บทที่ 8
“พี่รัณย์”
“...”
“...นอนกับเจินมั้ย”
ผมยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด พี่ศรัณย์วางขวดน้ำลงที่โต๊ะแล้วหันมามองที่ผม เสื้อถูกเปิดให้เห็นผิวด้านใน ผมเอียงคอสบตากับเขาแล้วยิ้มนิดๆ ให้
พี่จะรออะไรอยู่ล่ะ
“อ่อย” เขาบอก แล้วก้าวขายาวๆ นั่นมาหาผม โซฟานุ่มยุบฮวบเนื่องจากร่างสูงที่ขึ้นมาคร่อม ท่อนแขนแกร่งเท้าลงกับมันเพื่อยันตัวไว้ ใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้กับหน้าผม
ผมคลี่ยิ้มบาง ปรายมองริมฝีปากอีกคนที่เพิ่งได้ลิ้มชิมไป ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นสบมองดวงตาอีกฝ่าย
ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเอาความกล้าพวกนี้มาจากไหน
แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้
“ก็อ่อย แล้วเมื่อไหร่จะกินเจินล่ะค—”
ไม่ทันจบประโยค คนด้านบนก็กดริมฝีปากลงมา ผมหลับตา ก่อนจะวาดแขนขึ้นโอบรอบคอเขา พี่ศรัณย์ขบริมฝีปากล่างผมเล่นอย่างหยอกล้อ ผมยกยิ้มขึ้นแล้วส่งปลายลิ้นเลียไปที่ผิวริมฝีปากอีกคนอย่างไม่ยอม
เหมือนกับการไปยั่วเขาล่ะมั้ง พี่ศรัณย์เลยกดจูบลงมาอย่างดูดดื่ม ...ทว่านั่นผมกลับชอบมันมากกว่า ชอบให้เขาเลิกหยอกล้อแล้ว
ใส่เข้ามาสักที
ผมเลื่อนมือลงไปปลดกระดุมเชิ้ตสีเข้มของเขาจนกระทั่งเม็ดสุดท้ายอย่างรู้งาน เขาผละออกจากจูบผมแล้วถอดมันออก ก่อนจะกดซ้ำลงมาอีกครั้งราวกลับกลัวตัวผมจะหายไป
ร่างกายของผมเห่อร้อนไปทั่ว ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือผงขมๆ นั่น แต่มันทำให้ผมต้องการคนตรงหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้
ไม่รอช้าผมลงมือปลดเข็มขัดเขา ปลดกระดุมกางเกงตัวดำออกแล้วรูดซิปลง เสียงของมันทำให้ผมแทบคลั่ง
พี่ศรัณย์ละออกจากริมฝีปากผมแล้วเลื่อนลงมาที่ลำคอ สันจมูกโด่งลากไล่ไปตามซอกคอ ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นๆ จะประทับลงไปผิว เขาจูบมัน ขบกัดมัน และดูดมันจนผมเผลอร้องคราง
คนแก่กว่าส่งลิ้นร้อนลากลงผิวบริเวณคอ ก่อนจะจูบไล่ลงไปที่แผ่นอก มืออีกข้างเขาเปิดเสื้อของผมออกเป็นนัยน์ว่าให้ถอดมันออกซะเถอะ เสื้อเชิ้ตของคืนนี้เลยลงไปกองที่โซฟา
ในหัวผมตอนนี้มันโล่งไปหมด ผมแหงนเงยมองเพดาน เสียงวาบหวามที่เขาทำมันดังก้องเข้ามาในหู ภาพเพดานดูซ้อนกันไปหมด ถ้าเทียบมันกับภาพวาด ลายเส้นเหล่านั้นดูสั่นเบลอไร้ซึ่งจุดโฟกัส
“พี่รัณย์ ...ผมไม่ไหวแล้ว”
พี่ศรัณย์ลงไปจากโซฟา เขาคุกเข่าลงบนพื้นพรม มือใหญ่ปลดตะขอกางเกงผมออก ผมเองก็ยกสะโพกขึ้นเพื่อให้เขาดึงมันลง
เหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีขาวขอบดำ ผมก้มลงไปมองก็เห็นท่อนล่างที่มันแข็งตัวจนดันเนื้อผ้าสีขาวให้นูนขึ้นเป็นรูปร่าง
ใบหน้าหล่อเหลานั่นกำลังเลื่อนลงไปที่กางเกงผม เขาก้มลงขบเม้มมัน ผมตกใจที่เขาทำแบบนั้น มันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า
“มะ..ไม่สิ พี่รัณย์ มันสกปรก”
เหมือนคำปรามของผมจะไม่เป็นผล เขาดึงอันเดอร์แวร์ลง เผยให้เห็นของผมที่ตั้งขึ้นต่อหน้าเขา ผมยกมือขึ้นปิดตา ไม่รู้ทำไมจู่ๆ รู้สึกกระดากอายขึ้นมา
“พี่รัณย์... ไม่เอา.. มัน... มัน...”
...
“.... อ่าา~”ใบหน้าของผมเชิดแหงนขึ้นเพดานพลางส่งเสียงครางออกมาครั้นเมื่อริมฝีปากเขาครอบลง ลิ้นชื้นร้อนนั่นโลมเลียมันจนความรู้สึกเสียวแล่นขึ้นมาบริเวณท้องน้อย ผมยกแขนขึ้นปิดหน้า อีกข้างเอาวางลงบนศีรษะอีกฝ่าย
ริมฝีปากพี่ศรัณย์เลื่อนขึ้นลง ผมเม้มปากกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอด นิ้วมือสอดไปตามเส้นผมของเขา เมื่อเขาละปากของจากส่วนล่างของผม ลิ้นที่ชื้นแฉะของเขาก็ส่งมาแตะลงบนปลายยอดจนน้ำที่เยิ้มออกมายืดติดปลายลิ้นของอีกฝ่าย
ตอนนี้ใบหน้าผมต้องดูไม่ได้แน่ๆ
เขาลุกขึ้นยืมเต็มความสูง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อช่วงไหล่และหน้าท้องที่งดงาม ลวดลายหมึกสีดำสวยราวกับใช้พู่กันแต่งแต้มลงบนผิวออกแทนทำให้เขาดูดุมากขึ้น
เขาก้มมองกางเกงที่ผมปลดไว้ มือแกร่งดึงเข็มขัดเส้นนั้นออก เขาทิ้งมันลงไปอยู่กับชีตเรียนชีวะบนพื้น ผมมองมันอย่างหวั่นๆ กับปลายลำท่อนที่โผล่มาหมิ่นเหม่ที่ขอบอันเดอร์แวร์ น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก
นั่นเขาจะไปไหน
เขาเดินไปเปิดลิ้นชักใต้ทีวีช่องล่างริมสุดที่ผมไม่เคยใช้ ของบางอย่างถูกหยิบมาไว้ในมือ เป็นขวดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่กับกล่องสี่เหลี่ยมที่ผู้ชายคงคุ้นตาเป็นอย่างดี
ผมมองมันอย่างอึ้งๆ เอาไปใส่ไว้ตอนไหน?
เขาเดินมาดึงเอวผมให้หมิ่นไปอยู่ที่ขอบโซฟา ก่อนที่ตัวเองจะคุกเข่าลงอีกรอบ
“เอาไปใส่ไว้ตอนไหน”
“พี่มาห้องเราตั้งกี่ครั้งแล้วล่ะ”
“...”
“อย่าให้ใครเข้าห้องแบบนี้อีก”
“ทีพี่ยังเข้าเลย”
“ก็นี่พี่ไง แต่คนอื่นไม่ได้ หวง”“...”
“อ้าเร็ว” เสียงทุ้มต่ำพูดก่อนมือใหญ่จะสอดมาที่เข่าผมทำทีแหวกมันออก แล้วผมเองก็เป็นใจด้วยไง ผมค่อยๆ อ้าขาออก พี่ศรัณย์ก็ส่งมือมายกตรงข้อพับผมขึ้นทั้งสองจนเท้าขึ้นมาวางเหยียบบนโซฟาจนตั้งฉาก
เจลหล่อลื่นใสๆ ถูกบีบใส่มือใหญ่ ก่อนที่นิ้วเขาจะแตะลงมาที่ปากของช่องทางผม ความรู้สึกเย็นวาบทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนนิ้วชี้เรียวยาวจะสอดเข้าไป มันไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ เพราะรู้สึกอึดอัด
พี่ศรัณย์ชักเข้าออกจนรู้สึกว่าช่องทางของผมค่อยๆ เริ่มปรับตัวจึงสอดนิ้วกลางเข้ามาอีก ผมนิ่วหน้าเพราะเหมือนจะเจ็บนิดหน่อย
สองนิ้วถูกดันเข้าไป ปลายนิ้วงอขึ้นอย่างตั้งใจจนไปโดนผนังด้านใน ความรู้สึกเสียวแล่นผ่านจนสิ่งที่แข็งตั้งกระดกปลายขึ้น
“อืม ตรงนี้จริงๆ สินะ” เขาว่า ริมฝีปากฉีกยิ้มอย่างพอใจ “แล้วมีตรงไหนอีกรึเปล่า” เขาย้ำปลายนิ้วให้ไปโดนตรงจุดนั้นซ้ำๆ จนสะโพกผมเด้งตอบ
“พี่รัณย์ เจินอยากแล้ว ใส่มันเข้ามา”
ผมร้องขอ ผมไม่ไหวแล้ว ร่างกายมันร้อนๆ หนาวๆ ไปหมด
“รู้แล้ว ตอดขนาดนี้”
เขาลุกขึ้นถอดกางเกงออกจนหมด เผยให้เห็นส่วนใหญ่โตที่ชูชันขึ้น ผมหายใจหอบหนัก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ “พี่รัณย์คร้าบ...” แล้วส่งเสียงออดอ้อนอีกฝ่ายอย่างไม่เหลือคราบของภาพลักษณ์ที่เคยสร้างไว้
“หันหลังมาหน่อยเด็กดี” ผมลุกขึ้น เขาช่วยจัดท่าให้ผมขึ้นไปคุกเขาอยู่บนโซฟา แล้วหันหน้าไปเกาะพนักพิงหลัง จากนั้นนั้นมือใหญ่มาแตะต้นขาด้านในให้ผมถ่างออก
ผมหันไปเห็นพี่ศรัณย์ยืนแกะซองถุงยางอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะโยนซองที่หมดประโยชน์ทิ้งไปกองกับหนังสือเรียนผม ถุงยางบางเฉียบถูกรูดไปกับแกนกายที่ชูชัน จากนั้นเขาก็ขยับตัวมาใกล้จนยอดปลายแก่นกายชนเข้าไปใกล้ๆ ช่องทางของผม
เจลหล่อลื่นถูกบีบลงบนมืออีกครั้งเขาลูบจนทั่วลำแกน แล้วจึงเอาส่วนหัวมันมาถูที่หน้าช่องทาง
“ปีนี้อายุเท่าไหร่”
“18”
“น่ารัก”แล้วผมก็ต้องแหงนหน้าอีกครั้งพร้อมเสียงที่หลุดออกมาจากลำคอ ความอึดอัดค่อยๆ ถาโถมเข้ามาจนสุด
ความจุกเข้าครอบคลุมจนผมนิ่วหน้าแล้วซุกลงกับพนักโซฟา ขณะเขาค่อยๆ ขยับเอวเข้าออกช้าๆ ผมส่ายหน้าไม่ไหว
“เจ็บ...”
“อย่าเกร็ง เราเกร็งพี่ก็เจ็บเหมือนกัน” เขาโน้มตัวลงมาจนแผ่นอกแกร่งแนบชิดกับแผ่นหลังของผม ความอุ่นแผ่เข้ามา มือเลื่อนมาโอบจับมือผม ใบหน้าของเขาเลื่อนมาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบข้างหูผม “ผ่อนคลายนะครับ”
“อ้า พี่รัณย์ เจิน..อ๊ะ”
จังหวะเข้าออกถูกเร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่ศรัณย์ปล่อยมือจากมือแล้วขึ้นไปยืนเต็มความสูง ก่อนจะจับสะโพกผมแล้วกระแทกมันเข้ามา
“ซี๊ด...” เข้าเว้นจังหวะก่อนจะกระแทกปึกเข้ามาอีกครั้งจนตัวผมโยกไปข้างหน้าตามแรง
“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า”
“เจ็บ”
“เจ็บก็ต้องทนนะครับ”เสียงทุ้มต่ำว่าก่อนจะกระแทกเอวเข้ามาถี่ๆ ผมต้องเกาะโซฟาแน่นเพราะตัวโยกหัวสั่นหัวคลอน
“ตรงนี้ใช่เปล่า”
ผมส่ายหน้า เขาจึงเปลี่ยนจังหวะ
“แล้วตรง—”
“อ๊ะ!”
“ตรงนี้สินะ”
จากนั้นส่วนหัวของแก่นกายก็กระแทกกระทุ้งเข้ามาย้ำๆ จนผมรู้สึกเหมือนปวดฉี่ขึ้นมา
ผมเอื้อมมือไปชักรูดแก่นกายตัวเอง ทว่ามือของพี่ศรัณย์ปัดมันแล้วคว้าดึงไปด้านหลังจนตัวผมแอ่นขึ้น ผมเสียวจนบิดตัว เข่าที่อยู่บนโซฟาหล่นลงมาทำให้เท้าข้างหนึ่งแตะพื้นเพื่อช่วยพยุงตนเองในท่าเหมือนคนสะบักสะบอม
ใครคือพี่ศรัณย์คนอบอุ่นวะ
แม่ง... กระแทกจนหัวสั่นหมดแล้ว
ไม่พอ คนตัวใหญ่ก็จับผมให้เปลี่ยนเป็นท่ายืนหันหน้าไปหาทีวี เขาดันหลังผมลงไปจนหน้าท้องขนานกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นผมก็เห็นตัวเองที่สะท้อนอยู่ในหน้าจอทีวีดำโดยมีพี่ศรัณย์ดึงรั้งแขนสองข้างไว้
“อ่ะ..อ๊ะ อ๊า พี่รัณย์อย่าเพิ่ง ไม่เอา อ้ะ..”
ผมรีบปรามเมื่อเขาเริ่มขยับเอว ส่วนที่ชูชันของผมกระดกหัวขึ้นเพราะความเสียวที่ถูกจี้จุด พี่ศรัณย์ย้ำที่ผนังในช่องทางตรงนั้นของผมซ้ำๆ เขารู้... รู้ว่าทำยังไง
“มะ..ไม่ไหว เจินจะ—”
อยู่ในท่านี้ไม่ทันไรของเหลวสีขาวขุ่นก็พุ่งออกจากปลาย ผมตัวกระตุกเกร็งเล็กน้อย พี่ศรัณย์ค่อยๆ ชะลอการสอดเข้าออกให้ช้าลง น้ำกามถูกปลดปล่อยลงไปเปรอะกองชีตเรียนซึ่งอยู่บนโต๊ะหน้าทีวี
“แฮ่ก.. แฮ่ก เลอะชีตผม”
“น้ำใครทำเลอะ”
“ก็พี่เล่นกระทุ้งๆ เอาจะไม่ให้พุ่งได้ไง”
“แบบนี้เหรอ”
“อ๊ะ! พี่ศรัณย์”
“แล้วชอบมั้ยคะ”
“อือ...ชอบ”
หลังจากผมพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง ก้มมองส่วนแก่นกายของตัวเองที่ยังชูชันอยู่ ที่ปล่อยไปเมื่อกี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยหรอ
“เคยช่วยตัวเองมั้ย”
“เคยสิ”
“ล่าสุดเมื่อไหร่”
“... จะ..จำไม่ได้หรอก”
“ว่าแล้ว ถึงแตกเยอะขนาดนี้”
พลันช้อนตัวผมอุ้มแล้วย่อก้มให้ผมหยิบขวดเจลบนโซฟากับกล่องถุงยางมา พี่ศรัณย์บิดประตูแล้วดันมันเข้าไป วางผมลงบนเตียง เขามองหารีโมตแอร์และเปิดมัน
ผมกึ่งนั่งกึ่งนอน เอาข้อศอกยันตัวเองกับเตียง ยกมือขึ้นเสยหน้าม้าที่ปกลงมา ทำให้รู้ว่าเหงื่อออกเยอะแค่ไหน สายตาก็เหลือบไปมองร่างสูงที่ก้าวมาที่เตียง
เรือนร่างของพี่ศรัณย์เหมือนเบลอออกเป็นสองคน แล้วกลับเข้ามาเป็นคนเดียวปกติ ใบหน้าของเขาดูงดงามกว่าที่ผมเคยจำได้
ผมส่ายหัวไล่อาการแปลกๆ นี่ออกไป
“เราเสร็จไปแล้ว แต่พี่ยังคไม่เสร็จนะ”
“อือ ก็เข้ามาสิครับ” ผมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ก่อนจะค่อยๆ อ้ามันออกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผมไปเอาความกล้าในเรื่องพวกนี้มาจากไหน
พี่ศรัณย์โคลงหัวพลางยิ้ม แล้วกระโจนขึ้นมาบนเตียง
เขาดึงสะโพกของผมเข้าหาตัว ทำให้ผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่แผ่นหลังราบไปกับเตียง พี่ศรัณย์จับขาผมแยกออก ก่อนจะหยิบเจลมาบีบลงที่แก่นกายที่มีถุงยางอยู่แล้วรูดมันอีกครั้ง
ผมเอาลืมลูบไปบริเวณปากทาง ทำให้รู้ว่าเนื้อมันบวมยุ่ยออกมา พี่ศรัณย์ดึงมือผมออก ก่อนจะดึงเอวเข้าไปแล้วเสียบส่วนใหญ่โตของเขาเข้ามา
เขาเริ่มจากความถี่เบาๆ ก่อนจะไต่ระดับขึ้นไป มันทำให้ผมปรับตัวได้ พี่ศรัณย์ก้มลงมาจูบที่อกผม ขณะเอวเขาก็ยังขยับเข้าออก
“รอยสักหายดีแล้วนี่” เขาว่า พลางมือที่จับอยู่ที่เอวบีบเค้นมัน แล้วนิ้วโป้งก็ไล้ไปตามรอยหมึกสีดำที่อยู่บนผิวผม
“อื้อ หายแล้ว อ๊ะ..จะสักใหม่”
“อืม เดี๋ยวพี่สักให้”
“อ๊ะๆๆ บะ..เบา”
“ตอนนี้ขอกินเราก่อน”
เขาก้มลงมากดจูบริมฝีปากผม แขนที่จับเอวเปลี่ยนมาโอบกอดตัวผมเอาไว้ จังหวะส่วนล่างเร่งถี่ขึ้นจนผมรู้สึกได้
เขาผละจากกอดเงยหน้าขึ้นแล้วสบถ
ผมชอบตอนเห็นเขารู้สึกเหมือนคลั่งแบบนี้จริงๆ
มือผมกำผ้าปูเตียงจนยับ เนื่อจากรู้สึกเหมือนตัวเองจะถึงจุดสุดยอดอีกรอบ มือใหญ่จับเอวผมบีบเค้น เขากัดปากแล้วกระแทกมันเข้ามาไม่หยุด
น้ำสีขาวขุ่นพุ่งออกมาอีกครั้งจนเลอะหน้าท้องตัวเอง ในขณะเดียวกันพี่ศรัณย์ชักแก่นกายออก มือแกร่งรีบดึงส่วนปลายของถุงยางทิ้งแล้วของเหลวของเขาก็แตกใส่หน้าท้องผม
ใบหน้าคมคายก้มลงมา สันจมูกไล้ไปตามลำคอแล้วขึ้นมากอบโกยความหอมจากแก้มของผมฟอดใหญ่ ก่อนจะกระซิบข้างใบหูด้วยเสียงทุ้มต่ำออกจะแหบ
“ขออีกรอบนะคะเด็กดี”...
เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงแผดเสียงดังขึ้นบ่งบอกว่าเป็นเวลาหกโมงเช้า ผมที่ถูกร่างสูงจับนอนคว่ำหัวโยกหัวสั่นเอื้อมมือไปหยิบมันมาจากหัวเตียงแล้วปิดก่อนจะวางส่งๆ ไปบนเตียง ผมหยิบมาตั้งไว้ก่อนที่พี่ศรัณย์จะต่อรอบสองของเขา เพราะมือถือที่ใช้ประจำน่าจะไปกองอยู่กับกางเกง แล้วกลัวตัวเองไม่ตื่นเลยตั้งเผื่อไว้
ทว่าความจริงคือยังไม่ได้นอน“วันนี้มีเรียนพิเศษเหรอ”
“อื้อ แต่อ๊ะ เดี๋ยวค่อยว่า อ้าพี่รัณย์ ตรงนั้น เอาตรงนั้น”
แล้วผมก็ทำที่นอนเลอะอีกรอบแล้ว
ครั้งนี้พี่ศรัณย์ปล่อยใส่ในถุงยาง เขาดึงมันออกมาทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ มือหนาดึงผ้าห่มมาคลุมตัวพวกเรา เขาสอดแขนมาที่ท้ายทอย กดหัวผมลงกับอกที่หอบหายใจกระเพื่อม
“เจินยังอยากทำอีก”
“พอแล้ว เปิดกล่องสองไปแล้วเราจะไปเรียนไม่ไหวเอา”
“อื้อ งั้นเรียนเสร็จแล้วทำอีกได้มั้ย”
“ได้สิครับเด็กดี” เขาจูบที่หน้าผากผมก่อนจะลูบผมอย่างแผ่วเบา ผมสอดมือจากผ้าห่มไปตั้งนาฬิกาปลุกอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง
นาฬิกาปลุกแผดเสียงอีกครั้ง ทั้งที่รู้สึกเหมือนหลับตาไปได้แค่ห้านาที ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวถาโถมเข้ามาประกอบกับความปวดร้าวตามร่างกาย
แสงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านประม่านเข้ามาส่งลงบนผ้าปูสีเข้ม ตัวผมยังอยู่ในอ้อมกอดของอีกคน มือเอื้อมไปคว้านาฬิกาปลุกที่ดังจนรู้สึกรำคาญหู ผมยกแขนหนักๆ ที่เต็มไปด้วยรอยสักของคนตัวโตออก สองขาค่อยๆ ก้าวลงเตียง
ร่างกายอย่างกับโดนจับทุ่มมาร้อยรอบ
ผมยกมือขึ้นนวดขมับทั้งสองข้าง ทอดสายตามองสภาพบนพื้นในห้องนอนที่เต็มไปด้วยซองขยะและซากถุงยางใช้แล้วที่มีน้ำสีขุ่นกองอยู่ข้างใน
เมื่อคืนเป็นบ้าอะไรเนี่ย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์หรือไอผงขมๆ ที่พี่ไวน์ยัดมา หรืออาจเป็นเพราะพี่ศรัณย์ หรือไม่ก็คงโทษอะไรไม่ได้นอกจากตัวผมเอง
หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ลวกๆ ไม่อยากจะปล่อยให้ตัวเองเปลือยในอากาศตอนเช้าสักเท่าไหร่นัก เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกดูไม่ได้เอาซะเลย คอนแทกเลนส์ที่ใส่ตั้งแต่เมื่อคืนก็แห้งจนถอดยากจนต้องเอายาหยอดตามาช่วยก่อนจะเปลี่ยนไปใส่แว่นสายตา ผมคาบแปรงสีฟันแล้วเดินออกไปที่หน้าทีวีเพื่อหากางเกงตัวที่ใส่เมื่อคืน
โล่งใจที่มือถือก็อยู่ในนั้นไม่ได้กระจายหายไปไหน สายตาเหลือบมองบนโต๊ะตัวเตี้ยที่เปรอะคราบน้ำเมื่อคืน ชีตเรียนเสียหายหมด อุตส่าห์โน้ตไว้ซะดิบดี
จะอ่านยังไงเนี่ยคาวขนาดนี้
พอดูเวลาที่หน้าจอมือถือก็คิดว่าตัวเองน่าจะรีบกระตือรือร้นได้แล้ว ทว่าก็แปลกที่ยังเอื่อยเฉื่อยแบบนี้
วันนี้ไม่ได้เดินไปชงโกโก้ร้อนซึ่งเป็นมื้อเช้าอย่างเคย คิดว่าไปแวะซื้อเอาน่าจะประหยัดเวลาได้มากกว่า อีกอย่างก็ไม่ได้รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ
ผมเข้าไปบ้วนปากแล้วล้างหน้า แล้วเดินมาหยิบผ้าเช็ดตัวจากตู้ก็พลันได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง น่าจะเป็นปิ๊ก แล้วมาทำอะไรแต่เช้า
สองขาย่ำเดินออกจากห้องนอน หางตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวรุ่นป้ากับหญิงชราหัวโกรกสีดำกำลังหอบข้าวของเดินเข้ามา
อาม่า!ผมรีบหันขวับกลับไปปิดประตูปัง เพราะจะให้อาม่าเห็นไม่ได้ว่าพี่ศรัณย์มานอนอยู่นี่ นึกภาพคนเฒ่าคนแก่เห็นผู้ชายเปลือยแถมเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยรอยสักมานอนอยู่ห้องหลานตัวเองคงได้ช็อกตายกันไปข้างหนึ่ง
“เสียงดังอะไรขนาดนั้นอาเจิน”
ผมค่อยๆ หันหลังกลับไปจากที่เพิ่งปิดประตู ผมเข้าไปกอดอาม่าเป็นเชิงอ้อน “ม่ามาทำไรแต่เช้าอะ อั๊วเพิ่งตื่นเองเนี่ย แล้วกลับมาจากบ้านนู้นเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกอั๊วเลย”
“อั๊วเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ก็รีบมาหาอาเจินแล้วไง”
“น่าจะบอกกันก่อนนี่ม่า”
ในระหว่างที่เราสองคนคุยกัน แมวที่หอบถุงต่างๆ ก็นำมันไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว อ่อ ที่ผมเรียกแมวเพราะติดมาจากอาม่า แมวเป็นเหมือนคนดูแลประจำตัวอาม่ามาตั้งแต่ผมจำความได้ ตอนนั้นเด็ก เห็นผู้ใหญ่เรียกอะไรก็เรียกตาม จะมาเปลี่ยนเอาตอนโตก็ไม่ชินปาก
“คุณหนูใหญ่ห้องยังรกเหมือนเดิมเลยนะคะ เดี๋ยวแมวทำความสะอาดให้ดีกว่านะคะ”
“แฮะๆ ขอบคุณนะคร— เอ้ย! ไม่ต้องครับแมว ไม่ต้อง เดี๋ยว...อั๊วทำเองได้”
ผมหันขวับไปที่โต๊ะบนโซฟา รีบตรงดิ่งไปเก็บชีตเรียนที่เปรอะของเมื่อคืนบนโต๊ะซ้อนไว้ใต้ชีตวิชาอื่น อย่างไรก็ตาม แมวก็ยังมาช่วยเก็บอยู่ดี ผมนี่กลืนน้ำลาย ดีนะที่เก็บทัน
“นี่กางเกงใครคะเนี่ยคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ไม่ใส่แนวนี้นี่ แล้วไซส์นี้อีก” แมวว่าก่อนจะหยิบกางเกงสีดำตัวใหญ่โชว์ขึ้นมา
แล้วมันจะของใครเล่า ก็ของไอคนที่หลับไม่รู้เรื่องของในห้องผมไง!
“ของไอปิ๊ก!”
“ไม่เห็นต้องเสียงสูงเลยนะคะ”
“ปิ๊กมันเอามาทิ้งไว้ ขี้เกียจเก็บเลยเอาไว้แบบนั้น”
แมวพยักหน้าแล้วเอากางเกงพาดบนแขน ตามด้วยเสื้อ เข็มขัด ... และ...และ!
“คุณหนูใหญ่จะขี้เกียจใหญ่แล้วนะคะ ขนาดกางเกงในยังต้องให้แมวมาเก็บก็เหมือนตอนเด็กๆ”
อาม่าขำกับประโยคของแมว ผมยู่หน้า เท้าก็พลางคีบกางเกงในพี่ศรัณย์เอายัดไปใต้โซฟา ทำไมตื่นเต้นขนาดนี้วะ เหมือนเด็กทำไรผิดมาเลย แล้วเรื่องเมื่อคืนมันผิดไหม ก็ธรรมชาติเปล๊า
“ม่ากลับไปก่อนมั้ย อั๊วต้องไปเรียนเนี่ย จะแปดโมงแล้วด้วย เดี๋ยวค่อยมาใหม่นะม่านะ”
“อะไรกัน มาถึงก็ไล่อั๊ว”
“ไม่ได้ไล่ แต่อั๊วจะไปเรียนสาย”
“ไม่รักอั๊วแล้วใช่มั้ยอาเจิน”
ผมเข้าไปโอบกอดหญิงชราร่างท้วม อาม่า คือคนที่รักผมมากที่สุด และผมก็รักอาม่าเช่นกัน เป็นคนเดียวในครอบครัวที่คอยดูแล เป็นห่วงเป็นใยผม ตอนเด็กเวลาโดนแม่ตีก็เป็นอาม่าที่คอยมาห้ามแล้วมาปลอบ อาม่าก็เหมือนเป็นโลกอีกใบของผม รักสุดเลยคนนี้
“ไม่รักคนนี้จะให้รักใคร เนี่ยรักกกก” ก่อนจะกดจมูกลงกับแก้มอาม่าแล้วหอมฟอดใหญ่ กลิ่นโคโรญสมุนไพรประจำกายของอาม่าทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเสมอ
“ก็ได้ๆ อั๊วกลับก็ได้ ไปแมว เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยมาทำกับข้าวให้อาเจิน”
“น่ารักที่สุดอาม่าใครเนี่ย”
ผมคล้องแขนอาม่ากำลังจะแล้วเดินพาท่านเพื่อไปส่งที่หน้าประตู แมวเดินตามมาอย่างรู้งานไม่เคยต้องให้อาม่าพูดซ้ำ
พลันเสียงประตูห้องนอนผมก็เปิดออก ดึงความสนใจของทุกคนในห้องไปที่มัน
“...”
“...”
“...”
“... เอ่อ ...สวัสดีครับ”
ร่างสูงของพี่ศรัณย์อยู่ในผ้าขนหนูพันเอวเดินออกมาจากห้องนอน มือยกเสยหัวที่ยุ่งเหยิงก่อนจะหยุดชะงักที่เห็นเราสามคน
ทุกคนอึ้ง! อึ้งกันหมด!!
ยังจะยิ้มอีกโว้ย
“เพื่อนคุณหนูใหญ่เหรอคะ”
“ครับ! เพื่อนครับ”
“อาเจินมีเพื่อนคนอื่นนอกจากอาปิ๊กด้วยเหรอ อั๊วควรดีใจใช่มั้ยแมว”
“แมวว่า... เอ่อ คงจะน่าดีใจนะคะ”
“...คุณหนูใหญ่?”
ในใจผมด่าอิพี่ศรัณย์ไปแล้วเจ็ดชั่วโคตร ออกมาจังหวะมาก บอกสิว่าแอบไปเพิ่มบทตัวเองใช่มั้ย ซีนนี้มันผิดไปหมด
“ม่าแมวนี่พี่ศรัณย์ แล้วพี่ศรัณย์ นี่อาม่ากับแมว”
“สวัสดีครับ” พี่ศรัณย์ยกมือไหว้ ก่อนจะเกาหัวงงๆ
“รู้จักกันแล้วก็กลับเนอะ เนอะม่าเนอะ”
“อั๊วจะกลับแล้วหน่า ไล่อยู่ได้ ไปๆ กลับกันแมว” ผมเดินไปเปิดประตูให้อาม่าก่อนจะจุ๊บแก้มท่านทีหนึ่งแล้วรีบปิดประตูหลังจากเห็นท่านเดินหายลับไปแล้ว
จากนั้นก็กลับมาเท้าเอวจ้องอีกฝ่าย
“มองอะไร”
“จะออกมาทำไม”
“ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวมา”
“เสียงดังขนาดนี้ไม่รู้ได้ยังไง”
“แล้วไม่รีบไปเรียนแล้วเหรอเรา”
เออว่ะ ผมชี้หน้าฝากไว้ก่อน จากนั้นก็รีบก้าวพรวดๆ ไปอาบน้ำแต่งตัว แว่นสายตาถูกแทนที่ด้วยคอนแทกเลนส์ใสอย่างเคย มือคว้าเอาไอแพดใส่กระเป๋าเป้ก่อนจะคว้ากุญแจรถแต่ก็ลืมไปว่าออกไปเวลานี้คงรถติดแน่ เลยตัดใจเปลี่ยนไปนั่งรถไฟฟ้าแทน
คำว่า ‘หอบ’
ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ จับเสื้อผ้าให้คิดว่าดูดีแล้วก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป ติวเตอร์ที่กำลังอธิบายข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษอยู่หยุดชะงัก ก่อนจะทักทายผมที่เดินเข้าไปเป็นเชิงแซวเล่น
เพื่อนทั้งห้องละสายตาจากสิ่งที่จดหันมามองเป็นตาเดียว ก็แน่ล่ะสิ คงแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นเจษฎาคนนี้มาสาย ทว่าทำไมจ้องกันแปลกๆ วะ หรือผมบนหัวไฟฟ้าสถิต
ผมนั่งลงในโต๊ะที่ว่าง ก่อนจะรีบหยิบไอแพดมาเปิดไฟล์ชีตของวันนี้ ก่อนออกจากคอนโดมาก็บอกพี่ศรัณย์แล้วว่าให้ปิดไฟปิดแอร์ให้เรียบร้อย ดูพูดเข้าสิ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนอะไรรู้สึกอะไรเลย
ผมแอบห่วงนิดหน่อยกับเรื่องที่เปิดขึ้นเมื่อคืน ไม่สิ กังวลกับมันมากๆ ต่างหาก ผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอะไรมันผลักให้ผมพลั้งปากเชิญชวนเขาด้วยตัวเอง อนาคตที่ผมคิดไว้ไม่ได้เป็นแบบนี้ คิดแค่ว่าเรียนจบก็ไปช่วยป๊าบริหารงาน (ถ้าเขาให้ผมทำอะนะ) แม่เองก็คงหาผู้หญิงดีๆ ให้สักคน อยู่กันไปอาจมีลูกสักคนไว้สืบสกุล ทว่าเรื่องเมื่อคืนมันดูผิดไปจากแผนในหัวเอามากๆ
ผมไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจอะไรกับรักร่วมเพศหรอกนะ เพราะตอนมอต้นปิ๊กเองก็เคยคบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง มันชินแล้ว เว้นแต่ว่าทางครอบครัวผมนี่สิคงไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
ฮ่าๆ
นี่ผมคิดอะไรอยู่ เมื่อคืนมันมีความหมายอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ ผมยอมรับว่ามันสนุกมาก เขาทำให้ผมมีความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับในชีวิต ราวกับเขาเทความสำคัญทั้งหมดมาให้ที่ผมซึ่งอยู่ต่อหน้าเขา
ไม่เคยได้กอดแบบนั้นจากใคร ไม่เคยได้จากแม่ หรือแม้กระทั้งจากป๊า
ไม่เคยที่จะมีใครคอยดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด
ผมตัดใจจะเลิกคิดเรื่องที่เกิด หูฟังติวเตอร์ที่กำลังอธิบายข้อสอบ ตาสลับมองข้างหน้าและก้มมองจอไอแพดที่จดเป็นระยะ
พลันเสียงสั่นครืดจากโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างกันก็ดังขึ้น เรียกให้สายตาผมเหลือบไปมอง ผมยกมันขึ้นก่อนหน้าจอสแกนใบหน้าจะปลดล็อกแสดงข้อความที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่
เรียวคิ้วผมขมวดมุ่นมองมันอย่างไม่เข้าใจ
‘เลิกยุ่งกับศรัณย์’คุณเคยได้ยินคำนี้รึเปล่า ‘วันไนท์สแตนด์’ เป็นรูปคำที่ห่อหุ้มความหมายเข้าใจง่ายไว้ หากแต่คุณเป็นรึเปล่าที่บางครั้งก็ไม่อยากจะเข้าใจมันวันที่สาม... นับตั้งแต่คืนนั้น ใช่ เขาหายไป ไม่มีการติดต่อกัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนไม่เคยตัวตน เหมือนแค่ฝันดีในคืนหนึ่งเท่านั้น
หยดน้ำจากฝักบัวรดน้ำร่วงโรยราวกับสายฝนขนาดย่อม ต้นทานตะวันโตขึ้นอีกแล้ว เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนยืนเหม่อมองใบเล็กๆ ที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่ ใบหน้าไม่ได้ยินดียินร้าย
“มึง... เป็นไร”
“...”
“เจิน เป็นไร”
“...ห้ะ”
คนตัวเล็กสะดุ้งหันมองต้นเสียง เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง ไม่ใช่ใครอื่น มือใหญ่เอื้อมมาหยิบฝักบัวรดน้ำมือของเขาออกไป
“แบบนั้นก็แฉะพอดี เดี๋ยวมันก็ตายเอา”
“เหรอวะ”
“เออดิ”
“แต่วันนี้ไม่มีแดดเลย แบบนี้มันจะโตมั้ย”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มี หรืออาจจะเป็นตอนบ่ายก็ได้”
...
“แล้วถ้าพรุ่งนี้ยังไม่มีแดดอีก มันจะตายมั้ย” เสียงเรียบถามเหมือนพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปมองต้นอ่อนที่กำลังโตในกระถางสีดำ
“เห้ยเจิน หันมาดิ๊” ร่างสูงว่า จับตัวเพื่อนหันมา ดวงตาจดจ้องไปที่รอยช้ำบนผิวขาวใกล้ปกเสื้อ มือแกร่งจับเสื้อเปิดออกเล็กน้อย “ไอเจิน นี่มึง ...กับพี่ศรัณย์ถูกมะ”
“ทำไมต้องเป็นพี่ศรัณย์ด้วย”
“ก็คืนนั้นพี่เชคบอกพี่เขาไปส่งมึง”
“อือ คงงั้นมั้ง”
“นี่เขาข่มขืนมึงเหรอ”
“จะบ้าเหรอไง”
“กูเนี่ยจะบ้า เชี่ยเอ๊ย... เดี๋ยวกูจะไปคุยกับเขา”
“ไม่ได้หรอก”
“ทำไมวะ”
“กูติดต่อเขาไม่ได้หลายวันแล้ว”
“มึงโอเคปะเนี่ย”
“กูไม่ใช่เด็กอนุบาล”
ทานตะวัน... ชีวิตมันวันๆ ก็มีแค่มองดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ทว่ามันเองก็ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งดาวฤกษ์ดวงนั้นจะหายวับไป ไม่รู้ว่าโคจรไปอยู่ที่ไหน กับดาวเสาร์รึเปล่า หรือพระจันทร์
/
ไม่แน่หรอก...
ดวงอาทิตย์อาจไม่เคยมีอยู่แต่แรกแล้วก็ได้
/
...