阳鳳 หยางเฟิ่ง จอมบุรุษเคียงราชันย์ บทที่ 7 11-12-2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 阳鳳 หยางเฟิ่ง จอมบุรุษเคียงราชันย์ บทที่ 7 11-12-2020  (อ่าน 3972 ครั้ง)

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม







สวัสดีทุกคน.....

เพิ่งระลึกได้ว่า ครั้งหนึ่งเคยแต่งเรื่องนี้เป็นพล็อตสั้นๆ ในปี 2018 โอ้โห ผ่านมา สองปีแล้ว ขอกลับมาแต่งตอนยาวให้ได้อ่านกันต่อเลยดีกว่า  เพื่อนนักอ่านที่ตามอ่านในสองปีก่อน ยังจำกันได้อยู่ไหมเอ่ย ขอโทษจริงๆที่เพิ่งคิดได้ พล็อตเรื่องไม่ต่างไปจากที่เคยเขียนไว้ เพราะมันจบสวยและดีที่สุดแล้ว จะพยายามแต่งออกมาให้อ่านง่ายที่สุดนะ


ปล. สำหรับนิยายเรื่อง สาปรักแดนสวรรค์ ขอเบรคไว้ก่อน เอาเรื่องนี้ก่อน คนรอ เขาจะลืมแล้ว ฮ่าๆๆๆ ขอโทษอีกครั้งขอโทษจริงๆจากใจของครามพิสุทธิ์


 :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2020 09:44:19 โดย ครามพิสุทธิ์ »

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
阳鳳
จอมบุรุษเคียงราชันย์

บทนำ



คำพังเพย กล่าวไว้ว่า
...ดอกไม้งามกลิ่นหอมเย้า ไม่แคล้วเหล่าภมรรุมตอมกลิ่น....


แต่ทว่า...เรื่องราวกลับยุ่งเหยิงเกินกว่าคาดคิด เพราะหากดอกไม้งามเหล่านั้นมิใช่หญิงสาว แต่กลับเป็นชายชาตินักรบเช่นนั้นแล้วคำพังเพยจะมีความหมายอันใด...


คำพังเพยยังมีอีกว่า
...จักรวาลไร้พรมแดน ไม่ต่างจากหัวใจถวิลหา ดอกเหมยงดงามตา พลิกชีวาชั่วนิรันดร์...

นั่นต่างหากที่อยากให้รู้  หัวใจดวงเล็กๆ แต่กลับสร้างความรู้สึกที่แผ่กว้างและซับซ้อนเกินพรรณนา ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย จึงไม่อาจถูกมองข้ามได้


แดนมังกรนั้นกว้างใหญ่ มากเผ่าหลายแคว้น หากแต่จะลืมสิ้นไม่ได้ ถึงศูนย์กลางแห่งประชาราช ‘ราชวังต้องห้าม’ หลังคาเหลืองสดงดงามอร่ามตาและยิ่งใหญ่ของต้าชิง  ยุคแห่งจักรพรรดิเกาอู่หลง  ยุคที่ปราศจากดินแดนคาวเลือด  แต่วังหลังกลับยุ่งเหยิง....

 
คำพังเพยกล่าวเอาไว้
...ดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ต่างดอกต่างงดงามในตัว หากแต่จับใส่รวมตัว แทบชิงชังโดดเด่น จวบกระทั่งโรยยืนกิ่ง... 

สาวงามอยู่ร่วมรวมกัน มิอาจเป็นผลดีนัก แต่นี่หาใช่หญิงสาวแต่เป็นบุรุษล้วน



ในยุคจักรพรรดิเกาอู่หลงขึ้นครองบัลลังก์ ปีที่หก พระองค์ประสงค์ทรงโปรดชายาเป็นชาตรีมากกว่าสตรีใต้หล้า 


เหล่าชายทั้งหลายบุคลิกสงบนิ่ง ยากหยั่งถึงจิตใจ หากอ่อนข้อต่อโชคชะตา นั่นคือปรารถนาในความตาย เพราะฉะนั้น ในวังหลังแห่งนี้ หากหลวมตัวก้าวเข้ามาแล้ว ทางรอดมีเพียงหนึ่งเดียว คือฝืนชะตา และตัดชีวาคนอ่อนแอ เพราะนี่คือ “วังต้องห้าม”


หยางเฟิ่ง เด็กหนุ่มสายเลือดชาวแมนจูแท้ อายุสิบเจ็ดปีเศษ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวกระจ่าง สมเป็นลูกชายรองแม่ทัพ ภายใต้กองธงเหลืองอันสูงเกียรติ  กำลังนั่งมองปลาทองในสระน้ำหลังบ้าน  โดยมีคนรับใช้ยืนมองอยู่ห่างๆ ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วเขายังคงมองชื่นชมอยู่เช่นนั้น


“ลูกเฟิ่ง เจ้านั่งดูปลาแบบนี้นานแล้วนะ ไม่เบื่อหรือไง”

“ท่านแม่...ข้าไม่เบื่อหรอก นี่...สีหน้าท่านไม่ดีเลย มีอะไรรึเปล่า”

“จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ ก็ไม่เชิง” ฮูหยินยิ่งพูดเช่นนี้ ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอยากรู้

“ท่านพูดเช่นนี้ ข้าอยากรู้แล้วสิ”

“ท่านพ่อของเจ้า ถูกเรียกตัวเข้าพบฮ่องเต้ พร้อมขุนนาง แม่ทัพคนอื่นๆทั้งแปดกองธง เจ้าลองเดาดูสิว่าจะมีเรื่องอะไรอีก”

“เกิดศึกที่ชายแดนเหนือเหรอ ท่านแม่”

“จะเป็นไปได้ยังไง ฮ่องเต้กับท่านข่านเผ่าแดนเหนือกลมเกลียวปรองดองกันดี เรื่องศึกสงครามเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“แสดงว่าที่ท่านกำลังจะสื่อคือ...”

“ใช่แล้ว ทุกๆสามปี ลูกชายลูกสาวขุนนางต่างๆ ต้องเข้าร่วมพิธีการรับเลือกให้เข้าวัง”

“ข้า...ข้าเพิ่งอายุสิบเจ็ด”

“หยางเฟิ่ง สิบเจ็ดไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ แม่เองก็ลำบากใจ แต่เจ้าคือลูกชายคนเล็กของแม่ที่อยากให้เจ้าออกเรือน เจ้าต้องช่วยแม่กับพ่อนะ”

“ท่านแม่ ข้าไม่อยากเข้าวัง”

“แม่ก็จนปัญญา แต่เรายังพอมีหวัง หากฮ่องเต้ไม่โปรดเจ้า เจ้าก็ได้ออกจากวัง แล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่เหมือนพี่ชายของเจ้า แต่งงานมีทายาทต่อไป”

ฮูหยินตระกูลหยาง มองดูลูกชายคนเล็กน้ำตาล้นเอ่อ หัวอกผู้เป็นแม่ย่อมรักและเป็นห่วงลูกตนธรรมดา ในวังหลวงการเป็นอยู่แก่งแย่งชิงดีแค่ไหน  ผู้ใดล้ม เท่ากับความตายมาเยือนถึงตัวแล้ว


หยางเฟิ่งหนักใจยิ่งนัก ด้วยร่างกายที่ไม่แข็งแรงสมชาตรี ทำให้แม่ทัพหยาง ผู้เป็นพ่อไม่อาจให้เขาเข้ารับการฝึกทหารในกองธงเหลืองเหมือนพี่ชายเขา อีกอย่างหยางเฟิ่งเป็นผู้ใบหน้าอ่อนหวานราวกับถอดแบบแม่มาไม่มีผิด ยากนักจะปฏิเสธได้ว่าฮ่องเต้เกาอู่หลงจะไม่โปรด

...

...
 

และแล้ววันแห่งการพลัดพรากก็มาถึงเหล่าทายาทขุนนางทั้งชายและหญิงถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อคัดตัวต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และองค์ ฮองไทเฮา

...ดอกไม้งาม ยามจะโดนเด็ด  กลับอิดออดมิเบ่งบานให้เชยชม...


นี่ก็คงเช่นกัน หยางเฟิ่งผู้ร่าเริงและสดใส บัดนี้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์จอมจักรพรรดิ กลับยืนนิ่งมิกล้าสบตา ในใจอกสั่นขวัญแขวนนัก  ยากที่ใครจะเห็นได้ แม้โถงราชวังเบื้องหน้ายิ่งใหญ่งดงามก็มิอาจเรียกร้องความสนใจของเขา ที่ตื่นตระหนกต่อประมุขที่นั่งบนบัลลังก์ด้านในแม้แต่น้อย


“ลูกชายแม่ทัพหยางอี้ แห่งกองธงเหลือง เข้าเฝ้าฮ่องเต้และองค์ฮองไทเฮา”
เสียงของ กงกง เจ้าพิธีการหน้าประตูเรียกชื่อ เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเจออะไรบ้าง


“หยางเฟิ่งถวายพระพรฮ่องเต้และองค์ฮองไทเฮา ขอจงมีพระวรกายที่แข็งแรงพะยะค่ะ”

“เจ้า...อายุเท่าไหร่” สุรเสียงอ่อนโยนขององค์ฮองไทเฮา ตรัสถามเขา

“สิบเจ็ดพะยะค่ะ”

“เงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน่อยซิ” องค์ฮองไทเฮารับสั่ง หยางเฟิ่งผู้หวั่นกลัวค่อยๆเงยหน้าขึ้น อย่างกล้าๆกลัวๆ
ทันใดนั้นดวงตาของหยางเฟิ่งได้สบประสานกับองค์ฮ่องเต้เร็วพลัน 

...ดั่งดอกไม้บาน ส่งกลิ่นหอม เหล่าแมลงบินล้อมรองรับไม่ห่างหาย ผู้ใดเล่าจะปฎิเสธ...


“ฮ่าๆๆ ท่านแม่ ข้าขอเลือกหนุ่มน้อยผู้นี้” ฮ่องเต้รับสั่งด้วยความพึงพอใจ หัวเราะดังกังวาน

หยางเฟิ่งมองดูพระพักตร์องค์ฮองไทเฮา ทรงยิ้มแย้มสรวลราวกับเห็นดีเห็นงามกับองค์ฮ่องเต้

“หยางเฟิ่ง ลูกชายแม่ทัพหยางอี้  เกิดภายใต้กองธงเหลือง ชาติตระกูลสูงส่ง ได้รับคัดเลือก ประทานตำแหน่งสนมขั้นห้า  เป็นหยางกุ้ยเหริน ”

กงกงคนในราชพิธีแต่งตั้งคัดเลือกเหล่าสนม กล่าวเสียงดังฟังชัด หยางเฟิ่งได้ยินเช่นนั้นแทบล้มทั้งยืน


หยางกุ้ยเหริน อย่างนั้นหรอ...


นี่ข้า  ข้ากำลังจะเป็นสนมขององค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรอ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าจะทำอย่างไรดี



โปรดติดตามตอนที่ 1


****สิ่งที่ท่านควรรู้ ในราชวงศ์ชิง สมัยนั้นแบ่งยศนางสนมออกเป็น 7 ระดับ คือ
1.หวงกุ้ยเฟย (皇貴妃) มีได้เพียงคนเดียว รองจากฮองเฮาเท่านั้น
2.กุ้ยเฟย 貴妃 มีได้ 2 คน
ตำแหน่ง 1 กับ 2 ถือเป็นสนมขั้นสูง

3.เฟย 妃 มีได้ 4 คน
4.ผิน (嬪) มีได้ 6 คน

ตำแหน่ง 3 กับ 4 ถือเป็นสนมขั้นกลาง

5.   กุ้ยเหริน (貴人)
6.   ฉางจ้าย (常在)
7.   ต๊ะอิ้ง (答應)

ตำแหน่ง 5 ถึง 7 ถือเป็นสนมขึ้นต่ำ และมีได้นับไม่ถ้วน

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มาลองตามดู

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 1



...โบตั๋นเบ่งบานงามเด่น กลีบดอกเอนอ้ารับแสงตะวัน....


หรือนี่ คือจุดเริ่มต้นชีวิตอันโชติช่วง  ของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งต้องดำเนินต่อไป  ใจดวงน้อยสั่นระริกระรัว อยู่บนรถม้า ที่แล่นบนถนนขรุขระ มุ่งหน้าสู่ประตูฝั่งซ้ายของราชวัง ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทาง หยางเฟิ่ง ยิ่งกลัดกลุ้มกังวลใจนัก


หากเป็นเช่นคำพังเพยกล่าวไว้ คงจะดีไม่น้อย ในสายตาเหล่าประชาราษฎร์ ผู้ถูกคัดเลือกคือผู้โชคดี ทรัพย์ อำนาจ วาสนา จะตกแก่วงตระกูลด้วย แต่สำหรับเขานั้น กลับคิดว่า ไม่ใช่   


ความสวยงามเบื้องหน้า ฉาบทาปกปิดบางสิ่งไว้ด้านในไม่ให้ใครเห็น จากกำแพงวังสีอิฐสูงใหญ่ตรงหน้า
ก่อนหน้านี้ ได้ยินมาบ้างว่า การคัดเลือกหนุ่มสาวเป็นสนมที่ผ่านมา มีอยู่แปดคนร่วมกัน ทั้งหมดล้วนเป็นชายหนึ่งในนั้นคือเขา แน่นอนว่าเขาไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัว แต่ก็พอจำตระกูลแซ่ ของผู้ถูกเลือกได้บ้าง


“หยุดดดดดด”


เสียงคนบังคับม้า ร้องตะโกนดัง จนมันไม่อาจเมินเฉยได้ ม้าสองตัวค่อยๆชะลอฝีเท้าลงจนกระทั่งล้อเกวียนหยุดนิ่ง ฝ่ามือซ้ายรีบแหวกผ้าม่านตรงหน้าต่างออก  หยางเฟิ่งใช้สายตากราดมอง สิ่งที่เห็นเด่นชัดอันดับแรกคือ กำแพงสีอิฐ


“คุณชาย ถึงวังหลวงแล้วขอรับ” ชายบังคับม้า คนของตระกูลเขาร้องบอกอีกครั้ง


หยางเฟิ่ง ค่อยๆลงจากรถม้าแล้วหยุดยืนมอง สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ประตูทางเข้าโอ่อ่า แม้จะเป็นเพียงประตูสำรอง  แต่มันสูงใหญ่พอที่จะพาช้างสารผ่านเข้าไปได้สบายเลยทีเดียว


“ถวายพระพรหยางกุ้ยเหริน ขอจงมีพลานามัยแข็งแรง” สุรเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ทักทาย  ถ้าหากดูจากการแต่งตัวแล้ว คงจะเป็น กูกู นางกำนันเก่าแก่มาคอยต้อนรับเขาแน่นอน

“ขอบคุณกูกู อย่ามากพิธีเลย ”

“หยางกุ้ยเหรินเดินทางมาเหนื่อยๆ รีบเดินทางไปตำหนักก่อนเถอะ”

“ช้าก่อนกูกู  คือข้า...”

“มีอะไรหรือเพคะพระสนม”

“ข้ากังวลเล็กน้อย ข้าพอจะรู้มาบ้าง ตำแหน่งของข้า ไม่สามารถมีตำหนักของตัวเองได้ แล้ว ตำหนักที่ข้าจะไปนั้น เจ้าของ
ตำหนักคือใครเหรอ”

“พระสนมเฉลียวฉลาด รู้กฎเกณฑ์ของวังหลังดี ที่กล่าวมาถูกต้องทั้งหมด และตำหนักที่พระสนมจะได้ไปอยู่ คือตำหนัก เสียนฝู  เจ้าของตำหนักคือ พระสนมเจียเฟย”

“เจียเฟยเหรอ แล้วพระองค์เป็นชายหรือหญิง” กูกู ได้ยินที่ถาม กลับยิ้มให้ ก่อนกล่าวตอบ

“ผู้ชายเพคะ”

หยางเฟิ่ง พยักหน้า ในใจคลายความกดดันลงไปบ้าง อย่างน้อยเจ้าของตำหนักก็เป็นผู้ชาย ฟังจากชื่อแล้วน่าจะเป็นคนดี เข้าถึงง่าย เขาหวังให้เป็นอย่างนั้น...


...เปรียบประกายไข่มุกแห่งทะเลลึก เปรียบหยกเนื้อเขียวสดงามก้อนใหญ่ ก็มิอาจเทียบความเรืองรองล้ำค่าของวังหลวงแห่งนี้....


ผมถักเปียยาวถึงสะโพกแกว่งไกวไปมาตามแรงย่างก้าว  กูกู นำทางเขาไป ผ่านทางเดินสลับซับซ้อน ผ่านตำหนัก และชาววังมากมาย บรรดาข้ารับใช้ หยุดยืนถวายพระพรเป็นช่วงๆ ราวกับทราบว่าเขาคือใคร แต่ทุกคนกลับไม่สบตาสายเขาแม้แต่คนเดียว หากเป็นเช่นนี้แม้คนจะมากมาย แต่จะหาความอุ่นใจที่ใดได้


“ถึงแล้วเพคะ”


ในที่สุด กูกู ก็พาเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตำหนัก เสียนฝู  แผ่นป้ายติดตรงคานประตูพร้อมตัวอักษร ทั้งสูงใหญ่และสวยเด่น  บ่งบอกสถานที่  หยางเฟิ่งมองดูรอบๆตำหนัก ที่นี่สงบเงียบ และเย็นสบาย ห่างจากตัวพระตำหนักหลักขององค์ฮ่องเต้ว่าราชการ ไม่มากนัก


“พระสนม อันดับแรก ท่านต้องเข้าไปถวายบังคมต่อ พระสนมเจียเฟยก่อน  ตำหนักอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว อย่าลืมมารยาทที่หม่อมฉันสอนตลอดทางเดินเมื่อครู่ด้วยนะเพคะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณกูกู มากที่ชี้แนะ”

“หมดหน้าที่ของกระหม่อมแล้ว ขอทูลลาเพคะ”

...

...

ที่นี่เงียบจริงๆ แต่กลับมีเสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้วกลบความวังเวง  อาณาเขตตำหนักเสียนฝู ถือว่ากว้างขวาง ดอกไม้นานนาพันธุ์เบ่งบาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมาตามลม ยั่วยวนเหล่าผีเสื้อปีกสวยมาดอมดมยิ่งนัก แสดงว่าเจ้าของตำหนักต้องชอบดอกไม้เป็นแน่...


“นั่น หยางกุ้ยเหริน สินะ?”


เสียงไพเราะทักทายดังมาทางฝั่งขวามือ หยางเฟิ่งไม่ทันสังเกต เอาแต่มองดูทิวทัศน์เพลิน จนลืมภารกิจตัวเองไปเสียแล้ว
พอเขาหันไปมองต้นเสียง ก็พบชายหนุ่มร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนหวาน ในชุดฉลององค์ที่ใส่เป็นลวดลายนกเขาป่าเด่นมาแต่ไกล สีสันพื้นเนื้อผ้าน้ำเงินสดงดงามมาก การแต่งกายหาใช่ เหมือนหญิงสาว  ที่ต้องสวมชุดสตรีแมนจูชาววัง และพระมาลาดอกไม้ใหญ่ๆไว้บนหัว พระสนมชาย ยังคงสวมชุดดั่งชาตรีเหมือนองค์ชาย ทุกประการ เพียงแต่ลวดลายบนเนื้อผ้าไม่ใช่มังกร ก็เท่านั้น


“เอ่อ พระองค์คือ....ถวายพระพร พระสนมเจียเฟย ขอพระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรง”

“ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

“ได้ยินมาว่า ฮ่องเต้โปรดปราณเจ้านัก ถึงขนาดเปล่งสุรเสียงอารมณ์ดีก้องท้องพระโรงตอนคัดเลือกเจ้า ใช่หรือไม่?”

“ทูลพระสนม ไม่ใช่อย่างหรอกพะยะค่ะ”

“ฮ่าๆ ช่างเถอะอันดับแรก อยู่ในตำหนักของข้า เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าพระสนมหรอก เรียกข้าว่า พี่เจียอี้”

“กระหม่อมมิบังอาจ”

“เจ้าเรียกข้าว่าพระสนม ถึงข้าจะมาอยู่ก่อนเจ้าสามปี แต่ไม่เคยเชยชินคำนี้เลย ข้าหวังเพียงใครสักคนที่จะพอเป็นเพื่อนข้าได้บ้าง  และแล้ววันนี้ของข้าก็มาถึง ข้ามีเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว เรียกข้าว่าพี่เจียอี้เถอะนะ ”

“พะยะค่ะ”

“คำว่า พะยะค่ะ ก็ไม่ต้องพูดแล้ว  อยู่ภายในตำหนัก เราคือพี่น้อง เข้าใจไหม” หยางเฟิ่งพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้ม



....ผีเสื้อ ลายปีกงาม สยายปีกบินถลารับลม ดมดอมเกสร เสียงนกในสวนไพเราะราวกระดิ่งสวรรค์ ขับผสานบทเพลงธรรมชาติให้ยลยิน....


“ว่าแต่เจ้าเถอะ ชื่อว่าอะไร”

“ทูลพี่เจียอี้ ข้าชื่อ เฟิ่ง แซ่หยาง ”

“อ้อ ลูกชายคนเล็กของแม้ทัพหยางอี้ กองธงเหลือง  ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าถูกพามาพำนักตำหนักนี้”

“พี่เจียอี้ ที่ท่านพูดมา มันดีหรือไม่ดีเหรอ ”

“ฮ่าๆ อย่าทำสีหน้าวิตกเช่นนั้น  ตำหนักเสียนฝู เดิมเคยเป็นที่อยู่ของกุ้ยเฟยองค์หนึ่งในรัชสมัยก่อน พระนางเป็นที่ทรงโปรดมาก
พระนางอ่อนโยนและงดงาม ดังนั้น ฮ่องเต้จึงล้วนคัดสรรสนมมาพำนักอยู่ต่อที่นี่ เพื่อให้เกียรติพระนาง ”

“แสดงว่า ตอนนี้ พระนางเป็นกุ้ยไท่เฟย แล้วใช่ไหม ”

“พอเปลี่ยนรัชสมัย ตามธรรมเนียมมันก็ใช่อยู่ แต่น่าเสียดายที่พระนางสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ยินมาว่าพระนางเป็นเพื่อนคนสนิทของฮองไทเฮา องค์ปัจจุบันอีกด้วยนะ”

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“คราวนี้ไม่ต้องแปลกใจแล้วนะว่าเหตุใด เจ้าถึงได้มาอยู่ที่ตำหนักนี้”


ถึงเจียอี้ จะทวงถามความเข้าใจที่อธิบายให้ฟังเมื่อครู่  หยางเฟิ่งเองก็ไม่อาจเข้าข้างตัวเองว่าเป็นหนุ่มงามไปได้  แต่สำหรับสนมขั้น ‘เฟย’ อย่างเจียอี้แล้ว เขาไม่อาจปฏิเสธความงดงามในเรือนกายบุรุษได้เลย พระองค์งามราวเทพสวรรค์ก็มิปาน สมแล้วที่ได้อยู่ตำหนักนี้


“ข้าเข้าใจที่ท่านอธิบายดี แต่ข้า ไม่ใช่คนงดงามอย่างท่านหรอก”

“ความงาม นำพาเจ้ามาเป็นสนม แล้วความล้ำค่ากว่าอีกเจ็ดคนที่เข้าวังมาพร้อมเจ้า  ตำหนักเสียนฝู คือคำตอบแล้ว และข้าก็เชื่อ
ว่า เจ้ามีคุณสมบัตินั้นครบถ้วน” เจียเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“พี่เจียอี้ชมเกินไปแล้ว”

“แต่จำไว้นะน้องหยางเฟิ่ง เป็นคนโปรดนั้นไม่ยาก แต่โปรดแล้วอยู่นานนี่สิของจริง” หยางเฟิ่งได้ฟัง ถึงกับขมวดคิ้ว อีกทั้งสีหน้า
แววตาที่งดงามของฝ่ายสนทนาก็เปลี่ยนไปด้วย

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”

“มีสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดมากมาย นับปีผ่านไป คนใหม่เข้ามา คนเก่านานวันยิ่งอายุมาก ฉะนั้น เจ้าจงอย่ายึดติด จงอยู่ในวังหลังแห่งนี้ด้วยความเรียบง่าย อย่าทำตัวโดดเด่น และอย่าทำตัวแย่งชิง เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าจะหายไปจากโลกนี้ โดยยังไม่มีผู้ใดรู้ เสียด้วยซ้ำ”

“หมายความว่า...”

“วังหลังมีศาลเตี้ย อย่างไรล่ะ” เจียเฟยอธิบายหยางเฟิ่ง ด้วยความหนักแน่น จนเขารู้สึกหวั่นกลัว

“ดูเจ้าสิ ตัวสั่นไปหมดแล้ว”

“พี่เจียอี้ บอกข้าที ในวังหลังแห่งนี้ข้าควรระวังใคร  องค์ฮองไทเฮา หรือว่า ฮองเฮา”

“ชู่วววววว  อย่าเสียงดังไป ในวังหลัง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ต่อไปเจ้าต้องระวังคำพูดด้วย”

เขารีบพยักหน้า  เมื่อเห็นว่ารอบๆบริเวณนี้ปลอดคน เจียเฟยจึงเริ่มขยับเข้ามาใกล้พร้อมด้วยเปล่งน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ฮ่องเต้ ยังไม่ทรงโปรดสถาปนาใครเป็นฮองเฮา ตอนนี้ ผู้ปกครองวังหลังหกตำหนัก คือ หมิงกุ้ยเฟย”

“หมิงกุ้ยเฟย?”

“ใช่ พรุ่งนี้เจ้าจะได้ไปที่ตำหนักอี้คุนกง ไปถวายพระพรพระองค์ทุกเช้า เพราะที่นั่นคือที่ประทับของพระองค์ ”

“แล้วหมิงกุ้ยเฟย พระองค์เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันล่ะ”

“พระองค์เป็นผู้ชาย แต่จงระวังให้ดี หมิงกุ้ยเฟย องค์นี้เคร่งครัดในกฎระเบียบวังหลังนัก เจ้าอย่าประมาทเชียว”

“น่ากลัวเหลือเกิน พี่เจียอี้ ข้าเกรงว่าจะปฏิบัติบกพร่องต่อหน้าพระพักตร์เหลือเกิน”

“ไม่ต้องกลัว พระองค์เป็นชาวแมนจู เช่นเดียวกับข้าและเจ้า  พระองค์มักจะโปรดสนมที่เป็นสายเลือดทางตรง เป็นลำดับแรกเสมอ ข้าแค่เตือนเจ้าก่อนเท่านั้น เอาล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปดูห้อง  ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้คนของข้าจัดเตรียมไว้ให้เจ้า”

“ขอบพระทัยพี่เจียอี้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

“พี่เจียอี้ ตำหนักของท่านกว้างใหญ่สวยงาม มีดอกไม้ มีลำธาร มีโขดหิน สถานที่สวยงามเช่นนี้มีสนมคนไหนพำนักที่นี่อีกไหมนอกจากข้า”

“ฮ่าๆ  ไม่มีหรอก  แต่ว่าข้าไม่เหงา เพราะข้ามีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งผิน ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว นางชื่อ ฮวาผิน”

“อ้อ ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง  เอ๊ะ ฮวาผิน ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย”

“ฮ่าๆๆ ก็ใช่นะสิ นางเป็นผู้หญิง ....อ่ะ ถึงห้องพักของเจ้าแล้ว เอาล่ะเด็กๆ เปิดประตู”

“พะยะค่ะ”


ขันทีน้อยสองคนเดินไปเปิดประตูออก  แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้าไป เห็นเก้าอี้  โต๊ะ ภาชนะประดับประดาล้ำค่า ทรวดทรงงดงาม จัดอยู่อย่างเป็นระเบียบ ช่างสวยกว่าสิ่งของที่จวนตระกูลหยาง เป็นอย่างมาก

“เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”

“ชอบมากพี่เจียอี้ หรูหรากว่าบ้านข้ามาก สวยขนาดนี้ข้าจะกล้านอนได้ยังไง”

“ฮ่าๆ  เจ้านี่นะ ที่แท้ก็ติดตลกเหมือนกันนะ  อ้อ จริงสิ ข้าลืมแนะนำ นี่คนรับใช้ส่วนตัวของเจ้า ....เจ้าสองคนเข้ามาคาราวะพระสนมของพวกเจ้าได้แล้ว”


สองขันทีน้อย เดินเข้ามาหาหยางเฟิ่ง พร้อมกับคุกเข่าถวายพระพร


“ข้อน้อย ไป่หลิว ถวายพระพรพระสนม”

“ข้าน้อย เหลียงจั่ว  ถวายพระพรพระสนม”


“ลุกขึ้นเถอะ ว่าแต่พี่เจียอี้ ข้าลืมสังเกตไป เหตุใดไม่มีคนรับใช้ผู้หญิงในตำหนักท่านเลยล่ะ”

“วังหลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ องค์ฮองไทเฮา  ทรงเห็นว่าฮ่องเต้มีพระสนมเป็นบุรุษ เพื่อป้องกันการให้กำเนิดทายาทของสนมกับคนรับใช้ ต้องเกณฑ์นางกำนันไปรับใช้ เพียงฮ่องเต้ ฮองไทเฮา เหล่าองค์ชาย องค์หญิงและเหล่าพระสนมอาวุโสไท่เฟย ไท่ผินในรัชสมัยก่อนที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่แทนนะสิ”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบพระทัยท่านพี่ที่ทรงชี้แนะ”

“เอาล่ะ ยังมีกฎเกณฑ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเรียนรู้เพิ่ม อ้อจริงสิ จงจำไว้ว่าพรุ่งนี้ชุดที่จะใส่ไปถวายพระพรต้องไม่ใช่สีเหลือง  สีส้มและสีแดง เพราะนี่คือสีต้องห้าม ”

“เรื่องนี้ข้าพอรู้มาบ้าง  องค์ฮ่องเต้และองค์ฮองไทเฮามักจะใส่สีเหลือง หรือส้ม แต่สีแดง เป็นสีต้องห้ามด้วยอย่างนั้นหรือ”

“เปล่าหรอก แต่สีแดง เป็นสีที่พระสนมหมิงกุ้ยเฟยโปรดปราณ ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านพี่ที่ชี้แนะ”

“จริงๆเรื่องชุด ข้าได้เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว วางใจเถอะ ทุกชุดล้วนแล้วแต่สีสุภาพและไม่ฉูดฉาด เหมาะกับยศตำแหน่งของเจ้าด้วย ข้าหวังว่าเจ้าจะชอบนะ”

“ขอบพระทัยท่านพี่ที่เสียสละเวลาจัดหาชุดให้ รบกวนท่านเสียแล้ว”

“อย่ากังวลไปเลย วันนี้ก็พักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้เช้าจะได้สดชื่น ข้ามีภารกิจต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาทยามสาย ต้องขอตัวก่อน”

“หยางเฟิ่ง น้อมส่งท่านพี่”

“น้องส่งพระสนม”



หยางเฟิ่งยืนส่งเจียเฟย จนลับสายตา ก่อนจะหันมาสนใจบรรดาขันทีน้อยทั้งสอง ที่ทำตาใสซื่อยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตรละปรีดา


...

...

“ไป่หลิว เหลียงจั่ว”

“พะยะค่ะ พระสนม”

“ข้าเข้าวังมาตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก โชคดีที่มีเจียเฟย อุปถัมภ์ ยังไงข้าขอฝากพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยแล้วกันนะ”

“พระสนม อย่ากล่าวเช่นนั้น การปรนนิบัติพระสนม เป็นหน้าที่ยิ่งชีวิตของพวกกระหม่อมทั้งสอง ขอเพียงพระสนมต้องการสิ่งใด ให้บอกได้เลยพะยะค่ะ”

“ขอบใจพวกเจ้ามาก ว่าแต่ข้าสงสัยเรื่องของหมิงกุ้ยเฟยอยู่บางเรื่อง  พวกเจ้าจะช่วยตอบข้าได้ไหม”
ทั้งสองหันไปมองหน้ากันด้วยความกังวลและหวาดกลัว

“ระ...เรื่องอะไรเหรอพะยะค่ะ พระสนม”

“พระสนมเจียเฟยเตือนข้า ถึงความเคร่งในระเบียบของวังหลัง ข้ากังวลใจจริงๆ กลัวว่าพรุ่งนี้จะไปทำอะไรไม่ถูกเข้า ข้าจะโดนลงโทษไหม”

“โถ่ พระสนม เรื่องแค่นี้เอง กระหม่อมสองคนช่วยสอนพระองค์ได้ พรุ่งนี้การถวายพระพรหมิงกุ้ยเฟย จะต้องผ่านไปอย่างราบรื่นแน่นอนพะยะค่ะ”

“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นมาสอนข้าที”


หยางเฟิ่ง รู้สึกโชคดีที่ได้คนรับใช้เป็นขันทีน้อยผู้มากความสามารถและจิตใจดี กฎระเบียบวังหลวงแห่งนี้มากมายนับไม่ถ้วน เขาต้องฝึกฝนอีกมาก เพื่อไม่ให้เป็นที่ไม่พอพระทัยของบรรดาชนชั้นสูงกว่าทั้งหลาย

การเรียนรู้ ดำเนินไปอย่างช้าๆในตำหนักพำนัก ขันทีเต็มที่กับการสอนมาก ในขณะเดียวกันหยางเฟิ่งเองก็ตั้งใจเรียนรู้มากเช่นกัน


“อย่างนั้นแหละพระสนม ถูกแล้วพะยะค่ะ การถวายพระพร จะต้องคุกเข่าสองข้าง เอาเข่าซ้ายลงก่อนแล้วตามด้วยเข่าขวา....อ้อ ใช่ๆพะยะค่ะ  อย่างนั้นแหละ ถูกต้องแล้ว พระสนมเก่งจริงๆพะยะค่ะ”

“เห้อ...ในที่สุดข้าก็ทำได้ ” เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อย ทั้งครูและลูกศิษย์จำต้องหยุดการฝึกเพียงเท่านั้น



….ดวงตะวันลอยสูงเด่นกลางกระหม่อม  แม้อากาศสดใส กลับไร้ความชุ่มเย็นสบายกาย อีกทั้งความร้อนระอุนำพามาซึ่งโทสะ....



“ว้ายยยยยยย....”


เสียงร้องดังก้องนอกกำแพงรั้วตำหนักเสียนฝู ดูเหมือนพวกเขาสามคนจะได้ยินเสียงอุทานตกใจนั้นชัดเจน ด้วยความตื่นตระหนก จึงพากันออกมาดูหน้าตำหนัก


“ไป่หลิว เหลียงจั่ว นั่นเสียงอะไรกันน่ะ”

“เหมือนเสียงจะดังมาจากด้านจอกกำแพงนะพะยะค่ะ พระสนมรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวกระหม่อมจะรีบไปดู” ว่าแล้วทั้งสองก็วิ่งใส่กำแพง

“ช้าก่อนพวกเจ้า นั่นมันกำแพงตำหนักนะ ประตูอยู่ทางนั้น” หยางเฟิ่งชี้ไปยังประตูด้านซ้ายมือถัดออกไป

ไป่หลิวและเหลียงจั่วได้แต่หัวเราะ พร้อมเอานิ้วชี้แตะที่ปาก เตือนว่าอย่าตะโกนเสียงดัง  ก่อนจะชี้ไปยังต้นไม้ต้นใหญ่สามต้นติดกำแพงที่ยืนต้นสูงลิ่ว  เมื่อรู้ความประสงค์ของขันทีทั้งสอง หยางเฟิ่งตกใจแทบแย่ นี่พวกเขาจะปีนต้นไม้เชียวเหรอ?

“กล้าดีอย่างไร เดินชนเครื่องเสวยของพระสนมหมิงกุ้ยเฟย อยากตายหรืออย่างไร”

ตรงบริเวณทางเดินเท้าด้านนอกตำหนักเสียนฝู นางข้าหลวงตำหนักอี้คุนกง กับนางกำนันสี่คนกำลังยืนเอาเรื่อง คู่กรณีที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงนางกำนันเล็กๆ  ข้าวของดังกล่าว หล่นตกกระจายเต็มพื้นไปหมด

“ท่านกูกู โปรดเมตตาด้วย ข้าไมได้ตั้งใจจริงๆ”

“ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าก็ทำเครื่องเสวยยามกลางวันของพระสนมหล่นตกพื้นหมดแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้า มีกี่ชีวิตกันเชียว  เจ้าจะชดใช้อย่างไรไหว เด็กๆ ลากตัวนางกำนันคนนี้ไปตำหนักอี้คุนกง ”

“เจ้าค่ะ กูกู”

"ไม่นะ  ได้โปรด กูกู ข้าผิดไปแล้ว อย่าทำข้าเลย ได้โปรด"


และแล้ว นางกำนันคนนั้นถูกนำตัวไปยังตำหนักอี้คุณกง ท่ามกลางสายตาเหล่าทหารยาม และข้าหลวงคนอื่นๆตลอดเส้นทาง ไร้การช่วยเหลือและเหลียวแล น่าหดหู่ใจยิ่งนัก

“ไป่หลิว เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นไหม?”

“ชัดเจนเลยล่ะเหลียงจั่ว  โถ่เอ้ยสาวน้อยผู้อาภัพ”

“เจ้าว่า นางจะรอดไหมไป่หลิว?”

“ถามได้ คำตอบเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจดี รีบกลับลงไปทูลพระสนมเถอะ”


...

...


“ว่ายังไง ไป่หลิว เหลียงจั่ว เกิดอะไรขึ้น?”

“ทูลพระสนม มีนางกำนันคนนึงเดินไม่ทันดูทาง เผลอชนกับสำรับเสวยของหมิงกุ้ยเฟยเข้า ตอนนี้ถูกกูกูตำหนักอี้คุณกงนำตัวไปแล้ว”

“ตายจริง  น่าสงสารเหลือเกิน”

“ตายแน่ๆพะยะค่ะ ไม่น่ารอด”

“อะไรนะ ตะ...ตายเหรอ  ข้าแค่อุทานเท่านั้นเอง  ความผิดแค่นี้ นางกำนันผู้นั้นต้องตายเลยเหรอ? ”

“พระสนม หมิงกุ้ยเฟย มีทั้งอำนาจและบารมี พระองค์เป็นผู้ปกครองวังหลัง ตอนนี้นางกำนันผู้นั้นคงกำลังถูกศาลเตี้ยเล่นงานแล้วล่ะ ”

“ไม่ได้ เรื่องนี้มันเกินไป พระองค์ทรงทำเกินไป  ไป่หลิว เหลียงจั่ว  ข้าจะไปตำหนักอี้คุณกง พาข้าไปที...”

“พะ...พะ...พระสนม  ไมได้ล้อกระหม่อมเล่นนะพะยะค่ะ”

“ข้าพูดจริง นำทางไปเร็วเข้า”

สองขันทีผู้อารักษ์ รีบคุกเข่าต่อหน้าหยางเฟิ่ง แล้วก้มศีรษะกราบกรานขอร้องเขา

“พระสนม อย่าไปเลย ไม่คุ้มหรอกพะยะค่ะ”

“ใช่แล้ว อย่าไปเลย พระสนม ที่นั่นอันตรายมาก”

“แล้วนางกำนันคนนั้นล่ะ นางกำนันคนนั้นต้องตายนะ อย่าห้ามข้าเลย...ข้าจะไป อี้คุนกง”

“พระสนม!  อย่าไปนะพะยะค่ะ!”



โปรดติดตามตอนต่อไป


เกล็ดความรู้  หกตำหนักวังหลัง แม้จะเป็นคำเรียกติดปาก และเคยได้ยินในซีรี่ย์จีนโบราณ   แต่ในความเป็นจริง ตำหนักวังหลังของบรรดาสนมนั้น ได้แบ่งเอาไว้สองฝั่ง คือหกตำหนัก ฝั่งตะวัน และหกตำหนัก ฝั่งตะวันหก ในความจริงต้องพูดว่า สิบสองตำหนักถึงจะถูก ทั้งนี้ ผู้แต่งเอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียกหกตำหนัก  ถ้าใครทราบ สามารถให้ความรู้เพิ่มได้เลยครับ

 :L1: :L1: :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2020 20:36:49 โดย ครามพิสุทธิ์ »

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ยังไม่ทันไรเลย จะสร้างเรื่องละเรอะ!!! :mew5:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เพิ่งเข้าวังมาก็จะปะทะกับตัวแม่แล้ว :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
วันแรกก้อเอาเลยหลอนู๋ 555++

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 2



เคยได้ยินมาบ้างว่า สัตว์เลี้ยงเยี่ยงแมวมีถึงเก้าชีวิต  เช่นนั้นแล้วนางกำนันผู้นั้นมีโอกาสเท่าแมวได้หรือไม่ แต่ทว่าการร้องขอจากเจ้าตำนัก อี้คุนกง  เป็นเรื่องยาก   ในวังหลังแห่งนี้มีผู้ใดจะกล้าก้าวก่ายร้องทุกข์แทนอย่างนั้นหรือ?


หึหึ...ทุกคนล้วนแต่หวงแหนชีวิตตัวเองทั้งนั้น

แต่...ไม่ใช่ หยางเฟิ่ง สนมหน้าใหม่ผู้นี้แน่!


ปลายผมถักเปียพลิ้วไหว แกว่งไกวซ้ายขวาตามจังหวะ สองเท้ารีบสาวก้าวออกจากประตูตำหนักเสียนฝู  ไปตามทางเท้า เรียบกำแพงชั้นใน โดยไม่อาจตอบคำถามได้แม้กระทั่งตัวเองว่า ตำหนัก อี้คุนกง อยู่แห่งใด  เห็นใครผ่านไปมาระหว่างทางจึงหยุดถามทัก หวังเพียงว่าจะไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา


“พระสนม รอข้าน้อยด้วยพะยะค่ะ”

“พระสนม โปรดหยุดวิ่งก่อน พะยะค่ะ”


หยางเฟิ่งหันกลับไปมองด้านหลัง  ไป่หลิว เหลียงจั่ว สองขันทีน้อยวิ่งกระหืดกระหอบขนาบคู่ ต้อนตามหลังมาติดๆ 

แย่แล้ว...ใกล้จะตามมาถึงเต็มทีแล้ว  จะทำอย่างไรดีล่ะ


ในหัวของหยางเฟิ่งครุ่นคิดปะปนพันวัน  แต่แล้ว ก็พบที่ซ่อนตัว  เบื้องหน้าด้านซ้ายมือมีประตูบานใหญ่แง้มเปิดอยู่  ไม่มีเวลาคิดแล้ว เขาเลยตัดสินใจหลบเข้าไปในนั้นก่อน


ด้วยทางที่วิ่งมานั้น เป็น ทางเลี้ยวแยกซับซ้อนมากมาย แม้จะเดินตามกันมาติดๆก็อาจพลัดหลงได้โดยง่าย


“ช้าก่อนไป่หลิว  พะ...พระสนม หะ..หายไปแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้ พวกเราวิ่งตามมาติดๆเช่นนี้ จะคลาดสายตาไปได้ยังไง?”

“หรือว่า พระสนมจะหลงทาง”

“อาจจะเป็นไปได้  ไอ้หยา...เหลียงจั่ว ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่าเรื่องใหญ่แน่  ไปตามหาตัวพระสนมต่อให้เจอเร็วเข้า”


เสียงไป่หลิว เหลียงจั่ว เงียบไปแล้ว....  พวกเขาคงไปแล้วจริงๆสินะ  คงไปแล้วแน่ๆ  หยางเฟิ่งได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหอบ  นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไมได้วิ่งหนักหน่วงและเร่งความเร็วขนาดนี้ 


ว่าแต่...ที่ที่เขาใช้หลบซ่อนตัวอยู่นี้ มันคือที่ไหนกัน?


หยางกุ้ยเหริน มองดูบรรยากาศโดยรอบ เบื้องหลังประตูสีแดงใหญ่บานเก่านี้ นำพาเขามาอยู่สถานที่แห่งใดกัน  มีเพียงกำแพงสูงหกเมตรกั้น  แต่ด้านในแตกต่างจากด้านนอกสิ้นเชิง


ที่นี่ทั้งเงียบ ทั้งเปลี่ยว  มีหญ้าล้มลุกขนาดเล็กแซมขึ้นตามรอยแตกแยกของพื้น เป็นหย่อมๆ  บ่งบอกว่าถูกทิ้งร้างไว้นาน  ไม่ได้รับการดูแลแน่นอน   อีกทั้งไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่นางกำนัน  ขันที หรือแม้แต่ทหารวังหลวงสักคน   

ตัวอาคารที่ปลูกสร้างไว้สวยหรู  กลับถูกปล่อยให้ทรุดโทรม ช่างวังเวงพาใจคิดเป็นอื่นไกลยิ่งนัก 

บ้าจริงๆเชียว  บรรยากาศชวนให้ขนหัวลุกดีแท้ นี่เพิ่งกลางวันแสกๆนะ

ดูท่าทางคงจะไม่ดีแล้ว ต้องรีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่า...



“นั่นใคร!?”


“!!!”


ขาที่กำลังจะเดินออกประตูบานเดิม  แข็งทื่อหยุดชะงัก เมื่อเสียงปริศนาทักดังก้องเหมือนว่าดังจากด้านหลัง?
เอ๋....จากด้านหลังจากนั้นเหรอ  หรือว่านี่ เขาจะเจอดีเข้าให้แล้วจริงๆ  หยางเฟิ่งทำใจดีสู้เสือรีบหันหลังกลับไปมองโดยเร็ว


ขวับ!


“เหวอออออ”  ร่างชายหนุ่มแทบเซถลาหงายหลังล้ม โชคยังดีรู้สึกเหมือนจะมีฝ่ามืออันแข็งแกร่งมาประครองไว้ตรงแผ่นหลังของเขา


ฝ่ามือนั้น คงไม่ใช่ของใครอื่นไกล แต่เป็นมือของชายปริศนาผู้หนึ่ง ถือวิสาสะมายืนประชันชิดเขาจากด้านหลังเมื่อครู่  หยางเฟิ่งสบสายตาคนผู้นั้นอย่างใกล้ชิด ใบหน้าห่างกันเพียงสองฝ่ามือเห็นจะได้


“เอ่อ...ข้าขอโทษ ”


ยังไม่ทันได้พินิจอันใดต่อ เสียงทุ้มหนักแน่นของผู้ก่อเหตุก็เปรยขึ้นเสียก่อน  เมื่อหยางเฟิ่งกลับมาทรงตัวยืนได้ดังเดิม  ชายผู้นั้นก็ถอยหลังห่างออกไปตามที่ควรจะเป็น



....เปรียบหยกเขียวเป็นหญิงงาม  เปรียบกระบี่หนึ่งด้ามเป็นวีรบุรุษ...


ตอนนี้เองเข้าได้เห็นองค์รวมของบุรุษเบื้องหน้า  ชายผู้นี้  จะว่าไปเรือนกายสูงใหญ่เยี่ยงชายชาติทหาร  อกผายไหล่ผึ่ง   ช่างสง่างามเหลือเกิน  หยางเฟิ่ง แม้มีความรู้ติดตัวมาน้อย แต่พอจะประเมินชายตรงหน้าได้ จากอาภรณ์ที่สวมใส ผ้าชั้นดีสีน้ำนม กับลวดลายปักมือรูปมังกรสีทอง โดดเด่นตัดเฉดสี  เขาคือคนของราชวงศ์ ชาติตระกูลอ้ายซินเจว๋หลัวเป็นแน่แท้


แต่ว่า....เพราะเหตุใดกัน ท่านอ๋องผู้นี้จึงปรากฏอยู่ในเขตวังหลัง แห่งนี้ได้ นับว่าผิดกฎธรรมเนียมนัก


“ถวายพระพร ท่านอ๋อง” แม้ไม่รู้จักพระนาม แต่สรรพนามที่แทนบุรุษตรงหน้าล้วนมั่นใจนัก ว่าคือพี่น้องฮ่องเต้

สองตาคมเพ่งมอง ราวกับกำลังประเมินคำพูดของหยางเฟิ่ง คิ้วเข้มน่าเกรงขามขมวดชิดแน่นขนัด  ไม่เพียงแค่หยางเฟิ่งที่กำลังใช้ความคิดไตร่ตรอง แต่ท่านอ๋องผู้ทรงเกียรติก็มองเขาเช่นกัน


ในพระทัยได้แต่คิด หลังจากปลายตามองพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  ว่าเหตุใด จึงปล่อยให้คุณชายจวนขุนนาง มาเดินเพ้นพ่านในสถานที่ส่วนตัวของเขา แห่งนี้ได้ 


“เจ้า เป็นคนนอก เหตุใดมาอยู่เขตราชฐานในวังหลังแห่งนี้ได้ โดยเฉพาะ ตำหนักนี้!”


ตายจริง....หยางเฟิ่งได้แต่ตำหนิตัวเอง เมื่อก้มลงมองดูเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่  ยังคงเป็นชุดที่สวมออกมาจากจวนตระกูลหยางอยู่เลย  เสื้อผ้าที่พระสนมเจียเฟย ทรงเตรียมไว้ให้ ยังไม่ทันสวมเปลี่ยน ไม่แปลกนักที่ท่านอ๋องผู้นี้จะประเมินเขาเช่นนั้น


“ข้าขออภัยด้วยที่เสียมารยาท เดิมทีข้าเพิ่งเข้ามาวังหลวงวันแรก ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดของ เอ่อ....สะ..สนม พะยะค่ะ”

“หืม? สนมอย่างนั้นเหรอ  อ้อ สนมใหม่ที่ท่านพี่เพิ่งเลือกไปไม่กี่วันก่อนนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่ พะยะค่ะ”

“ที่แท้ท่านก็คือ....” สายเลือกมังกรทองเว้นคำพูดไป เพื่อให้อีกฝ่ายเติมคำลงไปแทน

“เอ่อ นามของข้าคือ หยางกุ้ยเหริน ตำหนักเสียนฝู พะยะค่ะ”

“ตำหนักเสียนฝู  อ้อ ตำหนักพี่สะใภ้เจียอี้  ข้าเคารพเจียเฟยเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงใจดี และมีเมตตา วาสนาท่านแล้วที่ได้อยู่ที่นั่น  ”

“ขอบพระทัยที่ทรงชม” หยางเฟิ่งรู้สึกร้อนบนใบหน้า ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด อากาศที่ร้อนระอุยามกลางวัน หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณว่าจะเป็นลมแดด

“ว่าแต่ท่านเถอะ เหตุใดถึงได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้  หากให้ข้าเดาส่งเดช ท่านกำลังหลบหนีผู้ใดอยู่”

“ปะ...เปล่านะ ข้าเปล่าหลบหนี ” หยางเฟิ่งรีบปฏิเสธ  อะไรกัน...จะเดาออกทุกเรื่องเลยหรืออย่างไร

“หึหึ เช่นนั้น บอกข้าทีซิว่า ท่านเข้ามาที่นี่ได้เพราะเหตุใด คนทั้งวังต่างรู้ดีว่าตำหนักนี้ คือตำหนักปิดตาย ไม่ควรเข้ามายุ่มย่าม แต่เห็นว่าท่านเป็นสนมของเสด็จพี่ ข้าจะละเว้นโทษท่านครั้งหนึ่ง”

“ละเว้นโทษเหรอ  ตะ...ตายแล้ว    ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ละเว้นโทษให้กระหม่อม”

“เอาล่ะๆ คำว่าตาย ในวังหลวงแห่งนี้ท่านอย่าพูดพร่ำเพื่อ ไม่เช่นนั้นท่านจะตาย จริงๆ   อืม...ข้าจะละเว้นโทษให้พระสนมก็ต่อเมื่อเล่าความจริงให้ข้าฟัง ว่าท่านหลบหนีอะไรอยู่”


นับว่าแววตาอ่านสถานการณ์ของอ๋องผู้นี้เฉียบขาดหลักแหลมนัก หยางเฟิ่งไม่อาจปกปิดวาจาใดๆกับเขาได้เลย หากไม่อยากให้ตนเดือดร้อน ควรเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฟังจะดีกว่า 


แต่เอ๊ะ ไหนๆก็ต้องเล่าแล้ว สู้เสียให้อ๋องผู้นี้สานต่อเจตนารมณ์  ไปช่วยนางกำนันผู้นั้นแทน ไม่ดีกว่าหรือ?


“ข้า...คือข้าเห็นนางกำนันคนหนึ่งซุ่มซ่ามทำสำหรับ หมิงกุ้ยเฟย เสียหายไม่มีชิ้นดี แล้วถูกนำตัวไปลงโทษที่ตำหนักอี้คุน ข้าเป็นห่วงนางกำนันผู้นั้นมาก เลยวิ่งตามมา ระหว่างทางขันทีคนของข้าได้วิ่งตามด้วย ข้ากลัวว่าจะถูกขัดขวาง....”  ท่านอ๋องยกมือปรามเพื่อขอให้หยุดการเล่าเรื่อง ทั้งๆที่เล่าไม่ทันจบ สงสัยคงรู้แล้วสิ


“ศาลเตี้ย สำหรับวังหลังเป็นเรื่องธรรมดา หากพระสนมยังอยู่ที่นี่ต่อไป จะได้เห็นเช่นนี้มากขึ้น และจะชินไปเอง ”

“ชินเหรอ ท่านอ๋อง  ที่ท่านพูดมา ฟังดูชินชาเกินไปหรือเปล่า  นางกำนันผู้นั้นมีชีวิต มีเลือดเนื้อนะพะยะค่ะ”

“พระสนมหยางกุ้ยเหริน คงยังไม่เข้าใจชีวิตของวังหลังแห่งนี้  ”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ผู้น้อย ไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดได้ จากผู้ที่นั่งอยู่สูงกว่า  และหมิงกุ้ยเฟย เป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในวังหลัง เป็นสนมผู้โปรดปราณของเสด็จพี่ อีกทั้งตระกูลหมิง มีความดีความชอบให้แก่ฝ่ายราชสำนัก ขุนนางพระญาติฝั่งซ้ายและขวา ทั้งบุ๋นทั้งบู้  อำนาจบารมีใหญ่นัก แม้แต่เสด็จพี่ที่เป็นถึงฮ่องเต้ยังต้องเกรงพระทัย”


“ฮึก...ชะ..เช่นนั้น นางกำนันผู้นั้น ต้องตายเหรอ พะยะค่ะ ฮึก ”

หยางเฟิ่งได้ฟังแล้วสะเทือนใจยิ่งนัก เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเช่นนี้  อีกทั้งไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ เลวร้ายกว่านั้นคือ ต้องเห็นและทำใจให้ชิน


“พระสนม อย่าร้องไห้ไปเลย ท่านต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยก็ห่วงตัวท่านเองบ้างเถิด  หากไปที่นั่น คนที่จะชะตาขาดคือท่าน มากกว่านางกำนันผู้นั้นเสียอีก  การแต่งกายของท่านเช่นนี้ หมิงกุ้ยเฟยได้ทอดพระเนตรอาจคิดว่าท่านหยามเกียรติ ไม่ให้เกียรติตำหนักพระองค์ด้วยซ้ำ ”


“ได้ ฮึกฮึก  ขะ...ข้าจะกลับตำหนักแล้ว...  หยางกุ้ยเฟริน ทูลลาท่านอ๋อง”


หยางเฟิ่ง เอามือปาดน้ำตา ก่อนจะผละการสนทนา  แม้จะไม่ทราบชื่อท่านอ๋อง แต่เขาจะไม่ลืมเลย อ๋องผู้นี้ได้อธิบายให้เขาฟังทุกอย่าง   จะมีประโยชน์อันใดกัน หากสถานที่สวยราวสวรรค์แห่งนี้ กลับมีคนใจร้ายฉีกเลือดกินเนื้อไม่ปราณีราวผักปลา


“ช้าก่อน พระสนม!”

“....”

“ก็ได้ๆ  ครั้งนี้ข้าจะไปช่วยนางกำนันผู้นั้น แทนท่าน  แต่ครั้งนี้ เพื่อเห็นแก่ความเมตตาอารีของท่านนะ ข้าเองก็ไม่อาจทนเห็นคนผู้น้อย ถูกลงทัณฑ์จนต้องปลิดชีวิตไปคนแล้วคนเล่า”

“จริงเหรอ ท่านอ๋องจะช่วยจริงๆเหรอพะยะค่ะ  ”

“อืม  พระสนมโปรดวางพระทัย กลับไปรอที่ตำหนักเถิด เสร็จการแล้วข้าจะให้ทหารวังหลวงคนของข้าส่งข่าวไปยังตำหนักเสียนฝู”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง  ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

“พระสนมลุกขึ้น อย่าทำเช่นนี้ มันผิดกฎ  ท่านจะคุกเข่าคำนับน้องเขยอย่างข้าไม่ได้”

“ขออภัย แต่ขอให้ข้าได้ทำเถิด  ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไร ลำบากท่านแล้ว ที่เป็นธุระให้  ”

“อืม ข้าจะรีบไปอี้คุนกงเดี๋ยวนี้แหละ หวังว่าวันหนึ่งเราคงได้เจอกันอีก”

“พะยะค่ะ หยางกุ้ยเหริน ถวายพระพรท่านอ๋อง”


อ๋องผู้สง่า เดินจากไปแล้ว หยางเฟิ่งได้แต่ยืนส่งพระองค์ คงกำลังมุ่งไปที่อี้คุนกง การพบเจอโดยบังเอิญเช่นนี้ จะถือว่าเป็นโชคชะตาก็แล้วกัน

แต่...เรื่องที่พบท่านอ๋องในตำหนักเก่าร้างเช่นนี้ เขายังไม่เข้าใจอยู่ดี ที่แห่งนี้มีอะไร? 

หยางเฟิ่งเดินออกนอกประตู แล้วชำเลืองมองขึ้นไป ตรงคานประตูไม่มีแม้แต่ป้ายตัวอักษรบอกชื่อตำหนัก ที่แห่งนี้ต้องมีอะไร
บางอย่างเกี่ยวพันกับอ๋องผู้นี้แน่



ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ  เหม่อมองท้องฟ้า ฝูงนกบินข้ามผ่านศีรษะเพื่อกลับรัง  ระหว่างทางเขาได้แต่ยิ้มให้ตัวเอง มาเยือน
ถิ่นนี้วันแรกก็เกือบจะสร้างเรื่องให้ตัวเองเสียแล้ว  หากท่านพี่เจียอี้ทราบเรื่องจะลงโทษเขาหรือไม่นะ  เจ้าของตำหนักมีสิทธิ์ว่ากล่าวตักเตือนสนมยศต่ำในตำหนักตนได้นี่

แต่...หากไม่มีใครบอกท่านพี่  ก็คงไม่รู้เรื่องราวในวันนี้แน่  หยางเฟิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆด้วยความอ่อนล้าจนกระทั่งกลับถึงตำหนักเสียนฝู ไม่คิดว่าเขาจะวิ่งออกมาจากตำหนักไกลขนาดนี้  ขากลับเลยต้องลำบากขาสองข้างพยุงตัวแล้วสิ


“เจ้าไปไหนมา หยางเฟิ่ง” สุรเสียง เรียบเปรยถาม ทันทีที่เดินเข้าประตูกำแพงตำหนัก

“ท่านพี่เจียอี้!”


เบื้องหน้า คือ เจียเฟย ยืนรอเฝ้า ประจันหน้าเขาเป็นคนแรก พอมองดูคนของตำหนักเสียนฝูที่เหลือ ต่างก้มหน้าก้มตา  อีกทั้งไป่หลิว เหลียงจั่ว ยังยืนยิ้มเจื่อนๆให้อีกด้วย

เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่า  เหตุการณ์ตรงหน้า มีที่ไปที่มาเป็นอย่างไร


“พี่เจียอี้คง  ซะ...ทราบเรื่องแล้วเหรอพะยะค่ะ”  อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่ถอนหายใจ

“ตามข้าเข้าไปที่ตำหนักก่อน เร็วเข้า”

“พะยะค่ะ”

อะไรกัน ชายหนุ่มผู้แสนจะเรียบร้อย และแสนดี ตอนนี้ท่าทีเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว  หรือว่าท่านพี่กำลังโมโห  พระสนมกำลังโกรธเขาเป็นแน่  นี่เขากำลังจะโดนตักเตือนครั้งแรกเหรอ


“พระสนม  ข้าน้อยผิดไปแล้ว  แต่ว่าข้ากับเหลียงจั่ว เป็นห่วงท่านมากนะพะยะค่ะ”

“ใช่แล้วพะยะค่ะ คิดอะไรไม่ออก เลยตัดสินใจไปทูลพระสนมเจียเฟยที่ตำหนักฝ่าบาท”

“ไม่เป็นไร ผิดครั้งนี้ข้าจะรับไว้ผู้เดียว พวกเจ้าไม่ผิดหรอก ขอบใจมาก กลับไปรอข้าที่ตำหนักก่อนเร็ว”

“พระสนม...”

“อย่าห่วงเลย พระสนมเจียเฟย ไม่ลงโทษข้ารุนแรงเหมือน หมิงกุ้ยเฟยแน่ วางใจเถอะนะ”

“พะยะค่ะ”


หยางเฟิ่ง เอาฝ่ามือตบไหล่ขันทีน้อยทั้งสองเพื่อให้หายกังวล  เขาทราบดีว่าที่นี่คือวังหลวง มีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบมากมาย หากฝ่าฝืนก็ต้องรับโทษไปตามนั้น ตอนนี้เขาไม่ห่วงตัวเองแล้ว จะห่วงก็แต่นางกำนันสาวผู้นั้น หวังว่าท่านอ๋องปริศนาผู้นั้นจะไปช่วยได้ทันเวลา


คำพังเพยว่าไว้...จิตใจคนคดเคี้ยว ยากแท้หยั่งถึง...


ภายในตัวตำหนักที่ประทับพระสนมเจียเฟย  หยางเฟิ่งเดินเข้าไปภายใน เห็นท่านพี่นั่งอยู่ก่อน  มีขันทีหัวหน้าตำหนักเสียนฝูเพียงคนเดียวกำลังยืนรินน้ำชาสองถ้วย


“นั่งก่อนสิหยางเฟิ่ง”

“พะยะค่ะ”

“ข้าจะเตือนเจ้าครั้งสุดท้าย  อย่าคิดลองดีกับหมิงกุ้ยเฟย  ชีวิตของเจ้ามีแค่ลมหายใจเดียว อย่าเอาไปเสี่ยงกับเรื่องเช่นนี้  จำที่ข้าพูด หรือสอนเจ้าเมื่อเช้าไม่ได้หรืออย่างใดกัน”

“หยางเฟิ่งขอประทานอภัยจากท่านด้วย ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”

“เอาเถอะๆ ลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว  เจ้านี่นะ ดื้อนักเชียว”

“ขอบพระทัยท่านพี่”

“แล้ววันนี้เจ้าวิ่งไปถึงไหน ไป่หลิว เหลียงจั่ว วิ่งตามหาเจ้าแทบทุกมุม ยังไม่พบ ”

“ข้า...”  จะทำอย่างไรดี จะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพี่ฟังจะดีไหม  แต่ถ้าหากบอกไป ท่านอ๋องผู้นั้นจะถูกตำหนิ หรือโดนลงทัณฑ์ไปด้วยหรือเปล่า  โทษฐานที่เข้ามาในเขตราชฐานวังหลัง

“ว่ายังไง  อ้ำอึ้งอยู่ได้”

“ข้าไม่รู้ว่าไปที่ใดบ้าง  รู้แต่ว่าข้าวิ่งไปไกลมาก ”

“ฮ่าๆ  ข้าว่าเจ้าหลงทางแล้วล่ะ แต่ยังดีที่เจ้ากลับมาตำหนักถูก วังหลวงกว้างใหญ่เจ้าอย่าไปเดินซี๊ซั้วที่ไหนอีกนะ คิดจะเดินไปที่ใดก็ได้ตามใจหรืออย่างใดกัน”

“ข้ารับคำชี้แนะจากท่านพี่ ต่อไปจะไม่วู่วามอีกแล้ว”

“ดีแล้ว  เชื่อข้าแล้วชีวิตเจ้าในวังหลังแห่งนี้จะยืนยาวนะหยางเฟิ่ง  คืนนี้ให้ไป่หลิว เหลียงจั่วพาเจ้าแช่น้ำนมโรยกลีบกุหลาบ ขัดผิว ล้างตัวให้สะอาดนะ”

“ต้องขนาดนั้นเลยเหรอท่านพี่  เกิดมาข้าไม่เคยล้างตัวหรูหราเช่นนี้”

“นี่ยังน้อยไป ยิ่งเจ้าเป็นสนมของฝ่าบาท มีหรือที่การเป็นอยู่ปรนนิบัติจะด้อยค่า”

“ท่านพี่ข้ามีร้องจะทูลถามท่าน...” เจียเฟยสีหน้าไม่สบายใจ เพราะทุกครั้งที่หยางเฟิ่งถามมักเป็นเรื่องหนักใจทั้งนั้น

“ว่ามาเถอะ”

“มีสนมคนใดที่ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดบ้างไหมพะยะค่ะ”

“หืม...มีสิ ว่าแต่เจ้าถามเช่นนี้ เพราะเหตุใด”

“หากไม่ได้รับการโปรดปราณแล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตที่จวนเหมือนเดิมได้หรือเปล่า  เอ่อ...ข้าหมายถึงได้กลับบ้าน  กลับไปเป็นสามัญชน”

“ชู่วววววว  หยางเฟิ่ง  เจ้าพูดอะไรออกมา  อย่าพูดถึงบ้านเกิดอีกเป็นอันขาด เพราะวังหลวงแห่งนี้คือบ้านของเจ้า ที่นี่คือบ้านของเจ้า อย่าโหยหาสิ่งใดอีก นอกจากที่นี่”

“นี่ก็เป็นคำต้องห้ามอีกเหรอท่านพี่ แล้วสนมที่ไมได้รับการโปรดปราณแล้ว ฝ่าบาทจะทรงกักขังไว้ด้วยเหตุใด”

“ไม่มีคำตอบหรอก เพราะคนที่ฝ่าบาทคัดสรรมา ล้วนแล้วคือภรรยาของพระองค์ ส่วนจะทรงโปรดหรือไม่นั้น ก็ไม่อาจเลือกทางเดินชีวิตได้ เพราะชีวิตที่พระองค์ให้มานั้น ย่อมดีที่สุดแล้วในใต้หล้านี้”

“ท่านคิดอย่างนั้นเช่นกันหรือ”

เจียเฟย ไม่ตอบ ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาที่จดจ้องมองมาแน่วแน่ยิ่งนัก

“ท่านลำบากใจสักครั้งหรือไม่ ที่มีชีวิตเช่นนี้”

“ฟังข้านะ หยางเฟิ่ง  เกิดมาในตระกูลขุนนาง มีทางเลือกใดได้อีก หากตอนนี้ข้ามิใช่พระสนม  ข้าอาจจะต้องรับราชการ เป็นขุนนาง แม่ทัพ ไปอยู่ตามชายแดนแคว้นต่างๆ คิดไปคิดมา ข้าว่าชีวิตในวังหลวงตอนนี้ก็นับว่าดีแล้ว”

“ข้าหนักใจเหลือเกิน”

“เอาล่ะ เลิกคิดมากได้แล้ว กลับไปที่เรือนพักเจ้าเพื่อเตรียมการถวายพระพร หมิงกุ้ยเฟย พรุ่งนี้เถิด”

“พะยะค่ะ หยางเฟิ่งทูลลาท่านพี่”

หนุ่มน้อยหันหลังเดินออกจากตำหนักไป  สายตาเจียเฟยมองตามด้วยความเป็นห่วงไม่น้อย

“ทูลพระสนม หากหยางกุ้ยเหรินทำตัวเช่นนี้ต่อไป สักวันจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านแน่นอนนะพะยะค่ะ ”

ขันทีอาวุโสคนใกล้ชิดเจียเฟย ออกความเห็นด้วยความเป็นห่วงเจ้านายตน

“ข้าก็คิดเช่นเจ้า... แต่ไม่เป็นไร  ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป  หากรั้งไว้ไมได้ คงต้องปล่อยเขา วังหลวงแห่งนี้ หากไม่รักชีวิตตัว
เอง ย่อมตายเปล่า ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ  ฝ่าบาททรงชื่นชอบพระสนมที่เรียบร้อย อยู่ในโอวาท แม้แต่หมิงกุ้ยเฟยผู้ทะนงศักดิ์และน่าเกรงขาม ยังฉลาดเอาอกเอาใจ”

“อืม ข้าว่า...หยางเฟิ่ง หากยังกระทำตัวเช่นนี้  คงไม่ต่างจากสนมที่ไร้การโปรดปราณ  รังแต่จะได้รับโทษ แล้วเนรเทศเข้าไปอยู่ตำหนักเย็นสักวัน”

“พระสนมตรัสถูกต้องแล้ว  ทีแรกเห็นความสง่างามของหยางกุ้ยเหริน ข้าเป็นห่วงท่านนัก แต่พอเห็นกิริยาของสนมผู้นี้แล้ว  ข้าน้อยก็หายห่วง ท่านสบายใจได้”


เจียเฟย สบตากับขันทีคู่ใจ พร้อมรอยยิ้มมุมปากให้กันและกัน ก่อนจะหยิบถ้วยชาร้อนขึ้นมาจิบ   

ความเย็นของไอฝนภายนอกตำหนักเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณ ดูเหมือนฤดูกาลกำลังจะผลัดเปลี่ยนเสียแล้ว...


โปรดติดตามตอนต่อไป



คริคริ ใครเงิบบ้างครับ ฮ่าๆๆ  เดี๋ยวมีเงิบอีกเรื่อยๆ  โปรดติดตาม...

ท่านอ๋องผุูู้นั้น มีบทบาทสำคัญมาก  ใบ้ได้แค่นี้ อิอิ

ปล. ตระกูล อ้ายซินเจว๋หลัว คือตระกูลดั้งเดิมของปฐมจักพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ชิง

 :mew1: :mew1: :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2020 14:19:07 โดย ครามพิสุทธิ์ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พระสนมเจียอี้จะร้ายเงียบหรือเปล่าเนี่ย :katai1:

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เจียอี้ งูพิษ ส่วนท่านอ๋องผู้นั้นคงเป็นพระเอกสินะ :katai3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มีแต่งูพิษ

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 3



....ก้าวแรกยากแสนเข็ญ  จะตรากตรำฝืนย่ำข้ามขั้น  ทุกข์ทรมานหนักหนา....



ประตูกำแพงตำหนักหลวงอันทรงเกียรติงามสง่า ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า  หยางเฟิ่งชำเลืองมองอักขระสองตัวสีเหลืองทองบนคานประตูโดดเด่นนัก  คำอ่านว่า ‘อี้คุน’ พาจิตใจสั่นระรัวเกรงกลัวยิ่งนัก 


ทหารยามวังหลวง ตรงประตูทางเข้าตำหนัก ยืนประจำการแน่นหนา ดูเหมือนจะมากกว่าตำหนัก เสียนฝู เสียอีก แต่ทว่า ด้านในนั้นมีอะไรบ้าง ไม่อาจคาดเดาได้  ทุกสิ่งทุกอย่างจุดฉนวนให้ความอยากรู้ของเด็กหนุ่มเริ่มทำงาน


“น้องหยางเฟิ่ง เร็วเข้า  พวกเราชักช้ามามากแล้ว”

เสียงเจียเฟย เร่งเร้าเขา  อันที่จริงก็พอจะเข้าใจ  เพราะการไปถวายพรครั้งแรกแล้ว สาย ถือเป็นความผิดอย่างหนึ่ง ตอนนี้เขาเองไม่อยากจะสร้างอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวอีก ไม่เช่นนั้นทั้งเจียเฟยและตัวเองต้องเดือดร้อนแน่


เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาข้างใน สายตาก็ปะทะกับประติมากรรมของตำหนักหลักและเรือนหลังเล็กมากมาย สิ่งปลูกสร้างถูกออกแบบมาประณีตนัก รับวัฒนธรรมจากราชวงศ์หมิง ปรับประยุกต์กับแมนจู ทิเบต ผสมผสานได้อย่างลงตัว   ดูงดงาม ตระการตายิ่งนัก 


หยางเฟิ่งเห็นนางกำนันสาวและเหล่ากูกู มากมายยืนรอต่อแถวเป็นกลุ่มก้อน คอยถือสำรับอาหารเข้าไปด้านในตำหนักทีละชุด ดูท่าทางประมุขตำหนักอี้คุน คงจะจัดงานฉลองยิ่งใหญ่แก่เหล่าสนมอื่นๆไม่น้อย


“ถวายพระพร เจียเฟย  คาราวะ หยางกุ้ยเหริน”  ขันทีสวมอาภรณ์สีแดง เดินเข้ามาต้อนรับ บ่งบอกถึงความอาวุโสและมีอำนาจ
แห่งตำหนัก เจ้าตัวคุกเข่าขวาลง แล้วชันเข่าซ้าย เอากำปั้นขวาแนบพื้นเพื่อแสดงความเคารพ

“ลุกขึ้นเถอะ ลั่วกงกง”

“ขอบพระทัย พระสนม”

“ขออภัยที่ข้ามาถึงช้าไปสักหน่อยนะ” เจียเฟยเอ่ยปากออกตัว  ก่อนที่หัวหน้าขันทีตำหนักอี้คุนจะยิ้มรับ

“ถึงอย่างนั้นก็ยังทันการพะยะค่ะ พระสนมเชิญด้านใน พระสนมหมิงกุ้ยเฟยจวนจะฉลององค์เสร็จแล้ว”

“ขอบใจ ไปกันเถอะน้องหยางเฟิ่ง”

“พะยะค่ะ”

หยางเฟิ่ง สบสายตา ลั่วกงกง เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น แต่ทุกอย่างกลับชวนน่าค้นหามากมาย แววตาที่สื่อมายังเขาเช่นนี้   มันคืออะไร ขันทีอาวุโสกำลังจะบอกสิ่งใดกันแน่



ภายในตัวตำหนัก เก้าอี้ไม้แกะสลักลวดลายแมนจูโบราณ ถูกวางไว้ให้บรรดาสนมนั่ง จำนวนนับไม่ถ้วนตั้งเรียงรายจับคู่หันหน้าเข้าหากัน จากประตูทอดยาวไปยังด้านหน้าจนเกือบชิดบัลลังก์หงส์ทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางเป็นองค์ประธาน  มีฉากหลังเป็นแผ่นโลหะทองคำที่มีอักษรกำกับ อ่านว่า อำนาจ บารมี เอาไว้ด้วย 


สายตาเหล่าบรรดาสนมทั้งหลายที่มาถึงก่อน กำลังหันหน้าส่งสายตาจดจ่อกับการมาเยือนของเขาและเจียเฟย  แต่ดูเหมือนว่าทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง เริ่มขยับตัว ลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ เจียเฟย หรือว่าจริงๆแล้ว เจียเฟย คือผู้มีอำนาจรองจากหมิงกุ้ยเฟย อย่างนั้นเหรอ


“ถวายพระพรพระสนมเจียเฟย”

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ  ”

“ขอบพระทัย” เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงเก้าอี้ประจำตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย เจียเฟยจึงหันมาพูดคุยกับเขาบ้าง

“น้องหยาง นั่นเก้าอี้ของเจ้า  นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ต้องกลัว ทำตัวเหมือนที่ไป่หลิว เหลียงจั่ว สอนเจ้าก็พอแล้ว”

“พะยะค่ะท่านพี่”


ว่าเสร็จพระสนมเจียเฟย ก็เดินไปยังด้านหน้า ที่มีเก้าอี้ขวามือเว้นว่างเอาไว้ หากหยางเฟิ่งคาดเดาแล้วละก็ คงจะเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งยศ พระสนมชั้นเฟย อย่างแน่นอน



....หงส์เหินฟ้าสยายปีกทอง ท่วงท่างดงาม ควรค่าบารมีแห่งมังกรสวรรค์...


“หมิงกุ้ยเฟย เสด็จ”


ไม่นานนัก เสียงประกาศก้องจากลั่วกงกง  ได้ดึงจุดสนใจจากเหล่าบรรดาสนมที่นั่งสนทนา ได้หยุดเจรจาพูดคุย ทุกคนรีบกุลีกุจอลุกออกจากเก้าอี้นั่ง ยืนสำรวมหันหน้าไปยังบัลลังก์หงส์ทองขนาดใหญ่ตรงกลางอย่างพร้อมเพรียงเพื่อรอการคาราวะ ของเจ้าปกครองวังหลัง


เรือนกายอันสง่างามและสูงส่ง เดินพ้นฉากม่านไม้ไผ่ทองด้านซ้าย ปรากฏต่อสายตาหยางเฟิ่งและสนมหน้าใหม่ทั้งหลาย ครั้งแรกที่ได้ยลโฉม ได้ปักใจเชื่อแล้วว่า บารมีของหมิงกุ้ยเฟยยิ่งใหญ่นัก   ไม่แปลกที่ได้ศักดิ์และสิทธิ์ในการปกครองหกตำหนักวังหลังจากองค์ฮ่องเต้


ทุกย่างก้าว แม้จะเดินเนิบนาบกรุยกราย แต่กลับสะกดสายตาเหล่าสนมและเหล่าขันทีในห้องโถงถ้วนหน้า อาภรณ์สีแดงเฉิดฉายที่สวมอยู่ราวแสงตะวันอรุณรุ่งปลายนภามาปรากฏกลางตำหนักแห่งนี้แทน


ผิวกายขาวสะอาดตัดเฉดสีชุดขาดออกจากกัน  พระองค์ค่อยๆหันหน้ามาทางเหล่าสนม  แล้วนั่งลง ได้เห็นโฉมพระพักตร์ชัดๆ หยางเฟิ่งไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความงดงามของหมิงกุ้ยเฟย ที่มีเคล้าทั้งบุรุษและสตรีผสมผสานกันอย่างลงตัว ช่างงดงามยากจะหาใครใต้หล้านี้มาทดแทนได้


นี่นะเหรอ คือพระสนมที่ดำรงตำแหน่ง กุ้ยเฟย  บนเศียร พระองค์วันนี้ สวมหมวกกำมะหยี่ฐานกลมสีแดง ยอดหมวกแหลมชี้ชูขึ้นเพดานประดับด้วยหงส์ทองสามตัวเรียงลำดับจากใหญ่ไปเล็ก  นั่นคือหงส์สัญลักษณ์คู่เคียงบารมีองค์ฮ่องเต้  ช่างโดดเด่นนัก 
ดวงตาสีดำล้มเปี่ยมด้วยอำนาจ  คิ้วหนาเข้มโค้งได้รูป รับกับโครงพระพักตร์รูปไข่เล็กพอเหมาะ  ช่างดูสง่างามและทรงพลัง ราวกับเทพเซียนก็มิปาน  หยางเฟิ่งทอดสายตามองดูชุดลายปักดอกโบตั๋นสีแดงสดที่หมิงกุ้ยเฟยสวมใส่ ถูกตัดเย็บประณีตให้มีขนาดพอดีตัว แต่ความระย้าของชายผ้ายาวพลิ้ว  ถูกจัดวางสยายปกคลุมตามพื้นพรมอ่อนนุ่ม ยาวยื่นลงมาหาเหล่าบรรดาสนมช่างสง่าเทียบเท่าจักรพรรดินีก็มิปาน 


ถึงตอนนี้หยางเฟิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ด้วยบรรยากาศพาไป เขากำลังเหมือนโดนมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น  นี่เขาคิดถูกแล้วใช่หรือไม่  ที่เมื่อวานไมได้มาก่อเรื่องที่นี่ ช่างโชคดีเสียจริง โชคดีเหลือเกิน

“ถวายพระพรพระสนม ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พัน พัน ปี”เสียงสรรเสริญคำอวยพร ดังก้องทั่วห้องโถงโดยพร้อมเพรียงกัน หยางเฟิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากทีเดียว

“สนมทั้งหลาย ลุกขึ้น” สุรเสียงเย็นเฉียบ ทำเอาขาสองข้างของหยางเฟิ่งทำงานไม่คล่องแคล่วเอาเสียเลย

“ขอบพระทัย ”


เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง  จมูกสันโด่งเล็กๆของหยางเฟิ่งสำผัสได้ถึงกลิ่นกำยานโชยมาแต่ไกล คงจะเป็นคนของตำหนักอี้คุน จุดเอาไว้ที่ไหนสักแห่งกระมัง มันช่างหอมละมุนเสียจริง แต่จะดีกว่านี้หากไม่จุดมันเลย

“เจียเฟย วันนี้เจ้าแต่งตัวสีน้ำทะเล ช่างดูเรียบง่ายเสียจริงนะ” หมิงกุ้ยเฟยเริ่มมีปฏิสันถารกับเหล่าสนม

“ทูลพระสนม วันนี้กระหม่อมเห็นว่าอากาศดี ไม่ร้อนไม่หนาว สีน้ำทะเลจะทำให้มองแล้วดูผ่อนคลายพะยะค่ะ”

“อืม หึหึ  ฝ่าบาทก็กล่าวเช่นนั้น ว่าเจ้าฉลาดในการแต่งกาย อีกทั้งยังรู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ นับว่าเจ้ารู้จักปรณนิบัติฝ่าบาทดีอีกด้วย  ”

“ขอบพระทัยพระสนม” เจียเฟยเริ่มมีเหงื่อซึมออกบริเวณใบหน้า จะปีแล้วปีเล่า ไม่เคยชินกับการเข้าเฝ้ากุ้ยเฟยเลยสักครั้ง

“ได้ข่าวมาว่า สนมใหม่มีถึงแปดคน  หนึ่งในนั้นมีคนที่ฝ่าบาทกล่าวถึงบ่อยๆ ....ใครกันนะ ลั่วกงกง...”

“ทูลพระสนม กระหม่อมพอจะทราบมาบ้าง พระสนมผู้นั้นคือ หยางกุ้ยเหริน พะยะค่ะ”

“อ้อ.... ชื่อหยางกุ้ยเหรินสินะ ใครกันล่ะ”



…เสียงฝูงม้าพยศกลางสงครามนับร้อย ไม่อาจสะเทือนดังเทียมเท่าเสียงหัวใจยามตื่นตระหนกได้...


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


หัวใจของหยางเฟิ่งกำลังเต้นแรง  ชื่อของเขาถูกเปรยขึ้นจากลั่วกงกงโดยไม่ทันตั้งตัว เตรียมใจใดๆมาก่อนเลย แน่นอนว่าทุกสายตากำลังมองหาเขา รวมทั้ง หมิงกุ้ยเฟย


หยางเฟิ่งเริ่มประหม่าอย่างเห็นได้ชัด  ทำสายตาเลิกลัก โชคยังดีที่หันไปสบดวงตา เจียเฟย ที่กำลังขยับปากปากขมุบขมิบ บอกใบ้ ให้ลุกขึ้นยืนตอบพระสนมโดยเร็ว


“ทะ..ทูล พระสนม กระหม่อม หยางกุ้ยเหริน พะยะค่ะ”

“โย่ว   นี่หรือหยางเหริน...”ดวงตาคมกริบกำลังประเมินจดจ้องมองดูสนมชั้นผู้น้อยเบื้องล่าง หมิงกุ้ยเฟยกราดสายตาตั้งแต่ปลายศีรษะจรดเท้า 

“...เงยหน้าขึ้น”  หยางเฟิ่งกล้าๆกลัวๆแต่ก็ยอมเงยหน้าสบสายตาแต่โดยดี  เขาไม่อาจประเมินใบหน้าตนในตอนนี้เลยว่า กำลังทำสีหน้าเช่นไรต่อหมิงกุ้ยเฟย

“เด็กหนุ่มวัยสิบหก สิบเจ็ด ใบหน้าอ่อนหวาน...ไม่ต่างจากขนมหวานบนสำรับ ชามแล้วชามเล่า  ประเดี๋ยวฝ่าบาทคงเบื่อไปเอง เจ้าว่าไหม หยางกุ้ยเหริน”

“พะ พะยะค่ะ พระสนมรับสั่งถูกต้องแล้ว ขนมหวานแม้จะอะ..อร่อย หอมหวาน แต่หากเสวยนานๆ สักพักก็เบื่อเอง พะยะค่ะ”

“หึหึ ปากบางเล็กของเจ้านี่  ช่างเจรจาจริงๆ ได้ข่าวว่าเป็นลูกชายคนเล็กของแม่ทัพใหญ่ แห่งกองธงเหลือง ที่นับว่ามีเกียรติสูงศักดิ์ แต่สำหรับตัวเจ้า  นับว่าฝ่าบาทสายตาเฉียบแหลมที่เลือกเจ้า หึหึ ไม่เลวเลยนี่ ...”

ทั่วทั้งห้องโถง ตอนนี้เงียบสงัด แม้ความงดงามข้าวของเครื่องประดับที่ประเมินค่ามิได้ ก็มิอาจดึงดูดความสนใจหรือนำมาซึ่งความเพลิดเพลินผ่อนคลายใดๆแก่ผู้คนในที่นี้เลย

“เอ่อ...ทูลพระสนม  ถึงหยางกุ้ยเหรินชาติตระกูลจะสูงส่ง แต่ประสบการณ์ยังน้อยนัก ต้องเรียนรู้อีกมาก ไม่อาจสู้พระสนมที่เป็นถึงกุ้ยเฟยได้หรอก พะยะค่ะ”

เสียงของพระสนมที่นั่งตรงข้ามเจียเฟยดังกลบความเงียบ ดึงดูดสายตาประมุขตำหนักให้หันไปมองแทน


“จิ้งเฟย ช่างปากหวานจริงๆ แต่วาจาของเจ้า บอกว่า ...ไม่อาจสู้พระสนมกุ้ยเฟยได้.. ช่างไม่รื่นหูข้าเสียจริง”จิ้งเฟย ดวงตาเบิกโตด้วยความสำนึกผิด รีบลุกออกจากเก้าอี้คุกเข่า ก้มศีรษะแนบพื้น

“พระสนมโปรดอย่าทรงกริ้ว โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย” ตอนนี้ทั่วห้องโถงกำลังอยู่ในสภาวะอึดอัดยิ่งนัก มองดูการกระทำของจิ้งเฟยที่คำนับศีรษะยกขึ้นยกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า  สลับกับมองดูพระพักตร์ หมิงกุ้ยเฟย

“หึหึ เจ้าพูดราวกับว่า กุ้ยเฟยอย่างข้า อิจฉา กุ้ยเหรินเล็กๆ อย่างนั้นหรือจิ้งเฟย”

“พระสนมโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมปากพร่อย แท้จริงแล้วไม่ได้คิดจะให้ร้ายพระสนมเลยพะยะค่ะ”

“จิ้งเฟย  จงฟังให้ดี ฝ่าบาทประทาน คำว่า ‘จิ้ง’ ที่หมายถึง ความสงบเงียบ ให้แก่เจ้า  แต่ข้ายังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดคนปากพร่อยอย่างเจ้าได้รับการโปรดปราณและประทานคำนี้ให้  หึหึ!  เอาเถอะ  ข้าจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง เห็นแก่ฝ่าบาทเลือกป้ายชื่อเจ้าในคืนนี้  ข้าไม่บังอาจลงไม้ลงมือกับสนมที่กำลังจะเข้ารับปรนนิบัติคืนนี้ได้หรอก ” รอยยิ้มนั่น หยางเฟิ่งไม่อาจวางใจได้เลย พระสนมจิ้งเฟยคนนี้ไม่รอดแน่...

“ขอบพระทัยพระสนม ขอบพระทัยพระสนม” จิ้งเฟยยิ้มด้วยความดีใจ

“อย่าเพิ่งขอบคุณข้าเลยจิ้งเฟย....  ลั่วกงกง”

“พะยะค่ะพระสนม”

“จิ้งเฟยต้องปรนนิบัติฝ่าบาท แต่ขันทีของจิ้งเฟยไม่จำเป็นต้องอยู่รับใช้  ปากของบ่าวยังว่างอยู่ สั่งสอนแทนนายยี่สิบที”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”


ลั่วกงกงเดินเข้าไปหา ขันทีคนใกล้ชิดจิ้งเฟย อย่างรวดเร็ว  แล้วเริ่มลงทัณฑ์ตามคำสั่งทันที


เพี้ยะ! เพี้ยะ!  เพี้ยะ!......


เสียงฝ่ามือแนบเนื้อบนใบหน้า กระทบเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง ไม่อาจมีใครกล้าหันไปมองตรงๆได้ แต่เหตุการณ์ทุกอย่างหยางเฟิ่งกลับกล้ามองมันด้วยความผวาและหดหู่ใจ


นี่นะหรือศาลเตี้ย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย 


ขันทีผู้นั้นถูกตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ายทีขวาที จนกระทั่งครบยี่สิบครั้ง  สังเกตเห็นเลือดซึมไหลออกมุมปากอีกด้วย

“ทูลพระสนม ครบแล้วพะยะค่ะ”

“จิ้งเฟย จงฟังให้ดี  คำว่าเฟย ก็คือ เฟย  คำว่า กุ้ยเฟย ก็คือ กุ้ยเฟย   ต่างกันหนึ่งคำ คือ ต่ำ! กว่าหนึ่งขั้น วังหลังมีกฎเกณฑ์และลำดับชัดเจน  เจ้าเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นเฟยไม่ถึงสามเดือน ควรเรียนรู้ให้มากขึ้นว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด “

“พะยะค่ะ พระสนม กระหม่อมจะไม่ลืมตัว ไม่ปากพร่อยอีกแล้ว ”

“หึ น้องเจียเฟย...”

“พะ...พะยะค่ะพระสนม”

“เจ้าเป็นเฟยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด ข้าฝากเจ้าช่วยสอนจิ้งเฟยเรื่องมารยาทด้วย เป็นถึงสนมชั้นเฟย แต่มารยาทด่างพร้อยนัก”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

“อ้อ...หยางกุ้ยเหริน คงยืนตอบข้านานแล้ว คงจะเหนื่อยสินะ  นั่งลงได้”

“ขอบพระทัยพระสนม”

“ต้องขอโทษทุกคน  จริงๆวันนี้ข้าไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้  แต่ว่า...วันนี้ข้าเตรียมชาชั้นดีมาจากตระกูลของข้า เป็นชาชั้นเลิศ  ทุกคนเชิญลิ้มลองดู เอาล่ะลั่วกงกง ให้นางกำนันถือเข้ามาได้”

“พะยะค่ะ”

“ขอบพระทัยพระสนม ”



****


บรรยากาศอันน่าอึดอัด ค่อยๆผ่านพ้นไปด้วยดี  สุดท้ายหยางเฟิงได้แต่ขอบคุณฟ้า และเทพเซียนที่นำพาให้ตนนั้นออกมาจากอี้คุนกง อย่างปลอดภัยครบถ้วนสามสิบสองประการ

“น่ากลัวจริงๆ น่ากลัวจริงๆ” เขาพึมพำเล็ดลอดออกมาเบาๆตลอดทุกย่างก้าว จนเจียเฟย ได้ยินเข้า

“น้องหยางเฟิ่ง นี่เจ้าพูดว่า น่ากลัว มาพักใหญ่แล้วนะ”

“พี่เจียอี้ ข้า...ข้ากลัวจริงๆ”

“กลัว?  อ้อ ที่ขันทีของจิ้งเฟยโดนลงตบหน้าแทนนะเหรอ”  หยางเฟิ่งพยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว

“นั่นน่ะยังน้อยไป ข้าเคยเห็นแม้กระทั่งการสั่งฆ่าด้วยศาลเตี้ยของหมิงกุ้ยเฟยมาแล้ว ”

“จะ...จริงเหรอท่านพี่  นี่ท่านทนดูได้อย่างไร”

“ถ้าข้าจะบอกว่า ข้าชินแล้วล่ะ เจ้าจะเชื่อหรือไม่” เขาเงียบไม่ตอบ พลางนึกตามถึงความเป็นไปได้  เรื่องแบบนี้มันทำให้เคยชิน
ได้ด้วยเหรอ    นั่นเป็นการลงโทษมนุษย์ด้วยกันนะ

“เงียบเช่นนี้ ข้าจะหมายถึงเจ้าให้คำตอบข้าแล้วนะ”

“ท่านพี่ ข้าคิดว่า ข้าต้องโดนแน่ๆ หมิงกุ้ยเฟยเปรยชื่อข้าด้วยนะ  ใช่แล้วๆ...เรียกชื่อข้า ข้าจะเป็นอะไรไหม”

“หึหึ เด็กน้อย   ช่างขลาดหวาดระแวงอะไรเช่นนี้  ฟังให้ดี ตราบใดที่เจ้าอยู่ตำหนักข้า เชื่อฟังคำพูดข้า และทำตามที่ข้าแนะนำ เจ้า!  จะปลอดภัย”

เจียเฟยใช้ดวงตาคู่นั้นที่สื่อถึงความมั่นคงที่พร้อมจะมอบโล่ปกป้อง คุ้มกันภัยให้แก่หยางเฟิ่ง  หัวใจที่อ่อนไหวเริ่มรู้สึกดีและเข้มแข็งขึ้นมาทันตาเห็น


“ท่านพี่ ท่านดีกับข้าเหลือเกิน  ข้าโชคดีนักที่ได้ท่านดูแลข้า”

“เอาล่ะๆ อย่าเสียงดังไป เรายังออกมาจากอี้คุนกงได้ไม่ไกลนัก หูตาคนแถวนี้มีมากมาย อย่าได้วางใจเชียว”

“อืม ขอบพระทัยท่านพี่ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่างเลย ”

หยางเฟิ่งยิ้มออก  เขารู้สึกดีใจจริงๆ ที่เจียเฟยเป็นเหมือนผู้ใหญ่ปกป้องเขา ในวังหลวงแห่งนี้  ยากจะหามิตรภาพใดได้  แต่อย่างน้อยเขาก็สบายใจ ตราบใดที่ยังได้อาศัยอยู่ตำหนักเสียนฝู




*******


ตกกลางดึก ค่ำคืนนี้ปรากฏ พระจันทร์เสี้ยวเหลืองนวลลอยเด่นหยอกล้อหมู่ดาราเต็มท้องฟ้า หมอกจางๆเริ่มก่อตัว รวมเป็นน้ำค้างเกาะพรมบนปลายยอดหญ้าและใบไม้  เสียงแมลงเล็กๆร้องจ้าละหวั่น  เพลงแล้วเพลงเล่า กล่อมเจ้าของตำนักเรือนเล็กๆ  เข้าสู่ห้วงภวังค์


....ตามคำมั่นและสัญญา  ดั่งดวงดาราทะยานผ่านฟ้า  ตามวาระที่ควรเป็น....


โคมไฟสีส้มจุดไว้ด้านนอกเรือนพำนัก ปักหลักทิ้งช่วงเป็นระยะทั่วบริเวณโดยรอบ กำลังสาดแสงสะท้อนเข้าสู่ฝาผนัง  ในขณะนั้นเอง เงาดำปริศนาคนหนึ่งย้อนแสงใกล้เข้ามา และกำลังมุ่งตรงมายังหน้าต่างด้านหลังเรือนที่เปิดแง้มไว้


ผู้บุกรุกในค่ำคืน ปีนป่ายเข้ามาอย่างชำนาญ  พอปลายเท้าสัมผัสพื้นได้ก็ตรงปรี่เข้ามายืนปลายขอบเตียง  สัญชาตญาณสายเลือดแม่ทัพเต็มตัว ทำให้หยางเฟิ่งรู้สึกตัวได้ไม่ยาก แม้จะหลับใหลไปสักพักใหญ่  เขารีบลืมตาขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายในความสลัว จึงใช้มือเข้าคว้าจับรอบเอว ก่อนจะนำพาตัวเองโอบรอบล้อมผู้บุกรุกจากทางด้านหลัง

“ไป่หลิว!  เหลียงจั่ว!  เข้ามาเร็ว มีผู้บุกรุก!”

“โย่ว โย่ว ช้าก่อน  ชูวววววว อย่าส่งเสียง” สียงทุ้มเช่นนี้ เป็นผู้ชายแน่

“เจ้าเป็นใคร  กล้าดียังไงถึงเข้ามาห้องของข้า ไป่หลิว!  เหลียงจั่ว!  เร็วเข้า” หยางเฟิ่งยังตะโกนตามขันทีน้อยทั้งสองอย่างต่อเนื่อง

ในเมื่อห้ามปรามไม่ได้ผล คนชุดดำ จึงอาศัยความตัวสูงใหญ่ของตน จัดการปิดปากหยางเฟิ่ง ด้วย วรยุทธ์ที่ติดตัวมา เคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ท่วงท่า พริบตาเดียว หยางเฟิ่งที่คิดว่าตนนั้นเหนือกว่าและกำลังควบคุมอีกฝ่ายได้  กลับต้องกลายมาเป็นผู้ถูกควบคุมแทนเสียนี้


มือใหญ่หนึ่งข้างปิดปากชมพูบางนั่นไม่ให้ส่งเสียงไปมากกว่านี้ และอีกข้างแกะมือที่ล็อกเอวได้สำเร็จ แล้วรวบข้อแขนเล็กๆทั้งสองกับลำตัว ดึงรั้งชิดตัวเขาเอาไว้  แค่นี้หยางเฟิ่งก็ดิ้นไม่หยุดแล้ว 


“พระสนม อย่างโวยวายเลย  ใจเย็นๆก่อน นี่ข้าเอง  เราเจอกันแล้วเมื่อวันก่อน”เสียงทุ้มนั้น เรียกสติของหยางเฟิ่งอีกครั้ง  เมื่อครู่ชายผู้นั้น บอกว่าเคยเจอกันแล้วอย่างนั้นเหรอ  อย่าบอกนะว่านี่คือ 


“....”


หยางเฟิ่ง หยุดนิ่ง ไม่ดิ้นหนีใดๆอีก  เมื่อเป็นเช่นนี้ การเหนี่ยวรั้งทั้งตัวและปากจึงจุติลง  ชายชุดดำค่อยๆคลายมือและผ่อนแรงลง จนในที่สุดเด็กหนุ่มในชุดลำลองสีชาวบางจึงเป็นอิสระ พร้อมหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายที่แต่งตัวมิดชิด ใบหน้าเหลือเพียงดวงตาเท่านั้น


“เป็นท่านเองหรอกเหรอ...”ฝ่ายสนทนาตัดสินใจดึงผ้าปิดหน้าออก เผยให้เห็นโฉมหน้าเรียวคม ที่แสนคุ้นเคยนั้น

“ใช่  ข้าเอง ตัวเล็กนิดเดียว แรงเยอะนักเชียวพระสนม”

“ถะ...ถวายพระพรท่านอ๋อง  เหตุใดท่านถึง...”

“ชูววววว  อย่าเสียงดัง ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่า นางกำนันรับใช้คนนั้นปลอดภัยแล้ว”

“จริงเหรอ! ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

“ชูววววว ข้าห้ามอยู่หยกๆว่าอย่าเสียงดัง   ข้ามาบอกเจ้าเสร็จแล้ว ข้าต้องไปแล้ว”

“แท้จริงก็เรื่องเล็กน้อย ไหนท่านพูดว่าจะส่งคนมาบอกข้ามิใช่หรือ”

“ทีแรกก็คิดเช่นเจ้า แต่พอดีข้าได้รับภารกิจจากเสด็จพี่เร่งด่วน ให้ออกเดินทางไปแคว้นเหนือเพื่อสัมพันธไมตรีกับท่านข่าน  เช้ามืดพรุ่งนี้  ข้าเลย...”

“มีอะไรก็พูดมาเถิดท่านอ๋อง”

“ข้า...คือ ข้ายังติดคำมั่นสัญญาแก่เจ้า  ข้าจึงต้องรีบมาบอกเรื่องนี้กับเจ้า ด้วยตัวข้าเอง ”

“ขอบพระทัยท่านมาก แต่แท้จริงแล้ว ข้าลืมเรื่องนั้นไปแล้ว...

“เอ๋...นี่พระสนม ท่านว่าอย่างไรนะ”

“ข้าขอโทษ แต่ว่าท่านอ๋อง  เอาเป็นว่าท่านเสด็จกลับก่อนเถิด ที่นี่คือเขตฝ่ายใน หากมีใครมาเห็นเข้าจะแย่เอา ขันทีของข้านอนเฝ้าอยู่ห้องด้านหน้า เกิดวิ่งเข้ามาข้างในตอนนี้ .... เอ่อ  ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวขันทีของข้าจะเห็นท่านเสียก่อน”

“ได้ๆ เช่นนั้น ข้า...ข้าจะมาพบเจ้าใหม่”

“พะยะค่ะ ขอให้พระองค์เดินทางปลอดภัย”



“ฮ่องเต้ เสด็จ!”

เสียงดังก้องจากประตูทางเข้าตำหนักเสียนฝู ทำเอาท่านอ๋องและหยางเฟิ่ง หันขวับไปมองตรงประตูโดยพร้อมเพรียงกัน

“แย่แล้ว ท่านพี่เสด็จมา”

“หา! เป็นไปได้อย่างไร คืนนี้พระองค์ไปที่ตำหนักของ จิ้งเฟย นี่นา  จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี ”


หยางเฟิ่ง ลุกลี้ลุกลน อับจนหนทางเสียแล้ว  ฮ่องเต้กำลังจะมา ความจะแตกไมได้ เรื่องนี้หากถูกจับได้ เดือดร้อนหลายฝ่ายแน่ ดีไม่ดี เขาอาจจะต้องตาย ท่านอ๋อง เจียเฟย ตั้งตายทั้งหมด แย่แน่ แย่แน่ๆเลย



โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนนี้เป็นตอนของหมิงกุ้ยเฟย อาจเยอะหน่อย  ทนๆอ่านก่อนนะครับ  อิอิ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หืมมมมมม เสด็จเฉย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 4


“ฮ่องเต้ เสด็จ!”


เสียงขันทีนำขบวนเกี้ยวราชันย์มังกร ร้องตะโกนดังกังวานหน้าประตูตำหนักเสียนฝูกลางดึก  ด้านนอกตำหนักคงจะมีผู้คนไม่น้อยต้องแตกตื่นกุลีกุจอออกมาต้อนรับ  แต่คงไม่ใช่คนของเรือนพำนักหลังเล็กๆนี้แน่

หยางเฟิ่งอกกลุ้มร้อนรนใจ  ยามวิกาลเช่นนี้ ยังต้องเจอสถานการณ์คับขัน  ในความคิดตอนนี้เห็นจะเป็นทางตัน  หาทางออกแทบไม่เจอ เหลือบเห็นหลังเตียงบรรทม มีม่านสีชาทึบแสงขึงบังอยู่ หากดับแสงเทียนในโคมไฟในห้องทั้งหมด คงจะพรางตัวท่านอ๋องได้ไม่ยาก


แอดดดดด


เสียงประตูกำลังถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก คงหนีไม่พ้นไป่หลิว เหลียงจั่ว เป็นแน่และที่สำคัญพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้

“เหมือนมีคนกำลังเปิดประตูเข้ามา ท่านอ๋องหลบไปด้านหลังเตียงของข้าก่อน  เร็วเข้า” น้ำเสียงร้อนรน เร่งเร้าร่างสูงใหญ่ให้ขยับเรือนกายไปตามคำแนะนำไม่ยาก

“หลังเตียงอย่างนั้นเหรอ?”  สนมหนุ่มพยักหน้ายืนยันคำตอบ พร้อมสีหน้ากังวลสุดขีด  ดีที่ท่านอ๋องยอมฟังเขา รีบไปหลบซ่อนตัวอย่างว่าง่าย

หยางเฟิ่งตรงปรี่ไปยังโคมไฟแล้วพ่นลมเป่าไฟในโคมสามสี่จุดให้ดับลง ทันเวลาพอดิบพอดีตอนนี้ภายในห้องนอน ความมืดมิดปกคลุม แทบมองอะไรไม่ชัด


“พระสนมพะยะค่ะ พระสนม  เอ๋....ช้าก่อนไป่หลิว  นี่เจ้าไมได้จุดไฟให้พระสนมก่อนหน้านี้หรอกเหรอ”

“พูดอะไรของเจ้า ข้าจุดโคมไฟกับมือ จะลืมได้ยังไงเล่า  ว่าแต่ว่าทำไมถึงได้ดับทุกดวงขนาดนี้”

“ไป่หลิว เหลียงจั่ว  เข้ามาในห้องข้าดึกดื่น มีอะไรเหรอ?”  หยางเฟิ่งทำเสียงงัวเงีย ค่อยๆลุกออกจากเตียง

“ไอ้หยา พระสนมตื่นแล้ว  แต่ว่า...พระสนม ข้าน้อย มิบังอาจรบกวนท่านกลางดึก ตอนนี้ฝ่าบาททรงเสด็จมาตำหนักเสียนฝูพะยะค่ะ”

“จริงเหรอ!  แล้วข้า ต้องทำตัวอย่างไร”   

ตอนนี้เจ้าของห้อง แทบแยกไม่ออกระหว่างตื่นตระหนกรู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมา หรือกลัวว่าสองขันทีจะจับพิรุธคนหลบซ่อนหลังม่านเตียงสีชาได้หรือไม่

“ทูลพระสนม ไม่มีอะไรมาก หากฝ่าบาททรงไปยังตำหนักใหญ่ ก็แล้วไป แต่ถ้าหากตรงมาเรือนพำนักท่านละก็...”

“คะ..คงไม่หรอก  ข้าแค่สนม กุ้ยเหรินเล็กๆ  บางทีฝ่าบาทอาจทรงลืมข้าไปแล้วด้วยซ้ำ” ประโยคนี้หาได้แสดงความน้อยใจ แต่เป็นการปลอบประโลมใจตัวเองเพื่อไม่อยากพบพระพักตร์ฝ่าบาทต่างหาก

“ทูลพระสนม ข้าน้อยขออาสาไปสอดส่องด้านหน้าไว้ หากฝ่าบาทเสด็จตรงมาทางนี้ ข้าน้อยจะรีบกลับมาทูลพะยะค่ะ”

“อืม  ขอบใจเจ้ามากนะเหลียงจั่ว”

“พะยะค่ะ”  เหลียงจั่วรับบัญชาเสร็จ จึงรีบออกไป  ตอนนี้เหลือไป่หลิวคนเดียว แถมเดินไปจุดโคมไฟให้สว่างไสวอีกด้วย

“ไปหลิว เหตุใดจึงต้องจุดไฟ” แสงไฟสาดส่องมาเรือนกายหยางเฟิ่ง สภาพเช่นนี้ทำให้ไปหลิวตกอกตกใจหนักมาก

“แย่แล้วพระสนม หากฮ่องเต้ทรงเสด็จมาจริงๆ แล้วเห็นสภาพท่านเช่นนี้ จะไม่เป็นที่โปรดปราณนะพะยะค่ะ”

“เออ...เช่นนั้นเหรอ  แล้วข้าต้องทำอะไรบ้างล่ะ”

“ก็พรมกลิ่นดอกไม้ห้ามงคล  เปลี่ยนชุดบรรทมใหม่ให้ดูบางเบาและมากไปด้วยเสน่ห์หาพะยะค่ะ”

“ห๊ะ...มะ..ไม่!  ไม่มีทาง คิดเรื่องนี้ทีไร ข้าไม่อยากเจอเอาเสียเลย ไป่หลิวข้าเป็นผู้ชาย ข้าต้องทำขนาดนี้เชียวเหรอ”

“โถ่พระสนม จะบุรุษหรือสตรี ในรัชสมัยนี้ย่อมธรรมดา ดูอย่าง เจียเฟย สามปีก่อนสมัยฮ่องเต้เกาอู่หลงครอง ราชบัลลังก์แรกเริ่ม ก็ได้รับตำแหน่ง กุ้ยเหรินเหมือนท่าน  กว่าจะขึ้นมาถึง เฟย ได้นับว่าใช้พรแสวงล้วนๆ”

“แล้วยังไง ข้าไม่เข้าใจเจ้าพูดสักนิด”

“ก็ หากปรนนิบัติฝ่าบาทได้ดี นอกจากสวามีจะรักและโปรดปราณ แถมตำแหน่งลาภยศจะตกถึงตัวพระสนมและครอบครัววงศ์ตระกูลอีกด้วยนะพะยะค่ะ”

“แต่ว่าตอนนี้ครอบครัวข้าก็สุขสบายดี ไม่ต้องการลาภยศใดๆ  นี่ไป่หลิว...”

“โถ่ พระสนมของข้าน้อย เหตุใดถึงไม่มีความฝันใฝ่นั่งบัลลังก์หงส์ทองเลย”

“ไป่หลิว เจ้าว่ายังไงนะ ฝันใฝ่นั่งบัลลังก์หงส์ทองเหรอ...”

“โอ๊ะ พระสนม  ไป่หลิวปากพร่อยสมควรตาย ประทานอภัยให้ด้วย”

“ตายเหรอ  พอเถอะไป่หลิว คำอัปมงคลเช่นนี้ ข้าไม่อยากฟัง ข้าจะฆ่าเจ้าได้ยังไง ข้าทำไม่ลงหรอก”

“ขอบพระทัยพระสนม ”

“แต่ ฟังนะไป่หลิว  ข้าเข้าวังมาเพราะจำใจ ข้าทำไปทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยของตระกูลข้า หากเลือกได้ ข้าอยากเป็นลูกชายแม่ทัพธรรมดาๆคนหนึ่ง ใช้ชีวิตนอกวังสีอิฐแห่งนี้ ข้าไม่ต้องการแก่งแย่งใคร  เจ้าเข้าใจที่ข้าจะสื่อหรือไม่”

“พะยะค่ะ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

“ส่วนเจ้า หากอยากเติบโตในหน้าที่ บางทีเป็นคนรับใช้กุ้ยเหรินเล็กๆอย่างข้า คงไม่เหมาะ และไม่มีโอกาสหยิบยื่นตำแหน่งขันทียศใหญ่ให้เจ้าได้ หากเจ้ายินดีไปรับใช้สนมคนอื่นๆที่เพิ่งเข้ามาพร้อมข้า ข้ายินดีนะ”

“พระสนมพะยะค่ะ  ไป่หลิวคนนี้จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าน้อยขอประทานอภัยโทษด้วย  ตอนนี้เข้าใจพระประสงค์แล้ว ”

“ดีแล้วล่ะ ขอบใจเจ้าที่ยังเลือกอยู่กับข้า”


แอดดดด


เสียงประตูดังอีกครั้ง บ่งบอกว่าข่าวสารด้านนอกที่เหลียงจั่วอาสาออกไปดูลาดราวนั้น กำลังถูกนำมาทูลถวายหยางกุ้ยเหรินแล้ว

“ว่ายังไงเหลียงจั่ว”

“ทูลพระสนม  ฮ่องเต้ทรงไปที่ตำหนักใหญ่ของเจียเฟยพะยะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หยางเฟิ่งก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เฮ้ออออ  ข้าไม่เคยสบายใจเท่านี้มาก่อนเลย ไป่หลิว เหลียงจั่ว”เหลียงจั่วคิ้วขมวดทำสีหน้างุนงง ก่อนจะใช้ศอกสะกิดเรียกเพื่อนซี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“นี่ เหตุใดพระสนมจึงดีใจ แทนที่จะเสียใจล่ะไป่หลิว”  เหลียงจั่วกระซิบกระซาบถามด้วยความฉงนใจ

“เจ้าไม่รู้อะไร พระสนมต้องการความสงบสุข และไม่แก่งแย่งใคร เป็นพระสนมคนแรกที่ข้าเจอมาเลย นี่เหลียงจั่ว ข้าไม่คิดทะเยอทะยานแล้วนะ ข้าจะอยู่รับใช้หยางกุ้ยเหรินไปอย่างนี้ แล้วเจ้าล่ะ”

“ปัดโถ่ เจ้ากับข้าเข้าวังมาเป็นขันทีพร้อมกัน จะทิ้งเจ้าไปไหนล่ะ เจ้าว่ายังไง ข้าก็ว่าตามเจ้าล่ะนะ ”สองขันทีน้อยยิ้มเริงร่ามีความสุขไปกับพระสนมหยางกุ้ยเหริน


แต่ในขณะเดียวกันคนหลบซ่อนลี้ภัยอยู่ด้านหลังม่านเตียงนอนสีชานั้น ก็อดอมยิ้มตามไมได้จริงๆ


แต่ว่า...นี่เขากำลังยิ้มเหรอ   เขายิ้มตามด้วยเหตุอันใด แล้วเหตุใดในใจต้องรู้สึกดีใจแปลกๆ ด้วยเล่า

*

*

*


ผ่านไปหลายชั่วยาม…


หยางเฟิ่ง เผลอคล้อยหลับไปเสียเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เสียงเกี้ยวขบวนเสด็จฝ่าบาทนอกกำแพงตำหนัก เสียงดังพอที่จะปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล กราดสายตามองไปในแสงสลัวทั่วห้องไม่เจอไป่หลิว เหลียงจั่วแล้ว  สงสัยจะออกไปนอนเฝ้าด้านนอกห้องลำลอง ที่ประจำเป็นแน่

พอนึกไปนึกมา เหมือนว่าเขาเกือบจะลืมอะไรบางอย่างเข้าเสียแล้ว พอคิดทบทวนบางอย่างดีๆ สมองประมวลหุนหันพลันแล่น


“ท่านอ๋อง!”

หยางเฟิ่งรีบเปิดม่านสีชาทึบแสงด้านข้างเตียงอย่างรวดเร็ว ชะโงกศีรษะมองดูพื้นที่ว่าง หวังจะได้เจอร่างบุรุษตัวหนานอนผล็อยหลับเช่นเขา


แต่ไม่เลย...เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า


ท่านอ๋องไปแล้วอย่างนั้นเหรอ ไปตอนไหนกัน นี่เขาไม่เคยหลับลึกแล้วไม่รู้สึกตัวขนาดนี้มาก่อนเลย


“ไม่อยู่แล้วเหรอ  นี่ท่านแอบหนีไปเงียบๆอีกแล้ว หวังว่าท่านจะหนีพ้นทหารยามวังหลวง แล้วออกเดินทางไปยังแคว้นเหนือได้ปลอดภัยนะ พะยะค่ะ”

หยางเฟิ่งได้แต่ภาวนา เอาใจช่วยให้ท่านอ๋องผู้มีพระคุณนั้น ปลอดภัยแคล้วคลาด เรื่องราวคืนนี้ช่างทำเอาเขาอกสั่นขวัญแขวนไปหมด  แต่จะว่าไป ก็ดีมากหนักหนา  สวรรค์ยังเมตตาเขาทั้งสองคนอยู่ ครั้งนี้รอดหวุดหวิด แต่ครั้งหน้าถ้าเป็นไปได้ ขอไม่ให้เจอเหตุการณ์เช่นนี้จะดีกว่า







....กลิ่นโบตั๋นคลุ้งขจร  เหล่าภมรถลาบินดมสมใจ เสียงวิหคนานาพันธุ์ ร้องส่งเสียงใสก้องกังวาน...


ช่วงสายวันใหม่ กลางอุทยานหลวงอันงดงาม กำลังคึกครื้น  บนศาลาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางโขดหิน แมกไม้และบุบผาชาติ  มีสองสนมท่าทีสง่าเฉิดฉายประทับอยู่ ด้านนอกเหล่าขันทีและนางกำนันจำนวนหนึ่ง ยืนโค้งหลังก้มหน้าลงเล็กน้อย รอปรนนิบัติไม่ห่างกาย


ในวันที่อากาศเย็นสบาย มีลมพัดทั้งวันเช่นนี้ บุรุษวังหลวงมากบารมีงดงามสองคน  ชายหนึ่งสวมอาภรณ์ชมพูอ่อน ลายหงส์ หรูหราสมตำแหน่ง  อีกคนดูอ่อนเยาว์กว่าสวมอาภรณ์สีฟ้าลายปักต้นหลิวเขียว  กำลังนั่งจิบชา สนทนาบางอย่างเงียบๆ ทิวทัศน์งดงามหาได้ยากในใต้หล้านี้ กลับเป็นเพียงฉากเสริมเติมอรรถรสการเจรจาเท่านั้น มิใช่ประเด็นหลักที่ตั้งใจจะมานั่งชมแม้แต่น้อย


“...ทูลพระสนม  กระหม่อมมีเรื่องทูลถามอีกเรื่อง ได้ยินข่าวมาว่า กลางดึกเมื่อคืน ฝ่าบาททรงเสด็จไปหาเจียเฟยเหรอพะยะค่ะ”

“หึหึ เรื่องนี้ข้าก็พลอยได้ยินมาบ้าง แต่ฝ่าบาทจะไปหาใคร มันมิใช่เรื่องที่ข้าอยากรู้สักนิด” คู่สนทนาหน้าเจื่อน แต่พยายามฝืนยิ้มและชวนพูดคุยต่อ

“แต่น่าแปลก ทั้งๆที่ฝ่าบาทเลือกป้ายจิ้งเฟยแล้วแท้ๆ แต่กลับยกเลิกกลางคันเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักจงชุ่ยกันแน่”

หมิงกุ้ยเฟยวางแก้วน้ำชาลง บนโต๊ะอย่างอารมณ์ขุ่นเคือง ปรายมองออกไปยังทะเลสาบขนาดย่อมเบื้องหน้าเพื่อผ่อนคลายอุรา ก่อนเริ่มเปรยประโยคต่อไป

“การปรนนิบัติฝ่าบาทเป็นหน้าที่ของสนมแต่ละคน  การฝึกฝนและทักษะนั้นต่างกัน  บางทีจิ้งเฟยอาจไร้ซึ่งความสามารถก็เป็นได้ ใครจะรู้ จริงไหม?” หมิงกุ้ยเฟยหันมาสบสายตาคู่สนทนา

“เอ่อ..ถะ..ถูกพะยะค่ะ จิ้งเฟยคงไร้ความสามารถ อาจเพราะอาการเจ็บป่วยเป็นแน่  ที่กระหม่อมได้ยินมา มีหมอหลวงจาง เข้าไปตำหนักจงชุ่ยช่วงหัวค่ำด้วย จิ้งเฟยคงไม่สบายกะทันหัน”

“หึหึ เจ้าอยากรู้มาก ก็ตามไปดูเลยดีไหม  โจวผิน”

“อะ...เออ ไม่ดีกว่าพะยะค่ะพระสนม”

“ที่ข้ามิถือคำพูดเจ้า เพราะเจ้าคือสนมคนเดียวที่ปรนนิบัติข้าด้วยดีมาตลอด แต่ข้ารู้จักเจตนาเจ้าดี แต่...เอาเถอะ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้  จิ้งเฟย มีอาการท้องร่วงราวอาหารเป็นพิษ ส่วนหมอหลวงจาง ข้าก็เป็นคนส่งไปรักษา คราวนี้เจ้าเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วหรือยัง”

แววตาคมกริบหันมามองหน้าโจวผินแทน  ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา มองทุกอย่างออกทะลุปรุโปร่ง

“....”

“คาดไม่ถึงละสินะ ปากพร่อยๆอย่างจิ้งเฟย ไม่คู่ควรกับฉายาที่ฮ่องเต้ประทานให้เลยสักนิด ‘จิ้ง’ งั้นเหรอ ‘สงบเงียบ’ งั้นเหรอ  หึหึ สนมปากพร่อย ประจบสอพลอไปวันๆ ข้าละเกลียดนัก น้ำชาข้าเมื่อวานทำหน้าที่ได้ดี เอาล่ะโจวผิน เจ้าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดีล่ะ”

“เอ่อ...พระสนมกุ้ยเฟย  ทรงเป็นผู้ปกครองวังหลัง สุดแล้วแต่พระองค์พะยะค่ะ”

“ดี วันนี้อากาศกำลังดี แต่จิตใจของข้ากำลังร้อนแล้วสิ เจ้าว่าบรรยากาศแบบนี้ ข้าชอบรึเปล่า”

“อะ...เอ่อ  ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมมิบังอาจรบกวน การพักผ่อนแล้วพะยะค่ะ โจวผินทูลลาพระสนม”


เป็นการไล่ทางอ้อม แต่หากขืนโจวผินอยู่ต่อ คงจะไม่เป็นการดี  เพื่อรองรับอารมณ์ของหมิงกุ้ยเฟยแล้ว สำหรับเขายังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จนัก แม้จะคอยปรนนิบัติดีเท่าใดก็ตาม แต่ดูเหมือนหมิงกุ้ยเฟยยังคงมีกำแพงหัวใจกั้นเขาเอาไว้ไม่ให้ล้ำเส้นเสมอ


“พระสนม อย่าใส่พระทัยกับคำพูดของหมิงกุ้ยเฟยเลยนะพะยะค่ะ” ขันทีคนโปรด  ให้กำลังใจโจวผิน หลังจากเดินออกมาจากศาลาอุทยานหลวงได้ไกลพอสมควร

“ขอบใจมาก แต่ว่า...เพื่อชีวิตในวังหลวงของข้า เพื่อครอบครัวของข้า ข้าไม่มีเหตุผลใดที่จะใสใจคำพูดพระองค์ได้ กลับตำหนักกันเถอะ”

“พะยะค่ะ”


ขบวนโจวผิน เดินลัดเลี้ยวไปตามเส้นทางในอุทยานด้วยความเร่งรีบ จนไม่ทันระวังขบวนใหญ่อีกขบวนที่กำลังสวนมาทางนี้

“ช้าก่อนพระสนมโจวผิน เหตุใดรีบเสด็จนัก จะไปที่ใดหรือพะยะค่ะ” เสียงกงกง นำขบวนร้องทักเบื้องหน้า จนต้องหยุดชะงัก

“เอ่อ...ถวายพระพร พระสนมเจียเฟย ขอประทานอภัยให้ข้าด้วย ”โจวผินคารวะสนมชั้นสูงกว่าด้วยความหนักใจ ก่อนจะปรายตามองสนมหน้าใหม่อย่าง หยางกุ้ยเหรินที่เดินเคียงข้างมาด้วย

“ถวายพระพร พระสนมโจวผิน” หยางเฟิ่งทักทายตามธรรมเนียม แต่หาได้รับการใส่ใจจากโจวผินแม้แต่น้อย


จะว่าไปแล้ว หยางเฟิ่งเองนึกไปถึงตอนเข้าเฝ้ารอถวายพระพร พระสนมหมิงกุ้ยเฟย ตำหนักอี้คุนกง  โจวผินผู้นี้ นั่งเก้าอี้ติดกับจิ้งเฟย ฝั่งตรงข้ามกับเขา  สำหรับหยางเฟิ่งแล้ว เห็นเพียงชั่วครู่ ก็พอจะประเมินจากบุคลิกภายนอกได้ว่า โจวผิน ผู้นี้เป็นคนไว้ตัว อยู่เป็น สุขุม พูดน้อย และที่สำคัญ ช่างไร้ชีวิตชีวา  ขนาดตอนขันทีของจิ้งเฟยถูกลงโทษด้วยการตบหน้าซ้ำๆหนแล้วหนเล่า พระสนมคนนี้ยังนั่งนิ่งดูได้จนจบ ราวกับไม่สะทกสะท้านใดๆเลย

“โอ้...โจวผิน หรอกเหรอ เจอเจ้าที่นี่ แปลว่าพระสนมกุ้ยเฟย คงอยู่อุทยานหลวงสินะ” เสียงทุ้มไพเราะทักทายราวหยอกล้อเล่นตามประสาเจียเฟย

“ทูลพระสนม  ใช่แล้วพะยะค่ะ”

“ฮ่าๆ น้องหยาง  ดูเหมือนว่าเราจะมาอุทยานหลวงได้ถูกเวลาจริงๆ” คำพูดของเจียเฟย  กำลังหมายถึงคำตรงข้ามกับที่พูด  นั่นหมายถึง ‘ผิดเวลา’ แล้วนั่นต่างหาก

“น้องโจวผินดูท่าทางเร่งร้อนเช่นนี้... ”

“เอ่อ...ทูลพระสนม กระหม่อมเวียนหัว อาการไม่ดีนัก ขอทูลลาก่อนพะยะค่ะ”โจวผินว่าแล้ว ก็รีบคำนับ รีบเร่งฝีเท้าออกจากบทสนทนาไปทันที  ทิ้งไว้แต่แววตาสงสัยให้เจียเฟยและหยางกุ้ยเหรินเท่านั้น

“วันนี้โจวผิน ท่าทางแปลกๆนะพะยะค่ะ” กงกงคนสนิทของเจียเฟยกระซิบที่ใบหู

“หากให้เดา คงจะรับรู้เรื่องดีๆ มาอีกแน่ ...อ้อ น้องหยางเฟิ่ง”

“พะยะค่ะท่านพี่”

“ข้าว่าเราค่อยมาอุทยานหลวงวันใหม่จะดีกว่า เจ้าคงยังไม่อยากพบหมิงกุ้ยเฟยในวันนี้แน่ จริงไหม?”

“พะยะค่ะ”

หยางเฟิ่งฟังความว่าง่าย  เหตุใดเขาต้องอยากไปเจอพระสนมผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ล้นวังหลังด้วยเล่า  หากพระสนมอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา คนที่จะโชคร้ายคือเขากับเจียเฟย แน่นอนว่า ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแน่






...ทิวเขาสูงชัน ทุ่งหญ้าเขียวขจี  กว้างใหญ่ไพศาล นภาแจ่มใส มัจฉาแหวกว่ายในลำธาร...


การเดินทางของหนึ่งบุรุษงาม ท่ามกลางธรรมชาติขุนเขา  ทัศนีย์นอกวังหลวงงดงามราวแดนสวรรค์เช่นนี้ มีน้อยคนนักจะรับรู้ว่า ‘เฉิงชินอ๋อง’ โปรดปราณมากเพียงใด 


การเดินทางไปเผ่าหาน ครั้งนี้ มีทหารติดตามกว่ายี่สิบนาย ครบรอบหนึ่งทีปีหน เขาจะได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อผูกรักษามิตรไมตรีพรมแดนแทนเกาอู่หลง พี่ชายของเขา


“ท่านอ๋องพะยะค่ะ ข้างหน้ามีลำธาร ทรงหยุดพักขบวนก่อนเถิด”

“ได้!  ทหารเดินทางมาหลายชั่วยามแล้ว คงกำลังเหนื่อยล้า พักกินอาหาร ผ่อนคลายสักหน่อยแล้วกัน หนทางไปแคว้นเหนือข้างหน้า อีกไม่กี่วันก็ถึงแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนนัก”

เขาเห็นด้วยกับคำแนะนำองครักษ์คนสนิท  สักพักขบวนจึงหยุดพักบริเวณลำธาร  ส่วนตัว เฉิงชินอ๋อง บังคับม้าคู่ใจควบออกไปไกลจากขบวนตนอีกสักเล็กน้อย เพราะต้องการความสงบ แล้วจึงลงจากหลังม้า

ในระหว่างเอาน้ำใสในลำธารล้างหน้า จิตใจวุ่นวายนึกไปถึงเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา เหตุการณ์คับขันกับบทสนทนาของหยางกุ้ยเหรินคนนั้น ทำเอาเขาประทับใจไม่น้อย   


....ความกตัญญูรู้คุณ คือคุณธรรมอันดับแรก...


เขาชอบคนที่อุดมการณ์ และพระสนมคนนั้นก็แสดงให้เขาเห็นแล้วว่า ได้เข้าวังมาเป็นพระสนมเพื่อสิ่งใด ช่างหายากจริงๆกับสนมหน้าใหม่ที่ไม่หวังการไต่เต้าตำแหน่งยศถาเช่นใครอื่น  ช่างถูกใจเขาเหลือเกิน

“พระสนมหยาง หากเจ้าไม่เข้าวังมาเป็นพระสนมแล้วละก็... ข้าคิดว่า ข้าคงได้น้องชายร่วมสาบานเพิ่มแล้ว”

เขาถือวิสาสะ บอกให้ก้อนหิน ลำธาร และเจ้าม้าสีขาวคู่ใจได้ยลยินและรับฟัง  เฉิงชินอ๋อง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องบิดเบือน และเขารู้สึกถูกชะตาหยางเฟิ่ง ตามเจตนาที่เปรยออกมาจริงๆ


แต่....เอ๊ะ  ถ้าหากวันข้างหน้า หยางเฟิ่งต้องได้รับการถวายตัวล่ะ 

เช่นนั้น อุดมการณ์อันบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มคนนั้นต้องจบสิ้นแน่


“พระสนม ถ้าหากท่านได้ถวายตัวในสักวันหนึ่งล่ะ....”

จากอารมณ์สุนทรียิ้มแย้ม แก้มปริ เริมเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวดบนใบหน้า เขาจะช่วยให้น้องชายผู้ถูกชะตาคนนี้หลุดพ้นจากเอื้อมมือพี่ชายได้อย่างไร 

แน่ล่ะ เขาจะไม่ยอมให้คนบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนมลทิน หรือต้องทนทำอะไรฝืนใจไม่ได้เด็ดขาด


“พระสนมหยาง ข้าจะช่วยเจ้าเอง ไม่ว่าจะต้องทำผิดธรรมเนียมของเสด็จพี่ก็ตาม”





ในบริเวณตำหนักเสียนฝู


ยามสายตะวันบ่ายคล้อย หัวหน้ากงกง ฝ่ายอาภรณ์เย็นปักถักร้อย มาเยือนถึงที่  หยางเฟิ่งถูกเรียกให้ไปตำหนักใหญ่เพื่อพบเจียเฟย  และสิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อไปถึงก็คือ ม้วนผ้าเนื้อดีหลากสีสันนับสิบม้วนวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้เนื้อแข็ง

“โย่ว...น้องหยางมาแล้วเหรอ มาดูนี่สิ ผ้าชั้นดีจากทางแดนใต้ เจ้ามาเลือกไปสักสองม้วนสิ แล้วส่งให้กงกงฝ่ายเสื้อผ้าไปตัดชุดให้ ”

“ทูลท่านพี่ เสื้อผ้าที่ท่านให้มา ข้ายังใส่ไม่หมดเลย สีสันของผ้า ข้าคิดว่าเหมาะกับท่านมากกว่านะพะยะค่ะ”

“เจ้านี่ ช่างปากหวานนักนะ เลือกไปหน่อยเถอะ ข้ามีเยอะแล้ว ถือว่าเป็นชุดฤดูหนาวก็แล้วกัน ชุดที่ข้าให้เจ้าไปทำจากผ้าผืนบางทั้งนั้น มันไม่เก็บความร้อนแถมทำให้ไม่สบายตัวขึ้นมาไม่แย่เหรอหยางเฟิ่ง”

“พะยะค่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าเอาม้วนเดียวก็เพียงพอแล้ว  ”

“ได้  สีไหนล่ะ สีโอรถนี่ไหม ดูเหมาะกับเจ้านะ” เจียเฟยชี้ไปที่ม้วนผ้าที่อยู่ริมขอบสุด

“อื้ม ข้าเอาผืนนี้ พะยะค่ะ ”  หยางเฟิ่งยิ้มพร้อมพยักหน้า ก่อนที่ผ้าฝืนนั้นจะถูกกงกงฝ่ายเสื้อผ้ารับไป

“ฝากด้วยนะกงกง ” เจียเฟยกำชับคำสั่ง

“พะยะค่ะ พระสนมทั้งสองจะไม่ผิดหวังกับชุดสำหรับฉลององค์ ฤดูหนาวนี้แน่ พะยะค่ะ”


เมื่อหมดหน้าที่  กงกงผู้นั้นก็คำนับเดินหันหลังออกไปจากตำหนักทันที  หยางเฟิ่งมองตามแผ่นหลังนั้นไป สังเกตเห็นกงกงหันกลับมามองตำหนักสองสามครา สีหน้าชวนสงสัย ท่าทางแปลกไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

“มานั่งก่อนสิน้องหยาง เจ้ามองกงกงคนนั้นนานแล้วนะ”

“ท่านพี่เจียอี้  ท่านว่ากงกงคนนั้นดูแปลกหรือไม่พะยะค่ะ”

“ฮึฮึ นับว่าเจ้าช่างสังเกต  แท้จริงแล้วเขาคือคนของหมิงกุ้ยเฟย  แต่ช่างประไร แค่มาให้เลือกผ้า ข้าก็จัดการทั้งของข้าและของเจ้าให้แล้ว  เฉดสีที่ข้าเลือกล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเราปลอดภัย...”

“ปลอดภัยเหรอพะยะค่ะ  หมายความว่านี่เป็นแผนของหมิงกุ้ยเฟยอีกเหรอพะยะค่ะ”

“ชูวววว อย่าเสียงดังไป  แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การเลือกชุดเพื่อใส่ฤดูหนาวอย่างเดียว แต่เป็นการเลือกชุดและเฉดสีเพื่อฉลองวันคล้ายวันประสูติองค์ฮองไทเฮาปีนี้ด้วยต่างหาก ”

“แย่แล้ว หมิงกุ้ยเฟยกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมพระองค์ถึงรังควานแม้แต่ท่านพี่ได้นะ”

“ฮึฮึ เอาเถอะๆ ผู้สวมใส่ชุดสีสันฉูดฉาดจะไม่เป็นที่โปรดปราณขององค์ฮองไทเฮา แต่ไม่ถึงกับร้ายแรงอะไร หากสนมใหม่ที่ไม่รู้
เรื่องนี้ อย่างน้อยๆฮองไทเฮาเองก็ทรงตักเตือนเล็กน้อยและไม่สนพระทัย แต่เรื่องคงไม่จบง่ายๆ  เพราะหมิงกุ้ยเฟย จะรับช่วงต่อแล้วตามเรียกไปลงโทษที่อี้คุนกงภายหลัง  ข้าอยู่วังหลังมาสามปี ทุกปีต้องมีสนมถูกเรียกไปตักเตือน ปีนี้ข้าไม่ประสงค์จะเป็นเจ้า หยางเฟิ่ง”

“ขอบพระทัยท่านพี่ ที่ทรงเมตตาช่วยข้าอีกครั้ง”

หยางเฟิ่ง รีบคำนับเจียเฟยด้วยความปลาบปลื้มใจ เป็นบุญของเขาจริงๆอย่างที่ท่านอ๋องเคยเปรยบอกไว้ ว่าเจียเฟยนั้นเป็นพี่สะใภ้ผู้มีเมตตาและจิตใจกว้างขวางที่สุด

“เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถิด เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะนะ ช่วงเย็นๆมากินข้าวเป็นเพื่อนข้าด้วยแล้วกัน”

“พะยะค่ะ ถึงเวลาข้าจะมาร่วมโต๊ะกับท่านพี่ หยางเฟิ่งทูลลา”

หยางเฟิ่งคำนับแล้วเดินจากไป เหลือไว้แต่แววตาของเจ้านายและบ่าวรับใช้สองคนเพียงลำพังที่มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างมีความสุขและสบายใจ


“โย่ว...หยางกุ้ยเหริน ช่างอ่อนต่อโลกนัก พระสนมหลอกเพียงสองสามประโยคก็เชื่อเสียแล้ว”

“ฮึฮึ ไม่เชิงหลอกหรอก  ข้ากำลังช่วยหยางเฟิ่งทางอ้อมจริงๆนั่นแหละ หมิงกุ้ยเฟยไม่โปรดสนมใส่ชุดสีสันฉูดฉาดแข่งกับพระองค์ ส่วนข้าไม่ต้องการให้หยางเฟิ่งเป็นที่โปรดปราณหรือเป็นที่สะดุดตาของฝ่าบาทกับองค์ฮองไทเฮา  หยางเฟิ่งเองก็ไม่อยากถวายตัวให้ฝ่าบาทอยู่แล้วนี่ ข้ากำลังช่วยเขาด้วยต่างหากล่ะ ”

“พระสนมรับสั่งถูกต้องแล้ว  จะว่าไปมีพระสนมหยางกุ้ยเหรินผู้อ่อนโยนและไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอยู่ตำหนักเสียนฝูก็ดีเหมือนกันพะยะค่ะ จะได้ใช้ยืนยันว่า พระสนมแห่งตำหนักเสียนฝู บริสุทธิ์ใจ ไม่คิดปลูกฝังการแก่งแย่งเป็นใหญ่ หมิงกุ้ยเฟยย่อมไม่เพ่งเล็ง
ท่านแน่”

“ฮึฮึ แน่นอนว่า หมิงกุ้ยเฟย นั่งบนอำนาจล้นฟ้า จนปล่อยปะละเลยมองข้ามหัว หมากเช่นข้าไปเสียแล้ว ”


เจียเฟยสนทนากับขันทีอาวุโสของตำหนักด้วยความสำราญใจ ก่อนหน้านี้จากที่คิดกลัดกลุ้มหาหนทางกำจัดหยางเฟิ่งอยู่นาน พอได้รู้ความประสงค์ของหยางเฟิ่ง เจียเฟยไม่คิดจะกำจัดสนมผู้นี้อีกแล้ว แถมยังได้เพื่อนแก้เหงาไว้ในตำหนักเช่นนี้ ช่างดีเกินคาด  แต่อนาคตเป็นสิ่งไม่จีรัง หากหยางเฟิ่งตะบัดความประสงค์ เปลี่ยนความตั้งใจเมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะกำจัดทิ้งทันที...



***โปรดติดตามตอนต่อไป***


ทุกคน เรื่องนี้ดูท่าทางน่าจะยาวมากกกก 60 บท ไม่รู้จะจบไหมนะ วางพล็อตไป เสริมเติมสิ่งที่ขาดหายไป เรื่องก็ยาวไปเรื่อ่ยๆ อยู่เป็นเพื่อนผู้แต่งไปอย่างนี้นะครับ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2020 09:32:13 โดย ครามพิสุทธิ์ »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาต่อบ่อยๆน้าาา

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
ในวังมีแต่คนร้ายๆ
 :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 5



...บทกวีแว่วหวาน  หมื่นพักตร์ปรากฏ  มิสู้หน้าหยกเลือกไว้....



ค่ำคืนหนึ่งในฤดูเหมันต์  จันทราเหลืองนวลลอยเด่นบนน่านฟ้า ไร้กลีบเมฆหนาบางบดบังความงามแห่งหมู่ดวงดาว ลานกว้างบริเวณหน้าตำหนักหลวงหรูหรารโหฐานทางทิศตะวันตกในเขตวังหลัง จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อเฉลิมฉลองถวายพระพรแก่องค์ ฮองไทเฮา  ในวาระวันครบรอบคล้ายวันประสูติ 50 ชันษา


ถือเป็นโอกาสอันดีที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย จะได้เสด็จมาประทับร่วมดื่มด่ำตักตุนความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์  เหล่าแม่ทัพ ขุนนาง ขันที นางกำนันน้อยใหญ่ มากหน้าหลายตาพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย


การแสดงร่ายรำของชาวแมนจูโบราณ ขนานคู่ดนตรีบรรเลงท้องถิ่น พร้อมจินตลีลา ที่ปรากฏเบื้องหน้าลานอิฐ งดงามนัก  ด้านบนพื้นกระเบื้องหน้าตัวตำหนัก ถูกจัดเป็นหมู่โต๊ะขนาดใหญ่ สองที่นั่ง อันเป็นที่ประทับเจ้าของงานรื่นรมย์นี้ กับองค์ฮ่องเต้ โอรสของพระนาง 


ถัดลงมาฝั่งซ้ายมือองค์ประธาน เป็นที่ประทับของบรรดาท่านอ๋อง และฝูจิ้นทั้งหลาย ส่วนอีกด้านตรงข้าม เป็นที่ประทับของบรรดาพระสนมชายหญิงแห่งรัชสมัยของเกาอู่หลง  มี หมิงกุ้ยเฟย นำทัพนั่งด้านหน้าสุด สวมชุดผ้าผืนหนาสีแดงอ่อน พร้อมลายปักดอกเหมยสีชมพู ขนหมาป่าสีเทาขาวถูกนำมาเย็บบริเวณรอบคอและปลายแขนทั้งสองข้างเพื่อเพิ่มความอบอุ่น 


ถัดลงไปอีกแถว โต๊ะสี่ตัวเรียงรางวางเหมาะสม มี เจียเฟย จิ้งเฟย  โจวผิน และฮวาผิน  ประทับอยู่ ส่วนสนมอื่นๆนอกจากนี้ นั่งถัดลงไปรวมๆกันโดยมิมีแบ่งชั้นสูงต่ำศักดิ์แห่งวังหลัง 

ส่วนหยางเฟิ่ง เลือกนั่งแถวหลังสุดติดกับอ่างบัวที่แม้ยามวิกาล ความงดงามอาจเห็นไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกถึงความละมุน ชวนผ่อนคลายยิ่งนัก   ก่อนจะมางานเลี้ยง  พระสนมเจียเฟยได้นำผ้าสีโอรสปักลายต้นสนเขาที่ทางกรมวังได้นำมามอบให้ ส่งต่อจนกระทั่งถูกสวมลงบนตัวของเขา 


เสน่ห์ของหยางเฟิ่งไม่ได้มาจากเสื้อผ้าเสียทั้งหมด แต่องค์รวมเรือนกายของเขา กลับชูชุดที่สวมอยู่ให้ดูล้ำค่า สะดุดตา ไม่ด้อยน้อยไปกว่าสนมอื่นที่แต่งตัวมาประชันกันในงานสังสรรค์สุดฤทธิ์ 


สายตาหลากหลายคู่ของบรรดาเหล่าสนม และแขกร่วมงาน จับจ้องมองดูการแสดงตรงหน้าลานกว้าง จากชุดการแสดงร่ายรำ จนกระทั่งมาถึงการแสดงงิ้ว 


ฮองไทเฮาพระสรวลอิ่มเอมเต็มแก้ม ดวงเนตรทรงปลาบปลื้มยินดีนัก  นั่งเคียงฮ่องเต้ เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังสลับแข่งเป็นระยะ  จนกระทั่งการแสดงงิ้วได้จบลง เสียงปรบมือจึงดังก้องสนั่นด้วยความชื่นชม 

“ทูลฝ่าบาท ทูลฮองไทเฮา ยังเหลืออีกหนึ่งการแสดงเพคะ” เสียงของกูกูคนสนิทของฮองไทเฮาเปรยบอก ดึงดูดความสนใจเกาอู่หลงยิ่งนัก

“จริงสินะ นี่ฮ่องเต้ แม่คิดว่าการแสดงชุดนี้เจ้าต้องชอบแน่ แม่ตั้งใจเตรียมไว้อย่างดี ” พระองค์ตรัสกับลูกชาย  แล้วกูกูคนสนิทเริ่มปรบมือสามครั้ง ให้สัญญานกลุ่มชนที่ยืนอีกฟากของลานแสดง

เสียงดนตรีบรรเลง ก้องสนั่นเป็นทำนองที่ต่างออกไปจากชุดกหารแสดงก่อนหน้า  ฟังไปลับคล้ายคลับคลา เหมือนชนกลุ่มอื่น ที่ไม่ใช่ทั้งชาวแมนจู หรือชาวฮั่น


หนึ่งบุรุษ  หนึ่งหญิง สวมชุดขาวสะอาดตา ลวดลายบนผืนผ้าแตกต่างจากวิถีชาวแมนจูมากนัก ความกรุยกรายและฟู่ฟ่าของชุด พอจะเดาออกได้ว่านี่คือการแสดงของชนเผ่าต่างถิ่น ไม่แคว้นเหนือสักเผ่า ก็คงจะเป็นแถบมองโกลแน่ 

พวกเขาทั้งสองคนมีผ้าผืนบางสีขาวปิดช่วงล่างของใบหน้าไว้  แม้จะเป็นระยะไกลจากสายตา แต่องค์ฮ่องเต้กลับมองจดจ้อง  ไม่ละสายตาไปที่ใด



....เทพเซียน นางสวรรค์ ได้ปรากฏบนพื้นหล้า จิตใจราชันย์ไหวหวั่นนัก....



การแสดงของพวกเขา ดำเนินไปอย่างช้าๆเข้ากับท่องทำนองที่บรรเลง  ช่างเป็นที่ประทับใจแก่ผู้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนัก จวบจนกระทั่งเสียงเพลงหยุดลง  สองนักแสดงเบื้องหน้าคุกเข่าถวายพระพรด้วยธรรมเนียมถิ่นฐานเดิม

“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองไทเฮา ขอทรงเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี”

“ลุกขึ้น” เกาอู่หลง ประทานอนุญาตให้ลุก แต่ประกายในดวงเนตรเปล่งปลั่งชัดเจน แม้แต่หมิงกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ไกลออกไปยังมองเห็น

“เป็นยังไง เจ้าชอบไหม  นี่คือระบำเผ่าหาน  แคว้นทางเหนือ”

“ชอบพะยะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จแม่  งานสังสรรค์วันคล้ายประสูติ ยังอุตส่าห์จัดการแสดงนี้ให้  ลูกซาบซึ้งน้ำพระทัยยิ่งนัก”

“ฮึฮึฮึ ฮ่องเต้  เจ้าไม่ต้องเกรงใจ งานมงคลเช่นนี้  แม่ย่อมหาสิ่งที่ดีให้ลูกเสมอ”ฮองไทเฮา หันมาสนใจสองคนหนุ่มสาวที่ยืนสำรวมอยู่กลางลานแสดง   

“เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนเปิดผ้าคลุมหน้าออกเถิด”

“พะยะค่ะ/เพคะ”


ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหวของพวกเขา เป็นที่สนใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายยิ่งนัก ทันทีที่ผ้าถูกเปิดออก ก็พบกับใบหน้าที่แท้จริง พวกเขานั้นราวเทพเซียน กับนางสวรรค์ เหาะลงมาจากสวรรค์ก็มิปาน ช่างโฉมฉายนัก 

เกาอู่หลง จดจ้องมองดูหาได้ละสายตาทิ้งแม้แต่น้อย พลางคิดในหทัยว่า  จะหาบุรุษสตรีงดงามกว่านี้ในใต้หล้าที่ปกครองแผ่นดินได้อย่างไรกัน

“ฮ่องเต้  นี่คือ โอรสและธิดาของท่านข่านแคว้นเหนือ ท่านข่านมีโอรสธิดามากมายนัก อีกทั้งเพื่อสานสัมพันธไมตรี จึงประทานอนุญาตให้พวกเขากลับมาต้าชิงด้วย”

“ขอบพระทัยเสด็จแม่”

“อืม...ขอบใจแม่คนเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก  เจ้าต้องขอบคุณ เฉิงชินอ๋อง อีกคนถึงจะถูก  ผลงานครั้งนี้เขาทำได้ดีมาก สมแล้วที่เจ้าไว้วางใจน้องชายคนนี้ที่สุด การผูกสัมพันธไมตรีราบรื่นดี น่าชื่นชมยิ่งนัก”

“นั่นสิพะยะค่ะ  ว่าแต่...วันนี้ลูกยังไม่เห็นเฉิงชินอ๋อง เหตุใดเบี้ยวนัดงานเลี้ยงของเสด็จแม่ได้นะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า  นิสัยของเด็กคนนี้ แม่ชินแล้ว เจ้าเองยังไม่ชินกับน้องอีกเหรอฮ่องเต้”

“พะยะค่ะ ป่านนี้คงจะไปแอบท่องเที่ยวที่ไหนสักแห่งในวังหลวง” 

เสียงหัวเราะชื่นชอบใจสองพระองค์ดังกึกก้อง แต่ทว่า ไม่ใช่กับหมิงกุ้ยเฟย ผู้ปกครองแห่งวังหลังอย่างแน่นอน สายตาของพระองค์มองไปยังชายหญิงเผ่าหานด้วยความริษยายิ่งนัก 

ลั่วกงกง ขันทีคนสนิท เดินเข้าไปกระซิบบอกเจ้านายตนด้วยความระมัดระวัง หวังปลุกปั่นเสริมเติมไฟในทรวงให้แก่หมิงกุ้ยเฟย

“ทูลพระสนม เห็นทีการปรากฏตัวของสองพี่น้องเผ้าแคว้นเหนือในคืนนี้ คงเป็นฝีมือฮองไทเฮาแน่พะยะค่ะ”

“ฮึฮึ ดูจากรูปลักษณ์ยังเด็กกว่าข้าหลายปีนัก อีกอย่างสายเลือดโอรสธิดาแถบชายแดนทุรกันดารเช่นนั้นจะมาสู้ชาวแมนจู สายเลือดแท้ๆของต้าชิงได้ยังไงกัน”

“นั่นสิพะยะค่ะ สู้พระสนมไม่ได้สักนิด”

“รอดูไปก่อน อย่าเพิ่งวู่วาม”

“พะยะค่ะ”



ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวังมังกร ลุกจากที่ประทับภัตตาหาร เดินลงบันไดทีละขั้น จวบจนกระทั่งเดินไปจนใกล้ชิดหนุ่มสาวเผ่าหาน  ยิ่งเห็นใบหน้าพวกเขาใกล้ขึ้น จิตใจของเกาอู่หลงมิอาจเปลี่ยนแปรความอภิรมย์ได้เลย

“เอาล่ะพวกเจ้า ชื่ออะไร”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อม ซีซวน พะยะค่ะ”

“หม่อมฉัน ซูฟาง เพคะ”

“โอ้ว ซีซวน ที่แปลว่าผู้สง่างามและชาญฉลาด และเจ้า...ซูฟาง ที่หมายถึง สายลมอันหอมหวน ฮ่าฮ่าฮ่า ดี!  ดีจริงๆ  ซุนกงกง... ”

“พะยะค่ะ”

“บันทึกราชโองการจากข้า  ท่านข่านแคว้นเหนือ นับว่ามีสัมพันธะไมตรีกับต้าชิงแนบแน่นและยาวนาน บัดนี้เพื่อให้แสดงถึงความเป็นปึกแผ่นแห่งแคว้นเหนือและราชวงศ์ชิง ข้าขอแต่งตั้งโอรสและธิดาเผ่าหานดังนี้ ซีซวน ขึ้นเป็น ซีผิน  และ ซูฟาง เป็นซูผิน นับจากค่ำคืนนี้เป็นต้นไป ส่วนตำหนักข้าจะจัดการอีกที”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” สองพี่น้องสายเลือดเผ่าหาน รับราชโองการแต่งตั้งเป็นสนมแห่งจักรพรรดิต้าชิง เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนในงานรื่นเริง  รวมไปถึงฮองไทเฮา ผู้ประสงค์สิ่งที่วิเศษประทานให้ลูกชายของพระนาง นับว่าครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

“ทูลฝ่าบาท ตำแหน่งผิน ถือเป็นสนมชั้นกลาง อีกอย่างโจวผิน กับฮวาผิน ทั้งสองล้วนแล้วแต่...”

“กุ้ยเฟยมีปัญญาอะไรอย่างนั้นเหรอ?” ฮ่องเต้เริ่มอารมณ์เปลี่ยนแปร  หันไปมองหน้าหมิงกุ้ยเฟย   เมื่อเห็นแววตาของเกาอู่หลงเช่นนั้นแล้ว เริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมา

“ฝ่าบาท...”

“ตำแหน่งผิน แต่งตั้งได้ถึง หกคน  วังหลังของข้ามีสนมชั้นผินเพียงสองคน ข้าจะแต่งตั้งเพิ่มอีกสองคนจะเป็นอะไรไป หมิงกุ้ยเฟย เจ้ามีอะไรทัดทานข้าอย่างนั้นเหรอ”

“กระหม่อมมิบังอาจ ”

“เช่นนั้นก็ดี ถือว่าคำแต่งตั้งของข้าเป็นที่สิ้นสุด ส่วนพวกเจ้าลุกขึ้นเถิด”

ฮ่องเต้ผู้น่าเกรงขามและติดอารมณ์สุนทรีเป็นนิจ  ค่อยๆเอื้อมพระหัตถ์ไปประครองโอรสแห่งแคว้นเหนือให้ลุกขึ้น  พระองค์พึงพอใจเป็นอย่างมากกับสนมผินคนใหม่ทั้งสองนี้


การแสดงและเลี้ยงฉลองดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งจบลง แขกในงานต่างทยอยเข้าไปถวายพระพรฮองไทเฮาแล้วขออำลาเดินทางกลับ 


เมื่อผู้คนหลั่งไหล ออกจากงานเลี้ยง หมิงกุ้ยเฟยยังไม่คิดจะกลับอี้คุนกง แต่เดินตามขบวนเสด็จฮองไทเฮาไปอย่างเงียบๆพร้อมลั่วกงกง ขันทีคู่ใจเพียงสองคนเท่านั้น จวบจนกระทั่งขบวนเกี้ยวของฮองไทเฮาถึงปลายทางหน้าตำนักประทับ


“ถวายพระพร ฮองไทเฮา” ระหว่างที่พระองค์กำลังจะลุกออกจากเกี้ยว กลับเห็น หมิงกุ้ยเฟยย่อตัวคำนับอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ถึงกลับแปลกพระทัยนัก

“หืม...หมิงกุ้ยเฟย เหตุใดยังไม่กลับตำหนัก”

“ทูลฮองไทเฮา กระหม่อมยังมิได้ถวายพระพรเป็นการส่วนตัวกับพระองค์   ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ ชันษาหมื่นปี หมื่นหมื่นปี พะยะค่ะ”

“ขอบใจเจ้ามาก งานค่ำคืนนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ นับว่าเจ้าจัดแจงและดูแลงานได้ดี  คงลำบากเจ้าไม่น้อยสินะ  แต่ว่า...ข้าคิดอยู่ลึกๆว่าเจ้ามาหาข้าตามลำพังเช่นนี้  คงเป็นเพราะเรื่องสนมใหม่จากเผ่าหานสินะ”

“ฮองไทเฮาทรงพระปรีชา”ฮองไทเฮาแย้มสรวล เดินเข้ามาหาหมิงกุ้ยเฟยระยะประชันชิด



....โบตั๋นงามสะพรั่ง หมายใจชื่นชม แต่แล้วกลีบร่วงหล่น ตามกาลเวลา....


“ดวงจันทร์วันนี้ช่างงามนัก เจ้าว่าไหม” หมิงกุ้ยเฟยมองพระพักตร์ก่อนจะหันไปมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางนภา

“พะยะค่ะ แต่ดวงดาวบางตา กว่าทุกฤดู...”

“ฮ่องเต้ก็เหมือนพระจันทร์ แม้ดวงใหญ่สีเหลืองนวล หากไร้ดวงดาวหลายดวงรายล้อม ล้วนทำให้ขาดความสมบูรณ์”

“...”

“หมิงกุ้ยเฟย เจ้าเป็นคนฉลาด คงเข้าใจความหมายของข้า  เมื่อครั้งอยู่ในจวนอ๋องสมัยฮ่องเต้ยังเป็นองค์ชาย เจ้าสุขุมและรอบคอบ คอยดูแลเอาใจใส่ฝ่าบาทได้เป็นอย่างดี ข้าจึงวางใจและตั้งความหวังกับเจ้าไว้มาก  แต่เมื่อฮ่องเต้ได้เป็นจักรพรรดิแห่งมังกรสวรรค์  ย่อมต้องมีบริวารมากมายเพื่อเสริมบารมีและความมั่นคงของราชสำนัก แม้แต่สนมมากมายเหล่านั้นก็ตาม”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพะยะค่ะ”

“หัวใจของฮ่องเต้ยากจะเหนี่ยวรั้ง ด้วยภาระหน้าที่มากมาย จึงแตกต่างจากไพร่หล้าทั่วไป แต่พวกเจ้าเป็นสนมของฮ่องเต้ มีหน้าที่เพื่อรักและเทิดทูนพระองค์เป็นหนึ่งเดียวในหัวใจ นั่นก็ถือว่าหน้าที่สมบูรณ์เพียงพอแล้ว ”

“ขอบพระทัยฮองไทเฮาที่ชี้แนะ กระหม่อมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วพะยะค่ะ”

“ดี ดีมาก  ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าเองก็กลับตำหนักเถอะนะ”

“หมิงกุ้ยเฟย น้อมส่งเสด็จฮองไทเฮา”



ในความมืดมนเพราะความริษยาครอบงำจิตใจ คำตรัสสอนสั่งของฮองไทเฮา ราวแสงเทียนส่องสว่างนำทาง แต่นั่น มิได้เป็นที่พึงพอใจของหมิงกุ้ยเฟยแม้แต่น้อย

“ลั่วกงกง”

“พะยะค่ะพระสนม”

“ซีผิน กับซูผิน ข้าจะปล่อยไว้ไม่ได้”

“อะ...เอ่อ  พระสนม”

“กลับตำหนักก่อน ”

“พะยะค่ะ”


เมื่อหน้าประตูตำหนักไม่มีใครแล้ว ฮองไทเฮากับกูกูคนสนิทย้อนรอยกลับออกมาตรงจุดเดิม สายตาอันทรงพลังมองตามแผ่นหลังบุรุษร่างอ่อนช้อยเดินขนาบขันทีคู่ใจ ค่อยๆเดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆจนพ้นสายตา


“ทูลฮองไทเฮา ดูเหมือนว่าหมิงกุ้ยเฟยจะยังไม่เข้าใจความหมายของพระองค์นะเพคะ”

“ปล่อยเขาไป  เป็นถึงกุ้ยเฟย เรื่องเพียงเท่านี้ทำให้จิตใจคับแคบ  ตำแหน่ง หวงกุ้ยเฟย ในงานปีใหม่ที่จะถึงนี้ คงไม่คู่ควรกับเขา”

“ฮองไทเฮา...”

“วังหลังมีบุบผารอจัดใส่แจกันมากมาย ดอกที่งดงามแต่กลิ่นเหม็นคาว จะตัดมาเสียบแจกันไว้ให้ส่งกลิ่นได้ยังไงกัน”

“ฮองไทเฮาทรงกำลังหมายถึง...”

“บางที เจียเฟย อาจจะเหมาะสมกับตำแหน่ง  หวงกุ้ยเฟย มากกว่า หมิงกุ้ยเฟยก็เป็นได้ กลับเข้าตำหนักเถอะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”

“เพคะ”





ทางเดินลัดเลี้ยวไปตามอุทยานหลวง โขดหิน สระบัว ปรากฏให้เห็นระเรื่อเรือนลางท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทรากับโคมไฟ เปล่งแสงนำทางเท่านั้น


เจ้านายและบ่าว สามคน กำลังเดินดุ่มๆไปตามทางเท้า  แม้อากาศจะเริ่มเย็น แต่ชุดที่สวมใส่ ถูกออกแบบมาได้วิเศษนัก หยางเฟิ่งเริ่มชื่นชอบเสื้อผ้าฤดูหนาวเข้าเสียแล้ว   

“ไป่หลิว เหลียงจั่ว”

“พะยะค่ะพระสนม”

“พวกเจ้าง่วงแล้วหรือยัง?”

“ง่วงมากพะยะค่ะ เอ๋...พระสนม ถามเช่นนี้ อย่าบอกนะพะยะค่ะ ว่า...” ไป่หลิวไม่อยากรับรู้สิ่งที่คาดเดาในหัวแม้แต่น้อย

“ใช่ ข้ายังไม่ง่วง  นั่งเล่นที่ศาลาตรงหน้านั้นก่อนได้หรือเปล่า”

สนมหนุ่มน้อยผู้เลอโฉม ชี้ไปยังศาลากลางอุทยานด้านหน้า ติดขอบริมทะเลสาบหลวง

“พระสนม กลางดึกเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะนะพะยะค่ะ” เหลียงจั่วออกความคิดเห็น

“ใช่พะยะค่ะ หมอกก็เริ่มลงแล้ว ประเดี๋ยวจะไม่สบายได้นะพะยะค่ะ”

“ช่างประไรไป่หลิว เป็นไข้ไม่สบายก็ดีสิ ข้าจะได้ไม่ต้องถวายการปรนนิบัติฮ่องเต้สักระยะ”

“ชู่ววววว พระสนมที่นี่กลางอุทยานหลวง เดี๋ยวทหารยามวังหลวงได้ยินเข้า แล้วเอาไปรายการองค์ฮ่องเต้จะแย่เอานะพะยะค่ะ”

“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้ว แต่พวกเจ้าต้องไปนั่งเป็นเพื่อนข้าก่อนเข้าใจไหม” หยางเฟิ่งยิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็ได้พะยะค่ะ แต่ชั่วครู่เท่านั้นนะพะยะค่ะ”

“อื้ม ข้าสัญญากับพวกเจ้าทั้งสองคน ขอนั่งเล่นสักหน่อย ไม่นานแน่ ”

หยางเฟิ่ง เดินเข้าไปแทรกกลางขันทีน้อยทั้งสองแล้วสอดแขนประสานพวกเขาทั้งซ้ายและขวา พาขึ้นไปยังศาลาหลวง 


เวลาผ่านไปพักใหญ่ได้นั่งเล่นรับอากาศเย็นฉ่ำกลางคืนเช่นนี้  แถมเบื้องหน้าเป็นทิวทัศน์ที่ปกคลุมด้วยความมืดมัว แต่สัมผัสได้ถึงสายลมฤดูหนาว พัดอ่อนเข้าริมฝั่งอย่างต่อเนื่อง  เพียงเท่านี้กลับทำให้ผ่อนคลายได้มากทีเดียว  อีกใจหนึ่งพลางคิดไปถึงพระสนมตำแหน่งผินคนใหม่ทั้งสอง ช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

“นี่ไป่หลิว เหลียงจั่ว”  หยางเฟิ่งหันกลับมามองบ่าวคนสนิทรวดเร็วจนทั้งสองตกอกใจไม่ทันตั้งตัว

“พะยะค่ะพระสนม”

“พวกเจ้าว่า สนมใหม่แคว้นเหนือสองคนนั้น เป็นยังไงบ้าง”

“เอ่อ...งดงามทั้งซีผินและซูผินเลยพะยะค่ะ”

“ใช่แล้วพะยะค่ะ”

“ใช่ไหมล่ะ ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเขาดูร่าเริงและเป็นมิตรดีนะ  นี่ นี่ นี่ ว่างๆพวกเราไปเยือนตำหนักสนมผินทั้งสองดีไหม”

“ดีพะยะค่ะ”



...เสียงขลุ่ยหยก เสนาะอ่อนหวาน พลิ้วเล่นลมลอย กระทบดังดั่งดวงจันทร์เริงร่าล้อดวงดาว...


“ไอ้หยา ไป่หลิว เจ้าได้ยินเสียงดนตรีรึเปล่า” เหลียงจั่วทำมือป้องใบหู หาทิศทางของเสียง

“ได้ยินสิ เสียงเหมือนไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่นัก”

“ใครเป่าขลุ่ยหยกในยามวิกาลเช่นนี้นะ ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์เอาเสียเลย”

หยางเฟิ่งแปลกใจไม่น้อย แม้จะไม่ชำนาญการละเล่นดนตรี แต่เสียงทำนองที่ถูกเล่น เขาจดจำได้ดี  เมื่อครั้งอยู่จวน พี่ชายหลังกลับจากซ้อมต่อสู้และเข้ากองทัพ  จะกลับมาเล่นพิณ ขลุ่ย ให้ฟังประจำ

“นั่นสิพะยะค่ะ ”

“พระสนมกระหม่อมว่ากลับตำหนักเถอะ รู้สึกไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย” ไป่หลิวเริ่มใจคอไม่ดี

“แต่ฟังดีดีสิ ข้าว่าไพเราะเหมือนกันนะไป่หลิว  อยู่ฟังอีกสักนิดเถอะนะ”

“โถ่พระสนม”

“ข้าว่า ข้าเดินไปดูเองดีกว่า” หยางเฟิ่งขยับตัวทำราวกับจะเดินออกศาลา แต่ถูกขันทีน้อยทั้งสองเข้าไปขวางทางก่อน

“ไม่ดีแน่พระสนม ทรงอย่าไปไปเด็ดขาด ”

“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า อย่าห้ามข้านักเลย ดึกดื่นขนาดนี้ไม่มีใครเดินผ่านเข้าในอุทยานหลวงแล้ว  แม้แต่ทหารยามวังหลวงก็เถอะ  ถ้ากลัวนักก็รออยู่ที่ศาลาตรงนี้แล้วกัน”


หยางเฟิ่งยิ้มแย้ม หัวใจเต็มไปด้วยความสงสัยและอยากรู้  เขาถือโอกาสสองคนนั้นเผลอวิ่งผ่าฝ่ามือกั้นไว้ได้สำเร็จ  ทุกย่างก้าวของเท้าลงน้ำหนักเบาสุดขีด ตั้งใจไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของเขา


สนมหนุ่มรุปงาม เริ่มมั่นใจตำแหน่งของเป้าหมายขึ้นทุกทีจาก เสียงบรรเลงขลุ่ยที่ดังชัดขึ้น  มันดังมาจากทางด้านหน้าผาหินก้อนนี้แน่ 

ดวงตาคู่สวยค่อยๆโผล่ออกจากผาหินที่ซ่อนตัวทีละน้อย จนกระทั่งพบกับบุรุษคนหนึ่งนั่งชันเข่าหนึ่งข้าง เป่าขลุ่ยหยกอยู่บนหินก้อนใหญ่อย่างรื่นรมย์  ในละแวกนี้แม้มืดไปหน่อย แต่ก็พอจะมองออกว่า เขาผู้นั้นคือชายสูงศักดิ์ ที่คุ้นเคยเสียเหลือเกิน


เสียงขลุ่ยชะงักไป  บ้าน่า...หยุดเป่าเสียแล้ว....ทำไมถึงหยุดเป่าล่ะ?

“นั่นใคร! ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะเรียกทหารยามวังหลวง” เสียงทุ้มดุดัน เปรยขึ้น พร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าหยางเฟิ่งหลบอยู่ตรงไหน ชายเจ้าของขลุ่ยกำลังหันมามองทางผาหินราวกับแน่ใจนักว่าหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้

ทุกอย่างเงียบเชียบ  ไม่มีการโต้ตอบใดๆ  เพื่อหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าหลังผาหินนี่ ไม่มีใครอยู่

“ไม่ออกมาใช่ไหม  เช่นนั้น...ข้าไม่ออมมือแล้วนะ” น้ำเสียงดุขู่เข็ญ ทำเอาสามคนสั่นไหวหัวใจเต้นรัว

“เห็นไหมพระสนม เชื่อกระหม่อมแต่แรกก็ปลอดภัยแล้ว  ทำไงดีๆ” ไป่หลิวเริ่มรน สีหน้าบ่งบอกว่ากลัว

“พวกเจ้าไม่ต้องออกไป หลบอยู่ตรงนี้”

“ไม่นะ พระสนม!”

“นี่คือคำสั่ง ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าหลบอยู่ตรงนี้อย่าออกไปเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“โถ่ พระสนม  ก็ได้พะยะค่ะ ระวังตัวด้วย”


เมื่อสั่งความเรียบร้อย หยางเฟิ่งจึงวิ่งกระโจนออกไปทันที ด้วยความรวดเร็วนั้นประจวบเหมาะกับอีกฝ่ายกำลังพุ่งทยานเข้ามายังโขดหินพอดี ทำให้พวกเขาเรือนกายแทบชนกัน



“เหว๋ออออออออ”


หมับ...


อ้อมแขนใหญ่เข้าช้อนรวบตัวหยางเฟิ่งไว้ทันท่วงที แต่แรงเหวี่ยงและความสมดุลเปลี่ยนแปร ชายร่างหนามิอาจทรงตัวอยู่ได้ พวกเขาจึงเสียหลักล้มกลิ้งตามกันไปบนพื้นหญ้าใกล้ริมฝั่งทะเลสาบ 


ความสว่างไสวของพระจันทร์ สาดส่องประกายในความมืด ทั้งสองได้เห็นใบหน้าซึ่งกันและกัน ช่างบังเอิญพบกันในสถานการณ์เช่นนี้อยู่เรื่อยๆ  จนไม่อาจปกปิดรอยยิ้มระหว่างกันได้เลย


“ท่านอ๋อง!?”


“พระสนม!?”




โปรดติดตามตอนต่อไป


ก่อนหน้านี้เห็นเว็บไซต์ล่ม ไม่รู้ว่ากลับมาปกติตั้งแต่เมื่อไหร่ ยอมรับว่าตกใจมากเลย

ปล.1  รายละเอียดในหัวเยอะมาก แต่ละฉากพยายามบรรยายออกมาแล้ว ถึงไม่สละสลวย หรือ พิมพ์ให้จิตนาการตามแล้วงง  ต้องขออภัยด้วยจริงๆ พยายามแล้ว 5555

ปล.2 ขอบคุณเหมือนเดิม สำหรับผู้ที่ติดตามอ่านและเม้นให้ผู้แต่งได้อ่านมาโดยตลอด ขอบคุณจากใจ  ไปต่อ รอไม่ไหวแล้ว หนทางอีกยาวไกล อิอิ เดี๋ยวไม่จบนะ  ให้มันจบที่ผู้แต่งละกันเนอะ 555

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2020 21:52:47 โดย ครามพิสุทธิ์ »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
 :pig4: ท่านอ๋องจะช่วยยังไงน้อ   o13

ออฟไลน์ ครามพิสุทธิ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 6



...เสียงกระดิ่งหริ่งเรไร  พระจันทร์ทอแสงยิ้มขานรับ สองบุรุษงามร่วมชะตายามวิกาล...


ในเวลาเช่นนี้ช่างสงบเงียบดีเหลือแสน  ไม่ใช่เพียงบรรยากาศอย่างเดียว แต่รวมไปถึงใต้จิตใจที่เงียบสงบ


หนึ่งชายนั่งชันเข่าบนโขดหิน  อีกคนยืนโต้ท้าลมหนาว  ดวงตาสองคู่มองออกไปยังทะเลสาบอันเวิ้งว้างมืดสลัว  หากแต่หยางเฟิ่ง  หมั่นชำเลืองมองเจ้าของขลุ่ยหยกคู่ใจหลายหน  ในความสงบเงียบไร้การสนทนาพักใหญ่ มีหลายสิ่งในใจนักที่อยากถาม แต่แล้วเสียงทุ้มของคู่สนทนาชิงเปรยผ่านไอหมอกขึ้นเสียก่อน

“พระสนม... ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สบายดีหรือไม่”

“ข้าสบายดี  แล้วท่านเล่า  ท่านสบายดีหรือ   เอ่อ แล้ว...ท่านอ๋องกลับจากแคว้นเหนือเสียแต่เมื่อไหร่”

“ฮึฮึ  หลายคำถามเหลือเกินพระสนม ข้าจะตอบอะไรก่อนดี ...”

“เอ่อ...ข้า  คือข้า”

“ฮ่าๆ  ข้าล้อท่านเล่น  ข้าสบายดี  แล้วก็...กลับมาต้าชิงได้เดือนกว่าแล้ว”

“เหตุใด ข้าไมได้ข่าวของท่านเลย” 

“ต้องขอโทษพระสนมด้วยที่มิได้ส่งข่าว ข้าเกรงว่า..”

“เอาเถอะ ข้าเข้าใจ  ท่านอยู่จวนนอกรั้วเขตวังต้องห้าม  คงยากจะพบเห็นในวังหลวงได้”

“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจ” รอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นส่งมายังหยางเฟิ่ง ช่างเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจปฏิเสธการตอบรับได้เลย

“เมื่อครู่นี้ ท่านบรรเลงขลุ่ยหยกเพราะเหลือเกิน  เป่าให้ข้าฟังต่ออีกหน่อยได้หรือไม่”

“ได้สิ ข้ามีเพลงหนึ่ง เหมาะกับท่านแล้วก็เหมาะกับบรรยากาศเช่นนี้”

เฉิงชินอ๋อง ยิ้มเต็มแก้ม ก่อนจะเริ่มยกปลายขลุ่ยหยกแตะริมฝีปาก ลมปราณจากแผ่นอกหนาถูกปล่อยดันเล็ดลอดผ่านช่องว่างภายในเครื่องดนตรี เกิดเป็นเสียงตัวโน้ต  ผสมผสานขับออกมาเป็นท่วงทำนอง ช่างละมุนและกลมกลืนอย่างที่บอกไว้เสียจริง 


เวลาผ่านไปพักใหญ่ จวบจนเสียงขลุ่ยหยกหยุดลง มีเพียงรอยยิ้มและเสียงปรบมือชื่นชมจากหยางเฟิ่งเป็นรางวัลตอบแทน  บุรุษสูงใหญ่ได้แต่ยิ้มน้อมรับ


“ข้าเชื่อแล้วว่าท่านบรรเลงได้ไพเราะจริงๆ  ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่าใครเป็นอาจารย์สอนท่าน ข้าอยากเป่าขลุ่ยเก่งเหมือนท่านบ้าง”

“....” เฉิงชินอ๋องหลุบสายตาลงต่ำ รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปหมดสิ้นเสียแล้ว

“ท่านอ๋อง ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ?...เอ่อ ข้าขอโทษ”

“เปล่าหรอก พระสนมอย่าทรงวิตก  ข้าไม่ได้เป็นอะไร”

หยางเฟิ่งพยักหน้ารับ แม้ในใจพอจะดูออกว่า บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ได้สบายใจอย่างที่บอก อีกทั้งกำลังเศร้ากับเรื่องบางอย่าง ที่เก็บเอาไว้ในอก  ที่เขาเองไม่อาจรับรู้และไม่ควรก้าวก่าย

“อืม... นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับตำหนักก่อน   หยางกุ้ยเฟรินทูลลาท่านอ๋อง”

นี่คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด บางทีการที่ได้เจอเขานั่งเป่าขลุ่ยโดยบังเอิญเพียงลำพังยามวิกาลเช่นนี้  ส่วนหนึ่งเพียงประสงค์อยากอยู่ตามลำพังหรือเปล่า หากเป็นเช่นคาดคะเนก่อนหน้านี้ท่านอ๋องคงกำลังสลดใจเป็นแน่ 

“ท่านแม่...”เสียงทุ้มอันแผ่วเบา ได้ชะลอย่างก้าวของหยางเฟิ่ง จำต้องหันกลับไปหาเจ้าของคำพูดนั้น

“ท่านอ๋อง ท่านพูดว่าอะไรนะ” 

“ข้ากำลังจะบอกท่านว่า... ท่านแม่ของข้าเป็นคนสอนข้าเป่าขลุ่ยหยก”

“จริงเหรอ? ท่านแม่ของท่านช่างเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและมากความสามารถนัก ตอนนี้พระองค์สบายดีหรือไม่”

“ท่านแม่ของข้า....ช่างเถอะ  พระสนมอยากเรียนขลุ่ยหยกจริง ๆหรือ  ข้าสอนท่านได้นะ”

อะไรกัน...ท่านอ๋องมีเรื่องบางอย่างในใจอย่างนั้นหรือ พอกล่าวถึงมารดาของพระองค์แล้ว เหตุใดจึงไม่รู้สึกเปรมปรีดิ์  กลับพบเพียงความขมขื่น และความเศร้าสร้อยปะปนในแววตาคู่นั้น

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง คงต้องลำบากท่านแล้ว ฝากตัวด้วยพะยะค่ะ”

“พระสนมเกรงใจเกินไปแล้ว  อ้อจริงสิ เพลงเมื่อครู่ มีชื่อว่า บุบผาหิมะ”

“บุบผาหิมะ เหรอ?”

“ใช่  ท่านแม่ของข้า ชื่นชอบดอกบ๊วยมาก เมื่อครั้งข้าอยู่ตำหนักกับท่านแม่ มีดอกบ๊วยสีเหลืองบานเต็มไปหมดในฤดูหนาว”

“ดูท่านมีความสุขมาก เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านั้น”

“อืม ใช่แล้ว นี่พระสนมรู้หรือเปล่า ดอกบ๊วยสามารถบานได้แม้กระทั่งท่ามกลางหิมะและความหนาวเหน็บ มันบ่งบอกถึง ความเข้มแข็ง มั่นคงและอุตสาหะ ”

“ช่างมีความหมายดีเสียจริง  ”

“พระสนม วันหน้าอยากไปดูดอกบ๊วยหรือไม่  ข้ารับรองว่าท่านต้องชอบ”

“จริงเหรอ ตอนนี้ก็เข้าหน้าหนาวแล้วนี่นา  ข้าเองก็อยากไป แต่ว่า...สนมทุกคนต้องอยู่ภายในเขตวังหลัง ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีต้นบ๊วยที่วังหลังแน่”

“เอ๋....จริงเหรอ ที่ไหนกัน ข้าอยู่มาจะครบปีแล้วยังไม่เจอเลย”

“ท่านจำสถานที่แห่งแรก ที่เราเจอกันได้หรือเปล่า” หยางเฟิ่งครุ่นคิดสักพักแล้วฉีกยิ้มกว้าง

“จำได้สิ ที่ตำหนักร้าง และ...ไม่มีป้ายชื่อตำหนักติดไว้ด้วย”

“นั่นแหละ  ที่นั่นมีต้นบ๊วยนับสิบต้นเลยล่ะ ”

“โย่ว...นี่ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ตำหนักนั้นคือตำหนักที่ท่านแม่ของท่านเคยประทับอยู่เหรอ”

“ใช่ ตำหนักนั้นเคยเป็นของแม่ข้า ข้าชอบไปที่นั่นบ่อยๆ เสด็จพี่ก็ทรงอนุญาต  คราวนี้พระสนมเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าเหตุใดข้าถึง
เข้ามาเขตวังหลังได้โดยที่ทหารยามวังหลวงไม่ห้ามปราม”

“อย่างนี้นี่เอง ข้าว่าแล้วเชียว ในเขตลึกถึงวังหลังเช่นนั้นกลับเจอท่านอ๋องได้ น่าแปลกใจจริงๆ”

“อีกสามวัน ข้าจะรอท่านที่อุทยานหลวง เจอกันยามสายสักหน่อย พระสนมสะดวกรึเปล่า”

“ได้สิ ข้าจะไปตามที่ท่านนัดหมาย”

“นี่ก็ดึกมากแล้ว พระสนมเสด็จกลับตำหนักจะดีกว่า ข้าต้องกลับจวนแล้วเหมือนกัน”

“ท่านอ๋อง...ข้าเอ่อ  คือข้า  ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ไม่ว่าท่านจะทุกข์ใจอะไรอยู่ อยากให้ท่านรู้ว่าข้าพร้อมรับฟังท่านและอยู่ข้างท่านเสมอนะ”

คำพูดและรอยยิ้มสุดแสนจริงใจของหยางเฟิ่ง ส่งไปยังบุรุษสูงศักดิ์รูปงาม แววตาเจ็บปวด  และความเปล่าเปลี่ยวโดดเดี่ยวอ้างว้างมานานหลายปีของเฉิงชินอ๋องกำลังพังทลายลง  พร้อมทั้งความรู้สึกดีที่มีต่อกันเริ่มก่อตัวขึ้นทดแทน

“นี่ท่านยิ้มอะไร” หยางเฟิ่งถามพร้อมหลบสายตาเจ้าเสน่ห์คู่นั้นไป

“ขอบพระทัยพระสนม ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับท่าน ”

“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว  เอาล่ะ ข้ากลับตำหนักดีกว่า ให้ไป่หลิว เหลียงจั่วรออยู่ด้านหลังโขดหินนานโขแล้ว คงเหนื่อยแย่”

“อืม เอ่อ...พระสนม”

“ท่านอ๋องมีอะไรเหรอ”

“ขันทีของพระสนมไว้ใจได้หรือไม่”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ข้าจะกำชับพวกเขาเอง ท่านวางใจเถิด”

“ขอบพระทัย”

หยางกุ้ยเหรินพยักหน้า ไม่มีการพูดคุยใดๆกันอีก มีเพียงความรู้สึกดีๆก่อเกิดขึ้นภายในหัวใจของเฉิงชินอ๋อง  ในขณะที่หยางเฟิ่งได้แต่ตั้งคำถามในใจตัวเอง ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้คืออะไรกันแน่ หากจะบอกว่ามีความชอบพอ คงมิใช่ เขาพึงพอใจในตัวทายาทมังกรอย่างอ๋องเฉิง  อย่างนั้นเหรอ  เป็นไปไม่ได้แน่เพราะเชิงชินอ๋องเป็นผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นน้องชายของพระสวามีด้วย





มีคำกล่าวเล่าว่า


....สง่างามราวหงส์เหิน แผ่บารมีทั่วนภา  หมู่กามิอาจสู้เทียบเคียง 

หากสูงศักดิ์กลับดิ่งต่ำลงดิน ทรัพย์สินมากล้ำสูญสิ้นชั่วพริบตาเดียว...



ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปไม่ทันไร  ข่าวมงคลใหม่ได้ปรากฏขึ้นในวังหลวงเสียแล้ว  พระตำหนักโซ่คัง อันเป็นที่อยู่ของฮองไทเฮา  บัดนี้มีองค์ฮ่องเต้แวะมาประทับเยือนพร้อมหน้า  เหล่าบรรดานางกำนันและขันทีทั้งหลาย ต่างยิ้มเต็มแก้ม เมื่อทางสำนักหมอหลวงได้กราบทูลเรื่องการตั้งครรภ์ของ ฮวาผิน

“ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ ก่อนหน้านี้แม่ได้ยินข่าวว่าฮวาผินไม่สบาย สอบถามหมอหลวงที่ไปรักษานาง ฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลาเมื่อครั้งแม่ตั้งครรภ์ฮ่องเต้ จึงเชิญหมอหลวงเว่ยไปตรวจร่างกายอีกครั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่แม่คาดการณ์ไว้จริงๆ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า  ขอบพระทัยเสด็จแม่ ที่ทรงปราดเปรื่องนักพะยะค่ะ”

“อืม เรื่องของผู้หญิง  อาการเช่นนี้หญิงสาวใต้หล้านี้มีใครบ้างจะเดาไม่ได้ ฮึฮึ” ฮองไทเฮาตรัสด้วยอารมณ์สุนทรี

“หมอหลวงเว่ย  ท่านว่าฮวาผินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ทูลฝ่าบาท จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เสด็จแม่ ลูกกำลังจะมีทายาทคนแรกแล้ว”

“นี่ไม่ใช่ทายาทธรรมดา แต่เป็นโอรสธิดาคนแรกที่เกิดภายหลังจากเจ้าขึ้นครองราชย์ นับว่ามีความสำคัญมากต่อราชสำนักต้าชิง”

“จริงด้วยพะยะค่ะ” เกาอู่หลงทำสีหน้าครุ่นคิดตามพระมารดา

“เช่นนั้น การตั้งครรภ์ครั้งนี้ต้องดูแลให้ดี อย่าให้มีเรื่องอะไรผิดพลาดได้” ฮองไทเฮาตรัสกับลูกชายอย่างหนักแน่น ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมและพบเห็นมาเนิ่นนาน จากวัยสาวสู่วัยกลางคน วังหลังไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยต่อบรรดาสนมทั้งหลายเลย

“เช่นนั้น ลูกขอเสด็จแม่ทรงชี้แนะด้วยพะยะค่ะ”

“หมิงกุ้ยเฟย แม้จะเป็นบุรุษ แต่เขาก็คือผู้ปกครองวังหลังทั้งหก เจ้าได้แต่งตั้งเขาขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นหน้าที่ของเขา อีกอย่างที่แม่จะหารือกับฮ่องเต้อีกเรื่อง นั่นก็คือ แต่งตั้งตำแหน่ง หวงกุ้ยเฟย ให้เร็วที่สุด ว่าแต่...ฮ่องเต้ได้เล็งสนมคนไหนไว้เป็นพิเศษบ้างแล้วหรือยังล่ะ”

“ทูลเสด็จแม่ ยังเลยพะยะค่ะ แต่ลูกคิดว่ายังไม่ต้องรีบร้อนนัก ตำแหน่งนี้ ล้ำค่าเทียบเท่า ตำแหน่งฮองเฮา ลูกขอเวลาพิจารณาอีกสักพัก”  ฮองไทเฮาได้ฟังคำตอบแล้วขมวดคิ้ว ราวกับไม่สบายพระทัยเลย

“สักพักของเจ้าจะกี่ปีกันล่ะ เจ้าขึ้นครองราชย์จะครบเจ็ดปีแล้วนะ  สนมเก่ามากมาย นานวันยิ่งอายุมาก ตำแหน่งก็สูงขึ้น  หากไม่รีบตั้งตำแหน่งฮองเฮา หรือ หวงกุ้ยเฟย แม่เกรงว่าจะคุมบรรดาสนมลำบาก”

“เช่นนั้น ให้เป็นหน้าที่ของเสด็จเถิดแม่พะยะค่ะ”

“เอาล่ะๆ แม่จะรับเรื่องนี้พิจารณาแทนเจ้าเอง แต่เรื่องที่ต้องจัดการก่อนในตอนนี้ก็คือ ฮ่องเต้ควรเลื่อนขั้น ฮวาผิน เป็น ฮวาเฟย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้นางตั้งครรภ์ทายาทมังกรองค์แรก”

“ตำแหน่งเฟยตอนนี้มีสองคน  เพิ่มมาอีกคนคงไม่ใช่เรื่องใหญ่  ลูกจะประกาศราชโองการให้เร็วที่สุดพะยะค่ะ”

“อืมดีแล้วล่ะ  หากเจ้าว่างก็แวะไปเยี่ยมฮวาผินที่ตำหนักฉู่ซิ่วบ้างนะ นางจะได้มีกำลังใจ”

“พะยะค่ะ ลูกมีออกว่าราชการกับบรรดาขุนนางต่อ ขอทูลลาเสด็จแม่”

“ฮ่องเต้มีงานมากมาย แม่ไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว ไปเถอะ”

“พะยะค่ะ”


เมื่อเห็นฮ่องเต้และบรรดาคนรับใช้ทั้งหลายที่เฝ้าติดตามเสด็จออกไปจากตัวตำหนักโซ่คังหมดแล้ว เหอหลี่ กูกูคนสนิทของฮองไทเฮาจึงได้ให้หมอหลวงเว่ย และคนอื่นๆในตำหนักออกไปด้วย


จนกระทั่งตอนนี้เหลือเพียงฮองไทเฮาและเหอหลี่


“เหอหลี่ เจ้าให้ทุกคนออกไปข้างนอกหมดเช่นนี้ มีอะไรจะพูดกับข้าเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ”

“ทูลฮองไทเฮา  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่ว่าในเรื่องมงคลเช่นนี้ ย่อมมีคนอิจฉาริษยา ครรภ์ของฮวาผินจะเป็นที่จับจ้องของสนมทุกพระองค์แน่นอนเพคะ”

“นี่เจ้ากังวลว่าจะมีคนคิดร้ายฆ่าได้แม้กระทั่งทายาทมังกรสวรรค์อย่างนั้นเหรอ ”

“หม่อมฉันมิบังอาจ แต่ว่าฮองไทเฮา....ทรงป้องกันไว้จะดีกว่านะเพคะ”

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”  ลูกประคำในฝ่ามือถูกนับเลื่อนทีละลูกอย่างรวดเร็ว ตามอารมณ์ของพระนาง

“ทูลฮองไทเฮา ให้ฮวาผินมาอยู่ตำหนักโซ่คังสักระยะหนึ่งดีไหมเพคะ”

“ไม่ได้ ถึงข้าจะเป็นฮองไทเฮาแต่การดูแลเรื่องต่างๆของวังหลัง ยังไงก็ต้องเป็นหน้าที่ของหมิงกุ้ยเฟย เอะหรือว่าเจ้าหมายถึง   หมิงกุ้ยเฟยเองหรือจะมีความคิดเช่นนั้น”

“ทูลฮองไทเฮา ประมาทมิได้สักพระองค์เพคะ ”

“เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้า ถึงข้าจะไม่ชอบหมิงกุ้ยเฟยเสียเท่าไหร่ แต่พวกเรายังมีวิธีที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าครรภ์ของฮวาผินจะปลอดภัยจนครบกำหนดคลอด”

“ทำอย่างไรหรือเพคะ”

“ให้หมิงกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลและมารายงานอาการของฮวาผินกับข้าที่ตำหนักทุกๆสามวัน แน่นอนหมิงกุ้ยเฟยไม่กล้าทำเรื่องสกปรกกับทายาทมังกรสวรรค์แน่”

“ฮองไทเฮาทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก  หมิงกุ้ยเฟยไม่กล้าลงมือแน่นอน เพราะหากลงมือทำ โทษทัณฑ์ที่ทำให้รัชทายาทสวรรคต แบกรับไว้ไม่ไหวแน่ ”

“แต่ข้าเชื่อว่าหมิงกุ้ยเฟยไม่ทำแน่ หากราชโองการประกาศ เรื่องจะแต่งตั้งตำแหน่ง หวงกุ้ยเฟย แล้วล่ะก็...หมิงกุ้ยเฟยย่อมต้องพยายามทำแต้ม แล้วสิ่งที่จะทำได้ในเวลานี้ก็คือ ทำหน้าที่ปกป้องครรภ์ฮวาผินให้บรรลุเป้าหมาย  แล้วมาดูกันว่า จะมีคนริษยาม้ามืดคนใด มาเกี่ยวข้องเรื่องนี้บ้าง ฮึฮึฮึ ”





....ร้อยพันหมื่นแสนคน จิตใจใฝ่แค้นหรือชอบพอ ให้บังคับนั้น กระทำได้ยาก....


หลายวันผ่านไปยามตะวันบ่ายคล้อย  ทางเดินเรียบกำแพงตำหนักวังหลังทิศตะวันออก หยางเฟิ่งเดินขนาบคู่กับ เหยียนกุ้ยเหริน  ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองเริ่มต้นเมื่อเดือนที่แล้ว  หยางเฟิ่งพบเหยียนกุ้ยเหรินโดยบังเอิญที่
คอกม้าหลวง 

เดิมทีตระกูลเหยียนคือตระกูลขุนนางฝ่ายการค้าระหว่างต้าชิงกับตะวันตกทางเรือ กำกับอยู่ภายใต้กองธงสีขาว เรื่องพวกนี้หยางเฟิ่งพอจะรู้มาบ้าง อีกทั้งพวกเขาเข้าวังมาพร้อมกัน เพียงแต่ยังไม่มีเวลาไปมาหาสู่กันเท่านั้นเอง ด้วยระยะทางของตำหนักที่อยู่คนทิศ นั่นก็อีกปัจจัยหนึ่ง

เหยียนกุ้ยเหรินมีทักษะขี่ม้าเก่ง เพราะก่อนเข้าวังชอบขี่ม้าไปท่องเที่ยวระหว่างเมืองบ่อยๆ นับว่าเป็นผู้ชายร่างเล็กที่ดูคล่องแคล่วไปเสียทุกอิริยาบถ แถมเป็นคนคุยง่ายไม่ถือตัวนัก จึงไม่แปลกที่พวกเขาสนิทสนมกันรวดเร็วภายในเวลาไม่นานนัก

“หยางเฟิ่ง ข้าได้ข่าวลือมาว่า ฮวาผินทรงตั้งครรภ์แล้ว”

“เรื่องนี้ พระสนมเจียเฟย ได้เล่าให้ข้าฟังแล้วล่ะนะ  อันที่จริง เจียเฟยก็สนิทสนมกับฮวาผินมากด้วย ถ้าจำไม่ผิด เจียเฟยเคยบอกว่า ฮวาผินเคยอยู่ที่ตำหนักเสียนฝูมาก่อน”

“จริงเหรอ ช่างดีจริงๆ ว่างๆข้าจะไปถวายพระพรเจียเฟยบ้าง เคยเห็นเพียงแค่ตอนไปถวายพระพรหมิงกุ้ยเฟยทุกเช้าที่อี้คุนกง แค่นั้นเอง”

“เจ้ารู้หรือไม่ พระสนมเจียเฟยใจดีมากเลยนะ ข้ารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ได้อยู่ตำหนักเสียนฝู”

“หากเป็นเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็เสด็จไปตำหนักเสียนฝูบ่อยมากนะสิ ต่างจากข้าที่ไม่ทรงเสด็จมาเลย”

“จริงหรือ  นานเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ก็...ตั้งแต่จิ้งเฟย อาหารเป็นพิษในวันที่ฮ่องเต้ประทับค้างแรมด้วย หลังจากนั้นก็ทรงไม่พอพระทัย ไม่เสด็จมาอีกเลย ข้าก็พลอยถูกพ่วงไปด้วย”

“เอ๋...นี่เจ้าอยู่ตำหนักจงชุ่ยกับจิ้งเฟยหรอกหรือ”

“ใช่ จิ้งเฟย เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยออกไปพบใคร แต่ว่าข้าได้ข่าวมาว่า จิ้งเฟยพยายามเข้าหาหมิงกุ้ยเฟยมากนักแต่ไม่เป็นผล ในวังหลังแห่งนี้คนที่เข้าหน้าหมิงกุ้ยเฟยติด เห็นทีคงจะมีแต่โจวผินเท่านั้น”

“โจวผินเหรอ? ข้ารู้สึกว่าโจวผินเป็นผู้ชายที่พิลึกมาก เขาดูมีอะไรในใจตลอดเวลา ”
เหยียนกุ้ยเหรินหันซ้ายแลขวา ไม่เจอใครในละแวกนั้น จึงเข้าไปกระซิบที่ใบหูหยางเฟิ่งทันที

“มีคนเคยบอกว่า โจวผินคือมันสมองของหมิงกุ้ยเฟยเลยนะ เจ้าระวังตัวไว้ด้วย ”

“ตายจริง เมื่อครู่นี้ข้าพูดเสียงดังไปหรือเปล่าเหยียนกุ้ยเหริน”

“ข้าดูรอบๆนี้แล้ว แถวนี้ไม่มีใคร เจ้าระวังหน่อยก็ดี”

“ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ  เจ้าดูเหมือนเฝ้ารอฮ่องเต้เสด็จไปหาเจ้ามากสินะ”

“อื้ม  ข้าเฝ้ารอทุกวัน  พระองค์ทั้งรูปงามและทรงอารมณ์ขัน แต่ข้าก็ไม่เคยได้ถวายตัวเลยสักครั้ง”

“เรื่องนั้นไม่ยากนักหรอก เดี๋ยวข้าช่วย”

“เจ้าเนี่ยนะหยางเฟิ่ง จะช่วยข้าได้ยังไง สนมเก่ามีถึงห้าพระองค์ รวมรอบของเจ้ากับข้าอีกเจ็ด  แล้วยังไม่รวมสนมเผ่าหาน แคว้นเหนือสองพี่น้องอีกสองคน  เห็นทีคงจะยาก”

“อะไรกัน ไม่เชื่อฝีมือข้าอย่างนั้นเหรอ เรื่องพ่อสื่อให้บอกข้าละกัน ข้าถนัดนัก”

“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ  ส่วนมากพ่อสื่อแม่สื่อมักได้เองด้วยนะ ได้ข่าวจากเหล่าบรรดาขันที นางกำนันต่างซุบซิบเรื่องของเจ้าไม่น้อย ”

“เอ๋...เรื่องอะไรกัน ข้าอยู่เงียบๆของข้าแล้วแท้ๆจะมีอะไรให้ซุบซิบกันได้อีกเล่า”

“ก็เรื่องที่เจ้าหลบหน้าหลบตาฝ่าบาทอย่างไรล่ะ อันที่จริงข้าก็แปลกใจนัก ในเมื่อเจ้าเป็นสนม จะหลบหน้าพระสวามีไปด้วยเหตุใดกัน”

“ก็ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายนี่”

“ถึงไม่ชอบ แต่เจ้าก็เป็นสนม ลองสักหน่อยสิ เจ้าจะรู้ว่าผู้ชายอย่างพวกเรา สร้างความสุขให้กันได้มากขนาดไหน” เหยียนกุ้ยเหรินเหล่สายตามอง  ทำสีหน้าอย่างหยอกล้อเล็กน้อย

“ไอ้โหย๋ว....ขนลุก  อย่าบังคับข้านักเลย ถ้าข้าเลือกได้ข้าอยากกลับบ้าน กลับไปเป็นคุณชายที่จวนหยาง ไปนั่งให้อาหารปลาทองทุกๆเช้าเสียจะดีกว่า ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายข้าจับมาย่างเสียแล้วกระมัง”

“ฮ่าฮ่า เจ้านี่ยังเหมือนเด็กเลยนะ อายุจะสิบแปดปีแล้วนะหยางเฟิ่ง ”

“ช่างประไรเล่า ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้นี่นา ว่าแต่เจ้าเถอะ ถ้าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นเพียงชายธรรมดาๆ เจ้ายังจะชอบหรือไม่”  เหยียนกุ้ยเหรินทำสีหน้าครุ่นคิด เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็บอกคำตอบออกไป

“ใช่ ข้าชอบฝ่าบาทตั้งแต่แรกพบ มันเหมือนเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานมาให้เลย”

“ฝันเพ้อภพไปหน่อยละมั้งเหยียนกุ้ยเหริน”

“เอ...หยางเฟิ่ง เจ้านี่นะขัดข้าเก่งเหลือเกิน แต่ข้าชอบ ฮ่าฮ่าฮ่า”

สองบุรุษหยอกล้อ ผลักกัน ตบไหล่กันไปมาตามประสา เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วเริงร่าไม่ทันได้สังเกตว่า ไกลออกไปทางข้างหน้านั้น กำลังมีขบวนเกี้ยวใครบางคนตรงมาทางนี้


“เหยียนกุ้ยเหริน! นั่นขบวนเสด็จหมิงกุ้ยเฟยนี่นา”

“นั่นสิ กำลังมาทางนี้ด้วย ”

ขบวนเสด็จตรงหน้า ปรากฏเกี้ยวสีทองใกล้เข้ามาพร้อมบรรดาขันทีนับสิบ มุ่งมาจวนจะถึงสองพระสนมที่ยืนรอถวายพระพรด้านข้างไหล่ทางเดิน แล้วชะลอความเร็วลง


“ถวายพระพรหมิงกุ้ยเฟย”


วันนี้หมิงกุ้ยเฟย แต่งชุดสีเหลืองอ่อน ลายปักหงส์คู่บนทะยานนภา บนศีรษะประดับหมวกกำมะหมี่สีแดงประจำตัวเช่นเดิม  พระพักตร์ตอนนี้ดูมิค่อยสำราญใจเสียด้วย


“สนมหยาง สนมเหยียน เหตุใดวันนี้ดูร่าเริงนัก ดีใจที่ฮวาผินตั้งครรภ์หรืออย่างไร”

“เอ่อ...ทูลพระสนม มิใช่อย่างนั้นพะยะค่ะ”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ทางข้างหน้า ที่พวกเจ้ากำลังจะเดินไปคือตำหนักฉู่ซิ่ง ตำหนักของฮวาผิน ฮึฮึ ดีใจไปเถิด บุรุษเพศอย่างพวกเจ้า ชาตินี้ไม่มีทางตั้งครรภ์ได้หรอก แต่เอาเถอะ อยู่เป็นสนมตกอับแบบพวกเจ้าก็ดี  ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคอยควบคุมพวกเจ้า 
ไปได้!”


ขบวนเกี้ยวหมิงกุ้ยเฟย เคลื่อนผ่านพวกเขาไป ทิ้งไว้แต่ความฉงนใจให้แก่สองสนมชั้นกุ้ยเหรินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม  เหตุใดจึงดูอารมณ์โมโหร้ายพิลึก

“พูดราวกับตัวเองไม่ได้เป็นผู้ชายอย่างนั้นแหละ” เหยียนกุ้ยเหรินเริ่มแสดงท่าทีโต้ตอบทันที

“เจ้าเพิ่งจะห้ามข้าเรื่องคำพูดในที่โจ่งแจ้งอยู่หยกๆ เหตุใดกลับพูดเองเสียนี่”

“หยางกุ้ยเหริน เจ้าไม่เห็นหรือว่าหมิงกุ้ยเฟยวางอำนาจกับพวกเราเพียงใด ข้ากับเจ้ามีความสุขเรื่องอันใด แล้วเกี่ยวอะไรกับพระองค์ด้วย”

“ชู่ววว...พอเถอะ เดี๋ยวขันที นางกำนันแถวนี้จะได้ยิน ไปตำหนักฮวาผินได้แล้วเร็วเข้า”

“ก็ได้ๆ ”



....โมโหโกธามิใช่ดี  วาจาวลีสงบเงียบนั้นแล เป็นอันสิ้นสุด...


ตำหนักฉือหนิง ตำหนักที่ประทับของเกาอู่หลง ก่อนหน้านี้พระองค์ได้ให้ เหอกงกง ไปเชิญหมิงกุ้ยเฟยเสด็จมาที่นี่ เพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ

“ถวายพระพรฝ่าบาท” หมิงกุ้ยเฟยคำนับพระสวามีทันทีที่มาถึง  ฮ่องเต้ประทับนั่งบนโต๊ะไม้เนื้อแข็งสลักมังกรตัวใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้ กำลังจดจ่อกับตัวอักษรที่ทรงบรรจงลงบนกระดาษอย่างประณีตและตั้งใจ

“ลุกขึ้นเถิดหมิงกุ้ยเฟย  ลุกมาดูสิ่งนี้เร็วเข้า”

“พะยะค่ะ”

หมิงกุ้ยเฟย ลุกขึ้นตามรับสั่ง จนกระทั่งเดินไปเห็นตัวอักษรห้าหกตัว เขียนด้วยฝีพระหัตถ์ฮ่องเต้จวนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์

“...อยู่ดีมีสุขสมบูรณ์แข็งแรง..”

“ใช่ เป็นอย่างไร เจ้าว่าดีไหม”

“ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์เขียนด้วยพระหัตถ์ย่อมดีที่สุดเสมอพะยะค่ะ”

“นั่นสินะ ข้าเขียนให้ฮวาผิน และลูกในครรภ์ ” หมิงกุ้ยเฟย รอยยิ้มเหือดหายหมดสิ้น เหลือแต่ความขุ่นเคืองในจิตใจขึ้นทดแทน

“ฮวาผินนางต้องดีใจแน่พะยะค่ะ” เขาฝืนพูดออกไป แม้ในใจจะหึงหวงมากก็ตาม

“ขอบใจเจ้ามาก อันที่จริงข้ามีเรื่องร้องขอเจ้า”

“เอ่อ...ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว อะไรที่รับสั่งมากระหม่อมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดพะยะค่ะ”

“ลุกขึ้นก่อนเถิดหมิงกุ้ยเฟย มา...มานั่งข้างๆข้านี่มา”

“ขอบพระทับพะยะค่ะ”

เมื่อหมิงกุ้ยเฟยนั่งลงข้างๆฮ่องเต้แล้ว ฝ่ามือหนาของพระองค์เอื้อมไปกุมมือหมิงกุ้ยเฟยเอาไว้ แล้วกระชับบีบเล็กน้อย สร้างความตื้นตันใจและแปลกใจให้แก่หมิงกุ้ยเฟยเป็นอย่างมาก

“เป็นอะไรไป เหตุใดน้ำตาคลอ เจ้าไม่ชอบเหรอ..”

“ชอบพะยะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่...ไม่ได้ใกล้ชิดฝ่าบาทแบบนี้มานานมากแล้ว”

“โถ่เอ้ย ข้านึกว่าอะไร หมิงกุ้ยเฟย...เจ้าอยู่สูงสุดของตำแหน่งวังหลัง ภาระหน้าที่มากมายที่เจ้าต้องดูแล ข้าเข้าใจและเห็นใจเจ้า
สนมก็มีมากขึ้นทุกวัน หลายครั้งหลายหนข้าละเลยเจ้าไปบ้าง แต่อยากให้เจ้ารู้ว่า ข้าไม่เคยเสียดายที่เลือกเจ้าเป็นชายาเอกตั้งแต่สมัยข้าเป็นองค์ชายที่จวนอ๋อง”

“ฝ่าบาท...”


“อืม เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าเข้าใจเจ้าดี และสิ่งที่ข้าจะให้เจ้าช่วยก็คงจะหนักใจเจ้าไม่น้อย ”

“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ กระหม่อมยินดี กระหม่อมคือผู้ปกครองวังหลัง จะทิ้งหน้าที่ไม่ได้”

“ข้ากับเสด็จแม่เห็นพ้องต้องกันว่า จะให้เจ้าดูแลการตั้งครรภ์ของฮวาผิน ”

“เอ่อ...”

“ช่วยข้าหน่อยเถิด ถ้าเจ้าดูแลเรื่องนี้ จะไม่มีใครกล้าทำเรื่องเลวร้ายกับทายาทมังกรแน่”

“พะยะค่ะ หากเป็นหน้าที่ กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุด”

“ขอบใจเจ้ามาก”


ฮ่องเต้ยิ้มให้หมิงกุ้ยเฟย แล้วกวาดแขนใหญ่โอบร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวด้วยความแนบแน่น หากแต่แววตาและรอยยิ้มปีติยินดี ภายใต้แผ่นอกของพระสวามีนั้น กลับลบเลือนหายไป มีแต่ความอิจฉาริษยาล้นท่วมท้นจิตใจแทน


...เหตุใด!  เหตุใดข้าถึงไม่เป็นผู้หญิง

...เหตุใด! เหตุใดข้าถึงตั้งครรภ์ไม่ได้!


ความคิดเพียงหนึ่งเดียวก้องกังวานในจิตใจยากจะตะเบ็งเสียงระบายความคับแค้นใจออกมาได้ในตอนนี้ สองนิ้วมือขยำกำหมัดแน่น เพียงเพื่อระบายความทุกข์  หวังให้ทุเลาลงได้เท่านั้นเอง แต่ทว่ากลับกระทำได้ยากยิ่งนัก



***โปรดติดตามตอนต่อไป***


หายไปนานเลย ขอโทษผู้อ่านทุกคนด้วยนะ จะมาต่อให้เร็วที่สุดครับ อยากพิมพ์ให้อ่านกันเร็วๆ จะได้จบเร็วๆ เนื้อเรื่องยาวไกลเหลือเกิน ฮ่าฮ่า ค่อยเป็นค่อยไปเนอะ

****เกล็ดความรู้  แปดกองธงของราชวงศ์ต้าชิง ถือกำเนิดขึ้น และยกทัพโค่นล้มราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ โดยแปดกองธงยุคแรกอยู่ภายใต้การควบคุมของปฐมกษัตริย์ต้าชิง จากนั้นเปลี่ยนถ่ายไปยังบรรดาองค์ชาย รุ่นสู่รุ่นปกครอง ไพร่หล้าของราชวงศ์ชิงและชนเผ่าต่างๆ ต้องอยู่ภายใต้กองธง  อันได้แก่ กองธงเหลือง กองธงขาว  กองธงแดง กองธงแดงขลิบขาว กองธงเหลืองขลิบแดง กองธงขาวขลิบแดง กองธงคราม และกองธงครามขลิบแดง

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันจะเป็นยังไงต่อละน้ออออ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ดราม่าหวังหลัง แอบสงสารหมิงกุ้ยเฟย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด