ตอนที่5
ต้องบอกก่อนว่าผมไม่เคยคิดจะชอบอัฐมาก่อน
ต่อให้หล่อขนาดไหน เขาก็เข้าใจยากเกินไป ห่างไกลจากคนที่ผมเคยชอบหลายขุม
ผู้ชายที่ผมเคยชอบเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน และเป็นประธานชมรมโสตทัศนศึกษา
ผมเข้าชมรมนี้เพราะว่าอยากเป็นดีเจของโรงเรียนที่คอยบอกข่าวสารต่างๆ ในช่วงเช้าก่อนเข้าแถว สลับกับเปิดเพลงที่เพื่อนๆ ขอมา ส่วนช่วงพักเที่ยงก็เปิดเพลงให้ทุกคนฟังชิวๆ ระหว่างกินข้าว ซึ่งผมก็ได้ทำอย่างที่อยากทำ โดยมีรุ่นพี่คนนั้นเป็นคนช่วยสอน และบางครั้งก็จัดรายการร่วมกันซึ่งผมสนุกมาก
พี่เขาเป็นคนใจดี ยิ้มเก่ง ใส่ใจ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยสอนหมด ไม่เคยด่าเคยว่าตอนผมทำผิดพลาด จนผมแอบมอบตำแหน่ง ‘รุ่นพี่แห่งชาติ’ อยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยสารภาพรักกับเขา แม้เขาจะเป็นรักแรก และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายก็ตาม
ที่ผมทำมีแค่นำช่อดอกกุหลาบไปมอบเพื่อแสดงความยินดีในวันเรียนจบ และขอบคุณที่เขาช่วยสอนผมหลายๆ อย่าง ซึ่งพี่เขาก็รับไปด้วยรอยยิ้ม และให้กำลังให้ผมเรื่องความฝันอยากเป็นนักพากย์
“จาพยายามอีกนิดก็ไปถึงฝันได้แน่”
ผมยังจำประโยคนั้นได้ดี ไม่ต่างกับที่จำความใจดีของเขาได้
สรุปแล้วผมน่าจะชอบคนใจดี
แต่ก็นั่นแหละ
บางครั้งอัฐก็ใจดี...หรือเหมือนจะใจดี
ผมจำได้ว่าอัฐบอกผมตั้งแต่วันแรกว่าผมจะหยิบของในตู้เย็นของเขาไปกินก็ได้ แต่ด้วยความเกรงใจประกอบกับกลัวความผีเข้าผีออกของเขา ผมเลยไม่เคยหยิบมา ที่จะรับก็มีแค่ช็อกโกแล็ตที่เขาเอามาเก็บในตู้เย็นของผมเลยเท่านั้น
จนเย็นวันหนึ่งที่ผมทอดไข่เจียวเพื่อกินกับข้าวสวยร้อนๆ เขาก็เดินเข้ามาในครัว เปิดตู้เย็น ยืนมองของในนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปิด ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะกำลังโปะไข่เจียวลงบนจานข้าว
“ยัยหมวย”
แล้วไข่เจียวก็แทบลื่นหกออกนอกจานตอนที่เขาเรียกผมแบบนั้น ดีที่ใช้ตะหลิวสะกัดเอาไว้ได้ เมื่อปกป้องของกินทัน ผมหันไปมองเขา เขาจึงพูดต่อ
“เธอกินแค่นั้นอิ่มเหรอ”
“อ่า...ก็อิ่มนะครับ”
ผมตอบ แอบงงนิดๆ ที่เขามาถาม แถมพอตอบ เขาก็จ้องผมเขม็งเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยออกมา
“กินเนื้อสัตว์บ้าง”
เอ่อ...นั่นเป็นคำพูดอ้อมๆ ของคำว่าผอมสินะ
“เธอไม่เคยหยิบของในตู้เย็นฉันไปกินเลยนี่ หยิบได้นะ”
ในที่สุดเขาก็เอ่ยเนื้อหาหลักที่ต้องการพูดออกมา
“อ้อ ไม่เป็นไรครับคุณอัฐ ผมเกรงใจ”
“แล้วเธอจะกินเมนูไข่ไปอีกกี่มื้อ” แต่เขาถามกลับมาแทงใจดำ “ช่วงนี้เธอลำบากเรื่องเงินนี่”
“อ่า... ครับ”
“กินไปเถอะ ไม่เป็นไร”
ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าอัฐใจดีเพราะเขาจะไม่มาย้ำเรื่องนี้กับผมก็ได้ แต่เขาก็อุตส่าห์มาบอก ผมคิดจะขอบคุณเขา แต่เขาก็พูดมาอีกประโยค
“บางทีของมันเหลือทิ้งอยู่แล้ว”
“...”
ซึ่งก็เป็นประโยคที่...เขาพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ก่อนเดินออกจากห้องครัวไป
อันที่จริง มันก็คงเป็นเนื้อหาหลักที่เขาต้องการพูดนั่นแหละ ประมาณว่า กินได้นะ เดี๋ยวมันเหลือ แต่ผมด่วนทึกทักไปก่อนว่าเขาใจดี แบบคนคิดไปเองเก่ง
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ช่วยให้ผมประหยัดค่าอาหาร ไม่ว่าเหตุผลคืออะไรก็ตาม
และอีกเรื่องที่อัฐเหมือนจะใจดีก็สืบเนื่องมาจากความขัดสนเรื่องเงินของผมเช่นกัน
มันเป็นตอนเย็นที่ผมเพิ่งกลับจากฝึกงานเหมือนทุกวัน เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านมา ถ้าไม่เห็นอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาหนังสีดำ เขาก็จะวิ่งออกกำลังที่ลู่วิ่ง ไม่ก็เขียนงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันนั้นก็เหมือนกัน เขาเขียนงานอยู่หน้าคอม เราไม่มีการเอ่ยทักทายกันเมื่อกลับบ้าน ยิ่งเห็นว่าเขาทำงานอยู่ ผมยิ่งรีบเดินผ่านไปเงียบๆ
“อย่าเพิ่งไป”
แต่เสียงเรียกของอัฐก็ทำให้ผมหยุดฝีเท้า หันไปมองก็พบว่าเขาเรียกผมโดยที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอด้วยซ้ำ แถมมือก็ยังพิมพ์งานต่ออีกด้วย
ถ้าจะเรียกก็ช่วยหันมาคุยเลย อย่าปล่อยให้รอสิโว้ย
แต่ถึงคิดแบบนั้นก็ได้แค่คิด ผมยืนมองเขาจนพิมพ์จบหนึ่งย่อหน้า กะจะถามว่าเรียกผมทำไม เขาก็เอ่ยปากมาก่อน
“เธอฝึกงานได้เงินหรือยัง”
“ยังครับ แต่...ได้เข้าไปนั่งในห้องพากย์แล้ว”
ตอบจบ เขาหันมามอง ก่อนที่มือจะหยิบเอกสารปึกหนึ่งที่หนีบคลิปสีดำตัวใหญ่ยื่นให้ผม
“พรูฟเป็นไหม” เขาถามตามมาทีหลัง
“ก็...เคยรับเป็นงานฟรีแลนซ์นะครับ”
“ดีเลย ขอวันจันทร์นะ”
“เอ๊ะ? ให้ผมทำเหรอครับ”
ผมถามอย่างมึนงง แต่อัฐไม่ได้ตอบอะไร เพียงมองหน้า ขยับมือที่ถือต้นฉบับยื่นเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผมยื่นมือไปรับแบบงงๆ เช่นกัน
สรุปคือผมได้งานมาทำโดยที่นายจ้างไม่ถามสักคำว่ารับทำไหม ที่ถามมีอย่างเดียวคือฝึกงานได้เงินหรือยัง
และงานที่ให้มาพรูฟน่ะ ก็คือต้นฉบับเล่มต่อไปของเขาเอง
ตอนที่รู้ก็อดเกิดคำถามไมได้ว่าจริงเหรอ? ให้ผมอ่านต้นฉบับของนักเขียนที่มียอดพิมพ์เป็นล้านเล่มได้จริงเหรอ? เพราะผมคิดว่าของแบบนี้น่าจะเก็บเป็นความลับเฉพาะกองบรรณาธิการที่ดูแลต้นฉบับ แต่เมื่อคิดว่าตัวนักเขียนยื่นให้ผมเองกับมือก็น่าจะได้มั้ง
ผมขะมักเขม้นพรูฟต้นฉบับของเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ใจหนึ่งคือเต็มที่กับงาน อีกใจคือกลัวเขาขัดใจถ้าผมทำอะไรตกหล่น เพราะเขาเป็นคนที่งานเนี้ยบมาก แบบที่ว่า...แทบไม่มีคำผิดในต้นฉบับเลย
ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจผ่านการพรูฟมาแล้วหลายรอบ แต่ตอนที่เอางานไปส่งเขาที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในเย็นวันจันทร์ ก็ได้รู้ว่านั่นคือต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการพรูฟเลยสักรอบ
โคตรโหด
ผมอาจจะไม่เก่งขนาดรู้ว่าควรปรับรูปประโยคหรือสลับตำแหน่งการวางคำยังไง แต่ที่แน่ๆ คือคำผิดน้อยมาก
“สนุกไหม”
ระหว่างที่ผมแอบขนลุกกับความเนี้ยบในการทำงานของเขา อยู่ๆ เขาก็ถามคำถามนี้กับผมที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกดูต้นฉบับที่ผมพรูฟเสร็จแล้ว
“สนุกสิครับ” ผมตอบพร้อมกับยิ้ม ซึ่งเขามองผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกเหมือนโดนตรวจสอบว่าพูดจริงไหม “อ่า จริงๆ นะครับ ไม่ได้อวยไปอย่างนั้น”
“ฉันต้องการคนมาทดลองอ่านที่ไม่ใช่ บ.ก. น่ะ” แต่เขาดูไม่ได้ซีเรียสอย่างที่ผมคิด “เห็นว่าเป็นเธอก็น่าจะดี”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็เธอไม่ใช่แฟนนิยายฉัน” อัฐตอบผม ขณะที่เคาะปึกต้นฉบับให้เป็นระเบียบแล้วใช้คลิปหนีบ
อ่า... ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านเพราะเดาคนร้ายไม่เคยถูกแค่นั้นเอง
“แล้วเธอก็ไม่ค่อยมีเงิน”
“...”
ผมเถียงประโยคปิดท้ายนั้นไม่ได้เพราะก็เป็นความจริง และเริ่มไม่รู้ว่าเขาใจดีกับผม หรือว่าเวทนากันแน่
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกับเขาได้คุยกันยาวกว่าที่เคย เพราะเขาบอกให้ผมลากเก้าอี้เหล็กสีดำมานั่งข้างๆ แล้วบอกว่ามีส่วนไหนของนิยายที่อ่านแล้วติดขัดบ้าง
ตอนแรกผมก็ไม่กล้าบอกนักเพราะเห็นว่าผมเป็นแค่คนอ่านธรรมดา ไม่ได้มีความรู้อะไรแบบนักเขียน จนเขาคงสังเกตได้เลยย้ำมา
“พูดมาเลย ฉันอยากได้มุมคนอ่านอยู่แล้ว”
นั่นทำให้ผมกล้าขึ้น ชี้บอกจุดที่ผมอ่านแล้วงง ไม่เข้าใจ รวมถึงจุดที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งเวลาผมบอก เขาก็รับฟังดีกว่าที่คิด เงียบฟัง ไม่ขัด ปล่อยให้ผมพูดจนจบ ต่อให้สุดท้ายแล้ว...ผมจะเห็นว่าในเล่มที่ตีพิมพ์ เขาไม่แก้อะไรตามที่ผมบอกเลย
คนหมดความมั่นใจเลยกลายเป็นผมซะเอง
ไอ้บ้าเอ๊ย
บางทีก็อยากยืนด่าเขาให้สาแก่ใจ
แต่ในความเป็นจริง แค่เขาจ้องผมเขม็งก็รู้สึกเกร็งไปหมดแล้ว
เหมือนอย่างตอนที่ผมบอกจุดบกพร่องในงานเขียนของเขาจบทั้งหมด เขาก็ยังจ้องเขม็งอีกหลายวินาทีจนผมกลัวว่าพูดอะไรผิดไป แต่สุดท้ายเขาก็แค่ยกมือขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ ขาไขว่ห้างเป็นเลขสี่ ปล่อยตัวตามสบายเหมือนกับผมสีทองที่ยาวปรกคิ้วแต่ไม่คิดเสย เอ่ยถามขึ้นมา
“เธอได้พากย์อะไรบ้างแล้ว”
“เอ่อ...” ผมอึกอัก ไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่เพราะยังไมได้พากย์สักคำ
“พากย์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
ไม่รู้ว่าเขาเห็นผมไม่ค่อยอยากตอบ หรือแค่ไม่อยากรอฟังเลยตั้งคำถามใหม่
ซึ่ง...ทำเอาผมอยากย้อนกลับไปตอบคำถามเดิมมากกว่า
ให้พากย์ให้เขาฟังเนี่ยนะ
“พากย์อะไรดีล่ะครับ” แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือ “ต้นฉบับคุณดีไหม”
“ไม่เอา ฉันไม่อยากฟังเรื่องที่ตัวเองเขียน”
เขาตอบทันควัน ก่อนเหลือบสายตาลงมองกองหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะคอม แล้วหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผม
‘แมวน้อย 100 หมื่นชาติ’
ครั้งแรกที่ได้อ่านชื่อเรื่อง ผมคิดทันทีว่า ‘นิทานอะไรวะเนี่ย’
“ฉันชอบเรื่องนี้”
แต่พออัฐบอกมาอย่างนั้น ผมก็เก็บความเห็นไว้เพียงในใจ แล้วก้มหน้าอ่านไม่สบตาเขา เพราะกลัวว่าจะเกร็งหากต้องพากย์ไปมองหน้าเขาไป
เรื่องแมวน้อย 100 หมื่นชาติ เป็นเรื่องของแมวที่ดูหยิ่งๆ ตายมาแล้ว 100 หมื่นชาติ แต่ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ผมพากย์เรื่องราวของแมวตัวนี้ไปเรื่อยๆ จนแมวน้อยไปเจอกับแมวตัวเมียสีขาวที่ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ พูดอะไรให้ฟังก็ตอบว่า ‘อ้อ’ เพียงอย่างเดียว
พอพากย์คำว่า ‘อ้อ’ ออกมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าเพื่อดูว่าอัฐยังฟังอยู่ไหม ก็ได้เห็นว่าเขามองผมอยู่ด้วยอิริยาบถเดิม คือเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน เขายังคงไขว่ห้างเลขสี่ เท้าคางกับโต๊ะ ลำตัวจึงเอียงไปทางโต๊ะนิดๆ แต่กลับขับให้เห็นกล้ามเนื้อกำยำชัดขึ้น ส่วนดวงตาสีดำก็มองช้อนขึ้นมาอย่างที่เขาชอบทำ
ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าใจกระตุกที่เห็นว่าเขาจ้องผมอยู่ตลอดด้วยสายตาแบบนั้น และหน้าผมคงกำลังแดงขึ้นมาให้เจ้าของแก้มอับอาย
แล้วก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เสียงเบาของเขาเอ่ยออกมา
“ฉันชอบเสียงเธอ”
“...”
“อ่านต่อสิ”
หยุด
หยุดสั่งออกมาแบบนั้นเลย
แล้วก็…
หยุดหล่อบ้าหล่อบอ
หยุดทีโว้ย
ตอนนั้นถ้านิทานแมวน้อย 100 หมื่นชาติมีบทพูดว่า ‘ว้าก’ ผมคงพากย์อย่างใส่อารมณ์เต็มที่ให้เขาตกใจเล่น สมกับที่ทำผมปั่นป่วนเป็นบ้าเป็นบออยู่ฝ่ายเดียว
สรุปแล้ว ผมไม่แน่ใจหรอกว่าอัฐเป็นคนใจดีหรือเปล่า เพราะเขาเดาใจยาก มีความคลุมเครือสูง ผีเข้าผีออก ขี้รำคาญและเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง
แต่ถ้าถามว่าผมเริ่มชอบเขาเพราะอะไร คำตอบก็คงดูดิบๆ แต่คงไม่มีอะไรจริงไปกว่าเหตุผลนี้อีกแล้ว
เพราะเขาเป็นคนประสาทแดก
แต่ก็หล่อ
*********************
ที่บอกว่าจะอัพ 2-3 วันต่อตอน
เปลี่ยนใจแล้วค่ะ
อัพทุกวันดีกว่า
ถ้าไม่ติดอะไร เจอกันทุกวันนะคะ แต่อย่างไร คอมเม้นติชม
หรือติดแท็ก #อัฐจา ให้หน่อยก็ดีนะคะ ขอบคุณค่า