ตำหนักจิ่งหยางกง
“อ่ะ.. เอ่ะๆๆๆ (เจ็บๆๆๆ) ” เสียงร้องอวดครวญของว่าที่พระชายาดังขึ้นเบาๆ เมื่อซู่เจินใช้สมุนไพรป้ายทั่วช่องปากของกุ้ยฮวาที่มันบวมแดงจากการดื่มชาอู่หลงที่ร้อนจัดจนพาให้บวมเจ่อมาถึงริมฝีปากจนซื่อเหยียน ขันทีต๋วนและเหล่านางในพากันก้มหน้าขำคิกคัก
“อ๋ำอะไออัน!? (ขำอะไรกัน!?) ...โอ่ะโอ๊ย!”
“อีกนานหรือไม่กว่าว่าที่พระชายาจะหายดี?” เมื่อเห็นซู่เจินทายาให้กุ้ยฮวาเสร็จ ซื่อเหยียนก็ถามขึ้นทันทีจนมือบางที่กำลังเก็บสมุนไพรนั้นถึงกับหยุดชะงัก แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ต้องจำใจหันไปตอบและพยายามก้มหน้าให้มากที่สุด
เพราะซู่เจินกลัว... กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ทั้งๆ ที่ก็เป็นปากตัวเองแท้ๆ ที่ผลักไสองค์รัชทายาทไป
“หากทายาติดต่อกันทุกสามชั่วยาม อีกไม่เกินวันสองวันก็หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดเสร็จซู่เจินก็หันไปหยิบซองยาสมุนไพรไปให้นางในโดยมีสายตาของซื่อเหยียนมองตามตลอดฝีเก้าของร่างบางด้วยสายตาที่มิอาจปิดซ่อนความน้อยใจไว้ได้ ซึ่งการกระทำและสายตาของทั้งคู่นั้นกุ้ยฮวาเห็นมันทั้งหมด
“นำสมุนไพรไปตำให้ละเอียดและผสมน้ำเพียงเล็กน้อย แล้วคอยทาให้ว่าที่พระชายาทุกสามชั่วยามด้วยนะ” เมื่อกำชับนางในเสร็จ ซู่เจินก็หันไปโค้งให้องค์รัชทายาทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขอตัวกลับไป ซึ่งสายตาที่เหลือบมององค์รัชทายาทก่อนไปนั้นมันเต็มไปด้วยความโหยหาจนกุ้ยฮวาที่คอยมองอยู่ยังรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนคงมีความรู้สึกที่พิเศษต่อกันแน่นอน
องค์รัชทายาทก็มีคนรักอยู่แล้วจะมาแต่งงานกันข้าทำไมกันนะ“พรุ่งนี้เช้าเจ้าไม่ต้องไปถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮา เดี๋ยวข้าจะกราบทูลให้เองว่าเจ้าไม่สบาย”
“อือ” กุ้ยฮวาตอบกลับสั้นๆ เพราะถ้าพูดมากกว่านี้กลัวว่าจะฟังกันไม่รู้เรื่อง
เฮ้อ.. สุดท้ายวันนี้ก็คงไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้วสินะ
หลังจากที่งีบหลับจนตื่นอีกทีก็พบว่าค่ำแล้ว แถมสมุนไพรที่ทาปากไว้ก็ถือว่าดีใช้ได้เลยเพราะปากของกุ้ยฮวาตอนนี้ก็บวมน้อยลงจนสามารถพูดได้ชัดขึ้น และเมื่ออาการดีขึ้นวันนี้ก็เป็นอีกวันที่กุ้ยฮวาออกมาเดินรับลมยามดึก เพียงแต่วันนี้เขาออกมาเดินคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าพอไม่มีองค์ชายจอมจุ้นนั่นแล้ว กุ้ยฮวาก็รู้สึกสบายใจและสบายหูที่สุดเลย!
“องค์ชาย!”
“หืม.. เสียงใครน่ะ?” เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังขึ้นอยู่ไกลๆ แต่หากอยู่ในยามค่ำที่แสนจะเงียบสงบแบบนี้ก็ยังทำให้ได้ยินเสียงนั่นอยู่ดี
กุ้ยฮวาหันไปมองทางต้นเสียงที่เกิดจากบริเวณศาลาริมสระบัว แสงจันทร์ที่สาดกระทบทำให้เห็นเงาของคนสองคนที่กำลังกอดกันอยู่ที่นั่น คนหนึ่งเป็นร่างสูงสง่าที่คนในวังหลวงทุกคนย่อมรู้ดีกว่าเป็นใคร แต่อีกคนนั้นกุ้ยฮวาเห็นไม่ชัดเพราะถูกซื่อเหยียนกอดจนร่างนั้นจมอก จนกระทั่งทั้งคู่ผละกอดออกจากกันตากลมที่ถึงแม้จะเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของคนนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ซื่อเหยียนกอดอยู่นั้นเป็นใคร
ผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้น...
คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ว่าสองคนนั้นต้องมีอะไรกันแน่ๆ
“โถ่เอ้ย! คนรักตัวเองก็มีแล้วแท้ๆ แถมอยู่วังเหมือนกันด้วย แล้วจะจับข้ามาเป็นพระชายาอีกทำไมเล่า!”
“
ยังชอบคุยกับตัวเองเหมือนเดิมเลยนะป๋าย กุ้ยฮวา”
“อ๊าก!!” เสียงหวานร้องลั่นด้วยตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงชายหนุ่มมากระซิบข้างหู กุ้ยฮวารีบหันไปมองคนที่บังอาจแกล้งเขาให้ตกใจจนขวัญกระเจิงด้วยสายตาอาฆาตสุดชีวิต แต่พอเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ใบหน้าหวานที่บึ้งตึงก็กลับเปลี่ยนเป็นยิ้มดีใจทันที
“
เติ้ง เหว่ยหลง!!” กุ้ยฮวากระโดดกอดคอร่างสูงของสหายคนสนิทด้วยความดีใจจนลืมตัวทันทีเพราะเขาไม่เห็นหน้าเหว่ยหลงมาเกือบสี่ปีแล้วหลังจากอีกคนบอกเขาจะเข้าไปสอบเป็นข้าราชการ
“ฮ่าๆๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าวังมาได้สองสามวันแล้ว แต่ข้ามัวติดงานราชการเลยไม่มาเจอเจ้าสักที” กุ้ยฮวารีบผละกอดออกแล้วส่ายหน้ารัวๆ
“ไม่เป็นไรเลย ข้าเองก็ไม่ได้เจอเจ้านานจนลืมไปว่าที่เจ้าหายไปเพราะมาสอบเป็นขุนนางอยู่ในวังนี่เอง เฮ้อ! ข้ารู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลยที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย”
“แล้วท่านแม่ทะ--!!” มือบางรีบยกขึ้นปิดปากเหว่ยหลงพร้อมกับขยิบตาและสั่นหน้าเบาๆ ไม่ให้อีกคนเอ่ยถึงท่านพ่อ ซึ่งเหว่ยหลงก็ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง
“นั่นใครน่ะ!?” เสียงเข้มกังวานด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทดังขึ้นจนกุ้ยฮวาสะดุ้งเพราะกลัวโดนจับได้ที่เขาแอบมาเห็นว่าซื่อเหยียนกำลังพลอดรักกับผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้น
ร่างบางจึงรีบหันไปสั่งพวกนางในให้กลับตำหนักไปก่อน ส่วนตัวเองก็รีบคว้าแขนของเหว่ยหลงแล้ววิ่งหนีไปทันที
ทั้งคู่วิ่งเกือบมาถึงกำแพงวังหลังซึ่งตรงนี้เหว่ยหลงรู้ดีว่าเป็นส่วนของตำหนักพระสนม แต่โชคดีที่ตอนนี้ก็ดึกดื่นพอสมควร พระสนมทั้งหลายคงเข้าบรรทมไปแล้วหรือไม่ก็ขังตัวเองอยู่ในตำหนักกันหมดแล้ว
“ไหน.. เจ้าบอกข้ามาซิ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ให้ข้าเอ่ยถึงท่านแม่ทัพ?” เหว่ยหลงถามปนหอบเพราะวิ่งมาไกล
“หลังจากที่ข้าต้องมารับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท ข้าก็ไม่อาจเรียกท่านพ่อว่าท่านพ่อได้อีก เพราะเรื่องที่ท่านแม่ทัพเป็นพ่อของข้า มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ใครรู้ นอกจากองค์ชาย ข้าและท่านพ่อ”
“ทำไมกัน?”
“เจ้าก็รู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา.. ฮ่องเต้พยายามตามหาบุรุษดอกไม้มาโดยตลอดเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท และท่านพ่อข้าเองก็พยายามปิดบังและพาข้าหนีมาตลอดเหมือนกัน”
“....”
“แต่เมื่อสองวันก่อน.. ท่านพ่อได้มาหาข้าเพื่อที่จะพาข้าหนีหลังจากมีเพราะราชโองการให้ออกตามหาบุรุษดอกไม้อีกครั้ง แต่องค์รัชทายาทก็แอบตามท่านพ่อมา สุดท้ายท่านพ่อจึงต้องยอมยกข้าให้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เพื่อตอบแทนราชวงศ์และผืนแผ่นดินนี้ตามคำโน้มน้าวขององค์รัชทายาท”
“ข้าเข้าใจแล้ว หากคนอื่นรู้เข้าว่าพ่อเจ้าปกปิดเรื่องเจ้าต่อฝ่าบาท ชีวิตของท่านแม่ทัพคงหาไม่เป็นแน่”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องระวังอย่าพูดถึงท่านพ่อต่อหน้าข้าเวลาที่ข้าอยู่กับพวกนางในอีก เข้าใจหรือไม่?”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
“ว่าแต่เจ้านี่ แหม.. พอใส่ชุดขุนน้ำขุนนางแล้วก็ดูดีเหมือนกันนี่ เจ้าอยู่กรมไหนล่ะ?”
“คนรักความยุติธรรมเยี่ยงข้าก็ต้องอยู่กรมยุติธรรมอยู่แล้ว!”
“จริงรึ!? ดีจังเลย เอ้อจริงสิ! วันนี้ข้าเห็นสีหน้าท่านพ่อดูเป็นกังวลมาก เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเกิดเหตุอันใด”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรอ? หึ.. พ่อเจ้าเป็นแม่ทัพก็คงไม่พ้นเรื่องศึกสงครามหรอก ข้าได้ยินมาว่าทางใต้ถูกโจมตีจากพวกญี่ปุ่นจนไพร่พลทหารเหลือน้อยจนไม่อาจต้านพวกมันไหว พวกทหารฝั่งทางใต้จึงส่งม้าเร็วมาตามให้ท่านแม่ทัพไปช่วยน่ะ”
“แล้วท่านพ่อจะต้องไปเมื่อไร?”
“เห็นว่าจะออกเดินทางคืนพรุ่งนี้”
“คืนพรุ่งนี้อย่างนั้นหรือ? ... ข้าจะออกไปเจอท่านพ่อได้ไหมนะ?” กุ้ยฮวาพึมพำถามกับตัวเองเบาๆ อีกทั้งสีหน้ายังแสดงออกถึงความกังวลอย่างชัดเจน ซึ่งเหว่ยหลงเองก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
กุ้ยฮวาและเหว่ยหลงพูดคุยกันต่อไม่นานก็พากันเดินกลับโดยเหว่ยหลงอาสาจะไปส่งกุ้ยฮวาที่ตำหนักก่อนที่ตัวเองจะกลับจวน
ซึ่งทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการที่ออกมาคุยกันสองคนอย่างลับๆ ล่อๆ นั้น ได้ถูกจับจ้องโดยสายตาคู่หนึ่งอยู่ตลอดจนทั้งคู่เดินลับสายตาไป
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงหน้าตำหนักจิ่งหยางกง กุ้ยฮวารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่มีพวกขันทีและนางในยืนอยู่หน้าตำหนักมากมายกว่าปกติและตรงนั้นก็มีขันทีต๋วนที่เดินวนไปวนมาด้วยความกระวนกระวาย ซึ่งพอขันทีต๋วนเห็นว่ากุ้ยฮวาเดินมาแล้วก็รีบวิ่งมาหาทันที
“ว่าที่พระชายา เสด็จไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!?”
“ข้าออกไปเดินเล่นมา มีอะไรหรือเปล่า?” กุ้ยฮวาถามขึ้นแต่ขันทีต๋วนกลับเหลือบมองที่เหว่ยหลงซึ่งร่างสูงก็รู้ทันทีว่าขันทีต๋วนคงอยากให้เขาออกไปจากตรงนี้โดยเร็วสินะ
“กุ้ยฮวา ถึงตำหนักเจ้าแล้วเช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้วกัน”
“อื้ม! ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปเดินเล่นด้วยกันใหม่นะ” เมื่อบอกลาเสร็จกุ้ยฮวาก็เดินกลับตำหนักทันทีโดยมีขันทีต๋วนเดินตามไปติดๆ
“ว่าที่พระชายา กิริยาเมื่อครู่ที่ทำกับท่านใต้เท้า เป็นสิ่งทีมิบังควรเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาก็แค่สหายข้าเท่านั้นน่า ไม่มีอะไรหรอก” ขันทีต๋วนถึงกับถอนหายใจ เขารู้ดีว่าสิ่งที่ว่าที่พระชายาพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ในวังหลวงนั่นนอกจากอำนาจที่มีมากมายแล้ว ความริษยาเองก็มีมากมายไม่แพ้กัน
หากว่าที่พระชายาพลาดเพียงนิดเดียวนั่นหมายความว่า ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นอาจจะถึงกับถูกผลัดเปลี่ยนมือไปเลยก็เป็นได้..
ขันทีต๋วนอยากจะอธิบายกับกุ้ยฮวาเหลือเกิน แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาอธิบายแล้วเพราะคนที่รออยู่ในตำหนักของว่าที่พระชายานั้นกำลังกริ้วจนเขาต้องรีบเดินไปส่งว่าที่พระชายาอย่างรวดเร็วและไม่ลืมที่จะให้คำชี้แนะแก่กุ้ยฮวาอีกครั้ง
“ว่าที่พระชายา หลังจากนี้หากถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง ได้โปรดทรงเย็นพระทัยและสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“กล่าวหา? .. ใครจะมากล่าวหาข้ากัน ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ได้โปรดจำคำพูดของกระหม่อมไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังดี... ตอนนี้องค์รัชทายาทมารอพระองค์อยู่ในนำหนักแล้ว ได้โปรด.. จำคำพูดของกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีต๋วนกำชับอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้วเอ่ยบอกกับคนที่รออยู่ด้านในถึงการมาของกุ้ยฮวา
“องค์ชาย ว่าที่พระชายาเสด็จกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้!” กุ้ยฮวาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอีกคนตะคอกดังขึ้นมาผ่านประตู
เขาชักจะเข้าใจสิ่งที่ขันทีต๋วนกำชับแล้วล่ะสิ.. แต่ว่าเขาทำผิดอะไรกัน?
แอ๊ด...
ทันทีที่กุ้ยฮวาก้าวขาเดินเข้ามาในตำหนักบานประตูก็ถูกปิดลงทันทีจนตอนนี้มีเพียงเขาและซื่อเหยียนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในตำหนักโอ่อ่านี้
จริงสิ.. ข้าขอไปพบท่านพ่อในวันพรุ่งนี้ดีกว่า!
“องค์ชาย พรุ่งนี้ข้าขอ..”
“ทำไมเจ้าถึงกล้าวิ่งหนีข้าไปกับชายอื่น!!?” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะถูกตะคอกใส่ ซึ่งเสียงนั้นก็ดังก้องไปทั่วตำหนักจนขันทีต๋วนและนางในที่ยืนรออยู่ด้านนอกยังสะดุ้งไปด้วย และในใจของทุกคนก็ต่างเป็นห่วงว่าที่พระชายาเป็นอย่างยิ่ง
“คือข้า..”
“นิสัยจับมือถือแขนกับชายอื่นไปทั่วแบบนี้มันไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนที่กำลังจะขึ้นเป็นพระชายา! แต่มันเป็นนิสัยของโสเภณีที่อยู่ในซ่อง!”
“อะไรนะ? ..” คำด่าทอที่แสนจะรุนแรงจนกุ้ยฮวาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเช่นนั้นออกมาจากปากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงองค์รัชทายาท
“กล้าดีอย่างไรถึงไปเดินเล่นกับชายอื่นจนทั่ววังแล้วกลับมาดึกดื่นเช่นนี้!? เจ้าไม่เห็นหัวข้าบ้างเลยหรืออย่างไร!!?”
“แล้วเจ้าล่ะ! เคยเห็นหัวข้าด้วยหรอ!?” ในเมื่อทนไม่ได้ที่อีกคนสาดคำด่าประณามกันไม่หยุด กุ้ยฮวาจึงถามกลับไปบ้าง ซึ่งคำพูดนั้นก็ยิ่งเหมือนน้ำมันที่ถูกราดเข้ากองไฟ
“นี่เจ้า!?”
“ข้าน่ะแค่จับมือ! แถมคนๆ นั้นยังเป็นแค่สหายของข้า แต่เจ้าน่ะถึงกับกอดพลอดรักกันที่ศาลาริมสระ โจ่งแจ้งยิ่งกว่าข้าเสียอีก! แล้วแบบนี้ยังจะหวังให้ใครมาเห็นหัวเจ้าอีกหรือ!?”
“บังอาจนัก!!”
“ขนาดข้าแค่จับมือกับสหายยังโดนกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี แล้วเจ้าที่ไปกอดกับผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นล่ะ.. ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี!?”
“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!!” ซื่อเหยียนโกรธมากจนเลือดขึ้นหน้า เส้นเลือดนั้นปูดขึ้นตามขมับจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้กุ้ยฮวารู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ข้าไม่หยุด!! ทีเจ้ายังพ่นคำด่าใส่ข้าได้สารพัด! แล้วทำไมข้าจะ..!! อื้อ!!!” เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ใบหน้าหวานถูกกระชากให้ไปรับจุมพิตอันแสนป่าเถื่อนเพื่อเป็นการลงโทษที่กุ้ยฮวาเอาใช้ปากนี่เถียงร่างสูงไม่หยุด
ตึ่ง!!
“อื้อ!!!!” ร่างบางถูกดันไปจนแผ่นหลังบางกระแทกกับบานประตูอย่างแรงทั้งที่ริมฝีปากยังถูกจูบอย่างรุนแรงแถมมือใหญ่ที่กุมใบหน้าหวานไว้ก็จับเอียงหันตามองศาการจูบที่ซื่อเหยียนสามารถสั่งสอนปากพล่อยๆ นี่ได้อย่างถนัดปาก
มือบางพยายามผลักไสอกแกร่งและขัดขืนสุดชีวิต น้ำตาสีใสไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเพราะความโกรธที่ถูกล่วงเกินอย่างโหดร้ายทารุณ
คนอื่นล้วนแต่ได้รับจุมพิตอันแสนหอมหวาน แต่ทำไมข้าถึงได้รับการจุมพิตที่แสนป่าเถื่อนและโหดร้ายเช่นนี้
หรือเพราะว่าข้าเป็นบุรุษดอกไม้อย่างนั้นหรือ.. คนอื่นถึงได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีข้าได้อย่างตามใจชอบ และทำเหมือนข้าไม่ใช่คนบนโลกนี้คนหนึ่ง..
ดวงตากลมหลับตาลงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัวอย่างตัดพ้อในชะตาชีวิต
กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งทำให้ซื่อเหยียนที่คิดจะจูบเพื่อสั่งสอนคนตัวเล็ก จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขาจูบเพื่อกลืนกินกลิ่นหอมๆ นั่นหวังใจว่าจะให้มันหายไปแต่ทว่ามันกลับกลับกัน เพราะยิ่งเขามอบจูบให้แก่เจ้าของกายอันแสนจะหอมหวนนี้ กลิ่นหอมๆ นี่ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นจนยากจะห้ามใจ
มือหนาข้างหนึ่งละออกจากใบหน้าเรียวแล้วปลดเสื้อคลุมของกุ้ยฮวาออกจนมันตกไปอยู่ที่ข้อพับแขนเรียว เผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนคล้ายสตรีจนซื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะใช้ปากดูดชิมมันอย่างแรงจนขึ้นรอย
“อย่านะ!! ฮือ.. ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!!” เสียงร้องปานจะขาดใจไม่ได้ช่วยให้ซื่อเหยียนได้สติขึ้นมาเลย ริมฝีปากร้อนๆ ไล่ฉกชิมไปทั่วลำคอระหงส์และลาดไหล่ขาวจนขึ้นรอยแดงจากตอหนวดที่ถูไถไปมาอย่างรุนแรง
จนกระทั่งใบหน้าคมละออกจากลำคอขาวเพื่อจะลิ้มรสความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้มันบวมเจ่ออีกครั้ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของกุ้ยฮวาก็ทำให้เขาหยุกชะงักเพราะได้สติขึ้นมา
นี่ข้าทำอะไรลงไป...
“ข้า...” ซื่อเหยียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้ตาคมพิจารณาการกระทำตัวเองก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวเพราะความสับสนในตัวเอง
“ฮึก.. หากเจ้าโกรธแล้วเจ้าจะลงโทษข้า เจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้.. แต่อย่าทำกับข้าเช่นนี้เลย ฮือ อย่าทำกับข้าเช่นนั้น” เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระกุ้ยฮวาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง ไหล่บางที่ซื่อเหยียนแทบจะถอนตัวเองออกไม่ได้เมื่อครู่นี้สั่นไหวด้วยแรงสะอื้นเพราะการร้องไห้ที่แทบขาดใจของกุ้ยฮวา “ข้าไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้เพื่อเป็นที่ระบายของใคร..ฮืออ ได้โปรด อย่าทำกับข้าแบบนี้.. ได้โปรด..”
ร่างสูงเดินออกมาจากตำหนักของกุ้ยฮวาด้วยสีหน้าดูเครียดและเป็นกังวลอีกทั้งเสียงร้องไห้ของคนในตำหนักยังดังไม่หยุดจนขันทีต๋วนต้องพยักหน้าให้นางในเข้าไปดูว่าที่พระชายา ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปหาองค์รัชทายาท
“องค์ชาย...”
“สั่งให้คนมาเฝ้าว่าที่พระชายาไว้ อย่าให้ว่าที่พระชายาออกนอกตำหนักเด็ดขาดและอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ด้วย”
“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“กลับกันเถอะ..”
เช้าวันต่อมา
เช้าวันนี้ในวังนั้นวุ่นวายไปหมดเมื่อมีคนไปฟ้องฮ่องเต้และฮองเฮาแต่เช้าว่าเห็นว่าที่พระชายาแอบไปเดินเล่นกับขุนนางคนหนึ่ง พาลให้ซื่อเหยียนต้องรีบเข้าไปอธิบายแก่ทั้งสองพระองค์ ซึ่งถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะเข้าพระทัย แต่ฮองเฮาที่ถือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีและถูกต้องมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปตำหนิว่าที่พระชายาถึงตำหนักจิ่งหยางกง
“ทำไมถึงทำเช่นนี้ว่าที่พระชายา?”
“....” กุ้ยฮวาไม่กล้าตอบอะไรได้แต่ก้มหน้านั่งหน้ามองมือทั้งสองที่กำแน่นอยู่บนหน้าตักตัวเองด้วยความกลัวและกดดัน
“ถึงเจ้าจะเพิ่งเข้าวังได้ไม่กี่วัน แต่บางเรื่องเจ้าก็ควรจะรู้ด้วยจิตใต้สำนึกของเจ้าเองไม่ใช่รึ!?”
“.....”
“เจ้ากำลังจะมีพระสวามี.. และพระสวามีของเจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาท พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องขึ้นมาเป็นพ่อและแม่ของแผ่นดินแทนข้าและฮ่องเต้ในอีกไม่ช้านี้อยู่แล้ว แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้กลับไม่รู้จักไตร่ตรอง เห็นหรือไม่ว่ามันส่งผลเสียอย่างไร?”
“หม่อมฉันขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา หม่อมฉันขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ...”
“สำหรับชาวบ้านคนธรรมดาเจ้าอาจจะอายุน้อยเกินไปสำหรับการออกเรือน แต่สำหรับเหล่าราชวงศ์นั้นการเข้าพิธีอภิเษกตั้งแต่อายุประมานเจ้าไม่ถือว่าน้อยเกินไปเลย ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องมีความคิดความอ่านที่ดีกว่าสามัญชนทั่วไป เข้าใจหรือไม่?”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เพื่อไม่ให้เจ้าทำผิดเป็นครั้งที่สองและเพื่อให้เจ้าจดจำสิ่งที่พึงต้องทำแก่องค์รัชทายาทข้าจำเป็นต้องลงโทษเจ้า” ว่าจบฮองเฮาก็หยิบ ‘ธรรมเนียมปฏิบัติต่อพระสวามี’ ขึ้นมาวางตรงหน้าของกุ้ยฮวา “จงคัดธรรมเนียมปฏิบัติเล่มนี้ห้าสิบจบแล้วนำไปส่งให้ข้าดู และท่องให้ข้าฟังทั้งหมดในอีกห้าวันข้างหน้านี้ เข้าใจหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”
ตำหนักไท่จี่เตี้ยน
“องค์ชาย... สามวันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไร?”
“ก็หลังจากวันที่เกิดเรื่องวันนั้นน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วอย่างไรเล่า!?”
“คือ.. กระหม่อมได้ทราบมาจากพวกนางในว่าว่าที่พระชายาไม่เสวยอะไรเลยนอกจากน้ำชามาสามวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เดี๋ยวพอหิวแล้วก็กินเองนั่นแหละ เจ้าจะกังวลสิ่งใด?” ขันทีต๋วนถึงกับถอนหายใจในขณะที่ฝนหมึกให้องค์รัชทายาท จากที่ฟังคำบอกเล่าของนางในเขาก็อดสงสารว่าที่พระชายาไม่ได้เลยจริงๆ
ว่าที่พระชายานั้นอายุยังน้อยนักจึงไม่แปลกที่จะทำอะไรที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการไปบ้าง แต่ถ้าหากมีการตักเตือนสั่งสอนกันดีๆ เขาก็เชื่อว่าว่าที่พระชายาจะต้องยอมรับฟังอย่างแน่นอน
แต่ติดที่ว่าคนในวังมักจะสั่งสอนกันด้วยบทลงโทษและคำด่าทอเสียมากกว่าน่ะสิ..
โดยเฉพาะองค์รัชทายาทของเขาน่ะ
“กระหม่อมยังได้ข่าวอีกด้วยว่าว่าที่พระชายาถูกลงโทษด้วยการคัดธรรมเนียมปฏิบัติถึงห้าสิบจบและต้องคัดให้เสร็จภายในห้าวัน และพวกนางในยังบอกอีกว่าตลอดสามวันที่ผ่านยังทรงร้องไห้ไม่หยุด แม้แต่ยามหลับบางทียังหลุดสะอื้นขึ้นมาอีกด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“เฮ้อ.. ว่าที่พระชายาก็ตัวเล็กแค่นี้ ทั้งอดข้าว ทั้งร้องไห้ ทั้งต้องคัดธรรมเนียมปฏิบัติทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ หากไม่ใช่คนที่เห็น ที่รับรู้ไม่ใจไม้ไส้ระกำก็ต้องรู้สึกสงสารกันบ้างใช่ไหมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าคิดจะพูดอะไร.. ขันทีต๋วน?”
“ไปเยี่ยมว่าที่พระชายากันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ว่าง” เสียงทุ้มตอบกลับทันควันจนขันทีต๋วนหุบปากแทบไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ได้ง่ายๆ
“ไปสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“เฮ้อ.. ถ้าองค์ชายไม่พาว่าที่พระชายาเข้าวัง ว่าที่พระชายาของกระหม่อมคงไม่ได้มานั่งเสียอกเสียใจขนาดนี้ พาเขามาแท้ๆ แต่กลับไม่เคยดูแลใส่ใจเขาเล้ยย~” ซื่อเหยียนปลายตามองขันทีต๋วนด้วยสายเอาเรื่องก่อนจะผ่อนลมหายใจเสียงดัง หัวสมองที่เต็มไปด้วยปัญญาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนร่างสูงจะหุนหันลุกเดินออกจากตำหนักตัวเองทันที
“จะเสด็จไปเยี่ยมว่าที่พระชายาใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ! โถ่เอ้ย..กระหม่อมคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าองค์ชายของกระหม่อมมิใช่คนใจร้ายใจดำ!”
ตำหนักจิ่งหยางกง
“องค์รัชทายาทเสด็จ!”
บานประตูตำหนักที่ถูกปิดเพราะคำสั่งคุมขังขององค์รัชทายาทค่อยๆ ถูกเปิดออก ร่างสูงของซื่อเหยียนเดินแขนไพ่หลังเข้ามาในตำหนักของกุ้ยฮวาอย่างวางอำนาจ คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นใบหน้าของกุ้ยฮวานั้นซีดเผือดเสียยิ่งกว่ากระดาษ ถุงใต้ตาทั้งสองข้างบวมตุ่ยยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออย่างไม่มีวันเหือดแห้ง ดวงตากลมที่เคยสุกใสบัดนี้แดงก่ำด้วยความอ่อนล้าและกำลังจดจ้องไปที่ตัวหนังสือที่กำลังไล่เขียนอย่างแน่วแน่แม้ร่างกายจะสั่นเทิ้มไปทั้งตัวเพราะความอ่อนล้าที่หักโหมมาถึงสามวันติด
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ซื่อเหยียนสั่งนางในสองคนที่ช่วยกันฝนหมึกให้กุ้ยฮวานั้นออกไปก่อน เห็นทีเขาต้องตำหนิเด็กดื้อตรงหน้านี่อีกแล้ว แต่จะให้ตำหนิคนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทต่อหน้าบ่าวไพร่ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติกันเกินไป
“พอได้แล้ว!” หลังจากยางในเดินออกไปและปิดประตูให้ มือหนาก็กระชากพู่กันออกจากมือเล็กก่อนจะเขวี้ยงมันทิ้งอย่างแรงจนกระแทกกับฝาผนัง
กุ้ยฮวาใช้ตาแดงก่ำของตัวเองมองพู่กันที่ถูกเขวี้ยงทิ้งไปด้วยความโกรธก่อนจะถอนหายใจอย่างสะกดกลั้นอารมณ์แล้วเอื้อมหยิบพู่กันอันใหม่ขึ้นมาแทน
“ข้าบอกให้พอ!” ซื่อเหยียนยึดพู่กันจากมือของกุ้ยฮวาก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือบางนั้นบวมแดง ซึ่งพอเห็นสภาพของอีกคนแล้วซื่อเหยียนถึงกับถอนหายใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร? ฝืนตัวเองแบบนี้อยากตายอย่างนั้นรึ!?”
“เปล่า... ข้าแค่ลงโทษตัวเอง” เสียงที่เคยนุ่มหวานนั้นแหบพร่าจนแทบไม่มีเสียง แค่จะพูดออกมาสักคำกุ้ยฮวาก็ดูเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด “ข้าต้องลงโทษที่ตัวเองหาทางไปหาท่านพ่อของข้าก่อนที่ท่านจะไปรบไม่ได้”
“....”
“ข้าออกไปไม่ได้.. ก็เพราะคำสั่งของเจ้า” กุ้ยฮวาแค่นเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “แต่ในเมื่อ... ทุกคนตราหน้ากันหมดว่าข้าทำผิด ข้าจะไปทำอะไรได้ล่ะจริงไหม?”
“....”
“เอาพู่กันคืนมา ข้าต้องคัดต่อ” กุ้ยฮวาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเล็กน้อยก่อนจะพยายามคว้าพู่กันคืนมาแต่ซื่อเหยียนกลับไม่ยอม
“ไปกินข้าวแล้วนอนพักเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง”
“ไม่.. ข้าพักไม่ได้ ข้ายังตัดได้ไม่ถึงไหนเลย นี่เป็นบทลงโทษที่ฮองเฮามอบให้ข้า.. ข้าต้องทำให้เสร็จ โอ๊ย..” กุ้ยฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบพู่กันอันแรกที่ซื่อเหยียนโยนทิ้งไป แต่สุดท้ายร่างกายที่ใกล้ถึงขีดจำกัดของกุ้ยฮวาก็พาให้เกิดอาการเวียนหัวจนเกือบล้มไป โชคดีที่มีแขนแกร่งคว้าไว้ได้ทัน
“เลิกดื้อสักที!! เจ้าต้องกินข้าวแล้วพักผ่อน!”
“ไม่! ข้าไม่กิน ตอนนี้ข้ากินอะไรไม่ลงทั้งนั้น”
“เช่นนั้นก็ไปนอนพัก”
“ไม่เอา.. ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้ายังคัดธรรมเนียมปฏิบัติไม่เสร็จ! ข้าไม่อยากถูกฮองเฮาดุอีกแล้ว หลบข้า!” ร่างบางพยายามใช้แรงอันน้อยนิดดันร่างสูงให้ถอยออกไป แต่ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวร่างของกุ้ยฮวาก็ลอยหวืออยู่ในอ้อมแขนของซื่อเหยียนทันที “นี่เจ้า..!!”
“เลือกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าจะกินข้าวก่อนหรือจะนอนพักก่อน”
“แต่ข้า..!!”
“ถ้าเจ้าตอบอย่างอื่นไม่ใช่กินกับนอน
เจ้าก็จะโดนข้าปิดปากเจ้าเหมือนวันนั้น.. เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรือไม่?” กุ้ยฮวารีบเม้มปากแล้วส่ายหน้ารัวทันทีจนมุมปากหยักขององค์รัชทายาทถึงกับกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นก็เลือกมา”
“นอน... ข้าเลือกนอน” หลังจากชั่งใจอยู่สักพักกุ้ยฮวาก็เลือกที่จะตอบไปว่านอน เพราะอย่างน้อยแค่เขาขึ้นนอนบนที่นอนแล้วทำเป็นแกล้งหลับนิดหน่อย พอองค์รัชทายาทออกไป เขาก็ยังลุกมาคัดต่อได้ แต่ถ้าเขาเลือกกินก่อนสุดท้ายซื่อเหยียนก็คงจะบังคับให้กุ้ยฮวานอนต่อแน่ๆ
“แล้วเจ้าไม่หิวรึ?”
“ไม่”
“อืม นอนก็นอน” ซื่อเหยียนอุ้มกุ้ยฮวาขึ้นไปนอนบนที่นอนก่อนที่ตัวเองจะล้มตัวนอนลงข้างๆ จนกุ้ยฮวาลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!? ขึ้นมานอนร่วมเตียงกับข้าทำไม?”
“ตกใจอะไร? อีกหน่อยเจ้าก็ต้องนอนร่วมเตียงกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน
และบางที.. เราอาจจะต้องทำอะไรกันบนเตียงมากกว่าการนอนหลับร่วมเตียงกันเฉยๆ ด้วย”
“อย่ามาพูดจาลามกใส่ข้านะ!!”
“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งนั้น เตรียมตัวไว้เถอะ.. นี่! อย่ามัวโวยวาย นอนได้แล้ว ข้าจะนอนเฝ้าเจ้าจนกว่าเจ้าจะหลับ”
“ไม่เอา ข้า.. ข้าไม่ชอบนอนเบียดกับคนอื่น”
“ไม่ชอบก็ต้องนอน นี่เป็นคำสั่ง!”
“เลิกสั่งข้าสักทีเถอะ!”
“เจ้าก็เลิกดื้อสักทีเหมือนกัน! ถ้าไม่ชอบให้ข้าสั่งก็อย่าดื้อกับข้า” พูดจบมือหนาก็กระชากแขนเรียวให้กุ้ยฮวานอนลงก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามากอด แถมใช้ขายาวๆ นั่นก่ายขาเรียวไม่ให้กุ้ยฮวาดิ้นไปไหนได้อีก
“ปล่อยนะ! ข้าอึดอัด”
“อึดอัดก็รีบๆ หลับ ข้าจะได้ปล่อย”
“ก็เจ้ากอดข้าเสียแน่นขนาดนี้ข้าจะหลับลงได้อย่างไร!?”
“หยุดเถียงข้าแล้วหลับได้แล้ว! นี่เป็นคำสั่ง!!”
“เจ้าสั่งข้าอีกแล้วนะ!!”
....To Be Continued....
#ลูกเขยแม่ทัพ
ถึงแม้จะมีฉากที่น้องโดยขืนจูบ แต่นิยายเรื่องนี้ไม่มีฉากข่มขืนน้า หมดกังวลหายห่วงได้เลยคับ!
อ่านจบแล้วชอบหรือไมชอบยังไงคอมเม้นต์ได้เลยค่า
สุดท้ายนี้สุขสันต์วันปีใหม่ไทย กักตัวอยู่บ้านกันอย่างมีความสุขนะค้า