หลังจากที่ฮองไทเฮากลับตำหนักไปแล้ว กุ้ยฮวาก็ยังคงมีสีหน้ากังวลเพราะดันไปทำลายความหวังสุดท้ายในชีวิตของพระองค์ แต่จะให้เขาทำเช่นไร ถึงแม้การให้กำเนิดองค์รัชทายาทจะเป็นหน้าที่ของพระชายา แต่ในใจลึกๆ กุ้ยฮวาก็อยากให้เด็กคนนั้นเกิดขึ้นจากความรัก... ไม่ใช่เพราะภาระหน้าที่
“เจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่อีกหรือ?” ซื่อเหยียนถามขึ้นเมื่อยังเห็นว่ากุ้ยฮวายังดูมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี แม้ว่าใบหน้าหวานจะเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นไม่ซีดเซียวเหมือนเมื่อวานแล้วก็ตาม
“.....” กุ้ยฮวาไม่ตอบแถมยังแสร้งมองท้องฟ้ามองต้นไม้ไปเรื่อย
“ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมจึงไม่ตอบข้า?”
“ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่อยากตอบ เจ้าจะดุข้าหรือไม่?” ตากลมช้อนสบตากับซื่อเหยียนซึ่งร่างสูงก็ทำแค่หัวเราะเบาๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่”
“ข้าไม่ได้โกรธ! แต่ข้าแค่ยังไม่อยากพูดกับเจ้า!”
“ถ้าข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมแม่ทัพป๋าย เจ้าจะยอมพูดกับข้าได้หรือไม่?”
“เจ้าว่าอะไรนะ...” กุ้ยฮวาถามเสียงสั่นแค่ได้ยินชื่อของท่านพ่อ หยาดน้ำสีใสก็เอ่อคลอออกมาที่ดวงตาด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“วันพรุ่งนี้ท่านแม่ทัพจะกลับมาแล้วจะไปรอเจ้าอยู่ที่บ้านเก่าของเจ้า... แต่ข้าคงให้เวลาเจ้ามากไม่ได้ ก่อนฟ้ามืดข้าจะเป็นคนไปรับเจ้าเอง”
“ข้า.. ไปหาท่านพ่อได้จริงๆ ใช่ไหม? จะไม่มีใครดุข้าอีกแล้วใช่ไหม?” คำถามของกุ้ยฮวาเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าที่วังหลวงแห่งนี้คงเข้มงวดกับป๋าย กุ้ยฮวาเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะเขา
อย่างที่เสด็จย่าพูด... เสน่ห์นิสัยแบบที่กุ้ยฮวาเป็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวงมาก่อน เพราะฉะนั้นถึงแม้กุ้ยฮวาจะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในกกรอบธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง แต่ถ้านิสัยบางอย่างที่เป็นตัวตนของกุ้ยฮวาที่มันอาจจะดูไม่เหมาะสมไปบ้างแต่ถ้ามันไม่ผิดกฏใดๆ ในวังหลวง ซื่อเหยียนก็จะไม่ห้ามหรือดุอีก
“อืม วันพรุ่งนี้ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ดุเจ้า”
“เจ้าพูดจริงหรอ!? อืม.. หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็หายโกรธเจ้าแล้วก็ยอมพูดกับเจ้าแล้วก็ได้” กุ้ยฮวากลับมายิ้มได้เต็มปากอีกครั้งก่อนยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าซื่อเหยียนซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ
“หึ.. เจ้าจะทำอะไร?”
“อะไรกัน? เกี่ยวก้อยคืนดีกันไง... เจ้าไม่รู้จักรึ?” ซื่อเหยียนส่ายหัวจนมือบางต้องจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวก้อยกันให้ดู “นี่.. แบบนี้เขาเรียกว่าเกี่ยวก้อยคืนดีกัน”
“แค่เอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้ก็ถือว่าเป็นการคืนดีกันแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“อื้ม! ความจริงนอกจากเกี่ยวก้อยเพื่อคืนดีกันแล้ว ก็ยังมีการเกี่ยวก้อยเพื่อสัญญาด้วยเหมือนกัน จะทำตอนสัญญาเสร็จแล้วหรือจะทำตอนที่กำลังพูดสัญญากันก็ได้”
“หึ.. ไม่น่าเชื่อเลยนะ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่านิ้วก้อยจะมีความหมายขนาดนี้”
“อะไรกัน เจ้าเองก็มีคนรักอยู่แล้วไม่เคยทำแบบนี้ด้วยกันเลยรึ!? ..อุ้บ!” ซื่อเหยียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วทันทีจนกุ้ยฮวาที่เผลอลืมตัวโพล่งถามออกไปแบบนี้ก็รีบดึงนิ้วตัวเองออกแล้วยกมือปิดปากแทบไม่ทัน
“...ที่เจ้าเห็นวันนั้น เจ้าเสียใจหรือไม่?” ซื่อเหยียนเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ไม่หรอก เราไม่ได้รักกันเสียหน่อย อย่าลืมสิเจ้าลากข้าเข้าวังมานะ ทำไมข้าจะต้องเสียใจด้วย” เสียงหวานตอบพลางหัวเราะกลบเกลื่อน
“ดีแล้ว... เพราะข้าก็จะไม่ทำให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีกแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าตัดใจจากซู่เจินไปแล้ว.. ในเมื่อข้าได้เลือกเจ้าเข้ามาเป็นพระชายาของข้าแล้ว ข้าก็ต้องให้ความสำคัญกับเจ้าและรักเจ้า เหมือนที่ข้าเคยบอกกับเจ้าวันแรกว่าอย่างไรสักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องรักข้า และข้าก็ต้องรักเจ้า”
“ความจริงแล้ว... มะ-ไม่ต้องก็ได้นะ”
“สำหรับข้า การที่ต้องทนอยู่กับคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่ได้รักกันนั้นมันทรมานมาก ซึ่งข้าไม่อยากให้เราสองคนเป็นแบบนั้น”
“แต่เจ้าไม่เห็นต้องตัดใจเลยนี่ ถึงตัวเจ้าจะแต่งงานกับข้า แต่เจ้าก็รับคนรักของเจ้าเข้ามาเป็นสนมของเจ้าได้นี่”
“ตัวและสติปัญญาของซู่เจินนั้นมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่มาก ข้าไม่อยากให้ซู่เจินต้องละทิ้งความรู้มาอยู่ในวังหลวงเพื่อปรนเปรอความใคร่ของข้า”
“อ้าว..”
แล้วข้าล่ะ.. หน็อย! เจ้าจะบอกว่าข้าโง่และไม่มีประโยชน์พอถึงได้มาอยู่ในวังหลวงได้ใช่ไหม!? ไหนบอกว่าตัดใจแล้วไง! ทีแท้ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยกันอยู่นี่เอง เห๊อะ!!“หึ แอบด่าอะไรข้าในใจอยู่ล่ะ?”
“เปล๊า! เปล่าเลย.. ฮ่ะๆ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย สักนิดเดียวข้าก็ไม่ได้คิด”
“แก้ตัวจนลิ้นพันแบบนี้แล้วยังจะกล้าโกหกข้าอีกอย่างนั้นรึ?”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ! เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลยไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก”
“คงไม่ได้แล้วล่ะ” ซื่อเหยียดพูดพร้อมเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวร่างบางจนกุ้ยฮวาต้องถอยหนี แต่ยิ่งหนีอีกคนก็ยิ่งตามแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อีกต่างหากจนสุดท้ายก็ถึงคราจนมุมของกุ้ยฮวาเมื่อแผ่นหลังเนียนสัมผัสเข้ากับเสาต้นใหญ่อย่างไร้ทางหนี “เพราะตอนนี้ข้าเลือกแล้ว..
ว่าข้าจะต้องสนใจแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“อย่างนั้นก็ตามใจเจ้า! ถึงข้าห้ามอะไรเจ้าก็คงไม่ฟังอยู่ดี เดี๋ยวพอเจ้าเจอคนอื่นที่พอใจ เจ้าก็จะตัดใจไปเองเหมือนที่เจ้าเคยทำนั่นแหละ”
“การตัดใจนั้นมันยากมากเจ้าไม่รู้หรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าวางใจได้เลย เพราะข้าเป็นคนที่ไม่ชอบทำเรื่องยากๆ แบบนั้นหลายรอบ”
“ถ้ายากนักเจ้าก็ไม่ต้องทำสิ เจ้าก็รักผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นต่อไปก็ได้ ส่วนเราก็อยู่..อยู่กันแบบ.. แบบมิตรสหายกันก็ได้ โอ้โห! แค่ข้าคิดว่าจะได้มีสหายที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าข้าก็ดีใจแล้ว ฮ่ะๆ!” เจื่อนมากๆ บอกเลย หัวเราะเมื่อกี้คือเจื่อนมาก!
“หึ อย่าลืมสิว่าสักวันเจ้ากับข้าจะต้องมีลูกด้วยกัน...” ซื่อเหยียนแกล้งพูดค้างไว้ก่อนยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของกุ้ยฮวาจนร่างบางถึงกับเกร็งคอพร้อมทำหน้าเลิ่กลั่ก “
ไม่มีสหายที่ไหนเขามีลูกด้วยกันหรอก”
ใครก็ได้เอาปอกดาบตีหัวข้าทีและช่วยบอกข้าด้วยว่าเจ้าองค์ชายนี่มันไม่ได้จะเอาจริงใช่ไหม!!
To be continued...
อ่านจบแล้ว คอมเม้นต์ให้นักเขียนสักนิดเพื่อที่นักเขียนจะได้มีแรงแต่งต่อไปถึงตอนจบเลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ กักตัวอยู่บ้านกันอย่างมีความสุขนะคะ