเจ้าของเจอเเล้วนะ" ผมหันไปพูดกับดอกกุหลาบ


จากนั้นผมก็หยิบของขวัญออกมาอีกห้าหกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโปสการ์ด การ์ดทำมือ พวงกุญเเจคู่ตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆ ล้วนเเล้วเเต่เป็นของที่ผมซื้อในวันวาเลนไทน์ทั้งนั้น จนมาถึงอีกอย่างที่ผมอยากจะทำมันมาตลอดเเต่ไม่มีโอกาสสักที


"พี่ภูผาครับ คือว่า ผมขอเขียนอะไรลงบนเสื้อพี่ภูผาหน่อยได้ไหมครับ" ผมพูดพร้อมกับเขย่าปากกาที่อยู่ในมือ

"เขียนเสื้อ?"

"ครับ ได้ไหมครับ"

"ได้อยู่เเล้ว"

เมื่อได้รับคำอนุญาต ผมจึงรีบลุกออกจากตักของพี่ภูผา ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

"พี่ภูผารู้ไหมครับ" ผมพูดในขณะที่กำลังเขียนเสื้ออีกคน "ที่โรงเรียนผมจะมีการเขียนเสื้อในวันวาเลนไทน์ด้วยนะครับ ผมอยากจะเขียนให้ใครสักคนนึงมาตลอด เเต่ก็ไม่เคยเจอคนนั้นสักที เเต่วันนี้ผมเจอเเล้ว ดังนั้นผมขอเขียนสิ่งที่อยากเขียนตลอดมาลงไปนะครับ"

ผมใช้เวลาเขียนไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นผลงานตัวเองก็ได้เเต่ยิ้มกว้าง

'สีเทียนรักภูผานะ'

'แอบหลงรักมาตลอด'

'ถ้าคิดเหมือนกัน......'

'โทรฯมานะ 099-xxx-xxxx'

นี่คือสิ่งที่ผมเขียนลงไปบนเสื้อของพี่ภูผา

ในทุกๆปีผมจะได้เเต่มองเสื้อของคนอื่นที่เต็มไปด้วยคำบอกชอบ คำสารภาพรัก คนนู่นเขียนให้คนนั้น คนนั้นเขียนให้คนนี้ ผมก้อยากเขียนให้ใครมาตลอดเเต่ผมก็ไม่เคยเจอใครที่ทำให้ผมรู้สึกอยากไปฝากคำสารภาพรักของตัวเองสักที ก็ได้เเต่คิดว่าสักวันคงจะเจอเองเเหละ ถ้าเจอจะไม่ปล่อยผ่านเเน่ๆ


ส่วนถ้าใครสงสัยว่าเเละผมไม่ได้รับของขวัญบ้างเหรอ เเล้วเสื้อละไม่มีคนอยากเขียนบ้างเหรอ ผมจะพูดเเค่สองพยางค์เเล้วทุกคนจะเข้าใจครับ 'ภาพเขียน' จบนะครับ



"ส่วนนี้คือสิ่งสุดท้ายสำหรับของขวัญในวันนี้ครับ" ผมหยิบสติกเกอร์รูปหัวใจที่มักจะขายอยู่หน้าโรงเรียนขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู สิ่งนี้ก็เป็นอีกอย่างที่ได้รับควมนิยมไม่เเพ้กัน ผมเเอบซื้อมาแผ่นนึงเเต่จนเเล้วจนรอดก็ไม่ได้ติดให้ใครสักที

"สติกเกอร์อันนี้เปรียบเสมือนหัวใจของผม มันมีทั้งหมดร้อยดวง" ผมดึงมันออกมาหนึ่งดวง ก่อนจะเดินไปเเปะมันลงบนเสื้อของพี่ภูผาตำเเหน่งเดียวกับหัวใจของอีกคน ก่อนจะค่อยๆจูบลงไปเบาๆหนึ่งที "วันนี้ผมขอฝากหัวใจของผมด้วยนะครับ เเละมันก็เหลืออีก 99 ดวง พี่ภูผาครับ หัวใจของผมทั้งหมดมีไว้เพื่อนายภูผา ชลอนันตร์เท่านั้น ดังนั้นเเล้ว พี่ภูผาอยู่ให้ผมมอบหัวใจให้พี่ภูผาในวันวาเลนไทน์ทุกๆปีได้ไหมครับ"

สิ้นเสียงของผม ตัวของผมก็ถูกใครอีกคนรวบไปกอดทันที

"ต่อให้เราไม่ให้อยู่พี่ก็จะอยู่ เเล้วก็หัวใจทั้งหมดนั้นเป็นของพี่คนเดียว พี่จะมาทวงมันทุกๆปีในวันวาเลนไทน์ ห้ามมันหายไปไหนเเม้เเต่ดวงเดียวเข้าใจไหมครับ เพราะหัวใจของสีเทียนเป็นของพี่ทั้งหมด ของพี่เเค่คนเดียว"

"ครับ ใจของสีเทียนเป็นของภูผาเพียงคนเดียวครับ อื้อ" สิ้นเสียงของผม พี่ภูผาก้มลงมาฉกชิมความหวานจากปากผมไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมตกใจเพียงไม่นานก็โอนอ่อนให้กับความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้จนเเทบหมดลมหายใจ

"พอก่อนครับ เดี๋ยวมันจะไม่จบเพียงเเค่จูบ" พี่ภูผาพูดทั้งที่ริมฝีปากของตัวเองยังคงคลอเคลียอยู่ที่บริเวณริมฝีปากของผม "พี่มีเรื่องต้องทำ เรารอบเเป๊บนึงนะครับ"

"พี่ภูผาชอบของขวัญที่ผมให้ไหมครับ"

"ชอบครับ ชอบมาก ขอบคุณนะครับ รอพี่ตรงนี้แป๊บนะ"

ผมพยักหน้าอย่างงง มองอีกคนเดินหายเข้าไปในห้อง เเละไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงดังขึ้น

เมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นมาทัน

'ภูผาของสีเทียน'

"สวัสดีครับ"

("ใช่เบอร์ของสีเทียนหรือเปล่าครับ")

"ใช่ครับ ไม่ทราบว่าใครโทรฯมาครับ"

("ภูผาเองครับ เห็นข้อความที่เขียนไว้บนเสื้อเเล้ว เลยอยากจะโทรฯมาบอกว่า ภูผาก็รักสีเทียนนะ")

"พี่ภูเล่นอะไรครับเนีย" ผมถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู

("พี่บอกรักเราเเล้ว เราไม่คิดจะบอกพี่หน่อยเหรอครับ")

"งอเเงเหรอครับ ผมก็บอกไปบนเสื้อเเล้วไงครับ"

("สีเทียนครับ")   ทำเสียงอ้อนอีกเเล้ว

"สีเทียนรักภูผานะ ขอบคุณนะที่โทรฯกลับมา ขอบคุณที่รักผม ขอบคุณนะครับคุณภูผา ชลอนันตร์"

("สีเทียนครับ เราจะยอมเดินเข้ามาในห้องเองหรือให้พี่ออกไปอุ้มครับ")

"พี่ภู๊" ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงหลง

("พี่จะนับ หนึ่งถึงสาม")

("หนึ่ง")

("สอง")

"โอเคครับเดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง

 เมื่อผมพูดจบประโยคอีกฝ่ายก็วางสายผมทันที ผมสูดลมหายใจเรียกขวัญเเละกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเดินไปยังห้องนอนของเราสองคนที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคืนนี้ผมคงแทบจะไม่ได้นอนอีกเช่นเคย......



สวัสดีวันวาเลนไทน์ครับ



--------------------------------------------------------------------

สวัสดีวันวาเลนไทน์นะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-02-2021 00:10:13
 :pig4:
 :L1:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 14) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 15-02-2021 16:55:26
ตอนที่ 14 สิ่งที่กลัวของคนโดนชอบ

***เมื่อวานลงตอนที่13 กับตอนพิเศษ 2 ตอนนะคะ เผื่อใครยังไม่ได้อ่าน***



ภูผา พาร์ท

ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก!

เสียงของค้อนที่กระทบกับตะปูและเเผ่นไม้ ดังขึ้นเป็นจังหวะสลับสับเปลี่ยนไปตามจังหวะการเคาะของเเต่ละคน เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานค่าย ซึ่งตลอดหลายวันที่ผ่านมาทุกอย่างถือว่าดำเนินการเสร็จไปกว่า 90% เเล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาบอกลาสถานที่เเห่งนี้เเล้ว เวลานี้ทุกคนจึงเร่งมือร่วมด้วยช่วยกันทำในส่วนที่เหลือเพื่อให้งานเสร็จทันเวลา จากที่ผมสังเกตดูเเล้ว อีกไม่นานทุกอย่างก็คงเสร็จเรียบร้อย เพราะเหลือเเค่เก็บรายละเอียดงานอีกนิดๆหน่อยๆเท่านั้น


"วู้! เสร็จสักที" ไอ้ธูปที่ใช้ค้อนตอกตะปูลงบนเเผ่นไม้เเผ่นสุดท้ายพูดขึ้น "ทำไมตอนบ่ายมันร้อนอย่างนี้วะ เเม่งเอ้ย" ปากก็บ่นไปส่วนมือข้างที่ว่างก็ยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากที่กำลังจะไหลเข้าสู่ดวงตา


อากาศเวลาบ่ายๆเเบบนี้ร้อนมากเเบบที่ไอ้ธูปบ่นเลยครับ ซึ่งเเตกต่างกับตอนกลางคืนที่หนาวจนตัวสั่น ถ้าจะถามว่าตอนนี้ร้อนขนาดไหนก็คงร้อนมากพอที่จะทำให้เสื้อของพวกเราเปียกชุ่มจนดูเหมือนว่าเพิ่งไปโดดลงคลองมา ทั้งที่จริงๆเเล้วมันเป็นเหงื่อทั้งนั้น


"มึงบ่นเก่งจังว่ะ" เสียงไอ้วาที่ยืนรอส่งแผ่นไม้กับตะปูให้ไอ้ธูปอยู่พูดขึ้น

"เออจริง อายุยี่สิบต้นๆบ่นขนาดนี้ถ้าอายุสี่สิบปลายๆมึงจะบ่นขนาดไหนเนีย" เสียงไอ้โก้ที่ยืนหลบเเดดยืนโม้อยู่ข้างๆถังน้ำตะโกนมาร่วมสมทบด้วย "มึงดูไอ้ภูเป็นตัวอย่างบ้าง มันก็ร้อนอยู่ข้างๆมึงอ่ะ ไม่เห็นจะเเหกปากบ่นตลอดเวลาเเบบมึงเลย"

"มึงก็พูดได้ดิไอ้เหี้ยโก้ ตัวเองหลบอยู่เเต่ในร่ม ลองมาปีนบันไดตอกหลังคาซุ้มเเบบกูบ้างไหม" ไอ้ธูปตะโกนด่ากลับไอ้โก้ ก่อนจะตวัดสายตามามองทางผม "ส่วนไอ้ภูมันจะบ่นได้ไง ตรงนี้มันทำเลดี มองเห็นชัดเจนขนาดนี้ ร้อนจนไหม้มันก็ไม่บ่นหรอก"


ผมส่ายหน้าให้กับคำพูดของไอ้ธูป ไอ้นี้ก็พูดซะเว่อร์เลย ผมก็ร้อนเป็นนะครับ เเต่เเค่ไม่รู้จะบ่นทำไมให้มันเหนื่อยเพิ่มขึ้น เลยเลือกที่จะทำงานไปเงียบๆให้เสร็จเร็วๆดีกว่า ตอนนี้ผมกับไอ้ธูปและน้องปีหนึ่งหลายๆคน กำลังช่วยกันซ่อมเเซมซุ้มไม้เก่าๆที่หลังคาไม้หลุดบ้าง เป็นรูบ้าง ให้มีสภาพสามารถใช้งานได้ดีกว่าเดิม อย่างๆน้อยเวลาฝนตกก็ทำให้สามารถหลบฝนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าฝนจะรั่วหล่นลงใส่หัว ไม่ต้องกลัวว่าเเดดจะส่งลงมาตรงรูช่องว่างจนร้อน


ถึงเเม้ว่าพวกผมจะไม่ใช่มืออาชีพ เเต่ทั้งหมดที่ทำเราก็ทุ่มเเรงกาย เเรงใจลงไปเต็มที่เพื่อให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้


ผมจัดการตอกตะปูลงบนเเผ่นไม้เป็นครั้งสุดท้าย ตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจในผลงานของตัวเอง


"ส่งค้อนมาเลย" ผมก้มลงมองตามเสียง ก็เจอกับไอ้วาที่กำลังยื่นมือมารอรับค้อนจากผมไป ผมยื่นค้อนส่งให้วา ส่วนตัวเองก็ยังคงยืนอยู่บนบันไดเช่นเดิม


ผมวาดสายตามองไกลๆไปยังอาคารเรียนเล็กๆอาคารหนึ่งที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ในตอนเเรกที่พวกผมมาถึง สภาพของตัวอาคารค่อนข้างที่จะเก่าเเละทรุดโทรม คุณครูใหญ่บอกว่าพยายามทำเรื่องของบประมาณเเล้วเเต่ก็ล่าช้า บางปีก็โดนปัดตกหรือปฏิเสธมา ถึงจะได้งบมาก็เป็นเพียงงบอันน้อยนิด อาจจะเพราะเป็นโรงเรียนเล็กๆที่อยู่ห่างไกลความเจริญด้วยส่วนนึง ที่ทำให้พวกผู้ใหญ่ที่มีอำนาจมองผ่านไปและไม่ให้ความสำคัญ โดยอาจจะไม่ได้คำนึงถึง ว่าเเม้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญเเต่ก็ยังมีพวกเด็กเล็กๆที่ต่อไปจะกลายเป็นอนาคตของชาติ ต้องการจะเรียนหนังสือเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เเละเป็นสิทธิพื้นฐานที่พวกเขาควรจะได้รับ เเต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกคนในหมู่บ้านจะนิ่งดูดาย บางครั้งพวกเขาก็รวบรวมเงินไปซื้อของมาช่วยซ่อมเเซมโรงเรียน เเต่เงินที่รวบรวมได้นั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร บางครั้งครูใหญ่ก็สละเงินเดือนของตัวเองบางเดือนมาใช้ในส่วนต่างๆของโรงเรียน เเละตอนนี้ผมเองก็รู้สึกดีมากๆที่พวกเราชาวค่ายได้มีโอกาสมาบำรุง ซ่อมเเซม โรงเรียนเเห่งนี้ให้ดีขึ้นกว่าเก่า ผมหวังว่าเด็กๆจะชอบเเละดีใจกับการเปลี่ยนแปลงของโรงเรียนในครั้งนี้


ผมพุ่งสายตามองตรงไปยังบริเวณบันไดทางขึ้นอาคารเรียนที่ตอนนี้มีเด็กผู้ชายคนนึงที่หน้าตาน่ารักๆ เเก้มป่องๆกำลังนั่งคุยกับน้องๆเเละเพื่อนสนิทที่ชื่อขนมด้วยใบหน้าที่หลากหลายอารมณ์ เเต่ส่วนมากจะเห็นว่าน้องจะเป็นผู้ฟังซะมากกว่า เพราะจากท่าทางเเล้วเหมือนว่าขนมจะผูกขาดการพูดอยู่คนเดียว ว่าเเต่คุยอะไรกันนะ เจ้าเด็กขี้เขินของผมถึงได้ยิ้มกว้างซะขนาดนั้น


'ชอบ ผมชอบพี่ภูผามากจริงๆนะครับ'


จู่ๆประโยคที่น้องพูดกับผมเมื่อสองคืนก่อนก็วิ่งเเล่นเข้ามาในหัวผมเสียดื้อๆ และมันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมได้เเต่ส่ายหัวให้กับความบ้าบอของตัวเองที่พอคิดถึงประโยคนี้ทีไรพาลให้ปากมันห้ามไม่ให้ยิ้มไม่ได้จริงๆ


น้องคงคิดว่าตลอดหลายคืนที่ผ่านมาผมคงหลับสนิทไปแล้ว เลยคิดทำการใหญ่โดยการที่ตัวเองจะรอให้ผมหลับก่อน เมื่อตัวเองเเน่ใจว่าผมหลับเเล้ว ก็ค่อยๆขยับเข้ามาหาผมทีละนิด ทีละนิด สุดท้ายก็ขยับมาซบที่อกของผม วาดมือมากอดผมไว้ จากนั้นตัวเองก็หลับไปอย่างง่ายดาย พอตื่นเช้ามาน้องก็จะทำหน้ามึนๆโดยอ้างเหตุผลเดิมๆว่า ตัวเองเคยชินเเละคิดว่าผมเป็นขนม ดูเหตุผลของเจ้าตัวสิ มันน่าบีบปาก เเล้วจับจูบเสียจริงๆ โทษฐานที่ทำตัวน่ารักเกินไปจนความอดทนของผมเริ่มจะหมดลงทุกวัน ผมจึงได้เเต่หักห้ามใจโดยการเบี่ยงมือจากปากไปขยี้ผมน้องแทน หมั่นเขี้ยวจังโว้ยยยยยยย!


ผมกล้าพูดได้ตรงนี้เลยว่า การมาค่ายในครั้งนี้ของผมมันโครตดี อยากจะไปขอบคุณไอ้โก้กับไอ้วาจริงๆที่มันช่วยกันล็อคหมายเลขเต้นท์ไว้ให้ผม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะล็อคหมายเลขเเต่มันก็ไม่ได้อยากเกินความสามารถของผมหรอกครับ สำหรับน้องอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เเต่ก็นะ ความบังเอิญมันไม่เกิดขึ้นง่ายๆหรอก บางครั้งก็ต้องมีตัวชี้นำกันบ้าง ทำไงได้ผมก็อยากใกล้ชิดกับน้อง เเละผมขอสารภาพอย่างคนบาปเลยครับว่าผมก็คิดการใหญ่ในการจะตีเนียนนอนกอดน้องเหมือนกัน เเต่ถึงจะผิดเเผนไปหน่อยเเต่เเบบนี้ก็รู้สึกดีมากๆเหมือนกันครับ


ผมมองน้องต่ออีกแป็บนึง เมื่อเห็นว่าน้องๆปีหนึ่งลุกออกไปเเล้ว เหลือเเค่ขนมกับน้องที่นั่งอยู่ตรงนั้น ผมจึงคิดว่าจะลงจากตรงนี้เเละเดินไปหาน้องซะหน่อยรู้สึกทำงานหนัก อยากได้กำลังใจชะมัด ผมก้าวขาลงจากบันไดทีละขั้น เเต่ในขณะที่กำลังไต่ลงจนจะถึงขั้นสุดท้าย สายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับใครบางคนที่กำลังเดินตรงไปยังบริเวณที่น้องนั่งอยู่


ไอ้พี่เท็น


ความไม่พอใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของผม ผมลงจากบันไดมายืนอยู่ข้างๆเเทน มือกอดอกของตัวเองใช้ลิ้นดันกระพุ้งเเก้ม คิ้วก็ขมวดเข้าหน้ากันเเน่น สายตายังพุ่งตรงไปยังบันไดอาคารเรียนที่ตอนนี้มีไอ้พี่เท็นยืนคุยบางอย่างกับน้องอยู่


"กูคิดว่าจะนอนบนบันไดซะเเล้วคืนนี้" ไอ้ธูปที่ไม่รู้ว่ามาจากทางไหนพูดขึ้น

"อืม"

"เป็นไรวะ"

"นู่น" ผมพยักหน้าไปทางสีเทียน ไอ้ธูปหันหน้ามองตามการชี้นำของผม

"ไอ้พี่เท็นนี่มันยังไง"

"ยังไง?"

"กูว่าพี่มันต้องสนใจน้องเทียนเเน่ๆ"


ผมตวัดสายตามองไอ้ธูปทันทีที่ได้ยินประโยคที่ชวนให้เคืองหู


"ไอ้สัส อย่ามองอย่างนั้นดิ กูก็พูดไปตามเนื้อผ้า"

"ผ้ามึงคงมีเเต่รู พูดจาไม่เข้าหูชิบหาย"

"เเต่กูเห็นนะว่าพี่มันชอบมองน้องเทียนบ่อย"


ยิ่งได้ยินคำพูดไอ้ธูปคิ้วผมยิ่งขมวดเข้าหากันมากกว่าเก่า


"ใช่! กูก็เห็น"

"ไอ้เชี่ยวา กูตกใจหมด"

"หน้าตาอย่างมึงนะไอ้ธูป ไม่น่าขวัญอ่อน" เมื่อจบประโยคของไอ้วา ไอ้ธูปก็จัดการส่งนิ้วกลางให้ไอ้วาทันที เเต่ไอ้วาก็ไม่ได้สนใจ เลือกที่เบะปากใส่ไอ้ธูปเเล้วหันมาคุยกับผมต่อ "กูว่าไอ้พี่เท็นอ่ะมันตั้งใจจะจีบน้องเทียนเเน่ๆ"

"มึงรู้ได้ไง" ผมหันหน้ามาถามไอ้วาอย่างเอาคำตอบ

"เดาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น คืองี้ไอ้โก้อ่ะมันไปชวนไอ้พี่เท็นไปค่าย เเต่พี่มันปฏิเสธหนักเเน่นเลยว่าไม่ว่างไปไม่ได้ เเต่พอตกเย็นวันถัดมา พี่มันก็มาถามไอ้โก้ว่าน้องเทียนไปด้วยเหรอ พอไอ้โก้บอกว่าไปด้วย ไอ้พี่เท็นก็ลงชื่อไปค่ายด้วยทันที สีหน้านี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะมึงตอนเซ็นชื่อ กูเห็นกับตา"


เมื่อฟังคำบอกเล่าของไอ้วาจบ ผมยังคงยืนนิ่งใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ไม่ได้ตอบกลับอะไรเพื่อนไป


"ทำหน้าอย่างนี้คืออะไร ถ้าไม่เชื่อมึงไปถามไอ้โก้ได้เลย กูพูดเรื่องจริง"

"จริง! กูยืนยันเลย"

"เชี่ย!" "ไอ้สัสโก้!"

"ตกใจเกินไปนะพวกมึง"

"มึงมาจากรูไหนของมึงเนีย"  ผมก็สงสัยเหมือนที่ไอ้ธูปสงสัยเลย มันมาจากรูไหนของมัน

"เออ ช่างกูเถอะ กูบอกไว้เลยนะไอ้ภู ไอ้พี่เท็นไม่ธรรมดา เล็งใครไว้เเม่งต้องได้และตอนนี้ไอ้อุปกรณ์เครื่องเขียนคือคนที่มันหมายตาหมายใจอยู่เเน่ๆ ญาณพิเศษกูบอกมา"


ยิ่งฟังผมยิ่งหงุดหงิด ส่วนพวกเพื่อนเวรไม่ช่วยอะไรเเถมพาเครียดยิ่งกว่าเดิม


"ไอ้พี่เท็น!"

"เชี่ย" "เฮ้ย" "เดือนสิบ!

"พวกพี่ตกใจอะไรกันเนีย"

"กูตกใจจนเหนื่อยมากวันนี้" ไอธูปยกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเอง

"งี้เเหละมึง เวลานินทาคนอื่นเราจะตกใจง่ายเป็นพิเศษ" ไอ้วายื่นมือไปตบบ่าไอ้ธูปเบา

"ไอ้เด็กเวรนี้ก็มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง" ไอ้โก้ยกมือขึ้นผลักหัวตุลาเบาๆหนึ่งที

"อะไรของพวกกพี่เนีย" ตุลายกมือลูบหัวตัวเองเบา จากนั้นก็พุ่งสายตาไปยังทางเดียวกับผม สีหน้าของตุลาออกอาการหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด "ไอ้พี่เท็นเเม่ง!" น้องมันพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะก้าวขาออกไป เเต่ยังเดินไม่ถึงก้าวก็โดนไอ้โก้จับเเขนไว้

"มีไรพี่โก้"

"มึงจะไปไหน"

"ไปลากไอ้สีออกมาไง"

"ทำไมต้องไปลากออก"

"ก็ไอ้พี่เท็น มันจ้องจะงาบเพื่อนผมอยู่อ่ะ" ตุลาว่า ก่อนจะตวัดสายตามามองทางผม "จะทำไรก็ทำเถอะพี่ภู ไอ้พี่เท็นดูท่าเเล้วใช่เล่น วันก่อนในห้องสมุดก็ทีนึงละ"

"ในห้องสมุดมันทำไม" ผมถามตุลาออกไปด้วยเสียงนิ่งๆ เเละบ่งบอกว่ผมต้องการคำตอบ

"ก็ไอ้สีมันจะหยิบหนังสือ เเต่หยิบไม่ถึง ผมมาเห็นพอดีก็ตอนที่ไอ้พี่เท็นซ้อนหลังไอ้สี เเล้วเอื้อมมือหยิบหนังสือให้ เเละส่งสายตาเเพรวพราวอย่างกับจะจับเพื่อนผมกินยังไงยังงั้น"

"สัส" ความหงุดหงิดของผมตอนนี้พุ่งทะยานเต็มปรอทไปเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

"หึงหรอ"

"หวงอ่ะดิ"

"เออ!" ผมกระเเทกเสียงตอบไอ้ธูปกับไอ้วาด้วยความหงุดหงิด


"พี่ภูชอบพี่สีเทียนจริงๆด้วย"

ผมกับพวกเพื่อนๆมองไปตามเสียงที่ดังอยู่ข้างๆอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็เจอกับเจ้าเด็กเมฆ ที่เป็นสายรหัสของไอ้ธูปกับตุลา ยืนกอดอก ยกยิ้มข้างเดียวอย่างผู้ชนะ  ว่าเเต่มันจะยืนทำท่าโชว์เหนือเหมือนผู้ชนะทำไมวะ

"มึงมายังไงอีกเนีย กูเริ่มกลัวเเล้วนะ เราเเยกย้ายกันไหม กูว่าเดียวคงโผล่มาทีล่ะคนจนครบหมดทั้งค่ายอ่ะ"

"ว่าเเต่มึงไม่ตกใจเเล้วหรอไอ้ธูปรอบนี้"

"กูตกใจจนหายตกใจละ ให้กูพักบ้างเถอะเพื่อนโก้"

"พี่เท็นเขาโดนคัตเตอร์บาดเพราะตัดกระดาษพลาดครับ" จู่ๆไอ้เด็กเมฆก็พูดออกมาเเบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

"โง่ชิบหาย ไม่ระวัง ภาระ"

"มึงไม่ได้เกลียดเขาส่วนตัวใช่ไหมวะไอ้ภู" ผมเกลียดสีหน้าท่าทางที่กวนตีนของไอ้วาตอนนี้ชิบหาย ถีบมันสักทีดีไหม

"พี่มันโดนคัตเตอร์บาดเเล้วมันยังไงวะ ไอ้สีเกี่ยวไรด้วย" ขอบคุณมากตุลาที่ถามคำถามเเทนใจ

"ก็ไม่รู้สิครับ เเต่เห็นพี่เท็นบอกว่า มีเรื่องให้คุยกับใครบางคนโดยที่เขาไม่ระเเวงเเล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกไป ตอนเเรกผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาหมายถึงใคร เเต่ตอนนี้ผมรู้เเล้วครับ"

"แม่ง! มันตั้งใจพลาดหรือเปล่าวะ น่าจะตัดพลาดให้นิ้วขาดไปสักนิ้วสองนิ้ว"

"เพื่อนมึงเป็นเอามากนะไอ้วา"

"มันก็เพื่อนมึงนะไอ้โก้"

"บ้า กูอ่ะเพื่อนผ่านๆ"



"ไอ้เชี่ย! พี่มันยื่นมือออกไปให้น้องดูด้วย สีหน้าน้องก็ดูกังวลนิดๆนะ"

"ไอ้สีมันขี้สงสารพี่"

"ยังดีที่มีขนมอยู่ตรงนั้นด้วย"


"พวกมึงใครมีคัตเตอร์บ้าง เอามาให้กูหน่อย"

"มึงจะเอาไปทำอะไรวะ" ไอ้โก้หันมาถามผม ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

"เอามากรีดนิ้วของตัวเอง" เมื่อผมตอบคำถามมือของไอ้โก้ที่กำลังส่งคัตเตอร์มาให้ก็ชักกลับไป เอาคัตเตอร์ใส่ในกระเป๋าดั่งเดิมทันที

"ไอ้สัสภู จะหึง หวง โหด อะไร ก็ให้มันมีสติหน่อย มึงจะทำร้ายตัวเองเพื่อไปเรียกร้องความสนใจจากน้องไม่ได้ อย่าเอาเเต่ใจตัวเอง จนเล่นกับความรู้สึกเป็นห่วงของน้องเขาสิว่ะ" ไอ้ธูปหันมาด่าผมด้วยสีหน้าจริงจัง

"เออ โทษที กูหงุดหงิดมากไปหน่อย ขอบใจที่เตือน"


ปึก!

"โอ๊ย! " ไม่ต้องถามหาว่าเสียงนั้นเป็นของใคร เสียงร้องนั้นมาจากผมเองครับ ผมยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเองทันทีเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บเเละความเเสบที่เกิดขึ้น

"น่านนนน!  สมใจอยากไหมละมึง ได้เเผลของจริง" ไอ้ธูปส่ายหน้า พร้อมกับทำสีหน้าเอือมระอาใส่ผม

"เดินโง่ชิบหาย"

ผมตวัดสายตามองเเรงไปให้ไอ้วา ผมไม่ได้เดินโง่นะครับ เเค่ระดับของเหลี่ยมซุ้มมันตรงกับหน้าผากของผมพอดี ปกติผมจะก้มนิดหน่อย เเต่เมื่อกี้เผลอตัวไปหน่อย จึงชนเข้ากับมันเต็มๆเเรง


"พี่ภูผาครับ!" เสียงเรียกและเสียงหอบที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมรีบหันหน้าไปยังที่มาของเสียงทันที เเละก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสีเทียนมายืนหอบอยู่ตรงหน้าผม

"เรามาได้ไง"

"วิ่งมาครับ" เอิ่ม อันนี้คือน้องไม่ได้กวนตีนผมอยู่ใช่ไหม

"ไอ้สี ไอ้เพื่อนเหี้ย เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน" ขนมด่าเพื่อนของตัวเองทันทีที่เจ้าตัววิ่งมาทันเพื่อนของตัวเอง

"เราขอโทษ"

น้องหันหน้าไปขอโทษขนม ก่อนจะหันมามองผม เเละสายตาของน้องตอนนี้จ้องไปยังบริเวณหน้าผากของผมด้วยสีกังวลจนปิดไม่มิด

น้องค่อยๆขยับตัวเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าผม โดยที่เรายืนห่างกันไม่ถึงหนึ่งก้าว น้องเขย่งตัวขึ้นนิดหน่อย จากน้องก็ยื่นมือมาสัมผัสบริเวณหน้าผากที่เจ็บเเสบของผมอย่างเเผ่วเบา

"เจ็บไหมครับ" น้องลดสายตามาสบตากับผม โดยที่สายตาของน้องเเฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม

"ไม่เจ็บครับ" ความเจ็บ ความหงุดหงิดที่ผมมีก่อนหน้านี้มันได้หายไปทันทีเหมือนกับว่าเรื่องราวความหงุดหงิดก่อนหน้าไม่เคยมีมาก่อน เพียงเเค่เห็นสายตาของความเป็นห่วงที่ถูกส่งมาเเละคำถามที่ถามว่า 'เจ็บไหมครับ'ของน้อง มันก็ช่วยเยียวยาผมได้จนหายเป็นปกติเเล้วครับ

"รีบวิ่งมาหาพี่เหรอ เหงื่อไหลเต็มเลย" ผมยื่นมือไปเช็ดเหงื่อน้องที่ไหลลงตามกรอบใบหน้าอย่างเเผ่วเบาเเละเหมือนน้องจะรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เเก้มทั้งสองข้างที่ว่าเเดงอยู่เเล้วเพราะความร้อนยิ่งเเดงเข้าไปใหญ่ จนผมเผลออมยิ้มออกมา ยื่นมือไปขยี้ผมน้องเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว เจ้าเด็กขี้เขินเอ้ย!

"คะ คือว่า"

"เป็นห่วงพี่เหรอครับ"

น้องก้มหน้ามองเท้าของตัวเอง พยักหน้าเเทนการพูด หูทั้งสองข้างขึ้นสีเเดงระเรื่อ

"แล้วเรารู้ได้ไงครับว่าพี่เดินชนจนเจ็บตัว"

"โอ๊ยพี่ภู จะไม่รู้ได้ไงก็ไอ้สีนะ เอาเเต่มองพี่แทบจะตลอดเวลา โอ๊ย!" เสียงร้องของขนมเกิดจากการที่โดนเพื่อนสนิทหยิกเข้าบริเวณสะเอว "หยิกกูทำไมเนียสี"

"ขนมจะพูดทำไมเล่า!"

ผมยิ้มให้กับเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปยังจุดที่น้องเดินมา ก็ยังเห็นว่าไอ้พี่เท็นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เเละสายตาของพี่มันก็กำลังมองตรงมาทางนี้ หึ! ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ เเค่รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่มาก มุมปากเลยกระตุกเหยียดยิ้มข้างเดียวไปให้อีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้


หลังจากโดนน้องบังคับไปทายาและยืนอู้งานกันอยู่นานก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องเเยกย้ายกันไปดูเเลความเรียบร้อยตรงส่วนต่างๆให้เสร็จทันก่อนห้าโมงเย็น เพราะวันนี้หนึ่งทุ่มพวกเรารุ่นพี่ก็มีกิจกรรมนันทนาการเล็กๆน้อยๆไว้ให้น้องๆได้สนุกกันหลังจากที่ทำงานหนักหนามาตลอดหลายวัน


"ภู มาทำไรตรงนี้เนีย"

ผมที่กำลังยืนคุยกับกลุ่มน้องผู้ชายปีหนึ่งหันไปตามเสียงเรียกชื่อก็เจอกับเบลล์ที่เดินยิ้มกว้างมาเเต่ไกล

"มาดูว่าพวกน้องๆเรียบร้อยดีไหม"

"อ่อ ขยันจริงๆเลยนะเราเนีย"

ผมทำเพียงเเค่ยิ้มให้เบลล์นิดหน่อย จากนั้นก็หันกลับมาคุยกับพวกน้องๆต่อ เพราะเมื่อกี้ยังพูดค้างกันอยู่



"มันมีจริงเหรอวะมึงคนที่กลัวหมาขนาดนั้น"

"นั่นดิ กูว่าการเเสดงเเน่ๆ"

"เหมือนกับเรียกร้องความสนใจเลยเนอะหรือว่าพี่เขาจะอ่อยเมฆ"

"บ้า! ไม่หรอกมั้งมึง เเต่ก็ดูกระเเดะเกิ๊น"

"ฮ่าๆๆๆ"

เสียงหัวเราะของน้องๆผู้หญิงกลุ่มนึงกำลังจะเดินผ่านผมไป เเต่ผมสะดุดกับประโยคที่พูดถึงการกลัวหมาของใครบางคน ทำให้คิ้วของผมกระตุก

"เดี๋ยวก่อน" ผมส่งเสียงเรียกพวกเธอไว้

"คะ?" น้องผู้หญิงคนนึงในกลุ่มเป็นคนหันมาตอบผมด้วยสีหน้างงๆ "พี่ภูผามีอะไรหรือเปล่าคะ"

"เรื่องที่เราพูดเมื่อกี้"

"เรื่องไหนคะ"

"เกี่ยวกับหมา"

"อ่อ พี่สีเทียน"

ผมไม่รอฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น เท้ารีบวิ่งยาวๆไปตามทางที่คนพวกนั้นเดินมา ใจจริงผมอยากจะอยู่อบรมระบบความคิดของพวกเขาใหม่นะ เพียงเเต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามากพอ เพราะใจของผมตอนนี้มันกระวนกระวายอยากเจอกับน้องให้เร็วที่สุด


ผมวิ่งมาหยุดอยู่ตรงจุดที่มีน้องหมาประมาณสี่ตัวที่กำลังส่ายหางเล่นอยู่กับเจ้าเด็กเมฆ โดยที่มีเบลล์วิ่งตามมาติดๆ ผมกวาดสายตามองไปยังรอบๆบริเวณเเต่ก็ไม่เจอกับคนที่ผมกำลังตามหา


"ภู"

"อิง" ผมค่อนข้างที่จะตกใจที่เจออิงอยู่ที่นี้เพราะตลอดสองสามวันมานี้ อิงทนความลำบากของการมาค่ายไม่ไหว เลยย้ายตัวเองไปนอนโรงเเรมเเทน เเละไม่ได้กลับขึ้นมาบนนี้อีกเลย  คิดว่าจะเจอกันพรุ่งนี้ซะอีก เพราะอิงนัดพวกเราไว้ว่าจะรอกลับพร้อมๆกัน เเล้วทำไมวันนี้ถึงยอมกลับขึ้นมาบนนี้ได้

"ภูมาหาอิงหรอคะ"

"เปล่า ผมมาหาสีเทียน"

"เหอะ!"

ผมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจเมื่อเจอกับปฏิกิริยาของอิงฟ้า ก่อนจะเดินตรงยังเจ้าเด็กเมฆ

"สีเทียนไปไหน"

"วิ่งร้องไห้ไปทางนู่นครับ" เมฆชี้นิ้วยังไปทางเดินไปโรงครัว

"ร้องไห้?" ใจผมกระตุกวูบขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าน้องร้องไห้

"ก็เเค่หมาจะมาเล่นด้วย ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ดูก็รู้ว่าเรียกร้องความสนใจมากกว่า เหอะ! คงอยากมีความกลัวเเปลกๆติดตัวให้ตัวเองดูเด่นละมั้ง"

"อิง ทำไมว่าน้องสีเทียนเเบบนั้นละ น้องเขาอาจจะกลัวจริงๆก็ได้" เบลล์หันไปต่อว่าอิงฟ้า


ครั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่พูดจาต่อว่าคนอื่นของอิงฟ้าในครั้งนี้มันทำให้ผมไม่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้ ต่อให้คนคนนั้นไม่ใช่น้องเเต่อิงฟ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าหรือตัดสินคนอื่นเเบบนั้น


"อิง อิงจะเป็นยังไงเราไม่เคยเข้าไปยุ่ง เเต่ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งเเต่เด็กๆ ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เราขอพูดในฐานะเพื่อนคนนึงที่หวังดีหน่อยนะ ว่าความคิดของอิงโครตเเย่ ความกลัวไม่ใช่เรื่องตลก อิงไม่ผิดที่อิงไม่กลัว เเละคนอื่นก็ไม่ผิดที่เขาจะกลัว ต่อให้เรื่องที่เขากลัวมันจะดูบ้าบอที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เเต่ถ้ามันคือความกลัวสำหรับคนที่กลัวเเล้ว มันคือสิ่งที่เลวร้ายมากๆสำหรับเขา ถ้าไม่รู้เรื่องราวที่เขาพบเจอมาก็อย่าไปตัดสินเขา หรือต่อให้รู้เรื่องราวเเล้วก็ไม่ควรไปล้อเล่นหรือแซะความกลัวของคนอื่นอีกเช่นกัน ใจเขาใจเราอะ อิงเคยสัมผัสเเละรู้จักกับมันบ้างหรือเปล่า"

ผมพูดเสร็จก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเเต่ละคนจะมีสีหน้า ท่าทาง อย่างไร เพราะในใจผมตอนนี้คิดเเค่ว่าอยากเจอกับน้องให้เร็วที่สุด

ผมเดินตรงไปยังบริเวณหลังโรงครัว สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ก็เจอกับใครคนนึงที่กำลังนั่งพิงต้นไม้หันหน้าออกไปยังบ่อปลาที่ทางโรงเรียนขุดไว้เพื่อใช้เลี้ยงปลาไว้เป็นอาหาร เเละยังมีสวนผักสวนครัวใกล้ๆกันด้วย

ผมเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ เเละนั่งลงข้างๆกับน้อง น้องดูมีสีหน้าที่ตกใจพอสมควรที่หันมาเจอผม

"ไง"

"พี่ภูผา" น้องเรียกชื่อผมด้วยเสียงที่เเผ่วเบา

"เป็นอะไร" ผมถามน้องออกไปด้วยเสียงที่อ่อนโยน

"เปล่าครับ" น้องปฏิเสธ ส่ายหน้าเเรงๆ

"เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจโกหกหรอ" ผมยื่นมือไปบีบจมูกน้องเบาๆ "เป็นอะไรบอกพี่ได้หรือเปล่าครับ" ถึงผมจะพอรู้มาบ้างว่าน้องเจอเหตุการณ์เเบบไหนมา เเต่ผมก็ยังอยากได้ยินจากปากของน้องเองมากกว่า

"เมื่อกี้โดนน้องหมามาล้อมครับ ผมกำลังจะเดินไปหาขนมเเต่เจอกับน้องหมาที่กำลังพักผ่อนกันอยู่ เมื่อเห็นผมเดินไปน้องหมาก็หันมาเเล้วชวนเพื่อนอีกสามตัวเดินมาทางผม ตอนนั้นบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย อาการกลัวของผมก็กำเริบขึ้นมาอย่างหนักเพราะจำนวนของหมาเกือบเท่ากับตอนที่ผมโดนรุมกัด ผมเผลอร้องไห้ออกมาโดยไม่ตั้งใจ โชคดีที่เมฆมาช่วยไว้ จากนั้น ........." ผมปล่อยให้น้องได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยที่ตัวผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ

"พี่ภูผาครับ" น้องเรียกชื่อผมอีกครั้ง

"ครับ"

"พี่ภูผาว่า ผมกระเเดะไหมครับ ผมเป็นผู้ชายเเต่ดันกลัวหมาตัวเล็กนิดเดียว มันดูทุเรสมากเลยใช่ไหมครับ" เเววตาเเละน้ำเสียงของน้องที่สื่อออกมา เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัวรู้สึกเเย่กับสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่ขนาดไหน

ผมส่งยิ้มให้กับคนตรงหน้า เอื้อมมือไปวางไว้บนศรีษะของน้อง "ไม่เลยครับ ต่อให้เรากลัวมดที่ตัวเล็กกว่าหมามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ เราห้ามคนอื่นหรืออธิบายให้ทุกคนเข้าใจไม่ได้หรอก เราก็รู้ใช่ไหม"

น้องพยักหน้าตอบรับ

"ดังนั้นเเล้วอย่าเก็บคำพูดเเย่ๆของคนที่โลกเเคบมาใส่ใจเลยนะ คนเรามีปากก็พูดกันไป ถ้าเก็บทุกคำพูดของทุกคนมาใส่ใจมีเเต่จะทำให้เรารู้สึกเเย่ยิ่งกว่าเดิม เเค่ต่อสู้กับความกลัวของตัวเองก็หนักมาเเล้วไม่ใช่เหรอ อย่าเอาคำพูดเเย่ๆมาเเบกเพิ่มอีกเลย ตัวก็เเค่เนี๊ยะ" ผมขยี้หัวน้องเบาๆ

และในที่สุดรอยยิ้มของน้องก็กลับมาอีกครั้ง ถึงเเม้จะเป็นรอยยิ้มที่ยังเเฝงความเศร้าอยู่บ้าง เเต่อย่างๆน้อยๆน้องก็ยิ้มได้นิดนึงเเล้ว

"แล้วพี่ภูผา มีเรื่องที่กลัวมากๆไหมครับ"

"สิ่งที่กลัวเหรอ"

"ครับ"

"อืมมมมมม......" ผมทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มออกมา " สิ่งที่พี่กลัวคือ เวลาที่รอยยิ้มบนใบหน้าของสีเทียนหายไปครับ"

ฮ่าๆๆๆ ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าผมจะกลับมาเป็นเจ้าเด็กขี้เขินโดยสมบูรณ์แบบเเล้ว เพราะตอนนี้นั้นเเก้มขาวๆของน้องเปลี่ยนเป็นสีเเดงจัดเป็นที่เรียบร้อยเเล้วครับ



ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มซึ่งผมได้มายืนทำหน้างงๆอยู่ตรงลานกว้างบริเวณหน้าเสาธง ที่ผมงงไม่ใช่อะไรครับ ไอ้พวกเพื่อนๆผมมันไปเตรียมการตกเเต่งสถานที่ ของกิน กันตอนไหน ตอนนี้สถานที่ประดับตกเเต่งไปด้วยของประดับหลากหลายชนิด มีอาหารวางตั้งเรียงกันอยู่ใกล้ๆ มีพวกขนม น้ำอัดลมเยอะเเยะเต็มไปหมด เรียกได้ว่า คนพร้อม อาหารพร้อม สถานที่พร้อม กลองพร้อม เครื่องดนตรีพร้อม เตรียมปาร์ตี้กันได้เลย

หลายๆคนอาจจะกำลังคิดว่า นายภูผาเเล้วนายไม่ได้ช่วยเพื่อนเตรียมสถานที่เหรอ คำตอบคือใช่ครับ เเต่ว่า! อย่าเพิ่งด่าว่าผมเเล้งน้ำใจนะครับ เพราะผมก็ได้รับหน้าที่เข้าไปในตัวหมู่บ้านเพื่อคุยรายละเอียดต่างๆกับผู้ใหญ่บ้านเเละคุณครูใหญ่ เพิ่งกลับมาถึงโรงเรียนเมื่อกี้เองครับ

บรรยากาศที่มีลมหนาวเย็นๆพัดมาเเบบนี้ ถ้าได้นั่งกับคนรู้ใจคงรู้สึกดีน่าดู คิดได้ดังนั้นสายตาผมก็กวาดหาคนที่นั่งอยู่ในใจทันที เเต่มองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เจอก็เเต่ขนมกับตุลาที่กำลังนั่งสนุกกับกิจกรรมที่กำลังเล่นกันอยู่ในตอนนี้


สีเทียนหายไปไหน


***มีต่อค่ะ***
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 14 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 15-02-2021 16:56:14
***ต่อ ตอนที่ 14 ***

"สีเทียนล่ะ" ผมเดินตรงไปนั่งที่ว่างข้างๆของตุลา

"มันไปหยิบอะไรก็ไม่รู้อ่ะพี่ เดี๋ยวคงมา"

"ไปนานเเล้วเหรอ"

"เพิ่งไปเมื่อกี้เองพี่" ขนมตอบผมเเต่สายตายังคงจับจ้องกับการเล่นเกมส์ของน้องๆ ที่มีไอ้โก้เป็นพิธีกรดำเนินรายการ


ตัวผมเองที่ไม่รู้จะทำอะไรเพราะตัวเองก็ไม่ค่อยถนัดกับกิจกรรมนันทนาการพวกนี้สักเท่าไหร่ จึงทำเพียงเเค่นั่งดูกิจกรรมตรงหน้า ระหว่างรอคอยใรบางคนกลับมา


ผมยกนาฬิกาข้อมือดูเมื่อเห็นว่าตั้งเเต่ที่ผมมานั่งจนถึงตอนนี้ มันมากกว่า 15 นาทีเเล้วที่น้องไปเอาของ ใจของผมเริ่มกระวนกระวายเเละความรู้สึกเป็นห่วงน้องอย่างบอกไม่ถูก

"มีไรหรือเปล่าพี่ภู หน้าเครียดๆ"

"สีเทียนไปนานเกินไปแล้ว" ผมหันหน้าไปบอกตุลา

"มันอาจจะช่วยคนอื่นๆยกของอยู่หรือเปล่า เพราะพวกพี่เบลล์ยังทยอยยกของกันอยู่เลยพี่"

"อืม" ผมพยักหน้า พยายามคิดในเเง่ดีเข้าไว้ว่าน้องคงกำลังช่วยใครทำอะไรบางอย่างอยู่ถึงยังไม่มา


30  นาทีผ่านไปก็ยังไม่เห็นวีวี่เเววของสีเทียน ผมมองไปยังบริเวณหย้าเสาธงก็เห็นเบลล์กำลังนั่งหัวเราะกับการโต้เถียงของไอ้โก้กับไอ้วา เเละคำถามนี้ก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง


สีเทียนหายไปไหน

ใจผมตอนนี้เริ่มร้อนรน ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเเละรีบก้าวเท้ายาวๆเดินอ้อมไปข้างหลังเพื่อไปหาเบลล์ที่กำลังนั่งอยู่

"มีไรหรือเปล่าภู"

"เบลล์เห็นสีเทียนไหม"

"น้องเทียนเหรอ ก่อนหน้านี้เจอกันอยู่นะ น้องเทียนยังจะมาช่วยยกของอยู่เลย เราเลยบอกว่าไม่ต้องให้กลับไปรวมกับคนอื่นๆเลย เพราะมีคนช่วยเเล้ว เหมือนน้องจะเดินกลับมาเเล้วด้วยนะ"


คิ้วหนาของผมขมวดเข้าหากันเเน่นทันที หลังจากฟังคำบอกเล่าของเบลล์ เเละความรู้สึกของผมตอนนี้มันกำลังบอกว่า มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับน้องอย่างเเน่นอน

"มีไรว่ะไอ้ภู" ไอ้ธูปเดินมาถามผม

"สีเทียนหายไป"

"น้องไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า"

"น้องบอกเพื่อนว่าจะไปเอาของ เเต่นี้มันมากกว่าครึ่งชั่วโมงเเล้ว เบลล์ก็บอกว่าเห็นน้องเดินกลับมาทางนี้เเล้วด้วย"

"เเล้วจะเอาไง" ไอ้ธูปถามผมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้น

"ตามหา เเต่คงต้องตามหากันเองเพราะยังไม่เเน่ใจ ไม่อยากให้บรรยากาศของคนอื่นๆพัง เพราะน้องๆก็เหนื่อยกันมาเยอะเเล้ว"

"ตามนั้น"



"ไม่เจอวะพี่ภู ไอ้สีมันหายไปไหนวะ ตายๆๆๆพี่ภาพ ฆ่ากูตายเเน่ๆ"

"มึงก็ใจเย็นๆก่อน"

"เพื่อนผมหายทั้งคนนะเว้ยพี่ธูป" ขนมหันไปโวยวายเอาเรื่องจากไอ้ธูปเเต่เจอสายตาดุๆกลับไปเจ้าตัวเลยยอมเงียบไป

"คนอื่นล่ะ"

"ยังไม่กลับมาเลย"

ผมออกไปตามหาน้องตามที่เเบ่งกับเพื่อนๆเเล้วเเต่ผมหาน้องไม่เจอเลยมารอเพื่อนๆตรงจุดนัดพบ พวกเราเเบ่งทีมกันหา โดยมีขนมไปกับไอ้ธูป ตุลาไปกับเมฆที่จู่ก็เดินมาถามเพราะเห็นความกังวลบนใบหน้าของผมจนน่าสงสัย ไอ้วาไปกับไอ้ตั้มเพื่อนรุ่นเดียวกัน เเละยังมีเพื่อนของเจ้าเด็กเมฆอีกสองคนที่คนนึงเป็นน้องรหัสของสีเทียนที่ผมไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่าไหร่ ส่วนไอ้โก้กับเบลล์ให้ทำหน้าสร้างความสนุกสนานให้คนที่เหลือเช่นเดิม

"ทางผมก็ไม่เจอเหมือนกันพี่" สิ้นเสียงของคู่สุดท้ายที่ออกไปตามหาน้องยิ่งทำให้ผมหัวเสียมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

"โถ่เว้ย!" ผมเตะถังน้ำที่อยู่เเถวนั้นกระเด็นออกไปเพื่อระบายความหงุดหงิดของตัวเองออกมา

"เฮ้ย ไอ้ภูใจเย็น" ไอ้ธูปเข้ามาจับเเขนผมไว้

"เออ มึงอย่าเพิ่งสติเเตก ตั้งสติก่อน"

ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเเรงๆเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา

"พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับสีเทียน กูเเม่ง! เฮ้อ!"

"น่า ใจเย็นๆก่อน มาช่วยกันคิดดีกว่าว่ามีตรงไหนที่น่าจะเป็นได้บ้าง"

"หรือว่าไอ้สีจะเดินเข้าไปในหมูบ้าน"

"ไม่มีทางอ่ะ ในหมู่บ้านมีหมา ไอ้สีกลัวหมา มันไม่มีทางไปคนเดียวเเน่" ขนมเอ่ยเเย้งตุลา

"หรือจะมีคนพาน้องเทียนไป"

สิ้นข้อสันนิฐานของไอ้วาความวูบไหววิ่งเเล่นจากสมองลงสู่ปลายเท้าทันที ความคิดเเย่ๆวิ่งเข้ามาในสมองผมไม่มีหยุด

"ถ้าไม่เข้าในหมู่บ้านก็เหลือเเค่ในบ่อน้ำเเล้วล่ะ"

ความเงียบเข้าครอบงำทุกคนหลังจากได้ฟังข้อสันนิษฐานของไอ้ตั้ม ขนมหน้าเบะทันที จนไอ้ธูปต้องเดินเข้าไปลูบหัว  ส่วนผมนั้นตอนนี้ในใจมันร้อนไปหมดเเล้ว

"ไปดูกัน" ผมบอกกับทุกคนพร้อกับเดินนำออกไป


ระหว่างทางที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังบ่อน้ำที่อยู่หลังสุดของโรงเรียน ยิ่งใกล้บ่อน้ำมากเท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งเต้นรัวเเละเร็วมากขึ้นเท่านั้น ความกลัวเข้ากัดกินหัวใจกลัวว่าน้องจะได้รับอันตรายขั้นร้ายเเรง


พวกเราทั้งหมดมองลงไปยังบ่อน้ำเเต่ก็ไม่เจอกับความผิดปกติอะไร รอบๆบ่อน้ำก็ไม่พบรอยเท้าคนหรือรอยลื่นใดๆบริเวณปากบ่อ พาลทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อยๆว่าน้องคงไม่ได้อยู่ในน้ำเเน่ๆ


"ใช่พี่"

"ใช่อะไรของมึง"

"ก็หลังสวนผักอ่ะ มันจะมีโรงเก่าๆที่เมื่อก่อนเขาใช้เก็บข้าวอยู่ด้วยนะ" เด็กเมฆว่าขึ้น

"ใช่ครับพี่ พวกผมเคยเดินไปสำรวจกันมาเเล้ว เเต่ตอนนี้คงมืดมากเพราะตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเปลี่ยวเเละรกหน่อยๆ" เพื่อนของเด็กเมฆพูดยืนยันอีกเสียง

"งั้นไปดูกัน"


ผมไม่รอช้ารีบเดินนำทุกคนออกไป ตอนนี้ต่อให้เจอสัตว์ร้าย สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ผมก็ไม่มีกระจิตกระใจไปกลัวเเล้วครับ ตลอดการเดินผมได้เเต่ภาวนาว่าขอให้ผมเจอน้องด้วยเถอะ เพราะดูเหมือนจะเหลือที่นี้เป็นที่สุดท้ายเเล้ว ถ้ายังไม่เจอน้องอีกผมคงต้องได้เป็นบ้าเเน่ๆ

เดินไปจนสุดสวนผักสวนครัวก็เจอกับโรงเก็บของเล็กๆที่ทำจากไม้เเละมีสภาพที่เก่ามากๆ เป็นโรงเก็บของที่เหมือนจะสร้างขึ้นมาเเบบรีบๆเพราะดูไม่ได้พิถีพิถันในการวางไม้เเละเลือกไม้สักเท่าไหร่

"มันล็อคเเม่กุญเเจวะ" ผมหันไปบอกทุกคน

ปัง! ปัง! ปัง! ผมเคาะประตูลงไปเเรง

"พี่ภูผาเหรอครับ"

"สีเทียน?"

"พี่ภูผา ฮือ~~  อึก! พี่ภูผาช่วยผมด้วย ได้ อึก ได้โปรด ข้างในนี้มันน่ากลัวเกินไป ฮืออออออ~~" น้องตะโกนออกมาจากด้านในด้วยน้ำเสียงสะอื้นที่ผสมไปด้วยความกลัวอย่างน่าสงสาร

"รอพี่เเป๊บนะ" ผมหันซ้ายหันขวามองหาวิธีที่จะช่วยน้องออกมา

"ไอ้สี อึก! มึงอยู่ในนี้หรอ ไอ้สี" ขนมตะโกนถามทั้งที่หน้าตาของตัวเองเปื้อนไปด้วยน้ำตา

"ขนม ฮือออออ~~~"

เสียงปล่อยโฮของน้องดังออกมาถึงข้างนอก มันยิ่งบีบหัวใจของผมให้เจ็บมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว คำถามมากมายเกิดขึ้นในสมองของผมในตอนนี้ เเต่ผมไม่มีเวลามากพอที่จะคิดหาคำตอบ เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำน้องออกมาจากห้องนั้น

"ถีบประตูเลยไหมไอ้ภู ในหนังเห็นเขาทำกันบ่อย" ไอ้ตั้มเสนอความคิด

"เออ เอาไงก็เอา" ไอ้ธูป

"มาร่วมด้วยช่วยกันถีบ ประตูก็เก่าขนาดนี้ ถีบไปเดี๋ยวก็เปิดได้เอง" ไอ้วา

"สีเทียนออกห่างจากประตูก่อนนะ เดี๋ยวพวกพี่จะถีบประตูเข้าไป"

"อึก อึก ครับ"


ตึง! ตึง! ตึง!

พวกเราช่วยกันถีบประตูย้ำๆอยู่หลายทีในที่สุดก็เปิดออกได้ เเต่เป็นเเผ่นไม้ที่หักนะครับ อาจจะเป็นเพราะความเก่า ความบางของเเผ่นไม้ เเละความผุของไม้ เมื่อมาเจอกับเเรงควายๆเเบบพวกผมไม่นานก็หักออกจากกัน

ผมใช้มือไปดึงแผ่นไม้นั้นออกจากกันโดยที่ผมก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองเอาเเรงมากมายเเบบนั้นมาจากไหน ในที่สุดผมก็สามารถจัดการกับเเผ่นไม้ได้สำเร็จเเละมีช่องว่างมากพอที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านในได้ ผมไม่รอช้ารีบก้าวเข้าไปด้านในทันที

ผมเห็นน้องยืนจ้องมองมาทางผม เนื่องจากในที่นี้ค่อนข้างมืดจะมีก็เพียงเเสงสว่างจากไฟฉายของพวกด้านนอกที่ลอดผ่านช่องไม้มาเท่าน้้น เเม้ว่ามันจะมืดเพียงใดเเต่สิ่งนึงที่ผมเห็นชัดเจนในตอนนี้คือ ดวงตาของน้องที่เต็มไปด้วยน้ำตา สะท้อนให้ผมเห็นยามที่มันกระทบกับเเสงไฟ

เจ็บ ใจของผมมันเจ็บไปหมด น้ำตาของน้องเป็นอีกสิ่งที่ผมกลัว เพราะน้ำตาของน้องมันทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าการเอามีดมาเเทงผมเสียอีก

"สีเทียน"






ตัดภาพกลับไปยังช่วงบ่ายหลังจากที่ภูผาต่อว่าอิงฟ้าเเละเดินจากไป


อิงฟ้าเมื่อโดนภูผาต่อว่าต่อหน้าคนอื่นก็รู้สึกเสียใจเเละน้อยใจ จนต้องหนีมาเเอบร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเพียงลำพัง

"เรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้จริงๆสินะ ทั้งๆที่อิงเฝ้ารอเเละอดทนมาตลอด ทำไมถึงเป็นอิงไม่ได้นะภู"


อิงฟ้ายังคงร่ำไห้อย่างหนัก ยิ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาก็เหมือนกับว่าไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งปาดเท่าไหร่น้ำตายิ่งไหลเพิ่มขึ้นเท่านั้น


นานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่อิงฟ้าจะสามารถควบคุมตัวเองได้ จัดการเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง ตั้งใจว่าจะออกไปล้างหน้าด้านนอก เมื่อเอื้อมมือจะไปเปิดประตูก็ต้องชะงักเมื่อประตูไม่สามารถเปิดออกได้


"ใครอยู่ข้างนอกอ่ะ"

"อย่าเพิ่งโวยวายไปอิงฟ้า" เสียงของใครบางคนที่พยายามบีบจมูกเเละปรับเสียงของตัวเองดังขึ้น

"เเกเป็นใคร"

"อย่ากลัวไปฉันมาดีนะ"

"แกต้องการอะไร"

"ต้องการเพื่อนร่วมทีม เเละฉันคิดว่าเธอกับฉันจะร่วมมือกันได้"

"ฉันไม่เข้าใจ"

"อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า เธอเองชอบภูผาไม่ใช่เหรอ อยากได้มาครอบครองไหมล่ะ มาร่วมมือกับชั้นสิ กำจัดไอ้เด็กสีเทียนนั้นออกไป ไม่มีมันสักคนอะไรอะไรจะได้ดีกว่านี้"

"ไม่จำเป็น"

"เเน่ใจนะอิงฟ้าว่าเธอต้องการเเบบนั้น เธอก็เห็นสิ่งที่ภูผาทำกับเธอวันนี้เเล้วหนิ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีไอ้เด็กสีเทียนเข้ามาทุกอย่างมันดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ" น้ำเสียงที่พูดแฝงไปด้วยความเกลียดชังเเละโกรธเเค้น

"ถึงยังไงฉันก็ไม่บ้าไปกับแกด้วยหรอก"

"เเล้วเเต่เธอก็เเล้วกัน เธอก็รู้ว่าภูผาชอบไอ้เด็กนั่น อย่างเธออ่ะไม่มีโอกาสเเล้วละอิงฟ้า  ไปละ"

"แกเป็นใครอ่ะ กลับมานะ กลับมา!" ร่างสวยในห้องน้ำตะโกนอย่างสุดเสียง มือก็ทุบประตูรัวๆด้วยความโกรธ


"แก" ทันทีที่ประตูเปิดออกอิงฟ้าก็พุ่งออกจากห้องน้ำหมายจะฟาดมือลงบนหน้าของคนคนนั้นสักที

"อะไรของเธอเนียอิงฟ้า" เบลล์ที่เป็นคนเปิดประตูถามขึ้นหลังจากที่หลบฝ่ามือของอิงฟ้าได้

"เธออยู่ที่นี้ตลอดหรือเปล่า"

"ไม่นะ ฉันเพิ่งเดินมาพร้อมน้องปีหนึ่งเพราะเอาแปรงมาล้าง"

"เเล้วเธอเห็นใครบ้างหรือเปล่าก่อนเข้ามา"

"ก็ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า"

"ไม่มีอะไร"

เเล้วอิงฟ้าก็เดินจากไป เบลล์ได้เเต่ส่ายหัวเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเดินไปช่วยน้องๆที่กำลังล้างเเปรงอยู่บริเวณก็อกน้ำแทน


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-02-2021 17:06:19
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 21-02-2021 10:00:28
 :mew1: :o8:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 15) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 25-02-2021 20:34:00
ตอนที่ 15

ความเงียบเข้าปกคลุมไปรอบๆ บริเวณ ความมืดมิดที่เกิดขึ้นภายในโรงเก็บของท้ายสวนผักทำให้ความรู้สึกกลัวของผมยิ่งทวีคูณเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องดังระงมพาลให้รู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก มองลอดผ่านระหว่างช่องไม้เล็กๆ ไปยังด้านนอกก็เห็นเพียงเเสงสลัวๆ ของดวงจันทร์เท่านั้น

ผมได้เเต่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงเก็บของเเห่งนี้ ที่มีเเต่ฝุ่นเต็มไปหมดจนรู้สึกแสบจมูกเเสบคอ เเถมสภาพยังเก่าจนทรุดโทรมบ่งบอกว่าสถานที่เเห่งนี้ไม่ได้ถูกใช้งานมานานมากเเล้ว ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงที่เเห่งนี้นานแค่ไหน โทรศัพท์ก็ไม่ได้พกติดตัวไว้เนื่องจากสัญญาณไม่ค่อยจะมี ผมเลยเลือกที่จะเก็บมันไว้ในเต้นท์แทน


ผมพยายามที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ เเต่มันก็ไม่เป็นผล อาจจะเป็นเพราะบริเวณนี้ห่างไกลจากผู้คนเเละไร้ซึ่งคนสัญจรผ่านไปมา ผมพยายามงัด เเงะ เเซะ ส่วนต่างๆ ที่คิดว่าจะทำให้ออกไปได้ก็ล้มเหลว ตอนนี้ผมจึงทำได้เเค่ต้องเก็บเเรงเเละนั่งรอ รอการช่วยเหลือจากใครสักคน

"ต้องมีเเน่ๆ ต้องมีคนมาช่วยเเน่ๆ ใจเย็นๆนะสีเทียน สติ จงมีสติ อย่าฟุ้งซ่าน ทุกอย่างเป็นเพียงเเค่ความคิดเเละจินตนาการของเราเท่านั้น ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร มีสติๆ " ผมก้มหน้าซบกับเข่าพร่ำพูดประโยคเดิมๆ ซ้ำไปมาเพื่อให้กำลังใจตัวเอง

ยิ่งดึกมากเท่าไหร่ ความเงียบสงัดยิ่งมีมากเท่านั้น เเม้จะพร่ำปลอบใจตัวเองมากเเค่ไหนก็เหมือนกับว่าไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักนิด ยิ่งอยู่ในที่เเห่งนี้นานเท่าไหร่ ความกลัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การโดนขังอยู่ในที่ที่มืดสนิทเพียงลำพัง โดยที่เรามองอะไรไม่เห็น เเถมไม่รู้เลยว่าจะออกไปจากที่เเห่งนี้ได้เมื่อไหร่ จะมีคนมาช่วยไหม คนพวกนั้นจะกลับมาอีกหรือเปล่า เราจะปลอดภัยสักเเค่ไหน มันทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวเเละสั่นสะท้านไปทั้งตัวเเละหัวใจ เพียงเเค่ได้ยินเสียงนกบินผ่านหลังคา ร่างกายผมก็กระตุกด้วยความกลัวเเล้ว

"ฮึกก! " ผมพยายามกลั้นน้ำตาที่ตอนนี้มันคลอจนเต็มดวงตาไม่ให้ไหลออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ผมจะโดนขังก็สร้างความหวาดกลัวให้ผมมามากพอเเล้ว เเล้วตอนนี้ยังต้องมาต่อสู้กับความกระวนกระวายใจในความมืดเเบบนี้อีก


ถ้าผมร้องไห้มันจะดูอ่อนเเอเกินไปไหม ผมร้องไห้ให้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า ผมจะดูกระเเดะไหม ผมเป็นถึงผู้ชายเลยนะ เเต่ผู้ชายก็สามารถร้องไห้เเละอ่อนเเอได้ไม่ใช่เหรอครับ ผมกระชับเเขนตัวเองที่กำลังกอดเข่าตัวเองอยู่ให้เเน่นขึ้นกว่าเดิม

เวลาผ่านไปสักพักผมได้ยินเหมือนมีเสียงคนคุยกันดังอยู่ไกลๆ เเต่ผมได้ยินไม่ชัดขนาดที่จะรับรู้ได้ว่าเป็นใคร ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เอาหูไปแนบกับประตูที่มีกุญเเจคล้องอยู่ เพื่อฟังดูว่าเป็นใคร ผมหวังว่าคงจะไม่ใช่พวกที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพนี้ย้อนกลับมาทำร้ายผมหรอกนะ

ผมได้ยินเสียงใครคนหนึ่งคล้ายๆ กับวิ่งมาด้วยความเร็ว มาหยุดอยู่ที่ประตู เเละหลังจากที่ใครคนนั้นพูดขึ้น น้ำตาของผมที่ผมพยายามอดกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป

"มันล็อคเเม่กุญเเจว่ะ"

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงเคาะประตูอย่างเเรงดังขึ้น ทำให้ผมที่มัวเเต่ยืนดีใจจนสติไม่อยู่กับตัวสะดุ้งตกใจ

"พี่ภูผาเหรอครับ" ทั้งๆ ที่ผมรู้อยู่เเล้วว่าคนที่อยู่หน้าประตูตรงนั้นคือพี่ภูผาเเน่ๆ เเต่ผมก็ยังเลือกที่จะถามออกไปเพื่ออยากจะได้ยินชัดๆ ว่าเป็นพี่ภูผาจริงๆ ที่ตามหาผมจนเจอ

"สีเทียน? "

""พี่ภูผา ฮือ~~ อึก! พี่ภูผาช่วยผมด้วย ได้ อึก ได้โปรด ข้างในนี้มันน่ากลัวเกินไป ฮืออออออ~~" หมดเเล้วความเข้มเเข็งที่พยายามสร้างมา อุตส่าห์บอกตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เเต่เพียงเเค่ได้ยินเสียงของพี่เขา ผมก็ไม่อยากที่จะฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว เลยได้เเต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ผมฝืนว่าตัวเองไม่เป็นอะไรไม่ไหวเเล้ว

"รอพี่แป๊บนะ"

"ไอ้สี อึก! มึงอยู่ในนี้เหรอ ไอ้สี"

"ขนม ฮือออออ" ยิ่งได้ยินเสียงขนมเสียงร้องไห้ของผมยิ่งดังขึ้นกว่าเก่า

ผมยังคงยืนร้องไห้อยู่ด้านในเพียงเเค่ไม่ได้ปล่อยโฮออกมาดังๆ ทำเพียงเเค่หลบมายืนน้ำตาไหลอยู่กลางห้อง เนื่องจากพี่ภูผาบอกว่าให้ผมขยับห่างจากประตูเพราะพวกพี่เขาจะพังประตูเข้ามา เสียงของเท้าที่กระทบกับประตูในเเต่ละครั้ง ทำให้ผมใจกระตุกตามไปด้วยตลอด จนในที่สุดแผ่นไม้ข้างๆประตูที่เป็นแผ่นไม้บางๆ ผุๆ ก็หักออกจากกัน มือของใครบางคนกำลังหมุนๆ ดึงๆ มันอยู่ เเละไม่นานก็ทำสำเร็จ ทำให้มีช่องว่างมากพอที่จะเอียงตัวเข้ามาได้ ใครคนนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม

ข้างในห้องที่มีเพียงเเสงสลัวจากไฟฉายของเพื่อนๆ ที่ช่วยกันส่องเข้ามา อาจจะทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร เเต่สำหรับผมคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชัดเจนเสมอในสายตาผม ต่อให้มีหยาดน้ำตาคลออยู่เต็มดวงตา ก็ไม่อาจบดบังเขาได้เลย

"สีเทียน! "

"พี่ภูผา"

ผมพุ่งตัวเองเข้าไปกอดอีกคนอย่างลืมความอายที่เคยมีมาตลอด นาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกเเล้ว กระชับมือทั้งสองข้างที่กอดเอวพี่ภูผาเเน่นขึ้น เสียงสะอื้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ไม่เป็นไรเเล้วนะครับ ไม่เป็นไรเเล้ว" พี่ภูผาพูดประโยคเดิมซ้ำๆ พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นลูบหัวผมอย่างเเผ่วเบา

ผมปล่อยตัวเองให้ร้องไห้อยู่ในอ้อมเเขนของพี่ภูผาอยู่เเป๊บนึงก็ผละตัวออกมา ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า พี่ภูผายกฝ่ามือทั้งสองข้างมาประคองใบหน้าของผมและใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างเช็ดคราบน้ำตาให้ผมอย่างเเผ่วเบา

"ไม่เป็นไรเเล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้เเล้ว ปลอดภัยเเล้ว เรากลับด้วยกันนะ"

ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย พี่ภูผายื่นมือตัวเองมาประสานกับมือของผม ก่อนกระชับให้มันเเน่นขึ้น เเละดึงเบาๆเพื่อให้ผมเดินตามไป พี่ภูผาเป็นฝ่ายเอียงตัวออกไปก่อน ตามด้วยผม

เมื่อออกมาได้ผมกับเจอกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ยืนรออยู่ ทุกคนหันมามองผมอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยสีหน้าของเเต่ละคน มีความกังวลอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

"ไอ้สี! "

ขนมตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดผมเเน่นๆทันที พี่ภูผาปล่อยมือออกจากผม เพื่อที่จะให้ผมสามารถยกมือไปกอดตอบขนมได้อย่างถนัด จากนั้นพี่ภูผาก็ขยับตัวเองไปยืนข้างๆพี่ธูป ตุลาเดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ ผมเงยหน้าจากไหล่ของขนมไปสบตากับตุลาเเละส่งยิ้มบางเบาไปให้ ตุลาส่งยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา เเต่เเววตาของตุลาไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย


"มึงเป็นไงมั้ง กูโครตเป็นห่วงมึงเลย" ขนมผละตัวออกจากอ้อมเเขนของผม จับผมหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อดูว่าผมบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า "กูน่าจะไปเป็นเพื่อนมึง ฮึก! กูขอโทษนะสี กูขอโทษ" ขนมร้องไห้อีกครั้ง

"มันไม่ใช่ความผิดของขนมสักหน่อย ขนมไม่ได้ผิดอะไรเลย อย่าร้องไห้สิ" ผมเดินเข้าไปกอดขนมอีกครั้ง ยกมือขึ้นตบหลังขนมเบาๆเป็นการปลอบ

"เเล้วจะเอาไงกับเรื่องนี้ดี กูว่ามันเเปลกๆ เราควรจะบอกอาจารย์ไหม" เสียงพี่ธูปดังขึ้น

ผมคลายอ้อมเเขนจากขนมหันไปตามเสียงพูดของพี่ธูป

"กูว่าพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้ให้น้องได้พักก่อน ดูท่าคงจะขวัญเสียน่าดู" พี่ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ

"เออ กูเห็นด้วยนะ วันนี้น้องเจออะไรมาเยอะ ให้น้องไปพักดีกว่า" พี่วาเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ภูผาเสนอ

"พี่เทียนโอเคไหมครับ" น้องเมฆหันมาถามผม สีหน้าเเละเเววตาเเฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

"พี่โอเค ขอบคุณเมฆมากนะที่มาช่วยพี่" ถึงเเม้ในความรู้สึกของผมจะไม่ค่อยโอเค เเต่เมื่อเห็นสีหน้าของน้องเมฆเเล้วผมไม่อยากให้น้องต้องมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น

"ผมขอบคุณทุกๆ คนมากนะครับ" ผมกวาดสายตามองทุกๆคนด้วยสายที่บ่งบอกว่า ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนมากจริงๆ

"เรากลับกันเถอะ" พี่ภูผาบอกกับทุกคน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมไว้เช่นเดิม

พี่ภูผาจับมือผมเเน่นไม่ยอมปล่อย ขนาดว่าตอนนี้พวกเราเดินมาถึงเต้นท์นอนเเล้วพี่ภูผาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากผม ทุกๆคนที่เดินกลับมาด้วยกันล้วนเเต่บอกให้ผมพักผ่อน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นค่อยว่ากันพรุ่งนี้ เพราะดูจากสภาพผมเเล้วคงไม่พร้อมจะพูดอะไร ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ทุกๆคนว่ามา ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ใครฟังเลยเเละผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี

ทุกๆคนเเยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองดังเดิม พี่วา พี่ธูป พี่ตั้ม ต้องกลับไปดูเเลน้องๆต่อ ถึงจะไม่ค่อยสบายใจเเต่มีหน้าที่ก็ต้องไปทำ ขนมโดนพี่ธูปบังคับให้นอนรอยู่ที่เต้นท์เเต่ขนมไม่ยอมขอตามไปด้วยเพราะถ้าอยู่ที่เต้นท์คนเดียวคงฟุ้งซ่านเเน่ๆ เเละสุดท้ายพี่ธูปก็เเพ้ไป ยอมให้ขนมไปด้วยกัน ตุลาก็เดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นพร้อมกับพวกน้องเมฆ ส่วนพี่ภูผานั้น ไม่ยอมไปไหน บอกว่าจะอยู่ดูเเลผม จะไม่ให้ผมอยู่คนเดียวเด็ดขาด เเละทุกๆคนก็เห็นดีด้วย

"พี่ว่าเราไปอาบน้ำดีไหมจะได้รู้สึกสดชื่นเเละสบายตัว" พี่ภูผาถามขึ้น

ใจจริงผมก็อยากอาบน้ำนะครับเเต่ถ้าจะให้ผมไปอาบคนเดียวผมก็ไม่กล้าไป เเละเหมือนพี่ภูผาจะรับรู้ถึงความคิดของผม

"ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ปล่อยให้เราไปคนเดียวหรอก"

"ครับ" ผมรู้สึกเบาใจ จึงตอบตกลง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปควานหาอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ

ผมทำใจอยู่นานกว่าจะเข้าไปอาบน้ำ เนื่องจากต้องเข้าไปอาบน้ำที่เป็นห้องๆ มันต้องปิดประตูเเละค่อนข้างจะเเคบ ความรู้สึกกลัวจากเหตุการณ์ก่อนหน้าของผมยังคงมีอยู่ เเต่สุดท้ายก็ได้พี่ภูผาช่วยพูดปลอบให้กำลังใจ ทำให้ผมต้องฮึบตัวเองเเละรีบอาบน้ำให้เสร็จ ผมคิดว่าผมอาบน้ำเร็วเเล้วนะ เเต่เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับพี่ภูผาที่อาบน้ำเสร็จเเล้วยืนรอผมอยู่

ตอนนี้ผมกับพี่ภูผากลับเข้ามาในเต้นท์เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เราสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมก้มหน้าหลบสายตา ส่วนพี่ภูผานั่งจ้องหน้าผมนิ่งๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ความเงียบเข้าปกคลุมภายในเต้นท์อยู่สักพัก จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว

"พี่ภูผา"

"นอนไหม พี่ว่าเรานอนดีกว่านะ วันนี้เราเจออะไรมาเยอะเเล้ว พักสักหน่อย"

"ครับ"

ผมตอบตกลงอีกคน เเละยอมนอนลงเเต่โดยดีเนื่องจากผมก็รู้สึกเพลียมากๆเช่นกัน เเต่เมื่อผมหลับตาลงทุกอย่างก็มืดสนิท ความรู้สึกกลัวจากเหตุการณ์ก่อนหน้าวิ่งเข้ามากัดกินผมอีกครั้ง จนทำให้ผมต้องรีบลืมตาขึ้นมา สีหน้าของผมคงเป็นตัวบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าคืนนี้คงไม่มีทางที่ผมจะนอนหลับสนิทอย่างเเน่นอน


เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เจอกับพี่ภูผาที่นอนหันหน้ามาทางผม กำลังจ้องมองผมไม่ละสายตา

"นอนไม่หลับเหรอ"

"ครับ พอปิดตาเเล้วสมองดันคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมา จนรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยครับ"

"เเล้วถ้าอย่างนี้ล่ะ"

ผมที่กำลังจะถามว่าอย่างไหน ต้องหยุดชะงักคำถามไป เมื่ออีกคนใช้เเขนเเกร่งเข้ามาโอบกอดผมให้เข้ามาชิดกับอกของเจ้าตัว จากนั้นเจ้าตัวก็กระชับอ้อมกอดขึ้น


"ถ้าคืนนี้พี่กอดเราไว้เเบบนี้มันจะช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้นไหม"

ผมขอสารภาพตรงนี้เลยครับ ว่าอ้อมกอดของพี่ภูผาคือสิ่งที่ผมต้องการมันมากที่สุดในตอนนี้ เเล้วเเบบนี้ผมจะปฏิเสธมันได้อย่างไรกัน

"ขอบคุณครับ" ผมบอกขอบคุณอีกคน ละทิ้งความอายเอาไว้ด้านหลัง ขยับตัวเองเข้าไปใกล้พี่ภูผามากกว่าเดิม ซุกหน้าลงกับอกเเกร่งที่ตอนนี้มีเสียงหัวใจของพี่ภูผากำลังเต้นอยู่คล้ายกับเป็นจังหวะที่ช่วยขับกล่อมให้ผมนอนหลับได้ง่ายขึ้น

"พี่ขอโทษ" หลังจากที่เงียบไปนาน จู่ๆพี่ภูผาก็พูดคำขอโทษออกมา

"ขอโทษเรื่องอะไรครับ" ผมละหน้าออกจากอก เงยหน้าขึ้นมองพี่ภูผา

"เรื่องที่พี่ดูเเลเราไม่ดีพอ จนเราต้องเจอกับเหตุการณ์เเย่ๆ" พี่ภูผาก้มหน้ามามองตาผม สายตาของพี่ภูผาที่มองผมมามันวูบไหวเเละเเฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเเละเสียใจ

"มันไม่ใช่ความผิดของพี่ภูผาสักหน่อยครับ" ผมส่งยิ้มอ่อนๆให้อีกคน

"ผิดสิ พี่ผิด" พี่ภูผายังคงดึงดันที่จะเป็นคนผิดให้ได้

"งั้นคนละครึ่งไหมครับ เเบ่งความผิดกันคนละครึ่ง เพราะผมก็ผิดเหมือนกันที่ดูเเลตัวเองไม่ดีพอ"

"ไม่เลย เราไม่ผิดเลย"

"ห้ามเถียงนะครับ" ผมทำสีหน้าดุๆใส่อีกฝ่าย

"โอเคครับ ไม่เถียงเเล้วครับ คนละครึ่งก็คนละครึ่งครับ" พี่ภูผายอมเเพ้ในที่สุด เจ้าตัวโอบกอดผมแน่นขึ้น จนผมต้องเอาหน้าของตัวเองไปซบกับอกของเจ้าตัวอีกครั้ง

"มันคงน่ากลัวมากใช่ไหม กับสิ่งที่เราต้องเจอ"

"ฮึก!" ผมในตอนเเรกที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำให้พี่ภูผาเป็นห่วงก็ต้องล้มเหลว

"ไม่เป็นไรเเล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้เเล้ว"

"ฮึก!"

"เราเข้มเเข็งและเก่งมากๆเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า"

"ฮือออออออ" ความอดทนของผมสิ้นสุดลงทันทีทีีฝ่ามือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างเเผ่วเบา "มัน อึก! มันน่ากลัวมากๆเลยครับ ฮึก!" ผมพยายามเค้นคำพูดของตัวเองออกมาอย่างสุดความสามารถ

"ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร วันนี้ร้องให้เต็มที่เลยนะ พี่จะคอยกอดเราเอง เเต่พรุ่งนี้เเละวันต่อๆไปพี่ขอให้เราไม่ร้องไห้ได้ไหมครับ"

"ทะ ฮึก! ทำไมครับ"

"เพราะยิ่งพี่เห็นน้ำตาเรามากเท่าไหร่ ใจพี่ยิ่งเจ็บเท่านั้น ตอนนี้พี่เจ็บจนจะตายอยู่เเล้วสีเทียน"

"ฮือออออออออออออออ" การปล่อยโฮของผมในครั้งนี้มันมีความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันเต็มไปหมด

ผมร้องไห้อยู่นานจนในที่สุดก็สามารถหยุดร้องไห้ได้ ตอนนี้ผมรู้สึกปวดตามากๆ เเละคิดว่าตาคงจะบวมน่าดูเพราะผมร้องไห้หนักมากจริงๆ

พี่ภูผาขยับหน้าออกห่างผมเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างเเผ่วเบาอีกครั้ง

"ขอบคุณนะสีเทียน ขอบคุณที่เรายังยู่ตรงนี้เเละปลอดภัยดี"

"ผมก็ขอบคุณนะครับพี่ภูผา ขอบคุณที่ไม่ทิ้งผม"

สิ้นสุดคำพูดของผม ริมฝีปากร้อนของคนตรงหน้าก็โน้มลงมาทาบทับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา ผมตกใจจนตาเบิกกว้างเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆตัวเองจะโดนจูบเเบบนี้

พี่ภูผาสัมผัสผมเเค่เพียงภายนอกเท่านั้นไม่ได้รุกล้ำเข้ามาภายในเเต่อย่างใด พี่ภูผาขยับริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อย บางจังหวะก็ใช้ริมฝีปากของตัวเองขบเม้มริมฝีปากล่างของผมคล้ายกำลังหยอกล้อ

จูบเเรกของผม

จูบเเรกระหว่างผมกับพี่ภูผา

จูบที่เหมือนกับว่าต้องการปลอบประโลมเเละขอบคุณ

จูบเเรกที่รู้สึกดี อบอุ่น ปลอดภัย เเละอ่อนโยน

"ทำหน้าตาน่ารักอีกเเล้ว" พี่ภูผาพูดขึ้นหลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว

"คะ คือ คือว่า "

"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว" พี่ภูผายื่นมือมาลูบเเก้มผมอย่างอ่อนโยน "วันนี้เราเหนื่อยมากเเล้ว พรุ่งนี้ก็มีเรื่องรอเราอีกเยอะเเน่ วันนี้เรานอนนะ ไม่ต้องคิดเเละไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเพราะคืนนี้พี่จะคอยกอดเราทั้งคืนเอง กอดของพี่จะช่วยปกป้องเราจากฝันร้ายเอง ตกลงไหมครับ"

ผมไม่ได้พูดอะไรทำเพียงพยักหน้าตอบรับกลับไป หลังจากได้ยินน้ำเสียงที่อบอุ่นของพี่ภูผา มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจจนเเทบจะร้อนเลย

"หลับฝันดีนะครับ"

"พี่ภูผาก็หลับฝันดีนะครับ"

"ครับ จุ๊บ!"

ผมตกใจตาค้างอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้าโน้มตัวมาจุ๊บผมเร็วๆหนึ่งที พี่ภูผาทำหน้านิ่งๆเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่เเปลกไป เจ้าตัวที่เห็นว่าผมยังตัวเเข็งทื่อกับเหตุกาณ์เมื่อกี้ ก็อมยิ้มออกมาน้อยๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหัวผมคล้ายว่าเจ้าตัวกำลังกล่อมผมให้นอนหลับ

"นอนได้เเล้วครับ"


วันนี้ผมจะยอมเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ภูผาเเต่โดยดีก็เเล้วกัน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ผมขอวางมันไว้ก่อนก็เเล้วกัน  จากตอนเเรกที่คิดว่าตัวเองคงมีปัญหากับการนอนเเน่ๆ ตอนนี้ปัญหานั้นมันหมดไปแล้วครับ ผมมั่นใจว่าคืนนี้ผมคงนอนหลับสนิทไปถึงเช้าได้เเน่ๆ ก็เพราะผมมีอ้อมกอดที่อบอุ่นเเละปลอดภัยคอยโอบกอดผมไว้ตลอดทั้งหนิครับ

เสียงไก่ขันดังขึ้นอีกครั้งในเวลาเดิม บ่งบอกให้รู้ว่าเวลาของการออกไปใช้ชีวิตในเช้าวันใหม่มาถึงเเล้ว

"อือ" ผมส่งเสียงเบาๆในลำคอ ขยับเข้าหาความอบอุ่นเพราะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อยๆตัวยังไงก็ไม่รู้

"ตื่นได้เเล้วครับ"  เสียงปลุกที่นุ่มนวลดังขึ้นใกล้ๆหูของผม

"ขอนอนต่ออีกหน่อยได้ไหมครับ"

"อ้อนเหรอ"

"หือออ" ผมไม่ได้อ้อนอย่างที่โดนกล่าวหานะครับ เเต่ผมเเค่รู้สึกเพลียๆ หนักๆตัว จนอยากนอนต่ออีกนานๆก็เท่านั้นเอง

"ตื่นเถอะครับ วันนี้จะได้กลับบ้านเเล้วนะ"

ผมยอมตื่นลืมตาในที่สุด ทันทีที่ผมลืมตาก็เจอกับหน้าหล่อๆของคนที่นอนกอดผมมาตลอดทั้งคืน ส่งยิ้มชวนใจละลายมาให้

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

"อะ อรุณสวัสดิ์ครับ"

ตอบกลับพี่ภูผาเสร็จ ผมก็รีบหลบสายตาไปทางอื่นทันที ไม่ไหวหรอก ปกติตื่นเช้ามามีเเค่ผมที่ทำหน้ามึนๆใส่พี่เขา เพราะตัวเองเป็นคนทำเนียนไปกอดพี่เขาเอง เเต่เช้านี้มันเเตกต่างออกไปตรงที่เราสองคนรู้ตัวทุกอย่าง เเละพี่ภูผาเป็นฝ่ายที่กอดผมเเทน เเถมตื่นเช้ามายังมีคำทักทายเเบบนี้อีก


ไม่ไหวหรอกครับเจอเเบบนี้ หมายถึงใจผมอ่ะครับ ไม่ไหวหรอก


เมื่อคืนผมยอมรับว่ากลัวมากจนเผลอทำอะไรที่เหนือความคาดหมายของตัวเองไปมาก เเต่เมื่อสมองได้รับการพักผ่อน จิตใจได้รับการปลอบโยน ความรู้สึกของผมตอนนี้จึงกลับมาเป็นผมคนเดิมเป็นที่เรียบร้อยเเล้วครับ เเละเมื่อสีเทียนคนเดิมกลับมา ความอายก็วิ่งเข้าเล่นงานผมเต็มๆ เเค่เรื่องกอดอ่ะไม่เท่าไหร่ เเต่เรื่องจูบนี้สิ ยังไงดี ผมจะเอาความกล้าจากที่ไหนมาต่อสู้กับคนตรงหน้า เเล้วผมจะยังกล้าสบตากับพี่ภูผาอยู่ไหม ผมหวังว่าพี่ภูผาจะปล่อยผ่านเเละไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าพี่เขาพูดถึงเรื่องนี้ผมคงเขินจนอยากจะขุดหลุมฝั่งกลบตัวเองเเน่ๆ


"ไม่ไหวหรอก!" ผมเผลอส่งเสียงเเละดีดตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างลืมตัว เมื่อในสมองมันคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน เเละความยุ่งเหยิงที่ตบตีกันเรื่องที่โดนจูบ จนอยากจะร้อง อ๊ากกก! ออกมาดังๆ เข้ามาเล่นงานผมจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

"เป็นอะไร" เเววตาของความเป็นห่วงถูกส่งมายังผม จนทำให้ผมรู้สึกผิด ที่ทำให้อีกฝ่ายป็นห่วงอีกเเล้ว

"คะ คือ คือผมปวดฉี่จนอั้นไม่ไหวเเล้วครับ" ผมไม่รู้จะบอกกับพี่ภูผาอย่างไรว่าที่ตะโกนออกมาเพราะความฟุ้งซ่านของตัวเอง เลยเลือกที่จะพูดอะไรเเบบนั้นออกไปแทน ขอโทษนะครับพี่ภูผา

"อ่อ งั้นไปครับ ไปห้องน้ำกัน" พี่ภูผาปัดผ้าห่มของตัวเองออก ก่อนจะพับมันวางไว้บนหมอนอย่างเรียบบร้อย ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ปกติเคยพับซะที่ไหน สงสัยวันนี้คงไม่อยากให้ผมบ่นเจ้าตัวเเน่ๆ

"มองอะไรครับ พี่ก็พับเป็นนะ ที่ไม่ยอมพับก็เพียงเเค่อยากเห็นเราบ่นก็เเค่นั้น เพราะเวลาได้เห็นเวลาเราบ่นเเล้วมันน่ารักดี"

ผมหุบยิ้มทันทีหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อกี้ ความเห่อร้อนวิ่งเข้ามาบนใบหน้าเเละบริเวณหู

"เขินอีกเเล้ว" พี่ภูผามองผมด้วยเเววตาขบขัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ผมรู้สึกเสียววาบ "แปลกจังแค่ชมว่าน่ารัก เราเขินจนหน้าเเดง เเต่เมื่อคืนโดนจูบไม่เห็นเราจะเขินจนหน้าเเดงเลยเลย หรือว่าาาาาาา....."

"พี่ภูผา!" ผมหยิบหมอนปาใส่พี่ภูผาเบาๆเพราะกลัวพี่ภูผาจะเจ็บ ก่อนจะรีบพาตัวเองออกมาจากเต้นท์อย่างรวดเร็ว เเละไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะของพี่ภูผาดังตามหลังมาอีกด้วย

"นิสัยไม่ดี พี่ภูผานิสัยไม่ดีสุดๆ" ผมเดินหน้างอ บ่นพึมพำคนที่กำลังเดินตามมา ไอ้เราก็อุตส่าห์ไม่นึกถึงเเล้วเชียว พูดขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้

**มีต่อค่ะ**
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่15 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 25-02-2021 20:35:55
**ต่อตอนที่ 15 **
"อุปกรณ์เครื่องเขียน"

"พี่โก้ ทุกๆคน" ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกก็เจอกับพี่โก้เเละคนอื่นๆกำลังนั่งล้อมวงอยู่บนพื้นดิน บริเวณหน้าเต้นท์นอนของพี่โก้ที่อยู่ติดกับเต้นท์ของผม

"มาๆ มานั่งก่อนๆ มาๆๆๆ" พี่โก้กวักมือให้ไปนั่งข้างกับตัวเอง

"ครับ"

"ตื่นมาทำเหี้ยไรกันเเต่เช้า" น้ำเสียงติดรำคาญนิดๆของพี่ภูผาดังขึ้นถามทุกๆคน

"ตื่นมาก็ไม่น่าคบหาเลยนะมึง"

พี่ภูผายักไหล่ ไม่สนใจกับคำด่าของพี่วา ก่อนจะเคลื่อนตัวเองมานั่งลงข้างๆผม ผมหันไปมองนิดหน่อยเเล้วก็หันกลับมาทางพี่โก้ตามเดิม ไม่คุยด้วยหรอกกับคนนิสัยไม่ดี เพราะตอนนี้ผมกำลังอายอยู่

"มึงเป็นไงบ้างวะอุปกรณ์เครื่องเขียน กูโครตตกใจเเละเป็นห่วงมึงมาก เเต่เพราะต้องคอยดูเเลน้องๆคนอื่นจึงไปช่วยตามหามึงไม่ได้"

"พี่โก้ไม่ต้องขอโทษครับ ไม่เป็นไรเลยครับ เเละตอนนี้ผมโอเคมากๆเเล้วครับ"

"แน่ใจนะไอ้สี"

"จริงๆ ขนมหายห่วงได้เลย"

"จะชมว่ามึงเก่งหรือเป็นเพราะได้คนดูเเลดีเนีย"

"มะ ไม่ใช่สักหน่อย ตุลาพูดอะไรเนี๊ยะ" ผมพูดตอบตุลาด้วยเสียงอ้อมเเอ้ม

"แล้วมึงไปติดอยู่ในนั้นได้ไงวะอุปกรณ์เครื่องเขียน กูถามได้ใช่ไหมวะ" พี่ธูปมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ลังเลเเละไม่เเน่ใจว่าควรจะถามผมดีหรือเปล่า

"ได้ครับ ไม่เป็นไร ผมโอเคเเล้วจริงๆ" ผมยืนยันคำตอบของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักเเน่น "คือตอนนั้นผมจะเดินไปหยิบเสื้อเเขนยาวที่เต้นท์เพราะอากาศมันค่อนข้างหนาว ผมเลยบอกตุลากับขนมว่าจะไปเอาของ ตุลาเเละขนมจะไปเป็นเพื่อนเเต่ผมห้ามไว้ เพราะมันอยู่ใกล้ๆ เเต่ตอนนั้นผมก็อยากเข้าห้องน้ำด้วย เลยตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำก่อน ระหว่างที่เดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำผมก็เจอกับพี่เบลล์เเละคนอื่นๆกำลังยกของกันอยู่ เลยคิดว่าจะไปช่วยยก เเต่พี่เบลล์ปฏิเสธเเละให้ผมเดินกลับมาก่อน เเละจากนั้นผมที่กำลังเดินไปทางเต้นท์ก็เจอกับพี่อิงฟ้า พี่อิงฟ้าเรียกผมไว้เเละบอกว่าอาจารย์ให้ไปหาที่ห้องพักคุณครูเดี๋ยวนี้ ผมก็ตอบตกลงเเละรีบเดินไปทันที เเต่เมื่อเดินไปถึงบริเวณที่ค่อนข้างจะอับสายตาคน จู่ๆผมก็ถูกใครบางคนดึงไว้"

"มีคนมาดึงเหรอ"

"ใช่ครับพี่วา สามคน"

"ใครมาดึงไว้เหรอครับน้องเทียน"

"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับพี่ธูป เพราะเขาสวมหน้ากาไอ้โม่งบังหน้าไว้"

"สวมหน้ากาก?"

"ใช่ เเละเขาก็ถามเราด้วยนะขนม ว่าเราใช่คนที่ชื่อสีเทียนไหม ตอนนั้นเราอ่ะตกใจมากๆเลย ว่าคนพวกนี้เป็นใคร เเละตามหาเราทำไม เลยเผลอพยักหน้าตอบไป"

"เเล้วเราได้ถามเขาไปไหมว่าต้องการอะไร"

"ถามครับพี่ภูผา"

"เเล้วพวกนั้นตอบว่าไง"

"อืมมมมม.....เขาถามเรากลับมาว่าเราไปเหยียบหางใครไว้ล่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้จริงๆนะตุลา ว่าเขาหมาถึงอะไร"

"เเล้วจากนั้นยังไงต่อวะ อุปกรณ์เครื่องเขียน"

"อ่อ หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกถึงอะไรเเหลมๆเย็นจี้เข้ามาที่เอวครับ เขาบอกผมว่าห้ามส่งเสียงดัง เเล้วเดินตามมาดีจะได้ไม่ต้องใช้กำลัง"

"จี้เลยเหรอวะ" พี่ธูปว่าขึ้น

เเละตอนนี้สีหน้าของทุกๆคนฉายเเววความกังวลเเละความเครียดออกมาอย่างเปิดเผย

"เเต่ผมว่าพวกเขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ผมเจ็บนะ เหมือนเเค่ต้องการให้เกิดความกลัวมากกว่า"

"ยังไงวะสี"

"ก็พวกเขาพูดข่มขู่ เเละจี้เราก็จิง เเต่พวกเขาก็ไม่ได้รุนเเรงอะไรกับเราเลยนะ"

"ยังไงของมึงกูเริ่มงง"

"ไม่รู้สิ พอมาคิดๆดูเเล้วพวกเขาทำเหมือนไม่ได้เต็มใจทำ ยังไงดีอย่างเช่นตอนที่พวกเขาพาเราเดินไปที่โรงเก็บของ ระหว่างทางจะมีหญ้าขึ้นเต็มใช่ไหม หนึ่งในนั้นบอกให้เราระวังด้วยนะ เเละก็ก่อนที่พวกเขาจะขังเราเเละเดินจากไปพวกเขายังบอกเราด้วยว่า อดทนหน่อย เดี๋ยวตอนเช้าจะกลับมาปลดกุญเเจให้ที่ทำก็เพื่อขมขู่ให้เรากลัวเท่านั้น เเต่ตอนนั้นเรากลัวมากเกินไปจนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ มัวเเต่กลัวจะถูกทำร้าย สมองคิดเเต่สิ่งเเย่ๆ เรายอมรับเลยว่าตอนนั้นเราไม่มีสติจริงๆ เพราะในชีวิตเราไม่เคยเจอเหตุการณ์เเบบนี้มาก่อน มาเริ่มตั้งสติได้ก็ตอนโดนขังเรียบร้อยเเล้ว"

"กูว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นเเปลก" พี่ธูปพูดกับพวกเพื่อนๆของตัวเอง โดยที่คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ธูปเช่นกัน

"แล้วพวกมันพูดอะไรอีกหรือเปล่าสี"

"อืมมมมมม.... อ้อ! ตอนนั้นเราได้ยินพวกเขาพูดอะไรสักอย่างเหมือนจะกลัวกับสิ่งที่ทำลงไปด้วย"

"เเสดงว่าต้องโดนบังคับมาเเน่ๆ" พี่วาว่าขึ้น

"ไม่ก็โดนว่าจ้างมา" ตุลาเสริม

"เเบบที่มึงว่าก็เป็นไปได้นะเดือนสิบ บางทีอาจเป็นวัยรุ่นเจ้าถิ่นที่อยากได้เงิน เเต่พอลงมือทำเกิดใจเสาะขึ้นมา เพราะดูท่าทางเพิ่งทำครั้งเเรกเเน่ๆ"

"แล้วที่บอกว่าน้องเทียนไปเหยียบหางใครบางคน มันหางใครวะ"

"เออ ใครวะที่ทำถึงขนาดนี้"

"ช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรแปลกๆกับเราบ้างหรือเปล่า" พี่ภูผาหันหน้ามาถามผม

"ไม่นะครับ ทุกอย่างปกติดี เเละผมก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าไม่ได้มีศรัตรูที่ไหนเเน่ๆ"

"มึงอ่ะไม่มี เเต่เขามีกับมึงไง" ขนมหันมาทำหน้าดุๆใส่ผม

"เเต่จะว่าไปก็แปลก อิงเนียนะจะยอมคุยกับน้องเทียน"

"กูสงสัยเหมือนมึงเลยวา"

"ใช่ไหมโก้ เเล้วเเบบอะไรจะบังเอิญขนาดนั้น เหมือนชี้โพรงให้กระรอกเลย"

"พอเลยพวกมึง อย่าเพิ่งกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐานดิ" พี่ธูปว่าขึ้น

"กล่าวหาที่ไหน มันเป็นเเค่ข้อสันนิษฐานต่างหาก เนอะโก้เนอะ"

"เนอะ"

"ผมว่าเราลองไปถามอาจารย์กันไหมครับว่าเมื่อคืนได้เรียกหาไอ้สีจริงหรือเปล่า"

"เป็นความคิดที่ดีเดือนสิบ"

"ไอ้สี ต่อไปนี้มึงต้องระวังให้มากๆนะเว้ย ห้ามห่างจากกูเด็ดขาด ห้ามไปไหนคนเดียวด้วย ต้องหนีบใครสักคนไปด้วยเสมอเข้าใจไหม" ขนมส่งสายตากดดันมาให้ผม จนผมต้องตอบตกลงกลับไป

"เเล้วเราจะเอายังไงต่อ เเจ้งความไหม หรือตามหาคนที่รังเเกเราไหม หมู่บ้านไม่ใหญ่พี่ว่าน่าจะหาไม่ยาก"

"เออที่พี่ภูว่าก็น่าสนใจนะมึง หมู่บ้านเล็กนิดเดียว"

ผมหยุดนิ่งคิดแป๊บนึงก่อนจะส่ายหน้า "ไม่ดีกว่า"

"มึงจะปล่อยไปแบบนี้เหรอ!"

"ก็เราไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ เเละต่อให้หาเจอจะทำยังไงต่อละ เเล้วคนอื่นๆละ ก็ต้องยุ่งวุ่นวายกันไปหมด ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็เเล้วกัน"

"ฟาดเคราะห์ก็เหี้ยเเล้ว มันทำมึงขวัญหนีขนาดนั้น"

"ขนมอย่าหัวร้อนซี"

"ก่อนจะห้ามกูมึงหันไปดูหน้าพี่ภูก่อน จะเเดกคนได้ทั้งหมู่บ้านเเละ"

ผมหันไปมองตามคำบอกขนมก็เจอกับพี่ภูผาที่ทำหน้าตาโหดพร้อมกระโดดถีบคนทั้งโลกอยู่ข้างๆ

"พี่ภูผาครับ" ผมเอื้อมมือไปเตะเเขนพี่ภูผาเบาๆ "อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆนะ"

"เเต่เมื่อคืน"

"ผมยอมรับครับว่ากลัว ขวัญหนีดีฟ่อจริงๆ เเต่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว"

"เเล้วถ้ามีเรื่องร้ายๆเกิดกับเราอีกล่ะ ถ้าเราไม่ตามล่าหาต้นตอ"

"ไม่รู้สิครับความรู้สึกของผมมันบอกว่าต้นตอต้องอยู่ในกลุ่มชาวค่ายเราเเน่ๆ เเละถ้าผมต้องเจอเหตุการณ์เเบบนั้นอีก พี่ภูผาบอกผมเองนี่ครับ ว่าจะคอยปกป้องผมให้ปลอดภัยเองไม่ใช่หรอครับ เพราะฉะนนั้นถ้ามีพี่ภูผาอยู่ข้างๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ" ผมส่งยิ้มอ่อนออกไป

"เรานี่นะ" พี่ภูผายื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆอย่างที่ชอบทำ

"อ่ะ ไอ้สัส บรรยากาศตึงเครียดเมื่อกี้หายวับกับตา" พี่โก้ว่าขึ้น

"จริงพี่โก้ เเม่ง จากหนังบู๊กลายเป็นหนังรักไปซะงั้น" ขนม

"กูเเม่งปรับอารมณ์ตามเเทบจะไม่ทัน" พี่ธูป

"เออ กูว่าเเยกย้ายไปถามอาจารย์กันดีกว่ามะ ก่อนที่มันจะหวานไปมากกว่านี้" พี่วา

หลังจากนั่งคุยกันสักพักใหญ่พวกเราก็เเยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว เเละเดินไปรวมตัวกับคนอื่นๆเพื่อกินอาหารเช้า พี่โก้ได้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่า หลังจากกินอาหารเสร็จให้เเยกย้ายกันไปเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ส่วนพวกที่นอนเต้นท์ก็ให้เก็บเต้นท์ด้วย เเละนัดรวมตัวกันหน้าเสาธงตอน 11  โมง

หลังจากที่ผม ขนม เเละตุลากินอาหารเช้าเสร็จ ก่อนที่จะไปเก็บของ ตุลาก็เสนอว่าให้ไปถามอาจารย์ก่อนดีกว่าว่าเมื่อคืนได้เรียกหาผมจริงๆไหม พวกเราจึงเดินไปถามอาจารย์ก่อนจะได้คำตอบว่าอาจารย์เรียกหาผมจริง เเละทำให้เราได้รู้ว่าพี่อิงฟ้าไม่ได้โกหก


ระหว่างเดินไปนู่นไปนี้ผมจะมีคนประกบติดตามด้วยตลอดเสมอ ทุกๆคนเรียกว่าไม่ยอมปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวอย่างที่บอกไว้จริงๆ  ส่วนน้องเมฆเมื่อเห็นผมก็เดินเข้ามาถามเรื่องราวไม่หยุด จนขนมต้องเข้ามาห้ามเเ้วบอกว่าค่อยกลับไปคุยกันที่มหาลัย เดี่๋ยวขนมเล่าให้ฟัง น้องเมฆจึงยอมล่าถอยไป

เมื่อถึงเวลารวมตัว พวกเราชาวค่ายทุกคนก็มารวมตัวกันบริเวณหน้าเสาธง เพื่อจะร่วมกันส่งมอบของที่พวกเราได้เตรียมมาให้กับโรงเรียน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียน เเละอุปกรณ์สำหรับเล่นกีฬา มีขนมเเซมมานิดๆหน่อยๆ โดยที่มีอาจารย์เป็นตัวเเทนมอบ เเละมีพี่โก้เป็นพิธีกรสร้างความครื้นเครง  หลังจากส่งมอบของบริจาคเสร็จเรียบร้อย คุณลุงผู้ใหญ่บ้านกับคุณครูใหญ่ก็กล่าวขอบคุณพวกเรา น้ำเสียงเเละสายตาของท่านบ่งบอกว่าขอบคุณพวกเรามากจริงๆ จนทำให้ผมน้ำตาคลอเลยทีเดียว

ในที่สุดเวลาของการเดินทางกลับก็มาถึง พวกเราเดินลงมายังสถานที่ที่รถบัสเคยเอาเรามาส่งไว้ เดินมาถึงก็เจอกับรถบัสรอจอดพวกเราเรียบร้อยเเล้ว มีคนในหมู่บ้านบางส่วน คุณลุงผู้ใหญ่ คุณครูใหญ่ก็มาส่งพวกเราด้วย เอาเข้าจริงพอถึงเวลาต้องกลับผมก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้

พวกเราใช้เวลานานหลายชั่วโมงบนรถบัส จากท้องฟ้าที่สว่างจ้าในตอนเเรก ตอนนี้ท้องฟ้าเเปรเปลี่ยนเป็นสีดำเเล้ว พวกเรากลับมาถึงมหาวิทยาลัยประมาณ 5 ทุ่ม  ทุกคนรีบทยอยลงจากรถบัส ซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงคิดเหมือนกันว่าอยากกลับถึงบ้านเร็วๆ อยากหัวถึงหมอนเเล้วนอนหลับไปเลย


"ไอ้สี กลับกับกูไหมเดี๋ยวกูไปส่งมึงก่อน" ตุลาถามผมที่กำลังเดินถือกระเป๋าอยู่

"ไม่เป็นไร ตุลารีบกลับไปพักผ่อนนะ เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่ไปเอง"

"ไม่ได้ มันดึกเเล้ว อันตราย"

"แต่"

"เดี๋ยวกูไปส่งสีเทียนเอง" เสียงของผู้มาใหม่ทำให้ผมเเละตุลาต้องหันไปมอง

"พี่ภูผา"

"ไปครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง" พี่ภูผาไม่รอฟังคำตอบของผม ดึงกระเป๋าที่อยู่ในมือผมออกไปถือเองเเละเดินนำไปยังรถของเจ้าตัวทันที

"ไปเถอะ ถ้ามึงกลับกับพี่ภู กูก็สบายใจ"

"งั้นเราไปก่อนนะ ตุลาขับรถกลับบ้านดีๆนะ"

"พี่ภูผาจะกลับบ้านเลยไหมครับ"  ผมเอ่ยถามผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่บนโซฟานานกว่าครึ่งชั่วโมงเเล้ว

หลังจากมาถึงคอนโดของผม พี่ภูผาก็ขอขึ้นมาเข้าห้องน้ำ จากนั้นเจ้าตัวก็บอกว่าหิวผมเลยทอดไข่เจียวหอมๆให้เจ้าตัวไปหนึ่งจาน ข้าวก็กินเสร็จนานเเล้วเเต่ตอนนี้เจ้าตัวยังงอเเงไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ

"ไล่พี่อีกเเล้วเหรอ"

"ไม่ได้ไล่ครับ เเต่ผมเห็นว่ามันดึกมากๆเเล้ว ขับรถดึกๆมันอันตราย อีกอย่างพี่ภูผาจะได้รีบกลับไปพักผ่อน"

"งั้นพี่นอนที่นี้ดีไหม จะได้ไม่ต้องขับรถกลับดึกๆ ให้เราต้องเป็นห่วง"

"จะ จะนอนได้ไงครับ"

"เเล้วทำไมจะนอนไม่ได้ละครับ" พี่ภูผาไม่ว่าเปล่า ยังเก้าเท้ามาหาผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์จนผมรู้สึกประหม่า

"ก็ ก็......"

"ก็อะไรครับ หืม เรานอนด้วยกันมาตั้งหลายคืนเเล้วนะ"  เจ้าตัวเดินมาประชิดตัวผมจนตัวของผมลีบจนเเทบจะสิงกับกำเเพงอยู่เเล้ว

"คือ...."

ปึก! เสียงหนังสือที่วางอยู่ใกล้ๆหล่นลงพื้นเสียงดัง ซองเอกสารเล็กๆซองหนึ่งกระเด็นออกมา ผมเหลือบไปเห็นก็ต้องเเปลกใจ เพราะไม่รู้ว่ามันคือซองอะไร

"ขมวดคิ้วทำไม"

"ผมเเค่สงสัยว่าซองอะไรมาอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ทำไมผมไม่คุ้น"

เมื่อจบคำพูดของผม พี่ภูผาก็เลิกเเกล้งผม เเล้วก้มลงหยิบซองเอกสารเล็กๆนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือ ก่อนจะพลิกซ้ายขวาหน้าหลัง เพื่อดูว่าเป็นซองอะไร

"ไม่เห็นมีอะไรจ่าหน้าซองไว้เลย"

"ขอดูหน่อยครับ" ผมรับซองจากอีกฝ่ายมาดู รู้สึกคุ้นๆ จนในที่สุดก็คิดออกจนได้

"จริงสิ มีคนฝากไว้ให้นี่น่า ผมก็ลืมไปเลยว่ามีซองเอกสารอันนี้อยู่ด้วย งั้นผมเเกะเลยดีกว่า" วันนั้นผมตั้งใจจะเเกะอยู่เเล้ว เเต่สุดท้ายก็ไม่ได้เเกะเเละลืมมันไป

ผมเปิดซองเอกสารออก ก็เจอกับกระดาษเอสี่เเผ่นนึงพับครึ่งอยู่ด้านใน เมื่อเห็นข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ ความชาวาบวิ่งผ่านร่างกาย ผมยืนตัวเเข็งทื่อ ละสายตาจากข้อความในกระดาษ มามองพี่ภูผาที่ยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อพี่ภูผาเห็นปฏิกิริยาที่เเปลกไปของผม พี่ภูผาจึงเดินเข้ามาใกล้ๆเเล้วโน้มตัวมาอ่านข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ

'นี่คือคำเตือน หาย ไป ซะ สีเทียน'


<<< TBC >>>

ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเเละติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 26-02-2021 17:07:27
 :a5: มีผู้ร้ายปริศนาด้วย
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-03-2021 09:13:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 16) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 25-03-2021 16:16:31
ตอนที่ 16 แก้มอ้วนๆของคนแอบชอบ

'นี่คือคำเตือน  หาย ไป ซะ สีเทียน'

เมื่อสิ้นเสียงของพี่ภูผาที่อ่านข้อความที่เขียนไว้บนกระดาษขนาดเอสี่จบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสนิท สีหน้าของพี่ภูผาตอนนี้แปรเปลี่ยนจากแววตาหยอกล้อเเละเจ้าเล่ห์ที่มีก่อนหน้า เป็นสีหน้าที่เคร่งขึมเเละเเววตาที่ดุดันเเทน

ส่วนสีหน้าของผมนั้นไม่ต้องเดาเลยครับ ตอนนี้หน้าของผมซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีกครับ ก็ข้อความบนกระดาษชวนเสียวสันหลังวาบเเบบนั้น สีเทียนคนนี้ไม่ร้องไห้ออกมาก็ถือว่าเข้มแข็งมากๆเเล้วครับ อยากปรบมือรัวให้ตัวเองเลย

"เหมือนว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวๆนะครับ"

หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่นานในที่สุดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง พร้อมกับมือที่ยังคงกำกระดาษใบนั้นไว้แน่น

"ครับ"

เมื่อจบคำตอบรับของผมพี่ภูผายื่นมือมาจับข้อมือของผมพร้อมกับดึงเบาๆให้ผมเดินตามไป โดยที่ผมก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

"มาคุยกันครับ"

คำพูดที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของคนข้างๆถูกส่งมายังผมทันทีที่เราสองคนนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีเป็นที่เรียบแล้ว

"เราได้ไอ้จดหมายนี้มายังไงครับ" พี่ภูผาชูกระดาษที่ถืออยู่ในมือโบกไปมา

"อืมมมม" ผมครุ่นคิด ถึงที่มาของจดหมายฉบับอยู่แป็บนึงก่อนจะนึกออก "อ้อ! ลุงยามครับ"

"ลุงยาม?"

"ครับ ผมจำได้ว่าเหมือนจะมีคนมาฝากไว้กับลุงยามที่ด้านล่างคอนโดครับ"

"แล้วเราได้ถามลุงยามไหม ว่าใครเป็นคนฝากมา"

"ถามครับ ลุงยามบอกว่าเป็นพนักงานส่งของของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งครับ"

"เเล้วเราได้มันมาตั้งเเต่เมื่อไหร่ครับ"

"ผมก็ไม่เเน่ใจว่านานเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะนานพอสมควรครับ"

เมื่อได้ยินคำตอบของผมคนข้างๆผมก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิมอีกหนึ่งระดับ

"พี่ภูผา" ผมเอ่ยเรื่องคนข้างๆเบาๆ

"ครับ?"

"พี่ภูผาไม่เป็นไรนะครับ"

"พี่ไม่เป็นไรครับ แต่คนที่เป็นน่าจะเป็นเรามากกว่านะ"

เมื่อได้ยินคำตอบของพี่ภูผา ความกังวลก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จริงอย่างที่ภูผาบอกเลยครับ ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงโดนคนหมายหัวเเล้วจริงๆละครับ เเต่ผมก็คิดไม่ออกจริงๆว่าผมไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจขนาดนี้ ทั้งๆที่ชีวิตผมในขณะนี้มีเเค่การทำอาหาร นอนเล่นที่ห้อง ไปเรียน นั่งคุยกับขนมตุลา เเละก็แอบรักพี่ภูผาในทุกๆวัน ก็เท่านั้นเอง

เฮ้อ! มันจะมีอะไรร้ายเเรงอีกไหมนะ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะโดนขังไป กลับมาปุ๊บก็มีเรื่องให้กังวลต่อแทบจะทันที ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้ผมจะโดนผลักตกจากบันไดจนขาหักหรอกนะ แบบนี้มันคล้ายๆกับสุภาษิตไทยที่ว่า 'ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก' หรือเปล่านะ

"พี่ขอเก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ได้หรือเปล่าครับ"

"ครับ ว่าแต่พี่ภูผาจะเอาไปทำไมเหรอครับ"

"ไม่ใช่เรื่องของเด็กครับ" ว่าเสร็จเจ้าตัวก็พับกระดาษใส่กระเป๋ากางเกงทันที

"ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย แก่กว่าปีเดียวขยันคุยจัง" ผมมุ่ยหน้าใส่คนข้างๆอย่างลืมตัว

"โอเคครับ ไม่เด็กก็ไม่เด็กเนอะ"


ผมยิ้มให้พี่ภูผาทันทีเมื่ออีกฝ่ายยอมรับว่าผมไม่ใช่เด็กแล้ว


"นอกจากครั้งนี้เเล้วเราเคยได้รับพวกจดหมายเเนวๆนี้หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่แปลกๆอีกหรือเปล่า"

"จดหมายแนวๆนี้เหรอครับ"

"ใช่"

"อ้อ เคยครับ!" ผมยืดตัวตรง ยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างลืมตัว เมื่อตัวเองนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะค่อยๆลดละดับมือตัวเองลงเเละมาวางไว้บนตักเช่นเดิม "คือผมเคยได้รับจดหมายมาก่อนหน้านี้ครั้งนึงครับ ตอนนั้นผมกำลังรอพี่ภูผาที่กำลังไปเอารถ แล้วจู่ๆก็มีคนมาสะกิดบอกว่ามีคนฝากกระดาษใบนั้นมาให้ พอผมถามว่าใครเขาก็ชี้ให้ดูมายืนอยู่ตรงต้นไม้ เเต่เมื่อพอหันไปมองก็ไม่เจอใครเเล้วครับ"

"เเล้วข้อความในกระดาษเขียนว่าไงครับ"

"เขียนคล้ายๆกันเลย ว่าให้ผมหายไปซะ"

"ใช่วันที่เราขอให้พี่คุยเป็นเพื่อนจนกว่าจะหลับไปหรือเปล่า"

"ชะ ใช่ครับ"

"เเล้วทำไมวันนั้นเราถึงไม่บอกพี่ครับ" น้ำเสียงดุๆของคนข้างๆถามขึ้น

".................." ผมก้มหน้ามองต่ำเพราะไม่กล้าสบตาด้วยก็พี่ภูผาตอนนี้ ก็สีหน้าเหมือนของพี่ภูผาในตอนนี้อย่างกับคนที่ถ้าผมตอบคำถามไม่ตรงใจ เจ้าตัวก็พร้อมจะจับผมทุ่มลงพื้นตลอดเวลาเลยละครับ

"สีเทียนครับ" การเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆของใครอีกคนทำให้ผมเสียวสันหลังวาบในทันที

"พะ พี่ผา อย่าดุเราซี~~~~" และด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อโดนข้างๆดุ ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของผมนั้นกลายเป็นการส่งน้ำเสียงเเละสายตาที่ออดอ้อนไปยังคนข้างๆอย่างอัตโนมัติ

"สีเทียนห้ามอ้อนครับ"

"ระ เรา เอ้ย ผมไม่ได้อ้อนซะหน่อย" เเม้ปากจะปฏิเสธ เเต่สายตาที่ส่งไปยังคงมีความเว้าวอนเเละขอความเอ็นดูจากคนข้างๆอย่างแรงกล้าผสมอยู่

"ที่เราทำอยู่ตอนนี้เขาเรียกว่าอ้อนครับ" พี่ภูผายกมือขึ้นกอดอก "เพราะฉะนั้นรบกวนห้ามอ้อนด้วยครับ เพราะมันจะทำให้พี่ใจอ่อนเเละดุเราไม่ลง เรามีความผิดอยู่นะครับ มาคุยกันก่อน"

"ก็ได้ครับ" ผมยอมจำนนต่อความผิดของตัวเองอย่างง่ายดาย

"ดีมากครับ" พี่ภูผายื่นมือมาลูบหัวผมสองสามทีก่อนจะชักมือกลับไป "ทีนี้บอกได้หรือยังครับว่าวันนั้นทำไมถึงไม่บอกพี่"

"คือผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะใหญ่เเบบนี้ ผมคิดเเค่ว่าเป็นการเเกล้งเล่นกันก็เท่านั้นเอง"

"เเต่มันก็ทำให้เราไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ"

"ครับ วันนั้นผมยอมรับว่าผมไม่สบายใจมาก เเต่ว่า..." ผมเว้นการพูดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ภูผา มองตรงเข้าไปในดวงตา เพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้มันมาจากข้างในใจผมจริงๆ "เพราะวันนั้นมีพี่ภูผาคอยอยู่ข้างๆมันเลยทำให้ทั้งความกลัว เเละความกังวลใจที่มีอยู่มันหายไปหมดเลยครับ ผมสบายใจจนลืมมันไปจนสนิทเลย เหมือนกับตอนนี้ที่ผมก็รู้สึกกลัว เเต่เพราะมีพี่ภูผานั่งอยู่ตรงนี้ ความกลัวของผมเลยบางเบาลงไปมากเลยครับ"

"เราก็เป็นซะอย่างนี้ เเล้วพี่จะกล้าดุเราต่อไหม"

หลังจากที่ทำหน้าดุอยู่ตั้งนานในที่สุด พี่ภูผาก็อมยิ้มเเล้ว เเม้จะยิ้มเเค่นิดเดียวเเต่ก็ยิ้มละนะ

"งั้นก็อย่าดุสิครับ พี่ภูผาตอนดุน่ากลัวจะตาย"

"พี่น่ากลัวขนาดนั้นเลย"

"ครับ!" ผมตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เเต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ผมจึงหดหัวกลับมาเล็กน้อย "แฮ่ นิดเดียวครับ น่ากลัวนิดเดียว เเต่ไม่ดุน่ารักกว่าเยอะครับ" ผมยกนิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้ให้คนข้างๆดูว่ามันนิดเดียวจริงก่อนจะยิ้มประจบเป็นการส่งท้ายแถมคำชมไปด้วยอีกนิดนึง

"พี่ก็ไม่ได้อยากจะดุเราหรอก เเต่ที่พี่ดุเพราะพี่แค่เป็นห่วงเรามากๆก็เท่านั้นเอง"

"ครับ"

"ดังนั้นเเล้ว วันหน้าถ้าเกิดเรื่องเเบบนี้อีกหรือมีอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจเเม้เพียงนิดเดียว สีเทียนบอกพี่ได้ไหมครับ" สายตาที่จริงจังถูกส่งมายังผม "พี่อยากเป็นความสบายใจของสีเทียนเเละเป็นคนที่สีเทียนสามารถพึ่งพาได้นะ"

น่านนนน! โดนเข้าเเล้วไงสีเทียน พี่ภูผาอย่ายิ้มละมุนใจเเบบนั้นนะครับ ได้โปรดดดด

ห้ามเขินนะ ห้ามหน้าเเดงนะ ฮึบไว้สีเทียน ฮึบไว้ บรรยากาศกำลังมาคุนายจะปลื้มปริ่มในใจไม่ได้นะ

"หน้าเเดงอีกเเล้ว"

ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ขออภัยด้วยครับกระบวนการฮึบของคุณล้มเหลว เพราะพลังทำลายล้างของฝ่ายตรงข้ามรุนเเรงต่อหัวใจจนเกินไป คุณเเพ้อย่างราบคาบครับ

เอิ่ม! ว่าเเต่พี่ภูผาครับ ล้ออย่างเดียว มืออย่าจิ้มเเก้มผมได้ไหมครับ ไม่งั้นผมได้ระเบิดตัวเองตายจริงๆ แน่ครับ

"อะแฮ่ม อืม ผะ ผมร้อนต่างหากครับ" ผมเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากการโดนนิ้วชี้ที่เรียวยาวของคนตรงหน้าจิ้ม ยกมือขวาขึ้นพัดไปมาบริเวณหน้าของตัวเอง

"ครับ ร้อนก็ร้อน" ดูจากสีหน้าของพี่ภูผาเเล้วมันมีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าเชื่อผมกันครับ


หลังจากนั้นผมก็โดนพี่ภูผาซักถามเรื่องราวต่างๆ ต่ออีกสักพัก เราสองคนกลับเข้าสู่โหมดจริงจังกันอีกครั้ง พี่ภูผามีสีหน้าของความกังวลฉายชัดบนใบหน้า ส่วนผมมีทั้งความกังวล ความกลัว ความสงสัย ความอยากรู้ ผสมปนเปอยู่เต็มไปหมด เเละสิ่งหนึ่งของความรู้สึกที่ชัดเจนคือความปลอดภัย ถึงเเม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่น่าจะปลอดภัย เเต่เพราะมีพี่ภูผาคอยนั่งอยู่ใกล้ๆ ความรู้สึกปลอดภัยจึงก่อตัวขึ้นมา ถ้าตอนนี้ผมอยู่แค่ตัวคนเดียวคงจะนั่งจิตตกเเละร้องไห้ขี้มูกโป้งแล้วเเน่ๆครับ


ถาม-ตอบ กันไปสักพัก ก็หมดเรื่องที่จะถาม เเละได้ข้อสรุปว่า พรุ่งนี้คงต้องปรึกษาเพื่อนๆด้วย เพราะเรื่องราวดูไม่น่าไว้ใจ ให้ทุกๆรับรู้เเละช่วยสืบ ส่อง เสาะ หา ดูเเล น่าจะดีกว่า ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะต่อให้โดนสั่งห้ามไม่ให้บอกใคร ยังไงผมก็ไม่มีทางปิดบังขนมกับตุลาเเน่ๆเเละเหมือนพี่ภูผาจะเข้าใจถึงจุดนี้ดี


"กลัวไหมครับ"

ผมที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตอนนี้ยื่นมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน เเละน้ำเสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมา ทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก ตอบออกไปตามความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเอง

"ถ้างั้นก็ไปครับ ไปนอนกัน"

"หืออออ! " ผมอดที่จะทำสีหน้าตกใจออกไปไม่ได้ อะไรคือความเชื่อมโยงของเหตุการณ์นี้ครับ เมื่อกี้เราสองคนกำลังเครียดๆ กันอยู่ จากนั้นก็เเทนที่ด้วยความเป็นห่วงที่อ่อนโยน เเล้วทำไมถึงมาจบที่การชวนไปนอนได้ละครับ ผมยังอยากนั่งสัมผัสความเป็นห่วงอันอ่อนโยนต่ออีกนิดนะครับ

"ตกใจอะไรของเรา" อีกฝ่ายว่าด้วยสีหน้าขำๆ

"ก็ ก็ผมปรับอารมณ์ตามไม่ทันหนิครับ"

"พี่เเค่อยากให้เราพักผ่อน วันนี้นั่งรถมาทั้งวัน เเถมยังมาเจอเรื่องเเบบนี้อีก ยังไงพรุ่งนี้เราก็ได้เครียดเเน่ครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ เวลานี้ เราไปนอนเอาเเรงกันก่อนครับ"

"เรา? " ผมเน้นย้ำเป็นเชิงถามถึงความหมายของคำว่าเรา

"ใช่ครับ เรา ที่หมายถึง พี่ กับ สีเทียน"

"พะ พี่ภูผาจะนอนที่นี้เหรอครับ"

"ใช่ ตอนเเรกพี่ก็กะว่าจะกลับบ้าน เเต่พอเจอเหตุการณ์เเบบนี้พี่คิดว่าไม่ควรปล่อยเราให้อยู่คนเดียว พี่หวังว่าเราจะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของพี่เเละไม่ไล่พี่ให้ขับรถกลับบ้านเวลานี้ใช่ไหมครับ" น้ำเสียงออดอ้อนนิดๆ ของพี่ภูผาทำให้ผมใจอ่อนยวบ

"ได้เเน่นอนอยู่เเล้วครับ! " ผมรีบตอบออกไปด้วยเสียงที่ดังฟังชัด อ่า! มันไม่ดูดีใจจนเกินงามใช่ไหมนะ เเล้วไอ้หน้าที่กำลังอมยิ้มน้อยๆ ของตัวเองเมื่อไหร่จะหุบลงได้ละเนีย


หลังจากที่ได้ข้อสรุปว่าวันนี้เราจะพักเอาเเรงกันก่อนเเล้วค่อยไปเครียดกันต่อในวันพรุ่งนี้ จากนั้นพี่ภูผาก็ลงไปเอาเสื้อผ้าของตัวเองที่อยู่ในรถ ก่อนจะไปอาบน้ำจัดการตัวเองเรียบร้อยเเละตอนนี้พี่ภูผาก็กำลังนอนอยู่บนเตียงผมเเละเล่นโทรศัพท์ด้วยท่าทางสบายๆ

"เอิ่ม พะ พี่ภูผาจะนอนบนเตียงด้วยกันเหรอครับ"

"ใช่ครับ"

"มะ ไม่มีความคิดเเบบ เดี๋ยวพี่ไปนอนโซฟาเองอะไรทำนองนี้เหรอครับ" ผมลองถามอีกฝ่ายออกไป เพราะตัวเองรู้สึกเขินๆกับการนอนเตียงเดียวกันยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างปกติเเล้วถ้าเจอเเบบนี้ ถ้าจะให้ดูโรเเมนติกเเละประทับใจอีกฝ่ายต้องเสียสละตัวเองไปนอนที่โซฟาไม่ใช่เหรอ

"ไม่มีครับ พี่อยากนอนแบบสบายๆมากกว่าไปนอนทรมานบนโซฟาครับ"

ตอบเสียงดัง หนักเเน่นเเละเหตุผลมาเต็มขนาดนี้ ก็คงต้องยอมเขาเเหละเนอะ

"อ่า ครับ ผมปิดไฟเลยนะครับ"

ผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้เเต่เอื้อมมือไปปิดไฟอย่างจำนน เเละเดินตัวลีบตรงไปยังเตียงนอน ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวเองลงเตียงอย่างเเผ่วเบา ราวกับกลัวว่าความยวบของเตียงจะไปรบกวนคนข้างๆ ค่อยๆสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม เเละดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ เเละความจริงที่ผมได้ค้นพบอีกหนึ่งข้อของคืนนี้คือ นอกจากนอนเตียงกันเเล้ว ผ้าห่มก็ห่มผืนเดียวกันอีกด้วย 

ผีบ้านผีเรือนได้โปรดช่วยสีเทียนด้วย! ไม่ทันเตรียมใจเลย


"นอนตัวเเข็งทื่อเเบบนั้น เดี๋ยวก็เมื่อยตัวหรอก"

"ไม่เมื่อยหรอกครับ"

"เรากลัวพี่เหรอครับ "

"มะ ไม่ใช่นะครับ"

"ถ้าไม่ใช่ก็นอนดีๆครับ เราทำเเบบนี้พี่จะคิดว่าเรารังเกียจพี่"

"ผะ ผมไม่ได้รังเกียจเลยนะครับ คะ เเค่ เเค่รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่นอนเตียงเดียวกัน"

"หืม จะรู้สึกแปลกทำไม ก่อนหน้านี้ก็นอนด้วยกันตั้งหลายคืน เเถมยังละเมอกอดพี่ทุกคืน"

เพราะมีเเค่เเสงสลัวที่มาจากหน้าต่างเท่านั้นทำให้ตอนนี้ผมไม่สามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายทำหน้าเเบบไหนเเต่จากน้ำเสียงที่พูดมา ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าล้อเลียนผมอยู่เเน่ๆ

"ถ้างั้นคืนนี้ผมจะกระโดดขึ้นไปทับพี่ภูผาทั้งคืนเลยครับ"

"ถ้าอย่างนั้นขึ้นมาตอนนี้เลยครับ" ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายก็เอื้อมมือมากระชากเเขนผม จนทำให้ตอนนี้ผมแทบจะขึ้นไปอยู่บนตัวพี่ภูผาจริงๆ

"ผะ ผมพูดเล่นครับ"

"แต่พี่ทำจริงครับ"

"นะ นอน นอนกันดีกว่าครับดึกเเล้ว นอนครับ นอน" ผมว่าเร็วๆขยับตัวออกมานอนบนหมอนตัวเองตามเดิม ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวตัวเองจนมิด

คิดจะสู้กับคนอย่างนายภูผา ชลอนันตร์ ไม่ง่ายจริงๆด้วย เฮ้อ! จะไหวไหมเนียสีเทียน

เวลาผ่านไปซักพักผมที่ยังคงนอนไม่หลับก็รับรู้ถึงลำเเขนหนักๆของคนที่นอนข้างๆพาดผ่านตัวผม ผมหันหน้าไปมองคนข้างๆ ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปบนเเก้มเบาๆสองสามที

"อันนี้ละเมอหรือเเกล้งกันเเน่ครับ" รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม


เเต่ไม่ว่าพี่ภูผาจะละเมอหรือตั้งใจ ยังไงมันก็ดีมากๆเลย ผมขยับตัวเองเบาๆเข้าไปใกล้พี่ภูผามากขึ้นกว่าเดิม จนตอนนี้ผมเเทบจะขึ้นไปนอนทับพี่เขาจริงๆอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้าเเล้ว ผมรู้สึกถึงเเรงกระชับของอ้อมเเขนที่เเน่นขึ้นของคนข้างๆ ผมนอนตัวเกร็งทันทีเพราะกลัวว่าคนข้างๆจะตื่นขึ้นมา เเต่นับว่าผมยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่คนข้างๆไม่ตื่นขึ้นมา


ก็อ้อมกอดนี้มันอบอุ่น มีโอกาสก็ขอใช้หน่อยก็เเล้วกันนะครับ


จากที่มัวเเต่กังวล คิดสับสนจนในหัวมันตีรวนจนนอนไม่หลับ เเต่เพียงเเค่ได้รับอ้อมกอดจากคนข้างๆก็ทำให้ความคิดยุ่งเหยิงหายไปแทบทั้งหมด เเละรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ

เเม้คืนนี้จะมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ เเต่ก็มีเรื่องที่ทำให้สุขใจเช่นกัน

ขอบคุณที่คอยเป็นห่วง เเละอยู่ข้างๆ

ขอบคุณอ้อมกอดที่ช่วยปลอบประโลมให้ทุกอย่างเบาบางลงนะครับ

ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจจีบพี่ภูผาให้ติดนะครับ รอผมหน่อยนะครับ

อ้อมกอดนี้เก็บไว้ให้ผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเอาไปให้คนอื่น

ส่วนเรื่องราวความยุ่งเหยิง เจอกันพรุ่งนี้นะครับ วันนี้สีเทียนขอพักก่อนนะ




"ทำไมกูไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่ามีเหตุการณ์เเบบนี้เกิดขึ้นกับมึง" น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยใจของผู้พูดเป็นอย่างดีดังขึ้น


หลังจากที่มาถึงมหาลัย ผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะ โดยประกอบไปด้วย ผม ขนม ตุลา พี่วา พี่ธูป พี่ภูผา เเละอีกคนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยคือพี่โก้ ตอนที่ผมมาถึงที่โต๊ะเล่นเอาผมตกใจจนเเทบช็อกเลยครับ เพราะปกติเเล้วผมแทบไม่ได้เจอพี่โก้ในมหาลัยเลย เมื่อสิ้นเสียงของผมที่เล่าเรื่องราวต่างๆจบลงก็เป็นขนมคนเเรกที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวน้อยใจเเละงอนผมมากๆ


"เราขอโทษ ขนมอย่าโกรธเราเลยนะ" ผมหันไปทำสีหน้าอ้อนวอนเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ

"ถ้าไม่เกิดเรื่องเเบบนี้ขึ้น มึงก็ไม่คิดที่จะบอกพวกกูเลยใช่ไหมสี"

"มะ ไม่ใช่เเบบนั้นนะตุลา"

"เเล้วมันเเบบไหน"

"คือเราไม่อยากให้ขนมกับตุลาเป็นห่วง และอีกอย่างเราก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เเบบนี้"


ถึงเเม้ว่าผมจะเตรียมใจมาบ้างเเล้วที่จะโดนเพื่อนสนิททั้งสองคนโกรธ เเต่พอมาเจอเเบบนี้จังๆก็ทำให้ผมใจเสียไม่น้อยเลย


"ต้องรอให้มึงโดนกระซวกไส้ทะลักก่อนหรือไง มันถึงจะเป็นเรื่องใหญ่พอสำหรับมึง"

"ขน๊มมมมม เราผิดไปเเล้ว ขนมอย่าโกรธเราเลยนะ" ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ขนม ยื่นมือไปคล้องเเขนขนมเอาไว้ ใช้หน้าถูไถกับเเขนของขนมไปมา "เรารู้สึกผิดเเละเสียใจจริงๆนะ"

"เฮ้อ มึงนี่นะ ทำผิดเเล้วก็ชอบมาอ้อนให้กูใจอ่อน"

ผมฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ให้ขนม เมื่อรู้ว่าตอนนี้เพื่อนของตัวเองกำลังจะใจอ่อนให้ผมเเล้ว

"มึงอย่ามายิ้มเเบบนั้นนะ ไอ้สีเทียน" ขนมหันมาดุผมเบาๆ "กูเป็นห่วงมึงมากนะเว้ย เเล้วก็เสียใจด้วยที่มีเรื่องขนาดนี้เเต่มึงก็ไม่บอกกู ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงกูจะทำยังไง กูอยากเป็นเพื่อนอยู่กับมึงทั้งทุกข์เเละสุข ไม่ใช่เเค่สุขอย่างเดียว มึงเข้าใจกูไหม"

"เรารักขนมมากๆนะ" ผมยังคงส่งยิ้มให้ขนมอยู่ "กับตุลาเราก็รักมากๆเหมือนกันนะ ตุลาอย่าโกรธเรานะ"

"มึงนี้มันจริงๆเลยไอ้สี" ตุลาเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ "ที่ไอ้หนมมันพูดมาก็ถูกนะ กูก็อยากเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมึงนะ ไม่ใช่เพื่อนที่อยากจะสุขอย่างเดียว ถึงเราจะเจอกันไม่นาน เเต่สำหรับกูมึงเป็นเพื่อนที่กูรักมากๆคนนึงเลยนะ" เมื่อสิ้นคำพูดของตุลานั่นยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นไปอีก

"เราขอโทษทั้งสองคนจริงๆนะ เราคิดน้อยไปเอง ขนาดที่ว่ามีจดหมายส่งมาขู่เเต่เราก็เงียบเฉย มัวเเต่พะวงว่าจะทำให้ทั้งสองคนเป็นห่วง โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าถ้าสองคนมารู้ทีหลังจะรู้สึกเเย่เเค่ไหน ขอโทษจริงๆนะครั้งหน้าเราจะบอกทั้งสองคนทันทีเลยนะ"

"คิดได้ก็ดี" ขนม

"ให้มันจริงอย่างที่พูด" ตุลา

"รักที่สุด" สัญลักษณ์บอกรักถูกส่งไปให้ทั้งสองคน

"น้องเทียนไม่บอกรักพี่ธูปบ้างเหรอครับ"

"เงียบไปเลยมึงอ่ะ"

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่ธูปออกไป พี่ภูผาก็เเย่งพูดขึ้นมาซะก่อน

"ไม่ได้เลยนะมึงไอ้ภู นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลย"

"พวกมึงเลิกเถียงกัน เเล้วมาคุยกันเรื่องของไอ้อุปกรณ์เครื่องเขียนก่อนไหม" พี่โก้ที่เงียบอยู่นานว่าขึ้น

"จริง กูฟังเรื่องที่น้องเทียนเล่า เเล้วรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ" พี่วาว่าขึ้น

"น้องเทียนสงสัยใครเป็นพิเศษไหมครับ"

"ไม่เลยครับพี่วา ผมไม่รู้จริงๆว่าใครที่ต้องการให้ผมหายไป"

"เเล้วทำไมใครคนนั้นถึงต้องการให้มึงหายไปด้วยวะสี"

"ขนมถามเราเเล้วจะให้เราไปถามใครเนีย"

"พี่ภู"

"ว่า?"

"ผมไม่ได้เรียกพี่สักหน่อย"

"ไม่เรียกเชี่ยรัยเดือนสิบ เมื่อกี้กูได้ยินมึงเรียกชื่อไอ้ภูอยู่"

"ไม่ คือผมกำลังจะบอกว่า พี่ภู"

ตอนนี้ทั้งโต๊ะหันไปมองตุลากันเป็นตาเดียว เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตุลาต้องการจะสื่อออกมา

"ผมว่าบางที อาจจะเป็นใครสักคนที่ชอบพี่ภู"

"เป็นไปได้" พี่วาเอ่ยเห็นด้วย

"เออ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะถ้าลองคิดดีๆ เหตุการณ์มันเริ่มเกิดขึ้นตอนที่ไอ้ภูเข้าหา..... เอ้ย ตอนที่ไอ้ภูกับน้องเทียนสนิทกันเเล้ว"

"ถ้างั้นก็งานยากเลยนะไอ้ธูป"

"ยากยังไงอ่ะพี่โก้"

"มึงคิดดูนะขนมหวาน ว่าถ้าเป็นเเฟนคลับไอ้ภูจริงๆ เเล้วเราต้องตามหาต้นตอว่าเป็นใคร เราไม่ต้องหากันตาเหลือกเหรอวะ แฟนคลับไอ้ภู แม่ง ปาไปครึ่งค่อนมหาลัย"

เมื่อฟังคำที่พี่โก้พูดผมก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะสิ่งพี่โก้พูดมันไม่ได้เกินไปหรอกครับ

ผมนั่งฟังคนอื่นๆพูดคุยกันไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวผมเองทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหาช่องไฟในการเข้าเเทรกได้เลย เเค่ขนมคนเดียวผมก็เเย่เเล้ว เจอพี่ธูป พี่โก้ เข้าไปอีก เจอเเบบนี้นั่งฟังเเละคอยตอบคำถามทั้งสามคนดีกว่าครับ

นั่งฟังไปได้สักพักจู่ๆสมองผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้

"ทุกคน!" ผมตะโกนออกไปเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนหยุดนิ่งเเละหันมาทางผม ซึ่งมันได้ผล ตอนนี้ทุกคนหันมามองผมอย่างพร้อมเพรียงกัน

"เป็นไรของมึง"

"คือ ขอโทษนะ เเต่เราคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้"

"เรื่องอะไรเหรอครับ" พี่ภูผาถามขึ้น

"คือว่า พี่ภูผาจำวันที่เราไปซื้อของเเล้วไปเจอพี่เท็นในห้องน้ำได้ไหมครับ"

พี่ภูผาพยักหน้าตอบรับ

"วันนั้นก่อนที่พี่ภูผาจะเข้ามาตามผมในห้องน้ำ ผมได้มีโอกาสยืนคุยกับพี่เท็นอยู่แป็บนึง เเละมีประโยคแปลกๆที่พี่เท็นพูดออกมาด้วยครับ"

"พูดว่าไรวะสี"

"พี่เท็นบอกเราว่า ถ้าคิดจะยุ่งกับพี่ภูผา ก็ให้เราระวังตัวเอาไว้สักหน่อย คนที่เป็นที่หมายปอง มักมีมือที่เรามองไม่เห็นคอยมองอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดีเเบบที่เราเห็นนะ"

"หรือว่าไอ้พี่เท็นมันจะรู้อะไร" พี่ธูปพูดขึ้น

"หรือกูไปหลอกถามไอ้พี่เท็นดี" พี่วาเสนอไอ้เดีย

"อย่าเพิ่ง" พี่ภูผาเอ่ยห้ามเพื่อนของตัวเอง

"ทำไมวะ"

"เออนะ"

"โอเค"


เเค่คำว่า 'เออนะ' ของพี่ภูผาเเค่คำเดียว ทำให้พี่วายอมเเพ้ไป พร้อมกับพยักหน้าราวกับว่าตัวเองเข้าใจคำว่า 'เออนะ' ของพี่ภูผาอย่างเเจ่มเเจ้ง


"กูเริ่มกลัวเเทนมึงเเล้วนะไอ้สี" สีหน้าที่จริงจังของเพื่อนสนิทอย่างขนมหันมามองผม

"นั่นสิ ถึงขั้นรู้ที่อยู่ของมึงด้วยนะ กูว่าไม่ปลอดภัยมากๆ"

"เออ จริงอย่างที่ไอ้ลาว่า มึงย้ายมาอยู่กับกูไหมสี"

"ถ้ามึงไม่อยากไปอยู่ห้องสกปรกๆของไอ้หนม มาอยู่กับกูก็ได้นะ"

"เดี๋ยว ทั้งสองคนใจเย็นๆก่อน"


ผมยิ้มน้อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อบอกให้ทั้งสองคนหยุดก่อนเเละให้ใจเย็นๆ


"เย็นได้ไงว้า มึงไม่เข้าใจกู" คนดื้อเเละขี้น้อยใจมีอยู่จริง

"ขนมอย่าเพิ่งงอน เราว่าคงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างคอนโดเราก็ใช่ว่าใครๆจะเข้าได้ง่ายๆสักหน่อย"

"ไม่รู้อ่ะ ยังไงกูก็ไม่สบายใจกับการปล่อยมึงอยู่คนเดียว"

"ใช่ กูว่าช่วงนี้มึงมาอยู่กับพวกกูสักพักดีกว่า ไม่งั้นพวกกูคงไม่เป็นอันทำอะไรเพราะมัวเเต่เป็นห่วงมึงเเน่ๆไอ้สี"

"ถ้าไม่อยากไปอยู่กับไอ่สองคนนั้น น้องเทียนสนใจมาอยู่กับพี่ เอ้ย! สนใจมาอยู่กับเพื่อนพี่ไหมครับ" สิ้นเสียงของพี่ธูปความเงียบก็กลับมาสู่โต๊ะผมอีกครั้ง

"เอ้าเงียบกันทำไมครับทุกคน"

 "เราส่งจะลูกลิงไปอยู่กับหมาป่าไม่ได้นะเว้ยไอ้พี่ธูป ไอ้สีต้องมาอยู่กับผม"

"มึงอย่าขัดขวางดิว่ะไอ้หนม ถ้ามึงอยากได้เพื่อนนอน เดี๋ยวกูไปนอนเป็นเพื่อนเอง"

"ใครจะอยากไปนอนกับพี่ว่ะ" ขนมเเยกเขี้ยวขู่พี่ธูปฟ่อๆ ส่วนพี่ธูปก็ทำเพียงเเค่ยักไหล่ ไม่ได้มีความกลัวสักนิดเดียว

"อะ เออ เอ้อ ดีเลยความคิดมึงไอ้ธูป ดีเลย ยังไงน้องเทียนก็มามหาลัยพร้อมกับไอ้ภูอยู่เเล้ว อีกอย่างคอนโดไอ้ภูก็มีตั้งสองห้อง สะดวกกว่าเยอะ เเถมอยู่กับไอ้ภูก็ปลอดภัยเเน่นอน" เมื่อพูดเสร็จผมสังเกตเห็นพี่วาตวัดสายตาไปมองพี่ภูผาเเบบเคืองๆก่อนจะก้มเอามือไปลูบหน้าเเข้งตัวเอง โดนมดกันหรือเปล่านะ

"จริง จริงเลย ที่ไอ้ธูปกับไอ้วาพูดมามีเหตุผล ใช่เลย! ไปเลยอุปกรณ์เครื่องเขียน มึงไปอยู่กับไอ้ภูเลย กูรับรองความปลอดภัยเลย"

"เดี๋ยวพี่โก้ ทำไมทำท่าทางเเปลก"

ผมอยากจะขอบคุณขนมมากๆที่ถามคำถามนี้เเทนผม ท่าทางของพี่โก้ดูมีพิรุธจนชวนให้สงสัย

"อะไร๊ ขนมหวาน มึงคิดไปเอง" ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งมีพิรุธนะคนคนนี้ เเล้วอะไรคือการที่พี่รหัสของผม หันซ้ายหันขวา มีอารมณ์ชมนกชมไม้ตอนนี้ครับ

"ก็ดีนะสี" ตุลาว่าขึ้น "อยู่กับพี่ภูกูจะได้ค่อยสบายใจหน่อย"

"เเต่กูจะเครียดยิ่งกว่าเดิม ตอนเเรกห่วงจะโดนทำร้าย ทีนี้ต้องมาห่วงว่าจะโดนเเดกเเทน" ขนมตวัดสายตาไปมองพี่ภูผาด้วยหน้าตาที่ชวนหาเรื่องสุดๆ

"มึงจะเอาไงสี เเต่เรื่องที่จะให้มึงอยู่คอนโดคนเดียวกูขอคัดค้าน" ตุลาหันกลับมาถามความคิดเห็นของผม

"คะ คือเรา............."


**มีต่อด้านล่างนะคะ**
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา (ตอนที่ 16 ต่อ) โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Vivichan ที่ 25-03-2021 16:17:32
**ต่อ ตอนที่ 16**

"ไอ้เด็กไม่รักดี ใช่สิ ตอนนี้โตขึ้นเเล้วหนิ พร้อมจะออกเรือนเเล้วไง มึงเคยคิดถึงหัวอกคนที่เขาคอยฟูมฟักมึงมาตั้งเเต่เด็กไหม ว่าเขาจะรู้สึกยังไง ไม่ทันไรก็จะหนีตามไปอยู่กับผู้ชายซะเเล้ว"


ตั้งเเต่เมื่อเช้าที่ผมตัดสินใจที่จะไปรบกวนขออยู่กับพี่ภูผาสักระยะ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาในตอนบ่ายเเล้ว ขนมยังคงตัดพ้อผมไม่หยุด


"กูจะไปเด็ดก้านมะยมข้างตึกวิทย์มาตีน่องมึง คอยดู"


ผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือรำคาญขนมเลยสักนิด เพราะรู้ดีว่าเพื่อนบ่นไม่ได้จริงจังสักเท่าไหร่ เเต่ความเป็นห่วงที่ผสมมาในคำบ่นคือของจริง เหตุผลที่ผมตัดสินใจไปอยู่กับพี่ภูผาก็คือ เพราะผมอยากอยู่ครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ไม่ใช่ว่าอยู่กับเพื่อนไม่ดีนะครับ อยู่กับเพื่อนมันก็ดี เเต่อยู่กับคนที่ชอบก็ย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้นในเมื่อโอกาสมายืนโบกมือทักทายอยู่ตรงหน้าขนาดนี้เเล้ว ถ้าไม่คว้าเอาไว้ก็เสียชื่อสีเทียนหมดสิครับ นี่สิครับที่เขาว่ากันว่า ในวิกฤต ยังมีโอกาส มันเป็นเเบบนี้นี่เอง ผมก็หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจผมนะ


ส่วนข้อสรุปของการย้ายที่อยู่ในวันนี้นั้นก็คือ ย้ายถิ่นที่อยู่ชั่วคราวในวันนี้เลยครับ ตอนเเรกผมบอกจะขอเวลาเก็บเสื้อผ้าสักคืน เเต่ดูเเล้วพี่ภูผาเหมือนจะใจร้อนหรือยังไง บอกผมว่าเดี๋ยวจะเข้าไปช่วยเก็บเเละย้ายไปที่คอนโดพี่ภูผาวันนี้เลย ตอนเเรกผมนัดพี่ภูผาไว้ตอนเย็น เเต่เนื่องจากอาจารย์ยกเลิกคลาสเรียนในตอนบ่าย ตอนนี้ผมจึงมานั่งรอพี่ภูผาอยู่ตรงที่นั่งข้างๆโรงอาหาร


"ขนมหิวน้ำไหม เราหิวน้ำจังเลย อยากกินน้ำอบเชยจังเลย เราไปซื้อน้ำดีกว่า เดี๋ยวเราซื้อน้ำมาเผื่อนะ" รู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี จำไว้นะครับทุกคน ผมพูดรัวๆเร็วๆโดยที่ไม่มีช่องว่างให้ขนมพูดเเทก จากนั้นก็รีบวิ่งไปซื้อน้ำทันที

"ไอ้สี" ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองตะโกนตามหลังมา เเต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองเเต่อย่างใด ก็หนีออกมาได้เเล้วนี่เนอะ


"น้ำอบเชยเเก้วนึงครับ"

"หนูเทียน มาทันเเก้วสุดท้ายพอดีเลยลูก"

"เย่ ดีใจจังเลยครับ" ผมยืนยิ้มแป้นเเล้นมีความสุขกับการได้รับน้ำอบเชยเเก้วสุดท้ายมาไว้ในมือ

ในเวลาบ่ายเเบบนี้ผู้คนในโรงอาหารค่อนข้างที่จะหนาตา ทำให้บางจังหวะก็มีการเดินเบียดเสียดกันบ้างเล็กน้อย


ซ่าาาาาาาาาา

"เฮ้ย!" ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงใคร เสียงของผมเองครับ

"ขะ ขอโทษนะคะ"  น้องผู้หญิงที่เซมาชนผมจนน้ำอบเชยที่ผมถืออยู่ในมือมันหกมารดเสื้อนักศึกษาของผมจนเปียกเลอะเทอะไปหมด กล่าวขอโทษด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจเเละรู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรครับ" ผมส่งยิ้มสุภาพให้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ

"ขอโทษจริงๆนะคะ พี่สีเสียน"   หืม รู้จักเราด้วยเหรอเนีย "คือหนูก็โดนเบียดมาเหมือนกันเเต่ไม่ทันมองว่าใครเบียดเพราะคนเยอะ หนูขอโทษจริงๆนะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ"

"ขอโทษอีกครั้งนะคะ" น้องผู้หญิงยกมือไหว้ผมด้วยสีหน้าที่ยังรู้สึกผิดไม่หาย

"ครับ อย่าคิดมากนะ พี่ขอตัวไปล้างตัวก่อนนะ"

"ค่ะ"


"อ้าว! น้องเทียน ไปโดนอะไรมาเนีย"

"พี่เบลล์สวัสครับ"

"ไปเล่นน้ำที่ไหนมาเนีย" พี่เบลล์ว่าพลางสายตาก็สำรวจเสื้อผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำอบเชย

"พอดีว่าเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ"

"อ่อ เเล้วเราไม่เป็นอะไรใช่ไหม"

"ครับ เเต่ผมขอตัวไปล้างก่อนนะครับ รู้สึกเหนียวตัวมากเลย"

"จ้าๆๆๆ ระวังตัวดีๆนะ" พี่เบลล์ยกมือขึ้นโบกลาผม พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส

"ครับ"



"ไอ้สี มึงไปโดนอะไรมาเนีย" ขนมมีสีหน้าที่ตกทันทีที่เห็นสภาพของผม

"ขน๊มมมมมมมมมมมมม" ผมเบะปากออก

"ทำไม มึงเจ็บตรงไหนหรือเปล่าสี" ตุลารีบเข้ามาจับผมหมุนซ้ายหมุนขวา คิ้วก็ขมวดกันเเน่นจนจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่เเล้ว

"ตุล๊าาาาาาาาาาา"

"อะไร อะไรมึง" ยิ่งผมเรียกชื่อของตุลา ขนมยิ่งมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม

"เราซื้อน้ำอบเชยมายังไม่ทันได้กินเลย เเต่โดนคนเบียดมาชนจนน้ำเราเหลือเเค่ก้นเเก้วเอง เเล้ววันนี้เราก็ยังไม่ได้กินน้ำอบเชยเลย"  ผมชูเเก้วน้ำอบเชยที่ตัวเองยังถืออยู่ในมือให้ทั้งสองคนดู เหมือนเป็นการฟ้องกลายๆว่า 'เราโดนชนจนน้ำเราเหลือครึ่งเเก้วเลยนะ ทั้งสองคนช่วยเราด้วย'

"ไอ้สี" ไอ้เชี่ยสี"

"ทั้งสองคนเรียกเราทำไม"

"กูควรจะทำยังไงกับมึงดีเนีย" ขนมว่าพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง

ผมผิดอะไรอีกครับเนีย ผมก็เเค่เสียดายน้ำอบเชยที่เพิ่งไปซื้อมาเเล้วยังไม่ได้กินก็เเค่นั้น ของโปรดมาหกเเบบนี้เป็นใครก็ต้องเศร้าใจกันทั้งนั้นเเหละครับ

"ทั้งสองคนไม่เข้าใจ มันเป็นเเก้วสุดท้ายของวันนี้เลยนะ"

"เเม่งเอ้ย! เมื่อไหร่พี่ภูจะมาพามันกลับไปวะ"

ตุลาไม่อ่อนโยนกับผมสักนิด เเล้วไอ้สีหน้าของคนที่เหมือนกับเหนื่อยใจมากๆเเบบนั้น มันหมายความว่ายังไงกัน



"รอนานไหมครับ"

เมื่อได้ยินเสียงทักทายที่คุ้นเคย ผมที่ยืนหันหลังอยู่ก็รีบกลับหลังหันไปมองบุคคลที่มาใหม่ทันที เเต่ยังไม่ทันที่จะตอบอะไรออกไป น้ำเสียงนิ่งๆของคนมาใหม่ก็พาลทำให้รอยยิ้มของผมหุบฉับลงทันที

"เกิดอะไรขึ้นครับ"

"คะ คือ น้ำอบเชยหกใส่เสื้อครับ พอดีคนมันเยอะผมไม่ทันระวัง เลยโดนชนครับ"

พี่ภูผาไม่พูดอะไร ได้เเต่มองเสื้อผมด้วยเเววตานิ่งๆเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิด ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังผมที่มี ขนมกับตุลานั่งอยู่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ผมเห็นเพียงเเค่พี่ภูผาพยักหน้าสองสามครั้ง ก่อนจะเดินมายืนข้างๆผม


"กลับกันครับ เดี๋ยวเราจะเเวะเข้าไปเก็บของเลยนะครับ"

"ครับ"

ผมหันไปบอกลาเพื่อนๆทั้งสองคน ก่อนจะคว้ากระเป๋าเเละเดินตามพี่ภูผาไปขึ้นรถที่จอดอยู่ใกล้ๆอาคารเรียน


ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคอนโดของผม ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเพราะรู้สึกเหนียวตัวมากๆ จากนั้นก็มาจัดการรื้อพวกเสื้อผ้า หนังสือ เเละของใช้ที่จำเป็นลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เเละลังกระดาษอีกหนึ่งลัง ตอนเเรกผมกะว่าจะเอาของไปไม่เยอะ เเต่พอหยิบไปหยิบมา มันเยอะจนเหมือนกับว่าผมจะย้ายบ้านไปอยู่กับพี่ภูผาอย่างถาวรซะงั้น


หลังจากที่เก็บของเเละขนของขึ้นรถเสร็จก็ถึงเวลาเดินทางไปยังคอนโดของพี่ภูผาเเล้วครับ การเดินทางครั้งนี้ของผมมันชวนให้ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ก็จะไม่ให้ผมตื่นเต้นยังไงไหวละครับ ผมได้ไปเหยียบห้องของคนที่ชอบเป็นครั้งเเรกเลยนะครับ


แกร๊ก! เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นเป้นสัญญาณที่บอกว่าตอนนี้ประตูห้องได้เปิดเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ผมพยายามระงับความตื่นเต้นของตัวเอง ค่อยๆเดินเข้ามาภายในห้องของพี่ภูผา ผมถอดรองเท้าวางไว้ตรงหน้าประตู ส่วนมือก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาหยุดอยู่กลางห้อง เมื่อมาหยุดยืนอยู่กลางห้องของพี่ภูผา ผมก็อดที่จะตื่นตะลึงกับความกว้างของมันไม่ได้ ผมว่าห้องที่ผมอยู่กว้างเเล้วนะ เเต่ห้องของพี่ภูผากว้างยิ่งกว่า มีการเเบ่งโซนชัดเจน มีห้องนอนสองห้อง การตกเเต่งจะเเต่งเเนวเรียบง่าย มินิมอลๆ ทั้งห้องมีเเค่สีเทา ดำ ขาว เท่านั้น

"จะยืนอ้าปากค้างอีกนานไหมครับ"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลออ้าปากค้างอย่างที่อีกคนว่าหรือเปล่า เเต่เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็เม้มริมฝีปากของตัวเองทันที เเละเป็นตอนที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนข้างๆ มันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ในทันทีว่า ผมโดนพี่ภูผาเเกล้งอีกเเล้ว 

ผมอมลมไว้ในปาก มองอีกคนด้วยสายตาค้อนๆเเกมงอนนิดๆ เเละเหมือนพี่ภูผาจะรู้ตัว เจ้าตัวจึงเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้มาจิ้มเเก้มผม จนลมที่อยู่ในปากค่อยๆหลุดออกมา

"ปกติก็เเก้มอ้วนอยู่เเล้ว ยิ่งอมลมไว้เเบบนี้ยิ่งอ้วนเข้าไปใหญ่"

"ใครแก้มอ้วนกันครับ" ผมกอด อก มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เอียงหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนจะพูดว่า "พี่ภูผาไม่รู้อะไร คนมีแก้มอ่ะน่ารักจะตาย หอมมั่วๆยังไงก็โดน" ผมยักคิ้วไปสองจึ๊กให้คนตรงหน้าหลังจากพูดจบ

ฟอดดดดดด!

"จริงด้วย ขนาดพี่ลองหอมมั่วๆยังโดนเลย" อีกฝ่ายยกยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับยักคิ้วสองจึ๊กกลับมาให้ผม

ส่วนสภาพผมในตอนนี้คือ ทำได้เเค่ยืนอ้าปากค้างพะงาบๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเเบบไม่ทันตั้งตัว นี่ผมเสียเอกราชเเก้มให้พี่ภูผาไปแล้วเหรอเนีย

แก้มผมมันใช่ที่ลองไหมครับเนีย


เเล้วทำไมหัวใจเจ้ากรรมถึงเต้นเเรงขนาดนี้ละ 

ขนม ตุลา ช่วยเราด้วยยยยยยยยยยยยยยยยย~~~

สีเทียนไม่ไหว ใครไหวนำหน้าไปก่อนได้เลยครับ


<<< TBC >>>
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามและเข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-03-2021 21:41:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 25-03-2021 22:39:56
 :pighaun:
เริ่มต้นก็หอมแก้มแล้ว คืนนี้ไม่รอดแน่นอน
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: กัณฐ์ตังค์ ที่ 14-04-2021 22:53:22
สนองนีดเเหละ555555 :-[ :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: สีเทียนจะปีนภูผา โดย Wallpaper
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 18-04-2021 14:11:33
 :mew1: :-[ :impress2: