หนึ่งคำขอต่อความตาย [ #ภามภูริ ] Update "11 The Dead Calling" 5/5/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หนึ่งคำขอต่อความตาย [ #ภามภูริ ] Update "11 The Dead Calling" 5/5/2020  (อ่าน 4881 ครั้ง)

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 :L1:ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
   
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


***********************************************
"ถ้าหากวันหนึ่งผมหายไป...คุณจะเสียใจหรือเปล่า?"















‘ภูริ’

แปลว่า ‘แผ่นดิน’
หากแต่แผ่นดินผืนนี้นั้นบิดเบี้ยว




‘ภาม’
แปลว่า ‘อำนาจ’
เขามีอำนาจทุกอย่าง ทั้งอำนาจที่สามารถสร้างความสุข อำนาจที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะ และ...อำนาจที่สามารถสร้างความเจ็บปวด
อำนาจที่เขามีนั้นได้มาจากภูริ
เพราะภูริรักเขา



รัก



...จนพร้อมให้ทุกอย่าง






‘ถ้าผมชดใช้คุณหมดทุกอย่าง คุณปล่อยผมไปได้ไหม’

‘ได้สิ เมื่อไหร่ล่ะ?’

‘เมื่อผมตาย’











ก่อนอื่นเลย สวัสดีค่าา เจอกันอีกครั้งค่ะกับนิยายเรื่องใหม่ของ MindSky
เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน ๆ นึงที่มีพลังสามารถบันดาลทุกอย่างได้อย่างใจคิด (?) แต่ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างเสมอทุกคำขอ
เป็นดราม่าแฟนตาซีเรื่องยาวเรื่องแรกของเราเลย
ผิดพลาดตรงไหนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ





ยังไงก็ฝาก #ภามภูริ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ <3





*เนื้อหารุนแรง มีการใช้ถ้อยคำ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
อนึ่ง เนื้อหานิยายทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น*

Content
Prologue
01 Asking
02 For Living
03 Brfore He Borns
04 Born to Death
05 Birthday
06 Hunting
07 Death Festival
08 Blood Ground
09 Exchange the Death
10 Tired of Being
11 The Dead Calling

*****โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*****
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2020 01:57:19 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Prologue





‘ถ้าวันหนึ่งผมหายไป คุณจะเสียใจหรือเปล่า’

“ภูริ ผมอยากได้คนนั้น” กฤตพัฒน์พูดพร้อมคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ มองไปที่สาวสวยโต๊ะข้าง ๆ

“ไม่ให้ได้ไหม ภาม”

เจ้าของชื่อ ‘ภูริ’ ถามเขากลับ นัยน์ตาของภูริเจือแต่ความเหนื่อยล้า แลเศร้าโศก

“เว้าวอนผมทำไม คุณก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่”

“...”

จริงอย่างที่เขาพูด ..ภูริรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่แค่ความรู้สึกบางอย่างในใจมันอยากจะลองร้องขอดูอีกซักครั้ง

“แต่คุณก็รู้อยู่แล้วเหมือนกันนี่ภาม ว่าถ้าผมให้คุณ ผมจะ..”

“เจ็บปวด” เขาสวนขึ้นทันควัน “ใช่ ผมรู้ แต่ความเจ็บปวดนั่นไม่นานก็หาย”

“...”

พูดอีกก็ถูกอีก.. ความเจ็บปวดพวกนั้นใช้เวลาไม่กี่วันก็จางหาย แต่นั่นก็เพราะว่าภามไม่เคยรู้อะไรบางอย่าง

บางอย่าง... ที่ภามไม่เคยสนใจเลย

ภูริหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะปิดเปลือกตาสีซีดของตัวเองลง เขานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาอีกครั้งช้า ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“เธอกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ บางส่วนของเดรสรัด ๆ นั่นจะขาด ให้คุณสละเสื้อคลุมให้เธอซะ แล้วคืนนี้เธอจะไปกับคุณ”

“โอ๊ย!” เสียงหวาน ๆ แว่วแสกแทรกผ่านดนตรียามวิกาล ขณะที่เธอคนนั้นกำลังจะลุกขึ้น บางส่วนของเดรสก็ถูกแง่งเหล็กเกาะ มันขูดจนทำให้เดรสเธอเสียหาย ผิวนวลจึงปรากฏสู่สายตาเสือที่กำลังหิวโซอย่างกฤตพัฒน์

“ไปซะ” ภูริพูดเสียงเย็นยะเยือก นัยน์ตาสีพายุค่อย ๆ นิ่งสงบจนกลับมามีเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง เรียวเล็บเป็นต้องขบจิกผิวหนังตัวเองเอาไว้เพื่อระบายความทรมานทางความรู้สึก

“งั้นกลับบ้านดี ๆ นะ” คนใจร้ายทิ้งท้ายอย่างทุกครั้ง ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น

ฉับพลันเพียงเสี้ยววินาที ความร้อนรุ่มและบางอย่างที่รัดแน่นจนทำให้รู้สึกอึดอัดราวกับอวัยวะภายในจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เกิดขึ้นกับภูริ ร่างผอมจึงลุกออกไปจากดินแดนอโคจรนี่ทันที

“เฮ้ย เลือด..”

เสียงเบาหวิวดังมาจากผู้คนรอบข้างเมื่อพวกเขาหันมาเห็นของเหลวสีแดงบนใบหน้าที่เคยเกลี้ยงเกลาของภูริ หากแต่เวลานี้เจ้าตัวไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ..ขอแค่ได้ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก็พอ

ไปจากที่นี่..

ไปจากตรงนี้..

ไปจากโลกใบนี้

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

01 Asking




“ขอได้ไหม ขอให้ยายอยู่กับผมต่อไปได้ไหม”

เด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ พร่ำเพ้อกับอากาศ น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าร่วงหล่นลงเบื้องล่างไม่รู้หยุด ..เขากำลังร้องไห้ ‘ภูริ’ ทำได้แค่สะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างสิ้นหวัง

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวของภูริประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางมาเยี่ยมเขาที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับตอนที่หลานชายคนนี้กำลังไปรับที่สถานีรถไฟ

‘ถัดจากไฟแดงข้างหน้าก็จะถึงแล้ว’ เสียงนี้เกิดขึ้นในใจที่กำลังตื่นเต้นของภูริ ทว่าพอถึงแยกนั่น เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ปลายสายเป็นเสียงหวาน ๆ อันแสนโหดร้ายของนางพยาบาล

[ไม่ทราบว่าญาติคุณไพลินใช่มั้ยคะ คุณไพลินประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล..]

ภูริฟังได้ไม่จบประโยคโทรศัพท์ก็ร่วงหล่นไปจากมือ โลกของเขาหลุดเคว้งไปตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้ยิน ทัศนียภาพรอบนอกทึบทะมึนลงทันทีในความรู้สึก เรี่ยวแรงเหือดหาย เสียงบีบแตรดังรุมเร้ามากขนาดไหนก็ไม่สามารถดึงเขาขึ้นมาจากภวังค์ได้เลย

‘ขอให้..’ ริมฝีปากสีอ่อนขยับเขยื้อน แต่พอได้สติว่าตัวเองไม่สามารถร้องขอต่อโชคชะตาได้ น้ำตาแห่งความอ่อนแอจึงหลั่งไหลออกมาตั้งแต่ตอนนั้น



ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากฟ้าครามเป็นสีแสด ความรู้สึกมากมายก็ประเดประดังเข้ามาในหัวของหลานชายที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ยายของเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

“จะต้องใช้เลือดเนื้อเท่าไหร่ก็เอาไปเลย”

หน้าห้องผ่าตัด.. ภูริยังคงร่ำไห้อยู่อย่างนั้น ใบหน้าที่เคยขาวมนตอนนี้ขึ้นสีเลือดจนแดงไปหมดทั้งหน้า ดวงตาคู่สวยเอาแต่จ้องมองไปยังเบื้องบน จิตใจก็เฝ้าภาวนาซ้ำ ๆ ให้เขาสามารถบันดาลให้ยายกลับมาหาเขาอีกครั้ง



“เอาชีวิตของผมไปให้หมดเลยก็ได้ ขอเพียงแค่วันเดียว ให้ยายตื่นขึ้นมาคุยกับผมอีกครั้งก็พอ”

น้ำเสียงแหบพร่าของภูริยังคงร่ำร้องออกไปกับความว่างเปล่า ..ขอเพียงสักครั้ง ..เพียงวันเดียวก็ได้ ..นาทีเดียวก็ยังดี

“ฮือ... ภูริอยากกอดยายจังเลย..” เขาพร่ำเพ้อสะอึกสะอื้น ..ภูริจำได้ดีเลยว่ายายพูดถึงวันนี้มานานมาก ยายรอที่จะเจอเขา แต่ทำไมกัน.. ทำไมพอวันนี้มาถึงยายกลับเดินจากเขาไป ..เขาอยู่ตรงนี้แล้วนะ ยายไม่อยากกอดหลานคนนี้แล้วหรอ..

ร่างผอมเว้าวอนกับตัวเองอีกครั้ง เขาพยายามโฟกัสสายตาไปที่จุด ๆ หนึ่ง ตั้งสมาธิเพื่อเรียกร้องกับบางสิ่งในตัวเขา

“ภูริ ผมขอให้ยายของคุณปลอดภัย”

..แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาไม่รู้สึกถึงมัน ไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

ภูริอาจจะดูเหมือนเป็นคนประหลาด ๆ ที่ร้องขอเรื่องที่เป็นไปไม่ได้กับตัวเอง หากแต่ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าจริง ๆ แล้ว..

ภูริสามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง

แต่นั่นต้องเป็นคำขอจากผู้อื่นเท่านั้น สิ่งใดที่ภูริอยากได้ ต้องการ หรืออธิษฐาน เขาจะไม่มีทางได้รับมัน

ไม่ว่าจะพยายามพูดเว้าวอน ร้องห่มร้องไห้ยังไงก็ตาม สิ่งที่ได้ก็จะมีแค่ความว่างเปล่า

“ขอให้...ขอให้ยายปลอดภัย” เสียงแหบพร่ายังคงพยายามทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ “แลกกับอายุขัยของผมทั้งหมดเลย”

แน่นอนว่าทุกคำขอนั้นจะต้องแลกด้วยอะไรบางอย่างเสมอ..

ทันทีที่มีใครลั่นปากว่า ‘อยากได้’ หรือ ‘ขอ’ บางสิ่งบางอย่างให้ภูริได้ยิน พวกเขาจะได้รับสิ่งที่ปรารถนา แต่แลกกับ ‘อายุขัย’ ของภูริที่ค่อย ๆ ริดรอนลงทีละนิดทีละหน่อย



“พูดอะไรของคุณ” เสียงทุ้มแว่วเข้ามาในโสตประสาท เจ้าของหยาดน้ำตาจึงเชยสายตามองไปยังต้นตอของเสียง ก่อนจะพบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่แต่งตัวดูมีภูมิฐาน

“ผมกำลังช่วยคนที่ผมรัก ผม..ผมกำลังทำในสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองทำได้” เจ้าตัวให้คำตอบอย่างทุลักทุเลพร้อมกับใช้หลังมือทั้งสองซับคราบน้ำตาออก

“ช่วยด้วยการขายวิญญาณให้ปีศาจหรือไง..? คุณยายของคุณประสบอุบัติเหตุ มีแต่หมอเท่านั้นแหละที่ช่วยเขาได้” น่าแปลกที่คน ๆ นี้รู้ว่ายายของเขาประสบอุบัติเหตุ เขาเป็นใครกัน..?

“ถ้าหมอช่วยไม่ได้..” ภูริยกสองฝ่ามือปิดป้องใบหน้าที่ยังไม่ทิ้งเค้าสะอื้น ก่อนจะพูดต่อ.. “..ผมก็ยินดีจะทำอย่างที่คุณว่านั่นแหละ”

“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ชายแปลกหน้าพูดเสียงนิ่งจนทำเอาภูริสะอึก ถ้าเป็นคนอื่นจู่ ๆ ก็โดนคนแปลกหน้าดุด่าแบบนี้ก็คงจะมีสวนกันไปบ้าง แต่สำหรับภูริที่ ‘คุ้นชิน’ กับคำพวกนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้วนั้นเข้าใจดีเลยว่า..ต่อให้ตอกกลับไปให้เลวร้ายยิ่งกว่ายังไงก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์

“ให้ผมอยู่คนเดียวนะครับ” เจ้าของหยาดน้ำตาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะหันกลับไปและไม่ให้ความสนใจกับคนที่นั่งข้าง ๆ อีก

ทว่าจู่ ๆ ภูริก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากผิวกายมนุษย์ที่ไหล่ด้านขวา ..มันเป็นสัมผัสที่นุ่มนวล ราวกับพยายามจะบอกกับเขาว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร อย่าได้กังวลไปเลย

“พ่อผมเป็นศัลยแพทย์ของที่นี่ เชื่อมือเขาเถอะ” ชายแปลกหน้าคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงที่โอนอ่อนลงกว่าเดิม มือข้างหนึ่งโอบไหล่ภูริ พร้อมกับตบปุ ๆ อย่างเบามือ

“...” ภูริหันไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล พิจารณาหาความลวงหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อไม่พบภูริจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา พร้อมกับนำฝ่ามือของชายแปลกหน้าออกไปจากไหล่ตนเอง “ขอบคุณครับ ..แต่ว่าคุณอย่ามายุ่งกับผมดีกว่า”

“ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่อยากจะปลอบใจคุณ เห็นคุณร้องไห้อยู่ตรงนี้มานานแล้ว” ชายแปลกหน้าอธิบายเหตุผลของการเข้ามาปลอบประโลม วินาทีนี้ภูริจึงได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็ม ๆ

คนตรงหน้าเป็นผู้ชายร่างใหญ่ ผิวออกแทน ใบหน้าดูเหมือนคนต่างชาติ เดาว่าคงจะเป็นลูกครึ่ง ..นัยน์ตาของเขาสีก้ำกึ่งระหว่างสีฟ้ากับสีเขียวอ่อน ดูแล้วคล้าย ๆ กับน้ำทะเล ..ริมฝีปากสีชมพูอมส้ม ..ผมเผ้าถูกเซ็ทให้ดูยุ่งเหยิง แต่กลับเข้ารูปกับองค์ประกอบบนใบหน้าได้อย่างลงตัว

“ไม่เป็นไร ให้ผมอยู่คนเดียวเถอะครับ” เขามีเจตนาดีก็จริง แต่ตอนนี้ภูริยังไม่ต้องการใครทั้งนั้น นอกจากผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวของเขา ภูริต้องการแค่ให้ยายกลับมาหาเขา ต้องการแค่ให้หมอคนไหนก็ได้เปิดประตูแล้วออกมาบอกกับเขาว่าคุณไพลินปลอดภัยแล้ว

“งั้นผมนั่งอยู่ข้าง ๆ คุณตรงนี้แล้วกัน” ทว่าอีกฝ่ายก็ยังยืนกรานที่จะนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

ภูริหันไปมองเจ้าของใบหน้าลูกครึ่งอีกครั้งด้วยความสงสัยมากมายเต็มไปหมด ..เขาดูเหมือนจะใจดี แต่บางครั้งความรู้สึกบางอย่างก็บอกกับภูริว่าคน ๆ นี้อันตราย

เสี้ยวจังหวะนึงผิวกายของพวกเขาทั้งสองสัมผัสกัน ..แขนสีซีดที่สั่นไม่หยุดของภูริเผลอขยับไปโดนแขนของชายแปลกหน้า เจ้าของร่างใหญ่จึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอบอวลจิตใจ

“กอดได้นะ”

คงเป็นวัฒนธรรมของเขาสินะ ที่จะกอดกับคนที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม.. ภูริคิดอยู่ในหัว ทว่าดูเหมือนภูริจะถูกชายคนนี้ช่วยเอาไว้ซะแล้ว เพราะพอได้ใช้ความคิดนาน ๆ หยาดน้ำตาก็เริ่มแห้งหาย

และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำทะเลก็ไม่รีรอคำตอบ เขาใช้แขนแกร่งของตัวเองโอบไหล่ที่สั่นเทาของภูริเข้ามาในอาณาเขตของตน

“ช่วงเวลาแบบนี้ ถ้ามีใครซักคนอยู่ด้วยก็น่าจะพอช่วยแบ่งเบาความกังวลใจกันได้บ้าง เพราะงั้นผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวหรอกนะ” เสียงทุ้มพูดอยู่เหนือศีรษะของภูริ คนในอ้อมกอดได้ยินแบบนั้นแล้วความรู้สึกร้อนผ่าวก็เกิดขึ้นรอบ ๆ ดวงตา ก่อนหยาดน้ำตาจะค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาไม่หยุดราวกับสวิตซ์ความรู้สึกถูกเปิดอีกครั้ง

“ผม..ผมกลัว” สองแขนของภูริขยับโอบรอบกายของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ขณะเดียวกันนั้นก็ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจทั้งหมดของตัวเองออกมาผ่านเสียงร้องไห้ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็เป็นต้องสงสาร “ผมกลัวว่ายายจะทิ้งผมไปเหมือนที่ทุกคนทิ้งผม”

เจ้าของอาณัติอันแสนอบอุ่นก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ร่างที่สั่นไม่หยุดของคนในอ้อมกอดเป็นสิ่งบ่งบอกอดีตที่ผ่านมาของคน ๆ นี้ได้อย่างที่ไม่จำเป็นต้องถามไถ่อะไรเลย

ความรู้สึกบางอย่างกระซิบกระซาบ สั่งการให้คนร่างใหญ่ใช้ฝ่ามือลูบศีรษะอีกฝ่าย ก่อนจะสั่งการให้เขาพูดต่อ

“อย่างน้อยตอนนี้ก็ผมคนนึงนะครับ ที่จะไม่ทิ้งคุณไปไหน”

“...” ภูริเงียบไปชั่วขณะ “เดี๋ยวคุณก็ทิ้งผมไปอยู่ดี”

“ผมชื่อภาม”

“...”

“จำชื่อของผมเอาไว้สิ แล้วผมจะไปทิ้งคุณไปไหนแน่นอน”

‘กฤตพัฒน์’ บอกกับภูริแบบนั้น เขาอาจจะพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมาก อยากปลอบคน ๆ นึงให้หายเศร้า สิ่งที่ต้องทำก็แค่ปั้นคำพูดสวยหรูมาย้อมชโลมหัวใจอีกฝ่าย แต่รู้มั้ย.. ตำแหน่งคนฟังอย่างภูริ เขาจดจำเอาไว้ในหัวใจอย่างที่ไม่มีวันลบเลือน

แต่น่าเสียดายที่ ‘อดีต’ อันแสนโหดร้ายกระตุกให้เขาตื่นจากฝันหวานเสียก่อน

“ผมขอไม่เรียกชื่อคุณนะ”

“ครับ ทำไมล่ะ?”

“ผมกลัวว่าวันนึงเราจะทำร้ายกันและกัน แล้วชื่อของคุณจะทำให้ผมเจ็บปวดเมื่อนึกถึง”

แบบนี้แหละถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่ต้องจดจำใครเพิ่ม ไม่ต้องรับใครเข้ามาในชีวิต ภูริก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

“ตามใจคุณแล้วกัน แต่ว่า..” กฤตพัฒน์เว้นช่วง ก่อนจะก้มมองคนในอ้อมกอดแล้วพูดต่อ “ผมจะไม่ทำร้ายคุณหรอกนะครับ ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน”

“...”

พอได้ยินแบบนั้น เจ้าของหยาดน้ำตาก็คลี่ยิ้มออกมาแทนคำขอบคุณ

..เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ภูริที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้สะอึกสะอื้น ตอนนี้ก็เริ่มทุเลาลง ทว่าร่างกายก็ยังสั่น ๆ อยู่บ้าง ส่วนภามก็ยังโอบคนตัวเล็กกว่าเอาไว้อยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม บางอย่างในใจบอกเขาว่ายังไม่ควรทิ้งเด็กคนนี้ไปตอนนี้

หลายครั้งที่ภูริสะดุ้งเวลาได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ ใจเขาจดจ่อกับการเฝ้ารอร่วมค่อนวัน แย่เหลือเกินที่เขาทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ .. เขาช่วยคนที่เขารักไม่ได้เลย ทำได้แค่ต้องข่มใจตัวเองต่อไป ทั้งที่ภายในกำลังร้อนรุ่มราวกับมีกองไฟสุมอยู่

“เหนื่อยมามากแล้ว หลับก่อนก็ได้นะคุณน่ะ” ภามเอ่ยบอก

“ถ้าหลับ.. พอตื่นมาคุณจะไม่หายไปไหนใช่มั้ย”

“ไม่หรอก ไม่เลย”

ภูริคลี่ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะขยับปรับที่ทางแล้วพิงศีรษะกับไหล่กว้างของอีกฝ่าย ปิดเปลือกตาของตัวเอง แล้วจมดิ่งสู่ฝันหวาน..




‘เด็กคนนี้เป็นตัวกาลกิณี’

‘มันมีเลือดเสนียด เสนียดบ้านเสนียดเมือง’


ฮ่า ๆ ลืมไปเลย ..ภูริคนนี้เคยมีฝันหวานอย่างนั้นที่ไหนกัน

‘เดรัจฉานมาเกิด’

‘เอามันไปทิ้ง ห้ามทิ้งวัด ห้ามทิ้งในหมู่บ้านเรา’

..หลับตาลงเมื่อไหร่เสียงของคนใจร้ายนับสิบก็จะดังมาให้ได้ยิน เสียงของคนพวกนั้น.. เสียงของพ่อ เสียงของแม่ เสียงของตากับยาย เสียงของทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติของภูริ

‘ดูตามัน เดี๋ยวดำเดี๋ยวขุ่น อย่างงี้มันไม่ปกติ’

‘เด็กผี’

‘เลี้ยงมันไว้พวกมึงสองคนจะฉิบหายวายวอดกันทั้งบ้าน’



ถึงแม้ตอนนั้นภูริจะอายุแค่ไม่กี่ขวบ แต่เขาก็จำสุรเสียงของคนที่เขารักได้ดี และก็จำได้ดีเลยด้วยว่าครอบครัวของเขา..

ทำร้ายเขาอย่างทารุณ


..สุดท้ายแล้วภูริก็หลับไม่ลง ความเจ็บปวดในอดีตหวนกลับมาให้รู้สึกทุกครั้งเมื่อนึกถึง เขาเคยคิดจะหนีจากเรื่องนี้ไปให้ไกล แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนภูริก็ทำไม่สำเร็จ บางครั้งก็เหนื่อยกับเรื่องนี้จนหาเหตุผลที่จะมีชีวิตต่อไม่ได้เลย

“หลับหรือยัง..? ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย” เจ้าของเสียงทุ้มขยับร่างกายพร้อมกับเอ่ยถาม ภูริจึงขยับออกมานั่งหลังตรงอีกครั้งเพื่อตอบคำถามเขา แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ภูริมีบางอย่างที่ต้องถามเพื่อความแน่ใจ

“สัญญานะว่าจะไม่บอกชื่อผม หรือเล่าเรื่องผมให้ใครฟัง”

“ทำไมล่ะ?”

“สัญญาก่อน” ช่วยทำให้เขามั่นใจทีว่าถ้ารู้จักกันแล้ว..

...จะไม่มีใครตาย

“สัญญา”

“ผมชื่อภูริ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูสดใสมากกว่าเดิม “คิดว่า..น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณ”

“ไม่น่าใช่หรอกครับ หน้าคุณดูเด็ก เหมือนยังอยู่มัธยมอยู่เลย”

“ผมเรียนจบแล้วล่ะ” ภูริแค่นขำเมื่ออีกฝ่ายยกยอว่าตนหน้าเด็ก “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้าง ๆ ผม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ปกติผมก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่แทบทุกวันอยู่แล้ว ก็..อย่างที่บอก พ่อผมทำงานที่นี่ ผมเลยมาเป็นผู้ช่วยเขาบ่อย ๆ”

“คุณไม่ทำงานหรอครับ..?”

“อยู่ที่นี่ผมก็ทำงานได้เหมือนกันไง ครอบครัวผมทำธุรกิจส่วนตัว มีบริษัทอยู่ที่โปแลนด์ ที่นู่นมีพนักงานแน่นขนัดอยู่แล้ว งานของผมก็แค่คอยดูแลภาพรวมของงาน กับดูแลพนักงานของผม บินไปดูงานที่นู่นบ้างบางเดือน แต่ส่วนใหญ่ผมจะใช้ชีวิตอยู่กับพ่อที่นี่มากกว่า” ภามอธิบายยาวเหยียด ก่อนจะถามต่อ “คุณล่ะ? ทำงานอะไรครับ”

ทว่าทันทีที่ได้ยินคำถาม เสียงเย็น ๆ ก็ลอยมาตามลม เมื่อโสตประสาทของภูริรับรู้เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเบือนหน้าออกมาอีกทาง

‘อย่าพยายามทำความรู้จักคน ๆ นี้’

นี่คือสิ่งที่เสียงนั่นบอกเขา ถึงแม้มันจะดูเป็นการเตือนด้วยถ้อยคำธรรมดา ๆ ที่ไม่หยาบคายอะไร แต่สำหรับภูริแล้ว เขารู้ดีว่าลึก ๆ มันคืออะไร

คำสาป

“หมอครับ คุณไพลินเป็นยังไงบ้างครับ” ราวกับบางอย่างดลบันดาลให้ภูริจบการสนทนากับกฤตพัฒน์ ร่างผอมหันไปถามชายวัยกลางคนที่พึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องผ่าตัดทันที

“ปลอดภัยแล้วครับ” และนี่คือคำตอบที่คุณหมอใจดีตรงหน้าให้แก่ภูริ เมื่อได้ยินดังนั้นก็เหมือนกับว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ ได้กลับไปเป็นเด็กน้อยแก่นแก้วอีกครั้ง

“ขอบคุณ..ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ!” เขายิ้มจนแก้มแทบปริ ใบหน้าสลัดเค้าของความโศกเศร้าก่อนหน้านี้ไปได้เกือบหมด ซ้ำยังกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ในหัวใจ

“คุณไพลินต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ อาจจะใช้เวลาซักพักนะครับ” คุณหมอยิ้มรับพร้อมพูดต่อ ก่อนจะมองข้ามหลังภูริไปหาหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว “ยิ้มอะไรครับคุณลูกชาย”

และใช่...คุณหมอคนนี้คือ ‘กฤติกร’ ศัลยแพทย์ผู้เป็นบิดาที่ภามเคยพูดถึง

“ดีใจที่ภูริหายเศร้าแล้วน่ะพ่อ แล้วก็รู้สึกยินดีมากเลยที่พ่อของผมสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นอีกแล้ว” กฤตพัฒน์ตอบอย่างจริงใจ

“แล้วนี่รู้จักกันด้วยหรอ เราสองคนน่ะ” พ่อถามต่อเมื่อเห็นเคมีบางอย่างที่ส่งผ่านถ้อยคำที่ชายหนุ่มทั้งสองพูดถึงกัน

“ครับ รู้จักกัน..พึ่งรู้จักนี่แหละครับ ผมมานั่งเป็นเพื่อนภูริเพราะสงสาร เห็นร้องไห้อยู่คนเดียวมานานแล้ว”

สงสาร? ...สงสารหรอ คำถามเกิดขึ้นในหัวของภูริ ..ตั้งแต่จำความได้เขาไม่เคยได้รับความสงสารจากใครเลยนอกจากยาย พอได้ยินภามพูดแบบนี้แล้วหัวใจมันรู้สึกแปลก ๆ เป็นความรู้สึกที่ทำให้มันพองโต สูบฉีดเลือดหนักหน่วงมากขึ้น แล้วยังสามารถกลั่นความรู้สึกนี้ออกมาเป็นรอยยิ้มกว้าง ๆ ที่ทำเอาเปลือกตาหรี่ลงจนคล้ายสระอิได้อีกด้วย

“ขอบใจคุณมากนะ ช่วยผมไว้ได้เยอะเลย” ภูริพูด ..เป็นคำขอบคุณที่ส่งตรงจากหัวใจ

เวลาผันผ่านไปจนท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงตะวัน ในที่สุดภูริก็ได้พบใบหน้าของสตรีที่สวยที่สุดในใจเขา ภูริโผเข้าไปหายายอย่างไม่รีรอ แม้ท่านจะยังไม่รู้สึกตัว แต่แค่สัญญาณชีพยังไม่เป็นเส้นตรงแค่นี้ภูริก็ดีใจมากแล้ว

หนุ่มน้อยกุมมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการใช้ชีวิตขึ้นมาแนบใบหน้า ก่อนจะแนบอิงใบหน้ากับหลังมือของผู้มีพระคุณของเขา แม้น้ำตาจะพรั่งพรูออกมาหลายต่อหลายหยด แต่เขาก็มีความสุขเหลือเกินที่ได้สัมผัสความอบอุ่นนี้อีกครั้ง ความอบอุ่นที่เขาคิดถึงอย่างสุดหัวใจ

“ไว้ยายหายดีแล้วภูริจะพายายทัวร์เองนะครับ ทุกที่ที่ยายอยากไปเลย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

ไม่นานนักวันที่แสนยาวนานนี้ก็จบลง ภูริได้หลับโดยมีคนที่เขารักอยู่ไม่ห่างอีกครั้งในรอบหลายเดือน เป็นการหลับที่สบายใจสบายกายที่สุดเลย..สำหรับเขา

แสงอาทิตย์ยามเช้ามาเยือนอีกครั้ง ตอนนี้ยายก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่ชีวิตของภูริก็ยังต้องดำเนินต่อ เขาใช้เวลาสองชั่วโมงแรกในการเดินทางกลับไปหอพักเพื่อจัดการเรื่องเสื้อผ้าและลางานอย่างกระทันหัน ก่อนจะเดินทางกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ทว่าพอมาถึงเขาก็ต้องแปลกใจ เพราะเขาเจอเจ้าของใบหน้าลูกครึ่งคนเดิมอีกแล้ว

เหตุผลที่ภามมาอยู่นี่ก็เหมือนเดิม คือมาเป็นผู้ช่วยของพ่อ แต่มันกลับดูไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย เพราะเขาเอาแต่ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนใหม่อย่างภูริไปจนหมดวัน

แม้ภูริจะพยายามเลี่ยง ตัดบทสนทนาอย่างใจร้าย แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีวิธีที่จะเข้าหาเขาอยู่เรื่อย ๆ บางครั้งก็ใช้สัมผัสทางฝ่ามือมาลูบหัว บางครั้งก็ร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่เอาเข้าจริง ๆ ภูริกลับรู้สึกอบอุ่นใจมาก ๆ ที่มีภามอยู่ตรงนี้

จากวันกลายเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน ภามก็ยังเข้ามาคุยกับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเฉกเช่นวันแรกที่เจอกัน ภามเล่าเรื่องราวในชีวิตตัวเองให้เขาฟังมากมาย แต่น่าเสียดายที่ฝั่งของภูริไม่มีเรื่องราวอะไร ‘สมควร’ แชร์ให้ใครฟัง

จนถึงตอนนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าภูริไม่อยากเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิต แต่เพราะอดีตของเขา เพราะตัวเขา เพราะ ‘คำสาป’ ที่ติดตัวเขา ภูริจึงทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ ภามถามคำภูริก็จะตอบคำ ชวนคุยหรือเปิดประเด็นอะไรไม่ได้เลย

ภูริกลัว..เขากลัวการจากลา และเขาไม่อยากให้ภามจากเขาไป

ทว่าเวลาที่ผันผ่านไปเรื่อย ๆ นั้นก็ทำลายกำแพงของภูริจนมันพังทลายลง

หลังจากนั้นไม่นานยายของเขาก็อาการดีขึ้นจนกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ช่วงที่ผ่านมาท่านก็พอเห็นอยู่บ้างว่าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนมีเพื่อนกับเขาบ้างแล้ว แถมเพื่อนคนนี้ก็ดูจะเป็นคนดีเสียด้วย หากแต่เจ้าหลานคนนี้กลับมีท่าทีไม่ยอมรับอีกฝ่าย ปิดกั้นเพราะบางอย่างที่ยายรู้และเข้าใจดี ท่านจึงให้คำ ๆ หนึ่ง แก่ภูริก่อนจะกลับต่างจังหวัดไป

“ชีวิตนี้เป็นของหนูนะภูริ โลกนี้ยังมีผู้คนอีกมาก และผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เหมือนกันไปซะหมด จงอย่ากลัวที่จะรักใครเลยนะหลานรัก”

จริงอย่างที่ยายว่า ..แต่ว่าชีวิตของภูริน่ะ

ไม่ใช่ของภูริหรอก


ถึงกระนั้นในเวลาต่อมาความรู้สึกในใจของภูริก็ชนะความกลัว เขาเปิดใจรับกฤตพัฒน์ เพราะทุกครั้งที่อยู่กับคน ๆ นี้ ภูริรู้สึกมีความสุขและสบายใจเหลือเกิน เป็นความรู้สึกที่ภูริแทบจะไม่เคยได้รับและสัมผัสเลยในชีวิต

หากแต่คุณก็รู้ใช่มั้ย..ว่าความลับไม่มีอยู่ในโลก

“ผมอยากให้พ่อมีเวลาให้ผมมากกว่านี้จังเลย” ครั้งหนึ่งภามพูดประโยคนี้ออกมาให้ภูริได้ยิน

ถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าสุดท้ายก็จะลงเอยแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ภูริกลับรู้สึกทรมานเหลือเกิน ใจของเขาหวาดกลัวไปหมด

เขาเห็นวิญญาณนำพาหมอคนหนึ่งมาหาพ่อของภาม มันหันมายิ้มให้เขา ก่อนจะพุ่งเข้าหาเขาจนทัศนียภาพเปลี่ยนสีเป็นสีดำ

ภามหันมามองใบหน้าของคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะเกิดคำถามขึ้นมาในหัวมากมาย เพราะชายหนุ่มคนนี้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

“พ่อคุณกำลังจะได้พักงาน เขาจะมีเวลาว่างสามวัน ให้คุณใช้เวลาในช่วงนี้อยู่กับเขา” นัยน์ตาสีดำสนิทปรากฏควันสีหม่นพาดผ่าน คล้ายกับว่าข้างในดวงตาคู่นี้มีเมฆฝนสีทะมึนอยู่ ความหวาดกลัวบางอย่างเกิดขึ้นในใจของภามโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นแบบนั้นจนภูริพูดจบประโยค “ผมขอตัวก่อน”

“...” ไม่ทันที่ภามจะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหายวับไปในฝูงชน

ในทีแรกแน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว แต่พอตกเย็นในวันเดียวกัน พ่อของภามก็โทรศัพท์มาบอกว่า จู่ ๆ เขาได้พักสามวันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ถ้าจะให้คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็อาจจะได้ แต่ท่าทีของภูริล่ะ..? ใครจะอธิบายได้บ้างว่ามันหมายความว่าอะไร กับดวงตาที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีนั้น น้ำเสียงที่แข็งขืน มันแปลก..แปลกเกินไป

หลังจากนั้นภูริก็เริ่มปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ไม่วายที่เหตุการณ์เดิม ๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มาถึงตรงนี้ภามเลยรู้แล้วว่าภูริสามารถบันดาลทุกสิ่งอย่างให้เขาได้จริง ๆ แต่ภูริรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ผลสุดท้ายก็คงจบแบบเดิม และเขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

“คุณครับ ถ้า..ถ้าหากว่าผมจะขออะไรคุณสักอย่างจะได้มั้ย”

“อะไรล่ะ?”

“หลังจากนี้ช่วยอย่าบอกความต้องการของคุณให้ผมได้ยินได้หรือเปล่า”

“...”

“ผมไม่อยากเจ็บอีกต่อไปแล้ว”

ภูริบอกกับภามทั้งน้ำตา ชายหนุ่มผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินจากไปเหมือนกับทุกครั้ง ทิ้งไว้เพียงคำถามมากมายให้กับคนฟังอย่างภาม

— TBC —

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
02 For Living









‘ผมยังหันไปหาคุณไม่ได้ ขอโทษนะ’


คนตัวเล็กที่อยู่ตำแหน่งเกือบสุดสายตาสวมฮู้ดของตัวเองขึ้นมาบดบังศีรษะ ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่หน้าคนแปลกหน้าในหมู่ฝูงชน ริมฝีปากสีอ่อนขมุบขมิบเป็นคำ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปเดินต่อ มุ่งหน้าไปอีกฟากของถนนใหญ่

..ตลอดเวลาที่ภามรู้จักภูริมา ภามก็รู้สึกได้ว่ามีแต่เรื่องราวประหลาด ๆ เกิดขึ้น ทั้งบุคลิกของเด็กคนนี้ รัศมีบางอย่าง และความสามารถพิสดารที่เหนือธรรมชาติราวกับผู้ชายคนนี้มีเวทมนต์

ตอนนี้เขาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าเวทมนต์หรืออะไรบางอย่างที่ภูริมีมันกำลังทำร้ายภูริ หากเขาเข้าใจไม่ผิดนี่ก็คงเป็นเหตุผลหลักที่ภูริเลือกปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง ไม่เรียกชื่อใคร ไม่ให้แนะนำให้คนอื่นรู้จัก

แต่ภามก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ถ้าตอนนี้เขายังปล่อยให้ภูริหนีไป ภามก็ไม่มั่นใจแล้วว่าจะได้เจอกันอีกครั้งหรือเปล่า

“หยุดก่อนครับ!” เขาตะโกนร้องเรียกให้อีกฝ่ายชะงักฝีเท้า แต่ก็เปล่าประโยชน์ ภูริกลับยิ่งไกลห่างออกไป คำถามเกิดขึ้นในหัว..ทั้งที่คลาดกันไม่กี่นาที ทำไมภูริถึงไปได้ไกลได้ขนาดนั้น เมื่อระยะห่างยิ่งมาก ภามจึงวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปจากตัวอาคารอย่างสุดฝีเท้า

“น้องภู!” กฤตพัฒน์เรียกเขาอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายหยุดฝีเท้าลง เป็นจังหวะเดียวกับสัญญาณไฟอนุญาตให้ใช้ทางม้าลายที่เปลี่ยนเป็นสีแดง

จริง ๆ ภามอายุมากกว่าภูริสองปี ก่อนหน้านี้เขาเคยเรียกภูริแบบนี้ครั้งนึง แต่อีกฝ่ายแทรกทันทีว่าไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ เขาเลยเรียกเพียงภูริดังเดิม นี่จึงเป็นครั้งที่สอง ที่ภามเผลอเรียกอีกฝ่ายแบบนั้น

คนตัวเล็กที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลยังคงยืนนิ่งแม้จะได้ยินเสียงเรียกแล้ว ทว่าเมื่อภามร่นระยะห่างเข้าใกล้ เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าไหล่บางของคนตรงหน้ากำลังสั่นเทา

ฝั่งภูริ.. การเรียกชื่อแบบนั้นกระตุกเอาความหวาดกลัวภายในจิตใจทั้งหมดของภูริออกมาอย่างโหดร้าย ตอนนี้สัญญาณไฟทางม้าลายเป็นสีเขียวแล้ว แต่สองขากลับก้าวไม่ออก ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้ความรู้สึกแย่ ๆ นำพาน้ำตาให้ไหลอาบใบหน้า

..เป็นอีกครั้งที่ภูริร้องไห้ เขาร้องไห้เพราะภามกำลังทำให้เขารู้สึกว่าถึงแม้ภามจะใจดี แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ

ภามเคยบอกว่าจะไม่เรียกชื่อเขาแบบนั้นอีก

คนโกหก


..ในอดีตที่แสนมืดดำของภูริ การเรียกชื่อแบบนั้นคือการลวงหลอกให้เขาทำอะไรบางอย่าง

มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายจนติดอยู่ในใจภูริจนถึงทุกวันนี้



“อย่าเข้ามาใกล้ผมเลย”

เจ้าของแผ่นหลังบางพูดเสียงสั่น น่าแปลกที่เจ้าตัวรับรู้ได้ว่าภามเข้ามาใกล้แล้ว แม้จะหันหลังอยู่

“โอเค ผมไม่เข้าไปใกล้คุณก็ได้ แต่ครั้งนี้คุณอย่าเดินหนีผมไปได้มั้ย ผมอยากช่วยคุณ” ใช่แล้ว ภามอยากยื่นมือเข้าไปช่วย หากภูริเจ็บเพราะอะไรบางอย่างที่อยู่กับตัวเองจริง ๆ ภามก็จะช่วยภูริให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหน

“วิธีช่วยที่ดีที่สุดคุณก็รู้อยู่แล้ว ..ไปจากผมซะ” หนุ่มน้อยกัดฟันพูดออกไปแม้จะตรงข้ามกับสิ่งที่ใจเรียกร้องโดยสิ้นเชิง ซ้ำเม็ดน้ำตาก็ยังพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

“ไม่เอาวิธีนี้ครับ ภูริ..มันต้องมีวิธีสิ ถ้าคุณเจ็บเพราะผมพูดความต้องการของผม งั้นผมจะไม่พูดอะไร..”

“มนุษย์ห้ามคำพูดตัวเองไม่ได้หรอก สุดท้ายคุณก็จะพลั้งปากออกมาอยู่ดี” ภูริสวนกลับทันควัน อดีตที่ผ่านมาสั่งสอนเขาอย่างดี เป็นบทเรียนที่ต่อให้สิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่มีทางลืม

“ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด แต่คุณอย่าหนีผมไปแบบนี้เลยนะ ผมรู้สึกไม่ดีเลย”

“รู้สึกไม่ดี..?” ความรู้สึกจุกเสียดที่หน้าอกเกิดขึ้นกับภูริเมื่อได้ยินภามพูดออกมา “ใช่...คุณรู้สึกแบบนั้นเพราะคุณอยู่ใกล้ผมไง”

“ไม่ใช่ครับภูริ ผมรู้สึกไม่ดีเพราะคิดว่าคุณกำลังจะไปจากผมต่างหาก ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คุณผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย ครั้งเดียวก็ไม่เคย”

“...”

“ถึงคุณจะผลักไสไล่ส่งผมขนาดไหน แต่ผมก็ยังดื้อด้านมาให้คุณเห็นหน้าเสมอ นั่นเป็นเพราะว่าผมรู้สึกดีกับคุณนะ คุณก็รู้ใช่ไหม?”

“...”

“ถึงคุณจะบอกว่าคุณไม่อยากจดจำผม ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากเรียกชื่อผม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย ถ้าอย่างน้อยคุณก็ยังดูมีความสุขเวลาที่อยู่กับผม”

“...”

“เพราะฉะนั้นหันมาหาผมหน่อยเถอะนะ แล้วมีอะไรเราก็แค่บอกกัน ผมพร้อมฟังคุณเสมอแหละ ทุกเรื่องเลย” กฤตพัฒน์ค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละนิด ก้อนเนื้อแห่งชีวิตสูบฉีดเลือดหนักหน่วงมากขึ้น

ภูริตัวสั่นเหมือนกำลังลังเลใจในตัวเอง ภามจึงอาศัยจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีเอื้อมมือไปแตะที่บ่า หากแต่ไม่ทันที่จะได้สัมผัสภูริก็ก้าวเดินไปข้างหน้า อาศัยจังหวะที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนจะข้ามถนนไป ปล่อยให้ภามคว้าได้เพียงอากาศ

คนตัวเล็กกว่าพูดอะไรบางอย่างออกมา แม้จะข้ามจนไปถึงเกาะกลางถนนแล้ว ทว่าภามที่อยู่จุดเดิมกลับได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจนราวกับว่าภูริพูดอยู่ข้าง ๆ หู

“ผมยังหันไปหาคุณไม่ได้ ขอโทษนะ”

วูบหนึ่งภูริหันข้างกลับมามอง แต่ฮู้ดสีดำบดบังใบหน้าของเขา สิ่งที่ปรากฏจึงมีเพียงปลายจมูกกับใบหน้าเพียงเสี้ยวเดียว

และภามก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เพราะใบหน้าเสี้ยวนึงของภูริที่เขาเห็นนั้น..

ถูกฉาบไปด้วยเลือด



“ภูริ!” เขาร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความกังวลใจ ก่อนจะก้าวเท้าลงสู่พื้นถนนหวังจะตามภูริไป เป็นจังหวะเดียวกับสัญญาณไฟข้ามทางม้าลาย ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง

ภามวิ่งข้ามไปจนถึงเกาะกลางถนน ขณะที่ภูริเดินหายเข้าไปในฝูงชนของอีกฟากถนนเรียบร้อยแล้ว

พอแผ่นหลังนั่นลับสายตาไป ใจของเขาก็ร่วงหล่นไปอยู่ปลายเท้า เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลเกิดขึ้นกับตัวเองในวัยที่ไม่ควรจะร้องไห้ง่าย ๆ แล้ว แต่พอเป็นเรื่องของภูริมันกลับทำให้เขารู้สึกแบบนั้น

เพราะอะไร..? ภามตั้งคำถามขึ้นในหัว พร้อมกับก้าวเดินต่อด้วยใจที่ร้อนรุ่ม สองเท้าก้าวฉับ ๆ อยู่บนถนนที่รถราวิ่งไม่ขาดสาย ตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่าจะต้องตามภูริให้ทัน ทำยังไงก็ได้ให้ได้เจอภูริอีกครั้ง

รู้สึกดีที่ได้คุย ได้เจอกัน..? อีกคำถามที่ภามสงสัยในตัวเอง

..เพราะสติที่เลือนลางกว่าเสียงหัวใจ ภามจึงมองข้ามรถคันหนึ่งไป ..เป็นรถคันที่แล่นตรงมาหาเขาราวกับไม่เห็นคนอยู่ตรงนี้

“หรือว่า... เพราะเราชอบเขาวะ..?” คนตัวสูงได้สติเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรลากยาว เขาหันไปหาเสียงนั้น ก่อนจะพบกับรถคันหนึ่งที่อยู่ไม่ห่าง มันกำลังพุ่งมาหาตัวเขาด้วยความเร็วที่ค่อย ๆ ชะลอลง แต่ดูเหมือนว่า..จะไม่ทันเสียแล้ว

โครม!!!!!!

และดูเหมือน..ภามคงไม่มีโอกาสได้เจอภูริอีกแล้วเช่นกัน



..ชายหนุ่มในชุดสีดำที่ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าอาศัยช่องว่างระหว่างอาคารพานิชย์หลบซ่อน มันค่อนข้างแคบ และเต็มไปด้วยกลิ่นที่หืนจมูกเพราะกองขยะ

เขาใช้ปลายนิ้วแตะที่ใบหน้าก่อนจะใช้หลังมือปาดคราบของเหลวสีแดงออก

“อ่า.. หายแล้ว” ภูริเอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าเต็มที เมื่อกลับมาสัมผัสความรู้สึกของการ ‘มีชีวิต’ หลังจากลิ้มรสความตายเพื่อแลกกับคำขอของคนแปลกหน้าที่เขาบังเอิญเดินผ่าน

วิญญาณที่อยู่กับภูริจะช่วงชิงอายุขัยไป แม้จะเป็นอายุขัยเพียงระยะเวลาหนึ่ง แต่ทุกครั้ง ทุกคำขอ ..หลังจากผู้ร้องขอได้รับสิ่งที่ใจปรารถนาแล้ว ภูริจะตกอยู่ในสภาวะที่เหมือนกับความตายอยู่แค่เอื้อม

ความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสจะเกิดขึ้นกับตัวเขา ภูริจะรู้สึกได้ผ่านร่างกายทุกสัดส่วน ราวกับว่าอวัยวะภายในเกิดริ้วแผล ถูกกัด ถูกทุบทำร้ายจนบุบสลาย เขาจะปวดหนึบที่หัวใจราวกับถูกใครสักคนบีบทำลาย เจ็บจนไม่สามารถหาคำเปรียบเทียบใดให้ใกล้เคียง

มันทรมาน..ทรมานจนคล้ายกับว่าเขากำลังจะตายแล้วจริง ๆ

เลือดสีแดงสดจะไหลออกมาทางจมูก หรือปาก ทว่าบางครั้งก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเสียหาย ความเจ็บปวด และบาดแผลภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี

ภูริจะตกอยู่ในสภาวะนี้ไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพัก เขาก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น จนกลับมารู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

และเมื่อไหร่ก็ตามที่กลับมารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นปกติ นั่นก็จะหมายความว่า...

วันตายที่แท้จริงของภูริเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที

‘ภาม’

เสียงเย็น ๆ แว่วลอยมาตามลม ภูริจึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่มีใครคนหนึ่งวิ่งตามเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ภูริถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปล่อยให้แผ่นหลังพิงกำแพง เพราะเรี่ยวแรงที่หลงเหลืออยู่นั้นน้อยเกินกว่าจะทรงตัว

“เขาคงเลิกตามมาแล้ว..” ภูริบอกกับตัวเองเสียงแผ่ว ทว่าจู่ ๆ เสียงเย็น ๆ ก็ตอบกลับเขามาราวกับกำลังข่มขู่ หากแต่เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้ว ครั้งนี้...วิญญาณกำลังช่วยเขา

‘ภามกำลังจะตาย’



ไม่รอช้า.. ภูริวิ่งพรวดออกไปจากตรงนั้นอย่างไม่คิดชีวิต เรี่ยวแรงมาจากไหนเขาก็ไม่ทราบได้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเขาก็มาถึงจุดเกิดเหตุ

ภามนอนแน่นิ่งอยู่ข้างถนน ท่ามกลางหน่วยกู้ภัยที่รายล้อม และฝูงชนที่ตกอกตกใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคาตา

“เห็นเขาพูดกันว่า คนที่โดนชนวิ่งข้ามถนนไม่ดูรถ เลยถูกรถเก๋งชนจนกระเด็นไปเกือบสองเมตร” เสียงของหนึ่งในฝูงชนตรงหน้ากระซิบกระซาบกัน ภูริถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ความรู้สึกหน่วง ๆ ที่อกเกิดขึ้น

จนในที่สุดเมื่อเข้าฝ่าฝูงชนเข้าไป ภูริก็ได้เห็นใบหน้าของชายผู้ที่หัวใจของเขาร่ำร้องเรียกหา

“พี่ภาม..” เขาเอ่ยเรียก หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาทั้งสองทันทีที่เห็น

ทั่วทั้งร่างของภามย้อมชโลมไปด้วยเลือด เปลือกตาปิดสนิทราวกับไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทว่าภูริกลับได้ยินเสียงทุ้มของภามตอบกลับมา

...เป็นเสียงจากดวงวิญญาณของภาม

‘เสียงนี้.. นั่นน้องภูใช่ไหม’

“ภูริ.. ภูริขอโทษ..” หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ทั้งที่พยายามป้องกัน หลีกเลี่ยงทุกวิถีทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังจะมีคนตายเพราะเขาอีกจนได้ ยิ่งเป็นภาม.. พี่ภามของเขา คนที่ทำให้เขาได้สัมผัสความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับ คนที่มอบความเห็นอกเห็นใจแม้จะใจร้ายใส่กันขนาดนั้น

“อย่าทิ้งภูริไปนะ อย่าไปไหนเลย..พี่ภามสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ทิ้งกัน” ในสายตาคนอื่นก็คงจะมองว่าภูริเสียศูนย์ไปแล้วที่จู่ ๆ ก็ร้องไห้แล้วพูดคนเดียว แต่ครั้งนี้ภูริไม่สนใจสายตาพวกเขาอีกแล้ว “พี่ภาม..”

คนตัวเล็กเรียกเสียงอ่อน ก่อนโสตประสาทจะรับรู้ถึงเสียงของภามอีกครั้ง

‘อา...คุณเรียกชื่อผมแล้ว’ เสียงทุ้มยังคงทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้เจ็บจนใจแทบสลายด้วยเช่นกัน ‘อย่าเรียกดีกว่าน้องภู ไม่ดีเลย..เดี๋ยวภูจะเจ็บปวดนะถ้านึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาน่ะ’

“..ภูริขอโทษ” ริมฝีปากบางสั่นระริกจนพูดออกไปแทบจะไม่เป็นถ้อยเป็นคำ ..ขอโทษที่เลือกจะวิ่งหนีออกมา ขอโทษที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่คงจะไม่ตามมาแล้ว ขอโทษที่คิดว่าพี่จะเหมือนคนอื่น ๆ..

ขอโทษ..

..ไม่นานหลังจากนั้นหน่วยกู้ภัยก็พาร่างโชกเลือดของกฤตพัฒน์ไปที่โรงพยาบาล ภูริโพล่งออกมาว่าเป็นญาติกับคนเจ็บ เขาจึงร่วมเดินทางไปกับรถกู้ภัยคันเดียวกันกับรถที่นำร่างของภามไปโรงพยาบาล

คนตัวเล็กเชยฝ่ามือพี่ภามของเขามาแนบใบหน้า ปล่อยให้เม็ดน้ำตาหยดลงไปเจือจางคราบเลือดให้หายไปจากฝ่ามือของคน ๆ นี้

“กลับมาหาภูรินะ พี่ภาม” คนตัวเล็กจ้องมองใบหน้าที่หลับพริ้มด้วยความเจ็บปวด “ต้องกลับมานะครับ..”

‘ทำไม.. ทำไมพี่กอดภูริไม่ได้’ เสียงพี่ภามดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง ภูริร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักเมื่อรับรู้

เขาเคยเห็น เขาเคยผ่านความเจ็บปวดในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ภูริจึงเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่าตอนนี้พี่ภามของเขากำลังเจ็บปวดทรมานขนาดไหน

..เป็นอีกครั้งที่เขาช่วยอะไรคนสำคัญของเขาไม่ได้เลย ทำได้แต่สิ่งที่เปล่าประโยชน์อย่างการร้องไห้ ทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตามันไหลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เขาทำได้แค่นั้น

แค่นั้นจริง ๆ..

‘ภูริ..ภูริร้องไห้หรอ ไม่ร้องนะครับ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว’






..ท้องฟ้าสีส้มถูกแต่งแต้มด้วยริ้วแสงอาทิตย์ยามเมื่อดวงตะวันเริ่มจะอัสดง หลังจากมาถึงโรงพยาบาล เวลาก็ผันผ่านไปร่วมหลายชั่วโมง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าการรักษาของกฤตพัฒน์จะแล้วเสร็จด้วยคำว่า ‘ปลอดภัยแล้ว’

ตอนนี้พ่อของเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน หัวอกคนเป็นพ่อสั่งการให้เขาทำทุกหนทางเพื่อให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขารู้สึกตัว

แต่ก็เหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว



“พ่อ ภามเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม.. เขารู้สึกตัวแล้วใช่ไหม..” ภูริลุกพรวดขึ้นไปหาพ่อของภามทันทีที่เห็นเขาออกมาจากห้องผ่าตัด

“...” หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบอะไรกลับมา นอกจากแสดงสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนคล้ายจะเป็นลม

“พ่อ พ่อตอบผมสิ ภามรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม..” ใจของภูริร้อนรนเต็มที ทำไมกันล่ะ.. ทำไมพ่อถึงให้คำตอบไม่ได้ แค่พูดออกมาว่าภามปลอดภัยแล้ว แค่นี้มันยากขนาดที่พูดออกมาไม่ได้เลยหรือไง “ภามปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ..”

“ขนาดลูกตัวเอง.. พ่อยังทำอะไรไม่ได้เลย” เขาพูดออกมาเสียงสั่น น้ำตานองหน้าจนลบเค้าศัลยแพทย์ไปเสียหมด เหลือแต่เพียงตัวตนของผู้เป็นพ่อที่สูญเสียบุตรเพียงคนเดียวไปให้ความตาย

“...”

“ขอโทษนะภูริ พี่ภามของหนูหยุดหายใจแล้ว”

“โกหก..” ใช่แล้ว..โกหกแน่ ๆ ที่ผ่านมากฤติกรณ์ชอบหยอกล้อเขาอยู่เสมอ ปฏิบัติกับภูริอย่างสนิทสนมราวกับภูริเป็นลูกอีกคน ครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน

พ่อคงอำกันเล่นใช่ไหม..?

ภูรินิ่งงันไปไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะสัญชาติญาณของตัวเขาเองบ่งบอกให้เขารับรู้แล้วว่าข้างในห้องผ่าตัด...มีคนตาย

“ภูริ..?” กฤติกรณ์เอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหม่อลอย ก่อนจะเกิดคำถามและความสงสัยมากมายพอได้ยินเด็กคนนี้เอ่ยถาม

“พ่ออยากให้ภามมีชีวิตอยู่ต่อมั้ย”

สีหน้าของภูริดูจริงจังมากจนเขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับคำตอบที่จะตอบไป

“อยาก.. อยากสิ ต้องอยากอยู่แล้ว”

“ขอร้องผม”

“ฮะ..?” ผู้เป็นพ่อแทบไม่เชื่อหู ความรู้สึกโกรธกริ้วเกิดขึ้น ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นอะไรแบบนี้เลย

“ขอร้องผมซะ!!! เดี๋ยวนี้!!!!” ภูริพูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนแทบจะกลายเป็นตะคอกใส่ กฤติกรณ์พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้โอนอ่อน พยายามเข้าใจว่ายังไงไอ้คนตรงหน้าเขาตอนนี้มันก็แค่เด็กคนนึงที่ไม่น่าจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ไม่แปลกที่จะหลุดพฤติกรรมที่ไร้มารยาทแบบนี้ใส่เขา

“ทำไมพ่อถึงต้องทำแบบนั้น” กฤติกรณ์ถามกลับเสียงนิ่ง

“เพราะผมเป็นคนเดียวที่พาเขากลับคืนมาได้”

“ยังไง..? วิธีไหน?”

“ขอแค่มีใครซักคนเอ่ยปากขอร้องผม เขาก็จะได้สิ่งที่พวกเขาต้องการทันที”

“แต่ภามเขา.. ภามตายแล้วนะ” ลูกชายเขาจากไปแล้ว ภูริกำลังจะบอกว่าถ้าขอไป ภามก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหรือยังไง..? มันไม่ตลกไปหน่อยหรอ

“เขายังอยู่ข้างในนั้น วิญญาณยังพยายามซ้อนทับกับร่างตัวเองอยู่” หนุ่มน้อยเชยสายตาไปที่กระจกสีขุ่น ดวงตาฉายแววความเจ็บปวดบางอย่างที่กฤติกรณ์เข้าไม่ถึง

“ไหน พ่อไม่ตลกด้วยเลยนะภูริ” กฤติกรณ์ตั้งคำถาม เพราะในทัศนวิสัยของเขาตอนนี้ตรงหน้ามันก็แค่กระจกสีขุ่นที่ออกแบบมาให้มองไม่เห็นภายใน ทว่าพอหันกลับมาหาคนตรงหน้า เขากลับถูกภูริตวาดใส่เสียงลั่น

“แค่พ่อพูดออกมา แค่พ่อขอร้องผม ทำแค่นี้ไม่ได้หรอ!!!!”

“พ่อขอให้ลูกของพ่อกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” สุดท้ายกฤติกรณ์ก็ยอมพูดออกไปให้จบ ๆ หากตรงนี้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ภูริเขาก็คงจะสั่งสอนกลับไปบ้าง กฤติกรณ์ก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดประโยคงมงายนี่ออกไป แต่บางอย่างจากสายตาของภูริมันบอกเขาว่าให้ทำแบบนั้น “อย่างนี้หรอ..? พอใจหรือยัง หึ..นิทานหลอกเด็กชัด ๆ”

และวินาทีนั้นเองที่กฤติกรณ์เริ่มรู้สึกแล้วว่าภูริไม่ได้เล่นตลกกับเขา หากแต่มีบางอย่างในตัวภูริที่กำลังแปลกไปจริง ๆ

ดวงตาสีนิลของภูริปรากฏฝ้าควันพาดผ่าน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเสียงแข็งกร้าวราวกับตรงนี้ไม่ใช่ภูริอีกต่อไป

กฤติกรณ์รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง โดยเฉพาะเวลาที่จ้องใบหน้าของภูริ เขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าใบหน้าของภูริกำลังจางลง และกำลังจะถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของสิงสาราสัตว์ เสี้ยวหนึ่งเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนแว่วมาตามลม แต่เมื่อตั้งสติให้ดีกฤติกรณ์ก็ไม่ได้ยินหรือได้เห็นอะไรอีก

แต่แววตาและน้ำเสียงของภูริกลับยังไม่เปลี่ยนไป

“กลับเข้าไปข้างในนั้นซะ กระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นให้ได้ แล้วผ่าตัดใหม่อีกครั้ง ..ทันทีเข้าไปหมออย่างพ่อจะรู้ทันทีเลยว่าควรทำยังไง”

“...” ใจของกฤติกรณ์หล่นร่วงไปที่ปลายเท้า เขาไม่รู้สึกเลยว่าสิ่งที่ภูริพูดมันเป็นประโยคบอกเล่า หากแต่เขากลับรู้สึกว่าภูริกำลังสั่ง และเขาก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างไม่มีข้อกังขา

“พ่อยังไม่เชื่อหรอกตอนนี้ แต่ถ้าพ่อทำตามที่ผมบอก ภามจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และพ่อก็จะเชื่อผมเอง ลองอีกสักครั้งเพื่อลูกของตัวเองก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหายนี่..?” น้ำเสียงคนตรงหน้าเริ่มโอนอ่อนลง เช่นเดียวกับฝ้าควันในดวงตาที่มลายหายไป

“...”

“อีกอย่างที่สำคัญก็คือ...สิ่งที่ผมบอกพ่อวันนี้ พ่อห้ามบอกใครเด็ดขาด” อีกครั้งที่กฤติกรณ์รู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบบังคับ เป็นการบังคับอย่างที่เขาตอบโต้อะไรไม่ได้แม้แต่ขยับเขยื้อน

ใช่..ตอนนี้พ่อของภามขยับตัวไม่ได้

สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่รับรู้สิ่งที่ภูริอยากให้รู้ และทำตามสิ่งที่ภูริสั่งให้ทำเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น.. ความหวาดกลัวก็เริ่มเข้าปกคลุมจิตใจของกฤติกรณ์ เมื่อเขาไม่สามารถละสายตาไปจากภูริได้

ผิวหน้าสีนวลของภูริเริ่มถูกของเหลวสีแดงสดมาทดแทนพื้นที่ มันไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“ภูริ.. เลือด..”

“ข..ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับพ่อ” ภูริเอ่ยเอื้อนออกมาด้วยน้ำเสียงอันเศร้าโศก “แต่นี่คือสิ่งที่ผมแลกกับชีวิตพี่ภาม..”

“แลก.. หนูแลกอะไร..”

หากจะแลกชีวิต.. สิ่งที่ต้องใช้มันก็ต้องเป็นสิ่งที่มีค่าเท่า ๆ กัน..

“ผมแลกด้วยชีวิตของผมเอง” ภูริสะอึกสะอื้น ภายในร่างกายเริ่มรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมาน “ถ้าผมให้อิสระพ่อแล้ว พ่อกลับเข้าไปเถอะนะ”

“ให้พ่อทิ้งคนเป็นไปยื้อคนตายได้ยังไง หนูกำลังแย่นะภูริ”

“ภูริคือคนที่กำลังจะตาย ภามต่างหากที่กำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

“...”

“ไปเถอะ ไปซะ” เสียงของภูริเริ่มแหบพร่า ยิ่งพอปริปากพูดต่อไป เลือดที่หนาแน่นอยู่ในปากก็ไหลรินออกมา “ผม..ผมก็จะไปแล้วเหมือนกัน”

“...”

“แล้วก็..พ่อครับ ถ้าเขารู้สึกตัวแล้ว ห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าเขากลับมามีชีวิตได้ยังไง ให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ซะ ส่วนถ้าเขาถามหาผม ก็ให้บอกว่าผมกลับไปอยู่กับยายแล้ว ไม่ต้องตามหา”

“พ่อ.. พ่อทำไม่ได้..”

“ทำได้สิครับ”

“...”

“เพราะถ้าทำไม่ได้ ทั้งผมทั้งภาม เราจะตายทั้งสองคน”

ภูริทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีไป กลับเข้าสู่โลกอันบิดเบี้ยวของตัวเองในซอกมืด ๆ ที่ห่างจากสายตาผู้คน

ครั้งนี้ภูริทรมานมากกว่าครั้งไหน ๆ เป็นความเจ็บปวดที่ต่อให้ร้องออกไปยังไงก็ไม่ทำให้ลบเลือนความรู้สึกพวกนี้ได้

แต่ภูริเองก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ ว่าซักวันวันนี้ของเขาก็ต้องมาถึง

ตัวเขาที่เป็นแบบนี้ พบเจอแต่เรื่องแบบนี้ จมอยู่แต่กับความเจ็บช้ำแบบนี้ การจากไปก็คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และควรจะไปเสียตั้งนานแล้ว

..ต่อแต่นี้ภูริก็จะได้ไม่ร้องไห้ ไม่ต้องหวาดกลัว ไม่ต้องข่มขู่ใครอีก

บางทีถ้าโชคดี.. ตอนที่ทุกอย่างมืดดับไปแล้ว ภูริอาจจะได้มี ‘เพื่อน’ หรือมีใครซักคนที่จริงใจต่อกันอย่างที่เคยเฝ้าฝันเอาไว้ก็ได้

ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว..

..ลมหายใจที่ปลายจมูกเริ่มรวยรินเต็มที เปลือกตาเองก็ไม่ไหวที่จะฝืนลืมตาต่อ ภูริจึงปล่อยให้ร่างทั้งร่างเป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้มือลู่ลง ปล่อยให้ลำคอเอนตก และปล่อยให้กายของเขาพิงหลังไว้กับกำแพง

จังหวะการสูบฉีดเลือดของกล้ามเนื้อในอกเริ่มขาดช่วง เช่นเดียวกับความรู้สึกนึกคิดที่เริ่มตื้อตึง และหยุดนิ่ง ภูริอาศัยช่วงวินาทีนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอพรอะไรบางอย่าง

..บางอย่างที่เขาเฝ้าหวังอยู่เสมอ

‘ภูริขอให้พี่ภามมีชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข ยิ้มเยอะ ๆ ให้เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน’

แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุขนะครับ..













___________________

ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ภูริปลอดภัยดีค่ะ 55555555

สี่ห้าตอนหน้าเดี๋ยวย้อนกลับไปพาร์ทอดีตซักหน่อยนะคะ มาดูที่มาที่ไปของพลังของภูริกัน

ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่าน #ภามภูริ ค่า

TBC

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
หลอนๆยังไงไม่รู้​ 555​ สู้ๆนะคะนักเขียน

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
แอบน่ากลัว แต่สงสารน้องภูมากเลย

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
03 Before he borns




40 ปีก่อน


“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ว่าอย่าฆ่าสัตว์พวกนั้น!” ชายชราฟาดไม้เท้าลงบนหลังของบุตรหลานผู้ซึ่งอยู่ในวัยคึกคะนอง หลังจากหลานคนนี้แอบเข้าไปล่าไก่ป่าเพราะนึกสนุก อยากรู้ และอยากลอง

“โอ๊ย! ปู่จะอะไรกับต้นนักหนาเนี่ย แค่ไก่ป่าตัวเดียว จะฟาดต้นให้ตายตรงนี้เลยหรือไง!” เด็กหนุ่มไม่ยอมโอนอ่อน แต่กลับเถียงคำไม่ตกฟาก

“ปากมึงนี่ดีจังนะ วันนี้มึงไปนอนวัดเลยไอ้ต้น” พ่อของต้นเข้ามาสมทบ เขาชี้หน้าลูกชายด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด

“ต้นไม่ไป เรื่องเหลวไหลที่เขาเล่ากันปากต่อปากต้นไม่เชื่อหรอก” ต้นโกรธจนริ้วเส้นเลือดปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซ้ำดวงตาก็พร่ามัวเพราะหยาดน้ำสีใสที่พร้อมจะไหลอยู่รอมร่อ “แม่งไร้สาระฉิบหาย!”

“เดี๋ยวมึงจะเจอดี ไอ้หลานเวร!” ชายชราง้างไม้เท้าหมายจะฟาดซ้ำให้แรงกว่าเดิม ทว่าหลานของเขากลับว่องไวกว่า ต้นพลิกหนี ก่อนจะฟึดฟัดแล้ววิ่งออกไป

“เอาไงดีพ่อ” พ่อของต้นหันมาถามคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่างพ่อของตนเอง

“ไปตามไอ้ต้นกลับมา แล้วพามันไปนอนวัดก่อน คืนนี้”

“แต่พ่อ นี่มันก็ผ่านมานานแล้ว เรื่องอะไรแบบนั้นคงไม่มีแล้วมั้ง”

“กันไว้ดีกว่าแก้” ชายชราจำเป็นต้องยื่นคำขาด เพราะแต่เดิมบรรพชนของคนในหมู่บ้านบุกรุกพื้นที่ของ ‘เขา’ แล้วยึดเป็นถิ่นฐานอาศัย คร่าสัตว์ตัดชีวิตไปก็มาก พอโดนผีป่าสั่งสอนก็ล้มหายตายจากไปหลายสิบคน รุ่นปู่ทวดย่าทวดที่รอด ก็สั่งสอนลูกหลานว่าให้อยู่แค่ในพื้นที่ของตัวเอง แล้วเขาก็จะอยู่แค่ในพื้นที่ของเขา ห้ามข้องแวะ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสิงสาราสัตว์ ต้นไม้ หรือวัตถุในป่าใด ๆ ทั้งสิ้น

“ผมรู้ ผมฟังเรื่องนี้จากพ่อมาหลายทีแล้ว แต่ตลอดชีวิตของผมก็ยังไม่เคยเจอใครโดนแบบที่พ่อเคยเล่าเลย”

“อาจจะเพราะเวลามันผ่านไปนานมากแล้ว พลังของพวกเขาเลยอ่อนลง แล้วพวกเราก็ยังเซ่นไหว้ขอขมาเขาอยู่ทุกปี” ชายชรานั่งลงบนแคร่ไม้อย่างเหนื่อยหน่าย “แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ กันเอาไว้ดีกว่า ไอ้ต้นมันซน นอกจากไปไล่จับไก่ป่ามันอาจจะไปทำอย่างอื่นให้เขาไม่พอใจเพิ่มอีกก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกมั้งพ่อ หมู่บ้านเราก็สงบมาตั้งแต่รุ่นของพ่อแล้วนี่ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครโดนพวกเขามาเอาชีวิตไปแล้ว”

ได้ยินลูกตัวเองว่าแบบนั้นแล้วชายชราก็ได้แต่ถอนหายใจ ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าอาถรรพ์บางอย่างของที่นี่จะยังคงอยู่ เพราะที่นี่เงียบสงบมานานตั้งแต่ที่เขาหนุ่ม ๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับต้นแล้ว

เหตุการณ์สุดท้ายในความทรงจำก็คงจะเป็นเหตุการณ์ของเพื่อนเขา

ตอนนั้น..เพื่อนของเขาคิดสนุกอยากเจอเสือตัวเป็น ๆ เลยเข้าไปในป่า อาศัยช่วงค่ำที่ลับตาคนก่อนจะแอบเข้าไป จากนั้นก็ได้พบกับสัตว์ที่ต้องการเจอจริง ๆ ในระยะห่างเพียงคืบ แต่เป็นเพียงลูกเสือตัวน้อย ๆ ที่เหมือนจะหลงมาจากพ่อแม่ ด้วยความคะนองในช่วงวัย เพื่อนของเขาเอามีดปักคอเสือตัวนี้ จนมันนอนนิ่งไร้การขยับเขยื้อน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแตะจมูกยามเมื่อเขาชักมีดกลับ ดวงตาของเจ้าตัวน้อยแม้จะสิ้นลมไปแล้วแต่ก็ยังเบิกโพลง

สติสั่งเตือนเขาอยู่ซ้ำ ๆ ว่าสิ่งนี้เป็นการกระทำที่จะนำภัยร้ายมาสู่ตนเอง ทว่าเจ้าตัวกลับเพิกเฉย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยินดีกับคราบเลือดบนมีดกริช

และในคืนวันเดียวกันนั้นเอง พายุปริศนาก็พัดกระหน่ำหมู่บ้านทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูแล้ง ไม่มีเหตุผลใดเลยที่พายุจะเข้า ณ ช่วงเวลานั้น คงจะมีก็แต่..พวกเขากำลังพิโรธ

ณ เวลานั้นเด็กหนุ่มที่บุกเข้าไปในป่ากำลังเดินกลับออกมาพอดี ก็เลยตกอยู่ในพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ เสียงฝนค่อนข้างดัง ซ้ำบ้านเรือนทุกหลังก็ปิดเงียบเพราะดึกดื่นค่อนคืนแล้ว จะไปขอหลบฝนก็กลัวจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน เขาจึงเลือกที่จะมุ่งหน้ากลับไปบ้านของตน

ในขณะที่สองเท้าของเขาเดินไปเรื่อย ๆ บนถนนลูกรัง เสียงคำรามของสัตว์ป่าก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ค่อย ๆ ดังไล่หลังมาเรื่อย ๆ ..เสียงแรกเขารู้สึกได้ว่ามันอยู่ไกล พอเสียงต่อมามันก็เริ่มเข้าใกล้มากขึ้น เขานับจังหวะเสียงนั้นด้วยความหวาดกลัวในใจ จนถึงเสียงที่สิบสาม.. เสียงนั้นดังอยู่ข้างหลังพร้อมกับเสียงลมหายใจหนัก ๆ ที่เป่ารดต้นคอ

..เวลานั้นฝั่งชายชราในวัยหนุ่มเกิดกระหายน้ำขึ้นมากลางดึก เขาเปิดหน้าต่างออกไป ก่อนจะใช้ขันตักน้ำจากครุเล็ก ๆ ที่รองน้ำฝน จังหวะนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่ท่ามกลางพายุ และเมื่อตั้งใจมองดูให้ดี เขาก็พบว่านั่นคือเพื่อนของเขาเอง ไม่รอช้าที่จะให้ความช่วยเหลือ เขาวิ่งลงไปเปิดบ้านรับเพื่อนคนนี้เข้ามาหลบฝนทันที

พอเข้ามาข้างในทั้งสองก็ถามไถ่กันไปได้สักพัก ทว่าจู่ ๆ เสียงคำราม และเสียงฝีเท้านั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้...มันดังพร้อมกับเสียงทุบประตู

ปัง! ปัง! ปัง!

ฝ่ายเจ้าของบ้านพอจะรับรู้ได้อยู่บ้างว่าเสียงที่เกิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ เขาจึงนิ่งเฉย หากแต่เพื่อนของเขากลับตรงกันข้าม ซ้ำในใจจากที่นึกหวาดกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญที่เสียงพวกนี้ดังไม่ยอมหยุด เจ้าตัวเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกในทันที

ภาพที่ปรากฏสู่ดวงตาของพวกเขาคือเงาสีดำร่างใหญ่ ทว่าชายชราเห็นได้เพียงเสี้ยววินาทีมันก็จางหายไป

ไปพร้อมกับวิญญาณของเพื่อนเขา..

เงาดำนั้นฟาดกรงเล็บใส่ร่างของเพื่อนเขาอย่างจัง รอยหนึ่งที่คอ.. รอยต่อมาที่ช่วงอก.. อีกรอยที่เชิงกราน และรอยสุดท้ายที่เรียวขา ทุกบริเวณที่โดนนั้นทำให้ร่างของเพื่อนเขาแทบจะขาดเป็นชิ้น ๆ

ภาพในวันนั้น...ชายชราจำได้อย่างไม่มีวันลืม



“ก็แล้วแต่เอ็งจะเชื่อ” เขาตอบลูกชายเสียงเฉื่อย ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นบ้านไป

ส่วนพ่อของต้น สุดท้ายเขาก็ยอมไปตามลูกชายอย่างที่พ่อตนสั่งไว้อยู่ดี แม้กว่าจะสำเร็จเขาต้องใช้กำลังขู่เข็ญไปมาก แต่สุดท้ายต้นก็ยอมโอนอ่อนตามคำบิดา

ฝั่งเด็กหนุ่ม.. หลังจากที่ถูกพ่อบิดหูขู่ฟาดสารพัดอย่าง เขาก็ยอมมานั่งให้สายสิญจน์มัดตัวแต่โดยดี เบื้องหน้าของเขามีพระท่านหนึ่งกำลังสงบนิ่ง ริมฝีปากขยับท่องบทสวดอะไรซักอย่างที่ต้นฟังไม่เข้าใจ แต่เท่าที่รู้สึกได้.. บทสวดนี้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

ปลอดภัยจากเสียงกรีดร้องโห่หอนของสรรพสัตว์ข้างนอกโบสถ์


ทว่าดังอยู่ไม่นานเสียงพวกนั้นก็ดับไป และทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดเรไร ..เป็นอย่างนั้นไปจนเช้า พอพระรูปนี้หันมาแกะสายสิญจน์ออกจากตัวเขา ต้นจึงได้รู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว

“ทีหลังโยมอย่าได้ทำแบบนั้นอีกเลยนะ” หลวงพ่อพูดเสียงเย็น “สรรพสัตว์ในป่าบนภูเขาลูกนี้ล้วนมีเจ้าของ หากเลี่ยงการข้องเกี่ยวกันได้โยมจงเลี่ยงเสีย”

“...” ต้นทำได้แค่พยักหน้ารับ แม้ในใจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ตาม

พอหลุดพ้นจากพันธนาการ เด็กหนุ่มก็เดินออกมาแล้วมุ่งตรงกลับบ้านทันที



หลังจากเหตุการณ์นั้นวันเวลาก็ผ่านไปร่วมสิบหกปี จากต้นที่อยู่ในวัยคึกคะนอง ก็เติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ จากเด็กที่ถูกปู่กับพ่อก่นด่ามาตลอดช่วงชีวิต ตอนนี้เสียงก่นด่าเหล่านั้นก็หายไปจากต้นแล้ว

ความชราพรากผู้มีพระคุณทั้งสองของเขาไปอย่างน่าสลด ทำให้ต้นไร้ซึ่งที่พึ่งพิงทางใจ

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ต้นจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เขาก็ใช้เงินไม่เป็น แถมยังสุรุ่ยสุร่ายหาได้มัธยัสถ์ ทรัพย์ที่เป็นส่วนของมรดกก็มลายหายไปหมดสิ้นกับการทุบและสร้างบ้านใหม่ และยังเสียไปกับการสู่ขอผู้หญิงมาเป็นภรรยา

ต้นเคยถูกสอนให้ทำไร่ไถ่นา เคยถูกบังคับให้เรียนหนังสือที่วัดตามเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ แต่เขาเป็นเด็กดื้อรั้นซ้ำยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่ยอมฝึก ไม่ยอมเรียน พอเวลานี้ชายชนบทไร้การศึกษาอย่างเขาจึงไม่มีหนทางใดให้ประกอบอาชีพเลยแม้แต่ทางเดียว

เว้นก็แต่..

“ณี เมื่อวานพี่เข้าเมือง มีคนเมืองมาถามพี่ว่าอยู่ที่ไหน พอพี่บอกว่าอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เขาก็บอกจะมาจ้างพี่ให้พาสำรวจป่า ณีคิดเห็นยังไง พี่ควรรับปากเขาไปมั้ย”

‘ต้น’ ณ ขณะนั้นกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ๆ หนึ่งผู้เป็นเจ้าของบ้านไม้สองชั้นหลังหมู่บ้าน ติดกับพื้นที่ป่าเขา เอ่ยถามภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกของตนเอง

“จ้างหรอ เขาให้พี่กี่บาทล่ะ” ภรรยาถามกลับด้วยแววตาฉงนแลสงสัย โดยส่วนตัวเธอตระหนักและรับรู้ดีว่าพื้นที่ป่าเขาเป็นพื้นที่ที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว แม้จะเป็นการเดินเข้าไปเฉย ๆ ไม่ได้ไปล่าสัตว์หรือหาพืชพรรณก็ตาม

“เขาบอกถ้าพี่ทำงานดี เขาจะให้ห้าพัน” ทว่าเมื่อ ‘พรรณี’ ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอก็ลุกวาว จำนวนเงินกว่าห้าพันที่สามีเธอพูดนั้นสามารถใช้เป็นค่าทำคลอดได้เลย

“งั้นดีเลยพี่ต้น ณีจะได้มีค่าหมอตอนคลอด” เธอยิ้มจนแก้มปริก่อนจะใช้ฝ่ามือบางลูบไล้ครรภ์ด้วยความรัก “ณีน่ะ อยากให้ลูกของเราเป็นเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรง ถ้าได้เงินนั่นมาก็คงจะดีไม่น้อยเลย พี่ต้นว่ามั้ย?”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะณี เขายังบอกอีกว่าถ้าป่าตรงนี้มีของที่เขาต้องการมากพอ เขาจะให้พี่เป็นคนจัดการดูแล คอยหา ‘ของ’ ไปให้เขา คนเมืองเขาบอกว่าเขาสามารถให้พี่ได้ไม่อั้น” ทว่าพอมาถึงประโยคนี้ พรรณีก็สะดุดกึกกับคำพูดของสามีเธอ จนอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม..

“แค่สำรวจป่าใช่ไหมพี่ต้น” สีหน้าของเธอจริงจังขึ้นมาทันทีเพราะต้องการความมั่นใจ “พวกเขาไม่ได้มาจ้างให้พี่ไปล่าอะไรในป่าใช่มั้ย?”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะณี พวกเขาให้พี่ทำแค่นั้นแหละ จะไม่มีเหตุการณ์แบบในอดีตเกิดขึ้นซ้ำสองอีกแล้ว” ต้นถลาเข้ามาลูบครรภ์ของภรรยาพร้อมคำพูดสวยหรู แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้พรรณีสบายใจได้อยู่ดี

“แล้วของล่ะ? ที่พี่บอกว่าพวกเขาต้องการ ..ของที่พวกเขาอยากได้มันคืออะไร..?”

“ก..ก็..”

“ตรง ๆ เลยนะพี่ต้น” พรรณีเอ่ยขึ้นมา “ณีไม่อยากให้พี่ตายเหมือนที่เพื่อนของปู่พี่ตาย”

หลังจากนั้นสองสามีภรรยาก็คุยกันอีกหลายประโยค พรรณีพยายามพูดให้สามีเธอปฏิเสธพวกคนเมืองหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลต่อความคิดของสามีเธอเลย

ต้นยังดึงดันที่จะทำงานนี้โดยไม่สนเส้าเสียงของใครแม้แต่ภรรยา

ประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาจากปากของต้นก็คือ

‘ข้างในป่านี่ยังกับขุมทรัพย์ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะมากลัวเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้’

นั่นจึงทำให้พรรณีรู้เลยว่า.. เธอไม่สามารถห้ามปรามอะไรสามีเธอได้อีกแล้ว

หลังจากวันนั้นต้นก็เริ่มทำงานให้กับคนเมือง เขาแอบเข้าไปในป่าพร้อมกับเครื่องป้องกันตัวหลายอย่างในช่วงย่ำรุ่ง เดินสำรวจตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นฟ้า จนตะวันตกดิน ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ อยู่คนเดียวร่วมสองสัปดาห์จนไม่มีตารางนิ้วไหนในป่าที่เขาไม่รู้จัก

เมื่อสำรวจด้วยตัวเองจนทั่วแล้ว ต้นก็พาคนเมืองลักลอบเข้ามาสำรวจด้วย จนเสร็จงานเรียบร้อยจึงถึงเวลาที่ต้นจะถามถึงเงินห้าพันที่พวกคนเมืองบอกว่าจะให้

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ต้นได้รับเงินนั่นจริง ๆ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ พวกคนเมืองไม่ได้ต้องการแค่เที่ยวเล่นสำรวจป่าเขา แต่พวกเขาต้องการรู้ว่าป่าเขาตรงนี้มีสิ่งที่พวกเขาต้องการหรือไม่ต่างหาก และที่เขาให้เงินต้นไป ก็เพราะว่า.. พวกเขาจะให้ต้นเป็นคนหาสิ่งนั้นมาให้เขาในอนาคต

‘งาช้าง’

‘หนังสัตว์’

‘ไม้สัก’


และนี่.. คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ

“ณี พี่ได้เงินมาแล้วนะ ณีจะเอาไว้เป็นค่าหมอใช่มั้ย” ต้นยิ้มร่าเมื่อกลับถึงบ้าน แล้วเจอภรรยาเตรียมมื้อเย็นไว้รอ เขากุลีกุจอเข้าไปหาพรรณี พร้อมกับควักเงินห้าพันนั่นออกมา

หากแต่พรรณีไม่ได้มีท่าทีดีอกดีใจเลยแม้แต่น้อย

“ณีเป็นห่วงพี่แทบตาย รอกินข้าวพร้อมพี่มาหลายวันแล้ว แต่พี่ก็กลับบ้านดึกดื่นทุกครั้ง ออกไปก็เช้า สรุปแล้วเราแทบจะไม่เคยเจอหน้า พูดคุยอะไรกันเลย ทุกวันนี้พี่ทำแต่งานนั่นจนลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าณีกำลังท้อง”

“...”

“ค่าหมอณีหามาแล้ว ณีรับจ้างเย็บผ้า ทำงานสุจริตที่ให้เงินแบบไม่ผิดกฎหมาย!” พรรณีจงใจเน้นเสียงท้ายประโยคด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ณี! พี่ทำงานทุกวันนี้ก็เพื่อณี เพื่อลูกของเรา พี่ลงทุนตื่นตีสามตีสี่เข้าไปในป่าเพราะชาวบ้านจะได้ไม่รู้ เดินสำรวจแม่งทั้งวันจนบางวันขาล้าแทบจะเดินไม่ไหวแต่พี่ก็ไม่เคยบ่น กลับออกมาก็ต้องออกมาตอนกลางคืนเพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเห็นแล้วมาด่าพี่ด่าเมียพี่ว่าจะพาความฉิบหายเข้ามาในหมู่บ้าน ณีก็รู้ว่าทำไมพี่ถึงต้องทำแบบนี้”

“พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ณีไม่ได้ขอ พี่ก็รู้ในเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วก็อย่าว่าแต่ชาวบ้านเขาจะด่าเลย ในใจณีก็คิดแบบนั้น พี่จะพาคนอื่นฉิบหายหมด!!!”

“พอ! ไม่ต้องพูดแล้ว” ต้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดัง “ถ้าไม่สนับสนุนกันก็ไม่ต้องมาชวนทะเลาะ แต่พี่จะไม่เลิกทำงานนี้หรอก แล้วณีก็คอยดูเลย ถ้าพี่มีเงินเมื่อไหร่อย่ามาเว้าวอนขอพี่ก็แล้วกัน!”

“...” ณีน้ำตาคลอเบ้า ความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่กลางใจ เธอเจ็บ.. เจ็บที่คนที่เธอเลือกเอามาเป็นคู่ชีวิต เลือกเอามาเป็นพ่อของลูกในท้องกำลังทำในสิ่งที่ผิด แต่เธอก็ห้ามปรามอะไรไม่ได้ “ณีแค่ไม่อยากให้ใครมาว่าพี่ ณีแค่อยากให้ลูกภูมิใจในตัวพี่..”

“เออพี่รู้! แต่ขอไม่ได้หรอ แค่เรื่องนี้อะ ถ้าพี่ไม่มีเงิน ลูกที่จะเกิดมามันก็จะอดตาย เราแม่งจะตายกันหมด!! ณีจะให้พี่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรือไง!”

“...” พรรณีมองสีหน้ากริ้วโกรธของสามีด้วยความผิดหวัง เธอจ้องมองอยู่อย่างนั้น จนถึงจังหวะที่ต้นหันหลังแล้วเดินเข้าไปในป่า ทว่าจู่ ๆ สามีของเธอก็หยุดฝีเท้า แล้วเอียงใบหน้ามาพูดอะไรบางอย่าง

...บางอย่างที่ทำเธอใจสลาย

“พรุ่งนี้แล้วก็วันต่อ ๆ ไปไม่ต้องทำกับข้าวรอพี่แล้วนะ พี่ไม่กิน”

ฝ่ายของสามีเธอ หลังจากที่เดินกลับเข้าไปในป่า เขาก็มุ่งตรงไปที่แคมป์เล็ก ๆ ที่พวกคนเมืองตั้งไว้ ก่อนจะประชุมหารือในสิ่งที่จะทำกันต่อไป

“เดี๋ยวกูเนี่ยจะให้มึงไปรวบรวมคนมาช่วยกันสร้างโกดังเก็บของไว้ตรงนี้ ไว้ในอนาคตพองานมันคล่องมือ โกดังตรงนี้จะได้เอาไว้ให้พวกมึงเก็บของไว้ ส่วนพวกกูจะขับรถขึ้นมาทางหลังเขา แล้วมาเอาของจากโกดังไป เดี๋ยวคืนนี้กูจะให้คนไปเคลียร์ทาง” หลังจากที่พูดจบ คนงานที่ตามมาด้วยก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ส่วนต้นที่ไม่มีพรรคพวกเลยก็ได้แต่กุมขมับ เพราะสิ่งที่ตนต้องรับผิดชอบคือการสร้างโกดัง

“เครียดหรือไง?” นายจ้างเดินเข้ามาถาม

“ครับพี่ คือหมู่บ้านนี้แม่งไม่มีใครกล้าเข้ามาในนี้เลย พวกแม่งกลัวกันจนหัวหด กลัวว่าผีป่าจะมาเอาชีวิต”

“ที่นี่มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรอวะ”

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะพี่ คนเฒ่าคนแก่เขาเล่ากันมาปากต่อปาก ส่วนผมอะ ไม่เคยเจอกับตัวเองจัง ๆ หรอก” ทันทีที่พูดจบ ภาพในอดีตที่เขาไปล่าไก่ป่าก็ปรากฎขึ้นมาในหัว “เออแต่จริง ๆ ผมก็เหมือนจะเคยเจอนะ ตอนผมเด็ก ๆ เคยฆ่าไก่ไปตัวหนึ่ง วันนั้นปู่กับพ่อผมบังคับให้ไปอยู่วัดเลยพี่”

“...”

“พอถึงวัดพ่อผมก็บอกหลวงพ่อว่าผมไปทำอะไรมา เท่านั้นแหละหลวงพ่อแกก็พาผมไปนั่งสงบนิ่งอยู่ในโบสถ์เลย แต่วันนั้นก็ไม่มีอะไรนะ ผมได้ยินก็แค่เสียงหมาหอน พอผ่านวันนั้นไปผมก็ไม่เป็นอะไรเลย”

“มึงเคยได้ยินคำนี้มั้ย? ‘ความเชื่อมักจะมีอิทธิพลกับกลุ่มคนที่ขาดวิจารณญาณแบบปัญญาชน’ กูว่าหมู่บ้านมึงอาจจะเป็นแบบนั้น”

“ยังไงวะพี่”

“ก็มึงบอกคนแก่เขาเล่ากันปากต่อปาก คนรุ่นถัด ๆ มาก็คงจะถูกสั่งสอนด้วยความเชื่อแบบนั้น จนมันเป็นเหมือนกฎหมายอ่ะ ที่ชาวบ้านของมึงเห็นตรงกันว่าการเข้ามาในป่าคือเรื่องต้องห้าม ทุกคนต้องทำตาม ใครฝ่าฝืนต้องโดนฟ้าดินลงโทษ อะไรประมาณนี้”

“ก็จริงของพี่”

“ใช่มั้ยล่ะ บางทีนะ ที่กูกับมึงเข้ามาแล้วไม่มีใครเป็นอะไรก็อาจจะเพราะจริง ๆ แล้วในป่านี่มันไม่มีอะไรเลยก็ได้ อย่างมึงก็เดินสำรวจที่นี่ ใช้ชีวิตอยู่ในป่านี่มาเกือบเดือนแล้วใช่มั้ยล่ะ มึงก็ยังไม่เป็นอะไรเลย”

พอต้นเริ่มคิดตามคำที่อีกฝ่ายพูด ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นกับตัวเขา

..ถ้าเกิดว่าตอนเด็ก ๆ ปู่กับพ่อแค่หลอกให้เขาอยู่ในลู่ทางที่ถูกต้องล่ะ..?

..ถ้าเกิดว่า เรื่องที่ปู่เคยเจอ ปู่แค่แต่งขึ้นมาเพื่อสั่งสอนพ่อกับตัวเขาล่ะ..?

“มึงคิดอะไรอยู่วะไอ้ต้น” นายจ้างเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป

“ผมกำลังคิดว่า..” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะพูดต่อ “จริง ๆ ป่านี้มันก็แค่พื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่รอใครซักคนมาครอบครอง ซึ่งใครซักคนที่ว่า บางทีอาจจะเป็นพวกเรา”

“...”

“ในเมื่อชาวบ้านมันมีสิทธิ์ แต่เสือกไม่กล้าที่จะทำอะไร ใช้ชีวิตแบบหวาด ๆ กลัว ๆ อดอยากปากแห้งกันมาหลายรุ่น ก็ปล่อยให้มันตายห่ากันไปซะ ส่วนพื้นที่ป่าตรงนี้ กับภูเขาทั้งลูก..”

“...”

“ก็เป็นของพวกเรานับตั้งแต่วันนี้”

...เสียงของต้นดังสะท้านราวกับเป็นการประกาศเกล้าให้ทุกชีวิตได้รับรู้ พวกเขาทั้งสองแสยะยิ้มเพราะคิดเห็นตรงกัน ก่อนจะแยกกันไปปฏิบัติงานของตน ส่วนต้นก็ออกมาจากป่าอีกครั้งเพื่อไปหาคนมาร่วมงานกับเขา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ไปหาที่ไหนไกล ต้นแค่เดินลงเขา กลับเข้าไปในหมู่บ้านของตนเอง

ความโลภที่ครอบคลุมจิตใจทำให้ตัวเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ต้นเดินไปเคาะประตูบ้านทีละหลัง เพื่อเชิญชวนให้ชายฉกรรจ์ในทุก ๆ บ้านออกมาที่ศาลากลางหมู่บ้านเพื่อฟังเขาพูดในวันรุ่งขึ้น โดยแสร้งแต่งเรื่องขึ้นมาว่า...ผู้ใหญ่บ้านมีเงินทุนจะมาแจกให้ทุก ๆ ครอบครัว

ต้นปฏิบัติตัวราวกับเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา หากแต่แตกต่างกันแค่เพียงต้นไม่ได้มาเผยแพร่หลักความเชื่อ แต่ต้นมาเผยแผ่ ‘ความโลภ’



มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
..วันรุ่งขึ้นที่ศาลากลางหมู่บ้าน เหล่าชายฉกรรจ์ที่ตกลงใจว่าจะเข้าร่วมการประชุมก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ จนต้นเห็นว่าคนมากพอแล้ว เขาจึงเริ่มร่ายวัตถุประสงค์และค่าตอบแทนให้ทุกคนได้ฟัง

“ขอโทษที่ผมโกหกทุกคนนะครับ จริง ๆ แล้วผู้ใหญ่บ้านไม่ได้มีเงินทุนอะไรจะมาแจก และครั้งนี้แกก็ไม่ได้เป็นคนนัดประชุมด้วย แต่เป็นผมเองที่จะเอาเงินเนี่ย มาแจกพี่ ๆ น้อง ๆ เพียงแต่แลกด้วยการไปทำงานกับผม..บนเขา” ทันทีที่พูดจบเสียงโห่ร้องโวยวายก็ดังขึ้น ชายฉกรรจ์แทบทุกคนส่ายหัวปฏิเสธกันเกรียวกราว บางคนก็เดินออกมาจากศาลาโดยไม่รอฟังต่อ ซึ่งเป็นไปตามที่ต้นคิดไว้ไม่มีผิด

“ทุกคนคงจะสังเกตเห็นกันบ้างแหละว่าตลอดสามสี่สัปดาห์มานี้แทบจะไม่เห็นผมอยู่ที่หมู่บ้านเลย อยากรู้มั้ยครับว่าผมไปอยู่ไหน..?” ต้นยกยิ้ม ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ทุกคนมีท่าทีสนใจพูดขึ้น “ผมไปอยู่ในป่ามา เดินสำรวจจนทั่วทุกตารางนิ้ว แต่ผมก็ไม่เห็นเลยว่าในนั้นมันจะมีอาถรรพ์อะไรอย่างที่พวกเราเคยเชื่อ สัตว์ป่ามันก็แค่สัตว์ป่า ต้นไม้อายุร้อย ๆ ปีที่พูดกันนักหนาว่าศักดิ์สิทธิ์ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลยนอกจากต้นไม้แก่ ๆ ต้นนึงที่มีแต่เถาวัลย์พันไปพันมา”

ชายฉกรรจ์เริ่มกลับมาเงียบฟังอีกครั้งเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก

“แล้วก็อย่างที่ทุกคนเห็นตอนนี้ ผมปกติดี ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในป่านั่นมาเกือบเดือน กินน้ำในนั้นก็กินมาแล้ว ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยในนั้นกิน...ผมก็ทำมาแล้ว” พอเว้นระยะเพื่อสูดลมหายใจ แว่วเสียงจากกลุ่มคนข้างล่างก็ดังขึ้นมาว่า ‘โกหก’ ‘มึงโกหก’ ดังอยู่ซ้ำ ๆ

“ผมไม่ได้ขอให้ทุกคนเชื่อแล้วทำแบบผม แต่ผมแค่มาแนะแนวทางการใช้ชีวิต การทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ถ้าพี่ ๆ น้อง ๆ ไม่สนใจก็ไม่ได้ว่า แต่ถ้าใครสนใจก็ให้ตามผมมา ยิ่งทำงานดี เงินยิ่ง..”

ปัง!

เสียงปืนที่ยิงขึ้นฟ้าดังขึ้นฉุดเอาสายตาทุกคนไปรวมกันเป็นจุดเดียว สิ่งที่เห็นคือผู้ใหญ่บ้านที่กำลังโกรธกริ้วกับปืนในมือ และผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งต้นคุ้นหน้าดี

..ทำไมพรรณีถึงไปเกาะแขนไอ้เหี้ยนั่น!

“ไอ้ต้น! ไอ้สารเลว! มึงรู้มั้ยมึงจะพาคนอื่นเขาฉิบหาย ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ มึงลงมาเดี๋ยวนี้!!” ผู้ใหญ่บ้านตะโกนลั่น ก่อนจะวิ่งขึ้นมาพร้อมปืนในมือหมายจะเข้ามาจับต้น

และใช่.. ผู้ใหญ่บ้านทำสำเร็จ เพราะตอนนี้ต้นเหมือนลอยเคว้งไปกลางอากาศ ..ต้นเคยเจ็บเพราะคนที่เขารักไม่สนับสนุน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความเจ็บปวดในตอนนั้นเทียบไม่ได้เลยซักนิดกับความเจ็บปวดตอนนี้ ..คนที่เขารักเกาะแขนมากับผู้ชายอื่นที่ถือปืนมาพร้อมจะลั่นใส่ตัวเขาเอง

“พี่ต้น ณีขอโทษ” เสียงหวานแว่วตามลมมาให้ได้ยิน เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหมัดหนัก ๆ ที่ต่อยกระทบสันจมูกของเขา พอสติสัมปชัญญะเริ่มเบาบางลง ภาพอดีตอันแสนหวานก็ปรากฏขึ้นมาในหัว

‘ณี พี่รักณีนะ พี่ดีใจเหลือเกินที่ณียอมแต่งงานกับพี่ พ..พี่ที่ไม่มีหน้าที่การงานอะไรเลย ความรู้ก็ไม่มี’

‘เรื่องพวกนั้นมันไม่สำคัญเลยพี่ต้น ณีรักพี่ รักมาก ๆ แล้วก็จะรักตลอดไป จริงสิ..พี่ต้น ณีมีอะไรจะบอก ..ตอนนี้ ...ตอนนี้ณีท้องแล้วนะ’

‘จริงหรอณี เฮ้ย! งั้นพี่ก็จะเป็นพ่อคนแล้วใช่มั้ย’

‘ใช่แล้ว ณีก็จะเป็นแม่คนแล้วเหมือนกัน ว่าแต่พ่อต้นอยากให้ลูกของเราชื่ออะไร’

‘ชื่อหรอ อืม.. พี่ขอเวลาคิดหน่อยแล้วกัน ว่าแต่แม่ณีเขาคิดเอาไว้บ้างหรือยังนะ?’

‘ณีคิดไว้บ้างแล้วแหละ ณีรักพี่มาก รักเท่าผืนแผ่นดินทั้งหมดรวมกัน เลยจะให้ลูกชื่อว่า ‘ภูริ’ แปลว่าแผ่นดิน ภูริจะได้เป็นเสมือนอนุสรณ์ความรักของเราที่มีให้กัน’



“ภูริ.. ภูริ..” ...จนในที่สุดสติก็วูบดับ

เวลาผันผ่านไปจนแสงจันทร์เข้ามาแทนที่แสงอาทิตย์ ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงัด ทุกสรรพสิ่งถูกชโลมด้วยความมืด หากแต่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงสลัวเพียงเล็กน้อยจากพระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า

ต้นไม่ได้ถูกพาตัวไปไหน เขาถูกมัดตัวเอาไว้กับเสาที่ศาลากลางหมู่บ้านที่เดิม เบื้องหน้ามีคนยืนเฝ้าเขาอยู่สองคน ทั้งสองล้วนเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง

ต้นที่เริ่มกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งหลังจากสลบไปหลายชั่วโมงจึงได้ยินเสียงทั้งสองคนคุยกันผ่านโสตสัมผัส

“นี่ผู้ใหญ่บ้านเขาจะทำรั้วกั้นเขาทั้งเขาใหม่เลยนะ มึงรู้ยัง”

“เออใช่ เห็นบอกจะเริ่มทำตั้งแต่พรุ่งนี้ เพราะจะไม่ให้ใครขึ้นไปบนเขาอีกแล้ว แถมยังจะทำพิธีไล่ไอ้ต้นมันออกไปจากหมู่บ้านด้วยนะ”

“ไอ้พิธีที่ซ้อมคน ๆ นึงจนเขาเจ็บปางตายแล้วขับรถเอาไปโยนลงแม่น้ำที่อยู่ไกล ๆ อ่ะนะ เชี่ย ถึงขนาดต้องทำไอ้ต้นขนาดนั้นเลยหรอวะ”

“เออดิ เขาบอกว่าถ้าปล่อยไว้ไอ้ต้นมันอาจจะไม่หยุด เกิดมันฆ่าสัตว์ใหญ่ในป่าขึ้นมาได้ตายห่ากันหมดหมู่บ้านแน่”

“แต่พูดถึงนะ ไอ้ต้นแม่งก็กล้าฉิบหาย แอบเข้าป่าไปไม่พอ ยังกล้ามาป่าวประกาศแถมชวนคนอื่นไปด้วยอีก สงสัยงานที่มันทำนี่ดูท่าเงินจะดีจริง”

“แต่มึงสงสัยมั้ยวะ ว่าทำไมมันเข้าป่าไปแล้วไม่เห็นจะโดนอะไรเลย”

“ไม่รู้ว่ะ ห้อยพระดีมั้ง”

“มันห้อยอะไรที่ไหน มึงดู”

“เออ ก็จริง”

“หรือว่ามันอาจจะเป็นแบบที่ไอ้ต้นมันพูดวะ ภูเขาลูกนี้มันไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ป่าเขาปกติ แต่พวกเราดันอุปาทานหมู่ แล้วก็กลัวไปเอง”

“ใช่ พวกมึงอุปาทานกันไปเองทั้งนั้น” ต้นเอ่ยตอบ พร้อมกับหัวเราะแค่นขำ “อยากรู้มั้ยล่ะว่าจริงหรือเปล่า..?”

“ไอ้เหี้ยต้น อย่าขยับ!”

“หึ กูขยับไปไหนได้ที่ไหนล่ะ เล่นมัดกูขนาดนี้ เนี่ยดูสิ..บนเสายังห้อยก้อนหินก้อนเบอเร่อไว้อีก ดูท่าคงกะเล่นเอากูตายเลยล่ะสิ”

“หินนั้นเผื่อเอาไว้เวลามึงคิดจะดิ้นหนีเฉย ๆ ถ้าเชือกที่มัดมึงเริ่มหลวม มันก็จะร่วงลงมา แต่ถ้ามึงอยู่เฉย ๆ มันก็ไม่ร่วงง่าย ๆ หรอก”

“แล้วยังไง? แค่กูคิดต่างก็จะบอกว่ากูไม่มีสิทธิ์หนีไปไหน ไม่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตของกูแล้วหรอ” ต้นเริ่มเข้าใจแล้วว่าความงมงายที่ฝังรากลึกมันส่งผลยังไงต่อพฤติกรรมมนุษย์ “พวกมึงมันประสาทแดกกันไปหมดแล้ว”

“มึงสิ คนปกติที่ไหนเขาจะทำแบบมึงกัน รับรู้ไว้ด้วยว่ามึงแม่งเป็นตัวอันตรายไปแล้ว ไอ้เหี้ย”

“กูรู้ตัวแหละน่า แต่กูพิสูจน์ด้วยตัวกูเองมาแล้วไง ว่าสิ่งที่พวกมึงเชื่อมาตลอดมันไม่จริง บางทีหลวงพ่อที่เฝ้ากูตอนกูฆ่าไก่ป่าตอนนั้นก็ยังเชื่อไม่ได้ด้วยมั้ง ใครจะไปรู้”

“พูดห่าอะไร เดี๋ยวนรกก็กินกบาลหรอก”

“เห็นมั้ยล่ะ? กูกลายเป็นคนนอกรีต เป็นศัตรูกับทุกคนตรงนี้แม่งทันทีเลย พอกูออกมาบอกจุดยืนของตัวเองว่ากูคิดต่าง”

“หยุดพูดมากได้แล้วเดี๋ยวก็ฟาดให้สลบไปอีกรอบหรอก นั่งอยู่เฉย ๆ ไปเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามึงก็ตาย..”

ผัวะ!

จู่ ๆ ไม้แข็ง ๆ ก็กระแทกกับหัวเข่าของหนึ่งในสองคนนั้นจนมันล้มลงไปนอนร้องโอดโอย ส่วนอีกคนพอเห็นเพื่อนโดนฟาด ก็ทำท่าชักปืนจะยิง แต่ก็สายเกินไป เพราะถูกฟาดด้วยไม้หน้าสามเข้าที่หัวไปเต็ม ๆ ..ต้นมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงง ก่อนจะเงยขึ้นมาและพบกับกลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเพ่งดูดี ๆ เขาจึงได้รู้ว่าสี่คนตรงหน้านี้ คือส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่มาประชุมเมื่อเช้า

“ผมมาช่วยพี่นะ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวจะตัดเชือก พอมันขาดพี่กลิ้งออกมาทันทีเลยนะ”

หนึ่งในสี่คนนั้นพูดขึ้น พร้อมกับถลาลงมาใช้มีดพกตัดเชือกจนขาด ไม่รอช้า.. ต้นรีบพลิกตัวออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันหินก้อนยักษ์ก็ร่วงถล่มลงพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น

“ป่ะพี่ หนีกัน” ได้ยินดังนั้นต้นจึงพยักหน้าแล้วรีบวิ่งนำทางออกไป เพื่อกลับขึ้นไปบนเขา

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นต้นก็มีพรรคพวกเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ จากสี่คนก็เพิ่มกลายเป็นสิบกว่าคน ซึ่งก็ได้มาจากคนในหมู่บ้านนั่นเอง เหมือนพวกเขาเริ่มฉุกคิดขึ้นได้ว่าความเชื่อนั้นมีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้มากมาย แถมยังเห็นว่าคนที่เข้าร่วมกับต้นมีมากขึ้น น้ำหนักทางความคิดของต้นจึงน่าเชื่อถือมากขึ้นตามไปด้วย ยิ่งผ่านไปนาน ๆ คนฝั่งของต้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินครึ่งของหมู่บ้าน ..การเข้าไปตัดไม้ หรือล่าสัตว์บนป่าเขาจึงกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้บ่อยครั้ง จนแทบจะเรียกได้ว่ามันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว




เวลากว่าสามเดือนผ่านพ้นไป

ต้นกลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากขึ้น พวกคนเมืองเชื่อถือเขาในฐานะนายพรานผู้ชำนาญพื้นที่ และในฐานะของหัวหน้าที่สามารถสั่งการคนในหมู่บ้านให้ทำหรือไม่ให้ทำอะไร ซึ่งทำให้ฐานะทางการเงินของต้นดีขึ้นมาก เขายังคงพยายามเอาเงินไปให้พรรณี แต่ทุกครั้งที่ไปหาที่บ้าน พรรณีจะไม่ต้อนรับเขาเลยแม้สักครั้ง เอาเงินไปให้ วางเงินไว้ พอกลับมาดูใหม่ ต้นก็จะพบว่าก้อนเงินเหล่านั้นกลายเป็นเศษซากของเถ้าธุลีไฟไปแล้ว

ส่วนโกดังในป่า จากที่มีเพียงแค่หลังเดียว ก็ถูกสร้างเพิ่มขึ้นมาอีกสองหลัง เพราะความต้องการของคนเมืองมากขึ้น ทุก ๆ วันจึงมีการเติมของเข้าไปสต็อคไว้ในโกดังในปริมาณที่มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ

จากป่าเขาที่เป็นพื้นที่สีเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาโล้น ๆ ที่ขาดต้นไม้ปกคลุม จำนวนสัตว์ป่าก็ลดน้อยลงเพราะถูกคร่าชีวิตเพื่อบริโภค และคร่าชีวิตเพื่อธุรกิจ

สัตว์ใหญ่อย่างช้างป่า ที่พวกเขามักจะตัดงามันมาขายก็เริ่มหายากขึ้นทุกที ๆ จนพวกเขาต้องขยายพื้นที่การล่าให้กว้างขึ้น

ล่า ขาดแคลน ขยาย ล่า วนเป็นวัฏจักรแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนเกินกว่าจะหยุดรั้งไว้ได้อีก

แม้จะไม่มีใครหยุดเรื่องนี้ได้

แต่จุดจบที่กำลังคืบคลานเข้ามา

...จะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างเอง





TBC

#ภามภูริ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

04 Born to Death











‘สรรพสัตว์ในป่าบนภูเขาลูกนี้ล้วนมีเจ้าของ หากเลี่ยงการข้องเกี่ยวกันได้โยมจงเลี่ยงเสีย’





“หลวงพ่อ..?” ต้นเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เย็นยะเยือกจนรู้สึกขนลุก ปลายหางตาเหลือบไปเห็นจีวรสีส้มแก่ ต้นจึงหันควับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นไม้ในป่า

“โยมจำที่อาตมาบอกไม่ได้แล้วใช่มั้ย” อีกครั้งที่เสียงหลวงพ่อดังขึ้นมาให้ได้ยิน ต้นรู้สึกว่าพระท่านพูดอยู่ข้างหลัง เขาจึงกลับหลังหันไปมอง แต่ก็เหมือนเดิม ตรงหน้าเขามีเพียงต้นไม้และหินภูเขา

“โยมลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าอาตมาตักเตือนโยมไปแล้วครั้งหนึ่ง”ครานี้เสียงเย็นยะเยือกของหลวงพ่อดังก้องกังวานอยู่ ณ ที่ที่เขายืน ให้ความรู้สึกราวกับว่าผู้พูดอยู่ไม่ไกล

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ทุกสิ่งที่ต้นจะเลือกเชื่อย่อมต้องเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่ตอนนี้ต้นจนปัญญาจริง ๆ กับสิ่งที่กำลังเจอ ..ทำไมเขาถึงได้ยินเสียงของพระรูปนั้น แต่มองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เพราะอะไรกัน..?

ต้นหันหลังกลับมาทางเดิมก่อนจะหันมองไปซ้ายขวาแล้วกวาดสายตาดูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเดิม

“หลวงพ่อหรือเปล่า..? หลวงพ่อหรือใครกันแน่” คิ้วทั้งสองเริ่มขมวดกันเป็นปม จนเมื่อเขาหันไปทางขวาอีกครั้ง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงที่เหมือนกับมีคนวิ่งผ่านพุ่มไม้ไป

ต้นหันควับไปตามเสียง จังหวะนั้นเองที่ใจทั้งดวงหล่นวูบไปที่ปลายเท้า ..นกแสกนับสิบตัวกระพือปีกบินแสกหน้าเขาไปราวกับจงใจจะบอกอะไรบางอย่าง

“ออกไปยังไงดีน้า...ออกไปยังไงดีน้า” ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงใส ๆ เหมือนเสียงเด็กดังอยู่รอบ ๆ ตัวเขาราวกับเจ้าของเสียงกำลังวิ่งเล่น

“นี่แน่ะ! จับได้แล้ว” เสียงเด็กคนนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับสัมผัสอุ่น ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณเรียวขาข้างหนึ่ง ต้นก้มลงไปมอง ก่อนจะพบกับเด็กน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่กำลังยิ้มจนตาหยี ..น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันและเอ็นดูเด็กคนนี้จนอยากจะอุ้มขึ้นมากอด ทว่าเพียงแค่เขาหันไปมอง เด็กคนนี้ก็เบิกตาโพลงก่อนจะหายวับไปในพริบตา

“เฮ้ย!” ต้นตกใจกับดวงตาสีดำสนิทไม่เห็นตาขาวของเด็กน้อยตรงหน้าจนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น

..ซ้ำเงาที่สะท้อนบนนัยน์ตาของเด็กคนนี้ก็ยังเป็นพระรูปนั้น ..พระรูปนั้นยืนอยู่ข้างหลังต้นพร้อมกับช้างป่าที่โชกไปด้วยเลือด ทว่าพอหันกลับมาดูเขาก็ไม่พบอะไรนอกเสียจากความว่างเปล่า

“พี่ต้น” วูบหนึ่งลมเย็น ๆ พัดนำเสียงของพรรณีดังเข้ามาในโสตประสาท ต้นไม่รอช้า รีบขานรับ และขยับไปหาต้นตอของเสียงทันที

“ณี..ณี ณีอยู่ไหน ช่วยพี่ด้วย..!!” ต้นไม่รู้ตัวเองเลยว่าทำไมถึงต้องเรียกร้องให้อีกฝ่ายช่วย แต่มันเหมือนกับว่าเสียงนั้นมันดังมาจากความรู้สึกลึก ๆ โดยแท้จริงของเขา เป็นความรู้สึก..หวาดกลัว

ต้นกำลังกลัว

“พี่ต้น พี่ต้น..” เสียงของภรรยายังคงร้องเรียกเขาอยู่เรื่อย ๆ หากแต่เสียงของณีเริ่มแปรเปลี่ยนจากเรียกชื่อปกติเป็นตะโกนเรียก ร้องเรียก เรียกเสียงกระเส่า กระทั่งเสียงสุดท้าย..

“พี่ต้น...” พรรณีกรีดร้องเสียงโหยหวน

“ณี! พี่อยู่นี่ พี่อยู่นี่แล้ว” พอได้ยินเสียงภรรยาเป็นแบบนั้นต้นก็แทบจะเสียสติ หยาดน้ำตาเริ่มหลั่งไหลเพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรพรรณีไม่ได้ ทำได้แค่ตะโกนตอบรับ หวังเพียงให้พรรณีได้ยิน

แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์..

“พ่อทำแม่ตาย” เสียงเด็กคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ต้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะพบกับร่างเล็กของภรรยาที่กำลังจูงมือเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เขาหวาดกลัวนัยน์ตา

“พรรณี.. พี่..พี่ขอโทษ” ต้นพยายามยื่นมือออกไปหมายจะจับต้องร่างของอีกฝ่าย แต่พอเห็นของเหลวสีสดไหลรินลงมาตามเรียวขาของพรรณี มือเขาก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น


ฉับ!

ยินเสียงเหมือนเสียงใครตัดอะไรบางอย่าง วินาทีนั้นเองที่มือของพรรณีและมือของเด็กคนนั้นไร้ซึ่งพันธะใด ๆ ต่อกันอีก ..พรรณีปล่อยมือ ก่อนจะจางหายจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า

ต้นร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนักเมื่อพรรณีจากไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเย็น ๆ ของหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง

“โยม”

ต้นใช้แขนเสื้อซับคราบน้ำตาออก ก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นแล้วมองไปข้างหน้าตรงที่ที่เด็กคนนั้นยืนอยู่อีกครั้ง

“ถึงคราวของพวกเขาบ้างแล้วนะ” เสียงพระท่านดังก้องอยู่ในหัว ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปจนเงียบสนิท

ส่วนภาพที่ประจักษ์สู่ดวงตาทั้งสองข้างของต้นหลังจากที่มองมาตรงนี้ก็คือ...เด็กน้อยเจ้าของนัยน์ตาสีทมิฬที่เขากลัวถูกโอบอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของหญิงชราและชายเฒ่า พวกเขาจ้องมองมาที่ต้นด้วยแววตาว่างเปล่า

หญิงชราใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มเด็กคนนั้น แล้วปล่อยอีกข้างลู่ลงข้างกาย ขยับผิวผ้าเล็กน้อยเพื่อเผยให้ต้นเห็นแขนที่เต็มไปด้วยรอยมีดหลายรอยและรูลึกที่เหมือนรูกระสุนปืนนับสิบรู ทั้งหมดนั่นอยู่บนแขนที่เหมือนจะช้ำเลือดจนม่วงไปหมดแล้ว ซ้ำบางรอยยังดูสดใหม่ราวกับว่าพึ่งถูกทำร้ายมาได้ไม่นาน

“สรรพสัตว์ในป่าบนภูเขาลูกนี้ล้วนมีเจ้าของ...” จู่ ๆ ต้นก็พูดออกไปโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว แม้จะพยายามสกัดกลั้นแต่เขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลย ต้นพยายามจะหันหน้าหนีทว่าเขากลับขยับไม่ได้ ความรู้สึกที่ศีรษะตอนนี้มันเหมือนถูกอะไรบางอย่างล็อคตรึงเอาไว้ให้มองไปด้านหน้าเพียงอย่างเดียว “สรรพสัตว์ในป่าบนภูเขาลูกนี้ล้วนมีเจ้าของ.. ”เขาพูดซ้ำ ก่อนจะพึมพำถ้อยคำเดิม ๆ อยู่อย่างนั้นนับสิบ ๆ รอบ

ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจจนต้นไม่อาจควบคุมร่างกายให้หยุดอยู่นิ่ง ๆ ได้ เขาตัวสั่นงันงก ราวกับลูกนกเคราะห์ร้ายที่ใกล้จะสิ้นชีวิต

“เจ้าทำร้ายสรรพสัตว์ของข้า ก็เหมือนเจ้าทำร้ายข้า” เหมือนชายเฒ่าจะพูดอะไรบางอย่าง เพราะต้นได้ยินเสียง แต่น่าแปลกที่ริมฝีปากของเขากลับไม่ขยับเลย ยิ่งไปกว่านั้นเสียงที่เขาพูดก็กระตุกเอาความกลัวของต้นออกมาจนต้นดิ้นเร่า ๆ เหมือนกับขาดสติไปแล้ว

ทิวทัศน์โดยรอบ ทั้งโขดหิน และต้นไม้หลาย ๆ ต้นที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นสิงสาราสัตว์นับร้อยตัว บ้างก็ห้อยโหนกับเถาวัลย์ บ้างก็โห่หอนร้องตะโกนเสียงแหลม บ้างก็คำราม

ต้นกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ยิ่งเห็นเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากดวงตา จากใบหน้าและลำตัวของสัตว์ป่าตรงหน้าแล้วเขาก็แทบจะสิ้นลมอยู่ตรงนั้น

“ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน มนุษย์ที่ละโมบโลภมากอย่างพวกเจ้าก็ยังไม่หมดไปจากโลกนี้เสียที”ชายเฒ่าพูดต่อ ขณะที่หญิงชรากำลังหยอกล้ออยู่กับเด็กน้อยคนนั้น

“จงจำไว้ให้ดี นี่คือผลของการกระทำเจ้า”

“...”

“เป็นเพราะเจ้าเพียงผู้เดียว”

ทันทีที่พูดจบพวกเขาก็หันหลังกลับไปอีกทาง ก่อนจะค่อย ๆ เดินหายไปในป่า

พร้อมกับเด็กคนนั้น

















24 ปีก่อน 29 กุมภา, วันเกิดภูริ

“ภูริ!!!!!” ต้นสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอันแสนยาวนาน เขาตะโกนร้องเรียกชื่อที่จะตั้งให้ลูกอย่างไม่มีเหตุผล และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาทำอะไรโดยไม่รู้ตัว

“...” ใช้เวลาชั่วขณะสำหรับการปรับสายตาให้คุ้นชินหลังจากตื่นนอนมาเจอแสงแดดยามเช้า เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อย้ำใจตัวเองว่าเมื่อครู่คือความฝัน และตอนนี้เขาก็กลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว

ต้นมองออกไปนอกหน้าต่าง พอเห็นทิวทัศน์อันกว้างขวางบนภูเขา พลางได้ยินเสียงนกร้องประสานเสียงเรียกกัน เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง พอรู้สึกแบบนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึก ๆ ไปจนเต็มปอด ก่อนจะหย่อนเท้าลงมาจากเตียง

ตุบ!

จังหวะที่เอี้ยวตัวฝ่ามือต้นก็ไปโดนกล่องเก็บเงินจนมันร่วงหล่นลงมา นอกเหนือจากธนบัตรหลายสิบใบที่กระจัดกระจายออกมานั้นก็มีรูปเก่า ๆ ใบหนึ่งกระจายออกมาด้วย

เป็นรูปของ...พรรณี

‘เอาไว้ให้พี่ดู เวลาคิดถึง : )’



ต้นคลี่ยิ้มเมื่ออ่านข้อความบนรูป ก่อนจะจุมพิตผู้หญิงที่เขารักในรูปถ่ายเบาๆ แล้วเก็บลงไปในกล่องคืน

ใช้เวลาเกือบนาทีในการรวบเก็บธนบัตรใส่กล่องเหมือนอย่างเดิม พอเสร็จเรียบร้อยแล้วต้นก็ไม่ลืมที่จะหากระดาษมาเขียนโน้ตเอาไว้กันตัวเองจะลืม

‘สำหรับณีกับภูริ’

ใช่.. เงินในกล่องนี้ต้นเก็บเอาไว้เพื่อภรรยาและลูกในท้อง ก็จริงที่ต้นเป็นคนดื้อรั้นและทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือต้นยังคงเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวได้ดี แม้จะทำอะไรตามอารมณ์ไปบ้าง แต่เขาก็รักครอบครัวมาก ๆ ยิ่งเห็นว่าครรภ์ของพรรณีเริ่มโตขึ้นทุกขณะเขาก็ยิ่งตื่นเต้น

ต้นเคยคำนวณช่วงเวลาที่พรรณีจะคลอด และเขาก็จำได้ดีเลยว่ามันน่าจะเป็นเดือนที่ผ่านมา

“ตอนนี้ภูริคงคลอดแล้วสินะ” ต้นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะวางแผนในหัวเสร็จสรรพ จากนั้นก็หันมามองกล่องเงินกล่องนั้นอีกครั้ง

‘เดี๋ยววันนี้พ่อไปหานะ’ นั่นคือสิ่งที่ต้นแพลนเอาไว้

และจังหวะนั้นเองที่ภาพอันแสนโหดร้ายในความฝันหวนกลับมาให้ต้นนึกถึง จู่ ๆ ต้นก็คิดถึงหลวงพ่อที่เคยช่วยเขาสมัยเด็ก เพราะเขาจำได้ว่าหลังจากวันนั้นที่ถูกปู่บังคับให้ไปนอนวัด เขาก็ไปเจอพระรูปนั้น

แต่หลังจากวันนั้น..

เขาก็ไม่เคยเจอพระรูปนั้นอีกเลย



เป็นไปได้หรือเปล่าที่พระรูปนั้นพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเขาผ่านความฝัน..? หรือจริง ๆ ฝันที่จบไปมันก็แค่เพราะเขาทำงานหนักและเครียดจนเกินไป..?

ต้นสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูมาแล้วหันควับไปทางห้องน้ำ ประจวบเหมาะกับประตูห้องน้ำตรงหน้าที่เปิดอยู่ และภายในนั้นมีกระจกบานเล็ก ๆ พอดี

แม้จะไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งปลายหางตาของต้นเหลือบไปเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง..

และเด็กในฝันคนนั้นยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง

















17.32

..เวลาผันผ่านไปจนเข้าสู่ช่วงหัวค่ำของวัน แสงตะวันสำหรับช่วงเย็นวันนี้ถูกขจัดออกไปและถูกแทนที่ด้วยเมฆสีทะมึน

“สงสัยพายุจะเข้าว่ะพี่” หนึ่งในคนงานหันมาพูดกับต้น ตัวเขาซึ่งพึ่งจะเดินไปดูโกดังเสร็จพอถูกทักก็เลยหยุดคุยกับคนงานคนนี้ก่อน ด้วยเห็นว่าเป็นคนในหมู่บ้านเหมือนกัน

“เออกูก็ว่างั้น แล้วนี่มึงจะกลับบ้านเปล่า หรือจะนอนแคมป์ จะกลับก็กลับตอนนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฝนเทห่าลงมาซะก่อน แล้วมึงจะลงเขาลำบาก” ต้นพูดพลาง กระดกแอลกอฮอล์เข้าปากไปพลาง แต่สีหน้าเขาก็แสดงออกถึงความเป็นห่วงลูกน้องจากใจ

“ได้เหรอพี่” อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วพูดต่อ “เมื่อเช้าเห็นพี่บอกว่าวันนี้อยากกลับไปหาเมีย พี่จะไปตอนไหนอ่ะ เดี๋ยวผมไปพร้อมพี่ดีกว่า”

“...” ทันทีที่ได้ยินสีหน้าของต้นก็เปลี่ยนไป ..ภาพในฝันฉายย้อนมาในหัวอีกแล้ว

“พี่ ฟังอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

“เออ ไปแหละ เดี๋ยวก็จะไปแล้วเนี่ย ฝนจะตก มึงจะมาก็ไปเก็บของแล้วตามกูมา”

พอพูดจบต้นก็ลุกยืนแล้วเดินกลับไปที่แคมป์ ใช้เวลาร่วมสิบนาทีสำหรับการเตรียมของเพื่อจะไปหาพรรณี เสร็จเรียบร้อยเขาก็ออกมา พอเห็นคนงานคนนั้นนั่งรออยู่แล้ว เขาก็เดินทางลงเขาไปพร้อมกัน









18.02

ผ่านไปกว่ายี่สิบนาที ทว่าชายหนุ่มสองคนที่กำลังประคองตัวเองลงมาจากภูเขาสูงกลับเดินทางมาได้ไม่ถึงครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นฟ้าฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างไม่อาจห้ามปราม

“ฉิบหายเอ๊ย!” ต้นสบถต่อฟ้าและฝนอย่างเหลืออด เม็ดฝนทำให้ตัวเขาเปียกโชก กระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ ก็เปียกไปหมด

“ใจเย็นพี่ เดินช้า ๆ หน่อยได้มั้ย ผมกลัวลื่นโคลน”

“เย็นกับผีมึงหรือไง รีบเดินเลยมึงอะ” ต้นด่ากลับไปด้วยความหงุดหงิดใจ ข้าวของที่เขาอุตส่าห์เตรียมไว้ให้ลูกกับเมียต้องมาเปียกหมดเพราะฝนบ้า ๆ นี่ แถมลูกน้องก็เงอะงะ ชักช้า กลัวอะไรก็ไม่รู้กับอีแค่ดินโคลน “กูอยู่นี่มาเกือบปีแล้ว ขึ้นเขาลงเขาเป็นร้อย ๆ รอบ โคลนแค่นี้ไม่ทำให้มึงกะกูตกเขาตายห่าหรอก”



ระหว่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก เพียงแต่ต้นก็ยังสบถคำหยาบโลนออกมาเป็นระยะ ๆ ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้พายุฝนหยุดหรือซาลง ในทางกลับกันเม็ดฝนกลับยิ่งเทกระหน่ำ เสียงฟ้าร่ำฟ้าร้องดังสะเทือนไปทั่ว

“พี่ ผมว่าเรากลับขึ้นไปดีมั้ย ผมกลัวว่ะ..” ต้นหันควับมามองขวางด้วยความกริ้วโกรธ ก่อนจะชี้หน้าแล้วด่ากลับไป

“จะไปไหนมึงก็ไป จะขึ้นหรือลงเขาถ้ามึงยังกลัวอยู่แบบนี้ยังไงมึงก็ตาย” ใช่แล้ว การขาดสติ ไม่เอาใจจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าแล้วปล่อยให้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำมันไม่เคยเกิดผลดี นี่คือสิ่งที่ต้นจะสื่อ ทว่าคนฟังอย่างอีกฝ่ายกลับรู้สึกเหมือนโดนเหยียดหยาม

“โหไอ้เหี้ย มึงคิดว่ามึงนำคนอื่นแล้วมึงจะด่า จะใช้คำพูดกับเขายังไงก็ได้เหรอ” เส้นสติของอีกฝ่ายไม่คงเดิมอีกต่อไป สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ต้นโกรธกริ้วจนริ้วเส้นเลือดขึ้นหน้า

“ปากดีนักนะไอ้สันดาน ไม่มีกูชีวิตมึงคงไม่ดีขนาดนี้หรอกมั้ง”

“เป็นพ่อกูไง? ไม่ใช่ก็อย่าสะเออะมาพูดเหมือนกับกูเป็นหนี้บุญคุณอะไรกับมึง” อีกฝ่ายตะคอกกลับด้วยแรงอารมณ์ ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นไป ทว่าเขาก็ต้องชะงักฝีเท้า เพราะคำที่ต้นสวนกลับ

“กลับขึ้นไปหลังจากที่ด่ากูฉอด ๆ เนี่ย มึงคิดหรอว่ามึงยังจะได้ทำงานอยู่อีก อย่าลืมว่ากูเป็นคนพามึงมา กูพามากูก็พากลับได้ พาคนไปกระทืบมึงให้สมกับความปากดีของมึงก็ยังได้”

ได้ยินดังนั้นอีกฝ่ายก็กำหมัดแน่น ก่อนจะหันกลับมาหาต้นที่ยืนอยู่ต่ำกว่า พอเห็นสีหน้าเย้ยหยันอันน่าสะอิดสะเอียนของต้นเขาจึงอาศัยจังหวะที่ต้นหันกลับไปเดินต่อ

ถีบแผ่นหลังให้ต้นไถลลงเขาไปอย่างเต็มแรง









มีต่อนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
18.45

“เชี่ยแม่ง!” ต้นสบถอีกครั้ง หลังจากประคองตัวเองให้ลุกขึ้นเดินต่อได้ ..ร่างกายเขา ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล และบาดแผลบนตัวของเขาก็เต็มไปด้วยความสกปรกของดินโคลน สภาพย่ำแย่จนเขาหัวเสีย

แต่ถึงกระนั้นต้นก็ยังพยายามพยุงตัวเองให้เดินต่อไป อาศัยต้นไม้ในป่าเป็นที่ค้ำยัน จุดตรงนี้พอจะเห็นแสงไฟในหมู่บ้านใกล้เข้ามาบ้างแล้ว อย่างน้อยต้นก็ยังมีความหวังหลงเหลืออยู่















19.03

ส่วนฝั่งของพรรณี.. แท้จริงแล้วเธอไม่ได้คลอดภูริในเดือนที่ผ่านมา แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าต้นคำนวณเวลาผิด แต่อาจจะเป็นเพราะความผิดปกติบางอย่างของครรภ์เธอเอง ตอนนี้พรรณีจึงท้องแก่ จวนจะเข้าสัปดาห์ที่สี่สิบสี่แล้วอีกแค่ไม่กี่วัน

“แม่ ถ้าหนูคลอดแล้วหนูย้ายไปอยู่กับแม่นะ” พรรณีจับมือบุพการีขึ้นมาแนบหน้า ตัวเธอที่นอนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงได้แต่เหม่อมองใบหน้าผู้เป็นแม่เคล้าน้ำตา “หนูคงเลี้ยงภูริคนเดียวไม่ไหว..”

ตลอดระยะเวลาที่พรรณีอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เธอต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งงานบ้านและงานเย็บผ้าที่ทำให้เธอมีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ใจเธอตัดขาดจากสามีไปแล้วโดยไร้ซึ่งเยื่อใยฉะนั้นไม่ว่าต้นจะวกกลับมาบ้าน เอาอาหารหรือเงินมาให้เธอ พรรณีก็จะหลบซ่อน ไม่ก็หนีไปที่อื่นก่อน

พรรณีวางแผนไว้แล้วว่าถ้าเธอคลอดภูริเมื่อไหร่ เธอก็จะทิ้งบ้านหลังนี้ แล้วกลับไปอยู่กับครอบครัวของเธอที่อีกหมู่บ้าน ทว่ามันกลับไม่ราบรื่นไปอย่างที่วางไว้เท่าไรนัก

อาจจะด้วยความเครียดที่สะสม และการใช้งานร่างกายที่หักโหมเกินไป จึงส่งผลให้ลูกน้อยในครรภ์มีความผิดปกติ ซึ่งพรรณีเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่ผิดปกตินั้นมันคืออะไร แต่พักหลังมานี้เธอมักจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนแทบจะลุกไม่ไหว บางครั้งก็มีไข้ จนเธอต้องให้แม่มาดูแลเธอ

“ก็ดีนะลูกนะ กลับไปอยู่ด้วยกันก่อน คนที่นู่นคิดถึงเอ็งอยู่เหมือนกัน” ผู้เป็นบุพการีคลี่ยิ้มกลับมาให้เธอ พรรณีเห็นดังนั้นจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยลูกของเธอก็จะได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ในที่ที่เดียวกับที่เธอโตมา “เดี๋ยวนะพรรรณี ทำไมผ้าถุงเอ็งชื้น ๆ” ผู้เป็นแม่ไม่พูดเปล่า มือเอื้อมไปจับพร้อมขยับตัวลูกสาวออกไปเล็กน้อย ก่อนเธอจะได้รับรู้ว่าพรรณีน้ำคร่ำรั่ว

“โอ๊ย!” ทันใดนั้นเองที่อาการปวดอันเกิดจากการหดรัดของมดลูกเกิดขึ้นกับพรรณี เธอร้องโอดโอยเพื่อระบายความเจ็บปวด แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะพรรณียิ่งปวดหนักขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อกาฬเริ่มผุดออกมาตามแขนและใบหน้า

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง! มาช่วยลูกกูหน่อยโว้ย!” ผู้เป็นแม่ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยความตกใจ ในใจเธออยากจะส่งให้พรรณีไปถึงมือหมอ ทว่าพอคิดถึงปัจจัยที่ต้องมี ทั้งรถยนต์ เงินค่าทำคลอด เธอก็ลังเลใจ

“แม่ หนูไม่เป็นไร ไม่ต้องไปโรง’ บาลก็ได้หนูไม่มีเงินหรอก” ความเจ็บปวดทำให้หยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย พรรณีร้องไห้สะอึกสะอื้น ก่อนหน้านี้เธอพอมีเงินอยู่บ้างก็จริง แต่พอต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง เงินจำนวนนั้นมันก็เริ่มลดน้อยลง ๆ กระทั่งเธอลุกไปไหนไม่ไหวและไม่ได้เย็บผ้าต่ออีก เงินค่าทำคลอดที่เฝ้าเก็บเอาไว้ก็หมดลง

“เอ็งไม่ไหวหรอกถ้าจะให้มาคลอดเองน่ะพรรณี โว้ย! ใครอยู่บ้างเนี่ย ช่วยลูกกูด้วย!” ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด ก่อนจะลุกขึ้นไปอย่างรีบร้อน “เอ็งรอแม่แป๊ปนะ เดี๋ยวแม่ไปตามคนมาก่อน”

“ม..แม่ เดี๋ยวก่อน” พรรณีส่งเสียงเรียก ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดออกไป

“หนูไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ขอแค่ภูริปลอดภัยก็พอ”

















19.32

ในที่สุดต้นก็ประคองร่างตัวเองลงเขามาจนถึงพื้นที่ของหมู่บ้านได้สำเร็จ ถัดจากที่นาตรงนี้ไปซักหน่อยก็จะเป็นบ้านคนแล้ว ซึ่งบ้านหลังแรกที่อยู่ใกล้กับภูเขามากที่สุด ก็คือบ้านของเขาเอง

..อีกไม่นานต้นก็จะได้เจอหน้าลูกเมียแล้ว



หากแต่ไม่ทันที่จะก้าวเท้าเดินต่อ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงไซเรนของรถตำรวจเสียก่อน มันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ในที่ที่เขายืนอยู่

ไม่จำเป็นต้องรอช้า ต้นรีบอาศัยเงาไม้เพื่อหลบซ่อนตัวทันที ก่อนจะเห็นได้ว่ารถพวกนั้นไปหยุดอยู่ที่บ้านของตัวเอง

‘ทำไมถึงเป็นบ้านกูวะ?’

นั่นคือคำถามที่ต้นสงสัย เขาจึงอาศัยจังหวะนี้ รีบวิ่งเข้าไปที่หลังบ้าน แล้วแสร้งทำท่าทางให้ดูปกติที่สุด ก่อนจะแจ้นหน้าออกมาต้อนรับแสงไซเรนพวกนั้น

“ผมได้รับแจ้งมาว่าที่นี่มีการทำอาชีพที่ผิดกฎหมาย ไม่ทราบว่าผมจะขอสอบถามคุณสักสองสามคำถามได้มั้ยครับ” ตำรวจหนึ่งในนั้นก้าวลงมาจากรถก่อนจะเอ่ยถามต้นด้วยท่าทีสุขุม

“อ๋อ ได้สิครับ แต่ว่าผมไม่เห็นรู้เลยนะว่าบ้านของผมจะมีคนทำเรื่องแบบนั้น”

“เรื่องนั้นผมจะเป็นคนสรุปคำตอบเองครับว่ามันจริงหรือไม่จริง”

ปัง!

ทว่าจู่ ๆ เสียงปืนก็ดังลั่นมาจากบนภูเขา ความสนใจของพวกตำรวจตรงหน้าจึงถูกดึงดูดไปยังต้นตอของเสียงนั้นไปเสียหมด ต้นเริ่มเสียอาการ ความเคร่งเครียดเข้าปกคลุมกระบวนการคิด เช่นเดียวกับความหวาดระแวงที่เข้าปกคลุมหัวใจ

“ภูเขาลูกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ขึ้นไปยิงปืนตอนทุ่มครึ่งแบบนี้ไม่ใช่หรอครับ” ตำรวจนายหนึ่งยกยิ้ม ก่อนจะกลับเข้าไปบนรถ แล้วออกคำสั่งให้รถคันอื่น ๆ ถอยกลับไปเพื่อหาทางขึ้นเขา หากแต่จังหวะนั้นเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นในบ้าน

รถตำรวจคันสุดท้ายที่ได้ยินเสียงร้องนั่นจึงหยุดนิ่งแทนที่จะขับออกไปเหมือนคันอื่น ๆ ตำรวจอีกคนเดินลงมา ก่อนจะตรงมาหาต้น

“ผมขอขึ้นไปตรวจสอบบนบ้านคุณได้มั้ยครับ”

ทันทีที่ได้ยินคำถามต้นก็มือสั่นอย่างไม่อาจควบคุบ เสียงร้องเมื่อกี้เป็นเสียงของพรรณี ใช่..พรรณีกำลังเจ็บปวดทรมานกับการคลอดเองตามธรรมชาติ และต้นควรจะขึ้นไปหาเธอ หากแต่ความหวาดกลัวกลับสั่งการให้ต้นอนุญาตตำรวจ แล้วให้พาตัวเองวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

พอเห็นว่าไม่มีสายตาคู่ไหนจับจ้องมาที่ตัวเองต้นก็ใช้จังหวะนั้น วิ่งลัดขึ้นเขาไปอีกครั้ง และระหว่างทางที่วิ่งขึ้นไป กล่องและสัมภาระหลาย ๆ อย่างที่ต้นตั้งใจจะเอามาให้ลูกกับเมีย

ก็ร่วงหล่นลงไปก่อนจะเทกระจาดราวกับเป็นสิ่งไร้ค่า









“ต้น ทำไมคนงานของคุณจู่ ๆ ก็ยิงปืนขึ้นฟ้าแบบนั้น มันต้องการอะไร” พวกคนเมืองกรูกันเข้ามาถามเขาทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในระยะความอลหม่านข้างบน

“ไม่รู้ แต่ตอนนี้ตำรวจกำลังขึ้นมา” ต้นตอบอย่างร้อนรน เขาวิ่งขึ้นมาอย่างไม่คิดชีวิต ท่ามกลางพายุฝนที่ยังไม่หยุดหย่อน แน่นอนว่าสภาพร่างกายต้นตอนนี้ก็ทำให้หกล้มหรือครูดไปกับหินอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังดันทุรังที่จะขึ้นมาแจ้งข่าวคนที่อยู่ข้างบน “คงมีใครซักคนโทรไปแจ้ง”

วูบหนึ่งในความคิด.. เสียงคนงานคนนั้นที่ตอนแรกเดินลงเขาไปกับต้นก็ดังเข้ามาในหัว ต้นจึงถามออกไป

“คนที่ยิงปืนขึ้นฟ้า ..ใช่ไอ้เหี้ยชุนมั้ย” ความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้นจนเขากำหมัดแน่น ต้นภาวนาในใจว่าขออย่าให้สิ่งที่เขาคิดมันถูกต้องเลย เพราะถ้าหากเป็นแบบนั้น

ต้นคงยั้งมือตัวเองไม่อยู่

แต่สุดท้าย.. ความจริงก็ต้องเป็นความจริง

“ใช่ ไอ้ชุนนั่นแหละ”













23.47

พรรณีถูกตำรวจนายนั้นช่วยพามาส่งที่โรงพยาบาล โชคดีที่เด็กน้อยในท้องยังไม่ดื้อรั้นที่จะออกมา จึงไม่มีเหตุการณ์คลอดในรถตำรวจเกิดขึ้น

พรรณีอยู่ในการดูแลของหมอได้อย่างทันท่วงที ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยความที่เป็นเรื่องฉุกละหุก ตำรวจนายนั้นจึงอาสาที่จะออกค่ารักษาพยาบาลให้ก่อน พรรณีกับแม่จึงโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง

ตอนนี้พรรณีเข้าห้องคลอดไปแล้ว สิ่งที่แม่และตำรวจนายนั้นทำได้จึงมีแค่รอเวลา และโชคชะตาที่จะทำให้เด็กน้อยในท้องคลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ แม้โอกาสจะน้อยลงเพราะพรรณีท้องเกินกำหนดไปแล้วก็ตาม











00.00

“มึงคิดดีแล้วหรอต้น” พวกคนเมืองเอ่ยถาม ก่อนจะโยนแกนลอนน้ำมันเบนซินทิ้งหลังจากที่ราดไปทั่วโกดังแล้ว

“มันต้องถูกสั่งสอน” ต้นตอบด้วยแววตาโกรธแค้น

“กูไม่ได้หมายถึงคนที่โทรแจ้งตำรวจที่มึงซ้อมมันแล้วทิ้งในโกดัง” คนเมืองอธิบาย “แต่กูหมายถึงที่มึงจะล้มเลิกในสิ่งที่มึงทำมาทั้งหมด”

“ถ้าไม่เลิก ผมกับพี่ก็ตายกันหมดดิ” ต้นหันไปตอบ วินาทีนี้จู่ ๆ ใบหน้าของพรรณีก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตที่คอยห้ามเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยฟัง

“กูไม่โกรธ ไม่แค้นอะไรมึงหรอก กูยังมีที่ทางอีกเยอะ แต่มึงน่ะ ถ้าไม่ได้ทำงานนี้แล้วมึงจะทำอะไรล่ะวะ”

“คงอยู่กับลูกกับเมียแหละ ผมมีเงินมากพอที่จะทำให้ครอบครัวผมสมบูรณ์แล้ว” ต้นตอบหน้านิ่งเฉย ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงความภูมิใจอยู่เล็กน้อย แม้เงินที่ตนพูดถึงจะได้มาอย่างโหดร้ายกับสรรพสิ่งในป่า

“โอเค ก็ดีแล้ว งั้นต่อจากนี้กูขออะไรมึงอย่าง”

“ว่า”

“ลืมซะว่าเคยทำงานนี้กับกู”คนเมืองมองเขาด้วยสายตาจริงจัง ซ้ำน้ำเสียงยังดุดันราวกับจะข่มขู่ “กูอยากให้มึงมีชีวิตที่ดี มากกว่าจะจบชีวิตเหมือนไอ้ชุน” ใช่ นายทุนคนนี้กำลังข่มขู่เพื่อเซฟธุรกิจของตัวเอง และเขาก็พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น จากนั้นก็เดินออกไป ก่อนจะถูกเงาไม้กลืนกินไปในความมืด

ต้นจมอยู่กับความคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตอนนี้ฝนหยุดไปได้สักพักแล้ว หยุดไปก่อนที่ต้นจะลงมือราดน้ำมันเบนซินใส่แคมป์นี่เสียอีก แต่ต้นแค่ยังไม่กล้าจุดไฟ

เพราะถ้าจุด..

ต้นก็จะกลายเป็นฆาตรกรทันที



“คุณไปดูตรงนั้น..” เสียงตำรวจดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้านับสิบ ต้นจึงได้สติ หลังจากจมอยู่กับตัวเอง

หยาดน้ำตาไหลพาดผ่านออกมาจากดวงตาสองข้างของต้น ก่อนจะพาดผ่านหน้าแก้มแล้วร่วงหล่นสู่พื้นดิน ต้นหันกลับไปมองภาพมนุษย์ในชุดเครื่องแบบกว่าสิบคนตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มอย่างสิ้นหวัง และหัวเราะอย่างผู้แพ้

“ขอโทษ.. ขอโทษ.. ข..ขอโทษ” ต้นพึมพำทั้งน้ำตา ก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งจุดไม้ขีด แล้วปล่อยให้ไม้ขีดที่ติดไฟอันนั้นค่อย ๆ ร่วงหล่นสู่กองของเหลวไวไฟ



“เฮ้ย!! ถอย!!!”

เหมือนพวกตำรวจที่เข้าไปในโกดังเริ่มรู้ตัวกันแล้วว่าด้านนอกไฟกำลังลุกโชน พวกเขาจึงเริ่มส่งเสียงร้องเรียกกันและกัน แล้วรีบหลีกหนีออกมา ทว่าก็เหมือนกับจะสายเกินไป เพราะพอไฟเริ่มลามขึ้นไปถึงคานไม้ของโกดัง สิ่งก่อสร้างทั้งหมดนั่นก็พังทลายลงมาจนปิดทาง

ใช่.. พวกเขาบริสุทธิ์

และใช่.. พวกเขาปฏิบัติตามหน้าที่

แต่กลับต้องมาถูกสังเวยชีวิตให้กับความเห็นแก่ตัวของต้น

ฆาตรกรที่เลือดเย็นที่สุด









00.05


“ฮึก..อึก แง.. ฮือ แง้”

เสียงเล็กร้องสะอื้นหลังจากถูกทำความสะอาดร่างกายจนคราบเลือดหายไป เด็กทารกตัวน้อย ๆ ที่พึ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่นาทีร้องไห้จ้าเมื่อถูกพยาบาลโอบอุ้ม

“ขออุ้มหน่อยได้มั้ยคะ” พรรณีเอ่ยเอื้อนอย่างอิดโรย เพียงเห็นหน้าบุตรตัวน้อยที่เฝ้าทะนุถนอมมาร่วมสิบเดือนเธอก็ยิ้มไม่หุบ แม้ความดีใจจะทำให้เธอเหนื่อยมากขึ้น แต่เธอก็ห้ามความตื้นตันใจของตัวเองไม่ได้

“นี่ค่ะ” พยาบาลใจดีมอบยิ้มเล็ก ๆ พร้อมกับเด็กทารกให้พรรณี ซึ่งเธอเองก็ยื่นแขนออกไปเตรียมรอรับอยู่ก่อนแล้ว พอได้สัมผัสเจ้าตัวน้อย เธอจึงค่อย ๆ กระชับอ้อมแขนทันที

“น่าหมั่นเขี้ยวจริงเชียว” พรรณีก้มลงไปหอม ก่อนจะสบตาที่หรี่สนิทของเจ้าตัวน้อยแล้วพูดต่อ “โตขึ้นไปขอให้หนูเป็นเด็กดีนะภูริ”

“คิก..”

“...!” และพรรณีก็ต้องหุบยิ้มลงทันที เมื่อเด็กทารกพึ่งคลอด จู่ ๆ ก็เบิกตาโพลง และยิ่งไปกว่านั้นดวงตาทั้งสองข้างที่ประจักษ์แก่พรรณีกลับไร้ซึ่งเค้าความเป็นมนุษย์

มันเป็นสีดำสนิท และมีควันพาดผ่านยิ่งพอจ้องไปนาน ๆ พรรณีก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี อาจจะแปลกเกินไปที่จะยอมรับ แต่ตอนนี้พรรณีรู้สึกจริง ๆ ว่าเธอกลัวลูกตัวเอง

เธอกลัวภูริ



จู่ ๆ ทิวทัศน์รอบข้างก็มืดลง จนสิ่งที่พรรณีมองเห็นมีแค่เตียงพยาบาล ตัวเธอ และเด็กทารกในอ้อมกอด

เด็กตัวน้อยจู่ ๆ ก็คลี่ยิ้ม แล้วยื่นฝ่ามือเล็ก ๆ ขึ้นมาแตะแก้มเธอเบา ๆ ก่อนที่พรรณีจะได้ยินเสียงของใครบางคนพูดอยู่ข้าง ๆ หู..



“ภูริจะเป็นเด็กดีถ้าได้เอาคืน ฉะนั้นภูริกำลังจะเป็นเด็กดี เพราะอีกไม่นานคนในหมู่บ้านทุกคนจะตาย”



และนั่นคือคำขอแรกที่แลกด้วยความตาย


















TBC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2020 05:51:18 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เวรกรรมแท้ๆภูริเอ้ย

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เห้ยย สนุกมากกก เขียนดีมากกกก รอ
ต้นคือไม่ดีมาก สงสารตำรวจเลยว่ะ ไม่นึกถึงภูริมั่ง รู้นะว่าทำเพื่อลูกแต่แบบอย่างงี้มันทำร้ายป่ะ
ละภามตอนนี้กับปัจจุบันทำไมดูเปลี่ยนไป
สงสารสุดคือพรรณีและภูริ ว๊ากกกกกกกกก รอ อยากอ่านมั่กๆ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
05 Birthday





เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงมาตลอดคืนค่อย ๆ ดับลงเมื่อไม่เหลือเชื้อไฟให้เผาผลาญได้อีก ทิ้งไว้เพียงเศษซากของตอตะโกที่แห้งเกรียม แน่นอนว่าชาวบ้านทุกคนก็รับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนภูเขาลูกนี้ แต่เพราะลูกหลานของตัวเองก็เป็นผู้ร่วมการกระทำผิดกฎหมายทั้งหมดนี้เหมือนกัน พวกเขาจึงเลือกที่จะปิดเงียบ

ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องราวทุกอย่างแน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่าถ้าหากทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ เรื่องพวกนี้ก็จะย้อนกลับมาทำร้ายเขาได้ในภายหลัง

ต้นจึงคอยโหมไฟอยู่หลายรอบตลอดทั้งคืนกระทั่งมั่นใจว่าแม้แต่กระดูกมนุษย์ก็ไหม้จนแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาจึงปล่อยให้เพลิงอันร้อนแรงนี้ดับลง

ก่อนจะกลับมาที่บ้านในยามที่ฟ้าสางแสร้งทำเสมือนทุกอย่างปกติอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“อ้าว ไอ้ต้น นี่มึงไม่ได้ไปโรง’ บาลกับเมียมึงหรือไง” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น เขาแบกฟืนอยู่ที่บ่า เอ่ยถามเมื่อเดินผ่านต้นที่ท่าทางดูเหนื่อยอ่อน “เห็นมันไปกับรถตำรวจเมื่อวานได้ยินว่าลูกจะคลอดแล้ว”

ต้นหยุดกึก เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเขาหลงลืมอะไรบางอย่างไป บางอย่าง.. ที่สำคัญมาก ๆ

“เดี๋ยวจะกลับไปเอาของที่บ้านก่อนลุงพร ไปด้วยกันมั้ย ไปดูหน้าหลาน” ต้นพยายามตอบให้ดูปกติที่สุด แม้น้ำเสียงที่ออกมาจะมีสั่น ๆ อยู่บ้างก็ตาม

ใจหนึ่งต้นอยากไปโรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน ทว่าอีกใจนึงสิ่งที่เขาทำเมื่อคืนก็ย้ำเตือนเขาอยู่แทบจะตลอดเวลาว่าเขายังไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างจบ

สุดท้ายต้นก็ไม่ได้เข้าบ้าน เขาตัดสินใจเข้าไปในเมือง ไปหานายทุนที่เป็นคนป้อนนรกมาให้ตัวเอง ก่อนจะเว้าวอนให้อีกฝ่ายใช้เงิน‘ปิดปาก’ตำรวจที่เหลือ แล้วแสร้งบิดเบือนไปว่าเป็นเพราะอาถรรพ์บนภูเขา

ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องโง่ ๆ ที่ไม่น่าจะมีใครหลงเชื่อ แต่ด้วยยุคสมัยที่ไฟฟ้ายังไม่ครอบคลุม ความเชื่อยังคงถูกใช้ขับเคลื่อนสังคมอยู่

สองเดือนต่อมา คืนเพลิงโหมคืนนั้นจึงโด่งดังไปทั่ว ในชื่อของ ‘เขาผีป่าพิโรธ’

เพียงเท่านี้ตัวผู้กระทำที่แท้จริงทุกคนก็ลอยนวล และแฝงตัวอยู่ทั่ว ๆ ไปในสังคม ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร

ทว่าต้นกลับไม่ใช่หนึ่งในนั้น ..ก็จริงที่เขารอดตัวไปได้ แต่ต้นไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรกับมันเลยแม้แต่น้อย เพราะในช่วงเวลานั้นต้นเองก็ต้อง ‘จ่าย’ บางอย่างไปเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย

ชีวิตของพรรณี



ภรรยาของเขาเสียไปในวันเดียวกันกับวันที่ลูกของเขาเกิดมา หมอบอกว่าเธออุ้มท้องนานเกินกำหนด โชคดีที่เด็กในท้องไม่ได้รับผลกระทบ แต่โชคร้ายที่ผลกระทบกลับตกมาที่ตัวพรรณีเอง ที่แย่ยิ่งกว่า...หลังจากที่ทำคลอดเสร็จแล้ว จู่ ๆ พรรณีก็ช็อก สุดท้ายก็เสียชีวิตไป

ต้นพึ่งจะมารู้เรื่องนี้ก็เมื่อสามวันให้หลัง เป็นวันที่พรรณีต้องนอนอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบ ๆ รอนำเข้าเตาเผา ซึ่งมันก็สายเกินไปเสียแล้วสำหรับการพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ ให้พรรณีได้ยิน

ส่วนลูกของเขา ‘ภูริ’ ครอบครัวฝั่งพรรณีบอกว่าจะรับไปเลี้ยงเอง เพราะเป็นความตั้งใจของพรรณี ช่วงเดือนแรกต้นยินยอมที่จะให้เป็นแบบนั้นเพราะต้องจัดการหลายอย่าง แต่พอเวลาผ่านไปจนทุกอย่างมันเรียบร้อยดี ต้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเขาเองต้องการที่พึ่งทางใจ เขาจึงกลับไปดึงตัวลูกน้อยของตัวเองกลับมาสู่อ้อมกอด

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ต้นได้เห็นหน้าค่าตาภูริ ทว่าชั่วขณะหนึ่งความกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจ เมื่อภาพความฝันในคืนนั้นย้อนกลับมาในหัว

..หน้าภูริเหมือนเด็กที่เขาเคยฝันถึงไม่มีผิดเพี้ยน



‘คงไม่มีอะไรหรอก’ ต้นพยายามคิดแบบนั้น แต่เขาก็ห้ามความรู้สึกลึก ๆ ของตัวเองไม่ได้ ..เด็กในฝันเคยปรากฎตัวพร้อมแสยะยิ้มให้เขาเห็นเต็ม ๆ ตา แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพสะท้อนผ่านกระจก หากแต่ตอนนี้เด็กคนนั้นไม่เพียงปรากฎเป็นภาพสะท้อนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นภาพรอยยิ้มแสยะที่ประจักษ์สู่สองตาจากเด็กในอ้อมแขน





4 ปีต่อมา, 29 ก.พ

“วันนี้วันเกิดไอ้ผีแหละ”

“จริงด้วย เค้าว่านะ บ้านมันต้องจัดงานใหญ่โตแน่ ๆ เลย”

“เค้าก็ว่างั้น ลุงต้นเขามีตังอยู่แล้ว ยิ่งพอแต่งงานใหม่กับพวกคนรวย บ้านนั้นก็ยิ่งรวยเข้าไปใหญ่เลย”

“ฮ่า ๆ พวกคนรวยมันก็ได้แค่มีตังค์แหละน่า อย่างน้อย ๆ พวกเราก็เหนือกว่า เพราะลูกหลานออกมาไม่มีใครรูปร่างเหมือนผี”

เด็กกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านจับกลุ่มเปิดประเด็น เมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเก้ากุมภา วันคล้ายวันเกิดครั้งแรกของลูกชายคนเดียวประจำบ้านเศรษฐี

เด็กกลุ่มนี้มีสมาชิกตั้งแต่ช่วงอนุบาล จนถึงประถมปลาย พวกเขารู้จักภูริดี เพราะตั้งแต่ภูริเกิดมา เด็กกลุ่มนี้ก็จะแวะเวียนเข้าไปเล่นด้วยอยู่ตลอด

แต่จริง ๆ จะใช้คำว่า ‘ตลอด’ ก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะช่วงหลัง ๆ มานี้ หลังจากที่พวกเขาสังเกตเห็นว่าภูริมักจะมีท่าทางแปลก ๆ พวกเขาก็เริ่มตีตัวออกห่าง ก่อนจะตั้งฉายาให้ลูกชายบ้านนั้นว่า ‘ผี’

...ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้นพยายามใช้ชีวิตของตัวเองให้ปกติที่สุด โดยทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำที่ดีในด้านหน้าที่การงาน ใช่ ต้นได้งานจากในเมืองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นงานสุจริต แม้วิธีที่จะได้งานมามันอาจจะแย่ไปหน่อย

สองปีให้หลังมานี้ต้นได้พบกับผู้หญิงคนนึง เธอค่อนข้างมีอายุแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาเลยสักครั้ง ฝั่งเธอเองพอเห็นมีคนเข้ามา จึงไม่ลืมที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ ต้นจึงได้แต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนนี้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนก็คือตำแหน่งงานที่ดีสำหรับคนไร้การศึกษาอย่างต้น

ภูริจึงได้แม่คนใหม่มาทดแทนความอบอุ่นที่จากไปแสนไกล หากแต่ตัวภูริเองก็ไม่ได้เข้าใจในเรื่องนี้มากมายนัก เพราะตอนที่พรรณีเสีย ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถจดจำอะไรได้ ฉะนั้นถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะเป็นแม่เลี้ยง แต่ภูริก็รักเธอมากราวกับเป็นแม่แท้ ๆ ของตนเองเลยทีเดียว

ต้นสร้างบ้านหลังใหม่อีกครั้งทับที่เดิม แต่ขยายอาณาเขตให้กว้างขึ้นอีก ทีนี้บ้านเขาก็ไม่ใช่บ้านไม้ที่ดูทรุดโทรมอีกต่อไปแล้ว

พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุขตามประสาภรรยาและสามี ส่วนภูริเองก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยห้อมล้อมไปด้วยสังคมและแรงสนับสนุนที่ดี กระทั่งวันนี้ที่เจ้าตัวน้อยอายุครบสี่ปี ..เป็นวันเกิดครั้งแรกที่ไม่ได้ไปอาศัยวันที่หนึ่งมีนามาทดแทน

ฮ่า ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก

‘ภูริ’ ก็ยังเป็นภูริอยู่เหมือนเดิม

..ยังคงเป็นเครื่องมือสังหารที่รอวันลงทัณฑ์



“พี่ว่าภูริโตขึ้นมาน่าจะหล่อนะ อย่างตาต้นพ่อมันก็หล่อ”

“หล่อแล้วพี่จะจีบหรอพี่มิ้นต์ มันเป็นผีนะ”

“เออจะจีบหรอ พี่มิ้นต์กลัวผีจะตายห่า 5555555” เด็กสี่ห้าคนหัวเราะร่วนกับบทสนทนาที่กล่าวถึงบุคลิกของบุคคลที่สามกันอย่างสนุกปาก

“พวกแกก็ล้อเกินไป ภูริมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย ลองมองดี ๆ ดิ มันทั้งขาว หน้าตาก็ดี เวลาพูดนี่เสียงก็น่าฟัง” มิ้นต์ซึ่งเป็นคนที่โตที่สุดในกลุ่มพูด ก่อนจะถูกค้านหัวชนฝาจากคนอื่น ๆ ทั้งกลุ่ม

“พี่ลืมหรือไงว่ามันทำไอ้หม่อนแขนหักอะ”

“ไม่ได้ลืม แต่พวกแกเชื่องั้นจริง ๆ หรอว่าเด็กเตรียมอนุบาลจะสั่งคนให้เจ็บ สั่งคนให้ตายได้อะ มันแค่เรื่องบังเอิญแหละ”

“บังเอิญก็บ้าแล้ว เต่ายังจำได้อยู่เลยว่าวันนั้นตอนที่เล่นซ่อนแอบภูริพูดว่า ‘ซ่อนแอบตาหน้าหม่อนจะขึ้นไปแอบบนแทงก์น้ำ ให้เต่าขึ้นไปหา แล้วหม่อนจะเป็นแบบที่เต่าขอ’แล้วพอเต่าขึ้นไปเจอหม่อนมันตกใจแล้วก็พลัดตกไปข้างล่างจนแขนหัก

“ตอนนั้นเต่าโกรธไอ้หม่อนมันไม่ใช่หรือไง ที่มันตีแกแรงไป เต่าเลยตะโกนด่าไปว่า ‘เล่นแรงงี้ขอให้แขนมึงหัก’ อะ พี่จำได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างงั้นนะ”

“ก็ใช่ไงพี่มิ้นต์ แล้วพอหลังจากเต่าตะโกนไปแล้วอะ ภูริก็เดินมาหาแล้วก็พูดแบบนั้นให้เต่าฟัง ตอนพูดภูริน่ากลัวจะตาย เราเลยเรียกมันว่าผีจนถึงทุกวันนี้ไง”

“ที่พี่บอกมันขาวอะ จริง ๆ บีมว่ามันซีดนะ ส่วนหน้าตาดี..อืม อันนี้บีมไม่เถียง แต่เรื่องเสียงที่พี่บอกว่าน่าฟังอะ ถ้าพี่ลองอยู่กับมันสองต่อสอง พี่จะรู้เลยว่าทุกครั้งที่ภูริพูด มันจะเหมือนพี่ถูกขังอยู่ในกรง ถึงมันจะพูดปกติก็เถอะ แต่ยิ่งฟังยิ่งอึดอัด”

เรื่องของภูริยังคงเป็นประเด็นในการสนทนามาอีกเรื่อย ๆ กระทั่งเด็กที่ทุกคนพูดถึงเดินมาหา บทสนาจึงสงัดเงียบ

“พี่มิ้นต์ ภูริพับจรวดเป็นแล้วน้า ดูสิ เนี่ยภูริพับเองเลย” เด็กน้อยผิวกายสะอาดสะอ้าน แววตาใสแจ๋ว ยิ้มแป้นก่อนจะหยิบเครื่องบินกระดาษที่ตนพับเองมาโชว์ให้เพื่อนดู

“เออเก่ง ๆ ไหนมาให้พี่ลองเล่นหน่อย เดี๋ยวภูริไปคอยเก็บนะ 555555”

“งั้นเดี๋ยวภูริไปรอหลังหมู่บ้านนะ พอดีว่าจรวดมันแรง” เจ้าตัวคุยโวโอ้อวดตัวเอง ก่อนจะขำลั่นเพราะคนฟังเบ้ปาก

“เอ้า! เตรียมไปเก็บน้า” มิ้นต์ยกยิ้มก่อนจะชูเครื่องบินกระดาษขึ้นสูง ๆ แล้วโยนออกไปให้มันละเล่นกับสายลม เธอยิ้มกว้างเมื่อเห็นภูริดูมีความสุข

‘เห็นมั้ย? ภูริก็ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย’ ในใจเธอคิดแบบนั้น ทว่ามิ้นต์ก็ได้เพียงแค่คิในใจเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง..

“นี่พี่ยังกล้าเล่นกับมันอยู่อีกหรอ” ใบหม่อนเดินออกมาจากบ้านด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แขนข้างซ้ายถูกดามด้วยเฝือกและห้อยผ้าพาดกับไหล่ข้างขวา ใบหม่อนเคยคิดว่าที่ตัวเองร่วงจากแทงก์น้ำเป็นอุบัติเหตุ แต่พอเต่ามาเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านั้นภูริพูดอะไร เธอก็เปลี่ยนความคิดตัวเองทันที

“มันไม่มีอะไรหรอกน่าหม่อน” มิ้นต์คงน้ำเสียงให้ไม่ดังจนเกินไป พลางสายตายังคอยมองภูริอยู่เสมอ ในใจเธอกลัวเหลือเกินหากภูริจะมาได้ยินคนอื่นพูดถึงตัวเองในเรื่องนี้

“พิสูจน์มั้ยล่ะ?” เด็กผู้ชายอีกคนที่นั่งเป็นผู้ฟังมานานเอ่ยขึ้น เขาเด็กกว่ามิ้นต์สองปี แต่ก็โตกว่าเด็กคนอื่น ๆ “ตอนนั้นไอ้เต่ามันลั่นปากไปว่า ‘ขอให้หม่อนแขนหัก’ หลังจากนั้นภูริก็เข้ามาหาใช่มั้ย”

“...”

“เดี๋ยวโอมจะลองพิสูจน์ดูว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นเพราะภูริ”

พอสายตาทุกคนแสดงเชิงว่าเห็นด้วย โอมเลยลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วก้าวออกมา มองตามเด็กน้อยที่กำลังวิ่งกลับมาหาด้วยท่าทางเริงร่า

“ภูริ วันนี้วันเกิดภูริใช่มั้ย ที่บ้านจัดงานเหมือนทุกปีหรือเปล่า” โอมเอ่ยถาม ภูริที่พึ่งวิ่งกลับมาถึงหอบหายใจถี่ ก่อนจะตอบกลับไป

“จัดครับพี่โอม เนี่ยภูริว่าจะมาชวนทุกคนไปอยู่”

“วันเกิดงี้ก็ดีน่ะสิ ตอนเป่าเค้กก็จะได้ขอพร ภูริจะขออะไร?” โอมย่อตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกับเด็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออย่างนึกตลก “เป็นพี่นะ พี่จะขอให้แม่พี่ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง

‘เห็นมั้ยโอม ภูริทำอะไรแบบนั้นไม่ได้สักหน่อย’ มิ้นต์คิดในใจ ขณะที่คนอื่น ๆ จับตาดูปฏิกิริยาของภูริอย่างไม่มีใครละสายตา

ส่วนภูริ ..เขาเงียบไปชั่วขณะเมื่อเห็นแววตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตัวเอง ก่อนที่เด็กน้อยคนนี้จะปิดเปลือกตาลง แล้วหรี่ตาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยแววตาสีทมิฬที่ปรากฏควันสีขาวพาดผ่าน

“สามวันข้างหน้าให้แม่พี่ไปซื้อลอตเตอรี่ ใบแรกที่เห็นแล้วถูกใจให้หยิบใบนั้น” จู่ ๆ โอมก็รู้สึกเหมือนร่างกายขยับไม่ได้ เขาทำได้แค่ฟังในสิ่งที่ภูริพูด สบตาภูริโดยมิอาจหันหนี ทีแรกโอมเพียงแค่นึกสนุก แต่พอทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปในแบบที่เขาคิดไว้ ‘ความกลัว’ จึงเกิดขึ้น

“ถ้าพี่อยากจะทดสอบภูริ ...นี่คือคำตอบ” ของเหลวสีสดเริ่มไหลรินออกมาจากจมูกข้างหนึ่งของภูริ “แต่จงจำไว้ว่าไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่ภูริพูดทั้งนั้น”ครั้นเมื่อพูดจบฝ้าควันในแววตาสีทมิฬก็จางหายไป ทุกอย่างจึงกลับสู่สภาวะปกติ

เว้นก็แต่..ภูริ



ฟุบ!

ร่างเล็กของเด็กน้อยฟุบล้มลงกับพื้น เมื่อการตายชั่วคราวเกิดขึ้นกับภูริ เปรียบเสมือนกรรไกรตัดอายุขัยให้ค่อย ๆ ลดน้อยลง ..เปลือกตาทั้งสองข้างจึงหรี่ลง ก่อนจะปิดสนิท

‘เจ็บ.. เจ็บจังเลย’

เด็กน้อยครวญครางอยู่ในใจอย่างทรมาน



กระทั่งทุกอย่างดับวูบ และฟื้นคืนมาใหม่ เปลือกตาสีซีดจึงค่อย ๆ ปรือขึ้นอีกครั้ง

“ภูริ! ภูริฟื้นแล้ว! โฮ พี่ขอโทษที่ให้หนูวิ่งไปเก็บจรวดทั้ง ๆ ที่แดดแรงแบบนี้ พี่ไม่คิดว่าภูริจะเป็นลม” มิ้นต์โผเข้ากอดร่างเล็กของเด็กน้อยก่อนจะปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก

“พี่มิ้นต์ ก..กอดแน่นไปแล้ว ภูริหายใจไม่ออก” แม้เด็กน้อยจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจของเขามีแต่คำว่าขอบคุณอยู่เต็มไปหมด

ขอบคุณ...ที่ไม่ใจร้ายเหมือนคนอื่น ๆ

“อ๊ะจริงหรอ พี่ขอโทษ ๆ เจ็บตรงไหนมั้ยเนี่ย” มิ้นต์รีบผละออก

“ไม่เจ็บเลย ภูริจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไร ตอนแรกยืนอยู่ตรงนั้น แล้วภาพก็ตัด รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว โดนพี่โอมอุ้มมาแน่เลย” ภูริยิ้มขำ

“มั่วแล้ว พี่เนี่ยแหละอุ้มภูริเข้ามา จู่ ๆโอมมันมือสั่น สงสัยตกใจมั้ง” มิ้นต์ลูบหัว ก่อนจะจัดผมของภูริให้กลับมาเป็นทรง

ก็จริง..ที่ตอนนี้ภูริไม่มีความเจ็บปวดทางกายตรงไหนแล้ว หากแต่หัวใจของเด็กคนนี้ จริง ๆ มันถูกเสียดแทงด้วยคำพูดร้าย ๆ ของคนที่ภูริคิดว่าเป็นเพื่อนจนพรุนไปหมดตั้งแต่ทีแรกแล้ว

ฮ่า ๆ ใช่แล้ว..ภูริได้ยินหมดทุกอย่างเลย โชคร้ายเหลือเกินที่บางอย่างดลบันดาลให้เขาได้ยินเสียครบถ้วน ทั้ง ‘ไอ้ผี’ ‘อยู่ด้วยแล้วอึดอัด’ ‘ไม่กลัวมันหรอ มันเป็นผีนะ’

และถึงแม้ทุกคนจะด่าจะว่ายังไงก็ตามแต่เด็กน้อยคนนี้กลับไม่เคยนึกโกรธเคืองเลย ซ้ำยังพยายามทำตัวปกติ เพื่อที่จะมาชวนเพื่อนของตัวเองทุกคนไปงานวันเกิด ซึ่งเป็นความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“พี่มิ้นต์” ภูริเอ่ยเรียก

“หือ”

“วันนี้เป็นวันเกิดจริง ๆ ของภูริปีแรกเลย พี่มิ้นต์ พี่โอม พี่บีม ใบหม่อน เต่า ทุก ๆ คนต้องมานะ..”







มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงค่ำของวัน บ้านหรูหลังใหญ่จึงเริ่มปรากฎไฟประดับหลากสี และเสียงดนตรีครึกครื้น ผู้คนมากหน้าหลายตาเริ่มทยอยกันมางาน ทั้งคนในหมู่บ้านด้วยกันเอง และคนต่างถิ่น ญาติฝั่งของแม่เลี้ยง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็มาดูหน้าหลาน แม้จะไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่แค่ได้ยินมาว่าภูริเป็นเด็กที่น่ารัก พวกเขาก็พร้อมที่จะมอบการดูแลเสมือนสายเลือดเดียวกัน

“ไปไหนมาคะภูริ” แม่เลี้ยงเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกน้อยเดินเข้าบ้านมาในสภาพอิดโรย ทว่าพอภูริได้ยินเสียง เจ้าตัวก็ปั้นรอยยิ้มกว้างขึ้นมาบนหน้าทันที

“ภูริไปชวนเพื่อนมาครับ แล้วก็อยู่เล่นกันจนเย็น พอพวกเขาขอแยกไปอาบน้ำอาบท่า ภูริก็เลยกลับมารอที่บ้าน”

“หนูก็ไปอาบน้ำอาบท่าซะไป ญาติ ๆ มากันเยอะ เนื้อตัวมอมแมมแบบนี้อายเขาแย่”

“..ครับ” เด็กน้อยหุบยิ้มลง ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างที่แม่บอก

สองเท้าของภูริก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ มุ่งหน้าเข้าไปในห้องของตัวเอง ก่อนจะดันประตูบานใหญ่ให้ปิด แล้วเขย่งเท้าขึ้นไปล็อคกลอน บรรยากาศรอบข้างมีเพียงความเงียบงัน

เด็กน้อยทรุดตัวลงตรงนั้น ก่อนจะชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด พลางหยาดน้ำตาสีใสก็ค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงตา

“ภูริเป็นผีจริง ๆ หรอ..” เขาตั้งคำถามกับตัวเองเมื่อถ้อยคำโหดร้ายพวกนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จริง ๆ ตอนนั้นภูริยังไม่อาจเข้าใจอะไรได้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะสิ่งที่เขาเป็นมันบังคับให้เขาต้องมีความคิดที่โตเกินวัย ภูริถึงได้กลายเป็นแบบนี้

ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน..ก็ต้องเก็บซ่อนไว้

ไม่ว่าจะอยากร้องไห้มากเท่าไหร่..ก็ห้ามร้องไห้ให้คนอื่นเห็น



งานครื้นเครงเริ่มขึ้นเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไป พื้นที่รอบนอกตัวบ้านเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เริ่มเมามายแอลกอฮอล์ ส่วนโถงภายในตัวบ้าน ที่โต๊ะอาหารก็เต็มไปด้วยอาหารหรู ที่นี่มีคนแปลกหน้าที่ภูริไม่เคยพบเจออยู่เยอะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่น่ากลัวอะไร ภูริจึงเรียกพวกเขาอย่างที่แม่สอน

“สวัสดีครับยายแม้น ตาสม สวัสดีครับป้าเพียร ลุงชู” แม่บอกกับภูริว่าคนพวกนี้คือครอบครัวของเธอ และถัดจากนี้ก็จะกลายมาเป็นครอบครัวของภูริด้วยเช่นกัน ภูริจึงดีใจมาก ๆ ที่ในที่สุดตัวเองก็มีญาติผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ไม่ต่างจากเพื่อน

นั่งอยู่กับครอบครัวไปได้สักพัก เด็กน้อยก็หันไปเห็นว่าเพื่อน ๆ ของเขาเริ่มทยอยมากันแล้ว ภูริจึงไม่รอช้า รีบขออนุญาตแม่เลี้ยง แล้วออกไปรับเพื่อนเข้ามาทันที

และพอเห็นว่าเพื่อนทุกคนมากันครบ เจ้าตัวน้อยยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่

ทว่า..

“เอ๊ะนั่นมันคุณหนูเจ้าของวันเกิดนี่หว่า” เสียงชวนขนลุกจากฤทธิ์สุราก็ดังขึ้นมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์เพื่อนร่วมงานเก่าของพ่อภูริ ฝีเท้าของเด็กน้อยจึงหยุดกึก เพราะตนรู้สึกได้ว่าถ้าเดินต่อคงจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ “ไอ้ต้น ลูกมึงนี่ขาวจั๊วะจังเลยวะ อีพรรณีแม่มันก็ไม่เห็นขาวขนาดนี้เลย นี่ลูกพรรณีจริงหรือเปล่าวะ”

ผู้ใหญ่ในบ้านเริ่มรับรู้ถึงเสียงที่ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จากกลุ่มคนเมา ลุงกับป้าจึงออกมาดูสถานการณ์ ส่วนพ่ออย่างต้นกลับไม่คิดห้ามปราม เพราะตนเองก็เมามายอะไรไม่ต่าง

และใช่ แท้จริงแล้ววันคล้ายวันเกิดจริง ๆ ครั้งแรกในรอบสี่ปีมันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น สิ่งสำคัญที่ต้นจัดงานนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากจะจับกลุ่มกินเหล้าเมาสุรากับเพื่อนเก่าเสียมากกว่า

“ระวังปากระวังคำหน่อย” ลุงชูเอ่ยปากห้ามปราม ทว่ากลับถูกตอกกลับมาจนทำให้อารมณ์เริ่มขุ่นมัว

“โหกูแตะไม่ได้เลยใช่มั้ยลูกมึงเนี่ยต้น ไอ้เด็กเหี้ยนี่แม่งลูกเทวดาจริง ๆ ว่ะ” หนึ่งในกลุ่มนั้นกอดคอกับต้นพร้อมกับพูดหยอกล้ออย่างสนุกปาก แต่ฉับพลันกลับถูกสวนด้วยกำปั้นหนัก ๆ ของต้น ซึ่งก็เมามายไม่ต่างกัน

“มึงอย่ามาว่าลูกกู” ผู้เป็นพ่อสบถลั่น ทำเชิงว่าปกป้อง หากแต่ทุกอย่างกลับผกผันไปเสียหมดเมื่อใบหน้าคนที่โดนต่อยปรากฏของเหลวสีแดงที่จมูก

“มึงเล่นกูจนเลือดเลยหรอวะ กูแค่แซวเล่น ๆ เอง” อารมณ์ของทุกฝ่ายเริ่มครุกกรุ่น แต่ก็ได้เพียงมองหยั่งเชิงกันเท่านั้น ยังไม่มีใครกล้าเปิดฉากตะลุมบอน

“ต้นมึงพาเพื่อนมึงกลับไปเลยนะ พามันออกไปจากบ้านเลย ลูกเล็กเด็กแดงตั้งเยอะแยะ มาตั้งวงแดกเหล้าให้เด็กมอง มึงยังเป็นพ่อไอ้ภูริอยู่จริง ๆ หรือเปล่า” ลุงชูชี้หน้าด่าอย่างเหลืออดกับความต่ำทรามของคนกลุ่มนี้ ก่อนจะถูกสวนกลับมาให้เจ็บใจยิ่งกว่าเดิม

“แล้วไง มาด่าผมงี้ ที่นี่ที่ลุงอยู่เนี่ย บ้านลุงหรอ ไอ้ภูริจะเป็นยังไงมันก็ลูกผม ผมจะทำยังไงก็เรื่องของผม ลุงเป็นพ่อมันหรือไง!”

“พี่มิ้นต์ พี่บีม ทุกคนครับ ภูริว่าเราเข้าไปข้างในดีกว่า” เด็กน้อยเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเอ่ยบอกเพื่อนตัวเองก่อนจะพาทุกคนเข้าไปในบ้าน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อผู้เป็นพ่ออยากจะแสดงอำนาจให้แขกผู้มาเยือนรับรู้

“ภูริ มานี่ มาหาพ่อ” เสียงเรียกนั้นคนฟังต่างรู้ดีว่ามีแต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ ลุงชูจึงรีบกั้นภูริให้อยู่ข้างหลัง ไม่ให้บิดาเข้ามาใกล้

“กูบอกให้มานี่ไง!” ต้นตวาดลั่นท่ามกลางสายตานับสิบ ๆ คู่ฝั่งภูริทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อตะโกนแบบนั้นจิตใจก็หล่นวูบ “ไปฟังอะไรกับไอ้แก่ปากดี มาอยู่กับพ่อนี่”

..ราวกับเส้นสติที่ลุงชูพยายามคงไว้ขาดผึง ชายสูงอายุสับเท้าก้าวไปหาตัวคนเมา พร้อมกับหยิบขวดเหล้าที่วางนอนอยู่ที่พื้นมาด้วย ก่อนจะตวัดฟาดมันไปกลางศีรษะของอีกฝ่าย

เพล้ง!

เศษแก้วที่แตกกระจัดกระจายลงเต็มพื้น ฝั่งของต้นเมื่อถูกฟาดอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวเองก็เลยล้มฟุบลงไปนอนทับเศษแก้วพวกนั้น ที่ศีรษะก็เริ่มปรากฏรอยเลือดไหลโชกลงมา โชคดีที่ต้นยังไม่หมดสติ และแรงกระแทกเมื่อครู่ก็ทำให้ต้นสร่างจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ชั่วครู่

“ถุ้ย” ต้นถมน้ำลายที่ผสมปนเปกับเลือดใส่เท้าลุงชู ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวเขาเองจำได้เพียงแต่เหตุการณ์ที่ตัวเองถูกลุงชูฟาด อารมณ์ของต้นจึงเริ่มปะทุดั่งเปลวไฟ “มึงออกไปจากบ้านกูเลยนะไอ้แก่! ออกไปเลย! สันดานอย่างมึงกูขอให้ไม่ตายดี

ลุงชูกำหมัดแน่นหมายจะชกหน้าอีกฝ่ายซ้ำ ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเสียก่อน เมื่อเด็กน้อยที่เคยหลบอยู่ด้านหลัง จู่ ๆ ก็เดินออกมาข้างหน้าเขา

ภูริที่ร่างกายอิดโรยเชยสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ..ภูริไม่เคยอยากทำคำขอไหนให้เป็นจริงเลย โดยเฉพาะคำขอนี้

“ลุงครับ..”

“...”

“ภูริขอโทษ”

..หลังจากที่หันไปพูดกับลุงชูเสร็จแล้ว ภูริก็หันกลับมาหาผู้ที่เอ่ยคำขอ เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น แววตาของตนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทมิฬโดยมีฝ้าควันพาดผ่าน ทิวทัศน์รอบนอกสำหรับภูริเริ่มมืดมน เสียงกระซิบนับสิบ ๆ เสียงดังอยู่ข้าง ๆ หูเด็กน้อย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างสะใจ เสียงร้องคำรามอวดอำนาจของสรรพสัตว์ ฉับพลันหลังจากนั้นภูริก็ถูกแย่งร่างไป

ทว่ากับครั้งนี้ภูริกลับเลือกที่จะต่อต้าน เด็กน้อยพยายามกัดปากตัวเองสู้แรงวิญญาณที่บังคับให้เขาพูด กระทั่งขบฟันทำเอาเนื้อเยื่อที่ริมฝีปากเป็นแผล เลือดจึงไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด

แต่ภูริก็ไม่สามารถขัดขวางสิ่งเหล่านั้นได้

สุดท้าย..ภูริก็ส่งเสียงออกมา แม้จะอู้อี้เพราะเลือดที่เต็มไปหมดทั้งปาก แต่คนฟังก็ยังพอจะฟังออกว่าภูริพูดอะไร

“อีกไม่นานลุงชูจะโมโหแล้วขับรถกลับบ้านไปกับป้าเพียร ระหว่างทางฝนจะตกหนัก ฟ้าจะผ่าโดนต้นไม้จนมันล้มทับรถของลุงชูทั้งคัน ป้าเพียรจะรอดแต่อาการสาหัส ส่วนลุงชูจะคอหักตาย”

ต้นถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อเห็นท่าทีของลูกตัวเองพร้อมกับได้ยินสิ่งที่ลูกสาปแช่ง เขาพยายามจะพูดโต้ตอบกลับไป แต่กลับส่งเสียงอะไรไม่ได้เลย เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ...ที่ได้ยินเสียงภูริเหมือนกัน

ที่ผ่านมาหากได้ยินคำขอใด ๆ ก็ตาม ภูริจะสามารถสื่อสารโดยตรงกับผู้ที่ขอได้ โดยที่ไม่มีใครได้ยินหรือรับรู้อะไร เป็นแบบนั้นอยู่ทุกครั้งเว้นก็แต่ครั้งนี้ ที่ตลอดทั้งวันภูริเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมามาก ความเจ็บปวดที่หัวใจมันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนร่างกายเขาอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะบังคับวิญญาณเหล่านั้นให้สื่อสารเฉพาะคน ๆ เดียว ภูริจึงพ่ายแพ้ไปหมดทุกอย่าง ทำให้แรงอาฆาตและความสะใจที่ได้ลิ้มรสเลือดของหมู่วิญญาณเหล่านั้นรุนแรงยิ่งกว่า

“ไม่ว่าลุงชูไม่เชื่อหรือเชื่อแล้วคิดจะหนี ยังไงลุงชูก็หนีไม่พ้น ถ้าไปอาศัยรถคนอื่นกลับ รถคันนั้นก็จะโดนแทน ถ้าจะอยู่ที่นี่ ลุงชูก็จะตายเพราะฟ้าผ่า”

ภูริยกสองมือขึ้นมาป้องปากตัวเองไม่ให้พูดอะไรต่อ เด็กน้อยพยายามขัดขืน แม้จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดก็ตาม

พี่มิ้นต์ และเพื่อนคนอื่น ๆ จ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ตื่นตระหนก ก็คงไม่แปลกที่จะมองแบบนั้น เพราะพวกเขาสงสัยกันอยู่แล้วว่าภูริเป็นตัวอะไร

นี่ไง..คำตอบที่พวกเขาอยากได้

ทีนี้ในสายตาของพวกเขา...ภูริก็คงไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นอีกต่อไปแล้ว



หยดเลือดเริ่มผสมปนเปออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตา เป็นเพราะภูริพยายามขัดขืน ดวงวิญญาณเหล่านั้นเลยสั่งสอนให้ภูริตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ทำมันเปล่าประโยชน์

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป”เด็กน้อยนัยน์ตาสีทมิฬพยายามกัดมือตัวเองเพื่อกั้นเสียงไว้ ร่างกายสั่นเทาไปหมดเพราะแรงสะอื้น

‘อย่า.. อย่าพูดออกไปเลยนะ’ เขาพยายามวอนขอต่อดวงวิญญาณ

แต่ก็ไร้ค่า..“ยังไงพวกแกทุกคนที่มีเลือดของคนในหมู่บ้านนี้ก็ต้องตาย”



ทันทีที่สิ้นประโยค เปลือกตาของเด็กน้อยก็ค่อย ๆ หรี่ลง เช่นเดียวกับร่างกายที่ค่อย ๆ เอนอ่อนไปด้านหลัง ก่อนจะถูกแรงดึงดูดโลกดึงลงมาจนเด็กน้อยผู้น่าสงสารหงายหลังลงไป ศีรษะน้อย ๆ กระแทกกับพื้นดินค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูริเจ็บปวดอะไรเลย

เพราะตอนนี้ภูริ..ไม่ได้หายใจแล้ว



สองชั่วโมงผ่านไป ภูริรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งบนโซฟานุ่ม รอบกายเขามีผู้คนห้อมล้อมมากมาย พอเด็กน้อยเริ่มขยับตัว แรงบีบที่แขนก็เกิดขึ้นจนภูริรู้สึกเจ็บ

“เมื่อกี้มึงพูดอะไรนะ” ยายแม้นรีบโพล่งขึ้นถามด้วยอารมณ์กริ้วโกรธ ดวงตาทั้งสองข้างนองเอ่อไปด้วยรอยน้ำตา “เมื่อกี้มึงแช่งลูกกูใช่ไหม.. มึงรู้มั้ย ..รู้มั้ยมึงทำอะไรลงไป”

“...” ภูริมองภาพที่เห็นอย่างปวดใจ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงพร่า “ลุงชู..เขาตายแล้วใช่มั้ยครับ”

“ตอนแรกลุงเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ภูริพูด เลยกระฟัดกระเฟียดแล้วกลับบ้านไปพร้อมกับป้าเพียร แต่พอออกไปได้ไม่นานฝนก็ตก แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่า เลยให้คนขับรถตามไปดู แล้วพอไปเจอ ทุกอย่างมันก็เป็นเหมือนที่หนูพูดเลยป้าเพียรบาดเจ็บสาหัส ส่วนลุงชู...แกคอหักตาย” แม่เลี้ยงอธิบายทุกอย่างให้ลูกฟัง ก่อนจะถามต่อ “หนูรู้ได้ยังไงภูริ ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“ผี” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในวงล้อมตรงนั้นพูดขึ้น ก่อนจะแทรกตัวเข้าไป แล้วชี้หน้าภูริ“มันเป็นผี”

“พี่โอม..” ภูริเอ่ยชื่ออย่างเจ็บปวด ฉับพลันความอ่อนแอเริ่มกัดกินตัวเขาอีกครั้ง เปิดทางให้หมู่วิญญาณเหล่านั้นแทรกปรากฎตัว หลอดไฟทุกดวงภายในบ้านติด ๆ ดับ ๆ ก่อนจะดับสนิทไปหมดทุกดวง มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง

ฝูงชนที่ห้อมล้อมภูริเริ่มถอยห่างออกมา ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมจิตใจ บางคนก็สติแตกวิ่งร้องออกไปนอกบ้าน บางคนก็กรีดร้องเสียงโหยหวนอยู่ตรงนั้น เพราะพอพวกเขาถอยออกมา พื้นที่ว่างรอบ ๆ ภูริก็ปรากฏเงาของสรรพสัตว์นานาชนิด โดยแม้แต่เงาของภูริเองก็ไม่ใช่เงามนุษย์

ภูริหันหน้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าเศร้าโศก แสงจันทร์ที่สะท้อนเข้ามา ทำให้ใบหน้าของภูริชัดเจนมากขึ้นในสายตาของทุก ๆ คน ณ ที่ตรงนั้น

“ดูตามัน เดี๋ยวดำเดี๋ยวขุ่น อย่างนี้มันไม่ปกติ” เสียงของตา ผู้ชายใจดีที่แกะกุ้งตัวโตให้ภูริกิน

“เด็กผี...มันเป็นผีจริง ๆ” เสียงของแม่ ..ผู้หญิงที่ภูริรักมากที่สุด

“เดรัจฉานมาเกิด” เสียงของยาย ถึงแม้เธอจะอายุเยอะแล้วแต่ก็ใจเย็น และคอยดูแลภูริเสมอตอนที่ร่วมโต๊ะอาหาร

แม้แต่มิ้นต์ พี่มิ้นต์ที่ไม่เคยใจร้ายกับภูริเลย แต่ตอนนี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหรือสบตากันอีกต่อไปแล้ว

“ย..อย่าเกลียด หรือกลัวภูริเลยนะ”เด็กน้อยพูดเสียงสั่น หลังจากพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหาคนที่ตัวเองรัก “แม่ครับ.. แม่ ภูริเจ็บ..”

“อย่า.. อย่าเข้ามาใกล้นะ!” เธอปัดมือลูกเลี้ยงออกไปจนเด็กประหลาดในสายตาเธอล้มลง

“พี่มิ้นต์ ภูริเจ็บ..” ภูริมองหาความหวังสุดท้าย ก่อนจะค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปหามิ้นต์

ทว่าพอยิ่งไปใกล้ ปลายเท้าของพี่มิ้นต์ก็ค่อย ๆ ร่นถอยหลังไป ภูริจึงรับรู้ทันทีว่าตอนนี้ตัวเองคงไม่เหลือใครแล้ว แต่กระนั้นลึก ๆ ในใจก็ยังอยากได้รับอ้อมกอดอุ่น ๆ ของใครสักคนอยู่ดี

“วันนี้วันเกิดภูริ ทุกคนรู้มั้ย..ภูริดีใจมากตอนที่ได้ยินว่าพ่อกับแม่จะจัดงานให้แบบใหญ่โต เพราะเป็นวันพิเศษในรอบสี่ปี”

“...”

“แต่พอทุกอย่างมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ภูริเจ็บเหลือเกิน..”

“...”

“ภูริเจ็บตรงนี้..”

“...”

“เจ็บมาก ๆ..”

“...”



“เจ็บที่หัวใจ”















—TBC—


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
06 Hunting





เนื้อหารุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณ อนึ่ง แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น



“ที่พรรณีตาย ก็เพราะแกใช่มั้ย” ต้นเขย่าตัวลูกน้อยเพื่อเค้นหาคำตอบอย่างแรง พอในหัวปะติดปะต่ออะไรหลาย ๆ อย่างได้ ต้นจึงได้มั่นใจว่าทำไมภูริกับเด็กในฝันถึงเหมือนกัน“แกมาเพื่อแก้แค้นใช่มั้ย”

“...” ส่วนเด็กน้อยนั้น ด้วยแรงของพ่อ น้ำตาของเขาจึงพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายพร้อมกับเสียงสะอื้น “พ่อ ภูริเจ็บ..”

“หึ”

“ปล่อยภูริเถอะนะ..”

“ถ้าผีป่าพวกนั้นอยากใช้ไอ้เด็กนี่เป็นเครื่องมือล้างแค้น วิธีหยุดมันก็ง่ายนิดเดียว” ต้นหันไปพูดกับคนอื่น ๆ ก่อนจะหันกลับมาที่ภูริอีกครั้ง

“ฆ่ามันทิ้งซะก็จบ”





..นั่นคือเรื่องราวในช่วงสี่ปีแรกของเด็กที่เกิดมาพร้อมกับคำสาปอันมีเหตุมาจากการกระทำของบุพการี จากเหตุการณ์ในคืนวันเกิดนั้น ผู้คนมากมายต่างก็ปักใจเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นอมนุษย์ ดั่งคำที่ว่า ‘เดรัจฉานมาเกิด’ ซึ่งฝังลึกอยู่ในใจของภูริ

และภูริก็ทำได้แค่ ‘หนี’ เพื่อเอาชีวิตรอดตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา



“พี่มิ้นต์ ภูริไม่เหลือใครแล้ว”เด็กน้อยร้องห่มร้องไห้เมื่อพี่สาวคนนี้ยอมเปิดประตูให้ ภูริเดินลากสังขารตัวเองมาจากบ้าน ก่อนจะลัดเลาะตามป่าตามสวน จนสภาพมอมแมมไร้เค้าคุณหนูเฉกเช่นคืนวาน “ภูริไม่มีวันทำร้ายพี่มิ้นต์หรอกนะ พี่มิ้นต์เชื่อภูริสักครั้งได้มั้ย..ฮือ”

“...” มิ้นต์ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ใจอ่อน เพราะภาพที่ครอบครัวนั้นวิ่งล่าเด็กคนนี้มันยังติดตา “พี่ขอโทษนะที่ห้ามคนอื่น ๆ ไม่ได้เลย” เอาจริง ๆ มิ้นต์ก็โกรธตัวเองอยู่เหมือนกันที่ทำได้แค่ยืนมองเพราะหวาดกลัว จนภูริมีสภาพเป็นแบบนี้

“ภูริเจ็บนะที่ทุกคนทำแบบนี้กับภูริ แต่ภูริไม่โกรธหรอกครับ”

“เอางี้ ภูริจำกระท่อมสวนหลังบ้านพี่ได้ใช่มั้ย ภูริไปอยู่ในนั้นก่อนนะ ห้ามออกมาเด็ดขาดเลย แต่เดี๋ยวพี่จะแวะเอาข้าวไปให้ โอเคไหม?”

“โอเคครับ ขอบคุณมากนะพี่มิ้นต์ พี่มิ้นต์ดูรักภูริมากกว่าที่..พ่อกับแม่รักซะอีก”

“อย่าคิดมากเลยนะ ไปหลบก่อนไป เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

ด้วยเหตุนี้ บ้านหลังที่สองของภูริจึงเป็นกระท่อมหลังนั้น แม้จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย แต่ภูริก็สามารถปรับตัวและอาศัยอยู่ในนั้นได้เป็นปี ๆ โดยแทบจะไม่ได้ออกมาเจอแสงตะวัน

มิ้นต์จะแวะเอาข้าวหนึ่งปิ่นโตมาให้เขาทุกเช้า วันไหนที่เป็นวันหยุดก็จะเข้ามานั่งเล่นกับภูริบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้บ่อยมากนักเพราะเธอกลัวคนอื่นจะสงสัย ในเมื่อคนในหมู่บ้านเข้าใจว่าภูริอาจจะตายไปแล้ว เธอก็อยากให้เข้าใจแบบนั้นต่อไป

มิ้นต์อยากให้ภูริได้เรียนหนังสือ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ได้มีที่นอนสบาย ๆ ไม่ใช่พื้นไม้แข็ง ๆ แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงแบ่งปันหนังสือให้ แล้วสอนภูริสะกดคำ เพราะแม้แต่ตัวเธอเอง เธอก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะหลบซ่อนไปได้อีกนานแค่ไหน สุดท้ายยังไงความลับก็ต้องมีคนล่วงรู้



“พี่มิ้นต์ ช่วงนี้พี่ดูเหนื่อย ๆ นะ โอเคมั้ยเนี่ย?” โอมกระชับกระเป๋านักเรียนขึ้นแล้วเอ่ยถาม “หรือพอไปเรียนในอำเภอแล้วเหนื่อยเดินทางใช่มั้ยพี่ โอมเบื่อสองแถวตาคุ้มเหมือนกัน ฝุ่นเขรอะเหมือนไม่เคยล้างรถเลย”

“คงงั้นมั้ง” มิ้นต์แค่นขำ “แล้วนี่เลิกเรียนนานแล้วทำไมพึ่งกลับบ้านล่ะ?”

“เตะบอลอะ พึ่งเสร็จ แล้วพอออกมาก็เห็นพี่ลงมาจากสองแถวพอดี” โอมถกชายเสื้อนักเรียนขึ้นมาซับเหงื่อ “เออพี่ ไอ้ภูริมันตายแล้วจริง ๆ หรอวะ”

“ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่เคยเจอมันเหมือนกัน ตั้งแต่วันเกิดมันปีนั้น สามปีมาแล้วมั้ง”

“เหมือนกัน ทีแรกโอมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอะ แต่พอมันทำลุงคนนั้นตายได้ แถมทำแม่โอมถูกหวยได้อีก โอมปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีจริง” โอมถอนหายใจ “จริง ๆ โอมสงสารมันนะ พี่ก็เห็นใช่มั้ยว่ามันเป็นยังไงตอนที่สาปคนอื่น”

“อือ เห็น เลือดเต็มไปหมด ภูริดูเจ็บปวดมากเลย”

“ยิ่งตอนที่คนในบ้านมันวิ่งไล่ฆ่ามันอะ โอมโคตรสงสาร แต่ก็กลัว” สีหน้าโอมดูจริงจังขึ้นมาจนทำให้มิ้นต์เริ่มเชื่อใน ‘ความห่วงใย’ ที่โอมแสดง

“เอาจริงโอมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลยนะ โอมอยากเจอมัน โอมอยากขอโทษ” โอมพูดต่ออีก

“โอม คือ..” ภูริเคยบอกมิ้นต์ว่าภูริคิดถึงเพื่อน คิดถึงคนอื่น ๆ งั้นถ้า..“โอมอยากไปเจอภูริมั้ย”มิ้นต์จะพาโอมไปเจอภูริล่ะ..?

“ฮะ? หมายถึงยังไงอะ นี่พี่ไม่ได้ไล่โอมไปตายใช่มั้ยเนี่ย”

“ไม่ใช่ คือ..จริง ๆ ภูริยังไม่ตาย แล้วก็ไม่ได้หนีไปไหนไกลด้วย”

“...” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจสิ่งที่มิ้นต์พูดเลยแม้แต่น้อย

“ภูริคิดถึงพวกโอมมากนะ” มิ้นต์ขยำชายกระโปรงแน่นเพื่อระบายความตื่นเต้น หากจะพูดออกไป “ถ้าพี่จะพาไปเจอ โอมห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าภูริยังอยู่ สัญญานะ”

“ก็ได้ครับ ..โอมสัญญา



นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ภูริยิ้มแฉ่งอย่างสดใสด้วยความสุขจากก้นบึ้งหัวใจ เด็กน้อยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ซ้ำยังตรงกันข้าม เขากลับพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ราวกับการพบพานครั้งนี้จุดประกายชีวิตให้เขาอีกครั้ง

“สำหรับภูริมันสำคัญขนาดนั้นเชียวล่ะ” มิ้นต์พูดขึ้น

“หมายถึงที่พี่บอกโอมน่ะหรอ”

“ใช่ โอมห้ามบอกใครเลยนะ เพราะถ้ามีคนรู้เพิ่มอีก..”

“...”

“ภูริคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

เมื่อโอมรับปากเป็นมั่นเหมาะ ช่วงเวลาต่อมามิ้นต์จึงได้ยินเสียงภูริหัวเราะมากขึ้น สีหน้าโศกเศร้าในอดีตเลือนลางลงจนแทบจะหายไป

แต่ภูริก็ไม่เคยลืมเลยว่า...ท้ายที่สุดแล้ว

ความโลภของมนุษย์ก็ยังคงอยู่



“ภูริ รู้จักพี่น้ำใช่มั้ย เขาสวยเนอะ คนเข้ามาจีบก็เยอะ พี่ไม่รู้ว่าพี่มีหวังมั้ย”

“...!” ไม่.. พี่โอมอย่าพูดออกมานะ..

“พี่อยากได้เขาเป็นแฟนมากเลย”

..หลายเดือนผ่านไปหลังจากที่ภูริเชื่อใจและไว้ใจรุ่นพี่คนนี้อย่างเต็มอก เขาก็ถูกทำร้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทุกครั้งที่มิ้นต์ไม่ได้มาด้วยโอมจะแกล้งเข้ามาชวนคุย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และตบท้ายด้วยการ ‘ขอ’ สิ่งใดสิ่งหนึ่งกับภูริเสมอ

พอสมปรารถนาก็เดินออกไป ขณะที่ภูริค่อย ๆ จมสู่ความทรมานจากการตาย

“ห้ามบอกพี่มิ้นต์นะว่าพี่ขออะไรภูริ”

“แต่พี่โอม ภูริเจ็บ.. ไม่เอาแล้วได้มั้ย”

“พี่เดือดร้อนไง ช่วยหน่อยสิ หรือไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว..?”

“...”

“หรือไม่อยากเห็นหน้าพี่กับพี่มิ้นต์แล้ว?” โอมก้าวเท้าเข้าหาพร้อมกับขึ้นเสียงใส่ ภูริจึงถอยกรูดจนติดกำแพง

“อ..อยากสิครับ” เด็กน้อยตัวสั่นงันงกพยักหน้ารับเพราะกลัวจะเสียทุกอย่างไป “ภูริอยากเล่นกับพี่มิ้นต์ กับพี่โอม กับทุกคนเลย”

“ดี งั้นก็ฟังพี่”

“แค่นี้พี่โอมกับพี่มิ้นต์ก็จะมาหาภูริได้บ่อย ๆ แล้วใช่มั้ย..?”

“ใช่แล้ว”

“โอเค ภูริทนได้”

สุดท้ายก็ลงเอยด้วยพันธะที่ภูริต้องกลั้นใจยอมรับ เป็นแบบนั้นแล้วโอมจึงยิ่งได้ใจใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็จะเข้ามาหาภูริ คึกคะนองจนถึงจุด ๆ หนึ่งที่จะพลิกผันตัวเขาเอง

“ภูริจะว่าอะไรมั้ยถ้าพี่จะพาแม่พี่มาหาภูริ?” นั่นเป็นสิ่งที่โอมร้องขอ ครอบครัวของเขาสังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะเห็นว่าลูกชายอยากได้อะไรวันต่อมาก็จะได้แบบนั้น ผู้เป็นแม่จึงนึกถึงเด็กคนนึงขึ้นมาทันที เด็กคนนั้น...ที่สั่งให้คนตายได้

ภูริไม่อาจปฏิเสธรุ่นพี่ได้ ไม่นานหลังจากวันนั้น แม่ของโอมก็เข้ามาหา โดยกล่าววาจาสัญญาใจอย่างดิบดีว่าจะไม่บอกใคร

แต่..แย่หน่อยที่ความโลภของสตรีผู้นี้นั้นเกินจะเยียวยา

“หนูจ๊ะ น้าน่ะไปจำนองรถเอาไว้เพราะนาข้าวน้าน้ำท่วม ข้าวเสียหมด หนี้สินก็เลยท่วมหัว แทงหวยก็ไม่ถูกเลย ถูกแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวที่หนูทำให้น้ารวย แต่ตอนนี้น้าลำบากเหลือเกิน ภูริบอกน้าสิจ๊ะน้าต้องทำยังไงน้าถึงจะมีกินมีใช้เหมือนเมื่อก่อน” เธอชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายยาวเหยียด ทว่าภูริมองเพียงแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าเธอติดพนันจนหมดตัว “น้าอยากได้รถคืน อยากมีบ้านสวย ๆ เหมือนบ้านพ่อหนู อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

เธอร่ายคำขอมากมายไม่หยุดปาก มือทั้งสองข้างก็ประนมไหว้อย่างกับภูริเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฝั่งลูกชายที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ ก็เอาด้วยเหมือนกัน ส่งสายตาเว้าวอนไม่รู้หยุด กระทั่งผู้เป็นแม่หลุดพูดคำ ๆ หนึ่งออกมา ม่านหมอกสีขุ่นจึงออกมาปกคลุมดวงตาสีนิล

“น้ายอมหมดทุกอย่างเลยถ้าได้ทั้งหมดนั่น”

หากแต่ครานี้แม้ภูริจะถูกหมู่ดวงวิญญาณแย่งร่างไปแล้ว แต่เขากลับไม่พูดอะไรตอบกลับมาเลยแม้แต่คำเดียว สายตาที่แข็งกร้าวจ้องลึกไปยังนัยน์ตาของสตรีตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

...ก่อนจะกลืนกินดวงวิญญาณของเธอ



เดิมทีหากมีผู้ใดเอ่ยคำขอใด ๆ มาก็ตาม ผู้ที่ถูกกัดกินจิตวิญญาณจะเป็นภูริ ทำให้อายุขัยลดลงอย่างช้า ๆ ทว่าครั้งนี้แม่ของโอมเกิดลั่นปากออกมาว่าเธอ ‘ยอมทุกอย่าง’ ซึ่งนั่นหมายถึงการยอมแลกทั้งชีวิตเพื่อคำขอของเธอ

หมู่ดวงวิญญาณจึงสิงสู่ร่างของภูริและดื่มกินอายุขัยของเธออย่างตะกละมูมมาม จนเธอสิ้นลมหายใจต่อหน้าลูกชาย

หลังจากนั้นฝ้าควันในนัยน์ตาสีนิลก็เริ่มจางลง ก่อนจะหายไปในที่สุด ภูริกลับมาเป็นเด็กน้อยคนเดิมอีกครั้ง

และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องรับผลของการกระทำที่ตัวเองไม่ได้กระทำ

“ภูริ มึงทำอะไรแม่กู” โอมจ้องเขม็งมาด้วยแววตากริ้วโกรธ น้ำตาเขาไหลพราก เส้นเลือดที่มือปูดโปนเพราะหมัดที่กำแน่นเพื่อระบายความแค้น ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วกระโจนเข้ามาบีบคอภูริอย่างเอาเป็นเอาตาย

กำปั้นนับไม่ถ้วนซัดใส่ใบหน้าสีนวล แม้เลือดจะรินไหลออกมาจนชาไปหมดแล้ว แต่ภูริก็ยังถูกกระทำต่อไป

‘ซักวันนึงภูริจะมีชีวิตที่ดีนะ' มิ้นต์เคยบอกแบบนั้น แต่ว่า..เมื่อไหร่กันล่ะ

เมื่อไหร่ความเจ็บปวดนี้จะผ่านพ้นไปเสียที



ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป ภูริถูกสาปแช่งจนนับคำไม่ได้จากปากของโอม ถูกทำร้ายจนทุกส่วนของร่างกายขยับเขยื้อนไม่ไหว เด็กน้อยไม่อาจคิดว่าตัวเองจะทนบาดแผลพวกนี้ได้ไหว ทว่าจู่ ๆ เสียงเย็นยะเยือกของยายชราก็แว่วผ่านหู

‘หนูเป็นหลานของยาย หนูจะไม่เป็นอะไร ..หลับฝันเสียเถิดหนา รอเวลาของเรา’

เพียงชั่วครู่บรรยากาศรอบตัวที่ควรจะหนาวเหน็บก็อุ่นขึ้นจนรู้สึกสบาย บาดแผลที่ควรเจ็บปวดก็ทุเลาเบาลง ไม่นานภูริจึงดำดิ่งสู่ความฝันแสนหวาน

หากแต่สิบชั่วโมงต่อมาเด็กน้อยก็ต้องตกลงสู่ขุมนรกอีกครั้ง



งานศพของสตรีคนนั้นถูกจัดขึ้นท่ามกลางความโศกเศร้าและความงุนงงสงสัย ที่จริงแม่ของโอมเธอแข็งแรง แต่กลับสิ้นชีวิตด้วยสาเหตุที่แพทย์ให้เหตุผลไว้ว่า เธอความดันขึ้นสูงจนเส้นเลือดในสมองแตกตาย เครือญาติหลายคนจึงเริ่มพูดถึงเหตุการณ์สยองเมื่อยี่สิบเก้ากุมภาครั้งก่อน

“ได้ยินว่าตอนนั้นเด็กคนนึงสั่งคนตายได้ มันจริงหรือเปล่าโอม”

“...” เด็กหนุ่มกัดฟันเมื่อนึกถึงภาพที่แม่ตนถูกพรากไป ก่อนจะมองหาลุงต้น พ่อของภูริที่มาร่วมงาน แล้วเอ่ยตอบโดยจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “จริงครับป้า โอมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ แม่โอมถึงเสีย หรือจริง ๆ แล้วไอ้ภูริมันยังไม่ตาย ..โอมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันน่ะไม่ชอบขี้หน้าโอม โอมจำได้”

ต้นหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อ หัวใจเขาเต้นระส่ำ ความกลัวเข้ากัดกิน ในใจคิดวน ๆ ซ้ำ ๆ เพียงแค่‘วันนั้นกูฆ่ามันไปแล้วไม่ใช่หรอวะ’

และใช่... ยี่สิบเก้ากุมภาครั้งที่แล้ว หลังจากงานวันเกิด ภูริถูกพ่อแท้ ๆ กับบรรดาเครือญาติและอดีตคนงานวิ่งไล่ฆ่า

ภูริโดนปาก้อนหินใส่ โดนทุบด้วยไม้ ถูกยันด้วยเท้าหนัก ๆ ที่หน้าท้อง กระทั่งเขานอนกุมท้องนิ่ง พวกผู้ใหญ่ก็ยังไม่หยุดทำร้าย พวกเขาใช้ไม้ใหญ่ ๆ ฟาดซ้ำ ๆ พอมั่นใจว่าภูริลุกไม่ได้แล้ว ก็จับโยนลงน้ำ

ทว่าขณะที่ร่างกายกำลังจมดิ่งลงมวลน้ำก็ดันตัวเขาให้ลอยขึ้น บาดแผลลึกค่อย ๆ สมานกันรอยเลือดจางหายไปบางส่วน ภูริรู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่เจ็บอะไรมาก รู้เพียงตนนอนสลบอยู่ริมแม่น้ำ

ถึงแม้บาดแผลพวกนั้นจะหายไป แต่ความเจ็บปวดทรมานในตอนนั้นยังคงฝังลึกในจิตใจอย่างไม่มีวันจางหาย

‘คนเราหลบหลีกโชคชะตาไม่ได้’ ภูริในวัยเจ็ดขวบปีเริ่มเข้าใจในคำ ๆ นี้ โชคชะตากำหนดให้เขาเป็นตัวกาลกิณีของที่นี่

“ภูริมันยังไม่ตายจริง ๆ พี่ต้น ผมเห็นมันแถวบ้านแม่ยิ้ม!”

และเขา..ก็คงจะเป็นแบบนั้นตลอดไป



...ข้อมือเล็กถูกพันไว้กับเสาด้วยเชือกเส้นหนา ข้างบนมีหินก้อนยักษ์ที่จวนจะร่วงอยู่รอมร่อ ส่วนเบื้องหน้ารอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างก็ตะโกนสาปแช่ง ด้วยรากเหง้าสติปัญญาที่ถูกตีกรอบด้วยค่านิยมทางศาสนาแบบผิดเพี้ยน

พอรู้ว่าที่นี่มีตัวกาลกิณี รู้ว่าภูริเป็นผีเจ้าป่าเจ้าเขามาเกิดเพื่อเอาคืนกับสิ่งที่คนในหมู่บ้านเคยกระทำ พวกเขาก็แทบจะไม่ต้องหาเหตุผลอื่นใดมาปกป้องหรือให้ค่าชีวิตเด็กคนนี้เลย

“มันฆ่าแม่โอม โอมเห็นกับตา!!!” เสียงเด็กหนุ่มดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ประสานมากับเสียงก่นด่า พอพูดจบโอมก็แทรกตัวขึ้นมาข้างหน้า ชี้หน้าภูริก่อนจะหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาเขวี้ยงจนโดนสันจมูกเข้าอย่างจัง “แค่นี้มันยังน้อยไอ้สัมภเวสี!”

“...” เด็กน้อยหน้าหันไปตามแรงหิน รอยช้ำเกิดขึ้นทันทีเช่นเดียวกับความเจ็บปวด ทว่าครั้งนี้ภูริกลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ในหัวมีเพียงคำว่า

‘อีกแล้วหรอ?’

เขาต้องถูกทรมานจนกว่าคนพวกนี้จะพอใจอีกแล้วใช่มั้ย..?

“พี่โอม ภูริขอโทษ” เด็กน้อยหันกลับมาก่อนจะพิงศีรษะกับเสาสูง ก้อนหินก้อนยักษ์ที่ตรึงอยู่บนเสาเอนเอียงเล็กน้อย หมู่ฝังชนจึงถอยกรูดกันเป็นแถว ฮ่า ๆ ตลกดีเหมือนกันที่พวกเขานึกกลัวตาย แต่กลับยัดเยียดความตายให้ภูริรับผิดชอบ

งั้นก็เอาสิ...เอาเลย

คราวนี้จะมอบความตายแบบไหนให้ภูริอีกล่ะ?

“ลูกลุงนะลุงต้น ลุงต้องรับผิดชอบสิ่งที่มันทำ!” โอมเคียดแค้นจนริ้วเส้นเลือดขึ้นหน้า

“ไม่ต้องมาบอกกูกูก็จะทำ เด็กนี่ลูกกูซะเมื่อไหร่ มันเป็นผีป่าที่มาสิงในร่างลูกกู ส่วนภูริจริง ๆ มันตายตั้งแต่คลอดแล้ว ตายพร้อมพรรณีแม่มันนั่นแหละ!”

“ไอ้ต้นพูดมีเหตุผล ตั้งแต่มันเกิดมามันทำคนตายไปสามคน ถ้าเกิดปล่อยไว้พวกเราคงได้ตายกันทั้งหมู่บ้าน” พวกผู้ใหญ่เสริม ภูริที่ฟังอยู่ริมฝีปากสั่นระริ้วระรัว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ในใจอยากจะบอกพวกเขาไปเสียเหลือเกินว่าเด็กที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่แบบที่เขาคิดกันเลย

‘ผมยังเป็นคน และผมยังรับรู้ถึงความเจ็บปวด..’

“แต่ครั้งก่อนที่กูทำพิธีไล่มัน มันก็ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ ขนาดตอนนั้นที่ร่างกายมีแต่แผล มาตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่รอยเดียว” ต้นพูดต่อ

“ก็จริง ตอนที่โยนลงน้ำ พวกกูมั่นใจแล้วว่ามันจมไปแล้ว แต่วันนี้มันก็ยังรอดกลับมาได้” พวกคนงานเสริมทับ “งั้นแสดงว่าวิธีพวกนั้นใช้ไล่มันไปไม่ได้”

“งั้นเอางี้มั้ยครับ” โอมพูดแทรกขึ้นมา ภูริที่รับรู้ถึงภาวะการณ์ข้างหน้าผ่านดวงตาของอีกฝ่ายจู่ ๆ ก็แค่นขำออกมา

“ฝังมันทั้งเป็นไปเลย”

ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบทั้งสองข้างแก้ม



“ทุกคนครับ” เด็กน้อยพูดเสียงสั่น “ช่วย..ถอยออกไปหน่อยได้มั้ย”

“...”

ถ้าขยับแรง ๆ หินที่ห้อยอยู่ข้างบนนั่นก็จะร่วงลงมา นี่เป็นกลไลของเสาทรชน

“ถ้าภูริตาย ทุกคนก็ไม่ต้องลำบากกันแล้วใช่มั้ย” เด็กน้อยคลี่ยิ้มแม้ดวงใจจะปวดร้าว พอเห็นว่าทุกคนถอยกรูดออกไปกันหมด

“เออดี เอาเลย! ตายเลย!”

“ถ้าใจมันยอมตายมันก็คงจะตาย!”

“ดี! เราจะได้อยู่กันสงบ ๆ ซักที”

ฮ่า ๆ เป็นคำอำลาที่ไพเราะเหลือเกิน

...ข้อมือเล็กเริ่มดึงดันอย่างแรงจนเสียดสีกับเสา อุปกรณ์คร่าชีวิตชิ้นนี้จึงเริ่มทำงาน

“ไม่ ภูริ อย่า!” เสียงมิ้นต์ดังขึ้น เธอในชุดนักเรียนมัธยมปลายวิ่งพุ่งเข้ามาหมายจะกอดร่างเด็กน้อยไว้ แต่แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อก้อนหินนั้นกลับไม่ร่วงใส่คนที่อยู่ข้างล่างตรง ๆ หากแต่มันดันเฉียงไปกระแทกกับเสาอย่างแรงจนแตกออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งกระเด็นไปใส่หัวหนึ่งในฝูงชนจนตายคาที่ส่วนอีกซีกหล่นทับขามิ้นต์จนกระดูกข้อเท้าเธอแตกละเอียด

“!!!!!!!!!!” เสียงหวีดร้องดังขึ้นอย่างบ้าระห่ำ เคล้าคลอกับเสียงร้องไห้อย่างหนักของภูริ

“พี่มิ้นต์!!!!!!!!!” เด็กน้อยร้องเรียกชื่อทั้งน้ำตา ขณะที่พี่สาวโอบกอดร่างไว้ด้วยลมหายใจที่รวยริน ขาของเธออาบไปด้วยเลือดแถมยังขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“นี่ไง นี่ไง..ครั้งนี้พี่ปกป้องภูริไว้ได้แล้ว..” มิ้นต์พูดอยู่ข้าง ๆ หู มือสั่น ๆ ข้างหนึ่งของเธอเอื้อมขึ้นมาลูบหัว ก่อนจะประสานสองมือแก้ปมเชือกที่ข้อมือภูริ “หนีไปภูริ ...หนีไปให้ไกล แล้วอย่าได้กลับมาที่นี่อีก”

ได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็หยุดน้ำตาตัวเองไม่ได้เลย ผู้หญิงคนนี้รักเธอด้วยหัวใจ รักอย่างบริสุทธิ์ตลอดมา

“ไม่ใช่ภูริที่ควรหนี แต่เป็นพี่ต่างหากพี่มิ้นต์”

“...”

“พี่ไม่ควรเข้ามาช่วยภูริเลย”

“พี่รู้..พี่รู้และเข้าใจดีว่าสุดท้ายพี่ก็ต้องตายเหมือนกับทุกคนในหมู่บ้าน” มิ้นคลายอ้อมกอดมามองหน้าเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เธอรักเหมือนคนในครอบครัว “แต่ต่อให้พี่หนีไปยังไงเลือดของพี่ก็ยังเป็นเลือดของพวกที่ทำลายป่าอยู่ดี สุดท้ายพี่ก็ต้องตาย”

“พี่..พี่รู้มาตลอดเลยหรอ” มิ้นต์จับตาดูเขาตลอดมาเลยหรอ..?

“คงไม่ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องนี้ตอนนี้ เรื่องสำคัญตอนนี้คือภูริต้องหนีออกไป และอย่ากลับมา” ชั่วขณะหนึ่งนัยน์ตาของมิ้นต์ดูอ่อนโยนคล้ายกับแววตาของใครคนหนึ่งที่อยู่ส่วนลึกของความทรงจำ การสบตาเพียงครั้งเดียวก่อนที่คน ๆ นั้นจะสิ้นชีวิตลง

แม่หรอ..?

แม่พรรณีในร่างของพี่มิ้นต์..?



“ไปซะภูริ” เด็กผู้หญิงผละเด็กน้อยออกจากตัว ก่อนจะดันหลังแล้วผลักให้วิ่งออกไป

ก่อนที่เธอจะฟุบลงไปเพราะไม่อาจทนความเจ็บปวดได้อีก..



ที่ภูริคิดนั้นไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ถูกเสียทั้งหมด วิญญาณพรรณียังไม่ไปไหนเพราะห่วงหาลูกชาย จึงตามติดเด็กน้อยอยู่ตลอด กระทั่งเห็น ‘ภาชนะ’ ที่สามารถให้เธอดูแลลูกชายในฐานะมนุษย์อีกครั้งนึงได้ พรรณีจึงใช้ภาชนะนั้นในการสิงสู่ ซึ่งภาชนะนั้นก็คือ ‘มิ้นต์’ ที่ถูกกินดวงวิญญาณไปตั้งแต่ตอนที่ภูริสลบแล้วเธอภาวนาให้ภูริฟื้นด้วยคำว่า ‘ยอมทุกอย่าง’

“เฮ้ย!! ไอ้เด็กนั่นมันหนีไปแล้ว!”















TBC

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
คุณแม่พรรณี​ โปรดคุ้มครอง​ภูริด้วยนะคะ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้โห หมดคำจะพูดว่ะสงสารภูริ เหมือนเกิดมาชดใช้กรรมให้คนในหมู่บ้าน ทำไมต้นหรือคนในหมู่บ้านไม่คิดบ้างวะเพราะความโลภของตัวเองนั่นแหล่ะ ที่ทำให้เกิดเรื่องต่างๆ ละต้นยังกล้าทำร้ายลูกโยนลงน้ำได้ไงวะ ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น สงสารน้อง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nuch_Chii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
07 Death Festival





**เนื้อหารุนแรง มีการบรรยายถึงบาดแผล และพฤติกรรมที่ทารุณ อนึ่ง แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ขอความกรุณาใช้วิจารณญาณ**







ดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า ค่ำคืนอันหนาวเหน็บกำลังเริ่มต้นขึ้น

ห้าชั่วโมงก่อนงานเทศกาล

ภูริวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต สับเท้าเปล่าทั้งสองข้างกับพื้นคอนกรีตที่ไม่ได้เรียบเนียนนัก หนังที่เท้าทั้งสองจึงเริ่มถลอกออก ยิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถลอกมากเท่านั้น แต่ก็หยุดไม่ได้

“มึงตาย!” เสียงที่ไล่ตามหลังตะโกนมาแบบนั้น ก่อนจะโยนหอกไม้ปลายแหลมเข้าใส่ ดีที่ภูริไวกว่าจึงไม่โดนมันตรง ๆ แต่ปลายแหลมของมันก็เฉียด ๆ ที่เอว จนเสื้อยืดสีขาวตัวนี้ฉีกขาด

ปัง!

ต้นเอาปืนมายิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่ขวัญ ใช่..เขาทำสำเร็จ ภูริสะดุ้งโหยง แต่เด็กน้อยก็ยังคงวิ่งต่อไป ก่อนจะกระโดดลงคันนา แล้ววิ่งต่อไปโดยอาศัยเงาไม้บดบัง

“ไอ้ผีกระจอก! หนียังไงก็หนีไม่รอดหรอก”

เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหน้าภูริ ก่อนจะโผล่พรวดออกมาแล้วกระชากหัวพร้อมกับคว้าตัวเขาไว้

ภูริกัดฟันกรอด แต่ไม่ได้ร้องโอดโอยเหมือนครั้งก่อนที่โดนไล่ล่า อย่างน้อยวันนี้ภูริก็ได้รู้แล้วว่ายังมีคนที่รักเขาจริง ๆ และความรักนั้นที่เขาได้ก็ทำให้เขาอยากจะลองเข้มแข็งดู

ภูริศอกใส่ท้องอีกฝ่ายเต็มแรง เมื่อตั้งหลักไว้ก็กระโดดตวัดเท้าฟาดก้านคอของอีกฝ่ายจนมันล้มลง เด็กน้อยหายใจหอบได้ไม่นานก็ต้องวิ่งต่อเมื่อแสงไฟฉายเริ่มเข้ามาใกล้

“เฮ้ย มันอยู่นั่น!!”

พวกของต้นวิ่งไล่ตามกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมด้วยอาวุธนานาชนิดมีทั้งไม้ทั้งลูกปืนนับสิบนัด

ปัง! ปัง! ปัง!

ต้นยิงดักตามฝีเท้าของภูริ สองนัดแรกไม่โดนเลย แต่นัดสุดท้ายเหมือนเฉียดข้อเท้า และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ภูริล้มลง

เด็กน้อยหน้าคะมำจนคางกระแทกคันนา ของเหลวสีสดรินไหล ศีรษะเบาหวิวไปชั่วครู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ภูริคืบคลานไปได้ไม่กี่ก้าวก็พยุงตัวเองลุก แล้ววิ่งเข้าไปในป่า

“ฉิบหาย! เอาไงดีพี่ต้น ในป่าหาตัวยากแน่ ๆ”

“ยังไงก็ต้องตามมันให้เจอ ไม่งั้นเดี๋ยวมันก็กลับมาอีก คราวนั้นแหละพวกเราจะซวย”

“ลุงต้น.. ลุงต้น!!” โอมวิ่งหอบเข้ามาหา ก่อนจะเสนอไอเดีย “ไม่ต้องวิ่งตามมันแล้ว ให้มันวิ่งกลับมาหาดีกว่า”

“ยังไง”

“มิ้นต์ไง”

“...”

“ถ้าเราขู่ว่าจะฆ่ามิ้นต์ทิ้ง ยังไงมันก็กลับมาแน่”





สี่ชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล

“ทำไมโอมถึงโกรธแค้นภูริขนาดนั้น แม่โอมตายเพราะภูริจริง ๆ น่ะหรอ” มิ้นต์ถาม ขณะถูกมัดกับเสาทรชนอีกเสาในท่ายืน เธอถูกมัดข้อเท้าข้างหนึ่งไว้ด้วย ส่วนอีกข้างที่แตกเละ ถูกปล่อยให้ห้อยอยู่แบบนั้น

“ก็ใช่น่ะสิ! ไอ้เด็กเหี้ยนั่นนั่นแหละที่ทำแม่โอมตาย พี่รู้มั้ยว่าโอมทรมานแค่ไหนที่ไม่มีแม่”

“ภูริเองก็ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ แถมไม่มีใครเลยนะ โอมไม่สงสารน้องหรอ..?”

โอมจงใจดึงปลายเชือกที่กำลังมัดให้รัดข้อมือแน่น “น้องหรอพี่..? ใช่สิ สำหรับพี่ภูริมันเป็นเด็กที่น่ารัก สนิทกับพี่มากที่สุด”

“ภูริใจดีกับทุกคน นั่นเป็นนิสัยของภูริอยู่แล้ว”

“ไม่เลยพี่มิ้นต์ พี่ต่างหากที่เอ็นดูมันเกินไป ถึงขนาดพาผีอย่างมันเข้าบ้าน ..มันไม่ปกติแล้ว เหตุการณ์สี่ปีก่อนเป็นยังไงเรายังพูดถึงกันอยู่เลย”

“ใช่ เรายังพูดถึงกันอยู่เลย แล้วโอมก็พูดไว้เหมือนกันว่าสงสารภูริ”

“...”

“แบบไหนเป็นตัวตนของโอมกันแน่? วันนี้โอมน่ากลัวจนพี่ไม่อยากจะมองหน้าหรืออยู่ใกล้ ๆ เลย”

“พี่ไม่ต้องพูดแล้วพี่มิ้นต์ มันไม่มีประโยชน์ ยังไงพี่ก็ต้องเจ็บตัวเพื่อเรียกให้ไอ้ภูริออกมา” โอมกำหมัดแน่น “จำไว้ก็พอว่าภูริมันเป็นต้นเหตุของทุกอย่างในหมู่บ้านนี้ มันต้องถูกกำจัด!”



“ผมดูในป่าจนทั่วแล้ว ไม่เห็นแม้แต่รอยเลยพี่ต้น” คนงานวิ่งมารายงานต้นที่ศาลากลางหมู่บ้าน ต้นจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“งั้นก็ถึงเวลาแล้ว” ชายหนุ่มย่างเท้าไปหาเด็กหญิงที่ถูกมัดตรึงกับเสา เธอตอนนี้ดูอ่อนแรงลงมากจนแทบจะสลบเหมือดอยู่ตรงนั้น แต่กลับมิวายที่จะส่งสายตากริ้วโกรธกลับมาให้ต้น

ต้นควักมีดสั้นขึ้นมาในมือก่อนจะเข้าไปลูบหัวเด็กหญิง

“ลุงขอยืมเท้าหนูหน่อยนะ ไหน ๆ มันก็หักไปแล้ว”

“ถุ้ย!” มิ้นต์ถมน้ำลายใส่หน้า ก่อนจะสะบัดตัวแรง ๆ หมายจะสละชีวิตเพื่อให้ต้นโดนหินทับ แต่ก็ไม่เป็นผล

“หินบนเสาต้นนี้ลุงยึดกับเชือกไว้หลายเส้น มันไม่ร่วงมาใส่หนูแน่ ๆ มิ้นต์ หนูไม่ต้องคิดจะฆ่าตัวตายหรอกนะ หนูน่ะยังมีประโยชน์”

ได้ยินแบบนั้นแล้วมิ้นต์ยิ่งคลุ้มคลั่ง เธอดิ้นไม่หยุด ส่วนพวกของต้นที่ยืนดูก็พากันขำ หัวเราะให้กับการกระทำอันไร้ค่า

“เอ้า เอาล่ะ! ออกมาได้แล้วลูกชายของพ่อ!” ต้นแสยะยิ้ม กางแขนทั้งสองข้างออก มองไปยังพื้นที่ป่าเขาที่แห้งเตียนเพราะคืนไฟโหมคืนนั้นอย่างสะใจ

ชาวบ้านทุกบ้านเดินมารวมกันที่ศาลาจนล้นไปบนถนน ทุกคนต่างมีแรงแค้นกันอย่างสามัคคี ความคิดต่างก็วกวนอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่ผีป่าบนภูเขาพรากชีวิตบรรพบุรุษไปอย่างโหดเหี้ยม กระทั่งระยะหลังที่คิดว่าอาถรรพ์คงไม่มีแล้ว แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น และชัดเจนขึ้นทันตาเห็นเมื่อมีเด็กสาปให้คนตายได้

ที่พวกเขาเข้าใจคือศพแรก..พรรณี ศพที่สองลุงที่ถูกต้นไม้ทับรถตายคาที่ ศพที่สามคือป้าที่ไปด้วยกัน ตอนแรกบาดเจ็บสาหัส แต่แพทย์ยื้อไว้ไม่ไหว สุดท้ายก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ศพที่สี่คือแม่ของโอม ตายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด และศพสุดท้ายคือศพที่ตายในวันนี้

อาถรรพ์ไม่ได้หายไป หากแต่รอคอยวันแก้แค้นต่างหาก



“พ่อรู้น่า ว่าภูริอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้และใกล้พอที่จะได้ยินเสียงพ่อด้วย ถ้าหนูยังไม่ออกมา เท้าของพี่มิ้นต์จะถูกตัดไป ทีละข้าง..ทีละข้าง” เขาเช็ดคมมีดกับผ้าเช็ดหน้า พร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุข “ถ้าตัดเท้าไปแล้วภูริยังไม่ออกมา ข้อมือของมิ้นก็จะหายไป ทีละข้าง..ทีละข้าง

“...”

“ถ้าตัดหมดแล้วยังซ่อนตัวอยู่อีก แข้งจนถึงหัวเข่าของมิ้นก็จะหายไป ทีละข้าง..ทีละข้างแขนจนถึงข้อศอกก็ ทีละข้าง..ทีละข้าง แล้วถ้ายังไม่ออกมาอีกก็จะเป็นต้นแขนกับต้นขา”

“...”

“อา..งั้นมิ้นต์ก็จะเหลือแค่หัวกับตัวแล้วสิเนี่ย เอาตรงไหนออกดีล่ะ..?”

“ขยะแขยงความคิดมึงเหลือเกิน!” มิ้นต์กัดฟันกรอด

“อ๋อ...รู้แล้ว ลิ้นไง มิ้นต์จะได้ปากดีอะไรไม่ได้อีก ถัดจากลิ้นหรอ อืม... ลูกตาแล้วกัน...ทีละข้าง ทีละข้าง ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ต้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ชาวบ้านรอบนอกกลับเห็นด้วยและไม่แม้จะห้ามปราม

แม้แต่ครอบครัวของมิ้นต์เองก็ยืนดูอยู่เฉย ๆ

“งั้นถ้าลูกยังไม่ออกมา พ่อเริ่มแล้วนะ”



สามชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล

..คมมีดเงาวับค่อย ๆ เฉือนเนื้อและหนังของเท้าที่ถูกหินบดละเอียด แม้ส่วนนั้นจะชาไปแล้ว แต่มิ้นต์ก็พอรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่เมื่อผิวหนังขาดออกจากกัน

“!!!!!!!!!!” เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่คนรอบข้างยิ้มแสยะ ภาพตรงหน้าช่างน่าสะอิดสะเอียน กระบวนการคิดทั้งหมดของคนพวกนี้ชวนให้คลื่นไส้จนเวียนหัว

ฉึบ!

เท้าของเธอขาดออก ของเหลวสีสดหยดลงพื้นไม่รู้หยุด มิ้นต์ก้มมองสภาพตัวเองสลับกับใบหน้าของทุกคนรอบข้างที่จ้องมองมาที่เธอ ก่อนจะตะโกนลั่นออกไป

“ไม่ว่ายังไงก็ห้ามออกมานะภูริ อย่าสงสารพี่ หนีไปให้ถึงเมือง เริ่มต้นชีวิตใหม่นะภูริ!” มิ้นต์ร้องไห้..เธอร้องไห้อย่างหนัก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ “เดี๋ยวคืนนี้ก็จบลงแล้ว พอตะวันขึ้นสู่ฟ้า วันใหม่ที่สดใสก็จะมาหาภูริแล้วนะ..”

ฉึบ!

“!!!!!!!!!”เสียงมีดครานี้เป็นคิวของข้อเท้าข้างที่ถูกตรึงกับเสา มันเสียดแทงเข้าไปผ่านเชือกที่มัดอยู่

“มิ้นต์โดนมัดข้อเท้าไว้แบบนี้คงลำบากแย่ เดี๋ยวลุงแก้มัดให้นะ เอ้า! ภูริดูให้ดีนะ พ่อกำลังจะช่วยให้มิ้นต์สบายเท้าแล้ว!” ต้นยิ้มเยาะอย่างสะใจ ก่อนจะงัดมีดขึ้นแล้วขยับไปทางขวาทีซ้ายที คมมีดเสียดสีกับเชือกจนมันค่อย ๆ หลุดออก ขณะเดียวกันเนื้อหนังภายในก็ถูกมันฉีกออกจากกัน จนพื้นที่ตรงนั้นนองไปด้วยเลือด

มิ้นต์ร้องโหยหวน และยิ่งร้องหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อสิ้นหวัง

ภูริยืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ฝั่งตรงข้าม

ริมฝีปากเด็กน้อยบิดเบี้ยวเพราะกลั้นเสียงสะอื้น จังหวะที่สบตากันแม้เพียงเสี้ยวเดียวแต่ทั้งสองก็เข้าใจได้ในทุก ๆ อย่าง

‘แม่มาเพื่อปกป้องลูก’

‘ภูริจะไม่ทิ้งคนที่รักภูริให้เขาต้องทรมาน’


นั่นคือสิ่งที่ส่งผ่านสายตาลงสู่จิตใจอันแข็งแกร่ง

“นั่นไง ไอ้ภูริมันอยู่นั่น!”




สามชั่วโมงก่อนงานเทศกาล

แสงจันทร์ยามค่ำคืนประจักษ์สู่ดวงตาของเด็กน้อยเต็ม ๆ ตา เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่กลางท้องฟ้าในองศาที่ตรงกับเขาพอดี

“ทุกคนดูเอาไว้นะ เราทุกคนจะร่วมเป็นสักขีพยานกัน ว่าวันนี้เรากำลังจะกำจัดสิ่งอัปมงคลออกไปจากหมู่บ้าน เรากำลังจะส่งภูตผีวิญญาณตนใดก็ตามที่สิงสู่อยู่ในร่างเด็กที่ตายไปแล้วคนนี้กลับสู่ขุมนรก ซึ่งเป็นที่ที่คู่ควรของพวกมัน”

ชาวบ้านที่ตามมาส่งเสียงประสานกันอย่างกลมเกลียวเมื่อเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกล พวกเขาเชื่อมั่นกันมากกว่าร้อยเปอเซ็นต์ว่าถ้าหากได้ดินอุดช่องจมูกและฝังเด็กคนนี้ไว้ใต้ดิน จะสามารถสิ้นสุดโศกนาฏกรรมอันยาวนานนับร้อยปีลงได้

ชีวิตคนมากมายถูกเซ่นสังเวยเพราะฝ่าฝืนกฎของหมู่บ้านที่ห้ามขึ้นไปบนภูเขาและฆ่าสัตว์บนนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงพื้นที่ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่ที่จะใช้ทำมาหากินได้โดยเสรี แต่กลับถูกวิญญาณร้ายในป่าตามเอาชีวิต แม้จะฆ่าเพียงนกตัวเดียว

ไฟโหมเมื่อสี่ปีก่อนอาจจะยังหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นครั้งนี้...พวกเขาจะต้องทำให้สำเร็จ

“จับมันแก้ผ้า!” ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นเพียงคำเดียว ผู้คนก็กระโจนเข้าไปรุมทึ้งเด็กที่ถูกมัดปากมัดมือและเท้า กระทั่งเสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่มีอะไรปกปิดผิวสีนวลเอาไว้เลย

“ทีนี้ก็โยนมันลงไป!”

พอสิ้นเสียง ร่างภูริก็กระแทกกับพื้นดินก้นหลุมเสียแล้ว ขอบหลุมรอบตัวนั้นสูงจนเขาไม่อาจสู้ปืนขึ้นไปได้ไหว

เมื่อดินก้อนแรกถูกเสียมยกขึ้นมา ภูริจึงทำได้แค่..คลี่ยิ้ม แล้วจำนนต่อโชคชะตา

“ฝังมัน!!!!”

หางตาของภูริเห็นเงาคนนับสิบล้อมรอบหลุม พร้อมกับสามัคคีกันตักเอาดินรอบโดยรอบโปรยใส่ในหลุม

ฉึก!

..หอกไม้คม ๆ แทงปักกลางท้องภูริ

“มึงจะได้ดิ้นหลบไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆๆ!”

พวกเขาหัวเราะราวกับเป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลอง กับการที่ได้เห็นเด็กที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเครื่องมือสังหารกำลังจะถูกทำลาย

ซึ่งความจริงแล้วนั่นไม่ได้ถูกทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ได้ถูกทั้งหมด..

ภูริถูกสาปจากดวงวิญญาณเพราะเป็นเด็กบริสุทธิ์ที่ถูกอุ้มท้องในช่วงนั้นพอดี วิญญาณของคนที่จะมาเกิดถูกยายชรากับตาเฒ่าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม แม้หลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วท่านก็ยังโอบอุ้มดูแล มีวิญญาณสรรพสัตว์คอยค้ำจุน และป้องกันพยันอันตรายแลรักษาไม่ให้เจ็บหรือป่วยไข้โดยใช้เวลานาน

ชีวิตนี้ก็ยังเป็นของภูริ ภูริเป็นคนควบคุมการกระทำ ควบคุมความคิด การเคลื่อนไหวของตนเอง เว้นแต่ขณะที่ถูกวิญญาณควบคุมร่างเมื่อจะบันดาลสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ผู้ที่เอ่ยความปรารถนา

ก่อนจะแลกด้วยการริดรอนอายุขัยให้สั้นลงทีละเล็กทีละน้อย โดยแสดงออกมาผ่านอาการ ‘ตายชั่วคราว’ ที่เจ็บปวดเสมือนกับได้สิ้นลมหายใจไปแล้วจริง ๆ แต่ไม่นานนักก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่

นั่นเป็นสิ่งที่ยายชรากับตาเฒ่าสาปเขาเอาไว้ เพื่อใช้เอาคืนกับทุกสิ่งที่ถูกชาวบ้านที่นี่ทำลาย โดยสิ่งที่สาปเอาไว้ก็คือ ‘ก่อนที่ภูริจะเติบโตไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง ภูริต้องเซ่นสังเวยพวกเขาด้วยวิญญาณของคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ทุกคน’และพรรณีเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องนี้ เธอจึงช็อกตายตอนที่สบตากับลูกน้อยแล้วเห็นวิญญาณนับสิบอยู่รอบข้างกำลังเอื้อมแขนมาละเล่นกับเด็กในอ้อมกอดเธอ



ความจริงเป็นแบบนั้น แต่ชาวบ้านกลับบิดเบือนมันจนกลายเป็นว่าเด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนี้กลายเป็นอมนุษย์

ทั้งที่จริง ๆ พวกที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ต่างหากที่เป็นอมนุษย์ใจคอเหี้ยมโหด



ก้อนดินที่ทับถมกันค่อย ๆ ปิดบังแสงทีละเล็กทีละน้อย ชั่วขณะที่ช่องจมูกถูกอุดด้วยก้อนดินนั้นมันช่างทรมาน

ภูริหายใจไม่ได้ พูดไม่ได้ ขยับไม่ได้เพราะหอกตรึงร่างเอาไว้ ซ้ำมวลของดินที่ถมร่างพอยิ่งเยอะขึ้น น้ำหนักก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับร่างทั้งร่างกำลังจะถูกบด ภูริมองภาพเล็ก ๆ ตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เสียงเฮฮาโห่ร้องดีใจดังแสกเสียงวิ้งในหูให้รู้สึกเจ็บปวด และเสี้ยววินาทีสุดท้าย..ก่อนที่ดินจะปิดแสงจนหมด คำขออันเกิดจากความคึกคะนองก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน

“ฮ่า ๆ ไอ้ผีชั้นต่ำ! แค่นี้มึงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไหน! ยังจะเก่งอยู่มั้ย มาสิ มาฆ่าพวกกูให้หมดหมู่บ้านเลยมา!!!”

“เออมาฆ่ากูเลย พวกกูอยากตายกันฉิบหาย!”

...ดวงตาสีนิลเริ่มปรากฎควันสีขาวพาดผ่าน ก่อนที่ดินก้อนสุดท้ายจะถูกถมลงมา เสี้ยวแสงเรไรใด ๆ จึงไม่มีให้ภูริรับรู้อีก

ทว่า..คนที่ถูกฝังทั้งเป็นกลับยิ้มแสยะ













หนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนงานเทศกาล

“มิ้นต์.. มิ้นต์ หนูไหวมั้ย” ต้นเดินเข้ามาโอบร่างของหญิงสาว แก้มัดแล้วพยุงขึ้น “ลุงขอโทษ ลุงแค่ทำเพื่อเรียกให้ภูริออกมา” ส่วนมิ้นต์ตอนนี้เธอแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว มีเพียงลมหายใจอ่อน ๆ ที่บ่งบอกว่าเธอยังมีชีวิต

“หนูจะถูกลูกหลานจดจำไปรุ่นต่อรุ่น ว่าวันนี้หนูสละตัวเองให้พวกเราสามารถจับปีศาจอย่างภูริมาลงทัณฑ์” ต้นยิ้มไม่หุบ สิ่งที่เขาพยายามกำจัดมานานถูกทำลายไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง “ตอนนี้ภูริถูกฝังแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปฉลองกันแล้ว พรุ่งนี้ก็จะทำบุญใหญ่ล้างสิ่งอัปมงคลออกไป..”

“พี่ต้น” เสียงเบาหวิวดังขึ้นตัดบท น้ำเสียงอันคุ้นหูทำให้เท้าทั้งสองข้างไม่อาจก้าวเดินได้ต่อ “พี่ทำอย่างนั้นกับลูกลงได้ยังไง”

“ม..มิ้นต์ ทำไมเรียกลุงแบบนั้น” เสียงเขาเริ่มสั่น พอก้มดูคนในอ้อมกอดและได้สบสายตากัน “พรรณี..?”

“ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่.. พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” เธอพูดเสียงหอบ ปล่อยแขนทั้งสองลู่ลงเพราะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแล้ว ปลายเท้าทั้งสองข้างถูกแล่ออกจนมีแต่แผลเหวอะหวะ ทำอย่างกับแล่เนื้อสัตว์ “แม้แต่ฉัน.. แม้แต่ลูก.. พี่ก็ทำร้ายกันได้ลง”

“พ..พี่เปล่านะพรรณี ลูกของเราตายตั้งแต่คลอดแล้ว ที่เห็นมีชีวิตทุกวันนี้มันถูกสิง..”

“เขาคือภูริลูกของเรา เด็กน้อยที่พี่พยายามฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือลูกของเรา..” ดวงใจที่ปวดร้าวกลั่นกรองความเศร้าโศกออกมาผ่านน้ำตาเม็ดใส มันพรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสังเวช

“แต่ถ้าพี่ไม่ฆ่ามัน มันก็จะฆ่าคนในหมู่บ้านนะ”

“พี่ไม่ได้กลัวภูริจะฆ่าคนอื่นหรอกพี่ต้น”

“...”

“พี่กลัวตัวเองจะถูกฆ่ามากกว่า”เหมือนต้นถูกมีดแหลมปักลงกลางใจ เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้า สองแขนแกร่งเริ่มสั่นไหว “ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ฉันได้รักกับพี่ ฉันมีความสุขมาก.. ฉันยินดีเหลือเกินที่ได้รู้จักพี่ แต่หากชาติหน้ามีจริง...ฉันขอภาวนาให้เราอย่าได้วนเวียนกลับมาเจอกันอีกเลย”

“...”

“ฉันขอให้พี่มีความสุขกับเส้นทางที่พี่เลือก”

พรรณีทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนที่เปลือกตาสีไข่จะค่อย ๆ ปิดลง คงเหลือแต่เพียงความเงียบงัน กับความคิดที่ตีกันยุ่งเหยิงในหัวของตัวอัปมงคลที่แท้จริงอย่างต้น

“ฮะ..ฮ่า ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ พี่ถอยกลับไปไม่ได้แล้วพรรณี ..พี่ถอยไม่ได้แล้ว”

ชายวัยกลางคนพยายามหัวเราะ ขณะที่น้ำตาไหลพรากเสียจนเต็มใบหน้า ภาพในอดีตหวนคืนกลับมาเป็นฉาก ๆ แต่ละภาพประกอบไปด้วยรอยยิ้มและใบหน้าหวานของสตรีผู้เป็นเจ้าของดวงใจตลอดมา

ต้นเขย่าร่างของมิ้นต์เพื่อหวังจะเรียกให้พรรณีกลับมาพูดคุยกับตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ร่างที่โชกเลือดตรงหน้าสิ้นสติไปแล้ว

มิ้นต์ไม่รู้สึกตัวแล้ว




...อีกฝั่งนึงของหมู่บ้าน พื้นที่รกร้างที่มีฉากหลังเป็นป่า ซึ่งทอดยาวไปจนถึงภูเขาที่แห้งเตียน บริเวณหนึ่งของมันถูกใช้ฝังภูริ ผู้ใหญ่บ้านจัดคนมาเฝ้าบริเวณที่ฝังถึงสองคน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มผู้ไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด

“โอม มึงนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะ” อีกคนที่อายุมากกว่าพูดขึ้น “นี่ถ้าไม่ได้มึงพวกคนอื่นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าภูริยังไม่ตาย ตรึงมันด้วยหอกแล้วฝังมันทั้งเป็นที่มึงคิดนี่ก็เหมือนกัน ป่านนี้มันคงทรมานอยู่ในนรก”

“โอมเคยลองทำร้ายมันดูแทบทุกวิธีแล้วครับ” เจ้าตัวเกาหัวแก้เก้อ “โอมเลยรู้ว่าไม่ว่าภูริจะบาดเจ็บจากอะไร จะจมน้ำ ถูกไฟเผา ผ่านไปไม่นานมันก็จะกลับมามีชีวิตอีก แถมบนตัวยังไม่มีร่องรอยอะไรเลยซักนิดเดียว”

“เดี๋ยว..มึงไปลองอะไรมาตอนไหนวะ”

“ก็...แกล้งมันสนุกดี” โอมเดินมานั่งตรงหน้าอีกฝ่าย โดยจงใจเหยียบหลุมฝังขณะเดินผ่านให้ตนเองรู้สึกเหนือกว่า

“หมายถึงยังไงวะ..? มึงรู้มานานแล้วหรอว่าภูริยังไม่ตาย แล้วที่ผ่านมามันไปอยู่ไหน ใครช่วยมันวะ”

“ใจเย็นน่าพี่ ตอนนี้ทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญแล้วล่ะครับ” โอมยิ้มกว้างก่อนจะเงยหน้ามองดวงดาวยามค่ำคืน ในหัวจินตนาการเพียงอนาคตของตนต่อจากนี้

“ก็จริงของ...”

แซ่ก

ไม่ทันที่จะพูดจบ จู่ ๆ เสียงย่างเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็ดังขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของพวกเขา ทั้งสองจึงชะงักเงียบทันที ก่อนจะหันไปยังต้นตอของเสียง

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนอกเหนือจากความมืดแล้วนั้นยังมีบางอย่างที่แปลกไป ข้างหลังต้นไม้ใหญ่มีเงาของใครบางคนที่เหมือนจะเป็นเด็ก..

“ใครวะ ยังไม่กลับบ้านไปอีกหรอ” ฝ่ายที่อายุมากกว่าลุกขึ้นยืน ก่อนจะย่างเท้าไปที่ต้นไม้ต้นนั้น

จังหวะที่ระยะห่างไม่ได้ประชั้นชิดเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทว่าพอเข้ามาใกล้จนเหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะได้รู้แล้วว่าเจ้าของเงาเมื่อครู่คือใคร ก้อนเนื้อในอกก็ถูกบางอย่างกระตุ้นให้เต้นถี่รัว

“...!” ยิ่งพอมาดูอีกฝั่งของต้นไม้แล้วเขากลับไม่พบใคร หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น “ไม่เห็นมีไรเลยว่ะโอม สงสัยพี่ตา..” และที่แปลกไปกว่านั้นพอหันกลับมา เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า

..กับหลุมฝังที่ถูกขุด

“เฮ้ย” เขาเบิกตาโพลง ไม่รอช้า..สองเท้ารีบวิ่งไปดูหลุมตรงหน้าทันที ก่อนจะต้องผงะจนหงายหลังล้ม เพราะร่างภูริในหลุมฝังหายไป

ศพในหลุมถูกแทนที่ด้วยร่างของโอมที่ถูกหอกแทงจนโชกเลือด ซีกหน้าข้างหนึ่งบวมอืดเหมือนจมน้ำมานาน ส่วนอีกข้างผิวหนังหายไปเผยเพียงผิวกล้ามเนื้อที่ไหม้เกรียม

“!!!!!!!” เสียงกรีดร้องดังลั่นไพรสัณฑ์ หมู่นกแสกต่างตีปีกแหวกอากาศกันออกไปเพราะตกใจ ชายหนุ่มตัวสั่นเพราะความกลัว สองขาอยากจะก้าวเพื่อวิ่งหนีไปแต่มันสั่นจนคุมให้ยืนตรง ๆ ยังยาก

เขายังคงร้องตะโกนต่อไปเพื่อหวังให้ใครสักคนมาช่วยจัดการสถานการณ์ตรงหน้า กระทั่งสัมผัสเย็น ๆ จากผิวมนุษย์เกิดขึ้นที่ไหล่ข้างขวา

ชายหนุ่มหันหลังกลับไปช้า ๆ จังหวะที่เห็นคนตรงหน้าเต็มตา ร่างกายเขาก็ลอยเคว้งกับอากาศ

“ภูริ..” เสียงเบาหวิวลอยจากปากไปตามลม ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโลกดึงลงสู่เบื้องลึกของหลุมฝัง โดยมีหอกแทงกลางอกทะลุหัวใจ

ร่างเล็กยืนมองศพทั้งสองด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก ..ตัวตนจริง ๆ ของภูริถูกขังเอาไว้ในความมืดมิด ไม่ว่าจะขยับหรือส่งเสียงยังไงก็ไม่มีผลต่อร่างกายเลย

นัยน์ตาสีดำสนิทที่ปรากฏควันจะเกิดขึ้นตอนที่ถูกแย่งชิงร่างไป ทว่าครั้งนี้รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแค่นั้น ...ตาขาวของภูริเปลี่ยนเป็นสีแดง ฟันทุกซี่ก็เปลี่ยนเป็นฟันเขี้ยวคม ๆ เยี่ยงสัตว์ป่า เล็บยาวขึ้นจนแหลมคมดุจมีด เส้นผมยาวขึ้นจนถึงกลางหลัง ปลิวพลิ้วไปตามลม มีผมเส้นหนึ่งหลุดปลิวไปจนถึงเขตบ้านเรือน

..และตัดคอหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเต้นรำเฉลิมฉลอง

ภูริยิ้มแสยะให้สองศพในหลุม ก่อนจะเดินลากเท้าเข้าสู่เขตบ้านเรือน



“ดีจังที่เรื่องนี้จบจริง ๆ ซักที”

“เนอะ จะได้มีอิสระ ไม่ต้องกลัวหรือระแวงอะไรกันแล้ว ดีจังที่ภูริตาย”

“ต้องโทษไอ้ต้นหรือเปล่านะที่บุกรุกป่าเขาจนลูกมันเป็นตัวกาลกิณี”

“ไม่หรอก โทษอาถรรพ์บรรลัยนั่นดีกว่าที่ทำพวกเรายากจน ลำบากกันมาหลายชั่วอายุคน”

ชาวบ้านที่เมามายสุราพูดคุยกันอย่างออกรส โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าท้องฟ้าสดใสที่พวกเขาพึ่งได้รับกำลังจะถูกแทนที่ด้วยหมู่เมฆสีเลือด

“ผมไม่ควรมีชีวิตอยู่หรอ” พวกเขาหันไปตามเสียง ก่อนจะพบกับเด็กปีศาจที่ยืนอยู่บนยอดเสาทรชน สีแดงของดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ชัดเจน รัศมีสีทะมึนรอบกายคล้ายควันแต่กลับแว่วเสียงกระซิบออกมาจากมันอยู่เรื่อย ๆ

“ผี.. ผี! มันยังไม่ตาย ภูริมันไม่ตาย!!!!” ใครคนหนึ่งแหกปากตะโกนบอกคนรอบข้าง และหวังให้ทุกคนในหมู่บ้านได้ยินด้วย ทว่าพอหันกลับมามองเสาทรชนอีกครั้งภูริก็หายไปแล้ว

..มาอยู่ข้างหลังเขาแทน

“แล้วพวกจิตใจอมนุษย์แบบนี้สมควรมีชีวิตอยู่หรือไง” ภูริกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนจะอ้าปากแล้วลงคมเขี้ยวเข้าที่คอ กัดกระชากเนื้อจนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ เลือดจึงพุ่งกระฉูด กระตุกตามจังหวะหัวใจเรื่อย ๆ จนกระเซ็นไปหมด

“กรี๊ดดดดดดด!!!!”

ขณะที่ชาวบ้านเริ่มแตกตื่น ผู้คนชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างออกมาดู พวกผู้ใหญ่บ้านรวมถึงต้นที่ทราบเรื่องกำลังเตรียมตัวรับมือ เด็กที่เขาเรียกว่าปีศาจก็หักคอขี้เมาสี่ห้าคนตรงนั้นจนไร้ลมหายใจกันหมดแล้ว

...ภูริแม้ถูกขังอยู่ในความมืด แต่ก็รู้สึกได้ทุกการกระทำ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตเด็กน้อยทำได้แค่เพียงร้องไห้

ปัง!


ลูกซองจากผู้ใหญ่บ้านยิงโดนหัวภูริเต็ม ๆ แต่รูกระสุนที่ศีรษะกลับค่อย ๆ ประสานกันจนกลายเป็นผิวหน้าผากเหมือนไม่ได้กระทบอะไร

“ล่าภูริมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เคยฆ่าภูริได้สำเร็จเลยสักครั้ง งั้นคราวนี้เรามาเปลี่ยนกันไหม..” ปีศาจแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “ให้ภูริล่าทุกคนแทน เจอใครคนนั้นตาย”

สิ้นเสียงผู้คนก็แตกตื่นวิ่งกันกระจัดกระจาย บ้างก็เตรียมรถเพื่อหนีออกไป หากแต่พวกเขากลับไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะรอบอาณาเขตบ้านเรือนที่ล้อมด้วยป่าเขาเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสรรพสัตว์ ราวกับกำลังขู่ว่า...ใครออกไปจะถูกฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ

..ภูริในความมืดมองเห็นภาพที่ทุกคนวิ่งหนีตัวเองอยู่ชั่วขณะ ความเจ็บปวดที่บีบรัดดวงใจน้อย ๆ เกิดขึ้นอย่างทรมาน

‘ทุกคน...ได้โปรดอย่าไปไหนเลยนะ อย่าหนี...อย่าทิ้งภูริไว้คนเดียวได้มั้ย’

ฮ่า ๆ แต่คงไม่ได้แล้วใช่มั้ย

ภูริก็ต่อต้านพวกเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน

ขอโทษ...

ขอโทษ









_________________
ใกล้จบพาร์ทอดีตแล้วนะคะ หลังจากนี้จะเล่าสลับระหว่างปัจจุบันกับช่วงที่ภูริเรียนมัธยม แอบสปอยว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ภามเปลี่ยนไปจนเป็นแบบ intro เลยล่ะค่ะ


TBC

ps. แฟนตาซีเรื่องยาวดีเทลเยอะมั่ก ติชมได้นะคะ ขอบคุณมากค่า


ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
08 Blood Ground





ร่างของเด็กน้อยกลับขึ้นไปยืนบนยอดเสาทรชนอีกครั้ง เขาใช้สายตามองไปรอบ ๆ สอดส่องบ้านเรือนทุกหลัง ก่อนที่หมู่ดวงวิญญาณนับร้อยดวงที่อาศัยร่างเขาเป็นทางผ่านจะกระจัดกระจายออกไป แล้วสังหารชาวบ้านทีละคน ๆ จนเสียงร้องโหยหวนดังอยู่ไม่ขาด

..กองไฟถูกจุดประกายขึ้นเมื่อเปลวไฟบนปลายเทียนล้มลงจากหิ้งพระออกมาทางหน้าต่าง ตกเข้าไปในเครื่องยนต์รถที่เปิดทิ้งไว้ซึ่งดวงวิญญาณเป็นผู้ดลบันดาลให้ทุกสิ่งเหมาะเจาะลงตัว เสียงระเบิดจึงดังขึ้น เด็กน้อยในบ้านสะเก็ดไฟโดนตาทำเอาร้องโอดโอย แต่พอไฟเริ่มโหมเข้าตัวบ้าน ขื่อไม้เริ่มถล่มลงมา เสียงร้องนั่นก็ไม่มีให้ได้ยินอีกแล้ว

น้ำตาสีเลือดยังคงไหลหลั่ง ร่างของภูริลอยขึ้นในอากาศ สยายเส้นผมให้ลู่ลม ก่อนจะปล่อยให้เส้นผมพวกนั้นลอยไปตามลมเพื่อหั่นร่างใครก็ตามที่ริอาจวิ่งหนี

“ภูริ! ภูริหยุดเถอะ!” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น ..ต้นคุกเข่าน้ำตาอาบแก้มคล้ายจะรู้สึกผิด เด็กน้อยจึงลอยลงมาจากเสามาหยุดอยู่ตรงหน้า

“พอเถอะนะ อย่าให้ต้องสูญเสียใครไปมากกว่านี้เลย” เขาพนมมือหมอบกราบอย่างจำนน ผิดกับต้นที่หยิ่งยโสก่อนหน้านี้อย่างกับคนละคน “ผมสำนึกผิดแล้ว..สำนึกแล้ว”

“เจ้าไม่คิดว่ามันสายไปแล้วหรือ”ดวงตาสีเลือดจ้องมองคนที่ปลายเท้าอย่างเดียดฉันท์ “เจ้าไม่อยากสูญเสียใครไปแล้วงั้นหรือ...น่าขัน ไม่ว่าจะภรรยา หรือแม้แต่บุตรที่เจ้าสัญญาดิบดีว่าจะเลี้ยงดู เจ้าก็ฆ่าพวกเขาไปแล้ว”

“..ปล่อยภูริไปเถอะนะ”

เด็กน้อยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ได้ข้าจะคืนให้เจ้า หากเจ้ายังยืนยันคำเดิมหลังจากที่เห็นสภาพแท้จริงของภูริ”

ทันใดนั้นร่างเล็กตรงหน้าก็คลายสภาพผิวพรรณเนียน ๆ นั่นออก จนเหลือแต่แผลเหวอะหวะแทบทุกบริเวณของร่างกาย ผิวหน้าข้างหนึ่งไหม้เกรียม ข้างหนึ่งบวมอืดท้องเป็นรูโหว่ เล็บโดนเลาะออก สภาพไม่ต่างอะไรกับศพ

“ทุกบาดแผลที่เจ้าเห็นคือความเจ็บปวดทรมานที่เด็กคนนี้ได้รับ สั่งสมบนผิวละเอียดของเขาตลอดสี่ปี”

“...”

“เสียใจอะไร ก็เจ้าไม่ใช่หรือที่ทำร้ายลูกตัวเอง”

“...”

“เจ้าไม่ใช่หรือที่ไล่ฆ่าลูกตัวเองทั้ง ๆ ที่เขาร้องห่มร้องไห้ เจ้าไม่ใช่หรือที่ฝังเขาทั้งเป็น”

“...”

“ตลอดช่วงที่มีมนต์สะกดจากพระรูปนั้นข้ามิอาจสั่งสอนพวกเจ้าได้ ถึงกระนั้นเจ้าก็ได้รับคำตักเตือนอยู่เรื่อยมา เพียงแต่ไม่คิดจะทำตาม มิหนำซ้ำยังเหิมเกริมจนลูก ๆ ของข้าสูญสิ้น” เสียงที่ออกมาจากปากภูริกลายเป็นเสียงหญิงชราที่ต้นเคยได้ยินในฝัน น้ำเสียงนั้นนิ่งและเย็นดุจสายธารา “สิ่งที่สูญเสียมิอาจย้อนคืน ข้าทำได้เพียงสอนสั่งและมอบบทเรียนให้พวกเจ้าจำเท่านั้น”

พอจบประโยค ดวงเนตรสีเลือดก็เชยมองที่ปลายเท้าเขา ทว่าเพียงเท่านั้นเปลวไฟก็ถูกจุด ก่อนจะมอดไหม้เนื้อหนังมังสาของต้น

“ไม่ต้องกังวลใจไปหนา ข้ารับภูริเป็นหลาน ต่อแต่นี้จะมีแต่คนอุปถัมภ์ ภูริจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง”สองเท้าของเด็กน้อยแตะลงบนพื้น ก่อนจะเดินสวนร่างที่กำลังถูกสุมด้วยไฟ “หากแต่ภูริไม่อาจพบความสุข แม้คำสาปที่ข้าสาปเพื่อสั่งสอนพวกเจ้าจะคลาย แต่พันธะที่พันผูกเด็กคนนี้จะยังคงอยู่ มิเช่นนั้นภูริจะคืนสภาพแผลพวกนั้นแล้วตายทันที”

สิ้นเสียงเย็นยะเยือกไฟก็ลุกโหม จากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง ใช้เวลาไม่เท่าไหร่ก็ลุกลามจนทั่วหมู่บ้าน ไม่ต่างอะไรกับ ‘คืนผีป่าพิโรธ’ เมื่อแปดปีที่แล้ว

..พอเปลวไฟเริ่มเก็บกวาดซากศพชาวบ้าน พื้นที่อันมืดมิดที่กักขังภูริก็ปรากฏจุดสีขาวก่อนจะนำพามาซึ่งแสงสว่าง

“อึก..” และภูริก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ในสภาพที่บนตัวเขามีแต่คราบเลือด..

..ของคนอื่น “อ๊ากกกกกก!!!!!” ภูริร้องลั่น แขนขาไร้เรี่ยวแรงจนทรุดลงตรงนั้น เด็กน้อยทึ้งหัวตัวเอง ทุบตีใบหน้าของตัวเองทั้งน้ำตา

“ขอโทษ..ขอโทษ ภูริขอโทษ..” เขาเอาแต่พึมพำอยู่แบบนั้น ยิ่งพอได้ยินเสียงร้องของคนที่เขารู้จัก ภูริก็ทำร้ายตัวเองหนักขึ้น เขาเอาศีรษะโขกพื้นถนนอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใบหม่อนภูริขอโทษ.. บีม ภูริขอโทษ.. ขอโทษนะทุก ๆ คน”

รู้แล้ว..ตอนนี้รู้แล้ว

ภูริรู้แล้วว่า..

ภูริไม่น่าเกิดมาอย่างที่ทุกคนว่านั่นแหละ





00.05 น., 29 กพ.

“มีอะไรกันบนภูเขา”

“สงสัยหมู่บ้านแถวนั้นจะมีงาน”

“งานวัดแน่เลย จะมีซุ้มเกมสนุก ๆ มั้ยน้า”

“มีแหละ ไม่งานวัดก็คงเป็นงานเทศกาลอะไรซักอย่าง”

นั่นเป็นสิ่งที่คนรอบนอกอาณาเขตนั้นเห็น พวกเขาไม่เห็นควันไฟ หากแต่เห็นแสงระยิบระยับประดับประดา คล้ายกับจัดซุ้มลอดประตูตั้งแต่ทางขึ้นเขา ทว่าบางคนก็บอกว่าแว่วเสียงดนตรีดังอยู่ไม่ขาด บ้างก็บอกว่าได้ยินเสียงคล้ายมีเวทีลิเก บ้างก็บอกว่าเห็นเงาคนลาง ๆ มากมายเดินขึ้นเขา ต่างคนก็ต่างเห็นและรู้สึกแตกต่างกันไป หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นตรงกันคือ

ไม่ว่างานเทศกาลบนภูเขาจะน่าสนใจขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครอยากไปเลยสักคน

ความรู้สึกในใจมันบอกแบบนั้น



“ทุกคน วันนี้วันเกิดภูริ พ่อกับแม่จัดงานที่บ้านล่ะ พี่มิ้นต์ พี่โอม ใบหม่อน บีม เต่า อย่าลืมมานะ ทุก ๆ คนเลย” เด็กน้อยดวงตาเลื่อนลอยเดินพูดคุยกับความว่างเปล่า ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนแรงและซากศพที่ตายเกลื่อนกลาด

“พี่มิ้นต์จำได้มั้ย จำตอนที่พี่สอนภูริเขียนหนังสือแล้วภูริสับสนตัวคอควายกับดอเด็กได้มั้ย.. รู้มั้ยเพราะอะไร..”

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งไหลออกมาไม่รู้หยุด สองเท้ายังคงก้าวต่อไปเรื่อย ๆ ทุกขณะที่ผ่านบ้านแต่ละหลัง ตราบาปมากมายก็จะประทับลงจิตใจของเขา

“ฮ่า ๆ ที่ภูริสับสนเพราะภูริตั้งใจว่าจะเขียนชื่อพี่มิ้นต์คนแรกไง”

“...”

“คนสำคัญของภูริ..คนแรก”

“...”

“ดรุณี โพธิ์ทอง ..ภูริจำได้ขึ้นใจ”

..ชื่อของผู้หญิงที่ใจดีกับภูริมากที่สุดตั้งแต่ที่จำความได้ เป็นคนเดียวที่ปกป้องในขณะที่คนอื่นจ้องจะทำร้าย เป็นคนเดียวที่สอนอะไรต่าง ๆ มากมายให้ภูริเข้าใจโลกมากขึ้น เป็นเพื่อนเล่น.. เป็นแม่ครัว พี่มิ้นต์เป็นทุก ๆ อย่าง

สองเท้าหยุดกึกเมื่อสายตากระทบเข้ากับร่างของหญิงสาวที่เท้าสองข้างเป็นแผลเหวอะ นั่งพิงหลังต้นไม้

“พี่มิ้นต์!” เด็กน้อยวิ่งเข้าไปหา กำลังจะโอบกอดทว่าร่างของเธอกลับเอียงล้มไปอีกฝั่ง ภูริจึงได้รู้ว่า...เธอจากไปแล้ว

“พี่มิ้นต์..! พี่มิ้นต์! พี่มิ้นต์!!!!!!” เด็กน้อยร้องลั่นเพราะความเจ็บปวดในหัวใจ ..ที่ทุกคนต้องตายเป็นเพราะเขาหรือเปล่า..? ภูริเป็นต้นเหตุทั้งหมดจริง ๆ หรือเปล่านะ..? คำถามพวกนี้สลักลึกอยู่ในหัว

ภูริหรือเปล่านะ..? ที่ทำพี่มิ้นต์ตาย



ภูริจมอยู่กับสภาพแบบนั้นนานนับชั่วโมง เขากรีดร้องจนเสียงเริ่มแหบหาย สะอึกสะอื้นจนแสบคอ คล้ายกับว่าภายในมีบางส่วนฉีกหรือขาด

และถ้าจะให้เดา มันก็คงจะเป็นหัวใจดวงน้อย ๆ ที่เคยสดใสดวงนี้

“อึก...ฮือ..” ท่ามกลางบ้านเรือนที่เริ่มพังถล่ม และจิตใจที่พังทลายไปหมดสิ้น เขากอดร่างของพี่สาวเอาไว้แน่น แม้อีกฝ่ายจะไม่สามารถตอบกลับอะไรได้แล้ว

‘สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะภูริ ครั้งก่อนมีเรื่องก่อนพี่เลยอดอวยพรให้หนูเลย เอาไว้ครั้งหน้าพี่จะเตรียมของขวัญดี ๆ เอาไว้รอนะจ๊ะ’

‘งั้นภูริก็จะพับจรวดหลาย ๆ แบบรอพี่มิ้นต์เหมือนกัน’

‘ไว้มาเล่นด้วยกันนะ’











___________________

ตอนนี้เป็นตอนสั้น ๆ เป็นตอนจบของพาร์ทอดีตค่ะ ติชมได้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามเสมอมาค่า ❤️

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
09 Exchange the Death



ปัจจุบัน

[ช่วงหน้าเราจะมาติดตามข่าวนักศึกษาฝึกงานเสียชีวิตบริเวณด้านหลังอาคารATF กันต่อค่ะ..]



..ฝนข้างนอกหน้าต่างตกกระทบทุกสิ่งบนพื้นโลก ไม่ว่าจะหลังคา ต้นไม้ที่เอียงเอน หรือพื้นหิน ต่างก็เปียกปอนด้วยหยดน้ำ รวมถึงหัวใจของ ‘ไพลิน’

“ป้าลินคะ บ้านแจ่มใสที่พึ่งเช็กเอาต์ออกไปหนูทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วนะคะ” พนักงานสาวเข้านำกุญแจมาแขวน เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าไม่ดีของเจ้านายจึงถามไถ่ “ป้าลินไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ แผลยังเจ็บอยู่ใช่มั้ย อย่าหักโหมตัวเองเกินไปสิคะ”

“ฮ่า ๆ ป้าไม่เป็นไรแล้วจ้ะหนูครีม” สองสัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่เธอได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน เป็นระยะเวลาที่ทำให้ร่างกายเธอดีขึ้นมาก ทว่ากลับพรากความสบายใจจากเธอไปเสียหมด

“งานบูรณะสวนป่าของเราใหม่หนูว่าอย่าพึ่งรีบเลยนะคะ รอให้คุณภูริฝึกงานเสร็จก่อน ค่อยให้เขาจัดการด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ”

ไพลินเธอเป็นเจ้าของรีสอร์ตและสวนป่าทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากบิดามารดา การบริหารจัดการ และบูรณะปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงการดูแลเอาใจใส่พนักงานให้เหมือนคนในครอบครัวเลยเป็นหน้าที่ของเธอ

ใครหลายคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าไพลินเป็นหญิงวัยทองที่มีหัวคิดสมัยใหม่ คงจะเพราะเธอใจดี และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวเองให้ทันโลกอยู่เสมอ

“เรื่องนั้นไม่ทำให้ป้าหนักใจเท่าเรื่องพ่อหนุ่มที่ครีมพูดถึงหรอก” ผู้บริหารมุ่ยปาก พูดด้วยจริตจะก้านอย่างเป็นกันเอง “เนี่ยนะ หายหัวไปสองอาทิตย์แล้ว ป้าโทรไปก็ปิดเครื่องตลอด เห็นว่าฝึกงานป้าเลยคิดว่าคงยุ่ง แต่เขาก็ยังไม่โทรกลับ ป้างอนแล้วงอนอีกก็ยังไม่รู้ตัวเลยมั้งเนี่ย”

ครีมถึงกับหลุดขำกับท่าทางของเธอ “หนูว่าคงยุ่งจริง ๆ แหละค่ะ ตอนหนูฝึกงานอยู่โรงแรมในเมืองก็ไม่มีเวลาเลยเหมือนกันนะคะ”

ไพลินมองหยดฝนนอกหน้าต่างก่อนจะหันมาตอบเธอ “ป้ากลัวว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิหนูครีม ภูริน่ะเวลามีเรื่องอะไรก็จะโทรมาเล่าให้ป้าฟังตลอด แบบนี้มันแปลกเกินไป”

“ตอนนี้คุณภูริน่าจะทำงานอยู่ เอาไว้เย็น ๆ ลองโทรดูอีกรอบดีมั้ยคะ”

“ป้าก็คิดอยู่เหมือนกัน” สีหน้าเธอเริ่มหมองลงเมื่อมองภูริในรูปที่ตั้งบนโต๊ะ “ฝนตกแบบนี้อีกประเดี๋ยวอากาศคงจะเย็นลง เสื้อกันหนาวเขาน่ะอยู่นี่เต็มไปหมด บอกกรุงเทพ ฯ ไม่หนาวหรอก ไม่จำเป็นต้องเอาไป สุดท้ายพอหน้าหนาวมาถึงก็เป็นหวัดทุกปี”

“จริงค่ะป้าลิน” เธอแค่นขำ ภูริเป็นแบบนั้นจริง ๆ

“ภูริเป็นคนขี้หนาวนะหนูครีม ร่างกายก็อ่อนแอ ไม่รู้ทำไม๊ทำไมชอบทำตัวเหมือนตัวเองแข็งแรงทุกที”

“แต่คุณภูริน่ารักนะคะป้าลิน เขาชอบออกตัวปกป้องคนอื่นเสมอเลย”

ไพลินยิ้มรับคำชมแทนหลานชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อยากให้เขามาได้ยินด้วยตัวเองจัง”

...ทุกคนที่ทำงานที่นี่นั้นรู้ดีว่าความเป็นกันเองที่ไพลินแสดงนั้น เป็นหนึ่งในการสร้างความอุ่นใจ และความสบายใจให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดีของผู้บริหาร ทำให้ที่นี่ถึงแม้จะมีพนักงานไม่มาก แต่ก็แน่นแฟ้นในเรื่องของความสัมพันธ์ ราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน

“คิดถึงภูริมั้ยหนูครีม”

“คิดถึงค่ะ”

พอได้รับคำตอบไพลินก็ยกรูปเด็กหนุ่มหน้านิ่งขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มตุ่ย ๆ ในรูปเบา ๆ

“ป้าก็คิดถึงภูริเหมือนกัน”

...สิบห้าปีมาแล้วที่เธอรับอุปการะภูริมาอยู่ด้วย ไพลินรู้จักภูริเป็นอย่างดี ทั้งนิสัยใจคอ มุมมองความคิด และความลับทุกอย่าง

ถึงแม้เธอจะรู้เรื่องคำสาปและพันธะสัญญา เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าภูริน่ากลัวอะไร ยิ่งไปกว่านั้นกลับรู้สึกสงสารภูริอย่างสุดหัวใจ

ไพลินรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากที่ดูน่ารักจิ้มลิ้มของภูรินั้นซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้มากมาย และก็อย่างที่ครีมบอก... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ภูริก็มักจะออกตัวปกป้องคนรอบข้างเสมอ

ไพลินเองก็เคยได้รับมัน



นับย้อนกลับไปราว ๆ สิบหกปีก่อน วันหนึ่งในอดีต... วันที่ฝนตกเฉกเช่นวันนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่กับงานที่ต้องจัดการเพราะเกิดปัญหาบางอย่าง แต่เธอกลับไปแก้ไขทันทีเลยไม่ได้

บนท้องถนนที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา รถยนต์สีขาวมุ่งตรงสู่รีสอร์ตด้วยความเร็วเกือบร้อยยี่สิบ ไพลินที่พึ่งกลับจากงานสัมมนารู้เพียงอย่างเดียวคือต้องกลับไปรับหน้าแทนพนักงานของตนเองให้เร็วที่สุด

ทว่าก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง เมื่อจู่ ๆ รถที่เธอขับก็ชะลอความเร็วลง ที่กระโปรงหน้าปรากฏไอควันลอยล่องจนเธอได้แต่ขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ขมุกขมัว

ท้ายที่สุดไพลินก็จำต้องจอดรถไว้ข้างทาง แล้วโทรให้คนมารับ แต่จะรอในรถที่ระบบปรับอากาศพังก็คงจะแย่ ระหว่างนั้นเธอเลยยกเอกสารบางส่วนออกมาจัดการ โดยอาศัยศาลาริมทางเป็นที่พักพิง

‘อย่างที่บอกค่ะ คือทางรีสอร์ตไม่ทราบว่าคุณศศิธรจองบ้านพักไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นการจองผ่านนายหน้า ซึ่งทางนู้นไม่มีคอนแท็กต์เราและไม่เคยติดต่อขอจองที่พักมาก่อน ข้อผิดพลาดนี้เลยเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามดิฉันและพนักงานทุกคนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ดิฉันอยากจะเสนอ...’ ถึงรถจะเสียแต่ปัญหาที่กำลังคุกรุ่นอยู่ก็ยังต้องได้รับการแก้ไข ไพลินใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์เอาไว้พลางเจรจายาวเหยียด มือข้างหนึ่งจดรายละเอียด อีกข้างควานหาเอกสาร

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกต้องการใครสักคนมาช่วยจัดการ ทั้งที่เธอเชื่อมั่นมาตลอดว่าทำคนเดียวรวดเร็วกว่า วินาทีนั้นเธออยากทุ่มทุกอย่างทิ้งแล้วร้องไห้ออกมาให้เสียงดัง ๆ

‘งู.. งูจะฉกแล้ว อย่ามัวแต่คุยโทรศัพท์’

และดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าใจเธอ

เลยส่งเด็กคนนี้มา



ภูริในวันนั้นเปียกปอนเพราะน้ำฝน ซ้ำเนื้อตัวยังมอมแมม เสื้อผ้าที่ใส่ขาดวิ่นไปหมด กลิ่นตัวที่โชยแตะจมูกชวนให้ไพลินปวดหัว

‘ขอบพระคุณมากนะคะที่เข้าใจ ยังไงเดี๋ยวทางรีสอร์ตจะรับผิดชอบโดยหาที่พักให้ค่ะ คุณศศิธรไม่ต้องกังวลนะคะ’ ไพลินขมวดคิ้วจ้องภูริตาแข็ง พยายามจะสื่อว่าให้ออกไปไกล ๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับมองเธอตาแป๋ว ซ้ำยังเอื้อมมือมาหาเธอ

..ก่อนจะเอื้อมเลยใบหน้าเธอไป

ไพลินหันควับไปด้านข้าง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเต็มตาก็คือ..งู มีงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่งกำลังจะฉกเธออยู่จริง ๆ

เธอตกใจสุดขีด ตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ หวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะกรีดร้องออกไป

‘ผู้หญิงคนนี้คงรบกวนเธอใช่มั้ย’ ทว่าเด็กคนนี้กลับแตกต่าง แถมยังเอานิ้วไปสัมผัสผิวของมัน ปล่อยให้มันเลื้อยพันตามนิ้วขึ้นมาถึงแขน ‘ขอโทษแทนเขาด้วย ไม่โกรธนะ กลัวใช่มั้ย..ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ’

ไพลินมองสถานการณ์ตรงหน้าตาค้าง คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว เด็กคนนี้เป็นใคร..? ทำไมงูที่จ้องจะฉกเมื่อกี้ถึงคลายสภาพสัตว์ดุร้ายกลายเป็นงูเลี้ยงแบบนั้น..? ทำไมพูดเหมือนมันจะฟังรู้เรื่อง..?

‘เอ่อ..ขอบคุณมาก’ เธอเอ่ยไป อีกฝ่ายมองเธออยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปอมยิ้มกับเจ้างูตัวนั้น ก่อนจะปล่อยมันให้เลื้อยพันกิ่งไม้สีเขียว

‘เธอพรางตัวอยู่ที่นี่ได้นะ ผู้หญิงคนนั้นไม่ทำร้ายเธอหรอก’ ภูริยังคงพูดกับมันเสมือนเจ้างูสามารถเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ แน่นอนสำหรับไพลินแล้วเธอคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทว่า..เจ้างูตัวนั้นกลับเลื้อยพันกิ่งไม้ไปอย่างที่ภูริสั่ง

‘เธอเองก็อย่าทำร้ายใครล่ะ’

..รอยยิ้มบนใบหน้าของภูริทำให้ใจที่ร้อนรนของเธอเย็นลงได้อย่างน่าประหลาด

‘หนูชอบสัตว์พวกนี้หรอ’ เธอถาม จู่ ๆ ก็รู้สึกสนอกสนใจในตัวเด็กคนนี้

‘อือ’

‘เมื่อกี้ขอบใจมากนะที่ช่วยป้าเอาไว้ ไม่ได้หนูป้าคงโดนงูกัดไปแล้ว’
ไพลินยิ้มกว้าง ขณะที่ภูริใบหน้าเรียบนิ่ง ‘ป้าก็ชอบสัตว์นะ แต่ถ้ามาแบบงูเมื่อกี้ก็คงไม่ชอบเท่าไหร่ ฮ่า ๆ’

เด็กน้อยยังคงนิ่งเงียบ ซ้ำยังทำท่าจะเดินออกไป ความสงสัยหลายอย่างที่สะกิดใจจึงเร้าให้เธอถามออกไป

‘หนูชื่ออะไรจ๊ะ มาจากไหน..?’

‘ภูริ’

‘มาจากไหนจ๊ะ ให้ป้าไปส่งหนูมั้ย เดี๋ยวนั่งรอตรงนี้กับป้าก่อน รอคนมารับ’

‘ไม่มีบ้านให้ไปส่งหรอก ไม่เป็นไร’


ชั่วขณะหนึ่งความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในหัวใจ

‘พ่อแม่หนูล่ะ..?’

‘ไม่มี’

‘หนูอยู่กับใคร..’

‘อยู่คนเดียว’

‘อยู่ยังไง..?’

‘ไม่รู้’

ความสงสารเกิดขึ้นในจิตใจที่งดงาม หลังจากที่เธอแน่ใจแล้วว่าเด็กคนนี้สูญเสียครอบครัวไปเหมือนเธอไม่มีผิด

พ่อ แม่ พี่ชาย และน้องสาวของไพลิน ทุกคนจากไปตั้งแต่ตอนเธอยังเด็กด้วยอุบัติเหตุ เธอต้องจมอยู่กับความรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งตั้งแต่ตอนนั้น

ญาติฝ่ายแม่รับเธอและรีสอร์ตไปดูแล พยายามทดแทนช่องโหว่ขนาดใหญ่ในชีวิตของเธอ แต่พอฟ้ามาพรากพวกเขาไป ช่องโหว่นั้นก็ไม่สามารถทดแทนด้วยสิ่งใดได้อีกเลย

...ที่ไพลินอยู่ตัวคนเดียวจนถึงตอนนี้ก็เพราะการสูญเสียเหล่านั้น เธอกลัวที่จะสร้างความสัมพันธ์กับใคร กลัวเหลือเกิน...หากจะต้องเห็นคนที่เธอรักจากไปอีกครั้ง

‘คิดถึงพวกเขาเนอะ’ จู่ๆน้ำตามันก็ไหลเอง อาจเพราะความเหน็ดเหนื่อยในหน้าที่ ความเหงา ความรู้สึกท้อถอยในชีวิต ทั้งหมดรวมกัน และยังรวมถึงความรู้สึกที่ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครด้วย

‘อย่ายอมแพ้’

‘...’ เด็กน้อยตรงหน้าบอกเธอราวกับเข้าใจความรู้สึกเธอทุกอย่าง ไพลินจึงซับน้ำตาแล้วยิ้มตอบไป ‘อือ ไม่ยอมแพ้หรอก’

หลังจากนั้นภูริก็คลี่ยิ้มแล้วเดินตากฝนออกไป

...เป็นรอยยิ้มของภูริครั้งแรก ที่มอบให้มนุษย์ หลังจากหลบหนีออกมาจากความทรงจำที่แสนโหดร้าย

และเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มอบพลังใจมหาศาลให้กับไพลิน

‘หนูก็ห้ามยอมแพ้นะ’



ด้วยความที่งานของผู้บริหารมีการเดินทางไปนู่นมานี่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้หลังจากนั้นไพลินได้พบกับภูริอยู่เรื่อย ๆ เธอจึงมักจะแวะไปนั่งคุยเล่น ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ บางครั้งก็พาไปทานข้าว บางครั้งก็ซื้อของมาให้ แม้ภูริจะปฏิเสธหลายครั้ง แต่ความรู้สึกในใจของเธอบอกให้เธอทำ และเธอก็ยินดีที่จะเป็น ‘ผู้ให้’ ต่อไป

‘เรียกยายได้มั้ย’

‘ทำไมล่ะ..?’

‘จะรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่กับครอบครัว’


ภูริขอเรียกเธอแบบนั้น ซึ่งเธอก็ไม่ติดขัดอะไร เพราะหลังจากนั้นเด็กคนนี้ก็เปิดรับเธอมากขึ้น เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาบ้างทีละนิดทีละหน่อย

เวลาผ่านพ้นไปกระทั่งวันหนึ่ง... วันที่ฝนตกเฉกเช่นวันนี้และวันแรกที่พบ วันนั้นเป็นวันที่เธอได้เห็นการประทังชีวิตของภูริ ..มันบีบรัดหัวใจของเธอจนรู้สึกอึดอัด

ภูริ.. คุ้ยขยะกิน

เธอรู้อยู่อย่างเดียวคือต้องทำอะไรสักอย่างกับเด็กคนนี้

‘เดี๋ยวก่อนภูริ หนูหิวใช่มั้ย มานี่มา มาหาป้า ป้าซื้อของกินมาฝาก’

ไพลินลงไปหาเด็กน้อยที่มูมมามกับเศษอาหารทันที เธอพูดด้วยเสียงใส ๆ แม้ในใจจะเจ็บปวดกับภาพที่เห็น มือเธอลูบหัว ก่อนจะชูถุงอากหารที่ซื้อมาให้ภูริเห็น

ไพลินสร้างข้อตกลงระหว่างที่ภูริเปลี่ยนมาทานอาหารที่เธอซื้อมา เธอตั้งกฎให้ภูริโดยสั่งห้ามไม่ให้ทานเศษขยะพวกนั้นอีก คุยกันอีกหลายเรื่องกระทั่งทานเสร็จก็ยืนขึ้น...

‘แล้วนั่น แผลนั่นหนูไปโดนอะไรมา?’ ยามสายลมพัดผ่านชายเสื้อของภูริก็ลู่ไปตามลม เผยให้เห็นร่องรอยการใช้ชีวิตมากมายที่ซ่อนใต้เงาเครื่องแต่งกาย

หลายรอยเป็นแผลสด และอีกหลายรอยเป็นเพียงแผลเป็นจาง ๆ แต่มีอยู่แผลหนึ่งที่สะกิดใจไพลิน ...แผลเป็นรอยใหญ่ที่หน้าท้อง

‘ไหนป้าขอดูหน่อย’ เธอย่อตัวลงตรงหน้า พิจารณารอยแผลพวกนั้นที่แสดงถึงความทุกข์ทรมาน ก่อนจะเอ่ยถามโดยที่น้ำตาเอ่อคลอ ‘เจ็บมากเลยใช่มั้ย..’

‘...’

‘...’

‘อือ เจ็บมาก’

...เป็นความเจ็บปวดที่ไม่ได้แค่หมายถึงบาดแผล

‘เดี๋ยวป้าทำแผลให้นะ’

ตัดสินใจแล้วว่าจะทำแผลให้ ทั้งบาดแผลในอดีต บาดแผลในวันนี้ และบาดแผลที่จะเกิดในอนาคต

ไพลิน ‘อุปการะ’ เด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้มาตั้งแต่นั้น





[ข่าวต่อไปเป็นคดีฆ่าตัวตายสยอง ที่พึ่งมีผู้พบศพไม่นานมานี้..]

“ป้าลินคะ มาดูข่าวนี้สิคะน่าสงสารมากเลยค่ะ สังคมสมัยนี้โหดร้าย คนเครียดจนเป็นความดันกันล้นเมือง บางคนที่หาทางออกไม่ได้ก็จบชีวิตตัวเองลงแบบนี้”

ไพลินหันไปมองจอโทรทัศน์ตามที่พนักงานสาวบอก ก่อนที่เธอจะช็อคเมื่อเห็นภาพผู้เสียชีวิต จนรูปในมือร่วงหล่นลงพื้น

เพล้ง!

[สภาพศพแม้เลือดจะท่วมตัวแต่ก็ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย ทางตำรวจจึงสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตฆ่าตัวตาย และยังสันนิษฐานเพิ่มเติมอีกว่าน่าจะใช้ยาพิษในการจบชีวิตตัวเอง]

“ป้าลิน!”

[..ผู้ตายคือ นายภูริ วนรักษ์]





อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆพายุ พอฝั่งนึงจมสู่มหาสมุทรแห่งความสิ้นหวัง อีกฝั่งก็โผล่ขึ้นเหนือน่านน้ำด้วยปาฏิหาริย์ ...ภามรู้สึกตัวแล้วเมื่อไม่นานมานี้

ควรจะดีใจหรือเปล่า..? กฤติกรณ์ถามกับตัวเอง หลังจากที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของภูริเขาไม่รู้เลยว่าเขาได้รับสิทธิ์ที่จะยิ้มยินดีกับปาฏิหาริย์นี้หรือเปล่า

หากถามตัวเขาเอง คำตอบก็คงจะเป็นคำว่า ‘ไม่’ เขาและภามไม่ควรมีใครยินดีกับชีวิตที่ได้มาด้วยการสังเวยชีวิตคนอื่นเลย

“พ่อ... ภูริล่ะ? เห็นเขาบ้างมั้ยครับ” ภามถามถึงหลังจากที่ฟื้นคืนจากความตาย ทำเอาคนถูกถามไปต่อไม่ถูก กระอักกระอ่วนจนมวนท้อง

“น้องเคยบอกว่าถ้าฝึกงานเสร็จจะกลับต่างจังหวัด ช่วงนี้ไม่เห็นเลย สงสัยฝึกงานเสร็จแล้วมั้ง” ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นคนโกหก..? กฤติกรณ์ต้องหลอกลวงลูกชายแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือเปล่า..?

“ก่อนหน้านี้เราทะเลาะกัน ภูริคงโกรธผมแล้วแหง”

ไม่เลยภาม ...ภูริไม่เคยโกรธแกเลย ดูท่าจะ ‘รัก’ แกมากซะด้วยซ้ำ

“นอนพักเถอะภาม ตอนนี้สนใจเรื่องตัวเองก่อนดีกว่า” กฤติกรณ์ลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าเหมือนจะเดินออกไป “เดี๋ยวพ่อจะให้พยาบาลเข้ามาดูอาการแกสักหน่อย ระหว่างนี้พักเถอะ”

“แต่พ่อ ภูริเขา..”

“หลังจากที่แกหายดีพ่อจะส่งแกกลับไปโปแลนด์ ไปช่วยแม่บริหารงานอยู่นู่นเตรียมตัวรับตำแหน่งรองประธานได้แล้ว”

“ฮะ..? ทำไมล่ะพ่อ” ภามถามกลับ “พ่อก็รู้นี่ว่าอยู่ที่นั่นผมเป็นยังไง”

“ภามหายป่วยแล้ว” กฤติกรณ์ตอบเสียงนิ่ง “เรื่องนั้นไม่มีผลต่อลูกแล้วภาม เลิกเอามาเป็นข้ออ้างเถอะ”

“...” ภามไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป เพราะยังไงก็คงเปล่าประโยชน์ แต่เขาก็ไม่เข้าใจความคิดของพ่ออยู่ดี ทำไมพ่อถึงมั่นใจว่าถ้ากลับไปนู่น...ในที่ที่มีแต่เด็กคนนั้น เขาจะไม่กลับไปป่วยอีก..?

“พ่อเลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูกแล้วภาม เชื่อใจพ่อเถอะ”

“..ครับ”

...ภามเคยป่วยเป็นโรคจิตเภท เพราะสูญเสียคนสำคัญไปในชีวิตไปอย่างกระทันหัน เขาอยู่ในที่ที่มีแต่ร่องรอยความทรงจำ กระทั่งดำดิ่งสู่ห้วงความคิด นึกเข้าข้างตัวเองว่าใครคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ละเล่นกับความว่างเปล่าโดยเว้นที่ว่างไว้อีกที่เสมอไม่ว่าจะทำอะไร ...ระยะหลังภามเริ่มสั่นกลัว หวาดระแวง นานวันเข้าอาการก็รุนแรงจนทำร้ายร่างกายผู้อื่น

เขาจึงถูกส่งตัวมารักษาที่ไทย อาการป่วยเลยดีขึ้นจนหายดี แต่ถ้าหากกลับไปอยู่โปแลนด์อีกครั้ง เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะคงความ ‘ปกติ’ ของสภาวะจิตใจได้หรือเปล่า

...การฆาตกรรมในครั้งนั้นมันฝังลึกอยู่ในใจเขาอย่างไม่มีวันลบเลือน

“ถ้าต้องไปจริง ๆ ก็คงมีแต่จะต้องทนให้ได้สินะ..” ภามมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “แต่ก่อนจะไป ขอบอกลาภูริก่อนนะครับ..”





มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ส่วนทางฝั่งของผู้เสียชีวิตในข่าว แม้ผ่านกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์จนหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบสารพิษในร่างกายเลย เป็นเคสประหลาดที่ตายอย่างปริศนา เพราะเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในร่างกายทั้งหมดถลอกและฉีกขาดราวกับถูกกร่อนด้วยกรด ไม่ก็ถูกสัตว์ร้ายรุมทึ้ง

“ญาติผู้เสียชีวิตใช่มั้ยครับทางนี้เลยครับ” บุรุษพยาบาลนำทางไพลินไปห้องที่เก็บรักษาร่างของภูริ ด้วยบรรยากาศที่กดดันและจิตใจที่เพิ่งรับรู้ถึงการสูญเสีย ไพลินซึ่งอ่อนไหวกับมัน พอได้เห็นหน้าหลานรักด้วยตาตัวเองเธอก็เป็นลมล้มฟุบไป

หนึ่งคำถามเกิดขึ้นในหัวพร้อมกับความสิ้นหวัง

ภูริฆ่าตัวตาย... เพราะอะไร?

เพราะใคร..?

ใครกันที่ทำร้ายเด็กคนนี้



ไพลินเจ็บปวดตรงที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน กงล้อแห่งกาลเวลาจะหมุนไปแล้วเท่าไหร่หน้าที่ผู้ปกครองเธอก็ไม่เคยทำได้ดี

นับครั้งไม่ถ้วนที่เธอเห็นภูริเจ็บปวด ทั้งทางกายและความรู้สึก แต่เธอก็ปกป้องอะไรไม่ได้

โหดร้ายที่สุดก็คือครั้งนี้ ที่เธอตัดสินใจพลาดปล่อยให้ภูริมาใช้ชีวิตคนเดียวจนลงเอยแบบนี้

ลำบากมากเลยใช่มั้ยภูริ..

ทรมานมากเลยใช่มั้ย



ความรู้สึกในอกผสมปนเปกันราวกับเส้นไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิง เป็นอีกครั้งที่เธอสูญเสียคนที่เธอรัก ไพลินรับรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคนที่จากไปจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ทอดทิ้งไว้เพียงความเศร้าโศก ความเงียบเหงา และหยาดน้ำตา เธอไม่อยากกลับไปรู้สึกแบบนั้นเลย แต่คง...สายไปแล้วใช่มั้ย?

ยายยังไม่ได้เห็นภูริเติบโตเลย..

กลับมาหายายได้ไหมลูก





...หมอกควันสีทะมึนห้อมล้อมพื้นที่สีดำอันว่างเปล่า ไม่ว่าจะทอดสายตาไปทางไหนก็มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง ราวกับกำลังกดให้วิญญาณดวงหนึ่งจมสู่การหมดสิ้นซึ่งความหวัง ให้หยั่งรู้ถึงสภาวะอายุขัยสลายไป

‘ภูริ’ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าเขากำลังยืนท่ามกลางที่ใดที่หนึ่ง บางทีอาจจะเป็นที่ที่จะตัดสินและส่งเขาไปที่ไหนซักที่ อาจจะนรก หรือสวรรค์ อย่างที่เคยได้ยินมาตอนเป็นมนุษย์ ซึ่งสถานที่นั้นก็มีเพียงจินตภาพในหัวที่เป็นรูปธรรม

หากช่วงที่มีชีวิตทำความดีมามาก ก็ขึ้นสู่ดินแดนที่ไร้ความทุกข์ หรือที่กล่าวขานกันว่า ‘สุคติภูมิ’

แต่หากช่วงที่มีชีวิตกระทำต่ำช้าสามานย์ ก็จะร่วงหล่นสู่ดินแดนที่มีแต่เสียงกรีดร้องเพราะทรมานจากการชดใช้กรรม หรือที่กล่าวขานกันว่า ‘นิรยภูมิ’ หรือ ‘นรก’ นั่นเอง

..ศาสนาพยายามตีกรอบให้ผู้คนเกรงกลัวต่อบาปและการร่วงหล่นสู่ภพภูมินั้น สาธยายถึงเครื่องมือทรมานของนรกแต่ละขุมไว้มากมาย ทว่าต่อให้เป็นเครื่องทรมานในนรกขุมที่ลึกที่สุด ก็ยังไม่เทียบเท่าความเจ็บปวดทรมานอันเกิดจากการถูกทำร้ายจากผู้ซึ่งเป็นที่รัก



“ดีแล้วที่มันตายไป”

จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งแว่วมาตามสายหมอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้อเท้าของเขามีมือดำ ๆ จับให้ก้าวไปข้างหน้า

...เป็นการก้าวเท้าที่เจ็บปวดหัวใจราวกับเดินบนเสี้ยนหนาม






“จะให้ผมฆ่าลูกตัวเองเนี่ยนะ ผมจะทำได้ยังไง”

“มันเป็นผี มันไม่ใช่คน ก็เข้าใจทุกอย่างไม่ใช่หรือไง ถ้าปล่อยมันไว้เดี๋ยวก็มีคนตายอีก”

“แต่ผมสัญญากับพรรณีไว้แล้ว..”

“ฉันยังไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ถ้าเธอฆ่าไอ้ปีศาจนั่นไม่ได้เราก็แยกกันตรงนี้”

“ก็ได้ ผมจะทำ”




ภูริได้ยินเสียงของคนที่เคยรู้จักทุกครั้งที่ก้าวขา เขาพยายามต่อต้านที่จะเดินต่อ แต่ก็ทำไม่ได้ จึงเผชิญกับคำหยาบโลนที่ทิ่มแทงจิตใจพวกนั้นไปเรื่อย ๆ

“ตัวกาลกิณี”

“ฆ่ามัน”

เสียงของชาวบ้านหลายคนที่มักจะตะโกนใส่เขา เป็นคำสาปส่งที่ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับจุกเสียดราวจะขาดใจทุกครั้งที่ได้ยิน



“ภูริ พี่คบกับคนนั้นแล้วนะ ขอบใจมาก พี่มีของมาตอบแทนภูริด้วยแหละ”

“ไม่เอาแล้วได้มั้ยพี่โอม ภูริเจ็บ..”

“เจ็บก็จริง แต่ภูริไม่ตายนี่นา พี่จับกดน้ำวันก่อน ภูริก็ยังไม่เป็นอะไรเลย”

“ไม่ครับ พอสำลักน้ำ..ข้างในก็แสบไปหมด..”

“น่าภูริ พี่อุตส่าห์มาเล่นด้วยน้า”

“พี่..พี่! จะทำอะไร”

“ลองเผาดูไง”



เพียงได้ยินเสียงแต่ก็เหมือนกับเหตุการณ์นั้นหวนคืนมาอีกครั้ง ความร้อนที่ระอุอยู่ตั้งแต่ปลายเท้าในวันนั้นสร้างความเจ็บปวดมหาศาล กลิ่นฉุนของน้ำมันเบนซินภูริก็ยังจำได้ดี เสียงขู่ของโอมที่ไม่ให้เขาส่งเสียงนั่นก็ด้วย

...สองขายังคงถูกบังคับให้ก้าวต่อไปเพื่อชมนิทรรศการความเจ็บปวด ยิ่งถลำไปลึกมากขึ้นเสียงต่าง ๆ มากมายก็ประเดประดังเข้ามาไม่รู้หยุด

นี่หรือเปล่า..โลกหลังความตายที่แท้จริง

...โลกที่จองจำดวงวิญญาณด้วยความทรงจำขณะที่ยังมีชีวิต



“ได้ยินมาว่าอีเด็กผีนั่นมันฆ่าคนไปเป็นสิบ ฉันว่าเราคงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ น่ากลัว”

“โอ๊ยมันตายแล้วนี่จะกลัวทำไม ชาวบ้านชีวิตดีขึ้นมากเลยนะรู้มั้ย หลังจากที่จับมันถ่วงน้ำ”

“จริงหรอ ถ่วงน้ำยังไงล่ะเนี่ย”

“ก็ซ้อมให้มันสลบ มัดหินไว้กับเท้าแล้วก็โยนมันลงแม่น้ำ”



ความรู้สึกในวันนั้นเริ่มกลับมาให้สัมผัสรับรู้ วันที่เด็กตัวเล็ก ๆ อายุไม่กี่ขวบถูกกระทืบจนขยับตัวไม่ได้ ก่อนจะถูกโยนลงแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว

กระแสน้ำที่กระแทกโดนแผลสดมันรุนแรงไม่ต่างอะไรกับการโดนหอกแทงกลางท้องในคืนนั้น

..เจ็บปวด กรีดร้อง ผูกใจเจ็บ และเอาคืน เวียนกันเป็นกงเกวียนกรรมเกวียนที่ไม่มีวันจบ



“ภูริปล่อยเราไปเถอะนะเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ”

“ขอโทษ จะไม่ล้อภูริอีกแล้ว”



เสียงใบหม่อนในคืนงานเทศกาลดังขึ้น ภูริจำได้ดีว่าตอนนั้นเธอสั่นกลัวเมื่อร้องขอชีวิต แต่ภูริที่คุมร่างตัวเองไม่ได้กลับเมินเฉย และยังบังคับกรงเล็บของตัวเองวาดกำลังบนอากาศ ก่อนจะฟาดลงบนใบหน้า

ริมฝีปากบนล่างที่ขาดออกจากกันพยายามจะพูด แม้ไม่ได้ยินเป็นคำแต่ภูริที่ถูกกังขังภายในจิตใจก็รับรู้ได้ว่าใบหม่อนกำลังสื่อสิ่งใดอยู่

“กูขอจองเวรกับมึงอีสัตว์นรก”

ฮ่า ๆ ก่อนหน้าที่ทุกอย่างเป็นปกติดีพวกเรายังเล่นซ่อนหาด้วยกันอยู่เลย

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้กันนะ..?

ทำไมถึงต้องทำร้ายกันขนาดนี้



หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ ดวงวิญญาณทรมานกับความโศกาเกินกว่าจะรับฟังเสียงพวกนั้นได้อีก เขาส่งเสียงร้องโหยหวน กรีดร้องจนกว่าจะสุดเสียงที่สามารถแผดออกไปได้ แต่ทันใดนั้นจู่ ๆ เสียงที่ฟังดูเย็นสบายก็ดังขึ้นข้างหลัง

“อย่าพึ่งยอมแพ้นะ”

ฉับพลันที่เสียงนั้นดังเข้ามา สายตาก็เหลือบไปเห็นเครื่องบินกระดาษบินผ่าสายหมอกไปข้างหน้า

“วิ่งเร็วภูริ ใครเก็บจรวดได้ก่อน คนนั้นชนะ!”เสียงของพี่มิ้นต์

“โตขึ้นไปขอให้หนูเป็นเด็กดีนะภูริ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผูกพันด้วยสายใยที่ไม่มีวันตัดขาด

เสียงของแม่..



สายตามองตามเครื่องบินกระดาษที่กำลังลอยห่างออกไป ขณะเดียวกันภูริก็เริ่มก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แม้จะต้องสดับฟังถ้อยคำหยาบช้าพวกนั้นเรื่อย ๆ แต่ก็มักจะมีเสียงของพี่มิ้นต์แทรกเข้ามาเสมอ

และเธอก็บอกภูริอยู่ตลอดว่า..

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะอยู่ข้างภูริเสมอนะ”

เพียงเท่านั้นก็ทำให้ภูริตระหนักถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิต

ต่อให้ในชีวิตจะเจอเรื่องไม่ดีอย่างไร เลวร้ายมากมายขนาดไหน ถูกทำร้ายอย่างทารุณจนเจ็บปวดไปเท่าไหร่ สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมโดยเด็ดขาดก็คือ

‘ในเรื่องราวร้าย ๆ ยังคงมีเรื่องราวดี ๆ สอดแทรกอยู่เสมอ’ ขอเพียงแค่เราไม่มองข้ามสิ่งนั้นไป ...สิ่งสำคัญที่คนที่รักเรามอบให้

ความห่วงใย...และความรัก



คิดได้ดังนั้นแล้วสองเท้าจึงเปลี่ยนจากเดินเร็ว กลายเป็นค่อย ๆ สับเท้าแล้วเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นวิ่งฝ่าหมอกสีหม่นนั้นไปได้ โดยมีเจ้าเครื่องบินกระดาษคอยนำทาง

“ไว้มาเล่นด้วยกันอีกนะ”

เสียงของพี่มิ้นต์ดังไล่หลังตามมา น้ำเสียงนั้นฟังแล้วอบอุ่นใจราวกับกำลังถูกใครสักคนโอบกอด

...พอหลุดออกจากพื้นที่ที่มีแต่หมอกควันไปแล้ว เสียงเหล่านั้นก็ไม่ดังมาให้ได้ยินอีก เช่นเดียวกับเครื่องบินกระดาษที่เคยลอยอยู่ตรงหน้า มันค่อย ๆ จางหายไปจนรู้ได้ว่ามันเองก็เป็นเพียงควันเหมือนกัน แล้ว...คราวนี้ล่ะภูริมาอยู่ที่ไหน..?

ทิวทัศน์รอบข้างปรากฏเป็นพื้นที่สีขาว มันขาวโพลนไปหมดทุกอณู สายตาภูริพิจารณาความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพราะดูเหมือนสีขาวเหล่านี้กำลังจางลงเรื่อย ๆ โดยถูกแทนที่ด้วยแสงที่สลัวลง พื้นที่ที่ทึบมากกว่า เสียงฝนตก และเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้



ที่นี่คือบ้านของไพลิน

“พระคุณเจ้าลูกทำกรรมอะไรไว้หรือเจ้าคะ ทำไมถึงมีเหตุให้ต้องพบการสูญเสียคนที่ลูกรักตลอดมา” เสียงที่เจือความโศกเศร้าดังเข้ามาในโสตประสาท ภูริจึงหันขวับไปตามเสียงนั้นและสิ่งที่เห็นก็คือ... ผู้หญิงอีกคนที่รักและห่วงเขามากกว่าใคร

“ยาย..”

กิริยาท่าทางของภูริเบาหวิวดุจปุยนุ่นสำหรับมนุษย์ ไพลินจึงไม่เห็นหรือได้ยินเสียงของเขาแม้แต่นิดเดียว

เบ้าตาทั้งสองข้างของเธอบวมแดงราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เสียงเธอดูเหนื่อยล้าและอ่อนแรงจนอดเป็นกังวลไม่ได้

“ลูกต้องเห็นและต้องเป็นผู้จัดงานศพให้คนที่ลูกรักไปอีกกี่ศพกัน..” ไพลินตัดพ้อต่อหน้าเชิงเทียนและกระถางธูป ถัดมาอีกสักหน่อยเป็นโต๊ะหมู่บูชาที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์มากมาย ที่ฐานด้านบนสุดเป็นประพุทธรูปปางสมาธิสีมรกต

“ลูกคิดถึงภูริคิดถึงเด็กคนนั้นเหลือเกิน มันยังเร็วไปที่เขาจะจากลูก” ไพลินเริ่มสะอึกสะอื้นอีกระลอกหนึ่ง “ภูริยังต้องพบเจออนาคตที่ดีอีกมาก เขาสมควรจะได้พบเจอมัน ... อย่างน้อยเพียงแค่สักครั้งก็ยังดี"

ร่างที่เกือบจะโปร่งแสงขยับเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลัง ซบหน้าลงบนไหล่ที่สั่นเทา

“ภูริอยู่นี่แล้วนะยาย.. ยายไม่ร้องไห้นะ” เขาพยายามบอกให้เธอรับรู้ แต่ก็เจ็บปวดเหลือเกินที่มันเปล่าประโยชน์

“พระคุณเจ้าเจ้าคะ” เม็ดน้ำตาไหลหลั่งจากดวงตาที่ฉายแววความเจ็บปวด ไพลินประนมมืออย่างตั้งมั่น ปากเธอสั่นขณะที่สีหน้าเธอกลับจริงจังตั้งใจ ภูริที่พยายามกอดเธอเพื่อปลอบประโลมไม่ได้เข้าใจอะไรเลยกระทั่งเธอเอ่ยคำขอบางอย่างออกมา

“ลูกขอภูริของลูกคืนได้ไหมเจ้าคะ”

“...!”

“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไหนลูกก็จะถวาย เพื่อตอบแทนหากสิ่งที่ลูกขอเป็นจริง”





TBC





ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
สงสารภูริ​ ร้องไห้ยันตอนที่​ 9​ เลยฉัน​ ภูริต้องสูญเสีย​คนที่รักอีกกี่คนเนี่ย​ น้อง​ Cryyyyyyyyyyy

ออฟไลน์ ninknpk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารภูริ โง้ยยยย :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
10 Tired of Being







           ‘ทำไมถึงใจดีกับภูริจังล่ะครับ’
           ‘ไม่รู้สิ หนูเหมือนยายล่ะมั้ง เราต่างก็เจอเรื่องหนักหนาสาหัสมาเหมือนกัน’
           ‘ยายก็เจอเรื่องแบบภูริมาเหมือนกันหรอ’
           ‘ไม่เชิงเหมือนหรอก ของภูริออกจะเหนือธรรมชาติไปสักหน่อย แต่เรื่องราวของยายไม่ใช่แบบนั้น เหมือนกันก็แค่...คนที่เรารักทุกคนต่างก็ทอดทิ้งเราไว้ข้างหลัง’
           ‘...’
           ‘แล้วก็เพราะยายเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียนั้นดี ยายเลยอยากดูแลภูริ อย่างน้อยภูริก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอีกต่อไป’
           ‘ใจดีจังเลยฮะ งั้นภูริขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ยครับ’
           ‘ได้สิ มากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ยายพร้อมให้ภูริเสมอ’
           ‘อย่างเดียวก็พอแล้วครับ’
           ‘งั้นไหนลองบอกยายหน่อยสิคนเก่ง จะขออะไรเอ่ย’
          ‘ภูริอยากให้ยายอยู่ดูแลภูริไปนาน ๆ คอยกอด คอยลูบหัวภูริแบบนี้ตลอดไป’


ภูริ วนรักษ์;
           ภาพความทรงจำในวัยเด็กหวนกลับเข้ามาในความคิดขณะที่ผมจ้องมองใบหน้าแสนงดงามในรูปหน้าศพ หากสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นภาพลวงในอาณาเขตแห่งความตาย ก็ขอให้ผมได้หลุดพ้นไปจากมันเสียที ผมยอมฟังเสียงก่นด่าและคำสาปส่งไปชั่วกัปชั่วกัลป์ดีกว่าเห็นภาพตรงหน้านี้แม้เพียงเสี้ยววินาที  ...ทรมานเหลือเกินที่น้ำตาไม่ไหลออกมาสักหยด มันจุกอยู่ข้างในแต่ระบายออกมาไม่ได้
           แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความจริงที่ผมต้องยอมรับ
           ...ยายสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อ
           ฮ่า ๆ ภูริ.. มันไม่มีอีกแล้วล่ะอ้อมกอดอุ่น ๆ นั้น ไม่มีแล้วนะเสียงแสนหวานที่คอยสั่งสอน ไม่มีคนที่แกรักอยู่บนโลกนี้แล้ว

           แม้แต่วิญญาณของยายผมก็ไม่เห็น ไม่รับรู้ และไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เธอไปอย่างสงบ นิ่งสงัดราวกับสูญสลายไปกระทั่งดวงจิต
           เกลียด.. ผมเกลียดตัวเองฉิบหายที่เป็นตัวกาลกิณี! ต่อให้ผมปกปิดหรือซ่อนเร้นมันไว้สุดท้ายถ้าเผลอก็จะกลายเป็นทำร้ายคนอื่นไปเสียหมด ผมอดคิดไม่ได้แล้วว่า...ถ้าผมตายจริง ๆ ทุกคนรอบตัวจะปลอดภัยมากกว่านี้หรือเปล่า
           แต่เชื่อมั้ย... ต่อให้ผมพยายามฆ่าตัวตายกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยสำเร็จเลย เหมือนกับคำสาปและดวงวิญญาณสรรพสัตว์เหล่านี้ไม่ยอมปลดปล่อยผมไป ไม่ปล่อยให้ผมหนี ตีตราให้ผมรับใช้ ชดใช้ในสิ่งที่พ่อผมทำ

           “คุณภูริคะ ไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ” พนักงานที่รีสอร์ตเดินเข้ามาสะกิดผม “คุณภูริดูอ่อนล้ามากเลย พี่ว่า..” แต่ทันทีที่ปลายนิ้วเธอโดนตัวผม ร่างของผมก็ทรุดลงไปกับพื้นพร้อมกับสติที่หลุดลอยสู่ความว่างเปล่า
           ใช่ ผมเหนื่อยมาก มันทั้งท้อ ทั้งโกรธและเกลียดตัวเอง  ทั้งหมดนี้กระจุกกันอยู่ในความรู้สึก
           ที่สำคัญ...ผมมองไม่ออกเลยว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง
           ไม่รู้แล้วจริง ๆ ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร

           เวลาผ่านไปกระทั่งรุ่งสางของอีกวัน ผมรู้สึกตัวอีกครั้งบนเตียงนอน ข้าง ๆ มีพยาบาลคนหนึ่งกำลังดูอาการผม ที่หลังมือข้างหนึ่งมีเข็มสายน้ำเกลือปักอยู่ พอกระบวนการคิดเริ่มทำงานสิ่งที่ผมคิดถึงอย่างแรกก็คืองานศพของยาย
           “วันนี้วันเผา.. เอ่อ พี่ครับ ผมไปงานศพของยายได้หรือเปล่า” ผมเอ่ยขอเธอ ที่จริงเธอเป็นพยาบาลคอยดูแลกรณีฉุกเฉินที่รีสอร์ต แล้วก็คอยดูแลยายด้วย เพราะงั้นพวกเราก็พอสนิทชิดเชื้อกันอยู่บ้าง
           “เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ คุณภูริต้องพักอีกสักหน่อย ยังออกจากโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้นะคะ” เธอยิ้มตอบผมอย่างเป็นมิตร แต่นั่นกลับทำให้ผมยิ่งดื้อรั้นอยากจะไปมากกว่าเดิม ทว่า.. “แล้วก็อีกอย่างค่ะคุณภูริ ผ่านไปสามวันแล้วค่ะตั้งแต่งานศพเรียบร้อย คุณภูริไม่รู้สึกตัวมาตลอดสัปดาห์”
           “หมายความว่ายังไงครับ”
           “ตอนนี้คุณภูริพักผ่อนเถอะนะคะ เดี๋ยวหลังจากที่นำอัฐิของคุณไพลินไปลอยอังคารเรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งสัปดาห์คุณภูริต้องขึ้นรับตำแหน่งผู้บริหาร”
           ผู้บริหาร..?
           “คุณไพลินเคยบอกดิฉันค่ะว่าถ้าวันหนึ่งเธอล้มป่วยจนดูแลรีสอร์ตต่อไม่ไหว หรือถ้าเธอเสีย คุณภูริคือทายาทที่จะเข้ามารับช่วงต่อ”
           “ผมไม่ไหวหรอก..” ล้อเล่นหรือเปล่า ต่อให้ผมจะอยู่กับรีสอร์ตนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่หน้าที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นมันไม่เหมาะกับผมเลยนะ ผมไม่อยากทำให้รีสอร์ตของครอบครัวยายต้องมาตกต่ำเพราะมีสิ่งอัปมงคลอย่างผมเป็นผู้ดูแล
           “คุณไพลินเธออยากให้ภูริอยู่ต่อได้แม้จะไม่มีเธออยู่บนโลกแล้วน่ะค่ะ”
           “แต่ผมไม่ใช่ญาติ ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องอะไรกับวงศ์ตระกูลวนรักษ์เลยนะ”
           “เดี๋ยวหลังจากเปิดพินัยกรรมคุณภูริน่าจะเข้าใจค่ะ” เธอทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะวัดความดัน และอุณหภูมิร่างกายของผมพร้อมสอบถามอาการ แต่ในหัวผมกลับมีคำถามมากมายที่ไม่เข้าใจยายเลยแม้แต่นิดเดียว
           มันไม่ใช่สมบัติของผม และคนนอกอย่างผมไม่ควรได้รับสิทธิ์ครองทรัพย์สินนั้นเลยแม้แต่บาทเดียว


                ทว่าพอถึงวันเปิดพินัยกรรม ผมจึงได้เข้าใจในสิ่งที่พยาบาลพูด

              สิ่งที่เธอบอกตรงตามที่ยายเขียนในพินัยกรรมทุกอย่าง ทรัพย์สินทั้งหมดของยาย ทั้งรีสอร์ต เงินในธนาคาร บ้าน และที่ดิน ยายมอบให้ผมเป็นเจ้าของ มีแบ่งให้ญาติของท่านอยู่บ้าง แต่ก็ส่วนน้อย
              และในพินัยกรรมยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า
              ‘ผู้สืบทอดกิจการทั้งหมดของดิฉัน นายภูริ ดิฉันขอให้ผู้สืบทอดจงประสบแต่ผลสำเร็จ ยืนหยัดจากสองขาของตนได้อย่างสง่างาม ด้วยต้นทุนและแรงสนับสนุนทั้งหมดที่ดิฉันให้
              ด้วยรัก...จากใจจริง
              นางสาวไพลิน วนรักษ์’


              ในช่วงที่จบการอ่านพินัยกรรมผมร้องไห้อย่างหนัก ร้องจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ...ทุกสิ่งที่อยู่ในพินัยกรรมมันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตที่เธอให้ผม และผมก็ไม่คิดเลยว่าที่ยายเคยบอกว่าสามารถให้ผมได้ทุกอย่างยายจะทำมันจริง ๆ  ทุกสิ่งมันเหนือความคาดหมาย แล้วมันก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต่อให้เอ่ยคำขอบคุณเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง คนบนฟ้าก็ไม่มีทางได้ยิน
              จนถึงตอนนี้แม้จะผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความรู้สึกในใจทั้งดวงเพียงหนึ่งเดียวของผมก็ไม่เปลี่ยนไป
              ยายครับ
              ...ผมคิดถึงยายจังเลย

              หากแต่ชีวิตก็ยังต้องก้าวไปข้างหน้า ผมได้แต่เก็บความเศร้าโศกไว้ภายใน แล้วเริ่มศึกษางานจากทุกตำแหน่งงานเพื่อที่จะมีความรู้และความเข้าใจ ให้สามารถบริหารงานได้ดีสักเสี้ยวหนึ่งของยาย ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายเลย
              พอทำไปสักพักผมก็รู้ตัวเองทันทีว่าผมไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ ผมก็เลี่ยงที่จะได้ยินคำขอไม่ได้
           ช่วงบ่ายของวันหนึ่งหลังจากที่ผมจัดการเช็กเอกสารการเงินเรียบร้อยแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะออกไปข้างนอก ทว่าไม่ทันที่สองขาของผมจะก้าวพ้นอาคารบริการ พนักงานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาผม
                “คุณภูริคะ มีคนมาหาค่ะ”
                “ใครครับ?”
                “เขาบอกว่าเป็นเพื่อนคุณภูริค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้” เพื่อนหรอ? ผมมีเพื่อนที่ไหนกัน
           “ไม่มีจริง ๆ ค่ะพี่ครีม หนูหาจนทั่วแล้ว” เสียงจากเคาน์เตอร์ดังเข้ามาให้ได้ยิน ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้วผมก็พอจะเดาออกว่าตรงนั้นน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง และปัญหานั้นก็กลบความสนใจในเรื่องคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของผมคนนี้ไปเสียหมด
           “บอกให้เขารอก่อนแล้วกันครับ ผมขอไปดูตรงนั้นก่อนแป๊ปนึง”
   



           “งั้นเดี๋ยวพี่ลองไปหาดูอีกรอบ ...เอ่อ รอสักครู่นะคะ” พี่ครีมพูดตอบ ก่อนเธอจะหยิบกุญแจแล้ววิ่งออกไป พนักงานตรงเคาน์เตอร์คนอื่น ๆ ต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกคนดูวุ่น ๆ จนผมแปลกใจ และไม่รอช้า ผมเข้าไปถามพวกเขาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

           “อ๊ะ คุณภูริสวัสดีค่ะ”
           “เกิดอะไรขึ้นครับพี่มล”
           “ลูกค้าทำของหายน่ะค่ะ” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาหาผู้หญิงวัยกลางคนผมบลอนด์
           “Sorry Ma’am, Is there anything I can help you? (มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับคุณผู้หญิง)’’ ผมถามเธอ จากที่เห็นดูเหมือนเธอกำลังจะเช็กเอาต์ แต่น่าจะนึกขึ้นได้ว่าทำบางอย่างหาย เธอก็เลยดูร้อนรนมาก จนไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้เลย  เธอเป็นชาวต่างชาติ พี่มลกระซิบบอกผมว่าเธอทำกำไลข้อมือหาย และเธอก็ต้องบินกลับประเทศของเธอเย็นนี้แล้ว
           “Oh…hmm I lost my bracelet, I can’t figure out where it lost. I thought I took it off before bath but it’s not. (คือ...ฉันทำกำไลข้อมือหายน่ะค่ะ คิดไม่ออกเลยว่าไปลืมไว้ตรงไหน ทีแรกฉันนึกว่าฉันถอดไว้ก่อนฉันจะอาบน้ำ แต่มันก็ไม่ใช่)” สีหน้าเธอดูเศร้ามากจนเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ผมจึงถามข้อมูลเกี่ยวกับกำไลเธอเพิ่ม แล้วก็จัดคนให้ไปหาตามบริเวณต่าง ๆ ภายในรีสอร์ตที่เธอไปมา
   ทว่ากลับไม่มีใครพบกำไลของเธอเลยแม้แต่คนเดียว เราเริ่มคิดกันแล้วว่าเธออาจจะไม่ได้ทำหายที่นี่ แต่อาจจะเป็นที่อื่น ซึ่งแน่นอนว่าในเราไม่สามารถบอกกับลูกค้าแบบนั้นได้ และก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับผิดชอบ หากยังไม่มีหลักฐานมายืนยันว่ากำไลของเธอหายนอกบริเวณรีสอร์ต
   “My mom bringing me a bracelet before she gone, it’s  so important to me.(แม่ให้ฉันเอาไว้ก่อนที่เธอจะจากไป กำไลอันนั้นมันสำคัญกับฉันมาก)” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครหากำไลของเธอพบ สองมือของเธอสั่นระริก ดูจากท่าทางก็พอจะรู้แล้วว่าหัวใจของเธอกำลังแตกสลาย ...สิ่งเดียวที่ผู้จากไปทิ้งเอาไว้ ผมเข้าใจดีว่ามันสำคัญมากขนาดไหน และผมก็คงจะเสียใจมากหากวันหนึ่งสิ่งนั้นหายไป ผมรู้...รู้ดีว่าถ้าหากกำไลของเธอหายนอกรีสอร์ตจริง ๆ ผมกับพนักงานคนอื่น ๆ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว แต่มันคงจะดีกว่าถ้าให้ผมได้แสดงเจตนาที่จะรับผิดชอบกับลูกค้าที่มาพักที่นี่
    หากแต่ไม่ทันที่ผมจะบอกเธอว่าทางรีสอร์ตจะรับผิดชอบให้ ผมก็ต้องหยุดชะงักทุกการกระทำ เพราะคำขอที่เธอเอ่ยออกมา
         “It must be somewhere in this resort, help me find the bracelet …please (มันต้องอยู่ที่ไหนซักที่ในรีสอร์ตนี้ ช่วยฉันหากำไลให้เจอที ฉัน...ขอร้อง)”
         บรรยากาศโดยรอบระหว่างผมกับเธอค่อย ๆ มืดหม่นลงทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นมืดสนิท เหลือเพียงแค่ผมกับเธอสองคนในระยะการมองเห็น สีหน้าของเธอแสดงความหวาดกลัวอย่างชัดเจนเมื่อสบสายตากับผม ขณะที่ตัวตนของผมเริ่มจะถูกฝังลงไปในห้วงจิตใจ และดำดิ่งสู่ความทรมานอีกครั้ง

          อันที่จริงผมยินดีที่จะช่วยนะ ไม่ใช่แค่เธอ แต่รวมถึงลูกค้าและพนักงานที่พบเจอปัญหาคนอื่น ๆ ผมยินดีที่จะทำงานบริหารที่ผมยังไม่พร้อม และยินดีที่จะรับช่วงต่อจากยายแม้อาจจะทำมันไม่ได้ดีมาก ผมสามารถทำให้ได้ทุกอย่างเลยล่ะครับ มีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ผมพยายามเลี่ยง พยายามหนี และพยายามไม่ให้ตัวตนของปีศาจในตัวผมมันหลุดลอดออกมา
“นี่ใช่กำไลของเจ้าหรือเปล่า” ...แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งไป
          นี่คืออุปสรรคที่ทำให้ผมไม่อยากพบเจอใคร
      “กรี๊ดดดดดดดด คุณภูริ!!!!!! พยาบาล.. เรียกรถพยาบาลเร็ว!!!!!”`
           ผม...เหนื่อย


กฤตพัฒน์ พุทไธสง;


           ‘ไว้เรียนจบแล้วเดี๋ยวมาหานะ’
           เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ หู มันเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยดี แต่ผมจะยิ้มไม่ออกเลยถ้าเผลอไปนึกถึงเจ้าของเสียง

           ผมเป็นลูกครึ่งครับ พ่อเป็นคนไทย ส่วนแม่เป็นคนโปแลนด์ อยู่ไทยผมจะชื่อภาม แต่ถ้าไปโปแลนด์ญาติฝั่งทางนู้นจะเรียกผมว่าปีเตอร์ แต่ด้วยความที่ผมเกิดที่ไทย แถมญาติฝั่งพ่ออยากเป็นคนตั้งชื่อให้ ชื่อจริงผมก็เลยไม่มีกลิ่นความเป็นลูกครึ่งเลยแม้แต่น้อย
           ครอบครัวของแม่ผมทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครับ มาพบรักกับพ่อตอนที่มาดูงานที่ไทย ส่วนพ่อของผมเป็นศัลยแพทย์ เขาเคยไปโปแลนด์อยู่แค่ไม่กี่ครั้ง เพราะหน้าที่การงานทำให้เขาไม่มีเวลาว่าง ถึงแม้ระยะห่างของครอบครัวเราจะมากจนข้ามน้ำข้ามทะเล แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรค ครอบครัวของเราอบอุ่นดี ผมได้รับการเลี้ยงดูจากทั้งพ่อกับแม่ และญาติ ๆ ของทั้งสองฝ่ายอย่างดีในเวลาที่ผมต้องห่างไกลจากใครคนใดคนหนึ่ง 
           พวกเขามักจะสอนอยู่เสมอว่าให้คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนจะคิดถึงตัวเอง ถ้าเห็นใครทุกข์ ก็ให้ช่วยเหลือ แต่ถ้าตนทุกข์ ให้พยายามเข้มแข็งและยืนด้วยสองขาตัวเองให้ได้  ซึ่งตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เนี่ย ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เหมือนกันนะ ในสายตาของคนรอบตัวผมก็มองผมแบบนั้น พวกเขาเชื่อในตัวผม และมั่นใจมากว่าผมจะไม่ใช่คนที่สร้างปัญหาให้กับสังคม
                ฮ่า ๆ แต่ใครจะไปคิดล่ะครับว่า...วันหนึ่งนิสัยผมจะเปลี่ยนเป็นคนละคน

              ผมออกจากโรงพยาบาลมาสามวันแล้ว อาการโดยรวมดีขึ้นจนแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดกับความบอบช้ำภายใน แต่ก็ยังไม่สามารถใช้แรงหนัก ๆ หรือเคลื่อนไหวแบบสุดโต่งเช่นวิ่ง หรืออะไรทำนองนั้นได้
              ผมมาพักฟื้นต่อที่บ้าน มีพยาบาลคอยตามอาการหนึ่งคน และคุณป้าแม่บ้านคอยดูแล เรื่องครอบครัวก็ไม่ได้ข้องใจอะไรกันแล้ว ผมยินดีที่จะกลับไปโปแลนด์ ซึ่งกำหนดการในการเดินทางน่าจะอีกประมาณครึ่งเดือน
              กราฟชีวิตเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง มันเงียบ ๆ เหงา ๆ เหมือนชิ้นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตมันหายไป
              ใช่ ภูริหายไป
              แต่ผมไม่มีเบาะแส ไม่มีที่อยู่  รู้แค่ว่าน้องภูเป็นหลานเจ้าของรีสอร์ตในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย
              จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปหาหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ก็กลายเป็นว่าต้องหยุดความคิดนั้นไว้ก่อน
              “คุณภามคะ ป้าเจอรูปสมัยเด็กของคุณภามค่ะ หน้าตาน่ารักแต่เด็กเลยนะคะเนี่ย” ป้าแม่บ้านเดินเอารูปถ่ายใบหนึ่งที่ดูเก่ามาให้ผม เธอปัดฝุ่นที่เกาะ ยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะยื่นมันให้ผม
              “ผมตอนนี้กับในรูปใครหล่อกว่ากันครับป้าอุ่น” ผมยกรูปขึ้นเทียบ หยอกเธอเพราะรู้ว่าเธอจะกระอักกระอ่วนไม่กล้าตอบ
              “ตอบทั้งสองไม่ได้เหรอคะ”
              “ไม่ได้ ป้าอุ่นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ”
              “งั้นในรูปค่ะ”
              “โห่ ป้าอุ่นใจร้ายอะ!” แต่กลายเป็นว่าเธอกล้าตอบซะงั้น เหมือนเธอจะไม่ค่อยเกร็งแล้วหรือเปล่านะเวลาทำงานกับครอบครัวที่จริงจังอย่างครอบครัวผม
              แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่ป้าอุ่นจะเคยเป็นคนขี้กลัว เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมมีอาการทางจิต...
              ผมน่ากลัวจริง ๆ

              ป้าอุ่นขำกับผมได้สามสี่ประโยคเธอก็ขอตัวไปเตรียมอาหารสำหรับคนป่วยอย่างผม ส่วนผม..สายตาก็ยังไม่ละจากรูปถ่ายใบนั้น
              มันเป็นรูปถ่ายที่รวมครอบครัวของผมกับครอบครัวของญาติฝ่ายพ่อครอบครัวหนึ่ง เราสนิทชิดเชื้อกันมาก เพราะอยู่บ้านติดกัน แถมยังบังเอิญมีลูกในเวลาไล่เลี่ยกันอีก ซึ่งเด็กสองคนที่เกิดมา หนึ่งในนั้นก็คือผมเอง ส่วนอีกคนเป็นน้องที่เกิดแปดชั่วโมงให้หลัง
               เขาชื่อวสันต์ เป็นเพื่อนและน้องชายที่ผมสนิทที่สุด

              ด้วยความที่ครอบครัวเราสนิทกัน หลังจากที่แม่รับช่วงต่อจากคุณตาในการดูแลบริษัท เธอเลยชวนครอบครัวของวสันต์มาเป็นหุ้นส่วนบริษัท หลังจากนั้นครอบครัววสันต์เลยย้ายไปอยู่โปแลนด์ด้วย ทว่าแม่ของเขามีหน้าที่ที่ต้องดูแลย่าทวด เลยไม่ได้มาด้วย
              ผมกับวสันต์ไม่ได้รู้ภาษาที่นู่น เราสองคนจึงตัวติดกัน ไปไหนไปกันอยู่ตลอด คอยพึ่งพาซึ่งกันและกัน กระทั่งวันหนึ่งที่ครอบครัวของวสันต์สูญเสียคุณพ่อไปด้วยอุบัติเหตุ เขาจึงต้องกลับไปอยู่กับแม่ที่ไทย ถึงแม้เราจะไม่ได้เล่นด้วยกันบ่อย ๆ แล้ว แต่เราติดต่อกันอยู่ตลอด โทรศัพท์หากันแทบทุกวันเพราะผมอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงา เราคุยกัน... ได้ยินเสียงกันกระทั่งวินาทีสุดท้าย
                ...ก่อนที่วสันต์จะจากไป
             และเหตุการณ์นั้นก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมป่วย และเป็นสาเหตุให้รูปใบนี้ถูกทิ้งจนหายไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
             ใบหน้าของเด็กหัวยุ่งคนนั้นยังคงยิ้มแฉ่งอยู่ในรูปถ่าย คงจะดีถ้าวสันต์สามารถยิ้มแบบนี้ได้ตลอดไปในชีวิตจริง แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น ...รวมถึงผมด้วย ที่ไม่สามารถยิ้มแบบในรูปนี้ได้อีกแล้ว
              การดูรูปที่มีวสันต์อยู่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรนี่..นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่านะ? ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกว่าผมดีขึ้นเลย ลึก ๆ ในใจก็ยังอยากให้น้องของผมอยู่ข้าง ๆ ผมตรงนี้อยู่ดี
              อีกสองอาทิตย์ผมจะต้องกลับไปที่ที่ผมกับเขาโตมาด้วยกัน  เอาจริง ๆ ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะคงสภาพ ‘ปกติ’ ของจิตใจไว้ได้นานแค่ไหน เพราะแค่คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...
               ผมก็แค้นจนอยากจะฆ่าไอ้ฆาตรกรคนนั้นขึ้นมาทันที




             เวลาผ่านไปอีกหลายวันในขณะที่ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่าการบริหารกล้ามเนื้อให้กลับมาใช้งานได้คล่องแคล่ว ฝึกสมองด้วยการเล่นเกม แล้วผ่อนคลายด้วยการดูซีรี่ส์ พยายามหากิจกรรมหลาย ๆ อย่างมาทำเพื่ออุดช่องโหว่ที่ว่างเปล่าในหัวใจ
               แต่สุดท้ายไม่ว่าจะทำอะไรผมก็สลัดความรู้สึกนี้ไปไม่ได้สักที ...ผมอยากเจอภูริ

               วันต่อมาผมเลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับรีสอร์ตที่ครอบครัวเขาเป็นเจ้าของ แต่โชคร้ายที่ไม่มีข้อมูลอะไรที่ระบุได้ใกล้เคียงครอบครัวภูริเลย ผมเลยวางแผนไว้ว่าในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เหลือ จะใช้เดินทางขึ้นเหนือเพื่อหาคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้   ต่อให้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย แต่ผมก็ต้องหาเขาให้เจอให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อเคลียร์ปัญหาที่เรายังค้างคากันไว้ แล้วก็..ไขข้อสงสัยที่ผมอยากรู้ทั้งหมดด้วย

              พอถึงวันเดินทางผมตัดสินใจออกมาเลยโดนที่ไม่ได้บอกพ่อหรือขออนุญาตใคร คิดไว้แล้วว่าถ้าเขาถามก็จะบอกแค่ว่าผมอยากเที่ยวก่อนจะกลับ เพราะผมรู้สึกว่าระหว่างพ่อผมกับภูริ...มีบางอย่างที่พวกเขาปกปิด ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยและต้องรู้ให้ได้
              อันที่จริง... ผมสับสนมาก ๆ ว่าที่ผมรู้สึกกับภูริมันคืออะไร ตลอดช่วงที่รู้จักกันมาผมก็ถูกผลักไสไล่ส่งอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังดื้อด้านอยากจะเข้าหาเขา
              ผมคิดว่านั่นคือความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ชอบ’ และความรู้สึกอยากเจอภูริใจจะขาดนี้ก็คือ ‘ความคิดถึง’ แต่ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก เพราะระยะเวลาที่เรารู้จักกันมันสั้นมาก ถ้าผมจะไปชอบน้องภูเลยก็ดูจะใจง่ายเกินไปหน่อย ความคิดในหัวของผมเลยตีกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วความรู้สึกของผมที่มีให้น้องมันคืออะไรกันแน่
              แต่อย่างน้อยถ้าผมสามารถหาเขาจนเจอ และเขายังไม่เฉดหัวผม เราก็น่าจะได้รู้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วล่ะว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร ผมเชื่อแบบนั้น เพราะฉะนั้นผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับเขา และเขาไม่จำเป็นต้องหนีผมอีกต่อไปแล้ว
              พอล้อเริ่มหมุนผมก็ใช้จีพีเอสในการหาเส้นทาง ที่แรกที่ผมจะไปคือรีสอร์ตในจังหวัดอุตรดิตถ์ ผมจะถามหาเขาจากรีสอร์ตทั้งหมดในจังหวัด ซึ่งถ้าเจอก็จะหยุดแค่นั้น แต่ถ้าไม่เจอผมก็จะไปจังหวัดต่อไปแล้วก็ทำแบบเดิม
              “ขอโทษนะครับ รู้จักหรือเคยเห็นหน้าคนนี้มั้ยครับ”
              “ไม่นะคะ ขอโทษด้วยค่ะ”
              ผมนึกขำเมื่อคำตอบของทุกรีสอร์ตในจังหวัดนี้ออกมาในทำนองเดียวกันหมด และผมก็ตลกตัวเองด้วย ไม่คิดเลยว่าผมจะมีความพยายามมากมายอะไรขนาดนี้
              พอจบจากอุตรดิตถ์ท้องฟ้าก็มืดสนิท ผู้คนก็เริ่มบางตา นาฬิกาข้อมือบอกผมว่าตอนนี้สี่ทุ่มครึ่ง ถ้าผมไม่อยากเสียเวลาก็ขับรถไปต่อเลย แต่ถ้าเหนื่อยก็พักที่รีสอร์ตล่าสุดนี่ก่อน
              และใช่ครับ ผมเลือกที่จะขับรถไปต่อ
              แค่เพราะเหตุผลเดียวเลยคือ...ผมอยากเจอเขา

              “พี่ครับขอโทษนะครับ พอจะเคยเห็นหรือว่ารู้จักคนนี้มั้ยครับ”
              “ไม่เคยเลยครับ แจ้งตำรวจดีกว่านะน้องถ้าคนหาย”
              คำตอบที่ผมได้จากรีสอร์ตหนึ่งในจังหวัดแพร่  ส่วนที่อื่นก็ตอบว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักเหมือนกัน
              “แล้วที่นี่พอจะมีที่พักว่างมั้ยครับ พอดีผมเดินทางทั้งวัน ไม่ได้จองโรงแรมไว้”
              “ไม่มีค่ะ ขอโทษนะคะ”
              แล้วผมก็ยิ่งโชคร้ายไปอีกเมื่อคืนที่สามนับตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ ผมต้องนอนบนรถ ซึ่งเอาจริง ๆ ผมยังไม่ได้พักผ่อนแบบเต็มอิ่มเลย มากสุดก็แวะงีบที่ปั๊มแค่ครึ่งชั่วโมง ในเมื่อไม่มีที่พักผมก็ควรจะไปต่อสิ...จริงมั้ย? แต่โชคไม่ดีเลยที่ผมเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจนไม่คิดว่าขับต่อไปไหว แถมผมก็ยังต้องนอนในรถอีก มันดูลำบากจนผมนึกขำตัวเอง แต่ผมก็ทนได้แหละ
ขอแค่อย่างเดียวคือถ้าพรุ่งนี้ผมไปลำปาง...ขอให้ได้เจอเขา
      







   ไม่นานนักแสงอาทิตย์ก็สาดส่องเข้ามาภายในรถ มันแยงตาผมทำให้ผมรู้แสบตาจนต้องบังคับตัวเองให้ตื่นขึ้นมา แย่หน่อยที่การนอนในรถมันแคบและไม่ได้สบายเหมือนนอนบนที่นอน พอตื่นขึ้นมาผมเลยปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะสองขาที่ใช้เหยียบคันบังคับมาตลอดทาง มันล้ามากจนผมไม่อยากจะขับรถต่อแล้ว เสี้ยวหนึ่งความคิดที่อยากจะยอมแพ้ผุดขึ้นมาในหัว ทว่าความรู้สึกในใจกลับล้มล้างมันไปเสียหมด และตอนนั้นเองที่ผมเริ่มฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง
   ผมวางเส้นทางที่จะไปรีสอร์ตต่าง ๆ ในจีพีเอส ก่อนจะสตาร์ตรถแล้วเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้ง
   แต่ก่อนหน้าที่จะไปรีสอร์ตแรก ผมคิดว่าผมต้องแวะไปหาอะไรรองท้องก่อน ก็เลยเปลี่ยนเส้นทางไปหาร้านอาหารในตัวเมืองแทน หลังจากที่ผมทานแต่พวกขนมปัง แซนด์วิช แล้วก็ข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อในปั๊มมาตลอดการเดินทาง มื้อเช้าวันนี้ท้องของผมก็เลยต้องการอาหารดี ๆ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องพามันไปฮ่า ๆ   ปกติเรื่องอาหารเนี่ย ถ้าอยู่บ้านผมไม่เคยต้องตระเวนหาอะไรแบบนี้เลยนะครับ ทริปนี้ดูจะเป็นทริปแรกเลยที่ผมได้ลองทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยได้ทำ
   ว่าแล้วผมก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นร้านดังในย่านนี้เพราะดูคนเยอะตั้งแต่เช้า ผมลงมาจากรถก่อนจะตรงเข้าไปในร้าน ทว่าก่อนที่จะถึงบันไดทางขึ้นไปด้านหน้าร้าน ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนมาในระยะประชิดโดยที่เธอไม่ได้มองทางเลยซักนิดเดียว ผมและเธอชนกันเข้าอย่างจัง เธอล้มฟุบลงไปกับพื้น ในขณะที่ผมเซจนต้องเกาะราวบันไดเอาไว้
   “ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พอตั้งตัวได้ผมก็รีบเข้าไปหาเธอ ย่อตัวแล้วช่วยเธอเก็บของที่กระจัดกระจาย “ให้ผมช่วยนะครับ”
   “ขอบคุณมากค่ะ” เธอรับของจากมือผมก่อนจะหันไปเก็บที่เหลือต่ออีกนิดหน่อย “ขอโทษนะคะ นี่เดินไม่ดูทางเอง คุณไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ยคะ?”
   “ผมไม่เป็นไรครับ” ผมตอบ ก่อนจะช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน
   “เอ่อ... อันนั้นโทรศัพท์คุณหรือเปล่าคะ?” เธอชี้ไปที่โทรศัพท์ที่กำลังนอนแอ้งแม้งบนพื้น บนขอบมีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้น และใช่ตามที่เธอถาม นั่นโทรศัพท์ผมเอง ลึก ๆ ผมแอบใจหายอยู่เหมือนกัน ผมทะนุถนอมของของตัวเองมาก ๆ แต่มันกลับมามีตำหนิเพราะอุบัติเหตุ ...อีกฝ่ายเหมือนเห็นสีหน้าตกใจของผม เธอก็เลยรีบก้มไปเก็บขึ้นมาให้ ขอโทษผมซ้ำ ๆ อย่างลนลาน
   “ขอโทษจริง ๆ นะคะ”
   “ฟิล์มร้าวนิดเดียวครับ ไม่เป็นไรครับ” เธอโน้มหัวเล็กน้อย ผมจึงยิ้มอ่อน ๆ ให้ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะได้แตะถึงขั้นบันได ผู้หญิงที่พึ่งชนผมเมื่อกี้ก็เอ่ยถามขึ้นมา
   ซึ่งคำถามนั้น...จุดประกายความหวังให้ผมจนผมยิ้มกว้าง
   “เอ่อ...ขอโทษนะคะ เมื่อกี้เราเห็นภาพหน้าจอคุณน่ะค่ะ คือ..”
   “ครับ?”
   “คุณรู้จักภูริด้วยหรอคะ?”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2020 00:18:53 โดย _MindSky »

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ภูริจะกลืนกินชีวิตอีกหรอ

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อิหยังวะต้น มาบับสำนึกตอนหลังคือว้อทท!!!
เนี่ยะ อยากรู้มากว่าทำไมภามนิสัยถึงเปลี่ยนไม่อยากเดาก่อน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด