หนึ่งคำขอต่อความตาย [ #ภามภูริ ] Update "11 The Dead Calling" 5/5/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หนึ่งคำขอต่อความตาย [ #ภามภูริ ] Update "11 The Dead Calling" 5/5/2020  (อ่าน 4891 ครั้ง)

ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
11 The Dead Calling





“คุณรู้จักภูริด้วยเหรอคะ?”

ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างใคร่รู้ ผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เธอรู้จักน้องภู อาจจะเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมยิ้มออกมา

ดูเหมือนว่าการตามหาที่คล้ายจะไร้จุดหมายใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วล่ะครับ

“ครับ คุณเป็น...?”

“อ๋อ เอ่อ.. เราเคยเรียนด้วยกันตอนมัธยมน่ะค่ะ” เธอให้คำตอบ ก่อนจะถามผมกลับจนทำเอาผมไปไม่เป็น“แล้วคุณล่ะคะ..? รู้จักภูริได้ยังไง? รูปหน้าจอเมื่อกี้..เอ่อ เป็นแฟนกันเหรอคะ..?”

“ป...เปล่าครับ” นั่น ผมพูดจะไม่เป็นคำแล้ว เป็นคำถามที่ชวนกระอักกระอ่วนใจจังแฮะ“คือ..ผมตามหาเขาอยู่น่ะครับ แต่ไม่มีข้อมูลเรื่องเขาสักเท่าไหร่ มีก็แต่รูปของเขา ก็เลยตั้งหน้าจอไว้ เวลาจะไปถามใครจะได้ไม่เสียเวลาน่ะครับ” เธอดูจะตกใจนิด ๆ ที่ผมบอกว่ากำลังตามหาเขาอยู่ แต่ไม่นานนักเธอก็ควบคุมสีหน้ากลับมาแจ่มใสตามมารยาทเหมือนเดิม ซึ่งมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าแปลก อันที่จริง...ปกติคนเราถ้ารู้แบบนี้แล้วก็ควรจะถามคำถามประมาณว่า‘ทำไมถึงตามหา’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ได้ถามผมแบบนั้น เธอถามผมด้วยคำถามประหลาดที่รบกวนจิตใจผมมาก ๆ

“คุณเป็นตำรวจเหรอคะ”

...เธอถามราวกับภูริทำความผิดอะไรบางอย่างไว้



หลังจากนั้นผมก็เห็นว่าเราสองคนน่าจะต้องคุยประเด็นนี้กันอีกสักหน่อย ก็เลยชวนผู้หญิงคนนี้มาทานอาหารด้วยกัน ทว่าเธอปฏิเสธที่จะทานอาหารกับผม แต่เธอยินดีที่จะให้ข้อมูลเรื่องของน้องภู เธอเลยขอตัวไปเก็บกระเป๋าแล้วก็ของที่กระจัดกระจายเมื่อครู่นี้ไปเก็บก่อน จากนั้นก็จะตามผมเข้าไปในร้าน

เราเลือกนั่งกันในบริเวณที่ห่างออกมาจากลูกค้าคนอื่น ๆ เป็นโต๊ะติดหน้าต่างที่ถ้ามองจากโซนกลางร้านก็จะมองไม่เห็นโต๊ะที่เรานั่ง ไม่สิ...จริง ๆ คงจะใช้คำว่า‘เราเลือก’ ไม่ได้ เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นคนพาผมมานั่งตรงนี้เอง ราวกับไม่ได้ต้องการให้ใครได้ยินเรื่องที่เราจะคุยกัน ไม่รอช้า..หลังจากที่บริกรมารับเมนูที่ผมสั่งไป ผมก็เปิดประเด็นขึ้นมาทันที

“งั้นถ้าคุณเป็นเพื่อนของน้องภูสมัยมอปลาย แสดงว่าคุณก็พอจะรู้ใช่มั้ยครับว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรอกนะคะ แต่เราไม่แน่ใจเท่าไหร่แล้วว่าภูริจะยังอยู่ที่เดิมมั้ย”

“เขาเป็นหลานเจ้าของรีสอร์ตใช่มั้ยล่ะครับ”

“อันนี้ใช่ค่ะ ที่โรงเรียนรู้กันหมดว่าภูริเป็นทายาทเจ้าของรีสอร์ต”

“งั้นพอจะรู้มั้ยครับว่ารีสอร์ตของเขาอยู่ที่ไหน”

“จริง ๆ เราไม่เคยไปหรอกนะคะ แต่พอจะรู้ชื่อแล้วก็จำพื้นที่ละแวกนั้นได้อยู่ค่ะ” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้เธอลองเสิร์ชโลเคชั่นให้ผม ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนเธอจะยื่นมือถือกลับมา พร้อมกับหมุดสีแดงที่ถูกปักในแอป ฯ แผนที่ บ่งบอกตำแหน่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่ไปประมาณสิบกิโล “ถ้าคุณจะไป ก็ลองไปตามเส้นทางนี้ดูนะคะ จะไวกว่าไปตามถนนเส้นหลักค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ได้ช่วยตำรวจอย่างคุณทำงานเราก็ดีใจแล้วค่ะ”

“ฮ่า ๆ ผมไม่ใช่ตำรวจหรอกครับ คือ...ผมเป็นเพื่อนเขาน่ะ รู้จักกันตอนที่เขาอยู่กรุงเทพ ฯ”

…แปลกจริง ๆ ด้วย งั้นก็แสดงว่าภูริทำอะไรบางอย่างที่ผิดกฎหมายจริง ๆ งั้นเหรอ..?

“อ้าว...เหรอคะ” สีหน้าเธอดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด“คุณมาจากกรุงเทพ ฯ เลยเหรอคะเนี่ย ..เพื่อมาตามหาเขาน่ะเหรอคะ?”

“ใช่ครับ คือผมมีเรื่องที่จะต้องบอกเขาให้ได้น่ะ”

“คำขอหรือเปล่าคะ?”

“ครับ..? ว่าไงนะครับ”

คำขอ...? นี่เธอกำลังพยายามจะสื่ออะไรกันแน่

“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ คงจะดีกว่าถ้าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามาก” เธอพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะหลุดขำเมื่อตัวเองพูดจบ“ฮ่า ๆ ภูริก็น่าจะบอกคุณแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ..? ขอไม่เรียกชื่อเรา ห้ามเข้าใกล้ ห้ามเล่าเรื่องเขาให้ใครฟัง..อะไรทำนองนี้”

“…” จริงอย่างที่ผู้หหญิงคนนี้ว่า ข้อห้ามพวกนั้นคือสาเหตุที่ภูริมักจะผลักไสไล่ส่งผมอยู่ทุกครั้ง ซึ่งผมสงสัยมาตลอดว่าทำไมการที่จะได้รู้จักเขาเราถึงทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ กระทั่งวันนี้ที่ผมได้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่ผมที่ถูกภูริตั้งกำแพง

เพื่อนสมัยมัธยมของเขาคนนี้ก็ด้วย



“อา...จะแปดโมงแล้วสิ เกรงว่าเราคงต้องไปแล้ว พอดีต้องไปที่ทำงานก่อนแปดโมงครึ่งน่ะค่ะ ยังไงขอตัวก่อนนะคะ ไว้คราวหน้าให้เราเลี้ยงข้าวขอโทษที่เดินชนคุณวันนี้แล้วกันนะคะ” เธอดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วสะพายกระเป๋าสตางค์ จริง ๆมีคำถามอีกมากมายที่ผมอยากจะถามเธอ เพราะตอนนี้ในหัวผมมีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมดจนแทบจะระเบิด แย่หน่อยที่เธอต้องไปแล้วและผมก็คงรั้งอะไรไว้ไม่ได้“อ้อ...แต่ถ้าคุณจะไปหาเขาจริง ๆ มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกค่ะ”

แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใจร้ายปล่อยให้ผมค้างคากับประเด็นที่เธอทิ้งไว้อย่างที่คิด

“ระวังตัวด้วยนะคะ”

ทว่า...มันกลับยิ่งทำให้ผมเกิดคำถามในหัวมากขึ้นไปอีก

“เราชื่อมะปรางนะคะ มีอะไรปรึกษาเราได้ค่ะ”

หลังจากนั้นเธอก็ให้คอนแท็กต์ผมเอาไว้ ก่อนจะขอตัวเดินออกไป ส่วนผมก็แทบจะไม่มีอารมณ์ทานอาหารตรงหน้านี้เลย น้ำเสียงในทุกคำที่เธอพูดมันแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง ไม่เชิงว่าเกลียดชัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอเป็นมิตร และไม่เชิงว่าเธอกลัวน้องภู แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะกล้าพูดถึงน้องภูด้วยเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเธอมีความลับอะไรบางอย่างที่รอให้ผมถามออกไปก่อนเธอถึงจะกล้าบอกออกมา ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอไม่มีเจตนาจะปกปิด ซึ่งแสดงว่าเรื่องของน้องภูที่ยังเป็นความลับอยู่นั้นเธอพร้อมจะบอกให้ผมรู้ เพียงแต่ผมต้องปะติดปะต่อให้ได้ก่อนว่า คำใบ้ที่เธอให้นั้น...ทั้งเรื่องผิดกฎหมาย ความไม่ปลอดภัย และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ‘คำขอ’ ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ครึ่งชั่วโมงถัดมาการเดินทางของผมก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ...จากเส้นทางในแผนที่ที่คุณมะปรางเธอให้ผมนั้นมันค่อนข้างจะคดโค้ง สองข้างทางแทบไม่มีบ้านเรือนอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นถนนเส้นนี้ที่แยกออกมาจากเส้นหลักกลับเป็นถนนลูกรังที่มีหลุมมีบ่อเต็มไปหมด และใช่ครับ เพราะผมเกิดในเมืองหลวง อยู่เมืองนอกมานาน ก็เลยไม่เคยเจอถนนแบบนี้เลยตั้งแต่ขับรถเป็น

ผมหัวเราะอยู่คนเดียวเมื่อตัวเองโยกไปซ้ายทีขวาที ยิ่งพอผนวกกับเพลย์ลิสต์เพลงจังหวะร็อคที่เปิดอยู่มันยิ่งเหมือนผมกำลังเต้นอยู่เลยครับ แต่บางจังหวะนี่ก็หนักหน่วงเหมือนกันนะ หลุมลึกจนหัวผมกระแทกไปเลยก็มี ได้แต่พยายามประคองไม่ให้รถสับส่ายไปมากกว่านี้ ไม่งั้นผมคงได้เมารถก่อนจะได้เจอน้องภูแหง ๆ ซึ่งถ้าไปเจอในสภาพที่ผมต้องการจะอาเจียนมันก็คงจะไม่ดีนัก

ประเด็นคำถามและความสงสัยเริ่มถูกลบเลือนเมื่อจุดหมายเข้าใกล้ผมขึ้นมาทุกที ๆ ในหัวผมคิดเพียงแค่ว่าน้องภูจะดีใจมั้ยน้าที่ได้เจอผมอีกรอบ น้องภูจะพูดว่าไงบ้างน้าหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้าผมมานานหลายสัปดาห์ และที่สำคัญ...น้องภูจะคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงเขาหรือเปล่านะ? หัวใจผมเต้นถี่มากเมื่อจินตนาการคำตอบที่ตัวเองจะได้

...ในที่สุดการเดินทางที่เคยไร้จุดหมายของผมก็สิ้นสุดลง ผมขับรถมาถึงเขตชุมชนอีกครั้ง ซึ่งข้างหน้าประมาณเจ็ดร้อยเมตรมีป้ายทางเข้าของรีสอร์ตอยู่ริมถนนฝั่งซ้าย พอขับรถมาถึงผมก็รีบเลี้ยวเข้าไปในทันที วนหาที่จอดด้วยความเร็วแสง จากนั้นก็รีบลงรถมาแล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในล็อบบี้

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าได้จองที่พักล่วงหน้าไว้แล้วหรือยังคะ?” พนักงานสาวถามผมทันทีที่ผมเดินเข้าไปในระยะบริการ ผมจึงส่ายหน้าและบอกเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้

“มาหาคุณภูริน่ะครับ เขาอยู่หรือเปล่าครับ?”

“อ๋อ...อยู่ค่ะ แปลกจัง...” เธอบ่นพึมพำกับเพื่อนพนักงานอีกคน ก่อนจะหันกลับมาถามผม“ให้เรียนคุณภูริว่าใครมาขอพบคะ?”

พอได้ยินคำถามกระบวนการคิดผมก็ทำงานหนักอีกครั้ง ผมรู้สึกกลัวยังไงก็ไม่รู้ครับ มาถึงตรงนี้แล้วผมดันไม่กล้าที่จะบอกชื่อจริง ๆ ผมไป กลัวว่าถ้าภูริรู้ว่าผมมาหา เขาจะเลี่ยง ไม่ยอมออกมาเจอกัน

“บอกว่าเพื่อนจากกรุงเทพ ฯ ก็ได้ครับ”

งั้นช่วยไม่ได้ คงต้องเซอร์ไพรส์กันหน่อยแล้ว!



พนักงานตรงเคาน์เตอร์คนหนึ่งเดินออกไปเหมือนจะไปตามน้องภู ส่วนอีกคนก็พาผมไปโซฟารับรองที่จัดไว้ พร้อมกับเสิร์ฟน้ำเปล่าไว้ให้ผมดื่มแก้กระหาย ผมโน้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอบคุณเธอ หลังจากนั่งลงตรงนั้นแล้วผมก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูเช็กนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย หากแต่รูปหน้าจอกลับดึงดูดความสนใจผมไปเสียหมด

อันที่จริง...จะว่าตั้งไว้เพราะจะได้สะดวกตอนที่ต้องการถามทางก็คงจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ เพราะลึก ๆ แล้ว ใจผมรู้ดีว่าผมตั้งรูปน้องภูเอาไว้ทำไม

ก็...ผมดันคิดถึงน้องภูมากนี่นา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน : D



นั่งยิ้มคนเดียวไปได้สักพักเสียงที่ฟังแล้วค่อนข้างเอะอะก็รบกวนจิตใจผมจนต้องหันไปดู แล้วผมก็พบว่าที่มาของเสียงนั้นเกิดจากชาวต่างชาติคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่อายุน่าจะพึ่งสามสิบต้น ๆ สีหน้าของเธอดูสิ้นหวัง เศร้าสร้อย และหลาย ๆ ความรู้สึกผสมปนเปกันอยู่ในดวงตาคู่นั้น เธอน้ำตาคลอ เว้าวอนถึงสิ่งของที่หายไปจนผู้คนรอบข้างหันมามองที่กันเป็นตาเดียว

เหตุการณ์เริ่มดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้นเมื่อพนักงานคนแล้วคนเล่าที่ไปหาในชั้นที่เธอพักไม่พบสิ่งของที่เธอทำหายเลยแม้แต่คนเดียว ชาวต่างชาติคนนั้นร้อนรนจนตัวสั่น กระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอ เขาใส่สูท ผูกไท ดูเนี๊ยบจนผมแทบจำไม่ได้...

“Sorry Ma’am, Is there anything I can help you?” ทว่าพอเขาพูดออกมาเพียงประโยคเดียว ผมก็รู้ทันทีว่าเขาคือใคร

ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองทางเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส‘ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะ’ ผมกะจะพูดแบบนั้นทันทีที่เราได้เจอกัน ผมจะเซอร์ไพรส์เขาที่ผมมาหา เล่าเรื่องทริปอันแสนยาวนาน แล้วก็อยากจะคุยกับเขาในทุก ๆ เรื่อง เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้กันและกันฟังเหมือนตอนที่ความสัมพันธ์ของเรากำลังไปในทิศทางที่ดี

แต่แค่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เราหันมาสบตากัน ก็เหมือนกับว่าทุกอย่างที่ผมวางแพลนเอาไว้ถูกส่งผ่านสายตาไปหมดแล้ว

‘มนุษย์เราเชื่อมถึงกันได้ผ่านสายตา’ พ่อเคยบอกผมแบบนั้น และวันนี้ผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันจริง

“พี่มาหาแล้วนะน้องภู”

“It must be somewhere in this resort…”ทว่าขณะที่ผมกำลังโลดแล่นอยู่ในโลกที่คิดว่าทุกสิ่งจะเป็นเหมือนภาพในฝัน เสียงของชาวต่างชาติคนนั้นก็ดึงสติผมกลับมา

ฮ่า ๆ ใช่ เมื่อกี้ผมเพ้อเจ้อของผมไปเองน่ะ

อันที่จริง...ภูริไม่มองมาทางผมแม้แต่หางตา

“help me find the bracelet …please” เธอจับแขนน้องภู ก่อนจะขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้องภูนิ่งไปชั่วขณะหลังจากที่ฟังคำขอร้องของเธอ

จังหวะนั้นเองที่สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านผมไปทางพวกเขา ...มันแปลกจนผมเองก็รู้สึกได้ เพราะตรงนี้คือพื้นที่ภายในอาคาร ไม่ควรจะมีลมจากไหนพัดเข้ามาได้ทั้งนั้น เป็นอย่างนั้นไปจนกระทั่งภูริเหมือนจะหลุดออกจากภวังค์ สายลมอันน่าขนลุกนี่ก็ค่อย ๆ จางหายไป ซึ่งผมจำได้ดีว่าก่อนที่ผมจะถูกรถชน ทุกครั้งที่อยู่กับภูริ ผมจะรู้สึกถึงความรู้สึกน่าขนลุกแบบนี้เสมอ ภูริมีรีศมีบางอย่างที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้ มีบุคลิกประหลาด ๆ ที่แตกต่างจากคนอื่น หากแต่ตอนนี้ภูริมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า

มันแปลกจนผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เขายื่นกำไลที่ไม่มีใครหาเจอให้เธอโดยที่เขายังไม่ได้ไปหาเลยด้วยซ้ำ



น้องภูยืนอยู่กับที่มาตลอด แถมดูเหมือนจะพี่งรู้เรื่องด้วยซ้ำว่าลูกค้าที่เข้ามาพักทำของหาย แล้วอีกอย่าง...ชาวต่างชาติคนนี้ยังไม่ได้บอกน้องภูเลยสักนิดว่ากำไลของเธอเป็นกำไลแบบไหน แต่น้องภูกลับมีกำไลของเธออยู่กับตัว ซ้ำยังหยิบมันออกมาราวกับมันอยู่ในกระเป๋าของน้องภูมาตั้งแต่แรก

ที่ประหลาดยิ่งไปกว่านั้นคือ...หลังจากที่ชาวต่างชาติคนนี้ได้กำไลกลับมาคืนจากภูริ เธอควรจะดีใจใช่มั้ย..? ทว่าเธอกลับเปลี่ยนจากอาการเศร้าโศกเสียใจเป็นอาการหวาดกลัว

“กรี๊ดดดดดดดด คุณภูริ!!!!!! พยาบาล.. เรียกรถพยาบาลเร็ว!!!!!”`

...และหลังจากที่เธอเดินออกไปจากล็อบบี้ได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ ภูริก็ล้มลงไปนอนกับพื้นพรมจนเสียงกรี๊ดจากผู้คนตรงนั้นดังลั่น ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็ตกใจไม่น้อย ยิ่งพอเข้ามาดูอาการน้องภูใกล้ ๆ แล้วเห็นว่าน้องภูเลือดกำเดาไหลด้วยแล้วผมก็ยิ่งกังวล แต่ว่า...มันกลับมีบางอย่างรบกวนจิตใจผม เพราะไม่กี่นาทีต่อมา

...น้องภูก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงได้เหมือนคนปกติ



ภูริชะงักงันก่อนจะถอยหลังกรูดเมื่อปรับโฟกัสสายตาแล้วเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนคนที่ผมเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอดจะกล่าวคำทักทายว่า

“คุณมาทำไม ออกไปเถอะครับ”

ฮ่า ๆ กะไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ...รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ที่ใจยังไงก็ไม่รู้แฮะ



“พี่ก็มาหาน้องภูไง”

ผมพูดตอบ หลังจากที่เราได้อยู่กันตามลำพัง ซึ่งนั่นก็หลังจากที่ผมรั้งน้องภูที่พยายามจะเดินหนีผมอีกที

“เรายังมีธุระอะไรที่ต้องเจอหน้ากันด้วยเหรอ?”

“…” ถึงผมจะเคยถูกน้องภูไล่เหมือนหมูเหมือนหมามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้น้ำเสียงนิ่ง ๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องภูทำเอาผมจุกไปหมดเลย

“ทำไมคุณถึงดื้อแบบนี้อะ คุณจะทำให้ผมปวดหัวไปถึงไหน”

“ขอโทษ... แต่พี่ก็แค่อยากเจอหน้าน้องภูแค่นั้นเองนะ”

“เหตุผลแค่นี้คุณคิดว่าตัวเองเป็นเด็กอนุบาลหรือไง อยากเจอก็ต้องได้เจอ..แล้วก็มาจนถึงนี่เลยงั้นเหรอ?”

“จริง ๆ พี่ก็มีเรื่องอื่นด้วยแหละ แต่อันนี้เหตุผลหลักไงครับ พี่ไม่ได้โกหกหรือล้อเล่นอะไรกับน้องภูนะ พี่แค่..พี่แค่คิดถึงน้องภู” ร่างกายสั่งให้ผมกระพริบตาให้ถี่ ขับไล่ความรู้สึกหายใจไม่ออกและหยาดน้ำตาที่ดูจะไหลอยู่รอมร่อให้หายไป“พี่คิดถึงพี่ก็เลยมาหา น้องภูรู้มั้ยว่ากว่าพี่จะมาถึงที่นี่ได้พี่ผ่านอะไรมาบ้าง พี่แทบไม่ได้นอนเลยนะแต่ละคืน พี่ตามหาน้องภูทั้ง ๆ ที่พี่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องภูเลยด้วยซ้ำ พี่ไม่มีจุดหมายแน่นอนอะไรเลย รู้แค่ว่าพี่จะต้องขับรถไปเรื่อย ๆ ผ่านจังหวัดนี้ก็ไปจังหวัดโน้น ตามหาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้เจอ และสุดท้ายพี่ก็ได้เจอ รู้มั้ยวันนี้ตอนที่เห็นน้องภูอีกครั้งพี่รู้สึกยังไง?”

“...”

“พี่ดีใจมาก ดีใจเหลือเกินที่น้องภูโตขึ้นได้ขนาดนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ” ผมกำหมัดแน่น ก่อนจะคลายมันออกแล้วก็กำแน่นอีกครั้ง พยายามหายใจเข้าและออกอย่างช้า ๆ ควบคุมก้อนเนื้อในอกไม่ให้มันตื่นเต้นหรือสั่นกลัวไปมากกว่านี้“พี่ได้ยินมาว่าน้องภูรับช่วงต่อจากคุณยายแล้ว ตอนที่พี่รู้เนี่ยพี่ยิ้มไม่หุบเลยนะ พี่ดีใจที่น้องภูจะได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้น แต่อีกมุมนึงพี่ก็รู้สึกเป็นห่วงน้องภูขึ้นมา พี่เป็นห่วงมาก ๆ เลยว่าน้องภูจะทำงานไหวมั้ย การดูแลคน จัดการทั้งหมดในรีสอร์ตมันจะหนักสำหรับคนที่เข้าสังคมไม่ค่อยเก่งแบบน้องภูเกินไปมั้ย ทั้งหมดนี้พี่ก็แค่อยากจะให้เราได้มีโอกาสได้คุยกันอีกสักครั้ง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเหมือนตอนก่อนหน้านี้ตอนที่เรารู้จักกันใหม่ ๆ ไง”

“แล้วไง?”ความรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้าเกิดขึ้นเมื่อน้องภูตอบกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าของผมอันตรธานหายไป เมื่อคำถามที่ว่า‘น้องภูจะดีใจมั้ยน้าถ้าได้เจอผมอีกรอบ’ ได้รับคำตอบแล้ว “ผมก็ไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนให้คุณมาตามหาสักหน่อยนี่”

ตลกดีเหมือนกันนะ ที่ผมเป็นบ้าดันทุรังพาตัวเองมาจนถึงที่นี่ เพื่อมายืนกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้แบบนี้“พ..พี่ถามจริง ๆ นะครับ”

“ครับ อันนี้ธุระจริง ๆ ของคุณแล้วใช่ไหม?”

“เกลียดพี่ขนาดนั้นเลยหรือไง” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยากฟังคำตอบ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับภูรินั้นกำลังเป็นไปในทางที่ดี ขอเพียงแค่เราพยายามเข้าใจกันให้มากอีกสักนิด กำแพงสูง ๆ ที่กั้นพวกเราไว้ก็จะค่อย ๆ ถูกทำลายไป ไม่สิ ผมต่างหาก ผมจะค่อย ๆ ปีนเข้าไปเอง ขอแค่อีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ผมได้เข้าใจเขามากขึ้นอีกสักนิด

คงเพราะว่าผมเหนื่อยด้วยหรือเปล่านะ? กับการใช้ชีวิตอยู่ในรถทั้งวันทั้งคืนติด ๆ กันมาหลายวัน

คงเพราะว่าผมท้อด้วยหรือเปล่านะ? กับความพยายามที่เขาไม่ได้เห็นค่ามันเลย

“อือ เกลียด”

หรือคงเพราะผมชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ ผมถึงเจ็บขนาดนี้

“…”

“รู้แล้วก็กลับไปเถอะ” เขาทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังกลับไปอีกทางอย่างไร้เยื่อใย วินาทีนั้นเองที่ผมตัดสินใจยอมแพ้

ผมไม่อยากพยายามอีกต่อไปแล้วล่ะ

“เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะครับ ไม่ต้องห่วง” ผมสูดลมเข้าปอดไปจนรู้สึกว่าสมองโล่ง ก่อนจะพูดต่อ“จะกลับไปแล้วไม่ให้น้องภูต้องมาเห็นหน้าพี่อีกเลย”

ภูริชะงักฝีเท้าอยู่สักพัก ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นบอกเขา

“จริง ๆ พี่มาที่นี่เพราะมีเรื่องจะถามน้องภูอยู่สักสองสามเรื่องน่ะ มันสำคัญมาก แล้วพี่ก็ต้องรู้จากปากน้องภูให้ได้”

“…”

“อย่างน้อยก็ก่อนที่เราจะตัดขาดกันและกัน” ผมเม้มริมฝีปาก พยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้ให้ได้มากที่สุด พยายามเข้มแข็งให้เหมือนตัวผมก่อนหน้านี้ แต่รู้มั้ยครับ... มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับว่าคนที่อยู่ในหัวผมตลอดเวลาเขาจะเกลียดผมมาตลอด

“โอเค ได้ งั้นเข้ามารอข้างในก่อน ผมมีธุระต้องไปข้างนอก”

“...”

“...คำถามสองสามเรื่อง แล้วเราจะได้ลาขาดกันเสียที”



ไม่นานนักผมก็ได้อยู่เพียงลำพังในห้องรับรองของอาคารบริการ เขาบอกให้ผมรอเขาอยู่ในนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขามากไปกว่าการพยักหน้ารับรู้ และทันทีที่ความเงียบผนวกเข้ากับความรู้สึกที่อดกลั้นมานาน ก็เหมือนกับว่าสวิตซ์ของความรู้สึกถูกเปิดออก

ความเจ็บปวดที่หลวมรวมกันในจิตใจกลั่นออกมาเป็นน้ำตาเม็ดใส ผมปล่อยให้มันไหลลงอาบแก้มโดยไม่คิดห้ามปราม สายตามองไปที่จอโทรศัพท์ที่ปรากฏรูปเขาอีกครั้งก่อนจะสะอึกสะอื้นหนักขึ้นเพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างอันไร้ค่าที่ผมทำนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

‘พอแล้ว ไม่อยากรู้สึกอะไรแล้ว’

ในหัวผมพร่ำบอกแบบนั้น หากแต่ในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดกลับยังเรียกร้องความสนใจและหวังจะได้รับความรู้สึกดี ๆ กลับมาบ้าง

ถึงจะไม่เคยได้เลยก็ตาม




ออฟไลน์ _MindSky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ผมมองดูเวลาที่ข้อมือก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรวบรวมประเด็นข้อสงสัยทั้งหมดแล้วยุบรวมกันให้มันเหลือแค่ไม่กี่ประเด็น ประเด็นแรกที่ผมอยากรู้จริง ๆ คือเรื่องที่น้องภูเอาแต่หนีผม แต่ตอนนี้มันชัดเจนจนผมไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องถามซ้ำแล้ว

ประเด็นที่สองคือคำพูดที่เหมือนน้องภูรู้อนาคตในตอนนั้น

‘พ่อคุณกำลังจะได้พักงาน เขาจะมีเวลาว่างสามวัน ให้คุณใช้เวลาในช่วงนี้อยู่กับเขา’

ผนวกเข้ากับเรื่องที่ผมเห็นเต็ม ๆ ตาวันนี้ที่น้องภูมีกำไลอันนั้นอยู่ในมือ ซึ่งถ้าจะบอกว่าน้องภูขโมยมาไว้กับตัวก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะทำแบบนั้นด้วย จะบอกว่าแขกที่ทำหายแอบเข้าไปห้องทำงานภูริก็ดูไม่มีมูล ทว่ากำไลนั้นกลับมาอยู่บนมือภูริทันที หลังจากที่เธอคนนั้นร้องขอ ...ราวกับภูริเสกมันขึ้นมาได้ และยิ่งรวมกับ‘คำขอ’ ที่คุณมะปรางพูดถึงเมื่อเช้า ผมก็เห็นจุดเชื่อมโยงบางอย่าง

...ความปรารถนาของเราจะสัมฤทธิ์ได้อย่างง่ายดายเมื่อ‘ขอ’ กับผู้ประทานพร ซึ่งก็คือ‘ภูริ’ นั่นเอง แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะถูกทั้งหมดนะ เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อมาก ๆ ถ้าคนเราจะสามารถประทานพรให้กันได้จริง ๆ ฉะนั้นผมก็ยังต้องถามจากภูริตรง ๆ เพื่อยืนยันอยู่ดี

อีกประเด็นคือความลับระหว่างเขากับพ่อผม พวกเขาปิดบังอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งผมเดาไม่ออกเลยว่าทั้งสองคนปิดบังอะไรอยู่

และประเด็นถัดมาคือ คำขอนั้นแลกด้วยอะไร บาดแผลหรือเปล่านะ? เพราะที่ผ่านมาผมมักจะเห็นภูริเลือดออกอยู่หลายครั้ง แต่ทว่าไม่ถึงวันภูริกลับไม่เหลือรอยแผลหรือรอยเลือดพวกนั้นอยู่เลย หรือถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วมันเป็นสิ่งอื่นที่ผมพอจะหามาคืนได้ ผมก็จะคืนให้เขา

เราจะได้ไม่ต้องติดค้างอะไรกันอีก

ก็คง...มีแค่นี้ล่ะมั้ง?

ติ๊ง!

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ก่อนจะปรากฎข้อความบนแถบการแจ้งเตือนบนสุด ซึ่งเนื้อหาในข้อความนั้นเป็นเพียงคำพยางค์เดียว หากแต่สามารถพังอารมณ์ที่เริ่มคงที่ของผมได้ทันที

คุณมี 1 ข้อความใหม่จากMaprang

Maprang: คุณรู้จักภูริแบบนี้ คุณรู้จักวสันต์ด้วยหรือเปล่าคะ?

ขอบมืดเริ่มกัดกลืนระยะการมองเห็นทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะค่อย ๆ บดบังนัยน์ตาผมจนผมมองไม่เห็นอะไรอีก ...ภายใต้ความเงียบงันในห้องรับรองที่มีแต่ผมเพียงลำพัง ผมกลับได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้าง ๆ หู


‘ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!’

‘อ...อย่า.. อ..อึก..’

‘...ช่วยด้วย.. ช่วยด้วย ช่วยผม..ที’

‘ภ.. อย่า.. อ๊ากกกก’


...เขาร้องใส่หูผม ทำเสียงที่เหมือนมีดเฉือนเนื้อใส่หูผมจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนหั่น เขาพยายามตะเกียกตะกายออกไป แต่เหมือนถูกตรึงร่างกายเอาไว้ไม่ให้หนี เขาได้แต่ร้องไห้ ส่งเสียงอ้อนวอนขอชีวิต ร้องอยู่อย่างนั้น กระทั่งผมไม่ได้ยินเสียงอะไรของเขาอีกต่อไป

“วสันต์..” สองมือผมขยี้หัวตัวเองให้สลัดออกจากโลกสีดำเมื่อครู่ ผมสะบัดมันออก จิกแขน กัดริมฝีปาก ทำทุกวิถีทางให้รู้สึกเจ็บจนกว่าจะลืมเสียงพวกนั้นไปจากหัว เสียงของวสันต์

Peter.krit : เขาเป็นน้องชายผมครับ

พิมตอบไปทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นไปหมด ขอล่ะ ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ผมคิดเลย

Maprang : ยังจำเรื่องที่เราคิดว่าคุณเป็นตำรวจได้มั้ยคะ

Maprang : ถึงจริง ๆ คุณจะไม่ใช่ตำรวจอย่างที่เราคิด แต่ถ้าคุณรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว หาหลักฐาน แล้วก็ออกห่างจากภูริเถอะนะคะ เขาน่ากลัวมากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้

Maprang : ที่น้องชายคุณเสีย มันไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือการฆ่าตัวตาย

Maprang : ภูริเขา...

ขอล่ะ... อย่า อย่าเป็นแบบนั้นเลยนะ

Maprang : เขาคือสาเหตุที่ทำให้วสันต์ตายค่ะ



ราวกับว่าโลกทั้งใบของผมหยุดหมุน และผมกำลังลอยเคว้งกลางอากาศที่มีแต่มลพิษ ผมรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก มองเห็นเพียงม่านหมอกสีเทาหม่นที่บดบังทัศนวิสัย ก้อนเนื้อในอกรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกบีบ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นถูกหนึ่งความคิดขุดขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุดที่ผมฝังมันไว้ด้วยยาและกระบวนการรักษา

หากแต่ขณะนี้มันกลับมาโลดแล่นอยู่ในหัวผมแล้ว ...ภาพที่ผมทำได้แค่ร้องไห้ ทั้งที่ตัวเองรับรู้ทุกอย่าง แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย

‘ฮัลโหล...นี่มึงทำไรอยู่อะ กลับบ้านยัง’

[...]

‘ฮัลโหล? วสันต์’

[ฉัวะ!]

‘เสียงอะไรอะ... ฮัลโหล ได้ยินกูพูดมั้ยเนี่ย’

[อ..อย่า.. ผมหายใจไม่ออก]

‘วสันต์เกิดอะไรขึ้น มึงเป็นอะไร เมื่อกี้เสียงอะไร วสันต์!’

[อึก... ฉัวะ! ช่วยด้วย...]


...ตอนนั้นผมจำได้ดีว่ามันเป็นวันก่อนจะวันเกิดเขาแค่ไม่กี่วัน และผมก็กำลังเตรียมของขวัญส่งไปให้เขา เขาชอบต่อโมเดลมาก สีหน้าของเขาเวลาได้เพลินกับชิ้นส่วนของโมเดลนั้นดูมีความสุขมาก ของขวัญที่ผมเลือกให้เขาในปีนั้นจึงเป็นโมเดลที่คิดว่าเขาน่าจะยังไม่เคยต่อ ...โมเดลสถานีอวกาศ

ผมกดสั่งผ่านเว็บไซต์แล้วให้เขาไปส่งถึงบ้านของวสันต์ หลังจากที่ทำรายการสั่งซื้อเสร็จเรียบร้อยผมก็เห็นว่าเวลาของไทยมันช่วงเย็นพอดี เขาน่าจะเลิกเรียนแล้ว ก็เลยโทรไปหาตามปกติ ทว่าพอปลายสายตอบรับการสนทนาแล้ววสันต์กลับไม่พูดไม่จาอะไรเลย

ผมคิดว่าบางอย่างคงไปทับหน้าจอจนมันรับสายเอง ซึ่งจริง ๆ วสันต์อาจจะไม่ว่าง ฉะนั้นผมก็เลยจะวางสาย แต่จังหวะที่ผมกำลังจะตัดสายทิ้งนั่นเองที่มีเสียง ๆ หนึ่งดังเข้ามาจนผมใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า

เสียงที่ดังเข้ามาเป็นเสียงคล้ายกับคมมีดที่เฉือนเข้าเนื้อ มันดังอยู่เรื่อย ๆ โดยมีเสียงร้องแทรกอยู่บ้าง และผมก็จำได้ดีเลยว่าเสียงร้องที่ได้ยินมันคือเสียงของวสันต์ เขาพร่ำร้องเรียกให้ใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ พยายามตะเกียกตะกายออกมา หากแต่เสียงของเขากลับยิ่งเหนื่อยอ่อนมากขึ้นทุกที ๆ จนท้ายที่สุดแล้ววสันต์ทำได้แค่เพียงสะอื้น พร่ำคำที่ไม่เป็นภาษาออกมา ก่อนจะเงียบไปในที่สุด

ซึ่งผม...ถือสายอยู่ตลอดการสนทนา

กระทั่งเขาเงียบไปแล้วผมก็ยังไม่กล้าวาง ผมไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น วสันต์ถูกใครทำร้าย เสียงเฉือนเนื้อที่ผมได้ยินมันคือเสียงอะไร ..ทั้งหมดผุดขึ้นเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้

เสียงร้องของวสันต์ทำผมใจสลาย ผมทรุดลงกับพื้น พยายามตะโกนใส่โทรศัพท์ซ้ำ ๆ ให้ฆาตรกรที่กำลังทำร้ายเขาหยุดการกระทำ ผมกรีดร้อง ตะคอกใส่โทรศัพท์ทั้งน้ำตา แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันเปล่าประโยชน์

‘ก...กูจะไม่วาง ไม่วางหรอกนะไม่ต้องห่วง กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึง’

จนผมเริ่มรู้สึกเจ็บเวลาเปล่งเสียงออกมา คำว่า‘หยุดเดี๋ยวนี้’ ‘ออกไปจากเขาเดี๋ยวนี้’ ก็มีเพียงเสียงลมแหบ ๆ ที่ส่งผ่านสายการสนทนา ผมจึงนอนกอดโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้ แล้วเลือกที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาแทน แม้เขาอาจจะไม่อยู่ให้ผมเป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ตาม

สองชั่วโมงผ่านไป... ผมก็ยังคงร้องไห้อยู่แบบนั้น กอดโทรศัพท์เอาไว้ไม่ปล่อย หวังแค่เพียงให้ไออุ่นจากอ้อมกอดนี้ส่งผ่านไปถึงร่างกายของเขา

ห้าชั่วโมงผ่านไป... ความเหนื่อยล้าเริ่มเกิดขึ้น แต่ผมไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง ผมกลัวว่าถ้าผมหลับไปแล้วสายสนทนาของพวกเราจะตัด ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเพราะถ้ามันตัด...เราก็คงไม่มีโอกาสได้โทรหากันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมยังอยากอยู่ข้าง ๆ เขา อย่างน้อยก็ให้มากกว่านี้

‘ของขวัญวันเกิดมึงกูซื้อโมเดลให้ด้วยนะ มึงอยู่รอรับของขวัญกูก่อนนะวสันต์ โอเคมั้ย’

[…]

‘ได้ยินแล้วตอบกูหน่อยนะ... ขอร้อง.. ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา กูจะอยู่ยังไง..’

[…]

‘อยู่โตไปพร้อมกูก่อนไม่ได้เหรอวสันต์’


หากพระเจ้ามีจริงท่านก็ควรจะปกป้องเด็กผู้ชายคนนี้สักนิด เขาเพียงเกิดมา และเติบโตได้ยังไม่ถึงครึ่งของชีวิต เขายังมีเพื่อน มีสังคม มีเรื่องราวมากมายรอให้พบเจอ ทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องมาเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้ หรือเพราะท่านไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เด็กน้อยคนนี้เลยต้องถูกพรากไปเพราะความโชคร้าย เพราะอะไรกัน... ทำไมถึงต้องเป็นวสันต์...

ทำไมต้องพรากคนสำคัญของผมไปด้วย







(บุคคลที่สาม)

...ม่านตาถูกฉาบด้วยหยาดน้ำสีใส ฟันบนและฟันล่างขบกันอย่างแรงเพื่ออดกลั้นอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว เส้นเลือดที่หลังมือและแขนทั้งสองข้างปรากฎขึ้นเพราะกฤตพัฒน์กำหมัดแน่น เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่ความทรงจำที่ฉายขึ้นมาก็ยังไม่เลือนรางหายไป กดให้เขาดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความเลวร้าย

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก ผู้ชายในชุดสูทเดินเข้ามา เขาดูจะตกใจไม่น้อยที่ภามกำลังร้องไห้ แต่ก็ยังควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าให้นิ่งเรียบได้จนบรรยากาศระหว่างพวกเขามีเพียงความอึดอัด

“คุณโอเคหรือเปล่า?” ภูริเอ่ยถาม หลังจากที่เดินเข้ามาแตะตัวพี่ภามแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบสนองเลย

“...” ภามหันมามองเขาอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะสูดสะอื้น แล้วปาดคราบน้ำตาของตนเองออก ภาพลักษณ์ของพวกเขาทั้งสองคนดูตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่พบกัน ครั้งนั้นภูริเอาแต่ร้องไห้ อ่อนแอจนภามเห็นแล้วสงสาร ทำให้เขาได้เข้าไปมอบความอบอุ่นผ่านความห่วงใย จนได้รู้จักกันมาถึงทุกวันนี้ ทว่าวันนี้กลับเป็นภามเองที่อ่อนแอ เขาร้องไห้หนักแต่ยังพยายามแสดงเปลือกที่ดูเข้มแข็งนั่นเอาไว้ แม้ใต้เปลือกจะแหลกสลายจนไม่เหลือเค้าเดิมไปแล้ว

และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมอบไออุ่นให้เขาได้เลย

“ผมกลับมาแล้ว ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน” ภูริหันกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นว่าภามไม่ได้นั่งเหม่ออีกต่อไปแล้ว “คุณถามผมมาได้เลย อะไรที่คุณสงสัยผมจะตอบให้หมด”

“ไม่” กฤตพัฒน์พูดเสียงแข็งกร้าว“ผมไม่มีอะไรจะถามแล้ว”

“...” ภูริมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้จะดึงดันอะไรต่อ ถ้าภามไม่มีอะไรที่สงสัยแล้ว นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี...สำหรับเขา“คุณจะกลับแล้วหรอ”

“ผม...” อีกฝ่ายไม่ได้ให้คำตอบเขาในทันที หากแต่อ้ำอึ้งอยู่นาน จนเขาต้องพูดขึ้นมา

“มีอะไรก็บอกผมมาได้เลยครับ”

“...” คราวนี้ภามก้มหน้า มือของภามประสานกันแน่นเหมือนเขากำลังรวบรวมความกล้า ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วประสานสายตาที่ดูมุ่งมั่นของเขาเข้ากับสายตาที่นิ่งเรียบของภูริ

“…”

“ผมอยากขอ..”

“…!”

“ขอให้คุณเล่าทุกอย่างตอนที่วสันต์ตายให้ผมฟังครับ”

...แน่นอนว่าภูริเลือกไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว นัยน์ตาสีดำสนิทของภูริจึงเริ่มปรากฏฝ้าควันสีหม่นพาดผ่าน พื้นที่รอบข้างมืดลงจนเหลือแค่พวกเขาสองคนที่เห็นกันและกัน ก่อนที่ภูริจะถูกอำนาจของหมู่ดวงวิญญาณบังคับให้ริมฝีปากที่พยายามเม้มแน่นนั้นคายเรื่องราวที่ถูกซ่อนเอาไว้

“ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ”

ชีวิตคน ๆ หนึ่งแลกกับคำว่าไม่ได้ตั้งใจน่ะเหรอ? กฤตพัฒน์มองหน้าคนที่ดูใสซื่ออย่างภูริอย่างไม่เชื่อสายตา

“ผม...ผม..” น้ำตาหยดลงอาบแก้มสีซีด ก่อนที่ริมฝีปากสีเสือดจะพูดต่อ“มือ.. มือของผม เล็บมันยาวขึ้นเอง”

“…”

“ผมผลักให้เขาล้มลง แล้วก็ขึ้นไปบนตัวเขา..” ภูริตัวสั่น ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจนเขาไม่อาจจะควบคุมตัวเองไว้ได้ “เล็บผมฟาดลงบนอกของเขา.. แขนของเขา แล้วก็คอของเขา”

“…”

“เขาพยายามจะหนี.. แต่แขนเขาขาดไปแล้วเขาเลยขยับมากไม่ได้” ครานี้เป็นฝ่ายกฤตพัฒน์ที่เริ่มกลับมาสะอึกสะอื้นอีกครั้ง ภามอึ้งจนอ้าปากค้าง ในหัวเริ่มต่อชิ้นส่วนที่ตัวเองมีเข้าด้วยกันก่อนจะพบว่ามันเหมือนจะตรงกับที่ภูริกำลังเล่าหมดทุกอย่าง “วสันต์ร้องไห้ เรียกให้ใครต่อใครเข้ามาช่วย แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ก็เลยไม่มีใครได้ยิน”

“…”

“เล็บของผมก็เลยฟันเขาซ้ำ ๆ จนเขาร้องเรียกใครไม่ได้อีกแล้ว”

บรรยากาศสีมืดรอบข้างเริ่มจางลง เช่นเดียวกับหมอกควันสีขุ่นที่ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ชายหนุ่มผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งหลุดออกจากพันธนาการกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

...ความจริงที่เขากลายเป็นฆาตรกรไปแล้วในสายตาของคนที่เขารัก

‘ขอบคุณที่มาหากันนะ’ ภูริพยายามจะเปล่งเสียงออกไป แต่กลับไม่มีแรงมากพอจะพูดไหว เขาเริ่มสะอึกเพราะลมหายใจถูกตัดขาด มือสองข้างเริ่มอยู่ไม่สุข ทั่วทั้งร่างสั่นไปหมด ขณะที่ดวงตาค่อย ๆ ลอยขึ้นและเปลือกตาเริ่มปิดลงมานั้น เลือดก็ไหลออกมาจากหางตาด้านขวา แล้วภูริก็แน่นิ่งไปในที่สุด

‘ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ’ ภูริไม่รู้เลยว่าภามจะเชื่อที่เขาบอกมั้ย แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง สิ่งหนึ่งที่ภูริหวังก็คือ ได้โปรด...เชื่อใจกันอีกสักครั้ง

‘ที่ไล่ให้กลับไปก็เพราะว่าอยากให้พี่ภามมีความสุขไง ถ้ายังพัวพันกันอยู่แบบนี้จะอันตรายกับพี่ภามนะ พวกเราน่ะ ต่างคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเองมันดีที่สุดแล้ว พี่ภามจะปลอดภัย ภูริก็จะชีวิตที่เหลืออยู่แบบไม่ต้องมีห่วง แต่ก็จะไม่ลืมหรอกนะว่าพี่ภามเป็นพี่ชายที่แสนดีที่ครั้งหนึ่งคอยอยู่ข้าง ๆ กันตอนที่อ่อนแอ ขอบคุณพี่ภามมาก แต่ได้โปรด... โกรธแล้วก็เกลียดภูริทีเถอะนะ’  สิ่งหนึ่งที่คิดอยู่ในใจดวงน้อยของภูริ หากแต่เขาไม่อาจพูดมันออกไป

...นาฬิกาชีวิตของพวกเราต่างก็กำลังลดถอยลงเหมือนกันทั้งคู่ แม้ของภามจะลดทีละวินาที ซึ่งช้ากว่าของภูริมาก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ภูริจะต้องแลกอายุขัยอันน้อยนิดของตนเองเพื่อสนองความปรารถนาของคนอื่นจนภูริต้องตายจริง ๆ ภูริก็ไม่เสียใจแล้ว

ก็...ครั้งหนึ่งภูริเคยทั้งได้รับความรักและได้มอบความรักให้คนสำคัญในชีวิตไปแล้ว

ทั้งแม่ พี่มิ้นต์ คุณยายไพลิน แล้วก็...พี่ภาม

‘ไว้ชาติหน้าเราค่อยกลับมารู้จักกันใหม่นะ’



...ฝั่งภาม ประตูของความรู้สึกก็ไม่อาจปิดไว้ได้อีกเมื่อเขารับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากอีกฝั่งของสายสนทนา และที่สำคัญ...ฆาตรกรที่เขาตามหามาทั้งชีวิตอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาแค่นขำให้กับโชคชะตาของตัวเอง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าบุคคลที่เขาอยากจะฆ่าให้ตายมากที่สุดจะเป็นคนที่เขาเฝ้าตามติดแถมยังไปร้องขอความเห็นใจราวกับตัวเองเป็นสุนัข

“เธอเห็นคนที่เข้ามาหาคุณภูริมั้ย ที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อน” เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากข้างนอกห้อง เล็ดรอดเข้ามาให้ภามได้ยิน ซึ่งพอเห็นว่ากล่าวถึงตนเองเขาก็หันไปตามเสียง แล้วก็ตั้งใจฟังบทสนทนาข้างนอกห้องอย่างใคร่รู้

“เพื่อนจริงอะ?”

“น่าจะมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดีเนอะ...”

“อือ นี่ฉันพึ่งไปข้างนอกกับคุณภูริมา ฉันก็ถามเขาเรื่องเพื่อนคนนี้นี่แหละ พอฉันพูดขึ้นมาคุณภูริเขานี่ยิ้มแบบโลกดูสดใสขึ้นมาทันทีเลยอะ”

“ฮ่า ๆ เขาก็คงดีใจแหละ เขาไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ เพื่อนคนล่าสุดของเขาก็ตั้งแต่ตอนมอปลายนู่นมั้ง พอฉันเห็นคนนี้มาบอกว่าเป็นเพื่อนของคุณภูฉันก็ยิ้มเหมือนเขาเลย ไม่รู้สิ...ฉันทำงานที่นี่มานาน เห็นเขามีความสุขบ้างฉันก็พลอยดีใจไปด้วย”

...ไม่นานนักเสียงจากบทสนทนาก็ห่างออกไปไกลจนหลุดระยะที่จะทำให้ภามได้ยิน ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลจึงหันกลับไปมองอีกคนที่ฝั่งตรงข้ามที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย กฤตพัฒน์ถอนหายใจ ก่อนจะเรียบเรียงความคิดตัวเองอีกครั้ง

มาถึงตรงนี้ก็แน่นอนว่าความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้มันมลายหายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้ก็เพียงความเศร้าโศก และความเกลียดชัง

ภาพความทรงจำในวันนั้นยังคงสะท้อนให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเขามองไปที่ร่างของคนฝั่งตรงข้าม ฝ่ามือของเขา... เล็บของเขา... ใบหน้า... และลำตัว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เคยทำร้ายน้องชายของเขา ซึ่งตอนนี้ทุกสิ่งที่เขาเห็นและคิด มันกำลังฝังรากลึกลงไปในจิตใจ ต่อให้ตายภามก็คงไม่มีวันลืม

กฤตพัฒน์ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้อะไรอีกต่อไป เขาเพียงมองดูเรือนร่างของฆาตรกร และคิดไปถึงเรื่องราวร้อยแปดระหว่างกันและกันในช่วงที่ผ่านมา

“เข้าใจแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง” ภามจ้องมองเรียวนิ้วของภูริด้วยความโกรธกริ้ว “คุณก็ชอบผมไม่ต่างกัน”

เขาไม่ได้สนใจว่าภูริจะรู้สึกตัวหรือยัง ต่อให้ได้ยินหรือไม่ได้ยินมันก็ไม่มีผลอะไรอีกต่อไปแล้ว

“ไม่สิ มันต่าง เพราะตอนนี้ผมคงชอบขยะอย่างคุณไม่ลง”

ภามทิ้งประโยคสุดท้าย ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินไปหาร่างที่กำลังจมสู่ห้วงนิทราแห่งความเจ็บปวด เขาใช้สองแขนช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้น ก่อนจะอุ้มออกมา แล้วพาออกไปจากที่นี่

‘เขาหมดสติน่ะครับ ผมจะพาเขาไปหาหมอ’ นี่คือสิ่งที่ภามบอกกับคนที่รีสอร์ต พนักงานนับสิบคนมามุงดูอาการของภูริและถามคำถามนับร้อยพันกับเขา ทว่าดูเหมือนทุกคนจะวางใจทันทีเมื่อภามคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนจะอาสาเป็นคนพาคุณภูริของพวกเขาไปโรงพยาบาล

ซึ่งความเป็นจริงพวกเขาไม่รู้เลยว่าในหัวภามกำลังคิดอะไร

เขาคิดเพียงแค่ว่า...

‘คุณต้องชดใช้ในสิ่งที่คุณทำ ต่อให้คุณตายผมก็ไม่สน’

...เขาจะแก้แค้นให้น้องยังไงให้สาสมใจที่สุด








TBC

ออฟไลน์ ninknpk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พี่ภามอย่ามาเสียใจทีหลังนะคะ
อิชั้นจะไม่สงสารแต่จะซ้ำเติมด้วยซ้ำำ​

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ไหนละความรัก อะไรคือการทำอย่างงี้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด