บทที่ 6
...เสียงกระดิ่งหริ่งเรไร พระจันทร์ทอแสงยิ้มขานรับ สองบุรุษงามร่วมชะตายามวิกาล...
ในเวลาเช่นนี้ช่างสงบเงียบดีเหลือแสน ไม่ใช่เพียงบรรยากาศอย่างเดียว แต่รวมไปถึงใต้จิตใจที่เงียบสงบ
หนึ่งชายนั่งชันเข่าบนโขดหิน อีกคนยืนโต้ท้าลมหนาว ดวงตาสองคู่มองออกไปยังทะเลสาบอันเวิ้งว้างมืดสลัว หากแต่หยางเฟิ่ง หมั่นชำเลืองมองเจ้าของขลุ่ยหยกคู่ใจหลายหน ในความสงบเงียบไร้การสนทนาพักใหญ่ มีหลายสิ่งในใจนักที่อยากถาม แต่แล้วเสียงทุ้มของคู่สนทนาชิงเปรยผ่านไอหมอกขึ้นเสียก่อน
“พระสนม... ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี แล้วท่านเล่า ท่านสบายดีหรือ เอ่อ แล้ว...ท่านอ๋องกลับจากแคว้นเหนือเสียแต่เมื่อไหร่”
“ฮึฮึ หลายคำถามเหลือเกินพระสนม ข้าจะตอบอะไรก่อนดี ...”
“เอ่อ...ข้า คือข้า”
“ฮ่าๆ ข้าล้อท่านเล่น ข้าสบายดี แล้วก็...กลับมาต้าชิงได้เดือนกว่าแล้ว”
“เหตุใด ข้าไมได้ข่าวของท่านเลย”
“ต้องขอโทษพระสนมด้วยที่มิได้ส่งข่าว ข้าเกรงว่า..”
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจ ท่านอยู่จวนนอกรั้วเขตวังต้องห้าม คงยากจะพบเห็นในวังหลวงได้”
“ขอบพระทัยที่ทรงเข้าใจ” รอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นส่งมายังหยางเฟิ่ง ช่างเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจปฏิเสธการตอบรับได้เลย
“เมื่อครู่นี้ ท่านบรรเลงขลุ่ยหยกเพราะเหลือเกิน เป่าให้ข้าฟังต่ออีกหน่อยได้หรือไม่”
“ได้สิ ข้ามีเพลงหนึ่ง เหมาะกับท่านแล้วก็เหมาะกับบรรยากาศเช่นนี้”
เฉิงชินอ๋อง ยิ้มเต็มแก้ม ก่อนจะเริ่มยกปลายขลุ่ยหยกแตะริมฝีปาก ลมปราณจากแผ่นอกหนาถูกปล่อยดันเล็ดลอดผ่านช่องว่างภายในเครื่องดนตรี เกิดเป็นเสียงตัวโน้ต ผสมผสานขับออกมาเป็นท่วงทำนอง ช่างละมุนและกลมกลืนอย่างที่บอกไว้เสียจริง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จวบจนเสียงขลุ่ยหยกหยุดลง มีเพียงรอยยิ้มและเสียงปรบมือชื่นชมจากหยางเฟิ่งเป็นรางวัลตอบแทน บุรุษสูงใหญ่ได้แต่ยิ้มน้อมรับ
“ข้าเชื่อแล้วว่าท่านบรรเลงได้ไพเราะจริงๆ ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่าใครเป็นอาจารย์สอนท่าน ข้าอยากเป่าขลุ่ยเก่งเหมือนท่านบ้าง”
“....” เฉิงชินอ๋องหลุบสายตาลงต่ำ รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปหมดสิ้นเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ?...เอ่อ ข้าขอโทษ”
“เปล่าหรอก พระสนมอย่าทรงวิตก ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
หยางเฟิ่งพยักหน้ารับ แม้ในใจพอจะดูออกว่า บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ได้สบายใจอย่างที่บอก อีกทั้งกำลังเศร้ากับเรื่องบางอย่าง ที่เก็บเอาไว้ในอก ที่เขาเองไม่อาจรับรู้และไม่ควรก้าวก่าย
“อืม... นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับตำหนักก่อน หยางกุ้ยเฟรินทูลลาท่านอ๋อง”
นี่คงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด บางทีการที่ได้เจอเขานั่งเป่าขลุ่ยโดยบังเอิญเพียงลำพังยามวิกาลเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพียงประสงค์อยากอยู่ตามลำพังหรือเปล่า หากเป็นเช่นคาดคะเนก่อนหน้านี้ท่านอ๋องคงกำลังสลดใจเป็นแน่
“ท่านแม่...”เสียงทุ้มอันแผ่วเบา ได้ชะลอย่างก้าวของหยางเฟิ่ง จำต้องหันกลับไปหาเจ้าของคำพูดนั้น
“ท่านอ๋อง ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“ข้ากำลังจะบอกท่านว่า... ท่านแม่ของข้าเป็นคนสอนข้าเป่าขลุ่ยหยก”
“จริงเหรอ? ท่านแม่ของท่านช่างเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและมากความสามารถนัก ตอนนี้พระองค์สบายดีหรือไม่”
“ท่านแม่ของข้า....ช่างเถอะ พระสนมอยากเรียนขลุ่ยหยกจริง ๆหรือ ข้าสอนท่านได้นะ”
อะไรกัน...ท่านอ๋องมีเรื่องบางอย่างในใจอย่างนั้นหรือ พอกล่าวถึงมารดาของพระองค์แล้ว เหตุใดจึงไม่รู้สึกเปรมปรีดิ์ กลับพบเพียงความขมขื่น และความเศร้าสร้อยปะปนในแววตาคู่นั้น
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง คงต้องลำบากท่านแล้ว ฝากตัวด้วยพะยะค่ะ”
“พระสนมเกรงใจเกินไปแล้ว อ้อจริงสิ เพลงเมื่อครู่ มีชื่อว่า บุบผาหิมะ”
“บุบผาหิมะ เหรอ?”
“ใช่ ท่านแม่ของข้า ชื่นชอบดอกบ๊วยมาก เมื่อครั้งข้าอยู่ตำหนักกับท่านแม่ มีดอกบ๊วยสีเหลืองบานเต็มไปหมดในฤดูหนาว”
“ดูท่านมีความสุขมาก เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านั้น”
“อืม ใช่แล้ว นี่พระสนมรู้หรือเปล่า ดอกบ๊วยสามารถบานได้แม้กระทั่งท่ามกลางหิมะและความหนาวเหน็บ มันบ่งบอกถึง ความเข้มแข็ง มั่นคงและอุตสาหะ ”
“ช่างมีความหมายดีเสียจริง ”
“พระสนม วันหน้าอยากไปดูดอกบ๊วยหรือไม่ ข้ารับรองว่าท่านต้องชอบ”
“จริงเหรอ ตอนนี้ก็เข้าหน้าหนาวแล้วนี่นา ข้าเองก็อยากไป แต่ว่า...สนมทุกคนต้องอยู่ภายในเขตวังหลัง ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีต้นบ๊วยที่วังหลังแน่”
“เอ๋....จริงเหรอ ที่ไหนกัน ข้าอยู่มาจะครบปีแล้วยังไม่เจอเลย”
“ท่านจำสถานที่แห่งแรก ที่เราเจอกันได้หรือเปล่า” หยางเฟิ่งครุ่นคิดสักพักแล้วฉีกยิ้มกว้าง
“จำได้สิ ที่ตำหนักร้าง และ...ไม่มีป้ายชื่อตำหนักติดไว้ด้วย”
“นั่นแหละ ที่นั่นมีต้นบ๊วยนับสิบต้นเลยล่ะ ”
“โย่ว...นี่ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ตำหนักนั้นคือตำหนักที่ท่านแม่ของท่านเคยประทับอยู่เหรอ”
“ใช่ ตำหนักนั้นเคยเป็นของแม่ข้า ข้าชอบไปที่นั่นบ่อยๆ เสด็จพี่ก็ทรงอนุญาต คราวนี้พระสนมเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าเหตุใดข้าถึง
เข้ามาเขตวังหลังได้โดยที่ทหารยามวังหลวงไม่ห้ามปราม”
“อย่างนี้นี่เอง ข้าว่าแล้วเชียว ในเขตลึกถึงวังหลังเช่นนั้นกลับเจอท่านอ๋องได้ น่าแปลกใจจริงๆ”
“อีกสามวัน ข้าจะรอท่านที่อุทยานหลวง เจอกันยามสายสักหน่อย พระสนมสะดวกรึเปล่า”
“ได้สิ ข้าจะไปตามที่ท่านนัดหมาย”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พระสนมเสด็จกลับตำหนักจะดีกว่า ข้าต้องกลับจวนแล้วเหมือนกัน”
“ท่านอ๋อง...ข้าเอ่อ คือข้า ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ไม่ว่าท่านจะทุกข์ใจอะไรอยู่ อยากให้ท่านรู้ว่าข้าพร้อมรับฟังท่านและอยู่ข้างท่านเสมอนะ”
คำพูดและรอยยิ้มสุดแสนจริงใจของหยางเฟิ่ง ส่งไปยังบุรุษสูงศักดิ์รูปงาม แววตาเจ็บปวด และความเปล่าเปลี่ยวโดดเดี่ยวอ้างว้างมานานหลายปีของเฉิงชินอ๋องกำลังพังทลายลง พร้อมทั้งความรู้สึกดีที่มีต่อกันเริ่มก่อตัวขึ้นทดแทน
“นี่ท่านยิ้มอะไร” หยางเฟิ่งถามพร้อมหลบสายตาเจ้าเสน่ห์คู่นั้นไป
“ขอบพระทัยพระสนม ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับท่าน ”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว เอาล่ะ ข้ากลับตำหนักดีกว่า ให้ไป่หลิว เหลียงจั่วรออยู่ด้านหลังโขดหินนานโขแล้ว คงเหนื่อยแย่”
“อืม เอ่อ...พระสนม”
“ท่านอ๋องมีอะไรเหรอ”
“ขันทีของพระสนมไว้ใจได้หรือไม่”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ข้าจะกำชับพวกเขาเอง ท่านวางใจเถิด”
“ขอบพระทัย”
หยางกุ้ยเหรินพยักหน้า ไม่มีการพูดคุยใดๆกันอีก มีเพียงความรู้สึกดีๆก่อเกิดขึ้นภายในหัวใจของเฉิงชินอ๋อง ในขณะที่หยางเฟิ่งได้แต่ตั้งคำถามในใจตัวเอง ว่าความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้คืออะไรกันแน่ หากจะบอกว่ามีความชอบพอ คงมิใช่ เขาพึงพอใจในตัวทายาทมังกรอย่างอ๋องเฉิง อย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้แน่เพราะเชิงชินอ๋องเป็นผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นน้องชายของพระสวามีด้วย
มีคำกล่าวเล่าว่า
....สง่างามราวหงส์เหิน แผ่บารมีทั่วนภา หมู่กามิอาจสู้เทียบเคียง
หากสูงศักดิ์กลับดิ่งต่ำลงดิน ทรัพย์สินมากล้ำสูญสิ้นชั่วพริบตาเดียว...
ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปไม่ทันไร ข่าวมงคลใหม่ได้ปรากฏขึ้นในวังหลวงเสียแล้ว พระตำหนักโซ่คัง อันเป็นที่อยู่ของฮองไทเฮา บัดนี้มีองค์ฮ่องเต้แวะมาประทับเยือนพร้อมหน้า เหล่าบรรดานางกำนันและขันทีทั้งหลาย ต่างยิ้มเต็มแก้ม เมื่อทางสำนักหมอหลวงได้กราบทูลเรื่องการตั้งครรภ์ของ ฮวาผิน
“ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ ก่อนหน้านี้แม่ได้ยินข่าวว่าฮวาผินไม่สบาย สอบถามหมอหลวงที่ไปรักษานาง ฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลาเมื่อครั้งแม่ตั้งครรภ์ฮ่องเต้ จึงเชิญหมอหลวงเว่ยไปตรวจร่างกายอีกครั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่แม่คาดการณ์ไว้จริงๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบพระทัยเสด็จแม่ ที่ทรงปราดเปรื่องนักพะยะค่ะ”
“อืม เรื่องของผู้หญิง อาการเช่นนี้หญิงสาวใต้หล้านี้มีใครบ้างจะเดาไม่ได้ ฮึฮึ” ฮองไทเฮาตรัสด้วยอารมณ์สุนทรี
“หมอหลวงเว่ย ท่านว่าฮวาผินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ทูลฝ่าบาท จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสด็จแม่ ลูกกำลังจะมีทายาทคนแรกแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ทายาทธรรมดา แต่เป็นโอรสธิดาคนแรกที่เกิดภายหลังจากเจ้าขึ้นครองราชย์ นับว่ามีความสำคัญมากต่อราชสำนักต้าชิง”
“จริงด้วยพะยะค่ะ” เกาอู่หลงทำสีหน้าครุ่นคิดตามพระมารดา
“เช่นนั้น การตั้งครรภ์ครั้งนี้ต้องดูแลให้ดี อย่าให้มีเรื่องอะไรผิดพลาดได้” ฮองไทเฮาตรัสกับลูกชายอย่างหนักแน่น ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมและพบเห็นมาเนิ่นนาน จากวัยสาวสู่วัยกลางคน วังหลังไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยต่อบรรดาสนมทั้งหลายเลย
“เช่นนั้น ลูกขอเสด็จแม่ทรงชี้แนะด้วยพะยะค่ะ”
“หมิงกุ้ยเฟย แม้จะเป็นบุรุษ แต่เขาก็คือผู้ปกครองวังหลังทั้งหก เจ้าได้แต่งตั้งเขาขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ก็ถือเป็นหน้าที่ของเขา อีกอย่างที่แม่จะหารือกับฮ่องเต้อีกเรื่อง นั่นก็คือ แต่งตั้งตำแหน่ง หวงกุ้ยเฟย ให้เร็วที่สุด ว่าแต่...ฮ่องเต้ได้เล็งสนมคนไหนไว้เป็นพิเศษบ้างแล้วหรือยังล่ะ”
“ทูลเสด็จแม่ ยังเลยพะยะค่ะ แต่ลูกคิดว่ายังไม่ต้องรีบร้อนนัก ตำแหน่งนี้ ล้ำค่าเทียบเท่า ตำแหน่งฮองเฮา ลูกขอเวลาพิจารณาอีกสักพัก” ฮองไทเฮาได้ฟังคำตอบแล้วขมวดคิ้ว ราวกับไม่สบายพระทัยเลย
“สักพักของเจ้าจะกี่ปีกันล่ะ เจ้าขึ้นครองราชย์จะครบเจ็ดปีแล้วนะ สนมเก่ามากมาย นานวันยิ่งอายุมาก ตำแหน่งก็สูงขึ้น หากไม่รีบตั้งตำแหน่งฮองเฮา หรือ หวงกุ้ยเฟย แม่เกรงว่าจะคุมบรรดาสนมลำบาก”
“เช่นนั้น ให้เป็นหน้าที่ของเสด็จเถิดแม่พะยะค่ะ”
“เอาล่ะๆ แม่จะรับเรื่องนี้พิจารณาแทนเจ้าเอง แต่เรื่องที่ต้องจัดการก่อนในตอนนี้ก็คือ ฮ่องเต้ควรเลื่อนขั้น ฮวาผิน เป็น ฮวาเฟย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้นางตั้งครรภ์ทายาทมังกรองค์แรก”
“ตำแหน่งเฟยตอนนี้มีสองคน เพิ่มมาอีกคนคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลูกจะประกาศราชโองการให้เร็วที่สุดพะยะค่ะ”
“อืมดีแล้วล่ะ หากเจ้าว่างก็แวะไปเยี่ยมฮวาผินที่ตำหนักฉู่ซิ่วบ้างนะ นางจะได้มีกำลังใจ”
“พะยะค่ะ ลูกมีออกว่าราชการกับบรรดาขุนนางต่อ ขอทูลลาเสด็จแม่”
“ฮ่องเต้มีงานมากมาย แม่ไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว ไปเถอะ”
“พะยะค่ะ”
เมื่อเห็นฮ่องเต้และบรรดาคนรับใช้ทั้งหลายที่เฝ้าติดตามเสด็จออกไปจากตัวตำหนักโซ่คังหมดแล้ว เหอหลี่ กูกูคนสนิทของฮองไทเฮาจึงได้ให้หมอหลวงเว่ย และคนอื่นๆในตำหนักออกไปด้วย
จนกระทั่งตอนนี้เหลือเพียงฮองไทเฮาและเหอหลี่
“เหอหลี่ เจ้าให้ทุกคนออกไปข้างนอกหมดเช่นนี้ มีอะไรจะพูดกับข้าเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ”
“ทูลฮองไทเฮา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่ว่าในเรื่องมงคลเช่นนี้ ย่อมมีคนอิจฉาริษยา ครรภ์ของฮวาผินจะเป็นที่จับจ้องของสนมทุกพระองค์แน่นอนเพคะ”
“นี่เจ้ากังวลว่าจะมีคนคิดร้ายฆ่าได้แม้กระทั่งทายาทมังกรสวรรค์อย่างนั้นเหรอ ”
“หม่อมฉันมิบังอาจ แต่ว่าฮองไทเฮา....ทรงป้องกันไว้จะดีกว่านะเพคะ”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” ลูกประคำในฝ่ามือถูกนับเลื่อนทีละลูกอย่างรวดเร็ว ตามอารมณ์ของพระนาง
“ทูลฮองไทเฮา ให้ฮวาผินมาอยู่ตำหนักโซ่คังสักระยะหนึ่งดีไหมเพคะ”
“ไม่ได้ ถึงข้าจะเป็นฮองไทเฮาแต่การดูแลเรื่องต่างๆของวังหลัง ยังไงก็ต้องเป็นหน้าที่ของหมิงกุ้ยเฟย เอะหรือว่าเจ้าหมายถึง หมิงกุ้ยเฟยเองหรือจะมีความคิดเช่นนั้น”
“ทูลฮองไทเฮา ประมาทมิได้สักพระองค์เพคะ ”
“เอาล่ะๆ ข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้า ถึงข้าจะไม่ชอบหมิงกุ้ยเฟยเสียเท่าไหร่ แต่พวกเรายังมีวิธีที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าครรภ์ของฮวาผินจะปลอดภัยจนครบกำหนดคลอด”
“ทำอย่างไรหรือเพคะ”
“ให้หมิงกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลและมารายงานอาการของฮวาผินกับข้าที่ตำหนักทุกๆสามวัน แน่นอนหมิงกุ้ยเฟยไม่กล้าทำเรื่องสกปรกกับทายาทมังกรสวรรค์แน่”
“ฮองไทเฮาทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก หมิงกุ้ยเฟยไม่กล้าลงมือแน่นอน เพราะหากลงมือทำ โทษทัณฑ์ที่ทำให้รัชทายาทสวรรคต แบกรับไว้ไม่ไหวแน่ ”
“แต่ข้าเชื่อว่าหมิงกุ้ยเฟยไม่ทำแน่ หากราชโองการประกาศ เรื่องจะแต่งตั้งตำแหน่ง หวงกุ้ยเฟย แล้วล่ะก็...หมิงกุ้ยเฟยย่อมต้องพยายามทำแต้ม แล้วสิ่งที่จะทำได้ในเวลานี้ก็คือ ทำหน้าที่ปกป้องครรภ์ฮวาผินให้บรรลุเป้าหมาย แล้วมาดูกันว่า จะมีคนริษยาม้ามืดคนใด มาเกี่ยวข้องเรื่องนี้บ้าง ฮึฮึฮึ ”
....ร้อยพันหมื่นแสนคน จิตใจใฝ่แค้นหรือชอบพอ ให้บังคับนั้น กระทำได้ยาก....
หลายวันผ่านไปยามตะวันบ่ายคล้อย ทางเดินเรียบกำแพงตำหนักวังหลังทิศตะวันออก หยางเฟิ่งเดินขนาบคู่กับ เหยียนกุ้ยเหริน ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองเริ่มต้นเมื่อเดือนที่แล้ว หยางเฟิ่งพบเหยียนกุ้ยเหรินโดยบังเอิญที่
คอกม้าหลวง
เดิมทีตระกูลเหยียนคือตระกูลขุนนางฝ่ายการค้าระหว่างต้าชิงกับตะวันตกทางเรือ กำกับอยู่ภายใต้กองธงสีขาว เรื่องพวกนี้หยางเฟิ่งพอจะรู้มาบ้าง อีกทั้งพวกเขาเข้าวังมาพร้อมกัน เพียงแต่ยังไม่มีเวลาไปมาหาสู่กันเท่านั้นเอง ด้วยระยะทางของตำหนักที่อยู่คนทิศ นั่นก็อีกปัจจัยหนึ่ง
เหยียนกุ้ยเหรินมีทักษะขี่ม้าเก่ง เพราะก่อนเข้าวังชอบขี่ม้าไปท่องเที่ยวระหว่างเมืองบ่อยๆ นับว่าเป็นผู้ชายร่างเล็กที่ดูคล่องแคล่วไปเสียทุกอิริยาบถ แถมเป็นคนคุยง่ายไม่ถือตัวนัก จึงไม่แปลกที่พวกเขาสนิทสนมกันรวดเร็วภายในเวลาไม่นานนัก
“หยางเฟิ่ง ข้าได้ข่าวลือมาว่า ฮวาผินทรงตั้งครรภ์แล้ว”
“เรื่องนี้ พระสนมเจียเฟย ได้เล่าให้ข้าฟังแล้วล่ะนะ อันที่จริง เจียเฟยก็สนิทสนมกับฮวาผินมากด้วย ถ้าจำไม่ผิด เจียเฟยเคยบอกว่า ฮวาผินเคยอยู่ที่ตำหนักเสียนฝูมาก่อน”
“จริงเหรอ ช่างดีจริงๆ ว่างๆข้าจะไปถวายพระพรเจียเฟยบ้าง เคยเห็นเพียงแค่ตอนไปถวายพระพรหมิงกุ้ยเฟยทุกเช้าที่อี้คุนกง แค่นั้นเอง”
“เจ้ารู้หรือไม่ พระสนมเจียเฟยใจดีมากเลยนะ ข้ารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยที่ได้อยู่ตำหนักเสียนฝู”
“หากเป็นเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็เสด็จไปตำหนักเสียนฝูบ่อยมากนะสิ ต่างจากข้าที่ไม่ทรงเสด็จมาเลย”
“จริงหรือ นานเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ก็...ตั้งแต่จิ้งเฟย อาหารเป็นพิษในวันที่ฮ่องเต้ประทับค้างแรมด้วย หลังจากนั้นก็ทรงไม่พอพระทัย ไม่เสด็จมาอีกเลย ข้าก็พลอยถูกพ่วงไปด้วย”
“เอ๋...นี่เจ้าอยู่ตำหนักจงชุ่ยกับจิ้งเฟยหรอกหรือ”
“ใช่ จิ้งเฟย เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยออกไปพบใคร แต่ว่าข้าได้ข่าวมาว่า จิ้งเฟยพยายามเข้าหาหมิงกุ้ยเฟยมากนักแต่ไม่เป็นผล ในวังหลังแห่งนี้คนที่เข้าหน้าหมิงกุ้ยเฟยติด เห็นทีคงจะมีแต่โจวผินเท่านั้น”
“โจวผินเหรอ? ข้ารู้สึกว่าโจวผินเป็นผู้ชายที่พิลึกมาก เขาดูมีอะไรในใจตลอดเวลา ”
เหยียนกุ้ยเหรินหันซ้ายแลขวา ไม่เจอใครในละแวกนั้น จึงเข้าไปกระซิบที่ใบหูหยางเฟิ่งทันที
“มีคนเคยบอกว่า โจวผินคือมันสมองของหมิงกุ้ยเฟยเลยนะ เจ้าระวังตัวไว้ด้วย ”
“ตายจริง เมื่อครู่นี้ข้าพูดเสียงดังไปหรือเปล่าเหยียนกุ้ยเหริน”
“ข้าดูรอบๆนี้แล้ว แถวนี้ไม่มีใคร เจ้าระวังหน่อยก็ดี”
“ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าดูเหมือนเฝ้ารอฮ่องเต้เสด็จไปหาเจ้ามากสินะ”
“อื้ม ข้าเฝ้ารอทุกวัน พระองค์ทั้งรูปงามและทรงอารมณ์ขัน แต่ข้าก็ไม่เคยได้ถวายตัวเลยสักครั้ง”
“เรื่องนั้นไม่ยากนักหรอก เดี๋ยวข้าช่วย”
“เจ้าเนี่ยนะหยางเฟิ่ง จะช่วยข้าได้ยังไง สนมเก่ามีถึงห้าพระองค์ รวมรอบของเจ้ากับข้าอีกเจ็ด แล้วยังไม่รวมสนมเผ่าหาน แคว้นเหนือสองพี่น้องอีกสองคน เห็นทีคงจะยาก”
“อะไรกัน ไม่เชื่อฝีมือข้าอย่างนั้นเหรอ เรื่องพ่อสื่อให้บอกข้าละกัน ข้าถนัดนัก”
“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ ส่วนมากพ่อสื่อแม่สื่อมักได้เองด้วยนะ ได้ข่าวจากเหล่าบรรดาขันที นางกำนันต่างซุบซิบเรื่องของเจ้าไม่น้อย ”
“เอ๋...เรื่องอะไรกัน ข้าอยู่เงียบๆของข้าแล้วแท้ๆจะมีอะไรให้ซุบซิบกันได้อีกเล่า”
“ก็เรื่องที่เจ้าหลบหน้าหลบตาฝ่าบาทอย่างไรล่ะ อันที่จริงข้าก็แปลกใจนัก ในเมื่อเจ้าเป็นสนม จะหลบหน้าพระสวามีไปด้วยเหตุใดกัน”
“ก็ข้าไม่ได้ชอบผู้ชายนี่”
“ถึงไม่ชอบ แต่เจ้าก็เป็นสนม ลองสักหน่อยสิ เจ้าจะรู้ว่าผู้ชายอย่างพวกเรา สร้างความสุขให้กันได้มากขนาดไหน” เหยียนกุ้ยเหรินเหล่สายตามอง ทำสีหน้าอย่างหยอกล้อเล็กน้อย
“ไอ้โหย๋ว....ขนลุก อย่าบังคับข้านักเลย ถ้าข้าเลือกได้ข้าอยากกลับบ้าน กลับไปเป็นคุณชายที่จวนหยาง ไปนั่งให้อาหารปลาทองทุกๆเช้าเสียจะดีกว่า ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายข้าจับมาย่างเสียแล้วกระมัง”
“ฮ่าฮ่า เจ้านี่ยังเหมือนเด็กเลยนะ อายุจะสิบแปดปีแล้วนะหยางเฟิ่ง ”
“ช่างประไรเล่า ข้าก็เป็นของข้าแบบนี้นี่นา ว่าแต่เจ้าเถอะ ถ้าฮ่องเต้ไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นเพียงชายธรรมดาๆ เจ้ายังจะชอบหรือไม่” เหยียนกุ้ยเหรินทำสีหน้าครุ่นคิด เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็บอกคำตอบออกไป
“ใช่ ข้าชอบฝ่าบาทตั้งแต่แรกพบ มันเหมือนเนื้อคู่ที่สวรรค์ประทานมาให้เลย”
“ฝันเพ้อภพไปหน่อยละมั้งเหยียนกุ้ยเหริน”
“เอ...หยางเฟิ่ง เจ้านี่นะขัดข้าเก่งเหลือเกิน แต่ข้าชอบ ฮ่าฮ่าฮ่า”
สองบุรุษหยอกล้อ ผลักกัน ตบไหล่กันไปมาตามประสา เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วเริงร่าไม่ทันได้สังเกตว่า ไกลออกไปทางข้างหน้านั้น กำลังมีขบวนเกี้ยวใครบางคนตรงมาทางนี้
“เหยียนกุ้ยเหริน! นั่นขบวนเสด็จหมิงกุ้ยเฟยนี่นา”
“นั่นสิ กำลังมาทางนี้ด้วย ”
ขบวนเสด็จตรงหน้า ปรากฏเกี้ยวสีทองใกล้เข้ามาพร้อมบรรดาขันทีนับสิบ มุ่งมาจวนจะถึงสองพระสนมที่ยืนรอถวายพระพรด้านข้างไหล่ทางเดิน แล้วชะลอความเร็วลง
“ถวายพระพรหมิงกุ้ยเฟย”
วันนี้หมิงกุ้ยเฟย แต่งชุดสีเหลืองอ่อน ลายปักหงส์คู่บนทะยานนภา บนศีรษะประดับหมวกกำมะหมี่สีแดงประจำตัวเช่นเดิม พระพักตร์ตอนนี้ดูมิค่อยสำราญใจเสียด้วย
“สนมหยาง สนมเหยียน เหตุใดวันนี้ดูร่าเริงนัก ดีใจที่ฮวาผินตั้งครรภ์หรืออย่างไร”
“เอ่อ...ทูลพระสนม มิใช่อย่างนั้นพะยะค่ะ”
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ทางข้างหน้า ที่พวกเจ้ากำลังจะเดินไปคือตำหนักฉู่ซิ่ง ตำหนักของฮวาผิน ฮึฮึ ดีใจไปเถิด บุรุษเพศอย่างพวกเจ้า ชาตินี้ไม่มีทางตั้งครรภ์ได้หรอก แต่เอาเถอะ อยู่เป็นสนมตกอับแบบพวกเจ้าก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคอยควบคุมพวกเจ้า
ไปได้!”
ขบวนเกี้ยวหมิงกุ้ยเฟย เคลื่อนผ่านพวกเขาไป ทิ้งไว้แต่ความฉงนใจให้แก่สองสนมชั้นกุ้ยเหรินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม เหตุใดจึงดูอารมณ์โมโหร้ายพิลึก
“พูดราวกับตัวเองไม่ได้เป็นผู้ชายอย่างนั้นแหละ” เหยียนกุ้ยเหรินเริ่มแสดงท่าทีโต้ตอบทันที
“เจ้าเพิ่งจะห้ามข้าเรื่องคำพูดในที่โจ่งแจ้งอยู่หยกๆ เหตุใดกลับพูดเองเสียนี่”
“หยางกุ้ยเหริน เจ้าไม่เห็นหรือว่าหมิงกุ้ยเฟยวางอำนาจกับพวกเราเพียงใด ข้ากับเจ้ามีความสุขเรื่องอันใด แล้วเกี่ยวอะไรกับพระองค์ด้วย”
“ชู่ววว...พอเถอะ เดี๋ยวขันที นางกำนันแถวนี้จะได้ยิน ไปตำหนักฮวาผินได้แล้วเร็วเข้า”
“ก็ได้ๆ ”
....โมโหโกธามิใช่ดี วาจาวลีสงบเงียบนั้นแล เป็นอันสิ้นสุด...
ตำหนักฉือหนิง ตำหนักที่ประทับของเกาอู่หลง ก่อนหน้านี้พระองค์ได้ให้ เหอกงกง ไปเชิญหมิงกุ้ยเฟยเสด็จมาที่นี่ เพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ
“ถวายพระพรฝ่าบาท” หมิงกุ้ยเฟยคำนับพระสวามีทันทีที่มาถึง ฮ่องเต้ประทับนั่งบนโต๊ะไม้เนื้อแข็งสลักมังกรตัวใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้ กำลังจดจ่อกับตัวอักษรที่ทรงบรรจงลงบนกระดาษอย่างประณีตและตั้งใจ
“ลุกขึ้นเถิดหมิงกุ้ยเฟย ลุกมาดูสิ่งนี้เร็วเข้า”
“พะยะค่ะ”
หมิงกุ้ยเฟย ลุกขึ้นตามรับสั่ง จนกระทั่งเดินไปเห็นตัวอักษรห้าหกตัว เขียนด้วยฝีพระหัตถ์ฮ่องเต้จวนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์
“...อยู่ดีมีสุขสมบูรณ์แข็งแรง..”
“ใช่ เป็นอย่างไร เจ้าว่าดีไหม”
“ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์เขียนด้วยพระหัตถ์ย่อมดีที่สุดเสมอพะยะค่ะ”
“นั่นสินะ ข้าเขียนให้ฮวาผิน และลูกในครรภ์ ” หมิงกุ้ยเฟย รอยยิ้มเหือดหายหมดสิ้น เหลือแต่ความขุ่นเคืองในจิตใจขึ้นทดแทน
“ฮวาผินนางต้องดีใจแน่พะยะค่ะ” เขาฝืนพูดออกไป แม้ในใจจะหึงหวงมากก็ตาม
“ขอบใจเจ้ามาก อันที่จริงข้ามีเรื่องร้องขอเจ้า”
“เอ่อ...ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว อะไรที่รับสั่งมากระหม่อมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดพะยะค่ะ”
“ลุกขึ้นก่อนเถิดหมิงกุ้ยเฟย มา...มานั่งข้างๆข้านี่มา”
“ขอบพระทับพะยะค่ะ”
เมื่อหมิงกุ้ยเฟยนั่งลงข้างๆฮ่องเต้แล้ว ฝ่ามือหนาของพระองค์เอื้อมไปกุมมือหมิงกุ้ยเฟยเอาไว้ แล้วกระชับบีบเล็กน้อย สร้างความตื้นตันใจและแปลกใจให้แก่หมิงกุ้ยเฟยเป็นอย่างมาก
“เป็นอะไรไป เหตุใดน้ำตาคลอ เจ้าไม่ชอบเหรอ..”
“ชอบพะยะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่...ไม่ได้ใกล้ชิดฝ่าบาทแบบนี้มานานมากแล้ว”
“โถ่เอ้ย ข้านึกว่าอะไร หมิงกุ้ยเฟย...เจ้าอยู่สูงสุดของตำแหน่งวังหลัง ภาระหน้าที่มากมายที่เจ้าต้องดูแล ข้าเข้าใจและเห็นใจเจ้า
สนมก็มีมากขึ้นทุกวัน หลายครั้งหลายหนข้าละเลยเจ้าไปบ้าง แต่อยากให้เจ้ารู้ว่า ข้าไม่เคยเสียดายที่เลือกเจ้าเป็นชายาเอกตั้งแต่สมัยข้าเป็นองค์ชายที่จวนอ๋อง”
“ฝ่าบาท...”
“อืม เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าเข้าใจเจ้าดี และสิ่งที่ข้าจะให้เจ้าช่วยก็คงจะหนักใจเจ้าไม่น้อย ”
“ไม่เป็นไรพะยะค่ะ กระหม่อมยินดี กระหม่อมคือผู้ปกครองวังหลัง จะทิ้งหน้าที่ไม่ได้”
“ข้ากับเสด็จแม่เห็นพ้องต้องกันว่า จะให้เจ้าดูแลการตั้งครรภ์ของฮวาผิน ”
“เอ่อ...”
“ช่วยข้าหน่อยเถิด ถ้าเจ้าดูแลเรื่องนี้ จะไม่มีใครกล้าทำเรื่องเลวร้ายกับทายาทมังกรแน่”
“พะยะค่ะ หากเป็นหน้าที่ กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุด”
“ขอบใจเจ้ามาก”
ฮ่องเต้ยิ้มให้หมิงกุ้ยเฟย แล้วกวาดแขนใหญ่โอบร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวด้วยความแนบแน่น หากแต่แววตาและรอยยิ้มปีติยินดี ภายใต้แผ่นอกของพระสวามีนั้น กลับลบเลือนหายไป มีแต่ความอิจฉาริษยาล้นท่วมท้นจิตใจแทน
...เหตุใด! เหตุใดข้าถึงไม่เป็นผู้หญิง
...เหตุใด! เหตุใดข้าถึงตั้งครรภ์ไม่ได้!
ความคิดเพียงหนึ่งเดียวก้องกังวานในจิตใจยากจะตะเบ็งเสียงระบายความคับแค้นใจออกมาได้ในตอนนี้ สองนิ้วมือขยำกำหมัดแน่น เพียงเพื่อระบายความทุกข์ หวังให้ทุเลาลงได้เท่านั้นเอง แต่ทว่ากลับกระทำได้ยากยิ่งนัก
***โปรดติดตามตอนต่อไป***
หายไปนานเลย ขอโทษผู้อ่านทุกคนด้วยนะ จะมาต่อให้เร็วที่สุดครับ อยากพิมพ์ให้อ่านกันเร็วๆ จะได้จบเร็วๆ เนื้อเรื่องยาวไกลเหลือเกิน ฮ่าฮ่า ค่อยเป็นค่อยไปเนอะ
****เกล็ดความรู้ แปดกองธงของราชวงศ์ต้าชิง ถือกำเนิดขึ้น และยกทัพโค่นล้มราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ โดยแปดกองธงยุคแรกอยู่ภายใต้การควบคุมของปฐมกษัตริย์ต้าชิง จากนั้นเปลี่ยนถ่ายไปยังบรรดาองค์ชาย รุ่นสู่รุ่นปกครอง ไพร่หล้าของราชวงศ์ชิงและชนเผ่าต่างๆ ต้องอยู่ภายใต้กองธง อันได้แก่ กองธงเหลือง กองธงขาว กองธงแดง กองธงแดงขลิบขาว กองธงเหลืองขลิบแดง กองธงขาวขลิบแดง กองธงคราม และกองธงครามขลิบแดง