ขอบคุณ AkuaPink ด้วยนะคะที่ช่วยกดคอมเม้นท์ไว้ ดีใจจังเลย
เนื้อเรื่องอาจจะสั้นไปเนอะๆๆ อย่างนั้น คนเขียนมาเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า
บทที่ 1 บังเอิญหรือพรหมลิขิต
Moon’s part
หลังเลิกเรียนคาบสุดท้ายตอนบ่าย ผมลงจากตึกเรียนมานอนเล่นที่เก้าอี้ยาวตัวโปรด
“กูว่าปิดเทอมนี้ กูจะหางานทำวะ” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ เพราะแน่ใจว่าไอ้ชลมันได้ยิน
“แล้วมึงจะไม่กลับบ้านหรอ” ไอ้ชลถามกลับ บ้านมันกับบ้านผมก็หมู่บ้านเดียวกันครับ
“กูก็จะกลับไปหางานแถวๆ บ้านแหละ หยุดตั้งเกือบ 2 เดือน เผื่อจะหาที่ฝึกงานไปในตัวด้วย กูอยากไปฝึกงานที่โรงสีนิศารัตน์” ผมอธิบาย
“แล้วตกลงมึงจะไม่รับเป็นเฮดว๊ากให้พี่โต้งหรอวะ” ไอ้ชลถามอีก
“ถ้าเป็นเฮดว๊ากกูว่าไม่ดีกว่าวะ ให้กูไปทำอย่างอื่นยังพอไหว กูไม่อยากป๊อปในหมู่น้องๆ” ผมพูดแบบไม่จริงจัง
พี่โต้งคือเฮดว๊ากคนปัจจุบัน ปีหน้าพี่โต้งจะก็ปีสุดท้ายแล้ว ต้องรีบหา...ทายาท (อสูร) ไว้สืบทอดตำแหน่ง และที่สำคัญพี่โต้งเป็นพี่รหัสของผมเอง
“แต่พี่โต้งเขาหมายมั่นปั้นมือกับมึงมากนะโว้ย ถ้ามึงปฏิเสธ กูก็ไม่เห็นว่าจะมีใครทำได้นะเว้ย” มันน่าจะโดนล๊อบบี้มาจากพี่โต้ง
“ก็มึงไงล่ะ ทำแทนกูละกัน เดี๋ยวกูไปบอกพี่โต้งเอง ตกลงมึงเป็นเฮดว๊ากนะ” ผมรีบสรุป
“หาเหามาใส่หัวกูแล้วไหมล่ะมึง ถ้ามึงไม่ช่วยกู กูไม่เป็นเอาดี๊” มันต่อรอง
“อ่ะๆๆ กูเป็นพี่ระเบียบให้มึงก็ได้” ผมยอมช่วยมัน เพราะมันเองก็ช่วยผมไว้มากที่ยอมเป็นเฮดว๊ากแทนผม
“แล้วอย่างนี้ต้องเริ่มกันเมื่อไหร่วะ จะได้จัดตารางเวลาได้ถูก” ผมถาม
“กูก็ไม่รู้ ก็คงต้องถามพี่เขาแหละว่าจะยังไงต่อไป แต่ว่ามึงจะกลับบ้านแน่ๆ ใช่ไหม กูจะได้จัดตารางด้วยเหมือนกัน” ไอ้ชลว่า
การเรียนวิศวะ ทำให้ผมและเพื่อนติดที่จะทำตารางวางแผนชีวิตไปซะแล้ว
“เฮ้ย...เจอมึง 2 คนพอดี กำลังอยากเจอ ตกลงมึง 2 คนใครจะเป็นเฮดว๊ากให้กู” พี่โต้งมาตามหาทายาท (อสูร) คนต่อไป
“ไอ้ชลครับพี่” ผมชี้นิ้วไปที่ไอ้ชลทันที
“แล้วมึงจะทิ้งเพื่อนหรอ...ไอ้มูน” พี่โต้งจี้ใจดำของผมเลย
“ใครจะกล้าละพี่ เดี๋ยวผมช่วยเป็นพี่ระเบียบให้ละกัน” ผมย้ำความตั้งใจอีกครั้ง
“ก็ตามนี้ พรุ่งนี้มึง 2 คนไปหากูที่ห้องกิจกรรม จะได้คุยรายละเอียดกัน” พี่โต้งสั่งการทันที
“ได้ครับพี่” ผม 2 คนตอบรับพร้อมกัน แล้วพี่โต้งก็แยกตัวไป
“แล้วมึงจะกลับเลยไหม หรือจะไปไหนต่อหรือเปล่า” ไอ้ชลเอ่ยถาม
“กูว่าจะไปลองไปหาข้อมูลของโรงสี แล้วก็โรงงานแถวๆ บ้านสักหน่อย ว่าพอจะมีอะไรให้ทำบ้าง แล้วค่อยคุยกับพ่ออีกที” ผมตอบมัน
“ก็แล้วแต่มึงละกัน อย่างนั้นก็แยกย้ายละกัน เจอกันพรุ่งนี้โว้ย”
“เออ เจอกัน” แล้วเรา 2 คนก็แยกย้าย
พอเอาเข้าจริงๆ อากาศข้างนอกโคตรร้อน แถมตอนนี้รถก็โคตรติด ผมขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาถึงหน้าห้างดัง ก็จำใจต้องเลี้ยวรถเข้าห้างแทน กะว่าเดินเล่น หาไรกิน พอค่ำๆ ค่อยกลับห้องดีกว่า
Yuè part
“เย็นนี้มีธุระไปไหนไหมครับพี่น้ำ” ผมเอ่ยถามเลขาคนรู้ใจ
“ไม่มีโปรแกรมค่ะ แต่ถ้าคุณเยว่จะให้ไปไหน ก็ไปได้เลยนะคะ” พี่น้ำไม่เคยปฏิเสธผมเลย
“ผมอยากผ่อนคลายครับ เราไปฟิตเนสกันดีกว่า”
“ได้เลยค่ะ” พี่น้ำตอบรับคำชวนทันที
พอเลิกงานเรา 2 คนก็ตรงไปฟิตเนสที่เป็นสมาชิกอยู่ทันที ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ก็ออกมาหาอะไรอร่อยๆกินกัน ระหว่างที่มองหาร้านที่น่าสนใจอยู่
“คุณเยว่ค่ะ ดูเด็กคนนั้นซิ” พี่น้ำสะกิดผมให้มองตามนิ้วที่แอบชี้ไป
“หล่อด้วยแหละ” แอบกระซิบให้ผมได้ยินอีก
“ดูซิค่ะ คนที่เดินขึ้นบันไดสวนเรามาคนนั้นนะ น่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่นะคะ เรียนม.แถวนี้ด้วย เรียนวิศวะด้วยนี่” พี่น้ำบรรยายซะผมต้องหันตาม นี่ขนาดขึ้นบันไดสวนกันนะ เธอยังเก็บรายละเอียดได้มากขนาดนี้ สมแล้วแหละที่เป็นเลขาให้ผม
“พี่ชี้ให้ผมมองผู้ชายนี่นะ หึหึ” ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะเธอชอบถามความเห็นผม แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากผมเลยเหมือนกัน แต่ก็มองตาม ในเวลาเดียวกันนั้น สายตาของเด็กคนนั้นก็มองมาที่ผมเช่นกัน
เรา “สบตา” กัน เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทำไมใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ล่ะ
เฮ้ยๆๆๆๆ ผมเรียกตัวเองในใจ ในขณะที่พี่น้ำยังพูดต่อแบบปลงๆ ว่า
“ก็แหม่ ชี้ให้ดูผู้หญิง ก็ไม่เคยจะเข้าตาหรือพอใจใครสักคน ติโน้น ตินี่ ไปหมด ก็เลยลองชี้ให้ดูผู้ชายบ้างเผื่อจะเข้าตากรรมการบ้าง”
“ก็นะ ผมมีคนที่ดีที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะมองเห็นใครอีกละครับ” ผมหยอดพี่น้ำไปอีก
“อย่านะคะ พี่เอาจริงนะ” มันเป็นคำพูดที่ติดปากพี่น้ำไปแล้ว
“5555” แล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน
แต่ใจผมซิ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!!!!!
Moon’s part
ระหว่างที่เดินดูนั่น ดูนี่ไปเรื่อย จังหวะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นต่อไป ผมเห็นมีชายหญิงคู่หนึ่ง น่าจะเป็นแฟนกัน ฝ่ายหญิงกำลังชี้ให้ฝ่ายชายมองมายังผม ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ ผมว่าเขาชี้ให้มองมาที่ผมจริงๆ ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ฝ่ายชายนะเฉยมาก แต่ก็ยังมองมาที่ผมตามที่แฟนเขาชี้ให้ดู และผมมั่นใจว่าเขากำลังพูดถึงผม
ในเวลานั้น จังหวะเดียวกันกับที่สายตาของผมเองก็มองไปยัง ผู้ชายคนนั้น
เรา “สบตา” กัน เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทำไมใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ล่ะ
ผู้ชายคนนั้น อายุไม่น่าจะมากเท่าไหร่ ใส่เสื้อผ้าในชุดลำลอง สะพายกระเป๋าแบรนด์ฟิตเนสดังในห้างแห่งนี้ สูงสัก 170 กว่าๆ ผิวขาว น่ามอง แต่ที่ทำให้ผมสะดุดตา รอยยิ้มนั้น รอยบุ๋มที่ข้างแก้ม มันดึงใจผมไปแล้วครับ
ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า ได้มองตามเขาคนนั้นไปจนเลี้ยวหลัง จนกระทั่งสุดเส้นทางบันไดเลื่อน ผมถึงได้รู้ตัว แล้วสายตาเรา ก็แยกจากกัน ผมขึ้นไปยืนอยู่อีกชั้น ส่วนเขาคนนั้น ลงไปแล้วอีกชั้น ผมใช้เวลาตัดสินใจชั่ววินาที แล้วเดินย้อนไปยังบันไดทางลง ผมตามเขาไป
นี่ผมกำลังตามผู้ชายคนนั้นไปหรือครับ
มารู้สึกตัวอีกที ผมก็มองหาเขาไม่เจอแล้ว ผมออกเดินมองหาไปรอบๆ ลองเดินลงไปดูอีกชั้น ก็ไม่เจอ ผมเร่งฝีเท้าอีกครั้งเพื่อกลับไปยังชั้นที่เราแยกจากกัน ผมหวังว่าผมจะเจอเขา
นี่ผมเป็นอะไร?????????
จากคนเขียน ถึงคนอ่าน
ตอนนี้มาสั้นๆ อยากให้เห็นถึงความบังเอิญที่คนสองคนจะพบกัน แต่ความเชื่อที่ว่า ความบังเอิญ ไม่มีในโลก ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้ง บางเวลา ก็ยังไม่ถึงเส้นที่ถูกขีดเอาไว้
อยากอ่านคอมเม้นท์มากๆ อยากรู้ว่าคนอ่านรู้สึกอย่างไร ดี ไม่ดี ถูกใจ ไม่ถูกใจ มีอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ ช่วยกันหน่อยนะๆๆๆ