คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ  (อ่าน 9807 ครั้ง)

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ผมขยับตัวไม่ได้ ร่างผมเหมือนถูกกดจนชาไปทั้งตัว ปวดหัวชะมัด เกิดอะไรขึ้นวะ ขมวดคิ้วก่อนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แสงที่แยงตาทำให้ผมต้องปิดตาลงกะพริบถี่ๆ ให้คุ้นชิน ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องที่คุ้นเคย ห้องไอ้นนนสินะ หลุบตามองต่ำ แล้วก็รู้สาเหตุที่ทำให้ผมขยับตัวไม่ได้ ไอ้เหี้ย นี่เอง พิมนอนพาดอยู่บนตัวผม ในสภาพผมเผ้ากระเซิงปิดไปทั้งหน้า หมดสภาพฉิบหาย จัดการดันตัวมันออกไปอีกทางแล้วดึงผ้าห่มคลุมปิดขามัน มันส่งเสียงครางประท้วงเบาๆ แล้วถีบผ้าห่มออก ได้แต่ส่ายหัวมองมันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดขามันอีกรอบ นอนแหกจนกูจะเห็นไปถึงไส้แล้วไอ้ห่า ปิดภาพอุจาดแล้วหันตัวลงจากเตียง เท้าเตะพื้น ทำไมพื้นมันหยุ่นๆ ลองเหยียบอีกสักที ดึ๋งๆ เด้งสู้เท้ากูซะด้วย อะไรวะ ผมก้มลงมองไปที่ปลายเท้า

"เหี้ย! พุง! "

ไอ้โทนี่มันนอนเปิดพุงแผ่อยู่ที่พื้น ริมฝีปากยกยิ้ม บอกได้คำเดียวเมื่อคืน เละ! ผมจำได้แค่ตอนเดินเข้าไปที่โต๊ะ เห็นไอ้พายุที่ยังคงเมินผม หลังจากนั้นจำได้ว่าก็เลิกสนใจมันแล้วหันไปสนุกกับเพื่อน แล้วภาพก็ตัด จำได้รางๆ อีกทีก็เหตุการณ์ระทึกในรถกับไอ้นนน แค่คิดผมก็ไม่กล้าลุกเดินออกจากห้องแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่นั่งนิ่ง วางเท้าบนพุงไอ้โทนี่ พลางนึกเรื่องเมื่อคืน ทั้งเรื่องไอ้พายุที่ผมยังคาใจ และเรื่องไอ้นนนที่ทำผมอึดอัด

“มึงตื่นแล้วเหรอ"หันไปมองไอ้คนต้นเรื่องที่ทำผมคิดมาก มันเดินหัวเปียก นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ

“อ่า อืม"

“ไปล้างหน้าแปรงฟันดิ ของมึงวางอยู่ที่เดิม เสื้อผ้าเอาในตู้"



มองมันแต่งตัวแล้วเดินออกไป เหมือนเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำไมมันดูปกติจังวะหรือเมื่อคืนที่ผมได้ยิน ผมเมาจนหลอนไปเอง แต่แม่งเหมือนจริงมากเลยนะ ผมเกือบสร่างเมาเลยด้วย นั่งคิดไม่ตก ยกมือเกาท้ายทอยยิกๆ ช่างมัน เดี๋ยวค่อยคุย ลุกเดินข้ามตัว โทนี่เข้าห้องน้ำจัดการธุระเรียบร้อยก็เดินออกมานอกห้อง ไอ้นนนนั่งอยู่ที่โต๊ะตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอยู่

“มึง เมื่อคืนมึงได้พูดอะไรกับกูปะวะ เมื่อคืนกูเมามากแต่เหมือนกูได้ยินมึงพูดรักๆ อะไรสักอย่าง” ผมจะไม่ปล่อยผ่าน ขอลองหยั่งเชิงก่อน เผื่อฟังผิดไป จะได้ไม่หน้าแตกมาก

“อืม กูบอกรักมึง”

เวร เมื่อคือกูฟังไม่ผิดสินะ ใจเย็นมันคงไม่ได้หมายถึงแบบนั้นมั้ง

“แบบเพื่อนรักเพื่อนใช่ปะวะ” ถามอีกเพื่อความชัวร์ มันยังคงก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก ผมยืนรอคำตอบมันเงียบๆ ไอ้นี่ก็ชักช้า คิดนานฉิบหาย “ว่าไง มึงรักกูเหมือนที่รักไอ้พิม รักไอ้โทนี่ใช่มั้ย”

“เปล่า กับมึง กูอยากเอาด้วย”

เชี่ยยยยย  ขนลุกเลย นี่ไม่ใช่เพื่อนผม ผงะถอยไปหนึ่งก้าว มองมันแบบหวาดๆ

กูรักมึงนะ แต่ตอนนี้สายตามึงน่ากลัวมาก ห่าเอ๊ย

“มึง คือ...”

“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด กูล้อเล่น”

“ไอ้เหี้ยย ตกใจหมด”

ผมเดินเข้ามาหยุดยืนที่โต๊ะ ไอ้นนน มองผมยิ้มๆ แล้วก้มหน้ามองจานข้าว ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ

“ภพ"

“ห๊ะ"ผมมองมันที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวในจาน เรียกผมเสียงจริงจัง

“กูรักมึง รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักใครอีกคนได้”

“…..”

“แบบที่มึงคิดนั่นแหละ”

“มึง...คือ”

“กูรู้”

“ไม่เว้ย มึงไม่รู้! กูไม่ได้รังเกียจมึงนะ แต่กู...คือกู…มีคนที่ชอบอยู่แล้ววะ”

“ไอ้พายุสินะ"

มึงเป็นลูกเทพเหรอ ผมมองมันตาโต

“รู้ได้ไงวะ"

“มึงดูง่าย"

“กูไม่ได้ง่ายเว้ย"

“สัด พอ เอาเป็นว่าเมื่อคืนกูใจร้อนเลยพูดไป และที่กูยอมรับกับมึงตรงๆ เพราะกูไม่อยากเก็บไว้แล้ว ไม่ได้บอกเพราะหวังจะได้อะไรจากมึง ความรู้สึกนี้กูเริ่มเอง เพราะงั้นกูก็จะรับผิดชอบมันเอง”

มาซะยาวเหมือนเก็บกด พึ่งเคยเห็นมันพูดยาวๆ กับผมก็ครั้งนี้แหละ ปกติเงียบเหมือนลืมปากไว้ที่บ้าน

“กูขอโทษนะเว้ย"

"ขอโทษทำไม เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วมากินข้าวเหอะ"

มันว่าแล้วหันตัวกลับไป ผมเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม มองมันที่จัดการหยิบกล่องข้าวมาเปิดแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้า กะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุกเหมือนเดิม ผมไม่เคยรู้เลยว่าที่มันคอยดูแล คอยใส่ใจ มันมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่จำได้ผมก็เห็นมันอยู่ข้างๆ เอาใจใส่แบบนี้ไม่ใช่แค่กับผมแต่กับเราทุกคนในกลุ่ม จนผมมองข้ามความรู้สึกมันไป กูขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เลย

“เลิกมองกูแบบนั้น หลังจากนี้กูจะดูแลมึงแบบเพื่อน เพื่อนจริงๆ เชื่อใจกูได้"

ว่าจบมันก็ยื่นช้อนส้อมมาให้ ผมรับมาแล้วพยักหน้าส่งยิ้มให้มัน ยังไงไอ้นนนก็คือเพื่อนที่ผมรักที่สุดอยู่ดี และผมก็เชื่อใจมัน แม้เมื่อกี้มึงจะทำกูเสียวตูดก็ตาม

"แต่หลังจากข้าวมือนี้นะ"

"สัด แล้วแต่มึงเลย”

“แล้วกับไอ้พายุเป็นไงบ้าง"

“มันเมินกู"

“ทำไม”

“ไม่รู้”

“ง้อยัง"

“ทำไมกูต้องง้อมันด้วย มันโกธรอะไรกูยังไม่รู้เลย"

“จริงๆ มันอาจรอให้มึงไปง้ออยู่ เมื่อคืนตอนมึงเมา ก่อนกูจะเข้าไปลากมึงกลับ มันเป็นคนดูแลมึง"

“….”





หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ผมก็ปลีกตัวกลับมาที่ห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกดโทรหาคนที่ทำเมินผมเป็นอาทิตย์ๆ รอบนี้กูจะไม่ยอมแล้ว ถ้ามันไม่รับสายอีก จะไล่โทรหาเพื่อนมัน แล้วบุกห้องเลย ยังไงก็ต้องคุยให้รู้เรื่องว่ามันโกธรอะไรหนักหนา ทำกูวุ่นวายใจมาหลายวัน เดินมานั่งที่โซฟา ในหัวเตรียมคำพูดสารพัด ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งแต่คิดว่าต้องใช้ไม้อ่อนง้อๆ มันหน่อย มันคงไม่ใจร้ายกับผมหรอก มั้ง

รอสายอยู่นาน จนเกือบกดวาง

[ฮัลโหล]

สัดดด รับว่ะ

[จะพูดไหม ไม่พูดจะวางละนะ]

"">เดี๋ยว! ”

[……]

"…."

[กูวางนะ]

"ใจเย็นสิโว้ย เตรียมใจแป๊บ เริ่มแล้วนะ"

[มึงเริ่มสักทีเหอะ กูยุ่งอยู่]

เสียงมันเริ่มหงุดหงิด สัด นี่กูกำลังง้อมึงอยู่นะไอ้ฟายย สนใจกูบ้าง จากตั้งใจจะค่อยๆ คุย กลายเป็นผมก็เริ่มมีอารมณ์

"มึงเมินกู! กูโทรหามึงเป็นสิบๆ สาย ส่งข้อความไปก็ตั้งหลายครั้ง อ่านแล้วไม่ตอบคืออะไรไอ้เหี้ย แวะไปหาที่ห้องเรียนก็หลบหน้ากู ไหนจะเมื่อคืนอีก มึงเมินกู จนกูเมาเหมือนหมา ไม่พอใจอะไรก็พูดดิ"

[จบยัง]

"ยัง! อยู่ๆ มึงก็หายไปเลย กูคิดว่าต้องเจอมึงใต้ตึก แต่พี่จูนก็ให้กูย้ายไปทำงานที่ห้องเขาเฉย กูโทรหามึงรอบที่ร้อยมึงก็ยังไม่รับสายกู กูไปถามไอ้โอบมันก็ตอบแต่ไม่รู้ ไอ้ฟาย เป็นเพื่อนกันยังไงวะไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปไหน แล้วการบ้านก็เยอะฉิบหาย แล้วกูแล้วกูก็...โคตรคิดถึงมึงเลย">”

พูดไปจนได้ เล่นเอากูหอบเลย สัดเอ๊ยยย เขินว่ะ

[….]

อย่าเงียบแบบนี้ดิ กูกลัวนะ

[มาเปิดประตู]

“ห๊ะ"

[เปิดประตู กูอยู่หน้าห้องเนี่ย]



ผมรีบหันมองไปหน้าห้อง มันพูดจริงปะวะเท้าก้าวเดินไปเปิดประตู แล้วมันก็อยู่ตรงหน้าผมจริงๆ เงยหน้ามองมันตาโต อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกระดากอายกับสิ่งที่พึ่งพูดออกไป ไอ้ยุยังยืนถือโทรศัพท์แนบหู มองผมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไง”

“มึงมาได้ไง"

“ขับรถมา”

“ไม่ๆ กูหมายถึงมึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อะไรของผมวะ ลนไปหมด มันก็ตอบถูกแล้ว มีแต่กูเนี่ย สติ!

“กูมารอมึงใต้คอนโดตั้งแต่เช้าแล้ว ให้กูเข้าห้องได้ยังครับ”

“อะ เออ ลืม เข้ามาดิ”

ผมหลบให้ร่างสูงเดินผ่านเข้าไป แล้วเดินตามมันไปนั่งที่โซฟา

“สรุปคิดถึงกูสินะ"

“ห้ามโกหก"

รู้ทัน กูไปอี๊กกก

“เออออ มึงโกรธอะไรก็บอกกูดิไม่ใช่เมินใส่กูแบบนี้"

“กูไม่ได้โกรธมึง"

“ไม่โกรธก็เหี้ยแล้ว มึงหายไปเป็นอาทิตย์ มึงรู้มั้ยว่ากูเดินไปหาที่ห้องเรียนมึงตั้งกี่ครั้ง"

“รู้"

“รู้แล้วมึงก็ยังเมินกู มึงมันเหี้ย"

ยิ่งพูดทำไมเสียงผมยิ่งสั่นวะ

ไอ้พายุ ดึงตัวผมเข้าไปนั่งใกล้มัน ผมมองหน้ามัน ด้วยความรู้สึกน้อยใจ มันยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ ปลอบผม

“กูขอโทษ กูแค่อยากให้มึงได้คิดทบทวน"

"กูไม่ชอบ"

"จะไม่ทำแล้ว แล้วที่บอกคิดถึงกูเนี่ยแบบไหนนะ”

“คิดถึงก็คือคิดถึงดิจะแบบไหนก็เหมือนกันมั้ย"

ผมขืนตัวจากออกจากวงแขนมัน จะถามจี้ทำไม กูก็เขินเป็นนะไอ้เหี้ย

“มันไม่เหมือนกัน มึงต้องตอบ เพราะกูบอกความรู้สึกกูไปหมดแล้ว ถ้าแบบเพื่อนกูจะได้เว้นระยะ" คำพูดของมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า เหตุการณ์มันคุ้นๆ จังนะ ผมไล่สายตามองใบหน้ามัน สบตามัน ไฝใต้ตาเม็ดเล็กนั่นยิ่งทำให้มันดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด

“กูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอมึงหายไป กูโคตรไม่ชอบเลย กูคิดถึงเสียงกวนๆ ของมึง คิดถึงหน้ามึง ชอบเวลาที่มึงคอยดูแลกู ถ้านี่คือคำตอบที่มึงอยากฟัง กูจะพูดครั้งเดียวนะ”

“….”

“กูว่า...กูคงชอบมึงแล้วว่ะ"

ตั้งแต่มันหนีหน้า ผมก็คิดมาตลอดระหว่างความรู้สึกและความเหมาะสม ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่างเรามันจะดีมั้ย ผมรู้ว่าเราทั้งคู่เป็นผู้ชาย แต่ไอ้พายุ ก็เข้ามาหาผมในจังหวะที่ผมกำลังต้องการใครสักคน ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับมันมากขึ้นทุกวันๆ ผมมองดูปฎิกิริยาคนตรงหน้า มันยังคงนั่งนิ่งใบหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆ ยกยิ้มกว้าง และผมก็ส่งยิ้มตอบกลับไป ครั้งนี้ผมไม่ต้องเรียกชื่อมันในใจ หลายๆ ครั้งอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ เวลานี้ เรากำลังส่งยิ้มกว้างให้กัน



“เมื่อคืนมึงโคตรดื้อ”

เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ หลังจากได้คุยกัน ไอ้พายุก็ยังคงสิงสถิตอยู่ในห้องผม เราโทรสั่งอาหารเข้ามากินกันที่ห้อง เพราะขี้เกียจออกไปเผชิญอากาศอบอ้าวข้างนอก แล้วมันก็เปิดประเด็นเมื่อคืนขึ้นมา

“ยังไง”

“รู้ไว้แค่ว่า มึงห้ามไปกินเหล้าโดยไม่มีกูไปด้วยอีก”

“บ้าบอ”

“กูพูดจริง แล้วเมื่อคืนไปนอนห้องไอ้นนนเหรอ”

“อือ” ผมตอบมันแล้วตักข้าวเข้าปาก

“ไอ้นนนมันดูชอบมึงนะ”

"แค่ก แค่ก"

สำลักเลยกู ข้าวเกือบพุ่ง มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“มึงรู้สินะ ว่ามันคิดยังไง”

“ไม่รู้”

เลี่ยงสายตามัน ก้มลงตักข้าวเข้าปากต่อ ไม่รู้จะกลัวมันทำไมเหมือนกัน เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้น ผมเงยหน้ามอง คนตัวสูงลุกเดินไปในครัว โว้ยยย ขี้งอนฉิบหาย ลุกเดินตามมันไป เข้าไปยืนข้างๆ ไอ้พายุที่ยืนรินน้ำใส่แก้วอยู่

“เป็นอะไร”

“มึงกลับไปกินข้าวเหอะ กูแค่มาเอาน้ำให้”

“งอนกูเหรอ”

“….”

“ไหนบอกกูสิอาการมันยังไง หืม"

“มึงแม่ง"

มันหันตัวมาเผชิญหน้ากับผม หน้ามุ่ย

“สรุปมึงรู้ใช่มั้ยว่าไอ้นนนมันคิดเกินเพื่อน"

“อ่า"

“หงุดหงิดว่ะ”

“เอ้า ใจเย็นดิ กูก็พึ่งรู้เมื่อคืน แล้วกูก็บอกมันแล้วด้วยว่ากูชอบมึงเนี่ย ทำไมชอบให้กูพูดอะไรแบบนี้นัก"

เห็นนะ ว่าแอบยิ้ม มันยืนมองผมนิ่ง ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาคว้าผมเข้าไปใกล้ แล้วริมฝีปากมันก็กดลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากผมสองสามที ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด เล่นกูทีเผลอตลอดดด สัดเอ๊ยยย ใจกู ผมยกแขน ลูบหลังปลอบมัน สีสันชีวิตโคตรๆ เกิดมาพึ่งเคยมายืนง้อผู้ชายตัวเท่าควาย

“หายยัง”

“ยัง คืนนี้ขอนอนนี่นะ” ผมขืนตัวออกมามองมัน

“อะไร เนียนเลยนะ เมื่อกี้ก็ทีหนึ่งจูบกูทีเผลอ”

“อดไม่ไหวว่ะ เมื่อกี้แค่จุ๊บเอง จูบอะแบบนี้"

“พอเลยยยย กลับบ้านไป” ผมดันหน้ามันออก กูจะรอดมือมันมั้ยวะ

“นะ ขับกลับดึกๆ มันอันตราย”

“เอาไรมาดึก นี่พึ่งห้าโมง”

“บ้านกูไกล”

“อ้างไปเรื่อยนะมึงอะ”

“นะ”

“เออๆ”

ทำไมนะ เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าไอ้พายุแม่ง...น่ารัก



ขอถอนคำพูดที่ชมมันเมื่อกี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกมั้ยที่ยอมให้มันนอนค้างที่ห้อง ผมเดินออกจากห้องน้ำมาก็เจอร่างควายๆ ของมันที่ยังอยู่ในชุดเดิม นอนกดมือถือกระดิกตีนอยู่บนเตียงผมอย่างสบายใจ

“ที่ให้มึงค้างกูหมายถึงให้มึงนอนห้องแขก"

“รู้แล้ว เดี๋ยวกูไปมานั่งนี่ดิ"

แล้วมันก็ตบที่เตียงเรียก ผมเดินเข้าไปสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มข้างๆ มัน ไอ้พายุขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วยื่นโทรศัพท์ให้อยู่ในระยะสายตาเราทั้งคู่

ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือ ผู้ชายสูงอายุใส่แค่กางเกงสีดำ ยืนหันหลัง และเคลื่อนไหวตัวไปมา เหมือนเขาจะสวมแว่นว่ายน้ำ ในมือทั้งสองข้างสวมนวมที่พันฟองน้ำ ก่อนที่เขาจะจุ่มลงไปในถังสี และเริ่มต่อยกำแพงสีขาว เสียงที่ดังปั๊กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสีดำที่ถูกแต่งแต้มลงไป เสียงดนตรีที่ดังประกอบดึงดูดผมไม่ให้ละสายตา

“ดูอะไรวะ"

“DocumentaryของUshio Shinohara กับภรรยา"

“มึงชอบงานเขาเหรอ"

“ไม่รู้ดิ กูก็พึ่งรู้จัก จารย์ให้ดู”

“อ่อ”

แล้วเราก็เงียบ จดจ่อซึมซับกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า มันคือเรื่องราวของสามีและภรรยาที่เป็นศิลปินทั้งคู่ ฝ่ายสามีที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงโดยเทคนิคboxing painting และภรรยาที่ผลงานยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เปรียบเหมือนกับดอกไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ได้เปล่งประกายสักที จนกระทั่งในที่สุดเธอก็มีชื่อเสียงเทียบเท่าสามี ผมแอบเห็นความหวั่นวิตกในสายตาของสามี เขากลัวเมียตัวเองดังกว่า มันดูซื่อตรงมากแม้ว่าเขาจะรับรู้ว่ากำลังโดนถ่ายทำอยู่ก็ตาม เรื่องราวความรักและชีวิตของทั้งคู่และการทำงานมันดูน่าสนใจจนผมละสายตาไม่ได้เลย ความสุขทุกข์ ความสับสนวุ่นวายในชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ด้วยกัน มันคือความรักในแบบที่ผมชอบ ไม่เพอร์เฟ็กต์แต่สุดท้ายก็ยังคงดูแลกัน เต้นรำ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันจนแก่

‘Did Cuties hates Bullies?’

‘No Cuties loves Bullies so much.’

เสียงสัมภาษณ์ช่วงท้าย และรอบยิ้มของทั้งคู่ ทำให้ผมยิ้มตาม

“ดีเนอะ” เสียงเรียบๆ ดังข้างๆ

“อืม”









เมื่อคืนไม่รู้ผมเผลอหลับไปตอนไหน เสียงนาฬิกาปลุกดังปลุกผมให้ลืมตาตื่นมาเจอใบหน้าคมที่นอนอยู่ข้างกัน ก้มมองแขนหนักๆ ที่พาดอยู่บนตัว ผลักแขนมันออกแรงๆ จนมันส่งเสียงครางพลางขมวดคิ้ว ผมมองมันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ ของผมดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้ามัน แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้ผมมีเรียนบ่าย ส่วนไอ้พายุ มันบอกจารย์ยกคลาส พอเดินกลับออกมาก็เห็นมันลุกขึ้นมานั่งยิ้มกริ่มมองตามร่างผมที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

“ขาวจัง"

“ไอ้สัด"

“ด่ากูทำไมครับ

“ด่าเรื่องที่มึงมานอนเบียดกูด้วยไง เห็นกูหลับแล้วตีเนียนเลยนะ"

"เตียงมึงก็ออกจะใหญ่ ทำหวง แล้ววันนี้เลิกกี่โมง”

“เลิกเรียน4แต่กูต้องอยู่เย็บชุดที่ตึกต่อ”

“โอเค”

แล้วมันก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ผมยืนเป่าผม รอผมแห้ง ไม่นานมันก็เดินกลับออกมา เข้ามาดึงไดร์ไปเป่าให้

“เดี๋ยวกูไปส่งนะ”

“อืม”

“ตัวมึงหอมจัง”

เสียงมันดังแผ่วเบาอยู่ข้างใบหู จนผมขนลุกซู่ ปากแม่งเริ่มอยู่ไม่สุขมันวนเวียนอยู่ที่ซอกคอผม ก่อนจะขบกัดเบาๆจนผมหลุดเสียงน่าเกลียด ฮือออ มันจะเล่นกูแล้วว

“อื้อ พอเลย”

ผมดึงไดร์กลับมาเป่าเองแล้วผลักมันออก มือไวปากไวฉิบหาย มองไอ้พยุที่ลงไปนั่งที่ขอบเตียง ยิ้มกรุ้มกริ่มมองผม มึต้องใจเย็นไอ้สัด พอกูยอมหน่อยละเล่นกูบ่อยเลยนะ







พายุขับรถมาส่งผมที่มอ แล้วก็แยกกลับบ้าน ก่อนไปยังไม่วายย้ำว่าให้รอ มันจะมารับ แม้ผมจะบอกว่าอาจจะไปกินข้าวกับเพื่อนต่อก็ตาม ผมเดินมาถึงห้องเรียน ตรงไปที่โต๊ะที่พวกพิมนั่งกันอยู่

“ไงมึง"พิมหันมาถามผมแล้วชะโงกตัวมองไปด้านหลัง

“หาไรวะ"

“หาพายุ สายข่าวกูรายงานมาว่าเจอมึงลงมาจากรถมัน"

“ดีกันแล้วเหรอ งอนกัน เหมือนผัวเมีย"ไอ้โทนี่เสริม

“ผัวเมียพ่อมึงดิ แล้วสายมึงนี่ใคร"

“ไม่บอก แต่สายกูเชื่อใจได้แระกัน"

"คบกันแล้วเหรอ"

ทั้งโต๊ะเงียบทันทีที่เสียงเรียบๆ ของไอ้นนนดังขึ้น

“ยังหรอกแต่ก็คุยๆ กันอยู่ๆ "

“ง่อววว โดนหญิงหลอกครั้งเดียว เพื่อนกูจะมีผัวเฉย"

“บ้าบอ กูเนี่ยผัวมัน”

"แล้วคอเป็นไร"                 

"อะไร"

ยกมือขึ้นกุมคอตัวเอง

"เห็นรอยแดงๆ โดนพายุกัดคอมารึไง"

"...."

"เชี่ยยย แค่นี้ก็รู้แล้วมึงเป็นเมียชัดๆ"   

"สัด มันเล่นกูทีเผลอเว้ย กูบอกว่ากูไม่ใช่เมียไง!"

“ฮ่าๆ กูจะรอดู"

“โทนี่!เลิกยุ่งกับคอกู จริงจังนะ พวกมึง...แบบไม่แปลกใจหรือห้ามกูหน่อยเหรอวะ”

“โอ๊ย ห้ามทำไมคนจะได้กัน กูห้ามกูก็ขึ้นคานดิ อย่างมึงอะเหมาะกับให้คนดูแล มึงดูแลคนอื่นไม่ได้หลอก กูเห็นตอนมึงคบกับนานะกูยังคิดเลยว่ามึงเหมือนเพื่อนกัน แฟนบ้าไรรู้เรื่องรองพื้น”

“เวลาซื้อเสื้อผ้ามึงก็ไม่ได้ไปรอเขานะ เขาเนี่ยรอมึง" ไอ้โทนี่เสริม



“ไม่ดีอ่อ เวลามึงหน้าเทา กูก็เตือนมึงได้ ช่วยเลือกลิปก็ได้ แต่งหน้าทำผมให้งี้”

“ดีกับผี บางทีผู้หญิงก็ไม่ได้อยากได้คนที่รู้ไปหมดในเรื่องแบบนั้นปะ เอาตรงๆ คือมึงอะให้ความรู้สึกแบบเป็นเพื่อนมากกว่าจะเป็นผัวจบนะ”

“สัด”

“แล้วมึงก็ไม่ต้องคิดมาก พวกกูพอจะดูออกตั้งนานแล้วว่ามึงเคลิ้ม ชอบก็จัดเลยเพื่อน”

ผมฟังไอ้พิมพูด มองโทนี่ที่พยักหน้าเห็นด้วย แล้วมองไปที่ไอ้นนน ที่ส่งยิ้มบางๆ ให้

“ขอบคุณนะเว้ย”

“เออ แต่ถ้ารู้แล้วว่าใครผัวใครเมียมาบอกกูด้วยนะ”

“ถ้ามึงเป็นเมียปรึกษากูได้เรื่องนี้กูถนัด”

สัด พวกเวร







หลังจากจารย์ปล่อยพวกผมก็ยังคงอยู่ที่ห้องเรียนเย็บงานกันต่อ เพราะมีส่งพรุ่งนี้เช้า ถามว่าทำไมกลับไปเย็บที่บ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะที่ห้องผมไม่มีจักรอุตสาหกรรม แล้วจารย์ก็ไม่ให้ใช้จักรหิ้วเย็บด้วย เราเลยต้องอยู่เย็บกันที่มอ พวกผมนั่งประจำกันอยู่ที่จักรคนละตัว ลุกเดินมาตัดผ้า รีดผ้ากาวแล้วกลับไปประจำที่จักร เป็นแบบนี้วนไป

“มึง ใครเอากรรไกรตัดผ้ากูไป เอามาคืนด้วยเว้ยย"

“อยู่นี่ๆ "

“พิวว จักรพ้งเป็นอะไรทำไมกูเหยียบไม่ไปว่ะ"

“ก็มึงไม่ได้เสียบปลั๊กไอ้ควาย! "

“เสร็จแล้วโว้ยย”

“มาช่วยกู”



ผมยังคงทำงานท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ที่ดังไม่หยุด ก้มหน้ารีดผ้ากาวงกๆ หันกลับมา ในห้องจากที่อยู่กันเป็นสิบคนก็เหลือกันไม่กี่คน ไฟนีออนสว่างจ้า ฟ้าด้านนอกมืดสนิท

“เสร็จแล้ววว"

เสียงไอ้พิมดัง พร้อมชูผลงานขึ้นมาตรงหน้า

“อีพิมมม ช่วยกูเย็บเข้าวงแขนหน่อยดิ กูเลาะหลายรอบแล้ววว"

ผมมองไอ้พิมที่เดินเข้าไปนั่งหลังจักรแทนโทนี่ แล้วเริ่มถีบจักรเข้าวงแขน ผมเดินกลับมาประจำที่จักรตัวเองและเริ่มเย็บเข้าวงแขนบ้าง



กริ๊งๆ



“เสียงไรวะ"พวกผมหันไปมองหาเสียงพร้อมกัน แต่เพราะงานที่ไฟลนก้นมากทุกคนก็หันกลับมาทำงานตัวเองต่ออย่างไม่ใส่ใจ แขนเสื้อเสร็จแล้ว ผมเหลือแค่เย็บปก เข้าคอแล้วพ้งก็เสร็จ จะได้กลับสักที โคตรหิวข้าวเลย



กริ๊งๆ



เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีใคร ให้ความสนใจ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานตัวเอง ไม่นานผมก็ทำเสร็จพร้อมๆ กับเพื่อนที่เหลือ เราเริ่มเก็บของ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างรอเพื่อน แล้วก็ต้องตกใจกับเวลาบนหน้าจอ สองทุ่มแล้ว ไม่เคยอยู่ตึกดึกขนาดนี้เลย ที่ตกใจมากกว่าคือสายที่ไม่ได้รับ รีบกดโทร หามัน รอสายไม่นานไอ้พายุก็รับสาย

"มึงโทษๆ กูปิดเสียง เลยไม่ได้ยิน"

[นี่อยู่ไหน]

"ห้องเรียน พึ่งทำงานเสร็จ เดี๋ยวจะกลับแล้ว"

[โอเค รอกูข้างล่าง]

"มึงอยู่ไหน"

[อยู่บนรถ กำลังขับไปหามึง อีกสิบนาทีถึง]

"อ่อๆ โอเค แค่นี้ก่อนนะ จะลงแล้ว"

ผมบอกมันแล้ววางสายเมื่อเห็นว่า เพื่อนเริ่มเดินกันไปหน้าประตูพอเดินพ้นประตูออกมาเท่านั้นแหละพวกผมก็ผงะ ฉิบหาย มืดสนิทเหมือนอนาคตกูเลย

"นนน อย่าพึ่งปิดไฟ! "

เสียงไอ้พิมพ์ร้องดัง ไอ้นนนชะโงกหน้าออกมามองทางเดินที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากห้องเรียนที่เราออกมาเท่านั้นที่ส่องให้เห็นทางรำไร พวกผมจัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดไฟฉาย พอไอ้นนนเห็นว่าเราเตรียมตัวกันพร้อมมันก็เดินกลับเข้าห้องไปปิดไฟ

“ทำไมเขาปิดไฟมืดขนาดนี้วะ"

“มึงกูกลัวผี"

“มึงอย่าพูด! ”

หันไปบอกพวกมัน บรรยากาศแบบนี้ใครเขาพูดเรื่องผีกัน ผมมองหุ่นที่ยืนเรียงกันอยู่ระหว่างทางเดิน ชวนขนลุก เราพากันเดินไปที่ลิฟต์แล้วก็ต้องตกใจรอบสอง ลิฟต์ไม่ทำงาน ก่อนปิดตึกเขาไม่ตรวจดูหน่อยเหรอ ว่ายังมีคนค้างอยู่

“ลงบันไดเหอะ หวังว่าเขาจะไม่ปิดลูกกรงบันได" ไอ้นนนพูดแล้วเดินนำพวกเรา ไปทางบันได เราเดินกันลงมาจากชั้นเก้า มีเพียงแสงไฟจากมือถือส่องนำทาง บรรยากาศดูวังเวง เงียบเชียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเราดังสะท้อน จนน่าขนลุกยิ่งพอคิดถึงเรื่องเล่าประจำคณะก็พาเอาขนลุกซู่ เราเดินเกาะกลุ่มกันลงมา ในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นล่าง ที่ไร้ผู้คน แม้แต่พี่ยามก็ยังไม่นั่งอยู่ในที่ประจำ แสงไฟนอกตึกที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามา ทำให้ผมโล่งใจ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกัน รอดแล้ว พากันเดินไปที่ประตูผมผลักเปิดแต่ประตูกลับไม่ขยับ เวร ปิดตึกของจริง

“ใครมีเบอร์ไอ้มิวมั้ยมันลงมาก่อนเรามันอาจจะยังออกไปไม่ไกลมาก โทรให้มันตามใครมาช่วยหน่อย"

“กูโทรเอง" ระหว่างที่รอโทนี่โทรหามิว โทรศัพท์ผมก็ดัง ผมรีบกดรับสายไอ้พายุทันที

“มึงกูลงมาแล้วแต่ประตูล๊อคจากข้างนอกอ่ะกูออกไปไม่ได้"                             รีบพูดตื่นๆ บรรยากาศในตึกกำลังทำผมสติแตก

[ใจเย็นๆ กูรู้แล้ว กูอยู่กับลุงกฤตแล้ว เขามาขี่จักรยานรอพวกมึง]

“ห๊ะ ใครนะ"

[ลุงกฤต ยามใต้ตึกเราอะ เขาบอกเขากดกริ่งเตือนให้มึงออกจากตึกสองครั้งแล้ว แต่พวกมึงไม่สนใจเขาเลยออกมาขี่จักรยานรอพวกมึง]

“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ"

[ใจเย็นๆ นั่งรอแป๊บหนึ่ง แกขอปั่นรอบสนามอีกรอบแล้วจะไปเปิดตึกให้]

“ครึ่งรอบไม่ได้เหรอวะ”

[บอกไม่ทันว่ะ ลูงแกปั่นไปแล้ว]

"ทำไมลุงทำงี้ว้า ปิดไฟทั้งตึกเลยนะมึง ลิฟต์ยังปิด ตอนเดินลงมาโคตรน่ากลัว"

[อย่าพึ่งงอแง มึงผิดเองนะที่ทำงานไม่ดูเวลา ลุงเขาก็แค่ทำหน้าที่เขา]

"ก็งานมันเร่ง กูก็รีบสุดๆ แล้วใครจะรู้ว่าไอ้เสียงออดนั่นคือเสียงเตือน"

[งานนี้ส่งเมื่อไหร่]

“พรุ่งนี้ กูถึงรีบทำไง"

[อ่าห๊ะ แล้วจารย์สั่งงานนี้มาตอนไหน]

“….” เงียบเลยกู จาร์ยสั่งมาอาทิตย์ที่แล้ว

[กูกำลังเดินไปที่ตึกแล้ว นั่งรอก่อน]

“อือ”

ผมกดวางสายจากไอ้พายุ โดนมันสอนไปหนึ่งดอก เล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก

“คุยกับพายุเหรอ" พิมหันมาถามผม

“อืม”

“พายุว่าไง”

“มันบอกลุงยามเห็นเรายังทำงานก็เลยไปปั่นจักรยานรอ”

“ห๊ะ จริงปะเนี่ย"

“ระหว่างลงมากูคิดแต่เรื่องพี่คนนั้น"

“สัดอย่าพูด"

ผมนั่งฟังพวกมันเถียงกันได้ไม่นาน เราก็เห็นร่างไอ้พายุเดินเข้ามาหน้าประตูข้างกายมีลุงที่อยู่ในชุดวอร์ม พวกผมลุกเดินไปยืนรอหน้าประตู พอออกมาได้ ก็ยกมือไหว้ลุงแกที่ยืนส่งยิ้มให้

“เป็นไง งานเสร็จมั้ย เห็นขยันกันมากนึกว่าอยากนอนนี่"

“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้อีกรอบ

“ไม่เป็นไรๆ ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ/ค่า"

“ขอบคุณนะลุง"ผมมองไอ้พายุที่ยกมือไหว้ ลุงแกก็ตบบ่ามันเบาๆ ตอบ อย่างคุ้นเคยก่อนมันจะหันกลับมาแล้วฉวยกระเป๋าใบใหญ่สุดในมือผมไปถือให้

“เป็นไง ทัวร์ตึกตอนกลางคืน สนุกปะ”

“สนุกบ้านมึงดิ”

มันยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“เมื่อกี้ที่มึงขอโทษลุงอะถูกแล้ว"

“ชอบทำเหมือนกูเป็นเด็กจังวะ ไม่ตบตูดกูด้วยเลยละ”

แล้วมันก็ตบตูดผมสองสามที อยากดูดนมนอนเลยกู

“อีภพ พวกกูจะไปแดกข้าวต่อ มึงจะไปด้วยมั้ย”

เสียงไอ้โทนี่ถาม ผมหันไปมองเพื่อนที่หยุดยืนห่างออกไป แล้วหันมามองหน้าไอ้ยุเป็นเชิงถาม มันพยักหน้าเป็นอันตกลงว่ามันไปด้วย

“ไป ร้านไหน”

“หน้ามอเนี่ย ที่รักจะไปก็ตามมาจ้า”

“เออๆ”

“แล้วเย็บชุดเสร็จมั้ย” ไอ้พายุถาม สองเท้าก้าวเดินไปพร้อมๆ ผม

“เสร็จ ยากฉิบหายแต่กูเก่ง”

“หรออ” ขยี้หัวกูอีกแล้ว

“พอ ผมกูยุ่งหมด”

มือล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดกล้องหน้าจับผมตัวเอง ไอ้พายุมันก็ช่วยนะ ช่วยทำให้ยุ่งกว่าเดิมเนี่ยยย





ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายเหลือแค่ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ หน้ามอที่ยังเปิดอยู่

“พวกมึงเอาไรกูจะจด” ไอ้พิมรับหน้าที่จดเมนู แต่ละคนก็นั่งเลือกกันส่วนผมมีในใจแล้ว

“ภพมึงเอากะเพราหมูกรอบใช่มั้ย/ของมึงกะเพราหมูกรอบปะ” ผมมองไอ้พายุสลับกับไอ้นนน ที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองหน้ากันนิ่ง เอิ่มมม มึงสามัคคีกันทำไม

“เอ่อ พิมกูเอาหมูกรอบผัดพริกแกง วันนี้อยากกินถั่วฝักยาววะ” หันไปบอกไอ้พิมแล้วส่งยิ้มแหย่ให้ไอ้พายุกับไอ้นนนเป็นการตัดบท

“สองคนเลิกจ้องจะกัดกันแล้วสั่งมา เอาอะไร”

เสียงไอ้พิมช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ตรงหน้าไปได้ ผมว่าถ้ามันสองคนมาเจอกันบ่อยๆ ผมคงต้องอยู่สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ไปอีกพักใหญ่







เขาใจตรงกันแล้วนะแม่
มาอ่านตอนเก่าๆเห็นว่ามีหลายคำที่พิมพ์ผิด จะค่อยๆปรับปรุงแก้ไขคำให้ถูกต้องมากขึ้นนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2020 19:51:10 โดย tantiya »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
#



“พรุ่งนี้ไปไหน" ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โทรศัพท์ ถามคนอีกฟาก มือก็เริ่มเก็บของบนโต๊ะไปด้วย

“มีนัดคุยงานกับพวกพี่เฟียต ที่ห้องสมุด มึงจะมามั้ย"

“กี่โมง"

“พี่มันนัดสิบเอ็ด แต่คงอยู่ถึงค่ำๆ เลยถ้าปิดงานไม่ได้”

“ไม่ไปนะ ขี้เกียจหอบงานออกไป"

“เออๆ แต่ถ้าจะมาบอกแล้วกัน"

ช่วงนี้ผมกับไอ้พายุไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ มันงานเยอะ ผมก็พึ่งรู้ว่ามันรับงานนอกอยู่หลายชิ้น ไม่รู้มันแบ่งเวลายังไง เก่งจัด ก่อนหน้านี้ถึงยังมีเวลามาไล่ตามผม เห็นมันเล่าว่าตอนแรกก็แค่ไปช่วยพี่เฟียตนิดๆ หน่อยๆ แต่งานดันเข้าตาลูกค้าเข้า พี่เฟียตเลยดึงมันลงไปช่วยงานเติมตัว ส่วนผมก็ยังคงลอยไปลอยมางานนอกเหรอไม่มีโอกาสได้แอ้ม แค่การบ้านยังแทบเอาตัวไม่รอด

“เค มึงกูจะวางแล้วนะ จะไปอาบน้ำ"

“เปิดจอ กูอยากซี๊ดดด"

“ซี๊ด พ่อง"

“ฮ่าๆ กูแกล้งเล่นหน่า"

“มึงพูดจริง"

“กูแกล้งมึงจริงๆ แต่ถ้ามึงบ้าจี้ทำก็เป็นกำไร"

“ทะลึ่งฉิบหาย"

“ก็แค่กับมึง"

“เออๆ แค่นี้"

ผมเข้าไปอาบน้ำ เดินกลับออกมาคว้าเอาโทรศัพท์มาไถที่ปลายเตียง มือก็ยกผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกไปด้วย กดเข้าไอจี ไถดูรูปไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดที่ภาพของพี่เฟียต มองดูเวลาพึ่งลงเมื่อสิบนาทีที่แล้ว รูปที่ผมเห็นคือพี่มันยืนอยู่ตรงกลางกอดคอไอ้พายุที่ยืนขนาบอยู่ข้างซ้าย ส่วนข้างขวาเป็นผู้หญิงผิวขาวหน้าตาสวย ที่ส่งยิ้มมองไปทางไอ้พายุ ผมขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้า ก่อนเลื่อนไปอ่านคอมเม้นท์ใต้รูป



GuFiattt: มองข้ามกูขนาดนี้ เอากลับไปกินที่บ้านเหอะเจ๊

WhiteMilk_kiki: น้องพายุของเจ๊ น่ารักน่ากัด

GuFiattt: @paayu มึงว่าไง สนองเจ๊มันหน่อยมั้ย







ผมไล่สายตาอ่านข้อความใต้รูปแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม นี่รูปตอนไหน เมื่อกี้ตอนโทรคุยรอบตัวมันก็ดูเงียบปกตินะ แล้วเจ๊นี่คือใครวะ ผมยังคงมองหน้าจอ คงแซวเล่นเฉยๆ มั้ง รอให้พายุมาตอบ แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ โยนบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน



Rrrrr~


โทรมาได้จังหวะเหมือนรู้เลยนะว่ามีประเด็น

“ว่าไง”

[มึงเห็นที่พี่เฟียตโพสต์ใช่มั้ย]

“ไม่หนิ”

[โกหก มึงกดไลค์รูปพี่มันอยู่] เวร มือคงเผลอกดโดน

“อ่า”

[นั่นนะเจ๊มิลค์ เพื่อนที่ทำงานพี่เฟียตมัน พี่มันชอบแซวกันเล่นๆ แบบนี้แหละ]

“ร้อนตัวจังนะมึง”

[เออ แต่มันไม่มีไรจริงๆ]

“รู้แล้ว กูก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิ แล้วนี่มึงอยู่ไหน”

[อยู่บ้านดิ เนี่ยไอ้คินก็อยู่ด้วย] แล้วมันก็กดเปิดกล้อง ผมเห็นมันที่สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ หันกล้องไปรอบๆห้องนอน ก่อนมาหยุดที่หน้าไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้คินพยักพเยิดทักทาย

“แค่พูดก็ได้มั้ง”

[กลัวมึงไม่เชื่อ]

“กูไม่งี่เง่าขนาดนั้นมั้ย"

[ครับๆ เปิดกล้องมึงบ้างดิ อยากเห็นหน้า]

“แปปเดียวนะ จะนอนแล้ว” ว่าจบผมก็กดเปิดกล้อง “แล้วนี่ พวกเซตทำอะไรกัน”

ไอ้คินโผล่หน้าเข้ามา ชูขวดสีเขียวๆ ขึ้นให้เห็น

“ระวังตับพวกมึงจะแข็งก่อนเรียนจบ”

[ตับพวกกูอะไม่แข็งหรอกจ้า แต่อย่างอื่นอะไม่แน่]

 เสียงไอ้คินดังแทรกเข้ามา ผมมองหน้าไอ้พายุที่ยกยิ้มมุมปาก ยักคิ้วกวนๆมาให้

[เออ อย่างอื่นนี่แข็งตลอด]

“พวกเหี้ย”

[รู้เหรอว่าคืออะไร]

"กูไม่รู้เลยมั้งกูก็มี"

[กูหมายถึงน้ำแข็งนะ]

[เออหมายถึงน้ำแข็ง วู้ววไอ้ภพมึงคิดไปถึงไหน]

ถ้าเจอมันขอถีบไอ้คินสักทีเหอะ กวนตีน

"เออๆ แล้วแต่พวกมึงเหอะ”

[คิดทะลึ่งนะเรา]

ผมไม่ตอบไอ้ยุ แต่หันไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแทน ขยับตัวปรับท่านอนให้สบาย คว้าหนังสือหัวเตียงมาช่วยดันโทรศัพท์ไว้ มองไอ้พายุที่หันไปคุยกับไอ้คินบ้าง ชวนผมคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้บ้าง ไม่นานเสียงไอ้คินก็ดังแทรกเข้ามาอีก

[ไอ้ยุเลิกงุ้งงิ้งกับไอ้ภพแล้วมาเล่นเกมได้แล้วสัด ทั้งทีมรอมึงคนเดียวเนี่ย]

“มึงไปเล่นเกมกับเพื่อนเหอะกูง่วงแล้ว”

[เคๆ พรุ่งนี้ถ้ามา โทรหากูนะ]

“อืม ขอบคุณนะมึง”

[อะไร]

“เรื่องรูป”

[อืม ฝันดี]

“ฝันดี”







หลังวางสายไปได้ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กหาผมก็ดัง ผมกดเข้าไปดูว่าใครแท็กอะไรมา หน้าจอปรากฏภาพที่พี่เฟียตโพสต์รูปเดิม และข้อความที่ขึ้นมาใหม่



GuFiattt91: @paayuมึงว่าไง สนองเจ๊มันหน่อยมั้ย

AKin: มันไม่ว่างตอบหรอกพี่ นั่งง้อเมียอยู่

WhiteMilk_kiki: น้องพายุมีแฟนแล้วเหรอ ไม่จริงใช่มั้ย!

Paayu: พวกพี่พอเลย คนที่ผมจะให้กัดได้มีแค่คนเดียว คนนี้ @Ekkapop






จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าวันนี้ผมจะอยู่ทำงานที่ห้องคนเดียว ตอนนี้ผมกำลังนั่งเซตผมอยู่หน้ากระจก เพราะวันนี้มีภารกิจเร่งด่วนเข้ามา เมื่อเช้าตอนตื่นมาผมได้รับแจ้งเตือนจากแบรนด์ที่ผมติดตามอยู่ ว่าวันนี้จะเปิดขายคอลเลคชั่นใหม่วันแรก คราวที่แล้วชะล่าใจ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่พลาด หยิบลิปบาล์มมาทาให้ปากไม่แห้ง เดินรอบห้องเอาของใส่กระเป๋า สมุดสเก็ตช์ สี กระเป๋าสตางค์ สายชาร์ต โอเคครบ ตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปที่ห้องสมุดออกแบบนั่งทำงานรอเพราะเขาเริ่มเปิดให้ซื้อตอนหกโมง ต้องโทรบอกไอ้พายุปะวะ ไม่ต้องหรอกมั้ง ยังไงก็คงเจอกันอยู่แล้ว ห้องสมุดก็ไม่ได้ใหญ่ ไปถึงค่อยเดินหามันเอาแล้วกัน

ผมออกจากห้องใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงห้างใจกลางเมือง ตรงขึ้นไปชั้นบนสุดที่เป็นที่ตั้งของห้องสมุดก่อนเป็นที่แรก ส่วนช๊อปแบรนด์ก็อยู่ถัดลงไปสามชั้น ผมติ๊ดบัตรเดินเข้าไปตามทางเดิน ที่ผนังข้างหนึ่งเรียงรายไปด้วยหนังสือศิลปะ สายตามองหา ไอ้พายุตามโต๊ะที่เรียงราย มันคงอยู่ห้องมีตติ้ง คิดได้ผมก็ก้าวเดินตรงเข้าไปด้านในสุด ที่มีห้องกระจกทรงกลมอยู่ นั่น มันนั่งหน้าเครียดอยู่นั่น นอกจากไอ้พายุและพี่เฟียตผมก็เห็นไอ้คินนั่งอยู่ด้วย มีผู้หญิงแต่งตัวเท่ ที่ผมไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ข้างไอ้พายุ ท่าทางเครียดกันน่าดูไม่เข้าไปรบกวนดีกว่า หันหลังกลับ สายตาสอดส่องมองหาที่นั่งที่ว่างอยู่ และก็ได้ที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องมีตติ้งกดตั้งเวลาเตือนไม่ลืมที่จะกดปิดเสียงแล้วเปิดโหมดสั่นแทน

ล้วงหยิบสมุดสเก็ตที่ทำค้างไว้เมื่อคืน ขึ้นมาลงสีต่อ ผมนั่งทำงานจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง มือคว้าโทรศัพท์มาเล่นผ่อนคลาย พลางคิดถึงไอ้คนตัวสูง ไม่รู้ไอ้พายุมันได้ออกมากินอะไรบ้างยัง เงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องกระจกอย่างเป็นห่วง แต่ภาพตรงหน้าทำผมคิ้วขมวด

ผู้หญิงที่นั่งข้างไอ้ยุก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยผู้หญิงผิวขาวหน้าตาดีที่ซบไหล่หัวเราะออเซาะไอ้พายุอยู่ มันก็นั่งเฉยปล่อยเขาเบียดอยู่ได้ ฟินเลยดิมึงนมถูแขนขนาดนั้น พอเพ่งมองดีๆ หน้าตาเขาดูคุ้นๆ นะ คนเดียวกับรูปเมื่อคืนปะวะ ผมนึกย้อนถึงรูปเมื่อคืน ผมว่าใช่ หน้าสวย ผิวขาว ชื่ออะไรนะ เจ๊มิลค์ มิลค์สมชื่อขาวสว่างมาก ไม่รู้ทำไม ถึงไอ้พายุจะบอกว่าพวกพี่มันแซวเล่นกันเฉยๆ แต่ผมก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ผมยังคงมองไปทางห้องกระจก ดูเจ๊มิลค์ออเซาะไอ้พายุ ไม่ไหวว่ะ ไม่ชอบ หันไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์แล้วลุกเดินออกมา ไปเดินเล่นให้ใจร่มๆ หน่อยคงดี ผมไม่อยากทำตัวงี่เง่า และมันก็ทำงานอยู่ด้วย แต่ทำงานเหี้ยไรวะแทบจะนั่งตักกันแล้วนะ ลุกเดินออกมาจนถึงทางออก กำลังจะยกบัตรติ๊ดออก มือก็ถูกคว้าไว้ก่อน ผมหันไปตามแรง เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้า

“จะไปไหน”

มันพูดเสียงเบา รู้เหรอว่ากูมา ถึงยังงั้นก็ยังนั่งออเซาะกับเจ๊มันอะนะ ผมไม่ได้ตอบแต่เลือกจะบิดข้อมือออก แล้วหันหนี มือหนาเอื้อมมาดึงผมอีกครั้งก่อนจะดึงตัวผมหลบออกมาพ้นทาง ไม่ให้เกะกะคนที่จะออก

“ปล่อย”

“เป็นอะไร"

“ไม่ได้เป็นไร" เมินหน้ามองไปทางอื่นหนีสายตาคมที่จ้องมองมา เกลียดมันว่ะ แต่เกลียดความงี่เง่าของตัวเองมากกว่าสัดเอ้ย แล้วเราก็ยังยืนอยู่ในเขตห้ามใช้เสียงด้วยนะ อยากใส่อารณ์ก็ใส่มากไม่ได้ ได้แต่พูดเสียงเบาใส่กัน

“ก็เห็นอยู่เนี่ยว่าเป็น"

“มึงกลับไปทำงานเหอะ กูแค่จะไปเดินเล่น"

ผมพูด มือก็แงะมือมันออก แต่ไอ้พายุกลับบีบแน่น แล้วออกแรงดึง ให้เดินตามมันกลับเข้าไป

“เห้ย ปล่อยกู!”

“ชู่วว อย่าเสียงดัง” ผมเงียบปากทันทีแล้วเดินตามแรงดึงไป มันเดินพาผมมาจนถึงห้องมีตติ้ง

“กูไม่เข้าไป”

“ทำไม”

“ไม่อยากเข้า เขาทำงานกันอยู่”

ไม่จริงครับ มองกูกันหมดไม่มีใครทำงานสักคน เรายืนยื้อยุดกันอยู่หน้าประตูสักพักสุดท้ายผมก็สู้แรงควายๆ ของมันกับสายตาดุด่าของคนที่นั่งอ่านหนังสือรอบตัวไม่ได้ มันดันผมเข้าไปในห้อง แล้วเดินตามมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ผมพามาแล้วนะพี่ เลิกเซ้าซี้ผมสักที” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ หมายถึงอะไรวะ ก่อนหันกลับมามองคนอื่นๆ ในห้อง แล้วสบตาพี่เฟียต ที่มองผมอย่างล้อเลียน

“ไงมึง เล่นซะไอ้ยุลุกพรวดเลยนะ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่จะไปเดินเล่น”

ตอบพี่มัน ก็จริงอะผมแค่จะไปเดินเล่น แต่มันตามมาเองนะ

“หรา กูเห็นหึงเดินตูดบิดออกไป”

“เงียบไปเลย มึงอะ” ตอบไอ้คินที่ยกยิ้ม แล้วขยับปากล้อเลียนผม

“นี่เหรอ น้องเอกภพ”

แล้วเสียงใสก็ดังขึ้น ผมมองผู้หญิงใบหน้ารูปไข่เรียวสวย ดวงตากลมโต ใส่เสื้อจับสม๊อคที่ยิ่งทำให้เน้นทรวดทรงให้ทิ่มลูกตาเข้าไปอีก ไหนจะความขาวสว่างขนาดนี้ เจ๊แกใช้สกินแคร์ของอะไรนะ อยากปรึกษา

“สวัสดีครับ"

เจ๊พยักหน้าเบาๆ แล้วลุกเดินเข้ามาใกล้จนผมผงะตัวถอยหลังไปชิดไอ้พายุ เจ๊สูงจังครับ จะตบผมปะวะ กลัวนะเฟ้ย เจ๊แกเดินเข้ามาสำรวจมองผมตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ

“เจ๊ว่า น้องพายุเปลี่ยนใจยังทันนะคะ"

ไอ้พายุไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆ เจ๊มิลค์หันมาจ้องผมอีก ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ผู้หญิงอะไรวะ สวยแต่น่ากลัวฉิบหาย

“พี่ พอได้แล้วหน่า"เสียงเรียบๆ ดังขึ้นหลังผม จังหวะเดียวกับที่เจ๊แกยื่นมือมาบีบแก้มผมทั้งสองข้าง แล้วดึงไปมา ฮือขาว เจ๊ขาวมากก

“น่าร๊ากก ยิ่งตอนหน้าตื่นๆ แบบเมื่อกี้โคตรน่ามันเขี้ยวเลย น้องภพเป็นของเจ๊เถอะนะ"

“ครับ"

“อะไร มึงอะของกู"

“ห๊ะ อะเออ"

โทษว่ะ กูเมาความขาว

“พอๆ อีเจ๊มึงเลิกเล่นแล้วกลับมาทำงาน ชอบนัก ทำผัวเมียเขาร้าวฉาน"

“หยอกๆ พอเป็นน้ำจิ้ม แต่ถ้าได้จริงก็เอาจ้าา"

เจ๊แกบีบแก้มผมแรงๆทิ้งท้าย แล้วเดินไปนั่ง ปล่อยผมยืนงงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวะ ยกมือขึ้นนวดแก้มตัวเองเบาๆ พลางมองทุกคนที่หัวเราะกันอยู่แล้วหันมามองหน้าไอ้พายุ

“เมื่อกี้มันอะไรวะมึง"

“เอ๋อฉิบหาย ไปเอาของมึงกัน พี่เดี๋ยวผมมานะ" มันก้มบอกผมแล้วหันไปบอกคนอื่นๆ ก่อนดันหลังผมให้เดินออกมาจากห้อง มาหยุดที่โต๊ะที่ยังมีสมุดและสีของผมวางอยู่ที่เดิม ไอ้พายุจัดการเก็บของ พลางพูดไปด้วย "กูเหลือคุยงานอีกนิดหน่อย มึงเข้าไปนั่งทำในห้องกับกูนะ"

“ไม่เอา เกรงใจพี่เขาอะ มึงรีบกลับไปเหอะ เดี๋ยวกูนั่งอยู่นี่แหละ"ผมดึงของจากในมือมันมาถือเอง

“เอางั้นเหรอ"

“อืม"

“งั้นวันนี้กลับพร้อมกูนะ" ผมพยักหน้าแล้วผลักมันให้เดินกลับไป มันหันกลับเดินไปไม่กี่ก้าวมันก็ถอยกลับมาดึงผมเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบข้างหู

“รู้ป่ะ เวลามึงหึง มึงโคตรน่ารัก อยากกัดว่ะ" ผมหันขวับไปมองมัน เตรียมจะด่า แต่มันก็รีบเดินถอยหลัง ยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ๆ ที่ปากอย่างกวนตีน เลยได้แต่ขยับปากส่งไป

กู ไม่ ได้ หึง โว้ยยยยย

แล้วมึงไม่ได้แค่อยากแต่มึงกัดคอกูไปแล้ววว กลางห้องสมุดเลย ไอ้เหี้ยยย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 14 สนามอารมณ์



หลังจากสติแตกกับไอ้พายุเมื่อกี้ ผมก็กลับมาลงสีงานจนเสร็จก็พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นเตือนว่าผมต้องไปรับลูกๆ จัดการพิมพ์ไปบอกมันว่าผมจะลงไปช๊อปปิ้ง ไม่บอกเกิดมันพรวดพราดมาลากไปอีก ผมอาจได้แบล็คลิสห้ามเข้าห้องสมุดพอดีโทษฐานก่อกวน กดส่งเรียบร้อยก็เก็บของใส่กระเป๋า พอดีกับที่ไอ้พายุตอบกลับมา ว่ามันใกล้ประชุมเสร็จแล้ว ให้รอไปพร้อมกัน ผมก็เลยทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม นั่งเล่นโทรศัพท์ได้ไม่นาน เสียงเรียบๆ ก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ภพ" หันตามเสียง ไปมองร่างสูงที่สะพายกระเป๋าผ้า

“เสร็จแล้วอ่อ"

“อืม ไปกัน" ผมคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย แล้วลุกเดินโดยมีมันเดินขนาบข้างตามมา

“ประชุมเป็นไง"

“ก็ดี แล้วมึงจะไปซื้ออะไร"

“กูจะไปดูเสื้อ วันนี้เขาเปิดขายวันแรก"

“เสร็จแล้วไปกินข้าวบ้านกูนะ"

“ห๊ะ เออเอาดิ"

เราเดินกันลงมา หยุดยืนอยู่หน้าร้านแล้วมองหน้ากัน

“มันจำเป็นมั้ยที่ต้องซื้อวันนี้" ไอ้พายุถามเสียงเรียบ

“จำเป็น มึงรอกูอยู่นี่แหละ ฝากของหน่อย"

ว่าจบผมก็ส่งกระเป๋าให้มันถือ หยิบมาแค่กระเป๋าสตางค์ หันมองเข้าไปในร้านที่คนแน่นขนัด ลงมาช้าแค่นิดเดียวเอง จะมีเหลือรอดมาให้ผมสักตัวปะวะ ผมเดินเข้าไปในร้าน พุ่งตัวไปที่ราว คอลเลคชั่นใหม่ กวาดสายตามองแล้วคว้าตัวที่สะดุดตามาไว้ในมือก่อน ค่อยไปลองทีเดียว เลือกที่ถูกใจได้ก็เดินไปทางห้องลอง ผมลองไปสองสามชุดกดถ่ายส่งไปให้พายุช่วยดูแต่ส่งอันไหนไปมันก็บอกแต่ก็ดี สุดท้ายเลยตัดสินใจเอง ผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่า ผมก็หลุดออกมาจากร้านพร้อมถุงกระดาษในมือ ผมได้เสื้อทูนิคผ้าเจอร์ซี่สีเขียวหม่นๆ เสื้อเชิ๊ตตัดต่อสีขาวโอเวอร์ไซส์ กับกางเกงสีกากีทรงวินเทจเอวสูง และกางเกงขาสั้นทรงกระบอกสีครีมอีกตัว เดือนนี้แดกมาม่าวนไปป เดินตรงไปหาไอ้พายุที่ยืนรออยู่หน้าร้านใบหน้าเรียบเฉย

“หมดไปกี่แสน"

“เวอร์ฉิบหาย"

“ต้องดูอะไรอีกมั้ย”

“ไม่แล้วๆ”

“งั้นไปบ้านกูกัน พ่อแม่กูรอกินข้าวอยู่”

“ห๊ะ”

“พ่อแม่กูรอกินข้าวอยู่”

“ไว้วันหลังได้ปะวะ”

“ทำไม"

“ก็แบบ ไม่รู้ดิมึงจะแนะนำกูว่าไร"

“เพื่อนไง"

อ่า นั่นสินะ ผมคาดหวังอะไรอยู่กันนะ

“เพื่อนที่อยากเอานะ"

“กามตลอด แล้วพ่อแม่มึงจะไม่อะไรใช่ปะวะ"

“ไม่รู้เหมือนกัน กูไม่เคยพาผู้ชายเข้าบ้าน"

“สัด คืนก่อนมึงยังพาไอ้คินเข้าบ้านอยู่เลย"

“ไม่เหมือนกัน ไอ้นั่นกูไม่นับเป็นคน”

“โคตรเหี้ย กูจะฟ้องมัน”

มันยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ ชอบยุ่งกับหัวกูจังเลยโว้ยย

“อย่าคิดมาก ไปเหอะ"

แล้วไอ้ยุก็จับมือผมลากไปลานจอดรถ ผมนั่งรถมันมาก็หลายครั้ง จากที่สังเกตเห็นไอ้ยุมันไม่ค่อยอารมณ์ร้อนเวลาขับรถเท่าไหร่ ไม่เคยได้ยินคำด่าหรือความหงุดหงิดออกจากปากมันให้ระคายหู แต่เรื่องความเร็วนั่นคือที่สุด เวลารถโล่งแม่งก็เหยียบมิดจนน่ากลัว ดังเช่นตอนนี้ เรากำลังวิ่งอยู่บนสะพานข้ามไปฝั่งปู่เจ้า ถนนโล่งเหมือนตั้งใจให้มันได้ทดสอบความเร็วรถ บนความสูงหลายร้อยฟุตจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่งเอ้ยยย

“มึงช้าหน่อยมั้ย”

“รถโล่งจะตาย ช้าทำไมแม่กูรออยู่”

“มึงขับเร็วไป นี่บนสะพานแขวนนะเฟ้ย เกิดพลาดตกไป ตายอย่างเดียวเลยนะ แม่มึงก็จะไม่ได้เจอ ช้าหน่อย!”

“ปากโคตรไม่เป็นมงคล เออๆ ขอโค้งหน้าสุดท้าย เดี๋ยวช้าให้”

ไอ้เหี้ยยยย ยังไม่ทันได้ห้าม รถก็เริ่มตีโค้งงง แล้วโค้งแม่งใหญ่ด้วยนะมองเห็นแม่น้ำอยู่ไกลๆ เสียวโว้ยย มึงคิดว่ามึงเป็นโดมินิคในฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียสรึไงไอ้ควายยย ผมจับสายเบลท์แน่น เฝือกก็พึ่งถอดออกไม่ถึงเดือน มึงจะพากูเสี่ยงตายอีกก ยังไม่อยากกลับไปใส่อีกนะโว้ยย สาสสสส พ้นโค้งอันใหญ่ยักษ์มาด้วยความเร็ว แล้วผมก็เบิกตากว้าง

“เหี่ย!”

เอี๊ยดด

เสียงสบถครั้งแรกที่ได้ยินจากปากคนข้างๆ และเสียงล้อรถเบรกดัง พร้อมแขนหนา ที่ยกขึ้นกันตัวผม ร่างผมเหวี่ยงเล็กน้อยไปข้างหน้าตามแรงก่อนกระเด้งกลับเข้าไปที่เบาะ มองภาพตรงหน้าตาค้าง เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวชนตูดรถข้างหน้าแน่ๆ จังหวะเมื่อกี้โคตรจังหวะนรก ที่เห็นโล่งๆ ไม่มีจริง พอพ้นโค้งใหญ่ยักษ์มาเราก็เจอกับรถที่จอดติดกันไม่ขยับ ถ้าเมื่อกี้ไอ้พายุมันเบรกไม่ทัน มีหวังหน้าผมได้ไปอยู่บนสื่อทุกสื่อแน่ๆ อันตราย อันตรายฉิบหายเลยย ผมจะไม่นั่งรถมันอีก ฮืออ ใจกูจะวาย

“ไอ้ภพ เป็นไรมั้ย"

“…..”

“ภพ มึงเจ็บตรงไหนรึเปล่า"

ใจผมยังเต้นแรงอยู่เลย มองภาพท้ายรถข้างหน้าที่ยังจอดนิ่งไม่ขยับ และรับรู้ได้ถึงแรงที่สัมผัสไปตามเนื้อตามตัวผม

“ภพ ตอบกู มึงเจ็บตรงไหนมั้ย"

ผมหันไปมองหน้ามัน ที่ดูกังวล ก่อนขยับริมฝีปากตอบ

“มะ ไม่เป็นไร กูแค่ตกใจ"

“กูขอโทษ”

“อะ อืม”

ขอกูทำใจกับความผาดโผนของมึงเมื่อกี้ก่อน

“โกรธกูอ่อวะ”

“เปล่า”

“แล้วทำไมเงียบ”

“ขอพักหายใจแปปดิ ใจกูยังเต้นแรงอยู่เลย”

“ขอโทษ”

ผมหันไปมองมัน ที่ยังคงมองผมด้วยความเป็นห่วง แสงสีส้มส่องกระทบใบหน้าคม ทำให้ภาพตรงหน้าดูเปล่งประกายและฟุ้งกระจาย โกรธไม่ลง

“ช่างมันเหอะ กูรู้ว่ามึงจะไม่ทำให้กูเจ็บ”

ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ เพราะเสี้ยววินาทีความเป็นความตายเมื่อกี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยไม่ใช่สายเบลท์แต่เป็นแขนหนาๆ ของมันที่ยกขึ้นปกป้องผมก่อนตัวเอง



หลังเหตุการณ์สุดหวาดเสียวชวนให้อะดรีนาลีนหลั่ง จนเกินความจำเป็น ผมที่เริ่มสติสตังกลับมาครบถ้วน ก็หันกลับมาเป็นบ้าต่อกับสิ่งที่กำลังต้องเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าหรืออาจจะนานกว่านั้น เพราะรถยังคงจอดนิ่ง ทีนี้ หล่ะช้าสมใจผม ขยับได้ทีละคีบ รถติดบรรลัย ดังนั้นกิจกรรมผ่อนคลายความตื่นตระหนกกับสารพัดสิ่งที่ผมพึ่งเผชิญและกำลังจะเผชิญนั่นก็คือ

“มึงมีพี่น้องมั้ย”

โคฟเป็นอีลูก ช่างถาม ถามแม่งทุกเรื่องที่คิดออก

“พี่สาวหนึ่ง น้องชายหนึ่ง มึงอะ”

“กูมีน้องสาวชื่อน้องพลอย"

"ห่างกันกี่ปี"

"สามปี มึงอะ"

“พี่ฝนแก่กว่ากูสองปี แสงแดดสามปี เท่าน้องมึง”

“ชื่อน่ารักกันจังว่ะ ฝน พายุ แสงแดด กูชอบชื่อน้องมึงดูน่ารัก”

“รอเจอมันก่อนเหอะ หาความน่ารักไม่เจอ”

"แล้ว..พ่อแม่มึงดุปะวะ”

“ก็ไม่นะ กังวลเหรอ”

“เออ ก็นิดหน่อย”

“เชื่อกู กูไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรมึงหรอก”

“ปากดี เขาที่ว่านะ พ่อแม่มึงนะ”

“ก็พูดให้ดูหล่อไปงั้นแหละ จริงๆ กูก็กลัวเหมือนกัน”

“เอ้า ไอ้สัดด แล้วจะพากูมาทำไม”

“เออหน่า ไม่มีไรหรอก”

ไอ้บ้าเอ้ยย หาความมั่นใจจากมึงไม่ได้เลย

เราใช้เวลาอยู่บนรถร่วมชั่วโมง ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อน เข้าย่านชานเมืองที่ผมไม่คุ้นเคย

"แถวนี้หมู่บ้านเยอะว่ะ"

"อือ เมื่อก่อนก็ไม่เยอะเท่านี้นะ เดี๋ยวนี้รถโคตรติด จนกูว่าจะย้ายไปอยู่คอนโดใกล้มอเร็วๆ นี้"

"ดูที่ไหนไว้"

“คอนโดมึง"

“เห้ยจริงดิ มีคนปล่อยเช่าเหรอวะ แล้วไปดูห้องมายัง"

“ดูแล้ว"

“งี้มึงก็จะมาอยู่คอนโดเดียวกับกูอะดิ ชั้นไหนห้องไร”

“ชั้น13”

“เห้ย ชั้นเดียวกับกูเลย ห้องอะๆ”

“1314”

“ห๊ะ”

“1314”

“นั่นมันห้องกู!”

“ใช่ไง ไปอยู่ด้วยได้ปะ”

“ไม่เอา”

“โอเค”

“ทำไมยอมง่ายวะ”

“สุดท้ายเดี๋ยวมึงก็ยอม กูก็ได้ไปอยู่ดี”

“มั่นใจเกินไปแล้ว กูไม่ยอมง่ายๆ หรอก”

“จะรอดู”

ผมเลี่ยงสายตาไปมองรอบๆ เมื่อรู้สึกว่ารถจอดนิ่งสนิท เมื่อกี้มัวแต่เถียงกับมัน รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่หน้าบ้านเดี่ยวสีขาวขนาดใหญ่ แสงไฟนีออนสว่างจ้าออกมาถึงหน้าประตูรั่ว บ่งบอกให้รู้ว่าสมาชิกในบ้านน่าจะอยู่กันครบ เรื่องห้องนั่นค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ กลัวโว้ยย กลับตอนนี้ยังทันมั้ยวะ ผมยังคงนั่งแช่อยู่ในรถแม้ไอ้พายุจะเปิดประตูลงไปแล้ว มันเดินอ้อมมาเปิดประตู ยืนรอ

"ลงมา"

"มึงวันหลังได้ปะวะ"

"ไม่ได้ รีบลงมาเลย ให้ผู้ใหญ่รอนานๆ มันไม่ดี"

"เออๆ " ขี้เกียจเถียง กูเหนื่อยมากวันนี้

ผมก้าวเท้าลงจากรถ เดินตามมันผ่านสนามหญ้า และต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่น เข้าไปในตัวบ้านนี่คือผมกำลังจะเข้าไปรู้จักครอบครัวมันสินะ ใจเย็นหน่า ทำตัวปกติ ดูยังไงก็เพื่อนกันปะวะ ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น คบก็ยังไม่ได้คบ ปกติก็ไม่ได้หวานกันอยู่แล้ว เออใช่ แล้วกูจะกลัวทำไม พอคิดได้ผมก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย สองเท้าก้าวเดิน พลางสำรวจบ้านมันไปด้วย เดินผ่านห้องรับแขก ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังใกล้เข้ามา จนกระทั่งไอ้พายุ มันหยุดเดิน สองเท้าหยุดตาม ยืนหลบอยู่ด้านหลังมัน

“มึง"

มือเอื้อมไปจับแขนมันอย่างกังวลไอ้พายุหันกลับมามองผม ยกมืออีกข้างขึ้นมาวางทับมือผมแล้วลูบเบาๆ

“เอ้า พายุมาแล้วเหรอ พอดีเลยแม่พึ่งตั้งโต๊ะเสร็จ แล้วนั่นพาใครมา"

ผมปล่อยมือออก เดินขึ้นไปยืนข้างๆ คนตัวสูง ยกมือไหว้รอบทิศ พลางรอบมองใบหน้าแต่ละคน ผู้หญิงในชุดเดรสสีหวาน ใบหน้าสละสลวยเกลี้ยงเกลาส่งยิ้มมาให้ผมอย่างใจดีนั่นคงเป็นแม่ ข้างๆ กันผู้ชายหน้าตาคมดูดุ ที่พยักหน้ารับไหว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยนั่นพ่อมันแน่ๆ นี่มันไอ้พายุเวอร์ชันแก่ชัดๆ และน้องชายมันที่ตัวสูงใหญ่พอๆ กับพี่มันเลยวุ้ยไหนมันบอกน้องมันอายุเท่าน้องผม นี่คือรูปร่างของเด็กมอสี่เหรอวะ

“เพื่อนยุเองแม่ ดีพ่อ ไงไอ้แสงแดดวันนี้กลับเร็วนะมึง"

“ใครจะเหมือนพี่ กลับช้าทุกวัน"

"เออๆ กูยอม นี่ภพครับ เพื่อนที่คณะ ส่วนนั่นแม่กู พ่อกู กับไอ้แสงแดดน้องชายกูเอง ที่ยืนอยู่หลังครัวนั่นป้าจันทร์แม่นมกู"

แล้วผมก็ยกมือไหวอีกครั้ง ไม่ลืมหันไปมองคนที่ผมไม่ทันสังเกตเมื่อกี้ ป้าจันทร์ ที่ส่งยิ้มกว้างรับไหว้ผม

“ภพ เอกภพคนนั้นอะนะ”

“เออ มึงจะทำไม”

“ก็ไม่ทำไม ก็น่ารักดี”

“อะพอๆ สองพี่น้อง พายุ พาเพื่อนมานั่งกินข้าว ยังไม่ได้ทานอะไรกันมาใช่มั้ย”

“ยังครับ”

ผมตอบแม่มันเมื่อเห็นว่าประโยคสุดท้ายท่านหันมาถามผม เดินตามไอ้พายุไปติดๆ นั่งลงข้างๆ มัน ตรงข้ามแสงแดดที่จ้องผมตาไม่กะพริบ หันไปรับจานข้าวจากป้าจันทร์ ที่ยื่นมาวางให้

“ขอบคุณฮะ”

“แล้วพี่ปลายฝนอะแม่”

“เห็นว่าไปกินข้าวกับเพื่อนนะ เราก็กินข้าวกันเถอะ”

นั่งตัวเกร็ง มองกับข้าวหน้าตาน่ากินที่วางเรียงรายบนโต๊ะ รอให้ผู้ใหญ่ตักก่อน อึดอัดโว้ยย ปกติถ้าของกินอยู่ตรงหน้าผมก็โกยเข้าปากอย่างเร็วแล้ว แต่นี่ทำไม่ได้ไง ถึงผมจะไม่ค่อยมีมารยาท แต่ผมก็พอรู้จักมันอยู่บ้างนะ

“ภพ กินเลยลูก”

“ครับๆ”

“ลองนี่”

แล้วไอ้พายุก็ตักทอดมันกุ้งมาใส่จานผม

“ขอบใจ"

ตักหันแล้วใส่ปาก ค่อยๆ เคี้ยว ไม่เคยกินกระมิดกระเมี้ยนขนาดนี้เลย เล่นจ้องผมกันหมด เกร็งจนตะคริวจะแดกแล้วว กลืนทอดมันกุ้งที่ละเอียดจนกระเพาะแทบไม่ต้องย่อย ก่อนส่งยิ้มให้ทุกคน

“แล้วภพเรียนเอกเดียวกับพายุเหรอจ๊ะ"

“ใช่ครับแต่คนละสาขา"

“ไอ้ภพมันเรียนแฟชั่นอะแม่"

“ไม่น่าหล่ะ แต่งตัวเก่งเชียว"

“ขอบคุณฮะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ ตักเลยๆ”

ผมส่งยิ้มไปให้คุณแม่ แล้วหันไปพูดเสียงเบากับไอ้พายุ

“มึงพอแล้ว เลิกตักอาหารใส่จานกู"

“ก็เห็นมึงยึกๆ ยักๆ เอาอะไรอีกมั้ย"

“ไม่แล้ว อีกนิดจานกูจะเหมือนบาตรพระแล้วนะ"

“เออเนอะ"

“มึงก็กินบ้างมัวแต่ตักให้กูอยู่นั่น”

“ครับๆ”

“พี่สองคนนี่ คุยกันงุ้งงิ้งดีเนอะ"

“อะไรไอ้แดด"

“คุยกันงุ้งงิ้งอย่างกับแฟนกัน เนอะพ่อ"

“อืม พ่อก็มองอยู่"

เงียบกริบ ผมถือช้อนค้าง มองหน้าคนในครอบครัวมัน เหมือนเวลาหยุดไปแปปหนึ่ง แล้วเสียงเรียบๆ ของไอ้คนข้างๆ ก็ดังขึ้น

"ยังไม่ใช่แฟน ผมกำลังจีบมันอยู่"

เดี๋ยวววว มึงพูดโต้งๆ แบบนี้เลยเหรอ ได้เหรอ

“…….”

ฮืออ ผมไม่กล้าแม่แต่จะหายใจ พ่อลูกเขาจะทะเลาะกันปะวะ จ้องกันเขม็งเลย แล้วก็เป็นแสงแดดที่ทำลายความเงียบ

"สักทีเนอะ พร่ำเพ้อจนผมรำคาญ"

"ไอ้น้องเวร"

"จะทำอะไรก็คิดดีๆ ลูกเขามีพ่อมีแม่"

“พ่ออ มันยังไม่ถึงขนาดนั้น”

“พามาขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าแกคิดจะทำอะไร”

“กะตับเขาชัวร์ พามาเจอพ่อแม่ให้ตายใจ พี่ภพพี่ระวังตัวก็ดีนะ พี่พายุเคยบอกผมว่าอยากเอาพี่แรงๆ ให้ตายคาอก”

“เชี่ยแดด”

เอิ่ม หันมองหน้าไอ้พายุ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันคิดแบบนี้กับผมแถมยังพูดกับน้องมันอีก ไอ้เลววว

“กูไม่ได้พูดแบบนั้นนะไอ้ภพ”

“พี่พูด แถมบอกว่าอยากลองเอ้าท์ดอร์กลางป่ากลางเขา พ่อก็ได้ยินใช่ปะ”

“อืม ตอนได้ยินฉันยังไม่อยากเชื่อว่าจะเลี้ยงลูกได้หมกมุ่นในกามขนาดนี้ เขาถึงบอกคนเงียบๆ มักมีอารมณ์ทางเพศสูง”

“พ่อ! ผมแค่บอกว่าไอ้ภพมันน่ารักจนทนไม่ไหวต่างหาก”

สัดไม่ได้ดีขึ้นเลย เชี่ยยุ น่ากลัวฉิบหาย

“ใช่ไง แกบอกว่าภพน่ารักจนแกอยากปู้ยี่ปู้ยำ พ่อกับแสงแดดพูดผิดตรงไหน”

“พ่อออ”

เอิ่ม คุณพ่อครับ ผิดคาดมาก บ้านมันเกินจากจุดที่ผมคิดไว้มากกก น่ากลัวทั้งบ้านเลยวุ้ย

"พอๆ พ่อลูกคุยเรื่องแบบนี้บนโต๊ะอาหารได้ยังไง เกรงใจภพบ้าง หน้าเหวอแล้วนั่น ต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ แม่ขอโทษแทนพ่อกับลูกแม่ด้วยนะ"

" อ่า ไม่เป็นไรฮะ"

"พี่ต้องระวังนะ"

"อะ อืม"

"อย่ายอมมันถ้ามันยังไม่ขอเป็นแฟน"

"คะครับ คุณพ่อ"

จะบ้าตายย หันมองไอ้คนตัวสูงข้างๆ อย่างรังเกียจ

"โว้ยยยย"

ไอ้พายุ สติแตกไปแล้ว





หลังจากสถานการณ์บนโต๊ะกินข้าวกลับมาเป็นปกติ พ่อแม่มันก็พูดคุยถามผมสัพเพเหระ ระหว่างกินข้าวไปด้วย ครอบครัวมันน่ารักนะ ดูวัยรุ่นเหมือนเพื่อนกันดี แต่บ้างเรื่องที่คุยกันก็ทำผมไปไม่เป็นเหมือนกัน

"คุยกันเสียงดังไปถึงหน้าบ้านเลยนะคะ"

"ไงพี่ฝน"

"ไงน้องชาย แล้วนั่นใคร"

"ภพ เพื่อนเจ้าพายุมัน"

“อ่อออ”

“สวัสดีครับ”

ยกมือไหว้พี่ฝนที่เดินเข้ามานั่งลงข้างแสงแดด ให้ตายดิ สวยสาดดด หุ่นดี ผิวขาวแถมสูงพอๆ กับไอ้พายุ นี่มันสัดส่วนนางแบบชัดๆ

“คนนี้นี่เองได้เจอกันสักทีเนอะ หน้าตาน่ารักอย่างที่แกบอกจริงๆ ด้วย”

ผมหันไปมองไอ้พายุ สรุปคือมึงเพ้อถึงกูให้ทุกคนที่บ้านฟังเลยเรอะ มันหันมายิ้มเจื่อนๆให้

“แล้วทำไมกลับมาเร็ว ไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนเหรอ”

“ยังไม่ทันได้กินเลยพ่อ ฝนก็รีบบึ่งรถมาเลยตอนได้ข้อความจากแสงแดด ดีใจที่มาทันได้เจอน้องภพนะ”

“พี่สวยมากเลยครับ”

“ขอบคุณจ๊ะ ถ้าเบื่อพายุ มาซบอกพี่ได้นะพี่ชอบของน่ารักๆ”

“ได้เลยครับ”

“เห้ย นั่นพี่กู”

“รู้หน่า ขี้หวงจัง เด็กติดพี่เหรอมึงอะ”

“พี่ว่ามันไม่ได้หวงพี่หรอก”

“พ่อก็ว่างั้น”

ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคนอย่างมึนงง ยิ้มอะไรกัน

(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2020 19:51:40 โดย tantiya »

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
“ครอบครัวมึงน่ารักดีนะ”

“อืม วุ่นวายดี”

ผมก้าวเท้าขึ้นบันได เดินตามร่างสูงที่เดินนำหน้า หลังมื้อเย็นที่โคตรครื้นเครง จบลง ไอ้พายุก็ลากผมให้เดินตามมันออกมา เราเดินมาหยุดยืนหน้าประตูห้องที่มีป้ายรูปพายุหมุนแขวนอยู่

" โคตรเด็ก นี่ห้องน้องพายุเหรอครับ"

ผมหันไปแซวมันแล้ว ปัดป้ายเบาๆ

"หยุดเลย แม่กูแขวนไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว"

พอลองมองไปห้องตรงข้ามมีรูปพระอาทิตย์แปะอยู่ ข้างๆ เป็นรูปเม็ดฝน น่ารักดีแฮะ

มันเปิดประตูดันผมเข้าไปในห้องที่มืดสนิท ก่อนมันจะเป็นคนกดสวิตท์เปิดไฟ ผมมองรอบๆ ห้องที่ดูเรียบง่ายกำแพงสีครีมตัดกับข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นไม้ดูอบอุ่น  ห้องแม่งเรียบร้อยกว่าห้องผมอีก แต่โต๊ะทำงานมึงรกใช้ได้เลยนะ มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยว่ะ อย่างเจ๋ง เดินเข้าไปดูชั้นหนังสือที่อัดแน่นด้วยหนังสือศิลปะ แผ่นเสียง และสมุดวาดภาพของมัน

“หนังสืออาร์ตมึงเยอะจัง"

“มือสองทั้งนั้น ภพมานั่งนี่ดิ"

ผมหันตัวกลับไปมองมันแล้วเดินไปนั่งข้างๆ บนเตียง

“หืม ว่าไงครับน้องพายุ"

“ยังไม่หยุดอีก”

“ฮ่าฮ่าๆ กูอดไม่ได้อะ”

“เดี๋ยวกูจะเอาออก ไอ้คินพูดกูยังไม่อายเท่ามึงล้อกูเลยเนี่ย”

“เห้ย อย่าเอาออก เดี๋ยวแม่มึงเสียใจนะ”

“ก็มึงล้อกูเนี่ย”

“กูแซวเพราะเห็นว่ามันน่ารักดี แขวนไว้เหอะ นะ”

"ภพ"

"ว่า"

"ขอจูบได้ปะ”

ผมขยับตัวออกห่างจากมัน

“ไม่เอา พ่อมึงบอกว่าห้ามยอมมึงง่ายๆ”

“โว้ยย มึงอย่าไปฟังเขามาก”

"ไม่ฟังได้เหรอ มึงแม่ง พูดเรื่องจะเอากูกับที่บ้านนะ โคตรน่ากลัว"

"เออ ขอโทษไม่ได้ตั้งใจไง วันนั้นกูกินเหล้ากับที่บ้าน แล้วเมาว่ะเลยหลุด"

“โคตรเหี้ย”

“ขอโทษ แต่มึงแม่งน่ารัก กูไม่ไหว”

“พอเลย เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ”

“แล้วเมื่อกี้อิ่มมั้ย กูเห็นมึงกินไปนิดเดียว”

“ก็ไม่ค่อย แอบเกรงใจพ่อแม่มึงอะ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกลับไปกินมาม่าที่ห้อง”

"จะกินไรเปล่าล่ะ เดี๋ยวกูให้ป้าจันทร์เอาขึ้นมาให้"

“ไม่ต้องๆ อีกสักพักกูจะกลับแล้ว"

"เดี๋ยวไปส่ง นอนเล่นห้องกูไปก่อน ขอเคลียร์งานส่งพี่เฟียตแปปนึง”

“เออได้"

ไอ้พายุเดินไปที่ตู้หนังสือ เห็นมันยืนเลือกแผ่นเสียงสักพัก แล้วหันไปวางแผ่นไวนีลลงบนเครื่องเล่น ก่อนเสียงเพลงที่ดูฟังสบายจะดังคลอเบาๆ ผมไม่รู้ว่ามันคือแนวเพลงอะไรแต่ฟังแล้วผ่อนคลายดี มองไอ้พายุที่เดินไปนั่งหันหลังทำงานที่โต๊ะ เวลามันทำงานเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยดูจริงจัง และมีเสน่ห์แปลกๆ

ผมลุกจากเตียงเดินสำรวจห้องอีกครั้งอย่างเงียบเชียบไม่ให้รบกวนการทำงานของพายุ เดินวนไปมารอบห้องสุดท้ายมาจบที่ตู้หนังสือหยิบที่สนใจมาสองสามเล่ม นั่งลงที่พื้นหน้าตู้หลังเก้าอี้มัน แล้วพลิกดูด้านใน นั่งอยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน ความหนาวของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้ผมต้องย้ายตัวเองขึ้นไปนอนสอดตัวใต้ผ้าห่ม สบายโคตรร เสียงเพลงที่เปิดคลอๆ ความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกสบายเริ่มโจมตีผม หนังตาเริ่มปิด ผมฝืนสายตามองภาพตรงหน้าได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้านความง่วงงุนและความเหนื่อยล้าตลอดวันไว้ไม่ไหว พลิกตัวนอนตะแคง หาท่าที่สบายแล้วผล๊อยหลับไปในที่สุด









“อื้ออ”

ผมครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่สัมผัสผิวบริเวณสีข้างท่ามกลางความหนาวเย็น ก่อนเคลื่อนมาลูบไล้ท้องน้อยผม เดี๋ยวนะ ลูบไล้เหรอ ค่อยๆ ปรือตา มองภาพตรงหน้าผมที่ว่างเปล่าอย่างมึนงง ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ กี่โมงแล้วนะ

“กูปลุกเหรอ”

แหงนหน้าไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวดวงตาเบิกกว้าง ตื่นเลยกู หน้าไอ้พายุอยู่ใกล้จนผมแทบหยุดหายใจ มันนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง ก่อนซุกใบหน้าลงมาที่ซอกคอผม มือหนาลูบไล้ไปตามเนื้อตัว บีบนวดเหมือนผมเป็นแป้งขนมปังที่มันเตรียมจะเอาเข้าเตาอบ

“มึงทำอะไรวะ”

“…..”

“อื้อ ไอ้ยุ อย่ากัด”

ขยับหัวหนีริมฝีปากมัน ที่กัดตรงหลังคอ ก้มมองมือที่บีบเคล้นตามเนื้อตัวผมแรงขึ้น เสื้อที่ผมใส่ร่นขึ้นมากองเกือบถึงคอ ถึงว่ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไอ้เหี้ยย

“ไอ้พายุ คุยกันก่อน”

“หืม”

“คุยกั…เดี๋ยว!”

ผมร้องเสียงหลงมือรีบตะปบมือหนา เมื่อมือร้อนพยายามจะสอดเข้ามาใต้กางเกง ไอ้พายุเงยหน้าขึ้นมาจากซอกคอ ยันตัวมองผม จับใบหน้าผมให้เอียงไปหามัน ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ มันขบเม้มริมฝีปากผมแผ่วเบา มือหนาที่ผมจับอยู่เคลื่อนกลับมาลูบไล้ด้านบน เหมือนมันกำลังหลอกล่อ เชิญชวนให้ผมตกหลุมที่มันขุดไว้ ผมรู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนที่เขามาชักนำ ความวูบวาบทำหัวสมองขาวโพล่นจนผมหลับตาลง รับทุกสัมผัสของปลายลิ้นร้อน ทำไมมันเก่งจังวะ ผมเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ทัน

แล้วผมก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมือร้อนที่ผมกอบกุมไว้ในคราแรก สอดเข้าไปในกางเกง ผมผงะถอนใบหน้าออก พยายามขยับตัวหนี แต่มันกลับรั้งเอวผมกลับเข้ามาชิดตัว มือมันยังคงสัมผัสตัวผมใต้กางเกงแม้ยังมีผ้าบางๆ ของชั้นในกั้นอยู่ก็ตาม แม่ง ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรกูได้เลยย ฮือออ กูไม่โอเค มันไม่โอเคคค

“มะ มึง หยุดก่อน”

“กูแค่จะช่วย”

ฮือ ไอ้สัด เสียงกระเส่ามาเลย ไม่ต้องช่วยยย จะช่วยเหี้ยอารายยยย พ่อครับ ลูกพ่อมันจะเล่นผมแล้ววววว

“ไม่เอาา มึงหยุดก่อนนะ นะ เดี๋ยวกูจัดการเองได้”

ผมพูดเสียงสั่น มองไอ้พายุอย่างอ้อนวอน ได้ผล มือหนาค่อยๆ เลื่อนออกจากใต้กางเกง มาวางที่ท้องน้อยแทน กูรอดแล้วโว้ยย ไอ้ยุขยับตัวออกเล็กน้อย มองผมสายตาจริงจัง หรือกูจะไม่รอดวะ

“ภพ ไว้ใจกูดิ”

“ไม่เอา มันไม่ดีหรอกมึง ปล่อยกูเหอะนะ”

“หลับตา”

“ห๊ะ”

“หลับตา” มันย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ผมขัดอะไรไม่ได้อีก

ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง กูไม่รอดแน่ คืนนี้กูไม่รอด ฮือออ

"ไม่ต้องกลัว กูไม่ใจร้ายกับมึงหรอก"

มันพูดเสียงเบา ก่อนผมจะได้รับสัมผัสเปียกชื้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง เราจูบกันไปหลายครั้งแล้ว ผมไม่เคยชินเลยสักครั้ง แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมเผยอปากรับปลายลิ้นร้อนที่ดุนดันเข้ามา มือเลื่อนไปกุมมือมันให้หยุดนวดคลึงสะโพกผม รู้สึกได้ว่ามันหงายมือมาประสานมือผมไว้และบีบเบาๆ

ปลายลิ้นร้อนเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ หยอกล้อ ดูดดึงริมฝีปากผม พายุชักนำให้ผมทำตาม และผมก็เริ่มคล้อยตามเชื่อฟังมันอย่างง่ายดาย ความรู้สึกวาบหวามปะทุขึ้น มันปล่อยมือที่กุมผม ลูบไล้บีบเคล้นไปตามเนื้อตัว ก่อนที่จะได้ยินเสียงซิปกางเกงที่ถูกรูดลง ผมครางประท้วง แต่ริมฝีปากและปลายลิ้นของมันก็ดึงความสนใจผมไปอีกครั้ง เหมือนกำลังล่องลอย และร่วงลงจากที่สูง เมื่อมันถอนริมฝีปากออกไป หอบหายใจส่งสายตาอ้อนวอนมันอีกครั้ง ว่าไว้ชีวิตกูเหอะ พลีสส

แต่มันกลับส่งยิ้มบาง มาให้ผม

ณ เวลานั้นผมรู้แล้วว่ากำลังจะต้องเจอกับอะไร ไม่รอดมือมันแล้วแน่ๆ แต่ลองอ้อนวอนมันอีกสักครั้งเผื่อมันจะเห็นใจกันบ้าง ทำน่าสงสารเข้าไว้ น้ำตามา เริ่ม

“ไอ้พายุ ไว้ชีวิตกูเถอะนะ นะ”

“กูแค่จะช่วย ไม่ได้จะฆ่ามึง งอแงจังว่ะ”

“ฮือออ ไม่ต้องช่วยย กูสบายดี ไม่ต้องช่วยกูวว”

“ภพ เชื่อใจกู”

“ไม่เอา มึงปล่อยกะ...อื้อ”

ผมหลับตาแน่น เมื่อมือร้อน สัมผัสตัวตนผมใต้ชั้นในตัวบาง รับรู้ว่ามันจูบขมับผมแผ่วเบาอย่างปลอบโยน ในขณะที่มือมันก็รูดรั้งชักนำอย่างไม่เร่งเร้า ลมหายใจอุ่นร้อนหลังคอ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด จนผมเกือบหลุดคราง

“มึงน่ารักมาก”

“ฮึก มึง พายุเดี๋ยวกูทำเอง ขอกูทำต่อเองนะ”

“อึดอัดมากมั้ย”

“ฮืออ มันไม่ดีหรอก หยุดเหอะ เดี๋ยวกูทำเอง กูทำได้”

“ภพตอบกู”

“อือ”

ไม่ฟังกูเลยยย ที่กูขอเนี่ยย สุดท้ายผมก็พยักหน้ายอมรับ ตอนคบกับนานะผมเกรงใจเธอเลยไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ในห้อง พอมันมาทำแบบนี้ให้ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ กูจะร้องง

“พลิกตัวหน่อย”

ผมพลิกตัวมานอนหงายมองมันน้ำตาคลอ ไอ้พายุส่งยิ้มบางๆ ให้ผมโน้มใบหน้าเข้ามาซุกไซ้ ที่ซอกคอ ขบกัดข้างใบหูจนรู้สึกเปียกชื้น ฮือออ ผมรู้สึกแปลกๆ

“ไม่ต้องกลัว กูไม่ทำร้ายมึง”

“อะ ไอ้ยุ อย่าขยับ"

“ใจเย็นๆ ผ่อนคลาย”

"พะ พายุ อึก"

ผมเม้มริมฝีปากแน่น กลั้นเสียงน่าอายที่จะหลุดออกมา ก้มมองข้อมือหนาเคลื่อนไหวกอบกุมตัวตนผม ก่อนที่จะถูกบดบังด้วยศีรษะมัน ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ยอดอก มันขบเม้มดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ มือผมกำแน่นจนรู้สึกปวดไปหมด

“รู้สึกยังไง"

“….”

ผมไม่ตอบ ได้แต่หลับตารับสัมผัสที่มันมอบให้ ร่างกายผมร้อนผ่าวตามแรงปลุกเร้าที่มากขึ้น ปลายเท้าจิกเกร็ง หายใจหอบถี่ตามจังหวะที่มันชักนำ

“ภพ อย่ากัดปาก”

“….”

“อย่ากัดปาก ร้องออกมา”

“อ้าา ไอ้เหี้ย!”

ผมครางดัง เปิดตามองมัน เมื่อมันบีบเคล้นรูดรั้งตัวตนผมแรงๆ

“ชอบมั้ย”

“อึก อ้าาาา พายุ มึง”

ผมดิ้น เมื่อมันเพิ่มความเร็วมากขึ้น ร้องครางอย่างหน้าไม่อาย ถีบขาขยับตัวถอยหนีสัมผัสมัน แต่มันก็ล๊อคตรึงสะโพกผมไว้แน่น มันรุนแรงมากขึ้น รูดรั้งมากขึ้น ไม่ไหว ท้องน้อยเริ่มบิดเกร็ง ดวงตาพร่าเลื่อน แหงนหน้าซุกหัวลงกับหมอน กัดริมฝีปากแน่น เหมือนระเบิดเวลาที่ถูกกดเริ่มใกล้จะสิ้นสุดลง และตัวผมกำลังจะระเบิดออก ใกล้แล้ว และในจังหวะนั้นผมก็เหมือนตกนรก เมื่อมือหนาหยุดนิ่งปลายนิ้วร้อนกดปิดส่วนปลายแน่น สบตาไอ้พายุ ความรู้สึกทรมานและอึดอัดกำลังทำร้ายผม จนน้ำตาคลอ

“พายุ ฮืออ ไอ้เหี้ย"

“อยากให้กูทำอะไร"

“ไอ้เหี้ย”

“คำเดียวเองบอกปุ๊บมึงจะสบายตัวเลย"

ฮือออ มันแกล้งผม มันแกล้งโผมมม มันลุกขึ้นมามองผม ริมฝีปากยกยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์ ปลายนิ้วยังคงกดปิดรอยหยักส่วนหัวแน่น ผมขยับร่างกายอย่างอึดอัด เท้าถีบตัวให้หลุดออกจากวงแขนมัน แต่แรงกดทำให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ ความอึดอัดทรมานยังคงเล่นงาน จนผมสิ้นสติและยางอาย ไม่ไหว ผมต้องปลดปล่อย ผมยันตัวลุกขึ้นเลื่อนมือตัวเองลงไปดันหัวแม่มือมันที่กดปิดส่วนปลายออกอย่างแรง กอบกำตัวเอง ก่อนเริ่มชักนำรูดรั้งอย่างลืมอาย เห็นสายตาที่มันมองมาแล้วผมน้ำตาไหลไม่หยุด ทุเรศตัวเองมาก แต่ผมหยุดไม่ได้ ข้อมือขยับขึ้นลง หลับตาหนีสายตาคมที่จ้องมอง ฮืออ เกลียดมันอะ

“อะ อื้อ"

ไม่เหมือนมันทำ ไม่ดีเท่ามันทำ

หูผมอื้ออึง ดวงตาพร่าเรือน รับรู้แค่สัมผัสจากมือตัวเองที่ขยับระรัวเร็ว มากกว่านี้ต้องมากกว่านี้ ก่อนที่ความร้อนของมือหนาจะเข้ามาช่วย ฮือออ ตาย กูตายแน่ๆ ความวาบหวาม จุดขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมือหนากอบกุมเคลื่อนไหวหนักหน่วงช่วยผม กล้ามเนื้อผมเกร็งเครียด ปลายเท้าจิกเกร็งจนปวดไปหมด ผมละมือออกไปจับที่ข้อมือหนาบีบแน่นเมื่อมันรุนแรงเกินไป อย่างต้องการที่ระบาย เมื่อตัวเลขกำลังวิ่งถอยหลังอีกครั้ง แล้วไม่นานร่างกายผมก็กระตุกเกร็งนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนมีเสียงระเบิดดังขึ้นในหัว แสงสีขาวสว่างวาบ ผมหายใจหอบถี่โกยอากาศเข้าปอดจนแทบสำลัก ก่อนร่างผมจะรู้สึกเบาหวิวและหมดเรี่ยวแรง

นอนหอบหายใจ รับรู้ถึงริมฝีปากร้อนจูบแผ่วเบาที่หน้าผากอย่างปลอบโยน

“เลอะเทอะ จริงๆ เลย"

ผมก้มมองช่วงล่าง และมือของมัน ที่ตอนนี้เลอะเปอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น ไม่นะ กางเกงโผมมม

“เมื่อกี้มึงนิสัยไม่ดี"

“ขอโทษ ก็มึงมันน่าแกล้ง”

“โคตรแย่”

“เออรู้”

ทิ้งหัวลงบนหมอน หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ว่าไอ้พายุขยับตัวออกไปจากเตียง ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงน้ำดัง มาจากมุมห้อง ก่อนที่ตัวผมจะลอยขึ้นจากเตียง สองมือยกขึ้นหาที่ยึดตามกลไกธรรมชาติ ลืมตามองใบหน้าคม ที่ก้มลงมามองผม ฮือ กูเหนื่อยแล้วนะ

“มะ มึง จะทำอะไรอีก"

“จะพาไปอาบน้ำ เลอะเทอะแบบนี้มึงนอนไม่สบายหรอก"

“กูอาบเองๆ”

“เฉยๆ เหอะ"

เท้ามันก้าวเดิน พาผมเข้าไปในห้องน้ำ วางผมลงที่ขอบอ่าง ก่อนที่มือมันจะดึงทึ้งเสื้อผมขึ้น แต่ผมยื้อไว้ด้วยแรงน้อยนิด

“ไอ้ยุกูขออาบเอง มึงออกไปเหอะ"

“อายอะไร กูเห็นหมดแล้ว ถอดเสื้อออก"

“ฮืออ"

ขอความส่วนตัวให้กูบ้างงง แค่นี้ก็มองหน้าไม่ติดแล้วสัด

“…..”

“เออๆ อาบไหวแน่นะ"

“ไหวๆ มึงออกไปก่อน"

“งั้นไม่ต้องล๊อคประตู เดี๋ยวกูไปหยิบผ้าขนหนูให้"

“อะ อืม"

ผมนั่งรอ ไม่นานไอ้พายุก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูและเสื้อผ้า

“ห้ามล๊อคประตู"

รู้ทันกูตลอด

“เอออ รู้แล้ว"

พอประตูปิดลง ผมก็จัดการถอดเสื้อผ้า ลงไปนั่งในอ่างที่มันเตรียมน้ำไว้ให้ พิงหลังชิดขอบอ่าง ย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ก็รู้สึกอยากหายไปฉิบหายเลย ผมช่วยตัวเองต่อหน้ามันอ่ะ ฮือออ โคตรแย่ กูรับไม่ด้ายยย

แหงนหน้า ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตไอ้เอกภพเลย ความอุ่นของน้ำช่วยผ่อนคลายร่างกาย และผมก็ต้านความง่วงงุนไว้ไม่ไหว เริ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความมืด ก่อนสติผมจะดับวูบไป





พายุมันเอาแล้วววว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2020 19:52:02 โดย tantiya »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :laugh:



จัดไปให้หนักๆ เลย ยุ

ออฟไลน์ TrebleBass

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พอพาเข้าบ้านละ. ไวเลยนะ

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ผมฝัน ในฝันผมเห็นไมโลตัวใหญ่กว่าปกติมันวิ่งเข้ามาตะปบตัวผมจนผมลงไปนอนกับพื้น แต่พื้นกลับไม่แข็งอย่างที่คิด ผมไม่เจ็บ แต่รู้สึกอึดอัด พยายามตะเกียกตะกายออกมาให้พ้นจากร่างของมันที่โถมเข้าหาตัวผม ก่อนที่ผมจะถูกอุ้มมือมันกดแน่น ผมค่อยๆ ลืมตา กะพริบตาเมื่อแสงสาดเข้ามาในม่านตาจนแสบตา มองเห็นใบหน้าที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ก้มมองตัวเองที่อยู่ในชุดของมันและแขนขาควายๆ ที่กอดก่ายรัดตัวผม มันคือไอ้ไมโลยักษ์ในความฝันกูใช่มั้ย หนักฉิบหายเลย

ผมมานอนบนนี้ยังไงวะ จำได้ว่าแช่น้ำอยู่แล้วภาพก็ตัด ไอ้พายุมาพามานอนเหรอ ขยับตัวออกจากวงแขนมันแต่ก็ถูกดึงกลับเข้าไปทุกครั้ง ให้ตายดิ เอาใหญ่เลยนะ

“ตื่นแล้วเหรอ"

“เออ เอาแขนออกไป กูหนัก"

ผมพูดพลางผลักแขนมันออกอีกครั้ง มันยอมคลายอ้อมกอดออก แล้วหันมามองผมตาแวววาวเหมือนสิงโตแก่ๆ หื่นๆ ที่จ้องตะครุบเหยื่อ

“เมื่อคืนดื้อจะอาบเอง แล้วเป็นไง สุดท้ายกูก็ต้องช่วยอยู่ดี"

“เลิกพูดเรื่องเมื่อคืนเหอะ”

“ทำไม"

“กูไม่ชอบ"

“ใช่เหรอ เมื่อคืนมึงสบายตัวคนเดียวเลยนะ"

“…..”

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันไป กูวางแปรงไว้ให้แล้ว จะได้ลงไปกินข้าว"

ผมลุกออกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ หยิบแปรงใหม่ที่ยังอยู่ในซองมาแกะ แปลกๆว่ะ ไม่กล้าสบตามันเลย



ก๊อก ก๊อก



“ภพ มึงหลับอีก ปะเนี่ย"

“เปล่าๆ จะออกไปแล้วๆ ….เร่งกูจัง"

เปิดประตูออกมาเจอมันยืนทำหน้าแปลกๆ อยู่หน้าห้องน้ำ เป็นไรของมันอีก

“มึงลงไปกินก่อนเลย กูขอแปรงฟันก่อน"

หันตัวเดินเลี่ยงออกมานั่งปลายเตียง ปากก็ขยับพูดไปด้วย

“ไม่เป็นไร รอลงไปพร้อมมึงดีกว่า"

“เชื่อกูลงไปก่อน กูต้องใช้เวลา"

“แค่แปรงฟันไม่ใช่เหรอ กูรอได้"

“ไม่ใช่แค่แปรงฟันอะดิ"

“อึอ้อ ตามสบายเลยเดี๋ยวกูนอนรอ”

“ถ้าอันนั้นกูก็ไม่ไล่มึงลงไปหรอก แต่...”

ยิกยักจริงเล้ย พอสังเกตดีๆ ทำไมมันยืนแบบนั้นวะ ตัวงอทำไม อะไรของมัน แล้วมันก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ก้มมองพื้น ผมมองตามสายตามันไป

ไอ้สัด โด่ไม่รู้ล้ม

“โคตรเหี้ย"

“มันคงอึดอัดตั้งแต่เมื่อคืนว่ะ มึงนอนดิ้นด้วยลูกกูเลยตื่น"

อึ้งไปเลยกู

“ทีนี้มึงจะลงไปก่อนหรือจะเข้ามาช่วยกูละ” เงยหน้ามองมันที่ทำหน้าตากวนส้น หรือชักชวนวะ ผมไม่แน่ใจตีความหน้ามันไม่ออก รู้แต่ตอนนี้ผมควรออกจากห้องมัน ตอนนี้! เดี๋ยวนี้เลย!

“พอ ไม่เอา เชิญมึงตามสบายเถอะ ตามมาเร็วๆ ด้วย กูอยากกลับบ้านแล้ว"

พูดจนลิ้นแทบจะพันกัน รีบลุกเดินหนีออกจากห้อง ปิดประตูตามหลังเสียงดังปังอย่างยั้งมือไม่อยู่ หน้ายังคงหันเข้าหาประตูห้อง มือกำลูกบิดแน่น จะบ้าตาย กามฉิบหาย กลัวก็กลัวยังไม่อยากเห็นหนอนแต่เช้า แต่ใจแม่งเต้นตุบๆเลย แถมรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ สัด ผมจะมาตะมุตะมิเขินอายเป็นสาววัยใสแบบนี้ไม่ได้นะ

“เอ้าพี่ภพเมื่อคืนนอนนี่เหรอ"

ยืนตบตีกับตัวเองในหัว จนเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังดึงผมกลับสู่ปัจจุบัน

“แสงแดด"

“พี่หนีไรออกมาอะ ไอ้พี่ยุมันทำอะไรพี่รึเปล่า"

ยิ่งกว่าทำ น้องเอ๊ย

“เปล่าๆ "

“งั้นไปกินข้าวกันเหอะพี่ ป้าจันทร์กับแม่น่าจะจัดโต๊ะแล้ว"

ผมพยักหน้า ตั้งสติแล้วเดินตามแสงแดดลงบันไดไป

“พี่รู้ปะ ก่อนผมจะเจอพี่ผมโคตรสงสัยว่าพี่หน้าตายังไง เป็นคนแบบไหน ถึงทำพี่ผมเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้"

“ยังไงวะ"

“ไม่รู้ดิ แต่พี่มันยิ้มบ้ายิ้มบอทุกวัน แล้วปกติพี่มันก็ไม่ใช่คนพูดมาก แต่พักหลังมันพูดมากขึ้นและทุกเรื่องที่มันเล่าจะมีชื่อพี่ภพโผล่มาเสมอ พวกเราก็สงสัยนะแต่พอถามพี่ผมก็เฉไฉตลอด แล้วอยู่ๆ อาทิตย์ก่อนพี่มันก็พูดขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร บอกพ่อว่าตอนนี้มีคนที่ชอบ เป็นผู้ชาย แม่งโคตรบ้า ตอนพ่อได้ยินนี่แทบหงาย แล้วก็เริ่มมีปากเสียงกันจนผมกับพี่ฝนต้องช่วยห้าม ไม่ว่าพ่อจะพูดอะไรพี่พายุก็ยังยืนยันและบอกว่าอยากให้เจอก่อนแล้วจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงปล่อยคนนี้ไปไม่ได้ เสี่ยวเนอะ”

แสงแดดเล่าด้วยรอยยิ้ม และหันมายักคิ้วให้ผม

"อ่า แล้วไงต่อ"

"สุดท้ายแม่ก็เข้ามาไกล่เกลี่ย คืนนั้นเราทั้งบ้านก็เลยนั่งคุยกันพร้อมดื่มกันนิดหน่อย จริงๆก็ไม่หน่อยอะ แล้วพี่ยุมันก็เมาเล่าแม่งทุกเรื่องเลยรวมถึงสิ่งที่อยากทำกับพี่ด้วย พี่ผมโคตรลามกเลย พี่ต้องระวังนะ"

พี่ว่าไม่ทันแล้วว่ะ

"แล้วอยู่ๆ พ่อก็ไม่ห้ามแถมบอกว่าให้พามาที่บ้าน แล้วพี่ก็มานี่ไง พี่ผมมันชอบพี่มากนะ"

“อะ อืม"

“ผมว่านั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อยอมลงให้ ยิ่งพอได้เจอพี่เมื่อวานผมว่าพ่อก็คงยอมพี่พายุแล้วแหละไม่งั้นไม่พูดเล่นด้วยขนาดนี้หรอก”

ผมฟังที่แสงแดดพูดมาตลอดทาง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่เหมือนหัวใจผมพองโต ผมก็ไม่รู้ว่าครอบครัวมันเห็นอะไรในตัวผมถึงยอมเปิดใจ แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดีกว่าที่ผมกังวล แสงแดดส่งยิ้มให้ผม สองเท้าก้าวเดินก่อนมาหยุดที่โต๊ะกินข้าว ผมเดินตามน้องมันไปนั่งลงข้างๆ ส่งยิ้มทักทายพี่ฝน กับคุณพ่อ ที่พยักหน้ารับไหว้ผมนิ่งๆ

“พายุหล่ะภพ”

“เข้าห้องน้ำอยู่ฮะ”

“งั้นเรากินกันก่อนเลยเนอะ” ลุกเดินตามพี่ฝนเข้าไปในครัว ช่วยถือจานกับข้าว ออกมา ผมเป็นเด็กดีปะหล่ะ

“ขอบคุณจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”

“สบายครับ”

“ภพไปนั่งเถอะเดี๋ยวที่เหลือพี่กับแม่ยกไปเอง”

“อ่า ไม่เป็นไรครับผมช่วยดีกว่า”

ผมถือจานข้าวมาวางให้คุณพ่อก่อน แล้วส่งให้แสงแดดที่ยื่นมือมารับ หันกลับจะเดินเข้าไปเอาที่เหลือ พี่ฝนกับแม่ก็เดินกลับออกมา

“นั่งๆ พี่เอาของภพออกมาให้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“ทำไมพายุมันยังไม่ลงมาอีก”

น่าจะอีกสักพักเลยครับพ่อ ลูกพ่อมันบริกรรมคาถาอยู่

“ผมมาแล้ว” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของร่างสูง มันเดินเข้ามาไล่แสงแดดให้ลุกจากที่นั่ง แล้วมันก็เขามานั่งลงข้างๆผมแทน 

“สบายตัวแล้วเหรอ”

ก้มลงไปกระซิบแซวมัน ชอบพูดแบบนี้กับกูนัก กูพูดบ้างมึงจะได้รู้ว่าเวลาโดนพูดกามๆใส่มันรู้สึกยังไง

แต่สกิลผมคงห่างจากมันอีกหลายขุม

“ไม่เท่ามึงเมื่อคืนหรอก ร้องไม่หยุด”

สัด มันเล่นกลับแรงกว่าอะ หน้าผมร้อนผ่าว หลบตามัน แล้วถอยตัวออกมานั่งหลังตรง แม่งเอ๊ยไม่น่าเล่นเลยกู

ทว่าไอ้พายุมันกลับขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูผม

“ครั้งหน้า กูจะให้มึงช่วยกูบ้าง”

ไม่เอาโว้ยยย ฮืออ

"พายุแกล้งไรภพอ่ะ ทำไมน้องทำหน้าจะร้องไห้แบบนั้น" ผมมองพี่ฝนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มองสายตาทุกคนที่มองมาที่ผม

"ไม่ได้ทำไรเลย ภพมันคงหิวมากเมื่อวานกินน้อยไปหน่อย"

"เอ้า ภพไม่ต้องเกรงใจนะลูก กินเยอะๆเลย"

"ครับแม่"

"พี่ลองนี่ๆ" แล้วแสงแดดก็ตัก หมูทอดใส่จานผม

"ขอบคุณนะ"

เช้านี้ผมว่าผมผ่อนคลายขึ้นเยอะ ผมกินข้าวได้มากขึ้นกว่าเมื่อวาน พูดคุยได้คล้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

"งั้นแบบนี้ภพก็มาอยู่กรุงเทพฯคนเดียวเหรอ"

"ใช่ครับ" ตอบพี่ฝน พลางตักข้าวเข้าปาก

"เหงาแน่เลย"

"ก็มีบ้างครับ แต่งานที่เรียนเยอะ ถ้าเหงาๆผมก็ไปอยู่ห้องเพื่อนไม่ก็เพื่อนมาห้องผม" ยกมือปิดปากพลางตอบคำถามไปด้วย ข้าวก็จะกินคำถามก็ต้องตอบ

"เหงาๆก็แวะมาบ้านเราก็ได้ ให้พายุพามา หรือ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ที่บ้านต้อนรับเสมอนะจ๊ะ"

"ขอบคุณครับ ไว้ผมจะมาฝากท้องบ่อยๆ คุณแม่กับป้าจันทร์ทำกับข้าวอร่อยมากเลย"

ผมพูดแล้วส่งยิ้มให้คุณแม่ไม่ลืมหันไปยิ้มให้ป้าจันทร์ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งคู่ยิ้มตอบผมอย่างใจดี

"พายุ แม่ชอบนะ พาภพมาบ่อยๆหล่ะ"

"ได้ครับ แต่ผมว่าผมจะขอพ่อกับแม่ย้ายไปอยู่ห้องภพ"

"ห๊ะ" ผมหันไปมองหน้ามัน คิดว่ามันลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก

"อะไรกัน" พ่อวางช้อนส้อมแล้วพูดเสียงเรียบ ใบหน้าดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"บ้านเรารถติดอะพ่อ หลังๆผมตื่นไปเรียนไม่ทันด้วย คอนโดไอ้ภพอยู่ใกล้มอ เดินทางสะดวกกว่า"

"ไอ้พายุ แต่กูยังไม่ได้ตกลงจะให้มึงไปอยู่ด้วยเลยนะ"

ผมบอกมันผมไม่ได้ล้อเล่นหรือพูดแค่เพราะพ่อแม่มันอยู่ตรงนี้ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ความรักครั้งก่อนของผมก็รวดเร็วแบบนี้และมันก็ดูฉาบฉวยมาก ถูกใจพามาอยู่ด้วยกัน แล้วสุดท้ายความตื่นเต้นถูกใจนั้นก็จางหายไปทุกวัน ผมยังไม่อยากให้อะไรมันดูง่ายไปหมดทั้งๆที่เรายังเรียนรู้กันไม่มากพอ แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมว่าบางอย่างยังเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ไอ้พายุมองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจ ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่เสียงหัวเราะต่ำๆจะดังขึ้นที่หัวโต๊ะ

"หึ สมน้ำหน้า รีบร้อนดีนัก" คุณพ่อพูด ท่าทางดูสะใจที่ผมปฎิเสธลูกเขา

"กูจะย้ายไปห้องมึง มึงจะได้ไม่เหงาไง" มันยังคงพูดยืนยันแต่ด้วยเสียงที่ดูอ่อนลง จนแทบจะเหมือนอ้อนผม แต่อ้อนตีนนะ สายตาแม่งมาอีกแล้วสายตาแบบลูกหมา ให้ตายดิ ไอ้พายุมันมีกี่เวอร์ชั่นว่ะ

"อย่าไปยอมพี่มันนะ พี่ภพ"

"ไอ้แสงแดด!"

หันไปพยักหน้าให้แสงแดด ถึงน้องมันไม่ทัก ผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว

"กูมีเพื่อนเยอะแยะ เรื่องย้ายมาไว้ก่อนเหอะ"

เรามองกันนิ่ง และครั้งนี้ผมไม่ยอมแพ้มันแน่ๆ ผมยังไม่พร้อมจริงๆ สุดท้ายไอ้พายุก็ถอนหายใจ

"ก็ได้"

"โคตรหงอเลยพี่ผม"

"สมน้ำหน้า"

"ภาพหายากนะ แม่น่าจะอัดวิดีโอไว้"

"อะพอๆอย่าซ้ำเติมยุกันเลยคะ แค่นี้ก็หมาสุดๆแล้ว ภพกินข้าวต่อเถอะ"

"ครับ"

"แกงจืดก็อร่อยน่ะลองดูสิ" ผมพยักหน้ารับ ขยับตัวยื่นจานไปรับเต้าหู้ไข่ที่พ่อตักให้ ด้วยรอยยิ้ม พ่อดูแฮปปี้จังนะครับ พ่อแฮปปี้ผมก็แฮปปี้ครับ

*

“ขับรถดีๆ นะมึง ชุดมึงเดี๋ยวกูซักแล้วเอามาคืน”

ก้มมองเสื้อยืดสีขาวสกรีนภาพ'เดอะสครีม'ที่ชูสองนิ้ว กับกางเกงตัวใหม่เอี่ยมที่พึ่งได้มาเมื่อวาน ตอนแรกก็จะเอาเสื้อใหม่มาใส่กลับ แต่มันก็พูดอยู่นั่นว่าเสื้อที่พึ่งซื้อต้องซักก่อนใส่ รู้มั้ยว่ามันสกปรกผื่นขึ้นหลังได้บลาๆ สุดท้ายขี้เกียจเถียงกับมัน ก็เลยจำใจใส่เสื้อมันกลับมา

ก่อนหน้านี้เรื่องที่โต๊ะกินข้าว มันทำตีหน้าเศร้าไปงั้นแหละ ผมรู้ทันหรอก เพราะแวบหนึ่งผมเห็นมันลอบยิ้ม หลังจากเมื่อคืนผมก็มั่นใจว่าไอ้พายุมันเจ้าเล่ห์จะตาย เผลอๆตอนนี้มันคงคิดวิธีหว่านล้อมผมอยู่แน่ๆ

“ไม่ต้องกูมีหลายตัว”

“เออๆ ตั้งใจทำงาน”

"มึงก็ทำงานด้วยเดี๋ยวไม่ทันมึงก็งอแงอีก”

“ใครงอแง กูไม่เคยย”

“เหรออ ค่ำๆ เดี๋ยวกูแวะมา"

"มาทำไมอี๊กก”

“เออหน่าลงไปได้แล้ว”

ไอ้พายุขับรถมาส่งผมที่คอนโดในช่วงบ่ายๆ ครั้งนี้มันขับรถดีขึ้นเยอะแม้รถจะโล่งแค่ไหนมันก็ไม่เหยียบมิดให้ผมหวั่นใจ ลงจากรถมัน ยืนมองรถออดี้สีควันบุหรี่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา หันหลังก้าวเดินเข้าคอนโด พายุมันต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนมันต่อ คิวแม่งเยอะ ส่วนผมนะเหรอบ่ายวันอาทิตย์แบบนี้ ขอนอนก่อนแล้วกัน เมื่อวานแม่งมหกรรมชีวิต มีเรื่องให้ตื่นเต้นทั้งวัน ขอพักใจหน่อย ดึกๆ ค่อยลุกมาปั่นงานก็ไม่สาย เตะคีย์การ์ด เข้าห้องล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินไปทิ้งตัวที่โซฟา กะจะอัปเดตข่าวสารซะหน่อยตามประสาคนต้องติดตามแทรนด์โลก

กรรมแบตหมด

เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าดึงสายชาร์จออกมาเสียบ ระหว่างรอให้มันฟื้นผมก็ลุกเดินไปเปิดตู้หยิบน้ำมากระดกดื่ม



RRR~

พอเครื่องเปิดปุ๊ป เสียงก็ดังปั๊ป รีบเดินไปนั่งลงกดสไลด์รับสายอย่างรีบร้อน เผื่อเป็นอะไรฉุกเฉินที่ผมพลาดไปตอนเครื่องปิด

“ฮัลโหลครับ"

[สุภาพทำเหี้ยไร นี่กูเอง พิม]

“ว่าไง"

[เปิดเครื่องสักทีเนอะ เมื่อคืนพวกกูโทรหากันให้วุ่น]

“โทษๆ กูลืมชาร์จ มีเรื่องอะไรกันวะ"

[มึงเข้าไปดูในไลน์กลุ่ม ตอนนี้เลย ไม่ต้องวางสายเปิดลำโพงไว้]

“เออๆ แปป"

มีเรื่องอะไรกัน ผมกดเปิดลำโพงแล้วเปลี่ยนไปเข้ากลุ่มแชท

[เข้ายัง]

“เข้าแล้ว คุยอะไรกันเยอะแยะ"

[เลื่อนไปอ่านที่จารย์ภูโพสต์]

“ใจเย็น หาแปป"

[เจอยัง]

“แปปเส่! เจอแล้ว อ่านก่อน”

[ด่วนๆ ]

เร่งจริงโว้ย ผมไล่สายตาไปตามข้อความ
A.J Phu : อาจารย์มีข่าวมาแจ้งค่ะ เนื่องจาก อาจารย์ได้รับเชิญจากมอเชียงใหม่ ให้ร่วมสัมมนาการพัฒนาสินค้าท้องถิ่น โดยได้โค้วต้าให้นักศึกษาชั้นปีที่สองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนห้าคน ซึ่งกิจกรรมจะจัดทั้งหมด4วัน3คืนที่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เดินทางวันอังคารที่13นี้โดยรถไฟ(ไม่มีค่าใช้จ่าย) ส่วนขากลับถ้าใครต้องการนั่งเครื่องกลับรบกวนแจ้งอาจารย์ภายในวันพรุ่งนี้(จ่ายค่าเครื่องเองนะคะ) ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน อาจารย์จึงขอเสนอชื่อคนที่จะเข้าร่วมดัง..



“มึง อย่าบอกนะ"

ผมหยุดอ่านแล้วกรอกเสียงถามพิม อย่างหวั่นๆ

[เออออออ เราคือผู้โชคดี ไอ้สัด]

“เหี้ย แล้วมีแค่กูกับมึงอ๋อ"

[อ่านถึงรายชื่อยัง]

“ยัง”

[มึงก็อ่านให้จบสิโว้ยค่อยพูด]

ผมกลับมาโฟกัสตัวอักษรตรงหน้าอีกครั้ง



อาจารย์จึงขอเสนอชื่อคนที่จะเข้าร่วมดังนี้

นาย นนน สันติวงศ์ตระกูล

นาย เอกภพ ติวัฒณะ

นาย ชาตรี คงกระพัน

นางสาว พิมมาดา โสพิพิธวรรณ

นางสาว พรรณณิษา…..

“ทั้งกลุ่มเลยนี่หว่า”

[เอออ]

“ซวยฉิบหาย แค่นี้กูก็เรียนจะไม่ทันแล้วนะ”

[เมื่อคืนพวกกูก็โวยวายแบบมึงเนี่ยแหละจ้า]

[แต่จารย์บอกจารย์ส่งรายชื่อไปแล้ว เกิดรักอะไรกูขึ้นมาก็ไม่รู้วว]

เสียงไอ้โทนี่ดังแทรกเข้ามาในสาย

“กระชั้นชิดด้วยนะ ไปอังคารมีเวลาเตรียมตัววันเดียว?”

[เออ กูไปคุยกับพี่ในสายมาเขาบอกจริงๆสัมมนาอ่ะปีสามต้องไปแต่เหมือนทางนู้นเลื่อนวันขึ้นมาแล้วมันตรงกับปีสามพรีเซ้นต์ซีเนียร์ ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นเอาเราไปแทน]

“กูไม่อยากไปอ่ะ”

[กูก็ไม่อยากกกก]

“แล้วไกลโคตรร"

[ไกลไม่ว่าเสือกให้นั่งรถไฟไป กี่ชมอะมึงคิดดู]

“เทไม่ได้ ใช่ปะ หรือเราจะนั่งเครื่อง"

[กูถามแล้ว ขาไปเขาบังคับนั่งรถไฟว่ะ แต่ขากลับพวกกูคิดอยู่ว่าเอาไงก็รอมึงเนี่ยย หายหัวติดต่อไม่ได้ สรุปเมื่อคืนไปไหน]

[เอออีดอก ไม่มาช่วยพวกกูคุยกับจารย์ พวกกูติดต่อมึงไม่ได้จนห่วงไปหมดอีนนนนี่หนัก ห่วงมากกลัวมึงตายเลยไปหาที่ห้อง แต่มึงไม่อยู่ วุ่นวายกันไปหมด ประสาทจะแดก] ไอ้โทนี่พูดรัวๆ

“โทษๆ กูไปบ้านไอ้พายุอ่ะ แล้วเผลอหลับไป”

[อูยย เข้าบ้านกันแล้วว่ะ แล้วได้มะ]

“ได้ไร”

[ได้เอ็นดูกันมั้ย]

“เอ็นดูอะไรวะ ก็ปกติ”

[อีภพอย่าทำเป็นอินโนเซ้นนนส์] เสียงไอ้โทนี่ดังแทรกมาอีกแล้ว

“มันอาจจะไม่ทันจริงมึง ภพมึงกลับคำสิๆ”

ดู เอ็… โว้ยยยย พวกเหี้ย

“มึงนี่นะ ทำตัวให้มันเหมือนผู้หญิงบ้างได้มั้ย”

[ก็อยากรู้อ่ะ ได้ดูม่ะ]

"ไม่ได้ดูโว้ยย แล้วนี่อยู่ไหนกัน”

[ฮ่าๆ ห้องไอ้นนน มาปะ]

“เออเดี๋ยวไป รอแบตเต็ม”

[รีบมา เอางานมึงมาทำห้องกูด้วยก็ได้]

“ห้องใครนะ”

[ห้องพ่อกูก็เหมือนห้องกูจ้าา]

รำคาญมันจริงๆ วางสายจากไอ้พิมเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้าห้องนอนจัดของใส่กระเป๋า หยิบชุดนิสิตพับใส่ไปด้วยเผื่อนอนนู่นเลย แล้วก็นึกได้ว่าไอ้พายุมันบอกจะแวะมานี่หว่าเดินกลับออกมาจากห้องกดโทรหามัน รอสายไม่นาน เสียงเรียบๆ คุ้นหูก็ดังขึ้น

[ว่า]

[ไอ้เหี้ยย มึงไปทางขวาเส่/อย่าเตะกูๆๆ ไอ้เหี้ยยย กูจะตายๆๆ กูตาย]

"เสียงดังจังวะทำไรอยู่”

[พวกไอ้คินมันเล่นเกม โทรมามีอะไรรึเปล่า]

“เออมี มึงกูจะออกไปห้องเพื่อนนะ มึงไม่ต้องแวะมา”

[ไปห้องใคร พิมเหรอ]

มันถามเสียงเรียบท่ามกลางเสียงดังโหวกเหวก

"ห้องไอ้นนนอะ แต่ไอ้พิมกับโทนี่อยู่ด้วย”

[โอเค กลับกี่โมง ให้ไปรับมั้ย]

“ไม่ต้องๆ นอนนู่นเลย แล้วงานมึงเป็นไง”

[ยังไม่เริ่ม]

“แล้วทำมาว่ากู ก็พอกันแหละว้า”

[กูไม่ได้เล่นไง]

[คุยกะไอ้ภพอ่อวะ]

[อืม]

[ไอ้ภพ ว่างๆ มาตี้ห้องกูได้นะเว้ย]

เสียงไอ้มิกซ์ปะวะ ไม่แน่ใจ พวกมันเสียงดังมาก

[ไม่ต้องไปฟังมัน มึงถึงห้องเพื่อนแล้วบอกกูด้วย]

“โอเค ทำงานได้แล้วมึงอะ จะได้กลับบ้านเร็วๆ บ้าง”

[ครับเมีย]

“เมียพ่อง”

ผมกดตัดสาย แต่ก็ทันได้ยินเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของมันอยู่ดี เดินกลับเข้าไปเก็บของ แล้วออกจากห้อง เดินทางไปห้องไอ้นนน โดยรถไฟฟ้า แสนสะดวกสบายและราคาที่ปรับขึ้นอีก ใช้เวลาไม่นานผมก็มายืนใต้คอนโดที่คุ้นเคย กดโทรหาไอ้พิม ให้มันลงมารับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2020 02:05:28 โดย tantiya »

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ยืนรอได้สักพัก ประตูตรงหน้าก็เปิดออก พร้อมร่างไอ้นนนที่โผล่ออกมา ผมแทรกตัวเข้าไป เดินตรงเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดค้างรออยู่ มันก็เดินตามมาติดๆ เข้ามาเตะบัตร กดชั้นเงียบๆ ตามสไตล์ แล้วก็เป็นผมที่เปิดประเด็น

“เมื่อคืนโทษนะมึง”

“อืม มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“มึงก็ห่วงกูเกินไป แล้วนี่เตรียมของยัง”

“ยัง นั่งเคลียร์งานอยู่”

“กูไม่อยากไปเลยว่ะ”

“ทำไงได้”

“เซ็งสาสส”

“แล้วกับไอ้พายุเป็นไงบ้าง”

ถามทำไมวะ

“ก็ปกตินะ เรื่อยๆ”

“กูว่ามันไม่น่าเรื่อยๆ นะ"

“ห๊ะ”

หันไปมองมัน อย่างสงสัย

"หลังคอมึงรอยโคตรชัด ปิดดีๆ เดี๋ยวสองคนนั้นเห็นก็ถามให้วุ่นวายอีก”

แม่งเอ๊ยยย ยกมือลูบหลังคอตัวเอง แล้วเดินตามมันออกจากลิฟต์

เราเดินไปจนสุดทางเดิน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงดัง โวยวาย ไอ้นนนเดินนำเข้าไปโยนคีย์การ์ดไว้บนตู้วางรองเท้าแล้วเดินแยกไปห้องนอน ผมเดินเข้าไปหาไอ้สองคนที่เอกเขนกกันอยู่ที่โซฟา

“ไงพวกมึง”

“ไอ้ภพ มึงมาพอดีเลย ช่วยกูดูหน่อย ตรงนี้กูใส่ไรเพิ่มอีกดีมั้ยหรือโอเคแล้ว อีพิมแม่งช่วยไรไม่ได้เลย”

ผมนั่งลงข้างโทนี่ มองภาพสเก็ตมัน

พรึ่บ

“เห็นมึงบอกหนาว ใส่ดิ”

ไอ้นนนโยนเสื้อ ฮู๊ดตัวใหญ่มาให้ผม มองหน้ามันเป็นเชิงถาม ร้อนจะตายห่าให้กูใส่ เพื่อ?

แล้วมันก็เอามือลูบๆ หลังคอ แล้วบุ้ยปากไปทางไอ้สองคนที่ก็มองมันอยู่เหมือนกัน ไอ้เหี้ยยบอกกูไม่ให้มีพิรุธ มึงเนี่ยโคตรพิรุธ

“มึงหนาวเหรอวะไอ้ภพ”

น้านไง พิมมันเริ่มแล้ว มันเริ่มมองสำรวจผม อย่างจับผิดไอ้นี่มันจมูกไวยิ่งกว่าหมา

“เออๆ เสื้อกูบางอะ”

พูดจบก็รีบสวมเสื้อทับทันที

“พวกมึงแปลกๆ นะ แต่ช่างเหอะ ไอ้นนนมึงควรเลิกดูแลไอ้ภพแบบนี้ได้แล้ว มันโตจนจะมีผัวแล้ว”

“ไอ้สัดพิม”

“เออๆ กูพยายามอยู่”

“เห็นมึงพูดงี้ทุกที แล้วก็ทำแบบเดิม ภพมึงก็ด้วยอย่าอ้อยให้มากนักรู้ว่าเขาชอบนี่ก็อ้อยจัง”

ห๊ะ กูอ้อยตอนไหน แล้วมันรู้เหรอว่า

“เออพวกกูรู้นานแล้วว่านนนมันแอบชอบมึง หมั่นไส้มึงสัดๆ”

“มึงมันมีดีตรงไหนวะ คนถึงได้แย่งกันนัก”

มันรับส่งกันสนุกเลย มีแค่ผมกับไอ้นนนที่ยังเงียบอยู่

“จริง! กูนะ ก็ตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ ทำไมไม่ชอบ เสือกชอบอีเหี้ยนี่”

“แหมม มั่นมากอีดอก”

“ก็กูมีดี”

“ยกเว้นปากมึง/ยกเว้นปาก/ยกเว้นปากมึงอ่ะ” พวกผมพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรามองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมา พร้อมเสียงด่า ของไอ้พิมพ์ที่ดังจนชวนปวดหัว ใครจะทนมันได้วะ อ่อ แต่ก็เห็นมีอยู่คนหนึ่ง

เมื่อวานจนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้บอกไอ้พายุว่าวันอังคารจะต้องไปเชียงใหม่ กะว่าจะบอกมันวันนี้แหละ เพราะมีเรียนรวมตอนเช้าตัวเดียวกัน เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน มัวแต่นั่งเคลียร์งาน เสร็จไปส่วนหนึ่ง เดี๋ยวที่เหลือเอาไปทำต่อ ตอนไปเชียงใหม่ด้วย ไอ้พายุเองก็เงียบหายมันน่าจะยุ่งๆ กับงานมันอยู่ผมเลยไม่ได้โทรไปกวนอะไร เข้าใจดีว่าเวลาทำงานมันต้องใช้สมาธิ

พวกผมเดินไปนั่งที่ประจำ สายตาก็สอดส่องหามันทั่วห้อง ไร้วี่แววของคนตัวสูง ยังไม่มาเหรอวะ กำลังจะกดโทรหามัน เพราะอีกไม่กี่นาทีอาจารย์ก็น่าจะเข้าแล้ว ก็พอดีกับที่สายตาผมเห็นพวกมันเดินเข้ามา นำทีมมาด้วยไอ้โอบ และไอ้มิกซ์ ที่ใบหน้ามีรอยฟกช้ำไปกัดกับหมาที่ไหนมา แล้วผมก็เห็นคนตัวสูงที่เดินตามหลังไอ้คินเข้ามา ใบหน้าฟกช้ำไม่ต่างจากไอ้มิกซ์ เห็นแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเข้าไปหามันทันที

“ไอ้พายุ”

มันหันไปพยักพเยิดให้ไอ้คิน แล้วเดินแยกออกมาหาผมก่อนจูงมือไปคุยที่มุมห้อง พอมองใกล้ๆ แล้วปลายคางมันดูเขียวๆ แล้วยังมีแผลมุมปากอีก ไปฟัดกับใครมา เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย

“ไง เมื่อคืนนอนกี่โมง"

มันส่งยิ้มบางๆ แล้วยกมือขยี้หัวผมเบาๆ

“หน้ามึงไปโดนอะไรมา"

“ไม่มีไรหรอก”

“กูเห็นไอ้มิกซ์ก็มี พวกมึงไปมีเรื่องกันมาเหรอ”

“นี่กินข้าวเช้ายัง”

“ไอ้พายุ มึงตอบกูก่อนดิ มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกวะ กูเป็นห่วงนะ”

มันเงียบมองผม ก่อนถอนหายใจเล็กน้อย

“ทะเลาะกับไอ้มิกซ์”

“ห๊ะ ถึงขั้นต้องต่อยกันเลย”

“นิดหน่อยเอง”

“ใครเริ่มก่อน”

“กู”

“อ่าว”

“ฮ่าฮ่าๆ ทำไมถ้ามันเริ่มก่อนมึงจะไปต่อยมันให้กูคืนเหรอ”

“เออดิ”

“มึงแม่ง”

“อะไร เป็นบ้าเหรอ ยิ้มอยู่ได้ แล้วทะเลาะเรื่องอะไรกัน”

“เรื่องงาน"

"เรื่องงาน? ถามจริง เถื่อนไปมั้ย"

"ช่างมันเหอะ"

"แล้วทำแผลยัง"

"เมื่อคืนไอ้แดดทำให้แล้ว และสรุปมึงนอนกี่โมง”

“เกือบตีสองอะดิ แต่งานกูเสร็จนะ”

“เก่งครับเก่ง” มึงสิเก่ง ขยี้หัวกูเก่ง

“เออมึงเกือบลืม พรุ่งนี้กูไปเชียงใหม่นะ กลับมาอีกทีวันศุกร์ดึกๆ”

“ห๊ะ ไปทำไร”

“ต้องไปสัมนากับอาจารย์อะ จารย์มัดมือชกเหี้ยๆ”

“พึ่งรู้? แล้วไปยังไง”

“พึ่งรู้เมื่อวานเลย งานไฟลน ไปรถไฟ นั่งยาวๆ เกือบสิบเอ็ดชั่วโมง”

“มีเพื่อนไปด้วยใช่มั้ย”

“ใช่ๆ โดนทั้งกลุ่มอย่างเซ็ง”

“คิดซะว่าไปเที่ยว”

“กลัวจะไม่ได้เที่ยวอะดิ ต้องเอางานไปทำด้วย”

“งั้นคืนนี้กูไปนอนห้องมึงนะ พรุ่งนี้กูไปส่งไม่ได้ มีเรียนเช้า”

“โทษว่ะ แต่กูว่าจะไปนอนห้องนนนแล้วพรุ่งนี้ออกพร้อมพวกมันเลย”

“อ๋ออ”

เสียงจ๋อยเชียว ทำไมมันดูเหมือนไอ้ไมโลหมาผมอีกแล้วว่ะ

“แต่มึงแวะมาช่วยกูจัดกระเป๋าก็ได้นะ กูไปห้องไอ้นนนช่วงดึกๆ ได้”

“โอเคตามนั้น”

โคตรเหมือน เหมือนเห็นหางมันกระดิกเลย

ผมส่งยิ้มให้ไอ้พายุ ที่ก็ยิ้มให้ผมอยู่ แล้วเอื้อมมือไปแตะมุมปากมันเบาๆ เจ็บมากปะวะ ปากกำลังจะขยับปากถาม

“สองคนตรงนั้นนะคะ คุยกันเสร็จรึยังคะ จารย์เปิดสไลด์รอจะสิบนาทีแล้ว เห็นอาจารย์เป็นอากาศตลอดเลยเด็กพวกนี้”

ผมหันขวับ รีบก้าวเดินไปที่นั่ง โดยมีร่างสูงเดินตามผมมาติดๆ ก่อนแยกไปนั่งกับเพื่อนมัน ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้พิมที่ยิ้มปากฉีก ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในห้อง เขินว่ะ หันมองหน้าห้องเรียน อ่าวันนี้จารย์สาขาผมเป็นคนสอนด้วย ไม่น่าพลาดเลยยกู จารย์ยิ่งขี้เม้าท์อยู่



“เมื่อกี้มึงสองคนแม่งโคตรตลก ยืนคุยกันยังกะโลกมีแค่สองเรา”

“ขนาดจารย์เดินผ่าน ยังไม่เห็นเขาเลย”

“ตลกสุดคือจารย์ก็นั่งดูมันคุยกันงุ้งงิ้ง เอดอก”

“อย่าว่าแต่จารย์ ทั้งห้องอะ ไอ้เหี้ย”

“ทำไมไม่คบกันให้จบๆ พวกกูเชียร์จนเยี่ยวเหนียวแล้ววว”

เอิ่ม ด้านบนนั่นคือบทสนทนาของไอ้คิน ไอ้โอบ ไอ้โทนี่ แต่ที่ยกให้เป็นที่สุดคือประโยคสุดท้าย ผมอยากพูดประโยคเดิม ไอ้พิมมันยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้างมั้ย ถ้าเป็นแม่มันจะตีมันวันละหลายๆ ที

เรานั่งกินข้าวกันอยู่ที่แคนทีนคณะทันตะ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รวมกลุ่มมานั่งกินข้าวด้วยกันแบบไม่มีของมึนเมา พวกมันเข้ากันได้ดี คุยกันสนุก ตบมุกกันโบ๊ะบ๊ะเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน ผมมองไปทางไอ้นนน ที่นั่งข้างไอ้แบงค์ ขนาดคนเงียบๆ อย่างมันยังคุยไม่หยุด ได้ยินมันพูดเรื่องเกมกันมาจะสิบนาทีแล้ว ก็ดีอะนะที่พวกมันเข้ากันได้ แต่ไอ้พวกที่เหลือเนี่ยทำผมประสาทจะแดก อ่อ เว้นไอ้มิกซ์ไว้คนวันนี้แม่งนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา แถมไม่สบตาผมเลยด้วยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมก็ลองถามไอ้พายุแล้วนะแต่มันก็บอกแค่ว่า ไม่รู้

“มึงหยุดเสือกเรื่องกูได้ปะ รีบกินเดี๋ยวขึ้นเรียนไม่ทัน"

ไอ้คนที่นั่งข้างผมนี่ก็ไม่ช่วยกันเลย นั่งนิ่งฟังพวกนี้พูดอยู่ได้

“ไม่ใช่เสือกเขาเรียกใส่ใจ”

“เลิกใส่ใจ ไม่ต้องรักกูกันมากก็ได้ กูขออ"

“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด เออๆ หยุดก็ได้"

ในที่สุดพวกมันก็ก้มลงกินข้าวเงียบๆ สักที ผมตักหมูกรอบเข้าปากได้คำเดียว เสียงเล็กๆ ของไอ้พิมก็ดังขึ้นมาอีก มึงยังไม่หยุดอีกกก

“ภพ มึงบอกพายุเรื่องเชียงใหม่ยัง"

“บอกแล้วว ยุ่งกับกูจัง"

“กูก็แค่เตือนมั้ย กลัวมึงลืมไง"

“เสื… เห้ย หมูกรอบกูวว"

ผมที่กำลังจะเถียงกับไอ้พิม เป็นต้องหยุดแล้วมองตามช้อนที่เข้ามาขโมยหมูกรอบไปจากจานผม หันมองหน้าไอ้พายุที่ตักหมูกรอบใส่ปาก เคี้ยวหน้าตาเฉย มันสตีลหมูกรอบโผมม

“เห็นพูดอยู่นั่น นึกว่าอิ่มแล้ว”

“ยังไม่ทันกินเลย! หมูกรอบกู”

ป้ายิ่งให้มาน้อยๆ อยู่ด้วย ผมหันกลับมาที่จานข้าวตัวเอง รีบตักเข้าปากก่อนแม่งจะแย่งผมอีก ชอบจัง เวลาเห็นกูกินมูมมามเนี่ย

“ค่อยๆ กิน" มันพูดแล้วตักหมูนุ่มมาวางในจานผมแทน

“เอี๋ยวอึงก็แอ่งอูอีก"

ข้าวเติมปาก ภพมึงควรใจเย็น บอกตัวเองในใจ แต่เรื่องกินมันไม่ได้ป่ะหมูกรอบที่หมูนุ่มก็แทนกันไม่ได้อะ

“ไม่แย่งแล้ว ค่อยๆ กิน”

“อีภพโคตรทุเรศ ข้าวกระเด็นจากปากมึงแล้วเนี่ย"

เพราะมึงเลยพิมเพราะมึงเลยยเคี้ยวๆ แล้วหันไปขยับปากด่ามัน

“เล่นกันเหมือนเด็กฉิบหาย แล้วพวกมึงจะไปเชียงใหม่กันเหรอ" เสียงไอ้คินถาม

“ช่ายย ต้องไปสัมมนาที่มอเชียงใหม่” ไอ้โทนี่ตอบ

“เอ้า จริงดิ ภพ มึงจำเพื่อนกูได้ปะ กัสอะ มันเรียนอยู่เชียงใหม่นะ ถ้าเจอก็ฝากทักทายด้วย”

“จำได้ที่สูงๆ เหมือนนายแบบ”

“นั่นแหละๆ”

“ไม่ต้องไปคุยกับไอ้กัสมาก เจอก็ไม่ต้องทัก”

หันมองไอ้คนข้างๆ แล้วพยักหน้ารับ ผมยังจำได้ว่าคราวที่แล้วตอนเถียงกับมันเรื่องนี้แล้วผมโดนอะไร เพราะงั้นเงียบๆ ไว้น่าจะดีกว่า

“หูยย หวงฉิบหายเลยเว้ย”

“เพื่อนกูก็เชื่อฟังดี๊ดี”

“มึงมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขาเนี่ยไอ้ยุ”

“สิทธิ์ของความเป็นผัวปะจ๊ะ”

ผัวผ่องง ไอ้พายุครับ แล้วมึงจะยิ้มทำเหี้ยไรหนักหนาเนี่ย





“เอายาไปเผื่อมั้ย"

“กูไปสัมมนาไม่ได้ไปรบ มึงนั่นแหละที่ควรพกยาคางม่วงแล้ว"

ผมนั่งจัดกระเป๋าอยู่กลางห้องรับแขก โดยมีไอ้พายุนั่งช่วยตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ มันชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กตลอด

“มึงมันซุ่มซ่าม เอายาไปเผื่อนิดหน่อยก็ยังดี"

“อืมๆ "

ลุกเดินไปหยิบกล่องยาที่ตู้ในห้องครัวแล้วเดินเข้าห้องนอนโกยสกินแคร์ลงกระเป๋า พอเดินออกมาจากห้องอีกครั้งก็เห็นไอ้พายุหยิบเสื้อผมออกจากกระเป๋า อะไรของมันอีกเนี่ย

“มึงทำอะไรวะ"

“เสื้อมึงตัวนี้บาง ไปเอาตัวอื่นมา"

“อะไรของมึงเนี่ยย บางตรงไหนน"

เดินเข้าไปวางกระเป๋าสกินแคร์ลง แล้วหยิบเสื้อที่มันเอาออกจากกระเป๋ามากาง บางยังไงสีดำด้วยซ้ำ แค่ผ้ามันพลิ้วๆ เอง

“ผ้ามันบาง ไปเอาตัวอื่น" มันพูดเสียงต่ำ เราจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สักพักสุดท้ายผมก็ถอย

“ยุ่งจริงๆ เลยมึงเนี่ย"

ผมเดินกลับเข้าห้อง ไปเปิดตู้เสื้อผ้า ยืนเลือกตัวใหม่ วุ่นวายจริงๆเลย มันก็ดีอยู่หรอกที่มันคอยเอาใจใส่แต่บางทีก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่ค่อยชินกับความโดนเจ้ากี้เจ้าการเรื่องแต่งตัวเท่าไหร่ ยืนฟิดฟัดเลือกเสื้ออยู่สักพักแล้วผมก็รู้สึกถึงมือหนา ที่สอดเข้ามากอดหลวมๆ อยู่ที่เอว ใบหน้ามันวางเกยบนไหล่ ตัวผมเกร็งขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ ก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงเมื่อเสียงมันดังข้างๆ หูผม

“โกรธเหรอ"

“มึงโคตรวุ่นวาย"

“ก็กูหวงอะ"

“…..”

อ่า ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายวับไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นแทน มันรู้สึกดีแปลกๆ แล้วมันจะมาพูดใกล้หูทำไมเนี่ย จั๊กจี้

“กูขี้หวงไปหน่อย จะพยายามลดๆ ลงนะ"

“มึงเป็นแบบที่มึงเป็นเหอะ เสื้อตัวนั้นมันก็บางไปจริงๆ”

ฮืออ ผมแพ้มันอะ อยู่ๆ ผมก็มองว่าเสื้อมันบางไปจริงๆ บ้าไปล้าวว ไม่นะแบบนี้ไม่โอเค หยุดพูดเสียงแบบนั้นข้างหูกูซะที แล้วผมก็รู้สึกถึงริมฝีปากที่กดจูบที่หลังคอผม เอาแล้ววว นี่ขนาดยังไม่คบกันถ้าคบกัน ผมจะมีแต่เสียเปรียบปะวะ พอกูยอมหน่อยก็ตอดเล็กตอดน้อยทุกวันเลยโว้ยย

“ปล่อยกูได้แล้ว จะเก็บของ"

จับมือหนาออกจากเอว ดึงตัวเองออกจากวงแขนหนา แต่มันก็รวบผมเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม ยื้อยุดกันอยู่สักพัก สุดท้ายผมก็ปล่อยเลยตามเลย สู้มันไม่เคยได้ เหนื่อย

“ไปถึงแล้วโทรหากูบ้างนะ กูเหงา”

“อือๆ รู้แล้ว”

“อย่ากินเหล้า”

“อันนี้ไม่รับปากได้มั้ย มันก็ต้องคิกคักกันบ้าง”

“คิกคักอะไร เดี๋ยวกูจูบนะ”

“สัด โอเคๆ จะพยายาม กูไม่เมาง่ายๆ ซะหน่อย”

ผมโกหกครับ ผมเนี่ยตัวเมาเลย

“มึงอะตัวดีเลย ดูแลตัวเองไม่ได้ชอบบ้าไปตามพิมกับโทนี่”

“คิกคักหน่า อื้ออ”

ผมว่าผมเห็นอนาคตตัวเองรำไร ผมคงต้องตายคาอกมัน เข้าสักวัน



*


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0


เมื่อคืนหลังคุณพายุเข้าจูบผมจนพอใจ ขนาดแม่งจูบไปบ่นเจ็บปากไปนะยังเล่นเอาผมแทบเหลวกองอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ผมจัดกระเป๋าต่อ อันที่จริงคือไอ้พายุเป็นคนจัด ส่วนผมได้แค่นั่งมองมันยัดเสื้อผ้าและข้าวของลงกระเป๋า แล้วมันก็พาผมมาส่งถึงมือไอ้นนน แบบว่าถึงมือจริงๆ มีการจับมือแลกเบอร์กันและย้ำว่าถ้าผมว่อกแว่กให้โทรบอกได้ตลอดซึ่งไอ้นนนก็รับปากอย่างดี งงมาก มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ จากที่ก่อนหน้านี้ยังฮึ่มฮั่มใส่กันที่ร้านข้าวอยู่เลย ตามอารมณ์พวกมันไม่ทัน ก่อนไอ้พายุจะไปไม่วายกำชับว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ และโทรหามันบ้าง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับ ทำอย่างกับผมไปเป็นปี นี่ไปแค่4วันไง เล่นใหญ่เล่นโต

วันรุ่งขึ้นพวกผมเดินทางมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงในช่วงเวลาแปดโมงเช้า สองเท้าก้าวเดิน แบกเป้ใบใหญ่ไว้ที่หลัง แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามากระทบใบหน้า ให้ความอบอุ่นมากกว่าแดดตอนเที่ยงที่ร้อนจนแสบผิว ผมเดินตามหลังพิม มันอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาว พร้อมนอน ผมเองก็อยู่ในชุดสบายๆ เราเดินผ่านกลุ่มคนที่นั่งรอเรียงรายกันจนแน่นขนัด นักท่องเที่ยวยุโรปสองสามคนนอนกันอยู่ที่พื้นโดยใช้กระเป๋าหนุนแทนหมอน ได้ฟิวของการเป็นแบ็คแพ็คเกอร์สุดๆ

ในที่สุดเราก็เข้ามาถึงด้านในเรายืนกันอยู่ที่จุดนัดหมาย รอเพื่อนคนอื่นๆ และอาจาร์ยที่ยังมาไม่ถึง ผมมองไปทางซ้ายมือ ที่มีรถไฟสีขาวแดงดูคลาสสิคจอดอยู่ จากตอนแรกที่ไม่อยากไป ความรู้สึกผมก็เปลี่ยนทันทีเมื่อมาถึงสถานี ผมไม่เคยขึ้นรถไฟเลย นี่จะเป็นครั้งแรก ดังนั้น ผมจึงอดตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ ทางขวารางรถไฟยังคงว่างเปล่า

“หวังว่าจารย์จะให้เราไปรถไฟแอร์นะ กูไม่ไหวกับความร้อนของประเทศไทย"

“หน้ากูเยิ้มหมดแล้ว"

ผมฟังพิมกับโทนี่พูด เมื่อคืนมันก็พูดแต่เรื่องนี้ กังวลถึงขนาดพิมพ์ไปถามอาจารย์แต่จารย์ผมครับจารย์ผม บันเทิงเสมอต้นเสมอปลาย บอกว่าให้รอดูหน้างาน

สำหรับผมแล้วผมได้หมด จะแบบคลาสสิคหรือรถไฟใหม่ติดแอร์ ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นอยู่ดี



ยืนรอได้ไม่ถึงสิบนาที อาจารย์ก็เดินลากกระเป๋าใบย่อมๆ สับเท้าฉับๆเข้ามาหา พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ผมหวั่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น ผมยกมือไหว้ แล้วส่งยิ้มที่คิดว่าเปรมปรีดิ์ที่สุดกลับไปให้

“มากันครบมั้ยคะ"

“ขาดพิวค่ะ กำลังเดินขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน"

“โอเค งั้นรับตั๋วกันไปก่อน"

“แอร์มั้ยคะจารย์"

ไอ้พิมรีบถาม

“แอร์สิคะพิม"

ผมเห็นไอ้พิมยกยิ้มกว้าง ไอ้โทนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีใจกับมันด้วย หน้ามึงจะไม่ฉ่ำวาวไปกว่านี้แล้ว ไอ้นนนยังคงยืนเงียบตามสไตล์

ไม่กี่นาทีต่อมา พิวก็วิ่งหน้าตาตื่นหอบกระเป๋าสองใบสามใบเข้ามา มันจะย้ายบ้านเหรอ ผมยืนฟังคนอื่นๆ ถามว่ามันหอบอะไรมาเยอะแยะ และมันก็ให้คำตอบด้วยเสียงหอบเบาๆ ว่าของกินสำหรับเราทุกคน มันบอกบนรถไฟของอาจจะแพงขึ้นอีก ซึ่งอันนี้ไอ้พายุก็มีบอกผม แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ นับว่าพิวมันรอบคอบมาก มีเพื่อนดีเราก็จะไม่อดตาย

ผมก้มมองตั๋วในมือที่มีชื่อผมและเลขที่นั่งกำกับอยู่ ชูหา มุมดีๆแสงสวยๆ แล้วยกมือถือขึ้นมาถ่ายก่อนโพสต์ลงไอจีไว้เป็นความทรงจำว่าผมได้ขึ้นรถไฟครั้งแรกในชีวิต



โพสต์รูปพร้อมแคปชั่น



Ekkapop : ชอบทะเล แต่กำลังจะไปหาเขา #ขึ้นรถไฟครั้งแรก



รู้ว่ามันเสี่ยว แต่ขอคิกคักหน่อยแล้วกัน

โพสต์เสร็จ ผมก็ไถดูรูปคนอื่นๆ ต่อ ตอบคอมเม้นท์กวนตีนของเพื่อนๆเล็กน้อย แล้วเสียงแตรก็ดังมาแต่ไกล ทำให้ผมละความสนใจจากหน้าจอ ขึ้นมามองรถไฟสีเงิน ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบท่า ภายนอกมันดูใหม่และทันสมัยแตกต่างจากรถไฟที่จอดอยู่ตรงข้ามกัน อย่างชัดเจน เรานั่งรอเวลาไม่นาน รถไฟก็พร้อมออกเดินทาง พวกผมเดินกันไปที่ตู้รถไฟตามหมายเลขบนหน้าตั๋ว เดินไปตามทางที่มีเก้าอี้สีแดงสองฝากขนาบเรียงเป็นทาง มาหยุดยืนที่ เลขที่นั่งของผมที่ตรงกับเลขบนตั๋ว ผมได้ชั้นล่าง ไอ้พิมได้ชั้นบน ผมตื่นเต้นกับทุกอย่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป และโพสต์ลง ไม่หยุด จนกระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

การเดินทางของผมได้เริ่มขึ้นแล้ววว

เราใช้เวลาเดินทาง เป็นสิบๆ ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงเชียงใหม่เกือบเจ็ดโมงเช้า ผมวางกระเป๋าลงทันทีที่เดินลงจากรถไฟบิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยและความง่วงงุ่นออกไป ยกมือขึ้นบังแสงของวันใหม่ที่สาดเข้าใบหน้า สูดเอากลิ่นของใบไม้ใบหญ้ายามเช้าไว้เต็มปอด อากาศดีกว่ากรุงเทพอย่างชัดเจน

ตลอดการเดินทาง ผมแทบไม่ได้เตะโทรศัพท์เลย เรากิน หัวเราะ พลัดกันเล่าเรื่องตลก และเล่นเกมส์ต่อเพลงกันตลอดทาง พอสักสามทุ่มเราก็แยกย้าย ผมคิดว่าผมจะได้นอนสบายๆ ด้านล่าง และตื่นมาดูวิวในยามเช้า หวังจะได้เห็นแสงแรกผ่านมุมมองจากบนรถไฟ แต่ทันทีที่พนักงานมาปรับเป็นเบาะนอน ไอ้พิมก็งอแงขอนอนข้างล่างทันที สุดท้ายผมก็ระเห็จไปนอนชั้นบนแทน ชั้นบนก็ไม่ได้แย่อากาศปลอดโปร่งกว่าด้วยซ้ำ แต่พื้นที่มันพอดีตัวเกินไปหน่อย วิวก็ไม่ได้เห็นแถมได้ความปวดเมื่อยเป็นของแถมอีก

เราเดินทางต่อด้วยรถตู้ที่ทางมอเชียงใหม่ส่งมารับ และเข้าพักในโรงแรมไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่สัมมนา ไม่มีเวลาให้ได้พักหรือซึมซับบรรยากาศ จารย์ก็บอกให้พวกผมรีบเก็บของเราจะแวะกินข้าวกัน และต้องรีบเข้าฟังสัมมนาในช่วงบ่ายทันที การบรรยายเป็นไปอย่างน่าเบื่อ อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผมเลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ รู้แค่ว่า พรุ่งนี้จะมีการลงพื้นที่บลาๆ

กว่าจะจบการสัมมนาก็เกือบสี่โมงเย็น ถือว่าการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว เพราะนอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ ในสาขาอื่นๆแล้ว ผมยังได้ความรู้เรื่องผ้าท้องถิ่น ซึ่งมันน่าจะช่วยผมได้เยอะตอนผมขึ้นปีสาม และคนที่ผมไม่คาดหวังว่าจะได้เจอผมก็เจอจนได้

“กัสส กัสแนะนำร้านนั่งชิลบรรยากาศดีๆ ให้เราหน่อยสิ คืนนี้เราว่าจะออกชมเมืองหน่อย”

ผมมองไอ้โทนี่ที่บีบเสียงเล็กเสียงน้อย ยืนเกาะแขนกัส เหมือนสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน แน่หล่ะ หน้าเก๋ ขาว สูง หุ่นดีแบบนี้สเปคมันเลย ตอนกัสมันเดินเข้ามาทักผม ไอ้โทนี่ถึงขั้นอุทานตาโต

แต่ต้องยอมนะ ผมบอกแล้วอย่างไอ้กัสเนี่ยเดินแบบได้สบายๆ

“เดี๋ยวเราพาไปก็ได้”

“หู้ยย ใจดีจัง”

“กัสมึงแค่บอกชื่อมาก็ได้ กูเกรงใจ” ผมพูดขัดขึ้น

ไอ้กัสมองผมแล้วส่งยิ้มมาให้

“มึงมาถึงนี่ทั้งที กูพาไปได้”

เออเอาเหอะผมพยักหน้ารับเบาๆ มองมันที่ยังคงส่งยิ้มเจิดจ้าให้ผมโดยมีไอ้โทนี่ออเซาะอยู่ใกล้ๆ ไอ้นี่ก็ชัดเจนเหลือเกินว่าอยากได้เขา แล้วแขนผมก็ถูกสะกิดยิกๆ หันมองไอ้พิมที่เอามือป้องปากแล้วกระซิบข้างหูผม

“กัสดูมองมึงแปลกๆ นะ"

“ยังไง"

“ไม่รู้ดิ กัสคือเพื่อนคินกับพายุใช่ปะ"

“อืม เพื่อนที่ติวมาด้วยกัน"

“เขามองมึงแปลกจริงๆ นะ ดูมีความอยากได้ อยากเล่นกับของเพื่อนอ่ะ"

“ก็บ้าแล้ว มึงคิดมากมันเป็นคนเฟรนด์ลี่"

“มึงอ่ะคิดน้อยไป”

“กูเห็นด้วยกับพิม ถ้าไอ้โทนี่มันอยากไป เดี๋ยวกูไปกับมันเองพวกมึงไม่ต้องไป” เสียงไอ้นนนดังขึ้นด้านหลังพวกเรา มันได้ยินได้ไงวะ ผมกับไอ้พิมไม่ได้คุยกันเสียงดังเลยด้วยซ้ำ หูดีเวอร์

“กูจะไปด้วย ภพมึงอยู่กับพิวไป รายนั้นเด็กอนามัยมันไม่ออกแน่นอน”

ผมพยักหน้ารับ เพราะผมก็ไม่อยากไป เหนื่อยจะตาย มันยังมีแรงไปเที่ยวกันอีกได้ไง





ตกลงกันซะดิบดี ไหงสุดท้ายมาจบกันที่หน้าห้องผมวะ

ผมยืนอยู่หน้าประตูมองพวกมันที่ยืนถือถุงกันคนละถุงสองถุง ไอ้พิมส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้

“โทษวะ จารย์มาเจอตอนพวกกูกำลังจะออก เขาเลยห้าม” มันพูดแล้วเดินแทรกตัวเข้ามา ไอ้นนนกับโทนี่เดินตามเข้ามาโดยไม่ลืมลากแขนกัสให้เข้ามาด้วย

“รบกวนด้วยนะมึง"

ผมปิดประตูเดินกลับมานั่งที่เตียงคิงไซส์ ท่ามกลางพวกมันที่กระจายตัวอยู่บนพื้นและบนเตียง

“แล้วทำไมต้องห้องกูวะ กูอยากนอนเนี่ย”

“ห้องมึงคนเดียวที่ไหนนี่ก็ห้องกูกับไอ้นนนด้วย อีกอย่าง ห้องไอ้พิม พิวมันก็หลับไปแล้ว” ไอ้โทนี่พูด

“ภพมึงไปนอนห้องนู่นก่อนก็ได้”

ไอ้พิมหันมาบอกผม ลำบากกูอีก

“ช่างเหอะ กูอยู่นี่แหละ”

มองพวกมันที่เริ่มแจกจ่ายเครื่องดื่ม กัสส่งมาให้ผมกระป๋องหนึ่ง ผมรับมาถือไว้ แต่ไม่คิดเปิดดื่ม ก็รับปากไอ้พายุไว้แล้วว่าจะไม่ดื่ม มาวันแรกผมจะตบะแตกไม่ได้ แม้ในใจจะแอบหวั่นๆ เหนื่อยๆ แบบนี้เบียร์สักกระป๋องคือเดอะเบสปะ

“มึงขอขนมนั่นหน่อย” ผมชี้ไปในถุง ไอ้นนนหยิบส่งให้ผม แกะห่อ ออกแล้วหยิบมันฝรั่งแผ่นหยักเข้าปาก ตาก็มองจอทีวีที่เปิดละครหลังข่าวค้างอยู่ พลางฟังพวกมันพูดคุยกันไปด้วย

“กัสไปรู้จักกับคินตอนไหนเหรอ”

มองไอ้โทนี่ที่นั่งออเซาะ กัสมันก็ดีนะ ดูไม่ได้ทำท่าทางอึดอัดอะไรให้เห็น อย่างที่บอกมันเข้ากับคนง่าย แถมรู้ว่าต้องเข้าหาคนยังไงให้คนชอบ ก็ดูมันดิพูดกับไอ้โทนี่แทนตัวเองซะสุภาพ เล่นเอาเพื่อนผมยิ่งไปไหนไม่รอดเลย

“ช่วงติวสอบเข้าเนี่ยแหละ”

“ก็รู้จักกันมานานแล้วสิ แล้วรู้จักพายุด้วยมั้ย”

“รู้ ติวมาด้วยกันทั้งนั้น”

“เสียดายเนอะเธอน่าจะสอบติดที่เดียวกัน”

“ฮ่าๆ ตอนแรกผมก็ไม่เสียดายหรอกนะ อยู่นี่ก็สนุกดี แต่ตอนนี้ก็ชักเสียดายหน่อยๆ แล้วเหมือนกัน” ผมมองมันเมื่อรู้สึกถึงหางเสียงที่ส่งมาทางผม และใช่ไอ้กัสมันมองผมและยกยิ้มมุมปากอยู่

“แต่ไม่เป็นไรเนอะ ถึงตัวจะห่างแต่ใจเราใกล้กันได้”

“นั่นสินะครับ” ไอ้กัสยังคงมองผม ผมมองหน้าเพื่อนแต่ละคน อย่างรู้กัน แม้แต่ไอ้โทนี่ยังพยายามช่วยดึงความสนใจ

“กัสๆ แล้วพรุ่งนี้กัสลงพื้นที่ด้วยใช่มั้ย”

“ครับ เจอกันทั้งวันแน่นอน”

“ภพ มึงได้โทรหาพายุยัง”

อยู่ๆไอ้พิมก็พูดแทรกขึ้นมา มองมันงงๆเปลี่ยนเรื่องไวจังวะ

“ยังว่ะ”

“รีบไปโทรไป เมื่อกี้พายุโทรหานนน บอกมึงไม่รับสาย”

“ห๊ะ” โทรมาตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง มองไอ้นนนเป็นเชิงถาม และมันก็พยักหน้ายืนยันคำพูดพิม

“โทรหาพายุได้แล้ว เดี๋ยวมันเป็นห่วง”

ไอ้พิมเร่งยิกๆ ไม่พอยังลุกไปหยิบโทรศัพท์ผมที่วางอยู่โต๊ะเครื่องแป้งมายัดใส่มือผมให้เสร็จสรรพ จะว่าไปผมก็ไม่ได้เช็กโทรศัพท์เลย หน้าจอสว่างวาบพร้อมข้อความจากแอปพลิเคชันต่างๆ และหนึ่งในนั้นมีสายที่ไม่ได้รับจากไอ้พายุอยู่จริงๆ ผมดูเวลาที่มันโทรมาครั้งแรกเมื่อเช้าช่วงสายๆ และอีกครั้ง ตอนเที่ยง และครั้งล่าสุด คือตอนทุ่มกว่าๆ ช่วงที่พวกไอ้นนนออกไปจากห้อง ผมลืมเปิดเสียงอะ แล้วก็ยุ่งๆ เหนื่อยๆ จนไม่ได้สนใจโทรศัพท์เลย โทรไปตอนนี้มีหวังโดนบ่นยาว แต่ไม่โทรก็ไม่ได้ รีบสไลด์หน้าจอกดโทรหามัน รอสายไม่นานพายุก็รับสายผม

[….]

“มึง กูลืมเปิดเสียงอ่ะ กูถึงเชียงใหม่แล้ว ถึงปุ๊ปก็เข้าห้องสัมมนาเลย ไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลย เหนื่อยมากเลยด้วย”

[อืม กูโทรถามไอ้นนนแล้ว และนี่ได้กินอะไรยัง]

“กินแล้วๆ นี่ก็จะนอนแล้ว”

“ตอแหล พายุไอ้ภพมันนั่งแดกเหล้ากับพวกกูอยู่” สัดไอ้พิม หาเรื่องให้กู มองพวกมันที่นั่งขำกันแม้แต่ไอ้กัสก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย

[เปิดกล้องหน่อยดิ]

“เปิดทำไม พวกมันกิน กูไม่ได้แตะเลยจริงๆนะ”

[กูเชื่อ เสียงมึงยังดูปกติ ที่ให้เปิดกล้องอะแค่อยากเห็นหน้า มึงไม่รับโทรศัพท์ทั้งวัน รู้มั้ยกูเป็นห่วง]

“เออรู้แล้ว ขอโทษๆ”

แล้วผมก็กดเปิดกล้อง พร้อมๆ กับมันที่ก็เปิดกล้องเหมือนกัน มองใบหน้าคม ที่ยังคงมีร่องรอยของแผลที่มุมปาก

“แผลมึงเป็นไงบ้างวะ"

[เจ็บนิดหน่อย รอมึงมาทายาให้]

“ให้แสงแดดทาดิ กว่ากูจะกลับมึงก็คงหายพอดี”

[มือแม่งหนัก]

“แล้วกูมือเบามากมั้ง”

[ก็เบากว่าไอ้แดด]

“ไอ้พายุ ไงมึง” อยู่ๆ ไอ้กัสก็ลุกขึ้นมานั่งลงข้างผม แล้วโผล่หน้าเข้ามาในกล้อง มือมันโอบอยู่บนไหล่ผม ส่งยิ้มทักทายคนในจอ

เอาหล่ะ ผมว่าชักไม่ดีแล้วเพราะหน้าไอ้พายุเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยทันที

[เออ ไอ้สัด เอามือออกจากไหล่ไอ้ภพ]

“หวงจังวะ กูกับภพก็เพื่อนกันมั้ย”

[เอาออก]

ผมเริ่มขยับตัวออกจากไอ้กัสทันทีที่ได้ยินเสียงต่ำๆ ของมัน อะไรวะทำไมกูต้องกลัวมันด้วยเนี่ย

“ฮ่าๆ มึงนี่นะ จริงจังฉิบหาย ภพกลัวหมดแล้ว”

[มึงอะเล่นไม่รู้เรื่องไอ้ห่า ออกไปไกลๆคนของกู]

“อู้วหูววว ของกูว่ะ”

“หมั่นไส้โว้ยย”

ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนที่ส่งเสียงกันระงม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถูกใจ โดยเฉพาะไอ้พิมที่ตบเข่าฉาด ท่าทางมันเหมือนเชียร์มวยอยู่เลยอะ ไอ้นนนยังมองมันแล้วยิ้มขำ

“เต็มปากเต็มคำจังนะไอ้สัด กูถามไอ้คินมันบอกพวกมึงยังไม่ได้คบกัน”

[….]

“เงียบเลยนะมึง แบบนี้กูก็ยังมีหวังอะดิ”

ผมมองหน้าไอ้พายุในจอที่ขมวดคิ้วมุ่น ไอ้กัสนี่ก็ยังไงวะ ไม่รู้แม่งแค่แกล้งเล่นหรือจริงจังแต่มันกำลังจะพาปัญหามาให้ผม มองไอ้คนในกล้องที่ดูน้ำท่วมปาก ก่อนผมจะพูดบ้างหลังจากที่เงียบมานาน

“อย่าหวังอะไรจากกูเลย กูให้มึงไม่ได้หรอกเพราะตอนนี้กูชอบพายุ”

แล้วผมก็เห็นรอยยิ้มกว้างของไอ้พายุอีกครั้ง ผมว่ามันเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าหน้าตาบูดบึ้งตั้งเยอะ




นอกจากเรื่องนี้ตอนนี้มีเปิดอีกเรื่องไว้ด้วย แวะไปอ่านกันได้ค่า

ชื่อ คานาเล่ชิ้นนั้น ให้ผมกินเถอะนะครับ เหตุเกิดจากอยากกินคานาเล่แต่ออกจากบ้านไม่ได้ ตั้งใจจะแต่งขำๆ แต่เขียนไปเขียนมามันหม่นเกิน แต่เขียนไปเยอะแล้วจะมาทยอยอัพพร้อมๆกับเรื่องนี้

 คำเตือนเรื่องนั้นจะแนวหม่นๆหน่อย ถ้าใครกลัวเครียดก็ข้ามได้เลยค่า สุดท้าย ฝากเอกภพกับพายุไว้ด้วยน้า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
“พิมมึงไหวมั้ย”

หันไปถามไอ้พิมที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆผม กรอบหน้าชื้นด้วยเหงื่อ ใต้ตาดำคล้ำ จนอดเป็นห่วงไม่ได้ 

“กูโอเค” มันตอบเสียงเบา มือจับด้ามไม้กดผ้าให้จมในหม้อต้ม 

ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง แล้วหันกลับมามองผ้าในหม้อของผม

‘หมดสภาพ’ คำนี้ไม่ได้ใช้แค่กับไอ้พิมแต่กับผมด้วย 

วันนี้คือวันที่สามที่ผมอยู่เชียงใหม่ เมื่อวานเรามาลงพื้นที่กันที่ กลุ่มทอผ้าฝ้าย แม่ริม ซึ่งหน้าที่ของเราที่อาจารย์มอบหมายให้ คือ ลงไปศึกษาขั้นตอน สินค้าของชุมชน รวมถึงปัญหา แล้วมาคิดวิธีการปรับปรุงให้มันร่วมสมัยมากขึ้น

อาจจะสงสัยทำไมเรียนแฟชั่นแต่มาทำอะไรไทยจัง ที่มอผมเขามีแนวการสอนที่อาจจะไม่เหมือนที่อื่น เขาเน้นให้เราเอาความเป็นไทยมาใช้ในงานด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีลายไทยหรืออะไรแบบดั้งเดิมหรอก เราแค่เอาวิธีเดิมๆมาใช้สร้างงานให้มันดูสากลมากขึ้น ก็คงเหมือนกับ อิซเซ่ มิยาเกะ ที่ในงานเขาก็จะมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งนั้นแหละคือตัวตนของคนสร้างงาน 

พวกผมต้องคิด ออกแบบ ทำตัวอย่าง และนำเสนอ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานั้น มีตัวกำหนดที่สำคัญที่สุดคือ เวลา 

เราเหลือวันที่จะอยู่ที่นี่อีกแค่สองวันเท่านั้น ถ้านับรวมวันนี้ ดังนั้นเมื่อวานตลอดทั้งวันหลังพวกผมคลุกอยู่กับแม่ๆเรียนรู้ทุกกระบวนการของผ้าฝ้ายแล้ว เราก็ต้องกลับมาคิด ออกแบบและพรีเซ้นส์ย่อยๆให้กับจารย์ฟัง ไม่ใช่แค่พวกผม แต่กลุ่มเด็กเชียงใหม่เองก็ต้องทำ แต่แตกต่างกันตามสิ่งที่เรียนมา

มันก็สนุกดี อย่างที่ผมบอกมอผมเน้นเรื่องนี้ดังนั้นปีหน้าที่ผมต้องทำซีเนียร์ มันจะง่ายขึ้นถ้าผมเลือกใช้ผ้าฝ้ายย้อมธรรมชาติเป็นหัวข้ออะนะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เมื่อคืนเราแทบไม่ได้นอน พอกลับห้อง คิดว่าจะได้พัก เราก็ต้องลุกมานั่งเคลียรูการบ้านกันอีก เอาเป็นว่าเมื่อวานทั้งวันผมยุ่งสุดๆ

ตารางวันนี้ก็ไม่ต่างกัน ได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียว ก็ต้องลุกมาอาบน้ำแต่งตัวออกมาที่กลุ่มทอผ้าอีกครั้ง เรามาถึงนี่กันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กินข้าวกับแม่ๆ และเริ่มอธิบายสิ่งที่เราออกแบบ รวมถึงลงมือทำตัวชิ้นงานให้ดู ผมกับพิมดูเรื่องย้อม โทนี่กับนนนดูเรื่องแพทเทิรน์ ส่วนพิวรับหน้าที่เย็บไป เรามีเวลาเหลือแค่วันนี้และพรุ่งนี้แค่ครึ่งวัน แล้วต้องนำเสนอต่อในช่วงบ่ายก่อนที่เราจะบินกลับกทม 

“มึงไปพักเหอะ เดี๋ยวกูดูเอง” ผมบอกเมื่อเห็นไอ้พิมยืนหลับกลางอากาศ ดึงไม้จากมือมันมาถือไว้แทน แล้วดันตัวมันให้เดินไปทางตัวบ้าน กลายเป็นตอนนี้ผมต้องคอยกดผ้าทั้งสองหม้อ มองไอ้พิมที่ดูเดินลอยๆออกไปจนพ้นสายตา 

มันคงไม่ไหวแล้วแหละ อย่าว่าแต่มันเลยผมเองก็ปวดหัวตุบๆ ถึงจะยืนอยู่ในที่ร่ม มีหลังคาบังแดด แต่อากาศร้อนอบอ้าว และควันร้อนจากหม้อต้ม ก็ทำหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ 

ถ้าจบงานนี้ผมอยากนอนยาวๆสักหนึ่งวัน แต่นั่นคงเป็นแค่ความคิด ก็ในเมื่อทันทีที่ผมกลับไป การบ้านก็ยังรอผมอยู่ ให้ตายสิ แค่คิดก็อยากร้องไห้แล้ว 

“ไหวมั้ยมึง” เงยหน้ามองคนมาใหม่

คืนนั้นก่อนมันกลับ มันบอกผม 

‘อันที่จริงกูก็แซวมึงเล่นๆท่าทางมึงกับรีแอคชั่นไอ้พายุมันตลกดี’

‘กูว่าแล้ว’ แล้วมันก็ยิ้มบางๆ

‘แต่พอได้ยินมึงปฏิเสธขึ้นมา ก็แอบเจ็บเหมือนกันว่ะ เหมือนอกหักเลย’

‘เวอร์ฉิบหาย’

‘ฮ่าๆ เออกูไปแระพรุ่งนี้เจอกัน’

แล้วมันก็เดินออกจากห้องไป ก็ง่ายๆแบบนี้แหละ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก แค่ที่เรียนอยู่ก็จะตายอยู่แล้ว หลังจากนั้นไอ้กัสก็ไม่เคยแสดงท่าทางสนใจผมหรือพูดจากวนๆอีก 

“เหม่ออะไรวะ หลับเหรอ”

“ห๊ะ”

“กูมาตามไปกินข้าว”

“ไอ้นนนกับโทนี่อะ”

“นนนดูพิมอยู่ พิมปวดหัว โทนี่ก็กินข้าวอยู่ ไม่เห็นมึงกูเลยอาสามาตาม”

“อ่อเออ กูเอาผ้าขึ้นก่อนเดี๋ยวตามไป”

“ให้กูช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไร มึงไปเหอะ”

ผมมองเวลา ยังต้องรออีกสองสามนาที ถึงจะเอาขึ้นได้ แต่ผมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน มึนหัวโคตรๆ 

หันไปสวมถุงมือยาง หยิบที่คืบ มาหนีบผ้าขึ้นจากหม้อแรก หนักจังโว้ยย ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเอาไปวางพักในกะละมังที่มีน้ำสะอาดรออยู่ แล้วเดินกลับมาจะเอาผืนที่สอง หนีบผ้าที่หนักขึ้นเพราะน้ำที่แทรกซึมอยู่   มันหนักกว่าชิ้นแรก 

“เหี้ย/เห้ย ไอ้ภพ”

เรียบร้อย ผ้าร่วงกลับลงไปในหม้อ และแรงกระแทกของมันก็ทำให้น้ำร้อนๆกระเด็นเข้าตัวผม ถึงจะขยับถอยหนี แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกแสบร้อน ที่หน้าท้อง ก้มมองเสื้อตัวเองที่มีรอยสีส้มเป็นวงหย่อมๆ

“มึงโอเคมั้ยไปล้างน้ำเย็นก่อนไป ตรงนี้กูจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรนิดเดียวเองมึง”

“ไปเหอะสัด”

ผมพยักหน้า ขอบคุณมัน แล้วเดินไปที่ก๊อกน้ำ ถลกเสื้อขึ้นดู และเห็นรอยแดงๆเป็นปื้นๆ แสบนิดหน่อย กวักน้ำเตะแผลเบาๆ แล้วเดินกลับไปที่กะละมังที่ไอ้กัสหนีบผ้าอีกผืนมาใส่ เรียบร้อยแล้ว

“เป็นไงบ้าง”

“เล็กน้อยหน่า”

นั่งลงขยี้ผ้า ล้างสีตกค้างออกจนหมด แล้วจัดการเอาขึ้นตากโดยได้รับความช่วยเหลือจากมัน

กว่าผมจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน และได้กินข้าว ตอนนั้นทุกคนก็กินกันจะเสร็จแล้ว

“ทำไมพึ่งมาวะ” ไอ้โทนี่ถามผม ก่อนจะมองเสื้อผมที่เปียกชุ่มด้วยความสงสัย “แล้วทำไมสภาพมึงเละขนาดนี้”

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” เดินไปนั่งลงข้างมัน โดยมีไอ้กัสเดินตามมานั่งใกล้ๆ มองไอ้พิมที่ฟุบหลับอยู่ตรงข้าม ข้างกันมีไอ้นนนที่คอยโบกกระดาษพัดให้อยู่ “ไอ้พิมเป็นไงบ้าง”

“ให้กินยาไปแล้ว” ไอ้นนนตอบพลางมองสำรวจผม “มึงหน้าซีดนะ”

“คงร้อนมั้ง” แล้วมันก็วางกระดาษในมือลง ดันกล่องข้าวและขวดน้ำมาให้ตรงหน้า ผมเปิดกล่องออก รีบตักข้าวผัดไก่ เข้าปาก พึ่งรู้ว่าตัวเองหิวก็ตอนเห็นข้าวมาอยู่ตรงหน้าเนี่ยแหละ

“ไอ้กัสของมึงไปเอาเองนะ” 

“เออรู้” แล้วมันก็ลุกเดินออกไป 

“ผ้ามึงย้อมเสร็จยัง” พยักหน้าตอบไอ้โทนี่

ไม่โอเคว่ะ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลย 

“ของพวกกูก็เสร็จแล้ว รอผ้ามึงแห้ง รีบเย็บแล้วจะได้จบสักที คืนนี้กูจะเทงานทุกอย่างกูจะนอน นอนเท่านั้น!”

“ภพ มึงกินอีกหน่อยดิ” ไอ้นนนบอกผม เมื่อมันเห็นผมปิดฝากล่องลง

“เดี๋ยวมากินต่อ ไปห้องน้ำแปปนึง” ผมรีบลุกสาวเท้าเดินไปห้อง ทันทีที่ปิดประตู ผมก็โก่งคออาเจียนเอาข้าวที่พึ่งกินไปได้แค่ครึ่งกล่องออกมา จนรู้สึกแสบคอ ไปหมด วันนี้มันวันบรรลัยอะไรของผมวะ

หันมาล้างหน้า กวักน้ำล้างปาก และเช็ดน้ำตาที่หางตาออก แต่ยังไม่ทันไร ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอก็ทำให้ผมรีบหันกลับไปโก่งคออ๊วกอีกครั้ง ยิ่งมองเห็นคราบเหลืองๆดำๆที่โถส้วมแล้ว เหมือนทุกสิ่งอย่างก็พร้อมจะกระโจนออกมาจากตัวผมมากขึ้น ฮือออ 

ผมเป็นอารายยย

แสบคอไปหมดเลยโว้ยย

ก๊อกๆ 

“ไอ้ภพ เปิดประตู” ผมได้ยินเสียงนนน เอื่อมมือไปหมุนลูกบิด ในขณะที่ยังตะบี้ตะบันอ๊วกจนหน้าดำหน้าแดง 

มันเข้ามาไม่ถามอะไร แค่ลูบหลังผม แล้วตบๆก่อนที่ผมจะรู้สึกดีขึ้น หันกลับไปล้างปาก ล้างหน้าล้างตา 

“กูว่าเมื่อกี้กูกินเร็วไป”

“อาหารไม่ย่อย?”

“มั้ง แต่ไม่ไหวว่ะ มันมาอีก...”

ผมหันไปอาเจียนอีกครั้งขอเถอะครั้งสุดท้ายนะ แสบคอไปหมดแล้ว เห็นเม็ดข้าวที่ยังเป็นเม็ดสวยแล้วอยากจะบ้า ไม่ย่อยของจริง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมไอ้นนน กลับไปที่โต๊ะ นั่งลงข้างไอ้พิมที่ยังฟุบหลับอยู่ ไอ้กัสกับโทนี่มองผมด้วยความตกใจ แน่หละสถาพผมตอนนี้ ตาแดงจมูกแดงไปหมดเสื้อก็ยังเปียกทั้งสีและเหงื่อชุ่มๆ ขอหน่อยเหอะ ผมเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน 

“มึงของีบ20นาที แล้วจะกลับไปช่วยนะ” 

มองพวกมันที่พยักหน้า แล้วผมก็ฟุบนอน หลับไปทันทีอย่างง่ายดาย 



“อีภพ มึงตื่นได้แล้ว” เสียงไอ้โทนี่ปลุกผม ค่อยๆลืมตาขึ้นมา แล้วพบว่าผมอยู่บนรถ ที่จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าโรงแรมแล้ว นี่ผมหลับลึกขนาดไหนวะถึงไม่รู้ว่าโดนลากขึ้นรถมาตอนไหน

“โทษว่ะกูหลับยาวเลย งานเป็นไงวะทำไมพวกมึงไม่ปลุกกูอะ”

“เสร็จแล้ว กูปลุกแล้วแต่มึงไม่ตื่น”

“ขอโทษว่ะ”

“เออไม่เป็นไร รีบขึ้นห้องเหอะกูอยากอาบน้ำนอนเติมที” พิวพูดแล้วเดินนำไป พวกผมเดินตามไปติดๆแล้วผมก็พึ่งสังเกต ทำไมเราเหลือกันแค่สามคน

“ไอ้นนนกับพิมอ่ะ”

“เข้าไปแล้วพิมมันมีไข้ นนนเลยพามันเข้าไปแล้ว” 

“หนักเหรอวะ”

“ก็เล่นเอามันซึมไม่พูดไม่จาทั้งวัน กูว่ามันเหนื่อยสะสมแหละ แล้วพออดนอนแล้วมาเจอแดดกับความร้อนเลยไปกันใหญ่ มึงก็พอกันคืนนี้อย่าฝืนอะรีบนอน” ไอ้โทนี่ร่ายยาว 

“มึงก็ด้วยเหอะ”

“โน กูรู้ลิมิตตัวเองไง ไม่เหมือนมึงจ๊ะ”

เราเดินไปส่งพิวที่ห้อง แวะเข้าไปดูไอ้พิมที่นอนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว และเดินกลับไปที่ห้อง





[พายุ]

11.30 น.

ผมนั่งดูคลิปสั้นๆที่ไอ้กัสพึ่งส่งมา พร้อมข้อความกวนตีน มองร่างบางที่ยืนถลกเสื้อกวักน้ำตบๆที่พุง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันโดนแอบถ่ายอยู่ มองใบหน้าด้านข้างที่ดูชื้นเหงื่อ และขาวซีด ยิ่งตอนที่ใบหน้านั้นหันมาก่อนที่วิดีโอจะตัดจบ มันดูโทรมมาก 

เป็นห่วง คำนี้ขึ้นมาให้หัวผมทันที ผมไม่ได้คุยกับไอ้ภพมาสองวันแล้ว มันดูยุ่งมากจนคงลืมที่จะดูโทรศัพท์ อันนั้นไม่เท่าไหร่ที่ผมห่วงคือกลัวมันจะมัวแต่ทำงานจนลืมกินลืมนอนเนี่ยแหละ ผมได้แต่คอยถามเรื่องมันกับไอ้นนน และตอนนี้ก็จากไอ้กัสอีกคน ถึงแม่งจะชอบส่งข่าวมาพร้อมความกวนตีนแค่ไหนก็ตาม 

Payu: ภพมันเป็นไรทำไมต้องถลกเสื้อขนาดนั้น

August: ซุ่มซ่ามไงทำผ้าตกลงหม้อต้มน้ำร้อนเลยกระเด็นใส่

Payu: แล้วทำไมมึงไม่ช่วยมันจับ

August: กูจะช่วยแล้วแต่มันบอกจะทำเอง 

ให้ตายดิ โคตรเป็นห่วงเลย ผมกดออกจากหน้าแชท เปลี่ยนไปกดโทรหาไอ้ภพ เสียงรอสายดัง ต่อเนื่องอย่างไร้วี่แววคนรับ ทำไมมันชอบปิดเสียงวะ

กดวางสายเมื่อขึ้นเสียงสัญญาฝากข้อความแล้วกดเปลี่ยนเป็นโทรหาไอ้กัสแทน รอสายไม่นานเสียงกวนๆของมันก็ดัง

[ครับคุณพายุ]

“ขอกูคุยกับภพหน่อย”

[มันทำงานอยู่ ไม่ว่าง]

“สัด งั้นมึงบอกมันให้รับสายกู”

[กูบอกอยู่เนี่ยว่ามันไม่ว่าง งานทางนี้เร่งจะตายไม่ว่างคุยกับมึงหรอก]

เพื่อนเวร ฟังเสียงแม่งก็รู้ว่ากำลังกวนตีนผม

“แล้วที่มันโดนน้ำร้อนเป็นไรมากมั้ย”

[เท่าที่เห็นก็ไม่มากนะ แค่แดงๆ]

“กูฝากดูมันด้วย ไอ้นนนก็บอกว่าเมื่อคืนมันไม่ได้นอน แล้วแม่งไม่โทรหากูเลยด้วยนะ”

[หมาสัดฮ่าๆ กูจะดูแลอย่างดีเลยครับ]

“แค่ให้ช่วยดู นั่นของกู”

[เออรู้ ย้ำบ่อยจัด กูจะไปกินข้าวแล้ว ไปแระแค่นี้]

“เออๆฝากด้วย”

วางสายจากไอ้กัสไปแล้ว พยายามหันมาโฟกัสกับงานตรงหน้า แต่สุดท้ายความเป็นห่วงก็ทำผมว้าวุ่นใจ ถ้าผมไปด้วยผมคงคอยดูแลมันได้ไม่ปล่อยให้มันดื้อ อดหลับอดนอนแน่ๆ 

ก๊อก ก๊อก

“พี่ยุ แม่เรียกกินข้าว”

“อืม”

ลุกเดินตามแสงแดดออกจากห้องโดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ตอนที่ผมกับไอ้แดดเดินมาถึงโต๊ะ ทุกคนก็เริ่มกินกันแล้ว ผมนั่งลงกินข้าวเงียบๆมีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังจนทุกคนหันมอง รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าใครโทรมา 

[มึง ไอ้ภพอ๊วกว่ะ]

“ห๊ะ”

[พวกกูนั่งกินข้าวกันอยู่ดีๆแม่งก็ลุกพรวดพราดไปห้องน้ำ ไอ้นนนมันเลยตามไปดู กลับมาอีกทีไอ้ภพก็คือหน้าซีด ตาแดง นนนบอกมันอ๊วกเอาที่กินออกมาหมด]

“ไอ้นนนอยู่ตรงนั้นมั้ยขอกูคุยหน่อย”

[แปป]

ผมรอสายด้วยความกังวล ได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงไอ้กัสที่เรียกไอ้นนน ก่อนเสียงเรียบๆของมันจะดัง

[ว่าไง]

“ภพเป็นไงบ้าง”

[ฟุบนอนไปแล้ว]

“แล้วทำไมมันอ๊วก”

[คงนอนไม่พอ เจออากาศร้อน รีบกินอาหารเลยไม่ย่อย ไม่ต้องห่วงกูดูแลเพื่อนกูอยู่]

“เออฝากด้วย มึงส่งไฟล์ทบินพรุ่งนี้มาให้กูด้วย”

[อืม]



ผมกดวางสาย บอกตรงๆโคตรเป็นห่วงจนหงุดหงิด ผมเคยเห็นเวลาไอ้ภพมันทำงานแล้ว มันเหมือนลืมทุกอย่างรอบตัวไปเลย โฟกัสแค่จะทำงานให้เสร็จ และหลายครั้งที่มันรีบกินแค่เพื่อให้มีอะไรลงท้องแล้วรีบไปทำงานต่อ เคยเตือนมันหลายครั้งแล้วนะ 

ไอ้เรื่องอดหลับอดนอนทำงานไม่ใช่ไม่เข้าใจ ผมก็เป็น แต่มันก็ต้องรู้ลิมิตตัวเองปะวะ ที่ผมรู้คือสองวันที่ผ่านมาแทบนับนิ้วชั่วโมงที่มันนอนได้เลย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทำไมชอบทำให้เป็นห่วงว่ะ แล้วไม่มีเลยนะที่จะโทรกลับ

“มีอะไรรึเปล่าพายุ”

ผมลืมไปเลยว่ายังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เงยหน้าตอบแม่

“ภพไม่สบายนิดหน่อยนะครับ”

“อ่าวแล้วเป็นไงบ้าง ได้คุยกันรึยัง”

ผมส่ายหัว 

“เพื่อนมันบอกว่ามันหลับไปแล้ว”

“น้องภพไปเชียงใหม่ใช่มั้ย”

“ใช่พี่ ถ้ามันอยู่ใกล้ๆผมเนี่ยจะสวดมัน ไม่ค่อยดูแลตัวเอง”

“ห่วงมาก ตอนเขากลับมาก็ดูแลดีๆ” 

“รู้หน่าพ่อ ยุก็ดูแลดีตลอด”

“เอาจริงใช่มั้ย คนนี้”

“อืม ก็เคยบอกแล้วคนนี้ผมจริงจัง”





ผ่านไปหลายชั่วโมง ก่อนหน้านี้ผมทั้งพิมพอทั้งโทรหาไอ้ภพ แต่มันก็ยังคงเงียบ ผมเคลียรองานตัวเองไปก็คิดว้าวุ่นไปหมด ไม่รู้ทำไมกับมันผมไม่เคยเย็นได้เลย มองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มครึ่ง กดโทรเบอร์เดิมเบอร์เดียวที่ลอยเด่นให้เห็น แต่กลับไม่มีเสียงสัญญานตอบกลับ ให้ตายสิ รีบกดหาเบอร์นนน รอสายไม่นานมันก็รับ

“ภพอยู่กับมึงมั้ย”

[อยู่]

“ขอคุยกับมันหน่อย”

[มันจะนอนแล้ว]

“ไอ้นนนกูรู้ว่ามึงหวงมัน แต่กูเป็นห่วงไอ้ภพฉิบหายเลยเพราะงั้นมึงช่วยเอาโทรศัพท์ไปให้ไอ้ภพที”

“....เออๆแปป”

ผมได้ยินเสียงไอ้นนนเรียกชื่อภพเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่โคตรแตกต่างกับตอนคุยกับผม ก่อนที่เสียงที่ผมคิดถึงจะดังขึ้น

[ฮัลโหล] 

เสียงมันดูเหนื่อย

“เป็นไงบ้าง”

[ก็ดี ไมโทรมาเบอร์นนนอ่ะ]

“แบตมึงหมด”

[อ่าวเหรอ กูไม่ได้เล่นเลย หมดได้ไง]

“ยังอาเจียนอยู่มั้ย”

[ใครบอกมึงว่ะ]

“ตอบกูก่อน”

[ไม่แล้ว แต่ไม่ค่อยสบายตัวเลยอ่ะ]

“วันนี้ก็นอนด้วย”

[จะพยายาม แต่เมื่อบ่ายกูเผลอหลับยาวเลย นี่ก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่แต่ไอ้นนนกับโทนี่ก็ไล่กูนอนอย่างเดียวเลย]

“มึงต้องพักผ่อน”

[อืออ โอเค]

“กูไม่อยู่ด้วย ก็ดูแลตัวเองดีๆหน่อย”

[แล้วกูไม่ทำตรงไหน]

“ยังกล้าพูดนะ”

[อะไร ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยวะ หงุดหงิดอะไรมา]

“หงุดหงิดมึงเนี่ยแหละสัด ชอบทำให้คนเป็นห่วงโทรศัพท์ก็ปิดเสียง ไม่รับสาย ไม่ยอมหลับยอมนอน กินข้าวไม่ตรงเวลา ซุ่มซ่ามไม่ยอมให้คนช่วย แล้วเป็นไงน้ำร้อนลวกพุง”

[เดี๋ยว! มึงรู้ได้ไงวะ]

“กลับมาโดนแน่”

[ดะ โดนอะไร]

“คิดว่าอะไร ก็อันนั้นแหละ”

[สัดไม่เอา กูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย]

“ยังอีก”

[ก็จริงๆอ่ะเรื่องน้ำร้อนลวกมันเป็นอุบัติเหตุ ที่อาเจียนกูก็ห้ามไม่ได้มั้ย มันพุ่งออกมาเอง]

“ภพ กูเคยเตือนมึงหลายครั้งเรื่องกินเรื่องนอนแล้วนะที่มึงอ๊วกแตกอ๊วกแตนสาเหตุนึงก็มาจากที่มึงอดนอน ไหนจะชอบกินเร็วอีก และบอกแล้วใช่มั้ยถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ไหวให้หาคนช่วยไม่ใช่ฝืนทำเก่ง ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่า...”

ตู๊ด ตู๊ด

สัดตัดสาย

แม่งโคตรดื้อเลยโว้ยย ผมกดโทรไปใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีคนรับแม้แต่ไอ้นนนก็ยังไม่รับสาย เวรแม่งงอนเหรอวะ แล้วไหงมันมางอนผมเนี่ย 

กดพิมไลน์ไปหาไอ้นนน ถามวันเวลาพรุ่งนี้อีกครั้ง แล้วย้ำให้มันช่วยดูไอ้ภพด้วย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าถึงผมไม่ขอมันก็พร้อมจะทำอยู่แล้ว

ส่งข้อความไปหาไอ้ภพ หวังว่ามันจะชาร์จแบตแล้วเห็นข้อความผม

Payu: ขอโทษที่เมื่อกี้อารมณ์เสียใส่ แต่ที่ทำไปเพราะกูเป็นห่วงนะ

นั่นไง ขึ้นอ่าน แต่ไม่ตอบ เอากะมันดิ หมั่นเขี้ยวว่ะ 

Payu: ฝันดีนะ

[จบ พายุ part]





ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศดังคลอไปพร้อมกับเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเพื่อนทั้งสองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ง่วงนะแต่ผมนอนไม่หลับ คิดว่าคงเป็นเพราะผมนอนไปมากแล้วในช่วงบ่าย และตอนนี้ก็รู้สึกแสบท้องมากๆ เมื่อค่ำผมกินข้าวกล่องที่พวกมันซื้อไว้ให้ไปแค่นิดเดียวเอง เพราะกินไม่ค่อยลง พลิกตัวไปมาจนไอ้โทนี่ที่นอนอยู่ข้างๆส่งเสียงครางปราม

สุดท้ายทนไม่ไหว ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ หยิบมือถือมากดเปิดไฟ แล้วเดินไปเปิดถุงขนมบนโต๊ะหาของมารองท้อง ได้นมจืดหนึ่งกล่องกับขนมปังหน้าสังขยาเย็นชืด

ไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปหยิบคอมกับเม้าปากกาออกมา กดเปิดโคมไฟที่โต๊ะ กัดขนมปังมองหน้าจอที่สว่างวาบ และรอให้มันพร้อมใช้งาน มือนึงถือขนมปังที่เหลือเพียงครึ่งแผ่น ลากปากกาเปิดไฟล์งานที่ทำค้างอยู่ขึ้นมาทำต่อ แล้วเสียงต่ำๆที่ดูหงุดหงิด เมื่อเย็นก็แวบดังขึ้นมาในหัว ไอ้พายุโคตรขี้บ่นเลย ก็รู้ว่ามันเป็นห่วงแต่ผมไม่ชอบน้ำเสียงที่มันใช้ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย ที่ผมไม่ได้นอนก็เพราะงานมันเยอะอ่ะ ที่เหลือก็อุบัติเหตุทั้งนั้นห้ามได้ที่ไหน ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เลิกคิดถึงมันแล้วหันกลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้า

ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่เสียงนกร้องที่เริ่มออกจากรังบอกผมว่า ผมโต้รุ้งอีกแล้ว แต่มันคุ้มนะเพราะในที่สุดงานผมอีกวิชาก็เสร็จ ผมขยี้ตา และนวดเบาๆ บิดตัวไล่ความเมื้อยล้าออกไป แล้วลุกเดินกลับไปที่เตียง นาฬิกาบอกเวลา ตีห้ายี่สิบสี่นาที กดตั้งปลุกในโทรศัพท์ตอนหกโมง ได้นอนนิดหน่อยก็ยังดี ทิ้งตัวลงนอนและจมเข้าสู่นิทรา

ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลืมตามองเพดานห้อง ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง มองพวกมันเดินกันไปมารอบห้อง กี่โมงแล้ววะ

“ตื่นพอดีเลยนะมึง พวกกูเก็บของให้แล้ว อีกชั่วโมงจะไปสนามบิน มึงจะอาบน้ำก่อนมั้ย”

“ห๊ะ แล้วงานอ่ะ”

“ส่งแล้ว เห็นมึงนอนพวกกูเลยไม่ได้ปลุก”

“อ่าว”

“เมื่อคืนมึงลุกมานั่งทำงานอีกใช่ม่ะ มึงนี่นะ”

“ก็กูนอนไม่หลับ จารย์ไม่ได้ว่าไรใช่ปะวะ”

“ไม่กูบอกแล้วว่ามึงไม่สบาย”

พยักหน้า ปัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบชุดใหม่ออกมา เดินเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่ 

ตอนเราสามคนมาถึงล๊อบบี้โรงแรม พิมกับพิวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว จาร์ยผมบินกลับไปแล้วทันทีหลังงานจบเพราะเราจองได้กันคนไฟล์ท ของพวกผมบินบ่าย3 ตอนนี้เที่ยงยังมีเวลาเราเลยตัดสินใจว่าจะแวะหาอะไรกินแถวโรงแรมก่อนไปสนามบิน 

ไอ้พิมหน้าตาดูสดชื้นขึ้น และทันทีที่มันเห็นผมมันก็เอ่ยทักเสียงใส

“ที่รักเมื่อวานได้ข่าวมึงอาการหนักเหรอ”

“มึงสิหนัก”

“ก็กูเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ว่าแต่นี่ที่รักยังไม่หายอีกเหรอ ดูโทรมจัง”

“โอเคขึ้นแล้ว”

“เมื่อคืนมันลุกมานั่งทำงานอีก กูเห็น”

“กูบอกว่ากูนอนไม่หลับไงไอ้โทนี่”

“กูจะฟ้องพายุ” ไอ้พิมรีบพูด

“แล้วแต่มึงเหอะ กูไม่กลัว”

“อื้อหื้ออ ก่อนมายังเชื่อฟังดีอยู่เลย ตอนนี้หล่ะทำเก่ง”

ยักไหล่ แล้วตักข้าวหมูกรอบเข้าปาก ใครจะกลัวมันวะ ถ้าให้ผมเอาจริงผมก็สู้ไอ้ยุได้เหอะ 



1 ชั่วโมงผ่านไป 



“รู้แล้วๆ ก็มันนอนไม่หลับอะ”

สัด ความแกร่งกล้าของผมมันหายไปไหนหมด 10นาทีก่อน ไอ้พายุโทรเข้ามา ผมมองหน้าไอ้พิมก็รู้ทันทีว่ามันต้องมีเอี่ยวด้วย ทันทีที่กดรับสาย เสียงต่ำๆก็เริ่มสวดผมไม่หยุด มันจะห่วงอะไรผมขนาดน้านนน 

“ขี้บ่นฉิบหาย”

[ที่บ่นก็เพราะห่วงมั้ย]

“ครับๆ รู้แล้วคร้าบ ภพจะกินนมเยอะๆ นอนแต่หัววัน ไม่ดื้อไม่ซนอ่ะ พอใจมึงยัง”

[มึงแม่ง]

“กูโอเคแล้วจริงๆ”

[อืม นี่อยู่ไหนแล้ว]

“อยู่บนรถกำลังไปสนามบิน”

[ถึงสี่โมงสิบห้าใช่มั้ย]

“อืม มึงไม่ต้องมารับก็ได้กูนั่งกลับพร้อมเพื่อนได้”

[ไม่ต้องกูจะไปรับมีอะไรจะคุยด้วย]

“อารายอีกก ถ้าบ่นเรื่องสุขภาพกู กูไม่ขอกลับด้วยนะ”

[ไม่ใช่ เรื่องอื่น]

“โอเคๆ จริงจังจังวะ แล้วช่วงกูไม่อยู่เป็นไงบ้าง”

[เหงา เด้าหมอนทุกวัน] เรื่องกามๆเนี่ย เสียงระรื่นเชียวนะ

“เชิญมึงเด้าต่อไป กูจะกลับกับเพื่อน”

[ฮ่าๆ หยอกหน่า กูก็ไปเรียนแล้วตรงกลับบ้านตลอดแหละ]

“อย่างมึงเนี่ยนะ ไม่ตี้กะเพื่อนเลย?”

[ไม่]

“แปลก งานเยอะอ่อ”

[ก็เยอะแต่กูจัดการได้ แต่ที่ไม่ไปเพราะเป็นห่วงบางคนจนไม่มีอารมณ์ไปต่อกับเพื่อน]

“เวอร์หน่า”

[กูพูดจริง กูเป็นห่วงมึงมากนะ ถ้ามึงไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงใจกูบ้าง]

ประโยคอะไรของมันวะ ยุบยิบใจฉิบหาย

“อะ อืม ขอโทษ”

[ครับ]

“แค่นี้นะ จะถึงสนามบินแล้ว”

[โอเคๆถึงแล้วโทรหากูด้วย]

“รู้แล้ว” กำลังจะกดวางสาย แต่มันก็เรียกชื่อผมเสียงดังรอดออกมาจากโทรศัพท์ “ห๊ะ”

[คิดถึงมึงนะ]

“อืออ เหมือนกัน”

สายตัดไปแล้ว แต่ใจผมยังคงเต้นแรง ทำไมกับแค่คำพูดธรรมดาๆ มันถึงทำให้ใจฟูได้ขนาดนี้นะ

“อะยิ้ม ยิ้มม”

“หมั่นไส้คนมีความรักจริงๆเลยโว้ยยย” ผมมองไอ้โทนี่ ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อในขณะที่ไอ้พิมซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าและเกาะเบาะมองผมอยู่ด้วยสายตาล้อเลียน “ถามจริงนี่พวกมึงตกลงคบกันยัง”

ผมส่ายหัว “พายุมันก็ดูชอบมึงมากนะทำไมมันยังไม่ขอคบวะ” 

เรื่องนี้ผมก็มีคิดนะ แต่ไม่รู้ดิ มันไม่ได้พูด ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเอาสถานะมาเป็นตัวกำหนด แค่ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีแล้ว 

“หรือมันเคยขอแต่มึงปฎิเสธ”

“ไม่เคยเหอะ”

“งั้นมึงก็ขอก่อนเลย”

“แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วปะวะไม่เห็นต้องไปถึงขั้นนั้น”ผมพูดเสียงเบาลงในช่วงท้ายประโยค

“เดี๋ยวนะ มึงจะไม่ชัดเจนแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” มองหน้าไอ้พิมที่ดูจริงจังขึ้น แม่งจริงจังกว่าตัวผมเองอีกมั้ง 

“มึงกังวลอะไรรึเปล่า” เสียงไอ้นนนดังขึ้นจากด้านหน้า มันยังคงมองออกนอกหน้าต่างแม้จะถามผมอยู่ก็ตาม

“ก็นิดหน่อย”

“กังวลอะไรวะ หรือไอ้พายุมันไม่ได้ดีอย่างที่พวกกูเห็น”

“ไม่ มันดี” แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าผมปล่อยใจไปให้มันทั้งหมด ปล่อยให้ถล้ำลึกไปมากขึ้นโดยไม่เผื่อใจเลยไม่ได้ กลัวเหมือนกับตอนนานะ ถึงผมจะเลิกกับเขามานานแล้วผมก็ยังจำความเจ็บปวดตอนนั้นได้ และถึงเราจะจบกันด้วยดี แต่สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปอยู่ดี ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ความรักมาและจากไป มันเป็นแบบนั้น และถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับผมและไอ้พายุหล่ะ

ไหนจะพ่อแม่ผมอีกถ้าผมคบกับมัน เกิดครอบครัวผมไม่โอเคแบบครอบครัวมันจะทำไง 

ถ้าเราเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆถึงเวลาแยกกันผมคงไม่เจ็บปวดเท่าไหร่ 

“มึงกลัวเป็นเหมือนตอนนานะเหรอ” ไอ้พิมมันเก่งจังวะ 

“เออ แล้วกูก็ไม่เห็นว่าแบบนี้กับคบกันมันจะต่างกันตรงไหน”

“มันต่างมึงก็รู้ ถามจริงเคยมีสักแวบมั้ยที่มึงอยากได้พายุเป็นแฟน”

ผมพยักหน้ายอมรับ ผมชอบที่มันใส่ใจผม ดูแลผม ชอบรอยยิ้มมัน และอยากให้มันยิ้มให้ผมคนเดียว 

“มึงควรคุยดู ที่กูสังเกตพายุมันดีกับมึง มันดูแลมึงได้ ปรามมึงได้ และดูเข้าใจมึงดี ถ้ามึงคุยกับมันมันน่าจะให้คำตอบได้ เพราะถ้าปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆมันก็ไม่แฟร์กับพายุ” พูดจบไอ้พิมก็หันกลับไปนั่งลง เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาถึงสนามบิน

“มึงกลัวมึงเจ็บแต่สถานะไม่ชัดเจนมึงก็เจ็บได้นะ” ไอ้โทนี่พูดเสริม นี่มันอะไร คลับฟรายเดย์เหรอ 





ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกดหัวใจและคอมเม้นท์ให้กันนะคะ อาจจะเรื่อยๆหน่อย แต่ฝากติดตามกันด้วยน้าขอบคุณมากๆค่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่ 17

ภายในรถเงียบสนิทมาเกือบจะสิบนาทีแล้ว ก่อนหน้านี้หลังผมมาถึงกทมและยืนรอไอ้ยุมารับอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทันทีที่ขึ้นรถมัน ไอ้ยุก็เริ่มบ่นเรื่องสุขภาพผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ย่อท้อในการเถียงมัน เราตีกันไปหนึ่งยกพอกรุบกริบ อยู่ไอ้คุณพายุก็พูดขึ้นมา

‘ภพเป็นแฟนกัน’ ไม่มีคำนำ ไม่มีสัญยานบอก มันพูดเหมือนมันถามผมว่า ผมกินข้าวยัง น้ำเสียงเดียวกันเลย เรียบง่าย ตรงประเด็น และไร้ซึ่งความโรแมนติก แต่ก็สมเป็นมันดี ‘ว่าไง กูว่าเราควรก้าวไปอีกขั้นแล้ว’

มันหันหน้ามาถามขึ้นอีกเมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่ แต่แค่เพียงแวบเดียวมันก็หันกลับไปมองถนนต่อ

‘ไม่เห็นจำเป็นเลย’

ผมว่าผมพลาดแล้วแหละ ‘กูหมายถึง กูก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันยังไงกับที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย’ ผมรีบพูดแก้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ไอ้ยุอารมณ์ดีขึ้นเลย

หลังจากนั้นมันก็เงียบ และดูจะสนใจกับถนนหนทางมากจนเหมือนลืมว่าผมยังนั่งหายใจอยู่ข้างๆ

“เออมึง มึงรู้ปะกูลองเอาดอกคำฝอยไปต้มแล้วใส่แก่นฝางลงไปต้มด้วย สีอย่างสวย กูถ่ายรูปมาด้วยเนี่ยๆ” หันไปชวนมันคุยเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น แต่มันไม่ให้ความร่วมมือผมอ่ะ

“.....” วางมือที่ถือโทรศัพท์ลงที่ตักแล้วขยับตัวหันไปมองมัน

“ไอ้พายุ”

“.....”

“แล้วมึงมาโกรธอะไรกูเนี่ย”

เงียบอีก อึดอัดโว้ย แล้วผมควรทำไงวะชวนคุยก็แล้ว เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับใดๆจากมันผมก็หันกลับมานั่งหลังตรง มองถนนหนทางตรงหน้า เห็นป้ายปั๊มน้ำมันที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แล้วผมก็นึกอะไรออก

“มึงๆแวะปั๊มได้มั้ย กูหิว” มันไม่ตอบแต่ตบไฟเลี้ยวเข้าไปให้ รถเคลื่อนตัวมาจอดที่หน้ามินิมาร์ท ผมหยิบกระเป๋ากระโดดลงจากรถแล้วรีบวิ่งเข้าไป เลือกแซนวิชแฮมชีสมาสองชิ้น ยืนรอเขาเอาเข้าอบร้อน ไม่ลืมหยิบน้ำมาสองขวด จ่ายเงินเรียบร้อย ก็เดินกลับมาขึ้นรถ

พอมันเห็นผมนั่งเรียบร้อย ไอ้พายุก็เริ่มถอยรถออก ผมเปิดถุงหยิบแซนวิช ที่อุ่นร้อนแล้วออกมา หันไปหามัน แล้วยืนไปจ่อที่ปากมัน เผื่อของโปรดมันจะช่วยให้มันอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

“อะไร”

“กูรู้มึงชอบ เลยซื้อมาให้” เลื่อนปลายขนมปังให้ชิดโดนปากมันอีก กินสักทีสิวะ กูเมื่อยแล้วนะ

“ขับรถอยู่” เย็นชาฉิบหาย

“นี่ไง กูป้อนๆเดี๋ยวมันเย็นแล้วไม่อร่อยนะ” มันแหล่มองผม และผมก็ส่งยิ้มที่คิดว่ามันจะชอบไปให้ ได้ผล! มันกัดคำเล็กเข้าปาก มองมันเคี้ยวและรอที่จะป้อนมันอีก แต่มันก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

“ไหนว่าหิว”

“ก็ให้มึงกินก่อนไง”

“พอแล้ว กูยังไม่หิว”

กูท้อแล้วนะ

“ก็ได้” ผมหันกลับมานั่งหลังตรงกินแซนวิชที่มันไม่เอาแล้วอย่างเสียดาย

เงียบเกินไป

เอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ ทันทีที่เสียงเพลงฮิตดัง บรรยากาศภายในรถก็ดูจะดีขึ้นเยอะ แต่แล้วเสียงเรียบๆของมันก็ดัง

“ปิด กูต้องการสมาธิ” มองเสี้ยวหน้านิ่ง ก่อนกดปิด เสียงเพลงหายไปและกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง อะไรกัน ไม่เจอกันตั้งสี่วัน แต่ทำไมเราต้องไม่คุยกันแค่เพราะเรื่องแค่นี้ด้วยวะ

ผมมองมือมันที่วางนิ่งๆอยู่บนตัก เลื่อนมือตัวเองเข้าไปสอดใต้มือหนา แต่มันก็ยังคงนิ่งมองทาง และบังคับพวงมาลัยด้วยมือเดียว มึงจะนิ่งเกินไปแล้วนะ กูท้อมากๆแล้วนะ ค่อยๆเลื่อนมือออก พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจของมันที่ดังขึ้น แล้วดึงมือผมกลับไปกุมประสานไว้

รถค่อยๆเลื่อนเข้าไปจอดข้างทาง ก่อนที่ไอ้พายุจะหันมามองผม

“มึงรู้มั้ยว่ากูหงุดหงิดเรื่องอะไร”

อ่า คิดว่ารู้นะ ผมพยักหน้า

“งั้นมาคุยกันใหม่ เมื่อกี้กูอาจจริงจังน้อยเกินไป” ไม่นะ กูก็เห็นมึงจริงจังตลอดอ่ะ

“อือ”

“ที่มึงพูดว่ามันไม่ต่าง มันก็จริง แต่ถ้ามีคนมาเกาะแกะมึงแบบไอ้กัส หรือไอ้นนนอีกมึงก็เห็นว่ากูแสดงออกว่ามึงเป็นของกูได้ไม่เต็มปาก มึงเข้าใจใช่มั้ย”

“เข้าใจ แต่ถ้ากูไม่เล่นด้วย มันก็จบป่ะ ไอ้กัสมันก็แค่แกล้งเล่น ไอ้นนนพอกูบอกมันก็เข้าใจดีไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”

“เพราะไอ้สองคนนั้นมันยังเป็นคนดีไง”

“ไม่เห็นเกี่ยว ถ้าเราไม่คิดสักอย่างเขาก็ทำไรไม่ได้ แล้วใช่ว่ากูจะมีคนมาชอบเยอะแยะขนาดนั้นมั้ย กูไม่ใช่เดือนมอแบบมึงนะ”

“น้อยไปสิ”

“มึงพูดไรนะ”

“ป่าว มึงไม่เข้าใจที่กูจะพูดอ่อวะ”

“กูเข้าใจ แต่กูก็บอกแล้วไงถ้ากูไม่เล่นด้วยซะอย่างมันก็ไม่มีอะไร เราก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยก็ได้นี่ แค่นี้ก็เหมือนแฟนกันอยู่แล้ว”

มองหน้ามันที่ดูหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากผม แล้วมันก็สูดหายใจเข้าออกช้าๆ เหมือนกับว่าสิ่งนั้นจะช่วยให้มันใจเย็นขึ้นบ้าง กับสถานการณ์ตรงหน้า และผมคิดว่าคงได้ผลดีด้วยเพราะแววตามันดูเปลี่ยนไป

“งั้นกลับกัน ถ้ามีคนเข้าหากู กูก็บอกเขาแล้วว่ากูไม่ชอบเขา แต่เขาก็ยังยืนยันจะคุยเล่นกับกู แบบนั้นมึงโอเคใช่มั้ย”

“....”

“เวลามีผู้หญิงมาถามว่ากูมีแฟนยัง กูก็บอกว่ายัง แบบนี้คือที่มึงต้องการถูกมั้ย” มันพูดเสียงปกตินะ แต่การที่มันยักคิ้วให้เหมือนท้าทายคำตอบของผม มันทำให้ผมรู้สึกอยากเอาชนะ แม้ในใจลึกๆจะไม่ชอบเลยกับสิ่งที่มันพูดมา

“ว่าไง ที่กูพูดมาคือที่มึงต้องการถูกมั้ย ให้สถานะเราคลุมเครือเป็นแค่คนคุยๆกันไปเรื่อยๆ เหมือนแฟนแต่ไม่ใช่แฟน ถ้ามีใครเข้ามาแล้วถูกคอกว่าก็คุยได้ไม่ผิดจะเอาแบบนี้ใช่มั้ย”

ไม่เอา

“อือ กูไม่คิดมากอยู่แล้ว” ไอ้พายุชักสีหน้าทันที

“กูจะถามอีกครั้ง ถ้าคนอื่นเข้าหากู ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“อือ”

“แน่ใจนะ”

“เออ ถามย้ำอยู่ได้”

“โอเค เข้าใจแล้ว”

มันปล่อยมือผม แล้วหันกลับไปจับพวงมาลัยทั้งสองมือ ผมอยากจะทึ่งหัวตัวเอง ทำไมผมต้องมาอยากเอาชนะอะไรตอนนี้ด้วยวะ ผมไม่โอเคสักอย่างอะที่มันพูดมา สายตาสุดท้ายที่มันมองผมก่อนหันกลับไปขับรถ มันดูเย็นชาจนผมกลัวว่าเราอาจจะจบกันแค่นี้ด้วยซ้ำ

แล้วเราก็กลับมาเงียบใส่กันอีกจนถึงคอนโด อย่างน้อยๆมันก็ยังปรานีผมไม่ไล่ผมลงจากรถ และจนถึงตอนนี้มันจะไม่ยิ้มและไม่ได้ดูร่าเริงแต่ไอ้ยุก็กลับมาพูดคุยปกติ ผมว่าปกติเกินไปด้วยซ้ำ เหมือนเรื่องที่เราคิดไม่ตรงกันก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราเดินมาหยุดกันที่หน้าห้องผม ผมเปิดประตูห้อง หันไปรับกระเป๋าจากมันมาถือไว้

“เข้ามามั้ย”

“ไม่ว่ะ ไอ้คินชวนแดกเหล้ากูเลยว่าจะไปเลย”

“ที่ไหน”

”cabin night”

“งั้นรอกูเก็บของแปปนึงกูไปด้วย”

“อย่าเลย มึงพึ่งกลับมาพักผ่อนเหอะ จะกินไรเดี๋ยวกูลงไปซื้อมาทิ้งไว้ให้”

“กระเพราหมูกรอบไข่ดาวก็ได้”

“โอเค เอาคีย์การ์ดมา”

“มึงเก็บไว้เลย กูมีอีกอัน”

มันพยักหน้ารับคีย์การ์ดไปจากมือผม แล้วเดินออกไป ผมมองแผ่นหลังกว้าง ที่ค่อยๆไกลออกไป มันเหมือนจะปกติ แต่ผมรู้ว่าไอ้ยุ มันยังคงคิดเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ต่างกับผม และผมกลัวว่าเพราะความดื้อของผมอาจทำให้มันออกห่างผมไปจริงๆ



*



หน้าจอโทรทัศน์เปลี่ยนจากละครไทยๆไปเป็นรายการบันเทิงใต้เตียงดาราและเปลี่ยนเป็นภาพยนต์ภาคต่อชื่อดัง ก่อนจะวนกลับไปที่เดิม ผมกดเปลี่ยนช่องไปมาแบบนี้สักพักแล้ว ใจผมมันว้าวุ่นเอาแต่จะนึกถึงไอ้พายุ มองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง ไม่รู้ตอนนี้มันจะกลับรึยัง

สุดท้ายก็ทนไม่ไหวคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาคนที่คิดถึง รอสายอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเพลงชวนให้ลุกขึ้นมาโยกดังลอดออกมา

“ยังไม่กลับอีกเหรอ”

[ไอ้ภพ ไอ้ยุมันลืมโทรศัพท์ไว้]

“แล้วมันไปไหน” เอ่ยถามไอ้คิน

[แปปนะ เชี่ยโอบไอ้ยุมันเดินไปไหนวะ/เห็นลุกไปกับบิ้ว ไปห้องน้ำมั้ง] ฟังเสียงพวกมันที่ตะโกนถามกันท่ามกลางเสียงดนตรีดังกระหึ่ม

[ภพ ถ้าไอ้ยุกลับมาแล้วกูบอกให้มันโทรกลับนะ]

“อือ ไอ้คินแล้วบิ้วนี่ใครวะ”

[อ่ออ เพื่อนพวกกูตอนติวเนี่ยแหละอยู่คนละมอ ไม่มีอะไรหรอกสนิทกันๆ มึงไม่ต้องคิดมาก]

“กูก็ไม่ได้คิดมากสักหน่อย แค่ถามเอง”

[เคๆกูไปแดกเหล้าต่อได้ยัง]

“เออ”

ผมยังคงมองหน้าจอที่ดับไปพร้อมๆกับสายที่ตัดไปแล้ว บิ้ว นี่ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ แต่ก็น่าจะผู้หญิงมั้ยนะ ผมร้อนใจแปลกๆ อาจเพราะเราพึ่งคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ที่คลุมเครือมั้ง กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยนะหว่างรอให้มันโทรกลับมา

จนเวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมง ผมก็ยังไม่ได้รับสายนั้นอยู่ดี

ผมไม่ควรจมจ่อหรือคิดมากเกินไป มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ไอ้ยุมันอาจจะยังสนุกกับเพื่อนอยู่ มันอาจจะกำลังขับรถกลับบ้านอยู่ หรือไอ้คินอาจจะลืมบอกมันว่าผมโทรไป ลุกเดินเข้าห้องครัวเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาหมุนเปิด เผื่อความเย็นของน้ำมันจะช่วยดับความร้อนใจของผมได้บ้าง ยังไม่ทันยกดื่ม เสียงริงโทนก็ดัง ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว ฉวยเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนสายจะตัดไป

“ไอ้ยุ”

[อืม กูเอง ยังไม่นอนอีกเหรอ] เสียงเรียบๆของมันดังชัดเจน ไร้ซึ่งเสียงดนตรี เหมือนว่ามันไม่ได้อยู่ในร้านเหล้าอีกแล้ว

“พึ่งถึงบ้านอ้อ”

[ยัง พึ่งขึ้นรถ กูต้องแวะไปส่งเพื่อนก่อน]

“ใครวะ พวกไอ้คิน?”

[ไม่ใช่ เพื่อนมออื่นนะบังเอิญเจอ]

“อ่อ”

[เขาเมานิดหน่อย เป็นผู้หญิงด้วยกูเลยไม่อยากปล่อยกลับคนเดียว]

“งั้นมึงรีบไปส่งเขาเหอะ นี่ไม่ได้เมาใช่มั้ย”

[ไม่เมา กูกินไปครึ่งแก้วเอง]

“โอเค ส่งเขาเสร็จถ้าง่วงโทรมาได้ เดี๋ยวคุยเป็นเพื่อน”

[อืม]

ผมยังไม่วางสายแม้ว่าบทสนทนาของเรามันดูจะจบแล้วก็ตาม

[ภพ มีอะไรอีกมั้ย]

“มึง”

[ว่า]

ผมเงียบ และคิด ว่าผมควรพูดมั้ย

“ขับรถดีๆนะ”

[ครับ]

แล้วสายก็ตัดไป ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่ผมไม่สามารถพูดห้ามอะไรมันได้เพราะถ้าผมพูด มันก็ดูจะงี่เง่าและเห็นแก่ตัวเกินไป



ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ แบบไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ เดินลงจากคอนโดไปหาอะไรกินทั้งชุดนอน และกลับขึ้นมาที่ห้องตอนเกือบเก้าโมง

งานยังกองอยู่บนโต๊ะ และทุกครั้งที่มองก็เหมือนมีเสียงออกมาว่า ‘เลิกเพ้อเจ้อและมาทำงานได้แล้วโว้ย’ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะทำมันเลย ควานหาโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไปที่ไหนสักแห่งบนโซฟา มากดเข้าไอจี นั่งดูชีวิตที่สดใสของเพื่อนๆสมัยมัธยม กดเปลี่ยนไปหน้าค้นหา ว่าจะหาอะไรสุ่มๆดู แต่แล้วก็สะดุดตากับภาพเคลื่อนไหวสีขาวดำที่มีใบหน้าของคนที่ผมรู้จัก

กล้องถ่ายไอ้คินที่ตะโกนแหกปากร้องเพลง ก่อนที่จะหันไปถ่ายไอ้โอบ ไอ้แบงค์และสุดท้ายไอ้พายุที่นั่งมองแก้วเหล้านิ่งๆ แล้วเสียงหวานๆของคนถ่ายก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงร้องโหยหวนของไอ้คิน

‘พายุรึเปล่า พายุไม่น่ารักรึเปล่า ลุกมาร้องเต้นหน่อยเร็ววว นั่งนิ่งเป็นหินเลยพ่อ’ มองใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กล้อง

แม้จะมืดแต่ผมก็เห็นมือบางที่ยื่นไปดึงรั้งมันให้ลุกขึ้น ก่อนมันจะลุกตามแรงเขาเข้ามาใกล้กล้องแล้วภาพก็ตัดไป

ผมนั่งดูวิดีโอนั่นซ้ำๆ ทำไมมึงต้องยิ้มหวานแบบนั้นด้วยวะ แล้วคนนี้คือใคร ทำไมมันต้องยอมทำตามที่เขาบอกด้วย

กดเข้าไปดูโปรไฟล์แล้วผมก็บอกได้คำเดียว โคตรจะมีเสน่ห์ และที่สำคัญเขาดูชอบอะไรคล้ายกับไอ้พายุ ผมมองภาพแผ่นเสียง ที่เขาถ่ายลง ดูรูปฟิลม์ที่เขาเป็นคนถ่าย และอีกสารพัดของความอาร์ต ไอจีเขาดูเหมือนกับไดอารี่ที่น่าหลงใหล ดูเป็นผู้หญิงเท่ห์ๆ แต่มีความน่ารักชวนมอง จากชื่อไอจีผมคิดว่าเธอคือคนเดียวกับบิ้วที่ไอ้คินพูดถึง และคงเป็นเพื่อนที่ไอ้พายุพาไปส่งเมื่อคืน

จังหวะที่กดออกจากรูปฟิลม์สถานที่แปลกตารูปหนึ่งของเธอ ผมก็เห็นว่าเธอพึ่งลงรูปใหม่ มันเป็นรูปขาวดำ แต่เพราะใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น ทำให้ผมรีบกดเข้าไปดูทันที

ไอ้พายุยังอยู่ในเสื้อตัวเดิมกับที่มันใส่เมื่อวาน มันนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงแต่ถึงยังงั้นมันก็ยังดูดี มือหนายกแก้วกาแฟขึ้นจิบเหมือนมันกำลังดื่มดำกับกาแฟ แล้วบังเอิญคนที่นั่งตรงข้ามก็รู้สึกว่าแสงที่ตกกระทบหน้ามันนั้นสวยดี เลยยกกล้องขึ้นมาถ่าย และไอ้ยุก็เหลือบมองเขา ด้วยดวงตาคมของมัน

และเพราะสายตาที่มันมองแบบไม่ได้ตั้งใจนั่น กลับทำให้ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้เลย

จำเป็นต้องดาเมจรุนแรงแต่เช้ามั้ย คุณพายุ

นั่นคือแคปชั่นใต้ภาพ

อืมจริง ผมเห็นด้วยกับเธอ ผมวางโทรศัพท์ลง ลูบหน้าตัวเอง ผมว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนที่ไอ้พายุต้องเห็นไอ้กัสเข้ามาวุ่นวายกับผมแล้วมันพูดได้ไม่เต็มปาก มันรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะรู้สึกนิดๆแล้วเหมือนกัน

ก็ไม่ได้อยากฟุ้งซ่าน แต่คนเรามักคิดเรื่องเลวร้ายได้ง่ายกว่าเรื่องดีๆอยู่แล้ว และจากรูปที่ผมเห็นก็บอกได้คำเดียวว่าเมื่อคืนมันนอนห้องเขา สุดท้ายผมก็วางโทรศัพท์ลง ทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา ยกมือก่ายหน้าผาก ถ้าตอนนั้นในรถที่มันขอผมคบแล้วผมตกลง เมื่อคืนมันก็คงไม่ได้ไปกินเหล้ากับไอ้คินและมันก็คงไม่เจอกับเพื่อนเก่าและไม่นอนห้องเขา ผมแม่ง

มึงเลือกเองไอ้ภพ มึงเลือกให้มันไม่ชัดเจนเอง

เพราะงั้นมึงก็ต้องยอมรับความรู้สึกครึ่งๆกลางแบบนี้ต่อไป

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ผมคงรักมันมากกว่าที่ผมคิด



รู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ตอนที่ได้ยินเสียงลูกบิดประตู คงเป็นไอ้พายุ เพราะผมให้คีย์การ์ดกับมันแล้ว ผมยังคงหลับตาและฟังเสียงฝีเท้าและถุงพลาสติก ที่น่าจะถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนที่เสียงฝีเท้านั้นจะดังใกล้เข้ามาหาผม พร้อมความอ่อนยวบของเบาะข้างลำตัว และสัมผัสแผ่วเบาของปลายนิ้วที่เกลี่ยเช็ดหางตาให้ผม

“ฝันร้ายเหรอวะ” เสียงนั้นเบาและฟังดูเหมือนมันพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะเป็นคำถามถามผม แต่แค่ได้ยินเสียงมัน ผมก็อยากปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็ก

ผมขยับตัว ค่อยๆลืมตามามองมัน ที่ยังอยู่ในเสื้อตัวเดิมกับเมื่อคืน เจ็บว่ะ

“มาแล้วอ้อ”

“อืม มึงกินไรยัง”

“เช้ากินแล้ว กลางวันยัง”

“กูซื้อข้าวต้มปลามาจะกินเลยมั้ย”

“เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านเหรอวะ ไมอยู่ชุดเดิม”

ผมไม่ได้ตอบแต่เลือกจะถามกลับ

“เออกูขับกลับไม่ไหวเลยนอนห้องเพื่อน”

“ห้องไอ้คินเหรอ” จะถามทำไมวะ ทั้งๆที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่ใช่

“ไม่ใช่ห้องเพื่อนที่กูไปส่งอะ” มันมองผมและตอบเสียงเรียบเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มันจะนอนห้องเพื่อนผู้หญิงคนไหนก็ได้

“อ่ออ” ผมหันหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลลงมา ให้ตายดิขี้แงฉิบหายเลยกู

“เป็นอะไร ถ้าคิดอะไรไม่ดีอยู่ก็หยุดเลย”

“ปะ เปล่าสักหน่อย” พิรุธมาก กูเนี่ย ขยับตัวลุกจะเดินข้ามขายาวๆของมันไปที่โต๊ะกินข้าว แต่มือหนาก็คว้าแขนผมแล้วฉุดให้นั่งลงตามเดิม

“กูกับบิ้วรู้จักกันมานานแล้ว พวกกูสนิทกันแบบที่กูไม่มีวันจะคิดไม่ดีกับเขา อีกอย่างกูไม่มีทางจะทำอะไรแบบนั้นกับคนที่กูไม่ได้ชอบหรอกนะ”

ทำไมยิ่งมันพูดแบบนี้เขายิ่งดูสำคัญกับมันจังวะ

“งั้นถ้ามึงกลับไม่ไหวทำไมมึงไม่มานอนห้องกูวะ แล้วทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย แล้วยังจะลุกไปเต้นกับเขาอีก”

“นี่มึงไปเห็นไรมา” สัดหลุดอีกแล้ว มันหรี่ตามองผม ก่อนจะตอบทุกคำตอบที่ผมถาม “กว่ากูจะขับไปถึงหอบิ้ว ก็เกือบตีสามแล้ว และจากตรงนั้นมาถึงคอนโดมึงกูคงได้หลับในรถชนตายก่อน บิ้วเลยบอกให้กูนอนนั่นเลย ซึ่งกูก็เห็นด้วยเพราะกูก็ไม่ไหวเหมือนกัน กูนอนโซฟาหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย”

“แล้วที่ยิ้มอ่ะ ก็เขาคุยกับกูกูก็ต้องยิ้มมั้ย นั่นก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น” ทำไมประโยคมันฟังดูคุ้นๆจังวะ

“คุ้นๆมั้ย”

ผมพยักหน้า

“มึงเคยพูดแบบนี้กับกูตอนไอ้กัสมันยุ่งกับมึงแรกๆ” นี่ก็จำแม่นเกินนนน

“เข้าใจยังที่กูพยายามบอก ว่าทำไมเราควรจะชัดเจนขึ้นอีกขั้นกับความสัมพันธ์ของเรา”

“อือ”

“เมื่อวานที่มึงพูดมากูโมโหนะ แต่พอกูได้ลองคิดในมุมของมึงดูก็คิดว่ามึงอาจมีอะไรที่ยังกังวลอยู่ แล้วมันก็ไม่ผิดที่มึงจะรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ก็โอเคอยู่แล้ว และกูก็เชื่อใจมึงว่าขณะที่เราคุยๆกันมึงจะไม่คุยกับคนอื่นไปด้วย”

“กูก็เชื่อมึงนะ”

“เหรออ แต่ที่เห็นเมื่อกี้นะไม่ใช่นะ คิดไปไกลแล้วมั้ง”

“ก็มันน่าคิดนี่หว่า”

“กูดูเอาไปทั่วขนาดนั้นเลย”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่ใครจะรู้ถ้าอีกฝ่ายเกิดพิษวาสมึงขึ้นมาแล้วมึงเคลิ้มงี้”

“บิ้วไม่ใช่คนแบบนั้น ทีนี้เข้าใจกูยัง เราอะมั่นใจในคนที่เรารักก็จริงแต่เราไม่มั่นใจในคนอื่น คำว่าแฟน มันก็เหมือนเป็นไม้กันหมาในระดับนึง”

เออ เปรียบเทียบได้เหี้ยแต่ชัดเจนดี

“รู้แล้ว”

“แล้วมึงนี่เวลาหึงชอบหนีนะ แล้วก็ไปดราม่าคนเดียว คิดเป็นตุเป็นตะ”

“กูไม่ได้หึง”

“ปากมึงก็นุ่มดีนะ แต่เวลาเถียงนี้คนละเรื่องเลย”

“ไอ้สัด เออกูหึงพอใจยัง ก็ก่อนหน้านี้เราเหมือนจะทะเลาะกันอะแล้วอยู่ๆมึงก็ไปแดกเหล้าทั้งๆที่เราไม่ได้เจอกันตั้งสี่วัน แล้วกูก็พึ่งหายป่วยด้วย แถมมึงยังไปนอนห้องสาวอีกจะให้กูคิดไงวะ”

“ครับๆเข้าใจแล้ว งั้นมาเริ่มใหม่กัน”

“เริ่มไร” งงมันจะเริ่มอะไรของมัน

แล้วมันก็ดึงผมขึ้นไปนั่งเกยบนตัก มือโอบรอบเอว ใบหน้าซุกอยู่ที่ซอกคอ ก่อนที่มันจะกดจูบสองสามที นี่มันจะเริ่มอะไรของมันกันแน่เนี่ยยย

“มึงทำไรเนี่ย ปล่อยย” พยายามขยับตัวให้พ้นจากมือปลาหมึกของมัน ปากก็เริ่มโวยวาย

“ชู่วส์ อยู่นิ่งๆมึงจำหนังที่เราดูด้วยกันได้มั้ย” เอ้าสัด เปลี่ยนเรื่องไวไปป แต่เพราะมันใช้น้ำเสียงที่ดูจริงจังผมก็เลยยอมปล่อยตัวให้พิงอกมันแล้วมองจอโทรทัศน์ที่สีดำสนิท

“จำได้” ก็มีอยู่เรื่องเดียวอะที่เคยดูกับมัน

“มึงบอกมึงชอบความสัมพันธ์แบบนั้น”

“มึงก็ชอบหนิ”

“อืมชอบ” แล้วมันก็เงียบไป จนผมต้องหันไปไปมอง เอี้ยวคอมองมันแบบนี้แล้วเมื่อยว่ะ ผมเริ่มขยับตัวไปมา จนวงแขนที่กอดรัดอยู่เริ่มคลายออก ให้ผมขยับตัวได้ง่ายขึ้น ค่อยๆเคลื่อนตัวลงจากตักมัน เงยหน้าสบตาคมที่มองผมอยู่

“เมื่อยอะ มึงจะพูดอะไรนะ ต่อเลย"

“ฮ่าๆ พอกูจะหวานก็เป็นแบบนี้ตลอด มึงแม่ง”

ขำเฉย อะไรวะ มองมันที่หัวเราะได้สักพัก แล้วหายใจเข้าลึกๆ ส่งยิ้มบางมาให้ผม ดีใจนะที่ทำให้มันอารมณ์ดีได้อ่ะ

"ต่อนะ"

"อือ"

"น่ารักว่ะ โทษๆ จะพูดแล้ว”

“สักทีเถอะมึงเป็นบ้าเหรอ กูหิวแล้วเนี่ยพูดตอนกินข้าวได้มั้ย”

มองมันที่ทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า เป็นบ้าเป็นบอ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผม ก่อนมันจะพูดทั้งรอยยิ้ม “อีกแปปเดียวแล้วกูจะปล่อยมึงไปกินข้าว”

พยักหน้าและตั้งตารอว่ามันจะพูดอะไร

“กูรู้ว่ามึงอาจกังวลและไม่มั่นใจว่ามันจะยืนยาวมั้ย อันนั้นกูก็รับปากไม่ได้ แต่ที่กูมั่นใจคือกูสึกดีเวลาที่ได้อยู่กับมึง และมันก็ไม่เคยน้อยลงเลย กูอยากดูแลมึง อยากปกป้องมึง อยากมีสิทธิในตัวมึง อยากทำหลายๆ อย่างไปด้วยกัน อยากยิ้มและหัวเราะแบบนี้ไปจนแก่กับมึง ไม่ต้องเพอร์เฟกต์ แต่ในทุกครั้งที่มึงเสียใจ หรือเหนื่อย มึงจะมีกูอยู่ข้างๆ เหมือนตากับยายในเรื่องนั้น"

“ไอ้พายุ"

“ไอ้ภพ เป็นแฟนกันนะ”

ผมยังคงมองตามัน รับรู้ว่ามันจริงจังและจริงใจแค่ไหนกับสิ่งที่พูด ผมก็ไม่รู้ว่าผมกับไอ้พายุเราจะเดินกันไปได้ไกลแค่ไหน ผมไม่เคยวาดภาพไว้เลย แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมก็สบายใจและพอใจแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเคยไม่มั่นใจ เคยสงสัยและลังเล แต่ก็เป็นมันทุกครั้งที่ยังคงเหมือนเดิมและย้ำให้ผมเห็นเสมอว่ามันมั่นใจกับรักครั้งนี้แค่ไหน ถ้าถามว่าผมยังกังวลเรื่องที่บ้านจะไม่เห็นด้วยมั่ย ก็ต้องบอกเลยว่ามาก แต่มันก็คงเหมือนที่พิมพูดว่าผมอาจกำลังเห็นแก่ตัวถ้าจะปล่อยให้มันรอไปเรื่อยๆกับความสัมพันธ์ที่คลุมเครือแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลยผมเองก็คงไม่โอเครเท่าไหร่

“แต่กูกลัวที่บ้านกูไม่โอเคแบบบ้านมึง”

“มึงกังวลเรื่องนี้สินะ”

“อือ”

“ไว้เราไปหาพ่อแม่มึงกัน กูว่ากูก็มีดีพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ชอบนะ”

หมั่นไส้วะ

“กูอาจจะงี่เง่า ช๊อปปิ้งนาน และขี้แย มึงจะไม่รำคานใช่มั้ย”

“มึงก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นมึงแค่มีความคิดของมึง ที่ออกจะซับซ้อนไปหน่อย แต่กูว่ากูจัดการได้”

“สัด”

“ว่าไงเป็นcutieของกูนะ” มันถามย้ำเมื่อเห็นผมเงียบนานเกินไป

“ไม่เอากูจะเป็นboxerมึงเอาcutieไป”

“สรุปคือ”

“อืม”

แล้วมันก็ยิ้มกว้าง ดึงผมเข้าไปกอดแน่น ผมเองก็ยิ้ม เลื่อนมือขึ้นกอดตอบมัน ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเราต้องเจออะไรอีก แต่ตอนนี้ผมโคตรมีความสุขที่ได้รักและได้รับความรัก และไม่ลืมย้ำมันอีกครั้ง

“แต่มึงเป็นcutieให้กูนะ”

“มึงจะให้กูเป็นอะไรก็ได้เพราะในสายตากู มึงก็เป็นไอ้น่ารักสำหรับกูอยู่ดี”



คิดว่าอีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้ววว เกือบถอดใจหลายครั้งแต่พอเห็นคอมเม้นต์ก็มีแรงฮึบขึ้นมา ฮา

พายุก็ยังเป็นพายุนะ พอรู้ว่าอีกคนคิดอะไรก็คือเคลียร์เลยทันที  ไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ ส่วนตัวนี่คิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีคือทั้งสองฝ่ายต้องรักษาใจกัน ทะเลาะกันได้แต่ก็ต้องหันมาพูดคุยและรับฟังกันทีหลังด้วย เลยเขียนออกมาได้ฉะนี้ ยังมีจุดที่เขียนไม่ราบรื่นบ้างแต่จะค่อยปรับปรุงไปค่า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ผมเคยคิดว่าการคบกัน มันคงไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เลย มันต่าง ทั้งในเรื่องของกายภาพ และเรื่องของจิตใจ ยอมรับว่าความรักของผมครั้งนี้ดูแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน พายุมันให้ผมมามาก มากจนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าผมให้มันได้ไม่เท่าที่รับมา นี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว และเรื่องของเราเพื่อนๆก็รับรู้และดูจะยินดี โดยเฉพาะ พิมกับโทนี่ มันดูมีความสุขเกินไปมากกก

"เมื่อคืนมึงนอนไม่หลับเหรอ กูได้ยินเสียงเปิดประตูกลางดึก" 

"ตอนนั้นมึงยังไม่นอนเหรอวะ"

"ยัง"

ใช่ครับ มันย้ายเข้ามาอยู่กับผมแล้ว ไม่รู้มันไปคุยกับที่บ้านยังไง พ่อถึงยอมให้มันมาอยู่นี่ หรือมันไม่ได้ขอก็ไม่รู้

'กูขออยู่ด้วยนะ'

มันพูดแบบนั้นตอนมันเดินเข้ามาในห้องหน้าตาเฉย ไม่น่าให้คีย์การ์ดมันไปเลยย แล้วไม่อยู่ฟรีๆด้วยนะ ไอ้ยุบอกจะจ่ายค่าเช่าให้ทุกเดือนถึงผมจะบอกว่าแค่แชร์ค่าน้ำค่าไฟให้ก็พอแล้วก็ตาม แต่คุณเขาก็ยังดึงดันว่าจะไม่อยู่ฟรีๆ ในเมื่อเขาว่ามาอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดศรัทธา มีเงินมาไว้ซื้อผ้าซื้อสี หรืออาจจะได้เสื้อใหม่สักตัว แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย

เพื่อไม่ให้มันรู้สึกว่าเงินที่มันเสียมานั้นไม่คุ้มค่า ผมก็เลยยกห้องที่ว่าง(ห้องเก่านานะ)ให้มันไปเลย จะได้รู้สึกสะดวกสบายไม่ต้องมานอนเบียดผม ซึ่งมันก็ดูจะงอแงนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี ก็นี่มันถิ่นโผมม

“เหม่อไร”

ติดอยู่ข้อเดียวเนี่ยแหละ มือแม่งอยู่ไม่สุข ผมจับมือหนาที่สอดเข้ามาใต้สาบเสื้อออกมากุมไว้ และตบเบาๆให้มันใจเย็น 

“ขอกูทำงานดีๆได้มั้ย งานมึงไม่มีเหรอ” เอี้ยวคอไปมองมันที่นั่งซ้อนกอดผมอยู่ด้านหลัง 

“มี แต่ขอเติมพลังก่อน” แล้วริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว ก่อนขยับตัวลุกออกไป เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวและทำงานของมันต่อ ทีแบบนี้อะไวนัก ได้แต่มองแล้วส่ายหัวเบาๆ ก็แค่นี้แหละ นิดๆหน่อยก็เอา แต่ไอ้บ้าเอ๊ย ทำกูสติแตกตลอด จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชิน มันยุบยิบใจเป็นบ้า

หันมองงานตัวเองและพยายามตั้งสติอีกครั้ง ชีวิตช่วงนี้ของผมนะเหรอครับวนลูป เรียน ทำงาน กิน นอน มีอยู่แค่นี้ แม้ใจจะระริกอยากออกไปเจอแสงสียามค่ำคืนแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเราใกล้เข้าสู่ช่วงไฟนอลแล้ว งานทั้งหลายที่ผมค้างอยู่ตั้งแต่แข็งขาหัก และที่ไปเชียงใหม่ ทุกอย่างที่ยังไม่เสร็จถูกยกมาสมทบในช่วงนี้

นี่คือสองอาทิตย์นรกแตกของโผมมม

บอกเลย การนั่งทำงานดึกดื่นหรืออาจจะโต้รุ้งกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว จนบางคืนถึงงานผมเสร็จตั้งแต่หัวค่ำผมก็นอนไม่หลับอยู่ดี (อย่างเช่นเมื่อคืนเป็นต้น) โชคยังดีที่วิชาเรียนรวมเริ่มปิดคลาสหมดแล้วรอสอบอาทิตย์หน้าก็จบ จะมีก็แต่วิชาหลักของสาขาบางตัวที่ยังต้องเข้าอยู่  บางตัวจารย์ก็ให้เวลาเคลียร์งานทั้งหมดที่ค้าง ดังนั้นสภาพผมตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากตอนเชียงใหม่เท่าไหร่ จะดีหน่อยก็คือ ผมกินข้าวตรงเวลา เพราะมีพ่อ(ไอ้พายุ)คอยป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ไม่ห่าง เยี่ยมจริงๆ

แต่เรื่องนอนนี่มันเองก็ห้ามไม่ได้เพราะเราต่างคนต่างโต้รุ่งถึงเช้า ก็เข้าใจได้ งานไฟนอลที่เรียนก็เยอะแล้ว มันยังไปรับงานพี่เฟียตมาเพิ่มอีก บางทีก็สงสัยนี่มึงร้อนเงินเหรอ เคยแซวๆไปครั้งนึง แล้วมันก็ตอบเสียงจริงจัง ‘ได้รับโอกาสมาแล้วก็ต้องรับดิ กูจะได้เรียนรู้การทำงานจริงๆก่อนเรียนจบตั้งหลายปี’ เหตุผลฟังดูดี แต่กลัวแม่งจะน๊อคคาคอมไปสักวันจริงๆ 

ห่วงมันนะ แต่ตัวเองก็ยังไม่รอด จะตายมั้ยก่อน! งานเยอะฉิบหายเลยโว้ยย ได้แต่ทึ่งหัวตัวเองแล้วก้มหน้าชดใช้กรรม 

“เดี๋ยวกูมานะ”

“ไปไหนวะ” หันไปถามมัน ที่ปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊ค มาถือไว้ 

“ลงไปคุยงานกับพี่เฟียตแปปนึง ตอนเย็นมึงจะกินไร กูจะได้ซื้อขึ้นมาเลย”

“ให้พี่มันขึ้นมาคุยข้างบนก็ได้ ข้างล่างร้อนจะตาย” 

“ได้เหรอ”

“ได้ดิ นี่ก็ห้องมึงแล้ว ถ้างานเป็นความลับ กูย้ายไปทำงานในห้องนอนได้”

มองไอ้พายุที่วางโน๊ตบุ๊คลงบนโต๊ะตามเดิมแล้วหันมายืนกางแขนออกมองผม เออไม่ต้องมองกูตาเยิ้มขนาดนั้นก็ได้ รู้ว่ารักกูมาก

“อะไร”

“มาให้กอดหน่อย”

“มึงก็เดินมาเส่” แต่มันยังคงยืนนิ่งมีเพียงฝ่ามือหนาที่ขยับกวักเรียกผม โว๊ะไอ้นี่หนิ สุดท้ายผมก็ลุกเดินเข้าไปสวมกอดมัน วงแขนอุ่นก็กอดรัดผมให้แนบแน่นขึ้น คางแหลมวางเกยที่หัวผม ผมไม่ได้เตี้ยนะ แต่มันสูงเกินมาตราฐานต่างหาก

“มึงนี่ชอบสกินชิพเนอะ”

“เออชอบมากกก” ไม่พูดเปล่ามันยังย้ำในคำพูดของผมด้วยการเลื่อนลงมากดจูบที่ซอกคอ มือเริ่มเคลื่อนไหวลงไปที่สะโพกและบีบเบาๆ ให้ตายดิ ไวตลอดเลยโว้ย มึงไม่ต้องย้ำกูก็ได้ ผมละกลัวใจตัวเองจริงๆ กลัวจะเผลอไปกับมัน

“พอแล้วสัด พี่เฟียตมันยืนแห้งตายรอมึงแล้วมั้ง” ผลักมันออกจากตัว

“ว้า เสียดายจังเมื่อกี้มึงดูเคลิ้มแล้วเชียว” เกลียดน้ำเสียงมันอะ กะล่อนฉิบหาย แล้วดูตามันเด้ ไอ้พายุคนเงียบขรึมไม่มีจริง นี่มันเสือซุ้มชัดๆ

“กามตลอด ไอ้สัด”

“ฮ่าๆ พูดไม่เพราะเลยนะครับคุณภพ” แล้วมันก็ดึงผมกลับเข้าไปในอ้อมกอดหลวมๆอีกครั้ง

“แล้วจะเอาเพราะขนาดไหนหละครับ” ผมพูดแล้วเชิดหน้าทำหน้ากวนมัน “ต้องแบบ คุณพายุครับ หรือให้กูเรียกพี่พายุครับ พี่ลามกจังครับ งี้เลยมั้ย”

รู้สึกได้ว่าตัวมันแกร่งเครียด ก่อนดึงตัวผมออก อ่าว อะไรกัน มึงคิดอะไรอยู่ มองหน้ามันก่อนค่อยๆยกยิ้มมุมปาก ในที่สุด

กูก็รู้จุดอ่อนมึงแล้วโว้ยยย วะฮ่าๆ

“พี่พายุครับ เป็นอะไรเหรอครับ” งงมันมาก ผมก็พูดเสียงปกตินะ ไม่ได้บีบเสียงอะไรเลย แต่มันเขินอะไร ใช่ มันเขินเฉย เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ทำมันหูแดงได้ ปกติก็มีแต่มันทำผมเนี่ยเขินตัวบิดสาวแตก

รู้สึกชนะว่ะ สนุกโว้ยย เอาอีกๆ ชอบแบบนี้ก็ไม่บอก กูจัดให้!

ขยับตัวเข้าหาเบียดเสียดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สบตาคมที่ดูลอยๆ เป็นเอามากนะแพ้คนพูดเพราะขี้อ้อนเหรอวะ ซึ่งไม่มีอยู่ในตัวกูเลยย “เป็นอะไรไปครับ พายุชอบแบบนี้เหรอ”

ฮ่าๆเกลียดอินเนอร์ความตอแหลของตัวเองจัง แต่ที่ตลกกว่าคือหน้าตาเหลอหลาของมัน ในจังหวะที่ผมยังคงคึกคะนองและคิดว่าได้แกล้งมันแล้วน้านน

เสือแม่งก็ยังเป็นเสือ ทันทีที่ผมเห็นแววตาคมวูบไหวผมก็ถอยตัวออก เตรียมหันตัวหนีทันที 

แต่ไม่ทัน

“อื้อออ”

สัด จูบกระชากวิญญาณ รุนแรงเหลือเกินพ่อ กูจะไม่หยอกมันแบบนี้อีกแล้ว เข็ดไปจนตายยย



*



ผมยังนั่งอยู่ที่โซฟาตอนที่ไอ้พี่เฟียตเดินหน้ามุ่ยเหงื่อโทรมกายเข้ามาในห้องตามหลังไอ้พายุที่ดูจะอารมณ์ดีจนน่าถีบ

“ให้กูยืนรอนานฉิบหาย มัวทำไรกันอยู่วะ” พี่มันเดินมานั่งลงข้างผม หันมองผมด้วยใบหน้าหงุดหงิด “ไงมึง แล้วปากโดนไรมา ทำไมบวมขนาดนั้น” 

“หมามันกัดอะพี่” เหล่ตามองหมาที่ยืนยิ้มกริ่ม

“อ่อ ไอ้ยุสินะ ที่หลังก็กัดตอบเลยอย่าปล่อยให้แม่งเอาเปรียบ” ผมก็อยากอยู่อะนะแต่แม่งแรงควายไง เคยสู้มันได้ที่ไหน แค่จะหายใจยังยาก “แล้วนี่ยังไง นัดกูมาคุยงานคอนโดไอ้ภพ ย้ายมาอยู่ด้วยกัน? คบกันแล้ว?”

“อืม” ผมไม่ได้ตอบนะ คนที่ตอบอะนู่น ไอ้พายุแล้วพี่มันก็ยกยิ้มมุมปาก ยกแขนขึ้นพาดบ่าผม ตบแปะๆสองสามที

“กูยินดีกับพวกมึงด้วย ไอ้พายุมันเป็นคนดีและแม่งโคตรรักมึงเลย แต่กูขอแนะนำอะไรพวกมึงหน่อย” 

“อะไร” 

“ถึงสมัยนี้มันจะเปิดกว้างหมดแล้ว แต่มันก็ยังมีคนที่ยอมรับไม่ได้ พวกมึงยังต้องเจออะไรอีกเยอะ อย่าไปสนใจ คนที่มึงควรแคร์ที่สุดคือคนของมึง อย่าทำร้ายความรู้สึกกัน แค่เพราะคนอื่นบอกว่ามันไม่สมควร”

“แล้วถ้าคนอื่นเป็นพ่อผมอะพี่” ที่ถามนี่ไม่ได้จะกวนตีนนะ อันนี้อยากฟังพี่มันพูดจริงๆ

“อันนี้กูไม่ทันคิด” อะโด่ เกือบดีแล้วเชียว “แต่กูว่า ถ้ามึงไม่ได้พากันไปทำเรื่องไม่ดี เขาก็คงยอมรับในสักวันแหละ พวกมึงแค่อย่าปล่อยมือกันก่อนก็พอ”

“โอ้วว นานๆจะได้ฟังอะไรดีๆจากปากพี่”

“น้องเวร” โว๊ะ ผลักหัวกูซะแรงเลย “ส่วนมึงไอ้ยุ ได้เขามาแล้วก็ดูแลดีๆ อย่าทำเหี้ยๆกับน้องกู เข้าใจ๋”

“กูก็น้องมึง มั้ยพี่” ไอ้พายุพูด

ผมว่าตอนนี้ผมเห็นพีรามิดห่วงโซ่อาหารอะไรสักอย่างที่เกินขึ้นรางๆระหว่างพวกเรา เวลาผมอยู่กับไอ้ยุจะรู้สึกว่าสู้มันไม่ได้ แบบถึงสู้สุดท้ายผมก็แพ้อยู่วันยังค่ำ เลยต้องยอมๆมันไป แล้วหน้าตาไอ้ยุกับน้ำเสียงมันตอนนี้ที่พูดกับพี่เฟียตทำให้รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไอ้พี่เฟียตคือจุดสูงสุดของยอดพีรามิดตอนนี้ 

เอาหละได้ทีกู เมื่อกี้ผมสู้มันคนเดียวเลยแพ้ไป แต่ตอนนี้ผมมีพี่เฟียตอยู่ ฮึกเหิมๆ ม่านละครเปิดได้!

“เนี่ยพี่ ไอ้พายุแม่งชอบรังแกผมอะ” 

“อะไร” มันขมวดคิ้วมองผม

“มึงชอบมาจับตัวกู แล้วบีบๆ”

“แล้วจับไม่ได้ไง เต๊ะไม่ได้เลย”

“มันก็ไม่ต้องบ่อยก็ได้มั้ยย เอะอะจับๆลูบๆอยู่ได้”

“ตัวมึงนุ่ม เพลินมือดี”

“ไอ้สัด เนี่ยพี่ดูมันพูดดิ ชอบพูดจาสองแง่สามง่ามใส่ผมด้วย ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย” ผมทำหน้าบึ้ง หันไปฟ้องพี่เฟียต พี่มันอมยิ้มมองผมอย่างรู้ทัน 

“มึงเป็นไรของมึงเนี่ย” ไอ้ยุดูจะเริ่มหัวเสียนิดๆ 

“ไหนมันจับๆลูบๆมึงยังไง” พี่เฟียตหันไปมองไอ้ยุแล้วหันกลับมาถามเสียงขัน ขยิบตาส่งซิกและผมก็รู้ทันเกมพี่มัน 

“มันชอบกอดผมแบบนี้ แล้วทำแบบนี้ที่พุงกูอะพี่” ผมกอดพี่มัน ยื่นมือไปจับหน้าท้องที่แน่นปั๊กของพี่เฟียต แล้วลูบๆ “แบบเนี่ยๆ โคตรจั๊กจี้ พี่จั๊กจี้มั้ย”

“ไม่นะ แต่สบายว่ะ ซ้ายหน่อยดิคันตรงนั้นพอดี” สัด พี่เฟียตแม่งจะเอาฮาไปไหน ผมหัวเราะกับพี่มัน แล้วเกาตามตำแหน่งที่พี่มันบอก

“ภพ ให้มันน้อยๆหน่อย” แต่เห็นจะมีคนไม่ขำด้วยว่ะ ไอ้พายุพูดเสียงเรียบ เดินเข้ามาดึงตัวผมออกแล้วแทรกตัวนั่งคั่นระหว่างผมกับพี่เฟียต หน้าเป็นตูดเลยโว้ยย

“มึงนี้จี้ง่ายฉิบหาย และให้มันเพลาๆบ้าง อย่าลวนลามน้องมันมาก”

“เออ อย่าลวมลามกูมาก” ผมพูดทวน และไอ้ยุก็หันมามองผม ยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆอย่างที่มันชอบทำ

“ยากวะพี่ แต่จะพยายาม” 

“เออ เรื่องของพวกมึงเหอะ กูพูดที่อยากพูดแล้ว จะเริ่มคุยงานกับกูได้ยัง”

พี่มันก็ไม่ได้ไล่ผมหรอกนะ แต่ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้น หอบหิ้วงานตัวเอง ก่อนไปไม่ลืมหันไปยิ้มขอบคุณพี่มัน แต่ไอ้คนนั่งหน้านิ่ง ก็เอียงตัวมาบังพี่เฟียตให้พ้นจากสายตาผม ส่ายหัวกับท่าทางมันแล้วหันหลังเดินเข้าห้องนอน 

ตลกดียิ่งอยู่ด้วยกันผมก็มองว่าท่าทางของมันเมื่อกี้แม่งน่ารักว่ะ

(มีต่อ)


ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
[พายุ part]

หลังไอ้พี่เฟียตกลับออกไปตอนเกือบหกโมง ผมก็เดินไปเคาะห้องภพ เมื่อเย็นมันแวบออกมาเอาข้าวแล้วเดินกลับเข้าห้องไป ที่จริงผมกับพี่เฟียตก็ไม่ได้จะคุยงานกันยาวหรอกแล้วก็ไม่ได้ต้องเป็นความลับอะไรด้วย แต่พอเห็นไอ้ภพมันดูใส่ใจและไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายมาก ผมว่ามันก็น่ารักดี เลยปล่อยให้มันทำสิ่งที่มันสบายใจจะทำ 

ผมเดินเข้าไปหาไอ้คนตัวเล็กที่ฟุบหลับคากองงานบนโต๊ะ ในมือยังถือดินสอค้างอยู่ ค่อยๆ ดึงออกจากมือเรียว จับตัวมันขึ้นมาก่อนจะช้อนตัวอุ้มคนที่หลับสนิท ไปวางลงบนเตียง ทันทีที่หัวลงหมอน ไอ้ภพก็ซุกตัวหาท่าที่สบาย เกลี่ยผมที่ปรกลงมาให้พ้นกรอบหน้าหวาน แม่ง มันจะน่ารักทุกเวลายันตอนนอนไม่ได้นะ 

ทำไมผมถึงบอกว่ามัน ‘น่ารัก’ บ่อยๆนะเหรอ เพราะนั่นคือคำนิยามที่ดูเหมาะสมกับมันที่สุด

ไม่สิมีอีกคำ ‘สวย’ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมคำว่าสวยเราถึงใช้นิยามได้แค่กับผู้หญิง ในเมื่อทุกอย่างมีความสวยงามในแบบของมันทั้งนั้น

ในที่สุดผมก็ย้ายเข้ามาอยู่กับมันจนได้ พ่ออนุญาติสักที ขอบคุณแสงแดดที่ช่วยพูดแลกกับการที่ผมต้องซื้อนินเทนโด ราคาเหยียบหมื่นให้มัน (เครื่องเล่นเกมห่าไรแพงฉิบหาย) แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะผมจะได้อยู่ใกล้ๆมันได้นอนกอดมันทุกคืนและตื่นขึ้นมาพร้อมกันในทุกเช้า และคอยดูแลมันได้ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

แต่ความจริงโหดร้ายกว่านั้น

แม้จะอยากนอนกอดมันแค่ไหนแต่ไอ้ภพก็พูดเสียงแข็งว่าไม่เอา มันนอนดิ้น (ซึ่งโคตรจะจริง) และมันกลัวจะทำผมนอนไม่สบาย (แลดูเป็นห่วง) พอบอกว่าไม่เป็นไร มันก็ยกเอาเรื่องว่า ผมจ่ายค่าเช่าให้มันผมก็ควรได้นอนสบายๆคุ้มค่าเงินที่จ่าย ใจดีไม่ดูเวล่ำเวลาแบบสุดๆ คือกูอยากนอนกับมึงไง แต่พอเห็นมันยืนยันแน่วแน่แบบนั้น สุดท้ายผมก็เลยเออๆ ออๆ ยอมมันไป ผมเลยได้ห้องเก่าของแฟนเก่ามัน (แอบเจ็บ)มาซุกหัวนอน

แต่ผมว่ามันกลัวอย่างอื่นมากกว่า

นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็คิดถึงเรื่องที่คุยกับพี่เฟียตเมื่อตอนเย็น เอาจริงคุยงานกันอะแค่30นาที ที่เหลือคือคุยเรื่องมันทั้งนั้น ก็เข้าใจได้ไอ้ภพมันก็เป็นน้องที่พี่เฟียตมันเอ็นดู พี่มันคงประทับใจตอนรับน้อง ไปมาหาสู่พาไปส่งโรงบาลตอนที่แม่งข้อเท้าหลุด ก็เหมือนผมแหละที่ชอบมันตั้งแต่ตอนนั้น และไหนจะความกวนตีนขี้อ้อนที่ดูน่ารักแปลกๆที่ให้ความรู้สึกน่าปกป้องของมันอีก ก็ไม่ยากที่จะทำให้มันเป็นที่รักของทุกคน (เกินไปจนบางทีก็น่ารำคาญ)

ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเสน่ห์แรงและมีคนหมายตาขนาดไหน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะ พวกผู้ชายห่ามๆก็เยอะ 

ล่าสุดก็คนใกล้ตัวผมเลย ไอ้มิกซ์ ก็พอรู้ว่าอย่าถือสากับคนเมา แต่ผมรับคำพูดแทะโลมที่มันพูดถึงไอ้ภพไม่ได้ ก็เลยเผลอแลกหมัดกันไปยกสองยก

ผมไม่ชอบให้คนอื่นพูดหรือคิดแบบนั้นกับคนของผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เผลอคิดลามกกับมันทุกที โคตรแย่ ก็พยายามปรับปรุงอยู่เหมือนกัน

‘กูเข้าใจนะ ยิ่งใกล้เหมือนไฟมันสปาร์ค แต่มึงก็อย่าให้มันเยอะไปเลยสงสารไอ้ภพมัน มันคงยังไม่ชิน’

‘พี่ก็เชื่อที่ไอ้ภพพูดมากเกินไป ผมก็ไม่ได้หื่นขนาดนั้น’

‘เรื่องนี้กูเชื่อไอ้ภพมากกว่ามึงว่ะ ตามึงตอนมองมันนี่แทบจะกลืนกิน ถ้ากูเป็นไอ้ภพกูก็ไม่ให้มึงเข้าห้องนอนหรอก’

อันนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยเห็นตาตัวเองตอนมองมัน แต่ผมว่าผมก็ไม่ได้พยายามพามันไปถึงจุดนั้นนะ ขอแค่สัมผัสนิดๆหน่อยให้อบอุ่นใจเฉยๆ 

‘เวลาพี่อยู่กับแฟนพี่ไม่ชอบสกินชิพเขารึไงมันคือการแสดงความรักเว้ย ผมไม่ได้จะทำไรมันสักหน่อย’

‘แต่ถ้ามันเคลิ้มมึงก็เอา’

ก็ไม่ขนาดนั้น 

‘กูเตือนเลยนะ เซ็กส์มันต้องเกิดขึ้นจากความต้องการของทั้งสองคนไม่ใช่คนเดียว แล้วไอ้วิธีเจ้าเล่ห์ๆ เจ้าแผนการของมึงที่ชอบใช้หลอกล้ออะหยุดไปเลย’

รู้ดีฉิบหาย แต่เรื่องนี้ผมไม่คิดวางแผนอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ล้วนๆ

‘อันนี้ผมรู้พี่ ผมก็ไม่คิดจะใช้แผนไรอยู่แล้ว กะรอให้มันพร้อมแล้วเป็นคนเปิดเอง’

‘เออคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว’

‘พี่นี่ก็ยุ่งกับเรื่องผมจริง’

‘เอ้า ไอ้เวร ที่ตอนจะจีบวิ่งให้กูช่วย พอจะได้กันถีบหัวกูส่งซะงั้น’

‘เออหน่า พี่มึงไม่ต้องห่วงหรอก ผมก็ไม่คิดจะทำไรมันเร็วๆนี้หรอก ผมรักมันนะ ไม่ได้คบแค่จะเอา  ช่วงนี้มันเครียดไฟนอลด้วย ไหนจะกลัวพ่อมันรู้เรื่องอีก’

‘เออแล้วมึงไปเจอพ่อแม่มันยัง’

‘ยัง แต่คิดว่าจะไปช่วงปิดเทอม’

‘เออดี แต่บ้านมึงรู้แล้วป่ะ'

‘รู้ ตอนแรกพ่อก็ไม่โอเค ที่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย เกือบตบผมด้วยซ้ำแต่ผมหลบทัน ส่วนแม่ถึงไม่พูดแต่ก็ดูเสียใจอยู่ แต่พอผมบอกว่าผมแค่คิดว่าการที่ผมเป็นเกย์มันก็ไม่ได้ผิดอะไร ผมก็ยังเป็นผม เป็นลูกคนเดิมของเขาอยู่ดี ถ้าในเมื่อออกไปผมเป็นตัวผมได้แต่ถ้ากลับมาบ้าน ผมต้องหลบๆซ่อนๆผมว่ามันไม่น่ามีไรดี ผมไม่อยากปิดกับคนที่ผมรักที่สุดอย่างครอบครัว พี่เกทป่ะ’

'อืม'

'นั่นแหละ พอผมแน่ใจว่าความรู้สึกของผมต่อภพมันเกินจากการแอบชอบ หรือแค่หลงไปไกลแล้ว  พอผมมั่นใจ ว่ามันกลายเป็นความรัก ที่ผมอยากครอบครอง ก็เลยตัดสินใจบอกที่บ้าน'

‘แล้วเขาว่าไง’

‘ก็ดูนิ่งๆไปแต่โชคดีไง มีพี่ฝน กับแสงแดดช่วยพูด แล้วแม่ก็เริ่มเข้าใจมั้ง ก็เลยช่วยคุยกับพ่ออีกที สุดท้ายเลยชวนกันกินเหล้า แล้วผมก็เลยเล่าเรื่องไอ้ภพให้ฟัง แต่กูเมาอะพี่ ก็ไม่รู้พูดไรไปบ้าง วันรุ่งขึ้นพ่อก็บอกว่าให้พาภพมาเจอบ้าง’

‘แล้วพาไปยังวะ’

‘ไปแล้ว ก่อนจะตกลงเป็นแฟนกันอีก’

‘เร็วเหมือนกันนะพวกมึงเนี่ย’

‘ก็ใช่ แต่สำหรับผมมันช้ามากเลยพี่ก็รู้’

‘เออ เข้าใจก็แอบชอบมาเป็นปีๆกูยอมมึงเลย แล้วที่บ้านเจอไอ้ภพแล้วว่าไง’

‘ผมก็กลายเป็นหมาไง ไอ้แสงแดดนี่ดูจะถูกใจก่อนใครเพื่อน พี่ฝนก็ดูชอบรายนั้นชอบอะไรนุ่มนิ่มๆอยู่แล้วและพี่มึงดูแก้มไอ้ภพดิ ป่องขนาดนั้น'

'เออจริง แก้มแม่งน่าบีบ'

'อืม แล้วพี่ก็รู้ไอ้ภพมันมีความขี้อ่อนเอาใจใส่แบบไม่รู้ตัวอะ สุดท้ายแม่ผมก็ดูจะถูกใจ พ่อก็ไม่ได้ถึงกับยอมรับ แต่ก็ดูไม่ได้รังเกียจหรือห้ามอะไร เออแต่ก่อนกลับก็ดูจะถูกใจอยู่เหมือนกัน’

‘งั้นเหลือแต่พ่อแม่ไอ้ภพสินะ’

‘อืม แต่ผมลองถามพวกเพื่อนๆมันก็เห็นบอกใจดีนะ แต่กับเรื่องแบบนี้ก็ต้องรอดู’

‘จริงจังฉิบหาย แต่ก็ดีแล้ว’ 

‘ก็หวังว่ามันจะผ่านไปด้วยดี’

 ผมกลับมาสู่ปัจจุบัน เมื่อไอ้ภพเริ่มถีบผ้าห่มออกจากตัว จนเห็นขาขาวๆของมัน และกางเกงขาสั้นที่ร่นขึ้นไปถึงโคนขา ไหนจะเสื้อที่เปิดอ้าซ่าจนเห็นหน้าท้องบาง ดึงผ้าห่มกลับมากางออกคุมตัวให้ถึงคอ ปิดความขาว ที่ชวนอารมณ์ขึ้นให้พ้นสายตา

ก็ยอมรับอะนะ ผมมันก็ผู้ชายหื่นกามดีๆนี่เอง พึ่งมารู้ว่าตัวเองหื่นแค่ไหนก็ตอนอยู่กับมันเนี่ยแหละ ก็ดูแม่งดิ ปากอิ่มน่ากัด ยิ่งเวลาเถียงงุ่ยๆแล้วโคตรหมั่นเขี้ยว ไหนจะแก้มบวมๆของมันอีก ไอ้ภพมันผอมมากนะแต่แก้มนี่ น่าบีบฉิบหาย แล้วมือผมก็เผลอบีบแก้มมันเบาๆอย่างไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ตอนมันส่งเสียงครางแล้วหันหนีถีบผ้าห่มออกอีกเนี่ยแหละ

แล้วแบบนี้ใคนจะทนไหววะ 

แต่ต้องทนแม่งเอ้ย ลุกไปหยิบโทรศัพท์มันมาเสียบชาร์จให้ เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินแบบตอนมันไปนอนบ้านผมอีก เช็คว่ามันนอนห่มผ้าเรียบร้อยดีแล้วเดินออกจากห้องมันมาโดยไม่ลืมปิดไฟ 

ผมกลับมาที่ห้องตัวเอง หยิบผ้าเช็ดตัวรีบเดินเข้าห้องน้ำ ต้องอาบน้ำดับความร้อนรุ่มในใจหน่อย ความขาวแม่งติดตา น้ำเย็นๆช่วยผมได้ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ดีกว่ายังนั่งอยู่ในห้องมันอะนะ

เดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ สภาพเปลือยท่อนบน แล้วผมก็ต้องตกใจ ชะงักยืนอยู่กับที่ เพราะตอนนี้ เวลานี้ ไอ้คนที่คิดว่านอนหลับไปแล้วกลับมานั่งอยู่ปลายเตียง ดวงตากลมสบตาผมอย่างเลื่อนลอย

นี่มึงละเมอปะเนี่ย

“ภพ มึงมีอะไรรึเปล่า”

มันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตัวเข้ามากอดผม ใช่ครับผมใช้คำว่าพุ่ง ความเร็วและแรงปะทะนั้นเกิดเสียงดังอั๊ก ใบหน้ามันซุกอยู่ที่ซอกคอผม 

“เป็นอะไร” ดึงตัวมันออกมา ทำไมดูลอยๆวะ

“....”

“ไอ้ภพ มึงละเม...หืม”

งงดิ บอกเลยงงมาก อยู่ๆมันก็เงยหน้าขึ้น โน้มคอผมไปจูบ ผมค่อยๆขยับริมฝีปากให้เราสัมผัสกันได้มากขึ้น ปล่อยให้ไอ้ภพนำไป ความรู้สึกอุ่นวาบวิ่งไปทั้วร่าง รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตัวเอง สัมผัสของมันไม่ได้เร้าร้อนแต่กลับทำให้ผมรู้สึกดี  ทันทีที่ไอ้ภพเหมือนจะถอนริมฝีปากออกไป สองมือผมก็จับตรึงใบหน้ามันไว้และเป็นฝ่ายกอบโกยความหวานจากริมฝีปากอิ่ม เสียงครางของมันดังก้องในหูผม ให้ตายดิ นี่มันยั่วกันชัดๆ

มือเริ่มเลื่อนไปที่ต้นคอมัน นวดคลึงเบาๆ ก่อนเลื่อนลงต่ำลูบไล้แผ่นหลังบางและกอดให้แนบชิดมากขึ้น ใจอยากเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้นแต่ก็ต้องหักห้ามใจ แล้วผละใบหน้าออกมา ยกปลายนิ้วเช็ดคราบใสๆที่ริมฝีปากที่บวมเจ่อของมันออกให้ มองมันอย่างอ่อนใจ

ตาหวานเยิ้มเลย อยากจะบ้าตาย แม่งเอ้ย 

“พอแล้ว มึงกลับห้องมึงได้แล้ว”

“คืนนี้กูจะนอนนี่” 

“ห๊ะ เมื่อกี้มึงหลับไปแล้วไม่ใช่เหรอวะตื่นขึ้นมาอีกทำไม”

มันส่ายหน้า ส่ายหน้าหมายถึงอะไร ไม่ได้หลับเหรอ? หรืออะไร?

"ตื่นตั้งแต่มึงอุ้มแล้ว" 

งั้นไอ้ที่ถีบๆผ้าห่มให้เห็นขานั่นคือ? ตั้งใจเรอะผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง โดนแม่งเล่นแล้ว วันนี้ทำตัวแสบยั่วอารมณ์ทั้งวันเลย ให้มันได้งี้ดิ 

แล้วมันทำไปทำไม 

แต่ก่อนอื่นผมควรแต่งตัวก่อน ผมผละออกจากร่างบาง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อมาสวม หันกลับมามันก็สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มเรียบร้อย สบตากลมที่จ้องมองผม เดินเข้าไปนั่งลงข้างตัวมัน 

“ยอมนอนร่วมเตียงกับกูแล้วเหรอ”

“อือ ถ้ากูนอนดิ้นมึงก็ปลุกกูได้”

“อะห๊ะ” ผมมองหน้ามันแล้วครุ่นคิดว่าผมควรจะพูดยังไงดี มันเองก็นอนมองผมตาแป่ว“กูรักมึงนะ”

“รู้แล้วหน่า”

“ที่กูจะบอกคือ มึงไม่ต้องพยายามจะเอาใจกู หรือทำในสิ่งที่มึงยังไม่อยากทำ แค่เพราะได้ยินที่กูพูดกับพี่เฟียต กูย้ายมาอยู่ด้วยเพราะอยากอยู่ใกล้ๆคอยดูแลแค่นั้น”

มันเงียบไป คิ้วขมวดมุ่น เหมือนมันกำลังคิดอย่างหนัก เห็นท่าทางมันผมก็เริ่มคิดว่าหรือผมคิดมากไปวะ ผมลูบศรีษะมันเบาๆ และส่งยิ้มบางๆให้บอกมันว่าสิ่งที่มันกังวลอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เซ็กส์สำหรับผมคือแมคเลิฟไม่ใช่แค่เอากันให้จบๆ และเพราะงั้นผมถึงไม่อยากให้มันรีบร้อน ผมรอได้ 

“แต่กูต้องการ” มันพูดเสียงเบา

หูฟาดปะวะ

“ห๊ะ”

“กูต้องการ ช่วยกูหน่อยนะ”

อะไรกันเนี่ยย! ว๊อทเดอะ...

"รู้ใช่มั้ยว่ากูรุกอย่างเดียวนะ"

"....."

เงียบว่ะ มีลังเลเว้ยเห้ย 

"ว่าไง" 

"รู้แล้วหน่า"

เอาหละ แม่งเอ๊ยย งานเข้า ผมบอกแล้วว่าผมรอมันได้ดังนั้นผมเลยไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรไว้ทั้งนั้น ทั้งถุงยาง ทั้งเจล ไม่มีอะไรสักอย่างถึงแม้ใบหน้ามันที่มองผมอยู่ตอนนี้จะยั่วอารมณ์แค่ไหน แต่เพื่อความปลอดภัยและความสะอาด ที่จะไม่ทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวนั้นสำคัญยิ่งกว่า 

ก้มลงไปจูบที่หน้าผากมันแผ่วเบา สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ก่อนดึงมันเข้ามาจูบ ไล่ปลายลิ้นดูดดึงริมฝีปากมันเบาๆ ก่อนลากไล้ฝ่ามือไปตามตัว ลูบวนแผ่วเบาที่หน้าท้องใต้สาบเสื้อ ชอบพุงน้อยๆของมันฉิบหายเลย ไอ้ภพเริ่มส่งเสียงครางแผ่วเบาเมื่อผมหยอกล้อยอดอกมัน และนั่นก็เปิดโอกาสให้ผมสอดปลายลิ้นร้อนเข้าไปชิมความหวาน  พร้อมๆกับฝ่ามือที่เคลื่อนสอดเข้าใต้กางเกงคนตัวบาง

"อ๊ะอื้อ"

ผมถอนจูบออกมามองทุกปฎิกริยาของมัน ผมไม่ได้จะทำอะไรมากกว่านี้หรอก แค่จะช่วยให้มันได้ปลดปล่อย แล้วคงไปจัดการตัวเองต่อในห้องน้ำ 

ให้ตายดิน่ารักเป็นบ้า

"อ๊า"

"ชอบมั้ยที่กูสัมผัสมึงแบบนี้"

"ชะ ชอบ ฮืออ อ๊า"

มึงจะยั่วอารมณ์กูมากไปแล้ว เร่งชักรูดแก่นกายมัน ขบเม้มยอดอกผ่านเสื้อจนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายผม ยิ่งไอ้ภพบิดเร้า และร้องครางเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากให้มันร้องดังขึ้นอีก และไม่นาน ไอ้ภพก็กำหมอน ตัวเกร็ง หันหน้ามาซุกอกผม ริมฝีปากเม้มแน่น

"อ๊ะ ไอ้ยุ กู"

ใกล้แล้วสินะ 

ผมมองไอ้ภพที่นอน หายใจหอบหลับตาพริ้ม ก้มลงไปจูบหน้าผากมันทีหนึ่งแล้วค่อยๆดึงมือที่เปียกชุ่มออกมา ลุกไปเอาทิชชู่มาเช็ดมือ ก่อนเปิดผ้าห่มแล้วเช็ดคราบที่เลอะบนหน้าท้องมัน เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกางเกงให้มันแระกัน หันตัวลุกจะไปห้องน้ำจัดการตัวเองบ้าง แต่ก็ถูกมือบางเอื้อมมาคว้าไว้

"จะ จะไปไหน"

"เดี๋ยวกูมา มึงนอนเถอะ"

"ต่อนะ" 

ไม่อย่ามองกูแบบนั้น 

"นะ"

"เดี๋ยว!" ผมร้องเสียงหลง เมื่อมันยันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน เอื้อมมาจับน้องชายผมแล้วบีบเบาๆ 

"กูช่วยนะ" ใจเย็นน ใครสอนให้มันพูดแบบนี้! นี่ไม่ใช่ไอ้ภพของโผมม รีบดึงมือมันออก มาจับไว้แน่น มองแววตากลม และใบหน้าที่ยังคงแดงซ่าน ฮึบไว้ไอ้พายุ

“ไม่เป็นไร วันนี้พอแค่นี้เถอะ กูไม่มีถุง"

"ต่อเถอะ กูอยากช่วย" มันพูดด้วยใบหน้าใสซื่อแต่แววตามีความมุ่งมั่น ขยับขึ้นมานั่งแล้วหันตัวหาผม พลางส่งมืออีกข้างมาแทนมือที่ผมจับยืดไว้ รีบรวบมือมันมาไว้ด้วยกันทันที มึงใจเย็นก่อนนนน

"ภพ หยุด!"

"กูอยากทำให้มึงสบายตัวบ้าง"

ภาพตรงหน้าทำผมมือไม้อ่อน ทำไมมันน่ารักจังวะ กูจะทนยังไงไหว ผมมองมือบางที่หลุดจากการจับกุมของผม เลื่อนลงไป ดึงกางเกงผมลง แล้วนิ่งไป ก่อนที่มือนิ่มจะสัมผัสตัวผมที่อึดอัดเติมที่ 

ผมได้แต่กัดฟัน มองมือบางที่รูดรั้งให้ผม มันทำช้าไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกดีเพราะมัน 

"ทำไมมึงยังไม่เสร็จอีกวะ กูเมื่อยมือแล้วนะ"

มันพูดขึ้นมาหลังผ่านไปได้ สิบนาที ให้ตายดิ กำลังจะดีอยู่แล้ว ผมโน้มตัวลงไปหา คร่อมตัวมันไว้ และจับมือมันออก 

"พอแล้ว เดี๋ยวมือมึงสกปรก"

"แต่.."

"แค่มองกู กอดกู"

จ้องมองใบหน้าชื้นเหงื่อของมัน พลางขยับมือที่กอบกำตัวเองไปด้วย ไอ้ภพมองผมตาโตเมื่อผมเริ่มครางเสียงต่ำ มันนอนตัวแข็งใต้ร่างสองแขนโอบกอดผม ผมโน้มหน้าลงไปที่ซอกคอมัน ขบกัดติ่งหูมันเบาๆ และร้องเรียกชื่อมัน แล้วไม่นานผมก็ปลดปล่อยตัวเอง เหลือบตามองของเหลวสีขาวขุ่นที่เลอะบนเสื้อของคนตัวบาง  จุ๊บเหม่งมันแล้วถอยตัวออก มองไอ้ภพที่ตัวแดงเถือก

"นอนเถอะ พรุ่งนี้มึงมีเรียน"

แล้วเหมือนมันพึ่งได้สติ ไอ้ภพรีบขยับตัวลุก ตั้งท่าจะลงจากเตียง ทั้งเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ย

"ไปไหน" ผมคว้าแขนมันไว้ แล้วดึงให้กลับมานอนบนเตียง

"กะ กลับห้อง จะเปลี่ยนเสื้อ"

"นอนนี่แหละ กูเปลี่ยนเสื้อให้เอง"

"...."

เห็นมันไม่ตอบและไม่ได้มีทีท่าอะไร ผมก็เลยลุกเดินไปเข้าห้องน้ำล้างมือ แล้วกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำอุ่น เวลานั้น ไอ้ภพก็(แกล้ง)หลับไปแล้ว 

จัดการเช็ดทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันที่ใช้เวลานานเพราะแม่งขื่นตัว แต่ยังแกล้งหลับอยู่ จนผมได้แต่ยิ้มให้กับความน่ารักของมัน

เมื่อกี้ยังทำซ่าจะช่วยกูอยู่เลย มาตอนนี้แกล้งหลับเฉย

“....”

ลุกไปปิดไฟ ฉับพลันไฟในห้องก็มืดสนิท ผมเดินไปตามทางที่เริ่มจะคุ้นชินในความมืด สอดตัวใต้ผ้าห่มข้างคนตัวบาง ดึงมันเข้ามากอดแนบอก 

"พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนไปเลือกเจลที่จะใช้กับมึงกัน"

มันยังไม่หลับหรอกเพราะแม้ในความมืด ผมก็เห็นว่ามันขมวดคิ้วอยู่ ก่อนเสียงอู้อี้ของมันจะดังขึ้น

“ไม่ได้ใช้กับกู ใช้กับมึงตังหาก”

ว่าแล้ว ว่าต้องพูดงี้ กลับคำเฉย ผมรอบยิ้มขัน ยอมไม่ได้เลยนะ ขอให้ได้เถียงกูตลอด โอเค ตอนนี้กูจะยอมให้มึงก็ได้ แต่ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้ว่าจะใช้กับใคร

"ครับๆฝันดีนะ"

"อือ มึงด้วย"


#คู่ขนานของเอกภพ

 เขียนได้ทีละนิด ต้องเริ่มกลับมาทำงานหาเงินกินข้าว เลยหายไปนานเลย หวังว่าจะยังติดตามกันอยู่นะคะ.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tantiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ

"เมื่อไหร่มึงจะกลับๆห้องมึงไปซะที"

"มึงให้กูอยู่เหอะ"

"พายุมันโทรไปตามมึงยิกๆกับไอ้นนนแล้วเนี่ย หนีมันมาทำไม ทะเลาะกัน?"

"เปล่า" ผมตอบพิม โดยไม่ละสายตาไปจากงานที่กำลังทำอยู่ ใช่ครับ จริงๆแล้ววันนี้ผมมีนัดกับไอ้ยุ จะไปซื้อของใช้กันนิดหน่อย แต่ทันทีที่ตื่น ผมก็จัดการเก็บกระเป๋า คว้างาน ออกมาสิงห้องไอ้พิมทันที 

บอกตรงๆภาพใบหน้ามัน และน้ำเสียงกระเส่าที่ดังข้างหูเมื่อคืนยังติดตา เมื่อวาน ผมดันไปได้ยินเรื่องที่ไอ้ยุคุยกับพี่เฟียต นิดหน่อย จากที่ผมรู้สึกว่าให้มันไม่ได้มากพออยู่แล้ว ความรู้สึกนั้นมันก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก 

แล้วไม่ใช่ผมไม่รู้ ว่ามันมักจะบริกรรมคาถาโลกสวยด้วยมือเรา ตอนดึกๆ มันคงไม่รู้ว่า ผนังห้องแม่งอย่างบาง ผมได้ยินหมดแหละ เสียงเรียกชื่อผมเหมือนเมื่อคืน และรู้สึกขอบคุณมันตลอดที่ไม่ได้พยายามหรือขออะไรแบบนั้นจากผม ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้เมื่อผมได้ยินประโยคที่มันพูดอย่างให้เกียติ และมั่นคง ผมก็เลยอยากลองดู ตอนที่มันบอกปัดและปฏิเสธ ผมเองลึกไปก็โล่งใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็..

"เป็นไร หูแดงๆ"

"เปล๊า"

"มีพิรุธนะ"

"โว๊ะ กูแค่ร้อน มึงเปิดแอร์ไม่ได้เหรอ"

"ไม่จ้า เปลือง แล้วสรุปหนีพายุมาหากูทำไม"

"ไม่มีไรหรอกน่า กูแค่คิดถึงมึงไง"

"โหห ที่รักกล้าพูดนะ เมื่อก่อนถ้าช่วงไฟนอลแบบนี้มึงหอบผ้าหอบผ่อนเรียกพวกกูไปห้องไอ้นนนแล้ว ตั้งแต่มีผัวก็เงียบกริบ อยู่แต่ห้องตัวติดกันฉิบหาย"

"ก็ไม่ขนาดนั้น" หันตัวไปเถียงมันที่นั่งอยู่บนโซฟา

"ขนาดนั้นเลยแหละ"

"...." เอาไงดีวะ ควรปรึกษากับพิมดีมั้ย คือ ที่ผมหนีมาเพราะอยู่ๆก็รู้สึกกระดาก กับสิ่งที่ตัวเองพยายามจะทำ และพอตอนเช้ามีสติความรู้สึกกลัวก็แทรกซึมเข้ามาเพิ่ม ผมเหมือนเคยได้ยินโทนี่บอกว่าครั้งแรกเจ็บมาก ตอนนั้นไม่เคยสนใจสิ่งที่มันพูดด้วยซ้ำจนกำลังจะเจอกับตัวเนี่ยแหละ กลัวก็กลัวแต่ก็อยากให้และรับมันได้มากขึ้น

"มึงเป็นไร เล่าได้นะ"

"ทำไมกูต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับมึงด้วยวะ" งึมงำกับตัวเองเบาๆ มองสบดวงตากลมโตของเพื่อนอย่างลังเล

"เรื่องแบบไหน?" ไอ้พิมมองผมด้วยความสงสัย มันเป็นคนฉลาดและหัวไว เดาทางเก่งยิ่งกว่าโคนัน ทำไมผมถึงบอกแบบนั้นนะเหรอ เพราะแววตาฉงนของมันหายไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเจ้าเล่ห์และขบขัน "กูต่อสายหาอีโทแปป"

ผมมองพิมที่ลนลานหาโทรศัพท์มากดโทรหาบุคคลที่สาม ได้ยินเสียงมันพูดรัวเร็ว

"อีโททิ้งทุกอย่าง เพื่อนต้องการมึง" แล้วมันก็กดเปิดลำโพง ก่อนเสียงแหบเสน่ห์จะดังก้องไปทั้งห้อง 

[ว่า]

ผมยังคงนั่งเงียบ ขณะที่มือไอ้พิมก็ยิกๆที่แขนผม 

[สรุปมึงมีไรอีพิม]

"กูอะไม่มี คนที่มีอะไอ้ภพ เล่าซะทีสิวะ"

[ภพมึงเป็นไร]

เอาหล่ะ ก่อนที่เพื่อนจะสงสัยและเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ผมควรพูดอะไรสักอย่าง ลองถามมันดูก็ได้ยังไงมันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ

"โทนี่ คือ แบบครั้งแรกมันเจ็บมากปะวะ"

[......]

กริบ เงียบกริบทั้งในสายและบรรยากาศรอบตัวผม ก่อนเสียงโทนี่จะดังขึ้นอีกครั้ง

[โอ๊ยยย กูก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย]

"มันก็น่าจะตายได้อยู่นะมึง" 

"ไอ้ภพ มึงเอากันไปได้ฆ่ากันตาย"

"ก็คือๆกันนั้นแหละ"

[ตลกวะ ที่มึงมาถามเรื่องแบบนี้ แต่ถ้ามึงกล้าถามกูก็กล้าตอบจ้า ครั้งแรกแม่งโคตรเจ็บ]


"แต่หลังจากนั้นจะดีช่ะ" ไอ้พิมถามแทนผมไปแล้ว

[ไม่ว่ะ]

"เอ้า ไม่ฟินเหรอ"

[ก็ฟินแต่ก็เจ็บ]

"มึงทำเพื่อนกังวลกว่าเดิม" เสียงไอ้พิมพูด และใช่ผมกังวล 

[เอาเป็นว่า อย่าถามกูเลย มึงแค่ต้องเชื่อใจพายุ]

กูจะเชื่อใจมันได้จริงๆเหรอวะ 


*


สุดท้ายผมก็หอบสารร่างกลับมา ที่ห้องตอนเกือบเที่ยงคืน ไฟในห้องกลางปิดสนิท มีเพียงแสงสีเหลืองนวลที่ส่องลอดออกมาจากห้องของพายุ ที่บอกว่าเจ้าตัวยังคงตื่นอยู่ 

ไอ้พายุเลิกโทรหาผม หลังจากผมพิมพ์ไปบอกมันว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ มันก็ตอบกลับมาเพียงว่า โอเค อย่าลืมกินข้าว ผมเดินเข้าห้องตัวเองโดยไม่ได้แวะไปทักทายมัน 

เดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำ และลองทำหลายๆอย่างตามคำแนะนำของไอ้โทนี่ ด้วยความทุลักทุเล 

ก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกลิ่นหอมฟรุ้ง พร้อมชุดนอนและต้องชะงักค้าง เมื่อพบว่าไอ้ยุมานั่งอยู่ในห้องผมแล้ว 

"ไม่แวะมาทักทายกันเลยนะ"

"อ่า ก็กำลังจะไป"

"นึกว่าหลบหน้ากูเพราะกลัวซะอีก" โว๊ะ รำคาญสายตารู้ทันของมันชะมัด 

"เออกลัว" ผมยอมรับไปตรงๆ หลังจากคุยกับโทนี่ มันบอกว่าผมควรบอกไปตรงๆ มองไอ้ยุที่ลุกจากปลายเตียงเดินเข้ามาหาผม ก่อนฝ่ามือหนาจะวางลงบนหัวและโยกเบาๆพร้อมรอยยิ้มบาง

"อืม กูเข้าใจ ไม่รีบ"

มึงอ่อนโยนกับกูจังวะ ผมจะอธิบายความรู้สึกผมยังไงดี ผมกลัวเจ็บ กังวลและกลัวไปหมดแต่ถึงอย่างงั้นผมก็อยากใกล้ชิดมันมากกว่านี้ ช่วงนาทีของความเงียบที่โอบล้อมตัวเรา ผมสบตาไอ้ยุและมันก็ตอบรับ ก่อนที่ใบหน้าเราจะเคลื่อนเข้าหากันเพราะแรงดึงดูด 

ริมฝีปากเราสัมผัสกันแผ่วเบา รู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนที่ละเลียดไปตามริมฝีปากผม ขบเม้มเว้าวอนที่จะเข้ามาสัมผัสผมให้มากขึ้นและผมก็ยินยอมให้พายุแทรกปลายลิ้นร้อนเข้ามา ฉกฉวยกอบโกยเอาลมหายใจของผมไปพร้อมๆกับความวาบหวามที่เข้ามาแทนที่ 

ผมไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่เมื่อพายุถอนริมฝีปากออกไป ผมก็โกยลมหายใจเข้าปอด และหอบเบาๆ

"ทำแบบนี้กูว่า กูจะทนไม่ไหวนะ" เสียงมันฟังดูแหบพร่า ดวงตาฉ่ำ และดูแวววาวสะท้อนแสง ผมรู้ ผมรู้ ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ผมรั้งคอมัน ทันทีที่ผมหายใจได้มากขึ้น ขยับริมฝีปากตอบรับมัน เรากำลังจมดึ่งสู่ห้วงอารมณ์ รับรู้ถึงฝ่ามือร้อนที่สอดลูบไล้เข้ามาใต้สาบเสื้อ ผมปล่อยให้พายุสัมผัสผมอย่างที่มันต้องการ สองเท้าก้าวถอยไปตามทิศทางการชักนำ

ผมตกอยู่ใต้พายุเมื่อแผ่นหลังผมจมลงไปบนความนุ่มของเตียง ริมฝีปากเรายังคงสัมผัสกันมันเติมไปด้วยความเร้าร้อนและหวานล้ำ พายุถอนจูบออกไป และขบกัดเบาๆที่ซอกคอผม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระดุมเสื้อทุกเม็ดถูกปลดออกไป ความหนาวเย็นที่อาบไล้ตัวผม หายไปแทบจะทันทีที่ฝ่ามือหนาลูบไล้ 

"อ๊ะ"

หูผมอื้ออึงแต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ได้ยินเสียงร้องของตัวเอง ที่เปล่งออกไปเมื่อปลายนิ้วมันหยอกล้อยอดอกผม เลือดในกายเหมือนจะสูบฉีดมากขึ้น และมันดูจะไม่มีทางสิ้นสุด เมื่อพายุเปลี่ยนจากปลายนิ้วเป็นปลายลิ้น ผมเหมือนกำลังจะตาย ผมบิดเร้าเพราะแค่มันสัมผัส และร้องครางเมื่อมันขบกัดเบาๆ 

ผมมองใบหน้าที่เคลื่อนลงต่ำ พร้อมๆกับฝ่ามือที่ยกสะโพกผมและเกี่ยวรั้งเอากางเกงของผมออกไป สายตาที่จ้องมองมาที่ผมของพายุ ทำให้ผมรู้สึกกระดากอาย ผมหันหนีสายตามัน แต่เพียงเสี้ยววิผมก็ผวาลุกขึ้น มือขวาผมคว้าจับผมหนาแน่น และพยายามขยับถอยหนีทันที

"มะ ไม่เอา ไม่เอาปาก"

"โอเคๆ ปล่อยหัวกูก่อน หนังหัวจะหลุด"

ผมผ่อนแรงลง ก่อนค่อยๆละมือออก ทิ้งตัวลงนอนทันทีที่ฝ่ามือหนาสัมผัสผม พายุทำแบบนี้ให้ผมสองครั้งแล้ว ครั้งแรกมันเรียกร้องเอาจากผม โดยที่ผมไม่ตั้งตัว ครั้งที่สอง ผมเรียกร้องจากมัน โดยที่มันไม่ตั้งตัวเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะครั้งไหน ครั้งนี้คือดีที่สุด 

เพราะเราต้องการกันและกัน 

ผมร้องคราง ขยับสะโพกเขาหามือมันอย่างลืมสิ้นแล้วความอาย เมื่อห้วงอารมณ์ชักนำผมมากกว่าที่เคย และไม่นานแสงก็สว่างวาปในหัวผม พร้อมอาการกระตุกที่บอกให้รู้ว่าผมไปถึงฝั่งเพราะมือมันอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่ามันจะไม่มีทางจบแค่ครั้งเดียวอย่างที่แล้วมา เมื่อผมปรือตามอง ผมรู้ว่าพายุไม่สามารถอดทนมันได้อีกต่อไป

"ได้มั้ย"

มันถามทั้งที่ผมเห็นว่าตัวมันอึดอัดแค่ไหน ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล 

"รอกูแปป" ผมนอนมองพายุที่รีบลุกออกไปจากเตียงและเดินออกไปจากห้องก่อนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมของที่ตอนแรกผมรับปากว่าจะไปซื้อด้วย 

ข้อเท้าผมถูกจับดึงเข้าไปหาตัวมันสะโพกผมถูกวางเกยบนหน้าตัก และตอนนั้นก็พึ่งเห็นเต็มตาว่าในขณะที่ผมเหลือเพียงเสื้อคอตตอนบางเบาติดตัว กลับไม่มีเสื้อผ้าชิ้นไหนหายไปจากตัวพายุเลย ไม่แฟร์ทำไมทุกครั้งมีแต่กูที่ล่อนจ้อนหล่ะ 

"เป็นอะไร" และเหมือนพายุจะสังเกตเห็น ความไม่พอใจบนใบหน้าผม

"ทำไมมีแต่กูที่โป๊วะ" 

มันยกยิ้ม วางขวดเจลลงข้างตัว จับผมให้ลุกขึ้นนั่ง 

"ถอดให้กูสิ"

เพราะน้ำเสียงมัน เพราะแววตามันที่มองผม หรือเพราะท่าทางที่มันแสดงออก ทั้งหมดนั้นทำให้ผมใจสั่นจนน่ากังวล มือผมเลื่อนไปดึงรั้งเสื้อมันขึ้น โดยมีมันให้ความร่วมมืออย่างดี กางเกงมันถูกรั้งลงด้วยมือผมแต่ถูกถอดออกทั้งหมดด้วยตัวมันเอง ก่อนมันจะขยับเข้ามาหาผมอีกครั้ง ร่างกายมันเปิดเผยตรงหน้าผม ฝ่ามือผมถูกจับไปวางที่อกมัน และผมก็วางไว้อย่างเก้ๆกังๆ

"สัมผัสกูเหมือนที่กูสัมผัสมึง" 

ผมยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไร มือไม้มันดูจะเกะกะไปหมด แต่ทุกอย่างก็ดูง่ายขึ้นเมื่อมันกุมมือผมและบังคับให้ผมสัมผัสไปตามกล้ามเนื้อแน่นของมัน 

"พะ พอ พอแล้ว" ผมยั้งมือไว้เมื่อมันลากลงต่ำ ไม่ใช่ผมไม่เคยสัมผัสมัน แต่วันนี้กับเมื่อวานความรู้สึกมันต่างออกไป พายุไม่ได้พยายามคาดคั้นหรือบังคับให้ผมทำอะไรต่อ มันแค่ปล่อยมือผม ผลักให้นอนลง จับสะโพกผมให้เข้าไปแนบชิดและยกขึ้นจนขาผมลอยเคว้งในอากาศ

ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โทนี่บอกผมแล้ว ผมได้ยินเสียงพายุที่บอกว่า

"ถ้ามึงรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวแม้แต่นิดเดียวต้องบอกกูนะ"

ผมพยักหน้า ก่อนที่เสียงเปิดปิดฝาจะดัง และเพียงไม่นานหลังความเย็นวาบที่ทำผมสะดุ้ง ร่างกายผมก็เกร็งขึ้น มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเราสองคน ผมไม่แน่ใจนัก แต่มันใหม่สำหรับผม เพราะผมไม่รู้ว่าพายุเคยทำแบบนี้มาก่อนมั้ย 

แต่สำหรับผม มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลอง และมันทำให้ผมกังวลมาตลอดสองวัน 

ปลายนิ้วมันลูบผ่านไปมาหลายครั้ง นานพอจนกระทั้งผมคิดว่าผมผ่อนคลายลงและไหล่ผมไม่เกร็งอีกต่อไป ก่อนที่ปลายนิ้วจะสอดเข้ามาในตัวผม

มันอึดอัด แต่ผมกลับไปรู้สึกเจ็บ แต่ทันทีที่มันเข้ามาลึกขึ้นผมก็รู้สึกได้ว่าผมตัวสั่นแค่ไหน 

พายุจูบที่ต้นขาผม พูดปลอบโยนและถามผมว่าผมรู้สึกยังไง ผมไม่รู้อะไรแล้วเมื่อมันเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ  

"อ๊า"

"เจ็บรึเปล่า"

ผมส่ายหน้า บิดตัวไปมาเมื่อมันจี้ซ้ำๆที่จุดเสียวซ่าน ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากผมอีก แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะขาดห้วงไป เมื่อมันสอดนิ้วที่สองและสามเข้ามาเพื่อขยายตัวผมให้กว้างขึ้น ผมหลับตา รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ไหลลงจากดวงตาที่ปิดสนิท กัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ มันยากที่จะอธิบายว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ผมไม่อยากร้องไห้ แต่ต้องยอมรับว่าสุดท้ายเสียงที่ผมพยายามกลั้นไว้ก็หลุดออกไปทันทีที่ได้รับจูบที่หางตา

"ฮือออ"

"ไหวมั้ย อยากให้กูหยุดมั้ย"

ผมส่ายหน้าแต่ก็พยักหน้า ผมเหมือนคนขาดสติ ร่างกายที่เคยผ่อนคลายมันกลับเกร็งขึ้นอีกครั้งและรับรู้ถึงปลายนิ้วที่อัดแน่นอยู่ในตัวผม 

"อย่า หยุด" ผมพูดอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามันกำลังขยับออกไปจากตัวผม "อ๊า" 

และผวาแอ่นตัวขึ้นร้องแทบจะทันทีที่มันกระแทกนิ้วเข้ามา ลึกจนผมรู้สึกถึงฝ่ามือมัน หลังจากนั้นพายุก็เคลื่อนไหวปลายนิ้วอย่างไม่เร่งร้อน 

มันทรมาน และทำให้ผมรู้สึกเว้าวอน

ผมตกอยู่ในอำนาจของมันทันทีเมื่อความเจ็บจางหายไป ผมอ้าขากว้าง โดยที่มันไม่ต้องบอก ส่ายหน้าไปมาและร้องเรียกชื่อมันอย่าลืมสิ้นความเขินอาย 

ตัวผมถูกจับพลิกอย่างรวดเร็ว ก่อนปลายนิ้วของมันถอดถอนออกไป สะโพกถูกรั้งขึ้น ใบหน้าผมแนบอยู่ที่หมอน และรับรู้ถึงความเปียกชื้น

"พายุ"

เหมือนไม่ใช่เสียงผม มันฟังดูกึ่งสุขสม กึ่งเจ็บปวด

"ได้มั้ย" เสียงของมันแหบพร่า ดิบเถื่อนและอ้อนวอนผม 

ทันใดนั้นผมก็รู้ว่าผม กำลังมีอำนาจเหนือมัน ถึงแม้ถ้าดูจากท่าทางของเราตอนนี้แล้วมันจะขัดกันก็ตาม แต่ผมบอกได้เลยว่ามันแทบจะร้องขอผม

พายุไม่ทำอะไร มันแค่จับตรึงสะโพกผมไว้ อย่างรอคอยคำตอบจากปากผม ผมไม่คิด ไม่ชั่งใจ และไม่รีรออะไรอีกต่อไป เพียงแค่ปล่อยให้อารมณ์จมดิ่งลงไปสู่ความวาบหวาม

ผมยอม 

ผมเชื่อใจมัน

"อือ"

"กูจะทำเบาๆ"

หลังสิ้นเสียง มันก็สอดกายเข้ามาช้าๆ ผมรู้สึกถึงตัวตนมัน ผมกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น มือขย่ำหมอนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแน่น เมื่อตัวผมกำลังถูกขยายออกมากขึ้นเพราะมัน และมันก็ยากมากที่ผมจะปฎิเสธว่ามันไม่เจ็บ

"ภพอย่ากัดปาก ผ่อนคลายนะ" 

"ฮือออ" 

ผมทำได้แค่ร้องไห้ออกมา สูดหายใจเฮือก พายุหยุดชะงักและรอให้ผมปรับตัว ขณะที่ฝ่ามือร้อนลูบสอดอ้อมเข้ามาใต้ตัวผมและสัมผัสยอดอกผม บีบเคล้นเบา และเพียงไม่นานก็ดันกายเข้ามาอีกอย่างนุ่มนวล  จนกระทั้งผมรับพายุเข้ามาได้ทั้งหมดโดยสมบูรณ์ แล้วมันก็หยุดนิ่งไปแบบนั้น ปล่อยให้ร่างกายผมทำความคุ้นเคย 

"เจ็บมั้ย"

ผมส่ายหน้า ผมคืดว่ามันไม่เจ็บแล้ว แต่

"อึดอัด" 

ผมรู้สึกว่าฝ่ามือที่เคล้นคลึงอกผม กำลังเลื่อนลงต่ำ ก่อนจะเข้ากอบกุมผมอีกครั้ง และเพียงแค่มันขยับมือและหมุนวนปลายนิ้วเป็นวงกลมเบาๆ อย่างเย้ายวนและชำนาญ ผมก็ร้องคราง และโก่งตัวขึ้น จนแผ่นหลังผมแนบกับอกแกร่ง

พายุเริ่มขยับเข้าออกเนิ่บนาบก่อนจะเร่งขยับให้เร็วขึ้นตามจังหวะที่ฝ่ามือหนารูดรั้งตัวผม 

"อ๊า กู มึง อ๊ะอ๊า" ผมพูดไม่เป็นภาษาและจับใจความไม่ได้ ผมหลับตา หวีดร้องทุกครั้งที่มันแท่งโดนจุด หัวสมองผมโล่งไปหมด ร่างกายเริ่มเกร็งขึ้นอีกครั้งแต่มันไม่ใช่เพราะความเจ็บอีกต่อไป ผมกำลังจะเสร็จอีกแล้ว ให้ตายสิ

"ยังก่อน"

มันกำลังจะฆ่าผม เมื่อปลายนิ้วมันกดปิดไม่ให้ผมได้ปลดปล่อย

"ไม่ ไอ้ ไอ้ยุกูต้องปล่อย ฮืออ" ร่างกายผมยังคงสั่นคลอนไปมาตามแรงส่งของสะโพกสอบ ผมเคยคิดหลายครั้งว่าผมเหมือนตกเป็นเบี้ยร่างมัน เหมือนโดนข่มเหง บังคับ และทำให้อับอาย เมื่อร่างกายผมมันไร้ซึ่งการควบคุมและเปิดเปลือยต่อหน้ามันมากเกินไป 

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย 

มันคือสัญชาติญาณดิบ ที่น่ากลัวแต่ก็งดงาม ราวกับว่าผมได้มอบให้และได้รับ ความรักจากมันที่ลึกล้ำกว่าครั้งไหน

แล้วผมก็ขยับตัว ดันสะโพกตอบกลับเข้าหามัน เว้าวอนให้มันปลดปล่อยผม และได้รับริมฝีปากร้อนที่ไล้จูบไปตามซอกคอและแผ่นหลัง 

พายุเริ่มกัดไปตามเนื้อตัวผม สบถคำหยาบที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากมัน และเริ่มครางด้วยเสียงแหบพร่า มันยิ่งกว่าเซ็กส์ เพราะผมได้รับรู้ถึงตัวตนเขาอย่างแนบชิด

"อื้อ ช้า ช้าหน่อย"

ผมร้องบอกเมื่อมันเร่งความเร็วจนเสียงน่าอายดังก้องไปทั้งห้อง มือผมปัดป่าย ใบหน้าเปียกชื้นจากทั้งน้ำตาและเหงื่อที่ผุดออกมา ผมรู้สึกได้ว่าผมไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป ของเหลวถูกปลอดปล่อยออกไปแม้ปลายนิ้วมันจะยังกดแนบไว้อยู่ก็ตาม 

"อีกนิดเดียว นิดเดียวกูจะยอมให้มึงปล่อย" พายุทำตามนั้น หลังจากการขยับเข้าออกรัวเร็วอีกสามสี่ครั้ง ผมก็กระตุกเกร็ง เชิดหน้าขึ้น และปลดปล่อยออกมาในฝ่ามือมัน ผมทิ้งตัวลง เมื่อพายุถอนตัวออกไป ความรู้สึกวูบโหวงเข้ามาแทนที่อย่างประหลาด

ผมยังคงหอบหายใจอยู่ตอนที่ร่างกายถูกจับพลิกให้หงายขึ้น ปรือตามองทุกการกระทำของมัน มองมันสวมถุงยางชิ้นใหม่ ขาผมถูกจับให้แยกออก ก่อนที่พายุจะแทรกตัวเข้ามา มือทั้งสองข้างของมันวางอยู่ที่สะโพกผม ก่อนช้อนสะโพกผมขึ้น

"อีกรอบนะ" มันพูดแบบนั้นตอนที่มันกดตัวเข้ามาหาผมทีละนิด และครั้งนี้มันก็ยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก พายุพร่ำบอกให้ผมผ่อนคลาย ฝ่ามือนวดคลึงสะโพกผม 

"แบบนั้น แบบนั้น ดีมาก" คำพูดเอ่ยชมของมันทำผมเลือดสูบฉีด และในที่สุดผมก็รับมันเข้ามาอีกครั้ง เรามองสบกัน และมันก็ส่งปลายนิ้วมาเกลี่ยเบาๆที่หางตาผม ใบหน้ามันดูกระวนกระวาย เมื่อเห็นน้ำตาผมยังคงไหลออกมาจากหางตาไม่หยุด "ขอโทษนะ เจ็บมากใช่มั้ยกูทำให้มึงเจ็บรึเปล่า" 

ผมส่ายหน้า ผมไม่รู้ทำไมผมถึงยังคงร้องไห้ แต่รู้แค่ว่ามันไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด พายุนิ่งอยู่แบบนั้น เพียงจ้องมองผม และเมื่อผมพยักหน้าอนุญาต เอวสอบก็เริ่มขยับเข้าหาผมช้าๆแต่ชัดเจนทุกครั้งที่เข้ามา มันดีที่ผมได้มองเห็นใบหน้ามันบ้าง ยามที่มันเคลื่อนตัวเข้าหาผม เห็นว่ามันต้องการผมมากแค่ไหน ทรมานแค่ไหนเมื่อผมบีบรัดมันมากเกินไป ผมหลับตาลงเมื่อมันเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นและตอกย้ำถูกจุดทุกครั้งที่กระแทกเข้ามา

มือปัดป่ายก่อนพยายามสัมผัสหน้าท้องมันเพื่อบอกให้มันผ่อนแรงลง แต่เมื่อมือผมเอื้อมไปไม่ถึง จึงทำได้แค่จับข้อมือมันไว้และจิกเล็บลง เผื่อช่วยให้ความจุกเจ็บจางหายไป ก่อนจะรู้สึกว่ามันละมือจากสะโพกมากุมมือผมไว้ ร่างกายผมแอ่นโค้งตอบรับมัน 

ไม่ไหว 

"อ๊ะ ไอ้ยุ เบา เบาหน่อย เจ็บฮือกูเจ็บ"

พายุผ่อนแรงลง แต่มันไม่ผ่อนความเร็วลงเลย ผมซุกหน้าหันข้างเข้าหาหมอน ดึงมือออกจากการจับกุมยกขึ้นปัดปาย เมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงานผม รับรู้ถึงปลายนิ้วร้อนที่คลึงริมฝีปากผมเบาๆก่อนสอดปลายนิ้วเข้ามาในปากผม ผมไม่รับรู้อะไรอีก ไม่รู้แม้กระทั้งว่าผมอาจเผลอกัดนิ้วมันแรงเกินไป เมื่อห้วงอารมณ์ของผมจมดิ่งลงไปมากขึ้น ในความวาบหวามที่มันมอบให้ ได้ยินเสียงครางต่ำของมัน เสียงเนื้อที่กระทบกัน และเสียงครางของตัวเองที่ดังก้อง ก่อนร่างผมจะแอ่นโค้งลอยขึ้นจากเตียง ปลายเท้าจิกเกร็ง กระตุกถี่ก่อนปลดปล่อยอีกครั้ง พายุหยุดให้ผมผ่อนคลาย และเมื่อตัวผมทิ้งตัวกลับลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า มันก็ขยับเข้าออกช้าๆ จับปลายเท้าผมข้างหนึ่งให้พาดที่บ่า มือกดขาอีกข้างผมให้แนบลงแน่นกับเตียง มันไม่ปล่อยให้ผมพักเลย

"ยุ กะกูไม่ไหว ละ แล้ว"

"อีกนิดนะ นิดเดียว" 

"อ๊า ลึก ลึกไป" 

"มึงน่ารักมาก น่ารักมาก" 

เสียงผมเริ่มหวีดร้อง จนดูแปลก มันฟังดูไม่ใช่ผมเลย ยิ่งเมื่อพายุโน้มตัวลงมามอบจูบเร่าร้อน จนใบหน้าผมลอยขึ้นจากหมอน พร้อมๆร่างกายที่ยังคงขยับเข้าออกลึกมากขึ้นเพราะท่าทาของเรา เร็วมากขึ้น จนร่างกายผมสั่นคลอนไปตามแรงส่ง พยายามปรือตามอง แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แล้วไม่นานร่างกายผมก็เกร็งขึ้นอีกครั้ง 

"พร้อมกันนะ" 

เสียงมันฟังดูห่างไกลออกไป แม้มันจะขยับริมฝีปากพูดทั้งๆที่ยังคงสัมผัสริมฝีปากผม แสงสว่างวาบขึ้น เมื้อผมถูกดึงขึ้นสูง และร่วงหล่นลงทันทีที่ผมปลดปล่อยอีกครั้ง พร้อมๆกับเสียงคำรามต่ำของมันที่บอกว่ามันเองก็สุขสมพร้อมผม 

ผมนอนหอบหายใจ ร่างกายยังคงบีบเกร็ง และสั่นเบาๆ พายุถอนตัวออกไปแล้ว ผมไม่รู้มันทำอะไรอยู่ แต่เพียงไม่นานร่างผมก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นในวงแขนมัน

"ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว" แม้แต่เสียงที่เปล่งออกไปก็ฟังดูเบาหวิวเหลือเกิน

"รู้ครับ แค่จะพาไปล้างตัว จะได้นอนสบาย" 

ผมปล่อยตัวในอ้อมกอดมัน ผมเข้าใจที่โทนี่บอกแล้ว ว่าความเชื่อใจที่มันหมายถึงคืออะไร

การยอมลดการระวังตัวลง ยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่ในกำมืออีกฝ่าย และให้เขาชักนำพาไปสู่สถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน 

และผมเชื่อใจไอ้ยุ มั่นใจว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกดี และมันก็เป็นแบบนั้น 





#คู่ขนานของเอกภพ



ยากมากกกกกก เขียนNCไว้หลายเวอร์ชั่นมาก ทั้งแบบพายุเป็นคนเล่า และภพเป็นคนเล่า ไม่รู้ว่าจะใช้คำยังไง ที่ไม่ทำให้รู้สึกว่า ภพดูเป็นเบี้ยล่างเกินไป หรือพายุดูเอาแต่ใจเกินไป อยากให้มันดูเป็นความรู้สึกที่เสมอกันสุดท้ายเลยเลือกจะเล่าในด้านความรู้สึกของภพ อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างฝากคอมเม้นท์ติชทให้กำลังใจกันได้ค่า  อันนี้ยังไม่จบตอนนะ แต่แวะมาลงให้อ่านก่อน 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด