█ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █  (อ่าน 7497 ครั้ง)

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



************************************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2020 13:04:28 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 1



เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ

ถ้าให้นิยามถึง ‘อัฐ’ ชายหนุ่มวัย 27 ปีที่ผมแชร์บ้านอยู่ด้วยกันแบบงงๆ ก็คงนิยามได้แค่ประโยคข้างต้น

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าผมเปรียบเปรยเขาเป็น ‘แมว’ แล้วเขาจะเป็นชายหนุ่มตัวเล็ก น่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนแมว

อัฐเป็นชายหนุ่มตัวสูง หุ่นสวยแบบที่ผมชอบ คือ ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อชัดแบบลีน ร่องกลางหลังเป็นเส้นสวย ไล่ลงมาก็เอวคอด ไม่ตัน การที่เขาใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวอยู่บ้าน จึงไม่ทำให้อุบาทว์สายตานัก

ส่วนหน้าตา ผมขอเกริ่นถึงรสนิยมส่วนตัวเสียก่อน

ผมคิดว่าคนที่ย้อมผมทองนั้นค่อนข้างจะสะเหล่อ หรือออกแนวแว้น สก๊อย ที่แต่งตัวไม่เข้ากับรูปลักษณ์ตัวเอง

สรุปง่ายๆ คนที่ย้อมผมทองสำหรับผมนั้น ไม่ได้หล่อหรือมีเสน่ห์เลย

แต่อัฐย้อมผมทอง

เขาตัดผมทรงอันเดอร์คัท ไถข้างเบอร์ 1 ย้อมผมทองด้านบน ตัดกับคิ้วเข้มสีดำบนใบหน้า ยิ่งเวลาผ่านและผมด้านข้างเริ่มขึ้นจนยาวระดับเบอร์ 3 เห็นเป็นสีดำชัด ประกอบกับการที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนจึงไม่ค่อยเซ็ตผม ปล่อยผมด้านหน้าปรกลงเป็นหน้าม้าไล้เลียคิ้วเข้มสีดำ ดูเป็นสีที่ตัดกันอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วผมคงด่าออกไปว่า ‘ไอ้แว้นเอ๊ย’ แต่พอมองหน้าเขาแล้วก็ด่าไม่ลง

อัฐเป็นคนที่ย้อมผมทองแล้วเสือกหล่อ

หล่อจนงง จะว่ายังงั้นก็ได้

ดวงหน้ารูปไข่สวย ขณะเดียวกันก็เห็นสันกรามชัด จมูกเป็นสัน ปากกระจับ ตาสองชั้นที่แววตายากจะเดาว่าคิดอะไรอยู่ ทุกอย่างถูกจับวางอย่างได้ตำแหน่งบนพื้นผิวขาวเหลืองที่สุขภาพดีจากการออกกำลังกายทุกวัน

ผมคงสามารถย้ำได้อีกรอบว่า แม่งหล่อจนงง

แต่ถ้าจะให้พูดถึงนิสัย...ก็อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นนั่นแหละ

เขาเหมือนแมว และเป็นแมวที่เอาแต่ใจ

ถ้าคนเลี้ยงแมวมักมีรอยแผลเพราะโดนข่วน คำพูดและการกระทำของเขาก็เปรียบเหมือนกรงเล็บ ส่วนใจบางๆ ของผมก็โดนข่วนเป็นประจำ

ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น รบกวนให้นั่งลงสบายๆ ชงชาหรือกาแฟสักแก้วไว้จิบเพลินๆ ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง


************************************************


สวัสดีค่ะ แยมส้มขมคอเองค่ะ
ถ้าใครยังจำกันได้ กลับมาแล้วค่ะ
ไม่ต้องห่วงว่าจะแต่งไม่จบ แต่งทิ้งแต่งขว้างอีกนะคะ (แหะๆ)
เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ
โดยแยมจะทยอยลง อาจจะสัก 2-3 วันต่อตอน
แต่ละตอนอาจสั้นบางยาวบ้างสลับกันไป
วันแรกจะลงไว้ทั้งหมด 4 ตอนนะคะ

อีกข้อที่อยากแจ้งคือ ตัวละครชื่ออัฐ แยมได้แรงบันดาลใจมาจาก มิยะ อัตสึมุ ตัวละครจากการ์ตูนเรื่องไฮคิว
ซึ่งรับรองว่าอ่านไปเรื่อยๆ จะพบว่าอัฐก็คืออัฐ ไม่ซ้อนทับกับคาแรคเตอร์ของใครแน่นอนค่ะ
ถ้าชื่นชอบ คอมเม้นติชมกันสักเล็กน้อย หรือติดแท็ก #อัฐจา ในทวิตได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ


ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 2



ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมแนะนำตัวเองไปทั้งที่ถ้าจะเล่าเรื่องของอัฐ ผมก็ต้องเล่าเรื่องของตัวเองด้วย

ผมชื่อ ‘จา’ จาก ‘จามีกร’ ที่แปลว่าทอง หรือเครื่องทอง

ที่บอกความหมายของชื่อตัวเองเพราะผมเห็นว่ามันเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตลกร้ายอย่างบอกไม่ถูก ในเมื่อชื่อของผมแปลว่าทอง ส่วนชื่อของอัฐก็แปลว่าเงิน

ดูเข้าคู่กัน ราวโชคชะตาดลให้มาพบ

แต่ไม่หรอก ผมคิดว่าผมโดนคนบนฟ้ากลั่นแกล้งมากกว่า

เราพบกันครั้งแรกที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเกริ่นมาแบบนี้คงคิดว่าผมอาจจะทำงานที่นี่ หรือไม่เขาก็อาจจะเป็นดาราหากอิงจากความหน้าตาดีที่ผมเล่าไป แต่เปล่าเลย เราทั้งคู่ไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง

เพราะอัฐเป็นนักเขียนนิยาย

แถมเป็นนักเขียนชื่อดังที่ยอดขายทะลุ 1 ล้านเล่มในเวลาไม่กี่เดือน เรียกได้ว่าแมสอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่อยู่ในยุคที่นิยายสามารถเผยแพร่ได้หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์ออนไลน์และอีบุ้ก จึงไม่แปลกที่เขาจะดังเป็นพลุแตกเมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้

การที่เขามาที่สถานีโทรทัศน์ ก็เพื่อมาสัมภาษณ์ออกรายการที่เชิญคนรุ่นใหม่ผู้มีประวัติน่าสนใจนั่นเอง

ส่วนผมน่ะเหรอ?

ผมมาฝึกงานเป็นนักพายก์หลังจากเพิ่งเรียนจบ

แต่อย่าเพิ่งคิดว่า ‘ฝึกงาน’ ของผมคือได้เริ่มฝึกพากย์จริงบ้างแล้ว ไม่เลย

ทุกวันที่ผมมาฝึกงานคือการที่ผมมานั่งฟังนักพากย์รุ่นพี่ทำงาน เขาบอกว่าการทำอย่างนี้จะช่วยให้จับเทคนิคได้ก่อนพากย์จริง ซึ่งผมก็ทำมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่ไมได้เข้าห้องพากย์เลยด้วยซ้ำ

ที่แย่คือ ผมไม่ได้เงินจากการมาฝึกงานเลย

แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะผมสมัครใจมาเอง

ผมพอจะรู้อยู่แล้วว่าการจะได้เป็นนักพากย์ต้องอดทน แต่ผมไม่รู้เลยว่าต้องอดทนขนาดนี้ ขนาดเงินค่าเดินทางก็ไม่ได้ จนเงินเก็บที่ผมมีอยู่ก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที

แล้วในวันที่ผมทะเลาะกับที่บ้าน ทั้งเรื่องไม่มีเงินจ่ายค่าหอ เรื่องไม่ยอมล้มเลิกความฝันเป็นนักพากย์แล้วหางานอื่นทำ ผมก็ได้พบกับอัฐ

จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นผมยืนอยู่หน้ากำแพงกระจกของชั้น 20 ที่เป็นบริเวณที่นั่งเล่นข้างลิฟต์ มองออกไปเห็นวิวเมืองยามเย็น ท้องฟ้าเป็นสีส้ม ทำให้แสงสีเดียวกันสาดผ่านกระจกใสคลุมเคลือบภายในอาคารให้ดูอบอุ่นละมุนตา

ทั้งที่บรรยากาศโรแมนติกขนาดนั้น แต่ผมตาแดงจมูกแดงหลังวางสายจากแม่ที่เพิ่งทะเลาะกัน

ผมเห็นตาตัวเองสะท้อนจากเงากระจกใสแล้วก็รู้สึกว่าดูไม่จืด ยิ่งดวงตาเป็นตาชั้นเดียว พอตาแดงจมูกแดงก็ยิ่งดูกากเข้าไปอีก

แต่ระหว่างที่ผมกำลังมองหน้าตัวเองผ่านเงาของกระจกใส ผมก็สังเกตได้ว่ามีคนมายืนข้างหลังผม แถมสะดุดตาสุดๆ ด้วยผมสีทองบนหัวของเขา

ตอนแรกผมคิดว่าเขาแค่มายืนมองวิว ผมจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อมองหน้าเขาในกระจกแล้วพบว่าเราสบตากันในนั้น ผมจึงเริ่มเอะใจแล้วหันกลับไปมอง

ทันทีที่สบตากับตัวจริง ผมรู้สึกว่าเขามีออร่าเปล่งประกายออกมาในแว้บแรก

เปล่า ไม่ใช่เพราะเขาหล่อมาก แต่เพราะผมสีทองของเขาจับแสงแดดจนเป็นประกายต่างหาก

นั่นน่าจะเป็นภาพจำแรกที่ผมมีต่อเขา

เหตุการณ์ลำดับถัดมา คือเขามองผมโดยไม่พูดอะไร ดวงตาสีดำจ้องมองผมเหมือนมองลงมาจากเบื้องบน เป็นสายตาที่ดูเหยียดหยิ่ง แต่ผมก็คิดว่าอาจเพราะเขาสูงกว่าผมเลยดูเป็นแบบนั้น

จนเมื่อเขามองนิ่ง ไม่พูดอะไรนานเกินห้วงความไม่อึดอัด ผมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ทันทีที่ถาม เหมือนองศาของหน้าจะก้มลงมาเล็กน้อย และดวงตาของเขาเหมือนช้อนมองจากเบื้องล่างทั้งที่เขาสูงกว่า เป็นแววตาที่ทำเอารู้สึกเหมือนถูกเชยคางจนทำเอาจั๊กจี้ในใจบอกไม่ถูก

“เธอ...กำลังลำบากเรื่องที่อยู่ใช่ไหม?”

ผมสะดุดเล็กน้อยที่เขาเรียกผมว่า ‘เธอ’ ทั้งที่เขาก็ดูแก่กว่าผมไม่กี่ปี และหน้าตากับการแต่งตัวของผมก็ดูเป็นผู้ชายปกติด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขาเต่อทรงกระบอก กับรองเท้าหนังสลิปออนสุดหล่อ

แต่เอาจริง เรื่องที่ผมสงสัยคือคำถามของเขาต่างหาก ผมจึงถามกลับไป

“อ่า ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”

ผมน่าจะถามเขาด้วยว่าแอบฟังผมคุยโทรศัพท์เหรอ แต่ก็คิดว่าเงียบไว้ดีกว่า

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ลังเลหรือไม่มั่นใจอะไร ต่อให้เสียงดูเบา แต่ก็เหมือนเบาเป็นปกติ เขาเหมือนแค่คิดคำพูดอยู่มากกว่า ขณะที่ดวงตาอ่านยากของเขาก็ยังดูเหมือนเชยคางผมอยู่

จนสุดท้าย เขาก็เอ่ยออกมา และเป็นคำที่ไม่คาดคิดอย่างที่สุด สำหรับคนแปลกหน้าสองคนที่เพิ่งเจอกัน

“มาอยู่บ้านกับฉันไหม?”

“...”

วินาทีนั้นเองที่ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นโจรลักพาตัวเด็ก ต่อให้หน้าจะหล่อแค่ไหนก็ตาม



**

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 3



แน่นอน ผมปฏิเสธคำชวนไปอยู่บ้านเดียวกันกับเขา

ปฏิเสธแบบไม่คิดจะถามด้วยว่าทำไม

“ไม่ล่ะครับ”

แล้วพอผมปฏิเสธไปแบบนั้น เขาก็ตอบแค่ว่า...

“งั้นเหรอ”

อย่างไม่คิดจะอธิบายเหตุผลอะไรเช่นกัน

หนำซ้ำยังทิ้งท้ายว่า “น่าเสียดาย” ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอีกด้วย

แต่ถึงผมจะบรรยายว่า ‘เดินจากไป’ เขาก็แค่ไปยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์ กดปุ่มแล้วรอด้วยท่าทีปกติ ดูสบายๆ เข้ากับการแต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนยาวลายขวาง จ็อกเกอร์แพนท์สีเขียวขี้ม้าและรองเท้าสนีกเกอร์สีขาว เขาดูไม่ได้เสียหน้า ไม่ได้อับอาย ไม่ได้เก๊ก ไม่ได้อะไรเลย ราวกับว่าเขาเพิ่งมาถามทาง แล้วผมก็ตอบว่าไม่รู้ แค่นั้นเลย

นั่นคือการเจอกันครั้งแรกของผมกับอัฐ

ในตอนนั้นผมคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ถึงแม้แน่ใจมากว่าถ้าเจอเขาอีก ผมต้องจำเขาได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม โชคชะตาก็ชอบเล่นตลก

ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ตอนที่ผมกำลังเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ย้ายออกจากหอที่ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าเดือนถัดไป และถอดใจกับการฝึกงานที่ไม่เคยได้พากย์เลยสักคำ แม่ก็โทรมาบอกผมว่าลูกชายของคนรู้จักแม่อยากได้เฮาส์เมท โดยคิดแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น

ตอนรับสาย สิ่งที่ผมสงสัยไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่าย แต่เป็นการเปลี่ยนใจของแม่ที่เคยทะเลาะกันแทบตายกับความฝันอยากเป็นนักพากย์ของผม และคำตอบก็ทำเอาผมรู้สึกแสบตาแสบจมูกจนมันน่าจะขึ้นสีแดงอีกครั้งทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้

แม่บอกผมว่า ไหนๆ ก็เพิ่งจบใหม่ จะรอดูอีกสักปี

ผมได้ฟังก็ขอบคุณแม่ยกใหญ่ แล้วรีบถามว่าบ้านลูกชายคนรู้จักที่แม่ว่าน่ะ ที่ไหน

“แกจะย้ายออกจากหอพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ก็ไปบ้านเขาพรุ่งนี้เลยสิ”

แม่ตอบไม่ตรงคำถาม ผมได้แต่ความปุบปับเป็นคำตอบ ก่อนที่แม่จะส่งรายละเอียดที่อยู่ให้ในไลน์ เวลาที่แม่นัดให้ไปเจอ พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของบ้าน โดยไม่ได้บอกด้วยว่าเขาชื่ออะไร

ผมไม่ได้กังขาอะไรกับข้อมูลที่แหว่งวิ่น รู้แค่ว่าแม่คงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงนั่งแพ็คของใส่ลังกระดาษต่อ เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็นั่งอยู่หน้ารถกระบะ ไถฟี้ดเฟซบุ้กอย่างสบายใจ โดยด้านหลังมีข้าวของจากหอที่อยู่มาตลอดสี่ปี

ถ้าต้องจ่ายแค่ค่าน้ำค่าไฟ ผมยังคงมีเงินพอเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายอยากให้ผมจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

แน่นอน ผมแอบคิดว่าเพราะใช้น้ำไฟแพงยิ่งกว่าค่าเช่าบ้านหรือเปล่า จึงคิดว่าต้องพูดคุยให้เรียบร้อยก่อนเข้าอยู่ ซึ่งมันก็ไม่น่าใช่เรื่องชวนซีเรียสอะไร ตอนนั้นผมรู้แค่ว่าจะมีที่ซุกหัวนอนที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่ฝึกงานของผมก็เป็นใช้ได้

ระหว่างที่ผมดูนู่นดูนี่ไปปกติ ผมก็ไปสะดุดกับคลิปรายการของช่องโทรทัศน์ที่ผมฝึกงานอยู่ โดยปกติแล้วผมคงไม่สนใจอะไรมาก ถ้าคนที่รายการเชิญมาไม่ใช่ชายหนุ่มหัวทอง...คนเดียวกันกับที่ชวนผมไปอยู่บ้านด้วยกันน่ะนะ

ตอนที่ได้เห็น ผมร้องเฮ้ยออกมาจนพี่คนขับตกใจ ดีที่เขายังไม่ถึงกับเหยียบเบรก ผมรีบขอโทษเขา ก่อนจะหันกลับมาเสียบหูฟัง กดคลิปรายการดู ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ว่าเขาคือ ‘อัฐ’ เจ้าของนิยายแนวไซไฟแฟนตาซีผสมสืบสวนสอบสวนที่ยอดขายถล่มทลาย ซึ่งนั่นก็เป็นการเปิดเผยหน้าตัวเองของเขาครั้งแรกด้วย

ในคลิปสัมภาษณ์ อัฐพูดเสียงเบาไม่ต่างจากที่ผมเคยคุย ราวกับเป็นบุคลิกของเขาอยู่แล้ว และอาจจะน่ารำคาญพิลึกเพราะเหมือนบังคับให้คนฟังเขยิบเข้าไปใกล้ ส่วนแววตา...ตอนพูดคุยในรายการ หมอนี่ก็มีแววตาปกติไม่ได้ทำแววตาชวนจั๊กจี้แบบที่ผมเจอ

อีกเรื่องที่ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นคือเขาแก่กว่าผม 5 ปี ซึ่งก็ไม่ได้คลายความสงสัยว่าทำไมถึงใช้สรรพนามเรียกผมว่า ‘เธอ’

มีคำถามเกี่ยวกับเขาเกิดขึ้นมากมายระหว่างดูคลิป แซมสลับกับรับรู้ข้อมูลที่บอกว่าอัฐเป็นคนประมาณไหน เขาดูเป็นคนที่...ผมไม่แน่ใจว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองสูง หรือเขาไม่ค่อยแคร์อะไรก็ไม่รู้ได้ จึงดูไม่ประหม่า ดูนิ่ง เหมือนแค่มาฟังว่าพิธีกรจะถามอะไร แล้วเขาก็ตอบ เพียงแต่เวลาตอบ อาจจะดูขัดๆ กับความเป็นนักเขียนดังสักหน่อย หรือนักเขียนเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่รู้

‘จะว่ายังไงดีล่ะ’

คำนี้คือคำพูดติดปากของเขา เหมือนต้องใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดออกมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจ คล้ายว่าเขามีความคิดมากมายอยู่ในหัวเสียมากกว่า

“หลังไหนน้อง”

พี่คนขับถามขึ้นมาในตอนที่เลี้ยวเข้าซอยที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว ผมจึงเงยหน้าจากมือถือ พบว่าในหมู่บ้านมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ดูร่มรื่น อีกทั้งหมู่บ้านนี้ไม่ใช่หมู่บ้านจากโครงการใหม่ ดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งใน ‘หมู่บ้านคนแก่’ เพราะเจ้าของบ้านคงซื้อไว้ตั้งแต่สมัยสร้างตัว แน่นอนว่าโครงสร้างบ้านก็มักใช้วัสดุที่แข็งแรงกว่าบ้านปัจจุบัน ซึ่งผมชอบโครงสร้างรวมถึงแบบบ้านเก่า รวมถึงบรรยากาศที่มักเงียบสงบเพราะมีแต่คนแก่มากกว่าหนุ่มสาว...อันนี้ผมเหมาเอาเองล่ะนะ

แล้วตอนที่รู้ตัวว่ามัวแต่เหม่อมองจนลืมตอบพี่คนขับ ก็เป็นตอนที่ผมมองเห็นรั้วบ้านหลังหนึ่งถูกปกคลุมด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีชมพู ที่เป็นชมพูแป๊ดจนน่าจะเรียกว่าสีบานเย็นมากกว่า

“เอ่อ น่าจะหลังนั้นนะพี่ ขอขับไปดูใกล้ๆ หน่อยครับ”

ผมบอกพี่คนขับ เพราะจำที่แม่บอกได้ว่าดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูคือจุดสังเกต และเมื่อพบว่าบ้านเลขที่ตรงกัน รถกระบะจึงได้ฤกษ์จอดหน้าบ้าน ส่วนผมก็รีบโทรเข้าเบอร์เจ้าของบ้านที่แม่ให้ไว้ทันทีเพื่อที่จะพบว่าอีกฝ่ายไม่รับสาย

ความจริงช่วงก่อนออกจากบ้านผมลองโทรหาเขาแล้วหนึ่งรอบเพื่อบอกว่าผมกำลังจะเดินทาง เขาไม่รับเช่นกัน แต่ผมเห็นว่ามีเวลาที่นัดไว้อยู่แล้วจึงน่าจะไม่เป็นไร ที่ไหนได้...โทรไปอีกหลายรอบก็ไม่รับ

ตอนนั้นผมไม่ได้กังวลอะไรมากไปกว่าจะทำให้พี่คนขับรถกระบะเสียเวลาต้องมารอไปกับผม ผมกดกริ่งหน้าบ้านหลายรอบก็ไม่มีคนออกมา ไม่มีวี่แววคนด้วยซ้ำ ซึ่งตอนแรกๆ พี่คนขับก็ยังใจเย็น นั่งเล่นมือถือไป แต่พอผ่านไปได้สักครึ่งชั่วโมงเหมือนแกเริ่มอารมณ์เสียเพราะมีงานต่อ เลยเดินมากดกริ่งหน้าบ้านรัวๆ จนผมต้องบอกว่าพี่ครับ ใจเย็นก่อน แต่พี่แกก็ไม่เย็น ร้อนสู้กับอากาศในช่วงสาย กดกริ่งไปอีกหลายรอบจนกระทั่งเห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตตรงประตูบ้าน พี่แกจึงยอมหยุด โดยไม่วายพึมพำว่ากว่าจะออกมาได้

หลังจากมีการเปิดประตูไม้ด้านใน ตามด้วยเลื่อนเปิดประตูเหล็กดัด เจ้าของบ้านก็โผล่หน้าออกมา ในแว้บแรกที่ผมมองผ่านรั้วบ้านสีขาวก็ยังเห็นไม่ชัดว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง จนกระทั่งเขาค่อยๆ เดินมาทั้งเสื้อยืด กางเกงบ๊อกเซอร์ และผมสีทองที่ยุ่งเหยิงแบบเพิ่งตื่น ก็ทำเอาผมเบิกตากว้าง...กว้างเท่าที่ตาชั้นเดียวของผมจะทำได้

ใช่ครับ นั่นคือวินาทีแรกที่ผมรู้ว่าเจ้าของบ้านคืออัฐ

เขาเดินมาที่ประตูรั้วบ้านด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แววตาหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทำเอาผมรู้สึกซีด เดาไม่ถูกว่าเขาจะด่าไหม แล้วพอเห็นว่าเขาไม่ได้ด่าอะไร ทำเพียงเปิดประตูรั้วให้รถกระบะขับเขามา ผมก็โล่งใจ ก่อนจะมานึกได้ในภายหลังว่า คนที่สมควรโดนด่าคือเขาที่ทำคนอื่นเดือดร้อนเพราะตื่นสายต่างหาก

แล้วหลังจากรถกระบะขับเข้าไป เขาก็หันมามองทางผม...ที่ผมก็ไม่รู้ว่ายังไง เขารู้อยู่แล้วไหมว่าเป็นผมที่จะมาแชร์บ้านด้วย หรือไม่รู้ คำถามเกิดขึ้นในใจผมเต็มไปหมด สบตากับชายหนุ่มผมทองที่มีดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูเป็นฉากหลัง แล้วคำแรกที่เขาพูดกับผมก็คือ

“เข้าบ้านสิ ยืนทำไมตรงนี้”

ว่าจบก็เดินเข้าบ้านไป ไม่ได้ช่วยให้ผมคลายสงสัย แต่ช่วยให้ผมรู้ตัวว่าเออ จะยืนงงตรงนี้ทำไมอย่างที่เขาว่า

ผมรีบเดินตามอัฐเข้าไป ซึ่งเขาก็ช่วยยกข้าวของลงจากรถโดยไม่ได้ถามอะไรผม ไม่ถามชื่อแซ่ด้วยซ้ำ ทำเอาผมมีความสงสัยเพิ่มอย่างหนึ่ง

หรือที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ อาจจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำหรือเปล่าหว่า...

“เอ่อ...ผมชื่อจานะครับ”

อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำตัวไประหว่างที่ยกลังกระดาษลงมาวางตรงพื้นกระเบื้องหน้าประตูเหล็กดัด ซึ่งเขาที่กำลังนั่งยองจัดของอยู่ก็เหลือบสายตามองขึ้นมามองผม แน่นอน ด้วยแววตาเหมือนกำลังเชยคางเราอยู่ แบบเดียวกับที่ผมเจอวันนั้น

แล้ว...เขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ ไม่แม้แต่แนะนำตัว ยืดตัวขึ้นยืนแล้วหยิบกล่องชิ้นต่อไปลงมาเหมือนเห็นผมเป็นอากาศธาตุ...

นี่ใช่คนคนเดียวกันกับที่ชวนผมมาอยู่บ้านเดียวกันทั้งที่เพิ่งเจอหน้าหรือเปล่าเนี่ย

คำถามนั้นผุดในใจ ก่อนที่ผมจะมารู้ทีหลังจากปากเขาเอง ว่าถ้าเขากำลังหงุดหงิด หรือง่วงอยู่ ถ้าไม่อยากพูดอะไร เขาก็ไม่พูด

นั่นคือความเอาแต่ใจแรกๆ ของเขาที่ผมรู้

ถึงอย่างนั้นอัฐก็ช่วยผมขนของอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเมื่อช่วยกันสามคน ผม พี่คนขับรถ อัฐ เพื่อยกตู้เย็นลงมาเสร็จสิ้น อัฐก็หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นเขาเองมาแจกจ่ายเราสามคน ก่อนที่คนขับจะขอตัวไปทำงานต่อเมื่อเสร็จงาน

เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ผมจึงตัดสินใจคุยกับอัฐในระหว่างที่เขายกขวดน้ำขึ้นดื่ม

“พี่จำผมได้หรือเปล่าครับ” ผมเลือกใช้สรรพนาม ‘พี่’ เพื่อให้เข้ากับอายุและดูใกล้ชิดขึ้นเพราะไหนๆ ก็ต้องอยู่บ้านเดียวกัน “เราเคยเจอกันเมื่อราวๆ สัปดาห์ก่อน ที่ช่อง XX น่ะครับ พี่เข้ามาถามผมว่าจะมาอยู่บ้านนี้ไหมน่ะครับ”

อัฐหันมามองผม พลางหมุนฝาปิดขวดน้ำในมือ นัยน์ตาสีดำตัดกับสีผมของเขาจ้องมองมาปกติ ไม่มองเหยียดหยิ่งจากด้านบน ไม่มองเหมือนช้อนคางผมอยู่ แต่ถึงอย่างไร ผมก็เดาเขาไม่ออก

“เดาเอาเอง”

และยิ่งเดาไม่ออกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเขาตอบมาแบบนั้น

อะไรของเขาวะ...คือคำถามที่เกิดในใจผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ พยายามชวนคุยเรื่องอื่นต่อเพื่อให้ได้รู้ข้อมูลมากที่สุด

“แล้วเจ้าของบ้านคิดค่าเช่าเท่าไหร่ครับ” ผมถามเรื่องคาใจที่สุดเป็นเรื่องแรก ซึ่งอัฐก็เหมือนหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

“คิดค่าเช่าอะไร ก็บอกแล้วว่าแค่ค่าน้ำค่าไฟ”

“ไม่ๆ ผมอยากรู้น่ะครับ จะได้แฟร์ๆ เผื่อเดือนไหนพี่ใช้น้ำไฟน้อย ไม่เท่ากับว่าผมเอาเปรียบเหรอ”

คราวนี้เขาหยุดคิดไปนานกว่าเดิม ก่อนจะตอบสิ่งที่ทำให้ตาตี่ๆ ของผมเบิกกว้างขึ้นมาอีกรอบ

“ฉันนี่แหละเจ้าของบ้าน”

ดูเหมือนเขาสังเกตได้ว่าผมมีคำถาม เขาจึงอธิบายเพิ่ม

“ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แค่อยากให้มีคนมาอยู่ในบ้าน ที่ไม่ใช่แม่บ้าน”

“อ่า...เหรอครับ”

ผมตอบรับ แม้จะยังไม่เข้าใจนัก พลันเขาก็ขยายให้ชัดเจน

“จะว่าเหงาก็ได้”

สิ่งที่ได้ฟัง ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าจะเหยียบยืนความรู้สึกฝั่งไหนดี ระหว่าง...ไม่คาดคิด กับไม่แปลกใจเท่าไหร่

“พี่ขี้เหงาเหรอ” ผมชวนคุย เพราะคิดว่าเขาบอกจุดอ่อนตัวเองออกมาแล้ว น่าจะคุยกันได้แล้วมั้ง

“เรียกพี่อยู่ได้ ฉันไม่ใช่พี่เธอ”

แล้วคำสวนกลับของเขาก็ทำให้พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิด...

“เอ่อ...งั้นแล้วทำไมพี่...เอ่อ... คุณอัฐเรียกผมว่า ‘เธอ’ ล่ะครับ ผมเป็นผู้ชายมันก็ฟังแปลกๆ”

“จะว่ายังไงดีล่ะ” ในที่สุด คำติดปากคำนี้ก็ออกมาจากปากเขา ผมสังเกตได้อีกอย่างว่า ถึงเขาจะอยู่ในห้วงคิดกลั่นกรอง สายตาของเขาก็ไม่ได้ล่อกแล่กหรือเบนไปทางอื่น เหตุนี้ละมั้งถึงรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้โลเล หรือขาดความมั่นใจในการพูด

“ติดจากที่เรียกน้องสาวมั้ง”

“แต่ผมไม่ใช่น้องคุณอัฐนะครับ”

คำเฉลยของเขาทำให้ผมย้อนทันควัน ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่า...เขาอาจคิดว่าผมกวนตีนที่ย้อน เพราะเขาเงียบไป ไม่ตอบอะไร ผมรู้สึกยะเยือกทั้งที่อากาศช่วงสายแดดจ้าร้อนอบอ้าว แล้วเขาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น แล้วช้อนตาขึ้นมา เป็นแววตาที่จะมองกี่ทีก็รู้สึกเหมือนถูกเชยคางอยู่

“งั้นจะเรียกว่ายัยหมวยแล้วกัน”

แถมประโยคถัดมาที่ได้ฟัง ก็ทำให้รู้สึกเหมือนถูกเชยคางอยู่จริงๆ

ยัย...ยัยอะไรนะ?

“ไม่เรียกแบบนั้น—”

“ฉันขออาบน้ำก่อน แล้วจะมาบอกให้ฟังว่าอยากให้เธอทำตัวยังไงตอนอยู่บ้านนี้”

แต่เขาก็ไม่ฟังผม พูดเสร็จเดินเข้าตัวบ้านไป ทิ้งผมให้เคลียร์ข้าวของหน้าบ้านเพียงลำพัง แถมประโยคสุดท้ายที่เขาพูดก็ฟังดูเป็นเจ้านายกำกับดูแลลูกน้องยังไงไม่รู้

ซึ่งนั่น...ก็เป็นแค่ปฐมบทความเอาแต่ใจของแมวหัวทองตัวนี้เท่านั้น


**

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 4



ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้าไปในตัวบ้านของอัฐ สิ่งแรกที่คิดคือคำว่า ‘สวย’

ถ้ามองจากด้านนอกก็คงดูเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาๆ แถมประตูหน้าต่างก็เป็นแค่บานเหล็กดัดที่มีกรอบโค้งด้านบน แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้วเหมือนคนละโลก

บริเวณส่วนหน้าของบ้านนั้นโปร่งมากเพราะไม่มีเพดานเหนือหัว ไม่มีฝ้า แต่เป็นหลังคา ความสูงรวมชั้น 2 น่าจะสัก 8 เมตร มองขึ้นไปมีชั้นลอยยื่นออกมา ราวกั้นตกเป็นระเบียงเหล็กสีดำเชื่อมต่อมาตั้งแต่บันไดเหล็กไปจนถึงทางเดินเชื่อมไปยังห้องของชั้น 2 ทั้ง 3 ห้องที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของชั้นลอย

ส่วนสไตล์การตกแต่งอาจพูดได้ว่าครึ่งๆ กลางๆ แต่ผมว่าก็สวยแบบแปลกๆ ดี เริ่มจากพื้นปูนเปลือยขัดมัน ไล่ขึ้นมาที่เฟอร์นิเจอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นไม้ สลับกับโต๊ะหรือเก้าอี้โครงเหล็กสีดำ เครื่องหนังสีดำอย่างโซฟา รอบข้างเป็นกำแพงอิฐแดง แต่บางฝั่งก็เป็นปูนเปลือยขัดมันเหมือนพื้น ออกแนวลอฟต์ที่มีความดิบนิดๆ ขณะที่ถ้าเดินขึ้นชั้นสอง พื้นกลับเป็นพื้นไม้สีเข้ม กำแพงทุกฝั่งเป็นสีขาวโล่ง ราวกับถูกทอดทิ้งไม่ตกแต่ง มีเพียงโคมไฟสีดำหลายดวงที่ห้อยยาวลงมาจากหลังคา ไล่ระดับสูงต่ำต่างกัน ทำให้ชั้นนี้ดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง

ที่ผมรับรู้ความสวยงามทั้งหมดได้ในครั้งแรก แน่นอนว่าอัฐไม่ได้พาดูบ้านเลยสักนิด เป็นผมที่เดินสำรวจด้วยตัวเองล้วนๆ

อ้อ แล้วจุดเด่นอีกอย่างของบ้านนี้ที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่ได้รวมอยู่ในการตกแต่งก็คือหนังสือ

ทั้งหนังสือที่เก็บเป็นระเบียบในตู้ที่มีประตูปิดเป็นบานกระจกใสกันฝุ่น ทั้งหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ บนโซฟา และที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนพื้น ดูเป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านนี้ สมกับที่เจ้าของบ้านเป็นนักเขียนชื่อดังล่ะนะ

เขาคงอ่านมาแล้วนับไม่ถ้วนกว่าจะประสบความสำเร็จได้

ระหว่างที่นึกชื่นชมและถือวิสาสะหยิบหนังสือเล่มที่เหมือนหล่นจากกองสุมบนพื้นขึ้นมาพลิกดู ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง

“เก็บเข้าที่เดิมด้วย”

ผมที่นั่งยองอยู่กับพื้น หันไปมองก็พบว่าอัฐยืนมองผมอยู่ แววตาที่เขาทอดมองลงมาทำเอายะเยือกนิดๆ จนผมรีบรับปาก

“ครับ เดี๋ยวผมเอาไปเก็บในตู้ให้”

ไม่รู้ทำไมว่าตอนนั้นผมต้องลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นยืนพร้อมกับหาชั้นหนังสือที่พอมีที่ว่าง อาจเพราะสายตาที่เย็นชาของเขานั่นแหละ แล้วพอผมตัดสินใจได้ว่าจะเก็บในตู้กระจกก็รีบเดินไป แต่ถูกเสียงของอัฐรั้งไว้

“กลับมาที่เดิม”

ทั้งที่เสียงของเขาก็เบาตามบุคลิก แต่เหมือนมันสะกัดฝีเท้าผมได้ชะงัก และหมุนผมหันหลัง เดินกลับมาที่เดิมดังเขาว่า

“หยิบขึ้นมาจากตรงไหน วางลงไปตรงนั้น”

“แต่เล่มนี้มันหล่นมาอยู่ที่พื้น...”

“วางกลับลงไป”

เขาพูดย้ำโดยไม่สนใจฟังคำชี้แจง ประกอบกับดวงตาที่จ้องเขม็งทำให้ผมวางมันลงที่เดิมตามความต้องการของเขาโดยไม่คิดเถียงอะไรอีก

“ต่อไปนี้ ไม่ว่าเห็นหนังสือของฉันวางอยู่ตรงไหน อย่าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด” เขาเอ่ยปากเมื่อผมเก็บมันเรียบร้อย “เพราะถ้าฉันหามันไม่เจอจะหงุดหงิดมาก”

แน่นอนว่าคำอธิบายนั้นทำเอาผมไม่เฉียดใกล้หนังสือของอัฐอีกเลย

นั่นนับเป็นกฏข้อแรกในการอยู่ร่วมบ้านกับเขา ดูเป็นอะไรที่เข้าใจได้เพราะบางคนก็รักหนังสือจนไม่อยากให้คนอื่นยุ่ง หรือไม่ก็เป็นคนประเภทที่จะหาของไม่เจอถ้าของถูกย้ายที่ ซึ่งผมว่าอัฐเป็นแค่ข้อหลัง จากคำยืนยันของเขาเองประกอบกับสภาพหนังสือที่เขาดูไม่ค่อยถนอมเท่าไหร่

หลังจากที่ตกลงกันว่าผมจะไม่ไปยุ่งกับหนังสือของเขาเด็ดขาด อัฐก็เป็นคนเอ่ยปากว่าให้ช่วยกันยกตู้เย็นของผมไปตั้งในครัว ซึ่งเมื่อพากันทำตามที่ว่าได้เสร็จสิ้น ก็ทำให้ผมเห็นว่าครัวของเขาแม้ไม่ได้ใหญ่มากแต่เครื่องไม้เครื่องมือในการทำครัวครบครัน แถมตู้เย็นที่เขามีก็เป็นตู้เย็น 4 ประตู...ทำเอาตู้เย็นประตูเดียวของผมดูเป็นของแถมหรือไม่ก็จับฉลากได้ไปเลย

“เธอจะหยิบของในตู้เย็นฉันไปกินก็ได้นะ”

แล้วเหมือนอัฐจะรู้สิ่งที่ผมคิดจึงพูดแบบนั้น

“ยกเว้นช็อกโกแล็ต”

พร้อมเหน็บกฎเล็กๆ มาด้วย...

“ส่วนการใช้ครัว ไม่ว่าจะทำกับข้าวหรือกินอะไร เสร็จแล้วก็ล้างเลย อย่าปล่อยข้ามมื้อ” เขาพูดเงื่อนไขอีกข้อด้วยเสียงเบาตามบุคลิก “หลักๆ ก็มีแค่นี้แหละ”

ประโยคปิดท้ายเป็นประโยคที่ผมจำได้ดี และคิดว่าถ้ากฏหรือเงื่อนไขในการอยู่ร่วมบ้านมีแค่นี้ ผมคงทำตามได้ไม่ขาดตกบกพร่องเพราะไม่ยากเลย และการอยู่ร่วมกันคงไม่มีปัญหาอะไร

แต่ผมคิดผิด

อันที่จริงผมก็น่าจะเดาได้แต่แรกว่าอัฐไม่ใช่คนเรียบง่าย

เขามักจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อยที่คนอื่นมองข้าม

เรื่องแรก...

“เธอใช้ครัวเสร็จแล้วก็เก็บของให้เป็นระเบียบด้วย จะว่ายังไงดีล่ะ...เก็บเข้าที่เดิมน่ะ”

อัฐถึงกับมาเคาะประตูห้องส่วนตัวของผมเพื่อบอกเรื่องนี้ ตอนนั้นผมงงมากว่าลืมเก็บอะไร ในเมื่อมั่นใจว่าล้างเก็บเรียบร้อยดี ยิ่งลงไปยืนอยู่ในห้องครัวก็ยิ่งงง จนผมต้องเดินไปหาเขาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหนังสีดำ แต่งตัวแสนชิวด้วยบ็อกเซอร์ตัวเดียว

“คุณอัฐครับ”

ผมเรียกเขา แต่ครั้งแรกไม่หัน จนต้องเรียกอีกรอบ คราวนี้เขาหันมามอง แววตาดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“เอ่อ... ผมไม่รู้ว่าผมเก็บครัวไม่เรียบร้อยยังไง”

พอผมบอกจุดประสงค์ที่มาเรียก เขาก็วางหนังสือลง วางแบบกางหน้าที่อ่านค้างอยู่กับโซฟา ไม่ถนอมสักนิด แล้วลุกเดินไปที่ครัวให้ผมเดินตาม ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

เขาหยิบตะหลิวกับช้อนตักซุปออกมาสลับที่แขวนกัน...

“เธอเก็บไม่ถูกที่”

เสียงเบาๆ ของเขาเอ่ยบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว ทิ้งผมยืนงงอยู่คนเดียว

เขาแม่ง...เหมือนเด็กประถมที่ต้องเก็บดินสอสีแบบเรียงตามสีเลยอะ

แต่ผมจะทำยังไงได้นอกจากจำตำแหน่งที่เก็บเครื่องครัวของเขาให้ได้

เรื่องที่สอง...

ช่วงเดือนแรกที่ผมเข้าอยู่กับเขา คือเดือนกันยายนที่เป็นหน้าฝน มันจึงมีบ้างที่ซักเสื้อไม่ทัน เสื้อไม่แห้ง แล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ผมไม่ได้ไปฝึกงาน ฝนตก เสื้อก็มีไม่พอใส่ ผมจึงถือโอกาสใส่กางเกงตัวเดียวนั่งทำงานฟรีแลนซ์เพื่อหาเงินอยู่ในห้อง แต่ในตอนที่ลงมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่ม นั่นแหละที่มีปัญหา

มีวัตถุไม่ทราบชื่อถูกปาใส่หลังผมเต็มๆ ตอนที่กำลังดื่มน้ำ ทำเอาเกือบสำลัก ก้มลงเก็บก็พบว่าเป็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของอัฐ ส่วนเจ้าของเสื้อก็ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องครัว ใส่บ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว

“ใส่เสื้อ”

“ฮะ?” ผมอุทานสงสัย ในเมื่อมองเขาแล้วก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากผม

“สกปรก”

“เอ๊ะ?” ผมส่งเสียงออกมาอีกรอบ แต่ก่อนจะได้ถามว่าทำไม เขาก็หันหลัง ก้าวยาวๆ ออกไปแล้ว ทิ้งผมให้งงกับคำว่า ‘สกปรก’ ของเขา

แน่นอนผมคิดหัวแทบแตกว่าสกปรกอะไร ผมก็อาบน้ำทุกวันเช้าเย็น ยกแขนขึ้นมาดมก็ไม่ได้เหม็นอะไร ที่พอจะนึกออกอย่างเดียวคืออัฐอาจรู้สึกว่าการไม่ใส่เสื้อเดินไปเดินมาในบ้านรวมถึงห้องครัว มันดูไม่ต่างจากพ่อครัวหรือเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่ไม่ใส่เสื้อ ทำให้เราไม่รู้ว่าเหงื่อไคล หรือขนตามตัวจะปลิวลงอาหารเมื่อไหร่...

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไอ้คุณอัฐก็เป็นอย่างนั้นซะเองไม่ใช่เรอะ

โคตรเอาแต่ใจเลย

ผมคิดอย่างนั้น แต่ก็ต้องยอมใส่เสื้อตามที่เขาบอก

อย่างไรก็ตาม นั่นดูจะทำให้เขามั่นใจไม่พอ ไม่กี่วันต่อมาจึงมีเครื่องอบผ้าใหม่เอี่ยมมาตั้งอยู่ข้างเครื่องซักผ้าด้วย...

ส่วนเรื่องที่สาม... ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ผมต้องเกริ่นก่อนว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างผมกับอัฐ เราไม่ค่อยเจอหน้ากันเท่าไหร่นัก

อัฐทำงานอยู่บ้าน ส่วนผมออกไปฝึกงานในวันธรรมดา พอกลับมาผมก็ขึ้นห้อง อาหารเย็นไม่เคยกินด้วยกัน วันหยุดเขาก็นั่งอยู่ข้างล่างที่มุมทำงานของเขา ส่วนผมที่ต้องใช้เสียงในการฝึกพากย์จึงขลุกตัวอยู่ในห้องไม่ให้รบกวนกัน

ถึงอย่างนั้นก็มีบ้างที่เขาชวนผมคุยด้วยตัวเอง

“อากาศร้อนแบบนี้ เดี๋ยวฝนคงตก ว่าไหม?”

และนั่นแหละครับ... เรื่องที่เขาชวนคุย

เรื่องดินฟ้าอากาศ

ถ้าผมออกความเห็นอะไรไป เขาก็เหมือนแค่ฟังผ่านหู ไม่ได้ตอบอะไรมา ทำเอาผมสงสัยว่าหรือเมื่อกี้นั้นเขาแค่พึมพำกับตัวเอง ไม่ก็คุยกับผีบ้านผีเรือน

อย่างไรก็ตาม เขาก็มีความเป็นมิตรแบบแปลกๆ อยู่

มีบางวันที่ผมเปิดตู้เย็นของตัวเองแล้วเจอกล่องช็อกโกแล็ตอยู่ในนั้น ในตอนแรกผมคิดว่าเขาเบลอเอามาเก็บผิดตู้ แต่พอถามก็ได้คำตอบว่า

“ฉันซื้อมาฝากเธอนั่นแหละ กินไปเถอะ”

“โอ้... งั้นขอบคุณครับ”

ที่ผมเกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่าเขาก็ไม่ถึงกับไร้มิตรไมตรีเสียทีเดียว เขาแค่ขีดเส้นแบ่งการอยู่ร่วมกับ ‘เฮาส์เมท’ อย่างชัดเจนเสียมากกว่า

ไอ้ที่เขาเคยบอกว่า ‘เหงา’ ตอนแรกจึงไม่น่าเป็นอาการเหงาแบบอยากได้เพื่อน แต่ดูเหมือน...อยากให้มีสิ่งมีชีวิตร่วมบ้านมากกว่า

และถามว่าทำไมไม่เลี้ยงสัตว์ คำตอบคือสัตว์เลี้ยงน่าจะควบคุมได้ยากกว่าคน

หมาหรือแมวจะมาวอแวเราตามเวลาที่มันต้องการ และมันก็ฝึกได้ยากหากไม่ทุ่มเทเวลา

ส่วนคน...แค่เอ่ยปากมาก็ทำตามได้ไม่ยาก

“ถ้าไม่จำเป็น อย่าชวนฉันคุยก่อน”

นั่นแหละ...คือสิ่งที่อัฐต้องการ

เขาบอกเรื่องนี้กับผมในเย็นวันหนึ่ง ตอนนั้นผมเพิ่งกลับจากฝึกงานแล้วเล่าให้เขาฟังว่าต้นไม้ใหญ่ในสวนกลางหมู่บ้านล้มโค่นเพราะฟ้าผ่าเมื่อคืน ซึ่งตอนที่เล่าให้ฟังเขาก็ละสายตาขึ้นมาจากหนังสือที่อ่านอยู่ ช้อนตาขึ้นมามองเหมือนตั้งใจฟัง ผมจึงเข้าใจว่าคุยได้ปกติ ก่อนจะโดนคำพูดนั้นฟาดเข้าให้อย่างแรง

“แล้วถ้าฉันหงุดหงิด ฉันก็อาจจะไม่พูดอะไรตอบเธอเลย”

เขาอธิบายนิสัยตัวเองเพิ่มเติม ทำให้ผมนึกเถียงในใจ

ไอ้ตอนชวนคุยเอง พอผมคุยกลับ บทจะไม่อยากตอบก็ไม่ตอบเหมือนกันไม่ใช่เรอะ

ถึงอย่างนั้นผมก็ได้แต่ตอบรับไปว่าครับ

ที่เกรงใจก็เพราะเห็นว่าเขาแทบไม่เปิดแอร์จนทำให้ค่าไฟถูกหรอกนะ

เหมือนจะจบเรื่องที่สามแต่เพียงเท่านี้ แต่ผมคิดว่านิสัยขี้รำคาญของเขาเชื่อมโยงกับเรื่องที่สี่ด้วย

มันจะมีบางวัน ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ตอนที่ผมอยู่บนห้อง เขาจะเปิดเพลงจากเครื่องเล่นเสียงของเขา ซึ่งผมก็ไม่เคยไปรบกวนอะไร อย่างมากก็แค่ลงไปหาอะไรกินที่ครัวหลังบ้าน

แต่มันมีอยู่วันหนึ่ง จำได้เลยว่ามันคือวันเสาร์ที่แดดจ้าหลังฝนตกหนักเมื่อวาน ผมเห็นว่าแดดดีจึงคิดจะเอารองเท้าที่เปื้อนโคลนมาซักตาก เดินลงไปได้ยินเสียงเพลงของ Pink Floyd ดังก้องทั่วชั้นหนึ่ง ผมเดินผ่านอัฐที่นั่งทำงานอยู่ เปิดประตูเหล็กดัดออกไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เปื้อนจนเป็นสีน้ำตาล แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าอัฐยืนพิงประตูมองผมอยู่เบื้องหลัง

“จะซักรองเท้าเหรอ” เขาถามผม แน่นอนว่าเสียงเบา “วางลงก่อน”

อีกประโยคทำให้ผมเกิดความสงสัยแต่ก็วางรองเท้าลงที่เดิมแบบงงๆ

“มีอะไรจะให้ดู”

ว่าแล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมเดินตามไป เพิ่งสังเกตว่าเสียงเพลงหยุดลงตั้งแต่เมื่อกี้

อัฐไปยืนอยู่หน้าเครื่องเสียงของเขา หันมามองผมที่เดินตามมาเหมือนบอกให้เร็วๆ ซึ่งผมก็รีบเดินไปยืนข้างๆ แต่ก็ยังไม่ตรงกับที่เขาต้องการ

“ยืนหน้าเครื่อง”

เขาบอก ผมจึงทำตามแม้เต็มไปด้วยความสงสัย

“เธอคงสังเกตเห็นว่าชั้นวางที่ฉันใช้วางเครื่องเล่นแผ่นเสียงมันไม่เหมือนชั้นวางของทั่วไป”

พอเขาพูด ผมก็สังเกตชั้นวางที่ทำมาจากโลหะ บริเวณฐานรองขาถูกเหลาให้เล็กจนเหมือนทรงกรวย และทั้งสามชั้นก็มีขาแบบนี้ทุกชั้น

“แม้แต่ฐานของเครื่องเล่นก็มีแค่สามขา และเป็นลักษณะเดียวกัน”

คำอธิบายเพิ่มทำให้ผมเห็นว่าจริงดังนั้น ฐานที่เป็นไม้ถูกดีไซน์ออกมาให้มีแค่สามขา

“นั่นก็เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นให้มากที่สุด เพราะมันทำงานด้วยระบบอะนาล็อก หัวอ่านที่เป็นเข็มจะลากไปตามร่องของแผ่นไวนิล ถ้ามีอะไรมาสะเทือนก็จะทำให้เสียงเพลงที่ออกมาฟังเพี้ยนไป”

ผมพอจะรู้อยู่ว่าการฟังเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเทิร์นเทเบิ้ลนั้นทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันต้องใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้

“ฉันเปิดเครื่องไว้อยู่ เธอจับ Tone Arm… แขนของเข็มหัวอ่านมาจิ้มแผ่นไวนิลดูสิ”

“เอ๊ะ? ให้ผมทำเหรอ?” ผมหันไปถามเขา ซึ่งเขาก็ตอบ ‘อืม’ ในลำคอโดยไม่บอกว่าทำไม แต่กลับอธิบายวิธีเพิ่ม

“ถ้าอยากฟังเพลงแรกก็จิ้มแถวขอบ แทร็คแรกจะอยู่บริเวณนั้น ไล่เข้าไปก็เป็นแทร็คท้ายๆ”

นั่นไม่ได้ช่วยให้ผมหายคาใจว่าทำไมให้ผมทำ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยกล้า กลัวทำเครื่องเขาพัง ไอ้แขนหรือ Tone Arm นั่นก็ดูเปราะบางเหลือเกิน แต่พอหันหลังกลับไปมองและเห็นอัฐจ้องเขม็งแบบรออยู่ ก็ทำให้ผมยกมือขึ้นจับแขนนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ

พลันผมก็ใจกระตุกในวินาทีที่แขนของหัวอ่านเลื่อนมาอยู่เหนือแผ่นไวนิลแต่ไม่ใช่เพราะผมทำแขนของหัวอ่านหัก

เป็นเพราะมือใหญ่ของอัฐเอื้อมมาจับมือผมให้เลื่อนไปตามที่เขาต้องการต่างหาก

วินาทีถัดมาเขาก็จับมือผมให้ไปดึงคันโยกเล็กๆ เพื่อค่อยๆ ดึงตัวเข็มให้จิ้มลงที่แผ่นไวนิลอย่างช้าๆ

เสียงเพลงแนวไซคีเดลิกของ Pink Floyd ที่เต็มไปด้วยเอ็ฟเฟ็คต์เสียงนั้นดังขึ้น ขณะที่มือของเขายังค้างอยู่บนมือผม

“แทร็คแรกของอัลบั้ม The Dark Side of the Moon… เพลง Speak to Me/Breath”

เขาบอกชื่อเพลงให้ผมฟัง แน่นอนว่าการที่เขายืนอยู่ด้านหลังของผม มือยังจับมือผมเอาไว้ และก้มลงมาพูดด้วยเสียงเบาอันเป็นบุคลิกไม่ใกล้ไม่ไกลจากหูผมนัก ทำเอาผมจั๊กจี้ในใจไม่ต่างจากเวลาที่เขามองช้อนเหมือนกำลังเชยคางอยู่เลย

“เสียงออกมาดี ว่าไหม”

พลันเหมือนเขาก้มลงมาใกล้กว่าเดิม เสียงเบาๆ ของเขาดูราวรินรดลงมาพร้อมลมหายใจอุ่น

ผมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะหนักๆ ไม่ต่างจากเสียงเอ็ฟเฟ็คต์ที่ดังตึก... ตึก... ก่อนเข้าเพลง

ตอนนั้น ผมอยากหนีออกมา ไม่อยากใจเต้นแรงเพราะเขา

มันเป็นสัญญาณอันตรายของความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะบอกตัวเองให้หนีออกมา...ไม่ใช่เพื่อหยุดใจที่เต้นแรง แต่เพื่อจะได้ไม่ต้องได้ยินประโยคถัดมา

“เพราะงั้น...ตอนฉันฟังเพลง อย่าเดินมาใกล้”

“...”

ไอ้บ้า

ไอ้บ้าเอ๊ย

ตอนที่เขากรอกหู ผมคิดคำด่าในใจได้แค่คำนั้น ซึ่งมาคิดย้อนดูแล้ว ตอนที่ด่าผมไม่แน่ใจว่าด่าไอ้คุณอัฐที่ขี้รำคาญเกินเรื่องและเอาแต่ใจเกินเหตุ หรือด่าตัวเองที่ดันใจเต้นแรงกับคนแบบนั้น

แต่ตอนนี้ ถ้าให้เลือกได้ ผมก็ขอด่าตัวเอง

เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรกับเขา



**************************



ถ้าชื่นชอบ คอมเม้นติชม หรือติดแท็ก #อัฐจา ได้เลยนะคะ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ammer

  • มีหัวใจแต่ไร้ความรู้สึก
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
กรี๊ดดดด เอามาลงเล้าแล้ว ดีค่ะๆ จะตามอ่านตามเม้นต์มันทุกแพลตฟอร์มเลย

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบมากกกกกก เหมือนแมวจริงแหละ อัพบ่อยๆนะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พี่อัฐน่าตบมากค่ะ

ดีใจที่ได้อ่านนิยายคุณอีกครั้ง

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่5



ต้องบอกก่อนว่าผมไม่เคยคิดจะชอบอัฐมาก่อน

ต่อให้หล่อขนาดไหน เขาก็เข้าใจยากเกินไป ห่างไกลจากคนที่ผมเคยชอบหลายขุม

ผู้ชายที่ผมเคยชอบเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน และเป็นประธานชมรมโสตทัศนศึกษา

ผมเข้าชมรมนี้เพราะว่าอยากเป็นดีเจของโรงเรียนที่คอยบอกข่าวสารต่างๆ ในช่วงเช้าก่อนเข้าแถว สลับกับเปิดเพลงที่เพื่อนๆ ขอมา ส่วนช่วงพักเที่ยงก็เปิดเพลงให้ทุกคนฟังชิวๆ ระหว่างกินข้าว ซึ่งผมก็ได้ทำอย่างที่อยากทำ โดยมีรุ่นพี่คนนั้นเป็นคนช่วยสอน และบางครั้งก็จัดรายการร่วมกันซึ่งผมสนุกมาก

พี่เขาเป็นคนใจดี ยิ้มเก่ง ใส่ใจ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยสอนหมด ไม่เคยด่าเคยว่าตอนผมทำผิดพลาด จนผมแอบมอบตำแหน่ง ‘รุ่นพี่แห่งชาติ’ อยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยสารภาพรักกับเขา แม้เขาจะเป็นรักแรก และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายก็ตาม

ที่ผมทำมีแค่นำช่อดอกกุหลาบไปมอบเพื่อแสดงความยินดีในวันเรียนจบ และขอบคุณที่เขาช่วยสอนผมหลายๆ อย่าง ซึ่งพี่เขาก็รับไปด้วยรอยยิ้ม และให้กำลังให้ผมเรื่องความฝันอยากเป็นนักพากย์

“จาพยายามอีกนิดก็ไปถึงฝันได้แน่”

ผมยังจำประโยคนั้นได้ดี ไม่ต่างกับที่จำความใจดีของเขาได้

สรุปแล้วผมน่าจะชอบคนใจดี

แต่ก็นั่นแหละ

บางครั้งอัฐก็ใจดี...หรือเหมือนจะใจดี

ผมจำได้ว่าอัฐบอกผมตั้งแต่วันแรกว่าผมจะหยิบของในตู้เย็นของเขาไปกินก็ได้ แต่ด้วยความเกรงใจประกอบกับกลัวความผีเข้าผีออกของเขา ผมเลยไม่เคยหยิบมา ที่จะรับก็มีแค่ช็อกโกแล็ตที่เขาเอามาเก็บในตู้เย็นของผมเลยเท่านั้น

จนเย็นวันหนึ่งที่ผมทอดไข่เจียวเพื่อกินกับข้าวสวยร้อนๆ เขาก็เดินเข้ามาในครัว เปิดตู้เย็น ยืนมองของในนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปิด ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะกำลังโปะไข่เจียวลงบนจานข้าว

“ยัยหมวย”

แล้วไข่เจียวก็แทบลื่นหกออกนอกจานตอนที่เขาเรียกผมแบบนั้น ดีที่ใช้ตะหลิวสะกัดเอาไว้ได้ เมื่อปกป้องของกินทัน ผมหันไปมองเขา เขาจึงพูดต่อ

“เธอกินแค่นั้นอิ่มเหรอ”

“อ่า...ก็อิ่มนะครับ”

ผมตอบ แอบงงนิดๆ ที่เขามาถาม แถมพอตอบ เขาก็จ้องผมเขม็งเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยออกมา

“กินเนื้อสัตว์บ้าง”

เอ่อ...นั่นเป็นคำพูดอ้อมๆ ของคำว่าผอมสินะ

“เธอไม่เคยหยิบของในตู้เย็นฉันไปกินเลยนี่ หยิบได้นะ”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยเนื้อหาหลักที่ต้องการพูดออกมา

“อ้อ ไม่เป็นไรครับคุณอัฐ ผมเกรงใจ”

“แล้วเธอจะกินเมนูไข่ไปอีกกี่มื้อ” แต่เขาถามกลับมาแทงใจดำ “ช่วงนี้เธอลำบากเรื่องเงินนี่”

“อ่า... ครับ”

“กินไปเถอะ ไม่เป็นไร”

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าอัฐใจดีเพราะเขาจะไม่มาย้ำเรื่องนี้กับผมก็ได้ แต่เขาก็อุตส่าห์มาบอก ผมคิดจะขอบคุณเขา แต่เขาก็พูดมาอีกประโยค

“บางทีของมันเหลือทิ้งอยู่แล้ว”

“...”

ซึ่งก็เป็นประโยคที่...เขาพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ก่อนเดินออกจากห้องครัวไป

อันที่จริง มันก็คงเป็นเนื้อหาหลักที่เขาต้องการพูดนั่นแหละ ประมาณว่า กินได้นะ เดี๋ยวมันเหลือ แต่ผมด่วนทึกทักไปก่อนว่าเขาใจดี แบบคนคิดไปเองเก่ง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ช่วยให้ผมประหยัดค่าอาหาร ไม่ว่าเหตุผลคืออะไรก็ตาม

และอีกเรื่องที่อัฐเหมือนจะใจดีก็สืบเนื่องมาจากความขัดสนเรื่องเงินของผมเช่นกัน

มันเป็นตอนเย็นที่ผมเพิ่งกลับจากฝึกงานเหมือนทุกวัน เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านมา ถ้าไม่เห็นอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาหนังสีดำ เขาก็จะวิ่งออกกำลังที่ลู่วิ่ง ไม่ก็เขียนงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันนั้นก็เหมือนกัน เขาเขียนงานอยู่หน้าคอม เราไม่มีการเอ่ยทักทายกันเมื่อกลับบ้าน ยิ่งเห็นว่าเขาทำงานอยู่ ผมยิ่งรีบเดินผ่านไปเงียบๆ

“อย่าเพิ่งไป”

แต่เสียงเรียกของอัฐก็ทำให้ผมหยุดฝีเท้า หันไปมองก็พบว่าเขาเรียกผมโดยที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอด้วยซ้ำ แถมมือก็ยังพิมพ์งานต่ออีกด้วย

ถ้าจะเรียกก็ช่วยหันมาคุยเลย อย่าปล่อยให้รอสิโว้ย

แต่ถึงคิดแบบนั้นก็ได้แค่คิด ผมยืนมองเขาจนพิมพ์จบหนึ่งย่อหน้า กะจะถามว่าเรียกผมทำไม เขาก็เอ่ยปากมาก่อน

“เธอฝึกงานได้เงินหรือยัง”

“ยังครับ แต่...ได้เข้าไปนั่งในห้องพากย์แล้ว”

ตอบจบ เขาหันมามอง ก่อนที่มือจะหยิบเอกสารปึกหนึ่งที่หนีบคลิปสีดำตัวใหญ่ยื่นให้ผม

“พรูฟเป็นไหม” เขาถามตามมาทีหลัง

“ก็...เคยรับเป็นงานฟรีแลนซ์นะครับ”

“ดีเลย ขอวันจันทร์นะ”

“เอ๊ะ? ให้ผมทำเหรอครับ”

ผมถามอย่างมึนงง แต่อัฐไม่ได้ตอบอะไร เพียงมองหน้า ขยับมือที่ถือต้นฉบับยื่นเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผมยื่นมือไปรับแบบงงๆ เช่นกัน

สรุปคือผมได้งานมาทำโดยที่นายจ้างไม่ถามสักคำว่ารับทำไหม ที่ถามมีอย่างเดียวคือฝึกงานได้เงินหรือยัง

และงานที่ให้มาพรูฟน่ะ ก็คือต้นฉบับเล่มต่อไปของเขาเอง

ตอนที่รู้ก็อดเกิดคำถามไมได้ว่าจริงเหรอ? ให้ผมอ่านต้นฉบับของนักเขียนที่มียอดพิมพ์เป็นล้านเล่มได้จริงเหรอ? เพราะผมคิดว่าของแบบนี้น่าจะเก็บเป็นความลับเฉพาะกองบรรณาธิการที่ดูแลต้นฉบับ แต่เมื่อคิดว่าตัวนักเขียนยื่นให้ผมเองกับมือก็น่าจะได้มั้ง

ผมขะมักเขม้นพรูฟต้นฉบับของเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ใจหนึ่งคือเต็มที่กับงาน อีกใจคือกลัวเขาขัดใจถ้าผมทำอะไรตกหล่น เพราะเขาเป็นคนที่งานเนี้ยบมาก แบบที่ว่า...แทบไม่มีคำผิดในต้นฉบับเลย

ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจผ่านการพรูฟมาแล้วหลายรอบ แต่ตอนที่เอางานไปส่งเขาที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในเย็นวันจันทร์ ก็ได้รู้ว่านั่นคือต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการพรูฟเลยสักรอบ

โคตรโหด

ผมอาจจะไม่เก่งขนาดรู้ว่าควรปรับรูปประโยคหรือสลับตำแหน่งการวางคำยังไง แต่ที่แน่ๆ คือคำผิดน้อยมาก

“สนุกไหม”

ระหว่างที่ผมแอบขนลุกกับความเนี้ยบในการทำงานของเขา อยู่ๆ เขาก็ถามคำถามนี้กับผมที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกดูต้นฉบับที่ผมพรูฟเสร็จแล้ว

“สนุกสิครับ” ผมตอบพร้อมกับยิ้ม ซึ่งเขามองผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกเหมือนโดนตรวจสอบว่าพูดจริงไหม “อ่า จริงๆ นะครับ ไม่ได้อวยไปอย่างนั้น”

“ฉันต้องการคนมาทดลองอ่านที่ไม่ใช่ บ.ก. น่ะ” แต่เขาดูไม่ได้ซีเรียสอย่างที่ผมคิด “เห็นว่าเป็นเธอก็น่าจะดี”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็เธอไม่ใช่แฟนนิยายฉัน” อัฐตอบผม ขณะที่เคาะปึกต้นฉบับให้เป็นระเบียบแล้วใช้คลิปหนีบ

อ่า... ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านเพราะเดาคนร้ายไม่เคยถูกแค่นั้นเอง

“แล้วเธอก็ไม่ค่อยมีเงิน”

“...”

ผมเถียงประโยคปิดท้ายนั้นไม่ได้เพราะก็เป็นความจริง และเริ่มไม่รู้ว่าเขาใจดีกับผม หรือว่าเวทนากันแน่

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกับเขาได้คุยกันยาวกว่าที่เคย เพราะเขาบอกให้ผมลากเก้าอี้เหล็กสีดำมานั่งข้างๆ แล้วบอกว่ามีส่วนไหนของนิยายที่อ่านแล้วติดขัดบ้าง

ตอนแรกผมก็ไม่กล้าบอกนักเพราะเห็นว่าผมเป็นแค่คนอ่านธรรมดา ไม่ได้มีความรู้อะไรแบบนักเขียน จนเขาคงสังเกตได้เลยย้ำมา

“พูดมาเลย ฉันอยากได้มุมคนอ่านอยู่แล้ว”

นั่นทำให้ผมกล้าขึ้น ชี้บอกจุดที่ผมอ่านแล้วงง ไม่เข้าใจ รวมถึงจุดที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งเวลาผมบอก เขาก็รับฟังดีกว่าที่คิด เงียบฟัง ไม่ขัด ปล่อยให้ผมพูดจนจบ ต่อให้สุดท้ายแล้ว...ผมจะเห็นว่าในเล่มที่ตีพิมพ์ เขาไม่แก้อะไรตามที่ผมบอกเลย

คนหมดความมั่นใจเลยกลายเป็นผมซะเอง

ไอ้บ้าเอ๊ย

บางทีก็อยากยืนด่าเขาให้สาแก่ใจ

แต่ในความเป็นจริง แค่เขาจ้องผมเขม็งก็รู้สึกเกร็งไปหมดแล้ว

เหมือนอย่างตอนที่ผมบอกจุดบกพร่องในงานเขียนของเขาจบทั้งหมด เขาก็ยังจ้องเขม็งอีกหลายวินาทีจนผมกลัวว่าพูดอะไรผิดไป แต่สุดท้ายเขาก็แค่ยกมือขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ ขาไขว่ห้างเป็นเลขสี่ ปล่อยตัวตามสบายเหมือนกับผมสีทองที่ยาวปรกคิ้วแต่ไม่คิดเสย เอ่ยถามขึ้นมา

“เธอได้พากย์อะไรบ้างแล้ว”

“เอ่อ...” ผมอึกอัก ไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่เพราะยังไมได้พากย์สักคำ

“พากย์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”

ไม่รู้ว่าเขาเห็นผมไม่ค่อยอยากตอบ หรือแค่ไม่อยากรอฟังเลยตั้งคำถามใหม่

ซึ่ง...ทำเอาผมอยากย้อนกลับไปตอบคำถามเดิมมากกว่า

ให้พากย์ให้เขาฟังเนี่ยนะ

“พากย์อะไรดีล่ะครับ” แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือ “ต้นฉบับคุณดีไหม”

“ไม่เอา ฉันไม่อยากฟังเรื่องที่ตัวเองเขียน”

เขาตอบทันควัน ก่อนเหลือบสายตาลงมองกองหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะคอม แล้วหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผม

‘แมวน้อย 100 หมื่นชาติ’

ครั้งแรกที่ได้อ่านชื่อเรื่อง ผมคิดทันทีว่า ‘นิทานอะไรวะเนี่ย’

“ฉันชอบเรื่องนี้”

แต่พออัฐบอกมาอย่างนั้น ผมก็เก็บความเห็นไว้เพียงในใจ แล้วก้มหน้าอ่านไม่สบตาเขา เพราะกลัวว่าจะเกร็งหากต้องพากย์ไปมองหน้าเขาไป

เรื่องแมวน้อย 100 หมื่นชาติ เป็นเรื่องของแมวที่ดูหยิ่งๆ ตายมาแล้ว 100 หมื่นชาติ แต่ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ผมพากย์เรื่องราวของแมวตัวนี้ไปเรื่อยๆ จนแมวน้อยไปเจอกับแมวตัวเมียสีขาวที่ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ พูดอะไรให้ฟังก็ตอบว่า ‘อ้อ’ เพียงอย่างเดียว

พอพากย์คำว่า ‘อ้อ’ ออกมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าเพื่อดูว่าอัฐยังฟังอยู่ไหม ก็ได้เห็นว่าเขามองผมอยู่ด้วยอิริยาบถเดิม คือเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน เขายังคงไขว่ห้างเลขสี่ เท้าคางกับโต๊ะ ลำตัวจึงเอียงไปทางโต๊ะนิดๆ แต่กลับขับให้เห็นกล้ามเนื้อกำยำชัดขึ้น ส่วนดวงตาสีดำก็มองช้อนขึ้นมาอย่างที่เขาชอบทำ

ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าใจกระตุกที่เห็นว่าเขาจ้องผมอยู่ตลอดด้วยสายตาแบบนั้น และหน้าผมคงกำลังแดงขึ้นมาให้เจ้าของแก้มอับอาย

แล้วก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

เสียงเบาของเขาเอ่ยออกมา

“ฉันชอบเสียงเธอ”

“...”

“อ่านต่อสิ”

หยุด

หยุดสั่งออกมาแบบนั้นเลย

แล้วก็…

หยุดหล่อบ้าหล่อบอ

หยุดทีโว้ย

ตอนนั้นถ้านิทานแมวน้อย 100 หมื่นชาติมีบทพูดว่า ‘ว้าก’ ผมคงพากย์อย่างใส่อารมณ์เต็มที่ให้เขาตกใจเล่น สมกับที่ทำผมปั่นป่วนเป็นบ้าเป็นบออยู่ฝ่ายเดียว

สรุปแล้ว ผมไม่แน่ใจหรอกว่าอัฐเป็นคนใจดีหรือเปล่า เพราะเขาเดาใจยาก มีความคลุมเครือสูง ผีเข้าผีออก ขี้รำคาญและเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง

แต่ถ้าถามว่าผมเริ่มชอบเขาเพราะอะไร คำตอบก็คงดูดิบๆ แต่คงไม่มีอะไรจริงไปกว่าเหตุผลนี้อีกแล้ว

เพราะเขาเป็นคนประสาทแดก

แต่ก็หล่อ



*********************



ที่บอกว่าจะอัพ 2-3 วันต่อตอน
เปลี่ยนใจแล้วค่ะ
อัพทุกวันดีกว่า
ถ้าไม่ติดอะไร เจอกันทุกวันนะคะ แต่อย่างไร คอมเม้นติชม
หรือติดแท็ก #อัฐจา ให้หน่อยก็ดีนะคะ ขอบคุณค่า :mew1:


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ ดีใจที่คุณคนเขียนอัพทุกวัน :mc4:
อ่านแล้วหานิยามให้คุณอัฐไม่ได้แต่พอน้องจานิยามว่าเป็นคนประสาทแดกแล้วรู้สึกว่าไม่นะ คำๆนี้มันรุนแรงเกินไป คุณอัฐก็แค่เป็นคนที่ชอบทำให้เราชะงักแล้วต้องเปล่งคำว่า ห้ะ ออกมาเบาๆ
แต่ถึงคุณอัฐจะเป็นคนประสาทแดก(ประสาทแดกแบบให้ฟีลเนิบๆเอื่อยเฉื่อย)แต่ก็ทำให้คนอ่านอย่างเราเขินมาก คุณอัฐจะรู้ตัวไหมคะว่ามีคนเขินจะเป็นจะตายเพราะความหล่อและความตรงไปตรงมาของคุณ!!!

 :pig4:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ ninknpk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เขาเป็นคนประสาทแดก 5555555555555555555555555555

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ช่วงเริ่มแรกที่ผมรู้สึกอะไรกับอัฐ ผมบอกตัวเองว่าผมแค่หลงความหล่อของเขา

หลงรูปร่างหน้าตา หลงเสียงพูดเบาๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ หลงแววตาที่ยากจะหยั่ง หลง...ทั้งหมดนั่นเลย

ส่วนนิสัยของเขา น่าจะจัดไว้คนละส่วน

ตอนนั้น...ผมคิดว่าคนเราไม่น่าจะหลงชอบความประสาทแดกของอีกคนได้หรอก

โดยไม่รู้ตัวว่าจริงๆ แล้วผมหลงเข้าไปเต็มๆ เหมือนคนโง่งม

พอเริ่มชอบเขา ผมมักแอบสังเกตเขาบ่อยขึ้น

กิจวัตรประจำวันของอัฐเท่าที่ผมรู้คือเขาตื่นประมาณสิบโมงกว่า นอนกี่โมงไม่รู้ได้เพราะประมาณ 2-3 ทุ่มเขาก็ขึ้นไปขังตัวเองอยู่ในห้อง หลังจากตื่นนอนเขาจะอาบน้ำทันทีแล้วค่อยลงมาทำอะไรกิน ตามด้วยการชงกาแฟจากเครื่องบดกาแฟ แล้วถือแก้วไปวางบนโต๊ะคอม จากนั้นก็ขลุกอยู่ที่โซนส่วนตัวของเขา...ที่กินพื้นที่เกือบทั้งชั้นล่างนั่นแหละ ทั้งทำงาน อ่านหนังสือ รวมถึงออกกำลังกาย มีทั้งลู่วิ่งไฟฟ้า เวท และอื่นๆ ที่ไม่ค่อยเห็นเขาแตะเท่าไหร่ เขาจะอยู่บริเวณนี้จนถึงเย็น นานๆ ทีจะเห็นเขาออกไปรดน้ำต้นเฟื่องฟ้าบ้าง ซึ่งก็เป็นพันธุ์ไม้หนึ่งเดียวในบ้านหลังนี้ และถัดจากมื้อเย็นในครัว เขาจะกลับมาขลุกที่โซนส่วนตัวนั้นอีกชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วจึงขึ้นห้อง

ที่ยกมาเล่าคือกิจวัตรที่ผมสังเกตในวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาที่ผมออกไปฝึกงานนั้น คิดว่าอาจไม่เหมือนกัน เพราะผมไม่เคยเห็นเขาออกไปข้างนอก ปล่อยรถบีเอ็มสีดำนอนเหงาอยู่ตรงลานจอดรถ และก็ไม่เคยเห็นเขาติดต่อสื่อสารกับใครผ่านการโทรศัพท์หรือคอลผ่านโปรแกรมแชทเลย

จริงอยู่ว่าถึงจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ผมก็ไม่มีช่องทางการติดต่อกับเขานอกจากเบอร์โทรศัพท์ ผมเคยนึกสงสัยว่าเขาเล่นโซเชียลมีเดียบ้างหรือเปล่า แต่ลองเสิร์ชชื่อดูก็ไม่เจอ ยกเว้นเพจที่มีชื่อเดียวกันกับนามปากกาเขา ซึ่งก็แชร์เพียงโพสต์เกี่ยวกับงานตัวเองจากเพจสำนักพิมพ์ ไม่มีแคปชั่น ไม่หือ ไม่อือ ราวกับถูก บ.ก. บังคับให้เล่นยังไงยังงั้น

ดังนั้น จึงดูเหมือนอัฐมีชีวิตอยู่แค่ในบ้านที่มีเขาเป็นเจ้าของบ้าน และผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เตือนให้เขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก

ในสายตาของผม เขาดูเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงผมคงพูดไม่ได้หรอกว่ารู้จักเขามากกว่าที่เขายอมให้เห็น แล้ว...ไอ้ส่วนที่ยอมให้เห็นเนี่ย ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้

ถึงอย่างนั้น ผมก็ชอบทำทีเป็นออกมานั่งที่เก้าอี้บีนแบ็กสีดำตรงชั้นลอย ทำทีเป็นอ่านหนังสือบ้าง ทำงานฟรีแลนซ์บ้าง เล่นมือถือบ้าง เพื่อแอบมองเขาเป็นระยะ

ซึ่งบางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าในเมื่อเขาขลุกอยู่แต่บ้าน เขาจะย้อมผมสีทองให้โดดเด่นทำเพื่อ?

แน่นอนว่าผมไม่กล้าถาม รู้แค่ว่าก็ดีแล้วที่เขาดูแลตัวเอง ไม่ซกมกสกปรกแบบที่ต่อให้อยู่ฟรี ผมก็คงรีบย้ายหนี

อย่างไรก็ตาม ผมทองของเขาก็มีประโยชน์อยู่อย่างตรงที่หาตัวเจอได้ง่าย

มีอยู่วันหนึ่งที่ผมเจอเขานอกบ้าน

มันเป็นช่วงเย็นที่ฝนตกปรอยๆ ในเดือนตุลาคม ผมเพิ่งกลับจากการออกไปเจอเพื่อน เดินถือร่มสีน้ำเงินเข้าซอยแบบชิวๆ

เหมือนเคยที่ผมมักมองไปในสวน ยังบริเวณที่เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่เพราะผมเสียดายที่มันหักโค่นจนเหลือแต่ตอ แต่คราวนี้สายตาก็เลื่อนไปสะดุดสีทองสว่างบนหัวของคนที่นั่งอยู่บนม้านั่ง หันหน้าเข้าหาสระกว้างที่มีศาลานั่งเล่นยื่นเข้าไปอยู่กลางน้ำ

เห็นแค่แว้บเดียว ผมก็รู้ว่าเป็นอัฐ

เขานั่งพิงม้านั่งโดยยกแขนข้างขวาขึ้นมาวางบนพนักพิงหลังเป็นอิริยาบถสบายๆ นั่งมองตรงไปยังเบื้องหน้า เพียงมองนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับเหม่อคิดอะไรอยู่

ถ้าโดยปกติ ผมคงเลือกเดินกลับบ้านไม่เข้าไปทักเพราะกลัวจะถูกไล่ออกมาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ แต่เพราะผมเริ่มชอบเขา...ก็เลยเดินเข้าไปหา

ผมเดินไปตามทางเดินและลัดสนามหญ้าจนไปถึงม้านั่งที่เขานั่งอยู่ มันเป็นม้านั่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ ฝนปรอยจึงไม่เป็นปัญหานัก และก็เพราะฝนนั่นเองที่ทำให้ที่นี่เงียบสงบ มีเสียงนกนกร้องเพียงเบาบางเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเขารู้หรือเลป่าว่ามีคนเดินมา หรือรู้แต่ไม่คิดจะสนใจ ผมจึงเดินไปยืนข้างๆ ม้านั่งแล้วเอ่ยเรียก

เขาได้ยินก็หันมาเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองผม ไม่ถามอะไรเหมือนรอให้พูดต่อ

“กลับบ้านพร้อมกันไหมครับ จะได้ไม่เปียกฝน” ผมพูดพร้อมกับยื่นร่มไปด้านหน้าเล็กน้อย บอกอ้อมๆ ว่าให้ใช้ร่มคันนี้ด้วยกัน

“ยังไม่อยากกลับ” เขาปฏิเสธ หันกลับไปมองด้านหน้าเหมือนเดิม

“อ่า...งั้นผมไม่รบกวน—”

“นั่งก่อนสิ”

เขารั้งไว้ แน่นอนว่าผมไม่รู้ความคิดเขา แต่ตอนที่หุบร่มแล้วนั่งลงข้างๆ ก็คิดขึ้นมาว่า...หรือเขาจะให้ผมรอจนกว่าเขาจะกลับนะ...

ยังไงก็ตาม ผมรู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่ได้อยู่กับเขา ถึงเขาจะนั่งชิวไม่พูดอะไรเลยก็ตาม

ในตอนแรกผมก็เกร็งนิดหน่อย แต่พอผ่านไปได้สักพักก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันที่ได้แชร์ความเงียบไปด้วยกัน

ราวกับว่าที่เขาเรียกให้อยู่ ก็เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกนี้ เหมือนกับที่หาคนมาอยู่ร่วมบ้านนั่นแหละ

“ฉันไม่ชอบนิยายที่ตัวเองเขียนแล้ว”

พลันเขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมไม่ได้หันมามองผมด้วย ราวกับแค่ระบายออกมา ทำเอาผมเงอะงะอยู่ชั่วครู่ว่าจะพูดตอบเขาดีไหม ยังไงดี แต่สุดท้ายก็ตอบไป

“ทำไมล่ะครับ”

ผมถาม แต่เขานิ่ง

นิ่งเหมือนตอนที่เขาเงียบหลังจากผมตอบโต้ที่เขาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ตอนแรกไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะดังจนต้องเขียนเล่มต่อ”

แต่ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา

“ฉันเบื่อ ไม่อยากเขียนต่อ”

เขาระบายออกมาแบบนี้ก็อาจแปลได้ว่าเขาเบื่อจริงๆ เพราะเท่าที่ผมเห็น เขาก็ขลุกกับมันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แยกไม่ออกทีเดียว

ถึงอย่างนั้น... ที่เขาบอกว่า ‘ไม่ชอบแล้ว’ ก็แปลว่าเขาเคยชอบมันนี่นา ถ้าจะทิ้งไปเลยก็เสียดาย ตอนนี้เขาอาจแค่เหนื่อยก็ได้

“งั้น...คุณอัฐลองพักดูไหมครับ หยุดเขียนเพื่อพักผ่อนสักเดือนอาจจะดีขึ้น”

“ไม่ล่ะ ก็ยังอยากทำอยู่”

“...”

แล้วที่บอกว่าไม่อยากเขียนต่อเมื่อกี้คืออาร้าย?!

“ให้มันจบๆ ไป”

โอ้ย...

ตกลงว่าชอบหรือไม่ชอบงานตัวเองวะเนี่ย?!

ผมอยากจะยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองกับความผีเข้าผีออกของเขา แต่ยังไม่ทันหายมึนงงกับเรื่องนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืน

“กลับกันเถอะ”

ว่าดังนั้นทำให้ผมลุกตาม หยิบร่มขึ้นมากาง แต่ยังไม่ทันได้ชูขึ้นเหนือหัว อัฐก็แย่งไปถือไว้ มองตรงมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหลังเดินนำไป ให้ผมรีบเดินไปอยู่ข้างๆ เขา

“เอ่อ...ให้ผมถือร่มก็ได้นะครับ” ผมบอกเขาด้วยความเกรงใจ ซึ่งเขาก็เดินต่ออีก 2-3 ก้าวก่อนจะตอบมา

“เธอเตี้ย”

...ปฏิเสธแบบนี้เอาร่มฟาดกันยังจะดีกว่า

อีกอย่างผมก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นสักหน่อย เทียบกับเขาแล้วไม่น่าสูงห่างกันเกินสิบเซนติเมตรหรอก โถ่

ผมได้แต่คิด พร้อมกับเดินอยู่ใต้ร่มที่เขาถือ แต่ถึงจะบ่นมุบมิบในใจ ผมก็รู้สึกใจเต้นนิดๆ ที่ได้เดินกลับบ้านใต้ร่มเดียวกันกับเขา

อากาศเย็นๆ เสียงนกร้องก่อนกลับรัง กลิ่นดิน กลิ่นฝน และความสงบที่ทำให้รู้สึกเหมือนโลกนี้มีแค่ผมกับเขาสองคน

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน...ล่ะมั้ง

“ตกลงว่าเธอได้พากย์อะไรแล้วบ้าง” พลันเขาถาม สำหรับผมมันเป็นคำถามที่ทำลายมู้ดมาก เพราะคำตอบก็คือ...ยัง

“เอ่อ...กว่าผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะออกก็คงอีกนานเลยครับ แรกๆ คงได้พากย์ไม่ถึงประโยคด้วยซ้ำ”

“อะไรก็มาเถอะ” แต่เขาก็ใช้เสียงเบาอันเป็นบุคลิกพูดมาแบบนั้น “จะว่ายังไงดีล่ะ”

แล้วยังใช้คำพูดติดปาก เว้นระยะบทสนทนา ให้ผมลุ้นคำต่อไป

“ฉันชอบเสียงเธอน่ะ เคยบอกไปแล้วนี่”

ซึ่ง...เมื่อได้ฟัง ผมรู้สึกว่ามีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง

โหวงเหวง โคลงเคลง ปั่นป่วน ราวกับมันคือผีเสื้อที่เกิดจากเวทย์มนต์ลึกลับ

จะบ้าตาย

พูดชมแบบนั้นออกมาอีกแล้ว

สติผมหลุดลอยไปไกลจนลืมโต้ตอบคำพูดเขา แต่ก็ดูไม่ได้สนใจอะไร รู้ตัวอีกทีเราก็มายืนที่รั้วบ้านที่เต็มไปด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูแล้ว

เขายื่นร่มกลับมาให้ผมถือเพื่อไขกุญแจเปิดประตูบ้าน และเหมือนว่าพอก้าวผ่านประตูไป เขาก็กลับมาเป็นคนที่ไม่คิดจะสนทนาอะไรกับผมอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งชมผมแบบนั้นแท้ๆ

แต่ก็นั่นแหละ

ถ้าเขาไม่ใช่คนแบบที่เป็น เขาก็คงดูธรรมดา ไม่มีอะไร และไม่น่าสนใจ

เขาเป็นอย่างนั้นด้วยตัวเขาเอง มันเป็นตัวตนของเขา และนั่นทำให้เขาดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก

ถึงแม้ไม่รู้ว่าค้นไปจะเจออะไรก็เถอะ แต่ผมก็อยากรู้อยู่ดี

ต่อให้ไม่เจอความใจดีแบบรุ่นพี่ที่ผมเคยชอบ ผมก็คงไม่ผิดหวัง

บางที...ความประสาทแดกนี่แหละ เสน่ห์ของเขา

คิดแล้วจะบ้าตาย...หมายถึงจะบ้าตายกับตัวเองนี่แหละที่ชอบเขาแบบนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันหลังจากนั้นมีเรื่องที่ทำให้ผม ‘จะบ้าตาย’ ยิ่งกว่านั้นรออยู่

เย็นนั้น ผมกลับบ้านหลังจากฝึกงานเหมือนทุกวัน แต่ที่แปลกออกไปคือผมได้ยินเสียงการพูดคุยในบ้าน เปิดประตูเหล็กดัดเข้าไปก็เห็นว่าอัฐนั่งอยู่หน้าคอม คงจะคุยกับใครผ่านวิดีโอคอลอยู่ ทำเอาผมแปลกใจเล็กๆ แถมเสียงของอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงด้วย

ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไรมาก เดินผ่านเขาไปเงียบๆ อย่างทุกที

“จา”

แต่เสียงเบาๆ ของอัฐก็เรียกผมไว้

ผมหันไปมอง แปลกใจนิดหน่อยที่เขาเรียกชื่อผม เพราะเขาไม่เคยเรียกเลย และที่เรียกว่ายัยหมวยก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น

“มานี่หน่อย”

ผมเดินไปหาเขา ยืนข้างๆ ก็ได้เห็นภาพจากวิดีโอคอลของอีกฝ่าย

เธอเป็นผู้หญิง ผิวขาว อยู่ในชุดนอนสีฟ้า ผมดำยาวมีหน้าม้าละตาโตดูน่ารักทีเดียว

“นี่น้องจา เฮาส์เมทที่เล่าให้ฟัง”

แล้วอัฐก็แนะนำผมให้เธอรู้จัก เธอยิ้มกว้างและโบกมือทักทายผม ผมที่กำลังมึนงงอยู่ก็โบกมือทักทายกลับแทนที่จะไหว้

“ส่วนนี่...” อัฐพูดขึ้น คราวนี้พูดกับผม แต่ยังมองหน้าจอตลอด ไม่หันมามองผมเลย แล้วเขาก็เอ่ยแนะนำเธอให้รู้จัก

“นี่แฟนฉันเอง”



**********************

สปอยล์ตัวเองหน่อยก็ได้ จากที่ปกติจะไม่สปอยล์
เรื่องนี้ไม่ดราม่ามากนะคะ รอดูกัน 5555

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ไม่นะคะคุณอัฐอย่ามาพูดแบบนี้! แฟนเฟินอะไรกัน แกล้งน้องจาใช่ไหม  :monkeysad:

  :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 7

ตอนได้รู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว ผมค่อนข้างตกใจ

ไม่สิ ตกใจเลยแหละ

ถ้าไม่นับเรื่องกิจวัตรประจำวันที่ผมเห็นจนไม่สงสัยว่าเขามีแฟน ผมไม่อยากพูดเลยว่า...นิสัยผีเข้าผีออกของเขาก็ไม่น่าจะทำให้เขาคบใครได้

ผมคิดอย่างนั้นทั้งที่ผมชอบเขานั่นแหละ

แล้วผมก็รู้ตัวตอนที่เขาแนะนำแฟนสาว ว่าผมไม่เคยคิดถึงขั้นได้คบหากับเขา แต่พอเห็นว่าเขามีแฟน ผมปวดร้าวจากกลางอก ลามล่วงทั่วร่างไปยันปลายนิ้วมือ

มันเจ็บใช่เล่น จนผมต้องย้อนถามตัวเองใหม่...ว่าผมไม่อยากคบหาเป็นแฟนกับเขาจริงเหรอ?

ผมไม่รู้

รู้แค่ว่ามันเจ็บจนน่าแปลกใจ

หลังจากที่อัฐเอ่ยบอกว่า ‘นี่แฟนฉันเอง’ แฟนสาวของเขาก็แนะนำตัวว่าชื่อออม ผมได้แต่ตอบรับว่าครับ

เธอยิ้ม แล้วพูดกับอัฐ

‘ดูเรียบร้อยจัง อยู่กับคนประสาทแดกแบบแกได้ด้วยเหรอ’

แล้วเธอก็หัวเราะ ซึ่งอัฐไม่ได้โต้ตอบอะไรและแววตาก็ไม่ได้ดูโกรธหรือหงุดหงิด เขาแค่นิ่งเฉย ราวกับเวลาที่ผมพูดอะไรไปแล้วเขาไม่อยากตอบ เขาก็ไม่ตอบ

แต่ว่า...ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนเขานี่ ความนิ่งเฉยของเขาคงไม่ใช่แบบนั้นหรอก

อีกทั้งเธอยังดูรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี ก็น่าจะรับข้อบกพร่องเหล่านั้นได้เลยเป็นแฟนกันได้ล่ะมั้ง

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ผมเอ่ยบอกเมื่อไม่เห็นว่ามีธุระอะไรอีก ซึ่งอัฐไม่ได้ตอบรับอะไร นิ่งเฉย ไม่หันมามอง ขณะที่ออม แฟนสาวของเขาตอบรับมาว่า ‘จ้า’ ด้วยเสียงสดใส

ตอนนั้นผมเดินขึ้นห้องไปด้วยสมองที่มึนเบลอ ปิดประตูห้องลงได้ก็ทรุดนั่งลงบนเตียงแบบหมดแรง

ในใจผมเต็มไปด้วยความสับสน

ถ้าผมคิดเรื่องอยากคบหากับเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ผมคงมีคิดบ้างว่าอัฐจะชอบคนแบบไหน

คนที่นิ่งเงียบเหมาะกับนิสัยขี้รำคาญของเขา หรือว่าคนที่สดใสเพื่อเติมในส่วนที่เขาหายไป?

ซึ่งถ้ายึดตามที่เห็น แม้เพียงไม่กี่นาทีผ่านหน้าจอคอม อัฐดูจะเลือกอย่างหลัง

แต่บางที มันอาจจะไม่เกี่ยวก็ได้

การคิดว่ารู้จักอัฐดี สุดท้ายมักจะโดนฟาดให้หน้าหงายว่าไม่ได้รู้จักเขาเลย

หรือที่เขาคบกับเธอก็แค่เพราะสวย?

แต่ต่อให้เหตุผลมีแค่นั้น เธอก็สวยจริงๆ และเป็นผู้หญิงที่มีตาโตทรงเสน่ห์

อา พอคิดอย่างนั้นแล้วท้อใจเป็นบ้า

ก็ผมมันตาชั้นเดียวจนเขาเองยังเรียกผมว่ายัยหมวยเลยนี่

ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อย จนผมทิ้งตัวลงนอนแผ่กับเตียง เหม่อมองหลังคาเบื้องบนกับโคมไฟสีดำที่ห้อยลงมา

ถึงอย่างนั้น ผมก็เกิดคำถามสุดท้ายขึ้นมาในใจ

หรือว่า...อัฐแค่หาคนที่รับเขาได้กันนะ?

ถ้าอย่างนั้น...

พลันความคิดขาดกลางคัน ผมขมวดคิ้ว พลิกตัวนอนตะแคงข้าง ใจผมรู้ดีว่าไม่อยากจะยอมรับมัน ขณะเดียวกันก็เป็นใจผมอีกนั่นแหละที่ยอมรับมันโดยง่ายดาย

สุดท้าย ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนและปล่อยความคิดที่ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

ถ้าอัฐแค่หาคนที่รับเขาได้...

ถ้าอย่างนั้น...ผมก็รับได้นะ

ผมคิดอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีว่าไม่ได้รู้จักเขาดีเลย

แต่ผมก็ยังเถียงความคิดตัวเองอยู่ดี

ถ้าด้านแย่ๆ เขามีเท่าที่ผมเห็น...นั่นแหละ ผมรับได้

ตัดเรื่องความผีเข้าผีออกของเขา แล้วไปยังส่วนที่แย่ที่สุดของคนเรา นั่นก็คือเวลาโกรธหรือหงุดหงิด ผมก็คิดว่าผมรับได้อยู่ดี

จริงอยู่ว่าอัฐดูเป็นคนขี้รำคาญ ดูหงุดหงิดง่ายเพราะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่จะทำให้เขาไม่พอใจได้ แต่เวลาที่เขาหงุดหงิดขึ้นมา สิ่งที่น่ากลัวของเขาไม่ใช่การใช้กำลังหรือความรุนแรงที่พบได้ทั่วไปเวลาคนเราโกรธ

สิ่งที่น่ากลัวของเขาคือความเงียบและแววตา

เหมือนมันเป็นการแสดงออกขั้นแรกที่ทำให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนหรือไม่ขัดใจเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรหลังจากนั้น

ซึ่งความจริงแล้ว เท่าที่ผมเผชิญหรือสังเกตมา ผมก็ไม่ได้พบเจอการกระทำของเขาหลังจากแสดงออกว่าหงุดหงิดสักครั้ง

ถ้าไม่ใช่เพราะผมทำตามที่เขาบอกจนเขาพอใจ เขาก็จะแค่มาบอกตรงๆ ว่าไม่พอใจอะไร ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วและแก้ไขไม่ได้ ก็เท่ากับว่าเขาแค่มาบอก แล้วจึงเงียบไป

คิดดูดีๆ แล้ว เหมือนเขาสามารถเก็บอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองไปจัดการอยู่ในใจได้เงียบๆ จึงไม่จำเป็นต้องรุนแรงอะไร

ครั้งเดียวที่เห็นเขาโต้ตอบออกมา ก็เป็นการโต้ตอบด้วยคำพูด และเสียงเบา

ตอนนั้นผู้ช่วย บ.ก. ที่ดูแลต้นฉบับของอัฐมาที่บ้าน ผมที่นั่งเก้าอี้บีนแบ็กของชั้นลอยอยู่ก็คิดจะหลบเข้าไปในห้องเงียบๆ แต่ว่า...ด้วยความอยากรู้ ประกอบกับก่อนหน้านี้อัฐก็เห็นผมนั่งอยู่ พอมีแขกมาก็ไม่ได้ไล่อะไรผม ผมจึงแค่เลื่อนบีนแบ็กหลบเข้าด้านในพอไม่ให้ตนเองเป็นที่สังเกต แต่ก็ยังมองเห็นด้านล่างได้

สาเหตุที่ผู้ช่วย บ.ก. มาถึงบ้านคือต้องการให้อัฐปรับเปลี่ยนเนื้อหาในนิยายเล่มต่อไปสักหน่อย ไม่สิ ไม่หน่อย เยอะเลยล่ะ เพราะเท่าที่ฟังเขาอยากให้ลดความดาร์กลงเพื่อยังได้ฐานผู้อ่านที่กว้างเหมือนเล่มแรก และอยากให้มีเซอร์วิสฉากเพราะนางนิดหน่อย

แน่นอน ย้อนคิดถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมที่ตอนนี้รู้ว่าตัวเล่มจะออกมายังไง ก็ได้แค่คิดอยากตบบ่าผู้ช่วย บ.ก.

ขนาดอัฐมาถามผมเองว่าในมุมนักอ่านอยากให้ปรับแก้ตรงไหน เขายังไม่ปรับเลยสักจุด

ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ผมจะสังเกตได้ว่า ที่อัฐเงียบ ไม่ใช่เพราะตั้งใจฟังรายละเอียดว่าต้องแก้อะไรบ้าง แต่เขาเงียบเพราะหงุดหงิด ไม่พอใจ

“ห้าปี”

มันคือคำแรกที่อัฐตอบออกมาหลังฟังจบ จนผู้ช่วย บ.ก. ต้องถามว่าหมายถึงอะไร โน้มหน้าไปใกล้เพราะเสียงของเขาช่างเบาเหลือเกิน แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน

อัฐนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขยายความ

“ผมเขียนจบเรื่องแล้ว...แต่ว่าถ้าจะให้ปรับแก้ ผมจะส่งต้นฉบับให้ในอีกห้าปีข้างหน้า”

คำตอบของเขาทำให้ผู้ช่วย บ.ก. เงียบไป เพราะมันหมายความว่าอัฐปฏิเสธ แถมยังเป็นการปฏิเสธแบบหัวชนฝา

สุดท้ายทางสำนักพิมพ์ก็ต้องยอมอัฐ เพราะการเว้นระยะห่างจากเล่มแรกนานขนาดนั้น อาจทำให้กระแสซาลงไปแล้ว และไม่สามารถกอบโกยกำไรได้เท่าที่ตั้งใจ

มองๆ ดูแล้วเหมือนไม่ว่าใครก็ต้องหมุนรอบตัวเขา...อย่างช่วยไม่ได้

เหตุการณ์นั้นเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นอัฐโต้ตอบต่อความหงุดหงิดใจ ซึ่งก็ไม่อยากจะพูดให้ดูสวยหรูเลยว่าเป็นการตอบโต้แบบปัญญาชน...วงเล็บว่าปัญญาชนที่ชอบมัดมือชก และผมคิดเอาเองนั่นแหละ ว่าเรื่องอื่นๆ เขาก็คงเหมือนกัน

ผมจึงคิดว่ารับได้ ไม่ว่าอะไร

แต่...ต่อให้รับได้ทั้งหมด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกถ้าเขามีแฟนแล้ว

คิดแล้วหัวใจก็เหมือนจะฟีบลงทันที

เย็นวันนั้นผมได้แต่นอนอยู่บนเตียง ไม่ลงไปกินข้าว คิดนู่นคิดนี่จนเหมือนความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทั่วเตียง รู้ตัวอีกทีก็หลับไปเสียแล้ว

แต่เหมือนว่าผมยังเจ็บปวดไม่สาแก่ใจ

หลังจากวันนั้น ก็เหมือนว่าผมจะได้เห็นเขาวิดีโอคอลกับเธอบ่อยขึ้นด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

ทุกครั้งที่อัฐวิดีโอคอลกับแฟนคือช่วงหกโมงถึงหนึ่งทุ่ม

ผมไม่ได้อยากเห็นหรือได้ยินนัก แต่มันก็เป็นช่วงที่ผมกลับบ้านพอดี ทุกครั้งที่เจอว่าเขาวิดีโอคอลอยู่ ผมจะรีบเดินผ่านไปที่ครัวหรือขึ้นห้อง แต่ก็ยังไม่วายได้ยินสิ่งที่เขาคุยกัน

หนึ่งในสิ่งที่ผมรู้คือออมน่าจะอยู่ต่างประเทศ ผมไม่รู้ว่าประเทศอะไร รู้แค่ว่าเวลาที่พวกเขาคุยกันคือช่วงเช้าของเธอ

อีกสิ่งก็คือวิธีการพูดคุยของอัฐ

อย่างที่ผมเห็นในวันแรก เขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือไม่ได้มีอะไรพิเศษ เขาไม่ได้พูดมากเป็นพิเศษ ไม่ได้มีคำหวาน อยากพูดค่อยพูด มีชวนคุยบ้าง และบทจะไม่ตอบก็ไม่ตอบเหมือนกัน แต่นั่นแหละ...ยิ่งทำให้ผมปวดใจ

เพราะผมรู้สึกว่าเขาโคตรจะเป็นตัวเอง

เป็นตัวเองแบบที่ผมเผลอชอบ

เป็นตัวเองจนอยากจะเดินไปปิดหน้าจอที่เขากำลังคุยกับออม แล้วบอกว่าผมก็ชอบคุณที่เป็นแบบนี้ ไม่ต่างจากที่เธอชอบ

อยากจะถามเขาว่าเป็นผมไม่ได้เหรอ?

และอยากสุดท้าย

อยากจะบ้าตาย...

ผมรู้ตัวว่าอาการหนัก แบบที่หนักกว่าเดิมมากหลังจากรู้ว่าเขามีแฟน

ยังไงก็ตาม ผมรู้ตัวว่าต้องตัดใจและคิดกับเขาว่าเป็นแค่ ‘เฮาส์เมท’ ที่...ประสาทแดกหน่อยๆ

ผมทำตัวปกติทุกอย่าง พยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านมาพร้อมเงินค่าน้ำค่าไฟเพื่อจ่ายกับเขาเหมือนทุกเดือน โดยปกติผมจะยื่นให้กับมือเขา แต่ตอนนั้นผมเห็นว่าเขาวิดีโอคอลกับออมอยู่ ผมไม่อยากรบกวนจึงวางเงินค่าไฟไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา คิดว่าเขาไม่เห็นวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงเห็นเอง แล้วเดินเข้าครัวไปทำอะไรกินเหมือนวันทั่วๆ ไป

โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาเกลียดการให้เงินด้วยการวางทิ้งไว้ที่สุด

อัฐเดินเข้ามาในครัวหลังจากผมทำกับข้าวเสร็จและนั่งกินตามปกติ ขายาวๆ ของเขาก้าวมายืนที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ จ้องสบตาผมที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมอง และเอ่ยเสียงเบาเป็นบุคลิก

“ทำไมวางเงินไว้ตรงนั้น”

“ก็...ค่าน้ำกับค่าไฟไงครับ”

“ปกติเธอไม่ได้วางแบบนั้นนี่”

“ผมเห็นคุณคุยกับแฟนอยู่พอดี เลยไม่อยากรบกวนน่ะครับ”

ผมบอกเหตุผลไปตามตรง และคิดว่าน่าจะเข้าใจได้ แต่เขากลับนิ่งเงียบ เงียบเหมือนคิดอะไรอยู่นานและไม่มีแม้แต่คำว่า ‘จะว่ายังไงดีล่ะ’ ออกมาด้วยซ้ำ

ผมเกร็งไปหมดจนคิดจะวางช้อนส้อมลงก่อน แต่สุดท้าย เขาก็พูดออกมา

“ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกจากบ้าน อย่าทำแบบนั้นอีก”

ทั้งที่พูดออกมาด้วยเสียงธรรมดา เดซิเบลที่ไม่ดังมากเป็นบุคลิก แต่เนื้อความนั้นทิ่มแทงจนผมตั้งตัวไม่ทัน และพูดอะไรไม่ออก

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงรับรู้แค่ว่าเขาเกลียดการกระทำนั้นมาก มากจริงๆ

แต่ตอนนี้ สิ่งที่พ่วงมาก็คือความเจ็บแปลบ

ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาเกลียดการกระทำนั้นขนาดนั้น แต่ที่รู้คือเขาไม่เคยถึงขั้นขู่จะไล่ผมออกจากบ้าน

รู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นเองว่าการพยายามอยู่เงียบๆ ทำตามที่เขาอยากให้เป็นทุกอย่าง ไม่รบกวนเขา ไม่รบกวนเวลาเขาคุยกับแฟน มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

“แล้วถ้าผมอยากออกจากที่นี่เองล่ะครับ?”

ผมย้อนเขา วางช้อนส้อมในมือลงบนจาน จ้องเขาแบบไม่หลบตา อยากให้เขารับรู้ว่าผมไม่ชอบที่เขาพูดแบบนั้น เหมือนกับที่เขาไม่ชอบอะไร เขาก็บอกออกมาตามตรง แล้วผมก็ยอมตามให้ทุกอย่าง

แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากรับรู้

และต่อให้รับรู้ ก็ไม่ทำให้ดังที่ต้องการ ต่างกับที่ผมทำ

การกระทำของเขาถัดจากนั้น ผมรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่ผมรู้สึกว่ามันช่างยาวนาน และกลับมาฉายซ้ำในหัวผมนับครั้งไม่ถ้วน

เขาเงียบ ไม่พูดอะไร เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วทอดมองลงมาด้วยแววตาที่ดูคล้ายความเหยียดหยิ่งแบบในวันแรกที่พบกัน แต่ไม่ใช่ มันเป็นแววตาแข็งกร้าวที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาดูเหมือนโกรธมาก เหมือนไม่พอใจที่ผมพูดแบบนั้น ขณะเดียวกันก็เหมือนเหยียดเย้ยว่าผมคงไม่ทำอย่างที่พูด

วินาทีที่เขาหันหลังไป ผมคิดว่าเขาไล่ผมออกมาเลยตรงๆ ยังดีเสียกว่า แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ทำหรอก เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขาเวลาโกรธ

เป็นตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่าความโกรธของเขาที่แสดงออกมาเพียงผ่านแววตาและความเงียบ น่ากลัวกว่าการผรุสวาทออกมาตรงๆ หรือทำเสียงปึงปังไม่พอใจเสียอีก เพราะผมไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกอะไรกันแน่

อยากให้บอกสักคำ ว่าคิดยังไงที่ผมพูดย้อนไปแบบนั้น

และ...อยากให้อยู่ หรืออยากให้ไป

หรือเห็นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เตือนเขาว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...เขาก็มีแฟนไว้คุยแล้วนี่ และน่าจะคบกันมานานแล้วด้วยซ้ำ

ในที่สุด คำคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว คำที่ไม่เคยคิดกับอัฐเลยต่อให้เขานิสัยเสียแค่ไหน

ใจร้าย

โคตรใจร้าย


**



ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 8



ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจะเรียกการเถียงกันแค่ 2 ประโยคเป็นการทะเลาะกันได้ไหม

แล้วก็ไม่แน่ใจว่าที่อัฐเงียบ ไม่พูดไม่คุยหลังผมเถียงย้อน คือเขายังโกรธ หรือไม่ได้โกรธแล้ว แค่ทำตัวเงียบๆ ตามปกติ

การขัดแย้งกับเขาเป็นสิ่งที่คลุมเครือที่สุดในโลก เหมือนเราตกอยู่ในความไม่รู้อะไรเลย และการจะไปซักไซ้ถามเขาก็ใช่ว่าจะได้คำตอบ แถมถ้าเขาไม่ตอบ ก็ไม่รู้ว่าไม่ตอบเพราะยังโกรธ หรือแค่ไม่ตอบเพราะไม่อยากตอบ

อยากจะบ้าตาย

ที่รู้คือผ่านมา 2 วันแล้ว เขาก็ยังไม่ได้มีทีท่าอะไร แน่ล่ะว่าหวังคำขอโทษจากเขาไม่ได้ ผมรู้ และที่รู้อีกอย่างคือผมก็ไม่คิดจะง้อเขาเหมือนกัน

ที่สำคัญ ผมคิดเรื่องย้ายออกอย่างจริงจังแล้วล่ะในเมื่อเป็นอย่างนี้

ตอนแรกผมพูดไปด้วยความโกรธและเสียใจ แต่ความเงียบของเขาก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องจริงในที่สุด

อีกอย่างที่ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นก็เพราะรุ่นพี่นักพากย์บอกผมว่าจะทำเรื่องเบิกค่าเดินทางให้เพราะเห็นในความพยายามของผม ถึงยังไม่ได้พากย์เลยไม่ได้เงินค่าจ้าง แต่เงินค่าเดินทางก็น่าจะทำให้ผมพอจะเช่าหอถูกๆ ได้ และขยันรับงานฟรีแลนซ์จิปาถะมากขึ้นอีกนิดก็น่าจะอยู่ได้

ผมยังไม่ได้ย้ายออกทันทีเพราะรออะไรเข้าที่เข้าทางอีกนิด อาจจะสักสัปดาห์สองสัปดาห์ ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ไม่คิดจะบอกอัฐด้วย กะบอกทีเดียวตอนรถขนของมาจอดหน้าบ้านนี่แหละ

ผมคิดว่าผมคงเลิกชอบเขาได้ง่ายมากในเมื่อพื้นฐานผมก็ชอบคนใจดีอยู่แล้ว

เราจะทนอยู่กับคนใจร้ายแถมผีเข้าผีออกไปทำไม

แต่พอตัดสินใจอะไรๆ ได้เด็ดขาด ผมก็พบว่าใจมันแอบโหวงเหมือนกัน

ยิ่งกลับบ้านมาทีไรก็ไม่เห็นว่าเขาอยู่บ้าน โดยเฉพาะในช่วงกลางวันจนถึงดึก บางคืนก็ไม่กลับด้วยซ้ำ ทั้งที่ปกติอยู่ตลอดยังกับผีบ้านผีเรือน ผมยิ่งรู้สึกโหวงเหวง

ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน และไม่รู้ว่าผมหวังอะไรอยู่

ไม่สิ ผมรู้ดีว่าผมหวังอะไร ผมแค่ไม่อยากจะยอมรับ

ผมอยากให้อัฐมาง้อผม...หรือไม่ก็มาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศก็ได้

ถ้าเขาทำเพียงแค่นั้น ผมก็คงอยู่ต่อโดยลืมที่เคยตัดสินใจไปหมดสิ้น เพราะผมชอบเขาในแบบที่ไม่เคยชอบใครมาก่อน

แต่ว่า...

ตัดใจน่าจะดีที่สุด

สิ่งที่หวังไม่มีทางเป็นจริงหรอก

แล้วผมก็จมอยู่กับความคิดเหล่านี้ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังเกิดเรื่อง เพราะอัฐไม่อยู่บ้านให้ผมเห็นหน้าเลยสักวัน

ซึ่งนั่นก็ทำให้ใครบางคนโผล่หน้ามาแทน

เหมือนเดิมที่ผมมักเจอเหตุการณ์บางอย่างตอนกลับมาบ้าน

ตอนที่อัฐไม่อยู่ ลานจอดรถจะว่าง ประตูไม้จะถูกล็อกไว้ แต่วันนั้นลานจอดรถมีเบนซ์สีขาวมาจอด ประตูไม้ก็เปิดไว้ทำให้รู้ว่ามีแขกมา และเป็นแขกผู้หญิง สังเกตจากรองเท้าส้นสูงสีดำหน้าประตู

ในใจผมตอนนั้นภาวนาเหลือเกินว่าอย่าเป็นออม เพราะผมไม่อยากเจอ

ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยใจเต้นหนึบ เห็นแขกนั่งอยู่ตรงเก้าอี้โครงเหล็กสีดำ ซึ่งเก้าอี้ตัวนั้นหันหน้าเข้าในตัวบ้านทำให้เห็นแขกเพียงด้านหลัง เธอเป็นผู้หญิง ผมดำยาวผูกหางม้าสูง ปลายผมเป็นลอนสวย แต่งชุดเดรสแขนยาวคลุมเข่าสีน้ำเงิน ดูแล้วน่าจะทำจากผ้ากำมะหยี่ ขับผิวขาวของเธอให้ดูมีราศี แต่ถึงเธอน่าจะได้ยินเสียงเปิดประตู เธอกลับไม่หันมามองจนผมต้องเดินไปหาเธอเอง

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักและยกมือไหว้

เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือในมือ แว้บแรกที่เห็น ผมโล่งใจที่ไม่ใช่ออม และแว้บต่อมาคือผมรู้สึกว่าเธอสวยมาก ถึงจะอายุสักสี่สิบปลายๆ แล้วก็ตาม ด้วยดวงตาที่ดูหวานโศก ส่วนโครงหน้านั้น...ทำให้นึกถึงใครบางคน

“อ้อ...เธอคือลูกชายของจินดาใช่ไหม”

เธอเอ่ยออกมา เสียงเนิบและเบา ทำให้ผมพอจะเดาได้แล้วว่าเธอเป็นใคร

“ครับ ผมชื่อจา คุณคือคุณแม่ของ—”

“แม่ของอัฐน่ะ” เธอชิงเอ่ย พร้อมคลี่ยิ้มออกมา

คำเฉลยช่วยยืนยันสิ่งที่ผมคิด ผู้หญิงคนนี้มีรูปหน้าคล้ายอัฐ แต่อ่อนละมุนกว่าด้วยความเป็นเพศหญิง และที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือดวงตาหวาน แพขนตาหนา หางตาตกนิดหน่อยแต่ก็ดูมีเสน่ห์ รวมถึงปากกระจับที่คลี่ยิ้มออกมาดูละมุนละไม ผิดกับอัฐที่ไม่เคยยิ้มให้เห็นเลย

“อ่า... มาหาคุณอัฐใช่ไหมครับ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยู่บ้านเลย”

ผมบอกเธอ...ไม่สิ ผมควรใช้สรรพนามอื่น เช่น ‘ท่าน’ เพื่อเป็นการเคารพความอาวุโส แต่...ผมก็กลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง และไม่ได้มาในนามแม่ของใคร แค่เป็นตัวเธอเท่านั้น

ดังนั้นขอเรียก ‘เธอ’ แต่เพียงในใจ และเหมาเอาเองว่านั่นเป็นการเคารพความสาวและสวยแล้วกัน

ผมบอกเธอไปดังนั้น ซึ่งเธอก็วางมือถือลงบนโต๊ะที่ทำมาจากตอไม้ ผมเพิ่งสังเกตว่ากระเป๋าคล้องแขนสีดำ ยังมีช็อกโกแล็ตกล่องใหญ่ยี่ห้อ Guylian วางอยู่ด้วย ไอ้ช็อกโกแล็ตรูปร่างเปลือกหอยนั่นน่ะ

“แม่พอรู้อยู่...อัฐไม่ค่อยอยู่บ้านเป็นสัปดาห์แล้วใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“อืม...เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย” เธอเอ่ย เหลือบมองไปที่กล่องช็อกโกแล็ตเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งก็เหมือนว่าจมลงความคิดไปเลยเพราะเธอเงียบนานจนผมอึดอัดนิดๆ

“คุณแม่ดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมชงชามาให้”

ผมถามเพื่อละลายน้ำแข็งของความอึดอัดนั้น

“งั้น...ขอน้ำขิงแล้วกัน”

“ได้ครับ” ผมตอบรับ แม้ไม่แน่ใจว่ามีให้ชงหรือเปล่า

“แล้วเธอก็ชงของเธอมาด้วยนะ จะได้ดื่มด้วยกัน”

“อ่า... ได้ครับ”

ถึงจะเป็นคำชวนที่ผมไม่คาดคิด แต่ผมก็ตอบรับเพราะไม่เห็นเหตุผลจำเป็นต้องปฏิเสธ แม้จะเกร็งๆ นิดหน่อยก็ตาม

ไม่รู้ว่ามีบุคลิกที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกร็งนิดๆ เมื่อแรกเจอเหมือนกันทั้งบ้านหรือเปล่า ถึงแม้แม่ของอัฐจะมาในเวอร์ชั่นที่ละมุนละไมกว่าก็เถอะ

ผมคิดระหว่างที่ค้นหาขิงซองในตู้แขวนผนังในครัว และยิ้มออกมานิดๆ ที่เจอ แล้วหยิบขวดผงโกโก้ออกมาเพื่อชงดื่มในส่วนของผมด้วย

เมื่อทำเครื่องดื่มเสร็จ ผมยกใส่ที่รองจานแล้วถือไปเสิร์ฟที่โต๊ะไม้ ก่อนที่ผมจะนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ขอบใจจ้ะ”

แม่อัฐเอ่ยเสียงเบา แล้วยกแก้วขึ้นมาชงอีกเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมตอบ เธอยิ้มให้ก่อนวางช้อนลงบนที่รองจาน ผมสังเกตว่าเธอวางแล้วมีการจัดด้ามช้อนให้ดูเป็นด้านเส้นตรงของครึ่งวงกลม ส่วนจานคือด้านเส้นโค้ง

“จาใส่ปริมาณน้ำพอดีเลย” เธอเอ่ย ยิ้มออกมาอีกครั้ง วางแก้วลงโดยหันหูของแก้วให้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่วางช้อน

“ผมก็กะเอาน่ะครับ”

“อืม...จาทำอาหารเป็นไหม” แม่ของอัฐเอ่ยถาม ดวงตาหวานโศกจ้องสบตา

“ก็ทำแบบพอกินเองได้น่ะครับ”

“พวกสเต็ก สปาเก็ตตี้ อะไรแบบนี้ล่ะ”

“ไม่ค่อยได้ทำเลย แต่ผมคิดว่าทำได้นะ” ผมตอบเธอแม้งงๆ ว่าเธอถามทำไม

“งั้นดีเลย”

พลันเธอยิ้ม ยกมือขึ้นมาประกบกันตรงช่วงอกเหมือนตบมือเบาๆ แต่ไม่มีเสียง

“ถ้าไม่ลำบากเกินไปช่วยทำอาหารให้อัฐทานหน่อยได้ไหม”

“...”

ผมอึ้งไป เพราะไม่คิดว่าแม่เขาจะขอมาแบบนั้น และผมก็ไม่รู้จะตอบว่าไงดี ระหว่าง...ผมทะเลาะกับอัฐอยู่ กับผมกำลังจะย้ายออกจากบ้านเร็วๆ นี้แล้ว

แต่แววตาของหญิงวัยสี่สิบปลายก็จ้องมองผมด้วยประกายของความหวัง จนปากผมขยับไปเอง

“ได้ครับ”

นั่นทำให้แม่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะยกน้ำขิงขึ้นจิบอีกครั้ง ขณะที่ผมเกิดคำถามกับตัวเอง

หรือผมโดนคนตระกูลนี้สะกดจิตอยู่วะ...

“อัฐน่ะ ชอบเวลาคนทำอาหารให้ทาน” เธอเอ่ยเมื่อละแก้วในมือจากปากกระจับที่ทาลิปสีแดงเลือดนก “เพราะงั้นแม่อยากฝากจากหน่อย”

“แต่ว่า...จะดีเหรอครับ” ผมถามตามตรง “ผมกลัวไม่ถูกปากเขา”

ประโยคสุดท้ายผมหมายความตามนั้น เพราะคิดว่าอย่างอัฐน่ะ...น่าจะกินยากสุดๆ

“อืม...ลองดูก่อนได้ไหม”

“งั้น...ผมจะลองดูแล้วกัน”

คำตอบของผมทำให้แม่อัฐยิ้มอีกครั้ง

“อัฐน่ะ เขาเอาแต่ใจนิดหน่อย” เธอพูดพลางวางแก้วลง โดยหมุนหูแก้วให้อยู่ตำแหน่งเดิม

ผมว่าพอจะรู้แล้วว่าอัฐได้นิสัยจุกจิกมาจากใคร...

ส่วนที่บอกว่าเขาเอาแต่ใจ ‘นิดหน่อย’ น่ะ...ไม่จริงเลยครับคุณแม่...

แต่ถามว่าผมพูดอะไรได้ไหม คำตอบคือก็ได้แต่ยิ้มนั่นแหละ

“แม่ดีใจนะที่มีจาอยู่เป็นเพื่อนเขาเพราะแม่ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ อีกห้าปีกว่าจะเกษียณนี่มันยาวนานจังน้า...”

ประโยคสุดท้ายเธอรำพึงกับตัวเอง แต่เป็นความรำพึงที่ทำผมอึ้งนิดๆ

“คุณแม่...อายุห้าสิบกว่าแล้วเหรอครับ”

“ใช่ แม่ 55 แล้วน่ะ อ้อ...เดี๋ยวแม่ต้องไปละ ฝากยื่นช็อกโกแล็ตนี้ให้กับมืออัฐหน่อยนะ ไม่ก็ใส่ตู้เย็นไปเลย” เธอไม่เว้นช่วงให้ความตกใจของผม หยิบกล่องช็อกโกแล็ตยื่นให้ “อัฐเขาไม่ชอบให้คนวางของทิ้งไว้ให้ โดยเฉพาะเงินน่ะ ห้ามเลย”

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามเหตุผลทันที หวังว่าจะได้รู้สักที

“อืม...เรื่องมันยาวน่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ... ไว้อัฐเขาเล่าเองดีกว่า”

ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้ แถมดูไม่มีวันจะได้รู้ด้วย

จะรออัฐเล่าเรื่องตัวเองเนี่ย ดูยากกว่ารอเขาชวนคุยเรื่องที่ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศอีก

แล้วพอคิดอย่างนั้น ผมก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวได้ว่าอีกไม่นานจะย้ายออก

ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแท้ๆ จะมาหวัง จะมาอยากรู้อะไรอีก

เฮ้อ

ผมลอบถอนใจอยู่ในใจขณะที่เดินไปส่งแม่ของอัฐ รอเธอขับรถออกไปเพื่อที่จะได้เลื่อนปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย

“ว่าแต่...อัฐเขาดูซึมๆ มากไหม” แต่เธอก็ถามมาอีกคำก่อนเปิดประตูขึ้นรถ

ซึม? ซึมอะไร?

ผมทวนคำนั้นในใจ และแน่นอนว่าไม่เข้าใจอยากถึงที่สุด

“เขาไม่ค่อยอยู่บ้าน ผมเลยไม่รู้น่ะครับ” แต่ผมก็ตอบออกไปก่อน

“อืม...เวลาเสียใจนี่อยู่ไม่ติดบ้านทุกทีเลยน้า” เธอบ่นเหมือนรำพึง ซึ่งผมอาศัยจังหวะนี้เอ่ยถาม

“คุณอัฐเขาเสียใจเรื่องอะไรเหรอครับ”

“อ้าว... จาไม่รู้เหรอ?”

เธอหันจากความรำพึงกลับมาสบตาผม ซึ่งผมส่ายหัวเป็นคำตอบ ทำเอาแม่ถอนหายใจก่อนเอ่ยสิ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงเมื่อได้ฟัง

“อัฐเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบมาหลายปีน่ะ เลิกเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง”



**





ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 9



ย้ำอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าควรรู้สึกยังไงที่อัฐเลิกกับแฟนแล้ว

คนทั่วไปเขายินดีหรือเปล่านะ

ยินดีที่เรามีโอกาสเข้าหาคนที่ชอบอย่างไม่ต้องกลัวอะไร

หรือว่าเจ็บปวดไปด้วยกับความเจ็บปวดของคนที่เรารัก

ผมรู้แค่ว่าผมร้อนวาบกลางอกเมื่อได้รู้แบบนั้น ตอบอะไรแม่ของอัฐไปก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าผมยกมือไหว้ลาและปิดประตูรั้วล็อกกุญแจเรียบร้อยเมื่อเธอขับเบนซ์สีขาวออกจากบ้านไป

ไม่ต่างจากวันที่ผมรู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว ผมเดินขึ้นห้องตัวเองไปเงียบๆ ปิดประตูลงได้ก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียง แต่คราวนี้ทิ้งหลังตามลงไปในเวลาไม่นานเพื่อนอนแผ่อย่างอ่อนล้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความสับสนในใจเลย

อัฐเลิกกับแฟน...แล้วมันยังไงล่ะ?

ผมเองก็กำลังจะตัดใจอยู่แล้วนี่ ในเมื่อต่อให้เขาไม่มีแฟน ผมก็ดูไม่มีหวังอยู่ดี

สังเกตได้จากการที่ผมพูดย้อนเพื่อแสดงความไม่พอใจ เขาก็ดูเหมือนแสดงออกแค่โกรธและไม่สนใจมาพูดอะไรด้วยอีกเลย

แต่ว่า...

อีกครั้งที่ความคิดผมขาดช่วง ผมพลิกตัวนอนตะแคงแล้วขดตัวเหมือนควานหามุมปลอดภัย เพราะรู้ตัวว่าความคิดนั้นอันตรายต่อตัวเอง

สุดท้ายผมก็ยอมปล่อยใจให้คิดอยู่ดี

ไม่ฝืนยื้อแบบคราวที่แล้วเพราะผมรู้ดีว่าฝืนไม่ได้

ผมคิดเถียงตัวเองที่บอกว่าจะตัดใจ เพราะจำที่เคยคิดไว้ได้ว่าแค่เขามาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมก็คงลืมที่เคยตัดสินใจว่าจะย้ายออกไปหมดสิ้น

นั่นแหละ

ตอนนั้นผมกำลังลืมที่เคยตัดสินใจไปหมดสิ้น ถึงจะไม่ใช่เพราะเขาแสดงออกมาว่ามีผมอยู่ในสายตา ก็แค่เขาเลิกกับแฟน

ผมคิดว่าไม่เป็นไร

ไม่มีผมอยู่ในสายตาก็ไม่เป็นไร

เดี๋ยวจะทำให้มีเอง

คิดแล้วหลับตาลง ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่กินข้าวเย็น ไม่ต่างจากวันที่รู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว

ผมหลับยาวแล้วตื่นขึ้นมาอีกทีช่วงเจ็ดโมงเช้า ที่หลับยาวขนาดนี้คงเพราะช่วงก่อนหน้านี้นอนไม่พอ ทำงานฟรีแลนซ์เสียดึกดื่น จนต้องมาชาร์ตพลังเอาทีหลัง

อย่างไรก็ตาม การตื่นนอนตอนเช้าก็สดชื่นดี ผมกะจะไปเดินเล่นที่สวนสักหน่อยค่อยกลับมากินข้าวเช้า เพราะยังไงซะมันก็เป็นวันเสาร์ แต่เมื่อแปรงฟันและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จังหวะที่กำลังจะเดินถึงประตูไม้ ผมก็ต้องชะงัก

อัฐนอนหลับอยู่บนโซฟาหนังสีดำ

ผมไม่เคยเห็นเขานอนหลับตรงนี้มาก่อน แถมยังอยู่ในชุดลำลอง ไม่ใช่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวอย่างที่ชินตา จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อคืนเมากลับมาหรือเปล่า

เมื่อสังเกตจังหวะการหายใจที่หน้าท้องแล้วว่าน่าจะหลับจริง ผมจึงย่องเข้าไปใกล้ๆ ไม่ถึงกับก้มหน้าลงไปเพื่อดมกลิ่น แต่พอให้รู้ว่าดื่มมาหรือเปล่า แล้วก็พบว่าเขาน่าจะไม่ได้ดื่มมา

แล้วทำไมหมดสภาพอย่างนี้ล่ะ?

อัฐอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงจ็อกเกอร์แพนท์ แม้แต่ถุงเท้าก็ยังไม่ได้ถอด เขานอนหงายหนุนหมอนของโซฟา มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากปิดดวงหน้าส่วนบนเหมือนแบกโลกทั้งใบแม้ยามหลับ ส่วนมืออีกข้างปล่อยห้อยออกมานอกขอบโซฟาเหมือนละทิ้งแล้วซึ่งทุกสิ่ง

ผมไม่รู้ว่าเขากลับมากี่โมง และแน่นอนว่าไม่กล้าปลุกเขา

ที่ผมพอจะช่วยได้ก็ไม่ใช่การเอาผ้าห่มมาห่มให้ เพราะแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายให้ร้อนตายเสียมากกว่า แต่ผมหยิบพัดลมมาเปิดให้เพื่อระบายอากาศ

ก่อนเดินออกมา ผมยืนมองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง เพราะนี่เหมือนเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้เห็นเขาตอนหลับ

ผมเพิ่งรู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นเองว่าเขาเหมือนสัตว์ตระกูลแมว

เวลาเจ็บก็หลบไปเลียแผลตัวเองเงียบๆ ดีขึ้นจึงค่อยกลับมา

คิดเพราะหวังให้เขาดีขึ้นแล้ว

และที่เคยตอบแม่ของเขาไม่ได้ว่าเขาซึมมากไหม ผมว่าเขาน่าจะซึมพอสมควร เพราะสภาพที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น

แต่คิดดูแล้วก็เศร้าขึ้นมานิดๆ เพราะคนที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องสำคัญกับเขาไม่น้อย

เฮ้อ

ผมถอนหายใจอยู่ในใจ แล้วก้าวออกมาจากตรงนั้น

โครม!

“อะ...”

แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ผมพลาดเตะไปโดนกองหนังสือของอัฐที่วางระเกะระกะอยู่ข้างโซฟาจนล้มโครมระเนระนาดเหมือนตึกถล่ม

พลันเสียวสันหลังวาบขึ้นมา สัญชาตญาณบอกให้ผมหันไปมองเจ้าของหนังสือพวกนี้ทันที

เชี่ย

ตื่นแล้ว

เห็นสายตาคมของอัฐที่มองมาแม้จะนอนอยู่ก็ทำเอาผมยะเยือกจากปลายเท้ายันปลายมือ ลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยปากออกไป

“เดี๋ยว...เดี๋ยวผมเก็บให้นะครับ”

พูดแบบลืมไปแล้วว่าเคยทะเลาะกันมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องลนขนาดนั้น แต่เหมือนผมถูกโปรแกรมว่าอย่ายุ่งกับหนังสือของเขาเด็ดขาด พอทำเละแบบนี้จึงรีบเก็บเรียงให้เหมือนเดิมเร็วที่สุด

“ไม่เป็นไร”

“...”

แต่เสียงเบาๆ ของอัฐก็ดังขึ้นตรงหน้า เงยมองก็เห็นว่าเขามานั่งยองอยู่หน้ากองหนังสือ นอกจากจะทำให้ผมตกใจกับคำพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ ที่เขาไม่น่าจะพูดแล้ว เขายังค่อยๆ ดึงหนังสือจากมือผมไปจัดเรียงเองด้วย

ผมเห็นดังนั้นจึงอยากช่วยเก็บให้เสร็จเร็วๆ แต่ก็พบว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของเขาอาจเป็นคำสุภาพของคำว่า ‘อย่ามายุ่ง’ ก็เป็นได้ เพราะเมื่อผมหยิบเล่มใหม่ขึ้นมา เขาก็ดึงมือออกจากมือผมเหมือนเดิม เบาๆ ไม่ได้กระชาก แต่ทำเอาผมรู้สึกเหมือนมือแข็งเป็นหินไปเลย

“เอ่อ...ผมกำลังจะทำอาหารเช้าพอดี” ถึงอย่างนั้นผมก็ทำใจดีสู้เสือ ในเมื่อเดาความคิดและอารมณ์ของเขาไม่ออกสักอย่าง ผมก็จะเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน “เดี๋ยวผมทำเผื่อคุณด้วยนะครับ”

พูดจบประโยค ผมรู้สึกใจเต้นตึกตักเพราะทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัวว่าอัฐจะโต้ตอบยังไง ซึ่งเขาก็จัดเรียงหนังสือช้าลงเล็กน้อย เหลือบสายตาขึ้นมา เป็นสายตาที่มองแล้วรู้สึกเหมือนถูกเชยคางเสมอมา ก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลง ไม่พูดอะไร และจัดเรียงหนังสือเหมือนเดิม

อ่า แน่นอนว่าผมไม่รู้ว่าที่เขาเงียบนั้นเพราะกำลังหงุดหงิดเรื่องหนังสือ หรือเงียบเพราะแค่ไม่อยากตอบ แต่ผมเหมาเอาเองแล้วกันว่าเงียบน่ะ...แปลว่าตกลง

ขืนรอให้เขาตอบ ก็คงไม่ต้องทำอะไรพอดี

ผมคิด ฮึดสู้เสืออยู่ในใจ แล้วเดินเข้าครัวไป ซึ่งก็ยืนค้างอยู่ครู่หนึ่งเพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จะทำอะไรให้เขากินดี

อัฐไม่กินอาหารเช้า เขากินแค่สองมื้อคือมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น พอต้องทำแบบเหมาเอาเองว่าเขาจะกิน ผมเลยคิดหนัก แต่พอนึกถึงเมนูที่แม่เขายกมาให้ฟัง ก็คิดว่าทำเป็นสไตล์ฝรั่งแล้วกัน

ผมทอดไส้กรอกแฟรงเฟิร์ตกับเบคอนพร้อมปิ้งขนมปังพลางๆ เมื่อเสิร์ฟสองอย่างแรกลงทั้งจานของผมและเขาได้ก็ตอกไข่สองฟองลงกระทะเพื่อทำไข่ดาว แล้วก็สะดุดคิดนิดนึง

เขากินไข่แดงแบบสุกหรือไม่สุกวะ...

แต่เดาใจไปก็ใช่ว่าถูก ผมจึงทำแบบที่ผมชอบทั้งสองฟองซะเลย

ตอนที่ผมตักไข่ดาวลงจานแล้ววางขนมปังปิ้งตามลงไป อัฐก็เดินเข้ามาพอดี ทำเอาผมฮึ้บกับตัวเองนิดนึง ทั้งฮึ้บที่รู้สึกดีใจที่เขาโผล่มาในครัว กับฮึ้บเพื่อพูดคำพูดแบบที่...พูดไปแล้วน่าจะขัดเขินนิดหน่อย

“ผมทำเสร็จพอดีเลย...มากินด้วยกันสิครับ”

ใช่ ไอ้ประโยคท้ายเนี่ยทำผมขัดเขิน แต่ก็ดูเหมือนจะเขินอยู่คนเดียวเพราะอัฐยืนมองอาหารในจานอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมา จิ้มลงไปกลางไข่ดาวในจานเขา จากนั้นจึงนำมันมาวางในจานของผม

“ไข่แดงสุกไป”

ไม่ทันให้ผมได้พูดตอบอะไร เขาก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบไข่ออกมาหนึ่งฟอง ผมเดาว่าเขาน่าจะทอดใหม่เอง แต่เขาก็ค้างอยู่ตรงนั้นเล็กน้อย

“ช็อกโกแล็ต...ของใคร?” เขาเอ่ยถาม

“อ้อ แม่คุณฝากมาให้น่ะครับ”

พอผมบอกอย่างนั้น เขาก็มองมันเหมือนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบออกมาทั้งกล่อง เปิดตู้เย็นของผม แล้วยัดมันเข้าไป

เดี๋ยว...หมายความว่าไงวะเนี่ย

“กินไปเลย ไม่ต้องรอ”

แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น เพราะเขาหันมาพูดแบบนั้นพร้อมสายตาที่มองมายังจานอาหารเช้าของผม ผมจึงต้องหยิบช้อนส้อมมาตักกินเข้าปากตามที่เขาว่า

ในตอนแรกผมก็เสียดายที่ไม่ได้นั่งกินด้วยกัน แต่เพราะผมกินช้า แถมต้องกินไข่ดาวตั้งสองฟอง เมื่อเขาทอดไข่ดาวแบบไข่แดงไม่สุกเสร็จก็มานั่งกินตรงข้ามผมอยู่ดี

แม้ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ได้เห็นว่าเขากินอาหารที่ผมทำก็รู้สึกดีแปลกๆ

ขนมปังปิ้งที่ผมปิ้งแบบเกรียมนิดๆ ก็คงเป็นแบบที่เขาชอบเพราะเขาไม่ได้ลุกไปปิ้งใหม่

เมื่อผมกินอาหารเช้าหมดจาน ผมก็ลุกไปล้างจานของตนเอง ไม่รอเขาเหมือนกับที่ไม่ต้องรอกินพร้อมกัน ทำตัวตามปกติแบบคนที่เป็นแค่เฮาส์เมทกัน มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างตามสมควร ซึ่งอัฐก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นเพราะเขาไม่ได้ว่าอะไร

ถึงอย่างนั้น ผมก็แอบอมยิ้มคนเดียวเมื่อเดินออกจากห้องครัว

อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก แบบที่ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นเคยคิดจะย้ายออกจากบ้านเขา

อัฐดูกลับมาเป็นปกติหลังผ่านช่วงเช้า เขาจัดแจงตัวเองให้กลับมาเป็นคนเดิม อาบน้ำแต่งตัว ใส่บ็อกเซอร์แค่ตัวเดียวแล้วชงกาแฟไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน

พอผมเห็นว่าเขากลับมาอยู่ติดบ้าน ผมจึงคิดทำมื้อเที่ยงเผื่อเขาอีกมื้อ ถ้าไม่กิน ผมก็จะเก็บไว้กินเองเป็นมื้อเย็น ซึ่งเมนูที่ผมเลือกหลังจากตรวจเช็ควัตถุดิบในตู้เย็นแล้วก็คือสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ

มันเป็นเมนูที่ทำไม่ยากเพราะผมก็เคยทำกินที่บ้าน เริ่มจากหั่นมะเขือเทศกับหอมใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อเตรียมทำซอส ส่วนหมูสับมีอยู่แล้ว ผมตั้งน้ำให้เดือดรอต้มเส้นโดยไม่ลืมใส่เกลือ จากนั้นจึงตั้งกระทะใส่น้ำมันเพื่อทำซอสโดยเริ่มจากใส่หมูสับให้พอสุก ตามด้วยวัตถุดิบอื่นๆ แล้วผัดให้เข้ากัน

ก่อนที่ผมจะปรุงรสซอส ผมหย่อนเส้นสปาเก็ตตี้ลงในหม้อ เมื่อเริ่มนุ่มก็กดให้มันจมลงไปแล้วตั้งเวลา ตามซองคือ 8 นาที จะได้ไม่ขาดไม่เกิน ผมกลับมาผัดซอสต่อ จนเมื่อชิ้นมะเขือเทศละลายก็เป็นอันเสร็จ พอดีกับที่เส้นสปาเก็ตตี้สุกพอดีให้นำไปน็อกน้ำเย็นและใส่น้ำมันมะกอก

ครั้งนี้อัฐเดินเข้ามาในครัวก่อนที่ผมจะจัดลงจานเสร็จ

“คุณอัฐมาพอดีเลย” ผมทักเขา พยายามทำตัวปกติไม่ตื่นเต้น “ผมทำสปาเกตตี้เผื่อคุณด้วย กินด้วยกันสิครับ”

ผมไม่ใช้คำถามตรงๆ ว่า ‘กินไหมครับ’ เพราะกลัวเขาปฏิเสธตรงๆ เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นอัฐก็แค่มองไม่พูดอะไร ผมเลยรีบจัดลงจานให้เขาเป็นการบังคับทางอ้อม

ถึงเขาจะผีเข้าผีออกและเอาแต่ใจ แต่ผมเชื่อว่าถ้ามีคนทำอาหารและยื่นให้ตรงหน้า เขาก็น่าจะ...เอ่อ...มีมารยาทพอจะชิมมันสักนิด ผมลุ้นกว่าเมื่อเช้าเพราะมันเป็นมื้อที่สองแล้ว เขาอาจจะปฏิเสธก็ได้

แต่เมื่อเขาหยิบส้อมขึ้นมา ผมก็ใจชื้น มองเขาหมุนเส้นสปาเกตตี้ให้เป็นคำก่อนตักเข้าปาก เคี้ยวเหมือนพินิจรสชาติทำเอาผมลุ้นอีกระลอก ก่อนจะเอ่ยมา

“7 นาที 45 วินาที”

“เอ๊ะ? อะไรเหรอครับ?”

“เวลาของการต้มเส้นยี่ห้อนี้และเบอร์นี้”

“..”

“โดนซอสร้อนๆ แล้วเส้นมันสุกต่ออีกนิดหน่อย”

ผมอึ้งไป ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้ จนอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกี้น่ะ ผมกำลังแข่งขันทดสอบความแม่นยำในรายการ Master Chef ใช่ไหม แล้วเขา...เขาก็เป็นกรรมอย่างเชฟเอียน

จะเป๊ะอะไรระดับวินาทีขนาดน้าน แถมเป็น 45 วินาทีด้วยนะ ไม่ใช่ระดับนาที หรือครึ่งนาที!

แต่ถึงผมจะอยากยกมือขึ้นกุมขมับแค่ไหน การที่เห็นเขาเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งแล้วทานสปาเกตตี้ที่ต้มเส้น ‘8 นาที’ ของผมก็ทำให้ผมเย็นลง แล้วนั่งกินสปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับด้วยกัน

ดูท่า...ที่แม่เขาบอกว่าเขาชอบที่มีคนทำอาหารให้กินจะจริงล่ะมั้ง

ผมมีความสุขในอกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีอะไรเย็นๆ แผ่ทั่วกายให้คลายร้อน แม้เราจะนั่งกินโดยไม่พูดอะไรกันก็ตาม

หลังจบจากมื้อเที่ยง ผมคิดว่าจะฮึดทำมื้อเย็นต่ออีกมื้อ ต่อให้ผมลองย้อนไล่ดูวิธีต้มเส้นสปาเกตตี้ในยูทูบแล้วจะไม่มีใครกะเวลาเผื่อด้วยเหตุผลแบบเขาก็เถอะ ราวกับเป็นความจุกจิกของเขาเอง ทำให้น่าจะทำอาหารถูกปากเขายาก แต่ผมแค่คิดว่าขอให้เขาได้ลองกินอาหารของผมก่อน เดี๋ยวผมก็รู้เองแหละว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร

เย็นนั้นผมจึงตั้งใจจะทำสเต็กเนื้อซอสพริกไทยดำให้เขาเพราะเป็นหนึ่งในเมนูที่แม่เขาเอ่ยถึง โดยจะอ้างเขาว่าทำเผื่อเอาไว้เหมือนเดิม แต่ตอนที่ผมกำลังหมักเนื้อ เขาก็เดินเข้ามาเสียก่อน

“ผมจะทำสเต็กเนื้อ คุณอัฐกินเนื้อสุกระดับไหนครับ” ผมเนียนถามเขาเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายและจะมาทำไมนัก กับแค่ทำอาหารให้เขากินอีกมื้อเนี่ย

“แน่ใจเหรอว่าจะทำได้ความสุกนั้นพอดี”

แต่เขาสบตาผมแล้วถามแบบนั้นก็ทำเอาใจแฟบนิดหน่อย

“ก็...ถ้าให้เป๊ะๆ ก็มีที่วัดอุณหภูมิอยู่นี่ครับ เดี๋ยววัดบ่อยๆ ก็ได้—”

“เปิดเตาอบมาวัดบ่อยๆ ความร้อนก็ปรวนแปรแย่”

เขาดักทาง ทำเอาผมใจแฟบลงอีก

“เลิกทำเถอะ”

...แล้วจากแฟบก็กลายเป็นปวดแปลบเสียอย่างนั้น

ผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่ชอบรสอาหารที่ผมทำ หรือไม่ชอบที่มีคนทำอาหารยัดเยียดให้โดยไม่ได้ขอ แต่จะทางไหนก็เจ็บปวดทั้งนั้น

ผมพูดไม่ออก กะจะตอบรับไปอย่างที่เขาต้องการ แต่เขาก็พูดออกมาเสียก่อน

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”



**







ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 10



ตอนที่อัฐชวนไปกินข้าว ผีเสื้อไม่ได้โผล่มาบินวนอยู่ในท้องให้โหวงหวิว แต่เหมือนมีจักจั่นกรีดปีกในโสตประสาท ไล่ระดับเดซิเบลดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้นจนเกิดอาการวิ้งเหมือนจะเป็นลมแดดในหน้าร้อน

อาการนั้นทำเอาผมไม่แน่ใจว่าฟังผิดไหม แต่พอเขาหันหลังเดินลับจากห้องครัวไป ผมก็ได้สติคืน รีบเก็บเครื่องครัวและวัตถุดิบที่ทำอาหารค้างอยู่กลับเข้าที่ มึนงงเล็กน้อยว่าต้องทำอะไรต่อ จังหวะที่คิดจะก้าวออกไปหน้าบ้านก็นึกได้ว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สิ ต้องเปลี่ยนเลยแหละ

ชุดที่ผมใส่อยู่คือเสื้อยืดจากกิจกรรมมหาวิทยาลัยที่สีเริ่มซีดกับบ็อกเซอร์ แน่นอนว่าใส่กางเกงชั้นในด้วย สภาพนี้ให้รอรับพัสดุจากไปรษณีย์ยังพอไม่น่าเกลียด แต่ถ้าไปร้านอาหารคงรบกวนสายตาใครหลายคน หรือพูดง่ายๆ ว่าอุจาดตานั่นแหละ ผมจึงรีบขึ้นห้องไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อพบว่าตัวเองเลือกชุดที่จะใส่ไม่ถูก

อัฐไม่ได้บอกผมว่าจะไปร้านไหน ผมจึงต้องคาดคะเนเอาเอง ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจไปแค่ร้านอาหารใกล้ๆ บ้าน แต่อีกใจก็คิดว่าเรื่องมากอย่างเขาอาจจะไม่เลือกกินร้านอาหารบ้านๆ ก็ได้ ผมจึงเลือกชุดกลางๆ อย่างกางเกงขาเต่อทรงกระบอกตัวเก่ง กับเสื้อเชิ้ตฮาวายที่สีสันไม่ได้ฉูดฉาดแต่ออกสีครีมๆ แนวเอิร์ธโทน

เมื่อเดินลงมาใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่บริเวณหน้าประตูไม้ก็เห็นว่ารถบีเอ็มสีดำจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว ผมใส่รองเท้าเสร็จจึงเดินไปเลื่อนปิดประตูรั้ว ล็อกกุญแจ แล้วเปิดประตูรถของอัฐขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ระหว่างที่คาดเข็มขัดนิรภัย ผมแอบสังเกตการแต่งตัวของอัฐแล้วพบว่าชิวกว่าที่คิดมาก เสื้อบอลสีดำแบบที่ไม่คาดมาก่อนว่าเขาจะเล่นกีฬาชนิดนี้กับเพื่อนฝูงที่ไม่เคยเห็นสักคน กับกางเกงขาสั้นสีเดียวกันและรองเท้าแตะ Birkenstock สายสีดำ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีผมทองโดดเด่นที่ขี้เกียจเซ็ตจนปล่อยปรกลงมาก็คงคุมโทนดำทั้งตัว ผมจึงคิดว่าเขาจะไปกินร้านอาหารแถวบ้าน

แต่ผมคิดผิด

จากแถบวิภาวดี อัฐขับรถไปเรื่อยไม่พูดไม่จา ไม่เปิดเพลง ไปจนถึงงามวงศ์วาน ถึงแคราย มุ่งไปจนเกือบจะถึงแถวบ้านผมในจังหวัดนนทบุรีที่อยู่เกือบปลายสายของสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงทำเอาผมนึกอยากแวะบ้านนิดๆ

“เอ่อ...นี่แถวบ้านผมนะครับเนี่ยคุณอัฐ”

ผมลองแย้บๆ เอ่ยบอก แต่อัฐไม่ตอบ ผมจึงนั่งนิ่งเงียบเหมือนเดิม เพราะไม่รู้ว่าเขาอยากไปไหนกันแน่

ระหว่างที่เขาขับเข้าเส้นพระราม 5 ผมก็นึกถึงการเดินทางจากบ้านผมเข้าตัวเมืองแถวที่ฝึกงาน จริงอยู่ว่ามีคมนาคมหลายรูปแบบ ทั้งรถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า แต่ทุกรูปแบบใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงทั้งนั้น และไม่ใช่ว่าต่อเดียวจบ ต้องรวมเวลารอรถ เวลาเดินไปต่อรถ เวลารอรถอีกรอบ และอย่าให้พูดถึงวันฝนตกเชียว รวมทั้งเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย ประกอบกับหลังเรียนจบผมกระทบกระทั่งกับแม่บ่อยเรื่องงานจึงคิดว่าการแยกออกมาอยู่คนเดียวย่อมดีกว่า

แล้วก็ดันมีปัญหาเรื่องเงินจนต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่บ้านของอัฐนี่แหละ

ถ้าไม่นับเรื่องที่ผมแอบชอบเขาจนรับข้อเสียผีเข้าผีออกของเขาได้ ผมคิดว่าการอยู่บ้านเขามีข้อดีหลายอย่าง และดีที่สุดก็คือเรื่องกิน...

ผมอยู่กับอัฐแล้วประหยัดค่าอาหารไปได้มาก แม้แต่อาหารที่ผมทำให้เขากินก็เอาวัตถุดิบมาจากเขา แบบที่เรียกได้ว่าอยู่บ้านตนเองยังไม่ประหยัดค่ากินขนาดนี้ เพราะแม่ผมไม่ค่อยทำกับข้าวจึงไม่ค่อยซื้อของติดตู้เย็น มื้อเย็นแม่ก็กินแต่ผลไม้ ถ้าผมอยากกินหรือทำอะไรกิน ผมก็ต้องซื้อเองหมด

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการออกไปกินข้าวนอกบ้านกับอัฐ ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะประหยัดหรือฟุ่มเฟือย

แน่นอน ผมกะจ่ายเงินส่วนของผมเองอยู่แล้ว แต่คือ...ผมชักไม่รู้แล้วว่าเขาจะไปร้านถูกหรือแพง

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน

“เอ่อ...คุณอัฐจะไปร้านไหนเหรอครับ”

ผมเลิกทำทีเป็นเล่นมือถือบ้าง มองวิวบ้าง แล้วเอ่ยถามเมื่อเขาขับเข้าเส้นราชพฤกษ์แล้ว เกรงว่าเขาจะขับทะลุไปถึงฝั่งธนฯ แบบตงิดๆ

อัฐไม่ตอบมาทันที ทำเอาผมนึกว่าสิ่งที่คิดอาจเป็นจริง แต่พอตอบ คำตอบก็คาดไม่ถึงกว่านั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

ผมอยากจะเอาหัวโขกคอนโซลรถ แล้วที่ขับมาไกลและนานนี่คือยังไง้?

“คิดอยู่เหรอครับว่าจะกินอะไรดี”

“เปล่า ไม่ได้คิด”

“...”

อีกรอบที่ผมมอบจุดไข่ปลาให้เขาในช่องคำพูด ถ้าเป็นในการ์ตูน ผมพอจะเห็นเลยว่าสีหน้าผมตอนนี้เป็นยังไง

“ให้เธอเลือกแล้วกัน”

แต่พอเขาพูดออกมาแบบนั้น สกรีนโทนในการ์ตูนช่องต่อไปก็แสดงถึงความใจฟูนิดๆ ก่อนที่เขาจะเลี้ยวเข้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งในย่านราชพฤกษ์

เอาจริงไม่นึกเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วอัฐจะเลือกกินในห้างฯ เพราะผมแอบคิดว่าเขามาถึงแถวนี้คงเลือกพวกร้านอาหารสแตนด์อะโลน

หรือพูดอีกอย่าง...มาตั้งไกล ไม่คิดว่าจะกินในห้างฯ

อย่างไรก็ตาม สิทธิ์ในการเลือกร้านกลายเป็นของผมแบบงงๆ ตอนแรกผมว่าจะเลือกร้านสเต็กแต่เห็นว่าคนเยอะ ผมจึงเปลี่ยนมาเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีสาขาเยอะราวกับร้านอาหารสามัญประจำห้างฯ แต่อัฐปฏิเสธ

“น้ำเปล่าร้านนี้ไม่อร่อย”

“...”

อีกรอบที่ผมมีแค่จุดไข่ปลาอยู่ในช่องคำพูด

จริงอยู่ว่าน้ำเปล่าบางยี่ห้อมันให้รสสัมผัสไม่นุ่มคอ ไปจนถึงขั้นขมนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่คิดว่าอัฐจะปฏิเสธกินอาหารร้านใดร้านหนึ่งเพราะส่วนเล็กๆ อย่างน้ำเปล่า

และไม่ทันให้ผมพูดท้วงว่ากินน้ำดื่มอื่นๆ แทนก็ได้ อัฐก็เอ่ยปากเลือกอีกร้านแล้ว

“ร้านนี้แล้วกัน อาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน”

เขาพูดเสียงเบา ไม่ได้ชี้มือชี้ไม้ เพียงมองไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นอีกร้านที่มีทั้งแบบบุฟเฟต์และอะลาคาร์ทซึ่งคนรอคิวเยอะพอดู

“ท่าทางจะคิวนานนะครับ” ผมเอ่ย มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกคอมมูนิตี้มอลล์ที่เริ่มครึ้ม เพราะรู้สึกว่าจวนเวลาประจำของมื้อเย็นแล้ว กลัวจะหิวท้องกิ่วกันก่อน

“ระหว่างนั้นไปซื้อของรอก็ได้” แต่เขาดูไม่ได้ซีเรียสอะไร

“งั้นผมจองคิวให้นะ”

ผมบอกเขาแล้วเดินไปจองคิวกับพนักงานต้อนรับ ดีที่ทางร้านจะโทรหาเมื่อถึงคิวจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนข้ามคิวหากไม่อยู่ เสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาหาอัฐที่ยืนโดดเด่นท่ามกลางฝูงชนทั้งด้วยความสูงและผมสีทอง ซึ่งเมื่อเขาเห็นว่าผมเดินมา ก็หันหลังเดินนำไปโดยไม่พูดอะไร

“พี่อัฐคะ” พลันเสียงของเด็กผู้หญิงเอ่ยเรียกเขา ผมเพิ่งสังเกตได้ว่าเด็กผู้หญิงสองคนวัยประมาณ ม.ปลาย ที่เดินมาทางเดียวกัน ที่แท้เดินตามอัฐมานี่เอง

“คือ...หนูเป็นแฟนนิยายพี่ ขอถ่ายรูปกับพี่หน่อยได้ไหมคะ”

เธอเอ่ย เกาะแขนกับเพื่อนแบบตื่นเต้น สีหน้าดูเขินอายนิดๆ แต่ก็ยิ้มเป็นมิตร เตรียมือถือไว้ถ่ายรูป

อ่า...ถึงระดับมีนักอ่านโผล่มาขอถ่ายรูปเวลาไปไหนมาไหน ก็ช่วยเตือนให้ผมไม่ลืมว่าอัฐเป็นนักเขียนที่โคตรดังและเป็นกระแส

ผมคิดว่าอัฐจะตอบรับให้จบไปง่ายๆ แต่ไม่ใช่

“ไม่สะดวกครับ”

ว่าแล้วก็เดินผ่านไป ทิ้งให้เด็กสาว ม.ปลาย สองคนหน้าเหวอจนผมต้องรีบเดินตามอัฐไป

“ทำไมไม่ถ่ายรูปกับพวกน้องๆ เขาหน่อยล่ะครับ ตอนคุณอัฐปฏิเสธ น้องหน้าเสียเลยนะ” ผมเอ่ยถามอัฐอย่างอดไม่ได้ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องของเขาก็เถอะ ซึ่งอัฐยังคงก้าวยาวๆ ให้ผมต้องเดินตามเคียงข้างให้ทันแล้วเอ่ยตอบ

“ถ้าได้ 1 ครั้ง ก็จะมีอีกนับครั้งไม่ถ้วน”

คำตอบคราวนี้ไม่ทำให้ผมเกิดจุดไข่ปลาในช่องคำพูด เพราะเหตุผลของเขามันก็เข้าใจได้ ยิ่งเป็นคนขี้รำคาญแบบเขายิ่งไม่น่าแปลกใจ

“แล้วแบบนี้...ไม่กลัวโดนหาว่าหยิ่งเหรอครับ”

ผมถามอีกคำถามที่สงสัย ซึ่งคราวนี้อัฐไม่เอ่ยตอบ อาจเพราะมาถึงบทที่ขี้เกียจจะตอบพอดี แต่การกระทำนั้นก็ทำให้ผมตีความเป็นคำตอบได้อยู่ดีว่าเขา ‘ไม่ได้แคร์’ ต่อให้ถูกหาว่าหยิ่งก็ตาม

เพราะเขาเป็นแบบนี้น่ะแหละ จึงต่างกับคนอื่น

ผมคิดพลางแอบมองแผ่นหลังของคนที่ไม่เหมือนใครในระหว่างที่เขาหิ้วตะกร้าของซูเปอร์มาร์เก็ตมายืนที่ล็อกขนมหวาน เขาหยิบพวกช็อกโกแล็ตลงตะกร้าหลายกล่อง ผมเพิ่งสังเกตในตอนนั้นเองว่าส่วนใหญ่เป็นดาร์กช็อกโกแล็ตเพราะช็อกโกแล็ตที่เขาเอาใส่ตู้เย็นให้ผมเป็นช็อกโกแล็ตที่มีรสหวานเหมือนขนมทั่วไป รวมถึง...Guylian ที่แม่เขาซื้อมาฝากด้วย

“คุณอัฐกินแต่ดาร์กช็อกโกแลตเหรอครับ”

“ใช่” แล้วผมก็ได้คำตอบยืนยันว่าทำไมเขาเอาของฝากของแม่มาให้ผมซะงั้น “เธอเอาไหม”

พลันเขาถามโดยไม่ได้หันมามองหน้า พร้อมหยิบช็อกโกแล็ตแบบความเข้มข้นไม่เกิน 70% ขึ้นมา

“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบติดขัดนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะนึกเผื่อผม “ช็อกโกแล็ตในตู้เย็นผมคงยังกินได้อีกนานเลย”

พูดแบบนั้นเขาจึงวางมันลง ก่อนจะเดินไปที่ล็อกอื่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องเดินตามเขาต้อยๆ อาจเพราะผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไรแต่แรกอยู่แล้วมั้ง

อัฐหยิบเส้นพาสต้า 3-4 แบบรวมถึงเส้นสปาเกตตี้ ‘7 นาที 45 วินาที’ ใส่ตะกร้าก่อนเดินไปจ่ายเงิน พอดีกับที่ทางร้านอาหารโทรมาบอกว่าถึงคิว เมื่อจ่ายเงินเสร็จเราจึงพากันไปที่ร้านโดยไม่แวะดูอะไร

ถึงแม้หน้าร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่รอคิวอยู่ แต่บรรยากาศในร้านก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร มีเสียงพูดคุยระหว่างมื้ออาหารตามปกติ เสียงเครื่องครัวกระทบกันจากครัวที่เปิดโล่งให้ลูกค้าเห็นกระบวนการทำ และเสียงเพลงภาษาญี่ปุ่นเปิดคลอให้พอได้บรรยากาศ

เราได้ที่นั่งตรงโต๊ะติดกับสายพานซูชิพอดี แต่ทั้งผมและอัฐก็เลือกสั่งแบบอะลาคาร์ทไม่ใช่บุฟเฟต์ สาเหตุที่ผมไม่เอาบุฟเฟต์ก็เพราะว่า...นั่นแหละครับ ไม่ค่อยมีเงิน ส่วนอัฐก็คงไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะมากินกระหน่ำแต่แรก

เขาเลือกเมนูอยู่นานพอดู ขณะที่ผมเลือกเซ็ตข้าวปลาซาบะย่างไปแล้วตั้งแต่เปิดเมนูหน้าแรกๆ เพราะถูกดี สุดท้ายเขาก็เลือกเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่นในที่สุด

เมื่อพนักงานรับออเดอร์เสร็จ ผมถึงเพิ่งรู้สึกว่าต่อจากนั้นคือช่วงเวลาแห่งความเกร็งและอึดอัด เพราะเรานั่งตรงข้ามกัน หันหน้าเข้าหากัน ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องคุยย่อมอยากก้มหน้าทำอย่างอื่น

ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเรื่องอยากคุยกับเขา มันมีแน่ล่ะ เยอะแยะเต็มไปหมด เช่นว่า ทำไมถึงเกลียดการวางเงินทิ้งไว้ขนาดนั้น เขาโอเคขึ้นหรือยังหลังเลิกกับแฟน ช่วงที่ไม่อยู่บ้านนี่หายไปไหน ทำอะไร แต่ก็ดูจะละลาบละล้วงคนขี้รำคาญอย่างอัฐมากเกินไปจนเขาคงไม่ตอบหรือไม่ก็ส่งสายตาพิฆาตมา

ขณะเดียวกัน...ถ้าถามเรื่องจิปาถะไร้สาระ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะตอบหรือเปล่า

ถึงอย่างนั้นผมก็อยากลองถามดู ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องชวนคุย แต่ความตื่นเต้นก็ทำให้นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร จึงถอยทัพมาก้มมองหน้าจอมือถือ เลื่อนฟีดดูนู่นดูนี่เผื่อเจอประเด็นที่ใช้เป็นหัวข้อสนทนาได้

“เธอน่ะ”

แต่...ผิดคาด อัฐเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงเบาเป็นเอกลักษณ์

ผมปิดล็อกหน้าจอมือถือ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเขานั่งเท้าคางกับโต๊ะแบบสบายๆ ขณะที่ดวงตาสีดำจ้องเขม็ง

“จะว่ายังไงดีล่ะ...” เขาใช้คำพูดที่ดูขี้เกียจกลั่นกรองคำต่อไป ต่างจากแววตาที่แน่วนิ่ง “แม่ฉันเล่าอะไรให้ฟังใช่ไหม”

“อ่า...ใช่ครับ”

“ที่ว่าฉันเลิกกับแฟนล่ะ?”

ครั้งนี้ผมพยักหน้าแทนคำพูด รู้สึกร้อนวาบในใจไม่ต่างจากตอนที่ได้รู้เรื่องนี้จากปากแม่เขา

ผมแปลกใจที่เขาพูดเรื่องเลิกกับแฟนออกมาเอง แต่พอทบทวนดูก็เหมือนเขาอยากยืนยันมากกว่าว่าแม่ตนมาพูดอะไรกับผมบ้าง

“แล้วแม่ก็ขอให้เธอทำอาหารให้ฉันกินใช่ไหม”

ดูเขาจะรู้ทันไปหมด และถึงเป็นประโยคคำถามแต่ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ เขาพูดประโยคถัดไปทันที ซึ่งเป็นประโยคที่เหมือนลบเสียงบรรยากาศภายในร้านไปทั้งหมด

“เธอไม่จำเป็นต้องทำให้ฉันกินหรอก”

ทั้งเสียงเพลงสไตล์ญี่ปุ่น เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของโต๊ะอื่น เสียงเครื่องครัวกระทบกันในโซนครัวเปิด ทั้งหมดนั่นถูกลบออกไปจากโสตประสาท

“ถ้าจะทำเพราะสงสารก็อย่าเลย ฉันไม่ได้ต้องการ”

...เหลือแต่เพียงเสียงของเขา

ว่าจบเขาก็ยังจ้องเขม็งจนทำเอาลืมหายใจ ก่อนที่สายตานั้นจะละไปมองแก้วน้ำดื่มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ แล้วสรรพเสียงทั้งหมดจึงกลับมาบรรเลงในโสตประสาท

ผมรู้สึกว่าจะกลืนน้ำลายยังลำบากในเวลานั้น

มันเป็นอีกครั้งที่ใจผมถูกกระทบกระแทกเพราะคำพูดของเขา แต่ครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการกระทำของผมเอง

ผมรู้ว่ามันไม่แปลกถ้าเขาจะเข้าใจว่าผมสงสาร ในเมื่อเราไม่ได้สนิทกัน และก่อนหน้านี้เราก็พูดไม่ดีใส่กันด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมน่าจะทำคือการขนของย้ายออกจากบ้านอย่างที่พูด ไม่ใช่พอเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ก็เข้าครัวทำอาหารให้เขากินตั้งหลายมื้อ

อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจแบบนั้น

ผมไม่อยากให้เขารู้สึกแย่เพราะคิดว่าผมสงสารเขา

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออก เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเขาเปลี่ยนความสนใจจากผมไปเป็นหน้าจอมือถือตนเองแล้ว

“ผมไม่ได้ทำอาหารให้คุณอัฐกินเพราะสงสารนะครับ”

คำพูดของผมทำให้เขาเหลือบตาขึ้นมามอง ผมดีใจที่เห็นแบบนั้น เพราะแปลว่าเขาสนใจฟังอยู่ ผมจึงพูดความในใจต่อทันที

โดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าตัวเองตอนนั้นจริงจังขนาดไหน

“ผมทำให้คุณด้วยความเต็มใจต่างหาก”



**


ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 11



“ผมทำให้คุณด้วยความเต็มใจต่างหาก”

หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้น สรรพเสียงก็ถูกลบหายอีกครั้ง

เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามหลังรู้สึกตัวว่าพูดจริงจังไปหน่อย

นัยน์ตาสีดำของอัฐยังช้อนมองผมเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนสีหน้า ราวกับสิ่งที่ผมพูดไปเป็นแค่เรื่องจิปาถะ ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร

ไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

ดีใจบ้างไหมที่ได้ฟัง หรือว่าประหลาดใจ หรือว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

ผมอยากถาม แต่เสียงพูดของตนก็เหมือนถูกลบหายไปด้วย ลบไปกระทั่งเสียงหัวใจเต้นโครมครามเมื่อครู่

ผมพูดไม่ออก นึกไม่ออกว่าต้องพูดอะไรต่อ เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะจมลงในผืนน้ำที่ไร้เสียง โชคดีที่สรรพเสียงกลับมาพร้อมกับพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟ ปิดท้ายด้วยคำอวยพรว่าขอให้ทานให้อร่อย

ตอนนั้นเองที่อัฐละสายตาจากผม เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งนิ่งมาหยิบตะเกียบ เตรียมกินอาหารให้อร่อยดังที่พนักงานว่า ขณะที่ตัวผมยังมึนงงเลิ่กลั่ก จ้องมองการกระทำของอัฐต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหยิบช้อนกับตะเกียบในเซ็ตอาหารของตนเองขึ้นมากินบ้าง

โอย

หัวใจผมเพิ่งร้องครวญในเวลาที่ตักข้าวเข้าปากแล้วตีความรสชาติไม่ได้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย

อยากจะบ้าตาย

แต่...ถ้าย้อนเวลาได้ ผมก็จะพูดแบบเดิมอยู่ดี

ผมไม่เสียใจเลยที่ได้พูดมันออกไป

ที่อยากจะบ้าตายน่ะคือเดาใจเขาไม่ออกต่างหาก

เรากินอาหารมื้อนี้กันเงียบๆ คงไม่ต้องถามถึงความเกร็ง เพราะผมเกร็งอยู่แล้ว แต่ไอ้คุณอัฐคงไม่เกร็งอะไรเลย ด้วยปกติก็เป็นคนเงียบๆ การจะปล่อยคนร่วมโต๊ะอาหารกินไปเงียบๆ ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไร

ผมได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่ากินข้าวคือกินข้าว ใครเขาคุยกัน จนกระทั่งอัฐกินหมดก่อนผม รวบช้อนและตะเกียบเรียบร้อย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ตอนนั้นเองที่ผมอยากให้เขาจุกจิกและเอ่ยวิจารณ์ข้าวที่เพิ่งกินไป เช่น ข้าวแฉะไป ซุปเค็มไป หรือซอสปรุงมากลมกล่อม ให้ผมสานต่อบทสนทนาสักนิด

แต่ไม่ เขาก็แค่เล่นมือถือเหมือนเดิม

แน่นอน ตอนนั้นผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคนไม่ติดโซเชียลอย่างเขาเล่นอะไรอยู่ แต่ก็ได้แค่สงสัยนั่นแหละ แล้วรีบกินข้าวของตัวเองให้หมดจาน

“เรียกเช็กบิลเลยไหมครับ”

ผมถามเมื่อกินเสร็จ เขาจึงเงยหน้าจากมือถือขึ้นมามอง ก่อนจะเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาพอดี ซึ่งพนักงานตอบรับคำขอเช็กบิล เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสรุปยอด

ผมเห็นดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินใบสั้นสีน้ำตาลขึ้นมาเตรียมจ่ายส่วนของผมเอง นับแบงค์ในกระเป๋าก็เห็นว่าพออยู่ ไม่ต้องออกไปกด ATM แล้วไม่นานนักพนักงานคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมบิล แต่ไม่ทันให้ผมพูดอะไรกับอัฐ เขาก็วางบัตรเครดิตลงในถาดบิลโดยไม่ได้เช็กดูด้วยซ้ำ ซึ่งพนักงานก็รับแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เลย

“เอ่อ...งั้นผมจ่ายส่วนของผมให้คุณอัฐนะครับ” ผมแก้สถานการณ์

“ไม่ต้องหรอก”

“แต่ผมไม่อยากรบกวน...”

“บอกว่าไม่ต้อง”

เขาปฏิเสธ ไม่ได้เสียงแข็ง แค่พูดเสียงเบาตามปกติธรรมดา แต่ก็พอจะทำให้ผมไม่พูดต่อ

ถึงอย่างนั้น ผมก็นึกเถียงเขาอยู่ดี เพราะรู้สึกว่ารบกวนเรื่องอาหารการกินเขามานานแล้ว ยิ่งออกมาข้างนอกแล้วยังจ่ายให้อีกก็ยิ่งเกรงใจ

พลันผมนึกอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ผมเคยสรุปเองว่าทำไมเขาถึงให้ผมหยิบของในตู้เย็นเขาไปกินได้

“คุณอัฐ” ผมเกริ่นก่อนที่พนักงานจะนำบัตรเครดิตมาคืน ซึ่งอัฐเบนสายตาที่กำลังมองนอกร้านอยู่กลับมา สบตา รับฟังสิ่งที่ผมพูด “ไม่คิดบ้างเหรอครับว่า...ที่คุณให้ผมหยิบของในตู้เย็นคุณไปกินได้ฟรี รวมถึงออกมากินข้าวข้างนอกก็ออกเงินให้ มันเป็นการสงสารผมเหมือนกัน”

อัฐเงียบ ไม่โต้ตอบ แว้บนึงผมใจไม่ดีขึ้นมา ว่าก็ว่าเถอะ ผมกลัวเขาจะตอบมาว่า ‘งั้นจากนี้ไม่ต้องมาหยิบอะไรอีก’ จึงรีบพูดต่อโดยเร็ว

“เพราะงั้น...ถ้าคุณจะไม่ให้ผมจ่ายเงิน ก็ให้ผมทำกับข้าวให้คุณกินเป็นการแลกเปลี่ยนนะครับ”

เงียบ

อัฐยังคงเงียบ

เงียบจนเป็นผมเองที่เสียงดังเพราะใจเต้นแบบลุ้นคำตอบเหลือเกิน

“ถ้าผมว่างน่ะ...”

จนผมขอห้อยท้ายประโยคนี้ไปเพื่อไม่ให้ดูแปลก และไม่ดูจริงจังเกินเหมือนตอนที่บอกเขาว่าเต็มใจทำอาหารให้กิน

กระนั้น ผมก็ไม่ได้คำตอบจากอัฐ

พนักงานเดินมาคืนบัตรเครดิตพร้อมบิลให้เสียก่อน ซึ่งอัฐก็หยิบบัตรเครดิตใส่กระเป๋าตังค์หนังใบสั้นสีดำก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านให้ผมตามไปอย่างช่วยไม่ได้

ผมไม่อยากเซ้าซี้เขาอีก ที่ทำคือเหมาเอาเองเหมือนเดิม ว่าไอ้ที่เขาเงียบน่ะ...คือตกลง

วันนั้นเราจึงเดินทางกลับบ้านด้วยความเงียบไม่ต่างจากขามา คำถามเดียวที่เขาถามผมคือสิ่งที่ไม่คิดว่าเขาจะถาม

“บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ” เขาถามเมื่อขับผ่านแถวบ้านผม

“ครับ ไม่ไกลจากเซ็นทรัลเวสต์เกต”

ผมตอบพร้อมรายละเอียด ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาอีก เป็นอันจบบทสนทนาในรถ รวมถึงบทสนทนาในวันนั้น

แล้วหลังจากวันนั้น เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกหลายวัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ เขาเคยขีดเส้นแบ่งโลกของตัวเองไว้ชัด ผมก็แค่เคารพเส้นนั้นไม่ล้ำเข้าไป อีกสาเหตุคือมีบางวันที่เขาก็ยังหายไปไหนไม่รู้ได้ แต่ผมก็ไม่เห็นเขากลับมานอนหมดสภาพตรงโซฟาอีก

ส่วนเรื่องทำกับข้าวให้เขากินเป็นการแลกเปลี่ยน ผมก็ไม่ได้ทำบ่อยจนผิดสังเกต... อ่า จะว่าไปเล่าข้ามไปหน่อยนี่นา

ผมลืมเล่าเรื่องของวันถัดมาหลังเราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้ทำกับข้าวให้เขาบ่อยนัก

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ วันหยุดอีกวัน ผมที่ว่างๆ ประกอบกับเนื้อที่หมักไว้เมื่อวานยังไม่ได้เอามาทำอาหาร ผมจึงนำมันมาทำสเต็กเพื่อกินเองและเผื่อเขาอย่างที่ตั้งใจ ส่วนระดับความสุกก็เอาแบบที่ผมชอบ เป็นการลองสุ่มดูนั่นแหละว่าเขาจะชอบไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ค่อยปรับเปลี่ยนวันหลัง

แต่พอยท์มันอยู่ตรงที่...ลองแล้วก็ยังไม่รู้

เหมือนเดิมที่อัฐเข้าครัวมาตอนที่ผมทำเสร็จพอดีให้ผมเอ่ยชวนตามปกติ

และเหมือนเดิมอีกนั่นแหละที่ผมจะใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ด้วยความลุ้นว่ามันจะถูกปากเขาไหม ลอบมองเขาที่ค่อยๆ หั่นเนื้อสเต็กเพื่อเผยเนื้อสีชมพูอมน้ำตาล ฉ่ำเลือดเพียงนิดๆ แล้วใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อเข้าปาก

“มีเดียมแรร์นี่”

เขาพูดออกมาหลังเคี้ยวเสร็จ ซึ่งก็เดาใจไม่ถูกว่าชอบหรือไม่ชอบ ผมจึงเอ่ยถาม

“ชอบไหมครับ? อร่อยไหม?”

“ไม่รู้สิ”

“...”

เขาตอบโดยไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เพียงเดินไปหยิบขวดเกลือมาโรย ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งกิน ซึ่งไอ้การนั่งกินสเต็กมีเดียมแรร์ชิ้นนี้จนหมดจานก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเขาชอบมัน เพราะสปาเก็ตตี้ที่ต้มเส้นเกินเวลาไป 15 วินาทีเขาก็เคยกินจนหมด ทำผมไม่แน่ใจว่าเขากลัวเสียมารยาท หรือว่าเสียดายของกันแน่

ไอ้บ้าเอ๊ย

ผมด่าเขาในใจแบบนั้น อยากจะบ้าตายกับความเดาใจไม่ถูก จนผมขอไม่ทำอาหารให้เขากินบ่อยนัก ทำแค่เมนูที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะถูกปากเขาก็พอ ซึ่ง...ก็ดีล่ะมั้ง เพราะจะได้ไม่ต้องเหนื่อย แถมไม่ดูยัดเยียดเกินไปด้วย

แล้วความสัมพันธ์ของผมกับเขาหลังจากที่... ทะเลาะกันจนผมคิดย้ายออก > เขาเลิกกับแฟนจนไม่ค่อยกลับบ้าน > ผมเปลี่ยนใจไม่ย้ายออกและทำอาหารให้กินหวังว่าจะดีขึ้น > เขานึกว่าผมสงสารแต่ผมยืนยันว่าเต็มใจทำให้ประกอบกับเป็นการแลกเปลี่ยนที่ให้กินฟรี...ก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น

ครับ...ช่วงนั้นไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเลย

ที่คืบหน้าก็เห็นจะเป็นการหายออกจากบ้านของอัฐที่ยังมีบ้างประปรายแต่ก็น้อยลงเรื่อยๆ

ถ้าการหายออกไปคือการออกไปเศร้า ไปหาอะไรทำ ไปรักษาแผลใจ หรืออะไรก็ตาม ผมก็หวังว่าเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นในท้ายที่สุด เพราะผมคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำอาหารให้เขากิน

อ่า แล้วที่คืบหน้าอีกอย่างก็คือเรื่องงานของผมครับ

ประเด็นสำคัญจริงๆ มันอยู่ตรงนี้แหละ

ในที่สุดผมก็ได้พากย์จริงแล้ว เย้ ถึงจะแค่ 2 ประโยคก็เถอะ

มันเป็นบทตัวประกอบแบบตัวประก๊อบตัวประกอบ แต่ผมก็ดีใจที่ได้พากย์และเขานำไปใช้จริง ซึ่งโอกาสแรกที่มาถึงค่อนข้างจะปุบปับเพราะไม่มีการบอกล่วงหน้า แถมปกตินักพากย์จะทำงานแบบเพิ่งรู้บทในห้องพากย์เลย ผมจึงไม่ได้ซ้อมมาก่อน แต่ด้วยความดีใจผมเลยจำบทได้แม่น นำมาพากย์เล่นขณะเปิดตู้เย็นดูว่าจะทำอะไรกินหลังกลับมาบ้าน

แน่นอนว่าอัฐไม่อยู่ ผมเลยทำเสียงดังได้ตามอำเภอใจ

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอให้ความอร่อยของมื้อนี้ทำให้คุณสองคนรักกันมากขึ้น”

บทบ๋อยคนนี้มันดูเสี่ยวๆ หน่อยแหละแต่ผมว่าก็น่ารักดี ค้นตู้เย็นไปพลางพากย์ไม่หยุดปาก แถมพากย์บทของตัวละครหลักในฉากนั้นด้วย

“โอ้ ขอบคุณค่ะ กิลเบิร์ต ฉันว่าร้านนี้น่ารักจังเลย คุณว่าไหม” พากย์เสียงหญิงสาวพลางหยิบหอมใหญ่ขึ้นมา

“ถ้าคุณชอบก็ดี ถึงผมจะคิดว่ามันเลี่ยนไปหน่อย” อันนี้ก็พากย์เสียงชายหนุ่มมาดขรึมพร้อมหยิบหมูสับออกมา

“แหม คุณล่ะก็ ถ้างั้นเรามากินไข่เจียวหมูสับใส่หอมใหญ่กันเถอะ” ผมปรับบทพูดสุดท้ายพร้อมหยิบไข่ไก่มาสองฟองแล้วปิดตู้เย็น แต่จังหวะที่หันหลังไปวางวัตถุดิบบนโต๊ะ ผมก็ชะงักจนไข่เกือบหล่นหลุดมือ

ไอ้คุณอัฐ!

มายืนอยู่ตรงประตูครัวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย!

“เอ่อ...เอ่อ...คุณอัฐกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

ผมเอ่ยถาม รู้สึกเหงื่อตกนิดๆ เพราะเกรงว่าเขาจะเห็นความติงต๊องของผมตั้งแต่แรก ซึ่งเขาไม่ได้ตอบทันที ยังคงยืนพิงประตูและจ้องตรงมาให้ผมเกร็งเล่น

โอ๊ย...คิดอะไรอยู่ก็ช่วยบอกหน่อยเถอะคร้าบ

“ฉันอยู่บ้านแต่แรกแล้ว”

“...”

แต่คำตอบก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย นึกย้อนถึงรู้ว่าความดีใจทำผมลืมไปเลยว่ารถเขาจอดอยู่ ผ่านประตูไม้มาเห็นเขาไม่อยู่ข้างล่าง คอมปิด ก็เหมาไปเลยว่าเขาไม่อยู่

“ไม่พากย์ต่อล่ะ?”

แล้วนั่น...แกล้งผมหรืออะไรเนี่ย ฮือ

“ไม่ล่ะครับ”

ผมตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อน ไม่ต้องเดาเลยว่าใบหน้าที่ขึ้นสีโคตรง่ายของผมคงกำลังแดงแป๊ดด้วยความอับอาย แต่ผมก็พยายามแก้สถานการณ์ ค่อยๆ วางวัตถุดิบในมือลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยถาม

“ผมกำลังจะทำข้าวเย็น...เอ่อ...เป็นเมนูไข่เจียว คุณอัฐกินด้วยกันไหมครับ”

พอถามจบ เขาก็ปรายตามองวัตถุดิบที่อยู่บนโต๊ะ เดาใจไม่ถูกเลยว่าอยากกินหรือไม่อยากจนกว่าเขาจะตอบ ซึ่งเขาไม่ตอบ แต่...

“ถ้าเธอทำเสร็จแล้วจะเสิร์ฟให้ฉันพร้อมกับพากย์แบบนั้นไหม”

โอ๊ย...

นี่มัน...

นี่มันเห็นทั้งหมดแต่แรกเลย!

ผมอยากยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย อยากเขย่าคอเสื้อ...ไม่สิ อยากเขย่าคอคนไม่ใส่เสื้อใส่แต่บ็อกเซอร์ว่าทีอย่างนี้ล่ะพูดมากจัง แต่ผมก็ได้แค่ทำเป็นนิ่งๆ ไม่ให้เห็นว่าเลิ่กลั่กไปมากกว่านี้ ขณะที่อัฐเดินมาเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะไปนั่งแล้ว

“ยังไงนักพากย์ก็ต้องมีความเป็นนักแสดงอยู่ในตัวไม่ใช่เหรอ”

เขาพูด ช้อนตาขึ้นมองแบบที่ชอบทำ ซึ่ง...คงเพราะผมกำลังอายมากๆ จึงรู้สึกว่าสายตาเขาเวลานี้กำลังเชยคางผมด้วยมือใหญ่จนหันหน้าหนีไม่ได้

ส่วนที่เขาพูด...มันก็จริง นักพากย์เวลาพากย์ต้องทำสีหน้าตามบทไม่ต่างจากนักแสดงถึงจะพากย์ได้ดี แต่ว่า...

“ไม่เห็นต้องอาย”

...จะไม่ให้อายได้ยังไงเล่า!

คนที่แอบชอบจ้องเขม็งมาขนาดนี้ ใครก็อายทั้งนั้นไหม!

ผมอยากมุดหนีลงใต้โต๊ะ จากที่อับอายเมื่อครู่เริ่มกลายเป็นเขินอายผสมปนเป หัวใจเต้นโครมครามเหมือนมันจะเด้งหลุดออกจากอก

“แสดงให้ดูหน่อยสิ”

แล้วไม่รู้ทำไม...ทั้งที่เขาก็ใช้เสียงเบาตามบุคลิกปกติ ราบเรียบ ไม่ได้เน้น ไม่ได้ย้ำ และแทบไม่ได้ขยับตัว แต่ผมรู้สึกว่าคำพูดจากน้ำเสียงนั้นคุกคามหัวใจดวงน้อยๆ ของผมอย่างรุนแรง

หนึ่งในเหตุผลอาจเพราะเขาใช้คำว่า ‘แสดง’ แทนคำว่า ‘พากย์’

มันฟังดู...เหมือนคนรอชมกำลังจ้องมองมากกว่าแค่ฟัง

แต่เขาก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้น

เขาพูดประโยคถัดมาด้วยเสียงเบาไม่ต่างจากเดิม แต่เนื้อความในประโยคก็เหมือนล่อลวงให้เดินเข้าไปหาเขาได้โดยง่าย ราวกับ...หนูที่หิวโซจนพลาดติดกับดัก

“แล้วฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง”


**



ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
มาจ้องแบบนี้ก็เขินเป็นนะคุณ

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 12



ถ้าถามว่าผมเป็นหนูตัวนั้นที่ติดกับดักหรือเปล่า

คำตอบก็คือ...

“คุณอัฐ...จะเล่าอะไรให้ผมฟังเหรอครับ”

หนูตัวจ้อยนั้นแย้บถาม แม้ว่าใจจะน้ำลายสอไปแล้วกับเหยื่อที่เขาเอามาล่อ ผมอยากฟังสิ่งที่คนแบบเขาจะเล่าให้ฟังใจจะขาด อยากรู้มากว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องของเขาเองไหม และทำไมถึงคิดมาเล่าให้ฟัง

“ไม่รู้สิ”

แล้วคำตอบของอัฐก็...แกล้งผมชัดๆ

เขาต้องรู้อยู่แล้วสิว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ตอบแบบนี้มันแกล้งผมชัดๆ!

อ่า

แต่คิดอีกที หรือเขาจะไม่รู้จริงๆ เหมือนตอนที่ขับรถไปไกลถึงเส้นราชพฤกษ์แต่ไม่รู้จะกินอะไร...

แค่คำตอบก็โคตรปั่นแล้ว เหมือนผมเป็นหนูติดจั่นแล้วเขาก็ใช้เพียงนิ้วชี้มาหมุนกงล้อให้แรงขึ้นอีก ทำเอาผมอยากจะบ้าตาย และถึงรู้ว่าเขาแกล้ง หัวใจก็ยังเต้นกระสับกระส่ายไม่เป็นตัวเอง ต่อให้หลุดจากกงล้อนั้นมาได้แต่ก็มึนเบลอไปหมด

“สัญญากับผมไหมครับ...ว่าถ้าผมทำ คุณอัฐจะเล่าให้ฟังจริงๆ”

มึนเบลอจนค่อยๆ ก้าวเข้าหากับดักช้าๆ...

“สัญญา”

และปัง!

ติดกับเข้าให้โดยสมบูรณ์

แค่เขาตอบมาเบาๆ ว่าสัญญา ใจผมก็เหมือนจะหลอมเหลวแล้วแข็งตัวใหม่เป็นดาร์กช็อกโกแล็ตให้เขากินแล้ว

ก็มัน...สัญญา สัญญาอะ! คนอย่างอัฐพูดคำนั้นกับผมด้วย ต่อให้มันจะดูเป็นการทำสัญญากับปีศาจก็เถอะ

ผมเก็บรวบรวมสติที่ปลิวกระจายไปทั่วห้องครัวขึ้นมาใหม่ บอกอัฐให้รอผมเจียวไข่แป๊บนึง ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าระหว่างนั้นเขาทำอะไรรอ เพราะผมต้องใช้สมาธิสูงมากในการประกอบชิ้นสติไม่ให้กลับไปร่วงกราว และจดจ่อกับการทำเมนูไข่เจียวง่ายๆ

ผมตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ตอกไข่สองฟองลงถ้วย ตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว หยิบเขียงมาหั่นหัวหอมโดยหั่นตรงขั้วออกก่อนจะได้แสบตา จากนั้นจึงใส่หมูสับ ใส่หัวหอมที่หั่นแล้วลงในถ้วยไข่ ปรุงรสนิดหน่อย เจียวให้เข้ากัน เหยาะไข่ที่ติดส้อมลงกระทะเพื่อทดสอบความร้อน เมื่อเห็นว่าร้อนได้ที่แล้วก็ค่อยๆ เทลงไปจนเกิดเสียงฉ่า

ผมไม่ถนัดการทำไข่เจียวให้ฟูกรอบ ทำได้แค่ไข่เจียวเนื้อนิ่มธรรมดาๆ สีเหลืองติดน้ำตาลแบบเกรียมเล็กน้อย เมื่อมันส่งกลิ่นหอมพร้อมลงจาน ผมก็สะเด็ดน้ำมัน เปิดหม้อหุงข้าว ตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานแล้วนำไข่เจียวมาโปะลงไปเป็นอันเสร็จสรรพ

ขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดมันถัดจากตรงนี้ต่างหาก...

การเสิร์ฟจานนี้พร้อมการพากย์ที่หวานเลี่ยน

ผมหายใจเข้าออกลึกๆ ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าผมทำใจดีสู้เสือมาได้ตั้งหลายรอบ รอบนี้ก็ต้องทำได้


งานพากย์คืองานของผม และมันก็คือการแสดงอย่างหนึ่ง!

เมื่อปลุกใจให้ฮึกเหิมได้ ผมหันกลับไปแบบพร้อมเสิร์ฟพร้อมพากย์ แต่แล้วทุกอย่างก็เหลวเป๋วเมื่อเห็นว่าเขานั่งเท้าคางจ้องผมอยู่

สมองอันเข้าข้างตัวเองเก่งอดคิดไม่ได้ว่าเขาจ้องผมแบบนั้นตลอดเลยหรือเปล่า เพราะมองหามือถือที่เขาจะละสายตาไปอยู่กับมันก็พบว่าไม่มี พอเป็นแบบนั้นใจผมก็อ่อนยวบยาบแบบน่าตีให้เข็ด

“เอ่อ...ผมต้องพากย์เลยไหมครับ”

ผมยิ้มเจื่อนๆ และถามเขา ผิดจากความตั้งใจแรกที่จะหันมาแบบฟึบฟับ เสิร์ฟ พากย์ ให้จบๆ ไป

“เอาสิ”

อัฐตอบพร้อมนำศอกที่เท้าคางอยู่ลงจากโต๊ะ เปิดพื้นที่ให้ผมนำมาเสิร์ฟได้ ซึ่งผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่กล้าสบตาเขา สบตาไข่เจียวในจานแทน พร้อมกับวางมันลง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากหลับตาปี๋พร้อมพากย์ออกมา

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอให้ความอร่อยของมื้อนี้...ทำให้คุณมีความสุข”

ผมปรับบท เพราะไม่อยากให้ฟังหวานเลี่ยนเกินและไม่เข้ากับบริบท ไม่กล้าสบตาเขา แค่จะเหลือบมองก็กลัวใจเหลวจนมุดหัวลงใต้โต๊ะเป็นการหนี

“ก็ทำได้นี่”

และถึงไม่ได้สบตาเขา...ใจผมก็เหลวได้อยู่ดีเมื่อได้ยินแบบนั้น

โอย

หน้าขึ้นสีอีกรอบหรือยังวะเนี่ย

“ฉันนึกว่าเธอจะทำพร้อมของตัวเองซะอีก”

จังหวะที่ผมคิดอยากยกมือแตะแก้มตัวเองเพื่อวัดความร้อนฉ่า อัฐก็พูดให้ผมนึกได้ว่าตื่นเต้นจนลืมข้าวของตัวเอง...

“อ้อ...อยากเสิร์ฟให้คุณก่อนน่ะ งั้นผมไปทำก่อนนะครับ”

ผมโม้ไปหวังกลบเกลื่อนพิรุธอันมากมาย แล้วขอตัวไปทำข้าวไข่เจียวของตัวเอง ซึ่งระหว่างทำก็ได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ เป็นระยะ บ่งบอกว่าเขากำลังกินอยู่

เหมือนเดิมที่ผมนึกดีใจเวลาเขากินอาหารที่ผมทำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาจะเล่าอะไรให้ผมฟังหลังเสิร์ฟอาหารพร้อมพากย์ไม่ใช่เรอะ

คิดแล้วก็อยากหันไปทวงทันที แต่ความใจร้อนคงไม่ใช่เรื่องดี ผมกะว่าทำอาหารให้เสร็จก่อน พอนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเขาค่อยเอ่ยถามก็ได้

ทว่าพอผมทำเสร็จ วางจานที่โต๊ะไม่ถึงวินาที เขาก็รวบช้อน ลุกไปล้างจานพอดี ทำเอาผมนึกสงสัยว่าเขาลืม หรือเปลี่ยนใจไม่เล่าเสียเฉยหรือเปล่า ซึ่งจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากพะงาบจะถามถึง เขาก็วางจานที่ชั้นพร้อมเอ่ยมาด้วยเสียงเบา

“รอหน้าบ้านนะ”

พูดจบก็เดินออกจากครัวไป ทิ้งให้ผมที่ยังไม่ทันตอบรับอะไรเพราะมึนงงอยู่ ถือช้อนส้อมค้าง ประมวลผลว่าทำไมถึงบอกผมว่ารอหน้าบ้าน อ่า ไม่รู้แฮะ รู้แค่ว่าตื่นเต้นยังไงไม่รู้

รอหน้าบ้านอะ ทำไมต้องรอหน้าบ้าน!

แค่รู้ว่าเขารออยู่ก็อยากม้วนเขินเอาหน้าจุ่มไข่เจียวเล่น แต่ก็ตั้งสติแล้วกินข้าวให้เสร็จแบบตักเอาๆ เพราะอยากไปหาเขาเร็วๆ

อาการผมในตอนนั้น ถ้าให้พูดแบบซีรีส์เกาหลีก็คงออกมาเป็นประโยคนี้

ผมน่ะ...ชอบเขาจนแทบคลั่ง

ครับ ประโยคนั้นเลย

อยากจะบ้าตาย แต่ก็เป็นความอยากจะบ้าตายที่มีความสุขดี

เมื่อผมกินข้าวแล้วล้างจานเสร็จสรรพ ผมก็เดินออกไปหน้าบ้านทันที เอะใจนิดหน่อยว่าเขาจะชวนออกนอกบ้านหรือเปล่า แต่เพราะผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่กลับมาจึงไม่ต้องไปเตรียมตัวเผื่อ ซึ่งพอเปิดประตูเหล็กดัดเดินออกไปก็เห็นอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งชิงช้าหน้าบ้าน เขาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น...แปลได้ว่าคงจะออกไปข้างนอก

พอเขาเห็นว่าผมออกมาแล้ว เขาจึงเสียบที่คั่นหนังสือก่อนปิดเล่ม วางลงบนกองหนังสือ 4-5 เล่มที่วางบนม้านั่งชิงช้า ดูแล้วมีหนังสืออยู่ทุกมุมบ้านจริงๆ

ผมเดินตามเขาออกจากบ้านโดยไม่ลืมล็อกประตูรั้ว บรรยากาศข้างนอกลมเย็นสบาย ท้องฟ้าโปร่งเป็นสีส้ม แสงแดดเริ่มจางเพราะเป็นเวลา 6 โมงนิดๆ ของช่วงปลายเดือนพฤศจิกา ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วพระอาทิตย์จึงกลับบ้านเร็ว ถึงแม้ไม่มีวี่แววว่าจะหนาวเลยก็ตาม

ดอกเฟื่องฟ้าสีบานเย็นริมรั้วออกดอกสะพรั่งในช่วงนั้น อันที่จริงต้นเฟื่องฟ้าของบ้านเขาดูไม่เคยโรยราราวกับเป็นอมตะ อัฐเดินผ่านเฟื่องฟ้าที่สีสันช่างตัดกับสีทองบนหัวของเขาเพื่อเดินลึกเข้าไปในซอย ไม่ใช่ออกหน้าปากซอย หรือไปที่สวนของหมู่บ้าน

“จะไปไหนเหรอครับ”

ถึงผมจะเดินตามเขาต้อยๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ซึ่งไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาไม่ตอบอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงเมี้ยวของแมวสักตัวดังขึ้น

“อะ แมวสามสีนี่”

ผมเอ่ยเมื่อหันไปเห็นแมวสามสีนั่งอยู่บนสันกำแพงรั้วของบ้านหลังหนึ่ง สีดำเป็นสีที่มีมากที่สุดบนตัว แซมสลับกับสีน้ำตาลและขาว ส่วนดวงตาของมันเป็นสีเหลือง จ้องมาที่ผมครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปจ้องอัฐที่หยุดยืนสบตามันเช่นกัน

“มันชื่อมิเกะ” เขาเอ่ยบอก ทำผมประหลาดใจเล็กๆ

“คุณอัฐรู้ได้ไงครับ” ถามเพราะดูท่าแล้วเขาไม่น่าจะถามจากเจ้าของแมว

“ฉันตั้งเอง”

อะ แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะตั้งชื่อให้แมวแปลกหน้าเองด้วย

“มันเป็นแมวบ้านป้าของออม”

“...”

แล้วผมก็หยุดประหลาดใจนู่นนี่เมื่อได้ยินชื่อ ‘ออม’ ในบทสนทนา

สายลมยามเย็นยังคงพัดมาลูบไล้ผิวแก้มแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันเย็นสบายอะไร เพราะข้างในใจผมเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ

“งั้นนี่...ก็บ้านของมิเกะเหรอครับ” ผมเอ่ยถาม ทำตัวตามปกติ

“ไม่ใช่หลังนี้หรอก”

อัฐตอบก่อนจะเดินต่อ ไม่ได้ทักทายมิเกะมากมาย ซึ่งเจ้าแมวสามสีที่ไม่ได้ถึงขั้นลงมาคลอเคลีย แค่ส่งเสียงทัก ก็นอนลงกับรั้วกำแพงแบบเก็บขาหน้าซ่อนใต้อก มองไปทางอื่น ไม่ได้สนใจอะไรนัก

เขาเดินไปเรื่อยๆ แม้ผมเริ่มอยากให้เขาหยุด เพราะตอนนั้นเดาไม่ยากเลยว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร

“นี่บ้านป้าของออม”

ไม่ผิดจากที่คาด แม้ไม่อยากเห็นเท่าไหร่แต่ก็มายืนอยู่หน้าบ้านแล้ว มันเป็นบ้านสองชั้นสีขาว ดูจากภายนอกก็ไม่ต่างจากบ้านอื่นๆ ในละแวกนี้ ที่เด่นก็เห็นจะเป็นสวนที่มีดอกไม้เยอะกว่าบ้านอื่น แตกต่างกับบ้านของอัฐที่ความร่มรื่นหนึ่งเดียวคือดอกเฟื่องฟ้าหน้าบ้าน เทียบแล้วดูแห้งแล้งไปถนัดตา ซึ่ง...ไม่ต่างจากใจที่เคยฟูฟ่องของผมแต่หดฟีบลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“เรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟัง...คือเรื่องออม”



**



ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ตอนที่ 13



ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงอยากเล่าเรื่องออมให้ฟัง

ถ้าถามว่าผมรู้สึกอะไรบ้าง ผมไม่แน่ใจเลยว่าควรตอบอะไร

จะว่าใจแป้วไหม มันก็ใช่ เพราะผมกลัว ไม่อยากฟังหากเขายังฝังใจกับรักที่เพิ่งผ่านพ้น

จะว่าดีใจไหม มันก็ใช่ เพราะเหมือนว่าเขาวางใจผม จนยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง

ที่แน่ๆ ผมไม่อยากรู้หรอกว่าเขาเคยรักกันแค่ไหน

ผมกลัวว่าจะเอาชนะออมไม่ได้ ผมกลัวจริงๆ

ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการทำตัวตามปกติ และรับฟังสิ่งที่เขาอยากจะเล่า ดังที่ผมเคยหวังให้เขาดีขึ้นจากความเศร้านั้น

“ออมจะมาที่บ้านป้าทุกปิดเทอม”

แล้วเขาก็เริ่มเล่าด้วยเสียงเบาอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย มองสีหน้าเขาจากด้านข้างก็ยังคงเรียบนิ่ง ไม่อาจเดาได้ว่าคิด หรือรู้สึกอะไรอยู่

“มาตั้งแต่อนุบาลยันเรียนจบ แต่ถึงอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ฉันเจอออมครั้งแรกก็ช่วงที่พ่อฉันหย่ากับแม่แล้วออกจากบ้านไป ตอนนั้นฉันกำลังขึ้น ม.1 พอดี”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขากับแฟนเก่า และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้เรื่องราวของครอบครัวเขา

ใจหนึ่งผมดีใจที่เขาวางใจเล่าให้ฟัง อีกใจผมอดปวดใจไม่ได้เลย

ผมไม่รู้หรอกว่าอัฐเสียใจแค่ไหนที่พ่อแม่หย่ากัน ไม่รู้หรอกว่าที่เขาเจอออมในช่วงเวลานั้น ออมได้ช่วยปลอบโยนเขาหรือเปล่า

ที่ผมรู้คือผมนึกอิจฉาออมนิดๆ ที่ได้อยู่กับเขาช่วงเวลานั้น

ผมยังคงมองใบหน้าด้านข้างของอัฐ มันนิ่งเรียบ แม้แต่แววตาก็เช่นกัน ไม่บ่งอารมณ์ เพียงมองเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก่อนที่จะละสายตาแล้วหันหลังเดินออกมาให้ผมเดินตาม

“แต่ฉันก็ไม่ได้สนิทกับออมมากหรอก มาคบกันจริงจังก็ตอนมหา’ลัย”

เขาเดินพลาง เล่าไปพลาง ด้วยเสียงเบาเหมือนเคย แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรในการรับฟัง เพราะสภาพแวดล้อมรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงความเคลื่อนไหวจากบางบ้าน เสียงลม เสียงกระดิ่งลมจากบ้านไหนสักบ้าน และเสียงนกร้องยามเย็นเท่านั้น

“ตอนนั้นก็...จะว่ายังไงดีล่ะ เจอกันเพราะมิเกะน่ะ มันโดนรถชน ฉันเลยช่วยพาไปหาหมอ ออมบอกว่าประทับใจ คิดว่าฉันเป็นคนดี”

พลันได้ฟังถึงประโยคนี้ แอบลอบมองด้านข้างก็เห็นว่าสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม แต่ผมอดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้

เป็นผม...ผมก็คิดว่าเขาเป็นคนดีน่ะแหละ

ผมสบตาเจ้ามิเกะอีกครั้งเมื่อเดินผ่านรั้วบ้านที่มันยังคงนอนอยู่ ซึ่งครั้งนี้มันแค่ปรายตามอง ไม่ได้ทักอะไรพวกเรา

หยิ่งน่าดู...ทั้งที่อัฐเคยช่วยไว้นะน่ะ

แต่แมวบางตัวก็คงแบบนี้

“แต่ฉันรู้ตัวว่านิสัยเสีย”

พลันอัฐพูดขึ้นเหมือนเสริมความคิดที่ผมกำลังมีต่อแมว ก่อนจะปะติดปะต่อได้ว่าเขาเพิ่งพูดต่อจากเรื่องเมื่อครู่เหมือนเพิ่งเรียบเรียงได้ว่าจะพูดอะไร ซึ่งก็ทำผมแอบประหลาดใจนิดๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงนิสัยตัวเองออกมา

ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมอาจถือโอกาสสมทบว่าใช่ครับ ประสาทแดกด้วย ไม่ก็ขำนิดๆ แล้วถามว่าเพิ่งรู้ตัวเหรอเพื่อกระตุกหนวดเสือเล่น แต่เอ่อ...พอคิดได้ว่า ต่อให้เป็นเวลาปกติ ผมก็ไม่น่าจะกล้าอยู่ดี จึงได้แค่พับเก็บโครงการนี้ไปและตั้งใจฟังที่อัฐเล่าต่อ

“ฉันคิดว่าออมจะเลิกยุ่งกับฉันไปเอง แต่สุดท้ายออมก็รับได้ต่อให้ฉันแย่แค่ไหน ฉันเองก็เลยประทับใจออมจากตรงนั้นมั้ง”

เขายังคงเล่าโดยมองตรงไปข้างหน้าขณะเดิน ไม่ได้หันมาสบตาผม แต่ผมก็มั่นใจว่าต่อให้นั่งอยู่ตรงข้าม สบตากัน เขาก็จะจ้องสบตาและไม่มีแววลังเลอะไรที่ได้เล่ามันออกมา ขณะที่ผม...อาจจะเป็นฝ่ายหลบตาด้วยซ้ำ

เพราะเนื้อหาที่เขาเล่าทำเอาผมเจ็บจี๊ดเล็กน้อย

มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ว่าออมรับข้อเสียของอัฐได้

อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าผมก็รับได้เหมือนกัน และผมก็อยู่ตรงนี้ ข้างๆ คุณนี่ไง

แต่ความคิดก็ต้องหยุดลงพร้อมกับฝีเท้า เมื่อเราสองคนกลับมายืนหน้าบ้านที่มีดอกเฟื่องฟ้าสีบานเย็นโดดเด่นแม้แสงแดดจะสลัวรางเต็มที เพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าเสาไฟของหมู่บ้านยังไม่เปิดให้แสง อัฐหันกลับมามองหน้าผม จ้องสบตาตรงๆ จนรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย

“ฉันคบกับออมมาเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าเรารักกันดี” เขาพูดต่อ เป็นประโยคที่ฟังแล้วชวนแสบคันที่ใจนิดๆ สำหรับผมที่แอบชอบเขา “แต่ตอนออมไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันก็รู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้น”

“อ้าว... ทำไมล่ะครับ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ฉันรู้ตัวตอนนั้นเองว่าไม่ได้เป็นฝ่ายอยากทำอะไรให้ออมเลย”

แล้วคำตอบของเขาก็ทำเอาผมเงียบ รู้สึกขึ้นมาว่าแววตาของเขาช่างว่างเปล่า

“ไม่ใช่ว่าจืดจางแบบคู่รักที่คบกันมานานด้วย แต่ฉันไม่เคยทำอะไรให้ออมแต่แรกแล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ...เหมือนแค่ตามหน้าที่น่ะ พอออมไปอยู่ต่างประเทศมันก็ยิ่งชัดเจน ฉันคุยกับออมทุกวันตามเวลาที่ออมโทรมาคือช่วงเที่ยงวันของออม เที่ยงคืนของฉัน แต่ฉันไม่เคยโทรไปหาเองเพราะอยากคุยเอง จนตอนที่ออมบอกให้บินไปหา ฉันก็บอกไปว่าไม่อยากไป”

เหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่อัฐเล่าอะไรออกมายาวๆ ให้ผมฟัง

“ตอนเลิกกัน ฉันรู้สึกไม่ดีหรอกที่ออมไปจากชีวิต ฉันรู้ว่าถ้าอยากกลับไปคืนดี วิธีง่ายๆ คือบินไปที่อเมริกา ไปหาไปง้อถึงที่อย่างที่ออมอยากให้ทำ แต่ฉันก็ไม่อยากทำ แล้วปล่อยให้ออมหายไปจากชีวิต มันจบง่ายๆ แค่นั้นเอง”

และก็เป็นครั้งแรก...ที่ผมเพิ่งได้รู้ว่าเขาไม่ได้ฝังใจ ไม่ได้ตะเกียกตะกายพยายามยื้ออะไรกับรักที่ผ่านพ้นเลย

ที่เคยคิดว่าจะดีใจหากเขาไม่ได้ฝังใจ ก็กลับกลายเป็นรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา

“แต่ผม...รู้สึกว่าคุณเสียใจกับเรื่องนี้นี่ครับ”

ผมหยิบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเขาก็ไม่ได้มีท่าทีดีใจกับเรื่องนี้ ทำให้ความเย็นยะเยือกนั้นอุ่นลง และเผื่อจะสะกิดใจเขาได้บ้างว่าเขาไม่ได้ไร้หัวใจขนาดนั้น

“ฉันแค่ผิดหวังที่ตัวเองเป็นคนแบบนี้”

“...”

แต่คำตอบกลับตรงกันข้าม และตอบเร็วจนดูเหมือนคิดกลั่นกรองมาแล้วทุกซอกทุกมุม

“และก็คงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนฉันได้”

แสงจากเสาไฟเพิ่งเปิดส่องสว่าง แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรสว่างขึ้น โดยเฉพาะแววตาของเขา ต่อให้องศาของหน้าจะเริ่มก้มลงมาเล็กน้อย และดวงตานั้นช้อนมองจนเหมือนเชยคางอีกฝ่ายแบบที่เขาชอบทำ

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

ลมพัดโชยมาอีกครั้ง มาพร้อมกับเสียงกระดิ่งลมเบาๆ จากบ้านอื่น แต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความเย็นชาและว่างเปล่าจากเสียงเบาๆ ของเขาในประโยคถัดมาได้เลย

“ฉันว่า...ฉันรักใครไม่เป็น”

ตอนที่ได้ยิน ผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

ผมรู้แค่ว่าคำสุดท้ายที่เขาพูด มันเป็นใจความที่เขาต้องการบอก ซึ่งความหมายช่างเย็นชาจนน่ากลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงบอกผม

จนเมื่อมาลองคิดตรองดูทีหลัง ถึงได้รู้ว่าเขากำลังบอกผมโดยตรง

สำหรับผมในปัจจุบันที่เล่าโดยรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว การพูดแบบนั้นของอัฐ เป็นการขีดเส้นแบ่งเส้นหนึ่งอย่างสุภาพ อ้อมค้อม ไม่แสดงออกมาโต้งๆ ว่าหลงตนจนอาจขายขี้หน้าถ้าเข้าใจผิดเอง แต่ก็ช่วยส่งสัญญาณถึงผู้ฟังที่ตั้งใจจะตีความอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี

ว่าอย่าชอบฉันเลย

มันตีความได้แบบนั้น

อย่าชอบ...เขาเลย



**


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด