✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈  (อ่าน 6444 ครั้ง)

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***************************************


บทนำ
คุณเคยถามกับตัวเองไหมว่าคนเราจะออกเดินทางกันไปทำไม
   ส่วนใหญ่คนเราออกเดินทางเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็อาจจะเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ หรือตัวตนอีกด้านที่เราเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่ บางคนอาจจะออกเดินทางเพื่อเติมเต็ม แรงปรารถนา ความฝัน ความทะเยอทะยานของตนให้มันเติมเต็มและสมบูรณ์ และบางครั้งการออกเดินทางสำหรับใครบางคนก็เพียงเพื่อที่จะหนีอดีตที่มันเจ็บปวดและหากเราโชคดีการเดินทางก็อาจจะทำให้เราพบเจอกับใครคนหนึ่ง ใครที่จะใช้หัวใจและลมหายใจเดียวกันตลอดไป แล้วคุณละออกเดินทางไปท่องโลกที่มันกว้างใหญ่ใบนี้เพื่ออะไร?
[/b]


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2022 21:02:20 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
When love travel เมื่อความรักจบลง
«ตอบ #1 เมื่อ18-05-2020 17:43:41 »

    “เลิกเหรอ อันนี้พูดเล่นใช่ไหม?” น้ำเสียงสั่นๆ ปนสะอื้นของเด็กหนุ่มผิวสองสี พูดกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

       “เปล่า... พี่ขอโทษแต่พี่คิดว่าเราสองคนน่าจะจบกันตรงนี้ได้แล้ว พี่ไปต่อกับเราไม่ได้แล้วจริงๆ พี่คิดว่าเราไม่ใช่แล้ว” อีกน้ำเสียงหนึ่งตอบกลับไป ด้วยโทนเสียงที่เย็นยะเยือกราวกับไม่เคยรู้สึกอะไรกับคนตรงหน้าเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้คน คนนี้ก็เป็นคนคนเดียวกันที่พร่ำบอกคำว่ารักมากมาย

       ไอจากฤดูร้อนภายนอกได้แผ่เข้ามาในห้องอย่างไม่ลดละ ซึ่งโดยปกติแล้วอากาศร้อนแบบนี้คนตัวเล็กย่อมไม่พลาดที่จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำไว้ในห้อง แต่วันนี้แม้คนตัวเล็กจะลืมเปิดแอร์ ความเย็นก็แผ่ซ่านมาตั้งแต่ปลายนิ้วเท้ายันเส้นผม

       “แล้วทำไมพี่ กราฟ พึ่งมาพูดเอาตอนนี้ แล้วพี่จะให้ธํนไปอยู่ไหน ก็พี่เป็นคนบอกให้ธันคืนห้องที่หอไปแล้วย้ายมาอยู่กับพี่ แล้วตอนนี้พี่มาบอกเลิกธันแล้วธันจะไปอยู่ไหน” คนตัวเล็กเริ่มพูดอีกครั้งหลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพักใหญ่

       “อันนั้นมันก็เป็นปัญหาของเราไม่ใช่ปัญหาของพี่ เลิกกันแล้วก็ต้องดูแลตัวเองสิ ถ้าหาห้องไม่ได้จริงๆก็กลับไปอยู่บ้านพ่อบ้านแม่เราสิ” สิ้นคำพูดของคนรักเก่าป้ายแดงน้ำตาของหนุ่มผิวแทนก็ร่วงลงตรงพื้นเหมือนสายฝนหย่อมเล็กๆ ทั้งๆที่ในใจก็เต็มตื้นไปหมดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มแล้วก็ตอบกลับไป

       “ได้ ครับขอธันเก็บของหน่อยนะ”

       หลังจากเก็บของร่วมชั่วโมง ผู้ขออาศัยก็แบกสัมภาระรุงรังลงลิฟท์ออกมาชั้นล่างซึ่งมีเพื่อนสนิทสองคนของเขาจอดรถรออยู่หน้าคอนโดสักพักแล้ว

       “โห พี่ขอจอดแปปเดียวเพื่อนผมมันกำลังลงมาแล้ว แปปเดียวเดียวก็ไปแล้วไม่อยากจะอยู่นานนักหรอกกลัวจะคัน” เสียงหวานอมเปรี้ยวของทอมตัวเล็กที่พยายามจะพูดให้ดังและเข้มเพื่อที่จะทำให้คู่สนทนาเกรงใจแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่

       “แต่ตรงที่คุณจอดเนี่ยมันปิดทางเข้าออกของคนในคอนโดเขานะครับ แล้วคุณก็บอกว่าจะจอดแค่สิบนาทีแต่นี้มันจะชั่วโมงแล้ว ยังไงผมก็ต้องให้คุณถอยรถครับ” พี่ ร.ป.ภ. ที่ทำงานในส่วนที่จอดรถก็พยายามอธิบายตามหน้าที่

       “เฮ้ย เอ๋ไม่ต้องเถียงกับพี่เขาแล้ว ไอ้ธันมันเดินมานู้นแล้ว เดี๋ยวกูไปช่วยมันถือของก่อนนะ เดี๋ยวกระดูกมันจะหักเอาตัวยิ่งผอมๆอยู่” ยีนส์หันไปบอก จ้ะเอ๋ ทอมฮะ หลังจากยืนร้อนรนมาสักพักเนื่องจาก เพื่อนตัวดีที่โทรให้มารับมาเลทกว่าที่กำหนดไปค่อยข้างมากจนหวิดจะมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตึกอยู่แล้ว

       “ไหวไหมมึง” เพื่อนสาวถามหลังจากรับกระเป๋าบางส่วนมาช่วยถือไว้ในมือ

       “ไหวสิมึง ของไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้นถึงกูจะสวยแต่ก็ยังเป็นผู้ชายนะอย่าลืมสิ” คนผิวแทนตอบกลับอย่างกระฉับกระเฉงแม้จะพึ่งผ่านเรื่องร้ายๆมายังไม่ข้ามวันดี

       “ไม่ กูหมายถึง หัวใจมึงอะไหวไหม” คำพูดสั้นๆแต่เจ็บลึกไปถึงข้างใน ก็อย่างว่าแผลสดมันก็จะเจ็บจี๊ดๆหน่อย

       “ไหว ไหวก็เหี้ยแล้วสิมึง มึงจะพูดทำไมเนี่ย” แม้จะพยายามทำตลกกลบเหลื่อนแต่เพื่อนสนิททั้งสองก็พอจะรับรู้ถึงสภาวะจิตใจของเพื่อนของพวกเขาได้ จากทั้งน้ำเสียงและคราบน้ำตาของเพื่อนตัวเล็กของพวกเขา

       จ้ะเอ๋ และ ยีนส์ ต่างเป็นเพื่อนสนิทของธัน ทั้งสามรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ว่าทั้งสามคนเป็นคนอารมณ์ดีและชอบทำกิจกรรมเลยทำให้สนิทกันค่อนข้างเร็ว และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตัวเล็กต้องมีน้ำตาเพราะความรัก เพื่อนคนนี้ของเขามักจะทุ่มเทหัวใจไปกับความรักแบบสุดตัวเวลาหลงรักใครสักคน ดังนั้นจึงไม่แปลกเเมื่อเวลาถูกทิ้งจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกมีรูปร่างแต่ไร้ซึ่งวิญญาณและหัวใจ ถ้าไม่มีเพื่อนคอยหิ้วปีกออกมาจากคอนโดก็ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

       “เฮ้ย ทำไมเงียบจัง มึงทำหน้าให้มันดีๆสิ เดี๋ยวแม่มึงเห็นจะเป็นห่วงนะเว้ย โตแล้วก็ทำตัวให้มันโตด้วยนะมึง แค่ผู้ชายคนเดียวอย่าไปให้ความสำคัญกับมันมาก กูรู้ว่ามึงแผลสดแต่ว่า ทั้งกูทั้งที่บ้านมึง ก็บอกแต่แรกแล้วว่าอย่าย้ายไปอยู่กับเขา ให้มีห้องหับเป็นของตัวเองอะดีที่สุด แล้วเป็นไงไม่เชื่อพวกกู แล้วแว่นกันแดดอะมึงจะใส่ทำซากอะไร นั่งก็นั่งข้างหลัง เอามาให้กูใส่นี่แดดแยงตาจนตากูจะบอดแล้ว” หลังจากขับรถออกมาได้สักพัก คนนั่งหน้าทั้งสองคนก็พยายามชวนคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเนื่องจากไม่ได้เจอกันมาร่วมเดือน เพราะคนผิวแทนเอาแต่ติดแฟนไม่มีเวลาให้ แต่คนนั่งข้างหลังก็ตอบแต่แบบ ส่งๆขอไปที จนจะเอ๋ผู้เป็นสารถี เริ่มจะมีน้ำโห

       “โห พวกมึง กูเพิ่งโดนบอกเลิกยังไม่ทันข้ามวันเลย มึงจะให้กูทำใจได้เลยเหรอไง ไวไปป่าว” คนตัวเล็กที่เมื่อขึ้นรถมาก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง เพิ่งจะปริปากพูดประโยคยาวๆกับเพื่อนครั้งแรก

       “เออ ไอ้เอ๋มึงก็เข้าใจเพื่อนหน่อยดิวะ มึงนี่มัน เอ๋จริงๆเลย” ยีนส์ หันมาตะคอกเพื่อนจนรถแอบส่ายเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังมา

       “มึงขึ้นเสียงใส่กูทำไมวะ ไอ้ยีนส์”คนขับรถหันมองเพื่อน ที่นั่งข้างๆหลังจากควบคุมรถให้เป็นปกติได้แล้ว

       “ทำไม มึงมีปัญหาเหรอไง” สาวตัวใหญ่หันไปพูดกับคนข้างๆอย่างเอาเรื่อง

       “ป่าว กูไม่ได้จะมีปัญหา กูแค่ตกใจ เดี๋ยวกูหัวใจวายไปทำไง” ทอมตัวเล็กตอบกลับ ทำให้ทั้งรถหัวเราะกันได้บ้างหลังจากปล่อยให้รถมีแต่เสียงหายใจ และ เสียงเพลงคลอเบาๆมาตลอดทาง

       “มึง พวกกูกลับก่อนนะ พรุ่งนี้พวกกูมี งานเช้า ฝากสวัสดีแม่ด้วยมึง”หลังจากเอาของลงจากรถ เพื่อนทั้งสองก็รีบบอกลาเพราะระยะทางจากบ้านของธัน กลับไปในตัวเมืองกรุงเทพหากออกเลทกว่านี้อีกสักเล็กน้อย ก็จะต้องเจอปัญหารถติดไม่ต่ำกว่าสองถึงสามชั่วโมงแน่

       “เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ มานี้ก่อน” ธันหันกลับไปสวมกอดเพื่อนทั้งสองก่อนที่ทั้งสองคนจะได้ก้าวขึ้นรถ

       “ขอบคุณนะมึง ขอบคุณมากๆ กูแม่งไม่มีใครจริงๆวะ ต้องรบกวนพวกมึงบ่อยๆ” ธันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา พร้อมสวมกอดเพื่อนทั้งสองแบบหลวมๆ

       “อย่าดราม่าได้ปะ มึงไม่มีใครก็มีพวกกูนะเว้ย ผู้ชายแบบนี้อย่าไปนึกถึงมันให้มาก ถ้าเขารักมึงจริง เขาจะไม่ทำให้มึงร้องไห้เลยเว้ย หาเอาใหม่ อย่างมึงยังหาได้อีกเยอะ” ยีนส์ สาวอวบของกลุ่มพูดพร้อมเอามือลูบบ่าของคนตรงหน้า

       หลังจากยืนส่งเพื่อนจนรถขับออกไปลิบตา ธันก็พยายามหยิบของทั้งหมดขึ้นมาไว้ในมือและพยายามจะเปิดประตูรั้วบ้าน แต่ประตูก็เปิดออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้บิดลูกบิดประตูด้วยซ้ำ ภาพของหญิงวัยกลางคน ยืนยิ้มอยู่ตรงด้านหลังประตูที่เปิดออก และยังเป็นรอยยิ้มที่ยังดูสวยงามไม่เปลี่ยน

       “เป็นไงลูก ลมอะไรหอบมาละ แล้วนั่นหิ้วข้าวของอะไรมาเต็มไม้เต็มมือ อ้าวแล้วพี่กราฟไปไหนละ ไม่ได้มาด้วยเหรอ” คนเป็นแม่พยายามมองข้ามไหล่ลูกชายเพื่อจะที่มองหาแฟนของลูกที่จะต้องตามติดกันแจเหมือนกับขนมปังและแยมทุกครั้ง

       “หนู เลิกกันแล้วแม่” เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ของวันที่เขาจะต้องแบกความรู้สึกนี้เอาไว้ ความรู้สึกที่ว่าคนข้างๆของเขาไม่อีกต่อไปแล้ว ความสดใสช่วงหนึ่งของชีวิตของเขามันได้หายไปแล้ว

       อาหารเย็น ถูกวางตรงหน้ามากมาย มองแล้วดูเป็นอาหารมื้อพิเศษกว่าทุกๆวันที่เขาเคยกิน เนื่องด้วยว่าตอนอยู่ที่คอนโดของแฟนเก่าครัวที่มีก็เป็นครัวขนาดค่อนข้างเล็ก ซึ่งสามารถทำได้แต่อาหารเบาๆเท่านั้น ดังนั้นส่วนใหญ่คู่รักคู่นี้จะชอบออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก หรือไม่ก็จะสั่งอาหารผ่าน Delivery กันซะมากกว่า

       “กิน เยอะๆนะ ไม่ต้องไปคิดมาก เดี๋ยวกราฟก็มาง้อหนูเชื่อแม่สิ พี่เขารักธันจะตาย” คนเป็นแม่พยายามพูดเพื่อให้ลูกของเธอสบายใจ ทั้งๆที่รู้ว่ารอบนี้น่าจะหนักเพราะเจ้าตัวเล็กล่อหอบข้าวของมาจนหมดทุกชิ้น

       “ธันว่าคงไม่เป็นแบบนั้นแล้วละแม่ ดูที่เขาส่ง ข้อความมาสิ” คนเป็นลูกยื่นมือถือให้คนเป็นแม่ดู

       “พี่ขอโทษนะที่มันต้องจบแบบนี้ พี่เองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย แต่พี่คิดว่าเราพยายามปรับเข้าหากันมาหลายรอบมากๆแล้ว แต่มันก็เหมือนฝืนกันไปทั้งคู่ พี่ว่าเราต่างคนต่างไปหาคนที่เข้ากันได้แบบไม่ต้องฝืนดีกว่า” คนเป็นแม่ค่อยๆเงยหน้ามามองหน้าลูกช้าๆ พร้อมยื่นโทรศัพท์คืนมาให้

       “แม่ ธันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ ธันแค่ขอเวลาหน่อยนะ” หลังจากช่วยแม่ล้างจานเสร็จธันก็เดินเข้าห้องของตัวเอง เขามองสัมภาระมากมายที่วางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพรมสีตุ่น มีทั้งสัมภาระใหม่ที่เพิ่งขนเข้ามาเมื่อเย็นนี้และก็มีของใช้บางส่วนที่แม่ของเขาเอาเข้ามาเก็บไว้ในห้องเนื่องจากคิดว่าลูกชายคงจะไม่ได้กลับมานอนบ้านอีกพักใหญ่ๆ ห้องส่วนตัวของเขาจึงกลายเป็นห้องเก็บของไปกลายๆ หลังจาก มองสัมภาระอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะค่อยจัดสัมภาระเอาพรุ่งนี้และ เริ่มเอนกายลงบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่ได้เอาผ้าคลุมกันฝุ่นออกเลย เขานอนนิ่งแหงนมองบนฝ้าเพดาน มองจากจุดด่างจุดหนึ่งข้ามไปอีกจุดหนึ่ง รอยด่างส่วนใหญ่เกินจากตอนเป็นเด็กเขาและพี่ชายชอบแข่งกันเคี้ยวหมากฝรั่งแล้วโยนขึ้นไปเพื่อแข่งกันว่าหมากฝรั่งของใครจะติดอยู่ข้างบนได้นานกว่ากัน พอแม่รู้เข้าก็โดนตีกันทั้งสองหน่อแถมให้ปีนบันไดไปเอาหมากฝรั่งลงมาด้วย ไม่รู้ของใครเป็นของใครคิดแล้วก็แขยงมือกันน่าดู

       นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาเหม่อลอยอยู่แบบนั้น แต่นานมากพอที่จะทำให้เขาเกือบจะผลอยหลับไปแล้วถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาซะก่อน

       ติ๊ง! ข้อความบนหน้าจอ มาจาก น้องที่ทำงานเก่าที่เขาเคยสนิทด้วย ธันเลยอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเปิดดู

       “พี่ธัน นี่แบมบูเองนะ อยากจะชวนไปกินข้าวหน่อย คิดถึงไม่ได้เจอนาน พอดีเพิ่งจะกลับมาจากอังกฤษ แต่ว่าตอนนี้ก็กำลังจะทำเรื่องไปเรียนภาษาต่อที่ออสเตรเลียอีก ถ้า Visa ผ่านก็น่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย ออกมากินข้าวกันหน่อยสิพี่ คิดถึง.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2020 18:07:05 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง
«ตอบ #2 เมื่อ18-05-2020 17:45:50 »

หากมีข้อเสนอแนะอะไรรบกวนแจ้งได้เลยนะครับ สิงอยู่ในบอร์ดมาตั้งนานแต่ว่าพอลองมาเขียนเอง ก็แอบงงๆเรื่องการใช้งานบอร์ดอยู่เหมือนกัน อาจจะต้องฝึกอีกหน่อย ยังไงช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง
«ตอบ #3 เมื่อ18-05-2020 18:52:50 »

 :pig2:
 :3123:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
When love travel เมื่อคิดถึงความรัก
«ตอบ #4 เมื่อ19-05-2020 20:19:12 »

   “อืม ได้สิที่ไหนละ” เขาเองก็ไม่ได้เจอรุ่นน้องคนนี้มาสักพักแล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าถ้าพลาดโอกาสนี้จะได้ไปเจอกันอีกทีเมื่อไหร่ จึงทำให้ตัดสินใจรับนัดได้ไม่ยาก
              “ตอนนี้พี่ยังทำงานที่โรงแรมเดินไหม ถ้ายังทำอยู่ไปร้านประจำเราที่ Central world ประมาณห้าโมงเย็นพรุ่งนี้ไหมละ สะดวกหรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
       “เออ ก็ยังทำที่เดิมแหละ ทำจนเขาโปรโมทให้เป็น Super แล้วเนี่ย เจอกันที่ร้านนั้นเวลานั้นก็ได้ พี่ก็คงออกกะพอดี” หลังจากตอบเสร็จธันก็ปล่อยโทรศัพท์วางไว้ข้างๆ พร้อมทั้งเปิดเพลงฟังคลอไปเบาๆ
       เสียงจิ้งหรีดเรไรลอดเข้ามาตามหน้าต่างเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วด้วยความที่บ้านของธันนั้นตั้งอยู่บริเวณชานเมืองทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบยังหลงเหลือความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างแต่ถึงบรรยากาศจะเอื้อแก่การนอนหลับมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับตาลงไปได้ เพราะเขายังคงคิดถึงวันเก่าๆของเขากับพี่กราฟ ในวันแรกที่เจอกันเขายังจดจำรอยยิ้มนั้นได้ดี วันนั้นก็เป็นวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวอย่างเช่นคืนนี้นี่แหละ จะต่างกันก็คงจะเป็นสถานที่ เพราะวันนั้นเขากำลังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยเนื่องจากจะบ่ายโมงแล้วแต่เพื่อนสนิทที่นัดกินข้าวไว้ตอนเที่ยงยังไม่มากันเลยสักคน
       “ทำหน้าบึ้งๆไม่เข้ากับหน้าหวานๆเลยนะครับ” เสียงนุ่มๆทุ้มๆดังขึ้นข้างหลังคนตัวเล็กที่กำลังนั่งหน้าเป็นตูดเพราะหิวข้าวอยู่
       หนุ่มผิวแทนหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าเพื่อนตัวดีคงจะดัดเสียงอำเป็นแน่ แต่พอหันไปกลับพบหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง ใส่แว่น กำลังยิ้มตอบกลับมาให้เขา เขาเลยเริ่มหันมองรอบๆเผื่อหนุ่มคนนี้กำลังพูดกับคนอื่น เพราะเขาไม่ได้รู้จักกับคนตรงหน้าสักหน่อย แต่ก็ต้องหันกลับมาอย่างช้าๆเพราะไม่มีใครแถวนั้นเลยนอกจากเขาคนเดียว
       “โรคจิต?” ในหัวของเขาคิดประโยคอื่นไม่ออกเลยนอกจากคำนี้ เพราะโดยปกติคนที่ไม่รู้จักกัน จะเข้ามาคุยกันแบบนี้ได้เหรอ ยิ่งรูปประโยคที่พูดออกมาก็ยิ่งดูแปลกจนทำเขาค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถอยห่างหนุ่มตรงหน้าก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างต่อ
       “ไม่ต้องตกใจนะครับ พอดีพี่เห็นเรานั่งอยู่คนเดียวมาสักพักแล้ว พี่ไม่ใช่โรคจิตนะครับไม่ต้องกลัว” ชัดเลย โรคจิตที่ไหนจะบอกว่าตัวเองโรคจิตกันละ แต่คนตรงหน้าก็เป็นแบบที่เขาชอบพอดีด้วยถ้าคุยต่อด้วยอีกหน่อยจะอันตรายไหมนะ ระหว่างกำลังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะวิ่งหนีดีหรือจะคุยด้วยดีเพื่อนตัวดีก็ดันโผล่มาพอดิบพอดี
       “ขอโทษมึงรถมันติดมากเลยวะ นี่กูกับไอ้ยีนส์รีบๆสุดๆแล้วนะเว้ย” จ้ะเอ๋ กึ่งพูดกึ่งหอบซึ่งดูสภาพแล้วน่าจะวิ่งมาไกลเป็นแน่ มองข้ามไหล่จ้ะเอ๋ไปก็เห็นสาวยีนส์กำลังกึ่งวิ่งกึ่งคลานขึ้นบันไดตามมาเช่นกัน ซึ่งเอาเข้าจริงสภาพของทั้งสองคนก็ดูไม่จืดด้วยกันทั้งคู่
       “เหรอ แต่ว่าพวกมึงนั่ง BTS มาไม่ใช่เหรอวะ มันจะมีรถติดได้ยังไง” หนุ่มผิวแทนยืนกอดอกพร้อมกรอกตามองบนจนตาแทบจะไหลกลับไปยังก้านสมอง เพราะสิ่งที่เพื่อนของเขาพูดมันช่างฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
       “เออ ก็ BTS มันค้างไงมึง ไอ้เอ๋มันจะบอกว่า BTS มันค้างเว้ย มึงนี่ใช้คำไม่ถูกเลย ทำเพื่อนสับสน” เป็นยีนส์ที่มีไหวพริบ ค่อนข้างที่จะดีกว่ารีบชิงตอบกลับมาแทน เพราะจ้ะเอ๋ตอนนี้นิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
       “อ๋อ โอเค BTS ค้างเนาะ” แม้จะไม่ค่อยเชื่อแต่ตอนนี้คนตัวเล็กก็หิวเต็มทีแล้ว จึงเลือกที่จะตัดบทไป
       “ว่าแต่ ใครวะมึง”เพื่อนทั้งสองเดินเข้ามาประชิดหนุ่มผิวแทนก่อนจะจ้องมองหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่วางตา คนหนึ่งก็มองด้วยความปลื้ม แต่อีกคนน่าจะมองเพราะความอิจฉา
       “อ๋อ พอดีพี่ชื่อกราฟนะครับ พอดีเห็นเพื่อนน้องนั่งอยู่คนเดียวเลยเป็นห่วงว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะครับ” คนตรงหน้าตอบกลับมาพร้อมยิ้มตาหยี เพื่อผูกสัมพันธ์เต็มที่ นี่คงกะเข้าทางเพื่อนเต็มที่สินะหนุ่มตัวเล็กคิดในใจ
       “อ๋อครับ ผมเจอเพื่อนแล้วยังงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบเขาก็พยายามลากเพื่อนเดินไปที่ร้านอาหารที่พวกเขาได้ทำการจองเอาไว้
       ชั่วครู่ ทั้งสามก็มาถึงร้านอาหารสไตล์ ญี่ปุ่นแบบสายพานชื่อดังใน Siam square แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในร้านก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาข้างหลัง
       “อ้าว บังเอิญจังเลยนะครับ”หนุ่มตี๋ผู้มีรอยยิ้มสดใสได้เดินมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
       “บังเอิญหรือเดินตามพี่ เอาดีๆ”คนตัวเล็กถามกลับอย่างเอาเรื่องเพราะมันเริ่มจะจะดูแปลกจนกึ่งจะเป็นการคุกคามแล้ว
       “บังเอิญจริงๆครับ พอดีร้านนี้ที่บ้านพี่เป็นเจ้าของ เข้ามาสิครับเดี๋ยวจะให้เชฟจัดอาหารพิเศษให้” คนตัวโตตอบกลับอย่างใจเย็นพร้อมทั้งไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มหวานๆให้อีกหนึ่งที
       “เปลี่ยนจากจัดอาหารพิเศษเป็นกินฟรีได้ไหมครับ” จ้ะเอ๋พูดตอบทันควันเนื่องจากเป็นคนที่ชอบของฟรีอยู่แล้ว
       “ได้สิ ถ้าน้องเอาเบอร์เพื่อนน้องให้พี่ จะกินเท่าไหร่พี่ยอม” ทางด้านนี้ก็คงจะหัวไวไม่แพ้กันเพราะตอบกลับได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
       “ได้พี่ เดี๋ยวผมเอาให้เล...”ก่อนที่จ้ะเอ๋จะทันพูดจบก็โดนศอกปริศนา มาถองเข้าที่บริเวณท้องน้อยซะก่อน
       “มึงเป็นอะไรเนี่ย”คนตัวเล็กถามกลับไปอย่างหัวเสียเพราะถูกขายกันจะจะตรงหน้าแบบนี้
       “เป็นทอมไง อยู่กันมาตั้งนานไม่รู้จริงๆเหรอ”จ้ะเอ๋ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกรู้สา
   “ครับ อะไรของมึงเนี่ย เล่นซะกูเคลิ้มกูหมายถึงมึงอะหิวเหรอ จะขายเพื่อนแลกข้าวเนี่ย” ถึงจะสตั้นไปเล็กน้อยกับคำตอบของเพื่อนแต่หนุ่มผิวแทนก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “โห มึงก็นานๆทีจะได้กินฟรีหรือเปล่า มึงก็ให้ๆพี่เขาไปเหอะ”
   “เลว”ธันพูดพร้อมทั้งเดินเข้าร้านไปโดยไม่รอเพื่อน ส่วนหนุ่มตี๋เห็นดังนั้นก็เดินตามเข้าไปติดๆ
   “ด่าพี่เขาแหละ” จ้ะเอ๋ยังหันกลับไปขำกับยีนส์โดยไม่มีสลด
   “ด่ามึงนั้นแหละ” ธันตะโกนเสียงแข็งออกมาจากข้างในร้านทันควัน
       และถึงแม้หนุ่มธันจะพยายามดึงหน้าและตอบคำถามแบบขอไปที พี่กราฟก็ไม่มีย่อท้อที่จะยิงมุข บวกกับเพื่อนทอมของเขาเองก็พยายามเชียร์เต็มที่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกคอกับพี่กราฟ หรืออยากจะกินข้าวฟรีกันแน่ สุดท้ายแล้วธันก็เลยให้ Line ไปก่อนซึ่งดูเหมือนแค่นั้นก็ทำให้หนุ่มตี๋ยิ้มหน้าบานไม่หุบแล้ว
       จากวันเลื่อนไปเป็นเดือน หนุ่มตี๋ก็พยายาม ทำคะแนนด้วยการแชทหาทุกวันชวนออกเดททุกครั้งที่ว่างตรงกัน จนในที่สุดหนุ่มผิวแทนก็ใจอ่อนและยอมตอบตกลงเป็นแฟน
       “พี่ไม่สามารถรับปากได้นะว่าพี่จะไม่ทำให้ธันไม่มีน้ำตาแต่พี่ขอสัญญาว่าพี่จะไม่ยอมปล่อยมือธันแน่นอน” หลังจากพลุดอกสุดท้ายของปีใหม่จบลง และธันยอมตอบตกลงเป็นแฟน หนุ่มตี๋ก็หันมายิ้มพร้อมทั้งพูดประโยคนี้กับคนที่ตัวเล็กกว่าที่ยืนกุมมืออยู่ข้างๆ
       “ไหนว่าจะไม่ปล่อยมือกันไง” ธันมองดูรูปคนตัวสูงที่กำลังยิ้มแฉ่งบนโทรศัพท์ของเขา พร้อมกันนั้นน้ำใสๆก็ไหลอาบแก้มของเขาเป็นทาง หลังจากเลื่อนดูรูปเก่าสักพักหนึ่ง คนตัวเล็กก็ผลอยหลับไปโดยที่ยังมีเพลงคลอไปเป็นเพื่อนตลอดคืน
       แดดยามเช้าลอดเข้ามาผ่านม่านบังแดด ทำให้ตาของหนุ่มน้อยค่อยๆลืมอย่างช้า จนเมื่อตาเริ่มปรับกับแสงได้ เขาก็ต้องรีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเนื่องจากว่าเขากำลังจะไปทำงานสายแล้ว
       “เฮ้ย ไหวป่าววะมึงทำไมแลดูไม่สดชื่นเลย” กาย เพื่อนร่วมงานตัวกลมถามเพื่อนตัวผอมด้วยความเป็นห่วง
       “เออ ไม่เป็นไรมึงตื่นสายแล้วกินข้าวไม่ทันเฉยๆว่ะ เลยเพลียๆ” ธันตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ
       “อย่ามา ฉันเห็นแกโพสอะไรใน IG ยังกับคนอกหัก ไหนเล่าสิ” สาวตัวกลม ยังคงซักถามไม่หยุด
       “เออ เลิกกันแล้ว แต่ขอยังไม่พูดอะไรเยอะนะมึง ยังไม่พร้อมว่ะ” เสียงของหนุ่มตัวเล็กจากราบเรียบเริ่มสั่นไหวคล้ายน้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลมาอีกรอบ
       “เออ มึงพร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้ หรือ ถ้ามึงไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้รู้ว่ากูเป็นห่วงมึงนะ” หลังจบประโยคสาวเจ้าก็เร่งเคลียเอกสารตรงหน้าเพื่อที่จะได้กลับบ้านตรงเวลา
       หนุ่มตัวเล็ก นั่ง BTS เพื่อมาถึงจุดนัดพบกับเพื่อนรุ่นน้องแต่เมื่อมาถึงกับพบข้อความส่งเข้ามาว่าอาจจะมาสายนิดหน่อยเพราะรถค่อนข้างติด เขาเก็บมือถือเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะเริ่มนึกว่าตอนนี้รุ่นน้องเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ภาพจำของแบมบูที่ธันจำได้คือ เกย์หนุ่มเจ้าเนื้อชอบย้อมผมเป็นสีแรงๆเช่นสีเขียวหรือสีแดง พร้อมทั้งจะต้องใส่ของแบรนด์เนมทั้งตัว กระเป๋ารองเท้าเครื่องประดับ งาน HYPE ต้องมา หลังจากคิดอะไรเพลินๆได้สักพัก เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นตรงหน้า
       “ฮ้ายๆ กระเทย” เสียงทุ้มที่พยายามบีบให้แหลมซึ่งหากพิจารณาแล้วก็ยังรู้อยู่ดีว่าไม่มีทางเป็นผู้หญฺงไปได้เลย
       “มึงสิกระเทย” ประโยคสุดคลาสสิคถูกตอบโต้ขึ้นโดยอัตโนมัติ
       “ฮ่า ฮ่า ยังไวเหมือนเดิมเลยนะ” พูดจบคนตัวใหญ่ก็สวมกอดคนตัวเล็กทันที
       “แล้ว พ่อหนุ่มเกาหลีไม่มาด้วยเหรอ ปกติตัวติดกันตลอดนี่” แบมบูถามด้วยความสงสัย
       “พูดอะไรให้เกรียติคนตายด้วยมึง” ธันพูดพร้อมทำสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆนั้นทำให้แบมบูเริ่มคิดว่าที่เขาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริงเลยเงียบไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรออกไป
       “ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกนี้ยังหลอกง่ายเหมือนเดิมนะ มันยังไม่ได้ตายหรอก ฉันสองคนแค่ แค่เลิกกันน่ะ” ธันยิ้มฝืนๆให้น้องที่ตอนนี้มีสีหน้าตกใจขึ้นกว่าเดิมอีก
       หลังจากกินข้าวและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันพอสมควร แบมบูก็ทำสีหน้าจริงจังแบบแปลกๆออกมา และพูดขึ้นมาว่า
       “ไหน ไหน ก็ไหน ไหนแล้ว อกหักก็ไปเรียนด้วยกันซะเลยสิ เผื่อจับผลัดจับผลู จะได้หนุ่มตาน้ำข้าวกับมาไหว้แม่นะพี่”
       “หนุ่มตาน้ำข้าวเหรอ”ธันคิดในใจ พร้อมทั้งเหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่างร้าน ที่วิวภายนอกเริ่มมองเห็นแสงไฟของเมืองหลวงบางแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2020 19:04:01 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.2
«ตอบ #5 เมื่อ20-05-2020 16:59:20 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
When love travel เมื่อรักติดปีก
«ตอบ #6 เมื่อ20-05-2020 19:02:53 »

   “พ่อครับ แม่ครับ ถ้าธันจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย พ่อกับแม่จะว่าไงครับ” หนุ่มน้อยของเรานอนคิดทบทวนเรื่องที่ แบมบูออกปากชวนไปต่างประเทศทั้งคืน ใจจริงการไปเรียนต่อต่างประเทศก็เป็นความฝันของเขาอยู่แล้ว บวกกับที่เขาเพิ่งอกหักมาหมาดๆแล้วด้วย การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ น่าจะดีกับหัวใจของเขามากกว่า เพราะการอยู่กับสถานที่เดิมๆ สิ่งแวดล้อมเดิมๆ ก็จะพาลทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาที่เขาและพี่กราฟยังรักกันอยู่ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาปวดใจจนแทบอยากจะหยุดหายใจ เมื่อคิดได้ว่า เขาคงไม่มีช่วงเวลาเหล่านั้นกับพี่กราฟอีกแล้ว

   หลังจากหนุ่มผิวแทนของเราได้พูดประโยคข้างต้นออกไป ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนตรงหน้า ทั้งคู่ยังคงตักอาหารเช้าเข้าปากต่อไปอย่างเงียบๆ จนผู้เป็นพ่อได้เริ่มพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบนั้นลง

   “คิดดีแล้วเหรอลูก”ผู้เป็นพ่อ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนประโยคที่เขาถามมันเป็นคำถามที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

   “ธัน อยากไปเรียนต่อต่างประเทศมานานแล้วครับพ่อ อีกอย่างช่วงอายุประมาณนี้ถ้าธันไปแล้วกลับมาก็ยังน่าจะหางานได้ง่ายอยู่ ธันไม่อยากมานั่งเสียดายทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ยอมไปน่ะครับ” คนตัวเล็กพูดจบก็หลุบตาลงมองที่จานข้าวตรงหน้าของตัวเอง

   “แหม่ ถ้าคิดมาขนาดนี้แล้วใครจะไปห้ามเราได้ละ แล้วเรื่องเอกสาร เรื่องเงิน ต้องใช้อะไรเท่าไหร่ยังไงดูไว้แล้วหรือยัง” เป็นคราวของคนเป็นแม่ที่จะเริ่มซักถามบ้าง

   “ก็ดูไว้คร่าวๆแล้วครับแม่ คือจริงๆธันไม่ได้กะจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นนะครับ แค่จะเทคคอร์ส ภาษาเป็นช่วงเวลาสั้นๆสักหกเดือนอะไรประมาณนี้น่ะครับแม่” แม้จะสามารถตอบกลับได้ในทันทีแต่ในน้ำเสียงของเขานั้น ยังคงแฝงความไม่มั่นใจอะไรบางอย่างอยู่ด้วย

   “อืม ก็ถ้ามีอะไรจะให้พ่อกับแม่ช่วยก็บอกมาแล้วกัน อีกอย่างมันก็จริงของเรานั้นแหละไปตอนนี้กลับมาก็ยังมีโอกาสหางานหาการทำได้ ขืนไปตอนแก่กลับมาตกงานจะให้พ่อกับแม่เลี้ยงก็ไม่ไหวละมั้ง” คนเป็นพ่อยังคงใช้โทนเสียงที่ราบเรียบตอบกลับไปหาลูกชาย แต่ภายในแววตานั้นกลับแฝงความเป็นห่วงอย่างเอ่อล้น

   หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามประโยคต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันออกไปทำงาน ถึงแม้ว่าธันจะมีรถยนต์เป็นของตัวเองแต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยจะได้ใช้เนื่องจากเขาเคยมีสารถีส่วนตัวคอยไปรับมาส่งทุกวันและนั่นทำให้เขายังรู้สึกโหวงอยู่ในใจลึกๆเมื่อวันนี้เขาเดินก้าวออกจากบ้านแล้วไม่เจอรถคันที่คุ้นตามาจอดรออีกต่อไปแล้ว

   วันและคืนค่อยๆเลื่อนผ่านไปจนเกือบจะเป็นเดือน หลังจากวันที่เขาชำระเงินค่า Visa และค่าเล่าเรียน จนถึงเอกสารต่างๆที่เอเจนท์ร้องขอเขาก็ส่งไปทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นจะมีวี่แวว การติดต่อกลับมาจากเอเจนท์เลย ประจวบกับวันที่เขาจะเริ่มเรียนก็ใกล้เข้ามาทุกที จนเขาเริ่มจะหวั่นใจว่าจะสูญเงินฟรี กระทั่งบ่ายแก่ๆ ของวันทำงานวันหนึ่งก็มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามายังโทรศัพท์ส่วนตัวของเขา

   “สวัสดีค่ะ อันนี้น้องธันหรือเปล่าคะ” เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ปลายสาย

   “ครับ พูดอยู่ครับ จากไหนครับเนี่ย” หนุ่มผิวแทนถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้ให้เบอร์ส่วนตัวใครไว้เลยนอกจาก เพื่อน กับ คนในครอบครัวเท่านั้น

   “แหม่ พี่ฝ้ายเองค่ะ จากบริษัท Work and study ไงคะ ที่น้องธันเคยมาติดต่อเรื่องสมัครที่ออสเตรเลีย คือพี่จะโทรมาแจ้งผล Visa ค่ะ” เธอเว้นระยะหายใจไปหนึ่งอึดใจแต่แค่นั้นหัวใจของหนุ่มผิวแทนก็เต้นระรัวเหมืองมีคนมารัวกลองอยู่ข้างๆ

   “สรุป ว่าน้อง Visa ผ่านแล้วนะคะ ยินดีด้วยค่ะ” ยังไม่ทันจะจบประโยคดี ธันก็หลุดร้องดีใจออกมาอย่างลืมตัว จนเพื่อนร่วมงานและแขกที่เข้ามา Check-in มองมาด้วยด้วยความขบขัน จนธันต้องเดินหลบออกไปบริเวณภายนอกโรงแรมเพื่อเป็นการแก้เก้อ

       ถึงแม้ว่าตามกฎระเบียบ ของที่ทำงาน คนตัวเล็กจำเป็นต้องแจ้งออกล่วงหน้า 30 วัน แต่ก็ถือเป็นโชคดีเพราะงานโรงแรมนั้นสามารถสะสมวันหยุดได้ และเมื่อหักลบวันหยุดสะสมแล้ว เขาก็เหลือวันที่ต้องมาทำงานจริงๆแค่ 5 วัน เท่านั้น

       “มึง จะไปจริงๆเหรอวะ กูก็รู้นะเว้ยว่ามันจะดีกับมึง แต่ก็รู้สึกใจหายว่ะ” กายเพื่อนร่วมงานคนสนิทของเขาพูดขึ้น ในวันสุดท้ายของการทำงาน พูดไปธันกับกายก็ผ่านอะไรกันมาค่อนข้างมากเหมือนกัน ทั้งตีกับแขกเรื่องค่าเสียหายของปลอกหมอน เพราะแขกย้อมผมแล้วนอนเลยทำให้ปอกหมอนจากสีขาวกลายเป็นสีเขียวนกแก้วแทน ไหนจะเรื่องเมียหลวงตามมาตบเมียน้อยหน้า Lobby ก็ได้คนผิวแทนกับคนตัวกลมนี่แหละคอยแยกมวย คิดไปคิดมาคนตัวเล็กก็แอบใจหายเหมือนกัน

       “เออ มึง กูคิดดีแล้วว่ะ แล้วกูก็ไม่ได้บินเพราะอยากจะหนีใครนะเว้ย แต่กู อยากไปเรียนต่อเมืองนอกนานแล้ว มันเป็นความฝันของกูว่ะมึง” ธันหันกลับไปมองเพื่อนพร้อมกับยิ้มมุมปาก

       “เออ ไปก็เอาผู้ชายมาฝากเพื่อนบ้างนะ เพื่อนอยากลองของนอก”กายที่แม้จะยังคงจดจ่อกับงานที่หน้าคอมแต่ก็ยังไม่วายที่จะยิงมุขส่งมาให้คนตัวเล็กได้อมยิ้มและมันคงจะเป็นการอมยิ้มครั้งสุดท้ายในสถานที่แห่งนี้แล้ว

       “เออ เดี๋ยวเอามาฝาก แต่เพื่อนขอลองก่อนนะ จะได้บอกเพื่อนได้ว่าดี หรือไม่ดี “ ธันและกายหันมายิ้มมุมปากให้กันเหมือนจะเป็นการสื่อความหมายที่รู้กันสองคนว่า แล้วเจอกันใหม่นะ

       หลังจากกล่าวลา พี่ๆเพื่อนๆทีทำงานเสร็จเรียบร้อย ธันก็เก็บของลงกล่องกระดาษ  A4 ซึ่งจริงๆแล้วของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของจิปาถะเช่น รองเท้าแตะเอาไว้เดินในออฟฟิศ กับพวกผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว เพราะว่าหัวหน้าของพวกเขาชอบเปิดแอร์แรงๆ จนครั้งหนึ่ง วิกผมที่หัวหน้าใส่ปลิวออกไปด้านหน้า เดือดร้อนพี่ยามต้องออกไปตามไล่เก็บกันอีก

       “เสื้อกันหนาวเช็ค ที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์เช็ค ยาแก้ภูมิแพ้เช็ค น่าจะไม่ลืมอะไรแล้วนะ” ธันมองดูกระดาษเช็คลิสต์สิ่งของที่ต้องเอาไปในมือสลับกับสัมภาระที่ยัดลงกระเป๋า หลังจากเช็คจนแน่ใจแล้วเขาก็ลงมือปิดกระเป๋าแบบทุลักทุเล เพราะเหมือนว่าเขาจะเอาของใส่ไปในกระเป๋าเยอะไปหน่อย ซึ่งหลังจากปล้ำกันอยู่นานเขาก็สามารถปิดกระเป๋าได้สำเร็จ แม้จะน่าหวั่นใจอยู่บ้างเพราะน้องซิปเหมือนใกล้จะปริออกจากกันอยู่แล้ว ตรงบริเวณที่เขาจัดกระเป๋ามีกระจกบานใหญ่ที่เขาใช้ส่องแต่งตัวตัวอยู่ทุกเช้า และมันก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้สำรวจตัวเองบ้างหลังจากปล่อยปะละเลย มาพักใหญ่ๆ แม้อายุของธันจะ 27 ปีแล้วแต่ใบหน้าเขายังคงแลดูอ่อนเยาว์เหมือนคนอายุ ราว 20 ต้นๆ จมูกที่โด่งรับกับรูปหน้า ตาสองชั้นหลบใน และปากกระจับได้รูป ถึงแม้สีผิวของเขาจะเป็นผิวค่อนข้างเข้มและมีรอยสิวที่เกิดจากการแกะอยู่บ้างแต่ดูโดยรวมก็ยังคงมีสเน่ห์อยู่มาก

       ระหว่างที่เขากำลังเพ่งพินิจใบหน้าของเขาอยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

       “แม่เข้าไปได้ไหม” เป็นผู้เป็นแม่นั้นเอง ที่มาเคาะห้องของเขาแต่เช้าตรู่

       “ได้ครับแม่ เข้ามาได้เลย ประตูไม่ได้ล็อคครับ” ผู้เป็นลูกก็ตอบกลับไปในทันทีที่สิ้นเสียงของแม่

       “ลืม อะไรหรือเปล่าลูก เสื้อกันหนาว ถุงเท้า ถุงมือ เอาไปหรือยัง” คนเป็นแม่ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าลูกชายของเธอเป็นคนขี้ลืมขนาดไหน

       “เอาไปแล้วครับ น่าจะไม่ลืมอะไรแล้วแหละ ถ้าลืมจริงๆ ก็เดี๋ยวไปซื้อที่นู้นเอา มันคงไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับยัดซิปลงในช่องล็อคนิรภัยก่อนจะหมุนรหัส

       “เออ ให้มันจริงเถอะ ไปเอาของไปขี้นรถได้แล้วพ่อเขาสตาร์ทรถรออยู่หน้าบ้านน่ะ รีบหน่อยนะเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” หลังพูดจบผู้เป็นแม่ก็สวมกอดลูกชายหลังจากผละออกจากกัน คนเป็นแม่ก็พูดสั่งลาเสียงสั่นๆ พร้อมทั้งน้ำตาที่เอ้อคลอเบ้า

       “ดูแลตัวเองดีๆนะลูก แม่จะรอหนูอยู่ที่บ้านเรานะ” คนเป็นแม่หันหลังไปปาดน้ำตาก่อนจะหันกลับมายิ้มให้คนตัวเล็กที่มีสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

       ธันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำแค่เพียงกอดตอบและกระชับอ้อมกอดของเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะอีกตั้งหกเดือนกว่าเขาจะได้กลับมากอดผู้หญิงคนนี้อีกที

       เพื่อน และญาติพี่น้องบางส่วนมารออยู่ที่สนามบินแล้ว บางคนก็มาแค่ตัวเปล่าๆ แต่บางคนก็เล่นใหญ่มีป้ายไฟมาด้วย หลังจากกล่าวลาทุกคนเป็นที่เรียบร้อยเขาก็ลากกระเป๋าเดินไปหา แบมบูตามจุดนัดพบ

       หลังจากมองนาฬิกาอยู่หลายรอบ คิ้วของหนุ่มตัวเล็กก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เพราะมันเลยเวลานัดมาจะสิบนาทีแล้ว ฉับพลันเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลงเดินมุ่งหน้ามาทางเขา

       “สวย เริ่ด เชิ่ดๆ คือฉัน ” แบมบูเดินลากกระเป๋ามาเป็นจังหวะ และมาหยุดหมุนตรงหน้าเขา

       “จ้ะ สวยจ้ะ มาสายนะแก นัดกี่โมง มากี่โมง” หนุ่มน้อยเอ็ดทันที ที่แบมบูมาถึง

       “โห แค่สิบนาทีเอง อย่าจู้จี้หน่อยเลยพี่” แบมบูพูดพร้อมกรอกตาไปมา

       “ปะ ไปต่อแถวเช็คอินกันดีกว่า" คนตัวกลมรีบชิงพูดขัดขึ้นมาก่อนเมื่อเห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง

      ระหว่างรอคิวเช็คอินอยู่ แบมบูก็หยิบลิปมันยี่ห้อดังขึ้นมาเติมพร้อมทั้งเอ่ยปากถามความรู้สึกของธัน ว่าเป็นยังไงบ้าง

       “เป็นไงคะ คุณพี่ ตื่นเต้นไหม นี่เราจะได้บินไปออสเตรเลียแล้วนะ หนูอะนะนอนไม่หลับเลย คิดแต่ว่าจะแต่งตัวยังไงดีให้เป็นจุดสนใจ ทั้งไทยทั้งเทศ พอดีอยากปังๆอะคะ”แบมบูพูดไป ก็เติมลิปไป อันที่จริงตามความเห็นเขาใครเห็นแบมบูก็ต้องให้ความสนใจอยู่แล้ว เนื่องจากน้องของเขา ใส่ชุดจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมกระเป๋า บางมุมก็ดูเหมือนนางแบบนายแบบตามนิตยาสารแฟชั่น แต่บางมุมก็ดูละม้ายคล้าย คุณหมอที่มีชื่อเสียงจากการผ่าพิสูจน์ศพ

       แต่เหมือนว่าการเดินทางของเขาทั้งคู่จะไม่ได้ราบเรียบเท่าที่ควร เพราะทางพนักงานสายการบินแจ้งทั้งคู่ตอนมาเช็คอินว่า

       “เอ่อ... ขอโทษนะคะผู้โดยสาร ระบบน่าจะมีปัญหานิดหน่อยนะคะ พอดีว่าที่นั่งของผู้โดยสารมีคนมา Check in ไปแล้วทีแรก หนูคิดว่าผู้โดยสารน่าจะมาเช็คอินผิดวันแต่กลับเป็นว่า ผู้โดยสารทั้งคู่มาถูกต้องแล้ว แต่ระบบของเราผิดเอง ยังไงเดี๋ยวหนูขอปรึกษาหัวหน้าสักครู่นะคะว่าจะแก้ยังไงดี” พนักงานสาวหน้าเสียก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์โทรหาหัวหน้าของตนอย่างร้อนรน

       “ยังไงก็ได้คะพี่ แต่หนูต้องได้ไปวันนี้” แบมบูที่เก็บเสียงและสีหน้าไม่อยู่ พูดขึ้นมาทันทีหลังพนักงานพูดจบ

       “โอเค ค่ะ คือ ทางเราได้ตัดสินใจแล้วว่าจะอัพเกรดที่นั่งของผู้โดยสารให้ เป็น Business class แต่ว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้โดยสารอาจจะไม่ได้นั่งติดกันนะคะ ผู้โดยสารจะว่ายังไงดีคะ” พนักงานสาวพูดจบพร้อมส่งยิ้มแห้งๆมาให้

       “ก็ต้องโอเคละค่ะ ไม่งั้นจะให้ทำยังไงคะ จะให้พวกหนูสองคนพายเรือกันไปเองเหรอ” แบมบูพูดจบก็ยกกระเป๋าเหวี่ยงขึ้นไปบนเครื่องชั่งน้ำหนักที่สายการบินจัดให้ทันที

       ด้วยความที่ทั้งคู่มาก่อนเวลาอยู่มากโขหลังจาก Check-in กระเป๋าพร้อมทั้งจัดการเรื่องวุ่นๆเสร็จทั้งคู่เลยตัดสินใจไปเดินเล่น ฆ่าเวลากันที่ Duty free ทั้งคู่เดินเช้าช็อปนู้นออกช็อปนี้เป็นว่าเล่น แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปลองเทสมากกว่าไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะทั้งคู่อ่านข้อมูลมาแล้วว่าของพวกเครื่องสำอางค์ พวกของประทินผิวเหล่านี้พวกเขาสามารถหาซื้อได้ราคาถูกกว่าที่ประเทศ ออสเตรเลีย

   "เออ นี่ว่าจะทักตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฉีดน้ำหอมอะไรอะทำไมมันดูเศร้าจัง"แบมบูพูดพร้อมกับหยิบรองพื้นสองสามขวดมาลองทาลงบนหลังมือ

   ซึ่งการทักของแบมบูก็ทำให้ธันต้องเอาหลังข้อมือขึ้นมาดมเพื่อเช็คว่าน้ำหอม Lolita Lempicka ที่เขาฉีดมามีกลิ่นอย่างที่คนตัวกลมพูดจริงหรือ แต่ดมไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่คนตัวกลมว่ามาเลยสักนิด

   "เออ แกเดี๋ยวฉันขอไปดูน้ำหอมหน่อยนะ" ธันพูดเรียบๆก่อนที่จะหันหลังเดินออกมา

   แต่ระหว่างที่ธัน กำลังจะทันได้เดินออกจากโซนเครื่องสำอาง ไปยังโซนน้ำหอม แบมบูก็มาคว้าข้อมือของธันพร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงกลับไปยังทางเดิม

       “อะไรของแกเนี่ย ฉันจะไปดูน้ำหอม” หนุ่มผิวแทนพยายามแกะข้อมือของแบมบู แต่ก็ไม่เป็นผมเพราะด้วยขนาดมือและขนาดไซต์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

       “นี่ มาดูของตรงนี้ก่อน หนูอยากให้ มาช่วยหนูเลือกรองพิ้นหน่อย”

       “อะไรของแก เนี่ย แกก็ดูไปสิ แกก็ใช้แต่ของเดิมๆ จะมาถามทำไมวะ ทุกทีไม่เคยถาม แปลกๆนะเนี่ย แล้วทำไมตาหลุกหลิกขนาดนั้น มีอะไรหรือเปล่า” ธันมองแบมบูด้วยความสงสัย เพราะปกติ เรื่องการแต่งหน้าหรือแฟชั่น แบมบูจะมั่นใจในรสนิยมตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่แบมบูจะต้องการคำแนะนำจากเขาเรื่องเครื่องแต่งหน้า เพราะขนาด รองพื้น กับ คุชชั่น เขายังไม่รู้เลยว่ามันต่างกันอย่างไร

       หลังจากยื้อยุดชุกกระชากกันพักใหญ่ ธันก็สามารถ ดึงมือหลุดออกมาได้ เขาจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่แผนกน้ำหอมทันที เพราะอีกไม่นานเครื่องบินจะขึ้นแล้ว และเขาก็อยากได้น้ำหอมอยู่ตัวหนึ่งที่ได้ข่าวว่าสามารถหาซื้อได้แค่ ที่ Duty free ที่สุวรรณภูมิเท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะถึงดีเขาก็ต้องชะงัก กับภาพตรงหน้า มันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง และหัวใจของเขาก็หยุดเต้นตามไปด้วย เพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพที่พี่กราฟเดินจูงมืออยู่กับผู้ชายตัวเล็กอยู่คนหนึ่ง และดูจากการกระทำแล้ว ไม่น่าใช่เพื่อนหรือน้องเป็นแน่

       “ที่บอกว่าไปต่อกับเราไม่ได้แล้ว หมายความว่าแบบนี้เอง น่ะเหรอ ไปต่อกับเราไม่ได้แต่ไปต่อกับคนอื่นได้แบบนี้น่ะเหรอ” ธันกัดฟันกรอด พร้อมกำหมัดแน่น พร้อมทั้งสาวเท้าเดินตรงไปยังทั้งคู่ทันที แต่ก่อนที่ธันจะทำอะไรลงไป แบมบูก็มาถึงตัวธันซะก่อน

       “พี่ธัน ปล่อยเขาไปเหอะพี่ พี่กำลังจะไปมีอนาคตใหม่แล้ว อย่าไปเสียเวลากับเขาเลย คนแบบนั้นสักวันหนึ่งเขาจะต้องเสียใจที่ทิ้งคนดีๆแบบพี่ไป เครื่องจะขึ้นแล้วพี่ ไปเหอะ” แบมบูจับไหล่ธันพร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างท่วมท้น

       “เออ ไปเหอะแก” หลังจากพูดจบธันก็หันหลังแล้วออกเดินทันที แต่ด้วยความไม่ระวัง ธันกลับชนคนๆหนึ่งตรงหน้าเข้าอย่างจัง

       “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ธํนถามขึ้นทันทีหลังจากตั้งสติได้

       “Tu as des yeux ?” (นายมีตาหรือเปล่าเนี่ย?)คนตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าและท่าทางหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะสัมภาระที่เขาถือมาได้หล่นกระจัดกระจายลงเต็มพื้นด้วยแรงกระแทกของธัน และแม้ว่าธันกับแบมบูจะพยายามช่วยเก็บ แต่พ่อหนุ่มตรงหน้ากลับปัดมือออกอย่างไมใยดี

       “มึง เขาไม่ให้ช่วยว่ะ แล้วเขาพูดภาษาอะไรวะทำไมฟังไม่ออกเลย”ธันเขยิบเข้าไปกระซิบกระซาบกับแบมบู

       “ไม่รู้อะ แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่จะว่าไปเขาก็หล่ออยู่นะ ยิ้มสู้ไปเผื่อได้” ด้วยความที่ไม่รู้จะขอโทษยังไงทั้งสองจึงตัดสินใจ ยืนรอให้พ่อหนุ่มตรงหน้าเก็บของให้เสร็จ และยื้มตลอดเวลาที่เขาหันขึ้นมามอง

       “pourquoi te moques tu de moi ?” (นี่ยิ้มให้ทำไมเนี่ย?) แต่ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มหน้าเข้มจะ ไม่เข้าใจว่าเขาทั้งสองต้องการจะยิ้มขอโทษ ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสองยิ้มให้เขาก็แลดูจะหงุดหงิดกว่าเดิมและเมื่อเขาเก็บของชิ้นสุดท้ายเสร็จ เขาก็เลือกที่จะเดินผ่าตรงกลางระหว่าง แบมบูและธัน ตรงไปยัง ที่นั่งรอขึ้นเครื่องทันที

       “แหม่ หล่อตายแล้วมั้ง แค่ชนนิดเดียวทำเป็นหน้าบูดหน้าบึ้ง”แบมบูพูดตามหลังทันที เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าหนุ่มคนนี้ฟังภาษาไทยไม่ออกแน่นอน

       “เออ ไปเหอะมึง อย่าไปสนใจเลยเขาคงโมโหอะ” เป็นธันที่ต้องพูดดึงสติแบมบูทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน แบมบูยังดึงสติเขาอยู่เลย

       สิ่งที่ใจฉันได้สัมผัส เมื่อเวลาที่เราใกล้กัน

คืนวันเปลี่ยนไป ใจเธอเปลี่ยนผัน

แต่ว่าเธอก็ยังทนอยู่ แต่ว่าเธอไม่กล้าจากไป

คงลำบากใจที่จะบอกฉัน

คำที่เคยผูกพันเหมือนสัญญา

จะมีค่าอะไรถ้าไม่รักกัน

หากว่าเธอไม่เหลือใจ เหตุใดทนทรมาน

อาจเป็นเพียงคำสั้นสั้นอย่างเช่นเธอ

ลืม เธอลืมหมดแล้ว

ลืมว่าเราเคยรักกัน

บอกเถอะฉันรู้ว่าเธอ

ลืม ลืมคนที่เคยจริงใจ

และคอยห่วงใยเธอทุกอย่าง

หากไม่รักก็พูดมาให้เข้าใจ



       “พี่กราฟครับ กินข้าวกินยาก่อนเร็ว” หนุ่มธัน ถือถาดเดินเข้ามาในห้องนอนของคนรักที่ตอนนี้นอนป่วยเป็นไข้อยู่

       “ป้อนพี่หน่อยสิครับ” หนุ่มผิวขาวที่นอนอยู่บนเตียง พูดออดอ้อนคนตัวเล็กที่เพิ่งถือถาดเดินเข้ามา

       “กินเองสิครับ เดี๋ยวธันต้องไปเตรียมน้ำเช็ดตัวอีกนะ” หนุ่มธันวางถาดไว้ที่หัวเตียงคนป่วยก่อนที่กำลังจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอวกดลงบนเตียงซะก่อน

       “ถ้าไม่ป้อนก็ไม่ให้ออกจากห้องนะครับ” พี่กราฟพูดจบก็ค่อยๆลดหน้าลงมาที่หนุ่มผิวแทนที่นอนจมอยู่กับเตียงเพราะแรงกดจากมือทั้งสอง

       “โอเค โอเค ยอมแล้วปล่อยสิ”หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นมาหลังจากหน้าของคนตัวใหญ่ห่างจากเขาเหลือเพียงแค่ฝ่ามือ

       “นี้ ตัวเล็ก เดี๋ยวพี่หายแล้วเราไปเที่ยวต่างประเทศกันไหม เอาประเทศไหนดี ญี่ปุ่นไหม” คนผิวขาวพูดขึ้นระหว่างที่กำลังกินข้าวต้มอยู่

       “ไม่เอาอ่ะ ญี่ปุ่นเห็นคนไปกันเยอะจนช้ำ ไปหมดละ ถ้าให้ธันเลือก ธันอยากไปพวก ออสเตรเลีย อยากไปถ่ายรูปกับ พวกน้องจิ้งโจ้ น้องโคอาล่า อ๋อ อ๋อ แล้วก็โอเปร่าเฮาส์ด้วย พี่กราฟว่าไง” หนุ่มธันพูดอย่างตื่นเต้นจนชามในมือสั่นไปหมด เดือดร้อน หนุ่มกราฟต้องคอยประคองเพราะกลัวข้าวจะหกเลอะบนที่นอนและเลยมาที่หน้าเขา

       “ใจเย็น แม่สาวน้อย เดี๋ยวข้าวหกพี่ต้องย้ายไปนอนโซฟาอีก ออสเตรเลียก็ดีนะ เดี๋ยวเรามาลองขอวีซ่าดูละกันเนาะ” พูดจบก็เอามือขยี้หัวหนุ่มตัวเล็ก อย่างเอ็นดู แต่หนุ่มตัวเล็กกลับมองค้อนกลับมาซะวงใหญ่ เพราะ เขาเพิ่งจะเซ็ทผมมาเมื่อเช้า

       ติ๊งต่อง

Qatar airways To Brisbane. It's now boarding at gate number 56, please board at gate number 56, Thank You. (โปรดทราบ สายการบิน กาตาร์ เที่ยวบินสู่ นครบริสเบน พร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง ขอเชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้ที่ทางออกหมายเลข 56 ขอบคุณคะ) ธันถูกเรียกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยสัญญาณเรียกขึ้นเครื่อง หลังจากสะบัดหัวทีสองทีธันก็ลุกขึ้นเดินตามแบมบูเข้า ประตูทางออกไป

       “พี่กราฟ ธันกำลังจะได้ไปดูจิงโจ้ ไปถ่ายรูปกับน้องโคอาล่าแล้วนะครับ แม้ธันจะไม่มีพี่ยืนข้างๆเหมือนที่ธันเราเคยสัญญากันไว้ แต่ทำไงได้อะเนาะ คนเรามันก็ต้องก้าวต่อไปใช่ไหมละ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้ธันได้เห็นภาพวันนี้ มันทำให้ธันเดินต่อไปได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ลาก่อนนะพี่กราฟ” คำพูดที่ไม่มีเสียงนี้ผุดมาในหัวของเขาระหว่างเดินไปทางเชื่อมขึ้นเครื่อง แต่เขาคงจะเดินช้าไปหน่อย เพราะว่าหนุ่มอวบที่คงต้องตัวติดกันไปอีกหลายเดือน ทำเสียงเร่งเร้าให้เขาเดินไวๆ เพราะกลัวว่าช่องใส่สัมภาระจะเต็มซะก่อน

       เมื่อทั้งคู่เดินขึ้นมาถึงบนเครื่อง ก็แยกย้ายไปนั่งตามหมายเลขที่นั่งใหม่ที่พนักงานพึ่งจะสับเปลี่ยนให้ ที่นั่งข้างๆเขายังคงว่างอยู่เหมือนกับว่าเพื่อนร่วมทางของเขายังไม่มาถึงแต่หลังจากที่เขาหันหน้าออกไปนอกเครื่องบินสักครู่ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ข้างๆที่นั่งเขาและเมื่อเขาหันกลับไปก็ต้องประหลาดใจ เพราะเป็นหนุ่มนัยส์ตาสีฟ้าที่เขาเพิ่งชนไปเมื่อสักครู่

       “sérieusement?”(จริงจังปะเนี่ย) ท่าทางหนุ่มตาสีฟ้าก็คงประหลาดใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่น่าจะประหลาดใจไปในทางที่ดีเหมือน ธันเพราะดูจากหน้าตาแล้ว บ่งบอกเลยว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก

       เนื่องจากว่าธันคิดไม่ออกว่าจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายยังไง จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไปให้ แต่เหมือนว่าจะทำให้หนุ่มหน้าหล่อยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก

       “qu’est-ce qu’il y a d’amusant ?”(มีอะไรน่าตลกเหรอหะ?) จบประโยค เพื่อนร่วมทางของเขาก็ใส่หูฟังและหันหน้าไปฝั่งตรงข้ามทันที

       เมื่อเห็นปฎิกิริยาดังนั้น หนุ่มธันของเราก็ได้แต่นั่งจ๋อย และเมื่อแน่ใจแล้วว่าทริปนี้คงจะไม่ได้คุยกับคนข้างๆเป็นแน่จึงหยิบหูฟังที่ทางสายการบินเตรียมไว้ให้มาใส่ และมองเหม่อลอดออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน เพียงเพื่อเก็บภาพสุดท้ายของประเทศไทยเอาไว้ในความทรงจำ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2020 18:25:46 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.3
«ตอบ #7 เมื่อ21-05-2020 12:28:14 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
When love travel เมื่อรักบินพลาด
«ตอบ #8 เมื่อ21-05-2020 20:54:24 »

   “Excuse me sir, what would you like to take fish or chicken?”(ขอโทษนะคะ, ไม่ทราบว่าผู้โดยสารจะรับปลาหรือไก่ดีคะ) พนักงานสาวบนเครื่องเข็นรถอาหารมาหยุดอยู่ตรงข้างๆ ที่นั่งของธันกับหนุ่มฝรั่ง แต่ขณะนี้หนุ่มตัวเล็กของเราไม่สามารถเลือกได้ว่าเขาจะกินอะไร เพราะว่าตั้งแต่เครื่อง Take off ขึ้นมาจากพื้นเขาก็ออกตัวไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ทันทีเช่นกัน

   “Chicken for me and Fish for him please.”(ขอไก่ให้ผมและปลาให้เขาละกันครับ) เดือดร้อนหนุ่มตาสีฟ้า ต้องตอบแทน เพราะถ้าหากจะรอให้หนุ่มผิวแทนตื่นมาเลือก เครื่องบินก็น่าจะ Landing ตรงที่หมายซะก่อน

   “So sweet, Is this your boyfriend? How long have you been in your relationship?”(แหม่น่ารักจังเลยนะคะ เป็นแฟนกันเหรอคะเนี่ย คบกันมานานเท่าไหร่แล้วคะ) แอร์สาววางอาหารให้หนุ่มฝรั่งและหนุ่มธันพร้อมทั้งส่งสายตาวิบวับสลับไปมาระหว่างฝรั่งหน้าหล่อ และ หนุ่มตัวบาง จนน่าเกลียด

   แต่แทนที่จะได้รับคำตอบอย่างที่ตัวเองคาดหวังกลับได้สายตาเย็นชาและว่างเปล่า จ้องกลับมาแทนแล้วยิ่งหนุ่มตาฟ้ามีดวงตาที่กลมโตคมกริบซึ่งเมื่อมันมาประสานกับหนวดเคราบางๆบนหน้าแล้ว มันก็ยิ่งดูน่ากลัวเหมือนพวกมาเฟียฝรั่งเศสไปกันใหญ่

   เมื่อแอร์สาวเห็นดังนั้นจึงรีบเข็นรถอาหารไปยังล็อคถัดไปอย่างรวดเร็วจนถาดอาหารในรถมีอาการสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

   “คร้อก แค่ก แค่ก แค่ก” หนุ่มตัวเล็ก สำลักน้ำลายเฮือกใหญ่ และนั่นก็คงเพียงพอที่จะปลุกเขาตื่นจากภวังค์หลับใหลขึ้นมา

   “อ้าว ข้าวมาแล้วเหรอ ว้าว ปลาแซลมอนด้วย หว่ายอะไรอะ ไก่ เหรอไม่เห็นน่ากินเลย”หนุ่มตัวเล็กตื่นขึ้นมาเจออาหารโปรดก็ดีใจยกใหญ่ แต่ก็ไม่วายหันแขวะหนุ่มตาฟ้าหลังจากเห็นอาหารที่คนข้างๆได้รับ

       “ฟังไม่ออกละสิ หวาย หวาย หวาย” เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต หนุ่มตัวเล็กจึงมองหน้าจอตรงหน้าที่ตนเองเปิดหนังค้างไว้ พร้อมพูดล้อเลียน หนุ่มข้างๆ แต่เขาก็ต้องผวาเล็กน้อยเพราะเมื่อพูดจบก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากคนข้างๆ แต่เมื่อเแอบหลือบมองแล้วก็ไม่เห็นความผิดปดติอะไร จึงเปลี่ยนมากินข้าวตรงหน้าอย่างเงียบๆจนหมดแทน

       “เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย เบื่อแล้วนะ” หนุ่มธันพูดออกมาหลังจากเขาดูหนังจบไปแล้ว 2 เรื่อง และกำลังเลื่อนจอภาพเพื่อหาเรื่องที่สามมาดูต่อ แต่ก่อนที่จะได้เลือกนั้น อยู่ๆแก้วน้ำของเขาก็เกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างแปลกๆ และเมื่อสังเกตดูรอบข้างก็พบว่าแก้วน้ำของคนข้างๆก็มีอาการสั่นไหวเช่นกัน ต่อมาเครื่องบินทั้งลำก็เริ่มโยกเยกโคลงเคลงเหมือนกับเรือที่ปะทะคลื่นที่รุนแรงกลางมหาสมุทร แต่ต่างกันตรงที่นี่เป็นเครื่องบิน และหากเครื่องบินกระเด้งกระดอนแบบนี้แล้วละก็ คงเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีเป็นแน่

       “Excuse me, please fasten your seatbelts!!!”(ขอโทษนะคะ รบกวนคาดเข็มขัดด้วยคะ ผู้โดยสาร!!!) เป็นพี่แอร์สาวคนเดิมที่มาเสริ์ฟอาหารให้พวกเขาแต่ว่าครั้งนี้ เสียงของเธอดูจริงจังชัดถ้อยชัดคำ และหลังจากพูดกับพวกเขาจบเธอก็เดินก้าวเท้าไปยังที่นั่งลำดับต่อไปพร้อมพูดประโยคเดิมๆไปเรื่อยๆ จนลับหายไปหลังม่านของฝั่ง Economy class

       “We are going through a turbulence right now. Please remain seated and fasten your seatbelt while we are going through it” (ขณะนี้เครื่องบินของเรากำลังตกหลุมอากาศอยู่ ผู้โดยสารทุกท่านโปรดกลับไปที่ที่นั่งของท่านพร้อมทั้งรัดเข็มขัดด้วยครับ) เสียงกัปตันดังออกมาจากลำโพง และแม้ว่าน้ำเสียงของกัปตันจะแลดูหนักแน่นเพียงใดแต่ผู้โดยสารหลายๆคนก็เริ่มมีอาการตื่นตระหนกแล้ว เช่น เจ๊ที่นั่งข้างหลังหนุ่มธันก็เริ่มเอาสร้อยประคำออกมาท่องสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม หรือ ลุงที่นั่งข้างหน้าก็เริ่มพูดจาภาษามนุษย์ต่างดาวแปลกๆจนดังมาถึงที่นั่งของคนตัวเล็กด้วยเหมือนกัน ซึ่งพอเห็นดังนั้นตัวธันเองก็เริ่มเหงื่อตกและหวั่นใจนิดๆเหมือนกัน แต่พอเขาหันกลับมามองคนข้างๆกลับพบว่าหนุ่มตาฟ้ากำลังอ่านหนังสืออย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรนั่นทำให้เขา ผงะและอดไม่ได้ที่จะทำหน้าตาแปลกๆออกไป

       “Quoi” (อะไร) ท่าทางว่าธันจะจ้องหน้าหนุ่มหน้าเข้มนานไปหน่อย จนเจ้าตัวจับได้เลยหันมามองพร้อมทั้งพูดประโยคอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลว่าอะไร

       “English please, I cannot speak tomatoes” (พูดภาษาอังกฤษด้วยครับ พอดีผมพูดภาษามะเขือเทศไม่ได้) ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ธันพูดออกไปแบบนั้น เพราะถึงมันจะฟังดูตลก แต่หาหนุ่มตาฟ้าเป็นคนที่ซีเรียสหรือเป็นพวกชาตินิยม หนุ่มตัวบางของเราได้กระดูกหักสองท่อนแน่ เพราะเมื่อกะด้วยสายตาคร่าวๆฝรั่งหน้าเข้มที่นั่งติดๆกับเขานั้นคงสูงราวๆเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ แต่หนุ่มธันสูงพ้นหลักร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร มาแค่หนึ่งหน่วยเท่านั้น ดังนั้นหากตาฝรั่งคนนี้ฟังสำเนียงอังกฤษแบบไทยๆของธันออก ไม่แคล้วธันได้ไปเฝ้าพญายมเพราะคอหักตายไม่ใช่เพราะเครื่องบินตกเป็นแน่

       แต่ทว่าหลังจากธันตอบโต้กลับไปแบบนั้น หนุ่มตัวใหญ่ก็แค่ขมวดคิ้วใส่และหันกลับไปสนใจหนังสือของตนต่อ เหมือนเขาไม่ได้รับรู้บรรยากาศรอบตัวเลยว่า มันน่าหวั่นใจสักเพียงใด หรือ บางทีเขาอาจจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินเป็นประจำ เลยชินกับเหตุการณ์ที่เครื่องบินตกหลุมอากาศเช่นนี้ แต่จะใครจะไปรู้ว่าหนุ่มหน้าตาเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้จะคิดอะไรอยู่ในหัว

       “ประสาทหรือเปล่าวะ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เครื่องบินกระเด้งหัวสั่นหัวคลอนยังจะมีกะใจมาอ่านหนังสืออยู่อีก” ธันพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบกระซาบ และไม่ทันจะจบประโยคดี เครื่องก็หยุดไหวและกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย

  หลังจากเหตุการณ์วุ่นๆเล็กน้อย ที่เกิดขึ้น ผู้โดยสารก็ได้รับขนมหวานปลอบขวัญคนละชิ้น เป็นแยมโรล มันม่วงวิปครีมฉ่ำๆ ซึ่งสำหรับสายของหวานอย่างหนุ่มตัวเล็กนั้นบอกได้เลยว่าถูกใจจนออกนอกหน้าสุดๆ เพราะทันทีที่ พี่แอร์ เอาของหวานมาเสริฟ์ตรงหน้า เขาก็กินอย่างไม่รีรอจนวิปครีมเปื้อนมุมปากไปหมด โดยนอกจากหนุ่มธันจะกินหมดได้อย่างรวดเร็วแล้วนั้นเขาก็ยังกินมันซะจนเกลี้ยงจาน จนถึงขนาดที่ว่าแค่เอาทิชชู่เช็ดเล็กน้อยก็สามารถนำไปใช้เสริฟ์ผู้โดยสารคนต่อไปได้โดยไม่ต้องล้างเลย กลับกันกับหนุ่มคนข้างๆ เพราะเมื่อหนุ่มผิวแทนแอบชำเลืองมอง กลับพบว่าคนตาสีฟ้ากลับไม่แตะต้องขนมของตัวเองเลย

       “อะไรกัน ไม่กินสักนิดเลยเหรอ น่าเสียดายจัง ขอกินแทนดีไหมนะ?” แต่ทว่าถึงจะพูดแบบนั้น หนุ่มธันก็พอจะหลงเหลือมารยาทอยู่บ้างจึงไม่ได้พูดอะไรน่าอายออกไป หลังจากกินเสร็จหนุ่มธันก็เริ่มเอนกาย ดูหนังจากจอสี่เหลี่ยมเล็กๆของตนอีกรอบ เพราะเมื่อเหลือบดูเวลาจากนาฬิกา เขายังเหลือเวลาอีกถึงห้าชั่วโมงกว่าเครื่องจะลงจอดยังจุดหมายปลายทางของเขา ซึ่งนั้นหมายความว่าเขาสามารถดูหนังที่เขาชื่นชอบได้อีก สอง ถึงสามเรื่องเลยทีเดียว แต่ทว่าหลังจากดูเรื่องแรกยังไม่ทันจะถึงครึ่งเรื่อง น้ำตาลในเค้กมันม่วงก็เริ่มจะอกฤทธิ์ทำให้เขาผล็อยหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

       กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเครื่องก็เทียบท่าลงจอดเสียแล้ว ทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะถ่ายรูปน่านฟ้าออสเตรเลียไปอัพโหลดลง Instagram เรียกยอดไลค์ไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อตาของเขาเริ่มจะปรับแสงได้ เขาก็ต้องฉงนเล็กน้อย เพราะเขาเห็นกล่องสีขาวอะไรไม่รู้ว่าอยู่ตรงหน้า และเมื่อถือวิสาสะเปิดดู ก็พบว่าเป็นเค้กแยมโรลมันม่วงที่เขาเพิ่งจะกินไปเมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่ภายในกล่องนั้น และถึงแม้ว่าเขาจะแอบดีใจอยู่ๆลึกๆว่าจะได้กินขนมแสนอร่อยอีกครั้ง แต่อีกใจก็แอบกังวลว่าจะกินดีหรือเปล่าเพราะถ้าขนมมันไม่มีอะไรผิดปกติทำไมเจ้าของถึงไม่กินไป จะเอามาวางไว้ทำไม แต่ก่อนที่ความคิดของเขาจะตีกันไปมากกว่านี้ พี่พนักงานต้อนรับก็เดินเข้ามาประชิดที่ตัวเขา

       “Are you ok? Do you need any help?” (คุณผู้โดยสารมีอะไรให้ช่วยไหมคะ) แอร์สาวเจ้าเดิมเดินเข้ามาสอบถาม

       “Oh nothing serious, Thank you very much” (ไม่มีครับ ขอบคุณมากครับ) หนุ่มธันนึกสงสัยว่าเขาแสดงอาการออกไปชัดเจนมากถึงขนาดที่ว่าพนักงานจะต้องมาสอบถามเลยเหรอ แต่เมื่อหันซ้ายหันขวาเขาก็ถึงบางอ้อ ที่พี่พนักงานมาสอบถามเขานั้นเป็นเพราะผู้โดยสารคนอื่นนั้น ลุกออกไปจากเครื่องบินกันหมดแล้วนั่นเท่ากับว่าเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ หลังจากเกาหัวด้วยความขัดเขินเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นเปิดช่องสัมภาระเหนือหัวเพื่อเอากระเป๋าใส่อุปกรณ์กระจุกจิกที่เขาใส่ไว้ออกมา แต่ก่อนที่เขาจะเดินแก้เก้ออกไปยังประทางออก พี่แอร์คนเดิมก็ตะโกนออกมาขัดจังหวะเสียก่อน

       “Excuse me sir, you forgot something” (ขอโทษนะคะผู้โดยสารลืมของน่ะค่ะ) พนักงานสาวพูดขึ้นพร้อมหยิบกล่องขนมเอามายื่นให้เขา

       “That one is my?” (อันนี้ของผมเหรอครับ) หนุ่มธันถามพร้อมกับเอานิ้วชี้ไปที่หน้าของตน พี่แอร์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าลงเล็กน้อย เป็นการตอบคำถามและก่อนที่หนุ่มธันจะได้หันหลังเดินออกไป พี่พนักงานก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้เขาด้วย

       “And also this one” (อันนี้ด้วยคะ) มันเป็นหนังสือเล่มบางปกสีฟ้า ที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสบางๆ บนหน้าปกมีวงกลมสีขาวล้อมรอบตัวอักษรที่เขียนว่า “la nuit des temps” แม้หนังสือจะดูใหม่มากหากมองด้วยตาเปล่า แต่เมื่อจับดูจะรู้ได้เลยว่ามันผ่านการใช้งานมาแล้ว เพราะสันหนังสือมีความสึกหรอจากการถูกเปิดอ่านนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อธันลองพลิกไปดูที่ปกข้างหลัง ก็พบว่ามีรอยฉีกขาดเล็กน้อยซึ่งหากมองให้ลึกลงไปรอยขาดนี้น่าจะเกิดจากการที่หนังสือโดนของเหลวบางอย่างหกใส่

       “But this one is not my” (แต่อันนี้ไม่ใช่ของผมนะ) หนุ่มตัวเล็กพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำเนื่องจากว่าเขาไม่ต้องการจะเอาของที่ไม่ใช่ของเขาติดตัวไป แม้ของนั้นจะเป็นของที่มีมูลค่าหรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่ได้มาด้วยเงินของเขา เขาจะไม่แตะต้องเลย มีของประเภทเดียวที่ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นของเขาหรือไม่เขาก็จะหยิบมาเสมอหากมีโอกาส นั่นคือของจำพวกขนม ยิ่งเป็นพวกเค้กหรือแยมโรลนี้เห็นเป็นไม่ได้เลย

       “Yes, but I think it might be your friend book because I saw it leave behind your seat” (ใช่คะ แต่ดิฉันเห็นมันตกอยู่ข้างๆที่นั่งผู้โดยสาร บางทีอาจจะเป็นของเพื่อนน้องก็ได้นะคะ) พี่พนักงานสาวพูดจบพร้อมยิ้มและยัดหนังสือเล่มนั้นมาใส่มือเขา

       “Ho…” (ยังไ..) หนุ่มผิวแทนไม่ทันจะได้พูดประท้วงจบประโยค แอร์สาวก็รีบกลับหลังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้หนุ่มตัวเล็กได้แต่เกาหัวแกรกๆ เป็นรอบที่สองพร้อมทั้งเดินไปยังประตูทางออกอย่าง งงๆ

       เมื่อธันเดินออกมาถึงประตูทางออก ก็ต้องพบคนที่คุ้นตายืนหน้าบูดเป็นตูดลิงอยู่ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแบมบูที่หันมองมาที่เขาด้วยตาเขียวปึ้ด

       “โอ้ย นึกว่าบินกลับไทยไปแล้ว รอจนขาแข็งเป็นหินหมดแล้วเนี่ย”แบมบูร่ายยาวทันทีเมื่อธันเดินเข้ามาถึงตัว

       “เออ เออ โทษที แล้วทำไมแกไม่โทรหาฉันละ ฉันก็หลับเพลินเลยเนี้ย ไม่ยอมทำหน้าที่น้องที่ดีเลยนะแกเนี่ย” หนุ่มผิวแทนผู้ไม่มีอาการสำนึกใดๆโต้กลับไปทันควันหลังจากแบมบูพูดจบ

       “ฮัลโหล พักก่อนคะ จะเอาซิมจากไหนไปโทรตาม นี่ไม่ได้เปิดโรมมิ่งต่างประเทศไว้ แล้วถึงจะเปิดไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งโทรตามไหม มันแค่หยิบกระเป๋า แล้วเดินออกมาเนี่ย มันยากมั้ง”หนุ่มแบมบูที่ตอนแรกที่แค่โกรธระดับ หนึ่ง แต่เมื่อเห็นพี่ร่วมชะตากรรม มีท่าทีไม่สำนึก จึงเพิ่มระดับความโกรธเป็นระดับกินหัวได้กินไปแล้ว แทน

       “อ่าๆ ไปเอากระเป๋ากันดีกว่าปะ เดี๋ยวคนอื่นหยิบผิดไปจะแย่เอา” เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีเหตุผลจะเถียงสู้ได้ คนตัวเล็กจึงตัดบทเปลี่ยนเรื่องพร้อมทั้งเดินนำหน้าไปยังสายพานหมายเลข 8 ที่ๆกระเป๋าของเขาหมุนรออยู่

       “โอ้ย หนักจังวะ เข็นจะไม่ไปละเนี่ย” ธันบ่นอุบทันที หลังจากแบมบูวานให้ธันช่วยเข็นกระเป๋าให้ ระหว่างที่เขากำลังหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายอยู่

       “เรื่องเวอร์นี่ต้องยกให้เธอจริงๆนะ ให้ลากยังไม่ถึงสามวินาทีเนี่ย บ่นแล้ว อะเอามา”หลังจากหยิบมือถือออกมาได้ แบมบูก็เปิดดู รายการจดบันทึกของเขาก่อนจะเดินนำหน้าธันไปยังจุดขายซิมมือถือทันที

       “อะ จะเปิดกับค่ายไหนดี ที่เนี่ย มี ซิม ของ Telstra Optus แล้วก็ Vodafoneแหละที่ดังๆอะ” แบมบูพูดพร้อมผายมือช้าๆไปทีละร้าน อย่างน่ามั่นไส้

       “แล้วมันต่างกันยังไงอะ” ธันถามขึ้น เพราะไม่มีข้อมูลของซิมทั้งสามค่ายอยู่ในหัวของเขาเลย

       “ต่างกันที่สีอะ” แบมบูพูดหน้าตายกลับไป

       “จ้า เห็นแล้วจ้า ตาไม่ได้บอดจ้า แหม่กระจ่างขึ้นมาเลย ขอบใจนะจ้ะ” กับคำตอบที่ได้รับมา ก็อดไม่ได้ที่ธันจะค้อนแบมบูด้วยสายตา ปะหลัก ปะเหลือก

       “ไม่รู้ไหมละ ก็พึ่งลงเครื่องมาพร้อมกัน แต่ถ้าถามนี่นี่ชอบสีแดง นี่จะไปเปิดสีแดง”พูดจบแบมบู ก็เดินนำหน้าไปยังบูทของค่าย Vodafone ทันที

       “เออ เอาไงก็เอาละกัน” ธันเดินตามหลังแบมบูไปติดๆ

       หลังจากเปลี่ยนซิมเรียบร้อย แบมบูก็โทรติดต่อ พี่เจ้าของห้องที่พวกเขาจะไปพักด้วยเพื่อสอบถามเส้นทางและวิธีการไป หลังจากวางสาย แบมบูก็ทำการเรียก Uber มารับที่สนามบินเพราะเมื่อลองคำนวณราคาต่อคนแล้วไม่ต่างจากการขึ้นรถไฟไปมากนัก แถมหลังจากลงรถไฟพวกเขายังต้องเดินต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 15 นาทีซึ่งมันคงไม่ดีแน่สำหรับคนที่มีกระเป๋าหนักและหลายใบอย่างพวกเขาทั้งคู่

       “เฮ้ย แกระหว่างที่ยังไม่เปิดเรียน เนี่ยเราไปเดินถ่ายรูปเล่นกันที่หน้า โอเปร่าเฮาส์ไหม” ธันถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถ

       “พักก่อนแม่ พึ่งลงเครื่องมาตูดยังไม่ทันเย็นจะให้นั่งไปอีกรอบก็ไม่ไหวนะ” แบมบูพูดมาจากเบาะด้านหน้าคนขับอย่างเหนือยๆ

       “มันไกลจากที่พักเราขนาดนั้นเลยเหรอแก ถ้าเดินไปไม่ได้ เดี๋ยวนั่งรถไปก็ได้ เดี๋ยวฉันออกค่ารถให้”ขณะที่พูดธันก็ลองค้นดูใน Google map ถึงระยะทางระหว่างที่พักของเขากับ โอเปร่าเฮาส์

       “นี่พี่พูดเล่นปะเนี่ย เรานั่งรถกันไปไม่ได้นะ เราอยู่รัฐควีนแลนด์ บริสเบนนะ โอเปร่าเฮาส์ มันอยู่ซิดนีย์ อันนี้ไม่รู้จริงๆเหรอว่าเราอยู่ที่ไหน คือตอนที่พี่เอเจนท์ เขาส่งเมลล์รายละเอียดเรื่องที่ตั้งโรงเรียนนี่ไม่เคยเปิดอ่านเลยใช่ไหมเนี่ย แต่ที่หนักสุดคือตอนจองตั๋วเครื่องบินอะ คนปกติมันก็ต้องดูปะวะว่าปลายทางมันคือที่ไหน ไม่ใช่เรือด่วนเจ้าพระยานะที่ลงท่าผิดแล้วค่อยไปลงป้ายหน้าได้น่ะ!!!” คำพูดของธันแค่ประโยคเดียวทำให้แบมบูถึงขนาดต้องเอี้ยวทั้งตัวหันมามองด้วยสายตาหวาดหวั่นพร้อมกับสวดคาถาบทใหญ่กลับไปแบบไม่หายใจ ซึ่งด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังของคนตัวกลมนั้นทำให้ธันตกใจเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่เขาอาจจะเบลอไปบ้าง ไม่สิช่วงที่ทำเรื่องมาออสเตรเลีย เป็นช่วงที่เขาเบลอหนักมากๆต่างหาก เพราะเขาเพิ่งถูกทิ้งมา นั่นทำให้ข้อมูลต่างๆที่เอเจ้นท์ให้กรอกเขาก็แค่กรอกจริงๆ ไม่ได้สนใจจะอ่านเลยว่ารัฐที่เขาจะไปอยู่ไปเรียนเป็นรัฐไหนใช่รัฐเดียวกันกับที่ตั้งโอเปร่าเฮาส์หรือเปล่า

       และเมื่อมองดูยังหน้าจอผลลัพธ์นั้นก็ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่า แบมบูไม่ได้อำเขาแน่นอน เพราะระยะห่างระหว่างจุดที่เขาอยู่กับ โอเปร่าเฮาส์ไกลกันถึง 933 กิโลเมตร ธันเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือช้าๆ ด้วยอาการยิ้มเพ้อๆคล้ายคนสติหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว

       เซอร์ไพร์ทครั้งที่ หนึ่ง

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   คุณๆเคยมีอาการวิ้งไหมครับ บางคนอาจจะไม่ทราบว่าอาการวิ้งคืออะไร อาการวิ้งมันก็คลายอาการหน้ามืดหลังจากที่เราลุกจากที่นอนเร็วๆ หรือลุกจากที่นั่งเร็วๆ มันจะเป็นอาการเบลอๆ หูอื้อๆ เห็นแสงสว่างวิบวับๆอยู่ข้างหน้าคล้ายๆโดนแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสาดเข้าหน้ามารัวๆจนตาเราพล่าไปหมด นั่นแหละคืออาการที่ หนุ่มผิวแทนของเรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้

   “พี่ธัน พี่ธัน พี่ธันโว้ย” แบมบูตะโกนสุดเสียงในทีสุดท้ายหลังจากเรียกด้วยเสียงปกติสองครั้งแรกแล้วหนุ่มร่างบางยังคงนิ่งเฉยไม่ไหวติงอยู่

   “เฮ้ย!!! ตะโกนทำไมวะ ตกใจหมด”หนุ่มธันสะดุ้งโหยงแทบจะหงายหลัง เมื่อเสียงตะโกนดังแสบแก้วหูทะลุเข้ามากระตุ้นโสตประสาทของเขา หลังจากที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้วในทีแรกหลังจากรับรู้ว่าเขาเลือกมาเรียนผิดรัฐ

   “ก็เห็นเดินเก่งเดินไม่ยอมหยุด บ้านอะอยู่นี่ จะเดินไปไหนเหรอจ๊ะ สติอะเรียกกลับมาก่อนเนาะเพราะยังไงตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจ้ะ” แบมบูจีบปากจีบคอพูดสุดฤทธิ์ ซึ่งถ้าเป็นยามปกติก็ไม่แคล้วจะต้องมีปะทะฝีปากกันแน่ๆแล้ว แต่ว่า ณ ตอนนี้แค่การสูดลมหายใจเข้าออกก็เป็นการยากเต็มทีแล้วสำหรับหนุ่มธัน เพราะฉะนั้นเขาคงทำได้แค่เพียงทด 1 ไว้ในใจและค่อยไปเอาคืนทีหลัง หลังจากสติกลับมาเต็มร้อย

   “ทำไมพี่เขาลงมารับช้าจังนะ”หนุ่มตัวกลมเริ่มแสดงอาการหงุดหงิด หลังจากโทรขึ้นไปบนห้องเพื่อให้เจ้าของห้องลงมารับ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของเจ้าของเลย

   ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือตึกสีส้มอิฐ ซึ่งเมื่อคาดคะเนจากสายตาแล้วความสูงไม่น่าจะเกิน 5 ชั้น สภาพตึกดูเก่าเล็กน้อยและหากจะว่ากันตามตรงมันดูเหมือนโกดังเก็บของเก่าที่ทำการรีโนเวทใหม่เพื่อมาเป็นที่พักมากกว่าที่จะตั้งใจสร้างให้เป็น คอนโด หรือ อพาร์ทเม้นท์ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะด้วยหลังคาที่เป็นทรงโค้งคล้ายโดม หรือ ไม่ว่าจะเป็นช่องไฟระหว่างกระจกต่อกระจกที่ดูเบียดกันเกินพอดีนั่นอีก ดูรวมๆแล้วถ้าคนออกแบบไม่ไร้ฝีมือ เขาก็คงไม่รู้หลักการที่ดีในออกแบบตึกให้อากาศถ่ายเทดีๆโดยไม่ต้องติดกระจกมากเกินความจำเป็นแบบนี้

   “ใช่น้องแบมบูหรือเปล่าครับ” หนุ่มตัวผอมสูง ผิวขาว แขนขายาวเก้งก้าง อีกทั้งผมหยิกยาวชี้ฟูคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน ซึ่งมองแค่แว๊บแรกก็สามารถเดาได้ทันทีว่าคนๆนี้น่าจะเป็นคนที่่แล้งน้ำใจอย่างแน่นอนเพราะเขาไม่ยอมแม้แต่จะเดินออกมาต้อนรับหรือมีท่าทีจะเข้ามาช่วยขนกระเป๋าแต่อย่างใด สิ่งที่เขาทำคือ ยื่นหน้าออกมาจากประตูทางเข้าเพื่อตะโกนสอบถามเขาทั้งคู่เท่านั้นเอง

   “ใช่ครับพี่” แบมบูตะโกนตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดัดให้แมนเกินจริงไปมาก และนั่นก็ทำให้ ธัน ชักเอะใจ

   “แกแลดูมีพิรุธนะ”ธันหันหัวไปในองศาที่คนเปิดประตูมาจะมองไม่เห็นและกระซิบเข้าที่ข้างหู แบมบู

   “พิรุธอะไร หนูไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น”แบมบูพูดแบบไม่ขยับปาก เพราะกลัวคนผมหยิกจะสงสัยเข้า

   “ลากกระเป๋าเข้ามาได้เลยครับ ขอโทษทีพี่ออกไปช่วยขน ไม่ได้พอดีพี่แพ้แสงแดดยามเช้าอะครับ”เจ้าของห้องยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พวกเขาเดินเข้าไปหา

   แพ้แสงแดดยามเช้าเหรอ ไม่อยากจะยกของหนักก็บอกตรงๆเถอะ ข้ออ้างอะไรไม่เห็นสมเหตุสมผลเลย ธันได้แต่คิดในหัวไม่กล้าพูดออกมา เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า คนที่ร่วมทางมาด้วยจะมีความเห็นตรงกันหรือเปล่า

   และเมื่อเดินใกล้จะถึงตัวประตูทางเข้า ธันก็สัมผัสได้กับกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมาจากชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งเขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องใช้สมองตรึกตรองว่ามันเป็นกลิ่นของคนที่กินเหล้าอย่างหนักจนมันแทรกซึมออกมาจากรูขุมขนนั่นเอง ซึ่งนอกจากกลิ่นเหล้าก็มีกลิ่นเขียวเล็กๆเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำออกมาทักทายด้วยเช่นกัน ซึ่งนั้นทำให้ธันต้องกลั้นหายใจเป็นระยะๆ และบางทีเขาก็ต้องแอบลอบหายใจทางปากด้วยเมื่อหายใจทางจมูกไม่ทัน

   “น้องเป็นไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูหายใจหอบๆ” พ่อหนุ่มหัวหยองหันมาถามธันระหว่างรอลิฟท์ ซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของตึกนี้ที่ถึงแม้จะเก่าแต่ก็ยังอุตส่าห์มีลิฟท์ให้ ไม่อย่างนั้นเขาและแคนตัวกลมคงต้องตายกันแน่ๆ เพราะกระเป๋าของพวกเขาทั้งสองไม่ใช่เหมือนการย้ายบ้าน แต่เหมือนเป็นการแบกเอาบ้านติดตัวมาด้วย

   “อ๋อ ไม่ได้เป็นไรครับพี่ พอดีผมเพลียแดดนิดหน่อยอะครับ เลยหายใจไม่ค่อยทัน เดี๋ยวก็หายไม่ต้องห่วงครับ” ธันแถอย่างสุดฤทธิ์ เพราะตอนนั้นในหัวเขาคิดอะไรไม่ออก เนื่องจากสมองของเขาต้องควบคุมการกลั้นหายใจเป็นระยะๆ ดังนั้นนี่คงเป็นเป็นคำตอบที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุดจากสมองที่ อ็อกซิเจนไปเลี้ยงไม่ทัน

   “ใช่ไหมละ พี่ถึงไม่ค่อยชอบออกไปไหนตอนเช้าๆไง อะลิฟท์มาละ ปะครับน้องๆ”ช่วงจังหวะที่ หนุ่มตัวยาว ผายมือกั้นลิฟท์ให้พวกเขานั้น กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ออกมาปะทะหน้าของเขาตรงๆเนื่องจากต่อมกลิ่นส่วนใหญ่ก็จะออกมาจากใต้วงแขนอยู่แล้ว และยิ่งหนุ่มหัวหยองใส่เสื้อกล้ามแล้วด้วย นั่นยิ่งทำให้ไม่มีอะไรมาซับกลิ่นที่รุนแรงให้เขาได้สักชั้นเลย ดังนั้นกลิ่นที่เขาได้รับคือกลิ่นที่แรงและเพียวจนทำให้เขารู้สึกขมคอ ซึ่งเมื่อหันไปมองเพื่อนร่วมชะตากรรมก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกันนัก

   ถ้านั่นคิดว่าหนักแล้ว การที่ต้องเข้ามาในลิฟท์ตัวเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ เพราะโถงทางเข้ายังพอมีอากาศไหลเวียนจาก เครื่องปรับอากาศอยู่บ้าง แต่ในลิฟท์กลิ่นมันจะไม่มีทางออกไปไหนได้เลย มันจะไหลวนๆ อวนๆ อยู่ทั่วๆ ซึ่งนั่นทำให้น้ำเปรี้ยวในคอของหนุ่ม ธันเริ่มจะทำงานแล้ว แต่ถือว่าพวกเขาทั้งสองยังพอจะมีบุญเก่าหลงเหลือกันอยู่บ้าง เนื่องจากในขณะที่กำลังจะไม่ไหวแล้ว ประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเปิดออก ทำให้กลิ่นบรรเทาลงไปบ้าง

   “ถึงแล้วครับน้องๆ สวรรค์ชั้น 7 ของพี่”เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มหัวหยองก็เดินออกจากลิฟท์ ตรงไปเรื่อยๆตามทางเดิน ด้วยตัวเปล่าไร้ซึ่งการช่วยหยิบหรือยกกระเป๋าใดๆ

   เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ธันก็ต้องเจอกับ เซอร์ไพร์ทลำดับที่สองของวัน เนื่องจากตลอดทางเดินของห้อง พื้นนั้นถูกเรียงรายไปด้วยขวดแก้วว่างเปล่าหลากสี บางขวดก็เป็นยี่ห้อที่มีขายในไทย แต่บางขวดก็ดูไม่ใช่ยี่ห้อที่คุ้นตาเลย หนำซ้ำบางขวดก็ยังมีก้นบุหรี่อยู่ในนั้นเสียด้วย ถัดจากทางเดินก็เป็นครัวขนาดเล็ก ที่มีหม้อ และกระทะใช้แล้ววางอยู่บนเตา ข้างๆเป็นที่ล้างจานและอย่างไม่ต้องสงสัยมีจานที่กินแล้วไม่ได้ล้างวางอยู่ 2 ถึง 3 ใบ สุดท้ายเป็นตู้เย็นขนาดสองประตูที่วางอยู่ติดชิดผนัง ด้านบนของเตาและที่ล้างจาน เป็นชั้นวางของแบบบานผับ ซึ่งให้ตายยังไงธันก็จะไม่เปิดดูแน่ๆ เพราะเชื่อได้เลยว่าจะต้องมีของไม่พึงประสงค์ถูกยัดอยุู่ข้างใน เช่นซอสหมดอายุ หรืออาจจะมีถึงขั้นขนมปังหมดอายุจนรางอกเต็มตู้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ด้านหน้าครัวเป็น บันไดทางขึ้นชั้นสอง ซึ่งช่องว่าง ระหว่างบันไดก็มีกีตาร์เก่าๆและกระเป๋าเดินทางฝุ่นจับวางอยู่ ถัดจากบันไดเป็นที่นั่งเล่น หรือจะเรียกว่าห้องเก็บของเก่าก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากว่า ภายในเป็นที่ตั้งของโซฟาหนังเก่าๆจนหนังบางส่วนเริ่มแตกแล้ว และในส่วนของเบาะนั่งนั้น หนังบางส่วนก็เริ่มจะมีรอยแตก บางจุดหนักถึงขนาดปริขาดจนเห็นฟองน้ำที่บุไว้ด้านใน ส่วนที่ไม่มีรอยปริหรือแตกก็มีลักษณะเว้าเป็นแอ่ง ซึ่งหากนั่งลงไปน่าจะจมจนลุกไม่ขึ้นแน่ ส่วนฝั่งตรงข้ามโซฟาก็เป็นทีวีจอแตก ซึ่งมองรอบๆก็ยังไม่เห็นวี่แววของรีโมตเลย แต่ถึงจะเจอรีโมตธันก็คิดว่ามันน่าจะเปิดไม่ติดอยู่ดี สุดทางเดินของชั้น 1 เป็นระเบียงสำหรับตากผ้า ซึ่งเจ้าของห้องก็ไม่ได้เอาไว้ใช้ตากผ้าอย่างเดียวเขายังนำเอาม้านั่งและโต๊ะมาวางด้วย หากเป็นตอนกลางคืน มุมนี้ที่นั่งตรงนี้คงจะดูดีไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละ ที่ไหนมีพื้นที่นั่นก็ย่อมเห็นน้องขวดมาจับกลุ่มกันเป็นทิวแถว อีกทั้งแม้จะมองผ่านๆก็ยังเจอเศษก้นบุหรี่เป็นหย่อมๆอีกด้วย

   ห้องของพวกเขาทั้งคู่อยู่ชั้นสอง เมื่อเปิดดูก็ค่อยโล่งอกเนื่องจากไม่มีขวดเครื่องดื่มแอลกฮอลล์วางระเกะระกะเหมือนชั้นล่างแต่ความดีใจก็คงอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากเมื่อย่างฝ่าเท้าเข้าไปก็รับรู้ถึงฝุ่นจำนวนมหาศาลอยู่ใต้เท้า และถึงแม้ห้องจะเป็นพื้นไม้แต่ความรู้สึกแต่ละย่างก้าวเหมือนพวกเขาเดินอยู่บนพื้นพรมยังไงยังงั้น ผนังห้องมีสีขาวออกครีมๆซึ่งเมื่อก่อนก็น่าจะเป็นสีขาวสว่างแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปบวกกับการไม่ได้บำรุงรักษาสีก็เลยน่าจะซีดลง หนึ่งถึงสองระดับ ในห้องไม่มีของอะไรมากนอกจากเตียงขนาด 5 ฟุต ซึ่งเขายังนึกไม่ออกเลยว่าจะแบ่งกันนอนกับคนตัวกลมได้ยังไง นอกจากเตียงก็เป็นโครงตู้เก็บเสื้อผ้า ที่ต้องบอกว่าเป็นโครงเพราะมันไม่มีฝาปิด และข้างบนก็ไม่มีฝาครอบเช่นกันหากเป็นรถก็ดูคล้ายรถเปิดประทุน แต่ตู้เสื้อผ้าเปิดประทุนมันไม่น่าจะใช่เรื่องดีเพราะมันดูเหมือนจะพังได้ทุกเมื่อ ข้างๆตู้เสื้อผ้าเป็นโต๊ะเขียนหนังสือที่มีกระจกขนาดใหญ่วางอยู่ข้างบน ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่ได้มีไว้เขียนหนังสือแต่น่าจะมีไว้สำหรับการแต่งหน้าแต่งตัวเป็นแน่ แต่คนผิวแทนเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักเพราะตัวกระจกเองไม่มีความใสมากพอที่จะสะท้อนอะไรกลับมาได้แม้แต่น้อย แถมตรงมุมล่างซ้ายขวาของกระจกยังมีรอยร้าวอันเนื่องมาจากการใช้งานที่ไม่ระวังอีกต่างหาก ที่ปกติที่สุดในห้องคงเป็นโต๊ะหัวเตียงที่ตั้งขนาบหัวเตียงทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่วายจะมีรอยสีดำ ขาว กระดำกระด่างทั่วหน้าโต๊ะ เยื้องๆมุมห้องเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ ซึ่งเมื่อธันยื่นหน้าเข้าไปดูก็ต้องทำหน้ายี้ เนื่องจากในห้องน้ำนั้นมีราดำกระจายอยู่เป็นจุดๆ ส่วนของอ่างล่างหน้าตัวอ่างนั้นอยู่ในสภาพที่ยังพอใช้งานได้ หากเราไม่นับคราบดำปนเหลืองที่อยู่รอบๆตัวก๊อกและคราบเขียวๆ ตรงรูระบายน้ำ ส่วนตรงฐานรองอ่างล้างหน้านั้นน่าจะทำจากไม้อัดราคาถูกเพราะขนาดดูด้วยตาเปล่า ก็ยังเห็นอาการบวมน้ำเด่นชัดอยู่หลายจุด ชักโครกก็ดูเก่าและโทรมตามกาลเวลมีคราบเหลืองกระจายอยู่ตรงฐานชักโครก และปุ่มกดที่ควรจะมีอยู่สองปุ่ม เป็นปุ่มหนัก และปุ่มเบา ก็คงเหลือแค่เพียงปุ่มหนักอยู่ปุ่มเดียว แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือฝาชักโครกได้ถูกปิดไว้ ซึ่งคนตัวเล็กคงจะต้องกดย้ำๆหลายๆทีก่อนที่จะเปิดฝาออกดู ครึ่งหนึ่งของห้องน้ำถูกกั้นไว้ด้วยกระจกเพื่อแยกส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกัน และก็ไม่น่าแปลกใจที่กระจกกั้นจะมีคราบหินปูนเกาะอยู่ทั่วอันเนื่องมาจากการที่ไม่เคยจะใส่ใจขัดล้างมาก่อน

   “เอาละครับ ห้องนี้ก็เป็นห้องของน้องๆนะครับ ส่วนห้องพี่ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ ถ้ามีอะไรก็มาเคาะห้องได้ตลอดเลยครับ ค่าห้องจ่ายทุกวันอาทิตย์ เดี๋ยวพี่จะให้เลขที่บัญชีเราไว้อีกที อ๋อแล้วตรงข้างๆห้องพี่จะเป็นห้องน้ำอีกห้อง ซึ่งถ้าน้องจะต้องออกไปเรียนพร้อมกันก็มาใช้ห้องนี้ได้  ในห้องนี้จะมีเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้าด้วย เครื่องซักผ้าใช้ได้ปกตินะครับ แต่เครื่องอบผ้าใช้ไม่ได้ครับ” หนุ่มหัวหยองพูดพร้อมชี้ไปที่ห้องเขาและห้องน้ำข้างๆห้องตามลำดับ

   “ที่ใช้ไม่ได้เพราะมันกินไฟเหรอครับพี่”ธันถามขึ้นทันทีหลังหนุ่มตัวผอมพูดจบ

   “อ๋อมันเสียน่ะครับ แล้วค่าซ่อมมันแพงพี่เลยไม่ได้เอาไปซ่อม”หนุ่มหัวหยองตอบกลับพร้อมขำแห้งๆ

   “อ๋อ คุยกันมาตั้งนานยังไม่ได้แนะนำตัวเลย พี่ชื่อพี่อ้นนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”หนุ่มอ้นพูดจบพร้อมเอามือเสยผมขึ้นพร้อมขยิบตาให้ทั้งคู่

   “ผมชื่อแบมบูครับพี่ เป็นคน แมนๆชอบเตะบอลครับ แถวนี้มีสนามไหนก็ชวนได้นะครับผม ส่วนนี้พี่ธันครับ ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ”หนุ่มแบมบูก้าวเท้าออกมาข้างหน้าพร้อมแนะนำตัวเองและหนุ่มธันอย่างเสร็จสรรพ

   หลังจากพูดคุยสอบถามเรื่องของป้ายรถประจำทางและห้างสรรพสินค้าใกล้ๆที่พักเสร็จ ก็เป็นฝ่ายหนุ่มอ้นที่ขอตัวไปนอนต่อ ทั้งๆที่เวลาก็เลยบ่ายคล้อยมามากแล้ว และเมื่อประตูห้องของทั้งคู่ปิดลง ธันก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นทันที

   “นี่แกไปหาห้องจากไหนเนี่ย ทำไมสภาพห้องมันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่บอกว่ามีคนอยู่นี่คิดว่ากำลังเดินเข้าบ้านผีสิงอยู่นะ สภาพห้องก็รกยังกับกองขยะ อยู่ไปได้ยังไงวะ”หนุ่มธันพูดร่ายยาวก่อนจะจบประโยคด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “แหม่ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรือเปล่า แค่มันรกเฉยๆเดี๋ยวช่วยกันทำความสะอาดก็ดีขึ้น อีกอย่างห้องมันก็ใกล้โรงเรียนเราด้วย เดินไปได้ไม่ต้องเสียค่ารถ เธอจะได้เอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นได้ไง” หนุ่มแบมบูพูดอย่างรู้ทัน เพราะเขารู้จุดอ่อนของธันเป็นอย่างดีว่ามีนิสัยประหยัดขนาดไหน

   “เออ ประหยัดได้มันก็ดี แต่ฉันถามแกหน่อยเหอะ ทำไมแกต้องแอ๊บแมนด้วย นี่แกอย่าบอกนะว่าไอ้พี่อ้นอะไรเนี่ย เขาไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นเกย์อะ”หนุ่มผิวแทนถามหนุ่มตัวกลมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เพราะหากหนุ่มหัวหยองเป็นพวกต่อต้านเกย์หัวรุนแรง พวกเขาทั้งคู่คงต้องระเห็ดออกจากห้องตั้งแต่วันแรกเป็นแน่

   “เออ อันนั้นก็ไม่รู้อะ แต่ว่าถ้าทำตัวแมนๆก็น่าจะเข้าถึงได้ง่ายกว่าปะ”หนุ่มตัวกลมที่ยืนนานชักจะเมื่อยเลยลงไปนั่งบนเตียงก่อนจะตอบคำถาม หนุ่มตัวเล็ก

   “นี่แกอย่าบอกนะ ว่าแกจองห้องนี้เพราะผู้ชาย อะหะ”หนุ่มธันเผลอตะโกนออกมาอย่างลืมตัว

   “”เบาๆ เดี๋ยวพี่เขาได้ยินหรอก คือนี่ก็ลองค้นข้อมูลดูว่าจะหาที่พักในออสเตรเลียได้ยังไงบ้าง แล้วก็ไปเจอมาว่าส่วนใหญ่เขาจะไปแชร์ห้องกับคนอื่น บางห้องก็อยู่กันเองแค่คนเช่าบางห้องเจ้าของห้องก็อยู่ด้วย แต่ประเด็นคือนี่ลองไปหาห้องที่เว็บ Flatmate ตามที่พี่ๆส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ใที่นี้เขาแนะนำมา แล้วเว็บเนี่ยมันมีหน้าเจ้าของห้องแปะไว้ให้เราดูด้วย แล้วก็เผอิญไปเห็นหน้าพี่อ้น เอ้ย เผอิญไปเห็นห้องนี้มันอยู่ในทำเลดี เลยติดต่อขอเข้ามาอยู่กับพี่เขาไง” แบมบูพูดไปก็บิดตัวไปมา ด้วยความเขิลอายเหมือนสาวน้อยแรกรุ่นเพิ่งพบกับความรักเป็นครั้งแรก

   “อะไรของแก ตาพี่อ้นเนี่ยนะ หน้ายังกับโจรชอบไปได้ไงวะ”หนุ่มธันพูดพร้อมพ่นลมหายใจแรงๆออกมาผ่านจมูก

   “ถึงพี่เขาจะเป็นโจร ก็เป็นโจรปล้นใจนะ”หนุ่มแบมบูยังคงบิดไปบิดมา พร้อมพูดประโยคดังกล่าวอย่างเขิลอาย

   “โจรปล้นใจกะผีอะสิ โจรปล้นจริงนี่แหละ”หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมทำตาเหลือกขึ้นข้างบน อย่างอดไม่ได้

   “ตบปากสิบครั้ง ปฏิบัติ! โจรเจิรอะไร หน้าพี่เขายังกับพระเอกเกาหลี พูดอะไรให้เกียรติว่าที่สามีในอนาคตน้องด้วย”แบมบู กระเด้งตัวขึ้นจากเตียงและพูดออกโรงปกป้องหนุ่ทเจ้าของห้องอย่างสุดฤทธิ์

   แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะตีกันไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ซึ่งมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหนุ่มเจ้าของห้องผู้ซึ่งหอบเอาผ้าห่มมาให้ถึงสองผืนใหญ่

   “เผอิญพี่ลืมเอาผ้าห่มมาให้เราน่ะ ออสเตรเลียถึงตอนกลางวันจะร้อนแต่ตอนกลางคืนมันหนาวสุดๆเลยนะ อะรับไปสิ”หนุ่มตัวผอมยื่นผ้าห่มมาให้เขาทั้งคู่ ซึ่งหนุ่มตัวกลมก็รีบคว้ามาไว้ในอ้อมแขนของตนพร้อมกับพูดขอบคุณเสียงหวาน ส่วนหนุ่มตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ได้แต่หันหน้าเข้ากำแพงอย่างไม่สนใจใยดีกับการมาถึงของเจ้าของห้อง แต่ก่อนที่หนุ่มหัวหยองจะเดินกลับเข้าห้องไปเขาก็ได้พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หนุ่มธันต้องรีบหันหน้ากลับไปมอง

   “คือ ที่ออสเตรเลียเนี่ยนะครับเขาจะใช้วัสดุออกแบบภายใน ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่อยู่นี่มา สี่ ห้าปี ย้ายมาหลายที่แล้ว ทั้งห้องใหญ่ ห้องเล็ก บางที่ประตูภายในห้องก็ล็อคได้ บางที่ก็ล็อคไม่ได้ต้องคอยมานั่งระวังข้าวของ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทุกห้องทุกที่เลยคือ ผนังห้องจะบางมาก ถ้าอยู่ห้องติดกันพูดอะไรนิดหน่อยก็ได้ยินหมดแล้วนะครับ” หนุ่มตัวสูงพูดโดยที่ไม่ได้หันมามองเขาทั้งคู่ก่อนจะเดินหายลับเข้าห้องไปทิ้งให้คนผิวแทนและแบมบูยืนตัวแข็งตาตั้งเหมือนคนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

When love travel เมื่อรักบังเอิญ ครึ่งแรก
« ตอบ #9 เมื่อ: 24-05-2020 09:10:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
หลังจากตั้งสติอยู่พักใหญ๋เขาทั้งสองคนก็รีบหยิบกุญแจและเดินหนีออกจากห้องมาหาซื้อวัตถุดิบเพื่อที่จะทำกับข้าวในตอนเย็นและเช้าวันถัดไป พร้อมทั้งจะหาซื้อชุดอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworths ใกล้บ้านตามที่หนุ่มหัวหยองแนะนำไว้

   ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworths จะมีสัญลักษณ์เป็นรูปตัว W สีเขียวโดยรูปทรงจะคล้ายฟักทองลูกใหญ่ๆ การตกแต่งภายในจะเป็นการตกแต่งอย่างง่ายๆไม่มีอะไรหวือหวาเหมือนห้างที่ประเทศไทย แต่จะเน้นหนักในเรื่องความปลอดภัย และ คุณภาพของอาหารซะมากกว่า พื้นที่เดินภายในก็เป็นพื้นยางกันลื่นสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนโซนของที่ต่างประเภทกันก็จะมีป้ายกำกับตัวใหญ่ๆไว้ชัดเจนทำให้สามารถเดินหาของที่ต้องการได้ในเวลาอันรวดเร็ว หนำซ้ำยังมีพนักงานกระจายอยู่ในทุกจุด เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือลูกค้าและเฝ้าระวังการขโมยของต่างๆด้วย

   “ทำอะไรง่ายๆกินละกันเนาะ พวกกะเพรา ผัดพริกแกงอะไรแบบเนี้ย”ธันพูดขึ้นระหว่างกำลังเดินหาใบกะเพรา ที่โซนผักและผลไม้

   “เอ่อ น้องว่าพวกไก่ทอด หมูทอดก็ดีนะ นี่ไม่ค่อยกินผักอะ”แบมบูพูดขัดคอขึ้นทันทีหลังจากได้ฟังเมนูอาหารที่ธันเสนอ

   “แกนี่นะ เข้าคอนเซปเด็กอ้วนเลยนะ กินแต่ของทอดๆมัน แล้วก็มาบ่นว่าอยากผอม” ธันบ่นอย่างไม่จริงจัง ขณะสอดส่ายสายตามองหาผักที่เขาต้องการ

   “อะไร บูลลี่อ๋อ อ้วนแล้วมันยังไงอ้วนแล้วขาหนีบน้องไปเบียดตรงง่ามขาพี่เหรอ อีกอย่างนะคนที่กินของหวานเป็นประจำอย่างพี่ไม่มีสิทธิ์มาว่าน้องเรื่องของทอด พี่ก็แค่โชคดีที่กินแล้วไม่อ้วนปะ”แบมบูพูดด้วยน้ำเสียงกระแหนะกระแหนสุดฤทธิ์ เนื่องจากเขาไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์ลักษณะการกินของเขาเท่าไหร่นัก

   “เฮ้ย 3 ก้านตั้ง 5 เหรียญเลยอ๋อวะ ทำไมมันแพงจัง แล้วอีกอย่าง นี่มันก็ใบโหระพาไม่ใช่เหรอทำไมเขียนว่า Thai Basil ละ”ธันพูดขึ้นอย่างตกใจหลังจากหยิบกล่องพลาสติกที่ภายในบรรจุโหระพาอยู่สามก้านขึ้นมาดูราคา

   “อย่าหาว่าน้องสอนเลยนะคะ Basil เนี่ยเขาก็ใช้เรียกพืชตระกูลนี้หมดละคะ Thai Basil Sweet basil คือโหระพา ส่วน กะเพราเนี่ยเขาเรียก Holy Basil คะแต่จริงๆที่นี้เขาไม่นิยมกินใบกะเพราะกันกลิ่นมันแรง ฝรั่งไม่ชอบ แล้วก็ที่เนี่ยเขาให้ราคากับพวกผักมากไม่เหมือนบ้านเราที่ผักจะราคาถูกยังกะได้ฟรี ดังนั้นผักกับเนื้อที่นี่ราคาจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ ผัก 5 เหรียณเนื้อหมูครึ่งโล 8 เหรียญ เป็นเรื่องปกติจ้ะ น้องเรียนมาสูงเชื่อน้อง” แบมบูพูดอธิบายอย่างเนิบๆช้าๆด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจที่ตนได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดก่อนเดินทาง

   “เรียนบนกิ่งไม้เหรอที่ว่าสูงน่ะ เออ ยังงั้นก็ทำพวกหมูทอด ไก่ทอด ไข่ทอดไปก่อนละกัน เพราะเดี๋ยวต้องซื้อพวกซอสปรุงรส น้ำมัน ไหนจะน้ำยาซักผ้าน้ำยาล้างห้องน้ำอีก จ่ายหนักๆทีเดียวเห็นบิลแล้วใจมันหวิวว่ะ” หลังจากเห็นราคาผัก ธันก็ตัดสินใจที่จะทำอาหารประเภททอดๆแทนไปก่อนเพราะทำใจไม่ได้ที่จะซื้อผักในราคาใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์

   “โหอะไรกัน ขนาดถุงพลาสติดยังต้องซื้ออีกเหรอ ไม่มีแจกฟรีเหรอ” ธันพูดบ่นอย่างต่อเนื่องหลังจากซื้อของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและเมื่อมาถึงขั้นตอนการชำระเงินก็พบว่าเขาต้องจ่ายเงินค่าถุงพลาสติกสำหรับใส่ของด้วย

   “เอาน่ามันก็แค่ 15 เซนเองไหมถ้าไม่อยากจ่ายค่าถุงพลาสติกทีหลังก็เอาถุงผ้ามาใส่สิ Save world save money อะ You know?” แบมบูพูดด้วยความเหนื่อยหน่ายกับความเค็มของหนุ่มตัวเล็กก่อนที่จะได้รางวัลตอบแทนความดีเป็นค้อนเล็กๆหนึ่งวง

   เมื่อกลับมาถึงห้อง ธัน และหนุ่มตัวกลมก็ไม่เห็นวี่แววของพี่อ้น ซึ่งนั่นทำให้เขาทั้งคู่โล่งใจเพราะ ณ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเหมือนกัน หลังจากได้รู้กลายๆว่าทุกคำพูดที่เขาพูดกันในห้องส่วนตัวนั้นเจ้าของห้องก็น่าจะได้ยินด้วยเช่นกัน หนุ่มตัวกลมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เขานี่สิด่าไม่ซ้ำกันเลย ไม่รู้ว่าหนุ่มหัวหยองจะเกลียดเขาตั้งแต่วันแรกเลยหรือเปล่านะ

   มื้อเย็นวันนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้กินข้าวหมูทอดกระเทียม และเนื่องจากธันกะปริมาณของหมูและข้าวไม่ถูก พวกเขาจึงเหลือหมูและข้าวเยอะพอสมควรที่จะเป็นอาหารเช้าของเขาทั้งคู่ได้ ดังนั้นพวกเขาจีงเอากล่องพลาสติกที่พวกเขาหาเจอบนชั้นเก็บของโดยบังเอิญ มาใส่และแช่เก็บไว้ในตู้เย็น นอกจากพวกเขาจะบังเอิญเจอกล่องพลาสติก พวกเขายังเจอไมโครเวฟอยู่ใต้อ่างล้างจานอีกด้วย และนั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกธันว่าตาเจ้าของห้องต้องไม่ใช่คนปกติดีแน่ๆ

   หลังจากมื้ออาหารเย็น พวกเขาทั้งคู่ก็ลงมือทำความสะอาดห้องเล็กๆน้อย ก่อนจะต่อคิวอาบน้ำกันโดยหนุ่มตัวเล็กเสียสละให้หนุ่มตัวกลมอาบน้ำก่อน เพราะตัวเขาอาบน้ำค่อนข้างนาน

   “โอ้ย ทำไมกรนเสียงดังจัง นอนไม่หลับเลยเนี่ย”หนุ่มธันผุดลุกผุดนั่งขึ้นมากลางดึกหลังจากทนฟังเสียงกรนของหนุ่มตัวกลมอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า แบมบูจะหยุดกรนสักที บวกกับอากาศในห้องค่อนข้างร้อนอบอ้าวเขาจึงตัดสินใจลงมายังชั้นล่างเพื่อหาน้ำเย็นกิน ระหว่างกินน้ำ ธันก็เหลือบมองออกไปตรงระเบียงแล้วก็พบว่า ดาวในเมืองนี้ช่างดูสว่างสุกใสผิดกับกรุงเทพมหานครเมืองของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงอยากจะเข้าไปชมความงามให้ใกล้กว่านี้อีกหน่อย และสงสัยว่าเท้าจะไวกว่าความคิดเพราะไม่กี่อึดใจต่อมาตัวเขาก็มาโผล่อยู่ที่กลางระเบียงเรียบร้อยแล้ว หลังจากแหงนมองดาวอยู่ชั่วครูขาก็ต้องขนลุกเกรียวเนื่องจากพึ่งจะรู้สึกตัวว่าไม่ได้มีเขาแค่คนเดียวที่อยู่ตรงลานด้านนอก

   “ชอบดูดาวเหมือนกันเหรอครับ”หนุ่มอ้นผู้ออกมาสูบบุหรี่ เป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน

   “ก็ไม่ค่อยได้ดูหรอกครับ เพราะตอนอยู่ที่กรุงเทพ ธันอยู่คอนโดน่ะครับ แล้วแสงไฟจากตึกมันก็สว่างไปหมด เลยมองไม่เห็นดาว พอมาอยู่ที่นี้ทั้งๆที่มันก็มีตึกเยอะเหมือนกัน อีกอย่างห้องนี้ก็อยู่ใจกลางเมืองแต่แปลกที่เห็นดาวชัดขนาดนี้เลยอดไม่ได้ที่จะออกมาชมเขาหน่อยอะครับ” ธันพูดขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงเนื่องจากมีอาการเกร็งนิดหน่อยจากเหตุการณืเมื่อช่วงบ่าย

   “เอ่อ... พี่อ้นครับ ธันต้องขอโทษเรื่องวันนี้ด้วยนะครับ ที่พูดจาไม่ดีออกไป หวังว่าพี่จะไม่โกรธนะครับ” หนุมผิวแทนหลบตาต่ำลงมองพื้น และพูดประโยคข้างต้นด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ

   “ขอโทษอันไหนดีละครับ ที่ว่าห้องพี่สกปรก หรือว่าที่พี่หน้าเหมือนโจร”หนุ่มผิวขาวพ่นควันบุหรี่สายใหญ่ ก่อนจะตอบคำถามด้วยคำถามอีกที

   “ที่ว่าพี่หน้าเหมือนโจรอะครับ จริงๆแล้วธันก็ไม่ได้คิดแบบนั้น แค่หมั่นไส้เจ้าแบมบูที่ดูเหมือนจะปลื้มพี่เกินเหตุ แต่เรื่องห้องรกธันไม่ขอโทษนะครับ เพราะห้องพี่รกจริง ซึ่งพี่ก็ควรทำความสะอาดสักหน่อยก่อนจะปล่อยห้องให้คนอื่นมาแบ่งเช่านะครับ” ธันหลบตาพี่อ้นทันทีหลังจากพูดจบประโยค เพราะถึงเขาจะรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตายมานัดต่อนัดแล้ว

   “เรานี่ตรงดีว่ะ พี่ชอบ เออเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เลิกงานแล้วเดี๋ยวพี่เก็บห้องให้ จะเอาให้สะอาดเลยครับผม”พี่อ้นพูดขึ้นพร้อมขยิบตาให้หนุ่มตัวเล็กหนึ่งที ซึ่งนั่นทำให้ธันหลุดขำออกมาจนได้ หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ธันก็ขอตัวขึ้นนอนเนื่องจากพรุ่งนี้เขามีเรียนเช้ากลัวจะตื่นไม่ไหว

   เช้าวันต่อมาจะด้วยเหตุอันใดไม่ทราบทำให้เขาทั้งคู่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกและอีกเพียงสิบห้านาทีงานปฐมนิเทศจะเริ่มแล้ว นั่นทำให้หนุ่มทั้งสองทำได้แค่เพียงแปรงฟันล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่จะวิ่งหน้าตั้งจากตึกที่เขาพักอาศัยไปยังโรงเรียนสอนภาษา Brose ซึ่งเป็นที่ๆพวกเขาจะต้องเรียนกันไปอีกอย่างน้อย ครึ่งปี โชคดีที่พวกเขาไม่ลืมหยิบข้าวหมูทอดกระเทียมติดมาด้วยแต่โชคร้ายหน่อยที่อาหารมื้อเช้าของพวกเขาจะต้องเปลี่ยนมาเป็นมื้อกลางวันแทน ตลอดสองข้างทางเดินของพวกเขานั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตลอดแนว นั่นทำให้พวกเขามีร่มเงาไว้คอยบังแดดอยู่บ้างในวันที่ร้อนอบอ่าวเช่นนี้ หน้าตึกทางเข้าโรงเรียนมีต้นไม้ขนาดย่อมกระจัดกระจายอยู่สี่ห้าต้น ดอกของมันเป็นพวงสีเหลืองทองอร่าม เกสรนั้นมีขนาดยาวกว่าตัวดอกไม้ประมาณ 2 ถึง สามเท่า แต่ก่อนที่เขาจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่านี้นาฬิกาเจ้ากรรมก็ดันโชว์เวลาขึ้นมาว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงสามนาทีก่อนที่งานจะเริ่ม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องวิ่งเข้าไปในตัวตึก และสอดส่ายสายตาหาลิฟท์ตัวที่ใกล้ที่สุดก่อนเวลาจะหมด โชคดีในความโชคร้ายเพราะว่าลิฟท์ตัวที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่สิบเก้าแต่ลิฟท์ตัวนั้นก็กำลังจะปิดเหมือนกัน

   “Excuse me”(ขอโทษครับ) หนุ่มธันตะโกนสุดเสียงก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงหนุ่มตัวกลมที่หอบแฮ่กๆอยู่ด้านข้างไปยังลิฟท์ตัวนั้น

   โชคดีที่ใครบ้างคนกดเปิดลิฟท์ให้เขาทั้งคู่ และจังหวะที่ลิฟท์เปิดเผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านในนั้นเขาก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะหน้าของคนที่กดเปิดลิฟท้ให้พวกเขานั้นเป็นใบหน้าเดียวกันกับที่นั่งข้างเขาบนเครื่องบิน

   “You again” (นายอีกแล้วเหรอ) หนุ่มธันพูดพร้อมชี้นิ้วเข้าไปในลิฟท์อย่างลืมตัว

   “Ce sont mes mots” (คำนั้นฉันควรเป็นคนพูดมากกว่านะ) หนุ่มตาสีฟ้าพูดตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

   แจ็คพอร์ตแตก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.5
«ตอบ #11 เมื่อ25-05-2020 00:23:06 »

 :3123:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   มันมีทฤษฏีหนึ่ง ที่บอกเอาไว้ว่าถ้าเราจ้องตาใครสักคนเกิน 8 วินาที จะสามารถตกหลุมรักคนๆนั้นได้ แล้วถ้าหากคนนั้นเป็นคนที่เราไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกพบละ เราจะเปลี่ยนจากความเกลียดมาเป็นความชอบได้ภายใน 8 วินาทีจริงๆน่ะเหรอ

   ณ เวลานี้ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันอย่างไม่ลดละไม่มีใครยอมถอยให้ใคร หากเปรียบเทียบเป็นมวย ฝ่ายหนึ่งก็สามารถตั้งกาดและหลบได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกฝ่ายก็ฮุกซ้ายฮุกขวาอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย บางจังหวะก็มีโยกตัวหลอกล่อและพยายามหาทางสวนกลับด้วยศอกและเข่าหากมีโอกาส ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นแค่เพียง 8 วินาที แต่เป็น 8 วินาทีที่ช่างยาวนาน โดยไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาจากปากของทั้งคู่มีแต่เพียงเสียงแห่งความเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน จนกระทั่งเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้นลง

   “อ้าว จะแข่งจ้องตาชิงแชมป์กันมั้ง ถ้าไม่ขึ้นก็หลบนะคะ คนสวยจะเข้าค่ะ นี่ก็อีกคนชิดในหน่อยค่า พ่อทำสัมปทานลิฟท์ไว้เหรอคะ Can you move please” (หลบหน่อยคะ) หลังจากยืนจ้องทั้งคู่มองตากันอยู่นานสองนานจนลิฟท์ร้องเตือนขึ้นมา แบมบูจึงอดรนทนไม่ไหว ต้องดันตัวคนอายุมากกว่าเข้าลิฟท์ไป พร้อมทั้งตะโกนบอกให้คนข้างในถอยหลังไปหน่อย หากไม่อยากโดนชนกระเด็น เพราะหากเราเปรียบเทียบกันจากขนาดตัวแล้ว แบมบูยังเป็นต่ออยู่มากหากเราเทียบกันในแนวขวางไม่ใช่แนวตั้ง

   “Second floor please”หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นมาหลังจากที่คนตรงหน้าปุ่มกดลิฟท์ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากถามแต่ประการใด แต่ถึงจะพูดออกไปด้วยเสียงอันดังและชัดถ้อยชัดคำ คนตาฟ้าก็ยังไม่มีท่าทีจะกดปุ่มให้จนคนตัวเล็กต้องยื่นมือไปกดปุ่มนั้นด้วยตัวของเขาเองพร้อมกับหันหน้าไปจ้องคนตัวสูงอย่างหาเรื่อง

   ซึ่งหนุ่มตาฟ้าก็หันกลับมามองหน้าหนุ่มตัวเล็ก เล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพร้อมทำเสียง หึ ในลำคอเบาๆ และนั่นก็เกือบจะทำให้เขาได้วางมวยกันแล้วถ้าเสียงแจ้งเตือนว่าลิฟท์มาถึงยังยังจุดหมายไม่ดังขึ้นมาซะก่อน

   “เออ ไปๆแยกๆ ไปติดต่อธุระก่อนค่ะ อย่าเพิ่งตีกับเขาตอนนี้ น้องยังไม่อยากโดนส่งตัวกลับตั้งแต่อาทิตย์แรก” แบมบูจับมือธันออกมาจาก ลิฟท์ตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ถึงกระนั้นหนุ่มธันก็ยังจ้องหนุ่มตาฟ้าอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งลิฟท์ปิดไป หนุ่มธันจึงค่อยหันมาสนใจพนักงานประชาสัมพันธ์ตรงหน้า

   “Hello guy, my name is Jenny and you should be a new student right? Can I have your passport please?” (สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อเจนนี่นะ พวกน้องเป็นนักเรียนใหม่ใช่ไหม ยังไงขอหนังสือเดินทางด้วยนะ) พนักงานสาวหน้าตาออกไปทางเอเชีย พูดพร้อมส่งยิ้มน้อยๆมาให้พวกเขาทั้งคู่ และแม้หนุ่มผิวแทนจะมีรสนิยมชอบผู้ชาย แต่ก็แอบมีเคลิ้มอยู่เล็กๆเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยจ้องหน้าคนสวยระดับ เจนนี่ แบบใกล้ขนาดนี้มาก่อน

   หลังจากค้นหาหนังสือเดินทางในกระเป๋าอยู่ชั่วครู่ หนุ่มธันก็ยื่นหนังสือเดินทางที่ห่อหุ้มด้วยซองหนังสีน้ำตาลเรียบๆให้กับเจนนี่ ผิดกับหนุ่มตัวกลมที่ใส่ซองพลาสติกลายนักร้องเกาหลีที่กำลังดังอยู่ ในขณะนี้พร้อมด้วยพื้นหลังสีฉูดฉาด

   หลังจาก เจนนี่ตรวจสอบเลขหนังสือเดินทางในฐานข้อมูลอยู่สักครู่ ก็ส่งคืนหนังสือเดินทางให้พร้อมกับ คู่มือนักเรียนใหม่และขนม Tim tam เล็กๆคนละ  1 ห่อ แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนตัวเล็กยิ้มแก้มปริกับขนมฟรีที่ได้รับแล้ว

   “Ok Guy, After this, we going to test how English is you and don’t think too much about the answer if you don’t know you can skip it we just want to know which level is suited to you..” (เอาละ เดี๋ยวหลังจากนี้จะมีการทดสอบระดับภาษาอังกฤษกันนะคะ แต่ว่าไม่ต้องกังวลอะไรถ้าข้อไหนทำไม่ได้ก็ให้ข้ามได้นะคะ ทางโรงเรียนแค่อยากจะรู้ว่าน้องๆควรจะเรียนระดับไหนแค่นั้นเองค่ะ) เจนนี่อธิบายพร้อมผายมือให้พวกเขาเดินตามเธอไปยังโซนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างจากจุดประชาสัมพันธ์ไม่มากนัก ภายในโซนคอมพิวเตอร์ จะแบ่งออกเป็นสองฝั่งชัดเจน ฝั่งซ้ายจะเป็นโต๊ะสีขาวสำหรับใช้วางคอมพิวเตอร์ซึ่งยาวสุดลูกหูลูกตา บนโต๊ะสีขาวก็จะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่จากค่ายผลไม้ ซึ่งกะด้วยสายตาคร่าวๆน่าจะมีไม่ต่ำกว่า สี่ถึงห้าสิบเครื่อง ส่วนฝั่งขวาจะมีโต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่หกถึงเจ็ดตัว ที่ขัดมันจนเห็นเงาสะท้อนได้อย่างชัดเจน และรอบๆโต๊ะก็มีเก้าอี้แบบพนักพิงบุผ้ากำมะหยี่สีฟ้าสดใส ซึ่งการจัดวางโต๊ะนั้นจะจัดวางสลับกับประตูทางเข้าห้องเรียนเรียนอย่างหลวมๆ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าต่อให้เปิดประตูมาจนสุดแรง ก็ไม่น่าจะกระแทกกับคนที่นั่งอยู่แน่นอน

   “Could you sit on the left-hand site please we will start your test in 5 minutes and please make sure your computer is working as well.” (รบกวนน้องๆ ไปนั่งทางซ้ายมือด้วยคะ เราจะเริ่มทำการทดสอบกันในอีก 5 นาทีแล้ว และก็อย่าลืมดูคอมพิวเตอร์ด้วยว่าสามารถใช้งานได้อย่างปกติหรือเปล่า) เจนนี่พูดพร้อมชี้นิ้วไปยังคอมพิวเตอร์ที่ยังเหลือว่างอยู่เพียง สองตัว

   หลังจากที่หนุ่มผิวแทนมานั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และลองขยับเมาท์ดูก็พบว่า คอมพิวเตอร์เปิดอยู่ในหน้าแบบทดสอบแล้ว หลังจากอ่านข้อสอบข้อแรกและชำเลืองมองหน้าจอของแบมบูและหนุ่มชาวเอเชียที่นั่งอีกข้างแล้วก็พบว่าข้อสอบที่ได้มาเป็นคนละชุดกัน ดังนั้นจึงหมดสิทธิ์ที่จะใช้วิชาคอยืดคอยาวที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนเป็นระดับปรมจารย์จากไทย

   “แกรมม่าตัวนี้มันมีด้วยเหรอวะ ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มั่วละกันวะ”หนุ่มธันพึมพำในใจกับตัวเองหลังจากทำข้อสอบไปได้สักพักแล้วพบว่าระดับข้อสอบนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดเลย

   หลังจากทำข้อสอบเสร็จไม่ทันถึง 10 วินาทีหน้าจอของหนุ่มตัวเล็กก็ดับลงทำให้หนุ่มธันเผลอหลุดอุทานด้วยความตกใจเพราะคิดว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขามีปัญหาและเขาอาจจะต้องทำการทดสอบใหม่หรือหนักกว่านั้น เขาอาจจะต้องไปเรียนยังระดับหนึ่งเลยก็เป็นได้ แต่โชคดีที่เจนนี่อยู่แถวนั้นพอดีและเมื่อเธอเห็นอาการของหนุ่มผิวแทนแล้วก็ต้องอมยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

   “That ok don’t worry when the computer is turned down it means your time is up and we will tell your score in the afternoon after speaking test and city tour.” (ไม่ต้องตกใจนะคะ ถ้าหน้าจอดับหมายถึงเวลาหมดเฉยๆคะ แล้วเดี๋ยวคะแนนจะแจ้งให้ทราบช่วงบ่ายนะคะหลังจากทดสอบการพูดแล้วก็การพาชมเมืองน่ะคะ) เจนนี่ยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเชิญเขาและแบมบูที่คอมพิวเตอร์ดับในเวลาไล่เลี่ยกันไปนั่งรอหน้าห้องหมายเลข 3 เพื่อรอทดสอบการพูดเป็นลำดับต่อไป

   หลังจากนั่งเตรียมใจได้ไม่ถึง 10 นาทีอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างในก็ตะโกนออกมาเชิญให้เขาทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อทำการทดสอบ

   “Hello my name is Ben, I will test your speaking skill today, by the way, don’t be serious just relax and chill if you don’t understand or if I speak fast you can request me to repeat the question or speak slowly, Are you ready?” (สวัสดีผมชื่อ เบนนะ ผมจะเป็นคนทดสอบระดับการพูดของพวกคุณวันนี้แต่ไม่ต้องเครียดมาก ทำตัวสบายๆ แล้วถ้าไม่เข้าใจหรือถ้าผมพูดเร็วไป คุณสามารถบอกให้ผมทวนคำถามอีกทีได้หรือจะให้ผมพูดช้าลงหน่อยก็ได้นะครับ) ข้างในห้องทั้งคู่ก็ได้พบกับผู้ชายวันกลางคนรูปร่างผอมเพรียวใส่แว่นและตัดผมคล้ายๆทรงรองทรงยืนยิ้มรอจับมือทักทายกับเขาอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าคุณลุงคนนี้จะรอพวกเขานานเกินไปจนค่อนข้างหงุดหงิดหรือว่าเป็นธรรมเนียมของที่นี้คือต้องจับมือกระชับแนบแน่นและค่อนข้างหนักจนคนตัวเล็กต้องลอบถูมือกับหน้าขาหลังจากเบนดึงมือกลับเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ

   “Ok, Let take a sit first” (เอาละนั่งก่อนนะครับ) เบนผายมือไปยังเก้าอี้สีขาวสองตัวที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา เมื่อทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย อาจารย์หนุ่มใหญ่ก็ไม่รีรอเริ่มบทสทนาทันที

   “Shall we start with your name first?” (เรามาเริ่มจากชื่อของพวกคุณกันก่อนดีไหม)  เบนยิ้มอบอุ่นพร้อมกับหยิบกระดาษและดินสอเล็กๆมาไว้ในมือเพื่อเตรียมจดโน็ตอะไรบางอย่าง และแม้เบนจะบอกให้หนุ่มผิวแทนไม่ต้องเกร็งแต่ในใจเขาก็รู้อยู่ดีว่าทุกคำพูดของเขามีผลต่อระดับที่เขาจะเรียนดังนั้นหากเขาได้ระดับที่ต่ำกว่าแบมบูมากๆ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

   “My name is Suchon but you can call me Thun” (ผมชื่อสุชลครับ แต่ว่าเรียกผมธันก็ได้) ธันพูดพร้อมกับยิ้มที่เขาคิดเอาเองในหัวว่ามันจะต้องดูสบายๆและแฝงด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแน่ๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วปากของเขาสั่นจนเห็นได้ชัด

   “And my name is Nutthapon but you can call me Gorgeous” (ส่วนผมชื่อ ณัฐพลครับหรือจะเรียกว่าสุดสวยก็ไม่ติดนะ) แบมบูพูดพร้อมยิงมุขเล็กๆตบท้าย ซึ่งนั่นก็ทำให้เบนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้

   “Gorgeous or Gorilla” (สุดสวนหรือกอลิล่ากันแน่) หนุ่มธันพูดพร้อมทั้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่เบนก็เอ่ยอะไรบางอย่างทันทีหลังธันพูดจบประโยค

   “Hey Thun, I don’t know about your country but in Australia that so rude. Can you say sorry?” (เฮ้ ธันฉันไม่แน่ใจนะว่าประเทศเธอเป็นยังไง แต่แบบนั้นน่ะในออสเตรเลียมันถือว่าเสียมารยาท ฉันว่าเธอควรพูดขอโทษนะ) ซึ่งหน้าตาที่ดูจริงจังของเบนอดที่จะทำให้ ธันหน้าเสียไม่ได้ ดังนั้นธันจึงพูดขอโทษออกมาทั้งๆที่ในใจก็ยังคิดว่าเป็นแค่การแซวกันเล็กๆน้อยๆเองทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

   “Sorry, Bamboo” (โทษทีนะแบมบู) ธันหันไปมองหน้าแบมบูที่ทำไหล่ยึกๆยักๆ ซึ่งหากเป็นเวลาปกติหนุ่มตัวเล็กต้องอดไม่ได้ที่จะต้องเอามือฟาดสักทีสองข้อหาหมั่นเคี้ยวไปแล้ว ยิ่งบวกกับหน้าตาผยองเพราะโดนถือหางนั่นอีกมันช่างน่าทุบนักเชียว

   “That ok, don’t worry” (ไม่เป็นไรจ้ะ) แบมบูพูดพร้อมหันหน้ามายิ้มปลอมๆให้หนึ่งที ก่อนที่จะแอบลอบพูดเบาๆว่า

   “ว้ายว้าย มีคนโดนดุว่ะ”แม้แบมบูจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ เบนก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

   “Here we don’t allow to speak in another language and if we hear you say that we will fine you 1 dollar per word but this time is ok but next time I have to do it. So, the next question is…” (ที่นี้เราไม่อนุญาตให้พูดภาษาอื่นนะและถ้าเราได้ยินเราจะปรับคำละเหรียญครั้งนี้ยังไม่เป็นไรแต่ครั้งหน้าผมคงต้องปรับนะ เอาคำถามต่อไป) เบนพูดประโยคข้างต้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและชี้ไปที่ป้ายด้านหลังที่เขียนกำกับว่า “English zone” (โซนภาษาอังกฤษ) ก่อนที่จะเริ่มคำถามต่อไปโดยที่สองหน่อของเราสันหลังเย็นวาบๆด้วยคิดไม่ถึงว่าที่นี้จะจริงจังขนาดนี้

   “Ok, that is my last question. Well done guy.” (โอเคอันนี้เป็นคำถามข้อสุดท้าย ทั้งคู่ทำดีมากครับ) เบนพูดก่อนจะพับกระดาษที่เขาใช้จดเขากระเป๋าเสื้อ

   “You will know your classroom number and your level after city tour until that time please enjoy your lunch break” (พวกคุณจะรู้หมายเลขห้องเรียนและระดับของคุณหลังจาก ทัวร์เที่ยวชมเมืองนะครับ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นขอให้สนุกกับช่วงพักเบรคอาหารกลางวันนะ) เบนพูดช้าๆเนิบๆก่อนที่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ธันและแบมบู

   หนุ่มธันและหนุ่มแบมบูเดินโซซัดโซเซ ตรงไปยังลิฟท์ด้วยความหิวโหยเนื่องจากเมื่อเช้าเขาทั้งคู่ตื่นสายดังนั้นตลอดการทดสอบช่วงเช้า พวกเขาจึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำเปล่าแค่คนละแก้ว หนุ่มธันว่าหน้าซีดแล้วหนุ่มแบมบูนี่ยิ่งซีดกว่าเหมือนคนน้ำตาลตกก็ไม่ปาน

   “Hey guy are you ok?” (พวกคุณโอเคไหม?) เจนนี่ที่นั่งอยู่ตรงประชาสัมพันธ์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากเด็กนักเรียนทุกคนอยู่ในความดูแลของเธอ ดังนั้นหากเด็กคนไหนเป็นอะไรไป เอเจนซี่ของเด็กนักเรียนคนนั้นเอาเธอตายแน่ ยิ่งเด็กนักเรียนไทยที่ เอเจนซี่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเยอะและเรื่องมากสุดๆแล้วด้วยนั้น เธอยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ

   “We are ok just hungry” (พวกเราไม่เป็นไรแค่หิวนิดหน่อยครับ) ทั้งคู่หันมายิ้มให้เจนนี่ แต่ก่อนที่เจนนี่จะพูดอะไรต่อลิฟท์ก็ดันมาซะก่อน และด้วยความหิวทั้งคู่จึงต้องพยายามแทรกเข้าไปในลิฟท์ทั้งๆที่ภายในจะแน่นจนเกือบเต็มแล้วก็ตาม

   “City tour will start at 1 o'clock, don’t be late” (ทัวร์ชมเมืองจะเริ่มเวลา บ่ายโมงตรง อย่ามาสายละ) เจนนี่ตะโกนเข้ามาในลิฟต์อย่างรวดเร็วก่อนที่ลิฟต์จะทันได้ปิดลง ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทั้งคู่จะฟังทันไหม แต่ยังไงซะก็ถือว่าเธอได้บอกแล้ว

   ด้วยที่ตั้งโรงเรียนเป็นย่านดาวทาวน์ของเมืองสองฝากฝั่งถนนจึงเรียงรายไปด้วยตึกขนาดย่อมๆ สองถึงสามชั้น เพื่อเป็นการรักษาทัศนวิสัย โดยตึกแต่ละตึกนั้นจะออกแบบให้ไปในทิศทางเดียวกันคือเป็นแบบสไตล์เรเนซอง หรือ อิตาเลี่ยนยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา แต่สีและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตัวตึกสามารถแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าตึกนั้นๆออกแบบมาเพื่ออะไร เช่นเป็นตึกที่มีธนาคารมาเช่าก็จะมีสัญลักษณ์ของธนาคารแขวนอยู่บนตัวตึกพร้อมสีประจำของธนาคารนั้นๆ หรือหากเป็นร้านอาหารก็จะมีรูปส้อมกับมีดติดอยู่ด้านบนพร้อมกับชื่อและสัญลักษณ์ของร้านอยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ดีแม้แต่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นเช่นแบรนด์ Zara H&M หรือแม้กระทั่ง Louis Vuitton ที่จะมีสไตล์การตกแต่งร้านในแนวของตัวเองค่อนข้างชัดเจน หากเราเคยเดินผ่านห้างใหญ่ๆในประเทศไทยเราก็คงจะแยกออกได้ในทันทีแม้ว่าจะยังไม่เห็นชื่อร้านด้วยซ้ำว่า นี่เป็นร้านของแบรนด์ใด แต่ที่นี้ร้านทุกร้านจะต้องตั้งอยู่ในกติกาเดียวกันคือ การคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิม ซึ่งสิ่งที่ทางสภาเมืองอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงได้อย่างเดียวคือสีตึกและการเปลี่ยนจากผนังหินอ่อนมาเป็นผนังกระจกเพื่อโชว์สินค้าด้านในร้าน ดังนั้นหากร้านที่มีรูปแบบเสื้อผ้าใกล้เคียงกันมากๆ เช่น H&M กับ Zara ถ้าจะซื้อต้องดูชื่อร้านดีๆไม่เช่นนั้นคุณอาจจะได้ เสื้อ Zara ยี่ห้อ H&M มาก็ได้

   เมื่อทั้งคู่เดินออกมานอกตึกก็เริ่มสอดส่ายสายตามองดูร้านอาหารที่ใกล้โรงเรียนเป็นอย่างแรก

   “อะ ยังไง” ธันมองมาที่หนุ่มตัวกลมที่ยังไม่หยุดมองหาร้านของกิน

   “อะไรก็ได้ เลือกเลยคะ” ประโยคสุดคลาสสิคหลุดออกมาจากปากหนุ่มตัวกลม แต่ถึงจะพูดแบบนั้นสายตาก็ยังดูสอดส่ายหาร้านของกินรอบๆไม่หยุด

   “อะ งั้นไป Subway ละกันมึง กินเสร็จจะได้มีเวลาขึ้นไปพักผ่อน นี่แอบเห็นตรงแถวๆ โซนคอมพิวเตอร์มีโซฟา น่าจะเอาไว้งีบได้นะ” ธันพูดพร้อมชี้ไปยังร้านแซนด์วิชชื่อดังที่อยู่ถัดไปอีก 2 บล็อก

   “โอ้ย Subway กลับไปกินที่ไทยก็ได้ปะ มาถึงนี่ก็ต้องกินอะไรที่หากินที่ไทยไม่ได้ดิ” แบมบูที่น่าจะจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกมา หันมาวีนใส่ คนผิวแทนที่ยืนอยู่ข้างๆ

   “หากินที่ไทยไม่ได้ งั้นกินเนื้อจิงโจ้ เนื้อโคอาล่าไหมละมึง” เป็นฝ่ายหนุ่มตัวเล็กหันมาวีนกลับบ้าง

   “เอาดีๆ เขาให้เวลาพักชั่วโมงเดียวช่วยคิดหน่อยดิว่าอะไรที่มันอร่อยๆ แล้วไม่ต้องเดินเยอะอะ เมื่อย อุ้ย” แบมบูจ้องหน้าหนุ่มธัน พร้อมบ่นกระปอดประแปดก่อนที่จะหยุดพูดกลางอากาศแล้วเลื่อนระดับสายตาจากหน้าหนุ่มธันเป็นใครสักคนด้านหลัง พร้อมทั้งก้าวเท้าเดินตามหลังคนๆนั้นไป โดยไม่สนใจหนุ่มธันที่ตะโกนตามหลังมาเลย

   “นี่แก เรียกไม่หันนะ เดี๋ยวจะโดน”หนุ่มธันที่วิ่งไล่ตามคนตัวกลมที่มาหยุดยืนอยู่หน้าร้าน ซูชิ พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ เพราะหลังจากที่แบมบูเดินข้ามฝั่งถนนมาโดยไม่รอเขา และ พอเขาจะเดินตามไป สัญญาณไฟเจ้ากรรมก็ดันเปลี่ยนจากไฟเขียวเป็นไฟแดงซะอย่างนั้น ทำให้เขาต้องยืนรอสัญญาณไฟอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะข้ามมาได้ แต่โชคยังดีที่หนุ่มแบมบูนั้นเป็นคนที่สามารถมองเห็นมาได้แม้จะอยู่ไกล ด้วยสไตล์การแต่งตัวที่ผิดแปลกจากคนทั่วไป และถ้าจะพูดตามตรงก็เป็นเพราะขนาดตัวด้วยนั้นแหละ

   หนุ่มแบมบูหันขวับมาตามเสียงของหนุ่มธันที่ยืนอยู่ข้างหลังทันที พร้อมรอยยิ้มที่ดูเขิลอายแปลกๆ

   “เป็นอะไรวะ ทำไมยิ้มสยองแบบนั้นละ” หนุ่มธันถามขึ้นทันทีหลังจากได้เห็นรอยยิ้มของแบมบู

   “หนูว่าหนูเจอเนื้อคู่แล้วละ ไอ้ต้าวความรักอะ พี่รู้จักปะ” แบมบูยืนเขิลตัวบิดตัวงออยู่หน้าร้านซูชิ กลางจัตุรัสเมือง ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างขวักไขว้แต่ถึงจำนวนคนจะเยอะอย่างไรหนุ่มตัวกลมก็ไม่ได้ลดระดับการแสดงออกของตนลงเลย

   หนุ่มธันได้แต่ทำตามองบน พร้อมทั้งคิดอยู่ในใจว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี้” แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเนื่องจากแบมบู อยู่ๆก็ร้องโวยวายขึ้นมาจนคนในร้านยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามามอง

   “อ้าว หายไปไหนแล้ว เนี่ยเมื่อกี้เขายังยืนอยู่ตรงนี้เลย เพราะพี่นั่นแหละ ชวนคุยเขาเลยเดินไปไหนแล้วไม่รู้ดูสิ” หนุ่มตัวกลมหันมาฟาดงวงฟาดงาใส่ หนุ่มผิวแทนเป็นชุด หลังจากการที่เขาหันมาคุยกับหนุ่มธันเพียงครู่ทำให้เขาต้องคลาดสายตากับหนุ่มในฝันของเขาไป

   “เออ ไปซื้อของกินก่อนไหม นี่จะหมดเวลาพักแล้วเนี่ยเรื่องบ้าผู้ชายอะไว้ก่อนเนาะ ตอนนี้หิว” หนุ่มธันพูดจบก็เดินเข้าไปยังหน้าเคาเตอร์ เพื่อเลือกซูชิมากินทันที ซึ่งหลังจากเลือกซูชิพร้อมจ่ายเงินเสร็จหนุ่มธันก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย เพราะซูชิที่เขาได้ไม่ใช่ซูชิที่หั่นเป็นขนาดพอดีคำ แต่เขาได้ซูชิที่เป็นแท่งยาวออกมาทั้งดุ้นเลย ถ้าจินตนาการไม่ออก ก็เหมือนคุณเดินไปซื้อ ฟุตลองไบท์ ในเซเว่นโดยหวังว่าหลังจากชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะหั่นไส้กรอกให้คุณกินง่ายๆ แต่เปล่าเลยหลังจากจ่ายเงินเสร็จ พนักงานก็ส่งไส้กรอกที่ยาวเป็นศอกให้คุณไปกินเอาเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2020 13:15:33 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
           หลังจบพักกลางวัน นักเรียนใหม่ทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าลิฟท์ เพื่อที่จะไปเที่ยวชมเมืองในช่วงบ่าย ซึ่งรวมถึงสองหน่อของเราด้วยเหมือนกัน

      “เฮ้อ” หนุ่มแบมบูถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน หลังจากคลาดกับหนุ่มคนนั้น คนตัวกลมก็เอาแต่ถอนหายใจจนหนุ่มธันอดรำคาญไม่ได้ต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา

   “Can you stop it and concentrate what jenny say” (ช่วยหยุดถอนหายใจแล้วตั้งใจฟังเจนนี่พูดหน่อยได้ไหม) หนุ่มธันหันไปพูดกับหนุ่มแบมบู เพราะทุกครั้งที่หนุ่มแบมบูหายใจเพื่อนที่อยู่รอบๆก็จะหันมามองเขาและแบมบูทีละคนสองคนเนื่องจากเจนนี่กำลังอธิบายถึงจุดแต่ละจุดที่เธอจะพาไป และบางคนก็ตั้งใจมากๆเนื่องจากภาษาของพวกเขาอาจจะยังไม่ดีนัก ดังนั้นการที่พวกเขาฟังไม่ทันสัก หนึ่ง คำหรือ หนึ่งประโยค พวกเขาอาจจะไม่เข้าบริบททั้งหมดไปเลยก็ได้

   “Ok, are you ready?” (พวกน้องๆพร้อมกันหรือยังจ๊ะ) เจนนี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ

   “If you are ready please take the elevator to the first floor and wait for me in front of the building” (ถ้าพร้อมแล้วก็กดลิฟท์ไปยังชั้นหนึ่งนะจ๊ะแล้วก็ไปรออยู่หน้าตึกนะเดี๋ยวพี่ตามไป) เจนนี่ไม่พูดเปล่าเธอกดปุ่มลิฟท์ให้ พร้อมกับเอามือกั้นลิฟท์หลังจากลิฟท์มาถึง เพื่อป้องกันลิฟต์จะไปหนีบนักเรียนใหม่ของเธอเข้า

    หลังจากที่ ธันและแบมบูเดินออกมารอที่หน้าตึกพร้อมกับกลุ่มเด็กใหม่บางส่วนได้ไม่นาน เจนนี่และเด็กใหม่กลุ่มสุดท้ายก็เดินตามมาสมทบ และจุดหมายแรกที่พวกเขาจะไปนั่นก็คือ บริษัททัวร์เล็กๆที่เป็นพาทเนอร์กับโรงเรียน อันมีชื่อว่า Grab and go

   เจนนี่พาพวกเขาเดินข้ามฝั่งถนนและตรงมายังจัตุรัสกลางเมือง ก่อนจะเลี้ยวซ้ายที่หัวมุมและเดินตรงไปอีกเล็กน้อยก็จะพบจุดหมายอยู่เยื้องๆกับร้านอาหารไทยที่มีชื่อว่า โภชนา

   “Hello Serena, How are you” (สวัสดีจ้ะ เซเรน่า เป็นไงบ้าง) เจนนี่เปิดประตูเข้าไปในร้านพร้อมพูดประโยคทักทายก่อนที่จะสวมกอดพนักงานงานในร้าน พร้อมทั้งจุ๊บแก้มสองข้างของเธอ อันเป็นการทักทายแบบปกติของที่นี้

   “Hello, Jenny glad to see you and this should be your new student right?” (ไงเจนนี่ ดีใจที่ได้เจอนะ และนี่ก็น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของเธอใช่ไหม) เซเลน่าตอบหลังจากผละออกจากออมกอดของเจนนี่ และหันมาชำเรืองมองผู้มาเยือนใหม่กว่า 20 ชีวิตที่มองทั้งคู่ด้วยสายตาแป๋วแหวว

   “My name is Serena and I am staff here, it is obvious right by my uniform and name tags” (ฉันชื่อ เซเรน่านะ เป็นสตาฟที่นี้ แต่ฉันว่ามันคงเห็นได้ชัดอยู่แล้วจากป้ายชื่อและชุดพนักงานที่ฉันสวมใส่อยู่)

   หลังจากแนะนำตัวและประวัติส่วนตัวพอสังเขป เธอก็เริ่มแนะนำสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจในเมืองบริสเบนเช่น สวนสัตว์ lone pine , Eat street พิพิธภัณฑ์ ควีนแลนด์ หรือสถาที่ ที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อยแต่สามารถเดินทางไปได้โดยรถเมลล์หรือรถไฟ เช่น Ocean world, Dream world, Sea world และ WB world ที่ตั้งอยู่ที่ Gold coast ซึ่งเธอยังจบบทสทนาด้วยการแจ้งว่า หากนักเรียนจาก Brose คนใดสนใจซื้อทัวร์กับบริษัทจะได้ส่วนลดถึง ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในการซื้อทัวร์ครั้งแรกด้วย หรือหากใครสามารถพูดภาษาอังกฤษระดับที่สามารถสื่อสารได้ ก็สามารถมาฝากเรซูเม่ไว้ได้เผื่อว่าทางบริษัทต้องการพนักงาน part-time จะได้ติดต่อไป

   หลังจากจบจากบริษัททัวร์ เจนนี่ก็พาเดินไปยังร้านขายของชำ Asian supermarket , ร้านขายเครื่องเขียน office work และร้านขายยา และอาหารเสริม Chemist warehouse ก่อนจะมาจบลงยังหน้าหอนาฬิกาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรง Queen street mall เจนนี่อธิบายว่านอกจากจะเป็นหอนาฬิกาที่ใช้บอกเวลากลางแล้วนั้น ภายในยังใช้เป็นศาลากลางของเมือง หอจดหมายเหตุของเมือง แถมช่วงเวลาเย็นๆเรายังสามารถขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย ทว่า ช่วงเวลาที่ทุกคนมายืนอยู่หน้าหอนาฬิกานั้นยังคงเร็วเกินไปที่จะสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นทุกคนก็ยังคงจะได้ขึ้นไปข้างบนเพื่อชมทัศนียภาพของเมืองแทน เพราะหอนาฬิกาเป็นสิ่งปลูกสร้างเดียวในบริเวณนี้ที่ได้รับอนุญาตให้สร้างในระดับความสูงเกินกว่าตึกสิบชั้น ดังนั้นเมื่อเราขึ้นไปก็จะเห็นย่านดาวทาวน์ได้รอบด้าน

   “หูว สวยเนาะแก ดูตรงนั้นสิใช่ตึกเราป่าววะ” หนุ่มธันกระซิบถามหนุ่มแบมบู ที่ยืนชมวิวอยู่ข้างๆ

   “หลงอีกละ อันนี้มันทิศเหนือ บ้านเราอยู่ฝั่งตรงกันข้าม นี่ถ้าโลกนี้ไม่มีแอปที่ชื่อว่า Google map เธอจะไปไหนยังไงถูกเนี่ย”หนุ่มแบมบูตอบกลับแบบเอือมๆ

   “ก็ใช้ปากถามเอาไง อย่าจู้จี้ดิ แล้วก็มาถ่ายรูปให้ด้วย”หนุ่มธันแกล้งโมโหเพื่อดับความเขิล แต่ที่แบมบูพูดมาก็ถูกต้องเพราะหนุ่ม ผิวแทนมักจะหลงทางเป็นประจำและถึงแม้จะใช้ Google map บางทีเขาก็ยังหลงอยู่อันเนื่องมาจากว่า ทักษะการอ่านแผนที่ของเขานั้น ห่วยพอๆกันกับทักษะการจดจำเส้นทาง

   หลังจากเดินชมวิวทิวทัศน์และถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ทั้งคู่ ก็เดินไปกดลิฟต์ลงชั้นล่างเนื่องจากตอนนี้ได้เวลากลับไปดูผลสอบที่โรงเรียนแล้ว

   แอด แอด หลังจากพวกเขาเข้าไปในลิฟต์ เสียงแจ้งว่าน้ำหนักเกินก็ดังขึ้น ซึ่งธันผู้อยู่หน้าสุดก็ต้องเป็นคนเสียสละออกไปรอลิฟต์ตัวใหม่ ปล่อยให้แบมบูและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆลงไปก่อน ระหว่างรอลิฟต์ หนุ่มตัวเล็กก็ตัดสินใจเดินชมทิวทัศน์ของเมืองอีกรอบเพื่อบันทึกความทรงจำเอาไว้ เนื่องจากหากไม่ได้มากับโรงเรียนเขาต้องจ่ายค่าเข้าชมเป็นจำนวนเงินถึง 60 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (เรทปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20.05 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ) ซึ่งคนรู้จักใช้เงินอย่างคนตัวเล็กคงไม่ยอมเสียแน่ๆ หลังจากเดินวนเกือบจะครบรอบเขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเนื่องจากเขาพบใครบางคนตรงหน้า คนที่ไม่น่าจะบังเอิญมาเจอกันได้บนนี้ คนที่ว่าคือคนตัวสูงพร้อมกับตาสีฟ้าซึ่งกำลังยืนเหม่อมองออกไปยังนอกกระจกอยู่

   “Hi” ธันทักขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แต่คนหน้าเข้มก็เพียงแค่หันมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ โดยไม่สนใจที่จะเอ่ยทักทายกลับมา

   “อะไรวะ คนอุตส่าห์ทักไม่ยอมทักตอบ เสียมารยาทชะมัด หน้าตาก็ดีแต่มนุษย์สัมพันธ์แย่สุดๆ นี่เห็นว่าน่าจะเรียนอยู่ตึกเดียวกันหรอกนะ เลยทักน่ะ” หนุ่มผิวแทนบ่นพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ แต่คนที่ถูกบ่นก็ไม่ได้สนใจใยดี หนุ่มตัวเล็กจึงเลิกบ่นพร้อมหันหน้าออกไปยังกระจกเพื่อชมทิวทัศน์ภายนอกบ้าง และภาพตรงหน้าก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังไล่ระดับลงมายังหลังคาโบสถ์คาทอลิกสีแดงอิฐ ช่างน่าแปลกที่แม้หลังคาโบสถ์จะเก่าแล้วแต่เมื่อมันต้องกับแสงมันยังดูแวววับเหมือนทองแดงลนไฟ หลังชื่นชมได้เพียงครู่ เสียงสัญญาณลิฟท์ก็ดังขึ้น เขาทั้งสองคนหันหลังกลับไปมองก็พบเจ้าหน้าที่หน้าตายิ้มแย้มโบกมือมาให้ หนุ่มธันยิ้มตอบกลับพร้อมเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่โดยมีหนุ่มตัวสูงเดินตามมาติดๆ

   “ทำไมนานจังเลย นึกว่าหลับอยู่ข้างบนแล้วนะเนี่ย” หนุ่มตัวกลมทำหน้าบึ้งใส่หลังจากที่ต้องยืนรอหนุ่มตัวเล็กอยู่เกือบ ยี่สิบนาที

   “ทำไงได้ล่ะ ก็ลิฟต์มันมาช้านี่นา แกก็เห็นอยู่กว่ามันจะมาแต่ละที มันใช้เวลานานแค่ไหน”หนุ่มธันตอบกลับ

   “ใช่เหรอ นี่แอบเห็นคนที่ลงลิฟต์มาด้วยนะ สรุปสานสัมพันธ์ต่อจากบนเครื่องบินเหรอจ๊ะ” หนุ่มแบมบูพูดแซวๆ เหตุที่เขารู้ว่าหนุ่มคนนี้นั่งที่นั่งติดกันกับหนุ่มธํน ก็เนื่องมาจากหนุ่มธันได้บ่นถึงความไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ของหนุ่มคนนี้หลังจากที่ลงมาจากเครื่องบิน และวันนั้นทั้งวันหนุ่มตัวเล็กก็บ่นไม่หยุด จนแบมบูต้องขอให้หยุดบ่นหนุ่มผิวแทนจึงเลิกพูดไปได้

      “สานต่อกับผีอะดิ นี่ขนาดเอ่ยปากทักก่อนเขายังไม่ตอบเลยแก ไหนจะหวิดมีเรื่องกันเมื่อเช้าอีกละ”หนุ่มธันพูดอย่างหน่ายๆ

       “เขาฟังภาษาอังกฤษไม่ออกมั้ง” หนุ่มแบมบูพูดแก้ตัวแทน

       “แต่มันแค่คำทักทายเองนะเว้ย ถ้าฟังไม่ออกสักคำจะผ่าน ต.ม. มาได้ไง ตลกป่าว” หนุ่มธันยังบ่นกระปอดกระแปดต่อไป

       “ช่างเหอะน่า เออ ระหว่างรอ น้องไปดูห้องเรียนมาให้แล้วนะ สรุปเราได้อยู่ห้องเดียวกันจ้ะ ดีใจปะ” หนุ่มตัวกลมขี้เกียจจะฟังคำบ่น ของคนตัวเล็กจึงหาทางเปลี่ยนเรื่องทันที

       “ดีใจมาก ดีใจสุดๆเลยแก”หนุ่มธันพูดไปอมยิ้มไป

       “ดูออกเลยนะ” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมทั้งทำตาเล็กตาน้อยใส่

       “ดูออกว่าดีใจเหรอ”คนผิวแทนย้อนถาม

       “ดูออกว่าโกหกอะ แต่ถ้าเกิดสนิทก็จะพูดอีกคำหนึ่ง” คนตัวเล็กพูดพร้อมกลั้นขำ

       “ดีนะที่ไม่สนิทอะ” หลังจากจบประโยคทั้งคู่ก็หันมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจกันหัวเราะ

       ระหว่างทางเดินกลับบ้านสองหนุ่มเจอร้านอาหารเกาหลีเล็กๆจึงได้แวะลองชิม สำหรับหนุ่มธันรสชาติถือว่าไม่เลวโดยเฉพาะ ซุปกิมจิ แต่กับหนุ่มแบมบูเขากลับมองว่ามันไม่ได้ดีเท่าที่ควรเนื่องจากเขาซึ่งเป็นผู้ที่ชอบเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้วนั้นมองว่าร้านนี้ยังห่างไกลจากต้นตำหรับและราคาก็ไม่ได้น่ารักด้วย

       “เออ เอาน่าไว้วันหลังลองไปกินร้านอื่นเลิกบ่นได้แล้ว” กลับกลายเป็นว่าหนุ่มธันต้องเป็นคนพูดประโยคนี้บ้างหลังจากหนุ่มแบมบูพูดติไม่หยุดหลังจากออกมาจากร้านอาหาร

       “ก็มันจริงนี่นา ซุปกิมจิอะไรจะเปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยวจะเค็มก็ไม่เค็มไม่สุดสักทางเล... เฮ้ย” เสียงของหนุ่มแบมบูขาดช่วงไปเมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าขวดแก้วจำนวนเกือบร้อยที่เคยวางระเกะระกะอยู่บริเวณชั้นล่างได้หายไปหมดแล้ว และพื้นตั้งแต่ทางเข้าจนมาถึงห้องนั่งเล่นก็ไม่สากเท้าเหมือนเช่นเคย ซึ่งหนุ่มผิวแทนที่เดินตามหลังมาก็แปลกใจจนต้องเอามือทาบอกเช่นกัน

       “มึงว่าพี่เขาผีเข้าปะวะ” หนุ่มธันพูดหลังจากมองดูรอบๆห้องที่สะอาดราวกับเป็นคนละห้องกับเมื่อวาน

       “หรือว่าเราเข้าผิดห้องวะมึง ฉันว่าเราออกไปดูเลขหน้าห้องกันก่อนดีกว่า” หนุ่มผิวแทนพูดด้วยน้ำเสียงงุนงงและกำลังจะเดินออกไปเช็คข้างนอกจริงๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินก้าวออกจากห้องก็มีเสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากตรงระเบียง

       “แหม่ ถูกแล้วครับน้อง” เป็นเสียงของพี่เจ้าของห้องที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก ตะโกนเข้ามา

       “พี่ก็แค่ว่างเลยจัดห้องครับน้อง แหม่แซวซะพี่เขิลเลยนะ” พี่อ้นพูดทั้งๆที่คีบบุหรี่อยู่ในปาก

       “แหม่ก็มันตกใจนี่พี่ นึกว่าขโมยขึ้นบ้านซะแล้ว”หนุ่มธันยังแซวต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

       “พี่อ้น เล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอครับ” หนุ่มแบมบูถามขึ้นเมื่อเห็นกีตาร์โปร่งสีไม้โอ๊ควางพาดระหว่างแขนของหนุ่มหน้าตี๋

       “ก็พอได้นิดหน่อยครับน้อง เดี๋ยวพี่โชว์ให้ดู” หนุ่มตัวสูงพูดจบก็ทำท่าจับคอร์ดกีตาร์อย่างมืออาชีพ

       “โอโห เพราะจังครับ” หนุ่มผิวแทนพูดขึ้น ทั้งๆที่หนุ่มตัวสูงยังไม่ทันได้ดีดด้วยซ้ำ

       “ถ้าแซวอีกที พี่ตีด้วยกีตาร์แล้วนะครับ” หนุ่มอ้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง ซึ่งนั้นก็ได้ผลพอควรเพราะหนุ่มธันสงบปากสงบคำลงแทบจะทันที

       “มองดูดวงดาว

ก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน

มองดูดวงจันทร์

ก็เหมือนกับจันทร์ที่บ้านเรา”

       เสียงพี่อ้นนั้นทุ้มและกังวานเหมือนกับเสียงระฆังแก้ว ไหนจะการจับคอร์ตกีตาร์ที่พอดีเปะเหมือนจับวางนั่นอีก บวกกับใบหน้าที่ดูดีๆก็ลเหมือนพระเอกเกาหลีอยู่ หากไม่นับหัวที่ยุ่งเหยิงแล้ว ดูรวมๆพี่อ้นก็เท่ไม่หยอกอยู่เหมือนกัน จังหวะที่หนุ่มผิวแทนเพลินกับการฟังเพลงอยู่อยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า เมื่อเอาขึ้นมาดูก็ปรากฏว่าเป็นแม่ของเขา โทรไลน์เข้ามา

       “ครับแม่”

       “เป็นไงมั่งเจ้าตัวดี ใจคอจะไม่โทรบอกแม่หน่อยเหรอ ว่ากินอยู่ห้องหับเป็นยังไงบ้าง” แม่ของเขาพูดด้วยเสียงน้อยใจเล็กๆ

       “โถ่แม่ครับ ธันก็เพิ่งถึงเมื่อวาน ก็กะว่าคืนนี้แหละครับจะโทรหา ธันสบายดีไม่ต้องห่วง นี่ก็ยืนฟังพี่เจ้าของห้องเล่นกีตาร์อยู่นี่แหละครับ” ธันพูดด้วยเสียงออดอ้อน หวังให้แม่ของเขาหายเคือง ซึ่งระหว่างที่คุยสายกับแม่ คนผิวแทนก็แหงนหน้ามองขึ้นไปยังดวงจันทร์ที่ลอยกลมและเด่นชัดยิ่งกว่าที่กรุงเทพฯ บ้านของเขา ไหนจะแสงไฟที่ลอดออกมาจากตัวตึกต่างๆที่ส่องระยิบระยับไปทั่วทั้งเมืองนั่นอีก แต่ถึงวิวทิวทัศน์จะงดงามและบทเพลงที่ขับกล่อมจะอบอุ่นสักเพียงใดแต่ในใจของคนตัวเล็กก็ยังคงรู้สึกเหงาและคิดถึงคนปลายสายที่เพิ่งจากมาอยู่ดี

       “ยามนี้ฉันเหงา

คิดถึงบ้าน

มองดูท้องฟ้า

ก็ยังเป็นฟ้าผืนเดียวกัน

มองดวงตะวัน

ก็ยังส่องแสงไปบ้านฉัน

ยามฟ้ามืดคล้ำ

คิดถึงบ้าน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2020 13:16:14 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.6
«ตอบ #14 เมื่อ26-05-2020 18:03:19 »

หากเพื่อนๆพี่ๆมีอะไรแนะนำหรือติชม คอมเม้นท์มาได้เลยนะครับ ผมรออ่านอยู่

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.6
«ตอบ #15 เมื่อ27-05-2020 16:55:22 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
    เป็นอีกเช้าที่สองศรีพี่น้องต้องวิ่ง ร้อย คูณ ร้อยจากห้องพักมายังโรงเรียน แต่ว่าเหตุผลคราวนี้ไม่ใช่ว่าลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่ดันเป็นเพราะลืมเปิดสวิตช์ไฟ ดังนั้นที่เสียบสายชาร์ตแบตไว้ทั้งคืนก็เหมือนเสียบเอาไว้เฉยๆ แบตที่เหลือกันคนละประมาณ ยี่สิบ กว่าเปอร์เซ็นต์ก็มาหมดกันเอาช่วงเวลา ตีสองตีสาม ยังโชคดีที่พอจะเหลือแต้มบุญอยู่บ้างเพราะช่วงเวลาประมาณเจ็ดโมงกว่าพี่อ้นนึกครึ้มใจอะไรไม่รู้เล่นกีตาร์เสียงดังทำให้ หนุ่มตัวเล็กสะดุ้งตื่น และเมื่อเห็นนาฬิกาหัวเตียงก็เอามือตีไปที่หน้าขาคนอ้วนรัวๆ เพื่อปลุกคนอ้วนที่นอนซุกผ้าห่มอยู่ข้างๆให้มาตื่นเต้นเป็นเพื่อนกัน เช้านี้ทั้งคู่เลยพร้อมใจกันอัดน้ำหอมมาเต็มที่เนื่องจากกลัวเพื่อนร่วมคลาสจะจับได้ว่าไม่ได้อาบน้ำกันมา

       “แฮ่กๆกี่โมงแล้ววะ” หนุ่มธันเอามือเท้าเอวพักเหนื่อย พร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่

       “อีกห้านาที แปดโมงครึ่ง โชคดีนะที่กดสัญญาณไฟข้ามถนนแล้วรอไม่นานไม่งั้นสายตั้งแต่วันแรกแน่เลย”หนุ่มแบมบูที่มีสภาพหอบไม่ต่างกัน เอามือเท้าไปที่ต้น Golden Penda ก่อนที่จะมองนาฬิกาแล้วตอบคำถาม

       ที่ประเทศออสเตรเลียนี้ ค่อนข้างจะทำตามกฎจราจรกันอย่างเคร่งครัด ถ้าคุณกดสัญญาณไฟข้ามถนนแล้วสัญญาณปล่อยให้ข้ามคุณก็ข้ามได้โดยไม่ต้องมองรถซ้ายขวาเลยเพราะรถจะไม่มาชนคุณอย่างแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันถ้าสัญญาณยังไม่ปล่อยให้ข้าม อย่าข้ามเด็ดขาดเพราะต่อให้รถเห็นคุณข้ามถนนแต่ถ้าสัญญาณไฟไม่ได้บอกให้เขาหยุดเขาก็จะชนคุณโดยไม่เบรคเลยเหมือนกัน กว่าสองหน่อจะปรับตัวเลิกใช้นิสัยคนไทยที่พอเห็นถนนโล่งก็โกยอ้าวได้นั้นก็ต้องปรับตัวอยู่สักพักเหมือนกัน

       “เออ รีบขึ้นไปเหอะเดี๋ยวต้องเอาของกินไปไว้ในตู้เย็นอีก ชักช้าไม่มีที่วางจะแย่เอา” ภายในโรงเรียนของพวกเขาจะมีห้องครัวเอาไว้ให้บริการนักเรียนด้วย ภายในห้องครัวก็จะมีตู้เย็นขนาดใหญ่สำหรับเอาไว้แช่อาหารหรือพวกเครื่องดื่มต่างๆ แต่ว่าต้องเอาของกลับไปวันต่อวันไม่สามารถแช่ข้ามวันได้ เพราะตกเย็นแม่บ้านก็จะทำการทิ้งทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็น ถัดจากตู้เย็นก็จะเป็นชั้นวางไมโครเวฟที่ตั้งเรียงรางกันอยู่ประมาณร่วม ยี่สิบเครื่อง สุดมุมห้องเป็นที่ตั้งของอ่างล้างจานและถังขยะ แต่เจนนี่แอบกระซิบมาว่าให้เอาพวกภาชนะที่กินเสร็จกลับไปล้างที่บ้านน่าจะดีกว่าเพราะว่าน้ำยาล้างจานที่นี้นั้นล้างยังไงก็ไม่หายมัน สงสัยจะผสมน้ำกับน้ำยาล้างจานมากไปหน่อย

       “Room number 1, Room number 2 and here we are room number 3 come-on Bamboo” (ห้อง 1, ห้อง 2 นี่ไงห้อง 3 มาเร็วแบมบู)

       ภายในห้องเรียนของ Brose นั้นไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรที่เยอะแยะมากมาย ก็จะมีกระดาน กระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้า ส่วนโต๊ะเก้าอี้ก็จะจัดเป็นรูปตัว U กล่าวคือจะเหลือที่ว่างตรงกลางไว้ให้สำหรับอาจารย์ เดินสำรวจนักเรียนว่าติดขัดปัญหาตรงไหนหรือมีคำถามอะไรหรือเปล่า บนเพดานกลางห้องก็จะมีเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ติดไว้เผื่ออาจารย์มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากในหนังสือ

       “อ้าว อุตสาห์ รีบมาไหงยังไม่มีคนเลยวะ” หนุ่มธันบ่นทันที้เมื่อเห็นว่าข้างในห้องยังไม่มีใครมาเลยสักคน

       “อันนี้เรามาถูกวัน ถูกเวลาใช่ไหม” หนุ่มตัวเล็กหันขวับกลับไปถามหนุ่มตัวกลมทันทีเนื่องจากไม่อยากจะเข้าไปเสียเวลา นั่งรอเก้อ

       “ถูกนี่ไงในแอปก็บอกอยู่ว่าห้อง สาม ฝั่งตรงข้ามโซนคอมพิวเตอร์ เวลาเริ่มเรียนก็คือแปดโมงครึ่ง ถึงบ่ายสองครึ่ง เนี่ยเอาไปดูดิ” หนุ่มแบมบูพูดจบก็ส่งมือถือให้หนุ่มธันดู ซึ่งข้อมูลทุกอย่างมันก็ตรงกับที่หนุ่มตัวกลมบอก แต่หลังจากหันดูนาฬิกามันก็ยังเหลือเวลาอีกสามนาที กว่าจะแปดโมงครึ่งพวกเขาก็เลยลองนั่งรอดูก่อน ถ้าไม่มีใครมาก็ค่อยเดินไปหาเจนนี่ที่หน้าประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่สาย

       หลังจากพวกเขานั่งรออยู่เพียงชั่วครู่ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกันนั้นเพื่อนร่วมห้องก็ทยอยกันเดินเข้ามาทีละคนสองคนจนเก้าอี้ที่ว่างเปล่ากลับเต็มอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงนาที

       “Hello, Everyone. How are you” (ไงทุกคนเป็นยังไงกันบ้างเอ่ย) เสียงทุ้มแน่นเหมือนกับเสียงกลองดังขึ้นก่อนเสียงเปิดประตูจะตามมา ทำให้เห็นชายหนุ่มวัยไม่น่าเกินสามสิบ ที่มีรูปร่างอวบอ้วนเล็กน้อย ซึ่งเมื่อผสมระหว่างหุ่นกับหน้าตาบวกด้วยผมและเคราสีออกส้มธรรมชาติ นั่นก็ทำให้เขาดูเหมือนแมวส้มการ์ฟิลราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนเลยทีเดียว

       “Oh, today we have new students. Shall we start with introduce ourselves before study? For example, my name is Bare I sit on the share over there. Ha-ha, Is really cool words” (โอ้, วันนี้เรามีนักเรียนใหม่ด้วยนี่นา งันเราควรมาเริ่มจากการแนะนำตัวกันก่อนดีไหมทุกคน ตัวอย่างนะ ผมชื่อแบร์ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงด้านโน้น เป็นไงดูเจ๋งใช่ไหมละ) หลังจากพูดแนะนำตัวจบเขาก็หัวเราะชอบใจที่พูดประโยคเด็ดของตัวเองได้ก่อนที่จะไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้อง

       “Yes, your name is Bare and we do not care”(ใช่ นายชื่อแบร์แล้วเราก็ไม่สน) เป็นหญิงผมสีดำขลับหน้าตาดูออกไปทางเอเชีย แต่หนุ่มผิวแทนก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็น เกาหลี จีน หรือญี่ปุ่น แต่เชื้อชาติไหนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือหน้าตาที่ดูเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แต่   คำพูดคำจากลับแรงใช้ได้นั่นต่างหากที่ทำให้หนุ่มตัวเล็กแปลกใจ และถึงแม้เด็กหญิงชาวเอเชียจะพูดด้วยน้ำเสียงค่อยๆแล้ว แต่ด้วยที่ว่าเก้าอี้ถูกจัดไว้ติดกันมากจนศอกแทบจะเกยกันอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะแค่เพียงเสียงกระซิบที่แผ่วเบาก็คงจะได้ยินไม่ยากเย็นนัก และสงสัยหนุ่มธันจะจ้องหน้าเธอนานเกินไปจนเธอรู้ตัวทำให้เธอหันหน้ามาหาพร้อมกับยิ้มให้เห็นฟันกระต่ายเล็กๆที่อยู่ด้านหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า

       “Hello, my name is Hana, I come from Japan. Are you new student? Where are you from” (สวัสดีฉันชื่อฮาน่าจังมาจากญี่ปุ่นนะ เธอเป็นนักเรียนใหม่เหรอ? มาจากประเทศอะไรอะ) หลังจากถามจบฮาน่าจังก็จ้องมองเขาอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอฟังคำตอบ

       “Hayman, Can you stop talking while other people introduce themselves?”(นี่พวกเธออย่าพูดขณะที่คนอื่นแนะนำตัวได้ไหม?) ดูเหมือนว่าการคุยกันของฮาน่าจังและหนุ่มตัวเล็กจะไม่รอดพ้นสายตาของแบร์ และนั่นก็ทำให้ฮาน่าทำสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนักที่ถูกอาจารย์ว่าเอา

       “My name is Hana and I come from japan, Thanks” (ฉันชื่อ ฮาน่ามาจากญี่ปุ่น ขอบคุณ) เมื่อถึงตาเธอแนะนำตัวเธอก็เลยพูดห้วนๆออกไปด้วยเพราะอารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่

       “My name is Suchon or you can call me Thun. I come from Thailand. Nice to meet you everyone” (ผมชื่อสุชล หรือจะเรียกผมว่าธันก็ได้นะ ผมมาจากประเทศไทยครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ) หนุ่มผิวแทนพยายามพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและยิ้มให้กับเพื่อนๆทุกคนรอบห้อง

       “Good but next time let attempt with S sound, Next” (ดีแต่ครั้งหน้าลองพยายามพูดเสียง “S” หน่อยนะ คนต่อไป) แบร์พูดด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผิดกันได้ แต่หนุ่มตัวเล็กดันมาจากประเทศที่หากพูดหรือตอบอะไรผิดไปเล็กน้อยเพื่อนๆก็จะพากันหัวเราะ ดังนั้นการที่อาจารย์พูดแบบนั้นต่อหน้าคนเยอะๆ ก็ทำให้หนุ่มผิวแทนหน้าเสียอยู่เหมือนกัน

       “My name is Nuthapon or it will be good if you call me beautiful. Just kidding. My nickname is Bamboo and I come from Thailand too” (เราชื่อ ณัฐพลนะ แล้วมันก็จะดีมากๆถ้าพวกเธอเรียกเราว่าสุดสวย ล้อเล่นจ้า ชื่อเล่นเราชื่อแบมบู เรามาจากประเทศไทยเหมือนกัน) หลังจากสิ้นประโยคที่ให้เพื่อนเรียกว่าสุดสวย ทุกคนก็พากันหัวเราะรวมทั้งตัวแบมบูเองด้วย ซึ่งเขาต้องรออยู่พักใหญ่ๆกว่าจะแนะนำชื่อเล่นจริงๆของเขาได้ แต่หลังจากเขาแนะนำตัวจบเพื่อนๆก็พากันตบมือและผิวปาก ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณอันดี เพราะดูเหมือนเพื่อนๆจะดูชอบเขาเอามากๆ

       “Ok, let me see 1 2 3 4 … 12 where is the last one? “(เอาละไหนดูสิ หนึ่ง สอง สาม สี่ .... สิบสอง อ้าวแล้วคนสุดท้ายอยู่ไหนละ) พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่น่าจะเป็นผู้ถูกเอ่ยถึงเมื่อครู่ก็ได้ก้าวเข้ามา และเมื่อคนในห้องเห็นหน้าเขาก็เกิดอาการซุบซิบกันเล็กน้อย โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่พากันเขิลและหลบตากันเป็นพัลวัน แต่ไม่ใช่กับธันที่กรอกตาขึ้นจนตาดำแทบจะไหลกลับไปที่สมองแล้ว เพราะคนที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครแต่เป็นหนุ่มตาฟ้าที่เขาบังเอิญเจออยู่บ่อยๆนั่นเอง

       “You late today and I hope this won’t happen next time. So could you introduce yourself?” (นายมาสายนะ และ ฉันหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นในครั้งต่อไป ยังไงก็ตามรบกวนแนะนำตัวด้วย) นอกจากธันที่ไม่ค่อยจะชอบหมอนี่ แบร์เองก็ดูจะไม่ค่อยพอใจเช่นกัน ที่มีนักเรียนมาสายตั้งแต่วันแรก

       แต่ว่าคนที่ถูกแบร์มองแรงใส่ก็ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเท่าไหร่ เพราะเขาก็ยังคงเอามือล้วงกระเป๋า ด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆขึ้นมาว่า

       “My name is Ruben and I am a French “(ชื่อ รูเบน เป็นคนฝรั่งเศส) น้ำเสียงที่ดูเข้มเหมือนกับกาแฟดำยามเช้า คงจะทำให้สาวๆใจละลายได้ไม่ยาก แต่สำหรับธันนั้นหน้าที่หงิกตั้งแต่หมอนี่เอาเท้าก้าวเข้ามา ก็ยิ่งหงิกหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่า รูเบนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และพูดได้ค่อนข้างดีซะด้วย ดังนั้นการที่เขาสื่อสารไปแล้วตานี่ไม่ตอบเป็นเพราะไม่อยากตอบไม่ใช่ฟังไม่รู้เรื่อง

       “Bamboo could you move to this chair and Ruben, can you sit instance of Bamboo.” (แบมบูรบกวนมานั่งเก้าอี้ตัวนี้หน่อย แล้วรูเบนช่วยไปนั่งแทนแบมบูด้วย) แบร์พูดพร้อมกับชี้นิ้วไปมาระหว่างเก้าอี้สองตัว ซึ่งแบมบูดูมีความสุขอย่างออกหน้าออกตาเพราะที่นั่งที่เขาได้ย้ายไปนั่งนั้นเป็นที่นั่งทิ่ติดกับหนุ่มหล่อชาวเอเชีย แต่สำหรับธันนั้นแทบจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก เพราะต้องมานั่งติดกับคนที่ไม่ชอบหน้า ไหนจะต้องมาฝึกสนทนาด้วยกันตามบทเรียนอีก แค่คิดก็กุมขมับแล้ว

       “Ok, Today we are going to learn about Article. It looks like easy but actually…” (เอาละวันนี้เราจะมาเริ่มกันที่คำนำหน้านาม ฟังดูเหมือนง่ายนะแต่จริงๆแล้ว…) หลังจากแบร์จัดแจงย้ายที่นั่งเสร็จเขาก็เปิดหนังสือเรียนพร้อมกับหยิบปากกาไวท์บอร์ดขึ้นมา และเดินตรงไปที่กระดานดำทันที

       “เป็นไงบ้างจ้ะ ได้นั่งกับหนุ่มตาน้ำข้าวที่สาวๆอยากจะกินกันทั้งห้อง รู้สึกยังไงบ้าง” หนุ่มตัวกลมพูดแซวขึ้นขณะรอเวฟข้าวอยู่ในห้องครัว ที่โรงเรียนมีกฎห้ามพูดภาษาจากประเทศตัวเองแต่จะมีพื้นที่พิเศษอยู่ 2 พื้นคือโซนห้องครัวและโซนระเบียงด้านนอกที่อนุญาต ให้พูดได้

       “ดี ดีก็บ้าแล้ว แกมันพูดกับฉันเฉพาะตอนฝึกพูดบทสทนาอะแก หลังจากจบบทสนทนา ปุ๊บมันก็เหมือนปิดสวิต ถามอะไรก็ไม่ตอบไม่หันมามองด้วยซ้ำ สงสัยมันจะไม่ชอบคนเอเชียปะวะ” ธันพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ แถมทำคิ้วขมวดชนกันจนแทบจะกลายเป็นปมอยู่แล้ว

       “เออว่าแต่แกเหอะ ทำไมแกทำหน้าแปลกๆตอนที่มันเดินเข้ามาวะ แกก็รู้สึกว่ามันขี้เก็กเหมือนกันใช่ปะ” ธันถามขึ้นอย่างมีความหวังว่าจะมีคนไม่ชอบ รูเบนเหมือนเขาด้วยเหมือนกัน

       “ป่าว หน้าตาหล่อขนาดนั้น เขาก็มีสิทธิ์เก็กปะ แต่ที่ฉันทำหน้าแบบนั้นเพราะเมื่อวานตอนน้องมาดูรายชื่อ จำได้ว่ามันมีสมาชิกในห้องแค่ สิบสองคน แต่วันนี้มีคนมานั่งเรียน สิบสามคน ก็เลย งงๆนิดหน่อย แค่นั้นแหละ” แบมบูหันมามองหน้าธันด้วยการยิ้มมุมปากเหมือนจะเป็นการบอกเป็นนัยๆว่า ขอโทษด้วยนะเราไม่ได้อยู่ทีมเดียวกันจ้ะ และ นั่นก็ทำให้ธันยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

       “เออๆ ไม่รู้สึกก็ไม่รู้สึก ข้าวอ่ะได้ยัง” หนุ่มธันเริ่มพาลหลังจากรู้ว่าแบมบูไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มตัวกลมรู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำอะไรของเขากลับหัวเราะอย่างชอบใจที่ทำหนุ่มผิวแทนหัวเสียได้ซะอีก

       “Hey Thun, You can sit here” (ธันนั่งตรงนี้ได้นะ) ฮานะจังยิ้มพร้อมโบกมือรัวๆให้หลังจากธันและแบมบูออกมายืนตรงระเบียงที่เต็มไปด้วยผู้คน แล้วสอดส่ายสายตามองหาที่นั่งที่ยังว่างอยู่

       “Thank you Hana” (ขอบใจนะ ฮานะ) หนุ่มธันหันพูดขอบคุณทันทีหลังจากเดินมาถึงโต๊ะ

       “Haha, It’s my pleasure Oh this is my friend his name is David” (ด้วยความยินดีจ้ะ อ๋อแล้วนี้เพื่อนเรานะชื่อเดวิท) ฮานะจังพูดเสร็จก็ผายมือไปยังหนุ่มตี๋ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของเธอ

        “My name is Bamboo, Nice to meet you David” (เราชื่อแบมบูนะยินดีที่ได้รู้จักนะเดวิท) แบมบูพูดสวนขึ้นทันทีหลังจากฮานะจังพูดจบ แถมไม่พูดเปล่ายื่นมือออกไปจับมือหนุ่มตี๋ทันทีแต่ด้วยความโชคดี เพราะที่นี้การจับมือทักทายกันนั้นเป็นอะไรที่ปกติ แต่ถ้าอยู่ประเทศไทยหนุ่มตัวกลมอาจจะไม่ได้จับแค่มือแต่อาจจะได้จับมือที่ใช้เดินด้วยเหมือนกัน

       “Nice to meet you Bamboo and Thun” (ยินดีที่ได้รู้จักนะแบมบู ธัน) หนุ่มเดวิทยิ้มตาหยีให้ธันและแบมบู พร้อมกันนั้นก็พยายามชักมือ ออกจากการเกาะกุมของหนุ่มตัวกลมที่เหมือนว่าจะจับมือเขาค้างนานไปเสียแล้ว

       “Which part of Japan you are from” (เธอมาจากส่วนไหนของญี่ปุ่นเหรอ) หนุ่มผิวแทนหันไปถามสาวจากแดนซากุระ 

       “Harajuku, Tokyo. Have you ever been there?” (ฮาราจุกุ โตเกียวอะ เคยไปหรือเปล่า) ฮาน่าจังถามพร้อมกับเอียงหัวดุ๊กดิ๊กไปมาอย่างน่าเอ็นดู

       “Not yet, but if I would like to visit there, Could I ask you to be a local guide.” (ยังไม่เคยไปเลย แต่ถ้าฉันจะไปครั้งหน้าเธอมาเป็นไกด์ให้ฉันหน่อยได้ไหม) หนุ่มตัวเล็กถามพร้อมกับส่ายหัวดุ๊กดิ๊กตาม

       “Haha. Stop acting like me. I am happy to be your guide. By the way which part of Thailand are you from?” (ฮ่าฮ่า หยุดเลียนแบบฉันเลยนะ อ๋อแล้วฉันก็ยินดีมากที่จะเป็นไกด์ให้พวกเธอ ว่าแต่พวกเธอมาจากส่วนไหนของไทยเหรอ) สาวฮานะระเบิดหัวเราะจนตาหยี หลังจากธันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กตามเธอ พร้อมกับยิ้มอย่างยินดีหลังจากหนุ่มตัวเล็กขอให้เธอเป็นไกด์ให้

       “It’s Bangkok, We come from capital city” (กรุงเทพน่ะเรามาจากเมืองหลวง) เป็นหนุ่มแบมบูที่เงียบอยู่นาน เอ่ยขึ้น แต่สายตาของเขานั้นไม่ได้หันมองไปที่หน้าของสาวฮานะเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันไปมองหน้าของหนุ่มเดวิทแทน จนหนุ่มแดวิดเริ่มมีอาการ ล่อกแล่กแล้ว

       “How about you David where do you come from” (แล้วเดวิทละมาจากไหนเหรอ) เป็นหนุ่มแบมบูที่พูดด้วยเสียงที่ สามสิบแปด พร้อมกันนั้นก็ยังคงพยายามชวนหนุ่มตี๋คุยอย่างไม่ลดละ

       “Ah… I come from Taiwan, Taipei” หนุ่มตึ๋เอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้าขึ้นมาสบตากับใครเลย อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยโดยรุกด้วยสายตาหนักขนาดนี้ก็เป็นได้

       “Hey stop it Bamboo you make our new friend tumultuous. So, what are you doing after lunch?” (นี่หยุดซะทีแบมบู เธอทำให้เพื่อนใหม่เรารู้สึกอึดอัดนะ ว่าแต่พวกเธอจะทำอะไรหลังอาหารกลางวันเหรอ) หนุ่มธันตีไปที่มือหนุ่มตัวกลมเบาๆ และหันไปถามหนุ่มเดวิทกับฮานะจังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

       “We are going to room number 101 it’s a Speaking club. Do you want to join?” (เราจะไปห้องหมายเลข 101 น่ะ มันมีชมรมฝึกสนทนาอยู่ จะไปด้วยกันไหมละ) หนุ่มเดวิทที่ยังก้มหน้าก้มตาพูดขึ้น

       “Yes we will” (พวกเราไป) เป็นหนุ่มตัวกลมอีกตามเคยที่พูดขึ้นอย่างแข็งขัน ซึ่งหนุ่มตัวเล็กของเราก็ทำต้องฝืนยิ้มแบบปุเลี่ยนๆไป เนื่องจากใจของเขาอยากจะกลับไปพักเต็มแก่แต่ก็ไม่อยากจะหักหน้าและเสียมารยาท เนื่องจากทันทีที่แบมบูพูดจบ ฮานะก็ยิ้มตอบรับอย่างดิบดีทันทีเหมือนกัน

       หลังจากกินข้าวกันเสร็จทั้งหมดก็ออกเดินไปที่ห้องครัวพร้อมกัน โดยมีหนุ่มธันเป็นคนเปิดประตูให้ แต่เพราะว่าเขามัวแต่หันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ด้านหลังเลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดังนั้นจังหวะที่เขาผลักประตูออกประตูจึงไปกระแทกกับคนที่อยู่ด้านหน้าเต็มรัก

       “โอ้ย” คนตรงหน้าร้องออกมาทันทีหลังจากโดนประตูตีหน้าเข้าไป

       “Oop, Sorry are you ok?” (อุ้ย ขอโทษครับเป็นอะไรรึเปล่า) หนุ่มตัวเล็กรีบลงไปคุกเข่าถามคนตรงหน้าทันที แต่พอหนุ่มผิวแทนลองมองดูดีๆแล้วชุดกับทรงผมคนๆนี้ดูคุ้นๆอยู่เหมือนกันนะ

       “It’s ok do not worry” (ไม่เป็นไรครับ) พอคนที่ล้มลงเอามือที่จับหน้าตัวเองออก หนุ่มผิวแทนถึงกับรีบชักมือออกจากขาคนเจ็บพร้อมทำหน้าบี้ทันที

       “Oh, Ruben are you ok” (โอ้ รูเบนเป็นไรไหม) หลังจากฮานะจังที่เดินตามมา สมทบเห็นว่าเป็นใครที่ล้มลงก็เอ่ยปากถามทันที

       “Yes I am ok” (ไม่เป็นไรๆ) รูเบนพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มบางๆให้กับฮานะจัง และนั่นก็ทำให้สาวญี่ปุ่นของเราถึงกับหน้าแดงไปถึงหูเลยทีเดียว

       “Next time if you have eyes, Please be careful” (ครั้งหน้าถ้าเกิดนายมีตาก็ระวังหน่อยนะ) จังหวะที่รูเบนกำลังจะผลักประตูออกหลังจากลุกขึ้นยืนได้แล้ว เขาก็หันมากระซิบที่ข้างหูหนุ่มตัวเล็กด้วยเสียงแผ่วเบาที่สามารถได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะผละออกและเปิดประตูก้าวออกไปที่ตรงระเบียงโดยไม่หันหลังกลับมามอง

       และด้วยความไวของหนุ่มตาสีฟ้าก็ทำให้สมองของหนุ่มธันตามไม่ทัน เพราะจังหวะที่จะหันกลับไปด่าหนุ่มตัวสูงก็เดินไปไกลแล้ว

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

       “What did he say to you” (เขาพูดกับเธอว่าอะไรเหรอ) แบมบูถามขึ้นด้วยความอยากรู้ทันทีหลังจากหนุ่มรูเบนเดินออกจากประตูไป และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่แบมบูคนเดียวที่อยากรู้เพราะพอหันไปดู สองคนที่ยืนขนาบข้างหนุ่มแบมบู ก็เห็นสายตาที่ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

       “He said… nothing” (เขาพูดว่า...อืม ไม่ได้พูดอะไรหรอก) ธันพูดขึ้นหลังคิดอยู่สักพัก เขาไม่ได้กลัวว่ารูเบนจะโดนคนอื่นเกลียด แต่เป็นเขาเองนี่แหละที่จะโดนเกลียดเนื่องจากพูดอะไรไปไม่มีหลักฐาน

       “He spoke quickly and I cannot catch any words from him” (คือเขาพูดค่อนข้างเร็วน่ะฉันเลยฟังไม่ทัน) หลังจากเห็นสายตาของทั้งสามคนที่มองมาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ ธํนก็เลยต้องยกคำพูดอื่นมากลบแทน

       “So, Shall we go to the speaking club” (อืม ฉันคิดว่าเราน่าจะไปที่ชมรมฝึกสนทนาได้แล้วนะ) หลังจากพูดจบธันก็เดินออกจากวงล้อมเพื่อน ตรงไปยังห้อง101 ทันที ทิ้งเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังยืนมองตากันปริบๆ

       “Welcome to my club my name is Vanesza yes it spells with S and Z” (ยินดีต้อนรับสู่ชมรมของฉัน ฉันชื่อว่า วาเนสซ่า ใช่มันสะกดด้วยตัว เอส และ ตัวซี (พูดด้วยเสียงก้องในลำคอ)) คุณป้ารูปร่างค่อยข้างอวบพร้อมกับผมสีบลอนด์กระเซอะกระเซิง และใบหน้าที่แต่งอย่างไม่ค่อยประณีต ยืนกอดอกพูดด้วยเสียงดังฟังชัดอยู่หน้าชั้น

       “Ok in this club everyone has to speak and the rule is so easy if I ask the question and point at someone that one has to answer, is that clear?” (ในชมรมนี้ทุกคนจะต้องพูด และกฎก็ง่ายมาก ฉันจะถามคำถามและหลังจากพูดจบฉันจะชี้ไปที่ใครคนใดคนหนึ่งและคนนั้นก็จะต้องตอบ เข้าใจไหม) คุณป้าพูดพร้อมกับมองหน้าคนในห้องตั้งแต่คนแรกยันคนสุดท้าย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นหน้าเหวอไปตามๆกัน โดยเฉพาะเด็กชาวเอเชีย

       การถามในห้องดำเนินไปอย่างขนหัวลุก เพราะพอจบประโยคคำถามที เด็กก็หันซ้ายหันขวาหลบตากันอย่างพร้อมเพียง แต่คุณป้าวาเนสซ่าก็ไม่ได้สนใจกับอาหารเหล่านั้น เอาจริงๆเธอก็ชี้คนจากทางขวามือของเธอและวนไปทางซ้าย เนื่องจากเด็กในห้องนั่งกันเป็นรูปตัวยูอยู่แล้วการชี้ของเธอจึงทำได้โดยง่าย ซึ่งคำถามก็เป็นคำถามพื้นฐานทั่วไปตอบได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ วาเนสซ่าก็ไม่ได้ว่าอะไรพร้อมกับยิ้มอย่างใจดีและแก้ไขคำเหล่านั้นให้ถูกต้อง

       “Ok, thank you for coming today and see you again tomorrow” (ขอบคุณที่มานะทุกคนเจอกันอีกทีพรุ่งนี้นะ) วาเนสซ่าพูดจบก็หันหลังลบกระดานไวท์บอร์ดก่อนจะเดินออกจากห้องไป

       “What are you going to do next” (พวกนายจะทำอะไรต่อเหรอ) เป็นเดวิทที่หันมาถาม

       “I will…” (เราว่าเราจะ...) หนุ่มตัวเล็กเอ่ยปากจะพูดแต่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค หนุ่มตัวกลมที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

   “We will go back home. Where do you live? Maybe we can walk together.” (พวกเราจะกลับบ้านน่ะ แล้วนายพักอยู่ตรงไหนเหรอบางทีเราอาจจะเดินกลับพร้อมกันได้นะ) หนุ่มแบมบูที่ออกตัวแรงจนฉุดไม่อยู่พูดขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เดวิทหน้าเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา

   “I stay at Roma Upper Street how about your guys” (เราพักอยู่ตรงถนนอัปเปอร์โรม่านะ แล้วพวกนายละ) สุดคำตอบหนุ่มตัวกลมก็ทำหน้าผิดหวังเล็กๆ ก่อนจะบอกที่อยู่ที่เขาและหนุ่มตัวเล็กอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มตี๋ของเราแอบลอบหายใจอย่างโล่งอก

   “อ้าวกลับมาแล้วเหรอสาวๆ” พี่อ้นทักขึ้นทันทีหลังจากที่ แบมบู และ ธันเปิดประตูห้องเข้ามา

   “สาวไรพี่ผมไม่สาวนะ ไอ้แบมบูนู่นสาว” หนุ่มธันพูดเสียงขึงขังก่อนจะบุ้ยปากไปที่แบมบูที่ยืนอยู่ข้างๆ

   “ค่ะ แมนมากค่ะ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเป็นตุ๊ด” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับกรอกตาไปมา

   “ว่าแต่ พี่จะออกไปไหนเหรอครับ” และก่อนที่ธันจะได้ทันได้ตอบโต้ หนุ่มตัวกลมก็ตัดบทโดยการหันไปชิงถามหนุ่มผมยาวของเรา

   “อ๋อ พอดีพี่จะออกไปทำงานน่ะ” หนุ่มอ้นพูดพร้อมกับใส่รองเท้าหนังสีดำซึ่งดูตัดกันอย่างลงตัวกับกางเกงยีนส์สีขาวที่เขาใส่วันนี้

   “ทำงาน” หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นอย่างสงสัย

   “อ้าวพี่ไม่เคยบอกเหรอ พอดีพี่เล่นดนตรีอยู่ร้านอาหารไทยน่ะ เป็นมือกีตาร์ ชื่อร้าน ณ สยาม น่ะ ถ้าวันนี้ว่างไม่มีอะไรทำก็ลองมาดูสิ เดี๋ยวพี่จะหาส่วนลดให้ ไปก่อนนะ” หนุ่มผมยาวพูดอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป ชะรอยว่ากำลังจะไปทำงานสายเป็นแน่

   หลังจากทั้งสองคนอาบน้ำและทำการบ้านเสร็จก็มานั่งคลุกกันอยู่ที่โซฟาก่อนที่ หนุ่มธันจะเอ่ยปากชวนขึ้นมา

   “แกเราลองชวนเดวิทกับฮานะไปร้านที่พี่อ้นเล่นดนตรีกันไหม เบื่อๆวะไม่มีไรทำขี้เกียจอยู่บ้าน” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมกับเลื่อนหา Instagram ของเดวิทและฮานะจังที่แลกกันไว้ก่อนจะแยกกันเมื่อเย็น

   “เออ ถ้าเกิดเดวิทไปฉันไป งั้นเธอลองชวนฮานะจังนะ เดี๋ยวฉันจะลองชวนเดวิทเอง” หนุ่มแบมบูพูดจบก็หยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อคและกดเข้าโปรแกรมด้วยความรวดเร็วเหมือนกลัวว่าหนุ่มธันจะแย่งชวนเดวิทไปซะก่อน

   “แหม่จ้ะ กับผู้ชายเนี่ยไวเชียวนะ” หนุ่มธันพูดแซวขณะที่มือก็พิมหา ฮานะจังไปด้วย

   ไม่กี่อึดใจต่อมาหลังจากทั้งคู่ก็มายืนรอ เดวิทกับฮานะที่หน้าร้านอาหารที่พี่อ้นบอกไว้ โดยหนุ่มธันใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเรียบๆเข้าคู่กับกางเกงสแล็คและรองเท้าสีขาว ส่วนหนุ่มบูมก็ใส่เสื้อและกางเกงสีดำออกแนวสปอร์ตๆ ตัดกับรองเท้ากุชชี่สีขาวของเขา

   “พี่ธันว่าหนูแต่งตัวเป็นไงมั้ง น่ารักพอจะมัดใจเดวิทได้ปะ” แบมบูถามพร้อมหันซ้ายหันขวาเพื่อจะให้หนุ่มธันมองได้ชัดๆทั้งตัว ซึ่งหนุ่มธันก็กรอกตาหนึ่งรอบก่อนที่จะตอบคำถาม

   “สวยจ้ะ แหม่ถ้ามองไวๆนี่คิดว่า เจนนี่ แบล็คพิงค์นะเนี่ย” หนุ่มธันจีบปากจีบคอพูด

   “จริงเหรอ ไหนลองมองไวๆสิ”หนุ่มตัวกลมพูดจบ หนุ่มผิวแทนก็หันซ้ายหันขวารัวๆทันที

   “เลว” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับแอบขำ

   “ด่า ฮานะกับ เดวิทแหละที่มาช้า” หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยด้วยตัวที่เอียงซ้ายทีขวาทีเนื่องจากหันไวไปหน่อย

   “แหม่เราก็รู้จักกันมานานนะ อย่าบังคับให้น้องต้องพูดเลย” หนุ่มแบมบูพูดพร้อมกับกลั้นหัวเราะ ซึ่งหนุ่มธันก็มีอาหารไม่ต่างกัน

   “Sorry we are late” (ขอโทษที่มาสาย) หนุ่มตี๋และสาวญี่ปุ่นเดินลงมาจากรถ Uber ก่อนจะเดินกระมิดกระเมียนมายังพวกเขาที่ยืนรอกันอยู่หน้าร้าน

   “That’s ok don’t worry. Let’s go inside I already booked a table” (ไม่เป็นไรเข้าไปข้างในกันเถอะ เราจองโต๊ะไว้แล้ว) หนุ่มธันพูดขึ้นกับทั้งฮานะและเดวิทที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามรวมถึงหนุ่มแบมบูที่ย้ายจากยืนข้างๆเขาไปยืนข้างๆหนุ่มเดวิทเรียบร้อยแล้ว

   เมื่อประตูเปิดออกให้เห็นการตกแต่งภายในร้านทั้งสี่คนก็มองรอบๆอย่างสนใจ เพราะร้านอาหารตกแต่งด้วยความทันสมัยไม่เหมือนร้านอาหารไทยที่เป็นร้านอาหารไทยแท้ๆ แต่เป็นเหมือนร้านอาหารกึ่งผับมากกว่า โดยมีเวทีตั้งอยู่ตรงกลาง และลักษณะเวทีก็เป็นเวทีทรงกลมทำให้แขกที่มานั่งกินข้าวหรือมานั่งจิบเครื่องดื่มสามารถมองเห็นบนเวทีได้ทุกจุด ส่วนด้านบนก็มี ชั้นลอยที่กั้นด้วยกระจกใส ทำให้สามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน รอบๆฝาผนังร้านก็ประดับด้วยป้ายโฆษณาเก่าๆของไทย เช่นพวกป้ายเป็ปซี่ ยาอมแฮคส์ หรือพวกเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งหากจัดไม่ดีก็จะดูเหมือนรก แต่ว่าร้านนี้จัดได้อย่างลงตัวมากๆเพราะว่าเจ้าของร้านไม่ได้ติดไว้ถี่มากนักจึงยังพอทำให้เห็นฉากด้านหลังที่เป็นไม้ไผ่สานอยู่

   พวกเขาเดินลัดเลาะมายังโต๊ะที่จองไว้ ซึ่งก็คือโต๊ะที่ติดกับหน้าเวที และเมื่อแงนมองขึ้นไปก็พบกับพี่อ้นที่กำลังเช็คเสียงกีตาร์อยู่ และคนที่แลดูมีอายุกว่าพี่อ้นนิดหน่อยก็กำลังเช็คสายเบสอยู่ข้างๆเช่นเดียวกัน เมื่อมองเลยไปด้านหลังก็เห็นคนผิวออกแทนๆ อีกคนกำลังง่วนอยู่กับการฝึกตีกลองลมอยู่ แต่พอหันกลับมามองยังนักร้องหน้าเวทีคนตัวเล็กก็ต้องผงะเล็กน้อย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.7
«ตอบ #18 เมื่อ29-05-2020 21:01:05 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยคู่ปรับนู๋ธัญ  อิตา Ruben คงเป็นนักร้องในวงนี้แน่เลย

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.7
«ตอบ #19 เมื่อ30-05-2020 03:49:21 »

ขอบคุณที้มาคอมเม้นนะครับ ถ้ามีอะไรติชมบอกได้เลยนะครับ
ส่วนเรื่องนักร้องนำเดี๋ยวมาลุ้นกันตอนหน้านะครับ
 :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.7
« ตอบ #19 เมื่อ: 30-05-2020 03:49:21 »





ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   ใช่ครับถึงคุณจะไม่มีดวงกับการเสี่ยงโชค และซื้อหวยไม่เคยถูกเลยแม้แต่งวดเดียวแต่รอบนี้คุณคิดถูกครับ เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าหนุ่มผิวแทนแบบระยะห่างระหว่างเท้ากับหน้าเพียงแค่หนึ่งช่วงแขนนั่นก็คือ หนุ่มรูเบน หนุ่มฝรั่งเศสตาสีฟ้าเจ้าของเสียงนุ่มลึก ซึ่งตัวหนุ่มธันก็ได้ทำหน้ามุ่ยรอทันทีที่สบตากับหนุ่มตัวสูงเข้า
   แตกต่างกับเพื่อนร่วมโต๊ะของอย่างสิ้นเชิง เพราะ เมื่อเหลือบตาไปมองทางด้านฮานะ เธอก็ได้เอามือมาเกยคางพร้อมทั้งทำสายตาชวนฝันจ้องไปยังหนุ่มหน้าคมเรียบร้อยแล้ว ตัดภาพมายังหนุ่มตัวกลมที่ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าหนุ่มรูเบน แต่กลับทำท่าทีเขินหนักเมื่อพี่อ้นโบกมือทักทายตรงมายังโต๊ะ หรือแม้กระทั่งหนุ่มเดวิดก็ยังยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้หนุ่มตาฟ้าบนเวที ก็เห็นจะมีแต่หนุ่มตัวเล็กนี่แหละ ที่เริ่มจะทำหน้าเหม็นเบื่อเหมือนกับว่าค่ำคืนนี้มันไม่น่าอภิรมย์เท่าที่ควรซะแล้ว
   ในขณะเดียวกันหนุ่มรูเบนก็มีท่าทีแปลกๆจนสังเกตได้เมื่อหันมาพบกับกลุ่มของหนุ่มธันที่นั่งอยู่หน้าเวที หนุ่มตัวสูงถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อยและหากคนตัวเล็กตาไม่ฝาดเขาก็แอบเห็นคนตรงหน้าทำปากขมุบขมิบก่อนที่จะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนในวง ซึ่งถึงแม้เขาจะนั่งติดหน้าเวทีและระยะทางก็เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ด้วยความที่ว่าลูกค้าคนอื่นๆเริ่มทยอยเข้ามาในร้าน และเสียงเพลงที่เปิดคลอผ่านลำโพงก็มีระดับเสียงค่อนข้างดังทำให้เขาได้ยินไม่ถนัดนัก
   และหากสังเกตอากัปกริยากับสีหน้าของคนในวงก็เดาได้ไม่ยากว่าเรื่องที่คุยกันไม่น่าใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะหลังจากหนุ่มรูเบนของเราหันมาคนอื่นๆในวงก็แอบลอบถอนหายใจพร้อมส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปเช็คเครื่องดนตรีของตนต่อ แต่หลังจากนั้นเพียงครู่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของทุกคนตามเดิม อย่างว่าถึงจะมีเรื่องที่ไม่ค่อยพอใจหรือต่อให้รอยยิ้มที่ออกมาต้องเป็นการแสร้งยิ้มหรือเป็นยิ้มการค้า แต่ว่างานสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม รอยยิ้มก็ยังคงสำคัญที่สุดและวงนี้ก็ดูจะเป็นมืออาชีพอยู่พอสมควร ที่สามารถข่มอารมณ์ของตนไว้ข้างในได้
   “Hello, do you know what would you want?” (สวัสดีคะ พร้อมสั่งอาหารหรือยังคะ) พนักงานเสิร์ฟสาวเดินเข้ามาตรงกลางระหว่าง ธันและแบมบูเพื่อทำการรับออเดอร์
   “คนไทยป่ะจ้ะ” แบมบูเลื่อนเมนูที่ถือไว้ลงมาใต้ระดับตา ก่อนที่จะพูดภาษาไทยสำเนียงอีสานหน่อยๆ ตอบกลับไป
   “อ้าว คนไทยกันเหรอคะ นึกว่าไม่ใช่คนไทยดูจากหน้าจากการแต่งตัวเหมือนคน เกาหลี ญี่ปุ่นกันหมดเลย” พนักงานเสิร์ฟดูชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยภาษาไทยสำเนียงใต้เช่นกัน
   “อ๋อ คนไทยแค่สองคนครับ ส่วนสองคนนี้คนไต้หวันแล้วก็คนญี่ปุ่นครับ” ธันพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะผายมือไปที่ เดวิด และ ฮานะ ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มน้อยๆตามมารยาท เมื่อธันผายมือไปยังเขาแต่ละคนแม้จะดูเหมือนว่า ทั้งคู่จะไม่เข้าใจบริบทที่ธันและแบมบูพูดสักนิดเลยก็ตาม
   “มีอะไรน่ากินบ้างจ๊ะพี่จ๋า แนะนำหนูหน่อย หนูเพิ่งเคยมาร้านครั้งแรก” แบมบูพูดพร้อมกับเอาตัวและสมุดอาหารเลื่อนเข้าไปใกล้ๆพี่พนักงานเสิร์ฟ
   “อ๋อ ร้านเราขึ้นชื่อพวกเรื่องยำ และ ก็พวกแกงเผ็ดค่ะ รสชาติจัดจ้าน ซี้ดซาด เหมือนเอาพริกทั้งสวนมาใส่ อร่อยแบบเต็ม สิบ สิบ สิบ กรรมการหาจุดหักไม่ได้เลยอ่ะค่ะ คุณน้อง คุณพี่รับรองว่าถ้าคุณน้องได้ลองกินจะต้องติดใจกลับมาที่ร้านพี่ทุกอาทิตย์แน่นอนค่ะ” พนักงานสาวใต้ลดตัวลงมาเล็กน้อยให้อยู่ระดับเดียวกับธันและแบมบู ก่อนจะอธิบายเมนูเด็ดอยากออกรสออกชาติ
   “กลับมาทุกอาทิตย์ เพราะอร่อยเหรอคุณพี่”แบมบูถามด้วยท่าทีกระเซ้าเย้าแหย่
   “อร่อยก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่กลับมาเพราะที่ร้านพี่ใส่กัญชาน่ะค่ะ ลูกค้าเลยติดกันงอมแงม แล้วที่ออสเตรเลียดันไม่มีถ้ำกระบอกด้วยเลยรักษากันไม่หาย” พนักงานสาวพูดไปก็กลั้นขำไป และเมื่อพูดจบประโยคทั้งหนุ่มตัวเล็กและหนุ่มตัวกลมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทิ้งไว้แต่หนุ่มไต้หวันและสาวญี่ปุ่นที่ตอนนี้เริ่มนั่งกันอยู่ไม่สุขแล้ว
   “Oh sorry, Hana. Sorry, David. We don’t want to rude with you but when we talk with someone who has the same nationality, it quite hard to speak with each other in English” (โอ้ ขอโทษนะฮานะ ขอโทษนะเดวิด เราไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทกับพวกนายนะแต่เวลาเจอใครที่มาจากประเทศเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะพูดภาษาบ้านเกิดน่ะนะ) ธันพูดพร้อมยิ้มแห้งๆกลับไปทันทีหลังจากหันมาเห็นเพื่อนทั้งคู่เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนได้ ถ้าเรานั่งอยู่ในกลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกันแล้วเราเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรกัน มันก็คงกระอักกระอวก น่าดู ดังนั้นธันจึงสะกิดแบมบู ที่ยังคุยกับพนักงานเสิร์ฟอย่างออกรสออกชาติให้หันมารู้สึกผิดร่วมกัน ซึ่งเมื่อหนุ่มตัวกลมผละออกจากบทสนทนาและหันมามองเพื่อนทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกระแอมไอ เพื่อแก้เก้อและหันมาสอบถามเพื่อนทั้งสองว่าเลือกอาหารกันได้หรือยัง
   “I am ok with everything but not spicy please and do you want to drink with me?”(เราเอาอะไรก็ได้แต่ขอไม่เผ็ดนะ อ๋อ แล้วมีใครอยากกินเครื่องดื่มแอลกฮอลล์กับเราปะ?) สาว ฮานะพูดขึ้นก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาแนวร่วมดื่มน้ำเมากับเธอ
   “I am not good at eat spicy too but I will fight tooth and nail for beer, Do you want to duel with me, Hana?” (ฉันก็กินเผ็ดไม่เก่งเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเบียร์ผมสู้ไม่ถอยแน่นอน ฮานะอยากจะลองดวลกับฉันไหม) เดวิดที่พอได้ยินเรื่องเบียร์ก็หูตาผึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน แถมมีการหันไปท้าฮานะแข่งอีกต่างหาก งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องมีหลับคาโต๊ะกันไปข้างแน่ๆ
   “Oh ok, if you guy cannot eat something hot we might order Grilled chicken, Pad Thai with shrimp, Papaya salad one spicy for me and Bamboo and one is not for your guys. Is that ok?” (โอเค ถ้าพวกนายกินเผ็ดไม่ได้ งั้นเราสั่งไก่ย่าง ผัดไทยกุ้ง ส้มตำเผ็ดหนึ่งสำหรับฉันกับแบมบูไม่เผ็ดสำหรับพวกเธอหนึ่งโอเคไหม?) ธันมองเมนูแล้วลองเลือกสิ่งที่คิดว่าเพื่อนน่าจะกินได้ก่อนจะลองถามความเห็นอีกที
   “That good I love Pad Thai but you guy have to drink beer with us, Ok?” (โอเคเลย ฉันชอบกินผัดไทยมาก ก.ไก่ ล้านตัว แต่ว่าพวกนายต้องกินเบียร์กับพวกฉันด้วย ตกลงไหม) ฮานะยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งนั่นก็ทำให้ หนุ่มผิวแทนมองว่าเธอเป็นสาวใสๆ น่ารักคาวาอิไม่ได้อีกต่อไป
   “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ จะสั่งอาหารกันเลยไหมเอ่ย พอดีแขกเริ่มเข้าร้านเยอะแล้ว พี่กลัวว่าพวกน้องจะรอกันนานน่ะค่ะ” พี่สาวเสริฟ์คนเดิมเลยบี้ออเดอร์จากโต๊ะหนุ่มผิวแทน เนื่องจากเธอยืนคอยค่อนข้างนานจนหางคิ้วเริ่มจะกระตุกและถ้าโต๊ะหนุ่มตัวกลมยังไม่รีบสั่งอวัยวะส่วนอื่นก็น่าจะกระตุกตามเหมือนกัน
   “โอเค คุณพี่ น้องเอา ไก่ย่าง ผัดไทยกุ้งสด ส้มตำปูปลาร้าแซ่บๆหนึ่ง ส้มตำไทยไม่ใส่พริก แบบเด็กอนุบาลกิน แล้วก็เบียร์ด้วยค่า” แบมบูลากหากเสียงยาวจนดูจะเป็นการกึ่งๆประชดประชันสาวเสิร์ฟอยู่ในที เนื่องจากเธอก็เห็นว่าพวกเขาก็ปรึกษาเรื่องอาหารกันอยู่ดังนั้นการที่เธอมาถามกึ่งกดดันมันก็ทำให้แบมบูไม่ค่อยจะชอบใจหนัก
   “ไก่ย่างนี้เอายังไงดีคะเป็นชิ้น ครึ่งตัว หรือตัวหนึ่งเลยดี” พนักงานสาว ถามขึ้นเสียงดังเพื่อแข่งกับเสียงเพลงในร้านขณะที่มือก็ยังจดออเดอร์ไม่หยุด
   “เอาแบบดิบก็ได้ค่ะ” แบมบูแอบพูดงึมงำในลำคอ โชคดีที่เสียงนั้นเบามากจนไมม่มีใครได้ยิน
   “เอามาครึ่งตัวก็น่าจะพอครับพี่ ว่าแต่เบียร์นี่ขายยังไงอะครับ” หนุ่มธันซึ่งเห็นสีหน้าแบมบูไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว เป็นฝ่ายเอ่ยปากแทน
   “ก็มีแบบกระป๋อง แบบขวด แบบเหยือกอ่ะคะ แล้วแต่ยี่ห้อ” สาวใต้ทำท่าคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบ
   “Shall we start with one jar first? I mean beer” (เราควรสั่งเบียร์มาลองเหยือกหนึ่งก่อนไหม) หนุ่มธันหันไปถามฮานะกับเดวิด ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ากันรัวๆทันที สงสัยจะอยากเบียร์กันเต็มแก่แล้ว
   “ค่ะ งั้นก็เอาเบียร์หนึ่งเหยือกนะคะ ส่วนยี่ห้อเดี๋ยวพี่แนะนำให้รับรองไม่ผิดหวัง” สาวเสริฟ์พูด ก่อนจะสะบัดบ็อบเดินจากไป
   “เอาข้าวเหนียวมาด้วยนะพี่ ได้ยินไหมวะ” แบมบูตะโกนไล่หลังไป แต่พอเห็นสาวเจ้าไม่หือไม่อือ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมสบถออกมาเบาๆ
   “Thank you everybody for coming, Are you ready for fun” (ขอบคุณทุกคนที่มานะครับ ทุกคนพร้อมที่จะไปสนุกด้วยกันหรือยังครับ) เสียงทุ่มนุ่มละมุน ดังกังวานขึ้นมาจากบนเวที แถมเจ้าของเสียงเองก็ยังทำท่าทีทะเล้นด้วยการป้องหูรอฟังคำตอบพร้อมทั้งส่งยิ้มกระชากใจลงมาอีกต่างหาก ไหนจะดวงตาสีฟ้าคู่สวยที่ไล่มองสบตากับแขกแต่ละโต๊ะนั้นอีก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพียงพอที่จะดึงความสนใจจากคนด้านล่างได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งหลังจากพูดจบเสียงกรี๊ดจากสาวๆก็ดังมาจากทุกสาระทิศ จนเดวิดต้องเอามืออุดหูเพราะฮานะที่นั่งข้างเขา ก็กรี๊ดจนคอแทบจะแตกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าใครจะมีท่าทียังไง หนุ่มตัวเล็กของเราก็ยังคงกรอกตาจนจาดำแทบจะไปเอ่ยทักทายกับก้านสมองอยูเหมือนเดิม
   “อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าสาวๆพวกนี้เขารู้ว่า พ่อนักร้องสุดโปรดของพวกเขา เป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ห่วยขนาดไหนจะยังกรี๊ดกันอยู่ไหม
    “บ่นอะไรอ่ะ หรือคุยกับแม่ซื้อ” คนตัวกลมซึ่งถึงแม้จะต้องตะโกนแข่งกับเสียงดังรอบข้างแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมาแซว
  หนุ่มธันค่อยๆผละมือออกจากคางก่อนจะหันมายิ้มให้หนุ่มตัวกลม พร้อมกับบรรจงเอานิ้วชี้ไปที่ปากของตัวเองก่อนจะขยับปากช้าๆ ชัดๆ ซึ่งแบมบูก็ต้องสะดุ้งตัวเล็กน้อย พร้อมยิ้มแห้งๆเพราะรูปปากมันจะอ่านเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากคำว่า “เผือก”
   “Thank you for cheering me up and we will start this night with this song” (ขอบคุณสำหรับเสียงเชียร์นะครับ เรามาเริ่มต้นคืนนี้ด้วยเพลงนี้กันดีกว่า) รูเบนไม่พูดเปล่าขยิบตาลงมาอีกครั้ง ซึ่งก็ทำให้เสียงเชียร์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกระลอก
   หลังจากหันไปพยักหน้าให้กับคนในวง หนุ่มหน้าคมก็ถอดไมค์ออกจากขาตั้งก่อนจะเริ่มต้นเปล่งเสียงร้องที่ทั้งนุ่มและมีเอกลักษณ์ออกมา
“Let’s Marvin Gaye and get it on
You got the healing that I want
Just like they say it in the song
Until the dawn, let’s Marvin Gaye and get it on”
   หนุ่มตัวเล็กถึงกับต้องเอาแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากเนื่องมาจากอาการสำลักน้ำ เพราะทันทีที่หนุ่มตัวสูงเปล่งเสียงใสดังกังวานออกมา มันก็ทำให้หนุ่มผิวแทนต้องแอบตะลึงเล็กน้อยด้วยหนุ่มตาฟ้ามีเนื้อเสียงที่ค่อนข้างละม้ายจนเกือบจะคล้ายกับต้นฉบับ อีกทั้งเขายังมีเทคนิคการร้องไล่ระดับเสียงสูงต่ำแบบไม่มีที่ติ ไหนจะความแข็งแรงของเสียงก็ดูดีจนเกินกว่าจะเป็นนักร้องมือสมัครเล่นที่เล่นตามผับตามบาร์นั่นอีก ที่สำคัญแม้ในใจหนุ่มผิวแทนจะไม่ชอบขี้หน้าคนร้องบนเวทีสักเท่าไหร่นัก แต่ ณ จุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าเสน่ห์ของคนบนเวทีนั้นเหลือร้ายจริงๆ
   บรรยากาศโดยรอบร้านเกิดเงียบเป็นเป่าสาก จากที่แต่ละโต๊ะพูดคุยกันเสียงดังอย่างออกรสออกชาติ บางโต๊ะก็แย่งอาหารกันเสียงดังโฉ้งเฉ้งช้อนส้อมตีกันเป็นพันลวัน แต่เมื่อรูเบนเริ่มร้องเพลงเสียงโดยรอบก็เริ่มเงียบลงเรื่อยๆจนเงียบสนิท เหมือนหนุ่มตาฟ้ามีเวทมนตร์ที่สามารถสะกดทุกคนให้หันมาสนใจเพียงแค่เขาได้ โซนข้างล่างอาจจะมองไม่เห็นเด่นชัดเท่าไหร่ว่าหนุ่มคนนี้กระชากใจคนดูได้ขนาดไหน แต่โซนชั้นลอยด้านบนนี้เห็นชัดเจนมาก เพราะสมาชิกที่นั่งอยู่ในแต่ละโต๊ะ ค่อยๆทยอยลุกออกจากโต๊ะมาชะโงกหน้ามองหาเจ้าของเสียงเพลงกันวุ่นวายไปหมดจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากกระจกกั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอยู่หนึ่งคนที่สามารถหลุดออกมาจากมนต์สะกดได้
   หลังจากหนุ่มธันเคลิ้มและเผลอยิ้มมุมปากไปกับหนุ่มบนเวทีเกือบครึ่งค่อนเพลง เขาก็เริ่มดึงสติได้และก็กลับมาขมวดคิ้วเข้าหากันตามเดิม ก่อนจะเบือนหน้าหนี ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานเสริฟ์ของเราเริ่มลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะ ซึ่งพอเธอวางจานสุดท้ายเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มผิวแทนซึ่งทำหน้าบึ้งอยู่ก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
   “เป็นอะไรคะไม่ชอบนักร้องเหรอคะ” พนักงานเสริฟ์ถามพร้อมยิ้มแปลกๆ
   “อะ อ๋อ เปล่าครับพอดีไม่ค่อยถนัดฟังเพลงสากลเท่าไหร่อะครับ” หนุ่มธันเกาหัวแกร็กๆพร้อมยิ้มแห้งๆกลับไป
   “โอ้โห น่ากินจังเลยนะครับ Hey, Guy I am hungry let’s eat first.” (เพื่อนๆเราหิวแล้วมากินกันก่อนเถอะ) หนุ่มตัวเล็กถึงกับต้องหลบฉากหันหน้ามาทางเพื่อน เพราะพี่พนักงานเสริฟ์ยังจ้องเขาไม่หยุด แต่พอหันกลับมาทางเพื่อนก็เห็นแต่ละคนตกอยู่ในภวังค์ ไม่เว้นแม้แต่เดวิดซึ่งนั่นก็ทำให้คิ้วของหนุ่มธันขมวดเป็นปมก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กๆ ซึ่งก็มีเสียงถอนหายใจดังซ้อนมาทางด้านหลังด้วยเหมือนกันก่อนจะมีเสียงก้าวเดินจากไป ซึ่งหนุ่มธันก็ทำอะไรไม่ได้ดีกว่าการหันกลับไปมอง หลังจากข่มใจไม่ให้เดินไปเอาเรื่องพนักงานสาวได้ คนผิวแทนก็เริ่มที่จะรินน้ำสีทองใส่แก้วให้เพื่อนๆ ไปพลางๆ เพราะตอนนี้ทุกคนยังคงตกอยู่ในอาการเคลิ้มกันอยู่
"Just like they say it in the song
Until the dawn, let's Marvin Gaye and get it on
Just like they say it in the song
Until the dawn, let's Marvin Gaye and get it on, Woo"
   เสียงกรี๊ดและเสียงผิวปากดังกระหึ่มมาจากทั่วทั้งร้านทันทีหลังจากรูเบนจบประโยคด้วยการตะโกนขึ้นฟ้า ยิ่งเขาหันมาขยิบตาและกัดริมฝีปากให้สาวๆข้างล่างเวทีเป็นการปิดท้าย ก็ยิ่งทำให้สาวๆและหนุ่มๆบางคนเช่นคนข้างตัวหนุ่มผิวแทน กรี๊ดกร๊าดกันอีกระลอกจนกระจกในร้านสั่นไหวเบาๆ
   หลังจากจบเพลงแรกบนเวทีก็ง่วนอยู่กับการเตรียมตัวที่จะร้องเพลงต่อไป ซึ่งก็เหมือนกันกับโต๊ะของหนุ่มตัวกลมและหนุ่มผิวแทน ที่ทั้งสี่คนก็กำลังง่วนอยู่กับการกินอาหารตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าขณะที่หนุ่มตาฟ้ากำลังจะอ้าปากร้องเพลงถัดไป พี่พนักงานสาวก็ยื่นกระดาษเล็กๆที่ม้วนไว้อย่างดีเหมือนกระดาษขอเพลงจากลูกค้ายื่นส่งให้หนุ่มนักร้องนำ และหากเขาไม่ได้คิดไปเอง เขาก็แอบเห็นหนุ่มตาฟ้าเหลือบมามองใครสักคนบนโต๊ะด้วยหางตาก่อนจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับพี่อ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่อ้นหน้ามุ่ยเล็กน้อยก่อนที่จะถอดสายคล้องกีตาร์ออกจากตัวแล้วยื่นกีตาร์ให้หนุ่มรูเบนไป ส่วนตัวเองก็เลื่อนตัวขึ้นมากุมไมค์แทน

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“เอาละหลังจากฟังเพลงสากลจากคนขี้เหร่กันไปแล้ว เรามาฟังเพลงไทยจากหนุ่มหน้ามนคนชื้ออ้นกันบ้างดีกว่านะครับ เอาละ มา” ถือว่าพี่อ้นรับช่วงต่อได้ค่อยข้างดีเพราะขณะที่ลูกค้าในร้านบางโต๊ะเริ่มหันมาซุบซิบกันว่าทำไมถึงมีการเปลี่ยนตัวนักร้อง พี่อ้นก็ทำการเรียกความสนใจจากลูกค้ากลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยประโยคดังกล่าว และเมื่อหนุ่มผมยาวเปล่งเสียงร้องออกมาก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวแต่ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าแม้ หนุ่มตี๋ของเราจะร้องเพลงได้ค่อนข้างดีแต่ก็ยังดีไม่พอเมื่อเทียบกับนักกีตาร์จำเป็นที่ดีดคอร์ดกีตาร์อยู่ด้านหลัง และแม้ว่าเขาจะโดนลดทอนความเด่นลงไปเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงเลยเพราะการจับคอร์ดกีตาร์ของเขาก็รวดเร็ว ไหลลื่น และแพรวพราวไปด้วยเทคนิคไม่ต่างจากการร้องเพลงที่เขาทำเมื่อสักครู่ เผลอๆการดีดกีตาร์และร้องเป็นแบ็คอัพให้กับพี่อ้นยิ่งทำให้เขาดูมีออร่าน่าค้นหามากกว่าตอนร้องเพลงเสียอีกยิ่งเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาตามกรอบหน้าและไรผมนั่นยิ่งทำให้สาวๆที่นั่งอยู่มุมตรงหน้าเขาแทบจะคลั่งตายกันไปข้าง
   “กรี๊ดๆ หล่อจังเลยค่า” หนุ่มตัวกลมป้องปากตะโกนขึ้นไปบนเวที อยู่เนื่องๆหลังจากพี่อ้นได้มาจับไมค์แทนและเหมือนจังหวะหนึ่งพี่อ้นก็คงจะรู้สึกถึงเสียงตะโกนได้เพราะเขาได้หันหน้ามาทางโต๊ะของหนุ่มผิวแทนก่อนจะขยิบตาให้ และนั่นก็ยิ่งทำให้คนที่นั่งข้างๆเขาส่งเสียงหวีดร้องดังหนักขึ้นไปอีก จนโต๊ะข้างๆถึงกับหันมามองด้วยความตกใจ เดือดร้อนถึงหนุ่มธัน เดวิด และฮานะต้องทำการยิ้มแห้งๆและผงกหัวเป็นการขอโทษกลับไป
   ราตรีนั้นราตรีนั้นค่อยๆเคลื่อนคล้อยไปเหมือนกับบทเพลงที่คนเวทีนำออกมาร้องแพลงแล้วเพลงเล่าแต่ก็เหมือนกับงานเลี้ยงทุกงานที่ย่อมต้องมีวันเลิกรา และเมื่อบทเพลงสุดท้ายมาถึงคนในวงทั้งหมดก็ออกมายืนเรียงหน้ากระดานไม่เว้นแม้กระทั่งมือกลองก่อนที่จะโค้งคำนับและก็เป็นพี่อ้นที่เป็นคนพูดปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยประโยคที่ว่า
   “ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่มาให้กำลังใจวง One upon a dream นะครับคืนพรุ่งนี้เราจะไปเล่นกันที่ไหนไปตามดูตารางงานของพวกเราได้ใน IG วงเลยนะครับ ขอให้กินอาหารให้อร่อยใครที่จะเดินทางกลับบ้านก็ขอให้เดินทางกลับดีๆ นะครับ” พูดจบก็คำนับอีกครั้งก่อนที่จะลงเวทีไป แต่ตอนปิดท้ายนี้เสียงเชียร์จะดูแผ่วๆกว่าตอนแรกหน่อยไม่ใช่ว่าคนกล่าวปิดขาดแรงดึงดูดแต่เป็นเพราะเวลามันก็ล่วงมาเกือบจะตีสามแล้ว ลูกค้าในร้านก็เริ่มจะบางตาส่วนลูกค้าที่ยังนั่งอยู่บางคนก็เริ่มจะสัปหงกกันแล้ว และเนื่องจากเป็นร้านอาหารไทย กฎก็เลยยืดหยุ่นได้อยู่บ้างแต่หากคุณไปผับท้องถิ่นของออสเตรเลียหากคุณสัปหงก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะมาเชิญคุณกลับไปนอนที่บ้านทันที ฮานะกับเดวิดกลับไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้วแล้ว เนื่องจากรถไฟเที่ยวสุดท้ายของทั้งคู่อยู่ที่เวลาประมาณ ตีสองสามสิบดังนั้นถึงแม้จะเป็นกังวลเล็กน้อยว่าเพื่อนที่เหลือทั้งสองจะกลับยังไงแต่เมื่อได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากทั้งคู่ว่าให้กลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องเป็นห่วงเพราะว่าหนุ่มแบมบูจะรอกลับพร้อมกับเจ้าของห้อง ฮานะกับเดวิดจึงไม่มีทางเลือกต้องปล่อยไปตามความต้องการของทั้งสองคนแต่สาวญี่ปุ่นก็ยังกำชับว่าให้ส่งข้อความมาบอกเธอด้วยหลังจากถึงห้อง ทว่าหลังจากสองคนคล้อยหลังไปสักพักหนุ่มตัวเล็กก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ อันเนื่องมาจากอาการร้านหมุนสาเหตุก็คงไม่พ้นมาจากการโดนบังคับกินเบียร์ไปร่วมสิบแก้วจะปฏิเสธก็กลัวจะเสียน้ำใจเพื่อน สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็นส่วนหนุ่มแบมบูเองก็มีสภาพไม่ต่างกันแต่สาเหตุไม่ใช่เพราะโดนคะยั้นคะยอกิน แต่เป็นเพราะนักร้องนำจำเป็นมันช่างถูกใจเขาเหลือเกินยิ่งดูยิ่งเพลินยิ่งเพลินยิ่งกระดก ตอนนี้เลยต้องลงไปนั่งคุยกับขาโต๊ะ
   “เอาไงดีวะ กูลากกลับพร้อมกันสองคนไม่ไหวนะเว้ย ดันไม่เหลือสติด้วยกันทั้งคู่ด้วย”พี่อ้นทำท่ากอดอกอย่างกลุ้มใจเมื่อเดินมาเจอสภาพของสองหนุ่มที่ทั้งสองคนเปิดวาร์ปไปเฝ้าพระอินทร์กันเรียบร้อยแล้ว
   “เอางี้ไหมพี่เดี๋ยวพี่แบกคนตัวใหญ่กลับไป เดี๋ยวคนตัวเล็กผมแบกกลับเอง แล้วถ้าเขาตื่นเดี๋ยวผมไปส่ง” ถึงแม้ตาของคนตัวเล็กจะหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมาดูว่าใครเป็นเจ้าของเสียง แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าน่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในวงของพี่อ้น เป็นคนพูดขึ้น ซึ่งถ้าจะให้เดาก็น่าจะเป็นพี่มือกลอง หรือไม่ก็พี่มือเบส เพราะสำเนียงที่พูดเป็นสำเนียงคนไทยแท้ๆ อีกอย่างคนตาฟ้าเองก็ไม่น่าจะมีน้ำใจพอที่จะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่สติของหนุ่มผิวแทนจะรับรู้ได้ก่อนสติจะวูบดับไป
   “เออ เอางั้นเหรอวะ ก็ได้แต่มึงอย่าทำอะไรน้องเขานะเว้ย คนนี้กูหวง” หนุ่มผมยาวกำชับก่อนจะหันไปฉุดกระชากลากถูหนุ่มแบมบูให้เอามือออกจากโต๊ะก่อนที่จะประคองกันออกจากร้านไป
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่อ้น ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย”เจ้าของเสียงพูดขึ้นมาในลำคอ ซึ่งฟังดูจากน้ำเสียงแล้วดูแฝงนัยยะอะไรบางอย่างจนน่าสงสัย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
«ตอบ #22 เมื่อ01-06-2020 23:11:19 »

 :3123:
 :katai2-1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
«ตอบ #23 เมื่อ02-06-2020 00:57:18 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ตะหงิดว่าคนที่รับอาสาแบกนู๋ธัญกลับบ้าน(เขา) น่าจะเป็นเจ้ารูเบนอ่ะแหละ

ป.ล. อิตารูเบนมันพูดไทยได้แหละ  มันฟังนู๋ธัญรู้เรื่องมาตลอดตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบินแล้ว  (เดาเอา)

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
«ตอบ #24 เมื่อ02-06-2020 01:25:11 »

 :pig4:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.8
«ตอบ #25 เมื่อ02-06-2020 06:37:31 »

ไว้รอติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ
คนเขียนดีใจมากๆเลยที่เริ่มมีคนมาคอมเม้นเยอะๆแบบนี้ ขอบคุณทุกคนมากนะครับ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เพดานห้องสีขาวสะอาดตา โคมไฟดาวไลท์เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมผนังห้อง บัวเพดานที่นูนออกมาเป็นรูปช่อดอกไม้สีขาว ผ้าม่านกำมะหยี่สีฟ้าที่ถูกรวบไว้กับพู่รวบผ้าม่านสีเหลืองทอง หน้าต่างสีขาวที่มีลวดลายบางอย่างที่ซึ่งมองไม่ค่อยถนัดเนื่องจากโดดแสงแดดยามเช้าตกกระทบจนลวดลายแลดูเบลอๆเล็กน้อย
สายลมที่แทรกตัวเข้ามาจากหน้าต่างได้หอบเอากลิ่นชื้นๆจากฝนเข้ามาด้วย ชะรอยตอนเช้ามืดฝนน่าจะตกเป็นแน่ รูปภาพติดผนังด้านหลังเป็นรูปของนกเป็ดน้ำสีสวยสองตัวกำลังแหวกว่ายน้ำอยู่กลางสระบัว หัวเตียงชั้นบนเป็นที่อยู่ของหุ่นฟิกเกอร์การ์ตูนโจรสลัดชื่อดังที่วางเรียงรายเต็มไปหมด แต่เมื่อมองดูใกล้ๆก็จะพบว่าตัวตุ๊กตาแต่ละตัวไม่มีฝุ่นจับเลยแม้แต่น้อย บ่งบอกได้ว่าเจ้าของดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี เตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูสีดำตัดกับสีของทั้งห้องได้อย่างโดดเด่น
เตียงนอนที่คนตัวเล็กคดตัวอยู่ นั้นเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่คาดคะเนจากตาแล้วน่าจะเป็นเตียงขนาดคิงไซต์ ผ้าห่มที่คลุมตัวเขาอยู่ ก็นุ่มนิ่มจนเหมือนเอาปุยเมฆมาห่ม แต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะผ้าห่มที่เขาห่มอยู่นั้นเป็นผ้าห่มที่ทำมาจากขนแกะอันเป็นสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของออสเตรเลีย
ด้านขวามือของเตียงนอนเป็นฉากกั้นห้องที่ทำมาจากโครงเหล็กทั้งชิ้นซึ่งถูกฉลุเป็นลวดลายของนกนานาชนิด ถัดจากฉากกั้นก็เป็นโซนนั่งเล่นเล็กๆ โดยมีโซฟาสีน้ำเงินขนาดสองที่นั่งและฝั่งตรงข้ามก็เป็นชั้นวางทีวีและทีวีจอขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีภาพวาดขนาดใหญ๋ที่ขนาดสูงจากพื้นเท่ากับเพดานห้องแต่ก็ไม่รู้ว่าด้านในเป็นรูปอะไรเพราะถูกผ้าคลุมเก่าๆคลุมอยู่
ภายในห้องยังมีประตูอีกประตูซึ่งน่าจะเป็นประตูห้องน้ำ และถ้าจะให้เดาห้องๆนี้น่าจะเป็นห้องหลักเนื่องจากมีห้องน้ำอยู่ในตัว ซึ่งแค่เพียงเพดานห้องที่แตกต่างก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนใต้ผ้าห่มรู้ว่าห้องนี้ไม่มีทางเป็นห้องของเขา อีกทั้งแสงของแดดที่กำลังแยงตาเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าเขาไม่ได้ฝันไป
เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้าและไรผมถึงแม้ว่าอากาศของออสเตรเลียเช้านี้จะมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำก็ตาม คนบนเตียงนอนกระพริบตาไปมาเพื่อทำให้สายตาปรับเข้ากับแสงยามเช้าและเรียกสติของตัวเองไปในตัว ภาพสุดท้ายก่อนความทรงจำจะตัดไปคือเขาพยายามชวนแบมบูกลับบ้านแต่เจ้าน้องตัวดีก็ดันทุรัง จะรอพี่อ้นเจ้าของห้องท่าเดียว เขาซึ่งปกติแล้วก็จะเป็นคนหลงทางตลอดเวลาแม้จะมีตัวช่วยเป็น Google map แล้วก็ตาม ยิ่งอยู่ในสภาพเมามายแบบนี้โอกาสที่จะกลับถึงห้องยิ่งเป็นศูนย์
“ที่ไหนวะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กพูดกับตัวเองในหัว ก่อนที่จะพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากที่นอนด้วยความยากลำบากเนื่องจากมีอาการหนักหัวซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มอย่างหนักหน่วงเมื่อคืน
เสียงน้ำฝักบัวออกมาจากห้องน้ำที่ปิดอยู่ทำให้เขารู้ได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้อง ฉับพลันเสียงบางอย่างในหัวเขาก็พูดขึ้นมาว่าต้องรีบออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุดขณะที่ยังมีโอกาส เพราะมันคงไม่ดีแน่หากประตูห้องน้ำเปิดออกมาแล้วดันพบว่าคนที่พาเขามานอนที่ห้องนี้เป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ความรู้สึกมันคงจะกระอักกระอวกน่าดู เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงใช้แขนและขาดันผ้าห่มออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นด้วยอาการโซเซเล็กน้อย
“กระเป๋าตังค์ มือถือ กุญแจอยู่ไหนวะ” หนุ่มผิวแทนตบกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อพยายามหาสัมภาระของตัวเอง เหงื่อที่ซึมออกมาบางๆกลับเริ่มไหลเป็นทางเนื่องจากความคิดในแง่ร้ายเริ่มผุดขึ้นมามากมายในหัว อย่างเช่นว่า เขาอาจจะโดนรูดทรัพย์ไปแล้วก็ได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่ากระเป๋าเงินของเขามีเงินไม่ถึง 50 เหรียญออสเตรเลียก็ตาม (*เรทเงินล่าสุด 1 เหรียญเท่ากับ 20.70 บาท) และมือถือของเขาก็ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่อะไรแถมหน้าจอก็เป็นรอยขีดข่วนอยู่เต็มไปหมดอีกต่างหาก
หลังจากพยายามสอดส่ายสายตาอยู่ชั่วครู่เขาก็เห็นสัมภาระทั้งหมดของเขาวางกองอยู่บนโต๊ะกาแฟตัวยาวสีไม้โอ๊คที่อยู่ระหว่างหน้าทีวีและโซฟา เห็นดังนั้นเขาก็ออกเดินอย่างช้าๆ ซ้ายทีขวาทีไปที่เป้าหมายก่อนจะรวบทุกอย่างมาไว้ในมือ ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อยเพราะใต้ของๆเขากับเต็มไปด้วยรูปภาพและอัลบั้มเพลงของนักร้องคนโปรด อย่าง Charlie Puth และ Shawn Mendes แต่ก่อนที่จะทันได้รื้ออะไร จิตใต้สำนึกเขาก็ได้เร่งเร้าให้เขารีบเดินออกจากห้องโดยเร็ว ดังนั้นเขาจึงรีบเดินไปบิดลูกบิดและคงจะได้ก้าวออกไปจากประตูห้องแล้ว ถ้าหากสายตาไม่เหลือบไปเห็นถังขยะที่อยู่มุมห้องซะก่อน
“คุ้ยดีไหมวะ”ธันพึมพำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมนั่งยองๆเอามือค้นหาบางสิ่งในกองขยะ โชคดีที่ขยะเกือบทั้งหมดเป็นพวกเศษกระดาษและเศษกล่องขนม เพราะหากมีขยะเปียกเขาคงจะแขยงมือน่าดู
หลังจากคุ้ยดูสักครู่แล้วไม้เจอกล่อง ซอง หรือเศษซากถุงยางใช้แล้วเขาก็รีบลุกขึ้นยืนและบิดลูกบิดประตูออกไปทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับน้ำในห้องน้ำก็หยุดลงเช่นกัน แต่เมื่อก้าวเท้าออกมาจากห้องแล้วก็พบว่าห้องนี้เป็นห้องชุดเช่นเดียวกับที่อยู่ของเขาและห้องที่อยู่ติดกันก็เป็นห้องครัวที่ดันมีคนกำลังยืนทำอาหารอยู่พอดี และถ้าเขาจำไม่ผิดคนที่กำลังยืนหันหลังต้มอะไรบางอย่างอยู่นั้นก็เป็นพี่มือกลองที่เล่นดนตรีในวงพี่อ้นเมื่อคืน
ถึงแม้ในใจคนตัวเล็กจะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทถ้าหากเดินออกไปโดยไม่ทักคนในห้องเลย แต่ด้วยใจของเขาที่ไม่อยากจะเห็นคนที่อยู่ในห้องน้ำว่าเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงรีบเดินสาวเท้าอย่างเงียบๆ ตรงไปที่ประตูที่อยู่มุมห้องและเมื่อบิดลูกบิดประตูได้เขาก็รีบ โกยอ้าวออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะถือรองเท้าของตัวเองออกมาด้วย
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ คะ รับ” พี่มือกลองรีบหันมาทักทายทันทีหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตัวเล็กเดินตรงดิ่งไปที่ประตู แต่เขาน่าจะรู้ตัวช้าไปหน่อยเพราะยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ดี ประตูที่ถูกเปิดกระชากออกมาด้วยความรวดเร็วก็ค่อยๆปิดลงโดยไร้ซึ่งเงาของหนุ่มผิวแทน
“พี่ ไอ้ตัวเล็กในห้องผมมันไปไหนแล้วอ่ะ” เจ้าของห้องที่คนตัวเล็กได้อาศัยนอนเมื่อคืนถามขึ้นอย่างร้อนรน สายตาก็สอดส่ายไปทั่วทั้งห้อง
“เห็นเดินออกไปหลังไวๆ กูจะหันไปทักยังไม่ทันเลย คงไม่เป็นไรมั้ง ว่าแต่มึงอะแต่งตัวให้มันดีๆหน่อยก่อนจะออกมาได้ป่ะวะ กูไม่อยากเห็นของดีแต่เช้านะเว้ย” หนุ่มผิวแทนตัวใหญ่พูดจบก็รีบหันหลังกลับไปทำอาหารของเขาต่อ เนื่องจากว่าตอนนี้คนตรงหน้ามีแต่ผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่างอยู่และการผูกปมก็ดูหมิ่นเหม่จะหลุดแลไม่หลุดแล ซึ่งพอดูจากลักษณะแล้วคงคว้าอะไรได้ก็รีบหยิบรีบใส่ออกมาเลย
หนุ่มเจ้าของห้องทำเสียง จิ๊จ๊ะ ไม่พอใจในลำคอก่อนจะเดินกลับเข้าห้องสีขาวของเขาไปอย่างเสียไม่ได้
ทางด้านหนุ่มตัวเล็กของเราหลังจากออกมาจากตัวตึกได้ก็ยืนงงๆเบลอๆสักพัก หันซ้ายทีหันขวาที จนคุณป้าที่เดินผ่านมาอดไม่ได้ที่จะทักเข้าให้
ยี่สิบนาทีต่อมา หนุ่มตัวเล็กก็มายืนอยู่หน้าห้องของเขาซึ่งจริงๆแล้วเขาต้องมาถึงตั้งแต่สิบนาทีก่อนหน้าแต่ด้วยความที่เดินหลงทิศหลงทางจากที่ต้องเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมถนนตึกที่เขาออกมาก็กลับเลี้ยวขวาซะได้ จึงทำให้คลาดกับรถบัสสายที่จะมา อพาร์ทเม้นท์ของเขา แต่โชคก็ยังดีที่รถบัสคันถัดไปมาถึงติดๆกัน ไม่งั้นวันนี้เขาอาจจะต้องขาดเรียนทั้งๆ ที่เพิ่งจะเป็นการเรียนวันที่สอง
“เออ น้องมันกลับมาพอดี ไม่ต้องห่วงแล้ว” เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องคนตัวเล็กก็เห็นหนุ่มผมยาวกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนก่อนจะวางสายไป แต่ว่า ด้วยความที่ธันมีอาการเหนื่อยล้ามาจากเมื่อคืนบวกกับการวิ่งตามรถบัสเมื่อสักครู่ ทำให้เขาจับใจความไม่ได้ว่าพี่อ้นพูดอะไรกับใคร
“กลับมาแล้วเหรอ พี่กำลังเป็นห่วงเชียว” เจ้าของห้องหันมายิ้มให้ก่อนจะพูดไถ่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย
“ถ้าเป็นห่วงจริง เมื่อวานก็น่าจะพาผมกลับมาด้วยนะครับ พี่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อเช้าตอนผมตื่นมาที่ห้องใครไม่รู้ ผมจะตกใจแค่ไหน” หนุ่มธันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณืน้อยใจแฝงอยู่เล็กๆ 
สิ้นประโยคห้องทั้งห้องก็เงียบลงจนเสียง “แกร็กๆ” ของสายลมที่พัดมากระทบกับประตูบริเวณระเบียงห้องยังดังเสียกว่า
“ขอตัวนะครับ” ธันพูดตัดบทพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องของตนที่อยู่บริเวณชั้นสอง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” ยังไม่ทันจะเปิดประตูสุดแขน เสียงร่าเริงของแบมบูก็ลอดออกจากห้องมาทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอนี่ไง กลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มตัวเล็กเดินตรงปรี่เข้าไปแจกขนมตุ๊บตั๊บเข้าที่หนุ่มตัวกลม ตุ๊บ สอง ตุ๊บทันทีเมื่อเดินเข้ามาในห้องได้
“โอ๊ย อะไรเนี่ย มาตีน้องทำไม” แบมบูลูบแขนตัวเองป้อยๆ พร้อมกับมองหนุ่มตัวเล็กตาขวาง
“เมื่อวานแกกลับมายังไง ทำไมถึงไม่เอาฉันกลับมาด้วย รู้ไหมว่าเมื่อเช้าฉันต้องเจอกับอะไร” ธันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยพยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์และน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
มันอาจจะฟังดูเหมือนโอเวอร์ไปเล็กน้อย แต่ความรู้สึกของหนุ่มผิวแทนมันแย่จริงๆ มันเหมือนถูกทิ้งและยิ่งได้เห็นว่าแบมบูกลับมานอนอยู่ในห้องเหมือนปกตินั่นยิ่งทำให้เขาน้อยใจว่าทำไม เจ้าของห้องถึงไม่พาเขากลับมาด้วย ถ้าแบกกลับพร้อมกันสองคนไม่ไหว ก็ไปส่งแบมบูก่อนแล้วค่อยวกกลับมารับเขาก็ได้
“เฮ้ยๆ เป็นอะไรอ่ะ โดนอะไรมาไหนเล่าสิ เฮ้ย มันหนักถึงขนาดจะร้องไห้เลยเหรอ น้องขอโทษน้องก็เมาเหมือนกัน ตื่นมาก็อยู่ในห้องแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งไว้คนเดียวนะเว้ย” หนุ่มแบมบูพูดขึ้นอย่างละล่ำละลัก เพราะเหมือนจะเห็นน้ำตาของหนุ่มตัวเล็กปริ่มมาตรงขอบตาแล้ว
“เออ ช่างเหอะ เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน” หนุ่มผิวแทนคว้าเสื้อผ้าในตู้ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่หันกลับไปมองหนุ่มตัวกลมที่นั่งหน้าเหลือสองนิ้วอยู่บนเตียง
“ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย” หนุ่มธันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งอก หลังจากสำรวจตัวเองในกระจกห้องน้ำเพื่อหาว่าตัวเองมีรอยจูบติดอยู่ตรงไหนหรือเปล่า แต่เมื่อหันซ้ายหันขวาสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยบุบสลายใดๆ เกิดขึ้นบนตัวเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าเมื่อคืนใครบางคนที่พาเขาไปนอนที่ห้องไม่ได้แตะต้องหรือล่วงเกินโดยเขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ
“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ” หนุ่มแบมบูพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ แถมทำหน้าตารู้สึกผิดจนทำให้หนุ่มตัวเล็กแอบสงสารอยู่เหมือนกัน
“เออ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไปโรงเรียนเหอะ เดี๋ยวสาย” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมกับคว้ากระเป๋าที่มีหนังสือเรียนอยู่ภายในก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่าง
พี่อ้นยังนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขกไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และทันทีที่เห็นธันและแบมบูเดินลงมาจากบันได หนุ่มผมยาวก็เด้งตัวขึ้นก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปหาทั้งคู่
“เอ่อ... น้องธันครับ คือพี่”หนุ่มหน้าตี๋กำลังจะพูดอธิบายเรื่องมือคืนแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาของหนุ่มตัวเล็กมองกลับมายังตน
“ผมจะไปรีบเรียนครับไม่มีเวลาคุย ขอตัวก่อนนะ”หนุ่มธันพูดจบก็ออกก้าวเดินไปเปิดประตูโดยไม่หันหลังกลับมามองหนุ่มตี๋แม้แต่น้อย ส่วนหนุ่มตัวกลมเองก็ได้แต่ส่งรอยยิ้มเจื่อนๆ ให้เจ้าของห้องก่อนจะรีบเดินตามหลังหนุ่มตัวเล็กไป
“...แล้วฉันก็รีบออกมาจากห้องเขา แต่ก่อนออกมาฉันแอบเห็นพี่มือกลองที่เล่นกับวงพี่อ้นอยู่เมื่อคืนนะ” หนุ่มตัวเล็กเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนให้หนุ่มตัวกลมฟังระหว่างเดินเท้าไปโรงเรียน
“อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่พาพี่กลับไปเมื่อคืน คือพี่มือกลองเหรอ”แบมบูถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ใช่ เพราะเจ้าของห้องน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนที่ฉันอยู่ในห้องฉันได้ยินเสียงเปิดน้ำดังมาจากในห้องน้ำ” หนุ่มตัวเล็กพูดขี้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนกำลังใช้สมองคิดทบทวนเรื่อง เมื่อเช้าอยู่
“ถ้างั้นก็เหลือแค่พี่มือเบส แล้วก็ตารูเบนสิ” แบมบูพยายามจำกัดวงของคนที่น่าจะเป็นไปได้ให้แคบลง
“อาจจะใช่หรือไม่ใช่ รูเบนนี่ตัดไปได้เลย เมื่อวานเห็นโปรยสเน่ห์ให้แต่สาวๆ อีกอย่างคนมนุษย์สัมพันธุ์ติดลบอย่างตานั่น คงจะไม่สู้แบกฉันกลับมาให้เมื่อยหรอก แต่จะบอกว่าเป็นพี่มือเบสก็น่าแปลกใจอยู่นะ เพราะว่าคนเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียวจะถึงขนาดแบกกลับมาที่ห้องแถมยังห่มผ้าห่มถอดรองเท้าให้ด้วยเหรอ แกว่ามันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ”หนุ่มธันหันมาถามความคิดเห็นหนุ่มแบมบู ซึ่งคิ้วของหนุ่มตัวเล็กตอนนี้ก็ได้ผูกกันเป็นปมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากกำลังใช้สมองอย่างหนัก
“ไม่แปลกหรอกถ้าคนมันชอบอ่ะ แต่จริงๆแล้วอาจจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนในวงก็ได้นะ อาจจะเป็นเพื่อนพี่อ้นคนอื่นหรือเปล่า” คนตัวกลมตอบกลับมาด้วยสีหน้าและคิ้วที่ผูกกันไม่ต่างจากคนตัวเล็กเท่าไหร่นัก เผลอแป๊บเดียวทั้งคู่ก็เดินมาถึงจุดหมายคือหน้าตึกโรงเรียนโดยธันได้บอกให้แบมบูขึ้นไปจองที่นั่งให้ก่อนเลยเพราะว่าเขาจะแวะซื้อกาแฟร้านลุงหนวดยาวที่ตั้งอยู่ใต้ต้น Golden panda หน้าโรงเรียนก่อน และถึงแม้หน้าตาของลุงเจ้าของร้านจะดูดุเคร่งขรึมตลอดเวลา
 แต่ว่าจริงๆแล้วคุณลุงเป็นคนที่ใจดีและใจเย็นมากเพราะตอนนี้ภาษาของคนตัวเล็กเองก็ยังไม่ได้แข็งแรงมากนักดังนั้นบางครั้งเมื่อสั่งเครื่องดื่มไปคุณลุงเองก็จะดูงงๆอยู่บ้างแต่ว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่คุณลุงจะชักสีหน้าใส่หรือ พูดโต้ตอบด้วยท่าทีหงุดหงิด กลับกลายเป็นว่าคุณลุงจะยิ้มอย่างใจเย็นทุกครั้ง และจะถามกลับอย่างช้าๆชัดๆเพื่อให้คนตัวเล็กฟังได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันทำให้คนตัวเล็กได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราไม่สามารถที่จะตัดสินคนอื่นจากที่เราเห็นภายนอกได้เลย
“ใครกันนะที่พาเรากลับมาเมื่อคืน อยากรู้จัง” หนุ่มผิวแทนจิบกาแฟที่เพิ่งได้มาในมือก่อนที่จะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกับว่าจะถามคำถามกับใครสักคนข้างบนนั้น
เมื่อเดินก้าวเข้ามาในห้องเรียนก็พบว่าแบร์กำลังเช็คชื่อนักเรียนอยู่พอดีและโชคดีที่อาจารย์ยังเช็คชื่อไม่ถึงเขาดังนั้นเขาจึงรีบก้าวเท้ายาวๆไปนั่งข้างๆหนุ่มตัวกลมที่เว้นที่ไว้ให้เขา
“Hey why you didn’t text to me yesterday after you arrive home, I really worry about you guys” (นี่ทำไมเมื่อวานไม่ส่งข้อความหาตอนถึงบ้านอะ เราเป็นห่วงพวกเธอนะเว้ย) ก้นของหนุ่มธันยังไม่ทันจะถึงเก้าอี้ดี ฮานะก็ใช้นิ้วมือของเธอสะกิดเข้ากับข้อศอกของหนุ่มตัวเล็ก และเมื่อหันไปหาก็ต้องพบกับสีหน้าไม่พอใจของสาวญี่ปุ่น ซึ่งธันก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายิ้มแห้งๆพร้อมตอบกลับเธอไปด้วยเสียงกระซิบเบาๆ
“Sorry Hana, I fell asleep last night after I am home” (ขอโทษนะฮานะ พอดีเมื่อวานฉันเผลอหลับตอนถึงบ้านแล้วน่ะ) ธันพูดพร้อมกับเอามือเกาหัวเล็กน้อย
“Oh, ok” (อ๋อ โอเคจ้ะ) ฮานะพูดพร้อมส่งยิ้มบางๆกลับมาให้
“Thun” แบร์ตะโกนเสียงดังลั่นห้อง และนั่นก็ทำให้หนุ่มผิวแทนสะดุ้งโหย่งก่อนจะยกมือขึ้นพร้อมขานต่อ
“I am here” หนุ่มตัวเล็กยกมือค้างไว้พร้อมยิ้มแหย่ๆไปทางที่แบร์ยืนอยู่
“Yes, I saw you already but I just want to remind you again, When I am speaking don’t butt in .Ok?” (ผมเห็นคุณตั้งนานแล้วแต่ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าอย่าพูดแทรกขณะผมพูดอยู่ เข้าใจไหม?) แบร์กรอกตาหนึ่งรอบก่อนจะพูดกับหนุ่มตัวเล็กด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าตอนแรกแต่ก็ยังแฝงความเหนื่อยหน่ายอยู่ในที
 และเมื่อจบประโยคลงก็หันหลังไปที่กระดานไวท์บอร์ดเพื่อที่จะเริ่มทำการสอน ซึ่งแม้ประโยคดังกล่าวจะดูธรรมดาแต่มันก็ทำให้หนุ่มผิวแทนหน้าเสียอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากจะค่อยๆ เอามือลงมาไว้ที่หน้าตักเหมือนเดิม แต่โชคดีที่เมื่อมองไปรอบๆ ห้องไม่มีเพื่อนร่วมห้องคนไหนขำที่เขาโดนเอ็ดสักคนมีแต่คนที่ยิ้มบางๆอย่างให้กำลังใจเมื่อธันหันไปสบตาพวกเขา
ยิ่งสาวฮานะที่เป็นคู่สนทนาของเขาเมื่อสักครู่ยิ่งแล้วใหญ่ เธอทั้งฝืนยิ้มและทำหน้ารู้สึกผิดในคราวเดียวกัน จะมีก็แต่หนุ่มตาฟ้าที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องที่ทำหน้านิ่ง เรียบเฉยเหมือนเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนั่นยิ่งทำให้หนุ่มผิวแทนไม่ชอบหน้าเขายิ่งขึ้นไปอีก
“Ok, that enough for today” (เอาละวันนี้พอแค่นี้) เหมือนเสียงสวรรค์ เพราะทันทีที่แบร์พูดประโยคทองจบ ทั้งห้องก็โห่ร้องกันด้วยความยินดีก่อนจะเริ่มต้นเก็บหนังสือของตนลงกระเป๋าแต่ก่อนที่จะเคลื่อนตัวออกจากห้องแบร์ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“Oh sorry I forgot to tell you something, Tomorrow we don’t have afternoon class because we will go to BBQ at the Roma park , I will bring all of necessary equipment and sausage if you want to eat something more you should bring it by yourself, Just that and goodbye for now ” (โอ๊ะโอ ขอโทษทีพอดีลืมแจ้งไป พรุ่งนี้เราจะไม่มีการเรียนการสอนในช่วงบ่ายนะเพราะเราจะไป บาร์บีคิวกันที่ สวนสาธารณะ โรม่า เดี๋ยวผมจะเอาอุปกรณ์ที่จำเป็นไปรวมถึงไส้กรอกด้วย ถ้าใครต้องการกินอะไรอย่างอื่นก็ให้เอามาเองนะ เจอกันพรุ่งนี้) คนตัวหนาพูดขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“So, what do you bring tomorrow?” (พรุ่งนี้เธอจะเอาอะไรมาเหรอ) ฮานะจังถามหนุ่มตัวบางและหนุ่มตัวกลมขึ้นในขณะที่นั่งกินข้าวกลางวันกันอยู่ตรงระเบียงด้านนอกอาคาร
“Um, I am not sure, How about you” (อืม ยังไม่แน่ใจเลย ว่าแต่เธอละจะเอาอะไรมาเหรอ) หนุ่มตัวกลมเป็นคนเอ่ยปากตอบคำถามด้วยคำถามอีกทีหนึ่ง
“Maybe, Onigiri. Do you know what it is? “(บางทีอาจจะเป็นข้าวปั้นนะ รู้จักไหม) ฮานะจังคิดสักครู่ก่อนจะตอบออกมา
“Yes Yes I know” (รู้สิๆ) หนุ่มตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะร้องเพลงของสาวๆวงไปด้อลที่เคยเป็นที่นิยมก่อนจะทำท่าทางประกอบ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ ทั้งโต๊ะอดที่จะขำไม่ได้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของเขา
“How about you David?” (แล้วเดวิดละจะเอาอะไรมาเหรอ) แบมบูหันไปถามเดวิดบ้าง
“I will bring beef, I really love it” (ฉันจะเอาเนื้อวัวไปน่ะ ฉันชอบมากๆเลยละ) เดวิดพูดขึ้นพร้อมทั้งเลียปากบนล่าง เหมือนกับจะเป็นการบอกนัยๆว่าเขาชอบสิ่งนี้มากจริงๆ
“Oh ok, I will bring Chicken satay what do you think?” (อืมงั้น นี่ก็คงจะเอาไก่สะเต๊ะไปน่ะ นายคิดว่าไง?) ธันพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาแบมบูเพื่อถามความเห็น
“Oh great I love it, maybe you don’t know but Thun is good at cook I mean really well.” (อุ้ย นี่ชอบมากเลยนะ บางทีพวกเธออาจจะไม่รู้แต่ธันน่ะทำอาหารเก่งมากๆๆเลยนะ) แบมบูตบมือขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อรู้ว่าธันจะทำไก่สะเต๊ะเมนูโปรดของหนุ่มตัวกลมและเมนูเด็ดของหนุ่มผิวแทน พร้อมทั้งหันไปหาเดวิดและฮานะจังที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะบอกพวกเขาว่าคนตัวเล็กนั้นทำอาหารเก่งจริงๆ
“Really?” (จริงเหรอ) ทั้งคู่พูดขึ้นก่อนจะพร้อมกัน ก่อนจะหันไปมองธันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
“You will see” (เดี๋ยวก็รู้) หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่มกลับไป
“I think you talk too much” (พูดมากไปแล้ว) ธันตีไหล่แบมบูเบาๆก่อนจะหันไปกินข้าวตรงหน้าตัวเองต่อ ซึ่งการกระทำทั้งหมดของทั้งคู่ก็อยู่ในสายตาของคนๆหนึ่งตลอดเวลาและดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บ่ายวันนั้นหลังจากเลิกเรียนทั้งคู่ก็นั่งรถบัสกันมาย่าน Chinatown ย่านนี้อยู่ถัดจากใจกลางเมืองมาหน่อย และนั่งรถสาย 375 มาเพียงสองป้ายก็ถึงแล้ว
การตกแต่งของตัวสถานที่ไม่ได้มีความเป็นจีนจ๋าเหมือนย่านเยาวราชบ้านเราแต่จะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นออสเตรเลียและจีนอย่างลงตัวกล่าวคือ แม้จะมีโคมแดงยาวเป็นแถวตลอดท้องถนนแต่ว่าเสาที่ใช้ติดโคมแดงก็เป็นเสาหนาสีขาวซึ่งน่าจะนำมาจากต้นยูคาลิปตัส แถมด้านบนของเสาก็มีรูปปั้นโคอะล่าแม่ลูกที่ทำมาจากไม้ชนิดเดียวกันเกาะอยู่ หรือว่าตรงใจกลางเมืองที่ทำเป็นลานน้ำพุคล้ายๆหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังของบ้านเรา ก็ตกแต่งด้วยรูปปั้นปลาทองขนาดยักษ์กำลังแหวกว่ายน้ำกันอยู่ แต่ตัวปลาทองนั้นทำมาจากโครงเหล็ก เก่าๆ ซึ่งเหมือนจะเป็นการบอกว่าที่ออสเตรเลียผู้คนค่อนข้างจะจริงจังและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมเพราะขนาดของตกแต่งในเมืองยังใช้วัสดุที่เป็นขยะเหลือใช้มาทำเลย
“จะหมักไก่ต้องใช้อะไรบ้าง”หนุ่มแบมบูถามขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านของชำขนาดใหญ่ในย่านนี้
“อืม ก็ใช้ผงขมิ้น ผงกะหรี่ ผงยี่หร่า ลูกผักชี พริกไทย ข่า ตะไคร้ กะทิ แล้วก็น้ำตาล”หนุ่มตัวเล็กพูดรัวๆจนผู้ฟังต้องกะพริบตารัวๆตามเช่นกัน
“เป็นอะไร กระพริบตาถี่ขนาดนั้นเดี๋ยวตาก็บอดหรอก” หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นพร้อมกับเอาศอกตีกระทุ้งไปที่สีข้างของหนุ่มตัวกลมไปที
“บอดเพราะ กระพริบตาเร็วเกินเหรอ”หนุ่มแบมบูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวน
“บอดเพราะฉันเอามือตีนี่แหละ ไปเข้าไปได้แล้วเดี๋ยวต้องกลับไปทำข้าวเย็นอีก” หนุ่มธันพูดขึ้นพร้อมทั้งดันตัวหนุ่มแบมบูเข้าร้านไป
“อืม ของบางอย่างไม่เห็นเลยนะ แถมของบางอย่างก็แพงจัง” หนุ่มธันพูดขึ้นขณะหยิบจับเลือกของอยู่ในร้าน
“ก็นี่มันต่างประเทศนี่นา ของที่ส่งมาก็ต้องแพงเป็นธรรมดาแหละ ขนาดมาม่าซองละ เจ็ดบาทบ้านเรา มาที่นี้ยังขึ้นมาเป็น สิบหกบาทเลย” หนุ่มตัวกลมที่อยู่ในฟากของบะหมี่กึ่งสำเร็จพูดขึ้น
“อืมมันก็จริง อะ เจอแล้ว ผงยี่หร่า เท่านี่ก็ครบแล้วสินะ” หนุ่มธันหยิบซองที่เขียนข้างหน้าว่า Cumin ขึ้นมาดูก่อนจะค้นหาความหมายจากเว็ป Google และเมื่อรู้ว่ามันคือผงยี่หร่าก็กระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลด จนคุณป้าที่ยืนอยู่ข้างหลังต้องเขยิบตัวออกห่างๆ
“ทำไมถึงไม่ใช้ผงปรุงสำเร็จไปเลยอะ ง่ายกว่าอีก” หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นมาขณะกำลังคิดเงิน
“อันนั้นมันก็ง่าย แต่มันจะขาดความหอมของเครื่องเทศหลายๆอย่างไปนะ ลองคิดดูสิของที่เราซื้อทั้งหมดมันอยู่ที่ ห้าสิบเหรียญ ในขณะที่ ผงปรุงสำเร็จอยู่ที่ สามเหรียญ แกคิดว่าของต้นทุนสามเหรียญเขาจะใส่เครื่องเทศมาให้เยอะขนาดไหนเหรอ” หนุ่มตัวเล็กอธิบายพร้อมทั้งเอาเงินยื่นให้พนักงานที่อยู่ตรงหน้า
“จ้า จ้า จ้า แล้วอย่ามาบ่นทีหลังละกันว่าใช้เงินเปลือง” แบมบูพูดขึ้นพร้อมทั้งรวบถุงของที่จ่ายเงินแล้วทั้งหมดไปถือไว้ในมือ แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะก้าวเดินออกจากร้านหนุ่มธันก็หยุดกึกจนหนุ่มตัวกลมข้างหลังแทบจะล้มหัวทิ่ม
“หยุดทำไม” แบมบูพูดขึ้น
“เราจะทำอะไรนะ”หนุ่มธันหันมาถาม
“อ้าวเป็นบ้าเหรอ ก็จะทำไก่สะเต๊ะไง”หนุ่มตัวกลมพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ชัดเลยว่าเริ่มจะมีอาการหงุดหงิดเกิดขึ้นเล็กน้อย
“ใช่ ทำไก่สะเต๊ะ แต่เรายังไม่มีไก่เลย!”หนุ่มตัวเล็กขำความเบลอของตัวเอง
“อ้าว ปัดโถ่”แบมบูอดที่จะขำตามไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็ยืนอยู่ข้างๆแท้ๆตอนจ่ายเงินแต่ก็ลืมที่จะทักเช่นกัน
“เออ ใช่ๆ ฉันเองก็ว่ามันแปลกๆเหมือนกัน” ธันกับแบมบูพูดคุยกันขณะเดินเข้ามาในห้อง แต่ทั้งคู่ก็ต้องหยุดการสนทนาลงเมื่อเห็นเจ้าของห้องอยู่ตรงหน้า
“อ้าวกลับมากันแล้วเหรอครับ” พี่อ้นหันมาพูดขณะหั่นอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
“ก็เห็นไหมละ ถ้าเห็นก็แสดงว่ากลับมาแล้วปะ” คนตัวเล็กพูดเบาๆขณะถอดรองเท้าออก แต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้คนตัวกลมที่ถอดรองเท้าข้างๆได้ยิน และนั่นเองก็ทำให้แบมบูต้องยกมือขึ้นตีแขนหนุ่มตัวบางเบา ซึ่งก็ทำให้ธันมองกลับมาที่หนุ่มตากลมตาขวางไม่ใช่น้อย
 “กินอะไรมาหรือยังครับ พอดีพี่กำลังทำข้าวเย็นอยู่พอดี กินด้วยกันไหม”แม้ทั้งคู่จะไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหนุ่มตัวสูงก็ยังยิ้มตาหยีส่งมาให้ พร้อมยังชวนคุยต่อไป
“กินครับ ไหนทำอะไรกินเอ่ย มีอะไรให้ช่วยไหม” คนตัวกลมเดินตรงไปยังพี่อ้นทันทีโดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่ยังยืนนิ่งอยู่อย่างถือทิฐิ
“เฮ้อ” แต่สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็ถอนหายใจขึ้นมา ก่อนจะเดินไปช่วยทั้งคู่ที่กำลังง่วนอยู่กับการหั่นของเตรียมของสำหรับอาหารมื้อเย็น ซึ่งนั่นก็ทำให้สถาการณ์โดยรวมในห้องดูผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
“อืม สีดูสวยดีนะครับ”หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ ธันก็เริ่มทำการหมักไก่สเต๊ะของเขา ซึ่งด้วยส่วนผสมที่พอดิบพอดีและลงตัวสีของไก่ก็เลยดูดีและเสมอกันทั้งหมด
“รสชาติก็ดีเหมือนกันนะ ผมเคยชิมมาก่อน”หนุ่มตัวกลมที่กำลังล้างจานอยู่พูดขึ้นมาเพื่อเป็นการยืนยันฝีมือของคนตัวเล็ก
“จริงเหรอครับ พี่อยากลองชิมดูจังเลย” หนุ่มตี๋พูดขึ้นมาลอยๆแต่ดูก็รู้ว่าจงใจจะพูดกับใคร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ ธันจะทิ้งบางส่วนไว้ให้ พี่ก็ย่างเองแล้วกัน ย่างเองได้ใช่ไหม”ธันหันมาสบตากับพี่อ้นที่ยิ้มรออยู่แล้วและนั่นก็ทำให้ธันหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนตัวกลมที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า ก็เกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นในใจ
   เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยฟ้าที่มีสีขมุกขมัว เหมือนกับขี้เถ้าแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เหล่ากลุ่มนักเดินทางเปลี่ยนใจยกเลิกแผนการไปปิกนิกและปิ้งย่างที่สวนสาธารณะลงไป
   “Hey, quickly we don’t want to wait right?” (เอาละเร็วหน่อย เราไม่อยากจะเปียกหรอกใช่ไหม) แบร์พูดขึ้นพร้อมกับยกมือเร่งนักเรียนของเขาให้ออกเดินให้เร็วหน่อย
   “Oh someone bring bread today?” (วันนี้ใครเอาขนมปังมาไหมเนี่ย) อาจารย์ตัวหนาถามขึ้นมาเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้ ในขณะที่เดินเหล่านักเรียนกำลังเดินผ่าน ซุปเปอร์มาเก็ต Woolworth
   เหล่านักเรียนก็มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กซึ่งจากท่าทีดังกล่าวก็คงเดาได้ไม่ยากว่าไม่มีใครนำขนมปังติดตัวกันมาเลย
   “Oh man, the sausages goes well with bread. You don’t know about that?” (เฮ้ พวกนายไม่รู้เหรอเนี่ยว่าไส้กรอกน่ะมันต้องกินกับขนมปังนะ) แบร์ร้องอย่างโอดครวญ
“Ok someone has to buy it in the supermarket and others will go to the park first but don’t worry I will send the location when we arrived there” (เอาละใครบางคนต้องไปซื้อมันมาจากซุปเปอร์ให้ผม ส่วนคนที่เหลือจะออกเดินทางไปก่อนแต่ไม่ต้องกลัวถ้าเราไปถึงผมจะส่งแชร์โลเคชั่นมาให้) แบร์พูดขึ้นพร้อมกับสบตานักเรียนทีละคนทีละคน ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็ได้แต่หลบตากันเป็นแถวเพราะว่าไม่มีใครอยากที่จะไปซื้อขนมปังแล้วเดินไปที่สวนคนเดียว ทุกคนอยากที่จะเดินไปพร้อมเพื่อนๆ
   “How about you Ruben can you do that for us” (อืม รูเบนนายพอที่จะไปซื้อขนมปังมาให้พวกเราหน่อยได้ไหม) แบร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆตรงไปยังหนุ่มตาฟ้าที่เป็นคนเดียวที่กล้าสบตาเขาโดยไม่หลบตา
   “No problem” (ไม่มีปัญหา) หนุ่มรูเบนทำเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูกเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมกับเบนสายตาไปทางอื่น
   “But I think he should have someone to walk with isn’t it?” (แต่ผมคิดว่าเขาควรจะมีใครเดินไปด้วยนะ) หนุ่มตัวกลมยกมือขึ้นพูดกับแบร์ และนั่นเองก็เริ่มที่จะทำให้สาวๆในห้องเริ่มเออ ออ เห็นด้วยพร้อมกับเสนอตัวเองไปเป็นเพื่อนหนุ่มหน้าคมทันที
   “Hey Hey, don’t be louder. Thun can you go with him?”  (เฮ้ อย่าเสียงดัง ธันไปเป็นเพื่อนเขาหน่อยละกันนะ) แบร์พูดขึ้นพร้อมออกเดินต่อไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเหล่าสาวๆที่ต้องการจะไปเป็นเพื่อนหนุ่มรูเบน แต่ก็นั้นแหละทุกคนก็ทำได้แค่โห่ร้องด้วยความไม่พอใจก่อนที่จะออกเดินตามอาจารย์ตัวหนาไปทิ้งธันที่ยังยืนงงและเอานิ้วชี้ไปที่หน้าของตัวเองค้างอยู่อย่างนั้น
   “Do you want to come with me or stay there all day, Idiot” (นายจะมากับฉันหรือจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งวัน งี่เง่าเอ้ย) คนตัวสูงกว่าพูดขึ้นก่อนจะเดินลงบันไดเลื่อนไปโดยไม่รอคนตัวเล็ก
   “Hey wait!!!” (เฮ้ยรอก่อนดิ) หนุ่มตัวเล็กเมื่อตั้งสติได้ก็เดินตามลงไปติดๆ เพราะเขาซึ่งดูแผนที่เองยังหลงถ้าถูกทิ้งให้เดินไปสวนสาธารณะเองจากใจกลางเมืองแบบนี้วันนี้คงไม่ถึงแน่

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
«ตอบ #28 เมื่อ05-06-2020 21:11:40 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
«ตอบ #29 เมื่อ06-06-2020 01:08:45 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาแบร์  แกตั้งใจจัดฉากให้  ใช่ป่ะ?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด