ToxicClass. (คาบเรียนอาบยาพิษ) ตอนที่5.อำนาจที่แท้จริงเป็นของเขา 09/02/22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ToxicClass. (คาบเรียนอาบยาพิษ) ตอนที่5.อำนาจที่แท้จริงเป็นของเขา 09/02/22  (อ่าน 1217 ครั้ง)

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง



ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2021 18:15:10 โดย TUWADEE »

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ToxicClass. (คาบเรียนอาบยาพิษ)
«ตอบ #1 เมื่อ30-01-2021 13:22:45 »


บทนำ.

ในวันที่คนๆหนึ่งสิ้นหวังในชีวิตเขากลับได้พบหลักพักพิงในชีวิตที่ทำให้โลกที่ไม่เคยมีอากาศให้เขาได้หายใจกลับมีอากาศให้เขาได้หายใจขึ้นมา
แต่...
อากาศของเขากลับกัดกินเขาเหมือนยาพิษโดยที่เขาไม่รู้ตัว
จนเขา...
ตายลงเพราะยาพิษในที่สุด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2021 13:52:20 โดย TUWADEE »

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่1.ความจริง

private International School

โรงเรียนเอกชนชื่อดังและค่าเทอมแสนแพงอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่ถ้าพูดกันตามตรงก็ต้องบอกว่ามีแต่ลูกคนมีเงินเท่านั้นที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีพื้นที่กว่าห้าร้อยไร่และกำแพงโรงเรียนที่สูงลิบฟ้าสมกับชื่อไพรเวทแต่ถึงจะมีเงินก็ใช่ว่าจะเข้าเรียนที่นี่ได้ทุกคนเพราะแต่ละปีที่นี่จะรับนักเรียนแค่ปีละห้าสิบคนเท่านั้นนั่นทำให้เกิดการแข่งขันสูงที่จะเข้าโรงเรียนแห่งนี้แค่ได้ใส่ชุดโรงเรียนนี้ออกไปข้างนอกก็ทำให้กลายเป็นคนดังในโซเชียลขึ้นมาได้ในทันที

ไพรเวทอินเตอร์แนชชั่นแนลสคูลไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องความแพงแต่ยังขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราของตัวมหาลัยที่อย่างกับหลุดเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงเพราะด้านในโรงเรียนแต่ละอย่างต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดถึงจะเข้ามาอยู่ในรั้วไพรเวทได้ตั้งแต่หลักสูตรการเรียนการสอน สิ่งอำนวยความสะดวก บุคลากร อาหาร ทางเดิน ยันถังขยะก็ยังต้องเป็นของที่ดีที่สุดใครได้เข้ามาใช้ชื่อไพรเวทก็เท่ากับว่ามีใบเบิกทางในสังคมชั้นดีทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าโรงเรียนแห่งนี้จะเป็นที่ปรารถนาของใครหลายคน

ซู่!!

เสียงรถที่วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูงพร้อมกับน้ำที่กระเด็นมาถูกจนเปียกไปทั้งตัวเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนเจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่งด้วยความอึ้งมองตามรถคันดังกล่าวที่ค่อยๆหายไปจากสายตาเรื่อยๆก่อนจะร้องหึออกมาในใจเบาๆก้มมองสภาพตัวเองที่เปียกไปทั้งตัวด้วยน้ำบนถนนแล้วอยากจะร้องออกมาเป็นภาษาต่างดาว
“เพิ่งมาเรียนวันแรกก็เอาแล้วหรอไอ้ข้าวเริ่มต้นได้ดีมาก!”
เจ้าของชื่อบ่นกับตัวเองด้วยอารมณ์เซ็งๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินต่อ
“เดี๋ยวๆใครนะหยุดๆ!”
จากที่เดินก้มหน้าก้มตาปัดเสื้อผ้าที่เปียกของตัวเองอยู่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเป็นชายวัยกลางคนในชุดยามที่วิ่งหน้าตั้งออกมาจากป้อมยามตรงมาหาเขาที่กำลังเดินตรงไปที่ประตูเล็กสำหรับให้คนเข้า
“จะไปไหนครับ”
คำถามของยามทำเอาเขาแปลกใจว่าทำไมถึงถามแบบนี้
“เข้าไปเรียนครับ”
“เข้าไปเรียน”
ยามอุทานออกมาด้วยสีหน้าสงสัยจนเขาได้แต่ตอบไปอย่างงงๆ
“ครับ”
“เป็นนักเรียนของที่นี่หรอ”
“ครับผมย้ายมาจากที่อื่นเพิ่งมาเรียนที่นี่วันแรก”
ถึงจะตอบทุกอย่างออกไปแล้วแต่ก็ยังไม่วายถูกมองด้วยสายตาสำรวจจนเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ
“ใช่หรอที่นี่เขารับนักเรียนแค่ปีละห้าสิบคนนะจะย้ายเข้ามากลางคันง่ายๆได้ยังไงเขาแย่งกันเข้าจะตายแล้วอีกอย่างเด็กที่นี่ไม่มีใครเขาเดินเข้าโรงเรียนหรอกนะมีแต่ขึ้นรถที่บ้านมาไม่ก็รถตัวเองทั้งนั้น”
คำพูดที่เหมือนกำลังดูถูกกับสีหน้าไม่เชื่อที่ส่งมามันทำให้เขารู้สึกแย่ขึ้นมานิดๆ
“ผมได้ทุนมาเรียนครับ”
“ทุน!”
คราวนี้ยามยิ่งแสดงสีหน้าไม่เชื่อยิ่งกว่าเดิม
“ครับ”
“ที่นี่อะนะมีเด็กทุน”
ยามยังคงมองเขาด้วยสายตาไม่ยอมเชื่อจนเขาต้องถอดเป้ออกจากหลังแล้วหยิบบัตรนักเรียนออกมายื่นให้ยามรับไปแล้วมองหน้าเขาสลับกับบัตรไปมาอยู่อย่างนั้นหลายรอบมากกว่าจะยื่นบัตรคืนให้
“เป็นนักเรียนที่นี่จริงๆด้วยขอโทษด้วยนะที่เข้าใจผิดเพราะที่นี่มีแต่คนอยากเข้าเลยเคยมีคนเอาชุดปลอมมาใส่แล้วหลอกเข้าไปในโรงเรียนนะถ้าพี่ปล่อยให้หลุดเข้าไปได้อีกโรงเรียนเอาพี่ตายแน่ๆเชิญๆ”
เขารับบัตรกลับมาเก็บใส่กระเป๋าแล้วยิ้มบางๆให้คนตรงหน้าอย่างไม่คิดจะถือโทษโกรธอะไรยามรีบวิ่งนำหน้าไปเปิดประตูให้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิงแต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นประตูเข้าไปแขนกลับถูกดึงไว้จนต้องหันกลับไปมอง
“อย่าให้พ่อแม่มาเอาเรื่องพี่เลยนะพี่มีลูกมีเมียต้องดูแลพี่ขอโทษจริงๆ”
สิ่งที่ได้ยินมันทำให้เขาไม่รู้จะตอบยังไงได้แต่พยักหน้าตอบไปก่อนจะหันกลับมาเดินต่อ
ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเอาพ่อแม่มาเอาเรื่องหรอก...เพราะเขาไม่ใช่ลูกคนรวยมีอำนาจเหมือนกับทุกคนที่เรียนที่นี่เขาเป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย
“โรงเรียนเรามีแค่มอสี่ถึงมอหกตึกนี้เป็นของมอหกส่วนตึกของมอสี่และมอห้าจะต้องข้ามรั้วไปเพราะแต่ละมอเราจะแยกคนละตึกชัดเจนและแต่ละตึกก็จะมีรั้วกั้น”
เมื่อมองตามคำบอกเล่าก็ถึงกับต้องตาโตเพราะอาณาเขตของโรงเรียนใหญ่มากจนสามารถสร้างตึกของแต่ละมอแบบมีรั้วกั้นอย่างกับไม่ใช่โรงเรียนเดียวกันได้
“เพราะเรารับนักเรียนแค่ชั้นปีละห้าสิบคนต่อปีเท่านั้นแต่ละห้องเลยจะมีนักเรียนแค่ห้องละสิบคนเพื่อที่จะได้ดูแลได้ทั่วถึงนั่นห้องหนึ่งส่วนนี่ห้องของเธอถัดไปห้องสามห้องสี่แล้วก็ห้องห้า”

6/2

เขาหยุดมองป้ายหน้าห้องด้วยความประหม่ามือทั้งสองข้างกำสายกระเป๋าเป้ตัวเองแน่นทั้งที่เตรียมใจมาแล้วแต่พอมาถึงสถานที่จริงก็รู้สึกยังไม่พร้อมขึ้นมาดื้อๆ
“ตามครูมาสิคณิน”
เสียงเรียกทำให้เขาหลุดจากความคิดก่อนจะโค้งหัวให้แล้วเดินตามเข้าไปในห้องเข้ามาก็ต้องตกใจนิดๆเมื่อเห็นบรรยากาศในห้องที่แตกต่างไปจากบรรยากาศของโรงเรียนเดิมที่เขาย้ายมาอย่างสิ้นเชิง
“เงียบฟังครูหน่อยค่ะทุกคน”
เสียงพูดกึ่งตะโกนของผู้ที่แทนตัวเองว่าครูทำให้ทุกคนที่กำลังทำกิจกรรมของตัวเองที่แตกต่างกันไปในห้องเรียนขนาดใหญ่เงียบลงแต่ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีกลัวผู้ที่มีศักดิ์เป็นครูเหมือนกับโรงเรียนปกติทั่วไปเวลาถูกครูดุเลยนั้นทำให้เขาแปลกใจมากๆที่เห็นทุกคนทำตัวชิวอย่างไม่รู้สึกอะไรบางคนไม่หันมามองด้วยซ้ำ
“วันนี้ครูพาเพื่อนใหม่มาแนะนำ”
จากที่ตอนแรกไม่มีใครสนใจตอนนี้กลับเกิดเสียงฮือฮาแล้วทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เขาจนคนถูกจ้องทำตัวไม่ถูกได้แต่กำสายกระเป๋าเป้ทั้งสองข้างของตัวเองแน่น
“เพื่อนใหม่!”

นักเรียนชายคนหนึ่งโพลงขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแปลกใจ
“ใช่จะกลับไปนั่งที่แล้วฟังครูได้หรือยัง”
เสียงพูดคุยด้วยสีหน้าไม่พอใจเริ่มดังไปทั่วห้องจนเขาเห็นแล้วรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันทีสีหน้าทุกคนตอนนี้เหมือนไม่มีใครอยากต้อนรับเขาเลย
“แนะนำตัวกับเพื่อนหน่อยคณิน”
ครูสาวหันมาพูดกับเขาเสียงเบาเขาพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับไปข้างหน้าแล้วเริ่มพูดแบบไม่เต็มเสียงนัก
“สวัสดีครับ ผมชื่อคณิน ชื่อเล่นชื่อข้าว เพิ่งย้ายมาเรียนวันแรกช่วยแนะ...”
เขาไม่สามารถพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้แล้วเพราะทุกสายตาที่กำลังจับจ้องมามันทำให้เขาตัวแข็งทือขึ้นมาดื้อๆจนต้องก้มหน้าลง
“ได้ไงละครูโรงเรียนเรารับคนแค่ปีละห้าสิบคนไม่ใช่หรอแล้วมันก็ครบแล้วนิจะมีคนใหม่เข้ามาเรียนง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง”
นักเรียนชายคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพร้อมกับนักเรียนคนอื่นพูดเสริม
“ใช่”
เกิดเสียงฮือฮาไม่พอใจไปทั่วห้องและดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆจนครูสาวต้องหยิบสันหนังสือเคาะลงกับโต๊ะเสียงจึงเงียบลง
“นี่เป็นกรณีพิเศษคณินเขาได้รับทุนมาจากคุณประวิทย์เจ้าของโรงเรียน”
“ทุน!”
นักเรียนชายคนเดิมอุทานด้วยสีหน้าไม่เชื่อก่อนจะตามด้วยนักเรียนหญิงคนหนึ่ง
“ครูพูดบ้าอะไรคะทุนอะไรโรงเรียนเราอะนะมีทุน”
เธอพูดจบแล้วตามด้วยอีกคน
“กว่าพวกเราจะเข้าที่นี่ได้แทบตายเงินก็เสียไปตั้งเท่าไรไม่รู้แล้วอยู่ดีๆนายคนนี้เป็นใครมาเข้ากลางคันได้ง่ายๆหนูไม่ยอมหรอกหนูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อให้มาจัดการโรงเรียน”
“ใช่”
เสียงพูดคุยดังขึ้นและความโกลาหลที่กำลังเกิดตอนนี้มันยิ่งเป็นสิ่งยืนยันความคิดแรกของคนมาใหม่ว่าเพื่อนใหม่ที่นี่ไม่มีใครอยากต้อนรับเขาจริงๆ
“อย่าบอกนะว่าพากันเป็นลูกคนรวยแต่กลัวแพ้เด็กทุน”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากมุมๆหนึ่งของห้องจนทุกคนต้องเงียบหันไปมองเจ้าของเสียงคือนักเรียนสาวสวยผมยาวดำสนิทที่กำลังนั่งส่องกระจกทาลิปอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างเธอเม้มปากก่อนจะวางกระจกลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองรอบๆห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ที่คนมาใหม่ที่กำลังมองไปที่เธอเหมือนกัน
“เลิฟลี่ทำไมพูดแบบนี้ละ”
นักเรียนชายที่นำทีมคนแรกเดินเข้าไปหานักเรียนสาวสวยคนดังกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดๆแต่ก็ไม่มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด
“พูดอะไรของเธอ”
เสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจโดยมีนักเรียนหญิงอีกสองคนในห้องเดินมาสมทบด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นกันนักเรียนหญิงคนนั้นไม่ตอบคำถามของใครสักคนเธอยืนขึ้นแล้วจับผมข้างหนึ่งทัดหูก่อนจะเดินผ่านทุกคนที่กรูเข้าไปหาเธอออกมาเหมือนกับว่าทุกคนตรงนั้นเป็นอากาศเธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าข้าวด้วยสายตาสำรวจแล้วพูดออกมา
“น่ารักดีออก”
สิ้นเสียงพูดของเธอก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงตะโกนมาของนักเรียนชายที่นำทีมคนแรก
“นี่เลิฟลี่ชมไอ้เด็กทุนนี่ว่าน่ารักหรอ!”
เธอไม่หันไปสนใจเสียงอะไรด้านหลังเลยแค่จ้องตากับเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินตาม
“เลิฟลี่ พวกมึงหลบกูดิ๊ เลิฟลี่ รอแพคด้วย!”

นักเรียนชายคนเดิมยังคงตะโกนตามพร้อมกับผลักคนอื่นๆออกให้พ้นทางก่อนจะวิ่งตามนักเรียนหญิงคนดังกล่าวออกไปส่วนเขาได้แต่มองตามสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“นั้นที่นั่งของเธอนะ”
เสียงของครูทำให้เขาหันไปมองตามมือที่ชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งท้ายห้องก่อนจะหันมาโค้งหัวให้ครูแล้วเดินไปตลอดทางที่เดินไปก็ถูกสายตาของคนในห้องที่ยังเหลือมองมาไม่เลิกเสียงพูดคุยของกลุ่มนักเรียนหญิงสามคนที่ยังยืนอยู่กลางห้องทำให้เขาต้องหยุดมือที่กำลังเอากระเป๋าออกจากหลังฟัง
“ยัยเลิฟลี่มันคิดว่าตัวเองสวยนักหรือไงคิดว่าแม่ตัวเองเป็นดาราแล้วจะทำตัวหยิ่งได้แบบนี้ละสิฉันละไม่ชอบขี้หน้านางจริงๆ”
เจ้าของเสียงพูดด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวมองตามคนที่เพิ่งออกไปก่อนจะหันมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“แกต้องจัดการให้นางเลิกคิดว่าตัวเองสวยกว่าคนอื่นนะของขวัญ”
นักเรียนหญิงอีกคนข้างๆเจ้าของชื่อพูดเสริม
“แต่จะว่าไปเด็กใหม่นั่นก็น่ารักอย่างที่ยัยเลิฟลี่มันพูดจริงๆนะแกดูใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไรดีอะ”
พอฟังมาถึงตรงนี้เขาก็ต้องชะงักทันทีได้แต่ทำทีเปิดหนังสือไปมาอย่างไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองนี่ขนาดยังไม่ถึงครึ่งวันยังเจอเหตุการณ์มากมายขนาดนี้แล้วต่อไปจะรอดมั้ย
การเรียนครึ่งวันแรกผ่านไปด้วยดีจนเสียงออดบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้นทุกคนในห้องต่างพากันลุกขึ้นแล้วทยอยออกจากห้องข้าวได้แต่มองตามก่อนจะหันมาเก็บของบนโต๊ะแล้วลุกออกไปบ้างข้าวไม่รู้เลยว่าโรงอาหารไปทางไหนเพราะที่นี่ใหญ่มากไม่เหมือนกับโรงเรียนเก่าที่ถึงแม้จะไม่รู้ก็เดินหาได้ง่ายๆหลังจากเจอเหตุการณ์ในห้องมันทำให้ข้าวไม่กล้าที่จะเข้าไปถามใครเลยเดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆจนเจอเข้ากับโรงอาหารในที่สุดข้าวได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่รู้ว่าจะไปเริ่มที่ตรงไหนแต่เมื่อตั้งสติได้ก็เริ่มเดินเข้าไปดูแต่ละร้านใกล้ๆอาหารกลางวันแต่ละอย่างของที่นี่มีแต่อาหารของคนมีเงินสินะถึงมีแต่อะไรที่ไม่คุ้นชินเอาซะเลยมันดูหรูหราจนแทบจะไม่กล้ากินโรงอาหารมีแทบจะทุกอย่างตั้งแต่อาหารหลากหลายเชื้อชาติ ขนม ของหวาน น้ำ ผลไม้ ไอศรีม เบเกอรี่ และอีกมากมายที่พูดวันเดียวคงไม่หมดจนสุดท้ายข้าวก็มาหยุดอยู่ร้านที่มีขนมปังโชว์อยู่ในตู้แล้วสั่งอะไรง่ายๆกิน
“เอาขนมปังใส้แฮมกับเฟรนช์ฟรายส์แล้วก็นมจืดแก้วหนึ่งครับ”
หญิงสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านในร้านตอบรับเมนูไปข้าวเลยใช้เวลานั้นหันดูของที่อยากกินอีกต่อไปเพราะค่าเทอมที่นี่แพงหูฉีกแค่เทอมเดียวก็แทบจะซื้อรถได้เป็นคันอาหารเลยฟรีแบบไม่ต้องใช้เงินอยากจะกินอะไรก็กินได้เต็มที่อย่างไม่มีจำกัด
“ขอบคุณครับ”
ข้าวรับถาดอาหารมาพร้อมกับโค้งหัวกล่าวขอบคุณ
“ทำไมป้าไม่เคยเห็นหน้าเลยมาใหม่หรอ”
หญิงคนขายร้องทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนั้นมันทำให้ข้าวรู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจากที่ตั้งแต่มาไม่มีใครที่นี่ดูยินดีกับการมาของเขาเลย
“ครับผมเพิ่งมาเรียนวันแรก”
ข้าวตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกันจนหญิงคนขายขอถาดอาหารกลับไปตอนแรกข้าวก็งงว่าทำไมที่แท้เอากลับไปตักเฟรนช์ฟรายเพิ่มให้จนเต็มถาด
“มาที่ใหม่วันแรกก็ต้องกินเยอะๆ”
ข้าวมองถาดอาหารที่ถูกส่งกลับมาอย่างรู้สึกตื้นตันก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณครับ”
“เป็นเด็กมีสัมมาคารวะแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนใครก็รักรักษาไว้นะลูก”
ข้าวและหญิงคนขายยิ้มให้กันก่อนที่เขาจะยกถาดอาหารหันตัวออกมา
เคร้ง!
แต่ในขณะที่กำลังหันกลับออกมาเขาดันหันไปชนเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างจังจนถาดอาหารในมือร่วงไปกับพื้นจนเสียงดังไปทั่วบริเวณ
“ขอโทษครับ ขอโทษ ผมไม่ทันได้มอง!”
ข้าวกล่าวขอโทษไม่หยุดล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อสูทตัวเองออกมาเช็ดให้คนตรงหน้าแต่มือกลับถูกปัดออกแรงจนผ้าเช็ดหน้าในมือร่วงลงไปที่พื้นนั้นเป็นจังหวะให้ข้าวได้เงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณีทำให้รู้ว่าเป็นนักเรียนชายคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าโกรธจัดพร้อมกับนักเรียนชายอีกสองคนที่ยืนอยู่คนละข้างที่ซึ่งก็กำลังมามองที่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นกันทุกคนในบริเวณนั้นต่างพากันถอยออกห่างแล้วไปแอบมองซุบซิบมาจากที่ไกลๆคู่กรณียกมือขึ้นปัดเสื้อสูทของตัวเองที่เต็มไปด้วยนมแรงๆแล้วหยุดหลับตาถอนหายใจเหมือนสะกดอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองข้าวที่ยืนตัวแข็งทืออยู่ไม่ใช่ว่าข้าวกลัวที่จะถูกต่อยกระทืบหรืออะไรยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันแต่ที่ข้าวกลัวคืออย่างที่รู้ว่าที่นี่มีแต่ลูกคนมีเงินลูกคนใหญ่คนโตอย่างคนนี้ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ถ้าเขาให้พ่อแม่มาเอาเรื่องจะทำยังไงเขาจะทำยังไงถ้าเกิดถูกเรียกเงินค่าเสียหาย
“มึงกล้าดียังไงมาทำเสื้อกูเลอะห๊ะ!”
เสียงตะโกนดังก้องกังวานไปทั่วโรงอาหารพร้อมกับคอเสื้อของข้าวที่ถูกกระชากเข้าไปหาจนตัวโยกตามแรงกระชาก
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ข้างหลัง ผมขอโทษจริงๆ”
ข้าวกล่าวคำขอโทษออกมาไม่หยุดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดจริงๆแต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าเขาจะแสดงความจริงใจว่าไม่ได้ตั้งใจออกมาขนาดไหนคนตรงหน้าก็เหมือนว่าจะไม่ยอมลดอารมณ์โกรธลงเลยมิหนำซ้ำยังขย้ำคอเสื้อแรงขึ้นจนข้าวเริ่มหายใจไม่ออกจนต้องยกมือขึ้นรั้งคอเสื้อตัวเองสู้
“มึงว่าไงนะไม่รู้ว่ากูอยู่ตรงนี้อย่างงั้นหรอ!”
“อย่ามีเรื่องกันเลยพ่อหนุ่มเพื่อนเขาไม่ได้ตั้งใจ”
หญิงคนขายพูดเสียงนุ่มแต่ก็ถูกหนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆคู่กรณีของข้าวสวนขึ้น
“เรื่องนี้ป้าไม่เกี่ยวอย่ายุ่งเลยดีกว่าถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ”
คำพูดแสนเยือกเย็นที่ไม่รู้สึกถึงความให้เกียรติคนที่อายุมากกว่าทำให้ข้าวถึงกับไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินแต่ในขณะที่ละสายตาไปมองหญิงคนขายได้แค่ครู่เดียวแรงดึงที่คอเสื้อก็ทำให้ต้องหันกลับไป
“ไม่มีใครที่นี่ไม่รู้ว่ากูอยู่ตรงไหน ทุกคนต้องหลบให้กู แต่นี่มึงกล้าพูดว่าไม่เห็นกูหรอ มึงรู้มั้ยว่ากูเป็นใคร!”
เสียงตะโกนรอบนี้ดังจนทุกอย่างในโรงอาหารเงียบสนิทมือที่ง้างขึ้นเหมือนพร้อมจะต่อยลงมาทำเอาข้าวต้องหลับตาหนีแต่ผ่านไปสักพักกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนต้องลืมตาขึ้นดูคนตรงหน้ายังคงจ้องหน้าเขาอยู่ด้วยสีหน้าโกรธจัดอย่างไม่ลดละแต่อยู่ดีๆคอเสื้อก็ถูกปล่อยออกจากมือแรงๆคนตรงหน้าละสายตาจากข้าวไปปัดเสื้อสูทของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองข้าวอีกครั้ง
“วันนี้ถือว่ามึงโชคดีที่กูอารมณ์ดีที่พ่อกูเลือกตั้งชนะ แต่อย่าให้กูเจอมึงอีกนะไม่งั้น กูจะกระทืบให้จมตีน”
เสียงพูดกดๆพร้อมกับแรงตบที่หน้าสองทีก่อนที่จะเดินชนไหล่ออกไปทำให้ข้าวได้แต่ยืนตัวชาอย่างทำอะไรไม่ถูกเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันทีที่สามคนเมื่อครู่เดินจากไปทุกสายตาในโรงอาหารต่างจับจ้องมาที่ข้าวเป็นตาเดียวพร้อมกับหันไปซุบซิบกันอย่างสนุกปากข้าวละสายตาจากทุกคนแล้วคุกเข่าลงเก็บอาหารที่หล่นอยู่ที่พื้นใส่ถาดด้วยมือสั่นๆอย่างพยายามอดกลั้นแต่เมื่อจะเอื้อมไปหยิบเฟรนช์ฟรายส์ที่กระเด็นห่างออกไปมาใส่ถาดมันกลับถูกเหยียบไปต่อหน้าต่อตาเมื่อไล่ระดับสายตาจากรองเท้าขึ้นไปมองก็ได้รู้ว่าคนที่เหยียบคือเพื่อนร่วมห้องที่เหมือนจะไม่ชอบเขาที่สุดตั้งแต่มานามว่าแพคนั้นเอง
“พวกมึงดูดิกูไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยก็มีคนมาจัดการไอ้นี่ให้เฉยเลยวะ”
เพื่อนชายร่วมห้องหันไปพูดกับเพื่อนร่วมห้องที่มาด้วยสองคนด้วยน้ำเสียงสะใจก่อนจะหุบยิ้มลงแล้วเดินเข้ามานั่งยองๆตรงหน้าข้าวที่คุกเข่าอยู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยุ่งกับเลิฟลี่ของกูดีนักสมควร แต่ถึงยังไงกูควรจะสงสารมึงดีมั้ยนะไอ้เด็กทุนมาวันแรกก็ไม่ถูกชะตาไอ้ไฟซะแล้ว มีเรื่องกับใครไม่มีดันมีกับไอ้ไฟอยู่ยากละมึงคราวนี้ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของทั้งสามคนตรงหน้าดังสนั่นขาแต่ละข้างก้าวผ่านหน้าข้าวไปจนแทบจะเหยียบผู้คนพากันเลิกมุงดูแล้วแยกย้ายจนในโรงอาหารตอนนี้คนบางลงเยอะแล้วมีแต่ข้าวที่ยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมเก็บของที่ตกอยู่ให้เสร็จก้อนขมๆที่คอจุกขึ้นมาแต่ข้าวก็พยายามข่มมันเอาไว้ทั้งที่ในใจตอนนี้อยากร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้

“สังคมขยะ”
เสียงพูดเย็นเฉียบดังออกจากปากเจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดที่ยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงมองลงไปจากชั้นบนด้วยใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ก่อนที่เจ้าของเสียงจะหันหลังเดินออกมาพร้อมกับคนที่ยืนอยู่ด้วยเดินตาม

สังคมผู้ดีมันเป็นแบบนี้เองหรอนี่หรอที่ที่ใครๆก็อยากเข้ามาอยู่คนข้างนอกจะรู้มั้ยว่าแท้จริงแล้วที่นี่มันไม่ได้ดีเหมือนที่ทุกคนคิดเลยเขาอยากจะยกเลิกทุกอย่างซะตอนนี้เขาไม่อยากกลับไปที่นั้นอีกแล้วกว่าจะผ่านวันนี้มาได้มันหนักหนาสำหรับเขามากจริงๆทุกคนที่นั่นดูไม่มีใครชอบเขาเลยไม่มีแม้แต่คนมาถามชื่อด้วยซ้ำเหมือนเข้าไปเป็นตัวประหลาดให้คนอื่นหัวเราะเล่นความรู้สึกแบบนี้มันแย่จริงๆนะ
“กลับมาแล้วหรอข้าว”
เสียงเรียกดังจนเขาหลุดจากผวังค์ความคิดมันเป็นเสียงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นอาที่ดังมาจากห้องตัดเย็บเล็กๆข้างบ้านจนข้าวต้องหันไปหาฝืนยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับยกมือไหว้เหมือนทุกครั้งที่เลิกเรียนกลับบ้าน
“กลับมาแล้วคร้าบ”
อาของข้าวเป็นชายที่ใจเป็นหญิงและการที่เป็นแบบนี้เลยทำให้อาของข้าวไม่มีครอบครัวอาทำอาชีพตัดเย็บชุดราตรีให้เช่ามาตั้งแต่ข้าวจำความได้เพราะข้าวอยู่กับอามาตั้งแต่เล็กๆและที่ข้าวต้องมาอยู่กับอาของตัวเองนั้นเป็นเพราะพ่อกับแม่ของข้าวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่ตั้งแต่ข้าวอายุได้แค่ห้าเดือนข้าวเลยแทบจะจำหน้าพ่อกับแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าไม่ดูจากรูปอาที่มีศักดิ์เป็นน้องของพ่อเลยรับข้าวมาดูแลตั้งแต่นั้นมาในชีวิตตอนนี้ข้าวก็มีแค่อาคนเดียวที่เป็นครอบครัวและเป็นทุกอย่างให้เขา
“อาละตื่นเต้นอย่างกับไปเรียนเอง”
อาพูดพร้อมกับวางกรรไกรในมือลงแล้วเดินออกมาหาข้าวด้วยใบหน้าตื่นเต้นอายกมือขึ้นลูบชุดยูนิฟอร์มสุดหรูของข้าวอย่างภูมิใจที่เห็นข้าวใส่แล้วออกมาดีเพราะพอได้ชุดมาแล้วมันดูใหญ่ไปกว่าตัวข้าวอาเลยเป็นคนตัดให้มันเข้ากับรูปร่างข้าวเองกับมือ
“ชุดสูทโรงเรียนนี้มันเหมาะกับข้าวของอาจริงๆเลยใส่แล้วหล่อสุดๆถ้าไม่เดินเลี้ยวเข้าซอยสลัมนี่ใครก็ต้องคิดว่าเป็นลูกท่านหลานเธอบ้านหลังเท่าช้าง”
“แต่พอเลี้ยวเข้าซอยนี้เลยกลายเป็นลูกหมาเลยใช่มั้ย”
สิ้นประโยคคำพูดของข้าวทั้งข้าวและอาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทั้งคู่ผู้เป็นอายกมือขึ้นมาขยี้ผมเส้นเล็กที่เด้งสปริงไปมาของหลานชายตัวเองด้วยความเอ็นดูในความน่ารัก
“เป็นไงบ้างเรียนวันแรก”
คำถามทำเอาข้าวหุบยิ้มลงจนผู้เป็นอาจับสังเกตได้เลยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ทำไมไม่ดีหรอหรือว่าโดนใครแกล้งไหนบอกอาสิ”
พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงของอาข้าวเลยฝืนยิ้มออกไปต่อให้ในใจจะมีแต่ความทุกข์ขนาดไหน
“เปล่าไม่มีอะไรที่โรงเรียนดีมากๆเลยอาข้าวแค่ยังไม่ชินเฉยๆ”
“อาก็ตกใจหมดคิดว่ามันไม่ดีแต่อานี่ก็คิดอะไรบ้าบอโรงเรียนแพงๆแบบนั้นจะไม่ดีได้ยังไงเนอะ”
ข้าวได้แต่ยืนเงียบแล้วฝืนยิ้มออกไปอีกครั้ง
“เอ๊ออาทำแกงจืดหมูสับใส่เห็ดหอมเยอะๆไว้ให้ข้าวด้วยฉลองที่ไปเรียนวันแรกเดี๋ยวอาไปอุ่นให้ข้าวก็รีบขึ้นไปอาบน้ำนะจะได้ลงมากินข้าว”
อาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนสุขวางงานทุกอย่างลงแล้วรีบเดินออกไปส่วนข้าวได้แต่มองตามอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ข้าวไม่กล้าบอกอากับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
ไม่กล้าเล่าว่าวันนี้เขาเจออะไรมาบ้าง
ไม่กล้าพูดออกไปว่าเขาไม่อยากเรียนที่นั่นแล้ว
ไม่กล้าพูดออกไปว่าเขาขอกลับมาเรียนที่เดิมได้มั้ยเหลือแค่อีกปีเดียวก็จะจบมอหกแล้ว
ข้าวไม่กล้าพูดอะไรออกไปเลยเพราะรู้ว่าอาหวังไว้ขนาดไหนวันที่มีข่าวว่าเปิดรับสมัครสอบชิงทุนเนื่องในโอกาสที่เจ้าของโรงเรียนอายุครบห้าสิบปีอาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่หลงเชื่อว่าที่นั่นมันดีเหมือนกับคนอื่นๆถึงขนาดวิ่งแบบไม่ใส่รองเท้าไปบอกข้าวที่กำลังเล่นกับเด็กในซอยให้ไปสมัครถึงแม้ข้าวจะบอกไปว่าไม่ทางที่จะได้เพราะเขารับแค่คนเดียวคนต้องไปสมัครเยอะแน่ๆแต่อาก็เชื่อว่ายังไงข้าวต้องได้แน่ๆเพราะข้าวเรียนเก่งได้เกรดสี่จุดศูนย์ศูนย์มาตลอดและประวัติก็ไม่เคยเสียหายคุณสมบัติครบทุกอย่างแต่ตอนนั้นไม่ว่าอาจะพูดยังไงข้าวก็ไม่อยากไปเพราะเรียนที่โรงเรียนเดิมก็ดีอยู่แล้วอีกอย่างตอนนี้ก็ขึ้นมอหกแล้วอีกแค่ปีเดียวก็จะจบแต่เมื่อฟังเหตุผลก็ต้องใจอ่อนเพราะอาอยากให้ข้าวมีอนาคตที่ดีถึงอยากให้ข้าวได้เข้าเรียนที่นี่เพราะอาก็เคยฝันอยากให้ข้าวได้เรียนโรงเรียนนี้เหมือนกับพ่อแม่คนอื่นทั้งประเทศแต่ด้วยกำลังทรัพย์ที่ไม่มีแค่ค่าเทอมเทอมเดียวก็หาแทบจะทั้งปีเลยได้แค่ฝันแต่เมื่อโอกาสที่ไม่เคยฝันมาถึงอาจึงไม่รอที่จะให้ข้าวรีบคว้าไว้ถ้าได้เข้าเรียนโรงเรียนนี้ข้าวต้องมีใบเบิกทางในสังคมที่ดีแน่ๆนั่นคือความคิดของอาข้าวไม่อยากทำลายความหวังดีของอาเลยยอมลองไปสอบแล้วก็เป็นอย่างที่อาคิดข้าวได้ทุนนี้มาจริงๆและนั่นมันทำให้ข้าวรู้ว่าอาของเขามีความสุขขนาดไหนที่เห็นเขากำลังจะมีอนาคตที่สดใสเพราะเหตุนี้ข้าวถึงไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่ไปเจอมาเพราะกลัวว่าอาจะรู้สึกแย่ที่เป็นคนผลักไสให้เขาไปเจอเรื่องแย่ๆและอีกอย่างข้าวก็ไม่อยากทำลายความฝันของอาด้วยเพราะข้าวรู้ว่าที่อาทำไปเพราะอยากให้เขามีอนาคตที่ดี
“พรุ่งนี้อาจจะดีก็ได้ไอ้ข้าว”
ข้าวพูดให้กำลังใจตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวเหยียดเรียกพลังก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้ขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องตัดไปที่ตัวบ้านเพื่อที่จะรีบอาบน้ำแล้วลงมากินของโปรด



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2021 13:50:56 โดย TUWADEE »

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่2.ตัดสินกันที่ภายนอก


05:50

“ข้าวไปแล้วนะอาเชย!”

เสียงตะโกนออกจากปากตัวก็เขย่งๆใส่รองเท้าไปด้วยต้องรีบแล้วเขาใกล้จะสายแล้วนั่นคือสิ่งที่ข้าวคิด

“เดี๋ยวๆ!”

ตะโกนไปก็ถูกตะโกนกลับบ้านนี้ไม่ยอมกันจริงๆเรื่องเสียงดัง

“อาบอกแล้วใช่มั้ยข้าวว่าต้องแต่งตัวให้มันเรียบร้อยเห็นมั้ยว่าเนคไทมันเบี้ยว”

ผู้เป็นอาเดินกึ่งวิ่งออกมาจากครัวเพื่อมาจัดแจงเสื้อผ้าให้หลานชายที่แต่งตัวไม่สมกับเรียนโรงเรียนที่แพงที่สุดในไทยเลยข้าวไม่ตอบอะไรนอกยิ้มแป้นรับคำตำหนิเพราะว่าเขาก็แต่งตัวไม่เรียบร้อยอย่างที่อาว่าจริงๆ

“ยิ่งเป็นนักเรียนทุนของเจ้าของโรงเรียนเขายิ่งต้องทำตัวให้มันเหมาะสมรู้มั้ย”

“รับทราบคร้าบ ข้าวไปแล้วเดี๋ยวไม่ทันรถเมล์รอบหกโมง”

ผู้เป็นอาได้แต่ยืนยิ้มมองตามหลานชายตัวแสบที่วิ่งโบกมือหยอยๆออกไปอย่างเอ็นดูเขายืนรอจนหลานชายลับสายตาไปแล้วถึงเดินเข้าบ้าน

เช้านี้ก็ยังเหมือนเดิมข้าวยังเป็นคนเดียวที่เดินเข้าโรงเรียนนอกนั้นก็มีแต่รถหรูๆที่ขับเข้าเป็นว่าเล่นระยะทางจากหน้าประตูโรงเรียนไปถึงด้านในก็ไม่ใช่ใกล้ๆเดินจนหอบกันเลยละจะใหญ่อะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้โรงเรียนหรือทะเลแปซิฟิก

แปล๊นนนนน!

เสียงแตร์รถในระยะใกล้ทำเอาข้าวสะดุ้งหันไปมองด้วยความตกใจแล้วก็เจอเข้ากับรถยี่ห้อหรูที่ขับมาชะลอใกล้ๆพอกระจกเลื่อนลงถึงได้รู้ว่าเป็นฝีมือใคร

“มึงขึ้นรถเมล์มาเรียนหรอไอ้เด็กทุนกูเห็นตรงทางแยก”

แพคเพื่อนร่วมห้องคนนี้อีกแล้วข้าวเบือนหน้าหนีแล้วเดินต่ออย่างไม่สนใจแต่ก็ยังไม่วายถูกขับตามมาอยู่อีก

“เฮ้ยนี่อย่าบอกนะว่าที่มึงเป็นเด็กทุนเพราะบ้านมึงจนอะ!”

ข้าวทำหูทวนลมเหมือนเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงนกเสียงกาตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ

“เชี่ยเรื่องจริงหรอวะ อย่างนี้กูต้องบอกให้ทุกคนรู้จักเพื่อนใหม่ดีขึ้นสักหน่อยแล้ว”

กระจกถูกปิดไปพร้อมกับรถที่วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วแสงข้าวหยุดเดินแล้วตั้งสติข่มอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ

“กูเห็นจริงๆหรือพวกมึงคิดว่าไง”

“เมื่อวานพวกเราก็ไม่ได้ถามให้รู้เรื่องว่าเป็นลูกใครมาจากไหนมัวแต่โมโหกันถ้านายนั้นเข้ามาต้องถามให้รู้เรื่องนะ”

ข้าวเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างไม่สนใจบทสนทนาที่ได้ยินทุกคนที่กำลังจับกลุ่มคุยเหมือนจะตกใจนิดๆที่เขาเข้ามากะทันหันข้าวตรงไปที่โต๊ะของตัวเองอย่างไม่สนใจสายตาของคนพวกนั้นที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียวเลยเขาหยิบเครื่องเล่นเอ็มพีสามออกมาแล้วเอาหูฟังเสียบหูทั้งสองข้างอย่างไม่สนใจอะไรแต่อยู่ดีๆสายหูฟังก็ถูกดึงออกจากหูจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ไม่เชื่อพวกมึงก็ดูดิสมัยนี้ใครเขาใช้อะไรแบบนี้กัน”

แพคยกเครื่องเล่นเอ็มพีสามของข้าวชูให้คนอื่นดูทำให้เกิดเสียงหัวเราะสนั่นห้อง

“เอาคืนมา”

ข้าวพูดออกไปเสียงนิ่งแม้ในใจจะโกรธมากขนาดไหนก็ตาม

“มึงออกไปจากโรงเรียนพวกกูได้แล้วไอ้แกะดำเป็นคนจนยังกล้าสะเออะมาเรียนโรงเรียนแพงๆกล้ามาใช้อากาศร่วมกันกับพวกกู!”

แพคพูดแล้วตามด้วยเพื่อนในห้องอีกคน

“อยากจะมาชุบตัวจากอีกาให้เป็นหงส์ตลกวะฮ่าๆ”

“นายก็น่ารักอยู่นะแต่เสียดายที่คนละชั้นกับพวกเราฉันไม่กล้าให้นายเรียนอยู่ด้วยหรอก พูดตามตรงเลยนะฉันกลัวของฉันหายยิ่งมีแต่ของแบนด์ด้วย”

นักเรียนหญิงร่วมห้องที่ทั้งตัวมีแต่ของสีชมพูพูดด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนไม่อยากเข้าใกล้

“ดูจากของที่ใช้พวกเราก็ควรจะเอะใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะเว้ยดูดิมีแต่ของถูกๆ”

กระเป๋าเป้ที่ผู้เป็นอาซื้อให้เป็นของขวัญที่สอบได้ถูกโยนลงไปกับพื้นจนข้าวต้องลุกขึ้นด้วยความโมโห จะว่าเขายังไงเขาไม่ว่าแต่มาทำกับของที่อาเขาซื้อให้แบบนี้เขายอมไม่ได้

“ทำอะไรของนาย!”

ข้าวตะโกนใส่คนที่โยนกระเป๋าของเขาลงพื้นด้วยความโมโหจนคนทำรีบถอยไปอยู่ด้านหลังเพื่อนอีกคนเพราะไม่คิดว่าข้าวจะโมโหขนาดนี้

“เห็นสันดานกุ้ยของมันหรือยังพวกเราถ้ายังปล่อยไว้เกิดมันฆ่าใครในห้องขึ้นมาจะทำยังไง!”

แพคตะโกนเสียงดังและดูเหมือนว่าทุกคนในห้องต่างเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดข้าวเก็บกระเป๋าขึ้นมาแล้วหันไปหาแพค

“เอาของเราคืนมา”

ข้าวพูดเสียงกดๆเนื้อตัวสั่นไปหมดด้วยความโกรธแต่แพคไม่มีท่าทีว่าจะกลัวเหมือนกับคนเมื่อกี้เลยแม้แต่น้อยแถมยังเหยียดยิ้มมุมปากอย่างยั่วโมโห

“อยากได้คืนหรอ”

ข้าวไม่ตอบแต่จ้องหน้าไม่ลดละจนแพคสถบหึออกมาก่อนจะหันมาพูดตรงๆ

“กูคืนก็ได้แต่..ไปคาบคืนมาแล้วกัน”

ข้าวได้แต่มองตามเพื่อนร่วมห้องที่เดินไปที่หน้าต่างด้วยใจไม่ดีแล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องยื่นมือข้างที่ถือเอ็มพีสามของเขาออกไปนอกหน้าต่างแล้วอ้ามือที่กำอยู่ออกจนเอ็มพีสามของเขาร่วงลงไปต่อหน้าต่อตาจนข้าวต้องรีบวิ่งไปชะโงกที่หน้าต่างความตกใจถึงมันจะเป็นของเก่าตกยุคแต่มันก็เป็นของขวัญที่อาซื้อให้เขาในวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปีเขาถึงใช้มันอย่างถะนุถะนอมอย่างไม่เคยคิดจะซื้อรุ่นใหม่หรือหาอะไรมาแทนมันเพราะมันคือสิ่งที่อยู่คู่กับเขามาเกือบจะทั้งชีวิตเวลาอยากตัดขาดจากโลกภายนอกก็มีมันที่คอยช่วยข้าวกลัวเหลือเกินว่าแรงกระแทกที่ตกลงไปจากที่สูงจะทำให้มันเสียจนใช้ไม่ได้

“ดูมันทำดิพวกเราแค่ของถูกๆทำเป็นจะเป็นจะตายบ้านมันต้องจนขนาดไหนวะ”

เสียงหัวเราะดังไปทั่วห้องบ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายแต่ข้าวไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งเลิฟลี่กับเพื่อนที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้วมองเขาด้วยสีหน้าสงสัยข้าววิ่งชนทุกคนที่มายืนมุงตรงไปที่ประตูเพื่อที่จะรีบลงไปเก็บเอ็มพีสามของเขาเขาตรงไปที่ลิฟต์แต่ก็รอนานจนทนไม่ไหวเพราะกลัวว่าใครจะมาเก็บไปก่อนเลยตัดสินใจวิ่งตรงไปที่บันไดหนีไฟแทน

“มองอะไรวะ”

เสียงจากด้านหลังไม่ได้ทำให้คนที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างหันไปสนใจเลยเขายังคงมองดูใครบางคนที่กำลังทำท่าทีแปลกๆอยู่ข้างล่างตึกอย่างกับคนสติไม่ดีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมองแต่อย่างใดเพียงแต่ในขณะที่กำลังยืนรับลมจากหน้าต่างใครบางคนคนนั้นกลับวิ่งวนไปมาอยู่ข้างล่างจนทำให้สายตาต้องหันไปมองด้วยความรู้สึกที่โดนทำลายทิวทัศน์เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดยื่นมือไปดึงหน้าต่างเข้ามาปิดแล้วเดินมานั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง

“ปิดทำไมละอุดอู้อยู่แต่ในห้องเปิดไว้ให้ลมเข้าหน่อยก็ดีนะ”

คนที่พูดคนเดียวตั้งแต่มาหันตามไปพูดกับคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไป

“บรรยากาศข้างนอกวุ่นวายแล้วก็น่ารำคาญ”   

เจ้าของน้ำเสียงนิ่งเรียบไร้อารมณ์พูดแบบไม่เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเปิดจนคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะได้แต่มองแล้วถอนหายใจก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเตรียมเรียนบ้างเพราะใกล้ถึงเวลาเรียนคาบแรกแล้ว

เหล่านักเรียนต่างพากันแยกย้ายกลับบ้านแทบจะหมดแล้วมีแค่ครูบางท่านที่เพิ่งจะลงมาจากตึกเท่านั้นและข้าวก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ยังไม่กลับจะให้กลับได้ยังไงในเมื่อเขายังหาเอ็มพีสามของเขาไม่เจอเลยตอนนั้นต้องเลิกหาแล้วรีบขึ้นไปเรียนคาบแรกก่อนจะลงมาหาตอนพักเที่ยงก็ถูกครูเรียกไปทำแบบสอบถามเรื่องการได้ทุนสุดท้ายเลยได้มาหาเอาตอนเลิกเรียนทั้งที่คิดว่ามันน่าจะตกมาตรงนี้แท้ๆแต่หาจนทั่วบริเวณแล้วก็ยังไม่เจอ

“เฮ้อ”

ข้าวถอนหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูทำให้รู้ว่าเวลาล่วงเลยมาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วไหนๆก็ไม่ทันรถเมล์รอบที่กลับทุกครั้งอยู่แล้วเลยปล่อยเลยตามเลยหาต่อแต่พอหยุดพักแล้วมองไปรอบๆเอาเข้าจริงที่นี่เวลาเย็นๆแบบนี้บรรยากาศดีมากเลยนะเวลาปราศจากคนนิสัยไม่ดีพวกนั้นแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรรบกวนก็ร่มรื่นเงียบสงบเป็นสวนกลางกรุงดีๆนี่เองในขณะที่หมุนตัวมองบรรยากาศรอบๆอยู่ดีๆนั้นสายตาข้าวก็ไปหยุดอยู่ที่นักเรียนชายสองคนที่เดินออกมาจากตึกฝั่งตรงข้ามกับตึกที่เขาเรียนอยู่ซึ่งตึกนั้นข้าวก็ไม่เห็นว่าจะมีคนไปเรียนหรือว่าใช้ทำอะไรเลยเคยมองด้วยความสงสัยตั้งแต่มาเรียนแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไรแล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้องหาที่แอบแล้วมองดูเงียบๆหนึ่งในนักเรียนชายเดินออกจากซุ้มทางเดินลงไปในสนามหญ้าส่วนอีกคนไม่เดินตามลงไปแต่ยืนทิ้งระยะห่างอยู่ไม่ไกลเหมือนเฝ้ายังไงยังงั้นถึงจะมีอยู่สองคนแต่สายตาข้าวกลับไปจับจ้องอยู่ที่คนในสนามหญ้าที่กำลังยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเงยหน้าขึ้นเหมือนสูดรับอากาศ

“โห”

คำอุทานหลุดออกจากปากแบบไม่รู้ตัวถึงแม้คนๆนั้นจะหันหลังอยู่แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสมบูรณ์แบบจนต้องอุทานออกมาแม้จะไม่เห็นหน้าก็ตามหุ่นในฝันของผู้ชายทุกคนผมสีดำสนิทที่ดูดีมากๆต่อให้จะมองจากด้านหลังและต่อให้ชุดยูนิฟอร์มที่ใส่จะเหมือนกับที่ข้าวและคนอื่นๆใส่แต่คนๆนี้กลับใส่แล้วดูดีที่สุดในบรรดานักเรียนชายทุกคนที่เห็นตั้งแต่มาเรียนที่นี่เลยร่างกายสูงโปร่งมันรับกับยูนิฟอร์มสูทสีกรมตัวนั้นได้ดีมากจริงๆกระเป๋าเป้สีดำที่สะพายไว้ข้างเดียวกับรองเท้าสีขาวสะอาดตาต่อให้จะมองจากที่ไกลๆทุกอย่างในตัวคนๆนั้นมันรับกับแสงสีส้มยามเย็นที่ตกมากระทบได้ดีจนเหมือนกับภาพวาดคนๆนั้นทำให้ข้าวรู้สึกอิจฉาในความเพอร์เฟคขึ้นมาทันทีแม้จะไม่รู้จักและด้วยความสมบูรณ์แบบอย่างกับภาพวาดแม้จะไม่เห็นหน้าทำให้ข้าวอยากเห็นหน้าชัดๆเลยขยับออกจากที่แอบเพื่อที่จะมองให้เห็นหน้า

“ทำอะไรอยู่น้อง”

แต่เสียงจากด้านหลังก็ทำเอาข้าวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อหันไปดูก็ทำให้รู้ว่าเป็นยามคนที่เคยมีเรื่องด้วยตอนมาเรียนวันแรก

“อ้าวน้องนักเรียนคนนั้นนี่เอง”

ชายในชุดยามพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นแต่ยังไม่ทันที่ข้าวจะได้พูดอะไรเพราะยังตกใจอยู่คนตรงหน้าก็พูดขึ้นอีก

“นี่ก็เย็นแล้วทำไมยังไม่กลับละรอพ่อแม่หรือว่ารอคนขับรถมารับหรอแต่ว่าเจอตัวน้องก็ดี พี่ขอบใจมากนะที่ไม่ให้พ่อแม่มาเอาเรื่องหลังจากวันนั้นพี่ไม่เป็นอันทำการทำงานเลยกลัวว่าพ่อแม่น้องจะมาตอนไหนแต่ก็ไม่มาแสดงว่าน้องไม่ได้เอาเรื่องพี่”

คนตรงหน้าไม่เปิดโอกาสให้ข้าวได้พูดเลยยื่นมือมาจับมือข้าวโยกขึ้นโยกลงด้วยความดีใจจนข้าวได้แต่ยิ้มแห้งๆให้ไป

“ครับๆ”

ข้าวพูดแค่นั้นแล้วหันกลับไปทางสิ่งที่เคยมองแต่ตอนนี้กลับเหลือแค่สนามหญ้าว่างๆ

“มีอะไรหรือเปล่าน้อง”

เสียงจากยามทำให้ข้าวต้องหันกลับมาอย่างรู้สึกเสียดายก่อนจะโค้งหัวให้

“เย็นแล้วผมกลับก่อนนะครับ”

ข้าวกล่าวลาด้วยใบหน้ามุ่ยๆแล้วหันหลังเดินออกมาได้แต่ถอนหายใจให้กับความซวยของชีวิตรถก็ตกเอ็มพีสามก็หายวันนี้อากาศยังมาเย็นๆอีกมีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย

วันนี้เป็นวันที่สามของการมาเรียนแล้วข้าวก็ดีใจมากๆที่มันเป็นวันศุกร์เพราะอย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาเจอหน้าพวกคนใจร้ายตั้งสองวันข้าวเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจเสียงโวกเวกโวยวายของเพื่อนในห้องที่กำลังเล่นกันเหมือนทุกเช้าเขาเดินไปนั่งลงยังที่ของตัวเองแล้วเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือขึ้นมารอเรียนอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองเหมือนทุกวันแต่ก็ไม่วายถูกหาเรื่องอยู่ดี

“ไอ้แกะดำเอาขยะไปทิ้งดิ๊ถังขยะมันเต็มมึงเห็นมั้ย”

แพคเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะพร้อมกับถังขยะในมือโดยมีเพื่อนกลุ่มเดิมในห้องที่ไม่ชอบข้าวเดินมาด้วย

“เฮ้ยกูพูดไม่ได้ยินหรอ”

หนังสือที่กำลังเปิดถูกมือตบปิดลงจนข้าวต้องหยุดนิ่งหายใจเข้าสงบสติอารมณ์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปพูด

“เดี๋ยวแม่บ้านเขาก็มาเก็บเองนิ”

โรงเรียนนี้ทำให้นักเรียนเสียคนไปซะทุกอย่างขนาดถังขยะในห้องเรียนยังมีแม่บ้านมาเก็บให้แทนที่จะให้นักเรียนเอาไปทิ้งเองเหมือนโรงเรียนปกติทั่วไป

“แต่พวกกูจะให้มึงทำมีอะไรมั้ยงานแบบนี้ก็เหมาะกับคนแบบมึงดี”

ข้าวถอนหายใจไม่สนใจกับคำพูดดูถูกแล้วหันมาสนใจหนังสือบนโต๊ะต่อแต่อยู่ดีๆเศษขยะก็ถูกเทลงมาบนโต๊ะจนข้าวต้องเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความโกรธแต่ในขณะที่กำลังจะโต้ตอบออกไปเพลงเตือนที่บ่งบอกว่าจะมีการประกาศก็ดังขึ้นและบทความที่กำลังดังอยู่ก็ทำเอาข้าวตาโต

“ประกาศนักเรียนคนใดทำเครื่องเล่นเอ็มพีสามสีดำพร้อมหูฟังหล่นไว้ที่บริเวณหน้าตึกมัธยมศึกษาปีที่หกให้มารับได้ที่ห้องประชาสัมพันธ์นะเวลานี้ด้วยค่ะประกาศอีกครั้ง....”

ข้าวไม่รอฟังจนจบได้ยินแค่นั้นเขาก็วิ่งชนทุกคนที่ยืนอออยู่หน้าโต๊ะของเขาตรงไปที่ประตูถึงจะไม่รู้ว่าห้องประชาสัมพันธ์ไปทางไหนก็ตามเอ็มพีสามของเขาของขวัญของอาตัดใจเพราะคิดว่าคงไม่ได้คืนไปแล้วด้วยซ้ำดีใจดีใจจนพูดไม่ออก

ในที่สุดข้าวก็มาถึงห้องประชาสัมพันธ์เขายิ้มกว้างให้ป้ายหน้าห้องก่อนจะยื่นมือไปเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

“ผมมารับของที่ประกาศหาเจ้าของครับ”

ข้าวพูดออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มครูผู้ดูแลห้องประชาสัมพันธ์เงยหน้าจากเอกสารในมือขึ้นมอง

“มาเร็วจัง เดี๋ยวครูไปหยิบให้”

ครูผู้ดูแลยิ้มให้แล้วลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชักหยิบของออกมาแล้วเดินมายื่นให้ ข้าวมองของตรงหน้าด้วยความดีใจแต่ก็ไม่ลืมยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะยื่นมือไปรับมา

“ขอบคุณครับ”

“ดีใจมากเลยหรอ”

เพราะเห็นว่าข้าวเอาแต่ยืนยิ้มมองของในมือครูเลยถามอย่างอดยิ้มตามไม่ได้

“ครับมันเป็นของขวัญจากอาผม”

ข้าวเงยหน้าไปยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าแต่พอนึกอะไรได้ก็เลิกสนใจของในมือแล้วถามน้ำเสียงจริงจัง

“ใครเป็นคนเก็บได้หรอครับ”

ครูยิ้มอ่อนลงก่อนจะพูดพร้อมกับเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วหยิบเอกสารขึ้นมาเปิด

“นักเรียนคนหนึ่งนี่แหละ”

ข้าวเดินตามไปที่โต๊ะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสดใส

“ใครหรอครับผมอยากขอบคุณเขา”

ครูหยุดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองข้าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ถ้าเธออยากขอบคุณเขาก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”

คำพูดของครูทำเอาข้าวได้แต่มองหน้าด้วยความไม่เข้าใจอยากจะถามให้รู้เรื่องแต่เมื่อเห็นว่าครูก้มลงไปสนใจเอกสารบอกเป็นนัยว่าไม่อยากคุยแล้วเขาเลยต้องยอมพอแค่นั้น

“ถ้าอย่างงั้นถ้าครูได้เจอเขาผมฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับผมขอตัวก่อนสวัสดีครับ”

ข้าวยกมือไหว้ลาแล้วหันหลังเดินออกมาด้วยความสงสัยเต็มหัวทำไมต้องพูดอะไรที่เข้าใจยากแค่ถามว่าใครเองแล้วที่พูดหมายความว่ายังไง

วันนี้มีคาบพละเลยต้องเปลี่ยนเป็นชุดวอร์มแขนยาวขายาวของโรงเรียนวันนี้ครูบอกว่าอากาศดีเลยอยากพาไปเรียนที่สนามหญ้าตอนแรกทุกคนก็โอดโอยเพราะไม่อยากออกไปเจอแดดอยากเรียนในโดมกีฬาเหมือนเดิมแต่ก็ขัดครูไม่ได้เลยต้องยอมออกมาแต่สำหรับข้าวเขากลับชอบการออกมาเรียนที่สนามมากกว่าในโดมเพราะมันได้รับอากาศบริสุทธิ์ไปด้วยนี่เป็นคาบพละคาบแรกของข้าวมาถึงสนามก็ทำให้รู้ว่ามอหกห้องอื่นก็มาเรียนที่สนามเหมือนกันที่นี่คาบพละคงให้มอเดียวกันเรียนพร้อมกันสินะการเรียนการสอนก็ไม่มีอะไรมากครูให้วอร์มร่างกายแล้วก็ปล่อยให้จับกลุ่มเล่นบาสกันแต่เพราะไม่มีใครมาชวนข้าวเล่นด้วยเขาเลยแยกออกมาเล่นคนเดียวแต่ในขณะที่กำลังเดาะลูกบาสเล่นอยู่ดีๆลูกบาสที่มาจากไหนก็ไม่รู้ถูกโยนมาใส่หลังข้าวเต็มๆจนต้องหันไปมองและคนที่กำลังเดินมาก็ทำให้ข้าวตกใจนิดๆเพราะมันคือคนที่เขาเดินชนในโรงอาหารวันนั้นข้าวไม่อยากมีเรื่องเลยเลือกที่จะหันกลับมาเล่นบาสคนเดียวต่อแต่กลับถูกลูกบาสโยนมาใส่หัวแรงจนเขาล้มลงไปกับพื้นจนต้องยกมือขึ้นจับหัวตัวเองด้วยความมึน

“กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก”

เสียงพูดที่อยู่เหนือหัวทำให้ข้าวต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“มันมองหน้ามึงวะไฟ”

เสียงจากคนข้างๆเจ้าของชื่อพูดขึ้นก่อนจะตามด้วยอีกคน

“ก็เพราะคราวนั้นมึงปล่อยมันไงมันเลยกล้า กระทืบแม่งให้รู้เลยมั้ยว่าอย่ากล้ามาจ้องหน้ามึง”

เจ้าของชื่อไฟไม่หันไปสนใจสองเสียงข้างๆแม้แต่น้อยเขายังคงมองมาที่ข้าวอย่างไม่ละสายตาก่อนจะเดินเข้ามานั่งหยองๆลงตรงหน้าข้าวที่นั่งจับหัวตัวเองอยู่ข้าวเองก็จ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

“แต่ไหนๆก็เจอแล้ว งั้นมาเล่นอะไรสนุกๆกันเถอะ”

สิ้นคำพูดคอเสื้อข้าวก็ถูกกระชากให้ลุกขึ้นแรงจนตัวข้าวโยกไปตามแรงกระชาก

“พวกมึง!”

เสียงตะโกนดังไปทั่วบริเวณทำให้ทุกคนในสนามพากันหยุดสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มามองทั้งหมด

“ใครอยากเล่นอะไรสนุกๆตามกูมา!”

คำพูดนั้นทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที

“ปล่อยนะจะทำอะไรปล่อย!”

ข้าวตะโกนสุดเสียงพยายามขัดขืนสุดกำลังขณะที่ถูกลากลงไปกลางสนามมองไปรอบๆก็เห็นคนอื่นกำลังมองมากันหมดและหนึ่งในนั้นก็คือเลิฟลี่เพื่อนร่วมห้องที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงและเหมือนจะเดินเข้ามาแต่ก็ถูกเพื่อนข้างๆดึงแขนไว้

“ไปดิพวกมึงรอเชี่ยไร”

แพคหันไปพูดกับพวกเพื่อนร่วมห้องด้วยใบหน้ามีความสุขก่อนจะวิ่งตามลงไปกลางสนามข้าวถูกผลักล้มลงไปที่พื้นแต่พอลุกขึ้นก็หนีออกมาไม่ได้เพราะถูกล้อมไว้เป็นวงลูกบาสลูกหนึ่งถูกโยนมาใส่ท้องแรงจนข้าวต้องงอตัวด้วยความเจ็บและก็ไม่ทิ้งระยะห่างลูกที่สองถูกโยนมาติดๆตามด้วยลูกที่สี่ที่ห้าจนนับไม่ถ้วนจนข้าวทำได้แค่ยกมือขึ้นป้องกันตัวเอง

“อย่า พอสักที!”

ข้าวได้แต่ตะโกนออกไปจนสุดเสียงแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าลูกบาสจะเลิกโยนมาใส่เขาเลย

“สมน้ำหน้าไอ้แกะดำฮ่าๆ”

เสียงแพคเพื่อนร่วมห้องข้าวจำได้

“ดูหน้ามันดิโคตรตลก”

และนี่เสียงเพื่อนร่วมห้องข้าวอีกคน

“โยนใส่หน้าแม่งแรงๆเลยพวกผู้หญิงชอบชมว่าน่ารักดีนัก”

“ไอ้ลูกหมาเอ้ยฮ่าๆ”

และตามด้วยหลายๆเสียงที่ข้าวไม่รู้จัก

“ได้ข่าวว่าเป็นเด็กทุนเจ้าของโรงเรียนหรอพ่อกูแทบจะกราบตีนให้กูได้เข้าแต่มึงเสือกเข้าได้ง่ายๆหรอ”

สิ้นเสียงลูกบาสก็ถูกโยนมาใส่ช่วงท้ายทอยแรงจนข้าวเจ็บไปทั้งหัวเสียงหัวเราะที่ดังอยู่รอบวงและแรงกระทบจากการที่ถูกโยนใส่หัวหลายๆครั้งบวกกับแดดร้อนๆมันทำให้ข้าวเกิดอาการเวียนหัวขึ้นมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่

“เอามานี่”

เจ้าของชื่อไฟหันไปบอกเพื่อนตัวเองพร้อมกับยื่นมือไปรับลูกบาสมาไว้ในมือเขามองไปที่ข้าวอย่างยิ้มเหยียดก่อนจะง้างแขนเต็มที่แล้วโยนลูกบาสไปที่ข้าวเต็มแรงและเพราะเวียนหัวมันทำให้ข้าวลืมที่จะยกมือขึ้นป้องกันตัวทำให้ลูกบาสที่ถูกโยนมาลูกนี้โดนเข้าที่หน้าข้าวจังๆจนข้าวหงายหลังล้มไปกับพื้นข้าวไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้วเพราะเขามึนไปหมดความรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมาจากจมูกทำให้ต้องยกมือขึ้นถูและสิ่งที่ติดมากับมือก็ทำเอาข้าวตกใจจนตาแทบสว่าง

“เชี่ยแม่งเป็นโรคเปล่าวะฮ่าๆ”

เลือดกำเดาข้าวไหลออกมาเยอะจนเปื้อนเสื้อไปหมดข้าวใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดดันตัวเองลุกขึ้นนั่งแล้วพยายามดันตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วพาตัวเองเดินออกมาจากวงล้อมด้วยความยากลำบากเสียงโห่ร้องและเสียงหัวเราะดังตามหลังมาไม่ขาดสายมือหนึ่งก็กุมเลือดที่ไหลออกมาทางจมูกมือหนึ่งก็ยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างกลั้นไว้ไมอยู่ข้าวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาหวังจะเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลออกมาไม่หยุดแต่แล้วผ้าเช็ดหน้าและเอ็มพีสามที่ติดออกมาด้วยก็กระเด็นออกจากมือเมื่อลูกบาสถูกโยนมาใส่หัวข้าวแรงจนข้าวล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง


“พอได้แล้ว!”

เสียงใสแจ๋วตะโกนมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนพวกนั้นสะทกสะท้านอะไรเลย


”เลิฟลี่อย่าเข้าไปยุ่งเลยนั่นนายไฟนะ”


เสียงตักเตือนจากเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆนักเรียนสาวที่กำลังจะวิ่งเข้ามาหาข้าวที่นอนคว่ำอยู่กับพื้นดังตามมาข้าวพยายามใช้แรงที่เหลืออยู่คลานเข้าไปหาเอ็มพีสามที่กระเด็นไปตกอยู่ข้างหน้าแต่ยังไม่ทันที่มือจะเอื้อมไปถึงก็มีรองเท้าคู่หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของๆเขาจนข้าวต้องเงยหน้าไล่ระดับขึ้นไปมองความเงียบเข้ามาปกคลุมแสงแดดที่ส่องมากระทบกับหน้าคนตรงหน้าทำให้ข้าวมองหน้าคนๆนั้นไม่ชัดแต่แค่แววตาที่มองเห็นมันกลับทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักความเจ็บความเสียใจที่กำลังพบเจอถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้ไม่รู้ทำไมเมื่อถูกมองจากสายตาคู่นั้นเขาถึงได้รู้สึกถึงความอับอายกับสภาพของตัวเองตอนนี้จนต้องพยายามใช้แรงที่แทบไม่มีพาตัวเองลุกขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากความอับอายนี้

มีต่อ...



ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดที่ทำให้ทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบมองของที่ตกอยู่ที่เท้าของเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“อะไรวะ”

เสียงจากด้านหลังทำให้คนที่กำลังยืนพิเคาะห์ของในมือเอียงคอให้คนข้างหลังดู

“เอ็มพีสามหรอใครมาทำตกไว้ตรงนี้”

ไม่มีเสียงตอบคำถามร่างสูงหันมายื่นของในมือให้คนที่กำลังยืนมองของในมือเขาด้วยสีหน้าสงสัย

“เอาไปตามหาเจ้าของ”

ความทรงจำที่สนามหญ้าเมื่อวานผุดขึ้นมาในหัวเขาละสายตาจากของตรงหน้าไปยังคนที่กำลังเอื้อมมือที่มีเลือดติดอยู่มาหาของที่ตกอยู่ตรงเท้าเขาด้วยมือสั่นๆแต่เสียงก็ทำให้เขาละสายตาจากสิ่งที่มอง

“แกอาชาวิน อาชาวินลงมาข้างล่าง อาชาวินมา”

เสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่านักเรียนหญิงดังไปทั้งสนามพวกเธอจับมือกันเขย่าๆด้วยความดีใจมองไปที่เจ้าของชื่อด้วยสายตาหวานเยิ้มไม่ใช่แค่นักเรียนหญิงเท่านั้นนักเรียนชายเกือบจะทุกคนก็มองไปที่เจ้าของชื่อเช่นกันแต่เป็นสายตาแห่งความเกรงกลัว

“เป็นเชี่ยไรกัน!”

แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกกลบด้วยเสียงตะโกนที่ทำเอาทุกคนต้องเงียบสนิทเจ้าของชื่อไฟหันมองไปรอบๆด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่าทุกคนให้ความสนใจคนมาใหม่มากกว่าเขาทุกคนต่างพากันหมุดหน้าหลบด้วยความกลัวเลิฟลี่เพื่อนในห้องข้าวสะบัดแขนจากเพื่อนของเธอที่จับแขนเธอไว้แล้วเดินตรงเข้าไปหาข้าวจนเพื่อนของเธอต้องรีบวิ่งตามเธอมาเธอเดินเข้ามาพยุงข้าวให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของข้าวที่ตกอยู่มาปิดเลือดกำเดาที่ยังไหลไม่หยุดที่จมูกให้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงข้าวส่ายหน้าไปมาเบาๆเธอเห็นแล้วได้แต่สงสารจับใจหันไปปัดเศษดินบนเสื้อผ้าให้ข้าวลูกบาสมาจากไหนไม่รู้เฉียดกลุ่มเลิฟลี่ที่นั่งช่วยข้าวอยู่ไปนิดเดียวจนเพื่อนของเลิฟลี่กรี๊ดด้วยความตกใจ ไฟก้าวขาข้ามพวกข้าวที่นั่งอยู่อย่างไม่สนใจเดินเข้าไปหาคนมาใหม่แล้วเหยียดยิ้มพูดออกไป

“อะไรดลใจให้คุณชายอย่างมึงลงมาได้วะ”

เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดมองหน้าคนตรงหน้าก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ถ้ารู้ว่าลงมาแล้วเจออะไรเสื่อมๆแบบนี้ก็คงไม่ลง”

คำพูดเฉือนนิ่มๆทำให้ไฟถึงกับต้องขบกรามด้วยความโมโหแต่ก็เปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มแล้วพูดออกไปอีกครั้ง

“ยังปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”

ร่างสูงมองหน้าไฟนิ่งๆก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเหมือนกันนิ”

“ไอ้อาชาวิน!”

เสียงตะโกนดังไปทั่วบริเวณจนทุกคนพากันสะดุ้งโหย้งไฟจะเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าอีกแต่ก็ถูกคนที่ยืนข้างๆร่างสูงยื่นมือมากักไว้ด้วยสีหน้าจริงจังบอกให้รู้ว่าถ้าทำอะไรคนข้างๆเขาเขาไม่ปล่อยไว้แน่ไฟและคนที่อยู่หลังแขนที่กันไว้จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครก่อนที่จะเป็นคนมาใหม่ที่เป็นฝ่ายหันหลังแล้วเดินออกไปโดยมีคนที่กำลังยื่นมือมากักไฟไว้เดินตาม ไฟมองตามหลังคนที่เดินจากไปแล้วกำมือขบกรามด้วยความโมโหก่อนจะหันมาเตะลูกบาสที่วางอยู่จนเหล่านักเรียนหญิงพากันกรี๊ดด้วยความตกใจ

ไฟรู้สึกเสียหน้าที่ทุกคนพากันกลัวและให้ความเกรงใจคนมาใหม่มากกว่าเขาทั้งที่ก่อนที่คนๆนี้จะมาเขาคือที่หนึ่งทำไมเขาต้องเป็นรองตลอดทำไมต้องเป็นเขาที่แพ้ทุกครั้ง!

กลุ่มนักเรียนหญิงพากันวิ่งตามคนที่เดินออกจากสนามไปด้วยความตื่นเต้นก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าลิฟต์เพราะคนๆนั้นกำลังหยุดรอลิฟต์อยู่พวกเธอพากันทิ้งระยะห่างจากคนๆนั้นพอสมควรเพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้มากเกินไป

“ไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆอาชาวินจะลงมาข้างล่างดีใจจัง”

นักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนแก้มปริมองเจ้าของชื่อตาหวานเยิ้มแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา

“อาชาวินลงมาเรียนพละเหมือนกันหรอ เพิ่งเคยเห็นอาชาวินใส่ชุดวอร์มครั้งแรก...ดูดีมากๆเลย”

นักเรียนหญิงอีกคนพูดด้วยอาการเขินอายจนตัวม้วนเช่นกัน

“หลบไปสิ๊พวกเธอ”

แต่อยู่ดีๆทุกคนก็โดนผลักออกพร้อมกับคนมาใหม่ที่ถูกเพื่อนเคลียร์ทางให้ของขวัญเพื่อนร่วมห้องของข้าวจะเดินเข้าไปหาคนที่ยืนหันหน้าไปทางลิฟต์อย่างไม่คิดจะหันมาสนใจพวกเธอแต่ก็ถูกมือยกขึ้นมากั้นไว้ก่อน

“รักษาระยะห่างด้วย”

เธอหันไปมองค้อนใส่เจ้าของเสียงครู่หนึ่งก่อนจะรีบทำหน้าให้เป็นปกติแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าด้วยท่าทีใสซื่อ

“ไม่ได้เจอนานเลย..อาชาวินสบายดีมั้ย”

“สบายดี”

เสียงตอบแทนจากด้านหลังทำให้คนถามหันไปเหลือกตาใส่ทันทีก่อนจะรีบปรับอารมณ์แล้วหันกลับไปทำหน้าตาใสซื่อให้คนตรงหน้าต่อแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมกับคนตรงหน้าที่เดินเข้าไปในลิฟต์อย่างไม่สนใจเธอจนเธอต้องตะโกนตาม

“อาชาวิน”

ประตูลิฟต์ถูกปิดลงต่อหน้าต่อตาจนเธอได้แต่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ

“เธอก็น่าจะรู้นะว่าเขาไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวาย”

ของขวัญเธอหันไปถล่นตาใส่คนตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“ถ้าอยากเห็นเขาลงมาบ่อยๆก็อย่าทำอะไรให้เขารู้สึกไม่อยากลงมาจะดีกว่า”

เจ้าของเสียงพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปกดลิฟต์แล้วขึ้นไปอีกคนส่วนคนที่โดนตำหนิได้แต่ยืนกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจพอหันกลับมาก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่พวกเพื่อนเธอผลักออกกำลังมามองที่เธอด้วยสีหน้าสมน้ำหน้าเธอจึงตะหวาดใส่ทันที

“มองอะไร!”

นักเรียนหญิงต่างห้องพากันเบ้หน้าใส่เธอก่อนจะพากันเดินออกไปของขวัญรู้สึกอับอายเป็นอย่างมากที่ถูกเมินจากคนที่ชอบต่อหน้าคนอื่นเธอได้แต่ยืนกำมือแน่นด้วยความโกรธโดยมีเพื่อนของเธอยืนเงียบกันอยู่ข้างๆเพราะรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังโกรธจึงไม่ควรที่จะพูดอะไรออกไป



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่3.ความเจ็บปวด

ข้าวเดินลงจากรถเมล์อย่างลำบากด้วยความเจ็บตามร่างกายและความรู้สึกแย่ที่เต็มอกแต่ละวันที่เขาต้องรับมือกับคนพวกนั้นมันแย่มากจริงๆการที่เกิดเป็นคนจนมันแย่นักหรอทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้จงเกลียดจงชังอะไรเขานักหนาต่อให้ร่างกายและจิตใจจะมีแต่บาดแผลขนาดไหนแต่เมื่อมาถึงบ้านข้าวก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อให้คนที่บ้านสบายใจเขายกมือขึ้นปาดที่จมูกว่ายังมีคราบเลือดหลงเหลืออยู่มั้ยเมื่อแน่ใจว่าไม่มีถึงเดินยิ้มเข้าไปในบ้าน

“อาเชยข้าวกลับมาแล้ว”

ข้าวตะโกนส่งเสียงบอกผู้เป็นอาก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนกลับ

“วันนี้กลับเร็วจัง”

อาโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับที่ขัดห้องน้ำที่ถืออยู่ในมือ

“วันนี้ครูปล่อยเร็วนะเดี๋ยวข้าวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ”

ข้าวยิ้มให้อาแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเมื่อพ้นสายตาอารอยยิ้มก็หายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าเหมือนเดิม

“กับข้าวเสร็จเดี๋ยวอาขึ้นไปเรียกนะ”

“ครับ”

เขาตะโกนตอบอาไปแล้วลากร่างกายล้าๆของตัวเองขึ้นไปให้ถึงห้องข้าวทิ้งตัวลงหงายกับเตียงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเหลืออดเขาเหนื่อยเขาจะไม่ไหวแล้วเขาไม่เคยทำอะไรให้ใครทำไมคนพวกนั้นถึงทำกับเขาแบบนี้เขาก็เป็นคนมีความรู้สึกเหมือนกับทุกคนเหมือนกันทำไมถึงทำเหมือนเขาไม่ใช่คนที่นั่นคงไม่ใช่ที่ของเขาจริงๆข้าวยกมือทั้งสองข้างขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองแรงๆเขาไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานแค่ไหนรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกถึงความเย็นที่หัวแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมองไปรอบๆก็เจอเข้ากับผู้เป็นอาที่กำลังนั่งเพ่งเข็มในมือด้วยการลดแว่นลงแล้วนั่งเย็บชุดอยู่ข้างๆเตียงข้าวแอบมองอาเงียบๆแล้วก็เกิดความรู้สึกอยากจะร้องขึ้นมาดื้อๆเมื่อเห็นว่าอาต้องลำบากเพื่อเขาขนาดไหนเขาอายุขนาดนี้แล้วยังสร้างแต่ภาระให้อาอยู่อีกเสียงสะอึกของข้าวทำให้อาเงยหน้าจากงานขึ้นมองและเมื่อเห็นว่าข้าวตื่นแล้วอาจึงรีบวางทุกอย่างลงแล้วขยับเข้ามาดู

“เป็นยังไงบ้างข้าว”

อาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับยื่นมือมาหยิบผ้าที่วางอยู่บนหน้าผากข้าวออกแล้วเอามือทาบ

“ค่อยยังชั่วตัวอุ่นแล้ว ลุกมากินข้าวต้มหน่อยมาจะได้กินยา”

อาพยุงข้าวให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเอาหมอนดันหลังข้าวไว้ก่อนจะหันไปหยิบชามข้าวต้มที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาคนๆเป่าไล่ความร้อนแล้วยื่นช้อนมาจ่อที่ปากข้าวข้าวมองหน้าอาก่อนจะหันมามองช้อนตรงหน้าแล้วอ้าปากงับเคี้ยวช้าๆอาเห็นแบบนั้นก็ยิ้มให้แล้วหันไปตักอีกข้าวอ้าปากรับอีกครั้งแต่อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลออกมาแล้วตามด้วยเสียงสะอื้นจนอาตกใจทิ้งช้อนใส่ชามหันไปวางแล้วหันมามองข้าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เป็นอะไรข้าวร้องไห้ทำไม ข้าวต้มร้อนหรอ หรือเจ็บตรงไหน”

“เจ็บหมดเลย..ข้าวเจ็บหมดเลย..ข้าวเจ็บมากๆเลยอาเชย”

ข้าวปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกแล้วเขาเจ็บอยู่ในอกเจ็บจนอยากจะทุบตัวเองให้ตายเพื่อหนีจากความเจ็บนี้เพราะอาไม่รู้ว่าข้าวเจ็บตรงไหนแต่ฟังจากหลานพูดคงจะเจ็บมากเลยดึงตัวหลานเข้ามากอดแล้วตบหลังปลอบ

“ไม่ร้องนะลูกไม่เจ็บๆเดี๋ยวก็หายอาอยู่นี่อาอยู่นี่”

ไม่รู้ว่าเสียงร้องไห้ในอกเงียบลงตอนไหนรู้ตัวอีกทีหลานชายตัวน้อยก็ทิ้งระยะห่างในการสะอื้นลงจนหายไปในที่สุด

“ฉันขอโทษนะพี่ชาติที่ดูแลลูกพี่ได้ไม่ดีฉันขอโทษ..ขอโทษจริงๆ”

เชยกล่าวขอโทษพี่ชายตัวเองอย่างพยายามกลั้นเสียงสะอื้น ถ้าเขาไม่เป็นคนผิดเพศแบบนี้เขาคงมีครอบครัวแล้วก็คงมีภรรยาที่เป็นแม่ให้ข้าวได้ ถ้าเขาไม่เป็นแบบนี้เขาคงมีงานดีๆทำแล้วก็คงได้พาข้าวไปอยู่ที่ที่ดีกว่านี้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่เป็นแบบนี้ข้าวคงไม่ต้องถูกเพื่อนล้อว่ามีอาเป็นกระเทยตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าเขาเป็นอาที่ดีข้าวคงมีชีวิตที่ดีและสดใสกว่านี้

โชคดีที่เป็นวันเสาร์ข้าวเลยได้พักผ่อนเต็มที่พิษไข้ทำให้เขานอนซมทั้งเสาร์และอาทิตย์และต่อให้จะไม่อยากไปโรงเรียนที่เป็นเหมือนนรกขนาดไหนแต่เขาก็ต้องฝืนตัวเองไปเมื่อเห็นเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าและอาหารเช้าที่อาเจียดเวลามาเตรียมให้ทั้งที่ตัวเองก็มีงานรัดตัว

ทั้งที่นอนไปแล้วสองวันไข้กลับยังไม่หายข้าวต้องทนนั่งเรียนทั้งที่ปวดทั้งหัวและตัวจนถึงเวลาพักกลางวันเขาไม่ลงไปทานข้าวแต่เลือกที่จะนอนที่โต๊ะนอนไปได้สักพักแรงสะกิดที่แขนก็ทำให้ต้องฝืนตาหนักๆขึ้นพอเงยหน้าขึ้นก็ทำให้รู้ว่าเป็นนักเรียนหญิงเพื่อนร่วมห้องที่ยืนกอดอกเหลือบตามองเขาอยู่ข้างโต๊ะ

“ทำไมไม่ลงไปกินข้าว”

ยังไม่ทันที่ข้าวจะได้พูดอะไรตอบเธอก็โพลงขึ้นด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ไม่สบายหรอทำไมหน้าซีดๆ”

เธอจะยื่นมือมาจับหน้าผากแต่ข้าวก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณจนเธอชะงักชักมือกลับไปแล้วยกมือขึ้นกอดอกเหมือนเดิมพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น

“เราไม่เป็นไรแค่ปวดหัวนิดหน่อยนะ”

“ไม่เป็นอะไรได้ไงหน้านายซีดมากเลยนะไปให้ครูที่ห้องพยาบาลดูดีกว่า”

เธอหันมาตวาดใส่จนข้าวต้องเงียบมองเธอ

“ฉันกลัวนายจะมาตายในห้อง...ฉันกลัวผี”

ข้าวฟังแค่นั้นก็เข้าใจว่าเขาอาจจะเป็นภาระของเพื่อนในห้องก็ได้การที่เขามานอนซมกับโต๊ะแบบนี้คงทำให้บรรยากาศในห้องเรียนแย่คิดแค่นั้นข้าวก็ดันตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินช้าๆตรงไปที่ประตูแต่เมื่อนึกอะไรได้เขาก็หันกลับไปหาคนที่เพิ่งจะหันขวับไปทางหน้าต่าง

“ขอบคุณนะเลิฟลี่”

เจ้าของชื่อหันมาหาทันทีข้าวยิ้มบางๆให้เธอเธอมองเขาด้วยสีหน้าอึ้งๆก่อนจะพูดออกมา

“นาย..รู้จักชื่อฉันด้วยหรอ”

“รู้สิ เพราะเธอใจดีกับฉันที่สุด ขอบคุณนะ”

ข้าวส่งยิ้มให้เธออีกครั้งแล้วหันกลับไปเดินต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างน้อยในที่แย่ๆก็ยังมีคนที่ดีกับเขาอยู่

ข้าวพาตัวเองมาถึงห้องพยาบาลในที่สุดเขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่ก็พบกับความว่างเปล่าจนเกิดความคิดว่าคงจะอยู่รอครูผู้ดูแลห้องพยาบาลอยู่นี้เพราะอยากได้ยาแก้ปวดหัวสักเม็ดจริงๆไม่งั้นคงไม่รอดถึงตอนเลิกเรียนแน่ๆข้าวมองไปรอบห้องว่าจะไปคอยที่ไหนจนมองไปเห็นเตียงเลยเดินเข้าไปเพราะตอนนี้ปวดหัวมากจริงๆอยากนอนพักมากแต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปถึงเตียงเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นทำให้ข้าวรีบหันไปดูเพราะคิดว่าเป็นครูที่ดูแลห้องพยาบาลแต่เขาคิดผิดเพราะเสียงพูดคุยที่ดังลอดประตูเข้ามาจากการเปิดแง้มนิดเดียวแต่ยังไม่เปิดเข้ามาทำให้รู้ว่าคนด้านนอกไม่ใช่ครูห้องพยาบาลแต่เป็นเสียงที่เขาเหมือนจะคุ้นเคย

“มึงเดินเร็วๆดิ๊ไอ้แท”

“กูถือน้ำตั้งสามแก้วมั้ยสัสไหนจะขนมอีกมือก็มีสองมือไม่ใช่มึงมาแต่ตัวกับหำ”

ข้าวยืนฟังบทสนทนาที่ดังอยู่ด้านนอกประตูและมองดูมือที่ลอดมาให้เห็นตรงลูกบิดประตูนิดเดียวอย่างใช้ความคิดเพราะคุ้นกับเสียงที่ได้ยินมาก

“เดี๋ยวไอ้ไฟมันมาแล้วเห็นว่ายังไม่ได้เตรียมอะไรรอก็โดนอีก”

และเขาก็มากระจ่างเอาประโยคสุดท้ายว่าเสียงที่คุ้นเป็นเสียงของใครสองคนที่กำลังพูดกันอยู่ข้างนอกคือลูกสมุนของไฟนี่เอง

“ช่วยถือก็ไม่ช่วยยังจะมาบ่นอีกแม่ง”

ข้าวคิดคำนวณอยู่ในหัวว่าจะเอายังไงถ้าอยู่ก็คงไม่รอดโดนไฟทำอะไรอีกแน่แต่ร่างกายตอนนี้ก็ต้องการยาและการพักผ่อนเหมือนกันอยู่ใครอยู่มันคงไม่เป็นไรหรอก

“กูก็เปิดประตูให้รอเป็นชาติแล้วมั้ยเผือกนี่”

ความคิดตีกันอยู่ในหัวเพราะสภาพร่างกายตอนนี้ถ้าโดนแกล้งคงไม่รอดข้าวมองไปรอบๆห้องอย่างใช้ความคิดก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าก้าวในขณะที่กำลังใช้ความคิดกับห้องๆนั้นเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าคนข้างนอกกำลังจะเข้ามาแล้วข้าวเลยตัดสินใจก้าวไปที่ห้องๆนั้นแล้วเปิดเข้าไปอย่างถือวิสาสะแต่ด้วยความที่เปิดเข้าไปกระทันหันทำให้เขาเปิดเข้าไปชนกับคนที่อยู่ในห้องเต็มแรงจนทำให้เขาและคนๆนั้นล้มลงไปกับพื้นอย่างจังจนหน้าข้าวชนเข้าไปอยู่ตรงซอกคอของคนๆนั้นเต็มแรงความเจ็บทำให้ข้าวเบ้หน้าแต่มันก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกของการถูกครอบงำจากกลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากซอกคอตรงหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีระดับจนข้าวต้องเอียงองศาหน้าไปใกล้ขึ้นเพื่อให้ได้กลิ่นชัดๆอย่างเผลอตัวแต่เมื่อได้สติแล้วรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรและอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ต้องรีบเด้งตัวขึ้นแล้วหันไปมองเจ้าของซอกคอหอมๆตรงหน้าแล้วก็ต้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจ้องมาที่เขาและคนที่เขากำลังคร่อมทับไว้อยู่นั้นคือนายภาพวาดที่สนามหญ้าคนนั้น

“มึงไปเร่งแอร์ดิไอ้ตั้นร้อนชิปหาย”

เสียงพูดของไฟที่จำได้แม่นทำให้ข้าวหันไปมองยังประตูห้องที่เปิดอ้าไว้ตาโตเร็วกว่าความคิดข้าวจึงรีบดันคนข้างล่างที่กำลังจะดันตัวเขาออกเพื่อจะลุกขึ้นให้นอนลงไปอีกรอบแล้วดึงให้คนๆนั้นกลิ้งเป็นมวนไปกับเขาเพื่อหลบให้พ้นระยะสายตาตรงประตูที่คนข้างนอกจะมองเข้ามาเห็นเขาทั้งสองคนได้

“มึงจะทำอะไรนะไอ้ตั้น”

เสียงพูดในระยะใกล้ทำให้ข้าวหันไปมองประตูอีกครั้งแต่แรงจับที่มือก็ทำให้เขาต้องหันกลับมาคนที่เขาคร่อมไว้กำลังจะจับแขนเขาที่กดตัวไว้ออกจนข้าวต้องใช้แรงที่มีทั้งหมดขัดขืนไว้

“นั่นมันห้องพยาบาลไอ้อาชาวินนะ”

เสียงพูดที่อยู่หน้าห้องทำให้ข้าวต้องกดตัวเองลงไปบนตัวคนข้างล่างเพิ่มพร้อมกับส่งสายตาไปอ้อนวอนให้คนข้างล่างเงียบและอยู่เฉยๆ

“กูแค่อยากรู้ว่าข้างในมันจะดีกว่าข้างนอกเขายังไง มึงอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ป๊ะมันก็ไม่ได้อยู่สักหน่อย”

“แล้วถ้ามันอยู่ละมึงอยากซวยหรือไง”

“ปล่อย”

ข้าวรีบยกมือขึ้นมาปิดปากคนข้างล่างที่ส่งเสียงเย็นเฉียบออกมาไว้หมับแต่เมื่อหันหน้ากลับมาจากที่หันไปมองประตูก็ต้องตกใจจนตาโตเมื่อเห็นว่ามือของเขาที่กำลังปิดปากคนข้างล่างไว้เต็มไปด้วยรอยสีแดงที่มีกลิ่นคาวลอยขึ้นมาเตะจมูกทำให้รู้ทันทีว่ามันคือเลือดข้าวละสายตาจากมือตัวเองไปมองคนข้างล่างด้วยสายตาตื่นๆว่าเลือดมาจากไหนเพราะเขามั่นใจว่าตัวเองไม่มีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไรจนต้องเงยหน้ามองไปรอบๆแล้วก็เจอเข้ากับจุดที่มีเลือดเลอะอยู่มันคือบริเวณข้างตัวของคนข้างล่างที่วางมือที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อสูทนักเรียนซึ่งมีแผลเหวอะอยู่ข้าวมองด้วยความตกใจก่อนจะหันมาหาคนที่นอนอยู่แล้วก็เจอเข้ากับสายตานิ่งเรียบแต่ดุดันที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกันข้าวรีบหันไปดึงมือๆนั้นมาจับไว้เพื่อหวังจะห้ามเลือดแต่ก็ไม่มีผ้าหรืออะไรที่จะช่วยห้ามเลือดได้เขาเลยเอี่ยวแขนอีกข้างของตัวเองข้ามมาดึงแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในเสื้อสูทของตัวเองข้างที่จับมือๆนั้นไว้ออกมาให้พอคลุมมือตัวเองแล้วกุมมือๆนั้นไว้เพื่อหวังจะช่วยห้ามเลือดการกระทำทุกอย่างอยู่ในความเงียบไม่มีเสียงพูดออกมาสักคำอยู่เป็นเวลานานและยังอยู่ในท่าที่เขาทับตัวคนข้างล่างไว้เพราะไม่กล้าลุกหรือทำอะไรให้เกิดเสียงแต่พอทุกอย่างโอเคแล้วอยู่นิ่งๆในระยะใกล้ทำให้ข้าวได้โอกาสมองหน้าคนตรงหน้าดีๆมันยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติของคนตรงหน้าที่เคยมองจากระยะไกล คิ้วหนาเข้ม จมูกที่คมชัด ปากได้รูปที่รับกับจมูกนั่น และผิวหน้าที่ดีจนไร้จุดบกพร่อง คนแบบนี้มีอยู่ในโลกจริงๆหรอ

“นายเข้ามาได้ยังไง!”

เสียงพูดและเสียงของตกจากทางด้านหลังทำให้ข้าวหลุดออกจากความคิดแล้วหันไปมองคนที่เพิ่งมาและกล่องปฐมพยาบาลที่ตกลงไปกับพื้นแต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบหรือทำอะไรคอเสื้อก็ถูกดึงขึ้นจนตัวลอยออกจากคนที่เขากำลังทับอยู่คนมาใหม่ปล่อยมือจากคอเขาแล้วก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังดันตัวเองขึ้นจากพื้นด้วยความเร็วแสง

“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

เจ้าของเสียงพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเพราะเขาทำหน้าที่บกพร่องที่ปล่อยให้คนอื่นเข้าถึงตัวคนเป็นนายได้เขาทำพลาดเป็นครั้งที่สองของวันอย่างไม่น่าให้อภัยถ้าพ่อของเขารู้เขาต้องถูกทำโทษหนักเป็นแน่

“เขาเลือดออกที่มือ”

ข้าวตอบแทนอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกสายตาเย็นเฉียบจากคนที่เพิ่งมาหันมาจ้องมันเป็นสายตาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ในพริบตาจนเขาชะงักไปคนๆนั้นลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกดๆที่น่ากลัวไม่ต่างจากสีหน้า

“ออกไป”

“แต่เขาเลือดออกเยอะมากเลยนะให้ผมไปตามครู....”

“บอกให้ออกไป!”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบก็ถูกตะโกนใส่ดังจนต้องเงียบแต่ถึงจะตกใจขนาดไหนข้าวก็ยังใจดีสู้เสือพูดออกไป

“เขาอาจจะบาดเจ็บเพราะผมก็ได้ผมควรต้องรับผิดชอบผมจะไปตามครูมาดู”

พูดจบข้าวก็หันหลังเตรียมจะเดินแต่ก็ถูกดึงกลับไปแล้วดันให้ไปชิดผนังห้องแรงจนเจ็บหลังพร้อมกับแขนที่ถูกยกมากดช่วงคอเขาไว้จนแทบหายใจไม่ออกจนเขาต้องพยายามแกะแขนตรงคอออกแต่ก็ต้องหยุดทุกอย่างลงเพราะประโยคที่กำลังได้ยิน

“เขาไม่ได้เป็นอะไรเพราะนายทั้งนั้นเพราะฉะนั้นเงียบซะถ้านายเอาเรื่องที่เห็นในห้องนี้ไปบอกใคร...ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”

น้ำเสียงเย็นเฉียบและแววตาที่บ่งบอกว่าเอาจริงถูกส่งมาในระยะใกล้จนข้าวต้องจ้องหน้าคนพูดนิ่งพร้อมกับมือที่จับแขนตรงคอไว้คนตรงหน้าปล่อยแขนออกจากคอข้าวเลยรีบยกมือขึ้นจับคอตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาอาการหายใจไม่ออกเมื่อครู่พร้อมกับมองหน้าคนตรงหน้าเคืองๆก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนหันหลังอยู่ที่เตียงครู่หนึ่งแล้วหันกลับมาก่อนจะพาตัวเองก้าวไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออกไป

“ไอ้เด็กทะ...”

ข้าวไม่สนใจเสียงพูดและสีหน้าแปลกใจของหนึ่งในลูกสมุนของไฟที่เดินออกมาจากเตียงที่มีผ้าม่านปิดไว้พร้อมถุงขนมในมือแล้วมองตามเขาที่กำลังเดินไปที่ประตูเลยด้วยซ้ำความโกรธที่ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คนเหมือนกันเมื่อครู่มันทำให้ความกลัวที่จะเจอคนพวกนี้หายไปหมดในใจตอนนี้มีแต่ความโกรธและน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่รับความหวังดีของเขาเพราะเขาเป็นเด็กทุนบ้านจนอย่างงั้นหรอที่ไล่เขาอย่างกับหมูกับหมาเพราะรังเกียจเขาเหมือนคนอื่นๆอย่างงั้นหรอได้เขาจะจำไปจนตายว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับสองคนบ้าๆนั้นถึงจะอยากอยู่รอครูเพื่อได้ยาสักเม็ดแต่ความรู้สึกแย่มันก็ทำให้ข้าวไม่อยากอยู่ในห้องพยาบาลต่อเขาเดินออกมาจากห้องพยาบาลมาตามทางเดินอย่างไม่รู้จะไปที่ไหนคงต้องกลับไปที่ห้องแต่เพราะเหลืออีกตั้งสี่สิบกว่านาทีที่จะหมดคาบนี้เข้าไปตอนนี้คงโดนดุข้าวเลยยืนคิดอยู่นานเพราะไม่มีทางเลือกจนนึกอะไรได้

เขาไปแอบอยู่ที่ห้องน้ำแต่เพราะความล้าจากพิษไข้ทำให้เขานั่งหลับไปจริงๆบนฝาโถส้วมจนมาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อเสียงออดดัง ทันทีที่เข้ามาในห้องข้าวก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองไม่มีใครถามว่าเขาหายไปไหนมาเพราะเขาไม่เคยอยู่ในสายตาใครไม่มีใครรับรู้ถึงการไม่มีอยู่ของเขาเลยในขณะที่ล้วงมือไปใต้โต๊ะเพื่อที่จะเอาหนังสือออกมาเตรียมเรียนวิชาต่อไปมือก็ไปโดนเข้ากลับอะไรบางอย่างจนต้องเอาออกมาดูและสิ่งที่เขาหยิบออกมาคือยาแก้ไข้ข้าวมองของในมือด้วยคิ้วขมวดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนในห้องที่กำลังทำกิจกรรมแตกต่างกันออกไปจนสายตาเขาไปหยุดอยู่ที่เพื่อนสาวร่วมห้องโต๊ะริมหน้าต่างที่กำลังนั่งเอนหลังกับพนักพิงเก้าอี้หลับตาใส่หูฟังอยู่ข้าวยิ้มบางๆออกมาแล้วหันกลับมามองของในมือถึงจะแย่กับอาการป่วยแต่วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่โชคดีมากเพราะแพคไม่มาถ้าไม่มีแกนนำเขาก็ไม่ถูกเพื่อนในห้องแกล้งเท่าไร

เลิกเรียนแล้วข้าวเดินออกจากลิฟต์ด้วยอาการอ่อนเพลียพาตัวเองเรียนให้จบวันมาได้นับถือตัวเองจริงๆแต่รอดจากการเรียนมาแล้วก็ต้องไปฝ่าฟันกับผู้คนขึ้นรถเมล์อีกแล้วกว่าจะเดินจากป้ายรถเมล์เข้าซอยบ้านอีกใจตอนนี้อยู่เตียงที่บ้านแล้ว

“พรุ่งนี้ถ้าไม่เสร็จมึงโดนแน่”

“พอแล้วๆจะทำให้เราจะทำให้เสร็จเลย”

บทสนทนาที่ใครก็รู้ว่าเป็นประโยคไม่ดีแน่ๆดังมาแว่วๆทำให้ข้าวที่กำลังเดินลงจากบันไดตึกต้องหันไปตามเสียงที่ดังมาจากข้างๆตึกเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เจอเข้ากับนักเรียนชายสองคนที่เดินออกมาพอดีข้าวและสองคนนั้นสบตากันแต่ข้าวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันไปทางอื่นเมื่อเห็นว่านักเรียนชายสองคนนั้นเดินไปแล้วข้าวจึงเดินเข้าไปแล้วก็เจอเข้ากับนักเรียนชายอีกคนที่กำลังนั่งเก็บกระดาษที่หล่นอยู่เต็มพื้นเห็นอย่างนั้นข้าวเลยรีบเข้าไปช่วยเก็บนักเรียนชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองข้าวด้วยสีหน้าแปลกใจจนข้าวยื่นกระดาษที่เก็บในมือให้เขาถึงเลิกมองหน้าข้าวแล้วรับ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“มะ..ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”

คนตรงหน้าส่ายหน้าไปมาแล้วทำท่าเหมือนจะลุกแต่ลุกไม่ขึ้นเพราะด้วยน้ำหนักตัวที่มากข้าวเลยรีบยื่นมือไปพยุงแขนขึ้นแต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันจนนักเรียนชายดังกล่าวยิ้มแห้งๆให้ข้าวเพราะรู้ว่าตัวเองหนักข้าวเลยยิ้มให้แล้วพูดออกไป

“ไปกัน”

นักเรียนชายร่างท้วมพยักหน้าทั้งคู่จึงเดินออกมาจากมุมตึกด้วยกัน

“วันนั้น...”

อยู่ดีๆคนข้างๆก็เอ่ยขึ้นมาข้าวเลยหันไปมองด้วยความสงสัยในประโยคเขาอ้ำๆอึ้งๆอยู่นานแต่ก็พูดออกมาในที่สุด

“นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

คำพูดของเขายังทำข้าวไม่เข้าใจอยู่ดีจนมากระจ่างเอาประโยคต่อมา

“ที่สนามวันนั้น”

ข้าวเงียบไปครู่หนึ่งแต่ก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มจางๆแล้วตอบออกไป

“ไม่เป็นไร”

“วันนั้นฉันก็อยู่ในเหตุการณ์..แต่ไม่ได้ช่วยอะไรนายเลยแต่วันนี้นายกลับเข้ามาช่วยฉัน”

นายเรียนชายร่างท้วมพูดเสียงอ่อยแล้วก้มหน้าลงข้าวมองแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปเสียงสดใส

“ไม่เป็นไรอย่าคิดมากเลยวันนั้นพวกนั้นก็น่ากลัวจริงๆแหละใครจะกล้าเข้ามาเนอะ”

น้ำเสียงติดตลกของข้าวทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมาและเมื่อเจอว่าข้าวกำลังยิ้มให้ก็เริ่มเผยยิ้มออกมาบ้าง

“เราชื่อเป่าหลงนะอยู่ห้องสามนายละชื่ออะไร”

ประโยคที่ได้ยินทำให้ข้าวอึ้งไปเพราะตั้งแต่มายังไม่มีใครถามชื่อเขาเลยแม้แต่คนเดียวเขาได้พูดชื่อตัวเองแค่ครั้งเดียวตอนแนะนำตัวแล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนฟังหรือเปล่า

“เราชื่อข้าวอยู่ห้องสอง”

ข้าวตอบออกไปอย่างเต็มเสียงและเป็นเสียงแห่งความสุข

“ข้าวที่เป็นข้าวกินนะหรอ”

คนตรงหน้าตาโตถามข้าวเลยพยักหน้าให้ไปก่อนที่จะตามด้วยเสียงหัวเราะที่ใหญ่ตามตัว

“ดีจังชื่อเราสองคนเกี่ยวกับของกินฉันชอบที่สุดอะไรที่เกี่ยวกับของกินฮ่าๆ”

ข้าวหัวเราะตามคนตรงหน้านี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้หัวเราะในเขตโรงเรียนนี้

“ใช่ๆ”

อยู่ดีๆเป่าหลงก็พูดขึ้นแล้วถอดกระเป๋าเป้ออกมารูดซิปเปิดก่อนจะหยิบของข้างในนั้นออกมายื่นให้ข้าว

“ขาหมูนึ่งพะโล้สูตรจีนเสฉวนแท้ๆม๊าเราทำมาให้กินตอนพักเที่ยงแต่นานๆทีม๊าจะทำให้กินเพราะมันหาส่วนประกอบยากเราเลยไม่กล้ากินหมดเก็บไว้ไปกินที่บ้านต่อถ้านายไม่รังเกียจว่าเรากินไปแล้วนายเอาไปกินสิเราให้”

กล่องเก็บอาหารสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้าข้าวมองมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคนให้ที่ยืนยิ้มมองมาที่เขาเช่นกัน

“นายบอกว่านานๆทีจะได้กินไม่ใช่หรอนายเก็บไว้กินเถอะไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรเอาไปเถอะ เราอยากให้นายกินมันอร่อยมากเลยนะ”

ข้าวมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกก่อนจะยื่นมือไปรับมา

“ขอบใจนะเป่าหลง”

“เราก็ขอบใจนายเหมือนกันที่ช่วยเราถ้าเราไม่รักนายเราไม่แบ่งของกินให้หรอกนะถ้านายอยากกินของอร่อยๆให้ไปที่ร้านบ้านเรานะบ้านเราเปิดร้านอาหารจีนอยู่ที่เยาวราช”

“โห เสร็จฉันละแบบนี้ นายพูดแล้วนะ”

ข้าวพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์จนเกิดเสียงหัวเราะระหว่างสองคนขึ้น

“ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย”

เป่าหลงพูดออกมาสีหน้าเหมือนรอคำตอบส่วนข้าวได้ยินแค่นั้นก็ยิ้มกว้างแล้วตอบออกไปทันที

“ได้สิเราเพิ่งย้ายมาใหม่ก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกัน”

เป่าหลงยิ้มทันทีที่ได้ยินก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าข้าวเลยยื่นมือไปจับ

“งั้นต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”

“อื้ม”

ข้าวยิ้มให้คนตรงหน้าอีกครั้งไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรทำสีหน้ายังไงมันดีใจจนบอกไม่ถูกไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครในโรงเรียนนี้อยากเป็นเพื่อนกับเขา

“นายกลับบ้านยังไงละ”

“เดินไปขึ้นรถเมล์ตรงป้ายหน้าโรงเรียนนะแล้วนายละ”

“เรารอม๊ามารับ”

ทั้งคู่ยิ้มให้กันแล้วหันไปเดินแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเมื่ออยู่ดีๆเป่าหลงก็ดึงแขนข้าวไว้

“ไปไม่ได้ข้าว ไปไม่ได้”

ข้าวไม่เข้าใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนใหม่แต่ก็ปล่อยให้ถูกลากไปหลบหลังเสาแถวๆนั้นแต่โดยดี

“มีอะไรหรอ”

ยังไม่ทันจะพูดต่อเป่าหลงก็หันมายกนิ้วชี้ขึ้นแนบปากเป็นสัญลักษณ์ว่าให้เงียบข้าวเลยตามทำทั้งที่ไม่เข้าใจ

“อาชาวิน”

คำพูดที่ได้ยินทำให้ข้าวต้องหยุดเงียบอาชาวินคำนี้ได้ยินชัดๆก็รู้สึกไม่กล้าหายใจแรงขึ้นมาดื้อๆทำไมฟังแล้วรู้สึกถึงความมีอำนาจ ข้าวมองตามมือที่ชี้ไปแล้วก็ต้องนิ่งไปอัตโนมัติเมื่อคนที่เพื่อนใหม่ของเขากำลังชี้คือคนที่เขาล้มทับในห้องพยาบาลที่กำลังเดินออกมาจากตึกฝั่งตรงข้ามตึกเรียนของเขาพร้อมกับคนที่ไล่เขาออกจากห้องพยาบาลเดินตามหลังโดยมีรถเก๋งสีดำคันหรูจอดรออยู่หน้าตึกคิ้วข้าวขมวดเป็นปมและนิ่วหน้าทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกตะคอกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาวันนี้เขาหันไปถามคนข้างๆที่ยังคงมองไปที่สองคนนั้นไม่เลิก

“ทำไมต้องหลบเขาด้วยละ”

“จริงๆก็ไม่ถึงกับต้องหลบหรอก แต่อย่าเฉียดเข้าไปใกล้จะดีกว่า”

คำพูดกำกวมทำเอาข้าวต้องพูดออกไปตามความรู้สึกที่ได้เจอ

“เพราะเขาเป็นคนไม่ดีเหมือนพวกคนที่ชื่อไฟใช่มั้ย”

คนข้างๆส่ายหน้าทั้งที่ตายังมองไปที่สองคนหน้าตึกอยู่

“ไม่ใช่คนไม่ดี แต่เป็นคนที่ทุกคนในโรงเรียนกลัว ไม่เว้นแม้แต่พวกครู”

“อาเป่าหลงลื้อไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นห๊ะ!”

เสียงตะโกนทำให้ทั้งเจ้าของชื่อและข้าวสะดุ้งโหย้งด้วยความตกใจหันหลังไปดูก็เจอเข้ากับหญิงมีอายุที่กำลังชะโงกหน้าออกมาจากประตูรถแล้วมองมาทางนี้

“ม๊าอย่าพูดดังสิ”

เป่าหลงพูดด้วยใบหน้ามุ่ยๆแล้วหันกลับไปดูทางสองคนนั้นว่าได้ยินหรือเปล่าก่อนจะหันกลับมาและสรรพนามก็ทำให้ข้าวรู้ว่าหญิงมีอายุคนนี้คือแม่ของเพื่อนใหม่เขา

“ไปอั้วต้องไปซื้อของเข้าลั้งอิก”

เป่าหลงหน้ามุ่ยใส่ผู้เป็นแม่อีกครั้งก่อนที่จะหันมาหาข้าวที่ยืนเงียบมองทั้งแม่และลูกไปมา

“เราไปก่อนนะข้าว อย่าลืมกินให้หมดนะ”

ข้าวโบกมือให้เพื่อนใหม่ที่ตะโกนพร้อมกับวิ่งขึ้นรถไปเมื่อมองดูจนสุดสายตาแล้วจึงหันกลับมาก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วหันไปมองที่ตึกนั้นอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นใครแล้วเลยตัดใจเลิกคิดแล้วเดินต่อ



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่4.รู้จักให้มากขึ้น

‘ช่วงชีวิตมัธยมและเพื่อนมัธยมเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว’

นี้เป็นคำพูดที่เขามักจะได้ยินแต่สำหรับข้าว เขาไม่เคยรู้ซึ้งถึงความหมายของคำนี้เลยเพราะเขา...ไม่เคยมีเพื่อนหรือเรื่องราวสนุกๆในวัยนี้ให้จดจำเหมือนคนอื่นๆ เขาไม่เคยได้เตะบอลเล่นกับเพื่อนผู้ชายด้วยกันเหมือนห้าคนข้างล่างอาคาร เขาไม่เคยได้ยืนมองโทรศัพท์แล้วหัวเราะสนุกสนานเหมือนสามคนตรงบันได เขาไม่เคยถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนแล้วบอกให้เอาใหม่เพราะไม่สวยเหมือนสามคนที่ระเบียง เขาไม่เคยได้แย่งของกินกับเพื่อนเหมือนสองคนที่เดินผ่าน และเขาไม่เคยได้เดินกอดคอเพื่อนเหมือนสองคนข้างหน้า เขาไม่เคยมีความทรงจำที่ดีกับเพื่อนวัยมัธยมเพราะเขาใช้ชีวิตวัยนี้มาตัวคนเดียวตลอด ข้าวพยายามเลิกคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองจิตตกแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินกลับห้องหลังจากไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดมาเพราะใกล้จะได้เวลาเรียนคาบบ่ายแล้วในระหว่างเดินสายตาก็ไปเจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าที่กำลังเดินหยุดเดินหยุดเพราะหอบของเต็มไม้เต็มมือจนเขาเห็นแล้วต้องรีบสาวเท้าเข้าไปหา
“ให้ผมช่วยมั้ยครับ”
ข้าวพูดออกไปเสียงแผ่วเบาอย่างไม่กล้านักเพราะกลัวคนข้างหน้าจะตกใจจนคนข้างหน้าหันมามองเขาด้วยความทุลักทุเล
“ขอบใจจ๊ะขอบใจ”
เธอยิ้มกล่าวขอบคุณข้าวเลยรีบพับครึ่งหนังสือในมือไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วรีบยื่นมือเข้าไปช่วยถือแผ่นชาร์ทขนาดใหญ่สองแผ่นในมือคนข้างหน้ามาถือจนเธอถอนหายใจโล่งออกมาแรงๆเมื่อในมือเหลือแค่หนังสือสองสามเล่ม
“ครูเดินมาตั้งนานไม่มีนักเรียนคนไหนเข้ามาช่วยเลยต้องอบรมกันยกใหญ่แล้วเด็กพวกนี้”
ข้าวหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดจนคนพูดหันมาเจอก่อนจะพูดออกมา
“อ้อ ลืมแนะนำตัวครูชื่อมัทนาจะมาเป็นครูสอนวิชาสังคมมอหกคนใหม่”
ข้าวแสดงสีหน้ากระจ่างแล้วรีบโค้งหัวเคารพทั้งที่ยังหอบของไว้เต็มมือ
“ครูสอนห้องสองใช่มั้ยครับ”
“ใช่ ทำไมเธอรู้ละ”
ครูคนใหม่ถามด้วยสีหน้าแตกตื่นจนข้าวต้องพูดออกไป
“ห้องผมเรียนสังคมคาบต่อไปนะครับ”
ได้ฟังอย่างนั้นครูคนใหม่ก็พยักหน้าเข้าใจทันทีก่อนจะมองข้าวตรงๆด้วยสายตาเอ็นดู
“เธอนี่ท่าจะเป็นเด็กดีนะมีน้ำใจแล้วก็ใส่ใจการเรียน”
ข้าวยิ้มตอบจางๆอย่างทำตัวไม่ถูกก่อนจะพาครูคนใหม่เดินไปที่ห้องของเขาแถมยังพูดคุยกับครูอย่างเป็นกันเองตลอดทางแต่ก็แนะนำอะไรครูเกี่ยวกับโรงเรียนไม่ได้มากเพราะเขาก็เพิ่งมาเหมือนกันครูมัทนาสอนดีมากครูมีพลังบวกในการสอนและวิธีการอธิบายให้นักเรียนเข้าใจง่ายแผ่นชาร์ทที่ข้าวช่วยถือมาสองแผ่นใหญ่ๆครูเอามาอธิบายประกอบการเรียนนี่เอง

เป็นอีกวันที่เลิกเรียนแล้วต้องปิดหน้าต่างปิดแอร์แล้วก็ถอดปลั๊กทุกอย่างถึงจะออกจากห้องได้ข้าวทำแบบนี้ทุกวันเพราะพอถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนก็รีบพากันออกไปจริงๆก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำหรอกเพราะเดี๋ยวภารโรงเขาก็ขึ้นมาทำเองแต่แค่เห็นแล้วมันรู้สึกต้องทำเขาเลยทำเพราะยังไงก็ไม่ต้องรีบลงจากตึกเพราะมีคนมารอรับเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว
“ข้าว”
แต่ในขณะที่เดินออกจากลิฟต์แล้วกำลังจะเอาหูฟังเอ็มพีสามออกมาเสียบหูเพื่อฟังเพลงตอนกลับบ้านเหมือนทุกวันก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกจนต้องหันไปมองแล้วก็เจอเข้ากับเพื่อนต่างห้องหนึ่งเดียวของเขาเขาเลยยิ้มกว้างให้แล้วหยุดรอเจ้าของเสียงวิ่งมาหาพอเจ้าตัวมาถึงก็หยุดหอบหายใจยกใหญ่จนเขาต้องยิ้มขำ
“ขนม”
เป่าหลงพูดทั้งที่ของเต็มปากพร้อมกับยื่นขนมในมือมาให้ข้าวเลยยื่นมือไปรับมายิ้มๆก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปเดินต่อ
“คิดว่ากลับแล้วซะอีก”
“ม๊าไปซื้อของที่ปากคลองตลาดก่อนถึงจะมารับ”
ข้าวพยักหน้าให้ทั้งคู่เลยหันไปเดินต่อพร้อมกับพูดคุยกันไปตลอดทางช่วงเวลาหลังเลิกเรียนจะเป็นช่วงที่จะเจอกันประจำเพราะข้าวลงมาช้าและเป่าหลงก็รอแม่มารับช่วงนี้เลยจะเป็นช่วงที่ได้พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบประจำวันกันข้าวรู้สึกว่าชีวิตวัยมัธยมของเขาเริ่มจะมีความทรงจำดีๆขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากพบเพื่อนคนนี้
“หืมหวานมากเพลาๆลงบ้างนะของหวานนะ”
ข้าวสะบัดตัวทันทีที่ดูดชาไข่มุกในแก้วที่ถูกส่งมาให้จนคนส่งให้หัวเราะชอบใจ
“ฮ่าๆได้ไงของอร่อย”
เดินเถียงกันเรื่องของกินมาถึงหน้าตึกอยู่ดีๆสายตาข้าวก็ไปหยุดอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้ามที่เงียบอย่างกับป่าช้าแต่เปิดไฟสว่างโล่แทบจะทุกจุดของตึกตลอดเวลาด้วยความสงสัย
“เป่าหลง”
คนถูกเรียกกำลังวุ่นกับการหาของกินในกระเป๋าเป้ที่เอามาสะพายไว้ข้างหน้าเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับขนมห่อใหม่ในมือ
“จะเอาห่อนี้หรอ”
ข้าวส่ายหน้าทั้งที่ไม่ได้หันไปมองเพราะสายตายังจับจ้องอยู่กับตึกๆนั้น
“ทำไมตึกนั้นถึงไม่มีใครไปเรียนเลยละ”
เป่าหลงละสายตาจากถุงขนมในมือขึ้นมองและเมื่อเห็นว่าข้าวกำลังมองอะไรเขาเลยพูดออกไปทั้งที่มือกำลังแกะขนมห่อใหม่
“ไม่มีใครเข้าไปใช้ตึกนั้นได้หรอกเพราะเขาห้ามเข้า”
“ทำไมถึงห้ามเข้าละ”
คำพูดชวนสงสัยทำให้ข้าวต้องหันมาถามคนพูดถ้าห้ามเข้าแล้วทำไมนายภาพวาดกับอีกคนถึงเข้าได้
“ก็เพราะตึกนั้นเป็นของอาชาวินคนอื่นเลยห้ามเข้า”
เป่าหลงพูดทั้งที่ขนมยังเต็มปากอยู่เหมือนเดิมและคำตอบก็ทำเอาข้าวตกใจนิดๆว่าตึกทั้งตึกเป็นของคนๆเดียว
“อาชาวินเขาไม่ชอบความวุ่นวายแล้วก็ชอบความเป็นส่วนตัวขั้นสุดจนแทบไม่ให้ใครเข้าถึงตัวแบล็คถึงต้องอยู่ด้วยตลอดเวลาและตามไปทุกที่คอยกันคนที่เข้ามาประชิดตัวอาชาวินออกเวลาใครเข้าไปใกล้อาชาวินเกินไปก็จะโดนผลักออกแทบกระเด็นแล้วก็ถูกจ้องหน้าเหมือนจะดูดวิญญาณ”
เป่าหลงพูดพร้อมกับทำท่ายกมือขึ้นมากักด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเลียนแบบสิ่งที่ได้ยินมันทำให้ข้าวนึกถึงเหตุการณ์ในห้องพยาบาลวันนั้นที่เขาถูกกระทำเหมือนที่เป่าหลงกำลังพูดไม่มีผิด
“พ่ออาชาวินเลยสร้างตึกๆนั้นให้เขาเรียนคนเดียวมีแค่เขากับแบล็คคนติดตามที่เรียนด้วยกันที่ตึกนั้นเห็นเขาเล่ากันว่าพ่อแบล็คเป็นคนสนิทที่คอยติดตามพ่ออาชาวินเลยตกทอดมาถึงลูกเราเคยอยากมีบอดี้การ์ดเดินตามเท่ๆแบบนั้นบ้างเลยไปขอม๊าแต่โดนม๊าด่ากลับมาอยู่เป็นอาทิตย์”
เป่าหลงพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกแล้วหันไปสนใจกินต่อ
“แล้วโรงเรียนก็ยอมหรอ”
ข้าวถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเป่าหลงเบ้ปากส่ายหัวแล้วพูด
“โรงเรียนว่าอะไรไม่ได้หรอกเพราะครึ่งต่อครึ่งของโรงเรียนนี้พ่ออาชาวินก็เป็นคนสร้างให้เหมือนกันปีๆหนึ่งบริจาคตั้งกี่ล้านก็ไม่รู้แทบจะเป็นเจ้าของโรงเรียนคนที่สองพ่ออาชาวินกับเจ้าของโรงเรียนเขาสนิทกันไม่ใช่แค่โรงเรียนที่พ่ออาชาวินมีอิทธิพลนะพ่อแม่ของบางคนในนี้ก็พึ่งใบบุญพ่ออาชาวินเลยสืบทอดความเกรงใจมาถึงลูกคนที่นี่เลยพากันกลัวอาชาวินไง”
คำบอกเล่าถึงตอนนี้ทำให้ข้าวนึกย้อนกลับไปว่าที่แท้เวลาที่คนๆนี้ปรากฎตัวที่ไหนแล้วทุกคนพากันหลบให้หมดเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง
“พ่อเขารวยมากเลยหรอ”
เป่าหลงดูดน้ำในแก้วอึกใหญ่ก่อนจะตอบข้าวเลยได้แต่มองตามด้วยความอยากรู้
“มาก ชนะวิน เลิศเกียรติสกุลไทย นักการเมืองที่รวยที่สุดในประเทศไทยไง”
ข้าวหยุดฟังตามองต่ำนิ่งจนเป่าหลงขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก
“ใครที่เผลอไปทำอะไรให้อาชาวินไม่พอใจ...เขาว่ากันว่าพ่อของอาชาวินจะส่งคนมาจัดการให้เหลือแต่ชื่อแค่ได้ยินชื่ออาชาวินเลยแทบจะพากันหยุดหายใจแล้วทำตัวกลืนไปในอากาศเลยละแต่มีคนหนึ่งที่ไม่กลัว”
ข้าวเงยหน้าจากพื้นขึ้นมามองกับประโยคที่ชวนให้อยากรู้
“ไฟ”
คำพูดที่พูดออกมาทำให้ข้าวไม่ได้แปลกใจเท่าไรเพราะคนอย่างนั้นก็คงไม่กลัวใครเขาคิดว่าเป่าหลงจะจบแค่นั้นแต่ไม่ใช่เพราะประโยคต่อมามันทำเอาเขาเกิดความอยากรู้ขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่ออาชาวินทำให้โรงเรียนขนาดไหนพ่อไฟก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกันบริจาคเงินสร้างตึกให้ออกค่าทัศนศึกษาไปเที่ยวต่างประเทศให้นักเรียนทุกคนทุกปีโรงเรียนอยากได้อะไรขอให้บอกจัดให้หมดไฟเลยทำอะไรตามใจได้อย่างไม่มีใครกล้าว่าอะไรพวกครูนะเอาใจจะตาย”
เป่าหลงหยุดดูดชาไข่มุกในมืออีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
“พ่อไฟก็เป็นนักการเมืองเหมือนกับพ่ออาชาวินแต่อยู่คนละพรรค”
เป่าหลงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆแล้วขยับเอาหน้าเข้ามาพูดกับข้าวใกล้ๆจนแทบจะกระซิบ
“เขาลือกันว่าพ่อไฟกับพ่ออาชาวินเคยเป็นเพื่อนกันแต่ก็มาแตกคอกันอำนาจที่พ่อไฟมีก็ยังต้องแพ้อำนาจของพ่ออาชาวินเลยทำให้ต่อให้ทุกคนที่นี่จะกลัวไฟขนาดไหนก็กลัวอาชาวินมากกว่าเพราะเหตุผลนี้ละไฟเลยไม่ถูกกับอาชาวินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพราะถูกเอามาเปรียบเทียบกันตลอด”
เป่าหลงพูดจบก็เคลื่อนตัวกลับไปแต่ก็ยังไม่วายหันมาพูดต่อ
“เหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือไฟก็ยังมีอาชาวิน”
ข้าวหันสายตาไปมองตึกๆนั้นช้าๆหลังจากฟังจบบางทีคนรวยก็ไม่ได้มีชีวิตมีความสุขมากไปกว่าคนจนเลยเพราะต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่บนความระแวงถ้าต้องมีชีวิตวุ่นวายแบบนั้นเขายอมมีชีวิตเป็นคนจนธรรมดาๆที่เพื่อนบ้านในซอยมีแต่คนใจดีแล้วกลับบ้านไปก็ได้กินของอร่อยๆที่อาทำไว้ให้แบบนี้ดีกว่า

วันนี้อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็นหมอกจางๆทำให้ข้าวรู้สึกดีจนต้องสูดรับอากาศในเวลาตีห้าเข้าเต็มปอดในขณะที่กำลังยืนรอรถเมล์รอบหกโมงไปโรงเรียนเหมือนทุกวันเขากดปุ่มเร่งเสียงเอ็มพีสามในมือแล้วยกมือขึ้นมาถูกันแก้หนาวแต่รอยสีแดงจางๆที่แขนเสื้อเชิ้ตด้านในที่ยังหลงเหลืออยู่นิดๆก็ทำเอาต้องคิดถึงที่มา

นายภาพวาดไม่ได้เจ็บตัวเพราะเขาจริงๆหรอแผลที่มือนั่นไม่ได้เกิดจากการที่เขาล้มไปทับใช่มั้ยแล้วถ้ามันเกิดจากเขาละพ่อของนายภาพวาดคนนั้นจะส่งคนมาจัดการเขาเหมือนที่เป่าหลงพูดหรือเปล่า!

“อ้าวจะไปมั้ยไอ้หนุ่ม”
เสียงตะโกนทำให้ข้าวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจกับเรื่องที่กำลังคิดพอดีจนต้องหันไปมองแล้วก็เจอเข้ากับลุงกระเป๋ารถเมล์ที่กำลังมองมาที่เขาพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นก็มองมาผ่านหน้าต่างที่ไม่มีกระจกจนเขาต้องรีบดึงหูฟังที่หูออกแล้ววิ่งตรงไปที่รถเมล์ทันที

ทันทีที่เข้ามาถึงห้องเขาก็ตรงไปที่โต๊ะของตัวเองเหมือนทุกวันทันทีโดยที่ไม่ทักทายใครเพราะไม่มีใครเคยทักทายเขาอยู่แล้วแรกๆก็จะถูกตั้งแง่แกล้งพูดจาถากถางทุกเวลาที่เห็นหน้าแต่พอนานไปเพื่อนในห้องก็ไม่ได้อะไรกับเขาแล้วเพราะต่างคนต่างอยู่
“ทำไมละเลิฟลี่ไม่ชอบหรอ”
ยกเว้นก็แต่เสียงนี้ที่ยังพอมีนำทีมคนอื่นแกล้งบ้าง
“นี่มันคอลเลคชั่นใหม่เลยนะ เลิฟลี่จะไปไหนอะ รอแพคด้วย”
เสียงพูดแสนหวานที่ต่างจากเวลาแกล้งเขาดังไปทั่วห้อง
พร้อมกับเจ้าตัวที่เดินถือกระเป๋าแบรด์หรูตามคนที่เพิ่งลุกเดินออกไปจากห้อง
“แกฟังเพลงใหม่พี่ซอกคิมยัง หล่อมาก ฉันจะเป็นลมดูๆ”
แล้วตามด้วยเสียงของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้องที่เรียกเพื่อนผู้หญิงด้วยกันไปดูโทรศัพท์ในมือเธอทุกคนมีสิ่งที่ทำแตกต่างกันออกไปส่วนข้าวก็ใส่หูฟังอ่านหนังสืออยู่ในโลกของตัวเองเหมือนทุกวันแต่ในขณะที่กำลังหมุนตัวไปเอาหนังสืออีกเล่มในกระเป๋าสายตาก็เหลือบไปเห็นป้าแม่บ้านกำลังมาเก็บขยะหลังห้องพอดีแต่ด้วยความที่ไปเก็บห้องอื่นมาด้วยทำให้ถุงขยะในมือป้าแม่บ้านค่อนข้างใหญ่และดูท่าจะหนักไหนจะพวกไม้กวาดที่ตักขยะอีกข้าวเลยรีบดึงหูฟังออกจากหูแล้วลุกขึ้นจากที่ของตัวเองตรงไปที่ป้าแม่บ้าน
“ผมช่วยนะครับคุณป้า”
ป้าแม่บ้านเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆข้าวไม่รอคำตอบใดๆรีบยื่นมือเข้าไปเอาถุงขยะจากมือป้าแม่บ้านมาถือไว้ในมือ
“ไม่เป็นไรคุณหนูป้าทำเองๆ”
ป้าแม่บ้านยกมือขึ้นมาโบกไปมาแล้วยื่นมือจะมาดึงถุงขยะในมือข้าวคืนแต่ข้าวก็ไม่ยอมยกมือไปดันมือป้าแม่บ้านไว้แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้า
“ไม่เป็นไรครับผมอยากช่วย”
ป้าแม่บ้านนิ่วหน้าด้วยความกังวลก่อนจะพูดออกมาเสียงเบาตามอายุ
“แต่มันจะเหม็นติดเสื้อผ้าคุณหนูเอานะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมอยู่กับกลิ่นพวกนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว”
ข้าวยิ้มให้ไปเพราะแถวบ้านเขาก็เป็นซอยสลัมดีๆนี่เองกลิ่นขยะในมือตอนนี้ยังน้อยไปถ้าเทียบกับที่เขาได้กลิ่นทุกวันด้วยซ้ำ ป้าแม่บ้านมองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจจนข้าวต้องยิ้มกว้างให้อีกครั้ง
“คุณป้าจะเอาไปทิ้งที่ไหนหรอครับ เหลือเวลาอีกตั้งหลายนาทีกว่าจะเรียนคาบแรกเดี๋ยวผมเอาไปให้”
ป้าแม่บ้านยิ้มอ่อนให้ข้าวอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดออกมา
“โรงขยะหลังตึกนะจ๊ะ”
ข้าวคิดคำนวณอยู่ในหัวเพราะไม่เคยได้ยินชื่อก่อนจะพยักหน้ายิ้มให้คนตรงหน้าแล้วเดินนำป้าแม่บ้านออกไปให้ป้าแม่บ้านคอยบอกทางเอาตลอดทางก็ถูกสายตาของนักเรียนด้วยกันมองมาบ้างแต่ข้าวก็ไม่ได้สนใจอะไรเดินคุยกับป้าแม่บ้านไปตลอดทาง
“เลี้ยวตรงนี้แหละจ๊ะคุณหนู”
ข้าวมองทางเดินเข้าหลังตึกเล็กๆข้างๆตึกเรียนของเขาก่อนจะหันมายิ้มบางให้คนตรงหน้า
“ป้าไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหนูหรอกครับผมไม่ใช่คุณหนูอะไรหรอก”
ข้าวพูดออกไปอย่างรู้สึกขัดใจนิดๆที่ถูกคนที่อายุเยอะกว่าเรียกเขาแบบนี้เพราะเขาไม่ใช่ลูกคุณหนูบ้านรวยเหมือนกับทุกคนที่นี่
“ไม่ได้หรอกจ๊ะเดี๋ยวป้าจะโดนดุเอาที่นี่มีแต่ลูกท่านหลานเธอทั้งนั้นต้องเรียกแบบนี้”
คำพูดและสีหน้ากังวลของคนตรงหน้าทำเอาข้าวอึ้งไปนิดๆว่าโรงเรียนนี้ให้บุคลากรในโรงเรียนปฎิบัติกับนักเรียนตัวเองแบบนี้หรอ ข้าวฝืนยิ้มให้คนตรงหน้าแล้วเดินตามไปด้วยใจหดหู่เพราะมันทำให้เขานึกถึงป้าเย็นป้าสีในซอยบ้าน
“คุณหนู”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินถึงสองก้าวเสียงพูดจากป้าแม่บ้านก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองและสิ่งที่เจอตรงหน้าก็ทำเอาข้าวนิ่งไปทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่หันหน้ามาจากเครือต้นไม้ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ใหญ่คือใคร

อาชาวิน

ชื่อที่รู้สึกได้ถึงความมีอำนาจเพียงแค่ได้ยินข้าวกับเจ้าของชื่อที่อยู่ห่างออกไปสี่ก้าวสบตากันนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนที่คนๆนั้นจะละสายตาจากเขาไปมองป้าแม่บ้านที่วางไม้กวาดและที่ตักขยะในมือลงแล้วเดินเข้าไปหาตน
“เห็นคุณหนูบ่นว่าเบื่ออาหารที่โรงเรียนทำไปให้เมื่อวานป้าเลยทำต้มกระดูกอ่อนกับหมูหวานมาให้แต่ต้องรีบไปทำความสะอาดห้องประชุมให้ครูเขาเลยวางไว้ให้บนโต๊ะห้องกินข้าวคุณหนูเห็นหรือเปล่า”
ไหนเป่าหลงบอกว่าไม่มีใครเข้าใกล้คนๆนี้ได้นอกจากคนติดตามไงแล้วทำไมป้าแม่บ้านถึงเข้าใกล้ได้แถมยังเข้าไปในตึกนั้นได้อีก
“ผมกินแล้วอร่อยมาก”
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าวได้ยินน้ำเสียงแปลกใหม่ที่ไม่ใช่น้ำเสียงเย็นเฉียบไร้อารมณ์ที่เคยได้ยินทุกครั้งของคนๆนั้นมันทำให้เขารู้สึกแปลกนิดๆอย่างบอกไม่ถูก
“โล่งใจป้าคิดว่าคุณหนูจะไม่เห็นซะอีก แล้วคุณหนูแบล็คละได้กินมั้ย”
“กินครับหมดจานเลย”
ป้าแม่บ้านยิ้มกว้างจนเห็นร่องรอยเหี่ยวย่นบนหน้าตามอายุอย่างดูมีความสุขก่อนจะหุบยิ้มลงนิดๆแล้วสอดส่องสายตาไปรอบๆ
“แล้วคุณหนูแบล็คไปไหนละทำไมคุณหนูถึงอยู่คนเดียว”
“ตรงนี้ไม่มีใครอยากมาอยู่แล้วผมมาคนเดียวได้”
“ใช่อย่างที่คุณหนูพูดก็มีแต่คุณหนูแสนดีของป้ากับคุณหนูแบล็คที่มาที่เหม็นๆแบบนี้ช่างไม่สมกันเลยจริงๆ”
ป้าแม่บ้านพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมามองคนตรงหน้าก่อนจะหุบยิ้มลงกระทันหันแล้วยกมือเช็ดๆกับเสื้อผ้าตัวเองก่อนจะยื่นมือไปจับมือของคนตรงหน้าที่มีผ้าพันแผลพันไว้ขึ้นมาและสิ่งที่เห็นก็ทำเอาข้าวเม้มปากตัวเองแน่นเพราะมันเริ่มจะเกี่ยวกับเขา
“แผลเป็นยังไงบ้าง คุณหนูยังเจ็บอยู่มั้ย”
คนถูกถามยิ้มเบาๆให้ป้าแม่บ้านนั่นเป็นสิ่งที่ทำเอาข้าวอึ้งไปเพราะเขาไม่เคยเห็นคนตรงหน้ายิ้มหรือแสดงสีหน้าอะไรนอกจากใบหน้าแสนนิ่งเรียบไร้การแสดงออกใดๆต่อให้จะเป็นแค่รอยยิ้มบางๆแต่ก็ทำให้คนที่เจอไม่สามารถละสายตาจากมันได้เลยเพราะมันเป็นยิ้มที่น่ามองและชวนหลงใหลตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจบรรดานักเรียนหญิงที่พากันชื่นชอบในตัวคนๆนี้จากตอนแรกที่ไม่เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเธอถึงพากันชอบนัก
“ผมไม่เป็นไรแล้วไม่เจ็บเลย”
น้ำเสียงนุ่มนวลถูกส่งออกมาป้าแม่บ้านเงยหน้าจากมือที่จับอยู่มามองเจ้าของก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นกัน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะต้มยาจีนแก้อักเสบกับรังนกอุ่นๆมาให้อีกคุณหนูจะได้หายเร็วๆ”
“พอแล้วครับลำบากเปล่าๆผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ไม่ลำบากอะไรเลยก็ของที่คุณหนูซื้อมาให้ป้าทั้งนั้นตั้งเยอะแยะป้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก นะพรุ่งนี้รอป้านะ เดี๋ยวป้าต้มมาให้อีก”
คนตรงหน้าป้าแม่บ้านพยักหน้าที่มียิ้มบางๆอยู่ให้จนป้าแม่บ้านยิ้มกลับ ข้าวยืนมองการสนทนาของทั้งคู่เงียบๆโดยที่ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขากำลังถูกแต่งเติมไปด้วยรอยยิ้มเช่นกันจนป้าแม่บ้านละสายตาจากคนตรงหน้ามาหาเขาถึงได้สติ
“ขอบใจมากๆนะคุณหนูเดี๋ยวป้าทำต่อเอง”
ป้าแม่บ้านยิ้มกว้างให้ข้าวเลยยิ้มตอบไป
“คุณหนูคนนั้นใจดีมากเลยคุณหนูช่วยป้าเอาขยะลงมาจากตึกคุณหนูรู้จักหรือเปล่า”
ป้าแม่บ้านหันไปหาคนตรงหน้าอีกครั้งและประโยคคำถามก็ทำเอาข้าวต้องลอบมองหน้าคนถูกถามนิดๆ
“ในโรงเรียนนี้ผมรู้จักแค่ป้ากับแบล็ค”
คำตอบทำเอาข้าวหน้าเจือนแต่ด้วยความรู้สึกเสียหน้าหรือน้อยใจหรืออะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาเดินถือถุงขยะเข้าไปหาสองคนข้างหน้าก่อนจะวางลงแล้วพูด
“แต่ผมรู้จักเขาครับแล้วบางทีแผลที่มือนั่นผมอาจจะเป็นคนทำด้วยก็ได้”
ข้าวพูดจบก็ก้มลงไปเอาพลาสเตอร์ในกระเป๋าเสื้อตัวเองออกมาแล้วยื่นให้ป้าแม่บ้าน
“ฝากให้คุณหนูของป้าด้วยนะครับ”
ข้าวโค้งหัวให้ป้าแม่บ้านเบาๆเป็นเชิงว่าขอตัวก่อนจะหันหลังเดินออกมาโดยไม่มองหน้าบุคคลที่สามที่ยืนอยู่เลยแต่เดินออกมาได้แค่ก้าวเดียวก็ต้องหยุดแล้วเดินกลับไปหาคนที่จะพูดด้วยในระยะประชิดอย่างลืมตัวถึงข้อห้ามที่เพื่อนบอกมาแต่ก็ไม่ทันแล้วเลยพูดออกไปแบบไม่กล้ามองหน้าคนที่พูดด้วยตรงๆ
“นาย...จะให้พ่อมาจัดการฉัน...ทั้งที่เรื่องมันขี้ประติ๋วแบบนี้...ไม่ได้หรอกนะ”
พูดจบทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบคนตรงหน้ามองหน้าเขาด้วยใบหน้าไร้การแสดงออกใดๆเหมือนเคยจนเขาทำตัวไม่ถูกได้แต่กลืนน้ำลายลงคอแล้วหันกลับไปสาวเท้าเดินออกมาเร็วๆ
“คุณหนูไม่ได้มือเป็นแผลเพราะตีประตูตึกให้เปิดหรอกหรอ”
แต่เดินออกมาได้แค่สามก้าวก็ต้องชะงักเท้าลงนิดๆเมื่อได้ยินประโยคสนทนาด้านหลังแต่ด้วยความน้อยใจที่รู้สึกว่าไม่อยากรู้จักด้วยเมื่อครู่เลยทำให้เขาหันคอที่เอียงไปฟังกลับมาอย่างไม่อยากสนใจแล้วเดินต่อ



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ TUWADEE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่5.อำนาจที่แท้จริงเป็นของเขา



~วี วิช ยู อะ เม๊อร์รี่ คริสต์มาส วี วิช ยู อะ เม๊อร์รี่ คริสต์มาส วี วิช ยู อะ เม๊อร์รี่ คริสต์มาส แซน ดา แฮ๊พพี่ นิว เยียร์~

เสียงเพลงที่บ่งบอกว่าเทศกาลแห่งความสุขกำลังเริ่มขึ้นดังไปทั่วโรงเรียนทั้งตึกของมอหกและมอสี่มอห้าที่อยู่ห่างออกไปที่จริงแล้ววันนี้ไม่ใช่วันปีใหม่แต่อย่างใดแต่เพราะวันปีใหม่โรงเรียนจะหยุดเลยต้องจัดวันนี้ทุกคนตอนนี้กำลังมีความสุขกับเหล่าเพื่อนพ้องอาหารและบรรยากาศที่ทางโรงเรียนจัดให้ซึ่งมันแตกต่างจากงานปีใหม่แบบที่เคยเจอจากโรงเรียนเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะที่นี่จัดใหญ่โตหรูหราสมกับฐานะโรงเรียนมอหกทุกห้องถูกนัดให้นำของขวัญมาจับและฉลองปีใหม่ร่วมกันที่ห้องโถงของตึกคงเป็นเพราะอยากสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างห้อง

ข้าวยิ้มมองชายร่างใหญ่ที่แต่งตัวเป็นซานตาคอสเดินแจกของขวัญเล็กๆน้อยๆให้นักเรียนทุกคนและเป่าหลงที่ยืนกินอาหารตั้งแต่มาอยู่ที่มุมอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกับบรรยากาศของเทศกาลแห่งความสุขนี้ปีใหม่เป็นเทศกาลที่เขาชอบที่สุดในชีวิตเพราะมันเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นใหม่บรรยากาศในวันนี้ทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจความสุขในวัยมัธยมที่คนเคยพูดไว้นิดๆแล้วละงานเริ่มไปได้เกือบครึ่งทางก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยนั่นคือการจับของขวัญ

“กูสืบมาของไอ้ไฟเช็คใบหนึ่งเต็มๆเลยนะเว้ยแม่งคงไม่พ้นสองสามหมื่นเหมือนทุกปี”

ข้าวมองไปยังเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึงที่นั่งอยู่มุมที่อย่างกับเจ้าของงานซึ่งถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่พากันเอาน้ำเอาขนมเข้าไปให้จนเจ้าตัวเอาแต่ยิ้มกว้างพอใจ

“ดวงกูมาสุดๆวันนี้กูได้ของมันชัวร์มึงอะเอาไรมา”

“แอร์พอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด”

“เจ๋ง”

“มึงอะ”

“ไอแพด”

“ทาสการตลาดแอปเปิลจริงๆมึงกับกูฮ่าๆ”

เสียงพูดคุยของนักเรียนชายสองคนที่เดินผ่านไปแล้วทำให้ข้าวต้องมองไปรอบๆมีแต่คนถือของขวัญกล่องใหญ่โตดูดีมีราคาจนเขาต้องหันกลับมาก้มมองกล่องของขวัญสีน้ำตาลในมือตัวเองก่อนจะหันหลังเดินออกมา

ข้าวไม่กล้าที่จะเอาของขวัญไปร่วมจับกับคนอื่นเพราะของขวัญของเขาไม่ใช่ของราคาแพงเหมือนคนอื่นถ้าใครได้ไปคงรู้สึกไม่ดีเขาเลยเลือกที่จะเอามันออกมาดีกว่าเขาเดินออกมาจากงานแต่เสียงเพลงจากงานยังคงได้ยินมาแว่วๆตอนนี้ไม่มีใครเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกเพราะทุกคนต่างไปรวมตัวอยู่ในงานข้าวเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียงแล้วหยิบเอ็มพีสามที่พกติดตัวตลอดในกระเป๋ากางเกงออกมาแกะสายหูฟังที่มวนไว้กับตัวเครื่องออกเอาเสียบหูแล้วนั่งลงยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปพร้อมกับเอาคางเกยบนแขนตัวเองฮัมเพลงตามเอ็มพีสามที่กำลังเปิด

“ฮืม ฮืม ฮื้ม “

บรรยากาศโรงเรียนที่ปราศจากเสียงและผู้คนยังคงเป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุดของโรงเรียนถึงจะเหงาแต่การได้อยู่เงียบๆคนเดียวก็ดีเหมือนกันสายตาที่กำลังมองบรรยากาศไปรอบๆต้องหยุดลงเมื่อมองไปยังตึกฝั่งตรงข้ามที่ยังคงเงียบเหงาเหมือนทุกวันไม่จัดงานเหมือนตึกอื่นหรอนั้นคือสิ่งที่เขาคิดข้าวคิดคำนวณอยู่ในหัวครู่หนึ่งก่อนจะเอาคางออกจากแขนแล้วชักแขนเข้ามาแล้วลุกขึ้นยืนเดินออกมาจากตรงนั้น

เขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตึกฝั่งตรงข้ามตึกของเขาแล้วมองบรรยากาศรอบๆอย่างซึมซับตึกนี้มองภายนอกอาจจะดูน่ากลัวแต่เมื่อได้มองใกล้ๆและใช้เวลาอยู่กับมันมันเป็นตึกที่สวยมากมันเงียบสงบแต่มีชีวิตชีวาอยู่ในตัวจากต้นไม้ที่อยู่รายล้อมข้าวละสายตาจากตัวตึกแล้วเดินออกมาเพราะกลัวเจ้าของตึกจะมาเจอเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าของตึกอาจจะไม่พอใจได้เขาเดินต่อไปอย่างไม่มีจุดหมายในใจอยากได้ที่เงียบๆและไม่มีคนแต่อยู่ดีๆคำพูดที่เคยได้ยินว่าสถานที่ที่หนึ่งไม่ค่อยมีคนไปก็เด้งขึ้นมาในหัวเขาจึงตรงไปที่นั่น

ข้าวเดินเข้าไปในทางเดินเล็กๆข้างตึกที่เคยมาเพียงครั้งเดียวแล้วเมื่อมาถึงก็ต้องยิ้มบางๆออกมาเพราะมันไม่มีคนและเงียบสงบแบบที่เขาต้องการจริงๆโรงขยะที่อื่นเป็นยังไงไม่รู้แต่สำหรับที่นี่มันดีมากจนมองข้ามขยะที่ถูกนำมารวมกันไว้เลยเพราะมีต้นไม้ใหญ่ข้างๆที่คอยเป็นตัวถ่ายเทอากาศและสวนหญ้าข้างๆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่มองดูแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีลมเย็นๆที่โฉยมากระทบหน้ามันทำให้รู้สึกดีมากๆเลยละข้าวยิ้มไล่ระดับสายตาจากด้านบนของต้นไม้ใหญ่ลงมาตามลำต้นเรื่อยๆแล้วก็ต้องชะงักเมื่อไล่ลงมาเจอคนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวใต้ต้นจนเขาต้องหุบยิ้มลงแล้วเพ่งไปที่คนที่นอนอยู่นิ่งทำให้รู้ว่าคนๆนั้นคือใครข้าวก้าวตรงไปที่คนๆนั้นอย่างเชื่องช้าจนเหลือระยะห่างแค่ก้าวเดียวเขาจึงหยุดเท้าลงแล้วมองดูคนที่นอนชันขาข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยกมาก่ายหน้าผากหลับข้าวยืนมองอยู่อย่างนั้นเงียบๆอย่างไม่กล้าที่จะทำเสียงอะไรรบกวนเพราะกลัวคนที่กำลังหลับอยู่จะตื่นถึงจะไม่ได้ยิ้มให้เห็นชัดเจนแต่เขาก็สัมผัสได้ว่าใบหน้าของคนตรงหน้าตอนนี้กำลังมีความสุขกับการนอน

เวลาหลับแล้วไม่ได้ทำหน้านิ่งเหมือนหุ่นยนต์ก็ดูเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ทุกคนตีตราให้เลยสักนิด

ข้าวยืนมองคนที่กำลังหลับอยู่อย่างนั้นจนอยู่ดีๆใบไม้จากต้นไม้ใหญ่บนหัวก็ร่วงลงมาใส่หน้าคนที่กำลังนอนจนเขาเห็นแล้วต้องขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวเพราะกลัวว่าคนที่กำลังหลับจะถูกรบกวนจากมันจนตื่นเขาอยากให้คนตรงหน้าได้หลับแบบนี้ต่อไปจึงก้าวเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงข้างๆเก้าอี้ยาวตัวนั้นเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก้มตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหยิบใบไม้บนหน้าคนนอนช้าๆแต่ในขณะที่กำลังจะดึงมือกลับมาดวงตาสองคู่ตรงหน้ากลับลืมขึ้นมาสบตากับเขาจนเขาต้องหยุดมือนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจ

~ ฮือฮือฮือฮื้อฮือ ฮือฮือฮือฮื้อฮือ ฮือฮือฮือฮื้อฮือเมื่อดวงใจมีรัก ดั่งเจ้านกโผบิน บินไปไกลแสนไกล หัวใจฉันก็ลอยลิบไป ถึงแดนดินถิ่นใดนะใจ โอ้ดวงใจเจ้าเอ๋ย~

เสียงเพลงจากเอ็มพีสามที่เปิดเสียบหูไว้ดังเข้ามาในโซนประสาทเมื่อทุกอย่างเงียบใบหน้าที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบและลมหายใจอุ่นๆที่กระทบลงบนมือดวงตาสองคู่ของคนตรงหน้าที่กำลังมองมาทั้งที่ยังนอนมือก่ายหน้าผากอยู่ทำให้ข้าวรู้สึกเหมือนโดนสะกดที่ได้มองสายตานิ่งเรียบคู่ที่เคยเห็นแค่ไกลๆในระยะใกล้แบบนี้ข้าวนิ่งค้างอยู่นานกว่าจะได้สติ

“ใบไม้หล่นใส่หน้านาย”

เขาพูดออกไปแผ่วเบาบอกเหตุผลของการเข้าใกล้แต่สายตาสองคู่ที่กำลังมองมามันกลับทำให้ข้าวขนลุกไปทั้งตัวไม่ใช่ความรู้สึกกลัวแต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ได้จนข้าวเผลอปล่อยกล่องของขวัญในมือร่วงลงพื้นและนั่นมันก็ทำให้เขาได้สติรีบชักหน้าออกห่างจากหน้าคนตรงหน้าข้าวยกมือขึ้นคว้าหูฟังที่หูออกแล้วหันไปหยิบกล่องของขวัญที่ตกอยู่แล้วลุกขึ้นถอยหลังออกมาแต่เพราะความรีบกระโตกกระตากทำให้เขาถอยหลังไปเยียบเข้ากับหินที่ฝั่งอยู่ที่พื้นจนเขาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้นอย่างจัง

“อ๊ะ”

ข้าวเบ้หน้าร้องออกมาด้วยความเจ็บยื่นมือไปจับก้นของตัวเองแต่พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับสายตาเย็นชาของคนที่เพิ่งดีดตัวขึ้นมานั่งใบหน้าไร้การแสดงออกใดๆที่มองมาทำให้ข้าวรู้สึกอายจนลืมความเจ็บไปเลยเขาเอื้อมตัวไปหยิบกล่องของขวัญที่ตกอยู่ข้างๆอีกครั้งแล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนสายตาพิฆาตที่ยังคงมองมาทำให้ข้าวได้แต่กระชับกล่องของขวัญในมือแน่นเพราะรู้ตัวว่าเผลอทำข้อห้ามที่เป่าหลงได้บอกไว้ที่ห้ามเข้าใกล้คนตรงหน้าเขาเลยทำอะไรโง่ๆนั่นคือการหาเรื่องชวนคุยเพื่อแก้สถานการณ์แล้วที่พอจะมีเรื่องคุยกับคนตรงหน้าได้เรื่องเดียวก็คือ

“มือนายเป็นยังไงบ้าง”

ข้าวพูดออกไปแบบไม่เต็มเสียงไม่มีเสียงตอบรับกลับมาแม้แต่คำเดียวจนเขาต้องเม้มปากแน่นเมื่อคิดได้ว่าไม่ควรพูดเพราะคนตรงหน้าคงไม่อยากเสวนากับเขาแต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่อาเคยบอกว่าถึงใครจะไม่เป็นมิตรกับเราก็ขอแค่เราเป็นมิตรกับเขาก็พอแล้วเราจะมีความสุขกับทุกอย่างข้าวเลยมองข้ามบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดตอนนี้ไปแล้วพูดออกไปอีกครั้ง

“ไม่ไปงานปีใหม่หรอ”

แต่คราวนี้คนตรงหน้ากลับหันหน้ามามองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ฉันเกลียดเทศกาล”

เมื่อถูกมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่พอใจเหมือนไปจี้สิ่งที่เกลียดมันทำให้ข้าวไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นจนต้องพูดสิ่งที่ควรต้องพูดออกไป

“แต่นายควรไปพบปะผู้คนนะจะได้มีเพื่อน”

สีหน้าเย็นชาจ้องมาที่ข้าวเขม็งก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่เย็นจับใจไม่ต่างจากสีหน้า

“ฉันไม่ต้องการสิ่งมีชีวิตที่ชื่อนั้น”

ได้ยินแค่นั้นข้าวก็ไปต่อไม่เป็นจนต้องเงียบมองหน้าคนพูดนิ่งสายตาที่ส่งมาตอนนี้ช่างว่างเปล่าจนไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเจ้าของกำลังคิดอะไรอยู่จนข้าวรู้ตัวว่าตัวเองมองหน้าคนตรงหน้าค้างนานเกินไปแล้วจึงเหลือบตาไปทางอื่นเพื่อเบรกความอึดอัดนี้จนสายตาเขามาหยุดอยู่ที่กล่องของขวัญในมือตัวเองเขามองมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

“นายได้ของขวัญปีใหม่หรือยัง”

คำพูดของข้าวทำให้คนตรงหน้าที่หันไปมองทางอื่นหันกลับมาข้าวตัดสินใจทำข้อห้ามอีกครั้งเขาก้าวขาเข้าไปใกล้แล้วยื่นกล่องของขวัญในมือไปให้คนตรงหน้า

“สุขสันต์วันปีใหม่”

คนตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะยื่นมือมารับของแม้แต่นิดจนข้าวใจเสีย

“คนระดับนายคงไม่ต้องการของราคาถูกแบบนี้แต่ถึงมันจะไม่ใช่ของราคาแพงแต่มันก็เป็นของที่ทำด้วยใจ”

ข้าวพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วละสายตาจากคนตรงหน้าเอื้อมตัวไปวางกล่องของขวัญลงบนเก้าอี้แล้วหันหลังเดินออกมาสุดท้ายแล้วคนๆนั้นจะรับไปหรือเปล่าก็ช่างขอแค่ได้ให้กับใครสักคนก็พอเพราะเขาไม่อยากเอามันกลับไปทั้งที่ตั้งใจเอามันมา

เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดมองตามแผ่นหลังคนที่กำลังเดินจากไปจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองของที่ถูกวางทิ้งไว้ด้วยสายตานิ่งเรียบและว่างเปล่า

“คุณท่านมาร่วมงานปีใหม่กับคุณประวิทย์เลยแวะมาหากลับเข้าไปข้างในเถอะ”

เสียงพูดทำให้เขาละสายตาจากมันแล้วหันไปเดินนำคนที่เพิ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“กล่องอะไรวะ”

เสียงจากทางด้านหลังทำให้เขาหยุดเท้าลงแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปทั้งที่ไม่หันไปมอง

“หยิบมาด้วย”

คนถูกสั่งมองตามคนเป็นนายที่เดินไปแล้วก่อนจะหันกลับมาแล้วเดินเข้าไปหยิบของที่วางอยู่ขึ้นมาแล้วเดินตามไป

วันหยุดยาวปีใหม่หมดไปในที่สุดถึงเวลาต้องกลับมาเรียนแล้วนี่สินะคำพูดที่ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ

“เย็นๆ”

เป่าหลงหัวเราะให้กับท่าทีสะบัดมือไล่ความเย็นของข้าวที่เพิ่งวางแก้วน้ำที่ไปซื้อมาทั้งของเขาและของตัวเองลงก่อนที่จะหันไปหยิบถุงใส่กล่องอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหยิบกล่องออกมาเปิด

“วันนี้บะหมี่เป็ดหึยยยย”

เป่าหลงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสุขส่วนข้าวก็ตาโตมองของในกล่องเช่นกันทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่จะหยิบส้อมขึ้นมาพร้อมกันแล้วพยักหน้าส่งซิกบอกกันถึงความพร้อมแล้วจิ้มลงไปที่กล่องอาหารม๊าของเป่าหลงรู้ว่าลูกชายกินข้าวของโรงเรียนไม่อิ่มเลยต้องมีอาหารมาให้ทุกวันเป่าหลงเลยมักจะมากินกับข้าวทำให้ข้าวได้กินของอร่อยๆไปด้วย

“พวกมึงว่าเดี๋ยวนี้ไอ้ลูกหมามันจะมีความสุขเกินหน้าเกินตาไปแล้วหรือเปล่าวะ”

เสียงพูดดังออกจากปากไฟที่กำลังเท้าแขนกับราวระเบียงชั้นบนมองลงไปที่ข้าวที่กำลังหัวเราะด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

“กูรู้สึกเบื่อๆวะพวกมึงหาอะไรให้กูทำแก้เซ็งหน่อยดิ๊”

“ได้เลยเพื่อน”

หนึ่งในสองคนยิ้มร่ารับคำสั่งอย่างชอบใจรู้ได้โดยไม่ต้องบอกว่าไฟหมายถึงอะไรก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับอีกคนเดินตามส่วนไฟยังคงมองไปที่ข้าวที่กำลังหัวเราะพร้อมกับบีบกระป๋องน้ำอัดลมในมือจนบี้แล้วโยนลงไปที่ถังขยะแถวนั้น

“ข้าวกินเส้นเดี๋ยวเรากินเป็ด”

“เฮ้ยได้ไงอ๊า”

ระหว่างที่กำลังแย่งกันจิ้มเนื้อเป็ดในกล่องมือปริศนาที่ทาบลงกับโต๊ะก็ทำให้ทั้งข้าวและเป่าหลงต้องเลิกแย่งกันแล้วเงยหน้าไปมอง

“ครูพละให้พวกกูมาตามมึงไปหา”

หนึ่งในลูกสมุนของไฟที่ชื่อตั้นพูดออกไปพร้อมกับมองหน้าข้าวจนข้าวต้องถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

“มีอะไรหรอ”

“ไม่รู้พวกกูมีหน้าที่แค่มาตามให้ครู”

อีกคนที่ชื่อแทพูดออกมาอีกคนจนข้าวต้องละสายตาจากคนแรกไปหา

“ทำไมครูถึงให้พวกนายมาตามละ”

“เพราะพวกกูก็โดนครูเรียกไปพบเหมือนกันครูเลยให้มาตามมึงด้วย”

ข้าวหันกลับไปมองคนชื่อตั้นอีกครั้งก่อนจะหันไปมองเป่าหลงที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเช่นกัน

“มึงจะไม่เชื่อก็แล้วแต่มึงแต่ถ้าครูโมโหก็อย่ามาโทษพวกกูแล้วกัน”

สิ้นคำพูดตั้นก็เดินนำออกไปก่อนจะตามด้วยแทในใจข้าวไม่อยากตามไปเลยเพราะรู้ว่าสองคนนั้นเป็นคนยังไงแต่ถ้าครูให้มาตามจริงๆจะทำยังไงเขาคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาพยักหน้ายิ้มอ่อนๆให้เป่าหลงเป็นเชิงบอกว่าไม่น่ามีอะไรก่อนที่จะลุกขึ้นเดินตามทั้งสองคนออกไป

ข้าวถูกพามาบนตึกแล้วลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นสี่ของตึกเขามองตามทั้งสองคนที่เดินออกไปจากลิฟต์แล้วอย่างสองจิตสองใจเพราะชั้นนี้เป็นชั้นของห้องชมรมทำให้เขาสงสัยว่าทำไมครูถึงให้มาเจอที่นี่แทนที่จะเป็นห้องพักครูหรือโดมกีฬาที่ครูพละชอบอยู่

“เร็วดิครูรออยู่”

หนึ่งในสองคนที่ชื่อตั้นหันมาเรียกเพราะเห็นว่าข้าวเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์จนเขาต้องหลุดจากความคิดหันไปมองข้าวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากลิฟต์

“ทำไมครูถึงให้มาหาที่นี่ละ”

“เข้าไปก็รู้เอง”


คนที่ชื่อแทพูดแล้วหันกลับไปเดินตามอีกคนที่เดินไปก่อนแล้วถึงแม้ในใจจะเริ่มรู้สึกแปลกๆแต่ก็คิดว่าทั้งสองคนคงไม่กล้าทำอะไรเพราะครูก็อยู่แล้วอีกอย่างหัวหน้าอย่างไฟก็ไม่อยู่ด้วยข้าวตัดสินใจเดินตามทั้งสองคนไปแต่พอมาถึงหน้าห้องชมรมดนตรีที่ทั้งสองพามาหยุดเขากลับรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเลยตัดสินใจหันหลังจะเดินกลับแต่ก็ถูกดึงคอเสื้อไว้แรงจนรู้สึกเจ็บ

“มึงจะไปไหน”

คนที่ชื่อตั้นพูดด้วยน้ำเสียงกดๆดึงข้าวที่กำลังดิ้นไว้แน่น

“ปล่อย!”

ข้าวตะโกนออกไปแล้วก็พยายามจะหลุดจากการถูกจับไว้แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาถูกลากเข้าไปในห้องที่อีกคนเปิดประตูไว้รอแล้วข้าวถูกลากเข้ามากลางห้องแล้วถูกเตะเข้าที่ช่วงขาจนเขาล้มลงไปกับพื้นแต่พอจะเงยหน้าขึ้นมองคนทำก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือไฟเสียงปิดประตูชมรมดังปังจนเขาต้องหันไปมองข้าวรับรู้ได้ถึงชะตากรรมของตัวเองทันที

“พวกนายจะทำอะไร”

ข้าวหันมาถามไฟด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงไฟไม่ตอบแต่กลับเดินไปหยิบฉาบใบใหญ่มาทิ้งลงข้างๆจนข้าวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจไฟหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแล้วเดินเข้ามาใกล้

“ขวัญอ่อนจังวะกูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย”

ข้าวเงยหน้าไปมองหน้าไฟที่โน้มตัวลงมาพูดด้วยสีหน้ากวนประสาทก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจ้องหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

“ถ้าไม่ชอบกันก็อยู่ใครอยู่มันสิเราไม่เคยไปยุ่งกับพวกนายพวกนายก็ไม่ควรมายุ่งกับเรา”

ไฟเดาะกระพุ้งแก้มด้วยใบหน้ายียวนก่อนจะหันมามองข้าวตรงๆ

“คนอย่างมึงมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้วะไอ้ลูกหมา”

สิ้นคำพูดนิ้วชี้ก็ถูกยื่นมาผลักหน้าผากข้าวแรงจนเขาผงะไปด้านหลัง

“กูไม่ถูกชะตากับมึงสัดๆ”

นิ้วชี้ยังคงยื่นมาผลักหน้าผากไม่เลิกข้าวได้แต่จ้องหน้าคนทำเขม็ง

“ฉะนั้นกูจะทำอะไรกับมึงก็ได้”

หน้าผากถูกผลักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนข้าวได้แต่กำมือแน่นพยายามสงบอารมณ์เพราะไม่อยากโต้ตอบ

“เพราะในโรงเรียนนี้กูใหญ่สุด”

แต่ก็ยังถูกกระทำไม่เลิกและครั้งนี้มันก็แรงจนหน้าเขาหันไปตามแรงแต่ครั้งนี้เขาก็ไม่ยอมเหมือนกันเขาเงยหน้าขึ้นไปมองไฟที่กำลังยิ้มเหยียดมาที่เขาด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

“คนที่ใหญ่ที่สุดในโรงเรียนคืออาชาวินต่างหาก”

ยิ้มเหยียดของไฟหายไปทันทีที่ได้ยินมันถูกแทนที่ด้วยความโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้นข้าวถูกต่อยลงที่หน้าแรงจนล้มลงไปกับพื้นไฟตามมายืนคร่อมตัวเขาที่นอนอยู่แล้วดึงคอเสื้อเขาขึ้นมาแล้วต่อยลงที่หน้าอีกครั้งแรงจนปากข้าวเต็มไปด้วยเลือดไฟปล่อยมือจากคอเสื้อมาจับผมข้าวดึงขึ้นจนหน้าข้าวหงายขึ้นไปตามแรง

“มึงกล้าดียังไงถึงพูดว่ากูเป็นรองมันกูเกลียดคนที่พูดว่ากูเป็นรองมันที่สุดมึงรู้มั้ย!”

เสียงตะโกนดังสนั่นไปทั่วห้องไฟตอนนี้โกรธจนสามารถฆ่าได้ข้าวถูกเตะเข้าที่กลางลำตัวแรงจนต้องงอตัวด้วยความเจ็บไฟมองไปรอบห้องก่อนจะเดินตรงไปหยิบถังน้ำถูพื้นที่มีน้ำอยู่มาสาดใส่ข้าวจนเขาสำลักน้ำตัวโยก

“กูเกลียด!”

ไม้ถูพื้นถูกฟาดลงที่ตัวข้าวอย่างจังสองครั้งข้าวได้แต่ยกมือขึ้นบังตัวเองด้วยความเจ็บ

“ใครๆก็พูดแต่ชื่อมันแม้กระทั่งพ่อกูกูเกลียดเข้าใจมั้ยว่ากูเกลียด!”

ข้าวถูกดึงคอเสื้อให้ลุกขึ้นแล้วลากไปที่ผนังห้องไฟจับหน้าเขาโขกกับผนังแรงจนเลือดที่หัวเขาไหลออกมาข้าวหมดแรงที่จะสู้หรือแม้แต่จะทรงตัวจนเขาล้มลงไปกองกับพื้นทันทีที่ไฟปล่อยมือ

“ไฟกูว่าเรามาช่วยกันกระเทือบดีกว่ามันส์กว่าเยอะมึงพอก่อน”

คนที่ชื่อแทเดินเข้าไปจับแขนไฟที่กำลังก้าวเข้าไปหาข้าวอีกแต่ก็ถูกอีกคนตามมาดึงออกไป

“ปล่อยให้ไฟมันจัดการเชี่ยนั่นเองแหละดีแล้วอยากปากดีดีนัก”

แทกับตั้นมองหน้ากันจนเสียงพูดคุยด้านนอกทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองที่ประตูก่อนจะหันกลับมามองหน้ากันส่วนไฟตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้วเพราะความโกรธกำลังเข้าครอบงำตั้นเป็นคนเดินไปที่ประตูแล้วแง้มมองก่อนจะรีบปิดลงแล้ววิ่งกลับมาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ไอ้อาชาวินมันมาทำอะไรกับเลขาเจ้าของโรงเรียนวะ”

แทตาโตทันทีที่ได้ยินก่อนจะหันไปมองที่ประตูตั้นวิ่งไปหาไฟแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแตกตื่น

“ไฟไอ้อาชาวินมา”

แต่ไฟไม่ได้สนใจคำพูดเลยจนตั้นต้องยื่นมือไปดึงแขนไฟที่เอาแต่มองไปที่ข้าวให้หันมาสนใจเขาแล้วพูดออกไปอีกครั้ง

“ไอ้ไฟไอ้อาชาวินมา!”

คราวนี้ตั้นพูดดังจนไฟต้องละสายตาจากข้าวมามองตั้นตาเขม็ง

“นี่มึงก็คิดว่ากูต้องกลัวมันอีกคนหรอไอ้ตั้น!”

“กูไม่ได้คิดแต่มันจะเห็นไม่ได้มันไม่ใช่คนที่เราจะจัดการไม่ให้พูดได้นะเว้ยมึงตั้งสติหน่อย!”

ทั้งสองตะโกนใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใครจนไฟเป็นฝ่ายยอมสงบตั้นเลยรีบลากข้าวเข้าไปหลบในซอกฉากที่ทำไว้สำหรับงานดนตรีส่วนไฟก็หลับตาสงบสติอารมณ์โกรธที่มีมากจนอกกระเพื่อมก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเช็ดมือที่เปื้อนเลือดข้าวกับเสื้อตัวเองเป็นจังหวะที่ประตูถูกเปิดออกจนแทที่ยืนแอบดูอยู่ตรงประตูต้องถอยออก

แสงสว่างจากด้านนอกส่องเข้ามาในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟพร้อมกับร่างกายสูงโปร่งที่เดินมือล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาไฟหันไปมองคนมาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มเหยียดก่อนจะเดินเข้าไปหาข้าวที่ถูกจับไว้ในอ้อมแขนตั้นได้แต่มองหน้าคนที่เป็นทางรอดของเขาผ่านช่องเล็กๆในซอกที่ถูกพามาแอบด้วยแววตาสั่นไหวแต่ก็ส่งเสียงอะไรออกไปไม่ได้เพราะถูกมือของตั้นปิดปากไว้

“ถ้ามึงส่งเสียงอะไรออกไปอย่าหาว่ากูไม่เตือนก็แล้วกัน”

ตั้นกระซิบเบาๆข้างหูจนข้าวที่กำลังดิ้นและพยายามจะส่งเสียงต้องหยุด

“มาทำอะไรถึงตึกนี้วะอาชาวินเพื่อนรัก”

ไฟพูดออกไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนคำพูดสักนิดคนมาใหม่จ้องหน้าไฟนิ่งก่อนจะพูดออกมา

“มาไม่ได้หรอ”

คำพูดของคนตรงหน้าทำเอาไฟขบกรามแน่นด้วยความโมโหเพราะอารมณ์โกรธที่มีต่อข้าวยังคงอยู่แต่ก็ต้องข่มเอาไว้แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงประชด

“คนอย่างอาชาวินลูกชายคนที่เหมือนเจ้าของโรงเรียนคนที่สองจะเดินไปไหนก็ได้อยู่แล้ว”

เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดจ้องหน้าไฟนิ่งอีกครั้งแต่เป็นสายตานิ่งที่ซ่อนไว้ด้วยความน่ากลัวไฟที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนร้ายมานานรับรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสายตาของความไม่พอใจ

“ก็รู้นิไฟ..ว่ากูไปได้ทุกที่..และทำได้ทุกอย่างในโรงเรียนนี้”

น้ำเสียงเย็นเฉียบถูกส่งออกไปอย่างนิ่งๆแต่น่ากลัวไฟจ้องหน้าคนพูดนิ่งเพราะรู้ว่าสีหน้าของคนตรงหน้าตอนนี้กำลังบอกว่าไม่พอใจอาชาวินเป็นคนที่ไม่แสดงอารมณ์แต่ถ้าเมื่อไรที่เขาไม่พอใจความน่ากลัวก็จะแพร่ออกมาจากใบหน้านิ่งเรียบของเขาที่เป็นใบหน้านิ่งเรียบที่สามารถทำคนให้กลัวจนแทบจะกลายเป็นหินได้โดยที่ไม่ต้องทำหน้าตาโกรธหรือโมโหทั้งคู่จ้องหน้ากันนิ่งไฟกำหมัดขบกรามตัวเองแน่นด้วยความโกรธที่ตัวเองกำลังถูกหยาม

“กูแค่มาคุยธุระแทนพ่อแถวนี้”

น้ำเสียงนิ่งเรียบถูกส่งออกมาทำลายความเงียบก่อนที่เจ้าตัวจะมองหน้าไฟทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินออกมาตามด้วยคนข้างๆเดินตามเมื่อเห็นว่าความหวังของตนกำลังจะจากไปข้าวก็รีบขยับตัวพยายามจะออกไปเขาพยายามส่งเสียงอู้อี้ผ่านมือตั้นเพื่อหวังจะให้คนๆนั้นได้ยินแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อคนๆนั้นออกไปจากห้องแล้วจนข้าวได้แต่มองตามด้วยแววตาสั่นไหวอย่างสิ้นหวังจนน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าตาเกือบไหลออกมา

เจ้าของความสูงร้อยแปดสิบแปดหยุดเท้าลงที่หน้าลิฟต์แล้วเอียงคอไปพูดกับคนด้านหลังด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไปเอาออกมา”

คนถูกสั่งหันกลับไปทางที่เพิ่งเดินมาทันทีเจ้าของคำสั่งก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออกแล้วหันหน้าออกมาทางประตูด้วยใบหน้านิ่งเรียบที่แสนเย็นชาของเขาก่อนที่ลิฟต์จะปิดลง



เพลงที่ข้าวเปิดตอนหยิบใบไม้ออกให้อาชาวินคือเพลง(ใจรัก)ของคุณ(สุชาติ ชวางกูร)นะคะหลายคนคงรู้จักแล้วแต่ถ้าใครไม่รู้จักลองเข้าไปฟังนะคะแล้วจะได้อารมณ์ตอนอ่านมากขึ้น



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด