พิมพ์หน้านี้ - █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:39:56

หัวข้อ: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:39:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



************************************************************************************************************
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:43:56
ตอนที่ 1



เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ

ถ้าให้นิยามถึง ‘อัฐ’ ชายหนุ่มวัย 27 ปีที่ผมแชร์บ้านอยู่ด้วยกันแบบงงๆ ก็คงนิยามได้แค่ประโยคข้างต้น

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าผมเปรียบเปรยเขาเป็น ‘แมว’ แล้วเขาจะเป็นชายหนุ่มตัวเล็ก น่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนแมว

อัฐเป็นชายหนุ่มตัวสูง หุ่นสวยแบบที่ผมชอบ คือ ไหล่กว้าง กล้ามเนื้อชัดแบบลีน ร่องกลางหลังเป็นเส้นสวย ไล่ลงมาก็เอวคอด ไม่ตัน การที่เขาใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวอยู่บ้าน จึงไม่ทำให้อุบาทว์สายตานัก

ส่วนหน้าตา ผมขอเกริ่นถึงรสนิยมส่วนตัวเสียก่อน

ผมคิดว่าคนที่ย้อมผมทองนั้นค่อนข้างจะสะเหล่อ หรือออกแนวแว้น สก๊อย ที่แต่งตัวไม่เข้ากับรูปลักษณ์ตัวเอง

สรุปง่ายๆ คนที่ย้อมผมทองสำหรับผมนั้น ไม่ได้หล่อหรือมีเสน่ห์เลย

แต่อัฐย้อมผมทอง

เขาตัดผมทรงอันเดอร์คัท ไถข้างเบอร์ 1 ย้อมผมทองด้านบน ตัดกับคิ้วเข้มสีดำบนใบหน้า ยิ่งเวลาผ่านและผมด้านข้างเริ่มขึ้นจนยาวระดับเบอร์ 3 เห็นเป็นสีดำชัด ประกอบกับการที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนจึงไม่ค่อยเซ็ตผม ปล่อยผมด้านหน้าปรกลงเป็นหน้าม้าไล้เลียคิ้วเข้มสีดำ ดูเป็นสีที่ตัดกันอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วผมคงด่าออกไปว่า ‘ไอ้แว้นเอ๊ย’ แต่พอมองหน้าเขาแล้วก็ด่าไม่ลง

อัฐเป็นคนที่ย้อมผมทองแล้วเสือกหล่อ

หล่อจนงง จะว่ายังงั้นก็ได้

ดวงหน้ารูปไข่สวย ขณะเดียวกันก็เห็นสันกรามชัด จมูกเป็นสัน ปากกระจับ ตาสองชั้นที่แววตายากจะเดาว่าคิดอะไรอยู่ ทุกอย่างถูกจับวางอย่างได้ตำแหน่งบนพื้นผิวขาวเหลืองที่สุขภาพดีจากการออกกำลังกายทุกวัน

ผมคงสามารถย้ำได้อีกรอบว่า แม่งหล่อจนงง

แต่ถ้าจะให้พูดถึงนิสัย...ก็อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นนั่นแหละ

เขาเหมือนแมว และเป็นแมวที่เอาแต่ใจ

ถ้าคนเลี้ยงแมวมักมีรอยแผลเพราะโดนข่วน คำพูดและการกระทำของเขาก็เปรียบเหมือนกรงเล็บ ส่วนใจบางๆ ของผมก็โดนข่วนเป็นประจำ

ถ้าอยากรู้จักเขามากขึ้น รบกวนให้นั่งลงสบายๆ ชงชาหรือกาแฟสักแก้วไว้จิบเพลินๆ ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง


************************************************


สวัสดีค่ะ แยมส้มขมคอเองค่ะ
ถ้าใครยังจำกันได้ กลับมาแล้วค่ะ
ไม่ต้องห่วงว่าจะแต่งไม่จบ แต่งทิ้งแต่งขว้างอีกนะคะ (แหะๆ)
เรื่องนี้แต่งจบแล้วค่ะ
โดยแยมจะทยอยลง อาจจะสัก 2-3 วันต่อตอน
แต่ละตอนอาจสั้นบางยาวบ้างสลับกันไป
วันแรกจะลงไว้ทั้งหมด 4 ตอนนะคะ

อีกข้อที่อยากแจ้งคือ ตัวละครชื่ออัฐ แยมได้แรงบันดาลใจมาจาก มิยะ อัตสึมุ ตัวละครจากการ์ตูนเรื่องไฮคิว
ซึ่งรับรองว่าอ่านไปเรื่อยๆ จะพบว่าอัฐก็คืออัฐ ไม่ซ้อนทับกับคาแรคเตอร์ของใครแน่นอนค่ะ
ถ้าชื่นชอบ คอมเม้นติชมกันสักเล็กน้อย หรือติดแท็ก #อัฐจา ในทวิตได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:44:58
ตอนที่ 2



ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมแนะนำตัวเองไปทั้งที่ถ้าจะเล่าเรื่องของอัฐ ผมก็ต้องเล่าเรื่องของตัวเองด้วย

ผมชื่อ ‘จา’ จาก ‘จามีกร’ ที่แปลว่าทอง หรือเครื่องทอง

ที่บอกความหมายของชื่อตัวเองเพราะผมเห็นว่ามันเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตลกร้ายอย่างบอกไม่ถูก ในเมื่อชื่อของผมแปลว่าทอง ส่วนชื่อของอัฐก็แปลว่าเงิน

ดูเข้าคู่กัน ราวโชคชะตาดลให้มาพบ

แต่ไม่หรอก ผมคิดว่าผมโดนคนบนฟ้ากลั่นแกล้งมากกว่า

เราพบกันครั้งแรกที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเกริ่นมาแบบนี้คงคิดว่าผมอาจจะทำงานที่นี่ หรือไม่เขาก็อาจจะเป็นดาราหากอิงจากความหน้าตาดีที่ผมเล่าไป แต่เปล่าเลย เราทั้งคู่ไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง

เพราะอัฐเป็นนักเขียนนิยาย

แถมเป็นนักเขียนชื่อดังที่ยอดขายทะลุ 1 ล้านเล่มในเวลาไม่กี่เดือน เรียกได้ว่าแมสอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่อยู่ในยุคที่นิยายสามารถเผยแพร่ได้หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์ออนไลน์และอีบุ้ก จึงไม่แปลกที่เขาจะดังเป็นพลุแตกเมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้

การที่เขามาที่สถานีโทรทัศน์ ก็เพื่อมาสัมภาษณ์ออกรายการที่เชิญคนรุ่นใหม่ผู้มีประวัติน่าสนใจนั่นเอง

ส่วนผมน่ะเหรอ?

ผมมาฝึกงานเป็นนักพายก์หลังจากเพิ่งเรียนจบ

แต่อย่าเพิ่งคิดว่า ‘ฝึกงาน’ ของผมคือได้เริ่มฝึกพากย์จริงบ้างแล้ว ไม่เลย

ทุกวันที่ผมมาฝึกงานคือการที่ผมมานั่งฟังนักพากย์รุ่นพี่ทำงาน เขาบอกว่าการทำอย่างนี้จะช่วยให้จับเทคนิคได้ก่อนพากย์จริง ซึ่งผมก็ทำมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่ไมได้เข้าห้องพากย์เลยด้วยซ้ำ

ที่แย่คือ ผมไม่ได้เงินจากการมาฝึกงานเลย

แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะผมสมัครใจมาเอง

ผมพอจะรู้อยู่แล้วว่าการจะได้เป็นนักพากย์ต้องอดทน แต่ผมไม่รู้เลยว่าต้องอดทนขนาดนี้ ขนาดเงินค่าเดินทางก็ไม่ได้ จนเงินเก็บที่ผมมีอยู่ก็เริ่มร่อยหรอลงไปทุกที

แล้วในวันที่ผมทะเลาะกับที่บ้าน ทั้งเรื่องไม่มีเงินจ่ายค่าหอ เรื่องไม่ยอมล้มเลิกความฝันเป็นนักพากย์แล้วหางานอื่นทำ ผมก็ได้พบกับอัฐ

จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นผมยืนอยู่หน้ากำแพงกระจกของชั้น 20 ที่เป็นบริเวณที่นั่งเล่นข้างลิฟต์ มองออกไปเห็นวิวเมืองยามเย็น ท้องฟ้าเป็นสีส้ม ทำให้แสงสีเดียวกันสาดผ่านกระจกใสคลุมเคลือบภายในอาคารให้ดูอบอุ่นละมุนตา

ทั้งที่บรรยากาศโรแมนติกขนาดนั้น แต่ผมตาแดงจมูกแดงหลังวางสายจากแม่ที่เพิ่งทะเลาะกัน

ผมเห็นตาตัวเองสะท้อนจากเงากระจกใสแล้วก็รู้สึกว่าดูไม่จืด ยิ่งดวงตาเป็นตาชั้นเดียว พอตาแดงจมูกแดงก็ยิ่งดูกากเข้าไปอีก

แต่ระหว่างที่ผมกำลังมองหน้าตัวเองผ่านเงาของกระจกใส ผมก็สังเกตได้ว่ามีคนมายืนข้างหลังผม แถมสะดุดตาสุดๆ ด้วยผมสีทองบนหัวของเขา

ตอนแรกผมคิดว่าเขาแค่มายืนมองวิว ผมจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อมองหน้าเขาในกระจกแล้วพบว่าเราสบตากันในนั้น ผมจึงเริ่มเอะใจแล้วหันกลับไปมอง

ทันทีที่สบตากับตัวจริง ผมรู้สึกว่าเขามีออร่าเปล่งประกายออกมาในแว้บแรก

เปล่า ไม่ใช่เพราะเขาหล่อมาก แต่เพราะผมสีทองของเขาจับแสงแดดจนเป็นประกายต่างหาก

นั่นน่าจะเป็นภาพจำแรกที่ผมมีต่อเขา

เหตุการณ์ลำดับถัดมา คือเขามองผมโดยไม่พูดอะไร ดวงตาสีดำจ้องมองผมเหมือนมองลงมาจากเบื้องบน เป็นสายตาที่ดูเหยียดหยิ่ง แต่ผมก็คิดว่าอาจเพราะเขาสูงกว่าผมเลยดูเป็นแบบนั้น

จนเมื่อเขามองนิ่ง ไม่พูดอะไรนานเกินห้วงความไม่อึดอัด ผมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ทันทีที่ถาม เหมือนองศาของหน้าจะก้มลงมาเล็กน้อย และดวงตาของเขาเหมือนช้อนมองจากเบื้องล่างทั้งที่เขาสูงกว่า เป็นแววตาที่ทำเอารู้สึกเหมือนถูกเชยคางจนทำเอาจั๊กจี้ในใจบอกไม่ถูก

“เธอ...กำลังลำบากเรื่องที่อยู่ใช่ไหม?”

ผมสะดุดเล็กน้อยที่เขาเรียกผมว่า ‘เธอ’ ทั้งที่เขาก็ดูแก่กว่าผมไม่กี่ปี และหน้าตากับการแต่งตัวของผมก็ดูเป็นผู้ชายปกติด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ขาเต่อทรงกระบอก กับรองเท้าหนังสลิปออนสุดหล่อ

แต่เอาจริง เรื่องที่ผมสงสัยคือคำถามของเขาต่างหาก ผมจึงถามกลับไป

“อ่า ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า”

ผมน่าจะถามเขาด้วยว่าแอบฟังผมคุยโทรศัพท์เหรอ แต่ก็คิดว่าเงียบไว้ดีกว่า

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ลังเลหรือไม่มั่นใจอะไร ต่อให้เสียงดูเบา แต่ก็เหมือนเบาเป็นปกติ เขาเหมือนแค่คิดคำพูดอยู่มากกว่า ขณะที่ดวงตาอ่านยากของเขาก็ยังดูเหมือนเชยคางผมอยู่

จนสุดท้าย เขาก็เอ่ยออกมา และเป็นคำที่ไม่คาดคิดอย่างที่สุด สำหรับคนแปลกหน้าสองคนที่เพิ่งเจอกัน

“มาอยู่บ้านกับฉันไหม?”

“...”

วินาทีนั้นเองที่ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นโจรลักพาตัวเด็ก ต่อให้หน้าจะหล่อแค่ไหนก็ตาม



**
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:45:36
ตอนที่ 3



แน่นอน ผมปฏิเสธคำชวนไปอยู่บ้านเดียวกันกับเขา

ปฏิเสธแบบไม่คิดจะถามด้วยว่าทำไม

“ไม่ล่ะครับ”

แล้วพอผมปฏิเสธไปแบบนั้น เขาก็ตอบแค่ว่า...

“งั้นเหรอ”

อย่างไม่คิดจะอธิบายเหตุผลอะไรเช่นกัน

หนำซ้ำยังทิ้งท้ายว่า “น่าเสียดาย” ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอีกด้วย

แต่ถึงผมจะบรรยายว่า ‘เดินจากไป’ เขาก็แค่ไปยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์ กดปุ่มแล้วรอด้วยท่าทีปกติ ดูสบายๆ เข้ากับการแต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนยาวลายขวาง จ็อกเกอร์แพนท์สีเขียวขี้ม้าและรองเท้าสนีกเกอร์สีขาว เขาดูไม่ได้เสียหน้า ไม่ได้อับอาย ไม่ได้เก๊ก ไม่ได้อะไรเลย ราวกับว่าเขาเพิ่งมาถามทาง แล้วผมก็ตอบว่าไม่รู้ แค่นั้นเลย

นั่นคือการเจอกันครั้งแรกของผมกับอัฐ

ในตอนนั้นผมคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ถึงแม้แน่ใจมากว่าถ้าเจอเขาอีก ผมต้องจำเขาได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม โชคชะตาก็ชอบเล่นตลก

ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ตอนที่ผมกำลังเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน ย้ายออกจากหอที่ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าเดือนถัดไป และถอดใจกับการฝึกงานที่ไม่เคยได้พากย์เลยสักคำ แม่ก็โทรมาบอกผมว่าลูกชายของคนรู้จักแม่อยากได้เฮาส์เมท โดยคิดแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น

ตอนรับสาย สิ่งที่ผมสงสัยไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่าย แต่เป็นการเปลี่ยนใจของแม่ที่เคยทะเลาะกันแทบตายกับความฝันอยากเป็นนักพากย์ของผม และคำตอบก็ทำเอาผมรู้สึกแสบตาแสบจมูกจนมันน่าจะขึ้นสีแดงอีกครั้งทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้

แม่บอกผมว่า ไหนๆ ก็เพิ่งจบใหม่ จะรอดูอีกสักปี

ผมได้ฟังก็ขอบคุณแม่ยกใหญ่ แล้วรีบถามว่าบ้านลูกชายคนรู้จักที่แม่ว่าน่ะ ที่ไหน

“แกจะย้ายออกจากหอพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ก็ไปบ้านเขาพรุ่งนี้เลยสิ”

แม่ตอบไม่ตรงคำถาม ผมได้แต่ความปุบปับเป็นคำตอบ ก่อนที่แม่จะส่งรายละเอียดที่อยู่ให้ในไลน์ เวลาที่แม่นัดให้ไปเจอ พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของบ้าน โดยไม่ได้บอกด้วยว่าเขาชื่ออะไร

ผมไม่ได้กังขาอะไรกับข้อมูลที่แหว่งวิ่น รู้แค่ว่าแม่คงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงนั่งแพ็คของใส่ลังกระดาษต่อ เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็นั่งอยู่หน้ารถกระบะ ไถฟี้ดเฟซบุ้กอย่างสบายใจ โดยด้านหลังมีข้าวของจากหอที่อยู่มาตลอดสี่ปี

ถ้าต้องจ่ายแค่ค่าน้ำค่าไฟ ผมยังคงมีเงินพอเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายอยากให้ผมจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

แน่นอน ผมแอบคิดว่าเพราะใช้น้ำไฟแพงยิ่งกว่าค่าเช่าบ้านหรือเปล่า จึงคิดว่าต้องพูดคุยให้เรียบร้อยก่อนเข้าอยู่ ซึ่งมันก็ไม่น่าใช่เรื่องชวนซีเรียสอะไร ตอนนั้นผมรู้แค่ว่าจะมีที่ซุกหัวนอนที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่ฝึกงานของผมก็เป็นใช้ได้

ระหว่างที่ผมดูนู่นดูนี่ไปปกติ ผมก็ไปสะดุดกับคลิปรายการของช่องโทรทัศน์ที่ผมฝึกงานอยู่ โดยปกติแล้วผมคงไม่สนใจอะไรมาก ถ้าคนที่รายการเชิญมาไม่ใช่ชายหนุ่มหัวทอง...คนเดียวกันกับที่ชวนผมไปอยู่บ้านด้วยกันน่ะนะ

ตอนที่ได้เห็น ผมร้องเฮ้ยออกมาจนพี่คนขับตกใจ ดีที่เขายังไม่ถึงกับเหยียบเบรก ผมรีบขอโทษเขา ก่อนจะหันกลับมาเสียบหูฟัง กดคลิปรายการดู ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ว่าเขาคือ ‘อัฐ’ เจ้าของนิยายแนวไซไฟแฟนตาซีผสมสืบสวนสอบสวนที่ยอดขายถล่มทลาย ซึ่งนั่นก็เป็นการเปิดเผยหน้าตัวเองของเขาครั้งแรกด้วย

ในคลิปสัมภาษณ์ อัฐพูดเสียงเบาไม่ต่างจากที่ผมเคยคุย ราวกับเป็นบุคลิกของเขาอยู่แล้ว และอาจจะน่ารำคาญพิลึกเพราะเหมือนบังคับให้คนฟังเขยิบเข้าไปใกล้ ส่วนแววตา...ตอนพูดคุยในรายการ หมอนี่ก็มีแววตาปกติไม่ได้ทำแววตาชวนจั๊กจี้แบบที่ผมเจอ

อีกเรื่องที่ผมเพิ่งรู้ตอนนั้นคือเขาแก่กว่าผม 5 ปี ซึ่งก็ไม่ได้คลายความสงสัยว่าทำไมถึงใช้สรรพนามเรียกผมว่า ‘เธอ’

มีคำถามเกี่ยวกับเขาเกิดขึ้นมากมายระหว่างดูคลิป แซมสลับกับรับรู้ข้อมูลที่บอกว่าอัฐเป็นคนประมาณไหน เขาดูเป็นคนที่...ผมไม่แน่ใจว่าเขามีความมั่นใจในตัวเองสูง หรือเขาไม่ค่อยแคร์อะไรก็ไม่รู้ได้ จึงดูไม่ประหม่า ดูนิ่ง เหมือนแค่มาฟังว่าพิธีกรจะถามอะไร แล้วเขาก็ตอบ เพียงแต่เวลาตอบ อาจจะดูขัดๆ กับความเป็นนักเขียนดังสักหน่อย หรือนักเขียนเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่รู้

‘จะว่ายังไงดีล่ะ’

คำนี้คือคำพูดติดปากของเขา เหมือนต้องใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดออกมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจ คล้ายว่าเขามีความคิดมากมายอยู่ในหัวเสียมากกว่า

“หลังไหนน้อง”

พี่คนขับถามขึ้นมาในตอนที่เลี้ยวเข้าซอยที่เป็นจุดหมายปลายทางแล้ว ผมจึงเงยหน้าจากมือถือ พบว่าในหมู่บ้านมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ดูร่มรื่น อีกทั้งหมู่บ้านนี้ไม่ใช่หมู่บ้านจากโครงการใหม่ ดูแล้วน่าจะเป็นหนึ่งใน ‘หมู่บ้านคนแก่’ เพราะเจ้าของบ้านคงซื้อไว้ตั้งแต่สมัยสร้างตัว แน่นอนว่าโครงสร้างบ้านก็มักใช้วัสดุที่แข็งแรงกว่าบ้านปัจจุบัน ซึ่งผมชอบโครงสร้างรวมถึงแบบบ้านเก่า รวมถึงบรรยากาศที่มักเงียบสงบเพราะมีแต่คนแก่มากกว่าหนุ่มสาว...อันนี้ผมเหมาเอาเองล่ะนะ

แล้วตอนที่รู้ตัวว่ามัวแต่เหม่อมองจนลืมตอบพี่คนขับ ก็เป็นตอนที่ผมมองเห็นรั้วบ้านหลังหนึ่งถูกปกคลุมด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีชมพู ที่เป็นชมพูแป๊ดจนน่าจะเรียกว่าสีบานเย็นมากกว่า

“เอ่อ น่าจะหลังนั้นนะพี่ ขอขับไปดูใกล้ๆ หน่อยครับ”

ผมบอกพี่คนขับ เพราะจำที่แม่บอกได้ว่าดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูคือจุดสังเกต และเมื่อพบว่าบ้านเลขที่ตรงกัน รถกระบะจึงได้ฤกษ์จอดหน้าบ้าน ส่วนผมก็รีบโทรเข้าเบอร์เจ้าของบ้านที่แม่ให้ไว้ทันทีเพื่อที่จะพบว่าอีกฝ่ายไม่รับสาย

ความจริงช่วงก่อนออกจากบ้านผมลองโทรหาเขาแล้วหนึ่งรอบเพื่อบอกว่าผมกำลังจะเดินทาง เขาไม่รับเช่นกัน แต่ผมเห็นว่ามีเวลาที่นัดไว้อยู่แล้วจึงน่าจะไม่เป็นไร ที่ไหนได้...โทรไปอีกหลายรอบก็ไม่รับ

ตอนนั้นผมไม่ได้กังวลอะไรมากไปกว่าจะทำให้พี่คนขับรถกระบะเสียเวลาต้องมารอไปกับผม ผมกดกริ่งหน้าบ้านหลายรอบก็ไม่มีคนออกมา ไม่มีวี่แววคนด้วยซ้ำ ซึ่งตอนแรกๆ พี่คนขับก็ยังใจเย็น นั่งเล่นมือถือไป แต่พอผ่านไปได้สักครึ่งชั่วโมงเหมือนแกเริ่มอารมณ์เสียเพราะมีงานต่อ เลยเดินมากดกริ่งหน้าบ้านรัวๆ จนผมต้องบอกว่าพี่ครับ ใจเย็นก่อน แต่พี่แกก็ไม่เย็น ร้อนสู้กับอากาศในช่วงสาย กดกริ่งไปอีกหลายรอบจนกระทั่งเห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตตรงประตูบ้าน พี่แกจึงยอมหยุด โดยไม่วายพึมพำว่ากว่าจะออกมาได้

หลังจากมีการเปิดประตูไม้ด้านใน ตามด้วยเลื่อนเปิดประตูเหล็กดัด เจ้าของบ้านก็โผล่หน้าออกมา ในแว้บแรกที่ผมมองผ่านรั้วบ้านสีขาวก็ยังเห็นไม่ชัดว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง จนกระทั่งเขาค่อยๆ เดินมาทั้งเสื้อยืด กางเกงบ๊อกเซอร์ และผมสีทองที่ยุ่งเหยิงแบบเพิ่งตื่น ก็ทำเอาผมเบิกตากว้าง...กว้างเท่าที่ตาชั้นเดียวของผมจะทำได้

ใช่ครับ นั่นคือวินาทีแรกที่ผมรู้ว่าเจ้าของบ้านคืออัฐ

เขาเดินมาที่ประตูรั้วบ้านด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แววตาหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทำเอาผมรู้สึกซีด เดาไม่ถูกว่าเขาจะด่าไหม แล้วพอเห็นว่าเขาไม่ได้ด่าอะไร ทำเพียงเปิดประตูรั้วให้รถกระบะขับเขามา ผมก็โล่งใจ ก่อนจะมานึกได้ในภายหลังว่า คนที่สมควรโดนด่าคือเขาที่ทำคนอื่นเดือดร้อนเพราะตื่นสายต่างหาก

แล้วหลังจากรถกระบะขับเข้าไป เขาก็หันมามองทางผม...ที่ผมก็ไม่รู้ว่ายังไง เขารู้อยู่แล้วไหมว่าเป็นผมที่จะมาแชร์บ้านด้วย หรือไม่รู้ คำถามเกิดขึ้นในใจผมเต็มไปหมด สบตากับชายหนุ่มผมทองที่มีดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูเป็นฉากหลัง แล้วคำแรกที่เขาพูดกับผมก็คือ

“เข้าบ้านสิ ยืนทำไมตรงนี้”

ว่าจบก็เดินเข้าบ้านไป ไม่ได้ช่วยให้ผมคลายสงสัย แต่ช่วยให้ผมรู้ตัวว่าเออ จะยืนงงตรงนี้ทำไมอย่างที่เขาว่า

ผมรีบเดินตามอัฐเข้าไป ซึ่งเขาก็ช่วยยกข้าวของลงจากรถโดยไม่ได้ถามอะไรผม ไม่ถามชื่อแซ่ด้วยซ้ำ ทำเอาผมมีความสงสัยเพิ่มอย่างหนึ่ง

หรือที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ อาจจะจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำหรือเปล่าหว่า...

“เอ่อ...ผมชื่อจานะครับ”

อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำตัวไประหว่างที่ยกลังกระดาษลงมาวางตรงพื้นกระเบื้องหน้าประตูเหล็กดัด ซึ่งเขาที่กำลังนั่งยองจัดของอยู่ก็เหลือบสายตามองขึ้นมามองผม แน่นอน ด้วยแววตาเหมือนกำลังเชยคางเราอยู่ แบบเดียวกับที่ผมเจอวันนั้น

แล้ว...เขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ ไม่แม้แต่แนะนำตัว ยืดตัวขึ้นยืนแล้วหยิบกล่องชิ้นต่อไปลงมาเหมือนเห็นผมเป็นอากาศธาตุ...

นี่ใช่คนคนเดียวกันกับที่ชวนผมมาอยู่บ้านเดียวกันทั้งที่เพิ่งเจอหน้าหรือเปล่าเนี่ย

คำถามนั้นผุดในใจ ก่อนที่ผมจะมารู้ทีหลังจากปากเขาเอง ว่าถ้าเขากำลังหงุดหงิด หรือง่วงอยู่ ถ้าไม่อยากพูดอะไร เขาก็ไม่พูด

นั่นคือความเอาแต่ใจแรกๆ ของเขาที่ผมรู้

ถึงอย่างนั้นอัฐก็ช่วยผมขนของอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเมื่อช่วยกันสามคน ผม พี่คนขับรถ อัฐ เพื่อยกตู้เย็นลงมาเสร็จสิ้น อัฐก็หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นเขาเองมาแจกจ่ายเราสามคน ก่อนที่คนขับจะขอตัวไปทำงานต่อเมื่อเสร็จงาน

เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ผมจึงตัดสินใจคุยกับอัฐในระหว่างที่เขายกขวดน้ำขึ้นดื่ม

“พี่จำผมได้หรือเปล่าครับ” ผมเลือกใช้สรรพนาม ‘พี่’ เพื่อให้เข้ากับอายุและดูใกล้ชิดขึ้นเพราะไหนๆ ก็ต้องอยู่บ้านเดียวกัน “เราเคยเจอกันเมื่อราวๆ สัปดาห์ก่อน ที่ช่อง XX น่ะครับ พี่เข้ามาถามผมว่าจะมาอยู่บ้านนี้ไหมน่ะครับ”

อัฐหันมามองผม พลางหมุนฝาปิดขวดน้ำในมือ นัยน์ตาสีดำตัดกับสีผมของเขาจ้องมองมาปกติ ไม่มองเหยียดหยิ่งจากด้านบน ไม่มองเหมือนช้อนคางผมอยู่ แต่ถึงอย่างไร ผมก็เดาเขาไม่ออก

“เดาเอาเอง”

และยิ่งเดาไม่ออกหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเขาตอบมาแบบนั้น

อะไรของเขาวะ...คือคำถามที่เกิดในใจผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ พยายามชวนคุยเรื่องอื่นต่อเพื่อให้ได้รู้ข้อมูลมากที่สุด

“แล้วเจ้าของบ้านคิดค่าเช่าเท่าไหร่ครับ” ผมถามเรื่องคาใจที่สุดเป็นเรื่องแรก ซึ่งอัฐก็เหมือนหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ

“คิดค่าเช่าอะไร ก็บอกแล้วว่าแค่ค่าน้ำค่าไฟ”

“ไม่ๆ ผมอยากรู้น่ะครับ จะได้แฟร์ๆ เผื่อเดือนไหนพี่ใช้น้ำไฟน้อย ไม่เท่ากับว่าผมเอาเปรียบเหรอ”

คราวนี้เขาหยุดคิดไปนานกว่าเดิม ก่อนจะตอบสิ่งที่ทำให้ตาตี่ๆ ของผมเบิกกว้างขึ้นมาอีกรอบ

“ฉันนี่แหละเจ้าของบ้าน”

ดูเหมือนเขาสังเกตได้ว่าผมมีคำถาม เขาจึงอธิบายเพิ่ม

“ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แค่อยากให้มีคนมาอยู่ในบ้าน ที่ไม่ใช่แม่บ้าน”

“อ่า...เหรอครับ”

ผมตอบรับ แม้จะยังไม่เข้าใจนัก พลันเขาก็ขยายให้ชัดเจน

“จะว่าเหงาก็ได้”

สิ่งที่ได้ฟัง ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าจะเหยียบยืนความรู้สึกฝั่งไหนดี ระหว่าง...ไม่คาดคิด กับไม่แปลกใจเท่าไหร่

“พี่ขี้เหงาเหรอ” ผมชวนคุย เพราะคิดว่าเขาบอกจุดอ่อนตัวเองออกมาแล้ว น่าจะคุยกันได้แล้วมั้ง

“เรียกพี่อยู่ได้ ฉันไม่ใช่พี่เธอ”

แล้วคำสวนกลับของเขาก็ทำให้พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิด...

“เอ่อ...งั้นแล้วทำไมพี่...เอ่อ... คุณอัฐเรียกผมว่า ‘เธอ’ ล่ะครับ ผมเป็นผู้ชายมันก็ฟังแปลกๆ”

“จะว่ายังไงดีล่ะ” ในที่สุด คำติดปากคำนี้ก็ออกมาจากปากเขา ผมสังเกตได้อีกอย่างว่า ถึงเขาจะอยู่ในห้วงคิดกลั่นกรอง สายตาของเขาก็ไม่ได้ล่อกแล่กหรือเบนไปทางอื่น เหตุนี้ละมั้งถึงรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้โลเล หรือขาดความมั่นใจในการพูด

“ติดจากที่เรียกน้องสาวมั้ง”

“แต่ผมไม่ใช่น้องคุณอัฐนะครับ”

คำเฉลยของเขาทำให้ผมย้อนทันควัน ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่า...เขาอาจคิดว่าผมกวนตีนที่ย้อน เพราะเขาเงียบไป ไม่ตอบอะไร ผมรู้สึกยะเยือกทั้งที่อากาศช่วงสายแดดจ้าร้อนอบอ้าว แล้วเขาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น แล้วช้อนตาขึ้นมา เป็นแววตาที่จะมองกี่ทีก็รู้สึกเหมือนถูกเชยคางอยู่

“งั้นจะเรียกว่ายัยหมวยแล้วกัน”

แถมประโยคถัดมาที่ได้ฟัง ก็ทำให้รู้สึกเหมือนถูกเชยคางอยู่จริงๆ

ยัย...ยัยอะไรนะ?

“ไม่เรียกแบบนั้น—”

“ฉันขออาบน้ำก่อน แล้วจะมาบอกให้ฟังว่าอยากให้เธอทำตัวยังไงตอนอยู่บ้านนี้”

แต่เขาก็ไม่ฟังผม พูดเสร็จเดินเข้าตัวบ้านไป ทิ้งผมให้เคลียร์ข้าวของหน้าบ้านเพียงลำพัง แถมประโยคสุดท้ายที่เขาพูดก็ฟังดูเป็นเจ้านายกำกับดูแลลูกน้องยังไงไม่รู้

ซึ่งนั่น...ก็เป็นแค่ปฐมบทความเอาแต่ใจของแมวหัวทองตัวนี้เท่านั้น


**
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 13-05-2020 17:46:25
ตอนที่ 4



ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้าไปในตัวบ้านของอัฐ สิ่งแรกที่คิดคือคำว่า ‘สวย’

ถ้ามองจากด้านนอกก็คงดูเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาๆ แถมประตูหน้าต่างก็เป็นแค่บานเหล็กดัดที่มีกรอบโค้งด้านบน แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้วเหมือนคนละโลก

บริเวณส่วนหน้าของบ้านนั้นโปร่งมากเพราะไม่มีเพดานเหนือหัว ไม่มีฝ้า แต่เป็นหลังคา ความสูงรวมชั้น 2 น่าจะสัก 8 เมตร มองขึ้นไปมีชั้นลอยยื่นออกมา ราวกั้นตกเป็นระเบียงเหล็กสีดำเชื่อมต่อมาตั้งแต่บันไดเหล็กไปจนถึงทางเดินเชื่อมไปยังห้องของชั้น 2 ทั้ง 3 ห้องที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของชั้นลอย

ส่วนสไตล์การตกแต่งอาจพูดได้ว่าครึ่งๆ กลางๆ แต่ผมว่าก็สวยแบบแปลกๆ ดี เริ่มจากพื้นปูนเปลือยขัดมัน ไล่ขึ้นมาที่เฟอร์นิเจอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นไม้ สลับกับโต๊ะหรือเก้าอี้โครงเหล็กสีดำ เครื่องหนังสีดำอย่างโซฟา รอบข้างเป็นกำแพงอิฐแดง แต่บางฝั่งก็เป็นปูนเปลือยขัดมันเหมือนพื้น ออกแนวลอฟต์ที่มีความดิบนิดๆ ขณะที่ถ้าเดินขึ้นชั้นสอง พื้นกลับเป็นพื้นไม้สีเข้ม กำแพงทุกฝั่งเป็นสีขาวโล่ง ราวกับถูกทอดทิ้งไม่ตกแต่ง มีเพียงโคมไฟสีดำหลายดวงที่ห้อยยาวลงมาจากหลังคา ไล่ระดับสูงต่ำต่างกัน ทำให้ชั้นนี้ดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง

ที่ผมรับรู้ความสวยงามทั้งหมดได้ในครั้งแรก แน่นอนว่าอัฐไม่ได้พาดูบ้านเลยสักนิด เป็นผมที่เดินสำรวจด้วยตัวเองล้วนๆ

อ้อ แล้วจุดเด่นอีกอย่างของบ้านนี้ที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่ได้รวมอยู่ในการตกแต่งก็คือหนังสือ

ทั้งหนังสือที่เก็บเป็นระเบียบในตู้ที่มีประตูปิดเป็นบานกระจกใสกันฝุ่น ทั้งหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ บนโซฟา และที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนพื้น ดูเป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านนี้ สมกับที่เจ้าของบ้านเป็นนักเขียนชื่อดังล่ะนะ

เขาคงอ่านมาแล้วนับไม่ถ้วนกว่าจะประสบความสำเร็จได้

ระหว่างที่นึกชื่นชมและถือวิสาสะหยิบหนังสือเล่มที่เหมือนหล่นจากกองสุมบนพื้นขึ้นมาพลิกดู ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง

“เก็บเข้าที่เดิมด้วย”

ผมที่นั่งยองอยู่กับพื้น หันไปมองก็พบว่าอัฐยืนมองผมอยู่ แววตาที่เขาทอดมองลงมาทำเอายะเยือกนิดๆ จนผมรีบรับปาก

“ครับ เดี๋ยวผมเอาไปเก็บในตู้ให้”

ไม่รู้ทำไมว่าตอนนั้นผมต้องลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นยืนพร้อมกับหาชั้นหนังสือที่พอมีที่ว่าง อาจเพราะสายตาที่เย็นชาของเขานั่นแหละ แล้วพอผมตัดสินใจได้ว่าจะเก็บในตู้กระจกก็รีบเดินไป แต่ถูกเสียงของอัฐรั้งไว้

“กลับมาที่เดิม”

ทั้งที่เสียงของเขาก็เบาตามบุคลิก แต่เหมือนมันสะกัดฝีเท้าผมได้ชะงัก และหมุนผมหันหลัง เดินกลับมาที่เดิมดังเขาว่า

“หยิบขึ้นมาจากตรงไหน วางลงไปตรงนั้น”

“แต่เล่มนี้มันหล่นมาอยู่ที่พื้น...”

“วางกลับลงไป”

เขาพูดย้ำโดยไม่สนใจฟังคำชี้แจง ประกอบกับดวงตาที่จ้องเขม็งทำให้ผมวางมันลงที่เดิมตามความต้องการของเขาโดยไม่คิดเถียงอะไรอีก

“ต่อไปนี้ ไม่ว่าเห็นหนังสือของฉันวางอยู่ตรงไหน อย่าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด” เขาเอ่ยปากเมื่อผมเก็บมันเรียบร้อย “เพราะถ้าฉันหามันไม่เจอจะหงุดหงิดมาก”

แน่นอนว่าคำอธิบายนั้นทำเอาผมไม่เฉียดใกล้หนังสือของอัฐอีกเลย

นั่นนับเป็นกฏข้อแรกในการอยู่ร่วมบ้านกับเขา ดูเป็นอะไรที่เข้าใจได้เพราะบางคนก็รักหนังสือจนไม่อยากให้คนอื่นยุ่ง หรือไม่ก็เป็นคนประเภทที่จะหาของไม่เจอถ้าของถูกย้ายที่ ซึ่งผมว่าอัฐเป็นแค่ข้อหลัง จากคำยืนยันของเขาเองประกอบกับสภาพหนังสือที่เขาดูไม่ค่อยถนอมเท่าไหร่

หลังจากที่ตกลงกันว่าผมจะไม่ไปยุ่งกับหนังสือของเขาเด็ดขาด อัฐก็เป็นคนเอ่ยปากว่าให้ช่วยกันยกตู้เย็นของผมไปตั้งในครัว ซึ่งเมื่อพากันทำตามที่ว่าได้เสร็จสิ้น ก็ทำให้ผมเห็นว่าครัวของเขาแม้ไม่ได้ใหญ่มากแต่เครื่องไม้เครื่องมือในการทำครัวครบครัน แถมตู้เย็นที่เขามีก็เป็นตู้เย็น 4 ประตู...ทำเอาตู้เย็นประตูเดียวของผมดูเป็นของแถมหรือไม่ก็จับฉลากได้ไปเลย

“เธอจะหยิบของในตู้เย็นฉันไปกินก็ได้นะ”

แล้วเหมือนอัฐจะรู้สิ่งที่ผมคิดจึงพูดแบบนั้น

“ยกเว้นช็อกโกแล็ต”

พร้อมเหน็บกฎเล็กๆ มาด้วย...

“ส่วนการใช้ครัว ไม่ว่าจะทำกับข้าวหรือกินอะไร เสร็จแล้วก็ล้างเลย อย่าปล่อยข้ามมื้อ” เขาพูดเงื่อนไขอีกข้อด้วยเสียงเบาตามบุคลิก “หลักๆ ก็มีแค่นี้แหละ”

ประโยคปิดท้ายเป็นประโยคที่ผมจำได้ดี และคิดว่าถ้ากฏหรือเงื่อนไขในการอยู่ร่วมบ้านมีแค่นี้ ผมคงทำตามได้ไม่ขาดตกบกพร่องเพราะไม่ยากเลย และการอยู่ร่วมกันคงไม่มีปัญหาอะไร

แต่ผมคิดผิด

อันที่จริงผมก็น่าจะเดาได้แต่แรกว่าอัฐไม่ใช่คนเรียบง่าย

เขามักจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อยที่คนอื่นมองข้าม

เรื่องแรก...

“เธอใช้ครัวเสร็จแล้วก็เก็บของให้เป็นระเบียบด้วย จะว่ายังไงดีล่ะ...เก็บเข้าที่เดิมน่ะ”

อัฐถึงกับมาเคาะประตูห้องส่วนตัวของผมเพื่อบอกเรื่องนี้ ตอนนั้นผมงงมากว่าลืมเก็บอะไร ในเมื่อมั่นใจว่าล้างเก็บเรียบร้อยดี ยิ่งลงไปยืนอยู่ในห้องครัวก็ยิ่งงง จนผมต้องเดินไปหาเขาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหนังสีดำ แต่งตัวแสนชิวด้วยบ็อกเซอร์ตัวเดียว

“คุณอัฐครับ”

ผมเรียกเขา แต่ครั้งแรกไม่หัน จนต้องเรียกอีกรอบ คราวนี้เขาหันมามอง แววตาดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“เอ่อ... ผมไม่รู้ว่าผมเก็บครัวไม่เรียบร้อยยังไง”

พอผมบอกจุดประสงค์ที่มาเรียก เขาก็วางหนังสือลง วางแบบกางหน้าที่อ่านค้างอยู่กับโซฟา ไม่ถนอมสักนิด แล้วลุกเดินไปที่ครัวให้ผมเดินตาม ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

เขาหยิบตะหลิวกับช้อนตักซุปออกมาสลับที่แขวนกัน...

“เธอเก็บไม่ถูกที่”

เสียงเบาๆ ของเขาเอ่ยบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว ทิ้งผมยืนงงอยู่คนเดียว

เขาแม่ง...เหมือนเด็กประถมที่ต้องเก็บดินสอสีแบบเรียงตามสีเลยอะ

แต่ผมจะทำยังไงได้นอกจากจำตำแหน่งที่เก็บเครื่องครัวของเขาให้ได้

เรื่องที่สอง...

ช่วงเดือนแรกที่ผมเข้าอยู่กับเขา คือเดือนกันยายนที่เป็นหน้าฝน มันจึงมีบ้างที่ซักเสื้อไม่ทัน เสื้อไม่แห้ง แล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ที่ผมไม่ได้ไปฝึกงาน ฝนตก เสื้อก็มีไม่พอใส่ ผมจึงถือโอกาสใส่กางเกงตัวเดียวนั่งทำงานฟรีแลนซ์เพื่อหาเงินอยู่ในห้อง แต่ในตอนที่ลงมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่ม นั่นแหละที่มีปัญหา

มีวัตถุไม่ทราบชื่อถูกปาใส่หลังผมเต็มๆ ตอนที่กำลังดื่มน้ำ ทำเอาเกือบสำลัก ก้มลงเก็บก็พบว่าเป็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง ไม่ใช่ของผม แต่เป็นของอัฐ ส่วนเจ้าของเสื้อก็ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องครัว ใส่บ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว

“ใส่เสื้อ”

“ฮะ?” ผมอุทานสงสัย ในเมื่อมองเขาแล้วก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากผม

“สกปรก”

“เอ๊ะ?” ผมส่งเสียงออกมาอีกรอบ แต่ก่อนจะได้ถามว่าทำไม เขาก็หันหลัง ก้าวยาวๆ ออกไปแล้ว ทิ้งผมให้งงกับคำว่า ‘สกปรก’ ของเขา

แน่นอนผมคิดหัวแทบแตกว่าสกปรกอะไร ผมก็อาบน้ำทุกวันเช้าเย็น ยกแขนขึ้นมาดมก็ไม่ได้เหม็นอะไร ที่พอจะนึกออกอย่างเดียวคืออัฐอาจรู้สึกว่าการไม่ใส่เสื้อเดินไปเดินมาในบ้านรวมถึงห้องครัว มันดูไม่ต่างจากพ่อครัวหรือเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่ไม่ใส่เสื้อ ทำให้เราไม่รู้ว่าเหงื่อไคล หรือขนตามตัวจะปลิวลงอาหารเมื่อไหร่...

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไอ้คุณอัฐก็เป็นอย่างนั้นซะเองไม่ใช่เรอะ

โคตรเอาแต่ใจเลย

ผมคิดอย่างนั้น แต่ก็ต้องยอมใส่เสื้อตามที่เขาบอก

อย่างไรก็ตาม นั่นดูจะทำให้เขามั่นใจไม่พอ ไม่กี่วันต่อมาจึงมีเครื่องอบผ้าใหม่เอี่ยมมาตั้งอยู่ข้างเครื่องซักผ้าด้วย...

ส่วนเรื่องที่สาม... ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ผมต้องเกริ่นก่อนว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างผมกับอัฐ เราไม่ค่อยเจอหน้ากันเท่าไหร่นัก

อัฐทำงานอยู่บ้าน ส่วนผมออกไปฝึกงานในวันธรรมดา พอกลับมาผมก็ขึ้นห้อง อาหารเย็นไม่เคยกินด้วยกัน วันหยุดเขาก็นั่งอยู่ข้างล่างที่มุมทำงานของเขา ส่วนผมที่ต้องใช้เสียงในการฝึกพากย์จึงขลุกตัวอยู่ในห้องไม่ให้รบกวนกัน

ถึงอย่างนั้นก็มีบ้างที่เขาชวนผมคุยด้วยตัวเอง

“อากาศร้อนแบบนี้ เดี๋ยวฝนคงตก ว่าไหม?”

และนั่นแหละครับ... เรื่องที่เขาชวนคุย

เรื่องดินฟ้าอากาศ

ถ้าผมออกความเห็นอะไรไป เขาก็เหมือนแค่ฟังผ่านหู ไม่ได้ตอบอะไรมา ทำเอาผมสงสัยว่าหรือเมื่อกี้นั้นเขาแค่พึมพำกับตัวเอง ไม่ก็คุยกับผีบ้านผีเรือน

อย่างไรก็ตาม เขาก็มีความเป็นมิตรแบบแปลกๆ อยู่

มีบางวันที่ผมเปิดตู้เย็นของตัวเองแล้วเจอกล่องช็อกโกแล็ตอยู่ในนั้น ในตอนแรกผมคิดว่าเขาเบลอเอามาเก็บผิดตู้ แต่พอถามก็ได้คำตอบว่า

“ฉันซื้อมาฝากเธอนั่นแหละ กินไปเถอะ”

“โอ้... งั้นขอบคุณครับ”

ที่ผมเกริ่นมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่าเขาก็ไม่ถึงกับไร้มิตรไมตรีเสียทีเดียว เขาแค่ขีดเส้นแบ่งการอยู่ร่วมกับ ‘เฮาส์เมท’ อย่างชัดเจนเสียมากกว่า

ไอ้ที่เขาเคยบอกว่า ‘เหงา’ ตอนแรกจึงไม่น่าเป็นอาการเหงาแบบอยากได้เพื่อน แต่ดูเหมือน...อยากให้มีสิ่งมีชีวิตร่วมบ้านมากกว่า

และถามว่าทำไมไม่เลี้ยงสัตว์ คำตอบคือสัตว์เลี้ยงน่าจะควบคุมได้ยากกว่าคน

หมาหรือแมวจะมาวอแวเราตามเวลาที่มันต้องการ และมันก็ฝึกได้ยากหากไม่ทุ่มเทเวลา

ส่วนคน...แค่เอ่ยปากมาก็ทำตามได้ไม่ยาก

“ถ้าไม่จำเป็น อย่าชวนฉันคุยก่อน”

นั่นแหละ...คือสิ่งที่อัฐต้องการ

เขาบอกเรื่องนี้กับผมในเย็นวันหนึ่ง ตอนนั้นผมเพิ่งกลับจากฝึกงานแล้วเล่าให้เขาฟังว่าต้นไม้ใหญ่ในสวนกลางหมู่บ้านล้มโค่นเพราะฟ้าผ่าเมื่อคืน ซึ่งตอนที่เล่าให้ฟังเขาก็ละสายตาขึ้นมาจากหนังสือที่อ่านอยู่ ช้อนตาขึ้นมามองเหมือนตั้งใจฟัง ผมจึงเข้าใจว่าคุยได้ปกติ ก่อนจะโดนคำพูดนั้นฟาดเข้าให้อย่างแรง

“แล้วถ้าฉันหงุดหงิด ฉันก็อาจจะไม่พูดอะไรตอบเธอเลย”

เขาอธิบายนิสัยตัวเองเพิ่มเติม ทำให้ผมนึกเถียงในใจ

ไอ้ตอนชวนคุยเอง พอผมคุยกลับ บทจะไม่อยากตอบก็ไม่ตอบเหมือนกันไม่ใช่เรอะ

ถึงอย่างนั้นผมก็ได้แต่ตอบรับไปว่าครับ

ที่เกรงใจก็เพราะเห็นว่าเขาแทบไม่เปิดแอร์จนทำให้ค่าไฟถูกหรอกนะ

เหมือนจะจบเรื่องที่สามแต่เพียงเท่านี้ แต่ผมคิดว่านิสัยขี้รำคาญของเขาเชื่อมโยงกับเรื่องที่สี่ด้วย

มันจะมีบางวัน ทั้งวันธรรมดาและวันหยุด ตอนที่ผมอยู่บนห้อง เขาจะเปิดเพลงจากเครื่องเล่นเสียงของเขา ซึ่งผมก็ไม่เคยไปรบกวนอะไร อย่างมากก็แค่ลงไปหาอะไรกินที่ครัวหลังบ้าน

แต่มันมีอยู่วันหนึ่ง จำได้เลยว่ามันคือวันเสาร์ที่แดดจ้าหลังฝนตกหนักเมื่อวาน ผมเห็นว่าแดดดีจึงคิดจะเอารองเท้าที่เปื้อนโคลนมาซักตาก เดินลงไปได้ยินเสียงเพลงของ Pink Floyd ดังก้องทั่วชั้นหนึ่ง ผมเดินผ่านอัฐที่นั่งทำงานอยู่ เปิดประตูเหล็กดัดออกไปหยิบรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เปื้อนจนเป็นสีน้ำตาล แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าอัฐยืนพิงประตูมองผมอยู่เบื้องหลัง

“จะซักรองเท้าเหรอ” เขาถามผม แน่นอนว่าเสียงเบา “วางลงก่อน”

อีกประโยคทำให้ผมเกิดความสงสัยแต่ก็วางรองเท้าลงที่เดิมแบบงงๆ

“มีอะไรจะให้ดู”

ว่าแล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ผมเดินตามไป เพิ่งสังเกตว่าเสียงเพลงหยุดลงตั้งแต่เมื่อกี้

อัฐไปยืนอยู่หน้าเครื่องเสียงของเขา หันมามองผมที่เดินตามมาเหมือนบอกให้เร็วๆ ซึ่งผมก็รีบเดินไปยืนข้างๆ แต่ก็ยังไม่ตรงกับที่เขาต้องการ

“ยืนหน้าเครื่อง”

เขาบอก ผมจึงทำตามแม้เต็มไปด้วยความสงสัย

“เธอคงสังเกตเห็นว่าชั้นวางที่ฉันใช้วางเครื่องเล่นแผ่นเสียงมันไม่เหมือนชั้นวางของทั่วไป”

พอเขาพูด ผมก็สังเกตชั้นวางที่ทำมาจากโลหะ บริเวณฐานรองขาถูกเหลาให้เล็กจนเหมือนทรงกรวย และทั้งสามชั้นก็มีขาแบบนี้ทุกชั้น

“แม้แต่ฐานของเครื่องเล่นก็มีแค่สามขา และเป็นลักษณะเดียวกัน”

คำอธิบายเพิ่มทำให้ผมเห็นว่าจริงดังนั้น ฐานที่เป็นไม้ถูกดีไซน์ออกมาให้มีแค่สามขา

“นั่นก็เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นให้มากที่สุด เพราะมันทำงานด้วยระบบอะนาล็อก หัวอ่านที่เป็นเข็มจะลากไปตามร่องของแผ่นไวนิล ถ้ามีอะไรมาสะเทือนก็จะทำให้เสียงเพลงที่ออกมาฟังเพี้ยนไป”

ผมพอจะรู้อยู่ว่าการฟังเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือเทิร์นเทเบิ้ลนั้นทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันต้องใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้

“ฉันเปิดเครื่องไว้อยู่ เธอจับ Tone Arm… แขนของเข็มหัวอ่านมาจิ้มแผ่นไวนิลดูสิ”

“เอ๊ะ? ให้ผมทำเหรอ?” ผมหันไปถามเขา ซึ่งเขาก็ตอบ ‘อืม’ ในลำคอโดยไม่บอกว่าทำไม แต่กลับอธิบายวิธีเพิ่ม

“ถ้าอยากฟังเพลงแรกก็จิ้มแถวขอบ แทร็คแรกจะอยู่บริเวณนั้น ไล่เข้าไปก็เป็นแทร็คท้ายๆ”

นั่นไม่ได้ช่วยให้ผมหายคาใจว่าทำไมให้ผมทำ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยกล้า กลัวทำเครื่องเขาพัง ไอ้แขนหรือ Tone Arm นั่นก็ดูเปราะบางเหลือเกิน แต่พอหันหลังกลับไปมองและเห็นอัฐจ้องเขม็งแบบรออยู่ ก็ทำให้ผมยกมือขึ้นจับแขนนั้นอย่างเก้ๆ กังๆ

พลันผมก็ใจกระตุกในวินาทีที่แขนของหัวอ่านเลื่อนมาอยู่เหนือแผ่นไวนิลแต่ไม่ใช่เพราะผมทำแขนของหัวอ่านหัก

เป็นเพราะมือใหญ่ของอัฐเอื้อมมาจับมือผมให้เลื่อนไปตามที่เขาต้องการต่างหาก

วินาทีถัดมาเขาก็จับมือผมให้ไปดึงคันโยกเล็กๆ เพื่อค่อยๆ ดึงตัวเข็มให้จิ้มลงที่แผ่นไวนิลอย่างช้าๆ

เสียงเพลงแนวไซคีเดลิกของ Pink Floyd ที่เต็มไปด้วยเอ็ฟเฟ็คต์เสียงนั้นดังขึ้น ขณะที่มือของเขายังค้างอยู่บนมือผม

“แทร็คแรกของอัลบั้ม The Dark Side of the Moon… เพลง Speak to Me/Breath”

เขาบอกชื่อเพลงให้ผมฟัง แน่นอนว่าการที่เขายืนอยู่ด้านหลังของผม มือยังจับมือผมเอาไว้ และก้มลงมาพูดด้วยเสียงเบาอันเป็นบุคลิกไม่ใกล้ไม่ไกลจากหูผมนัก ทำเอาผมจั๊กจี้ในใจไม่ต่างจากเวลาที่เขามองช้อนเหมือนกำลังเชยคางอยู่เลย

“เสียงออกมาดี ว่าไหม”

พลันเหมือนเขาก้มลงมาใกล้กว่าเดิม เสียงเบาๆ ของเขาดูราวรินรดลงมาพร้อมลมหายใจอุ่น

ผมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะหนักๆ ไม่ต่างจากเสียงเอ็ฟเฟ็คต์ที่ดังตึก... ตึก... ก่อนเข้าเพลง

ตอนนั้น ผมอยากหนีออกมา ไม่อยากใจเต้นแรงเพราะเขา

มันเป็นสัญญาณอันตรายของความรู้สึกอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะบอกตัวเองให้หนีออกมา...ไม่ใช่เพื่อหยุดใจที่เต้นแรง แต่เพื่อจะได้ไม่ต้องได้ยินประโยคถัดมา

“เพราะงั้น...ตอนฉันฟังเพลง อย่าเดินมาใกล้”

“...”

ไอ้บ้า

ไอ้บ้าเอ๊ย

ตอนที่เขากรอกหู ผมคิดคำด่าในใจได้แค่คำนั้น ซึ่งมาคิดย้อนดูแล้ว ตอนที่ด่าผมไม่แน่ใจว่าด่าไอ้คุณอัฐที่ขี้รำคาญเกินเรื่องและเอาแต่ใจเกินเหตุ หรือด่าตัวเองที่ดันใจเต้นแรงกับคนแบบนั้น

แต่ตอนนี้ ถ้าให้เลือกได้ ผมก็ขอด่าตัวเอง

เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรกับเขา



**************************



ถ้าชื่นชอบ คอมเม้นติชม หรือติดแท็ก #อัฐจา ได้เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 13-05-2020 18:11:21
55555555555พระเอกตลกดี แปลกๆ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ammer ที่ 13-05-2020 19:00:04
กรี๊ดดดด เอามาลงเล้าแล้ว ดีค่ะๆ จะตามอ่านตามเม้นต์มันทุกแพลตฟอร์มเลย
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 13-05-2020 23:17:10
ชอบมากกกกกก เหมือนแมวจริงแหละ อัพบ่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-05-2020 23:18:43
พี่อัฐน่าตบมากค่ะ

ดีใจที่ได้อ่านนิยายคุณอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.1-4)(13/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 14-05-2020 00:09:43
 :impress2:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 14-05-2020 12:43:42
ตอนที่5



ต้องบอกก่อนว่าผมไม่เคยคิดจะชอบอัฐมาก่อน

ต่อให้หล่อขนาดไหน เขาก็เข้าใจยากเกินไป ห่างไกลจากคนที่ผมเคยชอบหลายขุม

ผู้ชายที่ผมเคยชอบเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียน และเป็นประธานชมรมโสตทัศนศึกษา

ผมเข้าชมรมนี้เพราะว่าอยากเป็นดีเจของโรงเรียนที่คอยบอกข่าวสารต่างๆ ในช่วงเช้าก่อนเข้าแถว สลับกับเปิดเพลงที่เพื่อนๆ ขอมา ส่วนช่วงพักเที่ยงก็เปิดเพลงให้ทุกคนฟังชิวๆ ระหว่างกินข้าว ซึ่งผมก็ได้ทำอย่างที่อยากทำ โดยมีรุ่นพี่คนนั้นเป็นคนช่วยสอน และบางครั้งก็จัดรายการร่วมกันซึ่งผมสนุกมาก

พี่เขาเป็นคนใจดี ยิ้มเก่ง ใส่ใจ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยสอนหมด ไม่เคยด่าเคยว่าตอนผมทำผิดพลาด จนผมแอบมอบตำแหน่ง ‘รุ่นพี่แห่งชาติ’ อยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยสารภาพรักกับเขา แม้เขาจะเป็นรักแรก และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายก็ตาม

ที่ผมทำมีแค่นำช่อดอกกุหลาบไปมอบเพื่อแสดงความยินดีในวันเรียนจบ และขอบคุณที่เขาช่วยสอนผมหลายๆ อย่าง ซึ่งพี่เขาก็รับไปด้วยรอยยิ้ม และให้กำลังให้ผมเรื่องความฝันอยากเป็นนักพากย์

“จาพยายามอีกนิดก็ไปถึงฝันได้แน่”

ผมยังจำประโยคนั้นได้ดี ไม่ต่างกับที่จำความใจดีของเขาได้

สรุปแล้วผมน่าจะชอบคนใจดี

แต่ก็นั่นแหละ

บางครั้งอัฐก็ใจดี...หรือเหมือนจะใจดี

ผมจำได้ว่าอัฐบอกผมตั้งแต่วันแรกว่าผมจะหยิบของในตู้เย็นของเขาไปกินก็ได้ แต่ด้วยความเกรงใจประกอบกับกลัวความผีเข้าผีออกของเขา ผมเลยไม่เคยหยิบมา ที่จะรับก็มีแค่ช็อกโกแล็ตที่เขาเอามาเก็บในตู้เย็นของผมเลยเท่านั้น

จนเย็นวันหนึ่งที่ผมทอดไข่เจียวเพื่อกินกับข้าวสวยร้อนๆ เขาก็เดินเข้ามาในครัว เปิดตู้เย็น ยืนมองของในนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปิด ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะกำลังโปะไข่เจียวลงบนจานข้าว

“ยัยหมวย”

แล้วไข่เจียวก็แทบลื่นหกออกนอกจานตอนที่เขาเรียกผมแบบนั้น ดีที่ใช้ตะหลิวสะกัดเอาไว้ได้ เมื่อปกป้องของกินทัน ผมหันไปมองเขา เขาจึงพูดต่อ

“เธอกินแค่นั้นอิ่มเหรอ”

“อ่า...ก็อิ่มนะครับ”

ผมตอบ แอบงงนิดๆ ที่เขามาถาม แถมพอตอบ เขาก็จ้องผมเขม็งเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยออกมา

“กินเนื้อสัตว์บ้าง”

เอ่อ...นั่นเป็นคำพูดอ้อมๆ ของคำว่าผอมสินะ

“เธอไม่เคยหยิบของในตู้เย็นฉันไปกินเลยนี่ หยิบได้นะ”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยเนื้อหาหลักที่ต้องการพูดออกมา

“อ้อ ไม่เป็นไรครับคุณอัฐ ผมเกรงใจ”

“แล้วเธอจะกินเมนูไข่ไปอีกกี่มื้อ” แต่เขาถามกลับมาแทงใจดำ “ช่วงนี้เธอลำบากเรื่องเงินนี่”

“อ่า... ครับ”

“กินไปเถอะ ไม่เป็นไร”

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าอัฐใจดีเพราะเขาจะไม่มาย้ำเรื่องนี้กับผมก็ได้ แต่เขาก็อุตส่าห์มาบอก ผมคิดจะขอบคุณเขา แต่เขาก็พูดมาอีกประโยค

“บางทีของมันเหลือทิ้งอยู่แล้ว”

“...”

ซึ่งก็เป็นประโยคที่...เขาพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ก่อนเดินออกจากห้องครัวไป

อันที่จริง มันก็คงเป็นเนื้อหาหลักที่เขาต้องการพูดนั่นแหละ ประมาณว่า กินได้นะ เดี๋ยวมันเหลือ แต่ผมด่วนทึกทักไปก่อนว่าเขาใจดี แบบคนคิดไปเองเก่ง

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ช่วยให้ผมประหยัดค่าอาหาร ไม่ว่าเหตุผลคืออะไรก็ตาม

และอีกเรื่องที่อัฐเหมือนจะใจดีก็สืบเนื่องมาจากความขัดสนเรื่องเงินของผมเช่นกัน

มันเป็นตอนเย็นที่ผมเพิ่งกลับจากฝึกงานเหมือนทุกวัน เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านมา ถ้าไม่เห็นอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาหนังสีดำ เขาก็จะวิ่งออกกำลังที่ลู่วิ่ง ไม่ก็เขียนงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ วันนั้นก็เหมือนกัน เขาเขียนงานอยู่หน้าคอม เราไม่มีการเอ่ยทักทายกันเมื่อกลับบ้าน ยิ่งเห็นว่าเขาทำงานอยู่ ผมยิ่งรีบเดินผ่านไปเงียบๆ

“อย่าเพิ่งไป”

แต่เสียงเรียกของอัฐก็ทำให้ผมหยุดฝีเท้า หันไปมองก็พบว่าเขาเรียกผมโดยที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอด้วยซ้ำ แถมมือก็ยังพิมพ์งานต่ออีกด้วย

ถ้าจะเรียกก็ช่วยหันมาคุยเลย อย่าปล่อยให้รอสิโว้ย

แต่ถึงคิดแบบนั้นก็ได้แค่คิด ผมยืนมองเขาจนพิมพ์จบหนึ่งย่อหน้า กะจะถามว่าเรียกผมทำไม เขาก็เอ่ยปากมาก่อน

“เธอฝึกงานได้เงินหรือยัง”

“ยังครับ แต่...ได้เข้าไปนั่งในห้องพากย์แล้ว”

ตอบจบ เขาหันมามอง ก่อนที่มือจะหยิบเอกสารปึกหนึ่งที่หนีบคลิปสีดำตัวใหญ่ยื่นให้ผม

“พรูฟเป็นไหม” เขาถามตามมาทีหลัง

“ก็...เคยรับเป็นงานฟรีแลนซ์นะครับ”

“ดีเลย ขอวันจันทร์นะ”

“เอ๊ะ? ให้ผมทำเหรอครับ”

ผมถามอย่างมึนงง แต่อัฐไม่ได้ตอบอะไร เพียงมองหน้า ขยับมือที่ถือต้นฉบับยื่นเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผมยื่นมือไปรับแบบงงๆ เช่นกัน

สรุปคือผมได้งานมาทำโดยที่นายจ้างไม่ถามสักคำว่ารับทำไหม ที่ถามมีอย่างเดียวคือฝึกงานได้เงินหรือยัง

และงานที่ให้มาพรูฟน่ะ ก็คือต้นฉบับเล่มต่อไปของเขาเอง

ตอนที่รู้ก็อดเกิดคำถามไมได้ว่าจริงเหรอ? ให้ผมอ่านต้นฉบับของนักเขียนที่มียอดพิมพ์เป็นล้านเล่มได้จริงเหรอ? เพราะผมคิดว่าของแบบนี้น่าจะเก็บเป็นความลับเฉพาะกองบรรณาธิการที่ดูแลต้นฉบับ แต่เมื่อคิดว่าตัวนักเขียนยื่นให้ผมเองกับมือก็น่าจะได้มั้ง

ผมขะมักเขม้นพรูฟต้นฉบับของเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ใจหนึ่งคือเต็มที่กับงาน อีกใจคือกลัวเขาขัดใจถ้าผมทำอะไรตกหล่น เพราะเขาเป็นคนที่งานเนี้ยบมาก แบบที่ว่า...แทบไม่มีคำผิดในต้นฉบับเลย

ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจผ่านการพรูฟมาแล้วหลายรอบ แต่ตอนที่เอางานไปส่งเขาที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในเย็นวันจันทร์ ก็ได้รู้ว่านั่นคือต้นฉบับที่ยังไม่ผ่านการพรูฟเลยสักรอบ

โคตรโหด

ผมอาจจะไม่เก่งขนาดรู้ว่าควรปรับรูปประโยคหรือสลับตำแหน่งการวางคำยังไง แต่ที่แน่ๆ คือคำผิดน้อยมาก

“สนุกไหม”

ระหว่างที่ผมแอบขนลุกกับความเนี้ยบในการทำงานของเขา อยู่ๆ เขาก็ถามคำถามนี้กับผมที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกดูต้นฉบับที่ผมพรูฟเสร็จแล้ว

“สนุกสิครับ” ผมตอบพร้อมกับยิ้ม ซึ่งเขามองผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกเหมือนโดนตรวจสอบว่าพูดจริงไหม “อ่า จริงๆ นะครับ ไม่ได้อวยไปอย่างนั้น”

“ฉันต้องการคนมาทดลองอ่านที่ไม่ใช่ บ.ก. น่ะ” แต่เขาดูไม่ได้ซีเรียสอย่างที่ผมคิด “เห็นว่าเป็นเธอก็น่าจะดี”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็เธอไม่ใช่แฟนนิยายฉัน” อัฐตอบผม ขณะที่เคาะปึกต้นฉบับให้เป็นระเบียบแล้วใช้คลิปหนีบ

อ่า... ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ไม่ใช่แนวที่ผมชอบอ่านเพราะเดาคนร้ายไม่เคยถูกแค่นั้นเอง

“แล้วเธอก็ไม่ค่อยมีเงิน”

“...”

ผมเถียงประโยคปิดท้ายนั้นไม่ได้เพราะก็เป็นความจริง และเริ่มไม่รู้ว่าเขาใจดีกับผม หรือว่าเวทนากันแน่

อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมกับเขาได้คุยกันยาวกว่าที่เคย เพราะเขาบอกให้ผมลากเก้าอี้เหล็กสีดำมานั่งข้างๆ แล้วบอกว่ามีส่วนไหนของนิยายที่อ่านแล้วติดขัดบ้าง

ตอนแรกผมก็ไม่กล้าบอกนักเพราะเห็นว่าผมเป็นแค่คนอ่านธรรมดา ไม่ได้มีความรู้อะไรแบบนักเขียน จนเขาคงสังเกตได้เลยย้ำมา

“พูดมาเลย ฉันอยากได้มุมคนอ่านอยู่แล้ว”

นั่นทำให้ผมกล้าขึ้น ชี้บอกจุดที่ผมอ่านแล้วงง ไม่เข้าใจ รวมถึงจุดที่ไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งเวลาผมบอก เขาก็รับฟังดีกว่าที่คิด เงียบฟัง ไม่ขัด ปล่อยให้ผมพูดจนจบ ต่อให้สุดท้ายแล้ว...ผมจะเห็นว่าในเล่มที่ตีพิมพ์ เขาไม่แก้อะไรตามที่ผมบอกเลย

คนหมดความมั่นใจเลยกลายเป็นผมซะเอง

ไอ้บ้าเอ๊ย

บางทีก็อยากยืนด่าเขาให้สาแก่ใจ

แต่ในความเป็นจริง แค่เขาจ้องผมเขม็งก็รู้สึกเกร็งไปหมดแล้ว

เหมือนอย่างตอนที่ผมบอกจุดบกพร่องในงานเขียนของเขาจบทั้งหมด เขาก็ยังจ้องเขม็งอีกหลายวินาทีจนผมกลัวว่าพูดอะไรผิดไป แต่สุดท้ายเขาก็แค่ยกมือขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ ขาไขว่ห้างเป็นเลขสี่ ปล่อยตัวตามสบายเหมือนกับผมสีทองที่ยาวปรกคิ้วแต่ไม่คิดเสย เอ่ยถามขึ้นมา

“เธอได้พากย์อะไรบ้างแล้ว”

“เอ่อ...” ผมอึกอัก ไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่เพราะยังไมได้พากย์สักคำ

“พากย์ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”

ไม่รู้ว่าเขาเห็นผมไม่ค่อยอยากตอบ หรือแค่ไม่อยากรอฟังเลยตั้งคำถามใหม่

ซึ่ง...ทำเอาผมอยากย้อนกลับไปตอบคำถามเดิมมากกว่า

ให้พากย์ให้เขาฟังเนี่ยนะ

“พากย์อะไรดีล่ะครับ” แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือ “ต้นฉบับคุณดีไหม”

“ไม่เอา ฉันไม่อยากฟังเรื่องที่ตัวเองเขียน”

เขาตอบทันควัน ก่อนเหลือบสายตาลงมองกองหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะคอม แล้วหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผม

‘แมวน้อย 100 หมื่นชาติ’

ครั้งแรกที่ได้อ่านชื่อเรื่อง ผมคิดทันทีว่า ‘นิทานอะไรวะเนี่ย’

“ฉันชอบเรื่องนี้”

แต่พออัฐบอกมาอย่างนั้น ผมก็เก็บความเห็นไว้เพียงในใจ แล้วก้มหน้าอ่านไม่สบตาเขา เพราะกลัวว่าจะเกร็งหากต้องพากย์ไปมองหน้าเขาไป

เรื่องแมวน้อย 100 หมื่นชาติ เป็นเรื่องของแมวที่ดูหยิ่งๆ ตายมาแล้ว 100 หมื่นชาติ แต่ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ผมพากย์เรื่องราวของแมวตัวนี้ไปเรื่อยๆ จนแมวน้อยไปเจอกับแมวตัวเมียสีขาวที่ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ พูดอะไรให้ฟังก็ตอบว่า ‘อ้อ’ เพียงอย่างเดียว

พอพากย์คำว่า ‘อ้อ’ ออกมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าเพื่อดูว่าอัฐยังฟังอยู่ไหม ก็ได้เห็นว่าเขามองผมอยู่ด้วยอิริยาบถเดิม คือเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน เขายังคงไขว่ห้างเลขสี่ เท้าคางกับโต๊ะ ลำตัวจึงเอียงไปทางโต๊ะนิดๆ แต่กลับขับให้เห็นกล้ามเนื้อกำยำชัดขึ้น ส่วนดวงตาสีดำก็มองช้อนขึ้นมาอย่างที่เขาชอบทำ

ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าใจกระตุกที่เห็นว่าเขาจ้องผมอยู่ตลอดด้วยสายตาแบบนั้น และหน้าผมคงกำลังแดงขึ้นมาให้เจ้าของแก้มอับอาย

แล้วก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

เสียงเบาของเขาเอ่ยออกมา

“ฉันชอบเสียงเธอ”

“...”

“อ่านต่อสิ”

หยุด

หยุดสั่งออกมาแบบนั้นเลย

แล้วก็…

หยุดหล่อบ้าหล่อบอ

หยุดทีโว้ย

ตอนนั้นถ้านิทานแมวน้อย 100 หมื่นชาติมีบทพูดว่า ‘ว้าก’ ผมคงพากย์อย่างใส่อารมณ์เต็มที่ให้เขาตกใจเล่น สมกับที่ทำผมปั่นป่วนเป็นบ้าเป็นบออยู่ฝ่ายเดียว

สรุปแล้ว ผมไม่แน่ใจหรอกว่าอัฐเป็นคนใจดีหรือเปล่า เพราะเขาเดาใจยาก มีความคลุมเครือสูง ผีเข้าผีออก ขี้รำคาญและเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง

แต่ถ้าถามว่าผมเริ่มชอบเขาเพราะอะไร คำตอบก็คงดูดิบๆ แต่คงไม่มีอะไรจริงไปกว่าเหตุผลนี้อีกแล้ว

เพราะเขาเป็นคนประสาทแดก

แต่ก็หล่อ



*********************



ที่บอกว่าจะอัพ 2-3 วันต่อตอน
เปลี่ยนใจแล้วค่ะ
อัพทุกวันดีกว่า
ถ้าไม่ติดอะไร เจอกันทุกวันนะคะ แต่อย่างไร คอมเม้นติชม
หรือติดแท็ก #อัฐจา ให้หน่อยก็ดีนะคะ ขอบคุณค่า :mew1:

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 14-05-2020 18:47:07
ชอบเรื่องนี้จังเลยค่ะ ดีใจที่คุณคนเขียนอัพทุกวัน :mc4:
อ่านแล้วหานิยามให้คุณอัฐไม่ได้แต่พอน้องจานิยามว่าเป็นคนประสาทแดกแล้วรู้สึกว่าไม่นะ คำๆนี้มันรุนแรงเกินไป คุณอัฐก็แค่เป็นคนที่ชอบทำให้เราชะงักแล้วต้องเปล่งคำว่า ห้ะ ออกมาเบาๆ
แต่ถึงคุณอัฐจะเป็นคนประสาทแดก(ประสาทแดกแบบให้ฟีลเนิบๆเอื่อยเฉื่อย)แต่ก็ทำให้คนอ่านอย่างเราเขินมาก คุณอัฐจะรู้ตัวไหมคะว่ามีคนเขินจะเป็นจะตายเพราะความหล่อและความตรงไปตรงมาของคุณ!!!

 :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-05-2020 19:14:59
ชั้นชอบเค้าาาา...
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: ninknpk ที่ 14-05-2020 21:54:02
จะรออ่านทุกวันเลยค่ะ  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 14-05-2020 23:27:39
ชอบอ่า
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.5)(14/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-05-2020 02:03:08
เขาเป็นคนประสาทแดก 5555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.6)(15/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 15-05-2020 13:34:28
ช่วงเริ่มแรกที่ผมรู้สึกอะไรกับอัฐ ผมบอกตัวเองว่าผมแค่หลงความหล่อของเขา

หลงรูปร่างหน้าตา หลงเสียงพูดเบาๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ หลงแววตาที่ยากจะหยั่ง หลง...ทั้งหมดนั่นเลย

ส่วนนิสัยของเขา น่าจะจัดไว้คนละส่วน

ตอนนั้น...ผมคิดว่าคนเราไม่น่าจะหลงชอบความประสาทแดกของอีกคนได้หรอก

โดยไม่รู้ตัวว่าจริงๆ แล้วผมหลงเข้าไปเต็มๆ เหมือนคนโง่งม

พอเริ่มชอบเขา ผมมักแอบสังเกตเขาบ่อยขึ้น

กิจวัตรประจำวันของอัฐเท่าที่ผมรู้คือเขาตื่นประมาณสิบโมงกว่า นอนกี่โมงไม่รู้ได้เพราะประมาณ 2-3 ทุ่มเขาก็ขึ้นไปขังตัวเองอยู่ในห้อง หลังจากตื่นนอนเขาจะอาบน้ำทันทีแล้วค่อยลงมาทำอะไรกิน ตามด้วยการชงกาแฟจากเครื่องบดกาแฟ แล้วถือแก้วไปวางบนโต๊ะคอม จากนั้นก็ขลุกอยู่ที่โซนส่วนตัวของเขา...ที่กินพื้นที่เกือบทั้งชั้นล่างนั่นแหละ ทั้งทำงาน อ่านหนังสือ รวมถึงออกกำลังกาย มีทั้งลู่วิ่งไฟฟ้า เวท และอื่นๆ ที่ไม่ค่อยเห็นเขาแตะเท่าไหร่ เขาจะอยู่บริเวณนี้จนถึงเย็น นานๆ ทีจะเห็นเขาออกไปรดน้ำต้นเฟื่องฟ้าบ้าง ซึ่งก็เป็นพันธุ์ไม้หนึ่งเดียวในบ้านหลังนี้ และถัดจากมื้อเย็นในครัว เขาจะกลับมาขลุกที่โซนส่วนตัวนั้นอีกชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วจึงขึ้นห้อง

ที่ยกมาเล่าคือกิจวัตรที่ผมสังเกตในวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาที่ผมออกไปฝึกงานนั้น คิดว่าอาจไม่เหมือนกัน เพราะผมไม่เคยเห็นเขาออกไปข้างนอก ปล่อยรถบีเอ็มสีดำนอนเหงาอยู่ตรงลานจอดรถ และก็ไม่เคยเห็นเขาติดต่อสื่อสารกับใครผ่านการโทรศัพท์หรือคอลผ่านโปรแกรมแชทเลย

จริงอยู่ว่าถึงจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ผมก็ไม่มีช่องทางการติดต่อกับเขานอกจากเบอร์โทรศัพท์ ผมเคยนึกสงสัยว่าเขาเล่นโซเชียลมีเดียบ้างหรือเปล่า แต่ลองเสิร์ชชื่อดูก็ไม่เจอ ยกเว้นเพจที่มีชื่อเดียวกันกับนามปากกาเขา ซึ่งก็แชร์เพียงโพสต์เกี่ยวกับงานตัวเองจากเพจสำนักพิมพ์ ไม่มีแคปชั่น ไม่หือ ไม่อือ ราวกับถูก บ.ก. บังคับให้เล่นยังไงยังงั้น

ดังนั้น จึงดูเหมือนอัฐมีชีวิตอยู่แค่ในบ้านที่มีเขาเป็นเจ้าของบ้าน และผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เตือนให้เขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก

ในสายตาของผม เขาดูเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงผมคงพูดไม่ได้หรอกว่ารู้จักเขามากกว่าที่เขายอมให้เห็น แล้ว...ไอ้ส่วนที่ยอมให้เห็นเนี่ย ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้

ถึงอย่างนั้น ผมก็ชอบทำทีเป็นออกมานั่งที่เก้าอี้บีนแบ็กสีดำตรงชั้นลอย ทำทีเป็นอ่านหนังสือบ้าง ทำงานฟรีแลนซ์บ้าง เล่นมือถือบ้าง เพื่อแอบมองเขาเป็นระยะ

ซึ่งบางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าในเมื่อเขาขลุกอยู่แต่บ้าน เขาจะย้อมผมสีทองให้โดดเด่นทำเพื่อ?

แน่นอนว่าผมไม่กล้าถาม รู้แค่ว่าก็ดีแล้วที่เขาดูแลตัวเอง ไม่ซกมกสกปรกแบบที่ต่อให้อยู่ฟรี ผมก็คงรีบย้ายหนี

อย่างไรก็ตาม ผมทองของเขาก็มีประโยชน์อยู่อย่างตรงที่หาตัวเจอได้ง่าย

มีอยู่วันหนึ่งที่ผมเจอเขานอกบ้าน

มันเป็นช่วงเย็นที่ฝนตกปรอยๆ ในเดือนตุลาคม ผมเพิ่งกลับจากการออกไปเจอเพื่อน เดินถือร่มสีน้ำเงินเข้าซอยแบบชิวๆ

เหมือนเคยที่ผมมักมองไปในสวน ยังบริเวณที่เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่เพราะผมเสียดายที่มันหักโค่นจนเหลือแต่ตอ แต่คราวนี้สายตาก็เลื่อนไปสะดุดสีทองสว่างบนหัวของคนที่นั่งอยู่บนม้านั่ง หันหน้าเข้าหาสระกว้างที่มีศาลานั่งเล่นยื่นเข้าไปอยู่กลางน้ำ

เห็นแค่แว้บเดียว ผมก็รู้ว่าเป็นอัฐ

เขานั่งพิงม้านั่งโดยยกแขนข้างขวาขึ้นมาวางบนพนักพิงหลังเป็นอิริยาบถสบายๆ นั่งมองตรงไปยังเบื้องหน้า เพียงมองนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับเหม่อคิดอะไรอยู่

ถ้าโดยปกติ ผมคงเลือกเดินกลับบ้านไม่เข้าไปทักเพราะกลัวจะถูกไล่ออกมาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ แต่เพราะผมเริ่มชอบเขา...ก็เลยเดินเข้าไปหา

ผมเดินไปตามทางเดินและลัดสนามหญ้าจนไปถึงม้านั่งที่เขานั่งอยู่ มันเป็นม้านั่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ ฝนปรอยจึงไม่เป็นปัญหานัก และก็เพราะฝนนั่นเองที่ทำให้ที่นี่เงียบสงบ มีเสียงนกนกร้องเพียงเบาบางเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเขารู้หรือเลป่าว่ามีคนเดินมา หรือรู้แต่ไม่คิดจะสนใจ ผมจึงเดินไปยืนข้างๆ ม้านั่งแล้วเอ่ยเรียก

เขาได้ยินก็หันมาเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองผม ไม่ถามอะไรเหมือนรอให้พูดต่อ

“กลับบ้านพร้อมกันไหมครับ จะได้ไม่เปียกฝน” ผมพูดพร้อมกับยื่นร่มไปด้านหน้าเล็กน้อย บอกอ้อมๆ ว่าให้ใช้ร่มคันนี้ด้วยกัน

“ยังไม่อยากกลับ” เขาปฏิเสธ หันกลับไปมองด้านหน้าเหมือนเดิม

“อ่า...งั้นผมไม่รบกวน—”

“นั่งก่อนสิ”

เขารั้งไว้ แน่นอนว่าผมไม่รู้ความคิดเขา แต่ตอนที่หุบร่มแล้วนั่งลงข้างๆ ก็คิดขึ้นมาว่า...หรือเขาจะให้ผมรอจนกว่าเขาจะกลับนะ...

ยังไงก็ตาม ผมรู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่ได้อยู่กับเขา ถึงเขาจะนั่งชิวไม่พูดอะไรเลยก็ตาม

ในตอนแรกผมก็เกร็งนิดหน่อย แต่พอผ่านไปได้สักพักก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันที่ได้แชร์ความเงียบไปด้วยกัน

ราวกับว่าที่เขาเรียกให้อยู่ ก็เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกนี้ เหมือนกับที่หาคนมาอยู่ร่วมบ้านนั่นแหละ

“ฉันไม่ชอบนิยายที่ตัวเองเขียนแล้ว”

พลันเขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมไม่ได้หันมามองผมด้วย ราวกับแค่ระบายออกมา ทำเอาผมเงอะงะอยู่ชั่วครู่ว่าจะพูดตอบเขาดีไหม ยังไงดี แต่สุดท้ายก็ตอบไป

“ทำไมล่ะครับ”

ผมถาม แต่เขานิ่ง

นิ่งเหมือนตอนที่เขาเงียบหลังจากผมตอบโต้ที่เขาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ตอนแรกไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะดังจนต้องเขียนเล่มต่อ”

แต่ในที่สุดเขาก็ตอบออกมา

“ฉันเบื่อ ไม่อยากเขียนต่อ”

เขาระบายออกมาแบบนี้ก็อาจแปลได้ว่าเขาเบื่อจริงๆ เพราะเท่าที่ผมเห็น เขาก็ขลุกกับมันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แยกไม่ออกทีเดียว

ถึงอย่างนั้น... ที่เขาบอกว่า ‘ไม่ชอบแล้ว’ ก็แปลว่าเขาเคยชอบมันนี่นา ถ้าจะทิ้งไปเลยก็เสียดาย ตอนนี้เขาอาจแค่เหนื่อยก็ได้

“งั้น...คุณอัฐลองพักดูไหมครับ หยุดเขียนเพื่อพักผ่อนสักเดือนอาจจะดีขึ้น”

“ไม่ล่ะ ก็ยังอยากทำอยู่”

“...”

แล้วที่บอกว่าไม่อยากเขียนต่อเมื่อกี้คืออาร้าย?!

“ให้มันจบๆ ไป”

โอ้ย...

ตกลงว่าชอบหรือไม่ชอบงานตัวเองวะเนี่ย?!

ผมอยากจะยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองกับความผีเข้าผีออกของเขา แต่ยังไม่ทันหายมึนงงกับเรื่องนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืน

“กลับกันเถอะ”

ว่าดังนั้นทำให้ผมลุกตาม หยิบร่มขึ้นมากาง แต่ยังไม่ทันได้ชูขึ้นเหนือหัว อัฐก็แย่งไปถือไว้ มองตรงมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันหลังเดินนำไป ให้ผมรีบเดินไปอยู่ข้างๆ เขา

“เอ่อ...ให้ผมถือร่มก็ได้นะครับ” ผมบอกเขาด้วยความเกรงใจ ซึ่งเขาก็เดินต่ออีก 2-3 ก้าวก่อนจะตอบมา

“เธอเตี้ย”

...ปฏิเสธแบบนี้เอาร่มฟาดกันยังจะดีกว่า

อีกอย่างผมก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นสักหน่อย เทียบกับเขาแล้วไม่น่าสูงห่างกันเกินสิบเซนติเมตรหรอก โถ่

ผมได้แต่คิด พร้อมกับเดินอยู่ใต้ร่มที่เขาถือ แต่ถึงจะบ่นมุบมิบในใจ ผมก็รู้สึกใจเต้นนิดๆ ที่ได้เดินกลับบ้านใต้ร่มเดียวกันกับเขา

อากาศเย็นๆ เสียงนกร้องก่อนกลับรัง กลิ่นดิน กลิ่นฝน และความสงบที่ทำให้รู้สึกเหมือนโลกนี้มีแค่ผมกับเขาสองคน

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน...ล่ะมั้ง

“ตกลงว่าเธอได้พากย์อะไรแล้วบ้าง” พลันเขาถาม สำหรับผมมันเป็นคำถามที่ทำลายมู้ดมาก เพราะคำตอบก็คือ...ยัง

“เอ่อ...กว่าผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะออกก็คงอีกนานเลยครับ แรกๆ คงได้พากย์ไม่ถึงประโยคด้วยซ้ำ”

“อะไรก็มาเถอะ” แต่เขาก็ใช้เสียงเบาอันเป็นบุคลิกพูดมาแบบนั้น “จะว่ายังไงดีล่ะ”

แล้วยังใช้คำพูดติดปาก เว้นระยะบทสนทนา ให้ผมลุ้นคำต่อไป

“ฉันชอบเสียงเธอน่ะ เคยบอกไปแล้วนี่”

ซึ่ง...เมื่อได้ฟัง ผมรู้สึกว่ามีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง

โหวงเหวง โคลงเคลง ปั่นป่วน ราวกับมันคือผีเสื้อที่เกิดจากเวทย์มนต์ลึกลับ

จะบ้าตาย

พูดชมแบบนั้นออกมาอีกแล้ว

สติผมหลุดลอยไปไกลจนลืมโต้ตอบคำพูดเขา แต่ก็ดูไม่ได้สนใจอะไร รู้ตัวอีกทีเราก็มายืนที่รั้วบ้านที่เต็มไปด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูแล้ว

เขายื่นร่มกลับมาให้ผมถือเพื่อไขกุญแจเปิดประตูบ้าน และเหมือนว่าพอก้าวผ่านประตูไป เขาก็กลับมาเป็นคนที่ไม่คิดจะสนทนาอะไรกับผมอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งชมผมแบบนั้นแท้ๆ

แต่ก็นั่นแหละ

ถ้าเขาไม่ใช่คนแบบที่เป็น เขาก็คงดูธรรมดา ไม่มีอะไร และไม่น่าสนใจ

เขาเป็นอย่างนั้นด้วยตัวเขาเอง มันเป็นตัวตนของเขา และนั่นทำให้เขาดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก

ถึงแม้ไม่รู้ว่าค้นไปจะเจออะไรก็เถอะ แต่ผมก็อยากรู้อยู่ดี

ต่อให้ไม่เจอความใจดีแบบรุ่นพี่ที่ผมเคยชอบ ผมก็คงไม่ผิดหวัง

บางที...ความประสาทแดกนี่แหละ เสน่ห์ของเขา

คิดแล้วจะบ้าตาย...หมายถึงจะบ้าตายกับตัวเองนี่แหละที่ชอบเขาแบบนั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันหลังจากนั้นมีเรื่องที่ทำให้ผม ‘จะบ้าตาย’ ยิ่งกว่านั้นรออยู่

เย็นนั้น ผมกลับบ้านหลังจากฝึกงานเหมือนทุกวัน แต่ที่แปลกออกไปคือผมได้ยินเสียงการพูดคุยในบ้าน เปิดประตูเหล็กดัดเข้าไปก็เห็นว่าอัฐนั่งอยู่หน้าคอม คงจะคุยกับใครผ่านวิดีโอคอลอยู่ ทำเอาผมแปลกใจเล็กๆ แถมเสียงของอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงด้วย

ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไรมาก เดินผ่านเขาไปเงียบๆ อย่างทุกที

“จา”

แต่เสียงเบาๆ ของอัฐก็เรียกผมไว้

ผมหันไปมอง แปลกใจนิดหน่อยที่เขาเรียกชื่อผม เพราะเขาไม่เคยเรียกเลย และที่เรียกว่ายัยหมวยก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น

“มานี่หน่อย”

ผมเดินไปหาเขา ยืนข้างๆ ก็ได้เห็นภาพจากวิดีโอคอลของอีกฝ่าย

เธอเป็นผู้หญิง ผิวขาว อยู่ในชุดนอนสีฟ้า ผมดำยาวมีหน้าม้าละตาโตดูน่ารักทีเดียว

“นี่น้องจา เฮาส์เมทที่เล่าให้ฟัง”

แล้วอัฐก็แนะนำผมให้เธอรู้จัก เธอยิ้มกว้างและโบกมือทักทายผม ผมที่กำลังมึนงงอยู่ก็โบกมือทักทายกลับแทนที่จะไหว้

“ส่วนนี่...” อัฐพูดขึ้น คราวนี้พูดกับผม แต่ยังมองหน้าจอตลอด ไม่หันมามองผมเลย แล้วเขาก็เอ่ยแนะนำเธอให้รู้จัก

“นี่แฟนฉันเอง”



**********************

สปอยล์ตัวเองหน่อยก็ได้ จากที่ปกติจะไม่สปอยล์
เรื่องนี้ไม่ดราม่ามากนะคะ รอดูกัน 5555
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.6)(15/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 15-05-2020 16:32:22
ไม่นะคะคุณอัฐอย่ามาพูดแบบนี้! แฟนเฟินอะไรกัน แกล้งน้องจาใช่ไหม  :monkeysad:

  :pig4:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.6)(15/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-05-2020 19:39:39
 :pig4:
:3123:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.6)(15/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 15-05-2020 22:54:45
แฟนแน่รึ ไม่ใช่ว่าเป็นญาติ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.7)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 01:06:30
ตอนที่ 7

ตอนได้รู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว ผมค่อนข้างตกใจ

ไม่สิ ตกใจเลยแหละ

ถ้าไม่นับเรื่องกิจวัตรประจำวันที่ผมเห็นจนไม่สงสัยว่าเขามีแฟน ผมไม่อยากพูดเลยว่า...นิสัยผีเข้าผีออกของเขาก็ไม่น่าจะทำให้เขาคบใครได้

ผมคิดอย่างนั้นทั้งที่ผมชอบเขานั่นแหละ

แล้วผมก็รู้ตัวตอนที่เขาแนะนำแฟนสาว ว่าผมไม่เคยคิดถึงขั้นได้คบหากับเขา แต่พอเห็นว่าเขามีแฟน ผมปวดร้าวจากกลางอก ลามล่วงทั่วร่างไปยันปลายนิ้วมือ

มันเจ็บใช่เล่น จนผมต้องย้อนถามตัวเองใหม่...ว่าผมไม่อยากคบหาเป็นแฟนกับเขาจริงเหรอ?

ผมไม่รู้

รู้แค่ว่ามันเจ็บจนน่าแปลกใจ

หลังจากที่อัฐเอ่ยบอกว่า ‘นี่แฟนฉันเอง’ แฟนสาวของเขาก็แนะนำตัวว่าชื่อออม ผมได้แต่ตอบรับว่าครับ

เธอยิ้ม แล้วพูดกับอัฐ

‘ดูเรียบร้อยจัง อยู่กับคนประสาทแดกแบบแกได้ด้วยเหรอ’

แล้วเธอก็หัวเราะ ซึ่งอัฐไม่ได้โต้ตอบอะไรและแววตาก็ไม่ได้ดูโกรธหรือหงุดหงิด เขาแค่นิ่งเฉย ราวกับเวลาที่ผมพูดอะไรไปแล้วเขาไม่อยากตอบ เขาก็ไม่ตอบ

แต่ว่า...ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนเขานี่ ความนิ่งเฉยของเขาคงไม่ใช่แบบนั้นหรอก

อีกทั้งเธอยังดูรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี ก็น่าจะรับข้อบกพร่องเหล่านั้นได้เลยเป็นแฟนกันได้ล่ะมั้ง

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ผมเอ่ยบอกเมื่อไม่เห็นว่ามีธุระอะไรอีก ซึ่งอัฐไม่ได้ตอบรับอะไร นิ่งเฉย ไม่หันมามอง ขณะที่ออม แฟนสาวของเขาตอบรับมาว่า ‘จ้า’ ด้วยเสียงสดใส

ตอนนั้นผมเดินขึ้นห้องไปด้วยสมองที่มึนเบลอ ปิดประตูห้องลงได้ก็ทรุดนั่งลงบนเตียงแบบหมดแรง

ในใจผมเต็มไปด้วยความสับสน

ถ้าผมคิดเรื่องอยากคบหากับเขาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ผมคงมีคิดบ้างว่าอัฐจะชอบคนแบบไหน

คนที่นิ่งเงียบเหมาะกับนิสัยขี้รำคาญของเขา หรือว่าคนที่สดใสเพื่อเติมในส่วนที่เขาหายไป?

ซึ่งถ้ายึดตามที่เห็น แม้เพียงไม่กี่นาทีผ่านหน้าจอคอม อัฐดูจะเลือกอย่างหลัง

แต่บางที มันอาจจะไม่เกี่ยวก็ได้

การคิดว่ารู้จักอัฐดี สุดท้ายมักจะโดนฟาดให้หน้าหงายว่าไม่ได้รู้จักเขาเลย

หรือที่เขาคบกับเธอก็แค่เพราะสวย?

แต่ต่อให้เหตุผลมีแค่นั้น เธอก็สวยจริงๆ และเป็นผู้หญิงที่มีตาโตทรงเสน่ห์

อา พอคิดอย่างนั้นแล้วท้อใจเป็นบ้า

ก็ผมมันตาชั้นเดียวจนเขาเองยังเรียกผมว่ายัยหมวยเลยนี่

ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อย จนผมทิ้งตัวลงนอนแผ่กับเตียง เหม่อมองหลังคาเบื้องบนกับโคมไฟสีดำที่ห้อยลงมา

ถึงอย่างนั้น ผมก็เกิดคำถามสุดท้ายขึ้นมาในใจ

หรือว่า...อัฐแค่หาคนที่รับเขาได้กันนะ?

ถ้าอย่างนั้น...

พลันความคิดขาดกลางคัน ผมขมวดคิ้ว พลิกตัวนอนตะแคงข้าง ใจผมรู้ดีว่าไม่อยากจะยอมรับมัน ขณะเดียวกันก็เป็นใจผมอีกนั่นแหละที่ยอมรับมันโดยง่ายดาย

สุดท้าย ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนและปล่อยความคิดที่ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

ถ้าอัฐแค่หาคนที่รับเขาได้...

ถ้าอย่างนั้น...ผมก็รับได้นะ

ผมคิดอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีว่าไม่ได้รู้จักเขาดีเลย

แต่ผมก็ยังเถียงความคิดตัวเองอยู่ดี

ถ้าด้านแย่ๆ เขามีเท่าที่ผมเห็น...นั่นแหละ ผมรับได้

ตัดเรื่องความผีเข้าผีออกของเขา แล้วไปยังส่วนที่แย่ที่สุดของคนเรา นั่นก็คือเวลาโกรธหรือหงุดหงิด ผมก็คิดว่าผมรับได้อยู่ดี

จริงอยู่ว่าอัฐดูเป็นคนขี้รำคาญ ดูหงุดหงิดง่ายเพราะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมดที่จะทำให้เขาไม่พอใจได้ แต่เวลาที่เขาหงุดหงิดขึ้นมา สิ่งที่น่ากลัวของเขาไม่ใช่การใช้กำลังหรือความรุนแรงที่พบได้ทั่วไปเวลาคนเราโกรธ

สิ่งที่น่ากลัวของเขาคือความเงียบและแววตา

เหมือนมันเป็นการแสดงออกขั้นแรกที่ทำให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนหรือไม่ขัดใจเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรหลังจากนั้น

ซึ่งความจริงแล้ว เท่าที่ผมเผชิญหรือสังเกตมา ผมก็ไม่ได้พบเจอการกระทำของเขาหลังจากแสดงออกว่าหงุดหงิดสักครั้ง

ถ้าไม่ใช่เพราะผมทำตามที่เขาบอกจนเขาพอใจ เขาก็จะแค่มาบอกตรงๆ ว่าไม่พอใจอะไร ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วและแก้ไขไม่ได้ ก็เท่ากับว่าเขาแค่มาบอก แล้วจึงเงียบไป

คิดดูดีๆ แล้ว เหมือนเขาสามารถเก็บอารมณ์ไม่พอใจของตัวเองไปจัดการอยู่ในใจได้เงียบๆ จึงไม่จำเป็นต้องรุนแรงอะไร

ครั้งเดียวที่เห็นเขาโต้ตอบออกมา ก็เป็นการโต้ตอบด้วยคำพูด และเสียงเบา

ตอนนั้นผู้ช่วย บ.ก. ที่ดูแลต้นฉบับของอัฐมาที่บ้าน ผมที่นั่งเก้าอี้บีนแบ็กของชั้นลอยอยู่ก็คิดจะหลบเข้าไปในห้องเงียบๆ แต่ว่า...ด้วยความอยากรู้ ประกอบกับก่อนหน้านี้อัฐก็เห็นผมนั่งอยู่ พอมีแขกมาก็ไม่ได้ไล่อะไรผม ผมจึงแค่เลื่อนบีนแบ็กหลบเข้าด้านในพอไม่ให้ตนเองเป็นที่สังเกต แต่ก็ยังมองเห็นด้านล่างได้

สาเหตุที่ผู้ช่วย บ.ก. มาถึงบ้านคือต้องการให้อัฐปรับเปลี่ยนเนื้อหาในนิยายเล่มต่อไปสักหน่อย ไม่สิ ไม่หน่อย เยอะเลยล่ะ เพราะเท่าที่ฟังเขาอยากให้ลดความดาร์กลงเพื่อยังได้ฐานผู้อ่านที่กว้างเหมือนเล่มแรก และอยากให้มีเซอร์วิสฉากเพราะนางนิดหน่อย

แน่นอน ย้อนคิดถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว ผมที่ตอนนี้รู้ว่าตัวเล่มจะออกมายังไง ก็ได้แค่คิดอยากตบบ่าผู้ช่วย บ.ก.

ขนาดอัฐมาถามผมเองว่าในมุมนักอ่านอยากให้ปรับแก้ตรงไหน เขายังไม่ปรับเลยสักจุด

ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ผมจะสังเกตได้ว่า ที่อัฐเงียบ ไม่ใช่เพราะตั้งใจฟังรายละเอียดว่าต้องแก้อะไรบ้าง แต่เขาเงียบเพราะหงุดหงิด ไม่พอใจ

“ห้าปี”

มันคือคำแรกที่อัฐตอบออกมาหลังฟังจบ จนผู้ช่วย บ.ก. ต้องถามว่าหมายถึงอะไร โน้มหน้าไปใกล้เพราะเสียงของเขาช่างเบาเหลือเกิน แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน

อัฐนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขยายความ

“ผมเขียนจบเรื่องแล้ว...แต่ว่าถ้าจะให้ปรับแก้ ผมจะส่งต้นฉบับให้ในอีกห้าปีข้างหน้า”

คำตอบของเขาทำให้ผู้ช่วย บ.ก. เงียบไป เพราะมันหมายความว่าอัฐปฏิเสธ แถมยังเป็นการปฏิเสธแบบหัวชนฝา

สุดท้ายทางสำนักพิมพ์ก็ต้องยอมอัฐ เพราะการเว้นระยะห่างจากเล่มแรกนานขนาดนั้น อาจทำให้กระแสซาลงไปแล้ว และไม่สามารถกอบโกยกำไรได้เท่าที่ตั้งใจ

มองๆ ดูแล้วเหมือนไม่ว่าใครก็ต้องหมุนรอบตัวเขา...อย่างช่วยไม่ได้

เหตุการณ์นั้นเป็นครั้งเดียวที่ผมเห็นอัฐโต้ตอบต่อความหงุดหงิดใจ ซึ่งก็ไม่อยากจะพูดให้ดูสวยหรูเลยว่าเป็นการตอบโต้แบบปัญญาชน...วงเล็บว่าปัญญาชนที่ชอบมัดมือชก และผมคิดเอาเองนั่นแหละ ว่าเรื่องอื่นๆ เขาก็คงเหมือนกัน

ผมจึงคิดว่ารับได้ ไม่ว่าอะไร

แต่...ต่อให้รับได้ทั้งหมด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกถ้าเขามีแฟนแล้ว

คิดแล้วหัวใจก็เหมือนจะฟีบลงทันที

เย็นวันนั้นผมได้แต่นอนอยู่บนเตียง ไม่ลงไปกินข้าว คิดนู่นคิดนี่จนเหมือนความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทั่วเตียง รู้ตัวอีกทีก็หลับไปเสียแล้ว

แต่เหมือนว่าผมยังเจ็บปวดไม่สาแก่ใจ

หลังจากวันนั้น ก็เหมือนว่าผมจะได้เห็นเขาวิดีโอคอลกับเธอบ่อยขึ้นด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

ทุกครั้งที่อัฐวิดีโอคอลกับแฟนคือช่วงหกโมงถึงหนึ่งทุ่ม

ผมไม่ได้อยากเห็นหรือได้ยินนัก แต่มันก็เป็นช่วงที่ผมกลับบ้านพอดี ทุกครั้งที่เจอว่าเขาวิดีโอคอลอยู่ ผมจะรีบเดินผ่านไปที่ครัวหรือขึ้นห้อง แต่ก็ยังไม่วายได้ยินสิ่งที่เขาคุยกัน

หนึ่งในสิ่งที่ผมรู้คือออมน่าจะอยู่ต่างประเทศ ผมไม่รู้ว่าประเทศอะไร รู้แค่ว่าเวลาที่พวกเขาคุยกันคือช่วงเช้าของเธอ

อีกสิ่งก็คือวิธีการพูดคุยของอัฐ

อย่างที่ผมเห็นในวันแรก เขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือไม่ได้มีอะไรพิเศษ เขาไม่ได้พูดมากเป็นพิเศษ ไม่ได้มีคำหวาน อยากพูดค่อยพูด มีชวนคุยบ้าง และบทจะไม่ตอบก็ไม่ตอบเหมือนกัน แต่นั่นแหละ...ยิ่งทำให้ผมปวดใจ

เพราะผมรู้สึกว่าเขาโคตรจะเป็นตัวเอง

เป็นตัวเองแบบที่ผมเผลอชอบ

เป็นตัวเองจนอยากจะเดินไปปิดหน้าจอที่เขากำลังคุยกับออม แล้วบอกว่าผมก็ชอบคุณที่เป็นแบบนี้ ไม่ต่างจากที่เธอชอบ

อยากจะถามเขาว่าเป็นผมไม่ได้เหรอ?

และอยากสุดท้าย

อยากจะบ้าตาย...

ผมรู้ตัวว่าอาการหนัก แบบที่หนักกว่าเดิมมากหลังจากรู้ว่าเขามีแฟน

ยังไงก็ตาม ผมรู้ตัวว่าต้องตัดใจและคิดกับเขาว่าเป็นแค่ ‘เฮาส์เมท’ ที่...ประสาทแดกหน่อยๆ

ผมทำตัวปกติทุกอย่าง พยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านมาพร้อมเงินค่าน้ำค่าไฟเพื่อจ่ายกับเขาเหมือนทุกเดือน โดยปกติผมจะยื่นให้กับมือเขา แต่ตอนนั้นผมเห็นว่าเขาวิดีโอคอลกับออมอยู่ ผมไม่อยากรบกวนจึงวางเงินค่าไฟไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา คิดว่าเขาไม่เห็นวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงเห็นเอง แล้วเดินเข้าครัวไปทำอะไรกินเหมือนวันทั่วๆ ไป

โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาเกลียดการให้เงินด้วยการวางทิ้งไว้ที่สุด

อัฐเดินเข้ามาในครัวหลังจากผมทำกับข้าวเสร็จและนั่งกินตามปกติ ขายาวๆ ของเขาก้าวมายืนที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ จ้องสบตาผมที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมอง และเอ่ยเสียงเบาเป็นบุคลิก

“ทำไมวางเงินไว้ตรงนั้น”

“ก็...ค่าน้ำกับค่าไฟไงครับ”

“ปกติเธอไม่ได้วางแบบนั้นนี่”

“ผมเห็นคุณคุยกับแฟนอยู่พอดี เลยไม่อยากรบกวนน่ะครับ”

ผมบอกเหตุผลไปตามตรง และคิดว่าน่าจะเข้าใจได้ แต่เขากลับนิ่งเงียบ เงียบเหมือนคิดอะไรอยู่นานและไม่มีแม้แต่คำว่า ‘จะว่ายังไงดีล่ะ’ ออกมาด้วยซ้ำ

ผมเกร็งไปหมดจนคิดจะวางช้อนส้อมลงก่อน แต่สุดท้าย เขาก็พูดออกมา

“ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกจากบ้าน อย่าทำแบบนั้นอีก”

ทั้งที่พูดออกมาด้วยเสียงธรรมดา เดซิเบลที่ไม่ดังมากเป็นบุคลิก แต่เนื้อความนั้นทิ่มแทงจนผมตั้งตัวไม่ทัน และพูดอะไรไม่ออก

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงรับรู้แค่ว่าเขาเกลียดการกระทำนั้นมาก มากจริงๆ

แต่ตอนนี้ สิ่งที่พ่วงมาก็คือความเจ็บแปลบ

ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาเกลียดการกระทำนั้นขนาดนั้น แต่ที่รู้คือเขาไม่เคยถึงขั้นขู่จะไล่ผมออกจากบ้าน

รู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นเองว่าการพยายามอยู่เงียบๆ ทำตามที่เขาอยากให้เป็นทุกอย่าง ไม่รบกวนเขา ไม่รบกวนเวลาเขาคุยกับแฟน มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

“แล้วถ้าผมอยากออกจากที่นี่เองล่ะครับ?”

ผมย้อนเขา วางช้อนส้อมในมือลงบนจาน จ้องเขาแบบไม่หลบตา อยากให้เขารับรู้ว่าผมไม่ชอบที่เขาพูดแบบนั้น เหมือนกับที่เขาไม่ชอบอะไร เขาก็บอกออกมาตามตรง แล้วผมก็ยอมตามให้ทุกอย่าง

แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากรับรู้

และต่อให้รับรู้ ก็ไม่ทำให้ดังที่ต้องการ ต่างกับที่ผมทำ

การกระทำของเขาถัดจากนั้น ผมรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่ผมรู้สึกว่ามันช่างยาวนาน และกลับมาฉายซ้ำในหัวผมนับครั้งไม่ถ้วน

เขาเงียบ ไม่พูดอะไร เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วทอดมองลงมาด้วยแววตาที่ดูคล้ายความเหยียดหยิ่งแบบในวันแรกที่พบกัน แต่ไม่ใช่ มันเป็นแววตาแข็งกร้าวที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาดูเหมือนโกรธมาก เหมือนไม่พอใจที่ผมพูดแบบนั้น ขณะเดียวกันก็เหมือนเหยียดเย้ยว่าผมคงไม่ทำอย่างที่พูด

วินาทีที่เขาหันหลังไป ผมคิดว่าเขาไล่ผมออกมาเลยตรงๆ ยังดีเสียกว่า แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ทำหรอก เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเขาเวลาโกรธ

เป็นตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่าความโกรธของเขาที่แสดงออกมาเพียงผ่านแววตาและความเงียบ น่ากลัวกว่าการผรุสวาทออกมาตรงๆ หรือทำเสียงปึงปังไม่พอใจเสียอีก เพราะผมไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกอะไรกันแน่

อยากให้บอกสักคำ ว่าคิดยังไงที่ผมพูดย้อนไปแบบนั้น

และ...อยากให้อยู่ หรืออยากให้ไป

หรือเห็นเป็นแค่สิ่งมีชีวิตหนึ่งที่เตือนเขาว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...เขาก็มีแฟนไว้คุยแล้วนี่ และน่าจะคบกันมานานแล้วด้วยซ้ำ

ในที่สุด คำคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว คำที่ไม่เคยคิดกับอัฐเลยต่อให้เขานิสัยเสียแค่ไหน

ใจร้าย

โคตรใจร้าย


**


หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.7)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 16-05-2020 10:28:28
มันเจ็บหัวใจ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.8)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 16:39:22
ตอนที่ 8



ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจะเรียกการเถียงกันแค่ 2 ประโยคเป็นการทะเลาะกันได้ไหม

แล้วก็ไม่แน่ใจว่าที่อัฐเงียบ ไม่พูดไม่คุยหลังผมเถียงย้อน คือเขายังโกรธ หรือไม่ได้โกรธแล้ว แค่ทำตัวเงียบๆ ตามปกติ

การขัดแย้งกับเขาเป็นสิ่งที่คลุมเครือที่สุดในโลก เหมือนเราตกอยู่ในความไม่รู้อะไรเลย และการจะไปซักไซ้ถามเขาก็ใช่ว่าจะได้คำตอบ แถมถ้าเขาไม่ตอบ ก็ไม่รู้ว่าไม่ตอบเพราะยังโกรธ หรือแค่ไม่ตอบเพราะไม่อยากตอบ

อยากจะบ้าตาย

ที่รู้คือผ่านมา 2 วันแล้ว เขาก็ยังไม่ได้มีทีท่าอะไร แน่ล่ะว่าหวังคำขอโทษจากเขาไม่ได้ ผมรู้ และที่รู้อีกอย่างคือผมก็ไม่คิดจะง้อเขาเหมือนกัน

ที่สำคัญ ผมคิดเรื่องย้ายออกอย่างจริงจังแล้วล่ะในเมื่อเป็นอย่างนี้

ตอนแรกผมพูดไปด้วยความโกรธและเสียใจ แต่ความเงียบของเขาก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องจริงในที่สุด

อีกอย่างที่ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นก็เพราะรุ่นพี่นักพากย์บอกผมว่าจะทำเรื่องเบิกค่าเดินทางให้เพราะเห็นในความพยายามของผม ถึงยังไม่ได้พากย์เลยไม่ได้เงินค่าจ้าง แต่เงินค่าเดินทางก็น่าจะทำให้ผมพอจะเช่าหอถูกๆ ได้ และขยันรับงานฟรีแลนซ์จิปาถะมากขึ้นอีกนิดก็น่าจะอยู่ได้

ผมยังไม่ได้ย้ายออกทันทีเพราะรออะไรเข้าที่เข้าทางอีกนิด อาจจะสักสัปดาห์สองสัปดาห์ ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ไม่คิดจะบอกอัฐด้วย กะบอกทีเดียวตอนรถขนของมาจอดหน้าบ้านนี่แหละ

ผมคิดว่าผมคงเลิกชอบเขาได้ง่ายมากในเมื่อพื้นฐานผมก็ชอบคนใจดีอยู่แล้ว

เราจะทนอยู่กับคนใจร้ายแถมผีเข้าผีออกไปทำไม

แต่พอตัดสินใจอะไรๆ ได้เด็ดขาด ผมก็พบว่าใจมันแอบโหวงเหมือนกัน

ยิ่งกลับบ้านมาทีไรก็ไม่เห็นว่าเขาอยู่บ้าน โดยเฉพาะในช่วงกลางวันจนถึงดึก บางคืนก็ไม่กลับด้วยซ้ำ ทั้งที่ปกติอยู่ตลอดยังกับผีบ้านผีเรือน ผมยิ่งรู้สึกโหวงเหวง

ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน และไม่รู้ว่าผมหวังอะไรอยู่

ไม่สิ ผมรู้ดีว่าผมหวังอะไร ผมแค่ไม่อยากจะยอมรับ

ผมอยากให้อัฐมาง้อผม...หรือไม่ก็มาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศก็ได้

ถ้าเขาทำเพียงแค่นั้น ผมก็คงอยู่ต่อโดยลืมที่เคยตัดสินใจไปหมดสิ้น เพราะผมชอบเขาในแบบที่ไม่เคยชอบใครมาก่อน

แต่ว่า...

ตัดใจน่าจะดีที่สุด

สิ่งที่หวังไม่มีทางเป็นจริงหรอก

แล้วผมก็จมอยู่กับความคิดเหล่านี้ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังเกิดเรื่อง เพราะอัฐไม่อยู่บ้านให้ผมเห็นหน้าเลยสักวัน

ซึ่งนั่นก็ทำให้ใครบางคนโผล่หน้ามาแทน

เหมือนเดิมที่ผมมักเจอเหตุการณ์บางอย่างตอนกลับมาบ้าน

ตอนที่อัฐไม่อยู่ ลานจอดรถจะว่าง ประตูไม้จะถูกล็อกไว้ แต่วันนั้นลานจอดรถมีเบนซ์สีขาวมาจอด ประตูไม้ก็เปิดไว้ทำให้รู้ว่ามีแขกมา และเป็นแขกผู้หญิง สังเกตจากรองเท้าส้นสูงสีดำหน้าประตู

ในใจผมตอนนั้นภาวนาเหลือเกินว่าอย่าเป็นออม เพราะผมไม่อยากเจอ

ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยใจเต้นหนึบ เห็นแขกนั่งอยู่ตรงเก้าอี้โครงเหล็กสีดำ ซึ่งเก้าอี้ตัวนั้นหันหน้าเข้าในตัวบ้านทำให้เห็นแขกเพียงด้านหลัง เธอเป็นผู้หญิง ผมดำยาวผูกหางม้าสูง ปลายผมเป็นลอนสวย แต่งชุดเดรสแขนยาวคลุมเข่าสีน้ำเงิน ดูแล้วน่าจะทำจากผ้ากำมะหยี่ ขับผิวขาวของเธอให้ดูมีราศี แต่ถึงเธอน่าจะได้ยินเสียงเปิดประตู เธอกลับไม่หันมามองจนผมต้องเดินไปหาเธอเอง

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักและยกมือไหว้

เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอมือถือในมือ แว้บแรกที่เห็น ผมโล่งใจที่ไม่ใช่ออม และแว้บต่อมาคือผมรู้สึกว่าเธอสวยมาก ถึงจะอายุสักสี่สิบปลายๆ แล้วก็ตาม ด้วยดวงตาที่ดูหวานโศก ส่วนโครงหน้านั้น...ทำให้นึกถึงใครบางคน

“อ้อ...เธอคือลูกชายของจินดาใช่ไหม”

เธอเอ่ยออกมา เสียงเนิบและเบา ทำให้ผมพอจะเดาได้แล้วว่าเธอเป็นใคร

“ครับ ผมชื่อจา คุณคือคุณแม่ของ—”

“แม่ของอัฐน่ะ” เธอชิงเอ่ย พร้อมคลี่ยิ้มออกมา

คำเฉลยช่วยยืนยันสิ่งที่ผมคิด ผู้หญิงคนนี้มีรูปหน้าคล้ายอัฐ แต่อ่อนละมุนกว่าด้วยความเป็นเพศหญิง และที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือดวงตาหวาน แพขนตาหนา หางตาตกนิดหน่อยแต่ก็ดูมีเสน่ห์ รวมถึงปากกระจับที่คลี่ยิ้มออกมาดูละมุนละไม ผิดกับอัฐที่ไม่เคยยิ้มให้เห็นเลย

“อ่า... มาหาคุณอัฐใช่ไหมครับ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยู่บ้านเลย”

ผมบอกเธอ...ไม่สิ ผมควรใช้สรรพนามอื่น เช่น ‘ท่าน’ เพื่อเป็นการเคารพความอาวุโส แต่...ผมก็กลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากคนหนึ่ง และไม่ได้มาในนามแม่ของใคร แค่เป็นตัวเธอเท่านั้น

ดังนั้นขอเรียก ‘เธอ’ แต่เพียงในใจ และเหมาเอาเองว่านั่นเป็นการเคารพความสาวและสวยแล้วกัน

ผมบอกเธอไปดังนั้น ซึ่งเธอก็วางมือถือลงบนโต๊ะที่ทำมาจากตอไม้ ผมเพิ่งสังเกตว่ากระเป๋าคล้องแขนสีดำ ยังมีช็อกโกแล็ตกล่องใหญ่ยี่ห้อ Guylian วางอยู่ด้วย ไอ้ช็อกโกแล็ตรูปร่างเปลือกหอยนั่นน่ะ

“แม่พอรู้อยู่...อัฐไม่ค่อยอยู่บ้านเป็นสัปดาห์แล้วใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“อืม...เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย” เธอเอ่ย เหลือบมองไปที่กล่องช็อกโกแล็ตเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งก็เหมือนว่าจมลงความคิดไปเลยเพราะเธอเงียบนานจนผมอึดอัดนิดๆ

“คุณแม่ดื่มอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมชงชามาให้”

ผมถามเพื่อละลายน้ำแข็งของความอึดอัดนั้น

“งั้น...ขอน้ำขิงแล้วกัน”

“ได้ครับ” ผมตอบรับ แม้ไม่แน่ใจว่ามีให้ชงหรือเปล่า

“แล้วเธอก็ชงของเธอมาด้วยนะ จะได้ดื่มด้วยกัน”

“อ่า... ได้ครับ”

ถึงจะเป็นคำชวนที่ผมไม่คาดคิด แต่ผมก็ตอบรับเพราะไม่เห็นเหตุผลจำเป็นต้องปฏิเสธ แม้จะเกร็งๆ นิดหน่อยก็ตาม

ไม่รู้ว่ามีบุคลิกที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกร็งนิดๆ เมื่อแรกเจอเหมือนกันทั้งบ้านหรือเปล่า ถึงแม้แม่ของอัฐจะมาในเวอร์ชั่นที่ละมุนละไมกว่าก็เถอะ

ผมคิดระหว่างที่ค้นหาขิงซองในตู้แขวนผนังในครัว และยิ้มออกมานิดๆ ที่เจอ แล้วหยิบขวดผงโกโก้ออกมาเพื่อชงดื่มในส่วนของผมด้วย

เมื่อทำเครื่องดื่มเสร็จ ผมยกใส่ที่รองจานแล้วถือไปเสิร์ฟที่โต๊ะไม้ ก่อนที่ผมจะนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“ขอบใจจ้ะ”

แม่อัฐเอ่ยเสียงเบา แล้วยกแก้วขึ้นมาชงอีกเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมตอบ เธอยิ้มให้ก่อนวางช้อนลงบนที่รองจาน ผมสังเกตว่าเธอวางแล้วมีการจัดด้ามช้อนให้ดูเป็นด้านเส้นตรงของครึ่งวงกลม ส่วนจานคือด้านเส้นโค้ง

“จาใส่ปริมาณน้ำพอดีเลย” เธอเอ่ย ยิ้มออกมาอีกครั้ง วางแก้วลงโดยหันหูของแก้วให้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่วางช้อน

“ผมก็กะเอาน่ะครับ”

“อืม...จาทำอาหารเป็นไหม” แม่ของอัฐเอ่ยถาม ดวงตาหวานโศกจ้องสบตา

“ก็ทำแบบพอกินเองได้น่ะครับ”

“พวกสเต็ก สปาเก็ตตี้ อะไรแบบนี้ล่ะ”

“ไม่ค่อยได้ทำเลย แต่ผมคิดว่าทำได้นะ” ผมตอบเธอแม้งงๆ ว่าเธอถามทำไม

“งั้นดีเลย”

พลันเธอยิ้ม ยกมือขึ้นมาประกบกันตรงช่วงอกเหมือนตบมือเบาๆ แต่ไม่มีเสียง

“ถ้าไม่ลำบากเกินไปช่วยทำอาหารให้อัฐทานหน่อยได้ไหม”

“...”

ผมอึ้งไป เพราะไม่คิดว่าแม่เขาจะขอมาแบบนั้น และผมก็ไม่รู้จะตอบว่าไงดี ระหว่าง...ผมทะเลาะกับอัฐอยู่ กับผมกำลังจะย้ายออกจากบ้านเร็วๆ นี้แล้ว

แต่แววตาของหญิงวัยสี่สิบปลายก็จ้องมองผมด้วยประกายของความหวัง จนปากผมขยับไปเอง

“ได้ครับ”

นั่นทำให้แม่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะยกน้ำขิงขึ้นจิบอีกครั้ง ขณะที่ผมเกิดคำถามกับตัวเอง

หรือผมโดนคนตระกูลนี้สะกดจิตอยู่วะ...

“อัฐน่ะ ชอบเวลาคนทำอาหารให้ทาน” เธอเอ่ยเมื่อละแก้วในมือจากปากกระจับที่ทาลิปสีแดงเลือดนก “เพราะงั้นแม่อยากฝากจากหน่อย”

“แต่ว่า...จะดีเหรอครับ” ผมถามตามตรง “ผมกลัวไม่ถูกปากเขา”

ประโยคสุดท้ายผมหมายความตามนั้น เพราะคิดว่าอย่างอัฐน่ะ...น่าจะกินยากสุดๆ

“อืม...ลองดูก่อนได้ไหม”

“งั้น...ผมจะลองดูแล้วกัน”

คำตอบของผมทำให้แม่อัฐยิ้มอีกครั้ง

“อัฐน่ะ เขาเอาแต่ใจนิดหน่อย” เธอพูดพลางวางแก้วลง โดยหมุนหูแก้วให้อยู่ตำแหน่งเดิม

ผมว่าพอจะรู้แล้วว่าอัฐได้นิสัยจุกจิกมาจากใคร...

ส่วนที่บอกว่าเขาเอาแต่ใจ ‘นิดหน่อย’ น่ะ...ไม่จริงเลยครับคุณแม่...

แต่ถามว่าผมพูดอะไรได้ไหม คำตอบคือก็ได้แต่ยิ้มนั่นแหละ

“แม่ดีใจนะที่มีจาอยู่เป็นเพื่อนเขาเพราะแม่ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ อีกห้าปีกว่าจะเกษียณนี่มันยาวนานจังน้า...”

ประโยคสุดท้ายเธอรำพึงกับตัวเอง แต่เป็นความรำพึงที่ทำผมอึ้งนิดๆ

“คุณแม่...อายุห้าสิบกว่าแล้วเหรอครับ”

“ใช่ แม่ 55 แล้วน่ะ อ้อ...เดี๋ยวแม่ต้องไปละ ฝากยื่นช็อกโกแล็ตนี้ให้กับมืออัฐหน่อยนะ ไม่ก็ใส่ตู้เย็นไปเลย” เธอไม่เว้นช่วงให้ความตกใจของผม หยิบกล่องช็อกโกแล็ตยื่นให้ “อัฐเขาไม่ชอบให้คนวางของทิ้งไว้ให้ โดยเฉพาะเงินน่ะ ห้ามเลย”

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามเหตุผลทันที หวังว่าจะได้รู้สักที

“อืม...เรื่องมันยาวน่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ... ไว้อัฐเขาเล่าเองดีกว่า”

ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้ แถมดูไม่มีวันจะได้รู้ด้วย

จะรออัฐเล่าเรื่องตัวเองเนี่ย ดูยากกว่ารอเขาชวนคุยเรื่องที่ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศอีก

แล้วพอคิดอย่างนั้น ผมก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวได้ว่าอีกไม่นานจะย้ายออก

ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแท้ๆ จะมาหวัง จะมาอยากรู้อะไรอีก

เฮ้อ

ผมลอบถอนใจอยู่ในใจขณะที่เดินไปส่งแม่ของอัฐ รอเธอขับรถออกไปเพื่อที่จะได้เลื่อนปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย

“ว่าแต่...อัฐเขาดูซึมๆ มากไหม” แต่เธอก็ถามมาอีกคำก่อนเปิดประตูขึ้นรถ

ซึม? ซึมอะไร?

ผมทวนคำนั้นในใจ และแน่นอนว่าไม่เข้าใจอยากถึงที่สุด

“เขาไม่ค่อยอยู่บ้าน ผมเลยไม่รู้น่ะครับ” แต่ผมก็ตอบออกไปก่อน

“อืม...เวลาเสียใจนี่อยู่ไม่ติดบ้านทุกทีเลยน้า” เธอบ่นเหมือนรำพึง ซึ่งผมอาศัยจังหวะนี้เอ่ยถาม

“คุณอัฐเขาเสียใจเรื่องอะไรเหรอครับ”

“อ้าว... จาไม่รู้เหรอ?”

เธอหันจากความรำพึงกลับมาสบตาผม ซึ่งผมส่ายหัวเป็นคำตอบ ทำเอาแม่ถอนหายใจก่อนเอ่ยสิ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงเมื่อได้ฟัง

“อัฐเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบมาหลายปีน่ะ เลิกเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง”



**




หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.9)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 16:41:07
ตอนที่ 9



ย้ำอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจจริงๆ ว่าควรรู้สึกยังไงที่อัฐเลิกกับแฟนแล้ว

คนทั่วไปเขายินดีหรือเปล่านะ

ยินดีที่เรามีโอกาสเข้าหาคนที่ชอบอย่างไม่ต้องกลัวอะไร

หรือว่าเจ็บปวดไปด้วยกับความเจ็บปวดของคนที่เรารัก

ผมรู้แค่ว่าผมร้อนวาบกลางอกเมื่อได้รู้แบบนั้น ตอบอะไรแม่ของอัฐไปก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าผมยกมือไหว้ลาและปิดประตูรั้วล็อกกุญแจเรียบร้อยเมื่อเธอขับเบนซ์สีขาวออกจากบ้านไป

ไม่ต่างจากวันที่ผมรู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว ผมเดินขึ้นห้องตัวเองไปเงียบๆ ปิดประตูลงได้ก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียง แต่คราวนี้ทิ้งหลังตามลงไปในเวลาไม่นานเพื่อนอนแผ่อย่างอ่อนล้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความสับสนในใจเลย

อัฐเลิกกับแฟน...แล้วมันยังไงล่ะ?

ผมเองก็กำลังจะตัดใจอยู่แล้วนี่ ในเมื่อต่อให้เขาไม่มีแฟน ผมก็ดูไม่มีหวังอยู่ดี

สังเกตได้จากการที่ผมพูดย้อนเพื่อแสดงความไม่พอใจ เขาก็ดูเหมือนแสดงออกแค่โกรธและไม่สนใจมาพูดอะไรด้วยอีกเลย

แต่ว่า...

อีกครั้งที่ความคิดผมขาดช่วง ผมพลิกตัวนอนตะแคงแล้วขดตัวเหมือนควานหามุมปลอดภัย เพราะรู้ตัวว่าความคิดนั้นอันตรายต่อตัวเอง

สุดท้ายผมก็ยอมปล่อยใจให้คิดอยู่ดี

ไม่ฝืนยื้อแบบคราวที่แล้วเพราะผมรู้ดีว่าฝืนไม่ได้

ผมคิดเถียงตัวเองที่บอกว่าจะตัดใจ เพราะจำที่เคยคิดไว้ได้ว่าแค่เขามาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมก็คงลืมที่เคยตัดสินใจว่าจะย้ายออกไปหมดสิ้น

นั่นแหละ

ตอนนั้นผมกำลังลืมที่เคยตัดสินใจไปหมดสิ้น ถึงจะไม่ใช่เพราะเขาแสดงออกมาว่ามีผมอยู่ในสายตา ก็แค่เขาเลิกกับแฟน

ผมคิดว่าไม่เป็นไร

ไม่มีผมอยู่ในสายตาก็ไม่เป็นไร

เดี๋ยวจะทำให้มีเอง

คิดแล้วหลับตาลง ก่อนจะผล็อยหลับไปโดยไม่กินข้าวเย็น ไม่ต่างจากวันที่รู้ว่าอัฐมีแฟนแล้ว

ผมหลับยาวแล้วตื่นขึ้นมาอีกทีช่วงเจ็ดโมงเช้า ที่หลับยาวขนาดนี้คงเพราะช่วงก่อนหน้านี้นอนไม่พอ ทำงานฟรีแลนซ์เสียดึกดื่น จนต้องมาชาร์ตพลังเอาทีหลัง

อย่างไรก็ตาม การตื่นนอนตอนเช้าก็สดชื่นดี ผมกะจะไปเดินเล่นที่สวนสักหน่อยค่อยกลับมากินข้าวเช้า เพราะยังไงซะมันก็เป็นวันเสาร์ แต่เมื่อแปรงฟันและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จังหวะที่กำลังจะเดินถึงประตูไม้ ผมก็ต้องชะงัก

อัฐนอนหลับอยู่บนโซฟาหนังสีดำ

ผมไม่เคยเห็นเขานอนหลับตรงนี้มาก่อน แถมยังอยู่ในชุดลำลอง ไม่ใช่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวอย่างที่ชินตา จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อคืนเมากลับมาหรือเปล่า

เมื่อสังเกตจังหวะการหายใจที่หน้าท้องแล้วว่าน่าจะหลับจริง ผมจึงย่องเข้าไปใกล้ๆ ไม่ถึงกับก้มหน้าลงไปเพื่อดมกลิ่น แต่พอให้รู้ว่าดื่มมาหรือเปล่า แล้วก็พบว่าเขาน่าจะไม่ได้ดื่มมา

แล้วทำไมหมดสภาพอย่างนี้ล่ะ?

อัฐอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงจ็อกเกอร์แพนท์ แม้แต่ถุงเท้าก็ยังไม่ได้ถอด เขานอนหงายหนุนหมอนของโซฟา มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากปิดดวงหน้าส่วนบนเหมือนแบกโลกทั้งใบแม้ยามหลับ ส่วนมืออีกข้างปล่อยห้อยออกมานอกขอบโซฟาเหมือนละทิ้งแล้วซึ่งทุกสิ่ง

ผมไม่รู้ว่าเขากลับมากี่โมง และแน่นอนว่าไม่กล้าปลุกเขา

ที่ผมพอจะช่วยได้ก็ไม่ใช่การเอาผ้าห่มมาห่มให้ เพราะแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายให้ร้อนตายเสียมากกว่า แต่ผมหยิบพัดลมมาเปิดให้เพื่อระบายอากาศ

ก่อนเดินออกมา ผมยืนมองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง เพราะนี่เหมือนเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้เห็นเขาตอนหลับ

ผมเพิ่งรู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นเองว่าเขาเหมือนสัตว์ตระกูลแมว

เวลาเจ็บก็หลบไปเลียแผลตัวเองเงียบๆ ดีขึ้นจึงค่อยกลับมา

คิดเพราะหวังให้เขาดีขึ้นแล้ว

และที่เคยตอบแม่ของเขาไม่ได้ว่าเขาซึมมากไหม ผมว่าเขาน่าจะซึมพอสมควร เพราะสภาพที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น

แต่คิดดูแล้วก็เศร้าขึ้นมานิดๆ เพราะคนที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องสำคัญกับเขาไม่น้อย

เฮ้อ

ผมถอนหายใจอยู่ในใจ แล้วก้าวออกมาจากตรงนั้น

โครม!

“อะ...”

แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ผมพลาดเตะไปโดนกองหนังสือของอัฐที่วางระเกะระกะอยู่ข้างโซฟาจนล้มโครมระเนระนาดเหมือนตึกถล่ม

พลันเสียวสันหลังวาบขึ้นมา สัญชาตญาณบอกให้ผมหันไปมองเจ้าของหนังสือพวกนี้ทันที

เชี่ย

ตื่นแล้ว

เห็นสายตาคมของอัฐที่มองมาแม้จะนอนอยู่ก็ทำเอาผมยะเยือกจากปลายเท้ายันปลายมือ ลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกอยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยปากออกไป

“เดี๋ยว...เดี๋ยวผมเก็บให้นะครับ”

พูดแบบลืมไปแล้วว่าเคยทะเลาะกันมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องลนขนาดนั้น แต่เหมือนผมถูกโปรแกรมว่าอย่ายุ่งกับหนังสือของเขาเด็ดขาด พอทำเละแบบนี้จึงรีบเก็บเรียงให้เหมือนเดิมเร็วที่สุด

“ไม่เป็นไร”

“...”

แต่เสียงเบาๆ ของอัฐก็ดังขึ้นตรงหน้า เงยมองก็เห็นว่าเขามานั่งยองอยู่หน้ากองหนังสือ นอกจากจะทำให้ผมตกใจกับคำพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ ที่เขาไม่น่าจะพูดแล้ว เขายังค่อยๆ ดึงหนังสือจากมือผมไปจัดเรียงเองด้วย

ผมเห็นดังนั้นจึงอยากช่วยเก็บให้เสร็จเร็วๆ แต่ก็พบว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของเขาอาจเป็นคำสุภาพของคำว่า ‘อย่ามายุ่ง’ ก็เป็นได้ เพราะเมื่อผมหยิบเล่มใหม่ขึ้นมา เขาก็ดึงมือออกจากมือผมเหมือนเดิม เบาๆ ไม่ได้กระชาก แต่ทำเอาผมรู้สึกเหมือนมือแข็งเป็นหินไปเลย

“เอ่อ...ผมกำลังจะทำอาหารเช้าพอดี” ถึงอย่างนั้นผมก็ทำใจดีสู้เสือ ในเมื่อเดาความคิดและอารมณ์ของเขาไม่ออกสักอย่าง ผมก็จะเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน “เดี๋ยวผมทำเผื่อคุณด้วยนะครับ”

พูดจบประโยค ผมรู้สึกใจเต้นตึกตักเพราะทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัวว่าอัฐจะโต้ตอบยังไง ซึ่งเขาก็จัดเรียงหนังสือช้าลงเล็กน้อย เหลือบสายตาขึ้นมา เป็นสายตาที่มองแล้วรู้สึกเหมือนถูกเชยคางเสมอมา ก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลง ไม่พูดอะไร และจัดเรียงหนังสือเหมือนเดิม

อ่า แน่นอนว่าผมไม่รู้ว่าที่เขาเงียบนั้นเพราะกำลังหงุดหงิดเรื่องหนังสือ หรือเงียบเพราะแค่ไม่อยากตอบ แต่ผมเหมาเอาเองแล้วกันว่าเงียบน่ะ...แปลว่าตกลง

ขืนรอให้เขาตอบ ก็คงไม่ต้องทำอะไรพอดี

ผมคิด ฮึดสู้เสืออยู่ในใจ แล้วเดินเข้าครัวไป ซึ่งก็ยืนค้างอยู่ครู่หนึ่งเพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จะทำอะไรให้เขากินดี

อัฐไม่กินอาหารเช้า เขากินแค่สองมื้อคือมื้อเที่ยงกับมื้อเย็น พอต้องทำแบบเหมาเอาเองว่าเขาจะกิน ผมเลยคิดหนัก แต่พอนึกถึงเมนูที่แม่เขายกมาให้ฟัง ก็คิดว่าทำเป็นสไตล์ฝรั่งแล้วกัน

ผมทอดไส้กรอกแฟรงเฟิร์ตกับเบคอนพร้อมปิ้งขนมปังพลางๆ เมื่อเสิร์ฟสองอย่างแรกลงทั้งจานของผมและเขาได้ก็ตอกไข่สองฟองลงกระทะเพื่อทำไข่ดาว แล้วก็สะดุดคิดนิดนึง

เขากินไข่แดงแบบสุกหรือไม่สุกวะ...

แต่เดาใจไปก็ใช่ว่าถูก ผมจึงทำแบบที่ผมชอบทั้งสองฟองซะเลย

ตอนที่ผมตักไข่ดาวลงจานแล้ววางขนมปังปิ้งตามลงไป อัฐก็เดินเข้ามาพอดี ทำเอาผมฮึ้บกับตัวเองนิดนึง ทั้งฮึ้บที่รู้สึกดีใจที่เขาโผล่มาในครัว กับฮึ้บเพื่อพูดคำพูดแบบที่...พูดไปแล้วน่าจะขัดเขินนิดหน่อย

“ผมทำเสร็จพอดีเลย...มากินด้วยกันสิครับ”

ใช่ ไอ้ประโยคท้ายเนี่ยทำผมขัดเขิน แต่ก็ดูเหมือนจะเขินอยู่คนเดียวเพราะอัฐยืนมองอาหารในจานอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมา จิ้มลงไปกลางไข่ดาวในจานเขา จากนั้นจึงนำมันมาวางในจานของผม

“ไข่แดงสุกไป”

ไม่ทันให้ผมได้พูดตอบอะไร เขาก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบไข่ออกมาหนึ่งฟอง ผมเดาว่าเขาน่าจะทอดใหม่เอง แต่เขาก็ค้างอยู่ตรงนั้นเล็กน้อย

“ช็อกโกแล็ต...ของใคร?” เขาเอ่ยถาม

“อ้อ แม่คุณฝากมาให้น่ะครับ”

พอผมบอกอย่างนั้น เขาก็มองมันเหมือนนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบออกมาทั้งกล่อง เปิดตู้เย็นของผม แล้วยัดมันเข้าไป

เดี๋ยว...หมายความว่าไงวะเนี่ย

“กินไปเลย ไม่ต้องรอ”

แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น เพราะเขาหันมาพูดแบบนั้นพร้อมสายตาที่มองมายังจานอาหารเช้าของผม ผมจึงต้องหยิบช้อนส้อมมาตักกินเข้าปากตามที่เขาว่า

ในตอนแรกผมก็เสียดายที่ไม่ได้นั่งกินด้วยกัน แต่เพราะผมกินช้า แถมต้องกินไข่ดาวตั้งสองฟอง เมื่อเขาทอดไข่ดาวแบบไข่แดงไม่สุกเสร็จก็มานั่งกินตรงข้ามผมอยู่ดี

แม้ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ได้เห็นว่าเขากินอาหารที่ผมทำก็รู้สึกดีแปลกๆ

ขนมปังปิ้งที่ผมปิ้งแบบเกรียมนิดๆ ก็คงเป็นแบบที่เขาชอบเพราะเขาไม่ได้ลุกไปปิ้งใหม่

เมื่อผมกินอาหารเช้าหมดจาน ผมก็ลุกไปล้างจานของตนเอง ไม่รอเขาเหมือนกับที่ไม่ต้องรอกินพร้อมกัน ทำตัวตามปกติแบบคนที่เป็นแค่เฮาส์เมทกัน มีปฏิสัมพันธ์กันบ้างตามสมควร ซึ่งอัฐก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นเพราะเขาไม่ได้ว่าอะไร

ถึงอย่างนั้น ผมก็แอบอมยิ้มคนเดียวเมื่อเดินออกจากห้องครัว

อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก แบบที่ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นเคยคิดจะย้ายออกจากบ้านเขา

อัฐดูกลับมาเป็นปกติหลังผ่านช่วงเช้า เขาจัดแจงตัวเองให้กลับมาเป็นคนเดิม อาบน้ำแต่งตัว ใส่บ็อกเซอร์แค่ตัวเดียวแล้วชงกาแฟไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน

พอผมเห็นว่าเขากลับมาอยู่ติดบ้าน ผมจึงคิดทำมื้อเที่ยงเผื่อเขาอีกมื้อ ถ้าไม่กิน ผมก็จะเก็บไว้กินเองเป็นมื้อเย็น ซึ่งเมนูที่ผมเลือกหลังจากตรวจเช็ควัตถุดิบในตู้เย็นแล้วก็คือสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับ

มันเป็นเมนูที่ทำไม่ยากเพราะผมก็เคยทำกินที่บ้าน เริ่มจากหั่นมะเขือเทศกับหอมใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อเตรียมทำซอส ส่วนหมูสับมีอยู่แล้ว ผมตั้งน้ำให้เดือดรอต้มเส้นโดยไม่ลืมใส่เกลือ จากนั้นจึงตั้งกระทะใส่น้ำมันเพื่อทำซอสโดยเริ่มจากใส่หมูสับให้พอสุก ตามด้วยวัตถุดิบอื่นๆ แล้วผัดให้เข้ากัน

ก่อนที่ผมจะปรุงรสซอส ผมหย่อนเส้นสปาเก็ตตี้ลงในหม้อ เมื่อเริ่มนุ่มก็กดให้มันจมลงไปแล้วตั้งเวลา ตามซองคือ 8 นาที จะได้ไม่ขาดไม่เกิน ผมกลับมาผัดซอสต่อ จนเมื่อชิ้นมะเขือเทศละลายก็เป็นอันเสร็จ พอดีกับที่เส้นสปาเก็ตตี้สุกพอดีให้นำไปน็อกน้ำเย็นและใส่น้ำมันมะกอก

ครั้งนี้อัฐเดินเข้ามาในครัวก่อนที่ผมจะจัดลงจานเสร็จ

“คุณอัฐมาพอดีเลย” ผมทักเขา พยายามทำตัวปกติไม่ตื่นเต้น “ผมทำสปาเกตตี้เผื่อคุณด้วย กินด้วยกันสิครับ”

ผมไม่ใช้คำถามตรงๆ ว่า ‘กินไหมครับ’ เพราะกลัวเขาปฏิเสธตรงๆ เหมือนกัน ถึงอย่างนั้นอัฐก็แค่มองไม่พูดอะไร ผมเลยรีบจัดลงจานให้เขาเป็นการบังคับทางอ้อม

ถึงเขาจะผีเข้าผีออกและเอาแต่ใจ แต่ผมเชื่อว่าถ้ามีคนทำอาหารและยื่นให้ตรงหน้า เขาก็น่าจะ...เอ่อ...มีมารยาทพอจะชิมมันสักนิด ผมลุ้นกว่าเมื่อเช้าเพราะมันเป็นมื้อที่สองแล้ว เขาอาจจะปฏิเสธก็ได้

แต่เมื่อเขาหยิบส้อมขึ้นมา ผมก็ใจชื้น มองเขาหมุนเส้นสปาเกตตี้ให้เป็นคำก่อนตักเข้าปาก เคี้ยวเหมือนพินิจรสชาติทำเอาผมลุ้นอีกระลอก ก่อนจะเอ่ยมา

“7 นาที 45 วินาที”

“เอ๊ะ? อะไรเหรอครับ?”

“เวลาของการต้มเส้นยี่ห้อนี้และเบอร์นี้”

“..”

“โดนซอสร้อนๆ แล้วเส้นมันสุกต่ออีกนิดหน่อย”

ผมอึ้งไป ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้ จนอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกี้น่ะ ผมกำลังแข่งขันทดสอบความแม่นยำในรายการ Master Chef ใช่ไหม แล้วเขา...เขาก็เป็นกรรมอย่างเชฟเอียน

จะเป๊ะอะไรระดับวินาทีขนาดน้าน แถมเป็น 45 วินาทีด้วยนะ ไม่ใช่ระดับนาที หรือครึ่งนาที!

แต่ถึงผมจะอยากยกมือขึ้นกุมขมับแค่ไหน การที่เห็นเขาเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งแล้วทานสปาเกตตี้ที่ต้มเส้น ‘8 นาที’ ของผมก็ทำให้ผมเย็นลง แล้วนั่งกินสปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับด้วยกัน

ดูท่า...ที่แม่เขาบอกว่าเขาชอบที่มีคนทำอาหารให้กินจะจริงล่ะมั้ง

ผมมีความสุขในอกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีอะไรเย็นๆ แผ่ทั่วกายให้คลายร้อน แม้เราจะนั่งกินโดยไม่พูดอะไรกันก็ตาม

หลังจบจากมื้อเที่ยง ผมคิดว่าจะฮึดทำมื้อเย็นต่ออีกมื้อ ต่อให้ผมลองย้อนไล่ดูวิธีต้มเส้นสปาเกตตี้ในยูทูบแล้วจะไม่มีใครกะเวลาเผื่อด้วยเหตุผลแบบเขาก็เถอะ ราวกับเป็นความจุกจิกของเขาเอง ทำให้น่าจะทำอาหารถูกปากเขายาก แต่ผมแค่คิดว่าขอให้เขาได้ลองกินอาหารของผมก่อน เดี๋ยวผมก็รู้เองแหละว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร

เย็นนั้นผมจึงตั้งใจจะทำสเต็กเนื้อซอสพริกไทยดำให้เขาเพราะเป็นหนึ่งในเมนูที่แม่เขาเอ่ยถึง โดยจะอ้างเขาว่าทำเผื่อเอาไว้เหมือนเดิม แต่ตอนที่ผมกำลังหมักเนื้อ เขาก็เดินเข้ามาเสียก่อน

“ผมจะทำสเต็กเนื้อ คุณอัฐกินเนื้อสุกระดับไหนครับ” ผมเนียนถามเขาเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายและจะมาทำไมนัก กับแค่ทำอาหารให้เขากินอีกมื้อเนี่ย

“แน่ใจเหรอว่าจะทำได้ความสุกนั้นพอดี”

แต่เขาสบตาผมแล้วถามแบบนั้นก็ทำเอาใจแฟบนิดหน่อย

“ก็...ถ้าให้เป๊ะๆ ก็มีที่วัดอุณหภูมิอยู่นี่ครับ เดี๋ยววัดบ่อยๆ ก็ได้—”

“เปิดเตาอบมาวัดบ่อยๆ ความร้อนก็ปรวนแปรแย่”

เขาดักทาง ทำเอาผมใจแฟบลงอีก

“เลิกทำเถอะ”

...แล้วจากแฟบก็กลายเป็นปวดแปลบเสียอย่างนั้น

ผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่ชอบรสอาหารที่ผมทำ หรือไม่ชอบที่มีคนทำอาหารยัดเยียดให้โดยไม่ได้ขอ แต่จะทางไหนก็เจ็บปวดทั้งนั้น

ผมพูดไม่ออก กะจะตอบรับไปอย่างที่เขาต้องการ แต่เขาก็พูดออกมาเสียก่อน

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”



**






หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.10)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 16:42:19
ตอนที่ 10



ตอนที่อัฐชวนไปกินข้าว ผีเสื้อไม่ได้โผล่มาบินวนอยู่ในท้องให้โหวงหวิว แต่เหมือนมีจักจั่นกรีดปีกในโสตประสาท ไล่ระดับเดซิเบลดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้นจนเกิดอาการวิ้งเหมือนจะเป็นลมแดดในหน้าร้อน

อาการนั้นทำเอาผมไม่แน่ใจว่าฟังผิดไหม แต่พอเขาหันหลังเดินลับจากห้องครัวไป ผมก็ได้สติคืน รีบเก็บเครื่องครัวและวัตถุดิบที่ทำอาหารค้างอยู่กลับเข้าที่ มึนงงเล็กน้อยว่าต้องทำอะไรต่อ จังหวะที่คิดจะก้าวออกไปหน้าบ้านก็นึกได้ว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สิ ต้องเปลี่ยนเลยแหละ

ชุดที่ผมใส่อยู่คือเสื้อยืดจากกิจกรรมมหาวิทยาลัยที่สีเริ่มซีดกับบ็อกเซอร์ แน่นอนว่าใส่กางเกงชั้นในด้วย สภาพนี้ให้รอรับพัสดุจากไปรษณีย์ยังพอไม่น่าเกลียด แต่ถ้าไปร้านอาหารคงรบกวนสายตาใครหลายคน หรือพูดง่ายๆ ว่าอุจาดตานั่นแหละ ผมจึงรีบขึ้นห้องไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อพบว่าตัวเองเลือกชุดที่จะใส่ไม่ถูก

อัฐไม่ได้บอกผมว่าจะไปร้านไหน ผมจึงต้องคาดคะเนเอาเอง ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจไปแค่ร้านอาหารใกล้ๆ บ้าน แต่อีกใจก็คิดว่าเรื่องมากอย่างเขาอาจจะไม่เลือกกินร้านอาหารบ้านๆ ก็ได้ ผมจึงเลือกชุดกลางๆ อย่างกางเกงขาเต่อทรงกระบอกตัวเก่ง กับเสื้อเชิ้ตฮาวายที่สีสันไม่ได้ฉูดฉาดแต่ออกสีครีมๆ แนวเอิร์ธโทน

เมื่อเดินลงมาใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่บริเวณหน้าประตูไม้ก็เห็นว่ารถบีเอ็มสีดำจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว ผมใส่รองเท้าเสร็จจึงเดินไปเลื่อนปิดประตูรั้ว ล็อกกุญแจ แล้วเปิดประตูรถของอัฐขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ระหว่างที่คาดเข็มขัดนิรภัย ผมแอบสังเกตการแต่งตัวของอัฐแล้วพบว่าชิวกว่าที่คิดมาก เสื้อบอลสีดำแบบที่ไม่คาดมาก่อนว่าเขาจะเล่นกีฬาชนิดนี้กับเพื่อนฝูงที่ไม่เคยเห็นสักคน กับกางเกงขาสั้นสีเดียวกันและรองเท้าแตะ Birkenstock สายสีดำ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีผมทองโดดเด่นที่ขี้เกียจเซ็ตจนปล่อยปรกลงมาก็คงคุมโทนดำทั้งตัว ผมจึงคิดว่าเขาจะไปกินร้านอาหารแถวบ้าน

แต่ผมคิดผิด

จากแถบวิภาวดี อัฐขับรถไปเรื่อยไม่พูดไม่จา ไม่เปิดเพลง ไปจนถึงงามวงศ์วาน ถึงแคราย มุ่งไปจนเกือบจะถึงแถวบ้านผมในจังหวัดนนทบุรีที่อยู่เกือบปลายสายของสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงทำเอาผมนึกอยากแวะบ้านนิดๆ

“เอ่อ...นี่แถวบ้านผมนะครับเนี่ยคุณอัฐ”

ผมลองแย้บๆ เอ่ยบอก แต่อัฐไม่ตอบ ผมจึงนั่งนิ่งเงียบเหมือนเดิม เพราะไม่รู้ว่าเขาอยากไปไหนกันแน่

ระหว่างที่เขาขับเข้าเส้นพระราม 5 ผมก็นึกถึงการเดินทางจากบ้านผมเข้าตัวเมืองแถวที่ฝึกงาน จริงอยู่ว่ามีคมนาคมหลายรูปแบบ ทั้งรถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า แต่ทุกรูปแบบใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงทั้งนั้น และไม่ใช่ว่าต่อเดียวจบ ต้องรวมเวลารอรถ เวลาเดินไปต่อรถ เวลารอรถอีกรอบ และอย่าให้พูดถึงวันฝนตกเชียว รวมทั้งเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย ประกอบกับหลังเรียนจบผมกระทบกระทั่งกับแม่บ่อยเรื่องงานจึงคิดว่าการแยกออกมาอยู่คนเดียวย่อมดีกว่า

แล้วก็ดันมีปัญหาเรื่องเงินจนต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่บ้านของอัฐนี่แหละ

ถ้าไม่นับเรื่องที่ผมแอบชอบเขาจนรับข้อเสียผีเข้าผีออกของเขาได้ ผมคิดว่าการอยู่บ้านเขามีข้อดีหลายอย่าง และดีที่สุดก็คือเรื่องกิน...

ผมอยู่กับอัฐแล้วประหยัดค่าอาหารไปได้มาก แม้แต่อาหารที่ผมทำให้เขากินก็เอาวัตถุดิบมาจากเขา แบบที่เรียกได้ว่าอยู่บ้านตนเองยังไม่ประหยัดค่ากินขนาดนี้ เพราะแม่ผมไม่ค่อยทำกับข้าวจึงไม่ค่อยซื้อของติดตู้เย็น มื้อเย็นแม่ก็กินแต่ผลไม้ ถ้าผมอยากกินหรือทำอะไรกิน ผมก็ต้องซื้อเองหมด

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการออกไปกินข้าวนอกบ้านกับอัฐ ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะประหยัดหรือฟุ่มเฟือย

แน่นอน ผมกะจ่ายเงินส่วนของผมเองอยู่แล้ว แต่คือ...ผมชักไม่รู้แล้วว่าเขาจะไปร้านถูกหรือแพง

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน

“เอ่อ...คุณอัฐจะไปร้านไหนเหรอครับ”

ผมเลิกทำทีเป็นเล่นมือถือบ้าง มองวิวบ้าง แล้วเอ่ยถามเมื่อเขาขับเข้าเส้นราชพฤกษ์แล้ว เกรงว่าเขาจะขับทะลุไปถึงฝั่งธนฯ แบบตงิดๆ

อัฐไม่ตอบมาทันที ทำเอาผมนึกว่าสิ่งที่คิดอาจเป็นจริง แต่พอตอบ คำตอบก็คาดไม่ถึงกว่านั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

ผมอยากจะเอาหัวโขกคอนโซลรถ แล้วที่ขับมาไกลและนานนี่คือยังไง้?

“คิดอยู่เหรอครับว่าจะกินอะไรดี”

“เปล่า ไม่ได้คิด”

“...”

อีกรอบที่ผมมอบจุดไข่ปลาให้เขาในช่องคำพูด ถ้าเป็นในการ์ตูน ผมพอจะเห็นเลยว่าสีหน้าผมตอนนี้เป็นยังไง

“ให้เธอเลือกแล้วกัน”

แต่พอเขาพูดออกมาแบบนั้น สกรีนโทนในการ์ตูนช่องต่อไปก็แสดงถึงความใจฟูนิดๆ ก่อนที่เขาจะเลี้ยวเข้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งในย่านราชพฤกษ์

เอาจริงไม่นึกเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วอัฐจะเลือกกินในห้างฯ เพราะผมแอบคิดว่าเขามาถึงแถวนี้คงเลือกพวกร้านอาหารสแตนด์อะโลน

หรือพูดอีกอย่าง...มาตั้งไกล ไม่คิดว่าจะกินในห้างฯ

อย่างไรก็ตาม สิทธิ์ในการเลือกร้านกลายเป็นของผมแบบงงๆ ตอนแรกผมว่าจะเลือกร้านสเต็กแต่เห็นว่าคนเยอะ ผมจึงเปลี่ยนมาเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีสาขาเยอะราวกับร้านอาหารสามัญประจำห้างฯ แต่อัฐปฏิเสธ

“น้ำเปล่าร้านนี้ไม่อร่อย”

“...”

อีกรอบที่ผมมีแค่จุดไข่ปลาอยู่ในช่องคำพูด

จริงอยู่ว่าน้ำเปล่าบางยี่ห้อมันให้รสสัมผัสไม่นุ่มคอ ไปจนถึงขั้นขมนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่คิดว่าอัฐจะปฏิเสธกินอาหารร้านใดร้านหนึ่งเพราะส่วนเล็กๆ อย่างน้ำเปล่า

และไม่ทันให้ผมพูดท้วงว่ากินน้ำดื่มอื่นๆ แทนก็ได้ อัฐก็เอ่ยปากเลือกอีกร้านแล้ว

“ร้านนี้แล้วกัน อาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน”

เขาพูดเสียงเบา ไม่ได้ชี้มือชี้ไม้ เพียงมองไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นอีกร้านที่มีทั้งแบบบุฟเฟต์และอะลาคาร์ทซึ่งคนรอคิวเยอะพอดู

“ท่าทางจะคิวนานนะครับ” ผมเอ่ย มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกคอมมูนิตี้มอลล์ที่เริ่มครึ้ม เพราะรู้สึกว่าจวนเวลาประจำของมื้อเย็นแล้ว กลัวจะหิวท้องกิ่วกันก่อน

“ระหว่างนั้นไปซื้อของรอก็ได้” แต่เขาดูไม่ได้ซีเรียสอะไร

“งั้นผมจองคิวให้นะ”

ผมบอกเขาแล้วเดินไปจองคิวกับพนักงานต้อนรับ ดีที่ทางร้านจะโทรหาเมื่อถึงคิวจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนข้ามคิวหากไม่อยู่ เสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาหาอัฐที่ยืนโดดเด่นท่ามกลางฝูงชนทั้งด้วยความสูงและผมสีทอง ซึ่งเมื่อเขาเห็นว่าผมเดินมา ก็หันหลังเดินนำไปโดยไม่พูดอะไร

“พี่อัฐคะ” พลันเสียงของเด็กผู้หญิงเอ่ยเรียกเขา ผมเพิ่งสังเกตได้ว่าเด็กผู้หญิงสองคนวัยประมาณ ม.ปลาย ที่เดินมาทางเดียวกัน ที่แท้เดินตามอัฐมานี่เอง

“คือ...หนูเป็นแฟนนิยายพี่ ขอถ่ายรูปกับพี่หน่อยได้ไหมคะ”

เธอเอ่ย เกาะแขนกับเพื่อนแบบตื่นเต้น สีหน้าดูเขินอายนิดๆ แต่ก็ยิ้มเป็นมิตร เตรียมือถือไว้ถ่ายรูป

อ่า...ถึงระดับมีนักอ่านโผล่มาขอถ่ายรูปเวลาไปไหนมาไหน ก็ช่วยเตือนให้ผมไม่ลืมว่าอัฐเป็นนักเขียนที่โคตรดังและเป็นกระแส

ผมคิดว่าอัฐจะตอบรับให้จบไปง่ายๆ แต่ไม่ใช่

“ไม่สะดวกครับ”

ว่าแล้วก็เดินผ่านไป ทิ้งให้เด็กสาว ม.ปลาย สองคนหน้าเหวอจนผมต้องรีบเดินตามอัฐไป

“ทำไมไม่ถ่ายรูปกับพวกน้องๆ เขาหน่อยล่ะครับ ตอนคุณอัฐปฏิเสธ น้องหน้าเสียเลยนะ” ผมเอ่ยถามอัฐอย่างอดไม่ได้ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องของเขาก็เถอะ ซึ่งอัฐยังคงก้าวยาวๆ ให้ผมต้องเดินตามเคียงข้างให้ทันแล้วเอ่ยตอบ

“ถ้าได้ 1 ครั้ง ก็จะมีอีกนับครั้งไม่ถ้วน”

คำตอบคราวนี้ไม่ทำให้ผมเกิดจุดไข่ปลาในช่องคำพูด เพราะเหตุผลของเขามันก็เข้าใจได้ ยิ่งเป็นคนขี้รำคาญแบบเขายิ่งไม่น่าแปลกใจ

“แล้วแบบนี้...ไม่กลัวโดนหาว่าหยิ่งเหรอครับ”

ผมถามอีกคำถามที่สงสัย ซึ่งคราวนี้อัฐไม่เอ่ยตอบ อาจเพราะมาถึงบทที่ขี้เกียจจะตอบพอดี แต่การกระทำนั้นก็ทำให้ผมตีความเป็นคำตอบได้อยู่ดีว่าเขา ‘ไม่ได้แคร์’ ต่อให้ถูกหาว่าหยิ่งก็ตาม

เพราะเขาเป็นแบบนี้น่ะแหละ จึงต่างกับคนอื่น

ผมคิดพลางแอบมองแผ่นหลังของคนที่ไม่เหมือนใครในระหว่างที่เขาหิ้วตะกร้าของซูเปอร์มาร์เก็ตมายืนที่ล็อกขนมหวาน เขาหยิบพวกช็อกโกแล็ตลงตะกร้าหลายกล่อง ผมเพิ่งสังเกตในตอนนั้นเองว่าส่วนใหญ่เป็นดาร์กช็อกโกแล็ตเพราะช็อกโกแล็ตที่เขาเอาใส่ตู้เย็นให้ผมเป็นช็อกโกแล็ตที่มีรสหวานเหมือนขนมทั่วไป รวมถึง...Guylian ที่แม่เขาซื้อมาฝากด้วย

“คุณอัฐกินแต่ดาร์กช็อกโกแลตเหรอครับ”

“ใช่” แล้วผมก็ได้คำตอบยืนยันว่าทำไมเขาเอาของฝากของแม่มาให้ผมซะงั้น “เธอเอาไหม”

พลันเขาถามโดยไม่ได้หันมามองหน้า พร้อมหยิบช็อกโกแล็ตแบบความเข้มข้นไม่เกิน 70% ขึ้นมา

“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบติดขัดนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะนึกเผื่อผม “ช็อกโกแล็ตในตู้เย็นผมคงยังกินได้อีกนานเลย”

พูดแบบนั้นเขาจึงวางมันลง ก่อนจะเดินไปที่ล็อกอื่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องเดินตามเขาต้อยๆ อาจเพราะผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไรแต่แรกอยู่แล้วมั้ง

อัฐหยิบเส้นพาสต้า 3-4 แบบรวมถึงเส้นสปาเกตตี้ ‘7 นาที 45 วินาที’ ใส่ตะกร้าก่อนเดินไปจ่ายเงิน พอดีกับที่ทางร้านอาหารโทรมาบอกว่าถึงคิว เมื่อจ่ายเงินเสร็จเราจึงพากันไปที่ร้านโดยไม่แวะดูอะไร

ถึงแม้หน้าร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่รอคิวอยู่ แต่บรรยากาศในร้านก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร มีเสียงพูดคุยระหว่างมื้ออาหารตามปกติ เสียงเครื่องครัวกระทบกันจากครัวที่เปิดโล่งให้ลูกค้าเห็นกระบวนการทำ และเสียงเพลงภาษาญี่ปุ่นเปิดคลอให้พอได้บรรยากาศ

เราได้ที่นั่งตรงโต๊ะติดกับสายพานซูชิพอดี แต่ทั้งผมและอัฐก็เลือกสั่งแบบอะลาคาร์ทไม่ใช่บุฟเฟต์ สาเหตุที่ผมไม่เอาบุฟเฟต์ก็เพราะว่า...นั่นแหละครับ ไม่ค่อยมีเงิน ส่วนอัฐก็คงไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะมากินกระหน่ำแต่แรก

เขาเลือกเมนูอยู่นานพอดู ขณะที่ผมเลือกเซ็ตข้าวปลาซาบะย่างไปแล้วตั้งแต่เปิดเมนูหน้าแรกๆ เพราะถูกดี สุดท้ายเขาก็เลือกเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่นในที่สุด

เมื่อพนักงานรับออเดอร์เสร็จ ผมถึงเพิ่งรู้สึกว่าต่อจากนั้นคือช่วงเวลาแห่งความเกร็งและอึดอัด เพราะเรานั่งตรงข้ามกัน หันหน้าเข้าหากัน ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องคุยย่อมอยากก้มหน้าทำอย่างอื่น

ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเรื่องอยากคุยกับเขา มันมีแน่ล่ะ เยอะแยะเต็มไปหมด เช่นว่า ทำไมถึงเกลียดการวางเงินทิ้งไว้ขนาดนั้น เขาโอเคขึ้นหรือยังหลังเลิกกับแฟน ช่วงที่ไม่อยู่บ้านนี่หายไปไหน ทำอะไร แต่ก็ดูจะละลาบละล้วงคนขี้รำคาญอย่างอัฐมากเกินไปจนเขาคงไม่ตอบหรือไม่ก็ส่งสายตาพิฆาตมา

ขณะเดียวกัน...ถ้าถามเรื่องจิปาถะไร้สาระ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเขาจะตอบหรือเปล่า

ถึงอย่างนั้นผมก็อยากลองถามดู ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องชวนคุย แต่ความตื่นเต้นก็ทำให้นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร จึงถอยทัพมาก้มมองหน้าจอมือถือ เลื่อนฟีดดูนู่นดูนี่เผื่อเจอประเด็นที่ใช้เป็นหัวข้อสนทนาได้

“เธอน่ะ”

แต่...ผิดคาด อัฐเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงเบาเป็นเอกลักษณ์

ผมปิดล็อกหน้าจอมือถือ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเขานั่งเท้าคางกับโต๊ะแบบสบายๆ ขณะที่ดวงตาสีดำจ้องเขม็ง

“จะว่ายังไงดีล่ะ...” เขาใช้คำพูดที่ดูขี้เกียจกลั่นกรองคำต่อไป ต่างจากแววตาที่แน่วนิ่ง “แม่ฉันเล่าอะไรให้ฟังใช่ไหม”

“อ่า...ใช่ครับ”

“ที่ว่าฉันเลิกกับแฟนล่ะ?”

ครั้งนี้ผมพยักหน้าแทนคำพูด รู้สึกร้อนวาบในใจไม่ต่างจากตอนที่ได้รู้เรื่องนี้จากปากแม่เขา

ผมแปลกใจที่เขาพูดเรื่องเลิกกับแฟนออกมาเอง แต่พอทบทวนดูก็เหมือนเขาอยากยืนยันมากกว่าว่าแม่ตนมาพูดอะไรกับผมบ้าง

“แล้วแม่ก็ขอให้เธอทำอาหารให้ฉันกินใช่ไหม”

ดูเขาจะรู้ทันไปหมด และถึงเป็นประโยคคำถามแต่ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ เขาพูดประโยคถัดไปทันที ซึ่งเป็นประโยคที่เหมือนลบเสียงบรรยากาศภายในร้านไปทั้งหมด

“เธอไม่จำเป็นต้องทำให้ฉันกินหรอก”

ทั้งเสียงเพลงสไตล์ญี่ปุ่น เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของโต๊ะอื่น เสียงเครื่องครัวกระทบกันในโซนครัวเปิด ทั้งหมดนั่นถูกลบออกไปจากโสตประสาท

“ถ้าจะทำเพราะสงสารก็อย่าเลย ฉันไม่ได้ต้องการ”

...เหลือแต่เพียงเสียงของเขา

ว่าจบเขาก็ยังจ้องเขม็งจนทำเอาลืมหายใจ ก่อนที่สายตานั้นจะละไปมองแก้วน้ำดื่มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ แล้วสรรพเสียงทั้งหมดจึงกลับมาบรรเลงในโสตประสาท

ผมรู้สึกว่าจะกลืนน้ำลายยังลำบากในเวลานั้น

มันเป็นอีกครั้งที่ใจผมถูกกระทบกระแทกเพราะคำพูดของเขา แต่ครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการกระทำของผมเอง

ผมรู้ว่ามันไม่แปลกถ้าเขาจะเข้าใจว่าผมสงสาร ในเมื่อเราไม่ได้สนิทกัน และก่อนหน้านี้เราก็พูดไม่ดีใส่กันด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมน่าจะทำคือการขนของย้ายออกจากบ้านอย่างที่พูด ไม่ใช่พอเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ก็เข้าครัวทำอาหารให้เขากินตั้งหลายมื้อ

อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจแบบนั้น

ผมไม่อยากให้เขารู้สึกแย่เพราะคิดว่าผมสงสารเขา

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออก เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเขาเปลี่ยนความสนใจจากผมไปเป็นหน้าจอมือถือตนเองแล้ว

“ผมไม่ได้ทำอาหารให้คุณอัฐกินเพราะสงสารนะครับ”

คำพูดของผมทำให้เขาเหลือบตาขึ้นมามอง ผมดีใจที่เห็นแบบนั้น เพราะแปลว่าเขาสนใจฟังอยู่ ผมจึงพูดความในใจต่อทันที

โดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าตัวเองตอนนั้นจริงจังขนาดไหน

“ผมทำให้คุณด้วยความเต็มใจต่างหาก”



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.11)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 16:43:57
ตอนที่ 11



“ผมทำให้คุณด้วยความเต็มใจต่างหาก”

หลังจากที่ผมพูดประโยคนั้น สรรพเสียงก็ถูกลบหายอีกครั้ง

เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามหลังรู้สึกตัวว่าพูดจริงจังไปหน่อย

นัยน์ตาสีดำของอัฐยังช้อนมองผมเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนสีหน้า ราวกับสิ่งที่ผมพูดไปเป็นแค่เรื่องจิปาถะ ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร

ไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่

ดีใจบ้างไหมที่ได้ฟัง หรือว่าประหลาดใจ หรือว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย

ผมอยากถาม แต่เสียงพูดของตนก็เหมือนถูกลบหายไปด้วย ลบไปกระทั่งเสียงหัวใจเต้นโครมครามเมื่อครู่

ผมพูดไม่ออก นึกไม่ออกว่าต้องพูดอะไรต่อ เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะจมลงในผืนน้ำที่ไร้เสียง โชคดีที่สรรพเสียงกลับมาพร้อมกับพนักงานที่นำอาหารมาเสิร์ฟ ปิดท้ายด้วยคำอวยพรว่าขอให้ทานให้อร่อย

ตอนนั้นเองที่อัฐละสายตาจากผม เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งนิ่งมาหยิบตะเกียบ เตรียมกินอาหารให้อร่อยดังที่พนักงานว่า ขณะที่ตัวผมยังมึนงงเลิ่กลั่ก จ้องมองการกระทำของอัฐต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหยิบช้อนกับตะเกียบในเซ็ตอาหารของตนเองขึ้นมากินบ้าง

โอย

หัวใจผมเพิ่งร้องครวญในเวลาที่ตักข้าวเข้าปากแล้วตีความรสชาติไม่ได้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย

อยากจะบ้าตาย

แต่...ถ้าย้อนเวลาได้ ผมก็จะพูดแบบเดิมอยู่ดี

ผมไม่เสียใจเลยที่ได้พูดมันออกไป

ที่อยากจะบ้าตายน่ะคือเดาใจเขาไม่ออกต่างหาก

เรากินอาหารมื้อนี้กันเงียบๆ คงไม่ต้องถามถึงความเกร็ง เพราะผมเกร็งอยู่แล้ว แต่ไอ้คุณอัฐคงไม่เกร็งอะไรเลย ด้วยปกติก็เป็นคนเงียบๆ การจะปล่อยคนร่วมโต๊ะอาหารกินไปเงียบๆ ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไร

ผมได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่ากินข้าวคือกินข้าว ใครเขาคุยกัน จนกระทั่งอัฐกินหมดก่อนผม รวบช้อนและตะเกียบเรียบร้อย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ตอนนั้นเองที่ผมอยากให้เขาจุกจิกและเอ่ยวิจารณ์ข้าวที่เพิ่งกินไป เช่น ข้าวแฉะไป ซุปเค็มไป หรือซอสปรุงมากลมกล่อม ให้ผมสานต่อบทสนทนาสักนิด

แต่ไม่ เขาก็แค่เล่นมือถือเหมือนเดิม

แน่นอน ตอนนั้นผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคนไม่ติดโซเชียลอย่างเขาเล่นอะไรอยู่ แต่ก็ได้แค่สงสัยนั่นแหละ แล้วรีบกินข้าวของตัวเองให้หมดจาน

“เรียกเช็กบิลเลยไหมครับ”

ผมถามเมื่อกินเสร็จ เขาจึงเงยหน้าจากมือถือขึ้นมามอง ก่อนจะเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาพอดี ซึ่งพนักงานตอบรับคำขอเช็กบิล เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสรุปยอด

ผมเห็นดังนั้นจึงหยิบกระเป๋าเงินใบสั้นสีน้ำตาลขึ้นมาเตรียมจ่ายส่วนของผมเอง นับแบงค์ในกระเป๋าก็เห็นว่าพออยู่ ไม่ต้องออกไปกด ATM แล้วไม่นานนักพนักงานคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมบิล แต่ไม่ทันให้ผมพูดอะไรกับอัฐ เขาก็วางบัตรเครดิตลงในถาดบิลโดยไม่ได้เช็กดูด้วยซ้ำ ซึ่งพนักงานก็รับแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เลย

“เอ่อ...งั้นผมจ่ายส่วนของผมให้คุณอัฐนะครับ” ผมแก้สถานการณ์

“ไม่ต้องหรอก”

“แต่ผมไม่อยากรบกวน...”

“บอกว่าไม่ต้อง”

เขาปฏิเสธ ไม่ได้เสียงแข็ง แค่พูดเสียงเบาตามปกติธรรมดา แต่ก็พอจะทำให้ผมไม่พูดต่อ

ถึงอย่างนั้น ผมก็นึกเถียงเขาอยู่ดี เพราะรู้สึกว่ารบกวนเรื่องอาหารการกินเขามานานแล้ว ยิ่งออกมาข้างนอกแล้วยังจ่ายให้อีกก็ยิ่งเกรงใจ

พลันผมนึกอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่ผมเคยสรุปเองว่าทำไมเขาถึงให้ผมหยิบของในตู้เย็นเขาไปกินได้

“คุณอัฐ” ผมเกริ่นก่อนที่พนักงานจะนำบัตรเครดิตมาคืน ซึ่งอัฐเบนสายตาที่กำลังมองนอกร้านอยู่กลับมา สบตา รับฟังสิ่งที่ผมพูด “ไม่คิดบ้างเหรอครับว่า...ที่คุณให้ผมหยิบของในตู้เย็นคุณไปกินได้ฟรี รวมถึงออกมากินข้าวข้างนอกก็ออกเงินให้ มันเป็นการสงสารผมเหมือนกัน”

อัฐเงียบ ไม่โต้ตอบ แว้บนึงผมใจไม่ดีขึ้นมา ว่าก็ว่าเถอะ ผมกลัวเขาจะตอบมาว่า ‘งั้นจากนี้ไม่ต้องมาหยิบอะไรอีก’ จึงรีบพูดต่อโดยเร็ว

“เพราะงั้น...ถ้าคุณจะไม่ให้ผมจ่ายเงิน ก็ให้ผมทำกับข้าวให้คุณกินเป็นการแลกเปลี่ยนนะครับ”

เงียบ

อัฐยังคงเงียบ

เงียบจนเป็นผมเองที่เสียงดังเพราะใจเต้นแบบลุ้นคำตอบเหลือเกิน

“ถ้าผมว่างน่ะ...”

จนผมขอห้อยท้ายประโยคนี้ไปเพื่อไม่ให้ดูแปลก และไม่ดูจริงจังเกินเหมือนตอนที่บอกเขาว่าเต็มใจทำอาหารให้กิน

กระนั้น ผมก็ไม่ได้คำตอบจากอัฐ

พนักงานเดินมาคืนบัตรเครดิตพร้อมบิลให้เสียก่อน ซึ่งอัฐก็หยิบบัตรเครดิตใส่กระเป๋าตังค์หนังใบสั้นสีดำก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากร้านให้ผมตามไปอย่างช่วยไม่ได้

ผมไม่อยากเซ้าซี้เขาอีก ที่ทำคือเหมาเอาเองเหมือนเดิม ว่าไอ้ที่เขาเงียบน่ะ...คือตกลง

วันนั้นเราจึงเดินทางกลับบ้านด้วยความเงียบไม่ต่างจากขามา คำถามเดียวที่เขาถามผมคือสิ่งที่ไม่คิดว่าเขาจะถาม

“บ้านเธออยู่แถวนี้เหรอ” เขาถามเมื่อขับผ่านแถวบ้านผม

“ครับ ไม่ไกลจากเซ็นทรัลเวสต์เกต”

ผมตอบพร้อมรายละเอียด ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาอีก เป็นอันจบบทสนทนาในรถ รวมถึงบทสนทนาในวันนั้น

แล้วหลังจากวันนั้น เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกหลายวัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้นอยู่บ่อยๆ เขาเคยขีดเส้นแบ่งโลกของตัวเองไว้ชัด ผมก็แค่เคารพเส้นนั้นไม่ล้ำเข้าไป อีกสาเหตุคือมีบางวันที่เขาก็ยังหายไปไหนไม่รู้ได้ แต่ผมก็ไม่เห็นเขากลับมานอนหมดสภาพตรงโซฟาอีก

ส่วนเรื่องทำกับข้าวให้เขากินเป็นการแลกเปลี่ยน ผมก็ไม่ได้ทำบ่อยจนผิดสังเกต... อ่า จะว่าไปเล่าข้ามไปหน่อยนี่นา

ผมลืมเล่าเรื่องของวันถัดมาหลังเราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้ทำกับข้าวให้เขาบ่อยนัก

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ วันหยุดอีกวัน ผมที่ว่างๆ ประกอบกับเนื้อที่หมักไว้เมื่อวานยังไม่ได้เอามาทำอาหาร ผมจึงนำมันมาทำสเต็กเพื่อกินเองและเผื่อเขาอย่างที่ตั้งใจ ส่วนระดับความสุกก็เอาแบบที่ผมชอบ เป็นการลองสุ่มดูนั่นแหละว่าเขาจะชอบไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ค่อยปรับเปลี่ยนวันหลัง

แต่พอยท์มันอยู่ตรงที่...ลองแล้วก็ยังไม่รู้

เหมือนเดิมที่อัฐเข้าครัวมาตอนที่ผมทำเสร็จพอดีให้ผมเอ่ยชวนตามปกติ

และเหมือนเดิมอีกนั่นแหละที่ผมจะใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ด้วยความลุ้นว่ามันจะถูกปากเขาไหม ลอบมองเขาที่ค่อยๆ หั่นเนื้อสเต็กเพื่อเผยเนื้อสีชมพูอมน้ำตาล ฉ่ำเลือดเพียงนิดๆ แล้วใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อเข้าปาก

“มีเดียมแรร์นี่”

เขาพูดออกมาหลังเคี้ยวเสร็จ ซึ่งก็เดาใจไม่ถูกว่าชอบหรือไม่ชอบ ผมจึงเอ่ยถาม

“ชอบไหมครับ? อร่อยไหม?”

“ไม่รู้สิ”

“...”

เขาตอบโดยไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เพียงเดินไปหยิบขวดเกลือมาโรย ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งกิน ซึ่งไอ้การนั่งกินสเต็กมีเดียมแรร์ชิ้นนี้จนหมดจานก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเขาชอบมัน เพราะสปาเก็ตตี้ที่ต้มเส้นเกินเวลาไป 15 วินาทีเขาก็เคยกินจนหมด ทำผมไม่แน่ใจว่าเขากลัวเสียมารยาท หรือว่าเสียดายของกันแน่

ไอ้บ้าเอ๊ย

ผมด่าเขาในใจแบบนั้น อยากจะบ้าตายกับความเดาใจไม่ถูก จนผมขอไม่ทำอาหารให้เขากินบ่อยนัก ทำแค่เมนูที่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะถูกปากเขาก็พอ ซึ่ง...ก็ดีล่ะมั้ง เพราะจะได้ไม่ต้องเหนื่อย แถมไม่ดูยัดเยียดเกินไปด้วย

แล้วความสัมพันธ์ของผมกับเขาหลังจากที่... ทะเลาะกันจนผมคิดย้ายออก > เขาเลิกกับแฟนจนไม่ค่อยกลับบ้าน > ผมเปลี่ยนใจไม่ย้ายออกและทำอาหารให้กินหวังว่าจะดีขึ้น > เขานึกว่าผมสงสารแต่ผมยืนยันว่าเต็มใจทำให้ประกอบกับเป็นการแลกเปลี่ยนที่ให้กินฟรี...ก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น

ครับ...ช่วงนั้นไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเลย

ที่คืบหน้าก็เห็นจะเป็นการหายออกจากบ้านของอัฐที่ยังมีบ้างประปรายแต่ก็น้อยลงเรื่อยๆ

ถ้าการหายออกไปคือการออกไปเศร้า ไปหาอะไรทำ ไปรักษาแผลใจ หรืออะไรก็ตาม ผมก็หวังว่าเขาจะค่อยๆ ดีขึ้นในท้ายที่สุด เพราะผมคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำอาหารให้เขากิน

อ่า แล้วที่คืบหน้าอีกอย่างก็คือเรื่องงานของผมครับ

ประเด็นสำคัญจริงๆ มันอยู่ตรงนี้แหละ

ในที่สุดผมก็ได้พากย์จริงแล้ว เย้ ถึงจะแค่ 2 ประโยคก็เถอะ

มันเป็นบทตัวประกอบแบบตัวประก๊อบตัวประกอบ แต่ผมก็ดีใจที่ได้พากย์และเขานำไปใช้จริง ซึ่งโอกาสแรกที่มาถึงค่อนข้างจะปุบปับเพราะไม่มีการบอกล่วงหน้า แถมปกตินักพากย์จะทำงานแบบเพิ่งรู้บทในห้องพากย์เลย ผมจึงไม่ได้ซ้อมมาก่อน แต่ด้วยความดีใจผมเลยจำบทได้แม่น นำมาพากย์เล่นขณะเปิดตู้เย็นดูว่าจะทำอะไรกินหลังกลับมาบ้าน

แน่นอนว่าอัฐไม่อยู่ ผมเลยทำเสียงดังได้ตามอำเภอใจ

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอให้ความอร่อยของมื้อนี้ทำให้คุณสองคนรักกันมากขึ้น”

บทบ๋อยคนนี้มันดูเสี่ยวๆ หน่อยแหละแต่ผมว่าก็น่ารักดี ค้นตู้เย็นไปพลางพากย์ไม่หยุดปาก แถมพากย์บทของตัวละครหลักในฉากนั้นด้วย

“โอ้ ขอบคุณค่ะ กิลเบิร์ต ฉันว่าร้านนี้น่ารักจังเลย คุณว่าไหม” พากย์เสียงหญิงสาวพลางหยิบหอมใหญ่ขึ้นมา

“ถ้าคุณชอบก็ดี ถึงผมจะคิดว่ามันเลี่ยนไปหน่อย” อันนี้ก็พากย์เสียงชายหนุ่มมาดขรึมพร้อมหยิบหมูสับออกมา

“แหม คุณล่ะก็ ถ้างั้นเรามากินไข่เจียวหมูสับใส่หอมใหญ่กันเถอะ” ผมปรับบทพูดสุดท้ายพร้อมหยิบไข่ไก่มาสองฟองแล้วปิดตู้เย็น แต่จังหวะที่หันหลังไปวางวัตถุดิบบนโต๊ะ ผมก็ชะงักจนไข่เกือบหล่นหลุดมือ

ไอ้คุณอัฐ!

มายืนอยู่ตรงประตูครัวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย!

“เอ่อ...เอ่อ...คุณอัฐกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

ผมเอ่ยถาม รู้สึกเหงื่อตกนิดๆ เพราะเกรงว่าเขาจะเห็นความติงต๊องของผมตั้งแต่แรก ซึ่งเขาไม่ได้ตอบทันที ยังคงยืนพิงประตูและจ้องตรงมาให้ผมเกร็งเล่น

โอ๊ย...คิดอะไรอยู่ก็ช่วยบอกหน่อยเถอะคร้าบ

“ฉันอยู่บ้านแต่แรกแล้ว”

“...”

แต่คำตอบก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย นึกย้อนถึงรู้ว่าความดีใจทำผมลืมไปเลยว่ารถเขาจอดอยู่ ผ่านประตูไม้มาเห็นเขาไม่อยู่ข้างล่าง คอมปิด ก็เหมาไปเลยว่าเขาไม่อยู่

“ไม่พากย์ต่อล่ะ?”

แล้วนั่น...แกล้งผมหรืออะไรเนี่ย ฮือ

“ไม่ล่ะครับ”

ผมตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อน ไม่ต้องเดาเลยว่าใบหน้าที่ขึ้นสีโคตรง่ายของผมคงกำลังแดงแป๊ดด้วยความอับอาย แต่ผมก็พยายามแก้สถานการณ์ ค่อยๆ วางวัตถุดิบในมือลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยถาม

“ผมกำลังจะทำข้าวเย็น...เอ่อ...เป็นเมนูไข่เจียว คุณอัฐกินด้วยกันไหมครับ”

พอถามจบ เขาก็ปรายตามองวัตถุดิบที่อยู่บนโต๊ะ เดาใจไม่ถูกเลยว่าอยากกินหรือไม่อยากจนกว่าเขาจะตอบ ซึ่งเขาไม่ตอบ แต่...

“ถ้าเธอทำเสร็จแล้วจะเสิร์ฟให้ฉันพร้อมกับพากย์แบบนั้นไหม”

โอ๊ย...

นี่มัน...

นี่มันเห็นทั้งหมดแต่แรกเลย!

ผมอยากยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย อยากเขย่าคอเสื้อ...ไม่สิ อยากเขย่าคอคนไม่ใส่เสื้อใส่แต่บ็อกเซอร์ว่าทีอย่างนี้ล่ะพูดมากจัง แต่ผมก็ได้แค่ทำเป็นนิ่งๆ ไม่ให้เห็นว่าเลิ่กลั่กไปมากกว่านี้ ขณะที่อัฐเดินมาเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะไปนั่งแล้ว

“ยังไงนักพากย์ก็ต้องมีความเป็นนักแสดงอยู่ในตัวไม่ใช่เหรอ”

เขาพูด ช้อนตาขึ้นมองแบบที่ชอบทำ ซึ่ง...คงเพราะผมกำลังอายมากๆ จึงรู้สึกว่าสายตาเขาเวลานี้กำลังเชยคางผมด้วยมือใหญ่จนหันหน้าหนีไม่ได้

ส่วนที่เขาพูด...มันก็จริง นักพากย์เวลาพากย์ต้องทำสีหน้าตามบทไม่ต่างจากนักแสดงถึงจะพากย์ได้ดี แต่ว่า...

“ไม่เห็นต้องอาย”

...จะไม่ให้อายได้ยังไงเล่า!

คนที่แอบชอบจ้องเขม็งมาขนาดนี้ ใครก็อายทั้งนั้นไหม!

ผมอยากมุดหนีลงใต้โต๊ะ จากที่อับอายเมื่อครู่เริ่มกลายเป็นเขินอายผสมปนเป หัวใจเต้นโครมครามเหมือนมันจะเด้งหลุดออกจากอก

“แสดงให้ดูหน่อยสิ”

แล้วไม่รู้ทำไม...ทั้งที่เขาก็ใช้เสียงเบาตามบุคลิกปกติ ราบเรียบ ไม่ได้เน้น ไม่ได้ย้ำ และแทบไม่ได้ขยับตัว แต่ผมรู้สึกว่าคำพูดจากน้ำเสียงนั้นคุกคามหัวใจดวงน้อยๆ ของผมอย่างรุนแรง

หนึ่งในเหตุผลอาจเพราะเขาใช้คำว่า ‘แสดง’ แทนคำว่า ‘พากย์’

มันฟังดู...เหมือนคนรอชมกำลังจ้องมองมากกว่าแค่ฟัง

แต่เขาก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้น

เขาพูดประโยคถัดมาด้วยเสียงเบาไม่ต่างจากเดิม แต่เนื้อความในประโยคก็เหมือนล่อลวงให้เดินเข้าไปหาเขาได้โดยง่าย ราวกับ...หนูที่หิวโซจนพลาดติดกับดัก

“แล้วฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง”


**


หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.11)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 16-05-2020 17:01:44
 :sad4:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.11)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 16-05-2020 17:31:14
มาจ้องแบบนี้ก็เขินเป็นนะคุณ
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.12)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 18:02:25
ตอนที่ 12



ถ้าถามว่าผมเป็นหนูตัวนั้นที่ติดกับดักหรือเปล่า

คำตอบก็คือ...

“คุณอัฐ...จะเล่าอะไรให้ผมฟังเหรอครับ”

หนูตัวจ้อยนั้นแย้บถาม แม้ว่าใจจะน้ำลายสอไปแล้วกับเหยื่อที่เขาเอามาล่อ ผมอยากฟังสิ่งที่คนแบบเขาจะเล่าให้ฟังใจจะขาด อยากรู้มากว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องของเขาเองไหม และทำไมถึงคิดมาเล่าให้ฟัง

“ไม่รู้สิ”

แล้วคำตอบของอัฐก็...แกล้งผมชัดๆ

เขาต้องรู้อยู่แล้วสิว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง ตอบแบบนี้มันแกล้งผมชัดๆ!

อ่า

แต่คิดอีกที หรือเขาจะไม่รู้จริงๆ เหมือนตอนที่ขับรถไปไกลถึงเส้นราชพฤกษ์แต่ไม่รู้จะกินอะไร...

แค่คำตอบก็โคตรปั่นแล้ว เหมือนผมเป็นหนูติดจั่นแล้วเขาก็ใช้เพียงนิ้วชี้มาหมุนกงล้อให้แรงขึ้นอีก ทำเอาผมอยากจะบ้าตาย และถึงรู้ว่าเขาแกล้ง หัวใจก็ยังเต้นกระสับกระส่ายไม่เป็นตัวเอง ต่อให้หลุดจากกงล้อนั้นมาได้แต่ก็มึนเบลอไปหมด

“สัญญากับผมไหมครับ...ว่าถ้าผมทำ คุณอัฐจะเล่าให้ฟังจริงๆ”

มึนเบลอจนค่อยๆ ก้าวเข้าหากับดักช้าๆ...

“สัญญา”

และปัง!

ติดกับเข้าให้โดยสมบูรณ์

แค่เขาตอบมาเบาๆ ว่าสัญญา ใจผมก็เหมือนจะหลอมเหลวแล้วแข็งตัวใหม่เป็นดาร์กช็อกโกแล็ตให้เขากินแล้ว

ก็มัน...สัญญา สัญญาอะ! คนอย่างอัฐพูดคำนั้นกับผมด้วย ต่อให้มันจะดูเป็นการทำสัญญากับปีศาจก็เถอะ

ผมเก็บรวบรวมสติที่ปลิวกระจายไปทั่วห้องครัวขึ้นมาใหม่ บอกอัฐให้รอผมเจียวไข่แป๊บนึง ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าระหว่างนั้นเขาทำอะไรรอ เพราะผมต้องใช้สมาธิสูงมากในการประกอบชิ้นสติไม่ให้กลับไปร่วงกราว และจดจ่อกับการทำเมนูไข่เจียวง่ายๆ

ผมตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ตอกไข่สองฟองลงถ้วย ตีให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว หยิบเขียงมาหั่นหัวหอมโดยหั่นตรงขั้วออกก่อนจะได้แสบตา จากนั้นจึงใส่หมูสับ ใส่หัวหอมที่หั่นแล้วลงในถ้วยไข่ ปรุงรสนิดหน่อย เจียวให้เข้ากัน เหยาะไข่ที่ติดส้อมลงกระทะเพื่อทดสอบความร้อน เมื่อเห็นว่าร้อนได้ที่แล้วก็ค่อยๆ เทลงไปจนเกิดเสียงฉ่า

ผมไม่ถนัดการทำไข่เจียวให้ฟูกรอบ ทำได้แค่ไข่เจียวเนื้อนิ่มธรรมดาๆ สีเหลืองติดน้ำตาลแบบเกรียมเล็กน้อย เมื่อมันส่งกลิ่นหอมพร้อมลงจาน ผมก็สะเด็ดน้ำมัน เปิดหม้อหุงข้าว ตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานแล้วนำไข่เจียวมาโปะลงไปเป็นอันเสร็จสรรพ

ขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดมันถัดจากตรงนี้ต่างหาก...

การเสิร์ฟจานนี้พร้อมการพากย์ที่หวานเลี่ยน

ผมหายใจเข้าออกลึกๆ ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าผมทำใจดีสู้เสือมาได้ตั้งหลายรอบ รอบนี้ก็ต้องทำได้


งานพากย์คืองานของผม และมันก็คือการแสดงอย่างหนึ่ง!

เมื่อปลุกใจให้ฮึกเหิมได้ ผมหันกลับไปแบบพร้อมเสิร์ฟพร้อมพากย์ แต่แล้วทุกอย่างก็เหลวเป๋วเมื่อเห็นว่าเขานั่งเท้าคางจ้องผมอยู่

สมองอันเข้าข้างตัวเองเก่งอดคิดไม่ได้ว่าเขาจ้องผมแบบนั้นตลอดเลยหรือเปล่า เพราะมองหามือถือที่เขาจะละสายตาไปอยู่กับมันก็พบว่าไม่มี พอเป็นแบบนั้นใจผมก็อ่อนยวบยาบแบบน่าตีให้เข็ด

“เอ่อ...ผมต้องพากย์เลยไหมครับ”

ผมยิ้มเจื่อนๆ และถามเขา ผิดจากความตั้งใจแรกที่จะหันมาแบบฟึบฟับ เสิร์ฟ พากย์ ให้จบๆ ไป

“เอาสิ”

อัฐตอบพร้อมนำศอกที่เท้าคางอยู่ลงจากโต๊ะ เปิดพื้นที่ให้ผมนำมาเสิร์ฟได้ ซึ่งผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่กล้าสบตาเขา สบตาไข่เจียวในจานแทน พร้อมกับวางมันลง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากหลับตาปี๋พร้อมพากย์ออกมา

“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ ขอให้ความอร่อยของมื้อนี้...ทำให้คุณมีความสุข”

ผมปรับบท เพราะไม่อยากให้ฟังหวานเลี่ยนเกินและไม่เข้ากับบริบท ไม่กล้าสบตาเขา แค่จะเหลือบมองก็กลัวใจเหลวจนมุดหัวลงใต้โต๊ะเป็นการหนี

“ก็ทำได้นี่”

และถึงไม่ได้สบตาเขา...ใจผมก็เหลวได้อยู่ดีเมื่อได้ยินแบบนั้น

โอย

หน้าขึ้นสีอีกรอบหรือยังวะเนี่ย

“ฉันนึกว่าเธอจะทำพร้อมของตัวเองซะอีก”

จังหวะที่ผมคิดอยากยกมือแตะแก้มตัวเองเพื่อวัดความร้อนฉ่า อัฐก็พูดให้ผมนึกได้ว่าตื่นเต้นจนลืมข้าวของตัวเอง...

“อ้อ...อยากเสิร์ฟให้คุณก่อนน่ะ งั้นผมไปทำก่อนนะครับ”

ผมโม้ไปหวังกลบเกลื่อนพิรุธอันมากมาย แล้วขอตัวไปทำข้าวไข่เจียวของตัวเอง ซึ่งระหว่างทำก็ได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบจานเบาๆ เป็นระยะ บ่งบอกว่าเขากำลังกินอยู่

เหมือนเดิมที่ผมนึกดีใจเวลาเขากินอาหารที่ผมทำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาจะเล่าอะไรให้ผมฟังหลังเสิร์ฟอาหารพร้อมพากย์ไม่ใช่เรอะ

คิดแล้วก็อยากหันไปทวงทันที แต่ความใจร้อนคงไม่ใช่เรื่องดี ผมกะว่าทำอาหารให้เสร็จก่อน พอนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับเขาค่อยเอ่ยถามก็ได้

ทว่าพอผมทำเสร็จ วางจานที่โต๊ะไม่ถึงวินาที เขาก็รวบช้อน ลุกไปล้างจานพอดี ทำเอาผมนึกสงสัยว่าเขาลืม หรือเปลี่ยนใจไม่เล่าเสียเฉยหรือเปล่า ซึ่งจังหวะที่ผมกำลังอ้าปากพะงาบจะถามถึง เขาก็วางจานที่ชั้นพร้อมเอ่ยมาด้วยเสียงเบา

“รอหน้าบ้านนะ”

พูดจบก็เดินออกจากครัวไป ทิ้งให้ผมที่ยังไม่ทันตอบรับอะไรเพราะมึนงงอยู่ ถือช้อนส้อมค้าง ประมวลผลว่าทำไมถึงบอกผมว่ารอหน้าบ้าน อ่า ไม่รู้แฮะ รู้แค่ว่าตื่นเต้นยังไงไม่รู้

รอหน้าบ้านอะ ทำไมต้องรอหน้าบ้าน!

แค่รู้ว่าเขารออยู่ก็อยากม้วนเขินเอาหน้าจุ่มไข่เจียวเล่น แต่ก็ตั้งสติแล้วกินข้าวให้เสร็จแบบตักเอาๆ เพราะอยากไปหาเขาเร็วๆ

อาการผมในตอนนั้น ถ้าให้พูดแบบซีรีส์เกาหลีก็คงออกมาเป็นประโยคนี้

ผมน่ะ...ชอบเขาจนแทบคลั่ง

ครับ ประโยคนั้นเลย

อยากจะบ้าตาย แต่ก็เป็นความอยากจะบ้าตายที่มีความสุขดี

เมื่อผมกินข้าวแล้วล้างจานเสร็จสรรพ ผมก็เดินออกไปหน้าบ้านทันที เอะใจนิดหน่อยว่าเขาจะชวนออกนอกบ้านหรือเปล่า แต่เพราะผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่กลับมาจึงไม่ต้องไปเตรียมตัวเผื่อ ซึ่งพอเปิดประตูเหล็กดัดเดินออกไปก็เห็นอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งชิงช้าหน้าบ้าน เขาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น...แปลได้ว่าคงจะออกไปข้างนอก

พอเขาเห็นว่าผมออกมาแล้ว เขาจึงเสียบที่คั่นหนังสือก่อนปิดเล่ม วางลงบนกองหนังสือ 4-5 เล่มที่วางบนม้านั่งชิงช้า ดูแล้วมีหนังสืออยู่ทุกมุมบ้านจริงๆ

ผมเดินตามเขาออกจากบ้านโดยไม่ลืมล็อกประตูรั้ว บรรยากาศข้างนอกลมเย็นสบาย ท้องฟ้าโปร่งเป็นสีส้ม แสงแดดเริ่มจางเพราะเป็นเวลา 6 โมงนิดๆ ของช่วงปลายเดือนพฤศจิกา ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วพระอาทิตย์จึงกลับบ้านเร็ว ถึงแม้ไม่มีวี่แววว่าจะหนาวเลยก็ตาม

ดอกเฟื่องฟ้าสีบานเย็นริมรั้วออกดอกสะพรั่งในช่วงนั้น อันที่จริงต้นเฟื่องฟ้าของบ้านเขาดูไม่เคยโรยราราวกับเป็นอมตะ อัฐเดินผ่านเฟื่องฟ้าที่สีสันช่างตัดกับสีทองบนหัวของเขาเพื่อเดินลึกเข้าไปในซอย ไม่ใช่ออกหน้าปากซอย หรือไปที่สวนของหมู่บ้าน

“จะไปไหนเหรอครับ”

ถึงผมจะเดินตามเขาต้อยๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ซึ่งไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาไม่ตอบอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงเมี้ยวของแมวสักตัวดังขึ้น

“อะ แมวสามสีนี่”

ผมเอ่ยเมื่อหันไปเห็นแมวสามสีนั่งอยู่บนสันกำแพงรั้วของบ้านหลังหนึ่ง สีดำเป็นสีที่มีมากที่สุดบนตัว แซมสลับกับสีน้ำตาลและขาว ส่วนดวงตาของมันเป็นสีเหลือง จ้องมาที่ผมครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปจ้องอัฐที่หยุดยืนสบตามันเช่นกัน

“มันชื่อมิเกะ” เขาเอ่ยบอก ทำผมประหลาดใจเล็กๆ

“คุณอัฐรู้ได้ไงครับ” ถามเพราะดูท่าแล้วเขาไม่น่าจะถามจากเจ้าของแมว

“ฉันตั้งเอง”

อะ แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะตั้งชื่อให้แมวแปลกหน้าเองด้วย

“มันเป็นแมวบ้านป้าของออม”

“...”

แล้วผมก็หยุดประหลาดใจนู่นนี่เมื่อได้ยินชื่อ ‘ออม’ ในบทสนทนา

สายลมยามเย็นยังคงพัดมาลูบไล้ผิวแก้มแต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันเย็นสบายอะไร เพราะข้างในใจผมเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ

“งั้นนี่...ก็บ้านของมิเกะเหรอครับ” ผมเอ่ยถาม ทำตัวตามปกติ

“ไม่ใช่หลังนี้หรอก”

อัฐตอบก่อนจะเดินต่อ ไม่ได้ทักทายมิเกะมากมาย ซึ่งเจ้าแมวสามสีที่ไม่ได้ถึงขั้นลงมาคลอเคลีย แค่ส่งเสียงทัก ก็นอนลงกับรั้วกำแพงแบบเก็บขาหน้าซ่อนใต้อก มองไปทางอื่น ไม่ได้สนใจอะไรนัก

เขาเดินไปเรื่อยๆ แม้ผมเริ่มอยากให้เขาหยุด เพราะตอนนั้นเดาไม่ยากเลยว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร

“นี่บ้านป้าของออม”

ไม่ผิดจากที่คาด แม้ไม่อยากเห็นเท่าไหร่แต่ก็มายืนอยู่หน้าบ้านแล้ว มันเป็นบ้านสองชั้นสีขาว ดูจากภายนอกก็ไม่ต่างจากบ้านอื่นๆ ในละแวกนี้ ที่เด่นก็เห็นจะเป็นสวนที่มีดอกไม้เยอะกว่าบ้านอื่น แตกต่างกับบ้านของอัฐที่ความร่มรื่นหนึ่งเดียวคือดอกเฟื่องฟ้าหน้าบ้าน เทียบแล้วดูแห้งแล้งไปถนัดตา ซึ่ง...ไม่ต่างจากใจที่เคยฟูฟ่องของผมแต่หดฟีบลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“เรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟัง...คือเรื่องออม”



**


หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.13)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 18:03:54
ตอนที่ 13



ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงอยากเล่าเรื่องออมให้ฟัง

ถ้าถามว่าผมรู้สึกอะไรบ้าง ผมไม่แน่ใจเลยว่าควรตอบอะไร

จะว่าใจแป้วไหม มันก็ใช่ เพราะผมกลัว ไม่อยากฟังหากเขายังฝังใจกับรักที่เพิ่งผ่านพ้น

จะว่าดีใจไหม มันก็ใช่ เพราะเหมือนว่าเขาวางใจผม จนยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง

ที่แน่ๆ ผมไม่อยากรู้หรอกว่าเขาเคยรักกันแค่ไหน

ผมกลัวว่าจะเอาชนะออมไม่ได้ ผมกลัวจริงๆ

ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงการทำตัวตามปกติ และรับฟังสิ่งที่เขาอยากจะเล่า ดังที่ผมเคยหวังให้เขาดีขึ้นจากความเศร้านั้น

“ออมจะมาที่บ้านป้าทุกปิดเทอม”

แล้วเขาก็เริ่มเล่าด้วยเสียงเบาอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย มองสีหน้าเขาจากด้านข้างก็ยังคงเรียบนิ่ง ไม่อาจเดาได้ว่าคิด หรือรู้สึกอะไรอยู่

“มาตั้งแต่อนุบาลยันเรียนจบ แต่ถึงอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ฉันเจอออมครั้งแรกก็ช่วงที่พ่อฉันหย่ากับแม่แล้วออกจากบ้านไป ตอนนั้นฉันกำลังขึ้น ม.1 พอดี”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขากับแฟนเก่า และเป็นครั้งแรกที่ได้รู้เรื่องราวของครอบครัวเขา

ใจหนึ่งผมดีใจที่เขาวางใจเล่าให้ฟัง อีกใจผมอดปวดใจไม่ได้เลย

ผมไม่รู้หรอกว่าอัฐเสียใจแค่ไหนที่พ่อแม่หย่ากัน ไม่รู้หรอกว่าที่เขาเจอออมในช่วงเวลานั้น ออมได้ช่วยปลอบโยนเขาหรือเปล่า

ที่ผมรู้คือผมนึกอิจฉาออมนิดๆ ที่ได้อยู่กับเขาช่วงเวลานั้น

ผมยังคงมองใบหน้าด้านข้างของอัฐ มันนิ่งเรียบ แม้แต่แววตาก็เช่นกัน ไม่บ่งอารมณ์ เพียงมองเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก่อนที่จะละสายตาแล้วหันหลังเดินออกมาให้ผมเดินตาม

“แต่ฉันก็ไม่ได้สนิทกับออมมากหรอก มาคบกันจริงจังก็ตอนมหา’ลัย”

เขาเดินพลาง เล่าไปพลาง ด้วยเสียงเบาเหมือนเคย แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรในการรับฟัง เพราะสภาพแวดล้อมรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงความเคลื่อนไหวจากบางบ้าน เสียงลม เสียงกระดิ่งลมจากบ้านไหนสักบ้าน และเสียงนกร้องยามเย็นเท่านั้น

“ตอนนั้นก็...จะว่ายังไงดีล่ะ เจอกันเพราะมิเกะน่ะ มันโดนรถชน ฉันเลยช่วยพาไปหาหมอ ออมบอกว่าประทับใจ คิดว่าฉันเป็นคนดี”

พลันได้ฟังถึงประโยคนี้ แอบลอบมองด้านข้างก็เห็นว่าสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม แต่ผมอดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้

เป็นผม...ผมก็คิดว่าเขาเป็นคนดีน่ะแหละ

ผมสบตาเจ้ามิเกะอีกครั้งเมื่อเดินผ่านรั้วบ้านที่มันยังคงนอนอยู่ ซึ่งครั้งนี้มันแค่ปรายตามอง ไม่ได้ทักอะไรพวกเรา

หยิ่งน่าดู...ทั้งที่อัฐเคยช่วยไว้นะน่ะ

แต่แมวบางตัวก็คงแบบนี้

“แต่ฉันรู้ตัวว่านิสัยเสีย”

พลันอัฐพูดขึ้นเหมือนเสริมความคิดที่ผมกำลังมีต่อแมว ก่อนจะปะติดปะต่อได้ว่าเขาเพิ่งพูดต่อจากเรื่องเมื่อครู่เหมือนเพิ่งเรียบเรียงได้ว่าจะพูดอะไร ซึ่งก็ทำผมแอบประหลาดใจนิดๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงนิสัยตัวเองออกมา

ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมอาจถือโอกาสสมทบว่าใช่ครับ ประสาทแดกด้วย ไม่ก็ขำนิดๆ แล้วถามว่าเพิ่งรู้ตัวเหรอเพื่อกระตุกหนวดเสือเล่น แต่เอ่อ...พอคิดได้ว่า ต่อให้เป็นเวลาปกติ ผมก็ไม่น่าจะกล้าอยู่ดี จึงได้แค่พับเก็บโครงการนี้ไปและตั้งใจฟังที่อัฐเล่าต่อ

“ฉันคิดว่าออมจะเลิกยุ่งกับฉันไปเอง แต่สุดท้ายออมก็รับได้ต่อให้ฉันแย่แค่ไหน ฉันเองก็เลยประทับใจออมจากตรงนั้นมั้ง”

เขายังคงเล่าโดยมองตรงไปข้างหน้าขณะเดิน ไม่ได้หันมาสบตาผม แต่ผมก็มั่นใจว่าต่อให้นั่งอยู่ตรงข้าม สบตากัน เขาก็จะจ้องสบตาและไม่มีแววลังเลอะไรที่ได้เล่ามันออกมา ขณะที่ผม...อาจจะเป็นฝ่ายหลบตาด้วยซ้ำ

เพราะเนื้อหาที่เขาเล่าทำเอาผมเจ็บจี๊ดเล็กน้อย

มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ว่าออมรับข้อเสียของอัฐได้

อยากจะบอกออกไปเหลือเกินว่าผมก็รับได้เหมือนกัน และผมก็อยู่ตรงนี้ ข้างๆ คุณนี่ไง

แต่ความคิดก็ต้องหยุดลงพร้อมกับฝีเท้า เมื่อเราสองคนกลับมายืนหน้าบ้านที่มีดอกเฟื่องฟ้าสีบานเย็นโดดเด่นแม้แสงแดดจะสลัวรางเต็มที เพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าเสาไฟของหมู่บ้านยังไม่เปิดให้แสง อัฐหันกลับมามองหน้าผม จ้องสบตาตรงๆ จนรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย

“ฉันคบกับออมมาเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าเรารักกันดี” เขาพูดต่อ เป็นประโยคที่ฟังแล้วชวนแสบคันที่ใจนิดๆ สำหรับผมที่แอบชอบเขา “แต่ตอนออมไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันก็รู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้น”

“อ้าว... ทำไมล่ะครับ?” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ฉันรู้ตัวตอนนั้นเองว่าไม่ได้เป็นฝ่ายอยากทำอะไรให้ออมเลย”

แล้วคำตอบของเขาก็ทำเอาผมเงียบ รู้สึกขึ้นมาว่าแววตาของเขาช่างว่างเปล่า

“ไม่ใช่ว่าจืดจางแบบคู่รักที่คบกันมานานด้วย แต่ฉันไม่เคยทำอะไรให้ออมแต่แรกแล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ...เหมือนแค่ตามหน้าที่น่ะ พอออมไปอยู่ต่างประเทศมันก็ยิ่งชัดเจน ฉันคุยกับออมทุกวันตามเวลาที่ออมโทรมาคือช่วงเที่ยงวันของออม เที่ยงคืนของฉัน แต่ฉันไม่เคยโทรไปหาเองเพราะอยากคุยเอง จนตอนที่ออมบอกให้บินไปหา ฉันก็บอกไปว่าไม่อยากไป”

เหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่อัฐเล่าอะไรออกมายาวๆ ให้ผมฟัง

“ตอนเลิกกัน ฉันรู้สึกไม่ดีหรอกที่ออมไปจากชีวิต ฉันรู้ว่าถ้าอยากกลับไปคืนดี วิธีง่ายๆ คือบินไปที่อเมริกา ไปหาไปง้อถึงที่อย่างที่ออมอยากให้ทำ แต่ฉันก็ไม่อยากทำ แล้วปล่อยให้ออมหายไปจากชีวิต มันจบง่ายๆ แค่นั้นเอง”

และก็เป็นครั้งแรก...ที่ผมเพิ่งได้รู้ว่าเขาไม่ได้ฝังใจ ไม่ได้ตะเกียกตะกายพยายามยื้ออะไรกับรักที่ผ่านพ้นเลย

ที่เคยคิดว่าจะดีใจหากเขาไม่ได้ฝังใจ ก็กลับกลายเป็นรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา

“แต่ผม...รู้สึกว่าคุณเสียใจกับเรื่องนี้นี่ครับ”

ผมหยิบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเขาก็ไม่ได้มีท่าทีดีใจกับเรื่องนี้ ทำให้ความเย็นยะเยือกนั้นอุ่นลง และเผื่อจะสะกิดใจเขาได้บ้างว่าเขาไม่ได้ไร้หัวใจขนาดนั้น

“ฉันแค่ผิดหวังที่ตัวเองเป็นคนแบบนี้”

“...”

แต่คำตอบกลับตรงกันข้าม และตอบเร็วจนดูเหมือนคิดกลั่นกรองมาแล้วทุกซอกทุกมุม

“และก็คงไม่มีอะไรมาเปลี่ยนฉันได้”

แสงจากเสาไฟเพิ่งเปิดส่องสว่าง แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรสว่างขึ้น โดยเฉพาะแววตาของเขา ต่อให้องศาของหน้าจะเริ่มก้มลงมาเล็กน้อย และดวงตานั้นช้อนมองจนเหมือนเชยคางอีกฝ่ายแบบที่เขาชอบทำ

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

ลมพัดโชยมาอีกครั้ง มาพร้อมกับเสียงกระดิ่งลมเบาๆ จากบ้านอื่น แต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความเย็นชาและว่างเปล่าจากเสียงเบาๆ ของเขาในประโยคถัดมาได้เลย

“ฉันว่า...ฉันรักใครไม่เป็น”

ตอนที่ได้ยิน ผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง

ผมรู้แค่ว่าคำสุดท้ายที่เขาพูด มันเป็นใจความที่เขาต้องการบอก ซึ่งความหมายช่างเย็นชาจนน่ากลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงบอกผม

จนเมื่อมาลองคิดตรองดูทีหลัง ถึงได้รู้ว่าเขากำลังบอกผมโดยตรง

สำหรับผมในปัจจุบันที่เล่าโดยรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว การพูดแบบนั้นของอัฐ เป็นการขีดเส้นแบ่งเส้นหนึ่งอย่างสุภาพ อ้อมค้อม ไม่แสดงออกมาโต้งๆ ว่าหลงตนจนอาจขายขี้หน้าถ้าเข้าใจผิดเอง แต่ก็ช่วยส่งสัญญาณถึงผู้ฟังที่ตั้งใจจะตีความอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี

ว่าอย่าชอบฉันเลย

มันตีความได้แบบนั้น

อย่าชอบ...เขาเลย



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.13)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-05-2020 20:30:03
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.14)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:43:33
ตอนที่ 14



ถ้าคนที่เราชอบเดินมาบอกว่าเขารักใครไม่เป็น สิ่งที่คนทั่วไปทำคงถอยออกมาก่อนหนึ่งก้าว

ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรในภายหลัง จะดันทุรังพุ่งชนต่อ หรือยอมตัดใจ ก็คงต้องถอยออกมาก่อนเพื่อตั้งหลัก

ผมเองก็อยากถอยออกมาหนึ่งก้าว

คืนนั้นผมจมอยู่กับความคิดจนนอนไม่หลับ ไม่อาจเข้าใจคำว่ารักไม่เป็นของเขานัก เพราะทั้งที่บอกว่ารักไม่เป็น แต่ผมรู้สึกจริงๆ ว่าเขาไม่ถึงกับร้างไร้หัวใจ

เขายังพอจะรู้สึกอะไรกับการเลิกราอยู่บ้าง ต่อให้มันคือความผิดหวังกับตัวเองก็ตามที

ผมมองว่าเขาก็คงไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเป็นแบบนั้น ถ้ามันจะทำให้ใครต้องเจ็บปวด

แน่นอน คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาว่า...หรือเขาจะดูออกว่าผมชอบเขา?

การบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ถือว่าใจดีได้ไหม?

แต่ต่อให้เป็นความใจดีจริง มันก็ทำให้ใจผมเจ็บร้าวเหลือเกิน

ผมไม่รู้ควรทำยังไง และอาจเพราะแบบนั้น ทั้งสมองและหัวใจที่คิดเข้าข้างตัวเองเก่ง คลั่งรัก ก็ชอบควานคิดหาเหตุผลดีๆ มาบอกตัวเองว่าเขายังไม่ไร้หัวใจ

ผมยังอาจพอมีหวัง ต่อให้ริบหรี่เลือนราง

หนึ่งในเรื่องที่ทำให้ผมคิดว่าอัฐยังมีความรู้สึก ก็คือการที่เขาหาคนมาอยู่ร่วมบ้าน แม้อาจดูประหลาดสำหรับคนขี้รำคาญและเอาแต่ใจอย่างเขา แต่ถ้าคิดดูดีๆ แล้ว เขาอาจมีรอยโหว่รูใหญ่ในความรู้สึกอยู่ก็ได้

เขาอาจจะขี้เหงาจริงๆ อย่างที่เคยพูด แต่เมื่อนึกย้อนสถานะตัวเองแล้วก็อดเศร้าไม่ได้

ผมไม่แน่ใจหรอกว่าเขามองผมยังไง ผมอาจจะเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เตือนว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกจริงๆ ก็ได้ และการเข้ามาบอกว่ารักใครไม่เป็นก็คือการขีดเส้นอาณาเขตของตนเองให้หนาขึ้น เพื่อไม่ให้ผมเป็นสิ่งใดที่เกินกว่านั้น

และเพื่อที่เขาจะปฏิบัติตัวกับผมได้เหมือนเดิม

ใช่ หลังจากวันนั้น เขาก็ปฏิบัติตัวกับผมไม่ต่างจากเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราไม่ค่อยคุยกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้หลบหน้าผม ซึ่ง...ก็อาจเพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องหลบล่ะนะ หนำซ้ำยังมีช็อกโกแล็ตที่ความเข้มข้นไม่เกิน 70% กล่องใหม่มาวางอยู่ในตู้เย็นผมด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมร้อง ‘โอ้ย’ ตามด้วย ‘ไอ้บ้าเอ๊ย’ อยู่ในใจกับการกระทำที่ดูปกติธรรมดาของเขา

เหมือนว่าไอ้สิ่งที่ผมคิดวุ่นวายมาทั้งหมดแม่งเป็นสิ่งที่ผมคิดมากอยู่คนเดียว ส่วนเขาไม่ได้คิดอะไรเลย

แต่โอ้ยครั้งที่สอง

ผมนึกเถียงตัวเองว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะอยู่ดีๆ นึกอยากเล่าเรื่องตัวเองขึ้นมาหรอก

อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆ คือเหมือนผมเกร็งกับการปฏิบัติตัวอยู่คนเดียว

ช่วงแรกๆ ผมไม่ทำอาหารเผื่อเขาเลยเพราะคิดว่านั่นคือหนึ่งในการถอยออกมาหนึ่งก้าว จนกระทั่งช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม เขาก็ชวนผมคุยขึ้นมาตอนเดินมาหยิบช็อกโกแล็ตในตู้เย็น

“อากาศเริ่มหนาวแล้ว ว่าไหม”

นั่นแหละครับ...เรื่องดินฟ้าอากาศ

“จริงครับ ผมอยากให้ปีนี้หนาวนานๆ เลย”

ผมตอบเขา ทำตัวให้ดูปกติ แต่สิ่งที่เขาทำก็คือเดินออกจากครัวไป ไม่มีท่าทีคิดตอบสิ่งที่ผมพูดสักนิด...

โอ้ย

ไอ้บ้าเอ๊ย

หลังจากการด่าในใจครั้งนั้น ผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำตัวปกติเหมือนเดิมนั่นแหละ โดยบอกตัวเองว่าที่ผมอยู่บ้านหลังนี้ต่อก็เพื่อประหยัดเงินเท่านั้น ไม่ได้อยู่เพราะอยากอยู่กับเขาหรอก

ใช่! ผมจะทำเพื่อเงินเท่านั้น!

ผมท่องอย่างนั้นในใจอยู่ 2-3 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวพอดี และคาดว่าคงหนาวอยู่ไม่กี่วัน เย็นวันหนึ่งผมจึงคิดทำซุปไก่ใส่แครอท เมนูซุปร้อนๆ ซดคล่องคอที่ผมชอบที่สุดและเหมาะกินช่วงอากาศเย็นมากๆ

ผมขนวัตถุดิบจำพวกผักอย่างแครอท หอมใหญ่ มันฝรั่ง และมะเขือเทศออกมาจากตู้เย็น ใส่ทุกอย่างยกเว้นหอมใหญ่ลงตะกร้านำไปวางตรงซิงค์เพื่อเปิดน้ำล้างแบบไหลผ่าน ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมนำน่องไก่ 10 ชิ้นออกมาวางให้หายเย็น ปริมาณเท่านี้ผมกะต้มไว้กินหลายวันน่ะ และที่ขาดไม่ได้สำหรับซุปไก่สูตรผมเองคือสิ่งที่ช่วยชูรสอย่างสามเกลอ ประกอบไปด้วยรากผักชี กระเทียม และพริกไทย

เมื่อผมเตรียมสามเกลอเสร็จ ผมก็ปิดน้ำที่ซิงค์แล้วเริ่มหั่นหอมใหญ่แบบไม่ต้องกลัวน้ำตาไหลเพราะผมหั่นตรงขั้วทิ้งก่อน แต่ระหว่างนั้นผมก็ดันคิดขึ้นมาว่ารสซุปนี้จะถูกปากอัฐไหมนะ?

พอคิดแบบนั้น ผมก็หั่นหอมใหญ่ฉับๆ เร็วขึ้นกว่าเดิม มองปริมาณวัตถุดิบแล้วยังไงก็พอเผื่อเขาน่ะแหละ แต่จะชอบไหมก็อีกเรื่อง ผมไม่อยากสนใจแล้วเพราะยังไงผมก็อยู่บ้านหลังนี้เพื่อประหยัดเงินนี่นา

ฮึ! อยากกินก็กิน ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!

“จา”

ฉับ!

“อ๊าก!”

“...”

เสียงเหล่านั้นเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 2 วินาที เริ่มจาก...เสียงอัฐเรียกชื่อผมจากด้านหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงมาก่อน เสียงมีดบาดนิ้วเพราะผมตกใจ และเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัว

ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเลิ่กลั่ก เลือกไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อน มองนิ้วตัวเองที่เลือดไหลเหมือนฉากฆาตกรรมสลับกับหันไปมองอัฐที่ดูจะเพิ่งกลับมาบ้านเพราะอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำ แล้วสุดท้ายผมก็เอ่ยออกมา

“คะ...คุณอัฐมีอะไรหรือเปล่าครับ”

โอ้ย

ทำไมผมไม่เลือกถามตัวเองก่อนเนี้ยว่าไหวไหม สมงสมองไปหมดแล้วเร้อ

แล้วดูท่าอัฐจะเวทนาผม แม้สีหน้าและแววตาเขาจะไม่บ่งอารมณ์ใดก็ตาม

“ไปล้างเลือดก่อนเถอะ”

“อ่า...ครับ”

ผมตอบรับแล้วเดินไปห้องน้ำที่อยู่ใกล้ห้องเก็บของเพราะไม่อยากล้างเลือดตัวเองลงซิงค์ที่ใช้ทำอาหาร ดูแผลแล้วไม่ใช่แผลลึกจึงไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ ที่เลือดออกเยอะเพราะมันบาดเป็นทางยาวเท่านั้น

ระหว่างที่ล้างน้ำเปล่า ผมก็ถอนหายใจกับความเบ๊อะบ๊ะตกใจง่ายของตัวเอง แล้วคิดว่าต้องมีสติให้มากกว่านี้

ผมเดินกลับไปที่ครัว ตั้งใจว่าจะถามอัฐว่ามีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่า แต่ก็พบว่าสิ่งที่จะถามหานั้นวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวแล้ว ส่วนอัฐกำลังล้างเขียงที่เปื้อนเลือดของผม โอ้...เห็นแล้วอนาถตัวเองแท้ที่ถึงกับทำให้เขามาทำนู่นทำนี่ให้ได้ ฮือ

“ขอบคุณครับ”

ผมเอ่ยด้วยความอายนิดๆ ไม่รู้หรอกว่าเขาหันมามองหรือเปล่า เพราะผมก้มหน้าก้มตาเปิดกล่องปฐมพยาบาลหาอุปกรณ์ล้างแผลแล้ว ซึ่งสิ่งแรกที่หยิบขึ้นมาคือขวดแอลกอฮอล์...

แน่นอนว่าถ้าราดลงไปที่แผลคงทำให้อยากร้องอ๊ากอีกรอบ แต่ผมก็ชอบใช้มันนี่แหละเช็ดแผลเพราะเชื่อเอาเองว่ามันช่วยฆ่าโคตรพ่อโคตรแม่เชื้อโรคตายหมด แต่จังหวะที่ผมกำลังจะนำสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์แตะลงกลางแผลแบบฮึบกัดฟันไว้พร้อม ผมก็ต้องชะงัก

มือใหญ่ของอัฐมาดึงมือผมไว้ก่อน

“ใครเขาใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล”

เขาพูดด้วยเสียงเบาตามบุคลิก แต่...อ่า แววตาเมื่อกี้ใช้แววตาตกใจของเขาไหมนะ ถึงจะนิดเดียวก็เถอะ

แต่...แต่สิ่งที่ผมควรตกใจตอนนี้มันคือเขามาจับมือผมไว้ต่างหาก!

“นั่งลงไป”

พลันที่คิดไว้ว่าต้องมีสติ มันก็ปลิวไปหมดแล้วเพราะผมนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำสั่งเขาอย่างง่ายดาย ถึงสมองผมจะประมวลไม่ทันว่าทำไมก็ตาม

“เดี๋ยวทำแผลให้”

แล้วเขาก็เอ่ยเฉลย ทำเอาผมได้แต่ก้มหน้ามองแผลตัวเอง ไม่กล้าสบตาเขาที่ยืนอยู่ เพราะใบหน้าผมตอนนี้คงเริ่มแดงแล้ว แต่เมื่อตั้งสติได้อีกที การมองมือตัวเองที่ถูกมือเขาจับไว้อยู่ก็ดูจะยิ่งทำให้ผมหน้าแดงกว่าเดิม ถ้ามีเสียงก็คงดังฉ่าแล้ว

มือของอัฐข้างหนึ่งจับผมไว้ ขณะที่มืออีกข้างใช้สำลีชุบทิงเจอร์ไอโอดีนเช็ดที่บาดแผลตรงนิ้วชี้ของผม ซึ่งไม่ว่าจะมือข้างไหน เขาก็ลงน้ำหนักมืออย่างเบามือทั้งสิ้น และมัน...ชวนให้ผีเสื้อบินในท้อง โหวงหวิวราวกับมากันทั้งฝูง

จะบ้าตาย จะบ้าตาย จะบ้าตาย

รู้สึกเหมือนจะเป็นลมหน้ามืดโดยที่ไม่ใช่เพราะเสียเลือดจากมีดบาด ผมรีบท่องคำที่ท่องมาตลอด 2-3 วันว่าทำเพื่อเงิน ทำเพื่อเงิน ไม่ได้อยากอยู่กับเขาเลยสักนิด

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ โคตรรู้สึกดีเลยอะ ฮือ

ผมไม่รู้ว่ากี่รอบแล้วที่ส่งเสียงร้องไห้ร้องโวยวายอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็กอบกุมสติที่ปลิวว่อนทั่วห้องกลับมาได้เพื่อเอ่ยขอบคุณเขาเมื่อทำแผลเสร็จ ผ้าก็อตถูกปิดไว้บนนิ้วอย่างเรียบร้อยแทนพลาสเตอร์เพราะรอยแผลยาวเกินไป ซึ่งอัฐไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำขอบคุณ เขาเพียงมองไปยังอาหารที่ทำค้างอยู่

“เธอจะทำซุปไก่เหรอ”

“อ่า ใช่ครับ ว่าจะทำเผื่อคุณด้วย...”

“ฉันทำให้แล้วกัน”

“เอ๊ะ?”

พูดจบเขาก็เดินไปหยิบมีดสำหรับปอกเปลือกขึ้นมา

“คุณอัฐ เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”

“ฉันไม่อยากกินเลือดเธอ”

“...”

คำตอบของเขาพอจะทำให้ผมเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงดู ‘ใจดี’ ขึ้นมา เพราะสภาพนิ้วของผมก็ดูไม่น่าไว้ใจให้ทำอาหารต่อจริงๆ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากให้เขาทำอยู่คนเดียว หยิบหม้อมาตั้งน้ำ รอเดือด เพื่อเวลาเขาเตรียมวัตถุดิบเสร็จจะได้นำลงต้มได้เลย

“เคยกินมักกะโรนี ABC ไหม?”

อะ แต่เขาก็ถามขึ้นมาระหว่างที่ผมไม่รู้จะทำอะไร มองน้ำในหม้อที่อีกนานกว่าจะเดือดเพราะปริมาณเยอะพอดู

“มักกะโรนี ABC เหรอครับ... ผมเคยกินตอนเด็กๆ อยู่นะ”

“ฉันเคยกินกับซุปนี้ อร่อยดี”

“พูดแล้วอยากกินขึ้นมาเลย”

ผมตอบรับ แต่เขาก็เงียบไปแล้วง่วนกับการหั่นผักต่อ ขณะที่ผมยังนึกถึงมักกะโรนีรูปทรงตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวจิ๋วอยู่ มันเป็นเมนูวัยเด็กที่น่ารักดี

จะผิดไหมเนี่ยถ้าเอ็นดูเขาขึ้นมา อยู่ๆ ก็นึกถึงเมนูวัยเด็กเฉย

“ถ้าพูดถึง ABC ผมก็ชอบกินบิสกิต ABC นะครับ”

“อันนั้นก็อร่อย”

พอฟังเขาตอบโต้ถึงเมนูที่เด็กๆ ชอบแล้วเขาดูเข้าถึงง่ายขึ้นมานิดนึงยังไงไม่รู้แฮะ แต่พอคิดขึ้นมาแบบนั้นก็อดกลับไปใจฟีบไม่ได้ เพราะไอ้คุณคนนี้มันคนเดียวกับที่บอกว่ารักใครไม่เป็นน่ะแหละ

ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำตัวปกติจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยัง...ทำตัวเหมือนจะใจดีอีกด้วย

ฮึ่ย! มันน่านัก!

“เธอเคยพากย์หนังสือเสียงไหม”

แต่พอเขาถามโดยไม่ทันตั้งตัว ผมก็รีบเก็บความหมั่นไส้ไว้ก่อน

“หนังสือเสียงเหรอครับ” ผมถามทวนขณะหยิบถ้วยมาใส่มันฝรั่งที่อัฐหั่นเป็นลูกเต๋าเสร็จแล้ว เพราะน้ำในหม้อยังไม่เดือดดี “เห็นว่าแอพพลิเคชั่นหนึ่งเพิ่งเปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับหนังสือเสียง เขารับสมัครคนพากย์อยู่ ผมลองสมัครไปแต่เขายังไม่ตอบเลยครับ”

ผมอธิบายรายละเอียด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แพลตฟอร์มเกี่ยวกับหนังสือเสียงกำลังมาแรง ประกอบกับผมเห็นว่ามันสามารถอัดเสียงเองและตัดต่อเองเพื่อส่งไฟล์งานทางอินเทอร์เน็ตได้ ผมจึงลองดูเผื่อจะได้มีผลงานและมีเงินไว้ใช้เพิ่ม แม้งานพากย์ที่ผมอยากทำจริงๆ คือพากย์หนังหรือละคร แต่งานนี้ก็ดูน่าสนุกดีด้วย

“ถ้าเพิ่งเปิดตัวก็น่าจะแอพฯ เดียวกัน” อัฐเอ่ยระหว่างเริ่มใช้มีดปอกเปลือกแครอท “สำนักพิมพ์กำลังจะทำนิยายฉันเป็นหนังสือเสียง”

“โอ้ ดีเลยสิครับ” ผมออกความเห็นพร้อมกับหยิบสามเกลอมาเตรียมใส่หม้อเพราะน้ำใกล้เดือดแล้ว

“ฉันอยากให้เธอเป็นคนพากย์”

แต่ผมก็ชะงักค้างสิ่งที่กำลังทำอยู่

“เอ๊ะ?”

“เธออยากพากย์ไหม”

เขาถามด้วยเสียงเบาตามบุคลิก ไม่ได้ละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่มาสบตาผม ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ขณะที่ผมยังอึ้งอยู่ก่อนจะค่อยๆ วางของในมือลงที่เดิม มองใบหน้าด้านข้างของเขาที่ไม่บ่งอารมณ์ใด แล้วถามกลับไป

“ทำไม...เลือกผมล่ะครับ? จะดีเหรอ?”

ผมถามออกไปแค่นั้น ทั้งที่ในใจอยากสาธยายคำถามอย่างยาวยืด เพราะนักพากย์มืออาชีพหรือรุ่นใหม่ๆ ก็มีมากมายให้เขาเลือก อีกทั้งผมไม่แน่ใจด้วยว่าโทนเสียงของผมจะเหมาะกับเรื่องแนวไซไฟสืบสวนสอบสวนของเขาแค่ไหน

“เป็นเธอน่ะดีแล้ว”

แล้วเขาก็ตอบมาโดยที่ไม่ได้สนใจจะหันมามองหน้าผมเหมือนเคย ราวกับสิ่งที่พูดก็แค่เรื่องทั่วไปเหมือนที่พูดถึงมักกะโรนี ABC

“คนอื่นฉันไม่เอา”

และราวกับไม่เคยพูดกับผมมาก่อนว่าเขารักใครไม่เป็น...

จริงอยู่ว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องงาน จึงไม่แปลกที่เขาดูไม่ยี่หระอะไร แต่เนื้อความที่เขาพูด...มันก็ทำให้ผมอดใจเต้นจนปวดแปลบไม่ได้

ขี้โกง

ผมคิดเมื่อมองเขาที่ดูไม่ได้คิดอะไรจริงๆ กับสิ่งที่พูดออกมา

เหมือนกับว่า...มาบอกว่ารักใครไม่เป็น แล้วทุกอย่างก็จบงั้นแหละ

จะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมาคิดแล้วว่าเป็นการให้ความหวังผมหรือเปล่า

ในตอนที่ผมตอบตกลงไปว่าจะพากย์หนังสือเสียงของเขา ผมก็นึกถึงจุดยืนของตัวเอง

ที่คิดไว้ว่าได้ถอยไปแล้วหนึ่งก้าว จริงๆ ผมไม่ได้ถอยเลย

ในความเป็นจริงผมจะถอยไปไหนได้

เหมือนว่าข้างหลังก็ทางตัน และข้างหน้าก็หุบเหว ก้าวไปทางไหนไม่ได้สักทาง

ผมได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม และคิดอยู่ในใจว่า...

ไอ้บ้าเอ๊ย!!


**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.15)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:44:49
ตอนที่ 15



ผมคิดว่าถ้าผมเดินหน้าหรือถอยหลังไม่ได้เลยในความสัมพันธ์นี้ ผมก็คงได้แต่ยืนอยู่กับที่อย่างยอมรับ  ทำใจสบายๆ และปล่อยให้มันเป็นไป อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

หรือพูดง่ายๆ... ปลงน่ะแหละครับ

ถึงผมจะชอบเขาจนแทบคลั่งแค่ไหน และหวังว่าอยากได้รักตอบจนจะบ้าตาย แต่ผมก็รู้ดีว่าทุกความรักนั้นมีผลลัพธ์สองทาง คือ...สมหวัง หรือ ผิดหวัง

ต่อให้เขาไม่เดินเข้ามาบอกว่ารักใครไม่เป็น ผมก็อาจจะผิดหวังได้อยู่ดี เพราะงั้นผมก็แอบเตรียมใจไว้บ้างแล้ว

แต่นั่นแหละ...ต่อให้รู้ว่าไม่มีโอกาสอย่างไร คนเราก็ยังแอบหวังอยู่ดี

ความรักคงเป็นแบบนั้น

สำหรับผมจะหวังให้มันน้อยๆ ให้เหมือนเด็กมัธยมแอบชอบรุ่นพี่โดยไม่หวังอะไร แค่ได้แอบมองไปวันๆ ก็มีความสุขแล้ว

แต่ผมก็ดูจะคิดง่ายไป

เพราะอัฐไม่ใช่คนที่เดาใจได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ กำลังจะทำอะไร และบางทีสิ่งที่เขาทำก็ชวนสงสัยเหลือเกินว่าทำไมถึงทำ

การชอบคนแบบนี้แหละที่ทำเราอยากจะบ้าตาย

แน่นอนว่าเรื่องที่เขาทำไม่เคยเป็นเรื่องที่ใหญ่โต แต่เพราะเป็นคนอย่างเขา แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำผีเสื้อบินในท้องได้เป็นฝูงแล้ว

อา อยากจะบ้าตายวันละสามเวลาหลังอาหาร ถึงจะเจอเหตุการณ์แบบนั้นนานๆ ทีก็เถอะ

ก่อนจะเล่าถึงมัน ผมเกริ่นถึงเรื่องงานพากย์ก่อนดีกว่า

เรื่องที่น่าดีใจสุดๆ ก็คือปีหน้า...ผมกำลังจะได้เป็นนักพาย์เต็มตัวแล้วครับ เย้

ที่จริงผมเห็นวี่แววของข่าวดีมาตั้งแต่ได้พากย์จริงครั้งแรกแล้ว เพราะพวกพี่เขาพยายามหาบทเล็กๆ น้อยๆ ให้ผมพากย์อยู่เรื่อยๆ และให้เงินเป็นจ๊อบเหมือนจ้างฟรีแลนซ์ จนกระทั่งช่วงกลางเดือนธันวาคม เขาก็บอกข่าวดีกับผมให้ยิ้มแก้มปริ รีบโทรไปบอกแม่จนตาแดงจมูกแดงทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้ แค่ตื้นตันใจเฉยๆ ซึ่งน้ำเสียงแสดงความยินดีของแม่ก็รู้เลยว่าดีใจกว่าผมอีกเพราะเสียงขึ้นจมูกไปหมด

ที่จริงดีใจกันขนาดนี้ก็ไม่แปลกเพราะมันเป็นงานที่ดูได้ยากเย็นเหลือเกิน รุ่นพี่นักพากย์เองก็บอกว่าหายากที่จะเจอเด็กรุ่นใหม่อดทนแบบผม ส่วนใหญ่แค่ให้นั่งรอหน้าห้องพากย์ก็ไปหมดแล้ว และถึงทางช่องจะติดปัญหาจนรีบรับผมเป็นนักพากย์ในสังกัดไม่ได้ แต่ผมก็ยังอดทนจนกลายเป็นรุ่นน้องที่พวกพี่ๆ เอ็นดูโดยปริยาย

แน่นอน ความดีใจและความสำเร็จนี้ผมไม่พลาดที่จะนำมาบอกอัฐ แบบที่มีอะไรก็อยากเล่าให้เขาฟัง แต่ผมไม่ได้อยู่ดีๆ เดินไปบอกแบบที่เขาไม่ชอบให้มาชวนคุยก่อน ผมอาศัยโอกาสตอนคุยเรื่องงานพากย์หนังสือเสียงในการบอกเขา

“คุณอัฐ ผมได้เป็นนักพากย์เต็มตัวแล้วนะครับ เริ่มงานจริงๆ มกรานี้”

ผมเอ่ยบอกพร้อมยิ้มแย้มเต็มที่ ถ้าอยู่ในการ์ตูนก็มีสกรีนโทนดอกไม้ฟรุ้งฟริ้งเต็มช่อง แต่เมื่อตัดไปที่ช่องของอัฐ...ไม่มีสกรีนโทนใดๆ มีแค่การเหลือบสายตาจากงานที่คุยกันอยู่ขึ้นมามองเล็กน้อย แล้วก็กลับไปมองงานเหมือนเดิม

“ไม่ยินดีด้วยเลยเหรอ...”

ผมเผลอพึมพำออกมาตอนก้มหน้างุดเมื่อเห็นแต่ปฏิกริยาตอบกลับที่เย็นชา เพราะผิดกับที่คาดในเมื่อเขาบอกมาตลอดว่าชอบเสียงผม

“ก็ฉันไม่แปลกใจนี่”

แต่เสียงเบาๆ ของเขาเอ่ยขึ้นให้เงยหน้ากลับไปมอง แล้วก็ได้สบตากับนัยน์ตาสีดำที่จ้องผมอยู่

“ยังไงเธอก็ได้เป็นนักพากย์อยู่แล้ว”

ผมอึ้งค้างไป ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีเสียงฟู่ออกจากหัวเหมือนน้ำในกาเริ่มเดือดก็ตอนที่เขาก้มหน้ากลับไป

“ขะ...ขอบคุณครับ”

ผมเอ่ยตะกุกตะกัก รู้สึกว่าใบหน้าร้อนมาก ดีใจยิ่งกว่าการเอ่ยแสดงความยินดีแบบดาดๆ ทั่วไป เพราะเขาเชื่ออยู่แล้วว่าผมจะทำได้ ซึ่งมันมีความหมายมากเลยทีเดียว

แต่ถึงจะดีใจ ผมต้องตั้งสติไม่ให้เตลิดเพราะอัฐดูไม่ได้อะไรกับการพูดคำนั้นออกมาเลย แค่ก้มหน้าก้มตาดูงานเหมือนเดิม

ตอนนั้นเราคุยกันอยู่ว่าในช่วงที่ตัวละครพูดคุย เขาอยากให้น้ำเสียงออกมาประมาณไหน ส่วนบทบรรยายไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก แค่ผมต้องลดความสดใสลงหน่อยในบางช่วงบางตอนเท่านั้น

ระหว่างที่เขาเขียนระบุโทนน้ำเสียงตัวละครลงบนต้นฉบับ ผมก็แอบมองเขาแบบพยายามไม่ให้รู้ตัว ผมมองการจับปากกาของเขา การตวัดเขียนเป็นตัวอักษรไม่มีหัวที่เขียนได้เร็วมากแต่ไม่ถึงขั้นหวัดจนอ่านไม่ออก แล้วก็ลอบมองดวงหน้าที่เหมือนพระเจ้าลำเอียง สรรสร้างมาอย่างวิจิตรบรรจง แต่...ก็ถูกสไตล์ประหลาดๆ กลบความงามไปเล็กน้อย

สภาพเรือนผมของอัฐ บางทีก็ปล่อยยาวยุ่งไม่เป็นทรง บางทีก็เนียบแบบดูออกเลยว่าเพิ่งกลับจากร้านตัดผม ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพแรก ทรงผมอันเดอร์คัตบริเวณที่ไถข้างนั้นยาวแล้วและเป็นสีดำ ส่วนผมบริเวณที่ย้อมสีทองก็โคนดำจนเห็นได้ชัด

พลันอัฐเหลือบสายตาขึ้นมามองราวกับรู้ตัว ทำเอาใจผมเลิ่กลั่กรีบหาเรื่องคุยอื่น

“เอ่อ...ผมฝันอยากเป็นนักพากย์แต่เด็กเลย แล้วคุณอัฐรู้ตัวตอนไหนเหรอครับว่าอยากเป็นนักเขียน”

ผมหยิบเรื่องใกล้ตัวสุดมาพูด

“ไม่ได้ฝันอยากเป็นหรอก” อัฐเอ่ยตอบ

“อ้าว... แล้วไหงมาเป็นได้ล่ะครับ”

“ฉันอ่านหนังสือเยอะ แล้วบางเล่มมันน่าขัดใจ ฉันก็คิดขึ้นมาว่าฉันคงเขียนได้ดีกว่า แค่นั้นเอง”

เป็นเหตุผลที่...โคตรสมกับคนเอาแต่ใจและประสาทแดกอย่างอัฐสุดๆ

แถมเขายังมีพรสวรรค์ งานที่เขียนออกมาก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ยอดขายถล่มทลายจนคนที่ฝันอยากเป็นนักเขียนมานานแต่ไม่สำเร็จสักทีคงมีอยากนัดต่อยกันตัวต่อตัวไม่มากก็น้อย

“จะว่าไป เธอจะได้เงินค่าพากย์หนังสือเสียงเป็นเปอร์เซ็นนะ” พลันเสียงเบาก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้

“เปอร์เซ็น? ยังไงเหรอครับ ผมนึกว่าจะได้เป็นค่าจ้างเหมาต่อเล่มซะอีก”

“ถ้าหนังสือเสียงขายดีเพราะเสียงเธอมันก็ไม่แฟร์สิ”

อะ... จริงอยู่ว่าที่เขาพูดมันเป็น Fact อย่างหนึ่ง คล้ายกับการที่ปกหนังสือสวยมีส่วนต่อยอดขาย แต่พอเป็นเขาพูดงี้ใส่ก็เหมือนโดนโจมตีไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว ฮือ

“เธอจะได้ 20 เปอร์เซ็นจากยอดขาย”

แต่พอเขาบอกเปอร์เซ็นมา ความเขินนั้นก็ถูกพับเก็บไปก่อน

20 เปอร์เซ็น...จากเรื่องที่ขายดีถล่มทลายนั่นน่ะนะ!

“อย่าลืมว่าหมายถึงหนังสือเสียง” พลันเหมือนเขาเห็นว่าแววตาผมส่องประกายเป็นเม็ดเงิน เลยรีบดักทางมาก่อน “ไม่ได้ขายดีเท่ารูปเล่มหรืออีบุ้กหรอก”

ถึงเขาบอกแบบนั้นแต่ผมก็อดรู้สึกกำลังจะรวยไม่ได้ จนยิ้มแหะๆ ออกมากับความเด็กของตัวเอง

เมื่อจบบทสนทนาเรื่องค่าตอบแทน เราก็เริ่มคุยถึงเนื้องาน ผมตั้งใจฟังสิ่งที่เขาต้องการ จดโน้ตบางส่วนไว้กันลืม ดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร เหลือแค่ผมไปพากย์แล้วนำมาให้เขาฟังว่าโอเคหรือเปล่า

การทำงานร่วมกันระหว่างผมกับเขาจึงเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ถึงแม้ต้องใช้เวลาทำมากกว่าปกติเพราะผมมีงานประจำอยู่แล้ว และอัฐก็ค่อนข้างจุกจิกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมก็เข้าใจว่างานเขา เขาก็ต้องอยากให้ออกมาดี ผมจึงไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไร

วันคืนผ่านไปจนใกล้ช่วงหยุดยาวปีใหม่ ผมทำงานพากย์หนังสือเสียงเสร็จไปแค่หนึ่งส่วนสามของเล่มแรก ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าเลทเพราะเดดไลน์คือสิ้นเดือนมกราคม ช่วงคริสต์มาสถึงปีใหม่ผมเลยกะกลับไปพักผ่อนที่บ้านยาวๆ เพราะที่ทำงานก็หยุดตั้งแต่คริสต์มาส และที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วย

แล้วเย็นวันก่อนที่ผมจะกลับบ้านนั่นแหละ ผมก็พบหนึ่งในการกระทำเล็กๆ จากอัฐที่ทำให้ผมอยากจะบ้าตาย

แน่นอน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีแค่ผมเองที่วุ่นวายใจอยู่คนเดียวตามเคย

ตอนนั้นผมเพิ่งกลับมาบ้าน เห็นประตูรั้วเปิดอยู่พร้อมกับรถยนต์ที่เพิ่งดับเครื่อง ผมจึงรู้ว่าอัฐเพิ่งกลับมาเช่นกันเลยปิดประตูรั้วให้ เสร็จแล้วก็เดินไปที่เก้าอี้ข้างชั้นรองเท้าซึ่งอัฐมานั่งถอดรองเท้าอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ผมก็สะดุดตากับผมบนศีรษะเขา

จากที่ยาวยุ่งและโคนดำ เขาไปย้อมสีทองมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ทรงผมไม่เหมือนเดิม จากอันเดอร์คัตไถข้างก็เปลี่ยนเป็นรองทรงต่ำธรรมดาที่ดูสบายตา ขณะที่ผมด้านบนและด้านหน้ายังยาวปรกคิ้วดำของเขาเหมือนเดิม

นี่เพราะเป็นอัฐหรอกนะ ไอ้สีบลอนด์ทองสว่างแบบนี้ถึงได้รับการยกเว้นให้ดูดี ถ้าเป็นเด็กซิ่งมอเตอร์ไซค์แถวบ้านนะ...

“แว้นใช่ไหม”

“แว้นครับ อะ...เอ๊ะ? เอ้ย! ไม่ใช่นะครับ!”

ผมหลุดปากตอบสิ่งที่กำลังคิดอยู่เมื่ออัฐเงยหน้าขึ้นมาถาม ยิ่งดวงตาที่ช้อนมองขึ้นมานั้นจ้องเขม็งก็ยิ่งทำให้เลิ่กลั่ก โบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“หล่อครับ! หมายถึงหล่อ! เอ่อ... นั่นแหละครับ...”

ไม่ต้องเดาเลยว่าหน้าผมกำลังขึ้นสีแดงแป๊ด เพราะยิ่งปฏิเสธกลับยิ่งขุดหลุมฝังตัวเอง ไปบอกว่าเขาหล่อทำไมเนี้ย แล้วหลังหลุดปากบอกว่าแว้น ผมไม่ยิ่งดูเป็นพวกกลับไปกลับมาเรอะ

แต่...พลันทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดลงด้วยการกระทำของอัฐที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

เขายิ้ม

ยิ้มแบบกระตุกมุมปากสองข้างขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ได้เผยอปากให้เห็นฟันด้วยซ้ำ เป็นยิ้มที่ดูสมกับเป็นเขาแม้เพิ่งเคยเห็น

และถ้าฟังไม่ผิด ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึเบาๆ ครั้งเดียวอยู่ในลำคอด้วย

ไม่ทันให้ผมได้พูดอะไรต่อ เขาก็เก็บรองเท้าสนีกเกอร์เข้าชั้นวางแล้วเดินเข้าบ้านไปเลย ทิ้งให้ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว

นั่น...นั่นเขาหัวเราะเหรอ...?

หัวเราะผมเหรอ?

หรือว่าแค่ยิ้ม?

ถ้าหัวเราะเนี่ย แปลว่าผมดูตลกหรือว่าไง?

ถ้าแค่ยิ้ม...แล้วทำไมถึงยิ้มออกมา?

ยิ้มทั้งที่ไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อนด้วยซ้ำเนี่ย...

อ๊าก!

จากที่เคยร้องแค่ ‘โอ้ย’ ในใจก็อัพเลเวลเป็น ‘อ๊าก’ ในตอนนั้นเอง ผมปั่นป่วนจนได้แต่ยืนอยู่กับที่ ลืมไปเลยว่าต้องถอดรองเท้า คิดทวนซ้ำไปซ้ำมาถึงรอยยิ้มของเขา

ผมพอจะเดาได้ว่าเขาอาจขำเพราะท่าทีเลิ่กลั่กที่โคตรชัดเจนของผม แน่นอนว่ามันทำให้ผมอับอาย ขณะเดียวกันไอ้ความเข้าข้างตัวเองเก่งและคลั่งรัก มันก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา...

ผมคิดว่า...ผมทำให้คนยิ้มยากอย่างเขา ยิ้มออกมาได้เชียวนะ...

ไม่เคยพิเศษก็ต้องพิเศษแล้วล่ะวะ!

ฮือ

บางทีคำว่า ‘ไอ้บ้าเอ๊ย’ นี่ผมควรใช้ด่าตัวเองมากกว่าด่าเขาอีก

แต่ขณะที่ผมจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้เพราะร้อนใบหน้า และโหวงหวิวกับฝูงผีเสื้อที่บินอยู่ในท้อง เสียงบีบแตรจากรถมินิคูเปอร์สีฟ้าที่มาจอดอยู่หน้าบ้านก็เรียกให้ผมหันไปมอง และเมื่อเสียงแตรดังเป็นครั้งที่สอง ฝูงผีเสื้อในท้องก็กระเจิงหาย

ผมเห็นว่าผมยืนอยู่หน้าบ้านพอดีเลยเดินออกไปต้อนรับ ดูแล้วยังไงก็น่าจะเป็นแขกของอัฐ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ เจ้าของรถก็เลื่อนกระจกลง

“สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักทาย ไม่ได้ยิ้มแต่ดวงหน้าก็ยังดูดีและคุ้นสายตามาก “น้องคงเป็นจาใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“รบกวนช่วยเปิดประตูรั้วให้หน่อย พอดีลืมเอากุญแจมาน่ะ เอ้อ ลืมบอกไป พี่เป็นน้องสาวของอัฐน่ะ”

คำเฉลยว่าเธอเป็นใครทำให้ผมร้องอ๋ออยู่ในใจ ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่เพราะหน้าค่อนข้างคล้ายกัน ผมรีบเปิดประตูรั้วให้เธอตามที่ร้องขอ

โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือการเปิดรับความวุ่นวายปั่นป่วนใจเกี่ยวกับอัฐเข้ามาอีกระลอก...ในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึง

**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.15)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 16-05-2020 23:45:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.16)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:46:09
ตอนที่ 16



ผมจำได้ว่าอัฐมีน้องสาว เพราะที่เขาเรียกผมว่า ‘เธอ’ ก็ติดมาจากการเรียกน้องสาว แต่ผมไม่ได้สงสัยอะไรมากว่าน้องสาวเขาอายุเท่าไหร่ เป็นคนอย่างไร ถ้าให้เดาบ้างก็คิดว่าคงไม่ต่างจากเขาหรือแม่เท่าไหร่

แต่...พูดเลยว่าการเดาอะไรๆ เกี่ยวกับคนบ้านนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมันจะผิดจากที่คาดไปหมด

น้องสาวของอัฐหน้าตาคล้ายแม่มาก เพราะมีโครงหน้าที่เล็ก อ่อนหวานเหมือนกันในแบบผู้หญิง แต่หางตาไม่ตกเหมือนแม่ ดวงตาดูคล้ายอัฐมากกว่าแต่ออกสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ผมดำยาวไม่มีการปรุงแต่งยิ่งขับผิว ใส่เสื้อแขนยาวกับเกงขาสั้นธรรมดาๆ แต่ดูดีมากด้วยหุ่นที่ดูเพรียวและสูงน่าจะพอๆ กับผมเลย

เธอมีบุคลิกแตกต่างจากแม่และพี่ชายอย่างเห็นได้ชัด แม้ดูมั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง ไม่แคร์อะไรเท่าไหร่เหมือนพวกเขา แต่เธอไม่ใช่คนพูดเสียงเบาและเดาใจยาก เธอพูดจาฉะฉานชัดเจนไม่ให้คู่สนทนาต้องเงี่ยหูฟัง ส่วนชื่อของเธอ...

“เฟย์ค่ะ”

“เธอชื่อเฟื้อง”

“...”

ประโยคแรกเธอเอ่ยแนะนำตัวกับผม ประโยคที่สองคืออัฐที่พูดแก้ และประโยคสุดท้ายที่มีแต่จุดไข่ปลาคือประโยคของผมเองเพราะไม่รู้จะตอบรับว่าอะไร อีกทั้งพี่...เฟย์หรือเฟื้องเนี่ยแหละ หันขวับไปมองอัฐตาขวางกับการแก้ชื่อนั้น

“ฉันบอกพี่แล้วไงว่าอย่าเรียกชื่อนี้ ฉันไม่ชอบ”

“หน่วยเฟื้องมีค่ามากกว่าอัฐตั้งเยอะ เธอจะไม่ชอบอะไรนักหนา”

“ก็เพราะพี่แหละชื่ออัฐ ฉันเลยต้องชื่อนี้ แปลกก็แปลก ตอนไปเรียนเมกาฉันเลยเปลี่ยนชื่อเฟย์ให้เรียกง่ายๆ จบนะ”

“เธอชื่อเฟื้อง”

รู้สึกเหมือนเห็นประกายไฟแลบแปลบจากนัยน์ตาขวางของ... อ่า พี่เฟย์แล้วกัน ถ้าเธออยากให้เรียกชื่อนี้น่ะ และถ้าสังเกตได้ ผมเรียกอัฐในใจห้วนๆ ผิดกับที่เรียกน้องสาวเขาลิบลับ ซึ่งเรื่องนี้ผมต้องเก็บไว้อีกนานเลยกว่าจะได้เล่า เอาเป็นว่าตอนนั้นผมได้แค่ยืนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า และอดคิดไม่ได้ว่า...จะเป็นอะไรไหมเนี่ยถ้าแอบขำ

นี่มันพี่น้องทะเลาะกันชัดๆ

“น้องจา”

พลันผมสะดุ้งกับเสียง ‘พี่เฟย์’ ที่หันขวับมาเรียกผม ทำเอากังวลว่าเผลอหลุดขำเสียมารยาทไปหรือเปล่า

“น้องจะเรียกพี่ว่าอะไร?”

แล้วก็พบว่าไม่ใช่ดังที่คิด แต่พี่เฟย์ใช้ผมเป็นกรรมการตัดสินศึกสายเลือดครั้งนี้แทน ทำเอาผมเหรอหราเลือกไม่ถูก มองสายตาดุดันของพี่เฟย์สลับกับสายตาที่จ้องเขม็งของอัฐ แล้วกลับมาที่สายตาดุดันของ...

“พี่เฟย์...ครับ”

“เห็นไหม น้องจายังเรียกฉันว่าเฟย์เลย”

พี่เฟย์หันไปพูดกับพี่ชายตนเองราวประกาศชัยชนะ ซึ่งอัฐก็มองน้องสาวด้วยแววตาที่ไม่ได้บ่งอารมณ์นัก ทำให้ผมโล่งใจว่าเขาไม่น่าซีเรียสอะไรมาก ขณะที่สายตาพี่เฟย์จริงจังสุดๆ

แต่ถ้าคุณอัฐแอบเคืองก็ขอโทษนะครับ ฮือ

เพียะ!

พลันพี่เฟย์ที่ผมเพิ่งเข้าข้างก็ทำสิ่งที่ชวนให้ตาตี่ๆ ของผมเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อยแบบไม่ทันตั้งตัว

เปล่า ไม่ใช่เสียงพี่น้องตบตีกันด้วยความโกรธ แต่อยู่ดีๆ พี่เฟย์ก็ตบกล้ามอกของอัฐจนดังเพียะน่ะสิ!

“แล้วนี่อะไร ยังแก้ผ้าอยู่บ้านเหมือนเดิมอีก น้องสาวกลับมาบ้านทั้งทีนะ”

พี่เฟย์บ่นกับสภาพของอัฐที่ถอดเสื้อออกไปแล้ว เหลือแต่กางเกงยีนส์เดนิมขายาวที่ใส่ไปข้างนอกมา

“มันร้อน”

อะ อัฐเถียงด้วยอะ แต่มองภาพนี้แล้วเหมือนลูกชายเถียงแม่ยังไงไม่รู้แฮะ

“ก็บอกแล้วว่าอย่ารีโนเวทบ้านแบบนี้ หลังคาโคตรสูง อยู่ข้างล่างจะเปิดแอร์ทีก็โคตรเปลือง”

พอพี่เฟย์บ่นถึงตรงนี้ อัฐดูขี้เกียจเถียงต่อ เขาเงียบ หยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง ผมไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร แต่พี่เฟย์รู้ รีบดึงมือถือออกจากมืออัฐ แต่อัฐเลื่อนมือหนีทัน

“พี่อย่าโทรบอกพี่เอกนะว่าฉันอยู่นี่” น้ำเสียงของหญิงสาวดูร้อนลน สีหน้าบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่อัฐจ้องด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไม่พูดอะไร “เออๆ ไม่บ่นแล้ว”

ในที่สุดพี่เฟย์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ดูท่าเธอจะเสียเปรียบด้วยเหตุผลที่กลับมาบ้านหลังนี้

“น้องจา หิวไหม” แล้วเธอก็หันมาให้ความสนใจผมแทน

“ก็หิวนะครับ”

“ไปทำอะไรกินกันเถอะ” ว่าแล้วก็เข้ามาควงแขนผมอย่างไม่ให้ตั้งตัว ลากผมเข้าครัวไปกับเธอแค่สองคน หลังยืนคุยกันตรงทางเข้าบ้านอยู่นาน

“เห็นว่าจาเพิ่งเรียนจบปีนี้ใช่ไหม งั้นพี่น่าจะแก่กว่าจาสัก 3 ปีได้ พี่อายุ 25 น่ะ แต่มีอะไรไม่ต้องเกรงใจนะ พูดได้ พี่ไม่เป็นเหมือนไอ้พี่ชายนั่นหรอก”

พี่เฟย์พูดพลางสำรวจของในตู้เย็น ซึ่งผมก็ตอบรับครับๆ พร้อมยิ้มแหะๆ กับความเซ็งที่เธอมีต่ออัฐ แล้วเธอก็บ่นกระปอดกระแปดเรื่องพี่ชายเป็นระยะ ถึงกระนั้นตอนเธอทำกับข้าว เธอก็ทำรสชาติที่เผื่อลิ้นพี่ชายของเธอด้วย

“ปรุงเผ็ดไปเดี๋ยวไม่กินอีก”

หญิงสาวว่าพลางชิมรสชาติต้มยำกุ้งน้ำข้นที่เธอทำ ก่อนหยิบช้อนใหม่มาให้ผมชิมว่าโอเคหรือยัง ผมลองชิมดูก็พบว่าไม่เผ็ดจริงๆ เป็นรสชาติแบบที่ผมกินนั่นแหละ จึงไม่น่าแปลกที่ผมเพิ่งรู้ว่าอัฐไม่กินเผ็ด เพราะผมก็ไม่ได้กินเมนูแนวเผ็ดร้อนเลย

ระหว่างทำอาหาร พี่เฟย์ก็พูดนู่นพูดนี่อยู่ตลอด ดูเป็นคนคุยเก่งจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นน้องสาวของอัฐ หัวข้อที่คุยก็สารพัด ตั้งแต่อาหารที่ชอบ งานที่ทำ งานอดิเรก ไปจนนินทาอัฐบ้างนิดหน่อยถึงความจุกจิก กระทั่งเล่าเรื่องตัวเองอย่างเปิดเผย ผมได้รู้ตอนนั้นเองว่า ‘พี่เอก’ ที่พี่เฟย์พูดถึงคือสามีของเธอเอง แต่ทะเลาะกันก็เลยหนีมาหลบบ้านพี่ชายเสียก่อน ซึ่งผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ตอบรับครับๆ ตลอดบทสนทนา

หลังจากเราช่วยกันทำอาหารจนเสร็จ ได้ต้มยำกุ้ง ผัดผัดบุ้ง และไข่เจียว ราวกับอาหารในร้านตามสั่ง เราก็ช่วยกันล้างกระทะและจานชามที่ใช้ตอนปรุงอาหารเพื่อไม่ให้กินเสร็จแล้วมีกองภาชนะที่ต้องล้างมากเกินไป ส่วนหม้อต้มยำกุ้งเอาไว้ก่อน เพราะแบ่งใส่ชามแล้วก็เยอะอยู่

“อ่า เดี๋ยวผมเก็บให้ครับ”

ผมพูดตอนพี่เฟย์กำลังเก็บตะหลิวและกระทะแขวนเข้าที่ แล้วผมเห็นว่ามันผิดตำแหน่งที่คุณอัฐต้องการ ซึ่งพี่เฟย์ก็ชะงักไปนิดหน่อยก่อนนึกขึ้นได้

“อ๋อ...ไม่ถูกที่สินะ” พี่เฟย์เอ่ย ยื่นของในมือให้ผม “จาจัดการแล้วกัน พี่ก็ลืมไปแล้ว”

ผมรับตะหลิวและกระทะมาแขวนเข้าที่ เมื่อเรียบร้อยแล้วหันไปมอง ก็เห็นว่าพี่เฟย์ยืนมองเครื่องครัวเหล่านั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จนผมสงสัย

“ไอ้พี่บ้านั่น...เหมือนพ่อไม่มีผิด”

พลันเธอเอ่ยออกมาเหมือนพึมพำ ก่อนจะขอตัวไปเรียกอัฐมากินข้าวด้วยกัน ซึ่งผมติดใจนิดๆ กับท่าทีและคำพูดนั้น

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจเพราะผมรู้จากอัฐล่ะมั้งว่าพ่อเขาเป็นคนที่ออกจากบ้านไป ยิ่งมาเห็นท่าทีพี่เฟย์ยิ่งสะกิดใจ แต่เมื่อสองพี่น้องเดินเข้ามาในครัวโดยที่อัฐก็ไม่ได้ไปใส่เสื้อแบบที่น้องสาวบ่น ผมก็พับเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ แล้วเริ่มมื้ออาหารเย็นกันสักที

พวกเรานั่งร่วมโต๊ะกันโดยผมนั่งข้างพี่เฟย์ อัฐนั่งตรงข้าม กึ่งกลางระหว่างเราสองคน แน่นอนว่าผมแอบมองอัฐตักต้มยำขึ้นมาลองชิม มันอดไม่ได้จริงๆ หลังรู้ว่าเขาไม่กินเผ็ด และพอเห็นท่าทีว่ากินได้ คงไม่เผ็ดเกิน ผมก็เลิกแอบมองก่อนเขารู้ตัว

“พี่กินได้แสดงว่าไม่เผ็ดเกินใช่มะ” พี่เฟย์ถามอัฐ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ตอบ “จะว่าไปคนจุกจิกไปทุกเรื่องในชีวิตอย่างพี่เนี่ย ฉันไม่คิดว่าจะแชร์บ้านกับใครได้ด้วยซ้ำ น้องจาทนมันได้ไงเนี่ย”

อยู่ดีๆ คำถามก็วกมาทางผม แถมเป็นคำถามที่ดูตอบยากด้วย แต่เมื่อเห็นว่าอัฐไม่ได้มองมา ก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ ผมก็เลยหัวเราะแหะๆ ก่อนตอบ

“ก็...อยู่ได้นะครับ”

“อะเมซิ่งว่ะ” พี่เฟย์เอ่ยพลางยิ้มให้ผม ตักกุ้งจากชามต้มยำให้ ผมรีบเอ่ยขอบคุณ “อยู่กันดีๆ อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ ไอ้พี่อัฐเห็นงี้มันไม่ชอบอยู่คนเดียว ตอนพี่แต่งงานแล้วย้ายออกนะ แป๊บเดียวมันก็ไปบอกแม่ละว่าหาเฮาส์เมทให้หน่อย—”

“ฉันแค่ถามแม่ว่าถ้าให้คนมาแชร์บ้านจะเป็นไรไหม” คราวนี้อัฐเถียงขึ้นมา และก็ยังเหมือนเดิมที่พูดด้วยเสียงเบาเป็นบุคลิก “เพราะยังไงมันก็เป็นบ้านแม่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่เห็น แม่จัดการให้เสร็จ ตื่นมาอีกทีจาก็มาอยู่หน้าบ้านแล้ว”

โอ้... ผมเพิ่งรู้เบื้องหลังการหาเฮาส์เมทของอัฐก็ตอนนั้น ว่าแต่...เขาพูดเหมือนผมเป็นพัสดุเก็บเงินปลายทางที่เขาไม่ได้สั่งเลยอะ...

“อ้าวเหรอ” พี่เฟย์หัวเราะ “แต่ก็โชคดีนะ ดูว่าคนที่แม่หามาจะเข้ากับพี่ได้ ไม่งั้นเผ่นตั้งแต่วันแรกแล้ว”

“เธอจะกลับวันไหน” อัฐเปลี่ยนเรื่อง พลางตักกุ้งลงจานตัวเอง

“อะไรกัน ฉันยังไม่ทันค้างสักคืน ไล่กันแล้ว” พี่เฟย์บ่น “ก็จนกว่าพี่เอกที่ซื่อบื้อจะนึกออกว่าฉันหายไปไหนแหละ”

“ฉันไม่อยากเจอหน้ามัน รำคาญ”

“เอ๊า นั่นเพื่อนพี่นะ”

“รำคาญทั้งเธอทั้งมัน”

“ไอ้พี่อัฐ!!”

อ่า... ถ้าขำขึ้นมาจะโดนสองพี่น้องนี่ฆ่าหมกหม้อต้มยำกุ้งไหมนะ

ตอนนั้นผมโคตรพยายามกลั้นขำเลยเพราะเวลาสองคนนี้กัดกันมันผิดจากอะไรๆ ที่ผมเคยคิดไว้มาก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าอัฐจะมีมุมขี้เถียงแทนการเงียบด้วยความรำคาญใจอยู่เหมือนกัน

แต่ก่อนที่ผมจะได้มุดลงใต้โต๊ะไปแอบขำ อัฐก็เงียบ ไม่ยอมโต้ตอบอะไรแล้ว พี่เฟย์จึงเปลี่ยนเรื่อง หันมาคุยกับผมแทน

“วันหยุดยาวนี้จามีแพลนไปไหนปะ”

“ผมกลับบ้านน่ะครับ ปีนี้พักอยู่บ้านดีกว่า”

“อ้าว... จากลับพรุ่งนี้แล้วเหรอ” พี่เฟย์ทำหน้าเสียดาย “ถ้าจาไม่อยู่บ้านแล้วพี่จะคุยกับใครอะ”

ผมฟังก็ได้แต่ยิ้ม เพราะไม่รู้จะตอบยังไงดี จะบอกว่ามีอัฐอยู่ก็คงเป็นคำตอบที่เธอไม่อยากได้ยินเท่าไหร่

“เออแล้วจากลับยังไงพรุ่งนี้ ให้พวกพี่ไปส่งไหม”

“โอ้ ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมกลับเองได้”

“เถอะน่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงพี่ก็ว่างๆ กันอยู่แล้ว ใช่มะพี่อัฐ?”

พี่เฟย์หันไปถามอัฐเพื่อหาแนวร่วม ซึ่งอัฐก็เหลือบสายตามามองเล็กน้อยก่อนเมินไป

“พี่ไม่ต้องทำมาเป็น... พรุ่งนี้ขับรถไปส่งน้องจาหน่อยจะเป็นไรไป เวลาติสท์ๆ ก็ชอบขับรถไปเรื่อยอยู่แล้วนี่ เออน้องจา พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง ไอ้พี่อัฐนะมันเคยติสท์แตกออกจากบ้านไปไม่บอกใคร รู้อีกทีก็ตอนโทรมาบอกให้ไปรับหน่อย พี่ถามว่าที่ไหน ก็บอกว่าหัวหิน ถามว่าทำไมต้องไปรับ ก็บอกว่าน้ำมันหมด กระเป๋าตังค์ก็ลืม ตอนนั้นตู้เอทีเอ็มก็ยังกดเงินจากมือถือไม่—”

“เฟื้อง อย่าพูดมาก”

ในที่สุดคนโดนเผาแบบไม่ใช่แค่ระยะเผาขน แต่เผากันต่อหน้าต่อตาก็เบรกด้วยเสียงเบาแต่มันก็พอจะหยุดได้ ผมที่มองสีหน้าเขาสลับกับใบหน้าของพี่เฟย์อยู่เป็นระยะก็เห็นว่าเขาดูหงุดหงิดและรำคาญเต็มทน

แต่ว่าก็ว่าเถอะ... นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ผมแอบขำในใจกับความหงุดหงิดของเขา เหมือนว่าเขาโดนน้องสาวที่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแกล้งจนอยากจะลุกหนี ซึ่งไม่สมเป็นเขาเลย ทำเอาผมอยากหัวเราะคิกคักพลางตบบ่าปลอบใจเขา

“งั้นพี่จะไปส่งจาด้วยกันไหมล่ะพรุ่งนี้”

พี่เฟย์ยื่นข้อเสนอ อัฐมองน้องสาวตนเองด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ ผมรอดูด้วยความรู้สึกที่...สารภาพเลยว่าแอบสนุกนิดๆ แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลงกลางคัน

เขาหันมามองทางผมแบบไม่ทันตั้งตัว

ไอ้ที่คิดอยากหัวเราะคิกคักใส่และตบบ่าเขามลายสิ้นทันทีเมื่อเขามองมาด้วยสายตาที่ยังหงุดหงิด

“เอ่อ... ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ”

ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ทำอะไรหรอกนอกจากใช้สายตา แต่ผมก็กลัวอยู่ดี อย่าว่าแต่กระตุกหนวดเสือ ไม่กล้าแม้แต่ใช้นิ้วแหย่หนวดเสือด้วยซ้ำ

หรือไม่ว่าทำยังไงผมก็ไม่มีทางเลเวลอัพพอจะกล้าต่อปากต่อคำเขาแบบน้องสาววะ ฮือ

“เดี๋ยวไปส่ง”

"ครับ ผมกลับเอง— เอ๊ะ?”

พลันสมองประมวลผลรวนเพราะผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าอารมณ์ไม่ดีขนาดนั้นคงปฏิเสธฉับ ไม่คาดคิดสักนิดว่าเขาจะรับปากไปส่งผมพรุ่งนี้ และไม่ทันได้ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ อัฐก็รวบช้อนและยกจานไปล้างที่ซิงค์แล้ว

ผมได้ยินเสียงพี่เฟย์ดีใจกับการตอบรับของอัฐ แต่ผมจำไม่ได้นักว่าเนื้อความคืออะไร เพราะตอนนั้นผมเอาแต่มองแผ่นหลังของเขา พร้อมกับจมความสงสัยว่าทำไมเขารับปากอย่างนั้น

ตัดรำคาญน้องสาวเหรอ...เอาจริงเขาแค่ลุกหนีก็ได้นี่ ในเมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว

หรือว่า...

โอ้ย

ผมพยายามตัดความคิดลงกลางคัน รู้ตัวทันทีว่าความเข้าข้างตัวเองเก่งและคลั่งรักมันทำงานอีกแล้ว และผมก็มีประโยคใหม่ที่อยากไปเขย่าคอคนไม่ใส่เสื้อพร้อมกับตะโกนใส่แบบเน้นย้ำทีละคำ

หยุด-ทำ-ตัว-ใจ-ดี-สัก-ที-โว้ย!!



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.17)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:47:38
ตอนที่ 17



วันรุ่งขึ้น ผมตื่นสายเป็นปกติสำหรับวันหยุด ไล่เลี่ยกับเวลาตื่นประจำของอัฐ

เมื่อคืนหลังจากพี่เฟย์ถามผมว่าจะกลับบ้านกี่โมง ผมตอบไปว่าแล้วแต่ที่อัฐสะดวก เธอก็เลยจัดแจงว่ากินข้าวเที่ยงแล้วค่อยไปกัน ผมเลยทำตัวชิวๆ หลังตื่นนอน กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ไถมือถือ จนเห็นว่าใกล้เวลาลงไปทำกับข้าวจึงลุกไปเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่างเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

ห้องน้ำชั้นล่างเป็นห้องน้ำที่อัฐยกให้ผมใช้ส่วนตัว ส่วนห้องน้ำชั้นบนเป็นห้องน้ำของเขา แต่ตอนกลางคืนถ้าขี้เกียจลงมาข้างล่าง ผมก็ใช้ห้องน้ำข้างบนได้ ซึ่งแน่นอนว่าขนาดห้องน้ำยังบอกความเป็นอัฐ ใช้กระเบื้องสีดำเป็นหลักแต่ก็ดูสะอาด ข้าวของวางเป็นระเบียบ ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใดเป็นพิเศษยกเว้นแชมพูกับครีมนวดสำหรับผมย้อมสี ดูไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ และถ้าผมไม่ชอบให้เส้นผมนุ่มๆ ก็คงไม่ใช้ครีมนวดผมแล้ว

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแบบพร้อมกลับบ้าน ผมเดินไปที่ครัวเพื่อทำกับข้าว แต่ก็เห็นว่าพี่เฟย์ลงบันไดมาในชุดลำลองพร้อมกับกระเป๋าเดินทางล้อลากใบเล็กที่หิ้วอยู่ในมือ

“น้องจา” เธอเอ่ยทักผม ใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าเสียดายเล็กๆ “พี่คงไปส่งจาด้วยไม่ได้แล้วล่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ”

“พี่เอกมารอรับหน้าบ้านแล้วน่ะสิ แบบว่า...ดีกันแล้วน่ะ” พี่เฟย์ยิ้มแหะๆ เหมือนแก้เขินที่เมื่อคืนด่าไว้เยอะ ซึ่งผมก็ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงัก แอบคิดว่าดีนะที่ไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากเพราะไม่งั้นผมคงได้แปลงร่างเป็นหมาแล้ว

“แล้วบอกคุณอัฐหรือยังครับ” ผมถาม เพราะยังไม่เห็นวี่แววเขาเลย แต่ได้ยินเสียงจากห้องน้ำด้านบนอยู่แฮะ

“ยังเลย เมื่อกี้มันยังไม่ตื่น พี่ไม่กล้าปลุก ยังไงฝากน้องจาบอกด้วยแล้วกัน เอ้อ ขอทิ้งรถไว้นี่ก่อนนะ วันหลังค่อยมาเอา”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งหน้าบ้าน”

ผมหยิบกุญแจบ้านสำรองที่แขวนไว้ข้างผนังแล้วเดินออกไปกับพี่เฟย์ ตอนที่ส่งเธอขึ้นรถ ผมเห็นพี่เอกที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับฉีกยิ้มกว้างให้ ผมกำลังจะยกมือไหว้แต่พี่เฟย์ก็หันมาพูดซะก่อน

“ไปก่อนนะน้องจา ขอบคุณมาก ฝากบอกไอ้พี่อัฐด้วยว่าถึงพี่ไม่อยู่ก็ห้ามรีโนเวทชั้นบนเป็นสไตล์ดิบๆ ของมันเด็ดขาด”

“อ้อ ได้เลยครับ”

“ไปแล้วนะ บาย”

“ครับ บ๊ายบาย”

ผมโบกมือบ๊ายบายตอบแทนที่จะยกมือไหว้ เพราะพี่เฟย์โบกมือขึ้นมาก่อน แม้แต่พี่เอกก็เหมือนกัน พวกเขาดูเป็นมิตรมากผิดกับอัฐลิบลับ

จะว่าไป จากที่พี่เฟย์พูด เห็นว่าพี่เอกเนี่ยเป็นเพื่อนอัฐด้วย... พอเห็นบุคลิกพี่เอกก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเป็นเพื่อนกันได้ไง

ผมคงไม่ได้คำตอบตราบเท่าที่ไม่เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันล่ะมั้ง คิดแล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน พลางนึกถึงสิ่งที่พี่เฟย์ฝากบอกไว้ รวมถึงเรื่องห้ามรีโนเวทชั้นสองด้วย

เพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าทำไมสภาพบ้านถึงดูครึ่งๆ กลางๆ เพราะน้องสาวเขาไม่ยอมนั่นเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอัฐรำคาญเลยยอมไม่รีโนเวท หรือว่าจริงๆ ก็ยอมน้อง ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่ารัก...

“อะ...”

ผมชะงักเมื่อเปิดประตูบ้านมาเห็นว่าอัฐกำลังเปิดประตูมาเหมือนกัน ซึ่งเป็นผมเองที่ถอยไปเล็กน้อย

“เอ่อ พี่เฟย์กลับไปแล้วนะครับ พี่เอกมารับ เลยทิ้งรถไว้ที่นี่ก่อน”

พอบอกแบบนั้นเขาก็มองไปที่มินิคูเปอร์สีฟ้าที่จอดอยู่ ดูท่าเขารู้อยู่แล้วว่าพี่เฟย์กลับบ้านจากเสียงพูดคุยของพวกผม เขาคงแค่มาดูรถเฉยๆ ว่าทำไมไม่เอาไป

“แล้วก็...พี่เฟย์ฝากบอกด้วยว่าห้ามรีโนเวทชั้นสองน่ะครับ”

ผมบอกอีกเรื่อง อัฐหันมามองผมนิดนึง ไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

เหมือนพอน้องสาวไม่อยู่ ร่างเดิมก็กลับมาเลยแฮะ ปล่อยผมพูดคนเดียวเนี้ย

“งั้นเดี๋ยวผมทำข้าวเที่ยงแล้วผมจะกลับบ้านเองนะครับ เพราะพี่เฟย์ก็กลับบ้านแล้ว ไม่อยากรบกวนคุณอัฐ” ผมพูดพลางเดินตามเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเห็นว่าเขาแค่มาหยิบกุญแจรถบนโต๊ะคอม และเพิ่งสังเกตว่าเขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วด้วย เสื้อยืดแขนยาว กับเกงขาสั้นดูชิวๆ

“ไม่ต้องทำหรอก ไปขึ้นรถเลย”

“คุณอัฐจะขับรถเล่นเหรอครับ”

“...”

อะ... เหมือนพูดอะไรผิดไปแฮะ เพราะเขาหันขวับมาจ้องเขม็ง แล้วก็นึกได้ว่าเหมือนผมแซวที่เขาโดนน้องสาวเผาเรื่องชอบขับรถเล่นตอนติสท์แตก ซึ่งผมก็เผลอนึกว่าเขาจะไปขับรถเล่นจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้คิดว่าเขาจะไปส่ง...

แต่ไม่ทันให้ผมพูดแก้ตัวอะไร เขาก็เดินผ่านผมไปเปิดประตูบ้านแล้ว

“รีบไปเก็บของมา” เขาบอกผมด้วยเสียงเบาโดยไม่หันมามอง ทำให้รู้ว่าเขากำลังจะไปส่งผมจริงๆ เลยรีบกลับขึ้นห้องตัวเองไปหยิบกระเป๋าที่จัดไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนลงมา

หลังจากผมนั่งรถอัฐออกจากบ้านมาแล้ว ผมก็โทรบอกแม่ว่าคงไปถึงช่วงเที่ยง เปลี่ยนจากที่บอกไว้บ่ายๆ ซึ่งแม่ก็บอกว่าไม่ได้ทำกับข้าว จะกินเข้ามาเลยหรือทำกินเองก็ได้เพราะมีวัตถุดิบอยู่

“คุณอัฐจะกินข้าวบ้านผมไหมครับ” ผมหันไปถามเขาหลังวางสายจากแม่

“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันกะจะกินข้างนอก”

“โอเคครับ”

ผมตอบรับ ไม่พูดอะไรต่อเหมือนที่เขาก็ไม่พูด แต่เมื่อเห็นว่าระยะทางยังอีกไกลกว่าจะถึงบ้านผม ผมเลยขอเขาให้เปิดเพลง ซึ่งอัฐก็เอื้อมมือมาเปิดวิทยุ ไม่ต่อบลูธูธหรืออะไรต่อให้รถติดอยู่ เหมือนว่าบอกให้เปิดก็เปิดแล้ว... ผมเลยเอออออยู่ในใจ วิทยุก็วิทยุ อย่างน้อยคลื่นที่เขาเปิดก็เป็นเพลงสากลฟังเพลินดี

เมื่อมาถึงหน้าบ้านของผมจนได้หลังเอ่ยบอกทางนิดหน่อยเมื่อใกล้ปลายทางเพราะทางเข้าบ้านผมไมได้ซับซ้อนอะไร ผมก็เอ่ยขอบคุณอัฐที่มาส่ง ซึ่งเขาตอบรับแค่ ‘อืม’ ในลำคอ ผมจึงยิ้มเล็กๆ แม้เขาไม่ได้หันมามองก่อนที่ผมจะลงจากรถ

ผมเห็นแม่ตากผ้าอยู่หน้าบ้านพอดี และเมื่อแม่เห็นผมก็ยิ้มจนตาหยีก่อนเดินมาเปิดประตูให้ ใบหน้าแม่เวลายิ้มก็คล้ายผมแหละ ตาชั้นเดียวเหมือนกันเพราะแม่มีเชื้อจีน แต่ไม่ค่อยญาติดีกับครอบครัวตัวเองนักจนแม้แต่คำที่ให้ลูกใช้เรียกยังเป็น ‘แม่’ แทน ‘ม๊า’ เลย

“ว่าแต่ใครมาส่งน่ะจา”

“คุณอัฐ เจ้าของบ้านที่ผมอยู่ไงแม่”

“อ๋อ ลูกชายพี่อิน...น่ะเหรอ”

ผมงงที่อยู่ๆ แม่ก็เหมือนเครื่องช็อต มองตามสายตาแม่ไปก็พบว่าอัฐเดินลงมาจากรถ เหมือนจะมาสวัสดีแม่ผมเฉยๆ เพราะยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายด้วยเสียงเบาตามบุคลิก

“สวัสดีครับ”

“โอ้... สวัสดีค่ะๆ” แม่รับไหว้แบบดูมึนๆ “เอ่อ...ชื่ออะไรนะลูก”

“อัฐครับ”

“อ๋อ อัฐเหรอ อ.อ่างเหมือนพี่อินเลย มาๆ เข้าบ้านก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมมาส่งจาเฉยๆ”

“โอ๊ย... มาทั้งที มากินข้าวก่อน ยังไม่กินอะไรใช่ไหม เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้กิน”

เดี๋ยวๆ อะไรนะแม่...

แต่ไม่ทันให้ผมรั้งอะไร แม่ก็ดึงแขนอัฐเข้าบ้านให้เขาเองก็พลอยปฏิเสธไม่ได้ ก่อนแม่จะยอมปล่อยมาเพราะลืมว่าอัฐต้องเอารถเข้าบ้านก่อน

อย่างไรก็ตาม สรุปว่าอัฐต้องอยู่กินข้าวบ้านผมโดยปริยาย

ระหว่างรอแม่ทำกับข้าวกันตรงโซฟารับแขก ผมกลัวเขาจะเบื่อหรืออึดอัดเลยพยายามชวนคุยแบบที่ปกติไม่ชวนคุยก่อน อย่างน้อยนี่มันก็เขตบ้านผม คงไม่เคืองหรอก เนอะๆ

“แม่ทำกับข้าวทีจะนานหน่อยนะครับ” ผมบอกอัฐ และที่ผมไม่ได้ไปช่วยแม่ทำก็เพราะโดนไล่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนเขานี่แหละ “ถ้าคุณเบื่อๆ จะหยิบหนังสือจากตู้มาอ่านก่อนก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไร” เขาว่า สายตามองไปทางอื่น ก่อนจะออกความเห็นมา “บ้านเธอนี่กรอบรูปกับต้นไม้เยอะดีนะ”

“อ้อ แม่ผมชอบต้นไม้ ส่วนพ่อผมชอบถ่ายรูปน่ะ”

ผมเอ่ยบอก มันเป็นจุดเด่นของบ้านผมเลยแหละ แขกไปใครมาก็ทักเรื่องนี้ บ้านผมเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ดูเป็นบ้านธรรมดาๆ แต่มีดีที่ปลอดโปร่ง แสงเข้า ทำให้แม่ที่รักต้นไม้ปลูกต้นไม้ได้รอบบ้านยันในบ้านแต่ก็ไม่ถึงขั้นรก แม่จะวางกระถางตามมุมต่างๆ ให้พอดูสดชื่น ส่วนชั้นวางกรอบรูปของพ่อก็มีกระถางต้นไม้เล็กๆ ไปวางแซมสลับบ้าง เข้ากันดีและดูเป็นบ้านที่น่าอยู่สำหรับผมอย่างบอกไม่ถูก

“คุณอัฐพูดขึ้นมา ผมก็นึกได้ว่าบ้านคุณอัฐขาดอะไรไป เพราะผมคิดมาตลอดว่าคุณแต่งบ้านสวยดี และถึงชั้นสองจะดูตัดกับชั้นล่าง แต่พอรู้ว่าเป็นเพราะพี่เฟย์ชอบแบบนั้น ผมก็กลับยิ่งชอบ คือ...มันดูเป็นบ้านน่ะครับ บ้านที่เราอยู่ร่วมกัน แต่มันก็ยังขาดอะไรไป กลับมาบ้านตัวเองถึงเพิ่งนึกออกว่าบ้านคุณอัฐไม่มีกรอบรูปเลย”

ผมพูดสิ่งที่คิดออกมายาวเหยียด ขณะที่อัฐมองพวกกรอบรูปที่ติดเรียงมากมายบนกำแพงและชั้นวาง ก่อนจะตงิดใจขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

หรือที่ไม่มีกรอบรูป ก็เพราะไม่มีรูปอะไรที่เขาอยากเอามาวางวะ...

“อ่า แล้วบ้านคุณอัฐก็ไม่ค่อยมีต้นไม้ด้วย ผมเห็นแค่เฟื่องฟ้าอย่างเดียวเลย”

“แม่ฉันชอบเฟื่องฟ้าน่ะ”

ยังดีที่เขาตอบมาหลังผมพยายามต่อบทสนทนา ทว่า...สุดท้ายเราก็นั่งกันเงียบเหมือนเดิม

ผมอยากทำลายความอึดอัดประกอบกับเห็นเป็นโอกาสชวนคุยที่มีไม่บ่อย เลยหยิบอัลบั้มรูปของพ่อออกมาให้เขาดู แต่ไม่ได้หยิบอัลบั้มครอบครัวนะ มันเป็นอัลบั้มเวลาพ่อไปเที่ยวป่าแล้วถ่ายนก ถ่ายสัตว์ป่ามา

“เนี่ย พ่อผมชอบถ่ายรูปสัตว์มาก ตอนผมยังเล็กพ่อเที่ยวป่าบ่อยไม่ได้ เลยพาผมไปเที่ยวสวนสัตว์บ่อยจนผมเบื่อ เอ๊ะ เดี๋ยว รูปนี้มัน...”

ผมที่เปิดอัลบั้มรูปให้อัฐดูพลาง พูดอธิบายพลาง ชะงักเมื่อเห็นรูปที่ไม่เข้าหมวดอัลบั้ม เพราะมันคือรูปผมเอง วัยประมาณอนุบาล กำลังร้องไห้จ้าเพราะโดนยีราฟเลียหน้า จำได้เลยว่าพ่อไม่ช่วย ยืนหัวเราะแล้วถ่ายรูปจนแม่ด่า

“ไม่มีตาเลย”

ละ...แล้วอัฐก็ดันออกความเห็นถึงรูปนั้นเป็นรูปแรก ผมอ้าปากพะงาบๆ จะเถียง แต่ประโยคต่อมาก็ทำผมเถียงไม่ออก

“น่ารักดี”

เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย ก่อนจะพลิกหน้าต่อไป

โอ้ย

ไอ้บ้าเอ๊ย!

กี่ครั้งแล้วไม่รู้ที่ผมได้แต่ด่าเขาในใจด้วยคำนั้น และเพราะกลัวหน้าจะแดงแป๊ดขึ้นมา ผมเลยพยายามคิดว่าที่เขาพูดว่าน่ารักนั้นหมายถึงผมตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ น่าเอ็นดูต่างหาก ไม่ใช่ผมตอนนี้สักหน่อย!

“กับข้าวเสร็จแล้วจ้า”

พลันผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากแม่ที่มาเรียกไปกินข้าว รีบถือโอกาสลุกไปเก็บอัลบั้มก่อนเดินนำไปยังห้องครัว และเมื่อได้เห็นกับข้าวบนโต๊ะก็อดแปลกใจไม่ได้

ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ซี่โครงหมูทอดน้ำปลา แกงจืดใส่สาหร่าย... จริงอยู่ว่ามันไม่ถึงกับอลังการงานสร้างมาก แต่ว่า...

ปกติแม่ไม่ทำกับข้าว! ตอนโทรมายังบอกให้ผมทำเองอยู่เลย! แม่!

“เห็นว่าจาจะกลับมาเลยตุนของไว้พอดีน่ะ”

เหมือนแม่อ่านสายตาผมออกเลยพูดขึ้นมา แต่ประกายวิ้งๆ ในดวงตาแม่เมื่อหันไปยิ้มให้อัฐก็ทำให้ปิดพิรุธไม่มิด ทำเอาผมอยากเขย่าตัวแม่และตะโกนให้ได้สติ

แม่อย่าไปหลงความหล่อของหมอนี่! มันคือกับดัก!

ถึงอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้เพราะแม่ท่าทางเอ็นดูอัฐมาก นี่ขนาดแม่ผมไม่ชอบคนที่ย้อมผมทองเหมือนกันนะยังขนาดนี้เลย และคิดว่าถึงพ่อผมอยู่ด้วยก็ไม่น่าจะเบรกอะไร รายนั้นลูกเมียชอบอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด...

แล้วมื้ออาหารก็จบลงโดยที่ผมได้พูดอยู่ไม่กี่คำ คนที่พูดเยอะคืออัฐที่ต้องคอยตอบคำถามแม่ถึงจะเป็นการถามคำตอบก็ตาม ส่วนแม่ผมเมื่อได้รู้ว่าอัฐเป็นนักเขียนก็บอกว่าจะไปซื้อหนังสือมาอ่านอีกต่างหาก

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง แถมยัง...อ่า...เป็นเพื่อนคุยกับแม่ด้วย”

ผมบอกอัฐตอนเดินไปส่งเขาที่รถ ประโยคท้ายผมอยากบอกว่าอย่าถือสาแม่เลย แต่ดูเขาไม่ได้ไม่พอใจอะไร ผมเลยพูดอย่างนั้นแทน ซึ่งอัฐก็ตอบรับแค่ ‘อืม’ อยู่ในลำคอ ก่อนจะปิดประตูรถแล้วขับออกไป

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เราคุยกันในปีนั้น พอผมอยู่บ้านตัวเอง ไม่ได้อยู่กับเขา ก็ยิ่งเหมือนว่าเราอยู่คนละโลกกันไปเลย ถ้าไม่มีงานพากย์หนังสือเสียงที่ผมยังทำอยู่ ก็เหมือนว่าไม่มีอะไรมาเชื่อมโยงกันได้อีก

คิดแบบนั้นก็เศร้านิดๆ แต่ยังอุ่นใจที่พ้นปีใหม่ผมก็ยังได้กลับไปเจอเขา ซึ่งความคลั่งรักและคิดถึงมันก็บังคับให้ผมโทรหาเขาในวันปีใหม่ โดยอ้างว่าเป็นการโทรบอกว่าจะกลับวันที่ 2 มกรา แต่ที่จริงก็แค่อยากได้ยินเสียง

“แฮปปี้นิวเยียร์นะครับคุณอัฐ”

และอยากพูดคำนี้

สิ่งที่เขาตอบรับมีเพียงคำว่า ‘อืม’ เท่านั้น ไม่ได้อวยพรอะไรกลับ ผมได้ฟังก็ไม่ผิดหวังอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาน่าจะตอบมาประมาณนี้

ไอ้ที่เขาทำตัวใจดีให้ผมใจเต้นมันก็แค่ความนึกอยากจะทำอะไรก็ทำของเขา และที่ทำผมโคตรอยากจะบ้าตายได้ก็เพราะเขาเดาใจยากจนเราไม่คาดคิดว่าจะได้รับการกระทำดีๆ นั่นแหละ

ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างนั้น และคิดว่าหลังปีใหม่ ตัวผมเองจะชอบเขาอย่างมีสติมากขึ้น เพราะการกลับมาพักผ่อนที่บ้านนั้นทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองและทบทวนอะไรหลายอย่าง

แต่... ใช่ แน่นอน การเล่าเรื่องราวของอัฐมีคำว่า ‘แต่’ เสมอ

แต่ผมคิดผิด

ประโยคเดิมเลย

ในวันที่ผมกลับไปที่บ้านอัฐ ผมเดินเข้าไปด้วยความดีใจที่ซ่อนไว้ให้ลึกว่าจะได้เจอเขาแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าเขานั่งอยู่หน้าคอม ผมเดินผ่าน ไม่ทักอะไรเป็นการรบกวน แต่เขาเป็นฝ่ายเรียกผมก่อน

“จา”

ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัย ขณะที่อัฐหยิบกระถางต้นไม้กระถางเล็กๆ สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะคอมยื่นให้ผม

มันคือแคตตัสตระกูลแมมมิลลาเรีย ลำต้นกลมอวบน้ำ ปกคลุมด้วยหนามขาวที่เป็นเส้นบางๆ ดูปุกปุย ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเขายื่นให้ทำไม ผมเลยยังไม่ได้ยื่นมือไปรับ จนกระทั่งเขาเอ่ยมา

“ฉันให้”

“เอ๊ะ? ให้ผม?”

“เผื่อเธอจะได้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน”

แล้วเหตุผลของเขาก็ทำผมสตั๊นเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปรับมาและเอ่ยขอบคุณ เมื่อเขาเห็นว่าผมรับไว้แล้วก็แค่หันกลับไปทำงานเหมือนเดิม ผมจึงขึ้นห้องไปเงียบๆ ในใจเองก็เงียบเช่นกัน ไม่มีเสียงกรีดร้องโวยวายอะไรทั้งนั้น

แต่เมื่อเข้ามาในห้องและปิดประตู ผมทำได้แค่ทรุดลงกับพื้น นั่งพิงประตูอย่างหมดสภาพ ก่อนจะชันเข่าขึ้นมากอดขณะที่มืออีกข้างยังคงถือกระถางแคตตัสเอาไว้

เขา...ทำได้ยังไง

ทำกับใจผมแบบนี้ได้ยังไงกัน

นี่มันไม่เหมือนการกระทำที่นึกจะทำก็ทำของเขา ที่ชวนให้ผมหลงใหลคลั่งไคล้ร้องโวยวายอยู่ในใจแบบครั้งก่อนๆ ไม่เหมือนการพูดอะไรดีๆ ให้ได้ฟังเพราะเขาชื่นชมผมเรื่องงานด้วย ไม่ใช่เลย

ครั้งนี้...สิ่งที่เขากระทำ มันผ่านการกลั่นรองมาแล้ว และไม่ใช่เรื่องงานด้วย

ผมมองแคตตัสในมือแล้วก็ยิ่งปั่นป่วนใจจนเจ็บแปลบ

แค่คิดว่าเขาเลือกซื้อต้นไม้ต้นนี้มาให้เพราะนึกถึงผม ผมก็จะบ้าตายแล้ว

เหตุผลที่ซื้อให้อีก

จะได้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านบ้าบออะไรกัน

อยากให้อยู่บ้านคุณไปนานๆ หรือไง

มันเกินไปแล้ว

อันตราย...เกินไปแล้ว

คุณทำผมคลั่งรักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว


**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.18)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:48:56
ตอนที่ 18



แคตตัสตระกูลแมมมิลลาเรียที่ผมได้มา มันมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าแมมขนนกขาวจากหนามปุกปุยสีขาวของมัน ส่วนดอกยังไม่ออกแม้ว่าช่วงเวลาออกดอกของแคตตัสนี้คือปลายธันวาถึงกุมภา ผมเลยไม่รู้ว่ามันจะมีดอกสีขาวหรือสีชมพู

ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะดูแลมันยังไง เพราะแม่เคยพูดอยู่ว่าแคตตัสไม่ได้เลี้ยงง่ายอย่างที่คิด จะรดน้ำบ่อยก็กลัวตาย จะรดไม่บ่อยก็กลัวตาย จนไปถามเพื่อนถึงรู้ว่าถ้าเป็นต้นที่โตแล้ว รดน้ำสัปดาห์ละครั้งก็พอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศด้วย เคล็ดลับที่เพื่อนแนะนำจึงเป็นการยกก้นกระถางขึ้นดูทุกวัน ถ้าไม่ชื้นก็รดน้ำได้

แอบเอาใจยากเหมือนคนให้เลย

ทุกเช้าผมจึงมีกิจวัตรเพิ่ม 1 อย่างคือดูแลเจ้าแมมขนนกขาว เช็กว่ามันกินอิ่มนอนหลับดีไหม วันไหนแดดน่าจะแรงก็ย้ายมาวางที่โต๊ะ แดดอ่อนก็วางริมหน้าต่าง ซึ่งผมชอบหน้าต่างห้องของบ้านนี้มากเพราะมันมีพื้นที่ขอบด้านในให้พอวางสิ่งของได้ หน้าต่างห้องของอัฐก็คงจะเหมือนกัน ผมสงสัยเหลือเกินว่าเขาวางอะไรไว้หรือเปล่า

แน่นอน ผมไม่เคยเข้าไปในห้องเขา ไม่เคยแม้แต่เห็นแว้บๆ ด้วยซ้ำ มันจึงดูเป็นพื้นที่ลึกลับพอๆ กับความคิดของเขา

แม้เดือนมกราคมจะไหลเอื่อย เชื่องช้ายาวนาน แต่ผมก็ยังไม่ได้คำตอบว่าตอนที่เขาซื้อต้นไม้ต้นนั้นให้ เขาคิดอะไรอยู่

อะไรดลใจให้เขาไปที่ร้านต้นไม้แต่แรก

และอะไร...ดลใจให้นึกถึงผมจนเจาะจงซื้อมันมาให้

จริงอยู่ว่าถ้าเป็นคนอื่นซื้อให้ พร้อมกับบอกเหตุผลว่าอยากให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ผมก็คงไม่ติดใจอะไรมากเพราะเหมือนเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่มีให้กัน คนเราจะนึกถึงกันบ้างก็ไม่แปลก แต่พอเป็นอัฐ ผมกลับติดใจและหมกมุ่นอยู่กับมันไม่เลิกไม่รา

เหตุผลแรกเพราะผมไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้ให้

เหตุผลต่อมา...เพราะผมหวังให้เขามีใจให้ผมบ้างสักนิด

จะเป็นใจที่นึกเอ็นดูก็ได้

สบายใจที่ได้อยู่ด้วยก็ได้

อะไรก็ได้

ผมหวังเหลือเกินว่าคงจะเป็นอย่างนั้น เขาเลยซื้อมาให้

แต่บางที...ถ้าหยุดความคลั่งรักและคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน มันก็อาจจะเป็นแค่มุมหนึ่งของเขาที่ผมเพิ่งเคยเห็น

เขาอาจแค่มีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้เพื่อนร่วมบ้านก็ได้

อาจจะแค่แบบนั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไร...ผมก็คงไม่อาจลืมความรู้สึกตอนได้รับมา

ผมรู้สึกดี รู้สึกเจ็บ รู้สึกปั่นป่วน และชอบเขามากกว่าเดิม

ที่เคยคิดว่าก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้จนได้แต่ยืนอยู่กับที่ ตอนนี้มันยิ่งหนักกว่าเดิมเสียอีก จากที่ไม่คิดว่าจะมีอะไรหนักกว่านั้นได้แล้ว

แม่งเหมือนว่าพื้นที่ผมยืนอยู่คือทรายดูดงั้นแหละ...

อยากจะบ้าตาย

แต่ถึงอยากจะบ้าตายแค่ไหน ผมก็ได้แค่ทำตัวปกติ ปล่อยมกราคมให้ผ่านไปด้วยการพูดคุยเรื่องงานกันตามจำเป็น ตอบรับที่เขาชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศตามโอกาส และทำอาหารให้เขากินบ้างในบางมื้อ

แล้วตอนเย็นวันหนึ่งของกลางเดือน พี่เฟย์ก็มาเอารถที่บ้าน วันนั้นอัฐไม่อยู่พอดี ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่นั่นก็ทำให้ผมได้พูดคุยกับพี่เฟย์สองคนแบบไม่มีอัฐคอยเบรกหากเธอพูดถึงเรื่องเขา

“น้องจาทำกับข้าวอยู่เหรอ” พี่เฟย์ถามตอนเดินเข้ามาในครัว

“ครับ ผมทำสเต็กเนื้อพริกไทยดำ พี่เฟย์จะกินด้วยไหม ผมจะได้ทำเพิ่ม”

“ไม่เอาดีกว่า” พี่เฟย์ส่ายหัว “พี่ไม่ค่อยสันทัดเมนูพวกนี้เท่าไหร่ ชอบอาหารไทยๆ มากกว่า ตอนไปอยู่อเมริกานะพี่ทรมานม้ากมากกับอาหารที่นั่น”

“คงคิดถึงอาหารไทยมากเลยสิครับ”

“มาก! แล้วคิดดูนะอยู่ตั้งหลายปีอะ ตอนนั้นโคตรอยากสลับตัวกับไอ้พี่อัฐ”

“อ้าว คุณอัฐไม่ได้ไปด้วยเหรอครับ”

“อ่า... ก็...”

อยู่ๆ พี่เฟย์ก็ติดขัดเมื่อผมถามแบบนั้น ผมจึงรู้ตัวว่าทำบทสนทนาตกร่อง แต่จังหวะที่จะเปลี่ยนเรื่อง พี่เฟย์ก็พูดมาก่อน

“พ่อพาพี่ย้ายไปอยู่ด้วยตอนพ่อแม่หย่ากันน่ะ” พี่เฟย์เล่า คลี่ยิ้มเหมือนไมได้ซีเรียสอะไร “พี่อะไม่อยากอยู่กับพ่อ แต่ไอ้พี่อัฐอะอยาก ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพ่อถึงไม่เลือกมัน”

“อ่า... เหรอครับ”

“สองคนนั้นเข้ากันได้ดีมากจนพี่อยากจะมอบโล่พ่อลูกดีเด่นให้เลย แบบ...ได้โล่แล้วก็ไปไกลๆ ไปอยู่กันสองคนเลย”

พี่เฟย์ว่าพลางหัวเราะ ผมยิ้มรับน้อยๆ

“แต่นั่นแหละ ไม่รู้ทำไมพ่อเลือกพี่ ตอนนั้นไอ้พี่อัฐน่าจะเสียใจมากเลยมั้ง ที่จริงเรื่องก็ผ่านมานานแล้วแหละ ช่างมันเหอะ แค่อย่าไปแซวมันละกัน เดี๋ยวรู้ว่าพี่มาเผาอีก”

“ไม่กล้าแซวหรอกครับพี่เฟย์”

“แปลว่าถ้ากล้าก็จะแซวเหรอ หักหลังพี่นี่จา”

“ไม่ใช่อย่างนั้น...”

“ใจเย็น พี่แกล้งเล่น”

แล้วพี่เฟย์ก็หัวเราะจนผมโห่ออกมาที่โดนแกล้ง แต่นั่นยิ่งทำให้พี่เฟย์ขำ เอื้อมมือมาขยุ้มเรือนผมของผมเล่น แถมไม่วายบอกว่าชอบที่ผมนุ่มอีกต่างหาก

เราคุยเล่นกันต่ออีกสักพัก จนเมื่ออบเนื้อสเต็กได้ที่ พี่เฟย์ก็ขอตัวกลับ ไม่รบกวนมื้อเย็นของผม

หลังจากพี่เฟย์กลับไปแล้ว ผมนั่งกินสเต็กที่ทำเองจนหมดแล้วลุกไปล้างจาน เก็บเนื้อส่วนของอัฐที่หมักไว้เข้าตู้เย็นเพราะเขายังไม่กลับมาบ้าน แต่ก่อนเดินออกจากครัว สายตาผมก็หยุดอยู่ที่พวกเครื่องครัวที่แขวนบนผนัง

ทุกชิ้นจัดเรียงตามที่อัฐต้องการ เป็นหนึ่งในความจุกจิกที่ผมเคยคิดว่าช่างไร้เหตุผล แต่พอรู้ว่าเขาเหมือนพ่อเปี๊ยบ มันก็ดูไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว

ผมอดคิดแทนเขาไม่ได้ว่าการกระทำเหล่านั้นดูน่าเศร้าอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าพ่อที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เคยทิ้งเขาไว้

ความจริงมันก็ผ่านมานานแล้วอย่างที่พี่เฟย์ว่า แต่ผมรู้สึกเหมือนเรื่องราวเหล่านั้นยังหลบอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ในชีวิตของอัฐ จนผมอยากจะดึงออกมาประกอบกันแล้วโอบกอดให้เต็มกอด

ตอนนั้นผมสงสัยขึ้นมา

มันจะมีสักครั้งไหมที่ผมได้ฟังเรื่องราวของตัวเขาผ่านปากเขาเอง โดยไม่มีสิ่งอื่นที่ต้องการบอกซ่อนอยู่เหมือนครั้งที่บอกว่ารักใครไม่เป็น แต่เป็นการเล่าเพราะเขาไว้ใจผม และสบายใจที่จะได้เล่ามันออกมา

ผมไม่รู้

ไม่อยากคิดว่า ‘ไม่มีทาง’ ที่เขาจะทำแบบนั้น เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันดีคืนดีเขาจะเล่าออกมาให้ใจผมปวดแปลบเล่นอีกหรือเปล่า

มันก็คงดีถ้าเขายอมไว้ใจเล่าให้ฟัง ขณะเดียวกันก็น่าเจ็บใจที่ไม่อนุญาตให้รัก

น้ำเสียงที่บอกว่าเขารักใครไม่เป็น ยังคงฝังหัวอยู่เลย

ทั้งที่หลังจากนั้นก็ทำตัวใจดีจนขี้โกงแท้ๆ

เฮ้อ

ถ้าให้คิดแบบมีสติ ไอ้ความใจดีนั้นก็ไม่ได้มาบ่อยเท่ากับการที่เขาเฉยชาเป็นเรื่องปกติล่ะมั้ง

ผมกับอัฐยังมีปฏิสัมพันธ์กันแบบเดิมๆ คุยกันมากหน่อยก็เรื่องงาน จนกระทั่งสิ้นเดือนมกราคม ผมพากย์หนังสือเสียงเล่มแรกเสร็จสิ้น พอเขาตรวจเช็กเสร็จก็เรียกผมไปนั่งข้างๆ ที่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์เหมือนทุกทีที่เราคุยงาน แล้วหันหน้าหากัน แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดถึงคอมเม้นงานขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยวเธอพากย์เล่มสองต่อเลยนะ” เขาแจ้งด้วยเสียงเบาไม่ต่างจากเคย และอยู่ในอิริยาบถนั่งเท้าคางสบายๆ ที่คุ้นตา

“อ้าว ยังไม่ตีพิมพ์นี่ครับ”

“เดี๋ยวมันก็ออกตอนงานหนังสืออยู่ดี”

“อ๋อ... ผมก็ว่าอยู่ เห็นคุณเขียนเสร็จตั้งนานแล้วแต่ไม่ออกเป็นเล่มสักที รองานหนังสือนี่เอง”

“สำนักพิมพ์เลือกน่ะ ฉันไม่ได้เลือกหรอก”

“ก็ดีนะครับ คุณจะได้ไปเจอแฟนๆ ที่งานหนังสือเลย”

“ฉันเกลียดงานหนังสือ”

พลันความเห็นที่เขาตีกลับมาก็ทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ทำไมนักเขียนเกลียดงานหนังสือล่ะเฮ้ย…

“ฉันไม่เข้าใจนักเขียนทุกคนที่อยากไปพบปะกับนักอ่านที่นั่น”

“ทำไมล่ะครับ...”

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

รู้สึกเหมือนนานแล้วเลยที่ผมไม่ได้ยินคำนี้ พร้อมกับการจ้องมองคู่สนทนาแบบไร้แววลังเลขัดกับคำพูด

“เอาเป็นว่าฉันไม่ชอบแล้วกัน”

แล้วคำตอบครั้งนี้ก็โคตรเอาแต่ใจด้วย...

“แต่สำนักพิมพ์ก็บังคับให้ฉันไปโปรโมทหนังสือแล้วเจอนักอ่านบ้างอยู่ดี ฉันเลยบอกไปว่าให้จัดที่สตูดิโอของสำนักพิมพ์แทน และจัดก่อนงานหนังสือ”

“ก็ดีนะครับ คุณจะได้ไม่ต้องไปงานหนังสือ”

ผมออกความเห็น ถึงยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเขาไม่ชอบงานหนังสือ แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมไปเจอแฟนๆ บ้างก็ดีแล้วล่ะมั้ง

“ฉันอยากให้เธอไปกับฉัน”

แต่แล้ว...ก็มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง

“งานโปรโมทหนังสือน่ะ”

ก่อนที่ผมจะถามว่าทำไมถึงอยากให้ผมไปด้วย ใจผมตอนนั้นก็คิดขึ้นมาหนึ่งอย่าง

เอาเลย

นึกอยากทำอะไรก็เอาเลย มาเลย มาให้หมดๆ สักที แล้วผมจะยอมเป็นคนที่โดนทรายดูดหายไปเองเพราะไม่มีที่ยืนแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย!

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมนึกขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าเขาช่างเหมือนแมวไม่มีผิด

นึกอยากจะวอแวก็มา ดูไม่มีเหตุผล แล้วแต่อารมณ์ พอคร้านจะสนใจก็หนีไปนั่งเลียขนทำความสะอาดตัวเองราวกับรังเกียจที่เราแตะต้อง ทั้งที่ตัวเองก็มาคลอเคลียเองแท้ๆ

คล้ายกับการที่บอกอ้อมๆ ว่าห้ามรัก แต่ก็ทำตัวใจดีและเข้าใกล้เราเป็นระยะ

เดาอารมณ์และความคิดไม่เคยถูกจริงๆ

แต่ให้ทำไงได้

ถ้าเขาเป็นแมว ผมก็เป็นทาสแมวอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนั่นแหละ


**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.19)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:50:39
ตอนที่ 19



หลังจากถามว่าทำไมถึงอยากให้ผมไปงานโปรโมทหนังสือด้วย คำตอบที่ได้ทำให้รู้สึกว่า เออ มันก็ต้องมีเหตุผลล่ะนะในการมาชวน เขาคงไม่มาชวนด้วยความเอาแต่ใจหรอก

ถึงเขาจะทำอะไรแบบนั้นบ่อยก็ตาม...

“เธอเป็นคนพากย์นิยายฉัน ก็เปิดตัวไปด้วยเลย จะได้มีคนสนใจอยากให้ไปพากย์งานอื่นๆ เพิ่ม”

ตอนได้ฟัง มันเป็นคำตอบที่ดูดีจนอยากยกมือไหว้ขอบคุณงามๆ หนึ่งที

“แล้วก็จะได้ใช้อ้างในการกลับเร็วๆ ด้วย”

แต่เหตุผลต่อมาก็ทำให้เบรกความซาบซึ้งไว้แทบไม่ทัน

“ยังไงนะครับ...”

“หลังเลิกงาน ที่สำนักพิมพ์ชวนไปกินเลี้ยง ฉันเบี้ยวมาหลายทีแล้ว ก็เลยคิดว่าวันนั้นจะไปให้จบๆ ไป”

“อ่อ... ครับ”

ไอ้คำว่า ‘ให้จบๆ ไป’ นี่มันใช้กับการเข้าสังคมของเขาเหรอเนี่ย...

น่าสงสัยว่าโตมายังไง รอดมาได้ยังไง เคยมีเพื่อนจริงใช่ไหม ไอ้เสื้อบอลที่เคยเห็นนี่สั่งทำมานอนใส่อยู่บ้านคนเดียวหรือเปล่า

อดคิดไม่ได้จริงๆ ถึงเขาจะเป็นคนที่ผมแอบชอบก็เถอะ และพอคิดแบบนั้น ก็กลายเป็นว่าผมเฝ้ารอให้งานเลี้ยงมาถึงเพราะอยากเห็นเหลือเกินว่าเวลาอัฐเข้าสังคมน่ะเป็นยังไง

“เธออย่าเมาแล้วกัน”

เขาทิ้งท้ายมา ทำให้ผมเถียงไปว่าไม่เมาหรอก แล้วเราจึงเริ่มคุยเรื่องงานกัน ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปตอนนั้นได้ ผมคงไม่เถียงออกไป

ครับ... ผมเมา

และการเมาตอนอยู่กับอัฐก็เป็นหายนะสำหรับผมเลยแหละ

แต่ก่อนจะเล่าถึงตอนนั้น ขอกลับมาที่งานโปรโมทหนังสือก่อน

งานจัดขึ้นก่อนหน้าวันวาเลนไทน์หนึ่งวัน คือวันที่ 13 กุมภา ผมไม่รู้ว่าทางสำนักพิมพ์หรือเขาเป็นคนเลือกวันนี้ ที่รู้คือไม่กี่วันก่อนวันงาน เขาก็ไปตัดผมเป็นทรงอันเดอร์คัตเหมือนเดิม แถมพอวันงานก็เซ็ตเสยไปด้านหลังอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น ส่วนเสื้อผ้านั้นกลับชิวๆ ด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีดำ กางเกงจ็อกเกอร์แพนท์กับรองเท้าสนีกเกอร์ ดูเหมือนจะไปเที่ยวเล่นมากกว่าไปงานโปรโมทหนังสือตัวเอง แต่เท่าที่จำได้ ขนาดไปออกทีวีเขาก็ใส่ชุดประมาณนี้แหละ

และเพราะอัฐดูไม่ซีเรียสอะไร ผมจึงเลือกเสื้อผ้าที่ดูสบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับชิวเกิน คือเสื้อคอจีนแขนยาวสีขาว ตัดเย็บเป็นสไตล์แฟชั่นไม่ใช่เสื้ออาแปะ ผมใส่แบบปลดกระดุมคอเม็ดสุดท้ายให้ดูสบายๆ เข้ากับยีนส์ขาเต่อทรงกระบอกตัวเก่ง และรองเท้าผ้าใบสีขาว มั่นใจว่าเข้าเซ็ตกันดี แต่เมื่อเดินออกไปหน้าบ้าน อัฐที่นั่งรออยู่หันมาเห็นก็ทักจนผมแทบอยากเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อ

“โคตรอาหมวย”

“อ่า...” ผมไม่รู้จะโต้ตอบอะไร และอาจเพราะก้มมองชุดตัวเองอย่างเลิ่กลั่กเกินเหตุ เขาเลยเอ่ยมาอีกคำ

“ชุดนี้แหละดีแล้ว”

ว่าจบก็เดินไปที่รถ ผมยืนมึนครู่หนึ่งกับคำพูดเขาก่อนจะรีบเดินออกไปเปิดประตูรั้วให้

ก็...ถ้าเขาบอกว่าดีก็ดีแหละ

ผมคิดแล้วมั่นใจมากขึ้นกับการเลือกแต่งชุดนี้ไป ถึงจะติดใจว่าตกลงความหมวยนี่มันดีใช่ไหมนะ ตกลงเขาชอบคนตาชั้นเดียวหรือเปล่า แต่ก็ได้แค่คิดสงสัยในใจเพราะไม่กล้าถาม และขืนถามไปแล้วตอบมาว่าชอบคงได้เอาหัวโขกคอนโซลรถด้วยความอยากจะบ้าตายแน่นอน

เราใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงที่หมายเพราะสำนักพิมพ์อยู่ไม่ไกลจากแถวบ้านอัฐเท่าไหร่ เมื่อจอดรถเรียบร้อย เขาก็พาผมเดินเข้าไปในตึกสำนักพิมพ์ที่ใหญ่พอสมควรสมกับความเก่าแก่และมีชื่อเสียง ด้านในอาคารเป็นโถงกว้าง มีร้านหนังสือของสำนักพิมพ์และร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ด้านล่าง อัฐไม่สนใจแลกบัตรสำหรับคนนอกกับประชาสัมพันธ์ เดินพาผมขึ้นลิฟต์หน้าตาเฉย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเขาไม่ค่อยแคร์อะไร ประกอบกับระบบกรองคนของที่นี่ก็ไม่ได้ใช้ระบบสแกนบัตรกับเครื่องก่อนเข้าลิฟต์

เมื่อมาถึงห้องที่เป็นจุดหมาย ผมเห็นคนจำนวนหนึ่งมารออยู่แล้ว ดูท่าจะเป็นนักอ่านของเขา มีหลากหลายวัยเท่าที่ผู้อ่านนิยายไซไฟผสมสืบสวนสอบสวนจะพึงมี ทั้งลุงป้าน้าอา ไล่ลงมาวัยทำงาน และที่เยอะที่สุดคือวัยเรียน โดยเฉพาะกลุ่มสาวๆ ซึ่งหวังว่าผมจะไม่เหมารวมเกินไปถ้าคิดว่าหน้าตาของคนเขียนก็มีส่วนให้พวกเธอมา ในเมื่อ...เอ่อ ผมยังหลงหน้าตาของเขาเลย... และก็ได้แต่มองสาวๆ เหล่านั้นอย่างเห็นอกเห็นใจ

เตรียมตัวไม่นาน งานก็เริ่มขึ้น โดยที่ผม อัฐ และผู้ช่วย บ.ก. ที่ผมคุ้นหน้าทำหน้าที่เป็นพิธีกรก็นั่งกันอยู่ที่เก้าอี้กลมบนเวทีเตี้ยๆ หน้าห้อง ซึ่งเป็นห้องไม่ใหญ่มาก อารมณ์คล้ายงานเสวนาเล็กๆ ถัดจากเวทีมีกล้องตั้งอยู่เพื่ออัดคลิปวิดีโอ ซึ่งผมเพิ่งรู้ก่อนงานเริ่มสามนาทีว่ามันไลฟ์สดทางเพจของสำนักพิมพ์ด้วย เล่นเอาทำตัวไม่ถูก ขณะที่อัฐคงไม่รู้สึกเกร็งสักนิด

ผมได้แนะนำตัวเล็กน้อยตอนช่วงเริ่มงาน ขัดเขินอยู่บ้างเพราะปกติทำงานใช้เสียงอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่ต่อหน้าคนจำนวนมากแบบนี้ ซึ่งผู้ช่วย บ.ก.ก็ชมว่าเสียงของผมนุ่มมาก ขณะที่ตอนอัฐพูด เขาแซวว่าคนนี้เสียงเบามาก เรียกเสียงขำเล็กน้อยจากบรรดาแฟนๆ แต่ก็แซวได้ไม่มาก เพราะอัฐเป็นคนหน้านิ่ง ไม่ยิ้มเลยต่อให้ออกสื่ออยู่

อย่างไรก็ตาม งานที่เน้นการพูดคุยก็เป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเพราะผู้ช่วย บ.ก. ที่เป็นคนพูดเก่ง และคงเพราะทำงานกับอัฐมาเยอะเลยพอจะรู้วิธีรับมือ โดยคอยพูดเสริมหรือขยายความเวลาอัฐตอบมาไม่กี่คำ ซึ่งผมมองว่านั่นยังดีกว่าที่อัฐไม่ตอบเลยแบบตอนคุยกันส่วนตัวล่ะนะ ยิ่งเป็นช่วงที่ให้แฟนนิยายถามคำถาม อัฐที่จำเป็นต้องตอบทุกคำถามก็ทำเอาผมแอบขำอยู่เหมือนกัน เพราะบางอันผมรู้เลยว่าเขาไม่อยากตอบ อย่างถามว่าทำไมพระนางไม่ค่อยมีโมเมนต์ ผมนี่นึกภาพตอนเขาปฏิเสธ ผู้ช่วย บ.ก. ว่าจะไม่ยอมปรับเพิ่มเข้าไปเด็ดขาดออกเลย

ในที่สุดงานก็จบลงด้วยดี โดยที่ผมเหมือนมานั่งเป็นตัวประกอบฉาก มีบ้างช่วงท้ายที่มีนักอ่านวกมาถามผมถึงเรื่องการพากย์นิยายของอัฐ ด้วยความตื่นเต้นผมเลยอาจตอบงงๆ ไปหน่อย จนเรียกเสียงฮาโดยไม่ตั้งใจ ช็อตนั้นถ้าไปย้อนดูคลิป หน้าผมคงขึ้นสีอยู่แบบไม่ต้องเดา...

“น้องจา ถ้าหิวลงไปหาอะไรกินก่อนได้นะ ท่าทางอีกนาน” ผู้ช่วย บ.ก. มาพูดกับผมหลังงานเลิก เพราะแฟนนิยายยังไม่ได้ไปไหน มารุมรอต่อแถวเพื่อขอลายเซ็นและถ่ายรูปอัฐจนดูน่าจะอีกนานอย่างที่เขาว่า

“ครับ เดี๋ยวผมค่อยลงไป”

“เดี๋ยวไปที่ร้านพร้อมกับอัฐใช่ไหม ถ้ารถติดไม่ต้องรีบนะ พวกพี่อยู่ที่ร้านกันยาวอยู่แล้ว ยังไงพี่ไปก่อน เจอกันที่นั่นนะ ให้อัฐไปให้ได้ล่ะ” เขาบอก ผมตอบรับพร้อมยิ้มให้ก่อนที่เขาจะเดินออกไป

ผมหันกลับมามองสถานการณ์ปัจจุบัน ณ ขณะนั้น เห็นว่าแถวคนที่รอคิวอยู่แทบไม่ได้ลดลง ขณะที่อัฐก็ตอบรับคำขอและคำถามต่างๆ ด้วยสีหน้าเดิม ดูไม่ยิ้ม ไม่หือ ไม่อือ ราวกับลักษณะการเล่นเพจนามปากกาตัวเองเลย ผมไม่รู้ว่าเขาซ่อนความเบื่อหรือหงุดหงิดอยู่หรือเปล่า ที่รู้ๆ คือคนที่แม้แต่การพูดเพื่อสื่อสารยังใช้เสียงเบาราวกับไม่อยากเปลืองแรงคงจะเหนื่อยกับงานนี้น่าดู

ระหว่างนั้นผมจึงลงไปที่ร้านสะดวกซื้อชั้นร้าน เลือกแซนด์วิชมาสองชิ้นสำหรับรองท้องทั้งผมและเขา หยิบน้ำเปล่า...ไม่สิ น้ำแร่ไปฝากเขา เพราะถ้าหยิบน้ำเปล่าธรรมดาไปก็กลัวจะไปเลือกโดนยี่ห้อไม่ถูกปากอีก จากนั้นก็ไปยืนดูมุมขนมหวานเพื่อเลือกช็อกโกแล็ตที่ลดราคากระหน่ำช่วงวาเลนไทน์ แต่เห็นว่ามีแต่รสหวานๆ จึงไม่เอาดีกว่า

ผมกลับขึ้นมาก็ยังเห็นว่ายังเหลือคนรออยู่อีกมาก ยังกับงานแฟนมีตสักงานงั้นแหละ ผมหามุมเงียบๆ นั่งรอ กินแซนด์วิชไปพลาง แอบมองท่าทีของเขาที่ต้องคอยปฏิสัมพันธ์กับแฟนนิยายไปพลาง สนุกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เดาว่าเขาคิดอะไรอยู่ จนแซนด์วิชผมหมดไปนานแล้วก็ยังมีคนอยู่ รอแล้วรอเล่า...จนในที่สุด อัฐมองมาทางผม แล้วเหมือนใช้ผมเป็นข้ออ้างบางอย่างก่อนปลีกตัวออกมาจากแฟนนิยายกลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มเด็กสาว 4-5 คนที่ดูท่าจะมาด้วยกัน

ผมเห็นดังนั้นจึงรีบเดินตามออกไป ซึ่งเขาก็ยืนรอลิฟต์โดยไม่พูดอะไร ผมตามไปอยู่ข้างๆ ก่อนยื่นน้ำเปล่าให้เขา

“ผมซื้อน้ำมาให้ครับ” ผมเอ่ย ทำให้เขาเหลือบมามอง “คิดว่าน่าจะเหนื่อยเลยซื้อมาให้ อ้อ มีแซนด์วิชด้วยนะครับ เผื่อหิว”

ว่าแล้วผมก็หยิบแซนด์วิชขึ้นมาด้วย อัฐมองแล้วขยับปากเล็กน้อยเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ รับไปแค่ขวดน้ำเท่านั้น ผมที่งงๆ ก็เลยเก็บแซนด์วิชลงกระเป๋าไปก่อน แล้วคิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยจนขี้เกียจพูดก็ได้ เพราะตลอดทางตั้งแต่ลงลิฟต์ เดินไปขึ้นรถ ระหว่างเขาขับรถไปยังร้านที่นัดกันไว้ซึ่งรถติดมากในตอนเย็น เขาก็เงียบตลอดทาง ไม่พูดสักคำราวกับได้ใช้โควต้าการพูดของปีนี้หมดทั้งปีแล้ว

จนกระทั่งตอนที่ดับเครื่อง เตรียมลงไปที่ร้าน เขาก็พูดออกมาราวกับถอนหายใจ

“ฉันจะไม่มางานแบบนั้นอีกแล้ว”

ได้ฟังก็ไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากนึกอยากตบบ่าปลอบใจคนพูดเสียงเบา เชื่อเลยว่าโดนดูดพลังยิ่งกว่าให้วิ่งรอบหมู่บ้านอีก

เท่านั้นไม่พอ ร้านอาหารที่นัดไว้ก็ดูดพลังเข้าไปอีก

มันเป็นร้านอาหารและบาร์ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของตึกห้าชั้น หรือที่เรียกกันว่าบาร์รูฟท็อป ฟังดูดีแต่หนักหนาสำหรับผมคือต้องเดินขึ้นบันไดไปเอง ไม่มีลิฟต์ จริงอยู่ว่าอัฐน่าจะไม่เหนื่อยเท่าผมเพราะออกกำลังกายทุกวัน แต่นั่นก็หมายถึงเวลาปกติ ไม่ใช่หลังโดนดูดพลังงานจากโปรโมตหนังสือ

แน่นอน ผมหอบแฮ่กเมื่อขึ้นมาถึงร้านได้ ส่วนอัฐไม่ถึงกับหอบ แต่เขายกมือปาดเหงื่อ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยหน่ายเต็มทน ทั้งที่เขาก็ถอนหายใจเบาเหมือนเสียงพูดนั่นแหละ แค่ผมไม่เคยได้ยินเขาถอนหายใจมาก่อนเท่านั้นเอง

เมื่อยืนพักเหนื่อยกันได้ครู่หนึ่ง ผมก็มองสำรวจรอบร้าน แต่ละโต๊ะมีคนมาจับจองเต็มหมดแล้วแม้จะเป็นเวลาแค่สองทุ่มกว่า บ่งบอกว่าน่าจะเป็นร้านดัง รั้วโดยรอบเป็นแปลงดอกไม้บ้าง ซุ้มไม้ระแนงปล่อยไม้เลื้อยบ้าง บางมุมก็มีข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ เช่น โทรศัพท์เก่า เครื่องเสียงแบบโบราณ วางประดับตกแต่ง คลอไปกับเสียงดนตรีแจ๊ส โดยรวมแล้วบรรยากาศดีทีเดียว แต่คนข้างๆ ผมน่าจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่

พลันอัฐก็เดินนำไปไม่พูดไม่จา ซึ่งผมก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ จนได้รู้ว่าเขามุ่งมาที่โต๊ะที่กอง บ.ก. นั่งจับจองกันอยู่แล้ว ผมสังเกตว่าบนโต๊ะมีเพียงจานกับแกล้มไม่กี่อย่าง เช่น เอ็นข้อไก่ทอด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดเกลือ แต่มีขวดเหล้าเบียร์วางอยู่เต็ม ดูท่าจะกินมื้อเย็นกันไปหมดแล้วและกำลังสตาร์ทเครื่องเตรียมเป็นวงเหล้า และโดยไม่ทันตั้งตัว คนในโต๊ะคนหนึ่งสังเกตเห็นพวกเราและพูดขึ้นเสียงดัง

“เฮ้ยๆ มาแล้วว่ะ อัฐมาแล้วเว้ย! ทุกคนปรบมือเร็ว!”

“เฮ!”

เสียงปรบมือพร้อมร้องเฮดังเกรียวกราวจนผมอยากยกมือปางห้ามญาติใส่พวกเขา แล้วบอกว่าทุกคนใจเย็นๆ เพราะเหลือบมองสีหน้าอัฐด้านข้างผมเห็นว่าเขาเริ่มคิ้วขมวดนิ้วๆ จนผมเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนใจเดินกลับไปโดยไม่พูดอะไร

“เอ้า นั่งๆ น้องก็นั่งเลย มาๆ”

ถึงอย่างนั้นคนที่นั่งอยู่ริมนอกสุดก็รีบกระเถิบที่นั่งให้ผมและอัฐ ทุกคนดูกระตือรือร้นชอบกล คงเพราะอัฐไม่เคยมาร่วมกินเลี้ยงมาก่อน ผมมองที่นั่งที่ว่างสลับกับมองหน้าอัฐ เขาดูอารมณ์ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่ผมคงไม่ปฏิเสธคำเชิญให้นั่งเพราะเขาคิดจะกลับหรอกมั้ง ไม่ม้าง...

“เข้าไปนั่งสิ”

“อ่า... ครับ”

แต่ก็ผิดคาด เขาเป็นคนบอกให้ผมเข้าไปนั่งก่อนด้วยซ้ำ ผมเลยนั่งลงตามที่เขาว่า แล้วเขาจึงนั่งลงข้างผมที่เป็นที่นั่งริมสุดของโต๊ะ

ทุกคนเห็นว่าผมเป็นแขกหน้าใหม่จึงพากันแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร พร้อมกับยื่นแก้วเหล้าที่ชงแล้วมาให้ ซึ่งผมก็ยิ้มรับเอาไว้เพราะพอจะดื่มได้บ้างเพื่อเข้าสังคม ขณะที่อัฐปฏิเสธ

“ผมขับรถมา”

เหตุผลที่ว่าทำให้ไม่มีคนคะยั้นคะยอเขาอีก แต่ผมแอบสงสัยนิดๆ ว่าเขาไม่ดื่มเพราะขับรถมา หรือแค่ไม่อยากดื่ม เพราะผมไม่เคยเห็นอัฐดื่มมาก่อนเลย

ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ถามอะไร และนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับการที่เขาปฏิเสธไม่สั่งอาหารมากิน น่าจะเพราะเหนื่อยจนไม่อยากกินอะไร ผมเลยพลอยไม่สั่งไปด้วยเพราะไม่ค่อยหิวเหมือนกัน แล้วกินพวกกับแกล้มแก้อยากแทน ซึ่งถ้าตอนนั้นผมสั่งข้าวมากินให้อิ่มท้อง ผมอาจไม่เมาก็ได้...

นี่คือประเด็นสำคัญที่อยากจะเล่าเลย

มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คิดว่าถ้าผมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมคงไม่เมาหนัก เช่น ถ้าผมกินข้าวให้อิ่มไว้ก่อนไม่ใช่กินแค่แซนด์วิชเมื่อเย็น ถ้าผมไม่รับแก้วเหล้ามาดื่มทั้งที่พวกพี่เขาชงกันโคตรเข้ม ถ้าผมไม่โดนบังคับง่ายว่าให้ร่วมวง ‘หมดแก้ว’ ไปกับกอง บ.ก. หลายแก้ว...

ครับ สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมนึกเสียดาย แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรโหดๆ รออยู่ ผมเลยไม่ได้คิดมากกับการดื่มเหล้าหลายต่อหลายแก้วจนเริ่มมึน เพราะคิดว่าถ้าถึงจุดหนึ่ง อัฐก็คงใช้ผมเป็นข้ออ้างแล้วรีบลากกลับบ้านอันแสนสงบของเขาเอง

แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กลับสักที

การพูดคุยในวงเข้มข้นขึ้นตามความกรึ่มของคนในวง จากแรกๆ ที่คุยแซวกันไปแซวกันมา มีแวะมาถามอัฐถึงเรื่องที่เลือกผมเป็นคนพากย์นิยายบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่า ‘ก็ดี’ และถึงพยายามชวนอัฐคุยเรื่องอื่น ก็เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ พวกเขาเลยไม่ค่อยเซ้าซี้มาก และบทสนทนาช่วงหลังก็เริ่มเข้มจัดตามประสาคนทำงานสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไปจนถึงปรัชญา อวกาศ ต่างๆ นานา ซึ่งเอาจริง...ไม่รู้ว่าอัฐอยากฟังหรือเปล่าก็เลยไม่ลุกไปสักที

แล้วจุดเปลี่ยนมันก็อยู่ตรงจังหวะที่ผมคิดจะหันไปชวนอัฐคุยบ้างเพราะเห็นเขาเอาแต่นั่งเงียบ แต่ไม่ใช่ว่าผมได้คุยอะไรหรอก เพราะ บ.ก. ที่เป็นหนุ่มใหญ่อายุราว 50 ปีแย่งคุยขึ้นมาเสียก่อน

“อัฐ ผมมีเรื่องจะถามคุณมานานแล้ว” พอ บ.ก. เปิดประเด็น และยิ่งเป็นเรื่องของอัฐ ทุกคนก็ดูตั้งใจฟัง “ตอนหนังสือตีพิมพ์ใหม่ๆ คุณยังผมดำอยู่เลย ทำไมพอไปออกทีวีแล้วคุณย้อมผมทองวะ”

โอ้...เป็นคำถามที่ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน

และ...เอ่อ...ทุกคนในโต๊ะก็อยากรู้ เพราะกลายเป็นว่าทุกคนเงียบ หันมามองทางอัฐเป็นตาเดียวและรอคำตอบ ซึ่งเจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจแกล้งทิ้งช่วงให้ลุ้น เขาน่าจะกะไม่ตอบมากกว่า แต่เมื่อโดนกดดันทุกทิศทาง เขาก็ตอบในที่สุด

“มันเสี่ยวดี”

“...”

ฮะ... อะไรนะ

ทุกคนอึ้งไปอึดใจหนึ่งกับคำตอบ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยถึงความคาดไม่ถึงว่าน่าจะเป็นคำตอบจากคนอย่างอัฐ

“ฮ่าๆๆ ทำไมวะคุณ” บ.ก.ที่เพิ่งกระดกดื่มอีกแก้วถามหาเหตุผล

“ก็คุณบังคับให้ผมเปิดหน้า ออกทีวี ผมก็เลยไปย้อมมา”

“ฮ่าๆๆๆ”

ดูท่า บ.ก. จะเมาแล้วเลยหัวเราะลั่น คนอื่นหัวเราะตามบ้างประปราย ส่วนผมแอบเหลือบมองผมสีทองของอัฐพร้อมนึกเหตุผลโคตรบ้าบอแล้วก็เผลอขำออกมาเพราะฤทธิ์เหล้าทำให้ควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น ซึ่งพออัฐเหลือบมามอง ผมก็หลบไปมองทางอื่นแทบไม่ทัน

“จา!” พลันผมสะดุ้งโหยง เป็นเสียง บ.ก. นั่นเองที่เรียกผม “มาๆ ผมจะเลี้ยงอะไรเด็ดๆ คุณเอง”

“ทะ...ทำไมเป็นผมล่ะครับ” ผมหันไปถามอย่างมึนงง ซึ่ง บ.ก.แกก็ยกนิ้วชี้ขึ้นดันแว่น

ถ้าเป็นในการ์ตูน...ตอนนี้แว่นเขาต้องเป็นเงาเทาๆ มองไม่เห็นตาแล้วล่ะ

“ผมถูกใจเหตุผลไอ้อัฐน่ะ แต่มันคงไม่ยอมกินเหล้า ไอ้หมอนี่นี่ใครก็ทำอะไรมันไม่ได้ ผมให้คุณแทนแล้วกัน ฮ่าๆๆ”

ดูท่า บ.ก. จะเมาแล้วเต็มคราบ และไม่รีรอ เขาเรียกพนักงานเสิร์ฟมากระซิบสั่งบางอย่าง ซึ่งผมก็ได้รู้ว่าคืออะไรเมื่อมันมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

B52 ค็อกเทลไฟลุก...ที่เอ่อ...กินได้จริงๆ หรือวะนั่น

อดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะผมไม่เคยเฉียดพวกค็อกเทลมาก่อนเลย ยิ่งพวกที่ต้องจุดไฟด้วยยิ่งแล้วใหญ่...

B52 คือค็อกเทลในแก้วช็อตที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบสามอย่างแบ่งเป็นชั้นๆ ผมไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง แต่ชั้นล่างสุดเป็นสีน้ำตาลเข้ม ชั้นกลางขาวๆ ครีมๆ และชั้นบนออกส้มๆ ซึ่งผมไม่มีเวลาพินิจนานนัก เหตุผลแรกคือมึนจากฤทธิ์เหล้าจนจับโฟกัสได้ช้าลงแล้ว และอีกเหตุผลคือพนักงานจุดไฟจนลุกโชนเต็มช็อตให้ผมตกใจ ก่อนจะบอกให้ผมปักหลอดลงไปแล้วดูดให้หมดแก้วทีเดียว

ผมเริ่มเหงื่อตก มันกินได้จริงๆ เหรอวะ หันมอง บ.ก. และกอง บ.ก. คนอื่นๆ ก็เชียร์ให้ลองดู หันมองคุณอัฐ...เขาก็แค่มอง ดูไม่คิดห้ามอะไร

ฮือ ห้ามกันหน่อยสิโว้ย

สุดท้ายเมื่อไม่มีใครช่วยเบรก ผมเลยคิดว่าเอาก็เอาวะ!

ว่าแล้วปักหลอดลงไปแล้วดูดหมดแก้วทีเดียว ผมได้ยินเสียงเฮและตบมือ พร้อมกับรู้สึกร้อนคอแปลกๆ ปนเปรสหวานของกาแฟ วิสกี้ และส้มผสมกัน

รู้สึกต้องพินิจสิ่งที่ลงคอไปมากกว่าเวลาปกติด้วยความเมาฤทธิ์เหล้าอยู่ก่อนแล้ว แต่แล้วก็ได้เห็นว่าพนักงานนำ B52 มาเสิร์ฟเพิ่มอีกสองช็อต...

“เฮ้อ พี่เลิศเอาอีกแล้ว แกเมาทีไรชอบเลี้ยงพวกค็อกเทลไฟลุกน่ะ แต่ก็แค่ 3 ช็อตแหละ ถ้าจาไหวก็ตามใจแกหน่อยแล้วกัน”

พี่ที่อยู่ข้างๆ อธิบาย ทำให้ผมพอจะเข้าใจว่าทำไม และตอนนั้นอาจเพราะพี่เขาใช้คำว่า ‘แค่ 3 ช็อต’ ผมเลยคิดว่ามันไม่ได้แรงอะไร ประกอบกับ..หันไปมองอัฐอย่างถามความเห็นอีกรอบ คราวนี้เขาไม่ได้มองผมอยู่ด้วยซ้ำ มองแค่แก้ว B52 ที่กำลังไฟลุกอยู่ พอรู้ตัวก็เหลือบมามองผมเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เหมือนแค่...รอดูเท่านั้น

พลันผมเซ็งขึ้นมานิดๆ เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น

ผมรู้ตัวว่าอยากให้เขาห้ามบ้าง ไม่ก็ลากผมกลับบ้านเสียที ไม่ใช่ให้ผมอยู่โดนคนอื่นแกล้งแบบนี้ สุดท้ายผมเลยปักหลอดลงไป แล้วจัดมันไปเลยอีกช็อต

ซึ่งนั่นแหละ...การตัดสินใจที่ผิดพลาด

แก้วนั้นน่าจะแตะลิมิตความเมาผมพอดี

ตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัว รู้สึกแค่คอร้อนประหลาด หวานแปลกๆ และมีเสียงเชียร์เหมือนเดิม ตรวจเช็กตัวเองว่ายังไม่ได้มึนมาก แหงล่ะ...ใครจะไปกินเสร็จแล้วมึนทันที แต่ตอนนั้นผมเมาแล้ว คิดไม่ทันหรอก ผมเลยปักหลอดลงไปที่ B52 อีกช็อตหลังพนักงานจุดไฟให้แล้ว

แต่มือที่ปักหลอดลงไปก็ถูกดึงออกมาจนสมองผมช็อตไป ประมวลผลไม่ทันว่าทำไม

“กลับบ้าน”

“...”

หันไปมองก็เห็นว่าอัฐดึงข้อมือผมขึ้นมา จ้องมองมาด้วยแววตาอ่านยาก ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น แล้วเอ่ยบอกกับคนในโต๊ะ น่าจะเจาะจงโดยเฉพาะ บ.ก. ที่ชื่อพี่เลิศ

“ขอตัวกลับก่อนนะครับ”

เอ่ยเสร็จก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากผมออกมาจากบริเวณนั้นทันที ไม่ให้ผมหันไปลาใครด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวๆ คุณลุกออกมาแบบนี้มันเสียมารยาทนะครับ” ผมบอกเขา ยื้อมือไว้นิดนึง ทำให้เขาหันมามอง แต่ไม่ได้ตอบอะไร แค่ปล่อยมือ แล้วเดินนำไป

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมเลือกที่จะเดินตามเขาไปมากกว่าจะกลับไปลาทุกคนที่โต๊ะ เพราะรู้สึกตัวได้ว่ามึนมากๆ แล้วก็ตอนได้ยืนและก้าวเดิน แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะเดินได้ปกติแหละ จนกระทั่ง...ไปทรุดนั่งลงที่จุดพักบันไดนั่นแหละ

ผมมึนหัวมาก โคลงเคลงไปหมด รู้ตัวว่าโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ทั้งหลายเล่นงานเสียแล้ว ยิ่งกินหลายอย่าง ความเมาคงจะแผลงฤทธิ์มากขึ้นในอีกไม่ช้าแน่ แต่ผมก็พยายามตั้งสติ ไม่รู้ว่าอัฐเดินนำไปถึงไหนแล้ว ด้วยความเมาผมคิดแค่ว่าเดี๋ยวค่อยตามเขาไปก็ได้และนั่งพักอยู่ตรงนั้น

จนในที่สุด ก่อนที่ผมจะเผลอวูบหลับไป มือใหญ่ของเขาก็เข้ามาพยุงผมไว้โดยไม่พูดอะไร แล้วพาเดินลงบันไดไปแบบที่...ไม่นิ่มนวลสักนิด

ไม่สิ ถูลู่ถูกังเลยแหละ

“ทำไม...คุณไม่ห้ามผมแต่แรก”

ผมเอ่ยถามขึ้นมาตอนที่ลงมาถึงชั้น... น่าจะชั้นสองแล้วแหละ ผมถามเขาแบบที่คงทำให้เขารำคาญใจเข้าไปอีกเพราะแค่ช่วยหิ้วปีกผมเดินลงมาก็ลำบากจะแย่แล้ว

แต่เพราะผมเมานั่นแหละ เลยกล้าถาม

“ฉันนึกว่าเธอจะกินแค่ช็อตเดียว”

คำตอบของอัฐฟังดูไม่เป็นที่น่าพอใจของผมเลย

“อ่า... ผมรู้ละ”

ผมพูดขึ้นมา

ใช่ ผมรู้ละ

รู้ตัวว่าเมา

และปากก็จะหยุดไม่ได้ทั้งที่รู้ตัวดีทุกอย่าง

“คุณให้ผมกินไปก่อน จะได้ใช้เป็นข้ออ้างกลับบ้านเร็วไง นี่ไง...คุณลากผมมาละ”

ผมพูด รู้สึกว่าบ่นงึมงำ แต่อัฐไม่ตอบอะไร แม้หันไปจ้องหน้าด้านข้างของเขาที่อยู่ใกล้เพราะเขาหิ้วปีกผมอยู่ สีหน้าเขาก็ไม่เปลี่ยน

“ไม่รู้เลยอะ...ว่าคิดอะไรอยู่”

คราวนี้หันมาบ่นกับตัวเอง จ้องมองแค่พื้นยังรู้สึกมึนหัว โคลงเคลง แต่ก็รู้ตัวว่าลงมาถึงชั้นหนึ่งจนได้

“เดี๋ยวผม...ขอตั้งสติแป๊บ”

ผมบอกเขา พยายามตั้งสติจริงๆ อย่างที่พูด เพราะรู้ตัวว่ากำลังเป็นภาระเขาอยู่ ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยผมให้พยายามยืนเองโดยเอามือพิงกำแพงตึก ทว่าก็ยืนได้ไม่ถึงสิบวินาที ต่อให้คิดว่ามีสติ รู้ และจดจำได้ทุกอย่าง แต่ก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นพิงกำแพงซะงั้น

โอ๊ย...

อยากจะบ้าตาย...

สภาพเมาเละขนาดนี้ ต่อหน้าอัฐด้วย ฮือ

ผมเริ่มคร่ำครวญในใจ ซึ่งก็หวังว่ามันจะเป็นแค่การคร่ำครวญในใจจริงๆ ไม่ใช่พูดออกมา คิดย้อนแล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยผมก็จำได้ว่าผมไม่ได้โวยออกมาแล้วกัน

ด้วยสภาพที่ลุกไม่ขึ้น อัฐจึงนั่งยองๆ ลงตรงหน้า สายตาจ้องมาเหมือนพินิจอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าจ้องผมหรือเปล่า เขาเคยมองผมบ้างไหมนะ อ่า...นั่นแหละ คิดอย่างนั้น เมาแล้วของแท้

และเพราะเมา ความรู้สึกที่เวลาปกติจะพอกดเอาไว้ได้ ตอนนั้นมันก็กลับท่วมทลายอย่างง่ายดาย

“ไหวไหม”

ผมจำไม่ได้ว่าตอบอะไรไป แต่น่าจะไม่ได้ตอบ จ้องหน้าเขาอย่างเดียว จำความรู้สึกได้ดีว่าอยากยกมือขึ้นลูบแก้มเขาเหลือเกิน ผมสีทองนั่นด้วย อยากจะลูบให้เหมือนลูบหัวหมาเลย

“อยากกินอะไรให้ดีขึ้นไหม”

เขายังคงถามผม แต่อาจเพราะผมไม่ตอบ เขาเลยไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่จะทำให้ผมรู้สึกแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างยันปลายนิ้ว

“ผมยุ่งหมดแล้ว”

อัฐเอื้อมมือมาปัดหน้าม้าของผมที่รกปรกตา ใช่ เขาทำแค่นั้นเอง และเสียงพูดก็ไม่ได้อ่อนโยนอะไร เป็นเสียงเบาๆ ของเขาตามบุคลิก แต่มันก็เป็นเสียงที่ผมชอบฟังที่สุด...

อา...

จะบ้าตายอีกแล้ว

อย่า...ทำตัวเหมือนใจดีนักเลย...ได้ไหม

“เมาแล้วร้องไห้เหรอเนี่ย”

พลันเสียงพึมพำของอัฐก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าการเมาครั้งนี้อาการหนักมาก

จริงอยู่ว่ายังรู้ตัวทุกอย่าง เพราะนึกย้อนก็ยังจำได้ชัดเจน แต่ผมก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยจะได้ ไม่สิ ควบคุมไม่ได้เลย

และคนเมาน่ะ ถ้าเริ่มร้องไห้เมื่อไหร่ ก็คือ...เครื่องติด

ยิ่งเขาทำตัวเหมือนใจดีอีกยิ่งหนัก

หนักจนอันตราย

โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อัฐอุ้มผมขึ้นมาในท่าเจ้าสาวอย่างง่ายดาย ตอนนั้นผมใจผมเต้นระส่ำ ทั้งที่เมา ทั้งที่มึนเบลอ แต่สัมผัสกลับชัดเจน ทั้งไออุ่นจากผิวกายของเขา กลิ่นของเขา อ้อมแขนที่โอบกอด จังหวะการเดิน จังหวะลมหายใจ ทุกอย่างเลย

ผมห้ามตัวเองที่เริ่มร้องไห้แล้วให้หยุดร้องไม่ได้ ทำได้แค่ซบหน้าหนีลงไปกับอกของเขา พยายามกดกลั้นเสียงร้องเหลือไว้เพียงการสะอึกสะอื้น ผมร้องไห้ไม่หยุดตลอดเวลาที่เขาอุ้มผมเดินไป ผมไม่รู้ว่าถึงไหนแล้ว จนในที่สุดเขาก็เปิดประตูรถ แล้วค่อยๆ วางผมลงบนเบาะข้างคนขับ ปรับเบาะให้เอนนอนลง

ตอนนั้นเองที่ผมเลิกสะอื้นแล้ว หัวหมุนมึนและใกล้จะหลับ ซึ่งถ้าผมหลับได้เลยก็คงจะดี แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมกระทำสิ่งที่ไม่น่าทำที่สุดลงไป

ผมกระชากคอเสื้อของอัฐให้ใบหน้าของเขาโน้มลงมาใกล้ ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ทุกอย่าง ใช่ จำได้ทุกอย่าง จำได้ด้วยว่าได้เห็นใบหน้าของเขาในระยะใกล้ ใกล้จนหายใจรินรด และเห็นแววตาตกใจนิดๆ ของเขาอย่างที่ยากนักจะได้เห็น

“คุณ...ช่วยกลับไปเป็นคนประสาทแดกเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

ผมพูดแล้วดึงคอเสื้อให้หน้าเขาโน้มลงมาใกล้กว่าเดิม

“หยุดทำตัวใจดีกับผมสักที”

และดึงลงมาใกล้กว่าเดิม ใกล้...จนปลายจมูกแตะกัน

แต่ก็ไม่อาจใกล้ไปมากกว่านั้น

เพราะเมื่อสิ้นประโยคสุดท้าย มือของผมก็อ่อนแรง เลื่อนหล่น พร้อมกับสติที่ดับวูบราวสับคัตเอาท์หนีความจริง

“แต่...ถึงคุณประสาทแดก ผมก็ชอบคุณอยู่ดี”



**



หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.20)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:52:03
ตอนที่ 20



วันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนโลกจะแตก

ในตอนแรกที่ลืมตาตื่น ผมยังจำอะไรไม่ค่อยได้ รู้แค่หัวหนักเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วง มองนาฬิกาข้างหัวเตียงเห็นว่าเป็นเวลา 11 โมงกว่า ตกใจไปแวบหนึ่ง พยายามนึกว่าวันนี้วันอะไร จนปะติดปะต่อได้ว่าเมื่อวานวันเสาร์ วันนี้คือวันอาทิตย์ เลยโล่งใจเปราะหนึ่ง ก่อนที่ความทรงจำคืนวันเสาร์จะย้อนกลับมาทีละภาพ ทีละภาพ และภาพสุดท้าย...

“แต่...ถึงคุณประสาทแดก ผมก็ชอบคุณอยู่ดี”

ผมสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะหน้ามืดเกือบวูบเพราะหัวโคตรหนัก กระนั้นเมื่อได้สติ ใจก็ปั่นป่วน เหงื่อแตก คลื่นไส้เหมือนอยากอาเจียนความทรงจำออกไปให้หมด ทั้งที่เมาหนักขนาดไหนผมก็ไม่เคยอาเจียนเลย แล้วผมก็เริ่มสำรวจตัวเองว่าอยู่ในสภาพไหน

ผมอยู่บนเตียงนอนห้องตัวเอง แอร์เปิดปกติ ห่มผ้ากันหนาว อยู่ในชุดเดิมที่ใส่เมื่อวาน แต่รองเท้ากับถุงเท้าถูกถอดออกไปเรียบร้อย เห็นแบบนั้นแล้ว...ใจก็เต้นระส่ำอีกรอบ

มัน...มันเป็นเรื่องนิดเดียวก็จริงแหละ แต่พอจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากผมเมาหลับ แล้วกว่าจะมาอยู่บนเตียงห้องตัวเองได้ แถมยัง...ห่มผ้า... ถอดรองเท้า... ถอดถุงเท้า...เรียบร้อยอีก

อ๊าก!!

ย้ายออก! ย้ายออก!

อยู่ไม่ได้แล้ว!

ไอ้บ้าเอ๊ย!

ทั้งที่ผมเมาแล้วหลุดความในใจไปแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังใจดีกับผมอีก ถ้าแค่แบกลงจากรถ ถอดรองเท้าทิ้งหน้าบ้าน แล้วอุ้มมาโยนลงเตียงยังพอเข้าใจได้ แต่นี่...ทั้งมีผ้าห่มคลุมอยู่ในสภาพที่มั่นใจได้ว่าไม่ใช่เพราะผมหนาวจนละเมอดึงมาห่ม เพราะผมพับไว้เรียบร้อย มันน่าจะขยุ้มเป็นก้อนมากกว่าแผ่คลุมทั่วตัว และถุงเท้า...ผมก็มั่นใจอีกนั่นแหละว่าไม่ได้ละเมอถอดเอง หรือมีช่วงที่ตื่นขึ้นมาถอดแต่จำไม่ได้ เพราะถ้าผมเมาหลับแล้วก็จะหลับเลย ดังนั้นเขานั่นแหละที่ถอดให้...ทั้งที่จะไม่ถอดให้ก็ได้

อ๊าก!!

มันเท้าเราเชียวนะ! ส่วนหนึ่งของร่างกายที่สกปรกสุดๆ อะ

ผมเป็นบ้าเป็นบออีกรอบจนเริ่มรู้สึกหน้ามืด จึงตั้งสติและหาเหตุผลมาตีกลับ

อ่า ใช่ มันอาจเพราะสภาพเมื่อคืนผมอนาถมาก เขาก็เลยเวทนา หรือไม่ก็เป็นความประสาทแดกของเขาเองที่ทนเห็นคนใส่รองเท้าหรือถุงเท้าออกไปข้างนอกแล้วกลับมานอนบนเตียงทั้งแบบนั้นไม่ได้

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ใจหวิวๆ อยู่ดี เพราะไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำแบบนี้ให้คนอื่น

ผมต่อสู้กับความหนักหัวของตัวเอง พยายามเคลียร์ความคิดเพราะไม่อยากเดาแล้วว่าอัฐจะทำตัวยังไงหลังผมหลุดปากบอกว่าชอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดเข้าข้างตัวเองเก่ง แต่ผมไม่กล้าคิดว่าความใจดีที่ได้เห็นหลังหลุดปากบอกชอบจะมีความหมายอะไรมากกว่านั้น

เขาอาจแค่ทำตัวเหมือนเดิม...ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

อา... อาจจะดีก็ได้มั้ง

ผมจะได้อยู่ข้างๆ เขาต่อไปได้ไง

ก็ดีแล้ว...มั้ง

ผมลุกจากเตียง ยังหัวหนักแต่ก็คงไม่ถึงกับหน้ามืดวูบกลางทาง สิ่งแรกที่ทำคือเดินไปดูแคตตัสที่วางไว้ริมหน้าต่าง และไม่รู้ทำไมเหมือนมันกำลังประชดผม

เจ้าแมมขนนกขาวออกดอกแล้ว ดอกเล็กๆ นั้นกลีบดอกเป็นสีขาว ใจกลางเป็นเกสรสีเหลืองดูน่ารัก มันเลือกผลิบานหลังจากวันที่ผมบอกชอบอัฐเหมือนแอบขำคิกคักใส่ยังไงยังงั้น

อ่า แถมยังเป็นวันวาเลนไทน์ด้วยสินะ

ผมยกก้นกระถางขึ้นมาดู เห็นว่าแห้งสนิทจึงหยิบฟ็อกกี้มาฉีดพรมดิน ยิ้มคืนให้มันเล็กน้อยก่อนจะหยิบมือถือมาถ่ายรูปพลางนึกถึงอัฐ อยากบอกเขาเหลือเกินว่าแคตตัสที่คุณให้มาออกดอกแล้วนะ แต่พอคิดว่าจากนี้จะเข้าหน้าเขาติดหรือเปล่ายังไม่รู้ ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งเหมือนแคตตัสขาดน้ำ

ผมค่อยๆ แง้มเปิดประตูดูว่าอัฐไม่ได้เพิ่งออกจากห้องเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าทางสะดวกจึงค่อยๆ เดินลงบันไดไปล้างหน้าล้างตาที่ชั้นล่าง กระนั้นความหนักหัวก็ไม่ได้ถูกชำระล้างไปด้วย เมื่อเดินไปห้องครัว ผมหมดแรงหน้าจะมืด จึงนั่งฟุบกับโต๊ะกินข้าวก่อนอย่างช่วยไม่ได้

นานแล้วที่ผมไม่ได้เมาค้างแบบนี้ หลังจบมหาวิทยาลัยมาก็ไม่ค่อยมีเงินออกไปสังสรรค์ที่ไหนกับเพื่อน นอกจากนี้ยังนัดเจอกันยาก แถมนัดทีไรก็เข้าร้านชาบูหรือปิ้งย่างมากกว่า ความทนทานต่อแอลกอฮอล์ก็ดูลดลงไปอีก

พลันผมได้ยินเสียงกดน้ำดังขึ้นจึงสะดุ้งตกใจนิดๆ เพราะไม่มีสุ้มเสียงฝีเท้ามาก่อน เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นอัฐที่มากดน้ำร้อนในครัว

โอย ตีนเบายังกับแมว

ไม่สิ จะทำอะไรก็ทำเสียงเบาไปหมดนั่นแหละ

แต่... เอ่อ... นี่ไม่ใช่เวลาจะมามองเขาแล้วคิดอะไรนู่นนี่นี่หว่า

ผมรีบฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกรอบ กลัวว่าเขาจะหันมามองเสียก่อนเพราะยังไม่กล้าเข้าหน้าเขา แค่ได้ยินเสียงเขาทำนู่นทำนี่เบาๆ ผมก็ใจเต้นหนึบแล้ว และยิ่งมีเสียงมาวางอะไรสักอย่างใกล้ๆ ผมก็ยิ่งทำสีหน้าไม่ถูกทั้งที่นอนฟุบอยู่ ก่อนที่สมองอันหนักหนึบจะคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แอบเงยมองสักนิดคงไม่เป็นไร

แต่พอได้เห็นแก้วที่มาวางตรงหน้า ผมก็เผลอยืดตัวลุกขึ้นนั่งตามปกติเพื่อมองมันชัดๆ ด้วยความแปลกใจ

มันเป็นแก้วน้ำขิงที่เพิ่งชงร้อนๆ...ร้อนแบบที่หน้าผมกำลังจะร้อนตาม เพราะมองไปเห็นเขาเพิ่งเทเมล็ดกาแฟใส่เครื่องบดกาแฟก็รู้เลยว่า แก้วน้ำขิงนี่...เขาชงให้ผม

และอาจเพราะอัฐได้ยินเสียงเลื่อนแก้วและเสียงช้อนเงินกระทบแก้ว เขาเลยพูดขึ้นมา

“ถ้าหิวก็มีต้มจืด”

พูด...โดยที่ไม่หันมามอง พูดโดยที่มือก็ง่วนอยู่กับเครื่องบดกาแฟเหมือนเดิม

โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย

ต้มจืดบ้าบออะไรกัน ปกติเคยทำกับข้าวเผื่อผมที่ไหน แล้วทำไมต้องมาทำหลังจากวันที่ผมเพิ่งบอกชอบไป หา?

ทำไม ทำม้าย!

ถึงอย่างนั้นผมก็มองยังหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊ส ไอ้ต้มจืดบ้านั่นอยู่ตรงนั้นจริงอย่างที่เขาว่า แต่ผมยังมึนๆ หัวอยู่จึงยกน้ำขิงร้อนๆ ขึ้นมาจิบให้ดีขึ้นก่อน พลางแอบมองเขาที่นำเมล็ดกาแฟที่บดแล้วใส่เครื่องชง

แม่ง...จะบ้าตาย

เขาทำตัวปกติเหมือนเดิมจริงๆ ด้วย

ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนี้อาจจะดีแล้ว แต่ผมก็อดเศร้าขึ้นมานิดๆ ไม่ได้

มันเหมือนว่าการบอกชอบของผมไม่ได้มีความหมายอะไรเท่าไหร่ หรืออาจจะไม่มีความหมายอะไรเลย

อา ยิ่งคิดก็ยิ่งหนักหัว ผมเลยตัดบทเลิกคิดเพราะไม่อยากฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกรอบ ดื่มน้ำขิงไปอีกหลายจิบก่อนจะลุกไปดูต้มจืดในหม้อ

มันเป็นต้มจืดเต้าหู้หมูสับใส่สาหร่ายด้วยเหมือนที่แม่ผมทำ เพิ่งรู้ว่าเขาก็กินแบบนี้แฮะ

แล้วจังหวะที่ผมปิดฝาหม้อ เดินไปหยิบจานเพื่อตักข้าว สายตาก็สบเข้ากับสายตาของอัฐที่มองมาอยู่พอดี

เชี่ย

รู้สึก...รู้สึกเข้าหน้าไม่ติด

อย่า...อย่าพูดอะไรมานะ

“เมื่อคืน เธอ—”

“ผมจำอะไรไม่ได้เลยครับ!”

“...”

แล้วห้องครัวก็เงียบลง ที่เคลื่อนไหวดูจะมีแค่ไอร้อนกรุ่นจากแก้วกาแฟสีดำในมืออัฐ และ...หัวใจของผมที่เต้นระรัวราวกับกลองสแนร์

เออ...ทั้งที่...ทั้งที่...ผมเศร้าถ้าเขาทำตัวเหมือนเดิมหลังผมบอกชอบ แต่พอเขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไร ผมก็ไม่กล้ารับฟัง

รับไม่ไหวจริงๆ ฮือ

“ถ้า...ถ้าผมทำให้คุณลำบาก ขอโทษด้วยนะครับ”

ผมพูดไปอีกประโยคเพื่อลดทอนบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ ซึ่งเขาก็จ้องผมเขม็ง แววตาเดายากที่สุดในโลกว่าคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เมื่อคืนเธอด่าฉันว่าประสาทแดก”

“...”

ว่าจบก็หันหลังเดินออกจากครัวไปพร้อมแก้วกาแฟ ทิ้งผมให้ยืนตัวแข็ง พร้อมกับความคิดว่า...

ไอ้บ้า!!

จะ...เจ้าคิดเจ้าแค้นเหรอ!

ที่บอกชอบไปน่ะไม่ได้โฟกัส โฟกัสแต่คำด่าใช่ไหม!

อ๊าก!!

ผมอยากทึ้งหัวตัวเองด้วยความอยากจะบ้าตาย แต่เพราะรู้สึกเหมือนหน้าจะมืดด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาก็เลยทำได้แค่นั่งพัก ฟุบลงกับโต๊ะ และทำใจ

สุดท้ายผมก็ต้องเติมพลังด้วยการซดแกงจืดร้อนๆ พร้อมกับข้าวอีกนิดหน่อย ตักกินไปก็แค้นไปกับปฏิกริยาตอบกลับต่อการบอกชอบ ขณะเดียวกันก็สงสัยเหมือนกัน

ถ้าผมไม่เบรก ไม่บอกเสียก่อนว่าจำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เขาพูดออกมาจะเหมือนเดิมไหม

และถ้าพูดถึงเรื่องที่ผมบอกชอบ เขาจะพูดว่าอะไร

จะตอบรับ นิ่งเฉย หรือว่า...ผลักไส

โอย... อยากจะบ้า ที่จริงแค่ผมจะคิดยังไม่ค่อยกล้า เลยไม่น่าแปลกเท่าไหร่ถ้าผมจะเบรกเขาไปแบบนั้น

เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วมั้ง

ผมคิดพลางยกจานไปล้าง ก่อนจะหอบตัวเองที่ยังไม่หายเมาค้างดีไปอาบน้ำผ่านๆ เพื่อเปลี่ยนชุด เสร็จก็ขึ้นห้องไปนอนพักอีกรอบ ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

ตื่นมาอีกทีเป็นช่วงเย็นพอดี การนอนแบบล้างผลาญทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาก อาการเมาค้างหายไปแต่ท้องร้องโครกครากเพราะเมื่อเที่ยงกินไปนิดเดียว ผมจึงลงไปอาบน้ำแบบที่เรียกว่าอาบจริงๆ ก่อนจะเข้าครัวไปทำอะไรกิน

ทว่า...แผนการก็สะดุดนิดหน่อย เมื่อเดินเข้าครัวไปเห็นอัฐกำลังกินข้าวเย็นอยู่พอดี

ผมยืนค้าง นิ่งคิดสักพักว่าจะเข้าไปดีไหม หรือว่าจะเดินออกไปก่อนดีเพราะเขาก็นั่งหันหลังอยู่ ไม่รู้หรอกว่าผมมา เออ เอางี้แหละ เดินออกก่อน

โครก...

แต่ท้องเจ้ากรรมก็ทำเอาผมอยากร้องไห้

แน่นอนว่าอัฐคงได้ยิน เขาไม่ถึงกับหันมาตรงๆ แค่เหลียวคอมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองพอให้เห็นด้วยหางตาแล้วก็กินข้าวต่อ ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งถ้าผมจะหนีไปตอนนั้นมันก็ทำได้แหละ แต่มันคงจะแปลกน่าดู สุดท้าย...ผมก็ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าครัวไป

เอาก็เอาวะ นั่งกินฝั่งตรงข้ามเขาไปเล้ย ฮือ

คิดพลางเดินไปเปิดหม้อที่ตั้งอยู่บนเตา ยังคงมีแกงจืดเหมือนเดิม และเหมือนจะใส่วัตถุดิบลงไปเพิ่ม ที่เยอะหน่อยคือสาหร่าย บ่งบอกว่าเขาทำเพิ่มไว้ น่าจะเผื่อผมด้วย ให้คิดด่าในใจว่า ‘ไอ้บ้าเอ๊ย’ ไปเล็กน้อย

ผมตักแกงจืดใส่ชามแยกของตัวเอง ตักข้าวเปล่าใส่จาน คิดว่าเท่านี้คงพออิ่ม แต่เมื่อหันไปวางบนโต๊ะก็เห็นว่ามีจานหมูทอดกระเทียมวางเป็นกับข้าวอยู่ด้วย

ผมนั่งลงพร้อมกับความแปลกใจนิดๆ เพราะปกติอัฐดูจะทำกับข้าวแค่พอกินของตัวเอง และการกระทำต่อมาของเขาก็ย้ำชัดว่าทำเผื่อผมด้วย

อัฐเลื่อนจานหมูทอดกระเทียมนั้นมาให้ผมที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่พูดอะไรราวกับขี้เกียจพูด และไม่มีข้ออ้างอะไรราวกับไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ก็แค่ทำเผื่อ แค่นั้นเอง

...อยากจะมีนิสัยแบบเขาจริงๆ เลยโว้ย

ผมตักหมูกระเทียมลงจานตัวเอง ลองชิมดูก็พบว่าอร่อยดี ไม่เค็มไป ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าคนประสาทแดกอย่างเขาจะทำอาหารอร่อย ที่น่าแปลกใจน่ะ...ทำไมวันนี้เขาทำเผื่อผมต่างหาก

อนาถที่เห็นสภาพเมาค้าง...หรือว่าเนื้อหมูมันใกล้จะเน่าแล้วกันนะ ฮือ

“คุณอัฐชอบแกงจืดใส่สาหร่ายเหรอครับ”

ผมถามออกไปหลังซดแกงจืดร้อนๆ แล้วรู้สึกว่าเข้มข้นอร่อยกว่าเมื่อกลางวัน ประกอบกับอยากทำลายความเงียบ เพราะคิดว่าไหนๆ เขาก็ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้เรื่องที่ผมบอกชอบแล้ว ผมก็ทำตัวให้ปกติเหมือนกันเลยแล้วกัน

“ก็เห็นว่าที่บ้านเธอใส่”

อะ... แต่คำตอบก็ทำผมคิดนู่นคิดนี่ได้อยู่ดี

เล่นตอบมาแบบนี้ คนเข้าข้างตัวเองเก่งอย่างผมจะคิดแล้วนะว่าทำให้ถูกปากผม ถ้าจะบอกว่าทำตามสูตรนั้นเพราะอร่อยดีก็บอกว่าเพราะอร่อยสิโว้ย

คนเพิ่งบอกชอบไปแท้ๆ พูดให้คิดมากอยู่ได้ ฮือ

ผมกินอาหารมื้อนั้นด้วยความสับสนในใจที่สุดเท่าที่เคยกินมา พยายามคิดว่าควรชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เงียบจนอึดอัด แต่ก็กลัวกลายเป็นได้คำตอบที่ทำป่วนใจอีกเลยไม่กล้า...

“ความจริงพ่อฉันก็กินแบบใส่สาหร่าย”

พลันอัฐพูดขึ้นมาก่อน และเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะผมไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงพ่อขึ้นมาเอง สบตาเขาก็ใจเต้นหนึบนิดๆ และเมื่อเขาหลุบสายตาลงไปสนใจอาหารตามเดิม ผมจึงรีบสานต่อบทสนทนา

“แล้วพี่เฟย์ล่ะครับ”

“อะไรก็ได้ที่ไม่เหมือนพ่อ”

คำตอบทำให้ผมยิ้มนิดๆ ไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่

“วันที่พี่เฟย์กลับมาเอารถ เขาบอกผมว่าตอนอยู่อเมริกาทรมานกับอาหารที่นั่นมาก แล้วแบบนี้ตอนอยู่กับพ่อที่กินไม่เหมือนกันไม่ยิ่ง... อ่า พี่เฟย์เล่าด้วยน่ะครับว่าเขาไปอยู่กับพ่อ”

คำพูดผมสะดุดลงกลางคันเมื่อรู้สึกว่าพูดมากไป พูดไม่ถูกจุดตอนที่พูดถึงพ่อเขา เพราะอัฐเหลือบสายตาขึ้นมามองทันทีที่พูดถึง

“คือ...เห็นว่าพี่เฟย์ชอบอาหารไทย...”

“เฟื้องหนีกลับมาที่นี่ตอนอายุถึงขึ้นเครื่องบินคนเดียวได้”

แต่ตอนที่ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง อัฐก็พูดออกมาเอง

“ฉันคิดว่าพ่อจะมาตามเฟื้อง แต่พ่อก็ไม่มา”

สายตาเขายังคงจ้องมองมาขณะเล่า

“เหมือนกับที่ตอนเด็กฉันเคยคิดว่าสักวันพ่อจะมารับ แต่พ่อก็ไม่เคยมา”

ผมเจ็บแปลบเมื่อได้รับฟังเรื่องราว ได้เห็นแววตาที่ว่างเปล่าของเขา ผมอยากปลอบใจเขาแต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร และบางทีเขาอาจจะไม่ต้องการคำปลอบก็ได้

บางที...เรื่องมันอาจผ่านมานานแล้วอย่างที่พี่เฟย์ว่า

“ตอนที่เฟื้องกลับมา ฉันเลยได้รู้ความจริงว่าพ่อไม่ได้รักลูกคนไหนเลย พ่อก็แค่รักแต่ตัวเอง”

แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะรวบช้อนแล้วยกจานไปล้างที่ซิงค์ทั้งที่ยังมีข้าวเหลืออยู่ ผมก็รู้สึกว่าสำหรับเขามันอาจจะไม่เคยผ่านไปเลยก็ได้

ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นยังคงแทรกซึมอยู่ในอณูชีวิตของเขา ทั้งเครื่องครัวที่เรียงเป็นระเบียบอย่างจุกจิก ทั้งหนังสือและความรู้สึกที่ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง ทั้งความโกรธจัดที่ยากจะได้เห็นแต่ก็ได้เห็นตอนที่วางเงินทิ้งไว้ให้

ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่แตกร้าวในตัวเขา และผมก็อยากประคองทั้งหมดนั้นขึ้นมากอดเอาไว้

ผมดีใจที่เขาเล่ามันให้ฟัง แม้จะปวดแปลบดังที่เคยคิดว่าจะเจ็บใจที่เขาไม่อนุญาตให้รัก

ขณะเดียวกัน...ก็อยากได้ฟังมากกว่านี้ และไม่อยากคิดไปเองว่าเขาแตกร้าวแค่ไหน ผมรู้ว่าบางทีความรู้สึกคนเราก็ซับซ้อนกว่านั้น ผมจึงอยากฟังมันจากปากเขาเอง

อยากรู้จักเขามากกว่านี้...

ถ้ารู้ เราก็จะได้รู้วิธีโอบกอด

ตอนนั้น ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปยืนข้างๆ ตอนที่เขาล้างจานเสร็จแล้วและกำลังจะออกจากครัวไป

“คุณอัฐ”

ผมเรียก เขาหันมามอง ซึ่งสายตาว่างเปล่าของเขาก็ทำให้ใจผมชาหนึบ

รู้ดีว่าถ้าพูดออกไปอาจถูกผลักไสก็ได้

“ที่ผมบอกว่าจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลยน่ะ...”

แต่ผมก็พูดออกไปเพราะอยากเข้าใกล้เขามากกว่านี้

“ความจริงผมจำได้หมดทุกอย่าง”

และอยากรู้วิธี...ที่จะได้โอบกอดเขาไว้

“จำได้ทุกคำเลย...ที่พูดกับคุณไป”



**


หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.21)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:53:30
ตอนที่ 21



ผมไม่เคยบอกรักใครมาก่อน จึงเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่ามันรู้สึกอย่างไร

มันเหมือนมีดอกไม้บานอยู่ที่ไหนสักแห่งในใจ ส่งกลิ่นหอมละมุนหวังได้รักตอบจากผีเสื้อที่ร่ายระบำอยู่ในท้องน้อย ขณะเดียวกันก็หวั่นกลัวว่าจะโรยราร้างไร้การตอบรัก

ถึงกระนั้น...ที่บอกออกไปนับเป็นความกล้าที่ทำให้ดอกไม้ดอกนั้นผลิบาน

ที่เหลือ...คือได้แต่รอคำตอบ

อัฐนิ่งไปนาน จ้องมองมาด้วยแววตาอ่านยากเหมือนทุกครั้ง เพียงครั้งนี้มันทำให้หัวใจผมสั่นระรัว ขณะเดียวกันก็ลืมไปแล้วว่าต้องหายใจ

รู้สึกเหมือนเป็นดอกไม้รอลุ้นผีเสื้อที่กำลังพินิจพิจารณาว่าจะรับความรักจากปลายเกสรเอาไว้ไหม

และสุดท้าย...ผีเสื้อก็บินจากไป

ในวันนั้น อัฐเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ผมเองได้แต่นิ่งค้างอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเรียกรั้งขอร้องเอาคำตอบ เพราะนี่มันก็ครั้งที่สองแล้ว...

ผมบอกชอบเขาไปสองครั้งแล้ว และปฏิกริยาตอบรับก็มีแต่การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับคำบอกชอบของผมไม่มีความหมายอะไร

แน่นอน ใจผมเจ็บแปลบ เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ตอบ มันก็แปลได้แค่ไม่กี่อย่าง

ไม่อยากรับรู้

ไม่ก็ไม่อยากรับรัก

อย่างนั้น...ใช่ไหม?

ผมยังภาวนาให้เขาแค่สับสนหรือลังเลใจอยู่ได้หรือเปล่า?

ผมไม่รู้เลย

สุดท้าย สิ่งที่ผมได้มาก็มีแต่ความเงียบ

เย็นวันนั้น ผมกินข้าวต่อไม่ลง เหมือนกับที่เขาไม่ตักข้าวเข้าปากอีกหลังจากพูดเรื่องพ่อ ได้แต่เทข้าวในจานลงถังขยะอย่างเสียดาย ส่วนหมูทอดกระเทียมและแกงจืดที่ยังเหลือ ผมก็เทใส่ถ้วย ซีนให้เรียบร้อยแล้วเก็บเข้าตู้เย็น เดินขึ้นห้องไปเงียบๆ

สิ่งแรกที่ผมคิดทักทายคือเจ้าแมมขนนกขาวแต่มันก็หุบกลีบหลับใหลเสียแล้วเมื่อแสงอาทิตย์ลาลับ ผมจึงทำได้แค่จ้องมองมันนอนหลับ นึกสงสัยว่าดอกไม้นั้นบานได้กี่วัน หยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชข้อมูลก้พบว่ามันจะบานราว 2-4 วัน แต่ก็จะมีผลิดอกอื่นตามมาอยู่เรื่อยๆ

ดีจังนะ

ผมคิด พลางใช้เวลาจ้องมองมันใต้แสงจันทร์อยู่นานเพราะรู้ว่าคงนอนไม่หลับง่ายๆ ทั้งจากที่นอนมาทั้งวัน และจากการสารภาพรักที่ไม่ได้คำตอบ

แอบนึกอิจฉาเจ้าแมมขนนกขาวที่หลังจากนี้คงได้ผลิดอกอยู่เรื่อยๆ เพราะผมเองไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้อีกหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าจะกล้าอีกไหม

ผมไม่รู้เลยว่าอัฐคิดอะไรอยู่ และก็เริ่มจะไม่อยากรู้...

ไม่สิ

ความจริงผมคงรู้อยู่แก่ใจ

จำได้ไม่ลืมหรอกที่เขาเคยบอกว่ารักใครไม่เป็น จำได้แม้แต่เสียงเบาๆ ของเขา เสียงลมเคลียแก้ม กระทั่งเสียงกระดิ่งลมในตอนนั้น

ถึงอย่างนั้น...เพราะผมคลั่งรักเป็นบ้าเป็นบอจึงชอบคิดว่ายังมีหวัง

เขาอาจจะยังสับสนและลังเลก็ได้

ผมคิดอย่างนั้น ผมหวัง ผมปรารถนา อาจถึงขั้นถวิลหา...

เพราะความรักก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม?

งี่เง่า...เป็นบ้า

สุดท้ายผมหยุดคิด ลุกจากริมหน้าต่างมาเปิดโน้ตบุ้กบนโต๊ะ ตั้งใจจะทำงานพากย์ต่อเพราะไหนๆ ก็คงนอนไม่หลับ แต่ลองทำไปได้สักพัก ผมก็พบว่าผมทำไม่ได้

ผมพากย์ผิดพากย์ถูก อ่านข้ามคำ แม้กระทั่งข้ามประโยค สุดท้ายผมถอดใจ วางหูฟังลงที่เดิม และปิดต้นฉบับของอัฐที่มีลายมือของเขาประปรายลง

ไม่รู้ว่าผมไม่มีสมาธิพอ หรือเพราะต้องพากย์นิยายของเขาก็ไม่รู้ ที่รู้คือผมไม่คิดพากย์อีกในคืนนั้น ได้แต่เปิดอะไรดูไปเรื่อยเปื่อย ฆ่าเวลาให้ผ่านไปจนเกือบเช้า ผมถึงเริ่มง่วง ล้มตัวลงนอนไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมงก็ต้องตื่นไปทำงานแล้ว

และเพราะตื่นสายนิดหน่อย ผมเลยไม่ได้กินข้าวเช้าออกไป แต่เมื่อกลับมาบ้านก็พบว่าแกงจืดกับหมูทอดกระเทียมยังอยู่ในตู้เย็น อัฐไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าตั้งแต่กี่โมง

ผมเห็นดังนั้นจึงหุงข้าวและเวฟกับข้าวสองอย่างนั้นกินคนเดียวเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องไปด้วยความเงียบไม่แพ้กัน พยายามไม่คิดเสียดายที่ไม่เจอเขาจึงไม่เห็นท่าทีวันนี้ เพราะมันอาจสร้างได้แต่ความเจ็บปวด ขณะเดียวกัน...ผมหวังว่าที่เขาหายไป อาจจะไปขับรถพลางคิดทบทวน...เรื่องของผมบ้าง

เฮ้อ

ผมมันบ้า

ไอ้ที่ด่าเขาว่าบ้ามาตลอด จริงๆ แล้วมันเข้าตัวเองหมดเลย

ไอ้บ้าเอ๊ย

คลั่งรักอะไรนักหนา รำคาญตัวเองโว้ย ฮือ

เรื่องเดียวที่ผมควรเสียดายคือการที่เจ้าแมมขนนกขาวหลับไปก่อนอีกแล้วต่างหาก

เมื่อเช้าตื่นสายไปหน่อยเลยลืมมาทักทายมัน ยังดีที่ดินยังชื้นอยู่ เลยหวังว่าพรุ่งนี้จะไม่ลืม และได้เชยชมดอกไม้ดอกแรกของมันให้เต็มที่ก่อนโรยรา

อ่า ส่วนเรื่องดีๆ ของวันนี้ก็คือผมทำงานพากย์ได้ตามปกติผิดกับเมื่อคืน ทำให้พอจะยิ้มได้ว่าผมยังแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก แต่ว่า...พอลองหยิบหนังสือเสียงมาพากย์ใหม่ ผมก็พบว่ายังทำไม่ได้เหมือนเดิม

อาจจะเพลียก็ได้

ตอนนั้นผมคิดแค่นั้น แล้วตัดสินใจอาบน้ำเข้านอนแต่หัวค่ำ ซึ่งก็ผล็อยหลับไปง่ายดายเนื่องจากความเหนื่อยล้าที่นอนไม่พอ

ทว่า...วันรุ่งขึ้นก็ยังเหมือนเดิม

แม้อัฐจะอยู่บ้าน เขาก็แค่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ในมุมส่วนตัว ไม่ได้มีท่าทีอะไร ทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุตามปกติ ทั้งที่ไม่ใช่ความปกติหลังจากผมสารภาพรักไป

สิ่งที่ได้จึงมีแต่ความเจ็บแปลบอยู่กลางอกและการที่ผมทำงานพากย์หนังสือเสียงไม่ได้เหมือนเคย

ที่จริงผมรู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้เพราะกระวนกระวายใจเรื่องเขา แต่ผมไม่อยากรู้สึกงี่เง่าไปมากกว่านี้ ไม่อยากเป็นคนที่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก จึงไม่ค่อยอยากยอมรับนัก

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ผมนอนไม่ค่อยหลับ โชคดีที่ตื่นมาตอนเช้ายังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง คือดอกแรกของเจ้าแมมขนนกขาวยังบานอยู่

ไม่รู้ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ที่ดอกจะโรยลง แต่ก็หวังว่าจะมีดอกใหม่ผลิบานเรื่อยๆ

เย็นวันนั้นอัฐยังคงไม่มีท่าทีอะไร เขานั่งทำงานอยู่หน้าคอม แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ผมอยากจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นได้

ไม่สิ ไม่ใช่แค่อยาก ผมทรุดลงไปแล้ว กับพื้นหน้าตู้เย็นของผมเอง แค่เพราะได้เห็นว่ามีช็อคโกแล็ตวางอยู่ในนั้น...ตามปกติ

‘ตามปกติ’

ทำแบบนี้...หมายความว่ายังไง?

ต่อให้สารภาพรักกี่รอบก็ยังจะทำตัวเหมือนเดิมงั้นเหรอ?

ต่อให้ตะโกนใส่หน้าว่ารักแค่ไหน ก็จะยังให้อยู่ที่เดิมใช่ไหม?

ทำไมล่ะ...ทำไมถึงอยากให้อยู่ตรงนี้?

ที่ที่ก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้น่ะ

มันน่าเศร้ารู้ไหม...

น่าเศร้าที่คุณอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ผมก็คว้ามือไปไม่ถึงเสียที

และไม่อาจ...โอบกอดคุณไว้ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวของความหักพัง

อา...

ไอ้บ้า

บ้าจริงๆ

ตอนนั้นผมไม่แน่ใจแล้วว่าที่ด่าน่ะ ด่าตัวเอง หรือว่าด่าเขา แต่ที่ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะทั้งคู่

กระนั้นผมก็ไม่คิดเดินออกไปโวยวายใส่เขา สิ่งที่ทำมีแค่หยิบช็อกโกแล็ตกล่องนั้นออกมาจากตู้เย็น เดินขึ้นห้องไป เปิดโน้ตบุ้ก สวมหูฟัง เปิดต้นฉบับและเริ่มพากย์หนังสือเสียงอีกครั้ง

อาจด้วยความโมโห กลายเป็นว่าผมโฟกัสกับงานได้ดีจนเลิกสนใจว่ามันเป็นนิยายของเขา และเมื่อพากย์จบหนึ่งบท ผมก็กินช็อกโกแล็ตจนหมดกล่อง

ผมรู้สึกดีขึ้นหลังทำสิ่งเหล่านั้น จึงตั้งใจว่าจะไม่สนใจอะไรเขามากกว่าที่เขาต้องการให้เห็นอีก

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าวันที่ผ่านๆ มามาก ทักทายเจ้าแมมขนนกขาวก็เห็นว่าดอกแรกของมันยังคงบานอยู่ ผมยิ้มได้เล็กน้อยเพราะมัน ยกก้นกระถางขึ้นดูเห็นว่าแห้งแล้วจึงฉีดพรมหน้าดินให้ได้ดื่มน้ำ ก่อนจะลงไปอาบน้ำแต่งตัวและไปทำงานตามปกติ

วันนั้นถือเป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวันสำหรับการทำงาน ผมทำงานได้ดี และมีวี่แววจะได้พากย์บทตัวละครที่มีความสำคัญมากขึ้นในเรื่องถัดไป อารมณ์บูดๆ ของผมหลายวันที่ผ่านมาจึงกลายเป็นอารมณ์ดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปจนถึงตอนกลับมา

ขณะที่เดินเข้าซอยมาในตอนเย็น แดดยังไม่ลา ผมนึกถึงเจ้าแมมขนนกขาวว่าดอกแรกของมันโรยหรือยัง และก็จินตนาการอยากให้มันออกดอกต่อไปเร็วๆ หรือผลิบานพร้อมกันหลายดอกยิ่งดี

แต่จินตนาการนั้นก็สะดุดลงเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วได้ยินเสียงน้ำ อัฐคงรดน้ำต้นเฟื่องฟ้าอยู่ และจากประตูรั้วที่ยังไม่ล็อก แปลว่าเขาน่าจะเพิ่งกลับมา ยืนยันได้จากการใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น

ผมกลับไปจินตนาการถึงดอกสวยๆ ของเจ้าแมมขนนกขาวต่อแม้ใจไหววูบไม่ต่างจากกิ่งของเฟื่องฟ้าที่ไหวตามลม เดินผ่านเขาไปพยายามไม่สนใจมอง...

“จา”

...และพยายามนึกถึงดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ นั้นไว้ในหัว

“ทำไมยังไม่ส่งไฟล์ถัดมา”

กระนั้นคำถามถึงเรื่องงานก็ทำให้ผมต้องหันกลับไป เห็นว่าเขากำลังม้วนเก็บสายยางเข้าที่ ดูท่ารดน้ำต้นไม้เสร็จพอดี

“อ่อ... เสร็จแล้วครับ แต่ลืมส่ง...”

ผมบอกไปตามตรง ซึ่งเขาก็เงยหน้ามามองหลังเก็บของเรียบร้อย เรือนผมสีทองยังรกปรกคิ้วเหมือนเดิม และแววตาที่จ้องมา...ก็ยังอ่านยากไม่เปลี่ยน

รู้สึกยังกับได้ยินเสียงแปลบดังมาจากกลางอก ทำให้ผมพยายามนึกถึงดอกไม้สีขาวดอกนั้นเอาไว้

“ฉันเขียนเล่มสามเสร็จแล้ว”

“อ่า... เร็วดีนะครับ”

“ถ้าพากย์เล่มสองเสร็จ เดือนหน้าก็พากย์ต่อเลยแล้วกัน”

แปลบ...

ยังกับเสียงนั้นดังขึ้นอีกแล้ว พร้อมกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นกว่าเดิม

ผมเริ่มจินตนาการถึงดอกไม้สีขาวดอกนั้นไม่ออก

“คุณมีแพลนจะเขียนกี่เล่มเหรอครับ”

“ก็เรื่อยๆ” เขาตอบด้วยเสียงเบาตามบุคลิกที่ไม่ยี่หระอะไร “ยังไม่ได้คิดไว้แน่นอน”

“แล้ว...จะให้ผมพากย์ไปทุกเล่มเลยเหรอครับ”

ดวงตาสีดำนั้นจ้องมองมาเหมือนคิดอะไรอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะตอบเบาๆ จากลำคอ

“อืม”

แปลบ...

“ทั้งที่...ผมชอบคุณน่ะเหรอครับ”

โคตรเจ็บเลย

“ทั้งที่...ทั้งที่เป็นแบบนั้น คุณก็ยังอยากให้ผมทำงานด้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อธิบายอะไรสักอย่าง รู้ไหมครับ...ผมโคตรลำบากใจเลย”

เจ็บจนพยายามนึกถึงเรื่องอื่น อะไรก็ได้ ที่ไม่ให้มันเจ็บจนชามายันปลายนิ้ว ผมจึงพยายามนึกถึงดอกไม้สีขาวของเจ้าแมมขนนกขาวเอาไว้

“ถ้ามันลำบากใจ เธอจะเก็บของแล้วกลับบ้านไปก็ได้”

แต่...ภาพเหล่านั้นก็ถูกเสียงเบาๆ ที่ฟังดูไม่แยแสอะไรลบเลือนไป

“ฉันคงทำอะไรให้อย่างที่เธอหวังไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะทำตัวไม่ให้ความหวัง หรือว่า...ชอบเธอกลับ”

สิ่งเดียวที่ผมเห็นคือกลีบดอกสีขาวที่กำลังเหี่ยวแห้งโรยรา

“กลับไปเถอะ”

แล้วก็ได้รู้ในเย็นวันนั้นเองว่า...ดอกไม้ดอกแรกจากแคตตัสที่เขาให้ โรยราลงไปแล้ว

และไม่ผลิบานอีกเลย



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.22)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:54:38
ตอนที่ 22



ตอนที่ได้ฟังคำปฏิเสธอย่างชัดเจน ผมไม่ได้ร้องไห้

ไม่ได้ยืนตัวแข็งค้าง แค่ไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงเดินเข้าบ้านไปเงียบๆ เหมือนเพิ่งกลับมาอย่างปกติ ที่ต่างไปคือไม่ได้แวะเข้าครัวเปิดตู้เย็นดูว่าจะทำอะไรกินเป็นมื้อเย็น ผมเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องช้าๆ เหมือนสติหลุดลอย

เมื่อเข้าห้อง ปิดประตู ผมก็นั่งลงบนเตียง และนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

ปลายเตียงคือกำแพงสีขาว โล่งเตียนไร้การประดับตกแต่ง

ผมเหม่อมองจ้องไปยังความว่างเปล่า

และเพราะมันว่างเปล่า ไร้สิ่งใด ผมจึงไม่รู้ตัวว่าภาพตรงหน้านั้นเริ่มพร่าเบลอตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่รู้ว่าตอนไหนที่น้ำตาหยดแรกไหลรินออกมา

รู้ตัวจริงๆ ว่าร้องไห้ก็ตอนที่เริ่มได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของตัวเอง

ผมขดตัวลงนอนกับเตียง กดหน้าตัวเองลงกับหมอน พยายามร้องไห้ไม่ให้มีเสียงเพราะกลัวมันจะเล็ดลอดออกไปจนเขาได้ยิน

ผมร้องไห้ด้วยความทรมานราวกับมีอะไรแตกร้าวอยู่กลางอก ปวดแปลบจนชาไปยันปลายนิ้ว แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้

หัวสมองผมว่างเปล่าราวกับเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไร

จนเมื่อหมดสิ้นหยดน้ำตา ผมก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หลับตา และปล่อยใจที่ยังปวดแปลบแสบร้าวเป็นระลอกให้ได้พัก

วิธีที่ดีที่สุดคือการยอมรับ

ทั้งที่รู้แบบนั้น...แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ผมจะคิดขึ้นมาก็ได้ว่าทั้งหมดนี้ก็แค่เพราะเขาไม่รัก แต่ใจก็ยังเจ็บอยู่ดี

และถึงยังเจ็บ ผมก็ไม่โกรธอะไรเขาเลย

ผมมีสิทธิ์อะไรไปโกรธเขาล่ะ

เขาไม่ได้หลอก ไม่ได้ให้ความหวัง เขาก็แค่เป็นเขา และเพราะเป็นเขา ผมถึงรัก

เขาไม่ได้ใจร้ายด้วย

เขาก็แค่ไม่รัก

แค่นั้น แค่นั้นเอง

แล้วทั้งที่ตั้งใจจะปล่อยใจ ผมก็สะอึกสะอื้นออกมาอีกรอบ

แต่นี่...อาจถือเป็นการปล่อยใจที่แท้จริงหรือเปล่า?

ปล่อยให้คิด ให้รู้สึกเท่าที่ใจอยาก แล้วค่อยยอมรับและหยุดพัก

ตอนนั้น ผมจึงสงสัยขึ้นมา

ทำไม...เขาถึงไม่รักผมกันนะ?

เพราะกำแพงในใจหรือเปล่า?

ถ้าอย่างนั้น...ยังพอจะทำลายมันได้ไหม?

อ่า... ไม่หรอก

ผมบอกตัวเอง

ผมไม่รู้วิธีทำลายมัน และเขาเองก็คงไม่ยอมให้รู้

หรือไม่...ตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้วิธีด้วยซ้ำ

และบางที...ที่เขาไม่รัก ก็คงแค่ไม่รัก ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นเลย

ผมขดตัวสะอึกสะอื้นจนรู้สึกเหมือนกำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเตียง จมลงไปในนั้น ลงไปในความเศร้าเสียให้พอใจ ก่อนที่จะเหนื่อยล้าจนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีช่วงกลางดึก ตาบวมจนยิ่งน่าเกลียดสำหรับคนตาชั้นเดียว แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับที่หลับต่อไม่ลง ผมจึงได้แค่นอนนิ่งๆ ปล่อยใจคิดนู่นคิดนี่เหมือนหมดอาลัยตายอยาก แต่ก็พยายามที่จะไม่ร้องไห้อีก

ผมบอกตัวเองว่าพอแล้วสำหรับการร้องไห้ให้ใครคนหนึ่ง

ผมมีความรู้สึกให้เขาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ จะร้องไห้อะไรมากมาย

บอกตัวเองทั้งที่แผลใจยังเหวอะหวะเลือดซิบอยู่นั่นแหละ

แล้วผมก็เริ่มคิดเรื่องการย้ายออก แม้มันจะชวนให้โหวงใจพิลึก แต่ในเมื่อ...เขาไล่แล้ว ผมก็ไม่รู้จะหน้าด้านอยู่ทำไม

ไม่สิ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ไล่

ดูจากการกระทำแล้ว เขายังอยากให้ผมอยู่...ในกรณีที่ผมไม่ได้ชอบเขาน่ะนะ

สรุปแล้ว เพราะผมชอบเขา ผมก็เลยต้องย้ายออก...เพื่อรักษาใจตัวเอง

งี่เง่าเป็นบ้า

ทั้งหมดมันวุ่นวายก็เพราะใจผมเอง

ผมคิดโทษตัวเอง แต่...ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เพราะไม่รู้จะโทษตัวเองให้ได้อะไรขึ้นมา

เช้าวันนั้น ผมออกไปทำงานตามปกติเพราะคิดว่ายังไงก็ดีกว่าหยุดพักอยู่บ้านให้ฟุ้งซ่าน และได้นอนพักแล้วคงมีพลังพอสมควร แต่สุดท้ายผมก็พากย์ผิดพากย์ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในที่ทำงาน จนรุ่นพี่ต้องบอกให้ออกมานั่งพัก

ตอนที่ถูกถามว่าเป็นอะไรไหม ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรจึงได้แต่ยิ้ม

ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย ไม่ชอบเอามากๆ ตอนเรื่องส่วนตัวส่งผลกระทบต่อเรื่องงาน ดังนั้นผมจึงพยายามแยกมันออกจากกัน ซึ่งผมคิดว่าถ้าแยกได้ ก็แปลว่าเราจะหายเศร้าได้เร็วขึ้น

ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จในช่วงบ่าย ผมกลับมาพากย์ได้ดีจนเหมือนความเศร้าในใจถูกขจัด แต่เมื่อต้องกลับมาที่บ้าน ถึงรู้ตัวว่าความเศร้าไม่ได้ไปไหนเลย มันแค่ถูกซ่อนไว้ใต้พรมความรู้สึกเท่านั้น

ต่อให้อัฐไม่อยู่บ้าน แต่แค่มองข้าวของของเขา หนังสือของเขาที่วางอยู่ทุกมุมบ้าน ใจผมก็ปวดแปลบแสบร้าว

ผมไม่หิวจึงเดินตรงขึ้นห้อง มองเจ้าแมมขนนกขาวที่บอกลาดอกไม้ดอกแรกไปเมื่อวานก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ

แต่...ผมคิดว่าเราควรเผชิญหน้ากับความเจ็บไปให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนกับที่ผมชอบใช้แอลกอฮอล์ล้างแผลให้จบๆ

ผมนั่งลงหน้าโต๊ะคอม เปิดโน้ตบุ้ก หยิบหูฟังขึ้นมาสวม พร้อมกับหยิบต้นฉบับของอัฐขึ้นมาพากย์

เมื่อกลางวันผมยังทำงานได้เหมือนเดิม แถมวันก่อนก็พากย์หนังสือเสียงของเขาได้ตามปกติ มันจะอะไรนักหนากับแค่เป็นต้นฉบับของเขา ผมอยากรีบพากย์ให้จบเล่มก่อนย้ายออก เพื่อที่เราจะได้ไม่มีพันธอะไรต่อกันอีกอย่างแท้จริง

ว่าแล้วก็เริ่มพากย์บทต่อไป ซึ่งผมก็คิดว่าทำได้ดี ก่อนที่จะพบว่า...การใช้แอลกอฮอล์ราดลงกลางแผลตรงๆ มันไม่ถูกวิธีจริงๆ นั่นแหละ

ทั้งที่เป็นแค่ตัวอักษร เป็นแค่คำที่นำมาประกอบกันเป็นประโยค เป็นสำนวน เป็นตัวตนเขา เป็นลายมือที่เขียนไว้บางจุด แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บร้าวจนพากย์ไปได้แค่สองย่อหน้าเท่านั้น

ผมเผลอใช้นิ้วลูบไปที่ตัวอักษรที่เขาเขียนไว้ด้วยปากกาดำ แล้วก็รู้สึกว่าแผลที่ผมมีควรหลีกเลี่ยงการราดแอลกอฮอล์ลงไปตรงๆ

สิ่งที่ทำได้คือการเช็ดเพียงรอบแผล หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน...อย่างที่เขาเคยทำแผลให้

จะว่าไป...รอยแผลที่นิ้วชี้ตอนนั้นหายไปแล้วนะ

แผลที่ผมมีตอนนี้ก็น่าจะเหมือนกันใช่ไหม

ผมกัดฟันเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ ตั้งใจอย่างมากว่าจะไม่ร้องไห้เพราะเขาอีก ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นกดโทรหาคนขับรถรับจ้างเพื่อนัดให้มาขนของกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นผมใช้เวลาในการเก็บของพลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำ และสิ่งที่ตั้งใจจะพูดกับเขาเป็นการเอ่ยลา

วันรุ่งขึ้น รถกระบะมาถึงที่บ้านเวลาเก้าโมงครึ่ง เป็นเวลาที่ผมกะเอาไว้ว่าเมื่อขนของเสร็จทั้งหมด มันจะพอดีกับเวลาที่อัฐตื่นเป็นประจำคือประมาณสิบโมง แล้วผมจะเอ่ยลาเขาในตอนนั้น

ก่อนที่รถกระบะจะมาผมขนของลงมาข้างล่างหมดแล้ว การทยอยขนขึ้นรถจึงไม่ได้เสียเวลามาก ข้าวของที่เยอะส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนอนที่หนักด้วยผ้านวมและหมอนไปจนถึงตุ๊กตา มีหนังสือบ้างประปราย ดังนั้นที่ดูเกะกะที่สุดเห็นจะเป็นตู้เย็น ที่คราวนี้ผมต้องช่วยยกกันเองกับพี่คนขับ เมื่อเสร็จสิ้น ผมหันหลังเดินกลับจะขึ้นห้องเพื่อเช็กของดูอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงัก

อัฐมายืนอยู่ข้างหลัง ผมเผ้ายุ่งเหยิงแบบเพิ่งตื่น แต่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นจนอดแปลกใจไม่ได้เพราะไม่ใช่ชุดปกติเวลาอยู่บ้าน

ขณะเดียวกันใจนั้นก็วูบไหวจนรำคาญตัวเอง

“เธอจะไปแล้วเหรอ” เสียงเบาของเขาเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองมาตรงๆ ทำเอาผมประหม่าอย่างง่ายดายทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะเข้มแข็ง

“ก็...ใช่ครับ”

“มีอะไรให้ช่วยไหม”

แปลบ...

อีกแล้ว ใจดีด้วยแค่นี้แท้ๆ แต่ก็เจ็บร้าวได้เป็นบ้าเป็นบอ ผมเบื่อตัวเองเหลือเกิน

อีกอย่าง...มาช่วยขนของออกจากบ้านเขาเองมันน่าประทับใจตรงไหน

“ไม่มีแล้วครับ...ขนเสร็จหมดแล้ว”

ผมตอบอัฐ เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เหมือนเพียงรับรู้ ผมหลุบตาลงเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสู้หน้า ก่อนจะรวบรวมความกล้ากลับไปสบตาอีกครั้ง

“เรื่องพากย์นิยายของคุณน่ะ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมคงพากย์ต่อไม่ได้แล้ว...”

“อืม”

เขาตอบมาเร็วกว่าที่คิดราวกับรู้อยู่แล้ว

แววตาคู่เดิมยังอ่านยากเหมือนเคย

“แล้วก็...” ผมรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดเรื่องสุดท้าย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปหยิบเจ้าแมมขนนกขาวมาก่อน

ผมเดินไปที่โต๊ะของเขาที่เรายืนกันอยู่ใกล้ๆ หยิบแคตตัสที่วางไว้ขึ้นมา ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะให้เขากับมือ...

อ่า ใช่ ผมจะคืนมันให้เขา

เราจะได้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ราวกับ...ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโดยสิ้นเชิง

กระนั้นที่เคยคิดว่าทำได้ ที่เคยคิดว่าเข้มแข็งพอ เมื่อมองเจ้าแมมขนนกขาวที่ผมดูแลมันมาได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ ใบหน้าก็ร้อนผะผ่าว ปวดแปลบกลางอกจนน้ำตาไหลรินลงรดต้นอวบกลมในกระถางอย่างรวดเร็ว

พอเป็นแบบนั้น ผมรีบปาดน้ำตาออก เงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าอัฐมองผมอยู่ก็ยิ่งใจกระตุก จึงรีบยื่นคืนมันให้เขา

“ผมขอคืนมันให้คุณนะครับ”

ทว่า มือผมก็นิ่งค้างอย่างนั้น อัฐเพียงแค่มอง ไม่ยอมยื่นมือมารับไป จนผมตัดสินใจจับมือของเขาขึ้นมารับเสียเอง และกุมมือเขาไว้เพราะกลัวกระถางน้อยๆ นั้นจะตกหล่นหากรับไม่ดี

“ดูแลมันดีๆ นะครับ มันเพิ่งออกดอกไปเมื่อวันก่อน...ขอโทษที่ลืมบอกคุณ”

ผมพูด ก้มหน้ามองแต่เจ้าแมมขนนกขาวเพราะไม่กล้ามองหน้าเขา ขณะที่มือก็ยังจับมือของเขาไว้อยู่

ไม่อยาก...ปล่อยเลย

แต่ก็รู้ดีว่าต้องปล่อยแล้ว

“แล้วก็...”

ดังนั้นผมจึงขอพูดสิ่งสุดท้ายที่ตั้งใจเอาไว้ ความรู้สึกที่มีถาโถมจนจะร้องไห้อีกครั้ง ผมพยายามเก็บกลั้นน้ำตาจนบทสนทนาตกร่อง ก่อนที่จะรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเป็นครั้งสุดท้าย เอ่ยคำพูด จากนั้นจึงปล่อยมือ...แล้วเดินจากมา

“คุณจะรักใครไม่เป็นก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้มีคนผิดหวังที่ไม่ได้รักตอบจากคุณก็ไม่เป็นไร ผมขอแค่...คุณมีความสุขดีก็พอแล้ว”



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.23)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:55:48
ตอนที่ 23



ตอนที่รถกระบะมาจอดหน้าบ้านแล้วผมขนของลงจากรถ แม่ก็ยังถามอยู่ว่าทำไมถึงกลับมา แม้ผมโทรบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะกลับบ้าน

อาจเพราะผมไม่ยอมตอบเหตุผล แม่เลยจี้ถามไม่เลิก คงเห็นว่าการอยู่บ้านอัฐมีแต่ข้อดี ทั้งใกล้ที่ทำงานมากกว่า ค่าเช่าถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิต เหตุผลต่างๆ นานาบีบให้แม่สงสัย

“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหมลูก”

ในที่สุดแม่ก็ถามคำนี้ ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ

“ไม่ได้ทะเลาะกันครับ”

ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังมองผมด้วยแววตาสงสัย ขณะที่พ่อแค่เดินเข้ามาตบบ่าผมดังปุๆ อย่างอารมณ์ดี

“ดีแล้วที่กลับมาอยู่บ้าน”

“ครับพ่อ”

“ไหนๆ ก็กลับมาละ ไปเที่ยวป่ากับพ่อไหม”

“ไม่อะครับ...”

“ฮ่าๆๆ”

พ่อหัวเราะชอบใจก่อนจะช่วยผมยกของขึ้นห้อง เป็นที่รู้กันดีว่าผมขยาดการเดินป่าตั้งแต่เด็กเพราะเคยโดนปลิงเกาะขา ดึงก็ไม่ออก ได้แต่ปล่อยมันดูดเลือดไปจนกว่าจะอิ่ม ทำเอานอนฝันร้ายไปหลายคืน

“งั้นไปสวนสัตว์กันไหม”

แต่พ่อยังไม่วายหันมาถามถึงสวนสัตว์

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะพ่อ”

“งั้นอควาเรี่ยมล่ะ ที่ชลบุรีน่ะ”

“นั่นก็ไปบ่อยแล้ว...”

“ไปกันเถอะ พ่ออยากลองเลนส์ตัวใหม่”

“อะไรนะ พี่ซื้อมาอีกแล้วเหรอ”

พลันเสียงแม่ดังมาจากบันได เหมือนว่าช่วยยกของเดินขึ้นมาพอดีเลยได้ยิน

“เอ้ย... ก็มันลดราคา”

“ไหนบอกจะซื้อของเกี่ยวกับกล้องเหลือแค่ปีละ 4 ครั้ง นี่แค่ต้นปีล่อไป 2 ครั้งแล้วนะ”

“ก็มันลดราคา...”

เสียงพ่ออ่อยลงเรื่อยๆ ก่อนจะเดินหนีเข้าไปวางของในห้องผม ซึ่งแม่ก็ตามเข้าไปแล้วบ่นไม่หยุด ขณะที่ผมยืนมองแล้วอดขำไม่ได้ เหมือนว่าไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้มานานเป็นปีแล้วหลังเรียนจบแล้วผมไม่ค่อยได้กลับบ้าน

ปกติแล้วแม่ไม่ก้าวก่ายการใช้เงินของพ่อเลยไม่ว่าเรื่องอะไร แต่เรื่องกล้องนี่ผมเห็นด้วยว่าจำเป็นต้องเบรกจริงๆ เพราะพ่อมีกล้องและอุปกรณ์เกี่ยวกับกล้องเยอะมาก จำได้เลยว่าตอนเด็กๆ พ่อมีห้องล้างฟิลม์ด้วย แต่พอหันมาเล่นกล้องดิจิตอล ห้องนั้นก็กลายเป็นห้องเก็บกล้องและอัลบั้มต่างๆ ไปโดยปริยาย

เมื่อผมกับพ่อแม่ช่วยกันขนของจนเสร็จ ผมก็ลงไปช่วยพ่อทำกับข้าวมื้อเที่ยง อ่า ใช่ ที่ผมเคยเล่าว่าแม่ไม่ค่อยทำกับข้าวก็เพราะพ่อนี่แหละเป็นคนทำ แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำทุกวันหรอก เพราะวันธรรมดาเวลากลับบ้านจะไม่ค่อยแน่นอน ก็ไม่จำเป็นต้องรอกัน ต่างคนต่างกินไปได้เลย แล้วค่อยมานั่งพร้อมหน้าพร้อมตาช่วงเสาร์อาทิตย์ทีเดียว

ซึ่งเอาจริงๆ ผมว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่แม่เลือกพ่อด้วยล่ะมั้ง เพราะพ่อไม่คิดว่างานบ้านเป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกัน ประกอบกับพ่อเป็นคนมองโลกแง่ดี ยิ้มและหัวเราะเก่ง แม่อยู่ด้วยแล้วก็คงมีความสุข

“หน้าพ่อมีอะไรติดหรือเปล่าจา”

พ่อถามขึ้นมาตอนที่นั่งกินข้าวกันอยู่ ทำให้รู้ตัวว่าเผลอมองพ่อนานไปหน่อย

“อ่า... เปล่าๆ” ผมตอบไปโดยอัตโนมัติ ก่อนนึกอะไรได้ขึ้นมา “ผมแค่สงสัยว่าทำไมผมไม่ได้ตาสองชั้นมาจากพ่อ...”

“ฮ่าๆๆ”

“จาจะบอกว่าตาชั้นเดียวของแม่ไม่สวยเหรอลูก” แม่ท้วงทันที

“เปล่านะครับ”

“แบบนี้ก็ดีนี่ ดูหมวยดี”

“เดี๋ยวพ่อ หมวยนี่ใช้กับผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายต้องตี๋สิ”

“เออใช่ อาตี๋ๆ พ่อลืม ฮ่าๆ”

“เอาจริงไม่โดนพ่อเรียกอาซิ้มก็ดีแล้วลูก”

“พ่อเคยเรียกแม่เหรอ” ผมถาม

“ลองเรียกสิ” แม่ตอบเสียงเขียว

“ฮ่าๆๆ”

พ่อหัวเราะ แบบที่ถ้าไม่รู้จักกันอาจคิดว่าหัวเราะเก่งอะไรนัก แต่จุดนี้นี่แหละที่ทำให้ผมหัวเราะตามโดยง่าย ทั้งที่ก่อนจะกลับมาบ้านผมเจอแต่เรื่องที่ทำให้ร้องไห้แท้ๆ

รู้สึกดีที่กลับมา และก็...เพิ่งรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่มีบ้านเป็นคอมฟอร์ทโซน ถึงจะเคยทะเลาะกันบ้างตอนที่ผมไม่ได้งานพากย์สักที แต่ก็เพราะแม่เป็นห่วง ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมลำบากใจขนาดมองบ้านตัวเองไม่เหมือนเดิม

แล้วพลัน...ผมก็นึกถึงอัฐขึ้นมา

อา... มันอดนึกไม่ได้นี่

ต่อให้ไม่อยากนึกถึง มันก็แวบขึ้นมาในหัวอยู่ดี และถ้าฝืนไม่นึกถึงมากไปผมกลัวว่าจะกลายเป็นยิ่งอัดอั้นใจจนลืมได้ช้ากว่าเดิม ผมจึงปล่อยใจให้นึกถึงไปก่อน อีกอย่างแผลก็ยังสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้าเอง

ที่ว่านึกถึงขึ้นมาหลังจากคิดว่าตัวเองโชคดีที่มีบ้านเป็นคอมฟอร์ทโซน เพราะผมดันสงสัยว่าเขารู้สึกยังไงกับบ้านตัวเอง...ในที่นี้หมายถึงแม่เขา

จริงอยู่ว่าแม่ก็ดูรักเขาดี แต่อัฐพูดถึงแม่น้อยกว่าพ่อเสียอีก

พลันผมนึกถึงรสช็อกโกแล็ต Guylian ที่หวานบาดคอขึ้นมา

อ่า... ไม่หรอกมั้ง

แค่ไม่รู้ว่าลูกชอบดาร์กช็อกโกแล็ต คงแปลว่าไม่ใส่ใจรายละเอียดไปทุกเรื่องไม่ได้หรอก

ผมหยุดคิดที่ตรงนั้น เมื่อพ่อนัดทุกคนให้ไปอควาเรี่ยมกันในวันพรุ่งนี้ ซึ่งแม่ก็บ่นว่าไปอีกแล้วเหรอ แต่พอถึงเวลาจริง คนที่ดี๊ด๊ากับการถ่ายรูปแล้วอัพลงเฟซบุ้กที่สุดก็เป็นแม่นั่นแหละ

มุมที่ผมชอบที่สุดของอควาเรี่ยมบางแสนคือมุมแมงกะพรุนเรืองแสง มันดูเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวหลากสีสันล่องลอยในท้องอวกาศสีน้ำเงิน ดูแล้วเพลินตาดี และมักจะทำให้ได้พักสมอง ไม่ต้องคิดเรื่องราวต่างๆ

แต่...นั่นแหละ

ผมคิดถึงอัฐอยู่ดี

อดคิดไม่ได้ว่าคนติดบ้านอย่างเขาถ้าไปเที่ยว เขาชอบไปที่ไหน

ทะเลหรือเปล่านะ? เพราะได้ยินจากพี่เฟย์ว่าอัฐเคยขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงหัวหิน

แต่ถึงรู้ไปผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวกับเขาอยู่ดีแหละ

ไม่มีทางที่เขาจะมาอยู่เคียงข้างผมตอนไปไหนมาไหนหรอก

ถึงอย่างนั้นก็สงสัยว่าตอนเขามองแมงกะพรุนพวกนี้จะมีความเห็นว่ายังไง และนึกถึงอะไร

จะนึกถึงอวกาศเหมือนผมไหม?

หรือว่า...

ช่างมันเถอะ

ผมตัดบทความคิดลงกลางคัน ก่อนจะเดินกลับไปหาพ่อแม่ที่ถ่ายรูปกันอยู่

เที่ยงวันนั้นเราไปนั่งกินส้มตำที่เตียงชายหาดริมทะเลราวกับเป็นธรรมเนียมเมื่อมาที่นี่ แล้วขับรถเล่นในช่วงบ่ายที่อากาศร้อน แวะนู่นแวะนี่ไปเรื่อย จนเมื่อแดดจางจึงไปถ่ายรูปเล่นริมทะเล รูปที่พันเท่าไหร่ไม่รู้ได้ ก่อนจะกลับบ้านกันเมื่ออาทิตย์ลับฟ้า

ถือเป็นการขจัดความเศร้าที่ดีเมื่อได้มาเที่ยวกับครอบครัวที่ผมรัก

อีกไม่นาน...อีกไม่นานหรอก ผมคงเลิกรู้สึกกับอัฐไปเอง

ไม่อยากพูดว่าจะลืม เพราะผมไม่คิดว่าจะลืมได้ แค่วันหนึ่งความรู้สึกก็คงหายไป

ผมใช้ชีวิตในช่วงเดือนมีนาคมอย่างเรื่อยเปื่อย ปล่อยใจไปเรื่อยขณะนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานอย่างแสนนานในทุกเช้า แต่ผมก็ไม่ได้ร้องไห้อีกแล้วเมื่อคิดถึงเขาอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะเข้มแข็ง

ผมนัดเจอเพื่อนบ่อยขึ้นเพราะจะได้ไม่ต้องคิดมากอยู่คนเดียว ประกอบกับการเงินที่ดีขึ้นมากหลังจากได้เป็นนักพากย์เต็มตัวเลยไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเงินไปกินมื้อใหญ่ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ไปร้านเหล้าตามที่เพื่อนชวนให้ไปย้อมใจหลังอกหักถึงมันไม่รู้ว่าผมอกหักจากใครก็ตาม เพราะกลัวตัวเองจะเมาเละเทะแล้วร้องไห้อีก

คราวนี้ไม่มีคนคอยอุ้มมาส่งถึงเตียงแล้วด้วย

สรุปแล้วผมจึงใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยหากไม่ใช่เวลาทำงาน ผมพอจะเริ่มมีชื่อเสียงในวงการพากย์ขึ้นบ้างและมีจ๊อบนอกให้ทำประปราย แต่พอมีคนเสนองานพากย์หนังสือเสียงมาให้ทำอีก ผมกลับลังเลไม่รับงานทันที

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

จนกระทั่งช่วงปลายเดือนมีนาคม รุ่นพี่นักพากย์สาวสวยก็มาถามผม

“จา ช่วงนี้ไม่พากย์หนังสือเสียงแล้วเหรอ”

“อ่า... ผมคิดอยู่น่ะครับว่าจะรับดีไหม”

“แต่มีคนอื่นพากย์แทนไปแล้วนะ”

“อ้าวเหรอ สงสัยผมคงช้าไป”

“แต่จาเคยพากย์เล่มหนึ่งให้เขาไม่ใช่เหรอ”

“เอ๊ะ?”

“งานของอัฐน่ะ นักเขียนที่ดังมากๆ จนพี่ยังตกใจตอนรู้ว่าจาได้พากย์ นี่ไง”

ว่าแล้วพี่เขาก็ยื่นมือถือให้ดูหน้าจอ ปรากฏภาพแอพพลิเคชั่นสำหรับขายหนังสือเสียง แล้วผมก็เห็นว่ามีนิยายเล่มสองของอัฐขายอยู่บนแอพฯ แล้ว

ผมดึงมือถือมาดูเองให้ชัดๆ เหมือนยังไม่เชื่อสายตา เห็นชื่อนักพากย์แล้วก็ทำให้รู้สึกโหวงหวิวและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

ที่ตรงนั้นไม่ใช่ชื่อ ‘จามีกร’ ของผมอีกแล้ว

ก็พอจะรู้ว่าสักวันต้องเห็นอะไรแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าพอมาเห็นเองจริงๆ ผมจะรู้สึก...รับไม่ได้

ผมรู้ตัวตอนนั้นเองว่าทำไมถึงลังเลไม่ยอมรับพากย์หนังสือเสียงของคนอื่นเสียที

มันเป็นเพราะส่วนลึกของหัวใจผมยังหวังและยังรอ

รอให้เขามาตามผมกลับไป

แต่ก็คงไม่มาแล้ว

เขาไม่มีวันมาตามผมอีกแล้ว



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.24)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:57:10
ตอนที่ 24



ผมไม่เคยเปิดตัวอย่างหนังสือเสียงเล่ม 2 ของอัฐฟัง ต่อให้อยากรู้ว่านักพากย์คนใหม่ที่เขาเลือกคือใคร โทนเสียงเป็นอย่างไร ผมก็ไม่เคยเปิดฟังแม้แต่วินาทีเดียว

ผมรู้ตัวดีว่าจะร้องไห้ ผมจึงไม่เปิดฟัง

พยายามลบชื่อนักพากย์คนใหม่ออกจากหัวสมองด้วย แต่ยิ่งพยายามลืม มันก็ยิ่งจำ

วันที่รู้ครั้งแรก ผมกลับบ้านไปด้วยอาการเหม่อลอย ลงจากรถไฟฟ้ายังลงผิดสถานี กว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็เกือบโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวไปหนึ่งรอบ จุดนั้นเองที่ผมบอกตัวเองว่าต้องตั้งสติให้มากๆ

ถึงอย่างนั้น ใจที่เจ็บจนชาก็ยังคงพาลให้หัวสมองตื้ออยู่อีกหลายวัน แล้วในที่สุด ผมก็ทำงานล้มเหลวจนโดนตำหนิอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก

“จา พี่พอจะดูออกว่าช่วงนี้จาไม่ค่อยโอเค แต่จาเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ถ้าไม่พร้อมก็กลับไปก่อนไหม เสียเวลาคนอื่นเขา”

แม้จะไม่มีคำหยาบ ไม่ได้ขึ้นเสียง แต่เนื้อความกระทุ้งกระแทกเข้ามายังใจที่กำลังชาหนึบจนได้สติ

ผมไม่เคยทำงานผิดพลาดติดต่อกันแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ถูกอัฐปฏิเสธตรงๆ ก็ไม่เคยเป็นขนาดนี้ ผมจึงกลับมาคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พบว่าสาเหตุนั้นรุนแรงจนไม่แปลกที่ผมจะรับไม่ได้

ความหวังสุดท้ายสิ้นสูญลงไปแล้ว

เมื่อไร้ซึ่งความหวัง ความรักที่มีก็ดูราวกับไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย

เย็นนั้นผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้มากมาย มีแค่หยาดน้ำตาเล็กๆ ไม่กี่หยาดหยดที่ได้โอบกอดของแม่คอยรับเอาไว้

ผมกลับมากอดแม่โดยไม่ได้พูด ไม่ได้อธิบายอะไรสักคำ แน่ล่ะว่าแม่คงมึนงง แต่เพียงไม่กี่วินาทีแม่ก็กอดตอบพลางลูบหัว ผมรู้สึกดีขึ้นมากราวกับแม่มีเวทย์มนต์ ก่อนที่มู้ดซาบซึ้งจะถูกขัดโดยพ่อที่กลับมาบ้านพอดี

“กอดไรกันอะ กอดด้วยดิ”

ว่าแล้วก็เข้ามากอดผมเอาไว้แน่นๆ จนผมต้องร้องท้วง

“พ่อ...ผมหายใจไม่ออก”

“ฮ่าๆๆ”

พ่อหัวเราะแต่ก็ไม่ยอมปล่อย จนผมกับแม่ต้องดิ้นรนให้หลุดเอง เกิดเสียงบ่นท้วงกันเล็กน้อยก่อนจะพากันหัวเราะ และแม้พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ยีหัวผมด้วยความเอ็นดูราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ แถมเย็นนั้นแม่ยังลงมือทำอาหารเองราวกับจะเอาใจผมอีกต่างหาก

พอคิดว่าผมมีครอบครัวที่ดีขนาดนี้ ผมก็รู้สึกว่าอีกไม่นานแผลคงหายดีแน่นอน

จะไม่มีอัฐก็ไม่เห็นเป็นไร

แล้วนับจากวันนั้น ผมก็เริ่มรักตัวเองให้จริงจังมากขึ้น

ที่ไม่ใช้คำว่า 'กลับมารักตัวเอง' เพราะผมไม่ได้ไม่รักตัวเองระหว่างที่รักเขา เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ละเลยไม่ต่างกัน แต่ไม่ถึงขั้นวิ่งพุ่งใส่สิ่งที่จะทำร้ายตัวเองก็เท่านั้น

ผมกลับมาสังเกตว่าตัวเองชอบอะไร และก็พยายามจะมอบสิ่งนั้นให้กับตัวเอง ซึ่ง...จะว่าไป บางสิ่งก็ตอบยากเหมือนกัน

อย่างเช่นคำถามคลาสสิกว่าชอบสีอะไร ผมรู้สึกมาตลอดว่าผมไม่มีสีที่ชอบตายตัว เพราะทุกสีมันสวยในแบบของตัวเอง ขึ้นอยู่ว่าสีนั้นไปอยู่บนอะไร เข้ากันไหมมากกว่า

ถ้าเป็นอัฐก็คงชอบสี... อ่า ไม่คิดถึงเขาสิ

ผมตัดบทไปยังเรื่องอาหารที่ชอบ แล้วก็พบว่าแทบไม่ต่างจากสีที่ชอบ เพราะผมพบว่ากินได้หมด แล้วแต่อารมณ์ว่าอยากกินอะไร ขอแค่ไม่เผ็ดก็พอ ซึ่งไอ้ความไม่ตายตัวมันก็ลามเลยไปถึงเรื่องเพลงที่ฟัง หนังที่ดู หนังสือที่อ่านด้วย

แทบไม่มีสิ่งใดตายตัวเลย ราวกับว่าผมเสพได้ทุกแนว ถ้าถามว่าสำหรับหนังแนวนี้ผมชอบเรื่องไหนมากที่สุดยังจะตอบง่ายกว่า แต่จะว่าไปแล้ว หัวข้อ 'หนังที่ชอบ' ดูจะมีคำตอบชัดเจนกว่าหัวข้ออื่นๆ เล็กน้อย

ตั้งแต่เด็กแล้ว ผมชอบหนังที่เน้นไดอะล็อก เพราะชอบสังเกตสีหน้าและน้ำเสียงตัวละคร ไม่ว่าจะหนังไทย ฝรั่ง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ทั้งแบบอ่านซับไตเติลหรือพากย์ ผมก็ชอบดูหมด ซึ่งนี่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเป็นนักพากย์ล่ะมั้ง

สรุปแล้ว ผมดูไม่ชอบสิ่งใดตายตัวเท่าไหร่ จนเริ่มไม่แปลกใจว่าทำไมผมดูค่อนข้างละเลยตัวเอง

เอาเป็นว่า...ผมจะมีความสุขแล้วกัน

มีความสุขโดยไม่มีเขาน่ะไม่ยากหรอก

แค่ลำบากอยู่บ้างอย่างเรื่องการเดินทางไปกลับที่ทำงาน แต่พอคิดว่าถ้าไม่รู้จักเขามาก่อน ผมก็แค่ต้องย้ายไปอยู่หออื่นแล้วประหยัดมากขึ้นก็เท่านั้น แต่ที่กลับมาอยู่บ้านเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ประกอบกับลดค่าใช้จ่ายบางส่วน แม้ค่าเดินทางแต่ละวันจะแพงพอดู แต่ยังไงอยู่บ้านก็ประหยัดกว่า

ในที่สุดผมก็ใช้ชีวิตในเดือนเมษายนด้วยหัวใจที่ไม่ชาหนึบ แต่ละวันผ่านไปอย่างราบรื่น ไปทำงานก็ตั้งใจทำงานจนผมได้รับพากย์บทตัวละครสำคัญ เลิกงานก็นัดเจอเพื่อนบ้าง กลับมาทำกับข้าวกินกับพ่อแม่บ้าง ค่ำก็ทำจ๊อบนอกหรือดูหนังฟังเพลงไปเรื่อยเปื่อย เสาร์อาทิตย์ก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนหรือพ่อแม่แล้วแต่โอกาส

มันดูเป็นชีวิตที่ดีและสบายใจมากๆ แม้อาจมีอะไรสะกิดใจให้นึกถึงอัฐอยู่บ้าง

“แม่ว่าแม่จะเลี้ยงแคตตัสอะ จาไปซื้อชั้นวางกับแม่หน่อย”

อยู่ดีๆ แม่ก็นึกอยากเลี้ยงแคตตัสขึ้นมาหลังหยุดสงกรานต์

“นึกยังไงอยากเลี้ยงอะแม่”

“ตอนแรกก็ไม่อยากหรอก แต่เห็นเขาฮิตกันเหลือเกิน อยากได้ต้นกลมๆ อวบๆ น่ารักๆ มาประดับบ้าน”

แม่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนตาหยี ขณะที่ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

“แม่เลี้ยงแมมขนนกขาวดิ" ผมบอกแม่ "มันอวบๆ กลมๆ ปุกปุยน่ารักดี”

ผมพูดเพราะนึกถึงแคตตัสที่เคยดูแลมันเป็นเวลาเดือนกว่า อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคนขี้จุกจิกอย่างอัฐจะสามารถดูแลมันได้ดี

พอคิดได้แบบนั้นก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

คงไม่เป็นไรแล้ว

ทั้งเจ้าแมมขนนกขาว และผมเอง

ไม่เจ็บแล้วเมื่อนึกถึงเขา ไม่เจ็บแล้ว

วันนั้นผมจึงออกไปซื้อแคตตัสกับแม่ด้วยความสุข แพลนกันว่าจะเลี้ยงต้นนั้นต้นนี้ให้ออกดอกสวยงาม และมีแพลนถึงเรื่องอื่นอย่างการเรียนขับรถด้วย

แม่บอกให้ผมเรียนขับรถได้สักทีเพราะก็เริ่มทำงานเก็บเงินแล้ว ผมได้ฟังก็เห็นด้วย อย่างน้อยตอนเดินทางไปทำงานจะได้ไม่ต้องไปเบียดกับใคร หรือลุ้นว่ารถไฟฟ้าจะเสียเมื่อไหร่ ฝนตกก็ไม่ต้องวุ่นวาย ถ้าไปสายแต่สายอยู่บนรถส่วนตัวย่อมดีกว่า

อีกอย่างจะได้ขับรถพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวบ้าง

ผมรู้สึกว่าชีวิตกำลังก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เรื่องงานก็เป็นไปได้สวยทั้งงานหลักและงานรอง ผมรับงานพากย์หนังสือเสียงได้อีกครั้ง โดยตกลงกับทางสำนักพิมพ์และนักเขียนแล้วเรียบร้อยแต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดกันจริงจัง

“จา มีคนมาขอพบน่ะ” รุ่นพี่นักพากย์หนุ่มใหญ่บอกในตอนที่กลับเข้าห้องมาหลังพักเที่ยง

“เอ๊ะ? ใครเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ น่าจะมาติดต่อเรื่องงานพากย์มั้ง”

“อ้อ... งั้นผมขอเวลาแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวรีบมา” ผมบอกพร้อมกับยิ้มแห้งๆ เพราะเกรงใจพี่เขาที่เอาเวลางานนอกมาเบียดงานหลัก แม้พี่เขาจะแค่ยิ้มแล้วไม่ว่าอะไรก็ตาม

ผมเดินออกจากห้องพากย์ไปตามทางเดินด้วยความสงสัย เพราะงานพากย์ที่รับไว้ก็น่าจะนัดคุยกันทีหลังได้ แต่...เขาอาจจะผ่านมาทำธุระพอดีก็ได้มั้ง

ผมเดินมาจนถึงที่นั่งรับรองแขกบริเวณข้างซุ้มลิฟต์ เห็นคนยืนคุยกันอยู่ตรงโซฟา 2 คน อีกคนนั่งอยู่ ผมรู้ว่าไม่ใช่กลุ่มนี้ที่ต้องการพบผมเพราะผู้หญิง 2 คนที่ยืนอยู่คือพนักงานฝ่ายอื่นในชั้นเดียวกัน มองไปก็ไม่พบใครอีกจึงหยิบมือถือขึ้นมากดหาเบอร์โทรของทางสำนักพิมพ์

อ่า ไม่ได้เมมไว้นี่นา

ผมย้อนแชทที่คุยกันไว้เพื่อหาเบอร์โทร ระหว่างนั้นสองพนักงานสาวก็เดินผ่านผมไป พร้อมกับเสียงพูดคุยจุ๊กจิ๊กที่ผมไม่ได้สนใจฟัง

เจอแล้ว

แต่จังหวะที่กำลังจะกดโทรออก ผมรู็สึกว่ามีคนมายืนตรงหน้า

“จา”

พร้อมกับเสียงเรียกเพียงเบาๆ

อยู่ดีๆ หัวใจก็เหมือนหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง

เมื่อเงยหน้ามองเพื่อยืนยันว่าไม่ได้คิดไปเอง ผมก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้าง อยู่ในชุดเชิ้ตแขนยาวสีดำพับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าหนัง ส่วนดวงหน้าก็ช่างลงตัวกับหุ่นที่ดูสมบูรณ์แบบ สันกรามชัด ปากกระจับ จมูกเป็นสัน ดวงตาสีดำที่อ่านยาก...เป็นสีเดียวกับเรือนผมทรงอันเดอร์คัท

ไม่ใช่สีทองแล้ว

แต่ก็ยังเป็นอัฐ

อัฐที่มายืนอยู่ตรงหน้าผมคนนี้

พลันที่เคยคิดว่าไม่เจ็บแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ก็เหมือนเป็นแค่คำโกหก

ผมรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบจากกลางอก แผ่กระจายราวฟ้าผ่าไปทั่วร่างก่อนจะเจ็บชาไปยันปลายนิ้ว

แค่ได้จ้องมอง...ดวงตาคู่นั้นเท่านั้น

ผมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร

“เรียกผมเหรอครับ...?”

“อืม”

เขาตอบอย่างรวดเร็วด้วยเสียงเบาจากลำคอ

เสียงที่ไม่ได้ยินมานานนั่น...

“เอ่อ...มีอะไรเหรอครับ?”

ผมถามออกไป พยายามไม่ให้บทสนทนาทิ้งช่วงเนิ่นนาน เพราะผมอึดอัด อยากไปจากตรงนี้เร็วๆ

ขณะที่ใจลึกๆ ก็กลับภาวนาให้เขาอยู่...

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

แล้วเขาก็เอ่ยคำพูดติดปากที่ผมไม่ได้ยินมานาน คำพูดที่พูดด้วยเสียงเบาตามบุคลิก ดูไม่มั่นใจ แต่ดวงตามักจ้องคู่สนทนาเขม็งจนดูขัดแย้ง

ทว่า...นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความไม่มั่นใจของเขา

ดวงตาสีดำคู่นั้นเสมองไปทางอื่นแม้เพียงแวบเดียวก็ตาม

“ต้นไม้ที่เธอทิ้งไว้...มันจะตายแล้ว”

คำพูดต่อมาของเขายิ่งทำให้หัวใจผมรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดทรมาน

“กลับไปดูแลมันหน่อยได้ไหม”

ก่อนที่จะคลายลง...ด้วยคำที่คาดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะได้ยินจากปากเขา



**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.25)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 16-05-2020 23:58:34
ตอนที่ 25



คำขอของเขาแค่ประโยคเดียวทำเอาใจผมสั่นคลอน

ที่เคยคิดว่าเข้มแข็งก็พังทลายในพริบตา

ความจริงก็ไม่รู้หรอกว่าการเห็นหน้าเขาคือคลื่นลูกแรกที่ซัดเซาะมาให้กำแพงในใจกร่อนลงก่อนหรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ ตอนนั้นความเข้มแข็งมันสลายลงหมดแล้ว

แต่...ผมก็ยังพยายามตั้งสติ งับปากตัวเองที่คิดจะพูดตกลงเอาไว้ แล้วพยายามหยิบเศษหินที่ร่วงกราวมาก่อกำแพงขึ้นใหม่

ก่อนจะตอบตกลง...ผมควรตั้งคำถามก่อน

คนอย่างอัฐน่ะเหรอ...จะเลี้ยงต้นไม้ตาย?

แล้วถ้าให้ผมกลับไป ผมจะกลับไปในฐานะอะไร?

เฮาส์เมทที่ชอบเขาอยู่ฝ่ายเดียวน่ะเหรอ?

เขาไล่ผมกลับบ้านเองแท้ๆ นี่นาเพราะไม่อยากให้ลำบากใจ แล้วอยู่ดีๆ จะให้กลับไปอยู่ด้วยมันหมายความว่ายังไง?

คิดว่าเวลาสองเดือนมันทำให้ผมเลิกชอบเขาแล้วเหรอ?

หรือว่าเป็นเขาเองที่...

ไม่ ไม่ ไม่

ไม่มีทาง

เขาคงแค่เหงานั่นแหละ

เหงาเหมือนที่อยู่ดีๆ ก็เดินดุ่มๆ มาถามผมที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนว่าไปอยู่บ้านกับเขาไหม นั่นแหละ แบบนั้นเลย

และก็เป็นที่นี่...ที่ที่เราพบกันครั้งแรก

“เหตุผล...ที่อยากให้ผมกลับไป คือเรื่องต้นไม้เหรอครับ?”

ผมตัดสินใจถามออกไปในที่สุด หวังจะได้คำตอบที่ทำให้ผมหมดคำถาม และก็หวัง...ให้มันเป็นคำตอบที่ดี

แต่สิ่งที่ได้ฟังทำเอาผมได้สติกว่าเดิม

“ที่จริง...เฟื้องด่าฉันให้มารับเธอกลับ”

“...”

...ไอ้บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย!

พูดออกมาหน้านิ่งๆ ด้วยนะ

ดีนะไม่ตอบตกลงไปก่อน ฮือ

ผมอยากจะเดินหนีกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่ใจลึกๆ อยากได้ยินเหตุผลอื่นๆ ผมจึงอยู่พูดคุยให้กระจ่าง

“ถ้าคุณอยากให้ผมกลับไป...คุณควรขอร้องด้วยตัวเอง ไม่ใช่เหตุผลคนอื่นนี่ครับ”

ผมพูด สบตาเขาไม่หลบไปไหน แม้มันทำให้ใจผมเต้นระรัวแทบคลั่งกับการลุ้นรอคำตอบ ซึ่งอัฐนิ่งไปนาน แววตาที่จ้องมาอ่านยากเหมือนเคย ก่อนที่เขาจะช้อนมองผม อา... อีกแล้ว สายตาที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกเชยคางจนจั๊กจี้ในใจ

และไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเขาจ้องผมแบบนี้อีก

ก่อนที่เขาจะพูดออกมาหนึ่งคำ

ไม่สิ...

แค่พยางค์เดียว

“นะ”

“...”

จะ...จะให้ผมด่าคุณว่าไอ้บ้าอีกกี่ครั้งกันเนี่ย

ไอ้บ้า!!

‘นะ’ บ้าบออะไร! ฮือ

แต่ถึงโวยวายในใจแทบตาย หน้าผมก็ร้อนขึ้นมาจนน่าจะขึ้นสี ขณะเดียวกันก็รู้สึกเคืองนิดๆ ที่เขาอยากให้ผมกลับไปอยู่ด้วยจากการอ้อนเพียงแค่นี้

เดี๋ยว... ‘อ้อนวอน’ สิ ไม่ใช่ ‘อ้อน’!

คนอย่างอัฐน่ะ...คนอย่างนั้นน่ะ อ้อนใครไม่เป็นหรอก! ฮือๆ

“ผม...ต้องรีบไปทำงานต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”

ผมตัดสินใจหันหลังกลับแม้รู้ดีว่ามันอาจทำให้ไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แต่ผมบอกตัวเองว่าที่ผ่านมาก็เคยเข้มแข็งได้ แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้

อีกอย่าง...ถ้าเหตุผลที่เขามาขอให้ผมกลับไปมันไม่ชัดเจน การกลับไปอยู่ด้วยก็เจ็บเปล่าๆ

แล้วผมก็คิดว่าเขาอยู่ได้ ต่อให้ไม่มีผมก็ตาม

“เธอ...ไม่สงสารต้นไม้เหรอ”

แต่เสียงเบาๆ ของเขาก็รั้งผมไว้ พร้อมกับเหตุผลที่...จะว่ายังไงดีล่ะ โอ๊ย ติดคำพูดเขาแล้ว เอาเป็นว่า...เหตุผลมันฟังไม่ขึ้นยังไงไม่รู้

ถ้าบอกว่าต้นไม้หมายถึงเขาเอง ผมอาจจะคิดดูใหม่...

อ่า ไม่ใช่หรอก เขาคงไม่อุปมาอุปมัยหรอก

ผมสูดหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะหันไปตอบเขา

“ผมไม่เชื่อว่าคนอย่างคุณจะกากจนเลี้ยงต้นไม้ตายหรอกครับ”

“...”

แล้วก็ไม่รู้ทำไมคำพูดถึงดูหาเรื่อง ดูด่าเหมือนคับแค้นทั้งที่ไม่ตั้งใจ นั่นทำให้ผมยิ่งรีบอยากหนีดวงตาสีดำคู่นั้นที่จ้องมาเขม็ง

“ขอตัวนะครับ”

ว่าแล้วก็เดินกลับห้องพากย์ไปเลย แม้ใจจะเต้นรัวๆ แต่ผมก็สาวเท้าให้เร็วและไม่หันกลับไปมองเขา

อันที่จริงน่าจะเรียกว่าไม่กล้าหันไปมองมากกว่า

ผมกลัวได้เห็นว่าเขาก็หันหลังเดินจากไปเหมือนกัน ไม่ใช่ยืนมองผมอยู่ที่เดิม

อยากจะบ้าตาย

ผมนั่งลงที่เก้าอี้ในห้องพากย์ด้วยความรู้สึกนั้น ฮึ้บตั้งสติก่อนจะเริ่มทำงาน ซึ่งผมก็ทำงานได้ดีกว่าที่คิด รู้สึกดีที่แม้เพิ่งเจอเขาแต่ก็ไม่ได้กวนใจผมจนทำงานไม่ได้อีก

แต่...ผมก็พากย์สะดุดอยู่หนึ่งครั้งตอนที่นึกถึง 'ออม' ขึ้นมา

ขนาด...แฟนเก่าเขา เขายังไม่ไปตามเลยนี่

แต่เขา...มาตามผม

อา... ไม่ ไม่ ไม่ คงไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก

ผมเผลอส่ายหัวอยู่คนเดียวก่อนจะตั้งสติเริ่มพากย์ใหม่ พยายามอย่างมากไม่ให้ทำพลาดเพราะหลุดคิดเรื่องอัฐอีก ซึ่งผมก็ทำได้ดีและคิดว่าดีแล้วที่ทำอย่างนั้นได้

เพราะเย็นนั้น หลังเลิกงาน เมื่อออกไปตรงที่นั่งรับรองแขกก็ไม่มีวี่แววของเขาอีกแล้ว

ก็ควรเป็นอย่างนั้นแหละ ใครจะมารอล่ะในเมื่อปฏิเสธไปแล้ว

ยิ่งเป็นคนอย่างอัฐด้วยแล้ว...

ถึงคิดอย่างนั้นก็อดหม่นหมองใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็นึกอยากย้อนเวลาไปด่าเขาให้มากกว่านี้ คนบ้าอะไรนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป นิสัยแมวนักใช่ไหม เดี๋ยวจับพี้กัญชาแมวให้ลอยไปดาวแมวเลย!

เฮ้อ...

สุดท้ายผมก็ได้แค่คิด กลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ตาจะปิดเพราะง่วงนอน แต่ตอนที่รู้สึกถึงสิ่งผิดแปลกในรั้วบ้านขณะที่กำลังไขกุญแจเข้าไป ตาตี่ๆ ของผมก็เบิกโพลงขึ้นมา

บีเอ็มสีดำจอดอยู่ในบ้าน

อ่า อยู่ดีๆ พ่อก็ขายกล้องทั้งหมดที่มีสินะ

อ่า...

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ!

นี่มันรถของอัฐชัดๆ!

ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นคืออยากจะวิ่งหนีกลับบ้านตัวเอง แต่ลืมไปว่านี่ก็คือหน้าบ้านแล้ว สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงเปิดประตูเข้าบ้านตามปกติ แล้วก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้ใจกระตุก

อัฐนั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขกที่ผมเคยนั่งกับเขานั่นแหละ เพียงคราวนี้เป็นพ่อผมที่นั่งข้างๆ และเปิดอัลบั้มรูปนู่นนี่ให้ดู

พ่อ...พ่อไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่!

“อ้าว จากลับมาพอดีเลย พ่อกำลังคุยกับอัฐเพลินๆ เลย นานๆ ทีจะเจอหนุ่มๆ ที่คุยเรื่อง 'เพชรพระอุมา' ด้วยได้ เนี่ย พ่อเลยอวดคอลเล็กชั่นเที่ยวป่าให้เขาดูอยู่”

สนิทกันเพราะเหตุนี้เรอะ?!

ใบหน้าผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายตกใจและเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด ขณะที่พ่อดูยิ้มแย้มมีความสุขเพราะเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณพนมเทียน ส่วนอัฐ...เขาแค่เหลือบตาขึ้นมามองผม ไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่โผล่มานั่งอยู่ในบ้านนี้ก็คงเพราะผมแท้ๆ

และขณะที่ผมกำลังอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนปลาขาดน้ำ เหตุการณ์ต่อไปนี้ก็ทำให้ผมได้แต่ยืนอึ้ง พูดไม่ออกหนักเข้าไปใหญ่

“อัฐอยากยืมหนังสือเล่มไหนบอกพ่อได้นะ อยากได้อะไรกลับบ้านก็บอกได้เลย” พ่อบอกอัฐด้วยความเป็นมิตร ซึ่งอัฐก็มองผมอยู่ครู่หนึ่งให้ผมงงเล่นๆ ก่อนที่เขาจะหันไปถามพ่อ

“แล้ว...ถ้าผมอยากได้จากลับบ้านล่ะ”

“...”

อะ...อะไรนะ?!

มะ...ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม?! หรือผมตื่นเต้นเกินจนฟังผิด หรือว่า...หรือว่า โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย!

คำถามชวนช็อกจากอัฐทำให้ทุกคนอึ้งแต่เขาก็ยังถามต่อ

“ต้องมีค่าสินสอดไหมครับ”

“...”

อะ...อะ...อ๊าก!!

ไอ้บ้า!

บ้าไปแล้ว!

นี่มันอะไรก๊าน!!

ผมได้ฟังคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนอึ้ง ขณะที่ในใจกรีดร้องโวยวายดังยิ่งกว่าเสียงระเบิดของเชื้อเพลิงตอนปล่อยยานขึ้นสู่อวกาศ มันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จนไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมดีใจหรือเปล่า

เพราะที่แน่ๆ...ขนาดอัฐมาพูดกับพ่อผมอย่างนี้...ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่!

“อัฐ คุณมองตาผมนะ”

พลันพ่อก็พูดขึ้นให้ใจผมสงบลง เพราะอยู่ดีๆ พ่อที่ขี้เล่นก็มาดขรึม ใช้สรรพนามจาก ‘พ่อ’ กลายเป็น ‘ผม’ กับ ‘คุณ’

โอ้ เอาเลยพ่อ สั่งสอนไอ้แมวยักษ์ตัวนี้ซะบ้าง!

ปุ...

อะ...ทำไมพ่อตบบ่าอัฐล่ะ

“เอาไปเลยลูก”

“...”

พะ...พ่อ! พ่อจะยกผมให้เขาเพราะเขาอ่านเพชรพระอุมาไม่ได้!!

“ฮ่าๆๆ”

แต่ผมก็ได้ยินคำอธิบายมาแค่เสียงหัวเราะชอบใจของพ่อพร้อมกับการตบบ่าอัฐไปอีกหลายปุ ขณะที่ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลม

ไม่พอ... ถ้าตาไม่ฝาด ผมเห็นอัฐกระตุกยิ้มนิดๆ ตอนได้ฟังคำอนุญาตด้วย แล้ว...แล้วเขาก็ลุกขึ้น เดินตรงมาหาผมที่ยืนอยู่ให้ยิ่งรู้สึกเข่าอ่อนอยากจะทรุดลงพื้นแล้วละลายกลายเป็นน้ำให้รู้แล้วรู้รอด

แต่...ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้

หนีไม่ได้ด้วย

ราวกับดวงตาที่ช้อนมองมากำลังเชยคางและล็อกใบหน้าของผมอยู่ แล้วเสียงเบาๆ ของเขาก็เอ่ยขึ้น ให้รู้สึกเหมือนมากระซิบอยู่ที่ข้างหู

“พ่อยกเธอให้ฉันแล้ว”

“...”

“กลับบ้านกันเถอะ”

ตอนนั้น...ถ้าผมไม่ได้กำลังรู้สึกอ่อนแรง ยวบยาบ จนแม้แต่ปากก็หมดแรงจะเอ่ยคำพูด ผมจะกระชากปกเสื้อเชิ้ตสีดำของเขาลงมา แล้วตะโกนกรอกหูว่า

ไม่!

ไม่กลับโว้ย!

ฮือ



**



หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.26)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:00:04
ตอนที่ 26



ถึงผมจะปฏิเสธอัฐไปอย่างสุภาพว่า "ไม่กลับครับ" แต่เขาไม่ได้สะทกสะท้านอะไร แค่นิ่งเงียบเหมือนรับรู้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะผมสุภาพไปหรือเปล่า เขาเลยเป็นแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ปฏิเสธอย่างรุนแรงก็ไม่กล้าอีกนั่นแหละ

ใครจะไปกล้าทำ...ใจอ่อนยวบยาบไปหมดแล้ว ฮือ

ในจังหวะที่ผมอยากเดินหนีขึ้นห้องให้จบๆ แม่ก็โผล่หน้ามาบอกว่ากับข้าวเสร็จแล้ว ทำให้ผมรู้ว่าแม่ลงมือทำอาหารเองอีกแล้ว...

ถ้าถามว่าเพราะใคร คำตอบก็คือไอ้แมวยักษ์หัวดำนี่แหละ

สุดท้ายผมก็ยังต้องเผชิญหน้ากับอัฐอย่างช่วยไม่ได้ แถมยังได้นั่งกินข้าวข้างกันอีกเพราะพ่อกับแม่นั่งข้างกันเป็นปกติอยู่แล้ว

แน่นอนว่าพ่อแม่ผมชวนอัฐคุยอยู่ตลอดมื้ออาหาร ราวกับเป็นลูกชายคนโปรด ซึ่งจังหวะที่ผมจะท้วงว่าลูกชายตัวจริงนั่งอยู่นี่ อัฐก็ทำสิ่งที่ทำให้ผมชะงักเสียก่อน

เขาตักกับข้าวที่อยู่ไกลจากผมมาใส่จานให้โดยไม่ได้พูดอะไร มันคือกุ้งทอดซอสมะขามตัวโต หนึ่งในของโปรดของผม

อ่า... ตอนนั้นสมองผมแฟลชแบ็คไปถึงตอนที่ผมนั่งกินข้าวกับเขาและพี่เฟย์ มีแต่พี่เฟย์ที่ตักกับข้าวมาให้ ส่วนอัฐแค่ตักกับข้าวใส่จานตัวเอง

ใจ...ใจอ่อนยวบยาบอีกแล้ว


แต่ก็ไม่กลับไปด้วยหรอกนะ ฮือ

สิ่งที่ผมทำมีแค่เอ่ยขอบคุณเขา ก่อนจะนั่งกินมื้อเย็นไปเงียบๆ เหมือนเดิม ปล่อยพ่อแม่นั่งจ้อไปตามสบาย แล้วเมื่อถึงเวลาที่อัฐต้องกลับบ้าน ผมก็เดินไปส่งเขาที่รถแล้วเอ่ยคำลาสั้นๆ

“กลับดีๆ นะครับ”

อัฐได้ฟังก็มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนเดิมที่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ก่อนจะตอบรับมาสั้นๆ เสียงเบา

“อืม”

แค่นั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ไม่มีคำรั้งว่าให้กลับไปด้วยกัน อะไรทำนองนั้น เขาก็แค่ตอบรับแล้วขึ้นรถ ขับออกไป ส่วนผมก็แค่เดินไปปิดรั้วบ้านตามปกติ

ก็...ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่

ถ้ายื้อสิแปลก

ต่อให้เขาจะมาตามผมถึงบ้าน แต่ก็นั่นแหละ ผมยังคงไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ผมจึงคิดว่าน่าจะทำถูกแล้วที่ไม่ได้กลับไป แม้ว่า...นั่นอาจเป็นการมาตามครั้งสุดท้าย

ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเลย

ผมคิด เหนื่อยอ่อน เดินเข้าบ้านไปก็เห็นว่าพ่อกำลังเก็บอัลบั้มรูปมากมายที่หยิบมาให้อัฐดูเข้าชั้น ซึ่งผมมองพ่อแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมา

“พ่อ...ถูกใจอะไรคุณอัฐเหรอ”

คำถามทำให้พ่อหันมามองแล้วยิ้ม

“ก็บอกแล้วไงว่าหายากที่จะเจอคนหนุ่มอ่านเพชรพระอุมา นี่พ่อคิดอยู่ว่าอยากชวนไปเดินป่า...”

“เขาไม่ไปหรอกพ่อ...”

คนอย่างอัฐจะไปลำบากในป่าเนี่ย... คิดภาพไม่ออกเลย

“ฮ่าๆ อาจจะไปก็ได้นะ” หัวเราะพลางเก็บอัลบั้มเข้าชั้น ดูทำทุกอย่างปกติจนผมจี๊ดใจขึ้นมานิดๆ

“ผมขอถามใหม่... ทำไมพ่อถูกใจเขาจนกล้ายกผมให้เขาล่ะ”

คำถามนี้ทำให้พ่อหันมามองอีกรอบ

“ก็ดูเป็นคนดีนะ หล่อดีด้วย”

“ไม่ใช่สิพ่อ... ผมหมายถึงผมเป็นผู้ชายนะ”

คำถามทำให้พ่อนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะหยิบอีกอัลบั้มเก็บเข้าชั้น ราวกับเราไม่ได้คุยเรื่องอะไรที่สำคัญขนาดนั้น ก็แค่เรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องซีเรียสจริงจังถึงขั้นนั่งจับเข่าคุยกัน

“พ่อมีเพื่อนที่เป็นหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง มันผลักดันสิทธิ LGBT มาก แต่พอลูกตัวเองเป็นขึ้นมาดันรับไม่ได้ พ่อเลยด่ามันไปยกใหญ่ แล้วพ่อก็แค่คิดว่าพ่อจะไม่เป็นอย่างคนที่ตัวเองด่า”

คำพูดเรียบๆ ของพ่อทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆ อยู่กลางอก และทำให้ผมอยากร้องไห้

“พ่อรู้นะ”

“เอ๊ะ?”

“ตอนนี้อยากกอดพ่อใช่ไหมล่ะ” ว่าแล้วก็หันมาอ้าแขนรอกอดจากผม

“ไม่ล่ะครับ...”

“ฮ่าๆๆ”

ถึงผมตอบอย่างนั้น สุดท้ายก็โผเข้าไปกอดพ่ออยู่ดี น้ำตาของความตื้นตันใจซึมออกมานิดๆ ซึ่งแม่ก็เข้ามาเห็นพอดี เราจึงคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น และแม่ก็เข้าใจโดยง่ายกว่าที่คิด ง่ายกว่าที่เคยทะเลาะกันเรื่องความฝันอยากเป็นนักพากย์ของผมอีก

“ที่แม่ยอมรับง่ายขนาดนี้...ไม่ใช่เพราะเขาหล่อใช่ไหมครับ” ผมอดถามพร้อมจ้องอย่างจับผิดไม่ได้

“โอ๊ย... อะไรกัน ไม่ใช่หรอกๆ” แม่ปฏิเสธ แต่ก็มีพิรุธด้วยการเดินหนี ทำให้ผมหลุดขำ ส่วนพ่อแน่นอนว่าขำชุดใหญ่เสมอ

“ยังไงถ้าจาไม่กลับไปอยู่กับเขา ให้เขามากินข้าวบ้านเราบ่อยๆ ได้นะลูก”

คำพูดนี้ของแม่ทำให้บรรยากาศแห่งความสุขที่ลื่นไหลหยุดชะงักเล็กน้อย ผมไม่รู้จะตอบว่ายังไงจึงได้แต่ยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาหาผมอีกไหม

อาจจะไม่มาแล้วก็ได้

แต่...

อ่า นั่นแหละครับ การเล่าเรื่องของอัฐมีคำว่า 'แต่' เสมอ

แต่เขาก็มาหาผมอีกในวันรุ่งขึ้น

ที่ทำงาน ช่วงพักเที่ยง แทบจะเวลาเดิม แต่คราวนี้มาเร็วขึ้น และไม่ได้แจ้งใครว่ามาพบ เหมือนแค่มารอผมเท่านั้น

“ไปกินข้าวกัน”

เขาเอ่ยชวนออกมาหน้าตาเฉย และผมก็ปฏิเสธไม่ทันเพราะกลุ่มรุ่นพี่ที่ผมจะไปกินข้าวด้วยดิ่งเข้าลิฟต์ที่มาพอดี และทิ้งผมไว้เพราะเข้าใจว่าผมจะไปกินข้าวกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่มาชวน...

เมื่อลิฟต์ปิดลงเพราะคนเต็ม ผมจึงต้องรอลิฟต์อีกรอบเพื่อลงไปกินข้าวกับอัฐโดยปริยาย

แต่...ถ้าคิดว่าอัฐจะพยายามพูดโน้มน้าวให้ผมกลับไปบ้านระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันสองคน ผมขอบอกเลยว่าคิดผิด

อัฐไม่พูดอะไรเลย ราวกับเขาแค่โผล่มาตามจุดประสงค์ กินข้าวก็กินข้าว ระหว่างทางไปร้าน ระหว่างรอข้าวที่สั่ง ระหว่างกิน เขาก็แค่เงียบ...ราวกับไม่มีเหตุจำเป็นให้พูด

จำได้เลยว่าเรื่องเดียวที่พูดในเที่ยงนั้นก็คือ...

“เธอไม่กินน้ำเย็นนี่”

เขาทักผมขึ้นมาตอนผมสั่งน้ำแข็งเปล่าสองแก้ว ก่อนที่จะบอกพนักงานเสิร์ฟให้ว่าแก้วนึงไม่เอาน้ำแข็ง ทำให้รู้ตอนนั้นว่าเขาสังเกตผมเรื่องนี้ด้วย...

โดยปกติแล้วผมไม่กินน้ำเย็นเพื่อรักษาเส้นเสียง แต่เวลากินข้าวข้างนอก บางครั้งผมขี้เกียจยุ่งยากจึงหยวนๆ ไป แต่ถ้าเป็นอัฐ เขาคงสั่งว่าไม่เอาน้ำแข็งได้ทุกครั้งแน่

อีกแล้ว ใจอ่อนยวบยาบอีกแล้ว

แล้วก็ยิ่งอ่อนยวบยาบเข้าไปอีกที่ตอนเย็นเขาก็ยังนั่งรอผมอยู่ พร้อมกับบอกว่า...

“เดี๋ยวไปส่ง”

อะไรกันเนี่ย ฮือ

และอาจเพราะใจอ่อนยวบยาบไปแล้วจึงทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธ ยอมให้เขาไปส่งถึงบ้านจนได้ ซึ่งเป็นอย่างนั้นอยู่ 2-3 วันก่อนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ โดยที่เขาก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวให้ผมกลับบ้านเขาเลยสักคำ

หรือพูดให้ถูก เขาแทบไม่ได้พูดอะไรเลยตามนิสัยที่เขาเป็น

พอเป็นอย่างนั้นก็พาลให้ผมไม่ค่อยกล้าชวนคุยเพราะความสัมพันธ์ตอนนี้ดูงงและก้ำกึ่งไปหมด จะคุยเรื่อยเปื่อยก็ไม่รู้ดีไหม หรือจะถามสิ่งที่สงสัยอย่างเรื่องหนังสือเสียงที่เขาให้คนอื่นพากย์ไปแล้วก็กลัวจะได้คำตอบที่ทำร้ายใจตัวเองอีก

สุดท้ายผมก็ได้แค่เงียบเหมือนที่เขาเงียบ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้เป็นแบบนี้ตลอดไป ผมตัดสินใจได้ในคืนวันศุกร์ว่าถ้าเขายังมาหา... ใช่ ถ้ามาหาน่ะนะ ผมจะถามเขาให้กระจ่างไปเลยว่าจะเอายังไงกันแน่ และคิดว่าวันเสาร์อาทิตย์นั้นจะลิสต์คำถามที่น่าจะมีล้นหน้ากระดาษ A4 เอาไว้เตรียมถามเขา

แต่...อัฐก็มาหาเร็วกว่าที่คิด

“จา ตื่นได้แล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วรีบลงมาเลย ด่วนๆ”

แม่มาเคาะประตูปลุกผมในเช้าวันเสาร์ ผมที่ยังงัวเงียไม่อยากตื่นก็ตะโกนถามว่าทำไม ก่อนจะได้คำตอบที่ทำให้ผมลุกพรวดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

“อัฐเขามาหาน่ะ อย่าปล่อยให้เขารอนานล่ะ”

อะ...อะไรกันเนี่ย!

ถึงจะโวยวายอยู่ในใจ แต่ก็ลุกตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำตามที่แม่สั่ง ก่อนที่จะนึกเปลี่ยนใจกลางคัน

ทำไม...ผมต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปเจอเขาด้วยล่ะ...

ไม่ได้บอกให้มาสักหน่อย นี่วันหยุดนะ!

ผมนึกอยากกลับเข้าห้องไปนอน แต่พอดีว่าใจไม่แข็งพอ จึงแค่แปรงฟันล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปเจอเขาแบบไม่ต้องพิธีรีตองอะไร

เดินลงมาที่ห้องรับแขกก็เห็นว่าอัฐนั่งอ่านหนังสืออยู่ ถือหนังสือมือเดียว ไขว่ห้างเลข 4 สบายใจราวกับเป็นบ้านตัวเองไปแล้ว แต่ชุดยังคงเป็นเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ แม้รองเท้าจะเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะตั้งแต่กลับมาเจอกันวันที่สองก็ตาม

เมื่ออัฐได้ยินว่าผมเดินมา เขาก็เหลือบสายตาขึ้นมามอง

“ไปเที่ยวกัน”

แล้วชวนออกมาหน้าตาเฉย

“เอ่อ... ไปไหนเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ”

“...”

ปะ...เป็นคนมาหาเอง จะไม่รู้ไม่ได้โว้ย!

“ทะเลไหม หน้าร้อน”

แต่เหมือนอ่านความคิดผมออก เขาเลยรีบเสนอมา

“แล้ว...คุณจะไปทั้งชุดนี้ ไม่ร้อนเหรอ” ผมถามถึงชุดเขาเพราะติดใจสงสัยมาหลายวันแล้ว

“ค่อยซื้อเปลี่ยนก็ได้”

“อ่า... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมสงสัยน่ะ คุณเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวเหรอครับ”

“เผื่อเธอชอบ”

อะไรนะ...?

แล้วทำไมผมต้องรู้สึกร้อนหน้าด้วยเนี่ย ฮือ

“ปกติฉันใส่แต่ชุดที่เจออะไรในตู้ก็หยิบๆ ขึ้นมา”

แต่มัน...มันก็ดูดีนะ แถมยัง...

“จะว่าไปคุณก็ใส่ชุดแบบที่ 'เจอก็ใส่' ไปออกงานไม่ใช่เหรอครับ...”

ผมถาม ซึ่งคราวนี้อัฐไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมก็ไม่อยากเว้นระยะบทสนทนานาน เพราะโคตรเขินและโคตรประหม่าสายตาที่เขาจ้องมาตอนนั้นเลย

“สรุปว่าแต่งหล่อมาหาผมเหรอครับ...?”

แล้ว...อาจเพราะความประหม่าก็เลยถามตรงกับที่คิดไปหน่อย

“ก็ใช่”

ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ยิ่งทำให้ประหม่า

ใจผมเต้นแรงจนใบหน้าน่าจะแดงแป๊ดเพราะเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ แต่ผมคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว...

ถามออกไป ถามออกไปเลย...

“ทำไมล่ะครับ?”

เมื่อจบประโยคคำถาม ใจก็เต้นแรงกว่าเก่าราวลุ้นจนคลั่งว่าคำตอบคืออะไร

และในที่สุด...ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ของเขาตอบมา พร้อมกับดวงตาสีดำที่ช้อนมองราวกับกำลังเชยคาง

“ฉันจีบเธออยู่”

อ่า...

ใครก็ได้

ใครก็ได้พยุงผมที


**

หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.27)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:01:48
ตอนที่ 27



ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อได้ยินอัฐบอกว่าเขาจีบผมอยู่

คนอย่างอัฐเนี่ยนะ...จีบผม?

เขา...เขาน่ะเหรอ?

จีบผม...คนนี้?

อา... ฝันอยู่ใช่ไหม?

และก่อนที่ผมจะเผลอยกมือขึ้นมาตบแก้มตัวเองเพื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เจ็บจริง พ่อก็โผล่หน้ามาทักทายอัฐ ไถ่ถามว่ามาหาผมแต่เช้าเลยเหรอ ซึ่งพออัฐตอบว่าจะพาผมไปเที่ยว พ่อก็หันมาตบหลังผมดังปุๆ บอกว่าไปสิๆ แล้วไล่ให้ผมไปอาบน้ำโดยไม่ได้ถามความสมัครใจผมสักคำ

แต่ถ้าถามว่าผมจะไปไหม...ก็ไปนั่นแหละ

ระหว่างอาบน้ำแต่งตัว ผมบอกตัวเองว่าจะใช้โอกาสนี้ถามสิ่งที่สงสัยให้หมด และหวังว่าเขาจะยอมตอบ...

อ่า นั่นสิ คนอย่างอัฐถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ตอบนี่นา

พอรู้แบบนั้น ผมจึงคิดว่าต้องตั้งเงื่อนไขขึ้นมา เพราะยังไงตอนนี้ผมก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ

...ล่ะมั้ง?

โอ้ย ต้องได้เปรียบสิ เขาเป็นคนมาหาผมเองนะ บอกว่าจะจีบผมด้วย! ผมต้องได้เปรียบสิ! ...ฮือ

สุดท้ายผมก็รู้สึกว่าต้องฮึ้บ ต้องทำใจดีสู้เสือทั้งที่เขามาหาผมเอง ซึ่งก็อาจเพราะเป็นอัฐล่ะมั้ง เป็นข้อยกเว้นเดียวที่ทำผมเดาใจไม่เคยถูกและตื่นเต้นประหม่าไปหมด เมื่อแต่งตัวเสร็จด้วยเสื้อฮาวายสีฟ้ากับกางเกงสีครีม ผมก็เดินออกไปหาอัฐที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม เขาเงยมองเมื่อรู้ว่าผมมา ทำเอาผมแอบสูดหายใจลึกๆ เพื่อพูดออกไป

“คุณอัฐ...สัญญาได้ไหมว่าถ้าผมไปเที่ยวกับคุณ คุณจะตอบทุกคำถามของผม”

“สัญญา”

อัฐเอ่ยอย่างรวดเร็วจนใจผมเหมือนถูกกระแทกเบาๆ แล้วเขาก็ลุกขึ้น บอกลาพ่อแม่ที่ยิ้มยินดียกมือบ๊ายบายให้ผมได้ไปเที่ยวกับเขาสองคน... ซึ่งเมื่อเขาขับรถออกมาได้แป๊บเดียวก็เลี้ยวเข้าห้างฯ เซ็นทรัลเวสต์เกตที่อยู่ใกล้บ้านผม

“เอ่อ... สรุปมาเที่ยวห้างเหรอครับ” ผมถามอย่างมึนๆ เอาจริงไม่แน่ใจหรอกว่าเขาจะไปทะเลอย่างที่เสนอเองหรือเปล่า

“มาซื้อเสื้อไง” เขาตอบ “เธอบอกว่าชุดนี้มันร้อน”

“อ่อ... จริงด้วยครับ” ผมตอบรับพร้อมกับที่เขาถอยรถเข้าซองเพราะห้างเพิ่งเปิดจึงหาที่จอดได้ไม่ยาก

คำตอบของเขาทำให้ได้รู้ว่าเขาจะพาไปเที่ยวทะเลจริงอย่างที่เสนอ ซึ่งผมเดาว่าคงไปไม่ไกลมาก เพราะไปเช้าเย็นกลับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้เตรียมเสื้อมา และคงไม่คิดจะซื้อแม้ว่าตอนนี้เราอยู่ในร้านเสื้อผ้าก็ตาม

ระหว่างที่อัฐเลือกเสื้อ ผมก็ดูนู่นดูนี่ในร้านไปเพลินๆ เพราะคาดว่าอัฐคงเลือกนาน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเขาเรียก

“ยัยหมวย”

“อะ... ครับ?”

ไม่รู้ทำไมผมต้องตอบรับอัตโนมัติ แถมคำเรียกนี้ก็ไม่ได้ยินมานานแล้วด้วย เมื่อหันไปก็เห็นว่าเขาเลือกเสื้อเชิ้ตแขนสั้นผ้าลินินอยู่

“เลือกให้หน่อย”

“เอ๊ะ?”

“สีอะไรดี”

แน่นอนว่าผมมึนงงเล็กน้อย เพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะขอให้ผมช่วยเลือก พาลก็นึกถึงตอนที่เขาขอให้วิจารณ์งานเขียนแต่สุดท้ายก็ไม่ปรับปรุงสักอย่าง... หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้นล่ะนะ

“สีฟ้าเทอร์ควอยซ์สวยดีนะครับ” ผมออกความเห็น แต่เมื่อคิดว่าไม่เข้ากับอัฐนักจึงแหวกราวเสื้อดูสีอื่น ซึ่งมีแต่สีที่ค่อนข้างสดใส ในที่สุดผมก็หยิบขึ้นมาตัวหนึ่ง “สีเหลืองมัสตาร์ดดูเข้ากับคุณนะครับ เหมือนตอนที่ย้อมหัวทองเลย”

ผมไม่รู้ว่าสีที่ผมเลือกนั้นถูกใจเขาไหม เพราะอัฐแค่มองแล้วก็เงียบ ก่อนที่จะ...พลิกดูสีอื่นๆ ต่อ

ไอ้...ไอ้บ้าเอ้ย!

รู้เลยว่าไม่ชอบอะ ฮือ

ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เคืองอะไรมากเพราะรู้นิสัยเขาดี ถึงแม้จะหวังว่าเขาจะเอาตามที่ผมเลือกบ้าง ในเมื่อ...เขาเพิ่งบอกว่าจีบผมอยู่แท้ๆ

อ่า... จะว่าไปใช้โอกาสนี้ถามสิ่งที่สงสัยดีกว่า

“ทำไมคุณถึงชวนผมไปอยู่บ้านคุณเหรอ? หมายถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรกน่ะครับ”

นี่คือคำถามแรกของผม อัฐที่เลือกกางเกงขาสั้นอยู่นิ่งคิดเล็กน้อย

“ก็เธอลำบากอยู่” ตอบก่อนจะเลือกกางเกงต่อ

“แปลว่าถ้าเห็นคนอื่นลำบากอยู่ ก็ชวนหมดเหรอครับ?”

“ฉันดูหน้าเธอด้วย”

คราวนี้เขาตอบโดยไม่คิด ทั้งที่เป็นคำตอบที่ทำคนฟังอย่างผมงงกว่าเดิม

“หมายความว่าไงครับ...”

แต่พอผมถาม เขาก็หยิบกางเกงที่เลือกได้แล้วหนึ่งตัวเดินไปทางอื่น ราวกับไม่อยากตอบ

ไหนว่าจะตอบทุกคำถามไง้!

อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ได้เซ้าซี้เขาที่หายเข้าห้องลองเสื้อไปแล้ว ได้แต่เดินดูแฟชั่นใหม่ๆ ฆ่าเวลาพลางหาคำตอบที่ติดค้างด้วยตัวเอง

ที่ว่าดูหน้าด้วยเนี่ย...โหงวเฮ้งเหรอ? หรือว่าแค่ไม่เหมือนโจรก็พอ หรือว่าดูซื่อๆ หลอกง่าย หรือว่าน่ารั—

อ๊าก! พอๆ เป็นไปไม่ได้หรอก

“ไปกันเถอะ”

พลันผมก็ต้องสะดุ้งแม้เสียงของอัฐที่ดังอยู่ด้านหลังจะเบาแสนเบา และเมื่อหันไปมองก็ต้องสะดุ้งอีกต่อเพราะอัฐอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นผ้าลินินสีเหลืองมัสตาร์ด...

ขอย้ำตรงนี้

สี-เหลือง-มัส-ตาร์ด-ที่-ผม-เลือก!

“คุณเลือกสีนี้เหรอ?”

“ทั้งสองสีที่เธอเลือกนั่นแหละ”

อะ...แปลว่าในถุงกระดาษที่หิ้วอยู่มีเสื้อสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ด้วยเหรอ?

ไม่ทันให้ผมสงสัยนานกว่านั้น เขาก็ยื่นถุงกระดาษอีกถุงมาให้

“นี่ของเธอ”

“ขะ...ขอบคุณครับ”

ผมที่ยังมึนงงอยู่รับมาโดยอัตโนมัติ เปิดดูในถุงก็เห็นว่าเป็นเสื้อเชิ้ตแบบเดียวกัน แต่เป็นสีชมพูอมแดง

“เห็นว่าเธอชอบสีแดง”

พูดจบก็เดินออกจากร้านไปเลย ทิ้งผมยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะได้สติเดินตามไป

ก็จะไม่ให้อึ้งได้ยังไง...ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบสีแดง

แน่นอนว่าผมจมอยู่กับความอึ้งจนเพิ่งสังเกตว่าอัฐเปลี่ยนกางเกงยีนส์เป็นกางเกงขาสั้นด้วยก็ตอนที่ขึ้นรถมาแล้ว แต่ผมก็ยังคงอึ้งต่อไปแล้วพยายามคิดว่าตรงไหนบ้างที่ทำให้เขาคิดว่าผมชอบสีแดง

เคสมือถือเหรอ? แค่นั้นไม่น่าพอ เสื้อ? ก็ไม่ค่อยใส่สีแดงนะ รองเท้า? มีสีขาวแซมสีแดงอยู่คู่เดียว... อ่า รองเท้าแตะด้วยอีกคู่ แล้วก็หูฟังที่ใช้พากย์... แต่นั่นมันอยู่ในห้องนี่

โอย... รู้ได้ไงเนี่ย

แต่จะรู้ได้ไงก็ช่าง

สรุปแล้วเขาก็ทำใจผมอ่อนยวบยาบอยู่ดี ฮือ

ระหว่างการเดินทาง ผมที่รู้สึกว่าสติหลุดไปแล้วในเลเวลแรกก็พยายามเรียบเรียงคำถามที่อยากจะถามเขา ซึ่งคำถามที่สองที่เลือกมาได้ ผมเอ่ยถามเขาก่อนที่เราจะแวะร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง

“วันก่อนผมเห็นว่ามีหนังสือเสียงเล่มสองขายในแอพฯ แล้วน่ะครับ คุณเจอนักพากย์ใหม่ที่ถูกใจแล้วเหรอ?”

มันเป็นคำถามที่ผมต้องรวบรวมความกล้ามากพอดูก่อนจะถามออกไป เพราะผมกลัวคำตอบว่า ใช่ เขาถูกใจนักพากย์คนใหม่แล้ว

กลัว...ทั้งที่เขาเพิ่งบอกว่าจีบผมอยู่นี่แหละ เพราะความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาคิด หรือว่ารู้สึกอะไรอยู่กันแน่

“ฉันไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ”

“เอ๊ะ?”

“ฉันปล่อยให้สำนักพิมพ์จัดการ”

“คนเนี้ยบแบบคุณเนี่ยนะครับ...?”

“อืม”

เสียงตอบเบาๆ จากลำคอทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้พูดมาตรงๆ หรอกว่าชอบเสียงผมขนาดไหน แต่ถึงขั้นไม่คิดฟังนิยายเสียงตัวเอง มันก็...

โอ้ย พอ

หยุดคิด

ใจเหลวหมดแล้วโว้ย!

ถ้าอยู่คนเดียวผมอาจจะตบๆ แก้มตัวเองให้ได้สติ แต่นี่อยู่กับเขาแค่สองคนในรถ ผมจึงได้แค่หันมองออกนอกหน้าต่างแล้วพยายามยิ้มให้น้อยๆ

ไอ้ที่คิดว่าอยากจะถามทุกคำถามให้หมดทีเดียวก็กลายเป็นว่าโคตรยากเย็น เพราะถ้าไม่ค่อยเป็นค่อยไป คนที่จะตายก็คือผม...

ไม่ใจอ่อนยวบยาบตาย ก็น่าจะใจสลายตายเพราะคำตอบไม่ตรงกับที่หวังนั่นแหละ

ในที่สุดผมก็ทำใจนิ่งๆ ได้อีกครั้งเมื่อเรามาถึงร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง และเหมือนเดิมที่อัฐใส่ใจกับน้ำดื่มของผมว่าต้องไม่ใส่น้ำแข็ง ซึ่งก่อนจะใจเหลวมั่วซั่ว ผมก็ชวนคุยเรื่องอื่นก่อน

“ตกลงว่าคุณจะไปทะเลที่ไหนเหรอ นี่มันก็ผ่านชะอำแล้วนะครับ”

“ปราณบุรี”

เขาตอบมาสั้นๆ น่าจะคิดไว้อยู่แล้ว

“โอ้... อีกไกลเลย”

“ในบรรดาชะอำ หัวหิน และปราณบุรี ปราณบุรีสงบสุดแล้ว”

เหตุผลที่ได้ฟังทำให้ไม่แปลกใจเท่าไหร่สำหรับคนขี้รำคาญอย่างอัฐ และถึงแม้จุดหมายจะอยู่ไกลสักหน่อย แต่นี่ก็น่าจะเกือบครึ่งทางแล้ว คงได้อยู่สำหรับการมาเที่ยวทะเลแบบไปเช้าเย็นกลับ

อีกอย่าง...อัฐน่าจะชอบขับรถเล่นอยู่แล้วมั้ง

เมื่อมื้อเที่ยงจบลง ผมที่หายประหม่าและใจเหลวมั่วซั่วก็ตัดสินใจถามอีกคำถามขณะที่เพิ่งขึ้นรถและกำลังคาดเข็มขัดนิรภัย

“จะว่าไป...แคตตัสที่คุณบอกว่ามันจะตายนี่อาการยังไงครับ ซีด โคนเหลือง หรือว่ายังไง”

“กลับไปดูที่บ้านสิ”

“...”

ทะ...ทำไมพูดออกมาได้นิ่งขนาดน้าน!

ทำม้าย!

ผมอยากเอาหัวโขกคอนโซลรถกับการได้เห็นว่าเขาตอบมานิ่งๆ ตาก็มองทาง มือก็บังคับพวงมาลัย ทำไม...ทำไมพูดอะไรที่เป็น ‘การหยอด’ ออกมาได้หน้าตาเฉยขนาดนั้นอะ ฮือๆ

อ่า... หรือว่า... ไม่รู้ตัววะ

ฮือ ไม่รู้แล้วโว้ย

อีกอย่างถ้าเจ้าแมมขนนกขาวจะตายจริงๆ เขาก็น่าจะบอกรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้ ผมเลยคิดว่าค่อยถามอย่างจริงจังทีหลังก็ได้ ส่วนตอนนี้...วิธีหนีความเขิน ความใจอ่อนยวบยาบ ความใจเหลวทั้งหมดทั้งมวลก็คือ...หลับแม่ง

ครับ หลับหนีได้ทุกอย่าง

ผมนอนพิงเบาะ หันหน้าออกนอกหน้าต่าง หลับตาลง ก่อนที่ไม่นานจะผล็อยหลับจริงๆ คงเพราะเป็นวันหยุดที่ตื่นเช้าไปหน่อย ยิ่งมานั่งรถแบบนี้ยิ่งง่วง

ผมหลับสนิทอยู่นาน ช่วงท้ายถึงหลับๆ ตื่นๆ คิดแค่ว่าถ้าถึงที่หมายเขาคงปลุกผมเอง จนผมก็ได้สะดุ้งตื่นด้วยเสียงเบาๆ ของเขา

“ยัยหมวย”

มันเป็นคำเรียกที่ผมสะดุ้งทุกทีที่ได้ยิน แต่ครั้งนี้เรียกแล้วไม่มีการพูดอะไรต่อ เขาเพียงมองตรงไปข้างหน้าแบบคนที่กำลังขับรถ ผมจึงมองรอบข้างอย่างมึนงง ก่อนจะได้เห็นว่านอกหน้าต่างรถทางซ้ายมือคือทะเลแล้ว

“ถึงปราณบุรีแล้วเหรอครับ”

“อืม”

ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา พบว่าสามโมงกว่าแล้ว ดูแดดในหน้าร้อนก็น่าจะยังไม่ชิวเท่าไหร่ในการเดินเล่น อัฐจึงเลี้ยวเข้าในลานจอดของร้านอาหารของรีสอร์ทริมทะเลแห่งหนึ่ง

เมื่อลงจากรถ ผมก็สังเกตได้ว่าปราณบุรีถือเป็นทะเลที่เงียบกว่าชะอำและหัวหินจริงๆ แม้บริเวณชายหาดที่เรามาหยุดพักจะติดกับถนนเส้นเล็กๆ และอีกฝั่งถนนเป็นพวกร้านอาหารและรีสอร์ทก็ตาม

“หิวอะไรไหม” อัฐถามผมที่มัวเหม่อมองบรรยากาศอยู่

“ยังเลยครับ แต่หิวน้ำนิดหน่อย” ผมบอกตามประสาคนเพิ่งตื่น อัฐจึงเปิดรถแล้วหยิบขวดน้ำออกมาให้
“คืนนี้ฝนน่าจะตกนะ”

แล้วระหว่างที่ดื่มน้ำอยู่ เขาก็พูดเรื่องดินฟ้าอากาศขึ้นมา ถ้าเป็นแมวก็คงกำลังล้างหน้าตัวเองอยู่ เคยเห็นจากการ์ตูนว่าถ้าแมวล้างหน้าแปลว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ทันให้โต้ตอบหรือพูดถึงเรื่องแมวล้างหน้า เขาก็เอ่ยมาอีก

“ไปเดินเล่นกัน”

ว่าจบก็เดินนำไปเลย เป็นการชวนที่เหมือนบอกว่าจะมาก็มานะ เพราะเขาเดินข้ามถนนไปยังฝั่งชายหาดโดยไม่สนใจหันมามองผมแต่อย่างใด

นี่...นี่จีบกันจริงหรือเปล่าเนี่ย ฮือ

แต่เอาเถอะ ยังไงมันก็ไม่มีรถผ่านอยู่แล้วล่ะนะ

ผมคิดแง่ดีระหว่างเดินตามเขาต้อยๆ และน่าประหลาดที่แดดร่มพอดีเมื่อเราเดินเลียบริมหาด

มันเป็นชายหาดที่ไม่ใหญ่มาก และเพราะติดถนนจึงมีบันไดสำหรับเดินลงไปที่หาด ดูเป็นคอนกรีตที่แทรกเข้ามาในธรรมชาติราวกับของแสลง แต่บรรยากาศก็สงบอย่างน่าประหลาด เหมือนว่าตอนนี้มีแค่เสียงคลื่นทะเล เสียงลม และเสียงฝีเท้าเบาๆ ของเราสองคน และเมื่อถึงบริเวณที่ห่างไกลจากร้านอาหารและรีสอร์ทต่างๆ แดดก็กลับมาจัดจ้าให้เห็นขอบเงาของต้นปาล์มที่เรายืนกันอยู่ใกล้ๆ อย่างชัดเจน

“นั่งเล่นตรงนี้ไหม” อัฐถาม แต่ก็เหมือนเป็นแค่ประโยคบอกเล่า เพราะเขานั่งลงบนขั้นบันไดไปก่อนแล้ว ซึ่งผมไม่ได้ท้วงอะไรนอกจากนั่งลงข้างๆ

แล้ว...ก็มีแต่เสียงคลื่นทะเลกระทบหาดทรายและเสียงลม

เอ่อ... มันควรจะคุยกันไม่ใช่เหรอ? ใช่ไหม? ผมเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม?

หรือว่าการมานั่งดูวิวเงียบๆ คือการมาเที่ยวทะเลอย่างแท้จริงของเขา แล้วผมก็ไม่ควรรบกวนวะ

แต่...แต่เขาบอกว่าจีบผมอยู่นะ...

โอ้ย!

ทำไม...ทำไมผมดูวุ่นวายใจกว่าคนที่บอกว่าจีบอีกเนี่ย ทำม้าย!

“เอ่อ...” สุดท้ายผมเลยหยุดความวุ่นวายใจด้วยการเกริ่นเพื่อชวนคุยก่อน “ตอนผมไม่อยู่บ้านคุณแล้ว อะไรๆ มันแปลกไปเหรอครับ”

ผมถาม และอาจเพราะไม่ได้เรียบเรียงให้ดี คำถามเลยแอบฟังดูหลงตัวเองจนชวนให้ร้อนหน้าขึ้นมา

“อืม”

ตะ...แต่เขาก็ตอบรับมาโดยไม่อ้อมค้อม แม้ยังมองวิวทะเลตรงหน้าเหมือนเดิม

“อ่า... เพราะคุณอยู่คนเดียวล่ะมั้งครับ” เหมือนว่าผมแก้เขินให้ตัวเองก่อนจะหัวเราะแห้งๆ แต่นั่นกลับทำให้อัฐหันมาสบตา เล่นเอาใจผมวูบไหวไม่ทันตั้งตัว

“ฉันเลยอยากให้เธอกลับมาไง”

แล้วก็ยิ่งไหววูบถึงขั้นเหวี่ยงไหวเมื่อได้ยินเสียงเบาๆ บอกเช่นนั้น

สุดท้ายผมหลบตาเขาไปก่อน ทำทีเป็นมองทะเลตรงหน้าแล้วถามต่อ

“เพราะแบบนี้...เลยจีบผมเหรอครับ?”

ครั้งนี้เขาเงียบไปนาน ผมไม่รู้ว่าเขากำลังมองผมอยู่ไหม รู้แค่ว่าใจลุ้นรอคำตอบจนเต้นแรง แม้จะเชื่องช้าราวคล้อยตามบรรยากาศอ้อยอิ่งของทะเล แต่ก็หนักหน่วงอยู่ในที จนเริ่มจะทรมานนิดๆ

“เธอจะกลับมาในฐานะอะไรก็ได้ ฉันแค่อยากให้เธอกลับมา”

ในที่สุดเสียงเบาๆ นั้นก็ตอบออกมา

แต่..ไม่มีอะไรชัดเจนเลยสักอย่าง

เขาไม่ได้ตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่

ไม่ได้ตอบว่าที่ตามจีบเพราะแค่อยากให้กลับไป แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

มีแค่การบอกว่าอยากให้กลับไป...ในฐานะอะไรก็ได้

ทำไมกันล่ะ?

จะว่าไปแล้ว...เขาก็ไม่ได้บอกสักคำเลยว่าชอบผมนี่นา...

“คุณจะบอกว่า...ให้ผมกลับไปอยู่ในฐานะเฮาส์เมทก็ได้เหรอครับ?”

“อืม”

“...”

คำตอบที่รวดเร็วของเขาทำเอาใจผมชาหนึบอย่างยากจะอธิบาย

แม้ไม่ได้หันไปสบตา แต่ก็รู้สึกเหมือนโดนสะกดให้ชาอย่างช้าๆ

ต่อให้เขา...ทำใจผมอ่อนยวบยาบได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่เขากลับไม่มีอะไรชัดเจนเลย

ถ้าชอบกันจริงๆ จะยอมให้กลับอยู่แค่ในฐานะเฮาส์เมทเหรอ?

หรือ...ก็เพราะชอบจริงๆ เลยยอมให้ผมมาอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ ขอแค่อยู่ก็พอเหรอ?

แต่ถึงพยายามคิดในแง่ดีแค่ไหน ใจผมก็เริ่มชาหนึบ สมองจมอยู่ในความคิดจนแม้แต่เสียงคลื่นทะเลก็ถูกกลืนหาย

“จา”

แต่พลันเสียงคลื่นก็กลับมากระทบฝั่งอีกครั้งเมื่ออัฐเรียกผม

ครั้งนี้ผมหันไปสบตาโดยไม่รู้ตัว

“ฉันขอถามอะไรเธออย่างหนึ่ง”

ดวงตาที่จ้องมองมาราวกับจะล้วงความคิดก็ทำให้ใจผมกลับมาเต้นในจังหวะที่ลุ้นรออีกครั้ง

“ถ้าคืนนี้...ฉันอยากค้างที่นี่ล่ะ”

“...”

ผมนิ่งอึ้ง ลืมไปแล้วว่าหัวใจกำลังเต้นในจังหวะไหน ลืมแม้แต่ความคลุมเครือที่ดูดเสียงคลื่นทะเลหายไปเมื่อครู่

ทั้งที่เคยอยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมรู้สึกตระหนก ไม่สิ อาจจะถูกแล้ว เพราะผมก็ไม่เคยนอนห้องเดียวกับเขามาก่อน พลันไอ้ใจไม่รักดีก็จินตนาการเตลิดไปไกลถึงลักษณะห้องนอน เช่นว่า เตียงคู่ หรือว่าเตียงเดี่ยว...

ไม่ ไม่ ไม่

ทางที่ดีที่สุดคือปฏิเสธเซ่! กลับบ้าน!

ผมบอกตัวเอง แต่ก่อนจะได้อ้าปากพะงาบบอกเขาอีกคน อัฐก็ใช้เสียงเบาของเขาพูดมาคำหนึ่ง แต่เหมือนเป็นคลื่นทะเลที่สาดเข้ามาอย่างแรงจนผมลอยไปตามกระแสน้ำ ไม่อาจยึดยืนได้อีกต่อไป

เพียงคำเดียวเท่านั้น...

“ได้ไหม”


**




หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.28)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:03:06
ตอนที่ 28



ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว

เกินต้าน

คนคนนี้มันอะไรกัน

ทำไมแค่คำคำเดียวของเขาเล่นเอาผมถูกคลื่นความรู้สึกซัดจนจมลงไปเสียได้

แต่ก็เพราะจมมลงไปนั่นแหละ ผมจึงทรมาน ตะเกียกตะกาย ดิ้นรนโผล่ให้พ้นผิวน้ำ โดยนึกถึงคำตอบคลุมเครือเรื่องความสัมพันธ์เมื่อครู่ พยายามคิดว่าถ้าผมถลำลึกไปอีก ก็อาจยิ่งจมลงในความคลุมเครือลึกจนขึ้นมาไม่ได้

“ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่ว่าจะค้างคืนนะครับ”

แล้วในที่สุดผมก็โผล่พ้นขึ้นมาด้วยข้ออ้างนี้ ถึงมันฟังดูเด็กไปหน่อยแต่ก็ดีที่สุดที่ผมจะคิดออกมาได้ในเวลาสั้นๆ แล้ว

“เดี๋ยวฉันโทรบอกพ่อเธอให้ก็ได้”

แต่ข้ออ้างก็ถูกตีกลับอย่างง่ายดาย

อีกอย่าง...อัฐไปมีเบอร์พ่อผมตั้งกะเมื่อไหร่เนี้ย?!

“ผมไม่มีค่าที่พักนะครับ”

แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้

“ฉันออกให้ได้”

ซึ่งอัฐยังเอาชนะ ไม่สิ เขาไม่น่าคิดว่านี่เป็นการแข่งอะไร ก็แค่รอฟังแล้วโต้กลับเท่านั้น

“ผมเกรงใจคุณน่ะ”

“ฉันเป็นคนพาเธอมาเที่ยวเอง ไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน จังหวะที่ผมจะอ้าปากเถียง เขาก็พูดมาอีก “อีกอย่างฝนตกคงขับรถลำบาก”

คำพูดเขาทำให้ผมเงยมองท้องฟ้า จริงอยู่ว่ามีเมฆอยู่บ้างทำให้เราได้ร่มเงาตอนเดินเล่นเมื่อครู่ แต่มันยังดูปลอดโปร่งจนไม่น่าจะมีฝนตก ผมหันไปจะถามว่าเขารู้ได้ยังไงแต่เขาก็พูดเรื่องอื่นมาก่อน

“ไปจองห้องพักกัน”

ว่าแล้วก็เดินนำไปเลย ทำให้ผมต้องลุกและรีบเดินตามพร้อมพับเก็บคำถามเรื่องฝนไปและไม่ได้คิดจะถามอีก...จนกระทั่งฝนตกจริงๆ ในคืนนั้นตามที่เขาทำนาย ราวกับเป็นเจ้าแมวล้างหน้าจริงๆ

แต่ก่อนจะตัดฉากไปเล่าเรื่องยามค่ำคืน ผมขอกลับมาเล่าต่อจากจุดเดิมก่อน

แน่นอนว่าผมพยายามนึกคำค้านการค้างคืน แต่ก็นึกไม่ออกไปจนถึงตอนที่อัฐเดินกลับมาที่รีสอร์ทที่เขาจอดรถไว้ มุ่งตรงไปที่ล็อบบี้โดยมีจุดหมายคือเช่าห้องพัก ผมมองแล้วก็อยากจะรั้งแขนไว้แล้วบอกว่ากลับกันเถอะ แต่เพราะรู้ว่าไม่มีเหตุผลดีๆ ไม่ให้เขาตีกลับจึงได้แต่เงียบ

เมื่อเขายืนตรงหน้าล็อบบี้แล้วพนักงานสาวสวยไหว้ต้อนรับ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าอย่างบอกไม่ถูก นึกสงสัยว่าเขาจะจองห้องแบบไหน ผมต้องค้านไหม แล้วก็พบว่า...

“ขอห้องพัก 2 ห้องครับ”

พบว่า...ผมเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียว!

2 ห้อง! 2 ห้องจริงดิ?!

“คุณอัฐ... มันไม่แพงไปเหรอครับ?” เมื่อตั้งสติได้ตอนพนักงานเอ่ยบอกราคาห้องละครึ่งหมื่น สองห้องก็เป็นหมื่น ผมก็รีบท้วงเขาไป

“หรือเธออยากพักห้องเดียวกันล่ะ?”

“...”

ผมได้แต่เงียบ เถียงไม่ออก ที่จริงจะเถียงก็เถียงได้ว่าสำหรับผมมันแพงโดยใช่เหตุ แต่ผมคงประหม่าจนช็อกตายถ้าได้นอนห้องเดียวกันกับเขา ผมเลยไม่กล้าพูดอะไร ซึ่งเมื่ออัฐเห็นดังนั้นก็หันกลับไปยืนยันการเข้าพักกับพนักงาน แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปท่ามกลางความ ‘ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ไง’ ของผม

ตั้งแต่เช้าแล้ว...ไม่รู้ว่าผมออกจากบ้านมานั่งอยู่บนเตียงของรีสอร์ทที่ปราณบุรีได้ยังไง

โอ้ย อยากจะบ้าตาย

ผมคิดพลางล้มตัวลงนอนบนเตียงคิงไซส์ในห้องพักราคาครึ่งหมื่นที่ผมเข้าพัก ‘เพียงคนเดียว’ ในห้องนี้ แถมกระเป๋าสัมภาระก็ไม่มีสักใบนอกจากถุงเสื้อผ้าที่อัฐให้มา แต่เออ ในเมื่อมาอยู่ตรงนี้แล้วก็ขอพักผ่อนให้เต็มที่แล้วกัน

ผมกะหลับสักงีบเพราะก่อนแยกกับอัฐมาเข้าห้องของตัวเอง เขาบอกว่าเจอกันอีกทีตอนมื้อเย็น แต่อาจเพราะหลับบนรถไปแล้วจึงตาสว่าง ผมจึงออกไปนั่งตรงระเบียงห้องที่กว้างมากพอจะจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวย่อมๆ ได้ แถมมีเดย์เบดให้นั่งเล่นอีกต่างหาก แต่คงเพราะเป็นห้อง garden view ที่เต็มไปด้วยต้นไม้จึงยุงเยอะจนผมต้องหนีกลับเข้ามา

สิ่งที่ผมเลือกทำเป็นอันดับต่อมาคือเปิดทีวีดู แต่ในจังหวะเดียวกันกับที่ทีวีฉายฉากจัมพ์สแคร์ของหนังผีให้ผมสะดุ้งโหยง เสียงมือถือก็ดังขึ้น

หยิบขึ้นมาเห็นว่าปรากฎชื่อ ‘ไอ้คุณอัฐ’ บนหน้าจอ ผมรีบหรี่เสียงทีวีแล้วรับสาย

“ฮัลโหลครับ”

“ยัยหมวย”

“ครับ?”

“เธอใส่ชั้นในไซส์อะไร”

“...”

เดี๋ยวๆ ทำไมอยู่ดีๆ โทรมาถามเรื่องนี้ล่ะ?!

“...อะ...อะไรนะครับ?”

ผมกลั่นเสียงถามไปอย่างยากเย็น เผื่อว่ามีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น

“งั้นเอวเท่าไหร่?”

“...”

“น้ำหนักก็ได้”

“คุณถามอะไรผมเนี้ย?!”

ผมโวยวาย ก่อนจะได้ยินเสียง ‘หึ’ เหมือนตอนเขาหัวเราะเบาะๆ ด้วยลมหายใจ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าขึ้นสี

“เธอจะใส่กางเกงในซ้ำสองวันเหรอ?”

แล้วคำถามย้อนก็ทำผมหน้าขึ้นสีกว่าเก่า แถมร้อนหน้าจนถ้าเอาเสื้อมาแนบก็คงเรียบเหมือนรีดด้วยไอน้ำ

“ฉันมาซื้ออยู่ ตกลงว่าไซส์อะไร?”

เป็นผมเอง...ที่เข้าใจผิดเต็มๆ

ตั้งแต่เรื่องห้องพักแล้ว

หรือจริงๆ แล้วผมเป็นคนลามกกันนะ ฮือ

ผมตอบไซส์ชั้นในของตัวเองไปด้วยเสียงอ้อมแอ้มขณะยกมือกุมขมับ ซึ่งไอ้คุณอัฐก็ตอบรับมาเพียงว่า ‘อืม’ แล้ววางสายไปเลย ทิ้งให้ผมล้มตัวลงนอนแหมะลงบนเตียงแบบหมดแรงจะก้าวเดิน

ก็ใครมันจะไปคิดล่ะว่า...คนอย่างเขาเลือกซื้อกางเกงในให้ผมอยู่!

อีกอย่างใครเขาถามไซส์กางเกงในคนที่ตัวเองจีบกันล่ะโว้ย!

ผมได้แต่นอนร้องฮือๆ ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ผสมปนเป และยิ่งร้องเสียงดังในความคิดเมื่อเขามาเคาะห้องแล้วยื่นของที่ซื้อมาให้หน้าตาย ก่อนจะชวนออกไปกินข้าวเพราะตอนนั้นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มพอดี

ผมแอบตบหน้าตัวเองเบาๆ เป็นการตั้งสติก่อนออกไป ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หลังจากเขาบอกว่าจีบผมอยู่ ผมยิ่งต้องใช้พลังในการเผชิญหน้าเขาโคตรเยอะเลย

หวังว่าผมจะไม่ทำอะไรน่าอายเหมือนตอนคุยโทรศัพท์เมื่อกี้นะ ฮือ

ผมกับเขาเดินไปตามทางเดินของรีสอร์ท ผ่านโซนห้องพักและสปาที่ร่มรื่นด้วยบ่อน้ำและต้นไม้ มาถึงโซนร้านอาหารและบาร์ที่อยู่ติดริมถนน อีกฝั่งเป็นทะเล นั่งกินข้าวแล้วมองไปด้านนอกจะได้เห็นทะเลชิวๆ แถมตอนพวกผมมาถึง ดนตรีสดก็เริ่มเล่นเป็นเพลงสากลอะคุสติกให้ยิ่งชิวเข้าไปอีก

พวกผมเลือกนั่งโต๊ะริมๆ ที่เป็นมุมสงบแม้ว่าลูกค้าภายในร้านไม่ได้แน่นจนเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจ สั่งอาหารเสร็จก็ฟังเพลงเพลินๆ ซึ่ง...ไอ้คุณอัฐดูไม่มีทีท่าจะชวนผมคุยเลย หยิบมือถือขึ้นมากดๆ อะไรสักอย่างจนผมหยิบมากดบ้าง แต่พอเขาล็อกหน้าจอแล้ววางลงบนโต๊ะ ผมเลยเริ่มชวนคุย

“คุณอัฐชอบมาทะเลเหรอ”

“คงงั้น” เขาตอบ “พ่อชอบพามาตอนเด็กๆ”

“อ่อ...”

แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่าควรถามอะไรอีกเมื่อเขาพูดถึงเรื่องพ่อขึ้นมา พอดีกับที่อาหารจานแรกมาเสิร์ฟ มันคือสเต็กเนื้อที่เขาสั่ง ซึ่งอัฐก็ยังไม่ได้แตะ คงรอให้ของผมมาพร้อมกันก่อน

“ชอบกินแบบมีเดียมแรร์ใช่ไหมครับ” ผมถาม

“อืม” อีกครั้งที่ตอบสั้นๆ “เหมือนเธอแหละ”

แล้วไม่ทันตั้งตัวว่าเขาจะขยายความมาแบบนั้น แต่ผมก็นึกอะไรได้ขึ้นมา

ตอนเคยทำให้กินก็ไม่บอกตรงๆ ว่าชอบนี่หว่า...

ฮึ่ย! มันน่านัก

แต่ผมก็ไม่ได้ประท้วงอะไร และเมื่อข้าวผัดกุ้งที่ผมสั่งมาเสิร์ฟ เราจึงเริ่มทานมื้อค่ำกันท่ามกลางเสียงดนตรีอะคุสติกที่พูดแทนพวกเรา

อัฐยังคงเงียบเหมือนเดิม ไม่ได้ชวนคุย ผมคิดว่าเมื่อจบมื้ออาหาร เราก็อาจแค่แยกไปพักที่ห้องตัวเอง ยกเว้นถ้าเขาชวนไปเดินเล่นที่ไหนก็คงดูเหมือนเป็นการเที่ยวทะเลขึ้นบ้าง

แต่เมื่อผมกับเขากินข้าวหมด เสียงฝน 2-3 เม็ดแรกก็ดังเปาะแปะ ก่อนที่ชุดใหญ่จะเทกระหน่ำลงมาจนกลบเสียงดนตรีสดเกือบหมด
“สั่งอะไรเพิ่มไหม” อัฐถามผมเมื่อเห็นแบบนั้น คงคิดว่าน่าจะติดอยู่ที่นี่อีกนานเพราะทางเดินของรีสอร์ทไม่ได้มีหลังคาคลุมตลอด และถึงมีร่มให้ก็คงลำบากอยู่ดี

“ผมอิ่มแล้ว คุณอัฐสั่งเลยก็ได้”


“งั้นดื่มอะไรรอฝนตกแล้วกัน” ว่าจบก็เรียกพนักงานขอเมนูเครื่องดื่ม ผมรับเมนูก็เห็นว่ามีเมนูเหล้าเบียร์ และค็อกเทลหลากหลายเต็มไปหมด น่าลองดูเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็คิดว่าไม่ควรดื่มถ้ามากับอัฐ แต่เขาดักมาก่อน

“แก้วเดียวเธอคงไม่เมาหรอก สั่งไปเถอะ”

สงสัยจะเห็นผมจดจ่ออยู่นานแฮะ...
“งั้น...เอา Mermaid Mules ครับ” ผมบอกพนักงานเพราะชื่อมันดูเหมาะกับการมาทะเลดี ตอนแรกว่าจะสั่ง Blue Hawaii แต่ได้ยินชื่อบ่อยกว่าเลยไม่เอา “แล้วคุณอัฐไม่สั่งเหรอ”


ผมถามเพราะเขาทำท่าจะคืนเมนูให้พนักงาน พอได้ยินก็นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ย

“ก็ได้”

ว่าแล้วก็สั่งเบียร์นอกขวดนึง เหมือนบอกให้สั่งก็สั่ง

“คุณไม่ค่อยชอบดื่มเหรอ” ผมถามตอนที่เมนูของเขามาเสิร์ฟเป็นแก้วใหญ่
“กินได้ แต่ชอบเบียร์คราฟต์มากกว่า เหล้าก็ขี้เกียจชง”

“อ่อ ผมไม่เคยกินเบียร์คราฟต์เลยอะ”

“ถ้าอยากกิน ไว้จะพาไป”

ว่าจบก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบพลางมองไปยังวงดนตรีด้านหน้าที่เสียงดนตรีเริ่มกลับมาดังเพราะฝนลดความเกรี้ยวกราดลง ขณะที่ผมเหมือนได้ยินเสียง ‘ป๊อง’ อยู่ในหัวตัวเอง

เอ่อ... มันเหมือนเป็นเอ็ฟเฟ็คต์แบบการ์ตูนเวลาดอกไม้บานในใจน่ะครับ

คนอย่างอัฐเนี่ยนะพูดว่า ‘ไว้จะพาไป’

โอย จะบ้าตาย

อดตื่นเต้นไม่ได้เลยว่าร้านที่เขาชอบไปเป็นแบบไหน

“จะว่าไป ฝนตกจริงๆ อย่างที่คุณบอกเลยทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน คุณดูออกได้ไงอะ” ผมหาเรื่องคุยอื่นไม่ให้ความคิดเตลิดไปไกลกว่านี้ ซึ่งเขาก็เบนสายตามามอง พอดีกับที่ Mermaid Mule มาเสิร์ฟ

“พ่อเป็นคนสอนฉันดูท้องฟ้ากับสภาพอากาศ”

โอ้... พูดถึงพ่ออีกแล้วแฮะ

ผมหยิบค็อกเทลแก้วสีฟ้าที่มีมะนาวซีกเสียบอยู่ขึ้นมาจิบ สัมผัสได้ถึงรสขิงบนพื้นผิว ว้อดก้า และน้ำมะนาว ก่อนจะวางแก้วลงแล้วถามต่อ

“ดูยังไงเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ”

“...”

เดี๋ยวๆ จะบอกว่าใช้สัญชาตญาณแบบแมวหรือไง้? หรือว่ามันยุ่งยากเลยขี้เกียจอธิบาย ห๊า?

แต่ถึงนึกอยากเขย่าคอถามให้รู้เรื่อง ผมก็มีสิ่งที่สงสัยมากกว่าเรื่องน่าหมั่นไส้นี้

“เท่าที่คุณพูดมา ตั้งแต่ที่บอกว่าชอบทะเลเพราะพ่อพามาบ่อยแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่คุณเป็นตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากพ่อ...ใช่หรือเปล่าครับ?”

ผมถาม สงสัยเช่นนั้นเพราะนอกจากสิ่งที่เขาพูด พี่เฟย์ก็เคยบอกว่าอัฐ ‘เหมือนพ่อ’ ด้วย ซึ่งเมื่อเขาได้ฟังผม เขาก็นิ่งเงียบ จ้องสบตามาแบบยากจะเดาความคิด สุดท้ายก็ยกเบียร์ขึ้นจิบ ทำเอาผมรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนเรื่อง

“ก็ใช่” แต่เขาก็ตอบมาพร้อมกับวางแก้วเบียร์ลงเบาๆ “ขนาดเลือกคณะที่เรียนยังได้รับอิทธิพลจากพ่อเลย ทั้งที่ไม่ได้คุยกับเขาสักคำ”

“เอ่อ... คุณเลือกเรียนอะไรเหรอ”

“ฟิสิกส์”

ฮะ...? จริงดิ?

“ทำไมเป็นฟิสิกส์ล่ะครับ”

“จะได้ต่อโทดาราศาสตร์”

“...”

ผมได้ฟังก็อึ้งไป ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะเลือกเรียนทางนี้เพราะดูออกไปทางสายศิลป์หรือสายสังคมมากกว่า อีกอย่างตอนสัมภาษณ์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ มีแต่พูดถึงหนังสือที่อ่านอย่างเดียว... อ่า... ไอ้พวก Text Book ต่างๆ นี่ไม่ใช่ไว้แค่ประดับบ้านหรือหาข้อมูลตอนเขียนนิยายอย่างเดียวสินะ

“แล้วเธอจบอะไรมา” พลันเขาถามแทรกความคิด

“เอกอิ๊ง แล้วก็วิชาโทญี่ปุ่นครับ”

พอตอบ อัฐก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ไม่มีแม้แต่คำว่า ‘อืม’ เบาๆ จากลำคอ มีเพียงการเบนสายตาไปมองยังวงดนตรีเท่านั้น

ผมเห็นดังนั้นจึงยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบ พลางคิดทบทวนสิ่งชวนว้าวที่เพิ่งได้ฟัง เพราะเขาดูไม่มีอะไรบ่งบอกถึงเรื่องนี้เท่าไหร่

แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะพ่อเขาสินะ

จะว่าไปเขาไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ผมคิดว่าต้องมีส่วนชอบ ไม่งั้นคงไม่เลือกเรียนอะไรที่ยากขนาดนั้น แล้วที่บอกว่าจะได้ต่อโทนี่เขาจบโทด้วยไหมนะ ไม่รู้เลยแฮะ

ที่รู้คือพ่อมีอิทธิพลกับเขามากจริงๆ

ไม่ใช่แค่คณะที่เรียน แต่รวมถึงตัวตนของเขาด้วย


ผมมองเขาที่ทอดสายตาไปยังวงดนตรีที่มีฉากหลังเป็นทะเลแล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมา
“ถ้าผมถาม คุณไม่โกรธผมได้ไหมครับ” คำถามนี้เรียกให้เขาเบนสายตากลับมา นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบ

“อืม”


ได้ยินคำอนุญาต ผมก็กลืนก้อนประหม่าให้คอโล่งแล้วถามออกไป

“ที่คุณเคยบอกว่ารักใครไม่เป็นเนี่ย...ก็ได้อิทธิพลมาจากพ่อหรือเปล่าครับ”
จบคำถาม อัฐเงียบไปนาน จ้องมองสบตาจนผมประหม่า ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำพูดติดปาก

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

คำนั้นทำให้ลุ้นรอ เขายกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง วางลงเบาๆ แล้วเอ่ยตอบ

“ฉันเคยคิดว่าเรื่องของพ่อฉันมันผ่านมานานมากแล้ว ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”

เสียงเบาของเขาคลอไปกับเสียงดนตรีอะคุสติกและสายฝนทำให้ผมต้องตั้งใจฟังกว่าที่เคย ซึ่งก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดตรงกับที่พี่เฟย์ว่า


“แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันเป็นฉันทุกวันนี้ก็เพราะเขา”

อีกประโยคที่ตามมา...ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้ตัวตนของเขามากขึ้น
“ดังนั้นที่เธอถามว่าฉันรักใครไม่เป็นเพราะเขาหรือเปล่า คำตอบก็อาจจะใช่ พ่อทำให้ฉันไม่เข้าใจความรักคืออะไรกันแน่”

แล้วก็รู้สึกว่าถูกผลักมาอยู่ที่เดิมเมื่อได้ฟังคำตอบที่ชัดเจน

ไม่สิ มันเป็นคำตอบที่ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าผมอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลเขากันแน่

ถ้าใกล้ ก็ใกล้เพราะเขายอมตอบเรื่องส่วนลึกของตัวเอง

ถ้าไกล...ก็เพราะเขารักใครไม่เป็น

“แล้วตอนนี้ล่ะครับ...” ผมเกริ่นถามไปด้วยใจที่เริ่มหน่วง “คุณเข้าใจหรือยัง?”

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่”

เขาตอบ แววตาอ่านยากที่แท้จริงอาจมีเพียงความว่างเปล่าทำให้ผมรู้สึกราวกับฝนตกหนักขึ้นทั้งที่ซาลงแล้ว

“ทั้งที่...คุณบอกว่าจีบผมน่ะเหรอครับ?”

ผมถาม รู้สึกเจ็บหน่วง จ้องมองเขาอย่างรอคำตอบ ปากของเขาขยับเล็กน้อยเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ แล้วเสมองไปทางอื่น

เห็นแล้วก็เจ็บทั้งที่ไม่อยากเจ็บกับอะไรแบบนี้

“ไหนสัญญาว่าจะตอบผมทุกคำถามไง”

ผมเอ่ย แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ดังนั้นจึงไม่รออีก ลุกขึ้น เอ่ยขอตัวกลับห้อง เดินไปหยิบร่มสีดำของรีสอร์ทมากางแล้วฝ่าฝนกลับไปตามทางเดินเพียงคนเดียว

ผมไม่ได้หันกลับไปมองว่าเขาทำอะไรอยู่ เพียงเดินฉับๆ กลับห้องให้เร็วที่สุด คิดว่าเขาจะไม่ตามมาก็ช่าง แต่อดเจ็บในใจไม่ได้

เจ็บ...ที่ไม่รู้ว่าตกลงผมได้ข้ามกำแพงในใจเขาไปหรือยัง หรือว่าข้ามไปได้แล้วแต่ก็เจอกับหลุมลึกที่พ่อเขาเคยขุดเอาไว้นานมากแล้ว และผมก็ติดอยู่ตรงนั้น

เจ็บ...ที่ไม่รู้ว่าผมจะรักเขาทำไมนักหนา

ทำไมต้องยังเข้าข้างเขาแม้แต่ตอนนี้

แต่ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้าง ผมรู้ตัวดีว่าจะเจ็บยิ่งกว่าเดิม

เขาอาจแค่ใช้การจีบเป็นข้ออ้างให้ผมกลับไปเป็นเฮาส์เมทก็ได้

เพื่อที่จะ...ยืนยันว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้...

อยากจะตะโกนบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

ดังนั้นช่วยมองเห็นผมด้วยใจที่เต็มไปด้วยกำแพงและหลุมลึกนั่นสักที

ช่วยมาตาม...อย่าปล่อยให้ผมนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่คนเดียวในห้องเลย

แต่คืนนั้นทั้งคืน เขาก็ไม่มาตามผม

ไม่มีเสียงเคาะประตู ไม่มีเสียงโทรศัพท์

นอกจากความว่างเปล่าแล้ว...ก็ไม่มีอะไรเลย



**



หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.29)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:04:27
ตอนที่ 29



ผมไม่รู้ตัวว่าผล็อยหลับไปตอนไหนทั้งที่คิดว่าตาสว่างด้วยความเจ็บร้าว แต่ผมก็ไม่ได้หลับยาวเพราะตื่นขึ้นมาในตอนประมาณตี 5 หลังจากตาสว่างถึงตี 2

ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คงดีกว่าไม่ได้นอนล่ะมั้ง

ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงต่อเพราะไม่รู้จะทำอะไร พอนาฬิกาบอกเวลา 6 โมงถึงลุกไปเปิดม่านตรงระเบียง พบว่าท้องฟ้ายังมืดกว่าที่คิด และฝนยังตกปรอยๆ ไม่หยุด

อากาศเย็นสบายทำให้ผมออกไปนั่งเล่นตรงเดย์เบ้ด ระเบียงห้องด้านบนที่ยื่นออกมาช่วยกันฝนได้เป็นอย่างดี ผมเหม่อมองท้องฟ้าพลางคิดสงสัยว่าอัฐคงรู้ใช่ไหมว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่

ต่อจากนี้ถ้าเหม่อมองฟ้าแล้วคาดเดาสภาพอากาศ ผมจะคิดถึงเขาไหมนะ

ก็คงคิดถึงล่ะมั้ง

เพราะคงไม่กลับไปอยู่ด้วยอย่างที่เขาขอ

เมื่อคืนผมคิดอยากจะเดินทางกลับด้วยตัวเอง แต่ก็คงยุ่งยากวุ่นวาย อีกอย่างการหนีกลับโดยไม่บอกก็ดูเป็นอะไรที่เง่า...แม้ว่าเขาเองก็งี่เง่าที่ไม่ยอมตอบคำถามของผมเหมือนกัน

ผมติดค้างกับคำตอบที่เขาไม่ยอมตอบจนนอนไม่หลับ แต่ตอนนี้กะว่าจะเลิกคิดแล้ว และกลายเป็นคิดรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ได้ว่า ‘พอกันที’

ผมจะไม่ไล่ตามเขาอีกแล้ว

จะไม่ถามอะไรอีกแล้ว

ทั้งที่บอกเองแท้ๆ ว่าจีบผม แต่เขาทำให้ผมกลายเป็นฝ่ายไล่ตามได้ยังไงไม่รู้

พอแล้วกับการเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะตัดเขาออกจากชีวิต ผมรู้ตัวดีว่าใจแข็งไม่พอ ถ้าเขามาตามมาอ้อนวอนก็คงใจอ่อนได้ทุกที ผมแค่บอกตัวเองว่าจะไม่ไล่ตามเขาอีกแล้วเท่านั้น

ผมนั่งปล่อยใจจนถึงเจ็ดโมงกว่าที่ฟ้าเริ่มสว่างดีแม้ฝนยังไม่หยุดตก เดินกลับเข้าไปในห้องแล้วอาบน้ำแต่งตัว นึกถึงอาหารเช้าของรีสอร์ท ถ้าจำไม่ผิดคือไปนั่งกินได้ตั้งแต่ 7 โมง ว่าแล้วก็เริ่มหิวขึ้นมา

ตอนที่หยิบเสื้อเชิ้ตลินินสีชมพูอมแดงขึ้นมาใส่ ผมรู้สึกเหมือนใจถูกกระแทกเบาๆ ให้นึกถึงเขา ก่อนจะสวมใส่โดยไม่คิดอะไรมาก ให้เข้ากับกางเกงขาสั้นสีครีมตัวเดียวกันกับเมื่อวาน

ผมไปถึงห้องอาหารของรีสอร์ทประมาณ 8 โมง ไม่ได้ชวนอัฐมาด้วยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา ที่ห้องอาหารมีลูกค้าเยอะพอควร ส่วนอาหารมีให้เลือกทั้งอาหารเช้าแบบฝรั่ง และข้าวต้มปลาร้อนๆ

ผมเลือกตักข้าวต้มเพราะเข้ากับอากาศเย็นในช่วงเช้า ส่วนน้ำดื่มก็เลือกเป็นน้ำส้มให้รู้สึกสดชื่น เลือกนั่งโต๊ะมุมห้องเพื่อความสงบ แต่พอกินไปได้สักพักก็มีจานอาหารเช้าของอีกคนมาวางฝั่งตรงข้าม

ในจานเป็นอาหารเช้าแบบฝรั่ง ประกอบด้วยวาฟเฟิล ไส้กรอก แฮม เบคอน แล้วก็ไข่ดาวไม่สุก

เงยหน้ามองก็พบว่าเป็นอัฐอย่างที่คาด แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้มองหน้าด้วย แค่นั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มกินอาหารเช้าเท่านั้น ส่วนชุดที่ใส่เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่ผมเลือก สดใสตัดกับสีดำสนิทของเรือนผมที่ปล่อยลงปรกคิ้ว ดูสบายๆ ไม่เซ็ตเหมือน 3-4 วันที่ผ่านมา

ผมก้มหน้ากินต่อ ในเมื่อเขาไม่พูดอะไร ผมก็จะไม่พูดอะไร

“อาหารที่นี่อร่อยดีนะ”

แต่อัฐก็พูดมาเมื่อเขากินไปได้สักพัก

ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะตอบอะไร แค่เงียบเท่านั้น

“วันนี้ฝนคงตกทั้งวัน”

แล้วเขาก็ทำนายสภาพดินฟ้าอากาศตามนิสัย แต่ผมคิดว่ามันคงเป็นการสื่อสารทางเดียวอย่างที่เขาเป็นบ่อยๆ จึงไม่ได้ตอบอะไร

สุดท้ายเมื่อผมกินข้าวและดื่มน้ำส้มหมด ผมก็คว่ำช้อนให้เรียบร้อย ดูจากโต๊ะอื่นเห็นว่ามีพนักงานคอยเก็บจึงลุกขึ้น ตั้งใจเดินกลับห้อง แต่ก็ถูกคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน

“จะไม่คุยกับฉันเหรอ”

อัฐเอ่ยถามด้วยเสียงเบาตามบุคลิก ดวงตาสีดำจ้องสบตา รู้สึกไหววูบนิดๆ แต่ความขุ่นเคืองก็ทำให้ผมเถียงกลับ

“ทีคุณยังนิสัยเสีย นึกจะไม่ตอบก็ไม่ตอบผมนี่ครับ”

“ก็ฉันไม่รู้จะตอบว่าอะไร”


เหตุผลของเขาจะว่าเข้าใจได้ก็เข้าใจ แต่จะว่าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ

“งั้นผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเหมือนกัน”

ว่าจบ ผมก็ดึงมือออกแล้วเดินกลับห้อง รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตัวเองกำลังงี่เง่าแต่มันก็อาจจะดีแล้ว...ดีกว่าใจอ่อนยวบยาบง่ายดายเพียงเพราะเขาพูดดีด้วยไม่กี่คำ

เมื่อกลับมาที่ห้อง ผมเปิดทีวีดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ใจนึงอยากไปเดินเล่นริมทะเลก่อนกลับ แต่ก็กลัวไม่สบายเพราะฝนปรอย ถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไปเป็นหวัดก็พอจะไปทำงานได้อยู่ แต่สำหรับนักพากย์อย่างผมถือว่าหายนะเลยล่ะ เพราะไม่ใช่แค่เสียงเปลี่ยน แต่การไอและจามจะทำให้งานสะดุดแน่นอน

สุดท้ายผมกนั่งเล่นฆ่าเวลาอยู่ในห้อง จนจวนเวลาเช็กเอาท์ก็แค่หิ้วถุงเสื้อของตัวเองเปิดประตูออกไป พลันต้องชะงักเมื่อเห็นอัฐยืนพิงกำแพงข้างประตูห้องผมอยู่

แม้จะยืนพิงอ่านอะไรบางอย่างในมือถือ แต่ผมคิดว่าเขายืนรอผม ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่าเมื่อเขาเห็นผมออกมาก็เดินนำไปเลย ไม่ได้พูดอะไร
เหมือนกับการเดินทางของวันนี้ที่เราเงียบกันตลอดทาง


อย่างไรก็ตาม ระหว่างนั้นเราก็ยังแวะกินข้าวกลางวันกันตามปกติ แค่ไม่พูดไม่จาแบบที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์มีปัญหา ต่อให้อัฐยังสั่งแก้วเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งให้ผม มันก็มีปัญหาอยู่ดี
การเดินทางเป็นไปด้วยความเงียบ และเมื่อเกินครึ่งทางมาเล็กน้อย ฝนก็หยุดตก พร้อมกับผมที่ผล็อยหลับอย่างช้าๆ เพราะเหนื่อยล้าจากการที่ไม่ได้นอนอย่างเต็มอิ่ม

ผมหลับสนิท ไม่ฝันอะไร ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงหยาดฝนจำนวนมากกระทบตัวรถ

ฝนตกหนักอีกแล้ว หนักจนมองไม่เห็นทัศนียภาพผ่านกระจกด้านข้างเพราะเหมือนถูกถังน้ำสาดลงมาจากด้านบน ต้องมองด้านหน้าถึงรู้ว่าเราเข้ามาในเมืองแล้ว

และ...อัฐก็กำลังเลี้ยวเข้าหมู่บ้านตัวเอง

สมองของผมตอนนั้นนึกไม่ทันหรอกว่าถ้าจะกลับไปแถวบางใหญ่จากทะเลปราณบุรีมันต้องผ่านบ้านเขาไหม ที่แน่ๆ คือเขากำลังเลี้ยวเข้าหมู่บ้านตัวเอง ให้ผมร้องท้วงหลังจากเงียบกันมานาน

“คุณไม่ไปส่งผมที่บ้านเหรอ?”

ตอนที่ถาม ความรุนแรงของฝนในตอนแรกที่เหมือนระเบิดลงจากท้องฟ้าก็ซาลงบ้างพอให้เห็นทัศนียภาพผ่านกระจกข้าง แต่ก็ถือว่ายังตกหนักอยู่ดี

“ก็จะแวะเอาแคตตัสไปส่งพร้อมเธอด้วยเลย”

อัฐตอบโดยไม่หันมามอง สายตาพุ่งตรงไปเพียงถนนข้างหน้าที่ฝนตกจนต้องระมัดระวัง ซึ่งผมก็เห็นว่ากำลังจะขับผ่านสวนของหมู่บ้านแล้ว

“คุณจะคืนแคตตัสให้ผมเหรอ” ผมถาม คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจ


“อืม”
“แต่ผมคืนให้คุณแล้วนะ”

“ฉันไม่อยากดูแลมันแล้ว”

“...”

ไม่รู้ทำไม...แค่เขาบอกว่าไม่อยากดูแลเจ้าแมมขนนกขาวที่ผมฝากฝังไว้ ผมก็เจ็บขึ้นมา และหวิวโหวงในใจราวกับฝนตกทะลุหลังคารถมาอาบเนื้อตัวผมให้เปียกปอน

“ผมบอกว่าผมไม่เอาไง”

ผมปฏิเสธ แต่ไม่เป็นผล อัฐเพียงนิ่งเงียบเหมือนที่เงียบมาตลอด ทั้งยังขับรถผ่านสวนของหมู่บ้าน ไม่มีทีท่าจะเลี้ยวกลับ

ใจของผมเจ็บแปลบขึ้นมาราวทำหน้าที่แทนท้องฟ้าที่แค่ร้องครวญคราง

ทำไมล่ะ?

ทำไมเขาถึงไม่อยากดูแลมันแล้ว...แถมยังหลังจากเขาไม่ยอมทำตัวให้ชัดเจนเมื่อผมจี้ถามด้วย

มันแปลว่า...เขาได้คำตอบให้ตัวเองแล้วหรือเปล่านะ?

การผลักไสแบบนี้...เขาคงไม่รอผมกลับไปดูแลเจ้าแมมขนนกขาวนั่นที่บ้านเขาแล้ว...ใช่ไหม?

ถึงการกระทำที่ใส่ใจและความใจดีที่เขามีให้ผมมาทั้งหมดจะพยายามตีกลับว่าอาจคิดไปเอง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่เพียงพอในเวลานี้

ความอดทนที่ผมมีต่อความเงียบเสมอมาจบสิ้นลงแล้ว

พอ พอกันที

“จอดทีครับ ผมจะลงตรงนี้”

ผมเอ่ยบอก ทำให้เขาหันมามอง แววตาประหลาดใจเล็กน้อย แต่อาจเพราะผมหมดความอดทนลงแล้วจึงไม่ปล่อยให้เขาเอ่ยถามอะไร เปิดประตูรถออกไป แค่เพียงเบาๆ ก็พอจะทำให้เขาหยุดรถ

“เดี๋ยว จะไปไหน”

“ผมจะกลับเอง”

ว่าแล้วก็ลงจากรถแล้วปิดประตู แต่เม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาจนทำตัวเปียกโชกได้ในไม่กี่วินาทีก็ทำเอาความคิดผมช็อตไปชั่วครู่

จะกลับยังไง?

เวลานี้คงไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างแน่ กว่าจะวิ่งถึงหน้าหมู่บ้านคงเปียกโชกเละเทะทั้งตัว และด้วยสภาพนั้นอย่าว่าแต่รถแท็กซี่เลย แม้แต่รถเมล์ก็คงไม่รับด้วยซ้ำ

ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจเดินออกไปก่อน ให้ห่างรถของอัฐที่สุดเท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็เดินลัดเข้าสวน เหยียบย่ำดินและหญ้าที่เฉอะแฉะจนเลอะขาเพื่อให้พุ่มไม้และต้นไม้บังผมให้พ้นสายตาเขา ก่อนที่จะเลือกวิ่งไปหลบฝนที่ศาลากลางน้ำเพื่อรอฝนหยุด

ที่นั่นเงียบสงบ ไม่มีใคร มีเพียงผมกับสายฝนเท่านั้น

ผมนั่งลงบนม้านั่งไม้ของศาลา ตัวเปียกโชกและมีน้ำหยดลงตามทางเดินและเก้าอี้ ฝนยังคงสาดโดนตัวผมบ้างแต่ผมคิดว่าแค่นี้คงไม่เป็นไร ที่ทำให้สะทกสะท้านมีเพียงลมแรงๆ ที่พัดมาเท่านั้น

ผมชันเข่าขึ้นมาเพื่อกอดตัวเองด้วยความหนาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้ายังกลัวเป็นหวัดอยู่เลย

เมื่อเช้า...ยังรักตัวเองอยู่เลย


พลันใจก็กลั่นความเจ็บปวดออกมาเป็นหยาดน้ำตา

ผมซุกหน้าลงกับเข่าตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้ว่าน้ำหยดไหนคือฝน หยดไหนคือหยาดน้ำตา แม้สุดท้ายจะสะอึกสะอื้นแบบเกินอดกลั้น ตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ แต่ก็พยายามคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด

ผมวิ่งหนีออกมาทำไมกันนะ?

แค่เขาบอกว่าไม่อยากดูแลแคตตัสอีกแล้ว...แค่นั้น?
งี่เง่าเป็นบ้า

แต่ว่า...

แต่ว่าขอเถอะ

ถ้าผมจะงี่เง่าแล้วได้ห่างออกจากคนที่ทำให้ใจเหวี่ยงไหวทุกวินาทีระหว่างความหวังและความเจ็บปวดก็ขอเถอะ

ผมเหนื่อยแล้ว

ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ผมก็เหนื่อยแล้ว

แต่...ถ้าถามว่าผมยังรักเขาอยู่ไหม ผมก็ยังรักอยู่ดี

รักไม่ต่างจากวันที่มอบแคตตัสคืนให้เขาไปพร้อมกับขอให้เขาดูแลมันดีๆ

และขอ...ให้เขามีความสุข

เพียงแค่เขามีความสุข

วันนั้นผมขอแค่นั้นเอง

วันนี้ผมก็ขอแค่นั้น...

และหากไม่มากเกินไป ผมอยากจะขออีกอย่าง

คือขอให้เขาไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจความรักอีก

ถ้าพยายาม...ก็คงไม่ใช่รักใช่ไหม?
เพราะผมไม่ต้องพยายามสักนิดเลยในการจะรู้สึกว่ารักคุณ

เพราะงั้นพอได้แล้ว

อย่าทรมานอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต

มีความสุขเถอะนะ

ไม่ต้องมีผมก็ได้

ไม่เป็นไรเลย

แค่คุณมีความสุขก็พอ

แค่นั้นเอง



“จา”



พลันผมสะดุ้งเฮือกเมื่อคนในความคิดเอ่ยเรียกให้หลุดจากภวังค์
รู้ตัวตอนนั้นเองว่าเสียงฝนซาลงแล้ว แต่ก็ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง

กระนั้น...ผมก็ไม่ได้เงยหน้าไปมอง แม้พอจะเห็นว่าเขายืนอยู่เบื้องหน้า ผมเพียงกอดตัวเองให้แน่นขึ้น พยายามกดกลั้นเสียงสะอื้นแต่ก็เหมือนยิ่งทำให้เนื้อตัวสั่นเทา ทั้งความหนาว...ความเสียใจ...และความกลัว

ผมกลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นมองเขา ที่เคยคิดมาทั้งหมดว่าพอแล้ว ก็จะสิ้นสลายง่ายดายเพียงได้สบตากับดวงตาคู่เดิม

ดวงตาที่ทั้งชวนฝันและทำให้เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

“ไปขึ้นรถเถอะ” เขาเอ่ย “ไม่ต้องเอาแคตตัสแล้วก็ได้ ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านเอง”

“...เดี๋ยวผมรอฝนหยุดตก...ก็ได้ครับ”

ผมพยายามกลั่นเสียงออกไปให้ปกติที่สุดขณะที่ยังก้มหน้าร้องไห้

“น่าจะอีกนานเลยนะ”

แต่เหมือนอัฐขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เหมือนโน้มตัวลงมาหาเพราะเสียงเบาๆ ของเขาดังขึ้นข้างๆ

“บ้านเธอก็อยู่ไกลด้วย”

ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ผมปวดใจ

“รถก็น่าจะติดหนัก...ให้ฉันไปส่งเถอะ”

ยิ่งพูด เสียงเบาๆ ของเขาก็ยิ่งใกล้เข้ามา ก่อนที่ผมจะตกใจจนเงยหน้าขึ้นมา

“ปล่อยผมไว้เถอะ!

ผมเผลอตะโกนออกไปพร้อมสะบัดมือเขาที่มาดึงแขนผม แล้วก็ได้เห็นสภาพเขาตัวเปียกโชกไม่แพ้กันจนใจพาลเจ็บแปลบ แต่ก็พยายามไม่คิดหาเหตุผลว่าเจ็บเพราะอะไรแค่ได้เห็นเขาในสภาพนั้น

“ปล่อยผม...อยู่เงียบๆ คนเดียวเถอะครับ”

สุดท้ายผมก้มหน้าลงอีกครั้ง กลั่นเสียงพูดออกไปแม้ยากเย็น และรีบพูดสิ่งที่คิดก่อนจะสะอึกสะอื้นออกมาอีก

“ที่คุณมาตามผม...ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะคุณชอบผมด้วยซ้ำนี่ครับ คุณยังไม่เข้าใจเลยว่าความรักคืออะไร และผมก็คิดว่าคุณไม่เห็นจะต้องพยายามเข้าใจก็ได้ มันไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไรเลยจริงๆ” ผมเว้นช่วงของคำพูดเพื่อกลืนก้อนสะอื้น ปล่อยน้ำตาให้ไหลแทนแล้วพูดต่อ “แต่คุณก็ยังพยายาม...พยายามทั้งที่คุณไม่ได้รักผม มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ โคตรเจ็บเลยอะ... เพราะผมยังชอบคุณอยู่ ผมรักคุณมากๆ แต่ผมก็ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว เพราะงั้น...ต่อไปนี้ ผมขอร้องล่ะ ถ้าคุณไม่รักผมก็ปล่อยผมไปเถอะ ผม...ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว”

ผมจบคำพูดลงตรงนั้น พร้อมกับการก้มหน้าซุกหัวเข่า หลับตาหนีความจริงทุกอย่าง ปล่อยน้ำตาไหลริน สะอึกสะอื้นเสียใจอยู่ในโลกของตัวเอง ทั้งเตรียมใจและไม่เตรียมใจกับการที่อัฐจะเดินจากไปและไม่หวนคืนเพราะคำพูดทั้งหมดของผม

“ที่ฉันมาตามเธอแต่แรก...ก็เพราะคำพูดสุดท้ายที่เธอพูดกับฉันก่อนออกจากบ้านไป”


แต่เขาไม่ได้เดินจากไป

“เธอบอกว่าฉันจะรักใครไม่เป็นก็ได้ ขอแค่มีความสุขก็พอ...เมื่อกี้เธอก็ยังพูดย้ำด้วยว่ามันไม่เป็นไรจริงๆ”
ทั้งยังทวนคำพูดที่ผมเคยพูด บ่งบอกว่าเขาจดจำได้ทุกอย่าง

ไม่รู้ทำไมผมถึงกอดตัวเองแน่นขึ้นก่อนจะได้ฟังประโยคต่อไป

“ไม่เคยมีใครพูดกับฉันแบบนั้นมาก่อน”

“...”

“แล้วก็...พอเธอไม่อยู่แล้ว ปัญหาก็คือฉันไม่มีความสุขเลย”

โดยไม่รู้ตัว ผมลืมตาที่ยังเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“แต่ฉันก็ไม่กล้าไปตามเธอ เพราะรู้ดีว่ามันเห็นแก่ตัว แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเห็นแก่ตัว”

พอพูดจบประโยคนี้ เขาไม่พูดอะไรต่อ เหมือนนิ่งคิดไป ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อสบตากับอัฐที่มองผมอยู่ โดยอยู่ในอิริยาบถนั่งยองอยู่บนพื้นเบื้องหน้า

“แต่สุดท้าย...คุณก็มาตามผมนี่...ทำไมล่ะ?”

ผมกดกลั้นเสียงสะอื้น ตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งเขายังเงียบ เงียบจนได้ยินว่าเสียงฝนซาลงมากๆ แล้วก่อนที่เขาจะเอ่ยตอบ

“ฉัน...แค่ตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วรู้สึกว่าไม่มีเธอไม่ได้ ฉันอยากมีเธออยู่ในชีวิต”

ผมอ้ำอึ้ง เผลอเงยหน้ามองก่อนจะหลุบตาหนีอีกครั้ง

ไม่คิด...ว่าจะได้ยินถ้อยคำแบบนี้จากปากเขา

ถ้อยคำที่ทำให้ใจรู้สึกอุ่นทั้งที่กายหนาวเหน็บ

กระนั้น...น้ำตาก็ไหลรินเป็นสายยิ่งกว่าเดิม

“ฉันคิดว่าฉันน่าจะชอบเธอ แต่พอถูกถามจริงๆ กลับไม่แน่ใจ ฉันเลยตอบไม่ได้ ฉัน...ไม่รู้จริงๆ ว่าความรักคืออะไร จนตอนนี้ที่ฉันเห็นเธอร้องไห้อีกแล้ว...ก็ยังไม่แน่ใจนักหรอก ฉันคงบอกได้แค่ว่า...ถ้าจะทำให้เธอไม่ต้องร้องไห้ได้ ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น”

ไม่รู้ทำไม ยิ่งฟัง...น้ำตายิ่งไหลรินราวกับไม่มีวันหมดสิ้น

ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ เพราะมันมากมายเกินกว่าจะอธิบาย


“ฉันรู้ตัวว่าฉันมีข้อเสียเยอะ และก็ประสาทแดกอย่างที่เธอว่า แถมยังไม่เคยคิดยอมเปลี่ยน แต่ถ้ามันทำให้เธอเสียใจ ฉันก็จะปรับปรุงตัวเอง”

จบประโยคเหล่านั้น ประโยคที่ไม่เคยคิดจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้ฟังจากปากคนอย่างเขา ผมก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา มองใบหน้าและเรือนผมที่ผมอยากจะสัมผัสและลูบอย่างอ่อนโยน มองดวงตาสีดำคู่เดิมที่ทั้งชวนฝันและทำให้เจ็บปวด ซึ่งดวงตาคู่นั้นก็มองตรงมาที่ผมเช่นกัน

มอง...โดยไม่ใช่การช้อนมองเหมือนเชยคาง แต่เป็นการมองมาตรงๆ ด้วยแววตาที่จริงใจ ร้างไร้คำโกหก

และมองตรงมา...ที่ตัวตนของผม

ผมคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา

“เพราะงั้นที่เคยทำให้ร้องไห้ ที่ทำให้เสียใจไม่ว่าเรื่องอะไร...ฉันขอโทษ”

เมื่อได้ยินถ้อยคำที่มีความหมายเหล่านั้น พร้อมกับแสงอ่อนๆ ที่ส่องผ่านเข้ามา ผมถึงรู้ตัวว่าฝนหยุดตกแล้ว

มันหยุดลง...พร้อมกับหยาดน้ำตาของผมที่เขาเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดให้อย่างแผ่วเบา...และอ่อนโยน

“ให้อภัยฉัน...ได้ไหม?”



**





หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.30)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:05:21
ตอนที่ 30



ตอนที่เขาเช็ดน้ำตาให้ผม แล้วถามว่าให้อภัยได้ไหม ทั้งที่ผมอยากตอบออกไปใจจะขาดว่าได้ ให้อภัยได้ทุกอย่างเลย แต่ผมกลับพูดไม่ออก ที่ทำได้มีเพียงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง และเป็นการร้องที่ยากจะหยุดเพราะผมไม่เคยร้องไห้ด้วยความรู้สึกนี้มาก่อน

“ฉัน...ฉันพูดอะไรผิดไปอีกหรือเปล่า ฉันขอโทษ”

อย่าว่าแต่ผมตกใจ แม้แต่อัฐก็ตกใจ เขารีบลุกขึ้นยืนเหมือนต้องการดูให้ชัดว่าผมเป็นอะไร ซึ่งผมไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โตจึงรีบพูดออกไป แม้ไม่กล้าสบตาเขา

“ผม...แค่ดีใจ”

“...”

แล้ว...ก็กลายเป็นว่าผมรู้สึกอายขึ้นมาจนพยายามหยุดร้องไห้ สักพักเมื่อผมหยุดสะอื้นได้ อัฐจึงค่อยนั่งลงข้างๆ เมื่อเบาใจว่าผมไม่ได้กำลังเสียใจ

“ผมถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหม” ผมเอ่ยพร้อมเช็ดน้ำตา แม้น้ำฝนจะผสมปนเปไปหมดจนดูแห้งยาก

“ถามมาสิ” เขาเอ่ยเสียงเบาตามบุคลิก


“ทำไม...ตอนแรกจะคืนแคตตัสให้ผมล่ะ”

“ฉันกลัวว่าถ้ามันยังอยู่กับฉันอาจตายก่อน”

“...”

อะ... คะ...แค่นั้นเหรอ...?

“ก็เธอดูท่าจะยังไม่กลับมาอยู่กับฉันเร็วๆ นี้”

เขาอธิบายมาเพิ่มราวกับอ่านสีหน้าผมออก ซึ่งมันทำเอาผมหน้าขึ้นสี

“แต่...แต่ตอนคุณพูดออกมา มันใจร้ายมากเลยนะครับ!”

“อ้าวเหรอ...”

อ้าวเหรออาร้าย!

ใคร! ใคร๊! ใครมันทำผมเปียกโชกทั้งฝนทั้งน้ำตาขนาดนี้! ไม่ต้องมาทำหน้าแบบเพิ่งรู้ตัวเลย!

“ก็ใช่น่ะสิครับ”

ผมย้ำ ทำให้เขายกมือลูบหลังคอเหมือนลังเลไม่แน่ใจอย่างที่ไม่เคยเห็น ดูกำลังนึกถึงความผิดตัวเอง ก่อนจะหันมาถามหน้าตาย

“ฉันพูดไปว่าไงนะ”

“...”

...ไอ้บ้า

ไอ้บ้าเอ๊ย!

“คุณพูดว่า ‘ไม่อยากดูแลมันอีกแล้ว’ ไงครับ”

“ก็ฉันไม่อยากดูแลมันเองแล้ว แต่อยากให้เธอดูแล ถ้าทำให้เข้าใจผิดก็...ขอโทษ”

ตอนนั้นเองที่ผมโคตรอยากเขย่าคอเสื้อเขา และใบหน้าผมก็คงบู้บี้มากด้วยความอยากร้อง ‘อ๊าก’ ออกมา

“แล้วไม่คุยกับผมให้รู้เรื่องล่ะ! ฮึ่ย...! คุณจะนิสัยเสียประสาทแดกยังไงก็ได้ ผมรับได้หมดแหละ แล้วก็ชอบคุณเพราะแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่ผมขอคุณเรื่องเดียวคือ...คิดอะไรก็พูดออกมาบ้างนะครับ จะได้เข้าใจกัน”

ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด ลื่นไหลจนแม้แต่คำบอกชอบก็ดันไม่เขินเกร็ง ซึ่งอัฐก็เงียบเมื่อได้ฟัง จ้องสบตาผมด้วยแววตาอ่านยาก จังหวะที่จะพูดจี้ว่าเพิ่งบอกหยกๆ ว่าคิดอะไรให้พูด เขาก็พูดออกมา

“ตอนนี้เธอ...เหมือนมิเกะตอนเด็กเลย”

“ดะ...เดี๋ยวนะครับ ที่ผมพูดไปนี่ฟังผมบ้างหรือเปล่า มา...มิกงมิเกะอะไรกัน”

“ก็พูดสิ่งที่คิดไง”

“...”

มะ...ไม่ใช่แบบนี้โว้ย! ฮือ!

แล้วเหมือนผมเป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าชัดไปหน่อย ไอ้ความวุ่นวายในใจของผมจึงทำให้อัฐกระตุกยิ้มขึ้นมาและหัวเราะ ‘หึ’ เบาๆ ในลำคอ

“กลับบ้านกันเถอะ” เขาเอ่ยก่อนที่ผมจะได้ท้วงว่าเขาขำอะไร “อยู่ตรงนี้นานๆ เดี๋ยวเธอไม่สบายเอา”

ว่าแล้วก็ลุกขึ้น แต่คราวนี้ไม่ได้เดินนำไปเลยแบบที่เขาชอบทำ เขายืนรอให้ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นทำเอาผมรู้สึกอุ่นๆ อยู่ในใจท่ามกลางอากาศเย็นๆ แบบนี้

เมื่อไปถึงบ้านอัฐ เขาก็หยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวมาให้ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ ส่วนเสื้อที่เปียกก็โยนเข้าเครื่องซักผ้าแล้วค่อยเข้าเครื่องอบให้แห้ง

หลังจากที่จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว พวกเราก็มานั่งในครัวเพื่อจิบนมร้อนๆ ให้ร่างกายอบอุ่น เป็นการนั่งกันเงียบๆ ในครัวที่คุ้นเคยและชวนคิดถึง ซึ่งเวลานั้นความเงียบของอัฐไม่ได้ทำให้อึดอัดอีกต่อไป เพราะเขาได้ทำลายกำแพงในใจให้ผมเดินเข้าไปแล้ว

ผมสังเกตสภาพบ้านแล้วยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแม้ผมไม่อยู่ประมาณ 2 เดือน ทั้งหนังสือที่วางระเกะระกะทุกมุมบ้านขัดกับเครื่องครัวที่วางเป็นระเบียบห้ามเปลี่ยนที่ ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่พอคิดว่าอัฐรู้สึกว่าบ้านไม่เหมือนเดิมตอนผมไม่อยู่ ใจก็อุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

อุ่นยิ่งกว่านมร้อนๆ ในแก้วนี่อีก

ผมทำเป็นยกแก้วขึ้นมาจิบอีกครั้งเพื่อไม่ให้เขาสังเกตว่าผมกำลังกลั้นยิ้มเพราะมันคงตลกน่าดู

“จะว่าไป...แคตตัสล่ะครับ” ผมเอ่ยถามเมื่อนึกถึงเจ้าแมมขนนกขาวขึ้นมาได้

“อยู่บนห้อง” เขาตอบ “จะขึ้นไปดูเลยไหม”

“อ่า... กินนมหมดแก้วก่อนก็ได้ครับ”

ผมตอบ จิบนมอีกอึก อยากให้หมดเร็วๆ จะได้ขึ้นไปดูเร็วๆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่เคยเห็นห้องของอัฐเลยนี่นา...

อดตื่นเต้นนิดๆ ไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่าห้องของเขาเป็นแบบไหน มันดูเป็นส่วนลึกลับของบ้านไม่ต่างจากใจของเขาเมื่อวันก่อน ซึ่งเมื่อผมดื่มนมจนหมดแก้วตามหลังอัฐที่ดื่มหมดก่อนแล้ว เขาก็เดินนำผมไปที่ห้อง

ตอนที่เกิดเสียงบิดลูกบิดดังแกร๊ก เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด เผยให้เห็นภายในห้อง รู้สึกยังกับได้ยินเสียงใจเต้นตึกตัก แม้แวบแรกจะเห็นแล้วว่าห้องของอัฐนั้นแสนจะเรียบง่ายและธรรมดา

มันเป็นห้องที่ประกอบด้วยเตียง 5 ฟุต ตู้เสื้อผ้าสองประตู ชั้นหนังสือแบบมีกระจกกันฝุ่น และโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงไว้วางโคมไฟและของจิปาถะ ที่ขาดไม่ได้คือกองหนังสือที่ดูท่าจะเก็บบนชั้นไม่พอ ส่วนโทนสีของห้องคือสีดำ ทั้งเฟอร์นิเจอร์และผ้าปูเตียงกับหมอนผ้าห่มก็เป็นสีเดียวกัน ตัดกับกำแพงสีขาวอย่างชัดเจน ถ้าไม่นับสีจากปกหนังสือก็ดูไม่มีสีสันอะไรเลย

แต่ก็ดูสมกับเป็นห้องของอัฐดี มันสะท้อนตัวตนของเขาอย่างบอกไม่ถูก

อัฐเดินไปที่หน้าต่างห้อง มันมีลักษณะคล้ายกับหน้าต่างของห้องที่ผมเคยอยู่ คือมีพื้นที่ยื่นออกไปสำหรับวางของ เมื่อผมเดินตามไปดูก็เห็นเจ้าแมมขนนกขาวยืนอยู่ตรงนั้น และส่งยิ้มมาให้ด้วยดอกไม้สีขาวที่ผลิบาน ละมุนละไมไปกับแสงยามเย็นหลังฝนตก

“โอ้...มันออกดอกไม่ใช่เหรอครับ” ผมพูดออกมาอย่างตื่นเต้นและแปลกใจนิดๆ

“ฉันก็เพิ่งเห็นนี่แหละ” อัฐเอ่ยบอก “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นออกเลยสักดอก”

“คุณเลยคิดว่ามันจะตายเหรอครับ”

“คงงั้น”

เขาตอบมารวดเร็ว แต่ก็ทำเอาผมอมยิ้มเพราะแอบคิดว่าเขาอาจใช้เป็นข้ออ้างก็ได้ ในเมื่อเจ้าแมมขนนกขาวก็ดูปุกปุยแข็งแรงดี ก่อนที่ใจผมจะรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอีกระลอกเมื่อเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขา

มีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของอัฐขณะที่เขามองดอกไม้ดอกเล็กที่ผลิบานในห้องสีขาวดำ

“แต่แบบนี้เธอคงยิ่งไม่ต้องรีบกลับมาล่ะสิ”

แม้ตอนที่เขาหันมาสบตาและพูดกับผม รอยยิ้มนั้นจะจางหายไปแล้ว แต่ผมยังคงรู้สึกอบอุ่นอยู่ข้างใน

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ” ผมเอ่ยตอบ ยิ้มบางๆ โดยไม่รู้ตัว “เพราะดอกไม้บานแล้วต่างหาก ผมเลยยิ่งต้องรีบกลับมาอยู่กับคุณ”

พลันเมื่อพูดจบ ผมรู้สึกว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องที่ไร้สีสันอีกต่อไป เพราะถูกเติมเต็มแล้ว...ด้วยความสุขที่ผลิบานไม่ต่างจากดอกไม้

เป็นครั้งแรก...ที่ผมเห็นอัฐคลี่ยิ้มออกมา

เป็นยิ้มเต็มรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันสวยเรียงเป็นระเบียบจนแอบเสียดายที่เขาไม่ยิ้มออกมาบ่อยๆ หรือพูดสิ่งในใจให้ฉะฉาน

อย่างไรก็ตาม เขายิ้มแล้ว และผมก็หัวเราะเมื่อได้ยินประโยคต่อมาที่เขาพูด

“งั้น...ไปขนของตอนนี้เลยไหม?”

แน่นอน ผมตอบตกลง

ก็ใคร...มันจะไปปฏิเสธรอยยิ้มของเขาลงกันล่ะ



**



หัวข้อ: Re: เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ(Ch.31)(16/05/63)
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:06:33
ตอนที่ 31



ตอนที่อัฐเอ่ยบอกพ่อแม่ผมว่าจะขอให้ผมไปอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นลูกสาวที่ขายไม่ออกมานาน...

ก็จะไม่ให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อพ่อแม่ยกกระสอบข้าวสารให้เอากลับบ้านไปด้วย ถึงจะเข้าใจได้ว่าญาติฝั่งพ่อเขาขายข้าว บ้านเราจึงมีข้าวสารติดบ้านอยู่ตลอดก็เถอะ แต่เท่านั้นไม่พอ พ่อยังยกกล้องฟิล์มตัวเก่าให้กับอัฐ บอกว่าไว้ถ่ายรูปตอนไปเที่ยวกับผม ส่วนแม่ก็ยกต้นไม้สุดรักสุดหวงให้ จนบางต้นผมก็ต้องท้วงว่าเอาใส่รถเขาไม่พอหรอก

“ดีใจจังที่เสาร์อาทิตย์จะพาจากลับมาบ้านบ่อยๆ ไว้แม่ทำกับข้าวให้นะลูก”

“พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพ่อนะ เดี๋ยวพาล่องไพร ฮ่าๆๆ”

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พ่อแม่บอกกับอัฐ ราวกับเป็นลูกเขยคนโปรด จนผมอดหน้าแดงแทนไม่ได้ ซึ่งอัฐก็ได้แต่ตอบรับครับๆ

“พ่อแม่เธอน่ารักดีนะ”

ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่อัฐออกความเห็นเช่นนั้น เพราะถ้าอัฐพูดแบบนี้ก็แปลว่าเขาคงสุขใจที่เจอพ่อแม่ผมและจะได้มาเยี่ยมบ่อยๆ ล่ะนะ

ส่วนทางฝั่งครอบครัวอัฐนั้น...

“จับแม่ที แม่จะเป็นลม”

นะ...นี่คือปฏิกิริยาแรกของแม่อัฐหลังจากอัฐบอกว่าผมคือแฟนเขา ซึ่งตอนผมได้ยิน ผมก็อยากจะล้มเหมือนกัน

ก็ไม่ล้มได้ไง...เพราะผมเพิ่งได้ยินจากปากเขาครั้งแรกก็ตอนนั้นแหละ ฮือ

แต่...แต่เขายังไม่เคยขอผมแบบชัดเจนเลยนะ! บอกชอบบอกรักก็ยังอะ!

“พะ...พี่เฟย์!”

ทว่าก่อนที่ผมจะได้ท้วงอะไรก็ต้องเข้าไปพยุงพี่เฟย์ก่อน เพราะพี่เฟย์ดูจะล้มก่อนแม่ที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงเสียอีก

แล้วพอสองสาวตั้งสติกันได้ พวกเราก็นั่งอยู่ตรงโซนนั่งเล่น โดยให้แม่อัฐและพี่เฟย์นั่งตรงโซฟาหนังสีดำ ส่วนผมกับอัฐนั่งที่เก้าอี้โครงเหล็กสีดำที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อัฐคงรักจาจริงๆ แหละ เพราะขนาดกับออม อัฐยังไม่เคยแสดงตัวชัดเจนแบบนี้เลย...”

“แม่อย่ายกเรื่องแฟนเก่ามาพูดสิ”

“ก็จริงนี่!” พี่เฟย์โวยขึ้นมา “ก็ว่าอยู่ว่าทำไมพี่แปลกไปได้ขนาดนั้นตอนน้องจาไม่อยู่บ้าน นี่ต้องขอบคุณพี่เอกที่รีโนเวทบ้านจนฝุ่นคลุ้งแล้วให้ฉันอพยพมานอนที่นี่เลยนะ ฉันถึงได้เห็นว่าพี่น่ะกินไม่ได้นอนไม่หลับ—”

“ฉันไปกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนไหน”

“เอ้า! คนอย่างพี่มีเหรอที่จะซุ่มซ่าม เดี๋ยวทำน้ำหก มีดบาดมือ นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็นั่งเหม่อมองหน้า Word เปล่าๆ คนอย่างพี่เหรอจะหัวตัน ไม่มีทาง! ที่หนักสุดก็ตอนวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้าแล้วตกลู่—”

“เฟื้อง...”

“แล้วมีอะไรอีกนะ พี่ทำกาแฟลวกปากอะ ทั้งที่กินอยู่ทุกวัน ต้องเหม่อขนาดไหนอะ!”

“เฟื้องพอเถอะ ขอร้อง...”

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอัฐยกมือกุมขมับ แถมยังดูพยายามบังใบหน้าไม่ให้ผมเห็น

ตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มอมยิ้ม พฤติกรรมทั้งหลายที่เขาเป็นตอนที่ผมไม่อยู่มันชวนขำจริงๆ และก็แอบดีใจด้วย ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาเมื่อสองพี่น้องยังเถียงกันต่อ

“งั้นพี่ต้องเรียกฉันว่าเฟย์”

“ไม่มีทาง”

“นี่ น้องจา ไอ้พี่อัฐนะ—”

“เออ เฟย์ก็เฟย์”

“หึ” พี่เฟย์ยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะหันมาขยิบตาให้ผมทีนึง ขณะที่แม่ของสองพี่น้องก็ได้แต่มองดูสถานการณ์พร้อมยกมือทาบอกอยู่เกือบตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม แม่อัฐไม่ได้ว่าอะไรกับการที่เขาคบผมที่เป็นผู้ชาย ไม่ผิดจากที่คิดว่าแม่ของเขาน่าจะเป็นคนหัวใหม่ ไอ้ที่จะเป็นลมตอนแรกก็แค่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นท่าทีจริงจังในความสัมพันธ์จากลูกชายมาก่อน

แน่นอนว่าผมได้รู้แบบนั้น...ก็ยิ้มแก้มปริอยู่ในใจน่ะสิ ฮือ

“แม่ดีใจจริงๆ นะที่เห็นอัฐมีความสุข” แม่เอ่ยกับเขาตอนพวกเราไปส่งแม่ที่รถ ขณะที่เฟย์ขอตัวลากลับก่อนแล้ว “แม่ไม่คิดจริงๆ ว่าจะได้เห็นอัฐเป็นแบบนี้อีก หลังจาก...นั่นล่ะ เรื่องเมื่อนานมาแล้ว แม่ขอโทษนะ”


“แม่จะขอโทษผมทำไม” อัฐเอ่ยถาม

“ก็...” แม่เกริ่นเสียงเบา เสมองไปทางอื่น นิ่งคิดสักพักก่อนหันมาตอบ “แม่ไม่ใส่ใจลูกเลยในเวลาที่ลูกต้องการแม่ที่สุด จนมารู้ตัวอีกทีลูกก็กลายเป็นคนเย็นชา...”

อัฐนิ่งไปเมื่อได้ฟัง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่หมายความตามนั้น

“ไม่เป็นไร... ยังไงแม่ก็ปรับปรุงตัวแล้วนี่”
แม่อัฐได้ฟังก็ผลิยิ้ม ก้าวเท้าขึ้นรถ แต่ก่อนที่อัฐจะปิดประตูให้ เขาก็เอ่ยสิ่งหนึ่งแทนคำลา


“แล้วก็...ผมชอบดาร์กช็อกโกแล็ตนะ ไม่เอาที่มันหวานๆ แล้ว”
แม่ได้ฟังดังนั้นก็อุทาน ‘อา...’ ออกมา ก่อนจะยิ้มและตอบรับ

“ได้จ้ะ” เอ่ยก่อนมองมาทางผม “ฝากอัฐด้วยนะคะจา”

“ดะ...ได้ครับ”

ผมตอบตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว ซึ่งคนฟังก็ยิ้ม แล้วอัฐจึงปิดประตูรถ ให้เธอขับออกจากบ้านไป

เมื่อกลับมาเหลือพวกผมสองคน อยู่ดีๆ อัฐก็หันมาถามผม

“ที่เธอตอบแม่เมื่อกี้น่ะ—”

“ผะ...ผมตอบตามมารยาทนั่นแหละ!”

“...”

ด้วยความประหม่าเลยตอบมั่วซั่วจนเกิดเด้ดแอร์ รู้สึกได้ยินเสียงลมพัดกลีบดอกเฟื่องฟ้าที่ปลิวฟิ้วผ่านหน้าไป

“แต่...แต่ผมก็เต็มใจนะ” ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบแก้ แต่ดูจะทำให้เขินกว่าที่ยอมรับดีๆ แต่แรกอีก สุดท้ายจึงได้แต่ก้มหน้างุด “ว่าแต่คุณเถอะ...บอกว่าผมเป็นแฟนแล้ว แต่คุณยังไม่เคยขอ หรือว่าบอก...รักผมเลย”

โอย พูดเองก็เขินเอง แต่ไอ้คุณอัฐที่ผมทวงถามก็เงียบนาน จนสุดท้ายผมเงยหน้ามองสบตาเขา

“แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจที่จะพูดก็ไม่เป็นไรนะครับ...”

ผมบอกตามจริง ไม่โกรธเขาเลยถ้าเขาไม่พร้อมจะพูด แต่แล้ว...ร่างแมวยักษ์ที่ชอบช้อนมองราวกับเชยคางก็ปรากฏกายออกมา แล้วพูดออกมาด้วยเสียงเบาตามบุคลิก

“ก็...คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วนอกจากรัก”

“...”

“ถ้าใครถามเธอว่าเป็นอะไรกับฉัน ตอบไปว่าเป็นแฟนนะ”

พูดจบก็เดินเข้าบ้านไปเลย ทิ้งให้ผมรู้สึกไม่ต่างจากพี่เฟย์ตอนได้ฟังอัฐบอกว่าผมเป็นแฟนเขา...ก็คือจะเป็นลม

ฮือ... ไอ้บ้า

ไอ้บ้าๆๆๆ

อ๊าก!!

อยากจะบ้าตาย

แต่ก็คงเป็นการตายที่ดีล่ะมั้ง... อารมณ์แบบตายบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี มองไปเห็นท้องฟ้าสีคราม...

ฮือ พอเถอะ สติอยู่ไหนสติ

แล้วผมก็แอบตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ซึ่งเป็นการเดินเข้าไปในฐานะ ‘แฟน’ ได้อย่างเต็มตัวจนรู้สึกแปลกและไม่คุ้นชิน

แต่ถ้าถามว่ามีอะไรแตกต่างจากปกติไหม?

แทบจะไม่...

หลังจากที่เขาบอกว่าเราเป็นแฟนกัน เขาก็เข้าไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ในโลกส่วนตัวตามปกติ ส่วนผมก็ขึ้นห้องไปทำงานพากย์ที่เป็นจ๊อบนอกต่อเพราะกินมื้อเย็นกับแม่อัฐและพี่เฟย์กันไปแล้ว ที่ต่างก็เห็นจะเป็นก่อนนอน ผมสามารถแวะไปเคาะประตูห้อง และบอกกับเขาว่า...

“ผมนอนแล้ว ฝันดีนะครับ”

“อืม ฝันดี”
เอ่ยด้วยเสียงเบาแสนเบา แล้วอัฐก็จะมองผมเดินกลับเข้าห้องก่อนที่จะปิดประตูลง

แค่นั้น ไม่มีอะไรเพิ่มเติม และชัดว่าเรายังแยกกันนอนด้วย ซึ่งก็อาจจะดีแล้วเพราะถ้าได้ไปนอนด้วยเมื่อไหร่ ผมนี่แหละที่น่าจะประหม่าจนหัวใจวายสักรอบสองรอบ

ส่วนการใช้ชีวิตประจำวันก็ดำเนินไปตามปกติ ผมตื่นเช้าไปทำงานโดยไม่เจอเขาเพราะเขายังไม่ตื่น แต่ตอนเย็นเขาก็จะมารับผมบ้างตามโอกาส ซึ่งเป็นผมเองที่ปฏิเสธไม่ให้เขามารับทุกวันเพราะรถติด เสียเวลาทำงานของเขา และขึ้นรถไฟฟ้ากลับก็เร็วกว่า ส่วนอาหารเย็นก็กินด้วยกันเหมือนเดิม ผลัดกันทำแล้วแต่สะดวก ขณะที่เสาร์อาทิตย์ก็แทบไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ที่เพิ่มเติมก็คือเขาจะพาผมไปเยี่ยมพ่อแม่ผมที่บ้านอยู่บ่อยๆ

สิ่งที่แตกต่างจากเดิมที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ผมจะชวนเขาคุยเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีสีหน้าหงุดหงิดอีกแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องดีมากๆ สำหรับการอยู่กับอัฐที่เคยหงุดหงิดง่ายแค่เดินเฉียดหนังสือเขาแล้วเปลี่ยนที่ไปสองเซนติเมตรก็คิ้วขมวดแล้ว แต่คือ...จะว่ายังไงดีล่ะ

มันขาดอะไรไปอะ ฮือ

แบบ... แบบว่าที่คนเป็นแฟนทำกันน่ะ

แต่เดี๋ยว ผมหมายถึงแค่จับมือ กอด อะไรอย่างนี้เท่านั้นนะ!

จริงๆ!

คิดขึ้นมาแล้วก็อยากเอายืนเอาหัวยันกำแพงแบบคนคิดไม่ตก เพราะจะให้เอ่ยปากบอกเขาก่อนก็ไม่กล้า ได้หน้าร้อนฉ่ายิ่งกว่ากระทะแน่นอน แถมอัฐเองก็ดูไม่คิดจะพูดหรือทำอะไรเรื่องนี้ด้วย

ไม่สิ เขาแทบไม่แตะต้องผมเลยด้วยซ้ำ แค่จับมือแบบคนเป็นแฟนกันจริงๆ ยังไม่เคยเลย

ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าทำไม แต่อัฐก็ไม่ค่อยถือวิสาสะแตะต้องตัวผมอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็น เช่น ตอนทำแผล หรือตอนผมเมา ซึ่งนั่นก็ก่อนจะคบกันด้วย คิดๆ ดูแล้วก็อาจต้องปล่อยให้เป็นไปตามระยะเวลาเองล่ะมั้ง
แต่...

ใช่ครับ การเล่าเรื่องของอัฐมี ‘แต่’ เสมอ

แต่ในคืนหนึ่งที่ผมพากย์งานนอกเสียดึกดื่นจนไม่ได้โผล่ไปบอกฝันดีเขา อัฐก็เคาะประตูห้อง ทำให้ผมกดหยุดการอัดเสียงเอาไว้ และคาดว่าน่าจะต้องอัดใหม่ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบเดินไปเปิดประตูให้เขา

“เธอยังไม่นอนเหรอ” เขาเอ่ยถามผมด้วยเสียงเบา ผมเผ้าปรกคิ้วอย่างที่คุ้นตา

“พอดียังทำงานไม่เสร็จเลย คุณอัฐจะนอนแล้วเหรอ”

“ยังหรอก” เขาตอบ “ฉันรบกวนเธอทำงานหรือเปล่า”

“อ้อ ไม่เลยครับ งานนี้ไม่รีบ แต่พอดีอยากพากย์ให้จบเร็วๆ”

“หนังสือเสียงน่ะเหรอ?”

“ใช่ครับ”

“ขอเข้าไปดูเธอพากย์หน่อยได้ไหม”

คำขอของผมทำให้ผมสมองช็อตไปนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อต้อนรับ ‘แฟน’ ตัวเองที่ขอเข้ามาในห้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แน่นอน ตอนนั้นหน้าผมเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ ต่อให้ในห้องจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำก็ตาม

“คุณจะดูผมพากย์เหรอ...” ผมถาม ขณะที่เขาเดินไปหยิบหนังสือนิยายที่ผมกำลังพากย์อยู่ขึ้นมาดู

“อืม” เขาตอบในลำคอขณะที่สายตาจ้องหนังสืออยู่ ก่อนจะหันมามอง “ไม่ได้เหรอ?”

ถามมาแบบนั้น... มีแต่ต้องตอบว่า ‘ได้’ ไหมเล่า ฮือ

“ได้สิครับ”

แต่พอผมตอบ เขาก็นั่งลงที่เก้าอี้คอมซึ่งเป็นที่นั่งทำงานของผม

“มานั่งสิ”

“งั้นเดี๋ยวผมออกไปเอาเก้าอี้—”

“นั่งนี่แหละ”

“...”

พลันผมก็ช็อกจนพูดไม่ออก เมื่อเขาดึงมือของผมก่อนจะรวบเอวลงไปนั่งบนตักของเขา…

ใช่... นั่งตัก!

นั่งตักอะ!

นั่งตักเขา เขาที่ปกติอยู่บ้านก็ใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวอะ!

โดนผิวแล้วอะ โดนกล้ามแล้ว จะตายแล้วอะ ฮือๆๆ

แต่ถึงจะสติแตกอยู่ในใจขนาดไหน ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ ขณะที่เขาวางคางเกยไหล่ผม แขนข้างหนึ่งโอบเอวผมไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ยกหนังสือนิยายขึ้นมาเปิดอ่าน

“นิยายรักเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ส่วนใหญ่นิยายรักจะพากย์โดยผู้หญิง แสดงว่านักเขียนอาจจะชอบเสียงเธอ”

เขาออกความเห็น ซึ่งผมไม่รู้จะตอบรับอะไร จะให้แซวกลับว่าคุณก็ชอบผมไม่ใช่เหรอ ก็ดูจะโดนโจมตีกลับหนักกว่าเก่า ใช่...ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ใช่แน่ๆ เพราะแค่เขาดึงให้ผมนั่งตักก็จะตายอยู่แล้ว ฮือ

“ที่คั่นไว้นี่เธอพากย์ค้างอยู่ใช่ไหม”

“...ครับ”

ผมตอบไปเสียงอ้อมแอ้ม รู้สึกจั๊กจี้เหลือเกินกับเสียงเบาๆ ของเขาที่ดังอยู่ข้างหู

โอย ร้อน ร้อนหน้าไปหมดแล้วโว้ย ฮือ

ดีนะไม่เห็นหน้ากัน ไม่งั้นเขาคงเห็นแน่ว่าหน้าผมแดงไปถึงไหนต่อไหน แบบว่าถึงดวงจันทร์ได้ก็ไปแล้วอะ

แล้วช่วงเวลาแห่งความทรมานใจก็ดำเนินไปเงียบๆ ระหว่างที่อัฐอ่านนิยายหน้าที่ผมคั่นไว้ ก่อนที่เขาจะใช้สองมือพลิกเปิดไปหน้าอื่นๆ แล้วมาหยุดที่หน้าท้ายๆ เล่ม

“พากย์บทนี้ให้ฟังหน่อย” เขายื่นหนังสือมาให้ เอ่ยขอ แขนข้างหนึ่งกลับมาโอบเอวผมตามเดิม

“...ครับ”

ผมตอบรับ วินาทีนั้นเขาขออะไรมาผมก็คงไม่ปฏิเสธเพราะสมองรวนนั่นแหละ แต่เมื่อรับมาแล้วลองกวาดตาอ่านอย่างที่ทำเป็นนิสัย ผมก็หน้าร้อนกว่าเก่าจนเหมือนหายใจติดขัด

“นี่...นี่มัน...ฉาก...เอ่อ... นั่นแหละ พากย์บทอื่นได้ไหมครับ”

ผมพยายามตั้งสติ แม้ไอ้ฉาก ‘เล้าโลม’ ที่เขาขอให้ผมพากย์จะชวนสติเตลิด ฮือ คือพอจะรู้อยู่แล้วแหละจากการพูดคุยกับนักเขียนว่ามีฉากพลอดรักอยู่บ้าง คือบรรยายแค่กอดจูบแต่ไม่ถึงกับร่วมรัก ผมก็โอเค แค่ถ้าต้องมาพากย์ให้อัฐฟังต่อหน้าเนี่ย...

บ้าไปแล้ว! ใครจะไปพากย์ได้! โฮๆๆ

“ยังไง...เธอก็ต้องพากย์อยู่แล้วนี่”

เสียงเบาของเขากลับเหมือนยิ่งเย้าแหย่ คางที่เกยไหล่ผมอยู่แม้ขยับนิดๆ แต่ก็ทำเอาใจเต้นระรัวหนักกว่าเดิม

“ขอพากย์บทอื่นเถอะครับ...”

“ถ้าไม่ยอมพากย์ ก็แปลว่ารู้ว่ามันน่าอายไม่ใช่เหรอ?”

“...”

“รับงานแบบนี้ไม่ดีเลยนะ” คำพูดของเขาทำให้ใจผมยิ่งสั่นระรัว และยิ่งพูดใกล้หู...ก็ยิ่งอยากจะบ้าตาย “ฉันที่เป็นแฟนเธอไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่”

อา...

หรือผมได้ตายไปแล้วนะ

ฮือ ไม่คิดว่าเขาจะมีมาพูดแบบนี้กับผมด้วยอะ

แถมแขนอีกข้างที่โอบเอวผมไว้อยู่ก็ดูจะกระชับแน่นกว่าเดิมด้วย

ตายๆๆ

ไม่สิ ไม่ๆๆ

สติสิ สติอะ ฮือ

“เดี๋ยวผม...จะไม่รับนิยายรักแล้ว...”

“ไม่เป็นไร มันงานเธอ อยากรับอะไรก็รับไปเถอะ” พลันอยู่ๆ เขาก็พูดเหมือนเข้าอกเข้าใจ ทำให้ผมนึกขอบคุณ แต่ก็กลับลำความคิดแทบไม่ทันเมื่อได้ฟังประโยคต่อมา “แค่รับมาแล้วก็มาพากย์ให้ฉันฟังหน่อย”
“...”

มันต่างอะไรกับไม่ให้รับล่ะโว้ย!!

“อย่างบทเมื่อกี้น่ะ พากย์สิ” เขาเอ่ยที่ข้างหู ให้ผมเขยิบหนีแต่ก็ไปไหนไม่พ้น “ฉันรอฟังอยู่”

ผมร้อนหน้ามากๆ ไม่สิ ร้อนลามเลยไปทั้งตัว อึดอัดทรมานกับความรู้สึกที่อัดล้นและเขาก็จี้จุดมาไม่หยุดจนผมเริ่มรู้สึกเหมือนจะร้องไห้

“หยุด...แกล้งผมสักที”

สุดท้ายผมเอ่ยขอออกไป ไม่รู้ว่าเพราะเสียงของผมจริงจังหรือแอบสั่นเครือขึ้นมานิดๆ จนเขารู้สึกได้

“อืม ไม่แกล้งแล้วก็ได้”

เสียงเบาของเขาเลิกเย้าแหย่ผม เหมือนกลับมาเป็นโหมดปกติ ไม่แกล้งผมอีกดังที่ผมขอ ทำให้ผมโล่งใจขึ้นจนแทบจะถอนหายใจออกมา

แต่...คำพูดต่อมาของเขาก็ทำเอาผมอยากย้อนกลับไปบอกว่า แกล้งผมเหมือนเดิมเถอะ

อย่าจริงจังเลย

ใช้น้ำเสียงเย้าแหย่เถอะ

อย่าใช้เสียงเบาๆ นิ่งๆ อันเป็นบุคลิกตามปกติของคุณเลย

เพราะว่า...

เพราะว่า...ผมจะตายอยู่แล้ว

“เอาจริงเลยแล้วกัน...ดีไหม?”



**




หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: แยมส้มขมคอ ที่ 17-05-2020 00:09:46
ตอนที่ 32



ไม่ทันให้ผมเอ่ยถามตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเอาจริงที่เขาว่ามันหมายความว่าอะไร สิ่งที่เคยเกยไหล่ของผมก็เปลี่ยนจากคางเป็นปลายจมูก ไล้ผิวนอกร่มผ้าเบาๆ พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดจนทำเอาอุณหภูมิในใจผมแปรปรวน

ร้อน...ร้อนไปหมดแล้ว

และเพราะไม่ได้จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวจนผมตระหนกตกใจร้องเสียงหลงหรือขัดขืนปฏิเสธ ผมจึงตกอยู่ในสภาพพูดอะไรไม่ออก แม้แต่อ้าปากพะงาบยังเหมือนจะทำไม่ได้ มีเพียงการหายใจถี่ระรัวไม่ต่างจากจังหวะการเต้นของหัวใจ

แล้วมือใหญ่ของเขาก็ดึงหนังสือออกจากมือของผม ปิดมันแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาตามบุคลิกที่ไม่ว่าทำอะไรก็เบามือไปหมด ขณะที่มืออีกข้างเริ่มวางลงบนต้นขาที่เผยผิวเนื้อถัดจากร่มผ้าที่เป็นกางเกงขาสั้น ก่อนมืออีกข้างจะรุกไล้เข้ามาใต้ชายเสื้อของผมช้าๆ

“คะ...คุณอัฐ” ผมเรียกเขาเหมือนสมองเพิ่งจดจำวิธีพูดได้ “คุณอัฐ คือว่า...”

“เธอไม่ต้องเรียกฉันว่า ‘คุณ’ ก็ได้”

แต่เขาก็พูดแบบนั้นมาก่อน ทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าเขาด้วยความสงสัย ซึ่งก็เหมือนว่าพลาดท่า เพราะว่าอัฐใช้จังหวะนั้นจับขยับกายของผมให้เอียงตัวมาหา ไม่ใช่นั่งหันหลังอีกต่อไป

บะ...แบบนี้ก็หลบหน้ายากกว่าเดิมสิ ฮือๆๆ

“ละ...แล้วให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ”

ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามตั้งสติ แบบพยายามมากๆ เพื่อเอ่ยถามออกไป แม้จะก้มหน้างุดหนีการสบตาก็ตาม

“เรียกอัฐเฉยๆ ก็ได้”


“ทำไมล่ะครับ...”

“ก็...ฉันจะเป็นอะไรของเธอก็ได้” แล้วไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าเสียงของเขาอยู่ใกล้หูกว่าเดิม

ก่อนที่คำพูดต่อมา...จะทำผมเขินจนเหมือนระเหิดกลายเป็นไอ

แบบว่าข้ามขั้นละลายไปได้เลย...

“ที่แน่ๆ ฉันเป็น ‘อัฐ’ ของเธอคนเดียว”

ถ้า...ถ้าดีใจจนร้องไห้ออกมาอีกจะดูคลั่งรักเกินไปไหม

และเพราะเหตุนั้นแหละผมถึงเรียกเขาในใจว่า ‘อัฐ’ เสมอมา ไม่มีแม้แต่คำว่า ‘พี่’ หรือ ‘คุณ’ นำหน้า เป็นเพียงอัฐที่เป็นอัฐเท่านั้น

อัฐที่เป็นของผมคนเดียว

พลันสติที่หลุดลอยไปไกลก็เพิ่งกลับมารู้ตัวตอนที่เขาเลิกเสื้อของผมขึ้นมาจนเลยช่วงอก มืออีกข้างยังโอบเอวผมไว้ ก่อนที่เขาจะจูบลงบนหน้าท้อง...แล้วไล่ขึ้นมา

หนี... ต้องหนีแล้ว ช่วยด้วย จะตายแล้ว ฮือๆ

แต่ต่อให้ขยับกายหนียังไงก็ถูกแขนของเขาพันธนาการไว้ เขาลุกลามขึ้นมาเรื่อยๆ จนผมหันหน้าหนีเพราะกลัวหัวใจจะวายเสียก่อน ทว่ากายของผมก็พลันกระตุกขึ้นมาราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั่วร่าง เมื่อเขา...จูบลงที่ยอดอกของผม

ตะ...ตรงนั้นน่ะแหละ!

“อะ! ...อ๊ะ!” ผมหลุดร้องน่าอายออกไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มือเลื่อนจับศีรษะของเขาโดยอัตโนมัติ ดันออกนิดๆ เหมือนหวังให้เพลาการกระทำลง แต่ไม่ได้ผล...

ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากปลายลิ้นที่ไล้เลียลงบนจุดอ่อนไหวจนเสียวซ่านไปหมด

“ดะ...เดี๋ยว!”

ผมแทบร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงการดุนดันเบาๆ ก่อนที่จะ...กระตุกกายแล้วลั่นปากออกไปเมื่อถูกขบเม้มเข้ามา

“ผะ...! ผู้ชายเขาเสียวหัวนมกันด้วยเหรอครับ!”

“...”
“...”


...ดะ...ได้ผล...

ได้ผลอย่างไม่ตั้งใจ

ทุกอย่างหยุดลง และเงียบสนิท

เงียบจนได้ยินเสียงแอร์ดังลั่น

ตามด้วยเสียงไอร้อนที่ออกจากหน้าของผมเอง

ก่อนที่จะ... ก่อนที่จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวเล็กน้อยจากกายของอัฐที่เขากำลังก้มหน้าอยู่ แล้วมันก็เริ่มไหวสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่ระดับออกมาเหมือนสุดแล้วที่จะอดกลั้น

“คะ...คุณอย่าหัวเราะสิครับ...”

ผมบอกไปด้วยความอับอาย หน้าคงแดงแป๊ดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่อัฐก็ไม่หยุดหัวเราะ ถึงไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ดังลั่น แค่เหมือนดังกว่าระดับเสียงพูดเบาๆ ของเขาไม่มาก ทว่ามันก็ต่อเนื่องเหมือนหยุดไม่ได้

“คุณอัฐอะ... ฮือ...”

ผมร้องครวญประท้วง ซึ่งอัฐก็ดูพยายามหยุดให้ ดึงเสื้อของผมลงให้เรียบร้อย แล้วกอดผมเอาไว้แน่น เสียงหัวเราะหยุดลงจนผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากกายที่แนบแน่น ก่อนที่เขาจะ...หัวเราะเบาๆ ออกมาอีกระลอก

“ขำอะไรนักหนาครับเนี่ย...”

“ก็เธอ...ตลกดี”

“ฮือ...”

คำพูดของเขาทำผมร้องครวญ วุ่นวายกันกับการขำความเปิ่นของผมอยู่อีกสักพัก อัฐก็ยอมสงบลงได้ สละเก้าอี้ให้ผมนั่งคนเดียวตามเดิม

“ไว้จะมาฟังที่เธอพากย์ใหม่แล้วกัน”

“จะไม่ให้ผมรับพากย์นิยายรักก็บอกตรงๆ ก็ได้ครับ...”

กระนั้นอัฐไม่ตอบ แค่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วโน้มน้าวลงมาหาผมโดยไม่ทันตั้งตัว...เพื่อขโมยจูบของผม

“ฝันดีนะ”

เขาเอ่ยบอกเสียงแผ่ว ดวงตาที่ช้อนมองในระยะใกล้ทำผมเหมือนถูกสะกดให้แข็งค้าง แม้เขาจะผละออกแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูลง ผมก็ยังนิ่งอึ้งในอิริยาบถเดิม

ฝันดีอะไรกัน...

นอนไม่หลับหรอกโว้ย!

ฮือๆๆ

แน่นอนว่าคืนนั้นผมเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียว ร้อง ‘อ๊าก’ อัดหมอนไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนฉ่าหลายระลอก แต่คงเพราะใช้พลังงานมากไปนั่นแหละ ผมเลยผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

ตื่นมาอีกทีเป็นช่วง 7 โมงเช้า วันอาทิตย์ แม้ตั้งใจหลับต่อแต่ตาสว่างเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ผมจึงคิดออกไปเดินเล่นที่สวนของหมู่บ้าน แต่เมื่อเดินลงมาถึงหน้าบ้าน แผนก็เปลี่ยนนิดหน่อย

ผมพบแมว 2 ตัวนั่งอยู่บนสันกำแพงรั้ว ซอกซอนตามพุ่มเฟื่องฟ้าราวกับเป็นฉากหลังสีสวย ตัวหนึ่งคือเจ้ามิเกะแมวสามสี อีกตัวคือแมวดำตาสีอำพัน แปลกหน้า ไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันหรี่ตามองมายังผมเหมือนไม่ไว้ใจ แต่เมื่อผมลองทักทายว่า ‘เมี้ยว’ เจ้าแมวสีดำก็กระโดดลงจากกำแพง เยื้องย่างสามขุมเข้ามาหา ก่อนจะร้องเมี้ยวเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้า ราวกับเรียกให้ผมก้มลงไปเกาคาง

จังหวะที่ผมนั่งยองลงไปแล้วเกาคางให้เจ้าแมวดำครางเครือในลำคออย่างพึงพอใจ เสียงเปิดประตูเหล็กด้านหลังก็ดังขึ้น หันไปมองก็พบว่าคุณอัฐออกมาหน้าบ้าน สภาพเพิ่งตื่นด้วยผมเผ้าสีดำที่ยุ่งนิดๆ และรกปรกคิ้ว

“เมื่อคืนฝันดีไหม?” เขาเอ่ยทักผม
“อย่าพูดถึงมันเลยครับ...”

พอผมตอบแบบนั้นเขาก็กระตุกยิ้มนิดๆ หัวเราะ ‘หึ’ อยู่ในลำคอ ก่อนจะเบนไปมองเจ้ามิเกะที่ยังนั่งหยิ่งที่กำแพงรั้ว ขณะที่ผมอดร้อง ‘หน็อย’ ในใจไม่ได้

หน็อย...ทีเมื่อก่อนนะ อย่าว่าแต่หัวเราะเลย ยิ้มยังไม่ยิ้ม ถึงจะดีก็เหอะที่ยิ้มได้ แต่ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ

จะขำอะไรผมนักหนา ห๊า?

“เมี้ยว”


แต่เหมือนจะหมั่นไส้มากไปหน่อยจนเผลอลงน้ำหนักที่มือ เจ้าแมวดำเลยร้องประท้วงเบือนหน้าหนีไม่ให้เกาคางอีก ซึ่งอัฐหันมามองเมื่อได้ยินเสียง ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

ผมเห็นดังนั้นก็งงนิดๆ แต่ก็เอื้อมมือไปลูบหัวลูบตัวมันต่อเพราะนุ่มนิ่มเพลินมือดี ก่อนที่มันจะผละหนี วิ่งแจ้นไปหาอัฐที่ออกมาอีกทีพร้อมปลาซาบะ 1 ตัว

เขาวางมันลงกับพื้น ซึ่งเจ้าแมวดำก็รีบคาบขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้คาบไปไหนไกล แค่หาที่นั่งกินให้ห่างจากมนุษย์อย่างเราๆ เท่านั้น

“ไม่เอามาให้มิเกะด้วยเหรอครับ” ผมถามอัฐ

“มิเกะกินแต่แซลมอน”

“โห... แต่มองหน้ามันแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นะครับ” ผมว่าพลางมองหน้ามิเกะที่มองมาพอดีเหมือนรู้ตัวว่าถูกนินทา

“อืม โจบินี่แหละกินง่ายหน่อย”

“โจบิ? แมวดำนี่เหรอ?”

“ใช่”

เขาตอบรับ ทำเอาผมขมวดคิ้วนิดๆ กับอีกชื่อประหลาดๆ

“แมวบ้านใครเหรอครับ”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

และคำตอบทำให้รู้เลยว่าอัฐนั่นแหละที่ตั้งชื่อ...

เรามองเจ้าโจบิกินปลาซาบะกันอยู่สักพัก ซึ่งพอมันกินไปได้ครึ่งตัวก็อิ่มซะแล้ว และเริ่มนั่งเลียมือตัวเองเพื่อทำความสะอาด

“เสียดายนะครับ ที่เหลือมิเกะก็ไม่กิน”

“เดี๋ยวนกคงมากินเองแหละ”

เขาเอ่ย ทำให้รู้ว่าเขาเคยให้พวกมันกินอยู่บ่อยๆ เพียงแค่ผมไม่เคยเห็น

“จะว่าไป... ผมเคยคิดว่าคุณเหมือนแมวอยู่บ่อยๆ เลยนะครับ” ผมพูดขึ้นขณะที่โจบิเริ่มเลียขนตัวเองในบริเวณที่ผมเพิ่งลูบตัวมันไป

“ทำไมล่ะ”

“ก็...เดาใจยาก นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป แล้วบางทีก็ทำตัวดีด้วยเหมือนแมวที่มาอ้อนคลอเคลีย แต่สุดท้าย... เนี่ย เลียขนทำความสะอาดตัวเองเหมือนรังเกียจที่เราไปแตะต้องมันเลยครับ” ผมชี้เจ้าโจบิที่ยังเลียขนตัวเองอยู่ มันหยุดแล้วเหลือบตามองเล็กน้อยเหมือนรู้ว่าถูกพูดถึง ก่อนก้มเลียขนต่อ

“งั้นเหรอ” อัฐตอบรับด้วยน้ำเสียงเหมือนคิดตาม “แต่ฉันก็ไม่ได้เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจแล้วนะ”

คำพูดของเขาทำให้ผมยิ้มขำนิดๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เพราะนั่งยองนานจนเมื่อยแล้ว

“ก็จริงครับ” ผมเอ่ยพร้อมหันไปยิ้มให้ ซึ่งอัฐก็จ้องสบตาครู่หนึ่งเหมือนคิดอะไรแล้วจึงเอ่ยมา

“แต่แมวก็มีข้อดีอย่างนึงคือมี 9 ชีวิตนะ”

“นั่นสิ แต่ว่าคุณจะเอา 9 ชีวิตไปทำอะไรเหรอครับ”

“ไม่เอาหรอก” ทว่าเขาปฏิเสธ “ถ้าให้อยู่กับเธอแล้วมีแค่ 9 ชีวิตน่ะ ไม่พอหรอก”

“...”

“ฉันอยากเป็นอมตะ แล้วอยู่กับเธอที่เป็นอมตะเหมือนกัน”

อะ...

อ่า... อยู่ดีๆ ทำไมพูดอะไรหวานๆ ขึ้นมาเนี่ย...

หวานมาก...

และเขิน

เขินไปหมดแล้วโว้ย!

ตอบ... ตอบอะไรแก้เขินดี

“ถ้าอยากอมตะก็กินเด็กสิครับ”

“...”

แล้ว...แล้วผมตอบอะไรออกป๊าย?!

มันดูสองแง่สองง่ามมากๆ ฮือ เมื่อไหร่จะเลิกลนแล้วพูดอะไรเปิ่นๆ ออกไปเนี่ย

พลันความเปิ่นของผมก็ทำให้อัฐเผยยิ้มอีกครั้ง

เป็นยิ้มบางๆ ที่มุมปาก พร้อมกับเผยร่างแมวยักษ์ที่ดูเหมือนกำลังตวัดหางไปมา และช้อนมองเหยื่อตัวเล็กๆ ที่เตรียมตะครุบ

“ถ้างั้น...จะให้กินได้หรือยัง?”

“...”

อา...

นี่ผมหัวใจวายตายแล้วเกิดใหม่มาอยู่ตรงนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ...

ไม่ได้ ไม่ได้สิโว้ย!

“ถ้าคุณอัฐหิว เดี๋ยวผมไปทำอาหารเช้าให้กินนะครับ”

ว่าจบ ผมก็รีบเดินหนีเข้าบ้านไปเลย ไม่รอดูเขาหัวเราะขำกับท่าทีตลกๆ ของผม ถึงจะยังได้ยินเสียงขำตามหลังมาก็ตาม

รู้เลยอะว่าในสายตาเขา ผมดูตลกแค่ไหน ฮือ

ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้สึกดีที่เขายิ้ม เขาหัวเราะได้เพราะผม

มันแปลว่าเขามีความสุขที่มีผมอยู่เคียงข้าง และผมก็มีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเขาเช่นกัน

เล่ามาถึงตรงนี้ ระหว่างที่ผมกำลังทอดไข่ดาวไม่สุกเป็นอาหารเช้าให้เขา เหมือนทุกวันที่เขาตื่นก่อนเวลาปกติ ผมก็คิดว่าควรจะเปลี่ยนคำนิยามของเขาเสียใหม่

ที่ว่าเขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ ตอนนี้น่ะไม่ใช่แล้ว

เห็นทีคงต้องเปลี่ยนเป็น... เขาเหมือนแมวที่มองเมินเราคล้ายรังเกียจ สุดท้าย...ก็เข้ามาอ้อนคลอเคลียด้วยความรัก

เป็นความรักที่ไม่ต่างจากที่ผมรักเขา

และจะรัก...ตราบเท่าที่ชีวิตของแมวอมตะจะยืนยาว



*****จบบริบูรณ์*****





สวัสดีอีกครั้งในตอนจบ แยมส้มขมคอเองค่ะ
ใครชื่นชอบ สามารถคอมเม้นติชม หรือติดแท็ก #อัฐจา ให้แยมในทวิตเตอร์ได้นะคะ
ตอนแรกว่าจะทยอยลง แต่เปลี่ยนใจ ลงให้จบไปเลยดีกว่าค่ะ 555

เรื่อง เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
จะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ Hermit นะคะ
ถ้าตีพิมพ์เมื่อไหร่ จะมาแจ้งข่าวอีกที ขอบคุณค่ะ
 :mew1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-05-2020 00:15:39
 :3123:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: MooMiew ที่ 17-05-2020 03:35:15
ไม่ได้เข้ามาอ่านเล้านานแล้ว เพราะไม่รู้จะอ่านอะไร แต่กดเข้ามาอ่านเพราะคุ้นๆ ชื่อคนเขียนพอดีเห็นหน้าแรกตอนสี่ทุ่ม กดเข้ามาอ่านแบบสุ่ม โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่คาดหวังอะไรด้วย ยาวเลยจ้าาาาาาา อ่านไปก็ท้อใจไป ติดแล้วไง ตอนละสองสามวันเลยหรอ จะขาดใจมั้ยนะฉัน อ่านไปเรื่อยๆๆ ซึบซับตัวอักษรไปเรื่อยๆๆ เพลินมากก ข้ามมาหน้าสองเห็นวันที่แล้ว เอ๊ะ วันนี้หนิ อย่าบอกนะว่าลงให้จนจบน่ะ เอาวะ คนเขียนลงให้จบรวด คนอ่านก็กล้าอ่านให้จบรวด ยาวจ้า ตีสาม ฮ่าาาาาา ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ติดอะไรแบบนี้มานานแล้ว พอติดทีก็เลยยาว

อาชีพตลคแปลกดี แต่ไม่ได้ใส่ดีเทลเรื่องงานไว้เยอะ //อยู่ในมู้ดที่อยากกอ่านอะไรที่เรียลๆ แต่ไม่จริงจังในสายอาชีพมากด้วยแหละ

ชอบบทบรรรยายนะ เยอะกว่าบทสนทนาในช่วงแรก หนักไปที่ความรู้สึกจา แต่อ่านเพลินไม่น่าเบื่อเลย บางประโยคก็แบบ เห้ยคิดได้ไงนะ โคตรพ่อโคตรแม่เชื้อโรคนี้ฮาลั่นห้อง //มีอันอื่นซึ้งๆ อีกแหละ แต่นึกไม่ออก อันนี้ติดใจสุด ฮ่าาา

เหมือนโดนหลอกให้อ่านคอเมดี้เพลินๆน่ะ พอถึงจุดพีค ชะล่าใจไง นึกถึงใจเย็นเป็นไท ก็ตบเข่าฉาดเลย เอาแล้ว เล่นกับความรู้สึกคนอ่านแล้ว อารมณ์เหวี่ยงไปกับเรื่องราว อินจริงไรจริง แล้วก็เดินทางมาจนจบจนได้ ประทับใจในเรื่องราว เป็นเรื่องราวดีๆ ที่ได้อ่านเลย

พิมพ์ยาวเหมือนสารภาพรักกับนักเขียน หาสาระไม่ได้ในคอมเม้นท์นี้ จริงๆแค่อยากขอบคุณค่ะ ที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้อ่าน อยากจะเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วย ขอบคุณจริงๆ กว่าจะกลั่นกรองออกมาเป็นเรื่องยาวได้ขนาดนี้ไม่ง่ายเลย

รอเล่มออกนะคะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-05-2020 20:04:21
อ่านรวดเดียวจบเลย
สนุกแบบแปลกๆ พระเอกอึนได้ที่มาก

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 18-05-2020 00:02:49
ว้อยยยยยเขินเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่เชื่อว่าอัฐจะเสี่ยวได้ขนาดนี้ นี่อยากอ่านตอนพิเศษที่เขาจะได้กินเด็กเป็นอมตะเลย คงบับ >.,< -///- อ่านจบมีความสุขมาก ยิ้มตามแก้มปริ กว่าจะมาถึงวันนี้บอกเลย ไม่ง่าย กว่าจะผ่านกำแพงใจไปได้นี่ เสียน้ำตาไปเยอะเลยนะจา 5555 มองแล้วรู้สึกว่าเขาจะเป็นคู่ชีวิตแก่เฒ่าไปด้วยกัน รักเดียวใจเดียวมั่นคงไรงี้ ดีต่อใจ มโนไปต่อเองได้เก่ง นิสัยพอๆกับจาคิดไปเองเก่ง 555555

กดเข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องไรว่ะ ยาวสัส และลงไปแล้วหลายตอนด้วย ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย อ่านรวดเดียวจบ วางไม่เลย แม่งแบบ เหี้ยยย เกือบพลาดแล้ววววว สนุกกมากโว้ยยยยย 5555 ชอบที่ไม่ใช่ฟิลกู๊ดแต่ก็ไม่ดราม่ามากจนปวดตับแต่หน่วงระดับกลางๆพอดี อาชีพนายเอกแปลกใหม่สำหรับเราเลย คาแรกเตอร์ก็ชอบ จาเป็นคนคุยรู้เรื่องดี รู้จังหวะถอย จังหวะตาม รวมๆคือเป็นคนไม่งี่เง่า แม้จะชอบบอกว่าตัวเองงี่เง่าก็เถอะ แต่เราก็เข้าใจจานะ 55555 น่าเอ็นดูมากๆด้วย เวลาเลิกลั่ก ลนๆและตอนเขินอาย มันน่าแกล้งยัยหมวยให้แก้มแดงจริงๆเนอะอัฐ 5555 ส่วนอัฐก็ประสาทแดกดี อย่างที่จาบอกเลยเพราะความปสด.นี้แหละถึงชอบ 555 ก็นะคนมันมีปม เข้าใจๆ เอ็นดูตอนจาย้ายออก ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับจนต้องไปตามกลับ 5555

ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพลงใน thaiboys ให้ได้อ่านกันกับนิยายสนุกๆเรื่องนี้ อ่านลื่นไหลมาก ทั้งฮา หน่วง ฟิน ทุกรส บรรยายความรู้สึกได้แบบ จะว่ายังไงดีละ 555555 คืออิน แบบลึกซึ้งอ่ะ พูดไม่ถูก แต่มันดีมาก ว้อยยยยสนุกมากๆค่า ชอบจริง ว่าแล้วก็แอบอยากได้หนังสือเลย ป่ะๆหยอดปุก 555  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: gungchan ที่ 18-05-2020 06:35:47
คุณอัฐน่ารักนะ เป็นนิยายที่ดี อ่านแล้วได้เรียนรู้ตัวละคร ย้อนดูตัวตนด้วย ขอบคุณนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 18-05-2020 11:24:48
ได้อ่านจบรวดเดียวเลย ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะที่แบ่งปันเรื่องราวน่ารักๆให้คนอ่านได้อ่านกัน :mew1:
หัวข้อ: Re: (จบ) เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 18-05-2020 21:14:22
ปวดหัวกับพระเอกไทป์​นี้จริง หมั่นเขี้ยวเหลือเกินจะเดินจะเหินตะตอนยอน
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 19-05-2020 22:39:40
  :3123: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 20-05-2020 01:30:52
กว่าจะ happy สงสารจา กว่าอัฐจะรู้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 21-05-2020 11:01:09
จบแล้ว ไม่อยากให้จบเลยย อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ
ขอบคุณคนแต่งมากเลยค่า ♥️♥️
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 21-05-2020 11:54:55
โอ๊ยแง้ อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ แรกๆหมั่นไส้คุณอัฐมาก อยากยึดขนมแมวเลียสุด แต่พอนานวันเข้านี่เราคลั่งรักไม่แพ้ยัยหมวยเลย5555 ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งเชียร์น้องจาให้ไฟท์อีกหน่อย คุณอัฐลดความประสาทแดกเพื่อหนูแล้วนะลูก แง้ ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะคุณแยม :กอด1:
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 21-05-2020 17:08:48
โอยย ใจละลาย ใจบางหมดแล้ว อ่านเพลินเกิน อ่านแล้วม้วน อ่านแล้วม้วน ฟินอ่าา เป็นรักที่ละมุนละไมมาก ถึงแม้ช่วงแรก จะสงสารจา แต่หลังคือแบบ น้ำเชื่อมยังยอมแพ้อ่่่า อัฐ♥️จา ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ  :haun4: ตายอย่างสงบ ศพสีชมพู
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 21-05-2020 23:03:19
ขอบคุณค่าา  หลงรักในตัวตนทั้งสองคนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 23-05-2020 00:41:55
ขอให้พี่ได้กินเด็ก เอ้ย ได้เป็นอมตะเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 24-05-2020 21:02:59
อ่านเพลินมากเลยค่ะ สนุกมากๆมีน้ำตาซึมด้วย
แต่หลังเสียน้ำตาไปแล้วคือเขินไม่ไหวเป็นน่ารักมากๆ เอาจริงๆคือไม่อยากให้จบเลยค่ะอยากอ่านไปเรื่อยๆ ฮืออออ  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ตอนนี้คุณอัฐกับน้องจาเข้ามาอยู่ในหัวใจเราเรียบร้อยแล้ว
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: FindingYok ที่ 07-07-2020 10:06:25
เราแพ้ทางนักเขียนคนนี้มากจริงๆ (ตามมาจาก The Contrast) ชอบสไตล์การเขียนมาก รวมทั้งคาแรคเตอร์ตัวละคร เรียกได้ว่าติดงอมแงม ขอบคุณที่สร้างงานเขียนดีๆออกมาให้ได้อ่านกันนะ จะติดตามต่อไปเรื่อยๆเลย
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 11-07-2020 14:11:14
โอ้ยยย พอบทเจ้าแมวหน้านิ่งจะหวานขึ้นมาก็ทำใจละลายเลย  :-[
หัวข้อ: Re: █ █ เขาเหมือนแมวที่อ้อนคลอเคลีย สุดท้ายก็เลียขนตัวเองอย่างรังเกียจ █ █
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 12-07-2020 10:31:38
เขียนดี แต่อุปมาไม่ค่อยสาธารณะ เช่นช้อนตาเหมือนเชยคาง อันนี้จนจบเรื่อง ก็ไม่เข้าใจจริงๆ