- END - Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - END - Love on the rocks รินรักลงแก้ว Epilogue (6/12/2020)  (อ่าน 4000 ครั้ง)

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



*****************************

'บางที สิ่งที่ร้ายแรงกว่าฤทธิ์เหล้าอาจเป็นยาพิษที่เรียกว่าความรัก'
[/size]


"เมาเหล้า" กับ "เมารัก" สองอย่างนี้บางทีก็คล้ายกัน เพราะเมื่อได้ลองลิ้มรสชาติไปแล้วมันก็ยากที่จะเลิกมัวเมาไปกับมันเหมือนกันทั้งคู่
[/color][/size]

: Warning (คำเตือน) :


- นิยายเรื่องนี้เป็นแนว Yaoi และมีเนื้อหาที่ดราม่าปวดตับ

- ตัวละครในเรื่องเป็นได้ทั้งโพรุกและโพรับ มีทั้งสลับโพ และ 3P หากรับไม่ได้ขอความกรุณากดกากบาท X ปิดนะคะ

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ตัวละคร และสถานที่ เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นเท่านั้น

- โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



Hell Lord ราชาผู้ปกครองนรก เขาและสมุนมือขวาบุกขึ้นมาบนโลกและได้ช่วงชิงวิญญาณของเหล่ามนุษย์บนเกาะเซฟิลซึ่งมีทั้งการทำพิธีคืนชีพคนตายและทำให้มนุษย์เป็นอมตะ การดูหมิ่นความตายถือเป็นการดูหมิ่นราชาแห่งนรก เจ้านรกจึงได้ริบดวงวิญญาณเหล่านั้นไว้เป็นตัวประกันทั้งยังบีบบังคับให้เจ้าเมืองเข้าร่วมจัดเกมการแข่งขันหากต้องการชิงวิญญาณชาวเมืองกลับคืนไป เป้าหมายที่แท้จริงของเขาที่จัดเกมการแข่งขันนี้ขึ้นมานั้นคืออะไรกันแน่....?



Schney เหตุผลในการมาเข้าร่วมสงครามของเขาคือ 'เจ้านรก' ใช่...ฟังไม่ผิดหรอก ความหลงใหลในตัวบุรุษจากนรกผู้นั้นถึงกับดึงดูดให้เขาถ่อมาไกลถึงที่นี่แม้อาจจะต้องตายก็ตาม แต่ทว่า...เขากลับโดนเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกคนเข้ามาบุกรุกจนตั้งตัวไม่ทันเสียนี่...



Awaken นักฆ่าที่โดนถีบหัวส่งมาร่วมเกมการแข่งขันที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ก่อนจะได้เอาชีวิตไปทิ้งกับเกมที่ไม่รู้ว่าจะรอดกลับไปครบสามสิบสองหรือไม่ เขาก็ได้พบกับคนที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวทั้งๆ ที่กำลังจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว


---------------------------------



เรื่องนี้เคยลงเมื่อสามสี่ปีมาแล้ว แต่ช่วงนั้นเราเขียนตอนจบไม่เคลียร์เลยมีสถานะเป็นนิยายที่โพสต์ไม่จบไป

:pig4:


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2021 14:52:04 โดย pichi »

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Prologue
[/b]

เสียงนิ้วกระทบกับพื้นผิวไม้เนื้อแน่นดังเป็นจังหวะบางเบาอยู่ภายใต้เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของคนมากหน้าหลายตาที่รวมตัวกันในโถงกว้างของปราสาทกลางทะเลเบื้องหน้าเกาะเซฟิล

ชเนย์เป็นอาสาสมัครฝั่งเจ้านรกคนแรกๆ ที่เข้ามาอย่างกระตือรือร้น ทว่าตอนนี้ทำได้เพียงนั่งเซ็งกับภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่เพราะผู้คนที่ไม่ยอมจะเป็นมิตรกับเขา ไม่ใช่เพราะบรรยากาศสุดแสนอึมครึม และไม่ใช่เพราะความน่าเบื่อหน่ายของสถานที่ใดๆ

อืม...อาจจะมีส่วนนิดหน่อย

เนื่องด้วยสไตล์การออกแบบรูปทรงปราสาทไม่ได้ถูกจริตเขาเสียทีเดียว แต่ความจริงชเนย์กำลังผิดหวังกับบุคคลที่เป็นแรงผลักดันให้เขาปรี่มาที่นี่ต่างหาก

“อีกนานแค่ไหนจะเริ่มการแข่งกันล่ะ” น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจของเจ้านรกเอ่ยถามกับคนสนิทข้างกาย นั่นทำให้ชเนย์ที่กำลังล่องสติไปในอากาศกลับมาสนใจผู้คนรอบๆ

“จากความเร็วในการรวบรวมสมาชิก ข้าคิดว่าอีกสักสองสามวันก็เพียงพอแล้วครับ” ชายหนุ่มที่เป็นสมุนมือขวากล่าวตอบ ระหว่างที่ทำการขีดเขียนอะไรต่ออะไรลงไปในกระดาษที่ยาวลากพื้น



“ยังไม่เริ่มอีกหรอ… เบื่อจะตายแล้วน้า”

“เจ้าอย่าพูดมากนักซี่ น่ารำคาญ”

“หิว…”

“เจ้าพวกนี้หนวกหูจริง”

“....”



หลายๆ คนเริ่มโอดครวญ แต่โดยรวมก็ถือว่าเงียบสงบดีอยู่ ผู้คนเริ่มทยอยมาเพิ่มทีนิด บ้างก็โดนฆ่าทิ้งเอาง่ายๆ ด้วยเพราะความอ่อนแอหรือทำตัวอ้อนเท้ามากเกินไป ชเนย์หยุดเคาะนิ้วแล้วค่อยลุกออกจากห้องไปด้วยความระอาดังเช่นบางคนที่เดินหนีออกไปหาอย่างอื่นทำก่อนหน้า แต่เพียงแค่พ้นประตูโถงออกมาได้เพียงนิดก็โดนเรียกให้หยุดเสียก่อน

“ขอโทษด้วยครับคุณชเนย์” คนที่ตามมาคือไคม์  สมุนมือขวาของเจ้านรก “ในประวัติของคุณระบุไว้ว่าทำอาหารได้ใช่มั้ยครับ?”

“อา...ครับ?” ชเนย์เลิกคิ้วสงสัย จริงๆ ก็แค่กรอกไปอย่างนั้นเอง “แล้วมันติดปัญหาอะไรรึเปล่า?”

“อยากจะรบกวนให้ช่วยเป็นพ่อครัวเฉพาะกิจให้หน่อยได้มั้ยครับ? ไหนๆ ขึ้นมาบนโลกทั้งทีพวกเราก็อยากลองทานอาหารของโลกฝั่งนี้บ้าง” ชเนย์ขมวดคิ้วสงสัยหนักกว่าเดิม

นี่ความต้องการส่วนตัวหรือถามเจ้านรกแล้ว? แต่จะอย่างไหนก็คงดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ ล่ะมั้ง

“.....ก็ได้นะ ….เอ? แล้ววัตถุดิบล่ะครับ?”

“ถ้าจัดเมนูมาแล้วบอกส่วนผสมกับวัตถุดิบ ผมก็จัดหามาให้ได้ครับ” ไคม์ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเสียทีเดียว “เย็นนี้เลยไหวมั้ยครับ?”

“เอ๊ะ? เอ่อ..” ชเนย์หยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูก่อนคำนวณอะไรบางอย่างในหัว “คงได้แค่เมนูพื้นๆ นะครับ”

“ได้ครับ”







หลังจากเขียนสิ่งที่ต้องการให้ไคม์ไป ชเนย์ก็เดินหาห้องครัวเพื่อสำรวจว่ามีพื้นที่ขนาดไหนและทำอะไรได้บ้าง… น่าตกใจที่ครัวดูจะคล้ายคลึงกับครัวของโลกมนุษย์ ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะเจออะไรแปลกๆ อย่างกระทะทองแดงเป็นอย่างน้อยเสียแล้ว… เมื่อทำความสะอาดและเตรียมสถานที่ไว้พร้อม ไคม์ก็กลับมาพร้อมบริวารปีศาจและวัตถุดิบจำนวนมากตามที่ได้ขอไว้

“บางอย่างมันไม่ได้อยู่ในรายการ แต่ผมเห็นว่าน่าสนใจก็เลยเอามาด้วย แต่จะใช้หรือเปล่าก็แล้วแต่นะครับ” สภาพของบางอย่างถูกห่อมาแทบไม่ต้องบอกว่าไปได้มาด้วยวิธีไหน…

“...นี่เมนูของพรุ่งนี้ทั้งสามเวลา” ชเนย์ไม่ได้สนใจว่าเขาจะได้ของทั้งหมดมายังไง และส่งกระดาษอีกสองสามแผ่นให้ไคม์ “สำหรับหกที่สินะ”

“รบกวนด้วยนะครับ”

ไคม์เดินออกจากครัวไป เหลือแค่ชเนย์ที่ขยับตัวทำโน่นนี่อย่างคล่องแคล่ว แต่ระหว่างจัดแจงปรุงอาหารไปเรื่อยๆ ในหัวกลับคิดถึงเรื่องอื่นอยู่… ภาพนัยน์ตาคมดุของเจ้านรกที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับการแข่งที่บังคับจัดขึ้นที่เมืองเซฟิล แต่เมื่อจ้องมองดีๆ ชเนย์กลับพบเพียงความว่างเปล่าอันแสนคุ้นเคย เพราะมันคือสิ่งที่เขาเกลียดมันจนเข้ากระดูกดำ ...เมื่อนั้น ความสนใจต่อตัวเจ้านรกที่มีในคราแรกก็มอดลงแทบจะทันที

เสียอารมณ์จัง…แต่สมัครเข้ามาแล้วก็ช่วยไม่ได้ รีบแข่งรีบจบงานไปเสียก็พอเหมือนที่แล้วๆ มา



เผลอคิดนอกเรื่องไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ตัว แต่อาหารทุกอย่างถูกปรุงจนพร้อมได้ที่หมดเสียแล้ว เหลือก็แต่เพียงตกแต่งและยกเสิร์ฟเท่านั้น

“...........แล้วห้องอาหารอยู่ไหนหว่า…”

สุดท้ายก็เดินไปถามไคม์ให้เรียบร้อย แม้ชเนย์กะว่าจะยกมาเสิร์ฟเองแต่ไคม์ก็ยืนยันว่าเขาจะเอาไปเอง เลยต้องยอมๆ ไป เพราะไม่อยากขัดกับใครก็ตามที่สามารถฆ่าเขาได้เพียงแค่ปริปาก…

เขาลากตัวเองกลับมาในห้องครัวเพื่อทำอย่างอื่นให้ตัวเองกินต่อ มีเส้นบัควีทเหลือเลยจับมาผัดกับเห็ดที่เหลือเสีย ยอมตกลงทำอาหารให้ก็ได้เปรียบตรงที่อย่างน้อยๆ เขาจะได้ยึดห้องครัวเสียเองเลยนี่แหละ ได้อาหารแล้วก็ย้ายตัวเองไปนั่งพาดอยู่บนหน้าต่างบานใหญ่ รับชมวิวทะเลเคล้าเสียงคลื่นไปด้วยนี่ก็สุขใจพอสำหรับช่วงเวลาแบบนี้

“ไม่มีเสียงนกนางนวลเลยนี่นา”

เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ ทั้งบนฟ้าและใต้ทะเลคงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลจึงลี้ภัยไปกันหมดแล้วกระมัง… เหลือเพียงเมืองเซฟิลที่เงียบสงัดเนื่องจากวิญญาณของคนบนเกาะเกือบทั้งหมดถูกจับไว้เป็นตัวประกัน

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ไม่มีไฟดวงใดในเมืองติดอยู่นอกเสียจากอาคารบริหารของผู้ปกครองแห่งเมืองเซฟิล…

อีกไม่กี่วัน เขาก็ต้องเข้าห้ำหั่นกับผู้ที่คิดจะปกป้องเมืองนั้นสินะ…





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2021 12:44:25 โดย pichi »

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #1


“เจ้าเองเหรอที่ทำอาหารมื้อเย็นเมื่อวาน”

เช้าแสนอึมครึมยิ่งดูแสนหน่ายใจยิ่งขึ้นไปอีก ชเนย์เข้ามาที่ครัวตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อจัดเตรียมอาหารเช้าตามที่ตกลงไว้กับปิศาจมือขวา แน่นอนว่าวัตถุดิบที่ต้องการถูกนำมาวางไว้ให้เรียบร้อย…

แต่ความสงบเงียบก็กลับหายไปด้วยเสียงทักของบุคคลที่ไม่น่าจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ในเวลาเช่นนี้ได้...

‘เจ้านรก’ … ร่างสูงใหญ่ที่ขาวซีดตั้งแต่หัวจรดเท้าย่างกรายเข้ามาช้าๆ เหมือนเพิ่งตื่นนอนแล้วยังไม่ได้บิดขี้เกียจให้ร่างกายมันเข้าที่ดี

“ครับผม” ชเนย์ขานรับสั้นๆ และหันไปสนใจหม้อที่เคี่ยวหอยลายของตัวเองต่อ ข้างๆ หม้อก็มีเนื้อบางอย่างถูกเคี่ยวอยู่เหมือนกัน

“แถมวันนี้กลิ่นก็ฟุ้งไปทั่วจนน่าสงสัยว่าทำอะไรอยู่…” สุดท้ายท่านเจ้านรกก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ยกเท้าขึ้นพาดไว้กับโต๊ะวางของกลางครัวที่อยู่กลางครัว

“ขอโทษด้วยครับ แต่ช่วยเอาเท้าลงไปได้ไหม?” ชเนย์พูดทั้งที่ไม่ได้หันมามอง แต่เดาจากเสียงต่างๆ แล้ว ผู้บุกรุกครัวคงกำลังทำสิ่งที่เขาคิดอยู่เป็นแน่แท้

“.....หา?”

“ถ้าอาหารเปื้อนอะไรเข้าผมกลัวพวกคุณจะท้องเสียน่ะครับ” ชเนย์หันมายิ้มให้ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นผล ท่าทางอารมณ์ดีเมื่อครู่เริ่มมีบรรยากาศคุกรุ่นบางอย่างผสมปนเปมาด้วย แต่ชายร่างใหญ่ก็เอาขาลงให้แต่โดยดีโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ขอบคุณครับ”

ถึงสภาพโดยรวมจะดูอึดอัดยิ่งกว่าอากาศยามเช้าแต่ชเนย์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ยังคงก้มหน้าก้มตาทำตามหน้าที่ของตัวเองไปเท่านั้น สุดท้ายก็เหมือนว่าผู้มาใหม่คนนี้แทบไม่มีตัวตนในห้องครัวนี้เลย“ไม่ไปนั่งรอที่ห้องอาหารล่ะครับ น่าจะสะดวกสบายกับคุณมากกว่า?”

“นี่เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าคุยกับใครอยู่?” เสียงทุ้มถามด้วยรอยยิ้ม แปลกใจในความเป็นกันเองจนน่าคิดว่าอีกฝ่ายลืมมองหน้าตนหรือไม่

“........กับ...คุณไงครับ” ชเนย์ยิ้มตอบอย่างแสร้งจริตเดียงสา

เจ้านรกนึกขำในใจเนื่องด้วยว่าไม่ได้เจอคนที่ไร้ความหวาดกลัวต่อสถานะของเขาขนาดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่เขาขึ้นปกครองนรกภูมิใหม่ๆ โน่นเลย

“เจ้าดูไม่น่าจะโง่นะ ไม่กลัวตายบ้างเลยรึไง”

“ก็เคยครับ แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้ว” พอเริ่มมีเรื่องให้คุยชเนย์ก็หันกลับมาทำอาหารต่อ เหมือนเมื่อครู่คือการหาหัวข้อให้สนทนาต่อได้เฉยๆ

“โฮ่? …” ฝ่ายเจ้านรกถอนหายใจ ตอนนี้ในสายตาเขา ชเนย์เองก็เหมือนเหล่าผู้ปากดีเมื่อครั้งสมัยที่เขายังสนุกสนานกับการสรรหาวิธีทรมานผู้ที่ตกลงมายังแดนนรกทั้งหลาย หลายต่อหลายคนนักที่เคยเอ่ยเช่นนี้ออกมา แต่สุดท้ายเมื่อพบเจอการทรมานแสนสาหัสก็ล้วนขวัญหนีดีฝ่อ ร้องขอชีวิตกันถ้วนหน้าเสียจนน่าเบื่อ… ซึ่งหมอนี่ก็คงไม่พ้นจะเป็นเช่นเดียวกับนับหมื่นๆ คนที่เคยเจอ

“นี่เค้าเรียก Clam Chowder ต้องเสริมก่อนแล้วก็ตามด้วยเพนเน่ ซอสเพสโต้เฮเซลนัทไว้ตัดเลี่ยน” ชเนย์เจื้อยแจ้วสนุกสนานกับการตกแต่งจานอาหารและบอกชื่อเมนูที่กำลังจัดแจงลงไป “สุดท้ายก็ปิดด้วยหมูอบน้ำผึ้ง…”

ยังไม่ทันได้ร่ายรายการอาหารเสร็จ เมนูดังกล่าวก็ถูกเจ้าของปราสาทคว้าไปกินซะก่อนแล้ว





“เอาล่ะครับ คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอ?”

“...?” เจ้านรกเลิกคิ้ว

“ก็... กะอีแค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำอาหารคุณคงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอกมั้งครับ?” ชเนย์ยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่าง และค่อยๆ เก็บหม้อเก็บจานบางส่วนไปวางไว้บนอ่างล้างจาน “เนอะ?”

“......ข้าก็ว่าเจ้าดูไม่น่าจะโง่จริงๆ นั่นแหละ” ร่างสูงใหญ่ยิ้มกว้าง

“งั้นเหรอครับ?” พึมพำบางเบาก่อนหันไปมองกระจกบานเล็กๆ แถวนั้นเหมือนจะเช็กหาว่าอะไรบนหน้าตนที่บ่งชี้ศักยภาพของสมองกัน?

“เมื่อวานตอนเจ้าเข้ามาในปราสาท จู่ๆ สายตาเจ้าก็เปลี่ยน…”

“เอ่อ…. แล้ว…?”

“ไอ้สายตาเหมือนกำลังมองสิ่งว่างเปล่านั่นมันทำข้าหงุดหงิด” เจ้านรกเปลี่ยนน้ำเสียงเล็กน้อยพอให้รับรู้ว่าออกจะไม่ชอบใจการกระทำนั้นจริงๆ “เจ้าผิดหวังอะไรในตัวข้าขนาดนั้น?”

ชเนย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เดาไว้แล้วว่าคงโดนสังเกตเห็นแน่นอน แต่เห็นว่าคนระดับนี้ลงมาขอเคลียร์ด้วยตัวเองก็ถือว่าตรงไปตรงมาดี

“ต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าทำคุณไม่พอใจ แต่อิมเมจคุณที่ผมคิดไว้ไม่น่าจะเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายขนาดนี้”

“อ่าฮะ…?” ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้ว ใช่อยู่ว่าเขารู้สึกเบื่อกับทุกสิ่งอย่าง...แม้แต่ตัวเอง แต่โดนคนที่เพิ่งเจอหน้าพูดใส่แบบนี้มันชวนให้มีน้ำโหพิกล

“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณคงไม่ได้เห็นมันแล้วล่ะ เพราะผมคงไม่ได้คาดหวังอะไรกับคุณต่อแล้ว”

สิ้นประโยคเสียงเรียบ ร่างของชเนย์ที่ยืนอยู่อีกมุมห้องกลับถูกบางอย่างกระชากออกเป็นชิ้นๆ แต่ยังไม่โดนจุดสำคัญ เสียงเนื้อที่ฉีกขาดกับเสียงกระดูกหักลั่นไปทั่วห้อง สีแดงสดของเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นและผนังตรงที่ที่ชเนย์ยืนอยู่ แต่กลับไร้ซึ่งเสียงกรีดร้องใดๆ เล็ดลอดออกมา… ก่อนร่างรุ่งริ่งจะร่วงจนถึงพื้นก็ถูกมือขนาดใหญ่คว้าคอเอาไว้ให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน เจ้านรกจ้องเข้าไปในตาสีหมองหลังแว่นกันแดดที่แตกละเอียดนั่น

“..!?” ทว่าชเนย์ไม่ได้มองเขาอยู่… แม้ตาจะประสานกัน แต่ก่อนสิ้นลมเฮือกสุดท้าย สายตาของชเนย์ทอดออกไปไกลเกินกว่าจะเป็นบุคคลเบื้องหน้า…

ความเงียบปกคลุมห้องจนเย็นเยียบ ทว่าไฟในใจผู้ยังมีชีวิตเพียงคนเดียวกลับระอุด้วยความเกรี้ยวกราด เจ้านรกขบฟันแน่นหลับตาลงเหมือนกำลังตัดสินใจ ...เพียงครู่เดียว

พลังเวทคนละขั้วกับเมื่อครู่ไหลวนอยู่ที่มือข้างที่บีบคอของร่างไร้วิญญาณ เศษชิ้นส่วนแต่ละชิ้นค่อยๆ กลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง ซ่อมแซม ฟื้นฟู และกลับสู่สภาพปกติในเวลาไม่นานนัก…

“นอกจากจะดูแคลนข้าแล้วยังจะเมินข้าอีกงั้นเรอะ!?” พอแน่ใจว่าสติของอีกคนกลับเข้าร่างโดยสมบูรณ์ก็ตวาดเสียงดังใส่แทบจะทันที

“....เอ? นี่ผมสามารถโม้ได้รึเปล่านะ ว่าเคยตายมาแล้วรอบหนึ่งแน่ะ” ชเนย์หัวเราะร่วนบางเบาอย่างไม่ยี่หระสิ่งที่เกิดขึ้น

“เจ้า….”

“ผมบอกแล้วนี่ว่าจะตายหรือเปล่าผมไม่สนหรอก”

“.....” เจ้านรกหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าแววตาของอีกคนเมื่อปราศจากสิ่งบดบังนั้นดูนิ่งสงบและไร้ชีวิตเสียยิ่งกว่าที่เห็นผ่านแว่นสีเข้มนั่นมากนัก

“ตายไปเลยเมื่อกี้หรือตายหลังจากนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอก” ชเนย์จ้องกลับไปที่ดวงตาเจ้านรก ก่อนเลื่อนลงมองแผงอกแน่น...และยกมือขึ้นลูบเบาๆ “คิดในแง่ดีหน่อยก็ ...โดนฆ่าด้วยฝีมือคุณมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร?”

คนถูกคุกคามเหมือนเพิ่งจะนึกถึงเรื่องรสนิยมผิดปกติที่ไคม์รายงานไว้ก่อนหน้านี้ได้จึงได้ปล่อยคออีกฝ่ายลงแล้วเว้นระยะตัวเองออกมาก้าวหนึ่ง

“เจ้าก็ดูไม่ใช่พวกกระหายเลือดเหมือนคนอื่น แล้วเจ้ามาทำอะไรที่การแข่งนี่กันล่ะ?”

“อ๋อ เรื่องนั้น….เอาตรงๆ นะครับ” ชเนย์ยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มแสนว่างเปล่าเช่นเดียวกับดวงตาคู่นั้น “ตอนนี้ผมไม่รู้”

“.........”

“ผมก็...แค่คิดว่าจะมาทำตามใจตัวเองเล่นที่นี่เฉยๆ” คนตัวเล็กกว่าเดินไปตรวจเช็คว่าอาหารที่ทำไว้คงไม่เปรอะเลอะเลือดของตน “แต่เป้าหมายของผมมันหายไปแล้วน่ะสิ”

“......ข้า?” พูดไปก็ขนลุกขึ้นมานิดหน่อย ถึงจะพบเจอบุคคลแบบนี้มาบ้างตลอดช่วงที่ใช้ชีวิตเอ้อระเหยอยู่ แต่เจอเท่าไหร่ก็ไม่คิดจะชินสักครั้ง

“ถ้าไม่พอใจจะฆ่าผมเลยก็ได้ คุณก็แค่หาคนแข่งเพิ่มอีกคนเท่านั้น ไม่ได้ลำบากอะไร”

…...ฆ่าเจ้าไปมันก็เหมือนพังสิ่งของนั่นแหละ….ได้แค่คิดในใจแล้วมองอีกฝ่ายที่ทำตัวกลับเป็นปกติ

“ว่าแต่...น่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“หือ?”

“ชีวิตน่ะ...”







อาหารเช้าที่ยังคงเปี่ยมด้วยรสชาติอันแสนโอชา กลับไม่ได้ช่วยให้รสชาติของวันใหม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ผู้บัญชาของเหล่าผู้หมายจะถล่มให้เกาะเซฟิลพินาศสิ้นต่างละเลียดไปกับความสุขเล็กๆ บนจานตรงหน้า มีเพียงไคม์ที่สงสัยถึงความหมองขุ่นในอารมณ์นายเหนือหัวของตน ...แต่นั่นหาใช่เรื่องที่จะหยิบมาพูดคุยบนโต๊ะอาหารไม่…

“ทางเจ้าเมืองเซฟิลแจ้งมาว่าการหาอาสาสมัครเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าที่คิดเพราะจำนวนคนไม่พอ ทางเราเองก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน" ไคม์แอบหนักใจ เพราะท่านเจ้าไปยื่นข้อเสนอเองว่าจะยอมอ่อนให้ทางนั้นโดยการไม่ใช้กองกำลังจากขุมนรก เลยต้องมาลำบากหาเอาจากคนบนพื้นพิภพนี้ "ข้าคิดว่า...อาจจะต้องเลื่อนวันประลองออกไปก่อนนะครับ”

ผู้ช่วยของเจ้านรกเอ่ยเสียงเรียบก่อนตัดเอาชิ้นเนื้อบนจานเข้าปากไป ทว่าประเด็นที่เปิดใช่จะทำให้ผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นเย็นใจได้ เพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปหาสมาชิกมาลงแข่งก็เป็นของพวกเขานั่นแหละ ซึ่งไม่ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ เพราะนี่มันเป็นการละเล่นของปิศาจที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน คนสติดีที่ไหนเค้าจะยอมทำกัน

“งั้นเหรอ...ก็เอาสิ” คำตอบของเจ้านรกทำให้หลายเสียงถอนหายใจดังขึ้นในใจแต่ละคนเงียบๆ มีเพียงไคม์ที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เช่นนั้นข้าคงต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนานขึ้นอีกนิดก็แล้วกันนะครับ”

“เออ ช่างมันเหอะ ข้ามีเรื่องอยากทำอยู่พอดี”

คำพูดลอยๆ ของเจ้านรกที่เหมือนตอบส่งๆ ทำให้ไคม์แอบติดใจสงสัย

...ท่านเจ้ามีเรื่องที่อยากทำ?

...ลำพังแค่จัดงานแข่งขันเดิมพันวิญญาณก็น่าแปลกใจพออยู่แล้ว นี่ยังมีเรื่องอื่นที่เขาไม่ได้รับรู้ด้วยยิ่งดูประหลาดมากทีเดียว

...คิดเสียว่าลดภาระการจัดการ 'ทำอย่างไรไม่ให้เจ้านรกเม้งแตกก่อนถึงวันแข่ง' ของตัวเองไปหน่อยแล้วกัน





หลังจากเติมอาหารลงท้องของตัวเอง ชเนย์ก็ต้องมานั่งทำความสะอาดห้องครัวที่เลอะไปด้วยเลือดของเขาเอง

...ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นดี…

ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสคอยหมักเนื้อเตรียมอาหารเที่ยงรอและคิดเนื้อหาจดหมายที่อยากเขียนถึงน้องสาวผู้เป็นที่รักไปด้วย

“ทำไงให้กาลาเทียเชื่อว่าเราตายไปหนหนึ่งแล้วจริงๆ ดีนะ?” พึมพำกับตัวเองพลางก้มมองเลือดที่เปรอะไปทั่ว “ถ่ายรูปส่งไปดีมั้ยหว่า?”

คิดไปก็เท่านั้น กว่าจะมีไอเดียอะไรคงหมดวันก่อน ชเนย์เลยยอมแพ้แล้วเดินไปค้นใบชามาต้มแก้เซ็ง

“เอ๊ะ….? แล้วคนอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นเค้ากินอะไรกันหว่า?” เหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าจำนวนคนในปราสาทไม่ได้มีแค่เพียงผู้เป็นเสมือนหัวหน้าทั้งหกชีวิต…ยังมีเหล่านักแข่งอาสาเช่นเดียวกับเขาอีกหลายสิบคน

หรือว่าพวกนั้นจะไปทอดแหตกปลาในทะเลรอบๆ ปราสาทมาย่างกินกันเอง?

“เจ้าพวกนั้นมีลูกสมุนของข้าอีกส่วนหนึ่งคอยดูแลอยู่แล้ว” เสียงคุ้นเคยเอ่ยตอบระหว่างที่ชเนย์มัวแต่ค้นอะไรต่อมิอะไรในตู้ เจ้านรกเดินมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่เดียวกับเมื่อเช้าเป๊ะ และยังคงเอาเท้าพาดไว้บนโต๊ะเช่นคราแรก ดีที่ชเนย์เก็บของลงไปหมดแล้ว....

“สวัสดียามสายครับ นี่เร็วเกินเวลาอาหารว่างไปนะ”

“ในเมื่อเจ้าไม่มีเป้าหมายใดๆ แล้ว แถมความตายยังไม่ทำให้เจ้าหวาดกลัว แล้วทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?” เจ้านรกไม่สนคำหยอกล้อของอีกคน “จะหลบหนีไปเลยก็ย่อมได้นี่”

“แหม...ทำแบบนั้นผมก็โดนฆ่าสิครับ!”

ดวงตาสีอ่อนมองคนทำท่าโพสต์เบาปัญญาที่ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ยิ่งทำให้คนถามอยากลองหั่นร่างพ่อครัวออกเป็นชิ้นๆ อีกรอบ “ก็… ผมตกลงทำงานนี้แล้ว แถมรับปากแล้วด้วยว่าจะทำอาหารให้จนกว่าจะเริ่มการแข่ง”

“แต่นั่นก็แค่สัญญาปากเปล่าที่เจ้าไร้ข้อได้เปรียบ?”

“ก็ผมบอกว่าจะทำแล้วนี่นา”

“....” ท่านเจ้าหรี่ตาลงมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย นี่เรียกโง่บริสุทธิ์หรือเป็นการพูดแล้วไม่คืนคำกันแน่

“อากาศช่วงกลางวันจะร้อน ลองทำอองเทร่น่าจะเหมาะ... หอยเชลล์กับมูสต้นกระเทียมฝรั่ง หอมอ่อนๆ เปรี้ยวนิดๆ น่าจะเข้ากับลมทะเล” ด้วยความที่ไม่ชอบความเงียบแสนอึดอัดอันเกินไป ชเนย์เลยเริ่มสาธยายรายการอาหารที่จะทำต่อ “ถ้าทำคานาเป้หลายๆ แบบให้เลือกกินกันคงจะดีไม่น้อย… อ่ะ! ไม่มีค็อกเทลนี่นา คงต้องบอกคุณไคม์…”

“ไม่อยู่” เจ้านรกตัดบท

“อ้าว…….เอ่อ...ช่างเถอะ ไม่ต้องมีก็ได้” แม้จะทำหน้าไม่ชอบใจแต่ก็ต้องยอมๆ ทำตามรายการเดิมที่คิดไว้ต่ออยู่ดี “คุณไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“....ทำไม?” ผู้ถูกถามเอียงคอสงสัย

“ปกติคนที่มาขลุกอยู่กับพ่อครัวบ่อยๆ นี่จะได้รับสิทธิพิเศษเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้วครับ” ชเนย์ยกมือขึ้นขยับแว่น...ซึ่งน่าจะพังไปก่อนหน้านี้ มีสำรองใช้หลายอันรึอย่างไรก็ไม่ทราบ...

“จะทำอะไรก็ทำมาเถอะ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดว่าจะแพ้ของกินโน่นนั่นนี่หรอก”

“งั้นขอถามใหม่ว่าชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ?”

“......” เจ้านรกชะงักไปเพราะ...นึกอะไรไม่ออก… ของที่เคยชอบ มาวันนี้ก็เอียนเลี่ยนเบื่อหน่ายและไม่น่าสนใจอีกต่อไป

ชเนย์ตั้งตารอคำตอบอยู่สักครู่ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นความเงียบ แต่ก็ถามออกไปเผื่อว่าปาฏิหาริย์จะบันดาลให้ฝ่ายถูกถามตอบอะไรออกมาบ้าง

“อืม… ไม่เป็นไรหรอกครับ งั้นเอาเป็นคานาเป้โรลละกันครับ ส่วนตอนนี้….”

“........ข้าไม่รู้หรอกว่านั่นมันคืออะไร” เจ้านรกแอบหัวเสียเนื่องจากรู้สึกเหมือนแอบโดนจี้ใจดำ แต่หงุดหงิดได้เพียงครู่เดียวก็หันมาเจอกับจานใส่ของหวานตรงหน้า “หือ?”

“ซัมเมอร์พุดดิ้งครับ” ชเนย์ยิ้มกว้างพลางยักคิ้วน่าตบและยื่นช้อนให้ “รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ตัดเลี่ยนอาหารเมื่อเช้าก็แล้วกัน”

“.....”

“แทนคำขอโทษที่เมื่อกี้ทำให้รู้สึกแย่ครับ” พอเห็นท่านเจ้าไม่หยิบช้อนที่ยื่นให้ก็ยอมพูดจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาหารจานนี้ออกมา

ในที่สุดอีกฝ่ายก็รับช้อนไปแต่โดยดี ชเนย์หันไปง่วนอยู่กับเมนูใหม่ ปล่อยเจ้านรกนั่งมองเขาเงียบๆ นานนับชั่วโมง

กระทั่งร่างสูงใหญ่บิดขี้เกียจทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อไปหาอย่างอื่นทำเช่นการนอนกลางวัน แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยจานอีกจานที่มีโรลขนมปังชิ้นพอดีคำปักไม้เอาไว้จำนวนหนึ่ง…

“คานาเป้โรลที่บอกไงครับ” พ่อครัวยิ้มให้คนที่ทำหน้าตาสงสัยว่ามันคืออะไร “สนใจชิมสักสองสามชิ้นก่อนมั้ย?”

“สองสามชิ้น? นั่นไม่น่าเรียกชิมนะ” พูดออกไปอย่างนั้นแต่ก็ยังยอมหยิบมากินโดยดี

“อีกสักชิ้นนะครับ” ชเนย์คะยั้นคะยอ แม้จะรำคาญแต่ก็ทำตามคำของ่ายๆ …. เพียงแต่คราวนี้รสชาติที่ได้รับมันเปลี่ยนไป ชนิดที่ว่า…

“นี่อะไรวะเนี่ย!?” เจ้านรกจำต้องพ่นของในปากออกมา รสสลัดทูน่าแสนธรรมดาในคำแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นรสขมหืนคอเสียจนไม่น่าจะมีใครกินมันลงไปได้ สายตาอาฆาตจ้องไปหาต้นเรื่องที่ฟุบหน้ากลั้นหัวเราะอยู่ที่อีกฝั่งของโต๊ะ

“ด….เดี๋ยวครับ” ยกมือห้ามอีกคนไม่ให้ปรี่เข้ามาจับตนหั่นเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ “คือ...ผมแค่จะเปรียบเทียบกับ….”

ถึงเจ้านรกจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าแค่มองสีหน้าก็พอจะเดาได้ถึงความคิดที่กำลังหาหนทางจับคนบ้าไปทรมานให้หายแค้นสักวิธี

“จะบอกว่า…” ในที่สุดชเนย์ก็สงบสติตัวเองได้ “มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่เราเจอนั่นแหละครับ ….โรลพวกนี้มันดูเหมือนๆ กันไปหมด… แต่อันที่จริงผมแอบทำไว้หลายแบบ ซึ่งจะรู้ว่ามันมีอะไรข้างในก็ต่อเมื่อลองกินเท่านั้น”

เจ้าของอาหารจานเดือดสุ่มหยิบมากัดเองสักชิ้น และข้างในนั้นเต็มไปด้วยแกนพริกสดๆ ปริมาณมาก ชเนย์นิ่วหน้าตัวสั่นระริกเพราะพิษแสบร้อนแผ่ไปทั่วทั้งปากลามขึ้นไปจนปวดขมับ “อื้อหือ… แค่กก!!! นี่แทบจะรู้เลยว่าหลอดอาหารมันยาวขนาดไหน…”

“.....จะพูดอะไรก็รีบๆ พูดมา” ร่างสูงใหญ่ยกแขนขึ้นกอดอก พอเห็นคนเริ่มเรื่องโดนเองก็รู้สึกสาแก่ใจขึ้นมานิดหน่อย...

“ถึงจะมีแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ใช่ว่าจะเจอในรูปแบบเดิมเสมอไปนี่ครับ….ต...แต่คงต้องลองชิมมันทุกคำน่ะสิ...” ชเนย์ยิ้มให้ทั้งที่หน้ายังผุดไปด้วยเหงื่อ และยังพยายามยัดก้อนโรลนรกชิ้นน้อยเข้าไปให้หมดทั้งชิ้น

เจ้านรกเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ทนทรมานจนน้ำตาเล็ดจากการทำตัวเองล้วนๆ แล้วได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากระคนด้วยความสมเพช

“แกจะกินมันต่อทำไมวะ ในเมื่อรู้แล้วว่ามันคืออะไร”

“รสชาติของชีวิตไงครับ” สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วไปคว้าหานมมาดับความเผ็ดร้อนจนได้

“นี่เค้าเรียกโง่… แต่เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าเองก็ทำเรื่องโง่ๆ มาเยอะจนไม่เหลืออะไรให้ลองแล้วน่ะ...” อยู่มานานจนจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนนี่ก็ไม่แปลกที่จะหาหนทางแก้เบื่อจนเบื่อที่จะหาไปแล้ว

เจ้านรกมองไปยังอีกสองชิ้นที่วางแน่นิ่งไว้บนจานก่อนจะเลือกหยิบมาชิ้นหนึ่งโดยไม่ลังเล

“ดูท่าดวงคุณจะดีเหลือเกินนะ” ชเนย์เดาจากกลิ่นที่คละคลุ้งออกมาหลังจากกัดได้ว่านั่นคงจะเป็นเพียงชิ้นเดียวที่เลอค่าที่สุดบนจานแล้ว…

“แล้วนี่คิดจะทำอะไร? สั่งสอนข้ารึไง?”

“ไม่บังอาจขนาดนั้นครับ” ชเนย์เดินโซเซกลับมาพิงโต๊ะหลังจากที่สามารถดับรสสัมผัสเผ็ดร้อนในปากได้ “ต้องเรียกว่าลองทำสิ่งที่ผมทำกับตัวเองใส่คนอื่นดูมากกว่า”

“ทำเรื่องโง่ๆ?” เจ้านรกหยิบโรลอีกชิ้นมาตรวจสอบด้วยการแกะแงะดูสิ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งหน้าตาและกลิ่นดูไม่เป็นอันตรายมากถึงเอาเข้าปากไปอีกชิ้น ท่าทางจะมีที่ย่ำแย่อยู่เพียงสองชิ้นที่โดนเลือกไปแล้วเท่านั้น

“เป็นการปลอบใจตัวเองน่ะ”

“เรอะ? .....ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ผล”

“นั่นสิ...” ชเนย์คอตกเหมือนการทดลองจะให้ผลไม่น่าพอใจเท่าไหร่ “แต่แค่ลองเฉยๆ น่ะครับ เผื่อคุณจะหลุดออกจากวังวนแบบนี้ได้”

ผู้ได้รับความหวังดีหันมามองอย่างเคลือบแคลงใจ“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง… เปลี่ยนตัวเองยังทำไม่ได้แท้ๆ”

“ขออภัยด้วยถ้าผมต้องบอกว่าผมคงจะตามวอแวคุณอีกสักพัก...” ร่างเล็กกว่าเงยหน้าหันไปทางหน้าต่าง มองออกไปยังเมฆก้อนใหญ่ด้านนอก “พอดีผมเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยไม่อยากเห็นใครอยู่ในสภาพเดียวกัน”

“ตลก… เจ้าคิดว่าข้ากับเจ้าเหมือนกันรึยังไง?” เจ้านรกลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับไปยังโถงรวมพล

“คนประเภทเดียวกันมันมองกันออกน่า…..ไม่งั้นคุณคงไม่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งที่สองหรอกเนอะ?” ชเนย์หันกลับมาระบายยิ้มจางๆ ส่งให้ แววตาหม่นเหลือบมองผ่านแว่นโดยไม่อาจเดาความหมายที่ซ่อนอยู่

นายใหญ่ของโลกหลังความตายไม่ได้หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ มีเพียงแค่ชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ...ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดเอ่ยออกมาและย่างเท้าหายไปในตัวปราสาทอย่างเงียบงัน

“....ทำเขาเหนื่อยใจอีกแล้วสิเนี่ย?”

วันนี้แสงไฟในเมืองเซฟิลก็ยังคงริบหรี่ มีเพียงสถานที่สำคัญและอาคารสำนักงานที่สว่างไสวพอให้ส่องสว่างตัดกับท้องฟ้าและทะเลสีดำของยามค่ำคืน มองแล้วก็คล้ายๆ ดาวดวงน้อยที่ลงมาใกล้กับผืนน้ำเบื้องล่าง







“ท่านมารบกวนคุณรึเปล่าครับ?” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมาตลอดทั้งวันเอ่ยถามทำลายความเงียบ ชเนย์ละจากขนมปังพันเบค่อนในมือแล้วหันไปที่ต้นเสียง ไคม์เดินเข้ามาในครัวและแอบเหลือบไปมองคราบเลือดที่เหลือเลอะอยู่บนผนังก่อนหันกลับมาหาคนที่ตนมีธุระด้วย

“ห้ะ?” ชเนย์เลิกคิ้วสงสัย

“ท่านเจ้านรกน่ะ” ไคม์เดินตามมานั่งที่ขอบหน้าต่างอีกด้านแต่ไม่ได้หันหน้าออกไปรับลมชมวิวด้านนอกด้วย

“ก็ไม่นี่ครับ” พอรู้ถึงคำถามของแขกที่เข้ามาเยือนก็ก้มลงกินอาหารของตัวเองต่อ

“ปกติท่านไม่เป็นแบบนี้ ผมเลยแปลกใจนิดหน่อย คุยอะไรกันไปล่ะครับ?”

“.......นั่นน่ะสิ” ชเนย์นึกถึงเหล่าประโยคสนทนาทั้งหลายก็ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้ว่าเมื่อเช้าพวกเขาคุยอะไรกันไปบ้าง “ก็สัพเพเหระน่ะ”

“บอกไม่ได้เหรอครับ?”

“คุณเป็นถึงคนสนิทแต่เขากลับไม่บอกไม่พาคุณมาด้วย ผมคิดว่าเขาคงไม่อยากบอกใครหรอกมั้งครับ”

“นั่นสิ… สงสัยท่านจะสนใจคุณเข้าแล้วล่ะ”

“เห...จริงง่ะ? เขินนะครับเนี่ย!” ชเนย์ยิ้มกริ่มน่าตบ

“ก็เป็นผลดีของพวกผมนะครับ ถ้าทำให้ท่านกระตือรือร้นที่จะทำอะไรขึ้นมาบ้างคงจะดีไม่น้อย” ไคม์ลุกออกมาเมื่อเห็นว่าไม่น่าจะได้คำตอบอะไรมากขึ้น “เหมือนเมื่อตอนที่ท่านขึ้นมาเป็นเจ้านรกใหม่ๆ......”

“คุณพูดเหมือนกับว่าตอนนี้คุณลำบากงั้นแหละ? ไม่ใช่ว่าก็ยินดีทำทุกอย่างแทนอยู่แล้วเหรอ?”

“.....จริงๆ ผมสนุกที่จะเป็นผู้เฝ้าดูมากกว่า แต่ถ้าทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจผมก็ต้องลงมือทำเสียเองน่ะ” ร่างสูงหยุดอยู่ข้างประตูทางออก “อาหารของคุณอร่อยดีนะ”

“โอ้ว ขอบคุณครับ” ชเนย์ค้อมศีรษะรับ ก่อนไคม์จะเดินหายไปเหมือนเขาสังเกตเห็นรอยยิ้มประหลาดเสี้ยววินาทีหนึ่งได้ เพียงแต่ถึงใส่ใจไปก็ไม่รู้อะไรมากขึ้นอยู่ดี… เมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียวในห้องครัวพร้อมค่ำคืนเงียบสงบกลับมา ชเนย์ก็เริ่มคิดเรื่อยเปื่อยต่อไป…










ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #2


“เช้าแล้วคร้าบบบบบบบ”

เสียงสดใสของชเนย์ลั่นเข้ามาในห้องนอนของเจ้านรกพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวโผล่พรวดโจนทะยานสู่เตียงกว้างอย่างรวดเร็ว

แต่ก่อนจะได้เข้าไปเฉียดแม้ปลายเตียง ชเนย์ก็ชะงักเพราะความเจ็บปวดที่แล่นออกมาจากช่วงอกและลำตัว พอก้มลงมองหาสาเหตุก็พบหินแหลมคมขนาดเท่าดาวกระจายสีสันสวยงามจำนวนมากปักอยู่ตามตัวของเขา

“โอ๊ะ…” ผู้บุกรุกทรุดลงกับพื้น เริ่มกระอักสำลักเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง

“ใครอนุญาตให้แกเข้ามาในนี้วะ!?” เจ้านรกยันตัวขึ้นมาจากเตียงเชื่องช้าผิดกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนตื่นเต็มที่แล้ว

“ขอโทษด้วยครับ ข้าเป็นคนพาเขาเข้ามาเอง” ไคม์พูดปรามไม่ให้นายเหนือหัวลงมือทำอะไรมนุษย์ตัวจ้อยไปมากกว่านี้ “ข้าขอให้เขาทำอาหารรองท้องให้ท่านก่อนมื้อเช้าจะมาถึง เลยบอกให้เขาเอามาเสิร์ฟด้วย”

“อะไรน่ะ?…”

“มนุษย์เหรอ?”

“หืม?”

“ว้าว! มนุษย์ล่ะ!”

น้ำเสียงนุ่มหลากหลายโทนเซ็งแซ่ขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย ร่างอรชรหลายตนค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากม่านบางเบาที่ซ้อนทับเพื่อซ่อนเร้นตัวตนจากแสงยามรุ่ง

“เจ้านี่ไม่ใช่อาหาร พวกเจ้าออกไปซะ”

เจ้านรกเอ่ยห้ามเมื่อเห็นเหล่าปีศาจสาวเริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชเนย์ที่นอนจมกองเลือดหอบหายใจรวยริน เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่จึงตัดใจจากเหยื่อและค่อยๆ จางหายไปราวอากาศธาตุด้วยใบหน้าสุดเสียดายที่พลาดโอกาสลิ้มรสเลือดเนื้อสดๆ ของมนุษย์

เจ้านรกวาดมือไปมาสองสามทีไปทางชเนย์ ผลึกที่ฝังตัวอยู่ก็สลายหายไปและแผลก็สมานตัวปิดสนิทได้รวดเร็ว

“ว้าว... นี่ผมเกือบตายอีกรอบแล้วสินะ” พอร่างกายกลับมาเป็นปกติชเนย์ก็กลับมาเริงร่าน่าถีบเช่นเดิม

“นี่อะไร?” เจ้านรกเริ่มจะเอือมระอากับความไม่กลัวตายของมนุษย์ผู้นี้จึงหันไปสนใจอาหารที่เอามาเสิร์ฟแทน

“ซุปปลาน้ำใสครับ เหมาะกับการเริ่มเช้าวันใหม่ดี”

ชเนย์พยุงตัวขึ้นมาช้าๆ เพราะไม่มั่นใจว่าแผลหายสนิทจริง ส่วนไคม์ก็ทำหน้าที่จัดแจงตักลงถ้วยเงียบๆ คอยสังเกตคนเสียงดังสองคน

“มีประโยชน์กับสุขภาพด้วยนะครับ!”

“....เจ้าคิดว่าปิศาจอย่างข้ายังต้องห่วงเรื่องนั้นอีกเหรอ?” ท่านเจ้านรกรับถ้วยจากไคม์ แต่สายตามองมายังชเนย์อย่างสงสัยว่าระบบความคิดของอีกฝ่ายทำงานยังไงกันแน่

“อย่างน้อยๆ ก็ทางกายภาพไงครับ” ทั้งที่มนุษย์เพียงผู้เดียวในห้องกว้างนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไร้สมอง แต่รู้สึกเหมือนแกล้งโง่อยู่อย่างไรอย่างนั้น…

“เออๆ เสร็จแล้วก็รีบออกไปซะ”

“ครับผม” เมื่อเห็นว่าไม่มีคำถามเกี่ยวกับอาหารของเขา ชเนย์ก็จ้ำเท้าออกจากห้องไป ปล่อยให้สองปิศาจอยู่กันเพียงลำพัง

“เป็นคนดีนะครับ” ไคม์เปิดฉากสนทนาทำลายความเงียบ

“โง่เง่าด้วย…”

“เขาไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากท่านเชียวนะครับ”

เจ้านรกขมวดคิ้วสงสัย พอคนถูกจ้องรับรู้ได้ว่าโดนมองก็เลื่อนสายตาไปรอบๆ เหมือนจะบอกคำตอบกลายๆ ว่าให้มองไปรอบตัวสิ

ร่างสูงใหญ่มองตามออกไปทั่วห้อง แม้จะเป็นเพียงปราสาทชั่วคราวแต่ของที่ตกแต่งประดับประดาล้วนเป็นของที่ดูมีราคาทั้งสิ้น หรืออย่างน้อยก็เป็นงานศิลป์เลอค่าน่าหลงใหลที่ศิลปินคนไหนเห็นก็ล้วนต้องหลั่งน้ำตา

“นั่นแหละ… มันก็แค่โง่เท่านั้น…..”







ในเช้าวันเดียวกัน หายนะก็ได้มาเยือนคุณพ่อครัวจำเป็น...



ชเนย์ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่หน้าห้องครัว สายตาหยุดนิ่งขณะมองโต๊ะที่ ‘เคยมี’ อาหารเช้าวางเรียงรายอยู่ ซึ่งบัดนี้ทุกจานล้วน ‘ว่างเปล่า’ ทั้งๆ ที่ใกล้จะได้เวลามื้อเช้าแล้ว ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดหันไปมองต้นตอที่ทำให้อาหารเช้าที่ตนเพิ่งทำเสร็จไปหมาดๆ หายไปหมด

ชายผมสีแดงซึ่งกำลังดื่มกาแฟหลังอาหารหันหน้ามาทางเขา พร้อมกับเอ่ยทักทาย

"สวัสดี ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะ"

ชายหนุ่มทักทายแล้ววางแก้วไว้ที่อ่างล้างจานก่อนทำท่าจะเดินออกจากครัว

"สวัสดีครับ" ชเนย์เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อคนตัวเล็กกว่าไว้ไม่ให้เดินหายวับออกไป ก่อนหันหน้ามาหาพร้อมยิ้มแห้ง "ไม่ทราบว่าคุณหัวขโมยสนใจไปรับโทษด้วยกันมั้ยครับ"

"หมายถึงผม? " ชายหนุ่มเอียงคอนิดหนึ่งแถมทำหน้าไม่รู้เรื่อง ชเนย์รู้สึกเหมือนโดนกวนส้นแต่เช้า

"คือ...ถึงจะไม่ได้เขียนป้ายอะไรกำกับไว้แต่คุณไม่ควรกินอาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครนะครับ" คนเทศน์ทำหน้าจริงจังแม้จะโดนแว่นบัง แถมเปลี่ยนจากคว้าคอมาเป็นจับบ่าอีกคนและบีบแน่น "ไม่คิดว่าอาจจะมีใครวางยาพิษบ้างเหรอครับ?"

"ผมคิดว่าคงไม่มีใครกล้าใส่ของพรรค์นั้นลงในอาหารของพวกท่านเจ้านรกหรอกมั้ง"

รอยยิ้มและคำพูดที่ออกมาทำให้ชเนย์จับได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้ารู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังกล้าบุกเข้ามากินซะเรียบ มือที่จับบ่าจึงบีบแน่นกว่าเดิม

"รู้ทั้งรู้แต่คุณก็ยังกินเนี่ยนะ..." สุดท้ายจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดีแถมไม่คิดจะหาเรื่องต่อให้เสียเวลา เขารีบเดินจ้ำไปหาวิธีเสกเมนูอาหารเช้าจานใหม่ออกมาแทน "อาหารส่วนของผู้เข้าร่วมไม่ถูกปากรึไงครับ? "

"ก็พอกินได้ ไม่ได้รสชาติแย่อะไร แต่บังเอิญว่าผมได้กลิ่นของน่าอร่อยกว่าลอยมาก็เลยถือโอกาสชิมไปนิดหน่อย" คนที่ถูกปล่อยเป็นอิสระกระชับปกเสื้อให้เข้าที่ แล้วยังไม่วายแอบเด็ดองุ่นในตะกร้าผลไม้ใส่เข้าปากไปอีกสองสามลูก

พ่อครัวชั่วคราวหันไปมองค้อนคนไม่รู้สึกผิดก่อนหยิบนู่นนั่นนี่มามองสลับกับนาฬิกาอยู่หลายครั้ง "พอร์คชอปซอสเห็ด....พิซซ่าถ้วย... พาสต้าครีมแซลมอน..."

ชเนย์เริ่มร่ายเมนูที่สามารถทำได้ทันเวลาออกมา ซึ่งจากสีหน้าท่าทางเขาดูไม่อยากจะทำของพวกนี้เท่าไหร่ แต่ในเมื่อมีเวลาจำกัดก็ต้องแข่งกับเวลาเท่าที่มี

เมื่อหยิบจำนวนวัตถุดิบออกมาตามจำนวนผู้รอรับประทานอยู่ก็ชะงักไปครู่หนึ่งและหันมาหาชายผมแดงที่ยังเล็มผลไม้ในตะกร้าต่อไป "...คุณจะเอาอีกสักจานมั้ยครับ? "

"อืม...งั้นขอด้วยก็แล้วกัน" เอ่ยราวกับลูกค้าที่เข้ามาสั่งอาหารจากเชฟในภัตตาคารแล้วก็ยกเก้าอี้ที่อยู่ในครัวมานั่งรอ และไม่รอเปล่ายังหันหน้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังง่วนกับการทำเมนูอาหารเช้าใหม่คุยฆ่าเวลา "แล้วนี่ตกลงคุณมาสมัครเป็นผู้เข้าแข่งขันหรือว่าพ่อครัวกันแน่...? "

"...จำผมได้ด้วย? " ชเนย์มองผ่านไหล่ไปหาเป็นระยะไม่ให้ผู้บุกรุกหยิบอะไรเข้าปากไปอีก จริงๆ เขาเองก็จำได้ว่าอีกคนเป็นผู้เข้าแข่งขันเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในครัวแบบนี้ แถมยังพยายามไม่ทำตัวเด่นสะดุดตาอะไร ไม่นึกว่าจะมีใครจำเขาได้ "กินไปขนาดนั้นยังจะกินต่อได้ หิวโหยมาจากไหนละครับ? "

ต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงมานั่งคุยกับคนที่เพิ่งสร้างปัญหาระดับคอขาดบาดตายให้ได้

"จำได้สิ ก็คุณเป็นมนุษย์ไม่กี่คนในปราสาทนี้เหมือนกับผม" เขาอธิบาย "ส่วนอาหารจานที่ผมขอไปนั่นผมจะเอาไปให้คนอื่นลองกินบ้าง ไม่ได้จะกินเองทั้งหมดสักหน่อย"

“ใจดีจังนะ หรืออาหารฝีมือพ่อครัวคนอื่นในปราสาทจะแย่จริง...” พึมพำเบาๆ แต่รอยยิ้มจางบนใบหน้าบ่งบอกได้ว่าเขาเริ่มผ่อนคลายลงมานิดหน่อย "ชเนย์ครับ"

อีกฝ่ายเลิกคิ้วที่พ่อครัวหนุ่มผมสีอ่อนอยู่ๆ ก็แนะนำตัว ถึงอยากจะพูดกวนประสาทกลับไปว่า 'ใครถาม?' แต่เพราะเป็นคนทำมื้อเช้าแสนถูกปากให้ทานจึงสงบปากสงบคำลงนิดหนึ่ง

"อเวเค่น ซันไรซ์” ชายหนุ่มผมสีแดงเอ่ย

สาบานว่านั่นคือชื่อคน?

"แล้ว...คุณจะบอกเรื่องที่ผมแอบขโมยกินรึเปล่า?"

"ถ้าท่านเจ้านรกถาม ผมก็ตอบตรงๆ ..." คำตอบเรียบเฉยเหมือนไม่ได้แยแส แค่ชั่วอึดใจอาหารอย่างแรกในเมนูหลายจานก็ถูกยกมาวางพักไว้ และหันไปสนใจสเต็กตรงหน้าต่อ "แต่ถ้าเค้าไม่ถามก็ไม่รู้จะพูดไปทำไม"

"อือฮึ" อเวเค่นพยักหน้ารับรู้

"ว่าแต่คุณเองก็เป็นมนุษย์ใช่มั้ยครับ ทำไมมาเข้ากับฝั่งนี้ล่ะ?"

ในปราสาทแห่งนี้ ผู้สมัครอาสาร่วมเป็นกำลังรบให้กับราชานรกล้วนไม่ใช่คน หันไปทางไหนก็เจอแต่ปิศาจไม่ก็พวกอมมนุษย์แทบทั้งสิ้น แต่ละคนต่างมีเหตุผลส่วนตัว แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทุกตนล้วนไม่มีใครน่าคบหาโดยสิ้นเชิง

ให้เปรียบก็คงเหมือนทหารรับจ้างที่ถูกจ้างวานให้มารบในสงคราม จะเป็นใครมาจากไหนก็ช่าง หรือต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครมานั่งเสียใจให้กันหรอก

แต่บอกตามตรงว่าการเป็นคนส่วนน้อยในที่นี้นี่ตอนเดินคนเดียวก็แอบเสียวสันหลังวาบเหมือนกัน...กลัวจะโดนลากไปขึ้นเขียงลงหม้อเสิร์ฟเป็นฟูลคอร์สเนื้อมนุษย์

"พอดีว่าผมมีเหตุผลส่วนตัวเลยขอไม่ตอบแล้วกัน" อเวเค่นเห็นชเนย์ย่นคิ้วเลยยกยิ้มยียวน ไม่ได้ทำให้คลายความกระจ่างอยู่ดี... "คุณก็เหมือนกัน ทำไมมาเข้าฝั่งนี้ล่ะ? "

ชเนย์ลอบถอนใจเบาๆ นอกจากจะไม่ตอบให้ตรงประเด็น ยังเอาคำถามของเขามาล้อเลียนอีก มันน่าตีด้วยทัพพี...

"อืม...เหตุผลของผมนี่..." พ่อครัวลากเสียงและจัดจานต่อมาอย่างว่องไว ก่อนเบนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อแอบยิ้มกริ่มเล็กน้อย "ผมว่าคุณคงไม่อยากรู้หรอกมั้ง"

"ก็ลองบอกมาสิ" สายตาคนมองทำท่าอยากรู้สุดๆ

...จะให้บอกว่ามาลงแข่งเพราะหลงผู้ชาย(ปิศาจ) ก็ฟังดูแย่ไปหน่อย...ถึงมันจะจริงก็เถอะ...

"...เอางี้ ถ้าผมเสนอว่าให้คุณมาทานอาหารเช้าที่นี่แทนการมาแอบขโมยกิน...คุณจะว่าไง?" ชเนย์เปลี่ยนเรื่องเพื่อจะกลบเกลื่อน

อเวเค่นหรี่ตามองและทิ้งช่วงนานจนคนถามใจคอไม่ดี

"อ่ะ! คือ...ที่ผมเสนอเนี่ยเพราะไม่อยากลุกมาทำใหม่อย่างรีบๆ แบบนี้อีกน่ะ"

“อ่อ...แน่นอน ผมไม่ปฏิเสธและยินดีจะมากินให้เรียบเลยด้วย" อเวเค่นตอบแทบจะทันที

ไม่เก็บอาการสักนิดเลยเหรอ ไอ้ที่บอกว่าอาหารของผู้เข้าแข่งขันพอกินได้รสชาติไม่ได้แย่นั่นโกหกสินะ...

"ก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายแฮะ..." พ่อครัวพึมพำบางเบาแทบไม่ได้ยินเพราะโดนเสียงน้ำมันเดือดๆ กลบหายไปหมด

เมื่อจานที่สามเข้าสู่เตาอบ ชเนย์ถอนหายใจและขยับมายืนพิงโต๊ะอย่างเหน็ดเหนื่อย มือควักไปป์ก้านยาวสีสวยแปลกตาออกมาสูบผ่อนคลาย ใบหน้าสงบนิ่งราวกับว่าไอ้ท่าทางที่คุยกันแบบสบายๆ ชิวๆ เมื่อครู่เป็นคนละคนกัน

"งั้นคราวหน้าก็แวะมาอีกแล้วกันครับ จะทำส่วนของคุณเตรียมไว้ให้ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับวัตถุดิบหลักก็พอครับ มันไม่ใช่ของของผม" สายตาหลังแว่นสีเข้มทอดมองไปยังเกาะเซฟิลซึ่งอยู่อีกฝั่งของปราสาท เป็นทิวทัศน์แห่งเดียวให้ดูแก้เบื่อหน่าย

จะต้องติดแหง่กอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนนะ...

"ที่เกาะนั่นเหมือนจะมีร้านค้าดีๆ อยู่ ก่อนจะเกิดเรื่องผมก็เคยแวะไปเที่ยวมาเหมือนกัน" อเวเค่นกล่าวเมื่อเห็นชเนย์ทอดสายตามองออกไป "สนใจเหรอ?"

"ไม่หรอกครับ พอดีว่ายังไม่อยากตายอีกรอบ...คนบนเกาะนั่นคงแค้นฝั่งเราน่าดู"

ต่อให้ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ลองอยู่คนละข้างกันแล้วก็พร้อมจะเกลียดชังกันได้โดยไร้เหตุผล

ชเนย์มองเตาอบเป็นระยะเหมือนกะเวลาในใจ และปิดเตาก่อนเวลาที่ตั้งไว้จะแจ้งเตือนเสียอีก เท่านี้เมนูทุกอย่างก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว จะขาดก็แต่เครื่องดื่มชั้นเลิศเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหน...

จริงสิ! ยังมีอยู่นี่นา!

"ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมจะไปที่เกาะนั่น คุณสนใจไปด้วยกันมั้ย?"

"หา?" อเวเค่นเงยหน้าจากการดมอาหารมาทำตาปริบๆ

"เห็นว่าคนส่วนใหญ่บนเกาะโดนริบวิญญาณจนนอนเป็นผักกันไปหมดแล้ว พวกร้านค้าต่างๆ ก็คงเงียบเป็นป่าช้า น่าจะมีเครื่องดื่มดีๆ ให้ยกเค้าเพียบเลยล่ะ เนอะ?"

คำพูดไม่เข้ากับสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทางเยี่ยงคนดีแบบชเนย์ทำเอาอเวเค่นเลิกคิ้วก่อนมองนาฬิกาข้อมือ

"อืม...ที่จริงจะไปตอนกลางวันหรือกลางคืนก็คงไม่ต่างกัน เวรยามบนเกาะคงแทบไม่เหลือแล้ว คุณอยากจะไปตอนไหนล่ะ"

"ยอมไปด้วยง่ายๆ เลยนะครับ" ชเนย์พูดแซว

"ผมเองก็อยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในปราสาทนี่นานๆ ไม่ได้ออกกำลังเลยมันน่าเบื่อ"

แหงสิ...ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม และพวกเขาไม่ได้มาพักร้อน กำหนดการแข่งก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ จะให้นั่งๆ นอนๆ รออยู่เฉยๆ คงเปื่อยก่อนตายชัก

"'งั้นก็...ตอนเที่ยงดีมั้ยครับ? ถ้าเจอไวน์ดีๆ คงเอามาเสิร์ฟช่วงดินเนอร์ได้ด้วย"

"ตกลงตามนั้น"

นี่ก็ดีลด้วยง่ายซะไม่มี

เมื่อเมนูทั้งหมดจัดเตรียมพร้อมแล้ว พ่อครัวหนุ่มก็จัดแจงแบ่งให้เพื่อนใหม่ไปชุดหนึ่ง

"ไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณจะเอาไปกินเองหรือแบ่งให้ใคร แต่ถ้าอยากขอเพิ่มก็มาช่วยเป็นลูกมือผมด้วยละกัน"

"ผมทำอาหารไม่เป็นหรอกนะ" เขาตอบ "ให้เอามีดไปแทงคนยังจะง่ายกว่าให้มาช่วยทำครัวซะอีก"

ชเนย์เกือบหลุดขำออกไปแล้ว

"แค่ช่วยหั่นผักง่ายๆ คงไม่เกินความสามารถของคุณหรอกมั้งครับ" ชเนย์หันมายิ้มเป็นมิตรให้อีกครั้ง พอดีกับที่ปิศาจรับใช้เดินเข้ามาในครัวเพื่อนำอาหารเช้าออกไปเสิร์ฟ

"ผมกินกับล้างเป็นอย่างเดียว"

"ล้อเล่นน่ะครับ" เรื่องให้มาเป็นลูกมืิอช่วย ขืนเอาคนทำอาหารไม่เป็นมาทำมีแต่จะทำให้งานของเขาช้าหนักกว่าเดิมอีก "งั้นหลังมื้อเที่ยงค่อยออกไปตระเวนทัวร์ด้วยกันนะครับ"

"ตกลงตามนั้น" อเวเค่นรับอาหารมาและตกลงเรื่องกำหนดการออกร่อนวันนี้ แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป ชายหนุ่มผมแดงหันกลับมาหาพ่อครัวอีกครั้ง "...คุณช่วยยืนยันกับผมทีสิว่าเราไม่ได้กำลังจะไปเดทกันใช่ไหม?"

"...ไม่ใช่อย่างแน่นอนครับ"

"โอเค งั้นก็แล้วไป" พูดจบก็ส่งยิ้มกวนโอ๊ยให้ทีหนึ่ง

"แล้วเจอกันครับ" ชเนย์เลิกคิ้วพ่นควันไล่หลังอเวเค่นไป แต่ควันเอื่อยลอยไปไม่ทันอีกคนที่เดินตัวปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว พอทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบพ่อครัวก็เดินไปเก็บกวาดจานและอุปกรณ์ทำครัว "อืม...น่าจะดึงตัวไว้ให้ช่วยล้างจานก่อนแฮะ พลาดไปจริงๆ"



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura




พระอาทิตย์ลอยเด่นเหนือหัวส่องแสงแรงจ้าลงมาอย่างไม่เกรงใจมนุษย์เดินดิน ทว่าจำนวนเมฆที่มากกว่าก็ช่วยบดบังให้ไม่ร้อนจนเกินไป

บรรยากาศในเมืองเซฟิลเงียบเชียบจนแทบจะร้าง อีกทั้งผู้คนบางส่วนยังอพยพย้ายไปที่อื่นกันหมดทั้งที่รู้ว่าหนีไปก็เท่านั้น สถานที่ต่างๆ บนเกาะกำลังจะถูกเนรมิตให้กลายเป็นสังเวียนต่อสู้เฉกเช่นโคลอสเซียม ทำให้ย่านการค้าของเกาะที่มักจะมีฝูงชนพลุกพล่านคึกคักกลับเหลือเพียงความเงียบสงัด

"ยังกับเมืองร้างเลยนะ ขนาดหมาแมวยังไม่มีสักตัว" ชายหนุ่มผมสีแดงกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็หยุดยืนจ้องอยู่หน้ากระจกร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง

"นั่นสิครับ" ชเนย์ก้าวเดินนำไปและเห็นว่าไม่มีเสียงฝีเท้าอีกคนเดินตามมาก็หันหลังกลับไปดู เขาเกือบทำไปป์อันโปรดหล่นตกพื้นไปแล้ว นี่ถ้าตาไม่บอดซะก่อนเขาว่าเขาเห็นอเวเค่นกำลังจ้องเสื้อผ้าอยู่ แต่ติดที่ว่า...มันเป็นเสื้อผ้าของสุภาพสตรีน่ะสิ...

"...ตั้งใจทำอะไรของคุณน่ะครับ? " ชเนย์ถามออกไปและชักรู้สึกทะแม่งๆ กับพ่อหนุ่มคนนี้ตงิดๆ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายคว้าเอาไม้ที่อยู่แถวๆ นั้นมาฟาดจนกระจกหน้าร้านแตก

"พอดีผมอยากได้เสื้อผ้าติดมือกลับไปสักสองสามชุดน่ะ"

พูดอย่างหน้าตาเฉยก่อนจะทำไม้ทำมือแปลกๆ เหมือนกับกำลังวัดขนาดคร่าวๆ แล้วที่อยู่ในมือนั่นมันคือ...ชุดชั้นใน

".....ตามสบายครับ" ชเนย์เองก็หันไปหยุดมองหน้าร้านขายแว่นแถวนั้นผ่านๆ แต่ท่าทางยังไม่มีไอ้ที่ถูกใจเลยเดินผ่านไปเฉยๆ ก่อนหยุดหน้าร้านขายเครื่องดื่มของมึนเมาที่ดูหรูหราแต่มิดชิด "อเวเค่น คุณช่วยงัดประตูให้หน่อยได้มั้ยครับ? "

"งั้นฝากช่วยถือหน่อยก็แล้วกัน"

อเวเค่นยื่นถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้ายัดจนล้นใส่มือชเนย์ สรุปว่าไม่รู้จะเลือกแบบไหนเลยเอามาซะเพียบ ดวงตาใต้กรอบแว่นสีเข้มไม่ได้ตั้งใจจะมองชุดพวกนี้เลย แต่ของที่อยู่ข้างในถุงมันโผล่ออกมาให้เห็นเอง เขาจึงถือถุงไขว้ไว้ด้านหลังแทน

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที อเวเค่นก็งัดประตูร้านเข้าไปได้สำเร็จ ตอนแรกชเนย์ก็คิดว่าอีกฝ่ายจะพังกระจกเข้าไปเหมือนร้านเสื้อผ้าเมื่อกี้ แต่ก็ดีแล้วเพราะแค่นี้ก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ พอเปิดประตูเข้าไปได้แล้วชเนย์ก็แทบจะโยนถุงนั่นคืนคนที่ไปหอบชุดมาทันที

ไม่ได้ตั้งใจจะมองหรอกแต่รู้สึกว่าแบบลูกไม้จะเยอะเป็นพิเศษ...

สายตาหลังแว่นสีเข้มกวาดมองขวดไวน์และเหล้าหลากหลายยี่ห้อที่หลังเคาท์เตอร์ก่อนส่ายหน้าเบาๆ และเดินหาทางเข้าหลังร้าน

"พวกที่วางโชว์ตรงนี้ไม่มีคุณภาพหรอกครับ น่าจะเอาไว้ขายโก่งราคาซะมากกว่า" เห็นอเวเค่นเอียงคอสงสัยเลยตอบให้เสียหน่อย "ถ้าเจอของดีจะลองชิมกันหน่อยมั้ยครับ?"

"คราวนี้จะเปลี่ยนอาชีพมาเป็นบาร์เทนเดอร์แทนรึไง?" แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธคำชวนหรอก...อเวเค่นวางถุงกระดาษไว้บนเก้าอี้แถวๆ นั้นและเดินตามหลังชเนย์ไปติดๆ

เมื่อเจอประตูเข้าหลังร้านได้สีหน้าของชเนย์ก็เริ่มดีขึ้น ขวดไวน์จำนวนมากวางเรียงเอียงนอนไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ภายในไร้บานหน้าต่างใดๆ ที่จะทำให้แสงจากภายนอกลอดเข้ามา มีเพียงแสงหลอดไฟที่ช่วยทำให้มองเห็น แม้จะมีฝุ่นจับบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่หนาจนมองไม่เห็นป้ายที่หน้าขวด

“พวกไวน์ต้องนอนเอียงครับ ไม่งั้นจะเหม็นอับจุกไม้ก็อก...แถมไอ้ขวดอวบๆ พวกนั้นมันไวน์ชั้นสองของโรงหมัก พวกชั้นหนึ่งราคาแพงต้องขวดเล็กเรียวนี่ต่างหาก"

พ่อครัวยิ้มแป้นแล้นอารมณ์ดีเพราะเจอของดีเข้าให้ ขวดเรียวเล็กเพียงไม่กี่ขวดในนั้นถูกยกออกมาใส่กระเป๋าที่เตรียมมา "อ่ะ...แต่ถ้าเหล้าน่ะ เอาแค่ที่วางโชว์ไว้ก็ได้ครับ"

"หืม? ว่าไงนะ? " อเวเค่นกำลังหยิบนู่นจับนี่ยัดใส่ห่อจนไม่ทันได้ฟัง

...ใจคอจะขนกลับไปหมดนั่นเลยจริงดิ?

"อา...ช่างเถอะครับ" ชเนย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอาขวดล้ำค่าในมือใส่ลงกระเป๋าอย่างระวัง “ปกติชอบค็อกเทลแบบไหนครับ? "

"ปกติผมดื่มแต่เบียร์ไม่ก็เหล้า พวกค็อกเทลไม่สนเท่าไหร่" อเวเค่นตอบ "แต่เมื่อก่อนเคยมีคนแนะนำให้ดื่มครั้งหนึ่ง ชื่ออะไรแมนๆ สักอย่าง"

"Manhattan สินะครับ" ชเนย์ตอบ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเคยลองมาบ้าง "ถ้าชอบเบียร์มากกว่าจะลองด็อกส์โนสมั้ยครับ น่าจะชินจมูก"

ชเนย์สะพายกระเป๋าใส่หลังแล้วเดินนำออกไปก่อนโดยไม่รอคนที่กำลังละโมบแอลกอฮอล์ "หรือเคียร์ก็จะเหมือนไวน์มากกว่า ....ลองให้หมดเลยละกัน"

ร่างสูงโปร่งกำลังสนุกอยู่เมื่อนึกถึงเวลาที่จะได้ลองทดสอบฝีมือชงเหล้าที่ไม่ได้แตะมาเสียนาน อเวเค่นเองก็ปล่อยให้ชเนย์ทำหน้าที่ของบาร์เทนเดอร์ไป ส่วนตัวเขาเมื่อได้ของฝากติดมือกลับปราสาทจนพอใจก็เดินออกมาจากหลังร้าน สายตาพลันเห็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงเลยเปิดให้มันเล่นเสียงสร้างบรรยากาศก่อนจะพาตัวเองมานั่งเก้าอี้อยู่หน้าเคาท์เตอร์

ชเนย์เทไวน์ขาวและครีม เดอ คาสซิลลงไปผสมกันในแก้วไวน์ทรงอวบ และส่งให้อเวเค่นลองก่อน "เคียร์ครับ แต่ไม่น่าจะมีอะไรแกล้มนะ"

อเวเค่นยกแก้วขึ้นมาลองจิบก่อน ชเนย์อ่านสีหน้าของอีกฝ่ายซึ่งดูเหมือนจะพอใจกับรสชาติมาก

"Long Ice land? " เริ่มอยากลองอะไรแรงๆ ชเนย์เทเหล้าถึงห้าอย่างลงไปให้คนรอชิมถึงกับเลิกคิ้ว ผสมน้ำมะนาวและเติมสีด้วยโค้กก่อนเทลงแก้วสองใบ กะว่าคงไม่ให้อีกฝ่ายดื่มอยู่คนเดียวเป็นแน่ แต่เดาจากสีหน้าชเนย์คงชอบแก้วช็อตนี้เป็นพิเศษ

“คงไม่เมาง่ายๆ ใช่มั้ยครับ?"

"ผมมั่นใจว่าตัวเองคอแข็งพอตัวนะ" หนุ่มผมแดงดื่มแก้วแรกจนหมดก็ยื่นมือไปคว้าแก้วที่สองมาทันที ก่อนจะชนแก้วกับอีกฝ่ายแล้วกระดกเข้าปากตามไป ทันทีที่ของเหลวดีกรีแรงกว่าแก้วแรกไหลลงคอ อเวเค่นก็วางแก้วลงกับเคาท์เตอร์และก้มหน้าลงไปครู่หนึ่ง

"...ไหวรึเปล่าน่ะคุณ แรงไปรึไงครับ?" ชเนย์มองแก้วของตัวเองสลับกับอีกคน สักพักอเวเค่นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมฉีกยิ้มและยกนิ้วโป้งให้แทนคำชม "ดีจัง ฝีมือผมยังไม่ตกสินะ! "

คิดเองเออเองไปเรียบร้อยว่าเขาชม ทั้งที่จริงๆ อาจจะกำลังบอกว่าสบายดีก็ได้

บาร์เทนเดอร์เริ่มคิดหาอะไรมาตัดรสชาติแต่ยังคิดไม่ตก...พลันหันไปเจอถุงเสื้อผ้าสตรีที่โดนขโมยมาก็หยิบเหล้าเริ่มผสมต่อ "เอาไปให้แฟนเหรอครับ? ...อ้อ ไม่ต้องดื่มหมดก็ได้ ชิมๆ ก็พอแล้ว"

"...ของแบบนั้นมีซะที่ไหน" อเวเค่นพึมพำเงียบๆ และหมุนแก้วที่อยู่ในมือไปมาก่อนจะกระดกเข้าไปรวดเดียวหมดแก้วแล้ววางกระแทกเคาท์เตอร์อย่างแรง แต่ไม่ถึงขนาดทำแก้วแตก

"อย่าบอกนะครับว่า...เอาไปใส่เอง?" เลียบๆ เคียงๆ ถามออกไป เขาเองก็มีเพื่อนที่มีรสนิยมแนวนี้เลยแอบอยากรู้

"ไม่ใช่ เลิกเดาสุ่มสักทีเถอะ" ดวงตาสีทองออกแนวหาเรื่องนิดๆ ชเนย์แอบคาดเดาในใจว่าคนๆ นี้อาจเริ่มเมานิดๆ แล้วก็เป็นได้

ไหนว่าคอแข็ง....?

"ก็ได้ครับ แต่แบบ...ไอ้นั่นน่ะ ยังไงก็ช่วยเก็บให้มิดชิดหน่อย" พูดพลางเหล่ตาไปทางด้านกองเสื้อนั่นอีกทีเป็นการบอกกลายๆ ว่าพูดถึงอะไรและวางอีกแก้วต่อมาทันที แต่ด้วยชื่อของมันแทบจะดูออกว่าแอบท้วงติงเบาๆ "พิ้งค์เลดี้ครับ รสเปรี้ยวอมหวานตัดเลี่ยนหน่อยละกัน"

ดีกรีพอๆ กับแก้วที่แล้ว แต่อันตรายตรงที่ดื่มง่าย...

"เอาไว้ค่อยเก็บทีหลังก็ได้น่า..."

อเวเค่นเผลอแสดงท่าทางหัวเสียออกไป พอแอลกอฮอล์เข้ากระแสเลือดก็หลุดมาด ว่าแล้วก็ดื่มแก้วที่สามต่อ เพียงไม่กี่อึกแก้วนั้นก็ว่างเปล่าไปในไม่กี่นาทีต่อมา

"ฮ...เฮ้ เร็วเกินไปแล้วครับ..." ชเนย์ยังง่วนอยู่กับการกะๆ ชิมๆ แก้วที่เอาไว้ลองส่วนผสม แต่อเวเค่นก็ดื่มจนหมดแล้ว เลยต้องหาอะไรมาหยุดการกระดกอย่างว่องไวนี้ก่อนที่จะต้องลำบากอุ้มอีกคนกลับ เขารินน้ำเปล่ามาให้ชายหนุ่มล้างปากก่อน "อะ....เอางี้มั้ยครับ มาเล่นเกมกันดีกว่า!!"

บาร์เทนเดอร์ที่เริ่มจะมึนๆ เพราะจิบชิมไปเยอะพอดูกำลังควานหาแก้วช็อตเล็กมาสองใบและขวดเปล่าแถวๆ นั้นอีกหนึ่ง

"ผมจะหมุนขวดนะ ปากขวดมันชี้ไปทางใครหรือใกล้ใครมากกว่าคนนั้นต้องยกหนึ่งช็อตและมีโอกาสถามคำถามคนที่ไม่โดน และคนถูกถามต้องตอบความจริง...นะ? " รอยยิ้มแป้นประหนึ่งเชิญชวนอย่างจริงใจ อเวเค่นนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิดกับสติอันเริ่มเหลือน้อยคิดว่าจะเล่นดีมั้ย

"เอางั้นก็ด๊าย...." เขาตอบรับเสียงสูงและยิ้มกริ่ม มือที่ถือแก้วก่อนหน้ายกนิ้วชี้ขึ้นมาหาบาร์เทนเดอร์จำเป็น "แล้วถ้าผมจะถามคำถามน่าอายแค่ไหนคุณก็ห้ามปฏิเสธล่ะ"

"โอ้...จะน่าอายแค่ไหนกันเชียว" คนเริ่มเรื่องเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าเพราะเริ่มมึนแล้วเช่นกันหรือแค่นึกสนุกตามประสามนุษย์ปกติชนถึงได้อุตริคิดจะเล่นเกมแบบนี้ตั้งแต่หัววัน

ขวดเปล่าสีสวยเริ่มหมุนไร้การควบคุม แสงไฟสะท้อนไปมาบนขวดอย่างกับของเล่นล่อลวงเด็กๆ ก่อนขวดจะค่อยๆ หยุด และปากขวดนั้น...ชี้ไปที่ข้างตัวชเนย์

"เอาล่ะ..." คนยืนหลังเคาท์เตอร์รินเหล้าลงแก้วช็อตเล็กแล้วยกกระดกจนหมด "คุณ...โกหกสินะ เรื่องอาหารเมื่อเช้าน่ะ รสชาติอาหารของผู้เข้าร่วมที่จัดไว้ให้มันห่วยแตกสุดๆ ใช่รึเปล่า? "

"เออ!! " คำเดียวสั้นๆ แต่ดังลั่นร้าน "ประสาทรับรสของไอ้พ่อครัวปิศาจทำด้วยอะไรถึงคิดว่าไอ้ที่ทำออกมานั่นเรียกว่าอาหาร! " อเวเค่นโพล่งออกมาจากใจจริง นี่ถ้าอยู่ในปราสาทเขาอาจโดนลากไปเป็นวัตถุดิบในมื้อค่ำนี้แล้วก็เป็นได้

"ว่าแล้วเชียว" ชเนย์หัวเราะแห้งๆ แล้วเริ่มหมุนแก้วอีกครั้ง คราวนี้อเวเค่นได้เป็นคนที่ต้องดื่มหนึ่งช็อตและถามคำถามเขา ดวงตาใต้แว่นกันแดดกำลังเตรียมใจว่าจะโดนถามคำถามน่าอายอะไร

"คุณชอบมีเซ็กส์ท่าไหน? "

"ห้ะ...." ถ้าเป็นในการ์ตูน ชเนย์คงทำตาแทบถลนออกนอกแว่น คำถามนี่มันจะติดเรทไปมั้ย แต่ถึงกระนั้นก็คงต้องตอบตามตรง "เอ่อ...คือ On top ครับ..."

ใบหน้าที่เจือสีระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นแดงขึ้นอีกเล็กน้อย ที่จริงก็นึกไว้แล้วว่าคงเจออะไรแบบนี้แหงๆ แต่ไม่คิดว่าจะเจอตั้งแต่ต้นเกมขนาดนี้ จากที่แค่ต้องการถ่วงเวลาไม่ให้อีกฝ่ายเมาเร็วเกินไป ตอนนี้ชักอยากให้ตัวเขาเมาแล้วสลบไปก่อนคำถามจะเริ่มลงลึกกว่านี้ "งั้น...หมุนต่อล่ะนะครับ"

เมื่อขวดหยุดลง...มันกลับไปหยุดฝั่งอเวเค่นอีกครั้ง ชเนย์กรีดร้องในใจเบาๆ ระหว่างรินเหล้าลงแก้วช็อตของอีกคน อเวเค่นยิ้มกริ่มอย่างไม่น่าไว้วางใจและกระดกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง สายตาเจ้าเล่ห์มองชเนย์ก่อนจะยิงคำถามต่อจากเมื่อกี้

"แล้ว...คุณเป็นฝ่ายที่อยู่บนรึเปล่า? "

หนุ่มผมสีอ่อนสะดุ้ง คำถามของอีกฝ่ายยังคงวนเวียนอยู่แต่เรื่องบนเตียง ขืนยังเป็นแบบนี้มีหวังโดนอีกฝ่ายล้วงไส้ล้วงพุงหมดเปลือกกันพอดี

จะหาทางแอบโกงเกมนี้ดีมั้ยนะ...

"ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่..." ชเนย์กัดฟันตอบเสียมิได้ ในเมื่อเสนอก็ต้องเล่นตามไป แต่ในมือตอนนี้แอบฉกเอาเม็ดยาสลบมาคลึงไปมาบนนิ้วอย่างลังเลว่าจะใช้หรือไม่ดี เมื่อขวดหมุนอีกรอบพาใจตุ้มๆ ต่อมๆ ภาวนาแรงกล้าให้หันมาหาตน...และเหมือนฟ้าจะได้ยินคำขอนั้น ขวดใบน้อยหมุนมาหยุดทางชเนย์พอดิบพอดี

"คุณ...ผมไม่รู้นะว่าที่ถามเนี่ยเพื่อล้วงข้อมูลผมหรือคุณรู้อยู่แล้วว่าผมเป็น...แต่ถ้ารู้แล้วยังยอมตามมาด้วยง่ายๆ แบบนี้ไม่กลัวรึไง? "

"ถ้ากลัวจะตามมารึ?" ไม่ตอบเฉยๆ แต่ปลดกระดุมชุดสูทออก ชเนย์ร้องเสียงหลงหวั่นว่าอีกคนจะทำอะไรแผลงๆ แต่ทั้งมีดและปืนที่อยู่หลังเสื้อสูทก็เป็นคำตอบให้อย่างดี เล่นเตรียมตัวมาซะครบเครื่อง

นั่นสินะ...ก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขัน เรื่องที่จะมีอาวุธติดตัวนี่ถือเป็นปกติอยู่แล้ว นี่เขาเบลอจนถึงกับลืมคิดแล้วถามคำถามโง่ๆ ออกไปเชียวรึ...แต่นั่นก็ทำให้ชเนย์พอจะรู้ตำแหน่งของอาวุธที่ซ่อนอยู่ได้แทบทั้งหมด หากฉุกเฉินจริงคงใช้วิธีวางยาแล้วปลดอาวุธเสียเลย

เมื่อบาร์เทนเดอร์หมุนขวดอีกคราเหมือนโลกจะช้าลงนิดหน่อย คงเพราะไอ้ที่ซัดเข้าไปก่อนหน้ามันเริ่มออกฤทธิ์แรงขึ้น...แต่ที่น่าเป็นกังวลคือไอ้อาการหลังจากซัดน้ำเมาของตัวเองที่แม้แต่ตัวเขายังไม่ชอบต่างหาก

"....เชิญ" พูดเสร็จก็รินเหล้าใส่แก้วอเวเค่น แต่ก่อนจะยกมือขึ้นก็แอบหย่อนเม็ดยาสลบไว้ ซึ่งมันละลายหายไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน

"สงสัยวันนี้ผมจะดวงขึ้นกว่าคุณนะ" เอ่ยพร้อมยกแก้วรินของเหลวใส่ปาก ในใจตอนนี้เขากำลังสนุกที่ได้ไล่ต้อนชเนย์อยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าที่เริ่มมึนๆ มันไม่ได้มาจากการที่เขาดื่มเหล้าไปหลายช็อต

"แล้ว....คำถาม? " ชเนย์ก้มลงไปหาอีกคนเผื่อว่าอเวเค่นจะไม่ได้ยินที่เขาพูด อย่างน้อยๆ ถ้ายังมีสติถามได้ก็คงเป็นคำถามสุดท้ายแล้ว ก่อนเขาจะต้องแบกทั้งข้าวของและร่างคนสลบกลับปราสาท... ทว่าก่อนกลับคงต้องหาทางจัดการกับร่างกายตัวเองก่อน...

"คุณ..." อเวเค่นเงยหน้ามอง คิ้วมุ่นขมวดเข้าหากันพลางกัดฟัน "ใส่อะไรลงไปในแก้วนั่น?"

"ยาสลบครับ คิดว่าไม่ได้หยิบผิดนะ แล้วนั่นก็ถือเป็นคำถามเลยเนอะ? " ชเนย์ยักไหล่ ในที่สุดก็จบเกมสักที บาร์เทนเดอร์เริ่มลงมือเก็บของที่ต้องการเอากลับลงกระเป๋า แต่ด้วยอาการกึ่มๆ ค่อนไปทางเมาเลยยังส่งผลต่อเนื่องจึงเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก บวกกับ...พอก้มลงสำรวจตัวเองก็พบว่าคงยังไม่สามารถเดินออกไปในสภาพนี้ได้

"หลับอยู่ตรงนี้ไปก่อนละกัน ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก สาบาน"

"ลองทำสิ...ผมจะ...ฆ่าคุณ....แน่" อเวเค่นคาดโทษและพยายามลุกแต่ก้าวเท้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงหมดสติกับพื้น

ชเนย์เดินมาใกล้ๆ ร่างที่ล้มฟุบอยู่กับพื้นเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าสลบไปแล้วจริงหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะแตะหรือเขย่าตัวยังไงก็ไม่มีทีท่าจะลุกมาบีบคอกันแน่ๆ จึงถอนหายใจ"...ก็เห็นว่าคอแข็ง เลยเลือกไอ้ตัวแรงๆ มาลอง โทษทีนะครับ"

พูดจบก็หันรีหันขวามองหาห้องน้ำแล้วหายวับเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย







ควันสีหม่นลอยออกมาจากหน้าต่างห้องครัวแล้วค่อยๆ ละลายหายไปกับสายลมเบาบาง ชเนย์ยืนเหม่อมองก้อนควันที่เขาเป็นคนพ่นมันออกมาทุกๆ ก้อนจนมันหายไป ไปป์ก้านยาวในมือส่องแสงหยอกล้อแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายจ้าทุกครั้งที่เปลี่ยนองศาการถือ

“ช่วงบ่ายนี่อบอ้าวจังแฮะ…” บ่นพึมพำอยู่คนเดียวกับห้องครัวสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว เมนูต่อไปไม่ต้องเตรียมอะไรมากนัก พ่อครัวเฉพาะกิจจึงถือโอกาสพักเสียหน่อย

จริงๆ กำลังชั่งใจว่าจะไปพบปะผู้คนที่โถงรวมพลบ้างดีหรือไม่ เพราะตอนนี้ในหัวเขาค่อนข้างวุ่นวายสะเปะสะปะระหว่างความว่างเปล่ากับความรู้สึกที่คล้ายกับความคาดหวัง…สิ่งที่หลงลืมไปแสนนาน

อืม…ดูท่าทางควรออกไปเจอหน้าคนอื่นบ้างน่าจะดีกว่าขลุกอยู่แต่ก้นครัวแล้วฟุ้งซ่านคนเดียว...

พอตัดสินใจได้ชเนย์ก็เดินดุ่มๆ ตรงไปที่โถงรวมพลซึ่งเขาได้แต่นั่งกร่อยในวันแรกที่มาถึงปราสาท ด้วยหวังว่าจะเจอคนใหม่ๆ ที่พร้อมจะให้เขาผูกมิตรไว้บ้างก็ยังดี

ทว่าเมื่อถึงที่หมาย...ความหวังดันพังลงมาเบาๆ เพราะไม่พบใครอยู่เลย...ยกเว้นเสียแต่เจ้าของบัลลังก์ที่นั่งหลับอยู่บนนั้น ซึ่งนั่นก็อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีใครอยากจะอยู่สร้างความรบกวนการนอนกลางวันของราชานรก…

“....” ชเนย์ยืนนิ่งดูลาดเลาสักครู่จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับอยู่แน่ๆ จึงเดินเข้ามาใกล้ แม้แต่ตอนจมสู่ห้วงนิทราก็ยังดูทรงอำนาจสมเป็นผู้ปกครองพิภพเบื้องล่าง

ชเนย์ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป…



ภาพในห้วงคำนึงประหลาดที่คลับคล้ายจะเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ในวันวานที่เขานั้นเคยได้พบเจอปรากฏขึ้นมาท่ามกลางม่านหมอกสีขาว บางเรื่องเขาก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยผ่านตา บางเรื่องก็เห็นเสียจนเบื่อหน่าย แต่ทุกเรื่องที่หวนคืนมาในความคิดล้วนเป็นเรื่องที่มอบความรู้สึกเดียวกันให้…

“.....” เจ้านรกลืมตาขึ้นทั้งที่ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดียวกับตอนที่ตนหลับไป เนื่องด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่เขาไม่ได้เจอมาสักพักใหญ่...

'ความฝัน' 

แทบจะทุกครั้งที่เขาหลับลงไปและแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ก่อนจะตื่นขึ้นมาโดยไม่เคยได้พบเจอกับอะไรเลย...

สัมผัสแปลกปลอมที่รู้สึกได้ทันทีคือกลิ่นหอมละมุนจางๆ แต่แผ่กระจายอยู่ทั่วทั้งโถงกว้าง เมื่อหันตามตำแหน่งที่กลิ่นมีความเข้มข้นมากที่สุด สายตาก็ไปหยุดที่ด้านข้างของบัลลังก์ตน ชเนย์นั่งพิงอยู่ข้างบัลลังก์เงียบๆ ไปป์ในมือมีควันลอยออกมาช้าๆ แต่ต่อเนื่อง ส่วนบนพื้นข้างกายเขาเต็มไปด้วยเครื่องมือปรุงยามากมายที่วางกระจายอยู่

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เมื่อรู้ว่าใครเป็นต้นตอของเรื่องก็เปลี่ยนท่านั่งมาเท้าคางที่อีกฝั่งของพนักวางแขน

“ลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์กับปาริชาติครับ…วัลเล่ย์คือตัวแทนของความสุขที่หวนคืนมา ส่วนปาริชาติคือการระลึกชาติ”

ชเนย์ตอบไม่ตรงคำถาม แต่น้ำเสียงราบเรียบไร้ท่าทีของการก่อกวนอะไรเจ้านรกจึงยอมนิ่งที่จะรับฟัง

“ผสมกับกุหลาบสีฟ้าที่บานในวันพระจันทร์เต็มดวงซึ่งมีคนเอาไปตีความไว้มากมาย...แต่จริงๆ มันก็แค่ตัวกลางสำหรับส่งผ่านพลังเวทเท่านั้นแหละครับ”

“....” ท่านเจ้านรกเหลือบมองไปที่อีกฝ่าย

“ผมไม่ได้หวังอะไรหรอกครับ แค่หาอะไรทำเท่านั้นแหละ” ชเนย์เริ่มเก็บของที่กระจัดกระจายเข้าไปในกระเป๋าของตน แต่ปากยังคงพ่นควันจากการสูบยาเส้นปรุงแต่งเองไปเรื่อยๆ เนื่องด้วยความเสียดาย…

“ก็รู้ว่าข้าเบื่อหน่ายเรื่องพวกนี้แล้วยังจะเอามาให้ดูอีกทำไมเล่า?” เจ้านรกถอนหายใจ

“คุณรู้มั้ยครับว่าอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย?” เมื่อเก็บทุกอย่างเข้ากระเป๋าเรียบร้อย ชเนย์ก็ลุกออกจากตรงนั้น

“ข้ามีคำตอบเป็นร้อย ขอฟังของเจ้าแล้วกัน”

“การหลงลืมไงล่ะครับ…”

คำตอบแสนธรรมดาเรียบง่าย หาได้แปลกใหม่...แต่กลับชวนให้ติดใจสงสัย

“จะว่าไป...ยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลย ผมชื่อ ชเนย์ เจอร์น็อท เป็นนักปรุงยา (Alchemist) ครับ” ร่างสูงโปร่งหันมาค้อมหัวให้ “และผมก็ยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย…”

“....” เป็นครั้งแรกที่เจ้านรกหลบสายตาจากเขา เสมือนการบอกกล่าวได้กลายๆ ว่าคำถามนี้ไม่มีคำตอบจะให้

"ลืมไปแล้วสินะครับ ไว้เมื่อไหร่นึกออกก็ช่วยบอกผมด้วยนะ" ชเนย์ยิ้มจางประดับมุมปากและก้มหัวลงอีกครั้งแทนการกล่าวลา “แล้วก็...เย็นนี้มีไก่อบไวน์แดงนะครับ หวังว่าคงจะถูกปากนะ”





...ยังจะเอาของกินมาล่อ นี่เห็นเขาเป็นคนยังไงกัน?




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #3


ดวงตาสีทองค่อยๆ ลืมตาขึ้นและกรอกตาไปมาครู่หนึ่ง เมื่อได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ทิวทัศน์ห้องนอนที่คุ้นเคยเลยรีบเด้งตัวฝืนอาการหนักหัวขึ้นมาแล้วสำรวจร่างกายตัวเองอย่างไว เท่าที่เช็คดูแล้วไม่มีร่องรอยการถูกล่วงเกินใดๆ แต่....อาวุธติดตัวทั้งปืนและมีดหายเกลี้ยง...

"ไม่ใช่ห้องเรา ที่ไหนกันเนี่ย...? " อเวเค่นรีบร้อนลุกขึ้นเลยเกิดอาการโลกหมุนเดินไม่ตรง แล้วก็เซไปชนเข้ากับกำแพง... แต่เป็นกำแพงมนุษย์

"... อย่าเพิ่งเดินสิครับ เจอทั้งแอลกอฮอล์ทั้งยาสลบ คงจะมึนไปอีกพักใหญ่ๆ"

ชเนย์ถือถาดอาหารหอมฉุยเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ในมือ ส่วนอีกข้างถือสมูทตี้กล้วยหอมแก้วใหญ่ไว้ เขายิ้มกว้างพร้อมยื่นแก้วให้ "อ่ะ ไอ้นี่แก้เมาค้างได้นะครับ"

"เอาของของผมไปไว้ที่ไหน? " อเวเค่นทวงถามถึงของที่โดนริบไป

"ไม่ได้เอาไปทิ้งหรอกครับ ทานให้เสร็จก่อนเดี๋ยวผมไปเอามาให้" ชเนย์ถือแก้วค้างรอให้อีกฝ่ายมาหยิบไป

"...ไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆ ลงไปแน่นะ? " เพราะเพิ่งจะโดนคนตรงหน้าวางยามาหมาดๆ จึงเกิดระแวงขึ้นมา

"ถ้าจะมอมคุณอีก สู้ผมจับคุณรมควันต่อเนื่องเลยไม่ดีกว่าเหรอ? " ชเนย์ยกแขนตัวเองให้เห็นปลอกแขนหน้าตาประหลาดก่อนยื่นแก้วมาให้อีกรอบพร้อมรอยยิ้มเช่นเดิม "ไปพักซะ ถ้ายังกล้าหือกับคนทำอาหารให้กินนี่มีแต่จะตายเอานะครับ"

อเวเค่นหน้าบูดแต่พยายามเก็บอาการ ก่อนจะคว้าแก้วมาดื่มอึ้กๆ

ชเนย์ถอนหายใจโล่งอกนิดหนึ่งที่อีกคนยอมฟัง ทีแรกคิดว่าจะโมโหร้ายกว่านี้ซะอีก อุตส่าห์ใส่อาวุธมาเผื่อต้องโดนต่อยหน้าจะได้พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ แต่ดูท่าทางจะพอคุยกันรู้เรื่อง

"แล้วก็นี่...อาหารค่ำครับ..." ไก่อบไวน์แดงตรงหน้าส่งกลิ่นหอมล่อลวงใจจนคนเพิ่งฟื้นน้ำลายสอ กระเพาะว่างโหวงเหวงเริ่มส่งสัญญาณร้องหาอาหารเนื่องจากหลับไปนานพอดู "ขอโทษที่พามาห้องผมครับ พอดีไม่รู้ว่าห้องพักคุณอยู่ทางไหน"

"ไม่เป็นไร กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมเดินกลับห้องเองก็ได้"

...แค่ไม่โดนลักหลับก็ดีเท่าไหร่แล้ว

...อเวเค่นคิดขณะใช้มีดเฉือนเนื้อไก่งวงและใช้ส้อมจิ้มเนื้อพอดีคำเข้าปาก อร่อยจนแทบสำลักน้ำตาความสุข

"อร่อยไหมครับ? " ชเนย์แกล้งถามทั้งๆ ที่ดูหน้าก็รู้ว่าคนรับประทานสุดแสนจะพอใจกับเมนูนี้โดยไม่ต้องมีคำตอบ แค่ท่าทางของคนกินที่ดูมีความสุขดีก็เพียงพอที่จะทำให้ชเนย์ยิ้มกว้างจนหุบไม่อยู่

"ดีจัง นึกว่าจะไม่ยอมกินอะไรซะละ" อย่าว่าแต่หน้าเลย น้ำเสียงก็เริงร่าจนน่าหมั่นไส้... พอเห็นพ่อครัวทำหน้าระรื่นเลยนั่งทานไปเงียบๆ จนหมดจาน หลังจากเช็ดปากอเวเค่นก็หันมาแบมือให้ชเนย์ "จะเอาของหวานเหรอครับ? "

"เปล่า ขอของของผมคืนด้วยคุณหัวขโมย" โดนคำพูดเสียดแทงเข้าไปทำเอาคนที่กำลังอารมณ์ดีๆ แอบมีเคือง

"คุณก็ขโมยกินอาหารที่ผมทำไปเมื่อเช้าเหมือนกันครับ" ตอบกลับหน้านิ่งพลางขยับตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม "เมื่อกี้ก็อุตส่าห์ทำให้กินดีๆ ด้วย ทำตัวให้น่ารักกว่านี้หน่อยสิครับ"

อยากจะเอามีดกับส้อมในจานจิ้มเข้าให้สักสี่ห้ารู แต่ชายหนุ่มผมแดงเองก็ไม่รู้ว่าไอ้ปลอกแขนที่พ่อครัวสวมอยู่มันเอาไว้ใช้ทำอะไร ถ้าโดนอัดเขาจะกระเด็นลอยไปติดกำแพงแบบในการ์ตูนมั้ย...

"ขอบคุณสำหรับอาหาร...ครับ"

อเวเค่นพูดเสียงเบาโดยเฉพาะหางเสียง ชเนย์แกล้งพูดไปว่าไม่ได้ยิน แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดซ้ำให้เสียหน้าหรอก

เห็นท่าทางอีกฝ่ายหงอลงจนน่าเอ็นดูแบบแปลกๆ ชเนย์เลยอยากจะเอาคืนกลับในส่วนที่โดนแกล้งไปก่อนหน้านี้ซะเยอะ "ไม่อยู่เล่นอะไรต่ออีกหน่อยเหรอครับ การแข่งคงยังไม่เริ่มพรุ่งนี้หรอก คงจะว่างไปอีกสักพักใหญ่ คุณเองก็ไม่น่าจะมีธุระอะไรด้วย"

"ไม่เล่น ผมจะกลับไปนอนแล้ว"

ขืนยอมตามเกมก็ไม่ได้ออกไปจากห้องนี้กันพอดี...

"เพิ่งจะตื่นมาได้พักเดียวเองไม่ใช่เหรอครับ จะง่วงเร็วไปหน่อยมั้ย? " ชเนย์พูดดัก พ่อครัวเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบ Jenga (คอนโดไม้) ออกมาและลากโต๊ะวางของตัวเล็กๆ กับเก้าอี้ตรงมุมห้องมานั่งข้างเตียง "รู้จักเนอะ? เล่นไม่ยากด้วย ถ้าคุณชนะผมจะคืนของทั้งหมดให้"

ไม่ได้รอให้อเวเค่นตอบตกลงใดๆ คนอยากเล่นรีบจัดแจงเอาออกมาจากกล่องอย่างระวัง "ไม้แต่ละแผ่นจะมีคำสั่งเขียนเอาไว้ ดึงออกมาแล้วทำตามด้วยนะครับ ไม่งั้นก็ถือว่าแพ้ถึงทาวน์เวอร์จะไม่ถล่มก็ตาม อ้อ...ถ้าคุณชนะผมจะแถมอาหารมื้อพิเศษตามรีเควสให้ด้วยเลย!"

"...คุณเตรียมรายการฟูลคอร์สไว้ให้ผมได้เลย" อเวเค่นพูดเหมือนประกาศล่วงหน้าว่าเขาจะต้องเป็นคนชนะเกมนี้

ชเนย์ยิ้มท่าทางมั่นใจและเป็นคนเริ่มก่อน ไม้ชิ้นแรกถูกถอดอย่างเบามือหลุดออกมาง่ายดาย ก่อนชเนย์จะพลิกหาคำที่เขียนไว้บนนั้น รอยยิ้มบางเบาแต้มมุมปากก่อนหันมาให้อเวเค่นดูด้วยเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้อ่านผิดใดๆ

"จูบ"

"ห้ะ? " หนุ่มหัวแดงหน้าถอดสีก่อนหยิบกล่องว่างเปล่ามาพลิกดูด้านหน้า มันมีป้ายสีเหลืองแปะข้างโลโก้รูปกระต่ายใส่ถุงน่องตาข่ายหน้าตาน่าตบมากกว่าน่ารักว่า 'สำหรับผู้เล่น Rate 18+'

"น่าๆ ไม่ต้องห่วงนะครับ 'แจ็คพอต' น่ะ มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นแหละ" ชเนย์ยักคิ้วกวนส้นก่อนผายมือมาหาเป็นเชิงถามว่าพร้อมจะรับจุมพิตนี้รึยัง

"....เวรเอ๊ย!" อเวเค่นสบถที่ดันตกหลุมพรางเทวดาจอมปลอมเข้าให้ แต่ถ้าปฏิเสธก็เท่ากับแพ้อยู่ดี เขาหลับตาลงและพยายามจินตนาการให้คิดว่าก็แค่โดนหมาเลียปาก พอเห็นอีกคนหลับตาแน่นแล้วชเนย์ก็กลั้นขำสุดชีวิต

นี่เพิ่งเริ่มต้นเองนะ จะโมโหอะไรขนาดนั้น แค่เกมฆ่าเวลาขำๆ เอง

ด้วยความสงสารหรืออะไรก็ตาม ชเนย์เพียงแนบจุมพิตของเขาลงไปประกบกับริมฝีปากอเวเค่นเบาๆ แต่แค่เสี้ยววินาทีเดียวชายหนุ่มตัวเล็กกว่าก็รีบผละตัวออกมา

"แค่นี้เรียกจูบได้เหรอ?"

ถึงจะเป็นรอยยิ้มกว้างแบบเดิมแต่ตอนนี้สำหรับคนโดนขโมยจูบมันกลับดูน่าหมั่นไส้สุดๆ อเวเค่นเอาแขนเสื้อเช็ดปากตัวเองก่อนจะเป็นฝ่ายดึงไม้ออกมา พออ่านคำสั่งทำเอาอยากขว้างไม้ในมือออกนอกหน้าต่างไปให้ไกลๆ

"คำสั่งว่าไงครับ? " ชเนย์ถามและยังคงยิ้มหน้าระรื่นเพราะกำลังสนุกสุดๆ

"...ซุกหน้าอก"

อยากจะหักไม้ทิ้ง ไอ้คนตรงหน้ามันมีหน้าอกให้ซุกซะที่ไหน! ถึงจะพอมีนิดหน่อยแต่มันก็ไม่นุ่มอยู่ดีว้อย!

"น่านะ~ ง่ายๆ แค่นี้เอง ดีกว่าคำสั่งเมื่อกี้ตั้งเยอะ คิดถึงฟูลคอร์สเข้าไว้นะครับ” หนุ่มผมเงินอ้าแขนรอรับด้วยท่าทางน่ากระทืบที่สุดในชีวิต ทำตัวราวกับเสี่ยกระเป๋าหนักที่รอน้องหนูวิ่งเข้ามาซบ

"...." อเวเค่นลุกไปสวมกอดเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนจ้ำกลับมานั่งที่เดิมเพื่อเล่นเกมให้มันจบๆ ไป

...ใจเย็นไว้ๆ ได้ของคืนครบเมื่อไหร่ค่อยยิงทิ้งก็ยังไม่สาย!

"หอมแก้มครับ" เช่นเดิม เมื่อยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคนก็แอบกระเถิบหนีเล็กน้อย แต่ชเนย์ก็หอมฟอดใหญ่ลงไปอย่างไว เพราะขืนค้างไว้นานเดี๋ยวอเวเค่นจะขาดใจตายซะก่อน

หนุ่มผมแดงเอามือถูแก้มตัวเองจนแดงเถือก ขนแขนลุกชันไปหมดที่ต้องมาเล่นเกมเปลืองเนื้อเปลืองตัวแบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นสาวๆ อกเด้งสะโพกดินระเบิดจะไม่ว่าสักคำ!

เขาดึงไม้อันต่อไปออกมาแต่เพราะสมาธิเริ่มเตลิดทาวเวอร์เลยสั่นๆ แต่ก็ดึงออกมาสำเร็จโดยไม่ถล่มได้ และคำสั่งบนไม้ก็ทำให้หน้าเขาถอดสีจนชเนย์ต้องดึงมาอ่านเอง

"จูบแบบ French Kiss"

คนต้นเรื่องกลั้นขำจนตัวสั่นและส่งไม้คืนให้อเวเค่นที่นั่งช็อค ก่อนจะลุกมานั่งกอดอกรออยู่ข้างๆ เว้นระยะพอแค่ไม่ให้ส่วนใดๆ ของร่างกายโดนตัวกันเท่านั้น

"ก็สงสารอยู่หรอก แต่ก็ต้องเล่นจนจบเกมน่ะนะ" ชเนย์ถอดแว่นออกไม่ให้มาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า แต่อเวเค่นตอนนี้คงไม่ได้สนใจอะไรแล้วนอกจากนั่งก่นด่าอีกฝ่ายในใจ

"...หลับตาไป" อเวเค่นสั่ง อีกคนก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทว่า...ทำไมมันนานผิดปกติ เขาแอบเหล่ตามองแล้วก็เห็นอเวเค่นค่อยๆ ย่องลุกออกไปแต่เขาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ได้ทัน

"จะหนีเหรอครับ มันผิดกติกานะ ยอมเล่นแล้วก็เล่นให้จบสิครับ" รอยยิ้มอ่อนโยนราวเทวดาบัดนี้ดูน่ากลัวราวปิศาจ... "ถ้าทำใจไม่ได้ผมทำให้เองเอามั้ย?"

"ไม่เล่นแล้วเฟ้ย! เกมบ้าอะไรเอาเปรียบกันชัดๆ!" อเวเค่นตะโกนใส่หน้าและกระชากแขนออก

"อา...จะไปก็ได้แหละครับ แต่ของของคุณเนี่ยผมไม่คืนให้หรอกนะ แล้วก็อย่าหวังเลยว่าคุณจะหาเจอน่ะ" ชเนย์ส่งยิ้มให้ "จะไปหาเอาใหม่ที่เกาะนั้นก็ได้นะครับ แต่คุณต้องไปคนเดียวนะ"

พอไม่มีแว่นสีดำบดบังดวงตาที่ไร้ประกายแล้ว ใบหน้าของพ่อครัวมันดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ในหัวคิดอะไรอยู่ก็ไม่ทราบได้

"แล้วก็อย่าเอาแต่คิดว่าคุณเสียเปรียบสิ ถึงผมจะเป็นแบบนี้แต่คนแบบคุณก็ไม่ใช้สเป็คผมซะหน่อย" ยักคิ้วหลิ่วตาและกวนอวัยวะเบื้องล่างกันเข้าไปอีก

อเวเค่นกระชากคอเสื้อชเนย์ขึ้นมาจนหน้าทั้งคู่อยู่ในระยะประชิด

"อ้าวๆ อย่าพาลสิครับคุณ" สายตาจ้องมองมาที่อีกฝ่ายโดยไม่หวั่นเลยสักนิดว่าอาจจะโดนชกหน้าหงายก็ได้

"หุบปากไปเลย"

"แล้วถ้าไม่หุบล่ะครับ" หนุ่มผมเงินยิ้มกวนอ้อนบาทา

"งั้นก็เงียบปากไปซะ" พูดจบอเวเค่นก็ประกบริมฝีปากลงไปทำเอาชเนย์ตาค้างไปครู่หนึ่ง จูบของอีกฝ่ายแทบจะไม่เรียกว่าได้ว่าเป็น French Kiss เลยด้วยซ้ำ ชเนย์จึงถอนริมฝีปากของตนเองออก

"เขาจูบกันแบบนี้ต่างหากครับ..."

ว่าแล้วก็ดึงใบหน้าของอีกฝ่ายลงมาแล้วสอนวิธี ‘French Kiss’ ที่ควรจะเป็นให้ ริมฝีปากเบียดลงไปหาคนไม่สมยอมอย่างช้าๆ ค่อยเป็นไป เหมือนกำลังค่อยๆ ทำลายกำแพงการต่อต้านของอีกคนลง

ชเนย์ไม่บุกลงไปพรวดพราด แต่ไต่ริมฝีปากอยู่บนปากที่เม้มแน่น ไม่รู้ว่าที่ตัวสั่นนี่เพราะโกรธหรือเปล่า จนกระทั่งอเวเค่นเผลออ้าปากด้วยตั้งใจจะบอกให้หยุด ทว่ามันเป็นการเปิดโอกาสให้ลิ้นสอดเข้าไปได้...เสร็จชเนย์สิ

"อือ..." เสียงร้องที่ไม่น่าจะเกิดได้ดังเครืออยู่ในลำคอคนตัวเล็กกว่า ชเนย์ตวัดเกี่ยวเรียวลิ้นไปมาอย่างชำนาญเนื่องจากอเวเค่นแทบไม่ยอมโต้ตอบใดๆ...ต้องเรียกว่าไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้สมยอมจะดีกว่า เมื่ออีกฝ่ายจะถอยออกมือใหญ่ก็ตามมาจับท้ายทอยไว้ให้ชเนย์ได้หยอกล้อกับโพรงปากอุ่นนั่นจนทั่วก่อน

จนสุดท้ายอเวเค่นน่าจะหมดความอดทนก่อนจึงดันตัวชเนย์ออกเสียแทบล้ม แล้วกลับไปนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เดิม...

".....ตาคุณแล้ว" เสียงอู้อี้เพราะอเวเค่นเอามือปิดปากขณะพูด อีกมือก็ชี้ไปที่เจงก้าซึ่งโดนลืมไปนานกว่าห้านาที

"เปลี่ยนใจกลับมาเล่นต่อแล้วเหรอครับ? " ชเนย์หันไปแซว และเอานิ้วเช็ดปากตัวเองเบาๆ หลังจากจูบอีกฝ่ายเมื่อครู่ แอบนึกเสียดายนิดๆ ที่อีกฝ่ายผละออกมาก่อน...ว่าแต่ไม่ยักโดนกัดลิ้นแฮะ

"รีบเล่นแล้วก็รีบจบเกมได้แล้ว นี่เป็นเกมสุดท้ายที่ผมจะเล่นกับกติกาแผลงๆ ของคุณ" เขาพูดโดยไม่ได้หันมาหาคู่สนทนา

"เหรอ...น่าเสียดายนะ ได้เล่นเกมกับคุณผมออกจะสนุก แต่มันก็ช่วยไม่ได้" ชเนย์ยื่นมือไปหยิบไม้ออก และ...."คิสมาร์ก"

พูดแล้วก็โชว์ให้ดูอีกที แต่คราวนี้เหมือนอเวเค่นจะหยุดดื้อดึงและยอมทำตามง่ายดาย ชายหนุ่มดึงเนคไทออกเองและปลดกระดุมออกเพียงพอจะให้ซุกหน้าลงไปได้ เพียงแต่สีหน้ายังบ่งบอกชัดว่าไม่ได้อยากจะเล่นอะไรแบบนี้ด้วยอยู่ดี

ชเนย์ก้มจูบลงบนต้นคอก่อนดูดจนขึ้นสีแดงเข้มอย่างชำนาญ

"เอาปกเสื้อบังก็ไม่น่าจะเห็นหรอกมั้ง?...เชิญครับ" ผายมือส่งรอบให้อเวเค่นที่ไม่คิดจะติดกระดุมคืนแต่อย่างใด ทั้งสองคนสลับกันดึงไม้ออกจากทาวเวอร์จนสมดุลเริ่มที่จะมีการเอียงและเริ่มไหวไปมา คำสั่งที่เขียนบนไม้ก็เริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกครั้ง แต่ยังไม่มีใครที่ดึงโดนคำสั่งแจ็คพอตออกมา

อเวเค่นเจตนาดึงไม้ชิ้นที่สุ่มเสี่ยงออกมาได้อย่างปลอดภัยก็จริง แต่ทุกครั้งก็ตั้งใจแอบแฝงเจตนาไว้ว่าอีกคนที่ดึงต่อจะต้องพลาดทาวเวอร์ล้มและจบเกมแน่นอน แต่ชเนย์ก็เล่นเก่งพอจะไม่ทำให้เสียสมดุล เกมจึงยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ และในที่สุดก็...

"ผมชนะ" ชเนย์ประกาศหลังจากทาวเวอร์ล้มลงไปในตาที่อเวเค่นเป็นคนดึงไม้ "เสียใจเรื่องของของคุณด้วยน้า~"

ชเนย์ผู้ได้กำไรไปเป็นกอบเป็นกำยิ้มระรื่นหน้าตาสดใสอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอเวเค่น...นั่งแผ่รังสีอำมหิตพร้อมจะลุกมาทำร้ายร่างกายกันได้ตลอดเวลา

"ไม่เอาแล้วว้อยยย! ผมไม่เล่นใหม่อีกรอบหรอกนะ!! " เหมือนสติจะเพิ่งกลับมาเลยปาแท่งไม้ในมือออกไปจนเกือบเข้าหน้าชเนย์เต็มๆ

"อ้าว...ถ้าไม่เล่นให้ชนะแล้วของของคุณล่ะ? ไม่เอาแล้วเหรอ? " ชเนย์เพียงแค่ถามย้ำเนื่องด้วยความสงสัย แต่มันคงไปกระตุ้นต่อมความอดทนที่ถึงขีดสุดแล้วของอีกคนเข้ากระมัง

"ช่างแม่ง! แต่เกมพรรค์นี้ผมขอจบแค่นี้!!"

ทั้งที่ดูเป็นผู้ใหญ่ไม่น่าจะหัวร้อนเอาง่ายๆ หรือจะเป็นเพราะคำสั่งบนไม้อันนั้น? ชเนย์ลองพลิกอ่านไม้เจงก้าที่โดนปาใส่มาก่อนจะชะงักนิ่งไปเสียเอง...

"ขึ้นเตียง..."

...อืม ล่อแหลมจริงๆ ด้วย แต่จะตีความไปทางไหนดีล่ะ ที่ผ่านๆ มามีทั้งหอมแก้ม กอด จูบ ลามไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาจบที่ขึ้นเตียงซะอย่างนั้น

"โอเค งั้นเรามานอนกันเถอะครับ"

ชเนย์โยนเจงก้าชิ้นนั้นกลับเข้ากองและรวบทั้งหมดลงกล่อง ส่วนอเวเค่นยืนตัวแข็งทื่อ

"เป็นอะไรไปครับ? แค่นอนที่นอนเดียวกัน คำสั่งไม่ได้ให้ปล้ำสักหน่อย"

"...." คนกำลังหัวร้อนมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่เขาก็เห็นไอ้คำสั่งนั่นแล้ว มันเขียนไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ ถ้าไม่นับไอ้เกมบ้าบอนี่กับโดนวางยาสลบครั้งแรกนั่น ลึกๆ หมอนี่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร...มั้ง (?)

ชเนย์หันไปมองอีกคนที่ยืนจ้องเขานิ่งเงียบขณะที่กำลังจัดหมอนและที่นอนให้ ห้องนอนส่วนตัวและเตียงขนาดใหญ่จนโอเว่อร์ที่ไคม์จัดให้เป็นกรณีพิเศษมันกว้างพอให้นอนกลิ้งได้สบายๆ สองคนอยู่แล้ว...

"ไม่พอใจเหรอครับที่ต้องนอนด้วยกัน?"

"แหงสิ...ทำกับผมขนาดนี้คิดว่าจะไว้ใจคุณอีกเรอะ" อเวเค่นหรี่ตามองอีกคนอย่างพินิจและกำลังใช้ความคิดว่าสถานที่ไหนกันที่ชเนย์จะซ่อนอาวุธของเขาไว้ไม่ให้หาเจอง่ายๆ...

"ผมซ่อนไว้ใต้เตียงในห้องของท่านเจ้านรกน่ะครับ" ชเนย์ยอมเอ่ยปากเฉลยที่เก็บของ ทำให้อเวเค่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอด อยากจะบีบคอเจ้าของห้องนักที่อุตริเอาของของคนอื่นไปซ่อนไว้ในที่ๆ อันตรายที่สุดซะได้

"ขอบคุณที่วันนี้ไปข้างนอกเป็นเพื่อนและยังช่วยให้ความบันเทิงผมอีก เอาไว้พรุ่งนี้เช้าผมค่อยไปเอาข้าวของคุณมาคืนให้ละกันครับ"

หนุ่มผมแดงถอนหายใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้แต่โดยดี ทว่า...มีเรื่องหนึ่งล่ะที่ไม่ยอม

"เฮ้...พื้นก้อนหินเย็นๆ แข็งโป๊กนี่ผมว่ามันคงนอนไม่สบายนักหรอกนะครับ"

ชเนย์กึ่งนอนกึ่งนั่งบนที่นอนนุ่มของตัวเอง ส่วนอเวเค่นเอาหมอนกับผ้าห่มลงไปนอนจุ้มปุ้กอยู่ที่พื้น เห็นอีกคนนอนขดนิ่งไม่ยอมหันมามองหน้าด้วยซ้ำเลยแอบรู้สึกผิดที่ล้อเล่นแรงเกินไปนิด ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายปกติอยู่ดี จะไม่ชอบก็ไม่แปลก...

ชเนย์ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วเอามือควานลงไปกับกองไม้ที่กระจัดกระจายโดยไม่ได้หันไปมอง ก่อนจะหยิบออกมาหนึ่งชิ้น "...Blow job"

ชเนย์อ่านเสียงดังฟังชัด เรียกความสนใจจากอเวเค่นที่แสร้งหลับอยู่ตรงนั้น ก่อนไม้ชิ้นดังกล่าวจะตกลงมาที่พื้นจนเสียงดังก้อง "ผมไม่ทำละกัน...เท่านี้ก็ถือว่าผมแพ้แล้ว ฟูลคอร์สนี่อยากได้อะไรเป็นจานหลักล่ะครับ? "

"จะมาไม้ไหนอีก? " อเวเค่นลุกขึ้นนั่งและถามจากบนพื้น

"ก็ถ้าให้เกมจบแบบนี้แล้วคุณกับผมเข้าหน้ากันไม่ติดก็แย่สิ" ชเนย์อธิบาย "ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกันที่นี่อีกสักพักใหญ่ ผมเองก็ไม่อยากมีปัญหากับคุณด้วย"

พูดจริงบ้างเล่นบ้าง แต่ถ้าอีกฝ่ายเกิดอยากฆ่าเขาขึ้นมาคงอยู่ไม่สุขแน่ เป็นมิตรกันไว้ดีกว่าเป็นศัตรูกันน่ะแหละดีที่สุด

"...ตามใจคุณเถอะ แค่นี้ใช่มั้ยจะนอนแล้ว" ว่าจบก็ล้มตัวลงนอนพื้น แม้ว่าชเนย์จะเรียกให้มานอนโดยสัญญาจะไม่ข้ามเขตหมอนข้างกั้น แต่อเวเค่นก็ไม่ยอมปีนขึ้นมานอนบนที่นอนอยู่ดี

"เฮ้! คือ...ไม่ใช่ว่า....ว้า~" เห็นอเวเค่นคิดจะนอนอย่างจริงจังแล้วก็ได้แค่ลนลานทำอะไรไม่ถูก พอได้ถือไพ่เหนือกว่าแล้วกลับรู้สึกแย่ซะเอง เลยเอาแต่นอนเท้าคางจ้องอีกฝ่ายต่อ "ขอโทษด้วยละกันครับ เมื่อกี้ผมทำเกินไปหน่อย"

พูดเสร็จก็กลิ้งกลับไปนอนแต่โดยดี รอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยทำอาหารไปง้อละกัน...

ชเนย์พลิกตัวหันกลับและหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนอเวเค่นก็กระสับกระส่ายนอนไม่หลับเพราะพื้นแข็งนอนไม่สบายตัวไปมาตลอดทั้งคืน แถมพอกำลังจะหลับด้วยความเพลีย เรื่องที่โดนชเนย์จูบ French Kiss ก็ยังตามมาหลอกถึงในฝัน

"...เผลอเมื่อไหร่ จะฆ่าให้ตาย..." ปากบ่น แต่ในใจก็นึกภาพฟูลคอร์สเรียงรายชวนน้ำลายสอจนหลับไปทั้งอย่างนั้น



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
ช่วงเช้าแสนวุ่นวายเริ่มขึ้นอีกครั้ง...

ชเนย์ตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องไปเตรียมอาหารจำนวนมาก แต่เมื่อกำลังจะก้าวออกจากห้องสายตาก็เหลือบมามองอเวเค่นที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่...

ตอนนอนเงียบๆ ก็น่าเอ็นดูดี...ผิดกับตอนตื่นลิบลับ

กลิ่นยาสูบของตนคงลอยไปแตะจมูกคนหลับเข้า แค่ขยับเข้าไปใกล้อเวเค่นก็พลิกตัวหลบไปอีกทาง แต่ดูท่าทางแล้วคงยังไม่น่าจะตื่นง่ายๆ

"....ทำอะไรกินดีล่ะเนี่ย?" ถึงจะบอกว่าให้คิดเองแต่ก็นึกอะไรไม่ค่อยออกอยู่ดี ด้วยข้อจำกัดเรื่องวัตถุดิบ "ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาจะโดนคุณไคม์ลงโทษมั้ยหว่า...?"





อเวเค่นงัวเงียหน้าทำหน้ามึนเหมือนคนนอนไม่พอ หลังจากตื่นมาสักพักก็เริ่มบิดขี้เกียจและรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยเพราะนอนพื้นทั้งคืน สายตากวาดมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเจ้าของห้อง มีเพียงกระดาษที่เขียนโน้ตทิ้งเอาไว้ให้ไปเจอกันที่ห้องครัว

ชายหนุ่มลุกขึ้นเก็บหมอนและผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเปิดประตูเดินตรงไปห้องครัวทันทีแม้จะอยู่ในสภาพที่ยังไม่เรียบร้อยดีก็ตาม

ชเนย์ที่กำลังวุ่นวายกับงานครัวเหมือนเชฟในโรงแรมชะงักไปนิดหนึ่งที่อีกคนบุกมาที่ครัวโดยยังไม่ทันทำอาหารเสร็จดี

"อาหารยังไม่เสร็จครับ คุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า" พ่อครัวมองคนที่ทำหน้าง่วงมาก ดูไปแล้วคงยังเมาขี้ตาอยู่เป็นแน่...อย่าบอกนะว่าเดินตามกลิ่นมาถึงนี่?

"หิวแล้ว..."

"เดี๋ยว! อันนั้นยังกินไม่ได้!" ชเนย์พุ่งไปห้ามคนที่กำลังจะเอาเนื้อที่เตรียมไว้ในใช้จานหลักมากินดิบๆ พ่อครัวดันหลังและปิดประตูห้องครัวล็อคไว้ไม่ให้เข้าเพราะโดนป่วนจนไม่เป็นอันทำงาน ก่อนจะหันไปทำอาหารเช้าของทุกคนต่อ

พอโดนไล่ อเวเค่นก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง จัดการทำธุระส่วนตัวตอนเช้า พอสติกลับมาเข้าที่ก็มองตัวเองในกระจกแล้วเอาหัวโขกกำแพงไปทีหนึ่งเป็นการเรียกสติ และย้ำเตือนบอกตัวเองในใจว่ามาที่นี่เพื่ออะไร

"ผิดแผนไปกันใหญ่แล้ว อย่าได้คิดไปสนิทสนมจริงจังกับหมอนั่นเชียวนะ..." เขาพูดกับตัวเอง เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินเอื่อยเฉื่อยไปตามโถงทางเดินตรงไปที่ห้องครัวทันที

แม้จะไม่อยากเจอหน้าพ่อครัวตัวดีเท่าไหร่ แต่ท้องว่างๆ นี้กำลังนึกถึงอาหารชั้นเลิศที่รออยู่จนเท้าพาตัวเองมาหยุดที่หน้าห้องครัวอีกแล้ว

"อ่ะ เสร็จแล้วครับ กำลังคิดว่าจะไปเรียกพอดีเชียว"

ชเนย์ยิ้มให้เมื่อเห็นอเวเค่นเดินเข้ามา โต๊ะกลางห้องครัวถูกจัดให้เป็นระเบียบกว่าปกติเพื่อให้นั่งทานได้สะดวก "เชิญคร้าบ~"

อเวเค่นเดินตรงมานั่งบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ก่อนจะนั่งลง "ไม่คิดว่าคุณจะบ้าจี้ทำฟูลคอร์สตามที่ขอจริงๆ นะ จะเรียกว่ามีสปิริตดีมั้ย?"

เอ่ยชมแถมจิกกัดพ่อครัวไปหนึ่งที ชเนย์หัวเราะและเสิร์ฟจานแรกลงตรงหน้าชายหนุ่มทีละอย่างตามลำดับ ครั้งนี้ใช้ฟูลคอร์สเต็มสูบทั้ง 12 คอร์ส เริ่มจากค็อกเทลฟู้ดขนาดพอดีคำ

"แฮมแคนตาลูปครีมชีสแอปเปิ้ลมายองเนสครับ"

แฮมที่ม้วนอยู่ใต้ก้อนแคนตาลูปกลมๆ ชิ้นเล็กราดด้วยซอสรสแปลกสามถึงสี่ไม้วางลงมาก่อน แค่นี้ก็ทำเอาอเวเค่นสีหน้าเปลี่ยนแล้ว จานที่วางถัดๆ กันมานั้นมีเพียงช้อนๆ เดียววางไว้ แต่ในช้อนพูนไปด้วย...

"ส่วนนี่คาเวียร์ครับ" ไข่ปลาสเตอร์เจี้ยนล้ำค่าจากทะเลดำที่เรียกกันติดปากว่า ‘คาเวียร์’ ราดด้วยว้อดก้าจนส่องประกายเมื่อโดนแสง

ปกติอเวเค่นมักจะทานเร็วจนเป็นนิสัยติดตัว แต่คราวนี้เขาใช้เวลาละเลียดลิ้มรสชาติอาหารชั้นเลิศที่ชเนย์บรรจงทำขึ้นมาทีละจานอย่างตั้งใจ รสชาติของแฮมกับแคนตาลูปที่เข้ากันได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ ซอสที่แตกต่างกันทำให้เกิดความหลากหลายของรสชาติในทุกคำที่ได้ทาน และเมื่ออาหารจานต่อมาถูกส่งเข้าปาก เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาสเตอร์เจี้ยนที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบว้อดก้า

...กลายเป็นรายการชิมอาหารเหมือนรายการเชฟกระทะเหล็กไปตั้งแต่เมื่อไหร่...

เมื่อสองจานแรกหมดไปชเนย์ยกจานว่างเปล่าทั้งสองออกและแทนที่ด้วยสลัดไข่ราดน้ำมะกอกที่ดูธรรมดาแต่เมื่อเข้าปากไปกลับช่วยตัดความฝืดเค็มที่ปลายลิ้นของคาเวียร์ได้พอดี และต่อด้วยซุปสองชนิด ซึ่งซุปข้นครีมข้าวโพดอันคุ้นตาในถ้วยใบน้อยถูกเสิร์ฟมาก่อน และตามด้วยซุปคอนซูเม่ใสที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางสารอาหาร

"เมื่อวานน่าจะเหนื่อยมาทั้งวัน ต้องบำรุงหน่อยนะครับ" แอบหยอกด้วยคำพูดอย่างเอ็นดู แม้จะทำเป็นสนใจอาหารมากกว่าคนทำ แต่คำพูดนั้นทำเอาคนกินชะงักมือที่กำลังจะตักซุปเข้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ทว่าชเนย์ก็แอบสังเกตเห็นอยู่ดี

อเวเค่นจัดการซุปทั้งสองด้วยเร็วกว่าสองจานแรกเล็กน้อยเพราะอยากทานจานหลักเร็วๆ จนซุปเลอะมุมปากอีกคน

"ทานช้าๆ ก็ได้ครับไม่ต้องรีบร้อน" หยิบผ้าเช็ดปากยื่นส่งให้ อเวเค่นรับมาเช็ดและวางช้อนตักซุปลง ชเนย์เก็บถ้วยและเสิร์ฟอาหารลำดับต่อไป เห็นภาพเมื่อกี้แล้วก็อยากแกล้งเอามือไปเช็ดปากให้อยู่หรอก แต่กลัวว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายจะระแวงเขาอีกน่ะสิ

"ปาป่าว วาวา อยี๋ ครับ" ถัดมาคือเมนูปลา นั่นแปลว่าอีกไม่กี่จานก็จานหลักที่เขารอคอย จานนี้เป็นเมนูออกทางจีน ปลาวาวาสุดแพงและขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณรักษาโรคบำรุงร่างกายมากมาย ทำให้อเวเค่นแอบคิดว่ากำลังโดนแซวทางอ้อมอีกแล้ว

หนุ่มผมแดงแอบจิกสายตาใส่พ่อครัวที่หันมายักคิ้วพลางยิ้มยั่วโมโหให้คนทาน จานปลาเลยโดนสำเร็จโทษแทนคนปรุงด้วยการถูกกินเข้าไปอย่างดุดันแทนการละเลียดกินซึ่งผิดธรรมเนียมการทานฉบับฟูลคอร์สขึ้นทุกที แต่ชเนย์ก็ไม่ถือเรื่องวิธีรับประทานอาหารของคนตรงหน้าหรอก ออกจะสนุกที่ได้ดูปฏิกิริยาคนโดนหยอกซะมากกว่า

"เพนเน่ อัลเฟรโด้ครับ" พาสต้าแบบหลอดหน้าตาคล้ายขนมราดด้วยซอสสีขาวเป็นจานถัดไป รสหนักข้นของมันทำเอาสติแทบเตลิดไปกับรสชาติล้ำลึก แต่ออกเลี่ยนนิดหน่อย ดีทีปริมาณต่อจานไม่เยอะมาก ไม่งั้นคงกินไม่หมดแน่นอน ชเนย์ตัดเลี่ยนให้ด้วยซอร์เบต์ (คนละอย่างกับเชอร์เบ็ต) ถ้วยจิ๋วให้ล้างปากและไปเตรียมจานหลักมาให้

"สเต็กอกเป็ดซอสเชอร์รี่ครับ" หนึ่งในจานหลักวางลงมาตรงหน้าอเวเค่น ส่วนอกเป็ดเนื้อแน่นโดนอบจนนุ่มราดซอสรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยสีแดงและตกแต่งสวยงาม คราวนี้อเวเค่นโดนความเย้ายวนของสเต็กเบนความสนใจไปจากพ่อครัวจนหมด มีดและส้อมถูกหยิบขึ้นมาเป็นอาวุธที่พร้อมจะจัดการเป้าหมายที่แสนน่าอร่อยให้เรียบแล้ว แต่...พ่อครัวกลับดึงจานหลักออกทำให้ส้อมวืดจากเป้าหมายไปจิ้มผ้าปูโต๊ะแทน

"เผลอทำซอสเลอะขอบจานจนได้ สงสัยผมจะรีบร้อนทำไปหน่อย อ่ะนี่ครับเชิญทานต่อได้เลย"

"..." ถึงจะแอบค้อนที่โดนแกล้งต่อเนื่อง แต่ด้วยความน่ากินของอาหารตรงหน้ากลับทำให้เขาลืมความหงุดหงิดเมื่อครู่จนเกลี้ยง อเวเค่นค่อยละเลียดเนื้อเป็ดชุ่มซอสเข้าปาก สีหน้าพอใจจนเก็บไม่อยู่ทำเอาชเนย์เผลออมยิ้มตาม เหตุผลที่เขาชอบทำอาหารก็เพราะชอบเห็นสีหน้าเปี่ยมสุขจากสิ่งที่เขาทำนี่แหละ

จานต่อไปตามมาติดๆ เมื่ออเวเค่นจัดการเช็ดปากของตน

"สเต็กสันในราดซอสครีมเห็ดครับ"

จานหลักที่รอคอยมาถึง แม้ชื่อจะบอกว่าซอสครีมเห็ด แต่กลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกกลับปะปนด้วยแอลกอฮอล์อันคุ้นเคย

"เนื้อเกรด A5 ...ดีที่สุดเท่าที่หาได้ หมักให้นุ่มด้วยไวน์แดงและย่างพร้อมกับราดมะกอกต่อเนื่อง ก่อนยกขึ้นจานและราดด้วยซอสครีมเห็ดครับ" เสียงซู่ซ่าของเนื้อบนกระทะเสิร์ฟร้อนๆ ยิ่งชวนน้ำลายสอ ดวงตาสีทองเป็นประกายเห็นได้ชัดจนไม่รู้สึกว่าเป็นบุคคลอันตรายสักนิด ทั้งๆ ที่กินไปตั้งหลายจานแต่เหมือนกระเพาะจะไม่ถูกเติมเต็มง่ายๆ เนื้อชั้นดีที่ถูกปรุงมาอย่างดีเช่นกันถูกตัดพอดีคำ และทันทีที่ส่งเข้าปากความชุ่มฉ่ำของเนื้อเกรด A5 ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีก็ทำให้คนทานถึงกับหลุดปากเอ่ยชมว่าอร่อยออกมาได้ในที่สุด

"ทานมาตั้งหลายจานในที่สุดก็ยอมชมฝีมือผมจนได้นะครับ" ชเนย์ยิ้มอย่างพอใจ

แม้จะได้ยินคำบ่นๆ เหมือนพยายามจะแก้ต่างแก้ตัวเรื่องที่ชมไป แต่อเวเค่นก็ยังไม่ยอมหยุดกินสเต็กจานนั้น ปริมาณที่ไม่มากเกินไปทำให้ถูกกินหมดไปในเวลาไม่นาน ชเนย์รอให้นักฆ่าหนุ่มเคลิ้มไปกับรสชาติไร้ที่ตินั้นสักพัก

"ของหวานเลยนะครับ?"

"...อื้อ" เหมือนสติของอเวเค่นเพิ่งจะกลับมาจึงรีบพยักหน้าตอบ

"โดโบส ทอร์ทาครับ" พ่อครัวเดินไปหยิบจานเค้กน่ารักจานหนึ่งเดินมา เค้กฟองน้ำทาทาบด้วยครีมเนยช็อกโกแลตสับหว่างถี่ๆ ชิ้นน้อยวางลงตรงหน้า เสิร์ฟคู่ไอศกรีมรสเชอร์รี่ตัดกันลงตัวพอดี

"สุดท้ายนี้ ชามิ้นร่วมกับ petit four นะครับ" ชากลิ่นหอมเย็นถูกยกมาพร้อมกับเค้กชิ้นเล็กพอดีคำรูปร่างน่ารักต่างกันไปทั้งสิ้นสี่ชิ้น แต่ละชิ้นคือชั้นขนมปังบางเรียบทาด้วยซอสราสเบอร์รี่ขั้นไว้เป็นชั้นๆ เป็นการปิดท้ายที่เรียบง่ายและทิ้งกลิ่นหอมโหยให้ชวนคิดถึง

"หวังว่าจะถูกปากนะครับ? " ชเนย์ยิ้มกว้างให้อีกคนแม้จะดูไม่มั่นใจอยู่บ้างแต่ก็...ออกมาดีมั้ง?

รายการของหวานปิดท้ายถูกเสิร์ฟจนครบ แม้อีกฝ่ายดูจะไม่มีท่าทีสนใจพวกของหวานมากนัก แต่อเวเค่นก็ไม่ทำให้พ่อครัวชเนย์ผิดหวัง ทั้งเค้กทั้งชาและขนมปังหรือแม้กระทั่งไอศกรีมก็ถูกทานจนหมดไม่มีเหลือ

...ถือว่าทำผลงานได้ประทับใจอีกฝ่ายรึเปล่านะ

"ชเนย์..."

"อะไรเหรอครับ?"

"...คุณน่าจะไปสมัครเป็นเชฟที่ภัตตาคารที่ไหนสักแห่งมากกว่าจะมาขลุกอยู่ที่นี่ซะอีกนะ"

หลังจากปล่อยให้บรรยากาศเงียบมาสักพักจนเผลอคิดว่าอีกฝ่ายคงหลับคาโต๊ะอาหารไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ออกมาจากปากนักชิมและเป็นครั้งแรกที่ได้ยินอีกฝ่ายยอมเรียกชื่อจริง ทำเอาเจ้าของชื่ออดที่จะอึ้งนิดๆ ไม่ได้

"เอ่อ...ขอบคุณนะครับ" โดนชมตรงๆ แบบนี้ก็เกิดอาการประหม่าเล็กน้อย

"แต่ก็ดีแล้วล่ะที่คุณอยู่ที่นี่..."

"เอ๊ะ? "

"ไม่มีอะไร ขอบคุณสำหรับมื้ออาหารแสนวิเศษนะ" อเวเค่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขายาวเร่งก้าวเร็วกว่าจังหวะการเดินตามปกติ ทิ้งให้พ่อครัวหนุ่มยืนอึ้งต่อ

เพราะมัวแต่อึ้งเลยลืมไปเลยว่าจะให้อีกฝ่ายมาล้างจานกองพะเนินเป็นค่าทำอาหาร ชเนย์ถอนหายใจสบถเบาๆ ว่าพลาดแล้ว คนกินก็เดินตัวปลิวไปไกล ทว่าแค่ครู่เดียวอเวเค่นก็เดินจ้ำอ้าวกลับมาแบบงงๆ

"เอาของของผมคืนมาได้แล้ว" พยายามปั้นหน้าเป็นปกติและทวงของคืน แต่ถึงสีหน้าจะเป็นปกติแค่ไหน ก็ยังเห็นใบหูเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ

"...." สีหน้าของอีกฝ่ายดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะอยากแกล้งต่อแต่ก็ต้องทำตามสัญญาอยู่ดี ระหว่างความคิดสองขั้วกำลังตบตีกันอยู่นั้นชเนย์เผลอจ้องอีกฝ่ายมากไปหรืออะไรไม่ทราบ แต่อเวเค่นดูอยู่ไม่สุขและเริ่มเก็บสีหน้าไม่อยู่

"อย่าผิดสัญญาสิ!" หนุ่มตัวเล็กกว่าแผดเสียงใส่

"เปล่าๆ คือ...ขอพักแป๊ปนึงสิครับ..." สิ้นประโยคก็เหมือนขาสองข้างมันอ่อนแรงซะดื้อๆ ชเนย์ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงซะตอนนั้นราวกับฟ้ากลั่นแกล้ง "ยืนทำมาตั้งแต่เช้ามืดยังไม่ได้พักเลย..."

"...คุณโอเคมั้ย?" อเวเค่นที่ตอนนี้ทำหน้าบอกไม่ถูกยื่นมือไปแตะไหล่คนที่นั่งพับกับพื้น มือใหญ่ยื่นมาบีบมือคนปลอบเบาๆ พร้อมเงยหน้าขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายจนอเวเค่นคิดว่าจับนานไปแล้วนะ...

"ผมคงไปเอาของให้ไม่ได้ถ้ายังเคลียร์จานในซิงค์ไม่เสร็จ" อเวเค่นหันไปทางอ่างล้างจาน ที่พูดได้เต็มปากเลยว่างานช้าง...ชายหนุ่มผมแดงถอนหายใจก่อนพยุงคนตัวใหญ่กว่ามานั่งพักเอนหลังที่เก้าอี้ ก่อนจะถอดสูทตัวนอกออกแล้ววางไว้แถวๆ นั้น ถลกแขนเสื้อขึ้นพับถึงข้อศอกแล้วเดินตรงไปที่ซิงค์

ชเนย์มองดูอีกคนยืนล้างจานด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมหวิดจะทำจานหลุดมือตกพื้นให้เสียวไส้หลายรอบ

...เข้าไปช่วยดีกว่ามั้ยเนี่ย... ถ้าทำจานแตกคงไม่ทำให้หมดสิทธิ์แข่งหรอกมั้ง แต่กันไว้ก่อนคงจะดีกว่าพอพักให้ขาพอจะมีแรงบ้างแล้วจึงลุกไปที่อ่างล้างจาน

"ขอบคุณที่ช่วยครับ แต่ผมทำต่อเองก็ได้"

อเวเค่นหันมามองหน้านิ่งเชิงถามว่าไหวแน่แล้วหรือ แต่พอเห็นหน้าอีกคนแล้วชเนย์เผลอนึกถึงตอนที่โดนเรียกชื่อเมื่อครู่จึงเบนสายตาไปทางอื่น.... เขินอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็ไม่โดนกวนใส่แล้ว แต่แบบนี้ก็ออกจะแปลกไปนิด...

หลังจากเลี้ยงฟูลคอร์สและคืนข้าวของให้อเวเค่นไปแล้ว หนุ่มผมแดงก็จะแวะมาป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัวชเนย์แค่เฉพาะในช่วงใกล้ได้เวลาอาหาร นอกเหนือจากนั้นก็จะหายเข้ากลีบเมฆไม่โผล่หน้ามาให้เห็น แถมพอชวนเล่นเกมฆ่าเวลาก็โดนปฏิเสธอีก

เข้าใจหรอกว่าคงจะเข็ดแต่แบบนี้มันก็...

"เฮ้อ...ช่างมันเถอะ"

ถึงจะยังข้องใจอยู่ แต่ชเนย์เลือกที่จะปัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง และอีกอย่างช่วงนี้เขาเห็นไคม์ชายผู้เป็นดั่งเลขาของท่านเจ้านรกกำลังหัวหมุนกับจำนวนคนเข้าร่วมที่ได้ไม่ถึงยอด ด้านนักแข่งคนอื่นเองถ้าไม่นับพวกที่นั่งรอนอนรอก็กำลังเตรียมตัวสำหรับหลายๆ เรื่อง

ตัวเขาเองก็ควรที่จะต้องเตรียมพร้อมออกรบบ้างแล้วสินะ ใกล้ได้เวลาบอกลางานพ่อครัวจำเป็นนี่แล้วสิ

เสียงประตูห้องครัวเปิด คนที่ก้าวเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น ชายหนุ่มผมแดงที่เขาเพิ่งบ่นไปเมื่อครู่ก้าวขามายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

"ยังไม่ถึงเวลาอาหารครับ" เอ่ยพลางพ่นควันจากยาสูบให้ลอยขึ้นจนควันค่อยๆ จางหายไปในอากาศ "แต่ถ้าของว่างล่ะก็พอจะมี..."

"ผมจะแอบเข้าไปในเกาะเซฟิลอีกครั้ง จะไปด้วยกันรึเปล่า? "

"เอ๊ะ? ...เอ่อ..." ชเนย์ชะงักกึกเพราะโดนชวนกะทันหัน ก่อนนิ่งนึกไปพักใหญ่ ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าแค่กลับมาให้ทันก่อนเวลาทำอาหารมื้อต่อไปก็พอจะปลีกตัวไปได้อยู่ "ว่าแต่...จะไปทำอะไรเหรอครับ?"

"เดินเล่น" อเวเค่นตอบห้วนๆ อย่างเร่งๆ ให้รีบคิด "จะไปรึเปล่า?"

"....ไปก็ได้ครับ"

"ถ้าจะตอบแบบนั้นก็ไม่ต้องไป"

"ไปครับไป!"

บรรยากาศแปลกๆ ทำเอาคิดไม่ออกว่าตกลงอีกฝ่ายจะยังเคืองอะไรหรือเปล่า ที่จริงก็ยังอยากเข้าข้างตัวเองอยู่ว่าคงไม่มีอะไรหรอก แต่ตอนนี้ทำได้เพียงดับไฟที่ไปป์แล้วเดินตามหลังอเวเค่นออกไปเท่านั้น







ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #4


สภาพอากาศวันนี้แดดเปรี้ยงร้อนแรงกว่าเมื่อวันก่อนที่ชวนกันมาปล้นเหล้าจากร้านค้า ทำให้สองหนุ่มเดินได้เพียงครู่เดียวก็เริ่มเมาแดดเสียแล้ว

ชเนย์ไม่รู้จุดประสงค์ที่อเวเค่นชวนมาเดินเล่นทั้งๆ ที่น่าจะไม่อยากเข้าใกล้เขาอีกแล้ว ตั้งแต่เดินมานี่ก็ยังไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากกันเจ้าตัวเลยนอกจากสบถว่าร้อนเป็นระยะ

"อยากดื่มเบียร์เย็นๆ" อเวเค่นเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ทำเอาชเนย์กะพริบตาปริบ

วันก่อนเพิ่งจะถูกวางยาในค็อกเทลไปหมาดๆ มาวันนี้จะหาเรื่องดื่มอีกแล้วเหรอ

"ห้ามเล่นตุกติกอีกล่ะ แค่นั่งดริงค์ด้วยกันเฉยๆ เคนะ?" คนตัวเล็กกว่าเอานิ้วชี้ใส่หน้าคนตัวสูงโปร่ง ก่อนจะเดินนำไปห่างสองช่วงตัวโดยไม่รอคำตอบจากคนเดินรั้งท้ายเลย

อเวเค่นเดินนำไปยังร้านอาหารแสนเงียบเหงาที่ยังคงเปิดบริการลูกค้าแม้แต่ในเวลานี้ เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นพร้อมเสียงกล่าวยินดีต้อนรับลูกค้าทั้งสองผู้มาเยือนแต่หัววัน

"สองท่านนะครับ เชิญเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยครับ" เพราะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งคู่ จึงไม่มีใครนึกสงสัยและเข้าใจว่าเป็นเพียงนักท่องเที่ยวบนเกาะที่ไม่โดนลูกหลงจากการถูกเจ้านรกริบวิญญาณไป

อเวเค่นรีบเดินจ้ำไปยังโต๊ะด้านในซึ่งเป็นที่ให้นั่งสูบบุหรี่ได้ ถึงจะไม่ค่อยมีลูกค้าแต่ร้านก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำตัดกับสภาพอากาศยามเที่ยงด้านนอกร้านซึ่งช่วยเขาได้มากเพราะชุดสีดำที่ใส่อยู่มันทำให้ยิ่งร้อนอบอ้าวน่าดู

ชเนย์ทำตัวลีบเดินตามต้อยๆ อย่างสับสนไปหมดทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับได้แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะทำตัวยังไงดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังวางตัวปกติได้แท้ๆ บรรยากาศร้านเงียบเหงาบวกกับแอร์เย็นสุดขั้วยิ่งทำให้เผลอนั่งตัวเกร็งกว่าเดิม

"รับอะไรดีครับ? " บริกรหนุ่มน้อยที่ดูแล้วอายุไม่น่าเกินยี่สิบเดินมายื่นเมนูให้และรอรับออร์เดอร์ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ในสถานการณ์แบบนี้แต่ยังยิ้มได้นี่ไม่รู้ว่าเพราะกำลังฝืนอยู่หรือยอมรับชะตากรรมเลยปล่อยทุกอย่างเลยตามเลยกันแน่...

"เอาเฟรนซ์ฟราย ปีกไก่พริกไทยดำ Sliders แล้วก็ขอไลท์เบียร์ด้วย" อเวเค่นสั่งรายการของตนก่อนจะส่งใบเมนูคืนให้บริกร โดยที่ชเนย์ยังไม่ทันจะเลือกเลยสักรายการ "คุณอยากทานอะไรก็สั่งเลย มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง"

"เอ๊ะ? เอ่อ..." ชเนย์งงแล้วงงอีก อะไรของคนๆ นี้กันล่ะเนี่ย...อยู่ๆ ก็ชวนมาเดินเล่น แล้วนี่ก็เข้าร้านฝั่งศัตรูมาหาอะไรกิน หรือว่าจะเบื่ออาหารที่เขาทำแล้วงั้นเหรอ?

อเวเค่นให้บริกรหนุ่มน้อยออกไปก่อน เขากอดอกและมองหน้าชเนย์ที่ยังสับสนอยู่ "คุณควรจะพักสักหน่อยนะ เป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่ใช่ขี้ข้าของเจ้านรก จะขลุกอยู่แต่ในก้นครัวทั้งวันทั้งคืนเลยรึไง? "

"อ้อ...เรื่องนั้น...จริงๆมันมีที่มาที่ไป..." ชเนย์ยิ้มแห้งให้ "คือ...เรื่องมันก็ไม่ได้ยาวหรอกครับ แต่ผมขอไม่เล่าดีกว่า"

จะบอกยังไงดีล่ะว่าที่มาแข่งนี่ก็เพราะหลงผู้ชาย แถมยังมีโอกาสได้ทำคะแนนเลยยอมเหนื่อยอยู่แบบนี้...ถึงจะชอบทำอาหารเพราะเวลาอยู่บ้านกับน้องสาวเขามักเป็นคนทำกับข้าวอยู่แล้ว แต่การต้องทำของคาวหวานในปริมาณมากตลอดสามมื้อทุกวันแถมต่อเนื่องแบบนี้ใช่จะเคยทำที่ไหน...แถมแต่ละคนก็กระเพาะหลุมดำสมเป็นปิศาจ วัตถุดิบที่เคยเต็มตู้ตอนนี้พร่องลงอย่างรวดเร็ว

"พอจะเดาเหตุผลออกอยู่หรอก..." อเวเค่นหรี่ตามองเอือมๆ "เล่นจ้องไม่วางตาซะขนาดนั้น"

"......" ชเนย์ก้มหน้าลงไปมองเมนูแทบจะติดกับโต๊ะ รู้สึกอายเล็กน้อยที่ตนไม่เก็บอาการให้ดีจนคนอื่นเขาดูออกกันง่ายดายขนาดนี้ เขาตัดสินใจเลือกเมนูอย่างว่องไวและกวักมือเรียกบริกรออกมารับออร์เดอร์ "ขออาซาฮี ซูเปอร์ดรายครับ"

"ไม่สั่งของทานเล่นหน่อยรึ?" เจ้ามือถาม แต่คนสั่งก็ไม่เอาอะไรเพิ่มเติม จากความเงียบที่น่าอึดอัดในคราแรกเริ่มกลายเป็นความรู้สึกสงบเสียดื้อๆ หรืออาจเป็นเพราะว่าอากาศร้อนจนเหนื่อยเกินไปเลยเริ่มขี้เกียจมานั่งคิดให้เปลืองพื้นที่สมองก็เป็นได้

ความเงียบงันระหว่างทั้งคู่ผ่านไปไม่นานนักเมื่ออาหารถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาอันรวดเร็วเพราะเป็นลูกค้าไม่กี่คนในร้านอยู่แล้ว ชเนย์นั่งจิบเบียร์ไปพลางๆ ส่วนอเวเค่นก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตน ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่นักโดยเฉพาะเวลาที่บริกรเดินมาทำความสะอาดโต๊ะข้างๆ หรือมีลูกค้าใหม่มานั่งอยู่ในระยะที่จะได้ยินบทสนทนาของพวกเขา

"ไหนๆ คุณก็รู้เหตุผลของผมแล้ว...คุณพอจะบอกผมได้มั้ยว่าทำไมถึงมาลงแข่งงานนี้?" ชเนย์เอียงคอถามเมื่อไม่มีใครอยู่ในระยะที่เสียงของเขาจะไปเข้าหูได้

ดวงตาสีทองหรี่มองไปรอบๆ เขาหยิบกระดาษและปากกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตนออกมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง ชเนย์เดาเอาว่าอเวเค่นคงไม่อยากพูดมันออกมาให้คนในร้านได้ยินเป็นแน่ และเมื่อเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้เขาอ่านมัน

"Life or Death?" ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามถอดแว่นกันแดดออกเผื่อตนจะอ่านไม่ชัดและใส่กลับเข้าไปใหม่ คำใบ้เหรอ? หรือเกมทายปัญหา?

"เป็นคุณ คุณจะเลือกอะไรระหว่างสองอย่างนี้?"

จะมีชีวิตอยู่หรือเลือกความตาย...

อเวเค่นตั้งคำถามและให้คนตรงหน้าลองเลือกดู ชเนย์เลื่อนสายตามองคำสองคำนี้สลับกันช้าๆ

"ผม...ถ้าเป็นตอนนี้ขอเลือกใช้ชีวิตละกันครับ" รอยยิ้มจางผิดปกติเจือบนใบหน้า นานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้คุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่น "แล้วคุณล่ะ?"

"ตรงกันข้ามกับผมเลยนะ" อเวเค่นวงกลมที่คำว่า Death เป็นการยืนยันคำตอบของเขา แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่คลายความกังขาให้กับชเนย์อยู่ดี

"ทำไมถึงเลือกความตายล่ะครับ?"

อเวเค่นถอนหายใจกับความคะยั้นคะยอนี้ เขาหยิบเบียร์ขึ้นมาจิบก่อนจะชั่งใจว่าสมควรพูดออกไปหรือไม่ ทว่า...เสียงที่กำลังจะเอ่ยหยุดชะงักไป และตะโกนให้คนตรงหน้าหมอบลง!

"เอ๋?? " ยังไม่ทันจะเข้าใจเรื่องราวอะไร อีกคนก็คว้าส้อมในจานขว้างไปเสียบเข้าที่มือของบริกรหนุ่มที่ถือมีดพุ่งเข้ามาหมายจะแทงข้างหลังชเนย์ เสียงกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดของบริกรคนนั้นเรียกความสนใจจากผู้คนเพียงน้อยนิดในร้านได้ง่ายๆ

"พวกมัน... พวกมันเป็นคนของเจ้านรก!!" เสียงตะโกนของเหล่าคนครัวจากประตูหลังร้านดังขึ้นมา เพียงเท่านั้นสายตาของลูกค้าคนอื่นก็เปลี่ยนจากความฉงนเป็นทั้งความหวาดกลัว โกรธแค้น และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้

"ขอกินอาหารสบายๆ ไม่ได้รึไงนะ" อเวเค่นหยิบปืนของตนออกมาจากเสื้อ แต่ถูกมือของชเนย์จับรั้งไว้เสียก่อน "หือ? "

"ช่วยอมนี่ไว้ก่อนครับ"

ร่างสูงยื่นลูกอมเม็ดหนึ่งมาให้ แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลแต่อเวเค่นก็ยอมรับมาอมไว้ในปากแต่โดยดี ทันทีที่ลูกอมรสฝาดเข้าปาก จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากข้างๆ ปลอกแขนด้านซ้ายของชเนย์ทำการพ่นควันจำนวนมากออกมารวดเร็ว เวลาเพียงอึดใจเดียวก็คลุ้งไปทั่วร้านอาหาร ร่างของผู้คนทั้งที่พยายามพุ่งมาทำร้ายหรือพยายามจะหลบหนีต่างล้มลงหมดสติในทันที...

"ยาสลบ?" หนุ่มผมแดงรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นที่ผสมอยู่ในควันพวกนี้เป็นอย่างดี ก่อนชเนย์จะลากอเวเค่นออกไปที่ประตูข้างหลังร้านเพื่อหลบสายตาคน

"โดนจำหน้าได้แบบนี้ สงสัยคงต้องกลับไปกินฝีมือผมต่อแล้วล่ะ" ชเนย์เล่นมุกพลางยิ้มให้แม้จะอยู่ในระหว่างหลบฉากหนี มือยังวุ่นอยู่กับการเติมเม็ดยาลงไปในปลอกแขนเพื่อปล่อยแก๊สยาสลบต่อเนื่องไปตลอดทาง

"ไม่เป็นไรนี่..." อาหารของคุณดีกว่าอยู่แล้ว....

ประโยคถัดมาถูกกลืนกลับลงคอไปอย่างไม่มีเหตุผล แต่ชเนย์ก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไว้ราวกับจะพูดอะไรต่อ

"แบบนี้...ไม่ถือว่าเราชักดาบสินะ" อเวเค่นพูดติดตลก ส่วนชเนย์แอบขำนิดๆ

"ก็ชักดาบจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าคุณไม่ไหวตัวทันซะก่อนผมคงโดนเล่นงานไปแล้ว" ร่างสูงโปร่งค้อมหัวเล็กน้อยแทนการขอบคุณ "ครั้งนี้ผมติดหนี้คุณแล้วนะ"

"เรื่องแค่นี้ผมไม่ถือเป็นบุญคุณหรอก" แล้วหนุ่มผมแดงก็ชวนให้ออกไปจากที่นี่ก่อนจะมีใครไปตามคนอื่นมาช่วยจนเรื่องวุ่นวายไปกันใหญ่ "สงสัยถ้าจะแอบมาคราวหน้าคงต้องปลอมตัวสักหน่อยแล้วล่ะ"

"ยังคิดจะมาอีกเหรอครับ? ไม่เข็ดเลยจริงๆ นะ"

"สำหรับผม การฆ่าและโดนตามฆ่ามันเป็นเรื่องปกติออกจะตาย" อเวเค่นคายเม็ดยาที่อมไว้ทิ้งเพราะรสชาติฝืดขมจนกลืนไม่ลง "ยังไม่เคยบอกสินะว่าผมน่ะทำอาชีพรับจ้างฆ่าคน"

"แย่จังนะครับ...ท่าทางจะลำบากน่าดู" ชเนย์คิดภาพการใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ออกเลยสักนิด "ปกติผมเป็นแค่แพทย์สนามเท่านั้นแหละครับ ไม่เคยถูกใครตามฆ่าหรอก..."

"หมายความว่าเคยเป็นทหารมาก่อน?" อเวเค่นเหล่มองปลอกแขนอีกฝ่ายที่คงจะเป็นอาวุธของเจ้าตัว ทีแรกคิดว่าเป็นอุปกรณ์แขนกลเอาไว้ใช้ต่อยตี แต่มันกลับพ้นแก๊สยาสลบได้ด้วย

"อ่อ อันนี้ผมทำขึ้นมาเฉพาะใช้ในการแข่งนี้น่ะ วิธีใช้งานก็เหมือนที่คุณเห็นไปเมื่อกี้ หรือจะทำลูกบอลระเบิดก็ได้ด้วยนะครับ! แล้วนอกจากนี้ในกระเป๋าของผมยังมียาถอนพิษแบบฉุกเฉิน..." พอได้เริ่มพูดอวดผลงานก็เริ่มจะติดลมไปกันใหญ่

"แต่คุณก็...เคยฆ่าคนสินะ?" ตอนแรกหลงคิดว่าคงเป็นพ่อครัวที่พอมีฝีมือต่อสู้นิดหน่อยและยังไม่เคยทำให้มือตัวเองเปื้อนเลือดซะอีก

"อ่า...บางทีมันก็จำเป็นน่ะครับ" ชเนย์เสียงเบาลง ต่อให้เป็นแพทย์สนามที่คอยรักษาพวกพ้องที่บาดเจ็บอยู่แนวหลัง แต่เวลาอยู่ในสนามรบที่แสนชุลมุนใช่ว่าศัตรูจะละเว้นคนที่อยู่หน่วยพยาบาล แถมเผลอๆ ยังจะถูกเพ่งเล็งโดนสั่งเก็บเป็นหน่วยแรกๆ อีกต่างหาก

"ถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากจะถอนตัวจากการแข่งล่ะก็ตอนนี้ยังทันนะ" ชายหนุ่มนักฆ่าให้คำแนะนำ "แต่ผมคิดว่ายังไงๆ คุณก็คงไม่ฟังหรอก"

"คุณเองก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับเหมือนกันสินะครับ" อดีตแพทย์สนามถามอีกฝ่ายกลับไป

"แน่นอน...ผมไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าสู้ตายเท่านั้น" อเวเค่นยิ้มปลง ซึ่งไม่ใช่รอยยิ้มกวนที่เห็นอย่างทุกที พอเห็นชเนย์จ้องมองเขาก็หันหน้าหลบไปอีกทาง

"คุณคง...ไม่ได้คิดจะมาหาที่ตายใช่มั้ย?" ชเนย์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงชัดเจน แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากอเวเค่น เจ้าตัวยังมองไปทางอื่นเพื่อหลบตาเขาอยู่ "ความจริง...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะเลือกความตายครับ"

ชเนย์ทำเป็นเบือนหน้าหันไปสำรวจรอบๆ เปิดโอกาสให้อีกคนได้ลอบหันกลับมา "แต่ตอนนี้ผมยังตายไม่ได้...เพราะว่ายังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่น่ะ"

"เรื่องอะไรล่ะ? เผื่อว่าคุณตายก่อนแล้วผมดันโชคดีอยู่รอดอาจจะช่วยสานต่อให้" อเวเค่นถามกวนและลองเชิง

"ขอบคุณครับ แต่เรื่องนี้ผมคงต้องทำเองน่ะ ฝากคนอื่นให้ทำแทนไม่ได้หรอก..." ชเนย์ไม่แน่ใจว่าทางนั้นพูดจริงหรือหลอก แต่บรรยากาศรอบตัวคนคนนี้ไม่น่าอึดอัดยากที่จะเข้าใกล้เหมือนที่ผ่านมาแล้ว

"เป็นคำสั่งเสียงั้นเหรอ?"

"...เดาแม่นจังเลยนะครับ"

...ชักสงสัยแล้วว่านักฆ่าคนนี้มีพลังอ่านใจ หรือว่าเขาอ่านง่ายเกินไปจนเดาได้ไม่ยากกันนะ?

ชเนย์ค้อมศีรษะพลันยิ้มอ่อนโยนให้ แต่ดวงตาที่ไร้แว่นสีดำบดบังนั้นไม่ได้มีแววอ่อนโยนใดๆ ออกมาเหมือนกับรอยยิ้มนั่น "คนที่ผมรักที่สุดเค้าบอกให้ผมออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการและค้นหาความสุขของตัวเอง...."

อเวเค่นนิ่งเงียบปล่อยให้คนข้างๆ เล่าต่อไป

"แต่ว่าแย่หน่อย จนป่านนี้แล้วผมยังหาความสุขที่ว่านั่นไม่เจอเลย" ชเนย์ยักไหล่เหมือนกำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญ "ถ้าขืนผมตายตอนนี้ล่ะก็ตอนไปเจอกันอีกครั้งในปรโลก มีหวังคงถูกด่าจนกว่าจะไปเกิดใหม่แหงๆ"

"ถึงคุณจะหาความสุขของตัวเองเจอแต่มันก็อยู่กับคุณได้ไม่นานหรอก เพราะสุดท้ายความทุกข์ก็จะมาพรากมันไปจากคุณอยู่ดี" ฟังดูใจร้าย แต่เขาก็พูดจริงทุกอย่าง

"มันก็อาจจะจริงอย่างที่คุณพูด แต่ผมก็อยากจะหามันให้เจอก่อนที่ตัวเองจะต้องตายไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกับความสุขที่แท้จริง"

อเวเค่นสบตาชเนย์ เขาอยากจะพูดแย้งสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างสวยหรูว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกใบนี้มันโหดร้าย ไม่มีทางที่คนเราจะได้พบกับความสุขที่ยั่งยืนตลอดไป

แต่ทว่า…

"งั้นผมก็ขอให้คุณหามันเจอก่อนจะตายในการแข่งนี้แล้วกันนะ" อเวเค่นพูดเพียงแค่นั้น แม้จะรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะกับนักฆ่าที่ได้แต่พรากชีวิตและความสุขของคนอื่นเอาซะเลย

"ฮ่ะๆ...ขอบคุณนะครับ" ชเนย์หัวเราะแห้งในลำคอ ถึงจะพูดจามองโลกในแง่ดีไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองตัดใจเรื่องที่จะตามหาความสุขหลังจากสูญเสียคนที่รักที่สุดไปนานแล้ว

ที่ยังทนมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้นี่เพราะอะไรก็ยังไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะยังไม่อยากตายหรือยังมีห่วงเรื่องน้องสาว...หรือบางทีมันอาจจะไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นสักอย่างเลยก็ได้...

พอคิดเช่นนั้น ดวงตาหม่นหมองกลับเจือด้วยความเศร้าเล็กๆ ทั้งที่ไม่เคยคิดจะแสดงออกมาต่อหน้าใครแท้ๆ



แสงอาทิตย์อ่อนกำลังลงจากเมฆที่ลอยเอื่อยมาตามแรงลม ทำให้เกิดเงาปกคลุมทั่วทั้งเกาะ ชั่วขณะที่แสงตะวันลดลงนิดหน่อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้บุกรุกทั้งสองได้อาศัยเร้นกายหลบหนีจากการถูกพบตัว

"รีบไปก่อนที่ฝนจะตกดีกว่า" จมูกของชายหนุ่มนักฆ่าได้กลิ่นฝนลอยมากับแรงลม เมฆครึ้มลอยจากฝั่งทะเลเคลื่อนตัวเข้ามา สภาพอากาศแบบนี้คาดว่าอีกไม่นานฝนคงตกแน่นอน หากไม่รีบกลับตอนนี้คลื่นลมในทะเลอาจแรงขึ้นจนพวกเขากลับปราสาทเจ้านรกไม่ทันเวลาและต้องติดอยู่ที่เกาะนี่จนกว่าพายุจะสงบแน่นอน

แต่...เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาด้วยกลับหยุดลงไป ทำให้อเวเค่นต้องหันกลับมาหา

"ชเนย์?" เมื่อถูกเรียกชื่อ อีกคนก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้

...ใกล้เกินไป

"เฮ้...? "

"ขอโทษนะครับ..." ชายหนุ่มผมเงินแนบหน้าผากลงไปกับหน้าผากอีกคน แต่มือทั้งสองข้างหรืออวัยวะส่วนใดๆ ของลำตัวไม่ได้แตะต้องอเวเค่นเลยสักนิด "ขออยู่แบบนี้สักพัก..."

"...คิดจะทำอะไร?" กลุ่มก้อนความไม่ไว้ใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอีกครา แต่เมื่อเห็นความเศร้าลึกๆ ในดวงตาอีกคนทำเอาความคิดแง่ลบทุกอย่างหยุดชะงัก ชเนย์เองก็รู้ตัวว่าเผลอให้อีกคนเห็นด้านอ่อนแอซึ่งไม่สมควรแสดงออกมาจึงหลับตาลงเสีย

"แปลกนะ...พอได้อยู่แบบนี้แล้วผมกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด"

"แต่ถ้าอยู่แบบนี้จะกลับไปไม่ทันนะ..."

"นะครับ....ผมขอแค่แป๊บเดียว" น้ำเสียงอ้อนวอนอ่อนแรงเอ่ยต่อคนที่ถูกใช้เป็นที่พักใจเป็นครั้งแรก



...สุดท้ายฝนก็ตก

เม็ดฝนโรยตัวลงมาและค่อยๆ ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวสองนักแข่งฝ่ายราชานรกไม่มีใครก้าวขยับไปจากที่เดิม ราวกับเวลาที่อยู่รอบๆ ตัวทั้งคู่หยุดหมุน จนกระทั่งอเวเค่นเริ่มทนอยู่ต่อไปไม่ไหว

"ตัวคุณเย็นหมดแล้ว..." นักฆ่าหนุ่มเอ่ยให้คนตัวสูงกว่าได้ยินและเป็นฝ่ายคว้าแขนอีกคนไปหาที่หลบฝนจนกว่าพายุจะซาลง

ชเนย์ปล่อยให้อเวเค่นจูงมือพาวิ่งนำโดยง่าย ชายหนุ่มผมแดงมองหาบ้านใครสักคนที่พอจะใช้เป็นที่หลบพายุฝนซึ่งเริ่มกระหน่ำตกแรงขึ้น เขาเลือกพังประตูบ้านหลังหนึ่งที่ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่แล้วจัดการเปิดประตูห้องต่างๆ เมื่อพบเตาผิงก็รีบจุดฟืนไฟให้ติดเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายโดยเร็ว

คนที่ได้สายฝนชะล้างความสับสนออกไป พอกลับมาตั้งสติได้ก็ปลดอาวุธคู่กายออกมาวางไว้ เขาไม่รออยู่เฉยๆ ให้อีกฝ่ายจัดการทุกอย่างคนเดียว ร่างสูงโปร่งเดินสำรวจหาผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าภายในบ้านเพื่อเอามาให้พวกเขาทั้งคู่ได้ใส่เปลี่ยนชั่วคราวจนกว่าชุดจะแห้ง

"ขอโทษทีครับ เมื่อกี้จู่ๆ ก็ทำตัวดราม่าซะงั้น" ชเนย์กลับมาปั้นสีหน้าสดใสตามเดิม "แต่ก็นะ คุณเล่นพูดจี้ใจดำผมก่อนนี่นา"

"อ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้จริงๆ เลยนะ" จิกกัดด้วยคำพูดไปทีหนึ่งและถอดชุดเปลี่ยนมันตรงนั้นเลย

"เดี๋ยว..." ชเนย์ยืนตัวแข็งค้างก่อนหันหน้าไปทางอื่น "ถ้าจะเปลี่ยนชุดก็ช่วยเดินไปเปลี่ยนที่ห้องด้านในไม่ก็ห้องน้ำสิครับ"

"ทำไมล่ะ? คุณบอกเองนี่นาว่าผมไม่ใช่สเป็คคุณ" อเวเค่นยิ้มเจ้าเล่ห์และปลดเข็มขัดออก ทำให้คนที่หันหลังอยู่ใจไม่ดีนัก

ถึงไม่ใช่สเป็ค แต่มีผู้ชายมายืนแก้ผ้าโชว์ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่คิดไม่รู้สึกอะไรนี่!

แม้จะหันหลังอยู่แต่คนขี้แกล้งก็รับรู้ได้ว่าอีกคนคงกำลังสับสนจนทำหน้าดำหน้าแดงอยู่แน่ๆ เพราะสีผิวที่ค่อนไปทางขาวนั้นทำให้เห็นใบหูแดงเรื่อชัดเจน

"คุณนี่จะว่าเป็นคนใจกล้าหรือว่าหน้าไม่อายดีนะ..."

พูดงี้ก็ด่าเขาว่าหน้าด้านมาตรงๆ เลยก็ได้

"ทำมาเป็นอาย...ทีเมื่อวานยังบังคับให้ผมเล่นเกมบ้าๆ นั่นด้วยอยู่เลย" แซะนิดหน่อยก่อนนั่งลงไปบนโซฟาตัวกว้างโดยไม่คิดจะใส่เสื้อให้เรียบร้อย

"ก็นั่นมันเกมนี่นา แถมมีกฎระบุไว้อยู่แล้ว ผมก็แค่เล่นตามกติกา แต่...พูดก็พูดเถอะ ถึงจะชนะคุณแต่ตอนนั้นผมกลับรู้สึกแย่นะ..."

อเวเค่นแอบหัวเราะอีกคน แน่นอนว่าชเนย์ได้ยินถึงแม้เสียงฝนสาดเข้าหน้าต่างจากด้านนอกจะดังมากก็ตาม

"หัวเราะอะไรน่ะครับ" เป็นอีกครั้งของวันนี้ที่ชเนย์รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีท่าทางแปลกๆ...

"คุณเป็นคนตลกดีนะ"

อีกคนปั้นหน้างง เขาน่ะเหรอตลก...?  "ตรงไหนเหรอครับ? "

"ทั้งหมด" ตอบเหมารวมโดยไม่เจาะจง ทิ้งให้คนถามงงหนักเข้าไปอีก

อเวเค่นอ้าปากหาวก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังบนโซฟา ชเนย์แอบเหล่หางตามองและเผลอหยุดจ้องแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งรอยกระสุนและร่องรอยแผลเป็นจากการถูกฟันแทงนับไม่ถ้วน

บาดแผลขนาดนั้น ถ้าเป็นทหารคงเรียกว่าผ่านศึกมาอย่างโชกโชน

"...จะไปไหนน่ะ?"

"......ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อครับ" ชเนย์ตอบและกำลังจะเดินออกไป ก่อนจะนึกขึ้นได้จึงโผล่หน้าเข้ามาย้ำกับชายหนุ่มนักฆ่า "เราคงอยู่ที่นี่ไม่นานนะครับ อย่าหลับเพลินนักล่ะ"

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ด้านนอกยังคงมีพายุฝนและคาดว่าคงจะตกอยู่อย่างนี้ไปอีกสักพักใหญ่

ชเนย์กะว่าจะเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายที่เปียกฝนแต่บ้านหลังนี้กลับไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น จะอาบทั้งอากาศหนาวๆ แบบนี้เกรงว่าจะไม่ดีต่อร่างกาย เขาจึงทำได้แค่เช็ดเนื้อตัวและผมแล้วเปลี่ยนชุดเดินกลับเข้ามาทำให้ตัวแห้งสนิทหน้าเตาผิงในห้อง ผมสีเงินที่ปกติจะเสยขึ้นทั้งหมดตอนนี้ปรกลงมาจนดูแปลกตาไปนิด ดวงตาสีหม่นหันไปมองอเวเค่นที่นอนผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอก็คิดว่าเจ้าตัวคงผล็อยหลับไปแล้ว ก็นะ...อากาศน่านอนซะขนาดนี้

ชายหนุ่มผมเงินเดินมาดูใบหน้าของคนหลับในระยะที่ปลอดภัยไม่ได้เข้าใกล้มากจนเกินไปนัก พอจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาดีๆ แล้วเขาก็คิดว่าอเวเค่นน่าจะอายุน้อยกว่าเขาสักปีหรือสองปี แต่ร่องรอยแผลเป็นด้านหลังและตามตัวของอีกฝ่ายเท่าที่ประเมินดูจากสายตาของเขา แผลพวกนั้นมันน่าจะได้มาไม่น้อยกว่าสิบปีแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศหรือว่าบาดแผลจากความผิดพลาด แต่มันก็ทำให้ความคิดของเขาที่มีต่อคนคนนี้เปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าแต่กลับมีบาดแผลมากมายนับไม่ถ้วนอย่างกับคนที่ผ่านอะไรมามาก และ...ทั้งที่เป็นคนธรรมดาแต่คนตรงหน้ากลับมายืนอยู่ในสนามรบเดียวกับเขา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชีวิตของชายคนนี้กันแน่นะ...

"นอนทั้งแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก"

ชเนย์บ่นไม่จริงจังนักและเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมสีแดงที่ยาวไปถึงกลางหลังให้ชายหนุ่มนักฆ่า ระหว่างที่สายตาไล่สำรวจรอยแผล จู่ๆ อเวเค่นก็พลิกตัวกลับมา พอหันมาเจอร่างเปลือยท่อนบนตรงๆ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้องแน่นเป็นลอนแบบนี้ ชเนย์ก็รู้สึกผิดบาปขึ้นมากะทันหัน เลยรีบลุกเดินจ้ำไปค้นเอาผ้าห่มจากห้องนอนข้างๆ มาคลุมตัวอีกคนจนมิด เหลือไว้แค่หัวให้ยังพอหายใจออกเท่านั้น...

"เป็นนักฆ่าที่ไม่ระวังตัวเลย..." บ่นพึมพำแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตาผิง สายตาหันไปทางหน้าต่างมองฝนที่ยังตกอยู่เงียบๆ ทว่า...พอหันไปที่โซฟาอีกครั้งกลับไม่พบร่างของคนที่นอนหลับอยู่

"คุณก็หลอกง่ายพอกันแหละ" ปลายเล็บกดลงที่คอบริเวณเส้นเลือดใหญ่ ชเนย์สะดุ้งเฮือกไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายแอบย่องเข้ามาข้างหลังตอนไหน "ไอ้ที่ผมทำน่ะเค้าเรียกว่าหลอกให้เหยื่อตายใจ"

"...แกล้งหลับงั้นเหรอครับ?"

"เปล่า ที่จริงก็เคลิ้มหลับไปนิดหน่อยแล้วแหละ แต่คุณอย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร แถมที่นี่ยังเป็นถิ่นของศัตรูอีกนะ ไม่มีทางที่จะปล่อยตัวตามสบายได้หรอก"

"ก็นั่นสินะครับ พอดีเห็นว่าไม่มีใครไล่ตามมาแล้วก็เผลอวางใจไปหน่อย ว่าแต่...ช่วยเอาออกไปได้มั้ยครับ" ชเนย์หมายถึงนิ้วของอีกฝ่ายที่กดอยู่ตรงคอ นี่ถ้าเป็นมีดของจริงป่านนี้คงแทงคอหอยไปนานแล้ว

"ใจเต้นแรงเชียวนะ...เพราะตกใจกลัวหรือเพราะผมยืนอยู่ใกล้คุณกันล่ะ?" อเวเค่นสัมผัสได้ว่าบริเวณเส้นเลือดที่ตนกดปลายนิ้วอยู่สูบฉีดแรงกว่าปกติ แถมยังเน้นประโยคหลังด้วยการก้มลงมาข้างๆ ให้เห็นหน้ากันชัดๆ

"นั่นเพราะ...คุณกำลังกดโดนจุดอ่อนผมอยู่ต่างหาก" คนโดนพวกเดียวกันเล่นงานพยายามเอียงคอหลบ แต่ยิ่งขยับหนีก็เหมือนยิ่งโดนจิ้มแรงขึ้นอีก

"หืมมม...งั้นเหรอ?" อเวเค่นลากเสียงสงสัยระคนยียวน เพราะคำว่าจุดอ่อนเนี่ย...มันมีหลายความหมายนะ

"ปล่อยเถอะครับ..." ชเนย์ทำเสียงอ่อนยวบเหมือนคนยอมแพ้ ทว่าคนตัวเล็กกว่าดูจะไม่สนใจ

"เอายังไงดีนะ..." อเวเค่นยังคงแกล้งกดนิ้วคาเอาไว้แบบนั้น หนุ่มนักฆ่ารู้สึกสนุกที่ได้เอาคืนจากหนก่อน ยิ่งเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของชเนย์ก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่

"ขอร้องล่ะ ช่วยปล่อยก่อนที่ผมจะ..." เสียงของชเนย์ต่ำลงและคำพูดก็เบาราวกับจะโดนเสียงฝนกลืนหายไป

"ถ้าไม่ปล่อยจะทำไมหรือ?" อเวเค่นย้อนถาม ดูจากสภาพแล้วเขาเป็นต่อกว่าอีกคนเห็นๆ

"...ผมก็จะไม่อดทนกับคุณอีกต่อไปแล้วนะ" คนตกเป็นเบี้ยล่างก้มหน้าหนีและกดเสียงต่ำทำให้ไม่อาจเดาสีหน้าได้แม้ว่าคำพูดจะหนักแน่นเอาเรื่องกว่าเมื่อครู่ก็ตาม

"เห...?" อเวเค่นเริ่มสนใจ "ใจเด็ดดีนะที่พูดออกมาแบบนั้น แต่จะกล้าทำจริงๆ เหรอ?...ขนาดเมื่อกี้ยังไม่เห็นคุณจะลงมือทำอะไร แล้วคราวนี้ผมยังมีสติอยู่ครบถ้วนดีไม่ได้โดนมอมเหล้าด้วย"

หนุ่มนักฆ่าหัวแดงมั่นใจว่าด้านพลังกายตนเหนือกว่าแน่นอน หากเกิดอะไรขึ้นอีกจริงก็ยังพอเอาตัวรอดได้ "ขนาดเมื่อกี้มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้วที่คุณจะลักหลับผม แต่ก็ไม่เห็นคุณจะทำอะไรเลยนี่นา"

"...นี่คุณกำลังทดสอบศีลธรรมในตัวผมหรือแค่เล่นสนุกกันแน่ครับ!?" ชเนย์เงยหน้าขึ้นมาตะโกนด้วยใบหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ แต่ว่าสายตาก็ดันเห็นโฟกัสเห็นอเวเค่นใส่กางเกงหมิ่นเหม่เพราะไซส์ชุดไม่พอดี กางเกงหลวมโพรกสุดๆ จนแทบจะหลุดลงไปกองกับพื้น

"คุณไม่กล้าทำหรอกน่า เพราะว่าคุณเป็นคนดีไงล่ะ" แกล้งชมแล้วก็ปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ เขาเดินไปดูเสื้อผ้าที่ตากไว้ พอเห็นว่าเริ่มแห้งดีก็ถอดชุดเจ้าของบ้านออก เสียงเปลี่ยนเสื้อของอีกฝ่ายมีแต่จะทำให้ขันติของชเนย์ใกล้แตกขึ้นทุกที

"เอ่อ...จริงๆ ผมว่าผมก็ไม่ใช่คนดีนักหรอกนะ..." เหมือนคนพูดจะเริ่มสับสนในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

ใช่...เขาไม่กล้าทำหรอก...และไม่ใช่เพราะว่าเป็นสุภาพบุรุษด้วย...

"ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ ผมก็ไม่อยากทำหรอกครับ...ขอโทษด้วยที่เมื่อวันนั้นบังคับให้คุณเล่นเกม"

อเวเค่นอึ้งนิดๆ ที่ชเนย์ทำหน้ารู้สึกผิดอย่างจริงจัง หนุ่มนักฆ่าแอบยิ้มอย่างขบขัน แถมยังแกล้งคนดีมีศีลธรรมต่อด้วยการไม่รีบใส่เสื้อผ้าให้เสร็จโดยไวและยังยืนเช็ดผมทำตัวเอ้อระเหยต่อ

ดูทำเข้าสิ ยังจะมายืนยั่วอ่อยเขาอีกแน่ะ!

ชเนย์ชักอยากเอาหัวโขกเตาผิง พอเริ่มเข้าใกล้เพราะอยากผูกมิตรอีกฝ่ายก็ตีตัวออกห่าง แต่พอเว้นระยะออกมาก็โดนรุกเข้าใส่จนรับมือไม่ถูก ตกลงจะเอายังไงกับเขากันแน่!

"เป็นอะไรไปอีก? ดูทำหน้าเข้าสิ" อเวเค่นแกลังป่วนด้วยการวาดนิ้วไปตามแนวเส้นเลือดที่เห็นจางๆ บนคอใต้ผิวสีขาว ทำเอาคนตัวสูงกว่าสะดุ้งและคว้าจับมืออเวเค่นออกไปให้ห่าง

"ผมไม่ชอบที่คุณมาทำแบบนี้" ชเนย์จ้องเขม็ง สายตามองตรงมานิ่งๆ และปล่อยมืออีกฝ่ายออก

"ทีนี้เข้าใจแล้วสินะว่าตอนที่คุณแกล้งผมเล่นมันรู้สึกยังไง" สองมือของอเวเค่นยกขึ้นกอดอกและจ้องตอบโดยไม่กลัว

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ภายในห้องเงียบเสียจนแม้แต่เสียงถ่านในเตาผิงที่ไหม้เพราะเปลวไฟก็ยังได้ยินชัด

"...อา ผมพอจะเข้าใจนิดๆ แล้วล่ะครับ"

“เข้าใจก็ดี”

"...ผมขอโทษ" / "ขอโทษที่แกล้งนะ"

ทั้งคู่พูดขึ้นแทบพร้อมกัน ถึงแม้ประโยคจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่ก็ใจตรงกัน อเวเค่นและชเนย์หัวเราะแข่งกับเสียงฝนที่ค่อยๆ ซาลง จนกระทั่งหยุดตกในที่สุด



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
วันนี้ที่ห้องครัวไม่มีร่างของคนที่มักจะวุ่นวายกับการทำอาหารที่ไม่ใช่หน้าที่หรือไม่ก็นั่งสูบไปป์อยู่ริมหน้าต่างอย่างเช่นทุกที ชายหนุ่มนักฆ่าลองถามปิศาจรับใช้ที่มักเข้ามารับอาหารจากพ่อครัวเป็นประจำว่าอีกฝ่ายหายหน้าไปไหน ก็ได้คำตอบว่านอนพักอยู่ที่ห้องเนื่องจากเป็นไข้

เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว อเวเค่นก็ได้แต่พยักหน้ารับและบอกตัวเองในใจว่ามื้อนี้คงไม่ได้ทานอะไรอร่อยๆ แล้ว จึงคิดจะกลับห้องพักตัวเอง

ใช่...แต่ไหงเท้ามันพาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องชเนย์ได้กันล่ะ!

“ไหนๆ ก็มาถึงนี่ เข้าไปดูอาการหน่อยจะเป็นไรไป เผื่อตายไปไม่มีใครรู้คงลำบาก...” แต่เนื่องด้วยไม่อยากปลุกเพราะเกรงอีกคนจะยังหลับอยู่ อเวเค่นจึงคิดจะ...งัดห้องเข้าไปเอง

เขาหยิบเครื่องไม้เครื่องมือเตรียมพร้อมที่จะแงะแล้ว แต่ประตูห้องก็ดันทะลึ่งเปิดออกมาซะก่อน

"ไขเข้าห้องคนอื่นตามใจชอบได้ไงล่ะครับ..." พอเจ้าของห้องเห็นว่าเป็นใครที่มาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้องเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

"ลุกเดินมาเปิดไหวด้วย?" นักฆ่าหนุ่มเก็บอุปกรณ์ของตัวเองลงกระเป๋าเสื้อ

"ป่วยอยู่ก็จริงครับแต่ไม่ได้เป็นอัมพาต"

พูดจบชเนย์เดินกลับไปทิ้งตัวลงเตียงตามเดิม ปล่อยให้อเวเค่นเดินตามเข้ามาเอง "อาหารเช้าผมทำให้ไม่ทันนะครับ แต่ถ้ามื้อเที่ยงอาจจะพอลุกไปทำให้ได้"

"วันนี้ไม่ต้องก็ได้ พักผ่อนไปเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าใช้งานคนป่วย" แขกไม่ได้รับเชิญถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่ง "แล้วกินยารึยัง? "

"ผมกำลังรมยาตัวเองอยู่ครับ นานหน่อยแต่สบายตัวกว่า" ชเนย์ชี้ไปทางถ้วยยาที่ถูกต้มทิ้งไว้ มันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณห้อง

"มิน่า เข้ามาแล้วถึงรู้สึกสดชื่นแปลกๆ" อเวเค่นมองชเนย์ที่นอนคว่ำหน้าลงซุกหมอนนุ่ม ปล่อยตัวท่อนบนเปลือยเปล่าเหมือนกับที่เขานอนเปลือยในวันที่ไปติดฝนอยู่ในบ้านหลังนั้น

...เห็นว่าเคยเป็นหมอก็เลยนึกว่าจะมียาดีกว่านี้ แต่วิธีการออกจะโบราณไปนิดนะ

อเวเค่นเหล่มองเกมคอนโดไม้ที่ทำเขาเปิดโลกไปคราวที่แล้ว ยังคงกองอยู่ในสภาพเดิมเพราะเจ้าของห้องไม่ยอมเก็บ มองดูดีๆ แล้วเหมือนห้องจะรกกว่าตอนเข้ามาคราวก่อนด้วย

"ดูเหมือนจะไม่ได้ป่วยเป็นอะไรมากสินะ" เขาก้มลงดูกองไม้แล้วสุ่มหยิบมาพลิกอ่านคำสั่ง เป็นอันที่ยังไม่โดนสุ่มเจอไปในครั้งก่อนซึ่งก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่จับได้ เกมเจงก้าเสียตัวชัดๆ...

"ได้นอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ แล้วที่บุกมาห้องคนอื่นนี่ตั้งใจจะมาป่วนเฉยๆ เหรอ?" ชเนย์พลิกหน้าหันมา ก่อนจะเห็นลูกกลมๆ สีแดงลอยมาและกลิ้งแหมะไปบนที่นอน "แอปเปิ้ล?"

"ขี้เกียจปอก กินเองทั้งลูกคงได้ใช่มั้ย?"

"ก็บอกว่าแค่ป่วยนิดหน่อยไงครับ" ชเนย์เอื้อมมือไปหยิบเอาหมอนกองไว้ที่หัวเตียงเพื่อให้นั่งพิงกินของฝากได้สะดวก "ขอบคุณสำหรับของเยี่ยมไข้นะ"

"ของมันก็อยู่ในห้องครัวนั่นแหละ รีบกินซะก่อนที่มันจะเน่า"

พอข้ามวันก็เอาอีกละ นิสัยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแทบจะรายวันทำเอาปรับอารมณ์ตามไม่ทันยังกับผู้หญิง...ที่รู้นี่ก็เพราะว่าเขามีน้องสาวหรอก

"ที่จับๆ อยู่นั่นน่ะอยากแก้มือเหรอครับ?" ดวงตาสีหม่นเห็นอีกฝ่ายเขี่ยๆ กองไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรังเกียจก็แอบแหย่เล่นไปทีหนึ่ง

"ไม่ - มี - ทาง!" เน้นย้ำชัดเจนว่าไม่เอา เกมที่ตัวเองเล่นแล้วมีแต่เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้สู้ขอยอมแพ้ดีกว่า ไม่ขอแก้มืออีกเป็นอันขาด

"แต่คนแก้มือต้องเป็นผมสิ ครั้งที่แล้วผมแพ้นี่นา" คนชวนหัวเราะร่วนเป็นเชิงหยอกล้อแล้วกัดแอปเปิ้ลกินทีละน้อยอย่างสบายใจ "มีซุปยาจีนที่ผมต้มเอาไว้อยู่บนโต๊ะ กินเล่นได้นะครับ ดีต่อสุขภาพด้วย"

"ไม่ล่ะ" แค่ได้ยินชื่อก็เดารสชาติออก ต่อให้ฝีมือทำอาหารดีเลิศแค่ไหนแต่ยาก็คือยา ความอร่อยหามีไม่

ดวงตาสีทองลอบมองอีกคนที่แม้จะป่วยแต่ก็ยังสูบไปป์คู่ใจต่อไป มาวันนี้เจ้าตัวคงเคยชินกับเขามากขึ้น ถึงขนาดอยู่ในสภาพเปลือยครึ่งตัวต่อหน้าก็ไม่เคอะเขิน ครั้งที่แล้วยังหนีไปเปลี่ยนเสื้อห้องอื่นอยู่เลย

ขาวเนียนแถมไร้รอยขีดข่วนเลยจริงๆ พับผ่าสิ ผิวผู้ชายแน่เหรอวะเนี่ย...

"อย่าจ้องขนาดนั้นสิ" ชเนย์รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่ไม่ใช่เป็นเพราะเกิดจากอาการป่วยแต่อย่างใด

"แลกกันไง ทีคุณยังมานั่งสำรวจแผลเก่าผมเลย” อเวเค่นเดินเข้าไปหาคนป่วยที่เตียง ใช้สายตาสำรวจร่างท่อนบนจนคนถูกมองรู้สึกเหมือนโดนล่วงเกินทางสายตา

"เป็นถ้ำมองที่เปิดเผยดีนะครับ" ถึงเขาจะไม่คิดอะไรในตอนแรก แต่มาโดนจ้องขนาดนี้มันก็ไม่ไหวนะ...

"ใส่เสื้อซะจะดีกว่านะ เป็นหวัดอยู่ไม่ควรนอนเปลือยแบบนี้" พูดจบก็โยนเสื้อของคนป่วยไปวางไว้ตรงหน้า

"อ๋อ...จริงๆ แล้วเวลาเป็นไข้เหงื่อมันออกเยอะไม่ค่อยสบายตัว แบบนี้จะระบายความร้อนได้ดีกว่าเวลาต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนดูแล ถ้าเช็ดตัวเองได้ล่ะก็ผมคงทำไปแล้วล่ะ"

"...มันต้องใส่เสื้อแล้วห่มผ้าหนาๆ ให้เหงื่อออกเยอะๆ สิ จะได้หายไวๆ" อเวเค่นขมวดคิ้วเพราะเชื่อว่าวิธีนี้ได้ผลดีกว่า

"แบบนั้นมันหายไวก็จริง แต่ทรมานกว่านะครับ..." อดีตแพทย์สนามกับนักฆ่าเริ่มเถียงกันเรื่องแนวทางการรักษา

"เข้าใจล่ะ..." อเวเค่นพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องทิ้งให้ชเนย์นั่งอยู่อย่างนั้นลำพัง อีกฝ่ายก็กินแอปเปิ้ลจนเหลือแต่แกน ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดอีกครั้งพร้อมผู้บุกรุกคนเดิม เพิ่มเติมคือมีกะละมังใส่น้ำร้อนฉ่ากับผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืน

"เดี๋ยวนะครับ...คงไม่ได้คิดที่จะ..."

"เช็ดตัวไง" อเวเค่นตอบหน้านิ่ง ไม่สามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

หรือจริงๆ แล้วอาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้...

"ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมก็หายเองแหละ" ชเนย์ทำท่าจะถอยทั้งที่หลังติดหัวเตียงอยู่แล้ว ปกติก็ไม่อยากปะทะทั้งคารมณ์และกำลังกับคนตัวเล็กกว่าอยู่แล้ว พอป่วยแบบนี้ยิ่งทำอะไรไม่ได้เข้าไปใหญ่ อเวเค่นจับข้อเท้าชเนย์ไว้แล้วลากให้มานอนที่เตียงฝั่งที่เขายืนอยู่อย่างง่ายดาย

"ถึงผมจะบอกให้คุณพักผ่อน แต่อาหารของนักแข่งมันเกินจะรับได้จริงๆ นี่นา" พูดจบก็ถอดเสื้อสูทตัวนอกออกและถกแขนเสื้อขึ้นให้ทำอะไรได้ถนัด "ต้องเช็ดแบบไหนถึงจะถูกล่ะ?"

เมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ชเนย์ก็ต้องยอมทำตามที่คนตรงหน้าอาสาช่วยเช็ดตัวให้ แม้จะหวังประโยชน์เพื่อให้เขาหายเร็วๆ จะได้กลับไปทำอาหารให้กินก็ตามที

"วิธีแรกคือ...เราไม่ใช้น้ำร้อนเช็ดตัวกันครับ ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง" ชี้ไปที่กะละมังที่มีควันลอยคลุ้ง ถ้าเช็ดจริงๆ มีหวังผิวหนังไม่เหลือแน่ๆ

อเวเค่นยกกะละมังเอาน้ำร้อนเทออกไปและผสมน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำอุ่นก่อนจะเอากลับมาวางที่เดิม สองมือชุบผ้าแล้วบิดน้ำออกให้หมาดๆ "เอ้า หันหลังมาสิ"

"ถ้าเป็นแขนขา ให้เช็ดจากปลายนิ้วเข้าหาหัวใจ แล้วก็ออกแรงเช็ดนิดหน่อย เอาให้ผิวแดงนิดๆ ยิ่งดี" ชเนย์แจกแจง และจะหยิบผ้ามาเช็ดให้ดูเป็นตัวอย่างแต่โดนดึงแขนข้างนั้นไปทดลองแทน...

"เช็ดแรงๆ รึ? ของถนัดเลยเนี่ย" รอยยิ้มสบายๆ เหมือนไม่อยากจะถนอมอีกฝ่ายเท่าไหร่ผุดขึ้นมาบนหน้า เมื่อเห็นว่าอเวเค่นพอจะเข้าใจและทำตามได้ทันทีเลยปล่อยให้เช็ดไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร "นั่งเงียบเชียว เป็นอะไรอีกล่ะ?"

หนุ่มนักฆ่าไม่อยากเดาให้เสียเวลาจึงเปิดปากถามตรงๆ

"ปกติไม่มีใครเช็ดตัวให้น่ะก็เลย...เขินนิดหน่อย" ชเนย์หลบตาไปอีกทางเพราะเมื่อพูดจบก็โดนดวงตาสีทองตวัดขึ้นมาจ้อง

"ไม่ใช่แค่นั้นม้าง~" อเวเค่นลากเสียงเป็นใบเบิกทางและก็ได้ผล สีหน้าคนป่วยมีสีแดงเข้มขึ้นมากกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย และไม่ใช่แดงเพราะว่าไข้ขึ้นแน่นอน "บอกมาตามตรงแล้วก็เอาแขนอีกข้างมา"

"...ที่เคยบอกว่าคุณไม่ใช่สเป็คผมนั่นผมโกหกแค่ครึ่งเดียวน่ะ...จริงๆแล้วผมชอบคนผมยาว" พูดจบก็หันตัวมาหาแล้วยื่นแขนให้แต่โดยดี

"อือฮึ ก็แค่ทรงผมเองนี่ แต่นิสัยยังไงก็ไม่ใช่ใช่มั้ยล่ะ" ตอบรับแบบไม่ใส่ใจนักเพราะมัวแต่สนใจการเช็ดตัวให้อีกฝ่ายมากกว่า "ต่อไปเช็ดด้านหน้า..."

"เอ่อ...ตรงนี้ผมขอทำเอง..."

"อย่ายึกยักน่ะเสียเวลา หันมา" อเวเค่นดุเบาๆ แล้วจับไหล่ให้หันหน้ามาตรงๆ ชเนย์มองใบหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้สนใจเขาเลยแถมดูตั้งใจพยาบาลคนป่วยจนน่าแปลกใจ

"คุณน่าจะป่วยมากกว่าผมอีกนะถึงได้ลุกมาเช็ดตัวให้เนี่ย"

"คนบ้ามักไม่ป่วยมั้ง" อเวเค่นตบมุกเองให้คนป่วยเผลอหลุดขำออกมา "เอ้า...ถอดกางเกงซะ" พอเช็ดหมดทั้งตัวจนเหลือเพียงท่อนล่าง อเวเค่นเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ เช่นเดียวกับชเนย์ที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไง

"...ผมขอเช็ดเองเถอะ" คนป่วยทำเสียงอู้อี้

"...เอาผ้าห่มคลุมๆ ไว้ก็ได้น่า" ไม่รู้ว่านึกสนุกหรือเพราะอะไร แต่อเวเค่นก็ยังยืนยันจะเช็ดให้ต่อ

"สมองคุณไปกระแทกโดนอะไรมารึเปล่าครับ!" รึจะเมายารมควันในห้องของเขาไปแล้วล่ะนั่น...

"ถอด..."

"ไม่เอา..." คนป่วยรั้นค้านหัวชนฝา

"จะถอดเองดีๆ หรือจะให้ผมถอด" อเวเค่นยืนเท้าเอวและถามครั้งสุดท้าย

...สุดท้ายชเนย์จึงยอมมุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วถอดกางเกงออกอย่างยากลำบาก ตอนนี้ก็เลยมีแค่ผ้าห่มผืนหนาที่เอาไว้ปกปิดท่อนล่างแล้ว

นอกจากนี้...ใบหน้าที่แดงจนแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเพราะอาย ชเนย์ยังตัวสั่นเป็นลูกนกตกรังอีกต่างหาก

แม้จะสั่งซะดิบดีแต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็แอบหวั่นนิดๆ ว่าทำเกินไปหรือเปล่า...ทว่ามือก็ล้วงลากเอาขาเปลือยข้างหนึ่งออกมาเช็ดจนได้

"....ไม่ต้องเช็ดสูงขนาดนี้ก็ได้ครับ!" พ่อครัวปรามเมื่อเห็นว่าอเวเค่นลากผ้าอุ่นๆ ขึ้นมาจนถึงต้นขาตนที่อยู่ใต้ผ้าห่ม

"ก็มองไม่เห็นนี่เลยกะไม่ถูก แถมคุณน่ะจะตัวใหญ่อะไรขนาดนี้ ที่บ้านให้กินอะไรเข้าไป?" วิจารณ์กลบเกลื่อนความลนของตัวเองไปพลางเพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบจนเกินไป

"โดนพูดถึงอยู่เป็นประจำแหละ..." ชเนย์เริ่มตอบไม่ตรงคำถาม พอโดนเช็ดจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงต้นขาบวกกับแรงกดจากมืออีกคนมันก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ ได้เหมือนกันนะ...

"ฟังดูเหมือนไม่ชอบที่ตัวเองรูปร่างสูงใหญ่เลยนะ" เช็ดขาไปพลางชวนคุย ก่อนจะเปลี่ยนไปเช็ดอีกข้าง การเช็ดตัวที่ตั้งใจจะให้เสร็จเร็วๆ กลายเป็นค่อนข้างช้ากว่าที่คิดเพราะอีกคนพยายามจะเอาผ้ามาบัง

"ก็นิดหนึ่ง....ครับ" เสียงคนป่วยเบาลงไปแถมยังโก่งตัวก้มลงไปแทบจะแนบกับผ้าห่มอีก

"นี่ มันเช็ดลำบากนะ แบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ"

เขาไม่ได้คิดอยากแกล้งเหมือนตอนแรกแล้ว ยิ่งเห็นอีกคนหน้าแดงจนลามไปถึงหูก็แอบรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ...แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นผู้ชายที่ผิวนุ่มกว่าที่คิดอีกแฮะ

เดี๋ยว...เมื่อกี้เขาคิดอะไรอยู่!?

นักฆ่าหนุ่มส่ายหัวตั้งสติกลับมาและก็หันไปเอาผ้าชุบน้ำบิดซ้ำอีกครั้งก่อนจะส่งให้คนป่วย "ตรงนั้นน่ะเช็ดเองก็แล้วกัน"

"พอแล้วล่ะครับ...คุณออกไปเถอะ" ชเนย์ตอบเสียงอู้อี้เพราะยังเอาหน้าซุกผ้าอยู่ และตอนนี้ร่างกายมันเริ่มจะแย่เกินกว่าจะควบคุมได้แล้ว

"โอเค งั้นเดี๋ยวหันหลังให้แล้วกัน"

"คุณ...ขอให้ผมพักบ้างเถอะ"

"งั้นก็รีบๆ เช็ดซะแล้วจะนอนกลิ้งรึทำอะไรต่อก็เชิญตามสบาย"

นอกจากจะไล่ไม่ไปยังจะหน้าด้านอยู่อีก คนๆ นี้อ่านสถานการณ์ไม่ออกรึไงว่าเขากำลังแย่สุดๆ เลยน่ะ!

พอกำลังจะหันหลังให้อเวเค่นก็เริ่มรู้สึกถึงเสียงหายใจผิดปกติของอีกคน เขารีบหันหน้ากลับไปโดยพลัน สมองเริ่มก่นด่าตัวเองที่เรื่องแค่นี้ก็เดาไม่ได้แต่แรก

"ถ้าไม่ออกไปผมจะไม่สนใจอะไรแล้วนะ..." เสียงเบาของชเนย์ลอดผ่านผ้าห่มออกมา เขานั่งกอดเข่าซุกหน้าลงไปจนมองไม่เห็นสีหน้าตอนนี้ ทว่าใบหูสองข้างแดงจนชัดเจนมากๆ...

ไม่รอช้า อเวเค่นลุกขึ้นแล้วก้าวขาออกไปจากห้องโดยไม่ลืมปิดประตูให้สนิท แล้วยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเพราะนึกได้ว่า...เสื้อนอกของเขายังอยู่ข้างในห้อง จะเข้าไปเอามาตอนนี้ก็ดูท่าจะไม่ดี เลยทำได้แค่ยืนรออยู่อย่างนั้น

ชเนย์เงยหน้าขึ้นแล้วเลิกผ้าห่มดู มืออีกข้างยกขึ้นปิดหน้าผากตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม ร่างกายตอนนี้มันร้อนยิ่งกว่าตอนไข้ขึ้นซะอีก

"รีบจัดการให้เสร็จๆ ดีกว่า" เขาคิดในใจ แต่แล้วดวงตาก็เผลอไปเห็นเสื้อนอกของคนที่เข้ามาเช็ดตัวให้วางกองอยู่ที่ปลายเท้าของตัวเอง ก่อนที่สมองจะได้ทันคิดอะไร มือก็ยื่นไปหยิบเสื้อนอกอีกคนเข้ามาหาตัว กลิ่นเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์จากเสื้อนอกนั้นพาเอาสติล่องลอย จะว่าไปก็ไม่ได้นอนกอดใครมาสักพักแล้วด้วย...

ทำตัวเป็นหนุ่มโรคจิตสักวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

"คุณคิดใช้เสื้อคนอื่นช่วยตัวเองเรอะ?" อเวเค่นโผล่เข้ามาเงียบๆ อีกแล้ว นี่ใจเขาไม่อยู่กับตัวถึงขนาดไม่รับรู้ถึงการมาของผู้บุกรุกขนาดนี้เชียว? ไม่สิ...เหมือนจะเป็นสกิลของนักฆ่าที่มักเข้าใกล้เป้าหมายโดยที่แทบไม่รู้ตัวมากกว่า

"...ขอโทษที่เผลอคิดอกุศลกับเสื้อนอกคุณนะ" ชเนย์แก้ตัวอะไรไม่ออกเลยได้แต่ยื่นเสื้อคืนให้อีกคน อเวเค่นรับไปแต่ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น "มีอะไรจะต่อว่าผมอีกเหรอครับ?"

"เปล่า แค่อยากรู้ว่าปกติคุณเป็นแบบนี้เสมอเลยงั้นเหรอ?" คนยืนกดดันจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา "ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเสื้อนี่หรอกนะ..."

ชเนย์ถึงกับถอนหายใจ ดวงตาสีหม่นมองคนที่ทำหน้าราวกับต้องการจะเค้นเอาคำตอบจากเขาให้ได้ "บอกไปแล้วนี่ ต่อให้ผมถูกใจอีกฝ่ายแค่ไหน ถ้าเค้าไม่เล่นด้วยผมก็ไม่อยากทำหรอก แม้แต่กับคุณก็ด้วย..."

"......"

"......."

เกิดเดดแอร์ขึ้นหลังจบประโยค คนป่วยเองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่น่าพูดออกไปเลย บรรยากาศภายในห้องเงียบจนน่าอึดอัด อเวเค่นก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาเลยหลังจากชเนย์เผลอหลุดปากพูดในสิ่งที่คิดออกมา

"เอ่อ...อเวเค่น เมื่อกี้ผม..."

"...สงสัยคุณจะป่วยหนักจริงๆ นั่นแหละ วันนี้นอนพักซะ ใครมาตามให้ไปทำอาหารก็หัดปฏิเสธซะมั่ง" นักฆ่าเอ่ยทำลายความเงียบและเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

"...นั่นสินะครับ" ชเนย์ก้มหน้าลงไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย เลยไม่ได้เห็นว่าสายตาของอีกคนซึ่งกำลังมองมาที่เขามันแฝงความหมายอะไรซ่อนเอาไว้ อเวเค่นสวมเสื้อนอกของตนแล้วเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู ทิ้งให้ชเนย์นั่งคิดทบทวนว่าพลาดแล้วที่ไปพูดเรื่องแบบนั้น

"...เอาไงต่อดีวะ?" นักฆ่าหนุ่มยืนสบถเบาๆ อยู่หน้าประตูก่อนจะเดินออกไป



ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง คนรับใช้ปิศาจได้นำอาหารมาให้ชเนย์ที่กำลังนอนพักผ่อน ดูจากหน้าตาของอาหารที่เหมือนจะเป็นข้าวต้ม...แต่สีสันน่ากลัวเหมือนออกมาจากหม้อต้มยาของพวกแม่มดหมอผียังไงยังงั้น ดูแล้วไม่น่าไว้ใจเอาซะเลยว่าจะกินเข้าไปได้ เดาเอาว่าคงเป็นฝีมือพ่อครัวปิศาจเป็นแน่ แต่คนรับใช้ที่นำอาหารมาให้ส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่

ชเนย์ทำหน้าสงสัยแต่ยังไม่ทันจะได้ถามว่าของใครฝากมา คนรับใช้ก็รีบเดินกลับไปซะก่อน เขาลองชิมข้าวต้มที่รสชาติไม่ได้ดีไปกว่าที่ตาเห็นแล้ววางช้อนลงข้างถาดตั้งใจจะเอาไปเททิ้งทีหลังไว้แบบนั้น แต่แล้วก็เพิ่งเห็นว่ามีกระดาษแนบข้อความติดมาด้วย เมื่อคลี่อ่านก็เห็นว่าไม่มีชื่อคนเขียน แต่จากเนื้อความก็พอจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของอาหารมื้อนี้และกระดาษแผ่นนี้

'กินเข้าไปแล้วรีบๆ นอนพักให้หายดีซะ'

ครั้งสุดท้ายที่มีคนทำอาหารให้กินเวลาที่ไม่สบายมันเมื่อไหร่กันนะ...เขากำกระดาษไว้ในมือ มองข้าวต้มจานนั้นอีกครั้งและชิมมันไปอีกคำ อยากจะเดินไปบอกอเวเค่นเหลือเกินว่าอาหารแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นกินคงร้องไห้ไปแล้ว...ไม่สิ เขาเองก็กำลังร้องอยู่เหมือนกัน

ทำไมถึงทำอาหารได้ห่วยแบบนี้นะ สงสารวัตถุดิบที่ต้องพลีชีพเพื่อมาเป็นข้าวต้มจานนี้เหลือเกิน

ถึงกระนั้นเขาก็ฝืนทานต่อไปจนเกือบหมดและกินยานอนพักผ่อนต่อ ถึงแม้ว่าปกติจะไม่ชอบการใส่เสื้อผ้านอนเพราะมันอึดอัด แต่คืนนั้นเขากลับสวมชุดครบและนอนห่มผ้าอย่างที่คุณนักฆ่าแนะนำ




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #5


เมื่อฟ้าเริ่มมืด ไข้ของชเนย์ก็เริ่มลดจนแทบจะเป็นปกติ ในใจนึกอยากไปหาอะไรมากินจะได้รีบหายๆ เลยใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปในครัว แต่เมื่อเดินไปถึงก็หยุดชะงักฝีเท้าหน้าห้องเพราะเห็นอเวเค่นยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงที่หน้าต่างในครัวซึ่งเขามักจะไปนั่งบนขอบแล้วเหม่อมองวิวทะเลข้างนอก

"...หิวอีกแล้วเหรอครับ? "

ชเนย์ทักและพยายามปั้นหน้ายิ้มเป็นปกติ แต่ไม่มีเสียงตอบมาจากคนที่ยืนรออยู่ก่อน "...ไม่ยักรู้คุณว่าสูบบุหรี่ด้วย" พยายามชวนคุยเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไปนัก

"...สูบเฉพาะเวลาที่ต้องใช้ความคิดน่ะ" อเวเค่นตอบและขยี้บุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดมวนทิ้ง "หายป่วยแล้ว? "

"ครับ อาหารของคุณนี่คุณค่าทางอาหารสูงจนผมหายป่วยเร็วเลย" ถึงจะชมไปแบบนั้นแต่มันเหมือนเป็นการใส่ทุกๆ อย่างแล้วปั่นรวมกันออกมาซะมากกว่า

"เหรอ..." อเวเค่นหันมาและปรี่เข้าหาตัวอีกคนอย่างว่องไวเสียจนคนเพิ่งหายป่วยตั้งหลักไม่ทันได้แต่ถอยจนติดผนัง

"เอ๊ะ? เอ๊ะ!? " จู่ๆ โดนต้อนเสียหมดสิ้นทางหนีแถมยังไม่รู้ความนึกคิดว่าอีกฝ่ายจะยังคิดมากอะไรเรื่องเมื่อกลางวันอีกหรือเปล่าเลยได้แต่ทำตัวลีบติดกับกำแพงไปอย่างนั้น

"ตอบคำถามผมให้หมดทุกอย่าง โอเค้? "

"ห้ะ...? ครับ..." พ่อครัวพยักหน้าหงึกหงักระรัว

"อาหารที่ผมทำห่วยแตกใช่มั้ย? "

สายตาจ้องจะเอาคำตอบจริงๆ ร่างสูงกว่าเหงื่อตกนิดหน่อยก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า "ใช่ครับ..."

อเวเค่นถอนหายใจเล็กๆ ก่อนกลับเข้าเรื่อง

"ชเนย์..." เขาเรียกชื่อจริงอีกฝ่าย "คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง? "

"....เอ่อ...ก็...." ชเนย์กะพริบตาหลังแว่นอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ก็ยอมตอบออกไปตรงๆ

"ค่อนข้าง...เอาแต่ใจมั้งครับ...แต่ว่า..."

อเวเค่นก้มหน้านิ่ง ไม่ได้เอาแขนทั้งสองข้างวางกั้นไว้แล้วก็จริง แต่ไม่ยอมขยับออกไปไหน

"เมื่อวานกับเมื่อเช้า... คุณดูใจดีมากๆ " พูดไปก็มองไปมาหาที่จดจ้องไม่ได้ แปลกดีที่มาพูดอะไรแบบนี้ ทั้งที่ก็ไม่ใช่เกมหมุนขวดเหมือนเมื่อวานก่อนเสียหน่อย...

"โอเค..." อเวเค่นถอยออกไปก้าวหนึ่งยังพูดต่อ "คุณกับผม เราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันไม่นานเอง"

ชเนย์งงกับท่าทางของอเวเค่น ตะกี้นี้เหมือนไม่ได้พูดกับเขาแต่เหมือนอีกฝ่ายกำลังคุยกับตัวเองมากกว่า

"ผมอยากจะถามว่า...คุณทำกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันได้ด้วยเหรอ แต่เพราะผมเองก็เคยชวนสาวๆ เข้าโรงแรมตอนสบตาพวกเธอในบาร์แค่ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ฉะนั้นข้อนี้ข้ามไปเลยแล้วกัน" ชเนย์สงบใจได้แล้ว แต่ดูท่าทางคนตรงหน้าเขาต่างหากที่กำลังลน จะไหวมั้ยเนี่ย...

"เอาล่ะ...." อเวเค่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ดวงตาสีทองหันมาสบตาคู่สนทนาอีกครั้ง "บอกตรงๆ นะ ผมไม่เคยคิดอยากทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน"

ชเนย์พยักหน้ารับรู้ เขาดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น เป็นเขาเองต่างหากที่สนใจในตัวคนตรงหน้า...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"แต่..." อเวเค่นเว้นช่วงพูด "ผมว่าผมเองก็เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ กับคุณแล้ว"

ชเนย์เบิกตา แต่เพราะใส่แว่นสีเข้มและห้องครัวค่อนข้างมืด อีกฝ่ายจึงเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดนัก

"ถ้าคุณให้เวลาผมสักนิด ผมจะกลับไปคิดดู ย้ำว่าผมแค่คิดเท่านั้น ยังไม่ได้ตอบตกลงจะทำนะ" อเวเค่นเน้นย้ำชัดๆ ให้อีกคนเข้าใจ

"เอ่อ....." ชเนย์ได้แต่ยืนนิ่งในท่าสงบเสงี่ยมโดยไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะอีกฝ่ายยังไม่รู้จะเอายังไงเลย!

"แล้วก็...เรื่องที่จะเป็นฝ่ายอยู่บนอยู่ล่างนี่..." อเวเค่นพูดเหมือนจะคิดอะไรต่อแต่สมองเริ่มตีกันเป็นพัลวัน หากเป็นเครื่องจักรนี่ก็คงจะร้อนเกินลิมิตแล้วกระมัง

"เดี๋ยวๆ ...แป๊ปนะครับ" คนโดนบีบไว้กับกำแพงยกสองมือขึ้นห้ามและเป็นสัญญาณว่าขอพูดอะไรบ้าง "ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไรหรือไปหกล้มหัวฟาดตรงไหนมา แต่ผมไม่ได้จะชวนคุณทำเรื่องแบบนั้นซะหน่อย ถ้าคุณไม่ได้อยากทำก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันก็ได้"

"...." อเวเค่นหยักหน้าหงึกเบาๆ โดยไม่ได้ขัดอะไรเพราะชเนย์ยังคงมือทำปางห้ามญาติค้างไว้

"อีกอย่าง...อยู่กับคุณก็ไม่ได้เลวร้ายนี่ สนุกดีด้วยซ้ำ" รอยยิ้มสดใสแต้มใบหน้าอย่างจริงใจแล้วลดมือลงช้าๆ "...แค่นี้แหละครับ"

"คุณแน่ใจนะ? " นักฆ่าหนุ่มถามย้ำ อีกคนพยักหน้าแทนคำตอบ อเวเค่นถอนหายใจเหมือนโล่งอกที่สุดในชีวิต ถึงจะรู้สึกเหมือนโดนว่าทางอ้อมว่าเขาเป็นพวกคิดได้แต่เรื่องพรรค์นั้นก็เถอะ

"ว่าแต่...คิดมากเรื่องนี้ทำไมกันล่ะครับ? " ไม่รู้ว่าควรถามมั้ย แต่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบจนน่าอึดอัดอีก...

อเวเค่นสะดุ้ง เหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากบอกสักเท่าไหร่ แต่ชเนย์ก็ไม่คิดอยากได้คำตอบในตอนนี้แต่อย่างใด

"อืม... หิวรึยังล่ะครับ? ผมกำลังจะทำมื้อดึกให้ท่านเจ้านรกน่ะ"

ในใจก็อยากตอบไปว่าหิวมาก แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายมาที่ครัวทำไม อยู่ๆ คำพูดที่คิดจะบอกก็เหมือนโดนดูดหายไป

"ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบาย ผมจะไปอาบน้ำเข้านอนแล้ว"

"อ่า ครับ..." ปล่อยให้อเวเค่นเดินห่างจากตัวเขา แต่ก่อนอีกคนจะหายลับไปชเนย์ก็ตะโกนไล่หลังตาม "ฝันดีละกันครับ"

อเวเค่นแค่หันมามองแต่ไม่ได้ตอบอะไรมา ระยะทางกับแว่นสีเข้มยิ่งทำให้ไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย แต่ชเนย์ก็ไม่คิดจะยื้อไว้แล้ว พอได้อยู่คนเดียวแล้วเปิดๆ ดูของไปพลางคิดหาเมนูที่สามารถทำได้ในครัว จู่ๆ ก็เหมือนสมองเพิ่งจะคิดอะไรออก

ที่ว่าเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเขานี่มัน...คงไม่ใช่ว่า...

"...ไม่หรอกมั้ง" ชเนย์ส่ายหน้ารัวๆ กับความคิดเข้าข้างตัวเองในหัว ทว่าถึงจะพูดและคิดแบบนั้น แต่สีแดงที่แต้มบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดลง…







เช้าวันนี้ห้องอาหารในปราสาทเจ้านรกดูจะเอะอะเป็นพิเศษ สาเหตุมาจากผู้เข้าแข่งขันรายหนึ่งดันไปมีเรื่องกับพ่อครัวปิศาจที่มีหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงทุกคนที่อยู่ที่นี่ ทว่าขึ้นชื่อว่าปิศาจแล้วการรับรู้รสชาติก็ต่างไปจากมนุษย์ แม้จะสามารถทำอาหารให้มนุษย์ซึ่งถือเป็นคนส่วนน้อยทานได้ แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

อย่างเช่นในตอนนี้...

"คนผิดคือไอ้พ่อครัวปิศาจต่างหาก คิดยังไงถึงได้เอาปลาปักเป้ามาทำอาหารฟะ นั่นมันปลามีพิษไม่ใช่เรอะ คิดจะฆ่ากันรึไง!"

ชเนย์ยืนสูบไปป์อยู่หน้าห้องขังทำหน้าที่รับฟังเรื่อง ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่งของลูกกรงก็ไม่ใช่ใครอื่น...อเวเค่น นักฆ่าผู้เรื่องมากกับการกินที่สุดในโลกกำลังบ่นเป็นฟืนเป็นไฟผิดวิสัยปกติของเจ้าตัวนัก

"เนื้อปลาปักเป้ามันกินได้นะครับ ถ้ารู้วิธีเอาเส้นพิษมันออก" ชเนย์อธิบาย แต่อีกคนนั้นกำลังหัวเสียไม่รับฟัง เพราะกำลังโมโหหิวอย่างมาก "ปกติคุณก็ไม่ทานอาหารในห้องอาหารอยู่แล้ว ทำไมหนนี้ถึงได้เข้าไปยุ่งล่ะครับ"

"...ไม่ใช่เรื่องของคุณ" ความหงุดหงิดทำให้อเวเค่นพาลใส่อีกฝ่าย ชเนย์นิ่งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เก็บคำพูดนั้นมาใส่ใจนัก

"เค้าจะจับคุณขังไว้นานมั้ยล่ะครับเนี่ย" ชเนย์เปลี่ยนเรื่อง

"ไม่รู้ ไม่ได้บอก" เหมือนคนที่อีกฟากกรงดูจะยังไม่สงบสติดี แถมเดินวนไปทั่วห้องจนดูน่าเวียนหัวเข้าไปอีก

"ให้ผมไปถามให้มั้ยล่ะ เผลอๆ อาจจะได้ออกมาเลย" ร่างสูงพ่นควันกลิ่นดอกไม้ออกมา คราวนี้กลิ่นเหมือนดอกพลัม...

"คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก เดี๋ยวจะเดือดร้อนเปล่าๆ " เดินมากก็เหนื่อยแถมหิวมากกว่าเดิม สุดท้ายก็เลยนั่งนิ่งๆ เป็นการประหยัดพลังงาน

"ตามใจคุณนะครับ..." ชเนย์ไม่ว่าอะไรและมองดูเวลาในนาฬิกาพกของตัวเอง "ได้เวลาที่ผมต้องไปทำอาหารแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ"

"อืม..." ตอบไปอย่างห้วนๆ เสียงเท้าของพ่อครัวหนุ่มเดินห่างไปไกล แต่เสียงร้องในกระเพาะกลับดังขึ้นมาแทน "หิวชะมัด..."

เพราะไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เมื่อวาน แถมยังไปก่อเรื่องแบบนั้นอีก อเวเค่นคิดว่าเขาคงจะหิวตายอยู่ในนี้ก่อนจะได้ออกไปสู้กับฝั่งเกาะเซฟิลแน่ๆ

"คุณหิวจริงๆ ด้วย" ชเนย์ยื่นหน้าผ่านลูกกรงมาหา แอบยืนฟังอยู่ที่ทางออกแล้วพ่นควันใส่

"...คุณไม่ต้องมายุ่งน่า ไปทำหน้าที่ของตัวเองซะไป" นักโทษออกปากไล่

"ทำเพิ่มอีกที่มันไม่ได้หนักหนามากหรอกครับ...ถ้าไม่ใช่ฟูลคอร์สน่ะนะ" ไม่รอคำตอบของอเวเค่น ชเนย์ก็รีบจ้ำหายไปก่อนจะได้ฟังคำปราม

หลังชเนย์จัดเตรียมอาหารเสร็จก็แบ่งใส่อีกจานเพื่อจะเอาไปให้คนที่นั่งรออยู่ในห้องขัง ทว่าระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่นั่นก็เจอเข้ากับไคม์ มือขวาของเจ้านรกยืนรออยู่

"จะเอาอาหารไปไหนเหรอครับ? " ถามอย่างเป็นมิตร แต่แอบจับผิดพ่อครัวหนุ่มไปในตัว

"เอ่อ..." ชเนย์นึกหาเหตุผล และไม่มีประโยชน์ถ้าจะโกหกด้วย "เอาไปให้เพื่อนน่ะครับ ผมเห็นเขายังไม่ได้ทานอะไรเลยน่ะ"

จะเรียกว่าเพื่อนได้รึเปล่านะ? ...ชเนย์ถามตัวเองในใจ แต่ก็คิดคำอื่นไม่ออกแล้วในตอนนี้

"หือ? น่าแปลกจริงนะที่หาเพื่อนได้ในเวลาแบบนี้" รอยยิ้มกว้างดังเดิมที่ไม่เคยดูน่าเข้าใกล้ยังคงเปื้อนอยู่บนหน้า

"ก็แหม มาคนเดียวอยู่คนเดียวมีเพื่อนไว้หน่อยจะเป็นไรไปล่ะครับ"

"มิน่าล่ะช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่ที่ครัวเลย" ไคม์แอบหยอกนิดหน่อย "ใต้เท้าเลยหัวเสียเวลาแวะไปแล้วไม่เจอคุณตลอด"

"เอ๊ะ? " ชเนย์ขมวดคิ้ว ลืมไปเลยว่านอกจากอเวเค่นแล้วยังมีอีกคนที่ชอบบุกครัวประจำ "เหรอครับ ต้องขอโทษด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ" ไคม์ยิ้มเล็กน้อย "แต่ระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ วัตถุดิบที่ผมให้คนไปลำบากหามาให้ มันจะไม่บาลานซ์กับอาหารที่คุณต้องทำเพราะแอบเอาไปให้เพื่อนคุณทาน"

ชเนย์มือไม้อ่อนจนเกือบทำจานหล่น ดูเหมือนเมนูฟูลคอร์สที่เป็นตัวผลาญวัตถุดิบครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานเขาแล้ว

"มาเตือนเท่านี้ล่ะครับ เชิญคุณไปหาเพื่อนคุณได้เลย อ้อ...แต่ขอบอกไว้อีกเรื่องนะครับ" ไคม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบไม่ให้ดังจนเกินไป

"ระวัง 'เพื่อน' คนนั้นเอาไว้หน่อยก็ดีนะครับ เขาไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณคิดหรอก" ไคม์หันหลังกลับเพื่อไปสะสางตารางงานของวันนี้ต่อ ทิ้งให้ชเนย์ยืนนิ่งจนอาหารในจานเริ่มเย็นถึงเพิ่งรู้สึกตัวและรีบเดินไปยังห้องขัง



"เชิญครับ เพนเน่เบคอนเห็ดอบชีส อ้อ...แล้วนี่คลาสสิคโมจิโต้แก้เลี่ยน"

ชเนย์จัดแจงวางอาหารส่งให้ผ่านช่องลูกกรงแล้วก็ถอยมานั่งมองเหมือนรอดูปฏิกิริยาของคนกิน

"มองขนาดนั้นจะไปกินลงได้ไง" พูดไปงั้นแต่มือก็หยิบเอาจานอาหารที่หายร้อนไปนิดหนึ่งขึ้นมากินอยู่ดี อเวเค่นจัดการทานอาหารที่ชเนย์เอามาให้อย่างรวดเร็วจนเกือบติดคอ

"ทานช้าๆ ก็ได้ครับไม่มีใครแย่งกินหรอก"

"ก็คนมันหิวนี่" พูดทั้งที่ยังมีของกินอยู่เต็มปาก ชเนย์เผลอยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่าย แต่แล้วคำพูดของไคม์ก็แว่บเข้ามาในหัว

'เขาไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณคิดหรอก'

'คุณคิดว่าผมเป็นคนยังไง?'


เรื่องที่อเวเค่นถามเมื่อคืน จะเกี่ยวกับที่ไคม์เตือนเขารึเปล่านะ...ขอให้เป็นแค่เรื่องคิดไปเองเถอะ

แต่พอไคม์มาเตือนจู่ๆ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาที่เจ้านรกอุตส่าห์แวะมาหาจนเผลอยิ้มแปลกๆ ออกมา

"ทำหน้าอะไรของคุณน่ะ..." อเวเค่นหรี่ตามองและตั้งคำถามอีกฝ่ายหลังกินเสร็จพลางจิบค็อกเทล

"เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ" แม้จะปฏิเสธทว่าสีหน้าก็เก็บไม่อยู่...

"หลอกผมไม่ได้หรอก หน้าคุณมันฟ้องแถมยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว"

พูดแซวจนดูโอเว่อร์ แต่ก็ไม่ได้ผิดไปจากท่าทางที่คนอยู่อีกฝั่งของลูกกรงพยายามเก็บอาการเลยสักนิด

"ปกติผมก็ยิ้มตลอดอยู่แล้วนี่ครับ" ทำท่าชี้นิ้วใส่ตัวเองทั้งสองมือและปั้นหน้าลัลล้าใส่คนที่โดนโทษขังเดี่ยวให้แอบเอือมนิดๆ

"...คุณยิ้มไม่เหมือนเวลาอยู่กับผมก็แล้วกัน" คำพูดของอเวเค่นทำให้ชเนย์ถึงกับหยุดทำท่าทางแสร้งยิ้ม "อร่อยมาก ขอบคุณที่เลี้ยง" ส่งจานกับแก้วเปล่าคืนให้พ่อครัว

"ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ถือว่าเป็นค่าอาหารก็แล้วกัน" ชเนย์รับจานคืนมาและเรียกเช็คบิล

"ว่า...? "

"เมื่อคืน...ทำไมจู่ๆ ถึงถามความเห็นผมล่ะ? " ชเนย์เขยิบมานั่งชิดติดหน้ากรงเผื่ออีกคนจะพูดอะไรอุบอิบจะได้ฟังได้ถนัด แถมถอดแว่นออกเพื่อไม่ให้ความมืดมาบังสีหน้าของอเวเค่นอีก "ที่ถามผมว่า คิดว่าคุณเป็นคนยังไงน่ะ? "

"อ้อ...นั่นน่ะเหรอ" อเวเค่นทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ "ไม่รู้สินะ..."

"อย่าพูดว่าไม่รู้สิครับ เป็นคนถามเองไม่ใช่เหรอไง? " ชเนย์รู้สึกเหมือนโดนกวน ทั้งที่คำถามนี้เขาตอบอีกฝ่ายไปอย่างจริงจัง

"ที่บอกไม่รู้คือ...ผมไม่รู้ว่าผมทำตัวยังไงเวลาอยู่กับคุณต่างหาก ที่ถามนั่นก็เพื่อเช็คดูตัวผมเองด้วย" อเวเค่นตอบ ชเนย์มองสีหน้าอีกคนที่มองตรงมา ไม่รู้ว่าแกล้งพูดโกหกรึเปล่า

"คุณตอนอยู่กับผมเหรอ..." ชเนย์เอียงคอทวนคำถาม ระหว่างนั้นก็พยายามอ่านสีหน้าอีกคน แต่ดูแล้วความสามารถด้านนั้นของเขาจะไม่ถึง

"แค่นี้? " ส่วนอเวเค่นก็พยายามจะจบบทสนทนาโดยไว

"แล้ว...รอยยิ้มของผมเมื่อกี้มันไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับคุณยังไงเหรอครับ? " ชเนย์เริ่มยิงคำถามบ้าง แต่รอยยิ้มเป็นกันเองช่วยให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป "งั้นถามกลับดีกว่า ในสายตาคุณผมเป็นคนยังไงเหรอ? "

"จากสายตาผม คุณน่ะ...เป็นคนที่น่าจะโดนหลอกได้ง่ายมาก" คำตอบที่ทำเอาคนฟังรู้สึกเหมือนโดนฟาดกลางแสกหน้า นี่หลอกด่ากันรึไง...

"ล้อเล่นน่ะ..." อเวเค่นขำที่เห็นชเนย์ทำหน้าเหวอนิดๆ "เคยบอกแล้วนี่ว่าคุณเป็นคนดี"

"มันกว้างไปนะครับไอ้คำว่าคนดีเนี่ย ระบุชัดๆ ให้มันเข้าใจง่ายหน่อยไม่ได้เหรอ? "

"อยากให้บอกรายละเอียดก็เอาอาหารมื้อต่อไปมาแลกแล้วกัน แค่จานเดียวน่ะถูกไปนะ" ตอบแบบยียวนและกวนโอ๊ย จนพ่อครัวหนุ่มอยากแกล้งหาเรื่องใส่พริกเผ็ดๆ ลงในอาหารมื้อต่อไปเลยทีเดียว "แถมให้หน่อยแล้วกันสำหรับความใจกล้าที่เอาอาหารมาให้นักโทษ"

อเวเค่นกระดิกนิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเอาหูเข้ามาใกล้ๆ ทั้งที่ในคุกนี่ก็มีกันแค่สองคน ไม่รู้ว่าจะกระซิบไปทำไม แต่ชเนย์ก็ยอมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลูกกรง

แต่...แทนที่จะได้ยินคำตอบ หน้าเขากลับโดนจมูกของอีกฝ่ายแนบแก้มผ่านลูกกรงซะงั้น

“!?” ชเนย์ถอยออกมาแทบจะทันที ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ตกใจที่คนในห้องขังทำเรื่องเหนือความคาดหมายสุดๆ

"...." พอกำลังจะเอ่ยปากถามอะไรก็คิดได้ว่าเครื่องบรรณาการมันหมดไปแล้วจึงยอมเก็บจานแล้วออกไปแต่โดยดี "เดี๋ยวผมจะกลับมาตอนเย็นครับ"

พ่อครัวรีบลนออกจากเขตคุมขังไปไม่ได้หันกลับมามอง พอต่างคนต่างพ้นหน้ากันจนลับตา สีหน้าทั้งคู่ที่เก็บอาการอยู่ก็เริ่มแสดงตัว…

"เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ..."

"...แกล้งแรงไปมั้ยนะ? "



เสียงฝีเท้าเดินมายังห้องขัง อเวเค่นสะดุ้งหลงคิดว่าชเนย์จะเดินกลับมา แต่บรรยากาศกดดันแปลกๆ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่พ่อครัวคนเดิม แต่เป็นสมุนมือขวาอันดับหนึ่งของเจ้านรก

"สายัณห์สวัสดิ์ครับ" ยิ้มทักทายให้อย่างที่ทำเป็นประจำ แต่แววตานั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย

"จะมาปล่อยนักโทษเหรอ? " อเวเค่นยิ้มตอบ เป็นยิ้มที่เสแสร้งเหมือนที่ทำอยู่เป็นปกติเช่นเดียวกับคนที่มาเยือน ไม่ใช่คนสิ แต่ต้องบอกว่าปิศาจ...

"ก็คิดงั้นเหมือนกันครับ เพราะถึงจะลงโทษจับคุณขังไว้ ยังไงเดี๋ยวก็มีคนบริการเอาอาหารมาส่งถึงที่อยู่ดี"

"ผมบังคับให้เขาเอามาให้เอง หมอนั่นไม่เกี่ยวอะไรด้วย"

"หึๆ ไม่ต้องรีบออกตัวแรงขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ"

"ที่พูดแจ้วๆ อยู่นี่ไม่ได้เรียกว่าพูดหรอกเหรอ? " ตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัวคนมีอำนาจเหนือกว่า ไคม์หัวเราะให้กับท่าทีของคนในห้องขัง มนุษย์นี่น่าตลกแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงเขาจะเอามาให้คุณด้วยเหตุอะไรผมก็ไม่ทำอะไรเขาหรอก" ไคม์ไขกุญแจปล่อยตัวนักโทษออก "เพียงแต่ถ้ามันทำให้พ่อครัวเปลี่ยนใจอะไรในตอนท้ายผมคงต้องจัดการคุณนะ"

"หา? " แม้ประตูจะเปิดออกแต่ผู้ถูกปล่อยตัวก็ไม่ได้ก้าวออกมา เขายังยืนบิดขี้เกียจอยู่ที่อีกด้ายของกรงตามเดิม

"ใต้เท้าดูจะถูกใจคุณพ่อครัวเข้าน่ะสิ ถ้าท่านมีกะใจกระตือรือร้นจะทำอะไรขึ้นมาเพราะคนๆ นั้นบ้างคงจะดี" ไคม์เดินออกไปแต่ชะงักฝีเท้าค้างไว้ตรงทางออก "และอย่างน้อยๆ ผมก็ไม่ต้องไปหาคนแข่งคนใหม่หากเขาเกิดถอนตัว..."

"หมอนั่นไม่มีทางถอนตัวหรอก"

"โห...รู้ใจกันดีนะครับ เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันเองแท้ๆ " หันมาให้เห็นแค่เสี้ยวหน้า แต่ตัวยังยืนอยู่ที่เดิม

"ก็รู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่หมอนั่นมาเข้าร่วมกับฝั่งนี้คืออะไร นอกจากว่าจะโดนทำให้ต้องถอนตัวนั่นแหละ"

"เหตุผลอะไรเหรอครับ ผมไม่ยักรู้? " ยิ้มให้เล็กน้อยและทำหน้าซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องจริงๆ "อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่นเลยครับ คุณเองก็ควรจะระวังตัวเอาไว้หน่อยดีกว่า การเข้าไปยุ่งกับของเล่นของคนอื่นระวังจะโดนดีเข้านะครับ"

"ผมไม่ล้ำเส้นหรอก สบายใจได้..."

"รักษาคำพูดด้วยล่ะครับ" ไคม์ยิ้มให้อีกทีก่อนเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหนึ่งในตัวหมากที่กำลังจะลงแข่งในเกมของนายเหนือหัว ลับหลังไคม์ไปแล้ว อเวเค่นก็เดินออกมาจากห้องขังและปิดประตูลูกกรงเสียงดัง

"ล้ำเส้นน่ะไม่ทำหรอก ...แต่จะเหยียบแล้วข้ามหัวไปให้ดู"




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

ชเนย์ยืนรอสตูว์สุกได้ที่อยู่ในห้องครัว เมนูสุดท้ายจะเสร็จในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ตอนนี้สมองกลับโล่งขาวไปหมดทุกอย่าง...

เขา...ไม่ได้คิดมากไปเอง และตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่เขาหนักใจซะแล้ว...

"อ....อาจจะแค่แกล้งเท่านั้นน่า" พูดปลอบใจตัวเองแล้วเดินไปจุดไปป์ที่มุมห้อง พลันสายตาเหลือบไปเจอกับนักฆ่าหนุ่มที่ยืนพิงขอบประตูมองมาทางเขาอยู่

"หอมเชียว คราวนี้สตูว์เหรอ" กลิ่นอาหารลอยเข้าจมูกตั้งแต่ตรงโถงทางเดิน ทำเอาคนเพิ่งกินอิ่มถึงกับหิวอีกรอบ

"....คุณออกมาได้ยังไงน่ะ? " หันไปมองคนที่ตนเพิ่งไปเยี่ยมที่ห้องขังมาหมาดๆ แต่ตอนนี้กลับมายืนคุมห้องครัวได้แล้ว

"แหกคุกออกมาน่ะ" ฉีกยิ้มพร้อมกับโชว์อุปกรณ์งัดแงะในมือก่อนเก็บลงกระเป๋าเสื้อด้านใน

"เอ๋? เอาจริงเหรอครับนั่น? " เพราะเคยเห็นอีกฝ่ายงัดประตูมากับตา ชเนย์เลยเชื่อไปเต็มๆ

"ล้อเล่นน่ะ โดนปล่อยตัวต่างหาก" หยอกเสร็จก็เดินเข้ามาใกล้หม้อสตูว์แล้วสูดกลิ่นหอมน่าทาน "น่าอร่อยดีนะ ชักอยากจะกินจริงๆ แล้วสิ"

ปากพูดอย่างนั้น แต่สายตากลับหันมามองที่พ่อครัว…ที่พูดนั่นหมายถึงสตูว์สินะ...

"...ไว้จะกลับมากินแล้วกัน" ชเนย์ยังไม่ทันจะหายงง จู่ๆ อเวเค่นก็ถอยห่างออกเมื่อเห็นว่าเข้าใกล้เกินไป

วันนี้ทำตัวแปลกจริงๆ ด้วย!

"อเว---" พอจะเรียกเพื่อดึงตัวอีกฝ่ายไว้ก่อน เงาของร่างที่สูงใหญ่กว่าพวกเขาก็สืบเท้าเดินเข้ามาในห้องครัว

"...วันนี้มาเร็วจังนะครับ" ชเนย์หันไปคุยกับผู้มาเยือนใหม่ ส่วนอเวเค่นได้แต่ยืนดูชายหนุ่มผมเงินและเจ้านรกกำลังสนทนากัน แม้จะเดินสวนกันแต่เจ้านรกไม่ได้สนใจอเวเค่นเลยสักนิด ดูก็รู้ว่าโดนพ่อครัวดึงความสนใจไปจนหมด

ชเนย์เดินไปมาในครัวด้วยท่าทีที่ดูร่าเริงขึ้นจนน่าหมั่นไส้.... อเวเค่นยืนมองภาพตรงหน้าสักพักก่อนยิ้มน้อยๆ ออกมาและก้าวเท้าหายไป







"เอ่? ...หายไปไหนหว่า? " พอชเนย์ไล่ให้เจ้านรกกลับไปนั่งกินอาหารที่ห้องอาหารประจำได้เรียบร้อยก็เดินออกมาตามนักฆ่าหนุ่มให้มาทานมื้อเย็น แต่ไม่ว่าจะเดินหาที่ๆ เจ้าตัวน่าจะอยู่ขนาดไหนก็หาไม่เจอ...

พ่อครัวจำเป็นไม่ค่อยห่วงสตูว์ในหม้อว่าจะชืดเท่าไหร่เพราะตั้งไฟอ่อนๆ เพื่ออุ่นไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว"เอาเถอะ เดี๋ยวหิวก็คงมากินเองนั่นล่ะ"

ด้วยความเชื่อมั่นว่ายังไงลูกค้าประจำ (?) ก็ไม่หนีหายไปไหน ชเนย์จึงเลิกตามหาแล้วคิดจะไปแช่น้ำร้อนในห้องอาบน้ำของปราสาทผ่อนคลายความเมื่อยล้า ในเวลาแบบนี้คนส่วนใหญ่จะทานอาหารกัน จึงเป็นเวลานาทีทองที่จะได้ยึดครองห้องอาบน้ำใหญ่เพียงคนเดียวโดยไม่มีใครมาใช้ร่วมกัน



ชเนย์เคลียร์เสื้อผ้าออกจากตัวจนหมด แต่ด้วยความเหนียมอายก็ยังพอมีผ้าขนหนูห่มส่วนสำคัญด้านล่างไว้ผืนหนึ่ง ก่อนเดินเข้าห้องอาบน้ำไป

โถงขนาดใหญ่ประดับด้วยรูปปั้นน้ำพุแกะสลักเป็นประติมากรรมกรีกโรมันสวยงามมากมาย อ่างน้ำร้อนที่ใหญ่แทบจะเรียกสระว่ายน้ำได้นั้นร้างคนจนเงียบสงัด แต่ก็เจอแจ็คพอต เพราะคนที่เขาตามหาอยู่ที่นี่นั่นเอง

"อ้าว? หวัดดี" อเวเค่นโบกมือให้พ่อครัวที่แอบมาแช่น้ำเหมือนกัน

"....วันนี้นึกครึ้มอะไรทำไมมาแช่น้ำก่อนกินอาหารล่ะครับ..."

"ก็ไม่มีอะไร แค่อยากเปลี่ยนบ้างเท่านั้นเอง"

อเวเค่นตอบแล้วหย่อนตัวลงไปในน้ำเกือบมิด เหลือแค่หัวที่โผล่เหนือน้ำขึ้นมา ชเนย์พยักหน้าแล้วเดินไปที่มุมล้างตัวก่อนลงแช่ เขาหย่อนขาลงในน้ำที่ร้อนกำลังดี ขณะกำลังผ่อนคลายไปกับร่างกายที่เริ่มปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิของน้ำ ถาดใส่เหล้าสาเกก็ลอยน้ำมาทางเขา

"ดื่มตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลยเหรอ..."

ถึงจะถามแบบนั้นแต่มือก็ยื่นไปรับแก้วมาอยู่ดี จะว่าไปครั้งก่อนก็ซัดค็อกเทลจนเมามายกันไปตั้งแต่กลางวันด้วยซ้ำ

"หนีมาแช่บ่อยล่ะสิ เหมือนจะรู้ว่าเวลานี้ไม่มีคน" อเวเค่นลอยตามถาดสาเกมาหยุดเว้นระยะค่อนข้างไกล เว้นไว้แค่พอให้เสียงได้ยินถึงกัน

"...แล้วคุณล่ะแช่มานานแค่ไหนแล้ว ผมว่าผมเดินหานานอยู่นะ"

"เพิ่งเข้ามาก่อนคุณไม่นานนักหรอก ว่าแต่ถึงกับเดินตามหาผมเลยเหรอ น่าประทับใจจัง" เสียงนั้นอยู่ห่างแต่ก็พอจะเดาออกว่าอีกคนกำลังกึ่มๆ ได้ที่

"คุณดื่มไปเยอะแค่ไหนแล้ว? " ชเนย์จิบเหล้าสาเกซึ่งคาดว่าอีกคนน่าจะหยิบติดมาตั้งแต่ตอนที่ออกไปข้างนอกด้วยกันครั้งแรก นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกฝ่ายจะเมาจนจมสระตายหรือเปล่า...

"ไม่ได้มากมายหรอกน่า" พูดแบบนั้นแต่คนที่เมาแอ๋ไปก่อนเขาเมื่อครั้งที่แล้วมันก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ชเนย์เลยขยับเข้าไปใกล้ทีละนิดเผื่อจะได้ฉุดขึ้นจากน้ำทัน...

"...งั้นดีเลยครับ อาหารผมรออยู่ ถ้าเดินไหวก็ลุกไปกินได้นะครับ" ชเนย์ซดสาเกจนหมดจอกเล็ก "แล้วช่วยตอบผมด้วยว่าที่ทำไปเมื่อกลางวันนั่นทำไปทำไม"

นักฆ่าหนุ่มคิดในใจ คงหมายถึงเรื่องที่ฝ่ายนั้นโดนเขาหอมแก้มไป ชเนย์ก็พยายามคิดว่าเขาคงแค่หลงตัวเอง...

ใบหน้าของอเวเค่นเริ่มเป็นสีแดงเพราะดื่มไปพอสมควร บวกกับการแช่น้ำร้อนมาพักใหญ่ ถึงจะยังไม่น่าเป็นห่วงแต่ถ้าขืนยังแช่นานกว่านี้ล่ะก็...

"เห...ก็แค่ตอบแทนที่เอาอาหารมาให้กินถึงในคุกน่ะ" วักน้ำในสระน้ำร้อนให้ถาดลอยเข้ามาใกล้ แต่อีกคนจับถาดลอยน้ำไว้กับตัวไม่ให้เข้าไปหาเจ้าของที่เป็นคนเอามา

"คุณดื่มมากไปแล้ว" อเวเค่นมุ่นคิ้วเล็กน้อย แล้วว่ายเขยิบเข้าไปใกล้ชเนย์เพื่อจะเอาเหล้าสาเกคืน

"ผมจะดื่มจนเมาหัวทิ่มยังไงก็เรื่องของผมน่า"

อเวเค่นเริ่มเข้าใกล้ คนที่ยังมีสติเลยขยับหนี และเอาถาดเหล้าไปวางไว้ที่ขอบสระก่อนคว้าแขนอีกคนไว้ไม่ให้ตามไป

"ดื่มในสระแบบนี้จะเสียน้ำในร่างกายมากไปนะครับ"

พอโดนจับตัวไว้อเวเค่นก็นิ่งไป ทีแรกนึกว่าเพราะความเมาเลยทำให้เบลอๆ ไปบ้าง แต่สายตาที่มองมามันไม่ได้มีแค่ความมึนงงนี่สิ"...อ...อีกอย่าง วันสองวันนี้คุณทำตัวแปลกสุดๆ เลย"

"หา? " แววตาของนักฆ่าเปลี่ยนไปเป็นหาเรื่อง ชเนย์เกรงว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรไม่เข้าหูคนเมาเข้ารึเปล่า "รังเกียจ? " อเวเค่นถามและเลิกสนใจเหล้าหันมาจ้องคนพูดแทน

"คือ เปล่า มันไม่ใช่แบบนั้นครับ..."

"งั้นก็ชอบ? "

"เอ่อ...ผมว่าคุณเมาแล้วนะ..." ชเนย์โดนคนเมาชักสีหน้าใส่ ดูท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้ว

"ตอบมาซี่..." อเวเค่นยื่นหน้าเข้าไปเค้นเอาคำตอบแถมพยายามขยับเข้าหาอีก ชเนย์ก็ได้แต่ถอยจนติดขอบสระ

"เอ้ยยย!! คือ...เอางี้ครับ! งั้นไปกินอะไรกันก่อนมั้ย คุณต้องหิวแล้วแน่ๆ เลย" พยายามเปลี่ยนเรื่องสุดชีวิต

"อืมมม หิวแล้ว..." ร่างเล็กกว่าพยักหน้าหงึกหงัก "กินเลยได้มั้ย? "

"ห้ะ!? " เปลี่ยนเรื่อง...ได้ซะที่ไหน!!

อเวเค่นยังรุดหน้าเข้ามาหาเรื่อยๆ แต่ก็จบตรงที่กอดคนร่างสูงกว่าตนเอาไว้ ใบหน้าซุกลงบ่ากว้างเพื่อหาที่ยึดเกาะ... แล้วหลับมันทั้งอย่างนั้น... ปล่อยให้คนโดนคุกคามนั่งตัวแข็งทื่อเป็นที่พิงของเขา

"มันเกิดอะไรขึ้นว้า...." ชเนย์ถามฟ้าดินด้วยเสียงโทนสูง

เมื่ออุ้มคนตัวเล็กกว่าขึ้นจากสระอย่างทุลักทุเลได้ก็จัดแจงใส่เสื้อผ้าให้อย่างไว แม้จะเห็นหมดทุกอย่างไปแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ดึงความสนใจของคนที่ยังมีสติสักนิด ในหัวตอนนี้สับสนจนแทบระเบิด

"....แล้ว...ห้องของคุณไปทางไหนล่ะเนี่ย? " เพิ่งระลึกได้ว่าเขายังไม่รู้ทางไปห้องพักของเจ้าคนเมาหลับนี้ด้วยซ้ำ

สุดท้ายก็ลงเอยที่ห้องนอนของเขาอีกครั้ง...







อเวเค่นนอนหลับไม่รู้เรื่องบนเตียงของชเนย์ แถมยังละเมองึมงำจนฟังไม่ได้ศัพท์อีก

ชเนย์รู้สึกเหนื่อยใจกับคนๆ นี้เหลือเกิน ทำตารางชีวิตของเขาวุ่นวายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จู่ๆ ก็บุกเข้ามาแอบกินอาหารเช้าในครัวจนต้องเริ่มทำใหม่ พอชวนออกไปข้างนอกก็ลงเอยที่ดวลเหล้ากันจนเมาหลับเหมือนวันนี้

เอ...ไม่เหมือนสิ ครั้งนั้นเขาแอบวางยาแล้วลากกลับนี่หว่า...

แล้วไหนจะเรื่องนั้น เรื่องนี้ แค่เวลาไม่กี่วันทำไมถึงได้มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะขนาดนี้กันนะ ทีแรกก็คิดว่าจะต้องนั่งรอให้ถึงวันแข่งไปวันๆ แต่นี่กลับไม่มีวันไหนที่ได้อยู่อย่างสงบๆ เลย

"คุณนี่มันแสบตัวพ่อจริงๆ เลยนะ" บ่นคนเมาแต่กลับเผลอยิ้มออกมา

"ไอ้บ้า..." ชเนย์สะดุ้งเพราะคิดว่าอีกคนตื่นแล้ว แต่พอยื่นหน้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าตายังปิดสนิทอยู่

"ละเมอหรอกเหรอ? ฝันอะไรอยู่กันน่ะ" ถอนหายใจอย่างปลงๆ

ชเนย์กะจะปล่อยให้คนเมานอนไปก่อน ส่วนเขาก็ไปนั่งชมวิวเหมือนเดิมที่เคยทำ แต่พอจะลุกขึ้นมือของอเวเค่นก็ยื่นมาดึงชายเสื้อเขาไว้

"..." แค่ขยับตัวออกเบาๆ ก็หลุดแล้วแท้ๆ แต่ชเนย์เลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ ไปป์ด้ามยาวถูกจุดขึ้นมา ก่อนกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าหลากหลายชนิดจะคลุ้งทั่วห้อง

"หอมจัง..." เสียงละเมองึมงำเอ่ยบางเบาอย่างเข้ากับสถานการณ์จนน่าสงสัยว่าอเวเค่นหลับอยู่จริงหรือเปล่า แต่ชเนย์ก็ไม่คิดจะพิสูจน์อะไรเพิ่มอยู่ดี

"คุณทำผมเริ่มคิดมากซะแล้วสิ..." ชเนย์หลบหน้าแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายหลับอยู่

แล้วคืนนี้จะเอาอะไรให้กินดีล่ะ...



อเวเค่นลืมตาในความมืด เห็นแต่แผ่นหลังของพ่อครัวที่นั่งอยู่ขอบเตียง เขาดันตัวลุกขึ้นพร้อมสลัดอาการมึนหัว และขอน้ำดื่มจากชเนย์

ร่างสูงเทน้ำใส่แก้วแล้วยื่นส่งให้ นักฆ่าหนุ่มเอามือนวดขมับหลังทบทวนความจำเลือนรางที่ตีกันในหัว ดูเหมือนเขาจะสบประมาทเหล้าสาเกไปหน่อย คิดว่าขวดแค่นั้นคงไม่เมา ที่ไหนได้...เล่นซะหัวทิ่มสระ

"หิวมั้ย? " ชเนย์หันมาถามคนเพิ่งสร่าง อเวเค่นมองสบตาแล้วส่ายหน้า "แย่จัง สตูว์เป็นหมันซะแล้ว แต่เดี๋ยวเอาไปเก็บไว้แล้วพรุ่งนี้ค่อยอุ่นกินก็ได้" พ่อครัวจำเป็นบอกตัวเอง

"...ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายทั้งวัน" เสียงสารภาพบาปเบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน คนถูกเอ่ยขอขมาหันไปมองและยกมือบีบบ่าอีกคนเพื่อปลอบ

"ไม่เป็นไรครับ" ชเนย์ยิ้มอ่อน อเวเค่นมองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็แอบรู้สึกผิด และคืนนี้ก็ไม่ควรจะรบกวนไปมากกว่านี้

"ผมจะกลับห้องล่ะ" ดันตัวเองลุกขึ้นแต่ร่างกายดันเสียหลักเซไปหาคนที่นั่งอยู่ขอบเตียง ชเนย์เผลอปล่อยไปป์ร่วงลงพื้นเพื่อยกมือขึ้นรับอีกคนไว้

"ถ้ากลับไม่ไหวนอนนี่ไปเลยก็ได้นะครับ" ยื่นข้อเสนอโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อคนเพิ่งสร่างหันหน้ามามองเชิงถามเขาก็เพิ่งคิดได้ "เอ่อ... ถ้าสะดวกใจนะ..."

"คุณจะเป็นคนดีไปถึงไหนเนี่ย" อเวเค่นสับสันมือลงกลางหน้าผากชเนย์ แต่มันเบามากจนน่าสงสัยว่าเพราะยังไม่หายแฮงค์ดีหรือเพราะไม่กล้าลงมือหนัก...

"เพราะที่จริงผมอยากคุยกับคุณหน่อย..." จับบ่าอีกคนให้ออกห่างจากตนและบังคับนั่งลงตรงขอบเตียงด้วยกัน

"คุยเรื่องอะไร? " อเวเค่นเอียงคอและจ้องหน้าคนถาม ตกลงไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัวกันนะ

"คุณดูแปลกๆ มาตั้งแต่วันก่อนแล้วนะ" ชเนย์เกริ่นนำ "เป็นเพราะผมรึเปล่า? "

"แปลกแบบไหน? " อเวเค่นลอบยิ้ม เห็นแบบนี้ก็พอเดาได้เลยว่าจริงๆ อีกฝ่ายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว

"คุณก็รู้ตัวเองดี อย่าแกล้งให้ผมหัวปั่นแบบนี้สิครับ ...ผมไม่รู้คุณแค้นอะไรนะ แต่ถ้าผมไปทำอะไรให้ก่อนก็ขอโทษด้วย" ชเนย์บีบขมับตัวเองเพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเขาไปทำอะไรให้ขุ่นเคืองจนคนข้างๆ ทำตัวผิดผีได้ขนาดนี้

"เห... ก็..." อเวเค่นยิ้มกริ่มแล้วขยับเข้ามาใกล้ "ทำไว้เยอะซะด้วยล่ะ"

"เอ๋!? ขนาดนั้นเลย!? " พอโดนบอกแบบนี้ชเนย์ก็สะดุ้งลนลาน

เมื่อเห็นโจทก์กำลังสติแตกเพราะมีคดีติดตัวให้เพียบก็อยากจะหัวเราะอัดหน้า แต่ต้องเก็บอาการไว้ก่อน

"บอกผมได้มั้ยเผื่อว่า เอ่อ...จะได้ไม่เผลอทำอีก"

ในสายตาอเวเค่นตอนนี้เขาเห็นสีหน้าสำนึกผิดของชเนย์เหมือนสุนัขตัวโตที่กำลังหงอเจ้าของ ซึ่งมัน...กระตุกต่อมคนนิสัยไม่ค่อยดีให้อยากแกล้งนัก

"ไม่บอก" นักฆ่าหนุ่มแกล้งแลบลิ้นใส่ ชเนย์ถึงกับตาค้างอึ้งไป คนตัวใหญ่กว่าห่อตัวลีบแม้จะไม่ได้ดูตัวเล็กไปกว่าคนแหย่สักเท่าไหร่ สมองเริ่มขุดเอาความทรงจำตั้งแต่แรกเริ่มที่เพิ่งเจอหน้าขึ้นมาเก็บทุกรายละเอียดว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง

"เอ่อ...ยังโกรธเรื่องเกมนั่นอยู่เหรอครับ? " ร่างสูงกว่าลองเสนอสักหัวข้อ แล้วนึกถึงเกมสัปดนนั่นก่อนเพื่อน

"เรื่องนั้นเคลียร์แล้วนี่..." อเวเค่นโคลงศีรษะลอยหน้าลอยตาเป็นคำตอบเสริมว่าไม่ใช่เรื่องนี้ ชเนย์จึงก้มลงนึกอีกที ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกสนุก จนเผลอขยับเข้าไปใกล้อีก ทว่าคนคิดมากยังไม่รู้ตัว

"หรือว่า...ไม่ๆ ไม่ใช่... เอ่อ..." พ่อครัวจำเป็นสติแตกเป็นที่เรียบร้อย

"กลัวผมโกรธขนาดนั้นเลยเหรอ? " คำถามของอเวเค่นดังใกล้หู ทำให้ชเนย์ดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จึงเห็นว่าอีกฝ่ายยื่นหน้ามาใกล้ขนาดไหน...

"เอ่อ... ก็..." ใกล้ขนาดนี้แม้ไม่ได้คิดอะไรยังใจสั่น

"ไม่เดาต่อแล้วเหรอ..." ระยะห่างของสายตาสั้นลงทุกที เสียงลมหายใจก็แทบจะรดต้นคออยู่แล้ว

"ผม...เดาใจคุณไม่ถูกแล้วครับ" สมองเหมือนหยุดสั่งการให้เลิกคิดชั่วขณะ ชเนย์เผลอหลับตาลงช้าๆ จมูกได้รูปรู้สึกถึงกลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่ใช่จากยาสูบของเขาแตะจมูกจนแทบจะเคลิ้มไป

"...ราตรีสวัสดิ์" สิ้นเสียงก็โดนผลักจนลงไปแนบกับที่นอน ส่วนคนรุกก็โดดลงจากเตียงปรี่ไปที่ประตูห้อง พร้อมโบกมือลาก่อนจะปิดประตูจากไปทิ้งให้คนโดนหลอกงงเป็นไก่ตาแตก

ชเนย์นอนแผ่บนเตียงเหมือนยังอึ้งและสับสนอยู่ พอประสาทสัมผัสโดดกลับสู่ไทม์ไลน์ปัจจุบัน ร่างสูงโปร่งก็พลิกตัวไปกอดหมอนไว้แน่น

"อ...อะไรน่ะ...?? " ยิ่งคิดหน้ายิ่งกลายเป็นมะเขือเทศ กลิ่นหอมเมื่อครู่ยังติดปลายจมูกเป็นการย้ำเตือนว่าเขาไม่ได้ฝันไป ชเนย์ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วขดตัวจนกลมกลิ้งไปทั่วเตียง "แบบนี้ไม่ดีแหง..."

อเวเค่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาจนถึงห้องของตนโดยที่สภาพไม่ต่างกับชเนย์ที่ขลุกไปมาบนเตียงเท่าไหร่ พอปิดประตูได้ก็ทรุดตัวลงกอดร่างตัวเองไว้

"ก...เกือบไปแล้ว" อยากเอามีดมาแทงตัวเองว่าตอนนั้นทำบ้าอะไรลงไป แค่จะแกล้งแหย่คนๆ นั้นทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ด้วย ดูท่าทางเขาชักจะอาการหนักขึ้นทุกทีแล้ว ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่ายังเมาอยู่แหงๆ ...

...ดูท่าทางคงต้องงดเหล้าสักระยะแล้วล่ะ






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #6


เช้าวันต่อมา ชเนย์เดินโซเซมาถึงครัวและเริ่มทำตามหน้าที่ของตัวเองต่อ ด้วยสภาพที่คิดมากจนนอนไม่หลับ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าถึงได้เหนื่อยจนหลับไป แต่ก็ต้องรีบตื่นมาทำมื้อเช้าอยู่ดี แถมเช้านี้เจ้านรกยังบุกมาหาถึงครัวอีกด้วย

"ทำอะไรมาล่ะนั่น? ..." เสียงเข้มหนักแน่นถามจากอีกมุมครัวเมื่อเห็นพ่อครัวจำเป็นของตนอยู่ในสภาพไม่ต่างกับซอมบี้

"คิดมากนิดหน่อยครับ แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้ยังไงคุณก็ได้กินซูชิฟัวกราส์แน่นอน" หันมายิ้มสดใสให้ส่วนในมือนั้นยังคงง่วนอยู่กับอาหารต่อไป

"....เจ้าผมแดงเมื่อวานน่ะเหรอ? " เจ้านรกกลอกตานึกหาสาเหตุ

"....." ชเนย์หยุดมือแล้วหันมามองแทบจะทันที

อะไรจะเดาง่ายขนาดนั้น...เจ้านรกหัวเราะในลำคอ"ก็อย่าไปเที่ยวทำตัวแบบนี้กับทุกคนสิ"

"แบบนี้? " พ่อครัวขมวดคิ้วสงสัย

"ไม่รู้ตัวจริงๆ สินะเนี่ย เอาเถอะ! " ร่างสูงใหญ่ลุกจากเก้าอี้และหันหลังเดินออกไปจากห้องครัวเพื่อไปรอที่ห้องอาหาร "ทำตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ ระวังจะลำบากเอาทีหลังแล้วกัน" แม้จะเป็นประโยคตักเตือนแต่เหมือนเจ้านรกกำลังสนุกยังไงไม่รู้สิ...

เจ้านรกก้าวออกจากห้องครัว และเดินสวนกับหนุ่มนักฆ่าที่เดินตัวเซไปยังห้องครัวที่ร่างสูงใหญ่เพิ่งออกมา ต่างฝ่ายต่างเหลียวหลังหันมามองแต่ไม่ได้สบตากันโดยตรงก่อนจะหันกลับไป

ชเนย์ที่กำลังทำซูชิฟัวกราส์อยู่ถึงกับหยุดมือไปเพราะเจอตัวการที่ทำให้นอนไม่หลับมาทักทายสวัสดีแต่เช้าด้วยหนังตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า

"หิว..." เสียงที่ลอดจากปากคนง่วงนอนคือคำตอบของทุกสิ่งในจักรวาล

ชเนย์พยักหน้ารับอย่างหมดแรงแล้วชี้ไปยังตู้เย็นที่เก็บสตูว์ของเมื่อวาน เอาไว้ให้อีกฝ่ายเอาไปอุ่นกินเอง

"แค่อุ่นอาหารคงทำได้นะครับ" พยายามชวนคุยเป็นปกติ อเวเค่นเดินไปอุ่นมื้อเช้ามานั่งทานเงียบๆ แล้วเดินไปเติมจนสตูว์หมดหม้อไม่เหลือทิ้งให้เสียของ ถึงจะชวนคุยไปตามปกติ แต่ไม่รู้สึกว่าบรรยากาศมันตึงเครียดน้อยลงเลย...

"ง่วง..." อเวเค่นเปิดปากขึ้นมาก่อนบ้าง แต่เป็นคำที่ไม่เป็นมงคลเสียเลย...

"อย่าบ่นสิครับ ผมก็ง่วงนะ..." จัดแจงอาหารลงจานเสร็จก็สั่นกระดิ่งเรียกปิศาจรับใช้มารับอาหารไป

"ง่วง..."

"ครับๆ รู้แล้ว...หือ? " ชเนย์กำลังจะเดินไปหยิบกล่องเก็บเมล็ดกาแฟแต่ร่างเล็กกว่าโงนเงนมาหาและซบหน้าลงบนบ่าจากด้านหลัง...

"....อย่ามาหลับบนบ่าคนอื่นสิครับ" ยิ่งห้ามอีกคนก็ยิ่งไถหน้าไปมาบนบ่ากว้างราวกับจะหามุมวางหัวให้เหมาะเจาะ

"อุ่น..." พึมพำแถมยกมือขึ้นกอดเอวหาที่ยึดทำตัวเป็นไม้เลื้อย

กล่องเมล็ดกาแฟเกือบร่วงลงพื้นให้เสียของเล่น แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงโปร่งก็ไม่สามารถสลัดมือเหนียวเป็นกาวติดหนึบนี้ไปได้

"ง่วงก็ไปนอนดีๆ สิครับ ผมไม่ใช่ที่นอนปิกนิคนะ" เอียงหน้าหันไปดุแต่ไร้สัญญาณตอบกลับ นี่หลับจริงเหรอ...แบบนี้ก็ได้เหรอ! ?

"ฟรี้...." พอได้ที่แล้วก็หลับทั้งยืน คนตัวโตกว่าก็ไม่กล้าขยับ ยืนตัวแข็งเป็นต้นไม้นิ่งไม่ไหวติง

ทำไม...ทำไม! เขาไปทำอะไรไว้ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย!?

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปล่อยไว้แบบนี้ได้จึงจัดการอุ้มอีกฝ่ายขึ้นขี่หลังอย่างทุลักทุเล

"ห้องคุณไปทางไหนครับ? " การบอกทางเป็นไปอย่างยากลำบาก กว่าจะมาถึงห้องที่ไม่เคยได้รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนก็เล่นเอาลิ้นห้อย

"อือ..." วางคนตัวเล็กกว่าลงบนเตียงแล้วก็จริง...ทว่าอเวเค่นไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ ติดหนึบจนแทบจะเรียกว่าเกาะยึดฝังรากไว้เรียบร้อย

ชเนย์อยู่ในสภาพโดนคนข้างล่างโอบคอล็อคไว้และซบหน้าลงไปบนบ่าตัวเอง ส่วนช่วงล่างนั้นมีขาข้างหนึ่งเกี่ยวพาดไว้

....เป็นสภาพที่สุ่มเสี่ยงจริงๆ ....

"...เอางั้นก็ได้" สิ้นความพยายามเนื่องจากความง่วงและความเหนื่อยที่รุมเร้า ชเนย์ขยับตัวไปข้างๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้นอนทับอีกคนไว้ แล้วก็ขอนอนมันทั้งอย่างนี้นี่แหละ!

"ทำผมเหนื่อยทุกทีเลย..." บ่นอุบอิบเบาๆ แต่ใบหน้ากลับยิ้มให้คนหลับสนิทอย่างเอ็นดู เพราะความง่วงหรืออะไรไม่ทราบแต่ชเนย์ก็เผลอจูบลงบนเปลือกตาปิดแน่นนั่นก่อนจะหลับตามไป...

“...” อเวเค่นลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง แผนแกล้งหลับไม่รู้เรื่องดูเหมือนจะได้ผลเกินคาด ชายหนุ่มผมแดงมองดูอีกคนผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอจนแน่ใจว่าหลับสนิทไปแล้ว

ทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าอย่าคิดทำตัวสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินไป แต่ทุกๆ ครั้งก็ไม่เคยทำได้ เหมือนโดนอะไรบางอย่างดึงดูดจนต้องเข้าหา แต่ก็ไม่ชินกับการทำตัวดีๆ กับใคร เลยมีแต่ต้องแกล้งไปกวนป่วนประสาท

ขอโทษนะ แต่ผมน่ะ...เป็นคนนิสัยไม่ดีล่ะ







เมื่อนอนจนเต็มอิ่มชเนย์ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันไปมาเพื่อมองหานาฬิกา แต่กลับหันมาเจอกับคนคุ้นตานอนอ่านหนังสือถัดจากเขา

"อรุณสวัสดิ์" อเวเค่นยื่นนาฬิกาข้อมือใส่หน้าเหมือนรู้ว่าอีกคนมองหาอะไรอยู่ หน้าปัดบอกเวลาเกือบสิบเอ็ดโมง แม้จะหลับไปเพียงครู่เดียวแต่ก็เพียงพอให้มีแรงทำอย่างอื่นต่อได้

"ขอโทษทีครับ เผลอหลับตอนมาส่งคุณ" ชเนย์เกาหัว ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนเพราะรอให้สมองปรับสมดุลตัวเองก่อน

"นอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะ เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอไง? "

"รู้ได้ยังไงน่ะครับ? " จะเดาว่าแอบย่องเข้าห้องก็ไม่ถูก เพราะเขานอนไม่หลับทั้งคืน ถ้ามาจริงๆ ก็ต้องรู้ตัวแล้ว

"รอยใต้ตามันฟ้อง" ว่าแล้วเอานิ้วจิ้มๆ ไปที่ใต้ตาข้างหนึ่งของคนที่เพิ่งตื่น

"ขืนนอนต่อคืนนี้ก็ตาสว่างพอดี" ยันร่างตัวเองลุกขึ้นแล้วนั่งคูลดาวน์ตัวเองต่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นสัญญาณว่าไม่ได้นอนนิ่งๆ แน่นอน "...ผมคงไม่ได้นอนดิ้นจนคุณตื่นนะ? "

"ไม่นี่" อเวเค่นส่ายหน้าย้ำคำตอบ

".....หรือคุณไม่ได้หลับจริง..." ชเนย์หรี่ตา ตอนนี้อเวเค่นจะทำตัวแปลกๆ อะไรอีกก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

"นั่นสินะ" หนุ่มนักฆ่าแกล้งเอาหนังสือบังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "หรือผมอาจจะแกล้งหลับเหมือนตอนที่ติดฝนคราวก่อนก็ได้"

"คุณนี่...ชอบแกล้งผมเล่นอยู่ได้"

"ไม่ได้แกล้งเล่นสักหน่อย แกล้งอย่างจริงจังเลยล่ะ"

"แสบจริงๆ เลย" ชเนย์หยิบหมอนที่ใช้หนุนมาฟาดอีกคน แต่เบาจนคนโดนตีไม่รู้สึกเจ็บสักนิดแถมยังหัวเราะจนตาปิดอีก"ช่วยบอกความจริงได้ไหม คุณทำแบบนี้ทำไม? "

ชเนย์เสยผมขึ้นแต่บางส่วนก็ยังตกลงมาปรกหน้า อเวเค่นหุบยิ้มแล้วปิดหนังสือก่อนวางลงข้างๆ

"ท่าทีของผมคงคาใจคุณมากสินะ" หนุ่มผมแดงถาม

"ก็คุณชอบบ่ายเบี่ยงตลอด มันทำให้ผมสับสนไปหมดว่าตกลงคุณคิดยังไงกันแน่..."

อเวเค่นมองหน้าชเนย์อยู่นาน ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย (และมีคนที่ปลื้มอยู่แล้ว) แถมด้วยนิสัยสุภาพบุรุษที่จะไม่ทำอะไรกับใครโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจ อเวเค่นจึงมักหาเรื่องคอยปั่นหัวให้ชเนย์สติแตกอยู่เป็นระยะๆ ท่าทางเวลาโดนเขาแกล้งนั่นมันดูน่าสนุกจนทำให้นักฆ่าหนุ่มรู้สึกบันเทิงอยู่ไม่น้อย

แต่...หลายครั้งเขาเองก็เผลอหวั่นไหวจนเกือบพลาดท่าตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดดักไว้เสียเอง เพราะในชีวิตมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะเจอกับคนน่าคบหาแบบนี้ด้วย งานหลักที่ทำอยู่ในโลกมืดก็มีแต่พวกคนทำงานเบื้องหลัง เชื่อใจใครไม่ได้ทั้งนั้น

"ทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ? " ไม่มีทีท่าว่าจะได้คำตอบจากอเวเค่น ชเนย์จึงตัดสินใจขยับตัวไปหาคนที่นอนอยู่ แขนทั้งสองข้างค้ำยันตัวเองคร่อมร่างอีกคนไว้เพียงครึ่งตัวท่อนบน อเวเค่นเบิกตาขึ้นเล็กน้อยแต่ตัวยังนอนนิ่งอึ้งไม่ยอมขยับ

"ถ้าคุณไม่ต่อยผม ผมจะถือว่า...ไอ้ที่คิดไว้มันคงถูกนะ? "

"จะทำอะไรล่ะ ผมถึงต้องลงไม้ลงมือขนาดนั้น? " คนโดนคร่อมฝืนปั้นยิ้มแปลกตา ไม่ทันได้เตรียมใจว่าคนขันติแรงจะเริ่มรุกไล่เร็วแบบนี้

"ผม...ขอจูบคุณได้มั้ย? " แม้จะพยายามทำตัวเป็นผู้ล่าก็ยังไม่ทิ้งลายหนุ่มเจนเทิลเต็มตัว อุตส่าห์ถามความสมัครใจให้คิดอีก

"ไม่" อเวเค่นตอบทันทีทันใด ครั้งก่อนที่โดน French Kiss ไปเพราะเกมคอนโดไม้ก็แทบทำตัวเขาเตลิด เรื่องชอบแกล้งให้คิดลึกก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องเปลืองตัวน่ะไม่ยอม

"กลัวเหรอครับ? " เสียงทุ้มต่ำถาม

"ผมเนี่ยเหรอกลัวคุณ? " อเวเค่นอยากหัวเราะใส่ ถึงอยู่ในสภาพเสียเปรียบแต่ก็มั่นใจว่าคว่ำคนที่อยู่บนตัวลงไปกองกับพื้นได้แน่นอน

"ไม่ใช่ คุณกลัวใจตัวเองต่างหาก..."

"........."

"ผมพูดถูกมั้ยครับ? " ในเมื่อคำพูดมันบอกอะไรไม่ได้ ชเนย์เลยก้มลงไปหา แต่ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปก็หยุดเพื่อแจ้งเตือนอีกที "...คุณจะซัดผมก็ทำได้เลยนะ แล้วผมก็จะถือว่าผมคิดมากไปเอง"

ปากอุ่นแนบลงกับอีกฝ่ายช้าๆ ไม่รีบร้อนไม่เร่งเร้าใดๆ คล้ายถามทางล่วงหน้าว่าอีกคนจะยินยอมหรือเปล่า คนถูกจู่โจมจับหนังสือไว้เกร็งแน่น ไม่รู้ว่าที่ยังไม่ผลักคนข้างบนออกไปนี่เป็นเพราะอะไร...

...แค่เขาโดนอีกฝ่ายพูดจี้ใจดำมาถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยเหรอ...?

อเวเค่นไม่ได้ตอบรับจูบหรือผลักไสคนที่อยู่บนตัวออกไป คำพูดที่ชเนย์ถามมันยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง

เขาน่ะเหรอกลัวตัวเองจะเผลอใจให้อีกฝ่ายทั้งๆ ที่ไม่เคยชอบผู้ชายเลยแท้ๆ

ร่างสูงถอนริมฝีปากออกและผละออกมามองหน้าคนตัวเล็กกว่า ชเนย์นิ่งไปและแววตาที่มองมันทำให้อเวเค่นต้องถามออกมา

"...พอใจแล้วเหรอ? "

"คุณร้องไห้แบบนั้น ถ้าผมยังทำต่อก็เลวเกินคนแล้วครับ..."

"ห้ะ? " อเวเค่นชักมือตัวเองมาป้ายตา เขาร้องมันออกมาตอนไหนกัน…?

"ขอโทษด้วยครับ" รีบลุกออกจากตัวอเวเค่นอย่างรวดเร็วแล้วโค้งหัวลงจนต่ำแทบติดกับเตียงเป็นการขอโทษแบบสุดตัวอีกที

"...มื้อเที่ยงนี้ผมขอสเต็ก...เอาแบบจานหลักวันนั้นละกัน" ร่างเล็กกว่าลุกขึ้นแล้วลูบไปบนผมสีอ่อนยุ่งๆ นั้นเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร

"ได้ครับ! " ชเนย์เงยหน้าขานรับด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดสุดๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็โดนโถมเข้าหาโดยไม่ได้ตั้งตัว อเวเค่นขยับมานั่งกอดเอวอีกคนไว้แล้วซุกหน้าลงบนบ่าหาที่พักพิง

"...แบบนี้ผมสับสนนะ..." ชเนย์ปล่อยให้คนกอดซบเขาไปทั้งอย่างนั้น มือข้างหนึ่งไว้ยันตั้งหลัก ส่วนมือว่างอีกข้างยกขึ้นลูบแผ่นหลังอีกคนเบาๆ

"พอกันแหละ..." อเวเค่นตอบเสียงเบา น้ำตาเมื่อครู่มันไหลไม่ยอมหยุด ไม่รู้เพราะโดนจูบหรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่...







"อร่อยสุดยอดดดด" อเวเค่นลากเสียงยาวทำสีหน้ามีความสุขสุดๆ ชนิดที่หาไม่ได้จากไหนอีกแล้ว "ทำไมถึงทำของอร่อยแบบนี้ออกมาได้ไม่หยุดเลยนะ คุณนี่มันสุดยอดเกินไปแล้วววว"

"อ่า ...ครับ ขอบคุณที่ชม" แม้จะได้รับคำชมจากคนทาน แต่หัวใจพ่อครัวก็ไม่ได้เบิกบานขึ้นเลยเพราะเพิ่งจะทำเรื่องที่ผิดต่ออีกฝ่ายมาหมาดๆ ตรงข้ามกับคนที่กำลังเฉือนสเต็กเข้าปากไม่หยุด

ทั้งที่เมื่อชั่วโมงก่อนยังร้องไห้ต่อหน้าเขาอยู่เลย มาตอนนี้กลับทำหน้ามีความสุขกับการกินซะเหลือเกิน

...นี่เขาโดนอีกฝ่ายเล่นละครตบตาอีกแล้วหรือเปล่านะ?

"ขอเพิ่มอีกจาน" อเวเค่นตักชิ้นเนื้อคำสุดท้ายเข้าปาก ชเนย์หันหน้ามาทำตาโต ทำไมวันนี้กินหมดเร็วนักล่ะ นี่กินหรือยัด!

"กินจุยังกับไม่ใช่คนกำลังเศร้า..." แอบบ่นอุบเบาๆ ไม่ให้คนขอเพิ่มได้ยิน แต่อเวเค่นนั้นหูผีกว่าที่คิด

"พอดีว่าผมเป็นพวกยิ่งเศร้ายิ่งกินจุน่ะนะ" พ่อครัวสะดุ้งที่โดนจับได้ว่าแอบนินทา "เรารึอุตส่าห์ไว้ใจแล้วแท้ๆ คุณนี่มันเสือห่มหนังแกะชัดๆ "

อเวเค่นพล่ามไม่หยุดปาก แถมขุดเรื่องในอดีตมาพูดฉอดๆ จนอยากขว้างเตาย่างประทุษร้ายคนพูดมาก

"ได้แล้วครับ! " จานใหม่ทำมาเสิร์ฟอย่างเร็วเพื่อที่คนกินจะได้หยุดแฉความผิดของเขาสักที

"ทานล่ะนะ..." ยังไม่ทันจะแตะจานที่สอง คนรับใช้ปิศาจก็เดินเข้ามาพร้อมแจ้งว่าให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่

ชเนย์กับอเวเค่นมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเรียกไปทำไม...

"หรือว่า..." ทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกัน การเรียกรวมตัวในเวลาแบบนี้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการประกาศแจ้งให้ทราบเรื่องการแข่งขันกับพวกเกาะเซฟิล







เจ้านรกเรียกรวมผลที่โถงปราสาทและประกาศเรื่องการแข่งขันให้ผู้เข้าร่วมเกมทุกคนในปราสาทได้รับทราบว่า...ในอีกเจ็ดวันข้างหน้านี้ให้ทุกฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะจัดขึ้น เสียงโห่ร้องในปราสาทดังกึกก้อง แต่พวกที่แค่พยักหน้ารับรู้ก็มีอยู่

อเวเค่นหันไปมองชเนย์ที่ยืนทอดสายตามองไปยังร่างสูงใหญ่ที่อยู่เหนือทุกคนบนแท่นบัลลังก์ไม่วางตา

หมดเวลาเล่นสนุกกันแค่นี้แล้วสินะ…



"หนึ่งอาทิตย์งั้นเหรอ เหมือนจะนานแต่ก็เร็วแฮะ" ชเนย์พูดกับอเวเค่นหลังเดินออกจากห้องโถงมายืนสูบไปป์อยู่ที่ห้องครัวซึ่งดูจะกลายเป็นเหมือนห้องนั่งเล่นของทั้งสองคนไปในตัว

"จะใช้เวลาว่างที่เหลือนี้อยู่กับท่านเจ้านรกของคุณมั้ยล่ะ? " อเวเค่นแอบจิกกัดพ่อครัวหนุ่มเล็กๆ

"ก็...คิดว่านะครับ" ชเนย์เขินจนแอบหน้าแดงนิดหน่อยที่โดนอีกคนอ่านความคิดออก ที่จริงก็ดูไม่ยากหรอกในเมื่อมันชัดเจนขนาดนี้

"อืม...งั้นช่วงนี้คุณก็ไม่ต้องเตรียมอาหารให้ผมแล้วนะ ไม่อยากเป็นกขค."

"อ้าว? " ชเนย์อึ้งไปกับสิ่งที่อเวเค่นพูด ที่จริงต่อให้เขาอยู่กับท่านเจ้านรกแต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะทำอาหารไปจนกว่าจะถึงมื้อสุดท้ายก่อนวันแข่งนั่นแหละ

"พอดีผมมีเรื่องที่อยากเตรียมตัวก่อนลงแข่งสักหน่อยน่ะ คงไม่เห็นหน้ากันจนกว่าจะถึงวันแข่งจริงเลยนั่นล่ะ"

"...คงไม่ใช่ว่าคุณอยากหลบหน้าผมหรอกนะครับ"

มีดสั้นที่ถูกชักออกมาจนมองไม่ทันจ่ออยู่ที่ลำคอของชายหนุ่มผมเงินที่ยังยืนสูบไปป์อยู่ในท่าเดิมไม่ขยับหนีไปไหน ดวงตาสีทองของนักฆ่าฉายความไม่พอใจกับคำพูดของอีกฝ่ายชัดเจน แต่ชเนย์ไม่ได้รู้สึกกลัวสายตาที่จ้องเหมือนอยากจะฆ่าแกงกันจริงๆ นั่นเลยสักนิดเดียว

"ตามใจคุณก็แล้วกันนะครับ แต่ผมจะเก็บอาหารส่วนของคุณไว้ในตู้เย็น หิวเมื่อไหร่ก็แวะมากินแล้วกัน" ยิ้มให้อย่างเคย แต่ดวงตาที่อยู่หลังแว่นสีดำนั้นหาได้ยิ้มเหมือนปาก

“...” อเวเค่นดึงมีดกลับไปสอดเก็บไว้ด้านหลังเหมือนเดิม ก่อนจะกระชับเสื้อสูทให้เข้าที่"งั้นก็...โชคดีแล้วกัน"

ทว่าพอหันหลังให้ก็โดนชเนย์จับข้อมือไว้เสียก่อน นักฆ่าหนุ่มไม่ได้หันหน้ากลับมาหาคนดึงมือของเขาเอาไว้

"...ทำแบบนี้คุณโอเคแล้วเหรอครับ? " บีบมือแน่นเพื่อต้องการจะย้ำกับสิ่งที่ถามออกไป

"แล้วถ้าผมบอกว่าไม่โอเค คุณจะทำอะไรล่ะ? " เสียงที่เคยแข็งกร้าวจนถึงเมื่อกี้สั่นเครือแม้จะพยายามควบคุมไม่ให้ดูต่างไปจากปกติก็ตาม

"อเวเค่น..." ร่างสูงโปร่งดึงมืออีกคนให้หันมา น้ำตาคลอรอบดวงตาสีทองของอีกฝ่าย แทบไม่เหลือเค้าเดิมของนักฆ่าเจ้าเล่ห์ที่ชอบยิ้มกวนและปากดีคนนั้นเลย

ชเนย์ดึงอีกคนมาพิงที่บ่า มืออีกข้างลูบหลังปลอบโยน แต่คนที่อยู่ในอ้อมแขนกลับตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม

"ผมขอโทษครับ..." เสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหูคนที่ตัวเล็กกว่า

"ไม่...คุณไม่ได้ทำอะไรผิด..." ฝืนกลั้นพูดออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโทษตัวเอง เป็นเขาต่างหากที่ถลำลึก ทั้งๆ ที่พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นแค่การแกล้งเล่นสนุกกับความรู้สึกคนอื่น แต่สุดท้ายเขากลับโดนมันเล่นงานซะเอง...

"ขอโทษ..." ชเนย์ยังคงพูดวนซ้ำๆ สองแขนโอบร่างที่กำลังโศกเศร้าเข้ามากอดพร้อมกับซุกใบหน้าลงที่ไหล่ "อย่าร้องเลยเด็กน้อย"

ชเนย์ลูบท้ายทอยปลอบ คนที่กำลังเศร้าอยู่ชะงักและผละออกมาทำตาดุทั้งที่หน้าเปื้อนคราบน้ำตาเต็มไปหมด

"ว่าใครเด็กน้อย? "

"เอ้า...ก็...คุณอ่อนกว่าผมนี่" ยิ้มให้เพื่อจะปลอบแต่คนมองรู้สึกเหมือนโดนเยาะเย้ย

"แค่เกิดก่อนไม่กี่ปีอย่ามาเรียกผมว่าเด็กน้อยนะ! " อเวเค่นขึ้นเสียงใส่

"ครับๆ คนเก่ง ไม่ร้องแล้วนะครับ"

"ไอ้บ้า! " นักฆ่าที่โดนเรียกเป็นเด็กเล็กๆ ทุบคนตรงหน้าแบบที่แรงพอจะให้อีกคนร้องโอดโอยออกมา ชเนย์ปล่อยให้อีกคนทุบเขาจนเป็นกระสอบทราย แถมเริ่มไม่ใช่แค่ทุบแต่เริ่มมีการเตะต่อยเกิดขึ้น... ชักจะแรงไปแล้วนะ...

"โอ๊ย! เจ็บ..." แกล้งเล่นละครตบตาเพราะขืนปล่อยให้ทุบต่อคงช้ำไปทั้งตัวแน่ และก็ได้ผลด้วย...

"อ่อนแอชะมัด ยังไม่ทันออกแรงจริงๆ เลย" อเวเค่นกอดอกยืนมองกระสอบทรายมนุษย์ที่หมดสภาพ

โอ้โห...พอหายเศร้าแล้วก็ทำเก่งขึ้นมาเลยนะครับ...

"สรุปแล้วคุณจะไม่อยู่จริงๆ งั้นสินะครับ? " ชเนย์ถามและเอามือปัดๆ ส่วนที่โดนทั้งหมัดทั้งเตะ อเวเค่นทำท่ายักไหล่

"ทำไงได้ จะให้ผมอยู่ดูคุณพลอดรักกับเจ้านรกให้เจ็บใจเล่นรึไงกัน? " บ่นอุบพลางดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าไปชุบน้ำที่อ่างมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง

"ตกลงยอมรับแล้วเหรอครับว่าคิดยังไงกับผมน่ะ" ชเนย์ยิ้มเมื่อได้ยินอเวเค่นพูดออกมา

"เออ!! " นักฆ่าหนุ่มพอโดนจับได้ก็ขี้เกียจจะเถียงแล้ว เหนื่อยกับการเก็บกดที่น่าหงุดหงิด แถมอีกเดี๋ยวคนตรงหน้าก็จะได้ไปเสวยสุขแล้ว เขาก็คงทำได้แค่แสดงความยินดี

"ถ้างั้น...ก่อนคุณจะไป มาดวลดื่มส่งท้ายกันหน่อยมั้ยครับ? " ชเนย์ยื่นข้อเสนอ

"อีกแล้วเหรอ? "

"น่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้นะครับ เหล้าที่ขนมาจากร้านวันนั้นก็ยังเหลืออีกเพียบเลย ถ้าตายไปก่อนจะได้ดื่มก็น่าเสียดายแย่" ชเนย์เอ่ยคะยั้นคะยอ

"เอางั้นก็ได้" อเวเค่นยักไหล่ ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ได้อยู่กับพ่อครัวต่ออีกนิดเท่านั้น

"แต่เอ่อ...ตรงนี้คิดว่าไม่สะดวก" ชเนย์เหงื่อตก แม้เหล้านี้จะเป็นของที่พวกเขาขโมยมาเอง แต่ก็เสียวๆ ว่าไคม์จะมาเหน็บแนมอะไรอีก หรือแม้แต่กรณีแย่สุดคือเจ้านรกนึกครึ้มบุกเข้าครัวก่อนเวลาอาหาร

"ทำไมล่ะ? กลัวเจ้านรกมาเห็นตอนเมากับหนุ่มคนอื่นเหรอ" เหมือนจะเดาถูกแต่ก็แค่ครึ่งเดียว

"นั่นก็แค่ครึ่งหนึ่งครับ แต่เดี๋ยวคุณไคม์เอ็ดเอาอีก..."

"อ้อ..." อเวเค่นกลอกตาไปมา พอจะนึกสภาพออกเลยว่าอย่างชเนย์คงสู้ฝีปากไม่ไหวหรอก "งั้น...ห้องผมมั้ยล่ะ? "

"ก็ได้ครับ"

ชเนย์เลือกหยิบเอาเหล้าใส่ถังน้ำแข็งไปหลายขวด และวางบนรถเข็นอาหารอีกทีราวกับว่าจะดื่มทั้งหมดนั่นภายในคืนนี้...

อเวเค่นเปิดประตูห้องต้อนรับแขกเข้ามา ภายในห้องดูไม่ต่างไปจากห้องพักของชเนย์นัก หนุ่มนักฆ่ายกโต๊ะและเก้าอี้มาไว้กลางห้อง ส่วนพ่อครัวจำเป็นจัดแจงเตรียมเปิดขวดประเดิม แล้วที่ว่าดวลเหล้านี่จริงๆ ก็แค่กะจะมาเมากันให้หมดสภาพเฉยๆ เท่านั้น... เพราะยังไงอเวเค่นคงไม่ยอมเล่นเกมอะไรกับเขาหรอก

"วันนี้เพียวๆ ไม่ต้องผสมอะไรทั้งนั้นแหละ" อเวเค่นเดินมาหยิบเหล้าออกจากถังน้ำแข็งอันน้อย เปิดดื่มจากขวดไปหลายอึกแล้วถือมานั่งต่อที่โต๊ะ

"แย่จัง ยังอยากลองอีกตั้งหลายสูตร" แม้จะเสียดายแต่ก็ชงให้ตัวเองอยู่ดี

"ไม่อยากโดนวางยาอีกนี่" แอบแซะอีกหน่อยให้หายหมั่นเขี้ยว ไหนๆ จะปล่อยผีแล้วก็ขอพูดและทำทุกอย่างที่อัดอั้นมาเสียนาน "มีอะไรที่ชงไม่เป็นบ้างเนี่ย? "

เอ่ยแซวแล้วกรอกเหล้าเข้าปากทีเดียวหลายอึกแบบไม่ยั้ง ขวดเดิมยังไม่ทันจะหมดก็เปิดยี่ห้ออื่นตามอย่างไม่เสียดายของเก่า

"ดื่มแบบนั้นเดี๋ยวก็เมาเร็วหรอกครับ"

"รีบเมาก็ดีแล้วนี่ คุณจะได้มีเวลาไปหาเจ้านรกเร็วๆ "

อเวเค่นหรี่ตามอง รู้สึกจะเผลอพูดมากไปหน่อย สีหน้าอีกคนเลยเจื่อนลงไปนิด"ขอโทษ... เหล้าเข้าปากทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที"

หนุ่มผมแดงเอ่ยและหยิบกับแกล้มมากิน

"ถ้าจะอะไรที่ชงไม่เป็น..." ชเนย์กลับไปเรื่องที่โดนแซว "คง...เหล้าผสมโค้กมั้งครับ..."

"...."

"..."

"นั่นของเบสิคสุดๆ เด็กม.ต้นยังทำได้เลยนะ!! " อเวเค่นแผดเสียงอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

"ก็ผมทำไม่ได้จริงๆ นี่ ทำยังไงก็ไม่รู้สึกว่ามันอร่อยเลย!! "

"ไม่จริงน่า...อย่างคุณเนี่ยนะมีของที่ทำให้อร่อยไม่ได้ด้วย" อเวเค่นปิดปากกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด "เสียดายชะมัดที่ไม่มีโค้กติดมาด้วย อยากลองดูชะมัดว่าคุณจะชงออกมารสชาติเป็นยังไง"

"แหม...มันก็มีไอ้ที่ทำไม่เป็นอยู่บ้างสิครับ ผมไม่ได้เก่งไปหมดทุกอย่างนี่" ชเนย์เกาแก้ม กลายเป็นโดนวิจารณ์หนักกว่าเดิม รู้สึกความมั่นใจลดลงไปนิดหนึ่ง "...คือว่า..."

ชเนย์หันไปรินเหล้าทั้งขวดลงไปในถังน้ำแข็งต่างแก้วใบโตก่อนเอาขวดออกมาวางกลางโต๊ะ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าตั้งใจจะทำอะไร"ขออีกครั้งได้มั้ยครับ? "

คนโดนถามแค่มองเฉยๆ ไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธก่อนจะพยักรับแบบส่งๆ ชเนย์จึงเอาแก้วใบเล็กออกมาวางไว้

"แต่คราวนี้ผมขอหมุนเอง" อเวเค่นเสนอตัว ชเนย์ก็ให้ทำตามที่ต้องการ หนุ่มนักฆ่าออกแรงหมุนจนขวดกลิ้งไปเป็นวงกว้าง สุดท้ายก็หันไปใกล้ชเนย์ที่สุด คนหมุนเลยแอบเจ็บใจเล็กน้อย

"คุณคงไม่ได้คิดจะมาหาที่ตายในสงครามนี้ใช่มั้ย? " ขนาดนี้แล้วยังคงเป็นห่วงอีกคนอยู่ อเวเค่นรู้สึกหนักใจเบาๆ ที่ชเนย์ก็ยังคงเป็นชเนย์ที่แสนดีเช่นเดิม

...ในอนาคตคงทำคนเจ็บแบบนี้อีกเยอะแหงๆ ...

"ไม่ต้องห่วง ถึงผมเตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะต้องตายในการแข่ง แต่ก็คงไม่ยอมให้ใครมาฆ่าง่ายๆ หรอก" ได้ยินแบบนี้ชเนย์ก็ถอนหายใจโล่งอก

เมื่ออเวเค่นหมุนขวดอีกรอบ ในที่สุดแจ็คพอตก็ตกที่ฝั่งเขาสักที ชเนย์เอื้อมมือไปรินเหล้าลงบนแก้วช็อตอย่างหวั่นๆ ทำใจเตรียมรับอะไรก็ตามที่จะเจอ

"เอาล่ะ" กระดกเหล้าช็อตเข้าปากแล้วเงยหน้าหันมาทางคนโดนถาม "เล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมาของคุณให้ผมฟังหน่อย"

"เอ๋?? " แปลกใจที่คำถามมาแนวนี้ "จะให้เล่ามันยาวมากนะครับ คุณคงเบื่อจนหลับก่อนผมจะเล่าจบซะอีก"

"มีเวลาอีกเยอะ เล่ามาเถอะผมอยากฟัง" อเวเค่นเท้าคางมองตาพริ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำท่าเหมือนเด็กรอฟังนิทานที่มีตัวเอกเป็นคนเล่า

"เอ่ะ...เอ่อ... เริ่มจากอะไรดี..." ชเนย์กำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรบ้าง เลยเริ่มตั้งแต่ตอนที่โดนครอบครัวส่งเข้าไปเรียนในวัง...



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
ชเนย์เป็นลูกชายคนโตของตระกูลนักเวทชั้นขุนนางที่ถูกตั้งความหวังไว้ตั้งแต่เด็กจนชีวิตสุดอับเฉา เมื่อได้เข้ามาเรียนในวังก็เคว้งคว้างไร้จุดหมายกระทั่งได้พบกับอาจารย์นักแปรธาตุที่เข้ามาหา ชเนย์ตกหลุมรักบรรยากาศการวางตัวที่เป็นมิตรและแสนอบอุ่นของอาจารย์อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจจะเป็น Alchemist ตามรอยอาจารย์ที่เคารพรักไป เพียงแต่เขาไม่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่าศิษย์อาจารย์เนื่องด้วยสถานะของตัวเองและหน้าตาของตระกูล...



หลายปีก่อนนักเวทและนักรบชั้นหัวหน้า อีกทั้งแม่ทัพถูกส่งไปช่วยเมืองพี่เมืองน้องร่วมรบกับดินแดนอื่น แม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ของชเนย์ด้วย หลังจากนั้นชเนย์ก็ได้ทำการต่อต้านครอบครัวและใช้ชีวิตตามใจตัวเองเรื่อยมา

ชเนย์มีน้องสาวชื่อกาลาเทีย ที่คราแรกก็ถูกตั้งความหวังไว้ไม่ต่างกับพี่ชาย แต่เมื่อน้องได้เข้ามาเรียนในวังด้วย กลับไปหลงรักหัวหน้าอัศวินที่อายุรุ่นพ่อ จึงตัดสินใจพูดกับครอบครัวตรงๆ ว่าอยากเป็นนักรบ แต่ครอบครัวไม่ยอมและบังคับให้เธอไปเรียนที่เมืองอื่นเพื่อไม่ให้เจอหน้าอัศวินผู้นั้น เพราะหัวหน้าอัศวินมีลูกเมียไปแล้ว จะเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลได้ถ้าลูกสาวไปเป็นชู้รักสามีชาวบ้านเขา

ชเนย์เข้ามาปกป้องน้องโดยการขอให้น้องได้ไปฝึกหัดเป็นนักรบ แลกกับให้ตัวเองร่ำเรียนและทำตามที่ครอบครัวต้องการทุกอย่างแทนน้อง...ซึ่งทางครอบครัวก็ยอมตกลงและหันมาตั้งความหวังกับตัวพี่ชายมากกว่าเดิม…ทว่าหัวหน้าอัศวินก็ตายในสงครามเช่นเดียวกันกับอาจารย์ของชเนย์ แต่กาลาเทียก็ไม่ยอมแพ้ที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าอัศวินเหมือนกับคนที่ตนเคยรัก หลังจากที่ชเนย์หันหลังให้กับครอบครัว เธอก็ตามพี่ชายออกมาอยู่ด้วยกัน







"สุดท้าย...ก็เลยหนีออกจากบ้านมาอยู่กับน้องสองคนน่ะครับ... หาเงินด้วยการรับจ๊อบเป็นทหารรับจ้างน่ะ"

"....นิยายบางเรื่องยังเขียนไม่ได้ขนาดนี้เลย" เป็นคำชมที่...ชมจริงๆ นะ

"เรื่องจริงนะครับ"

"รู้น่าว่าคุณน่ะไม่โกหกหรอก" อเวเค่นพูดลอยๆ แต่ชเนย์รู้สึกเหมือนโดนแอบชมทางอ้อมยังไงไม่รู้

เกมหมุนขวดเริ่มอีกครั้ง คราวนี้ปากขวดหันไปหาชเนย์อีกรอบ

"...." พอกำลังจะอ้าปากถามก็หยุดไปซะดื้อๆ ก่อนจะก้มลงไปนั่งคิดในใจตัวเอง

"ถามมาเถอะ" เสียงอเวเค่นเรียกสติคนคิดมาก "ถ้าไม่ถาม จากนี้คุณจะไม่มีโอกาสได้ถามแล้วนะ"

"คุณ...ชอบผมเพราะอะไร? " เสียงนุ่มเบาและสั่นจนแทบไม่ได้ยิน ต้องถามอะไรแบบนี้ตรงๆ มันก็กระดากปากสุดๆ อเวเค่นกระตุกยิ้มให้กับท่าทางของชเนย์

"อืม...ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบหรอก บอกตรงๆ ว่าแอบหมั่นไส้ด้วยซ้ำ คนสติดีๆ ที่ไหนจะหลงผู้ชาย (ปิศาจ) ในรูปถ่ายหัวปักหัวปำจนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเกมการแข่งนี่ได้ขนาดนี้" คำพูดทิ่มแทงเหมือนโดนมีดจิ้มเข้ากลางอกจนคนฟังแทบกระอัก

"แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าคุณไม่โผล่มา ผมคงไม่มีโอกาสได้กินของดีๆ ในที่แบบนี้" นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความประทับใจแรกในตัวอีกฝ่าย "ตอนที่แอบกินอาหารของคุณคำแรก ผมนี่เผลอพูดกับตัวเองในใจเลยว่าอยากได้คนๆ นี้ไปเป็นคนทำอาหารให้กินตลอดชีวิตเลย"

ชเนย์หน้าแดงไปถึงหู รู้สึกเหมือนโดนสารภาพรักยังไงยังงั้น

"พอได้เริ่มคุยกับคุณมากขึ้นก็รู้สึกสนุก ถึงแม้ผมจะโดนคุณทำเรื่องแปลกๆ ใส่บ่อยๆ แต่คุณก็แคร์ความรู้สึกผมเสมอ ไม่ว่าผมจะเป็นคนผิดหรือถูกก็ตาม" ใบหน้าของคนโดนชมที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งสุกเป็นมะเขือเทศ ตอนนี้แก้มของเขาร้อนผ่าวจนแทบจะทอดไข่สุกได้เลย

"คะ...แค่นี้สินะครับ" กลัวว่าถ้าได้ฟังมากกว่านี้ คราวนี้ต้องระเบิดตัวแตกแน่นอน

"อืม...ยังมีอีก" อเวเค่นตอบหน้านิ่งๆ แต่ชเนย์นี่ควันออกหูไปแล้ว "ปกติไม่อยากพูดแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันหรอก แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าคุณ...น่ารักน่าแกล้งดี"

ชเนย์เอามือปิดหน้าแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้น อเวเค่นพยายามกลั้นหัวเราะ นี่เขายังพูดไม่หมดเลยนะ"อา แล้วก็..."

"เดี๋ยว! ยังไม่หมดอีกเหรอครับ!? " แค่นี้ก็เขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว

"จะให้หยุดก็ได้นะ ว่าไง? " ถามพลางทำท่าจะหมุนขวดต่อ

"ครับ... พ...พอแค่นี้เถอะ" เริ่มรู้สึกผิดที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป ถึงจะยังอยากรู้ต่อ แต่มีหวังได้ระเบิดจริงๆ แหง...

หนุ่มนักฆ่าหมุนขวดอีกครั้ง... คราวนี้เป็นอเวเค่นที่ต้องถามบ้าง"ถ้าจบการแข่งนี้... ไม่สิ ถ้ารอดกลับมาได้คุณจะทำอะไรต่อ? "

"อืม...เอาตรงๆ ผมยังไม่ได้คิดครับ" ชเนย์เกาหัวและเริ่มนึกมันซะตรงนั้นเลย "คงจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติล่ะมั้ง รับงานไปเรื่อยๆ ปรุงยา ออกรบ แล้วตระเวนไปตามที่ต่างๆ ... เหมือนที่ผ่านๆ มา"

"ดูเรียบง่ายดีจังนะ"

"ครับ...ถ้ารอดกลับมาได้น่ะนะ" แสงไฟกระทบแว่นวูบไหว ก่อนทั้งห้องจะเริ่มเงียบลง เมื่อคนตอบไม่ได้พูดอะไรอีกอเวเค่นก็เลยจับขวดหมุนต่อ เมื่อปากขวดหยุดลง มันก็ไปตรงกับตัวคนหมุนอีกครา จากสภาพ...ชเนย์นึกว่าอเวเค่นจะเมาเร็วกว่านี้ซะอีก แต่นี่สติยังอยู่ครบดีจนน่าประหลาด คราวนี้นักฆ่าหนุ่มใช้เวลาคิดคำถามนานกว่าทุกที เพราะเจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะถึงลิมิตแล้ว

"ไม่ถามเหรอครับ? " ชเนย์เห็นเงียบจนนึกว่าน็อคไปแล้วเลยทัก

"ถ้าเกิด...มีเหตุให้เราต้องสู้กันเอง และคุณจำเป็นต้องทำเพื่อเจ้านรก คุณจะฆ่าผมมั้ย? "

กลายเป็นว่าฝ่ายคนตอบนั่งเงียบต่อจากเมื่อครู่เสียเอง"ยังไงก็ต้องตอบความจริงนี่เนอะ ...ครับ ถ้าต้องทำผมก็จะทำ..."

"อืม...คิดว่างั้นแหละ" อเวเค่นเท้าคางลงกับโต๊ะ แววตาฉายความเศร้าชัดเจนออกมาเพียงครู่เดียวก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

"แต่ช่วยรู้ไว้ด้วยว่าผมคงเสียใจไปตลอดชีวิตที่ต้องทำแบบนั้น..."

"เว่อร์น่ะ มันอาจจะรู้สึกแย่สุดๆ อย่างที่ว่านั่นแหละ" อเวเค่นนึกถึงเรื่องของเขาในอดีต มันก็คง...แย่จริงๆ ... "แต่เวลารักษาได้"

"ไม่ล่ะครับ ผมคงจะจำไปตลอดชีวิต" ดวงตาสีหม่นหลุบลงและปิดไปพร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนจาง

"....เพื่ออะไรล่ะนั่น? "

"รับผิดชอบ...ล่ะมั้ง...ในทุกความสัมพันธ์ที่ผมสร้างขึ้นมา" รอยยิ้มอ่อนโยนเจือความเศร้าชัดเจนปรากฏขึ้นมา "แย่หน่อย ผมเป็นคนแบบนี้นี่นา..."

"ขอบคุณ ที่เลือกจะจำผมไว้มากกว่าจะลืม" ชเนย์ลืมตาขึ้นมองหน้าอเวเค่น อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาสีทองคู่นั้นมันช่างเศร้าแต่กลับยิ้มอย่างมีความสุข

อะไรกัน...ทำหน้าแบบนั้นไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอ…

"แต่ก็เหมือนที่บอกไปตอนแรกนั่นแหละ ผมไม่ยอมโดนคุณฆ่าง่ายๆ หรอกนะ” อเวเค่นเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มกวนอีกครั้ง โดยไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมดว่าถ้าโดนชเนย์ฆ่าเขาจะไม่โกรธแค้นอะไรอีกฝ่ายเลย

เพราะหากพูดออกไปมันคงจะไม่ดีแน่ๆ …

"เอาล่ะ มาต่อกันเถอะ" อเวเค่นหมุนขวดอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเล่นโกงซึ่งๆ หน้าด้วยการจับให้มันหยุดอยู่ที่ตัวเขาเอง

"อ้าว! " ชเนย์กำลังจะท้วง แต่อเวเค่นยกมือเป็นสัญญาณบอกว่าห้ามโต้แย้งใดๆ

"เอาคืนที่คุณวางยาสลบผมครั้งแรก" เจอโจทก์ฟ้องแบบนี้ จำเลยคดีเก่าเลยต้องนั่งอย่างลงสงบยอมรับชะตา

ชเนย์เริ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ลองทางนั้นเล่นไม้นี้แสดงว่าอีกฝ่ายต้องวางแผนแกล้งเล่นงานเขาในรอบนี้แน่นอน

"...ถ้าผมเต็มใจ คุณจะยอมมีอะไรกับผมมั้ย?

"....ห้ะ? " ชเนย์นิ่งค้าง รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาด

อเวเค่นไม่ถามเปล่า ลุกขึ้นกระดกเหล้าขวดที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้จนหมดแล้วเดินไปนั่งคร่อมลงบนตักของชเนย์แทนการถามย้ำ ร่างสูงโปร่งตัวแข็งทื่อจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา แต่ที่มองจ้องขนาดนี้เพราะจะรอหยุดหากอเวเค่นคิดจะทำอะไรแปลกๆ หรอก...

"ถ้าคิดไม่ออกจะเปลี่ยนเป็น ...อยากจูบผมมั้ย? "

"เดี๋ยวๆๆ คุณเมามากเกินไปแล้วนะ! " ชเนย์พยายามจะอุ้มอีกคนออกจากตัว แต่ตำแหน่งและเรี่ยวแรงไม่เพียงพอให้ทำอะไรนอกจากดิ้นอยู่ตรงนั้น

"ไม่ได้เมา" ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ชเนย์พยายามเบี่ยงหน้าหลบไปหลบมา จนอเวเค่นเริ่มหงุดหงิด แต่ดูเหมือนเขาจะนึกถึงเรื่องจุดอ่อนของชเนย์ขึ้นมาได้ เลยหยิบเหล้าอย่างแรงมาแล้วกรอกใส่ปากชเนย์ไม่ยั้ง

คนโดนจับกรอกเหล้าพยายามขัดขืน แต่สู้แรงไม่ไหวสุดท้ายเลยโดนบังคับให้ซัดไปครึ่งขวด และร่างกายก็เริ่มตอบสนองต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างซื่อตรง

"คุณนี่..." ชเนย์กัดฟัน อยากจะหยุดอยู่แค่นี้ แต่พอเงยหน้ามองใบหน้าเจือสีแดงกับสายตาปรือเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วมันก็เผลอจินตนาการไปไกล...สูทของอีกฝ่ายหลุดลุ่ยเปียกปอนด้วยน้ำเมาที่คนคร่อมอยู่พยายามจะเทใส่ปากเขาให้ได้

"ว่าไง? " อเวเค่นยิ้มสนุกสนาน ท่าทางเหมือนกำลังกึ่มๆ ได้ที่

"...ทำครับ" เมื่อตอบออกไป มือหนาเอื้อมไปหมุนขวดอีกรอบ คราวนี้เขาเป็นคนจับมันหยุดมาทางตัวเองด้วย... "คุณแค่แกล้งแหย่ผมเล่นรึเปล่า? หรือนี่อยากทำจริงๆ? "

"....." อเวเค่นหยิบแว่นกันแดดของชเนย์ออก และเอามือยีผมอีกฝ่ายจนยุ่งไม่เป็นทรง พร้อมกับแกล้งดึงแก้มคนตรงหน้าให้ยืดออกจนเป็นภาพที่น่าตลก อเวเค่นหัวเราะสุดเสียงไม่ได้สนใจตอบคำถามที่เหลือเลย

"ดูสิ หน้าแบบนี้ของคุณเจ้านรกคงไม่มีทางได้เห็นแน่ๆ " หยุดหัวเราะและเลิกดึง แล้วเอามือแนบแก้มอีกฝ่าย "ผมมีสิทธิ์ได้เห็นคุณในสภาพนี้แค่คนเดียวเท่านั้น"

ชเนย์กำมือแน่น...ความอดทนอดกลั้นที่มีเริ่มใกล้หมด"อเวเค่น ตอบคำถามผมสิ..."

หนุ่มนักฆ่าหมุนขวดแล้วจับให้ชี้มาที่ตัวเอง เขารินเหล้าใส่แก้วช็อตแล้วยกดื่ม"คุณอยากให้ผมตอบ Yes หรือ No ล่ะ? "

"...." ชเนย์หรี่ตาลง อเวเค่นเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจ่อ คนที่คอยแต่ทำตามความสมัครใจของคนอื่นตลอดจะมีคำตอบของตัวเองว่าไงบ้างนะ

"คุณนี่น่ารักดีจริงๆ ยิ่งทำหน้าแบบนี้กับผมเผ้ายุ่งๆ นี่อีก..." แอบยีผมอีกคนต่อบ้างนิดหน่อยแล้วโคลงหัวไปมาเพราะเริ่มมึนๆ ยิ่งขยับท่อนล่างยิ่งเสียดสีกันหนักข้อ ไม่รู้ว่านี่ทำไปโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า แต่นั่นช่วยให้ความอดทนทั้งหมดจบสิ้นลง

"งั้นก็ตอบตกลงด้วยครับ..."



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #7

NC


อเวเค่นเบิกตากว้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ชเนย์ไม่เคยเห็นมาก่อน

"ได้เลยคุณพ่อครัว"

"โอเคครับ งั้นลุกออกจากตัวผมก่อน" ร่างเล็กกว่าเอียงคอสงสัยแต่ก็ลุกออกไปแต่โดยดี คนสั่งก็ลุกตามมายืนประชิด "พอดีท่าเมื่อกี้อุ้มไม่ถนัด..."

จบประโยคชเนย์ก็โอบเอวอีกคนเข้ามาแนบติดกับตัวเองแล้วก้มลงจูบอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนผิดกับที่ผ่านๆ มาที่จะค่อยเป็นค่อยไป

แม้จะเตรียมใจมาดีแล้ว แต่พอถูกจู่โจมเข้าจริงๆ นักฆ่าหนุ่มก็แทบตั้งตัวไม่ติด รสเหล้าที่ยังติดอยู่ปลายลิ้นของทั้งคู่แลกรสกันจนรู้สึกเมามายยิ่งกว่าแอลกอฮอล์ทั้งหมดที่ดื่มเข้าไป

ชเนย์ถอนริมฝีปากออกเพียงครู่เดียวก็ประกบปากลงไปใหม่ มือหนาช้อนคอให้ใบหน้าของอีกคนอยู่ในมุมที่เขาจูบได้ถนัดมากขึ้น อเวเค่นเริ่มจะยืนไม่อยู่แข้งขาอ่อนแรง คนตัวสูงกว่าดันร่างอีกคนติดผนังห้องและมือเริ่มรุกไล่ไปที่เข็มขัดของร่างเล็กกว่าด้วยความรวดเร็วและความชำนาญงาน

สูททั้งสองชั้นของอเวเค่นถูกปลดออกจนหมด ชเนย์หยุดแลกจูบกับอีกฝ่ายแล้วลากลิ้นลงมาตั้งแต่ต้นคอจนกระทั่งถึงขอบกางเกง ไม่คิดจะแวะพักทักทายจุดอื่นๆ ให้เสียเวลา

"เอ๊ะ? ... ไม่คิดว่านี่เร็วไปนิดเหรอ? " อเวเค่นหอบหายใจไม่ทันกับอารมณ์ราวพายุของคนที่ตนปั่นหัวเล่น

"ก็นิดนึง พอดีโดนรบเร้าเลยเตลิดน่ะ" ยักคิ้วกวนๆ ปนขบขันให้ระหว่างที่มือก็แกะเอาทั้งเข็มขัดและอะไรๆ ก็ตามที่ขวางทางออกอย่างว่องไว แต่ยังไม่ยอมเปิดเอาส่วนสงวนของอีกฝ่ายออกมาทันที

ชเนย์อ้าปากใช้ฟันงับตามลำแท่งอีกคนเบาๆ ไซร้จมูกและปากซุกซนไปทั่วจนส่วนสำคัญนั้นเริ่มแข็งตัวขึ้นมาเต็มที่

“อึ่ก...” อเวเค่นยกมือข้างขวาปิดปากไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา กางเกงชั้นในเริ่มตึงคับแน่นเพราะส่วนล่างที่ถูกปลุกเร้าจนแข็งขืนตื่นตัวจากปากที่กำลังปรนเปรอช่วงล่างให้

“อยากให้ทำอะไรบอกได้นะครับ...” แอบช้อนตาขึ้นเงยมองหน้าคนที่กำลังทรมาน เมื่อกี้เขาโดนทำไว้เยอะจึงอยากแกล้งลงโทษให้อีกฝ่ายรู้สึกพ่ายแพ้บ้าง

“เอามันออก...” เสียงสั่นตอบลอดมือที่ยังปิดปากตัวเอง เจ็บใจนิดหน่อยแต่แค่ประคองตัวให้ไม่ให้ล้มก็แทบจะไม่ไหวแล้ว

ชเนย์ใช้ปากงับดึงกางเกงลง ส่วนกลางตื่นตัวปรากฏให้เห็น คนกลั่นแกล้งอมน้ำลายไว้ในปากแล้วรูดริมฝีปากผ่านตั้งแต่ส่วนหัวลงไปจนถึงปลายลำแท่งอย่างรวดเร็วจนอเวเค่นไม่มีโอกาสได้อายด้วยซ้ำ

"ฮ้ะ!? ..." เผลอหลุดครางออกมาทีหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมคนข้างล่างไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เก็บเสียง เรียวลิ้นรุกกดลงบนส่วนปลายที่อ่อนไหวสลับกับการดูดเบาๆ เหมือนรีดเร้นเอาน้ำจากลำแท่งอุ่น เพียงเท่านี้ก็ทำเอาคนถูกปรนเปรอแทบดิ้น

"เพิ่งเริ่มเองนะครับ" ชเนย์ได้โอกาสก็แอบแซะ ก็แหงล่ะ...เท่าที่ผ่านมายังไม่มีใครทนฝีปากเขาได้นานสักราย

มือข้างซ้ายที่ยังว่างจับเส้นผมคนที่ยังยุ่งอยู่กับการใช้ลิ้นปรนเปรอให้เขาจิกลงไปเป็นการเอาคืน ชเนย์สะดุ้งที่โดนดึงรั้งผมเล็กน้อย แล้วก็ตอบโต้ด้วยลิ้นที่ตนภูมิใจดูดเอาส่วนที่แข็งขืนใกล้จะถึงจุดหมายนั้นเร็วและรุนแรงยิ่งขึ้นจนอีกฝ่ายเผลอโยกสะโพกรับกับปากของเขา

"อึ้ก! " แค่เวลาไม่กี่นาทีร่างเล็กกว่าก็ปลดปล่อยของเหลวร้อนสีขุ่นออกมา บางส่วนก็ล้นออกมาเลอะมุมปากของชเนย์

"...ข้นจังนะครับ อยู่ที่นี่ไม่ค่อยได้ปลดปล่อยเหรอ? "

"ใครจะหื่นเหมือนคุณล่ะ...แล้วที่นี่ก็ไม่มีสาวๆ แบบนั้นด้วย" พอได้ปล่อยออกมาสักครั้งรู้สึกว่าสติจะเริ่มกลับเข้าที่ แต่แขนขาอ่อนแรงจนต้องเกาะไหล่อีกคนเพื่อพยุงตัวไว้

"อะไรเนี่ย นึกว่าคุณจะเชี่ยวชาญซะอีก" ชเนย์ยิ้มขบขัน และลุกขึ้นพร้อมอุ้มกึ่งลากตัวอเวเค่นมาไว้บนเตียงแล้วเริ่มเล้าโลมใหม่อีกครั้ง

"ม...ไม่รู้... กับผู้ชายด้วยกันยังไม่เคยนี่หว่า"

ถึงจะใช้ปากเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีสาวฝีมือดีคนไหนทำเขาเสร็จได้ไวขนาดนี้ ....หรือเพราะเป็นเพศเดียวกันเลยรู้จุดที่รู้สึกดีเหรอ! ?

"อือ..." เพิ่งจะปล่อยไปทำให้ร่างกายของอเวเค่นยังไวต่อความรู้สึกเกินกว่าจะรับห้วงอารมณ์ใหม่ แน่นอนว่าชเนย์รู้ดีจึงค่อยๆ ปลุกเร้าอย่างค่อยเป็นไปผิดกับครั้งแรก ขบฟันลงไปตามแนวไหปลาร้าและถอดยางรัดผมของอเวเค่นออก

"จะว่าไป...เพิ่งเคยเห็นคุณอยู่ในสภาพนี้นะ..."

รอยยิ้มเหมือนจะสื่อได้ว่าค่อนข้างตื่นเต้นกับลุคใหม่ของนักฆ่าปากหนักพอสมควร เพราะปกติแล้วอเวเค่นมักจะแต่งตัวเนี้ยบแถมมิดชิดเสียจนมองแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าไม่อึดอัดบ้างหรือที่ต้องใส่สูทแทบจะตลอดเวลา ถึงแม้เมื่อวานจะเห็นหมดแล้วตอนที่อุ้มขึ้นจากสระที่ห้องอาบน้ำใหญ่ก็ตาม แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้มานั่งพิจารณารูปร่างสมส่วนเหมือนอย่างในเวลานี้

“จะจ้องอีกนานมั้ย?” คว้าหมอนมาตีใส่หน้าคนมองที่แทะโลมด้วยสายตาลามก ปกติชอบทำสายตาเหมือนคนว่างเปล่า แต่ทีเวลาอย่างนี้กลับเป็นประกายยังกับสัตว์กินเนื้อเจอเหยื่อชั้นดี

“ดูนิดดูหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ ยังไงก็จะโดนผมกินอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่อาหารนะเฮ้ย!”

“เสียใจด้วย ตอนนี้คุณเป็นจานหลักเรียบร้อยแล้วครับ” พ่อครัวหนุ่มแย่งเอาหมอนออกไปและก้มหน้าลงไปใช้ลิ้นที่ชำนาญเล้าโลมต่อ ส่วนมือที่ว่างก็คอยปลดเสื้อผ้าอีกคนออก

“อย่าถอดหมด...” อเวเค่นเอ่ยเสียงสั่น

“หืม?” ชเนย์หยุดกระทำแล้วเงยหน้าคล้ายจะถามว่าทำไม

“เดี๋ยวเห็นแผลตามตัวผมแล้วคุณจะหมดอารมณ์ทำเปล่าๆ” ดวงตาสีทองสื่อถึงความกังวลที่ปิดไว้ไม่มิด

“ตอนที่ไปติดฝนข้างนอกด้วยกันผมก็เห็นไปตั้งเยอะแล้ว อย่ากลัวไปเลยครับ” เอ่ยปลอบและจูบที่ขมับ มือก็ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดีออกจนเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นปราการสุดท้าย

สายตาก้มมองดูและมือไล้ไปทั่วร่างกายที่ถูกฝึกมาอย่างดี นอกจากใบหน้าแล้วก็แทบไม่มีส่วนไหนที่ว่างเว้นจากแผลเลย

“น่าเกลียดใช่รึเปล่า...?”

“ไม่หรอกครับ...” ตรงกันข้าม พอเขามองบาดแผลพวกนี้แล้วกลับรู้สึกอยากจะอ่อนโยนกับอีกฝ่ายให้มากที่สุด

“ไม่ต้องถนอมกันหรอกน่า ทำตามใจชอบเถอะพ่อสุภาพบุรุษ” ทั้งเหน็บแนมและพูดเหมือนรู้ทันความคิดอีกฝ่าย อเวเค่นดันตัวขึ้นไปกระซิบข้างหู “ถึงคุณจะทำรุนแรงผมก็ไม่ว่าหรอก”

“พอดีว่าผมไม่ใช่พวกซาดิสม์หรอกนะครับ” ดันร่างเล็กกว่าให้นอนลงไปและยันตัวขึ้นคร่อม “แถม...นี่ก็เป็นครั้งแรกของคุณอีกด้วย”

อเวเค่นอายจนหน้าแดงก่ำ พอจะยกมือขึ้นปิดหน้าก็โดนมือจับเอาไว้ไม่ให้ทำได้

“อย่าหลบสิครับ หน้าตาเวลาแบบนี้ของคุณมันหาดูยากนะ” ชเนย์จูบลงตามแผ่นอกอย่างบางเบา เผยอวาดริมฝีปากเป็นวงกลมไปทั่ว ตรงที่มีรอยแผลขนาดใหญ่ยิ่งหมั่นเขี้ยวดูดกัดลงจนเป็นรอยแดง สองมือไม่เว้นว่างลูบสำรวจไปทั่วตัวอีกคนและเนียนถอดเสื้อเชิ้ตและกางเกงแสนเกะกะขวางทางนั้นออก

เสียงเครือในลำคอค่อยๆ ถี่ขึ้นตามการปลุกเร้า ใช้เวลาสักพักกว่าร่างเล็กที่นอนแผ่อยู่จะกลับมาเครื่องติด แต่คนเล้าโลมก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร

"ความอดทนสูงจังนะ..." อเวเค่นลูบไล้เข้าไปใต้เสื้อยืดสีดำของอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยังรู้สึกเขินแบบแปลกๆ อยู่ เพราะไม่นึกฝันว่าเขาจะได้ทำแบบนี้กับผู้ชาย

"เรื่องอดทนรอนี่ของถนัดล่ะ" ชเนย์ก้มลงจูบหนักลงบนต้นคอที่เริ่มชื้นเหงื่อจากอุณหภูมิของร่างกาย "ทนเจ็บหน่อยนะครับ"

"เอ๊ะ? " มัวแต่เคลิ้มกับการพรมจูบระรานไปทั่วตัวจนลืมนึกถึงมือที่ลูบต่ำลงไปจนถึงต้นขาที่กำลังวนเวียนอยู่แถวๆ ส่วนน่าอายสำหรับท่านชายทั้งหลายที่ยังคงระลึกว่าตนเป็นชายแท้ๆ "ด...เดี๋ยวสิ! "

"ไม่เกร็งนะ เด็กดี" นิ้วอุ่นกดแทรกเข้าไปทางช่องด้านหลังทีละนิดพลางกอดคนข้างล่างไว้เหมือนจะปลอบไปในตัว

"อึ้ก!! " อเวเค่นขบเม้มริมฝีปากข่มความกลัวต่อสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาตรงช่องทางคับแคบ นิ้วยาวกวาดเข้าไปสำรวจและค่อยๆ เพิ่มจำนวนนิ้วให้ร่างที่กำลังบิดเร้าให้คุ้นชินทีละนิด

"ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก" เสียงทุ้มพยายามปลอบคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ถูกรุกรานจากด้านหลังมาก่อนให้สงบจิตใจลง

"อือ..." ดวงตาสีทองมองตาคนที่อยู่ด้านบนไม่ให้ใจเผลอไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง มือกำแน่นจิกผ้าปูที่นอนอย่างหาที่ระบายความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มเข้ามาแทนที่ความเจ็บในครั้งแรก

ชเนย์สังเกตเสียง ท่าทาง ใบหน้าของอีกคนให้กลับมามีอารมณ์ร่วม เมื่อไร้แรงเกร็งต้านเรียวนิ้วจึงขยับหาจุดกระสันในช่องทางลับที่ชายหลายคนหาได้เคยลองไม่

"อ่ะ...อ๊ะ..." เพียงครู่เดียวก็เจอโดยง่ายดาย ลูบไล้สะกิดหยอกเล่นเพียงนิดก็ทำคนเพิ่งได้ลองเผลอเปล่งเสียงน่าอายออกมาไม่หยุด และเพราะไม่รู้จะบรรเทาความอายนี้ยังไงอเวเค่นเลยทำได้แค่กอดคอคนข้างบนแล้วซุกหน้าหนีบนซอกคอนั้น ทว่ากลับช่วยให้เสียงเบาของตัวเองอยู่ใกล้หูชเนย์มากขึ้น...

"อย่ามาร้องข้างหูกันสิ มัน...เซ็กซี่นะครับ" พูดเท่านั้นไม่พอ คนโดนยั่วยวนขบเม้มใบหูแดงให้รู้ว่าเขาเองก็แทบทนรอไม่ไหว...

“งั้นก็ไม่ต้องฟังสิ” ถึงอารมณ์จะเตลิดแต่ก็ยังติดพูดจาปากดีอย่างที่เคยชิน และมันทำให้คนโดนยั่วอยากแกล้งเอาคืน นิ้วกดย้ำๆ โดนจุดกระสันภายในช่องคับแคบของร่างเล็กจนต้องดิ้นพล่าน “แกล้งกันนี่!”

อเวเค่นแกล้งงับหูอีกคนเป็นการเอาคืน แต่กลับได้ผลตรงข้ามเพราะชเนย์กลับรู้สึกเสียวซ่านมากกว่าจะรู้สึกเจ็บ และตอนนี้ส่วนล่างของเขามันก็ตื่นตัวจนแทบจะระเบิด คนข้างบนถอนนิ้วก่อนถอดเสื้อตนออกและก้มลงมายันแขนคร่อมไว้ตามเดิม

"ผมเตือนก่อนว่าถึงคุณจะร้องไห้ คราวนี้ผมไม่หยุดแล้วนะ"

"มาถึงขนาดนี้แล้ว ตามสบายเลย" อเวเค่นโอบคอชเนย์ลงมาจูบร้อนแรง ท่อนขาเปลือยยกขึ้นแอบอิงกับขาอีกคนเป็นสัญญาณว่าเขาก็ต้องการมันพอๆ กัน

สองมือปลดกางเกงของตนให้ลำท่อนร้อนระอุได้ออกมาเตรียมตัว สัมผัสได้ชัดว่าอีกคนตัวสั่นขนาดไหน แต่ก็ทำได้แค่กอดไว้แนบอกเพราะแรงอารมณ์ปะทุจนไม่อาจจะหยุด

“ผมจะใส่แล้วนะครับ” บอกกล่าวเพื่อให้อีกคนเตรียมใจ ก่อนจับเอาท่อนล่างอุ่นร้อนมาจ่ออยู่ที่ปากทางเข้า อเวเค่นเผลอหลับตามุ่นคิ้วและกลั้นหายใจรอรับความเจ็บปวดที่กำลังจะแทรกเข้ามา ชเนย์จูบลงที่เปลือกตาไล่ลงมาที่ริมฝีปากก่อนมอบจุมพิตเร่าร้อนอีกครั้งให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาคิดถึงตอนที่เขากระแทกความเป็นชายเข้าไปจนสุดในทีเดียว

“อื๊อออ!” เสียงร้องอื้ออึงในลำคอ แต่ลิ้นร้อนยังคงกระหวัดเกี่ยวพันในช่องปากและขยับสะโพกปรนเปรอร่างเล็กกว่าทั้งด้านบนและด้านล่างไปพร้อมๆ กัน

"อ๊าาา!! อึกก! " พอถอนริมฝีปากออก อเวเค่นก็ครางเสียงกระเส่าอย่างอัดอั้น ชเนย์มองภาพเบื้องล่างตนเพลิดเพลิน แต่คนถูกจ้องไม่มีที่ว่างในสมองให้คิดถึงความอับอายนี้ ทำได้เพียงเกาะยึดเอาแขนอีกคนไว้และจิกลงตามแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ

"อา..." ร่างสูงเปล่งเสียงหอบต่ำเคล้าตามไปกับคนข้างล่าง เพราะอเวเค่นเกร็งตัวเสียแน่นยิ่งทำให้ช่องทางคับนั้นบีบรัดแก่นกลางเขาจนรู้สึกดีสุดๆ "อเวเค่น..."

เสียงเรียกดึงสติคนที่กำลังเคลิ้มกลับมา"อื๋อ? "

"เล่าต่อได้มั้ยว่าชอบผมเพราะอะไร" จู่ๆ ชเนย์ก็ผ่อนแรงกระแทกลงเหมือนจงใจไม่ให้ถึงที่หมายกันเสียก่อน

“วะ...เวลาแบบนี้เนี่ยนะ” สายตามองคาดโทษไปยังคนที่ทำให้ขาดช่วงทั้งที่เขาใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว

“เล่าหน่อยน่า...นะ” ชเนย์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และยังหยุดขยับสะโพกกลางคัน สีหน้าของคนที่ถูกทำให้อารมณ์ค้างตอนนี้ช่างน่าดูเสียเหลือเกิน

“ทำให้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอ...” ทั้งใบหน้าและคำเอ่ยแกมขอร้องนั้นทั้งดูยั่วและน่ารังแก ร่างสูงเผลอกลืนน้ำลายลงคอแต่ยังอยากแกล้งต่ออีกสักนิด

“ไม่ได้ครับ” ยิ้มให้และมองดูแววตาที่เหมือนอยากจะร้องไห้นั้นอย่างเอ็นดู

“.....หลงคิดว่าจะเป็นคนดี ที่แท้ก็มีนิสัยแย่ๆ ในเวลาแบบนี้งั้นเหรอ” คนอารมณ์ค้างอยู่ด้านล่างหรี่ตามองอย่างผิดหวังในตัวคนข้างบนนิดๆ

“เหมือนผมจะเคยบอกไปแล้วนะครับว่าจริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร” ชเนย์ยิ้มและยังคงรอดูท่าที

“อา...แต่ก็ดีแล้ว” ร่างสูงทำหน้าแปลกใจนิดหน่อยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

“ยังไงเหรอครับ?” ชเนย์ยังคงมึนงงกับคำพูดของคนร่วมเตียง

“ก็เพราะ....ตัวคุณที่เป็นแบบนี้แหละ ผมถึงได้ชอบ” ดวงตาสีทองจ้องมองมาและตอบอย่างซื่อตรงต่อใจตัวเอง พอโดนจ้องตรงๆ แบบนั้นแล้วกลับเป็นชเนย์ที่เผลอหลบหน้าเขินเสียเอง

ชเนย์หันหน้ากลับมา และสายตาที่จ้องมาก็เปลี่ยนไปจนอเวเค่นแอบหวั่นใจเล็กๆ “ที่เหลือเอาไว้ค่อยพูดให้ฟังทีหลังก็แล้วกันนะครับ”

“เอ๊ะ? อะ อ๊ะ! เดี๋ยว...!”

อเวเค่นร้องเมื่อคนข้างบนเอามือจับขาทั้งสองข้างแยกออกเพื่อให้ลำตัวและสะโพกสอดแทรกเข้าไปในช่องทางแคบได้ลึกขึ้น

“อ๊ะ! อ๊า!! ร...แรงอีก” อเวเค่นร้องครางไม่หยุด เสียงกระเส่าเร่งเร้าคนที่กำลังถาโถมแก่นกายเข้ามา ความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความสุขสมทุกครั้งที่ถูกกระแทกโดนจุดที่ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน และไม่ต้องให้ร้องขอ ชเนย์ก็เร่งจังหวะสอดแทรกขึ้นเองตามแรงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นจนแทบจะแตะจุดสุดยอดนั้น

“...ถึงเป็นครั้งแรก แต่ตรงนั้นของคุณนี่ลามกใช้ได้เลยนะครับ”

“จะไปรู้เรอะ!” ปากว่าแต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างซื่อตรง ส่วนแข็งขืนที่เร่าร้อนเสียดสีกับช่องทางแคบที่ตอดรัดถี่ๆ จนทั้งคู่ใกล้จะถึงฝั่งพร้อมกัน มือหนาคว้าเอาหมอนที่พึ่งจะโดนใช้ฟาดหัวตัวเองมาหนุนแทรกสะโพกอีกคนไว้ให้ยกสูงขึ้นพอดีกับการร่วมรัก

"ดี...ดีจัง..." สติชเนย์ค่อยๆ ล่องลอยไปไหนต่อไหน เผลอพูดอะไรออกมาบ้างก็ไม่รู้แล้ว หน้าเจือสีแดงระเรื่อพอๆ กับคนร่วมเตียงก้มซุกอยู่ตรงซอกคอและโปรยจูบไปทั่วโดยลืมที่จะคิดว่าคอเสื้ออีกฝ่ายจะปิดมิดหรือเปล่า

"อื้อ... ชเนย์" เสียงสั่นครางเรียกหาผู้ปรนเปรออย่างลืมตัวหลายครั้ง

จนเมื่อทุกอย่างถึงปลายทาง อเวเค่นสะดุ้งเกร็งและเปล่งเสียงรัญจวนใจอย่างซาบซ่านดังประสานกับเสียงครางต่ำต่อเนื่องของอีกคน ชเนย์สวมกอดตัวคนข้างล่างแนบแน่นและปล่อยให้ของเหลวอุ่นของตัวเองทะลักเข้าช่องทางเล็กๆ นั่น

"อ้า...❤" ท้องน้อยของนักฆ่าหนุ่มเต็มไปด้วยน้ำรักข้นที่ถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง แม้จะเสร็จกิจไปแล้วแต่อารมณ์บางส่วนที่ยังคั่งค้างก็ยังส่งให้ต่างคนต่างยังหอบครางไปอีกครู่ใหญ่

“...ต่อเลยมั้ยครับ?” ร่างสูงมองตาคนที่เสร็จไปสองครั้ง แต่ก็รู้ว่าที่เพิ่งทำไปนั้นยังเติมเต็มความกระหายอยากของอีกฝ่ายไม่เพียงพอ ร่างเล็กกว่าเป็นฝ่ายพลิกตัวดันร่างของคนข้างบนให้นอนราบลงไปกับที่นอน ส่วนตัวเองตวัดขาขึ้นมาคร่อมอยู่บน

“ท่าแบบที่คุณชอบสินะ?”

“คุณ...ทำเป็นเหรอ?” ชเนย์ถามลองเชิงคนบนตัวที่ยังหอบกระเส่า

“ไม่เป็น เพราะงั้นก็สอนผมสิคุณหมอ”

"เรียกแบบนี้มัน..." รู้สึกเหมือนกำลังเล่นโรลเพลย์เป็นหมอที่ลักลอบมีอะไรกับคนไข้ของตัวเองแล้วก็ยิ้มแก้เขินออกมา

"ทำไมล่ะ เร้าใจดีออกนี่ คุณหมอชเนย์" ยิ่งเห็นอีกคนทำตัวไม่ถูกยิ่งพูดให้อายแทบมุดผ้าห่มหนี

"สอนเหรอ... เอ่อ จะว่าไงดี" เปลี่ยนเรื่องหนีดื้อๆ "มันก็...แค่ใส่เข้าไป? "

"จะให้รู้เรื่องนี่ต้องเปลี่ยนไปเรียกคุณครูรึเปล่า? " อเวเค่นยังคงพูดหยอกและก้มลงมาจูบประปราย สิ่งที่ถูกปลดปล่อยไว้เมื่อครู่ช่วยเป็นตัวหล่อลื่นอย่างดี "อา..."

คราวนี้อเวเค่นเป็นคนคุมเองเลยค่อยๆ กดแทรกลำท่อนที่แม้จะปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยังคงแข็งขืนพร้อมปฏิบัติภารกิจต่อได้

ชเนย์นอนจ้องภาพที่คนอยู่ข้างบนกำลังยกสะโพกขยับขึ้นลงบนตัวเขา ถึงจะบอกให้สอนแต่ดูเหมือนนักเรียนคนนี้จะเรียนรู้ได้เร็วเพราะเชี่ยวชาญเรื่องอย่างว่านี้อยู่แล้ว ก็แค่ไม่เคยต้องเป็นฝ่ายอยู่บนตัวใครแบบนี้มาก่อน

“ดูทำหน้าเข้าสิ...คุณนี่เร่าร้อนจริงๆ เลยนะครับ” ชเนย์เอ่ยพลางขยับช่วงล่างของตัวเองให้สอดรับเข้ากับจังหวะของคนข้างบนที่กระแทกลงมาจนร่างเล็กกว่าถึงกับสะดุ้งเพราะโดนจุดกระสันพอดี

“อึ้ก! อ่ะ! ...แล้วไม่ชอบรึไง?” เสียงที่ขาดห้วงถามโดยที่แทบไม่ได้สติ เพียงพูดโต้ตอบไปตามที่หูพอจะได้ยิน

“เปล่าครับ ยิ่งชอบมากกว่าเก่าอีก” ชเนย์ชันเข่ายกขึ้นดันหลังให้อีกคนกระเถิบขึ้นมา พอกดสะโพกลงช่องทางตอดรัดก็ยิ่งเสียดสีถูกจุดจนหยุดขยับย้ำๆ ไม่ได้

“อ๊า! อ๊ะ! ฮ้าา!” เสียงหอบสลับครางดังไปทั่วทั้งห้องอย่างลืมอาย มือหนาที่ว่างอยู่เลื่อนขึ้นไปสะกิดตุ่มไตแข็งที่อกซึ่งเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกของผู้ชายเช่นกัน

“อึ้ก! อย่าเล่นสิ” อเวเค่นดุเสียงสั่น แววตาเริ่มปรือฉ่ำด้วยแรงปรารถนาที่พุ่งสูงอีกครั้ง

"วิวตรงนี้ดีสุดๆ เลยล่ะครับ" เมื่อโดนห้ามก็ยอมๆ ไปสักเรื่องก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นมาใช้ลิ้นกับส่วนยอดอกนั้นแทน

"อ้ะ! อึก...บอกว่าอย่าเล่นไง! " คราวนี้ห้ามไปก็ไม่หยุด ลิ้นนุ่มชโลมยอดอกจนชุ่มสนุกปากในขณะที่มือทั้งสองจับเอาเอวของร่างเล็กกว่าให้ขยับตามใจเขาเสียเอง

“ฮะ! อ๊าา!” ส่วนร้อนกระแทกเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ และด้วยท่าที่ทำอยู่มันก็ยิ่งง่ายต่อการสอดใส่เข้ามาให้ลึกยิ่งกว่าเดิม อเวเค่นยกแขนขึ้นโอบรัดคอร่างสูงยึดไว้เป็นหลักในขณะที่กระแทกกระทั้นซอยสะโพกถี่ๆ เพราะใกล้ถึงฝั่งอีกครั้ง

“จะ...ไม่ไหวแล้ว” เสียงครางไม่ได้ศัพท์ของคนข้างบนบอกข้างหูอีกฝ่าย

“ทนอีกนิดนะครับ ผมเองก็ใกล้แล้ว” ชเนย์ออกแรงขยับเพื่อให้แรงอารมณ์ตามทันร่างเล็ก

"อ๊าา! "

นอกจากกระแทกสอดใส่ที่ด้านหลัง แก่นกายด้านหน้ายังถูกมือหนาตรงเข้ารูดรั้งให้ จากที่ใกล้จะถึงจุดสูงสุดอยู่ร่ำไรก็เหมือนโดนเร่งหนักกว่าเดิม อเวเค่นโถมตัวกอดอีกคนแน่น

"เด็กดี...รับรางวัลไปละกันนะ"

เสียงพร่ากระซิบก่อนมือข้างที่กอบกุมส่วนกลางอีกฝ่ายจนเลื่อนนิ้วไปกดสัมผัสที่ส่วนปลาย รูดวงนิ้วผ่านเส้นที่ด้านหลังของลำแท่งซึ่งทั้งอ่อนไหวและไวต่อสัมผัส แค่เพียงเท่านั้นร่างเล็กกว่าก็ไม่อยู่รอให้ชเนย์ได้ปลดปล่อย

"ฮ้าา! อ๊าา! " เสียงครางเสียวซ่านที่ดังระงมอยู่ข้างหูกับช่องทางแคบที่กลืนกินความเป็นชายของเขาจนมิดนั่นก็เกร็งรัดจนรู้สึกดีพอจะทำให้ร่างสูงไปถึงสวรรค์พร้อมๆ กัน

สองร่างหอบหนักค่อยๆ หย่อนตัวลงเตียงไปพร้อมเพรียงโดยชเนย์กอดและเอาตัวรองอเวเค่นไว้ให้นอนทับบนตัวเขา

“อเวเค่น...” เสียงทุ้มที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่เรียกคนที่นอนหอบหายใจอยู่บนตัวเขา

“อือ...อะไร?” คนสติเริ่มเลือนรางขานตอบ

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” เอ่ยกระเซ้าแหย่และจูบขมับที่ชื้นเหงื่ออีกคนปลอบโยน

“...บ้า” คนที่ตกเป็นอาหารหันหน้าหนีไปซุกหมอนกลบเกลื่อน

"เอ...แต่คุณเพิ่งเคยทำ..." ชเนย์ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ "งั้นก็คงไม่รู้ใช่มั้ยว่าต้องเอาออก"

"ห้ะ? " อเวเค่นขมวดคิ้วแล้วมองตามนิ้วชเนย์ไปทางต้นขาของตัวเองซึ่งมีน้ำรักสีขาวข้นเยิ้มออกมา

"ถ้าไม่เอาออกพรุ่งนี้เช้าคุณท้องเสียแน่..." คำพูดกับน้ำเสียงดูสวนทางจนไม่มั่นใจว่าพูดจริงรึเปล่า

"....ค่อยว่ากัน" แต่เจ้าตัวดูไม่สนใจเท่าไหร่แถมยังซบลงบนคออีกคนเหมือนจะสูดเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวนั้นต่อ

"งั้นเอ่อ...ถ้าไม่ลำบากใจเกินไป" ชเนย์ลูบผมอีกคนเบาๆ "ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย"

"หือ? " อเวเค่นเงยหน้ามามองหน้าคนถาม

"แบบว่า อย่างน้อยๆ ก็...เป็นใครมาจากไหนน่ะ ผมยังไม่รู้จักอะไรคุณเลย"

รอยยิ้มรู้สึกผิดเจือบนหน้า แววตาไร้อารมณ์แบบเดิมกลับถูกเติมเต็มด้วยประกายแปลกตาจนคนมองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าเรื่องของคุณเป็นนิยาย ของผมก็คงเป็นละครน้ำเน่าล่ะมั้ง” อเวเค่นเกริ่นนำเรื่องของตัวเอง

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“อืม... ขอข้ามเรื่องสมัยเด็กไปแล้วกันนะ ผมจำอะไรไม่ได้น่ะ”

“...คุณไม่รู้?” ชเนย์มองหน้าคนข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายมองขึ้นไปบนเพดานห้องนอนที่ว่างเปล่าเหมือนกับชีวิตวัยเยาว์

“ใช่ เป็นใครมาจากไหน มีครอบครัวญาติพี่น้องรึเปล่า เรื่องนั้นผมไม่เคยรู้” เสียงอเวเค่นเบาลงไป ชเนย์ดึงคนในอ้อมแขนเข้ามากอด

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่อยากเล่าล่ะก็...”

“เปล่า ผมไม่ได้เศร้า แค่กำลังนึกว่าควรจะเริ่มตรงไหนดี”

"...เอ่อ อาจจะเสียมารยาท...แต่คุณชื่ออเวเค่นจริงๆ เหรอครับ? " ชเนย์เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเอง

"อืม... นั่นสินะ แล้วคุณคิดว่าไง? " รอยยิ้มสนุกสนานกลับมาระบายบนหน้า

"ไม่เอาแบบนี้แล้วสิ..." คนโดนย้อนส่ายหน้า แต่ก็กลอกตาครุ่นคิดตามที่โดนสั่งให้คิด "ผมว่าไม่ใช่ชื่อนะ ไม่น่าจะมีใครตั้งชื่อลูกตัวเองแบบนี้หรอกมั้งครับ"

“คุณนี่เดาเก่งนะ...ถูกแล้ว อเวเค่น ซันไรส์ ไม่ใช่ชื่อจริงของผม นั่นเป็นชื่อเรียกของนักฆ่าที่ผมตั้งให้ตัวเอง” ชเนย์เกือบหลุดขำกับเซ้นส์การตั้งชื่อที่สุดโต่งนี้จริงๆ

“แล้วชื่อจริงๆ ของคุณล่ะ?”

“เคน” นักฆ่าหนุ่มตอบ เป็นชื่อที่สั้นซะจนชเนย์ยังแปลกใจ

“แค่นั้นเหรอครับ?”

“อืม...ก็จำอะไรไม่ได้เลยนี่ สำหรับคนที่ลืมเรื่องของตัวเองไปหมด แค่นึกชื่อจริงออกได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

ชเนย์กำลังจะเอ่ยปากเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็หุบเงียบไปซะก่อน สุดท้ายก็ทำแค่จูบลงบนหน้าผากคนข้างบนตัวของตัวเอง

"ขอเรียกอเวเค่นนี่แหละ ติดปากไปแล้ว"

"ถึงจะอยากเรียกชื่อจริงผมก็ไม่ยอมหรอก... เดี๋ยวงานผมพังพอดี" อเวเค่นหัวเราะอารมณ์ดี ไม่ได้นอนคุยสบายๆ แบบนี้มานานตั้งแต่ใช้ชีวิตช่วงหลังๆ มา "อย่าว่าแต่ชื่อผมเลย ชเนย์? ชื่อคุณนี่แปลกหูชะมัด"

"ใครๆ ก็ว่างั้นครับ" ชเนย์เพิ่งนึกได้ว่าส่วนล่างยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยมองหาทิชชู่ไปพลาง "ชื่อผมแปลว่า ‘หิมะ’ ครับ"

“มิน่า...สีผมถึงได้ออกไปทางนั้น” ยกนิ้วขึ้นเกี่ยวเส้นผมสีอ่อนม้วนเล่นไปมาจนเด้งเป็นลอนสนุกสนาน “ผมไม่ค่อยชอบผมสีแดงนี่เท่าไหร่เลย”

“แต่ผมชอบผมของคุณออกนะ” ยิ่งพูดชมยิ่งทำให้เจ้าของผมแดงหน้าขึ้นสีระเรื่อมากกว่าเดิม ชเนย์ลูบผมยาวและสูดกลิ่นหอมเฉพาะของคนข้างกาย อเวเค่นหน้าแดงแข่งกับสีผมก่อนจะหยิบยางรัดมารวบไว้ตามเดิม

สองคนคุยกันเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย เปลี่ยนเรื่องนั้นไปเรื่องนี้และทำความสะอาดตัวกันไปพลาง เวลาผ่านไปไวเสียจน...

"อ่ะ จะเย็นแล้วนี่นา" ชเนย์หันไปมองนาฬิการะหว่างจัดแจงใส่เสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย

"ถึงว่า...เริ่มหิวแล้วสิ" อเวเค่นลูบท้องว่างๆ ของตนและบ่นอุบอิบ

"รอสักหน่อยแล้วกันครับ เสร็จแล้วจะยกมาให้"

"หา? ทำไมล่ะ ก็ไปรอที่ครัวเลยสิ จะได้กินตอนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ "

"...ลุกไหวหรือไงครับ? " ร่างสูงโปร่งเหลือบมองคนที่แม้แต่จะลุกมาแต่งตัวเองยังลำบาก ใส่เสื้อเชิ้ตและกางเกงคืนได้ก็แทบยกนิ้วให้

"...ไหนว่าไม่ชอบความรุนแรงไง" อเวเค่นพยายามทำตัวปกติ แต่เห็นชัดๆ ว่ายังไม่ชิน ความรู้สึกที่โดนบางอย่างทะลวงเข้าที่ทางด้านหลังยังเหลือตกค้างให้แอบรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ฝันกลางวันไป...

“รออยู่นี่แหละครับ เดี๋ยวผมทำเสร็จจะรีบเอามาให้ อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย?” พ่อครัวถามออร์เดอร์จากคนทาน

“อะไรก็ได้เหมือนเดิม”

“โธ่...นั่นไม่เรียกเมนูนะครับ” ชเนย์ส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ และแกล้งขยี้ผมสีแดงจนยุ่งเหยิง อีกคนเลยย่นคิ้วขมวดใส่

“รีบๆ ไปทำเลย! ถ้าผมเดินไปถึงห้องครัวแล้วยังทำไม่เสร็จล่ะก็ผมจะกินคุณแทน”

“ครับๆ ถ้ากินผมได้ก็เชิญ แต่ระวังเป็นฝ่ายโดนกินอีกรอบนะครับ” หนุ่มผมเงินยื่นหน้าเข้ามาใกล้และทำหน้าเอาจริง จนฝ่ายที่ขู่ไปเมื่อครู่เผลอกลืนน้ำลายเอื้อก

“ใครจะยอม ให้แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ปวดเอวชะมัดเป็นคนโดนทำซะเองเนี่ย”

“โดนไปสองครั้งครับไม่ใช่ครั้งเดียว”

“แล้วจะย้ำทำไมฟะ!”

อเวเค่นหน้าแดงจนถึงหู มือฉวยหยิบเอาขวดเหล้าบนโต๊ะที่ดวลกันไปก่อนหน้านี้มาขว้างใส่พ่อครัว ชเนย์พยายามจะหลบแต่บางขวดถ้าแตกไปก็เสียของเลยต้องคว้ามือรับไม่ให้เสียหาย

“คุณ!! เหล้านี่มันแพงนะครับ!” ชเนย์ตะโกนตอบโต้ แล้วขวดแชมเปญหรูก็ขว้างมาทักทาย

“ไม่สนละเฟ้ย!!”

“เหวอ!!”

เสียงเอะอะดังมาจากห้องพักของนักฆ่าหนุ่ม แต่บรรยากาศกลับกรุ่นความสุขสนุกสนานมากกว่าจะเป็นความน่ารำคาญ



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura


อีกด้าน…

ไคม์ มือขวาของเจ้านรกเริ่มวางแผนจะทำอะไรบางอย่างกับสิ่งที่ตัวเขาตั้งกฎเอาไว้และมีคนพยายามจะท้าทายมัน

“ผมเคยเตือนคุณแล้วนะครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน” พูดกับตัวเองพลางยิ้มแววตาวาวโรจน์ในห้องมืดที่มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงส่องประกายสะท้อนในแววตาเปี่ยมความน่าพรั่นพรึงคู่นั้น







"วีล มาซาล่า ครับ" พ่อครัวยกอาหารมาวางต่อหน้าคนผมแดงที่อุตส่าห์หอบสภาพแทบยืนไม่อยู่ของตัวเองมาจนถึงห้องครัว เนื้อลูกวัวราดซอสไวน์แดงที่หมักเห็ดและหัวหอมเคี่ยวจนได้ที่ส่งกลิ่นหอยฉุยออกมา

"ทานละน้าาาา" เสียงสดใสผิดกับเมื่อครู่ที่ทำหน้าบูดเพราะปวดช่วงล่างและหิวสุดๆ

ชเนย์ยกตัวเองไปนั่งบนหน้าขอบหน้าต่างบานโตที่เดิมที่ประจำที่มักจะนั่งเหม่อมองทะเลข้างนอกเสมอ แต่วันนี้เขามีอย่างอื่นให้มองแล้ว...

"จ้องขนาดนั้นผมจะกินได้ไงเนี่ย"

"แต่ก็เคี้ยวอยู่เต็มปากเลยนี่นา" ร่างสูงโปร่งยิ้มกว้างพอใจในสิ่งที่ได้เห็น

"แล้วอาหารของทางโน้นล่ะ เสร็จแล้วเหรอ? " อเวเค่นถามขึ้นระหว่างหั่นชิ้นเนื้อคำใหม่

"เรียบร้อยแล้วล่ะครับ"

“อ้อเหรอ...” พูดทั้งที่ยังเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ เต็มปาก

ชเนย์มองอย่างเอ็นดู นอกจากน้องสาวแล้วเขาก็ไม่ได้มองดูใครที่กินอาหารที่เขาทำให้แล้วมีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว ถึงพ่อครัวจำเป็นจะคอยทำอาหารเลี้ยงเหล่าปิศาจชั้นสูงตามที่ไคม์ไหว้วานมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปเห็นหน้าคนรับประทานกับตาว่ารู้สึกดียังไงกับการทานอาหารเหมือนในเวลาอย่างนี้

“ไม่พอบอกได้นะครับ” บอกไปอย่างนั้นแต่คนที่กำลังกินกลับทำตาเป็นประกายวาววับ ก็นะ...ขนาดฟูลคอร์สครั้งก่อนยังฟาดคนเดียวจนเรียบได้แค่นี้คงเป็นได้แค่ออร์เดิร์ฟนั่นแหละ ชเนย์หัวเราะให้ท่าทางนั่น แต่เมื่อสายตามองผ่านอเวเค่นไปก็พบไคม์ยืนอยู่ที่หน้าประตูครัวเงียบๆ

"อ่ะ สวัสดีครับ" เอ่ยทักทายแล้วลงจากหน้าต่างเพื่อเดินไปหา คนกำลังดื่มด่ำอาหารรสเลิศหันตามทิศทางที่พ่อครัวมอง เมื่อสบตากับไคม์เพียงแค่ชั่ววินาทีนั้นอเวเค่นสัมผัสได้ถึงสายตาน่าผวาของปีศาจในร่างมนุษย์ตนนั้น ก่อนไคม์จะเลื่อนสายตาไปหาพ่อครัว แรงกดดันมหาศาลนั้นก็หายสลายไปจนหมด

"ผมขอคุยเรื่องมื้อต่อไปหน่อยครับ" รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเช่นดังเดิมระบายให้ ไม่ว่ายังไงชเนย์ก็ไม่ชอบมันเลย

"อ่า ได้ครับ" ร่างสูงเดินตามออกไปด้านนอก แต่ก่อนจะเดินหายไปก็หันกลับมาหาอเวเค่น "เดี๋ยวผมมานะครับ"

“อา...ระวังตัวด้วย” พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น และไม่เบนสายตาไปมองปิศาจหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้

“ครับ?” คำพูดแปลกๆ นั่นทำให้ติดใจสงสัยอยู่บ้าง แต่ร่างสูงโปร่งก็ต้องรีบเดินตามหลังมือขวาของเจ้านรกไปติดๆ

อเวเค่นวางมีดและส้อมลง มือทั้งสองสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มานานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาลงมือฆ่าคนเป็นครั้งแรก

สายตานั่น...ถ้าโดนจ้องนานกว่านี้ล่ะก็ เขาต้องเสียสติจนเผลอหยิบมีดมาแทงตัวเองเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าแน่ๆ

นั่นน่ะเหรอ...สิ่งที่เรียกว่าปิศาจ

เขาสบประมาทเกินไป แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนมนุษย์แค่ไหน แต่‘พวกนั้น’ คือตัวตนที่สร้างความน่าพรั่นพรึงให้กับมนุษย์มาหลายยุคหลายสมัย ยากที่ใครก็ตามจะต่อกร

“งานนี้เห็นที...แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยแกไม่ได้แล้วอเวเค่น”







"ครับ...ทั้งหมดนั่นก็พอจะทำได้ อ่ะ! ถ้าหากุ้งเมดิเตอเรเนี่ยนมาให้ได้ด้วยก็ดีครับ"

คุยกันมาสักพักก็ได้ข้อสรุป มันไม่ใช่อาหารมื้อต่อไปอย่างที่ไคม์กล่าวอ้าง แต่เป็นอาหารมื้อเช้าของวันสำคัญที่จะเกิดการปะทะขึ้นแน่นอน"ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ"

"รับทราบครับผม" ไคม์พยักหน้ารับ ชเนย์สงสัยทุกครั้งที่ขอให้หาวัตถุดิบจำนวนมากว่าเขาจำมันหมดได้ยังไง... "สนิทสนมกันดีนะครับ กับเพื่อนคุณน่ะ"

"ครับ? " ชเนย์เลิกคิ้ว จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเลยไม่ทันตั้งตัว

"ผมเตือนแล้วนะครับว่าเพื่อนคุณคนนั้นไม่ได้เหมือนอย่างที่คุณคิดหรอก..."ในที่สุดชเนย์ก็เข้าใจที่ไคม์พูดในวันนั้น แต่เขาก็แทบไม่ได้นึกถึงอีกเลยนี่สิ

"อ๋อ...ก็... ใช่ครับ"

ไคม์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหลังเดินออกไป

ทำไมวันนี้เขาเจอคนทำเขาสับสนเยอะจังนะ...ชเนย์เดินกลับมาที่ห้องครัวเห็นอเวเค่นยังนั่งอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือวีล มาซาล่า ที่อเวเค่นกินยังเหลืออีกกว่าครึ่งจาน

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมกินเหลือล่ะ?” พ่อครัวถามด้วยสายตาเป็นห่วง

“เอ่อ...ปวดท้องน่ะ ขอโทษด้วย” อเวเค่นตอบด้วยสีหน้าที่ซีดและมีเหงื่อซึมผุดเต็มหน้าผาก

“อา...ขอโทษครับ สงสัยจานนี้คงจะหนักไปหน่อย ผมน่าจะทำอะไรเบาๆ กว่านี้ให้คุณทาน” ชเนย์เก็บจานที่อีกคนทานเหลือเอาไปซีลเก็บไว้ “เดี๋ยวผมพาคุณไปพักนะ”

“อืม...รบกวนด้วย” ชเนย์แอบแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ อเวเค่นถึงนิ่งผิดปกติทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคึกอยู่เลย หรือจะปวดท้องหนักมากจริงๆ นะ...

"จะไม่ให้ผมช่วยจริงเหรอ? " พอมาถึงหน้าห้องอเวเค่นก็ออกปากขออยู่คนเดียว ชเนย์ยืนสงสัยระหว่างร่างเล็กกว่ากำลังเดินเข้าห้องตัวเอง

"ไม่เป็นไร ผมอาจจะแค่เพลียๆ " อเวเค่นปั้นหน้ายิ้มให้ แต่ชเนย์ดูยังกังวลอยู่ ทว่าไม่อยากขัดใจอีกคน

"งั้น...ถ้ามีอะไร ผมอยู่ในครัวนะครับ"

เสียงประตูปิดลงเบาๆ เป็นคำตอบ ชเนย์ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนั้นสักครู่ก่อนเดินกลับครัวอย่างเป็นกังวล แต่เมื่อเดินมาถึงครัว คนที่มานั่งรออยู่ทำเอาหัวสมองของเขาว่างเปล่าทันที

"ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมาน่ะ? " เจ้านรกนั่งยกเท้าพาดโต๊ะ แขนยกขึ้นประสานไว้หลังศีรษะ

"...อย่าเอาขาพาดขึ้นโต๊ะแบบนั้นสิครับ" พ่อครัวขมวดคิ้ว แต่ริมฝีปากเจือรอยยิ้มยินดีแสนประหลาด







อเวเค่นนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง นึกเจ็บใจที่ตัวเองแสดงความอ่อนแอแบบนั้นออกมา ทั้งที่คิดว่าตนแกร่งพอและเตรียมใจมาอยู่ที่นี่ดีแล้ว แต่แรงกดดันมหาศาลนั่นทำเอาเข่าอ่อนเลย

“แค่นี้เอง ไม่เท่าไหร่หรอกน่า...” ยกมือที่ปิดหน้าขึ้นมองดู แม้จะยังสั่นอยู่เล็กๆ แต่เจ้าตัวก็กำมันเอาไว้แน่นเพื่อเรียกเอาความมั่นใจคืนมาทีละนิด

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มเจ้าของห้องเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน ในใจเผลอคิดว่าเป็นพ่อครัวคนนั้น

อเวเค่นดันตัวลุกขึ้นแล้วเอามือจับสะโพกที่ยังเหลืออาการปวดนิดๆ ตรงไปเปิดประตู ทว่าร่างที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่เขาคิด

“มีธุระอะไร...” ถามไม่มีหางเสียงต่อแขกไม่รับเชิญที่ยิ้มหน้าเป็นให้อย่างเคย

“มีแน่นอนครับคุณนักฆ่า” ไคม์ถอนตัวออกจากหน้าประตู “แต่คุยที่นี่ไม่สะดวกเท่าไหร่ ช่วยตามมาด้วยกันหน่อยได้รึเปล่าครับ?”

“ถ้าไม่ไปจะทำไม?”

“หึๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พ่อครัวประจำตัวของคุณอาจจะมีปัญหานิดหน่อยนะครับ” ใบหน้ายิ้มเป็นกันเองแต่เต็มไปด้วยคำขู่ที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้

อเวเค่นกัดปากตัวเองแล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่สนว่าจะชนเข้ากับตัวคนที่ยืนขวางหรือไม่ ไคม์สืบเท้าเดินนำหน้าไปยังที่ๆ เหมาะกับการลากคนข้างหลังมาคุยอย่างที่สุด





ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #8


"เพิ่งผ่านมื้อเย็นไปเอง หิวอีกแล้วเหรอครับ? " ชเนย์ยกจานของหวานมาวางไว้ให้ผู้บุกรุกครัวก่อนเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม

"เจ้าผมแดงยังมากินอยู่รึเปล่า? " จู่ๆ เจ้านรกก็ถามขึ้นมา แม้สีหน้าท่าทางจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากบุคลิกอันแสนสบายดังเดิม แต่ชเนย์กลับหุบยิ้มลง แค่ไคม์คนเดียวยังไม่เท่าไหร่ ทว่าพอเริ่มมีการพูดถึงจากปากใครอีกคน ชเนย์เริ่มเอะใจว่าเพื่อนนักฆ่าของเขากำลังโดนหมายหัวอยู่หรือเปล่า?

....แต่เพราะอะไร?

"ก็มากินทุกมื้อนะครับ...มีอะไรรึเปล่า? " ลองทำใจกล้าถามไปตรงๆ

"ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ แต่ดูไคม์คงวางแผนจะทำอะไรแย่ๆ อยู่"

"เอ๋? " ชเนย์เริ่มหน้าซีด สมองยิ่งคิดอะไรไม่ออกอยู่แล้วยิ่งลนกว่าเดิม แต่ก็พยายามไม่ทำอะไรตามอารมณ์ "เค้าบอกคุณเหรอ? "

"เห็นหน้ามันข้าก็รู้แล้ว" เจ้านรกซัดของหวานจนหมดก่อนยิ้มออกมา "เป็นรอยยิ้มที่น่ารำคาญเป็นบ้า"



พออเวเค่นเดินตามไคม์มาก็ยิ่งคุ้นทิวทัศน์ขึ้นทุกที เพราะมันคือทางไปห้องครัวที่นักฆ่าหนุ่มแวะเวียนไปเป็นประจำ

“เฮ้ย...ลากมานี่หมายความว่าไง?” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์

“เดี๋ยวก็รู้ครับ อ้อ...แล้วก็ช่วยกรุณาหุบปากอยู่เงียบๆ สักครู่ด้วยจะขอบคุณมากเลยครับ” หันหน้ามายิ้มและกล่าวคำพูดแกมสั่ง อเวเค่นยักไหล่ ถ้าเขาจะพูดซะอย่างใครก็ห้ามไม่ได้ ทว่าจู่ๆ ไคม์ก็หยุดเดินก่อนจะถึงประตูห้องครัวอีกหลายสิบก้าว

อเวเค่นที่เดินตามเลยชะงักเท้าไม่ทันเผลอเดินชนเข้าเต็มๆ ไคม์หันมาแล้วเอามือปัดๆ เหมือนไม่อยากให้สิ่งสกปรกติดตัว

เห็นแล้วน่าโมโหเป็นบ้า...

“ดูเหมือนจะมาได้เวลาพอดี” รอยยิ้มเต็มไปด้วยเลศนัยเผยอกว้าง นักฆ่าหนุ่มขมวดคิ้วในคำพูดน่าสงสัยนั้นก่อนที่หูของเขาจะได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากในห้องครัว

"วันก่อนเจ้าทำอะไรให้นะ... เอ่อ..." จู่ๆ เจ้านรกก็เปลี่ยนเรื่อง แต่คนคิดมากยังไม่ยอมหยุดคิด "ที่เป็นสีขาวๆ นุ่มๆ "

"อ่ะ...อ้อ พันนาคอตต้าครับ"

"มีอีกมั้ย? "

“เสียงนี้มัน....” ดวงตาสีทองสั่นไหว ส่วนดวงตาของปิศาจเลขานั้นวาววับผิดกับมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ ตน

“ใต้เท้ากำลังคุยอยู่กับพ่อครัวของคุณไงครับ” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้หวังจะให้ได้ยินเสียงกระซิบของปิศาจนี้ “เวลาที่คุณไม่ได้อยู่กับเขา คนๆ นั้นก็มักจะอยู่กับใต้เท้าเสมอนี่แหละ”

"ก็ได้แหละครับ แต่ยังไม่ได้ตกแต่งเลย" ชเนย์ปั้นเสียงเริงร่ากลับมาเป็นปกติ แม้เรื่องของอเวเค่นจะยังเต็มหัว แต่พ่อครัวก็ไม่ควรปล่อยคนท้องหิวไว้แบบนี้

"กินได้ก็พอแล้ว" พอพูดแบบนั้นเจ้านรกก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ "เอาไปให้ข้าที่ห้องละกัน"

"เอ่ะ? " ชเนย์ถึงกับหยุดมือที่กำลังจะราดท็อปปิ้งลงบนของหวานจานใหญ่ทั้งสองจาน

"ตรงนี้ข้าคงกินไม่อร่อยเท่าไหร่"

ไคม์ที่ยืนอยู่ด้านนอกจับคอเสื้ออเวเค่นแล้วออกแรงเพียงนิดก็ลากร่างเล็กกว่าตนเข้ามุมมืดได้ง่ายดาย ก่อนที่อเวเค่นจะได้โวยวายอะไร ความกดดันหนักแน่นก็แผ่ผ่านมากระทั่งรับรู้ได้ว่าแม้แต่ลมยังหยุดพัด

อเวเค่นแทบหยุดหายใจเมื่อร่างสูงใหญ่ของผู้ปกครองนรกก้าวออกมาอยู่นอกครัว

"เอ๋...เอ่อ คือ... ผมคงไปไม่ได้นะครับ" ชเนย์ยื่นหน้าตามออกมา "พอดีว่า...ต้องรอเพื่อนน่ะ แต่ปกติคุณก็ทานที่นี่ได้นี่นา"

เจ้านรกหันกลับมามอง รอยยิ้มขบขันผิดบรรยากาศฉาบบนหน้า"ข้าไม่ชอบเป็นตัวหมากในเกมใคร เจ้าก็รู้"

"เอ๋? " ชเนย์ยกแขนขึ้นเกาหัวงงๆ แต่ไคม์ที่แอบอยู่หน้านิ่งลงจนไม่เหลือแววตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อครู่

"ผม...ทำอะไรผิดรึเปล่าครับ?" พ่อครัวทำเสียงอ่อนลงเพราะโดนคนปฏิเสธอาหารของเขาตั้งสองรอบ

"เจ้าไม่ใช่ต้นเหตุหรอกน่า" เจ้านรกเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจับเอาหน้าหงอๆ ของอีกคนให้เงยขึ้นมาหา "เก็บไว้ก่อนละกัน เดี๋ยวข้ามาใหม่"

อเวเค่นสงสัยสุดๆ ที่ชเนย์ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งรอบตัวปิศาจชั้นสูงตนนั้นเลยสักนิด

เมื่อคนตัวใหญ่เดินหายลับไปจากทางเดิน อเวเค่นจึงหันกลับไปมองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครัว ใบหน้าที่คุ้นเคยเจือสีแดงสดกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น สีหน้าแววตาหลังแว่นสีเข้มและท่าทางนิ่งจังงังนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าชเนย์กำลังรู้สึกยังไงอยู่

“พอดีผมเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระที่ต้องไปคุยกับใต้เท้า คงต้องขอตัวก่อนนะครับ”

ไคม์ปล่อยมือที่จับคอเสื้อออก โดยที่อเวเค่นทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไร้การโต้ตอบ

“...เล่นกันแบบนี้เลยเรอะ” เสียงลอดไรฟันที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์เอ่ยออกมา

“ก็แค่อยากให้คุณรู้สถานะของตัวเองไว้หน่อยน่ะครับ” เบือนหน้าและเดินออกห่างมา แต่ปากยังคงกล่าววาจาเชือดเฉือน “หวังว่าคงจะตาสว่างขึ้นมาบ้างนะ... มนุษย์”

เสียงหัวเราะในลำคอค่อยๆ เงียบหายไปในความมืด ปล่อยให้คนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังฉากมหรสพทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นจนมือห้อเลือด

ทั้งท่าทาง แววตา น้ำเสียง ทุกอย่างมันบอกชัดเจน แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง... นี่ล่ะคือความเป็นจริง ที่ผ่านมาแกก็แค่ละเมอฝันไปเองเท่านั้น อเวเค่น... คำพูดไร้เสียงสะท้อนก้องอยู่ในใจของนักฆ่า







แม้จะรอแล้วรอเล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววของอเวเค่นโผล่เข้ามาในครัวเลย กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงมื้อค่ำ อาหารทุกชุดถูกยกออกไปให้ผู้ที่รออยู่ และชเนย์ก็เริ่มว่างจึงตัดสินใจยกอาหารชุดหนึ่งไปที่ห้องของนักฆ่าหนุ่ม แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับการเคาะเรียก ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปก็ไม่มีใครอยู่...การเดินตามหาจนทั่วปราสาทจึงเกิดขึ้นอีกรอบ ยิ่งนานเข้ายิ่งใจไม่ดี กลัวแค่ว่าไคม์จะทำอะไรแปลกๆ เหมือนที่เจ้านรกพูด อยากจะทำใจกล้าไปถามไคม์อยู่หรอก แต่ตอนนี้มัน...

"ไปไหนหว่า...ไหนว่าไม่สบายอยู่" จบลงที่การยืนสูบไปป์ควันฉุยอย่างหอบเหนื่อยอยู่ที่ระเบียงกว้างชั้นบนของตัวปราสาท เดินวนจนทั่วแล้วยังหาไม่เจอเลย

ชเนย์ถอนหายใจออกมาพร้อมควันจากไปป์ ตอนนี้สมองของเขาคิดอะไรแทบไม่ออกแม้แต่เมนูพื้นๆ เพราะโดนอเวเค่นปั่นหัวจนนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืนก่อน แล้วไหนจะยังมีเรื่องการแข่งที่ใกล้จะมาถึง แถมยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาอีกไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะกับนักฆ่าผมแดงคนนั้น...

ชเนย์นึกไม่ถึงเลยว่าพ่อครัวจำเป็นอย่างเขากับแมวขโมยที่แอบเข้ามากินอาหารจะมาลงเอยกันแบบนี้

ลมทะเลยามค่ำคืนพัดโชยเคล้าด้วยเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาปราสาทกลางน้ำ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มีเมฆสีทึบลอยบดบังจนแทบมองไม่เห็นดาวข้างบน ดวงตาของร่างสูงโปร่งเริ่มปรือด้วยความอ่อนล้า ตอนนี้ร่างกายของเขามาถึงขีดสุดทั้งเหนื่อยและง่วงมากเสียจนอยากล้มตัวลงนอนเต็มที...

“อยากตกทะเลลงไปตายหรือไง!” เสียงทะลุแก้วหูดังเข้ามาให้คนกำลังจะเคลิ้มได้สติทันที และเห็นว่าเมื่อกี้ถ้าเจ้าของเสียงไม่ทักเขาคงได้วูบหล่นจากระเบียงลงไปทักทายปะการังข้างใต้ทะเลนี้แล้ว

“คุณหายไปไหนมาน่ะครับ? ให้ผมเดินตามหาซะทั่วเลย” พอเห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้า ชเนย์ก็โล่งอกขึ้นมา

“ก็...เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย”

ชเนย์ทำหน้ามึนก่อนจะหรี่สายตามองอุปกรณ์ถ่ายรูปรุ่นที่จัดว่าคลาสสิกในมือของนักฆ่า“ไปเอาของแบบนั้นมาจากไหนเหรอครับ?”

“ยึดมาได้น่ะ” คำตอบกำกวมไม่ชัดเจน พอเห็นอีกฝ่ายยืนงง อเวเค่นจึงเฉลยว่าเป็นของผู้หญิงที่บุกรุกเข้ามาในปราสาท เขาเลยขังหล่อนไว้ในคุกใต้ดิน พ่อครัวหนุ่มจึงถึงบางอ้อ ที่แท้ก็เจ้าของถุงชุดชั้นในเมื่อตอนนั้นนี่เอง ว่าแต่...หล่อนยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย...?

แชะ!

อยู่ๆ อเวเค่นก็ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปหน้าคนง่วงแบบไม่ให้ตั้งตัว"ดูทำหน้าสิ"

"ไม่หิวเหรอครับ? แล้วที่ว่าปวดท้องล่ะ? " พอเห็นว่าอเวเค่นยังไม่โดนไคม์ลากคอไปก็ยิงคำถามไม่ยั้ง แต่คนถูกถามก็ไม่แยแสจะตอบ

"คุณนี่นอกจากจะเป็นคนดีแล้วยังซื่อบื้อสุดๆ เลยนะ" จู่ๆ ก็วิจารณ์ออกมาหน้าตาเฉย แถมกำลังเลือกภาพถ่ายที่เก็บไว้ในกระเป๋าตนออกมาเปิดหาภาพ "ดูนี่สิ เมืองเซฟิลตอนตะวันลับฟ้า สวยดีนะ"

"ค...ครับ" เหมือนพูดอะไรไปอีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับเลยต้องเป็นฝ่ายยอมตามน้ำเสียเอง

"ว่างแล้วสินะ? ไม่ได้มีนัดกับใครไว้ใช่มั้ย" อเวเค่นยิงคำถามหน้านิ่งจนผิดปกติ ชเนย์ทำแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ "โอเค คุณเต้นเป็นหรือเปล่า? "

"....บัลลาดพอไหวครับ... ละตินก็ได้" ชเนย์ยืนนึกตามอย่างว่าง่าย จนเพิ่งนึกได้ว่าที่ถามนี่ไม่น่าจะใช่แค่ความอยากรู้

"เต้นกับผมหน่อย"

“เอ๊ะ...เอ๋?” ชเนย์ร้องเสียงหลงทำหน้าเหวอ แต่ยังไม่ทันหายตกใจเขาก็โดนอเวเค่นจับมือลากมาที่ตรงกลางราวกับฟลอร์ในงานเต้นรำ

“คุณเต้นท่าผู้ชายตามปกติไปนะ ผมจะเต้นท่าของผู้หญิงเอง”

“เอ๊ะ!? เต้นได้เหรอครับ ทำได้ไง?” ระหว่างที่ถามก็โดนคนชวนเต้นจัดแจงตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้ว

“อย่าถามมากน่ะ!”

ตะเบ็งเสียงใส่กลบเกลื่อนหน้าแดง จริงๆ ก็ใช่ว่าจะอยากซะเมื่อไหร่ แต่ทำไงได้ล่ะในเมื่อเขาดันสูงน้อยกว่าอีกฝ่ายนี่ ชเนย์หลุดขำออกมาจนอเวเค่นต้องถามด้วยใบหน้าบูดว่าหัวเราะเยาะเขาหรือยังไง

“ขอโทษครับ คือ...คุณนี่ไม่เหมือนนักฆ่าเลยจริงๆ อ๊ะ! แต่ไม่ได้หมายความว่าผมสบประมาทคุณหรอกนะครับ” ชเนย์อธิบายเพราะกลัวอีกคนโกรธแต่อเวเค่นกลับไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างที่เขากังวล

“ก็โดนพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ล่ะนะ” ชายหนุ่มนักฆ่าเอ่ย มือข้างหนึ่งจับบ่าคนตัวสูง อีกมือก็จับประสานกับมือหนาและกุมไว้แน่นพอที่จะไม่หลุดตอนเต้น

“จากใครเหรอครับ?” สายตามองต่ำลงมาหาคนตัวเล็กกว่าอย่างใครรู้คำตอบ

“เพื่อนน่ะ แต่หมอนั่นไม่อยู่แล้วล่ะ” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงฟังดูเหงาจนแอบใจหาย

“เหรอครับ...” ชเนย์เลือกที่จะเงียบเพราะเดาว่าเพื่อนของอีกฝ่ายที่ว่านั่นคงจะไม่อยู่ที่ไหนๆ ในโลกนี้แล้ว “งั้น...เริ่มล่ะนะครับ”

ชเนย์เป็นฝ่ายออกนำคู่เต้น เริ่มต้นต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ชินทำให้จับจังหวะผิดพลาดตั้งแต่เริ่มไปหลายครั้ง แต่พอนัดแนะกันดีๆ ก็เริ่มเข้าจังหวะโดยพร้อมกัน สองหนุ่มร่ายรำเยื้องย่างกันเชื่องช้าตามจังหวะของเสียงคลื่นที่ใช้ต่างเพลงบรรเลง แอบรู้สึกแปลกอยู่บ้างที่คู่เต้นดันเป็นเพศเดียวกันซะนี่

"อีกไม่กี่วัน อาจจะมีใครสักคนหรือเราทั้งคู่คงหายไปจากโลกนี้" จู่ๆ อเวเค่นก็พูดขึ้นลอยๆ ก้มหน้าลงมองจังหวะเท้าแต่ก็ดูคล้ายจะหลบหน้าอีกคน

"...หรือบางทีอาจจะรอดทั้งคู่ก็ได้นะครับ" ชเนย์ยิ้มบางให้แต่อเวเค่นก็ไม่ได้เห็นมัน

"มองโลกในแง่ดีจังนะ อาจารย์คุณสอนมาแบบนั้นเหรอ? "

"ประมาณนั้นแหละครับ" ชเนย์มองขึ้นไปด้านบน เมฆครึ้มลอยหายไปเปิดม่านท้องฟ้าพราวดาวไร้เมฆบดบัง แต่กลับดูหม่นหมองอย่างประหลาด เงาของสองร่างเต้นรำภายใต้แสงดาวโดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาขัดบรรยากาศ แม้ว่าในใจต่างมีเรื่องที่อยากพูดมากกว่านี้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แม้อากาศตอนกลางคืนจะเริ่มเย็นขึ้นแต่ทั้งคู่ก็ยังคงปล่อยใจไปตามจังหวะ

“...อย่ารีบตายซะล่ะ”

“คุณเองก็เหมือนกันนะครับ”

ดวงตาทั้งสองสบมองและยิ้มให้กัน ในจังหวะสุดท้ายชเนย์ดึงอเวเค่นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด คนที่ไม่ทันเตรียมตัวเลยเสียหลักเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนร่างสูงโปร่ง

มือหนาช้อนคางของร่างเล็กกว่าให้เงยขึ้นมารับจุมพิต ดวงตาสีทองเบิกกว้างก่อนจะหลับตารับสัมผัสที่ประทับลงมาบนริมฝีปาก ปลายลิ้นอุ่นผลัดกันแลกรสจูบหอมหวานอย่างเนิบช้าไม่เร่งเร้า จนกระทั่งคนเริ่มเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อนจะก้มหน้าลงไปซุกที่บ่าคู่เต้นรำ

“ผมง่วงแล้ว พาผมไปนอนทีสิครับ” ใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายของวันนี้หมดไปกับการเต้นรำเมื่อครู่ ตอนนี้ร่างสูงโปร่งทิ้งน้ำหนักโถมใส่จนคนตัวเล็กกว่าแอบบ่นอุบในใจว่าหนักเหมือนกำลังแบกหมี

“เป็นเด็กรึไงถึงได้จะให้พาไปเข้านอนเนี่ย?” ยกมือขึ้นทุบท้ายทอยไปทีหนึ่งแต่ไม่ได้แรงมากเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ

“นะครับอเวเค่น...ผมไม่ไหวแล้ว” เอ่ยเสียงอ้อนเป็นเด็กน้อย ทั้งๆ ที่ตัวใหญ่กว่าอีกคนตั้งเยอะ

“อา... เอางั้นก็ได้” หนุ่มนักฆ่าใจอ่อนเอ่ยตอบรับ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าหน้าของพ่อครัวที่กำลังยิ้มกว้างอยู่บนไหล่ของตนมีความสุขขนาดไหน

อเวเค่นกึ่งลากกึ่งเดินแบกชเนย์มาถึงห้องของเจ้าตัวได้ก็โยนลงใส่ที่นอนจนตัวเด้ง ทำเอาบรรยากาศตอนเต้นรำดีๆ เมื่อครู่กลายเป็นเหมือนความฝันไปในชั่วพริบตา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง เพราะตอนเต้นนั้นต่างคนต่างเก็บอาการขำกันเองสุดฤทธิ์ เกิดมาในชีวิตคงไม่มีโอกาสได้เต้นรำแบบนี้ที่ไหนอีกแล้ว

“อเวเค่น” พ่อครัวจะเป็นเรียกอีกฝ่ายแล้วเอามือตบๆ ข้างที่นอนคล้ายจะบอกให้มานอนข้างๆ กัน

“เรียกทำไม ไหนว่าจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ?” นักฆ่าหนุ่มดันตัวลุกขึ้นทำท่าจะลุกออกไป แต่โดนอีกฝ่ายจับชายเสื้อไว้ซะก่อน

“คืนนี้นอนด้วยกันเถอะนะครับ” เอ่ยจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ให้พามาส่งที่ห้องนอน ร้ายกาจนัก...

“ไม่ล่ะ...” ส่ายหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ชเนย์ทำคิ้วตกปั้นหน้าเหมือนหมาหงอยใส่อีกคนที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดไปแล้ว

คนอะไรขี้โกงชะมัดยาด...

"อืมครับ...งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ อ้อ! อาหารอยู่ในตู้เย็นนะครับ"

ชเนย์พูดตามหลังอเวเค่นที่กำลังก้าวออกจากห้อง หนุ่มผมแดงแค่หันมาหาแล้วยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไรก่อนจะปิดประตูลงไป

"ใกล้จะจบแล้วสินะ..." นักฆ่าพึมพำกับตัวเองแล้วก้าวเท้าไปทางห้องครัว






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
แจ็คพอตเหลือเกินที่มีคนเดินมาทางห้องครัวด้วย แม้จะคนละจุดประสงค์

"อ้าว...ดูสิว่าใครมา" ร่างสูงใหญ่สีขาวโพลนทั้งตัวโดดเด่นท่ามกลางความมืด เจ้านรกเดินมาจากอีกด้าน ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าห้องครัวพอดิบพอดี

...แม้ตอนนี้จะไม่มีไอพลังสุดสะพรึงแบบเมื่อกลางวันแต่อเวเค่นก็ยังรู้สึกเกร็งเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าอยู่ดี เขาโค้งตัวให้แทนการแสดงความเคารพก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองตรงโดยไม่หลบสายตา

“ถ้าท่านเจ้านรกมาหาชเนย์ล่ะก็ ตอนนี้เขาไปพักผ่อนแล้วล่ะครับ”

“โฮ่ อย่างนั้นเองหรอกเหรอ” หรี่ตามองดวงตาสีทองที่กล้าท้าทายโดยไม่เกรงกลัว “ขอบใจที่มาบอกนะเจ้าหนุ่ม”

“มิได้ครับ” โค้งให้อีกครั้งก่อนขอตัวเข้าครัว ทว่า...

“เดี๋ยวก่อน” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยทักแกมบังคับให้มนุษย์อยู่คุยด้วยกันก่อน

“ท่านมีธุระอะไรกับมนุษย์อย่างผมหรือครับ?” นักฆ่าหนุ่มหันตัวกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่

“แค่อยากคุยอะไรด้วยนิดหน่อย”

"...งั้น ผมว่าหาอะไรกินระหว่างคุยมั้ยครับ เขาน่าจะเก็บของกินไว้ให้ท่านอยู่นี่"

"นั่นสิ เอางั้นละกัน! " ร่างสูงใหญ่ยักไหล่แล้วเดินนำคนเสนอเข้าไปข้างใน

ทำไมต้องเวลานี้ด้วย...

อเวเค่นกำลังอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวแต่ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดซะงั้น ต่างคนต่างหยิบเอาเมนูที่พ่อครัวเก็บไว้ให้มานั่งกินกันคนละฝั่งของโต๊ะ

"ท่าทางสนิทกันมากนะ กลิ่นถึงได้ติดตัวขนาดนั้น" เจ้านรกเอ่ยทักขึ้นมา อเวเค่นกำลังจะเอาแครปปูที่เพิ่งหั่นเข้าปากก็ชะงักเพราะคนฝั่งตรงข้ามดันจมูกดีได้กลิ่นเฉพาะตัวของพ่อครัวที่ติดตัวเขาอยู่...

"ครับ" โกหกไปก็ใช่จะได้ผลเลยยอมรับออกไปง่ายๆ ท่าทีสบายๆ ของผู้สูงศักดิ์นั้นทำให้เขาอ่านไม่ออกสักนิดว่าคิดอะไรอยู่

"คิดยังไงล่ะ? กับเจ้านั่นน่ะ" ดวงตาสีอ่อนผิดมนุษย์จ้องมาตรงๆ แววตาดูซุกซนต่างจากบุคลิกที่คิดไว้ครั้งแรก

“ถึงผมจะคิดยังไงมันก็คงไม่สำคัญแล้วล่ะครับ” พอนึกถึงสีหน้าท่าทางของคนถูกพูดถึงในบทสนทนาขึ้นมา นักฆ่าหนุ่มก็ฉายความเศร้าออกมาในแววตา “ท่านเองก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าความรู้สึกลึกๆ ของเขาเป็นยังไง”

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ อย่าเบี่ยงประเด็นสิ” สายตาคมกริบจ้องมาราวกับกำลังจับผิด

“ครับ...” ยิ้มอย่างยอมรับความพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายที่มองทะลุปรุโปร่ง สมแล้วที่อยู่มานาน “คำตอบแบบมนุษย์ก็คงจะชอบล่ะครับ”

“หืม? ‘คงจะ’ อย่างงั้นหรือ?” เจ้าผู้ปกครองนรกทวนคำพูดกำกวมนั้น “นั่นฟังดูเหมือนไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่เลยนะ”

“แหม...คนเรามันก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างสิครับ จะได้ไม่เจ็บปวดมากตอนถึงวันที่ต้องสูญเสียไปจริงๆ” อเวเค่นเอ่ยสิ่งที่คิดออกมาให้เจ้านรกได้รู้เป็นคนแรก ขนาดกับคนบางคนเขายังไม่คิดจะบอกเลยด้วยซ้ำ

"งี้นี่เอง อุตส่าห์เตือนแล้วแท้ๆ " ประโยคหลังและสายตาที่เปรยไปทางอื่นทำให้รู้ว่ากำลังพูดถึงบุคคลที่สาม เจ้านรกยกสองขาขึ้นพาดโต๊ะตามความเคยชิน แม้จะโดนพ่อครัวห้ามเท่าไหร่ก็ยังคงทำอยู่

"เตือน? " ความอยากรู้ทำให้ถามออกไปห้วนๆ อย่างเคยชิน

"โฮ่ แบบนั้นแหละดี ข้าเบื่อคำพูดพิธีรีตอง" แต่ท่านเจ้านรกดูท่าจะชอบเสียมากกว่า "เจ้านั่นเป็นคนดีที่ซื้อบื้อสุดๆ นี่นะ"

คนเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปากพยักหน้ารับเห็นด้วยทุกคำ

"น่าสนุกจริงๆ " เสียงทรงอำนาจหลุบโทนต่ำลงจนแทบไม่ได้ยิน อเวเค่นเงยหน้ามามองเหมือนจะถามว่าเมื่อกี้ร่างสูงพูดอะไร? "ดูทำใจยากน่าดูนะเจ้าน่ะ"

“คนเพิ่งผิดหวังก็อย่างนี้แหละครับ” มือเลื่อนไปหยิบเครื่องดื่มมาจิบหลังกลืนอาหารเพื่อให้พูดได้คล่องคอขึ้น “แต่เดี๋ยวก็ด้านชาจนลืมความเจ็บไปได้เอง”

“ฟังดูพูดเข้าสิ” เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจแค่นหัวเราะเวทนามนุษย์ตรงหน้า “แค่นี้ก็ยอมแพ้ซะแล้ว ไม่คิดอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักหน่อยรึ?”

“ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็ไม่แน่ แต่กับเรื่องนี้สู้ไปก็แพ้เห็นๆ นี่ครับ” มือข้างหนึ่งยกมาเท้าคาง อีกมือยกแก้วค็อกเทลขึ้นมาหมุนคอแก้วเล่นไปเรื่อย

ร่างสูงใหญ่ซัดขนมจนหมดก็วางทิ้งไว้อย่างนั้นเพราะยังไงก็มีปิศาจรับใช้สักตนเดินเข้ามาเก็บอยู่เป็นปกติก่อนเช้าอยู่แล้ว เจ้านรกลุกขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณว่าหมดธุระแล้ว

"แล้วแต่เจ้าละกัน" น้ำเสียงบ่งบอกได้ว่าแลจะเบื่อหน่ายสุดๆ

"ธุระแค่นี้ถึงกับต้องมาพูดด้วยตัวเองเลยเหรอครับ? ส่งสมุนคุณมาก็ได้นี่"

"ไม่ล่ะ ข้าไม่ชอบอะไรที่มันง่ายเกินไป..." ร่างสูงเดินเอื่อยเฉื่อยออกจากครัว "แต่ถ้าเจ้าไม่คิดจะทำอะไรแล้วก็ช่างเถอะ บางทีเจ้าไคม์ก็ยุ่งมากไปหน่อย"

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อกลางวัน แน่นอนว่าเจ้านรกก็รู้อยู่แล้วว่าที่ตรงนั้นมีไคม์และอเวเค่นแอบอยู่ เพราะงั้นถึงจะพูดแบบนี้ไปก็ไม่แปลกเท่าไหร่

“แล้วถ้าเกิดสมมุติว่า...ผมคิดจะทำอย่างจริงจังขึ้นมาล่ะครับ ท่านเจ้านรกอย่างคุณจะว่ายังไง?” คนที่ยังนั่งอยู่กับโต๊ะเอ่ยเป็นการลองเชิง

ร่างสูงใหญ่หันมาสบตาสีทองคู่นั้นที่ดูมีแววเอาจริงขึ้นมาครู่หนึ่ง“หึ...ก็ลองดูสิ แล้วข้าจะรอดูผลของความดันทุรังนั้นให้”

กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะก้าวออกไปจากห้องครัว ปล่อยให้คนที่ยังนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองยึดห้องนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว

“อย่างน้อยก็ช่วยพูดว่าความพยายามมากกว่าความดันทุรังไม่ได้หรือไงนะ” อเวเค่นลอบยิ้มให้กับคำพูดของจ้าวผู้ครองโลกแห่งความตาย

ลองเล่นของสูงดูสักครั้งจะเป็นอะไรไปแววตาที่หมดไฟไปแล้วกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขารีบจัดการอาหารของตนจนหมดจาน แต่ก็ยังมิวายเดินไปเปิดตู้เพื่อหาอะไรใส่กระเพาะเพิ่มอีก

ทีแรกก็คิดว่าจะยอมตัดใจง่ายๆ อยู่หรอก แต่แย่หน่อยนะ...เพราะว่าเขาดันเป็นพวกเกลียดความพ่ายแพ้เข้ากระดูกดำซะด้วยสิ







“นี่มันเรื่องอะไรกัน? อธิบายให้ผมฟังจะได้ไหมครับ”

เช้าวันรุ่งขึ้น ไคม์กลอกตามองคนสองคนที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้กำลังนั่งเอกเขนกรอกินอาหารเช้าก่อนใครอยู่ในห้องครัว

“ถามได้ ก็รอทานข้าวเช้าอยู่ไง”

ณ ตอนนี้ ตรงหน้าสมุนอันดับหนึ่งของเจ้านรก อเวเค่นได้เสนอหน้ามากินของทานเล่นอยู่ในครัวพร้อมกับนายเหนือหัวของตน และมีพ่อครัวอย่างชเนย์ยืนทำอาหารอยู่เป็นฉากหลังโดยที่ไม่มีเวลามาสนใจสงครามประสาทระหว่างนักฆ่ากับมือขวาเจ้านรกที่กำลังก่อตัวในห้องครัว

สาเหตุก็เพราะชเนย์ดันเผลอตื่นสายเลยต้องมาเร่งทำมื้อเช้าที่เลทไปพอสมควรแล้ว และนั่นก็เลยทำให้ทั้งอเวเค่นและเจ้านรกซึ่งรอไม่ไหวมานั่งกดดันรอกินอยู่ที่นี่โดยพร้อมกัน

เส้นความอดทนของไคม์กระตุก ก่อนจะดึงแขนและลากอเวเค่นออกไปคุยหน้าห้องครัว แต่เจ้านรกเรียกรั้งไว้ว่ามีอะไรให้คุยกันที่นี่ตรงนี้ อย่าได้แอบไปทำอะไรลับหลังตนอีก ไคม์จึงปล่อยแขนอเวเค่นและพยายามคุยให้เสียงเบาที่สุด

“นี่ขนาดผมเตือนไปแล้ว แต่คุณก็ยังรั้นไม่ฟังอะไรเอาซะเลยจริงๆ นะครับ” แม้ปิศาจมือขวาจะพยายามใจเย็นลงแต่ข้างในนั้นบอกได้เลยว่ากำลังเดือดไม่ใช่น้อย

“ถ้าคิดจะขู่กันล่ะก็ของแค่นี้ไม่เจ็บไม่คันเท่าไหร่หรอก” อเวเค่นยิ้มข่ม ถึงตอนเห็นภาพบาดตามันจะปวดใจจริงๆ ก็เถอะ แต่เรื่องอะไรที่เขาต้องยอมรับบทเป็นฝ่ายถูกเล่นงานจากปิศาจนิสัยแย่พรรค์นี้ด้วยล่ะ

“แหมๆ ผมนี่ไม่รู้จะเรียกมนุษย์หน้าทนเหลือรับอย่างคุณว่ายังไงดีเลยนะครับเนี่ย”

“ขอบคุณที่ชม และขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าผมก็จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ด้วย พอดีว่าผมเป็นพวกช่างตื๊อน่ะนะ”

ทั้งสองส่งสายตาข่มกันไปมาโดยไม่มีใครยอมใคร ราวกับงูเห่าและพังพอนซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติมาเจอกันก็ไม่ปาน

“เอ่อ...จะไม่ห้ามอะไรสองคนนั้นหน่อยเหรอครับ?”

แม้ว่ามือจะง่วนอยู่กับการทำอาหาร แต่ก็กังวลจนต้องหันมาถามคนที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเพียงหนึ่งเดียวในห้องครัวนั้น

“ปล่อยพวกมันสองคนกัดกันไปเถอะน่า” ท่านเจ้านรกหยิบของกินเล่นไปพลางดูภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสได้เห็นภาพคนที่กล้าตีฝีปากกับไคม์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีกฝ่ายที่เป็นมนุษย์ด้วย สมุนมือขวาของท่านเจ้าคงหงุดหงิดหัวเสียอยู่ไม่น้อยที่โดนสิ่งมีชีวิตต่ำชั้นกว่าปิศาจที่อีกฝ่ายดูจะภาคภูมิใจมากกล้าเถียงคอเป็นเอ็น

“ปากดีอย่างนี้ ระวังจะไม่มีเงาหัวอยู่กับตัวเข้าสักวันนะครับ”

“คิดว่ากลัวรึไง จัดมาตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ พอดีคันไม้คันมือขี้เกียจรออยู่เหมือนกัน”

บรรยากาศก่อเค้ามาคุยิ่งกว่าเดิม ชเนย์เริ่มกังวลว่าห้องครัวกำลังจะเปลี่ยนเป็นสมรภูมิในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้

“ทำไมสองคนนั้นถึงไม่ถูกกันได้ขนาดนี้น่ะครับ ไปมีเรื่องอะไรกันมาก่อนหน้านี้โดยที่ผมไม่รู้รึเปล่า?” หยุดมือจากการทำมื้อเช้าแล้วก้มลงไปกระซิบถามท่านเจ้านรกที่กำลังดูเพลินๆ

“หึ! เจ้าซื่อบื้อเอ๊ย” หัวเราะใส่หน้าพ่อครัวทีหนึ่งแล้วก็หันไปดูมวยคู่เอกในเช้านี้กำลังขู่ใส่กันฟ่อๆ ตามเดิม

“เอ๋?” ชเนย์ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกที่โดนเจ้านรกว่าเข้าให้ เหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ ในเช้านี้คงเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลก







“กำลังทำอะไรอยู่หรือครับ?” ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเข้มมองนักฆ่าหนุ่มที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับกระดาษกองโตที่ถูกพับเป็นรูปเครื่องบิน บางอันพับเนี้ยบบางอันก็พับเบี้ยวๆ อย่างขอไปที

“สนใจมาเล่นด้วยกันมั้ยคุณพ่อครัว?” หันมาถามโดยที่มือยังคงพับไม่หยุด ร่างสูงโปร่งลองเดินมาดูกระดาษบนโต๊ะบางส่วนที่ยังไม่ถูกนำไปพับเล่น กระดาษสีขาวที่มีรูปใบหน้าและข้อมูลของเหล่าคนที่เขาไม่รู้จักมากมายแต่ก็พอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร

“พวกนี้คือนักแข่งของฝั่งเซฟิลสินะครับ ไปรวบรวมมาได้เยอะน่าดูเลยนี่นา”

ชเนย์ถือวิสาสะคลี่เครื่องบินพับอันอื่นๆ ออกมาเปิดดู เท่าที่ประเมินจากจำนวนดูคร่าวๆ แล้วอีกฝั่งนั้นมีคนมากกว่าผู้สมัครของฝั่งนี้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากมายเท่าไหร่

“ว่าแต่...เอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลมาเหรอครับ?” ลองถามดูเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ชเนย์เห็นอเวเค่นทำอย่างอื่นนอกจากกิน...

“ผมก็ไม่ได้ตัวติดอยู่กับคุณตลอดเวลาสักหน่อยนี่” อเวเค่นฉกเครื่องบินกระดาษในมือชเนย์ขว้างออกไปให้มันร่อนไปมาในห้อง พ่อครัวหนุ่มอดคิดในใจไม่ได้ว่าเสียดายของ แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงอ่านจนเข้าหัวหมดแล้วถึงได้เอาข้อมูลสำคัญพวกนี้มาพับแล้วร่อนไปทั่วแบบนี้

“แล้วที่บอกว่าจะไปอยู่ข้างนอกตลอดเจ็ดวันนี่ไม่ทำแล้วเหรอครับ?” ชเนย์ถามไปพลางหยิบกระดาษเอามาพับบ้าง

“ไม่ล่ะ อยู่นี่ก็สบายดี มีที่ให้นอน มีอาหารอร่อยๆ ให้กิน ไม่รู้จะออกไปข้างนอกให้ลำบากทำไม” พอเห็นอีกคนพับให้ อเวเค่นก็เอาแต่ขว้างเครื่องบินกระดาษไม่สนใจพับต่อ

“ฮะๆ เปลี่ยนใจง่ายจริงๆ เลยนะครับคุณเนี่ย” ส่ายหน้าพลางยิ้ม แล้วก็ได้เครื่องบินกระดาษของตัวเองมาหนึ่งลำ

“อื้ม แต่ไม่ตัดใจง่ายๆ หรอกนะ” เอ่ยจบ เครื่องบินกระดาษที่ปาออกไปก็วนกลับมาชนเข้าที่หัวของพ่อครัว...แม่นราวกับสั่งได้

“เอ่อ...พูดอะไรกำกวมอีกแล้วนะครับคุณเนี่ย” ชเนย์หันไปสนใจกับการพับเครื่องบินลำต่อไปแทน

...เหลืออีกไม่กี่วันก่อนจะถึงวันที่สงครามเริ่มต้นขึ้น...

ทว่า...อะไรก็เกิดขึ้นได้กับอนาคตที่ยังไม่มาถึงทั้งสิ้น…







ค่ำของวันมาเยือน ดาวสว่างไสวเต็มฟ้ามากกว่าคืนไหนๆ เพราะเป็นคืนฟ้าเปิด และไม่มีแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนมากมายนัก

หลังจากเก็บครัวเป็นที่เรียบร้อย ชเนย์ก็หยิบเอาไวน์ที่นำมาเสียมากมายสำหรับทำอาหารมานั่งจิบที่ระเบียงชั้นสูงสุดของปราสาท ลมทะเลกลางคืนปะทะหน้าแผ่วๆ พอให้ความคิดไม่ล่องไปไหนไกลนัก ชเนย์เอนหลังพิงกำแพงปราสาท เงยหน้าพินิจประกายแสงเล็กๆ บนฟ้า

“ตายแล้วไม่กลายไปเป็นดาวหรอก” เสียงทุ้มทำลายความสงบของราตรี เจ้านรกยืนมองอีกคนอยู่ที่ประตู ไม่แน่ใจว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คงจะยืนมองนานเสียจนต้องทักเพราะชเนย์ไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน

“แหม กำลังหวังว่าอยากจะอยู่ข้างๆ ดวงนั้นอยู่เลย” ยกมือขึ้นชี้ไปบนฟ้าเพื่อระบุตำแหน่งดาวดวงที่หมายตา

“มีธุระอะไรเหรอครับ?”

เจ้านรกเดินมาหยุดพิงกำแพงข้างชเนย์ แต่เว้นระยะไว้พอให้ไม่โดนมืออีกฝ่ายเอื้อมมาถึงได้“เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจข้าจริงๆ รึ?”

“....?”

“ไอ้ที่เจ้าพยายามมาวอแวกับข้าตลอดเวลานั่นน่ะ”

“อ้อ…นั่นน่ะ...” ชเนย์คลี่ยิ้มน้อยๆ ยกไวน์ขึ้นจิบหลังทิ้งไว้ให้พอได้ที่อย่างใจเย็น “ไม่มีทางหรอกครับที่ผมจะเข้าใจว่าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายขนาดไหน”

“...”

“คุณมีพลังขนาดที่จะคว้าทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง มีอำนาจพอจะช่วงชิงหรือมอบชีวิตแก่ใครก็ได้ นี่ยังไม่นับว่าคุณมีชีวิตอยู่มานานกว่ามนุษยชาติอีกนะ…”

ร่างเล็กกว่าพูดแจกแจงด้วยน้ำเสียงแจ่มใส มือข้างที่เว้นว่างจากแก้วใสยื่นขึ้นบนฟ้า เล็งเอาดาวดวงน้อยที่ตนจ้องมองเหมือนจะสามารถหยิบมาได้จริงๆ “แต่ผมไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ”

พอจบประโยค ชเนย์ก็ดึงมือกลับมาและผายฝ่ามือไปทางเจ้านรกให้เห็นว่าไม่มีอะไรมี่เขาเก็บมาได้เหมือนที่ตั้งใจ แต่อีกคนก็ไม่ได้หันมามอง ชเนย์เลยชักมือกลับรวดเร็วเหมือนกำลังเขินที่เล่นบทซึ้งแล้วคนฟังไม่สนใจ…

“สมมุติว่า…” เจ้านรกคว้าเอาขวดไวน์ที่อยู่ข้างๆ ชเนย์มายกดื่มโดยไม่สนสายตาคัดค้านของอีกฝ่าย “...เจ้าเจอคนที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตจนทิ้งทุกอย่างไปแล้ว เจ้าก็จะทำแบบเดิมนี่อีก?”

“ให้ผมรอดจากการแข่งก่อนเถอะ” ชเนย์หัวเราะร่วน แต่ตายังจ้องไวน์ในมือเจ้านรกเขม็ง “คุณควรรินทิ้งไว้ในแก้วก่อน ไม่งั้นจะไม่ได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของมันนะครับ”

“ข้าจะดื่มมันตอนไหนก็เรื่องของข้า” พอจะยกขึ้นกระดกอีกรอบก็โดนมือของอีกคนหยุดไว้ก่อน

“อย่ามากินอาหารผิดวิธีต่อหน้าพ่อครัวสิครับ…” ถึงจะโดนจ้องอย่างไม่พอใจแต่คนห้ามก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่อาจโดนกระชากตัวออกเป็นชิ้นๆ อีกสักรอบเหมือนวันแรก เจ้านรกจึงยอมปล่อยขวดไวน์ในมือง่ายดาย

ชเนย์ยื่นแก้วในมือที่มีไวน์เหลืออยู่มาให้แทนด้วยใบหน้าสดใสดังเดิม เหมือนจะเชื้อเชิญให้ลองในวิธีที่ถูกต้อง ร่างสูงใหญ่รับมานิ่งๆ แต่ไม่ได้ลองชิมทันทีเนื่องจากยังค้างสายตาอยู่ที่อีกฝ่ายที่ไม่ยอมละสายตาไปจากตน

“สนุกรึไง?”

“......ไม่ครับ... แต่ผมเกลียดความว่างเปล่าในสายตาคุณน่ะ” บ่งบอกเป็นนัยๆ ว่าตนนั้นเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ขนาดไหน ชเนย์ถอดแว่นออกก่อนมองไปยังเมืองเซฟิลที่ตั้งตระหง่านประจันหน้ากับปราสาทด้วยตาตัวเองตรงๆ ไม่ผ่านแว่นกันแดด “ซึ่ง...สรุปแล้วก็ยังคงทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม…”

“จะยอมแพ้แล้วเรอะ?” เจ้านรกแอบจิบไวน์ที่ได้มา รสชาติที่แตกต่างอย่างชัดเจนทำเอาตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

“ยังไม่ยอมง่ายๆ หรอกครับ แค่จะเปลี่ยนวิธีน่ะ” ตาไร้แววจดจ้องไปที่แสงไฟภายในเมืองอย่างหมายจะดับแสงไฟเหล่านั้นให้หายๆ ไปเสีย “ถ้าความสนใจของคุณมีเพียงเป้าหมายเดียวคือเทศกาลนองเลือดในเมืองนี้….”

“อา….นั่นข้าก็…”

“งั้นผมจะช่วยทำให้มันมีสีสันขึ้นมาให้เต็มที่เองครับ” ยังไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะจบประโยค ชเนย์ก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่อยากได้ยินสิ่งที่กำลังจะหลุดปากอีกคนออกมา

“ข้างล่างมีไวน์ที่รสชาติดีกว่านี้อีกนะ เลือกไว้เผื่อฉลองด้วยเลยดีมั้ยครับ?”

ถึงจะเป็นประโยคคำถามทว่าการกระทำที่ลุกพรวดขึ้นคือแกมบังคับ คนยื่นข้อเสนอคว้าแก้วไปถือด้วยมือข้างเดียวกับที่มีขวดไวน์อยู่อย่างชำนาญเหมือนจะเร่งให้อีกฝ่ายตามเขาไป เจ้านรกถอนหายใจแล้วลุกตามอย่างเสียมิได้… แต่เดินไปได้เพียงนิดผู้ตามก็หยุดฝีเท้าลงจนทำให้คนนำต้องหยุดตามอย่างสงสัย

“...ข้าล่ะไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ ...”

“เอ….คุณก็… ไม่เห็นต้องเข้าใจเลยนี่?”

ชเนย์หันมายิ้มให้ แต่เมื่อไร้แว่นบดบังก็รับรู้ได้ทันทีว่าดวงตาไม่ได้ยิ้มตามใบหน้าไปด้วย“คุณคือผู้บัญชาของที่นี่ และผม...หรือคนอื่นๆ ก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของคุณเท่านั้น”

“ด้วยการขัดข้าเสียหลายครั้ง?” เจ้านรกกระตุกยิ้มบางที่มุมปาก

“ฮะๆ ขออภัยที่นิสัยผมเป็นแบบนี้นะครับ” ร่างเล็กกว่าขยับเข้ามาใกล้ มือว่างข้างที่ไร้ขวดไวน์ทรงเรียวยาวเอื้อมไปช้อนมือของอีกฝ่ายขึ้นมา ประทับจูบลงบนมือหนาหุ้มเกราะเย็นเยียบ ค้างไว้ครู่หนึ่งก่อนผละริมฝีปากออกมาแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเจ้านรกลงง่ายๆ ซึ่งก็ไม่มีอาการขัดขืนอะไรแสดงออกมาให้เห็น

“วันนั้นเจ้าก็จะ...?”

พอจะพูดอะไรก็โดนนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากเหมือนจะบอกให้หยุด ชเนย์ปล่อยทั้งขวดและแก้วไวน์ให้ร่วงลงสู่พื้นราวกับว่ามันไม่มีค่าเทียบเท่าคำพูดที่จะหลุดออกมานี้ แต่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูงใหญ่ตรงหน้า

“วันนั้นคือวันที่คุณเฝ้ารอ แต่…” ชเนย์ไม่ได้เงยหน้ามามองอีกฝ่าย “ถ้าเกิดว่ามันไม่สามารถตอบสนองความเบื่อหน่ายของคุณได้ คุณจะทำยังไงต่อล่ะครับ?”

“.....”

ไม่มีคำตอบอะไรจากเจ้านรก ความจริงสิ่งที่เขาต้องการจะทำจริงๆ ก็ไม่ได้บอกกับใครนอกจากการหารือกับไคม์เพียงสองคน แต่ประเด็นเรื่องความเบื่อหน่ายส่วนตัวนี้ก็ไม่ได้ถูกแก้ไขอยู่ดี…

“ขออภัยเรื่องที่ทำระเบียงปราสาทคุณเลอะเทอะด้วยละกันครับ” เมื่อเห็นว่าเรื่องของอนาคตอันใกล้ไม่น่าจะหาทางออกได้ด้วยการครุ่นคิดแบบนี้ ชเนย์หันขึ้นส่งยิ้มแห้งๆ ให้ราวจะบอกว่าสำนึกผิด

“ช่างมัน...” เจ้านรกยักไหล่ไม่ยี่หระเท่าใด “ตอนนี้ข้าหิว…”

“เอ๊ะ? เอ่อ...ถ้าจะกินทันทีนี่ก็มีแต่เมนูง่ายๆ นะครับ”






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #9


NC


เนื่องด้วยคำขอกึ่งบังคับของเจ้านรก ทำให้ชเนย์ต้องลงมาเปิดครัวเพื่อหาอะไรให้คนหิวกินยามดึกทั้งที่ได้เก็บข้าวของไปหมดแล้ว

“เป็นของหวานแทนได้มั้ยล่ะครับ? มีพันนาคอตต้าที่น่าจะพอทำให้กินได้ทันที” แม้จะยื่นข้อเสนอไปแล้วแต่พ่อครัวก็ยังค้นหาวัตถุดิบอื่นๆ ต่ออยู่ดี

“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เอาของพรุ่งนี้มาทำก่อนก็ได้” เจ้านรกหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่โดนย้ายไปวางไว้มุมห้อง

“อ่ะ…น่าจะทำข้าวปั้นให้ได้” พอนึกถึงข้าวที่ต้องหุงก็พลันนึกออกว่ามีทูน่าเหลือ “แต่ต้องรอข้าวสุกก่อนนะครับ”

ทว่าพอหันมาหาคำตอบก็เห็นท่านเจ้านรกกำลังละเลียดของหวานอยู่เงียบๆ กระนั้นสายตาก็ตอบกลับมาว่าแค่นี้ไม่พอยาไส้หรอก…

“...งั้นรอสักครู่” เริ่มไม่มั่นใจว่าบทสนทนาที่ระเบียงเมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะเขาแค่หิวเลยตามหาตนเองเพื่อหาอะไรให้กินหรือเปล่า

พอชเนย์เริ่มเข้าโหมดทำครัวก็ยกสมาธิทั้งหมดไปจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ บรรยากาศเลยเต็มไปด้วยความเงียบงัน แม้ของหวานจะหมดไปแล้วแต่เจ้านรกก็ไม่ได้ลุกหรือเรียกร้องเพิ่ม ตอนนี้เขาเริ่มเพลิดเพลินกับการมองอีกฝ่ายที่เดินไปมาทำนู่นนั่นนี่อยู่รอบห้อง เมื่อจ้องมองดีๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าสายตาของชเนย์ที่กวาดตามองสิ่งที่อยู่รอบตัวเวลาทำอาหารมันดูไม่ได้ว่างเปล่าไปหมดเสียทีเดียว… ด้วยความสงสัย ท่านเจ้านรกผละตัวเองขึ้นมาจากเก้าอี้และย่างเท้าเข้าไปใกล้ๆ อีกคน ทั้งที่ไม่ได้จงใจจะแอบกระทำ ทว่าชเนย์กลับไม่รู้ตัวเลยว่าโดนเข้าประชิดตัวแล้ว…

“....ทำไมเจ้าถึงได้...ชอบทำอาหารล่ะ?”

“ไม่ได้ชอบทำอาหารครับ ผมชอบเห็นคนอื่นมีความสุขเวลาทานอาหารของผม” ตอบคำถามทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถามเสียด้วยซ้ำ

“เรอะ?” เจ้านรกเลิกคิ้วและหยุดอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายระยะใกล้พอให้สังเกตสิ่งที่อยากรู้ได้ชัดๆ “ไม่เห็นจะไปดูเวลาพวกข้ากินสักหน่อย”

“ผมดูจากปริมาณ….เอ่อ?” เมื่อเห็นว่าโดนเข้าประชิดเกินกว่าที่คิดสมาธิก็หลุดกระเจิงออกแทบจะทันที

ร่างสูงใหญ่อยู่ห่างไปแค่คืบเดียว มือข้างหนึ่งเท้าโต๊ะไว้เพื่อเอียงมามองหน้าพ่อครัวไม่ระวังตัวให้ชัดๆ “....ครับ?”

“กว่าจะรู้ตัว…” เจ้านรกพึมพำพอให้ได้ยินแค่เขาสองคนและยิ้มระบายมุมปากอย่างสมเพชเบาๆ หากอีกฝ่ายจะโดนลอบฆ่าคงจะตายไปแล้วเป็นแน่แท้

“ปกติน่าจะตอบว่าเพราะวิธีการมันใกล้เคียงกันนี่นา….หือ??”

ท่านเจ้านรกเห็นว่าชเนย์ที่หลบหน้าไปอีกทางแถมกระเถิบตัวออกห่างไปเล็กน้อยนั้น….มีสีแดงเจือบนใบหน้าไปจนถึงใบหูโดยไม่ต้องพินิจก็รับรู้ได้ มือหนาอีกข้างที่เท้าเอวอยู่ก็เปลี่ยนไปจับลงบนผมสีขาวอีกคนและฝืนบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับตน

“...ห้ะ??” ยิ่งเห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเจ้านรกก็งงหนักกว่าเดิม “...อายอะไรของเจ้า??”

“ก็...อย่าเข้ามาใกล้ขนาดนี้สิครับ!” ชเนย์สะบัดหัวตัวเองให้หลุดจากมือที่กุมอยู่ แล้วก้าวถอยออกไปอีก “ผม...ตกใจหมด….”

“แต่เจ้าก็คุยกับข้าตลอดตอนที่ข้าเดินมา….”

“.....” เมื่อเถียงไม่ได้จึงจำใจก้มหน้าก้มตาปั้นข้าวปั้นต่อไปเงียบๆ แต่ความไม่ปกติบนหน้าก็ไม่หายไปง่ายๆ เจ้านรกเริ่มใคร่อยากรู้ว่าทำไมคนที่ไม่เคยเกรงกลัวต่อการเข้าใกล้ตัวเขาเลยตลอดเวลาที่มาอยู่ที่นี่กลับมีอาการแปลกประหลาดไปจากทุกที

….หรือจะไม่สามารถตั้งรับสถานการณ์ที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน? ...

เมื่อนึกได้ว่าน่าจะลองทดสอบอะไรสักหน่อยรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจก็ผุดขึ้นมาจนเก็บไม่อยู่ แต่ชเนย์ก็ไม่ได้เห็นมันอยู่ดี

“เสร็จแล้วครับ” พ่อครัวถอนหายใจ เริ่มสงบสติตัวเองลงได้บ้างเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ “จะทานที่นี่หรือไปนั่งทานที่ห้องอาหารดีๆ ล่ะครับ?”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

“ครับ?”

“ข้าอยากกินอย่างอื่นมากกว่า” ร่างสูงใหญ่ก้าวมาประชิดทันทีหลังจากจบประโยค ชเนย์โดนคว้าข้อมือทั้งสองข้างไว้เพื่อกันไม่ให้เขาได้ลงมือต่อต้านใดๆ ร่างเล็กกว่าถูกบังคับหันมาประจันหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ...ทุกการเคลื่อนไหวสงบลง ทั้งสองคนอยู่ในสภาพที่ชเนย์ถอยกรูดติดกับขอบโต๊ะมือทั้งสองโดนรวบไว้ไม่สามารถดิ้นหลุดได้เพราะเรี่ยวแรงที่ต่างกันมากจนน่าตกใจ

“.....”

“ไม่ถนัดเรื่องการโดนจู่โจมหรือไง?” รอยยิ้มของเจ้านรกยิ่งเผยออกมากว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อผู้อยู่ในการควบคุมของเขาแสดงปฏิกิริยาอย่างที่คาดไว้

ไม่สิ มากกว่าที่คิดไว้เสียอีก

ชเนย์ไม่ได้พูดอะไร...ต้องบอกว่าพูดไม่ออกจะดีกว่า สีหน้าที่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะสื่ออะไรระหว่างอาการอ้ำอึ้งกับวิตกกังวล แต่ผิวสีจางนั่นแดงเรื่อแจ่มชัดยิ่งกว่าเมื่อครู่จนไม่ต้องเดาว่าเขารู้สึกแบบไหนอยู่

“เจ้านี่...ทั้งที่ทำตัวเข้าใจยากมาตลอดแท้ๆ จู่ๆ ก็จัดการง่ายขึ้นมาซะอย่างนั้น?”

“....ก็คิดถูกแล้วครับ… ผมไม่ถูกกับการโดนเข้าหาก่อน” แม้ยังไม่หายจากอาการเขินอายแต่ก็พยายามยิ้มสู้ให้ได้เหมือนเดิม

“โฮ่? ยอมรับง่ายๆ เรอะ?” เจ้านรกยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเพ่งผ่านแว่นเข้าไปดูแววตาอีกคนให้ได้

“ไม่มีเหตุผลให้ปิดบังนี่…”

“....น่าแปลกใจที่เจ้ายังกล้าจ้องกลับนะ?” พอเห็นว่าชเนย์ไม่ได้หลบตาไปทางไหนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“คุณคงไม่ได้คิดจะทำอะไรจริงๆ หรอกมั้ง?” ชเนย์ยิ้ม แต่เป็นยิ้มแห้งๆ ที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก “ดูไม่น่าจะพิศวาสเรื่องแบบนี้กับผู้ชาย...”

“ใช่อยู่ว่าข้าไม่ได้ชอบสิ่งมีชีวิตเพศเดียวกัน” พูดเสร็จก็ปล่อยข้อมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวออกไป ซ้ำยังก้มลงมาประชิดกว่าเดิมจนคนถูกต้อนใจสั่น มือใหญ่หุ้มเกราะวางแนบไปกับขอบโต๊ะเพื่อปิดกั้นทางหนี “แต่ด้วยความที่ว่า...อยากรู้อยากลองน่ะ เลยได้ลองจนเบื่อหน้าเพศผู้ไปด้วยเหมือนกัน”

ชเนย์กะพริบตาปริบๆ ค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน ...หรือนี่คือเรื่องปกติของคนที่อยู่มานานกว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกันนะ? ... เขาก้มหน้าครุ่นคิดอะไรในใจอยู่พักใหญ่ “งั้น… ผมคง….ทำแบบนี้ได้ใช้มั้ย?”

ใช้นิ้วขึ้นจิ้มเบาๆ ไปบนริมฝีปากของอีกคนเพื่อสื่อสิ่งที่ต้องการ

“หือ? นี่ตกลงเจ้าก็ยังหวังจะได้อะไรจากข้าอยู่งั้นรึ?” เจ้านรกปล่อยให้เรียวนิ้วนั้นไล้ไปตามริมฝีปากของตนอย่างไม่ยี่หระใดๆ

“นิดหนึ่งน่ะครับ คนเราก็ต้องมีแรงจูงใจบ้าง” ชเนย์ถอดแว่นตัวเองออกไม่ให้มาเกะกะ เมื่อไม่เห็นการห้ามปรามใดๆ ร่างเล็กกว่าก็เงยหน้าขึ้นไปหาอีกฝ่าย

ริมฝีปากอุ่นค่อยๆ กดแนบเข้าหากันอย่างนิ่มนวล ผู้เริ่มนั้นจูบอ้อยอิ่งเนิบช้าทว่าดูจะไม่ได้เดียงสาเสียทีเดียว แม้จะใช้เวลาค่อนข้างนานแต่ไม่มีทีท่าว่าชเนย์จะยอมยกระดับความเย้ายวนใดๆ กระทั่งคนถูกกระทำเริ่มคิดจะซุกซนเสียเอง

“แค่นี้ก็พอมั้ง?” เมื่อเริ่มเกินขอบเขตที่ตนตั้งใจไว้ชเนย์ก็ผละออกมาก่อน

“พอ?” ถึงปากจะพูดแบบนั้น ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลื่อนใบหน้าออกห่างเกินกว่าที่จะไม่รับรู้ลมหายใจของกันและกัน “มักน้อยจริงนะ”

“เปล่าครับ...ก็...คุณบอกว่าหิว?” แอบเหล่ไปทางอาหารที่อุตส่าห์ทำไว้ให้

“ข้าบอกว่าอยากกินอย่างอื่นแล้วนี่?”

จบประโยคก็พิสูจน์ด้วยการโถมเข้าหาร่างโปร่งและบดเบียดริมฝีปากลงไปรวดเร็ว ดูดดื่มและร้อนแรงกว่าเมื่อครู่อย่างเทียบไม่ติด ถึงจะโดนจู่โจมกะทันหันแต่รอบนี้ชเนย์ดูจะตั้งตัวได้ดีขึ้น มือทั้งสองไล้จากแผ่นอกแน่นผ่านขึ้นไปยังบ่ากว้างและโอบคออีกฝ่ายไว้เป็นที่ยึดพยุงตัว

เรียวลิ้นตอบรับการรุกล้ำเข้ามาในช่องปากอย่างชำนาญ ทั้งยังหาจังหวะฉกปลายลิ้นกลับได้ลงตัวพอที่จะยิ่งทำให้ท่านเจ้านรกรู้สึกเหมือนโดนท้าทายกว่าเดิม

“ไอ้ที่ทำตัวเหนียมอายเมื่อกี้มันภาพลวงตารึไง?” จูบล้ำลึกสลับกับแผ่วเบาประปรายช่วยเปิดโอกาสให้พูดคุยได้บ้าง

“แค่ไม่นึกว่าคุณจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนนี่นา” ชเนย์กดไล้ปลายลิ้นไปบนริมฝีปากอีกคนช้าๆ “ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนต้องเตรียมรับมือน่ะครับ”

“อ้อเหรอ” ท่านเจ้านรกเปลี่ยนตำแหน่งมือจากการแค่ยันตัวเองไว้มาอุ้มร่างเล็กกว่าขึ้นไปบนโต๊ะ พรมจูบหนักลงไปทั่วทั้งคอและช่วงไหล่ที่ไม่มีเสื้อผ้าใดๆ ปิดพลางกดบ่าอีกฝ่ายให้เอนตัวลงไปเสียแทบจะนอนราบไปกับโต๊ะ ฝ่ามือลูบไล้เพื่อสำรวจไปทั่วอย่างรวดเร็ว และซุกเข้าไปใต้ชายเสื้อก่อนเปิดเลิกขึ้นเพื่อให้สัมผัสได้สะดวกไร้สิ่งปกปิด...แต่ก็ชะงักไปเสียดื้อๆ

“....ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญก็ช่วยหลบไปก่อนจะได้มั้ย?”

ชเนย์เอียงหน้าสงสัยในคำพูดนั้น เมื่อมองตามสายตาไปก็พบว่าเจ้านรกหันไปจ้องเขม็งบริเวณประตูเข้าครัว…

“ขออภัยที่ขัดจังหวะครับ” เสียงนุ่มแสนคุ้นเคยตอบกลับเรียบๆ อราวชินชากับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แม้มองออกไปยังทางเดินมืดสนิทก็ยังไม่เห็นวี่แววเจ้าของเสียง จึงได้เพียงเดาว่าคงแอบอยู่ด้านหลังกำแพง... “แค่จะมาเตือนคุณพ่อครัวเสียหน่อยว่าวัตถุดิบที่ขอยังไม่ครบ ข้าจะนำมาให้ในตอนเช้า”

“อ่ะ.. โอเคครับ” ชเนย์ขานรับอย่างพยายามข่มอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นให้ปกติ

“แล้วก็...ปกติผมไม่เห็นท่านชอบกินอาหารจานด่วนเท่าไหร่ หนนี้เลยตกใจนิดหน่อย” น้ำเสียงสงบนิ่งกลับปนเปด้วยความน่าสงสัย “ท่านคงจะหิวมาก แต่อดใจรอฟูลคอร์สสักนิดก็ยังดีนะครับ”

หางเสียงตอนสิ้นประโยคลากหายวับไปกับความมืด ปล่อยสองหนุ่มในห้องครัวแอบงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง

“....ฟาสฟู้ดนี่ผมไม่ถือเป็นอาหารด้วยซ้ำนะ?” ชเนย์เลิกคิ้ว

“.....นั่นสิ” ท่าทางจะเข้าใจกันคนละความหมาย ท่านเจ้านรกอุ้มตัวอีกคนขึ้นแทบจะพาดบ่าด้วยแขนเพียงข้างเดียว แต่ชเนย์ตั้งสติยันตัวไว้ไม่งั้นหน้าคงฟาดเข้ากับเกราะบนไหล่นั่นเต็มๆ “งั้นก็ย้ายโต๊ะ!”

“เฮะ!!?”

ร่างสูงโปร่งที่โดนอุ้มราวเด็กทารกเกาะไปกับหัวท่านเจ้านรกเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงมา ชเนย์โดนโยนลงบนเตียงคุ้นตาที่เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ครั้งนี้ได้มีโอกาสสัมผัสความนุ่มของมันเต็มที่

เจ้านรกตามมาคร่อมไว้และเริ่มเกมใหม่ด้วยจูบร้อนแรงอีกรอบพลางถอดเสื้อคลุมของตนออกไปพร้อมๆ กับเกราะแขนและไหล่ด้วย

“แหม ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

สองแขนโอบรอบตัวท่านเจ้านรกและเกาะหลังกว้างไว้ ไล่ปลายนิ้วไปทั่วเหมือนต้องการสัมผัสมัดกล้ามแน่นให้มากกว่าที่สายตาเห็น “หวา… มัน...ยิ่งกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”

“ก็ถ้าอาหารมันพร้อมเสิร์ฟข้าจะรออะไรเล่า?” พูดแล้วก็ขบลงไปตามซอกคออีกคนจนช้ำ

“อึ่ก… มันยังปรุงไม่เสร็จดีต่างหาก” ไม่ได้พยายามสะกดกลั้นอะไร แค่อารมณ์และร่างกายเขายังไม่ถูกกระตุ้นให้ตามคนที่คร่อมอยู่ได้ทันเท่านั้น

เจ้านรกเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายนิ่งๆ “....?”

“...อ่า...ขอเวลาพ่อครัวอีกสักครู่ได้มั้ยครับ?”

คนข้างล่างยักไหล่ยิ้มน้อยๆ ชเนย์เสนอและยันตัวเองขึ้นเป็นการบอกให้ท่านเจ้านรกพลิกตัวลงไปข้างล่างแทน ซึ่งเขาก็ทำตามอย่างใคร่รู้ว่าร่างสูงโปร่งจะทำอะไรต่อ

“อ่ะ บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนนิยมความรุนแรงนะครับ” พอพลิกตัวขึ้นมานั่งคร่อมร่างสูงใหญ่ได้ก็เริ่มไล้จูบไปตามแก้มและข้างใบหน้าอีกฝ่าย

“ดูก็รู้น่ะ...”

“แต่ผมก็ไม่รังเกียจนะถ้าจะเป็นฝ่ายโดนซะเอง” เสียงจางเบาเอ่ยกระซิบและลากปลายลิ้นผ่านคอร่างสูงใหญ่ลงมาถึงอกเปลือยเปล่าก่อนขบบางเบาลงไป ลูบไล้และลงจูบอย่างหลงใหลไปทั่วกล้ามท้องแน่นได้รูปและเน้นหนักบริเวณท้องน้อย ไม่ยอมเสียเวลาที่ไหนนานเนื่องจากสัมผัสได้ถึงแก่นกายของอีกคนที่เริ่มตื่นตัวมาสักพัก

“ไม่รังเกียจนะครับถ้าผมจะใช้ปาก?”

“ตามสบาย” ดีซะอีกจะได้เป็นน้ำหล่อลื่นให้กับอะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
มือเรียวปลดกางเกงของท่านเจ้านรกออก เมื่อสิ่งที่เล็งไว้ปรากฏให้เห็นก็ใช้ริมฝีปากสัมผัสลงตรงกลางแท่งเป็นการทักทาย ลิ้นอุ่นชื้นไล้ชโลมทั่วส่วนแข็งขืนจนชุ่ม มือข้างหนึ่งตรงเข้าประคองเพื่อให้ใช้ปากได้สะดวก

ชเนย์แตะริมฝีปากลงบนส่วนปลายและค่อยๆ รูดผ่านส่วนหัวลงไปจนถึงกลางลำแท่ง ไม่ได้กดลงไปจนสุดเพื่อเน้นเพียงส่วนปลายเท่านั้น เรียวนิ้วจับรอบโคนเริ่มขยับเป็นจังหวะเดียวกับปาก ลิ้นนุ่มซุกซนเล่นกับปลายแก่นกายที่ถูกครอบไว้ในปากอุ่น

เสียงครางเบาในลำคออย่างพึงใจจากผู้ถูกปรนเปรอเป็นสัญญาณที่ดีว่าอย่างน้อยเขาก็มาถูกทาง พลางหยอกล้อมิเกรงกลัวด้วยการกดปลายลิ้นลงที่ปลายแท่งให้ท่านเจ้านรกแอบสะดุ้งเล่นดูจะเป็นความสุขแบบแปลกๆ ที่ทำให้ชเนย์สนุกสนานได้

“ข้าจะเอาคืนหลังจากนี้แล้วกัน...”

พูดขู่ด้วยเสียงทรงอำนาจแต่เวลานี้มันกลับเจือด้วยความสั่นเครือจากแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นต่อเนื่อง

“ตามสบายครับ” ผละริมฝีปากออกมาแค่เพียงให้อีกฝ่ายได้พักชั่วครั้งคราวและกลับลงไปอมส่วนอ่อนไหวที่ชุ่มทั้งน้ำลายและน้ำหล่อลื่นเสียโชกไปทั้งลำ แต่แม้ว่าจะจู่โจมทุกจุดไวต่อสัมผัสหรือกลั่นแกล้งให้สะท้านไปทั้งตัวเพียงใด… “คุณนี่อึดกว่าที่คิดเยอะเลย”

“แกก็ดูช่างหาเรื่องกว่าที่คิดเหมือนกันน่ะแหละ…” เจ้านรกกัดฟันหมั่นเขี้ยว ยิ่งเห็นสีหน้าเสมือนพอใจที่สามารถไล่ต้อนเขาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากเห็นความสิโรราบของอีกฝ่ายมากเท่านั้น

เมื่อความอดทนเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ท่านเจ้านรกจับยึดศีรษะผู้กระทำการอุกอาจต่อตนแล้วกดลงจนแก่นกายระอุถูกปากเล็กครอบเข้าไปเสียมิด ร่างสูงโปร่งตอบรับง่ายดายราวกับคิดไว้แล้ว เสียงหอบหายใจระคนเสียงครางต่ำหลุดลอดไรฟันออกมาพร้อมๆ กับของเหลวข้นที่ทะลักเสียเต็มช่องปาก ชเนย์กลืนมันลงไปแทบจะทันทีแต่ก็ยังไม่หมดอยู่ดี น้ำขุ่นบางส่วนล้นออกมาจากริมฝีปากบางที่กดค้างบนลำแท่งใหญ่ไว้แน่น

“ดูท่าจะไม่พอใจแค่นี้ใช่มั้ยครับ?” เมื่อทุกอย่างเริ่มสงบชเนย์ก็ถอดเสื้อออกเพื่อเตรียมบรรเลงอย่างอื่นต่อ ท่าทีเมื่อครู่ของเจ้านรกดูจะช่วยกระตุ้นอารมณ์เขาได้อย่างดี แต่ไม่ทันจะได้ถอดกางเกงออกก็โดนดึงลงไปไปนอนแผ่บนเตียงแทน

“แน่ล่ะ ข้าไม่พอใจกับแค่ออร์เดิร์ฟหรอก” เมื่อกดอีกคนลงกับเตียงได้ก็สอดสองนิ้วเข้าไปควานหาน้ำรักสีข้นที่ชเนย์กักไว้ในปากสำหรับหล่อลื่นตัวเอง แม้จะปลดปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่งแต่เจ้านรกดูพร้อมที่จะทำกิจต่อได้ทันทีอยู่

มีแค่รอยยิ้มจางที่มุมปากของร่างสูงโปร่งเป็นคำตอบว่าพร้อมจะรับทุกอย่างที่จะโดนในเวลาอันใกล้และปลดกางเกงตัวเองออกไปให้พ้นทาง ท่านเจ้าจูบกัดลงเต็มแรงตามอกและช่วงบ่าชเนย์จนเต็มไปด้วยรอยช้ำและเป็นรอยฟันห้อเลือดอย่างรวดเร็วด้วยเพราะความหมั่นไส้อย่างต่อเนื่องจากเมื่อสักครู่พอนิ้วทั้งสองดูพร้อมจะใช้เบิกทางก็ถูกถอนจากปากอุ่นที่เผยอรับและตรงลงไปหาช่องทางด้านล่าง เขาไม่คิดจะค่อยเป็นค่อยไปเพราะคลื่นความกระหายมันถาโถม สองนิ้วชุ่มน้ำลายและน้ำขุ่นข้นกดแทรกเข้าไปรวดเร็ว แม้จะมีตัวช่วยแต่แบบนี้ก็ทำเอาเจ็บมิใช่น้อย

“อ่ะ! .. อื้อ…” ชเนย์กัดฟันแน่น พยายามไม่เกร็งต้านให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม เพียงครู่เดียวก็เริ่มชินกับการรุกล้ำนี้ง่ายดาย

“เชี่ยวน่าดูนี่ นึกว่าปกติเจ้าเป็นคนทำอย่างเดียวซะอีก”

เจ้านรกเดาะลิ้นถูกใจกับความชำนาญงานของอีกคน ผิวขาวชื้นเหงื่อถูกละเลงด้วยสีแดงเข้มจากเลือดจนละลานตา

“ก็สลับๆ กันไป…”

แม้จะตกเป็นเบี้ยล่างแล้วแต่ก็ไม่ปล่อยมือสองข้างว่างเสียเปล่า เขาโอบไล้ปลายนิ้วเรื่อยไปทั่วแผ่นหลังกว้างและจิกลงเป็นระยะเมื่อโดนกระตุ้นได้ถูกจุด

เสียงครางเริ่มถี่ชัดขึ้นเมื่อท่านเจ้านรกเจอจุดกระสันที่ช่องทางนั้น และกดเน้นย้ำจนมั่นใจก่อนแทรกนิ้วที่สามเข้าไปอีก ทั้งลูบไล้แผ่วเบาสลับกับลงนิ้วหนักหน่วงไปยังจุดนั้น

ชเนย์แทบไม่ได้ปิดกั้นเสียงร้องใดๆ ซ้ำยังครวญครางอย่างพอใจเมื่อถูกเร่งเร้ามากขึ้น ทว่าเมื่ออารมณ์เริ่มจะไปถึงสวรรค์ จู่ๆ เจ้านรกก็หยุดมือไปเสียเฉยๆ

“...อ่ะ.. เอ๋?” คนข้างล่างกะพริบตาปริบ

“คิดว่าข้าจะให้เจ้าเสร็จง่ายๆ รึ?” เจ้านรกยิ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจและถอนนิ้วออกมา โดยไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรต่อ

“คือ…??” ชเนย์ทำหน้าฉงน เสียงหอบหายใจรุนแรงแสดงให้เห็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านจากการถูกปลุกเร้าจนเกือบถึงที่หมายแต่กลับถูกปล่อยทิ้งไว้ทั้งอย่างนั้น เจ้านรกเปลี่ยนจากกระตุ้นคนข้างล่างมาเริ่มชักให้ตนเองต่อหน้าคนค้างฟ้า จงใจซุกลงข้างหูเปล่งเสียงร้องเบาให้อีกคนใจสั่นเนื่องจากรู้ว่าอะไรทำให้ร่างสูงโปร่งมีอารมณ์ขึ้นได้ยิ่งกว่าเมื่อครู่ ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วกลับขึ้นสีหนักกว่าเดิม ภาพตรงหน้าเริ่มส่งให้ความกระสันก่อตัวขึ้น มือทั้งสองปล่อยจากตัวคนข้างบนเพื่อหมายจะลงไปเสร็จกิจนี้ด้วยตัวเอง แต่ถูกคว้าไว้เสียก่อนจะได้ทำอะไร

“เรียกร้องซะสิ?” เจ้านรกสบตากับเหยื่อของตน ใบหน้าคมเข้มแต้มสีแดงจางบวกกับสายตาเต็มไปด้วยราคะทำเอาคนถูกท้าทายตัวแข็งทื่อราวต้องมนตร์สะกด

ชเนย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายจะยอมเอ่ยปากออกมา“ช่วย...จูบผมหน่อยสิครับ”

เจ้านรกเลิกคิ้วและยิ้มกริ่มก่อนก้มหน้าลงไปจูบตามคำขอ เพียงแต่มันบางเบาเสียจนไม่พอจะสนองอะไรได้

“...ส...ใส่เข้ามาทีเถอะครับ” เสียงกระเส่าออดอ้อนเพราะโดนปลุกเร้าแบบครึ่งๆ กลางๆ มือที่โดนตรึงไว้ทั้งสองข้างถูกปล่อยหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่ มือหนาของอีกคนเลื่อนลงไปโอบยกเอวคนข้างล่างขึ้นเพื่อให้เอาหมอนแทรกรองไว้

“ว่าจะยื้อต่ออีกหน่อย...แต่หน้าเจ้าตอนนี้มันเร้าอารมณ์สุดๆ เลยล่ะ”

ท่านเจ้านรกระบายยิ้มและขยับแทรกแก่นกายร้อนเข้าไปในตัวอีกฝ่ายรวดเร็ว แม้ไม่ใช่การกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรงแต่ก็ถูกกดเข้าไปจนสุดโคน

“อ๊า! ...อื้ออ!!” เสียงร้องหลงระคนด้วยความเสียวซ่าน สองแขนยกโอบคอคนข้างบนที่ก้มลงมาซุกไซ้ตามซอกคอไปจนกระทั่งใบหูที่แดงเรื่อเช่นเดียวกับใบหน้า

“ข้าคงไม่รอให้เจ้าชินหรอกนะ”

“ก็...ไม่เป็นไรหรอกครับ” จบประโยคตอบรับร่างสูงใหญ่ก็เริ่มขยับตัวกระแทกตามชอบใจ เพลิดเพลินกับเสียงครางและสีหน้าที่ไม่เคยเห็นจากเจ้าคนอวดดีที่เขารู้จัก แต่สิ่งที่ดึงดูดท่านเจ้านรกไว้ให้หลงใหลชวนมองนี้คือแววตาของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความกระสันอยาก ซึ่งก่อนหน้านี้มันไม่มีอะไรอยู่เลย…

“จะเรียกว่า...เป็นคนขึ้นมาสักนิดได้มั้ยเนี่ย?” เจ้านรกเปรยด้วยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน และยันตัวขึ้นสุดแขนเพื่อจ้องมองคนข้างล่างให้ทั่ว

“แปลกจริง...” ชเนย์เค้นเสียงพูดยากลำบาก เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมเมื่อโดนจ้อง “แม้แต่คุณก็...ยังชอบมองหน้าผมในเวลาแบบนี้”

ท่านเจ้านรกตอบคำถามด้วยการจูบหนักหน่วงทั้งยังสอดมือเข้าไปอุ้มช่วงล่างอีกคนขึ้นให้ยกสูงกว่าเดิม ทำให้ส่วนรุกล้ำเสียดสีเจ้ากับจุดอ่อนไหว

“อื้อ...”

เสียงเครือในลำคอเล็ดลอดปากแนบแน่นของทั้งสองคนออกมา แขนเรียวทั้งสองเปลี่ยนจากลูบไล้บนแผ่นหลังมากอดคอคนข้างบนไม่ยอมให้ลุกออกไป“ท...ท่านเจ้าครับ...”

“...?” ผู้ถูกเรียกเอียงคอสงสัย

“ขอเรียกคุณว่า ‘ใต้เท้า’ แทนจะได้มั้ย?”

เจ้านรกกระตุกยิ้มให้ประหนึ่งนั่นคือคำตอบ และเร่งจังหวะการขยับสะโพกให้รวดเร็วและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เสียงครางรัญจวนเปล่งถ้อยถี่ชัดขึ้นทุกขณะโดยไม่อาจควบคุมได้

“ฮ่ะ! ..อ๊าา!!” ทั้งร่างกระตุกเกร็งเพราะความกระสันซ่านแล่นไปทั่วทั้งตัวพร้อมๆ กับน้ำขาวข้นที่ถูกปล่อยออกมา ศึกบนเตียงกว้างสงบลงชั่วครู่เดียว เมื่อสติของชเนย์กลับมาจากห้วงสวรรค์ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่ากอดร่างสูงใหญ่ไว้แน่นขนาดไหน และเริ่มรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ

“...ข...ขออภัยด้วยครับ” พูดจบแขนทั้งสองก็ปล่อยออกแทบจะทันที

“เซ็กซี่ดีนี่” ท่านเจ้านรกยิ้มกริ่มแสดงเจตนาหยอกล้อชัดเจน “ไม่นึกว่าแบบเจ้าจะทำตัวน่ารักเป็นกับเขาด้วย”

“...” ไม่รู้ว่านี่คำชมหรือสิ่งใด ชเนย์เลยได้แต่มองอย่างสงสัย “เอ่ะ เอ้อ...คือคุณยังไม่…”

“ใต้เท้า”

“เอ๊ะ? ...ครับ?”

“เมื่อกี้บอกจะเรียกแบบนี้”

เมื่อรู้ว่าเผลอพูดอะไรแบบนั้นออกไปก็เริ่มลนลานและหลบสายตา“ต..ใต้เท้า….”

ร่างสูงใหญ่คลี่ยิ้มก่อนจะก้มลงจูบอีกฝ่าย.. ทว่าแม้จะไม่ใช่ผู้ใช้เวทมนตร์โดยตรงแล้ว แต่ชเนย์ก็สามารถรับรู้ไอพลังจากคนข้างบนได้ รวมทั้งสิ่งแปลกปลอมในร่างตนเริ่มขยับอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วง แค่เวทแบบเดียวกับพวกอินคิวบัสเท่านั้นแหละ”

“อินคิวบัสนี่ใช่...ประเภทเดียวกับซัคคิวบัสใช่มั้ยครับ?” ชเนย์ขมวดคิ้ว แต่ร่างกายที่เริ่มร้อนและสั่นเทิ้มหลังเพิ่งจะสงบศึกนั้น เป็นยิ่งกว่าคำตอบ การสอดแทรกที่ท่อนล่างเพิ่มระดับขึ้นรวดเร็ว และร่างกายก็ปรับรับได้แทบทันทีเช่นกัน ลำแท่งที่เพิ่งปลดปล่อยความใคร่กลับมาแข็งขืนอีกครั้งโดยไร้การปลุกเร้าใดๆ

เจ้านรกถอนแก่นกายร้อนของตนออกก่อนจับคนข้างล่างให้นอนคว่ำเพื่อจะทำการรุกล้ำได้ลึกกว่าเดิม ร่างสูงโปร่งยกสะโพกรับอย่างว่าง่าย เกมรักยังดำเนินต่อเนื่องและร้อนแรงกว่าเมื่อครู่ แต่ดูท่านเจ้านรกจะไม่พอใจแค่นี้

“อ่ะ!? ด...เดี๋ยวครับ! อ๊า!!” ชเนย์รับรู้ถึงสัมผัสแปลกปลอมเย็นเยียบกดแทรกเข้ามายังปลายลำแท่งของตน สิ่งที่ท่านเจ้านรกหยิบมาคือเหล็กทรงแปลกตาขนาดเล็กแทบจะเล็กกว่าไม้จิ้มฟันเพียงนิด ที่ส่วนปลายอีกด้านถูกหลอมเชื่อมให้เป็นดั่งหมวกปกปิดปลายอาวุธรัก มือหนาบรรจงใส่มันลงไปให้คนข้างล่างจนแท่งเหล็กนั้นจมหายเข้าไปทั้งหมด ความเจ็บปวดไม่ใช่เล่นๆ ของมันทำเอาคนโดนเล่นพิเรนทร์สั่นระริกไปทั้งตัว “อึกก… นี่มันอะไร?”

“รอบนี้ข้าขอฟังเสียงอ้อนวอนของเจ้าหน่อยละกัน” ร่างสูงใหญ่กระซิบแผ่วด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน เมื่อมือเสร็จกิจจากการสวมใส่อุปกรณ์ให้อีกคนก็ลูบผ่านลำตัวชื้นเหงื่อไปทั่วราวกับหลงใหล หยุดมือค้างไว้ที่ยอดถันแล้วเริ่มเขี่ยเล่นอย่างต้องการปลุกกระตุ้นให้อีกฝ่ายเปล่งเสียงสั่นเครือยิ่งขึ้น

“อ่ะ..อ๊าา... มัน...เจ็บ!” แต่สิ่งแปลกปลอมดูจะไม่ใช่ของที่จะคุ้นชินง่ายๆ เมื่อขยับสักนิดก็เจ็บเสียจนสั่นเทิ้ม ทว่าเจ้านรกกลับยิ่งชอบใจเพราะการรุกล้ำยิ่งรุนแรงขึ้น...เมื่อการเสียดสีภายในสัมผัสลึกล้ำเข้าได้ถูกจุด ความรู้สึกรัญจวนก็เริ่มปะปนมา การโอดครวญเริ่มเจือด้วยความเร่าร้อนทีละนิด

กระทั่งเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความหฤหรรษ์ เสียงครางกระสันที่ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ก็กลายเป็นเสียงที่ระงมไปทั่วห้องกว้าง สลับกับเสียงเครือต่ำของร่างที่เปล่งออกมาด้วยความพอใจ

“อ่ะ..อา….ใต้เท้า อึก..”

ชเนย์เค้นคำพูดยากลำบาก การสอดใส่เน้นกระตุ้นที่ด้านหลังนั้นส่งความเสียวซ่านแล่นไปทั่วตัวต่อเนื่องเสียจนแทบทนไม่ไหว เพียงแต่ติดที่แท่งเหล็กที่ส่วนปลายนั้นปิดกั้นหนทางสู่สวรรค์ที่เห็นอยู่รำไรข้างหน้า

“หือ?” เจ้านรกส่งเสียงถาม แม้พยายามทำตัวให้ปกติดี แต่ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายตอดรัดตอบลำแท่งแข็งขืนของตนที่สอดใส่ได้ดีเสียจนไม่อยากจะทนอีกต่อไป ผู้คุมเกมผ่อนการเคลื่อนไหวลงเล็กน้อยเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรบ้าง

“ผ...ผมไม่ไหวแล้วครับ…แต่ว่า…” สองแขนที่ยันร่างไว้สั่นระริก ก่อนจะฟุบหน้าลงกับเตียงด้วยทั้งความอายและเริ่มจะอ่อนล้า “ข...ขอเอามันออกได้มั้ย?”

“อืมม… ได้สิ แต่…” เจ้านรกยิ้มกว้างก่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปกอบกุมความเป็นชายของอีกคนไว้ “เจ้าคงต้องอ้อนวอนมากกว่านี้หน่อย”

“อึก! ..อ๊าา!!” บทอัศจรรย์ยังคงบรรเลงต่อ คราวนี้ท่านเจ้านรกใช้มือรีดเค้นเอ็นอุ่นร้อนของคนข้างล่างไว้อีกด้วย เมื่อเห็นว่าชเนย์ร้อนร่านเสียจนจะถึงจุดปลดปล่อยก็จงใจผ่อนการกระตุ้นลงจนไม่ยอมให้เสร็จง่ายๆ เมื่อเครื่องเย็นลงแม้เพียงนิดก็เริ่มขยับทั้งมือและร่างกายใหม่อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเสียวซ่านที่จะถึงจุดระเบิดหลายครั้งครายิ่งสะสมยิ่งทำเอาแทบขาดสติ

เจ้านรกจับร่างสูงโปร่งพลิกกลับมาหาเพื่อชมผลงานของตนก่อนคลี่ยิ้มพึงใจ“ทำหน้าแบบนี้ก็เป็นนี่...”

“อึก...อือ... ใต้เท้า?” ชเนย์ไม่รู้ว่าตนทำสีหน้ายังไง แต่สองแขนยกขึ้นโอบคอดึงเอาใบหน้าอีกฝ่ายลงมาประทับจูบราวกับโหยหาความเมตตา “ขอร้องล่ะ...นะครับ”

“อืมม...” ท่านเจ้านรกทำหน้าครุ่นคิด แต่นิ้วที่โอบรัดมอบความทรมานเพิ่มให้แก่นกายระอุนั้นกลับกดปลายนิ้วโป้งลงบนส่วนปลายที่มีอุปกรณ์เจ้าปัญหาอุดอยู่ให้จมลงไปอีก ทำเอาคนโดนแกล้งเกร็งร่างร้องไม่เป็นภาษา

“อ๊าา!! อึกก!!” ส่วนสะโพกถูกยกลอยขึ้นเพื่อเล็งจี้จุดกระสันของผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง “อือ.. อ่ะ! .. ใต้เท้า! .. ใต้เท้า!!”

ว่าจะแกล้งต่ออีกหน่อย… แต่ช่างมันเถอะ..

เจ้านรกก้มลงกัดฝังคมเขี้ยวลงบนบ่าสั่นพร้อมๆ กับที่ดึงเอาเหล็กแท่งน้อยบนส่วนปลายแท่งแอ่นอีกคนออก เสียงครางลั่นลากเสียงหวานรัญจวนทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ น้ำรักขาวข้นทะลักออกมามากแทบจะพอๆ กับครั้งแรก ร่างสั่นเทาแอ่นรับห้วงอารมณ์ที่ใฝ่หา พร้อมๆ กันนั้นร่างสูงใหญ่ก็ปลดปล่อยตัวเองเข้าไปในช่องเกร็งแน่น ของเหลวอุ่นปริมาณมากทะลักเข้าไปจนคนรองรับอารมณ์ยังแอบสะดุ้ง แม้จะยังฝังตัวมิดด้ามแต่ก็มีล้นจนหยดย้อนออกมาเลอะเทอะ

เสียงหอบหายใจหนักของคนสองคนก้องสะท้อนแทนที่เสียงน่าอายเมื่อครู่ แม้กิจกรรมจะหยุดไปแต่ยังไม่มีใครคิดจะขยับออก จนชเนย์เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บที่บ่าของตน

“อึก… คุณ...สรุปว่าหิวจริงๆ สินะครับ?” แม้จะผ่านศึกหนักมาแต่ก็ยังกลับมาครองสติได้อย่างรวดเร็ว

“หมั่นเขี้ยวต่างหาก” เจ้านรกถอนเขี้ยวออก ก่อนสมานแผลให้อีกฝ่ายเพราะรู้ว่าคงไม่มีพลังพอจะทำอะไรแบบนี้

“อ่อครับ… นึกว่าอายที่จะหลุดเสียงร้องออกมาซะอีก”

“...แก...เมื่อกี้ยังทำตัวน่าเอ็นดูอยู่แท้ๆ”

“...อา ก็…” พอโดนมองพร้อมกับพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็พลันหน้าแดงขึ้นมาอีกเสียดื้อๆ เพียงแค่ไม่ได้หลบตาเท่านั้น

“ทำหน้าแบบนั้นอยากโดนอีกรอบรึไง?” ถึงจะพูดออกไปเช่นนี้แต่ร่างสูงใหญ่ก็ถอนแก่นกลางของตนออกจากอีกฝ่ายและขยับไปนั่งข้างๆ แทน

“....ปกติผมคงบอกว่าแล้วแต่คุณ…” ชเนย์พลิกตัวไปนอนคว่ำพลางดึงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ “แต่รอบนี้ถ้าผมตอบตกลงคงไม่ได้หยุดยันเช้าแหงๆ”

“...?”

“ถึงใจมากครับ” ชเนย์ฟุบหน้าลงไปกับหมอนและยกนิ้วโป้งให้เร็วๆ หนึ่งที ท่าทางจะอายที่ต้องพูดแบบนี้ออกมา

“ไม่ดีรึไง?” ท่านเจ้านรกคงหมายถึง...ถ้าจะได้ลองอะไรยิ่งกว่านี้ต่อ….

“อา...มันแย่ตรงที่ ถ้าผมเกิดติดใจสุดๆ ขึ้นมาคงลำบาก”

ร่างสูงโปร่งแอบเงยหน้าขึ้นมาจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตน“กลัวจะลิ้มรสคนอื่นไม่สะใจได้เท่านี้อีกน่ะสิครับ”

“อ้อ...” พอนึกถึงเรื่องที่ว่าหากวันตัดสินจบลงแล้วต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศทางคงหาโอกาสเจอกันไม่ได้อีกนี่ก็… “...”

“...?” เห็นร่างสูงใหญ่เงียบไปชเนย์ก็เอียงคอสงสัย

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“เหงาเหรอครับ? ถ้าจะไม่มีผมคอยวอแวแล้ว?”

“...หลงตัวเองไปหน่อยนะเจ้าน่ะ...”




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #10

NC + 3P


ช่วงวันแสนวุ่นวายผ่านไปอย่างช้าๆ

จากเช้าที่ร้อนระอุ จู่ๆ ความมืดก็เข้าปกคลุมทั่วอ่าวก่อนที่พายุจะเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง อากาศเย็นเสียจนเนื้อตัวเริ่มสั่น เวลาแบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะไปมากกว่าหาอะไรดื่มแก้หนาว...

"แล้วในเวลาแบบนี้ บาเทนเดอร์จะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะ..." เท่าที่สมองของหนุ่มนักฆ่าจะนึกออกก็มีแค่ห้องครัว ห้องนอน โรงอาบน้ำ แม้จะตามหาจนทั่วก็ไม่เจอ พาลเริ่มนึกถึงที่ๆ เขาไปไม่ได้เสียขึ้นมา...

...หรือจะอยู่ที่ห้องเจ้าของปราสาท?

"ชิ..." แม้จะคิดเองเออเองไร้หลักฐาน แต่ก็พาลอารมณ์เสียไปเสียแล้ว

"ทำหน้าน่ากลัวเดินไปมาระวังจะมีคนหมั่นไส้เอานะครับ..." เสียงคุ้นเคยที่ไม่อยากจะได้ยินเอ่ยทักจากทางเดินยาวด้านหน้า "หาคุณพ่อครัวอยู่เหรอครับ? "

นักฆ่าผมแดงหันไปหาเจ้าของคำถามอย่างเสียไม่ได้ และปั้นหน้ายิ้มที่ดูก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำฉีกยิ้มหน้าระรื่นกลับไป

"หาตัวบาเทนเดอร์อยู่น่ะ" อเวเค่นเปลี่ยนสถานะให้คนครองตำแหน่งพ่อครัวกลายเป็นอย่างอื่น เพราะเวลานี้ไม่อยากได้คนทำอาหาร แต่อยากได้คนชงเหล้าให้มากกว่า ไคม์ยิ้มตอบแต่สายนั้นคู่นั้นหาได้ยิ้มด้วยไม่

"แล้วอยากเจอเค้ามั้ยล่ะครับ? " ปิศาจเลขาเอ่ยถ้อยคำกึ่งคำถามกึ่งคำเชื้อเชิญ แม้จะไม่ได้ตอบกลับไปทันทีแต่อีกฝ่ายก็ทำเหมือนล่วงรู้ใจของนักฆ่าหนุ่มเป็นอย่างดี

"...ที่ไหน? " คำถามห้วนสั้นถูกเอ่ยออกไป

"ห้องรับรองแขก ไม่ใกล้ไม่ไกลห้องบัลลังก์ครับ" คำตอบกำกวมบ่งบอกว่าไม่ได้อยากจะบอกสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าครั้งก่อนที่ไปโดนเจ้านรกเฉ่งเอานั่นโดนอะไรไปบ้าง แต่นี่ก็ถือว่าดีมากสำหรับอเวเค่นเลยล่ะ

"โอเค้... ขอบคุณคร้าบคุณปิศาจ" ทำเสียงล้อเลียนชนิดลืมตายแล้วหันหลังเดินกลับเพื่อมุ่งหน้าไปทิศทางที่ต้องการ

ห้องรับรอง...เท่าที่จำได้แทบจะไม่เคยเปิดเลยสักครั้งตั้งแต่เข้ามาในนี้



อเวเค่นสำรวจเข้าห้องนั้นออกห้องนี้เป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงจำห้องนี้ที่ไม่มีทางจะเข้าไปได้อย่างแม่นยำ..

"ว่าแต่ ทำไมถึงอยู่ห้องนี้กันล่ะ? " เดินมาจนถึงห้องที่เป็นจุดหมาย ชายหนุ่มนักฆ่าก็หยุดยืนคิดเหมือนเพิ่งนึกได้ ปกติพ่อครัวจำเป็นคนนั้นแทบจะทำตัวเป็นผีสิงห้องครัว แล้ววันนี้เกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมาถึงได้ย้ายมาอยู่ห้องรับรองแขก

มือที่มักจับแต่อาวุธยื่นไปจะจับสลักประตู ทว่าด้วยลางสังหรณ์บางอย่างจึงชะงักมือค้างไว้อย่างนั้น แม้จะเบาจนนึกว่าหูแว่วไปเอง แต่พอลองเงี่ยหูฟังโดยการแนบไปกับประตูบานตรงหน้า เสียงที่เบาก็กลับชัดเจน ทั้งเสียงของคนที่กำลังตามหาตัว และเสียงของคนที่คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ด้วยกันในเวลาแบบนี้

"เสียงนี้มัน...เจ้านรก? " ...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะอยู่ด้วยกัน เพียงแต่ที่แย่กว่าก็คือเสียงของคนทั้งคู่ที่เขากำลังได้ยินอยู่นี่มัน....

อเวเค่นยืนนิ่งอยู่ท่านั้นหน้าประตูจนดูน่าสงสัย ก่อนจะผละตัวเดินออกมา... ทว่าฝีเท้าพาเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนั้นสักครู่...ก่อนประตูจะเปิดออกจนคนลังเลสะดุ้ง

"อ๋า? อเวเค่นนี่นา" ชเนย์โผล่หน้าออกมาจากประตูบานใหญ่ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางนั่น...เมาแล้วอย่างแน่นอน

"ท่านเจ้าบอกว่ามีคนมาหาอ่ะ เลยออกมาดูว่าคราย"

"คุณมาทำอะไรที่นี่…." นักฆ่าหนุ่มเลื่อนตาไปสะดุดกับรอยสีเข้มบนต้นคอและบ่าของอีกฝ่ายที่ดูก็รู้ว่ารอยอะไร ก่อนจะมองผ่านไหล่ชเนย์เข้าไปเห็นเจ้านรกนั่งยิ้มกริ่มมองมาที่เขา มือข้างที่ว่างจากแก้วเหล้ากวักนิ้วเรียกเหมือนจะบอกแกมบังคับให้เข้าไป

"หนาวอ่า เลยมาหาอะไรดื่มให้อุ่นๆ " ชเนย์เริ่มพิงซบกับขอบประตู "มาดื่มด้วยกันมั้ย? วันนี้อากาศเย็นนะ"

"นี่...คุณดื่มมากไปแล้วนะ" อเวเค่นยื่นใบหน้าเข้าไปพูดกับชเนย์ในระยะประชิด ถึงเขาจะไม่มีสิทธิ์ว่าอีกฝ่ายเพราะตัวเองก็เคยอยู่ในสภาพไม่ต่างกันนี้มาหลายครั้งแล้วก็เถอะ แต่ไอ้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงนี้มัน...

"นิดหน่อยเองน่าา..." พ่อครัวปัดมือปฏิเสธไปมาก่อนจะจับแขนนักฆ่าหนุ่มแล้วดึงเข้ามาในห้องรับรองแขก "ข้างนอกมันหนาวน้า... เข้ามาคุยข้างในห้องนี้ดีกว่าเนอะ อุ่นกว่าเย้อออ"

ถ้าอยู่กันสองคนก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่นี่มีตั้งสามคนแถมอีกคนก็ยังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกอีกว่ากำลังคิดอะไรอยู่...

อเวเค่นคาดเดาในใจว่าท่าทางวันนี้เขาคงไม่ได้นั่งดื่มอย่างสงบเหมือนที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกแน่นอน

"นี่ๆ เหล้าที่เราไปขนมาวันนั้นไงล่า อันนี้ไม่ต้องผสมก็อร่อยนะ" เมาจนหัวจะทิ่มก็ยังอุตส่าห์ทำหน้าที่คนชงอย่างขยันขันแข็ง

"ทำไมมานั่งกันห้องนี้ล่ะ? " ในเมื่อคนเมาดูจะไม่สามารถให้คำตอบได้จึงหันไปท้าทายอำนาจมืดที่นั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

"มันไม่มีใครเฉียดมาใกล้น่ะสิ จะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน" คำตอบสองแง่สองง่ามชวนให้คิดไปไกลหรือไม่จำเป็นต้องคิดก็ได้ทั้งนั้น แต่อเวเค่นก็ปรายตามองรอยจูบบนคอคนข้างตัวแทนความเข้าใจของตน เจ้านรกหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับความซื่อนั่น

"อเวเค่นทำหน้าน่ากลัวจัง" ชเนย์เอียงคอมาคั่นกลางสายตาสองคู่ที่กำลังจ้องเหมือนอยากจะก่อสงครามประสาท "นี่คร้าบ แก้วของคุณ"

ใจจริงก็อยากจะปฏิเสธไม่ดื่มแล้วตั้งแต่เห็นสภาพคนเมา แต่เครื่องดื่มสีอำพันก็ถูกรินใส่แก้วจนเกือบล้น ตามด้วยชนแก้วเสร็จสรรพ จะถอนตัวก็ไม่ทันแล้วตอนนี้

อเวเค่นดื่มเหล้าเข้าไปอึกแรก รสชาติบาดคอที่โคนลิ้นรับรู้ได้ถึงรสขมทว่ากลมกล่อม ดวงตาสีทองหันไปมองขวดเปล่าที่ตั้งเรียงกันอยู่หลายขวด เท่านี้ก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าทำไมพ่อครัวถึงได้มีสภาพนี้ แต่อีกคนที่ดื่มด้วยในเวลาเดียวกันนี่สิ ทำไมถึงได้สบายๆ ยังกับไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่หยดเดียว

ดูท่าเขาจะเจอคอทองแดงตัวจริงก็คราวนี้

"เข้าใจเลือกสถานที่นะ"

อเวเค่นเอ่ยกับเจ้านรกแต่สายตาไม่ยอมละไปจากชเนย์ที่อยู่ข้างๆ นอกจากรอยบนคอแล้ว สายตายังมองไปยังส่วนล่างของอีกฝ่าย... ใช่ เมาแล้วเป็นยังไงก็ยังคงเป็นเช่นนั้น... มันถึงได้อันตรายไงเล่า!!

"ถามตรงๆ เลยละกัน ผมมาขัดจังหวะพวกคุณหรือเปล่า? "

เจ้านรกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมจนดูน่าฟาดด้วยหมัดสักที หากทำได้ล่ะก็นะ...

"ไม่หรอก มาได้จังหวะดีเลยต่างหาก" พอเจ้านรกพูดจบก็ยกแก้วขึ้นกระดกจนหมดรวดเดียวและยกแก้วเปล่าขึ้นเหมือนเรียกให้ชเนย์มาเติมอีกแก้ว

"คราวนี้อยากลองขวดไหนคับบบ" หากมีหางคงกระดิกระรัวใส่เป็นแน่แท้พอเห็นแบบนี้อเวเค่นยิ่งรู้สึกจุกอกอย่างแปลกๆ

ทว่า...ยังไม่ทันที่ชเนย์จะได้เปิดเหล้าขวดใหม่ คนเมาก็ถูกดึงลงไปนั่งกึ่งล้มบนตักเจ้านรก ริมฝีปากตามลงประกบแน่นแบบไม่ทันให้ตั้งตัวทั้งคนถูกจูบและคนที่มองอยู่ เหล้าในปากถูกส่งต่อช้าๆ และไหลออกมาตามมุมปากที่มีช่องว่างเสียจนเปรอะไปทั่ว เมื่อน้ำเมาถูกป้อนจนหมดเจ้านรกก็ถอนปากออก ปล่อยให้ทั้งชเนย์และอเวเค่นนั่งอึ้งทำตัวไม่ถูกทั้งสองคน

ชเนย์ตาสว่างไปชั่วขณะ ใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่แล้วยิ่งขับสีหน้าให้แดงจัดด้วยความกระดากอายที่ถูกจูบโชว์ต่อหน้าคนอื่น...ที่ไม่ใช่คนอื่นไกล

อเวเค่นพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติเมื่อรู้แล้วว่าตนนั้นไม่ได้ถูกเชิญให้มาร่วมดื่มสังสรรค์หรอก แต่เพื่อสร้างความหรรษาให้กับร่างสูงใหญ่ต่างหาก มือที่จับแก้วเหล้าที่มีน้ำสีทองอยู่ครึ่งแก้วเผลอออกแรงบีบโดยไม่รู้ตัวจนเกิดรอยร้าวเล็กๆ

“สายตาเอาเรื่องใช้ได้นี่”

รอยยิ้มมุมปากของเจ้านรกเหยียดขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของนักฆ่าหนุ่มที่ปกปิดไม่มิด ชเนย์ที่ยังคงมึนงงและเมามายเบนสายตาไปหาอีกคนที่กำลังมองมาที่ตัวเอง

"อะ...เอ่อ..." ไม่รู้สายตาที่ส่งไปมันกำลังขอความช่วยเหลือหรือกำลังขอคำอธิบาย แต่ก่อนที่อเวเค่นจะได้ให้คำตอบเจ้านรกก็เริ่มจูบลงบนต้นคอชเนย์เสียก่อน เรี่ยวแรงที่สู้คนตัวใหญ่กว่าไม่ไหวถูกทอนลงจนแรงจะดิ้นให้หลุดจากสองมือที่เริ่มซุกซนก็ยิ่งไม่มี

"เจ้าเองก็อย่าเพิ่งไปไหนซะล่ะ" สายตาคมสีอ่อนจางตวัดมองไปทางคนที่อยู่ตรงข้ามอย่างแข็งกร้าวบ่งบอกว่านี่คือคำสั่ง อเวเค่นผู้โดนพูดดักคอกัดฟันแน่นและวางแก้วในมือลง ตอนนี้ต่อให้เหล้าจะรสเลิศแค่ไหนก็ไม่ถูกปากทั้งนั้น

"ด...เดี๋ยวครับ คุณคิดจะทำอะไร? " ชเนย์ดันหัวคนบุกรุกออกจากคอตน

"หือ? ก็เห็นเจ้าน่าจะอึดอัด" ท่านเจ้านรกเลื่อนมือข้างหนึ่งลงสัมผัสเอาส่วนกลางที่เด่นนูนด้วยฤทธิ์เหล้าของคนบนตักตน ชเนย์สะดุ้งเกร็งทันที ทั้งโดนจู่โจมกะทันหันทั้งโดนบุคคลที่สามมองอยู่แบบนี้มัน....

อเวเค่นกำมือแน่น สายตายังคงจดจ้องภาพที่ถูกบังคับให้จำต้องมองตรงหน้า อยากจะปิดหูที่ได้ยินเสียงคนถูกปรนเปรอที่พยายามเก็บเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากปาก แต่ไม่ว่าจะพยายามสะกดกลั้นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลเพราะร่างสูงใหญ่ก็ดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนของคนที่อยู่บนตักเป็นอย่างดี

“อึ่ก...อ่ะ” ทุกครั้งที่นายเหนือหัวแห่งปราสาทหลังนี้ลากมือสัมผัส ไม่ว่าจะแตะที่ตรงไหนก็ทำให้ชเนย์ต้องหลุดเสียงครางออกมาทุกครั้ง ยากที่จะบังคับตัวเองได้

นักฆ่าหนุ่มตัดสินใจเปิดเหล้าขวดใหญ่ขึ้นมากระดกดื่มรวดเดียวอย่างเร็วจนแทบสำลัก ได้แต่หวังให้ตัวเองรีบเมาสุราจนสลบหมดสติไปโดยเร็วจะได้ไม่ต้องทนดูภาพบาดตา ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปถึงขั้นที่คนสองคนตรงหน้าทำอะไรกันมากกว่านี้ต่อหน้าแขกไม่ได้รับเชิญอย่างตัวเขา

แต่...ดูเหมือนเจ้านรกจะรู้ทันความคิดมนุษย์ที่ถูกลากมาเป็นผู้ชมชั้นดี มือแกร่งที่ยังสวมเกราะแขนเต็มยศเอาไว้เริ่มปลดเข็มขัดและกางเกงปราการชั้นล่างของร่างในอ้อมแขนออกตนอย่างรวดเร็ว

“ท่านเจ้า! อย่าครั...อื้อ!” แม้ชเนย์จะพยายามเอ่ยห้ามก็ไร้ผล เพราะไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากที่ส่งเสียงประท้วงก็ถูกปิดด้วยปากและลิ้นเร่าร้อนที่บดเบียดลงมาในทันที

มือของคนถูกจู่โจมพยายามบังช่วงล่างเปลือยเปล่า ขาทั้งสองข้างพยายามเกี่ยวกันไว้ ทว่ามือใหญ่ก็ตรงมาแยกมันออกจากกันง่ายดาย ฟันคมแกล้งกัดลงไปที่ริมฝีปากล่างของคนดื้อรั้นให้หยุดต่อต้าน ลิ้นร้อนยังคงเกี่ยวกระหวัดไม่ปล่อยและชักจูงให้คนถูกจูบร้อนแรงนั้นคล้อยตาม มือใหญ่สัมผัสรูดรั้งแก่นกลางจนมันตื่นตัวแข็งขืนตั้งชันอย่างไม่อาจปกปิดได้

“อะ อา...” เสียงหอบพร่าเพราะจูบที่แทบช่วงชิงลมหายใจเป็นอิสระหลังถูกถอนจูบ แต่ยังเชื่อมต่อกันด้วยหยาดน้ำสีใสจากปากของทั้งคู่ สติของชเนย์เริ่มเตลิดไปไกลจนยากจะควบคุมตัวเองให้เหมือนเดิม

“ข้าบอกให้หันมาดูไงล่ะ”

เสียงทุ้มทรงอำนาจสั่งคนที่ดื่มเหล้าเป็นน้ำเข้าปากเป็นขวดที่สอง และจับคางให้ใบหน้าของชเนย์หันไปหาอเวเค่นที่มองมาด้วยแววตาที่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้

“อเว...เค่น?” ริมฝีปากช้ำเพราะรสจูบพยายามส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย แต่ดวงตากลับเห็นแต่รอยยิ้มที่แสนจะฝืนทนส่งมาให้

“เชิญพวกคุณสนุกกันให้เต็มที่เลย คิดซะว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

เห็นการตัดสินใจอันห้าวหาญของอเวเค่นแบบนี้ท่านเจ้านรกจึงจับเปลี่ยนตำแหน่งมือจากความเป็นชายของคนบนตักล้วงลึกลงไปผ่านกางเกงที่เริ่มร่นลงไปต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น นิ้วที่หุ้มเกราะเย็นเปรอะเปื้อนด้วยน้ำหล่อลื่นกดแทรกเข้าช่องทางด้านหลังร่างสูงโปร่งรวดเร็ว

"อ๊า! อื้อ! " ชเนย์นั่งนิ่งเกร็งเพราะรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่น่าจะเป็นอันตรายได้หากออกแรงดิ้นมาก สติที่ดูจะไม่เข้าที่เพราะน้ำเมาจำนวนมากนั้นยิ่งไม่อยู่กับตัวมากขึ้นไปอีก

อเวเค่นจำยอมนั่งมองสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อลองสงบสติอย่างยากลำบากจึงเห็นว่าชเนย์เริ่มต่อต้านน้อยลงแล้ว นั่นอาจจะเพราะความวาบหวามที่โถมเข้ามาจากนิ้วที่เริ่มขยับปลุกเร้าให้ก็เป็นได้ บทสนทนาเงียบหายไปเนิ่นนานกระทั่งรู้ตัวกันอีกทีท่อนล่างของชเนย์ก็ไม่เหลือสิ่งปกปิดใดๆ ร่างสั่นระริกถูกจับบังคับให้หันหน้าออกไปเผชิญกับคนที่นั่งมองอยู่

“เจ้าเองก็อยากลองเล่นดูบ้างมั้ยล่ะ? น่าสนุกดีนะ” เจ้านรกเอ่ยคำเชิญชวนชายหนุ่มร่วมห้องอีกคนที่เกือบจะเป็นส่วนเกินไปแล้วให้หันมาร่วมสนุกด้วยกัน

“ตามสบายเถอะ ผมขอนั่งดูเฉยๆ ดีกว่า” อเวเค่นยกมือเป็นเชิงปฏิเสธ ดวงตาสีทองสบมองตาของชเนย์เพื่อไม่ให้ตนไปสนใจสิ่งที่ร่างสูงใหญ่พยายามเสนอให้เขาชม แต่พอมาเห็นสีหน้าที่กำลังทรมานด้วยการถูกกระตุ้นปลุกเร้าแล้ว ตัวเขาเองนั่นแหละที่เริ่มจะแย่ตามไปด้วย

ทั้งที่เจ็บใจแท้ๆ แต่ร่างกายมันกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามกันเลย อเวเค่นเปลี่ยนไปนั่งไกลๆ เพื่อจะได้ไม่มีใครเห็นความผิดปกติที่ตื่นขึ้นมาอย่างผิดเวลา นึกอยากเอาขวดเหล้าฟาดหัวตัวเองที่ดันเกิดอารมณ์ทั้งที่เห็นภาพบาดตาแบบนี้ พอเห็นอเวเค่นหลบมุมพยายามนั่งไขว่ห้างปิดบังตัวตนที่ตื่นขึ้นมา เจ้านรกก็ยิ่งรู้สึกสนุกปนเอ็นดูมนุษย์น้อยตรงหน้า

"ตามใจเจ้าละกัน"

ขาทั้งสองของชเนย์ถูกจับแยกออก แขนแข็งแรงยกร่างด้านบนขึ้นเพื่อสอดใส่ส่วนกลางอุ่นที่ตื่นตัวพร้อมออกล่าเข้าไปในตัวอีกคน

"อา..อ๊า..! " เสียงครางลั่นออกมาจากปากสั่นนั้นเพราะจู่ๆ ก็ถูกบดเบียดส่วนแข็งขืนเข้ามาในร่างเสียมิด ทั้งเจ็บทั้งจุกแต่ดีที่ท่านเจ้านรกยังมีเมตตาอยู่บ้างถึงได้นิ่งค้างไปครู่หนึ่งเพื่อรอให้ชเนย์ปรับตัวก่อน

"เจ้าเองก็อย่าเอาแต่หลบหน้าสิ..." เห็นคนบนตักพยายามนั่งห่อตัวก้มหน้าลงไม่อยากให้อเวเค่นเห็นอะไรๆ ที่เกิดขึ้นชัดๆ มือก็คว้าเอาชายเสื้อของชเนย์เพื่อดึงถอดออก แต่ไม่ได้ถอดทิ้งไปให้เสียเปล่า เสื้อถูกร่นไปกองมัดข้อมือทั้งสองไว้ก่อนจะยกแขนที่ถูกพันธนาการมาพาดไว้หลังต้นคอตน เมื่อไร้เสื้อผ้ามาขวางปิดกั้นก็เห็นชัดว่าก่อนหน้าที่อเวเค่นจะเข้ามาพวกเขาได้โหมโรงไปสักพักแล้ว รอยจูบไม่ได้มีเพียงแค่ช่วงต้นคอ แต่ถูกประดับเสียเต็มลำตัวช่วงบนจนละลานตา

“ให้ผมออกไปข้างนอกจะดีกว่าไหม เผื่อคนของคุณอาจไม่สะดวกใจที่ผมอยู่ขัดคอตรงนี้” หนุ่มนักฆ่าเสนอตัวอย่างหวังดีเพื่อหาทางออกให้ตัวเองไปด้วย ชเนย์ส่งสายตามาที่ท่านเจ้านรกคล้ายวอนขอ ทว่า...

“ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่นี่แหละ” เสียงทุ้มสั่งกึ่งบังคับ ทั้งที่ตอนแรกยังพูดว่าให้ตามใจเขาอยู่แท้ๆ ไม่ว่าดูยังไงก็เจตนากลั่นแกล้งทั้งคนที่กำลังดูอยู่อย่างอดกลั้นความกระหายอยากและคนที่กำลังทรมานเพราะความกระสันซ่าน

“ท่านเจ้า...” ชเนย์ซุกหน้าหลบลงตรงข้างบ่าที่มีเกราะไหล่สวมอยู่เต็มยศ ไม่อยากให้อเวเค่นเห็นใบหน้าของตนในตอนนี้

“อะไรกัน เจ้าทนไม่ไหวแล้วงั้นรึ?” เจ้าของรอยยิ้มเอ่ยราวเห็นใจแต่ในหัวกำลังคิดเรื่องสนุกที่กำลังจะทำต่อจากนี้ไป “ถ้าทำตัวดีๆ ข้าจะให้รางวัลนะ”

"อื้อ..." เสียงตอบรับบางเบาในลำคอผสมกับเสียงสั่นเล็กน้อยทำให้รู้ว่าคนเมาชักจะเริ่มว่านอนสอนง่ายจากความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ผสมปนเปกันจนทำให้สติย้ำคิดเริ่มไม่สนใจความอับอายนี้

"น่ารักจริงๆ ..." เอ่ยชมเสียงเบาอย่างต้องการหยอกล้อก่อนมือทั้งสองจะช้อนยกร่างบนตักขึ้นและเริ่มกิจกามใดๆ ทันที

"อ้า! อึก..." การกระแทกกระทั้นรุนแรงตั้งแต่แรกเริ่มไม่ทันตั้งตัวส่งให้เสียงร้องนั้นเผลอครางระรัวออกมาอย่างลืมตัว

อเวเค่นเองก็ใช่จะเป็นพระอิฐพระปูน ตอนนี้เขาเริ่มอยู่ไม่สุขกับภาพที่ชักจะทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าคุ้นตาในภาพลักษณ์ที่เพิ่งจะเคยเห็นดูเย้ายวนยิ่งกว่าที่คิดไว้มากมาย กว่าจะรู้ตัวเขาก็เผลอโลมไล้สายตาไปทั่วทั้งตัวของชเนย์แล้ว

"อ่ะ..อา... อเวเค่น? " เสียงเรียกชื่อสั่นเครือด้วยความกระสันเอ่ยถามอย่างสงสัยถึงสายตานั้น แต่ไร้คำตอบรับใดๆ จากคนที่ยังนั่งอยู่ตรงข้าม

"โฮ่? นี่กล้าเมินข้าเชียวเหรอ? " เจ้านรกกระซิบลงข้างหูแดงเรื่อก่อนมือข้างหนึ่งจะเลื่อนมากอบกุมส่วนกลางร้อนที่เต็มไปด้วยน้ำหล่อลื่นเอ่อล้นและเริ่มปรนเปรอให้ทั้งส่วนหน้าและช่องทางคับแคบนั้นอย่างรุนแรงจนผู้ถูกกระทำอุกอาจส่งเสียงรัญจวนต่อเนื่องไม่ยอมให้พัก

อเวเค่นเผลอกลืนน้ำลายลงคอขณะที่มองภาพทั้งสองร่างกำลังเสพสมอยู่ตรงหน้าตน อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราหรือแรงอารมณ์ที่ปะทุจนต้องปลดเนคไทและกระดุมที่คอเสื้อออกระบายความคุกรุ่น ดวงตาคมของผู้เรืองอำนาจแห่งนรกเหล่มองเจ้าของผมสีแดงที่กำลังจับจ้องมา ก่อนที่เจ้านรกจะกระซิบข้างหูคนที่กำลังร้องครางไม่ได้ศัพท์อยู่บนร่างของตัวเอง

“ไหน? ...ลองเรียกชื่อเจ้านั่นอีกทีสิ” ริมฝีปากเอ่ยคำพูดที่ทำให้ทั้งเจ้าของชื่อและคนถูกสั่งเผลอเบิกตากว้าง

“บะ...แบบนั้นมัน...” ในหัวชเนย์กำลังสับสนไปหมดว่าท่านเจ้านรกล้อเล่นอะไรกับเขาอยู่ในเวลาแบบนี้

“เอ้า เรียกสิ ทางนั้นเองก็ต้องการเหมือนกันนะ ลองหันไปมองดูเจ้านั่นดีๆ สิ” ชเนย์ละสายตาจากอเวเค่นเลื่อนมองต่ำลงจนถึงกลางลำตัวคนตรงหน้า และก็เข้าใจความหมายที่เจ้านรกเอ่ยทันที



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
“...อะ...อเวเค่น” ทว่าเจ้าของชื่อพยายามทำเป็นไม่สนใจตอบรับไม่ว่าเขาจะเรียกชื่อสักกี่ครั้ง

“ใจแข็งจังเลยนะเจ้าหนุ่ม” เสียงทุ้มเอ่ยชม อยากรู้จริงๆ ว่ามนุษย์ตรงหน้าจะอดทนได้อีกสักกี่น้ำ

“อึ่ก...อ่ะ...ค...เคน”

ดวงตาสีทองเบิกกว้าง เส้นความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดขาดลงอย่างง่ายดายทันทีที่เสียงร้องเรียกชื่อเอ่ยออกมา เจ้านรกเอนตัวไปพิงเบาะโซฟานุ่มทำให้ชเนย์เองก็พลอยต้องนอนราบไปบนตัวอีกฝ่ายด้วย

"ถ้าเจ้าอยากร่วมสนุกด้วยน่ะนะ" ไม่พูดเปล่า นิ้วหุ้มเกราะโลหะเย็นข้างที่จับขาชเนย์ไว้ไต่มากดลงใกล้กับช่องทางที่ถูกรุกล้ำเหมือนเป็นคำเสนอ อเวเค่นลุกจากโซฟาฝั่งตนแล้วเดินมาหาอีกสองคน

"ผมเกลียดคุณชะมัดเลย โดยเฉพาะตอนนี้" ตาสีทองเต็มไปด้วยความต้องการแรงกล้าส่งสายตาจ้องเขม็งไปหาเจ้านรกอย่างไม่เกรงกลัว

"ข้าห้ามไม่ให้เจ้าคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก แต่ขอบใจที่พูดออกมาตรงๆ นะ" ร่างสูงใหญ่หัวเราะชอบใจ

"เคน...? " เรียกได้แค่นั้น คนตรงกลางก็ถูกเจ้าของชื่อจูบลงมา เพียงแต่ไม่ร้อนแรงหรือเร่งเร้าดังเช่นปกติ อเวเค่นจูบปลอบอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"ถ้าคุณไม่ต้องการ...ผมก็จะไม่ทำ"

ประโยคคุ้นหูถูกพูดคืนแก่คนที่มักจะบอกเขาอยู่เสมอ

เจ้านรกดึงเอาเสื้อที่พันแขนชเนย์ออกให้สองมือเป็นอิสระ ก่อนแขนทั้งสองข้างจะเอื้อมไปกอดคอของอีกฝ่ายลงมาจูบเสียเองและเอ่ยด้วยเสียงปะปนไปกับความซาบซ่านเต็มไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น

"ช่วย... ใส่มันเข้ามาเถอะครับ"

จบคำ...เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน มือถอดเข็มขัดออกและกางเกงถูกดึงร่นลงเพียงบางส่วนให้ลงมาต่ำพอจะทำกิจตรงหน้าได้ ส่วนร้อนแข็งขืนที่อดทนรอมานานชั่งใจที่จะสอดใส่เข้าไปในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า

“เคน?” ชเนย์เรียกชื่อจริงคนตรงหน้าอีกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายไม่เข้ามา แต่หยิบซองรูปร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านในเสื้อนอกของเจ้าตัวออกมาฉีกและสวมใส่ให้แก่นกลางของตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดข้างหู

“ผมขอเข้าไปนะ...” ริมฝีปากอุ่นจูบที่เปลือกตาทั้งสองข้าง มือจับส่วนร้อนที่ใส่อุปกรณ์ป้องกันจ่อเข้าไปตรงช่องทางรักที่ถูกเจ้าของปราสาทเบิกทางล่วงล้ำไปก่อนหน้าแล้ว ดวงตาสีทองสบตาเอาเรื่องคนที่อยู่ด้านหลังชเนย์ซึ่งมองมาและยิ้มให้เหมือนไม่รู้สึกอะไร

"อึ้ก! ..." ความแน่นเสียจุกจนคนที่อยู่กลางพูดไม่ออกเมื่อถูกดึงดันใส่ลำแท่งระอุของอีกคนเข้ามา

"อา..." อเวเค่นก้มหน้าซุกลงตรงอกที่หอบกระเพื่อมของชเนย์แล้วส่งเสียงออกมาหลังจากสามารถเบียดตัวเองเข้าไปได้ ช่องทางคับแคบเบียดแน่นจนจุดกระสันด้านในถูกับความเป็นชายของผู้มาใหม่โดยที่ไม่จำเป็นต้องควานหา

เจ้านรกยิ้มพอใจกับภาพตรงหน้า ก่อนจะเปลี่ยนมาจับเอวของคนกลางแล้วออกแรงช่วยให้เริ่มขยับตัวช้าๆ และเร่งเครื่องต่อมาในทันทีเพราะอดทนรอมานานพอแล้ว

"อื้อ! อ๊าา! ..อ่ะ.." เสียงครางหวานลั่นทุกครั้งที่ถูกบังคับให้ขยับกระแทกเร่งเร้าอารมณ์ของคนที่เพิ่งมาใหม่ อเวเค่นรู้สึกถึงความเสียวซ่านอย่างที่ไม่เคยรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมขนาดนี้มาก่อน แม้มันจะขยับได้ยากเพราะช่องทางแคบมากจนเขาแอบกลัวว่าตรงนั้นของอีกฝ่ายจะฉีกขาด แต่ก็อดที่จะเผลอเลียริมปีปากตัวเองไม่ได้ที่เห็นสีหน้าของชเนย์บิดเร้า ดวงตารื้นด้วยน้ำตาที่ทั้งเจ็บแต่สุขสม มันกระตุ้นสัญชาตญาณดิบที่เขามักจะกดเอาไว้ยามที่มีอารมณ์ร่วมรักกับใคร

สะโพกขยับเข้าออกถี่ๆ และกระแทกดันเข้าไปให้ลึกกว่าเดิมจนแก่นกลางของผู้รุกล้ำทั้งสองเสียดสีอยู่ภายในช่องทางของคนที่รองรับแรงตัณหาตรงกลาง เสียงร้องครางดังที่แทบแยกไม่ออกว่าเป็นของของใครดังสลับกันอยู่ภายในห้องรับรองแขกที่เป็นดั่งเขตหวงห้ามไม่ให้ใครอื่นเข้ามา

"อ๊า! .. อื้อ! ...ระ...แรง...อีก"

เสียงสั่นหวานหูที่เพิ่งจะเคยได้ยินกระซิบข้างหูคนเบื้องหน้าจนอเวเค่นยังต้องผละหน้าออกมามองเสมือนถามว่าเอาจริงหรือ...แต่รอยยิ้มพึงใจร้อนร่านแปลกตาสร้างความฉงนให้กับผู้ถูกเรียกร้องเพิ่ม

"เจ้าไม่รู้สินะ" เจ้านรกถอดเกราะออกจากมือข้างหนึ่งก่อนสอดแทรกเข้าไปในปากอุ่นของชเนย์ ส่วนอีกมือเลื่อนลงไปจับส่วนแข็งขืนของผู้ถูกประกบทั้งหน้าและหลัง ก่อนจะใช้นิ้วหนึ่งกดจิกลงส่วนปลายของลำแท่งจนอเวเค่นที่มองอยู่ยังเจ็บแทน

ทว่า...ทั้งร่างของผู้ถูกทำร้ายกลับแอ่นรับ ช่องทางด้านหลังที่คับแคบยิ่งตอบรับการขยับรุกเร้ามากขึ้นกว่าเดิม

"ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ ท่าทางจะชอบมากซะด้วย" เจ้านรกวางหน้าแนบไว้กับแก้มสีแดงจัดของอีกคนแล้วยักคิ้วให้อเวเค่นเหมือนชวนมาบุกสำรวจสิ่งแปลกใหม่นี้ด้วยกันอยู่เนืองๆ

หนุ่มนักฆ่าเผลอกัดฟันที่เจ้านรกรู้รสนิยมของคนตรงหน้าที่เขากำลังร่วมรักด้วยดีกว่าที่เคยรู้ ถึงจะแอบไม่พอใจอยู่บ้างแต่...มันก็ทำให้อเวเค่นไม่ต้องสะกดกลั้นความอดทนที่อยากลองกระทำรุนแรงดูสักครั้งแบบนี้มานาน

“อ๊าา!! อื้ออ....ฮ้า!” ร่างกายของชเนย์รองรับแรงกระแทกที่รุนแรงเร่าร้อนยิ่งกว่าเก่า แถมอเวเค่นยังกัดเข้าที่คอด้วยความหมั่นเขี้ยวจนเป็นรอยฟันไปเสียหลายที่โดยไม่กลัวว่าจะเหลือรอยช้ำให้ใครต่อใครเห็น แต่ถึงอย่างนั้นชเนย์ก็ไม่ประท้วงห้ามกลับยิ่งส่งเสียงเรียกชื่อจริงเขาอย่างถวิลหา

“เคน...เคน!”

“อื้อ...อยู่นี่แล้ว” ดวงตาสีทองจ้องมองอย่างรู้สึกเสน่หาจนเผลอยิ้มออกมาและจูบอย่างดูดดื่มไม่สนใจว่าจะมีใครอีกคนที่กำลังกดแก่นกายใหญ่เบียดเข้ามาจนเขาเผลอครางต่ำในลำคอเพราะแก่นกายของตนก็โดนเสียดสีไปด้วย

"อ๊าาา! อ่ะ" ผู้คั่นกลางระหว่างสองคนบิดเร้าพร้อมเปล่งเสียงร้องหวานอย่างพอใจเมื่อส่วนกลางที่ถูกมือใหญ่กอบกุมไว้กระตุกตัวปล่อยความปรารถนาล้นออกมาจำนวนมาก แรงบีบตอดรัดที่ด้านหลังเป็นจังหวะกระตุ้นให้อีกสองคนถึงสวรรค์ไล่เลี่ยกัน เจ้านรกกัดลงบนไหล่สั่นระริกสะกดกลั้นทุกเสียงที่จะออกจากปากตน ผิดกับอเวเค่นที่ก้มลงซุกที่ไหล่อีกฝั่งแล้วปลดปล่อยทุกเสียงที่เอ่อล้นออกมา

อเวเค่นหอบหายใจหนักก่อนจะถอนแก่นกลางออกมาและดึงถุงที่เต็มไปด้วยน้ำสีขาวขุ่นของตนออก แต่นอกจากของของตัวเขาเองแล้วข้างนอกมันยังเปรอะไปด้วยน้ำรักของอีกคนที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

“ทำหน้าเหมือนไม่พอใจนะ” เจ้านรกยักคิ้วให้เหมือนทุกที อเวเค่นทำเมินหันมามองชเนย์ที่นอนหอบอย่างหมดแรง ร่างกายมีแต่รอยจูบรอยกัดนับไม่ถ้วน และผลงานกว่าครึ่งไม่ได้มาจากตัวเขา...

ชเนย์สลบไปแทบจะทันทีหลังจากเสร็จกิจอันหนักหน่วง เจ้านรกอุ้มเอาร่างอ่อนแรงนั้นลงนอนบนโซฟากว้างอย่างทะนุถนอมผิดกับการวางตัวที่ผ่านมา

"ผิดคาดนะ นึกว่าคุณจะสนใจแค่เล่นสนุกซะอีก" อเวเค่นนั่งลงบนโต๊ะตรงหน้านั้นโดยไม่ยี่หระใดๆ ว่ามันจะสมควรหรือไม่พลางทอดสายตามองมือหนาที่วาดผ่านตัวอีกคนตามรอยต่างๆ ก่อนที่รอยช้ำทั้งหมดจะหายไปในพริบตา

"...สะดวกดีนะนั่นน่ะ"

"มนุษย์รักษาตัวเองไม่ได้นี่นะ มันน่าเห็นใจต่างหาก" พูดจบก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองห่มร่างเปลือยเปล่านั้นไว้ คำพูดกับการกระทำช่างดูย้อนแย้งจริงๆ ...

หลังจัดแจงเนื้อตัวเรียบร้อย เจ้านรกก็นั่งแผ่สบายอารมณ์และหยิบเหล้าอีกขวดมายกดื่มเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

"ไม่นึกว่าจะยอมมาแจมจริงๆ ขอบใจนะที่ทำให้เรื่องมันสนุกขึ้น"

"ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณสักหน่อย" เปิดเหล้ามาอีกขวดโดยไม่สนใจว่าตัวเองดื่มไปมากแล้ว

"เอาเป็นว่าข้าได้ประโยชน์ทางอ้อมละกัน" รอยยิ้มอารมณ์ดีผิดวิสัยและสถานะที่ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินจำเป็นกลับยิ่งทำให้อเวเค่นครุ่นคิดหนักขึ้นไปอีก... "อยากจะถามอะไรก็ถามมาเถอะ ถ้าจะปกปิดสีหน้าไว้ไม่อยู่ขนาดนั้น"

“ผมล่ะเดาไม่ออกจริงๆ ว่าคุณชอบหรือว่าเกลียดมนุษย์กันแน่”

เมื่อเปิดให้ถามอเวเค่นก็เอ่ยอย่างไม่ให้เสียโอกาส การกระทำหลายอย่างมันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่จัดการแข่งโดยมีวิญญาณของมนุษย์จำนวนมากบนเกาะเป็นตัวประกัน แต่ไอ้ที่ทำอยู่เมื่อครู่ก็ไม่ได้นึกรังเกียจ แถมยังมานั่งจับเข่าคุยกันอีก

“ชอบหรือเกลียดงั้นรึ? มันก็แยกเป็นกรณีไป”

เจ้านรกยกเหล้าออกจากปากก่อนจะถือไว้พลางสบมองดวงตาสีทองที่ไม่เคยกลัวอะไร“ข้าถามกลับนะ แล้วมนุษย์อย่างเจ้าล่ะชอบมนุษย์ทุกคนบนโลกรึเปล่า?”

“เล่นโยนคำถามกลับมาแบบนี้ขี้โกงจริง” ว่าจบก็ยกดื่มมันทั้งขวด ส่วนที่หกออกจากมุมปากไหลออกแต่ก็ไม่คิดใส่ใจ

เจ้านรกแอบมองรอยน้ำหยดนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก่อนตวัดสายตากลับไปหาเครื่องดื่มของตน"ข้ามาเอาวิญญาณที่ไม่เข้าบัญชีกลับคืนก็เท่านั้น ส่วนการแข่งนี่ก็แค่ต่อให้พวกซีเอฟเท่านั้นเอง"

"ต่อให้รึ? คุณจะสบประมาทมนุษย์ไปถึงไหนนะ" อเวเค่นยิ้มระอา

"เปล่านี่ ...ข้าแค่อยากเห็นพวกมันดิ้นรนพยายามมากกว่า"

"งั้นผมเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน คุณมันโรคจิตชัดๆ ..." นักฆ่าหนุ่มยกเหล้าขึ้นกระดก เมื่อวางขวดลงก็เหลือบไปเห็นชเนย์ที่งัวเงียดันร่างตัวเองขึ้นมา เจ้านรกมองไปหาคนที่ลุกมานั่งข้างๆ แต่ท่าทางจะยังไม่สร่างและยังเมาขี้ตาอยู่เป็นแน่แท้ถึงได้ดูไม่มีสติขนาดนั้น

"ใต้เท้า...." คนง่วงเรียกเสียงเบาก่อนไถตัวเองไปนอนขดห่อตัวด้วยเสื้อคลุมจนมิดทุกส่วนในอ้อมแขนร่างสูงใหญ่ อเวเค่นเผลอยิ้มกับท่าทางงัวเงียของพ่อครัวที่แทบไม่เคยได้เห็น แต่ลึกๆ ก็เจ็บใจนิดที่ทางนั้นเลือกจะไปอยู่ข้างๆ คนตรงหน้าเขา ขวดเหล้าถูกยกดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง... ทำไมวันนี้ถึงไม่เมาสักทีนะ

“ถ้าชอบขนาดนั้นข้ายกให้ก็ได้นะ”

“แค่กๆ! ...ทุเรศ! อย่ามาพูดล้อเล่นนะ!” สบถด่าอย่างไม่กลัวว่าจะโดนเจ้านรกฆ่าเอาตอนนี้เลย ดวงตาสีอ่อนมองพลางหัวเราะคนที่สำลักเหล้าทันทีหลังจากที่ตนพูดจบ

“ก็เห็นทำหน้าอยากได้ซะขนาดนั้น มาขอร้องเอาทีหลังข้าไม่ให้แล้วนะ” ยังไม่วายแกล้งแหย่ให้คนขี้โมโหหน้าขึ้นสีแดงจัด

ช่างยุง่ายเสียจนน่าขำ

“ไม่ต้องมายุ่งแล้วก็ไม่ต้องมาทำหน้าเห็นใจกันเลย” อเวเค่นถอดเสื้อนอกที่เลอะเหล้าที่ตัวเองสำลักออกอย่างน่าเสียดาย “คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าชเนย์เขา...ภักดีกับคุณแค่ไหน”

"นั่นข้าก็รู้" แขนข้างที่โอบร่างขดกลมไว้ยกขึ้นลูบแก้มคนหลับเบาๆ ก่อนจูบลงกลางหน้าผากค้างไว้เช่นนั้นพร้อมกับแววตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ "ดีใจอยู่หรอกที่มีคนแบบนี้อยู่ แต่ขืนอยู่นานกว่านี้ข้าคงหาทางทำให้เจ้านี่ไม่แก่ไม่ตายไปด้วยแน่ๆ "

"...นั่นก็ดีแล้วนี่? " ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจจนต้องทำหน้าสงสัยเพื่อเค้นคำอธิบาย

"ถ้าทำแบบนั้นแล้วข้าจะมาจัดงานแข่งนี่ทำไมเล่า? " เหตุผลที่ไปด้วยกันได้กับงานที่กำลังจะเกิดขึ้นถูกตอบเชิงถามย้อนคืนมา "เห็นแบบนี้ข้าก็รักษากฎของนรกเหมือนกันนะ"

อเวเค่นไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ทำได้แต่เพียงหมุนแก้วเหล้าข้างๆ เล่นเพื่อใช้ความคิดเท่านั้น"อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่คุณไม่ได้เห็นเขาเป็นของเล่นล่ะนะ..."

"ถ้าข้าคิดแค่นั้นข้าจะมานั่งคุยกับเจ้าทำไมล่ะ อีกอย่างของแก้เบื่อแบบนั้นน่ะข้าจะหาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้" เจ้านรกยักไหล่แล้ววางขวดเปล่าลง "แม้แต่กับเจ้าข้าก็ได้หมด..."

เพล้ง!

แก้วเหล้าในมือของอเวเค่นไม่ได้ลื่นหล่นลงแตกลงพื้น แต่โดนปาข้ามหัวเจ้านรกไปโดนแมงมุมสีดำขนปุกปุยที่อยู่ด้านหลังจนลงมานอนชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้น

“บอกคนสนิทของท่านว่าให้สั่งพ่อบ้านมาทำความสะอาดบ้างก็ดีนะ มีทั้งแมงมุมทั้งตัวอะไรไม่รู้เต็มปราสาทไปหมด” เจ้าของตาสีทองเอ่ยแนะนำโดยไม่สนเรื่องที่อีกฝ่ายพูดค้างเอาไว้เมื่อครู่ อเวเค่นลุกขึ้นยืนและหยิบเสื้อนอกขึ้นพาดบ่า “ผมขอตัวกลับห้องก่อนล่ะ”

“เหล้ายังเหลืออีกตั้งมากจะรีบกลับแล้วรึ?” เจ้านรกหันไปเหล่แมงมุมที่ชักเฮือกสุดท้ายจนกระทั่งแน่นิ่งไป

“ดื่มหมดเดี๋ยวได้ตับแข็งตายกันพอดี” หนุ่มผมแดงก้าวขาข้ามขวดเหล้าที่เรี่ยราดเกลื่อนพื้นไปได้สองสามก้าว เจ้านรกก็เอ่ยทักขึ้น

“จะกลัวอะไรกับอีแค่ตายเร็วขึ้นเพราะเหล้า ยังไงชีวิตมนุษย์ก็สั้นอยู่แล้ว” เสียงทุ้มถามไล่หลัง อเวเค่นหยุดเท้าแล้วยืนนิ่งก่อนหันหน้ามาหาดวงตาสีอ่อนที่ปรายตามองมา

“...ขอถามอะไรอีกสักข้อหนึ่งสิ” น้ำเสียงที่ไร้มารยาทอ่อนลงเล็กน้อย

“ว่ามาสิ” เจ้านรกอนุญาตให้ถามได้และรอว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

“ถ้าผมตาย วิญญาณของผมต้องไปอยู่ในนรกของคุณด้วยงั้นสินะ?”

“ของมันแน่อยู่แล้ว” ร่างสูงใหญ่ให้คำตอบนักฆ่าหนุ่มในทันที

“...ก็ดี งั้นผมเลิกเหล้าซะตั้งแต่วันนี้เลยก็แล้วกัน ไม่ขอตายเร็วขึ้นแม้แต่วินาทีเดียวแล้ว” อเวเค่นสะบัดเสื้อนอกแล้วเปิดประตูห้องรับรองแขกออก “เสียใจด้วยแต่ผมไม่คิดจะเป็นของเล่นแก้ขัดให้หรอกนะ ถ้าอยากได้ก็ไปรอเอาวิญญาณของผมตอนแก่ตายก็แล้วกัน!”

ปึง!!

เสียงปิดประตูไล่หลังอย่างแรงตามด้วยเสียงเดินลงส้นเท้าอย่างเร็วจ้ำอ้าวออกไป เจ้านรกเอามือทาบหน้าตัวเองแล้วหัวเราะเสียลั่น

"แก่ตายเหรอ พูดอย่างกับว่ามันนานนักล่ะ" คนที่อยู่เห็นคนเกิดและตายจนชินชามานับไม่ถ้วนพูดเสียงระรื่น

"อือ..." ร่างในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อย คงเป็นเพราะที่เขาหัวเราะเสียงดังไปเมื่อครู่

"แล้วข้าก็ต้องเห็นเจ้าตายในสักวันสินะ..." วงแขนโอบร่างเล็กกว่ากระชับเข้าหาตัว การตัดสินใจว่าจะยอมรับความสูญเสียในอนาคตหรือจบลงแค่ความสนุกคั่นเวลาทำเอาแววตาทรงอำนาจอ่อนจางลงเล็กน้อย...




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #11

อเวเค่นเดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายไปรอบปราสาท หลายคนกำลังเตรียมตัวและอีกหลายคนก็เอ้อระเหย บรรยากาศเริ่มครึกครื้นเพราะคนที่เริ่มเข้าร่วมรบมากขึ้นตาม... ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่รู้สึกว่ามีคนไม่คุ้นหน้ามากมายขนาดนี้?

สุดท้ายเท้าก็พาเดินมาหยุดหน้าครัวที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

“...บอกว่าจะไปพักแต่เท้าก็เดินมาที่นี่เพราะความเคยชินอีกแล้ว” อเวเค่นสบถกับตัวเอง อย่างน้อยก็เข้าไปนั่งพักหาน้ำดื่มช่วยให้ตัวเองไม่รู้สึกมึนจนเผลอล้มฟุบเพราะเมาหัวทิ่มไปก่อนจะกลับถึงห้องตัวเองก็แล้วกัน



“...มานอนทำอะไรตรงนี้?”

เสียงเรียกของใครบางคนปลุกให้ตื่น อเวเค่นเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารในห้องครัวก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือของตน

นี่เขาเผลอหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ!

“อา...เมาจนหลับไปเลยแฮะ แย่ชะมั...” เงยหน้าขึ้นมองผู้มาปลุก แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวที่อีกฝ่ายคือเจ้านรกที่เพิ่งไปกวนส้นเท้าท่านออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

“ข้ามาหามื้อดึกกิน เจ้านั่นบอกว่ามีของอยู่ในครัว”

บอกถึงเป้าหมายการมาเยือนห้องครัวเสร็จสรรพโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายที่กำลังงงได้เอ่ยถาม

"เรียกเจ้านั่นๆ อยู่ได้ เขามีชื่อนะ" อเวเค่นเกาหัวก่อนคว้าขวดน้ำมาดื่ม พอเริ่มดีขึ้นแล้วความหิวก็เข้าจู่โจม ตาสีทองแอบมองตามเจ้านรกไปว่ามีอะไรเหลือไว้ให้กินบ้างแล้วก็พลันนึกได้ "แล้วชเนย์...ลุกไม่ไหวสินะ"

"ไม่ยอมมาต่างหาก" เจ้านรกหยิบขนมปังพันเบคอนออกมาจากตู้เย็น "อืม...แต่ก็คงไม่อยากลุกด้วยนั่นแหละ"

"หมายความว่าไง? "

"คงรู้ล่ะมั้งว่าเจ้าจะมาที่ครัวแน่นอน" เจ้านรกหัวเราะและเดินไปหาวิธีอุ่นอาหารในมือกิน อเวเค่นนั่งนึกเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ยอมมาไม่ออกนอกจากปวดเอว...

“...หลังจากผมออกจากห้องนั้นมา คุณได้ทำอะไรกับเขาต่อรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ คิดว่าไงล่ะ?” ย้อนถามแล้วยังยิ้มส่งมาให้ อเวเค่นเห็นแล้วก็หมั่นไส้เบ้ปากมองไปทางอื่น ก่อนเหล่ตากลับมายังท่านเจ้านรกที่ยืนอยู่หน้าไมโครเวฟ

“ว่าแต่อุ่นอาหารเป็นรึเปล่าล่ะนั่น...?” นักฆ่าหนุ่มคิดในใจ เพราะเขาเป็นห่วงอาหารที่ชเนย์ทำหรอก! ไม่ได้ห่วงว่าเจ้านรกจะทำไมโครเวฟระเบิดเลยสักนิด!

รอเนิ่นนานแต่เจ้านรกก็ไม่ยอมทำอะไรต่อเสียที กระทั่งแอบเหลือบหางตามาหาอเวเค่น ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่นั่งนิ่งพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิตแม้ทั้งมือและตัวจะสั่นจากการเกร็งไปหมด

"...อยากจะหัวเราะก็เอาเถอะ ตอนนี้ข้าหิว" เป็นนัยว่าช่วยกรุณาทำให้หน่อย...สุดท้ายก็ช่วยอุ่นให้อย่างเสียมิได้

"ผมจะได้ไปหาเขาเอง" ตอนนี้อเวเค่นมัวแต่คิดเรื่องที่ว่าทำไมพ่อครัวผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่คนนั้นถึงหนีไปแล้วทิ้งงานของตัวเองไว้แบบนี้

"ข้าพาไปไว้ที่ห้องเจ้านั่นเองแล้ว ถ้าอยากไปหาก็ไปเถอะ...ไม่สิ ช่วยไปหาหน่อยก็ดี" พูดหลังจากเคี้ยวขนมปังจนหมด

"...? " นักฆ่าหนุ่มสงสัยในคำพูดนั้นแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะแย่งขนมปังติดมือไปกินชิ้นหนึ่งและเดินจากมา

“หยิบเอาชิ้นใหญ่สุดไปซะได้นะเจ้าตัวแสบ” เจ้านรกมองชิ้นที่เหลือในจาน ส่วนอเวเค่นก็ชูมือข้างที่ขนมปังโดนกัดไปแล้วโบกไปมาเหมือนได้รับถ้วยรางวัลเชิดชูเกียรติ







อเวเค่นเดินมาถึงห้องของชเนย์ก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะ เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะลุกมาเปิดประตูต้อนรับไหว

“...เข้ามาได้ยังไงน่ะครับ?” ชเนย์ที่ได้ยินเสียงไขประตูเงยหน้าลุกจากเตียง แล้วอเวเค่นก็ตอบคำถามด้วยการชูกุญแจห้องของพ่อครัวที่ตัวเองไปแอบทำสำรองมาเก็บไว้กับตัวเรียบร้อย...

"หลบหน้าผมรึไงถึงไม่ยอมไปที่ครัวเนี่ย? " อเวเค่นลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง เว้นระยะให้ชเนย์รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวเล็กน้อย

คนบนเตียงลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพเดียวกับครั้งสุดท้ายก่อนที่อเวเค่นจะออกมาจากห้องรับรอง ผ้าผืนหนาปกปิดท่อนล่างไว้เช่นเดียวกับเมื่อวันก่อนที่เขาไม่สบาย

"...ผมขอโทษด้วยที่พาคุณไปเจออะไรแปลกๆ "

"ไม่นี่ ผมไม่คิดอะไรสักหน่อย" นักฆ่าหนุ่มพูดให้เจ้าของห้องสบายใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้ชเนย์คงสร่างเมาเป็นที่เรียบร้อยถึงได้กลับมาพูดตามปกติ

“คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

“จริงเหรอครับ?” ชเนย์เงยหน้าขึ้นหันมาสบตาอเวเค่น “...ผมนึกว่าคุณจะโกรธแล้วซะอีก”

“แน่นอนว่ามีเรื่องที่ผมโกรธอยู่บ้าง” ชายหนุ่มกอดอกและขมวดคิ้ว “เรื่องที่คุณเรียกชื่อจริงผมต่อหน้าคนอื่น”

“ผมขอโทษครับ...” ชเนย์พูดเสียงละห้อย

“ชื่อนั้นน่ะ ผมให้เฉพาะคนพิเศษกับเพื่อนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เรียกมัน”

“...นั่นสินะ ผมเองก็ไม่ใช่ทั้งเพื่อนทั้งคนพิเศษของคุณเลยสักอย่าง” คนพูดก้มหน้าสำนึกผิด อเวเค่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าชเนย์ แล้วก็...

“โอ๊ย!” พ่อครัวร้องเสียงหลงเพราะโดนดีดหน้าผากจนหน้าหงาย เล่นงานโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเขายังไม่ฟื้นสภาพเต็มร้อยเลยสักนิด

"อืม..." อเวเค่นทำหน้านิ่ง พลางนึกอยากแกล้งให้อีกคนกังวลเล่น "จริงๆ มันก็ยังมีอีกนะ แต่เป็นเมื่อกี้เลยต่างหาก”

"ครับ? " ถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง

"ข้อแรก คุณไม่ยอมไปทำอาหารให้ผมกิน หิวจนไส้กิ่วเลยล่ะ" ทำหน้าจริงจังมากๆ แม้ท้องจะเต็มไปด้วยขนมปังพันเบค่อนก็ตาม

ก็หน้าของชเนย์ตอนกังวลนั้นมันน่าแกล้งต่อจริงๆ ..."ข้อสอง... คุณพูดมาได้ไงว่าผมไม่เห็นคุณเป็นเพื่อนหรือคนพิเศษน่ะ? "

“ก็...มีแต่ผมที่เรียกคุณว่าเพื่อนอยู่ฝ่ายเดียวเองนี่ครับ ส่วนเรื่องเป็นคนพิเศษ...” ร่างสูงโปร่งมองเข้าไปยังดวงตาสีทองที่จ้องรอคำตอบ “ผมไม่รู้ว่าตัวผมพิเศษพอสำหรับคุณหรือเปล่า?”

“...ชเนย์”

“ครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ถูกเรียกอีกครั้ง คงจะโดนบ่นไม่ก็โมโหใส่แน่นอน

“ผมไม่ห้ามหรอกนะ ถ้าหาก...นานๆ ทีคุณจะเรียกชื่อจริงผมน่ะ”

"อ่า...ครับ" ชเนย์ซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง ท่าทางจะเขิน... "นี่คือ...คุณยอมให้ผมเป็นเพื่อนคุณแล้วสินะ? "

“คุณนี่มันซื่อบื้อซะไม่มี!” อเวเค่นตอกหน้าด้วยคำพูดเดิมที่เขาใช้พูดกับอีกฝ่ายบ่อยๆ

“ก็...คุณไม่พูดให้ชัดเจนนี่ครับ ใครมันจะไปรู้เล่า!” ชเนย์ลุกขึ้นโต้เถียงกลับ แต่ลุกเร็วไปหน่อยเลยปวดเอวลั่นไปถึงสมอง

อเวเค่นยืนมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ เขายืนนึกอยู่นานมากว่าจะทำอย่างไรกับคนฉลาดน้อยตรงหน้า สุดท้ายก็สูดหายใจลึกๆ ก่อนนั่งลงบนเตียงข้างๆ ตัวชเนย์

"ผม...เอ่อ รักคุณมากๆ เลยล่ะ...ชัดพอมั้ย? " คนพูดนิ่งกว่าคนฟังได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่แววตาที่ส่งมานั้นดูเจ็บปวดจนผิดปกติ "แต่ผมรู้น่าว่าสายตาคุณมองใครอยู่..."

"....กล้าพูดออกมาจริงๆ ด้วย" ชเนย์หันหน้าไปทางอื่น เลือดลมสูบฉีดขึ้นมาบนหน้าไวจนหลบไม่ทัน "ขอบคุณครับที่พูดออกมา...ไว้รอดจากงานแข่งนี้ผมจะคิดดูอีกทีนะ"

"นั่นแหละ ผมก็....หือ? " อเวเค่นที่กำลังก้มหน้ารอรับความจริงกลับต้องสะบัดหน้าตนกลับมาจ้องอีกฝ่าย "คุณว่าอะไรนะ? "

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำสิครับ...” พยายามซุกหน้าหนีแต่ใบหูแดงจัดนั่นก็ปิดไม่มิด อเวเค่นจับไหล่คนบนที่นอนให้หันมาแต่ชเนย์ก็เอามือปิดหน้าไม่ให้ดู

“เอามือออก ไม่งั้นผมปล้ำคุณจริงๆ นะ” น้ำเสียงขู่บ่งบอกว่าไม่ได้พูดเล่นแถมตั้งท่าจะคร่อมคนบนเตียงด้วย

“คุณเป็นผู้ร้ายข่มขืนรึไงครับ!” เอามือออกเพื่อจะด่าใส่ตรงๆ แต่ลืมไปว่าสีหน้ายังแดงอยู่ อเวเค่นยิ้มกว้างจนตาปิดแล้วล้มตัวลงไปกอดชเนย์บนที่นอนแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

“โอ๊ยๆๆ! เอวผม!!”

ก็ไม่ได้อยากจะทำลายบรรยากาศที่กำลังดีๆ แต่ทางนี้ก็เพิ่งผ่านศึกหนักมา ร่างกายมันยังไม่พร้อม!

อเวเค่นยังไม่คลายอ้อมแขน อีกทั้งยังตัวสั่นจนน่าแปลกใจ

“เคน? ...” ชเนย์ลองเรียกชื่อจริงอีกฝ่าย น้ำเสียงของคนที่กำลังกอดเขาไว้ดังข้างหูที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสั่นอยู่

“ขอบคุณ...” อเวเค่นพยามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่ตอนนี้เขาดีใจมากจนแทบจะกลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่ "ว่าแต่..."

นักฆ่าหนุ่มผละตัวออกมารวดเร็ว ทั้งคำพูดของเจ้านรกที่บอกให้เขามาหาพ่อครัวจำเป็น ทั้งการตัดสินใจของชเนย์มันก็แปลกไปจากปกติจนน่าสงสัย แม้จะยินดีแค่ไหนแต่สัญชาตญาณมันบอกว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังแน่นอน

"ทำไมถึง...ตัดใจจากเจ้านรกล่ะ? "

"...ก็...พอดี...มานึกดูแล้ว จบงานนี้ก็คงไม่รู้จะได้เจอกันอีกรึเปล่า แล้วอีกอย่าง..." เสียงของคนนอนราบบนเตียงอ่อนลงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ "ดูท่าทางเรื่องอายุขัยมันจะเป็นปัญหาน่ะสิ.."

ดวงตาสีหม่นมองออกไปทางอื่นคล้ายกับจะสื่อเป็นนัยว่านี่เป็นคำพูดของคนที่อเวเค่นก็รู้ว่าใครบอกมา

"...ทั้งที่มีพลังขนาดนั้น แต่เขาไม่ยอมทำให้คุณเป็นอมตะหรือแม้แต่ยืดอายุขัยเนี่ยนะ? "

"มีพลังขนาดนั้น แต่กลับไม่ใช้มันเพื่อครอบครองผมเชียวนะ เป็นคนที่...ผิดกับที่คิดเยอะเลยล่ะครับ" รอยยิ้มและแววตาเศร้าสร้อยบอกให้รู้ว่าที่กำลังทำอยู่นี้คือฝืนตัวเองทั้งสิ้น "อ่ะ...แต่ไม่ใช่ว่าผมจะเอาคุณมาทดแทนเขาหรอกนะ แค่...ขอเวลาผมหน่อย..."

มือของอเวเค่นจับใบหน้าของคนที่ยังอยู่ในภวังค์อาลัยอาวรณ์มาแตะผากชนกันเบาๆ “ไม่เป็นไร ผมรอคุณได้”

“ขอบคุณครับ” ชเนย์ยกมือขึ้นแตะมือที่สัมผัสใบหน้าของตนอย่างอ่อนโยน

“คุณไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับเขาหรอก ถ้าคุณตายสักวันก็ต้องได้เจอกันอีก”

“เอ่อ...ฟังดูทะแม่งๆ ดีนะครับ” ชเนย์เอ่ยขึ้นมาขัดประโยคที่ฟังแล้วเหมือนจะดูโรแมนติกดี...รึเปล่า?

“โทษที ผมพูดหวานๆ ไม่เป็น” อเวเค่นหัวเราะใส่แล้วโยกหัวทั้งตัวเองและคนตรงหน้าไปมา “แต่ตอนนี้คุณต้องอยู่กับผมก่อนนะ”

ชเนย์ยกสองแขนขึ้นกอดคนข้างบนมานอนด้วย"ไหนๆ ก็อยู่นี่แล้ว มาดูแลผมเลย..."

"งั้น...ถ้าหายดีแล้วผมขอเนื้อย่างสักมื้อนะ แน่นอนว่าคุณต้องย่างให้ผมด้วย” ยื่นข้อต่อรอง แต่ถึงอีกคนจะไม่ตอบตกลง เขาก็นอนลงข้างๆ อย่างว่าง่ายไปแล้ว

เมื่อทิ้งตัวลงได้ที่ คนลากลงมานอนก็ปรี่เข้ามาซุกทันทีก่อนจะนอนนิ่งไป จนอเวเค่นนึกว่าขาดอากาศไปแล้ว...

"ชเนย์? "

ไม่มีเสียงตอบจากคนที่กอดร่างเขาเสียแน่น อเวเค่นก้มลงพยายามมองใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ให้ได้ และแอบเห็นดวงตาเอ่อด้วยน้ำตากับสีหน้าหมองทำเอารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบไปด้วย

"...ผมอยู่นี่นะ..." มือลูบเบาๆ บนเรือนผมสีอ่อนแล้วปล่อยให้เวลาไหลไปโดยไม่สนใจว่าจะดึกดื่นแค่ไหนแล้ว






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

เวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่าที่ชเนย์จะเริ่มสงบใจลงได้บ้าง ทีแรกอเวเค่นก็ตั้งใจว่าจะปล่อยให้ทั้งตนและอีกฝ่ายนอนกอดกันอยู่อย่างนี้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนหัวค่ำยังไม่ได้อาบน้ำเพราะเมาหลับอยู่ในห้องครัว และเดาว่าคนที่อยู่ข้างกายตนก็คงเหมือนกัน

"คุณลุกไหวมั้ย ผมจะพาไปอาบน้ำ แต่ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวจะเช็ดตัวให้แทน"

"...อุ้ม"

"ห้ะ? "

"พาผมไปอาบทีสิครับ" ชเนย์เอ่ยเสียงอ้อนและเงยหน้าที่ซุกอยู่กับอกอีกคนขึ้นมา

"...ถ้าผมทำคุณร่วงแล้วเจ็บตัวหนักกว่าเดิมอย่ามาว่ากันนะ"

"....ล้อเล่นครับ" จู่ๆ ก็อาการดีขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะลุกอย่างเชื่องช้าแต่ก็ยังพอจะประคองตัวเองขึ้นมาได้ และจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เหมือนปกติที่สุดก่อนจะค่อยๆ เดินไปห้องอาบน้ำกันเอื่อยๆ แน่นอนว่าดึกดื่นป่านนี้ก็คงไม่มีใครมาใช้ห้องอาบน้ำอยู่แล้ว...

"เดี๋ยวผมตามไป..." ชเนย์ขอแยกไปห้องน้ำเพื่อจัดการเอาอะไรๆ ที่ยังคั่งค้างในตัวออกก่อน

"โอเค" อเวเค่นตอบตกลงตามนั้นและเข้าไปในห้องถอดเสื้อผ้าออก พลันดวงตาสีทองเหลือบไปเห็นตะกร้าใส่ผ้าของคนอื่นอยู่ด้วย ดึกขนาดนี้ยังอุตส่าห์มีคนมาใช้อีก

"? ...ชุดคุ้นๆ แฮะ"

พอลองแอบส่องดูก็นึกออกว่าเป็นชุดของใคร พลันถอนหายใจออกมาทันที เขาเปิดประตูห้องอาบน้ำเข้าไปและก็ได้เห็นด้านหลังของคนที่แช่น้ำอุ่นอยู่คนเดียวในสระน้ำขนาดใหญ่

ไคม์ที่นั่งพิงขอบสระอยู่ก่อนหันหลังมาดู และทำหน้าเซ็งไปครู่หนึ่ง

"ทุกข์ใจอะไรเหรอ ถึงได้หนีมานั่งแช่น้ำกลางดึกงี้? " อเวเค่นทำเสียงกวนประสาทก่อนลงไปแช่ที่อีกฝั่งของสระกว้าง ความเงียบทำให้ได้ยินคำถามนั้นชัดเจนแม้จะเอ่ยด้วยระดับเสียงปกติ

"ข้าไม่เหมือนกับเจ้าหรอกนะ" ไคม์แอบเหน็บคนหาเรื่องแถมยังเรียกด้วยสรรพนามแทนตนและอีกฝ่ายต่างจากเวลาปกติ "งานข้ามีมากมาย ไม่ได้ว่างจนจะมาแช่น้ำสำราญใจเล่นๆ ได้ทุกครั้งที่อยากหรอก"

"ดูท่าจะโดนโบ้ยงานโยนไปให้หมดเลยสินะ" นักฆ่าหนุ่มเดาได้จากความว่างของเจ้านรกที่มาหาพ่อครัวได้ทุกเวลาหลังอาหารขนาดนั้น...

"ถึงใต้เท้าอยากทำเองข้าก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี..." ไคม์ลุกขึ้นจากน้ำแม้จะพูดไม่จบประโยคดี "ข้าหมดอารมณ์สุนทรีย์แล้ว ขอตัว"

"ไปโดนเค้าตักเตือนอะไรมาล่ะนั่น ถึงได้ไม่ทำท่าอวดดีเหมือนเดิมแล้ว? " อเวเค่นทำเสียงหยอกล้อไม่เกรงกลัวปิศาจตรงหน้า

"หึหึ... ข้าบอกแล้วว่าไง ถ้าเกิดเจ้าคิดเข้ามาก้าวก่ายข้าจะกำจัดเจ้าซะ แน่นอนว่าข้าก็ยังยืนยันคำเดิมนะ มนุษย์" สายตาเอาจริงจนน่าขนลุกเหลือบมองผ่านบ่ามาหาอเวเค่นและตวัดกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินออกนอกประตูก็พบเข้ากับชเนย์ที่ค่อยๆ เดินตามเข้ามาพอดี

"อ่ะ...อ้าว... สวัสดียามดึกครับคุณไคม์" ทว่าไร้เสียงตอบจากปิศาจที่เดินสวนไป มีแค่สายตาคาดเดาความคิดไม่ได้ส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มเท่านั้น

“คุณไปแกล้งอะไรคุณไคม์เค้ารึเปล่า? ท่าทางหงุดหงิดน่าดู” ชเนย์หันมาถามคนที่น่าจะเป็นสาเหตุ

“ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยสักหน่อย” อเวเค่นยักไหล่ ก็ยังไม่ได้ทำจริงๆ นี่นา...

“คุณนี่น้า...” ร่างสูงโปร่งส่ายหน้าเอือมนิดๆ ดูท่าทางสองคนนี้คงจะญาติดีกันไม่ได้ง่ายๆ ชเนย์หย่อนตัวลงไปแช่น้ำ รอจนร่างกายปรับเข้ากับอุณหภูมิน้ำได้ก็เริ่มรู้สึกสบายตัว

"ถ้ามีเหล้าด้วยคงจะดีไม่น้อย" อเวเค่นเอนตัวพิงขอบสระสบายใจ

"เมาจมน้ำอีกผมอุ้มไม่ขึ้นนะ..." จากสภาพตัวเองคงทำได้อยู่เพียงแต่ว่าอาจจะทุลักทุเลแบบสุดๆ เป็นแน่

"ว่าแต่ทำไมเอาออกไวจัง..." เปลี่ยนจากเรื่องเหล้าไปเป็นเรื่องใต้สะดือเนื่องจากกลัวจะอยากของมึนเมาขึ้นมาอีก ทั้งที่เมื่อกลางวันก็ล่อไปเสียจนมะเร็งตับจะถามหา

"แล้ว...คุณอยากจะให้ผมเล่ามั้ยล่ะ? "

"ไม่เป็นไร" รู้สึกเหมือนเปลี่ยนเรื่องมาเจอเรื่องที่ไปไม่ถูกกว่าเดิม "เอ้อ! เห็นครั้งก่อนคุณบอกว่ามีน้องสาวนี่ ...เธอน่ารักรึเปล่า? "

"....หยุดคิดเลยครับ"

“โธ่...ที่ผมถามนี่ไม่ใช่เพราะจะไปจีบเธอสักหน่อย ทำเป็นพี่ชายขี้หวงไปได้” อเวเค่นพูดเย้าแหย่แกล้งอีกฝ่ายเล่นไปงั้น

“ถึงจีบไปก็คงไม่ติดหรอกครับ ผู้ชายแบบคุณไม่ใช่สเป็คน้องสาวของผม” คนเป็นพี่ชายตัดช่องไม่ให้คนที่แช่น้ำอยู่ด้วยกันคิดไม่ซื่อกับน้องสาวของตน

“ว้า...” เจ้าของเสียงทำท่าเสียดายนิดๆ จนชเนย์ต้องมาเอ็ดเสียงดุ

ไหนว่าไม่คิดจะจีบ!

“ผมล้อเล่นหรอกน่ะ ใครจะจีบน้องสาวของคนที่ตัวเองชอบกัน” หันมาส่งสายตาพร้อมกับยิ้มหวานให้ ทำเอาคนได้รับต้องหันหน้าหลบสายตาเพราะเขิน

“ว่าแต่มีพี่น้องนี่ดีจังเลยนะ...” อเวเค่นเอ่ยเสียงเบากว่าทุกที “ผมอยู่ตัวคนเดียวเลยไม่รู้ว่าการมีพี่น้องมันดีหรือเปล่า คุณเคยทะเลาะกับน้องสาวบ้างมั้ย?”

“อา...ก็มีบ้างแหละครับ”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมอยากรู้เรื่องของคุณอีกเยอะๆ” อเวเค่นขยับตัวเข้ามาฟังใกล้ๆ แววตาสีหม่นสบเข้ากับตาสีทองอย่างระแวดระวัง ทว่าท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรมากกว่าที่พูด

"ก็ได้ครับ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มจากอะไร..." แม้นาฬิกานั้นจะเดินเข้าสู่วันใหม่มาสักพักแล้ว แต่ก็ยอมเล่าตามที่อีกคนรบเร้า..."ถ้าช่วงที่ยังอยู่บ้านก็ตามที่เคยเล่าล่ะครับ พอพวกเราออกมาจากบ้านแล้วก็ต้องยิ่งต้องพึ่งพากันมากกว่าเดิมอีก"

ชเนย์ยิ้มแห้งให้และเงยหน้ามองเพดานที่ถูกเจาะเป็นรูปทรงประหลาดให้มองเห็นท้องฟ้าได้ "พวกเรามีกันและกันแค่สองคนเท่านั้นแหละครับ แถมมีชะตากรรมเดียวกันอีก คนที่น้องผมรักที่สุดก็ตายไปพร้อมกับอาจารย์ของผมด้วย แต่ว่าเธอน่ะเข้มแข็งกว่าผมเยอะเลย..."

"ไม่ขี้แงสินะ" อเวเค่นพูดหยอกขัดคอคนเล่า จนอีกฝ่ายหันมามองค้อนเบาๆ

"ไม่เชิงหรอกครับ ตามประสานักดาบน่ะ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ประชาชนเห็น จะได้รู้สึกว่าปลอดภัยไง"

"น...นักดาบ..." จากจินตนาการถึงคุณน้องสาวตัวเล็กๆ อเวเค่นหันไปมองขนาดตัวของชเนย์แล้วเริ่มคิดใหม่ว่าคนที่กำลังถูกพูดถึงอาจจะไม่ได้จิ้มลิ้มน่ารักดั่งที่คาดไว้ “คุณน้องสาวนี่เหมือนกับคุณรึเปล่า? ผมหมายถึงรูปร่างหน้าตา...”

พอประโยคมาถึงตรงนี้ ชเนย์ก็แผ่คลื่นรังสีพี่ชายออกมาจนอเวเค่นรู้สึกหนาวนิดๆ ทั้งที่ในห้องอาบน้ำออกจะอุ่น “...ผมว่าผมขึ้นก่อนดีกว่า”

นักฆ่าจอมกะล่อนหาทางหนีให้ตัวเอง แต่คุณพี่ชายผู้กำลังของขึ้นคว้าแขนอีกคนไว้ได้ทัน

“จะรีบไปไหนครับคุณอเวเค่น...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกผิดกับอุณหภูมิห้องอย่างไม่ต้องสงสัย “คุณยังไม่ได้กินมื้อค่ำเลยไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วผมจะหาอะไรมายัดปากนั่นให้กินเองนะครับ”

ดวงตาสีทองส่งสายตามาให้คล้ายจะขอร้องว่าช่วยเพลามือหน่อยก่อนที่กระเพาะของเขาจะพัง







จู่ๆ ทุกอย่างก็มาจบที่ห้องครัว... อาหารมื้อดึกที่ควรจะเป็นอะไรเบาๆ อุ่นท้องกลับเป็นต้มยำกุ้งที่แสนแสบร้อนเกินปกติ แม้จะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ทว่าสำหรับกระเพาะที่ค่อนไปทางว่างก็ไม่ต่างกับนั่งทรมานตัวเองนั่นแหละ... แต่ก็อร่อยอยู่ดี!

ชเนย์นั่งรับลมอยู่ตรงหน้าต่างที่ประจำบานเดิมพร้อมไปป์กลิ่นหอมในมือราวกับรู้สึกสบายใจที่ได้ทำอะไรแก้เผ็ดอีกคนบ้าง

"ชักเริ่มง่วงอีกรอบแล้วแฮะ..." พ่อครัวเริ่มหาวหวอดในขณะที่นักฆ่านั่งกุมท้องเหงื่อตกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดกับความอิ่มหนำที่แสบร้อนนี้

"ทำอาหารอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ ถึงจะกินไปทรมานไปออกมานี่... คุณมันปิศาจชัดๆ " อเวเค่นเอ่ยคำพูดที่ทั้งชมและประชดในทีเดียว

"ขอบคุณที่ชมนะครับผม" ค้อมหัวรับคำด่าด้วยน้ำเสียงและท่าทีสุดกวนประสาท และแม้ว่ามันจะเผ็ดจนคนกินลิ้นห้อย แต่อเวเค่นก็ทานต่อจนหยดสุดท้าย แม้ว่าน้ำตาน้ำมูกจะไหลจนใบหน้านั้นดูเหมือนเด็กที่เพิ่งจะร้องไห้เพราะโดนแกล้งมา

“จะตายแล้ว...” หลังทานเสร็จก็ฟุบหน้าแนบลงไปกับโต๊ะและเอามือกอดตัวเองเหมือนผู้หญิงปวดท้องรอบเดือน

“โอเว่อร์แอ็คติ้งมากไปแล้วครับ” ชเนย์แกล้งพ่นควันจากไปป์ใส่หน้าทำเอาคนได้กลิ่นสำลักนิดๆ

“เคยเป็นคุณหมอจริงรึเปล่าเนี่ย นิสัยไม่ดีเลย” อเวเค่นแกล้งบีบน้ำตาเล่นละครให้เห็นใจ แต่ครั้งนี้ชเนย์ไม่ใจอ่อน อย่าหวังเลยว่าจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ

"อย่าเรียกผมว่าคุณหมอสิครับ ฟังแล้วจั๊กจี้..." ชเนย์เดินมาเก็บจานไปล้าง "พาลจะนึกถึงเรื่องคืนก่อนนู้นเอา..."

"เห็นอย่างนี้คุณก็หื่นเอาเรื่องอยู่นะเนี่ย"

อเวเค่นหันหน้าที่ฟุบอยู่กับโต๊ะไปทางอื่น เกือบลืมไปแล้วว่าครั้งก่อนตัวเองเมาขนาดไหนถึงทำตัวแบบนั้นออกไปได้

ชเนย์แอบมองเหล่ผ่านไหล่มาปรามให้หยุดปากดี ก่อนอาหารมื้อเช้าจะกลายเป็นมื้อที่หนักหนากว่าที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้... แต่อเวเค่นก็ไม่ได้มองเขาอยู่ดี

"จริงๆ แล้วมันทำให้ผมนึกถึงพวกคนในอาชีพนั้นที่ผมเคยผ่านๆ มาน่ะ...ไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไหร่"

“...อะไรที่คุณไม่อยากนึกถึงมันก็ไม่ต้องฝืนเล่าหรอก” อเวเค่นเอ่ย “แต่ถ้าคุณอยากเล่าผมก็พร้อมจะฟังนะ”

“แน่ใจนะครับ คุณอาจไม่รู้สึกดีๆ กับผมอีกหลังจากที่ผมเล่าจบเลยก็ได้นะ”

ชเนย์เดินไปล้างจานแล้วก็หันมาพูดเป็นการลองเชิงว่าอีกฝ่ายจะรับได้หรือไม่

“นั่นสินะ ก็คงทำใจยากหน่อย” อเวเค่นยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรง “แต่ผมก็ยังอยากฟังเรื่องของคุณอยู่ดี”

ดวงตาสีหม่นแอบคิดในใจว่าเขาถ้าพูดออกไปแล้วจะยังอยากฟังอยู่รึเปล่า

"...ผมเคยถูกข่มขืนครับ...สักพักเลยล่ะ"

ชเนย์ยักไหล่เบาๆ ไม่ได้หันมามองอเวเค่นที่ฟังอยู่ว่าเขามีปฏิกิริยายังไง แต่ความเงียบนั้นเป็นคำตอบอย่างดี

"...สักพักนึงนี่? " นักฆ่าหนุ่มสงสัยในคำพูดประโยคหลัง คิดว่าคงไม่ใช่ครั้งเดียวแน่ๆ จึงยอมเอ่ยทำลายความเงียบเสียเอง

"เรียกว่าโดนหลอกก็ได้ครับ คนแรกที่ล่อลวงผมไปเป็นบาทหลวงคนสนิทของพ่อผม" ชเนย์เก็บจานชามให้เข้าที่ก่อนจะเดินไปค้นเอาขวดเครื่องดื่มบางอย่างออกมาจากตู้เย็น "ม็อคเทลน่ะ ไม่มีแอลกอฮอล์หรอกครับ"

"เล่าเรื่องแบบนี้ได้เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยนะ"

"มันผ่านไปแล้ว และผมก็ทำใจได้แล้วล่ะครับ" มือวางขวดม็อคเทลรสเปรี้ยวอมหวานลงตรงหน้าอเวเค่นที่เปลี่ยนท่านั่งมานั่งฟังดีๆ แทนที่จะฟุบหน้าไว้เช่นเดิม "หลังๆ ก็มีทั้งหมอ หัวหน้าทหาร แล้วก็อีกเยอะเลย...เป็นอย่างนั้นนับปีเลยล่ะ จนเรื่องมันไปเข้าหูคนในวังเข้า คนพวกนั้นก็เลยโดนสั่งย้ายไปที่อื่นกันหมด"

“...นอกจากผมแล้ว คุณเคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกรึเปล่า?” อเวเค่นถามพลางหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาจิบบ้าง

“ก็มีบ้างนะครับ คนที่มาถามผมแบบนี้เหมือนกับคุณ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะรับไม่ได้เท่าไหร่” หลังเอ่ย จบอเวเค่นก็เงียบไปสักพักใหญ่ แต่ชเนย์ก็คาดเดาเอาไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้

“แล้วคนพวกนั้นไม่โดนลงโทษอะไรเลยเหรอ?” คำถามของนักฆ่าหนุ่มได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าจากคนเล่า “อืม...ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะ”

อเวเค่นยันมายิ้มบางให้ ดวงตาสีหม่นของร่างสูงโปร่งฉายแววประหลาดใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยิ้มออกมาได้แบบนั้น

“คุณยิ้มทำไมน่ะครับ?” เขาอดสงสัยไม่ได้ หลายคนที่ฟังเรื่องของเขามักจะทำหน้าเห็นใจหรือไม่ก็รู้สึกสงสารที่เขาเจอเรื่องเลวร้ายมาแบบนั้น

“คุณอยากให้ผมร้องไห้เห็นใจคุณมากกว่างั้นเหรอ?” อเวเค่นย้อนถาม

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น...” ขณะที่ชเนย์ยังสับสนอยู่ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วดึงคอเสื้อเขาลงมาแล้วจูบที่ข้างแก้มไม่ให้ทันตั้งตัว เรื่องที่ยังไม่ทันจะหายงง คนตัวเล็กกว่ากลับยิ่งทำให้สมองสั่งการอะไรไม่ถูกไปอีก

“ผมแค่ดีใจที่คุณยังอยู่ตรงนี้ อดทนจนผ่านเรื่องราวพวกนั้นมาได้และมาอยู่ตรงหน้าผม” อเวเค่นดึงให้ชเนย์โน้มตัวลงมาแล้วสวมกอด “ผมอยากฟังเรื่องอื่นของคุณต่ออีก แต่คืนนี้ดึกมากแล้วเดี๋ยวคุณจะนอนไม่พอเอาได้”

"....แหะๆ ขอบคุณครับ" ร่างสูงโปร่งตอบรับกอดอบอุ่นกว่าที่เคยนี้ด้วยการสวมกอดตอบ แอบเขินๆ กับท่าทีของอีกฝ่ายที่ปฏิบัติกับเขา "...เล่าเรื่องของคุณบ้างสิ อย่างน้อยๆ ก็คิดซะว่าแลกเปลี่ยนกัน เรื่องอะไรก็ได้นะ"

"หือ? ผมว่าคืนนี้มันดึกไปหน่อยแล้วนะ" คนพูดกล่าวพลางมองนาฬิกาที่เลยตีสองไปแล้ว

"ถือว่าเป็นนิทานกล่อมนอนก็ยังดีนะครับ"

ชเนย์ก้มลงจูบกลางหน้าผากอเวเค่นแล้วผละมาหยิบขวดที่ว่างเปล่าไปเก็บ

ลองพูดแบบนี้แสดงว่าคงไม่ได้คิดจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองคนเดียวแน่ๆ ...

"งั้นก็...เรื่องก่อนที่ผมจะมาเป็นนักฆ่าก็แล้วกัน แต่ฝันร้ายขึ้นมาผมไม่รู้ด้วยหรอกนะ"







ทั้งสองมาที่ห้องพักของพ่อครัวจำเป็น อเวเค่นนั่งกึ่งนอนเอนพิงหมอนและเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง เป็นช่วงหลังจากตอนที่รู้ว่าตนนั้นความจำเสื่อม

ตอนนั้นเขาอายุประมาณสิบกว่าขวบ ในเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีปัญหาเรื่องความเป็นอยู่แร้นแค้น ความยากจน ผู้คนอดอยาก เรียกว่าแต่ละวันแทบไม่มีจะกินพวกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็มีแต่พวกเด็กๆ ที่สูญเสียครอบครัวไปและคนแก่ถูกทิ้งมารวมกัน

ตัวเขาที่เป็นเด็กผู้ชายซึ่งถือว่าอายุมากที่สุดในจำนวนเด็กทั้งหมด เขารับหน้าที่หาอาหารที่ได้จากการเข้าไปขโมยในเมืองอื่นมาแบ่งให้ทุกคนไม่ต้องอดตาย เขาทำอยู่นานจนวันหนึ่งถูกจับได้ว่าแอบเข้าไปขโมยเนื้อในร้าน

แต่แทนที่จะถูกจับส่งเข้าตะราง เขากลับได้รับความสงสารจากเจ้าของร้านกลับมาแทน และได้งานเป็นลูกจ้างของร้านนั้นแลกกับค่าแรงและอาหารที่เหลือแต่ละวันของที่ร้านให้เอากลับไปแบ่งแจกจ่ายให้ทุกคนได้ทานกันคนละเล็กคนละน้อยทุกวัน ทำให้พอจะประทังชีวิตอยู่ได้ไประยะหนึ่ง ทั้งที่คิดว่าต่อไปอะไรๆ ก็คงจะเริ่มดีขึ้น แต่กิจการร้านอาหารก็แย่ลงทุกวันและเจ้าของร้านก็มีหนี้สินก้อนโตเพราะไปกู้เงินพวกปล่อยเงินกู้นอกระบบ

ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไรแต่พอเขาเห็นพวกนั้นส่งคนทวงหนี้มาอาละวาดพังข้าวของในร้าน เขาพยายามจะปกป้องเจ้าของร้านเลยพยายามต่อสู้ แต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาก็สู้แรงพวกนักเลงตัวโตไม่ได้อยู่ดี เขาก็เลยตัดสินใจโง่ๆ ด้วยการไปหยิบมีดในครัวมาตั้งใจจะใช้ขู่พวกนั้น และลงเอยที่เขาโดนซ้อมถูกอัดอย่างไม่ปรานี ตอนที่คิดว่าจะโดนฆ่าตายแน่ๆ ในตอนนั้นหัวของพวกมันก็กระเด็นหลุดไปต่อหน้าต่อตา เลือดพุ่งกระฉูดไปทั่วทั้งร้าน พวกนักทวงหนี้ทุกคนตายในเวลาไม่ถึงห้านาที และคนที่จัดการพวกนั้นก็คือนักฆ่าที่เจ้าของร้านตั้งใจจ้างมาเพื่อเล่นงานพวกนั้น

เขาเคยคิดมาตลอดว่าเจ้าของร้านเป็นคนแสนดีมีน้ำใจ แต่พอมนุษย์เราอับจนหนทางก็ทำได้ทุกอย่างแม้แต่จ้างวานฆ่าเพื่อให้ตัวเองรอด หลังจัดการพวกนั้นเสร็จเรียบร้อยนักฆ่าได้ทวงเงินที่เหลือจากเจ้าของร้านแต่เงินขาดไม่พอจ่ายให้ครบ แม้จะอ้อนวอนว่าจะรีบหาเงินค่าจ้างที่เหลือมาให้แต่เจ้าของร้านก็โดนเก็บตามไป ตัวเขาที่ยังนั่งช็อคตัวสั่นกับเหตุการณ์ตรงหน้า สำนึกของเด็กรู้แค่ว่าตัวเองอาจจะถูกเก็บเป็นรายต่อไป

เขาหลับตาเตรียมใจที่จะตาย แต่นักฆ่ากลับไม่ลงมือและยังถามเขาว่าทำไมถึงไม่ร้องขอชีวิตหรือหนีไป เขาสับสนแทบตายว่าจะถามไปทำไมแต่จำได้ว่าตอนนั้นเขาพูดว่าถึงหนีก็คงไม่รอด และต่อให้รอดก็คงต้องไปเป็นโจรขโมยของเหมือนเดิมเพราะตัวเขาเป็นเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าไม่มีใครคิดจะจ้างเขาทำงาน พูดมาถึงตรงนี้นักฆ่าก็เปลี่ยนใจและถามเขาว่า

‘จะมาด้วยกันมั้ย ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็ตามมา’

ตัวเขาในตอนนั้นนั่งนิ่งอยู่นานในหัวสมองว่างเปล่า และก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงวิ่งไล่ตามหลังของคนที่ฆ่าผู้มีพระคุณไปอย่างไม่รู้สึกเสียใจว่าจะเดินกลับมายังเส้นทางเดิมไม่ได้อีกแล้ว



พอเล่ามาจนถึงตรงนี้อเวเค่นก็ขอพักไว้ก่อนเพราะเล่าจนคอแห้ง และเขาก็ง่วงนอนเกินกว่าที่จะเล่าเรื่องต่อจากนี้แล้วด้วย

“น่ากลัวรึเปล่า?” ร่างเล็กกว่าหันมาถาม แน่นอนว่าชเนย์ส่ายหน้าและยังสงสารเขาอีกด้วย “ถ้างั้นก็...นอนกันเถอะ”

บรรยากาศแสนอบอุ่นปกคลุมทั่วห้อง ความนึกคิดในจิตใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่ของทั้งสองคนเริ่มมีมากขึ้นแทนที่ความคิดที่หมดอาลัยตายอยากในคราแรกเสียแล้ว





ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #12

แสงแดดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทักทายคนตื่นสายที่เพิ่งจะบิดขี้เกียจแม้นาฬิกาจะบอกเวลาเกือบสิบโมง อเวเค่นยันตัวเองขึ้นจากเตียงอย่างมึนงง ไม่มั่นใจว่าหลับไปตอนไหนเพราะรู้ตัวอีกทีก็สลบไปพร้อมๆ กับพ่อครัวแล้ว...

ว่าแต่ชเนย์หายไปไหน?

"ห้องครัวมั้ง..." นักฆ่าหนุ่มงึมงำก่อนจะลากตัวเองกลับไปที่ห้องและเตรียมตัวไปทำความสะอาดร่างกายพอให้สดชื่น

ห้องอาบน้ำว่างเปล่าดั่งเช่นที่หวัง หลายๆ คนคงไม่มาแช่น้ำในเวลาสายโด่งแบบนี้เป็นแน่ ทว่า...มีหนึ่งร่างที่คุ้นตานั่งอยู่ขอบสระอีกฝั่ง แม้จะเห็นไกลๆ ก็พอเดาได้ว่าเป็นใคร

"ชเนย์....? " อเวเค่นตั้งใจจะทักทายคนที่อยู่ตรงขอบสระไปแล้ว แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจหันไปเดินอ้อมทางด้านหลังเพื่อที่จะแกล้งทำให้อีกฝ่ายตกใจเล่นจนตกลงไปสระน้ำอุ่นขนาดใหญ่นี้

ฝีเท้าย่องเบาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาจากด้านหลังของชายผมเงิน และขณะกำลังจะส่งเสียงร้องออกไปให้ตกใจ คนที่มาถึงก่อนก็พลันหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับรู้ทัน ทำเอาคนตั้งใจจะแกล้งถึงกับหมดสนุก

"อะไรกัน ถ้ารู้ตัวแล้วก็อย่าปล่อยให้ตั้งท่าเก้อสิ" อเวเค่นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายที่อดเห็นภาพน่าสนุกที่คิดไว้

"งั้นคราวหน้าก็ต้องเข้ามาให้เงียบกว่านี้นะ เชิญ" ชเนย์ตบมือลงข้างตัวเหมือนจะเรียกให้อีกฝ่ายลงมานั่งด้วย แต่จู่ๆ สีหน้าของอเวเค่นก็เต็มไปด้วยความฉงน เขายืนนิ่งไม่ยอมนั่งลงไปตามที่อีกฝ่ายชวน

"มีอะไรรึ? "

"...แกเป็นใคร? " นักฆ่าหนุ่มกดเสียงลงต่ำและเอ่ยถามหนักแน่นอย่างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่พ่อครัวคนนั้นแน่นอน แต่ก่อนจะได้ก้าวถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว จู่ๆ ก็ถูกมือหนาคว้าข้อเท้าไว้และฉุดดึงให้ล้มลง

อเวเค่นตอบสนองปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนั้นด้วยการป้องกันไม่ให้หัวกระแทกพื้นเท่านั้น เรี่ยวแรงที่ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมีได้ยิ่งทำให้มั่นใจกว่าเดิมว่าคนที่ทำแบบนี้ได้นั้น...

"แย่จัง นี่ยังเนียนไม่พอสินะ" รอยยิ้มคุ้นตาระบายบนหน้าบุคคลแอบอ้าง

“ต้องการอะไรจากผมไม่ทราบ? เจ้านรก” อเวเค่นถามเสียงแข็งและมองด้วยสายตาไม่พอใจ

“อย่าทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นสิ” จากใบหน้าของพ่อครัวพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าเดิมของเจ้าของปราสาทแห่งนี้ “จะอาบน้ำไม่ใช่รึ? ลงมาสิ”

“ขอผ่าน เชิญคุณนั่งสำราญไปคนเดียวเถอะ” อเวเค่นปฏิเสธคำชวน ข้อเท้าของเขาถูกตรึงไว้ด้วยมือเดียวพร้อมกับแรงจับมหาศาลที่หากออกแรงอีกนิดเดียวก็คงหักได้ไม่ยากเย็นนัก

"เย็นชาจังน้า...แต่เพราะแบบนี้แหละ ถ้าข้าไม่ใช่รูปลักษณ์เจ้านั่นล่อ เจ้าก็คงไม่เดินเข้ามาหรอก จริงมั้ย? "

ร่างสูงใหญ่หัวเราะร่วนผิดกับคนที่ถูกจับตัวซึ่งกำลังอารมณ์เสียขั้นสุดที่พลาดท่าเสียเอง

"สรุปแล้วคุณต้องการอะไร? " อเวเค่นกัดฟันข่มเสียงไม่ให้เผลอโดนคำยั่วยุจนสติหลุด และเพิ่งจะเห็นว่าสภาพกึ่งเปลือยของตัวเองอยู่ในท่าทางที่สุ่มเสี่ยงสิ้นดี...

"ถ้าแค่อยากได้เพื่อนอาบน้ำด้วยก็เรียกพวกปิศาจสาวๆ มาซะสิ"

"...ทำไมล่ะ? ข้าคิดว่าคุยกับเจ้าก็สนุกดี" แววตาสีทองที่จับจ้องวูบไหวด้วยความกังวลในเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ เจ้านรกจึงแสยะยิ้มออก มือใหญ่กระตุกข้อเท้าอีกคนให้ร่างที่บางกว่าไถลเข้ามาหาตนในระยะที่...ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก

"ผมไม่สนุกด้วยนะ! " ออกแรงดึงขาของตนแต่ไม่เป็นผลอันใด ซ้ำกลับยิ่งทำให้ท่านเจ้าดูเพลิดเพลินกับการดิ้นรนหาทางรอดของตนมากขึ้นไปอีก

“ถ้าคุยด้วยดีๆ ไม่สนุก งั้นมาทำอย่างอื่นที่สนุกกว่าก็แล้วกัน” ร่างสูงใหญ่ออกแรงดึงให้นักฆ่าหนุ่มซึ่งตัวเล็กกว่าตนลงมาในสระน้ำ มืออีกข้างกดหัวอเวเค่นให้จมน้ำอยู่พักใหญ่แล้วจึงดึงขึ้นมา

“แค่กๆๆ!” เขาสำลักน้ำเข้าไปด้วยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาสีทองฉายแววมีน้ำโหหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ดูผู้กระทำกลับจะชอบใจมากขึ้นไปอีก

“ไม่กดให้ผมจมน้ำตายไปซะเลยล่ะ!”

“ข้าก็คิดว่าเจ้าจะกลั้นหายใจในน้ำได้เก่งกว่านี้” ยักไหล่ไม่หยี่หระ แถมไม่คิดว่าตนเล่นรุนแรงกับของเล่นมีชีวิตตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย “เดี๋ยวจะถูหลังชดใช้ให้ก็แล้วกัน”

"ไม่ต้อง! " อเวเค่นแผดเสียงทั้งที่ตัวยังโดนคว้าไว้อยู่โดยไม่กลัวจะโดนฆ่าหมกสระแม้แต่น้อย ร่างกายเปลือยเปล่าใต้น้ำทำเอาอยากจะว่ายหนีไปอีกมุมสระเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าเห็น...ทว่ามันก็คงไม่ทันแล้ว

"ไม่อยากให้มองงั้นรึ? " เจ้านรกถามย้ำกับสิ่งที่อีกฝ่ายคิดราวกับอ่านใจได้ "แปลกนะ นึกว่าโดนเจ้านั่นล้างสมองจนเฉยชากับเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก"

"ชเนย์เค้าไม่ได้โรคจิตเหมือนคุณนะ..." นักฆ่าไร้ทางหนีปล่อยให้เจ้านรกจับตัวไว้แต่โดยดี ไหนๆ ก็ดิ้นไม่หลุด สู้เอาเวลามาเตรียมกลั้นหายใจอีกรอบซะยังจะดีกว่า

"ดูสนิทกันดีนะ" ไม่สนใจคำด่าทอใดๆ เจ้านรกดูอารมณ์ดีกับความกล้าของมนุษย์ในมือตนยิ่งนัก "งั้น...ถ้าเป็นเจ้านั่น คงมองได้สินะ? "

ร่างสูงใหญ่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนให้กลายเป็นพ่อครัวจำเป็นคนนั้นอีกครา แต่...ทำยังไงทั้งสายตาและรอยยิ้มก็ไม่เหมือนจริงๆ นั่นแหละ

“อย่ามาแอบอ้างใช้ใบหน้าของชเนย์นะ” ดวงตาสีทองถลึงตามองคนตรงหน้าที่ใช้วิธีนี้หลอกตาเขาอีกครั้ง

“ไม่ชอบใจอะไรงั้นเหรอ? นี่ข้าอุตส่าห์ใช้เวทให้เหมือนราวกับตัวจริงมาเองเลยนะ” ไม่พูดเปล่า เจ้านรกดึงมืออเวเค่นให้มาสัมผัสใบหน้าของตนและทุกอย่างๆ แม้แต่สัมผัสของผิวหนังหรือน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนก็ยังเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน...

“ผมไม่ได้ชอบเขาเพราะรูปลักษณ์ภายนอก อย่ามาดูถูกกันให้มากนัก” นักฆ่าหนุ่มดึงมือออกจนเหมือนกระชาก

"....น่าประทับใจจริงๆ " เจ้านรกในร่างของชเนย์ยิ้มออกมา ทั้งแววตาและรอยยิ้มกลับแฝงความเศร้าเล็กๆ ไว้ แค่เสี้ยววินาทีที่สังเกตเห็นสีหน้านั้น อเวเค่นกลับชะงักนิ่งไป ความคล้ายคลึงเมื่อครู่เล่นเอาเผลอใจเต้นมิใช่น้อย ทว่าพริบตาที่ไม่ทันระวังตัว คนตัวเล็กกว่าก็ถูกอุ้มตัวลอยขึ้นไปนอนราบข้างขอบสระอย่างง่ายดาย อีกฝ่ายตามขึ้นมาคร่อมรวดเร็วแต่ยังไม่ได้กระทำการใดๆ มากกว่านั้น

เจ้านรกเปลี่ยนจากจับคนกดลงน้ำมาเป็นจับกดลงพื้น ใบหน้าของพ่อครัวจำแลงยื่นเข้ามาใกล้และหยุดอยู่เพียงในระยะได้ยินเสียงลมหายใจ

“เกลียดข้าขนาดนั้นเชียวรึ?” ดวงตาไร้แววมองจ้องลงมายังคนที่ทำสายตาเหมือนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ

“...ผมไม่ได้ชอบหน้าท่านสักเท่าไหร่นี่ ที่มาเข้าฝั่งนี้เพราะเห็นว่าน่าสนุกดีเท่านั้นหรอก” นักฆ่าหนุ่มกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว

“เหตุผลที่แท้จริงของเจ้ามีรึที่ข้าจะไม่รู้” รอยยิ้มของพ่อครัวตัวปลอมส่งมาให้อย่างรู้ทัน

“...รู้แล้วก็ยังปล่อยให้อยู่ต่อได้อีกนะ” อเวเค่นพยายามใช้โอกาสอันน้อยนิดคิดหาวิธีหนีออกไปจากสภาพที่ตนสุดแสนจะเสียเปรียบนี้

“บอกแล้วไงว่าข้าชอบเรื่องน่าสนุก” มือที่ยันคร่อมไว้เหนือร่างเล็กกว่าเริ่มอยู่ไม่นิ่ง และเปลี่ยนไปจับเส้นผมสีแดงที่ปล่อยสยายระไปกับพื้นราบ

"งั้นก็ไปสนุกกับคนอื่นเถอะ ผมบอกแล้วนี่ว่าจะไม่ยอมเป็นของเล่นฆ่าเวลาให้คุณหรอก" รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจผิดกับสถานการณ์ตรงหน้า

"ห้ะ? ข้าบอกเหรอว่าของเล่นที่ข้าพูดถึงมันหมายถึงเรื่องแบบนั้น? " ทำหน้ายียวนจนน่าต่อย แต่เสียดายที่แขนทั้งสองโดนตรึงยึดไว้แน่นหนา ขาทั้งสองข้างก็โดนลำตัวหนาด้านบนแทรกหว่างกลางกันการตีเข่าขึ้นมาเสียอีก "อืม...แต่พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ข้าเองก็ชักสนใจแล้วสิ"

"หา!? เฮ้ย! หยุด!! " จากความมั่นหน้าเมื่อครู่ จู่ๆ อเวเค่นก็หน้าซีดลงทันทีที่เจ้านรกในร่างจำแลงจูบลงกับแผ่นอกตน จากที่นอนนิ่งๆ ไม่ยอมเปลืองแรงกับการกระทำไร้ผลตอนนี้เขาพยายามยื้อฉุดตัวหาช่องทางให้ตนเองหนี

ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วลำคอและจงใจขบเม้มให้เป็นรอย และยิ่งคนใต้ร่างออกแรงดิ้นแทนที่จะหงุดหงิด แต่เจ้านรกกลับกำลังนึกสนุก แน่ล่ะ...เพราะคนระดับเขาแทบไม่เจอใครที่กล้าขัดขืนมาเป็นแรมปีแล้ว

อเวเค่นหันหน้าไปตรงทางเข้าและชะงักนิ่ง เจ้านรกหยุดการกระทำด้วยความสงสัยว่าใครเข้ามาขัดจังหวะเลยลองหันไปมองดูบ้าง

“ชเนย์...” เสียงนักฆ่าเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อ

"...อ...เอ่อ..." ทีแรกก็ว่าจะปลีกตัวออกไปเงียบๆ แต่...แต่นั่นมัน... ตัวเขาใช่ไหม...กำลังคร่อมอเวเค่นอยู่ด้วย!?

นี่เขาฝันไปเหรอ!! ? เพียงแค่จะมาตามหาเพื่อนที่ไม่อยู่ที่ห้องเพราะเลยเวลาอาหารเช้ามามากโข ทำไมกลายเป็นว่าเขาต้องมานั่งนึกหาวิธีทำให้ตัวเองตื่นด้วยล่ะ! ?

"อย่างงสิ ไอ้หมอนี่มันไอ้ท่านเจ้าไงล่ะ! " อเวเค่นท้วงห้ามคนที่กำลังจะเอาหัวโขกกำแพงพิสูจน์

"น่าเสียดายนะ" เจ้านรกกลับสู่รูปร่างปกติแล้วลุกออกจากตัวของอเวเค่น คนถูกปล่อยรีบถอยห่างทันที

"...อย่าแกล้งกันอย่างนี้สิครับ..." ชเนย์พูดเสียงอ่อนใส่ร่างสูงที่เดินตรงมาที่ทางออก

"....หมายถึงเจ้าหนุ่มนั่นหรือเจ้ากันล่ะ? " เจ้านรกหยุดยืนข้างคนตัวเล็กกว่าก่อนส่งสายตาเต็มไปด้วยคำถามมาให้

"...คุณไปแกล้งอเวเค่นทำไม? " ชเนย์มองตอบนิ่งงัน แว่นสีเข้มกับไอน้ำทำเอาไม่สามารถมองเห็นแววตาอีกฝ่ายได้ แม้พยายามเพ่งอยู่แต่ไม่สามารถมองเห็นได้จริงๆ "ถ้าอยากขนาดนั้น...ก็มาทำกับผมสิ"

“ข้าก็แค่สั่งสอนเจ้าเด็กอวดดีนั่นนิดหน่อย” ดวงตาคมสีอ่อนหันกลับไปมองคนที่นั่งหลบอยู่ข้างสระ

"ทำอย่างอื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้อง...มีอะไรกับเค้าเลย" ชเนย์เผลอกำมือแน่นอย่างลืมตัว

“เจ้าเองก็ทำนี่” เสียงทุ้มราวกับจะตอกหน้ากลับมา ทำเอาคนโดนย้อนเริ่มพูดแก้ตัวไม่ออก "ชอบเจ้าหนุ่มนั่นขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้"

"ก็...เค้าเป็นเพื่อนผมนี่"

"เจ้ามั่นใจเหรอว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน? " ร่างสูงใหญ่ยื่นหนาเข้ามาใกล้เพื่อไม่ให้เสียงได้ยินไปถึงหูคนข้างหลัง

"...ผมไม่มั่นใจ" ชเนย์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่ว

"ถ้าข้าขอให้เจ้าเลิกทำกับเจ้านั่น เจ้าจะยอมมั้ย? " ข้อเสนอที่แสนเอาแต่ใจของเจ้านรกนั้นทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไป

"...ไม่เห็นยุติธรรมเลย ทีคุณยังทำกับคนอื่นได้ตั้งเยอะแยะ" ชเนย์นึกถึงเหล่าปิศาจสาวๆ ที่รายล้อมเจ้าตัว นี่ยังไม่นับรวมที่เขาไม่เคยเห็นอีกตั้งเท่าไหร่

"อืม...โทษทีก็แล้วกัน"

ผู้ครองนรกถอนหายใจและกล่าวขอโทษที่ดูเหมือนจะขอโทษชเนย์มากกว่าคนเกือบถูกล่วงเกินอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากท่านเจ้านรกเดินออกไปแล้ว ชเนย์ก็เดินมาดูอเวเค่นที่ยังนั่งขดอยู่บนพื้น“เอ่อ...คุณโอเคมั้ยครับ?”

“เกือบไม่รอดแล้ว...” อเวเค่นตอบด้วยน้ำเสียงโล่งใจที่สุดในชีวิต เขาไม่อยากคิดเลยว่าถ้าชเนย์มาช้ากว่านี้ล่ะก็จะเป็นยังไง...แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกของคนตรงหน้าเขา “ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่คุณ ผมขอโทษ”

“ขอโทษผมเรื่องอะไรครับ?” ชเนย์ถามกลับมา

“...ต่อให้รู้ว่านั่นไม่ใช่คุณ แต่พอโดนอย่างนั้นมันก็...” อเวเค่นก้มหน้าไม่กล้ามองชเนย์ ดวงตาหลังแว่นสีเข้มก้มลงมาดูแล้วเห็นสภาพอีกคนก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้พูดขอโทษ...ดูท่าว่าจะโดนแกล้งอย่างจริงจังเลย

“อา...ครับ ผมไม่โทษคุณหรอก” ร่างสูงโปร่งนั่งย่อตัวลงมา “มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย หรือคุณจะทำเอง?”

"...จริงๆ ไม่ต้องหรอก" ถึงจะพูดเชิงปฏิเสธแต่สีหน้าของอเวเค่นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ชเนย์จึงยิ้มเอ็นดูปนขำขันออกมา

"ปิดไม่มิดแล้วคุณ" ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาหาคนที่พยายามนั่งห่อตัวปิดส่วนตื่นตัวไว้ อเวเค่นจับมือนั้นและยอมเดินตามไปแต่โดยดี ชเนย์พากลับเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไร้เงาของคนที่ออกไปก่อนหน้านี้ "นั่งตรงนี้ก็แล้วกัน"

"ม...ไม่ต้องถนอมขนาดนี้ก็ได้มั้ง" อเวเค่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องแต่งตัวโดยที่ชเนย์คุกเข่าอยู่ข้างหน้าเขา

"...งั้นก็คิดซะว่าผมทำแบบนี้ให้มันสะดวกกว่าแล้วกัน" มือถอดแว่นกันแดดของตนออกไม่ให้เกะกะสายตา ก่อนค่อยๆ จูบลงโดยรอบช่วงท้องและต้นขาอีกฝ่ายไม่เข้าจู่โจมที่แก่นกลางตรงๆ อเวเค่นเผลอกำผ้าขนหนูที่ปิดส่วนล่างไว้อย่างลืมตัว

“อะ อืม...” นักฆ่าหนุ่มหลุบตาลงต่ำมองคนที่กำลังเริ่มปรนเปรอให้ตนอยู่และยังสับสนกับอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้าอย่างไม่ตั้งใจ ชเนย์ค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะตรงกึ่งกลางลำตัวอีกคนเบาๆ ผ่านเนื้อผ้าไม่ได้สัมผัสโดนตรงๆ แต่แค่นั้นอเวเค่นก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมาแล้ว

“เขาทำให้คุณเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ?” พ่อครัวหนุ่มช้อนตามองขึ้นสบตากับคนที่โดนเจ้านรกแกล้งเล่น

“คุณอย่าไปพูดถึงหมอนั่นสิเวลาอยู่กับผมสิ” เจ้าของดวงตาสีทองท้วงติงกลับมา มือเลื่อนไปแตะข้างแก้มคนที่นั่งคุกเข่าและลูบสัมผัสเบาๆ

“ขอโทษด้วยครับ” ชเนย์จับมือข้างนั้นแล้วจุมพิตลงไป “มือคุณนี่...ร้อนน่าดูเลยนะครับ”

“...นี่คุณจะช่วยผมหรือจะแกล้งทรมานผมกันแน่?” มือเลื่อนจากแก้มเปลี่ยนมาบีบจมูกคนตัวสูงกว่าเป็นการสั่งสอน

"คร้าบ" ชเนย์กลับมาสนใจส่วนตื่นตัวของอีกฝ่าย ผ้าขนหนูที่บดบังส่วนล่างถูกเปิดเลิกออกให้เขาจัดการได้ง่ายขึ้น ความจริงแล้วที่ถามไปนั้นก็แค่อยากหาอะไรคุยให้อเวเค่นผ่อนคลายลงเท่านั้น กลายเป็นว่าท่าทางจะทำให้ไม่ชอบใจซะนี่

"อือ..." เสียงครางต่ำในลำคอหลุดลอดออกมาเมื่อถูกปลายลิ้นโลมไล้ไปทั่วลำท่อนเอ็น ครั้งนี้ดูเร่งเร้ากว่าเมื่อคราแรกที่ถูกใช้ปากให้มากนัก "ชเนย์? "

ริมฝีปากอุ่นครอบครองรูดปากลงไปพร้อมๆ กับนิ้วที่กดแทรกเข้าไปในช่องทางด้านหลังของอีกคนโดยไม่ให้ตั้งตัว

“เดี๋ยว!” อเวเค่นท้วงห้ามและจิกผมคนกำลังปรนเปรอให้หยุด “ม...ไม่ต้องใส่มันเข้ามาก็ได้มั้ง”

“ก็ไม่ได้จะใส่นี่ครับ” พูดจบชเนย์ก็ทำอย่างที่ว่าไว้ อเวเค่นสะดุ้งที่โดนกระตุ้นพร้อมกันทั้งด้านหน้าและหลังจนหลุดเสียงกระเส่าที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้แทบไม่อยู่ ทั้งปากและลิ้นร้อนที่ช่ำชองครอบครองส่วนอ่อนไหวเกือบทั้งหมด และนิ้วที่กดเพิ่มแทรกเข้ามาสะกิดจุดที่ไวต่อสิ่งเร้า

"ฮะ! อ๊า...! " เสียงครางดังก้องในห้องแต่งตัวชนิดที่หากใครเข้ามาใกล้ห้องตอนนี้คงไม่กล้าเปิดประตูเข้ามาแน่ ไม่นานเกินใจนึกอเวเค่นก็ปลดปล่อยน้ำรักข้นเข้าไปในโพรงปากอุ่นที่รอรับ นิ้วที่กดแทรกอยู่ยังคงไม่หยุดสะกิดกดที่จุดด้านหลังเพื่อย้ำให้ความต้องการใดๆ ที่คั่งค้างทะลักออกมาให้หมด ทำเอาคนโดนแอบสะดุ้งอยู่หลายครั้ง แม้จะเสร็จสมไปแล้วทว่าก็ยังมีหลงเหลือให้ชเนย์ดูดกลืนปิดท้ายอยู่หลายหยด

"อือ..." เมื่อทั้งนิ้วและปากถูกถอนออกไป อเวเค่นแทบจะลงไปนอนหมดสติอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว

"ผมพามานั่งตรงนี้เพื่อไม่ให้คุณเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นต่างหาก" ชเนย์ยิ้มระรื่นน่าหมั่นไส้ ท่าทางจะภูมิใจนักหนากับความเก่งในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ รสคาวถูกกลืนลงคอไปหมดจดเหลือเพียงคราบเล็กน้อยนิดไว้ตามมุมปากเท่านั้น

“...อย่าให้ผมเอาคืนคุณกลับได้บ้างนะ” อเวเค่นกล่าวอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งที่ยังลุกไม่ขึ้นเหมือนเดิม

“ครับ แล้วผมจะรอ” ชเนย์รับคำแล้วพราวยิ้มให้ “อาหารรออยู่ที่ห้องครัวนะครับ ช้าหมดอดกินผมไม่รู้ด้วยนะ”

อเวเค่นเด้งตัวขึ้นมาราวกับเก้าอี้มีสปริง ไม่สนใจแล้วว่าตนจะยังอาบน้ำไม่สะอาดดี ขืนชักช้ามีหวังโดนเจ้านรกนั่นแย่งกินอาหารส่วนของตัวเองไปหมดแน่ๆ

แต่เมื่อทั้งสองมาถึงห้องครัว กลับไม่พบคนที่คาดว่าจะเจอ...

"แล้วนี่จะกินควบทั้งมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงเลยมั้ยครับ" ชเนย์ลองถามดูก่อนเผื่อว่ากระเพาะของทางนั้นจะรับอาหารมื้อแรกของวันไม่ไหว

"เอามาให้หมดนั่นแหละน่า" อเวเค่นที่หิวไส้กิ่วเดินไปนั่งรอยังโต๊ะที่ประจำอย่างกระตือรือร้น

"....ผมกำลังเลี้ยงเด็กอยู่รึไงเนี่ย" ที่บ่นนี่ไม่ได้หมายถึงคนตรงหน้าแค่คนเดียว ระหว่างที่ตักซุปฟักทองลงถ้วยก็แอบคิดว่าทำไมเจ้าของปราสาทไม่ยอมโผล่มา

“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย” อเวเค่นเถียงเสร็จแล้วก็ลงมือทานอาหารอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ ชเนย์วางถ้วยซุปลงข้างๆ คนที่กำลังทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้วแกล้งขยี้ผมเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยจริงๆ

“ตะกี้ตอนทำให้คุณผมเพิ่งสังเกต คุณอ้วนขึ้นกว่าตอนที่ผมเจอคุณครั้งแรกนิดหน่อยรึเปล่า?” คำพูดของพ่อครัวทำเอาคนที่กำลังสำราญกับการกินชะงักมือแล้วหันขวับมามองตาเขียว นักฆ่าหนุ่มเผลอเอามือลูบหน้าท้องตัวเอง จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อเวเค่นก็แทบจะไม่ได้ออกแรงเหมือนเวลาทำงานอยู่ข้างนอก แถมยังกินอาหารเต็มอิ่มแทบทุกมื้อไม่มีขาด...

“ไม่หรอกมั้ง...” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความกังวลก็ออกชัดทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด

"ล้อเล่นน่า" ชเนย์หัวเราะ เหมือนจะพยายามแกล้งเอาคืนทดแทนช่วงแรกที่เขาโดนอีกคนทำไว้เยอะ

"ทำตัวเหมือนหมอนั่นเข้าไปทุกทีแล้วนะ" อเวเค่นหรี่ตามอง ทำไมวันนี้เขาโดนหยอกโดนล้อจากหลายทิศทางขนาดนี้...

"จะว่าไปก็แปลกแฮะที่ไม่โผล่มาที่ครัว พักนี้ออกจะมาบ่อยแท้ๆ " ชเนย์ถอนหายใจ และคิดว่าเจ้านรกคงไม่ได้แวะมาที่นี่ก่อนหน้าพวกตน เพราะเขาเพิ่งเดินสวนกับปิศาจรับใช้ที่เดินผ่านไปพร้อมกับรถเข็นถาดอาหารมื้อเที่ยงไปยังห้องรับประทานอาหารของเหล่าผู้บังคับบัญชา

โดนปรามแค่นั้นคงไม่ทำให้คนยโสแบบนั้นซึมได้หรอกมั้ง...

"หงอไปแล้วมั้ง" อเวเค่นเสนอทั้งที่มือยังคงลูบสำรวจร่างกายตัวเอง "เล่นโดนคุณดุใส่ขนาดนั้นนี่"

"เอ๋? ผมดุเหรอ? " พ่อครัวสะบัดหัวจากเตาตรงหน้ามาหาอเวเค่นด้วยความสงสัย

“ก็เหมือนพวกคุณแม่ต่อว่าลูกชายอะไรแบบนั้น” อเวเค่นอธิบายให้เห็นภาพชัดๆ อาหารสองมื้อควบที่ตั้งใจจะกินมีอันต้องสะดุดเพราะเริ่มกังวลจิตตกกับเนื้อส่วนเกินที่หน้าท้อง ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าล้อเล่นก็ตาม

“อ่า...ผมควรทำยังไงดีนะ?” ถึงตอนที่เอ็ดใส่ทางนั้นไปเขาจะยังเคืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าทางนั้นจะสะดุ้งสะเทือนอะไรกับคำพูดแค่นั้น

“ปล่อยไว้งั้นแหละ หิวเมื่อไหร่เดี๋ยวก็คงมาเอง” อเวเค่นกล่าวอย่างไม่สนใจ เพราะเจอหลายเรื่องให้หงุดหงิด

“...จะดีเหรอครับ?” ชเนย์ถามอย่างชั่งใจ นักฆ่าหนุ่มมองค้อนทำหน้าไม่สบอารมณ์นิดๆ

แหงล่ะ...คนที่โมโหที่สุดที่เจอเรื่องเมื่อตอนอาบน้ำก็คือเขานี่นา

“หรือคุณอยากจะไปง้อเขาก็ได้นะ” อเวเค่นเท้าคางมองหน้าพ่อครัวหนุ่ม

"งั้นผมไปดูหน่อยดีกว่า" ยืนนึกอยู่นานก่อนตัดสินใจได้ แต่เท้ากลับพาก้าวไปหยุดหน้าชั้นเก็บไวน์เสียอย่างนั้น

"เอาของกินไปล่อหรือไงน่ะ" อเวเค่นมองขวดไวน์หรูที่ถูกหยิบมาเลือกหลายต่อหลายขวดอย่างเสียดาย นึกอยากจะลองชิมบ้างจนลืมความกังวลเมื่อครู่จนสิ้น

"แน่นอนครับ หรืออย่างน้อยถ้าเขาไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คิดจริงก็จะได้ตีเนียนว่าเอาของมาให้ไง! " ...สรุปแล้วก็กลัวหน้าแตกนั่นเอง

"...คุณนี่เจ้าเล่ห์กว่าที่คิดนะ... อ่ะ ถ้างั้นมาลองชิมก่อนมั้ยว่าขวดไหนน่าจะถูกปากหมอนั่นน่ะ? " คนเห็นแก่กินเริ่มเสนอไอเดียให้ตนได้ผลพลอยได้

"คุณรู้เหรอครับว่าท่านเจ้านรกชอบแบบไหนน่ะ? " ชเนย์หันมามองอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ไม่รู้หรอก แต่ถ้าได้ลองชิมดูเดี๋ยวก็รู้เอง” ดวงตาสีทองจ้องขวดไวน์ที่บ่มมานานเป็นประกายวาววับ

“...เอางั้นก็ได้ครับ” พ่อครัวหนุ่มตอบตกลง แต่คิดว่าลำพังแค่ไวน์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เนียนพอเลยนั่งนึกเมนูที่จะทำควบคู่ไปเสิร์ฟให้ท่านเจ้านรกด้วย “แต่อย่าเผลอชิมเพลินจนหมดขวดนะครับ”

“แน่นอน~” นักฆ่าหนุ่มตอบเสียงสูงจนไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจได้จริงๆ มั้ย...

อเวเค่นจ้องขวดไวน์ราคาแพงหูฉี่มากมายเรียงรายตรงหน้า ถึงกับเลือกไม่ถูกว่าจะทดลองชิมขวดไหนก่อนดี

“ห้ามเลือกของตัวเองนะครับ นี่สำหรับท่านเจ้านรก” ดักคอล่วงหน้าราวกับรู้ทัน ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นมองดูวัตถุดิบที่อัดแน่นจนแทบไม่มีที่ว่าง บางทีเขาก็อยากได้ตู้เย็นในนี้ไปไว้ที่บ้านเดิมเหมือนกัน มีทั้งเนื้อและผักเต็มตู้ตลอดเวลาไม่ได้ขาด

“ชิ...” อเวเค่นแอบจิ๊ปากและนั่งทบทวนความจำว่าหนก่อนเจ้านรกตัวแสบดื่มอะไรไปบ้าง เท่าที่สมองพอจะนึกออก...วันนั้นกระดกกันแต่เหล้าแทบจะเพียวๆ กับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างชัดเจน ในตอนที่เขาและหมอนั่นทำอย่างว่ากับชเนย์ด้วยกัน...

“โว้ย!!” อเวเค่นขยี้หัวตัวเองเหมือนคนเสียสติ จนพ่อครัวสะดุ้งว่าอยู่ๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมา

"ถ้านึกไม่ออกก็บอกมาเถอะครับ หรือจะหาเรื่องดื่มเฉยๆ? " ร่างสูงโปร่งจ้องมองอเวเค่นที่ฟุบหน้าไถไปมากับโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง ตกลงว่าอีกฝ่ายจะสามารถช่วยอะไรเขาได้จริงหรือเปล่านี่? ...

"ใช่! ผมหาเรื่องดื่มเฉยๆ แต่ผมจำได้จริงๆ นะ ตอนที่คุณสลบไปเมื่อวานผมก็นั่งคุยกับเขาต่อเลยเห็นว่าหมอนั่นดื่มอะไรไปบ้าง! " คนพูดเงยหน้าที่เจือสีแดงจนน่าสงสัยขึ้นมาจ้องตอบ

"คุณ...คิดเรื่องอะไรอยู่? " ชเนย์หรี่ตามองผ่านแว่นสีเข้ม เรื่องเมื่อวาน...ก็มีแค่อย่างเดียวที่เขาจำได้แม่นพอกัน แม้ว่าตอนนั้นจะเมาไร้สติขนาดไหนก็ตาม

...กลับกลายเป็นว่าเขาเองก็เผลอนึกถึงจนไม่กล้ามองหน้าอเวเค่นตรงๆ ไปอีกคน

“ผมเลือกไวน์ต่อดีกว่า...” อเวเค่นเอ่ยทำลายความเงียบ

“อ่า ครับผม” ชเนย์ก็หันหน้าไปตั้งใจกับการเลือกวัตถุดิบแทน

บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะไม่มีใครกล้าชวนคุยจนผ่านไปสักพักใหญ่ชเนย์จึงเริ่มลงมือทำอาหารระหว่างรออีกคน จนกระทั่งอเวเค่นเองก็ตัดสินใจเลือกไวน์แดงมาขวดหนึ่งและขอตัวออกไปจากห้องครัวเพราะหมดหน้าที่ของตนแล้ว




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

ร่างสูงโปร่งเดินถือถาดอาหารว่างจานเล็กกับไวน์รสเลิศในมือมาตามทางเดิน สวนกับเหล่าผู้เข้าร่วมแข่งขันบางคนที่คุ้นและไม่คุ้นหน้าสลับกันไปบ้าง แต่แน่นอนว่าไม่ค่อยจะมีใครสนใจกันเท่าไหร่นัก พอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกว่าโชคดีขนาดไหนที่อย่างน้อยๆ ก็มีอเวเค่นเป็นเพื่อนคุยเพื่อนเล่น และ...

"...คิดอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะชเนย์ หนักหนากว่านี้ก็โดนมาแล้วแท้ๆ " พ่อครัวพึมพำกับตัวเองให้สลัดภาพเมื่อวานให้หลุดจากหัวสักที ท่าทางเขาจะห่างหายจากเรื่องวิปริตพวกนี้ไปนานมากแล้วสินะ

เท้าทั้งสองพาก้าวมาหยุดที่หน้าห้องของเจ้านรกเพราะเมื่อครู่เดินผ่านไปทางห้องอาหารแล้วไม่มีใครอยู่เลย มือเอื้อมไปจับที่เคาะประตูหน้าตาประหลาดก่อนเคาะเรียกเจ้าของห้อง...ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ

"ชอบหายไปเฉยๆ อยู่เรื่อยเลย ไม่ว่าจะคนไหนๆ " ชเนย์ถอนหายใจ ถึงจะดูไม่ค่อยถูกกันแต่ก็คล้ายกันมากเสียจนจะยกเป็นลูกทั้งคู่...

"ตามหาใต้เท้าอยู่เหรอครับ? "

"อ่ะ...สวัสดีครับคุณไคม์" ชเนย์ค้อมหัวทำความเคารพคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากอีกทางหนึ่ง

...คนๆ นี้เองก็ชอบโผล่มาไม่ให้ตั้งตัวทันอยู่เรื่อยเลย

"เวลานี้ท่านไม่อยู่หรอกครับ และต้องขอโทษด้วยที่ข้าก็ไม่ทราบว่าใต้เท้าไปไหน" ปิศาจข้างๆ ยักไหล่ร่วมกับคำตอบ

"...งั้นเหรอ ขอบคุณมากครับ" ร่างสูงโปร่งไหล่ตก แต่ก็ไม่คิดจะเลิกหา ไหนๆ ก็วันนี้ไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้ จะเดินร่อนอีกสักรอบให้ทั่วปราสาทจะเป็นอะไรไป แถมถ้าไม่พบจริงๆ ก็มีเวลาก่อนถึงมื้อเย็นที่ไปดักรอที่ห้องอาหารได้

“แต่ใต้เท้าคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีสักเท่าไหร่นะครับ” มือขวาของเจ้านรกเอ่ยเหมือนจะเป็นห่วง แต่สีหน้าดูไม่เปลี่ยนไปจากปกติ

“อ่า งั้นเหรอครับ ขอบคุณอีกครั้งที่เตือน” ชเนย์ยิ้มแห้งๆ ให้ไคม์ และขอตัวเดินไปหาตัวเจ้าของปราสาทที่ไม่รู้ไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน เดินวนหนึ่งรอบก็แล้ว สองรอบก็แล้ว พอคิดจะเริ่มรอบที่สามก็ถอดใจ อีกทั้งยังเมื่อยมือเกินกว่าจะถือต่อไปไหว

“อาหารเย็นชืดหมดแล้ว...” พ่อครัวถอนหายใจปนเสียดาย ดูท่าทางคงต้องยอมถอยก่อน ร่างสูงโปร่งหันหลังจะเดินกลับห้องครัว แต่แล้วก็ปะทะเข้ากับแผ่นอกแกร่งดุจกำแพงของเจ้านรก

นึกจะโผล่ก็โผล่ออกมาหาง่ายๆ งี้เลยนะท่านชเนย์ลอบคิดในใจ

"..."

"..."

ต่างคนต่างเงียบไม่ได้พูดอะไร เจ้านรกที่ปกติมักจะเห็นแต้มรอยยิ้มที่ ’ ไม่ได้น่าวางใจยามอยู่ใกล้’ ไว้เสมอ ตอนนี้กลับนิ่งเฉยอย่างผิดปกติ

"ผมไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอน่ะครับ..." ชเนย์นึกไม่ออกแม้แต่คำทักทายใดๆ เลยเผลอบอกร่องรอยการเดินทางของตัวเองออกไปเสียอย่างนั้น

"รู้แล้ว" อีกคนยักไหล่ สีหน้าเริ่มกลับมาผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่นิดหน่อย

"...ขอโทษครับ" ชเนย์ก้มหน้าห่อตัวลีบเหมือนลูกหมากลัวโดนทำโทษ

"หา? เจ้าจะขอโทษไปทำไม? " ในที่สุดท่านเจ้านรกก็หลุดหัวเราะดังเช่นปกติออกมา เกราะโลหะเย็นแตะเข้ากับแก้มอุ่นของอีกคนเป็นเชิงปลอบ "ข้าไม่คิดมากกะอีแค่โดนเจ้าค้อนใส่หรอกน่า"

"แต่..."ชเนย์กำลังจะพูดถึงไคม์ที่บอกว่าคนตรงหน้าอารมณ์ไม่ดีแต่ก็ชะงักไป เพราะเจ้านรกยกมืออีกข้างมาหยิบเอาคานาเป้แซลมอนแคนตาลูปไข่กุ้งที่อยู่ในจานไปกินเสียก่อน "อ่ะ...นั่นมัน..."

"อร่อยดี" ไม่ว่าเปล่ายังเอื้อมมาหยิบอีกชิ้นเข้าปากไปด้วย มืออีกข้างลูบหัวพ่อครัวจนผมที่จัดทรงไว้กระเซิงไปหมด "โอ๊ะ แปลกตาดีเหมือนกันแฮะ"

"คุณหายไปไหนมาทั้งวันน่ะ? คุณไคม์ก็บอกว่าไม่รู้..." เจ้านรกชะงักมือไป ทว่าก็เพราะของกินในจานนั้นหมดไปอย่างรวดเร็วแล้วต่างหาก

"เจ้าไคม์เนี่ยนะจะไม่รู้? เจ้าโดนมันปั่นหัวแล้วล่ะ" ร่างสูงใหญ่ยีหัวคนโดนหลอกจนลู่ตกลงมาหมด

"...."

"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าไม่ได้โกหกสักหน่อย" เห็นว่าชเนย์ทำหน้าดูเหมือนจะยังเป็นห่วงเอามากๆ จึงเริ่มใจไม่ดี "นี่...คืนนี้เจ้าว่างมั้ย? "

"ครับ? " คนถูกถามเอียงหน้าสงสัยในความคลุมเครือ "ไม่มีหรอก แต่ช่วยบอกให้ชัดๆ ได้มั้ยครับ? "

"ไปบินเล่นกันหน่อยมั้ย? "

“อ่ะ หา?? ครับ?” ชเนย์ทำหน้างงกับคำว่าบินเล่นของท่านเจ้านรกจนไม่รู้จะตอบหรือทำหน้าอะไรกลับไป “มันคืออะไรเหรอครับ?”

“คืนนี้เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ปล่อยมือจากจานเปล่าแล้วเอามือตบไหล่ข้างหนึ่งเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านตัวพ่อครัวหนุ่มไป

“เอ่อ...ผมกับคุณแค่สองคนสินะครับ” ชเนย์หันไปเรียกเพื่อถามย้ำให้แน่ใจ เจ้านรกไม่ได้หันกลับมามองแต่ทำท่าสองนิ้วให้แทนคำตอบว่าแค่สองคนเท่านั้น

“...” ชเนย์อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่าทางของร่างสูงใหญ่เมื่อครู่มันน่ารักมากๆ เขารีบสาวเท้าเอาจานกับไวน์ที่โดนเมินไปเก็บในครัว และรีบลงมือทำอาหารเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้มีเวลาว่างมากพอสำหรับนัดคืนนี้

“เรียกว่าเดทได้ไหมนะ...” พ่อครัวหนุ่มส่ายหน้าแล้วเผลออมยิ้มให้ตัวเอง

"หน้าชื่นตาบานเชียว ไวน์ที่เลือกให้ท่าจะใช้ได้ดีนะ"

เสียงทักของผู้บุกรุกที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ชเนย์สะดุ้งแล้วหันไปทางต้นเสียง...ซึ่งมานั่งดูเอกสารกองหนึ่งที่คุ้นเคยกลางห้องครัว

"อ...เอ่อ... ไม่ได้ดื่มหรอกครับ ไวน์น่ะ..." พ่อครัวพูดก่อนจะหันกลับไปเช็คความร้อนที่หม้อต้มข้างหน้าตัวเอง

"เหรอ...แต่อารมณ์ดีขนาดนี้แสดงว่าเจออะไรดีๆ มาล่ะสิ" อเวเค่นละสายตาจากเอกสารในมือแล้วเหล่มองหลังชเนย์ที่ไม่ได้เห็นว่าเขามองด้วยความรู้สึกแบบไหน

"นิดหน่อยครับ...จริงๆ ต้องบอกว่าจะเจอในคืนนี้ต่างหาก" ยิ่งพูดยิ่งชวนเข้าใจผิดไปใหญ่

“อ้อ...มิน่าล่ะ” อเวเค่นเดาได้ไม่ยากว่าคืนนี้อีกฝ่ายคงมีนัดสำคัญรออยู่แล้ว ไอ้ที่ตั้งใจไว้ก็เลยพับเก็บไปพร้อมกับพับกระดาษเอกสารที่ไม่จำเป็นให้เป็นรูปร่างขึ้นมา

“หือ? เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรรึเปล่าครับ?” ชเนย์หันมาถามแต่ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“เปล่า~ไม่มีอะไร” หนุ่มผมแดงทำเสียงสูง ทำเอาคนตัวสูงกว่าอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้เจ้าตัวทำเสียงแบบนี้มารอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ว

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ? ผมจะทำเผื่อไว้เป็นมื้อดึกให้”

ลองถามเผื่อว่าพอจะช่วยทำอะไรให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“ไม่ล่ะ คุณทำอาหารไปตามปกติก็พอ”

อเวเค่นยังคงสนใจกับการพับกระดาษต่อไป พ่อครัวหนุ่มพยักหน้าแล้วก็หันหลังไปสาละวนกับอาหารค่ำต่อ โดยไม่รู้ว่านักฆ่าหนุ่มพับกระดาษเป็นรูปหัวใจขึ้นมาและ...ฉีกมันทิ้งอย่างไม่ใยดี







ผ่านมื้ออาหารค่ำไปได้ไม่นาน ชเนย์ก็มารอเมื่อถึงเวลาตามที่นัดกับเจ้านรกเอาไว้ แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบคนที่นัดตนไว้ ชเนย์คิดในแง่ดีว่าอาจจะยังอิ่มหนำกับอาหารอยู่ก็เลยยังไม่มา ระหว่างรอก็เดินสำรวจรอบๆ ตัวไปด้วย

ระเบียงกว้างใหญ่มืดแทบมองไม่เห็น มีเพียงแสงไฟจากด้านในตัวปราสาทที่ช่วยให้มองเห็นรอบๆ ท้องฟ้าด้านบนมืดสนิทไร้แสงจันทร์ แต่พราวแสงระยับด้วยดาวมากมาย ...ช่างเหมาะและชวนฝันเสียจริง

"มาไวจังนะ"

เสียงทุ้มต่ำทัก...จากด้านบนหัวของชเนย์ เจ้านรกลอยตัวอยู่เหนือหลังคาด้านบนไม่ห่างจากระเบียงเท่าไรนัก

"ก็...ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่ครับ" ร่างสูงโปร่งยักไหล่ ไปป์ในมือส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่เป็นระยะ "อ่ะ...ขอโทษครับ เผลอหยิบติดมือมา"

"ไม่เป็นไรหรอก" ท่านเจ้านรกลงมาหยุดตรงหน้าชเนย์ก่อนโอบเอวอีกคนเข้ามาแนบชิดจนคนถูกกอดลนลานเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาโดนบุกรวดเร็วแบบนี้

"ไม่อยากร่วงก็เกาะดีๆ แล้วกัน"

ทั้งสองค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นอย่างนุ่มนวลผิดกับที่คาดไว้มากมาย ถึงจะทำอะไรไปถึงไหนๆ กันแล้วแต่พอมาอยู่ในอ้อมแขนอีกคนแบบนี้แล้วชเนย์ก็ได้แค่ก้มหน้าลงกับอยู่กับแผงอกแน่นอย่างเขินอายเท่านั้น



อีกด้าน อเวเค่นยืนหลบมุมอยู่ที่ทางเดินปราสาทใกล้ๆ กัน ถึงจะไม่อยากมาเห็นอะไรบาดตาบาดใจแต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเจ้านรกนั่นจะทำอะไรแผลงๆ อีกรึเปล่า

เล่นหนีขึ้นฟ้ากันไปแบบนี้ก็แอบฟังไม่ได้น่ะสิ!






ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #13


ชเนย์เริ่มเข้าใจความหมายของ ‘บินเล่น’ ที่เจ้านรกพูดไว้แล้ว ตอนนี้เขาลอยอยู่เหนืออ่าวเกาะเซฟิลที่ตั้งของปราสาทชั่วคราวของท่านเจ้านรก วิวทะเลในตอนกลางคืนมันทั้งสวยงามปนน่ากลัว เพราะสีของน้ำไม่ได้เป็นสีเดียวกับท้องฟ้าในตอนกลางวัน

“จะไปมองข้างล่างให้กลัวทำไมเล่า” เสียงทุ้มกล่าวกับคนที่อยู่ในอ้อมแขนที่แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ก็กำลังเกร็งอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นผมขอมองหน้าคุณแทนก็ได้เนอะ” ชเนย์หันมายิ้มหวาน เจ้านรกทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับมุขทำเอาคนยิ้มกว้างหน้าเจื่อน “...ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้พูดอะไรนะครับ”

“อยากมองก็มองสิ” ดวงตาคมจ้องมองผ่านแววตาที่ซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นสีเข้มจนยากที่จะละสายตาหนี

“เอ่อ...ดาวสวยดีเนอะครับ” ชเนย์เปลี่ยนเรื่องแล้วเงยหน้ามองหาทิวทัศน์อื่นก่อนจะเขินอายไปมากกว่านี้

เจ้านรกเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปช้อนสะโพกอีกคนขึ้นเล็กน้อย ทำให้ชเนย์สะดุ้งเบาๆ เพราะโดนจับที่ๆ ดูไม่น่าจะเข้ากับบรรยากาศ แต่ทุกอย่างก็อธิบายด้วยการที่เจ้านรกเปลี่ยนไปเอนตัวลงคล้ายกับจะนอนเคว้งบนอากาศให้คนที่ถูกพาขึ้นมานั่งคร่อมตัวเขาไว้ต่างเก้าอี้ชมดาวระดับวีไอพี

"ข้าขี้เกียจอุ้มเจ้าตลอดน่ะ อยู่แบบนี้ละกัน" เจ้านรกยกสองแขนขึ้นรองหัวตัวเองและยกขาชันขึ้นไขว่ห้างไว้ต่างที่หนุนหลังของคนที่นั่งบนตัวตนเอง

"...พูดแบบนั้นแต่เมื่อกี้ก็กอดผมไว้แน่นเลยนะครับ" ชเนย์ยิ้มให้คนปากไม่ตรงกับใจ เมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่จ้องมาหาตนไม่วางตาจึงต้องเบนหน้าไปสำรวจรอบตัวแทน

ทั้งสองขึ้นมาสูงมากเสียจนเห็นเส้นขอบฟ้าโค้งตามที่มันเป็น สูงจนแทบจะสัมผัสก้อนเมฆได้อยู่แล้ว ทั้งด้านบนและด้านล่างเต็มไปด้วยดาวมากมายที่เต็มท้องฟ้าและสะท้อนอยู่ในน้ำ ไกลลิบสายตามีแสงไฟจากแผ่นดินอื่นส่องสว่างอยู่ ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นทำเอาพ่อครัวหนุ่มเผลอเหม่อมองอย่างลืมตัว จนลืมความประหม่าที่นั่งอยู่บนตัวคนที่ทำให้ตนดั้นด้นมาจนถึงที่นี่จนสิ้น

"..." ร่างสูงใหญ่ไม่ได้สนใจอะไรๆ ที่รายล้อม เขาเพียงแค่นอนมองหน้าชเนย์โดยมีความนึกคิดที่เขาคนเดียวที่ล่วงรู้อยู่เต็มหัว

"ครับ? " คนถูกจ้องรู้ตัวหลังจากจมอยู่กับความเงียบมานาน

"เจ้านี่แปลกจริง...ยอมมารบเพราะเหตุผลแค่นี้" เจ้านรกส่งยิ้มเยี่ยงปกติที่เคยปรากฏให้อีกคน "ไม่มีอะไรทำแล้วรึไง? "

"ก็..." ถึงจะอายที่ถูกพูดตรงๆ แบบนี้ แต่ก็ไม่หลบตาไปไหน "เอาตรงๆ ก็ไม่มีจริงๆ นั่นแหละครับ ผมไม่ได้มีจุดหมายอะไรในชีวิตหรอก"

"พอจะเดาได้อยู่"

เจ้านรกยื่นมือไปถอดแว่นสีเข้มของอีกคนออกเพื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นชัดๆ "คนเป็นที่ไหนจะมีดวงตาว่างเปล่าแบบนี้ล่ะ? "

"แหะๆ ...ถ้าหากผมเป็นกำลังให้คุณได้คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ" น้ำเสียงชเนย์ตะกุกตะกัก ได้พูดตรงๆ แบบนี้ทั้งยินดีทั้งปลื้มจนหุบยิ้มไม่ได้

“...ขอบใจ” เสียงทุ้มเอ่ยคำพูดสั้นๆ และยิ้มในแบบที่หาดูได้ยากยิ่ง แต่ชเนย์ก็เก็บภาพประทับใจนั้นได้ไม่นานนักเพราะทางนั้นเล่นสวมแว่นกลับคืนให้เขาอย่างน่าเสียดาย

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับใต้เท้า” ชเนย์ยิ้มให้และถือโอกาสนี้เอนตัวลงไปซบอกกว้างนอนมองดูดาวท่ามกลางท้องฟ้าของพวกเขาทั้งคู่ เขาชี้ให้เจ้านรกดูกลุ่มดาวมากมายที่ได้เรียนรู้มาจากหนังสือที่เคยอ่านสมัยก่อน และแม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นท่านเจ้านรกผู้มีชีวิตอยู่มานานกว่าจะทราบดีอยู่แล้วแต่ก็ตั้งใจฟังอีกฝ่ายโดยดี จะมีแย้งบ้างก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายจำชื่อเรียกหมู่ดาวผิดไป ทำเอาคนเคยเรียนมาแอบทำหน้างุดไม่สมอายุ

“เด็กน้อย เจ้ายังต้องเรียนรู้อะไรๆ อีกเยอะ” ร่างสูงใหญ่กล่าวราวกับคนที่อยู่ด้วยเป็นเด็กเล็กๆ

แน่ล่ะ...หากเทียบกันแล้วอีกฝ่ายก็เหมือนเด็กเพิ่งลืมตาดูโลก เทียบกันไม่ได้กับปิศาจที่อยู่มายาวนานอย่างตน

"อืม...คงงั้นแหละครับ" ชเนย์ยิ้มแห้งให้ อุตส่าห์มั่นใจในความจำของตัวเองแล้วแท้ๆ แต่เมื่อถูกพูดแบบนี้แล้วคนฟังก็เริ่มเงียบลง

"...? " เจ้านรกยกมือขึ้นถูแก้มอีกคนเหมือนจะเรียกหาสติให้ "เป็นอะไรรึ? "

"สำหรับคุณ ผมก็คงเหมือนเด็กจริงๆ นั่นแหละ" ชเนย์แทรกตัวลงไปกอดร่างด้านใต้ที่พยุงตัวเขาไว้แน่น "แต่มันก็แทบจะครึ่งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งแล้ว...แต่กับคุณ หลังจากนี้คงต้องอยู่ต่อไปอีกนานสินะ"

คนถูกสวมกอดไม่ตอบอะไร ให้ความเงียบและการกอดตอบเป็นคำอธิบายแทน ทั้งสองกอดกันไว้เนิ่นนานจนควันจากไปป์มอดดับไปหมด ทิ้งเพียงกลิ่นหอมจางอบอวลก่อนจะถูกพัดหายไปด้วยสายลมเอื่อยที่พัดมาตลอดเวลา

"อีกนานงั้นรึ...ไม่รู้สิ" เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาบางเบาข้างหูอีกคน ชเนย์ลืมตาขึ้นและผละออกมามองหน้าอีกฝ่ายแทบจะทันที

"คุณ...ไม่ได้คิดจะทำอะไรแปลกๆ ใช่มั้ย? " ดวงตาสีหม่นจ้องมองไปยังเจ้านรกที่มีรอยยิ้มระบายจางไว้แปลกตา “...ไม่สิ จริงๆ คนระดับคุณไม่น่าจะต้องขึ้นมาที่โลกนี้ด้วยซ้ำ"

"ทีแบบนี้ล่ะกลับฉลาดจริงน้า..." มือที่เกาะกุมบนตัวสั่นจนเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ และก็เป็นความคิดเดียวกับเขาแน่นอน "ข้ากะว่าจะไม่บอกเจ้าแล้วแท้ๆ ...แต่อย่างเจ้าคงเดาได้ไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี"

"....ทำไม? " เจ้านรกไม่ตอบ แต่โอบร่างอีกคนเข้ามากอดแนบแน่นก่อนจะพาบินขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม

แม้จะยิ่งลอยตัวสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ ชเนย์ก็ไม่รู้สึกถึงสภาวะบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงใดๆ เดาได้อย่างเดียวว่าเจ้านรกคงทำอะไรสักอย่างนั่นแหละ ทั้งคู่ลอยหลุดผ่านเมฆขึ้นมาจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง พอไม่มีแสงจากเมืองใดๆ ดาวบนฟ้ายิ่งชัดเจนจนสว่างไสวไปทั่ว ร่างสูงใหญ่ยังคงกอดอีกคนไว้ไม่ยอมคลายออก ใบหน้าคมซุกลงบนบ่าคนตัวเล็กกว่าค้างไว้เช่นนั้นและลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว

"ข้าอยู่มานานเหลือเกิน นานเกินไปจนไม่รู้ว่าที่มีชีวิตอยู่นี้เพื่ออะไร..." เสียงของอีกคนเรียบนิ่งนุ่มนวลกว่าที่แล้วมาอย่างสิ้นเชิง "ข้าก็เลยคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะยอมแพ้แล้ว..."

"......" ชเนย์โอบแขนเข้าไปใต้เสื้อคลุมอีกคน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้สิ่งที่เจ้านรกกำลังเผชิญอยู่มันให้ความรู้สึกแบบไหน แต่แค่เวลาเกือบสามสิบปีที่ผ่านมาของชีวิต เขายังทรมานกับตัวตนไร้จุดหมายขนาดนี้ ...แทบจะไม่อยากนึกถึงชีวิตนับพันนับหมื่นปีที่อีกฝ่ายอยู่มาแล้ว...

"แต่ข้าคงยังพอมีโชคอยู่บ้าง" ผู้ครองนรกเปลี่ยนมาดึงแว่นของชเนย์ออกและเอาหน้าผากของตนแตะไว้กับหน้าผากอุ่นของคนในอ้อมแขน "อย่างน้อยช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็ยังโชคดีที่ได้มาเจอเจ้า..."



‘อยู่ต่อไปเถอะนะครับ…’



ชเนย์อยากพูดคำนี้ออกไป แต่ตะกอนความรู้สึกมากมายที่บรรยายไม่ได้นั้นมารวมที่คอจนจุกและไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกไปได้แม้แต่นิดเดียว แขนทั้งสองโอบรัดร่างแข็งแกร่งแน่น ไหล่สั่นสะท้านที่ไม่ได้เป็นเพราะอากาศจากรอบตัวที่เย็นลงเรื่อยๆ น้ำตาที่ไม่อยากให้ไหลก็หลั่งรินลงไปยังพื้นเบื้องล่างราวประกายแสงดาวเล็กๆ จากท้องฟ้าร่วงหล่นลงไป



เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายทั้งน้ำตาที่รินรดแก้ม แววตาที่เคยว่างเปล่าวอนขอร้องคนที่อยู่ตรงหน้า มองเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนแต่แววตากลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดส่ายหน้าให้แทนคำพูดในใจของตน

“ก้มหน้าอยู่แบบนั้นเดี๋ยวจะมองไม่เห็นของดีเอาได้นะ” เจ้านรกปาดน้ำตาให้อย่างเบามือก่อนจะพลิกร่างให้ชเนย์หันกลับไปดูแสงเล็กๆ ที่พุ่งข้ามผ่านบนท้องฟ้า

“ดาวตก?” ดวงตาที่รื้นด้วยน้ำใสมองเส้นแสงสีขาววิ่งพาดผ่านเส้นแล้วเส้นเล่า ไม่ใช่แค่ดาวตกเพียงสองหรือสาม แต่เป็นฝนดาวตกนับร้อยๆ ที่หาชมได้ยาก

“คุณรู้อยู่แล้ว เลยพาผมขึ้นมาดูเหรอครับ?” น้ำตาที่ไหลหยุดไปโดยไม่รู้ตัวเพราะความสวยงามที่ดึงดูดพัดเอาความเศร้าให้หายไป

“บังเอิญมากกว่า ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีเยอะขนาดนี้” เสียงทุ้มกล่าวขณะที่ดวงตาคมยังมองภาพดาวหางมากมายที่อยู่เหนือท้องฟ้าที่สูงยิ่งขึ้นไป

"ไม่คิด? ...แสดงว่าคุณก็รู้อยู่แล้วนี่..." ชเนย์พยายามหันหน้าไปมองอีกฝ่ายให้ได้ แววตาเป็นประกายอยากรู้ฉายชัด "ที่หายไปเมื่อตอนกลางวันนี่ไปเสกมาเหรอ!? "

"ข้าไม่ได้บัญชาได้หมดทั่วทั้งเอกภพหรอกนะ! " ร่างสูงใหญ่หัวเราะขบขันกับความคิดของเด็กน้อยในอ้อมแขนแล้วก้มลงหอมฟัดทั่วทั้งใบหน้าและคออีกคนอย่างหมั่นเขี้ยวในความซื่อนั้น "แค่...ไปถามเทวทูตพยากรณ์มาเท่านั้นแหละ..."

ชเนย์เลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองอีกคนอย่างไม่เชื่อหู พอโดนมองด้วยสาเหตุนี้จู่ๆ คนถูกจ้องก็หันหน้าหนีไปมองดาวตกต่อเสียดื้อๆ

"ด...เดี๋ยว...เมื่อกี้คุณอายใช่มั้ย!? "

"เอ้า! ...ไหนๆ ก็เจอดาวตกแล้ว ไม่อธิษฐานอะไรหน่อยเหรอ" เจ้านรกกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่นทำให้ชเนย์ไม่สามารถเอี้ยวตัวมองตามไปได้ แถมยังเอาแว่นที่ถอดออกไปเมื่อครู่สวมคืนจนไม่สามารถมองผ่านความมืดได้อีก

"ก็ได้ครับ ไม่ดูก็ได้" เมื่อดิ้นจนเหนื่อยก็ยอมอยู่สงบๆ เสียที ก่อนจะเงยหน้ามองฝนดาวตกที่ยังคงวิ่งผ่านฟ้าไปเรื่อยๆ ราวกับจะไม่มีวันหยุด "...งั้น...ถ้าผมจะอธิษฐานให้คุณอยู่ต่อไป? "

"เรื่องของเจ้าสิ...อันที่จริงข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก"

ร่างสูงใหญ่เหม่อมองดวงดาวนับร้อยด้านบนก่อนจะเงียบลง ปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งก้มหน้าซุกลงไปกับผมสีเงินอ่อนนุ่ม

ถึงจะบอกว่าไม่เชื่อ... แต่ตอนนี้ผู้ครองนรกกลับอ้อนวอนสุดหัวใจว่าขอให้คนในอ้อมกอดนี้พบเจอแต่ความสุขด้วยเถอะ…







ณ ห้องครัวที่เก่าของปราสาท ในช่วงเวลาเดียวกับที่ชเนย์และเจ้านรกยังลอยดูฝนดาวตกอยู่ด้วยกันขวดไวน์ที่ไม่ได้ถูกเสิร์ฟให้ผู้ครองปราสาทเมื่อตอนกลางวันถูกรินใส่แก้ว นักฆ่าหนุ่มนั่งดื่มเพียงลำพังอย่างเงียบเหงา บนโต๊ะมีแต่กระดาษข้อมูลวางเกลื่อนจำนวนมากที่เขาเลิกสนใจไปนานแล้ว

“นั่งดื่มคนเดียวไม่เหงาหรือครับ?” เสียงลอดถามมาในเงามืด แววตาซุกซนมองมายังคนที่โดนทิ้งให้อยู่เดียวดายในคืนนี้

“จะดื่มเป็นเพื่อนให้มั้ยล่ะ?” อเวเค่นยกแก้วไวน์ขึ้นมา ไคม์ส่ายหน้าปฏิเสธคำชวนอย่างสุภาพ ที่สนใจก็เห็นจะมีแต่กองกระดาษบนโต๊ะข้างๆ ตัวนักฆ่าหนุ่มก็เท่านั้น “อยากได้ก็เอาไปเลย ผมขี้เกียจอ่านแล้ว”

เจ้าของน้ำเสียงกึ่มๆ ได้ที่กล่าว ไคม์จึงหยิบมาอย่างเต็มใจ พลันดวงตาก็เห็นกระดาษบางแผ่นที่โดนพับเป็นรูปดวงดาวอย่างสวยงาม

“พับเก่งดีนี่ครับ” เอ่ยชมไปอย่างนั้น พอได้ปึกกระดาษข้อมูลของผู้แข่งขันฝั่งเซฟิลมาก็ปลีกตัวจากนักฆ่าออกไปจากครัวทันที “ระวังคุณพ่อครัวเอ็ดเอานะครับที่แอบดื่มโดยพลการ”

“ใครสนล่ะ” อเวเค่นโบกมือไล่ให้มือขวาของเจ้านรกรีบๆ ออกไปเสีย โดยหาได้กลัวอำนาจอีกฝ่ายเหมือนเคย เสียงฝีเท้าเดินหายไปในความมืดเหลือเพียงแสงไฟจากในห้องครัวที่ยังคงเปิดสว่าง

เขาดื่มต่ออีกสักพักจนกระทั่งไวน์ชั้นเลิศหมดขวดแล้วจึงลุกขึ้นพาตัวเองกลับไปนอนหมดสติที่ห้องพัก คืนนี้เขาไม่ขอรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ ขอให้ตัวเองหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นมาเจอพ่อครัวคนเดิมที่ยิ้มให้พร้อมอาหารเช้าอย่างทุกทีแค่นั้นก็พอ

“ฝันดีนะ เคน” เขากล่าวกับตัวเอง หยดน้ำตาสายเล็กๆ รินรดข้างแก้มพร้อมกับที่ดาวตกดวงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ลาลับฟ้าไป

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจรู้ แต่เมื่อฝนดาวตกกลุ่มสุดท้ายจากไป ร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ ลอยตัวต่ำลงมาช้าๆ ชเนย์กอดท่านเจ้านรกเอาไว้ราวกับอยากจะให้ทุกอย่างหยุดอยู่ที่ตรงนี้ตลอดไป



...แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้...



ทันทีที่เท้าของท่านเจ้านรกสัมผัสพื้นปราสาทที่ลอยอยู่เหนือน่านน้ำของอ่าวเกาะเซฟิล ชเนย์ที่ยังอยู่ในอ้อมแขนก็รู้สึกมึนๆ หัวเล็กน้อย เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทันกับการขึ้นไปบนที่สูงและกลับลงมาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ร่างสูงใหญ่เองก็รู้ดีจึงอุ้มพากลับเข้าไปในปราสาททั้งอย่างนั้น ชเนย์รู้สึกอบอุ่นที่อยู่ภายในอ้อมกอดนี้จึงหลับตาลงอย่างง่ายดาย เจ้าผู้ปกครองนรกพาพ่อครัวหนุ่มไปส่งถึงห้องพักและค่อยๆ วางลงบนเตียง ก่อนจะถอดแว่นสีเข้มออกมาและจุมพิตหน้าผากนั้นเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์ เด็กน้อยของข้า”




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

แสงแดดแยงตาคนที่นอนกินบ้านกินเมืองจนตะวันขึ้นส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ร่างที่นอนคว่ำอยู่บนที่นอนค่อยๆ พลิกตัวเองนอนหงายพลางเอามือกุมหัว นักฆ่าหนุ่มที่เมาจนหมดสภาพนอนแผ่บนที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง คราวนี้เริ่มปวดหัวตุ้บๆ ราวกับสมองจะระเบิดก่อนจะเด้งตัวลุกพรวดวิ่งไปอ้วกทางหน้าต่างคายเอาทุกสิ่งที่ดื่มไปเมื่อวานอย่างน่าเสียดายออกจนหมดไส้หมดพุง

อเวเค่นทรุดลงข้างหน้าต่างหลังจากปล่อยทุกสิ่งอย่างออกมาจนสิ้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นแก้วสมูทตี้กล้วยหอมอันคุ้นตาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ เตียง บวกกับแก้วชาใบเล็กที่ส่งกลิ่นขิงอบอวล ควันจากแก้วน้ำขิงร้อนๆ นั้นยังคงลอยเอื่อยออกมาจากถ้วยทำให้รู้ว่ามันเพิ่งถูกยกมาวางได้ไม่นานนัก

นักฆ่าหนุ่มยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ โน้ตใบน้อยที่วางไว้คู่กุญแจมีข้อความจากคนที่เขาก็รู้ว่าใครเขียนไว้ไขข้อสงสัยในที่มาของสองแก้วนี้

'คุณเสียบกุญแจค้างไว้ที่ประตู'

"....ท่าทางจะดื่มมากเกินไปซะแล้วสิ" รอยยิ้มจางแต้มใบหน้าอย่างฝืนทน มือเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำขิงร้อนค่อยๆ จิบละเลียดทีละนิดอย่างกลัวว่ามันจะหมดลงเร็วเกินไป...พอเริ่มมีอะไรลงท้อง ความหิวก็เข้ามาถามหาอีกแล้วสิ...

อเวเค่นจัดการธุระส่วนตัวหลังหายแฮงค์ไปพอประมาณ ขณะมองกระจกก็ลองปั้นสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย แต่กลับดูไม่เนียนเหมือนที่ผ่านๆ มา นักฆ่าหนุ่มเอาหัวตัวเองแนบกระจกพลางถอนหายใจยาว

“สภาพแกดูไม่ได้เลยว่ะเคน...” เจ้าของดวงตาสีทองเอ่ยกับตัวเอง

สุดท้ายก็ยอมก้าวออกจากห้องไปตายเอาดาบหน้า หากเจอคุณเจ้าของแก้วว่างเปล่าทั้งสองใบในมืออาจจะอารมณ์ดีขึ้นก็เป็นได้

แต่เมื่อถึงห้องครัวกลับต้องคิดดูใหม่ ชเนย์นั่งมองดาวที่เขาพับทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่ยินดียินร้ายแม้อเวเค่นจะเข้ามาใกล้แล้วก็ตาม อาหารเช้าที่ทำทิ้งไว้ให้ก็วางอยู่ถัดจากพ่อครัวนี้เอง

“อ่า...ขอโทษที ผมทำรกเองล่ะ เดี๋ยวผมเอามันไปทิ้งให้” นักฆ่าหนุ่มยิ้มแห้งแล้วโกยกระดาษพับเอาไปทิ้งลงถังขยะ แล้วก็มานั่งกินอาหารเช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หิวจัง ทานล่ะนะ….”

“เดี๋ยวครับ” ชเนย์จับมือข้างที่อเวเค่นกำลังหยิบขนมปังปิ้งหน้าชีสเข้าปาก นักฆ่าหนุ่มหันหน้ามาหาพ่อครัวที่ขมวดคิ้วมุ่นจนแทบพันกัน “คุณ...”

ขนมปังปิ้งที่ควรจะเข้าปากคนทานกลับเข้าไปอยู่ในปากคนทำ คำพูดของพ่อกลัวกลืนหายไปในทันที

“ถ้าจะบ่นเรื่องที่ผมแอบดื่มไวน์ก็เอาไว้ทีหลังนะ” จัดการปิดปากอีกฝ่ายแล้วคว้าเอาขนมปังที่เหลือในจานติดมือออกไปกินด้านนอก “อ้อ! วันนี้ทั้งวันผมไม่อยู่นะ ไม่ต้องเตรียมอาหารส่วนของผมไว้ล่ะ”

แจ้งกำหนดการตัวเองเสร็จสรรพแล้วก็โกยเท้าชิ่งหนีทิ้งไว้แต่ฝุ่น ชเนย์นั่งอึ้งทั้งที่ปากยังคาบขนมปังคาไว้อยู่อย่างนั้น มือหยิบเอาอาหารเช้าของนักฆ่าหนุ่มออกจากปากแล้วก้มหน้านิ่ง







ด้านอเวเค่นที่ตอนนี้ยืนอยู่นอกปราสาทกำลังนั่งเอามือกุมหัวตัวเองอย่างคนอับจนปัญญา รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งหนีหน้าจะยิ่งมีแต่ปัญหาคาราคาซัง แต่สุดท้ายก็หนีมาแบบคนโง่ที่ไม่กล้าเผชิญหน้า แล้วแบบนี้มันจะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เหรอฟะ!

“ดันพูดแบบนั้นออกไปแล้วด้วย...แล้วนี่จะไปไหนดีล่ะ?” ไอ้ที่พูดไปก่อนหน้านั้นเรียกว่าโกหกคำโต ธุระอะไรก็ไม่มีแล้วจะหนีไปฆ่าเวลาที่ไหนดีล่ะ? ไปดำน้ำ ดูปะการังข้างล่างนี่เลยดีมั้ย?

"สรุปก็โกหกผมเหรอครับ" เสียงซักถามดังจากด้านหลัง อเวเค่นสะดุ้งตัวโยนแล้วรีบหันไปหาต้นเสียงที่เท้าคางมองอยู่ที่หน้าต่างทางเดินด้านหลังตน

"เอ่อ....คือ... ผม...." จู่ๆ อเวเค่นก็เกิดเข่าอ่อนจนไม่สามารถลุกออกจากที่ๆ นั่งทรุดอยู่ได้

"หนีหน้าผมทำไมล่ะครับ? " ชเนย์พ่นควันใส่ด้วยสีหน้านิ่งเช่นเมื่อครู่ ซึ่งเหมือนอเวเค่นเพิ่งสังเกตว่าพ่อครัวคนดีไม่มีรอยยิ้มเจือไว้ดังเดิม อันน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สามารถเผชิญหน้าได้ตรงๆ เหมือนที่ผ่านมา

"....คุณเป็นอะไรรึเปล่า? " อเวเค่นเผลอเอ่ยถามอย่างกังวล ชเนย์ไม่ตอบแต่เบือนหน้าไปทางอื่นและใช้ความคิดหนักมากจนออกมาทางบรรยากาศหนักอึ้งผิดวิสัย

“ขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกนะ” อเวเค่นกล่าวอย่างรู้สึกผิดต่อคนที่อยู่ด้วยกัน บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่เงียบจนน่าอึดอัด อเวเค่นยังนั่งอยู่ที่เดิม ชเนย์ก็ยังคงสูบไปป์อยู่อย่างนั้น “...ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดกับผม งั้นผมขอตัวก่อนล่ะ”

สุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนก็คือนักฆ่าหนุ่มที่ยันตัวลุกขึ้นยืนเพราะเหน็บเริ่มกินขา

“จะหนีเหรอครับ?” คนที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น เจ้าของตาสีทองถึงกับคิ้วกระตุก เงียบอยู่ตั้งนานไม่พูด พอพูดทีก็จี้จุดแทงใจดำกันอีก “แถมตาคุณก็แดงๆ นะ”

“ไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาหรอก” อเวเค่นหันหน้าหลบสายตาช่างสังเกตคู่นั้น อยากเดินหนีไปจากตรงนี้แต่ขาก็ก้าวไม่ออก ชเนย์เปลี่ยนจากยืนมองมาเป็นนั่งบนขอบหน้าต่างนั้นแทน พอได้เข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วกลิ่นยาสูบของวันนี้ก็ส่งความฉุนจนแสบจมูกมาตามลม ทั้งที่ปกติจะเป็นเพียงกลิ่นหอมจางๆ บางเบาเท่านั้น

แต่ก่อนที่อเวเค่นจะได้ท้วงถามถึงความไม่ปกตินี้ เขาก็เห็นสิ่งคุ้นตาลอยตกลงไปจากปราสาท ทิ้งเส้นทางควันสีจางให้ละลายหายไปกับสายลม นักฆ่าหนุ่มหันกลับมาหาเจ้าของไปป์ผู้ขว้างมันทิ้งอย่างตกอกตกใจ ไม่เคยเห็นกิริยาแบบนี้ของพ่อครัวแสนดีมาก่อนเลยสักครั้ง

"ไม่มีอะไรครับ มันแค่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยน่ะ" ชเนย์ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งแล้วกอดซบหน้าลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อย

“เกิดอะไรขึ้น?” ในสมองของนักฆ่าหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาคิดว่าบรรยากาศทุกอย่างระหว่างชเนย์กับเจ้านรกออกจะเป็นไปด้วยดีจนเขานึกอิจฉา แต่ท่าทางของพ่อครัวที่อยู่ตรงหน้ากลับสร้างความกังขาไปหมด “หรือหมอนั่นทำอะไรคุณ?”

อเวเค่นกล่าวถึงบุคคลที่สามอย่างไร้ความเคารพ เขาก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปเขย่าตัวชเนย์ให้เงยหน้าขึ้นมา พอมองผ่านกรอบแว่นสีดำเข้าไปถึงได้เห็นว่าแววตาของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม

ชเนย์ส่ายหัวช้าๆ โดยไม่ได้เจาะจงว่าตอบคำถามไหน สองแขนเอื้อมไปดึงตัวคนข้างหน้ามาหาแล้วกอดร่างเล็กกว่าพร้อมก้มซุกลงไปหาบ่าเล็ก

อเวเค่นกัดฟันแน่น อยากที่จะวิ่งไปถามเอากับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นต้นเหตุให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าเขาไม่อยากจะทิ้งร่างสูงโปร่งไว้คนเดียวแบบนี้ ดีไม่ดีกลัวว่าชเนย์อาจจะโดดลงไปดำน้ำดูปะการังแทนเขาซะเอง

"ชเนย์...บอกผมเถอะ" คนปลอบคาดคั้นเอาอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่ก็ไร้คำตอบใดๆ จากคนถูกถาม ไม่ว่าจะทั้งคำพูดหรือทางกาย แม้แต่น้ำตาที่คิดว่าจะไหลออกมาจากคนอ่อนไหวง่ายๆ ยังเหือดแห้ง

สุดท้ายอเวเค่นก็ยอมแพ้คนตัวสูงกว่า เขายืนเป็นเสาหลักให้อีกฝ่ายพิงโดยไม่ปริปากบ่นแม้แสงแดดจะเริ่มแรงขึ้นจนเหงื่อออกเป็นน้ำก็ตาม ชเนย์กอดอยู่นานจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นอเวเค่นหน้าซีดผิดปกติ

“คุณ...” มือหนายื่นไปแตะใบหน้าไร้เลือดฝาด เผลอลืมความเศร้าของตนไปชั่วขณะ “เข้าไปพักด้านในก่อนเถอะครับ”

“ผมไม่เป็นไร...” ทำปากเก่งและฝืนยิ้มให้ทั้งที่เริ่มมีอาการเวียนหัว สติสุดท้ายเลือนหายก่อนที่ภาพของคนตรงหน้าจะวูบกลายเป็นสีดำไป



อเวเค่นค่อยๆ ลืมตาตื้นขึ้นมาในห้องคุ้นตาที่ไม่ใช่ห้องของเขาเอง หัวหนักอึ้งหันไปหาสัมผัสที่แขนขวาของตน พบชเนย์ที่กำลังเช็ดตัวให้เขาด้วยน้ำสีชาแปลกตา กับกลิ่นเครื่องหอมที่ส่งกลิ่นแสนสบายอบอวลไปทั้งห้อง

"ผมขอโทษครับ เอาแต่ใจจนคุณไม่สบายซะได้" ชเนย์ก้มหัวให้อย่างสำนึกผิดทั้งที่มือยังเช็ดตัวให้คนป่วยต่อเนื่อง

"ช่างมันเถอะ คิดซะว่าผมอ่อนแอเอง" อเวเค่นยิ้มให้ เพราะทั้งกลิ่นและยาฟื้นสภาพที่ผสมน้ำช่วยรักษาอาการแย่ๆ ทั้งหมดจนดีขึ้นทีละนิด

"เดี๋ยวผมไปทำอะไรมาให้ทานนะ" พ่อครัวหนุ่มวางผ้าลงกับอ่างน้ำที่พร่องไปค่อนข้างมาก รอยยิ้มจางที่เต็มไปด้วยความห่วงใยผิดกับดวงตาที่ยังไร้แววของความรู้สึกใดๆ ทว่าอเวเค่นคว้าแขนเสื้อชเนย์ไว้ก่อนที่อีกคนจะลุกออกไป คนป่วยส่ายหน้าเป็นนัยว่าไม่อยากให้หายไปแม้แต่ครู่เดียว ชเนย์จึงยอมนั่งลงที่เดิม

"ดีจัง...ที่ได้เห็นรอยยิ้มคุณอีก"

“...ขอโทษครับที่ทำให้คุณต้องเป็นห่วง” มือหนาจับมือคนที่เพิ่งฟื้นพลางบีบเบาๆ

“เล่าให้ผมฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาสีทองจ้องเจ้าของดวงตาอับแสงคู่นั้นอีกครั้ง “แต่...ถ้าลำบากใจผมจะไม่ถามอีก”

“ขอโทษครับ” ชเนย์เอ่ยอีกครั้ง อเวเค่นรู้ว่านั่นคือคำปฏิเสธต่อเรื่องที่เขาถามคนตรงหน้า

“ช่างเถอะ...” นักฆ่าหนุ่มหยิบเสื้อของตนมาสวม

“มีอีกเรื่องที่ผมต้องขอโทษคุณ...” เจ้าของน้ำเสียงสั่นเครือพยายามบังคับตัวเองให้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“อะไรเหรอ?” อเวเค่นพยายามเดาว่าคงเป็นเรื่องที่หนักหนา คุณพ่อครัวถึงได้กลัวที่จะฝืนพูดมันออกมา

“ผม...รักท่านเจ้านรกมากครับ” ชเนย์เอ่ยคำพูดออกมาและพยายามจ้องมองสู้หน้าอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตา

“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วไง” นักฆ่าหนุ่มเอ่ยสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจดีมาตั้งแต่แรก แต่หัวใจก็หน่วงราวถูกบีบที่ได้ยินชัดๆ ซ้ำอีกครั้ง

“ครับ...แล้วผมก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขา...จนวาระสุดท้าย” มือหนาที่จับมือคนบนที่นอนกำลังสั่นเกร็งและเผลอออกแรงบีบอย่างไม่ตั้งใจ หากแต่ร่างกายในตอนนี้ก็บังคับได้ยากเกินจะควบคุม

“...งั้นเหรอ เข้าใจล่ะ” เขาแตะมือที่สั่นระริกและลูบเป็นเชิงปลอบก่อนจะจับให้มือนั้นคลายออกจากตน

“ผมขอโทษ...” สีหน้าที่อดทนปกปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไปซุกลงที่ข้างบ่าคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง อเวเค่นยกมือขึ้นตั้งใจจะลูบหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมสีเดียวกับหิมะนั้นปลอบ แต่ก็กำมือเอาไว้และผละออกมา

“งั้นก็...ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะ” อเวเค่นใส่เสื้อผ้าลวกๆ แล้วฝืนลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปที่ประตูห้องของอีกฝ่าย

“อเวเค่น...คุณเกลียดผมรึเปล่า?” ชเนย์ถามออกไปทั้งที่ยังนั่งหันหลัง ขณะที่คู่สนทนาเพียงแค่หันหน้ามามองด้วยเสี้ยวหางตา

“...แย่หน่อยนะ ผมเกลียดคุณไม่ลงหรอก” สิ้นคำพูด เสียงประตูห้องก็ปิดลง ความเงียบครอบคลุมทั้งห้อง ทิ้งไว้เพียงร่างสูงโปร่งที่ฟุบตัวลงกับเตียง และคนที่เดินจากไปทรุดลงกอดเข่าตัวเองอยู่หน้าประตูห้อง ไม่อาจลุกเดินไปไหนได้ราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไป







ผ่านพ้นมื้อเที่ยงกระทั่งจนถึงมื้อเย็น อเวเค่นก็ไม่โผล่กลับมาที่ครัวเลยสักครั้ง ทำเอาคนเตรียมอาหารให้กลัวว่าจะหิวตายคาห้อง...

"ช่วยไม่ได้แฮะ" ชเนย์ส่ายหน้าพยายามทำตัวให้ปกติก่อนไปค้นหาถาดอาหารออกมากะจะยกเสิร์ฟให้ถึงห้อง "อ่ะ..."

เมื่อหันกลับมาหาโต๊ะที่วางอกเป็ดรมควันไว้ คนที่กำลังเป็นห่วงก็โผล่มานั่งโซ้ยอาหารโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว

"หายไปไหนมาน่ะครับ? " ปากกำลังจะพูดว่าเป็นห่วง...ทว่าถ้าพูดออกไปจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ลง คิดแบบนั้นจึงจบประโยคไว้เพียงเท่าที่ได้พูดไป

"ผมก็ขอเวลาทำใจหน่อยสิ โดนพูดใส่หน้าขนาดนั้นเชียวนะ" อเวเค่นพูดทั้งที่เนื้อเป็ดนุ่มยังเต็มปาก

"นั่นสินะ..." พอโล่งอกได้ชเนย์ก็ลากตัวเองไปนั่งยังที่นั่งประจำของตน ไปป์คู่กายก็โยนทิ้งไปด้วยเพราะแรงอารมณ์แล้ว ชเนย์จึงทำได้แค่รับลมชมวิวทะเลเหม่อๆ อยู่เฉยๆ

“ลืมของแน่ะ”

พ่อครัวหันมาตามเสียงทัก ไปป์ที่คิดว่าตกลงทะเลไปแล้วกลับมาอยู่ในมือคนที่ยังเคี้ยวเนื้อจนแก้มตุ่ย“ทีหลังอย่าโยนทิ้งอีกล่ะ มันหายากนะคุณ”

“...คุณไปเก็บมาให้งั้นเหรอครับ?”

ชเนย์มองร่างเล็กกว่าที่หันกลับไปนั่งกินอาหารเย็นต่อโดยไม่ตอบคำถาม เป็นไปได้ไหมที่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้ามาเป็นเพราะไปหาของมาคืนให้เขา จะคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปมั้ย...

“ของหวานล่ะ?” ขณะที่พ่อครัวกำลังซึ้ง คนรับประทานก็สั่งออเดอร์หลังฟาดเนื้อเป็ดหมดจานไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะเคยบอกว่ายิ่งเศร้ายิ่งกินจุก็เถอะ แต่นี่มันก็เร็วไปนะ

“ไม่กลัวอ้วนแล้วเหรอครับ?” เอ่ยถามและแซวไปในตัว

“ช่างมันสิ” ดวงตาสีทองมองค้อนขวับเข้าให้ ทั้งที่ไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนเวลาที่เด็กๆ ทำเลยสักนิด

พอยกของหวานมาเสิร์ฟให้ ชเนย์ก็เดินกลับไปตรงริมหน้าต่างที่เดิม กลายเป็นว่าเขาพยายามจะไม่ทำอะไรให้อีกฝ่ายลำบากใจมากขึ้นเสียเอง

"คุณหลบหน้าผม" อเวเค่นท้วงขึ้นแก้แค้นเรื่องที่โดนทำไปเมื่อเช้าเสียจนแทบร้องไห้

"ขอโทษด้วยครับ" รู้สึกว่าเขาพูดคำนี้บ่อยมากในรอบวัน

"แต่...คุณก็เป็นห่วงผม" นักฆ่าหนุ่มตักบราวนี่ชาเขียวเข้าปากพลางมองถาดอาหารที่ชเนย์คิดจะยกไปให้เขาที่ห้องพัก "ผม...ดีใจนะ..."

"..." ร่างสูงโปร่งหมุนไปป์ในมือที่ก่อนหน้ามันยังเป็นแค่ไปป์ธรรมดา แต่ตอนนี้มันเริ่มมีความสำคัญขึ้นมาเสียจนชเนย์รู้สึกจุกแน่นไปหมดทั้งอก

"ผมรู้...รู้แต่แรกแล้วว่าคุณคิดยังไงกับหมอนั่น..." เสียงเมื่อครู่อ่อนลง แต่ก็ยังดังพอให้ได้ยินกันทั้งสองคน "แต่ว่า..."

จู่ๆ อเวเค่นก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดข้างหลังชเนย์ห่างไปเพียงสองสามก้าว คนถูกรุกไล่ถึงกับยืนนิ่งไม่ไหวติง

"ผมพูดไปแล้ว...ว่าผมรักคุณ" อเวเค่นกำหมัดแน่นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าทั้งที่ความจริงแล้วชเนย์เองต่างหากที่กำลังลนลาน "แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณรู้สึกยังไงกับผม"

ทั้งห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แต่ต่างคนก็ต่างสาเหตุที่ทำให้ใจเต้นแรงขนาดนั้น...

"...ถ้า...สมมุติว่า..." ชเนย์พูดเสียงสั่น แต่ละคำเค้นออกมายากเย็นเพราะความรู้สึกที่เอ่อล้น ...ทว่าไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก

"ชเนย์? " อเวเค่นทักด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายกำมือแน่นเสียจนน่าหวั่นใจ น้ำเสียงสั่นผสมปนเปด้วยความเศร้าที่ปิดไม่มิด

"ถ้าสมมุติว่า...ผมจะลืมคนๆ นั้นได้ในสักวัน แล้วเริ่มรู้สึกรักคุณอย่างจริงจังขึ้นมาจริงๆ ...คุณจะหายไปอีกคนรึเปล่า? "

“.....” ไร้เสียง ไร้คำตอบ มีเพียงความเงียบที่เกาะกุมบรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ ชเนย์เป็นฝ่ายหลบตาแล้วหันหน้าออกไปทางหน้าต่างมองวิวทะเลที่เงียบสงัดไม่ต่างจากห้องครัว

“...ขอโทษที่ผมถามอะไรไม่เข้าท่านะครับ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะพูดเรื่องร้ายกาจกับคุณไปเมื่อตอนกลางวันแท้ๆ” ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่ตะวันเริ่มลาลับ ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมย้อมผืนฟ้าสีส้มให้กลายเป็นสีดำ ชเนย์คิดว่าเขาคงจะไม่ได้รับคำตอบใดๆ แต่แล้วสัมผัสอบอุ่นที่โอบกอดจากข้างหลังก็ทำเอาดวงตาที่อับแสงหันกลับมามองร่างเล็กกว่าที่เอาหน้าซุกท้ายทอยตนไว้ไม่ให้เห็นสีหน้าในเวลานี้

“ผมจะไม่สัญญากับสิ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้” น้ำเสียงเอ่ยออกมาพร้อมกับมือที่เกาะกุมแน่นยิ่งขึ้น “เพราะผมอาจจะหายไปในระหว่างการแข่ง...พูดตรงๆ คือผมอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้”

คนถูกกอดแกะมืออีกคนออกแล้วหันกลับมาสวมกอดแน่น...แน่นมากเสียจนเหมือนกลัวว่าเขาจะหลุดหายไป ร่างสูงโปร่งที่โถมตัวเข้าใส่เริ่มสั่น ความอดกลั้นตลอดวันมาถึงจุดสิ้นสุด คนตัวเล็กกว่ารับรู้ได้ว่าไหล่ที่อีกฝ่ายก้มลงซบอยู่เริ่มเปียกชุ่มทีละนิด

"ผมชักเริ่มสงสัยแล้วสิ...ว่าจริงๆ ตัวเองเป็นตัวหายนะอะไรรึเปล่า..." เสียงสั่นเครืออันควบคุมไม่ได้กระซิบข้างหูอย่างเศร้าสร้อย "ทำไม...ไม่ว่าจะคนไหนๆ ...ทำไมทุกคนที่ผมรักถึงต้องจบชีวิตลงต่อหน้าผมซะทุกครั้งเลย..."

"...!? " อเวเค่นกอดตอบแนบแน่นและลูบหัวคนเจ้าน้ำตาเบาๆ แต่ขณะที่เจ็บปวดกับสภาพของคนตรงหน้าที่เป็นอยู่นี้ เขากลับเริ่มสงสัยในคำพูดของชเนย์

...ทุกคน? ...

"ผม...ผมจะทำยังไงดี...เคน" เสียงสะอื้นฟังไม่ได้ศัพท์ของคนคุมสติไม่อยู่บาดลึกลงกลางอกคนรับฟังทุกถ้อยคำ หนุ่มนักฆ่าหยุดคิดถึงสาเหตุที่ไปสะกิดปมใหญ่สุดในชีวิตของคนตรงหน้าแล้วพยายามฟังทุกอย่างที่ชเนย์พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แม้มันจะทำให้เขาเจ็บไปด้วยก็ตาม...

“...ยื่นมือมาหน่อยสิ” น้ำเสียงที่ไม่ถึงกับอ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเอ่ยข้างหูร่างสูงกว่าที่ยังร่ำไห้อยู่กับไหล่ของตน

ชเนย์ผละตัวเองออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้นึกถึงว่าใบหน้าของตนในตอนนี้จะไม่น่าดูแค่ไหน ทว่าอเวเค่นก็ไม่ได้หัวเราะขบขัน กลับยิ้มและเอามือเช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทำนบแตกอย่างเบามือ

มือที่เล็กกว่ายื่นนิ้วก้อยออกมาหามือที่ใหญ่กว่า อเวเค่นเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายที่ยังทำท่าเก้ๆ กังๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ชเนย์มองดวงตาสีทองที่จ้องมาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากชนกัน

“ผมสัญญาว่าจะพยายามมีชีวิตรอดกลับมา” นิ้วก้อยเกี่ยวกระชับแน่นขึ้นเช่นเดียวกับน้ำเสียงของคนเอ่ยถ้อยคำ “...ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม”

แม้น้ำตาจะยังไหลไม่หยุด แต่ชเนย์ก็ค่อยๆ ยิ้มออกได้ พลางหัวเราะแห้งทั้งที่ยังฟูมฟายอยู่จนกลายเป็นภาพที่ดูตลกสุดๆ "ขอบคุณครับ เคน"

"ดูไม่ได้แล้วคุณเนี่ย" อเวเค่นยกแขนเสื้อขึ้นปาดเอาน้ำตาอีกคนอย่างหยอกๆ ไม่ว่าชเนย์จะเชื่อหรือแกล้งหายเศร้าแล้ว แต่อย่างน้อยรอยยิ้มที่เขาหลงรักก็กลับมาระบายบนหน้าอีกฝ่ายได้ก็เพียงพอ ทั้งคู่ยังคงยืนกอดปลอบกันและกันอยู่สักพักใหญ่ ก่อนอเวเค่นจะพาพ่อครัวที่ร้องจนตาบวมไปนอนพักผ่อน

"ไม่ต้องมาส่งถึงห้องก็ได้นะครับ" ชเนย์หยุดยืนหน้าประตูที่อเวเค่นกำลังไขห้องพักของเขาด้วยตัวเองจากกุญแจที่ไปทำสำรองไว้...

"ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่นี้เอง" เปิดได้ก็ผายมือให้เจ้าของห้องเข้าไปก่อน "คิดซะว่าตอบแทนค่าอาหารแล้วกัน"

"ก็ได้ครับ แต่ก่อนที่ชเนย์จะเดินเข้าห้องไปก็แวะกอดและหอมแก้มคนเปิดประตูให้ "แทนคำขอบคุณในหลายๆ เรื่องวันนี้นะครับ"

เมื่อประตูห้องปิดลง สีหน้าผ่อนคลายของหนุ่มนักฆ่าก็เปลี่ยนไปเป็นขมึงตึงปนความสงสัย

...ทุกคนที่เขารักจบชีวิตลง? ...แต่ไอ้คุณเจ้านรกก็ยังเห็นเดินร่อนอยู่ที่โถงกลางอยู่เลย มันหมายความว่ายังไง

แต่คิดไปก็ไม่ได้คำตอบ นักฆ่าจึงต้องเลือกระหว่างรออย่างสงบเสงี่ยมหรือเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการหาคำตอบนี้





ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #14

NC
[/b]


“ดึกดื่นป่านนี้ มีธุระอะไรถึงได้กล้ามารบกวนเวลาสำราญของข้า?” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามผู้มารบกวนช่วงเวลาส่วนตัวของผู้ครองโลกแห่งความตาย ไคม์ค้อมตัวอย่างนอบน้อมให้นายเหนือหัวที่กำลังเพลิดเพลินกับเหล่าปิศาจสาวร่างอรชร

“มีคนอยากพบท่านน่ะครับใต้เท้า” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ผู้บุกรุกก็เดินตามหลังสมุนมือขวาเข้ามายืนท้าทายตรงหน้า

“ช่างกล้าหาญเสียจริงนะ” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งบนบัลลังก์เอ่ยปากไล่เหล่าปิศาจสาวให้ออกไปเช่นเดียวกับปิศาจเลขา บัดนี้ในห้องเหลือเพียงแค่เจ้านรกกับบุรุษนักฆ่าที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างมาก “มีอะไรถึงได้มาหาข้ากันล่ะ?”

“คุณไปพูดล้างสมองอะไรเขา ชเนย์ถึงได้เป็นแบบนั้น?” ตาสีทองวาวโรจน์เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่อยู่สูงกว่าตน รอยยิ้มของเจ้านรกเหยียดตรงจนคิ้วของนักฆ่ากระตุก เช่นเดียวกันกับที่เท้าอยู่ไม่สุขกระดกขึ้นลงอย่างวอนหาเรื่องด้วยใจที่ไม่สบอารมณ์

"ต้องบอกก่อนว่าความจริงนี่เป็นความลับของข้ากับชเนย์"

เป็นครั้งแรกที่คนเรืองอำนาจเอ่ยเรียกชื่อของคนที่ถูกพูดถึง แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าที่หายขึ้นไปบนฟ้ากันสองคนเมื่อวานนั้นไม่ได้แค่บินเล่นแน่ๆ แต่มันก็ควรจะเกิดเรื่องดีๆ สิ

"อ้อเหรอ มิน่าล่ะถึงไม่ยอมปริปากเลยสักนิด" อเวเค่นยิ่งเดือดกว่าเดิมเพราะรู้สึกเหมือนโดนกวนประสาท "ปกติออกจะอ่านง่ายแท้ๆ แต่พอเป็นเรื่องท่านล่ะให้ความร่วมมือปกปิดมิดชิดดีซะเหลือเกิน"

"นี่เจ้าน้อยใจเค้ารึยังไง? " เจ้านรกหัวเราะให้ท่าทางและคำพูดทั้งหมดนั้น

"ตอบผมมาก่อนว่าคุณทำอะไร ทำไมชเนย์ถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนั้น! "

อเวเค่นตะเบ็งเสียงใส่อย่างไม่กลัวตาย แต่เหมือนว่าประโยคนี้จะได้ผลนิดหน่อย เจ้านรกไม่ได้สวนคำพูดใดๆ กลับมาในทันที รอยยิ้มปกติที่พบเห็นกลับหุบลง...แต่หลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ก็เปลี่ยนมานั่งเท้าคางกับพนักวางแขนบัลลังก์ตน

"ไม่มีอะไรที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ทั้งนั้น ขอโทษทีแต่ข้าก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของเจ้า"

นักฆ่าหนุ่มกำมือแน่น ก่อนกระแทกเท้าขึ้นเหยียบแท่นบันไดขึ้นไปหาผู้ที่นั่งเบิกตาด้วยความแปลกใจนิดๆ จนกระทั่งมนุษย์ร่างเล็กกว่าก้าวขึ้นมาประจันหน้าในระดับสายตาเดียวกัน

“จะบอกดีๆ ได้รึยัง?” น้ำเสียงกระด้างไร้ซึ่งความสุภาพต่อผู้ที่อยู่เบื้องหน้า แม้แต่ปิศาจใต้บังคับบัญชาก็ยังแทบไม่เคยมีใครอาจหาญกล้าเข้าใกล้เขาถึงเพียงนี้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะตัวผู้ปกครองนรกเองก็ด้วยที่พักหลังๆ มานี้ปล่อยตัวตามสบายเป็นกันเองจนมนุษย์เบื้องหน้าไม่รู้สึกยำเกรงเขาอีกต่อไป

“คงไม่เรียกว่ากล้าหาญแล้วล่ะ อย่างเจ้านี่คงต้องเรียกสามหาว” นิ้วสวมเกราะดีดเพียงครั้งเดียว เคียวขนาดมหึมาก็จ่อเข้ามาที่คอมนุษย์ผู้โอหังในพริบตา

ทว่า...

“หยุดทำไมล่ะ?” เจ้าของดวงตาสีทองยังไม่ได้ละสายตาไปจากผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ ราวกับเคียวปลิดชีพนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว

“หึหึ ฮ่าๆๆ!!” เสียงหัวเราะแผดลั่นก้องไปทั่วทั้งห้องกว้างที่เพดานสูงเสียดยอดปราสาท “เจ้านี่มันน่าสนใจจริงๆ ทั้งที่ตอนมาครั้งแรกก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ดาดๆ ธรรมดาทั่วไปแท้ๆ”

เจ้านรกเอนหลังพิงเก้าอี้ก่อนเคียวอันโตจะหายวับไปราวกับเมื่อครู่เป็นภาพลวงตา"ได้! ถ้าเจ้าอยากรู้มากนักข้าก็จะบอก แต่ข้าไม่บอกเจ้าฟรีๆ หรอกนะ ต้องมีอะไรมาแลกสักหน่อย"

"อย่ามาลีลามากนัก รีบๆ ว่ามาเลย" อเวเค่นยกแขนขึ้นกอดอก นิ้วกระดิกอย่างใจร้อน...โดยลืมนึกถึงบางเรื่องไปเสียสนิท

"เมื่อวานข้าคงทำอะไรๆ ค้างไว้ที่ห้องอาบน้ำนั่นน่ะ" เจ้านรกดันตัวลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าร่างเล็กกว่าและเชยคางอีกคนขึ้นมาให้จ้องหน้ากันตรงๆ "แต่วันนี้คงไม่มีใครเข้ามาขัดเหมือนครั้งนั้นแล้วล่ะนะ"

“...วันๆ คิดได้แต่เรื่องพรรค์นี้เรอะ?” อเวเค่นขมวดคิ้วจนพันกันยุ่ง มัวแต่โมโหจนหน้ามืดลืมคิดไปว่าเจ้านรกมีรสนิยมชอบเล่นอะไรแผลงๆ มากกว่าที่มนุษย์ผู้ชายธรรมดาอย่างเขาจะคาดเดาได้ทัน

“ว่าไงล่ะ ยังอยากจะรู้เรื่องที่ชเนย์ร้องไห้เพราะข้าอยู่อีกมั้ย?”

น้ำเสียงทุ้มติดเจ้าเล่ห์เอ่ยแกมหยอก คาดคะเนจากอุปนิสัยแล้วมนุษย์ตรงหน้าไม่ใช่พวกที่จะยอมเสียเปรียบกับอะไรง่ายๆ แต่ถ้าลองจี้จุดถูกเผงก็พร้อมจะติดกับโดยดี

“...คุณนี่มันน่ารังเกียจซะไม่มี” นักฆ่าหนุ่มกล่าวอย่างไม่ปิดบัง “...อยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่อย่าให้ชเนย์รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

“ได้ ชเนย์จะไม่รู้เรื่องนี้ ข้าสัญญา” รอยยิ้มกว้างราวกับผู้กำชัยชนะปรากฏบนใบหน้าเบื้องสูง

“แล้วจะทำที่ไหนล่ะ...ตรงนี้เลยมั้ย?” คนถามจ้องเจ้านรกที่ปล่อยมือที่เชยคางตนออก

“ข้าไม่ขัดเรื่องสถานที่อยู่แล้ว” ถึงจะบอกว่าไม่เกี่ยงสถานที่แต่เจ้านรกก็แอบเหลือบตาไปมองไคม์ที่ยืนอยู่หลังประตูทางออกห้องบัลลังก์ก่อนจะถอนหายใจ "...ช่วยไม่ได้นะ"

มือใหญ่ทั้งสองแตะลงบนไหล่ของอเวเค่น ก่อนโลกทั้งใบรอบตัวจะหมุนวนอย่างรวดเร็วจนรับรู้ได้ว่าแรงโน้มถ่วงเปลี่ยนกะทันหัน ร่างเล็กกว่าลอยเคว้งอยู่เพียงเสี้ยววินาทีแล้วทั้งร่างก็จมลงไปกับเตียงนุ่มอย่างน่าอัศจรรย์

"ที่นี่มัน...? "

อเวเค่นรีบสำรวจรอบตัว ห้องกว้างที่ไม่เคยเห็นและของตกแต่งหรูหราผิดกับลักษณะตัวปราสาทที่เคยเห็นมาทั้งหมด เดาได้ในทันทีว่าคงจะเป็นห้องของเจ้านรกแน่นอน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะคร่อมทับตัวเขาไว้ บดบังแสงน้อยนิดที่ลอดผ่านหมู่ม่านบางระโยงระยางหลายชั้นรอบเตียง

"อยากจะบอกว่ายินดีต้อนรับอยู่หรอกนะ..." จบประโยคแต่เพียงเท่านั้นก่อนสูทเนื้อดีกับเสื้อเชิ้ตจะโดนฉีกขาดวิ่นง่ายดาย คนข้างบนจูบลงซอกคออีกฝ่าย ทิ้งร่องรอยแดงจากการกัดและจูบดูดเม้มไว้ทั่วทุกที่ที่ริมฝีปากลากผ่าน

“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยไม่ได้เรอะ ติดสัตว์หรึอไงกัน!” อเวเค่นตะโกนเสียงลั่นแถมด่าซะเสียหาย แต่ดูท่าแค่นั้นจะไม่สะเทือนผู้ที่กำลังสำรวจร่างกายตนอย่างจาบจ้วงล่วงเกิน เขาคิดผิดรึเปล่าที่ยอมตกลงเป็นเบี้ยล่างของปิศาจตรงหน้า...

“ปากดีจริงนะ” เจ้านรกยิ้มเหยียดก่อนจะบังคับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาและจูบลงไปยังริมฝีปากที่ชอบพูดจาแดกดัน ลิ้นร้อนสำรวจไปทั่วโพรงปากอุ่นที่ไม่ยอมตอบสนองแถมยังเอาแต่หลบหนีขัดขืนจนต้องจับใบหน้าให้อยู่นิ่งๆ

“อื้ออ!” เสียงประท้วงดังในลำคอ มือที่ว่างออกแรงทุบร่างใหญ่ที่คร่อมตนเพราะหายใจไม่ออก แต่ลิ้นที่ชำนาญเรื่องอย่างว่ากลับยิ่งสอดลิ้นลึกเข้ามาอย่างละลาบละล้วง อเวเค่นรังเกียจเสียจนอยากจะกัดลิ้นนี่ให้ขาดสักที แต่อีกฝ่ายรู้ทันจึงถอนริมฝีปากออกก่อนที่จะโดนเล่นงาน

อเวเค่นหอบหายใจหนัก เนื่องจากรสจูบร้อนแรงอย่างตะกละตะกลามเมื่อครู่ ทำเอาเขาตามความเอาแต่ใจของอีกคนไม่ทัน ทว่ายังไม่ทันได้หยุดพัก ร่างเล็กกว่าก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อความเจ็บจากช่วงอกแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู

"เจ็บ! " อเวเค่นนิ่งลงทันตาเพราะเจ้านรกฝังเขี้ยวลงเหนือยอดอกขวาไปเพียงเล็กน้อย เลือดอุ่นซึมไหลลงมาเข้าปากผ่านเรียวลิ้นที่ตวัดกระตุ้นหยอกเย้าคนปากดีจนเริ่มหลุดร้องครางออกมาเป็นระยะ

"อย่าทำอะไรโง่ๆ อย่างพยายามกลั้นเสียงร้องเลยน่า..." มือหนาทั้งสองถอดเกราะแขนออกแล้วบุกตรงไปหาส่วนกลางใต้กางเกงอย่างว่องไว "มันเร้าอารมณ์ขนาดไหนเจ้าคงนึกไม่ออกหรอก"

“ใครมันจะไปมีอารมณ์ร่วมกับคนวิปริตอย่างคุณกันล่ะ!” ยกขาตั้งใจจะถีบแต่ก็ได้แค่นั้น มือแกร่งคว้าจับเอาข้อเท้าคนดิ้นรนขัดขืนไว้อยู่หมัด และกระชากเอากางเกงปราการสุดท้ายนั้นออก อเวเค่นจึงเหลือเพียงแค่ร่างกายเปลือยเปล่าที่มีแต่ร่องรอยแผลเป็น

“มีอารมณ์หรือไม่เดี๋ยวข้าจะสอนให้เจ้ารู้เอง” ร่างสูงใหญ่สอดตัวเองเข้ามาอยู่ตรงกลางหว่างขาคนโคนคร่อมไม่ให้หุบขาหนีหรือเตะถีบตนได้ “ดิ้นมากๆ ระวังจะเจ็บนะ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะชอบแบบนี้ซะเอง”

“โรคจิต!” อเวเค่นด่าใส่หน้าซ้ำไปอีกที เจ้านรกจึงหยิบเนคไทของอีกฝ่ายมารัดข้อมือทั้งสองข้างของร่างเล็กกว่าตรึงไว้กับหัวเตียง

“เอาแรงด่าไปร้องครางให้ข้าฟังจะดีกว่าน่า” ใบหน้าคมยิ้มกว้างเพราะสนุกกับการกลั่นแกล้งก่อนจะจับขาทั้งสองแยกออกกว้าง และจ่อเอาความเป็นชายของตนใส่เข้าไปในช่องทางเล็กที่อยู่ตรงหน้า

“โอ๊ย! อ๊ะ! อ๊า!!” ส่วนร้อนแข็งขืนดันตัวสอดแทรกเข้ามาโดยที่ไม่มีการเตรียมพร้อม ยามที่ได้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของเจ้าคนอวดดีร้องเสียงระงมใต้ร่างยิ่งสร้างความหฤหรรษ์ให้เจ้านรกเป็นเท่าทวีคูณ ช่องทางบีบรัดมีเลือดซึมเพราะฉีกขาด แต่กระนั้นร่างสูงใหญ่ก็หาได้สนใจ กลับยิ่งกดแก่นกายใหญ่เข้าไปลึกขึ้นและขยับสะโพกกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกแรงราวกับจะบดขยี้ให้แหลกคามือ

"อ่ะ! ..อ๊าา! ....อื้อออ" อเวเค่นหลุดระบายเสียงร้องอย่างอัดอั้น เกลียดตัวเองที่เริ่มจะมีอารมณ์ร่วมกับการกระทำไร้ปรานีนี้เหลือคณา พอจะเอ่ยอะไรไปก็มีแต่เสียงร้องออกมาเสียทุกครั้ง

"ก็ให้ความร่วมมือดีไม่ใช่เหรอ" เจ้านรกจับเอาแก่นกลางของอีกคนที่เริ่มขยายตัวเต็มที่แล้วรูดขึ้นลงตามจังหวะการสอดใส่ ทำให้คนที่นอนรองรับตนรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม

"หุบ...ปาก! " เกลียดที่รับรู้ว่าตนรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เสียงน่าอายจากการกระแทกกระทั้นรุนแรงกลับเป็นการตอบรับที่ซื่อตรงจากร่างกายเขา

"ข้าอุตส่าห์พูดเป็นเพื่อนกลัวเจ้าจะเหงาเพราะต้องร้องอยู่คนเดียวซะอีก แต่ตามใจนะ" ร่างสูงใหญ่คว้าเอวอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นให้อยู่ในระดับที่ตนสามารถสอดแทรกได้สะดวกกว่าเดิม ก่อนกระแทกเข้าไปจี้จุดกระสันด้านหลังที่อุตส่าห์ทำเป็นไม่รู้มาเสียตั้งนาน

“อ๊าา!!” หลุดเสียงร้องนับครั้งไม่ถ้วนจนอยากกัดลิ้นให้น้ำเสียงสุขสมน่ารังเกียจของตัวเองหายไป ดวงตาสีทองแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนหลบภาพการกระทำที่คนเบื้องบนเสพสมกับร่างกายของเขา ร่างกายสมส่วนตัวตอบรับไปตามแรงกระแทกเช่นเดียวกับที่นอนหนานุ่มที่สะเทือนจนขาเตียงครูดไปกับพื้นเย็นเยียบ

“เลิกขัดขืนแล้วเหรอ?” มือแกร่งจับขาข้างหนึ่งของคนข้างล่างขึ้นมาพาดไหล่กว้างก่อนโน้มตัวลงมาหา ฟันคมฝากรอยเขี้ยวตีตราที่เนินไหล่อีกคน

“...ดิ้นรนไปก็เจ็บตัวเปล่า รีบๆ ทำให้มันจบๆ ไปสักที” น้ำเสียงหอบปนสั่นเอ่ย แต่แววตาฉายชัดว่าแค้นเคืองคนด้านบนจนอยากจะบีบคอเสียให้ตายคามือ ถึงแม้คนคุมเกมจะเสียดายที่อีกฝ่ายยอมจำนนเร็วไปหน่อยเพราะอยากสั่งสอนคนดื้อแพ่งมากกว่านี้ แต่เมื่อโอนอ่อนผ่อนตามการร่วมรักแกมบังคับนี้ก็ง่ายกว่าครั้งแรก ร่างสูงใหญ่กระแทกแก่นกายเข้าไปโดนจุดเสียวซ่านของร่างเล็กกว่าซ้ำๆ

“ฮ้า! อึ้ก...อ่ะ!” อเวเค่นหลับตาหนีภาพความทรมานที่แสนวาบหวาม ช่องทางตอดรัดที่หล่อลื่นด้วยเลือดของตนค่อยๆ ปรับตัวต้อนรับผู้บุกรุกเข้ามาผิดกับคราแรก แก่นกายของร่างเล็กกว่ากระตุกปลดปล่อยเอาน้ำรักสีขุ่นออกมาโดยที่อีกคนยังกระแทกเข้ามาไม่หยุด

“เสร็จเร็วจริงนะ” เจ้านรกกล่าวก่อนจิกทึ้งเอาเส้นผมสีแดงให้เงยหน้าขึ้นและซอยสะโพกเข้ากระแทกถี่ๆ เสียงครางกระเส่าร้องลั่นห้องปนขอร้องให้อีกฝ่ายกระทำช้าลงหน่อย

"เจ้าน่าจะได้เห็นตัวเองตอนนี้นะ" เจ้านรกบีบคางอีกคนให้หันมาเผชิญหน้าและจ้องลงไปมองความโกรธที่กำลังถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอันน่าละอาย

"ไม่....อ่ะ! ... ไม่อยากเห็น" ถึงตัวจะจำยอมแต่ความปากดียังไม่หายไปไหน ดวงตาสีทองหลับตาลงไม่อยากเห็นใบหน้าที่ยิ้มกริ่มด้วยความพึงใจของอีกฝ่าย ทว่าเมื่อปิดตาหลับกลับมีภาพของตัวเขาเองที่อยู่ในสภาพเฉกเช่นที่กำลังดำเนินอยู่ฉายในความมืด ร่างเล็กกว่าตกใจจนลืมตากลับขึ้นมาและตวัดจ้องคนข้างบนอย่างเอาเรื่อง

"ถ้าหนีหน้าข้าก็เตรียมเห็นตัวเองโดนย่ำยีได้เลย" ดวงตาสีอ่อนมีแสงเรืองจางๆ น่าประหลาดซึ่งน่าจะเป็นต้นเหตุของภาพเมื่อครู่

"แก...อ่ะ! อ๊าา!! " แรงกระแทกที่โถมเข้ามาเร่งเร้าจุดกระสันเดิมย้ำๆ ทำให้ความเป็นชายของอเวเค่นที่ปลดปล่อยความใคร่ใดๆ ไปแล้วกลับเริ่มตื่นตัวอีกครา เสียงครางที่เก็บกักไม่ได้เริ่มเจือด้วยความหวานซ่านอย่างสิโรราบขึ้นทุกขณะ

"เด็กดี" ไม่รู้ที่พูดมานี่ชมหรือเยาะเย้ยเขาอยู่ ร่างสูงใหญ่ตวัดวาดนิ้วเรียกบางอย่างเข้ามาร่วมวงด้วย เงาสีดำจากมุมอับสายตาแหวกว่ายผ่านอากาศเข้ายึดตรึงส่วนต่างๆ ของอเวเค่นไว้แล้วยกร่างสั่นระริกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งคร่อมเจ้าของห้องไว้

"...บอกไว้ก่อน ผมไม่ทำให้คุณหรอกนะ" อเวเค่นจ้องเขม็งคล้ายจะบอกว่าพูดจริง

"ข้ารู้ ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้าทำนี่" มือหนากดเอวอีกคนลงมาจนส่วนกลางระอุของตนจมหายเข้าไปด้านในร่างคนข้างบนจนมิดด้าม

“อึ่ก...อ่ะ!” แม้ช่องทางจะรับแก่นกายเข้ามาแต่อเวเค่นไม่ยอมขยับช่วงล่างปรนเปรอร่างแกร่งที่นอนมองดูปฏิกิริยาคนที่นั่งคร่อมตนอยู่

“ถ้าเจ้าทำข้าเสร็จล่ะก็จะหยุดให้ก็ได้” เจ้านรกนอนเอามือข้างหนึ่งหนุนท้ายทอยตัวเอง และส่งรอยยิ้มยั่วกวนประสาทพร้อมกล่าวข้อเสนอที่จะยุติเรื่องบนเตียงหากอีกฝ่ายทำให้เขาถึงฝั่งได้

“หึ! โกหกล่ะสิท่า” นักฆ่าหนุ่มแม้จะติดอยู่ในห้วงอารมณ์ตัณหาแต่ก็ไม่ได้เสียสติขนาดจะยอมตกหลุมพรางเชื่อคำพูดของปิศาจตรงหน้าง่ายๆ

“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่หยี่หระและเริ่มเป็นฝ่ายขยับขึ้นลงช้าๆ กระตุ้นให้ช่องทางด้านหลังของร่างเล็กกว่าตอบสนองกับแก่นกายร้อนใหญ่ของตน

“อา...ฮึ่ก...อื้อ!” น้ำเสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่เม้มแน่น ดวงตาสีทองข่มกลั้นทิฐิของตนไว้แล้วเริ่มขยับสะโพกสอดประสานเอ็นอุ่นร้อนเข้าจังหวะที่คนเบื้องล่างกระแทกสวนขึ้นมา “อ่ะ! ...อ้า!”

ดวงตาสีอ่อนวาววับในความมืดมองภาพคนข้างบนปรนเปรอให้แก่เขาอย่างเพลิดเพลิน มือข้างที่ไม่ได้ใช้หนุนศีรษะสะกิดปลายด้านบนความเป็นชายของร่างเล็กกว่าตนที่มีน้ำสีขุ่นปริ่มอยู่บนยอดหยอกล้อราวของเล่น เงาสีดำเริ่มเลื้อยระเรื่อยไปทั่วตัวตามหาจุดอ่อนไหวที่ไวต่อสัมผัสอื่นๆ ทำให้ความอดทนต่อการยับยั้งชั่งใจเริ่มหมดลงเรื่อยๆ

"อ๊าา...อ่ะ ..อ้า! " ถึงจะปากดีไม่ยอมให้ความร่วมมือยังไงแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มขยับกระแทกลงไปหาความเป็นชายของคนข้างล่างอย่างช่วยไม่ได้

"อึดอัดน่าดูสินะนั่น" เสียงหัวเราะรื่นผสมเสียงสูดลมหายใจอย่างสุขสม พลางมองดูแก่นกายอีกฝ่ายที่อัดแน่นด้วยความต้องการ "ช่วยมันสักหน่อยมั้ย? "

จบประโยค เงาสีดำได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งก่อนบีบอัดตัวเองจนแทบจะมีตัวตนขึ้นมาจับต้องได้จริง ก่อนจะตรงเข้าหาส่วนปลายของความใคร่ที่ตื่นตัวและไชไต่เข้าไปภายในของร่างด้านบน

"อ๊าา!! อึก! ทะ...ทำ...บ้าอะไร!? อ๊ะ! เจ็บ!! " อเวเค่นตัวสั่นเกร็งเพราะสิ่งแปลกปลอมที่กระเสือกกระสนยัดลงไปในส่วนที่ไม่น่าจะมีใครคิดจะลอง แต่ความเจ็บระคนอึดอัดคราแรกก็ถูกแทนที่ด้วยความเสียวกระสันเมื่อเงาดำนั้นไชลงไปจนถึงจุดกระตุ้นตรงๆ ที่ปกติก็โดนกระแทกใส่จนครางลั่นอยู่แล้ว

“ปากแข็งจังนะ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นของเจ้ากำลังตอดรัดข้าเสียแน่นขนาดนี้แท้ๆ” เสียงหัวเราะพึงพอใจที่ร่างเล็กกว่าแสนอวดดีคนนั้นกลับสร้างความบันเทิงให้ตนได้เสียวซ่านดียิ่งกว่าที่คิด

“มะ ไม่! อ๊า! เอามันออกไป!” เสียงร้องประท้วงลั่นก่อนจะปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นออกมาอีกครั้งจนเปรอะเปื้อนทั้งร่างกายตัวเองและบางส่วนที่กระเด็นไปอยู่บนตัวคนข้างล่าง

“เจ้าเสร็จครั้งที่สองแล้วนะ” เจ้านรกยิ้มมองร่างกายสั่นระริกที่เพิ่งถูกทำให้เสร็จต่อเนื่อง “หรือว่าจริงๆ แล้วเจ้าอยากอยู่กับข้านานๆ กันล่ะ หืม?”

“แฮ่ก...อึ่ก!” อเวเค่นที่หอบหายใจแรงส่งสายตาชิงชังมาให้เจ้าของดวงตาสีอ่อน “ผม...เกลียดคุณ!”

เงาสีดำดึงตัวเองออกมาจากช่องเล็กของแก่นกลางพร้อมๆ กับน้ำรักที่ยังคั่งค้างบางส่วนที่พรั่งพรูจนหมดทุกหยด อเวเค่นแขนขาอ่อนแรงทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงแต่ติดที่เงาสีดำที่รั้งเขาไว้ยังคงตรึงให้นั่งอยู่ท่าเดิม

ทำไม...ไอ้คุณเจ้านรกถึงไม่ยอมเสร็จสักทีทั้งที่ครั้งก่อนยังไม่ได้เสร็จยากเย็นขนาดนี้

"เหนื่อยแล้วเหรอ ไม่เอาน่า ถ้าสลบไปก่อนหลังจากนี้จะฟังที่ข้าเล่าได้ไงล่ะ" ร่างสูงใหญ่ยันตัวขึ้นมามอบจูบดูดดื่มจนแทบจะกลืนกินเขาไปทุกลมหายใจ เรี่ยวแรงที่อเวเค่นจะต่อต้านเจ้านรกก็แทบไม่มีเหลือ ทำได้แค่ตามน้ำอีกคนไป แต่ร่างกายที่ควรจะล้าจากการร่วมรักเกินขอบเขตของคำว่าปกติชนกลับตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ไฟราคะในอกที่กำลังจะมอดเพราะการปลดเปลื้องทั้งสองครั้งกลับโหมกระพือ ประสาทสัมผัสตื่นตัวและดูท่าทางกำลังเรียกร้องหาสิ่งแปลกปลอมที่ยังทิ้งค้างไว้ที่ด้านหลังตน

"อ...อะไรอีก? " อเวเค่นยื้อตัวเองออกจากจูบร้อนแรงแล้วเค้นถามอีกฝ่ายทางสายตา

"ก็แค่เวทมนตร์สนุกๆ เหมือนที่ชเนย์เคยโดนมาก่อนนั่นแหละ" เจ้านรกไล่เหล่าเงาสีดำรอบๆ ให้สลายหายไปกับอากาศแล้วกดร่างของนักฆ่าหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยแผลและรอยประทับลงกับเตียงอีกครั้ง "แต่สำหรับเจ้า...ข้าเพิ่มความเข้มข้นให้เป็นพิเศษเลยล่ะ"



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
ร่างกายสั่นเทิ้มและร้อนราวกับจะละลายจนต้องหอบหายใจระบายความร้อนและความรู้สึกวาบหวามในตัวออก ส่วนกลางแข็งขืนมีหยดน้ำใสเอ่อล้นแทบจะตลอดเวลา

"ชเนย์? ...แกทำอะไรกับเค้า? " แทนที่จะห่วงตัวเองกลับมีความกังวลถึงบุคคลที่สามท่วมท้น

"ไม่ต้องห่วงน่า เค้าไม่ใช่เด็กดื้อแบบเจ้าหรอก" ร่างสูงใหญ่กดแก่นกายที่ยังไม่ได้ถอนออกกระแทกเข้าไปแรงๆ ทีหนึ่งให้ร่างเล็กกว่าสะดุ้งจนร้องเสียงหลง “เลิกพูดถึงคนอื่นแล้วมาสนุกกันต่อเถอะ”

“อึ่ก...พูดจาเอาแต่ได้” อเวเค่นพยายามข่มน้ำเสียงแหบพร่าของตน แต่ทั้งลมหายใจและร่างกายกลับเร่าร้อนผิดปกติ รู้สึกเหมือนกับตัวเองโดนบังคับกินยาปลุกเซ็กส์เข้าไปจนร่างกายกลับมาเต็มไปด้วยความกระหายอยากอีกครั้ง

“ทรมานรึ?” เจ้านรกโน้มใบหน้ากระซิบเสียงต่ำข้างหูอีกคนพลางขบกัดใบหูแดงก่ำนั้นจนร่างเล็กกว่าสั่นสะท้านร้องเสียงครางหวาน “ต้องการให้ข้าช่วยมั้ย?”

“ไม่...ชเนย์” สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางไปกับแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง น้ำเสียงแหบอ่อนเอ่ยปฏิเสธและเรียกชื่อคนที่ตนคะนึงหาทั้งๆ ที่ยังเสพสมอยู่ใต้ร่างอีกคน

“เรียกหาคนอื่นทั้งที่ยังอยู่กับข้าเนี่ยนะ ช่างกล้าเสียจริง” มือใหญ่คว้าจับเอวและพลิกดันหลังให้ใบหน้าของคนใต้ร่างแนบไปกับเตียง ก่อนจะกระแทกเข้ามาในทีเดียวจนสุดเป็นการลงโทษ และจับแขนทั้งสองข้างดันตัวให้ขึ้นมา สะโพกกระแทกสวนดังจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันอย่างน่าอาย ภายในช่องทางตอดรัดร้อนแรงเสียจนใบหน้าของผู้กระทำเองก็เริ่มรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมานิดๆ

“อ๊าา! อ๊ะ!!” อเวเค่นร้องลั่นจนเสียงดังก้องไปทั้งห้องนอนกว้าง ร่างกายขยับไปตามสัญญาณดิบที่ถูกหยิบยื่นโดยคนข้างหลังที่กระแทกส่วนร้อนแข็งขืนเข้ามาโดนจุดกระสันของตนอย่างไร้ความปรานี

“ขอร้องสิ อ้อนวอนข้าสิ”

“มะ...ไม่เอา หยุดนะ! อ๊ะ! ..ฮะ!!” เสียงร้องให้หยุดเอ่ยประท้วงอย่างไร้ความหมาย ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงครางระบายความร้อนรุ่มนี้ออกไป หยดน้ำสีใสเลอะที่นอนเบื้องล่างทุกครั้งที่ถูกกระแทกเข้ามาโดยไม่ให้หยุดพัก

“ดื้อด้านนักนะ แต่แบบนี้ข้าก็ไม่เกลียดนักหรอก” เสียงทุ้มที่เริ่มหอบนิดๆ เพราะอารมณ์เริ่มจุดติดขึ้นมา เจ้านรกถอดเสื้อคลุมแสนเกะกะของตนทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้วก้มลงกระหน่ำจูบลงไปบนแผ่นหลังที่ละลานตาไปด้วยรอยแผลเป็น ขบกัดทิ้งร่องรอยฟันคมไว้ทุกครั้งที่ถูกใจการตอบรับของคนข้างล่างเสียจนผิวสีระเรื่อเริ่มเต็มไปด้วยรอยเลือด

"อื้อ...อื้อ!! " อเวเค่นซุกหน้าลงกับเตียงสะกดกลั้นเสียงใดๆ ก็ตามที่จะหลุดลอดไปเอาใจผู้กระทำ ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้เจ้านรกขยับกระแทกรุนแรงกว่าเดิม แต่เสียงหอบพร่าแปลกๆ ของอีกฝ่ายที่เขาได้ยินเข้าคงเป็นเพราะคนข้างบนเองก็เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับการกระทำน่าอับอายนี้แล้วสินะ? ...ก็ดี จะได้จบๆ ไปเสีย

"โอ๊ะโอ๋ คิดอะไรตื้นๆ " เจ้านรกหยุดขยับช่วงล่างไปเสียดื้อๆ และชักเอาส่วนกลางของตนออกไปรวดเร็วจนร่างสั่นเทาถึงกับสะดุ้ง

"อ่ะ...หา?? " อเวเค่นรู้สึกคุ้นๆ เหมือนกับว่านิสัยชอบหยุดกิจกามกลางคันมันเหมือนใครบางคน ทว่าไม่ทันมีเวลาให้คิดต่อ เนคไทที่โดนลืมไปจนถึงเมื่อครู่ก็ถูกคลายออกและใช้มันพาดมัดปิดกั้นการมองเห็นของเขาไว้ ขณะที่กำลังโวยวายว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรกับตนอีกก็พบคำตอบที่ปรากฏ

ภายในความมืดนั้นคือภาพของตัวเขาที่นอนคว่ำอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่อย่างแน่นอน และเมื่ออเวเค่นถูกจับพลิกให้หันมานอนหงายเผชิญหน้าตรงๆ เขาจึงได้เห็นเรือนร่างทั้งเนื้อทั้งตัวที่ถูกลงรอยจูบไว้ทั่ว คราบอะไรต่อมิอะไรเปรอะเลอะเต็มช่วงล่างไปหมด ไอ้การที่ต้องมาเห็นภาพตัวเองในสภาพถูกกระทำแบบนี้มัน...

"เอ้า! ถ้าเจ้าลองอ้อนวอนดีๆ ล่ะก็ ข้าจะช่วยปลดปล่อยมันให้" มือสองข้างของอเวเค่นโดนตรึงไว้ด้วยมือใหญ่เพียงข้างเดียว ส่วนอีกมือของท่านเจ้านรกนั้นเลื่อนลงสะกิดหยอกล้อกับความเป็นชายของเขาจนสะดุ้งเกร็งเพราะความอัดอั้นที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย "หรือภาพตัวเจ้าตอนนี้มันเร้าอารมณ์ถูกใจรึเปล่า? "

“อึ่ก...ไม่มีทาง! เอามันออกไปนะ!” เสียงคัดค้านของร่างเล็กกว่าแผดใส่หน้าคนบังคับ ทั้งยังออกแรงดิ้นรนขัดขืนทั้งที่สภาพตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

“ได้ งั้นก็มองดูตัวเองโดนข้าย่ำยีเสียให้เต็มตาเจ้าก็แล้วกัน” มือที่สาละวนอยู่กับแก่นกายเล็กผละออกมาหันไปสะกิดหยอกล้อกับตุ่มไตบนแผ่นอก เสียงอื้ออึงในลำคอของอีกคนที่พยายามอดกลั้นไว้ยิ่งชวนให้น่ารังแก “บอกแล้วไงว่าอย่ากลั้นเสียง”

นิ้วมือที่สะกิดยอดอกเลื่อนขึ้นแหย่เข้าไปในโพรงปากอุ่น กวาดนิ้วไปหาลิ้นร้อนที่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย ร่างสูงใหญ่ยันตัวเองนั่งเอนไปกับหัวเตียง ก่อนจะดึงผมสีแดงแล้วกดหัวอเวเค่นให้เอาปากมาจ่ออยู่ที่แก่นกายใหญ่ของท่านเจ้านรกเอง

“เห็นภาพในหัวแล้วใช่มั้ย รู้สินะว่าต้องทำยังไง?” ดึงทึ้งเจ้าของผมยาวให้อ้าปากรับเอาท่อนเอ็นของตนเข้าไป “ไหน? ...ลองทำให้ข้าดูหน่อยสิว่าเจ้าจะทำได้ดีกว่าชเนย์รึเปล่า”

“อุ่ก! อื้อ!!” ริมฝีปากถูกบังคับให้อมส่วนหัว ปลายลิ้นรูดกับแก่นกายอย่างไร้ประสบการณ์ ดวงตาที่โดนปิดเห็นภาพตัวเองอยู่ในสภาพนี้แล้วแทบอยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไป

อเวเค่นอยากจะกัดส่วนแข็งขืนที่ใช้กระทำชำเราตนนี้ให้ขาดเสียสาแก่ใจ แต่เรี่ยวแรงที่จะทำอะไรแบบนั้นกลับโดนต่อต้านด้วยความกระสันจากแก่นกายของตนและตัณหาคับแน่นในช่องอกที่เรียกร้อง

"อือ...อืม" สติจะเรียกร้องความถูกต้องเริ่มดับดิ้น จนรู้ตัวอีกทีก็พยายามชโลมเลียไปทั่วแท่งเอ็นอุ่นๆ ภาพตัวเองที่ทำเช่นนั้นกำลังกระตุ้นความอยากที่ต้องการการปลดปล่อย เพื่อที่ว่าจะได้รีบปลดเปลื้องตัวเองให้พ้นความกระหายที่ท่วมท้นนี้เสียที แต่...ต้องมาปรนเปรออีกฝ่ายด้วยการดูหนังสดที่ตนเป็นคนเล่นมัน...ยิ่งคิดยิ่งอับอายจนหน้าร้อนผ่าวทั้งที่ปกติก็แดงระเรื่อจนร้อนอยู่แล้วแท้ๆ

"ดี...แบบนั้นแหละ" แม้คนปรนเปรอจะเก้กังและไร้ประสบการณ์การใช้ปากแก่เพศเดียวกันขนาดไหน แต่ความพลั้งเผลอเป็นระยะที่ใช้ปากได้ถูกจุดก็เร้าใจไปอีกแบบ "อยากจะรีบจบมันรึเปล่าล่ะ? "

คำถามชี้นำทำเอาสมองว่างเปล่าที่คิดอะไรแทบไม่ออกเผลอทิ้งความยับยั้งชั่งใจไปจนหมดเกลี้ยง อเวเค่นหยุดใช้ปากให้กับเจ้านรกแล้วคลานขึ้นมานั่งคร่อมส่วนกลางนั้นไว้เองแต่โดยดี"ผมจะ...เอาคืนคุณทีหลัง"

"อ่าฮะ ข้าจะรออย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ"

ร่างที่สั่นระริกด้วยแรงอารมณ์ที่ปริ่มล้นไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ภาพจากมุมมองของเจ้านรกทำให้แม้จะโดนปิดตา แต่เขาก็เห็นและรับรู้ได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ อเวเค่นค่อยๆ ปล่อยให้ความเป็นชายที่แข็งขืนและเปียกชุ่มด้วยน้ำลายของตนนั้นเข้ามาโดยจำยอม ร่างสูงใหญ่เผลอส่งเสียงต่ำในลำคอเพราะช่องทางคับแน่นที่เพิ่งพักได้ไม่นานนั้นตอดรัดรุนแรงอย่างกระหายอยากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

"แค่ครั้งนี้...เท่านั้นนะเว้ย! " อเวเค่นเค้นเสียงพูดเมื่อจัดแจงตัวเองได้เข้าที่และวางมือทั้งสองค้ำยันตัวไว้ที่หัวเตียงขนาบสองข้างศีรษะคนรอดู สะโพกขยับขึ้นและลงช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความอยากของตัวเองโดยไม่สนใจแล้วว่ามันจะหมายถึงตัวเขาที่ตกเป็นทาสอารมณ์ที่โดนยัดเยียดให้

"ทำตัวน่ารักแบบนี้แต่แรกก็จบแล้วแท้ๆ แต่ก็นั่นแหละ ข้าไม่รังเกียจหรอก" เจ้านรกดึงผ้าปิดตาของอีกฝ่ายออกรวมทั้งยางมัดผมที่หลุดลุ่ย และคว้าคออีกคนเข้ามาประทับจูบแลกลิ้นกันอย่างหิวกระหาย ดวงตาสีทองที่เคยโดนพันธนาการ บัดนี้เต็มไปด้วยแรงอารมณ์และความต้องการอย่างท่วมท้น ความร้อนจากร่างกายที่ถาโถมเข้าใส่กันจนเหงื่อไหลปะปนยากจะแยกว่าเป็นเหงื่อจากร่างกายของใคร ลมหายใจร้อนหอบถี่อย่างคนใกล้ถึงฝั่งฝัน ทว่าต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมเสร็จก่อนกัน

“อ่ะ อืม...” ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดสอดเข้าไปในโพรงปากที่แทบไร้ที่ว่าง ธารสีใสเชื่อมต่อยามละริมฝีปากออกจากกัน ช่วงล่างยังคงสอดประสานและเริ่มเข้าจังหวะจนร่างเล็กกว่าร้องครางไม่ได้ศัพท์ มือที่จับหัวเตียงเลื่อนมาโอบรัดท้ายทอยของร่างสูงใหญ่เป็นที่ยึดเหนี่ยว น้ำเสียงแหบพร่าดังกระเส่าอยู่ข้างใบหูยาวของเจ้านรก

“หืม? ว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ถนัด” เสียงทุ้มที่ครางครือในลำคอเอ่ยแกล้งทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคนที่กำลังตอดรัดแก่นกายใหญ่ของตนนี้กำลังร้องขอสิ่งใด

“บอกสิ่งที่เจ้าต้องการมาสิ” อเวเค่นหลับตาลงข้างบ่าแกร่งอย่างอดสู แต่ข้างในอกแทบจะระเบิดเพราะร่างกายมันร่ำร้องหาความสุขสมอย่างบ้าคลั่ง เสียงหอบครางหวานหูกระสันซ่านเอ่ยกระซิบคำขอร้องน่าอายข้างหูคนฟัง

“ผม...ไม่ไหวแล้ว ช่วย...ที” เล็บจิกลงข้างหลังท้ายทอยอย่างหาที่ระบาย “ท่านเจ้า...ได้โปรด

วงแขนกว้างโอบเอวอีกฝ่ายเข้าแนบชิดและทำหน้าที่เป็นคนกำหนดจังหวะเร่งเร้านี้ให้ร้อนแรงกว่าเดิม มืออีกข้างบีบนวดอยู่กับแก่นกลางของร่างเล็กกว่าที่พร้อมจะปะทุอารมณ์ทุกเมื่อ

"อื้อ... อ๊า! อ่ะ.." พอถูกกระตุ้นทั้งจากด้านหน้าและหลังอเวเค่นก็ละทิ้งสติทั้งหมด ร่างสั่นขยับช่วงบนให้เอนแอ่นตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เพื่อยินยอมให้เจ้านรกกระทำการใดๆ ตามใจกับตนได้ทั้งสิ้น

"เด็กดี งั้นก็เอารางวัลของเจ้าไป" เจ้านรกเลียริมฝีปากอย่างถูกอกถูกใจภาพตรงหน้า ความอดทนของเขาก็เดินทางมาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้วเช่นกัน มือข้างที่ชักรูดปรนเปรอกดเน้นย้ำกับส่วนหัวอันอ่อนไหวและถูไปมาอย่างแรง แต่เวลานี้มันกลับรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อจนร่างเล็กกว่าตนลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น

"อ๊าา!! ฮ้าาา!! " ร่างที่ทาบทับบนตัวเจ้านรกกระตุกเกร็งด้วยเพราะความเสียวซ่านที่แล่นวาบไปทั้งตัวก่อนราคะทั้งหมดจะถูกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เสียงร้องด้วยความรัญจวนครางลั่นอย่างไม่อาจควบคุม หรือไม่คิดจะควบคุมก็ว่าได้...

"อึก...อา! ..." ผู้ถูกตอดรัดส่วนรุกล้ำราวกับคลั่งไคล้อย่างไร้สติเผลอเปล่งเสียงครางกระเส่ากว่าครั้งไหนๆ ผ่านริมฝีปากที่เผยอยิ้มพึงพอใจและปลดปล่อยความอัดอั้นจำนวนมากของตนเข้าไปในตัวผู้รองรับเสียล้นทะลัก

ทั่วทั้งห้องมีแต่เสียงหอบหายใจ ร่างเล็กกว่าคลายวงแขนออกแล้วทิ้งตัวฟุบหน้าลงไปกับหมอนนุ่มใบโต ดวงตาสีอ่อนมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยแผลเป็นและร่องรอยตีตราที่ตนทำไว้

“เจ้าเองก็น่ารักดีเหมือนกันนี่” เอ่ยชมแกมหยอกก่อนจะโน้มใบหน้าลงมากัดที่หลังคอจนอเวเค่นสะดุ้งโหยงเพราะเจ็บจนนิ่วหน้า แต่ไม่มีแรงพอจะด่ากลับและหลับตาปรือปิดลง ก่อนที่เจ้านรกจะปล่อยให้ร่างที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงนอนพักเอาแรงไป







“รีบๆ เล่ามาได้แล้วโว้ย!” หลังจากได้สติกลับมา อเวเค่นก็ออกฤทธิ์เดชเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ยังนอนคว่ำอยู่บนที่นอนของท่านเจ้านรกเพราะปวดระบมไปทั้งตัว โดยเฉพาะด้านหลังที่โดนใส่ไม่ยั้งจนลุกขึ้นนั่งดีๆ ไม่ได้

“ใจร้อนจังนะ” เจ้านรกเอนตัวพิงหลังกับหัวเตียงโดยมีหมอนรองท้ายทอยเอาไว้ "แลกกับที่ข้าจะไม่บอกชเนย์เรื่องที่ทำเจ้าลุกไม่ขึ้นคืนนี้ เจ้าเองก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาด"

"เฮ้ย! อย่ามาเพิ่มข้อตกลงสิ! " อเวเค่นเงยหน้าพรวดพราดขึ้นมาจ้องเขม็ง แต่เพราะขยับเร็วไปหรือไรไม่ทราบ จู่ๆ ก็นิ่วหน้าเพราะปวดไปทั้งตัวแล้วฟุบลงไปอยู่ท่าเดิม... “บอกผมมาว่าคุณไปพูดอะไรกับเขา”

"...ข้าคงอยู่กับชเนย์ไม่ได้น่ะสิ" เจ้านรกยกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจอย่างสบายตัวจนน่าหมั่นไส้

"เรื่องนั้นรู้แล้วโว้ย" ร่างเล็กกว่าโวยใส่หมอนพลางควานมือหาผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ไม่ยอมให้โดนมองอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่ท่าทางแบบนี้ดูจะน่ารักในสายตาคนยิ้มระรื่นอยู่ข้างๆ

"เหรอ? งั้นชเนย์บอกเจ้ารึยังว่าข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่เกินการแข่งนี้? "

พูดถึงความตายของตัวเองด้วยท่าทีที่สบายเสียจนเหมือนเรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องล้อเล่นที่ดูไม่ขำสำหรับตำแหน่งผู้ปกครองนรกเท่าไหร่

“...คิดจะมาตายที่นี่อีกคนรึไง?” อเวเค่นค่อยๆ เงยหน้าจากหมอนขึ้นมามองด้วยสายตาที่มีทั้งความสงสัยระคนประหลาดใจ...ทำไมถึงเจอแต่พวกที่เอาชีวิตมาทิ้งเหมือนกันไปหมด เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด...

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าชเนย์ไม่ได้บอกอะไรเจ้าจริงๆ ด้วยสินะ” เจ้านรกมองตาคนที่แอบเหล่มองมาทางนี้

“ถ้าบอกก็คงไม่เสนอหน้ามาถามคุณจนผมต้องเสียตัวแบบนี้หรอก” พูดไปก็ยิ่งเข้าตัว นักฆ่าหนุ่มมุดคลุมโปงเข้าไปในผ้าห่ม จะว่าเป็นความผิดของพ่อครัวคนนั้นก็ไม่ได้เพราะเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง

“ฮะๆๆ ก็ว่างั้น แต่ถึงยังไงข้าก็ไม่ใช่ผู้เสียหายอยู่ดี” เจ้านรกหัวเราะชอบใจกับคำพูดของอเวเค่นจนเผลอเอามือตบคนข้างตัวเบาๆ แต่ทำเอาอีกฝ่ายร้องลั่นเพราะสะเทือนไปถึงด้านหลัง

“หนอย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ลุกได้เมื่อไหร่ล่ะก็เจอผมเอาคืนเป็นสิบเท่าแน่!”

โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มพร้อมยกนิ้วกลางใส่หน้าอย่างคาดโทษ แต่ใบหน้าคมเคลื่อนมาหาและคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์

“โฮ่ กล้าพูดแบบนี้ งั้นแสดงว่าเจ้าอยากจะโดนของข้าอีกสักสิบยกใช่มั้ย?” มือแกร่งวางคร่อมตัวคนนอนคลุมโปง เงาของคนที่อยู่ด้านบนทาบทับลงมาบนตัวร่างเล็กกว่าจนบังมิด

“...ขอโทษ ผมปากดีไปงั้นแหละ” น้ำเสียงอวดดีหงอลงก่อนมือจับกระชับผ้าห่มเป็นปราการป้องกันตัว

"แต่...ชเนย์ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ อ่อนไหวซะจริง..." พอย้ายตัวเองกลับไปนั่งลงที่เดิมได้ก็เริ่มคิดอย่างจริงจังว่าไม่น่าไปบอกเลยจริงๆ "รู้งี้เงียบไว้ซะก็ดี"

"เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ" อเวเค่นพูดทั้งที่ยังมุดตัวหลบภัยอยู่ในผ้าห่มหนา

"แต่มีเจ้าอยู่ด้วยทั้งคนแล้ว เดี๋ยวก็คงทำใจได้เองแหละน่า" เจ้านรกเริ่มผลักไสภาระให้คนข้างๆ ถึงไม่อยากจะฝากฝังเท่าไหร่แต่มันช่วยไม่ได้ในเมื่อคนที่อยู่และรับรู้อะไรๆ ทั้งหมดดันเป็นนักฆ่าปากดีที่นอนหมดสภาพอยู่ตรงนี้

"...เค้าเลือกคุณ" อเวเค่นพยายามลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก แม้จะเจ็บจนแทบขยับไม่ได้แต่ก็ต้องการที่จะนั่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ให้ได้

"ถึงจะรู้เรื่องแบบนั้น แต่เค้าก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างๆ คุณอยู่ดี..."

เจ้านรกมองตอบดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนหลบตาไปทางอื่นอย่างสำรวมผิดปกติ"งั้นเหรอ.."

“เพราะงั้นถึงจะไม่ค่อยอยากพูดนัก แต่ผมมีเรื่องที่ต้องขอร้องคุณ” อเวเค่นหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เกรงว่าคำขอของเจ้าข้าคงทำให้ไม่ได้” เจ้านรกเอ่ยดักทางนักฆ่าหนุ่มอย่างรู้ทันความคิด

“ผมไม่ได้จะขอให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อชเนย์สักหน่อย เข้าใจหรอกว่าอยู่มานานก็คงอยากตายเต็มที” น้ำเสียงเอ่ยประชดและรู้ทันอีกคน

ร่างสูงใหญ่หันหน้ากลับมาหาอย่างรู้สึกสงสัย แอบแปลกใจเล็กๆ ที่ตนคาดเดาใจของนักฆ่าคนนี้ผิดไปจากที่คิด

“ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้...งั้นเจ้าจะขอร้องอะไร?” เจ้านรกมุ่นคิ้วถามอย่างใครรู้

“ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งก่อน...ปิศาจอย่างคุณเนี่ยถึงจะตายไปแล้วแต่สามารถเกิดใหม่อีกครั้งได้รึเปล่า?”

“เกิดใหม่?” เจ้านรกชันเข่าเอามือเกยคางหันหน้ามามองนักฆ่าด้วยแววตาจริงจัง "หมายถึงกลับชาติมาเกิดใหม่งั้นรึ? ขอโทษทีนะ เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน"

เจ้าของเสียงทุ้มทำหน้าครุ่นคิด เรื่องของการเกิดนี่แทบไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย เพราะเขามีหน้าที่แค่ลากคอวิญญาณคนตายลงมาตัดสินโทษในนรกเท่านั้น

“หรือต่อให้เกิดใหม่ได้จริง แต่ยังไงก็ไม่มีความทรงจำก่อนหน้านั้นเหลืออยู่หรอก เกิดใหม่ก็เท่ากับเป็นคนใหม่ ไม่มีทางจะเป็นคนเดิมได้”

“...เหรอ...” อเวเค่นก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง เขากำลังลังเลว่าจะพูดคำขอร้องนี้ออกไปดีไหม

"จะขอร้องเรื่องอะไรล่ะ อยากให้ข้ากลับมาหาชเนย์งั้นเรอะ? "

“ก็...ถ้าทำได้ล่ะก็นะ” ถ้อยคำจากนักฆ่าเอ่ยต่อหน้าเจ้านรก

“ทำไมถึงต้องขออะไรยุ่งยากแบบนี้ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร?” ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงเข้มกดดันคนพูด

อเวเค่นไม่หลบสายตาแถมยังจ้องตอบ“ก็...ได้เห็นรอยยิ้มของชเนย์กลับมาไงล่ะ”

ดวงตาสีอ่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าต้องการแค่นั้นเองหรือ สิ่งที่มนุษย์ตรงหน้าเขาปรารถนาเหตุใดจึงได้เล็กน้อยถึงเพียงนี้?

“ถึงผมจะสัญญากับชเนย์ว่าจะพยายามมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้จริงๆ” อเวเค่นเอนหลังพิงหมอนนุ่มและพูดสิ่งที่ตนคิดออกมา “...คุณเป็นคนที่ชเนย์อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วอีกอย่าง...ถ้าเป็นปิศาจอย่างคุณยังไงก็ยังมีโอกาสรอดมากกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างผมล่ะนะ”

ข้อมูลของผู้แข่งฝั่งเซฟิลและผู้แข่งคนอื่นๆ ในปราสาทเท่าที่เขาไปรวบรวมมาได้นั้น แต่ละคนล้วนแต่ระดับสูงและเหนือมนุษย์กันเกินไปกว่าครึ่ง นักฆ่าธรรมดาอย่างเขาที่หลุดมาอยู่ในเกมการแข่งอันตรายนี้แทบไม่มีโอกาสรอดเลยก็ว่าได้

“เจ้านี่นะ...” เสียงถอนหายใจยาวดังอย่างหนักใจ “ช่างเป็นคำขอร้องที่ยุ่งยากซะจริง”

“ผมก็พูดไปงั้นแหละ...ถือซะว่าผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

นักฆ่าหนุ่มกล่าวแล้วพยายามเอามือควานหากางเกงที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างเตียงมาสวม ทันทีที่เนื้อผ้าสัมผัสโดนช่องทางด้านหลังที่โดนเจ้านรกกระทำเสียยับเยิน อเวเค่นนิ่วหน้าจนน้ำตาแทบร่วงแต่ก็ต้องข่มกลั้นความเจ็บเอาไว้แล้วค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นออกจากเตียง

“...คุณนี่มันป่าเถื่อนจริงๆ” มือหยิบเอาเสื้อเชิ้ตและสูทที่ขาดเป็นชิ้นๆ ก่อนสายตาจะหันไปมองเอาเรื่องตัวการที่ทำเสื้อผ้าราคาแพงของเขามีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว เจ้านรกใช้มือวาดไปมาในอากาศ เพียงไม่นานเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นไปก็กลับมามีสภาพดังเดิม ใบหน้าคมยักคิ้วและส่งยิ้มกวนให้คล้ายจะบอกว่าของแค่นี้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย

“ไม่ขอบคุณหรอกนะ ไม่ได้ขอให้ซ่อม”

“อ้อเหรอ...งั้นข้าคงไม่ต้องใช้เวทรักษาให้สินะ ก็เจ้าไม่ได้ขอนี่”

ชิบหาย...นักฆ่าอวดดีสวมเสื้อแล้วจัดแจงสภาพตัวเองให้เข้าที่ เว้นเสียแต่ยังยืนได้ไม่ตรงนักเพราะยังระบมช่วงล่างอยู่ และหันหน้ามาทำตาเขียวใส่ร่างสูงใหญ่ที่แอบขำอยู่บนที่นอน

“เหอะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ” ส่งเสียงขู่เป็นการประกาศล่วงหน้าว่าจะมาเอาคืน สองขาเดินออกจากประตูบานใหญ่ก่อนจะกระแทกปิดมันอย่างแรง ดวงตาสีทองมองตรงและเดินไปยังห้องอาบน้ำเพื่อจะรีบไปล้างเอาคราบอะไรต่อมิอะไรออก แต่แม้ใจจะอยากไปถึงให้เร็วแค่ไหนก็ทำได้แค่เดินช้าๆ ไม่ให้ช่วงล่างของตนเสียดสีกับเนื้อผ้า

...กลับไปขอร้องให้ช่วยรักษาทันมั้ย...

แต่เจ้าตัวนั้นทิฐิสูงเกินกว่าจะหน้าด้านกลับไปขอร้องคนที่ตนเพิ่งบ่นไป พอมาถึงห้องอาบน้ำอุ่นก็ปลดเสื้อผ้าออกอีกครั้งและรีบล้างตัวทำความสะอาดเอาส่วนที่คั่งค้างอยู่ภายในช่องทางคับแคบออก จนแน่ใจว่ากวาดออกหมดแล้วจึงลงไปแช่น้ำอุ่น

นักฆ่าหนุ่มมองรอยกัดตามตัวเท่าที่สายตาจะสำรวจเห็นแล้วสบถกับตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนมีอะไรกับเจ้านรกตัวเขาจะรู้สึกดีขนาดไหน แต่พอตั้งสติได้อเวเค่นกลับรู้สึกสมเพชเวทนาตัวเอง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยลงทุนทำอะไรที่เปลืองเนื้อเปลืองตัวขนาดนี้ แถมยังขาดทุนยับเยินอีกต่างหาก

“ทำอะไรสิ้นคิดไม่สมเป็นแกเลยเคน...” บ่นกับตัวเองและเงยหน้าขึ้นมองเพดานกว้าง น้ำตาของคนที่ไม่คิดจะแสดงความอ่อนแอของตัวเองให้ใครเห็นเอ่อขึ้นบดบังภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าจนพร่ามัว

เขาเกลียดตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆ ที่ตลอดมาก็อยู่ตัวคนเดียวมาได้ตั้งนาน แต่เวลานี้กลับรักและผูกพันกับคนๆ หนึ่งทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานมากเสียจนต้องมานั่งร้องไห้เสียใจกับความผิดหวัง คนที่เป็นเหมือนอาจารย์ที่สอนวิธีการลอบฆ่าให้กับอเวเค่นเคยเอาพูดไว้ว่าสิ่งที่นักฆ่าควรฆ่าเป็นอันดับแรกคือความรู้สึกของตัวเอง เพราะถ้าหากเกิดอารมณ์หวั่นไหวก็จะสูญเสียความเฉียบขาดและการตัดสินใจอันเยือกเย็นไป การปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล ปลายทางของนักฆ่าคนนั้นก็คือความตาย

ตอนนี้เขารู้ซึ้งจากมันเป็นอย่างดีเลยเชียวล่ะ...





ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
Glass #15

ระหว่างที่นักฆ่าหนุ่มกำลังจมอยู่กับความรู้สึกของตนเองที่ห้องอาบน้ำเงียบสงัด เจ้านรกที่ควรจะอยู่ที่ห้องของตัวเองกลับมาปรากฏกายภายในห้องพักของชเนย์ที่กำลังหลับสนิท

มือหนาไร้เกราะใดๆ ปกป้องเช่นเดียวกับร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนกวาดผ่านไปในอากาศอย่างช้าๆ ผงสีทองระยับคล้ายเม็ดทรายจำนวนหนึ่งปกคลุมลงกับตัวของชเนย์ที่ทำท่าเหมือนจะรับรู้การมาเยือนยามวิกาล

"เจ้าร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอ..." หลังจากทรายทั้งหมดร่วงหายไป ร่างบนที่นอนก็หลับสนิทดังเดิม ร่างสูงใหญ่นั่งลงข้างตัวผู้เป็นเจ้าของห้อง มือหนึ่งลูบไปบนแก้มเลอะรอยน้ำตาที่เหมือนจะเพิ่งหยุดไปไม่นาน ไหนจะรอยเปียกปอนเป็นจุดๆ บนหมอนนุ่มที่ช่วยให้รู้ว่าอีกคนเพิ่งจะหลับไปเท่านั้น

เจ้านรกอุ้มร่างอ่อนแรงขึ้นมากอดแนบไว้กับตัว ชเนย์ที่โดนมนตร์สะกดไว้ก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงท้วงออกมาเบาๆ และไม่น่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ

"รู้มั้ยว่าปิศาจก็มอบพรให้ได้นะ..." เจ้านรกกระซิบเสียงเบาเสมือนว่าอีกคนนั้นฟังอยู่ "แต่...เพราะพวกเราไม่คิดจะช่วยเหลือมนุษย์เท่าไหร่ พรพวกนั้นเลยโดนเรียกว่าคำสาปไงล่ะ..."

ริมฝีปากของร่างสูงใหญ่ร่ายมนตร์ไร้เสียงทั้งที่ยังอยู่ที่เดิม แววตาที่ไม่มีทางที่ใครจะได้เห็นหลุบหายไปกับเปลือกตาที่ปิดลง

ช่วยจำชื่อของข้าไว้ด้วยนะ...







ชเนย์ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องว่างเปล่าของตนเอง สายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติแต่ก็ไม่พบอะไร นาฬิกาเพิ่งบอกเวลาตีสาม นั่นหมายความว่าเขานั้นหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น... แต่ชื่อๆ หนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวอย่างน่าสงสัยกลับทำให้รู้สึกราวกับหลับฝันมายาวนานเหลือเกิน...

พ่อครัวล้างหน้าล้างตาก่อนหอบเอาตัวเองมาอยู่ที่ห้องครัวตั้งแต่เช้ามืด แม้จะไม่มีคิวที่จะต้องเตรียมอาหารที่ต้องใช้เวลาเตรียมการยุ่งยากก็ตาม แต่เพราะฝันแปลกๆ นั่นจึงทำให้เขาหลับต่อไม่ลง รวมทั้งชื่อของบุคคลที่ตนหลงใหลยังคงวนเวียนในหัวราวกับไม่ใช่ความฝัน

“....ทำอะไรของเค้ากันนะ?” เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่เพียงแค่อาการละเมอของตัวเองจึงได้เพียงนั่งนึกสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไปป์ในมือหมุนไปมาเล็กน้อยพอให้ต้องแสงไฟระยับไปมาสวยงาม ชเนย์ทอดสายตามองไปยังท้องฟ้ามืดสนิท

ร่างสูงโปร่งหยิบเอานาฬิกาพกของตนออกมาและพลิกด้านหลังขึ้นมา ปรากฏลูกแก้วลูกเล็กฝังตัวอยู่ภายใน ชเนย์ลูบมือผ่านมัน ก่อนแสงเรืองประหลาดจะส่องประกายออกมา และหมุนวนจนกลายเป็นกระจกอันเล็กลอยอยู่ตรงหน้า

“คิดถึงบ้านแล้วเหรอคะพี่?” เสียงใสของคนที่ปรากฏที่อีกฝั่งของกระจกเอ่ยทักทายด้วยความระรื่นยินดี

“นิดหน่อยน่ะ พี่อยากรู้ว่าเธอสบายดีมั้ยมากกว่า” คนเป็นพี่ชายยิ้มตอบให้ “ตอนนี้ที่นั่นกี่โมงแล้วล่ะ?”

“เพิ่งจะบ่ายเองค่ะ พี่รู้มั้ย พอพี่ไม่อยู่หนูนี่กินข้าวไม่อร่อยเลย!”

“แย่จัง…ทนไปก่อนนะ” ชเนย์หัวเราะร่วน ว่าแล้วว่าน้องสาวต้องบ่นหาของกินก่อนเป็นแน่แท้ แต่เห็นสีหน้าที่ดูปกติสุขดีของน้องแล้วเจ้าตัวก็โล่งอก “หือ? ...นั่นเสียงอะไรน่ะ?”

“ก็พี่ไม่อยู่อ่ะ หนูเลยชวนให้มาร์โก้กับฮาร์เวนมาทำอาหารกินกัน”

“ฮาร์เวนก็มาเหรอ!?” ชเนย์แผดเสียงใส่กระจกตรงหน้าจนคนเป็นน้องที่อยู่อีกฟากต้องอุดหู คนที่โดนเรียกชื่อโผล่หน้ามามองจากในครัวก่อนผงกหัวให้อย่างมีมารยาท “ไม่ได้เรียกคุณครับ! ไม่ต้องโผล่หน้ามาเลยนะ!”

“พี่อ่ะ! ถึงจะไม่ชอบเค้าก็เก็บอาการหน่อยสิ นี่เพื่อนหนูนะ!” กาลาเทียหมุนกระจกให้หันมาอีกทางที่จะไม่ต้องเห็นคนอื่น

“ทำไมต้องเรียกฮาร์เวนมาด้วยล่ะ ล...แล้วนี่ทำไมใส่ชุดแบบนั้น โป๊เกินไปแล้วนะ!”

“ชุดปกติของหนูนะ พี่ก็เห็นอยู่ทุกวันนี่ เป็นอะไรของพี่เนี่ย!?”

“อึก…ก็… เอาเถอะ มาร์โก้เองก็อยู่ด้วยสินะ” ชเนย์กัดฟันแน่นก่อนจะเริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเอง อย่างน้อยๆ ก็มีคนอื่นอยู่ไม่ให้น้องสาวที่ตนรักอยู่กับ...ผู้ชายที่ดูยังไงก็แอบชอบน้องสาวตนอยู่แน่นอนแบบสองต่อสอง

“เฮ้อ…พี่เองก็เหอะ ปกติออกไปไหนก็แทบจะไม่เคยติดต่อมาเลย นึกว่าจะตายซะตั้งหลายรอบ” เด็กสาวเริ่มบ่นออกมาบ้าง “มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“...พี่ก็แค่สับสนน่ะ…” ชเนย์เสียงเบาลงและเริ่มเหม่อไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง

“เรื่องผู้ชายอีกแล้วล่ะสิ” น้องสาวยิ้มอ่อนโยนให้อย่างเหนื่อยหน่ายใจ รู้ดีว่าพี่ตัวเองเป็นคนแบบไหน และมักจะเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว

“ก็...พี่ดันไปรู้ตอนจบของนิยายสักเล่มเข้าน่ะ”

“อ่าฮะ”

“พี่ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะอ่านไปจนจบหรือลองหยิบนิยายอีกเล่มขึ้นมาอ่านดี?”

“งี้นี่เอง พี่นี่แก้นิสัยเสียนี่ไม่ได้สักทีนะ” กาลาเทียเอนตัวลงนอนไปกับโซฟา “ชอบทำดีกับคนอื่นไปทั่วแล้วสุดท้ายก็มาลำบากตัวเอง”

ชเนย์ยิ้มส่งให้ อุตส่าห์พูดเป็นนัยๆ แต่น้องสาวก็เดาได้ง่ายดายนัก “มันแย่ตรงที่พี่ดันอยากอ่านนิยายอีกเล่มขึ้นมาเรื่อยๆ นี่แหละ”

“โห แปลกแฮะ รอบนี้มีคนกล้าจีบพี่ด้วย” สาวน้อยกำลังจินตนาการถึงคนที่โดนพี่ชายตนทำดีด้วย ท่าทางจะเป็นคุณลุงขี้เหงาสักคน ไม่ก็ยักษ์หนุ่มหล่อล่ำกล้ามโตแน่นอน “นี่ๆ แล้วเค้าเป็นคนยังไงเหรอ หล่อรึเปล่า?”

“เอ่อ...อืม…เด็กกว่าพี่สักปีสองปีมั้ง” กำลังจะบอกไปว่าเป็นนักฆ่าด้วย แต่อย่าเพิ่งจะดีกว่า...

“เอ๋? พี่สนใจคนอายุน้อยกว่า!?” กาลาเทียตาลุกวาวอย่างประหลาดใจ ที่ผ่านมาคนที่พี่ชายสนใจมีแต่คนรุ่นพ่อแท้ๆ การสนทนาเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนสองหนุ่มในครัวจะชินชากับสภาพของสองพี่น้องนี้เสียแล้ว

ชเนย์เม้มปากพลางทำหน้าครุ่นคิด การที่ไม่ได้มองคนที่ตรงสเป็คตนเองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หากไม่ติดตรงที่ว่า…

“แต่...นิยายเล่มที่พี่ถืออยู่เนี่ยสิ…”

“อ๋อ…” คนน้องถอนหายใจ “หนูไม่รู้หรอกนะว่าตอนจบที่พี่รู้มามันคืออะไร แต่หนูก็อยากแนะนำพี่สักอย่างนะ”

พี่ชายย้ายตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารและวางนาฬิกาในมือไว้ข้างหน้าเป็นการบอกว่ากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่น้องสาวแสนเข้มแข็งของเขากำลังจะบอกกล่าว หลายต่อหลายครั้งที่ต่างคนต่างมอบมุมมองใหม่ๆ ให้จนกระทั่งจับมือกันก้าวข้ามปัญหาต่างๆ มาด้วยกันได้

“อ่ะ ถามนิดนึงสิคะ คนที่บอกตอนจบนิยายเล่มนั้นให้พี่เป็นใครเหรอ?”

“...เอ… จะบอกว่าคนเขียนหนังสือเล่มนั้นก็ได้….หรือตัวละครหลักก็ได้มั้ง” ร่างสูงโปร่งเท้าคางกับโต๊ะและถอดแว่นกันแดดวางไว้ไม่ห่างตัว

“อืม...พี่คะ…พี่รู้แค่ตอนจบของมัน พี่ไม่ได้รู้ซะหน่อยว่าก่อนหน้านั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือหลังจากนั้นมันจะมีอะไรตามมา…”

“...”

“อ่านมันจนจบ แล้วรับรู้ทุกฉากของหน้าหนังสือนั้นด้วยตัวของตัวเอง...ก็ไม่ได้แย่นะคะ”

“...ถึงมันจะเป็นตอนจบที่เลวร้ายขนาดไหนก็ตามสินะ” ประกายความเศร้าเจืออยู่ในดวงตาสีหม่นหมอง จ้องมองไปยังดวงตาสดใสสีเดียวกันที่อีกฟากกระจก

“เพราะมันยิ่งเลวร้าย เรายิ่งต้องตามเป็นกำลังใจให้ตัวละครหลักน้า”

รอยยิ้มปลอบประโลมฉายเด่นบนใบหน้ามน รอยยิ้มสดใสราวดวงตะวันนั้นโดดเด่นเสียยิ่งกว่าพระอาทิตย์ที่กำลังไต่ขึ้นมาบนขอบฟ้าด้านนอกนั่น

“...นั่นสิเนอะ”

ในที่สุดพี่ชายก็ยิ้มออก เป็นรอยยิ้มที่ทั้งหนักแน่นและโล่งใจอย่างแปลกประหลาด

“...อยู่ข้างๆ เค้าไว้นะคะพี่”

“ถ้ามีโอกาสน่ะนะ ฮะๆ”

บทสนทนาจบลงหลังจากนั้นอีกสักพัก เนื่องจากชเนย์ต้องขอตัวไปจัดการกับอาหารของเหล่าผู้บัญชาการในปราสาท ร่างกายเอื่อยเฉื่อยที่เกือบจะยอมแพ้ให้โชคชะตาไปเสียดื้อๆ เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

แต่น้องสาวของเขาอาจจะไม่ได้รับรู้ว่าการตัดสินใจของพี่ชายไม่ได้หยุดไว้เพียงแค่เป็นทหารอันซื่อสัตย์…ชเนย์ระบายยิ้มมุมปากอย่างปลดปลง ก่อนจะหยิบไปป์อันเดิมขึ้นมาสูบ และหยิบนาฬิกาขึ้นมาอีกครั้ง

“อะไรอีกล่ะพี่เนี่ย? อาหารกำลังอร่อยเลย”

“เหรอ ดีเลย… ฮาร์เวนอยู่ตรงนั้นมั้ย?” พี่ชายถามหาคนที่ไม่ชอบหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผิดปกติ กาลาเทียเลยหันไปสะกิดผู้ถูกถามหาให้ยื่นหน้าเข้ามาทางกระจก

“ครับ?” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวขานรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฮาร์เวนเป็นนักดาบรุ่นราวคราวเดียวกับกาลาเทียที่มีฝีมือดาบแทบจะไร้เทียมทาน แถมยังเป็นนักเวทมาก่อนเช่นเดียวกับน้องสาวของตน ส่วนเรื่องนิสัย…

“ขอโทษที่เกลียดขี้หน้าคุณมาซะตั้งนานนะครับ” ชเนย์ถอนหายใจ ไปป์อันยาวถูกวางลงและเปลี่ยนไปปิดเตาแก๊ซแทน “คุณน่ะไม่ได้นิสัยไม่ดีอะไรหรอก ออกจะดีมากๆ ด้วยซ้ำ”

จู่ๆ พี่ชายขี้หวงก็เอ่ยปากชมคนตรงหน้า ทำเอาทั้งโต๊ะอาหารงุนงงกับการกระทำนี้เสียเหลือเกิน ด้านกาลาเทียนั้นเลิกคิ้วและหันไปมองหน้ามาร์โก้ที่นั่งมองอยู่อีกทาง

“ถ้าจะจีบน้องผมก็ช่วยกล้าๆ กว่านี้หน่อยนะครับ เห็นแล้วหงุดหงิดน่ะ”

คำพูดแบบขวานผ่าซากดังขึ้นทำลายความเงียบ เด็กสาวเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารเสียหลักจนทำนาฬิกาในมือหลุดร่วงลงบนโต๊ะ ส่วนฮาร์เวนที่โดนเปิดโปงเรื่องที่ปิดบังเสียมิดชิดมานานก็เก็บอาการลนลานไม่อยู่ มีเพียงมาร์โก้ที่นั่งนิ่งแอบอมยิ้มเพราะรู้อยู่แล้ว

“พี่พูดอะไรเนี่ย!?” คงจะมีแต่กาลาเทียเองที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าเพื่อนของตัวเองคิดเกินเลย

“พอละ ทานให้อร่อยล่ะ” ชเนย์ปิดนาฬิกาของตนไป ก่อนหมุนให้ตัวลูกแก้วสีใสหลุบหายเข้าไปในตัวเรือนนาฬิกาเป็นการบอกกลายๆ ว่าจะไม่มีการสนทนาใดๆ ต่ออีก

“พี่ขอโทษ...ลาก่อนนะ กาลาเทีย…”

ที่ขอบฟ้ามีแสงเรืองรองจางๆ ของยามเช้าที่กำลังจะโผล่พ้นน้ำ นาฬิกาเรือนงามถูกวางทิ้งไว้ที่กลางโต๊ะวางของอย่างไร้เยื่อใย ร่างสูงโปร่งจัดแจงเอาอาหารทุกอย่างออกมาเหมือนปกติ สีหน้าสงบนิ่งกลับมาปั้นปรุงแต่งรอยยิ้มดังเช่นปกติก่อนจะหันไปต้อนรับผู้มาเยือนที่เพิ่งปรากฏกายตรงหน้าประตู

“อรุณสวัสดิ์ครับท่านเจ้า”




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด