เติมใจให้กัน/เยว่...มูน/บทที่12 ถามใจ (ปรับปรุงแก้ไขนิดหน่อย)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เติมใจให้กัน/เยว่...มูน/บทที่12 ถามใจ (ปรับปรุงแก้ไขนิดหน่อย)  (อ่าน 2474 ครั้ง)

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2020 09:54:07 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทนำ
https://www.youtube.com/watch?v=M7Wd0-IVTjg  กดฟังเพื่ออรรถรสในการอ่าน
(credit / เติมใจให้กัน / โจ้ วงพอส)


Moon’s part

บริเวณคณะวิศวกรรมศาสตร์

(ดนตรี) ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอ ก็รู้
อยากให้เธอลองตรองดู ในความทรงจำ เก็บไว้
ต่างคน มีทางต้องเดิน อาจมีเวลา..ต้องไกล
หนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไป อย่างนั้น
อยู่ไกลจนเกิน ครึ่งฟ้า
แต่ยังมีใจถึงกัน จะโยงใยความสัมพันธ์
จนมาพบกัน ใกล้ตา
ต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรม ไม่หวั่น
ต่างคนเติมใจให้กัน เติมใจซึ่งกัน..จนเต็ม (ดนตรี)

“เฮ้ย..ไอ้มูน มึงหลับเปล่าวะ” เสียงไอ้ชลดังทะลุหูฟังเข้ามาเลย

อ้าวลืม...ผมขอแนะนำตัวครับ ผม มูน หรือ นายรัตติกร แสงจันทรา อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอก-เครื่องกลการเกษตร ส่วนไอ้คนที่เรียกผม มันชื่อ ชล หรือ นายชลธร ธาราทิพย์ คุณสมบัติเหมือนกับผมทุกประการ เพราะมันคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ติดตามผมมาตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม และตอนนี้ มหาวิทยาลัย

“เปล่า” ผมลืมตาขึ้นมองไอ้ชลและตอบกลับไปสั้นๆ
“แดกข้าวกันมึง กูหิว” มันพูดพร้อมทั้งดึงมือผมให้ลุกจากเก้าอี้ยาวที่ใช้เอนหลังหลับตา

ผมกดปิดสัญญาณบลูทูธที่เชื่อมต่อโปรแกรมเล่นไฟล์เพลง แล้วเดินตามมันไป
“ฟังเพลงไรวะ อย่าบอกนะว่าเพลงเดิม” มันถามโดยที่ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ
“เออ” ผมตอบสั้นๆ เช่นเคย

“กูก็ยอมรับนะว่าเพลงมันเพราะจริง แต่ว่ามึงฟังวนแบบไม่รู้จบแบบนี้ ที่สำคัญมึงฟังมาตั้งแต่เด็ก จนถึงทุกวันนี้ มันจะเข้าขั้นโรคจิตเปล่าวะ กูว่ามึงไปตรวจสุขภาพจิตหน่อยมั๊ย” มันถามแบบไม่ต้องการคำตอบจริงจังหรอกครับ แค่กวนตีนผมเท่านั้น
“กูชอบ” ผมตอบสั้นตามสไตล์

“เออเรื่องของมึงเหอะ แดกไรดีวะ แต่แม่งเอ้ย...คนโคตรเยอะเลยวะ” มันถามเมื่อเราเดินมาถึงโรงอาหาร
“อะไรก็แดกไปก่อนเหอะมึง มีเรียนบ่าย เลือกมากจะไม่ทันเอา” ผมตอบยาวเป็นครั้งแรกในรอบวัน

พร้อมทั้งเดินไปยังร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำ
“ป้าครับ เอาเหมือนเดิม 2 จานครับ” ไอ้ชลเบาเสียงลง พอให้ได้ยินกันแค่ 3 คน
“กระทะนี้เป็นข้าวผัดทะเลนะไอ้หนู” ป้าแม่ครัวบอกเมนูที่กำลังทำอยู่
“ตามนั้นเลยป้า” ผมตอบสั้นเช่นเคย

“โห..โชคดีวะ ได้เมนูอย่างใจเลย เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน เจอกันที่โต๊ะนะ” ไอ้ชลแยกตัวออกไปซื้อน้ำแล้วก็จองโต๊ะที่มีเหลืออยู่น้อยนิด

เป็นที่รู้กัน ในเวลาเร่งรีบแบบนี้ วิธีที่จะได้กินเร็วที่สุดคือ พ่วงกันไปกับเมนูที่ป้ากำลังทำอยู่ สะดวกทั้งเวลาและสมอง ไม่ต้องถามว่ากินอะไรดี ไม่รู้จะกินอะไร แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องร้านนี้เท่านั้น ผมถึงจะทำแบบนี้ได้ ร้านอื่นไม่หน้าด้านพอครับ
ไม่เกินสามนาที จานข้าวผัดก็วางตรงหน้า ผมรีบหยิบแล้วเดินไปนั่งกิน เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 15 นาทีต้องเข้าเรียนแล้ว


ในเวลาเดียวกัน กับสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

Yuè part

ณ ห้องทำงานของ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายโลจิสติกส์ หนึ่งในคณะกรรมการบริหารและอำนวยการ นิศานาถกรุ๊ป
 
ผมนายศศธร นิศานาถ อายุ 29 ปี ปริญญาโทการจัดการโลจิสติกส์จากอเมริกา หน้าที่การงานของผมดูแลในส่วนของโลจิสติกส์ทั้งระบบของบริษัทในเครือนิศานาถกรุ๊ป
นางสาวสายธาร พิพิจธรรม หรือที่ผมจะเรียกเธอว่า พี่น้ำ เธอเป็นเลขาของผม อายุมากกว่าผม 2 ปี จากรูปร่างหน้าตาเธอยังดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มาก แต่ว่าทำงานเก่ง จึงได้รับหน้าที่ให้มาช่วยงานผม ตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน จนถึงทุกวันนี้กว่า 3 ปีแล้ว เธอเป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และคนรู้ใจในเวลาเดียวกัน

“คุณเยว่ค่ะ อีก 15 นาทีได้เวลาเข้าประชุมกรรมการบริหารนะคะ” เสียงเลขาคนสนิทของผม เอ่ยเตือน
“ขอบคุณครับพี่น้ำ” ผมลืมตาขึ้นหลังจากพักสายตาไปได้สักครู่ พร้อมตอบกลับไปเสียงใส

“ดูท่าทางวันนี้คุณเยว่จะหิวนะคะ ดูจากจานที่วางตรงหน้า ไม่รู้เลยว่าทานอะไรไป” เธอแหย่ผมเป็นประจำ
“ก็ฝีมือปรุงอาหารของพี่เป็นเลิศนี่ครับ ผมก็เลยเจริญอาหารแบบนี้” ผมเอ่ยชมเธอจริงจัง

เป็นเมนูพิเศษที่พี่น้ำทำเตรียมมาให้ผมจากบ้าน นอกจากมื้อนี้แล้ว มื้อเช้าพี่น้ำก็ยังกรุณาผมด้วยเช่นกัน เพราะเธอรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้ ผมจะเจอกับการประชุมที่หนักหนาสาหัส เมนูพิเศษทั้ง 2 มื้อนี่ ถือว่าเป็นการให้กำลังใจกันทางตรงเลย

“นอกจากเส้นใหญ่ราดหน้าทะเลจะอร่อยแล้ว เพลงโปรดของคุณเยว่ ก็ทำให้อารมณ์ดี ชาร์ตพลังให้เต็มที่เลยนะคะ ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก” น้ำเสียงและแววตาให้กำลังผมอย่างเต็มที่

“ขอบคุณอีกครั้งครับ คนสวยของผม” ผมหลับตาลงอีกครั้ง

ในขณะที่พี่น้ำหยิบจานเปล่าตรงหน้า แล้วถอยหลังออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมมีความสุขกับเพลงโปรดเพลงนี้ต่อไป

(ดนตรี) ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอ ก็รู้
อยากให้เธอลองตรองดู ในความทรงจำ เก็บไว้
ต่างคน มีทางต้องเดิน อาจมีเวลา..ต้องไกล
หนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไป อย่างนั้น
อยู่ไกลจนเกิน ครึ่งฟ้า
แต่ยังมีใจถึงกัน จะโยงใยความสัมพันธ์
จนมาพบกัน ใกล้ตา
ต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรม ไม่หวั่น
ต่างคนเติมใจให้กัน เติมใจซึ่งกัน..จนเต็ม (ดนตรี)

เพราะอีก 15 นาทีข้างหน้า ผมจะต้องเผชิญกับการประชุมอย่างจริงจัง มันเป็นการเติมพลัง เพื่อรับมือกับงานหนักต่อไป

ณ ห้องประชุมกรรมการบริหาร นิศานาถกรุ๊ป

“ทำไมต้องให้ไลน์ผลิตหยุดรอวัตถุดิบแบบนี้หล่ะ ทำอะไรอยู่ ก็รู้อยู่แล้วว่าหยุดแบบนี้ มันค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ใครจะรับผิดชอบ” เสียงแปะ(ลุง)เทียนดังใส่หน้าผมอย่างจัง แปะเทียนเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนการผลิตทั้งหมด และยังเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล

“คือตอนนี้ทางเยอรมันมีปัญหาเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่เราสั่งซื้อไปครับ ซึ่งต้องใช้เวลาในการแก้ไข ทำให้ระยะเวลาการส่งมอบถูกเลื่อนออกไป และไม่สามารถแม็ชกับตารางเดินเรือที่จะมาไทย ทำให้เวลาการในขนส่งถูกเลื่อนออกไปตามกัน ตอนนี้ผมแก้ไขโดยให้ทางเยอรมันส่งสินค้าบางส่วน มาทางเครื่องบินก่อน ซึ่งจะมาถึงพรุ่งนี้ และใช้เวลาดำเนินการที่สนามบินจนถึงโรงงานก็จะเป็นวันรุ่งขึ้น สรุปแล้วคืออีก 2 วันถึงจะได้วัตถุดิบมาเข้าไลน์ผลิตครับ” ผมพยายามอธิบาย

“หยุดไลน์ผลิต 2 วัน เยว่เอาอะไรมาคิด แค่ 2 ชม.ก็เสียหายหลายแสนแล้ว นี่หยุด 2 วัน พูดออกมาได้ ผ่านสมองหรือเปล่าที่พูดน่ะ” แปะเทียนตบโต๊ะใส่หน้าผม
“ผมพยายามแก้ไขอย่างเต็มที่แล้วครับ” ผมก้มหน้ารับผิดเต็มที่

“เอาอย่างนี้ ระหว่างรอ ถ้าจะเอางานข้าวที่จะส่งออกอาทิตย์หน้า มาเข้ากระบวนการบรรจุไปก่อน ได้ไหม” เป็นคนที่นั่งหัวโต๊ะ-ป๊าของผมเองที่ถาม
“ได้ครับ ตอนนี้ข้าวเปลือกอยู่ในโรงสีแล้วครับ ข้าวสารกำลังทยอยออกมา ถ้าให้ส่งมาเลย วันนี้ค่ำๆ ก็เข้าไลน์บรรจุได้ครับ เพราะว่าผมได้ส่งแพลนการบรรจุให้ทางโรงงานเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แล้วถุงบรรจุขนาด 5 กิโล 15 กิโล แล้วก็ 25 กิโลพร้อมแล้วครับ” ผมเอ่ย

“อย่างนั้นเฮียก็เอาข้าวสารมาบรรจุแทนไปก่อนละกัน ไลน์จะได้ไม่ต้องหยุด” ป๊าผมเอ่ยเสียงนุ่มกับพี่ชายของตน
“อืมมมม” แปะเทียนรับคำสั้นๆ พร้อมส่งสายตาโล่งใจออกมาให้ผม ในขณะที่ต่อสายไปยังโรงงานเพื่อปรับจากไลน์ผลิต เป็นไลน์บรรจุ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาปรับเหมือนกัน ส่วนผมก็ต่อสายไปยังโรงสีให้ทยอยส่งข้าวสารมาที่โรงงาน เพื่อทำการบรรจุ ซึ่งทุกอย่างน่าจะทันเวลาและลงตัวพอดีกัน

“ขอบคุณครับแปะเทียน ขอบคุณครับป๊า” ผมยกมือไหว้ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองอย่างจริงใจ
ถึงผมจะเป็นลูกคนเล็ก หรือแม้แต่จะเป็นหลานคนเล็กของตระกูล หลังจากที่เรียนจบปริญญาโทจากอเมริกา แล้วกลับมาเพื่อเริ่มทำงานที่นี่ ผมก็เคยโดนเล่นงานจนน้ำตาไหลมาแล้ว ผมไม่เคยได้รับการผ่อนปรนใดๆ เรื่องงานก็จริงจังเสมอ ถึงแม้เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน

“เออ..เยว่ แล้วที่บอกว่าให้เยอรมันส่งสินค้ามาทางเครื่องบิน อย่างนี้ค่าใช้จ่ายจะไม่บานปลายหรอ” เฮียหมิงพี่ชายคนโตของผมเอ่ยถามในฐานะผู้ดูแลระบบบัญชีและการเงินทั้งหมดของนิศานาถกรุ๊ป

“ข้อนี้ผมได้คุยกับทางเยอรมันแล้วครับว่า ทางเราจะไม่เรียกค่าปรับ กรณีที่เขาไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ทันเวลา แต่ว่าให้เขารับผิดชอบค่าขนส่งส่วนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดแทนเราครับ” ผมอธิบาย

“สำหรับส่วนที่เพิ่มขึ้นที่เมืองไทยอาจจะมีอีกเล็กน้อย ก็จะเป็นพวกค่าดำเนินการที่สนามบิน ผมคำนวณแล้วไม่ถึง 1% จากแพลนที่วางไว้ครับ” ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“อย่างนั้น เยว่ทำรายงานเรื่องนี้มาให้เฮียด้วยนะ” เฮียหมิงบอกขั้นตอนอีกรอบ
“ได้ครับ ผมจะรีบทำให้ครับ” ผมรับคำเฮียหมิงทันที

“เออ..เยว่ แล้วไอ้ความคิดที่จะไม่ปรับ แต่ว่าให้รับผิดชอบค่าขนส่งแทนนี่ คิดเอง หรือใครแนะนำ” เฮียเซี่ยงพี่ชายคนที่สาม ซึ่งทำงานในส่วนวางแผนและพัฒนา ถามขึ้นแบบสงสัย

“ผมเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกันครับ ตอนที่ผมได้รับแจ้งว่าสินค้าที่จะส่งมาไม่ได้คุณภาพ แล้วต้องเลื่อนออกไป ตอนนั้น ผมเองก็มืดแปดด้านไปหมด นั่งอ่านสัญญาซื้อขายอยู่หลายรอบ ก็ถามทางโน่นเหมือนกันว่าจะทำอะไรได้บ้าง แล้วเราทำอะไรได้บ้าง ทางเขาก็เสนอมาว่า ถ้ารอของมาทางเรือ ยังไงก็ไม่ทัน แล้วตอนนั้น มันก็ใกล้กำหนดส่งแล้ว ถ้าจะลองส่งทางเครื่องบิน ถึงแม้ว่าอาจจะช้าไปบ้าง แต่ว่าระยะเวลาในการเดินทางก็ยังน้อยกว่าทางเรืออยู่มาก แต่ว่าค่าขนส่งก็แพงด้วยเหมือนกัน ตอนนั้นผมก็ลองคำนวณดูคร่าวๆ ระหว่างค่าปรับที่จะได้ เมื่อเทียบกับค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น+กับค่าใช้จ่ายของทางโรงงานแล้ว ผมว่าน่าจะคุ้มกว่า ผมก็เลยต่อรองกับเขาดูว่า ผมจะไม่คิดค่าปรับ แต่ว่าทางเขาจะต้องรับผิดชอบค่าขนส่งส่วนที่เพิ่มแทน ซึ่งทางเขาก็โอเค ก็เลยได้ข้อสรุปนี้มาครับ” ผมเล่าความเป็นมาก่อนจะได้ข้อสรุปเมื่อตอนที่รับรู้ถึงปัญหาให้ทุกๆคนฟัง

“ก็เป็นวิธีที่ประนีประนอมมากเลยนะ” แปะเทียนเอ่ยพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในแนวทางแก้ไข
“ใช่ๆ แบบนี้ก็เท่ากับซื้อใจทางโน้นเค้าเลย เหมือนกันนะเฮีย ว่ามั๊ย” ป๊าผมเอ่ยเสริมแปะเทียน
“แล้วมันก็เป็นปัญหาที่เราเองควบคุมไม่ได้ด้วย ได้แต่แก้ปัญหา แต่ว่าแก้ปัญหาได้แบบนี้ ก็ถือว่าไม่เสียหายนะป๊า” เฮียเซี่ยงเอ่ยชม ทุกคนพยักหน้ารับ แค่นี้ผมก็หายใจทั่วท้องแล้วครับ แล้วก็เปิดประเด็นอื่นกันต่อไป

กว่าจะประชุมกันเสร็จเวลาก็ผ่านมาเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ผมออกจากห้องประชุมมาแบบเลือดหมดหลอด ทิ้งตัวลงบนโซฟายาวสำหรับพักผ่อนอย่างแรง กางแขนกางขาออกไปสุดตัว แล้วถอนหายใจออกมาเสียงยาว “เฮ้ออออออออออ เหนื่อยโว้ยยยยยยยยย”
“เอาใจคนเหนื่อยด้วยข้าวเหนียวเปียกลำไยลิ้นจี่ ราดกะทิเยอะๆ พอไหวมั๊ยค่ะ คุณเยว่” พี่น้ำวางถ้วยขนมตรงหน้าผม พร้อมกับยิ้มใสๆๆ
“ให้ได้แบบนี้สิ...รู้ใจไปซะทุกอย่างเลยครับ ถ้าผมไม่รักพี่น้ำ แล้วผมจะรักใครกันละนี่” ผมกระเด้งตัวขึ้นมาหยิบถ้วยขนม พร้อมทั้งส่งยิ้มหวาน และแววตาใสๆ ให้คนรู้ใจของผม

“อย่านะคะ คุณเยว่ พี่เอาจริงนะ” พี่น้ำส่งตาค้อนเล็กๆให้ผม
“5555” แล้วเรา 2 คนก็หัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน


เล่าสู่กันฟัง (จากคนเขียน ถึงคนอ่าน)

บทนี้เป็นการปูพื้นฐาน และแนะนำตัวละครให้คนอ่านได้เข้าใจ และจะได้อินไปกับเรื่องราว

1.เพลง “เติมใจให้กัน” มีหลายเวอร์ชั่นมาก ล้วนแต่นักร้องคุณภาพที่ร้องเพลงนี้ได้อย่างประทับใจ จากต้นฉบับอย่างย่ามัม ลาโคนิค หรือจะเป็นลุงก้อง สหรัถ แต่ที่คนเขียนเลือกเอาเวอร์ชั่นของอาโจ้ วงพอส มาใช้ เพราะในความรู้สึกของคนเขียนนั้น น้ำเสียงของอาโจ้เป็นเอกลักษณ์ อารมณ์เพลงที่แตกต่างจากศิลปินท่านอื่นๆคือ ฟังอาโจ้ร้องแล้ว เหมือนกับว่าอาโจ้กำลังรอคอยใครคนหนึ่ง ที่จากไปไกล รอคอยอย่างไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะได้เจอกัน แต่ยังคงรอคอยอย่างมีความหวังว่าสักวัน..จะได้พบกันอีก (ไม่รู้ว่าคนอ่านจะคิดเหมือนกันมั๊ย คอมเม้นท์ได้นะ)

2.moon (มูน) / รัตติกร และ yue (เยว่) / ศศธร
ทั้ง 4 คำแปลว่า พระจันทร์ ในภาษาไทย
คนเขียนจงใจใช้คำว่า ศศธร แทนคำว่า ศศิธร เพราะถ้าใช้ชื่อศศิธร คุณเยว่อาจจะถูกมองว่าเป็นหญิงมากไปหน่อย และชื่อ ศศธร ก็ดูแปลกสำหรับคนทั่วไป เหมาะที่จะเป็นชื่อเฉพาะตัวมากกว่า ศศิธร
ส่วน รัตติกร ตอนที่กำหนดคาแรคเตอร์ จงใจจะหาชื่อที่แปลว่าพระจันทร์ ที่สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิงได้เหมือนกัน

3.คนเขียนจะลำดับญาติของตระกูลนิศานาถให้เห็น เพื่อความเข้าใจเหตุการณ์ต่อไปภายหน้า
-แปะเทียน (นายเทียนชัย นิศานาถ) พี่ชายคนโต รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายการผลิต
-อาป๊า (นายทรงชัย นิศานาถ) ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้ดูแลอาณาจักร นิศานาถ กรุ๊ป ทั้งหมด
-เฮียหมิง (หลี่หมิงซื่อ-นายศศิน นิศานาถ) หลานชายคนโต รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายบัญชีและการเงิน
-เฮียเซี่ยง (เซี่ยงเส้าหลง-นายสิตางศุ์ นิศานาถ) หลานชายคนที่สาม รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายวางแผนและพัฒนา
-ตัวเองของเรื่อง เยว่ (หมิงเยว่-นายศศธร นิศานาถ) หลานชายคนเล็ก รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายโลจิสติกส์

คนอ่านอาจจะสงสัยว่า
-ทำไมต้องวงเล็บชื่อเต็มภาษาจีนไว้ เหตุผลจริงๆแล้ว คืออยากให้คนอ่านสามารถออกเสียงชื่อให้ได้ถูกต้อง โดยอ้างอิงจากชื่อที่พอจะคุ้นๆหูกันอยู่บ้าง และอีกอย่างคืออากงกับอาม่า (ปู่กับย่า) เป็นคนจีนที่ย้ายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาทำมาหากินในประเทศไทย เมื่อประมาณ 70-80 ปีที่แล้ว จึงอยากจะมีชื่อจีนเอาไว้เพื่อไม่ให้ลืมว่า พวกเขามาจากที่ไหน

-พี่ชายคนรองหายไปไหน เขาคนนี้มีเรื่องราวมากมายกว่าพี่น้องทุกคน คนเขียนเลยแยกเรื่องของเขาออกมาต่างหาก เขาชื่อ เฮียเหวิน (นายพศุตม์ นิศานาถ) เขาเป็นคนเดียวที่แตกต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ อยากให้คนอ่านลองคอมเม้นท์ถึงเขาคนนี้กันหน่อย ว่าจะเหมือนกับที่คนแต่งวางเรื่องไว้มั๊ย แล้วเรามาดูกันต่อไป

คนเขียนจะทิ้งระยะเวลาไว้นานสักหน่อยค่อยมาอัพเดทตอนต่อไป ก็แค่อยากอ่านคอมเม้นท์ที่ฝากๆเอาไว้ ไม่มีอะไรมาก แต่สัญญาว่าจะกลับมาอ่านทุกคนคอมเม้นท์ และอัพเดทตอนต่อไป อย่างแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2020 14:23:59 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เติมใจให้กัน/เยว่...มูน
«ตอบ #2 เมื่อ19-05-2020 21:13:26 »

 :pig2:
 :3123:

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณ AkuaPink ด้วยนะคะที่ช่วยกดคอมเม้นท์ไว้ ดีใจจังเลย
เนื้อเรื่องอาจจะสั้นไปเนอะๆๆ อย่างนั้น คนเขียนมาเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า

บทที่ 1 บังเอิญหรือพรหมลิขิต


Moon’s part

หลังเลิกเรียนคาบสุดท้ายตอนบ่าย ผมลงจากตึกเรียนมานอนเล่นที่เก้าอี้ยาวตัวโปรด
“กูว่าปิดเทอมนี้ กูจะหางานทำวะ” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ เพราะแน่ใจว่าไอ้ชลมันได้ยิน
“แล้วมึงจะไม่กลับบ้านหรอ” ไอ้ชลถามกลับ บ้านมันกับบ้านผมก็หมู่บ้านเดียวกันครับ
“กูก็จะกลับไปหางานแถวๆ บ้านแหละ หยุดตั้งเกือบ 2 เดือน เผื่อจะหาที่ฝึกงานไปในตัวด้วย กูอยากไปฝึกงานที่โรงสีนิศารัตน์” ผมอธิบาย

“แล้วตกลงมึงจะไม่รับเป็นเฮดว๊ากให้พี่โต้งหรอวะ” ไอ้ชลถามอีก
“ถ้าเป็นเฮดว๊ากกูว่าไม่ดีกว่าวะ ให้กูไปทำอย่างอื่นยังพอไหว กูไม่อยากป๊อปในหมู่น้องๆ” ผมพูดแบบไม่จริงจัง

พี่โต้งคือเฮดว๊ากคนปัจจุบัน ปีหน้าพี่โต้งจะก็ปีสุดท้ายแล้ว ต้องรีบหา...ทายาท (อสูร) ไว้สืบทอดตำแหน่ง และที่สำคัญพี่โต้งเป็นพี่รหัสของผมเอง

“แต่พี่โต้งเขาหมายมั่นปั้นมือกับมึงมากนะโว้ย ถ้ามึงปฏิเสธ กูก็ไม่เห็นว่าจะมีใครทำได้นะเว้ย” มันน่าจะโดนล๊อบบี้มาจากพี่โต้ง
“ก็มึงไงล่ะ ทำแทนกูละกัน เดี๋ยวกูไปบอกพี่โต้งเอง ตกลงมึงเป็นเฮดว๊ากนะ” ผมรีบสรุป
“หาเหามาใส่หัวกูแล้วไหมล่ะมึง ถ้ามึงไม่ช่วยกู กูไม่เป็นเอาดี๊” มันต่อรอง
“อ่ะๆๆ กูเป็นพี่ระเบียบให้มึงก็ได้” ผมยอมช่วยมัน เพราะมันเองก็ช่วยผมไว้มากที่ยอมเป็นเฮดว๊ากแทนผม

“แล้วอย่างนี้ต้องเริ่มกันเมื่อไหร่วะ จะได้จัดตารางเวลาได้ถูก” ผมถาม
“กูก็ไม่รู้ ก็คงต้องถามพี่เขาแหละว่าจะยังไงต่อไป แต่ว่ามึงจะกลับบ้านแน่ๆ ใช่ไหม กูจะได้จัดตารางด้วยเหมือนกัน” ไอ้ชลว่า

การเรียนวิศวะ ทำให้ผมและเพื่อนติดที่จะทำตารางวางแผนชีวิตไปซะแล้ว

“เฮ้ย...เจอมึง 2 คนพอดี กำลังอยากเจอ ตกลงมึง 2 คนใครจะเป็นเฮดว๊ากให้กู” พี่โต้งมาตามหาทายาท (อสูร) คนต่อไป
“ไอ้ชลครับพี่” ผมชี้นิ้วไปที่ไอ้ชลทันที
“แล้วมึงจะทิ้งเพื่อนหรอ...ไอ้มูน” พี่โต้งจี้ใจดำของผมเลย
“ใครจะกล้าละพี่ เดี๋ยวผมช่วยเป็นพี่ระเบียบให้ละกัน” ผมย้ำความตั้งใจอีกครั้ง
“ก็ตามนี้ พรุ่งนี้มึง 2 คนไปหากูที่ห้องกิจกรรม จะได้คุยรายละเอียดกัน” พี่โต้งสั่งการทันที
“ได้ครับพี่” ผม 2 คนตอบรับพร้อมกัน แล้วพี่โต้งก็แยกตัวไป

“แล้วมึงจะกลับเลยไหม หรือจะไปไหนต่อหรือเปล่า” ไอ้ชลเอ่ยถาม
“กูว่าจะไปลองไปหาข้อมูลของโรงสี แล้วก็โรงงานแถวๆ บ้านสักหน่อย ว่าพอจะมีอะไรให้ทำบ้าง แล้วค่อยคุยกับพ่ออีกที” ผมตอบมัน
“ก็แล้วแต่มึงละกัน อย่างนั้นก็แยกย้ายละกัน เจอกันพรุ่งนี้โว้ย”
“เออ เจอกัน” แล้วเรา 2 คนก็แยกย้าย

พอเอาเข้าจริงๆ อากาศข้างนอกโคตรร้อน แถมตอนนี้รถก็โคตรติด ผมขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาถึงหน้าห้างดัง ก็จำใจต้องเลี้ยวรถเข้าห้างแทน กะว่าเดินเล่น หาไรกิน พอค่ำๆ ค่อยกลับห้องดีกว่า


Yuè part

“เย็นนี้มีธุระไปไหนไหมครับพี่น้ำ” ผมเอ่ยถามเลขาคนรู้ใจ
“ไม่มีโปรแกรมค่ะ แต่ถ้าคุณเยว่จะให้ไปไหน ก็ไปได้เลยนะคะ” พี่น้ำไม่เคยปฏิเสธผมเลย
“ผมอยากผ่อนคลายครับ เราไปฟิตเนสกันดีกว่า”
“ได้เลยค่ะ” พี่น้ำตอบรับคำชวนทันที

พอเลิกงานเรา 2 คนก็ตรงไปฟิตเนสที่เป็นสมาชิกอยู่ทันที ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ก็ออกมาหาอะไรอร่อยๆกินกัน ระหว่างที่มองหาร้านที่น่าสนใจอยู่
“คุณเยว่ค่ะ ดูเด็กคนนั้นซิ” พี่น้ำสะกิดผมให้มองตามนิ้วที่แอบชี้ไป
“หล่อด้วยแหละ” แอบกระซิบให้ผมได้ยินอีก
“ดูซิค่ะ คนที่เดินขึ้นบันไดสวนเรามาคนนั้นนะ น่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่นะคะ เรียนม.แถวนี้ด้วย เรียนวิศวะด้วยนี่” พี่น้ำบรรยายซะผมต้องหันตาม นี่ขนาดขึ้นบันไดสวนกันนะ เธอยังเก็บรายละเอียดได้มากขนาดนี้ สมแล้วแหละที่เป็นเลขาให้ผม

“พี่ชี้ให้ผมมองผู้ชายนี่นะ หึหึ” ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะเธอชอบถามความเห็นผม แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจากผมเลยเหมือนกัน แต่ก็มองตาม ในเวลาเดียวกันนั้น สายตาของเด็กคนนั้นก็มองมาที่ผมเช่นกัน
 
เรา “สบตา” กัน เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทำไมใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ล่ะ

เฮ้ยๆๆๆๆ ผมเรียกตัวเองในใจ ในขณะที่พี่น้ำยังพูดต่อแบบปลงๆ ว่า
“ก็แหม่ ชี้ให้ดูผู้หญิง ก็ไม่เคยจะเข้าตาหรือพอใจใครสักคน ติโน้น ตินี่ ไปหมด ก็เลยลองชี้ให้ดูผู้ชายบ้างเผื่อจะเข้าตากรรมการบ้าง”
“ก็นะ ผมมีคนที่ดีที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะมองเห็นใครอีกละครับ” ผมหยอดพี่น้ำไปอีก

“อย่านะคะ พี่เอาจริงนะ” มันเป็นคำพูดที่ติดปากพี่น้ำไปแล้ว
“5555” แล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมกัน

แต่ใจผมซิ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!!!!!


Moon’s part

ระหว่างที่เดินดูนั่น ดูนี่ไปเรื่อย จังหวะที่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นต่อไป ผมเห็นมีชายหญิงคู่หนึ่ง น่าจะเป็นแฟนกัน ฝ่ายหญิงกำลังชี้ให้ฝ่ายชายมองมายังผม ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ ผมว่าเขาชี้ให้มองมาที่ผมจริงๆ ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ฝ่ายชายนะเฉยมาก แต่ก็ยังมองมาที่ผมตามที่แฟนเขาชี้ให้ดู และผมมั่นใจว่าเขากำลังพูดถึงผม

ในเวลานั้น จังหวะเดียวกันกับที่สายตาของผมเองก็มองไปยัง ผู้ชายคนนั้น

เรา “สบตา” กัน เวลาเพียงไม่กี่วินาที ทำไมใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ล่ะ


ผู้ชายคนนั้น อายุไม่น่าจะมากเท่าไหร่ ใส่เสื้อผ้าในชุดลำลอง สะพายกระเป๋าแบรนด์ฟิตเนสดังในห้างแห่งนี้ สูงสัก 170 กว่าๆ ผิวขาว น่ามอง แต่ที่ทำให้ผมสะดุดตา รอยยิ้มนั้น รอยบุ๋มที่ข้างแก้ม มันดึงใจผมไปแล้วครับ

ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่า ได้มองตามเขาคนนั้นไปจนเลี้ยวหลัง จนกระทั่งสุดเส้นทางบันไดเลื่อน ผมถึงได้รู้ตัว แล้วสายตาเรา ก็แยกจากกัน ผมขึ้นไปยืนอยู่อีกชั้น ส่วนเขาคนนั้น ลงไปแล้วอีกชั้น ผมใช้เวลาตัดสินใจชั่ววินาที แล้วเดินย้อนไปยังบันไดทางลง ผมตามเขาไป

นี่ผมกำลังตามผู้ชายคนนั้นไปหรือครับ

มารู้สึกตัวอีกที ผมก็มองหาเขาไม่เจอแล้ว ผมออกเดินมองหาไปรอบๆ ลองเดินลงไปดูอีกชั้น ก็ไม่เจอ ผมเร่งฝีเท้าอีกครั้งเพื่อกลับไปยังชั้นที่เราแยกจากกัน ผมหวังว่าผมจะเจอเขา

นี่ผมเป็นอะไร?????????


จากคนเขียน ถึงคนอ่าน

ตอนนี้มาสั้นๆ อยากให้เห็นถึงความบังเอิญที่คนสองคนจะพบกัน แต่ความเชื่อที่ว่า ความบังเอิญ ไม่มีในโลก ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้ง บางเวลา ก็ยังไม่ถึงเส้นที่ถูกขีดเอาไว้
อยากอ่านคอมเม้นท์มากๆ อยากรู้ว่าคนอ่านรู้สึกอย่างไร ดี ไม่ดี ถูกใจ ไม่ถูกใจ มีอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ ช่วยกันหน่อยนะๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2020 15:01:24 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณ AkuaPink ที่ยังคงคอมเม้นท์ให้เสมอๆ

จากคนเขียน ถึงคนอ่าน
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน
สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)
สีน้ำตาล (ย้อนเวลา)
สีส้ม (เล่าเรื่อง/ส่วนของตัวละครอื่นๆ)

บทที่ 2 ยังไม่ถึงเวลา (สวรรค์ยังมิให้พบพาน)

Yuè part

วันนี้หลังจากประชุมคณะกรรมการบริหารเสร็จ ผมก็หอบเอางานที่ได้รับคำสั่งให้ไปวางแผนปรับปรุง **ระบบโลจิสติกส์** ของบริษัทในเครือ

งานยักษ์ซิครับท่าน

ผมเดินผ่านหน้าโต๊ะพี่น้ำไปแบบวิญญาณล่องลอย เปิดประตูเข้าห้องตัวเอง แล้วไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟายาวที่ประจำ ใช้เวลาสักพักพี่น้ำก็เดินตามผมเข้ามา ในมือมีถาดอาหารว่างเป็นของหวานของโปรดของผม เธอวางลงตรงหน้า แล้วลากเก้าอี้มานั่งตรงข้าม เตรียมพร้อมรับคำสั่งเต็มที่

“พี่น้ำครับ ช่วยประสานงานให้ผม ***วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ (vdo conference)*** กับบริษัทในเครือทางภาคเหนือ และซัพพลายเออร์รายไหนสะดวกจะ vdo call ก็จัดเลย ถ้ารายใดไม่สะดวก ก็จัดคิวให้ได้พบกันจะเป็นที่กรุงเทพ หรือจะเป็นที่สาขาที่ลำพูนก็ได้ ทั้งหมดผมขอให้เสร็จภายในระยะเวลา 2 เดือนนะครับ ส่วนแผนการ และตารางงานต่างๆ ผมขอให้เสร็จก่อนอาทิตย์หน้าด้วยนะครับ” ผมสั่งงานรวดเร็วแบบนี้เสมอ

ดังนั้นคุณสมบัติพิเศษของพี่น้ำคือ เก็บรายละเอียดได้แม่นยำจริงๆ เธอไม่เคยพลาดในงานประเภทนี้เลย ผมไว้ใจเธอ ให้ช่วยประสานงานและจัดตารางอันแสนจะวุ่นวายเหล่านี้ให้ผมทันที

“อีกอย่างครับ ผมอยากได้รายชื่อและรายละเอียดของซัพพลายเออร์ และบริษัทในเครือ ก่อนบ่ายพรุ่งนี้นะครับ”
“รายละเอียดนี่ต้องการแค่ไหนค่ะ”
“ของซัพพลายเออร์ เอาแค่โปรไฟล์กับรายชื่อผู้ถือ และบริษัทในเครือ ผมขอแผนผังบริหารมาก่อนครับ” ผมบอกความต้องการ เธอพยักหน้ารับรู้และแยกตัวออกไปหาข้อมูลตามที่ผมต้องการทันที   

ผมชะเง้อมองแฟ้มงานที่วางอยู่บนโต๊ะ มันวางอยู่พอประมาณไม่หนาแน่นเท่าไหร่ พอมีเวลาได้หายใจสักพักสักครึ่งชั่วโมง

หลังจากจัดการของหวานของโปรด ผมทิ้งตัวลงเหยียดยาวไปตามเก้าอี้ เอาหัววางเกยไว้ที่อาร์มแชร์ แล้วหลับตาลง ปล่อยใจให้ว่าง

แต่...ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้น ปรากฏขึ้นในความรู้สึก สายตาที่เค้ามองมาที่ผม ผมยังจำได้ สายตาที่ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งตอนนี้ อาการนี้ก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

นี่ผมเป็นอะไร?????? 


Moon’s part

หลังจากวันนั้น วันที่ผมได้สบตาเขาคนนั้น คนที่ทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมหาโอกาสไปที่ห้างนั้นอีกหลายครั้ง ผมจำกระเป๋าฟิตเนสแบรนด์นั้นได้แม่นยำ ผมแทบจะใช้เวลาช่วงเย็นสิงสถิตบริเวณหน้าฟิตเนสแห่งนั้น ที่ผมเลือกที่จะใช้เวลาตอนเย็น ผมคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ทำงานแล้ว และมาใช้บริการของฟิตเนสในตอนเย็นหลังเลิกงาน นี่มันเป็นการประมวลผลจากข้อมูลที่ผมได้รับเพียงแค่ไม่กี่วินาที แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกลับมาที่ห้างนี้ แต่ผมก็ยังไม่ได้พบเขาอีกเช่นเคย เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาเย็นค่ำเกินกว่าจะมาใช้บริการที่ฟิตเนส ผมก็หันหลังกลับเพื่อกลับไปตั้งหลักที่ห้องอีกครั้ง

พอกลับถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอน หยิบโทรศัพท์มาเปิดเพลงโปรดพร้อมทั้งเปิดลำโพง แล้ววางโทรศัพท์นั้นไว้ข้างตัว หลับตาลง


เหตุการณ์ในวัยเด็กก็ฉายขึ้นมาในความทรงจำที่ลางเลือน

ภาพของเด็กชาย 2 คนบนท้ายรถกระบะที่วิ่งไปตามทางในหมู่บ้านเพื่อออกสู่ถนนใหญ่ คนพี่จับหัวของคนน้องให้วางพิงไว้กับไหล่ของตน ในขณะที่น้ำตาของคนน้องก็ไหลรินไม่ขาดสาย แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสะอื้นใดๆ ออกมาให้คนพี่ได้ยินเลย เสียงของคนพี่เอื้อนเอ่ยถ่วงทำนอง เพื่อปลอบเด็กน้อยข้างกาย

ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอ ก็รู้
อยากให้เธอลองตรองดู ในความทรงจำ เก็บไว้
ต่างคน มีทางต้องเดิน อาจมีเวลาต้องไกล
หนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไป อย่างนั้น
อยู่ไกลจนเกิน ครึ่งฟ้า
หากยังมีใจถึงกัน จะโยงใยความสัมพันธ์
จนมาพบกัน ใกล้ตา
ต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรม ไม่หวั่น
ต่างคนเติมใจให้กัน เติมใจซึ่งกัน..จนเต็ม

จนรถเคลื่อนออกมาถึงถนนใหญ่ คนพี่จึงพาเด็กน้อยไปขึ้นรถอีกคันที่จอดอยู่ แล้วทั้ง 2 คนก็แยกจากกัน


ถึงแม้ใบหน้าของคนพี่จะลางเลือนในความทรงจำของผม แต่ความรู้สึกตอนที่จากกันในตอนนั้น ยังคงเด่นชัดมาจนถึงตอนนี้

เสียงเพลงยังผ่านเข้ามาในหูของผม นอกจากภาพในอดีตที่ลางเลือน แต่มีอีกภาพหนึ่ง กลับเด่นชัด...รอยยิ้มจากคนๆนั้น รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะแบบนี้

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!!!!!


จากคนเขียน ถึงคนอ่าน

ยังคงดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของแต่ละคน อย่างที่ได้ขึ้นชื่อตอนไว้ว่า
“ยังไม่ถึงเวลา... สวรรค์ยังมิให้พบพาน” อยากเล่าให้ฟังว่า คนเขียนไปได้ยินสำนวนนี้จากนิยายจีนเรื่องหนึ่ง ซึ่งจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว มันเป็นคำที่ติดอยู่ในหัวเสมอมา ในขณะที่กำลังนึกวางโครงเรื่อง และกำลังเรียงร้อยถ้อยคำอยู่นั้น คำๆนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด มันช่างตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกคนหนึ่งนึกถึง อีกคนกำลังตามหา รอคอยให้ได้พบกันอีกครั้ง เพราะมันยังไม่ถึงเวลาสินะ สวรรค์ก็ยังไม่ให้เขาสองคนได้เจอกัน มันช่างเป็นจริงซะเหลือเกิน

เล่าสู่กันฟัง

**ระบบโลจิสติกส์**
(อังกฤษ: logistics) เป็นระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่น จากจุดต้นทาง ไปยัง จุดบริโภคตามความต้องการ โลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับการผสมผสานของ ข้อมูล การขนส่ง การบริหารวัสดุคงคลัง การจัดการวัตถุดิบ การบรรจุหีบห่อ โลจิสติกส์เป็นช่องทางหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่เพิ่มมูลค่าของการใช้ประโยชน์ของเวลาและสถานที่ สรุปง่ายๆคือ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ จากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อาจมีการจัดเก็บระยะเวลานานหรือระยะเวลาชั่วคราว เช่น เอกสาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และอื่น ๆ

***วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ (vdo conference)***
การประชุมทางไกลผ่านทางจอภาพ คือการประชุมที่ผู้ร่วมประชุมซึ่งอยู่ต่างสถานที่กันสามารถทำการประชุมร่วมกันได้โดยให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งประชุมอยู่ในห้องเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียงโดยผ่านระบบการสื่อสารโทรคมนาคมในรูปแบบต่างๆเป็นตัวเชื่อม





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2020 15:11:45 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณ AkuaPink ที่ยังมาคอมเม้นท์ให้อย่างสม่ำเสมอ

คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน
สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)
สีน้ำตาล (ย้อนเวลา)

วันนี้คนเขียนมาต่อให้อีกตอนนะ ไปอ่านต่อกันเลยยยยยยย

บทที่ 3 คราดกัน (อีกแล้ว)


Yuè part

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมโยนงานยักษ์ให้พี่น้ำล็อตแรก ผมเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอ เธอเงยหน้ามาบอกว่า

“พี่เตรียมอาหารเช้าไว้ที่โต๊ะให้แล้วนะคะ ถ้าคุณเยว่มีงานที่จะเรียกใช้พี่ในตอนเช้า รบกวนโทรออกมาเรียกพี่อีกทีนะคะ” ผมยิ้มรับคำบอกกล่าวของเธอ

งานของผมสำคัญเสมอ แต่พี่น้ำก็ไม่เคยละเลยการเอาใจใส่ในอาหารเช้าของผม วันนี้ก็เช่นกัน เธอน่าจะมาถึงที่ทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะนี่เพิ่งจะ 7.30 เอง เอกสารก็วางเต็มโต๊ะแล้ว ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินเข้าห้องไป

ภายในห้อง ผมเห็นชุดอาหารเช้าวางอยู่ที่โต๊ะกระจกหน้าโซฟายาวตัวโปรด มีแก้วเก็บอุณหภูมิวางอยู่ 2 ใบ กล่องใส่อาหารสูญญากาศ ภายในมีแซนวิชบรรจุอยู่ภายในเต็มกล่อง ผมเอาหลังมือแนบกับแก้วทั้ง 2 ใบ อุณหภูมิภายนอกแก้วยังอุ่นๆ แสดงว่าภายในยังคงร้อนควันขึ้นอยู่แน่ๆ ผมยิ้มให้กับความใจดี ที่คนรู้ใจ...คนนี้ มีให้ผมเสมอ

ผมเดินมาที่เปิดประตูห้องอีกครั้ง แล้วเอ่ยเรียกพี่น้ำให้เข้ามาพบในห้อง พี่น้ำวางงานในมือ หยิบสมุดประจำตัว แล้วเดินตามเข้ามาในห้อง ผมยิ้มและเอ่ยขอบคุณเธอทันที สำหรับอาหารเช้าที่ผมกำลังกินอยู่ในตอนนี้ แล้วก็บอกกำหนดเวลาที่ผมต้องการงานจากเธอ

“พี่น้ำครับ ผมต้องการตารางงานสรุปทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้ ถ้าคิดว่าไม่ทัน เรียกคนมาช่วยได้เลยนะครับ”

จริงๆในแผนกของผม คนทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ที่รับคำสั่งจากผมโดยตรงมีแค่พี่น้ำคนเดียว นอกนั้น จะรับคำสั่งโดยตรงจากพี่น้ำครับ

“ส่วนพี่..ผมต้องการให้สรุปแบบคร่าวๆ มาให้ผมก่อน ผมจะวางแผนงานในขั้นต้น พอได้แพลนโดยรวมแล้ว ค่อยมาปรับแผนเพิ่มเติมอีกที ผมต้องวางแผนปรับระบบโลจิสติกส์ ให้เสร็จภายในสิ้นเดือนหน้า เพื่อเสนอคณะกรรมการบริหาร และต้องได้รับอนุมัติให้ได้ภายในกลางเดือนถัดไป” ผมสั่งงานอย่างละเอียดอีกครั้ง
“รับทราบค่ะ” พี่น้ำรับคำสั้นๆ

“ระหว่างนี้ผมอยากไปพบหัวหน้ากลุ่มสหกรณ์ชาวไร่ ช่วยติดต่อให้ผมได้พบด้วยครับ” พี่น้ำส่งแววตาสงสัย
 
สหกรณ์ชาวไร่...อยู่นอกเหนือจากกลุ่มซัพพลายเออร์ และบริษัทในเครือของนิศานาถกรุ๊ป เป็นอีกกลุ่มที่ผมวางเป้าหมายอะไรบ้างอย่างในความคิด

“ผมต้องการผลผลิตของสหกรณ์ทั้งหมดครับ” ผมอธิบายเพิ่ม แต่แววตาสงสัยของพี่น้ำยังไม่คลี่คลาย
“จากประมาณการผมคาดว่าผลผลิตในกลุ่มนั้นประมาณ 60% ของผลผลิตโดยรวมทางภาคเหนือ ถ้าเราได้สหกรณ์ชาวไร่มาเป็นซัพพลายเออร์ให้เรา ประมาณการวัตถุดิบที่จะเข้ามาในระบบการผลิตของเราจะมั่นคงมากขึ้น ซึ่งถ้าผมเจรจาได้สำเร็จก่อนการอนุมัติแผนการปรับปรุง เราจะได้ความมั่นคงเรื่องวัตถุดิบที่จะเข้าระบบการผลิต” จากแววตาสงสัย กลายเป็นแววตาชื่นชม ส่งมาให้ผม

“อีกอย่างผมต้องการรายละเอียดของสหกรณ์ตั้งแต่ชนิดของผลผลิต ปริมาณทั้งพื้นที่และผลผลิตที่ผ่านมา ราคาเปรียบเทียบระหว่างราคากลาง ราคาซื้อขายของกลุ่มและซัพพลายเออร์ในละแวกนั้น รวมทั้งรายชื่อของสมาชิกในกลุ่ม แต่ผมขอรายละเอียดอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ของผู้นำกลุ่ม อันนี้ถ้าพี่น้ำคิดว่าจะทำไม่ทัน หาคนมาช่วยได้นะครับ ผมต้องการข้อมูลด่วน” ผมบอกความต้องการของตัวเองเพิ่มเติม
“ได้ค่ะ” พี่น้ำรับคำสั้นๆเช่นเดิม

ก่อนที่พี่น้ำจะเดินออกจากห้อง ผมส่งยิ้มมุมปากให้เธอ เป็นยิ้มที่มีนัยยะสำคัญ ที่มีแค่ผมและเธอเท่านั้นที่เข้าใจ เธอยิ้มพร้อมส่งสายตามาให้ผมแทนคำถาม
“เสร็จงานนี้ผมให้พี่ไปทริปที่ไหนก็ได้ในโลก 1 อาทิตย์พร้อมคนติดตาม 1 คน” ผมมองหน้าเลขาคนรู้ใจด้วยแววตายิ้มแย้ม
“แหม่ๆๆ เอารางวัลมาล่อขนาดนี้ พี่ทำงานใจขาดเลยค่ะ คุณเยว่ขา...” พี่น้ำส่งสายตาระยิบระยับมาให้ผม ก่อนจะถอยออกไปทำงาน

ระหว่างที่ทานอาหารเช้าไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลาทำงาน ผมนึกย้อนไปถึงวัยเด็ก ผมได้ไปพักพิงอยู่กับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง อันที่จริงผมถูกส่งให้ไปปรับทัศนคติ ก่อนที่จะถูกส่งไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยลำพัง

ลุงสมานเป็นซัพพลายเออร์เก่าแก่คนหนึ่ง อายุประมาณป๊าของผม อ่อน-แก่มากกว่ากันไม่น่าจะเกิน 3 ปี นอกจากจะทำงานร่วมกับป๊ามานาน อาป๊ายังนับว่าลุงสมานเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ผมเองจึงนับถือลุงสมานเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคน
 
อีก 2 อาทิตย์ต่อมา

การมาเมืองเหนือในครั้งนี้ ผมมาจะมาพบกับซัพพลายเออร์ และผู้บริหารของบริษัทในเครือ ตามตารางงานที่พี่น้ำวางแพลนเอาไว้ นอกจากนี้ ผมแวะมาเยี่ยมเยียนลุงสมานแทนอาป๊าด้วยเช่นกัน แต่เหตุผลที่แท้จริงแล้ว ผมจะมาขอคำชี้แนะและความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสท่านนี้

“สวัสดีครับลุงสมาน” ผมยกมือไหว้ทักทาย เมื่อตามมาพบกับลุงสมานในไร่ที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่
“อาเยว่..ไม่เจอกันซะนาน โตขึ้นเป็นกองเลยนะหลานชาย” ลุงสมานทักทายผมอย่างคุ้นเคย
“มาๆๆ มานั่งกับลุงตรงนี้” ลุงสมานพาผมไปนั่งในเพิงที่ปลุกอยู่ในไร่ เป็นเพิงที่ทำขึ้นเพื่อสำหรับพักร้อนของคนงานเวลาแดดแรงๆ

“ผมมาขอความช่วยเหลือจากลุงครับ” ก่อนหน้าที่ผมจะขึ้นมาเมืองเหนือ ผมโทรมาคุยเรื่องอยากได้ผลผลิตของเกษตรกรที่รวมตัวในรูปของสหกรณ์การเกษตร และอยากให้ลุงสมานช่วยแนะนำ

“เยว่มีเวลาให้ลุงกี่วันละ อยู่ในแผนการเดินทางช่วงต้นๆ หรือเปล่า ถ้าตารางงานของเยว่รัดตัวมาก เราก็กลับไปคุยกันที่บ้านเลย” ลุงสมานรู้วิธีการทำงานของเราอย่างดี ก็เพราะทำงานกับอาป๊ามานาน

“ไม่หรอกครับวันนี้ผมแค่แวะมาสวัสดีนะครับ ส่วนเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือ ผมอยากให้ลุงนัดผมอีกที เมื่อลุงสะดวกนะครับ เพราะผมคงต้องรบกวนขอคำปรึกษาอย่างมากและเข้มข้นนะครับ” ผมบอกลุงด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น

“เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ นี่ละน้า...ลูกไม้มันต้องหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้ว เอาล่ะๆๆ เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า ป้าเขาคงเตรียมตัวต้อนรับหลานเยว่แล้วล่ะ ป่ะ...ไปกัน” ลุงสมานตบไหล่ และเดินนำผมกลับไปที่รถ เพื่อกลับไปยังบ้านของลุง

ใช้เวลาไม่นานลุงสมานก็พาผมถึงบ้านพัก จริงๆ แล้วบ้านของลุง ก็อยู่ในเขตรั้วของไร่ของลุงเองนั่นแหละ จากที่ผมรู้มาว่าไร่ของลุงสมานมีไม่น้อยกว่า 100 ไร่ที่เป็นที่ผืนเดียวกัน แล้วก็ยังไม่รวมผืนอื่นๆ อีกแม้ว่าจะไม่ติดต่อกันเป็นผืนใหญ่ก็ตาม รวมทั้งหมดน่าจะมากกว่า 1200 ไร่

ระหว่างทางเข้าบ้าน รถของเราสวนกับรถปิกอัพคันหนึ่งที่ขับออกไป
“แสวง..นั้นรถที่ไร่แสงจันทราหรือเปล่า” ลุงสมานเอ่ยถามคนขับรถ
“ใช่ครับ คุณท่าน” ลุงคนขับรถเอ่ยตอบ ลุงสมานก็แค่พยักหน้ารับ
 
“ใครที่ไร่แสงจันทรามาที่นี่หรือครับ...คุณน้อย” ลุงสมานเอ่ยถามภรรยาทันทีที่ลงจากรถ
“ตามูนจ๊ะ...พี่สมาน” ป้าน้อยภรรยาของลุงสมานตอบน้ำเสียงสดใส
“มันมาทำไม ร้อยวันพันปีไม่เคยจะ...” 
“นี่หลานมาไหว้ทักทายสวัสดีนะพี่ ทำไมต้องทำเสียงเข้มขนาดนั้น หลานไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แยกแยะหน่อยจ๊ะ” ป้าน้อยติงน้ำเสียงเรียบเฉย

ฟังจากคำพูดของป้าน้อยแล้ว ลุงสมานน่าจะมีอะไรกับคนที่ไร่แสงจันทรานั่นแน่ๆ

“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ ก็ดุผมเสียแล้ว” ลุงสมานเอ่ยแบบล้อเลียนกลายๆ แล้วหันมาหาผมที่ลงจากรถมายืนข้างๆ

“คุณน้อย..แล้วที่หลานเยว่มานี่ พอที่จะทำให้คุณดีใจได้พอๆ กับหลานรักของคุณน้อยไหมครับ” ลุงสมานยังคงล้อเลียนป้าน้อยอยู่ พร้อมทั้งดันหลังของผมให้ขึ้นมายืนต่อหน้าป้าน้อยด้วยกัน

“โอ้ย...ตายแล้ว คุณเยว่ คนน่ารักของป้า ป้าคิดถึงคุณเยว่จังเลยค่ะ” ป้าน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ พร้อมทั้งเข้ามากอดผมอย่างสนิทสนม
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะคะ คนน่ารักของป้า ไหนๆๆ มาให้ป้าหอมสัก 2 ทีซิค่ะ” พูดพลางจับแก้มผมไปหอมซ้ายทีขวาที

“นี่คุณน้อย หลานนะโตเป็นหนุ่มแล้ว ยังหอมเป็นเด็กๆ ไปได้ ดูซิหลานหน้าแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้วนี่ เห็นไหม” ลุงสมานเอ่ยล้อเลียน

“ใครจะว่าโตสักแค่ไหน ฉันก็ยังเห็นหลานเยว่เป็นเด็กน้อยน่ารักวันยังค่ำแหละ” แววตาของป้าน้อยบ่งบอกตามคำพูด
“ถึงผมจะโต แต่ผมก็ยังเป็นเด็กน้อยของป้าน้อยอยู่ดีล่ะครับ นี่ยังคิดถึงข้าวผัดน้ำพริกกุ้ง..ไข่ต้ม..อยู่เลย ได้กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือป้าน้อยเลยนะครับ” ความทรงจำในวัยเด็กผุดขึ้นมาตามคำพูด
“อย่ามาปากหวานให้คนแก่ดีใจเลยค่ะ”
“ผมพูดจริงๆนะครับ” ผมพูดพลางโอบกอดร่างท้วมของป้าน้อยไว้ในอ้อมแขน

“เอาล่ะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า คุณน้อย...พาหลานเยว่ไปพักก่อนดีกว่า พักกินน้ำกินท่า กินข้าวกินปลา ให้อิ่มกันก่อนละกัน” ลุงสมานตัดบท

“วันนี้ค้างซะที่นี่เลยนะหลานเยว่ ป้าน้อยของหลาน เขาจัดเตรียมห้องพักไว้ให้แล้ว พักให้หายเหนื่อยจากเดินทางก่อน เราค่อยมาคุยธุระกันนะ” ลุงสมานแนะนำ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอรบกวนลุงกับป้าด้วยนะครับ”
“รบกวนอะไรกัน คนกันเอง ป้าดีใจมากกว่าที่หลานเยว่ยังคิดถึงป้าแก่คนนี้อยู่นะจ๊ะ”

“ใครว่าป้าน้อยแก่ครับ บอกผม ผมจะไปต่อยหน้ามัน มันมาว่าป้าน้อยแสนสวยของผมได้ยังงัยนี่”
“จะใครกันล่ะ เจ้ามูน ลูกแม่นิดหน่อย ไร่แสงจันทรายังงัยล่ะ ไม่รู้ว่าคุณเยว่ยังจำคู่ปรับตอนเด็กได้อยู่หรือเปล่า ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้วนะ ได้ยินว่ากำลังเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพนะ”

ภาพของเด็กชายตัวน้อยอายุสัก 8 ขวบได้ ร่างเล็ก แต่ว่าเกรียนซะมากมาย ถือว่าเป็นลูกชายของเจ้าของไร่ วางตัวเป็นหัวโจ้ก แม้จะตัวเล็กนิดเดียว

“พอจะนึกออกครับ เจ้าเด็กหัวเกรียนคนนั้นหรอครับ ที่ว่าป้าน้อยแก่” ผมเอ่ยล้อเลียนป้าน้อยเล็กๆ
“ใช่ๆๆ ก่อนที่คุณเยว่จะเข้ามา มันมาสวัสดีป้า เพราะว่าเพิ่งกลับมาบ้าน มาบอกว่าที่มหาวิทยาลัยปิดเทอมใหญ่แล้ว พอมันเห็นป้า มันทักคำแรกเลยว่า ทำไมป้าน้อยแก่จัง ดูมันนะ ดูมัน ปากเสียเหมือนพ่อมันเลย” ป้าน้อยเล่าแต่ไม่ได้มีอารมณ์โกรธเคืองใดๆ
“อ้าววววว ยังจะคุยกันอยู่อีก คุณน้อยพาหลานไปพักได้แล้ว นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว หลานจะหิวแล้วมั้งครับ” ลุงสมานเอ่ยทักอีกครั้ง

หลังจากนั้น ป้าน้อยก็พาผมไปยังห้องที่จัดไว้สำหรับผมโดยเฉพาะ ผมจำได้ว่าห้องนี้เคยเป็นห้องของผมเมื่อวัยเด็ก ผมจึงรู้สึกคุ้นเคยไม่มีอาการแปลกที่แต่อย่างไร ผมอาบน้ำจนสบายตัว แล้วลงมายังโต๊ะอาหารทันที กลิ่นข้าวผัดน้ำพริกฝีมือป้าน้อย ทำให้ท้องผมร้องดัง ได้ยินแต่ไกลเลย

“นั่นป่ะไรละคุณน้อย ชวนหลานคุยซะนาน หลานท้องร้องดังเลย” ลุงสมานล้อเลียนผมอีกแล้ว จากนั้นพวกเราก็ลงมือจัดการกับอาหารบนโต๊ะจนหมดทุกจาน
“โห... ผมไม่ได้กินข้าวเยอะแบบนี้นานแล้วนะครับ ฝีมือป้าน้อยไม่ตกเลย อร่อยทุกจาน ถ้าให้ผมกินแบบนี้สักอาทิตย์นะ น้ำหนักต้องขึ้นแบบ สายการบินต้องเรียกเก็บค่าโดยสารเพิ่ม ในฐานะขึ้นเครื่องด้วยน้ำหนักที่เกินพิกัดแน่ๆๆเลยครับ” ผมพูดพลางส่งสายตายิ้มแย้มไปหาป้าน้อย
“ปากหวานให้คนแก่ดีใจอีกแล้วนะคะ”

“เด็กๆ มาเอาจานไปเก็บ แล้วเอาของหวานมาเสิร์ฟให้คุณเยว่ด้วย” ป้าน้อยสั่งเด็กในบ้าน ผมมองของหวานที่ป้าน้อยเตรียมไว้ให้ แล้วยิ้มแก้มปริ
“ข้าวเหนียวเปียกลำไยลิ้นจี่ ของโปรดของเยว่ นี่ป้าน้อยยังจำได้อีกหรอครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นออกนอกหน้า
“ยังมีน้ำกะทิเข้มข้นสูตรพิเศษอีกด้วยนะ หลานเยว่” ป้าน้อยเอ่ยเสริม พร้อมทั้งเลื่อนถ้วยน้ำกะทิข้น สำหรับข้าวเหนียวเปียกมาไว้ตรงหน้าผม

“ป้าครับ ถ้าผมกินหมดนี่ ผมต้องเข้าฟิตเนสเป็นเดือนแน่ๆเลยครับ” น้ำเสียงไม่จริงจังเท่าไหร่นัก สำหรับของหวานตรงหน้า
“แต่เรื่องเข้าฟิตเนสช่างมันเหอะครับ ต่อให้เอาช้างมาฉุด ก็ฉุดผมไม่ได้ครับ ผมจะกินไม่ให้เหลือเลยครับ” พูดพลางตักน้ำกะทิราดไปบนข้าวเหนียว แล้วตักพร้อมกันกับเนื้อลำไย ส่งเข้าปาก อารมณ์ฟินที่ได้กินของอร่อยบ่งบอกออกมาทางใบหน้าชัดเจน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมจะจัดการกับขนมในถ้วยให้หายวับไปกับตาเลยทีเดียว

หลังจากอิ่มหน่ำสำราญกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ผมหย่อนตัวลงบนแปลที่แขวนไว้กับต้นไม้หลังบ้านมา ลมพัดเอื่อยๆๆเย็นสบาย
ความสบายของบ้านหลังนี้ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่าน

“หลับหรือเปล่าค่ะ” เสียงป้าน้อยเอ่ยทัก
“เปล่าครับ ป้ามีอะไรหรือเปล่า” ผมถามน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ป้าแค่จะมาคุยเป็นเพื่อน แต่ถ้าคุณอยากนอนเล่น ป้าก็จะขอตัวไปทำงานในบ้านต่อ” ป้าน้อยยิ้มน้อยๆ
“แค่นอนเล่นเฉยๆนะครับ แต่ป้ามาคุยด้วยก็ดีเลย” ผมเว้นระยะนิดนึง แล้วเอ่ยถาม

“มูนโตขึ้นมากมั๊ยครับ” น้ำเสียงถามไถ่ยังราบเรียบ
“โอ้ยยย รายนั่นโตเป็นหนุ่มแล้วค่ะ สูงใหญ่ หล่อล่ำ สาวๆ แถวนี้ติดให้ตรึ้มเลย พิมพ์นิยมของสาวๆ แถวนี้เลยคร้า เรื่องความสูงนี่น่าจะสูงกว่าคุณตอนนี้อีกนะคะ หน้าตา ผิวพรรณ ได้แม่เขามาทั้งหมดแหละค่ะ แต่ออกจะคล้ำๆ เพราะว่าอยู่กลางแจ้งเป็นประจำ” ป้าน้อยเล่าถึงหลานชายที่รักน้ำเสียงสดใส

“อย่างนั้นถ้าผมเจอเขาตอนนี้ ผมคงจำเขาไม่ได้ใช่ไหมครับ” ผมถามย้ำ
“น้องเองก็ไม่น่าจะจำคุณได้เหมือนกันนะคะ เพราะคุณเปลี่ยนไปมาก ถึงแม้โครงหน้าจะยังเหมือนเดิม แต่คุณดูดีขึ้นกว่าเก่าเยอะเลย ป้าเองถ้าไม่บอกกันตรงๆ ป้าก็จำไม่ได้เหมือนกันค่ะ” ป้าน้อยยิ้มไปพูดไป
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ” ผมหัวเราะเยาะป้านิดหน่อย

“ป้าไม่กวนคุณแล้วดีกว่า นอนพักก่อนก็ได้ค่ะ ลมเย็นๆ แบบนี้ น่าจะหลับสบาย” ป้าน้อยพูดจบก็ขอตัวกลับเข้าบ้านไป


ภาพอดีตย้อนมาเมื่อยามหลับใหล

“เฮ้ยพวกมึงเอาคันเบ็ดไปปักให้รอบๆเลยนะ” เสียงดังมาจากเด็กน้อยหัวเกรียนวัย 8 ขวบ ตัวเล็กนิดเดียวแต่วางตัวเป็นลูกพี่หัวโจก
“ถ้าโชคดี พวกเราน่าจะได้ปลาเยอะมากพอที่จะแบ่งเอาไปขายในตลาดนะ” หนึ่งในลูกน้องเด็กหัวเกรียนเสนอ
“เออๆๆ แบ่งเอาไปขายได้เลย พวกมึงไม่ต้องแบ่งกูก็ได้ วันนี้แม่กูมีกับข้าวแล้ว” หัวเกรียนพูดย้ำ

“เดี๋ยวนะ พวกนั้นน๊ะ บ่อนี้เขาห้ามจับปลาไม่ใช่หรอ” เด็กหนุ่มโตกว่า ชี้มือไปยังป้ายห้ามจับปลา
“อะไรวะ ป้ายมาจากไหน เมื่อวานยังไม่มีเลย มึงเอามาปักหรือวะ” หัวเกรียนน้ำเสียงหงุดหงิด

“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาให้ดีหน่อย” คนเป็นพี่เอ่ยเตือนเด็กน้อย
“มึงเป็นใครว่ะ กูไม่เคยเห็นหน้า แล้วยังจะมาพูดดีอีก” คนน้องยังไม่ยอม
“เป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ว่าป้ายเขาห้ามจับปลา ฉันก็บอกนาย ก็เท่านั้น” คนพี่ยังพูดเสียงเรียบเฉย

“ก็เมื่อวานมันยังไม่มีป้าย แล้วก็ไม่เคยมีป้ายมาตั้งแต่ต้น แล้ววันนี้กูจะรู้ได้ยังงัยว่าจะมีป้ายบ้าบอนี่มาปักไว้” คนน้องยังดึงดัน
“ก็แค่มองก็เห็นแล้วมั๊ยล่ะ” คนพี่ยังเอ่ยนิ่งๆ

“ตกลงมึงจะเอายังงัยกับกู” คนน้องหงุดหงิดแรงขึ้น
“ก็ไม่เอายังงัย แค่ถอนเบ็ดพวกนี้ออกแล้วกลับบ้าน หรือไปหาที่อื่นที่เขาไม่ป้ายห้าม ก็เท่านั้น” น้ำเสียงของคนพี่ยังราบเรียบ

“นี่มึงไม่รู้จักกูใช่มั๊ย ถึงได้มีหน้ามาออกคำสั่งแบบนี้กับกู” คนน้องเดินไปยื่นประจันหน้ากับคนพี่ แต่ด้วยความสูงเพียงเลยเอวของคนโตกว่ามาเล็กน้อย ทำให้ต้องถอยออกห่างเพื่อให้มองเห็นหน้าของคนที่สูงกว่าถนัดๆๆ

“ก็ใช่นะ ที่ฉันไม่รู้จักนาย แต่ที่บอกว่าออกคำสั่ง ฉันขอบอกว่าไม่ใช่ ฉันแค่บอกนายเท่านั้น” คนพี่ก้มหน้าลงเพื่อที่จะช่วยให้คนตัวเล็กสามารถมองตาได้ถนัด
“แล้วถ้ากูไม่ทำ มึงจะมีอะไรมั๊ย” คนน้องยังต่อความไม่เลิก

“ก็ไม่ทำไม ก็เรื่องของนาย แต่ถ้ามีผู้ใหญ่ผ่านมาแถวนี้ แล้วเขาดุนาย นายจะอายมากกว่าที่ฉันบอกนายซะอีกนะ” คนพี่ยังใจเย็นอธิบาย

“ที่ฉันบอกนาย เพราะฉันเห็นว่านายอาจจะไม่เห็นป้ายที่ปักอยู่ แต่ถ้านายไม่ทำตาม ก็แสดงว่านายดื้อที่จะทำเรื่องผิดอยู่ พอถึงตอนนั้น นายจะมายืนเถียงคำไม่ฟากแบบนี้ได้อีกหรอ” คนพี่ยังพยายามอธิบาย เด็กๆในก๊วนเริ่มพยักหน้าแบบเข้าใจ และมองไปยังหัวโจกตัวเล็กเหมือนจะบอกว่าเห็นด้วยกับคนตัวโตนะ

คนน้องหันมองกลุ่มเพื่อนๆ ที่ตอนนี้เริ่มไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตนแล้ว จึงเอ่ยปากอย่างขัดใจ

“เออๆๆ ก็ได้ๆๆๆ พวกมึงเก็บเบ็ดก่อนเลย นี่กูเห็นกับพวกมึงนะที่จะโดนด่าเพราะกู” เอ่ยกับกลุ่มเพื่อนเสร็จ ก็หันหน้ามาหาคนตัวโตกว่า

“แต่สำหรับมึง กูฝากไว้ก่อน กูจะคิดบัญชีกับมึงเรื่องนี้แน่” ปากพูดพร้อมทั้งยกนิ้วชี้เล็กๆ ขึ้นชี้หน้าคนตัวโตกว่า
“อย่าฝากนานนะ ขี้เกียจจำ” คนพี่พูดยิ้มเยาะๆ ทั้งสีหน้าและแววตา ไม่ได้มีความหวั่นเกรงกับคำขู่ของคนน้องแต่อย่างใด พร้อมกับหันหลังเดินจากมา แต่ยังได้ยินเสียงเล็กๆไล่หลังมาว่า

“มึงเป็นใครวะ พูดใส่หน้ากู แล้วยังจะมาสะบัดบ๊อบใส่กูอีก นึกว่าโตกว่า แล้วกูจะไม่กล้าเตะมึงหรือไงวะ กลับมาเลยนะมึง มาชกกับกูให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย” 

คนพี่ได้ยินทุกคำพูดแต่ไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่หันหลังกลับไป แต่ยังเดินตรงกลับบ้านพักของตน


**************
จากคนเขียน ถึงคนอ่าน

วันนี้มายาวกว่าปกติ แต่ว่ายังไม่จบตอน คนเขียนกำลังเพิ่มเติมในบางส่วนอยู่ แล้วจะรีบเอามาลงเพิ่มเติมนะ

แวะมาอ่านแล้ว คอมเม้นท์ให้คนเขียนหน่อย ว่าชอบ ไม่ชอบ หรือต้องแก้ไขอะไรบ้าง อยากอ่านคอมเม้นท์จริงๆนะ


29/5/2563 15:39 มาเพิ่มเติมส่วนที่ขาดให้สมบูรณ์ในตอน

Moon part

“เฮ้ยยยยยยยยย มูนนนนนนน” เสียงไอ้ชลมันไม่เคยมาแบบเบาๆ เลยครับ ผมแค่ช้อนสายตาขึ้นมองมัน

“อ่านหนังสือถึงไหนแล้วมึง นี่กูไปประชุมเตรียมรับน้องกับพี่โต้งแทนมึง ไม่ได้เข้าเรียนเลย มึงต้องติวให้กูด้วยยยยยย” ตกลงมันมาขอให้ช่วย หรือมาข่มขู่ผมกันแน่
“เออ กูรู้แล้ว กูกำลังจัดตารางติวให้มึงอยู่นี่” ผมยกแผ่นกระดาษที่วางตารางไว้ให้มัน ในเมื่อมันช่วยเป็นเฮดวากแทนผม แค่ติวก่อนสอบผมก็ต้องช่วยมันอยู่แล้ว
“ขอบใจนะมึง มึงนี่เป็นเพื่อนแท้ของกูตลอดเลยวะ” มันไม่พูดเปล่า เอาแขนมาคล้องรอบคอของผมไว้

“เอาอย่างนี้วันนี้กูเลี้ยงข้าวมึงละกัน” ผมยิ้มตอบรับในน้ำใจที่เรามีให้กันเสมอ
 
“เมื่อเช้ามึงมาเรียนยังงัยวะ กูไม่เห็นรถมึง” ผมเดินนำไอ้ชลมาที่ลานจอดรถ
“กูนอนที่ห้องกิจการมาสามวันแล้ว” มันพูดน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ผมตกใจในสิ่งที่ได้ยิน

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ มึงลำบากขนาดนี้เพราะกูนะเว้ย” ผมหยุดเดินแล้วหันหน้ามาคุยกับมันจริงจัง
“ลำบงลำบากอะไรกัน พี่โต้งเลี้ยงดูปูเสื่อกูดีมากเลยนะมึง ถึงจะนอนห้องกิจการ แต่กูมีที่นอนปิกนิคเป็นของตัวเองเลยนะ เสื้อผ้าก็มีคนซักให้ เป็นเฮดวากนี่สิทธิพิเศษเลยนะมึง กูว่ามึงเองแหละที่พลาดที่ไม่รับตำแหน่งนี้ ประสบการณ์ยอดเยี่ยมเลยนะมึง” ไอ้ชลตบบ่าผมเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องห่วงหรอก

ไอ้ชลคว้าเอากุญแจในมือผมแล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์คู่ใจของผม ผมเดินมาซ้อนท้ายมันตามความเคยชิน

“กูอยากกินปลาดิบวะ ที่ไหนดีวะ” ไอ้ชลถามความเห็นผม
“ฟูจิ ที่ซีคอนละกัน” ผมเสนอห้างที่ผมมักจะไปสิงสถิตเป็นประจำในช่วงนี้

จริงๆ แล้วผมอยากพบเขาอีกสักครั้ง และครั้งนี้ผมจะต้องรู้จักเขาให้ได้ ผมบอกตัวเองตั้งแต่วันนั้น

วันที่เราได้สบตากัน

ใช้เวลาไม่นานผมกับไอ้ชลก็พากันมาถึงร้านที่ตั้งใจ ผมเลือกที่นั่งติดกระจกด้านหน้า ที่สามารถมองเห็นบันไดเลื่อนทางขึ้นลง และอยู่ตรงกันข้ามกับทางเข้าฟิสเนสแบรนด์นั้น ด้วยความหวังที่อยู่ลึกๆ ภายในใจ...

“นี่มึงมองอะไรอยู่วะ กูเห็นมึงมองนานแล้วนะ หรือว่ามึงนัดใครไว้ที่นี่หรือเปล่า” ไอ้ชลเอ่ยปากซัก

“มึงจำเรื่องที่กูเล่าให้ฟังว่า ได้เจอคนๆ หนึ่งที่นี่ คนๆ นั้นที่ทำให้หัวใจกูเต้นผิดจังหวะนะ มึงจำได้หรือเปล่า” ผมเท้าความเรื่องที่เคยเล่าให้มันฟัง

“อ๋อๆๆ จำได้ มึงอย่าบอกนะว่า นี่มึงมารอเขา นี่กูชวนมึงมากิน มึงกลับให้กูมานั่งรอเป็นเพื่อนมึงนี่นะ มึงนี่แม่งงงงงงง...” ไอ้ชลเอื้อมมือมาจะตวัดหัวผม แต่ผมไวกว่า หลบมันทัน

“กูมากินเป็นเพื่อนมึง เป็นเรื่องหลัก แต่ที่มานั่งตรงนี้ เป็นผลพลอยได้โว้ยยยย อย่าเข้าใจเพื่อนผิดดิวะ” ผมรีบแก้ตัว
“เออๆๆ เรื่องของมึงเหอะ” ไอ้ชลบอกปัดแล้วหันมาสนใจสั่งเมนูที่อยากกิน มันไม่ต้องถามความเห็นผม เพราะมันรู้ว่าสั่งอะไรมาผมก็กินหมดแหละ มันรู้ใจผมเสมอ

“ไอ้มูน กูถามจริงๆ นะ อย่าปิดบังกู” หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จ มันก็หันมาสนใจผมทันที
มึงหันมาสนใจผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“กูไม่ได้สนใจผู้ชาย กูแค่สนใจเขา”
“มันต่างกันตรงไหนวะ”
“ต่างกันตรงที่กูสนใจแค่เขาเท่านั้น มึงก็รู้ว่ากูไม่เคยสนใจใคร ไม่ว่าจะผู้หญิง หรือผู้ชาย”

“แล้วพี่เยว่...คนที่มึงคอยเขามาตั้งแต่เด็กล่ะ มึงยังคอยเขาอยู่มั๊ย”
“พี่เยว่หรอ...กูไม่รู้...จะเรียกว่าคอยได้หรือเปล่า กูไม่รู้ว่าเขายังจำกูได้มั๊ย เวลามันผ่านมาตั้ง 10 กว่าปีแล้วนะ” ผมตอบมันไปแบบนั้น

แบบที่ไม่ได้แน่ใจอะไรเลย ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าอะไร แต่ว่าตอนนี้ พวกเราหันมาสนใจกับอาหารที่พนักงานเอามาวางตรงหน้าดีกว่า

ผมกับไอ้ชลใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารนานพอสมควร ผมตัดใจว่าวันนี้ผมคงไม่ได้เจอเขาแล้ว แล้วคงอีกนานกว่าผมจะกลับมาที่นี่อีกที เพราะอีก 1 เดือนผมก็จะเริ่มสอบไฟนอลแล้ว สอบเสร็จผมก็จะกลับบ้าน

ผมบอกตัวเองเหมือนกับว่าควรจะตัดใจเรื่องมาดักรอเขาคนนั้นได้แล้ว

ถ้าจะได้เจอมันก็เจอกันเองแหละ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2020 16:11:03 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ Kirana9165

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบๆ แนวนี้ เหมือนเคยมีความหลังกัน และต้องจากกันในวัยเด็ก แล้วกลับมาเจอกัน เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งจ้า

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ชอบๆ แนวนี้ เหมือนเคยมีความหลังกัน และต้องจากกันในวัยเด็ก แล้วกลับมาเจอกัน เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งจ้า

ขอบคุณนะ จะรีบมาอัพเดทให้อ่านบ่อยๆ นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
:3123:
ชอบแนวนี้จร้าาา
ขอบคุณนะ น่ารักจุ๊บบบบบบ  :mew1:

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน
สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

วันนี้เอามาลงให้อีกตอนนะ ไปอ่านกันเลยยยยยยยย

บทที่ 4 คงยังไม่ถึงเวลาซินะ...สวรรค์


Yuè part

เมื่อได้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับซัพพลายเออร์ และบริษัทฯ ในเครือ ผมหาโอกาสที่จะเกริ่นเรื่องราวให้คนในครอบครัวรับรู้ก่อน และก่อนที่ผมจะทำอะไรลงไปมากกว่านี้

“ป๊าครับ เฮียครับ ผมมีเรื่องขอคำปรึกษาครับ” ผมเอ่ยพร้อมทั้งส่งแฟ้มเอกสารให้พ่อและพี่ชาย
ผมใช้โอกาสหลังทานข้าวเย็นวันเสาร์ ที่พวกเราจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ แบบไม่เป็นทางการ
“นี่อะไรหรอ อาเยว่” อาป๊าเอ่ยถาม พร้อมกับเปิดแฟ้มเอกสารดูไปเรื่อยๆ

“เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผลผลิตทางภาคเหนือครับ ผมมีความคิดว่าจะขอซื้อผลผลิตเหล่านั้นจากกลุ่มสหกรณ์ชาวไร่นะครับ ซึ่งในแฟ้มนี้มีรายละเอียดของชนิดของผลผลิต พื้นที่เพาะปลูก ปริมาณผลผลิต รวมทั้งราคาด้วยครับ” ผมอธิบายข้อมูลสำคัญๆ
“ปกติเราก็ซื้อของพวกนี้ผ่านซัพพลายเออร์อยู่แล้วนี่ ถ้าไปติดต่อขอซื้อโดยตรงกับพวกชาวไร่ มันจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตา หรือเปล่า” เฮียหมิงเอ่ยแย้ง
“ผมก็คิดแบบนั้น แต่ว่าผมคิดว่าถ้าเราตัดยี่โป้ว (ตัวกลางซื้อขาย) ออก เราสามารถซื้อผลผลิตได้โดยตรง แล้วชาวไร่เอง ก็ขายของให้กับเราโดยตรง ผมว่ามันจะดีกับทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ” 

“แต่เรื่องการข้ามหน้าซัพพลายเออร์นี่ ผมก็กังวลใจเหมือนกัน จากการไปเหนือเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมลองเกริ่นๆ เรื่องนี้กับลุงสมาน ลุงสมานเองก็ว่าน่าจะมีปัญหาอยู่ ผมเลยอยากมาขอคำชี้แนะจากป๊า กับเฮียดูนะครับ” ผมเอ่ยน้ำเสียงค่อนข้างหนักใจ
“เรื่องใหญ่อยู่เหมือนกันนะอาเยว่” อาป๊าผมเอ่ยทัก
“จากที่ผมคำนวณคร่าวๆ ถ้าเราซื้อตรงจากเกษตรกร เราจะลดต้นทุนลง 15% ในขณะที่ชาวไร่จะขายของได้ราคาเพิ่มขึ้น 35% เลยนะป๊า” ผมพยายามชี้แจง
“ซึ่งนั่นหมายถึงซัพพลายเออร์ของเราจะขาดทุนป่นปี้เลยนะเยว่” เฮียเซี่ยงเอ่ยเสียงเครียด

“เอาล่ะๆ เอาอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในแนวคิดถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าจะเอากันจริงๆ ก็ต้องมีข้อมูลให้แน่นกว่านี้ ระหว่างนี้ เยว่ไปหาข้อมูลมาให้มากที่สุด เกี่ยวกับซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่จะได้ผลกระทบจากแนวคิดนี้ แล้วเรามาคุยกันอีกที และนั่นหมายถึงจะเป็นการคุยกันภายในครอบครัวเท่านั้นนะ ยังไม่มีผลใดๆ กับบริษัท และบอร์ดบริหารนะเยว่” ป๊าของผมแนะนำ

“แล้วเรื่องนี้ป๊าจะบอกแปะ(ลุง)เทียน มั๊ยครับ” ผมถาม
“ก็คงต้องเกริ่นไว้ก่อนแหละ เรื่องนั้นป๊าจะจัดการเอง” ป๊าเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย

“อีกเรื่องหนึ่ง ทำเรื่องนี้ให้เป็นการภายใน อย่าให้กระโตกกระตาก ที่สำคัญอย่าให้กระทบกระเทือนไปถึงซัพพลายเออร์ทั้งหลาย ถ้าพวกเรายังไม่ได้ข้อสรุป เรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับนะ เยว่” ป๊าเน้นย้ำข้อสำคัญให้ผมรับรู้
“ได้ครับป๊า” ผมรับคำป๊าหนักแน่น
“ขอบคุณครับป๊า ขอบคุณครับเฮีย” ทั้งหมดพยักหน้ารับคำขอบคุณจากผม

“อาเซี่ยง อยู่ก่อน” ป๊าเอ่ยรั้งเฮียเซี่ยงไว้ ส่วนผมและเฮียหมิงก้าวออกมาจากห้อง
“เล่าเรื่องนี้ให้อาเหวินฟัง แล้วให้อี.กลับมาอยู่ดูแลอาเยว่ เรื่องนี้ถือว่าหนักสมควร ต่อให้ทำเป็นการภายในยังงัย ก็ต้องระแคะระคายไปถึงฝั่งโน้นบ้าง กันไว้ดีกว่าแก้” น้ำเสียงอาป๊ายังคงราบเรียบ
“เรื่องนี้ต้องถึงมือเฮียเหวินเลยหรือป๊า ทำไมเราไม่ค้านอาเยว่ล่ะ อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง” น้ำเสียงเฮียเซี่ยงหนักใจพอควร
“เอาเหตุผลอะไรไปค้านอี.ล่ะเซี่ยง ที่อี.คิดแบบนี้ก็เพราะหวังดี ทั้งกับเรา แล้วก็ชาวไร่ แต่อาเยว่อี.ยังเด็ก อี.ไม่รู้หรอกว่าการข้ามหน้าข้ามตาซัพพลายเออร์พวกนั้น จะส่งผลอะไรบ้าง จะอันตรายมากแค่ไหน ผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร” น้ำเสียงของอาป๊ายังคงราบเรียบ

“เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้อาเยว่อี.รู้นะ ปล่อยให้ทำตามความคิดของอี.ไปก่อน บางทีข้อมูลที่ได้ อาจจะทำให้อี.คิดใหม่อีกครั้ง โดยที่เรายังไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าข้อมูลที่ได้มา มีความหนักแน่นมากพอ ที่อีจะกลับมาคุยกับพวกเราอีกครั้ง ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีละกัน แล้วที่ให้อาเหวินกลับมา ก็บอกอาเยว่อี.แค่เพียงให้กลับมาพักผ่อน เพราะอาม่า (ย่า) อี.คิดถึงก็พอ ส่วนอาหมิง..ป๊าว่าก็คงคิดเหมือนพวกเราแหละ ยังไม่ต้องพูดอะไรให้มากเรื่องไป” น้ำเสียงอาป๊ายังราบเรียบ

อีกด้านหนึ่งของห้อง

“เฮีย...นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเฮียหมิงทันที ที่เสียงของป๊าเงียบลง

ผมและเฮียหมิง หยุดเดินเมื่อออกมาพ้นแนวห้องที่ป๊ากับเฮียเซี่ยงคุยกันเมื่อสักครู่

“ไม่ผิดหรอกเยว่” เฮียหมิงยกแขนขึ้นโอบไหล่ของผม และพาเดินออกจากห้องมา มาหยุดอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ที่จัดตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ด้วยไม้ต้น ไม้ดอก ที่ยามนี้ดอกไม้เหล่านั้นต่างพากันออกดอกสวยงามให้ชื่นชม

“แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นด้วยเลยนะเฮีย ทั้งป๊า ทั้งลุงสมาน” น้ำเสียงผมแสดงความไม่มั่นใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เชิงไม่เห็นด้วยหรอกเยว่ เพียงแต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ มันมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อย่างที่ป๊าบอกแหละว่า ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร” เฮียหมิงหันหน้ามาอธิบายให้ผมฟังอย่างตั้งใจ

“แต่แนวคิดนี้เป็นเรื่องดีนะ ถ้าเราจะปรับปรุง มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และแน่นอนมันไม่ได้ถูกใจคนทุกคนหรอก หน้าที่ของเราคือ ประนีประนอมให้ทุกคนได้ผลประโยชน์ร่วมกัน มีข้อขัดแย้งต่อกันให้น้อยที่สุด” เฮียหมิงจับไหล่ผมไว้ทั้งสองข้างอย่างให้กำลังใจ

“และเฮียมั่นใจว่า เยว่จะทำเรื่องนี้ให้ออกมา อย่างดีที่สุด ประสานผลประโยชน์ร่วมกันมากที่สุด” เฮียหมิงส่งรอยยิ้มมาให้ผม เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่เฮียจะมีให้เสมอ ยามที่พี่น้องคนใดก็ตามมีเรื่องไม่สบายใจ

ผมยิ้มตอบรับในกำลังใจที่เฮียหมิงส่งมาให้ และสัญญากับตัวเองแล้วว่า จะทำเรื่องนี้ออกมาให้ดีที่สุด ประสานผลประโยชน์ร่วมกันให้มากที่สุด และประนีประนอมข้อขัดแย้งให้ได้มากที่สุด และผมต้องกลับไปเมืองเหนืออีกครั้ง


Moon’s part

ณ ไร่แสงจันทรา

“นี่ตกลงมันจะกดราคาเราขนาดนี้หรอ นี่มันข้าวโพดคนกินนะ มันเอาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาซื้อนี่นะ มันเอาอะไรคิดว่ะ” เสียงของพ่อดังขึ้นอย่างชัดเจนในอารมณ์ว่าโกรธจัด

พ่อของผม นายอิทธิพล แสงจันทรา ปริญญาตรี เทคโนโลยีการเกษตรจากมหาวิทยาลัยทางการเกษตรชั้นนำของไทย ปริญญาโท การจัดการการเกษตรจากญี่ปุ่น

“อย่างไรเราก็ต้องขายล่ะ ไหนจะค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่าโน่นนี่นั้น หนี้สินทั้งนั้นที่ต้องจ่าย ไอ้พวกเถ้าแก่ฮงมันก็รอทวงหนี้ของมันอยู่นี่ ช้าไปเดี๋ยวก็ดอกทบต้นอีก แทนที่จะมีเงินเหลือบ้าง จะกลายเป็นติดลบล่ะซวยเลยคราวนี้” เสียงของหนึ่งในชาวไร่ในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้
“ถ้าขายแบบนี้มันปล้นกันชัดๆ พวกเราจะยอมพวกมันหรอ มันโกงกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้” พ่อผมพยายามอธิบาย
“แล้วพ่ออิทมีทางไหนที่ดีกว่านี้บ้างหรือไม่ล่ะ” ป้าอ้อมหนึ่งในเกษตรกรในกลุ่มกล่าวขึ้น
“ผมว่าพวกเรารวมตัวกัน แล้วไปต่อรองกับพวกเขาอีกที เพราะว่าข้าวโพดของเราเป็นข้าวโพดคนกินเกรดเอ พวกเขาจะตีว่าเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้อย่างไร พันธุ์มันก็ไม่ใช่แล้ว ถ้าจะกดราคากัน ก็ให้เป็นข้าวโพดเกรดรองลงมา จะยังฟังขึ้นมากกว่า แต่ว่าอันนั้นเราคงต้องพึ่งพวกเกษตรจังหวัด ให้เค้ามาช่วยยืนยันพันธุ์ข้าวโพดกันก่อน แล้วค่อยมาตกลงเรื่องราคากันใหม่” พ่อผมพยายามอธิบายอีกครั้ง
“แต่นั้นมันก็ต้องใช้เวลาไม่ใช่หรอ เถ้าแก่ฮงก็ให้คนมาทวงหนี้ค่ายา ค่าปุ๋ย ค่าเช่ารถไถ่ อยู่นี่พวกเราจะเอาเงินที่ไหนจ่ายหนี้กันละ” ลุงมั่นกล่าวย้ำอีกครั้งด้วยเสียงท้อแท้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ
“เอาอย่างนี้ ผมขอเวลาสักคืนหนึ่ง ขอผมคิดก่อนจะทำอย่างไรดี มีอะไรไปพลัดผ่อนกับเถ้าแก่ฮงก่อนได้บ้างหรือไม่ และพรุ่งนี้บ่ายผมจะเข้าไปคุยกับเถ้าแก่ฮงเอง” พ่อผมพูดน้ำเสียงหนักใจอย่างยิ่ง แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป ก่อนที่พ่อผมจะทิ้งตัวลงอย่างหนักใจ

“พ่อ...เอาจริงๆนะ ผมไม่เข้าใจเลยว่า ไอ้เรื่องปรับพันธุ์ข้าวโพดจากคนกิน เป็นเลี้ยงสัตว์ นี่มันทำได้ด้วยหรอ มันปรับลดกันได้ง่ายๆ แบบนี้เลยหรอ” ผมถามพ่อแบบที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรตรงหน้าในขณะนี้ได้เลย

“ได้ซิ มันมีตัวแปรหลายอย่างในการคัดเกรดของข้าวโพดที่ขาย ทั้งความสมบูรณ์ของฝักข้าวโพด รวมถึงความชื้นของข้าวโพดไม่ได้ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ จากคนกิน ก็เป็นเลี้ยงสัตว์ได้แหละ แล้วไอ้มาตรฐานที่ตั้งก็เป็นมาตรฐานของไอ้โรงสี ว่ามันจะรับซื้อด้วยข้าวโพดประเภทใด” พ่อผมอธิบาย

“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี มาตรฐานพวกนี้มันถูกกำหนดโดยเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอไม่ใช่หรือ ว่าพันธุ์ข้าวโพดใดเป็นของคนกิน พันธุ์ใดเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่โรงสีนะที่จะมีตีว่าอันนี้คนกิน อันนี้เลี้ยงสัตว์” ผมแย้ง
“มันก็ใช่ แต่ว่าพอถึงที่สุดแล้ว โรงสีจะเป็นคนกำหนดว่า จะซื้อราคาเท่าไหร่ ถ้าไม่ขายเขาก็ไม่ง้อ แล้วเราจะไปขายใครล่ะ” พ่อผมท้อแท้ถึงที่สุด

“มันต้องมีทางซิ ไม่ใช่แบบนี้” ผมเอ่ยอย่างขัดใจอย่างที่สุด
“มูน...ตอนนี้เราทำได้เท่านี้จริงๆ ลูก” เป็นครั้งแรกที่พ่อมีน้ำตาคลอให้ผมเห็น ไม่ใช่อ่อนแอ แต่ว่าอัดอั้นในความเสียเปรียบทุกๆ ทาง
“มันต้องมีทางซิ ผมจะทำ” ผมมองหน้าพ่อ
“ให้ผมได้ลองนะ” ผมบอกพ่อแบบไม่รอคำอนุญาตใดๆ ผมคว้ากุญแจรถแล้วขับออกไป

จุดหมายปลายทางคือไร่ของลุงสมาน แม้นี่จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว แต่เรื่องในใจผมมันร้อนเกินกว่าที่ผมจะคิดถึงมารยาทในการมาเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ ไม่ซิ นี่เป็นการมาขอความช่วยเหลือ ผมจะขอให้ลุงสมานช่วยเรื่องนี้

“อะไรกันคุณมูน จะมาพบนายตอนนี้หรอ มันดึกมากแล้วนะ ป่านนี้นายคงหลับไปแล้วล่ะ” เสียงคนรับใช้ในบ้านคนหนึ่งเอ่ยทักท้วง เมื่อผมแจ้งว่าจะมาขอพบลุงสมานในเวลาดึกขนาดนี้
“ผมรู้ว่าผมเสียมารยาท แต่ว่ารบกวนลุงตามลุงสมานให้ผมหน่อยเหอะครับ ผมมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ” ผมพยายามขอความเห็นจริงใจ 

“มีอะไรกันหรือสอน นั่นใครมากันล่ะ” น้ำเสียงใจดีที่ผมคุ้นเคย ป้าน้อยของผมครับ
“ป้าน้อยครับ ผมเองครับป้า มูน” ผมกล่าวทักทายป้าผู้แสนใจดีของผม
“ไปไหนมา ถึงได้มาดึกดื่นป่านนี้ล่ะลูก” ป้าน้อยเอ่ยถาม
“จะไปไหนมาไหน ก็ต้องนึกถึงมารยาทด้วย ไม่ใช่มาเอาดึกดื่นป่านนี้ ถ้าเรื่องที่แกมามันไม่เดือดร้อนถึงขนาดนั้นละก็ เป็นได้เห็นดีกันบ้างละคราวนี้” น้ำเสียงเข้มดุดันกล่าวมาถึงผม ก่อนที่ร่างท้วมจะเดินมาถึง

“ลุงสมานทราบเรื่องที่โรงสีนิศารัตน์ บังคับซื้อข้าวโพดของชาวบ้านเป็นเกรดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บ้างหรือไม่ละครับ” ผมถามน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วทำไมฉันต้องรู้ล่ะ แกถามแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงลุงสมานเครียด
“ใจเย็นๆ นะพี่สมาน หลานไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรหรอก ฟังหลานก่อน” ป้าน้อยเอ่ยติงลุงสมานอย่างใจเย็น
“ก็คุณน้อยฟังมันพูดซิ มันถามแบบนี้ มันหมายถึง ผมไปรู้เห็นเรื่องการซื้อผลผลิตของโรงสีนั่นหรอ” ลุงสมานอธิบายให้ป้าน้อยเข้าใจในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา

“ผมขอโทษลุงครับ ถ้าผมใช้คำพูดผิด จนทำให้ลุงเข้าใจผิดแบบนี้” ผมเอ่ยขอโทษจริงใจ ที่ทำให้ลุงผู้ที่ผมมาขอความช่วยเหลือเข้าใจผิดไปมากขนาดนี้
“แกควรจะไปเรียนรู้มาก่อนว่า ถ้าจะมาขอให้ใครช่วยเหลืออะไร ควรจะต้องพูดจากับเขาอย่างไร ไม่ใช่มาหาเรื่องกันถึงที่แบบนี้” น้ำเสียงลุงสมานยังไม่ดีขึ้น

“ไหนมูนบอกป้าซิว่า มันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้มาหาลุงกับป้า ในเวลานี้” ป้าน้อยพยายามไกล่เกลี่ย

“ผมมาขอความช่วยเหลือครับ ขอให้ลุงช่วยพูดพลัดผ่อนการชำระหนี้ของกลุ่มสหกรณ์ที่จะต้องชำระกับเถ้าแก่ฮง จนกว่าจะตกลงกับโรงสีเรื่องราคาข้าวโพดได้ครับ” ผมอธิบาย

“ข้อหนึ่ง...ฉันจะเอาเหตุผลอะไรไปต่อรอง ข้อสอง...ฉันจะเอาอะไรไปขอต่อรอง ข้อสาม...แล้วฉันไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มสหกรณ์อย่างไรหรือ ถึงได้ยื่นมือเข้าไปขอพลัดผ่อนกับเขา แกคิดดูซิ” ลุงสมานกล่าวเสียงเครียดกว่าเดิม
 
“ถ้าแกเป็นฉัน แกบอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันจะต้องทำอย่างไร” ลุงสมานยังจ้องตาผมเขม็ง
“พูดซิ” ลุงสมานย้ำเสียงหนักแน่น
“พี่สมานค่ะ นี่หลานของเรานะคะ ใจเย็นกับหลานซิค่ะ” เป็นป้าน้อยที่ออกหน้ารับแทน

“คุณน้อยครับผมใจเย็นอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ที่มันทำกับผม ทำกับคุณขนาดนี้ มันเห็นว่าผมกับคุณเป็นลุง เป็นป้าของมันหรือครับ”  ลุงสมานพูดกับป้าน้อยอย่างใจเย็นที่สุด

“มันเห็นว่าผมมีอำนาจอะไรหรือ ที่จะไปขอพลัดผ่อนกับเถ้าแก่ฮง ผมก็แค่ชาวไร่คนหนึ่ง อาจจะรู้จักกับเถ้าแก่ฮงมาบ้างในฐานะที่ค้าขายกันมายาวนาน แต่มันรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่มันขอ มันเกินความสามารถของผม ถ้ามันถามผมสักคำว่า มันต้องทำอย่างไร เอาที่จริงแล้วต้องถามว่า พ่อมันต้องทำอย่างไร ถึงจะช่วยกลุ่มชาวไร่พวกนั้นได้ ถึงจะถูกต้องนะครับคุณน้อย เข้าใจสถานะของผมด้วย” ลุงสมานพูดกับป้าน้อย แต่ข้อความเหล่านั้น มาส่งต่อมาให้ผมทุกถ้อยคำ

“แล้วถ้าเราจะช่วยชาวไร่พวกนั้น เราต้องทำอย่างไรดีล่ะพี่สมาน” เป็นป้าน้อยที่เอ่ยคำถามในใจแทนผม
“เรื่องนี้ต้องพึ่งคุณศศธร คุณน้อย แค่คุณศศธรเท่านั้น ที่จะยื่นมือมาช่วยเรื่องนี้ได้” ลุงสมานตอบคำถามป้าน้อย แต่จ้องหน้าผมแทน

“แล้วถ้าจะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณศศธรจริงๆ ก็ต้องมีมารยาทและข้อมูลมากกว่านี้ แล้วคนที่จะต้องวิ่งเต้นควรเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเดือดร้อนจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่มัน” ลุงสมานชี้แนะผ่านคำพูดที่บอกกล่าวกับป้าน้อย

“เอาอย่างนี้ละกันนะมูน เดี๋ยวลุงกับป้า จะไปเกริ่นๆ เรื่องนี้ให้คุณเขาทราบก่อน พรุ่งนี้ 10 โมงเช้า ให้ชาวไร่ที่เดือดร้อนเรื่องนี้ไปพบคุณศศธรที่โรงสีนะ” ป้าน้อยพูดและมองหน้าผมอย่างให้กำลังใจ

“ตอนนี้มูนกลับบ้านไปก่อน แล้วไปคุยกับพ่อให้เข้าใจว่าต้องทำอะไร ในวันพรุ่งนี้ แล้วไปพบกับคุณเขานะ”
“อีกอย่างที่ป้าจะบอกกับมูนนะว่า คุณเขาไม่ได้รู้เห็นเรื่องนี้มาก่อน เขาเพิ่งจะมารับรู้เรื่องนี้จากลุงและป้า”
“แต่เป็นพวกชาวไร่ทั้งหลายต่างหาก ที่จะต้องให้ข้อมูลกับคุณเขาเอง”
“แล้วถ้าจะขอความช่วยเหลือ ก็ขอให้ทำเพราะความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริงๆ ขอให้เขาพิจารณา ไม่ใช่ไปยื่นข้อต่อรองกับเขา”
“ป้าอยากให้มูนเข้าใจในข้อนี้ก่อน ก่อนที่จะทำอะไรต่อไปนะครับลูก” ป้าน้อยจับไหล่ผมแน่น ส่งต่อกำลังใจให้ผมอย่างเห็นใจที่สุด

“ผมขอบคุณครับป้าน้อย” ผมกราบลงบนไหล่ของป้าน้อยอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณครับลุงสมาน” ผมหันมายกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมกับชายที่ยืนหน้านิ่งให้ผมจริงจัง
“ผมขอโทษในความรู้เท่าถึงการณ์และวู่วามในครั้งนี้ ผมขอโทษลุงอีกครั้งครับ” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาญาติผู้ใหญ่ท่านนี้อย่างยำเกรงยิ่ง

“ฉันหวังว่าพรุ่งนี้แกกับพ่อของแก จะมาอย่างมีสติมากกว่านี้ แล้วจำไว้ว่าแค่คุณศศธร เท่านั้นที่จะช่วยเหลือชาวไร่พวกนั้นได้” ลุงสมานกล่าวจบพร้อมหันหลังกลับพาป้าน้อยขึ้นบนบ้าน

สักพักมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นบนบ้านว่า
“ผมได้ยินทั้งหมดแล้วครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เองครับลุง”

**************************


จากคนเขียน ถึงคนอ่าน

เอามาลงให้อ่านอีกบทนะ บทนี้ด้นสด (คิด+พิมพ์) กันเลยทีเดียว มันอาจจะยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ด้วยความตั้งใจที่อยากจะลงไว้ให้อ่านช่วงวันหยุดก่อน เพราะคนเขียนใช้คอมพ์ของอ๊อฟฟิคทำงาน อาจจะมีอะไรติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง ยังไม่ได้ทบทวนเลย ถ้าอ่านแล้ว ตะงิดๆ ตรงไหน คอมเม้นท์กันมาเลยนะ เดี๋ยวคนเขียนจะมาแก้ไขให้นะ

17/6/2563 คนเขียนมาเพิ่มเติมส่วนของพี่เยว่ เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น


Yuè part

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากป๊าและเฮียทั้งสองแล้ว ผมกลับมาที่ไร่ของลุงสมานอีกครั้ง ผมขอเวลาลุงสมานหลังจากที่ทานอาหารค่ำและส่งป้าน้อยเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว

"ลุงครับ...ป๊าบอกให้ผมกลับมาหาข้อมูลเกี่ยวกับสหกรณ์ชาวไร่ และซัพพลายเออร์ รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบ ให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ผมมีข้อมูลบางส่วน ผมจะต้องเพิ่มเติมในส่วนไหน" ผมส่งแฟ้มข้อมูลให้ลุงสมาน

ลุงใช้เวลาพิจารณาข้อมูลในแฟ้มอย่างละเอียด ก่อนที่จะส่งแฟ้มพร้อมสายตาวิตก กลับมาให้ผม

"ลุงจะบอกสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดให้เยว่ฟังนะ ลองเอาจำนวนเงินที่เยว่จะซื้อจากชาวไร่ บวกลบด้วยราคาตลาด แล้วคูณ 35% ตัวเลขที่ได้คือยอดที่ซัพพลายเออร์จะต้องสูญเสียไป จากโครงการนี้"

จากตัวเลขในมือ ผมสามารถคำณวนได้ทันที

"ชิบ.....หายแล้ว" ผมอุทานเสียงหลง

"ใช่...มันคือยอดชิบที่จะหายออกจากกระเป๋าของซัพพลายเออร์ และที่สำคัญซัพพลายเออร์บางราย ชิบที่หายไป คือรายได้ทั้งหมดที่ใช้หล่อเลี้ยงธุรกิจของเขา" ลุงมองหน้าผม

"คุณทรงชัยคงบอกเยว่แล้วใช่ไหมว่า ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร" แววตาของลุงวิตกมากขึ้น

"แต่ผมหวังดีนะครับ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมจะทำในสิ่งที่ควรทำ ทำในสิ่งที่ควรจะเป็น ซัพพลายเออร์พวกนี้ หากินจากการเอารัดเอาเปรียบมายาวนาน ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ซื้อมาแล้วขายไป เงินก็ไม่ต้องออก แต่นั่งเก็บผลต่าง ถ้าจะให้ผมพูดแรงๆ ก็คือ เปรียบเสมือนปลิงที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อ  ทั้งกับผมและพวกชาวไร่" ผมระบายความอัดอั้นตั้นใจ

ตอนแรก ผมไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากได้ข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ เพื่อหาความมั่นคงในการป้อนวัตถุดิบ เข้าสู่ระบบการผลิต แต่เมื่อได้เห็นข้อมูล ตัวเลข ก็ทำให้ผมเห็นว่า ผลต่างระหว่างราคาซื้อของผม กับราคาขายของชาวไร่ มันแตกต่างมากแค่ไหน มันคือ สิ่งที่ผมและชาวไร่สูญเสียไป ถ้าเอามันมาหารครึ่ง ผมและชาวไร่ ต่างก็จะได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

แต่ก็นั่นแหละ...ผลประโยชน์มันไม่เข้าใคร ออกใคร

ลุงมองหน้าผมอย่างจริงจังอีกครั้ง

“คุณเยว่ครับ สิ่งที่คุณทำ และกำลังจะทำต่อไป  มันเป็นการขัดผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลมากพอ ลุงอยากเตือนคุณว่า...อันตรายจะผันแปรตามผลประโยชน์ที่สูญเสีย  ลุงอยากให้คุณระวังตัว และใช้ความรอบคอบอย่างถึงที่สุด ในการจัดการเรื่องนี้ ไม่ว่าคุณหรือใครก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ จะมีอันตรายได้ทุกเวลา” ลุงสมานเอ่ยเตือนผมอย่างหนักใจ

"และมันจะร้ายแรงได้อย่างที่คุณเยว่ไม่คาดคิดเลยนะครับ" คราวนี้ทั้งน้ำเสียงและแววตาวิตกกังวล อย่างถึงที่สุด

“นั่นหมายถึงคนที่ไร่แสงจันทราด้วยใช่ไหมครับ” ผมย้ำให้มั่นใจ

“ทุกคนที่พวกนั้นเห็นว่าไปขัดขวางทางทำมาหากินของพวกเค้าล่ะครับ” ลุงสมานไม่ตอบคำถามตรงๆ

“สำหรับพรุ่งนี้ลุงจะให้คนของลุงคอยดูแลคุณเยว่นะ ยังไงแล้วขอให้ระวังตัวด้วยนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ลุงแสดงสีหน้าวิตก

“อะไรกันคุณมูน จะมาพบนายตอนนี้หรอ มันดึกมากแล้วนะ ป่านนี้นายคงหลับไปแล้วล่ะ”
“ผมรู้ว่าผมเสียมารยาท แต่ว่ารบกวนลุงตามลุงสมานให้ผมหน่อยเหอะครับ ผมมีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ” เสียงดังมาจากนอกตัวบ้าน
“มีอะไรกันหรือสอน นั่นใครมากันล่ะ” น้ำเสียงใจดีที่ผมคุ้นเคย ป้าน้อยของผม

"เดี๋ยวลุงลงไปดูว่าใครมา ถ้าคุณเยว่จะพักผ่อน พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันอีกทีก็ได้" ลุงหันมาบอกผม ก่อนที่จะลุกเพื่อลงไปดูเหตุการณ์

"ผมลงไปด้วยครับ" ผมก็ลุกตามลุงลงไป

ผมรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว จนสุดท้ายแล้ว ลุงก็พาป้าน้อยกลับขึ้นมา ลุงมองหน้าผมอย่างถามความเห็น

“ผมได้ยินทั้งหมดแล้วครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เองครับลุง”

********************************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2020 14:46:09 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน

สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)
สีส้ม (เล่าเรื่อง/ส่วนของตัวละครอื่นๆ)


วันนี้เอามาลงให้อีกตอนนะ ไปอ่านกันเลยยยยยยยย

บทที่ 5 ความช่วยเหลือ


Yuè part

ZzzzZ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น เวลา 23.30 น.

“คะคุณเยว่” เสียงพี่น้ำรับสาย
“ขอโทษต้องปลุกกลางดึกนะครับพี่น้ำ” ผมเว้นวรรคประมาณ 5 วินาที น้ำเสียงเป็นทางการมาก ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะมีน้ำเสียงเช่นนี้ นั่นหมายถึง งานจะเข้าเลขาคนรู้ใจในเวลาไม่ช้า

“พร้อมนะครับ...คืนนี้ผมมีคำสั่งด่วนที่สุด ที่ออกในนามรองประธานกรรมการบริหาร นิศานาถกรุ๊ป ให้พี่ออก 2 ฉบับครับ”
 
“ฉบับแรกออกถึงโรงสีนิศารัตน์ ให้รับซื้อข้าวโพดจากกลุ่มสหกรณ์ชาวไร่ในราคาประกัน โดยให้จ่ายเงินในราคาของเมล็ดข้าวโพดเกรดซีก่อนทุกราย และให้ทำการตรวจสอบผลผลิตตามมาตรฐานเป็นรายบุคคล และเมื่อทราบผลตรวจสอบแล้วให้ชำระราคาตามผลที่ได้เป็นรายบุคคลต่อไป”

“ฉบับที่2 ออกถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดจันทรภาส ให้ผ่อนผันการชำระหนี้ของเกษตรกรในกลุ่มสหกรณ์ชาวไร่เป็นรายบุคคลออกไปอีก 1 เดือนนับจากวันครบกำหนดชำระ”

“ทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะครับ”

“เรื่องที่สาม แต่งตั้งให้คุณประพาสเป็นตัวแทนของโรงสีนิศารัตน์ รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มสหกรณ์ และทำเป็นรายงานเสนอมาให้ผมโดยตรงภายใน 3 วันนับจากวันที่เจรจา”
 
“เสร็จแล้วส่งเมล์มาได้เลย ผมรออยู่ แล้วพรุ่งนี้เช้าคอนเฟิร์มกลับไปที่โรงสีและจันทรภาสให้ปฏิบัติตามคำสั่งในทันที ถ้ามีปัญหาใดๆ ติดต่อกับผมได้โดยตรง ผมจะเข้าไปที่โรงสีประมาณ 10 โมงเช้า สำหรับพี่..ผมจะกลับไปเล่าให้ฟังนะครับ” ผมสั่งพี่น้ำอย่างละเอียด แล้ววางสายโดยไม่รอให้มีคำถามใดๆกลับมา


Moon’s part

ผมกลับมาบ้านด้วยใจที่มีคำถามมากมาย แต่คำถามที่ผมต้องการรู้มากที่สุดคือ "คุณศศธรเป็นใคร"

น่าจะต้องมีอำนาจมากพอที่ลุงสมานจะขอความช่วยเหลือ เมื่อลงจากรถพบว่าที่บ้านยังไม่มีใครหลับเลย ทุกคนน่าจะกำลังรอผมอยู่
“เป็นอย่างไรบ้างมูน ลุงสมานว่าอย่างไร” แม่เป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน

ผมเดินมาหาแม่อย่างเลือนลอย
“คุณศศธร นี่เขาเป็นใครล่ะครับ” ผมย้อนถาม แทนที่จะตอบคำถามแม่
สายตาของแม่ กระตุกเมื่อได้ยินคำถามของผม แต่ชั่วอึดใจก็ปรับเป็นปกติ

“ก็เป็นคนของนิศานาถกรุ๊ปแหละ เป็นลูกชายคนเล็กของเสี่ยทรงชัย มีอะไรเหรอ” เป็นพ่อที่ตอบคำถามผม น้ำเสียงหงุดหงิดชัดเจน

ผมหันความสนใจมาหาพ่อ พร้อมถ่ายข้อมูลที่ได้จากลุงสมาน ให้พ่อรับรู้ด้วยเช่นกัน
“พรุ่งนี้..ลุงสมานให้พวกเราไปที่โรงสี ไปขอให้คุณศศธรช่วย” ผมเล่าให้พ่อฟัง
“จะช่วยอะไรได้ ก็พวกเดียวกัน ไอ้มาตรฐานบ้าบออะไรนี่ก็พวกมันนั่นแหละที่ตั้งขึ้นมา” น้ำเสียงของพ่อยังไม่ดีขึ้น
“แต่ลุงสมานบอกว่า มีแค่คุณศศธรเท่านั้นที่จะช่วยพวกชาวไร่ได้ แต่เราต้องไปบอกว่าให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา” ผมอธิบายตามที่ลุงสมานแนะนำมา

“ก็อย่างที่บอกแหละ จะช่วยอะไรได้ เสียเวลาเปล่าๆ ฉันไม่อยากคุยกับคนพวกนี้เท่าไหร่แล้ว” พ่อยังดื้อดึงด้วยทิฐิ

“แต่จากที่เรารู้จักคุณเยว่มา คุณเยว่เป็นคนที่มีความยุติธรรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันว่าเรื่องนี้คุณเยว่น่าจะพอช่วยได้ ยิ่งพี่สมานรับรองว่าได้ เราก็ควรทำตามนะ..พี่อิท” เป็นแม่ผมที่เอ่ยสนับสนุนอีกแรง

“นี่พ่อกับแม่รู้จักคุณศศธรด้วยหรอ ทำไมผมไม่เห็นจะรู้จักเลย” ผมเอ่ยถามแม่อีกครั้ง

“มูนคงจำคุณเยว่ไม่ได้แล้วล่ะ ตอนเด็กๆ คุณเยว่เคยมาพักที่ไร่ของลุงสมานอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนไปเรียนต่อที่เมืองนอก” แม่เท้าความให้ผมฟัง

“เอาเถอะเรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง นี่ก็ดึกแล้ว ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้ายังมีเรื่องให้ทำอีกเยอะ” เป็นพ่อผมที่เอ่ยตัดบทก่อนจะพาแม่ขึ้นบ้านไป

“ถ้าอย่างนั้น...พรุ่งนี้พ่อกับพวกชาวไร่ ไปพบกับคุณศศธร ที่โรงสีตอน 10 โมง และผมจะไปด้วย” ผมบอกตามหลังพ่อไปอีกที
“เออ” พ่อตอบมาสั้นๆ


บนห้องนอนของพ่อและแม่ที่ชั้นบน

“พี่อิทคะ ทำไมเราไม่เล่าเรื่องของคุณเยว่ให้มูนฟังละคะ นิดหน่อยสังเกตว่าพี่ตัดบทเรื่องนี้มา 2 ครั้งแล้วนะคะ” แม่เอ่ยถามอย่างสงสัย

แต่พ่อยังคงเงียบเฉย ไม่ตอบคำถามใดๆ แต่ความกังวลที่มีอยู่ในใจ ไม่สามารถปกปิดคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมานานกว่า 20 ปีได้ แม่หันมามองพ่ออย่างเต็มตาอีกครั้ง พลางจับมือของพ่อแล้วพามานั่งที่โซฟายาวข้างหน้าต่าง เผื่อว่าอากาศเย็นจากภายนอก จะช่วยให้อุณหภูมิภายในใจลดลงบ้าง แม่ยังคงนิ่งเงียบ เพียงแค่จับมือกันไว้อย่างมั่นคง ไม่เร่งรีบเอาคำตอบใดๆ ปล่อยให้ทุกอย่างออกจากปากของพ่อ ด้วยความเต็มใจเอง

“นิดหน่อยจำไม่ได้หรือครับว่า วันที่ 2 คนนั้นแยกจากกัน อาการของลูกแย่มากแค่ไหน แล้วต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ตามลำพัง แล้วเรา 2 คนต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่ทนทรมาน ที่เห็นน้ำตาของลูกไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ผมไม่อยากให้ลูกพบเจอความรู้สึกแบบนั้นอีก” พ่อพูดแบบไม่มองมาที่แม่ แต่กลับบีบมือแม่แน่นขึ้นเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“นิดหน่อยเข้าใจความรู้สึกของพี่อิทนะคะ เราเป็นพ่อเป็นแม่ ย่อมต้องห่วงลูกเป็นเรื่องธรรมดา พี่อิทคิดหรือค่ะว่า มูนจะจำพี่เยว่ของเขาไม่ได้ พี่คิดหรือค่ะว่า ลูกจะลืมสัญญาที่เขา 2 คนเคยได้ให้ไว้ต่อกัน"
"เราอาจจะมองว่าเป็นสัญญาของเด็ก 2 คน แต่ในความรู้สึกของลูก มันคือสัญญาที่เขารอคอยมาตลอด ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงออกมาให้เห็น แต่ในใจลึกๆ ลูกยังรอคอยอยู่นะ...พี่อิท” แม่พูดความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ ให้พ่อรับฟัง

“มูนโตมากแล้วนะพี่อิท ปล่อยให้เรื่องนี้ เป็นการตัดสินใจของลูกเถอะนะ มันชีวิตของเขา” แม่บอกพ่ออีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือที่จับกันไว้ แล้วลุกขึ้นจัดที่หลับที่นอนสำหรับคืนนี้


Moon’s part

พ่อกับแม่ขึ้นห้องไปแล้ว ผมก็แยกกลับมายังห้องตัวเอง ใจนึกถึงแต่คุณศศธร แม่บอกว่าผมจำคุณเขาไม่ได้ แม่เรียกคุณเขาว่าคุณเยว่ เหมือนจะสนิทสนมนะ นี่ผมรู้จักคุณศศธรมาก่อนด้วยหรอ ชื่อนี่ได้ยินแล้วคุ้นๆ แต่แล้วทำไมผมถึงจำคุณเขาไม่ได้ล่ะ ผมสะบัดหัวเล็กๆ เหมือนจะบอกกับตัวเองว่า ควรไปอาบน้ำแล้วนอนได้แล้ว อย่างที่พ่อบอกพรุ่งนี้เรามีอะไรต้องทำอีกเยอะ

ผมหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำ กลับออกมาสภาพหัวเปียกน้ำหมาดๆ กะว่าจะออกมาเช็ดให้แห้งแล้วค่อยนอน แต่ว่าอากาศข้างนอกเย็นสบาย มีลมพัดเอื่อยๆ ผมหยิบโทรศัพท์ติดมือออกมานอกระเบียง แล้วนอนลงบนเก้าอี้สนามที่ตั้งไว้สำหรับนอนเล่นสบายๆ มือเลื่อนเข้าโปรแกรมเฮียกรู

แล้วพิมพ์คำว่า "ศศธร นิศานาถ"

ข้อมูลหลั่งไหลมาตามความฮ๊อทของเจ้าของชื่อ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงสายงานโลจิสติกส์ หนุ่มหล่อติดอันดับท๊อป 50 ของหนุ่มคลีโอ*** ปริญญาโทจากอเมริกา โสด รวย แถมพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งลูกชายคนเล็กของตระกูลนิศานาถ ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งห่างไกลจากความทรงจำว่า “ผมรู้จักคุณศศธร” มาก่อน

ผมกำลังรู้สึกเคลิ้มๆ แต่เมื่อมีรูปๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า ภาพที่หนุ่มหล่อคนนี้มีรอยยิ้ม เป็นภาพเก่ามาก น่าจะสมัยเรียนมัธยม

ทำไมๆๆๆ ผมคุ้นเคยกับรอยยิ้มนี่จังนะ

ผมนึกทบทวนด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น รอยยิ้มของชายหนุ่มที่สวนกับผมบนบันไดเลื่อนในห้างดัง ก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ และในความทรงจำนั้นมีอีกภาพปรากฏซ้อนทับขึ้นมา ภาพของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง สีหน้าแววตาอบอุ่นเหลือเกิน มันคุ้นเคยในความรู้สึกลึกๆของผม

ใช่ๆๆๆ เขาเป็นคนๆเดียวกันกับคุณศศธร นิศานาถ

เฮ้ยยยยยยย "พี่เยว่ของมูน"

ผมอุทานอย่างตกใจ ผมตามหาเค้ามาตลอดนับตั้งแต่วันที่ได้พบกัน อยู่ดีๆผมก็ได้เจอเขาแบบที่ไม่คาดฝัน พรุ่งนี้ผมจะได้เจอกับคนที่ผมตามหาแล้ว ผมจะได้เจอเค้าแล้ว

เช้านี้ผมตื่นขึ้นแบบไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ณ ตอนนี้ ใจผมอยู่ที่โรงสีแล้ว ผมอยากเจอคุณศศธรแล้ว ผมอยากรู้ว่าเขาจะจำผมได้หรือไม่ จำวันที่เราสองคนสบตากันได้หรือเปล่า จำคำสัญญาได้มั๊ย เอ้ย!!!! นี่เพ้อเจ้อแต่เช้าเลย

ผมสลัดความเพ้อเจ้อออก ลุกขึ้นอาบน้ำเตรียมพร้อมสำหรับงานวันนี้ ผมหยิบเสื้อเชิ้ตตัวที่คิดว่าใส่แล้วดูดีที่สุด สวมทับด้วยเจ็ตเก็ทยีนส์ตัวเก่ง กางเกงยีนส์สีเดียวกันกับเจ็ตเก็ท รองเท้าบู้ทสีน้ำตาลเข้ม พินิจพิเคราะห์ตัวเองว่าเท่ห์แล้ว ก็เดินออกจากห้องที่อยู่ด้านหลังของบ้านมายังหน้าบ้าน เจอแม่ที่กำลังเก็บของหลังจากใส่บาตรเช้าแล้ว ซึ่งหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ

“นี่พี่มูนจะทำธุระกับพ่อที่โรงสี หรือจะไปเดินแบบแฟชั่นกันแน่ แต่งตัวซะหล่อขนาดนี้” เจ้าใยไหม...เจ้าน้องสาวคนเล็กตัวป่วนของผม เอ่ยปากแซวผมทันที

“นั่นนะสิ นี่ตื่นเช้าขนาดนี้ได้ด้วยหรอ ปกติต้องปลุกกันสนั่นบ้านสนั่นเมือง” ไอ้ใบหม่อน...ไอ้น้องชายตัวแสบอีกตัวของผม เอ่ยสมทบทันควัน

“เอาน่า...พี่เขามีความรับผิดชอบกับงานที่จะไปทำก็ดีแล้ว อย่าแซวพี่เขาเลย แค่ตื่นเช้าโดยไม่ต้องปลุกแค่นั้นเอง ไปๆๆ ยกโต๊ะไปเก็บซะ” นี่แม่ไม่ได้แซวผมใช่มั๊ย... ผมคิด แล้วเดินตามหลังเข้าไปที่โต๊ะอาหาร

“ตกลงวันนี้จะเอาอย่างไรกันดี มาคุยกันก่อน ก่อนที่จะไปโรงสี” พ่อคุยกับผมพร้อมกับอาหารเช้าแบบง่ายๆสไตล์ลูกทุ่ง

“เท่าที่ลุงสมานแนะนำคือ ให้พวกชาวไร่ไปคุยกับคุณศศธรว่าพวกเราเดือดร้อนอย่างไรกับการกระทำของโรงสี แล้วขอให้เขาพิจารณาผลผลิตตามความเป็นจริงที่มีอยู่ จะทั้งเรื่องเมล็ดพันธุ์ ความชื้นของเมล็ดข้าวโพด ซึ่งมาตรฐานที่จะเอามาตรวจสอบต้องเป็นที่ยอมรับได้ทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายเขา” ผมอธิบายให้พ่อฟังในขณะที่ตักข้าวต้มสุดอร่อยเข้าปากไปพร้อมๆ กัน

“และลุงยังบอกว่า..การเจรจาในครั้งนี้ ขอให้เราเอาความเดือดร้อนที่เรากำลังได้รับไปบอกกล่าวให้เขาทราบ เพราะว่ามีอะไรหลายๆ อย่างที่ทางโรงสีเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ดังนั้นการตกลงกันในวันนี้ก็เพียงแค่ให้โรงสีรับซื้อผลผลิตของเราตามความจริงที่ปรากฏอยู่เท่านั้น ส่วนเรื่องรายละเอียดการตรวจสอบ หรือระยะเวลารวมถึงเงินที่จะจ่ายกันเบื้องต้น ก็ทำความตกลงกันอีกที” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วแกคิดว่าพวกนั้นเขาจะไม่รู้เห็นเป็นใจกันเองหรอ อย่าลืมว่าเขาเป็นเจ้าของโรงสีนะ เขารู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าอะไรเป็นอะไร พวกเราจะเสียเวลาไปคุยหรือเปล่า” พ่อเอ่ยแย้งอีกที

“ป้าน้อยบอกกับผมว่า คุณศศธรไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เป็นพวกเราที่ต้องบอกให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราเป็นพวกที่ได้รับความเดือดร้อน ที่ไม่สามารถขายผลผลิตได้ตามราคา ไม่ใช่พวกที่เสียผลประโยชน์ พวกเราไม่มีข้อเสนอใดๆ ไปยื่นเพื่อต่อรองกับเขา  พวกเรามีแต่ความเดือดร้อนเท่านั้นที่จะไปคุยกับเขา” ผมเน้นย้ำความประสงค์ของลุงและป้าที่ฝากบอกมาก่อนการเจรจาครั้งนี้จะเกิดขึ้น

“ฟังดูน่าจะมีแนวทางอยู่ในความคิดแล้ว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราคุยประเด็นนี้กับพวกชาวไร่ก่อน แล้วฟังว่าพวกเขาจะเอาอย่างไรต่อไป งานนี้พ่อให้เราเป็นคนคุยเองละกัน จะได้ลองรับฟังและแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กันเลย” พ่อเอ่ยเสียงเรียบๆ
“ครับพ่อ” ผมยิ้มรับข้อเสนอของพ่อ

“มูนต้องใจเย็นนะลูก มีสติ คิดทบทวนไตร่ตรองให้รอบคอบ นี่เป็นเรื่องของคนหมู่มาก อย่าเอาอารมณ์ตัดสินโดยเด็ดขาดนะลูกนะ” แม่เอ่ยเตือน พร้อมกับส่งยิ้มที่อบอุ่นมาให้ผมอีกคน

“แม่ครับ ตกลงผมกับคุณศศธร นี่เราเคยรู้จักกันจริงๆ หรอครับ” ผมถามแม่อย่างที่ใจคิดไว้
“นี่ลูกจำไม่ได้จริงๆ หรือมูน” แม่ถามย้อนกลับมา
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังเหอะ ตอนนี้กินข้าวให้อิ่มก่อน จะได้มีสติไปคุยไปคิดเรื่องของชาวไร่ให้เสร็จ นี่ก็สายแล้ว เดี๋ยวพวกชาวไร่คงจะทยอยกันมาที่นี่ เราจะได้บอกแนวทางเรื่องที่คุยกัน เพื่อให้พวกชาวไร่ได้รับรู้ก่อนที่จะไปที่โรงสีอีกที” พ่อเอ่ยตัดบทอีกครั้ง

ขณะนี้...พวกชาวไร่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขายผลผลิตไม่ได้ราคามารวมตัวกันอยู่ที่ไร่ของผม ผมอธิบายแนวความคิดที่มีอยู่ให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด พร้อมทั้งรับฟังข้อปัญหาอื่นๆ เพิ่มเติม พวกเขายอมให้ผมเป็นตัวแทนที่จะเจรจาเรื่องนี้กับคุณศศธร เมื่อถึงใกล้เวลานัด ผมและพวกชาวไร่ก็พากันไปที่โรงสีตามคำนัดหมาย ซึ่งทางโรงสีก็ตรงเวลาเช่นกัน นัดไว้ 10 โมง พวกเราไปถึงก่อน 10 โมงเล็กน้อย แต่ทางโรงสีก็เตรียมสถานที่ไว้ต้อนรับพวกเราเรียบร้อยแล้ว

ผมตื่นเต้นในความรู้สึกลึกๆ ไม่ใช่เพราะว่าจะต้องเป็นตัวแทนของชาวไร่ แต่เพราะผมจะได้พบกับคนที่เฝ้ารอมาตลอดเวลา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยตื่นเต้นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

ในวูบหนึ่งของความรู้สึก ก็ทำให้ผมรู้สึกผิดเหมือนกันที่ตอนนี้ผมให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัว มากกว่าความเดือดร้อนของชาวไร่ทั้งหลาย ผมขอตัวออกจากกลุ่มชาวไร่ เพื่อออกมาปรับทัศนคติของตัวเองก่อนทำงานใหญ่ ไม่บ่อยครั้งที่ผมจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ แต่ครั้งนี้ผมคงต้องพึ่งมันแล้วล่ะ

“นี่เครียดมากเลยหรอนายมูน ถึงได้มายื่นสูบบุหรี่ตรงนี้” เป็นคุณประพาส ผู้จัดการโรงสีแห่งนี้เอ่ยทักผม
“สวัสดีครับคุณประพาส ผมตื่นเต้นนิดหน่อยครับ ครั้งนี้เป็นงานแรกของผมเลย” ผมเอ่ยปากไปตรงๆกับผู้อาวุโสที่คุ้นเคยกัน
“เอาน่า...ไม่ต้องเครียด ฉันเป็นคนเจรจากับนายเอง ไม่ต้องเกร็ง แมนๆ คุยกัน” คุณประพาสหัวเราะเล็กๆ

“อ้าววววว ไม่ใช่คุณศศธร หรือครับ” น้ำเสียงผมผิดหวังชัดเจนมาก

“คุณศศธร แต่งตั้งให้ฉันเป็นคนรับเรื่องจากพวกชาวไร่ แล้วทำรายงานเสนอขึ้นไปหาโดยตรงภายใน 3 วัน ไม่ต้องกลัวว่าเรื่องจะไม่ถึงคุณเขาหรอกนะ” คุณประพาสบอกให้ผมฟัง

“เอาจริงๆ ตอนนี้คุณศศธรมีคำสั่งลงมาที่ฉันเรียบร้อยแล้วว่า ให้รับซื้อผลผลิตของชาวไร่ในราคาประกัน โดยให้ทำการตรวจสอบผลผลิตของชาวไร่เป็นรายบุคคล ตามมาตรฐานของทางกระทรวงพาณิชย์ที่เคยกำหนดไว้ ส่วนการจ่ายเงินเบื้องต้นจะจ่ายตามราคาของเมล็ดข้าวโพดเกรดซีก่อน พอผลการตรวจสอบของแต่ละรายออกมาแล้ว ก็ค่อยเรียกมาจ่ายส่วนที่เหลือเพิ่มเป็นรายบุคคลต่อไป” คุณประพาสบอกข้อเท็จจริงให้ผมทราบเพิ่มเติมอีก

“ก็ไหนลุงสมานบอกว่า คุณศศธรไม่ทราบเรื่องนี้ แล้วนี่ทำไมถึงได้มีคำสั่งออกมาไวขนาดนี้ล่ะ” ผมข้องใจ
“คุณศศธรทราบเรื่องเมื่อตอนดึกของเมื่อคืนนี้ เอกสารคำสั่งส่งเมล์มาถึงโรงสีตอนตีสามกว่าๆ แล้วมีโทรศัพท์สายตรงสั่งกำชับฉันอีกทีตอน 6 โมงเช้า นี่คือการทำงานของคุณศศธร ถ้าอะไรคือเรื่องเร่งด่วน มันก็จะเร่งด่วนทันใจคนเดือดร้อนเสมอแหละ พวกเราชินกับคุณเขาแล้วล่ะ” คุณประพาสเอ่ยถึงคนในใจของผมอย่างชื่นชม

“ฉันเคยได้รับคำสั่งให้ส่งข้าวสารที่สีเสร็จแล้วไปให้โรงงานเพื่อทำการบรรจุตอนสามโมงเย็น และรถข้าวสารคันแรกจะต้องไปถึงโรงงานก่อน 6 โมงเย็น พวกฉันที่อยู่ทางนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงต้องรีบส่งขนาดนั้น ทั้งๆที่มีแพลนอยู่แล้วว่าจะต้องส่งไปที่โรงงานเมื่อไหร่ พอมารู้อีกทีว่าไลน์การผลิตของโรงงานมีปัญหา คุณศศธรขอให้ปรับจากไลน์ผลิต เป็นไลน์บรรจุเพื่อลดภาระการหยุดชะงักของโรงงาน ก็เข้าใจแล้วว่าคุณเขากำลังหาทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอยู่” ผู้อาวุโสเอ่ยชื่นชมน้ำเสียงจริงจัง
จริงซิเมื่อคืนผมกลับออกจากไร่ของลุงสมานตอนห้าทุ่มกว่าๆ นี่แสดงว่าพอผมจากมา เรื่องนี้ก็ถึงมือคุณศศธรเลย นั่นหมายถึงคุณเขาอยู่ที่ไร่ของลุงสมานหรอ ญาติจากกรุงเทพที่มาพักกับลุงและป้าเป็นคุณศศธรหรอ สีหน้าแววตาของผมบ่งบอกถึงความตื่นเต้นชัดเจน

“แล้วผมจะได้พบคุณศศธรหรือไม่ครับ” ผมถามอย่างที่ใจบอกให้ถาม
“ฉันก็ไม่แน่ใจนะ ฉันว่าคุณศศธร คงอยากจะดูข้อมูลของฝ่ายชาวไร่ก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วคงจะมีคำสั่งลงมาอีกที” คุณประพาสบอกผม

“นั่นหมายถึง ถ้าปัญหาของพวกชาวไร่สามารถจัดการได้ดีแล้ว คุณศศธรก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพบพวกผมอีกใช่มั๊ยครับ” ผมเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
“เรื่องนั้นฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่านายอยากเจอคุณศศธรหรอ แล้วทำไมถึงอยากเจอล่ะ ถ้ามีโอกาสฉันจะบอกคุณเขาให้นะ” คุณประพาสยังตอบผมอย่างใจดี
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่หวังว่าจะได้พบกับคุณศศธรก็แค่นั้นครับ” ผมเอ่ยไม่ตรงกับใจ ทั้งทีจริงแล้วผมอยากเจอคุณเขาเป็นที่สุด ผมอยากถามเขาว่าจำผมได้หรือไม่ และสิ่งที่อยากบอกมากที่สุดคือ ผมคิดถึงเขามากที่สุด

“ผมต้องขอโทษครับ ถ้าคำพูดของผมทำให้คุณประพาสไม่สบายใจ” ผมยกมือไหว้ขอโทษผู้อาวุโสจริงจัง
“ไม่เป็นไร นายไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย คิดมากนะ เออ...นายจะเอาข้อเสนอที่คุณศศธรสั่งการไว้ ไปบอกพวกชาวไร่ก่อน แล้วจะมาคุยกันอีกทีก็ได้นะ” คุณประพาสเอ่ยแนะนำก่อน พอผมตั้งสติ และคิดได้ จึงขอตัวไปเอาเรื่องดังกล่าวไปแจ้งกับพวกชาวไร่

นอกจากเรื่องโรงสีจะรับซื้อข้าวโพดตามมาตรฐานแล้ว ชาวไร่ยังได้รับข่าวดีอีกอย่างคือ ได้รับการผ่อนผันชำระหนี้ออกไปอีก 1 เดือน ซึ่งนั้นหมายถึงพวกชาวไร่จะยังมีเวลาให้หายใจก่อนกำหนดชำระหนี้กับเถ้าแก่ฮง (ผู้ดูแลห้างหุ้นส่วนจำกัดจันทรภาส) จะมาถึง ชาวไร่กลับบ้านของตนไปอย่างมีความหวัง สีหน้าแววตาแตกต่างจากเมื่อเช้าอย่างยิ่ง ยิ้มส่งผ่านคำขอบคุณมาให้พ่อและผมที่ช่วยจัดการเรื่องเดือดร้อน ให้ผลออกมาได้อย่างดี


******************************

เล่าสู่กันฟัง

***หนุ่มคลีโอ คือ เวทีการประกวดของหนุ่มๆ “Cleo 50 Most Eligible Bachelors” หรือ 50 หนุ่มโสดคลีโอในฝัน คอนเซ็ปต์หนุ่มโสด หน้าตาดี มีเสน่ห์ ซิกแพ็คแน่น! ดีกรีหมอหนุ่มสุดฮอต นักกีฬามาดเท่ นักธุรกิจแสนสมาร์ท ฯลฯ พร้อมมาทำให้ใจของสาวๆ ละลาย


หายไปหลายวัน คนเขียนเกิดอาการตื้อๆ นึกอะไรสับสนไปหมด ทั้งๆ ที่มีแนวเรื่องไว้ในหัวแล้ว แต่พอจะเขียน มันกลับตีกันไปหมด เลยต้องพิมพ์ไป คิดไป แก้ไข (ด้นสดอีกแล้วตอนนี้) มือใหม่ก็แบบนี้ เลยอยากให้คนอ่านช่วยบอกหน่อยว่า อ่านแล้วเป็นอย่างไร ชอบ ไม่ชอบ มีอะไรต้องแก้ไขบ้าง
คนเขียนจะเอามาพิจารณา และแก้ไขให้ นะๆๆๆ
:mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2020 15:14:40 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน

สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)
สีน้ำตาล (ย้อนเวลา)

ตอนนี้คนเขียนตั้งใจพิมพ์มากๆ เขา 2 คนกำลังจะได้พบกันแล้ว ไปอ่านกันต่อเลยยยยยยยยย

บทที่ 6 พบ...เจอ...


Yuè part

ในห้องกระจกมุมสูงของโรงสี

มีร่างของชายหนุ่มยืนมองคู่สนทนาด้านล่างอย่างสงบนิ่ง ในห้วงความคิด มีภาพของเด็กน้อยที่โบกมืออยู่เบาะด้านหลังแววตาเศร้าสร้อย ปรากฏทับซ้อนภาพของชายหนุ่มด้านล่าง

“พี่กลับมาหามูนแล้วนะ มูนจะโกรธพี่หรือเปล่า ที่จากไปนานขนาดนี้” ผมพึมพำกับตัวเอง
ภาพย้อนเมื่อตอนที่ป้าน้อยเล่าฟังว่าเด็กน้อยคนนั้นโตเป็นหนุ่มแล้ว กลายเป็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผมในขณะนี้ ผมบอกไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรกับเขาดี จะบอกเขาว่าผมคิดถึง ผมยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงเขาเหมือนแรกๆ ที่เราจากกัน ความห่างไกล ระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึงความวุ่นวายความยุ่งยากในการดำเนินชีวิต ทำให้ผมลืมเลือนเขาไป ผมคงไม่หนีเขาตลอดไป แต่ ณ เวลานี้ผมยังไม่พร้อมจะเจอเขา ไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆจากเขา

“คุณเยว่ค่ะ ทางชาวไร่น่าจะพอใจและยอมรับข้อเสนอของทางโรงสี ระหว่างนี้เรื่องของการตรวจสอบผลผลิตก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางเทคนิคต่อไป คุณเยว่จะกลับกรุงเทพเลยหรือไม่ค่ะ” เลขาคู่ใจของผมเธอจับเครื่องเที่ยวเช้าสุดเพื่อมาประสานงานให้ผมแต่เช้ามืด
“กลับเลยก็ได้ครับ ผมจะต้องเข้าประชุมเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อบอร์ดบริหารโดยเร็วที่สุด ผมรู้ดีว่าครั้งนี้ผมทำเกินอำนาจของตัวเอง คงจะต้องมีการตำหนิอย่างรุนแรงแน่ๆ ผมอยากกลับไปเตรียมตัว และเตรียมข้อมูลให้พร้อม” ผมกล่าวโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มด้านล่าง

“นี่คุณเยว่ดูอะไรอยู่ค่ะ เห็นยืนดูอยู่นานแล้ว” พี่น้ำมองตามสายตาของผม เธอคงยังไม่ทันได้สังเกตว่าผมมองอะไรอยู่

“เดี๋ยวผมจะกลับไปเก็บของที่บ้านลุงสมาน แล้วเจอกันที่สนามบินครับ จองเที่ยวบ่ายนี้เลย แล้วนัดบอร์ดบริหารว่า ผมจะเข้าไปชี้แจงเรื่องนี้เย็นนี้” ผมสั่งเสร็จก็เดินออกจากห้อง

ลงมาด้านล่างตั้งใจว่าจะใช้ทางออกด้านหลัง แต่พบกับคุณประพาสก่อน จึงเอ่ยสั่งงาน
“คุณประพาสช่วยทำรายงานส่งให้ผมด่วน วันนี้เย็นผมจะเข้าประชุมบอร์ดบริหารก่อน ส่วนรายงานคงจะต้องยื่นตามหลังแต่อย่างไรอย่าให้เกิน 3 วันนะครับ”
“ผมจะรีบส่งให้โดยด่วนครับคุณเยว่” คุณประพาสตอบรับคำสั่งของผม
“แล้วนี่คุณเยว่จะกลับเลยหรอครับ นายมูนเขาอยากพบคุณ แต่ผมไม่ได้รับปากใดๆ ไม่ทราบว่าคุณจะอนุญาตให้พบหรือไม่ครับ”
“ตอนนี้ผมยังไม่สะดวก มีงานให้ทำอีกมาก ไม่ทราบว่าทางกลุ่มชาวไร่มีข้อเสนอใดเพิ่มเติมหรือไม่ ถ้ามีให้ทำข้อเสนอต่อท้ายรายงานมาได้เลยครับ ส่วนเรื่องการขอพบ ถ้าผมสะดวกแล้ว และเห็นว่ามีข้อใดที่จะต้องพูดคุยกับกลุ่มชาวไร่โดยตรง ผมจะแจ้งมาที่คุณประพาสอีกทีครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนครับ” ผมแยกตัวออกมาขึ้นรถ แล้วขับออกจากโรงสีทันที

ก่อนที่ผมจะกลับไปยังบ้านของลุงสมาน ผมแวะไปหาเถ้าแก่ฮง เพื่อคุยเรื่องการผ่อนผันการชำระหนี้ โดยให้ทำรายงานส่งตรงให้ผมในทันที

ระหว่างทางกลับไปยังบ้านของลุงสมาน ผมเห็นรถกระบะคันหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่าเป็นของไร่แสงจันทรา ขับผ่านหน้ารถของผมเข้าไปยังทางไร่ของลุงสมาน ผมนึกในใจว่าจะเป็นใคร และภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนที่ผมคิดไว้เลย ผมยังไม่พร้อมเจอเขาจริงๆ
ผมจอดรถไว้ข้างทาง ต่อสายถึงป้าน้อย ทันทีที่ป้ารับสาย

“ป้าครับ...อย่าเพิ่งถามอะไรผม ถ้ามีใครมาหาผม บอกว่าผมกลับกรุงเทพไปแล้วนะครับ ขอบคุณครับป้า” ผมวางสายลงทันที
โดยที่ไม่รอคำตอบใดๆ จากปลายสาย ผมหลับตาลงอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับคนในความคิดดี แต่ผมยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ กลับไปชี้แจงต่อบอร์ดบริหารโดยด่วน ผมจะต้องเจอกับอะไรข้างหน้าอีกมาก หลังจากที่ตัดสินใจทำเรื่องใหญ่โดยพลการ ผมยกสายถึงเลขาคนรู้ใจอีกครั้ง เพื่อสอบถามว่าจะได้เที่ยวบินกลับกรุงเทพเร็วที่สุดเมื่อไหร่ ผมยังมีเวลาพอที่จะทำอะไรที่นี่อีกมากน้อยแค่ไหน ผมได้รับคำตอบว่ามีเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่จะต้องไปสแตนบายที่สนามบิน ผมบอกว่าจะขอเวลาทำธุระที่นี่สักครู่ และให้เธอไปรอผมที่สนามบิน แล้วเราจะกลับกรุงเทพพร้อมกัน
ผมจอดรถทิ้งไว้ตรงทางเข้าไร่ของลุงสมาน แล้วขอให้คนในไร่ขี่รถพาผมไปส่งยังด้านหลังของตัวบ้าน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนในบ้าน อาศัยทางเดินหลังบ้านเพื่อขึ้นไปยังห้องด้านบน ระหว่างทางขึ้นบันได ผมได้ยินเสียงสนทนาของป้าน้อยกับเด็กหนุ่มคนนั้น

“ป้าแค่บอกผมว่าคุณศศธร ใช่พี่เยว่ของผมหรือเปล่า เท่านั้นเองครับ ผมว่าผมไม่ได้ขอร้องอะไรป้าไปมากกว่านี้เลย” น้ำเสียงทั้งวีนทั้งเหวี่ยงตามนิสัยที่เอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก ยังไม่ได้รับการพัฒนาเลยหรือนี่
“จะใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันกับคุณน้อยต้องตอบคำถามของแกนะ นายมูน” เป็นเสียงของลุงสมานที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวพอกัน นี่คือลุงสมานไม่พอใจกับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถึงที่สุดแล้ว
“ก็แค่บอกว่าใช่ หรือไม่ใช่ เท่านั้นก็จบแล้วนะครับ” นิสัยเกรียนไม่เลือกหน้าของชายหนุ่ม ยังแผลงฤทธิ์กับผู้อาวุโสตรงหน้า
“ถ้าแกยังพูดไม่รู้เรื่อง ก็ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะฉันจะหมดความอดทนกับแก” ลุงสมานใช้ความอดทนสุดท้ายกับชายหนุ่มตรงหน้า
“ป้าครับ...ช่วยตอบมูนหน่อยนะครับ ว่าเขาใช่...พี่เยว่ของมูนหรือไม่ครับ” ชายหนุ่มอ้อนวอนครั้งสุดท้าย

“ผมขออนุญาตคุยกับเขาเองดีกว่าครับ” เป็นผมเองที่อดทนไว้ไม่ไหวแล้ว ผมพยักหน้าให้ชายหนุ่มเดินตามออกมาทางหลังบ้าน ใต้ต้นไม้ที่แขวนเปลญวน
ที่ตรงนี้ผมกับเขาเคยมีความทรงจำต่อกัน แทนที่ผมจะนั่งลงบนเปลอย่างที่เคยทำในวัยเด็ก ผมกลับยืนใต้ต้นไม้ในท่าที่เอามือไพล่หลังไว้
“คุณประพาสบอกว่าคุณต้องการพบผม มีธุระอะไรนอกเหนือจากข้อตกลงที่โรงสีหรือไม่ครับ คุณรัตติกร” ผมเอ่ยอย่างเป็นทางการ มองหน้าชายหนุ่มอย่างไว้ตัวถึงที่สุด

“ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิด แล้วคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อพบคุณ” มูนกับคำพูดเกรียนๆตามนิสัย
“สำหรับคุณศศธรแล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะต้องรบกวนไปมากกว่าเรื่องที่โรงสีแล้วครับ เจอคุณก็ดีแล้ว ผมขอบคุณแทนพวกชาวไร่ด้วยที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้” เขาพูดพร้อมทั้งยกมือขึ้นไหว้ อีกทั้งยังสบตาผมอย่างไม่ลดละ

“ผมได้ยินว่าคุณเอ่ยถึงชื่อของผม แล้วจากคำถามที่ได้ยิน ก็น่าจะต้องเป็นผมที่จะต้องตอบคำถามของคุณ” เกรียนมาเกรียนกลับไม่แพ้กัน
“ถ้าคุณคิดว่าคุณควรจะต้องเป็นคนตอบคำถามผม แล้วคุณจะตอบว่าอะไร” ชายหนุ่มยังไม่ลดละ
“ผมมีเวลาปะทะคารมกับคุณได้ไม่นานนัก ผมยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ผมเองก็ไม่ได้ต้องการคุยกับคุณอยู่แล้ว ซึ่งผมเข้าใจว่า คุณน่าจะมีอะไรที่จะคุยกับผม เป็นคุณต่างหากที่จะปะทะคารมกับผมเอง” เขาพัฒนาการหยอกย้อนไปไกลขนาดนี้แล้วหรือ

“คุณต้องการอะไรจากผม” เป็นผมที่เอ่ยคำถามออกไป
“ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณ” เค้าตอบทันทีไม่ต้องคิด
“แล้วคุณจะมาถามผมว่า...” ผมอึกอักไปชั่วครู่
“ว่าผมเป็น...” ผมทิ้งช่วงสำหรับให้ตัวเองทำใจ
“พี่เยว่ของคุณ” เสียงผมหายไปในลำคอ อย่างไม่มีสาเหตุ

“แล้วใช่มั๊ย” เขามองตรงมาทางผม แต่สายตาเขากลับมองเลยผมไป สายตามีแต่ความว่างเปล่า ผมมองไม่ออกว่าคนตรงหน้ารู้สึกเช่นไร เขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยของผมอีกต่อไปแล้วหรือ ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วตอบคำถามออกไป
“ผมชื่อเยว่ แต่ว่าจะใช่พี่เยว่ของคุณหรือเปล่า อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่า พี่เยว่ของมูน มันคืออะไร”   


Moon’s part

คำตอบที่ผมได้ยิน มันทำให้ความอดทนที่มีอยู่พังทลายลงสิ้นเชิง

“ถ้าคุณคือคุณเยว่ ผมจะรับทราบไว้ และผมก็คิดว่ามันคงไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว สำหรับคำตอบที่ว่า คุณคือพี่เยว่ของผมหรือไม่ เพราะผมคิดว่าผมได้คำตอบแล้ว” ผมมองหน้าคุณศศธรด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ที่เก็บเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“ผมไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องรบกวนคุณอีกแล้ว ผมขอตัวนะครับ” ผมมองเงยสูงจากหน้าของเขา ผมรู้ตัวดีกว่าผมเงยหน้าขึ้นเพื่ออะไร แล้วหมุนตัวหันหลังกลับ

“แล้วคำตอบที่ได้คืออะไรหรือ” คุณศศธรยังรั้งข้อศอกผมไว้ แล้วส่งคำถามที่ผมไม่คิดที่จะบอกให้ใครรับรู้
“มันไม่เกี่ยวกับคุณ” ผมตอบกลับในขณะที่ไม่มองหน้าเขา

“ถ้าคุณคือเด็กน้อย ที่ปีนมายังเบาะหลังแล้วโบกมือลา ในวันที่ผมจะไปอเมริกา เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มันต้องเกี่ยวกับผมแน่นอน” ยังจะมีหน้ามาเท้าความอีกหรอนายศศธร ผมนึกในใจ

“แต่ผมมั่นใจว่าคุณไม่ใช่คนที่ผมโบกมือลาในวันนั้นแน่นอน” ในขณะที่ผมก็เกี่ยวฝ่ามือที่รั้งข้อศอกผมไว้ แล้วหันหลังกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง แววตายืนยันความพูด

“มูน...อย่าเกรียนได้มั๊ย” เขามีสิทธิ์อะไรมาใช้คำพูดนี้กับผม
“คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดแบบนี้” ผมกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ
“มูน...นี่พี่นะ” น้ำเสียงเขาอ่อนลง

“คุณคือพี่คนไหนหรอ ผมไม่รู้จักคุณ คุณไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาเรียกผมแบบนี้ ผมไม่ใช่เด็กน้อยของคุณ คุณไม่ใช่พี่เยว่ของผม” กำแพงที่กั้นน้ำตาไว้ถูกพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง น้ำตาถูกปล่อยให้ไหลรินอาบแก้มทั้งสองของผมอย่างไม่อายใคร

“ผมจะย้ำว่าคุณไม่ใช่พี่เยว่ของผม พี่เยว่ของผมไปเรียนหนังสือหลายปียังไม่กลับ เพราะพี่เยว่สัญญากับผมแล้วว่า จะรีบเรียนให้จบเร็วๆ แล้วจะรีบกลับมาหาผม พี่เยว่ให้ผมรอ แล้วผมก็จะรอจนกว่าพี่เยว่จะกลับมา ผมไม่ร้องไห้ ผมไม่งอแง ผมไม่อาละวาด ผมเข้มแข็ง เพราะผมเป็นเด็กดีของพี่เยว่เสมอ” ความอดทนของผมหมดสิ้นลง คำพูดปนเสียงสะอื้นพลั่งพรู ราวกับระบายความในใจที่อัดอั้นมายาวนาน

“ผมฝากความคิดถึงไว้กับพระจันทร์ทุกวัน เพราะพี่เยว่บอกผมว่า ถ้าผมคิดถึงให้ผมฝากความคิดถึงไว้ที่พระจันทร์ และก็เก็บเอาความคิดถึงที่พี่เยว่ฝากไว้กลับมานอนฝันดีทุกคืน และผมก็ทำเช่นนี้ทุกคืนที่ผมมองเห็นพระจันทร์ ซึ่งผมรู้ดีว่าคุณไม่ได้ทำแบบนี้แน่ๆ” ผมพูดพร้อมมองไปยังหน้าของเขา แต่ผมมองไม่เห็นใบหน้านั้น เพราะน้ำตาที่ไหลรินปิดปังการเห็นของผมไปหมดแล้ว

“มูนฟังพี่นะ พี่มีคำอธิบาย แต่ไม่ใช่เวลานี้ พี่มีงานต้องทำ” เขาจับไหล่ผมไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่ว่าหนักแน่น
“มูนสัญญาว่าจะรอพี่ มูนรอพี่ก่อนนะ” เขาจ้องมาในดวงตาของผมอย่างเว้าวอน
“ผมไม่รอ ผมไม่ได้สัญญาอะไรกับคุณ พี่เยว่จะไม่หลบหน้าผม พี่เยว่จะไม่ปฏิเสธผม พี่เยว่จะอธิบายให้ผมฟังเสมอ ไม่ว่าจะยุ่งยากวุ่นวายแค่ไหน พี่เยว่ก็จะอธิบายจะบอกผมทุกครั้ง พี่เยว่จะไม่เห็นว่าคำสัญญาที่ให้ไว้เป็นแค่คำพูดปลอบใจให้เด็กคนหนึ่งหยุดร้องไห้ แต่เพราะนี่คือคุณ คุณศศธร คุณเห็นว่ามันเป็นแค่คำพูดที่ให้ไว้ เป็นแค่คำพูดปลอบใจ คุณหลบหน้าผม คุณปฏิเสธที่จะพบผม คุณไม่พยายามที่จะอธิบายถึงแม้ว่ามันจะสามารถทำได้ และเพราะเหตุนี้ คือเหตุผลที่ผมทำให้เชื่อว่า คุณไม่ใช่พี่เยว่ของผม” ผมสะบัดไหล่ออกจากฝ่ามือของเขา ก่อนที่ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังหน้าของเขา และกระแทกเสียงใส่ไปเต็มๆว่า

“อย่ามาเรียกผมว่ามูนอีก คุณไม่มีสิทธิ์”


******************** เล่าสู่กันฟัง ****************** ยังมีต่อนะคะ

มันอาจจะยากที่จะเข้าใจว่าทำไมคนพี่ถึงได้สับสนวุ่นวายขนาดนี้ ก็แค่บอกน้องไปก็จบ มีอะไรก็พูดให้น้องเข้าใจ หวังว่าคนอ่านจะอดใจรอว่าเหตุผลของคนพี่คืออะไร ไม่นานเท่าไหร่รอคนเขียนหน่อยนะ




ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะย้อนอดีตไปสู่ ต้นเหตุคือคำสัญญา

ย้อนอดีต-วันจากลา


“ฮื้ออออ ไม่เอา... ไม่ให้ไป...
ปล่อยยยยยย จะไปหาพี่เยว่ ปล่อยยยยยยย” เสียงเด็กชายหัวเกรียนร้องไห้ อาละวาดหนัก ทั้งดิ้น ทั้งร้อง ไม่ยอมให้ใครจับ จะวิ่งไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกไป

“ไม่ได้นะมูน พี่เยว่ของมูนต้องเดินทางแล้ว ครั้งนี้มูนตามพี่เยว่ไปไม่ได้นะ” เสียงแม่ห้ามปราม พร้อมทั้งรั้งตัวเด็กน้อยไว้

“ทำไมไม่ได้ ทุกทีพี่เยว่ก็จะพามูนไปด้วย มูนจะไปกับพี่เยว่ ปล่อยมูนนะ” เด็กชายยังดิ้นรน

“ไปไม่ได้นะมูน พี่เยว่ต้องไปไกล ไปเรียนต่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับ มูนไปกับพี่เยว่ไม่ได้หรอกนะ” แม่ยังพยายามห้ามอยู่

“ไปไกลแค่ไหนมูนก็จะไป ปล่อยมูน เดี๋ยวมูนตามพี่เยว่ไม่ทัน ปล่อยยยยยยย” เด็กชายขัดขืน

“ถ้ามูนไปแล้ว แม่จะอยู่กับใครล่ะ ไม่สงสารแม่หรอ” แม่เริ่มใช้ไม้อ่อน

“แม่มีพ่อ แม่มีน้อง แม่มีอีกตั้งหลายคนอยู่ด้วย แต่พี่เยว่ไม่มีใคร พี่เยว่มีแค่มูน มูนจะไปเป็นเพื่อนพี่เยว่ พี่เยว่จะได้ไม่เหงา” เด็กน้อยเอ่ยแย้งแม่ของตน

“แต่จะไปอยู่กัน 2 คนได้อย่างไร ไปที่ไกลๆ อีก ลำบากมากๆ นะ มูนจะไปทำให้พี่เยว่ต้องลำบาก ไหนจะต้องดูแลตัวเอง ไหนจะต้องดูแลมูน อีกอย่างมูนยังต้องเรียนหนังสืออีก” แม่พยายามอธิบายเด็กน้อย

“แม่นี่...พูดไม่รู้เรื่องหรือไง มูนบอกว่า มูนจะไปกับพี่เยว่ พี่เยว่ดูแลมูนได้ มูนก็ดูแลพี่เยว่ได้ ปล่อยมูนนะ เดี๋ยวมูนไปไม่ทันพี่เยว่” เด็กชายเอาแต่ใจอีกครั้ง

ในเวลานั้นปรากฏร่างของเด็กหนุ่มสูงโปร่ง หน้าตาหวานละมุน ยิ้มให้เด็กน้อยและแม่

“ไม่เป็นไรครับน้านิดหน่อย เดี๋ยวเยว่คุยกับมูนเอง” เด็กหนุ่มเดินเข้าหาเด็กน้อยและทรุดตัวลงนั่งให้เทียบเท่า ส่งสายตาบอกให้แม่ของเด็กน้อยวางใจ

“ว่าไง...ไอ้หัวเกรียน เกรียนอะไรแต่เช้า เสียงดังไปถึงบ้านโน้นเลยนะ” สายตาหยอกล้อเด็กน้อยตรงหน้า

“ไม่ได้เกรียนสักหน่อย แค่จะไปหาพี่เยว่ จะไปกับพี่เยว่ แม่ก็อะไรไม่รู้ ห้ามอยู่ได้” เด็กน้อยยังเกรียนใส่

“จะไปไหนกับพี่หรอ แล้วรู้หรอว่าพี่จะไปไหน” เกรียนมาก็เกรียนกลับ

“แม่บอกว่าพี่เยว่จะไปที่ไกลๆ จะไปเรียนต่อ” เมื่อเกรียนต่อไม่ได้ คนน้องก็ตอบจริงจัง

“ก็พี่ต้องไปที่ไกลๆ ต้องไปเรียนต่อ แล้วมูนจะไปกับพี่ได้ยังไง พี่จะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วถ้ามูนไปกับพี่ แล้วมูนหิวข้าว หิวขนม ง่วงนอน แล้วพี่ยังกลับมาส่งไม่ได้ มูนจะทำยังไง” คนพี่ส่งคำถามไปให้คิด

“ก้ออออออ” คนน้องเริ่มคิด

“เอาอย่างนี้ พี่จะให้มูนไปส่งพี่ถึงถนนใหญ่ พอถึงถนนใหญ่แล้ว มูนต้องกลับบ้านนะ พี่จะได้ไปต่อ แล้วจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมูนด้วย” คนพี่ยื่นข้อเสนอ

“จริงนะ...ให้มูนไปด้วยถึงถนนใหญ่เลยนะ” คนน้องดีใจ

“แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่งอแง ต้องยอมกลับบ้านเมื่อพี่บอกให้กลับ ตกลงตามนี้นะ” คนพี่เอ่ยน้ำเสียงเรียบๆ


คนน้องได้แต่พยักหน้ารับข้อเสนอ

“เดี๋ยวผมให้คนมาส่งมูนเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” เด็กหนุ่มหันมาบอกแม่เด็กน้อย พร้อมทั้งส่งยิ้มเล็กๆ แม่เด็กน้อยยิ้มตอบกลับด้วยความดีใจที่มีคนเอาชนะเด็กดื้อได้

เด็กหนุ่มจูงมือเด็กน้อยเดินไปขึ้นท้ายรถกระบะที่จอดอยู่หน้าบ้าน แล้วเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ระหว่างทางการสนทนาของเด็ก 2 คนก็เริ่มขึ้น
“พี่จะไปไหน”
“ไปอเมริกา”
“ไกลมากหรอ”
“นั่งเครื่องบินมากกว่า 10 ชม. ไกลหรือไม่ล่ะ”
“แค่ 10 ชม.เอง ไกลตรงไหน มูนยังไม่ทันหิวข้าวเลย”
“บ้านะไอ้มูน เครื่องบินบินตั้ง 10 ชม. ถ้าเป็นรถวิ่งก็วิ่งกันเป็นอาทิตย์ๆ เลยนะ ไกลมากๆๆๆ”
“แม่บอกว่าพี่จะไปเรียนต่อ เมืองไทยเรียนไม่ได้หรอ ต้องไปเรียนที่โน่นด้วยล่ะ”
“เมืองไทยก็เรียนได้ แต่ว่าที่โน่นจะดีกว่า ได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษด้วย”
“ไปแล้ว...พี่จะเหงาหรือไม่”
“แรกๆ ก็คงเหงาแหละ”
“อย่างนั้นเอามูนไปด้วย พอคิดว่าจะไม่เหงาแล้ว มูนค่อยกลับ”
“แล้วถ้ามูนกลับ แล้วพี่เหงาอีกล่ะ จะทำยังไง”
“มูนก็กลับไปหาอีก”
“รวยเนอะ”
“รวยซิ พ่อมูนรวย พ่อพี่ก็รวย”
“ค่าเครื่องบินขาไปอย่างเดียว 4 หมื่นกว่า ค่าขนมมูนได้วันละเท่าไหร่นะ 50 บาทใช่หรือเปล่า มูนต้องเก็บค่าขนม 800 วันเลยนะ”
“โหหหห 800 วันเลยหรอ ทำไมเยอะจัง”
“แล้วพี่จะคิดถึงมูนไหม”
“ก็คงคิดถึงแหละ”
“ถ้าคิดถึงแล้วจะทำยังไง”
“ถามทำไมหรอ”
“ก็เผื่อมูนคิดถึงพี่ มูนจะได้ทำบ้าง”
“มูนแปลว่าพระจันทร์”
“อืมมม”
“เยว่ก็แปลว่าพระจันทร์”
“เวลาเราคิดถึงกันก็มองดวงจันทร์ เพราะโลกนี้มีพระจันทร์ดวงเดียว ยังไงเราก็มองพระจันทร์ดวงเดียวกัน แล้วก็ฝากความคิดถึงไว้กับพระจันทร์”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่ามีความคิดถึงฝากไว้ที่พระจันทร์”
“เราก็ต้องลองเดาเอาว่า อีกคนจะคิดถึงเราไหม ถ้าเขาคิดเหมือนกันกับเรา เขาก็จะฝากความคิดถึงไว้กับพระจันทร์”
“ไม่เดาได้ไหม เราสองคนจะคิดถึงกัน...นะๆๆๆๆ”
“ก็ได้...เวลาที่พี่เห็นพระจันทร์ พี่จะคิดถึงมูน แล้วพี่ก็จะฝากความคิดถึงไว้ และก็จะรับความคิดถึงที่มูนฝากไว้ในนั้นด้วยล่ะกัน”
“อย่างนั้นเวลาที่มูนเห็นพระจันทร์ มูนก็จะฝากความคิดถึงไว้และรับความคิดถึงที่พี่ฝากไว้เหมือนกันเนอะ”
“โอเค...ตามนี้”

ความเงียบเข้าปกคลุมเด็กทั้งสอง

“ตอบใจตัวเองมานาน แอบรอคอยเธอ ก็รู้
อยากให้เธอลองตรองดู ในความทรงจำ เก็บไว้”
เสียงร้องเป็นทำนองไพเราะออกจากปากเด็กหนุ่ม ในขณะที่หันมองหน้าเด็กน้อย จับไหล่เด็กน้อยให้หันมองหน้าสบตากัน

“ต่างคน มีทางต้องเดิน อาจมีเวลาต้องไกล
หนึ่งคนยังคงคอยใจ ยังคงคอยไป อย่างนั้น
อยู่ไกลจนเกิน ครึ่งฟ้า”
ดวงตาถ่ายทอดความรู้สึกส่งไปให้เด็กน้อย

“หากยังมีใจถึงกัน จะโยงใยความสัมพันธ์
จนมาพบกัน ใกล้ตา”
ดวงตาของเด็กน้อยมีน้ำตาคลอเบ้า พร้อมที่จะไหลริน

“ต่อเติมแรงใจเมื่อท้อ แบ่งปันในยามทุกข์ตรม ไม่หวั่น
ต่างคนเติมใจให้กัน เติมใจซึ่งกัน..จนเต็ม”
เด็กน้อยไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ มันไหลรินอาบแก้มทั้งสอง เสียงสะอื้นดังมาพร้อมกัน คนพี่เอื้อมมือโอบกอดน้องน้อยไว้ในอ้อมแขน มือหนึ่งพาหัวน้อยๆของน้องให้ซบลงกับอก ลูบหัวไปมาอย่างปลอบใจ

“อย่าร้องไห้เลยนะเด็กดีของพี่” พูดพลางใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาของน้องน้อยอย่างแผ่วเบา

“พี่เยว่ต้องคิดถึงมูนนะ ต้องฝากความคิดถึงไว้กับพระจันทร์ทุกวันนะ มูนจะรอรับทุกวันเลย พี่เยว่สัญญากับมูนนะครับ” น้องน้อยเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชาย พร้อมกับยังมีเสียงสะอื้นปนอยู่ในคำพูด

“ครับ...พี่สัญญา”
คนพี่พูดพลางกดหัวน้องให้ลงซบกับอกอีกครั้ง เมื่อรถแล่นออกมาจนถึงถนนใหญ่ คนพี่ต่อสายโทรศัพท์ถึงคนขับรถด้านในว่า ให้จอดรถก่อนถึงสะพานกลับรถข้างหน้า ในขณะที่รถอีกคันที่ตามหลังมา เมื่อเห็นสัญญานให้เข้าจอดด้านซ้าย ก็ชะลอรถเพื่อจอดต่อท้าย

“ถึงถนนใหญ่แล้ว มูนต้องกลับบ้านแล้วนะ” คนพี่จับไหล่น้องน้อยให้ออกจากอ้อมกอด

“สัญญากับพี่ว่าจะไม่ร้องไห้ ไม่งอแง ไม่อาละวาดนะครับ” คนพี่จ้องตาน้องจริงจัง เด็กน้อยแค่พยักหน้ารับ ไม่มีเสียงตอบใดๆ คนพี่พาน้องลงจากท้ายกระบะ แล้วเดินไปเปิดประตูรถคันที่จอดต่อท้าย ก่อนจะส่งตัวน้องน้อยขึ้นรถ คนพี่ทรุดตัวลงนั่งให้ความสูงเทียบเท่าคนน้อง แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“พี่ไปเรียนหนังสือหลายปี พี่จะรีบเรียนให้จบเร็วๆ แล้วพี่จะกลับมาหามูนนะ มูนรอพี่นะครับ เด็กดีของพี่” สิ้นเสียงของคนพี่ น้ำตาของน้องน้อยก็ไหลอาบแก้มอย่างท่วมท้น ไม่มีเสียงร้องไห้ใดๆ มีเพียงสะอื้นที่มาเป็นระยะ

“มูนรักพี่เยว่นะครับ มูนจะคิดถึงพี่นะ” น้องน้อยออดอ้อน

“พี่ก็รักมูนนะ พี่จะคิดถึงมูนนะครับ” คนพี่ยิ้มตอบ พร้อมโอบกอดน้องน้อยอีกครั้ง ใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาที่ไหลรินอีกครั้ง เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งตัวเด็กน้อยให้ขึ้นรถ เมื่อเด็กน้อยนั่งประจำที่แล้ว ก็เอื้อมมือจับสายคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วกดล็อคให้น้องนั่งอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งก้มตัวลงพูดกับน้องอีกครั้งว่า

“ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะครับ มูนต้องเข้มแข็งนะครับ” น้องน้อยพยักหน้ารับคำพี่ชาย พร้อมทั้งยื่นแขนไปรั้งคอคนพี่ลงมาใกล้ๆพร้อมทั้งพูดประโยคสุดท้าย

“เราจะคิดถึงกันนะครับ” เด็กทั้งสองส่งสายตาให้กัน พร้อมทั้งยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนที่จะปล่อยคอของคนพี่ให้ออกนอกตัวรถ เด็กหนุ่มพยักหน้าให้คนขับรถ เคลื่อนรถออกไป เด็กน้อยปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย แล้วก้าวมาทางเบาะด้านหลัง โบกมือน้อยๆเป็นการล่ำลาครั้งสุดท้าย ในขณะที่เด็กหนุ่มก็เดินกลับไปขึ้นรถ เพื่อที่จะเดินทางต่อไป

*****************

เล่าสู่กันฟัง
มูนยึดมั่นกับคำสัญญา เมื่อพี่เยว่กลับมาแล้ว ไม่เป็นอย่างที่สัญญาเอาไว้ น้องก็ผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา ตอนที่คนเขียนพิมพ์ตอนนี้ น้ำตามันไหลออกมาไม่รู้ตัว เพราะถ้าคนเขียนเป็นมูน คนเขียนจะทนไหวหรือไม่ จะเข้มแข็งได้แค่ไหน ตั้งความหวังไว้มาก ก็ผิดหวังมาก ผิดหวังมาก ก็เสียใจมาก เสียใจมาก ก็ไม่ฟังเหตุผลอะไรอีกแล้ว
ครั้งนี้คงเป็นงานยากสำหรับคนพี่เสียแล้ว ไหนจะปัญหางาน ไหนจะปัญหาน้อง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2020 16:22:50 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน

สีม่วง (คนเขียน)
สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

บทที่ 8 ความไม่เข้าใจ

Yuè part

ผมรู้ดีว่าน้องต้องโกรธมากขนาดไหน ถึงได้กระแทกเสียงใส่หน้าผมแบบนั้น ปกติกับผมแล้ว ถึงมูนจะวีน จะเหวี่ยง จะเกรียนแค่ไหน ถ้าผมพูดคำว่า “มูน...นี่พี่นะ” นั่นหมายถึงบอกให้เค้าหยุดแล้วฟังผมอธิบาย แต่วันนี้น้องไม่ฟัง ผมเข้าใจว่าน้องเสียใจ น้องผิดหวังในตัวผม ผมเองก็เสียใจ ผมอยากอธิบายให้น้องฟัง แต่ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน มันวุ่นวายไปหมด ไหนจะงานที่วุ่นวายซับซ้อน ไหนจะความสับสนในความคิดส่วนตัวของผมเอง ยิ่งเป็นเรื่องของมูนแล้ว ผมให้ความสำคัญมากกว่าคนอื่น เพราะถ้ามูนตั้งท่าจะเกรียนแล้ว ผมจะต้องหาเหตุผลมากมายมาแก้ต่างและอธิบาย ถึงแม้จะเข้าใจเหตุผล แต่ถ้าจะเกรียนแล้ว มูนก็ทำได้น่า......ที่สุด

“มูนรอพี่อีกหน่อยนะ พี่จะกลับมาหานะ เด็กดีของพี่” ผมนึกในใจ พร้อมทั้งมองตามร่างสูงที่เดินไปขึ้นรถ และขับออกไปด้วยความเร็ว ผมหันหลังกลับเข้าบ้านเพื่อเก็บของใช้อีกครั้ง

“คุณเยว่คะ อย่าโกรธน้องเลยนะ น้องกำลังเข้าใจผิด ถ้าคุณกลับมาอธิบาย น้องก็พร้อมที่จะรับฟังคุณนะคะ เชื่อป้าเหอะ” ป้าน้อยเข้าใจเหตุผลของทุกๆคนเสมอ

“ผมไม่โกรธน้องหรอกครับ ผมเองที่ผิดที่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจน แล้วผมจะรีบกลับมาครับ” ผมจับมือป้าน้อยด้วยความขอบคุณ

“คุณเยว่ครับ รถที่เตรียมไปสนามบินพร้อมแล้วนะครับ” ลุงสมานยังช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่เช่นเคย

“ขอบคุณครับลุง” ผมยกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วออกเดินทาง

ระหว่างทางไปสนามบิน ผมสังเกตว่ามีรถขับรถตามผมมาตั้งแต่ออกจากไร่ของลุงสมาน แต่ผมยังไม่มีท่าทีอะไรออกไป จนกระทั่งคนขับรถเอ่ยขึ้น
“คุณเยว่ครับ มีคนตามเรามาครับ”
“พอรู้ไหมครับว่าใคร” ผมเอ่ยเรียบๆ
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่าเป็นใคร แต่ว่าผมไม่รู้จักแน่ๆ ถ้าเป็นรถของคนแถวนี้ จะมีสัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นรถของใครติดที่กระจกด้านข้างคนขับเสมอ แต่รถคันนี้ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆเลยครับ” คนขับรถอธิบาย คนแถวนี้เขารอบคอบเหมือนกันนะ จะได้รู้ว่าใครเป็นใคร
“แล้วรู้ได้ยังไงครับว่าเขาตามเรามา” ผมถามเพิ่มเติม
“ผมเปิดทางให้รถเขาแซง เขาก็ไม่แซง ผมชะลอรถ เขาก็ชะลอตาม แต่ว่าทิ้งระยะห่างค่อนข้างไกล แต่ยังอยู่ในสายตาครับ นี่ผมก็ลองขับวน และขับอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง เขาก็ยังตามมา” คนขับรถเอ่ยพร้อมมองกระจกหลังเพื่อสบตาผม
“คุณเยว่ครับ...” คนขับรถเอ่ยแล้วหยุดเว้นวรรคไว้ ผมหันมองกระจกอีกครั้ง
“นายมูนตามเรามาด้วยครับ” น้ำเสียงคนขับวิตกเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ เรารีบไปสนามบินดีกว่า” ผมบอกคนขับเพื่อเบนความสนใจ

ภาพย้อนเมื่อคืนหลังจากที่ผมออกคำสั่ง ถึงโรงสี และเถ้าแก่ฮง ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
“คุณเยว่ครับ ลุงอยากเตือนคุณสักหน่อย ว่าสิ่งที่คุณทำ และกำลังจะทำต่อไป มันเป็นการขัดผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลมากพอสมควรที่จะทำอันตรายคุณได้ ลุงอยากให้คุณระวังตัว และใช้ความรอบคอบอย่างถึงที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ ไม่ว่าคุณหรือใครก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ จะมีอันตรายได้ทุกเวลา” ลุงสมานเอ่ยเตือนผมอย่างหนักใจ

“นั่นหมายถึงคนที่ไร่แสงจันทราด้วยใช่ไหมครับ” ผมย้ำให้มั่นใจ
“ทุกคนที่พวกนั้นเห็นว่าไปขัดขวางทางทำมาหากินของพวกเค้าล่ะครับ” ลุงสมานไม่ตอบคำถามตรงๆ
“สำหรับพรุ่งนี้ลุงจะให้คนของลุงคอยดูแลคุณเยว่นะ ยังไงแล้วขอให้ระวังตัวด้วยนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ลุงแสดงสีหน้าวิตก

ผมนึกไปถึงเด็กน้อยของผมในทันทีที่นึกถึงคำพูดของลุงสมานอีกครั้ง เขาเป็นตัวตั้งตัวตีให้โรงสีรับซื้อผลผลิตด้วยราคาที่เป็นธรรม  และแทบจะเป็นการแกนนำในการเจรจากับโรงสี แล้วแบบนี้เด็กน้อยจะรับมือพวกนั้นอย่างไร ผมเป็นห่วงขึ้นมาในทันที

ZzzzzZ…เสียงเรียกรับสายดังขึ้น ผมหยุดทุกความคิดแล้วยกเครื่องขึ้นรับในทันที
“ผมกำลังจะไปขึ้นเครื่องครับป๊า” ผมตอบคำถามสายต้นทางที่ถามผมว่าอยู่ที่ไหนแล้ว
“หลังจากขึ้นเครื่องแล้ว ก่อนเครื่องออกโทรหาป๊าอีกรอบนะ” ต้นสายเน้นประโยคหนักแน่น
“ครับป๊า” ผมรับคำทันที

ไม่นานนักผมก็มาถึงสนามบิน ผมกล่าวขอบคุณคนขับรถที่วันนี้เป็นผู้ดูแลผมมาตลอดทั้งวัน ผมใช้เวลาจัดการเรื่องทางนี้เกือบหมด สายการบินเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้ว ผมเร่งฝีเท้าไปยังเลขาผู้รู้ใจที่มีทีท่ากระวนกระวายเมื่อเห็นผมมาถึงสถานที่นัดหมายช้ากว่ากำหนด
ระหว่างทาง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาอาป๊าทันที
“ผมมาถึงสนามบินแล้วครับ” ผมบอกทันทีที่ปลายทางรับสาย
“ระหว่างทางมาสนามบินมีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่” น้ำเสียงของป๊าเป็นห่วงผม
“ไม่มีอะไรครับ ลุงสมานให้คนมาส่ง ผมเดินทางปลอดภัยจนถึงสนามบินครับ” ผมบอกป๊าไม่หมดซะทุกอย่าง เพื่อความสบายใจของคนปลายทาง
“ป๊าให้คนไปรอรับเยว่ที่สนามบินแล้วนะ แล้วเรามาเจอกันที่ห้องประชุมเลยละกัน”
“ครับป๊า” แล้วป๊าก็วางสายไป

ผมหันไปมองเลขาคนรู้ใจของผมอีกครั้ง
“รีบขึ้นเครื่องกันเถอะคะ พี่มีเรื่องบอกคุณเยว่หลายเรื่องค่ะ” พี่น้ำทิ้งท้ายประโยคไว้แค่นี้ ก่อนที่จะเดินนำผม พร้อมทั้งเอกสารสำหรับขึ้นเครื่อง เราสองคนเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายที่ขึ้นเครื่องมา หลังจากนั้นเครื่องก็ออกเดินทางในทันที
หลังจากเครื่องขึ้นทรงตัวเรียบร้อย พี่น้ำก็เริ่มบทสนทนา
“ที่สนามบินพี่เห็นความผิดปกติหลายอย่าง อย่างแรกมีคนติดตามเราค่ะ เท่าที่สังเกตเห็นคือจะตามทั้งพี่ และคุณเยว่ค่ะ” น้ำเสียงพี่น้ำมีความตื่นเต้นผสมอยู่มาก
“อย่างที่สอง เรื่องที่คุณเยว่ทำไปเมื่อคืน มีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะซัพพลายเออร์ของเรา พี่ว่าคนที่ตามเราเป็นคนของซัพพลายเออร์ค่ะ” พี่น้ำพยายามเรียบเรียงข้อมูลจากการเป็นคนช่างสังเกต และเป็นนักวิเคราะห์ฝีมือเยี่ยม
“อย่างที่สาม” ก่อนที่พี่น้ำจะพูดต่อ ผมยกมือขึ้นสองข้างเพื่อหยุดเธอ

“เดี๋ยวครับ นี่คนที่นี่เขาทำอะไรไม่มีปิดบังกันเลยหรือครับนี่ เวลาเพียงแค่นี่ พี่ถึงได้จับสังเกตได้เยอะขนาดนี้” ผมเอ่ยทัก
“อย่าเพิ่งขัดซิคะ เดี๋ยวลืม ขอพี่พูดก่อน จะได้นึกทบทวนไปด้วย ที่พี่พูดตอนนี้เป็นแค่ข้อมูลดิบ ที่ยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์นะคะ” พี่น้ำเอ่ยทักท้วงผม
“อย่างที่สาม นอกจากคนของซัพพลายเออร์แล้ว พี่ว่าน่าจะมีอีกกลุ่มที่ตามเราด้วยนะคะ แต่กลุ่มนี้พี่ไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายไหน” เมื่อถึงข้อนี้น้ำเสียงของพี่น้ำมีความกังวลมากขึ้น
“นี่พี่ได้บอกเรื่องนี้กับใครบ้างหรือยังครับ” ผมเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง
“นี่เรากำลังอยู่ในภาวะขับขันใช่หรือไม่ค่ะ” พี่น้ำหันมามองตาผมจริงจังตอบกลับ

ผมจับมือของพี่น้ำมากุมไว้ พร้อมรอยยิ้มที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะสื่อถึงอะไร พี่น้ำก็แค่พยักหน้ารับรู้ถึงความอึดอัดในใจของผม
“ไม่ต้องคิดมากนะคะ พี่เข้าใจคุณเยว่เสมอ” เธอเอามืออีกข้างมากุมมือของพวกเราไว้อีกชั้น สายตาบอกผมให้มั่นใจ
พี่น้ำหยุดการสนทนาไว้ แต่แววตามีข้อมูลบางอย่างที่กำลังทบทวน สักพักเธอก็เอ่ยขึ้น
“คุณเยว่จำเด็กหนุ่มที่พี่เคยชี้ให้คุณเยว่ดู เมื่อตอนที่เราไปฟิสเนต ได้หรือไม่ค่ะ” เธอเอ่ยถามผมอย่างสงสัย
“พอจะนึกออกครับ ทำไมหรือครับ” ผมหวั่นใจในสิ่งที่ฟังต่อไปจากนี้
“พี่ว่า...พี่เห็นเขาอยู่ที่นี่ อยู่ที่โรงสี อยู่ที่สนามบินค่ะ” สายตาของพี่น้ำมีแววตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ทำไมพี่น้ำต้องเห็นมูนในตอนนี้ด้วยนะ ผมนึกอยู่ในใจ

ผมยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู เพื่อกะเวลาว่าเพียงพอจะเท้าความถึงเด็กเกรียนคนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน อย่างน้อย ถ้าพี่น้ำได้รู้ ก็น่าจะเป็นปรึกษาสำหรับเรื่องนี้ได้มากเหมือนกัน เพราะผมไว้ใจพี่น้ำเสมอ
“ที่ผมเคยบอกพี่ว่า ผมเคยมีคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ กับเด็กน้อยคนหนึ่ง ก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกา พี่ยังพอจะจำได้หรือไม่ครับ”
“นี่คุณเยว่จะบอกพี่ว่า เด็กหนุ่มคนนั้น คือเด็กน้อยในอดีตหรือค่ะ” น้ำเสียงพี่น้ำตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ผมพยักหน้ารับน้อยๆ
“นี่มันบุพเพสันนิวาตชัดๆ เลยนะคะ” แววตาของพี่น้ำระยิบระยับ นี่ผมแค่เกริ่นไปแค่นี้ พี่น้ำก็แทบจะปะติดปะต่อเรื่องได้เกือบหมด นี่แหละความสามารถของพี่น้ำที่ผมเชื่อมั่น

“เรื่องของมูนเป็นอีกเรื่องที่ผมยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเลยครับ มันวุ่นวายพอๆ กับเรื่องงานที่ผมเพิ่งก่อเรื่องเอาไว้เลยครับ” ผมเอามือกุมขมับไว้ทั้งสองข้าง หลับตาลงอย่างอ่อนใจ

“แต่ผมรู้ครับว่า เรื่องงานต้องมาก่อน และผมหวังว่า น้องจะรอผมกลับไป”
“พี่เชื่อว่าน้องจะรอคุณเยว่กลับไปค่ะ แต่ว่างานนี้ น่าจะเป็นงานยากอีกงานหนึ่งสำหรับคุณเยว่นะคะ พี่ว่า”
“ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องของมูน ผมจะไปต้องแก้ไขให้ดีที่สุด ผมตั้งใจเอาไว้อย่างนั้น


Moon’s part

ผมขับรถออกจากบ้านของลุงสมานด้วยอารมณ์ที่พลุนพล่านดังไฟลน มันเหมือนมีกองไฟสุมอยู่ในตัว มันแผดเผาตัวผมให้ร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน ผมผิดหวังกับคนที่ผมคิดถึงมาตลอดเวลา ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ผมถามตัวเองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมผมถึงรอเขา ทำไมผมถึงรอคำสัญญาที่ออกจากปากเขา ทำไมผมมีความหวังว่าเขาจะกลับมา และทำไมผมถึงมีความหวังว่าเขาจะจำคำสัญญาของเราได้ ที่สำคัญ ผมหวังว่าเขาจะคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงเขา แต่...แต่...มันไม่ใช่เลย

คำว่า “เพราะผมไม่เข้าใจความหมายของคำว่า พี่เยว่ของมูน มันคืออะไร” มันทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ความฝัน ความหวังถูกพังทลายลงไปในพริบตา ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้ออกมามากมายเพียงใด ผมจำไม่ได้ว่าเสียมารยาทที่ไม่ได้ล่ำลาผู้ใหญ่เจ้าของเมื่อออกจากบ้านมา ผมรู้แต่เพียงว่าต้องออกจากสถานที่แห่งนั้นมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่ผมจะอาละวาดจนทุกอย่างแหลกคามือผมไปในที่สุด

ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อรถที่ผมขับมาตกลงไปในคูน้ำกันอาณาเขตไร่ แล้วจอดสนิทนิ่ง โชคดีที่ว่าคูน้ำดังกล่าวไม่ได้ลึก และมีน้ำอยู่ไม่มาก เพราะทำไว้แค่แสดงอาณาเขตของแต่ละไร่ แต่ถ้าคูน้ำดังกล่าวจะกลายเป็นลำคลองที่มีความลึกและปริมาณน้ำมากกว่านี้ รถของผมคงจมลงไปแล้ว ผมออกจากรถมาสำรวจว่าเกิดความเสียหายอะไรบ้างหรือเปล่า ยังโชคดีที่รถไม่เป็นอะไรเลย ผมทดท้อใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไรต่อไป ผมทรุดตัวลงกับพื้นดิน ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาของลูกผู้ชายร่วงหล่นลงพื้นดิน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนคนที่ผ่านมา สังเกตเห็นว่ารถของผม น่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จึงลงมาสอบถาม

“นั่นใช่นายมูนหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม รถยังขับได้หรือไม่” น้ำเสียงสอบถามมาด้วยความห่วงใย ทำให้ผมรู้สึกตัว
“ไม่เป็นอะไรครับ ผมไม่ได้บาดเจ็บ รถก็น่าจะยังขับได้ แต่ว่าน่าจะต้องช่วยลากขึ้นให้หน่อยครับ” ผมขอความช่วยเหลือทันที แล้วรถของผมก็ถูกดึงขึ้นไปบนพื้นถนน ผมขอบคุณผู้เปรียบเสมือนญาติที่ขับรถผ่านมาและให้ความช่วยเหลือ

ผมใช้เวลาทบทวนตัวเองอีกพักใหญ่ สังเกตเห็นว่ารถของไร่ลุงสมานขับผ่านไป ผมใช้เวลาตัดสินใจที่จะขับตามไปดีหรือไม่ จนกระทั่งมีรถอีกคัน ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นรถของใคร ขับผ่านหน้าผมไป ถนนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่เส้นทางหลัก จะมีรถน้อยคันนักที่จะไม่รู้ว่าเป็นของใคร แล้วรถคันนั้นเข้ามาทำอะไรในหมู่บ้านแห่งนี้ ผมตัดสินใจขับตามรถคันข้างหน้าไป หวังแค่อยากจะรู้ว่าเป็นรถของใคร เข้ามาที่ไร่ของใคร อยากรู้แค่นั้นจริงๆ

แต่ขับมาสักพัก ก็เริ่มสังเกตได้ว่า รถคันดังกล่าว ขับตามรถคันข้างหน้าอีกที รถข้างหน้าโน้นคันนั้น...เป็นรถของไร่ลุงสมาน แล้วรถคันนี้ขับตามรถไร่ลุงสมานทำไม ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยเพิ่มเติมจากแค่...อยากรู้

ผมขับตามรถทั้ง 2 คันโดยทิ้งระยะห่างไว้พอสมควร รถของไร่ลุงสมานขับวน ขับอ้อมไปตามเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก น่าจะเพื่อเช็คว่ามีรถขับตามตนหรือไม่ เมื่อรับรู้ว่ารถของตนถูกตาม ก็เพิ่มความเร็วขึ้น แล้วขับออกสู่เส้นทางหลัก แล้วมุ่งหน้าสู่สนามบิน ผมเปลี่ยนเส้นทางไปยังอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อมุ่งตรงสู่สนามบิน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางลัด ด้วยความเร็วที่มากพอสมควร ผมก็มาถึงสนามบินก่อนที่รถของไร่ลุงสมานจะมาถึง คนที่ลงจากรถ เป็นเขาคนนั้น คุณศศธร นิศานาถ

ผมหยุดยืนในจุดที่จะมองความเคลื่อนไหวโดยรอบ ผมเห็นแฟนของคุณศศธร ยืนคอยอยู่ที่สนามบินด้วยท่าทีกระวนกระวาย จนเห็นว่าคุณศศธรเดินเข้ามาในบริเวณเช็คอินแล้ว จึงมีสีหน้าดีขึ้น และที่สำคัญ ผมว่าเธอเห็นผมและน่าจะจำผมได้ แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับตัวผม แล้วหันเหความสนใจกลับไปที่แฟนของเธอในทันที ผมเห็นคุณศศธร หยุดยืนคุยโทรศัพท์สักครู่ สายการบินเรียกผู้โดยสารครั้งสุดท้าย คุณศศธรและแฟนของเขาก็เดินไปขึ้นเครื่องในทันที

ทำไมผมจะต้องพาตัวเองมาอยู่ที่นี่ ทำไมผมไม่โกรธจนอาละวาด จนแหลกลานกันไปข้าง ผมมายืนสงบนิ่งเป็นท่อนไม้ตายซากอยู่ที่สนามบินนี่ทำไม ผมถามตัวเองซ้ำๆ อย่างไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในขนาดนี้

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ยอมรับสารภาพเลยว่า ตอนนี้ คนเขียน ตื้อๆๆ คิด+เขียนอะไรไม่ออก เลยกลับมานั่งอ่านทั้งหมดใหม่อีกครั้ง เพื่อหาจุดที่จะเขียนต่อ ให้เป็นไปตามเค้าโครงเรื่องที่ได้วางไว้ ก็เลยถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขเนื้อหา และมีเพิ่มเติมขึ้นในบางตอน ถ้าคนอ่านจะอ่านใหม่ ก็น่าจะได้อรรถรส และเข้าใจตัวละครกันมากขึ้น

ถ้าอ่านแล้วเห็นว่าควรจะมีอะไรปรับปรุงแก้ไขจากนี้อีก ก็คอมเม้นท์มาได้นะ คนเขียนจะพิจารณา แก้ไขให้อีกรอบ

ระหว่างนี้ คนเขียนกำลังเร่ง คิด+พิมพ์ ตอนต่อไปให้อยู่นะ น่าจะใช้เวลาสัก 2-3 วัน จะพยายามไม่ให้เกินวันศุกร์

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน

สีม่วง (คนเขียน)
สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

บทที่ 9 ผลกระทบ

Moon’s part

คุณศศธร ขึ้นเครื่องกลับไปแล้ว แต่ผมซิ...จะจัดการกับอารมณ์ตอนนี้ของตัวเองอย่างไร ถ้าไอ้ชลอยู่ตรงนี้ มันคงช่วยผมได้บ้างแหละ จริงซิ...โทรหามัน

“ไอ้ชล...” ผมไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
“ถ้ามึงยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไร กลับบ้าน หาเหล้าแดกซะ แล้วกูจะโทรหามึงอีกที ตามนี้นะเพื่อน” มันรู้ใจผมเสมอ

แต่ผมกลับบ้านไม่ได้ ผมไม่สามารถเอาตัวเองในสภาพนี้กลับบ้านได้ เมื่อเช้าผมออกมาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ซิ...ท่อนไม้ตายซาก ผมนิยามสภาพตัวผมเองในตอนนี้ ผมไม่ต้องการตอบคำถามใดๆ จากใคร เอาแบบแท้จริงเลย ผมไม่อยากพูดกับใครเลย
ผมกลับมาขึ้นรถ ขับออกไปแบบไร้จุดหมาย เวลาบ่ายเกือบเย็นในชนบท...เวลานี้ ผู้คนต่างพากันออกจากไร่ เพื่อกลับบ้าน บ้านที่เป็นสถานที่ที่ใช้พักผ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่สำหรับผม บ้านในเวลานี้ ไม่ใช่สถานที่ที่ใช้พักผ่อนเลย

ผมต้องหาสถานที่ที่ผมจะใช้พักผ่อนได้จริงๆ ผมคงต้องพึ่งแอลกอฮอล์ในเวลานี้ ตามคำแนะนำของเพื่อน
“อ้าวววววว นายมูน ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ได้ มา..มา...เข้ามาก่อน” ผมขับรถมาถึงร้านเฮียอี๊...ได้อย่างไร
“สวัสดีครับเฮียอี๊” ผมยกมือไหว้ทักทายเจ้าของร้านผู้คุ้นเคย เฮียอี๊พาผมไปนั่งในจุดที่นั่งที่ดีที่สุด
“ไม่ได้เจอกันนานเท่าไหร่แล้วนี่ โตขึ้นเป็นกองเลย เป็นหนุ่มแล้วไอ้หัวเกรียน” เฮียทักทายผมอย่างคนคุ้นเคยกัน
“โห...เฮีย...ทักซะผมไปไม่ถูกเลย ไอ้หัวเกรียนนี่นะ” ผมยิ้มๆ ล้อเลียน

“ก็ตอนนั้นนายมันไอ้หัวเกรียนจริงๆ นี่ ไม่ว่าจะผมบนหัว หรือว่านิสัย เหมือนกันกับที่หลานของลุงสมานเขาเรียกนายนั่นแหละ คนแถวนี้เขาก็เลยเรียกตาม โทษเฮียไม่ได้นะ...ถ้าจะโทษ ก็ไปโทษเจ้าเด็กคนนั้นเหอะ ตั้งฉายาให้นายซะ คนทั้งหมู่บ้านติดใจ รวมทั้งติดปากกันเลย” เฮียอี๊เท้าความถึงต้นสายปลายเหตุ

“นี่เฮียยังจำคนที่ตั้งฉายาให้ผมได้อยู่หรอ” ผมตั้งข้อสงสัย ทำไมคนทั้งหมู่บ้านจำได้ แต่ทำไมความทรงจำของผม มันลางเลือนนักละ
“จำได้ลางๆ จำได้แค่ สูงโปร่ง ขาวสะอาด น่าตาดี สุภาพเรียบร้อย ซึ่งทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับนายในตอนนั้นเลยนะ แต่จำหน้าไม่ได้แล้วล่ะ รู้แค่ น่าตาดี” เฮียอี๊นึกย้อนกลับไป
“แล้วถ้าตอนนี้ ถ้าเฮียได้เห็นเขาอีกที เฮียจะจำเขาได้ไหม เหมือนที่เฮียจำผมได้แบบตอนนี้” ผมถามข้อสงสัย
“เอาจริงนะ... ให้นึกตอนนี้ก็นึกไม่ออกหรอก ถ้าเห็น... ก็ไม่แน่ใจว่าจะจำได้หรือเปล่า มันไม่เหมือนกับนาย ถึงจะหายไปก็แค่หลักหลายเดือน อย่างมากที่สุด ก็ที่ผ่านมานี่ ก็แค่หลักปีเอง ถือว่าเห็นกันตลอดนะ ส่วนคนนั้น ตั้งแต่จากไป ก็ไม่เห็นกันอีกเลย เป็นสิบปีแล้ว ใครจะไปจำได้ ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันสักหน่อย” เฮียอี๊อธิบาย

ตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว ลูกค้าเริ่มทยอยกันเข้าร้าน เฮียอี๊เลยต้องขอตัวไปทำหน้าที่เจ้าของร้าน
“เฮีย...ก่อนไป ผมขอไปนั่งข้างบนนะ อยากปลีกวิเวกสักหน่อย ช่วยจัดแอลกอฮอล์สำหรับคนหนุ่มให้สักชุด พร้อมกับแกล้มด้วยนะ” ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลสำหรับผม เฮียพยักหน้ารับคำ พร้อมกับหันไปสั่งลูกน้องอีกทีว่า ให้จัดตามที่ผมต้องการได้เลย ผมเลยถือโอกาส ลุกขึ้นย้ายโต๊ะ ไปอยู่ในมุมที่เป็นส่วนตัว เพื่ออยู่กับตัวเองอีกครั้ง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใบหม่อน ผมเลือกที่จะโทรหาน้อง เพราะไม่ต้องการตอบคำถามใดๆ ของพ่อกับแม่
“หม่อน...บอกแม่ด้วยว่าพี่ไม่กลับไปกินข้าวนะ แล้วก็ไม่ต้องรอ ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่ต้องถาม เพราะจะไม่ตอบ” น้ำเสียงเคร่งขรึม
“ผมไม่ถามหรอก เพราะพี่ก่อเรื่องอะไรไว้ ก็คงจะรู้ตัวดีแหละ แต่ก็ยังดีที่โทรมาบอกว่าไม่ต้องรอ เพราะทุกคนกำลังรอพี่อยู่ ก็แค่นี้ละกัน จะบอกแม่ให้” มันวางสายผมแบบไม่ใส่ใจ

นี่ผมก่อเรื่องอะไรไว้หรือ ผมกลับมานึกทบทวนอีกครั้ง ใช่สิ...วันนี้ผมก่อเรื่องไว้ ผมไปอาละวาด ที่บ้านลุงสมาน ผมออกจากบ้านโดยไม่ได้บอกลาใครเลย อารมณ์ตอนนั้นมันร้อนแรงแบบเพลิงลุกโชติช่วง ที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างตรงหน้า ผมเสียมารยาทกับผู้ใหญ่ในบ้าน ที่สำคัญผมเสียมารยาทกับคนที่ดีที่สุดสำหรับผม...ป้าน้อย...ผู้น่ารัก นึกมาถึงตอนนี้แล้ว ก็เสียใจกับการกระทำของตัวเอง

โต๊ะที่ผมเลือก อยู่ในโซนส่วนตัวบนชั้น2 สามารถได้ยินเสียงเพลงและ มองเห็นบรรยากาศภายในร้านโดยรวมได้ ในโซนพิเศษนี้มีเพียง 3 โต๊ะเท่านั้น เว้นระยะห่างต่อโต๊ะค่อนข้างกว้าง และแต่ละโต๊ะมีเก้าอี้เพียง 2 ตัวเท่านั้น นั่นหมายถึงว่า ผมจะมีคนร่วมชั้นอีกเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น ถือว่าเป็นส่วนตัวมากเลย รอไม่นานสิ่งที่ผมต้องการก็ทยอยขึ้นมาเสิร์ฟ

ผมใช้เวลากับอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้านานพอควรกว่าจะหมดชุดแรก ผมไม่ได้ใส่ใจกับบรรยากาศรอบตัว ใจผมล่องลอยไปหาคนที่อยู่ไกล คนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเขาคงไม่ได้คิดอะไรกับผมเลย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมกำลังสำรวจความรู้สึกของตัวเองว่า ตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร โกรธ โมโห ไม่เข้าใจ เสียใจ ผิดหวัง แต่ผมก็ยังไม่รู้คำตอบว่าคืออะไร และเพราะอะไร

“อ้าวนี่ ใจลอยไปถึงสาวคนไหนกัน เฮียมายืนตั้งนานแล้วนะ” เฮียอี๊ ยืนอยู่ข้างตัวผม แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเลยละ
“คิดอะไรเพลินไปหน่อยครับ เฮียนั่งก่อนครับ” ผมเอ่ยปากชวน
“อย่าดีกว่า เดี๋ยวจะไปขัดจังหวะการนั่งคิดถึงใครบางคนของนายเสียเปล่าๆ เฮียจะมาดูว่า นายจะเอาอะไรเพิ่มไหม” เฮียอี๊ก้มลงสำรวจของบนโต๊ะผม
“เดี๋ยวเฮียเพิ่มเครื่องดื่มพร้อมกับแกล้มมาให้อีกชุดหนึ่งละกันนะ” เฮียเอ่ยพลางตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะแยกไปบริการอีกโต๊ะหนึ่ง

ผมเพิ่งเห็นว่าโต๊ะข้างๆ มีลูกค้ามาใช้ เขารวม 2 โต๊ะเป็นหนึ่ง กลุ่มที่นั่งอยู่มี 3 สามคน ท่าทางแปลกๆ ผมเป็นคนพื้นที่ เรียกได้ว่ารู้จักคนแถวนี้แทบจะทุกคน หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยเห็นหน้ากันบ้าง แต่ 3 คนนี่ผมไม่รู้จัก หรือว่าเคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมอาจจะสนใจถามไถ่ แต่ว่าในอารมณ์นี้ ผมก็แค่หันไปมอง แล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก

เวลาผ่านไป ผมมารู้สึกตัวอีกที เมื่อเห็นว่ามีคนมาเปลี่ยนของบนโต๊ะผม แต่ว่ามีเสียงค่อนข้างดัง ดังมาจากโต๊ะข้างๆ
“อะไรกันวางของเสร็จก็จะไป ไม่คิดจะชงลงชงเหล้าให้ลูกค้าบ้างหรือไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองเหตุการณ์   
คนที่มาเป็นหญิงสาวอายุน่าจะราวๆ 20 ก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมแหละ แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ สวย หน้าตาจัดจาน หุ่นดี สำคัญคือเธอแต่งตัวยั่วอารมณ์มากกกกก เสื้อคอเต่าแกนกุดสีน้ำตาลเข้มเข้ารูปเอวลอย ตัดกับสีผิวที่ขาวนวล โดยเฉพาะช่วงเอวที่ตัวเสื้อยาวไม่ถึงขอบกางเกง กางเกงขาสามส่วนเข้ารูปสีขาว เน้นเรียวขายาวสูงโปร่ง สอดรับกับสะโพกกลมกลึงได้รูป เฮ้อออออออออ กูควรกลับบ้านดีไหม?

“สักครู่นะคะ ขอเอาของมาวางที่โต๊ะนี่ก่อน พี่ก็เห็นหนูถือขึ้นมาคนเดียว มันหนักค่ะ” แม่สาวน้อยต่อปากต่อคำ ไม่เกรงกลัว เธอจัดแจงเปลี่ยนของบนโต๊ะของผมเรียบร้อย แล้วก้มลงกระซิบกับผม

“พี่มูนจ๋า...ให้หนูอยู่ชงเหล้าให้พี่นะจ๊ะ” แหม่ๆๆ มาได้จังหวะเชียวนะ มึงจะหาเรื่องให้กูแล้วไหมล่ะ แม่สาวน้อย นี่รู้จักชื่อผมด้วย ผมหันไปจับหน้าเด็กเสิร์ฟมาดูให้ชัดๆ เพราะถ้าทักกันขนาดนี้ ก็ต้องมีรู้จักกันบ้างแหละ
แต่...ยังไม่ทันที่ผมจะทำอะไรไปมากกว่านี้

“อะไรวะ ที่โต๊ะกูล่ะให้รอ แต่ไปบริการโต๊ะอื่นก่อน ไหนว่าชั้นนี้บริการแบบวีไอพีไงวะ กูไม่เห็นจะวีไอพีตรงไหนเลย” ก็มีเสียงดังขึ้นอย่างไม่พอใจจากโต๊ะข้างๆ

“เอ๊ะ...พี่นี่ยังไง บอกว่าขึ้นมาคนเดียว ก็เห็นว่ามีแค่สองมือ สองขา จะให้ทำทีเดียวสองโต๊ะหรือไง อย่าเพิ่งโว้ยวายซิ รอหน่ะ...เป็นไหม ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวจะเรียกเจ้าของร้านขึ้นมาเคลียร์ละกัน จะเอายังไง จะรอไหม” แม่สาวน้อยห้าวครับผม

“น้องไปทำโต๊ะนู้นเหอะ พี่ไม่ต้องก็ได้ พี่อยากอยู่คนเดียวอยู่แล้ว” ผมบอกชัดเจน
“พี่มูน...นี่หนูเอง นที...น้องพี่ชล” อ้าววว ไอ้นที น้องจะไม่สาวของไอ้ชลเพื่อนรักผมเอง

ไอ้นที หรือชื่อตามบัตรประชาชน นางสาวสายนที ธาราทิพย์ เป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาของไอ้ชล แต่ด้วยความที่แม่เสียไปตั้งแต่คลอดไอ้นทีออกมา ประจวบกับเป็นลูกชาวไร่ ครอบครัวก็มีแต่ผู้ชาย ถูกเลี้ยงดูมาด้วยผู้ชาย จนแม่หนูสายนทีก็กลายเป็นไอ้นทีมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่เป็นลูกผู้หญิง นทีจึงถูกสอนให้รู้จักศิลปะป้องกันตัวมาอย่างดี แต่ที่ใช้งานได้ดีที่สุดคือมวยไทย และเทควันโด ยังไม่หมดเท่านี้ นทีสามารถใช้อาวุธได้ทุกอย่าง ยิงปืน ยิงธนู หน้าไม้ แต่ที่เจ๋งสุดๆคือ หนังสติ๊ก ไอ้นทีมีหนังสติ๊กคู่ใจติดตัวเสมอ ลูกยิงเป็นลูกแก้วที่เด็กๆ ใช้เล่นกัน อานุภาพเทียบเท่าอาวุธปืนดีๆ เลย ที่สำคัญพกหนังสติ๊ก ไม่ต้องมีใบอนุญาตพกพาอาวุธ มันว่าอย่างนั้น ที่ต้องสาธยายสรรพคุณของไอ้นที เพราะมันคือคู่หูของผมแทนไอ้ชลเสมอ

“หนูเห็นพี่เข้ามาตั้งแต่ร้านเปิดแล้ว หนูก็เลยโทรไปถามพี่ชลว่าพี่เป็นอะไรหรือเปล่า เพราะปกติพี่จะไม่มานั่งร้านแบบนี้ พี่ชลก็เลยบอกว่าให้หนูดูแลพี่ด้วย” นทีเล่าเท้าความให้ผมฟัง

อ้ออออ ผมลืมบอก ว่าไอ้นที มันเป็นแม่ครัวอยู่ที่ร้านนี้ ถึงมันจะไม่เป็นผู้หญิงเท่าไหร่นัก แต่ว่าฝีมือทำกับข้าว อยู่ในระดับยอดเยี่ยม เชฟดังๆ บางคนยังทำอาหารไม่ได้อร่อยเท่ามัน เพราะพ่อมัน พี่มัน เป็นคนกินยาก ถ้าไม่อร่อยพวกไม่กิน พวกโยนทิ้งหมด

“ตกลงพี่เป็นอะไร อกหักหรอ” มันเอียงคอถามผม
“ไม่เสือกดิ” ผมตอบมันส่งๆ
“แล้วเมื่อกี้มึงทักพี่ว่าอะไรนะ ได้ยินไม่ชัด” ผมถาม
“ก็ทักว่า พี่มูนจ๋า ให้หนูชงเหล้าให้พี่นะจ๊ะ อะไรยังไม่แก่สักหน่อยหูตึงซะแล้ว” มันลอยหน้าลอยตาตอบผม
“ตึ้งงงงง” ผมดีดหน้าผากมันแทนคำพูด

“โอ้ยยยย อะไรนี่ น้องเป็นห่วง ก็มาทำร้ายร่างกายน้อง เชอะไปก็ได้ จะไปชงเหล้าให้โต๊ะโน้นก็ได้ เผื่อจะได้ท้ง..ได้ทริป..กับเขาบ้าง” มันมองผมค้อนๆ
“ไม่ต้องเลย มึงลงบันไดฝั่งนี้เลย พวกแม่งจะล่อมึงอยู่แล้ว ลงไปเลย แล้วให้เฮียส่งคนอื่นขึ้นมาแทนมึงด้วย เดี๋ยวถ้าตรงนี้มีปัญหา...กูเคลียร์เอง” ผมบอกมันทันที แล้วมันก็ทำตามผม เดินไปลงบันไดอีกฝั่ง

“อะไรวะ เดินหนีลูกค้าแบบนี้ได้ยังไงวะ” แน่นอนครับไอ้คนที่จ้องจะล่อน้องผม มันส่งเสียงทันทีที่น้องเดินหนีมัน
“เออพี่ พอดีนั่นมันน้องผมเอง มันไม่ใช่เด็กเสิร์ฟมืออาชีพ เดี๋ยวให้เด็กเสิร์ฟตัวจริงขึ้นมาบริการพี่ดีกว่านะครับ” ผมเดินไปบอกลูกค้าอีกโต๊ะให้เข้าใจ
“แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ” มันไม่สนใจคำพูดผมเลยใช่ไหมเนี่ย
“เดี๋ยวให้เด็กคนอื่นมาบริการแทนนะ” ผมไม่ใส่ใจมันอีกแล้ว
“กูถามว่ามึงเกี่ยวอะไรด้วย” มันไม่ถามเปล่า มันกระชากไหล่ผมอย่างแรง โชคดีที่ผมตั้งหลักไว้ก่อนแล้ว จึงไม่ล้มตามแรงกระชาก
“ก็กูบอกมึงแล้ว มึงไม่ฟัง” ผมไม่ตอบคำถามมัน
“มึงแน่นักใช่ไหม” มันจับคอเสื้อผมไว้อย่างแน่น

ก่อนที่หมัดของมันจะถูกปล่อยมาถึงผม ผมก็ส่งหมัดไปที่หน้ามันก่อน ก็ผมตั้งหลักรอรับเรื่องจากมันก่อนหน้านี้แล้ว แค่นี่ไม่ได้กินผมหรอก มันเซไปตามแรงหมัดจนหงายหลังตูดกระแทกพื้น เพื่อนมันอีกสองคนลุกพรวดเข้ามาหาผมทันที แต่ไม่ทันครับ เฮียอี๊กับลูกน้องอีกคนขึ้นมารั้งตัวพวกมันได้ก่อนที่จะถึงตัวผม

“เดี๋ยวๆๆ พี่ๆๆ นี่น้องผมเอง” เฮียอี๊เอ่ยปากห้ามทัพไว้ก่อน แล้วหันไปพยุงไอ้คนที่ล้มลงกระแทกพื้นให้ลุกขึ้น ก่อนที่จะหันมาบอกผม
“ไอ้มูนมึงไหว้ขอโทษพี่ๆ เขาซะ แล้วลงไปรอเฮียที่ห้อง เดี๋ยวเฮียตามไป”
“...” ผมยังทำหน้ามึน
“กูบอกให้มึงทำเดี๋ยวนี้” ลองได้ขึ้นมึงขึ้นกูแล้ว ผมก็ไม่เสี่ยง ผมยกมือไหว้พวกมันไป แล้วหันไปหยิบแก้วกับขวดเหล้าติดมือลงไป ไปก็ได้วะ ผมนึกทิ้งท้ายไว้ในใจ

“มันยังเด็ก ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถือว่าผมขอพวกพี่ละกันนะ เอาเป็นว่ามื้อผมเลี้ยงนะครับ เดี๋ยวพวกพี่ดื่มกินกันตามสบายเลย แล้วผมจะให้เด็กขึ้นมาบริการพวกพี่นะครับ” เฮียอี๊พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องที่ผมก่อไว้
“ก็เห็นกับน้องหรอกนะ ไม่อย่างนั้น ไอ้เด็กนั่นได้เจอของหนักแน่” เฮียอี๊เคลียร์เรื่องทั้งหมดเอาไว้ แม้จะขาดทุนสำหรับโต๊ะนี้อย่างที่ไม่ควรจะเป็น แต่เพื่ออนาคตของร้าน แล้วก็ของผม เฮียก็ยอมจ่าย

เฮียจัดการเติมเครื่องดื่มและอาหารให้ก่อนจะปลีกตัวออกจากสถานที่เกิดเหตุ แล้วเข้ามาหาตัวต้นเหตุอย่างผม
“นี่นายทำอะไรลงไปมูน” เฮียเดินมาตบบ่าผมหนักๆ
“ก็มันกวนตีน มันจะล่อไอ้นทีด้วย” ผมบอกสาเหตุที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ทั้งหมด เป็นผมเองที่ร่างกายอยากจะปะทะ
“เอาให้จริงๆ นายเป็นอะไร ปกตินายไม่ได้เป็นคนแบบนี้” เฮียรู้จักผมดี

“นทีบอกว่านายอกหัก” ตรงจุดแป๊ะเลยนะเฮีย ผมนึกในใจ
“ไม่ใช่สักหน่อย ก็แค่ติสแตกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” ผมพูดจริงไม่ทั้งหมด
“ก็ช่างนายเหอะ แล้วนี่จะกลับบ้านกลับช่องหรือไม่ จะได้ให้คนไปส่ง เผื่อไอ้พวกนั้นจะไม่จบเรื่อง”
“ยังไม่รู้ครับ แต่ว่าผมเอารถมา กะว่าจะพาไอ้นทีกลับบ้านด้วย”

“เออเฮีย...แล้วเฮียให้ไอ้นทีมันแต่งตัวแบบนี้มาทำงานในร้านอะนะ มันโตเป็นสาวแล้วนะ เตือนๆมันหน่อย ล่อเสือล่อตะเข้จริงๆ” ผมเป็นห่วงน้องจริงจัง
“ปกติมันก็ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้สักหน่อย วันนี้มันนึกอะไรขอมันไม่รู้ แล้วพอมันเห็นนาย มันก็รีบทำกับข้าว แล้วก็ขอเอาขึ้นไปให้นายเองเลยนะ เฮียก็ว่ามันผิดปกติอยู่เหมือนกันนะ มันไม่เคยจะยกอาหารให้โต๊ะไหน แม้กระทั้งพ่อมันมานั่งกิน มันยังไม่บริการเลย แต่มันขอบริการนาย” เฮียอี๊ร่ายยาว

“นี่มันคิดอะไรกับนายหรือเปล่า” เฮียจ้องตาผมจริงจัง
“ผมจะไปรู้มันหรอ แต่ผมไม่ได้คิด มันน้องนะ เห็นมันมาตั้งแต่เกิด เอาไม่ลงหรอก อีกอย่างพี่ชายมันฆ่าผมแน่ ถ้าผมไปคิดอะไรกับน้องมัน”
“แต่ผมว่ามันไม่คิดอะไรกับผมหรอก มันแค่อยากกวนตีนผมเท่านั้นแหละ มันกวนตีนพอๆ กับพี่ชายมันแหละ” ผมคิดแบบนี้จริงๆ ไอ้นทีไม่มีทางชอบคนอย่างผมหรอก
“เออๆๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ดีแล้ว เฮียเห็นพวกนายมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็เป็นห่วงธรรมดาแหละ”
“เดี๋ยวเฮียออกไปดูร้านข้างนอกก่อน นายก็นั่งกินในนี้ละกันนะ จะไม่ได้ไม่ไปปะทะกับใครเขาอีก” เฮียอี๊ตบบ่าผมแรงๆ แล้วแยกตัวออกไป

ผมปักหลักนั่งเรื่อยเปื่อยรอเวลาร้านปิด แล้วเอาไอ้นทีไปส่งบ้าน

Yuè part

“ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ก่อเรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้” ผมยกมือไหว้ทุกๆ คนในห้องประชุม

สีหน้าของป๊ามีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ช่างมันเหอะ ก็ทำลงไปแล้ว มาหาทางตั้งรับกับผลกระทบที่จะตามมาดีกว่า” เป็นแปะเทียนที่เอ่ยตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ นี่มันผิดปกติใช่มั๊ยครับ!!!!!

“นี่เสี่ยกำพลเขาคงจะรู้เรื่องที่โรงสีแล้วมั้งครับ” เฮียเซี่ยงเอ่ยถามขึ้นลอย
“ก็คงได้ข่าวแล้วหล่ะ เรื่องใหญ่ซะขนาดนั้น ก็คงรู้ไปถึงพวกซัพพลายเออร์ทั้งหลายด้วยหล่ะ” น้ำเสียงของป๊ายังคงมีความกังวลอย่างมาก

“เอาเหอะน่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ยังไงเสียเรื่องนี้ก็ต้องเกิด จะเร็วจะช้าเท่านั้นเอง” แปะเทียนหันหน้าไปบอกป๊า
“แต่ว่าพวกเรายังไม่ได้ตั้งตัวเลยนะ มันเร็วไปหรือเปล่าเฮีย” พี่น้อง 2 คนเขาคุยกัน
“ไม่ได้ตั้งตัวอะไร เรา 2 คนรู้มาตั้งนานแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกิด เราปล่อยให้ไอ้กำพลมันเป็นปลิงคอยสูบเลือดสูบเนื้อเรามานานเกินไปแล้วด้วยซ้ำ” แปะเทียนเอ่ยย้ำน้ำเสียงหนักแน่น

พวกผม 3 คนนั่งมองหน้ากันไปมา อย่างมีคำถามมากมาย นี่แปะกับป๊าเขาดูเหมือนไม่ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงแต่ป๊าจะมีความกังวลมากกว่าแปะเทียนเท่านั้น

“ก็ใช่นะเฮีย แต่พวกเราคิดกันว่า การต่อกรกับเสี่ยกำพล น่าจะต้องเป็นอาเหวินมากกว่าที่จะต้องเข้ามาทำเรื่องนี้” ป๊าเอ่ยถึงพี่ชายอีกคนของผม
“จริงๆ เรื่องนี้มันควรเป็นหน้าที่ของฉันมากกว่าอาเหวินด้วยซ้ำ แต่แกนั่นแหละ ที่ห้ามฉันไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ไม่อย่างนั้น มันกับฉันก็ได้ฉะกันรู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว ไม่ปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้หรอก” น้ำเสียงของแปะเทียนเริ่มขุ่นมัวขึ้น
ต้องแบบนี้ซิ... แปะเทียนตัวจริง

“นี่มันอะไรกันครับแปะ” เฮียหมิงคงเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยถามออกไป
“เรื่องมันนานมาแล้ว และยาวมากเลย” ป๊าบอกแค่นี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“เอาเหอะ...ยังไงก็ต้องเล่าอยู่ดี ให้พวกเขาได้รู้ต้นสายปลายเหตุ จะได้ช่วยกันหาทางรับมือกับไอ้กำพล” แปะเทียนบอกความตั้งใจ

“แต่ว่าเรื่องนี้มันอันตรายเกินกว่าที่จะให้พวกเขาเข้ามาเสี่ยงกับเรื่องนี้นะเฮีย ตอนนั้นกำพลมันร้ายกาจยังไง พวกเราก็รู้ดี ยิ่งเวลาผ่านไป ความร้ายกาจก็ทวีมากขึ้น ไหนจะอิทธิพล ทรัพย์สินเงินทอง มันมากพอที่จะถล่มพวกเราได้ พวกเขายังเด็ก ต่อกรกับกำพลไม่ไหวหรอก อีกอย่าง เรา 2 คนก็ตั้งใจจะจัดเรื่องนี้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว” ป๊าบอกแปะด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุด เท่าที่พวกผมทั้งหมดเคยได้พบมา

ปกติป๊าจะเป็นคนเรียบง่าย จัดการงานต่างๆ ด้วยความสุขุม รอบคอบ ไม่บ่อยครั้งที่จะเห็นป๊า หวั่นวิตกแบบนี้

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเหอะ” ไม่ใช่เสียงของคนในห้องเลยสักคน ทุกคนบอกไปทางต้นทางของเสียง
เฮียเหวิน...นายพศุตม์ นิศานาถ พี่ชายคนที่ 2 ของผม
“เฮีย...” ผมเอ่ยเพียงเท่านี้ ก็โผเข้าไปกอดพี่ชายคนเก่งของผมทันที

“ก่อเรื่องอีกแล้วนะ คราวที่แล้วก็เล่นเอาฉันต้องไปใช้ชีวิตที่ฮ่องกง คราวนี้ก็ดึงเอาฉันมาจากฮ่องกงเลยนะ นายนี่มัน...” น้ำเสียงของเฮียเหวินไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูด เอ่ยล้อเลียนเสียด้วยซ้ำ พูดพร้อมกับกอดตอบผมด้วยเช่นกัน

“ไม่ได้ตั้งใจก่อเรื่องสักหน่อย เยว่หวังดีนะ เฮียก้อออออ” กับเฮียเหวินผมเหมือนเด็กน้อยขี้อ้อนขึ้นมาทันที
“เฮียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกเลย จะได้จัดขบวนไปต้อนรับ” เฮียเซี่ยงขยับมายืนตรงหน้า
“ก็มาทันทีที่รู้ว่าไอ้ตัวป่วนนี่มันก่อเรื่องแล้วหล่ะ สักอาทิตย์แล้วมั้ง เฮียไม่ให้ป๊าบอกพวกเราเองแหละ” เฮียเหวินตอบ

“มาก็ดีแล้ว มาช่วยกันหน่อย” แปะเทียนเดินมาตบหลังเบาๆ
“แล้วไปไหนมา มาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว เพิ่งจะเข้ามานี่” เฮียหมิงขี้สงสัย
“ก็ไปดูลาดเลามา” เฮียเหวินตอบสั้นๆ

“แล้วจะเอายังไงต่อกันดี” เฮียหมิงเอ่ยถามเหมือนมานั่งในใจผมเลย
“เฮียไม่ต้องกังวล พวกเฮียก็ทำงานไปตามปกติ ส่วนเรื่องเสี่ยกำพลปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันแล้วกัน ขอเวลาเก็บข้อมูลอีกสักหน่อย ค่อยมาคุยกันอีกที” เฮียเหวินปลอบพวกเรา
“ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันไปก่อน มีอะไรค่อยมาเจอกัน” แปะเทียนสั่งแยกย้าย แล้วก็พาป๊าเดินออกจากห้องไป

“แล้วเฮียพักที่ไหน ไปอยู่กับเยว่นะ คิดถึงจังเลย มีอะไรเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย ไปนะ..ไปนะ..นะ..นะ” ผมอ้อนเฮียทันที
“จะให้อยู่ด้วยเลยหรอ ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวฉันพาสาวๆ ไป นายก็บ่นอีก” เฮียเหวินเอ่ยข้อเสียของตน
“เดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า มื้อนี้เฮียเลี้ยงเอง” เฮียหมิงเดินมาล็อคคอเฮียเหวินแล้วเดินนำออกไป ผมและเฮียเซี่ยงเดินตามหลังไปติด

นานแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา 4 คนแบบนี้ ถึงแม้ว่าเฮียเหวินจะไม่ได้มีแม่คนเดียวกันกับพวกเรา แต่เฮียเหวินก็เป็นลูกป๊า แต่พวกเราก็เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันดี น้าพิศแม่ของเฮียเหวินเป็นต้นห้องของอาม่า มีหน้าที่ดูแลอาม่าและพวกเราไปพร้อมๆ กัน พวกเรามักจะถูกเอามาฝากไว้กับน้าพิศเสมอๆ เพราะป๊ากับม้าต้องทำงานดูแลกิจการ พูดง่ายๆ คือพวกเรามีแม่ 2 คน น้าพิศรักเฮียหมิง เฮียเซี่ยง และผม มากพอๆ กับเฮียเหวิน หรือบางครั้งอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะผม เรียกได้ว่าเป็นลูกรักของน้าพิศเลย เฮียเหวินเองก็รักและเอ็นดูผมเสียยิ่งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ อาจจะเพราะถูกสั่งสอนให้ต้องดูแลผม ซึ่งเป็นน้องคนเล็ก ลูกคนเล็ก และหลานคนเล็กของตระกูล จริงๆ แล้วผมไม่เคยพอใจกับตำแหน่งอะไรพวกนี้เลย ผมอยากเป็นอิสระเหมือนพวกเฮียๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะเฮียเหวิน ที่เป็นคนที่ไม่มีใครจะกำหนดกะเกณฑ์อะไรให้เขาทำได้ นอกจากเขาจะเต็มใจทำด้วยตัวเอง จนบางครั้ง ก็ส่งผลเสียให้เฮียเหมือนกัน แต่ผมก็ยังเห็นว่า เขายังโชคดีที่ได้ทำทุกอย่างทั้งดีและไม่ดีได้ตามใจ

เฮียหมิงพาพวกเรามาที่ร้านเจ้าประจำ ก่อนมาก็โทรมาบอกก่อนว่า พวกเราจะเข้าไป เพียงเท่านั้น ร้านแห่งนี้ก็ถูกปิดไปด้วยปริยาย เพื่อเตรียมรับแก๊งค์อ๊อฟโฟร์ไปในทันที


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
:pig4:
 :3123:

ขอบคุณน้าาาาาา น่ารัก จุ๊บบบบบบบ

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน

สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

บทที่ 10 ผลกระทบ...ต่อเนื่อง


Moon’s part

วันนี้พวกชาวไร่เริ่มทยอยเอาผลผลิตมาส่งให้โรงสี เพื่อชั่งน้ำหนัก และรับเงินมัดจำส่วนหนึ่ง ผมออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้า เพราะได้รับการขอให้มาช่วยประสานงาน ระหว่างชาวไร่กับโรงสี คุณประพาสก็เป็นตัวแทนโรงสีเช่นเคย

“เออ...นายมูน...คุณศศธรฝากบอกว่า ได้ติดต่อกับเกษตรจังหวัดให้มาทำการตรวจสอบผลผลิตของชาวไร่ ให้เป็นไปตามมาตรฐานนะ น่าจะส่งเจ้าหน้าที่มาโรงสีช่วงบ่ายๆ สำหรับรายไหนที่คุณภาพชัดเจน ทางโรงสีก็จะจ่ายค่าผลผลิตให้เลย ยังไงฝากบอกพวกชาวไร่ด้วยนะ” คุณประพาสชี้แจง

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกพวกชาวไร่ก่อน ขอบคุณคุณประพาสมากนะครับ” ผมยกมือไหว้ผู้อาวุโสตรงหน้า

ผมโทรบอกพ่อ หลังจากบอกพวกชาวไร่ให้ช่วยกระจายข่าวออกไป ช่วงบ่ายๆ หลังจากที่เกษตรจังหวัดเข้ามาที่โรงสี พ่อก็มาเปลี่ยนเวรแทนผม ก็สมควรแหละ ผมยังไม่มีประสบการณ์มากนัก สำหรับเรื่องนี้

พอพ่อมา ผมก็ขอตัวกลับบ้านก่อน หิวข้าวเป็นทุนด้วยแหละ ตั้งแต่เช้าผมได้กาแฟแค่แก้วเดียวจากบ้านเท่านั้นเอง

วันนี้มันเป็นวันอะไรของผมไม่รู้ครับ ตาขวากระตุกมาตั้งแต่เช้าแล้ว โบราณว่า ขวาร้าย...ซ้ายดี ตัวผมเองไม่ได้เชื่อถือเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ มันรำคาญมากกว่า จะกระตุกอะไรกันนักกันหนา

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเห็นลุงมั่น...หนึ่งในชาวไร่ที่ได้ค่าผลผลิตเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าคุณภาพชัดเจน กำลังมีปัญหาอยู่ข้างทาง ผมรีบจอดรถลงไปช่วยทันที

“พวกมึงทำอะไรลุงมั่นวะ”

“แล้วมึงเสือกอะไรด้วย” อ้าวถามดีๆ ตอบกวน

“นายมูนช่วยลุงด้วย พวกมันมาทวงหนี้” ลุงมั่นรีบขอความช่วยเหลือจากผม

“ทวงหนี้อะไรลุง ก็เถ้าแก่ฮงให้ลุงผ่อนผันจ่ายหนี้ไปอีก 1 เดือนไม่ใช่หรอ” ผมยืนขวางระหว่างลุงมั่นกับไอ้พวกทวงหนี้

“ไอ้ที่ผ่อนผัน เป็นจำพวกค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่าเช่ารถเก็บ ที่เกี่ยวกับการเพาะปลูกโว้ย แต่ที่พวกกูมาทวง เป็นเงินสดที่มันไปขอยืมจากเถ้าแก่ ไม่เกี่ยวกันโว้ย” ไอ้พวกทวงหนี้บอก

“อ้าวลุง...มีเงินสดด้วยหรอ” ผมหันมาถามลุงมั่นทันที ลุงมั่นพยักหน้าตอบรับ

“ก็ไปยืมตอนเปิดเทอมนั่นแหละ ตอนนั้นลุงไม่มีเงินเลย” ลุงมั่นบอกผมเสียงอ่อยๆ

“แล้วได้ทำสัญญาไว้หรือเปล่าลุง”

“มึงจะดูสัญญาใช่มั๊ย” มันส่งสัญญาเงินกู้ให้ผม ผมหยิบมาดูทันที

“อะไรกันนี่ลุง ไม่มีอะไรเลย มีแค่เงินต้น กับดอกเบี้ยต่อเดือน แค่นี้เองหรอ” ผมหันไปถามลุงมั่นทันที ลุงมั่นก็พยักหน้าตอบรับอีกเช่นเคย

“มึงก็เห็นสัญญาแล้ว มึงมีปัญหาอะไรอีกมั๊ย” ไอ้คนทวงหนี้มันคว้าเอาสัญญาไปจากมือของผมทันที

“ส่วนมึง...ไอ้มั่น ตกลงมึงจะเอาเงินมาให้กูได้หรือยัง”

“ฉันจ่ายดอกเบี้ยให้ก่อนได้มั๊ย” ลุงมั่นต่อรอง

“ไม่ได้ เถ้าแก่ให้กูมาเก็บทั้งต้น ทั้งดอก” พวกมันไม่พูดอย่างเดียว พวกมันทำท่าจะเข้าแย่งเงินจากลุงมั่น

“เฮ้ยทำแบบนี้ไม่ได้นะ จะแย่งกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ไม่ได้นะ” ผมทักท้วง

“มึงนี่ยังจะเสือกอีกนะ” พวกมันคนหนึ่งพูดพร้อมกับส่งหมัดตรงมาหาผมทันที

ผมเองไม่ทันได้ตั้งตัว ก็โดนไปเต็มๆ เมื่อลุกขึ้นตั้งหลักได้ ผมก็ไม่ปล่อยให้มันทำฝ่ายเดียว ผมกันเอาลุงมั่น ออกจากวงปะทะจากหนึ่งต่อหนึ่ง เป็นสองต่อหนึ่ง เมื่อสองต่อหนึ่ง พวกมันเอาผมไม่ลง ก็กลายเป็น ห้าต่อหนึ่ง เมื่อเห็นว่าผมเริ่มจะเอาไม่อยู่แล้ว

“พอๆ ฉันจ่ายให้พวกแกแล้ว ปล่อยนายมูนได้แล้ว” ลุงมั่นก็เข้ามายับยั้ง พร้อมทั้งส่งเงินสดให้กับพวกมัน

“ก็แค่นี้ ต้องให้ออกแรง มึงจำไว้ กูจะกลับมาเอาค่าแรงในวันนี้อีกที” มันคนหนึ่ง คว้าเอาเงินสดไปนับทันที

“ส่วนมึง...เสือกนัก ตามเสือกให้ได้ทุกคนนะ แล้วมึงกับพวกกูได้เจอกันอีกแน่ๆ ยังมีอีกหลายราย” พวกมันหันมาชี้หน้าผม ก่อนที่จะขึ้นรถ แล้วขับออกไป

“เป็นยังไงบ้างนายมูน ไม่น่าต้องมาเจ็บตัวเพราะลุงเลย” ลุงมั่นทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม

“ไม่เป็นไรครับ แค่ถากๆ ลุงไม่ต้องห่วงผม แล้วนี่ลุงเอาเงินให้พวกมันไปเกือบหมดแบบนี้ แล้วหนี้ที่ผ่อนผันล่ะ จะพอจ่ายหรอ”

“พอไม่พอ ก็ต้องพอล่ะ”

“ก็เมื่อก่อนมันขายได้ไม่ได้ราคาแบบนี้ หนี้ก็ทบดอกทบต้น เป็นดินพอกหางหมูแบบนี้แหละ”  น้ำเสียงลุงมั่นท้อแท้

“แล้วถ้าเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่ลุงถึงจะปลดหนี้ได้ล่ะ”

“ก็ถ้าขายได้ราคาแบบนี้ ลุงลงทุนเพิ่มอีก อีกสัก 2-3 ปี ก็พอจะลืมตา อ้าปากได้แหละ”

“ผมก็ขอให้มันเป็นแบบนั้น”

“อย่างนั้นนายไปทำแผลที่บ้านลุงก่อนดีกว่า กลับบ้านไปแบบนี้ คนที่บ้านจะแตกตื่นซะก่อน”

“ไม่เป็นไรลุง ที่บ้านผมเขาชินกับผมแล้ว ผมมันพวกชอบหาแต่เรื่อง”

“แต่นี่นายไม่ได้หาเรื่องนะ นายมาช่วยลุง เดี๋ยวลุงตามไปอธิบายให้พ่อกับแม่นายฟังดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกลุง เรื่องเล็ก ไม่ต้องกังวลเลย ลุงรีบกลับเหอะ” ผมพูดพร้อมส่งลุงมั่นขึ้นรถ ส่วนผมก็ขึ้นรถของตัวเอง ขับกลับบ้านทันที ลืมหิวกันไปเลย พอจบเรื่องท้องก็ร้องให้ได้ยินกันทันทีเหมือนกัน

ขับมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมก็เห็นสิ่งผิดปกติ มีรถจอดขวางทางผมอยู่ ดูจากรถแล้วไม่ใช่คนแถวนี้ ผมจอดรถแล้วลงไปดูเผื่อจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

...ผ๊ลวะ ...ผล๊วะ ...ผล๊วะ

ผมโดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว และความแรงของแต่ละหมัดที่ส่งมา ส่งผลให้ผมแทบสิ้นสติ ผมทิ้งตัวลงกับพื้น พยายามที่จะมองหน้าพวกมันว่าเป็นใคร พวกมันคนหนึ่งทรุดลงนั่งตรงหน้าผม

“มึงมันแส่หาเรื่องนัก ขนาดพ่อมึงยังไม่กล้าตอแย มึงมันบังอาจเป็นตัวตั้งตัวตี ชื่อเสียงของนายกูสั่งสมมานาน โดนไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างมึงลบหลู่ มึงคิดว่าจะลอยนวลอยู่ได้อย่างนั้นหรอ และฝากบอกพ่อมึงด้วย ว่าถ้าหากไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แล้วปล่อยให้มึงมาทำแทน ก็ให้มันไปหาชุดผู้หญิงใส่ซะ อย่าเป็นเลยไอ้ผู้ชายนี่”

ก่อนที่ผมจะพยุงตัวขึ้นตอบโต้พวกมัน ผมรู้สึกตัวว่าเหมือนโดนอะไรหนักๆ กระแทกที่ใบหน้า แล้วสติของผม ก็ดับวูบไปในทันที


Yuè part

ณ ตึกนิศานาถ เอ็นเตอร์ไพรส์ ฐานบัญชาการของ พศุตม์ นิศานาถ

“นายครับ เสี่ยกำพลลงมือแล้วนะครับ” คนของเฮียเหวินรีบเข้ามารายงานเมื่อได้รับข่าวด่วน

“มีใครเป็นอะไรบ้าง” ผมรีบถามทันที

“คุณประพาส กับคุณรัตติกรครับ พวกมันลงมือพร้อมกัน แต่ว่าคนละสถานที่ คนของเราเข้าช่วยไม่ทัน คุณประพาสเจ็บน้อยกว่า คุณรัตติกรครับ” เมื่อรู้ว่าใครเจ็บบ้าง ผมก็ทรุดตัวลงทันที

“ตอนที่คนของเราไปเจอ และพาส่งโรงพยาบาล คุณประพาสยังมีสติพอพูดคุยได้ แต่คุณรัตติกรตั้งแต่เจอ จนตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยครับ หมอเอ็กซ์เรย์แล้ว เจอกระดูกซีโครงและแขนร้าวครับ”

สติของผมแทบจะไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ทั้งสองคนต้องมารับเคราะห์จากการกระทำของผม ทำไมพวกมันไม่มาลงมือกับผม ไปทำ 2 คนนั้นทำไม น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมโผเข้าหาเฮียเหวินทันทีที่เฮียเอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้

“อย่าเพิ่งคิดมากเยว่ พวกเรารู้อยู่แล้วว่ามันจะลงมือ เพียงแต่ มันลงมือเร็วและแรงกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ เป็นความผิดของเฮียเอง ที่ประเมินพวกมันผิดไป เฮียขอโทษ” เฮียเหวินลูบหัวผมอย่างปลอบใจ

“ทำไมพวกมันถึงเลือก 2 คนนั้น แทนที่จะเป็นผมละครับ ผมเป็นคนออกคำสั่งเองแท้ๆ” น้ำตาผมไหลออกมาเรื่อยๆ

“ก็ตีฝากไง มันไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นใคร แค่เป็นคนของเรา กับคนที่เป็นตัวแทนชาวไร่ ที่เขาเรียกว่า เชือดไก่ให้ลิงดูนะ อย่างนี้...นอกจากจะข่มขวัญพวกชาวไร่ มันก็เท่ากับเตือนพวกเราด้วยว่า อย่าได้เข้าไปก่ายกายเรื่องการซื้อขายผลผลิต แค่รอซื้อของจากพวกมันเท่านั้น มันยิงปืนนัดเดียว ได้นกเกือบยกรัง” เฮียเหวินอธิบาย

“แล้วพวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ” ผมยังไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ทำได้สิ แต่ว่าเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ อีกอย่างสิ่งที่พวกมันทำ เราเองที่ปล่อยให้มันทำมาตลอด ถ้าจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องรับผลของมันด้วย และยิ่งพวกมันเตือนเราแรงขนาดนี้ เรายิ่งต้องระวัง และจะต้องทำให้สำเร็จ เพราะถ้าไม่สำเร็จ เราจะไม่มีโอกาสอีกเลย” น้ำเสียงของเฮียไม่ได้มีแวววิตกกังวล

แต่ผมซิ ใจของผมไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้มูนเป็นอย่างไรบ้าง

“เฮีย...เยว่ไปโรงพยาบาลได้มั๊ย”

“ก็ได้นะ เฮียกำลังจะไปที่นั่นพอดี ไปด้วยกัน แต่ว่าทางนี้มีงานอะไรด่วนหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไร เฮียเอารถไป แต่ถ้ามีอะไรต้องกลับมาทำ เฮียจะเอาเครื่องบินเล็กไปแทน”

“เอาเครื่องไปดีกว่าเฮีย เยว่อยากไปดูคุณประพาส” ผมบอกไม่หมด

“คุณประพาสคนเดียวหรอ มีใครอีกคนหรือเปล่า เขาอยู่โรงพยาบาลเดียวกันนะ ไปเยี่ยมคุณประพาสคนเดียว มันจะดี...หรอ” ทำไมน้ำเสียงเฮียเป็นแบบนี้ เฮียล้ออะไรผมเล่นอยู่หรือเปล่า

“ก็ไปดูทั้งสองคนแหละ เพียงแค่คุณประพาสเป็นคนของเรา ก็ต้องสำคัญกว่าซิ”

“อ๋ออออออ หรอออออออ”

“อย่าคิดว่าเฮียไม่รู้นะ ว่าเยว่คิดอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นเฮียจะเป็นพี่ได้ยังไง”

“เหอะๆ เฮียมั่วแล้ว รีบๆ ให้คนเตรียมเครื่องเลย เดี๋ยวเยว่ขอโทรหาพี่น้ำก่อน จะได้รีบไปกัน เดี๋ยวก็ค่ำกันพอดี”

“อ๋ออออออ หรอออออออ”

“อีกแล้วนะเฮีย” ผมรีบแยกออกมาจากห้องทันที

555... เสียงหัวเราะไล่ตามหลังมา

ตอนนี้...เครื่องบินเล็กขนาด 4 ที่นั่งกำลังจะร่อนลงที่โรงสีนิศารัตน์ จากโรงสีไปโรงพยาบาลใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที คนของเฮียเหวินมารอรับเรียบร้อยแล้ว

ที่โรงพยาบาล ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ

“ผมต้องขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องแบบนี้ คุณประพาสเป็นอย่างไรบ้างครับ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมตรงเข้าไปยกมือไหว้ทันที

นี่เจ็บน้อยหรือ หัวแตก แขน-ขาเข้าเฝือก หน้าตาบวมช้ำ แล้วอีกคนที่เจ็บมากกว่าล่ะ จะอยู่ในสภาพไหน

“คุณเยว่ไม่ต้องเป็นห่วงผมครับ ผมได้ข่าวว่านายมูนเป็นมากกว่าผมอีก ตั้งแต่มาผมยังไม่ได้เจอนายมูนเลยครับ เห็นบอกว่ายังไม่ฟื้น” น้ำเสียงของคุณประพาสเป็นห่วงมูนอย่างมาก

“ผมว่าจะแวะไปเยี่ยมเขาเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น คุณประพาสพักผ่อนก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่ครับ” ผมยกมือไหว้ลาคุณประพาส ก่อนที่จะแยกตัวออกมา

ผมยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยอีกห้องหนึ่งสักพักแล้ว เอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา แต่มาถึงที่นี่แล้ว ยังไงก็ต้องลองดู ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

นี่ผมจะมาเยี่ยมไข้ หรือมาออกรบกันแน่

ผมเอื้อมมือผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ ค่อยๆ สอดตัวเข้าไป ภายในห้องเงียบเชียบ มีเพียงคนไข้นอนหลับสนิทอยู่คนเดียว ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง พินิจพิเคราะห์คนเจ็บที่อยู่ตรงหน้า ที่หัวมีผ้าพันไว้รอบ ที่หางคิ้วข้างซ้ายมีผ้าปิดแผลไว้ ใบหน้าบวมช้ำยังชัดเจน แขนขาขวาเข้าเฝือกเอาไว้ กลางลำตัวมีเฝือกอ่อนสวมอยู่

ผมค่อยๆ ยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนป่วย ใบหน้าบวมช้ำขนาดนี้ ยังไม่อาจกลบเกลื่อนความคมคายเอาไว้ได้ หน้ารูปไข่ คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันเข้ารูปกับปากรูปกระจับ ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าจะซีดเผือด ริมฝีปากแห้งแตก มูนก็ยังคงความเข้มในแบบฉบับลูกผู้ชายตัวจริง

“มูน...พี่ขอโทษ...พี่เป็นต้นเหตุให้มูนจะเจ็บหนักขนาดนี้...พี่ขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ ใจหนึ่งก็อยากให้ได้ยิน อีกใจก็ไม่อยาก

“มูน...พี่มีเรื่องคุยกับมูนเยอะแยะเลยนะ แต่พี่ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน พี่ขอโทษนะ”

ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่แขนที่เข้าเฝือกเอาไว้เบาๆ มีไอร้อนทะลุผ่านเฝือกขึ้นมาให้ได้รู้สึก คงจะเป็นไข้เพราะแผลอักเสบแน่ๆ

ผมจึงใช้หลังมือแตะที่ไปหน้าฝากของมูน สัมผัสอย่างเบามือที่สุด ตัวร้อนจริงๆ ด้วย ต้องลดไข้ใช่ไหม แล้วต้องทำอย่างไร มูนยังไม่ฟื้น จะเช็ดตัวลดไข้อย่างไร ผมขยับตัวเพื่อที่จะลุกออกไปปรึกษาพยาบาลด้านนอก

“จะไปไหน” เสียงแหบแห้งดังมาจากคนป่วย

มูนฟื้นแล้ว!!!!!!

“มูนมีไข้ พี่จะไปตามพยาบาลมาดูหน่อย”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็มา” ดวงตาเรียวยาวมองผ่านเลยไป ไม่สบตา

“อยากพูดอะไร ก็พูดมา” น้ำเสียงเรียบเฉย

“แต่มูนเพิ่งฟื้น ต้องให้หมอดูก่อนนะ เดี๋ยวพี่เรียกพยาบาลก่อน” ผมเดินมาที่สายกดเรียกพยาบาล

“ก็บอกว่าไม่ต้อง” คราวนี้สายตาหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์

“นั่งลง แล้วพูด” สายตาหันกลับไป ไม่สบตาอีกเช่นเคย ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิม

ผมหงายมือของตัวแล้วสอดลงใต้มือของมูน แล้วจับเอาไว้เพียงเบาๆ เพราะหลังมือนั่นใส่เข็มสายเกลือเอาไว้

“พี่ขอโทษ”

“...”

“พี่รู้ว่ามูนโกรธพี่ แต่พี่มีเหตุผลนะ”

“...”

“แต่พี่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน มันสับสน มันวุ่นวาย มันอยู่ในหัวของพี่นี่แหละ” ผมเอานิ้วจิ้มไปที่หัวของตัวเองแรงๆ หลายที

“...”

มูนไม่พูดไม่ตอบ แต่เบนสายตากลับมามองที่หน้าของผม

“พี่ขอโทษ”

คราวนี้มูนหลับตาลง เหมือนสัญญาณการตัดการสนทนา ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก ผมค่อยๆ ลุกขึ้น เพื่อที่จะกลับออกไป

แต่!!!!

มูนเอื้อมเอามืออีกข้างที่ว่างเปล่า ไม่มีสายน้ำเกลือ ไม่มีเฝือก มาคว้าข้อมือของผมเอาไว้

“มูนคิดถึงพี่ ได้โปรดอย่าทิ้งมูนไปอีกเลยนะ”

เท่านี้เอง เท่านี้จริงๆ เท่านี้ผมก็ไม่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

“มูน...พี่ขอโทษ”

“พอแล้ว จะขอโทษไปถึงไหน มีอะไรก็บอกซิ จะได้เข้าใจ”

“...” เป็นผมเองที่ไม่มีคำตอบใดๆ ยกเว้นน้ำตาใสๆ เม็ดโตๆ ร่วงหล่นลงจากตา

“ร้องไห้ทำไมครับ คนเก่งของมูน” ไม่พูดเปล่า เอานิ้วมาปาดน้ำตาออกจากแก้มของผม

ผมจับมือของมูนแล้วกำไว้แน่นๆ เหมือนกับว่ามูนจะหายไป น้ำตายังไหลรินอย่างไม่มีสาเหตุ

“ร้องไห้แบบนี้ ใครมาเห็นเข้า เขาจะว่ามูน ว่ามูนรังแกพี่เยว่นะครับ ไม่สงสารคนป่วยหรอ”

“เจ็บมากมั๊ยมูน”

“ถ้ารู้ว่าเจ็บตัวแล้ว พี่จะกลับมาหา มูนยอมมีเรื่องกับพวกมันไปนานแล้ว ไม่ชิ่งหนีพวกมันแน่ๆ” แววตาคนเจ็บเจ้าเล่ห์

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีกนะ พี่เป็นห่วงมากเลยรู้มั๊ยห่ะ” ไม่พูดเปล่า ปล่อยมือข้างหนึ่งออกแล้วตีไปเบาๆ ที่แขนที่ใส่เฝือกอยู่

“โอ้ยยยยยยยย” เสียงร้อง...เสแสร้งไม่แนบเนียน

“เชอะ...ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นสักหน่อย ใครมาได้ยินเข้า ก็จะนึกว่าพี่รังแกคนเจ็บ”

“อยากอ้อน”

อย่านะมูน อย่ามองพี่แบบนี้ สายตาแบบนี้ เขาเอาไว้มองผู้หญิงสวยๆ ไม่ใช่ผู้ชายอย่างพี่ อย่ามองแบบนี้นะ ไม่ไหวแล้ว...

“หลบตาทำไมครับ เขินหรออออ หน้าแดงเชียว”

“จะบ้าหรอ ข้ง...เขิน...อะไร...ไม่มี...ไม่ได้...เขิน” ทำไมเสียงมันดังๆ หายๆ แบบนี้ ไม่เอานะเยว่ อย่าเขินซิ บอกว่าอย่าเขิน

“น่ารักจังเลยครับ พี่เยว่ของมูน”

“ไม่เอาซิ อย่าล้อเล่นแบบนี้ เดี๋ยวใครมาได้ยิน ก็เข้าใจผิดกันหมดหรอก”

“เข้าใจผิดว่าอะไรครับ”

“ก้อ...เข้าใจผิดว่า...”

“ว่ามูนจีบพี่หรือครับ”

“...”

“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกครับ”

“ไม่ตลกนะ อย่าล้อพี่เล่นแบบนี้ซิ”

“มูนไม่ได้ล้อเล่น มูนจะจีบพี่จริงๆ มูนเสียเวลามาเยอะมากแล้ว มูนจะไม่ยอมให้พี่เยว่ทิ้งมูนไปอีก”

“มูนนนนนน”

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอะไรกันแน่ ดีใจที่มูนไม่โกรธ ก็ใช่...ผมดีใจ ตกใจที่มูนบอกว่าจะจีบ ก็ใช่...ผมตกใจ แต่ผมเป็นผู้ชายนะ มูนจะจีบผมนี่นะ จะจีบทำไม แล้วจะจีบได้ยังไง มูนก็เป็นผู้ชายนะ หรือว่ามูนเป็น...เป็น...เกย์ ไม่เอา ไม่ให้มูนเป็น แล้วผมก็ไม่เป็นด้วย

“อะไรกัน แค่บอกว่าจะจีบ ทำไมต้องทำหน้าปฏิเสธเลยล่ะ ยังไม่ได้ลงมือจีบ ก็จะอกหักซะแล้ว ไอ้มูนเอยยยยย”

“มูนนนนนน”

“เอาล่ะ...เอาล่ะ เรื่องจีบเอาไว้ก่อนก็ได้ ยังรอได้ แต่ว่าเรื่องที่มูนต้องมานอนเจ็บนี่ มันเรื่องอะไรกัน พี่เยว่เล่าให้มูนฟังหน่อย”
เข้าเรื่องได้สักทีนะเจ้ามูน...เด็กเกรียน...ของพี่!!!!! โอ้ยยยย อะไรนี่ ผมคิดอะไรอยู่เนี๊ยะ

“แต่ตอนนี้ ผมหิวแล้ว ไม่ได้กินอะไรมา 2 วันแล้วนี่ กินแต่น้ำเกลือกับยาแก้อักเสบนี่”

“อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวที่บ้านก็เอามาส่ง”

“แล้วหิวมากมั๊ย ต้องกินยาก่อนอาหารหรือเปล่า เดี๋ยวพี่เรียกพยาบาลให้ดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

“ไม่ต้องอะไรล่ะ เป็นคนเจ็บอยู่นะ หิวก็ต้องกินซิ เดี๋ยวพี่จัดการให้เองละกัน รอพี่เดี๋ยวเดียว” ผมกำลังจะลุกจากเก้าอี้

“ไม่ต้องจริงๆ ครับ” ไม่พูดเปล่านะ จับมือผมไว้ แล้วส่งสายตาเจ้าชู้มาให้อีกแล้ว ก็บอกว่าอย่าส่งสายตาแบบนี้ เป็นผมนี่แหละที่ต้องส่งสายตาดุๆ แบบปรามๆ ไปให้

“โธ่...อย่าดุซิครับ มูนแค่อยากอ้อนพี่เท่านั้น” อย่ายิ้มแบบนี้เจ้ามูน...เจ้าเด็กเกรียน

ก่อนที่ผมกับมูนจะพูดอะไรต่ออีก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก คุณพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นยาสำหรับผู้ป่วย ที่ตามเข้ามาติดๆ ก็เป็นครอบครัวของมูน มากันหมดเลย พ่อ...แม่...น้องอีก 2 คน

คุณพยาบาลวางยาก่อนและหลังอาหารสำหรับคนป่วยไว้บนโต๊ะขวาง แล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้คนไข้ แล้วบอกว่า วันนี้ให้ทานอาหารอ่อนๆ ก่อน เพราะว่าเพิ่งฟื้น ร่างกายคงจะยังรับอาหารปกติไม่ทัน แล้วก็บอกต่อว่าคุณหมอจะขึ้นมาดูอาการหลังทานอาหาร แล้วก็แยกตัวออกไป

ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่ของมูน แล้วก็รับไหว้จากน้องทั้งสองคน ผมถอยออกจากเตียง เพื่อหลีกทางให้น้านิดหน่อยเตรียมอาหารให้มูน

“แม่...อย่าเพิ่งจัดเลย มูนยังไม่หิว ยังเพลียๆ อยู่เลย วางไว้ก่อนเหอะ พ่อกับแม่ พาน้องกลับก่อนดีกว่านะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาอีกที มูนอยากนอนอีก” พูดจบก็หลับตาลง ตัดสัญญาณอีกแล้ว สะตออีกต่างหาก เจ้ามูน...เจ้าเด็กเกรียน

“เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนมูนเองครับ คุณน้าทั้งสองไม่ต้องห่วงครับ” ผมหันไปบอกน้านิดหน่อยทันที

“จะเป็นการรบกวนคุณศศธรมากเกินไปครับ แค่มาเยี่ยมพวกเราก็ขอบคุณมากแล้ว” พ่อของมูนแย้งขึ้นทันที

“ไม่รบกวนเลยครับ ผมต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่แล้วครับ”

ก็มันเป็นความรับผิดชอบของผม ที่เป็นต้นเหตุทำให้มูนเจ็บแบบนี้นะครับ ไม่ได้รบกวนอะไรผมเลย ผมเต็มใจ มันเป็นแค่ความคิดที่ผมไม่ได้พูดออกไป

“พ่อแม่กลับเหอะ คุณเขาแค่นั่งเฉยๆ เดี๋ยวมูนก็หลับแล้ว ไม่รบกวนคุณเขาหรอกครับ” สะตอเกอร์พูดทั้งๆ ที่ยังหลับตา ดูเจ้าเด็กเกรียนมันทำนะครับ

ผมก้มหัวลงเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจ แล้วก็ยกมือขึ้นไหว้เพื่อลา และรับไหว้อีกครั้ง แล้วทั้งครอบครัวแสงจันทราก็พากันเดินจะออกจากห้อง ก่อนที่จะพ้นประตู น้านิดหน่อยหันมาขอบใจและฝากฝังกับผมอีกครั้ง

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน
สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

บทที่ 11 เอาใจใส่

Yuè part

ผมปิดประตูห้อง แล้วเดินกลับมาที่เตียงคนป่วย ภาพที่ทำให้ผมอยากจะ...ลงไม้...ลงมือ กับเจ้าเด็กเกรียนคนนี้

มูนนอนยิ้มปากกว้าง ยกข้อเท้าข้างหนึ่งขึ้นไขว้กัน แล้วกระดิก...ดิ๊ก...ดิ๊ก แขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกถูกวางพาดลำตัว ปลายนิ้วมือกระดิก...ดิ๊ก...ดิ๊ก

“มุสาวาทา มันเป็นบาป โดยเฉพาะกับพ่อกับแม่ บาปหนักขึ้นไปอีก” ผมพูดขณะที่ยืนอยู่ที่ปลายเตียง

“สา......ธุ......” เจ้าเด็กเกรียนพูดเสร็จ ก็ยกมือข้างไม่เจ็บเพียงข้างเดียวขึ้นไหว้เหนือหัว

เพียงเท่านั้น อารมณ์หมั่นไส้ก็เต็มเปี่ยม ผมตีลงไปหนักๆ ที่ปลายเท้าที่ยังกระดิก...ดิ๊ก...ดิ๊ก

“โอ้ยยยยยยย ช่วยด้วยคร้าบบบบบบ มีคนทำร้ายคนเจ็บคร้าบบบบบบบ”

ส่งเสียงโอดครวญหรอ ผมกดปลายเท้าที่ไขว้กันอยู่ลงทั้งสองข้าง มันทำให้กล้ามเนื้อขาตึงไปต้นขา เจ็บสิครับ ใช่ๆๆๆ ผมตั้งใจทำให้เจ็บครับ

“โอ้ยพี่ มูนเจ็บนะ เจ็บจริงๆ นะ” ที่อย่างนี้ส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผมปล่อยเท้าที่ถูกกดไว้

“พี่เยว่ครับ ปล่อยมูนเหอะครับ มูนจะไม่ทำแล้วครับ มูนขอโทษครับ” คราวนี้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประกบกัน แต่ด้วยแขนข้างหนึ่งใส่เฝือกอยู่ ทำให้ไม่สามารถงอข้อศอกได้ ท่าไหว้เลยดูทุลักทุเล

“จำไว้นะ จะเล่นอะไร ให้รู้จักกาลเทศะด้วย พี่เตือนเราดีๆ นะ ยังจะมาล้อเลียนกันอีก” น้ำเสียงดุดัน หวังว่าจะให้เกรงใจกัน

“มูนขอโทษครับ พี่เยว่อย่าโกรธมูนเลยนะ นะ...นะ...ดีกัน” ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเลยนะ เจ้าเด็กเกรียน

“ไหนว่าเพลีย จะนอน ทำไมไม่นอน”

“ก็ผมหิว”

“แล้วเมื่อกี้ทำไมบอกไม่หิว”

“ก็อยากอยู่กับพี่สองคนอ่ะ”

“ทำแบบนี้มันบาปมากเลยนะ ทุกคนมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง   แม่อุตส่าห์ทำอาหารมาให้ แทนที่จะกินให้เขาชื่นใจ กลับบอกให้เขากลับซะอย่างนั้น บอกตรงๆ นะ พี่โกรธมูนจริงๆ ทำแบบนี้พี่ไม่ชอบนะ”

“มูนขอโทษครับ พรุ่งนี้พ่อกับแม่พาน้องมา มูนจะขอโทษเองครับ” น้ำเสียงสำนึกผิดจริงจัง ผมปล่อยปลายเท้าที่กดไว้

“พี่เยว่ครับ มูนหิวแล้ว” ผมได้ยินครับ แต่ว่าเดินกลับมานั่งที่โซฟายาวข้างหน้าต่างแทน

“พี่เยว่ครับ มูนหิวแล้ว จริงๆ นะหิวมากด้วย”

“หิวก็กินซิ มาบอกพี่ทำไม ก็ไหนบอกว่าให้พี่นั่งเฉยๆ ยังไงล่ะ”

“โธ่...เจ็บไปทั้งตัวแบบนี้ ให้ลุกยังไม่ไหวเลย แขนก็เข้าเฝือกด้วยนี่ แล้วผมจะกินได้ยังไง ยาก่อนอาหารก็ยังไม่ได้กิน ยาอยู่นี่ น้ำอยู่โน้น” ทีแบบนี้...ทำน้ำเสียงออดอ้อนขึ้นมาทันทีเลยนะเจ้าเด็กเกรียน ปล่อยให้หิวตายไปเลยซะดีไหม?

“นะ...นะ...คนใจดีของมูน ช่วยมูนด้วยนะครับ เดี๋ยวหมอมา มูนยังกินข้าวไม่เสร็จ ต้องโดนดุแน่ๆ เลย นะครับ พี่เยว่ของมูน”

“หมอที่ไหนจะดุคนไข้ ไม่ต้องมาอ้อนวอนเลย”

ในขณะที่ ผมยังนั่งนิ่งๆ ที่โซฟา ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง เป็นคุณพยาบาลคนเดิมที่เดินเข้ามา

“คุณรัตติกรยังไม่ได้ทานยา ทานอาหาร หรือค่ะ อีก 10 นาทีคุณหมอจะขึ้นมาตรวจนะคะ” พูดเสียงหวานใส่คนไข้เลยนะ

“ผมยังไม่หิว” น้ำเสียงแตกต่างสิ้นเชิง ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม?

“ยังเพลียอยู่หรือค่ะ ตอนนี้รู้สึกผิดปกติตรงไหนบ้างค่ะ” เธอสอบถามตามหน้าที่ล่ะครับ แต่ทำไมผมต้องหงุดหงิดด้วยนิ?

“ไม่ครับแค่เพลีย และไม่หิว” พูดแล้วก็หลับตาลงซะอย่างนั้น เจ้าเด็กเกรียนนี่นะ

“ถ้าอย่างนั้น อีก 10 นาทีคุณหมอจะเข้ามาตรวจ คุณรัตติกรอย่าเพิ่งหลับนะคะ เผื่อว่าคุณหมออาจจะมีคำถามค่ะ”

“...”

“เดี๋ยวผมช่วยดูให้อีกแรงครับ คุณพยาบาลไม่ต้องเป็นห่วงครับ” เป็นผมเองที่ตอบรับแทน เธอพยักหน้ารับคำสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้มส่งมาให้ แล้วก็เดินออกจากห้องไป

“ทำไมเสียมารยาทแบบนี้ล่ะ วันนี้หลายรอบแล้วนะ” ผมตีไปแรงๆ ที่ปลายเท้าคนที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อโดนดุแบบนี้ เจ้าเด็กเกรียนก็ลืมตา

“น่ารำคาญ”

“นี่มูนพูดกับใคร” ผมเงื้อมือขึ้นจะตีอีกครั้ง

“ขอโทษครับ ผมรำคาญพยาบาลคนนี้มากเลย”

“เขาทำตามหน้าที่ ไปรำคาญเขามันใช้ได้หรือนี่”

“ผมรู้ครับว่าทำตามหน้าที่ แต่คนนี้ไม่ใช่ มันวุ่นวายน่ารำคาญต่างหาก แต่เอาเหอะ ผมไม่อยากพูดถึงแล้ว” พูดจบก็หันมาทำตาอ้อน เสียงหวานใส่ผม

“ผมหิวแล้วครับ”

“กินยาก่อนละกัน เดี๋ยวรอคุณหมอมาดูอาการก่อนค่อยกินข้าวนะ”

“ได้ครับ”

ผมเดินไปหยิบน้ำที่อยู่หัวโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งแล้วรินใส่แก้ว หันมาเลื่อนโต๊ะขวางสำหรับทานข้าว ที่วางยาก่อนและหลังอาหารเอาไว้ ให้เข้าที่เตรียมพร้อมสำหรับให้คนเจ็บได้ทานข้าว แล้วเอาน้ำที่รินมาวางไว้ให้ แต่มีคนนั่งมองหน้าผม ไม่ยอมหยิบยาหยิบน้ำมากิน

“มองหน้าทำไม กินยาซะ เดี๋ยวจะได้กินข้าว”

“กินไม่ได้”

“ทำไมจะกินไม่ได้”

“แขนเจ็บ”

“อีกข้างไม่เจ็บ”

“เจ็บนะ เจ็บจริงๆ นะ กินยาเองไม่ได้ครับ”

“ช่วยมูนหน่อยนะครับ” น้ำเสียงอ้อนรุนแรง ทำให้ผมทนใจแข็งไม่ไหว

“ยามี 3 เม็ดจะให้ป้อนยังไง”

“...”

ไม่พูดครับ แต่อ้าปากรอ เป็นลูกนกเลย ผมยกแก้วที่ใส่ยาไปจ่อที่ไว้ที่ปาก ไม่ครับไม่ยอมกิน ผมเลิกคิ้วส่งเป็นคำถามว่า จะให้ทำอย่างไร

“หยิบทีละเม็ดป้อนใส่ปากครับ” พูดอย่างเดียวไม่พอครับ เอามือข้างไม่เจ็บหยิบยา 1 เม็ดแล้วเอามาจ่อที่ปากผมครับ

“กินเองก็ได้นี่ ทำไมต้องให้ป้อน”

“อยากอ้อนให้ป้อนนี่ครับ” พูดจบก็อ้าปากรอเลยครับ

“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ” ผมถอนหายใจยาวๆ

กว่าจะป้อนยา 3 เม็ดเสร็จใช้เวลาเป็นนาที คนปกติยกแก้วยาเทใส่ปาก ดูดน้ำตามก็จบ แต่เจ้าเด็กเกรียนของผม หยิบยาทีละเม็ดป้อนใส่ปาก แล้วต้องยกแก้วน้ำให้ดูดน้ำตาม 1 ครั้ง แล้วก็อ้าปากรอ กว่าจะเสร็จ...เห้ออออออ

ได้เวลา...คุณหมอก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยตำรวจท้องที่อีก 1 คน ทำร้ายร่างกาย เป็นคดีอาญา ตำรวจต้องมาสอบปากคำผู้เสียหาย หลังจากที่คุณหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว ก็ส่งต่อคนเจ็บให้ตำรวจเจ้าของคดีสอบปากคำต่อ

“ช่วยเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดให้ฟังหน่อยครับ”

“คุณตำรวจทำคดีไหนครับ พอดีผมมันพวกชอบหาเรื่อง เรื่องเลยเยอะตามนะครับ”

“มูน...” ผมต้องห้ามปราบเจ้าหัวเกรียนนี่ก่อน

“ก็มันจริงนี่ครับ วันนั้นผมมีเรื่อง 2 ครั้งกับคน 2 กลุ่ม ไม่ทราบว่าคุณตำรวจจะเอากลุ่มไหนดี”

“หมายความว่าก่อนที่คุณรัตติกรจะเข้าโรงพยาบาล คุณได้มีเรื่องกับอีกกลุ่มหนึ่งก่อนหน้านี้”

“ใช่ครับ”

“ทราบหรือไม่ครับว่าเป็นใคร”

“ทราบครับ”

“ผมขอทราบทั้งหมดครับ”

“แค่วันนั้น...วันที่ผมเข้าโรงพยาบาล...วันเดียวใช่หรือไม่ครับ”

“มีก่อนหน้านี้ด้วยหรือครับ”

“ครับ”

“แล้วทราบหรือไม่ครับว่าเป็นใคร” คุณตำรวจย้อนคำถามเดิม

“ถ้าจะให้นับกันจริงๆ ตั้งแต่ผมกลับบ้านมา ผมไม่ได้มีเรื่องอะไรกับใครเลย เรื่องมันเริ่มมาหาผมตั้งแต่ ผมไปเป็นตัวแทนของชาวไร่ เข้าไปคุยกับโรงสีนิศารัตน์ ถ้านับถึงวันนี้ก็ครบอาทิตย์พอดี  ผมมีเรื่องทุกวัน จากคนที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง พวกที่ไม่รู้จักนี่จะเกิดขึ้นที่ร้านเหล้าบ้าง ในตลาดบ้าง พวกที่รู้จักกัน ส่วนใหญ่ก็เรื่องกวนตีนกัน ก็ฝาดปากกันไปสองสามที ก็แยกย้าย แต่ถ้าจะให้จับประเด็นจริงๆ ก็เป็นวันที่ผมเข้าโรงพยาบาล”

“หมายถึงวันที่คุณรัตติกรมีเรื่องในวันเดียว 2 เรื่อง แล้วก็เข้าโรงพยาบาลใช่หรือไม่ครับ”

“ครับ”

“อย่างนั้น...ผมขอทราบทั้ง 2 เรื่องในวันนั้นเลยครับ”

ผมนั่งฟังมูนเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างลุ้นระทึก เหมือนนั่งดูหนังแอ็กชั่นเลยครับ มูนเป็นคนมีน้ำใจเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังเดือดร้อน มูนจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอ จะช่วยได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที ดังนั้นการที่ร่องรอยการต่อสู้จะปรากฏบนตัวมูน ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ มูนเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรารู้จักกันแล้ว แต่อย่างไร ผมก็ไม่ชินอยู่ดี

ระหว่างที่นั่งฟังมูนเล่าเหตุการณ์ ผมก็ปลอกผลไม้ไปด้วย มูนหยิบผลไม้จากในจานไปใส่ปากเป็นระยะ

“คุณศศธร ดูแลคุณรัตติกรดีจังเลยนะครับ” คุณตำรวจเอ่ยปาก เมื่อมูนเล่าเหตุการณ์จบ

“รู้จักกันนานหรือยังครับ”

“ก็ตั้งแต่ผมแปดขวบนะครับ”

“นานอยู่เหมือนกันนะครับ” คุณตำรวจรับรู้

“แต่ว่าคุณศศธร หนีผมไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งหลายปี เพิ่งจะได้เจอกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แล้วได้คุยกันจริงจังก็วันนี้ละครับ”
คุณตำรวจส่งสายตาสงสัยมาให้ผมทันที แต่ก่อนที่จะเอ่ยถามอะไร เฮียเหวินก็เข้ามาในห้อง

“ถ้าคุณตำรวจต้องการคุยกับคุณศศธร ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดี ผมขอให้ทำเป็นหมายเรียก แล้วคุณศศธร พร้อมทนายจะเข้าไปให้ปากคำครับ” เฮียเหวินพูดเท่านี้

คุณตำรวจก็เก็บคำถามทั้งหมดกลับไป แต่ก่อนไป

“ผมว่าเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร รู้อยู่แล้วว่าใครทำ ทำเพราะอะไร ผมขอให้พวกคุณอย่างเพิ่งจัดการไปโดยพลการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจนะครับ ผมรับรองว่า ผมจะดำเนินการอย่างยุติธรรมครับ”

“เอาเป็นว่า ผมจะไม่เป็นคนหาเรื่องก่อน แต่ถ้าเรื่องมาผม ผมก็จะจัดการตามวิธีของผมครับ” เฮียเหวินตอบคุณตำรวจ

คุณตำรวจขอตัวกลับไปแล้ว เฮียเหวินก็เดินมาที่เตียงคนไข้

“อายุเท่าไหร่แล้วเรานะ”

“แล้วคุณเป็นใครครับ” อ้าววววว เกรียนไม่ดูตาม้าตาเรือแล้ว

“555 มันเกรียนสมคำล่ำลือจริงๆ“

“เกรียนตรงไหนครับ ผมไม่รู้จักคุณ อยู่ดีๆ มาถามคำถามแบบนี้ ผมก็ต้องถามก่อนจริงหรือไม่ครับ”

“555 เออๆๆๆ กูผิดเอง” ห๊า...... มึง...กู...กันเลยหรอ

“เฮีย” ผมเอ่ยทักเบาๆ

“เอาน่า แมนๆ คุยกัน ไม่ต้องห่วง เฮียถูกชะตากับมันวะ”

“มูน...นี่เฮียเหวิน คุณพศุตม์ นิศานาถ พี่ชายของพี่เอง”

เมื่อรู้ว่ากำลังคุยกับใคร เจ้าเด็กเกรียน ก็ยกมือไหว้ทันที

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมขอโทษครับ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่กล้ากวนตีนหรอกครับ” นั่น...ว่าไปนั่น

“555 กูว่าแล้ว กูว่ากูชอบมึงว่ะ”

“ไม่ได้นะเฮีย ผมมีคนที่ชอบแล้ว อีกอย่างผมไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย” ทำไมผมสะอึกครับ ก็รู้อยู่แล้วว่ามูนเป็นผู้ชายเต็มตัว ย่อมเป็นไปไม่ได้ว่าจะชอบผู้ชาย แล้วทำไมผมถึงได้รู้สึกแบบนี้...เศร้า

“พี่เยว่ครับ มูนหิวข้าว” น้ำเสียงอ้อนๆ มาอีกแล้ว

“จะกินเลยใช่มั๊ย” ผมหันไปหยิบปิ่นโตใส่กับข้าว พร้อมกระติกเก็บความร้อนที่แม่ของมูนเตรียมมา มาวางที่โต๊ะขวางกลางเตียง แล้วก็เดินมาปรับระดับของเตียงให้อยู่ในท่านั่ง พร้อมกินข้าว

“มึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กูฟังอีกรอบซิ เอาแบบที่เหมือนกับเล่าให้ตำรวจฟังเมื่อกี้เลยนะ”

“ผมกินข้าวไปด้วยได้มั๊ยเฮีย”

“เอออออ ตามสบาย”

“พี่เยว่ครับ ป้อนด้วยซิ” เฮียเหวินหันมามองหน้าผมทันที 

ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คนหิวก็นั่งทำตาละห้อย ตั้งท่าอ้าปากรอ อีกคนก็นั่งทำหน้าทำตาล้อเลียน เหมือนจะมองอะไรๆ ออกและรู้ทัน ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ได้แต่ลุกไปจัดอาหารที่อยู่ในปิ่นโต ดีนะที่น้านิดหน่อยใส่มาในกล่องเก็บอุณหภูมิ อาหารภายในจึงยังร้อนอยู่ แล้วก็ขยับขึ้นมานั่งบนเตียง เพื่อจะได้ป้อนได้ถนัดๆ ในขณะที่เฮียนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

มูนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เฮียฟังอย่างละเอียด เป็นข้อมูลล้วนๆ ไม่มีการกวนประสาท...กวน...ทีน อย่างที่เล่าให้คุณตำรวจฟังเลย เฮียก็นั่งฟังเฉยๆ จะซักถามบ้างในบางจุด ผมก็ป้อนข้าวไปเรื่อยๆ มูนก็พูดไปกินไป ใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะกินอิ่ม และเล่าเรื่องต่างๆ จบ หลังจากนั้น ผมก็จัดการให้มูนกินยาหลังอาหาร และพยุงพาไปเข้าห้องน้ำจนเรียบร้อย จัดการคนป่วยเสร็จ ก็มาถึงคิวคนมาเยี่ยม ผมหันมองหน้าเฮียเหมือนถามความเห็น

“เยว่ไปซื้อขึ้นมากินละกัน เฮียรออยู่ที่นี่ละกันนะ”
ผมพยักหน้าตอบรับทันที


Moon’s part

เมื่อพี่เยว่ออกจากห้องไป เฮียเหวินก็ลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ ลากเก้าอี้มาข้างเตียงแล้วนั่งลง มองหน้าผม สีหน้าเรียบเฉย

“มึงว่า...ที่มึงต้องมานอนที่นี่ เพราะเรื่องที่โรงสีหรือเปล่าวะ”

“ส่วนหนึ่งครับ ปกติผมก็มีเรื่องกับชาวบ้านไปทั่ว เจ็บมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมาโรงพยาบาลแบบนี้ และวันนั้นผมจำได้ว่า ตอนที่ช่วยลุงมั่น พวกมันก็คาดโทษผมไว้ พวกมันเป็นคนที่ผมรู้จัก เคยเห็นหน้าค่าตากัน แต่ว่าไอ้กลุ่มหลังนี่ ผมไม่รู้จักใครเลย แล้วมันบอกว่าผมไปลบหลู่เกียรติของเจ้านายมัน แล้วเจ้านายมันจะเป็นใคร ผมก็ไม่รู้ แต่พวกมันลงมือจนผมต้องมานอนที่นี่ นี่ล่ะครับ ผมก็ตอบเฮียไม่ได้ทั้งหมดหรอก”

“แล้วถ้ากูให้มึงถอนตัวจากเรื่องนี้ แล้วกลับไปเรียนหนังสือให้จบ มึงจะทำตามที่กูบอกไหม”

“เฮียจะให้ผมหนีมันหรอ เฮียคิดว่าผมจะทำตามหรือไม่ล่ะ”

“กูว่ามึงไม่หนีแน่ๆ กูว่ามึงจะกลับออกไป หาทางเผชิญหน้ากับพวกมัน และจะเล่นกับพวกมันแบบตรงๆ กูว่า...กูดูมึงไม่ผิด”

“โหหหหห เฮียเป็นหมอดูหรอก แม่นซะขนาดนี้”

“เอาอย่างนี้ ไว้มึงออกจากโรงพยาบาลแล้ว กูจะไปหามึงที่บ้าน กูจะไปคุยกับพ่อมึงด้วย”

“จริงๆ นะเฮีย เฮียให้ผมทำอะไร ผมทำหมดเลย นี่เราเพิ่งจะรู้จักกันนะ แต่ผมโคตรนับถือเฮียเลย”

“อย่ามาประจบ กูไม่ใช่เยว่ กูไม่หลงมึงหรอก”

“ไม่ได้ประจบเลย ผมพูดเรื่องจริง ส่วนพี่เยว่ พี่เขาไม่มีทางหลงผมหรอก ดุผมอย่างกลับลูก”

“แต่มันก็เอาใจใส่มึง มันป้อนข้าวมึง”

“พี่เยว่คงรำคาญผม เลยทำให้เพื่อปัดความรำคาญมากกว่า”

“มึงคิดอย่างนั้น”

“...” ผมไม่ตอบครับ ผมไม่กล้าตอบ ผมกลัวว่าคำตอบของผม จะทำให้เฮียโกรธ

“อย่างนั้นกูถามอะไรมึงหน่อย แต่มึงต้องตอบกูตรงๆ นะ”

“ครับเฮีย”

“มึงเป็นเกย์หรือเปล่า”

“เฮ้ยเฮีย...” ผมตกใจกับคำถามของเฮียอย่างมาก

เฮียมองหน้าผมตรงๆ มองเข้าไปในดวงตา เหมือนต้องการความจริง จากตาของผม มากกว่าจากคำพูดของผม

“ผมไม่ได้เป็นเกย์ครับ แต่ผมชอบพี่เยว่ครับ” ปากผมพูด และมองตอบสายตาของเฮีย อย่างมุ่งมั่นในคำตอบของตัวเอง

เฮียเหวินมองผมด้วยสายตาที่ต้องการค้นหา มองลึกลงไปถึงในจิตใจของผม

“กูเชื่อมึง”

“แล้วเฮียจะว่าอะไรหรือเปล่า ถ้าผมจะจีบพี่เยว่”

“เรื่องของมึง” ผมพยักหน้ารับรู้

“แต่มึงอย่าลืม มึงสองคนเป็นผู้ชาย ถ้าเดินทางนี้ มันจะย้อนกลับไม่ได้นะ กูเตือนมึงเท่านี้”

“ขอบคุณครับเฮีย” ผมยกมือไหว้เฮีย ในขณะที่เฮียก็เปลี่ยนกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม

คนไปซื้อของ กลับเข้ามาพร้อมกับหอบหิ้วถุงมามากมาย

“ไปเหมาตลาดมาหรือครับ” ผมเอ่ยถามจริงจัง เฮียเหวินขำออกมาเสียงดังลั่น แล้วก็หันไปสนใจกับของที่อยู่ในถุง

“ใช่ไปเหมามา แต่ว่าไม่มีของนายหรอกนะ พูดมากก็ไม่ต้องได้กิน” แล้วสองคนพี่น้องก็จัดการกับของที่ซื้อมาแบบไม่สนใจผมอีกเลย

“กินเสร็จแล้วจะกลับพร้อมเฮียมั๊ย” เฮียเหวินถามพี่เยว่ แต่กลับมองมาที่ผม

“กลับซิ” พี่เยว่ก้มหน้าก้มตากิน แต่ก็ตอบแบบไม่ได้มองหน้าเฮีย

เมื่อได้ยินคำตอบ เฮียเหวินก็ส่งรอยยิ้มกวนๆ มาให้ผม ได้ยังไง กลับไม่ได้ ผมไม่ให้กลับ

“ผมกลัวผี พี่เยว่อยู่เป็นเพื่อนผมนะครับ อย่าให้ผมนอนคนเดียวเลยนะ”

“จะบ้าหรอมูน นายนี่นะกลัวผี ตลกแหละ”

“กลัวจริงๆ นะครับ ผมเคยเจอผีในโรงพยาบาล ผมก็เลยฝังใจกลัวผีมาตั้งแต่นั้นเลย” ไม่พูดเปล่าผมขยับจะลงจากเตียง

“ไม่ต้องลงมาเลย ขี้เกียจประครองขึ้นไปนอนอีก” เฮียเหวินยังคงขำจริงจัง

“พี่ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนผมซิ” แล้วผมก็หันไปบอกเฮียเหวิน

“เฮีย...อิ่มแล้วก็กลับไปก่อนเหอะ เลยเวลาเยี่ยมแล้ว คนเจ็บต้องการการพักผ่อน พรุ่งนี้เฮียค่อยมาเยี่ยมผมใหม่ละกัน นะครับ” เฮียได้แต่ทำตาโตใส่ผม

“นี่มึงกล้าไล่กูหรอ”

“ใครจะกล้าไล่เฮีย แต่ว่าทางกลับค่อนข้างเปลียว ผมก็เป็นห่วง ไม่อยากให้กลับดึก”

“กูไม่กลัวผี”

“ป่ะ...อิ่มแล้วก็กลับกัน เดี๋ยวมันจะดึกอย่างที่ไอ้มูนมันบอก” เฮียพยักหน้าบอกพี่เยว่ที่กำลังเคลียร์พื้นที่

ผมรีบลงจากเตียง แต่ว่าติดสายน้ำเกลือที่ทำให้ผมไปไม่ถึงตัวพี่เยว่

“อย่ากลับเลยนะครับ อยู่เป็นเพื่อนผมเถอะนะครับ นะ...นะ...”

พี่เยว่หันมองเฮียเหวินเหมือนจะขอความเห็น

“555” เฮียหัวเราะเสียงดัง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนละกัน” เฮียพูดพลางเดินไปตบบ่าพี่เยว่เบาๆ แล้วก็เดินออกจากห้องไป

ผมลากเสาน้ำเกลือเดินมาหาพี่เยว่ ที่ยืนนิ่งทำหน้าตาบอกไม่ถูก

“ขอบคุณนะครับ พี่เยว่ใจดีกับมูนเสมอเลยครับ”

พี่เยว่ไม่พูดอะไรอีก นอกจากจะพาผมขึ้นเตียง จัดแจงท่าทางการนอนให้ แล้วก็ห่มผ้าให้อย่างดี แล้วก็เดินไปปรับหัวเตียงให้เหมาะสมกับการนอน ก่อนที่จะขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อจัดแจงธุระส่วนตัว

ผมนอนยิ้มกับตัวเองอย่างดีใจ นี่ผมพอจะนึกเข้าข้างตัวเองได้บ้างหรือเปล่า จริงๆ พี่เยว่จะกลับ ผมก็ไม่สามารถทัดทานได้อยู่แล้ว นอกจากจะต้องเกรงใจเฮียเหวิน แต่ที่ผมแคร์มากที่สุดคือ ความรู้สึกของพี่เยว่ครับ ถ้าพี่เยว่ไม่พร้อม ผมจะไม่เร่งรัดอย่างเด็ดขาด แต่พี่เยว่ก็ยอมตามใจผม เหมือนที่เคยตามใจผมมาตลอด ในยามที่ผมอ้อนวอนขอ พี่เยว่จะไม่ปฏิเสธผม

ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกตอนนี้ของผมคืออะไร?




ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
คนเขียนจะใช้สีที่แตกต่างกัน เพื่อบอกคนอ่านว่า กำลังอยู่ในอารมณ์ของตัวละครตัวไหน
สีม่วง (คนเขียน)

สีน้ำเงิน (เยว่/ศศธร)
สีเขียว (มูน/รัตติกร)

บทที่ 12 ถามใจ

Yuè part

หลังจากส่งเฮียเหวินออกจากห้องไปแล้ว ผมก็เดินไปเปิดไฟในห้องน้ำ และแง้มประตูไว้เล็กน้อย เพื่อให้แสงไฟส่องลอดออกมาเป็นแสงสลัวๆ ปิดไฟในห้องพักเหลือไฟที่หัวเตียงเอาไว้ แล้วจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบเอาหมอนและผ้าห่มสำหรับญาติที่มานอนเฝ้า ไปวางไว้ที่โซฟา แล้วจึงเดินที่เตียงคนป่วยอีกครั้ง

มูนยังนอนลืมตา มองตามผมที่เดินไป เดินมาในห้อง

“นอนได้แล้ว ดึกแล้วนะ พักผ่อนให้เยอะๆ จะได้หายไวๆ” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจัดผ้าห่มให้คนป่วยที่นอนอยู่

แต่สิ่งที่ทำให้ผมทำตัวไม่ถูกคือ สายตาของมูนที่มองมา พร้อมทั้งมืออุ่นๆ ข้างที่ไม่เจ็บ กุมมือของผมที่ห่มผ้าห่มให้

“ขอบคุณนะครับ ที่ดูแลมูนดีมากขนาดนี้”
“ตอนนี้มูนกำลังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ ปล่อยให้มูนคิดไปคนเดียวก่อนนะครับ อย่าเพิ่งตัดความหวังของมูนเลย”

พูดอย่างเดียวใจผมคงไม่เต้นแรงขนาดนี้ แต่มูนกำลังเอามือของผมขึ้นไปแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ สายตาที่มองมา มันมีความหมายลึกซึ้ง

“มูน...” ผมพูดได้เพียงเท่านี้

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ มูนรู้ว่าพี่ยังไม่พร้อม มูนจะไม่เร่งรัด ขอแค่เพียง...พี่รับรู้ว่ามูนกำลังคิดอะไรกับพี่ก็พอ...นะครับ”

พูดจบก็เอามือของผมไปแตะไว้ที่แก้มของตัวเองอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ พามาวางไว้ที่หน้าอก ตรงตำแหน่งของหัวใจ

แรงสะเทือนของการเต้นของหัวใจ...มันแรงมากพอที่ทำให้ผมรู้สึก  มูนปล่อยมือที่กุมมือของผมออก แต่ผมลืมไปแล้วว่าจะต้องยกมือนั้นออกจากอกของมูน มือของผมเริ่มเย็นเฉียบ และสั่นไหว

“พี่รู้แล้วใช่มั๊ยว่ามูนคิดอะไร ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่รับฟัง” มูนยิ้มน้อยๆ แล้วหลับตาลง

ผมรู้สึกตัวและเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง แล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย จนเวลาล่วงเลยไป มือของผมยังคงจำแรงสะเทือนของหัวใจที่เพิ่งสัมผัสได้  ผมไม่สามารถจะหลับลงได้ และแล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พี่เยว่ครับ...มูนรักพี่”

เพียงเท่านี้ ความรู้สึกของผมก็ล่องลอยไป ไม่รับรู้อะไรอีกเลย


Moon’s part

พอเฮียเหวินออกจากห้องไป พี่เยว่ก็เดินจัดการความเรียบร้อยภายในห้อง ผมก็ได้แต่มองตาม ในใจของผมตอนนี้ มันเต้นแรงมากเหลือเกิน ตั้งแต่รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองคืออะไร ผมก็ไม่ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง

ผมรักพี่เยว่

แต่...สำหรับพี่เยว่ แม้ผมจะอยากบอกให้เขาได้รับรู้ ผมก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่า พี่เยว่อาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และไม่ยอมรับความรู้สึกของผม และเอาตัวออกห่างจากผม

ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะทำอย่างไรต่อไป ผมจะรับได้หรือไม่

แต่ถ้าผมไม่พูด ผมจะรู้ได้อย่างไร ว่า...พี่เยว่จะยอมรับหรือเปล่า

ผมต้อง...เสี่ยง และผมก็จะ...เสี่ยง

พี่เยว่ยอมอยู่เป็นเพื่อนและดูแล..ป้อนยา..ป้อนข้าว และนอนเป็นเพื่อนผม ผมคิดเข้าข้างตัวเองในตอนนี้ว่า อย่างน้อยพี่เยว่ก็ไม่ได้รังเกียจผม     

“นอนได้แล้ว ดึกแล้วนะ พักผ่อนให้เยอะๆ จะได้หายไวๆ” และในตอนนี้ที่พี่เยว่เดินมาจัดผ้าห่มให้ผมอีกครั้ง

ผมมองหน้าพี่เยว่ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ หวังว่าพี่เขาจะรับรู้สิ่งที่ผมอยากจะถ่ายทอดออกมา

ผมเอื้อมมือข้างที่ไม่เจ็บ ไปกุมมือของพี่เยว่ที่กำลังห่มผ้าให้

“ขอบคุณนะครับ ที่ดูแลมูนดีมากขนาดนี้”
“ตอนนี้มูนกำลังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ ปล่อยให้มูนคิดไปคนเดียวก่อนนะครับ อย่าเพิ่งตัดความหวังของมูนเลย”

ผมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป ผมเอามือของพี่เยว่มาแตะที่ริมฝีปากเบาๆ ส่งสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งไปให้
หัวใจของพี่เยว่เต้นแรง จนผมรู้สึกได้ ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองใช่ไหม

“มูน...”

ผมไม่ยอมให้พี่เยว่พูดอะไรไปมากกว่านี้

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ มูนรู้ว่าพี่ยังไม่พร้อม มูนจะไม่เร่งรัด ขอแค่เพียง...พี่รับรู้ว่ามูนกำลังคิดอะไรกับพี่ก็พอ...นะครับ”

พูดจบผมก็เอามือของพี่เยว่มาแตะไว้ที่แก้มของผมอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ เอามาวางไว้ที่หน้าอก ตรงตำแหน่งของหัวใจ

หัวใจที่เต้นแรง...มันแรงมากพอที่จะทำให้พี่เยว่รู้สึกได้ ผมค่อยๆ ปล่อยมือที่กุมมือของพี่เยว่ออก แต่พี่เยว่ก็ไม่ยกมือออกจากอกของผม รู้สึกว่ามือของพี่เยว่เริ่มเย็นเฉียบ และสั่นไหว และผมก็ไม่โอกาสนั้นผ่านเลยไป

“พี่รู้แล้วใช่มั๊ยว่ามูนคิดอะไร ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่รับฟัง” ผมยิ้มน้อยๆ แล้วหลับตาลง

ผมรู้สึกได้ว่าพี่เยว่ปิดไฟที่หัวเตียงลงแล้ว ในห้องไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีกเลย ในใจของผมยังคงเต้นแรง มันเป็นผลจากปฏิกิริยาตอบกลับของพี่เยว่ จนเวลาล่วงเลยไป ผมคิดว่าพี่เยว่คงหลับไปแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถหลับลงได้

ผมคงต้องระบายความรู้สึกในใจออกมา ถึงแม้ว่าพี่เยว่จะไม่ได้ยินก็ตาม

“พี่เยว่ครับ...มูนรักพี่”

เช้านี้ทุกคนในห้องพักผู้ป่วย ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยการเปิดไฟในห้องของพยาบาล ซึ่งเข้ามาตามหน้าที่ในตอนเช้า ผมรู้สึกตัวทันทีที่ไฟสว่างขึ้น ผมรีบหันมองว่าพี่เยว่จะตื่นตามด้วยหรือไม่ พี่เยว่รู้สึกตัวเหมือนกัน

ผมมอง แต่พี่เยว่ไม่มองผม ลุกขึ้นจากโซฟาที่ทอดตัวนอนอยู่ พับเก็บผ้าห่ม แล้วรวบเอาหมอนที่หนุนหัว ไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าตามเดิม แล้วเดินแยกตัวออกจากห้องไป ปล่อยให้พยาบาลคนเดิม จัดการตัวผมตามหน้าที่ของเธอ

“เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือไม่ค่ะ ยังเจ็บหรือปวดตรงไหนบ้างค่ะ” เธอยิ้มแย้มแจ่มใส ก็คงเป็นปกติของพยาบาล แต่สำหรับผมแล้ว มันน่าหงุดหงิดเหลือเกิน ผมไม่ชอบรอยยิ้มให้ท่าแบบนี้เลย ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่า อย่าคิดมาก เธอเป็นพยาบาลห้องพิเศษ เธอทำแบบนี้ตามหน้าที่ของเธอก็เท่านั้น

“ก็พอหลับได้ เจ็บที่แผลอีกนิดหน่อยเท่านั้นครับ” ผมตอบเธอเท่าที่จำเป็น เธอจัดการวัดไข้-ความดันตามปกติ เธอวางชุดคนไข้ชุดใหม่สำหรับเปลี่ยนไว้ที่ปลายเท้าของผม แล้วเดินมาปลดเชือกผูกเสื้อของผม ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อย เพื่อจะบอกว่าไม่อนุญาตให้เธอแตะต้องตัวผม แต่เธอเหมือนจะไม่รู้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนดูแลของผม เขาจัดการเองดีกว่าครับ”

“แต่ว่าเขาเดินออกจากห้องไปแล้วนะคะ” ไม่พูดเปล่ายังจะเอื้อมมือมาปลดเชือกเสื้อของผม

“บอกว่าไม่ต้อง ผมจะให้คนของผมจัดการ เดี่ยวเขาก็มา” ผมปัดมือของเธอทันที เธอหน้าเสียทันที

“ขอโทษ แต่ผมบอกแล้วว่าไม่ต้อง” น้ำเสียงผมบอกชัดเจน ว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง

“อาละวาดอะไรแต่เช้าเลยลูก...มูน” แม่ผมเดินเข้ามา พร้อมกับพ่อ และน้องๆ

“พี่มูนตื่นนานยัง หม่อนพาเข้าห้องน้ำเอามั๊ย” ใบหม่อน...น้องชายสุดแสบของผมเสนอตัว

ผมกวาดสายตามองทุกคน แต่ไม่เห็น...คนที่ผมเพิ่งบอกรักไปเมื่อคืน...พี่เยว่

“พี่มูนมองหาคุณเยว่หรอพี่” ใยไหม...น้องสาวสุดป่วนอีกคนของผม ผมพยักตอบรับ

“พวกเราเจอคุณเยว่ที่หน้าห้อง เขาบอกว่าเช้านี้เขามีธุระด่วนต้องรีบไป ก็เลยจะขอตัวกลับก่อน พอดีเห็นว่าพยาบาลเข้ามาดูแลแล้ว ก็เลยออกมา” แม่เล่าขึ้นมาลอยๆ

“แล้วพี่เยว่บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไหร่” ผมหันมองหน้าน้องๆ ที่ยืนอยู่ข้างเตียงผม

น้องๆ ก็ส่ายหัว แทนคำตอบ

“ดิฉันวางยาก่อนอาหาร และหลังอาหาร ไว้ที่โต๊ะนะคะ ส่วนเสื้อชุดใหม่อยู่ที่ปลายเตียง แล้วคุณหมอจะขึ้นมาตรวจตอน 8 โมงครึ่งนะคะ” น้ำเสียงของคุณพยาบาลคนเดิมราบเรียบ เธอพูดจบก็เข็นรถเครื่องมือออกจากห้อง โดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย ก็ดีครับ...ผมว่าผมชัดเจนที่สุดแล้วเหมือนกัน ผมหันกลับมาสนใจคนในครอบครัวดีกว่า

“เมื่อวานกับข้าวอร่อยมากเลยแม่ วันนี้แม่ทำอะไรให้มูนกินบ้างเอย” ผมหันมาอ้อนแม่ทันที

“มีมักกะโรนีผัดซอสกระเพราของโปรดของมูนนั่นแหละ” แม่หยิบปิ่นโตอาหารมาวาง

“แต่ว่ามูนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า หม่อนพาพี่มูนไปที” แม่หยิบเสื้อชุดใหม่ส่งให้ใบหม่อน

“ไหม...มาเอาข้าวให้พ่อกินก่อนลูก” พูดพลางส่งปิ่นโตในส่วนของพ่อให้ แล้วแม่จัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับผมจนเรียบร้อย รอเวลาให้คุณหมอขึ้นมาตรวจอีกครั้ง

ได้เวลาคุณหมอเจ้าของไข้ กับนายตำรวจเจ้าของคดี ก็เข้ามาในห้องแบบแพ็คคู่

“ร่างกายคุณรัตติกรฟื้นตัวเร็ว แผลที่ศีรษะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พักที่นี่อีกสักคืนเพื่อให้ยาแก้อักเสบให้ครบ พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านนะครับ ส่วนแขนที่เข้าเฝือกไว้ ก็ราวๆ สักเดือนค่อยมาเช็คอีกรอบ เดี๋ยวหมอจะทำใบนัดตรวจให้ครับ” คุณหมอชี้แจงในส่วนของตน

“ส่วนเรื่องคดี ถ้ามีความคืบหน้า หรือต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ผมจะติดต่อไปนะครับ”  คุณตำรวจก็แจ้งในส่วนของตนเอง

“แล้วคุณประพาสละครับ อาการเป็นอย่างไรบ้าง” พ่อของผมถามถึงอาการของคุณประพาส ที่ประสบเหตุการณ์เดียวกันกับผม

“อาการของคุณประพาสดีกว่าคุณรัตติกรครับ ได้กลับบ้านวันนี้ครับ” คุณหมอก็ตอบในส่วนของตนเช่นเดิม

“เรื่องคดี ก็เหมือนกันกับของคุณรัตติกรครับ คาดว่าถ้ามีอะไรเพิ่มเติม ผมก็คงติดต่อคุณทั้งสองคนมาพร้อมๆ กันครับ” คุณตำรวจก็ตอบเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณมากครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 คนอย่างขอบคุณ เมื่อทั้งสองท่านทำหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากห้องไป

“เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปทำธุระในเมือง หม่อนกับไหมอยู่กับมูนก่อนนะ บ่ายๆ เย็นๆ จะแวะมารับกลับนะ” พ่อเอยพร้อมทั้งพาแม่ออกนอกห้องไป

“มื้อกลางวันก็ดูแลตัวเองกันไปก่อนนะ ฝากหนูทั้งสองคนช่วยดูแลพี่มูนด้วยนะจ๊ะ” ก่อนออกจากห้องแม่ก็หันมาบอก ทั้งสองคนยิ้มตอบรับคำสั่งของแม่

พอพ่อกับแม่ออกจากห้องไป ทั้งสองคนก็ขยับที่นั่งทันที ใยไหมขึ้นมานั่งบนเตียง ส่วนใบหม่อนก็ยกเก้าอี้มานั่งติดเตียง เหมือนจะตั้งโต๊ะประชุมอย่างไร...อย่างนั้นเลย

“ไหมว่า พี่มูนคงอยากให้อีกคนมาดูแล...มากกว่าเราสองคนจริงมั๊ยพี่หม่อน” หม่อนก็พยักหน้าตอบรับ

“ก็อย่างที่แม่บอกละว่า ตอนที่พวกเรามาถึง ก็เห็นคุณเยว่ยืนอยู่หน้าห้องแล้ว จากที่สังเกตเห็นว่ายังใส่ชุดเดิมของเมื่อวานนี้ นี่แสดงว่าคุณเยว่อยู่เฝ้าพี่เมื่อคืนใช่ไหม” สายตาของใยไหมเหมือนจะต้องการค้นหาอะไรบ้างอย่างจากผม

“แล้วที่พี่มูนอาละวาดกับพยาบาลเมื่อเช้า เพราะคุณเยว่ออกจากห้องมาใช่หรือไม่” เป็นใบหม่อนที่เอยอีกคำถาม

แล้วผมจะตอบอะไรได้ในเมื่อทุกอย่างมันคือความจริง ผมหงุดหงิดมากเมื่อเห็นพี่เยว่ออกจากห้องไป แล้วพยาบาลก็ยังมาทำเรื่องน่ารำคาญกับผมอีก ผมจะอาละวาดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ คำถามของน้องๆ และดูเหมือนทั้งสองคนจะเข้าใจ ก็หันมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

“มีอะไรจะเล่าให้น้องฟังมั๊ย...พี่มูน” เจ้าน้องสาวตัวแสบ ยิงคำถามโดนใจมาให้ผม

“เรื่องมันยาว”

“มีเวลาทั้งวัน...ที่จะฟัง...เล่ามา” ทั้งสองคนพยักหน้าให้กัน

“ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน อยากรู้อะไรถามมาดีกว่า” มันก็จริง ผมไม่รู้จะเริ่มอย่างไร

“พวกเรารู้ว่าพี่สองคนมีอดีตร่วมกันมา หลังจากห่างกันไปนาน พอได้มาเจอกัน พี่มูนรู้สึกอย่างไร” ใบหม่อนยิงคำถามแรก

“บอกไม่ถูก ตอนแรกคือคิดถึง และดีใจที่จะได้พบเขาอีก แต่พอเขาบ่ายเบี่ยงที่จะพบ พี่ก็เสียใจ โกรธ ผิดหวัง และย้อนถามตัวเองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา รู้สึกอย่างไร”

“แล้วรู้สึกอย่างไร” ใยไหมยิงคำถามแบบไม่ทิ้งช่วง

“เอาจริงๆ เวลาผ่านมา มันก็นานเกินกว่าจะบอกว่า คิดถึงและรอคอย ตอนที่จากกันตอนนั้นพี่ก็ยังเด็กเกินกว่าจะบอกอะไรได้มาก จำได้ว่าเสียใจ เหงา และรอให้พี่เขากลับมา แต่พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกมันก็เบาบาง...จางลงไป จนเรียกได้ว่าลืมไปแล้ว แต่พอรู้ว่าจะได้พบกันอีก ความคิดถึงและรอคอย ที่เคยคิดว่าลืมไปแล้ว มันก็กลับมา คิดถึงและรอที่จะได้เจออีกครั้ง” ผมทิ้งระยะไว้เหมือนจะทบทวนความรู้สึกของตัวเอง

“แล้วพอเอาเข้าจริงๆ เขากลับบ่ายเบี่ยงที่จะพบกัน และพอพี่ไปหา เขายิ่งทำให้พี่รู้สึกว่า ตลอดเวลาเขาไม่ได้คิดถึงพี่ เหมือนที่พี่คิดถึงเขาเลย มันเจ็บมากเลยนะในตอนนั้น โลกทั้งใบมันมืดมิดไปหมด” ผมหลับตาลงอย่างรันทดใจจริงๆ

“แต่ดูจากเมื่อวาน คุณเยว่ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่บอกเลยนะ เท่าที่เราสองคนเห็น ดูเขาเป็นห่วงพี่มากเลย อีกทั้งยังยอมที่จะอยู่เป็นเพื่อนพี่ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องยอมก็ได้ อันนี้พี่จะว่าอย่างไร” ใยไหมมันแก่แดดเกินไปหรือเปล่าครับนี่

“อันนี้พี่ก็สับสนเหมือนกันนะ”

“ตอนแรกที่เขาเข้ามา ตอนนั้นเขาคิดว่าพี่หลับ แต่ความจริงพี่แค่นอนหลับตาเฉยๆ และในตอนนั้นเขาแสดงออกมาว่าเขาแคร์พี่ เขายังคิดถึง เขาขอโทษที่ละเลยในตอนแรก และบอกให้พี่รอเขาอีกสักหน่อย แล้วจะมาอธิบายทุกอย่างให้ฟัง หลังจากนั้น พี่ก็ตอบตัวเองได้ทันทีเลยว่า พี่รักเขา...”

“พี่รักพี่เยว่”

ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินเลย กลับมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

“เห้อออออ ก็นึกว่าจะสับสนมากกว่านี้ สรุปง่ายอย่างนี้เลย” เป็นเจ้าน้องสาวตัวแสบของผม มันแก่แดดมากแล้วจริงๆ

“แล้วพี่ได้บอกคุณเขาหรือเปล่า” คราวนี้เป็นใบหม่อน

“จะเรียกว่าบอกหรือเปล่าไม่รู้ เพราะเมื่อคืนพี่คิดเรื่องนี้จนดึก พี่คิดว่าพี่เยว่น่าจะหลับแล้ว พี่ก็พูดขึ้นมาลอยๆ เพียงครั้งเดียว แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบเหมือนเดิม”

“เห้อออออ” ยายคนแก่แดด ส่งเสียงถอนหายใจ

“เขาต้องได้ยินอยู่แล้ว เขาถึงได้หนีหน้าพี่อยู่ในตอนนี้ไง ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ...เราน่ะ” ไม่พูดอย่างเดียวนะ มันส่ายหัวไปมาด้วย กูว่า กูดีดมันสักทีจะดีมั๊ย

“เอาน่า คนมันยังอ่อนต่อเรื่องความรัก เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ ก็เข้าใจได้นะ”

นี่พวกมึงแข็งแกร่งเรื่องความรักกันมากนักหรือ มึงเป็นน้องกูอีกนะ...อย่าลืม ได้แต่คิดครับ พูดออกไปไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีคนให้ปรึกษา มีเพิ่มอีกสองคน ก็นับว่าดี

“แล้วนี่มีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม” ใบหม่อนเอยถาม

“ก็มีเฮียเหวินอีกคน”

“เฮียเหวินนี่ใครหรอ”

“ก็พี่ชายคนรองของพี่เขาแหละ คนนี้แหละที่มาทำให้พี่ได้รู้ถึงความรู้สึกของตัวเองจริงๆ แล้วพี่ก็ขอกับเฮียไปตรงๆ ว่าจะขอจีบพี่เยว่”

“แล้วเฮียว่ายังไง”

“เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องของพี่ แต่เขาเตือนว่า ถ้าเดินหน้าแล้วถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้วนะ”

“มันก็จริงของเขานะ” ใยไหมพยักหน้ารับรู้

“เฮ้ยยยย นี่ญาติพี่น้องเขารู้เรื่องแล้วด้วย พี่ต้องเดินหน้าอย่างเดียวแล้ว ลังเลหรือถอยหลังไม่ได้แล้ว งานนี้ต้องลุย...” ใบหม่อนออกท่าทางสนับสนุนให้ผมเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที

“เห็นด้วย ลุยเลยพี่มูน”

“แล้วพ่อกับแม่ละ ไม่ถามเขาหน่อยหรอ ลูกชายจะมีแฟนเป็นผู้ชายทั้งคนเลยนะ” ผมไม่ได้ลังเล แต่ว่าเรื่องนี้ ยังไงก็ต้องบอกพ่อกับแม่ก่อน

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงพี่จะไม่ทายาทสืบต่อ แต่มั่นใจได้ว่า นามสกุล”แสงจันทรา” ยังมีผู้สืบทอดแน่ๆ ทั้งผมและไหมยังอยู่ รับช่วงต่อแทนได้อยู่แล้ว”

“ไม่ถามไหมสักนิดก่อนหรือว่า...จะสืบสกุลด้วยหรือไม่”

“อ้าวววว ไม่ชอบผู้ชายหรอ”

“ผู้ชายนะชอบ แต่ว่าไอ้พ่อของลูกนี่ มันหายากนะ ยิ่งมีต้นแบบดีๆ แบบพ่อกับพี่มูนด้วยนี่ มาตรฐานมันสูง ไม่รู้จะหาเจอหรือเปล่านี่ซิเรื่องใหญ่ ถ้าได้ไม่ดี ก็ไม่เอาดีกว่า อยู่มันอย่างนี้แหละ เอาไว้เลี้ยงหลานเอาก็ได้ ลูกไม่ต้องมีหรอก” นี่พวกมันคิดกาลไกลขนาดนี้แล้วหรอ

“มึงสองคนเรียนให้จบก่อนดีไหม คิดว่าปริญญาตรีนี่จะเรียนอะไร สอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนก่อนหรือเปล่า”

“โอ้ยยยยย พี่มูน นี่พี่ไปอยู่ที่ไหนนี่” เป็นใยไหมครับโว้ยวาย

“เขาวางแผนไปถึงจะมีลูกแล้ว เรื่องเรียนนี่ชิวๆ ไปแล้วพี่เอ้ยยยย” เฮ้ออออ เป็นกูใช่ไหม ที่ล้าหลังอยู่คนเดียว

“เอาอย่างนี้ ไหนๆ ก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้เสียเหลือเกิน ลองบอกพี่หน่อยว่า พี่เยว่เขาจะชอบพี่หรือไม่ วิเคราะห์ให้ฟังหน่อยซิ”
สองคนยิ้มให้กันน้อยๆ เป็นใบหม่อนที่หันหน้ามาหา แล้วเอ่ยกับผม

“ไอ้ชอบนะ ผมว่าคุณเยว่เขาชอบพี่นะ แต่ว่าจะในฐานะอะไร พี่น้อง...คนรู้จัก หรือ คนรัก ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่แน่ใจเลยว่า คุณเยว่ไม่ได้รังเกียจพี่ เหตุผลก็มาจากการกระทำที่พี่เล่า และจากปฏิกิริยาที่คุณเยว่แสดงออกมา ให้พวกเราเห็นเมื่อวานนี้ แต่ที่ยังไม่แน่ชัดคือ เขารู้สึกกับพี่อย่างไร หรือที่พวกเราเรียกว่าในฐานะอะไรนั่นแหละ ซึ่งอันนี้คงต้องให้เขาเป็นคนบอกเอง ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ก็อย่างที่คุณเขาบอกพี่นั่นแหละ ว่าขอเวลาอีกสักหน่อย แล้วจะมาอธิบายทุกอย่างให้ฟัง ซึ่งนั่นก็หมายถึงให้พี่รอ”

“แล้วระหว่างรอล่ะ พี่จะทำอะไรได้บ้างหรือไม่” ผมยังอ่อนอยู่ครับ

“ทำสิ ต้องทำอยู่แล้ว เดินหน้าแสดงออกว่ารักไปเลย แต่ว่าอย่าไปเร่งรัดเขานะ เราแค่แสดงออกในส่วนของเรา ชัดเจนในส่วนของเราก็พอ”

“แล้วแค่ไหนที่เรียกว่าชัดเจน” นี่ผมกากใช่มั๊ย

“ก็พี่บอกรักเขาไปแล้วใช่มั๊ย นั่นแหละชัดเจนแล้ว ต่อไปก็สนับสนุนคำพูดของตัวเอง ว่ารักเขาแค่ไหน อย่างไร”

ครื้ดดดดด ครื้ดดดดดด เสียงท้องใครร้อง ตัวต้นเสียงค่อยๆ ยกมือขึ้น ยิ้มน้อยๆ เป็นใยไหมครับ

พวกเราก็เลยต้องยุติการคุย แยกย้ายกันออกไปหาของกิน รอเวลาอีกไม่นาน พยาบาลก็เข้ามา เอายาก่อนและหลังอาหารมาให้ ซึ่งพยาบาลไม่ใช่คนเดิม ผมไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ เปลี่ยนคนก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่อึดอัด


**** to be continue ****
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2020 09:55:20 โดย KhunYingJung »

ออฟไลน์ KhunYingJung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
*** to be continue ***

Yuè part

เช้านี้ผมต้องตื่นขึ้นเพราะไฟในห้องถูกเปิดให้สว่าง พยาบาลคนเดิมที่เมื่อวานมีประเด็นกับมูน เข้ามาทำหน้าที่ของเธอในตอนเช้า ผมเห็นว่ามูนหันมามองว่าผมตื่นพร้อมกับเขาหรือไม่ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ เก็บอุปกรณ์เครื่องนอนกลับเข้าที่เก็บตามเดิม ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยมูนให้จัดการธุระส่วนตัวในตอนเช้าให้เรียบร้อย รอให้ครอบครัวของมูนมารับช่วงต่อในตอนสายๆ

แต่จากคำพูดที่ได้ยินเมื่อคืนนี้ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด ผมไม่สามารถจะมองหน้ามูนได้ในตอนนี้ ผมพยายามถามตัวเอง ว่าผมรู้สึกอย่างไร รังเกียจหรือเปล่า คำตอบก็ไม่ใช่ รักหรือเปล่า คำตอบก็ไม่ถึงขนาดนั้น

แต่ในเมื่อมูนชัดเจนในความรู้สึกของตนแล้ว แต่ผมเองที่ยังไม่ชัดเจนเลย ผมก็ไม่อยากทำให้มูนต้องสับสนไปกับผม ผมคงต้อง
ขอเวลา ใช่...ผมยังต้องการเวลาอีกสักพัก

เหตุผลอีกอย่าง...ที่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่คือ...พยาบาลคนนั้น...พยายามให้ท่ามูน

ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ผมว่ามูนเองก็รับรู้เหมือนกัน มูนพยายามไม่ตอบรับ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธการให้บริการ ที่แม้จะรู้ว่า เป็นการให้บริการตามหน้าที่ของพยาบาลก็ตาม แต่ผมก็ไม่อยากเห็น ผมไม่อยากเห็นคนอื่นยิ้มให้มูน ไม่อยากให้มูนรับยิ้มจากใคร

นี่ผมหวงมูนหรอ...

ผมพยายามถามตัวเอง เอาจริงๆ ตอนนี้ผมสับสนกับตัวเองอย่างมาก ผมออกจากห้องมาหยุดยืนเฉยๆ อยู่หน้าห้อง คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะกลับ หรือว่ารอจนกว่าพยาบาลจะออกมา หรือว่าจะรอจนกว่าครอบครัวของมูนจะมา จะเอาอย่างไรดี

ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหน ผมมารู้สึกตัวอีกที เมื่อน้องๆ ของมูนมาหยุดยืนอยู่หน้าผม ยกมือไหว้ทักทายผม ผมก็รับไหว้ และหันไปไหว้ทักทายพ่อกับแม่ของมูนที่ตามหลังมา

“อ้าว...ทำไมคุณเยว่มายืนข้างนอกแบบนี้ค่ะ ในห้องมีอะไรหรือเปล่า” แม่ของมูนถามน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่มีอะไรครับ พอดีพยาบาลเข้าไปตรวจตอนเช้านะครับ ผมก็เลยออกมา จะได้ไม่เกะกะเขานะครับ” สีหน้าของน้านิดหน่อยดีขึ้น
“คือว่า...เช้านี้ผมมีงานด่วนนะครับ คงต้องขอตัวกลับก่อน ยังไงผมส่งต่อเวรเฝ้าคนป่วยคืนให้นะครับ” ผู้ใหญ่ทั้งสองพยักหน้ารับคำ
“ขอบคุณ...คุณเยว่นะครับ ที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามูนมันเมื่อคืนนี้” น้าอิทพ่อของมูนกล่าวขอบคุณผม
“ผมยินดีครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้ขึ้นลาผู้ใหญ่ทั้งสอง และรับไหว้จากน้องทั้งสองอีกครั้ง

ทั้งหมดก็เดินเข้าห้องไป พร้อมๆ กับมีเสียงอาละวาดดังออกมาจากห้อง
“บอกว่าไม่ต้อง ผมจะให้คนของผมจัดการ เดี่ยวเขาก็มา” น้ำเสียงหงุดหงิดดังลั่น

แต่...ผมก็รีบปลีกตัวมาที่ลิฟท์แล้วกดลงไป ผมต้องตั้งหลักก่อน ที่ไหนดีล่ะ จะกลับบ้านลุงสมาน หรือว่ารอเฮียเหวินมารับดีล่ะ

“อ้าว...เยว่...มายืนทำอะไรตรงนี้” เทพเจ้าของผมมาแล้ว
“เฮียยยยยย ดีใจจังเลย”
“เป็นอะไร ผีเข้าสิงหรอ มาดีใจเรื่องอะไร” เป็นผม...ผมก็คง...งง...เหมือนกัน
“เราหาที่นั่งคุยกันก่อนได้ไหม”
“เอาสิ”

ผมกับเฮีย อาศัยร้านกาแฟในโรงพยาบาลสำหรับนั่งคุยกัน เราสองคนสั่งอาหารเช้าง่ายๆ กับกาแฟร้อนคนละถ้วย

“ไหนมีอะไรเล่าให้เฮียฟังซิ”
“ถ้ามีคนมาบอกรักเฮีย เฮียจะทำยังไง”
“ก็ดีสิ มีคนรัก ดีกว่ามีคนเกลียด”
“เอาดีๆ สิเฮีย”
“ก็ถามว่าถ้ามีคนมาบอกรักเฮีย เฮียก็ตอบว่าดี มันไม่ดีตรงไหน”
“โธ่...เฮียยยย”
“เอาให้ตรงประเด็นดิ”
“เมื่อคืนมูนบอกรักเยว่” เฮียกระตุกยิ้มเล็กๆ
“แล้วววว”
“นี่เฮียไม่ตกใจเลยหรอ”
“ตกใจทำไม ก็บอกแล้ว ว่ามีคนรัก ดีกว่ามีคนเกลียด ทีนี้ก็อยู่ที่เราแล้วหล่ะว่า รู้สึกอย่างไร”
“เยว่ไม่รู้ครับ”
“อ้าวววววว ทำไมไม่รู้”
“...”
“เอาอย่างนี้ ดีใจมั๊ยที่เขาบอกรัก”
“ก็ดีใจ แต่...”
“ทำไมต้องแต่ ดีใจก็ดีใจ”
“แต่มูนเป็นผู้ชาย เยว่ก็เป็นผู้ชายนะเฮีย จะรักกันได้ยังไง แล้วถ้ารักกัน ป๊า ม้า อาม่า แล้วคนอื่นๆ ล่ะ...จะว่ายังไง”
“คิดมากวะ”
“เฮียยยยยย”
“ที่บอกว่าคิดมาก เพราะว่า แค่ตอบคำถามว่าดีใจว่าเขาบอกรักมั๊ย ก็คิดไปเยอะแยะ”
“ก็มันต้องคิดไหมล่ะ”
“ก็ต้องคิด แต่ยังไม่ต้องคิดตอนนี้ เอาเฉพาะตัวเองให้รอดก่อน ค่อยคิดเรื่องคนอื่น ทั้งสองคนยังไม่โอเคกันเลย จะคิดถึงคนอื่นก่อนทำไม คิดแค่สองคนก่อนดีไหม ไปทีละขั้นตอน อย่าเหมารวม มันจะสับสนวุ่นวาย เอาแบบไอ้มูนมัน”
“หมายความว่ายังไง เอาแบบมูน”
“ไอ้มูนมันชัดเจนกับความรู้สึกของตนเอง แล้วมันก็เริ่มต้นที่ตัวมันกับเรา มันรอว่าคำตอบของเราจะเป็นอย่างไร”
“นี่แสดงว่าเฮียรู้แล้วหรอว่ามูนรู้สึกยังไง”
“อืมมม”
“รู้ได้ยังไง”
“เฮียถามมันตรงๆ”
“ถามได้ยังไง เอาอะไรไปถาม”
“ก็สงสัย ก็ถาม ก็ได้คำตอบ แค่นั้น”
“อะไรที่ทำให้เฮียสงสัย”
“ก็ท่าทีของเราสองคนนั่นแหละ”
“เยว่กับมูน...ทำอะไร...ให้เฮียสงสัย”
“นั่นไง...กูว่าแล้ว...มึงสองคนไม่รู้ตัวใช่มั๊ย”
“รู้ตัวอะไร”
“นี่มึงโง่ หรือมึงแกล้งโง่วะ กูถามจริง”
“เฮียยยยยยยย”
“มันอ้อนมึง มึงก็ให้มันอ้อน มึงก็ทำตามที่มันอ้อน ตามใจมันทุกอย่าง ตั้งแต่ป้อนยา ป้อนข้าว ให้อยู่เป็นเพื่อน มึงไม่ปฏิเสธมัน”
“...”
“มึงอย่ามาตั้งป้อมว่าไม่จริง ไม่ได้ตามใจ ก็แค่มันเป็นคนเจ็บ อะไรที่มึงทำได้มึงก็ทำ...ใช่มั๊ย...มึงจะเถียงแบบนี้ใช่มั๊ย”
“...”
“ยกตัวอย่างคุณประพาส ถามว่าถ้าคุณประพาสขอให้มึงทำ อย่างที่ไอ้มูนขอ มึงจะทำให้คุณประพาสมั๊ย”
“คุณประพาสไม่ขอแบบนั้น”
“ก็นั่นไง เพราะว่านี่คือไอ้มูน เป็นไอ้มูน มึงถึงยอมทำ แสดงว่าแค่เป็นไอ้มูนขอ มึงก็จะทำ”
“เฮียหมายถึงเยว่ชอบมูนหรอ”
“อันนี้กูตอบแทนไม่ได้ มึงต้องตอบคำถามนี่เอง แต่ที่บอกได้คือ มึงไม่ได้รังเกียจมัน แค่เป็นมัน มึงก็จะทำ และอีกอย่างที่บอกได้คือ ถ้าเป็นมึงแล้ว มูนมันก็จะทำแบบนี้แค่กับมึงเท่านั้น”

ผมนั่งนิ่งๆ อีกครั้ง กาแฟในถ้วยถูกคนจนหายร้อน อาหารเช้าถูกวางไว้นานแล้ว มันคงเย็นชืดไปหมดแล้ว ผมเลื่อนจานอาหารเช้าไปให้เฮียแทน เฮียก็รับไปกินโดยไม่ได้สนใจว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไร

หลังจากนั้น เฮียก็พาผมมาส่งที่บ้านของลุงสมาน แล้วก็ขอตัวไปคุยตามลำพังกับลุง ก็คงเป็นเรื่องที่ผมเป็นคนก่อเอาไว้...นั่นแหละ

ผมขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทิ้งก็ตัวลงนอน หวังว่าจะให้มันหลับ เพราะเมื่อคืน ผมแทบจะไม่ได้นอนเลย แต่ว่า...มันไม่หลับ ผมคิดถึงเรื่องที่คุยกับเฮีย คิดถึงคำบอกรักของมูน

ใจมันสั่นนะ

ผมคงต้องยอมรับแล้วใช่มั๊ย ว่าผมชอบมูนเหมือนกัน แล้วจะยังไงดีล่ะ ต้องตอบรับใช่มั๊ย แล้วถ้าตอบรับแล้ว ต้องยังไงต่อไป โอ้ยยยยย ปวดหัว

สัญชาตญานไปไวกว่าสมอง

ผมมีเบอร์ของมูนบันทึกไว้ในเครื่อง ตอนที่คุณประพาสแจ้งว่า มูนจะเป็นตัวแทนชาวไร่มาเจรจากับโรงสี 

“สวัสดีครับ เครื่องคุณรัตติกรครับ”

“ใบหม่อนใช่มั๊ย พี่...พี่เยว่นะ มูนหลับหรือเปล่า”

“ไม่หลับครับ รอสักครู่ครับ”

“พี่เยว่ใจร้าย พี่เยว่ทิ้งมูน มูนคิดถึงนะครับ”

“เกินไป...ไม่ได้ทิ้ง...ก็ฝากบอกน้านิดหน่อยไปแล้ว ว่ามีธุระด่วน ต้องรีบกลับมาทำ”

“ก็นั่นแหละ บอกกันตรงๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องฝากบอกเลย”

“เออๆๆ ขอโทษก็ได้”

“ไม่ได้โกรธหรอกครับ ไม่เคยโกรธเลยครับ แค่พี่โทรมา มูนก็ดีใจที่สุดแล้ว”

“แล้วคุณหมอว่ายังไง ให้กลับตอนไหน”

“กลับพรุ่งนี้ครับ วันนี้จะให้ยาแก้อักเสบให้ครบก่อน ต้องนอนที่นี่อีกคืนหนึ่งครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรออกไป

“พี่เยว่ครับ คืนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนมูนอีกคืนได้ไหมครับ...นะครับ...นะ...นะ”

“แล้วคนที่บ้านละ ไม่มีใครเฝ้าหรอ”

“ไม่มีหรอกครับ เขากลัวผีกัน โรงพยาบาลนี้...ผีดุ...จะตาย”

“มุสาวาทา เป็นบาป”

“โอเค...โอเค...มูนอยากให้พี่มาเฝ้ามูนครับ เดี๋ยวมูนบอกทุกคนเองว่า คืนนี้พี่จะมาอยู่เป็นเพื่อนให้อีกคืน...นะครับ”

“แล้วมื้อเย็นอยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เอาไปฝาก”

“อะไรก็ได้ครับ แค่พี่ป้อน มูนกินทุกอย่างเลย”

“อย่างนั้น...ก็ข้าวคลุกน้ำปลาละกันนะ อะไรก็กินได้ เดี๋ยวพี่เอาไปฝาก แค่นี้นะ”

นี่ผมได้คำตอบแล้วหรอ ถึงจะได้ไปหามูนแบบนี้ คำตอบก็คือ ยังไม่มีคำตอบหรอก แต่ว่าขอไปคุยกันก่อน แล้วค่อยหาคำตอบเอาตอนนั้นละกันนะ



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด