พิมพ์หน้านี้ - คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: tantiya ที่ 25-02-2020 22:58:05

หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 25-02-2020 22:58:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



*********************************************************************


               
เสียงรถไฟฟ้าใต้ดินที่กำลังจะจอดเทียบ ทำให้ผมออกตัววิ่ง ขอบคุณที่ในวันแย่ๆ
                 รถไฟก็ไม่ทิ้งผม ผมก้าวเข้าท้ายขบวนไปได้อย่างหวุดหวิด
                 รถไฟเริ่มออกตัว และครั้งนั้นผมก็ได้พบ 'พายุ'


                 เสียงรถไฟฟ้าใต้ที่กำลังจะจอดเทียบ ทำให้ผมออกตัววิ่ง แต่วันนี้มันใช่วันของผม
                 ประตูรถไฟปิดลงตรงหน้า ผมก้าวถอยหลังนั่งรอรถไฟขบวนถัดไป


                 เรื่องราวโลกคู่ขนานของ 'เอกภพ' เป็นเรื่องแรกที่ลองเขียน ตั้งใจให้เป็น feel good

เพราะฉะนั้นจะพยายามไม่จบแบบดราม่าค่า

สารบัญ

ตอนที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4026802#msg4026802)
ตอนที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4026825#msg4026825)
ตอนที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4026896#msg4026896)
ตอนที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4026989#msg4026989)
ตอนที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4027026#msg4027026)
ตอนที่6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4027191#msg4027191)
ตอนที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4027257#msg4027257)
ตอนที่8/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4027596#msg4027596)
ตอนที่8/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4027597#msg4027597)
ตอนที่9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4028407#msg4028407)
ตอนที่10/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4029509#msg4029509)
ตอนที่10/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4029510#msg4029510)
ตอนที่11/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4029713#msg4029713)
ตอนที่11/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4029805#msg4029805)
ตอนที่12/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4030155#msg4030155)
ตอนที่12/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4030156#msg4030156)
ตอนที่13/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4030996#msg4030996)
ตอนที่13/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4031312#msg4031312)
ตอนที่14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4031642#msg4031642)
ตอนที่15/1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4034891#msg4034891)
ตอนที่15/2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4034894#msg4034894)
ตอนที่15/3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4034895#msg4034895)
ตอนที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4036691#msg4036691)
ตอนที่17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71620.msg4037343#msg4037343)
หมายเหตุ

เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งค่า ถ้าผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยไว้ด้วยนะคะ

[/size][/size]
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 25-02-2020 23:06:39
ตอนที่ 1
เรียนออกแบบ ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ห้ามรักหมอ

เสียงโทรศัพท์แผดเสียงดัง ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมากดปิดเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้ ขยี้ตา นั่งโง่ๆ สักพัก ก่อนลุกเดินออกจากห้องตัวเองไปห้องข้างๆ



ก๊อก ก๊อก



ผมยืนเคาะประตูรอสักพักเมื่อไม่ได้รับการตอบรับจากคนด้านในเลยหมุนลูกบิดเปิดเข้าไป เดินเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ยังคงนอนหลับสนิท



“นานะ ตื่นได้แล้ว 7โมงเช้าแล้ว” เขย่าตัว ปัดผมที่ตกลงมาออกจากใบหน้าหวาน เธอส่งเสียงครางเบาๆ คิ้วขมวดแล้วพลิกตัวไปอีกทาง



“ภพ ขออีก15นาทีนะ เมื่อคืนกว่าจะทำบอร์ดแรกเสร็จ ก็ตี 2แล้วอ่ะ”

“งั้นภพไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมาปลุกอีกที"ผมเดินกลับไปที่ห้องตัวเองหยิบผ้าเช็ดตัว จ้องมองตัวเองในกระจก ดวงตากลมโต จมูกรั้น ปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่อ มันจะบวมกว่าปกติเสมอเวลาตื่นนอนหรือกินของเผ็ด ใบหน้าเกือบเรียวคมถ้าไม่ติดว่ามีแก้มพองๆ อยู่ผมคงดูหล่อเอาการไม่ใช่หน้ามนขนาดนี้



ผมชื่อ เอกภพ ชื่อเล่นก็เอกภพ แต่เพื่อนเรียกสั้นๆ ว่า ภพ ผมเรียนอยู่มอรัฐบาลแห่งหนึ่งใจกลางเมือง คณะศิลปกรรม หรือเรียกสั้นๆ ว่าสินกำ เอกออกแบบเครื่องแต่งกาย และวันนี้ก็เป็นวันที่สี่หลังเปิดเรียนปีสอง ส่วนผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารัก ที่ผมเดินไปปลุกเมื่อกี้เธอชื่อนานะ เป็นแฟนผมครับ เราคบกันมาปีนึงแล้วตั้งแต่ปีหนึ่ง เราเรียนอยู่มอเดียวกัน คณะเดียวกัน และยังเอกเดียวกันด้วย เรียกได้ว่าตัวติดแทบจะตลอดเวลาเพราะต้องเจอกันทุกวัน นานะเป็นเด็กภูเก็ตที่เข้ามาเรียนกทม เลยต้องอยู่หอ พอเราคบกันผมเองที่มีคอนโดและมีห้องว่างเลยให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยล่วงเกินเธอ เพราะมันเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันมาก่อน ผมสบายใจที่มีเธออยู่ นานะเองก็สบายใจที่มีผมคอยดูแล ผมคิดว่างั้นนะ

หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็เดินกลับไปที่ห้องนานะ เคาะประตูก่อนที่เสียงหวานจะตอบกลับ

"ตื่นแล้วว” ผมเปิดประตูเช็กเพื่อความชัว ว่านานะลุกจากเตียงแล้วจริงๆ เพราะวันนี้มีเรียนคลาสรวมตอนสิบโมง และเป็นวิชาที่จารย์เช็กชื่อโหด ดังนั้นผมไม่อยากพลาดตั้งแต่ต้นเทอม พอเห็นว่าบนเตียงไร้คนตัวเล็กก็เดินไปเช็กของสำหรับพรีเซนต์คาบบ่าย ว่าไม่ขาดหรือหลงลืมอะไร แล้วเดินมานั่งเล่นมือถือรอ ที่โซฟา ในขณะที่ไถโทรศัพท์อยู่เสียงเรียกก็ดังมาจากห้องนานะ

“ภพพพ เข้ามาในห้องหน่อย” ผมลุกเดินเข้าไป ในห้อง นานะอยู่ในชุดนศ เรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่หน้ากระจก ในมือถือลิปสติกในขณะที่บนโต๊ะมีไอแพดเปิดวิดีโอสอนแต่งหน้าไปด้วย ผมเดินเข้าไปซ้อนด้านหลัง รวบผมสี Ash brown มาไว้ด้านหลังเงยหน้ามองใบหน้าสว่าง ในกระจก สีผมยิ่งขับให้หน้านานะสว่างขึ้นอีก

“วันนี้เอาแบบไหน ม้วนลอนปลายมั้ย วันนี้เธอมีเรียนแค่คาบเช้าไม่ใช่หรอ จะสวยไปไหน หลังเลิกแล้วจะไปไหนต่อ” ตอนปีหนึ่งเราเรียนด้วยกันทุกคาบ แต่พอขึ้นปีสอง มีการแบ่งsacเรียนกันตามตัวอักษรตัวแรกในชื่อจริง นานะอยู่sacหนึ่งส่วนผมที่ ตัว อ ขึ้นต้นก็เลยได้อยู่sacสอง สำหรับคู่อื่นเป็นไงผมไม่รู้แต่สำหรับคู่เรา นานะสามารถคุยเรื่องสวยๆ งามกับผมได้โดยที่ผมไม่รำคาญเธอ ผมไปเลือกลิปกับเธอได้ ช่วยแต่งหน้าแต่งตัวได้ ไปจนถึงทำผม เป็นปกติมากที่เธอมักเรียกผมให้ช่วยในเรื่องพวกนี้ ก็นะ ผมเป็นชายแท้ที่เรียนแฟชั่นไง เรื่องพวกนี้ก็ต้องรู้ไว้บ้าง แต่เวลาบอกใครว่าเรียนแฟชั่นหลายๆ คนมักตกใจแล้วถามว่าชายแท้อย่างผมเรียนแฟชั่นจริงดิ ก็อย่างว่า ทั้งรุ่นมีชายแท้อยู่สองคน นอกนั้นหญิงแท้หญิงเทียมบันเทิงสุดๆ

“ก็ขอสวยไว้ก่อนดิ แล้วนี่พร้อมยังพรีเซ้นบ่าย” นานะถามไปมือก็ไถโทรศัพท์ไปด้วย ส่วนผมมือก็แบ่งช่อผมระหว่างรอที่หนีบผมพร้อม

“พร้อมมั้ง มานั่งฟังป่ะ หรือจะไปไหน”

ถามไปก็หยิบที่หนีบมาหนีบผมให้คนตรงหน้าไปด้วย นานะก้มกดโทรศัพท์สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาตอบ

“คงไม่อ่ะ ต้องกลับมาทำบอร์ดต่อพึ่งทำเสร็จอันเดียวเองง พรีเซ้นมะรืนแล้วเนี่ย” หนีบช่อผมสุดท้ายเสร็จก็จับๆ เช็กคนตัวเล็กในกระจก ตบที่บ่าเบาๆ เป็นอันบอกว่าเรียบร้อยแล้วดึงปลั๊กเก็บที่ม้วนเสร็จ หันเดินนำออกมาจากห้อง โดยมีนานะเดินตามมาติดๆ

“ก็เธอไม่รีบทำไง มัวแต่ชิล เตือนหลายรอบไม่ฟัง”

“ก็ถ้าไฟไม่ลนก้นมันคิดไม่ออก” ผมหันไปมองนานะ ที่ทำหน้างออยู่ พอสังเกตแล้วใต้ตาดูคล้ำแระ แต่เธอก็ยังน่ารักในสายตาผม ผมเอื้อมมือไปโยกหัวเบาๆ

“งั้นภพเลิกเรียนแล้วจะรีบกลับมาช่วยทำ”

“ไม่เป็นไร เห็นพวกพิมบอกว่าหลังส่งเสร็จจะไปกินเหล้ากันต่อหนิ ภพไปกับเพื่อนเหอะ ภพก็รู้ว่านานะชอบทำงานอยู่กับตัวเองมากกว่า ถ้าไม่รอดจริงๆ จะบอกนะ ขอทำด้วยตัวเองก่อน” ในเมื่อเขาบอกมาแบบนี้ผมเลยพยักหน้าในใจก็ระริกเลยครับ แฟนให้ไปแดกเหล้าได้



ตั้งแต่เราคบกันมา เราไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง เราต่างมีกลุ่มเพื่อนของตัวเอง ไม่เคยห่วง ไม่เคยหวงว่าจะไปเหลวไหลที่ไหนเพราะเพื่อนก็รู้จักกันหมด เวลาไปไหนผมก็บอกตรงๆ ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิง นานะเองก็ไม่ใช่คนชอบเที่ยวกลางคืนเลยตัดปัญหาเรื่องที่จะผิดใจกันไปได้เลย ผมชอบนะ ที่คบกันแล้วไม่ต้องมีเรื่องปวดหัวอะไร เพราะลำพังแค่เรื่องเรียนเราก็เครียดพออยู่แล้ว



เราเดินทางมาถึงมอโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ยังเหลือเวลาอีก เป็นชม.ก่อนเข้าเรียน แวะซื้อหมูปิ้งหน้ามอ แล้วพุ่งตรงไปยังแหล่งสิงสถิตของเด็กสินกำ ‘นอนมั้ยมึง’ ไม่ใช่ประโยคคำถามแต่คือชื่อร้านกาแฟนอกรั่วมหาลัย หลังตึกคณะสินกำ เจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหนที่แม็กซ์พี่กราฟิกที่มองเห็นหนทางธุรกิจจากการที่หาที่นั่งทำงานกับเพื่อนแบบ24ชม ใกล้ๆ มอไม่ได้ แกเลยซื้อบ้านเก่าขนาดกลางสองชั้นมารีโนเวทใหม่แต่กว่าจะเปิดทำการพี่แกก็เรียนจบพอดี พอเปิดปุ๊ปก็กลายเป็นที่สิงของทั้งเด็กสินกำและคณะอื่นๆ เราเดินเข้ามาในสวนหน้าร้านไม่ต้องมองหาให้เสียเวลาพวกเพื่อนผมมันกองกันอยู่ที่โต๊ะในสวน โอ้โหสภาพแต่ละคน ปั่นงานกันสุดฤทธิ์

“ไงมึง งานร้อนเชียวนะ"ผมเดินเข้าไปทัก โดยมีนานะเดินตามมา โทนี่เงยหน้ามามองพยักหน้าทัก แล้วก้มทำงานมันต่อในขณะที่ ไอ้พิม เงยหน้าขึ้นมามอง ทำหน้าวอนตีนน้ำตาคลอเล่นใหญ่เล่นโตตามสไตล์มัน ไอ้พิมเป็นผู้หญิงที่ผมไม่สามารถมองมันเป็นผู้หญิงได้เลย แม่งกวนตีน ทะลึ่งตึงตังยิ่งกว่าผู้ชายแบบผม

“ไอ้ภพพ ช่วยกูด้วย” มันเอื้อมมือมาเกาะแขนผม ได้แต่กรอกตา เป็นงี้ประจำ ขณะที่กำลังตีรันฟันแทงกะพิมพ์ เสียงข้างหลังก็ดังแทรกมา

“ภพเราไปหาเพื่อนนะ มันนั่งอยู่ในร้าน” ผมหันไปหาคนตัวเล็ก

“โอเคจะขึ้น เดี๊ยวทักไป กินข้าวด้วย” ส่งถุงหมูปิ้งส่วนของนานะให้ ก่อนหันกลับมาดันหัวไอ้พิมที่มาถูๆ ที่แขน ขนลุกฉิบหาย ทิ้งตัวนั่งข้างๆ มัน

“ทำงานมึงไปเหอะสัส เล่นอยู่ได้ แล้วนี้ไอ้นนนยังไม่มาอีกหรอ”

“ถ้ามันมาแล้วมึงก็ต้องเห็นดิ” ไอ้พิมตอบกลับ ตามองหน้าจอคอม มือก็ขยับลากเม้าท์ปากกาไปมา กวนตีนฉิบหาย

“โทรหามันยัง เกิดแม่งตายนอนไม่ตื่น”

ผมว่าพลางเอื้อมไปหยิบโกโก้เย็นข้างมือไอ้พิมพ์ มาดูด แล้วนั่งกินหมูปิ้งไปพลาง มองสองตัวที่มือทำงานไม่หยุดไปด้วย คุณอาจสงสัยโทนี่ใช่ชายแท้คนที่สองในรุ่นมั้ย เพราะมันไม่พูดสักคำดูเคร่งขรึม ไม่ใช่ครับ มันมักเงียบเสมอเวลามันทำงาน แต่เมื่อไหร่ที่งานเสร็จ มันก็คือตุ๊ดแรดๆ และผีเจาะปากมาพูด



“มึงโทรดิ กูกะโทนี่เครื่องร้อนอยู่มึงเห็นมั้ย แหกตาดูหน่อย"ผมได้แต่กรอกตา ให้กับคำพูด คำจาไอ้พิม ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดโทรหาเพื่อนอีกคนในกลุ่ม ยังไม่ทันได้กดโทร เสียงแหบต่ำก็ดัง



“กูมาแล้ว และยังไม่ตาย”



มันทิ้งตัวลงนั่งข้างโทนี่ ตรงข้ามกับผม เอื้อมมือมาดึงหมูปิ้งออกจากถุง แล้วกินหน้าตาเฉย กลุ่มเรามักเป็นแบบนี้กับเรื่องของกิน ไม่เคยมีการขอกัน ใครซื้อไรมา อยากกินก็เอาใส่ปาก และเราก็ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องนั้นนอกจากเวลาเจ้าของของกินนั้นๆ จะโมโหหิวมากๆ อะนะ ถามว่ากินน้ำแก้วเดียวกันขนาดนี้ไม่กลัวติดโรค?บอกเลยว่า กลัวครับ แต่แม่งติดเป็นสันดานแล้วแก้ไม่หาย ผมมองไอ้นนนเคี้ยวหมูปิ้ง ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์

“งานเสร็จป่ะ”

“เสร็จ” ตอบสั้นสมเป็นมัน ไอ้นี่แหละ ชายแท้คนที่สองในรุ่น และแม่งโคตรของความแมน ที่ผมยอมแพ้ มันเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ถามคำตอบคำ ไม่ค่อยเฮฮาแต่มันก็เฮตามพวกผมเสมอ ไปไหนไปกัน ถ้าถามว่าใครพึ่งได้ยามคับขัน ผมยกให้มันเลย มันเป็นคนช่างสังเกต มันไม่พูดไม่ใช่ว่ามันไม่รู้ ถ้าเพื่อนไม่ร้องขอมันก็จะทำนิ่งๆ แต่ถ้าขอเมื่อไหร่แม่งให้สุดตัว ต่างกับผมมากถ้ามีเรื่องกันกูวิ่งก่อน





ตึ้ง



เสียงข้อความจากโทรศัพท์ผมดัง นานะส่งมาว่าให้ไปก่อนเลย เจอกันที่ห้องเรียน ผมตอบกลับไปว่าโอเค ดูเวลาแล้วเริ่มบอกให้พวกมันเก็บของเพราะต้องเผื่อเวลาต่อคิวขึ้นลิฟต์อีก ซึ่งคณะผมเก่าแก่มากครับมีลิฟต์แก่ๆ อยู่แค่สองตัว และบันไดที่กว้างหนึ่งเลน ห้องเรียนรวมอยู่ชั้นสิบห้า ผมไม่อยากออกกำลังตอนนี้แน่ๆ มือหนึ่งถือแก้วโกโก้ของพิมที่ยังไม่พร่องลง สะพายกระเป๋าใบใหญ่ เดินเข้าตึก ตามคาด แถวยาวออกมาเกือบหน้าประตูคณะ กว่าจะขึ้นมาถึงหวุดหวิด ดีที่จารย์ยังไม่เข้า ในห้องนอกจากเด็กแฟชั่นแล้วก็มีกราฟิก การแสดง และ โปรดัก นั่งจับกันเป็นกลุ่มๆ พวกผมเดินขึ้นหลังห้องฝั่งซ้าย ทันทีที่เห็นพวกแฟชั่นกลุ่มอื่นนั่งอยู่ กดพิมพ์หา นานะว่าขึ้นมายัง และได้คำตอบว่ากำลังเดินขึ้นบันไดมา ชั้นแปดแล้ว โถ่แฟนผม เสียเหงื่อแต่เช้า ผมเลยแกล้งพิมพ์ไปว่า อาจารย์เข้าแล้ว และไม่นานเสียง เอะอะของกลุ่มผู้ชายก็เดินกันเข้ามา ผมไม่รู้จักสักคนในนั้น คิดว่าคงอยู่เอกอื่น ด้านหลังคนกลุ่มนั้นคือกลุ่มนานะ เธอเดินเข้ามาทั้งที่หอบอยู่ สายตาสอดส่อง ผมเลยยืนขึ้น แล้วโบกมือเรียก นานะเดินมาทิ้งตัวลงข้างผม กรอบหน้ามีเม็ดเหงื่อผุด จนผมอดขำไม่ได้ พอนั่งพักจนดีขึ้น ก็หันมาโวยทันที



“ไหนว่าจารย์มาแล้วไง”

“ขอโทษ แกล้งเล่นนิดหน่อยเอง” ว่าพลางปัดผมที่ติดบนหน้าออกให้

“ภพชอบแกล้งเราอะ เราวิ่งขึ้นมากะพวกกิ๊ฟแทบตายเลย”

ผมยิ้ม ยังไม่ทันได้พูดไรต่อ เสียงหมาเห่าครับ



“พวกมึงเลิกหวานกันได้ยัง มาเรียนไม่ได้มาอ้อนผัวเนอะ”

ผมหันไปชี้หน้าไอ้พิม ข้ามหน้าไอ้นนนชึ่งนั่งติดกับผม และไอ้พิมนั่งติดนนนอีกที มันทำปากขมุบขมิบใส่ ก่อนที่นนนจะเป็นฝ่ายพลักหัวมันให้หันไปหน้าห้อง ผมไม่รู้ไอ้พิมมันเป็นไรเมื่อก่อนก็ไม่ได้ชอบจิกกัดนานะขนาดนี้ แฟชั่นถึงแบ่งกันหลายกลุ่มแต่เราก็คุยกันได้หมด พึ่งมาช่วงสองสามเดือนก่อนปิดเทอมที่ไอ้พิมพ์เริ่มปากหมาใส่นานะ ปกติแม่งเห่าแค่กับคนในกลุ่มหลังสงบศึก ไม่นานอาจารย์ก็เข้ามา ในห้องวิชานี้เราเรียนพวกประวัติศาสตร์ศิลป์ต่างๆ อันไหนที่ยังไม่เคยรู้ผมก็ฟังๆ จดๆ บ้าง เพราะยังไงก็มีสไลด์ให้โหลดท้ายคาบ ผ่านไปสองชั่วโมง จารย์ก็ปล่อย คนกรูกันออก พวกผมที่ขี้เกียจไปยืนรอลิฟต์ข้างนอกเลยยังนั่งแช่กันอยู่ในห้อง มีเอกอื่นยังอยู่บ้างประปราย พอคนเริ่มซาก็ลุก เดินเถียงไอ้พิมไปด้วย มือก็ช่วยถือกระเป๋าให้นานะ จังหวะเลี้ยวไปทางประตูผมก็ชนเข้าอย่างจังกับกลุ่มคนที่เดินออกมาจากที่นั่งอีกด้าน เสียงพูดคุยของเพื่อนเงียบลงกะทันหัน ผมเงยหน้ามอง เขาสูงกว่าผมน่าจะเป็นสิบเซนต์ได้ ขาว หน้าตาดี แต่ไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่

“ขอโทษ” เขาพยักหน้ารับน้อย แล้วหยุดให้ผมเดิน พอเดินพ้นระยะออกมานอกห้องเสียงหวีดของโทนี่ก็ดังขึ้นทันที

“หล่อฉิบหาย กูพึ่งเคยเห็นเขาใกล้ๆ ขาวใสถูกใจกูมากกก"ผมบอกแล้วพอเวลามันไม่ทำงานมันก็สาวน้อยในร่างผู้ชายดีๆ เนี้ยแหละ เจอผู้ชายหน้าตาดีไม่ได้ ระริกระรี้ ว่าแต่มันรู้จัก?

“ใครวะ” ผมถาม ขณะที่เราเดินมาหยุดยืนรอลิฟต์ที่กำลังขึ้นมา รอบๆ บริเวณเหลือแค่พวกผม ยังไม่ทันมันจะตอบ เสียงโวยวายของกลุ่มคนที่ชนเมื่อกี้ดังตามมา ยืนต่ออยู่ด้านหลัง ไอ้โทนี่หุบปาก แล้วแสร้งเดินถอยหลังกระมิดกระเมี้ยนไปยืนใกล้กลุ่มนั้น อีห่าmoon walkไปเลยนะมึง ยืนรอได้ไม่นาน ลิฟต์ก็เปิดออก แก๊งผมรวมนานะกับเพื่อน6คนก็เดินเข้าไป เหลือแต่ไอ้โทนี่ที่ยังยืนบิด อยู่ใกล้ๆ คนตัวสูง

“อีโทนี่มึงจะบิดอีกนานมั้ย ไส้มึงจะเคลื่อนแระ รีบๆ เข้ามา กูต้องลงไปปริ้นงานอีก” เสียงไอ้พิมดังแหวกอากาศออกไป

“โอ๊ยอีนี่ขัด กูจริง” มันเดินปึงปังเข้าลิฟต์มาโดยมีเสียงหัวเราะของกลุ่มผู้ชายด้านหลังดังตามมา ผมมองเห็นใบหน้าคม ที่ยิ้มน้อยๆ จ้องมองเข้ามาในลิฟต์ เราสบตากันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด ลง

“อีพิม มึงเป็นลูกอีช่างขัดหรอ ขัดกูฉิบหาย มึงไม่เห็นหรอว่าเมื่อกี้กูกำลังยืนอยู่กับใคร”

“กูเห็น เห็นมึงบิดตูดใส่เขา และเขาทำหน้ากลัวมึง”

“สรุปเมื่อกี้ใครวะ พวกมึงรู้จัก?”ผมถามหลังจากดูมันเถียงกันไปมา

“โอ็ยย อีคุณเอกภพ กูไม่ใช่มึงนะที่รู้จักแต่เพื่อนในแฟชั่น เมื่อกี้อะความภูมิใจของรุ่น” ไอ้โทนี่พูดไปมือไม้ก็ออกท่าทางไปด้วย ไอ้พิม มองอย่างเหม็นเบื่อ นนนก้มหน้าเล่นเกม นานะกับกิ๊ฟยืนฟังขำๆ คงมีแต่ผมที่ได้แต่สงสัยว่าสรุปไอ้เมื่อกี้คือใคร

“ขนาดนั้นเลย” ผมย้อนอย่างหมั่นไส้ “สรุปบอกได้ยังว่าใคร เล่นตัวอยู่ได้มึงเนี่ย” ไอ้โทนี่ตั้งท่าเตรียมเล่าอย่างออกรสแต่ฝันก็สลายเพราะเจ้าเก่าเจ้าเดิม

“คนที่มึงเดินชนอ่ะ ชื่อพายุ เป็นเดือนคณะเราแค่นั้นแหละ อีโทมันเวอร์ ไปออก ถึงชั้นแล้ว” ไอ้พิมขัดขึ้นพอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดชั้นเรียนของออกแบบ



ปกติเวลาคาบเกี่ยวระหว่างคาบเช้ากับบ่าย เรามักไม่ค่อยลงจากตึก เพราะต้องปั่นงานบ้าง ขี้เกียจต่อคิวขึ้นลิฟต์บ้าง เวลาหิวก็โทรสั่งร้านข้าวที่แคนทีนให้มาส่ง ไม่ก็ฝากๆ กันแล้วส่งตัวแทนไปซื้อ วันนี้ก็เหมือนกันที่ห้องเรียนมีเพื่อนหลายคนนั่งปั่นงานกันอยู่ บนชั้นนี้จะมีห้องเรียน7ห้องด้วยกัน เป็นของแฟชั่นไปแล้วสาม กราฟิกและโพดักคนละสอง เราเดินกันไปที่โซนห้องเรียนแฟชั่น สุดทางเดิน พอวางของเรียบร้อยผมก็หันมาถามคนตัวเล็ก

“จะกลับเลยป่ะ จะลงไปส่ง”

“เดี๋ยวไปกินข้าวกับกิ๊ฟก่อนแล้วคงกลับห้องเลย ไม่ต้องไปส่งหรอก พรีเซนต์ก็สู้ๆ นะ ภพทำได้อยู่แล้ว”

“โอเค เดี๋ยวรีบกลับ”

“มึงจะรีบกลับไปไหน มันไม่หนีไปไหนหรอก มึงต้องแดกเหล้ากะกูต่อ”

“ไอ้เหี้ยพิม หุบปากไป”

“ภพไปกะเพื่อนเหอะถึงห้องจะพิมพ์มาบอกนะ” นานะหัวเราะ กอดผมทีนึงก็ออกจากห้องไป ผมหันมาหาคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“ปากมึงนี่นะ ไหนบอกจะปริ้นงานไงจะลงมั้ยกูหิว จะฝากซื้อของกิน”

“ขอ5นาที เดี๋ยวลง เอาไรก็จดมา” ปวดหัวจังครับ มีเพื่อนขาดๆ เกินๆ ไม่พอดีสักคน



ผมนั่งรอพรีเซนต์งานรอบแรกอยู่ที่โซฟาหน้าห้องเทา ก้มๆ เงยๆ อ่านเรียบเรียงเนื้อหาที่จะต้องพูด ทำไมถึงเครียดขนาดนี้ แม้พึ่งเปิดเทอมนะหรอ เพราะปกติโปรเจคเรียนมักมีการต่อเนื่องกันทั้งเทอมถ้าครั้งแรกเราออกตัวได้ดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ดังนั้นผมเลยค่อนข้างจริงจัง อยากให้หัวข้อผ่านในครั้งแรกจะได้รู้ทิศทางว่าจะไปยังไงต่อ เสียงประตูเปิดออกดึงผมให้เงยหน้าขึ้นมอง พิวเพื่อนผู้หญิงเจ้าเนื้อที่เข้าไปพรีเซนต์ก่อนหน้าเดินออกมา ด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก

“เป็นไงวะ จารย์ว่าไง”

“ไม่รอดว่ะ ตามึงแระ” มันพูดแค่นั้นแล้วเดินถือสมุดกับบอร์ดไปทางห้องริมสุดที่เพื่อนๆ ร่วมเซคนั่งอยู่ ผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป จารย์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ข้างๆ มือมีแก้วกาแฟเงือกเขียว ผมวางบอร์ดลงบนโต๊ะ ยกมือไหว้ส่งยิ้มหวังให้จารย์ปรานีผมด้วย

“เป็นไงบ้างคะเอกภพ วันนี้ทำอะไรมาให้จารย์ดูคะ” จารย์ภูเป็นผู้ชายที่มีจิตใจสาวน้อยครับ เขามักพูดคุยเป็นกันเองกับนักเรียนเสมอ รู้ทุกเรื่องของทุกชั้นปี

"ก็ดีครับ ผมเริ่มเลยนะ"จารย์พยักหน้า ผมเริ่มพูดถึงโจทย์ที่ได้ แรงบันดาลใจต่างๆ ไปจนถึงหลักการออกแบบการเอามาใช้ พูดไปก็รอบมองหน้าอาจารย์ไปด้วย ทุกครั้งที่มองเขาก็จะยิ้มกลับให้ผมครับ ดูแล้วน่าจะสบายใจใช่มั้ยแต่เปล่าเลยกูเครียดกว่าเดิม เพราะหลังผมพูดจบเมื่อไหร่รอยยิ้มนั้นก็ไม่มีความหมาย

“โดยผมดึงเอา ส่วนประกอบจากในหนังมาสร้างเป็นลวดลายผ้าครับ ประมาณนี้แหละครับ” โอเค ผมพูดจบแล้วขอหายใจเข้าหน่อย อ่ะมาเลย พร้อมแล้ว

“จารย์ว่ามันน่าเบื่อ” เหมือนมีคนปล่อยคิวคำเดียวกระแทกใจ ได้แค่ทำหน้าเอ๋อๆ พยักหน้า ฟังต่อ “ตัวแรงบันดาลใจจารย์ไม่ติดนะ แต่เรื่องเทคนิคกับการตีความมันดูเบาไป ดูเป็นอะไรที่ใครๆ ก็จะเลือกทำเป็นอย่างแรกๆ เธอ play save ไป อย่าลืมนะว่างานในวิชานี้เธอต้องทำต่อเนื่องกับงานวิชาของจารย์ต้าด้วยถ้าเอาแค่นี้จารย์ว่าง่ายไป ลองกลับไปหาข้อมูลให้เยอะกว่านี้ และลองตีความให้หลากหลายขึ้น อันนี้ยังไม่ผ่านนะคะ” จารย์พูดมายาวมาก และปิดจบด้วยรอยยิ้ม เชือดนิ่มๆ เอาจริงตอนจารย์พูดอ่ะ เข้าหูทุกคำนะ แต่เข้าหัวไม่กี่คำ ดีที่ก่อนเข้าไปมีกดอัดเสียงไว้ ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ ยกมือไหว้ขอบคุณ “เรียกคนต่อไปเข้ามาเลยนะคะ บอกเพื่อนใครพร้อมก็มาได้เลยไม่ต้องเรียงเลขที่ก็ได้ แต่จารย์อยู่ฟังแค่ถึง4โมงนะคะใครคุยแล้วกลับบ้านได้เลยค่ะ"ผมตอบรับสั้นๆแล้วเดินเข้าไปในห้องข้างๆ แจ้งข่าวเพื่อนก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะที่มีพวกเพื่อนผมนั่งอยู่

“เป็นไงมึง"ไอ้นนนถาม มึงพร้อมมาจากบ้านแล้วมั้งบอร์ดหลายแผ่นฉิบหาย

“แก้ดิจะเหลือเรอะ จารย์บอกว่ากู play save ไป”

“แล้วกูจะรอดมั้ยเนี้ยย กูยิ่งพูดไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่” ไอ้พิมเริ่มนั่งไม่ติด “ภพมึงอยู่รอกูด้วยนะอย่าพึ่งกลับ” มันหันมาสั่ง แล้วก้มหน้าลงไปแกะเทปสองหน้าต่อ ไอ้นี่มันงานร้อนจริงครับแต่ร้อนแค่ไหนก็เห็นงานดีทุกครั้ง

“เออรู้แล้ว เดี่ยวกูรอพวกมึงครบทุกตัวแหละ แต่เสร็จแล้วขอกลับห้องนะไม่ไปต่อ” อยากกลับไปนอนแล้วครับฟังจารย์แล้วสมองกูล้าเลย ต้องรีบกลับไปคิดต่ออีก เพราะวันนี้ในอาทิตย์หน้าผมก็ต้องพรีเซนต์ใหม่อีก วิถีคนเรียนออกแบบงานชนงานจบวีคนี้ใช่ว่างานจะจบ มันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนหมดเทอมนั่นแหละ ถ้าเจ็บถ้าป่วยตอนนี้ก็นั่นเลยงานงอกเป็นเท่าตัว ผมนั่งรอเวลา พิมพ์ไปบอกนานะว่างานไม่ผ่าน แต่เห็นนานะไม่ตอบคิดว่าคงทำงานอยู่ ระหว่างรอเลยนั่งหาข้อมูลเพิ่มไปพลาง ไอ้พิมเข้าไปแล้วและกลับออกมาด้วยไปหน้าเหมือนคนจมน้ำไม่ต่างกลับผม ในขณะที่นนน เข้าไปหน้าไหนมันก็กลับออกมาหน้าเดิม ถามมัน มันก็บอกแค่ ‘ก็ดี’ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมต่อ ชิลสุดๆเลยเพื่อนผม สุดท้ายไอ้โทนี่ก็เข้าไป กว่ามันจะออกมา ตอนนั้นก็สามโมงกว่าแล้วมันเดินหน้าระรื่นออกมาหมุนตัวหนึ่งครั้ง จนผมอยากตบกะโหลกมันแรงๆสักที ไม่ต้องถามก็รู้ว่าแม่งผ่าน



ผมแยกตัวจากพวกมัน ไปทางรถไฟฟ้าใต้ดิน จนถึงตอนนี้นานะยังไม่ตอบข้อความผมเลย โทรไปก็ไม่รับ คงวางโทรศัพท์ไว้นอกห้องอีกตามเคย เหนื่อยโคตรเลยวันนี้อยากกลับไปนอน ขณะที่ยืนไถมือถืออยู่บนบันไดเลื่อน อย่างเซ็งๆ



ปึก



“ขอโทษ ครับ” มาเร็วไปเร็วมากครับ ชนซะไหล่เกือบหลุด ผมเงยหน้างงๆ มองตามด้านหลังชายร่างท้วมไป ยืนทอดน่องไม่เร่งรีบจนกระทั่งได้ยินเสียงรถไฟกำลังมาเท่านั้นแหละ กูวิ่งเลยครับ ขี้เกียจรอ ขบวนถัดไป ขอบคุณที่ในวันแย่ๆ รถไฟก็ไม่ทิ้งกัน ผมก้าวเข้าท้ายขบวนไปได้อย่างหวุดหวิด ยืนพักหายใจ รถไฟเริ่มออกตัว ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวริมสุดที่ว่างอยู่ ตัวเดียว ล้วงกระเป๋าหยิบสายหูฟัง มาเสียบเข้าโทรศัพท์ กดเล่นเพลงของวงโปรดThe 1975เป็นวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟป๊อปร็อกจากอังกฤษผมเริ่มฟังเพลงพวกเขาครั้งแรกเมื่อปีก่อนตอนที่จารย์ให้หาเพลงเพื่อใช้ในการออกแบบ พอยิ่งได้รู้เรื่องราวของวงก็ยิ่งชื่นชม เสียงซาวด์ที่ดังขึ้นให้ความรู้สึกเหมือนล่องลอย ผมรู้ทันทีว่าเพลงอะไร







What time you coming out?

We started losing light

I’ ll never make it right if you don’ t want me around

คุณจะออกมาตอนไหนเหรอ

มันเริ่มใกล้มืดแล้วนะ

ผมคงทำอะไรไม่ถูกถ้าคุณไม่ต้องการผมแล้ว



I’ m so excited for the night

All we need’ s my bike and your enormous house

You said some day we might

When I’ m closer to your height

‘Til then we’ ll knock around, endlessly

You’ re all I need

ผมตื่นเต้นมากเลยคืนนี้

ทั้งหมดที่เราต้องการคือจักรยานของผมและบ้านหลังโตของคุณ

คุณบอกว่าบางวันเราอาจจะ…

ตอนที่ผมสูงใกล้ๆ กับคุณ

กว่าจะถึงตอนนั้น อยู่กันแบบนี้ไปตลอดได้ไหม

คุณคือทุกสิ่งที่ผมต้องการ



ผมเริ่มขยับปากร้องตามอย่างแผ่วเบาไปโดยไม่รู้ตัว



Don’ t you see me now?

I think I’ m falling, I’ m falling for you,

Don’ t you need me?

I, I think I’ m falling, I’ m falling for you,

And on this night and in this light,

I think I’ m falling, I’ m falling for you

Maybe you’ ll change your mind

I think I’ m falling, I think I’ m falling

ตอนนี้คุณยังไม่เห็นผมอีกหรอ?

ผมคิดว่าผมตกหลุมรักคุณ

คุณไม่ต้องการผมหรอ?

ผม ผมคิดว่าผมตกหลุมรักคุณ

และภายในคืนนี้ ใต้แสงไฟนี้

ผมคิดว่าผมตกหลุมรักคุณ



ผมที่กำลังจมอยู่กับเพลง เริ่มรู้สึกว่าโดนจ้องมอง ผมร้องดังไปหรอ คิดได้แบบนั้นเลยเอาหูฟังออกข้างหนึ่งขณะที่ปากก็พึมพำเพลงเบาๆ แล้วเหลือบมองรอบๆ ก็ไม่หนิ ทุกคนยังคงก้มหน้ากดโทรศัพท์ ก่อนที่ผมจะเหลือบมองคนข้างๆ ผมชะงักไปเล็กน้อย และใช่ เขาจ้องมองผมอยู่ ใบหน้าคม ที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อเช้า พายุ

#พาภพ #คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 26-02-2020 10:03:06
บทที่ 2
The 1975

ผมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย มันมองผมทำไมวะ จะพูดก็ไม่พูด เอาแต่จ้องแล้วสำรวจใบหน้าผม ยังนี้มันเรียกว่าการคุกคามกันปะ พอเห็นว่ามันยังคงจ้องมองไม่วางตาผมเลยเริ่มสำรวจคนตรงหน้าบ้างอย่างไม่ยอมแพ้ จ้องมาจ้องกลับไม่โกงเว้ย ใบหน้าคม มีไฝเม็ดเล็กใต้ตาเรียว จมูกโด่งจนแทบชนหน้ากูได้ และปากที่ดูรับกับโครงหน้า เออ ยอมรับหล่อไม่พอยังดูสวยด้วย ไอ้เหี้ยนี้ต้องเป็นที่รักของพระเจ้ามาก เขาถึงปั้นมันมาดีเหลือเกิน หันกลับมาดูสารรูปตัวเอง แก้มบวม ปากบวม สัด ไม่ยุติธรรมเหี้ยๆ



แล้วเมื่อไหร่มันจะเลิกจ้องกูครับ ดูท่าแล้วแม่งไม่หยุดมองง่ายๆ ผมเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจหันกลับมาหยิบหูฟังเสียบเข้าหู คิดว่าเดี๋ยวมันก็คงเลิกมองไปเอง แต่ไม่ครับ ผมเหลือบมองเมื่อไหร่ก็สบเข้ากับตาคมตลอด จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ดึงหูฟังออก หันกลับไปเผชิญหน้ามัน



“มีอะไรกับผม...รึเปล่าครับ" หันไปขมวดคิ้วถามแสดงท่าทีให้เห็นชัดๆ ว่ากูรำคาญมึงเนี้ย เลิกจ้องกูได้ยัง

“มีอะไรกันได้เลยหรอ ดีจัง" ห๊ะเดี๋ยวนะ มึงฟังผิดมั้ย หรือกูใช้คำผิด แล้วยิ่งมันพูดหน้านิ่งๆ แต่สายตาแม่ง กูขนลุกเลย ห่าไรเนี้ย จากตอนแรกที่พูดสุภาพเจองี้กูไม่อยากสุภาพด้วยแล้วครับ

“เหี้ยไรเนี้ย กูหมายถึงจ้องกูเนี้ยมีธุระอะไรกับกูหรอ"

“ไม่มี"

มันจ้องตาผมแล้วตอบนิ่งๆ เหมือนเดิม ก่อนสายตาจะเลื่อนลง มองปากกูไมหว่ะ มึงมองปากกูอยู่ใช่ม่ะ ด้วยความประหม่าเลยเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ผมเป็นผู้ชายเกิดมาไม่เคยโดยคุกคาม มีแต่ไปคุกคามเขา พอโดนกะตัวบอกเลย น่ากลัวชิบหาย เลยตัดสินใจจะลุกหนี ยังเหลืออีก 2สถานีกว่าจะถึงที่หมาย ขืนนั่งอยู่ตัวผมคงพรุน แต่เสียงคนข้างๆ ก็ดังขัดขึ้น

“กูชอบเพลงที่มึงร้องนะ ของ the 1975ใช่มั้ย" ผมที่ยืนค้างอยู่ยังคงไม่ตอบอะไรเพียงจ้องมองร่างหนา เขาพูดต่อ "นั่งลงเหอะกูไม่ทำไรมึงหรอก เห็นมึงเหมือนจะร้องไห้ เลยอยากแกล้งเล่น"

ผมทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม เกิดความเงียบระหว่างเรา ผมไม่ได้จะร้องไห้นะไม่ได้ขี้แยขนาดนั้น แต่ยอมรับว่ายังอารมณ์ค้างกับงานที่ไม่ผ่านอยู่ มันยังหมุนวนอยู่ในหัว ไม่คิดว่ามันจะแสดงออกผ่านสีหน้าจนคนข้างๆ สังเกตเห็นได้ และก็เพราะเรื่องที่มันจ้องผมนั้นแหละผมถึงหยุดคิดเรื่องงานไปได้ชั่วครู่ แต่มึงก็ไม่ควรอยากช่วยกูด้วยวิธีแบบนี้มั้ย กูกลัวนะเฟ้ย



“มึงก็ชอบวงนี้หรอ” ผมถามกลับ ไหนๆ ก็หยาบไปแล้วรุ่นเดียวกันด้วยคงไม่ต้องสุภาพใส่กันแล้วมั้ง

“ไม่อะ ชอบแค่เพลงที่มึงฟังอยู่”

“อ่อ” อึดอัดว่ะ ไม่รู้จะพูดไร ผมเลยเลือกที่จะเงียบ ก้มเล่นมือถือ เราไม่ได้รู้จักกันขนาดจะชวนคุย ผมเองตั้งแต่เรียนมาก็พึ่งเคยเห็นหน้ามันเมื่อเช้า การเงียบและแยกย้ายน่าจะดีที่สุด

“ทำไมถึงชอบวงนี้” สัด มันชวนคุย คนมีมารยาทอย่างผมเลยจำใจตอบ

“ชอบเนื้อหาเพลงที่ตรงๆ จริงใจดี ชอบซาวด์ดนตรีแต่ที่ทำให้ชอบยิ่งขึ้นก็คงเป็นเรื่องราวของคนในวง อย่าง แมตตี้ที่เป็นนักร้องนำมึงรู้ไหม เขาเคยติดยาด้วยช่วงที่วงกำลังไปได้ดีเลย และเขาก็เลิกได้เพราะเพื่อนๆ ในวงที่ดี กูชอบความสัมพันธ์ของพวกเขามาก ที่ยามตกต่ำไม่ทิ้งกันแล้วยังช่วยฉุดขึ้นมา” พอเป็นเรื่องที่ผมชอบ ผมมักพูดไม่หยุดเสมอ แม้ไม่ได้อยากคุยกะคนข้างๆ มากนักแต่ผมก็หยุดปากตัวเองไม่ได้จริงๆ

“น่ารัก” ผมพูดไปเรื่อยจนได้ยินเสียงพึมพำของพายุ ได้ยินไม่ชัดเลยหันไปถามมัน

“อะไรนะ” มันมองผมแล้วส่ายหัว เสียงประกาศของรถไฟที่บอกว่าใกล้ถึงที่หมายที่ผมต้องลงแล้ว ไม่รู้ทำไม แต่ผมก็เลือกที่จะแนะนำตัวออกไป

“มึงเรียนอยู่คณะกูใช่ปะ กูเอกภพนะเรียกภพเฉยๆก็ได้ กูอยู่เอกแฟชั่น แล้วมึงอะ”

ทำไมถึงทำความรู้จักกับมันหรอ ผมก็ไม่รู้ครับแต่ระหว่างทาง ถ้าตัดเรื่องตอนแรกผมก็สบายใจที่ได้คุยกับมันนะ และยังไงเราน่าจะต้องเจอกันที่คณะอีก ถ้ามันไม่ใช่คนโรคจิตผมก็โอเค มันมองหน้าผมแล้วยิ้มบางๆ ผมไม่ค่อยชมผู้ชายด้วยกันว่าหล่อ ขนาดไอ้นนนที่ใครๆว่าแม่งหล่อผมก็จะเถียงว่ากูหล่อกว่าครับ แต่กะไอ้นี่ยอมว่ะหล่อจริง

“กู พายุ อยู่กราฟิก" พอดีกับที่รถไฟฟ้าจอด ผมลุกก่อนหันมาบอกลามัน โบกมือหย่อยๆ แล้วเดินออกมาโดยไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ผมรู้ว่ามันยังคงมองตามผมมา





“เอาหมูกรอบกระเพรา ไข่ดาวกล่องนึงครับ กับสุกี้น้ำหมูนุ่มไม่ใส่ไข่”

ผมเวะซื้อมื้อเย็นสำหรับผมและนานะ ที่ร้านแถวๆ คอนโด ข้าวนะของผมส่วนสุ้กี้ของแฟนผมครับ เธอแพ้ไข่ไก่ เวลากินไรก็ต้องระวังหน่อย ได้ข้าวเรียบร้อยก็ตรงขึ้นห้อง หลังโทรหาตอนออกจากมอแล้วนานะไม่รับสายผมก้ไม่ได้โทรหาอีก เพราะไงก็ต้องมาเจอที่ห้องอยู่แล้ว



ผมเดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคยจนมาหยุดที่หน้าห้อง1314แตะคีย์การด์ เข้าไป ห้องเงียบมาก เงียบเกินไป ถอดรองเท้า เดินเข้ามาโดยลืมสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ฟ้าด้านนอกที่เริ่มอ่อนแสงทำให้ข้าวของภายในห้องเป็นสีส้ม สวยจนอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายไปแชะหนึ่งไม่ได้ ห้องรับแขกว่างเปล่า นานะคงอยู่ในห้องนอน ผมเดินเอาข้าวไปไว้ที่ครัว นั่นไง โทรศัพท์ของนานะวางอยู่ที่เค้าท์เตอร์ในครัว ผมหยิบขึ้นมาได้แต่สายหัวอย่างนึกขัน แบบนี้ประจำชอบวางโทรศัพท์แล้วลืม



ผมเดินออกจากห้องครัว ไปทางห้องนอนพร้อมโทรศัพท์ของคนตัวเล็กในมือ มืออีกข้างเตรียมเคาะประตูอย่างทุกครั้ง แต่เสียงที่ผมได้ยินเบาๆ จากด้านในทำให้ผมตัวแข็ง มือยกค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มั้ง คิดแง่ดีเธออาจกำลังดูหนังโป๊เหมือนเวลาที่พวกผมดูก็ได้ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผมเข้าใจ คิดได้แบบนั้นก็ยิ้มออกมาได้บ้าง คิดคำแซวไว้ในหัว แค่นึกใบหน้าที่เขินอายผมก็อดยิ้มไม่ได้ แต่เสียงเบาๆนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้ทำให้ริมฝีปากที่ยกยิ้มค่อยๆ หายไป มันเป็นเสียงแหบๆ ของผู้ชายที่เรียกชื่อแฟนของผม ใช่ผมฟังไม่ผิด เขาเรียกชื่อแฟนผมอีกครั้ง ใจเริ่มเต้นรัว ลังเลระหว่างเปิดเข้าไปเพื่อให้เห็นภาพบาดตาชัดๆ หรือนั่งรอจนกว่าพวกเขาจะเสร็จกิจแล้วเดินออกมา แบบไหนดีกว่ากัน แบบไหนควรทำมากกว่ากัน ไม่สิ จะแบบไหนแม่งก็เจ็บทั้งนั้น!



พลั๊ก





ผมเปิดประตูเข้าไปอย่างแรงจนกระแทกไปชนผนังอีกด้าน ภาพหลังเปลือยเปล่าของคนตัวเล็ก ที่อยู่บนตัวผู้ชายที่คุ้นหน้าคุ้นตา ไอ้พี่ไบร์ท รุ่นพี่แฟชั่นที่พึ่งจบไปหมาดๆ ทั้งคู่ดูตกใจ นานะ พลิกตัวหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมตัว ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความโมโห นี่ใช่ไหมเหตุผลที่จะรีบกลับห้อง และย้ำให้ผมไปกินเหล้ากับเพื่อน เหตุผลที่ไม่ว่าง จะเดินมารับโทรศัพท์หรือแม้แต่พิมพ์ตอบข้อความของผม



“ภะ ภพ ทำไมจะกลับมาห้อง ละ แล้วไม่โทรมา”



ผมไม่ตอบคำถามนั้นแต่เลือกจะโยนโทรศัพท์ไปที่เตียงตรงหน้าเธอ ก่อนหันมองผู้ชายที่ครั้งหนึ่งผมให้ความเคารพ พี่มันไม่ได้หลบสายตาผมมันแค่มองตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งๆ



“เอากันให้เสร็จก่อนมั้ย เมื่อกี้น่าจะค้างอยู่นะ เดี่ยวกูออกไปรอข้างนอก”

หันหลังเดินออกจากห้อง ไม่รอให้ใครได้พูดไรทั้งนั้น เดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา คำถามมากมายวิ่งเข้ามาในหัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมต้องทำยังไงว่ะ แม่งทำกะกูยังงี้ได้ยังไง ผมทำอะไรผิด ผมพลาดอะไรไปถึงทำให้เธอทำกับผมแบบนี้ ทุกคำถามวิ่งวนไปมา ทั้งโกธร โมโห เจ็บใจ น้อยใจ และโทษตัวเองมันตีกันไปหมด ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนทำไรกันอยู่ ไม่รู้ว่าได้ทำกันต่ออย่างที่ผมพูดไปไหม แต่หวังว่าจะไม่ ผ่านไปไม่นานผมก็เห็นไอ้พี่ไบรท์เดินออกมามันมองหน้าผมแล้วพูด



“คุยกันดีๆ เหอะ แต่กูไม่ขอโทษกับสิ่งที่ทำไปแล้วหรอกนะ"

“ไอ้เหี้ย"

แม่งพูดออกมาได้ไงวะ สำนึกมึงหายไปไหนหมด

“กูรักเขามาก่อนที่มึงจะคบกันอีก มึงจะตัดพี่ตัดน้องกับกูก็ได้ แต่ถ้าเขาอยู่กับมึงแล้วไม่มีความสุขมึงก็ปล่อยเขามาเหอะ"

ผมจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง ในชีวิตผมไม่เคยรู้สึกเกลียดใครขนาดนี้เลย ทำไมวะ ตลอดมานานะคบกับผมเธอไม่มีความสุขเลยหรอ แล้วที่ยิ้มให้กัน ทำนู่นนี่ด้วยกัน มันคืออะไร ถ้าอยากเลิกก็บอกดิ ไม่ใช่ทำแบบนี้

“มึงเหี้ยเหอะ อย่าพูดเหมือนมึงเป็นคนดี"

“เออยอมรับ”

ผมลุกขึ้น กำหมัดแน่นอยากต่อยมันชิบหาย เราจ้องมองกัน จนกระทั้ง คนตัวเล็กเดินเข้ามา เธอสวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ เออดีแต่งตัวมิดชิดสุดๆ ผู้ชายยืนกันอยู่ในห้องตั้งสองคนก็ยังแต่งตัวเแบบนี้ออกมา นานะเดินเข้ามาจับมือผม ดวงตาคลอไปด้วยหยดน้ำใส ริมฝีปากอิ่มเปล่งเสียงออกมาสั่นๆ

“ภพ เราขอโทษ เรา เราไม่ได้อยากโกหกภพนะ” ผมยืนฟังเธออย่างพยายามใจเย็น รู้สึกร้อนๆ ที่ขอบตา เลยเงยหน้า ไม่ให้มันไหลออกมา

“ตั้งแต่ เมื่อไหร่” ตลกดีที่เสียงที่ผมเปล่งออกไปมันฟังดูเบาหวิ้วและขาดห้วง ผมจ้องมองใบหน้าของผู้หญิงที่ครั้งนึงเคยยิ้มให้ผม แต่ตอนนี้ เต็มไปด้วยน้ำตา ปากก็พร่ำบอกแต่คำว่าขอโทษๆ โดยไม่ตอบคำถามผม สุดท้ายคนที่ให้คำตอบผมคือไอ้พี่ไบร์ท

“ปีหนึ่งเทอมสอง” เหอะ สมเพชตัวเองฉิบหายเลย ไมโง่ขนาดนี้ว่ะ มึงโง่จนไม่รู้สึกว่าเข้ามีคนอื่นมาตั้งนานขนาดนี้ได้ยังไง ทำได้แต่หัวเราะ ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้ม ยกมือปาดน้ำใสๆ ออกเร็วๆ ไม่อยากแสดงออกให้ทั้งคู่เห็นว่ากูอ่อนแอ แค่โง่มาครึ่งปีก็เกินพอแล้ว

“ทำไมว่ะ ทำไมปล่อยให้กูโง่มานานขนาดนี้!” ผมตะหวาดเสียงดังอย่างเหลืออด นานะสะดุดถอยหลัง พี่ไบร์ทเดินเข้ามาแทรกระหว่างเรา

"มึงใจเย็น"

“ให้กูเย็นทำเหี้ยไร!"

ผมมองพี่มัน เลื่อนสายตากลับไปที่คนตัวเล็กด้านหลัง ใบหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ดวงตาแดงก่ำ เธอดูเหนื่อยล้า ตัวสั่นเทาจากการร้องไห้อย่างหนัก ใจผมอ่อนยวบลงทันที เราอยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีเต็ม มีอะไรมากกว่าแค่ชอบ แต่เราผูกพันกัน เราเป็นทั้งแฟน ทั้งเพื่อน ที่ปรึกษาเราอยู่ด้วยกันทุกช่วงเวลา จะให้ผมทำร้ายเธอโดยไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ ผมจ้องมองไปที่เธอไม่คลาดสายตา ถามคำถามที่คาใจ



"ภพทำอะไรผิด"

อยากจะพูดให้หนักแน่นกว่านี้แต่เสียงกลับเจือด้วยความสั่นไหว นานะเงยหน้าขึ้นเดินแทรกพี่ไบร์ทมาจับมือผมไว้ ดวงตาแดงก่ำเริ่มบวม จนหน้ากลัว เจ็บว่ะ

เธอสายหน้าไปมาไม่หยุด บีบมือผมแน่น ก่อนที่จะเปล่งเสียงที่เริ่มแหบแห้ง

“ไม่ ไม่ ภพดี ดะ ดีเกินไปด้วยซ้ำ เรา เรา”

ผมไม่ได้ยินแล้วว่าเธอพูดอะไร ผมแค่มอง มองคนตรงหน้าที่ยังคงพูด และสะอึกสะอื้นไม่หยุด



'ดีเกินไป'ผมเคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ นะ เคยคิดว่าคนที่ได้รับคำพูดแบบนี้จะรู้สึกยังไงกันดีหรือแย่ มาตอนนี้ผมว่าผมพอจะรับรู้ความรู้สึกนั้นได้นะ มันไม่ได้ดีและไม่ได้แย่ มันเป็นคำพูดดูดี ที่ช่วยให้เธอรู้สึกผิดน้อยลง ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังปลอบผมว่า ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ผิด ผมดีมาตลอด เป็นเธอที่ผิดเอง ไม่ต้องรู้สึกแย่ที่เราต้องเลิกกัน

มาตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว คำว่าดีเกินไป ไม่มีจริง ผมต้องทำอะไรพลาดไป เธอถึงได้ไปจากผม ผมจับมือบางที่กุมไว้ออก เช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วส่งยิ้มกว้างเท่าที่จะทำได้ ผมไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่ส่งไปเป็นแบบไหน แต่เธอมองแล้วร้องไห้ดังขึ้น ผมชอบเธอนะ แต่มันอาจไม่มากพอที่จะทำให้เธอมีความสุขเวลาอยู่กับผม



“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ภพเข้าใจแล้ว เดี่ยวภพมานะ” ไม่ต้องพูดอะไรแล้วผมคิดว่าเราน่าจะรู้กันดีว่ามันจบแล้ว ผมหันมองพี่ไบร์ทอีกครั้งและในครั้งนี้ผมว่าผมเห็น คำขอโทษในดวงตาของเขา ผมรีบเดินไปคว้ากระเป๋าตังที่ห้องครัวแล้วตรงไปที่ประตู ผมต้องออกมา ต้องออกมา แม้ที่นั้นจะเป็นห้องของผมก็ตาม



ผมเดินออกมาจากคอนโด ฟ้ามืดแล้ว แปลกใจที่ตัวเองหยุดร้องไห้ได้เร็วขนาดนี้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาไอ้นนน แทนที่จะเป็นไอ้พิม เพราะผมยังไม่อยากฟังเสียงหมาๆ ของมัน รอสายไม่นานมันก็รับสาย

“ว่าไง”เสียงทุ้มต่ำ ดังเข้ามา ในสาย พร้อมเสียงอึกทึก ผมขมวดคิ้วถาม

“อยู่ไหนวะ”

“ร้านเหล้า มึงมีไร” มันยังคงพูดด้วยเสียงนิ่งๆ เออเนอะ

“ร้านไหน กูจะตามไป”

“เดิม”

มันยังไม่กดวางสาย ผมเองก็ไม่กดวาง ผมยังคงได้ยินเสียงดนตรีดังและเสียงเฮฮาจากในสาย และมันก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้น

“ถ้ามึงไม่โอเค และไม่อยากมาเจอไอ้สองตัวที่เหลือ กูไปหาได้นะ”

อยู่ๆ น้ำตาก็ลื่นขึ้นมาคลอในตาผมอีกครั้ง ผมเป็นอะไรวะอยู่ๆก็กลายเป็นคนขี้แย เงยหน้ามองฟ้า ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา แต่ทำไม่ได้เลย ผมยังคงเงียบ ไอ้นนนก็เงียบมีเพียงเสียงดนตรีที่ดังแผ่วเบากว่าเดิมจากตอนแรก ที่ทำให้รู้ว่ามันยังไม่วางสาย จนคิดว่าโอเคแล้วผมถึงกรอกเสียงตอบกลับไป

“กู กูคิดว่าโอเค มึงไปต้องมา เดี๋ยวกูไปเองสั่งเหล้าไว้ให้กูด้วย”

“อืม กูจะรอ”

อย่างน้อยผมก้ยังมีเพื่อนดีๆ อย่างพวกมันอยู่

Talk

ส่วนหนึ่งของเรื่องตอนที่พล๊อตดังขึ้นในหัวคือตอนฟังเพลง

falling for you ของ the 1975 ค่ะ เพราะงั้นเพลงนี้จะโผล่มาเป็นพักๆ ในเรื่อง

ลองไปฟังกันได้




#พาภพ #คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-02-2020 23:31:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่3
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 27-02-2020 00:35:59
ตอนที่ 3

Better off without you



หลังวางสาย ผมก็เรียกวินนั่งไปลงสถานีรถไฟฟ้าแทน ใต้ดิน แล้วต่อรถเข้าไปที่ร้านเหล้า ร้านเดิมที่คุ้นเคย Cabin night ร้านเหล้าที่ห่างจากมอมาสามสถานีรถไฟฟ้า ที่นี่มีสไตล์แปลกๆ ตัวร้านเป็นกระโจมผ้าใบขนาดใหญ่ โต๊ะไม้เรียงราย ตรงกลางเป็นเวที แบบ360องศา บอกเลยนักดนตรีไม่เมาเหล้า ก็เมาไอ้เวทีที่หมุนๆ หยุดๆ เนี่ยแหละ พวกผมชอบมาที่นี้เพราะเพลงที่เล่นมักเป็นเพลงอินดี้ทั้งไทยและเทศ คนที่มาไม่ใช่พวกเมาเรื้อน เหมือนมานั่งชิล ฟังเพลงกัน ลูกค้าหน้าก็ซ้ำๆ คุยถูกคอก็ได้เพื่อนแนวเดียวกัน เสพงานศิลป์กัน เพราะบางคืนก็มีจัดงานอาต์ทของศิลปินหน้าใหม่

ผมลงจากรถแล้วเดินต่อเข้ามาในซอย พอเลี้ยวเข้าเขตร้าน ก็เห็นร่างสูงของไอ้นนน มันมองมาที่ผมไม่ยิ้ม ไม่โบกมือทักทาย เออดีไม่ต้องโทรหาให้เปลือง สองเท้าก้าวเข้าไปหา มันจ้องหน้าผมแต่ไม่พูดไร เลยพยักพเยิดให้ทีหนึ่งแล้วเดินนำเข้าร้าน โดยมีมันเดินตามมาติดๆ ขอบคุณที่มึงไม่ถามอะไรกูแม้กูจะยังอยู่ในสภาพเสื้อเชิ้ตนักศึกษา และตาบวมนิดๆ ก็ตาม เราผ่านเข้าร้านมาได้อย่างง่ายดายเพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี

วันนี้วันพฤหัสแต่คนก็ยังพลุกพล่าน เต็มร้าน เสียงดังของดนตรี และเสียงชนแก้วเหล้าดังขึ้นเป็นระยะ ตามทางเดิน

“ซ้ายมือ” เสียงไอ้นนนบอก ผมมองไปตามทิศทางนั้นก็เห็นเพื่อนรักอีกสองคน ยืนโยกใส่กันตามจังหวะเพลง ทุเรศลูกตาสัดๆ เดินตรงดึ่งเข้าไปพลักหัวไอ้พิมเบาๆ มันตวัดตามามองเหวี่ยงๆ พอเห็นเป็นผมก็ฉีกยิ้มกว้าง



“เอ้าาาาา เพื่อนภพไปไงมาไงเนี้ยย มาๆ เดี่ยวกูชงให้เข้มๆ เลยย”

ตาเยิ้มเชียว มันนั่งลงชงเหล้าให้ผมมือระวิง เห็นแล้วกุมขมับเลย ใส่มั่วไปหมด ขณะที่ไอ้โทนี่หันมามองแล้วหันไปส่ายตูดต่อ เจอพวกแม่งแล้วสบายใจขึ้นเยอะ ผมนั่งลงข้างไอ้พิม ไอ้นนนก็เลือกนั่งลงตรงข้ามผม ยกแก้วโค้กขึ้นดื่มมองไอ้โทนี่เต้นพร้อมยิ้มบางๆ กับท่าทางตลกตรงหน้า ที่บอกว่าโค้กก็โค้กล้วนๆ ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมมันไม่ดื่มเหล้าครับ ตั้งแต่คบกันมาไม่ว่าจะไปเที่ยวร้านเหล้าไหนๆ มันก็ไปกับเพื่อนตลอด แต่ไม่เคยเตะเหล้าเลย พวกเราเคยถามมันครั้งหนึ่งว่าทำไมไม่ดื่มวะ มันตอบกลับหน้านิ่ง

'กูดื่มแล้วใครจะแบกพวกมึงกลับ'

หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยคะยั้นคะยอให้มันดื่มอีก และมันก็รับหน้าที่เป็นทั้งสารถีส่งพวกเรา และคอยดูแลเสมอ มันเป็นเพื่อนที่ดี โคตรดี ผมโคตรโชคดีที่มีมันเป็นเพื่อน



“อะเมิง ชงเข้มๆ ไปเลยจ้า” แก้วเหล้า ถูกเลื้อนมาตรงหน้าผม ส่วนเหี้ยนี้ ลำยองในคราบคุณหนู ผมอาจจะด่าไอ้พิมในใจบ่อยๆ ไม่ใช่มันไม่ดี มันเองก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องนั่งคีพลุคสุภาพบุรุษ มันเป็นเพื่อนที่ดีแต่เป็นผู้หญิงที่น่ากลัว

ผมนั่งดื่มเงียบๆ มองไอ้พิมกับโทนี่ที่เต้นส่ายตูดไปมา เหมือนปลาโดนน้ำร้อน ไม่นานโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างมือก็เริ่มสั่นอีกครั้ง มันสั่นเป็นพักๆ มาตลอดตั้งแต่ผมวางสายไอ้นนนแล้วตรงมาที่ร้าน ผมมองหน้าจอ และปล่อยให้มันดังและดับไปอยู่สอง สามครั้ง มือก็ควงแก้วเหล้าไปมากระดกขึ้นจิบทีละนิด โทรศัพท์เริ่มสั่นเป็นครั้งที่สี่ มันคงจะสั่นจนดับไปเองเหมือนทุกครั้ง ถ้ามือขาวๆ ของไอ้พิมไม่เอื้อมมาหยิบไป ผมเงยหน้ามองมันพร้อมเครื่องหมายคำถาม มึงเข้าใจหน้ากูใช่ม่ะ ไอ้พิมเอานิ้วชี้มาจุ๊ๆ ที่ปาก แล้วกดรับ ไอ้สัสมึงไม่เข้าใจกูอ่ะ

“ว่าไงมึง อืม มันอยู่กับกู แล้วมึงทำอะไรมันหล่ะถึงต้องขอโทษ"มันตะโกนคุยแข่งกับเสียงเพลงดัง ตามันจากดูฉ่ำเพราะเหล้าก่อนหน้านี้ เริ่มดูแข็งกร้าวขึ้น มันมองผมสลับกับกรอกตา

"กูไม่ให้คุย จนกว่ามึงจะบอกว่ามึงทำไรเพื่อนกู"

มันเงียบไปสักพักมือยังคงถือโทรศัพท์ผมแนบหู ไอ้โทนี่หยุดเต้นแล้วเดินมานั่งข้างนนน คงเพราะได้ยินเสียงตะโกนของไอ้พิม ไอ้นนนเองก็มองผมไม่วางตา ไอ้เหี้ยกดดัน ผมรู้สึกขอบตาร้อนๆ อีกแล้ว เลยหลุบตา มองแก้ว เหล้า ยิ่งคิดยิ่งเครียดเลยกระดกแม่งเกือบหมดแก้ว รสชาติขมปร่า ไหลลงคอ ห่าชงให้กูซะเข้มเลย

“เออ รู้ว่าตัวเองเหี้ยก็ดีแระ แล้วก็เลิกโทรหาเพื่อนกู เลิกฟูมฟาย"

เสียงไอ้พิมยังคงดังในขณะที่ผมรู้สึกว่าเสียงดนตรีรอบตัวกลายเป็นจังหวะคลอเบาๆ ผมเอื้อมมือไปขวาขวดเหล้ามาเทใส่แก้วเพรียวๆ ปกติผมไม่ดื่มจัดขนาดนี้หรอก แค่จิบๆ แก้วเดียวก็เมาเป็นหมา แต่วันนี้ขอหน่อยเหอะ มีแต่เรื่องมาทั้งวัน ว่าแล้วก็ยกกระดกพลางๆ เสมองทางนู่นทีทางนี้ที ไม่กล้ามองหน้าเพื่อนครับ กลัว



"กูบอกให้มึงเลิกร้องไงไอ้นานะ อย่าให้กูด่านะ รีบๆ เก็บของของมึงออกจากห้องเพื่อนกูด้วย เออแค่นี้ ถ้ากูว่างจะบอกมันให้ เออบาย" เสียงไอ้พิมเงียบไปแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองแก้วเหล้าที่ลดลงไปครึ่งนึงตรงหน้า รอพวกมันพูดเอง ผ่านไปสักพักที่ทั้งโต๊ะยังเงียบมีเพียงเสียงชนแก้วเฮฮาของโต๊ะรอบๆ ดังคลอไปกับเสียงดนตรี

“จะเล่าได้ยัง"

เป็นไอ้โทนี่ ที่เปิดประเด็น ผมเงยหน้าขึ้นมามองพวกมันทีละคน มือจับแก้วเตรียมยกดื่มแต่มือหนาของไอ้นนนก็รั้งไว้

“พอก่อน" มันพูดเสียงเรียบ หน้าตึง แล้วดึงแก้วออกจากมือผม ผมมองพวกมันอีกครั้ง นึกคำพูดในหัว ถอนหายใจ แล้วเลือกคำพูดให้ดูซอฟท์และชัดเจนที่สุด แบบที่ไม่ต้องถามอะไรต่อ

“กูเจอนานะ อยู่กับพี่ไบร์ทในห้องกู"

“ไอ้เหี้ย”

ไอ้โทนี่อุทาน ในขณะที่พิมคิ้วขมวด แต่ไม่พูดอะไรและไอ้นนนที่ไม่แสดงอาการอะไรนอกจากมองหน้าผม แววตาเป็นห่วงของมันฉายออกมาชัดมากจนผมอดจะส่งยิ้มบางๆ ให้มันไม่ได้ ว่ากูโอเค กูคิดว่างั้นนะ แล้วก้มมองมือตัวเอง ความเงียบผ่านไปไม่นาน สาวแท้คนเดียวของกลุ่มก็เปิดปาก

“ที่กูกับนนนเห็นเมื่อเทอมก่อน พวกกูไม่ได้ตาฝาดสินะ” ผมเงยหน้าจ้องมันทันที มันเห็นอะไร

“มึงเห็นอะไร”

“พิม ไว้ก่อนเถอะ” ไอ้นนนขัด อะไรหว่ะ ผมมองเพื่อนสองคนตรงหน้า มึงรู้ มึงเห็นแต่มึงไม่บอกกูหรอ จนถึงตอนนี้มึงยังจะปิดกูอีกหรอ



“จนถึงตอนนี้มึงยังจะปิดกูอีกหรอ" และผมก็พูดสิ่งที่คิดออกไป จ้องมองเพื่อนตรงหน้า กูเหนื่อยว่ะพวกมึงเห็นหน้ากูปะ ถ้ามันจะต้องเจ็บก็ให้มันเจ็บแล้วจบที่เดียวเลยเหอะ “บอกกูเหอะ พวกมึงเห็นอะไร”



“มึงจำวันที่กูชวนมึงไปกินบุฟเฟ่ต์ร้านเปิดใหม่ได้มั้ย แล้วมึงบอกว่ามึงจะกลับไปทำงาน กูนึกว่านานะก็คงกลับกับมึงด้วย” ผมเริ่มนึกย้อนว่าวันนั้นเป็นช่วงเวลาไหนแล้วผมทำอะไรไปบ้าง “กูกับนนนกินบุบเฟ่ต์เสร็จ กูยังไม่อยากกลับเลยไปดูหนังกันต่อ มันคงไม่มีอะไรถ้ากูไม่บังเอิญเห็นนานะมันเดินเข้ามาในโรงหนังกับพี่ไบร์ทแล้วมานั่งอยู่เบาะหน้าพวกกู” ผมตั้งใจฟัง ในหัวก็เริ่มมีภาพของวันนั้นวิ่งเข้ามา ใช่ผมปฎิเสธนัดเพื่อนแล้วกลับห้อง นานะกลับมาพร้อมผม ไม่แน่ใจว่าทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มที่คนข้างๆ บนโซฟาหันมาบอกว่า กิ๊ฟพิมพ์มาให้ออกไปนอนเป็นเพื่อน เพราะกิ๊ฟมีปัญหากับที่บ้านไม่อยากอยู่คนเดียว ผมจำได้ดีว่าผมไม่ได้ห้ามเขาเลย แค่บอกว่าถึงแล้วพิมพ์มาบอกหน่อย เขาออกไปและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พิมพ์มาบอกว่าอยู่กับกิ๊ฟแล้ว ผมไม่เคยฉุกคิดเลยสักครั้ง ไม่เคยเลย “มึงฟังกูอยู่มั้ย ไอ้ภพ ภพ!”

“ห๊ะ เออ ฟังอยู่”

“เออ นั่นแหละ กูเลยคอยดูสองคนนั้น ตอนแรกไอ้นนนก็บอกว่าอาจจะแค่พี่น้องเพราะพี่ไบร์ทก็เป็นพี่ในสายรหัสนานะ แต่กูว่ามันไม่ใช่ ช่วงแรกมันก็นั่งดูหนังกันปกติ แต่สักพักก็เริ่มซบกัน หนังยังไม่ทันจะไปถึงไหนแม่งก็เริ่มนัวกันและ กูเกือบ”



“พอ พอก่อน” ผมยกมือห้ามไอ้พิมเล่าต่อ ผมพอและ อยากช่างมันและไม่ต้องรับรู้อะไรแล้ว เรื่องมันผ่านมาแล้ว และตอนนี้เราจบกันแล้ว ผมเอื้อมมือไปคว้าแก้วเหล้าไอ้พิมมาแทนแล้วกระดก รสชาติโคตรแย่ มันชงอะไรของมันว่ะ



“เหี้ยๆ ใจเย็นก่อน มึงดื่มเยอะไปแล้ว” คนข้างๆ ฉวยแก้วเหล้าไปอีกรอบ พวกแม่งทำอย่างกับกูจะล้มง่ายๆ กูเป็นผู้ชายนะเว้ย แม้ปกติแก้วเดียวก็จอดแล้วก็ตาม



“พวกมึงแหละ เลิกสนใจกู แดกเหล้าต่อเหอะ กูโอเค กูเป็นผู้ชายเว้ย ไม่ร้องไห้ง่ายๆ หรอก”

พูดไปก็รู้สึก ตาร้อนอีกแล้วกู



“อยู่กับพวกกู มึงไม่ต้องทำเก่ง ไม่ไหวก็คือไม่ไหว อยากร้องก็ร้องมาเหอะ” เสียงไอ้โทนี่ที่ดูหล่อผิดปกติจนผมต้องหันมองมัน ตาผมเริ่มพร่า และตอนนั้นแหละที่ผมรู้ว่า การร้องไห้ดังๆ โดยที่มีคนอยู่ข้างๆ มันดีกว่าการร้องไห้คนเดียวเป็นไหนๆ



หลังกอดกันร้องไห้จบ พวกมันก็ไม่พูดอะไรอีก เอาแต่ชวนชนแก้ว ดึงผมไปเต้น ผมที่เริ่มรู้สึกร้อนไปหมด แต่ไม่ถึงกับเมาจนไม่รู้เรื่อง เรียกว่ากึ่มๆ ได้ที่ก็โยกไปตามเพลงพร้อมๆ พวกมัน ยิ่งดึก เสียงดนตรีก็ยิ่งเร่งเร้าให้คนโยกตัวมากขึ้น ผมปล่อยตัวไปตามเสียงเพลง มือยกจิบเหล้าสีอำพันเป็นพักๆ ไม่รู้ว่าเสียงเพลงเริ่มดังคลอเบาๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ และถูกแทนด้วยเสียงหวาน



“สวัสดีค่า ยังเต้นกันไหวอยู่ไหม” เสียงเฮดังขึ้น ต้อนรับนักร้องบนเวทีกลม อ่า เที่ยงคืนแล้วหรอ



ร้านนี้จะมีดนตรีสดทุกเที่ยงคืนครับ เป็นเวลาที่ผมโคตรชอบ



“เอาหล่ะ มีใครพึ่งโดนหักอกมาหมาดๆ ไหม โอ้ว ยกมือกันพรึบเลยนะคะ เพลงที่จะร้องวันนี้ขอมอบให้ทุกคนที่โดนหักอกมาไปฟังกันเลยBetter Off Without You”

พูดจบเสียงซาวด์แปลกๆ ก็ดังขึ้น ไม่รู้จัก แต่ติดหูอย่างประหลาด ผมทิ้งตัวนั่งลงจ้องมองไปที่เวทีข้างหน้า และฟังเนื้อเพลงอย่างตั้งใจ ก็นักร้องเข้าบอกร้องให้คนที่โดนหักอก ผมนี่แผลยังสดเลย ควรตั้งใจฟังหน่อย



Stop callin’ me late at night

To talk about what’ s wrong

I don’ t care anymore

You waved that right so long

หยุดโทรมาหาตอนดึกๆ

เพื่อที่จะคุยเรื่องที่มันผิดปกติไป

ฉันไม่สนใจแล้ว

คุณเพิกเฉยกับสิ่งนั้นมานาน



ใช่ผมไม่สนใจแล้ว



It’ s so annoying when you whine

You were always wasting my time

I used to care and want you back

But now I think you’ re going off track

And if you said you’ re never comin’ back

I’ d be so happy, I’ d be so happy

I’ d last the whole night long

มันช่างน่ารำคาญเหลือเกินเมื่อเธอสะอื้น

เธอทำฉันเสียเวลาตลอด

ฉันเคยแคร์และอยากได้เธอคืนอยู่เหมือนกัน

แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าเธอสติหลุดไปแล้ว

และถ้าเธอบอกว่าเธอจะไม่มีวันกลับมาอีก

ฉันจะโคตรยินดี,โคตรดีใจเลย

เพราะในที่สุดฉันก็จะได้มีค่ำคืนของตัวเองสักที



I’ m better off without you

We both know that it’ s true

I’ m better off without you

ฉันว่ามันดีกว่าถ้าไม่มีเธอ

เราต่างรู้ว่ามันจริง

ว่าชีวิตฉันคงดีขึ้นถ้าไม่มีเธอ



อืม ผมก็อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ฝัน แต่ต้องยอมรับว่า ผมอาจดีขึ้นถ้าไม่มีเธอ และเธอเองก็คงเช่นกัน



เสียงเพลงยังคงต่อเนื่องแต่ ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาพร้อมๆ กับความพะอืดพะอมทำให้ผมลุกขึ้น ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนมือข้างนึงก็ถูกรั้งจากมือหนา



“มึงจะไปไหน"

“ไอ้นนน กูแค่จะไปห้องน้ำ กูปวดฉี่"ผมหันไปตอบมันพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงไป ไม่อยากให้มันเป็นห่วงเกินไป

“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน"

มันลุกแล้วดันหลังผมให้ออกเดิน แต่ผมยังยืนนิ่ง

“กูขออยู่คนเดียวแปปนึงได้ปะวะ”

หันไปบอกบอกมัน กึ่งๆ อ้อนวอน มันจ้องตาผม ก่อนปล่อยมือออกจากแขน ผมหันหลังแล้วออกเดิน ขอโทษนะมึงกูขอครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้าย แล้วกูจะกลับมายิ้มไปพร้อมๆ กับพวกมึง





ผมเดินแทรกผู้คนจนมาถึงห้องน้ำ เดินเข้าไปในห้องแยก ปิดประตูกดล๊อค เท่านั้นแหละ น้ำตา ก็ไหลออกมาอีกครั้้ง ความรู้สึกเดิมๆ กลับมาอีก ระหว่างการโทษตัวเองแล้วพร่ำคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเธอ น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้ว เริ่มปวดกระบอกตา และที่แย่ที่สุดคือ เหล้าที่ดื่มไปเริ่มเล่นงานผมแล้ว



อ๊วก



ผมโก่งคอ อาเจียน น้ำตาซึม แสบคอไปหมด ทรมานโว้ยย ไม่เอาแล้วเหล้าจากไอ้พิม

เปิดประตูเดินมาที่อ้างล้างหน้าจ้องมองตัวเองในกระจก อืม สภาพโคตรแย่ กวักน้ำล้าง ทั้งคราบน้ำตาและน้ำมูกออก



“วันนี้เจอมาหนักหรอมึง” เสียงเรียบที่คุ้นหูดังขึ้นข้างๆ ผมหันไปมอง และเป็นมันอีกแล้ว มันใส่เสื้อยืดตัวใหญ่สีดำกับกางเกงยีนส์พอดีตัว ยืนพิงกำแพงจ้องมองมาที่ผม วันนี้ผมเจอมันเป็นครั้งที่สามแล้วนะ ไอ้พายุ



เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยบวกยังรู้สึกพะอืดพะอมอยู่ แม้จะอ๊วกออกไปบ้างแล้วก็ตาม เลยตอบมันสั้นๆ



“เสือก” ผมหันกลับมาล้างหน้าล้างตา ดึงทิชชู่มาเช็ด เช็คความเรียบร้อยตัวเอง แล้วเดินผ่านมันไปที่ทางออก แต่มือหนาก็รั้งผมไว้



“เป็นอะไร"

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองมั้ยแต่เสียงของมันดูเจือไปด้วยความห่วงใย ผมหันไปมองมัน ไม่อยากเล่าแล้วว่ะ ยิ่งพูดเหมือนเป็นการย้ำตัวเอง และหลังการร้องไห้ที่พึ่งจบไปหมาดๆ เมื่อกี้ ผมก็ตัดสินใจแล้วว่านั่นคือครั้งสุดท้าย



“เปล่า ปล่อยกูได้ยังจะกลับไปหาเพื่อน"



“โกหก กูได้ยินมึงร้องไห้กับอาเจียน"

ผมตกใจ นี่มันยืนฟังผมมาตลอดเลยหรอ จู่ๆ ก็รู้สึกอาย ไม่ชอบให้ใครมาเห็นเวลาอ่อนแอ ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้สนิทกันด้วยแล้ว มันรู้สึกแปลกๆ ผมพยายามสะบัดแขนออกจากมือมัน แต่แม่งก็จับซะแน่นเลย ตาคมยังคงจ้องผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ



“กูแค่เมาเลยอ๊วก เลิกยุ่งกะกูได้มั้ยเนี่ย”

เสียงผมเริ่มดังขึ้นอย่างรำคาญ มันปล่อยมือ มองหน้ามันอีกครั้งแล้วหันเดินไปทางประตู ทว่าเสียงเรียบๆ ก็ทำให้ผมชะงักเท้าไว้



“กูอยู่ใกล้ๆ มึงนะ ถ้ามึงต้องการกูเมื่อไหร่ ก็แค่หันมา”



ผมยังยืนค้างอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าประตู ไม่ได้หันไปมอง ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดแปลกๆ ของมัน เพราะน้ำเสียงที่มันใช้ เพราะแผ่นหลังของผมที่รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา หรือเพราะอาการกระตุกแปลกๆ ที่อกซ้ายของผม ที่ทำให้ผมยืนนิ่ง จนกระทั้งประตูที่ผมจับอยู่ถูกดึงไปจากฝั่งตรงข้าม ผมมองคนมาใหม่ที่ดึงประตูเปิด

“มึงมายืนทำไรตรงนี้”

ไอ้นนน มันก้มมองผมแล้วมองไปด้านหลัง ก่อนมือมันจะจับเข้าที่ข้อมือผมแล้วดึงออกไป เท้าก้าวตามแรงมันไปโดยที่ยังรับรู้ว่าไอ้พายุยังคงมองมาที่ผมเหมือนตอนนั้นที่ผมเดินออกจากรถไฟ



ผมตื่นขึ้นมาในห้องของไอ้นนน ข้างกายมีไอ้พิมที่นอนเอาตีนก่ายตัวผมอยู่ ผลักขามันออกจากตัวได้ หันมาก็เจอง่ามตีนไอ้โทนี่ต่อ หมดสภาพกันถ้วนหน้า เมื่อคืนหลังเหตุการณ์หน้าห้องน้ำ ผมก็โดนเพื่อนๆ ยื่นแก้วเหล้าให้ต่อ ไม่ได้พัก บอกได้คำเดียวเละ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากลับยังไง และคิดว่าอีกสองคนที่นอนขนาบข้างก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน ผมยันตัวลุกขึ้นรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด หลังนั่งให้ร่างกายปรับสภาพได้ก็ลุกจากเตียงเดินออกจากห้องนอน โชคดีที่วันนี้พวกเราไม่มีเรียน ไม่งั้นตาย เปิดประตูออกมายืนพิง มองไอ้คุณเพื่อนที่นั่งดูข่าวอยู่ มือก็เกาท้ายทอยไปด้วย

“เมื่อคืนมึงพาพวกกูกลับไงวะ กูจำไรไม่ได้เลย”

“เหมือนเดิม”สั้นๆ ได้ใจความ ผมยังจำได้ครั้งแรกที่เราไปร้านเหล้ากัน พวกผมก็เมาแบบนี้แหละครับ และก็ตื่นมาในห้องไอ้นนนเหมือนวันนี้เด๊ะๆ ตอนนั้นพวกผมก็ถามมันแบบนี้ ว่าเอาพวกผมกลับยังไงและมันก็ให้คำตอบว่า ลากผมกับไอ้พิมเข้ารถก่อน ค่อยกลับไปเอาไอ้โทนี่ ตอนไอ้โทนี่ได้ยินก็โวยวายว่าไม่ห่วงมันหรอ เกิดใครหิ้วไปทำไง และไอ้นนนก็ตอบกลับหน้านิ่งว่า

'ไม่มีใครหิ้วมึงได้ กูเห็นแต่มึงจะไปหิ้วเขา' แค่นึกผมก็หลุดขำ จนมันหันกลับมามอง

“ขำไร โจ๊กอยู่บนโต๊ะ"

“เออๆ ขอบใจ"ผมเดินไปเข้าห้องน้ำทำธุระเสร็จ ก็ไปที่โต๊ะกินข้าว เทโจ๊กใส่ชาม แล้วตักกินทันทีเพราะเมื่อวานข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน กินแต่เหล้า แสบท้องไปหมด"ไอ้นนน กินเสร็จกูกลับเลยนะอยากอาบน้ำ”

“แล้วถ้ากลับไปนานะยังอยู่อ่ะ” ผมชะงักช้อนที่กำลังจะเข้าปาก เออลืมคิด แต่เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องน้ำ ผมคิดไว้แล้วเรื่องนานะ ผมอาจจะกลับไปเป็นเพื่อนกับเธอทันทีไม่ได้ แต่ผมไม่อยากเกลียดเธอและเรายังต้องเรียนด้วยกันอีกตั้ง3ปีเพราะงั้นช่วงนี้ก็อาจจะออกห่างหน่อยอย่างว่าแผลยังสดครับ แต่ถ้าแผลหายก็คงเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม

“กูโอเคแล้ว มึงไม่ต้องห่วง ถ้าเขายังไม่มีที่ไปกูก็แค่มาอาศัยห้องมึงไม่ก็บ้านไอ้พิม” ถึงจบกันไม่ดีแต่ผมก็ยังเป็นห่วงนานะ ความผูกพันมันตัดไม่ขาดหรอก

ผมเตรียมใจว่าอาจจะเจอเธอยังอยู่ในห้อง ระหว่างทางกลับมาห้องก็คิดมาตลอดทาง ว่าต้องพูดอะไร หรือทำหน้ายังไงดี แต่เธอช่วยให้อะไรๆ ง่ายขึ้นเยอะ เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปของๆ เธอก็ไม่เหลืออยู่ในห้องแล้ว







หลังจากวันนั้น ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ ผมอยู่กับเพื่อนมากขึ้นออกไปเฮฮากับพวกมันบ่อยๆ และยังคงเลี่ยงการเผชิญหน้าตรงๆ กับนานะ เรายังคงเรียนด้วยกันแต่ไม่ได้นั่งด้วยกัน เพื่อนๆ นอกกลุ่มเริ่มรับรู้ แต่ไม่เข้ามาพูดอะไรที่จะทำให้ขุ่นข้องกัน เป็นแบบนั้นเกือบอาทิตย์ ความเศร้าเสียใจหายไป หลงเหลือเพียงความทรงจำ ที่ครั้งนึงเราเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน

“ภพ”

เสียงหวานที่ผมคุ้นเคยมาตลอดหนึ่งปี ดังขึ้นด้านหลัง เสียงไอ้พิมเงียบลงทันที ผมหันกลับไปมองคนตัวเล็ก เธอยังดูน่ารัก เสมอ

“เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้มั้ย”

“อืม ได้” ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะหันหน้าคุยกัน ผมลุกจากโต๊ะ เดินตามนานะไป เราเดินออกมาคุยกันหน้าห้องเรียน โดยมีสายตาเพื่อนๆ มองตามออกมา

“คือ เราอยากขอโทษภพอีกครั้ง ภพเกลียดเรามั้ย”

ผมรู้ว่าเธอยังคงรู้สึกแย่กับสิ่งที่ทำ ถ้าถามผมว่ายังเศร้าไหม ผมจะตอบว่า ไม่แล้ว ถามว่าโกธรไหม ยังมีบ้างแต่มันน้อยจนไม่รู้สึกแล้ว ดังนั้นถ้าถามว่าผมเกลียดเธอไหม คำตอบคือไม่เคย ไม่เคยเกลียด ผมเลยเลือกที่จะบอกเธอ

“ไม่ต้องขอโทษแล้วมันผ่านไปแล้ว และภพก็ไม่เคยเกลียดเธอเลย” ผมมองนานะที่เริ่มร้องไห้ เอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ อย่างปลอบโยน เธอพึมพำระหว่างขอบคุณกับขอโทษ ไม่หยุด

“หยุดร้องได้แล้ว ภพขอถามเธอสักอย่างได้มั้ย” นานะพยักหน้ามือก็ปาดน้ำตา “ตอนที่อยู่ด้วยกันภพทำให้เธอมีความสุขบ้างไหม” นานะเงียบไป จนผมแอบใจเสีย

“มันอาจจะไม่ใช่ทุกช่วงเวลา แต่นานะเคยมีความสุขเวลาที่อยู่กับภพนะ”

เรายิ้มให้กัน ยังคงมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แต่เราต่างรู้ดีว่า รักของเราตอนนี้มันไม่เท่ากัน

Talk



ไม่รู้ว่าแต่งยืดเกินไปมั้ย และยังไม่ได้เช็คคำผิดนะคะ

ส่วนตัวรู้สึกว่าการอกหักมันไม่ใช่อะไรที่จะผ่านไปได้ง่ายๆ

ส่วนพระเอกของเราก็โผล่มาตอนละนิดละหน่อย ตอนหน้าจะมาเต็มๆ แล้วค่ะ



สุดท้ายเพลงที่ใช้ในตอนนี้คือ Better Off WithoutYou ของ Summer Camp

เคยมีโอกาสได้ฟัง live ตอนเขามาไทยปี 2012 หลังจากครั้งนั้นก็กลายเป็นวงโปรดที่ฟังบ่อยๆ มาจนถึงตอนนี้ และเคยเอามาใช้ในการทำงานด้วย ครั้งนี้ก็ขอเอามาใช้อีกสักครั้ง



#พาภพ #คู่ขนานของเอกภพ

หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-02-2020 16:51:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-02-2020 00:42:03
 :pig4:
 :3123:
รออ่านต่อนะคะ
 o13
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่4
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 28-02-2020 02:18:19
ตอนที่ 4
เบาๆก็ขาด เบาๆก็ปลิว


นอกจากเรื่องเรียนที่หนักหนาสาหัสแล้ว หน้าที่ใหม่ของผมคือ การดูแลน้องๆ และควบคุมให้ชุดเสร็จทันงานกีฬา ที่จะมีปลายเดือนหน้า จริงๆ ผมจะไม่ทำก็ได้ แต่เพราะไม่อยากอยู่นิ่งเท่าไหร่ บวกกลับพี่จูนจูน ทวดสายรหัสผมแกเรียกให้มาช่วย ดังนั้นทุกเย็นหลังคลาสเรียน ผมจะมาอยู่ที่ห้องอุปกรณ์ใต้ตึกพร้อมน้องๆปีหนึ่งที่แวะเวียนมาช่วยงาน

'ห้องอุปกรณ์'เป็นห้องที่มีอุปกรณ์ส่วนกลางครบครันสำหรับให้นักศึกษาในคณะได้ใช้ เวลาที่มีกิจกรรมมหาลัยหรืองานคณะต่างๆ ห้องไม่ใหญ่มาก อยู่ติดกับลานโล่งใต้ตึกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฉากและของประกอบฉากต่างๆ



ตั้งแต่มาช่วยงานพี่จูนผมกลับมายิ้มได้เหมือนเดิมสนุกกับการทำงาน ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้จักน้องๆ ผมว่ามันดีเลยแหละ แม้จะมีเวลาไปสังสรรคกับเพื่อนในกลุ่มน้อยลงก็ตาม

“ทำไมวันนี้มาเร็ว” ลืมบอกไป ทุกอย่างเกือบจะดี ถ้าไม่มีมัน ไอ้พายุ วันแรกที่เข้าประชุม ผมจำได้ มันเดินเข้ามาช่วงจังหวะที่เขาประชุมกันไปแล้วเกือบครึ่งชม มันมองไปรอบๆ ห้องพยักหน้าให้พี่ปีสูงอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินดิ่งมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ และวันนั้นผมก็ได้รู้ว่ามันเป็นที่รู้จักของคนทั้งคณะ ได้แต่สงสัยว่ากูไปอยู่ไหนมา หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มเห็นมันบ่อยขึ้น และได้รู้ว่ามันไม่ไช่คนพูดน้อยอย่างที่คิด

“ก็เลิกเร็ว”

ผมเงยหน้าตอบ แล้วก้มลงเพ้นท์งานต่อ พายุเดินมานั่งลงที่พื้นข้างๆ ผม มันชอบทำแบบนี้เสมอ เดินมานั่งข้างๆ และจ้องมอง แรกๆ ก็รำคาญครับแต่บ่อยๆ ก็เริ่มชิน ผมเลยไม่สนใจกับสายตาที่มองมา เลือกจะใส่ใจกับงานที่กำลังทำอยู่ มากกว่า

“ก้มๆ เงยๆ ไม่เมื่อยหรอวะ ทำไมไม่ไปทำบนโต๊ะข้างนอก”

“ข้างนอกมันร้อน แล้วมึงไม่มีงานทำหรอมานั่งจ้องกูเนี่ย”

ปรายตามองคนข้างๆ งานก็เร่งจะตายอยู่แล้วยังมานั่งหายใจเล่นอยู่อีก

“งานอะมี แต่อยากเห็นหน้ามึงก่อน ได้เห็นแล้วถึงมีแรงทำงาน” มันเริ่มอีกแล้วว ไอ้การหยอดทีเล่นทีจริงเนี้ย ผมไม่รู้ว่ามันแค่แกล้งเล่นหรืออะไร และถึงผมจะโง่แค่ไหนแต่ผมคิดว่าสถานการณ์มันไม่ปกติ เพราะสองอาทิตย์ที่ผ่านมานอกจากมันจะโผล่มาให้ผมเห็นบ่อยจนน่ารำคานแล้ว บางทีก็ไม่ได้มาแต่ตัว ซื้อนู่นซื้อนี่มาให้ แล้วไหนจะคำพูดแปลกๆ ที่ชอบพูดอีก แต่พายุครับกูเป็นผู้ชายถึงกูจะเตี้ยกว่ามึงเป็น10เซนแต่กูก็มีไอ้นั่นเหมือนมึงครับ มันเองก็ดูแมนจะตายห่า ทำไมชอบมาพูดแบบนี้กับผมว่ะ

“ตีนกูนี่ มึงรีบออกไปทำงานมึงเลย ถ้าเพื่อนมึงมาด่าอีกกูจะสมน้ำหน้าให้"

“มันไม่ด่าหรอกมันรู้ว่ากูจะทำงานไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นหน้ามึงก่อน"

“ไอ้เหี้ย ขนลุก"

โว้ยย ขนลุกจริงครับไม่มั่วนิ่ม ผมหันหน้าไปจ้องมันเขม็ง เพราะมันหัวเราะผม มือก็ถือวิสาสะมาขยี้หัวผมไปที

"มึงเลิกแกล้งกู แบบนี้สักทีได้ปะวะ กูไม่ชอบ"

ไอ้พายุหยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนมายิ้ม มือมันก็ยื่นมาขยี้หัวผมอีก สัส หัวกูยุ่งหมด ผมวางแปรงแล้วเริ่มปัดมือมันแต่แม่งก็หลบแล้วเอื้อมมาขยี้ใหม่ พลางหัวเราะไปด้วยสนุกมากมั้ย ไอ้เลว เป็นยังงี้อยู่สักพัก จนผมหยุดขัดขืน ไม่ใช่เคลิ้มอะไรนะแต่เหนื่อยอ่ะ สู้แรงควายไม่ได้ มองมันด้วยใบหน้าโกธรที่สุดเท่าที่จะทำได้ และได้ผล ไอ้พายุหยุดชะงัก



“มึงแม่ง....น่ารักฉิบหายเลย"

กรรม มึงดูถูกใบหน้าโกธรกริ้วของกูมาก แม่งยังยิ้มได้แถมยิ้มกว้างปากจะฉีก รำคาญมันว่ะ

ทำไงให้แม่งไปไกลๆตีนดี จังหวะที่คิดแผนอยู่เสียงเปิดประตูก็ดังพร้อมใบหน้ากวนส้นตีนอีกหนึ่ง โผล่เข้ามา ไอ้หน้าตี๋นี่ชื่อ คินเพื่อนของพายุ ถ้าพายุว่ากวนตีนแล้ว คินคือบิดาของความกวนส้นของที่แห่งนี้ ผมพึ่งมารู้จักมันก็ตอนเข้ามาช่วยงานกีฬาเนี่ยแหละ แต่ก็คุ้นๆ ว่าเคยเห็นหน้ามาบ้าง มันเป็นเพื่อนสนิท พายุ และอยู่กลุ่มเดียวกันนั้นให้คำตอบได้ดีว่าทำไมผมถึงคุ้นหน้ามัน เพราะตัวติดกันอย่างกับเงา มีพายุที่ไหนมีคินที่นั่น

“กูว่าแล้ว ว่ามึงต้องมาสิงอยู่นี่ ว่าไงน้องภพคนน่ารัก”

ร่างผอมสูงเดินเข้ามาในห้อง ผมกรอกตามองบน แล้วก้มทำงานต่อเลิกสนใจพวกมันคือวิธีที่ดีที่สุด

“ไรวะ ทักแล้วไม่ตอบ ดูทำหน้าเข้า หมั่นเขี้ยว อยากฟัดแก้ม” เร็วมาก มึงเป็นเดอะแฟลชหรอ ผมที่นั่งก้มหน้าทำงานอยู่ เงยหน้ามามองหน้าไอ้คินที่เดินพุ่งเข้ามา ก่อนที่มือมันจะบีบแก้มผมดึงไปมา เร็วจนตั้งตัวไม่ทันหน้าเหวอไปดิ

“ห่าไรเนี้ยย"

ผมปัดมือมันออกแล้วลูบแก้มตัวเองปอยๆ อยู่กับพวกแม่งไม่กี่นาทีผมนี่พูดหยาบไปกี่คำแล้ว

“หยาบไป”

และก็เป็นคุณพายุที่ขัด มันมองหน้าผมแล้วหันไปมองไอ้คนก่อเหตุที่ยิ้มหน้าจิ้มจุ่ม

“ส่วนมึงเมื่อกี้อะเกินไป” เออใช่เกินไปสนิทก็ไม่สนิท มาบีบแก้มกูแบบนี้ได้ไง

"ไอ้ยุมึงก็ดูแก้มมันดิเห็นแล้วหมั่นเขี้ยว ฮ่าฮ่าๆๆๆ กูไม่แกล้งแล้วน่า กูไปทำงานต่อแระ ไอ้ยุหยอดเสร็จก็รีบมาทำงาน” มันพูดรวดเดียวแล้วก็ลุกออกไป ฝากไว้ก่อนเหอะ ครั้งหน้ากูต่อยแน่

“เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว”

“แบบไหน” ผมถาม มือก็ยังลูบแก้มตัวเองปอยๆ

“แบบ....น่ารัก” โอเคกูตาย หยอดเก่งเป็นหนมครกเลย แต่กูไม่น่ารัก! กูหล่อ! จำ!



#

ผมนั่งฟังจารย์ภู พูดเรื่องประวัติศาสตรย์แฟชั่น ตาก็มองภาพสไลด์บนจอ ก้มลงจดบ้างให้ดูคงแก่เรียน จารย์จะได้เอ็นดู ท้องก็เริ่มร้องโครกคราก จนท้ายคาบมาถึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลย หิวข้าวมาก เมื่อเช้าออกจากห้องสายเลยยังไม่มีอะไรใส่ท้องแต่เช้า ดีที่คาบนี้ยังไม่มีงาน พอจารย์เดินออก ผมก็เริ่มเก็บของอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนยังคงนั่งแช่และหยิบโทรศัพท์มากด ผมหันไปมองพวกเพื่อนผม

“มึงแดกข้าวกัน กูหิว” สามตัวพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเริ่มเก็บของบ้าง

“กินไร แคนทีน หรือหลังตึก” พิมถาม ขณะที่เราเตรียมเดินกันออกจากห้อง

“ไอ้ภพ เดี่ยวมึงจะลงล่างอ่อ กูฝากซื้อไก่ถอดถังสี 3ไม้ดิ เอาข้าวเหนียวด้วย”เสียงพิว ตะโกนรั้งไว้ ก่อนจะตามมาด้วยออเดอร์ของกินหลายรายการจากคนอื่นๆ เป็นเรื่องปกติมากครับ สำหรับพวกเรา ผมพยักหน้า ในขณะที่ก็พิมพ์รายการของกินลงในโทรศัพท์และจากรายการที่พวกแม่งสั่งก็มีตัวเลือกร้านอาหารให้ผมกินได้ไม่กี่ที่ เราเดินกันมาหลังตึก แวะสั่งไก่ทอด ถังสี ร้านรถเข็นธรรมดาๆ ไม่มีชื่อหรอก แต่พวกผมเรียกกันเองว่าไก่ทอดถังสี เพราะเขาเอาถังสีมาใช้ใส่ไก่ที่หมัก ก็รู้นะว่าแม่งไม่ดี ถึงล้างถังแล้วแต่มันเคยใส่สีมาอะ สารเคมีก็น่าจะยังมีอยู่ แต่พวกแม่งก็ยังกินกัน เพราะลุงเจ้าของร้านเขาหมักไก่อร่อยครับ ผมเคยกินครั้งเดียวอร่อยจริงแต่หลังจากรู้ว่าภาชนะหมักเป็นอะไร ก็เลิกกินอีก ยังไม่อยากตายด้วยมะเร็ง หลังสั่งไก่เสร็จก็เดินไปสั่ง ขนมโตเกียว ที่คิวยาวตลอด แล้วถึงเดินไปร้านก๊วยจั๊บไม่ใกล้ไม่ไกล ระหว่างรอ ไอ้พิมก็เริ่มเปิดประเด็น

“ไอ้ภพ เย็นนี้ว่างปะ ไปตี้หมูทะกัน”

ไม่พ้นเรื่องแดก ผมส่ายหน้า เมื่อคืนพี่จูนพิมพ์มาว่าเย็นนี้ผมต้องเข้าประชุมความคืบหน้าด้วย ไม่กล้าปฏิเสธพี่มันก็เลยเออๆ ออๆ ไป

“โหย อีกแล้ว ช่วงนี้มึงไม่มีเวลาให้พวกกูเลยนะ”

มันโวยวายหน้างอโดยมีลูกคู่คือไอ้โทนี่ ส่วนไอ้นนนหรอ นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ ลืมปากไว้ที่ห้องเหมือนเดิม

“ถ้ามึงอยากมีเวลากับกูมากก็มาช่วยงานคณะดิ เนี่ยก็ขาดคนอยู่นะ”

“ไม่เอาอ่ะ แค่การบ้านที่เรียนกูก็ทำจะไม่ทันแล้ว” เบะปากมองบนใส่กูอีก “ว่าแต่ ปีนี้ธีมไรวะ”

มันถามเรื่องธีมกองเชียร์กีฬาครับ ทุกปีจะมีธีมใหญ่ๆ ที่ทางกองกิจการนิสิตตั้งขึ้น เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“วรรณกรรม" ผมบอกแล้วเริ่มลงมือโซ้ยก๊วยจั๊บร้อนๆ ที่เพิ่งมาเสิร์ฟ

“หรอ แล้วคณะเราทำเรื่องไรวะ กูเห็นของปีที่แล้วอย่างเจ๋ง"

โทนี่พูดไปมือก็ตักเครื่องปรุงไปด้วย ถึงจะเป็นงานกีฬาแต่คณะเราไม่ค่อยมีบุคลากรที่เก่งด้านกีฬา เพราะงั้นเรื่องกีฬาเราไม่สู้ แต่เรื่องกองเชียร์และโชว์คณะเราจัดเต็มและได้ถ้วยรางวัลทุกปี

“แฮร์รี่ พอตเตอร์" ปากก็สูดเส้น ก๊วยจั๊บไปด้วย "ถ้าพวกมึงอยากมาช่วยก็มาได้นะ งานไม่มีไรมากหรอกหลักๆ กูก็แค่สั่งงานน้องกับคอยดูความเรียบร้อย สนุกดี"

“ปีหนึ่ง ปีนี้เป็นไง"

เรากินไปคุยไป ตั้งแต่เรื่องรุ่นน้อง ที่น่าสนใจ เรื่องเหี้ยๆ ตลกโปกฮาของเพื่อนในเอก เรื่องงานที่ยังทำไม่เสร็จ ไปจนถึงเรื่องว่าพรุ่งนี้จะกินไรดี แล้วเสียงเฮฮาของพวกผมก็ถูกขัดจังหวะ ด้วยคนตัวสูง พร้อมแก้วโกโก้ที่วางลงข้างมือผม มันไม่พูดอะไร ผมมองผ่าน ไอ้พายุ ไปตามเสียงหวีดที่ดังมาจากโต๊ะด้านหลัง อยู่กันครบแก๊งเลยนะ

“อะไร”

“ซื้อมาให้”

“ไม่เอา” เหลือบมองไอ้พิมกับโทนี่ ที่มองหน้ากัน มือสะกิดกันไปมา ตาพวกมึงเป็นไรกันวะขยิบอยู่นั่น

“ก็ซื้อมาแล้ว รู้ว่ามึงชอบ”

กำลังจะหันไปเถียง แต่ไอ้ตัวสูงก็หันหลังเดินกลับโต๊ะไป

“กูพลาดอะไรไปรึเปล่า มึงดูสนิทกับพายุแปลกๆ นะ”

“ไม่ได้สนิท เจอบ่อยเพราะมันก็ทำงานกีฬา” ผมตอบส่งๆ ให้จบๆ ไปแล้วก้มลงซดน้ำซุปต่อ

“มึงไม่อะไร แต่กูว่ามันอะไรๆ กับมึงอยู่นะ จ้องมึงไม่กระพริบเลย”

“เขามองมึงเปล่าพิม มึงสวยขนาดนี้”

ผมสวนกลับ แต่ตาก็เหลือบมองไปทางตัวต้นเหตุ ตาเราสบกันพอดี จนผมหวั่นใจ ริมฝีปากหนาขยับพูด ที่จับใจความได้ว่า'น่ากิน’ พร้อมด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ทำผมคิ้วขมวด อะไรน่ากินวะ ขอแกล้งโง่ว่าเป็นก๊วยจั๊บ รีบก้มหน้าจ้วงช้อนต่อ อากาศมันร้อนมากครับ รีบกินรีบไปดีกว่า

“เป็นไรไอ้ภพ หน้าแดงๆ นะมึง”

เพื่อนเลวกูรู้มึงเห็น ไม่ต้องถาม

“กูร้อน กินกันเสร็จยังเดี๋ยวขึ้นเรียนไม่ทัน” เปลี่ยนเรื่องแล้วเร่งพวกมัน ยิกๆ ระหว่างรอป้ามาคิดตังผมก็เลยเลี่ยงออกมาก่อน ไปเอาไก่กับขนมโตเกียวโดยมีนนน เดินดูดโกโก้เย็นแก้วนั้นตามหลังผมมา

“ไอ้ยุ ไอ้กากโดนเมิน ซื้อให้เขา แต่เขาให้เพื่อนแดกแทน”

ผมได้ยินเสียงไอ้คินลอยตามหลังมา ทันทีที่เดินผ่านโต๊ะพวกมัน ผมหยุดเท้าแปปนึงกะหันไปเถียงซะหนึ่งดอก แต่แรงดุนดันจากข้างหลังของไอ้นนนก็ทำให้ผมก้าวเดินอออกไปจากร้าน



ไก่ทอดอยู่ในมือผมแล้ว แต่ขนมโตเกียวป้าแกลืม ผมกับไอ้นนนเลยยืนรอ ขณะที่พิมกับโทนี่ขอกลับขึ้นตึกก่อน ผมยืนกดเลื่อนดูโซเชียลไปเรื่อย จนได้ยินเสียงโหวกเหวก ที่คุ้นเคยไม่ใกล้ไม่ไกล เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอ แล้วหันไปมองทางต้นเสียง อย่าเดินมาหากูนะ อย่าเดินเข้ามา ไอ้สัด

“วันนี้เลิกกี่โมง”

ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเดินเข้ามาแล้วเข้าประเด็นตลอดไอ้นี่ มันมองเพื่อนผมแล้วก้มลงถาม พวกเพื่อนแม่งจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันนักหนา แล้วที่สำคัญผมเคยบอกใช่ไหมว่าไอ้พายุ มันหน้าตาดี และเป็นที่รู้จักของคนในมอไม่ใช่น้อย เวลามันทำอะไรก็มีคนมองตลอด ยิ่งเวลาแบบนี้ผมไม่ชอบความรู้สึกที่โดนจับจ้องเลย

“ทำไมไม่ตอบ"

มึงจะยื่นหน้าเข้ามาทำเหี้ยอารายยย ผมถอยหลังไปชนกับเพื่อน ไอ้นนนเอื้อมมือมาโอบไหล่ผม ไม่ให้ล้ม

“ทำไมชอบแกล้งกูวะ” ผมตอบไอ้พายุที่ตอนนี้ไม่ได้มองหน้าผมแล้ว

“โตเกียวไส้ครีม ของพ่อหนุ่มได้แล้วจ้า” ป้าช่วยชีวิต ผมหันไปรับ ถุงขนม จ่ายเงินแล้วรีบหันหลังเดินออกมา กว่าจะรู้ตัวว่ามือไอนนนยังโอบไหล่ผมก็ตอนมันเปิดปาก

“ไอ้พายุ มันแกล้งอะไรมึง”

มันลดมือลงจากไหล่ผม เสียงมันนิ่งเหมือนทุกครั้ง แต่ที่แปลกคือแววตา มันดู...หงุดหงิด

ไอ้นี่มันรักเพื่อนมากครับ ถ้าเพื่อนมีเรื่องก็พร้อมช่วยเสมอ แต่เรื่องระหว่างผมกับพายุยังไม่ถึงขั้นนั้นไง แต่คงอีกไม่นาน ต้องได้ฟัดกันสักยกละว่ะ

“เปล่า มันแค่ชอบทำให้กูรำคาญ” ไอ้นนนพยักหน้ารับ และไม่ได้ถามอะไรอีก กว่าจะขึ้นมาถึงห้อง จารย์ก็เริ่มสอนไปนานแล้ว



#

“ภพ วันนี้กูไปกับมึงด้วยนะ” ไอ้นนนพูดขึ้น ขณะที่เราเก็บของเตรียมกลับบ้าน เออดีๆ เพราะวันนี้ผมต้องอยู่เฝ้าน้องคนเดียวพี่จูนจูนแกติดงานนอก

“เอาดิ”

ผมกับนนนแยกกับพวกที่เหลือ แล้วตรงมาที่ใต้อาคาร เริ่มมีเพื่อนๆ ต่างเอก รุ่นพี่ รุ่นน้องนั่งทำงานกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ผมทักทายพี่เฟียต ประธานเอกปีสี่ พี่มันเป็นคนหน้าคมเข้มแบบไทยๆ ท่าทางใจดี แต่นั้นแค่ภาพลวงตา ความจริงไม่ใช่เลยพี่มันค่อนข้างโหดพอตัว พูดจาโวยวายเสียงดัง คุยกะมันนานๆ แล้วปวดหัว พี่มันพยักหน้ารับคำทักทายผม แล้วหันไปว๊ากใส่น้องๆ ต่อ น้องๆ ก็ทักผมตลอดทางระหว่างเดินไปห้องอุปกรณ์ เห็นผมเป็นแบบนี้ แต่พวกน้องปีหนึ่งรักผมมากนะครับ เพราะผมไม่เคยเสียงดังใส่น้องหรือสั่งงานแล้วปล่อยน้องทำเอง แต่จะอยู่ช่วยตลอด ไอ้นนนก็เดินตามผมมาเงียบๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอพวกน้องๆ แฟชั่นปีหนึ่งอยู่ในห้อง สองสามคน เมื่อเช้าพี่จูนพิมพ์มาแจกแจงงานกับผมแล้ว ว่าต้องเอาผ้าให้น้องช่วยกันย้อม และก็ยังมีที่ต้องเพ้นท์ลายให้เสร็จเพื่อเอาไปสเกนทำลายผ้าผสมลายปักต่อ

“น้องมิน เดี่ยวจะมีเพื่อนตามมาอีกมั้ยครับ” ผมถามน้องที่คุ้นหน้าคุ้นตากันบ่อยที่สุด

“วันนี้มาได้แค่นี้ค่าพี่ภพ พอดีเพื่อนหลายคนยังทำการบ้านไม่เสร็จ” น้องตอบเสียงใส น้องมันน่ารักครับมาช่วยทุกวัน 50%ของงานที่ทำอยู่น้องมันมีส่วนร่วมทั้งนั้น

“อ่อ โอเคไม่เป็นไร งั้น เดี่ยวพี่แบ่งงาน อ่ะแนะนำก่อนนี่เพื่อนพี่ชื่อนนน อยู่แฟชั่นเหมือนกันน่าจะผ่านๆ ตากันมาบ้างแล้ว” ผมหันไปแนะนำนนนให้น้องรู้จักและถามชื่อน้องที่ไม่คุ้นหน้าที่เหลือ ก่อนแบ่งงานเป็นสองกลุ่ม เพราะมินเคยช่วยงานมาตลอดผมเลยไว้ใจให้น้องช่วยอธิบายเพื่อนแล้วเพ้นท์ลายที่เหลืออีกไม่เยอะ ส่วนตัวเองกับไอ้นนนไปย้อมผ้าแทน เผื่อย้อมเสียพี่จูนจะได้ไม่เหวี่ยงมาก คิดว่านะ



การย้อมเราใช้วิธีย้อมเย็นแทนเพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน แต่เราต้องออกมาทำด้านนอกห้อง เพราะพื้นที่ด้านในไม่พอ หลังผมเดินไป ขอแบ่งใช้พื้นที่ของฝ่ายฉาก และเตรียมของรวมถึงราวตาก โดยมีไอ้นนนคอยช่วย สวมผ้ากันเปื้อนเน่าๆ ของส่วนกลาง น้ำในกาก็ร้อนพร้อมสำหรับใช้ละลายสี ผมผสมสีกับเกลือตามสัดส่วน ให้ได้สีตามที่พี่จูนต้องการ ในขณะที่นนนก็เตรียมผ้าด้วยการซักเอาแป้งและสิ่งสกปรกออก ผมยืนผสมสีอย่างตั้งใจ ไอ้นนนที่เตรียมผ้าเสร็จก็เข้ามาช่วย มือมันเอื้อมมาเช็ดรอบๆ กรอบหน้าให้ผม เอ๋ยขอบคุณมันเบาๆ มือก็คนสีให้ผสมกันไปด้วย เพราะถ้าผสมไม่ดีเวลาย้อมจะมีจุดด่างไม่เสมอกัน ในนี้ร้อนและอบมากครับ หลังผมเริ่มเปียกแระ มือก็สวมถุงมือยางอยู่ ได้แต่ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่จะไหลเข้าตาอยู่เรื่อย พัดลมก็ดันมีตัวเดียว และหันหมุนไปทางน้องๆ ที่ทำงานอยู่ แรงลมมาไม่ถึงตรงนี้เลย ไอ้นนนเดินหายเข้าไปในห้องแล้วกลับออกมาพร้อมทิชชู่ มันหันตัวผมมาเผชิญหน้าแล้วซับเหงื่อให้ อยากกราบตีนขอบคุณมัน แต่ซับเบากว่านี้หน่อยดิไอ้ห่าพอสีผสมกันดี ผมก็เริ่มเอาผ้าลงย้อมและคอยใช้ไม้กดผ้าให้จม ต้องรอประมาณ 30นาที ให้สีติด นนนไล่ให้ผมนั่งพักแล้วมันย้ายมาประจำที่แทน นั่งดูมันทำงานผ่านไปไม่ถึงสิบนาที สภาพแม่งไม่ต่างกับผม มันเริ่มยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้า ใบหน้าเริ่มเบื่อหน่าย หมดกันเพื่อนผม เห็นแล้วสงสาร เลยลุกไปเช็ดเหงื่อให้แม่ง เช็ดซ้ายเสร็จกำลังจะเช็ดขวา ข้อมือก็โดนกระชากออกอย่างแรง

ทั้งผมทั้งไอ้นนนหันไปมองคนทำพร้อมกัน ตาผมเบิกกว้างขึ้น เมื่อมือนั้นบีบข้อมือผมแน่นแล้วดึงให้ผมเดินตาม ผมยั้งตัวเอง อะไรวะ อยู่ๆ ไอ้พายุก็เดินมาแล้วกระชากมือผม ผมเริ่มกวาดตามองและเห็น เพื่อนๆ พี่ๆ รวมถึงรุ่นน้องหันมามองที่เราเป็นตาเดียว ไอ้นนนทิ้งไม้ลงแล้วเดินขึ้นมากันผมไว้หลังมัน ทั้งที่มือผมยังอยู่ในมือของอีกคนผมมองไม่เห็นหน้าไอ้นนนแต่ผมเห็นสีหน้าไอ้พายุแววตามันดูแข็งกร้าว ไม่มีใครพูดอะไร ผมมองพวกมันอย่างสงสัย สถาณการณ์แบบนี้มันอะไรกัน เหมือนเคยเห็นในซีรี่ย์เกาหลีที่ดูกับนานะ ทำไมกูรู้สึกเหมือนเป็นสาวน้อยเนื้อหอมที่ถูกยื้อแย่ง พวกมึงทำอะไรกันนน! ผมดันไอ้นนนออก ก้มมองข้อมือที่เริ่มขึ้นรอยแดง แล้วเงยหน้ามองมัน

“ปล่อยกู”

พูดเสียงต่ำ ไอ้ยุย้ายสายตาจากเพื่อนผมมาที่ข้อมือที่มันกำรอบ มันคลายแรงลง แล้วออกแรงดึงอีกครั้ง

“ไปคุยกัน” มันพูดเสียงเรียบแล้วตั้งหน้าจะดึงผมไปท่าเดียว แต่ผมก็ยังยื้อแรงไว้

“คุยไรหว่ะ มีไรก็คุยตรงนี้ดิ มึงเป็นเหี้ยไรเนี้ย"

ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดมือมันออก และสำเร็จมือผมหลุดจากมือมัน ผมนวดข้อมือตัวเองเบาๆ แล้วเงยหน้ามองมันอีกครั้งอย่างสงสัย

“มึงมีไรจะพูดกับเพื่อนกูก็พูดตรงนี้” เสียงไอ้นนนพูดขึ้นมาอย่างรำคาญ ผมที่เห็นไอ้พายุมันไม่พูดอะไรสักทีเลยหันหลังกลับ เตรียมเดินไปดูผ้าที่ป่านนี้สีคงเข้มกว่าที่ผมตั้งใจไว้ โดนพี่จูนด่าแน่ๆ

“เดี๋ยวไอ้ภพ กูขอสิบนาทีไปคุยกับกูข้างนอก”

เสียงที่ดูอ่อนลงของไอ้พายุดังขึ้น ผมหันไปมองมันและเห็นมันกับไอ้นนนจ้องกันฮึ่มฮั่ม ด้านหลังไอ้พายุตอนนี้ก็มีเพื่อนมันยืนเป็นฉากหลังอยู่ กวาดตามองรอบตัว ทุกคนยังคงมองเราอยู่ เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เลยตัดสินใจเดินไปดึงไหล่ไอ้นนนให้ถอยมา แล้วพลักมันไปดูผ้าแทน

“ไอ้นนนมึงไปเอาผ้าขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวกูมา”

มันทำท่าจะพูดแต่ผมดักไว้ก่อน

“ไม่มีไรหรอก เดี๋ยวกูกลับมาเล่า” ว่าจบก็เดินนำออกมานอกตึกทันที



ผมเดินออกมาห่างจากใต้ตึก โดยมีเสียงฝีเท้าหนักๆเดินตามมา ตอนที่ทำงานอยู่ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มตั้งแต่เมื่อไหร่ เสาไฟตามทางเดินถูกเปิดขึ้น เสียงรอบตัวเงียบลงเมื่อเราพ้นขอบตึก บริเวณนี้มืดกว่าส่วนอื่นๆ คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ผมหยุดยืนแล้วหันกลับมามองไอ้ตัวปัญหา เราจ้องมองกัน ผมไม่พูด มันไม่พูด แต่ผมรู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเรา

“มึงชอบพูดว่ากูชอบแกล้งมึง” มันเริ่ม “ที่ผ่านมาสิ่งที่กูทำ กูไม่ได้ทำเพราะชอบแกล้งมึง”

แล้วมันก็เงียบไปนานจนผมต้องพูดขึ้น ในสิ่งที่ผมก็สงสัยทุกครัั้งที่เจอมันมาวนเวียนใกล้ๆ

“แล้วมึงทำไปทำไม”

มันมองผมเนิ่นนานจนเป็นผมเองที่หลบตาเสมองไปทางอื่น ทำไมนะ อกซ้ายผมมันกระตุกแปลกๆ อีกแล้ว

“กูทำเพราะกูชอบมึง”

ตาผมเบิกกว้างขึ้น ทั้งๆ ที่ก็พอรู้อยู่แล้วว่าที่ผ่านมามันหยอด แต่พอได้ยินชัดๆ แบบนี้แล้วมันก็อดใจเต้นไม่ได้ ใครบ้างจะไม่ชอบเวลามีคนมาชอบเรา ในหัวผมเริ่มคิดสับสนไปหมด และมันก็เป็นคนที่ทำให้ใจผมยิ่งสั่นไหว

“กูไม่ชอบที่เห็นมึงเตะต้องคนอื่น ดูแลคนอื่น กูรู้ว่าเรายังไม่เป็นอะไรกัน และก็รู้ว่ามึงชอบผู้หญิง กูเองก็เคยชอบผู้หญิง แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นมึง กูก็ไม่เคยละสายตาได้เลย”

การลืมหายใจเป็นยังไงผมพึ่งรู้วันนี้แหละ ปากผมได้แต่พะงาบๆ มันเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร มันพูดออกมาโดยที่จ้องมองผมอยู่ตลอด มีแต่ผมที่เริ่มอยู่ไม่นิ่ง ไม่รู้จะทำหน้ายังไง

“ลองเปิดใจได้ไหม เปิดใจให้กูได้อยู่ข้างๆ มึง”

มันเอื้อมมือมาจับมือผม เดินเข้ามาประชิดตัว ในขณะที่ผมยังคงยืนนิ่ง แสงสีส้มลับขอบฟ้าไปแล้วและบริเวณที่พวกผมยื่นอยู่ก็มืดสนิท แต่ผมรับรู้ได้ว่าเราใกล้กันมากขนาดไหน ใบหน้าผมถูกช้อนให้เงยขึ้น ผมไม่รู้ทำไมผมไม่สะบัดมันออกหรือถอยออกให้พ้นจากมัน ปากผมขยับแต่ไร้เสียง กว่าจะรู้ตัวใบหน้าของมันก็เข้ามาใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ก่อนที่จะได้รับแรงกดเบาๆ ที่ริมฝีปาก แค่นั้นไม่มีการรุกล้ำใดๆ และเป็นตอนนั้นที่สติผมกลับมาพลั๊ก!

“มึงทำเหี้ยอะไร!"

ผมตะโกนด่ามัน มันมองผมแล้วยกยิ้ม

“ก็เห็นมึงช๊อค ทำปากพะงาบๆ อยู่ได้ เลยอยากเรียกสติ"

“ไอ้เลว"อยากต่อยมันว่ะ แต่ถ้าต่อยกันจริงกูสู้มันไม่ได้แน่ ดังนั้นผมเลยเลือกเดินหนี แต่มันก็รั้งไว้อีก"อะไรอีก"

“คำตอบของคำถามเมื่อกี้" ผมกรอกตา ผมตอบไม่ได้เพราะผมก็ไม่รู้ ผมเลยย้อนถามมันกลับ

“ทุกครั้งที่มีคนมาบอกชอบมึง มึงต้องเปิดใจให้เขาทุกคนเลยเรอะ" รอยยิ้มมันหายไปทันทีที่ผมพูดออกไป "คำถามที่มึงถามกู กูไม่มีคำตอบให้มึงหรอก แต่คำตอบสำหรับกูเองคือกูชอบผู้หญิงและมันจะเป็นแบบนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง"



หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เห็นหน้าพายุอีก เย็นวันนั้นผมเดินกลับมาใต้ตึกคนเดียว โดยที่ไอ้พายุไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลยจนกระทั้งทุกคนแยกย้ายทยอยกันกลับ ไอ้นนนไม่ถามอะไรผมและไม่เคยพูดเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ผมคิดว่ามันคงรอให้ผมพูดออกมาเองตามสไตล์มัน แต่ผมยังไม่อยากเล่าเรื่องนี้กับใคร ผมไม่ได้รังเกียจไอ้พายุ รอบตัวผมก็มีกลุ่มเพื่อนเป็นLGBTเยอะเยะ และก็เข้าใจมันด้วยว่า ชอบมันก็คือชอบ มันห้ามกันไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงผมก็ไม่ควรจะให้ความหวังใครพร่ำเพื่อไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย



จนเวลาล้วงเลย มันก็โผล่มาให้ผมเห็นหน้าอีกครั้งแม้จะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม ผมเดินเข้ามาในลิฟท์ ที่มีพายุกับเพื่อนๆ มันยืนกันอยู่ เอื้อมมือจะกดเลขชั้นแต่พบว่ามันถูกกดไว้ก่อนแล้ว ทันทีที่พวกมันเห็นผมเสียงเฮฮาก่อนหน้าก็เงียบลง ไม่มีการทักทาย ไม่มีเสียงหัวเราะ ผมยืนอยู่ด้านหน้า คนเดียวเงียบๆ ลิฟท์ค่อยๆเลื่อนลง เมื่อกี้ตอนที่ประตูลิฟท์เปิดและผมสบตากับมัน ผมไม่แน่ใจในตอนแรกว่ามันคืออะไร แต่พอได้ยืนอยู่กับมันแบบนี้ ผมก็เข้าใจ ผมคิดถึงมัน คิดถึงใบหน้ากวนๆ และเสียงต่ำๆ ของมัน ผมอยากคุยกับมันนะแต่ปากมันหนักเกินไป เสียงลิฟท์ดังขึ้นเรียกสติผม ทันทีที่ประตูเปิดผมก็รีบก้าวเท้าเดินไปที่ห้องเรียนโดยไม่หันกลับไปมอง แต่ผมรู้ว่ามันยังมองผมอยู่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา



ผมคิดว่ามันจบแล้ว แต่อยู่ๆ ไอ้พายุก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ผมเดินออกจากห้องเรียนมาก็เจอมันนั่งอยู่หน้าห้อง พอเห็นผม มันก็ลุกเดินเข้ามา ฉวยเอากระเป๋าและของในมือผมไปถือ ไม่พูดอะไรสักคำ เดินนำลิ่วๆ ออกไป ปล่อยผมยืนงงมองหน้าผองเพื่อน แล้วรีบสาวเท้าเดินตาม มันยืนกดลิฟท์ค้างรอ จนพวกเราก้าวเท้าเข้าไป

“มึงเอาของกูคืนมา" หันไปบอกมัน มันก้มมองทำหูทวนลม แล้วยังผิวปากอีก สัดกวนตีน แต่ทำไมวะ ครั้งนี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญในความกวนของมัน ผมไม่ได้พยายามยื้อแย่งของคืน ไอ้นนนมองผม อย่างสงสัย อย่าว่าแต่มึงสยสัย กูก็สงสัยตัวเอง คราวที่แล้วยังเถียงกันจะตายมาวันนี้ปล่อยมันกวนตีนเฉย พอออกจากลิฟท์มาได้ มันก็เดินไปใต้ตึกทางห้องอุปกรณ์ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม

“มึงกูไปก่อนนะ”

ผมหันมาบอกเพื่อน ที่ยิ้มจิ้มจุ่มไปแล้วสอง ส่วนอีกหนึ่งหน้านิ่งเหมือนเดิม

“มีอะไรดีๆ ก็บอกเพื่อนบ้าง”

“ให้กูไปด้วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรไอ้นนน กูจัดการได้น่า พวกมึงกลับไปเหอะ” ผมบอกปัดๆ แล้วหันหลังรีบก้าวไปทางที่ไอ้พายุเดินไป มองหามันที่ลานไม่เจอเลยเปิดประตูเข้าไปในห้อง มันนั่งอยู่ที่โต๊ะมองผม ผมไม่ได้ก้าวเข้าไปหามัน เรามองหยั่งเชิงกัน แล้วมันก็ยอมแพ้เปิดปากพูดก่อน

“มึงจะคิดยังไงกูไม่สน กูตัดสินใจแล้วกูจะทำเหมือนเดิม” การรู้สึกได้รับมันเป็นแบบนี้สินะ ไม่อยากยอกรับ แต่ผมว่าผมดีใจว่ะ ที่มันกลับมา




Talk

แอบเห็นคอมเม้นท์ ขอบคุณมากๆนะคะ
พี่พายุจะรุกแล้ววว


#คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่5
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 28-02-2020 17:48:03
ตอนที่ 5
เพราะรถไฟขบวนนั้น…ทำให้เราเจอกัน



ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้พายุเป็นแบบไหน มันไม่เคยขอเบอร์ผม เราไม่เคยคุยกันทางโทรศัพท์สักครั้ง เราเจอกันเฉพาะที่มอแล้วแต่ว่ามันจะโผล่มาตอนไหน มันยังคงทำเหมือนเดิมอย่างที่มันพูดคือการผลุบๆ โผล่เข้ามาให้ผมเห็น มาพูดจากวนส้นหน้านิ่งๆ แล้วก็ไป หรือบางครั้งก็ซื้อโกโก้มาให้ที่ห้องเรียน เป็นแบบนี้มาหลายวัน ถามว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง ก็ดีครับ ได้แดกน้ำฟรี ใครจะไม่ชอบวันๆ ของผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเรียนเช้า ตกเย็นมาช่วยงานที่คณะ ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นทุกวัน และตอนนี้ก็เหมือนกัน ผมนั่งคุมน้องๆ โดยมีไอ้พายุคอยก่อกวนผมอีกที

“เสร็จจากนี้แล้วไปกินข้าวกัน” แปลกมากครับที่เวลาผมอยู่กับมัน มันมักเป็นคนเปิดบทสนทนาเสมอ แต่เวลาผมเห็นมันอยู่กับคนอื่นนี่คีพลุคลืมปากไว้บ้านเก่ง

“กินไรอ่ะ แม่ยังไม่โอนเงินมาให้ อย่าแพงมาก”

“เดี๋ยวกูเลี้ยง อยากกินไร”

“ไม่เอาทำไมชอบเลี้ยงวะ รวยหรอ”

“เออ รวย” โอเค จบ มันอยากเลี้ยงก็ไม่ขัดศรัทธา ของฟรีคือของโปรดช่วงนี้จนมากครับ ไหนจะค่าผ้าค่าสีที่ใช้เรียนอีก เล่นเอาต้องแดกมาม่าจนผมร่วง เพราะแม่ยังไม่โอนเงินมาให้สักที นี่ยังคิดอยู่ว่าอยากรับจ๊อบเสริมแต่ติดที่ตารางตอนนี้ก็แน่นจนใต้ตาจะเป็นหมีแพนด้าแล้ว

“สรุปกินไร” เราเถียงกันเรื่องของกินไปมา จนเสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง

“ภพ” ผมหันไปตามเสียงเรียก

“นานะ”

“เราขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ผมพยักหน้า ลุกเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กทันที แล้วเดินออกมาให้ไกลพอที่จะไม่มีใครมาได้ยินเรื่องที่คุยกัน

[พายุ]

ผมมองตามร่างบาง ที่เดินไปกับ แฟนเก่ามัน ผมรู้ อันที่จริงผมรู้แทบจะทุกเรื่องของมัน ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็มันเป็นคนที่ผมจีบอยู่ มันเดินห่างออกไปไกลจนผมแอบเสือกไม่ได้ว่าคุยไรกันเลยทำได้แค่นั่งมอง มองท่าทางทุกอย่างของมัน มันยิ้ม หัวเราะ มันดูมีเสน่ห์มากเวลามันยิ้ม ผมหลงรักรอยยิ้มนั้น ผมรู้ว่ามันชอบผู้หญิงแต่ผมก็อยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง เกือบยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่แพ้ เพราะอยากครอบครองรอยยิ้มนั้น ผมเลยมานั่งอยู่นี่ คอยมาให้มันเห็นหน้า และถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไป ผมว่ามันเองก็เริ่มรู้สึกดีๆ กับผมบ้างแล้วเหมือนกัน

“ไอ้ยุ เลิกมองไอ้ภพแล้วมาช่วยงานทางนี้หน่อย”

เสียงไอ้คินตะโกนเรียก มาจากฝั่งตรงข้าม ผมมองภพที่ยังคงยิ้ม ในใจก็รู้สึกร้อนรนแปลกๆ เหมือนตอนนั้นเลยตอนที่เห็นมันยิ้มให้ไอ้เพื่อนตัวสูงของมัน แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ทำพลาดแบบครั้งนั้นแล้ว ผมต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้เวลามัน ครั้งนั้นหน้ามืดไปหน่อยเพราะไอ้นนนเพื่อนมันแค่มองตาก็รู้แล้วว่าแม่งคิดอะไร มีแต่ไอ้เตี้ยที่แม่งดูไม่ออก นึกแล้วหงุดหงิด เห็นมันอยู่ด้วยกัน เช็ดเหงื่อให้กัน อารมณ์เลยขึ้น ห้ามตัวเองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็เดินไปกระชากมือมันแล้วพ่นทุกความในใจออกไป อารมณ์ร้อนของผมในตอนนั้น ทำให้มันเกือบหลุดลอยไปจากผม ผมจะไม่พลาดแบบตอนนั้นอีก

“กับไอ้ภพไปถึงไหนแล้ว” นั่งลงทำงานได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้โอบเพื่อนอีกคนในกลุ่มก็เปิดประเด็น

“เหมือนเดิม”

“โอ้ยกากฉิบหาย เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นยังงั้น” ไอ้ตง เพื่อนเหี้ยอีกคน “ระวังเหอะมัวชักช้า ไม่คนอื่นคาบไปแดก เขาก็ไปแดกคนอื่น” ปากแม่งพูดแล้วพยักเพยิดไปทางที่ร่างบางยืนอยู่ ยังคุยกันไม่จบอีกหรอวะมีไรให้คุยกันเยอะเยะขนาดนั้นเลย แล้วคิ้วผมก็กระตุก พอเห็นทั้งคู่กอดกัน

“น่านนน กูว่างานนี้มีรีเทิร์นชัว”

พวกเพื่อนเหี้ย ผมได้แต่พูดกับตัวเองให้ใจเย็นๆ เขาเลิกกันแล้วน่า ไอ้ภพก็ดูมูฟออนได้นานแล้ว ไม่มีไรหรอก แต่ผมว่ามันเริ่มทะแม่งๆ เพราะไอ้ภพเดินกลับเข้ามาใต้ตึกพร้อมนานะ แล้วนั่งลงดูน้องทำงานต่อ นานะไม่ได้แยกกลับไปแต่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมมองภาพตรงหน้านิ่งค้างหวังให้มันเงยหน้าขึ้นมามองผมหรืออะไรก็ได้แต่มันไม่ทำ มันยังคงก้มๆ เงยๆ ดูน้องและพูดคุยกับนานะไม่หยุด สุดท้ายก็เป็นเพื่อนผมที่ตบบ่าเบาๆ แล้วบอกให้ผมทำงานต่อ โอเคไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยถามมัน ยังไงเราก็ต้องไปกินข้าวกัน ถึงตอนนั้นค่อยถามมันก็ได้



ยังไม่ถึงเวลาเลิกด้วยซ้ำ ร่างบางก็เดินสะพายกระเป๋า ตรงเข้ามาหาผม ผมเงยหน้ามองมันแล้วมองไปด้านหลังก็เห็นเธอยืนรออยู่ตรงนั้น

“ไอ้ยุ เดี่ยวกูกลับก่อนนะ"

“ไหนบอกจะไปแดกข้าวกับกู” ผมรู้สึกว่าเสียงผมต่ำกว่าปกติ กรามเริ่มขบกันแน่น เกลียดความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่รู้ว่าไม่มีสิทธิเรียกร้อง

“ไว้วันหลังแล้วกัน กูบอกพี่เฟียตแล้วว่าขอกลับก่อน เดี่ยวกูต้องไปที่อื่นต่ออ่ะ ไปนะ”

มันไม่ฟังอะไรผมเลยหันหลังแล้วเดินออกไป แบบนี้อีกแล้ว ก็รู้นะว่าผมไม่มีสิทธิในตัวมัน แต่มึงแคร์กูบ้างได้ปะวะ

“ไอ้ภพกลับไปคบกับนานะเหรอ” เสียงรุ่นพี่ปีสี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลพูดขึ้น

“นานะไม่ได้คบกับพี่ไบร์ทเรอะเหมือนกูได้ยินมา ว่าเลิกกับน้องภพไปคบพี่ไบร์ท”

“อันนั้นข่าวเก่าแล้ว เมื่อกี้กูแอบได้ยินว่านานะบอกเลิกกับพี่ไบรท์แล้ว” ผมวางแปลงลง ยิ่งฟังคิ้วก็เริ่มขมวด

“มาอีหรอบนี้กูว่าขอรีชัวร์ แต่ก็นะเป็นกูก็เลือกน้องภพแสนดีขนาดนั้นพลาดไปเสียดายตาย”

เท่านั้นแหละ ผมก็ลุกแล้ววิ่งออกมาเหมือนคนสติหลุด ได้ยินเสียงเพื่อนร้องเรียกแต่ผมไม่สนใจแล้วผมรู้แต่ว่าต้องคุยกับมัน ขอให้ทัน ขอให้ทัน กูมันเห็นแก่ตัว แต่กูไม่อยากเสียมึงไปจริงๆ ผมเร่งฝีเท้ามาหน้ามอ จนเห็นมันยืนรอข้ามถนน พออยู่ในระยะผมก็ตะโกนเรียกชื่อมัน มันหันมามองด้วยความสงสัย จังหวะไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมก็วิ่งมาถึงตัวมันพอดี มือเอื้อมคว้าแขนมันอัตโนมัติ ก้มหน้าหอบหายใจ

“นานะข้ามไปรอก่อนเดี๋ยวเราตามไป” นานะพยักหน้าให้ไอ้ภพ แล้วหันมามองผม ส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วเดินข้ามถนนไป ไอ้ภพหันกลับมามองผมพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม

“มึงมีไร วิ่งมาขนาดนี้”

"ขอกูพักแปป” ไม่ได้ออกกำลังกายนาน เหมือนจะตายเลย กากฉิบหายไอ้พายุ พอพักหายใจหายคอได้ ผมก็เปิดประเด็นทันที

“มึงรู้ใช้มั้ยว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง” มันหน้าตาตื่น มองซ้ายทีขวาที

“มึงพูดเหี้ยไรอีกแล้ว”

พอเห็นท่าทางมัน อยู่ๆ อารมณ์หงุดหงิดก็ครอบงำผมอีกครั้ง

“มึงก็รู้อยู่แล้วจะทำเป็นไม่รู้ทำไมว่ะ!” เสียงผมเริ่มดังขึ้น “กูถามจริงๆ เห็นเขาไปนอนกับคนอื่นแล้วมึงยังจะกลับไปหาอีกเหรอ มึงเป็นควายรีไง!”

“เหี้ย! มึงเงียบปากไป”

มันพลักผมออก ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้ง

“มึงไม่รู้อะไรอย่ามาทำเป็นรู้ดี”

“ทำไมกูจะไม่รู้ มึงอะแหละเมื่อไหร่มึงจะเลิกโง่แล้วยอมรับความรู้สึกตัวเอง หรือมึงสนุกที่ปั่นหัวกูเล่น” ผมรู้ว่าผมเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว

“มึงอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่” เออนั่นดิ กูก็ไม่รู้ แค่อยากพูดอะไรก็ได้ที่รั้งไม่ให้มึงเดินไปกับเขา

“กูถามหน่อย เคยมีสักครั้งไหมที่มึงรู้สึกชอบกู” มันเริ่มกรอกตา ไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงรถ และไฟจราจรที่ร้องเตือน

“กูว่าไว้คุยกันทีหลังเหอะ”

มันตัดบท ทำท่าจะผละออกไป ไม่เอาแบบนี้ดิ ผมบีบแขนมันแน่น

“ตอบคำถามกูก่อน ตอบกูดิ!”

“ไอ้ยุ! มึงจะมาเค้นคำตอบอะไรจากกูวะ กูเคยบอกมึงแล้วว่ากูชอบผู้หญิง กูปฎิเสธมึงไปแล้วแต่เป็นมึงเองที่อยากทำแบบเดิม” มือที่ผมจับไว้เริ่มอ่อนแรง “เลิกยุ่งกับกูสักที กูรำคาญ! "

มันสะบัดแขนออกอย่างง่ายดาย แล้วรีบก้าวเท้าลงถนนไป



#

“ภพ”

“นานะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก แล้วลุกเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กทันที

“เราขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ผมพยักหน้า แล้วเดินออกมาให้ไกลพอที่จะไม่มีใครมาแอบฟัง

“นานะมีอะไร ยังไม่กลับหรอ” ตั้งแต่เราเลิกกัน เวลาช่วยให้เราตกตะกอน ผมกับเธอกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด เราคุยกันได้เหมือนเดิม อันที่จริงมากกว่าเดิม เพราะผมกลายเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักของเธอไปแล้ว ถามว่าผมยังรู้สึกอะไรกับเธอไหม แน่นอนผมตอบได้ทันที ผมยังชอบเธออยู่ แต่ผมเข้าใจแล้วว่าความชอบของผมที่มีต่อเธอมันเป็นแค่แบบเพื่อนที่เรารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย สบายใจที่ได้ดูแล ไม่ได้มีเรื่องความใคร่ หรือต้องการครอบครองเข้ามาเกี่ยวข้อง

“เราทะเลาะกับพี่ไบร์ทอีกแล้ว เมื่อกี้เราโมโหเลยหลุดปากบอกเลิกเขา”

ผมอมยิ้มมองใบหน้าหวานที่เริ่มเบ๊ะปาก จะร้องไห้ ช่วงหลังที่ได้ฟังเรื่องนานะคือ พี่ไบร์ทมันเป็นคนขี้หวงมากครับ ไอ้นู่นไม่ได้ ไอ้นี่ไม่ได้ ก็เลยมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง หน้าที่ของผมคือแค่รับฟังเท่านั้นและปลอบให้เธอสบายใจแต่เรื่องปัญหาของคนสองคนเราไม่ควรเข้าไปแนะนำอะไรมาก

“ใจเย็นหน่อย ไม่ได้อยากเลิกกับเขาจริงๆ อย่าพูดบ่อยเลย มันไม่ดี”

“ก็ไม่ได้อยากพูด แต่มันหลุดปากอะ ก็พี่ไบร์ท พี่ไบร์ทเอาแต่เสียงดังใส่” น้ำใสๆเริ่มเออคลอในดวงตา

“อย่าร้องนะ ป่านนี้ไอ้พี่ไบร์ทไม่หงุดหงิดแล้วหรอเมียบอกเลิกแล้วหนีหาย”

ผมเอ่ยแซวๆ นานะยกมือขึ้นตีแขนผม จนผมอดขำไม่ได้ ตอนคบกันเราไม่เคยมีโมเม้นหึงหวงหรือทำให้ใครต้องร้องไห้เลยครับ มันดีไปหมดคงเพราะเราไม่ได้มองกันและกันแบบคนรักแต่แรกมั้ง ไอ้อารมณ์แบบนั้นเลยไม่เคยเกิดขึ้น

“ภพอ่ะ นานะรีบวิ่งมาหาเพราะอยากให้ช่วยนะ ไม่ใช่ให้แซว”

“โอ๋ๆ” ผมเดินเข้าไปกอดปลอบเธอ “ก็ช่วยอยู่เนี้ย หายเครียดยัง ภพว่าถ้าแกไม่อยากเลิก ก็คุยกับเขาซะ หัดง้อก่อนบ้างเดี๋ยวภพอยู่เป็นเพื่อน”

“ยังไม่อยากโทรคุยอ่ะ พิมพ์คุยได้มั้ย”

“ได้ดิ งั้นเข้าไปนั่งข้างในเหอะ ภพโดดออกมานานแล้ว ป่านนี้น้องทำงานเละหมดแล้วมั้ง”

เราเดินกลับมานั่งลง ผมคอยมองน้อง โดยมีนานะพิมพ์คุยกับพี่ไบร์ทอยู่ข้างๆ มีหันมาขอความเห็นเป็นพักๆ ตลกดี ความรักก็แปลกนะครับ ทะเลาะกัน ดีกัน แล้วก็กลับมาทะเลาะกันใหม่อีก แต่สุดท้ายเราก็หนีสิ่งที่เรียกว่ารักไม่ได้อยู่ดีผ่านไปไม่นานนานะก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ดีกันแล้วสินะ”

“ใช่ พี่ไบร์ทก็ขอโทษที่เสียงดังใส่” เธอพูดด้วยดวงตาเป็นประกายที่ผมไม่เคยได้รับเลยตลอดเวลาที่คบกัน

“ถามไรหน่อยดิ เห็นทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ทำไมยังชอบเขาอยู่” นานะ ไม่แม้แต่จะหยุดคิด

“เพราะมันอาจแสดงให้เห็นมั้งว่าเขาแคร์เรา และมันดีนะที่ได้รู้ว่ามีคนคอยห่วง คอยหวงเรา” งั้นหรอ ผมมองรอยยิ้มและดวงตาที่ดูสดใสของเธอ ในฐานะเพื่อน ผมดีใจกับเธอจริงๆ ที่เธอได้เจอคนที่รัก และเขาก็รักเธอ

“แล้วจะกลับเลยไหมเดี๋ยวไปส่งหน้ามอ”

“ยังอะ ไปกินข้าวกัน เราบอกพี่ไบร์ทแล้วว่าจะไปกินข้าวกับภพก่อนค่อยกลับ”

กรรม ผมจะโดยต่อยปะ

“เห้ย ไม่ดีมั้ง แล้วพี่มันไม่โวยวายหรอ”

“ช่างเขาสิ กล้าหรอภพเป็นคนช่วยให้เราดีกับเขานะและถือว่านี่เป็นการลงโทษที่มาตะคอกใส่ด้วย ภพจะเสร็จยังไปกินข้าวกันเหอะ” ถ้าผมเป็นพี่ไบร์ทปานนี้ดิ้นตายห่าแล้ว ผมหันไปบอกน้องให้เลิกก่อนเวลา แล้วเดินไปหาไอ้ยุที่ผมลืมมันไปเลย ตั้งแต่ออกไปคุยกับนานะ

“ไอ้ยุ เดี่ยวกูกลับก่อนนะ" มันมองผมหน้านิ่ง เป็นไรวะ หน้าบูดสัดๆ

“ไหนบอกจะไปแดกข้าวกับกู”

โอโห้ เสียงต่ำมาเลย เออลืมไปเลยว่ามันชวนกินข้าวแต่ผมก็ทิ้งเพื่อนไม่ได้ยิ่งกับเพื่อนผู้หญิงด้วย ไว้ครั้งหน้าค่อยไปกินข้าวกับมันก็คงไม่สายมั้ง

“ไว้วันหลังแล้วกัน กูบอกพี่เฟียตแล้ว กูต้องไปที่อื่นต่ออ่ะ ไปนะ”

ผมโบกมือลา แล้วเดินออกมา เดินคุยเรื่อยเปื่อยกับนานะ จนมาหยุดยืนรอสัญญาณไฟจราจรที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงเรียกก็ทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง เห็นไอ้พายุวิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาถึงตัวมือมันก็จับหมับเข้าที่แขนผม ปากก็พะงาบๆโกยอากาศ จะตายไหมมึง ผมได้ยินเสียงสัญญานยานไฟให้เดินข้ามได้เลยหันไปหานานะ



“นานะข้ามไปรอก่อนเดี๋ยวเราตามไป” เธอพยักหน้า แล้วเดินออกไป ผมหันกลับมามองไอ้ยุแล้วเอ่ยถาม อย่างสงสัยมีไรเร่งด่วนวะ ครั้งนี้คงต้องให้เบอร์ไว้แล้ว จะได้คุยกันง่ายหน่อย เห็นมันวิ่งหอบมาไกลแล้วสงสาร

“มึงมีไร วิ่งมาขนาดนี้”

"ขอกูพักแปป”

มันยังพักหายใจ กรอบหน้าชื้นเหงื่อ ตาก็จ้องมองผมไปกระพริบ พอมันพักหายใจหายคอจนพอใจมันก็เปิดปาก

“มึงรู้ใช้มั้ยว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง”

อะไรของมัน วิ่งมาเพื่อมาถามกูเรื่องนี้เนี่ยนะ แล้วจูบกูไปขนาดนั้น กูไม่รู้เลยมั้งไอ้ฉิบหาย แต่ผมรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะพูดตรงๆ เลยโวยวายกลบเกลื่อน

“มึงพูดเหี้ยไรอีกแล้ว”

“มึงก็รู้อยู่แล้วจะทำเป็นไม่รู้ทำไมวะ!” เสียงมันเริ่มดังขึ้นเกือบจะเป็นตะคอก “กูถามจริงๆ เห็นเขาไปนอนกับคนอื่นแล้วมึงยังจะกลับไปหาอีกเหรอ มึงเป็นควายรีไง!” เหี้ยไรเนี่ย ผมผลักอกมันแรงๆไปที

“เหี้ย! มึงเงียบปากไป มึงไม่รู้อะไรอย่ามาทำเป็นรู้ดี”

ผมไม่ชอบที่มันทำอยู่ และไม่เข้าใจด้วยว่ามันทำไปทำไม

“ทำไมกูจะไม่รู้ มึงอะแหละเมื่อไหร่มึงจะเลิกโง่แล้วยอมรับความรู้สึกตัวเอง หรือมึงสนุกที่ปั่นหัวกูเล่น” มันเหมือนคนบ้าเลย พูดไม่รู้เรื่อง ชวนทะเลาะ ยังไม่ทันจบเรื่องหนี่งมันก็พูดอีกเรื่องขึ้นมาอีก

“มึงอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่” เริ่มอารมณ์ขึ้นตามมัน

“กูถามหน่อย เคยมีสักครั้งไหมที่มึงรู้สึกชอบกู”

ผมย้อนคิด ผมไม่แน่ใจ ผมชอบที่มันอยู่ใกล้ๆ ผมคิดถึงมันตอนที่มันหายไป และถ้านั่นเรียกว่าความรู้สึกดี ผมก็คิดว่ามันคงใช่ แต่ผมยังไม่อยากยอมรับ ไม่อยากยอมรับว่าผมชอบผู้ชาย เลยเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไปไม่อยากเห็นมันเจ็บ แต่สุดท้ายผมก็ทำมันเจ็บอยู่ดี ผมเห็นใบหน้าที่ดูเจ็บปวดของไอ้พายุ รู้สึกหน่วงแปลกๆเสียงรอบกายยังคงวุ่นวายไม่ต่างกลับภายในใจของผม แล้วเสียงติ๊ดๆ ของไฟจราจรก็ปลุกให้ผมตื่น

“กูว่าไว้คุยกันทีหลังเหอะ” ผมยังไม่อยากคุย ในใจเอาแต่พูดว่า ไว้ก่อนนะไอ้ยุ กูขอเวลาหน่อย กูโง่ เพราะงั้นขอเวลากูคิดก่อนได้ไหมแต่มันไม่ยอม จากใบหน้าที่ดูเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความโกธร มันบีบแขนผมแรงขึ้นจนเริ่มเจ็บ เสียงก็เริ่มดังเป็นการตะคอก

“ตอบคำถามกูก่อน ตอบกูดิ!”

“ไอ้ยุ! มึงจะมาเค้นเอาอะไรจากกูวะ กูเคยบอกมึงแล้วว่ากูชอบผู้หญิง กูปฎิเสธมึงไปแล้วแต่เป็นมึงเองที่อยากทำแบบเดิม” มือที่มันจับผมเริ่มคลายออก ไม่ได้ตั้งใจพูดให้มันรู้สึกแย่ แต่ปากผมก็ยังพ่นคำพูดแย่ๆออกไป “เลิกยุ่งกับกู กูรำคาญ! "

ผมเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของมันเป็นตอนนั้นแหละ ที่อารมณ์ทำให้ผมพูดจาทำร้ายอีกคนไป

ผมสะบัดแขนออกอย่างง่ายดาย สัญญาไฟจราจรที่ร้องติ๊ดๆ ต่อเนื่องดังขึ้น ผมรีบก้าวเท้าลงถนน อยากรีบออกไปจากจุดนี้ จนลืมมองว่าไฟนั้นเปลี่ยนเป็นสีอะไร ลืมแม้กระทั้งจะหันมองซ้ายขวาให้ดี กว่าจะรู้ตัว ผมก็รู้สึกโดนกระแทกอย่างแรง เสียงที่ดังขึ้น มันอยู่ใกล้มาก ใกล้ จนผมกลัว ผมพยายามขยับตัวแต่ทำไม่ได้เลยมันหนักอึ้งและชาไปหมดทำได้เพียงนอนนิ่ง เจ็บว่ะ ไม่รู้ว่าผมนอนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเลือดไหลออกมาจากไหนบ้าง แต่เสียงหวีดร้องของผู้คน และสายตาที่มองมา ผมว่าผมคงดูแย่มาก ของเหลวที่ไหลเข้าม่านตาทำให้ผมต้องปิดเปลือกตาลง

เสียงแหลมๆ ที่สั่นไหวของนานะดังเข้ามาใกล้ก่อนที่มันจะเงียบหายไป ผมพยายามปรือตาที่หนักอึ้ง เห็นใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยน้ำตา และความตกใจ ปากเธอขยับไปมาเรียกชื่อผมไม่หยุด แต่ผมไม่ได้ยินอะไรเลย เหมือนมีอะไรบางๆที่กั้นเสียงของเธอไม่ให้ผมได้ยิน ริมฝีปากพยายามขยับเรียกชื่อเธอแต่มันดูยากเหลือเกินแล้วผมก็เห็นมัน

พายุพุ่งตัวมา พยายามเข้ามาช้อนตัวผมขึ้นแต่ก็ถูกกันตัวออกไป ใบหน้ามันดูตลกชะมัด แต่มันก็ยังดูหล่อสุดๆอิจฉาว่ะ ผมอ่านปากมันที่พร่ำเอ่ยคำขอโทษ ขณะที่ก็พยายามผลักคนที่จับมันอยู่ให้พ้นตัว ผมไม่ได้ยินว่ามันโวยวายอะไร แต่ดูวุ่นวายจนผมอดสงสารคนที่จับรั้งตัวมันอยู่ว่าจะได้ไปกี่แผล ส่งยิ้มให้ไอ้ยุ 'กูไม่เป็นไร' นั้นคือสิ่งที่ผมอยากบอก 'มึงใจเย็นๆนะ กูไม่เป็นไร' มันหยุดโวยวายแต่ยังคงพยายามเข้ามาให้ถึงตัวผม ก่อนที่ใบหน้ามันจะถูกบดบังด้วยคนมากมายที่เข้ามาล้อมผมไว้ หัวผมถูกจับให้หงายขึ้น ความเจ็บปวดค่อยๆ ทวีขึ้นจนผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร่างผมลอยขึ้นและถูกเลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงที่วิบวับจนแสบตาไปหมดเห็นนานะกับไอ้พายุที่วิ่งตามมา ผมมองทั้งคู่แล้วหยุดสายตาที่พายุแม้ภาพจะเริ่มเลือนลาง

ขอบคุณนะ ขอบคุณที่เดินกลับเข้ามาหากูและ ขอโทษนะไอ้ยุ กูขอโทษที่พูดจาทำร้ายมึง

ขอโทษ ที่กูขี้ขลาดเกินกว่าจะรับความรักจากมึง



ผมจ้องมองใบหน้าทั้งคู่เนิ่นนานเท่าที่จะทำได้ ไม่ไหวแล้วว่ะ เจ็บ โคตรเจ็บเลย ผมฝืนลืมตาไว้ไม่ไหว ดวงตาผมค่อยๆ ปิดลง ภาพต่างๆ ในชีวิตไหลย้อนกลับเข้ามา บางเหตุการ์ณที่หลงลืมไป ผมก็ได้เห็นมันอีกครั้ง ผมยิ้มให้กับภาพในความทรงจำและตอนนั้น ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกเลย

[พายุ]



ปึก

โครม!



มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็ว จนน่าหวั่นใจ ผมเห็นร่างบางหายไปจากสายตา ใบหน้าของผู้คนที่หวีดร้อง เสียงล้อรถทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ผมยืนตัวแข็งค้าง สายตามองไปที่ร่างที่แน่นิ่ง อาบไปด้วยของเหลวสีแดง หัวใจผมปวดหนึบ วินาทีนั้นผมรู้ว่าเป็นผมอีกแล้วที่ทำให้เอกภพหลุดออกจากวงโคจรของผมอีกครั้ง

ทันทีที่ผมตั้งสติได้ก็พุ่งตัวเข้าไปหาร่างบางที่นอนนิ่ง พยายามช้อนตัวมัน ปากก็พร่ำพูดคำเดิมๆ

“ไอ้ภพขอโทษ ขอโทษ กูจะพามึงไปโรงบาลนะ”

ยังไมทันช้อนตัวมันขึ้น ผมก็โดนพลักออกแล้วกันตัวออกไป ได้แต่ตะโกนโวยวาย ทุบตีและดันตัวให้เข้าไปให้ใกล้ร่างบางอีกครั้ง

"ปล่อยผม! เหี้ย ปล่อย! ผมจะพาภพไปโรงบาล ปล่อยกูสิโว้ย!"

ผมจ้องมองหน้ามันไม่คลาดสายตา ได้ยินเสียงห้ามปราม เสียงร้องไห้ เสียงหวีดร้องดังจนหนวกหู แต่ผมก็ยังคงมองแต่มัน เราสบตากัน มันมองผมแล้วยิ้ม ยิ้มที่บอกว่ามันไม่เป็นไร ผมหยุดชะงัก ร่างกายเย็นเฉียบ กลัว ผมกลัวปากได้แต่ขยับเรียกชื่อมันแผ่วเบา



“ไอ้ภพ...ไอ้ภพ"

ผมรักรอยยิ้มของมันมาตลอด แต่กับครั้งนี้ รอยยิ้มของมันเป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด น้ำตาผมไหลไม่หยุด ภาพของมันถูกบดบังด้วยพยาบาล มันถูกจับหัวให้หงายขึ้นใส่เครื่องช่วยหายใจ ถูกเช็ดคราบเลือดและจับไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผมเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมัน ใจผมปวดหนึบ ปากก็ตะโกนบอกให้จับมันเบาๆเรียกชื่อมันซ้ำๆและพร่ำบอกว่ามันจะไม่เป็นไร

วิ่งตามร่างบางบนเปลไปที่รถฉุกเฉิน ยิ่งมองเห็นบาดแผลและของเหลวสีแดงบนตัวมัน ใจผมก็ทรุดฮวบ ทำไมเลือดออกเยอะขนาดนี้วะ ทำไมมันไม่หยุดไหล ผมได้แต่ถามตัวเอง อยากเข้าไปกุมมือมัน อยากกอดมัน และบอกว่ากูรักมึง กูรักมึง แต่ก็โดนกันออกห่างทุกครั้ง มันปรือตามองผม จ้องมองเนิ่นนาน ก่อนที่มันจะหลับตาลงอีกครั้งพร้อมหัวใจของผมที่กระตุกอย่างแรง ผมไม่อยากคิดว่านั้นคือครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองตามัน



ผมและนานะนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ภพเข้าไปได้สักพักแล้วนานะยังคงร้องไห้ไม่หยุด เธอคงตกใจไม่น้อยแต่ผมเองก็ไม่มีแรงพอจะปลอบใครได้เลย ได้แต่นั่งมองประตูห้องฉุกเฉินไม่นานนักผู้ชายร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาหานานะ จากหางตาผมเห็นเธอพุ่งเข้ากอดเขาสักพักเพื่อนของภพและไอ้คินก็ตามมา ผมไม่รู้ว่าพวกมันรู้ข่าวจากใครมันไม่ได้ถามอะไรผมไม่มีใครถามเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นมายังไง

ทั่วบริเวณมีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นผมเห็นไอ้นนนนั่งปลอบพิมกับโทนี่ไม่ห่าง ทั้งที่ตัวมันเองก็มีน้ำตา ไอ้คินนั่งอยู่ข้างๆ ผม และคอยพูด ว่าภพจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน การรอคอยทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้วแต่ภาพร่างบางที่นอนจมกองเลือดและรอยยิ้มนั้นของมันยังคงติดตา จนกระทั้งบานประตูข้างหน้าถูกผลักเปิดออก ผมตรงเข้าไปหาหมอที่เดินออกมา ภาวนาขอให้ภพปลอดภัย ได้โปรดเถอะ อะไรก็ได้ช่วยพาเข้ากลับมาหาผมที

“ญาติผู้ป่วยใช่ไหมครับ คนไข้อาการค่อนข้างสาหัสมากครับ เขาหยุดหายใจระหว่างการรักษา แต่เราปั๊มเขากลับมาได้"

ผมเหมือนหยุดหายใจไปพักนึง แล้วหายใจได้อีกครั้ง ขอบคุณ ขอบคุณนะไอ้ภพ มึงเข้มแข็งมาก

"แต่ทางเราเสียใจที่จะต้องแจ้งว่าเราไม่สามารถทำการรักษาต่อได้ ดังนั้นตอนนี้เรายื้อเข้าไว้ได้แค่ชั่วครู่ เพื่อให้พวกคุณได้เข้าไปเอ๋ยลา"

เหมือนโลกหมุนคว้าง ผมทิ้งตัวลงทันทีที่ฟังจบ ในใจร้องบอกให้ช่วยเขาสิ ช่วยเขา แต่กลับไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา เสียงร้องไห้ดังขึ้นรอบตัว ผมได้แต่ก้มหน้า ดวงตาพร่ามัวด้วยหยดน้ำตา

“ฮึก ขอโทษ ขะขอ โทษ”

ไอ้ภพกูขอโทษ เพราะกู เป็นเพราะกู ถ้ากูไม่เข้าไปรั้งมึงไว้ มึงคงไม่ทิ้งกูไปแบบนี้ผมถูกพยุงให้ลุกขึ้น ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร และมันพาเดินไปไหน จิตใจผมเหมือนหลงหายไปไกลแล้ว กระทั่งผมเห็นไอ้ภพเข้ามาในสายตาอีกครั้ง ผมสะบัดตัวออก เดินเข้าไปใกล้ร่างที่นอนนิ่งบนเตียง เสียงอุปกรณ์ทางแพทย์ที่วางอยู่ข้างตัวมันยังคงส่งเสียงเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่ทำให้รู้ว่ามันยังหายใจอยู่แม้จะแผ่วเบามากก็ตาม ผิวขาวของมันดูซีดไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งแตก แผลที่ศรีษะและตามร่างกายยังคงเด่นชัดจนน่ากลัว ดวงตามันปิดสนิท ผมจ้องมองภาพนั้นไม่ขยับไปไหน เสียงร้องไห้ของนานะและพิมดังสะท้อนในห้องทุกคนค่อยๆ เดินเข้าไปหามัน แล้วเดินออกไปทีละคน ทีละคน จนเหลือแค่ผม เท้าค่อยๆก้าวไปใกล้ร่างบาง เอื้อมไปจับมือมันมากุมไว้ อีกมือก็ลูบหัวมันเบาๆอย่างปลอบโยน น้ำตาผมเริ่มคลออีกครั้ง

“กูไม่รู้ว่ามึงยังได้ยินกูไหมไอ้ภพ กะ กู กูขอโทษนะที่ชวนทะเลาะ ขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บ”

ผมกลืนก้อนสะอื้น บีบมือที่เริ่มเย็นเฉียบแน่น มองไปตามบาดแผลบนผิวขาว หวนนึกถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้คุยกัน เวลาของผมกับมันสั้นเกินไป

“กูดีใจนะที่วันนั้นได้ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกับมึง ดีใจที่ได้นั่งข้างๆ มึง ถ้าได้เจอกันอีกครั้งกูจะทำให้มึงมีความสุข กูจะจำรอยยิ้มขอมึงเสมอ กูสัญญา กูสัญะญา กูรักมึงนะ ไอ้ภพ กูรักมึง”

ผมฟุบหน้าก้มลงกอดร่างบาง กลั้นเสียงสะอื้น พร่ำบอกรักมัน และกอดแน่นขึ้นเมื่อเสียงลากยาวของสัญญานชีพดัง มันดังก้องชัดเจน ชัดเจนเกินกว่าผมจะรับไหว ว่าเอกภพไม่ได้อยู่กับผมอีกแล้ว



Talkเรื่องยังไม่จบนะคะ อย่าพึ่งตกใจตามไทม์ไลน์เรื่องที่จดไว้ ยังไงก็ต้องมีเอกภพ คนหนึ่งหายไปค่ะ ตอนแรกก็ลังเลเหมือนกันว่าให้คนไหนไปก่อนดีสุดท้ายก็ออกมาเป็นแบบนี้ คิดว่าน่าจะดีที่สุด แม้ความสุขของพวกเขาจะดูสั้น และรวดเร็วมาก แต่จริงๆแล้วความรักของพายุ นั้นมีมานานแล้วค่ะ แค่ยังไม่มีจังหว่ะบวกกับความกากเรื่องจะเป็นยังไงต่อก็ฝากติดตามกันต่อไป ว่าเขาจะได้เจอกันอีกครั้งไหม หรือยังไงเสริมๆ เผื่อใครงง

เรื่องนี้เหตุการณ์ของโลกคู่ขนานเริ่มต้นจาก ภพได้ขึ้นหรือไม่ได้ขึ้นรถไฟ จากครั้งนั้นทำให้เอกภพ(ในที่นี้หมายถึงจักรวาล)แยกออกเป็นสองทาง หลังจากแยกออกแล้ว แต่ละทางจะเจอเรื่องราวไทม์ไลน์ที่คล้ายกัน แต่รายละเอียดจะแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกันซะทีเดียว และทั้งคู่ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเจอ แต่อาจมีบ้างที่รู้สึกคุ้นหรือเจ็บปวดแต่ไม่รู้สาเหตุของที่มาที่ไป ซึ่งเอกภพนั้นจะกลับมาเป็นทางเดียวได้เมื่อ ทางใดทางนึงสิ้นสุดลง





สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ #คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่5
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-03-2020 00:05:16
 :katai1:
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่6
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 01-03-2020 02:45:54
ตอนที่ 6
ผัวออกสาว จมูกหมา





“ภพ ไอ้ภพ เห้ยมึง”



เฮือก!



ผมสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมา เห็นหน้าคิ้วขมวดของพิว มือมันก็จับที่ไหล่ผม ผมมองไปรอบตัว แล้วพบว่าตัวเองนั่งอยู่หน้าห้องเทา มือผมกำบอร์ดสำหรับพรีเซ้นต์บนตักแน่นผมเผลอหลับไปตอนไหนหว่ะ ความรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกและภาพของแสงสีแดงวิบวับที่ชวนแสบตาในความมืดเมื่อครู่ยังคงอยู่

“มึงเป็นอะไรไหม” เสียงมันดูเป็นห่วง ผมลูบใบหน้าตัวเอง แล้วพบว่าใบหน้าผมเปียกชื้น ผมร้องไห้หรอ เป็นไรหว่ะ

“ไม่ กูไม่เป็นไร”

“ตามึงพรีเซ้นต์แล้ว แต่ถ้ามึงไม่โอเค กูจะบอกจารย์ให้”

“ไม่ๆ กูโอเค แค่ฝันไม่ค่อยดี”

“เมื่อคืนทำงานดึกหรอมึง” พิว ยังคงยืนถามผมไม่ไปไหน ผมโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ

“นิดหน่อย แล้วของมึงเป็นไง”

“หัวข้อผ่าน มีแก้นิดหน่อย มึงรีบเข้าไปเหอะเดี๋ยวจารย์กริ้ว” มันยิ้ม ตบบ่าผมปุๆ แล้วเดินแยกไปห้องข้างๆ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ทบทวนสิ่งที่จะพูด แล้วลุกเปิดประตูเข้าไป



ผมใช้เวลาพรีเซ้นต์งานอยู่10นาที แล้วฟังอาจาย์ภูพูดอีกไม่ถึงห้านาทีก็เดินคอตกออกมาจากห้อง เดินไปห้องข้างๆบอกเพื่อนคิวต่อไป แล้วตรงไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เพื่อนผม

“เป็นไงมึง” ไอ้นนน ถาม ผมส่ายหน้าให้มัน

“ไม่รอดหว่ะ สวดยับ” มันตบบ่าสองสามทีแล้วก้มลงเล่นเกมส์ต่อ ไอ้นี่มันตัวท๊อปรุ่นไง เวลาก็มีเท่าๆ กับผมนะ เผลอๆ เวลาน้อยกว่าผมด้วยเพราะแม่งเฮโลไปเที่ยวกับพวกไอ้พิมบ่อยๆ แต่งานแม่งดีเกินหน้าเกินตาตลอด

“ถ้ามึงไม่รอด กูก็ฉิบหายแน่ๆ ไอ้ภพ มึงอย่าพึ่งกลับนะ อยู่กับกูก่อนน” ไอ้พิมหันมาคว้ามือผมแล้วเขย่าไปมา น่ารักตายห่า มันหน้าตาน่ารักครับแต่ผมไม่เคยมองมันเป็นผู้หญิงได้เลยจริงๆ

“เออรู้หน่า มึงรีบติดบอร์ดให้เสร็จเหอะ แต่เย็นนี้กูไม่ไปแดกเหล้ากับพวกมึงนะ อยากกลับไปนอนหว่ะ”

“ได้จ้า ที่รัก” ปากมันพูดมือก็ขยับทำบอร์ดไปด้วย ผมหยิบมือถือขึ้นมา กดพิมพ์หานานะ วันนี้เซคเธอไม่มีเรียน เธอเลยกลับไปก่อน พิมพ์เล่าเรื่องที่โดนจารย์สวด แต่เมื่อไม่ได้รับข้อความตอบกลับก็เลยเปลี่ยนไปเข้าแอปดูซีรีย์ออนไลน์แทน รอเวลาพวกแม่งพรีเซ้นต์ กว่าไอ้โทนี่จะเดินหมุนตัวเข้ามาในห้อง ก็เกือบบ่าย3แล้ว สรุปมีแค่ผมกับไอ้พิมที่หัวข้อไม่ผ่าน เป็นท้อเลยครับ ผมแยกกับพวกเพื่อนๆ ที่หน้ามอแล้วเดินข้ามถนนเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินกลับบ้าน เล่ามาตั้งนานพวกคุณอาจยังไม่รู้จักผม ผมชื่อเอกภพครับ เรียกสั้นๆ ว่า ภพ อยู่ปีสองคณะสินกำ แฟชั่น ไอ้สามคนก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนสนิทผม ไอ้พิม ผู้หญิงที่นิสัยเหมือนกระเทย ไอ้โทนี่ กระเทยที่ชอบแอ๊บแมนให้สาวกรี๊ด และสุดท้ายไอ้นนน ชายแท้ที่โคตรแมน จนสงสัยว่ามันมาเรียนแฟชั่นได้ไง ส่วนผมนะหรอ ก็ชายแท้ครับเฉพาะจิตใจนะ แต่ร่างกายกับใบหน้ากูเนี้ยสวนทางกันเหลือเกิน พวกผู้หญิงเรียกว่าอะไรกันนะเคยได้ยินรุ่นพี่พูด อ่อ หนุ่มหน้าหวาน นั่นแหละผมครับ ผมติ๊ดบัตรโดยสารแล้วเดินไปลงบันไดเลื่อน เสียงโปรแกรมแชทดัง เลยล้วงหยิบเอาโทรศัพท์มาเปิด คงเป็นนานะ แต่ไม่ใช่ ปรากฎเป็นแชทกลุ่ม‘เราจะไม่ตาย’



Pimmy.P:พวกเมิงงง แต่งตัวแล้วออกมาเจอcabin night3 ทุ่มนะ ใครไม่มา ออกจากกลุ่มเราไปเลยย

Tonyyyy: อีพิม มึงจะไปขัดหน้าร้านหรอสัส รีบไปทำห่าไร ร้านเปิด สี่ทุ่ม

Pimmy.P:มึงก็รู้ ร้านนี้ไม่รับโทรจอง กูกลัวไม่ได้โต๊ะ วันนี้ยังไงกูต้องเมา

Tonyyyy: ถ้ามันลำบากนัก ไปที่อื่นไหมเมาได้เหมือนกัน

Pimmy.P: ไม่! กูจะเอาที่นี่



ผมอ่านข้อความของมันสองตัวแล้วได้แต่ส่ายหัว ยังไงคืนนี้ผมก็ไม่ออกไปแน่ๆ สงสารก็แต่ไอ้นนน เป็นกรรมของมึงแล้ว ผม กดพิมพ์ ข้อความ ขาก็ก้าวลงบันไดเลื่อน เท้าขยับหลบทางไว้ให้คนเดิน



Ekkapop : @nanon โชคดีนะมึง



ปึก



“ขอโทษ ครับ” ชนซะไหล่เกือบหลุด ผมเงยหน้าจากหน้าจอ มองตามด้านหลังชายร่างท้วมที่วิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ยืนทอดน่องไม่เร่งรีบจนกระทั่งได้ยินเสียงรถไฟกำลังมาเท่านั้นแหละ วิ่งเลยครับ ขี้เกียจรอ ขบวนถัดไป วิ่งลงมาทันเห็น ประตูรถไฟเปิดอยู่ข้างหน้ารำไร รอผมก่อน อย่าพึ่งปิด เสียงร้องติ๊ดๆ ที่เตือนว่าประตูกำลังจะปิด ผมพุ่งตัวไปแล้วชนเข้าที่กระจกกั้นอย่างแรง ไม่ทัน ผมเดินถอยกลับมาหันหลังไปนั่งรอขบวนต่อไป รถไฟออกไปแล้ว วันนี้โคตรไม่ใช่วันของผม มือก็ล้วงกระเป๋าหยิบหูฟังมาใส่แล้วเปิดเล่นเพลย์ลิสต์ที่ฟังบ่อยๆ

กว่ารถไฟขบวนต่อมาจะมาถึงก็ผ่านไปเกือบสามสิบนาที ผมเดินออกจากสถานีปลายทาง ท้องฟ้าเป็นสีส้มอมชมพูสวย จนอดล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายเก็บไว้ไม่ได้ เดินไปสั่งมื้อเย็นสำหรับผมและนานะ หมดไปอีกหนึ่งวัน



ผมเดินไปตามทางเดินที่คุ้นเคยจนมาหยุดที่หน้าห้อง1314แตะคีย์การด์ เข้าไป ไฟในห้องเปิดสว่าง เสียงทีวีดัง ผมเดินเข้ามามองไปทางโซฟา นานะอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ ในมือก็กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย เธอหันมามองผม



“ภพไม่ได้ไปกินข้าวต่อกับพิมหรอ”

“ไม่อะ ภพพิมพ์มาบอกแล้วนะเห็นเธอไม่ตอบ ทำงานอยู่หรอ” ผมเดินเอาข้าวไปวางในครัว และเห็นโทรศัพท์ของนานะวางอยู่ตรงนั้น แค่นี้ก็รู้แล้วว่าทำไมไม่ตอบข้อความผม

“นานะ ลืมมือถือไว้ตรงไหนไม่รู้ ขี้เกียจหาอะ” นั่นไง ผมส่ายหัวขำๆ แบบนี้ประจำ ผมหยิบมือถือแล้วเดินออกมาชูให้เธอเห็น เธอหัวเราะเหะๆ แล้วยื่นมือมารับไป

“ภพซื้อ สุกี้น้ำไม่ใส่ไข่มาให้ แล้วนี่พึ่งอาบน้ำหรอ”

“ขอบคุณนะ ช่ายย” เธอลุกเดินไปที่ห้องครัว ผมแยกเข้าห้องตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับออกมา ก็เห็นนานะนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะแล้ว

“พรีเซ้นต์งานไม่โอเคหรอ นานะพึ่งอ่านแชท”

“อืม ไม่ผ่านอะ ของเธอเสร็จยัง” เดินเข้าครัวไปเทข้าวตัวเองมากินบ้าง เรานั่งคุยกันเรื่องเรียน เรื่องซีรีย์ เกาหลีบ้าง เรื่องเครื่องสำอาง ไปจนถึงคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์ต่างๆ พอกินข้าว ล้างจานเสร็จ นานะแยกเข้าไปแต่งตัว แล้วเดินกลับมานั่งข้างๆกันที่โซฟา ผมซบหัวลงที่ไหล่เธอ แล้วพักสายตา รู้สึกถึงมือที่ลูบหัวผมเบาๆ สบายจัง เริ่มเคลิ้ม ดวงตาปิดสนิท รู้สึกลอยๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงแผ่วเบาข้างหู

“ขอโทษนะ” ขอโทษอะไร นานะขอโทษผมหรอ อยากถามกลับว่ามีเรื่องอะไรแต่ผมก็จมลงไปในความมืด





ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหม แต่พักหลัง วันไหนที่เราไม่ได้เรียนคลาสเดียวกันนานะจะกลับห้องดึกเสมอ เวลาถามก็จะตอบเพียงว่าอยู่ทำงานกับเพื่อนบ้าง ไปกินข้าวกับเพื่อนบ้าง ช่วงแรกๆ ผมก็ไม่ใส่ใจหรอก เพราะไม่อยากทำให้รู้สึกอึดอัด หรือทะเลาะกัน หลังจากผมถามครั้งหลังสุด จากนั้นทุกอย่างก็เป็นปกติจนผมไม่ได้ใส่ใจอีก จนกระทั้งวันนี้ เราเรียนคลาสเดียวกันแต่เธอขอผมไปช๊อปปิ้งกับกิ๊ฟต่อ ผมเลยบอกว่าจะมาด้วย ไปๆ มาๆ กิ๊ฟก็ขอยกเลิกนัด เราเลยมาเดินเล่นกันสองคนสวีทสุดๆ เรายืนอยู่ในร้านเครื่องสำอางนานนับชั่วโมงหน้าที่ของผมก็คอยฟังเธอ ช่วยเลือกลิปต่างๆ ไป สนุกดี ยิ่งเห็นผู้หญิงกับของสวยๆ งามดูแล้วก็เจริญหูเจริญตาดีครับ

“ภพว่าสีนี้ดีไหม” นานะหยิบลิปสี coralมาเทสที่หลังมือให้ผมดู

“ภพว่าสว่างไปเดี่ยวหน้าจะดูคล้ำป่ะ ลองดรอปมาเฉดหนึ่งไหม อันนี้น่าจะดีกว่า” ผมมองเฉดสีเป็นสิบที่วางอยู่ตรงหน้า ถ้ามองผ่านก็คงเหมือนๆ กันแต่จริงๆ มันต่างกันมากครับ ผมเลือกโทนเดิมที่นานะเลือกไว้ก่อนหน้าแต่ดูหม่นกว่าเล็กน้อย จับหลังมือขาวแล้วทาเทียบกับสีผิว

“ภพว่างั้นหรอ"เธอทำหน้าไม่มั่นใจ ผมเลยยกมือเรียกพนักงาน ขอเทส

“พอดีแฟนผมอยากลองสีลิปครับ รบกวนหน่อย"หลังพนักงาน ใช้แปรง ลองทาสีลิปทั้งสองสีให้เธอแล้ว ผมก็ยังลงความเห็นว่าสีที่ผมเลือกเข้ากับเธอมาก ขนาดพี่พนักงานยังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมาะมาก แต่สุดท้ายนานะเลือกสีแรกที่เธอหยิบ เธอบอกว่าเธอเห็นไอดอลที่ชอบใช้แล้วตั้งใจมาซื้อสีนี้โดยเฉพาะ ผมเลยไม่ท้วงเธอต่อ แปลกดี ปกติเธอเชื่อคำแนะนำผมตลอดนะ

หลังซื้อลิปเสร็จเราก็ไปหาร้านนั่งกินข้าวเย็นกัน สุดท้ายก็มาจบที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง ระหว่างรออาหารก็คุยกันเรื่องเรียนที่พึ่งผ่านไป

“อ่าว พวกมึงมากินข้าวอ่อ” ผมเงยหน้ามองคนที่เข้ามาขัดจังหวะ ชายตัวสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี

“พี่เห็นกูอ่านหนังสืออยู่รึไง ถามแปลกๆ”

“สัสกวนตีน เหมือนเดิมนะมึง แล้วเรียนเป็นไงใกล้ตายยัง” พี่มันยืนค้ำหัว ถามไถ่พูดคุยได้สักพัก แล้วหันไปทักคนตัวเล็กที่นั่งอีกฝั่ง

"ว่าไงเรา ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ตั้งแต่พี่เดินเข้ามาก็ไม่ทักกันเลยนะ"

เออจริง ผมมองไปที่นานะ ที่ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ จะว่าไปตั้งแต่พี่มันเดินเข้ามาผมก็ไม่ได้ยินเสียงเธอเลย นานะเงยหน้ามอง แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้

“สวัสดีค่ะ พี่ไบร์ท สบายดีนะคะ”

“สบายดีค่ะ” ผมสังเกตเห็นความอึดอัดของนานะ ไม่รู้มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าเดี๋ยวผมค่อยถามทีหลัง แต่ตอนนี้ต้องทำให้พี่มันเลิกจ้องแฟนผมก่อน

“แล้วพี่มึงมาทำไรแถวนี้ ได้ข่าวว่าย้ายหอไปแถวที่ทำงานแล้วไม่ใช่หรอ” พี่ไบร์ทมันเรียนจบไปแล้วครับ เป็นชายแท้ในแฟชั่นที่หาได้ยาก พอๆ กับผมและไอ้นนน

“พอดีกูนัดเมียไว้แต่เขาเบี๊ยวนัดกู กูเลยต้องมาแดกข้าวคนเดียว”

ผมเห็นพี่มันหันมาตอบผมและมองนานะแวบนึง แล้วคุยกับผมต่อ

“ว่าแต่ กูเหงาอ่ะ แดกข้าวด้วยได้ป่ะ เดี๋ยวกูเลี้ยงพวกมึงเอง” ว่าจบมันก็นั่งข้างๆ นานะ ห่า ทำไรของพี่มันหว่ะ

“พี่ มานั่งกับผมมา นานะดูไม่ชอบพี่อ่ะ ทะเลาะไรกันหรอหว่ะ” ผมบอกพี่มันตรงๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของนานะ จริงๆ สายรหัสนานะสนิทกันมาก นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรู้จักกับพี่มันเพราะตอนปีหนึ่งไปฝากท้องบ่อยเวลาเขานัดเลี้ยงสายกัน พี่มันหันไปมองหน้าคนตัวเล็กแล้วเปิดปากถามนานะที่ตอนนี้ก้มหน้ามองมือตัวเองไปแล้ว แปลก ท่าทางแบบนั้น

“น้องนานะไม่ชอบพี่หรอคะ” เสียงมันดูเจ้าเล่ห์

พี่มันจะพูดคะค่าทุกคำทำไมหว่ะ ผมมองท่าทางคนทั้งคู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย ท่าทางระหว่างทั้งสองคนมันแปลกมาก กำลังจะเอ่ยปากด่าพี่มัน อาหารก็ยกมาเสริฟพอดี แล้วพี่มันก็เปลี่ยนประเด็นถามนู่นนี่ จนผมลืมเหตุการณ์เมื่อกี้ไปพักนึง จนกระทั้ง มือหนาของมันเอื้อมไปเช็ดมุมปากของนานะ ผมคีบซูชิค้างมองภาพตรงหน้า นานะสะดุ้งหลบ แล้วลนลานหยิบทิชชู่มาเช็ดมุมปาก ตาก็เหลือบมองผม

“กินเลอะเทอะเหมือนเด็กๆ เลยนะคะ” กูขอซื้อคำว่านะคะของพี่มันได้ป่ะหว่ะ พี่น้องมันดูแลกันเกินเบอร์ไปไหม ผมยังไม่เคยทำแบบนั้นกับรุ่นน้องเลยนะ

“เห้ยพี่ เกินไปแล้ว นั่นแฟนกู” พี่มันหันมามอง ยักคิ้วกวนตีน แล้วคีบแซลมอนเข้าปาก สัด

“คิดมากหน่า แดกๆ ไปเถอะมึงอ่ะ”

ความคิดแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ จนผมอดขมวดคิ้วจ้องมองทั้งคู่เป็นพักๆ หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ดูอึดอัดมากขึ้น ไอ้พี่ไบร์ทยังคงแสดงออกเหมือนจงใจให้ผมเห็น นานะเธอปิดไม่เก่งเลยครับ ท่าทางของเธอที่ผมเห็นตอนนี้ ยิ่งตอกย้ำความคิดแปลกๆ นั้นของผมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมยังไม่อยากเชื่อความรู้สึกตัวเองแล้วกล่าวหาทั้งคู่ ดังนั้นผมเลยพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด

หลังมื้ออาหารสุดอึดอัดสำหรับนานะและอาจจะรวมถึงผมด้วย เธอขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ ผมเลยยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ไอ้พี่ไบร์ทยืนตัวสูง อยู่ข้างๆ มันยังไม่ยอมกลับ จนผมอดถามมันไม่ได้

“ทำไม พี่มึงยังอยู่อีกหว่ะ” ถามเสียงเรียบ มันลอยหน้าลอยตากดมือถือ

“ก็กูอยากอยู่ กลับช่วงนี้รถติด” ข้ออ้างเหี้ยๆ

“กูถามจริงมึงมีไรอยากบอกกูป่ะ “

ผมหลุดปากถามมันไป เพราะความสงสัยมันกวนใจผม พี่มันหยุดกดมือถือแล้ว หันมามอง สายตามันดูจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงสาร หรือสมเพชหว่ะ ยิ่งเห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งอยากรู้ให้เร็วๆ ว่ามันมีเรื่องอะไร เป็นแบบที่ผมคิดไหม ถ้ามันเป็นเรื่องจริงผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำไงต่อ แต่มันคงดีกว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตรงนี้ เคยเป็นไหมครับ เหมือนเรารับรู้ได้ว่ามีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นแต่เราไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ผมกับพี่มันมองหน้ากัน ผมรอให้มันตอบ

“จริงๆ กูก็อยากคุยกับมึงอยู่เหมือนกัน ดีที่มึงพูดขึ้นมา กูกับ”

“ภพ! นานะอยากกลับแล้วอ่ะ” เธอพุ่งเข้ามาดึงแขนผมให้ถอยออกมาจากพี่ไบร์ท ดวงตามีน้ำใสๆ คลออยู่

“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามออกไป ให้ดูปกติที่สุด แม้ในใจจะเริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ผมไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าพี่มันจะพูดอะไร ยิ่งเธอร้อนรนมาดึงผมออกแบบนี้ มันยิ่งชัดเจน แต่ในเมื่อไม่อยากให้รู้ผมก็จะทำเป็นไม่รู้ เราผูกผันกัน และยังต้องเจอหน้ากันอีกตลอดสามปี ผมไม่อยากให้เราต้องจบกันไม่ดี

“นานะปวดท้องอ่ะอยากรีบกลับห้องแล้ว ภพพาเรากลับหน่อยสิ” เสียงของเธอเริ่มสั่น ผมพยักหน้าหันไปลาพี่มัน ทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น แล้วเดินออกมาพร้อมเธอ แต่วินาทีนั้นผมตัดสินใจแล้ว ผมจะรอ รอให้เธอบอกผมเอง เพราะผมยังเชื่อว่าเธอคงไม่มีวันทำร้ายผมเหมือนที่ผมก็จะไม่ทำร้ายเธอเหมือนกัน แล้วถ้าถึงวันนั้นที่เธอบอกผม ยืนยันกับผม ว่าเธอเลือกเขา ผมจะยอมเดินออกมา



ตลอดเวลาที่เดินทางกลับห้อง เราไม่พูดคุยอะไรกันอีก ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง พอมาถึงสถานีปลายทางผมก็ทำลายความเงียบระหว่างเรา

“เธอยังปวดท้องอยู่ไหม”

“ไม่ค่อยแล้ว” เธอหันมายิ้มบางให้ ผมพยักหน้า

“งั้นเธอกลับห้องไปก่อน พอดีเมื่อกี้ไอ้นนนพิมพ์มา ให้ไปช่วยแบกไอ้พิมกับไอ้โทที่ร้านเหล้า เอาคีย์การ์ดสำรองมาใช่ไหม”

“อ่า เอามาๆ โอเค งั้นถึงแล้วพิมพ์มาบอกนานะด้วย” เธอไม่ได้ถามอะไรมากมาย เราเป็นแบบนี้เสมอ เราไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันมากเกินไป ผมเคยคิดว่ามันดี แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ ผมมองเธอหันหลังเดินออกไปจนลับตา แล้วเดินกลับลงไปที่สถานี โดยมีจุดหมายเป็นร้านเหล้า ไอ้นนนไม่ได้พิมพ์มาหาผมหรอกเป็นแค่ข้ออ้างเฉยๆ ผมแค่ยังไม่อยากกลับห้อง ดีที่วันนี้พึ่งได้เสื้อที่ฝากไอ้พิมกดสั่งไว้ อยู่ในกระเป๋า เลยแวะห้องน้ำเปลี่ยนชุด สุดท้ายผมมาจบที่ร้านนั่งชิลร้านนึงที่ดูบรรยากาศดี ผมไม่ได้โทรชวนใคร เลยเลือกโต๊ะหน้าบาร์ สั่งเบียร์ ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศรอบตัวไม่อยากคิดหาเหตุผลอะไร ผมไม่ควรรีบด่วนสรุปเรื่องนานะ เสียงดนตรีที่ดังคลอเบาๆ ทำให้ผมผ่อนคลาย ผมนั่งกระดกเงียบๆ เริ่มรู้สึกกึ่มๆ โยกตัวตามจังหวะเพลงเบาๆ หัวสมองเริ่มโล่ง เวลาแบบนี้แอลกอฮอล์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม สักพักขวดเบียร์ก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้า ผมมองบาร์เทนเดอร์ เป็นเชิงถาม

“พี่โต๊ะนู่นฝากมาให้ครับ” ผมมองตามนิ้วมือที่ชี้ไปทางขวา และเห็นกลุ่มผู้ชายสี่ห้าคนที่มองตอบผมอยู่ หนึ่งในนั้นยกแก้วขึ้นเป็นเชิงบอกว่าเขาคือเจ้าของเบียร์ตรงหน้าผม ใบหน้าคมยักคิ้วแล้วส่งยิ้มให้ผม อะไรหว่ะ นึกว่าจะเจอสาวเลี้ยงเหล้า ดันเป็นผู้ชายเฉย ผมคว้าขวดเบียร์ตรงหน้าขึ้นมากระดกดื่ม รู้แหละว่าไม่ควรแต่ไอ้นิสัยชอบของฟรีมันเลิกไม่ได้ ยังไงผมก็ผู้ชายคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ขณะที่ปากขวดจ่ออยู่ที่ปาก ขวดเบียร์ในมือก็ถูกดึงออกไปอย่างแรงจนกระแทกริมฝีปากบนไปที ผมยกมือขึ้นกุมปากอัตโนมัติ ตาก็มองว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างมึนงง ภาพตรงหน้าผม มีผู้ชายตัวสูงยืนคิ้วขมวดอยู่ ในมือถือขวดเบียร์ของผม ผมมองสำรวจมัน ใบหน้าคม ผมสีดำสนิท มีไฝเม็ดเล็กใต้ตาเรียว จมูกโด่งจนแทบชนหน้าผม และปากที่ดูรับกับโครงหน้า ดวงตามันดูดุดัน ใครหว่ะ

“ทำไม ไม่ระวังตัวเลย กินของที่คนอื่นยื่นให้มั่วซั่วแบบนี้ได้ไงหว่ะ” เสียงมันดูหงุดหงิด

“โทษนะครับ เรารู้จักกัน? ” ผมถามคนตรงหน้าที่ตอนนี้นั่งลงข้างๆ ผม ยังคุยรู้เรื่องครับแค่มึนแต่ไม่เมา

“กูอะรู้จักมึง แต่มึงไม่รู้จักกู”

มือหนาเลื่อนขวดเบียร์ไปอีกทาง แล้วหันมาสบตาผม

“รู้จักกู”

มือก็ชี้ที่ตัวเอง มันพยักหน้านิ่งๆ ผมเลื่อนมือขึ้นไปเกาท้ายทอยอย่างประหม่า ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ประหม่าสายตามันเนี้ย มันให้ความรู้สึกเหมือนผมทำผิดแล้วกำลังโดนดุ

“หยุดเกา รู้ว่ากินได้ไม่เยอะก็ยังจะมานั่งคนเดียวนะ เพื่อนมึงไปไหนหมด”

เดี๋ยวครับมันคือใครหว่ะ ทำไมดูรู้จักผมดี ผมพยายามนึกว่าเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก หน้าตามันก็ดูไม่น่าใช่คนที่ผมจะมองผ่านได้นะ แต่ทำไมไม่คุ้นเลยหว่ะ ขณะที่นั่งเอ๋อแดกอยู่แบบนั้น สุดท้ายมันก็ลุกขึ้นยืน ฉุดผมให้ลุกตาม แล้วลากเดินออกจากบาร์ เดี๋ยว เดี๋ยวกูโดนฉุดดด

“เห้ยมึง จะพากูไปไหน” ผมสะบัดแขนออกหยุดยืนถามมันกลางทางเดินร้าน

“เดี๋ยวไปส่ง ขอไปบอกเพื่อนก่อน”

“ห๊ะ” มันตอบเสียงเรียบแล้วมือก็จับหมับเข้าที่แขนผมลากพาไปโต๊ะที่ห่างจากบาร์ไปสองสามโต๊ะผมมองกลุ่มผู้ชายห้าหกคนที่นั่งเฮฮากันอยู่ พวกมันมองมาที่เราสองคน ยกยิ้มแล้วสะกิดกันไปมา

“พวกมึงกูกลับก่อนนะ” ร่างสูงตรงหน้าหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ มือมันอีกข้างก็ยังคงจับอยู่ที่แขนผม งง โคตรงง

“ห่า โผล่มาไม่ถึงสิบนาที ถ้ากูไม่โทรบอกว่าไอ้ภพอยู่นี่คนเดียว มึงก็คงไม่โผล่มาใช่ม่ะ” นั่นชื่อผมใช่ไหมมันรู้จักผมหรอ แต่ทำไมผมไม่รู้จักพวกมันหว่ะ ผมได้แต่มองหน้าคนนู่นทีคนนี้ทีอย่างสงสัย ไม่เห็นคุ้นสักคน

“ไอ้คินมึงก็น่าจะรู้ ว่าเพื่อนเราเป็นคนยังไง"

“ยังไงหว่ะ”

“คนกากไง ไอ้ห่า” แล้วเสียงชนแก้ว เฮฮาก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่คนตัวสูงข้างๆ ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย พวกมันเป็นใคร รู้จักผมได้ไงผมไม่สนแล้ว ผมตั้งสติแล้วสะบัดแขนออกหันหลังเดินหนี แต่ไอ้เหี้ยนี่เร็วกว่ามันตามมาจับแขนผมแน่นกว่าเดิมแล้วออกเดินนำไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น โดยมีเสียงผิวปากและเสียงตะโกนตามหลังมา

“เพื่อนกูจะไม่กากอีกต่อไป มันรุกแล้วเว้ยเอาแล้วว” รุกพ่อง



พอเดินพ้นออกมานอกร้านผมก็สะบัดแขนออกอีกครั้ง คนตัวสูงตรงหน้าหันกลับมามอง ทำตาดุๆ แบบนั้นใส่กูอีกแล้ว

“กูไม่รู้จักมึง มาเสือกไรหว่ะ”

“จะไปส่ง” มันตอบกลับหน้านิ่ง สายตาก็มองสำรวจผมหัวจรดเท้า “นั่นเสื้อหรือผ้าขาวบาง” ผมขมวดคิ้วก้มมองตัวเอง เปรียบเทียบได้เหี้ยมาก นี่คอลใหม่ล่าสุดจากรันเวย์เลยนะเฟ้ยกว่าจะได้มา แล้วมันมายุ่งไรกับเสื้อผมหว่ะ เพื่อนก็ไม่ใช่

“ยุ่งไรกับเสื้อกู และก็ไม่ต้องไปส่ง กูกลับเองได้” ว่าจบก็หันหลัง เดินออกมาแต่ไม่วายยังได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ตามมา เลยหันกลับไปเตรียมด่าเต็มที่ “กูบอกให้เลิกตามกูไง!” ฉิบหาย



“พี่ไม่ได้ตามน้องนะ พี่ก็จะไปทางนี้เหมือนกัน” คนตรงหน้าผมไม่ใช่คนที่ต้องการจะด่าครับ ไอ้คนที่อยากด่ามันยืนมองยิ้มเยาะอยู่ที่เดิม ผมได้แต่กล่าวขอโทษแล้วถอยให้เขาเดินไปก่อน หันไปมองไอ้คนตัวสูงแวบหนึ่งแล้วรีบจ้ำเท้าเดินออกมา ระหว่างทางกลับบ้านก็คิดไปด้วยว่าเคยเห็นพวกนั้นที่ไหนบ้างไหมแต่คิดยังไม่ก็คิดไม่ออก สุดท้ายก็ปล่อยความสงสัยนั้นไว้แบบนั้นกว่าผมจะมาถึงห้องก็นู่นปาไปเกือบตีสอง ในห้องมืดสนิท พอกลับเข้าห้องมา เรื่องเมื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง นานะคงเข้านอนแล้ว ผมเดินไปเปิดตู้เย็นดื่มน้ำ แล้วตรงดิ่งไปห้องตัวเอง ทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งสภาพนั้น แล้วหลับไป

#คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่7
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 01-03-2020 16:49:27
Chapter7

ร้ายกาจ!



หลังจากวันนั้นทุกอย่างกลับมาปกติ นานะกลับมาทำตัวเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องให้ผมขุ่นข้องหมองใจอีก จนผมคิดว่าเรื่องก่อนหน้านี้ผมคงคิดไปเอง ดีนะที่ฟูมฟายแค่ในใจ ถ้าไปเล่นใหญ่ใส่เธอ คงได้หน้าแตกกลับมา พอหมดเรื่องนั้น ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ระหว่างที่มอ กับคอนโด เฮฮากับเพื่อนในกลุ่มบ้างประปราย แต่ตอนนี้ผมกำลังจะบ้า

“มึงคิดออกยัง” เสียงไอ้พิมดังเรียกสติ เรานั่งกันอยู่ที่ห้องสมุดออกแบบครับ เป็นสถานที่ ที่เต็มไปด้วยหนังสือออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อให้เราได้เลือกศึกษาเป็นไอเดียหรือแนวทาง แต่ตอนนี้แนวทางกูมืดมนมากกก

“ยังเลยหว่ะ”

“เออไม่เป็นไรหรอก มึงค่อยๆ คิดไป เดี๋ยวกูช่วย”

“เออ ขอบใจ”

คือผมนะพรีเซ้นต์หัวข้อผ่านแล้วครับ สำหรับวิชาอาจารย์ภู แต่ไอ้พวกเทคนิคหรือการนำมาใช้เนี่ยเสนออะไรไปจารย์ก็บอกให้คิดอีก เพิ่มอีก นี่ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วงานผมยังไม่ถึงไหนในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มทดลองทำเทคนิคกันแล้ว เครียดดิกลัวทำไม่ทันเพื่อน ไอ้พิมเดินลุกไปจากโต๊ะ คงไปหาหนังสือมาให้ผม

“ขอกูทำของกูอีกสิบนาที แล้วไปช่วย” ไอ้โทนี่เงยหน้าจากงานมันมาบอก น้ำตาจะไหล ผมหันซ้ายหันขวาหาเพื่อนอีกคน

“ไอ้นนนไปไหนหว่ะ”

“ห้องน้ำมั้ง” ผมพยักหน้ารับ ก้มลงทำงานต่อ ไม่นานกองหนังสือสี่ห้าเล่มก็วางลงข้างๆ มือ

“หาเล่มที่น่าสนใจและดูจะเข้ากับงานมึงมา มึงลองดูต่อเอง"มองมันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ หยิบเม้าปากกามาวาดงานต่อ ไอ้นนน ไอ้เหี้ย กูรักมึง มันเป็นประเภทไม่พูดมากแต่ลงมือทำเลย ช่วยเพื่อนทุกคนเติมร้อยเสมอ ผมโคตรรักพวกแม่ง

“เลิกมองกูแล้วทำงาน”

“เอออออ”



ผมนั่งเปิดดูหนังสือที่กองอยู่ตรงหน้าทั้งจากไอ้พิมเอามา จากไอ้นนน หรือแม่แต่จากที่ผมลุกไปเลือกเอง อันไหนที่น่าสนใจก็ถ่ายๆ รูปไว้ แล้วก็ให้พวกมันช่วยดูอีกทีว่าพอจะเป็นไปได้ไหม เพราะบางครั้งสิ่งที่เราอยากทำมันทำจริงไม่ได้ อุปกรณ์ไม่พร้อมบ้างหาวัสดุไม่ได้บ้าง ผมได้งานที่น่าสนใจมาเสนอจารย์สองสามแบบ ขณะที่แต่ละคนกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานตัวเองกัน บ่าผมก็ถูกเตะเบาๆเลยหันกลับไปมอง ผู้หญิงตัวเล็ก ใบหน้าหวาน ยืนยิ้มให้ผมอยู่

“ไง ภพ"เพื่อนผมเงยหน้าขึ้นมามองคนมาใหม่แล้วยกมือไหวกัน ทวดสายรหัสผมเองครับ

“หวัดดี พี่จูนมาหาไอเดียหรอ” ผมหันไปคุยด้วยเสียงไม่ดังมาก พี่มันส่งยิ้มรับไหว้ทุกคนแล้วชะโงกหน้ามามองบนโต๊ะ

“เออใช่ แล้วนี่พวกแกเป็นไง ทำการบ้านจารภูอะดิ”

“อืม เครียดหว่ะพี่”

“โอ๊ยย ไม่ต้องเครียดที่มึงเจออยู่อ่ะจิ๊บๆ เลย ถ้าเทียบกับปีสามปีสี่” เออรู้แหละได้ยินมาเยอะ

“เออ ภพ พอดีเลยว่าจะโทรหาอยู่ ฉันขอคุยไรด้วยหน่อยดิออกไปข้างนอกกัน”

“มีไรหว่ะพี่”

“เออ ออกมาก่อน คุยในนี้นานๆ เดี๋ยวคนด่า” ผมบอกเพื่อนแล้วลุกเดินออกมานอกห้องสมุดกับพี่จูน พอพ้นเขตห้ามใช้เสียงพี่มันก็เข้าเรื่องทันที

“เข้าเรื่องเลยนะ คือแกรู้ใช่ป่ะว่าปลายเดือนหน้าจะมีงานกีฬามหาลัย แล้วปีนี้ฉันก็ยังต้องเข้าไปช่วยดูอยู่ จะให้ไปเรียกปีสามกับสี่มาช่วยมันก็ไม่น่าไหวกันแค่ซีเนียร์กับทีสิสแม่งก็ไม่มีเวลานอนแล้ว ดังนั้น พี่ขอร้องช่วยพี่หน่อยดิ” เห็นลางมาแล้วครับ ไม่เอาโว้ยยย ถึงจะเป็นพี่ก็เถอะ แค่นี้ก็เครียดจะตายแล้ว

“เห้ยย ไม่เอาพี่ ผมก็ไม่ว่างเหมือนกัน” พี่มันดึงมือผมไปเขย่าๆ ทำหน้าตาอ้อนสุดฤทธิ์

“โหยย ภพน้องรัก แกจะใจร้ายกับฉันได้ลงคอหรอ” เผลอใจอ่อนลงไปนิดนึง เห้ยแต่ไม่ได้ ไอ้ภพนึกถึงงานที่กองอยู่บนโต๊ะก่อนน

“พี่รับงานมาเองก็จัดการเองเด้ ปีหนึ่งไงเยอะแยะ”

“ปีหนึ่งมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ ฉันไม่ได้ให้แกทำไรเยอะหรอก แค่มานั่งคุมน้องให้ หยิบๆ จับๆงานนิดหน่อย งานหนักๆ อะฉันมีมินนี่ช่วยแล้ว ถ้าเย็นไหนแกไม่ว่างก็บอกก่อน แค่นั้นเองเหอะน่า ช่วยหน่อย นะ นะ” แล้วพี่มันก็เอาหน้ามาถูแขนผม “น้าน้องภพของพี่จูน จูน” ตายไปเลย มีผู้หญิงน่ารักมาอ้อนผมก็แพ้ดิครับ เผลอพยักหน้ารับงานเฉย ไอ้ภพเอ้ยยย หาเรื่องไอ้ฉิบหาย พี่มันเห็นผมตกลงก็ถอยออกยืนยิ้มกว้าง

“น่ารักที่สุด งั้นพรุ่งนี้แกมีเรียนไหมแล้วกี่โมง” จะเริ่มเลยเรอะ

“มีเรียนรวม เช้าคาบเดียวครับ”

“โอเค เลิศ เลิกแล้วอย่าพึ่งกลับ สักบ่าย 2แวะมาที่ห้องกราฟิกนะ”

“โหพี่ งานจารภูผมยังไม่เสร็จเลย ต้องส่งความคืบหน้าอีก”

“วันไหน”

“พฤหัสหน้าครับ”

“โอ้ย มีเวลา เอามานั่งทำรอก็ได้ เดี่ยวฉันเข้ามาช่วยดู โอเค๊” จะปฎิเสธอะไรได้หว่ะ เลยจำใจพยักหน้ารับไป “น่ารักก ป่ะ เดี่ยวเลี้ยงกาแฟ” มือบางยืนมาบีบแก้มผมดึงไปมา แล้วลากไปร้านกาแฟ หมดกันความคูลที่สะสมมา



พอกลับมาที่ห้องสมุดพร้อมพี่จูน ตอนนั้นก็เกือบ 2ทุ่มแล้ว อีกชม.เดียวห้องสมุดก็จะปิด พี่จูนแยกไปทำงานตัวเองต่อ ผมก็เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง ที่เหลือแค่ไอ้นนนนั่งอยู่

“คนอื่นอ่ะ” มันหันกลับมามอง

“กลับกันไปแล้ว ของมึงยังอยู่นี่ กูเลยนั่งรอมึง” ผมมองข้าวของตัวเองและกองหนังสือที่ยังวางเปิดค้างอยู่

“อ่าว ไม่โทรตามหว่ะ มึงกลับเลยก็ได้นะเดี่ยวกูขอถ่ายพวกหน้าที่สนใจก่อนแล้วจะกลับแล้วเหมือนกัน” ปากพูดมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารีบกดถ่ายหน้านู่นหน้านี่ไปเรื่อย ด้วยความรีบเพราะขี้เกียจกลับมาหาใหม่ เลยลืมไอ้นนนไปเลย ผมถ่ายเล่มสุดท้ายที่สนใจไว้เสร็จ พลิกปกปิด เริ่มเก็บหนังสือ รวมกัน เตรียมเอาไปวางคืนที่รถเข็นสำหรับหนังสือที่หยิบออกมา

“เดี่ยวกูเอาไปวางเอง มึงเก็บของมึงเหอะ” อ่าว มันยังอยู่ นั่งเงียบเป็นอากาศเลยไอ้้สัด

“เออๆ ขอบใจ” มันหอบกองหนังสือทั้งหมดแล้วลุกเดินออกไป พอมันเดินกลับมาผมก็เก็บของเสร็จพอดี “มึงจะกลับเลยป่ะ กูหิวหว่ะ”

“ออกไปกับพี่จูนตั้งนานไม่ได้ไปแดกข้าวหรอ” เราเดินคุยกันออกมาจากห้องสมุด

“ป่าว พี่มันเลี้ยงกาแฟแล้วก็เม้าท์มอยไม่หยุด”

“อืม จะกินไร” เราแวะเข้าร้านข้าวไม่ใกล้ไม่ไกล ระหว่างรอ ผมก็เปิดประเด็น

“เออ พี่จูนแม่งมาขอให้กูไปช่วยงานกีฬา ไม่อยากทำเลยหว่ะ แต่ปฎิเสธไม่ได้”

“หาเรื่องสัด ว่างหรอมึง” มันพูดแล้วส่ายหัวไปมา ไอ้นี่ก็พอๆ กับผมแหละกิจกรรมไม่ค่อยร่วม แต่เพราะบุคลิกมันที่ดูแล้วไม่มีใครกล้ายุ่ง พี่ๆ เลยไม่ค่อยมาเสวนากับมันเท่าไหร่ ขนาดพี่รหัสยังเพลียกับมันเลย นอกจากพวกผมแล้วมันก็เป็นประเภทถามคำตอบคำ ช่วงแรกๆ นี่พี่ๆ กริ๊ดมันเยอะมากครับผมนี่เป็นหมาเน่าเลยหล่อได้ไม่เท่าคุณเขา เข้าใจได้ของแรร์ไอเท็ม ชายแท้หน้าตาดีคมเข้ม เข้ามาทั้งที สาวแท้สาวเทียมก็กริ๊ดเป็นธรรมดา แต่พอเจอนิสัยมันไปทุกคนก็เริ่มออกห่าง ไม่เกลียดแต่ก็ไม่ยุ่งกับมัน

“มึงไปช่วยกับกูหน่อยดิ” ไหนๆ ผมจะเหนื่อยแล้วควรพาเพื่อนไปเหนื่อยด้วยกัน

“ไม่ใช่เรื่อง” รู้อยู่แล้วแหละว่าแม่งไม่ช่วยหรอก แต่เผื่อมันเห็นแก่ความเป็นเพื่อน เท่าที่ดูแล้วความเป็นเพื่อนของผมกับมันคงสั้นเท่าหรรมมด เราแยกย้ายกันกลับบ้าน มาถึงห้อง ไฟห้องกลางเปิดอยู่ เสียงทีวีดังเบาๆ ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ

“กลับดึกจัง งานคีบหน้าไหม”

“ก็…คีบหน้า แล้วเธออ่ะทำไมยังไม่นอน”

“นั่งดูซีรีย์อยู่อ่ะ”

“นอนได้แล้วมั้ง ดึกแล้ว”

“เนี้ยจะจบแล้ว ภพไปอาบน้ำเหอะ”

“โอเคค เหนื่อยมากกก งั้นภพนอนก่อนนะ” นานะส่งยิ้มให้แล้วหันไปมองจอต่อ ผมลุกเดินเข้าห้องตัวเอง อาบน้ำจดลิสต์ที่ต้องทำวันรุ่งขึ้น แล้วทิ้งตัวลงนอน หมดไปอีกหนึ่งวันชีวิตไอ้เอกภพ







“ไอ้ภพ อีโง่ทำไมมึงไม่ปฎิเสธพี่เขาไปหว่ะว่างานเยอะ ตอแหลอะไรไปก็ได้” ไอ้โทนี่พูดขึ้น ตอนนี้พวกผมมาสิงกันอยู่ที่ร้าน'นอนไม๊มึง’ ร้านกาแฟหลังตึก ผมพึ่งบอกอีกสองคนว่าต้องอยู่รอเจอพี่จูนจูน พวกมันเลยอยู่รอเป็นเพื่อน

“พูดง่าย” ตอบมัน ปากก็ดูดโกโก้ไปด้วย

“โอ๊ย มึงแค่พูดๆ ตอแหลไปก็ได้แล้ว แต่มึงโง่ไง” ไอ้พิมช่วยรุมอีก เออขอบใจ

“มึงต้องเห็นหน้าพี่เขาตอนนั้น เป็นมึงก็ใจอ่อน”

“ไม่มีทาง”

“กูก็ไม่

“ไอ้นนนมึงเป็นผู้ชายเหมือนกูถ้าเป็นมึง มึงก็ทำแบบกูช่ะ”

“ไม่หว่ะ”

“ฮ่าๆๆๆๆ อีควาย ใจดีไม่ดูตัวเอง งานก็ยังไม่ผ่านเสือกจะไปช่วยเขาอีก” พวกเหี้ย ซ้ำเติมเก่ง ผมนั่งฟังพวกมันก่นด่า แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องไร้สาระ จนใกล้เวลาที่พี่จูนนัดไว้ พวกมันก็เดินมาส่งผมที่ใต้ตึก

“โชคดีนะคะที่รัก” ไอ้พิมพูดโบกมือไปมา ก่อนจะโดนไอ้โทนี่ล๊อคคอแล้วลากออกไป ไอ้นนนพยักพเยิดให้ผมทีหนึ่งแล้วเดินตามพวกนั้นไป ผมได้แต่ยืนทำหน้าหน่าย มองพวกมันหายลับตา แล้วเดินเข้าตึก ผมมานั่งรออยู่ในห้อง ไม่เห็นมีใครมาสักคน ส่งข้อความบอกพี่จูนว่าผมมาถึงแล้วนะ และได้รับคำตอบว่าแกกำลังเข้ามา เปลี่ยนไปพิมพ์คุยกับเพื่อนคุยกับนานะจนวางสายไปแล้วดูซีรีย์ก็แล้วก็ยังไม่มีใครโผล่มา ผมมองเวลาในจอ บ่ายสามจะครึ่งแระ ถ้าพวกแม่งจะเลทขนาดนี้แล้วนัดบ่ายสองทำเหี้ยไรเนี้ยยย



แกร๊ก



ผมหันไป เห็นกลุ่มคนมาใหม่ห้าหกคนที่เดินเข้ามา ไม่คุ้นหน้าสักคน จนกระทั้งคนสุดท้าย เดินเข้ามา ผมก็ยิ้มได้หน่อย ผมรู้จักพี่มัน ไอ้พี่เฟียต พี่แกเป็นประธานรุ่น รุ่นเดียวกับพี่จูนเนี่ยแหละ เรียนจบไปแล้วแต่รักคณะยิ่งชีพ เลยแวะเวียนมาช่วยงานกิจกรรมในคณะตลอด ผมสนิทกับพี่มันเพราะตอนรับน้องเคยมีประเด็นกันนิดหน่อย พี่มันหน้าตาโหดแต่จริงๆ จิตใจก็เหี้ยไม่ต่างจากหน้าตาครับ พูดเล่นนะ จริงๆ พี่มันก็เป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่งเลย

“เอ้า ไอ้น้องภพ มาทำเหี้ยไรที่นี่” มันเดินเข้ามาทักผม ส่งยิ้มยียวนกวนส้นมาให้

“กูก็ไม่รู้พี่ พี่จูนให้มาอ่ะ”

“มึงนี่เหมือนเดิมเลยหว่ะ”

“หล่อเหมือนเดิม”

“ป่าวเอ๋อเหมือนเดิม ใครบอกให้ทำไรก็ทำ เชื่อฟังฉิบหาย”

“ก็กูคนดีไงพี่” อย่าเรียกว่าเชื่อฟังเลย จริงๆ คือกูไม่รู้จะปฎิเสธยังไง

“คนดีกับคนโง่มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ มึงรู้ใช่ม่ะ” โคตรกวน พี่เหี้ย

“สัด แล้วพี่มาทำไร งานการไม่มีไง”

"เอ้า มึงก็น่าจะรู้นะกูไม่พลาดงานแบบนี้หรอก มาๆ กูจะแนะนำคนที่เหลือให้รู้จัก"แล้วพี่มันก็ดึงผมให้เดินไปอีกโต๊ะที่มีคนอื่นๆ นั่งอยู่ “ไอ้พวกนี้อยู่กราฟิกหมด ไอ้แว่นนี่ ชื่อ กิต รุ่นพี่มึงปีนึง ข้างๆ มันที่หน้าตาเกือบสวยนั่นไอ้บะหมี่ รุ่นเดียวกับกู”

“ไอ้เลวเฟียต” ผมมองพี่ผู้หญิงที่ดูแมนๆ ที่เถียงพี่เฟียตเรียกเสียงหัวเราะให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น พี่แกหน้าตาน่ารักครับแต่ดูฮ้าวเอาเรื่อง

“อะโทษครับคุณบะหมี่ ต่อนะ นั้นไอ้โอบ ไอ้แบงค์ ไอ้มิกซ์ รุ่นเดียวกับมึง” ผมมองสามคนที่เหลือแล้วขมวดคิ้ว เอ๊ะ คุ้นมากแต่นึกไม่ออก เคยเห็นพวกมันที่ไหนหว่ะ สงสัยเคยเดินสวนกันในคณะ พวกมันเองก็มองผมแล้วส่งยิ้มให้ เออดูเป็นมิตรดี

“ส่วนนี่ น้องภพคนน่ารักของแฟชั่น พวกมึงน่าจะรู้จักกันมาบ้างแล้ว” ผมเหล่ตามองพี่เฟียต

“เชี่ยพี่ กูหล่อเว้ยไม่ได้น่ารัก แล้วกูไม่ได้ดังเขาจะรู้จักกูกันได้ไง” พี่มันมองผมแล้วหัวเราะเสียงดัง งงไปดิ มีไรให้ขำหว่ะ ผมมองไปที่คนที่เหลือทุกคนก็มองผมพร้อมรอยยิ้มที่แตกต่างกันไป หันกลับมามองไอ้พี่เฟียตที่ยังหัวเราะอยู่ มันตลกขนาดนั้นเลย? พี่มันเอื้อมมือมาขยี้หัวผมจนยุ่ง

“มึงเอาไรมาหล่อ ก็มึงเป็นแบบนี้ไงกูถึงบอกว่าน่ารัก” มันว่า “แล้วมึงก็ดังมากในเอกโดยเฉพาะสาขากูจำไว้” คิดหนักไปอีก เอาไรมาดังหว่ะ รับน้องก็ไม่ได้เข้า กิจกรรมก็ไม่ค่อยร่วม วันๆ อยู่แต่กับกลุ่มแฟชั่นไม่รู้จักเพื่อนเอกอื่น ถึงห้องเรียนกราฟิกกับแฟชั่นจะอยู่ชั้นเดียวกันแต่ผมก็ไม่เคยไปสุงสิงไรด้วย ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย



พี่มันให้ผมนั่งด้วยกัน ไม่นานเอกอื่นๆ ทั้งการแสดง ดุริยางก็ทยอยกันเข้ามา และยังคงไร้วี่แววพี่จูนๆ ของผม พี่เฟียต ออกไปยืนหน้าห้องพร้อมๆ กับพี่อีกหกคน ทั้งหมดแนะนำตัวว่าเป็นประธานของเอกต่างๆ หลังจากนั้นการแนะนำตัวของคนร่วม20คนก็เริ่มขึ้น เท่าที่ดูเอกออกแบบก็มีแค่ผม จากแฟชั่นคนเดียว แล้วก็กราฟิก และจิวเวอรี่อีกสองคน ซึ่งเหมือนเดิมผมไม่รู้จักใครเลย แต่มีบางคนที่รุ่นเดียวกับผมก็ส่งยิ้มทักทายให้เหมือนคุ้นเคยกันดี ไปๆ มาผมก็มีเพื่อนใหม่เต็มไปหมดทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ เปิดประสบการณ์คนเพื่อนน้อยของผมมาก พี่จูนเปิดประตูเข้ามาตอนที่กำลังจะเริ่มอธิบายเนื้องานพอดี พี่แกเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว แค่ทักทายพอเป็นพิธีแล้วเดินมานั่งข้างๆ ผม



“โทษทีงานติดพัน เฟียตต่อเลย” พี่เฟียตพยักหน้าแล้วเริ่มพูดต่อ

“โอเค ต่อนะ ปีนี้โจทย์ที่เราได้มาคือวรรณกรรม ดังนั้นวันนี้กูอยากให้ช่วยกันเสนอมาว่าจะทำเรื่องอะไร แล้วจะได้เริ่มรีเสิชแล้ววางแผนกันต่อ” ผมยังใหม่ครับเลยเลือกจะนั่งมองเขาเสนอเรื่องกัน คึกครื้นไปหมด

“กูขอเสนอ ฟิฟตี้เชด ออฟเกรย์” พี่กิตมันเสนอ

“ติดเรทไป ไอ้เหี้ยกิต”

“ฮังเกอร์ เกมส์ ไหมกูจะเป็นเคตนิสผู้มากับไฟ” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น เออผมว่าน่าสนนะ เสื้อผ้าดูเล่นได้เยอะ

“เออมึงได้มากับไฟแน่ งานร้อนขนาดนี้ มีเวลาสี่อาทิตย์ จะทันประหว่ะ แต่น่าสนเก็บเป็นตัวเลือกก่อน มีเรื่องไรอีกว่ามา” พี่เฟียตเขียนชื่อลงบนกระดาน แล้วหันกลับมาถามต่อ

“วินนี่ห์ เดอะ พู ผมอยากกินน้ำผึ้ง” เสียงทุ่มของคนที่นั่งใกล้ๆ ผมดังขึ้น

“เชี่ยโอบมึงกลับไปแดกที่บ้านนะ เด็กไปไอ้สัด” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง ผมเองก็หัวเราะให้กับความคิดปัญญาอ่อนของมัน “อ่ะไหนน้องภพ มึงเสนอมาสักเรื่องสิ” กรรม เอาไรดีหว่ะ ทุกสายตาในห้องพุ่งมาที่ผม อย่ากดดันกันเส่

“เออ เออ แฮรี่ พอตเตอร์ไหมครับ” เงียบ ผมก้มหน้าลง เสียเซลฟ์สุด เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้น

“เอ้อ วรรณกรรมเด็กเหมาะกับมึงดี แต่น่าสนใจๆ มีลูกเล่นเยอะ” พี่เฟียตว่าแล้วหันไปเขียนชื่อเรื่องที่ผมเสนอไป หลังจากนั้น ก็มีคนเสนอมาอีกสองสามชื่อ สุดท้ายก็เคาะกันออกมาได้สามเรื่อง คือ ฮังเกอร์ เกมส์ แฮรี่ และโรมีโอกับจูเลียต ใจผมอยากได้ฮังเกอร์เกมส์ เสื้อผ้าดูเล่นได้เยอะอ่ะ คิดภาพออกแล้วเนี้ย ตื่นเต้น

“อ่ะเหลือ สามเรื่อง กูว่า โรมิโอกับจูเลียตซ้ำซากไป คนอื่นคิดว่าไง”

“อืม เห็นด้วย” เสียงหลายคนเห็นด้วยกับความคิดพี่เฟียต

“โอเค ตัด อะสองเรื่อง สุดท้ายที่เข้าชิง” ผมนั่งฟังทุกคนถกกันไปมา เพราะทั้งสองเรื่องก็มีอะไรให้เล่นได้เยอะ แต่สุดท้ายก็ต้องคำนึงเรื่องสถานที่ด้วยว่าเราจะทำลูกเล่นนั้นให้เป็นจริงได้ไหม

“โอเคเราฟังไอเดียของทั้งสองเรื่องกันแล้วงั้นมาโหวตกัน ใครเลือกเคตนิส ยกมือ” ผมยกมือขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ห้อง โอโห้ว ทั้งห้องครับมีแค่ไอ้สามตัวข้างๆที่ไม่ยก “17โหวต เกินครึ่งเนอะ อีกสามเสียงที่เหลือ กูอยากฟังเหตุผลเลย ไอ้โอบ ไอ้มิกซ์ ไอ้แบงค์ ทำไมเลือกแฮรี่หว่ะ” เออผมก็อยากรู้ หันมองพวกมัน ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็เป็นไอ้โอบที่เปิดปาก

“พวกผมโดนบังคับให้เลือกเว้ยพี่ มีคนเป็นห่วง กลัวคนเสนอเรื่องนี้จะเสียใจ” แล้วมันก็เหล่ตามาที่ผม

“อ่ออออออ เขาก็ห่วงของเขาอะเนอะ แล้วนี่มันไปไหนทำไมไม่เข้ามา” ไอ้พี่เฟียต ถามหาใครสักคน ผมได้แต่หันไปมองคนนั้นพูดทีคนนี้พูดที เอาตรงๆ งง คุยไรกันหว่ะเหมือนจะเกี่ยวกับผมแต่ก็ไม่แน่ใจ

“ช่างหัวมันเหอะพี่ แม่งกาก ไม่รู้กลัวห่าไร”

“เออๆ โอเคกลับมาที่งาน สรุปได้ธีมแล้ว งั้นแบ่งงานของแต่ละฝ่ายกัน" แล้วทั้งห้องก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง พี่เฟียตจัดการจดรายชื่อของแต่ละฝ่ายออกมา ผมอยู่ฝ่ายคอสตูม ซึ่งนอกจากผมพี่จูน พี่มินนี่ที่ไม่ได้มาแล้ว ก็มีพี่ๆ เพื่อนๆ จากออกแบบการแสดงมาช่วยด้วยเราแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม พวกผมทำชุดหรีด การแสดงดูชุดของพวกสแตน พอแบ่งงานกันเรียบร้อย พี่เฟียตก็สรุปงานของวัน

"หลังจากนี้ฝากแต่ละฝ่ายรีเสิชและทำการบ้าน งานจะเร่งหน่อยกูมีเวลาให้คิดสองวัน เพราะงั้นเจอกัน อีกทีวันพฤหัสเวลาเดิม สถานที่เดี๋ยวฝ่ายประสานงานจะพิมพ์แจ้งในกลุ่มอีกที ใครยังไม่เข้ากลุ่มแชทก็เข้าด้วยไอ้ห่า อย่าให้ต้องตาม" พี่มันพูดยืดยาวแล้วหันมามองพวกผม"พวกปีสอง ปีสาม ถ้าติดเรียน ไม่ต้องเข้ามาก็ได้ แต่พิมพ์บอกไว้หน่อยก็ดี หรือฝากงานกันเข้ามาก็ได้ รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองกันด้วย สุดท้าย กูไม่กดดันนะแต่ปีนี้สินกำต้องได้ถ้วยกองเชียร์ อะแยกย้าย ขอบใจมาก” ทุกคนเริ่มลุกเดินออก บางคนก็ยังนั่งคุยกันเสียงดัง พี่จูนหันมาบอกให้ผมกลับได้เลย แล้วลุกเดินเข้าไปคุยกับพี่เฟียต ผมลุกเก็บสมุดจด เหลือบตามองไอ้สามคนที่ยังนั่งอยู่ จ้องมองผม

“พวกมึงมีไรป่าว”

“ขอถ่ายรูปคู่กับมึงได้ป่ะ”

“ถ่ายไมหว่ะ”

“เออหน่า มาๆ ถ่ายรูปกัน” แล้วไอ้โอบก็ลุกเดินมา ยืนข้างผม ดึงผมเข้าไปใกล้ เอาหน้ามาแนบหน้าผม มือมันก็กดถ่ายไปสองสามรูป เอากะมันดิ

“ไอ้ภพ ยิ้มหน่อยดิ” ผมมองกล้องแล้วฉีกยิ้มใส่

“อ่าวไอ้ยุ พึ่งมาทำห่าไรตอนนี้ เขาเลิกประชุมแล้ว” เสียงดังๆ ของไอ้พี่เฟียต ทำให้ผมหันไปมอง แล้วผมก็เห็นคนมาใหม่ มันมองมาที่ผม แล้วเดินตรงเข้ามา

“ไอ้ห่านี่ พี่มึงยืนหัวโด่ไม่ทักไม่ทาย” เสียงพี่เฟียตด่าตามหลังมัน ปะปนไปกับเสียงหัวเราะของพวกไอ้โอบที่ยืนอยู่ข้างผม มันเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม

“มาได้สักทีนะมึง ไอ้ภพนี่เพื่อนพวกกูเอง พายุ”

ผมมองมันนิ่ง จำมันได้ดีไอ้คนที่ฉุดผมที่ร้านเหล้า นึกย้อนที่มันพูดว่ามันรู้จักผม ที่แท้เป็นงี้เอง อยู่เอกเดี่ยวกัน มันอยู่ใกล้ตัวกว่าที่ผมคิด มันไม่พูดอะไรสักคำ แค่จ้องมองผม ไม่ชอบสายตาที่มันมองเลยหว่ะ ดูกวนตีน

“ห่า พวกมึงจะจ้องกันอีกนานไหม จ้องเขาขนาดนี้ มึงเอากลับบ้านเลยไหมไอ้ยุ”

“ได้หรอ”

“ไม่ได้โว๊ยย ไอ้เหี้ยนี่” เสียงไอ้มิกซ์โวยวายอยู่หลังผม

ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า แล้วก้าวเท้าเดินหนี ก้าวไปได้ก้าวเดียวมันก็เหวี่ยงตัวมาบัง จะเอาไงกับกูเนี่ย เงยหน้ามอง โอโห้ วันนั้นไม่ได้สังเกต แม่งสูงกว่าผมหลายอยู่ อิจฉาหว่ะ อากาศข้างบนน่าจะดี

“ไงเอกภพ เจอกันอีกแล้วนะ”

“ไม่ได้อยากเจอ หลบ กูจะกลับบ้าน” มันไม่หลบครับ แต่ยิ้มเฉย มึงบ้าปะเนี้ย

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่….”

“ไอ้เหี้ยยุ มึงไม่ต้องเลย มึงยังกลับไปไม่ได้ไอ้สัด” เป็นพี่เฟียตที่เดินเข้ามาขัดผมที่กำลังจะปฏิเสธมันพอดี พี่มันเดินมากอดคอไอ้ตัวสูงที่ยืนบังทางผม “มาช้า แล้วยังจะหนีกลับก่อนอีกนะ อยู่คุยงานกับกูก่อน”

“ฟังกูอยู่ป่ะเนี้ยไอ้สัด” ผมมองไอ้พายุที่ยังยืนนิ่งมองผม สบตากับมันด้วยความสงสัย

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ห่า ไม่ตอบคำถามกูเลย น้องเวร"

“ไม่ต้อง” มันจะอะไรนักหนากับผมหว่ะ เจอครั้งแรกร้านเหล้าก็แบบนี้ มึงเป็นแท็กซี่เรอะ

“จะไปส่ง”

“ก็บอกว่าไม่ต้อง หลบดิ๊ กูจะออกเนี่ย” ผมติดอยู่ในวงล้อมของพวกมัน ด้านหลังผมเป็นไอ้สามตัวที่ยืนยิ้มจิ้มจุ่ม ทางออกก็มีอยู่ทางเดียวคือด้านหน้าผม ที่มีไอ้พายุกับพี่เฟียตยืนปิดทางอยู่

“ก็อยากไปส่งอ่ะ” โว้ยยย รำคาญ ปากกำลังจะด่า



เพี๊ยะ



“ไอ้ห่า ยังไม่หยุดอีก เลิกแกล้งไอ้ภพ แล้วไปคุยงานกับกูตรงนู่นเลย” ไอ้พายุโดนพี่เฟียตตบหัวไปที ดีมากพี่ ตบแม่งแรงๆ เลย กวนกูดีนัก มันโดนลากไปอีกด้าน สมน้ำหน้า เห็นแล้วก็อดยิ้มเยาะมันไม่ได้ สะใจโว้ยย แต่พอเห็นสายตาที่มันมองมากับริมฝีปากที่ขยับเน้นคำผมก็หุบยิ้มทันที



‘ยิ้มน่า รัก’



เกลียดอะกูไม่ได้น่ารักโว๊ยยยยย กูหล่อ กูหล่อ จำ!
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่7
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-03-2020 23:18:24
 :katai2-1:


ดับเครื่องชนไปเลย ยุ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่8/1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 05-03-2020 01:46:09
Chapter8

เจ็บแล้วทนคือ ควาย



เช้าวันนี้เราไม่ต้องรีบเร่งตื่นไปมอ เพราะจารย์ยกคลาส ผมตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายโมง มานั่งปั่นงานวิชาสเก็ตที่ต้องส่งพรุ่งนี้ เราขนงานมานั่งทำกันที่ห้องรับแขก ผมวาดดีเทลบนชุดอีกเล็กน้อยแล้วลุกเดินไปที่เค้าท์เตอร์ครัว ที่คนตัวเล็กนั่งอยู่ ทิ้งตัวนั่งข้างๆ หยิบกล่องข้าวของตัวเองออกมาเปิด เมนูประจำ กระเพราหมูกรอบ

“ภพเหลืออีกกี่ตัว"

“อีกสิบแปด เธออ่ะ"มือก็จ้วงข้าวเข้าปากเร็วๆ ผมติดกินเร็วแบบนี้ประจำ ต้องรีบกินแล้วรีบทำงานต่อ เวลาสุนทรีย์ไม่มีหรอก ถ้างานยังไม่เสร็จ

“เราเหลืออีก สามตัว"

“เร็วจัง อันนี้ใส่ดีเทลไหมหรือเอาแค่ภาพรวม"

“ภาพรวมอ่ะ เพราะยังไงก็ต้องแก้อยู่แล้ว เลยทำแค่ภาพรวมก่อนดีเทลมีใส่แค่บางตัว"ที่เราคุยกันคือการบ้านที่เร่งกันไฟลุกนั่นแหละ ผมฟังๆ พยักหน้า ปากก็เคี้ยวข้าวไปด้วย สงสัยต้องลดทอนงานหน่อยไม่งั้นคืนนี้ไม่ได้นอน เราต่างคนต่างเงียบแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว มีแวะเล่นโทรศัพท์เช็คข่าวสารนิดหน่อย ผมลุกเอากล่องข้าวไปทิ้งแล้วหันหลังเตรียมเดินไปลุยงานต่อ

“เออภพ เดี่ยวคืนนี้เราออกไปเที่ยวกับพวกกิ๊ฟนะ ภพจะไปด้วยกันมั้ย"

“พวกนั้นงานเสร็จกันแล้ว? ” เอียงคอถาม กลุ่มนานะ คือโคตรเก่งมันสามารถออกตี้กันดึกดื่นแล้วลุกมาเรียนได้ไม่เคยขาด แถมงานมีส่งตลอด เคยเจอแม่งมาเรียนแบบสภาพเมาแฮงค์ก็มี ในขณะที่ผมเที่ยวก็น้อย วันๆ ไม่อยู่ช่วยงานกีฬาก็กลับห้องตลอด แต่งานคีบหน้าช้าฉิบหาย เสร็จแบบเส้นยาแดงทุกที

“อือ ตามสไตล์ ภพไปป่ะ ไม่ดึกหรอก รู้หน่าว่าพรุ่งนี้มีเรียนเช้า” ผมคิด เออตอนนี้พึ่งเสร็จไปสิบตัวเหลืออีกสิบแปด ถ้าเอาแค่ภาพรวมพอส่งก็คงได้

“ใกล้ออก แล้วบอกอีกทีได้ป่ะ ขอดูก่อนว่าทำงานเสร็จทันไหม”

“โอเคค”

ผมเป็นพวกปล่อยงานแค่พอส่งไม่ได้ ไม่ถึงขั้นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ แต่ก็ขอตั้งใจทำให้ดีก่อน ถ้าไม่ทันจริงๆ ค่อยว่ากัน ผมเดินกลับมานั่งวาดงานต่อ สักพักนานะก็เดินมานั่งดูทีวีข้างๆ เราสองคนก็เรื่อยๆ แบบนี้แหละ หาความกุ๊กกิ๊กได้น้อยมาก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตัดสินใจคบกันและเธอย้ายมาพักห้องผม ผมสนใจนานะเพราะหน้าตาล้วนๆ เธอตรงสเปคทุกอย่างตัวเล็ก น่ารัก ตอนที่ตกลงคบกันพวกเพื่อนๆ ยังตกใจ อาจเพราะคาแรคเตอร์ผมไม่ได้ดูเถื่อนเท่าไอ้นนน ผมเคยถามเธอว่าทำไมตกลงคบกัน เธอตอบติดตลกว่า'เพราะภพจะช่วยเราเลือกเครื่องสำอางได้โดยไม่ทำหน้าเหม็นเบื่อ'ก็ตลกดี เราคบกันแบบนี้มาจะหนึ่งปีแล้ว ไม่หวาน แต่ผมชอบนะ ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ ว่าใครที่เราสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้ในความเงียบ คนนั้นคือคนที่ทำให้เราสบายใจ ไม่ต้องคอยคิดบทสทนากันตลอดเวลา เรียบๆ ง่ายๆ ดี ผมนั่งทำงาน หันไปถามความเห็นนานะบ้างเป็นครั้งคราว งานเธอเสร็จไปเรียบร้อยแล้วมีแต่ผมเนี่ย ยังไม่ถึงไหนเลยโว้ยย



“เราไปแต่งตัวก่อนนะ” ผมเงยหน้ามองนาฬิกาใกล้เวลานัดแล้วสินะ แต่ผมยังเหลืออีกห้าหกตัว

“เธอ ภพว่าไม่น่า ได้ไปด้วยแล้ว”

“ไม่เป็นไร ภพทำงานเหอะ แต่ช่วยเลือกชุดกับทำผมให้หน่อยนะ”

“โอเค เรียกแล้วกัน”

“จ้าา”



ผมวางดินสอ แล้วลุกเดินเข้าห้องนานะ เธอยังอาบน้ำอยู่ เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบมาสองสามลุคให้เธอเลือก แล้วกลับมานั่งทำงานต่อ สักพัก เสียงเรียกก็ดังออกมาจากห้อง ผมลุกเดินกลับเข้าไป ก็เห็นเธอแต่งตัว แต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว

“ทรงไหนดีครับคุณ”

“แล้วแต่ภพเลยย เราไว้ใจฝีมือภพ” โอเค จัดให้ ผมหยิบไดร์กับหวี และเริ่มพิธีกรรม ไม่นานก็เรียบร้อย มองชื่นชมผลงานตัวเอง น่ารักมาก

“เสร็จแล้ว”

“ขอบคุณค่า ลิปสีไรดี”

“อันนี้ดิ” ผมหยิบมาสีนึงจากในมือเธอแล้วทาให้ “อย่ากลับดึกมากนะ”

“โอเคค”

“ถึงแล้วบอกด้วย” ผมเดินตามหลังนานะ มาถึงหน้าประตู เอาจริงอยากไปด้วย เป็นห่วง กลัวเธอไม่ระวังตัว แต่งานก็ยังไม่เสร็จ ห้ามก็ไม่ได้

“รู้แล้ว ไปนะ เดี่ยวเจอกิ๊ฟแล้วบอก"

“โอเคถ้ากลับไม่ไหวก็บอก จะออกไปรับ”



พอนานะออกไป ผมก็กลับมานั่งทำงานต่อ สมองเริ่มตันก็เลยโทรหาไอ้พิม มันไม่ได้ช่วยให้งานผมเดินเลย ได้แต่ฟังเสียงมันเล่านู่นนี่ และบ่นงานสารพัดสุดท้ายก็ตัดสายมันแล้วกลับมาจดจ่อกับงาน จนเวลาล่วงเลยเงยหน้ามองนาฬิกา โห ตีหนึ่งครึ่งแล้ว ควานหามือถือมากดโทรหานานะ รอสายอยู่นาน จนสายตัดไป เป็นแบบนั้นอยู่สองสามครั้ง จนเริ่มเป็นห่วง กำลังจะกดโทรหากิ๊ฟ เสียงประตูห้องก็เปิดพร้อมร่างบาง ผมรุกเดินตรงเข้าไปหาสายตาก็ไล่สำรวจร่างเล็ก โอเคไม่เมาหนักจนเพื่อนต้องหิ้วมาส่ง โล่งใจหน่อย

“โทรไปไม่รับ”

“ลืมเปิดเสียงอะ เต้นมันส์มาก แต่ก็เหนื่อยมากด้วย ขอไปนอนก่อนนะ”

“เช็ดเครื่องสำอางก่อนมั้ย” ผมเดินตามร่างเล็กเข้าไปในห้อง เธอทิ้งตัวนอนบนเตียง แล้วหลับตาไปแล้ว ผมเลยหันไปหยิบรีมูฟเวอร์ที่โต๊ะเครื่องแป้งเธอมาเช็ดหน้าให้เบาๆ กลัวสิวจะอุดตันเอา นานะปรือตามามอง

“ภพ ใจดีจัง”

“ภพก็ทำแบบนี้ปกติอยู่แล้วนะ” ผมบอก มือก็เช็ดเครื่องสำอางตามจุดต่างๆ บนใบหน้าออก

“ใจดีเกินไป จนนานะดูใจร้ายไปเลย”

“เมาหรอ”

“เราขอโทษนะ ที่ไม่ใช่แฟนที่ดี” คงเมาแล้วแน่ๆ ผมเช็ดลิปที่ริมฝีปากบางออกเป็นที่สุดท้าย แล้วถอดเครื่องประดับออกให้จะได้นอนสบายหน่อย

“คิดมากน่า เปลี่ยนชุดไหม”

“ไม่เป็นไร” ผมพยักหน้า ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้ แล้วลุกขึ้นเก็บขวดรีมูฟเวอร์กับสำลีเข้าที่ แล้วเดินออกจากห้องมา







เมื่อคืนหลังส่งนานะเข้านอนเสร็จ กว่าผมจะได้นอนก็นู่นเกือบตีสาม วันนี้เลยมาเรียนเช้าในสภาพไม่ค่อยเต็ม ง่วงโคตร อยากรีบเรียนแล้วกลับห้องนอนยาวๆ แต่ผมยังมีกรรมต้องชดใช้ เรียนทั้งวันไม่พอ เย็นนี้ยังต้องเข้าไปช่วยงานกีฬา เพราะเมื่อวานไม่เข้าวันนี้เลยหนีไม่ได้ หลังจากประชุมงานครั้งนัั้น แบ่งงานกันเรียบร้อย ก็เริ่มงานมาเรื่อยๆ งานผมไม่ค่อยมีอะไรมาก พี่จูนบอกให้ทำอะไรก็ทำ บางวันก็แค่นั่งคุมน้องทำงาน ช่วยดู ช่วยสอน หนักๆ หน่อยพี่แกก็ใช้ให้ปักนู่นนี่บ้าง พวกดีเทลออนท๊อปทั้งหลาย นั้นแหละหน้าที่ผมกับน้องๆ ปีหนึ่ง ส่วนเรื่องเย็บชุดผมยังไม่สามารถ พึ่งเริ่มเรียนเบสิคแพทเทรินเอง หน้าที่นั้นพี่จูนแกก็รับไปเต็มๆ กับพี่มินนี่อีกคน แต่เห็นว่ามีช่างคอยช่วยอยู่คิดว่าคงเสร็จทันและไม่น่ามีปัญหาอะไร

“วันนี้แดกไร” ไอ้โทนี่ถามหลังจากจารย์ปล่อย ผมเก็บของเข้ากระเป๋า เรายังนั่งกันไม่ลุกไปไหน รอคนทยอยออกจากห้องเหมือนฝูงมด เช้านี้เรียนรวมครับ คนเยอะวุ่นวายไปหมด

“ไปนอนมั้ยมึงกัน แอร์เย็น” สาวคนเดียวในกลุ่มตอบ กูละอยากนอนมากมึงเอ้ย ผมก้มส่งข้อความถามนานะว่าจะกินอะไร เธอนั่งแยกออกไปอีกฝากของห้องกับกลุ่มเพื่อน และก็ได้คำตอบว่าจะไปกินหน้ามอกับเพื่อน เราตกลงกันว่าแยกกันไปแล้วค่อยเจอที่ห้องเรียนภาคบ่าย เสียงไอ้โทนี่กับพิมยังคุยกันเรื่องของกินไม่จบ

"เห้ยไอ้ภพ"ผมเงยหน้าจากจอขึ้นมาตามเสียงเรียก ไอ้คินยืนยิ้มกวนตีนอยู่ตรงหน้าผมมองรอบๆ ตัวมันไม่มีลูกคู่หว่ะ ปกติเห็นตามกันมาเป็นแพ ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่มีหรอกครับเพื่อนต่างเอกเดินเข้ามาทักทาย แต่ตั้งแต่เริ่มทำงานกีฬาผมก็เพื่อนเยอะขึ้น จนน่ารำคาญ

“ว่า”

“เย็นนี้มาป่ะ”

“ไปดิ มึงมีอะไรรึเปล่า”

“กูอะไม่มี เมื่อวานไม่เห็นมึงไง เลยคิดถึง”

“เชี่ย พอเลย”

“ฮ่าฮ่าๆ เออๆ เย็นนี้เจอกันกูไปแล้ว” แล้วมันก็หันหลังเดินจากไป

“เดี๋ยวนี้มึง เพื่อนเยอะน้า” ผมผลักหน้าไอ้พิมที่ชะโงกมาหา

“พอ ไปเหอะกูหิวจนจะแดกหัวมึงได้แล้วเชี่ยพิม”



ผมนั่งอยู่ในร้าน ‘นอนมั้ยมึง’ กับไอ้โทนี่ รอไอ้นนนออกไปซื้อของกินกับพิม โคตรง่วง คว้าแก้วกาแฟมาดูด เผื่อช่วยได้บ้าง เสียงจอแจดังขึ้นหน้าประตูร้านแต่ผมไม่ได้ใส่ใจ แม่งไม่ช่วยหว่ะเผลอๆ กินกาแฟแล้วง่วงกว่าเดิม ปากก็หาวหวอดๆ ไม่นานไอ้สองตัวก็กลับมาพร้อมของกินเต็มมือ

“ภพ เย็นนี้มึงต้องไปช่วยงานคณะชิป่ะ เดี่ยวกูกับไอ้นนนไปด้วยนะ”

“ทำไมหว่ะ” ตอนกูชวนหลายทีเล่นตัวไม่มา ไมอยู่ๆ จะมาช่วย

“เมื่อกี้อะดิ ตอนพวกกูยืนรอไก่ ไอ้พี่เฟียตแม่งเดินมาแล้วบังคับให้ไปช่วย มันบอกว่าขาดคน ไอ้โทมึงก็ด้วย”

“เชี่ยไม่เอาา เย็นนี้กูนัดผู้ไว้”

“ผู้มึงสำคัญกว่างานคณะหรอ”

“โอ้ยย อีพิมกล้าถามเนอะ พรุ่งนี้กูค่อยเข้าไปช่วย จอบอ” ไอ้สองตัวยังคงกัดกันไปมา ผมกินหมูปิ้งไม้สุดท้าย แล้วยกแก้วกาแฟดูดตาม

“เมื่อคืนดึกอ่อมึง” ไอ้นนนถามเสียงเรียบ

“เอออ กว่าจะสเก็ตเสร็จ นอนไปสี่ชัวโมงเอง โคตรง่วงเลย” ผมตอบเสียงเนื่อยๆ นั่งพิงผนักโซฟา อ้าปากหาว เริ่มมองรอบตัว เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นใกล้ตัว นั่น ไอ้ตัวต้นเหตุ มันเดินตรงเข้ามาหาผม วางแก้วโกโก้เย็นตรงหน้า แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มีไรอีกหว่ะ

“เมื่อคืนนอนกี่โมง” ผมเริ่มชินแล้วไอ้คำพูดไม่มีที่มาที่ไปของมันเนี้ย เข้าประเด็นเก่ง

“ก็ดึก” ไม่รู้ทำไมเวลาคุยกับมันผมไม่ค่อยเป็นตัวเอง มันมีความรู้สึกหวั่นๆ ที่บอกว่า อย่าคุยกับแม่งเยอะ

“ดึกอะ กี่โมง”

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย”

“เป็นห่วง ไม่ได้ไง” มันพูดเสียงเรียบ

“ไม่ต้องห่วงกูครับ มึงห่วงตัวเองเถอะ แล้วก็กลับไปโต๊ะมึงได้แล้ว กูรำคาญสายตาคนอื่นที่มองมาที่เรา” ผมไม่เคยรู้เลยว่าไอ้พายุมันดังในมหาลัยขนาดนี้ รู้ครั้งแรกนี่ตกใจเลยวันแรกที่เรียกน้องมารวมตัวทำงานกัน ตอนมันเดินเข้ามาที่ลานใต้ตึกน้องก็กริ๊ดกันใหญ่ไอ้ผมก็นึกว่าแค่กริ๊ดคนหน้าตาดีทั่วไปแต่ไม่ใช่ครับ ทุกคนแม่งรู้จักมันหมด เพราะมันเป็นเดือนคณะ แล้วยังพ่วงตำแหน่งคนดังของมหาลัย มีผมคนเดียวมั้งที่แม่งไม่รู้จักมัน ไอ้พายุมองหน้าผม เอื้อมมือควายๆ ของมันมาผลักหัวผมทีนึง แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมหันกลับมามองที่โต๊ะก่อนรั้งแขนมันไว้

“เดี๋ยว มึงเอาน้ำของมึงไปด้วย”

“นั่นไม่ใช่ของกู เป็นของมึง” แล้วแม่งก็เดินกลับโต๊ะไป ผมหยิบแก้วขึ้นมา ที่แก้วมีตัวหนังสือเขียนอยู่



K’ พายุ (ขีดฆ่า)

เอกภพ



คาบบ่ายจบไปได้อย่างสวยงาม งานผมไม่โดนแก้เลยสักตัว คุ้มกับการอดหลับอดนอน ตกเย็นพวกผมสามคนยกเว้นไอ้โทนี่ที่ปรี่ไปหาผู้ของมัน ก็มาช่วยงานคณะที่ใต้ตึก งานวันนี้ที่พี่จูนสั่งไว้คือให้ย้อมสีขนนก ไอ้นนนถูกเรียกไปช่วยฝ่ายฉาก พิมก็ช่วยทำพรอปประกอบโชว์อยู่ ใกล้ๆ ผมบอกวิธีให้น้องๆ แล้วเริ่มลงมือทำงาน



“เห้ย พวกผู้ชายไปช่วยกันยกโต๊ะที่ชั้น7ลงมาหน่อย” เสียงพี่บะหมี่ร้องเรียก ผมหันมองรอบๆ ตัว ผู้ชายมีแค่ผม ไอ้นนน กลุ่มไอ้พายุ แล้วก็รุ่นน้องที่นั่งทำฉากอยู่อีกสองสามคน ผมลุกเดินไปหาไอ้นนน แล้วเดินไปหาพี่บะหมี่ที่ตะโกนบอกเมื่อกี้

“โต๊ะอะไรอะพี่”

“โต๊ะยาว เอาจากในห้องเรียนแรกเยี้องๆ ห้องน้ำชาย พวกมึงเอาลงมาสักสองตัว ค่อยๆ เอาลงมานะ มันเข้าลิฟท์ไม่ได้”

พี่แกพูดแล้วชี้บอกว่าให้วางตรงไหน ผมกับไอ้นนนเดินตรงไปที่ลิฟท์โดยมีพวกไอ้พายุกับน้องๆ เดินตามมา เราแบ่งกันเข้าลิฟท์ไปคนละตัว พวกผมไปกับน้องๆ พอถึงที่หมาย ผมก็เห็นโต๊ะยาววางอยู่ตรงหน้า โอ้วโห จะไหวไหมหว่ะห้าคน น้องแม่งก็ไม่ได้ตัวใหญ่กว่าผมเลย สุดท้ายเลยยืนรอพวกที่เหลือขึ้นมา สักพักพวกไอ้พายุก็มาถึง มากันอีกสี่คน รวมพวกผมก็เก้าคคน พอมันเห็นโต๊ะ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉิบหาย

“ไอ้ภพ มึงไปจับด้านบนนะ”

“ทำไมอะ กูจะยกตรงนี้ กูยกไหว"

“มึงจับด้านบนเหอะ"ไอ้นนนหันมาบอกผมบ้าง ผมมองพวกมันอย่างจำใจ อยากเถียงนะแต่รีบๆ ทำงานดีกว่า คอตกแล้วเดินไปตามตำแหน่งที่ไอ้พายุยืนชี้อยู่

ไอ้พายุเข้ามาจัดการตำแหน่งของคนอื่นเสร็จสรรพ พวกตัวใหญ่ๆ แบกด้านล่าง ผมกับน้องอีกสองคนช่วยกันจับด้านบน ไอ้โอบ ไอ้คินและที่เหลือคอยพยุงด้านข้าง ยังดีนะที่โต๊ะแม่งพับขาได้ ไม่งั้นลำบากสัด เจ็ดชั้นอะคิดดูทำไมพี่มึงไม่เลือกโต๊ะชั้นล่างๆ หว่ะ แล้วโต๊ะก็โคตรหนัก คิดสภาพแบกกลับขึ้นมาดิ ก้าวพลาดนี่มีตายแน่ๆ

"พร้อมนะ เอ้ายก"เสียงไอ้คินดังบอก พอเริ่มก้าวเท้า เสียงตะโกนโวยวายก็ดังบอกให้ระวังเป็นระยะๆ เราค่อยๆ แบกกันลงมา เท้าก้าวลงบันไดทีละขั้นๆ ผ่านไปได้สองชั้นก็ต้องวางพัก หนักเหี้ยๆ ต้องระวังตกบันไดกันอีก ขาผมนี่เกร็งไปถึงตูด พักได้ไม่นาน ก็เริ่มเดินต่อ

“พวกข้างบนไหวไหม จะถึงจุดหักมุมด้านข้างระวังด้วย"เสียงไอ้ยุ ตะโกนดังขึ้นตอนที่เรา ก้าวลงบันไดอีกครั้ง กว่าจะเอาลงมาถึงชั้นล่าง สภาพแต่ละคนก็คือเหงื่อโทรมกายเรียบร้อย เราวางโต๊ะทิ้งไว้ แล้วขึ้นลิฟท์ กลับขึ้นไปแบกอีกตัว ขาผมนี่สั่นพับๆ เลย มือก็ยกปาดเหงื่อที่ไหลจะเข้าตา



“ไหวไหมมึง” เสียงต่ำๆ ของไอ้นนนถาม ผมพยักหน้ารับ

“ถ้าไม่ไหว มึงไม่ต้องยกก็ได้ช่วยระวังให้กูก็พอ” ผมหันไปมองเสียงเรียบที่ยืนอยู่ด้านหลัง ข้างๆ มันมีน้องปีหนึ่งอีกสองคนยืนอยู่ด้วย ตอนเข้าลิฟท์มาไม่ได้สังเกต ไอ้ยุยังดูสภาพดีกว่าผมนิดนึง แต่แค่นิดเดียวจริงๆ

“กูไหวหน่า แค่นี้เอง”

“อย่าทำเก่ง ตัวมึงก็แค่นี้”

“แค่นี้อะไร เห็นกูแบบนี้แต่กูแรงเยอะนะชกมึงสลบได้อ่ะ” โม้ครับ ขากูยังสั่นอยู่เลย แต่ยอมไม่ได้ไงไอ้ยุแม่งดูถูก มันยกยิ้มให้กับท่าทางผม แล้วพยักหน้ารับ ท่าทางโคตรกวนตีน

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่8/2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 05-03-2020 01:47:51
(ต่อ)

ลิฟท์เปิดออกห้ามทัพระหว่างผมกับไอ้ยุ ผมเดินนำออกมาโดยมีไอ้นนนเดินเคียงข้างมาด้วย ตรงไปทางห้องเรียน อีกตัวเดียวเองรีบๆ ยกให้เสร็จ จะได้พัก



กึก



“เมื่อไหร่จะบอกภพ” เสียงต่ำๆ ที่ผมคุ้น ดังมาจากแถวห้องน้ำชาย ผมหยุดเดิน ภพอาจจะมีหลายคน แต่เสียงที่เรียกชื่อผมนะผมรู้ว่าคือใคร และมันคงหมายถึงผมอยู่แน่ๆ ไอ้นนนหยุดชะงักตามผม

“พี่ก็รู้ว่ามันยาก นานะทำไม่ได้”

“ยังไงวันนึงมันก็ต้องรู้ว่าเราคบกัน” ผมยืนนิ่ง มือกำแน่น คำพูดของไอ้พี่ไบร์ทที่ร้านอาหารวันนั้นดังกลับเข้ามา ‘พอดีกูนัดเมียไว้แต่เขาเบี๊ยวนัดกู กูเลยต้องมาแดกข้าวคนเดียว’ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดมากไปเองจริงๆ ด้วย ผมยังยืนฟังทั้งคู่คุยกัน ไอ้นนนกับพวกที่เดินตามมายืนเงียบอยู่ใกล้ๆ ผมรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ที่บ่า

“เชี่ยยุ มายืนทำห่าไร ไมไม่เข้าไปในห้องหว่ะ"เสียงพวกไอ้คินที่ตามขึ้นมาจากลิ๊ฟท์อีกตัวดังขึ้นด้านหลัง พร้อมๆ กับร่างเล็กที่เดินออกมาให้ผมเห็นตรงหน้า ดวงตาเธอเบิกกว้าง ใครอีกคนเดินออกมาหยุดยืนด้านหลังเธอ เสียงรอบตัวเราเงียบลงไปแล้ว ผมยังคงจ้องมองเธอ ดวงตาเธอเริ่มเอ๋อคลอ

“ไง"

“ภะ ภพ”

“ไอ้ภพ เดี่ยวกูเล่าเอง” ผมเบี่ยงสายตาจากคนตัวเล็กไปที่พี่ที่ผมเคารพ

“มึงหุปปากไป!”

“ฮึก”

“เธออยากพูดอะไรป่ะ” ผมหันกลับมาหานานะ ที่ตอนนี้เริ่มสะอึกสะอื้น เห็นแล้วสงสารไม่ลงหว่ะ มีเวลาให้บอกผมเยอะเยะแต่ก็เลือกจะปิดแล้วหลอกกันแบบนี้อะนะ ผมเคยคิดว่าผมจะยอมถอยออกมาขอแค่เธอบอก แต่พอเอาเข้าจริงผมก็อดโมโหไม่ได้

“เราขอโทษ ฮึกขอโทษ”

“เลิกขอโทษได้ป่ะหว่ะ คิดจะบอกภพเมื่อไหร่ หรือจะปล่อยให้โง่อยู่แบบนี้ เห็นกูโง่มากใช่ป่ะ!” ผมสะบัดมือเล็กที่จับอยู่ นานะเซออกไปชนกำแพง ไม่ได้ตั้งใจจะรุนแรงแต่ผมโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย

“เชี่ย! ภพมึงใจเย็นดิ” มองไอ้พี่ไบร์ทที่เข้าไปพยุงเธอ สายตามันดูเอาเรื่อง ให้ใจเย็นได้ไงหว่ะ สถานการณ์แบบนี้กูจะเย็นได้ยังไง ผมมองทั้งคู่แล้วเลือกจะหันหลังเดินหนี ก้าวเดินมาที่ลิฟท์ โดยมีไอ้นนนเดินตามมาติดๆ เสียงนานะร้องเรียกผม เธอพุ่งเข้ามารั้งแขนผม

“ภพ ภพฟังเราก่อนนะ...”

ผมดึงมือเธอออก ลิฟท์ทำไมไม่มาซะทีหว่ะ ผมไม่ตอบแต่หันกลับเดินไปทางบันไดแทน อยากหนีออกไปก่อนเพราะไม่รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ทำร้ายเธอได้ไหม ท้าวก้าวฉับๆ วิ่งลงบันได นานะยังคงวิ่งตามมา เธอฉุดแขนผมปากก็ร้องเรียก น้ำตาเต็มหน้า จะมารั้งผมทำไมอีกหว่ะ ทำแบบนี้แล้วยังจะมาเอาอะไรกับกูอีก มันชุลมุนมากทั้งเสียงร้องไห้ เสียงร้องเรียกผม เสียงโวยวายของไอ้พี่ไบร์ท และการยื้อยุดกันไปมาระหว่างเรา ขาผมก้าวลงบันไดเร็วขึ้น แขนก็คอยสะบัดมือบางออก เธอพยายามเดินขึ้นมาแทรกด้านหน้า จังหวะนั้นผมเห็นใบหน้าตื่นตระหนกและเสียงหวีดร้องของเธอ ร่างเล็กเหมือนจะร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง ผมเบิกตากว้าง มือเอื้อมออกไปจับแขนเธอแล้วดึงกลับเข้ามา อย่างรวดเร็ว จังหวะนั้นขาผมที่ยังสั่นเทาก็ก้าวพลาด มันเร็วมากหางตาผมเห็นไอ้นนนอยู่ใกล้ที่สุด เลยพลักร่างบางเข้าไปทางมัน ก่อนที่ร่างผมจะร่วงลง มือพยายามป้องกันหัวตัวเองไม่ให้กระแทก ผมได้ยินแต่เสียงเนื้อที่กระแทกไปตามขอบปูนแข็งๆ มันดังชัดที่สุดท่ามกลางเสียงร้องเรียกชื่อผมและเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามกันลงมา ร่างผมกลิ้งมานอนหงายอยู่ที่พื้น ผมเหลือบตามองตัวเลขชั้นที่กำแพง นอนนิ่งปวดระบมทั้งตัวหายใจหอบเบาๆ ขยับมือกุมหัวที่ปวดตึบ แล้วหลับตาลง แสงวิบวับสีแดงฉายเข้ามา พร้อมกับใบหน้าเปื้อนนำ้ตาที่ร้องเรียกผม ไอ้พายุหรอ แสงสีแดงค่อยๆ เลื่อนหายไปเมื่อใบหน้ามันเข้ามาใกล้ ในความมืดนั้นผมเห็นใบหน้าที่ปวดร้าวของมันได้ชัดเจน มึงเป็นอะไรหว่ะ ปากผมขยับแผ่วเบา



“ไอ้ภพ ไอ้ภพ มึงเป็นไงบ้าง” เสียงเรียบที่ดูร้อนรนดังขึ้น ผมปรือตามองใบหน้าที่ดูเป็นกังวลของไอ้พายุ ที่ตอนนี้ซ้อนทับกับภาพในหัว มันดูคุ้นในความทรงจำอย่างประหลาด รู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่อกซ้าย ไม่รู้ทำไม แต่ผมก็ส่งยิ้มบางๆ ให้มัน ผมหลับตาลงอีกครั้ง เสียงเรียกเริ่มไกลออกไป ก่อนที่สติของผมจะดับวูบลง





ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จ้องมองเพดานสีขาว รอบตัวมีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังอยู่ไม่ไกล อยากจะหันไปมองแต่คอผมเหมือนถูกล๊อคไว้

“ตื่นแล้วหรอ” เสียงทุ้มต่ำ และใบหน้าคมของไอ้นนนจ้องมองผมอยู่ ก่อนที่มันจะถูกพลักออกไป

“ฮือออ ที่รัก ที่รักเป็นไงบ้างงง”

“มึงแม่งควายดีศรีสาธร ยอมเจ็บเพื่อให้คนอื่นได้รักกัน” ไอ้พิมกับไอ้โทนี่ถลาเข้ามา เสียงดังจนอดขมวดคิ้วให้พวกมันไม่ได้

“มึง พูดอะไรหน่อยดิ หรือแรงกระแทกทำให้มึงเป็นใบ้หว่ะ ไม่นะ”

“เชี่ย ต่อไปนี้พวกกูจะไม่ได้ยินเสียงมึงอีกแล้วหรอ โถ่ ไอ้ภพ”

“ไม่เป็นไรนะ ถึงมึงจะใบ้ แต่กูจะไม่ทิ้งมึงนะ”

“ไอ้...พวกเวร"โอ้โห เสียงผมดังเหมือนลมตด แหบแห้งฉิบหาย พวกมันสองตัวหัวเราะคิกคัก จนน่าตบ

“พอแล้วพวกมึง ไอ้ภพ เอาน้ำมั้ย” ผมพยักหน้าเบาๆ ให้ไอ้นนน มันผลักไอ้สองตัวออกแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำพร้อมหลอดมาให้ ดูดน้ำไปได้สองอึกเหมือนเกิดใหม่

“เจ็บตรงไหนมั้ย"มันถาม ผมส่ายหน้า ยังมีปวดๆ บ้างแต่ไม่ถึงกับทนไม่ไหว ไอ้้นนนหันเอาแก้วไปเก็บ ผมมองไปทางไอ้สองตัวที่ยืนหน้าสลอนอยู่ปลายเตียง

“พวกเหี้ย”

“หูยย เสียงมาหน่อยก็ปากดีเลยนะ มึงดูสภาพตัวเองก่อนมั้ย แทรนด์ใหม่หรออย่างเลิศ” ผมหลุบตามองต่ำสำรวจร่างกายอย่างทุกลักทุเล

“กล้ามเนื้อคอกับไหล่อักเสบ แขนขวาหัก ข้อเท้าผิดรูปข้างเดิมเลย ดีนะที่มึงกุมหัวไว้มันเลยไม่กระแทกแรง"ไอ้โทนี่เฉลยคำตอบให้ผม

“ยังไม่รวมแผลฟกช้ำตามตัวมึงอีก คนดีชิบหาย ไอ้นนนเล่าให้พวกกูฟังแระ”

“แล้วนานะเป็นไงบ้าง"

“มึงยังจะถามหามันอีก ห่วงตัวเองก่อนม่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนมึงมานอนพะงาบอยู่นี่ กูยังไม่เห็นมันโผล่หัวมาเลย"

ไอ้พิมพูดเสียงเหวี่ยงๆ ผมคิดว่านานะคงรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ และคงโทษตัวเอง เลยไม่กล้ามาเจอผม “กูพิมพ์บอกที่บ้านมึงให้แล้ว เขาบอกจะลงมาหามึง น่าจะถึงค่ำนี้”

“ขอบใจ”

ไอ้พิมกับไอ้โทนี่เริ่มเล่าเหตุการณ์ตอนที่ผมตกลงบันไดมา จนถึงตอนที่กู้ภัยเข้ามาช่วย อย่างออกรส จนเหมือนว่าแม่งอยู่ในเหตุการณ์เองทั้งที่มันก็ฟังมาจากไอ้นนนอีกที และผมว่าเรื่องจากปากไอ้นนนคงไม่ดูเวอร์อย่างที่พวกมันกำลังเล่าอยู่แน่ๆ

“เอ้อ ว่าแต่ มึงกับพายุไปสนิทกันตอนไหนหว่ะ”

“ทำไม” ผมถามไอ้พิม ภาพใบหน้าของมันฉายเข้ามาในหัว

“ก็ที่ฟังมา พายุมันเข้าไปถึงตัวมึงก่อนคนอื่นเลย แถมมันยังนั่งรถกู้ภัยมากับมึงด้วย ไอ้นนนเพื่อนมึงแท๊แท้ ยังหมาเลย”

“ไม่ใช่แค่นั้นจ้า เมื่อคืนแม่งก็อยู่เฝ้า เมื่อเช้าพวกกูก็เจอมัน จริงๆ มันพึ่งกลับไปก่อนมึงตื่นเนี่ย” พอได้ฟังแล้วก็ยิ่งสงสัย เอาจริงๆ ก็คิดมาสักพักแล้วว่ามันชอบทำตัวแปลกๆ ผมก็พยายามมองผ่านตลอด แต่แววตาที่ดูกังวลและภาพใบหน้าซ้อนทับตอนที่ผมนอนนิ่งที่พื้นยังติดค้างอยู่ในใจ

“ไมเงียบไป มึงเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“เปล่าๆ แล้วกูจะออกจากโรงบาลได้ตอนไหนหว่ะ”

“เออหว่ะ ลืมเรียกหมอ” แล้วไอ้พิมก็กดเรียกพยาบาล ไม่นานหมอและพยาบาลก็เข้ามาตรวจเช็คร่างกายผม ถามอาการอีกนิดหน่อย

“จากอาการคิดว่าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกวันก็กลับบ้านได้นะครับ ระหว่างนี้ถ้ามีอาการปวดศรีษะหรือเจ็บตรงไหนก็แจ้งหมอได้ตลอด แต่เท่าที่ดูไม่มีเลือดคลั่งนะ”

“ขอบคุณครับ” ผมได้แต่ขยับปากขอบคุณ คุณหมอส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วเดินออกไป



หลังกินข้าวที่พยาบาลเอามาให้เสร็จ ผมก็ได้แต่นอนเป็นผัก จ้องจอทีวีในห้องโดยมีเสียงก่อกวนของพวกเหี้ยดังอยู่ปลายตีน ไอ้นนนนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ที่โซฟาข้างๆ ขณะที่ไอ้สองตัวกำลังเพลิดเพลินกับการละเลงสีบนเฝือกที่ขาผม อยากยกตีนฝาดหน้าแต่ติดที่ยังขยับมากไม่ได้

ก๊อก ก๊อก



“เข้ามาได้เลย ค่าา” ไอ้พิมตะโกนตอบออกไป แม้หน้ามันจะยังจมจ่ออยู่ที่ขาผม เสียงประตูเปิดเข้ามา ผมมองไปที่ช่องทางเดิน ร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาก้าวพ้นขอบกำแพงออกมา เราสบตากัน

“อ่าว พายุ มาเยี่ยมภพหรอ ดีเลยๆ พวกเราว่าจะไปหาไรกินหน่อย” ผมยังคงจ้องมองมัน เห็นไอ้พิมกับไอ้โทนี่เดินผ่านสายตาไป

“กูไม่ไป ขี้เกียจ”

“มึงต้องไป! ไอ้สัด นนนลุก!” ได้ยินเสียงโวยวายของไอ้พิมกับไอ้โทนี่ และภาพดึงรั้งร่างไอ้นนนออกไป จนเสียงประตูปิดลง นั่งแหละ ไอ้พายุถึงเดินเข้ามาหยุดยืนที่ปลายเตียง

“เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี” แล้วห้องก็เงียบไปอีก ผมมองตามัน ที่ตอนนี้เริ่มไล่มองสำรวจตามตัวผม แล้วหยุดสายตาที่ลายวาดบนเฝือก ก่อนจะเงยขึ้นกลับมามองผมเมื่อผมเปิดปากถาม

“มึงมาไม”

“เป็นห่วง”

“ไม่ต้องเป็นห่วงกู แค่นี้ไม่ตายหรอก...”

“ปากเก่ง ทำไมชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงหว่ะ ถ้ามันรุนแรงกว่านี้มึงจะทำยังไง กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีกแล้ว” ยังพูดไม่ทันจบมันก็ขัดขึ้นด้วยเสียงดุๆ ใบหน้ามันดูตึงๆ มาอีกแล้วไอ้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังโดนผู้ใหญ่ดุอยู่

“เห้ย ใจเย็น เนี้ยๆ กูเจ็บอยู่นะ อย่าซ้ำเติมกูดิ” ผมแกล้งโอดโอย ยกแขนที่ไม่มีเฝือกมาจับที่หัว ได้วิชาตอแหลมาจากไอ้พิม ไอ้ยุเดินเข้ามายืนข้างเตียง ดึงมือผมไปจับ นิ้วแม่งก็เกลี่ยๆ แผลถลอกที่หลังมือเบาๆ ทำไรหว่ะ อ่อนโยนกับกูไปแล้วว

“เจ็บมากมั้ย” มันพูดเสียงเบา ก้มมองมือผมที่แม่งลูบไปมาจนเลขจะขึ้น พอเห็นท่าทางมันก็ชักไม่แน่ใจว่าใครที่ป่วยอยู่กันแน่ ผมหรือมัน เลยถามกลับไป

“มึงโอเคนะ”

“ไอ้ภพ กูจะเริ่มแล้วนะ” แล้วมันก็เงยหน้ามาสบตาผม เริ่มไรหว่ะ ไม่ทันได้ถามอะไร มันก็ลุกเดินไปหยิบปากกาที่ไอ้พิมวางไว้ที่โต๊ะ เดินกลับมานั่งที่ปลายเตียงแล้วก้มเงยๆ แถวๆ ตีนผม เอากันให้เต็มที่ไปเลยพวกเหี้ย

“มึงเขียนไรหว่ะ"มันไม่ตอบ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างผลงานบนเฝือก ไม่นานมันก็เงยหน้าขึ้นมา ยกยิ้มมุมปาก "เห้ยๆ อย่าเขียนไรแปลกๆ นะเว้ย"

“กูไม่ทำไรแบบนั้นหรอก เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว"

“จะไปแล้วอ่อ"

"เออ หายไวๆ "มันพยักหน้า อะไรหว่ะแล้วที่บอกจะเริ่มนี่เริ่มอะไร ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองแผ่นหลังมันที่เดินออกไป

"ถ้าเพื่อนมึงกลับมา มึงบอกให้มันอ่านข้อความที่กูเขียนด้วยนะ"มันหันมาทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป

พอไอ้พายุออกไป ไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาเช็ดตัว และทำแผลให้ใหม่ ผมนั่งดูรายการทีวีไปเรื่อย จนประตูเปิดอีกครั้งพร้อมไอ้สามเกลอที่เดินเข้ามา ไอ้พิมเดินถือถุงมะม่วงมานั่งกินที่ปลายตีนผม ชักสงสัยตรงนั้นมันมีอะไรดีหว่ะตั้งแต่ตื่นมาก็เห็นแม่งสิงอยู่แถวๆ นั้นตลอด ส่วนที่เหลือก็ไปเอกเขนกกันที่โซฟา

“พายุกลับไปแล้วหรอ"

“แล้วมึงเห็นมันไหมหล่ะ"

“ปากดี มะม่วงไหมจ๊ะ"

“ไม่เอา มึงแดกไปเหอะ"มันพยักหน้าแล้วเคี้ยวมะม่วงดังกรุบๆ ตาก็สอดส่ายไปตามเฝือกผมอย่างชื่นชมผลงาน ผมละสายตาจากมันกลับไปดูละครรีรันต่อได้ไม่นานเสียงมันก็ดังขึ้นอีก

“ไอ้ภพ นี่ใครมาเขียนอ่ะ"

“ห๊ะ"เลื่อนสายตากลับมามองที่ไอ้พิม มันยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ใช้มะม่วงในมือชี้ตรงข้อเท้าผม แล้วผมก็นึกได้ เออหว่ะ ไอ้พายุมันมาเขียนทิ้งไว้นี่หว่า

“เนี่ย ไอ้ประโยคนี้กูไม่ได้เขียน"

“มีไรกัน"ไอ้โทนี่ก็ลุกเดินมาดูอีกคน พอมันเห็นก็มองหน้าไอ้พิม มันทั้งสองคนก็พร้อมใจหันมามองหน้าผม แล้วมันก็ประสานเสียงกัน

“ใคร!”

“ไม่รู้ กูยังไม่รู้เลยว่าเขียนว่าอะไร"

“กูว่าพายุ กูได้กลิ่น"

“สรุปเขียนว่าไรบอกกูด้วย"ผมถาม ไอ้พิมยกยิ้มแล้วหยิบมือถือมากดถ่าย มันเดินเอามายื่น ตรงหน้าในระยะสายตาให้ผมดู ในภาพนอกจากข้อความตลกๆ และรูปวาดปัญญาอ่อนแล้ว มีตัวอักษรสีน้ำเงินที่เด่นชัดที่สุดในสายตาผม



‘มีคนจองแล้ว’



ดวงตาผมเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ไอ้พิมกับไอ้โทนี่หัวเราะไม่หยุดพลางส่งเสียงแซวสนุก ฟัก! ช๊อคยิ่งกว่าเจอนานะอยู่กับไอ้พี่ไบร์ท เชี่ยยุ ไอ้บ้า เล่นห่าไร โว้ยยยย แล้วผมจะใจเต้นแรงทำไมเนี้ยยยย



talkถ้าชอบก็ฝากกดหัวใจ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่8/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-03-2020 22:35:57
 :z6:


นานะ ควรหายไปได้แล้ว อัปเปหิตัวเองไป
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่9 มานี่มา
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 13-03-2020 01:13:08
Chapter 9 มานี่มา


“ไงเจ้าตัวดี เอะอะเสียงดังไปถึงข้างนอก"

“อ่าว คุณดวงกมล คุณกิตติมาไงครับ แล้วเจ้าน้องไม่มาด้วยหรอ"สามเกลอพากันยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง ไอ้พิม กระโดดลงจากเตียงไปนั่งเรียบร้อยที่โซฟาทันทีที่พ่อกับแม่ผมเดินเข้ามา

“สวัสดีจ๊ะเด็กๆ ลูกพูดแบบนี้แปลว่าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วสินะ” แม่เดินเข้ามายืนข้างเตียง มองสำรวจตามร่างกายผม ใบหน้าเกลี้ยงเกลายกยิ้มอ่อนโยน ผมหันไปมองพ่อที่ยืนอยู่ปลายเตียง คิดว่าคงโดยด่าแน่ๆ แต่ผิดคาดคุณกิตติมองผมแล้วยกยิ้มอย่างภูมิใจ

“พ่อภูมิใจในตัวแกนะที่แมนขนาดนี้ปกป้องหญิง แต่ทีหลังเลือกที่หล่นให้นิ่มๆ หน่อยนะลูกเอ๋ย”

“โหยย แล้วมันเลือกได้มากสิพ่อ” ผมตอบกลับเสียงโอดโอย “แล้วนี่นั่งเครื่องกันมาเหรอครับ”

“ใช่สิ พอรู้ข่าวเมื่อคืน ก็รีบแผนหาที่เที่ยวแล้วจองตั๋วเลย”

“เดี๋ยวๆ ลูกเจ็บอยู่นะครับคุณกิตติ” พ่อผมเป็นแบบนี้ประจำ เหมือนจะเป็นมุกนะ แต่จริงๆ ไม่ใช่ ผมเชื่อว่าแกวางเพลนมาเที่ยวจริงๆ พ่อเป็นคนประเภทถ้าได้ออกจากบ้านแล้วแกจะเก็บทุกเม็ดให้คุ้ม ออกไปที่เดียวไม่เคยพอ กลัวไม่คุ้มค่าน้ำมัน และเพราะคำพูดของผมกับพ่อก็เรียกเสียงฮาของไอ้พวกเพื่อนตัวดีกับแม่ได้

“ปากแข็งตามสไตล์ พ่อแกนะห่วงสุดเลยตอนได้ข่าวจากเพื่อนแก พ่อนี่รีบเก็บกระเป๋าจะขับรถลงมาหาแกให้ได้แม่ต้องห้ามไว้บอกว่ามันดึกแล้วอันตราย ตอนแรกก็ไม่ยอมท่าเดียว แต่พอเพื่อนแกโทรมาบอกว่าปลอดภัยดีก็เปลี่ยนไปจองตั๋วหาที่เที่ยวซะงั้น” ได้ที่แม่ก็เล่าน้ำไหลไฟดับ เอ้อได้ฟังแล้วก็ปลื้มใจพ่อแม่ยังมีใจห่วงผมอยู่บ้าง ผมมองพ่อที่กระแอม แล้วอยู่ๆ ก็ทำหน้าตาขรึมเข้าโหมดจริงจัง จนผมปรับอารมณ์แทบไม่ทัน

“พ่อขอเตือนแกอย่าง ดูแลตัวเองดีๆ หน่อย แข้งขาก็ใช่จะดี อยู่ห่างพ่อห่างแม่ จะทำอะไรก็ระวังด้วย พ่อกับแม่เป็นห่วงนะ"

“ครับ ขอโทษนะครับ แล้วพ่อกับแม่จะอยู่กี่วัน” ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดผมหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมก็เลือกจะขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องเป็นห่วงผม แล้วต้องรีบลงมาหา

“มาวันนี้วันเดียว พรุ่งนี้เช้ากลับ พ่อต้องเข้าบริษัท"ผมพยักหน้ารับ บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับที่อุตรดิตถ์ หลักๆ ก็อยู่ที่นู่น มีลงมาบ้างเวลาติดต่อธุรกิจ ก็เลยซื้อคอนโดอยู่ในกรุงเทพซะเลยเพื่อความสะดวกเวลามาทำธุระจะได้มีที่พักสบายๆ ห้องหนึ่งซื้อไว้ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เล่นไพ่ยูกิ ส่วนอีกห้องคือที่ผมอยู่ตอนนี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมอ พ่อกับแม่ตัดสินใจซื้อตอนผมสอบติดมหาลัยจะได้เดินทางสะดวก พ่อเดินเข้ามายืนข้างเตียง จับไหล่ผมบีบเบาๆ อย่างปลอบโยน ผมส่งยิ้มให้พ่อ

"แม่ไปเหอะ ดูแล้วมันไม่น่าเป็นห่วง คนเฝ้าเยอะแยะ พ่ออยากไปไอคอนสยาม"

"จ้า พ่อ พิม แม่ฝากภพด้วยนะ"ผมได้แต่มองพ่อที แม่ที มาเร็วไปเร็วเหลือเกิน พ่อกับแม่โบกมือรับไหว้เพื่อนๆ ผม แล้วพากันเดินออกไปอย่างร่าเริง เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกรักพ่อแม่จัง

ไอ้นนน กลับออกไปหลังพ่อแม่ไม่กี่ชั่วโมง มันบอกจะไปเอาเสื้อผ้ามานอนเฝ้า ผมนั่งฟังไอ้พิมกับโทนี่เล่านู่นนี่ไปเรื่อย จนพวกมันแยกย้ายกันกลับไป ตอนค่ำ สักพักไอ้นนนมันก็กลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับคงเพราะหลับมาเต็มที่ตั้งแต่คืนก่อน บวกกับอาการเจ็บแปลบตามร่างกาย และความอึดอัดไม่สบายตัว ขยับตัวมากก็ไม่ได้ ทำได้แค่นอนลืมตามองเพดานโดยมีเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของไอ้นนนดังกล่อมเบาๆ อยู่ตรงโซฟา ผมค่อยๆตกอยู่ในภวังค์ ค่อยๆปิดเปลือกตาลงและจมไปในนิทรา



เช้าวันที่สามของการนอนติดเตียงอยู่ในโรงบาล ผมตื่นเพราะพ่อกับแม่แวะเข้ามาตั้งแต่เช้ามืด พร้อมของกินอีกนิดหน่อย คุยกันได้แป๊ปๆ พวกท่านก็รีบออกไปสนามบินต่อ ไอ้นนนลุกมาพาผมล้างหน้าแปรงฟัน แล้วมันก็มานั่งกินข้าวเช้า

“วันนี้กูเข้ามอนะ เออ แล้วคืนนี้กูอยู่เฝ้าไม่ได้”

“โอเค”

“เดี๋ยวกูถามพวกพิมให้ว่าเข้ามาเฝ้าได้มั้ย”

“ไม่เป็นไรมึง อยู่ได้ มีพี่พยาบาล”

มันพยักหน้ารับ แล้วก้มกินข้าวต่อ ก่อนลุกเดินไปแต่งตัว ไอ้นนน ออกไปจากห้องตอนแปดโมง ผมได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียง จ้องจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าที่ฉายละครรีรันอยู่ มือก็กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยฟังข่าวบ้าง เปลี่ยนไปดูละครแล้วก็วนมาข่าวใหม่ เบื่อจัง อยากกลับบ้านแล้ว



ครืด ครืด





มือถือที่วางอยู่ข้างมือผมสั่นอยู่สองสามครั้ง ตั้งแต่ฟื้นผมก็ไม่ได้เตะโทรศัพท์เลย ดีนะก่อนนนนจะออกไปมันหยิบมาให้ผม มันบอกเผื่อกรณีฉุกเฉิน ผมใช้มือซ้ายที่ไม่ใส่เฝือก หยิบมือถือมากดเปิดเข้า แอปพลิเคชันไลน์ อย่างทุลักทุเล โอ้โห เกือบสองร้อยข้อความ คุยไรกันเยอะแยะ เลื่อนดูข้อความที่ค้างมีตั้งแต่กลุ่มครอบครัว แบรนด์สินค้าต่างๆ กลุ่มผม กลุ่มแฟชั่น พวกรุ่นน้องที่รู้จัก ไปจนถึงกลุ่มใหญ่งานกีฬา และสุดท้ายกลุ่มกีฬาของเอกออกแบบ ไร้วี่แววข้อความจากคนที่ผมรอคอย ผมกดเข้ากลุ่มครอบครัวก่อน ไล่ดูข้อความตั้งแต่แม่บอกว่าออกจากบ้านแล้วและกำลังมาหาผม จนมาจบที่รูปพ่อกับแม่ยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าไอคอนสยาม ผมยกยิ้มมองภาพทั้งคู่ เวลามองพ่อกับแม่ผมมักคิดเสมอว่าอยากมีความรักดีๆ ที่อยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ไม่ต้องราบรื่นมากก็ได้แต่ขอแค่ช่วยกันประคับประคองไม่ต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องพยายามคนเดียวในความสัมพันธ์ และพ่อกับแม่ผมเป็นแบบนั้น มีทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งก็จะหันกลับมาขอโทษและอภัยกัน ผมอยากมีความรักแบบนั้น พิมพ์ข้อความส่งให้พ่อกับแม่เสร็จ ก็ย้ายไปเข้ากลุ่มอื่นต่อ นั่งไล่อ่านก็มีอยู่ไม่กี่ประเด็นที่เพื่อนคุยกัน เรื่องผมตกบันไดเพราะทะเลาะกับนานะ เรื่องการบ้านที่จารย์สั่ง ที่พอได้อ่านแล้วผมนี่น้ำตาแทบเล็ด หยุดไปแค่สองวันทำไมงานเยอะขนาดนี้ แล้วก็วนกลับมาที่เรื่องอาการผมอีก ผมไล่ตอบข้อความให้เพื่อนๆสบายใจเสร็จก็ไปตอบแบบเดิมกับพวกรุ่นน้องและในกลุ่มใหญ่งานกีฬา แล้วก็มาถึง ไอ้กลุ่มสุดท้ายที่ตอนนี้ข้อความยังไม่หยุดเด้ง จะคุยอะไรกันหนักหนา ผมกดเข้าไปในกลุ่ม 'ออกแบบเฉพาะกิจ'สายตาเลื่อนอ่านข้อความที่ค้างอยู่ตั้งแต่วันเกิดเหตุ



Gu-Fiattt : ใครอยู่ในเหตุการณ์ ไหนมาเล่าดิ๊ กูขอละเอียดๆ ไอ้บะหมี่โทรมาบอกแค่ว่าเรื่องใหญ่

JuneJune : เกิดอะไรขึ้น กูกำลังเข้าไป

Kin : ภพทะเลาะกับแฟนมันอ่ะพี่ แล้วพลัดตกบันไดลงมา

Gu-Fiattt : เชี่ย ลงมากี่ชั้น

Kin : จากชั้นหกลงมาชั้นห้าอะพี่ แต่ก็หลายขั้นอยู่ไง สลบไปเลย

Gu-Fiattt :มันทำอีท่าไหน ถึงล่วงลงมาแบบนั้น

JuneJune : แล้วภพเป็นอะไรมากมั้ย

Oab : พวกผมก็ยังไม่รู้ครับ แต่คิดว่าต้องมีหักแน่ๆ

Kin : ตอนนี้ไอ้พายุตามขึ้นรถกู้ภัยไปด้วยแล้ว

Gu-Fiattt : กูกำลังเดินไปตึก ไอ้ยุ ไอ้ภพเป็นไงแจ้งข่าวด้วย



ผมนั่งเลื่อนข้อความลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ของวันเกิดเหตุจนกระทั่งเมื่อวานก็ไม่มีข้อความจากไอ้พายุเลย มีแต่ไอ้คินกับเพื่อนๆ มันที่คอยตอบคำถามพวกพี่ๆ ไล่มาจนถึงข้อความของเมื่อวานตอนเช้า ตอนนั้นผมยังไม่ฟื้นเลยมั้ง แล้วก็เป็นพี่เฟียตคนดีคนเดิมที่เป็นห่วงผมเสมอ ที่เปิดประเด็นอีกครั้ง

Gu-Fiattt : ไอ้ยุ หายหัวไปเลยสัดโทรไปก็ไม่รับ

Oab : มันไม่ตอบหรอกพี่

Gu-Fiattt : ทำไมหว่ะ

Mixer : ก็ตั้งแต่มันขึ้นรถกู้ภัยไปกับเขา จนเขาออกจากห้องฉุกเฉิน มันก็ไม่ทำไรเลยนอกจากนั่งเฝ้าหน้าห้องถึงเช้า เนี่ยพวกผมกำลังจะเข้าไปลากมันมาเรียน

Gu-Fiattt : เป็นเอามากนะ

Kin : ห่วงมากไง แต่ภาพตอนที่ไอ้ภพตกไป น่ากลัวจริงพี่

Gu-Fiattt : แล้ววันนี้กูจะได้รู้มั้ย ว่าไอ้ภพเป็นไงบ้าง พวกมึงไปรับมันแล้วมาบอกกูด้วย

JuneJune : ไปถามพิมมาแล้ว แขนหักข้อเท้าผิดรูปเหมือนจะข้างเดิมด้วย ตอนนี้ย้ายมานอนห้องธรรมดาแล้วแต่เห็นว่ายังไม่ฟื้นนะ

Gu-Fiattt : ข้างเดิมหรอ ไม่ระวังเลยไอ้ภพ กลับมากูจะตีมึง



ผมอ่านข้อความที่พูดคุยกันเรื่องผม จนไปถึงเรื่องงาน มือก็กดพิมพ์ข้อความให้พี่มันคลายกังวล



Ekkapop:พี่ผมโอเคแล้วนะ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ





ก๊อก ก๊อก



กดส่งแล้วเงยหน้ามองไปที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะดัง ร่างเล็กที่คุ้นเคยเดินเข้ามาในชุดนักศึกษา มาสักที ผมก็รออยู่ว่าจะมาหาผมเมื่อไหร่ นานะเดินมาหยุดยืนที่ปลายเตียง ผมสำรวจใบหน้าหวานที่ดูซูบลง ดวงตาเอ่อคลอ เราเผชิญหน้ากัน หยั่งเชิงว่าใครควรจะเริ่มก่อนดี ชั่วอึดใจริมฝีปากบางก็เปล่งเสียง



“ภพ เป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นแล้ว” ผมไม่ได้หมายถึงบาดแผลทางกาย แต่ผมหมายถึงความรู้สึกผมมันดีขึ้นแล้ว พอที่ผมจะสามารถรับฟังเธอโดยไม่สติแตกเหมือนตอนก่อนหน้านี้

“ขอโทษนะ เรารู้ว่าเราไม่ควรแก้ตัวอะไร เพราะเราทำผิดกับภพจริงๆ” เธอช้อนตามองผม "ภพโกรธเรามั้ย"ผมเงียบคิดทบทวนตัวเอง ก่อนมองสบตาเธอ

“ไม่โกรธแล้ว"

“ขอโทษนะ ที่ต้องมารู้ความจริงด้วยเหตุการณ์แบบนั้น"

ผมมองตาเธอและรับรู้ได้ว่าเธอเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ สำหรับผมมันไม่ง่ายเลยที่จะให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมต้องเดินไปข้างหน้าต่อ ผมคิดมาดีแล้วว่าจะไม่ยื้ออะไรในเมื่อถ้านานะเลือกจะเดินออกไปแล้ว ถึงผมขอร้องยังไงเธอก็คงไม่กลับมา และผมเชื่อว่าตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันมีความรักความผูกผันอยู่จริงๆ ไม่ว่ามันจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตาม นานะเริ่มก้มหน้า เสียงสะอื้นดังแผ่วเบา แต่ชัดเจนในใจผม ผมมองเธอที่ยืนตัวสั่นเทา ขอบตาผมเริ่มร้อน จนต้องเสมองเพดาน

"ไม่มีภพแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะ"เสียงผมเริ่มสั่นเครือ

“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ย"เธอเงยหน้าน้ำตาคลอในดวงตากลม เราจ้องมองกัน ภาพในความทรงจำย้อนกลับเข้ามาทั้งช่วงเวลาที่ดี และ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา ผมไม่ตอบ เพียงส่งยิ้มบางๆ ไปให้แล้วพยักหน้าเบาๆ ยังไงเราก็คงยังวนเวียนอยู่ใกล้กันแม้สถานะจะเปลี่ยนก็ตาม

“ขอกอดได้มั้ย"เธอถามเสียงสั่น ผมยกแขนซ้ายขึ้นแล้วกางออกทันที นานะเดินเข้ามา สวมกอดผมแน่น เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหูผม “เรารักภพนะ ตอนนี้ก็ยังรัก ถึงมันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ภพคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา"เธอพูดเสียงสั่น ความรู้สึกเปียกชื้นที่บ่า ทำให้ผมกอดเธอแน่นขึ้น ฝังใบหน้าไว้ซอกคอเธอ และปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา เรายังคงกอดกันแน่นร้องไห้ ไม่มีคำว่าเลิกกันออกมาจากปากเราทั้งคู่ แต่ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ว่ามันจบแล้วจริงๆ เราสองคนใช้เวลาหนึ่งปีทำความรู้จักกันแต่ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการจากลา

นานะออกไปแล้ว แต่ผมยังคงตกอยู่ในภวังค์ย้อนคิดเรื่องราวต่างๆ เสียงข้อความดังอยู่ไกล กว่าที่มันควรจะเป็น และดังต่อเนื่องไม่หยุดอย่างเรียกร้องความสนใจ จนผมก้มมองอีกครั้ง ยกมือเช็ดน้ำตาแล้วกดเข้าแชทล่าสุดที่เด้งมา

Gu-Fiattt : เห้ย ไอ้ภพเป็นไงบ้างหว่ะ

JuneJune : แกเป็นไงบ้าง

Bamee: ภพพ พี่ขอโทษษ

Oab : เล่นมือถือได้แล้วอ่อ ไหนว่าเข้าเฝือก

Mixer: เออนั่นดิ

Ekkapop:@oab@mixerก็เล่นข้างที่ไม่เข้าเฝือกดิ ควาย



พิมพ์ตอบไปทั้งที่น้ำตายังคลออยู่ที่หางตา



Ekkapop:@bameeพี่ขอโทษผมทำไม ผมไม่ระวังเอง @gu-fiattt @junejune โคตรแย่เลยพี่ แต่ยังไม่ตาย

Oab : ปากเก่งเหมือนเดิม มึงๆ มาดูคนนี้ของมึงสิ@paayu

Gu-Fiattt : มึงไม่เป็นไรมากสินะ กูก็ห่วงตั้งนาน

Ekkapop:พี่ ผมถึกจะตายตกบันไดแค่นี้ ทำไรกูไม่ได้หรอกครับ

Oab : เมินแชทกู!

Gu-Fiattt : เออๆ ว่าแต่ มึงทะเลาะอะไรกับแฟนมึงหว่ะ ถึงต้องวิ่งลงบันไดจนพลาดตกมาขนาดนั้น กูถามพวกห่าที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่มีใครเล่าสักคน ถามไอ้ยุแม่งก็ไม่ตอบ

Ekkapop: พี่ไม่เสือกดิ

Gu-Fiattt : เอ้า ทำไมเจอเขานัวกับคนอื่นรึไง



มองข้อความล่าสุด ของพี่เฟียตนิ่ง ผมเกือบหลุดจากอารมณ์นั้นแล้วเชียว พี่มันทำอารมณ์กูสวิงไปมายิ่งกว่าขึ้นรถไฟเหาะ ขอบตาเริ่มร้อน ยกมือปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาเร็วๆ แล้วกดพิมพ์ตอบพี่มันกลับไป จ้องมองตัวเลขที่ขึ้นอ่านจนครบเงียบๆ



Ekkapop: เออ

Gu-Fiattt : อ่าว เหี้ยกูขอโทษ ไม่คิดว่าจะจริง

Kin: พี่เฟียต ไอ้ยุแม่งด่าพ่อพี่แล้วเนี่ย

Gu-Fiattt : เอ้ากูไม่รู้ไงห่า ภพ แล้วมึง เคลียร์กับแฟนหนึ่งยัง

Oab : พี่มึงยังไม่หยุดอี๊กกก

Gu-Fiattt : กูรู้พวกมึงก็อยากรู้ โดยเฉพาะเพื่อนมึงเลย ทำเงียบไอ้ห่า

Ekkapop:เขาพึ่งมาหาเมื่อกี้หว่ะพี่ เลิกแล้ว

JuneJune : แกโอเคมั้ย มีใครอยู่ด้วยรึเปล่า

Ekkapop:โอเคแหละพี่จูน อยู่คนเดียวครับ

Kin: @paayu อ่ะเอาไง ไปหาเลยมั้ย

Oab : โอกาสของมึงมาถึงแล้ว @paayu

Gu-Fiattt : กูได้ข่าวว่าเพื่อนพวกมึงก็คืบหน้าอยู่นะ มีจงมีจอง ฉวยโอกาสตอนเข้าอ่อนแอ

paayu: พี่!

Gu-Fiattt : ว่าไง ตอบกูได้ซะทีนะมึง จะทำไรก็รีบทำ กูรอเสือกอยู่



น้ำตาผมเหือดแห้งไปแล้ว ได้แต่ขมวดคิ้ว จ้องหน้าจออ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาเรื่อยๆ คือไรลิฟต์ว่ะ ตาก็มองไปที่ข้อเท้า ภาพข้อความที่ไอ้ยุเขียนเมื่อวานแวบเข้ามาในหัว มันไม่ได้แกล้งเล่นเหรอ ผมคิดพลางเลื่อนสายตากลับมาที่โทรศัพท์ในมือ



Mixer : มัวแต่ชักช้าไอ้ภพ หนีไปนอนแล้วมั้ง

Ekkapop : กูยังอยู่ แล้วนี่คุยเรื่องอะไรกัน

paayu:ไอ้ภพ ลองฟังนี่ดิ



ไม่ทันดูให้ดีว่ามันส่งอะไรมา นิ้วก็กดเข้าลิ้ง ใช้เวลาโหลดหน้าเว็บยูทูปไม่นาน ภาพหน้าคลิปก็ปรากฎขึ้น ผมกดเล่นทันที เสียงดนตรีจังหวะสนุกๆ ที่ไม่คุ้นหู ดังขึ้นพร้อมๆ หน้าพี่นะpoly cat ในเสื้อเชิิ้ตสีแดงสด และกลุ่มฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมเลื่อนสายตาไปอ่านชื่อเพลง'มานี่มา'ที่ไม่เคยเห็นหรือเคยฟังมาก่อน แล้วเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่นะก็ดึงสายตาผมกลับมาที่ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าอีกครั้ง



มานี่มา มานี่มา มานี่

ไหนเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน จะจูบตรงนั้นให้ความช้ำหมดไป

เจอคนใจร้ายมาใช่ไหมเธอ คนที่ไม่รู้อะไรเลยว่า

หากได้มองรอยยิ้มของเธอแค่หนึ่งครั้ง

และจะให้ตายตรงนั้นก็ไม่เสียดาย

กล้าดียังไงมาทิ้งให้เธอต้องเจ็บใจ

You come to me , baby run to me



คนแบบไหน ทำไมไม่ยอมเข้าใจว่ามีของดี

คนแบบฉันเต็มใจจะดูแลเธอด้วยความรักที่มี

ไม่ต้องร้องนะคะคนดี



ฟังยังไม่ทันถึงครึ่งเพลง ผมก็รีบกดปิดหน้าจอทันที ไม่ใช่เพลงไม่ดี แต่ ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน รู้เพียงแต่ว่ามันไม่แย่ แต่ผมกลัวที่จะฟังต่อจนจบแค่เพราะคิดได้ว่าใครส่งมา ผมจ้องหน้าจอมือถือนิ่ง แล้วหน้าจอก็สว่างวาบเพราะข้อความจากในกลุ่ม นิ้วสไลด์เข้าไปเองอัตโนมัติ

Kin: @paayu สมกับเป็นมึง ฮ่าๆ

Gu-Fiattt : ที่เงียบๆ นี่ ไปนั่งหาเพลงอยู่หรอหว่ะ พิมพ์บอกง่ายกว่ามั้ยสัด

Oab : อยากจูบแหละ ดูออก

JuneJune : พายุ ชอบ ภพเหรอ

Mixer: ไอ้ภพเงียบไปเลยหว่ะ

JuneJune: แต่ขึ้นอ่านครบนะ



ผมอ่านข้อความด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด มาสะดุดที่พี่จูนถามไอ้ยุ นั่นคือคำถามที่ผมอยากจะถามอยู่เหมือนกัน รอดูคำตอบของไอ้คนจุดประเด็นไม่คลาดสายตา แล้วข้อความถัดไปของมันก็เด้งขึ้น เป็นสองคำสั้นๆ ที่ดังก้องในหัว ผมกดปิดหน้าจอแล้วทิ้งตัวไปด้านหลัง ไอ้เหี้ยยย ไอ้ยุ มันเล่นผมแล้วว



paayu: อืม ชอบ



ได้แต่ทิ้งตัวมองเพดานห้อง มันหมายความว่าไงที่ว่าชอบ คำพูดและการกระทำแปลกๆ ทั้งของมันและเพื่อนมันเริ่มย้อนกลับเข้ามาในหัว นี่มันเอาจริงรึเปล่า มันชอบผู้ชายเหรอ หรือแค่แกล้งเล่นหว่ะ คำถามตีกันอยู่ในหัว จนแรงสั่นในมือทำให้ผมได้สติ นั่น! ไม่ทันไรแม่งโทรมาเลย ผมจ้องหน้าจอที่ขึ้นชื่อมัน เอาไงดี จ้องอยู่อย่างนั้นจนสายตัดไป มองข้อความที่เด้งขึ้นบนหน้าจอ ก่อนจะกดเข้าไปตอบมันอย่างลนๆ



JuneJune: จริงป่ะเนี้ยยย

paayu:ภพ รับสาย

Kin : ฮ่าๆ มันหนีมึงแล้วว

Ekkapop : ไม่เอา มึงมีอะไรคุยในนี้ดิ

paayu: รับสาย

พิมพ์ตอบอย่างทุลักทุเล แต่มันก็ยังพิมพ์กลับมาคำเดิม ยังไม่ทันจะกดตอบอะไร หน้าจอก็เปลี่ยนเป็นสายเรียกเข้าอีก โทรมาอีกทำไมโว้ยยย กูยังไม่พร้อมไอ้เหี้ย ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ผมมีผู้ชายมาบอกชอบ แถมยังเป็นคนดื้อด้านสุดๆ มันยังคงโทรมาไม่หยุดจนน่ารำคาญ สุดท้ายผมก็กดรับสายอย่างยอมแพ้

“เออ ว่า"

“ฟังเพลงยัง" มันถามกลับมาเสียงเรียบ จนอดขมวดคิ้วไม่ได้นี่คือเสียงของคนที่พึ่งบอกชอบคนอื่นเหรอ ทำไมมันดูราบเรียบไร้อารมณ์อะไรขนาดนั้น

“ฟังแล้ว มึงส่งมาให้กูทำไมว้า"

“เพราะเนอะ"

“อืม"

“หายเศร้ายัง"

“อืมม"

“ชอบกูมั้ย”

“อืม….เห้ยไม่ใช่” ไอ้เลว เล่นที่เผลอ

“โธ่ เสียใจนะ เลิกเรียนแล้วจะเข้าไปหานะ อยากกินอะไรมั้ย"ตอแหลมากเสียงมันดูมีความสุข จนผมอดเบ้ปากใส่ไม่ได้ แม้มันจะมองไม่เห็นก็ตาม

“ไม่ต้องเข้ามาเลย เพื่อนกูอยู่เยอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงบาลแล้ว"

“ไหนว่าอยู่คนเดียว”

“ก็เนี่ยเพื่อนกูพึ่งมาถึงเลย” มองรอบห้องที่ว่างเปล่า

“แล้วออกจากโรงบาลกี่โมง”

"ทำไม จะมารับรึไง”

“เออ” เล่นเอาไปไม่ถูกเลย

“มึง ถามไรหน่อยดิ”

“ว่า”

“มึงชอบผู้ชายเหรอ”  ฮืออไอ้ภพพ ถามไปแล้วว มันเงียบไปอึดใจหนึ่งในขณะที่ผมก็ลุ้นคำตอบมันสุดตัว

“ป่าว กูชอบมึง”



                                 *****************************************                     





“ นี่ใบนัดพบคุณหมอค่ะ แล้วก็ระวังอย่าให้เฝือกโดนน้ำนะคะ"ผมยื่นมือออกไปรับใบนัดจากคุณพยาบาลที่ดูแลมาตลอดสามวัน “ อีกสักพักบุรุษพยาบาลจะเอาวีลแชร์มารับไปชำระเงินนะคะ"

“ขอบคุณครับ"

นั่งรอรถวีลแชร์อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครว่างมารับสักคน พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ เพื่อนก็ติดเรียนกันหมด อยู่ๆ ใจก็ห่อเหี่ยวเฉย คิดสภาพต้องกลับห้องอย่างเหงาแล้วอดสงสารตัวเองไม่ได้ ในขณะที่นั่งพร่ำเพ้อไปเรื่อย เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น รถคงมาแล้ว ผมขยับตัวเอื้อมหยิบไม้ค้ำยันมาพยุงยืน ดีดตัวขึ้นจากเตียง

“จะไปไหน"เสียงเรียบๆ ที่คุ้นหูดังขึ้น เงยหน้ามองร่างสูงในชุดนักศึกษา ตัวนิ่งค้าง มึงมาทำมายยย เมื่อวานหลังมันบอกว่าชอบผม ผมก็ตัดสายหนีทันที รู้แหละว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้น ยังต้องเจอกัน ต้องทำงานกีฬาด้วยกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้ ผมพยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติเรียบเฉยที่สุดแล้วเอ่ยปากทักมัน

“อ่าว มาทำไร"

“มารับมึงไงครับ"มันเดินเข้ามาพยุงให้ผมนั่งลงที่เตียงตามเดิม “วีลแชร์ยังไม่มาอย่าทำซ่า”

“มึงไม่มีเรียนเหรอ”

“พอดีจารย์ยกคลาส เจอพิมในลิฟต์พิมบอกว่าไม่มีคนมารับมึง”

“อ่อออ มึงเลยอาสาว่างั้น มึงกลับไปเหอะ กูกลับเองได้”

“จะไปส่ง ถึงไม่เจอพิม กูก็ว่าจะโทรหาแล้วมารับอยู่ดี” มันตอบแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟาตรงข้ามผม “แล้วนี่มึงจะกลับไปเรียนเมื่อไหร่”

“อาทิตย์หน้า บอกจารย์ไว้แล้ว” มันพยักหน้า แล้วห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง อึดอัดมาก ผมทำตัวไม่ถูกยิ่งมันเอาแต่มองผมอยู่แบบนี้ พอเห็นหน้ามันเพลงที่ส่งมาก่อนหน้านี้ กับสิ่งที่คุยกันก็ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวผมอีกแล้ว แค่คิดขนหลังคอก็ลุกซู่ ผมเริ่มนั่งไม่ค่อยติด เสมองทางนู่นทีทางนี่ที ผมควรพูดกับมันเลยดีไหมว่าผมไม่ได้คิดกับมันแบบนั้น ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ปากกำลังพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรพี่บุรุษพยาบาลก็เข็นวีลแชร์เข้ามา ไอ้ยุลุกมาช่วยพยุงผม แล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าอันน้อยนิด เดินตามออกมา

“มึงรอนี่ กูไปเอายากับจ่ายเงินให้” ผมมองร่างสูงเดินหายไป แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมถุงยาในมือ

“เท่าไหร่อ่ะ เดี๋ยวกูโอนให้” มันเดินมายืนข้างหลังแทนพยาบาลแล้วเริ่มเข็นรถไปข้างหน้า

“บิลอยู่ในถุงยา ค่อยไปดูในรถ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พอพ้นประตูหน้าโรงบาลออกมาไม่ไกลมันก็เข็นมาหยุดที่รถของมัน ไอ้ยุเข้ามาพยุงผมขึ้นรถอย่างทุลักทุเล แน่หล่ะเฝือกยังอยู่ครบ ทั้งคอ แขน ขา พอนั่งประจำที่เรียบร้อย มือหนาก็เอื้อมมาคาดเบลทให้เสร็จสรรพ ตามองตามมันที่จัดการทำทุกอย่างให้ผมเงียบๆ แล้วมันก็เอาถุงยามาวางบนตัก ผมเปิดดูบิลแล้วกดเลขบัญชีตามที่มันบอกด้วยมือเดียว จัดการโอนเงินให้เรียบร้อย

“โอนแล้วนะ "

"โอเค" จัดการบอกจุดหมายปลายทางมันเสร็จ รอมันตั้งแมพไม่นานรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออก ผมหลับตานอนหนีไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสวนากับมันมาก แต่เสียงดนตรีที่ดังขึ้นทำผมลืมตาโพล่ง

“มึงเปิดเพลงทำไม กูจะนอน” มือเอื้อมออกไปกดปิดอัตโนมัติ กรรม ติดเฝือก ขยับตัวลำบากจริงๆ เล้ยยย อยากหันไปด่าแต่ก็หันมากไม่ได้ ทำได้แค่เอียงๆ มองท่าผมตอนนี้คงดูน่าขันมาก จากหางตามองเห็นมันยิ้มกว้างไม่หุบ สนุกมากมั้ยนี่หรือคือสิ่งที่มึงทำกับคนที่ชอบ ฮะ

“อยากปลอบใจมึงไง”

“มึงจะปลอบอะไรหนักหนา ไม่ต้องปลอบกูแล้ว กูโอเคแล้วว เปลี่ยนเพลงเหอะ”

“มานี่มา มานี่มา” นั่นนอกจากไม่ปิด แม่งยังร้องใส่อีก ได้แต่กลอกตา “ไหนเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน จะจูบตรงนั้นให้ความช้ำหมดไป”

“มึงจะยื่นหน้าเข้ามาทำไม ขับรถไปดิหว่ะ” ผมเบี่ยงสายตาจากมันไปมองถนนตรงหน้าแทน เสียงพี่นะยังคงดัง คลอไปกับเสียงเพี้ยนๆ ของไอ้คนข้างๆ ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ ไม่รู็ว่าควรทำหน้ายังไงดี แล้วเมื่อไหร่มันจะหยุดร้องเนี่ยรำคาญโว้ยย ไม่น่ามากับมันเลย ฮืออ

“คนแบบไหน ทำไมไม่ยอมเข้าใจว่ามีของดีคนแบบฉันเต็มใจจะดูแลเธอด้วยความรักที่มี” รู้สึกได้ว่ามันหันมาอีกแล้ว มึงได้มองถนนบ้างมั้ยยย “ไม่ต้องร้องนะคะ...คนดี”

“เห้ย! ทำไร" ผมตกใจถอยตัวไปติดประตูทันที เมื่อมัน ละมือจากพวงมาลัยมาขยี้หัวผม แบบไม่ทันตั้งตัว ทำไรเกรงใจเฝือกกูบ้างง "หยุดร้องได้ยัง กูอยากฟังเสียงพี่นะไม่ใช่เสียงเพี้ยนๆ ของมึง”

“เขินก็บอก”

“บ้าบอ”

“หูมึงแดงมาก”

“กูเขินเสียงพี่นะโว้ยยย”

“หราา มานี่มา มานี่มา มานี่มาาา มานี มานี่”

ยัง ยังไม่หยุดอีก! เอาตีนกูไปก่อนมั้ย



กว่าจะมาถึงห้องแทบหมดสภาพ ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำว่ามานี่มา ดังวนลูป เหมือนคาถาเรียกอะไรสักอย่าง ฟังครั้งเดียวว่าติดหูแล้วนี่มันเล่นเปิดวนสามรอบ เหมือนจงใจจะย้ำว่ามันเอาจริง อยากจะบ้า ไม่คิดว่ามันจะกวนส้นตีนขนาดนี้ เล่นเอาผมลืมไปเลยว่าพึ่งผ่านมรสุมชีวิตรักมาหมาดๆ เรามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของผม พายุล้วงหาคีย์การ์ดในกระเป๋าแล้วเปิดประตูให้ผมเดินเข้าก่อน โดยมีมันเดินตามมาติดๆ

“ขอบใจนะเว้ยที่มาส่ง มึงกลับไปได้แล้ว” เดินโขยกเขยกไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟา ถึงห้องสักทีอยู่กับมันแล้วโคตรเหนื่อย วางไม้ค้ำไว้ข้างกาย ตาก็มองตามร่างสูงที่เดินสำรวจห้อง ก่อนเดินเข้าไปที่ครัว เพลินเลยนะมึง “ ทำอะไรหว่ะ กลับไปได้แล้ว” ผมตะโกนไล่หลังมัน ไม่นานมันก็เดินกลับออกมา แล้วมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ

“ในตู้เย็นมึงไม่มีของกินได้เลย เย็นนี้มึงจะกินอะไร กูจะไปซื้อให้ก่อนแล้วค่อยกลับ”

“ไม่เป็นไร กูโทรสั่งเอาได้”

“กูอยู่นี่แล้วจะโทรสั่งทำไม”

“ทำไมดูแลกูดีจังหว่ะ” ถ้าไม่นับเรื่องที่มันกวนตีน มันก็ดูแลผมดีจริงๆ นั่นแหละ

“กับคนที่ชอบก็ต้องดูแลดิ” มันลุกจากโซฟา แล้วขยี้หัวผมเบาๆ แล้วเดินออกไป

เดี๋ยวว มึงกลับมาก่อนนน เป็นอะไรห๊ะ จับจังหัวกูเนี่ย คิดว่าละมุนมากเหรอ เออละมุนมากไอ้สัด แล้วมันทำไม ห๊ะ ชอบมาทิ้งคำพูดให้กูหวั่นใจแล้วเดินหนีตลอด ไอ้เหี้ย ที่พูดไปทั้งหมดนะทำได้แค่พูดในใจเพราะความเป็นจริงผมได้แต่นั่งนิ่ง อ้าปากพะงาบๆ มองตามหลังมันจนพ้นประตูออกไป

Talk ชอบเพลงมานี่มาของ polycat มาก ปกติจะมีแต่เพลงเชิงแอบรัก ผิดหวัง เป็นพระรองที่ไม่สมหวัง เพลงนี้ก็คือยังพระรองอยู่แต่มันดูมีความขี้เล่น ดูมีความหยอด ดูเป็นพระรองที่จะไม่เป็นพระรองอีกต่อไปฟังแล้วอมยิ้มและอดเขินกับเนื้อเพลงไม่ได้ เลยขอหยิบมาให้พายุได้ใช้บอกแทนความรู้สึกตัวเองและเปิดตัวให้ชัดๆไปเลย สุดท้าย ช่วงนี้โควิด19 ค่อนข้างน่ากลัวมากดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ หวังว่านิยายของเราจะช่วยให้ผ่อนคลายกันได้บ้าง ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่9
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-03-2020 22:28:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่9
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 13-03-2020 23:44:20
รุกอีกๆๆๆๆ :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่10/1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 23-03-2020 13:14:37

ตอนที่ 10 พายุ attack



วันรุ่งขึ้นกว่าผมจะตื่น พระอาทิตย์ก็แยงตาแล้ว ค่อยๆ พยุงตัวเองเข้าห้องน้ำจัดการล้างหน้าแปรงฟันที่ใช้เวลานานกว่าปกติ เดินกะเผลกเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น เมื่อวานไอ้ยุ บอกจะซื้อของกินเข้ามาก็ซื้อมาให้จริงๆ ข้าวต้มหนึ่งถุงกับแอปเปิลสองสามลูก ผมหยิบมากัดคำโต ยืนพิงตู้ กัดกินจนหมดแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา อาการปวดตามเนื้อตัวทุเลาลง และเริ่มคุ้นชินกับเฝือกหนักๆ จะลำบากหน่อยก็เวลาทำธุระในห้องน้ำ หนักสุดคืออาบน้ำ ผมเลยตัดปัญหาไม่อาบมันเลยตั้งแต่ออกจากโรงบาลมา นี่ก็เริ่มได้กลิ่นโชยๆ โน้มตัวไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะมากดพิมพ์บอกเพื่อนให้พวกมันแวะเข้ามาพร้อมของกิน และมาช่วยอาบน้ำทีไม่ไหวกับความโสโครกของตัวเอง ระหว่างรอพวกมันก็นั่งดูหนังไปเกือบครึ่งเรื่อง



ออด ออด



เสียงกริ๊งหน้าประตู ดังขึ้น ทำไมมาถึงกันเร็วจังวะ เอื้อมหยิบไม้ค้ำมายันตัวขึ้น แล้วค่อยๆ เดินไปเปิดประตู มองคนตรงหน้าที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ มึงมาทำไมอีก เลื่อนมองการแต่งตัวของร่างสูงตรงหน้า วันนี้แต่งตัวดีผิดปกติ

“มาทำไมวะ" มันชูถุงกล่องข้าวขึ้นมาตรงหน้าเป็นคำตอบ

“เอาข้าวมาส่ง ให้กูเข้าไปได้ยัง"

“อ่อ เออขอบใจ"ผมเบี่ยงตัวหลบ หันกลับเดินกะเผลกไปที่โซฟา

“เมื่อเช้ากินข้าวยัง"มันถามเสียงเรียบแล้วเดินตามเข้ามา ผมส่ายหัวแล้วทิ้งตัวลงที่เดิม ผมมองมันเดินเข้าไปที่ครัวแล้วกลับออกมาพร้อมจานข้าว ทำเหมือนบ้านตัวเองเลยนะ “มึงมียาต้องกินตอนเช้าไม่ใช่เหรอ”

“กูพึ่งตื่น"ผมตอบแล้วมองจานข้าวตรงหน้า ของโปรดซะด้วย กะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก มือซ้ายเอื้อมจะหยิบช้อนแต่มันก็ดึงจานข้าวออกห่างจากมือผม จนต้องหันตัวไปมอง กูจะกินเนี่ย จะแกล้งอะไรอีก

“เดี๋ยวกูป้อน มึงก้มๆ เงยๆ กินไม่ถนัดหรอก”

“ไม่ต้องกูกินเองได้” ไอ้ยุไม่ฟังมันหยิบจานข้าวมาถือแล้ว ตักข้าวมาจ่อที่ปาก ผมยังนั่งนิ่งจ้องมองไอ้ยุกับช้อนข้าวตรงหน้าสลับกัน มันยักคิ้วแล้วพยักพเยิดไปที่ช้อน ผมมองอย่างลังเล มันส่ายช้อนไปมาตรงหน้า หมูกรอบชิ้นโตนั้นดูเปล่งประกายกว่าปกติ สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้อ้าปากรับข้าวเข้ามาคำโต และผมก็ได้รู้ว่า โคตรรร คิดถึงหมูกรอบเลยโว้ยย กินแต่อาหารจืดๆ ที่โรงบาลมาหลายวัน อร่อยโคตรๆ ปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ “มึงๆ เอาไข่ด้วยดิ”

“เออๆ” มันพยักหน้าแล้วตักข้าวกับไข่มาจ่อที่ปาก ก็แปลกดีที่ผมกับมันก็พึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่มันก็มานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ตรงนี้ ผมอ้าปากรับข้าวแล้วหันกลับไปมองทีวี ปากก็รีบเคี้ยวๆ กลืนตามนิสัยคนกินเร็ว

“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวอาหารไม่ย่อยนะ”

“เออๆ แล้ววันนี้จะไปไหน ทำไมแต่งตัวซะดูดี มีนัดสาวอ่อ”

“เปล่า พี่เฟียตมันให้กูเข้าไปช่วยงานที่บริษัท”

“ไปมาแล้วเหรอ ขอไข่แดงๆ”

“ ยัง กูแวะมาป้อนข้าวหมาก่อน"

“อัย สัด"เคี้ยวไปด่ามันไป “อี้อันนัดกี่โมง”

“บ่ายสอง แต่กูบอกแล้วว่ากูจะแวะหามึงก่อนเวอร์ชัน



ผมเงยหน้ามองนาฬิกา นี่จะเที่ยงแล้วนี่หว่า ปากรีบเคี้ยวกลืนแล้วรับคำใหม่ ไม่อยากเป็นภาระมันนาน เกิดมันไปสายพี่เฟียตได้มาด่าผมเอา ไอ้ยุทำยึกยักค่อยๆ ตัก จนผมต้องเอ่ยปากเร่งมัน ไม่นานก็เหลือแต่จานเปล่า โคตรอิ่ม พิงโซฟา มองมันลุกเดินเข้าครัวไป



[พายุ]



“มึงไม่ต้องล้างนะ ไอ้พิมเข้ามาค่อยให้มันล้าง มึงรีบออกไปเหอะ ไปช้า พี่มันด่าเอา"

เสียงไอ้ภพตะโกนบอกตามหลัง ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่จัดการล้างจานตรงหน้าให้เรียบร้อย เปิดตู้เย็น หยิบน้ำดื่มมาเทใส่แก้ว แล้วเดินกลับออกไป ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ คนตัวบางแล้วเอื้อมหยิบถุงยาบนโต๊ะมาดู จัดการส่งยาแล้วแก้วน้ำให้ไอ้คนข้างๆ มันรับเอาใส่ปาก แล้วหันกลับมามองผมตาแป๋ว ใบหน้ามันดูซูบลงกว่าก่อนนี้นิดหน่อยแต่แก้มมันยังคงดูน่าบีบเหมือนเดิม

"กลับได้แล้วมั้ง"

“มึงรู้ป่ะ"ผมพูดเสียงเรียบ สายตามองสำรวจใบหน้าหวานตรงหน้าก่อนมาหยุดที่ริมฝีปากเยลลี่นั่น เลียริมฝีปากตัวเองอย่างอดหยอกมันไม่ได้ จนมันทำหน้าตาเลิ่กลั่ก แล้วขยับตัวออกห่าง

“อะไร"

“ตัวมึง...เหม็นฉิบหาย"มันถอนหายใจแล้วกลับมานั่งตัวตรง ผมยกยิ้มมองท่าทางคนตัวบาง ไอ้ภพเป็นคนที่ดูง่ายโคตรๆ เก็บอาการไม่ค่อยเก่ง มันคงไม่รู้ตัวว่าสีหน้าท่าทางมันเวลาอยู่กับผมนี่หลายอารมณ์ขนาดไหน โคตรเหมือนเด็ก น่ารัก

“ก็มันอาบลำบาก กูก็เหม็นตัวเองเหมือนกันเนี่ย"

“จะอาบมั้ย กูช่วย"

“ไม่ต้องๆ พวกไอ้พิมกำลังเข้ามา ค่อยให้มันช่วย"

“พิมเป็นผู้หญิง จะมาช่วยอะไรมึงได้ ไป กูพาไปอาบ"ลุกไปรั้งตัวมันให้ยืนขึ้น ตัวแม่งโคตรเบา จะผอมไปไหน มันพยายามฝืนตัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม ปากก็รีบพูดรัวๆ

“เห้ยไม่เป็นไรๆ มีไอ้โทนี่กับนนนด้วย กูเกรงใจหน่า มึงรีบไปหาพี่เฟียตเหอะ"ผมหยุดยืนนิ่ง กับโทนี่นะไม่เท่าไหร่แต่เพื่อนมันคนหลังเนี่ยที่ทำผมรู้สึกตงิดๆ ใจ ผมมองหน้ามันแล้วเงยหน้ามองนาฬิกา พึ่งเที่ยงครึ่ง จากนี่ไปหาพี่เฟียตก็ไม่ไกลกัน จัดการมันคงใช้เวลาไม่นาน ว่าแล้วก็ยกยิ้มมุมปากแกล้งมันไปที ใบหน้าขาวดูเหวอ อ้าปากพะงาบๆ โคตรน่ารักเลยวะ

“ยังมีเวลา ป่ะไปอาบน้ำกัน"

ผมกึ่งลากกึ่งพยุงอุ้มมันเข้ามาในห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ปากมันก็ยังคงโวยวายไม่หยุด โดนเฝือกที่แขนฟาดปากไปทีแต่ผมจะไม่ย่อท้อ ผมพามันผ่านห้องนอนเข้าไปในห้องน้ำ แล้วปล่อยมันนั่งลงที่ฝาชักโครก มองมันนั่งหายใจหอบเบาๆ แล้วเดินกลับออกมาหาถุงพลาสติกไปคลุมเฝือกมัน คุกเข่าจัดการครอบถุงพลาสติกลงบนเฝือกจะได้ไม่โดนน้ำ และทำแบบเดียวกันกับที่แขน หันมองรอบๆ ห้องน้ำมันไม่มีอ่างให้นั่งได้เลย มองสภาพมันแล้วยืนนานไม่น่าไหว เลยเดินกลับออกมาคว้าเก้าอี้ไม้ที่เค้าท์เตอร์ครัวเข้าไป

“เห้ยๆ ตัวนั้นโดนน้ำไม่ได้" มันโวยวายทันทีที่เห็นว่าผมกลับมาพร้อมอะไร

“มึงยืนไม่ไหวหรอก เดี๋ยวน้ำไหลเข้าเฝือก เท้าเวอร์ชันจะเน่านะ"

“แต่ตัวนั้นไม่ได้จริงๆ เว้ย"ผมมองมันนิ่ง ยังไม่รู้ตัวอีกหัวเหนียวฉิบหาย"แค่เช็ดตัวได้มั้ย" มันพูดเสียงอ่อน สุดท้ายก็จำใจ เอาเก้าอี้ที่มันหวงนักหนาเก็บที่เดิม แล้วพยุงมันกลับออกมา ไม่น่ารีบเลยกูเหนื่อยฟรีแบกเข้า แบกออก จากสภาพแล้วแม่งก็ลำบากจริงๆ ต้องซื้อเก้าอี้พลาสติกสักตัว จดไว้ในหัวแล้วพยุงมันออกมาจากห้องน้ำ ให้มันนั่งที่พื้นหน้าโซฟา ไอ้ภพมองผมหน้ามึน ไม่รอให้มันถาม ผมก็ชิงพูดก่อน

“ผ้าขนหนูกับกะละมังอยู่ไหน”

“กะละมังอยู่ในห้องน้ำ ผ้าขนหนูอยู่ในลิ้นชักในห้องกูชั้นแรก” มือมันก็ชี้ตามทิศทาง ผมเดินกลับเข้าไปในห้องมัน หยิบเอาผ้าขนหนู แชมพูและกะละมังมาใส่น้ำ เดินกลับออกมานั่งลงข้างๆ จัดการจุ่มผ้าบิดน้ำหมาดๆ แล้วเริ่มเช็ดหน้าเช็ดตาให้

“ถอดเสื้อออก”

“ไม่ต้องก็ได้ม้างง” มันเอียงตัวหนี หน้าตาเหลอหลา ผมเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อมันกลับมา จัดการปลดกระดุมทีละเม็ด มือมันก็พยายามปัดออก จนผมอดส่งสายตาดุๆ ไปให้ไม่ได้

“กูแค่จะเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อให้มึง มึงจะกลัวไรหนักหนา กูไม่แกล้งคนป่วยหรอก”

“มึงก็แกล้งกูอยู่เนี่ย ไอ้เหี้ย"

“เปล่าหนิ เฉยๆ หน่า"ผมค่อยๆ จัดการถอดเสื้อมันออก ติดขัดตรงเฝือกนิดหน่อย แต่ในที่สุดก็ถอดออกได้ โยนเสื้อขึ้นไปวางบนโซฟาแล้วหันกลับมา นั่นเอวเรอะ ก็รู้นะว่ามันตัวบาง แต่นี่มึงบางเกินไปนะ

“เลิกจ้องได้ยัง จะทำไรก็รีบทำ กูหนาว” ผมหันไปบิดผ้าหมาดๆ แล้วเริ่มเช็ดตามเนื้อตัวมันทุกซอกทุกมุม แม้แต่รักแร้ก็ไม่เว้น ผิวแม่งดีกว่าผมอีก

“ทำไมมึงไม่มีขนจั๊ก”

“ถามอะไรวะ”

“ก็อยากรู้ โกนอ่อ” มันไม่มีขนจั๊กจริงๆ ผิวแม่งขาวเนียนแม้กระทั่งใต้วงแขน

“ใครจะโกน กูไม่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รีบๆ เช็ดดิ๊ มึงจะถูรักแร้กูให้เลขขึ้นเหรอ” เช็ดท่อนบนเสร็จก็เปลี่ยนไปเช็ดที่ขามันต่อ ค่อยๆ เลื่อนผ้าขึ้นเตรียมจะสอดเข้าไปเช็ดต้นขาใต้กางเกงขาสั้น มือซ้ายมันก็จับหมับ

"พอ"มันพูดเสียงเรียบ ตามองทีวี ผมพยักหน้า แล้วลุกเอาน้ำไปเปลี่ยน กลับออกมาแล้วย้ายขึ้นไปนั่งที่โซฟาซ้อนหลังมันแทน จัดการวางกะละมังไว้ระหว่างขาแล้วดึงตัวมันให้แทรกเข้ามาตรงกลาง ภพนั่งเงียบตามองจอ ตั้งอกตั้งใจดูข่าวตรงหน้า

“กูจะสระผมให้” มันพยักหน้าทีหนึ่ง แล้วปล่อยให้ผมจัดการ จับหัวให้เงยขึ้นเล็กน้อย ผมค่อยๆ เอาน้ำลูบกรอบหน้าและเส้นผม จ้องมองใบหน้าที่ตอนนี้หลับตาพริ้ม เทแชมพูใส่ฝ่ามือ แล้วเริ่มนวดศีรษะให้เบาๆ เสียงทีวีดูไกลห่างออกไป ผมจ้องมองใบหน้า มองขนตามัน จมูกมัน และริมฝีปากเยลลี่นั่น อดทนที่จะไม่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เกินไป ผมชอบเวลาที่ได้มองมัน และชอบมากยิ่งขึ้นที่ได้มองมันใกล้ๆ แบบนี้

“สบายมั้ย”

“โคตรดี”



**************************************************



“สบายหัวเลยดิ”

“อืม ขอบใจนะ” พยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับไป ผมนั่งอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา โดยมีไอ้ยุนั่งซ้อนหลังเช็ดผมให้อยู่ สบายตัวขึ้นเยอะ อย่างน้อยกลิ่นเน่าๆ ก็หายไปบ้าง

“ถ้าอาบน้ำมึงจะสบายตัวกว่านี้”

“รู้ แต่มันลำบาก”



ออดดด



“เพื่อนกูคงมาแล้ว"ผมขยับตัว พยายามจะลุก แต่โดนกดตัวให้นั่งลง

“ไม่ต้อง กูไปเปิดเอง"

มันพูดเสียงเรียบ แล้วลุกเดินออกไป ผมหยิบผ้าที่มันทิ้งไว้ขึ้นมาเช็ดหัวตัวเองเบาๆ เสียงโวยวายของไอ้พิมกับไอ้โทนี่ดังมาถึงนี่ มันเดินกันเข้ามายืนมองผม แล้วยิ้มกริ่ม

“อะไร”

“นี่มึงอาบน้ำไปแล้วเรอะ"ยังไม่ทันตอบไอ้พิม ก็โดนขัด โดยคนตัวสูง

“ภพ กูไปก่อนนะ” ผมพยักหน้ารับ ไอ้ยุเดินแทรกพิมกับโทนี่เอาเสื้อมาวางไว้ให้ แล้วออกไป ทั้งห้องยังคงไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเสียงประตูปิดลง

“ไอ้โท มึงว่าเราพลาดอะไรไปป่ะวะ”

“พอเลย กว่าจะมากันนะพวกมึง” แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าพวกมันอยากพูดอะไรเลยรีบขัด จัดการหยิบเสื้อมาสวม ทำไมมันหยิบเสื้อยืดมาว่ะ รู้มั้ยว่ามันใส่ลำบากเนี่ย จัดการเอาเสื้อสวมหัวด้วยมือเดียวอย่างทุลักทุเล

“มึงกินไรยัง” ไอ้นนนถาม แล้วเดินเข้ามาดึงเสื้อไปจากมือผม มันจัดการจับสวมหัวให้ แล้วช่วยใส่เสื้ออย่างทุลักทุเล

“ไอ้ยุ ซื้อเข้ามาให้กินแล้ว ทำไมมากันช้าจังวะ”

“นี่พวกกูก็รีบมาสุดๆ แล้วนะ เอางานมาทำด้วย คืนนี้พวกกูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเองง” ผมพยักหน้า หลังจากนั้นห้องผมก็ไม่เงียบอีกเลย พวกมันผลัดเปลี่ยนกันคอยช่วยจับนู่นนี่ นั่งดูซีรีส์กันตาแฉะจนลืมงานที่ต้องทำ ตกเย็นเราก็มานั่งกองกันที่โต๊ะกินข้าวอย่างพร้อมเพรียง

“ถอดเฝือกเมื่อไหร่วะ”

“ถอดคออ่ะเช้าวันจันทร์” ผมตอบไอ้โทนี่ มือซ้ายก็พยายามตักข้าว เงยหน้าบอกไอ้พิมที่กำลังตักน้ำซุปเข้าปาก “มึง กูขอช้อนสั้นได้ป่ะ อันนี้ตักลำบาก”

"ขอบใจ"

“แล้วบ่ายเข้ามอป่ะ”

“เข้าดิ กูพอเดินไหวแล้ว”

“งั้นกูอยู่ห้องมึงถึงวันจันทร์เลย จะได้พามึงไปโรงบาลแล้วเข้ามอพร้อมกัน” ไอ้พิมบอกเสียงใส มือมันก็คีบเส้นบะหมี่ไปด้วย

“เออดีๆ กูก็ไม่อยากไปคนเดียว”

“กูอยู่ไม่ได้นะ พรุ่งนี้มีไปกับที่บ้าน” ไอ้โทนี่เงยหน้ามาบอก ผมพยักหน้ารับ แล้วตักข้าวเข้าปากต่อ มองไอ้พิมที่วางตะเกียบแล้วหันขวับไปหาไอ้นนน เอาหัวถูแขน ไม่วายไอ้นนนก็ยอมอีกตามเคยชัวร์

“มึงต้องอยู่นะ กูเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เกิดไอ้ภพล้มกูคงรับไม่ไหวว”

“รู้แล้ว กินข้าวไป”

“จ้าา พ่อ”

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่10/2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 23-03-2020 13:16:07
ในที่สุดวันจันทร์ก็มาถึง ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำโดยมีไอ้นนน คอยช่วย เมื่อวานไอ้พิม ออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมเก้าอี้พลาสติกสำหรับนั่งและวางขา มาให้ผมเรียบร้อย พอได้อาบน้ำแล้วสบายตัวขึ้นเยอะ หลังกิน ข้าวเช้าง่ายๆ กันเรียบร้อย เราก็ระเห็จออกจากห้องไปโรงบาลกันด้วยรถของไอ้นนนคนดีคนเดิม ใช้เวลาไม่นานที่โรงพยาบาล แล้วตรงมาที่มอต่อซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เราเลยมาถึงก่อนเวลาเรียน

“โทนี่มันอยู่ไหน"ผมถามเมื่อเราพากันเดินมาถึงหน้าตึก ผมยืนอยู่หน้าทางเข้าโดยมีไม้ค้ำสอดอยู่ใต้รักแร้ ไอ้พิมกดโทรหาโทนี่ ส่วนไอ้นนนก็ยืนอยู่ข้างๆ

“ฮัลโหล พวกกูถึงแล้ว อ่อเคๆ "ไอ้พิมวางสาย “ไอ้โทนี่ขึ้นไปแล้ว"

ผมออกเดินช้าๆ ไปทางลิฟต์ มีนนนกับพิมประกบเดินตามมา ดีที่วันนี้คนไม่เยอะ ไม่นานพวกเราก็ขึ้นมาถึงชั้นเรียน พอไปถึงห้องเท่านั้นแหละ เพื่อนก็พากันรุมถาม ผมมองเห็นนานะนั่งอยู่ไม่ไกล ส่งยิ้มทักทายกันเล็กน้อย หลังหลุดออกมาจากลุ่มเพื่อนได้ ก็เดินมานั่งลงข้างๆ ไอ้โทนี่ แล้วหยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่นระหว่างรอเรียนเข้ามา อยู่ๆ เสียงในห้องก็เงียบลง เงยหน้าจากหน้าจอขึ้นมาเพราะคิดว่าจารย์เข้าแล้ว แต่ภาพตรงหน้าผมกลับไม่ใช่จารย์อย่างที่คิด ไอ้พายุยืนอยู่หน้าประตู มันมองตรงมาที่ผมแล้วเดินเข้ามา ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ผมแอบเห็นไอ้โทนี่ตีแขนพิมไม่หยุด เห็นเพื่อนผู้หญิงในห้องลอบมองไอ้ยุเป็นพักๆ เสน่ห์แรงเหลือเกินน เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ มันเดินมาหยุดยืนข้างๆ

“ถอดเฝือกแล้วเหรอ"

“เออ มึงไม่มีเรียนรึไง"

“ จารย์ยังไม่เข้า เห็นมึงเดินผ่านหน้าห้องเมื่อกี้เลยแวะมาหา"

“อ่อ กลับห้องไปได้แล้ว” ผมออกปากไล่ แต่มันยังคงยืนนิ่ง

“เย็นนี้กลับยังไง ให้กูไปส่งมั้ย”

“ไม่ต้องๆ เพื่อนกูจะไปส่ง”

“แล้วเย็นนี้แวะไปใต้ตึกมั้ย น้องๆ ถามหามึงกันใหญ่”

“แน่นอน เห็นแบบนี้คนชอบกูเยอะนะครับ”

“อืม กูก็ชอบนะ” เงียบไปเลยดิ ผมเนี่ย ดีนะที่มันก้มมาพูดเบาๆ “ถ้าเย็นนี้มึงจะแวะเข้าไป เดี๋ยวกูไปส่งมึงเองจะได้ไม่ต้องให้เพื่อนรอ”

“ไม่ต้อง เพื่อนกูเดี๋ยวกูไปส่งมันเอง มึงอะกลับไปห้องเรียนได้แล้ว เพื่อนมึงมาตามแล้ว”

เสียงเรียบๆ ของไอ้นนนทักขึ้นผมหันไปมองตามที่ไอ้นนน บอก เห็นพวกแม่งยืนออกันอยู่หน้าห้อง มากันครบแก๊งเลย พวกมันเดินกันเข้ามาในห้อง ทักทายคนอื่นๆ เล็กน้อยแล้วตรงมาที่โต๊ะผม

“ไงมึง กลับมาเรียนวันแรกก็ทำเพื่อนกูรีบวิ่งออกจากห้องเรียนเลยนะ”

“ความผิดกูเหรอ เพื่อนมึงมันวิ่งมาเอง"

"โอ้ววว ทำไมคำตอบดูมีความภูมิใจ"

"บ้าบอ หนังสงหนังสือไม่เรียนกันนะพวกมึงอ่ะ"

ผมมองพวกมันที่หัวเราะร่า

“เย็นนี้กลับกับกูนะ"

“ยังไม่จบอีก ไอ้นนนก็บอกอยู่ว่ามันจะไปส่ง" ไอ้ยุมันทำตีหน้าเศร้า เวอร์วังจริงๆ วันนี้จะมามุกไหนอีก “อยากไปส่งกูมากเหรอ”

“อืม ไม่ได้เหรอ”

“ทำเสียงแบบนั้นทำไมวะ ขนลุก”

“อ้อนไงเผื่อมึงใจอ่อน” แล้วมันก็เอาหน้ามาซบถูๆ ไถๆ ที่ไหล่ผมเบาๆ เออๆ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงไอ้ไมโล หมาที่บ้านเลยวะ โคตรเหมือนถ้าครางหงิงๆ นะใช่เลย ผมส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนตัวเอง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ

“กริ๊ด มิตรภาพลูกผู้ชายเวอร์ อีโทกูฟินอ่ะ” เสือกทำหน้าเคลิ้ม ฟินบ้าฟินบออะไรวะ ส่วนไอ้นนนก็ทำแค่จ้องมองนิ่ง ช่วยกูหน่อยโว้ยย ได้แต่กลอกตาแล้วหันกลับมามองเสี้ยวหน้าไอ้ยุที่ยังเกยอยู่บนไหล่

“อ้อนตีนกูนี่ เอาหัวออกไป” ผมพยายามยักไหล่ ให้หัวมันออกไป แต่ไอ้นี่ก็ดื้อมันจับเอวผมแล้วเอาหัวดันๆ รำคาญโว้ยย ชอบจังนะทำแบบนี้กับกูเนี่ย แล้วแกล้งที่ไหนไม่แกล้ง มาแกล้งกูกลางห้องเรียน

“กลับกับกูนะ นะ”ยัง มึงยังไม่หยุดอีกกก

“เพื่อนกูเป็นเอามากว่ะ”

“กูก็พึ่งเคยเห็นมันร่างนี้ น่ากลัวฉิบหาย”

“ดูท่าทางแล้ว นี่มันกำลังสนุกได้ที่เลยนะ”

“พวกมึงเลิกคุยกันแล้วเอาเพื่อนมึงออกไปป”





จนแล้วจนรอดคนที่ทำให้ไอ้ยุเดินกลับห้องเรียนไปได้ก็คือจารย์ผม แต่ไม่วายประเด็นฉากเด็ดเมื่อกี้ของมันก็ยังถูกพูดถึง ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้ยุเมื่อก่อนมันเป็นคนเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้มันโคตรทำตัววุ่นวาย และมากขึ้นทุกวัน

“โทนี่ กูยังฟินนอยู่เลย"

“กูด้วย พึ่งเคยเห็นพายุเวอร์ชันขี้อ้อน ใจกูนี่เหลวเลย อยากด้ายย"

“ไม่ได้!”

“อีพิม มึงจะเก็บไว้กินเองเรอะ"

“ก็นั่นของเพื่อนนน"แหม คำว่าเพื่อนยาวมาถึงหน้ากูเลยนะ

“พวกมึงเลิกคิดเพ้อเจ้อกันได้ป่ะ กูกับไอ้ยุเป็นเพื่อนกัน"

“โอ๊ย มึงแหละเพ้อเจ้อ กูยังไม่ได้พูดเลยว่ามึงเป็นอะไรกัน"

“ร้อนตัวหยอ"

“ลิ้นไก่สั้นเหรอ มึงอะ"ผมด่าพวกมันไปที"พวกมึงเล่นพูดว่าของเพื่อนนน ยาวมาถึงหน้ากูนี่ กูไม่รู้เลยมั้งว่าหมายถึงอะไร"

“ฮ่าๆ พวกกูแค่หยอกน่า เคมีมันได้ เนอะ"ไอ้โทนี่พูดแล้วพยักหน้าหงึกหงักกับไอ้พิม พวกมันควรใจเย็น พึ่งเลิกกับผู้หญิง บอกเคมีกูเข้ากับผู้ชาย ฟาย

“แต่ถ้ามึงชอบมันจริง กูก็สนับสนุนนะ อิอิ"

“อิอิ พ่อง"

“เอกภพ คุยอะไรกัน เล่าให้อาจารย์ฟังบ้างสิครับ"ผมหันไปยิ้มอ่อนให้จารย์ดี้ และจารย์ ก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาให้ผม พร้อมสายตาอยากรู้อยากเห็น เคยบอกแล้วใช่มั้ยครับ ว่าอาจารย์ผมแทบทุกคนโคตรจะเป็นกันเอง มีเส้นบ้างๆ กั้นอยู่ระหว่างอาจารย์กับเพื่อน บางทีผมก็คิดว่าเป็นกันเองเกินไปด้วยซ้ำ พวกผมเลิกคุยกันแล้วสนใจเพื่อนที่กำลังพูดอธิบายงานอยู่แทน



“โอเค การบ้านของวันนี้ หัวข้อคือภาพยนตร์ สเก็ต20ตัวเหมือนเดิม จารย์ขอเพิ่มมู๊ดบอรด์อินสไปร์และเทคนิค1หน้าคู่นะครับ เจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าหวังว่าจะได้เห็นงานของทุกคน" ผมจะรอดป่ะวะ มือขวาก็เดี้ยง เหลือแต่มือซ้ายที่ไม่ถนัดจะไปวาดอะไรได้ วันนี้งานยังไม่มีมาส่งเลย ต้องกลับไปทำของเก่าอีก

“จารย์ครับ คือผม"

“ของภพ จารย์ไม่ซีเรียสถ้างานจะออกมาไม่ดีเท่าปกติ แต่ขอให้มีส่งนะ"

“อ่า ครับ"ชัดเจน ต้องทำส่งอยู่ดี ผมเก็บสมุดจดใส่กระเป๋านั่งรอสามเกลอเก็บของจนเสร็จก็หยิบไม้ค้ำ มายันตัวลุกเดินออกไปมีไอ้นนน คอยประกบอยู่ด้านหลัง เดินพ้นประตูห้องออกมาไม่ถึงไหน เจ้ากรรมนายเวรก็มานั่งก้มกดมือถืออยู่หน้าห้องข้างกายมีไอ้คินนั่งส่งยิ้มแป้นมา ทันทีที่เห็นผม มันใช้ศอกกระทุ้งไอ้ยุ ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองผมแล้วลุกเดินเข้ามาหา

“มึงมาทำไมอีกครับ"

“ก็มารับมึงไง"

“บอกไปแล้วไงว่ากูจะไปกับเพื่อน"

“รู้แล้วก็มารับไปส่งที่รถเพื่อนมึงไง"

“เออ เอาเหอะ"เหนื่อยจะพูดกับมัน วอแวเก่ง ไอ้ยุ เดินเข้ามาแทรกตัวอยู่หลังผม มือมันก็เข้ามาโอบหลวมๆ ที่เอว “เกินเรื่องมั้ย ไม่ต้องประคองขนาดนั้น"ผมหันหน้าไปพูดกับมัน

“กลัวล้ม"

เลิกสนใจมันแล้วขยับไม้ค้ำไปข้างหน้าทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างที่ไม่มีเฝือก มือหนาๆ ของมันช่วยประคองไม่ให้ผมทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไป เดินไปยังไม่ทันพ้นหน้าประตูห้องเรียนแรก ตัวผมก็ถูกดึงไปอีกทาง ผมหยุดเท้าแล้วมอง ไอ้นนนที่เข้ามารั้งตัวผมไว้ ทำไรของมึงวะ ไอ้นนนมายืนประกบข้างซ้าย ด้านหลังทางขวาผมก็ยังมีไอ้ยุที่ยืนโอบอยู่ มันทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วดันผมให้ออกเดิน พวกมึงเล่นไรกันอีก ความหวังดีของพวกมึง กำลังทำกูลำบาก ผมเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเลได้ยินเสียงหัวเราะ ของไอ้พิมดังตามหลังมาเบาๆ เดินลำบากโว้ย สุดท้ายทนไม่ไหวเลยหยุดเท้ามองพวกมันทีละคนด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย

“พวกมึงเป็นไรกันวะ"

“ไม่ได้เป็น"พูดพร้อมกันไปอิ๊กก

“ไม่เป็นก็ถอยกูจะเดินเอง เดินลำบากฉิบหาย มึงประกบกันขนาดนี้ไม่อุ้มกูไปเลยละสัด ถอย"พูดจบก็ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างนึงแล้วยกไม้ค้ำดันพวกมันออกทีละคน ผมขยับตัว ตั้งท่าก้าวเดินต่อ

"เห้ย"

อยู่ๆ ตัวผมก็ลอยขึ้น เหนือพื้นเล็กน้อย ไม้ค้ำหลุดไปนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าผมยังคงตั้งตรงมองไปด้านหน้า ตาเบิกกว้าง ก้มมองวงแขนที่โอบรอบเอวอยู่ ตัวเคลื่อนไปข้างหน้าตามการก้าวเดินที่ไม่ได้เกิดจากขาตัวเอง หันไปมองเสี้ยวหน้าเรียว และไฝใต้ตามัน

“เชี่ยยุ ทำไรของมึง"

“ก็มึงบอกให้อุ้ม"

“กูประชดด"

“เพื่อนกูมันแน่วะ”

ผมได้ยินเสียงไอ้คิน ตัวผมลอยไปข้างหน้าด้วยท่าอุ้มแปลกๆ ของมัน ไอ้หน้าสัด อุ้มกูเป็นกระสอบปุ๋ยเลย มันเดินมาปล่อยผมลงที่หน้าลิฟต์มือยังคงอยู่ที่เอวผม ไอ้โทนี่วิ่งเข้ามายื่นไม้ค้ำให้ทันที กูเห็นนะ ฟินเลยดิมึง ผมรีบรับมาไว้ใต้รักแร้พอยืนทรงตัวได้ ก็หันไปหาไอ้ตัวการที่ยืนทำหน้ามึน

“มึงห้ามทำแบบเมื่อกี้อีก"

“ทำไม"

“ยังจะถาม ยกกูเป็นสิ่งของเลยสัด กูตกใจหมด"

“กูก็ไม่เคยมองมึงเป็นสิ่งของนะ"

“แล้วมองเพื่อนเราเป็นอะไรหรา"

เสียงระริกระรี้ของไอ้พิมดังขึ้น ผมมองหน้าไอ้ยุ ปรามๆ พูดดีๆ นะมึง มันมองผมแล้วยกยิ้มมุมปากแต่กลับไม่ตอบคำถามนั้น ก่อนจะเดินนำเข้าลิฟต์ไป พวกผมเดินตามกันเข้ามายืนในลิฟต์ เสียงไอ้พิมพ์ยังคงดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด ผมลอบมองไอ้ยุที่ยืนอยู่ข้างๆ มันยังคงยกยิ้มมุมปาก



แทนที่จะได้กลับบ้าน ผมกลับต้องลากสังขาล มาลานกิจกรรมใต้ตึก เพราะพี่จูนพิมพ์มาบอกไอ้พิมให้เข้าไปดูน้อง คนอย่างไอ้พิมอ่ะ ไปไหนคนเดียวไม่เคยได้สุดท้ายมันก็ลากเรามากันหมด ผมนั่งพูดคุยกับพี่ๆ น้องๆ ที่เดินแวะเวียนเปิดประตูห้องอุปกรณ์กันเข้ามาถามอาการ ไอ้พายุเดินแยกไปทำงานตั้งแต่เราเดินมาถึงใต้ตึก ไอ้พิม ไอ้โทนี่ก็กำลังนั่งปักชุดอยู่ที่พื้น ส่วนนนนออกไปช่วยยกของให้พี่บะหมี่ เวลาผ่านไปไม่นานน้องมินก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมเพื่อนอีกสองสามคน

“พี่ภพ เป็นไงบ้างคะ"

“พี่โอเคแล้วครับ พี่ไม่อยู่เป็นไงเหนื่อยมั้ย"

“มากเลยพี่ พี่พิมโคตรดุ"

“อีมิน ไอ้ภพมาไม่ได้เลยนะ ฟ้องใหญ่ มานี่มาช่วยกูปัก"ไอ้พิมเงยหน้ามาเรียกน้องมันเข้าไปหา ผมส่งยิ้มให้กำลังใจน้องมิน แล้วนั่งมองพวกมันทำงานกัน อยากช่วยนะแต่สภาพไม่พร้อม เลยทำได้แค่มองนู่นที นี่ทีฆ่าเวลารอ หันมองออกไปนอกกระจก มองรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำงานกันอยู่ขมักเขม่น จนสายตาไปหยุดที่คนตัวสูง มันก้มๆ เงยๆ ผสมสีในถังมีน้องๆ ผู้หญิงยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ใบหน้ามันเรียบเฉย สายตาจดจ่อ ริมฝีปากขยับพูดไปด้วย ผมมองมันผสมสีจนเสร็จแล้วหันเดินไปหยิบแปรงก่อนกลับมานั่งยองๆ ทาสีของประกอบฉากต่อ มองร่างสูงทำงานเพลินๆ แล้วผมก็สะดุ้งสุดตัว รีบหลบตากลับมาที่กลุ่มเพื่อน มือซ้ายยกขึ้นลูบหลังคอตัวเองอย่างประหม่า แม่งเอ๊ยเมื่อกี้เผลอสบตากับมัน



ใจเต้นรัว ใจเย็นๆ ไอ้ภพ หายใจเข้า หายใจออ….



พลั๊ก



ผมหันมองประตูที่ถูกผลักเปิดออก ร่างสูงในชุดนักศีกษาที่ไม่ได้เรียบร้อยนักก้าวเข้ามา ตาเรียวมองตรงมาที่ผม เราสบตากัน ชั่วเวลาสั้นๆ นั้นเหมือนผมพึ่งเห็นมันจริงๆ ครั้งแรก ก่อนรีบหลุบตาลง หยิบมือถือขึ้นมากด เลื่อนดูคลิปรันเวย์ล่าสุด ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองแม้สายตาจะเห็นปลายเท้ามันมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม มันเดินมานั่งลงข้างๆ ใจเย็นไอ้ภพ โฟกัสที่นางแบบ โฟกัส โฟกัส โว้ยยทำไม่ได้ สุดท้ายอดไม่ได้ แอบเหล่ตามอง สัด อย่าจ้องกูแบบนั้น

“ดูอะไรอยู่”

“อย่าคุยกับกู”

“ทำไม” อย่าชะโงกหน้าเข้ามา

“อย่ายุ่งกับกูหน่า”

“เป็นอะไร”



ไอ้ยุถามเสียงเรียบ แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร พยายามเลิกใส่ใจมันแล้วโฟกัสที่นางแบบในจอมือถือ อืมๆ ซีลูเอทนี้ดี สวยๆ อันนั่นก็น่าสนใจ ฮืออ ไม่มีสมาธิเลยโว้ยย ไอ้ยุมันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะแค่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเนี่ยแต่ทำไมมีแต่ผมที่ว้าวุ่นใจอยู่คนเดียว



“ภพมึงเป็นไร” เสียงต่ำๆ ของไอ้นนนดังขึ้นหน้าประตู กลับเข้าห้องมาตอนไหนว่ะ มันมองผมกับไอ้คนข้างๆ แล้วเดินหน้านิ่งไปนั่งข้างไอ้โทนี่

“ที่รักคันเท้าเหรอ กระดิกไม่หยุดเลย”

“เออ มาเกาให้หน่อย”

“ได้ค่ะ ที่รัก”

ไอ้พิมลุกเดินมานั่งลงข้างๆ เท้าผม เกลียดความเล่นตามน้ำของมันจริงๆ มือมันก็จับเท้าข้างที่มีเฝือกไปวางบนตัก แล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ จะเล่นอะไรอีก

“ไหนมึงคันตรงไหน ตรงนี้มั้ย” มือมันก็ชี้ที่น่องผม “หรือตรงนี้” แล้วย้ายมาชี้ที่ข้อเท้า ผมมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของมันแล้วย้ายไปมองจุดที่มันชี้อยู่ เห็นตัวอักษรสีน้ำเงินอยู่ไกลๆ ภาพแวบเข้ามาในหัว จนรีบยกเท้าออก

“โอ๊ย” เต็มๆ เฝือกกระแทกปากไอ้พิม มองมันที่ยกมือขึ้นกุมปากจ้องผมน้ำตาคลอ

“โทษๆ ตีนกระตุก”

มันชี้หน้าผม ท่ามกลางเสียงหัวเราะของไอ้โทนี่กับน้องๆ ที่นั่งอยู่ แล้วเอื้อมมือมาดึงขาผมกลับไป มึงยังจะเล่นอีกเหรอ

“พายุๆ”

“ว่าไง”

“ที่เฝือกตรงนี้อ่ะ พายุเป็นคนเขียนเหรอ” เกลียดเสียงมันว่ะ เสียงสองเสียงสาม แรดจริงๆ

“มันเขียนว่าอะไร”

“มึงเงียบๆ ไปเลยอย่าไปเล่นกับมัน” ผมหันไปบอกคนข้างๆ

“เขียนว่าอะไรนะพิม” เมินกูไปอีก จะเอาคืนที่กูไม่ตอบเมื่อกี้เรอะ

“ก็เนี่ยย เขียนอยู่ว่า ‘มีคนจองแล้ว’ คนที่จองใช่พายุรึเปล่าน้า” ทั้งห้องเหมือนตกอยู่ใจความเงียบ รอฟังคำตอบจากปากเจ้าของข้อความนั่น คงมีไอ้พิมคนเดียวที่ยังเริงร่าสนุกกับการได้แกล้งผม “จองใครเหรอ ใช่เพื่อนเราคนนี้มั้ย”



ผมเตรียมจะยกเท้าให้กระแทกปากไอ้พิมอีกสักทีแต่แม่งก็รู้ทัน มันจับไว้แน่นแล้วยิ้มกว้าง

“เลิกเล่นได้แล้วอีพิม กลับมาทำงาน”

“โทนี่ ขัดกูทำไม กูกำลังจับโป๊ะเพื่อนเราอยู่เนี่ย”

“มึงหันมามองหน้าพ่อมึงก่อนน”

สิ้นคำพูดของไอ้โทนี่ผมกับไอ้พิมก็หันไปมอง'พ่อ'ที่มันว่าพร้อมกัน ไอ้พิมมีตายอ่ะ บอกเลย ไอ้นนนหน้าตึงฉิบหาย พิมค่อยๆ ลุกไปนั่งข้างๆ นนน หน้าเจี๋ยมเจี้ยม จนผมอดขำท่าทางมันไม่ได้ ในบรรดาเราสี่คน ก็คงมีแต่ไอ้นนนเนี่ยแหละที่ปรามไอ้พิมได้ นอกนั่นมันฟังใครที่ไหน ไอ้นนนยังคงมองมาทางที่ผมนั่งหน้าตึง อะไรวะ ผมขมวดคิ้วมองตอบ แล้วเสียงเรียบของคนที่นั่งข้างๆ ก็ดังขึ้น

“พิม ที่เมื่อกี้ถามอ่ะ” หันมองไอ้ยุ ที่สายตาจ้องไปทางไอ้พิม ก่อนมันจะหันมามองผม

“ใช่เราจองคนนี้” มันพูดพร้อมกับนิ้วที่จิ้มลงมาที่อกผม แล้วยกยิ้มมุมปาก ไอ้บ้าเอ๊ย เรื่องแบบนี้อ่ะเก่งนัก ฮืออใจผมม



*silhouette(ซิลูเอท)คือ ภาพโครงร่างเงา ภาพแบบดำทึบ ที่ไม่มีลายละเอียดภายใน


#คู่ขนานของเอกภพ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่10/1-10/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-03-2020 23:48:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่11/1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 24-03-2020 22:48:03
Chapter 11 HotยังกับFire



“ช่วงนี้ไอ้พายุมันวุ่นวายกับมึงจังวะ”

“เออ กูก็คิดงั้น”

ผมตอบไอ้นนนเสียงเรียบ หลังจากวันที่ไปมอวันแรก นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วที่ไอ้สามเกลอผลัดเปลี่ยนกันมานอนห้องผม เมื่อคืนเป็นคิวไอ้นนน เช้าวันเสาร์แบบนี้ เราเลยมานั่งทำงานกันอยู่หน้าทีวี พร้อมแมคบุ๊คคนละตัว ถ้าพูดถึงเรื่องความวุ่นวายของไอ้พายุที่นนนพูดถึง ก็ต้องบอกว่าช่วงนี้ผมเห็นหน้ามันแทบจะทุกวันแล้วแต่ว่ามันจะโผล่มาให้เห็นตอนไหน เจอบ่อยสุดก็ตอนเย็น ผมที่ยังคงเดี้ยงอยู่ หน้าที่ในงานกีฬาก็น้อยลงไป แต่ก็ยังต้องเข้าไปดูหน้างานกับพวกพิมทุกวันอันที่จริงผมก็ชินแล้ว เวลามันมาหยอดหรือเล่นมุกใส่ แต่ที่สงสัยคือ

“มึงไม่มีงานมีการทำเหรอวะ"ผมหันไปมองไอ้คนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ เป็นมันเนี่ยแหละที่มากดออดหน้าห้องปลุกพวกผมแต่เช้า" ตอนนั้นผมยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย คนที่ลุกไปเปิดประตูให้มันเลยเป็นไอ้นนน ไปตามระเบียบ

“ทำเสร็จแล้ว"



พยักหน้าส่งๆ แล้วเลิกสนใจมัน ปล่อยมันดูทีวีไป หันมาทำงานตรงหน้าต่อ มือซ้ายลากเม้าท์ปากกาอย่างทุลักทุเล สปีดการทำงานช้าลงยิ่งกว่าเต่า โคตรเครียด แต่ก็ไม่มีเวลาให้ฟูมฟายมากนัก การบ้านวีคนี้เยอะมาก งานเก่ายังไม่ทันเสร็จงานใหม่ก็ดาหน้ามาทุกวัน ดีนะที่อาจารย์บอกงานช่วงผมรักษาตัวให้ไปเคลียร์ก่อนส่งไฟนอลได้ ตอนนี้ก็เลยหัวหมุนกับงานที่พึ่งได้มาใหม่ทุกอาทิตย์ สปีดในการทำงานช้าขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พวกเพื่อนๆ ช่วยผมคงตายไปแล้ว

“ภพ ของกูใกล้เสร็จแล้วมึงจะให้ช่วยอะไรมั้ย"

“ตอนนี้ยัง"

“โอเค งั้นเดี๋ยวกูมา”

“ไปไหนวะ”

“ไอ้โทนี่พิมพ์มาให้ไปรับ มันไปพาหุรัถซื้อผ้าให้พี่จูน”

“อ่อๆ งั้นมึงรีบไปรับมันเหอะ”

“เออๆ ไอ้พายุออกไปพร้อมกูเลยมั้ย” ถ้าไอ้นนนไม่ทัก ผมก็ลืมไปแล้วนะว่ามันยังนั่งอยู่ข้างๆ บทมึงจะเงียบก็เงียบจริงๆ เล้ย

“ไม่อะ กูขับรถมา” มันตอบเสียงเรียบ โดยไม่มองไอ้นนนด้วยซ้ำ ไอ้นนนเงียบไปครู่หนึ่งจนผมต้องเงยหน้าถาม

“ไม่ไปวะ”

“อืม ไปแล้ว มีอะไรโทรหากูนะ ส่งไอ้โทนีี่เสร็จแล้วเดี๋ยวกูเข้ามา” ผมพยักหน้าให้มัน แล้วมองมันหันหลังเดินออกไปจากห้อง หันกลับมามองไอ้คนข้างๆ แล้วไอ้นี่จะกลับเมื่อไหร่

“มึงกลับได้แล้วมั้ง”

“วันนี้ไม่กลับ"แล้วมันก็ดึงปากกาไปจากมือผม จัดการลากโต๊ะเล็กๆ ที่ผมวางคอมไปไว้หน้าตัวเองเสร็จสรรพ มองของที่ถูกย้ายไปสลับกับหน้ามัน

“จะทำอะไร”

“กูมองมานานแล้ว มึงทำช้าขนาดนี้คืนนี้ก็ไม่เสร็จหรอก กูจะช่วย”

“เห้ยไม่ต้อง”

“อย่าดื้อดิ กูรู้มึงเครียด”

“รู้ดี กูเปล่าสักหน่อย แค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอกคร้าบ”

“หรออกูเห็นมึงพลาดตัดหัวนางแบบไปห้าครั้งแล้ว ถอนหายใจจนผมขาวมึงขึ้นแล้วเนี่ย มึงบอกมาจะให้กูทำอะไร” มองหน้าไอ้ยุ อย่างลังเล ที่นั่งเงียบๆ นี่คือดูกูตัดหัวหน้าแบบอยู่เหรอ เสือกนับอีกว่าพลาดกี่ครั้ง “คิดนานฉิบหาย สรุปยังไง”

“มึงตัดรูปที่กูลากมาแยกเป็นเลเยอร์ไว้ให้หน่อยเดี่ยวกูค่อยมาจัดเอง”

“โอเค มึงจะนอนต่อก็ได้นะ เมื่อเช้ากูทำมึงตื่น”

“ไม่อ่ะ กูจะทำอีกวิชา” เอื้อมมือไปลากโต๊ะอีกตัวมาแล้วหยิบสมุดสเก็ต ที่ลงสีค้างไว้ กวาดตามองหากล่องโคปิค ไอ้นนนเอาไปวางไว้ไหนวะ คว้าไม้ค้ำมายันตัวขึ้นจากโซฟา

“จะไปไหน”

“หากล่องสีโคปิคอ่ะ” เท้าก็ก้าวออกไป แต่โดนมันรั้งไว้ก่อน

“อยู่ตรงไหนเดี๋ยวกูไปหาให้”

“ไม่ต้องๆ กูเดินได้” สะบัดแขนออกแล้วเดินหากล่องสีตรงแถวๆ ที่ไอ้นนนนั่งทำงาน แต่ก็ไม่เจอ มันเอาไปไว้ไหนเนี่ย เดินกะเผลกเข้าไปหาที่ห้องต่อ เดินเข้าๆ ออกๆ หาอยู่นาน สุดท้ายมาเจออยู่ในกระเป๋าตัวเอง โว๊ะ เสียงเวลาฉิบหาย ผมเดินกลับมานั่งลง แล้วเริ่มลงสี ช้าๆอย่างยากลำบาก ทำไมตอนตกบันไดไม่เอาแขนซ้ายลงว่ะ ใช้มือซ้ายโคตรไม่ถนัด ควบคุมยากไปหมด เผลอกลั้นหายใจเวลาลงสีจุดเล็กๆ ผ่านไปสิบนาทียังลงเสื้อตัวบนไม่เสร็จ จะลงชายเสื้อ แต่เดี๋ยวก็พลาดไปโดนจุดอื่นอีก ฮือออ กูเกร็งไปถึงง่ามตูดแล้ววว ผมจดจ่ออยู่กับการลงสี จนไม่รู้เวลาล่วงเลยไปถึงไหนรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้น เลยหันไปมองข้างๆ แต่กลับพบความว่างเปล่า หันมองหาที่มาของเสียง จนสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่ยืนพิงเค้าท์เตอร์ครัว ใบหน้าเรียบตึงดูหงุดหงิด เป็นอะไรอีกวะ แล้วไปยืนทำไรตรงนั้น

“ไปยืนทำไรตรงนั้น”

มันไม่ตอบแต่หันไปหยิบจานสองใบแล้วเดินไปที่โต๊ะกินข้าว

“กูเรียกมึงหลายรอบเสือกไม่ได้ยิน พอถอนหายใจได้ยินเฉย มากินข้าว”

“พึ่งกินเช้าไปเองจะกินอะไรอีก"

“นี่จะบ่ายสองแล้ว"

“ห๊ะ"ผมเงยหน้ามองนาฬิกา ฉิบหาย ทำตั้งนานพึ่งได้ สามตัว ผมตายแน่ กูจะร้องง

“ทำไมทำหน้างั้น"

“เดี๋ยวกูค่อยกิน มึงกินก่อนเลย"ว่าจบผมก็ก้มหน้าก้มตาลงสีต่อ ยังไงวันนี้ก็ต้องทำให้เสร็จ ทำงานช้าขนาดนี้ต้องเผื่อเวลาเอาไว้ก่อน ผมรับรู้ถึงความอ่อนยวบของเบาะข้างตัว

“อ้าปาก"หันไปมองช้อนข้าวที่ยืนเข้ามาใกล้

“มึงไม่เป็นไร เดี๋ยวกูค่อยไปกินเอง"

“อ้าปาก ถ้ามึงอยากทำงานกูก็จะไม่ห้าม แต่มึงต้องกินข้าว มียาที่ต้องกินตอนเที่ยง แล้วนี่ก็เลยเที่ยงมานานแล้ว กูมีให้มึงเลือกสองตัวเลือก หนึ่ง มึงจะวางสีลงแล้วไปนั่งกินดีๆ กับกู หรือสองทำงานของมึงไปแล้วปล่อยให้กูป้อนข้าวมึง" บ่นซะยาวเลย สัด

"มีข้อสามปะวะ"

"ยังจะเล่น เสียเวลาทำงานมั้ย"

"เออๆ ข้อสอง"สุดท้ายผมก็จำใจรับข้าวเข้าปากแล้วก้มลงทำงาน พอเคี้ยวหมดคำนึงไอ้ยุก็ป้อนคำใหม่เป็นแบบนี้ได้สองสามคำ ปกติผมกินเร็วนะแต่ตอนนี้คือแทบลืมเคี้ยวข้าว ได้แต่อมไว้ เพราะกลัวมือสั่นแล้วพลาดลงสีผิด

“ภพ"

“เออๆ "ขยับปากเคี้ยวข้าวที่เผลออมเร็วๆ แล้วหันกลับไปรับคำต่อไป

“มึงเป็นเด็กเหรอวะอมข้าวอยู่ได้"

“ก็กูกลัวขยับปากแล้วมันสะเทือน"เนี้ยๆ เกือบลากเกินอีกแล้ว ฮือ คิดถึงมือขวาฉิบหายเลย ถ้าได้ถอดเฝือกรับรองจะดูแลอย่างดี

“ขอให้คนอื่นช่วย นี่มันยากเหรอวะ"ไอ้พายุพูดเสียงขุ่นจนผมต้องหันไปมอง

“เอ้า หงุดหงิดอะไร"

“กูถามเนี่ยว่าขอให้คนอื่นช่วย มันยากนักเหรอ"

“มันก็ไม่ได้ยาก แต่กูทำเองได้ไงแล้วจะไปเดือดร้อนคนอื่นทำไม"

“มึงแม่ง ไม่ดูสภาพตัวเองเลย เมื่อกี้ก็ทีหนึ่ง ขาก็ใส่เฝือกยังจะเดินไปเดินมาอยู่ได้ จะเอาอะไรบอกกูให้หยิบให้ก็ได้มั้ย"

“เรื่องแค่นี่เอง มึงจะขึ้นทำไมเนี่ย"

“จะกินอีกมั้ย"มันไม่ตอบแต่เปลี่ยนประเด็นเฉย เล่นเอาผมหงุดหงิดตามมันด้วยแล้วเนี่ย

“ไม่อะอิ่มแล้ว"

มองมันสะบัดตูดถือจานข้าวไปเก็บ เดินเอายากับน้ำมาวาง แล้วหันหลังกลับไปนั่งกินข้าว ไม่พูดไม่จา อะไรของมัน เล่นใหญ่ เล่นโต ผมมองท่าทางมันแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าทำงานต่อ ยังไม่ทันได้เริ่มลงสีต่อเสียงเรียบๆ ก็ดังขึ้นอีก

“กินยา"

“เออๆ ลืม "



ผ่านไปไม่นาน ไอ้ยุก็เดินกลับมานั่งลงข้างๆ ผมเหล่ตามองมันที่หยิบเม้าปากกามาตัดงานให้ผมต่อ เงียบจัง

“กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ"

“อืม"

“มึงเป็นอะไร”

“เปล่า กูจะตัดเสร็จแล้ว มึงจะจัดวางเลเอ้าท์ยังไงบอกมา”

“กูจะทำแบบคอลลาจภาพอ่ะ เดี๋ยวกูทำต่อเอง" ก็รู้ว่ามันหวังดีอยากช่วย แต่ถ้าให้เลือกให้คนอื่นทำกับทำเอง ผมขอทำเองก่อน ถ้าไม่รอดจริงๆ ค่อยหาคนช่วย

“โอเค"ว่าง่ายจังนึกว่าจะอาสาช่วยซะอีก มันวางเม้าท์ปากกา เลื่อนตัวพิงผนักโซฟา เมินสายตาผม แล้วหยิบรีโมททีวี กดเปลี่ยนช่อง มึงโกธรกูเรื่องอะไรเนี่ย ปากบอกเปล่าแต่หน้านี่โคตรตึง ช่างแม่ง ปล่อยมันไปก่อนเดี๋ยวก็คงหาย ผมหันกลับมาลงสีต่อยังเหลืออีกหกตัวเแค่หกตัวเองไอ้ภพ จิ๊บๆ หน่า แล้วเสียงรอบตัวก็เงียบลงเมื่อผมจดจ่อกับงานอีกครั้ง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แสงสว่างหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความมืด เริ่มมองเห็นงานตรงหน้าไม่ชัดเจนเท่าเดิม นั่นแหละผมถึงเงยหน้ากลับขึ้นมามองรอบตัว ทันทีที่หันมองด้านข้างก็สบตาไอ้พายุที่นั่งจ้องอยู่ เหี้ยตกใจหมด

“มึงๆ เปิดไฟให้หน่อยดิ กูมองไม่เห็น"ปากบอกมันแล้วยกมือซ้ายมานวดเบาๆ ที่เปลือกตา ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องก็สว่างจ้า หยิบโคปิคขึ้นมาเม้มปากกัดปอกออก แล้วเล็งตำแหน่งที่จะลงสี กำลังจะแต้มสีลงบนกระดาษ มือหนาก็มาดึงโคปิคในมือผมไป เงยหน้ามองมัน มือหนาเอื้อมมาดึงฝากปากกาออกจากปากผม ผมมองหน้ามันสลับกับท่ามันมันที่จัดการปิดสมุดสเก็ตเก็บกล่องสี แล้วเลื่อนโต๊ะออกไปห่างตัว อะไรของมึงอี๊กก มองไอ้ยุเขม็งขยับปากเตรียมไฟท์เต็มที่ แต่พอเจอสายตามัน ก็หุบปากแทบไม่ทัน จะต่อยกูปะเนี่ย

“มึงควรพัก"

“กูไม่เหนื่อย งานยังเหลืออีกตั้งเยอะ จะพักทำไม"

“มึงนั่งมากี่ชั่วโมงแล้ว แน่ใจอ่อ ว่าไม่เหนื่อย"เล่นเอาสะอึกไปเลย อันที่จริงตอนนี้ขาผมเริ่มชานิดหน่อยเลือดไม่เดิน แอบปวดหัวตุบๆ แต่กลัวงานไม่เสร็จ แค่นี้ก็เครียดจนไม่รู้จะทำอันไหนก่อนแล้ว อยู่ๆ ขอบตาก็ร้อนพอคิดว่ายังเหลืองานอะไรอีกบ้าง เออโคตรเหนื่อย ใครว่าเรียนแฟชั่นจะสบายได้แต่งตัวชิคๆ มาเรียน ไม่เป็นความจริงเลย แต่งตัวจัดเต็มแค่วันวันแรกหลังปลดระเบียบตอนปีหนึ่งเท่านั้น ความเป็นจริงแค่จะตื่นมาเรียนยังยากเลย ผมก้มหน้าลง มึงจะอ่อนไหวเหี้ยอะไรไอ้ภพ แค่นี่เองไม่ตายหรอก ไม่จริง งานไม่เสร็จกูตายแน่ๆ เสียงในหัวตีกันไม่หยุด พยายามกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตา แล้วเงยหน้ามาเอื้อมมือดึงโต๊ะกลับเข้ามาหาตัว

“จะทำอะไร" ผมมองไอ้ยุที่ยื้อโต๊ะไว้

“กูจะทำงาน"

“ทำไมมึงดื้อจังวะ"

“แล้วมึงมาเสือกอะไรด้วยเนี่ย! " พูดแรงไปรึเปล่านะ เราจ้องกันนิ่ง มือยังคงค้างอยู่ที่ปลายโต๊ะคนละด้าน

“ก็ไม่ได้อยากเสือก ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วง” เสียงมันดูเย็นลง และดูอบอุ่นอย่างประหลาด “มึงไม่ต้องทำเก่งไปซะทุกเรื่องก็ได้ ถ้าเหนื่อยก็บอกเหนื่อย อยากร้องไห้ก็ร้องเลยกูไม่ด่ามึงว่าขี้แยหรอก แล้วก็หัดยอมรับน้ำใจจากคนอื่นบ้าง"

“แต่กูอยากทำเอง"

“รู้ แต่ตอนนี้มึงยังป่วยอยู่ แล้วมึงยังไม่ห่วงตัวเอง ไม่ดูเวลา ข้าว ยาไม่กินแบบนี้เมื่อไหร่จะหาย กูรู้มึงเองก็หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ถนัดเหมือนเดิม"

“อืม"

“มึงจะทำเก่งกับใครก็ได้ แต่เวลาอยู่กับกู มึงอ่อนแอก็ได้นะ"

เพราะประโยคนั้นประโยคเดียว ผมก็รู้ว่า พายุ ค่อยๆ พัดเข้ามาในใจผมมากขึ้นทุกที





**********************************************************





ในที่สุดแขนขาผมก็เป็นไท วันนี้ผมมาผ่าเฝือกแขนออก ส่วนเท้าก็เปลี่ยนเป็นเฝือกอ่อนแทน หมอยังคงกำชับว่าอย่าวิ่งหรือยกของหนักๆ มากเกินไป ซึ่งผมก็รับทราบเป็นอย่างดี เดินออกจากห้องตรวจ ไปยังจุดชำระเงิน ข้างกายมีไอ้คนตัวสูงเดินประกบไม่ห่าง หลังจากโดนมันสั่งสอนวันนั้น ผมก็เรียกใช้บริการมันบ่อยๆ อย่างเช่นวันนี้ จริงๆ ไอ้นนนต้องเป็นคนพามา แต่แม่มันดันโทรมากะทันหันให้เข้าไปที่บ้าน ผมที่ไม่อยากนั่งแท็กซี่ เลยโทรเรียกไอ้ยุมาเป็นสารถี ซึ่งมันก็ทำตามที่พูด ไม่เคยปฏิเสธคำขอสักครั้งแม้ผมจะขอในเรื่องปัญญาอ่อนแค่ไหนก็ตาม ผมรู้ว่ามันชอบผม ก็แม่งหยอดแทบทุกครั้งที่ทำได้ ไหนจะท่าทางเพื่อนๆมันที่ชอบมองแล้วยิ้มแปลกๆ ไม่รู้ผมก็โคตรโง่แต่ที่เลือกทำเฉยๆ ทุกครั้ง เพราะผมไม่มั่นใจว่ามันจริงจังแค่ไหนหรือแค่หยอกเอาขำๆ และที่สำคัญที่สุดผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกันแน่ ยอมรับว่ารู้สึกดีเวลามันดูแล รู้สึกสบายใจเวลามันอยู่ด้วย สับสนเวลาที่ผมหลงไปกับความรู้สึกดีนั้น สำหรับผมแล้วเรื่องของพายุดูเป็นสิ่งใหม่ที่ผมไม่แน่ใจว่าพร้อมจะเรียนรู้แล้วรึยัง ดังนั้นผมเลยกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผมกับมันว่า'เพื่อน'คำเดียวสั้นๆ ที่มีหลากหลายความหมาย

“คิดอะไรอยู่”

“คิดว่า จะกินอะไรเที่ยงนี้ดี”

“แก้มมึงเริ่มบวมเกินไปแล้วนะ”

“กูไม่สน กูอยากกินปิ้งย่างมากตอนนี้”

“เดี๋ยวพาไป”

“งั้นไปเลยป่ะ”



จ่ายตังเอายาเรียบร้อย ไอ้ยุก็ขับรถพามาร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีแถวมอ เป็นร้านเล็กๆ อยู่บนตึกเก่าๆ แต่เนื้ออร่อยมาก เราเดินเข้าร้านไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างด้านในสุด ที่มองลงไปเห็นรถราที่จอดติดกันยาวสุดลูกหูลูกตา หันกลับมารับเมนู และกระดาษสำหรับสั่ง

“มึงเอาอะไรบ้าง กินเนื้อมั้ย” ก้มดูเมนูปากก็ถาม ไอ้ยุไปด้วย

“กินได้ มึงเลือกเลย เอาน้ำอะไร”

“โคล่า”

ผมจัดการเขียนจำนวน รายกายที่จะกิน แล้วส่งให้พี่พนักงาน นอกจากปิ้งย่างแล้วร้านนี้มีบุ่ฟเฟต์อาหารเกาหลีด้วยของเด็ด คือไก่ทอดผัดซอยเปรี้ยวหวาน กับต๊อกบ๊กกี้ที่รสชาติจัดจ้านเผ็ดสุดเท่าที่เคยกินมา ผมสไลด์ตัวลุกไปที่เค้าท์เตอร์บุฟเฟ่ต์ จัดการตักของโปรดที่ไม่ได้กินมานาน และไม่ลืมตักเผื่อไอ้ยุด้วย พอเดินกลับมา บนโต๊ะก็มีเนื้อสีสวยวางเรียงอยู่ตรงหน้า และไอ้ยุที่กำลังตาหน้าตั้งตาคีบเนื้อไปวางบนตะแกรง

“ปิ้งนำไม่รอกูเลยนะ” พูดจบก็วางจานลง สไลด์ตัวเข้าไปนั่ง หยิบน้ำจิ้มมาผสม แกะตะเกียบ พร้อมลุย คีบเนื้อสดไปวางบนตะแกรง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอยุคีบเนื้อที่สุกแล้วมาวางใส่จานผม

“ขอบใจ” ไม่ปฏิเสธ เรื่องกินผมไม่เคยปฏิเสธหรอก เสร็จกู คีบใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ  รสชาติที่คิดถึง ผมนั่งปิ้งเนื้อใส่ปาก สลับกับคีบต๊อกเข้าปาก ไปด้วย

“ค่อยๆ กินก็ได้มั้ง กูไม่แย่งมึงหรอก"

“เออๆ มึงๆ ลองกินนี่ดิ โคตรอร่อย"ตักไก่ทอดซอยเปรี้ยวหวานไปใส่จานมัน เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ใส่ใจ มองมันคีบใส่ปาก แล้วรออย่างคาดหวัง "เป็นไง"

“อืมอร่อย"

“เนี่ย กูบอกแล้ว ว่าเด็ด"แล้วผมก็ยิ้มกว้าง อะไรก็ไม่สุขเท่าได้กินของอร่อย

“เอ้าไอ้ภพไอ้ยุ"เงยหน้ามอง ไอ้คินที่เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายตัวสูงหุ่นนายแบบ"มาเดทกันเหรอมึง"

“เดทพ่อมึงสิ ไอ้ยุพากูไปถอดเฝือกมา เลยมากินข้าวกันต่อ"

“อ่อออ งั้นกูกับเพื่อนนั่งด้วยได้ม่ะ"

“เอาดิ"แล้วไอ้คินก็แทรกตัวนั่งข้างไอ้ยุ ส่วนเพื่อนมันก็ส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย ผมยิ้มตอบแล้วขยับตัวให้เขานั่งลงข้างๆหุ่นดี หน้าคมเข้ม ส่วนสูงน่าจะเกินร้อยแปดสิบห้าแน่ๆ ไอ้คินมันมีเพื่อนดีๆ แบบนี้ได้ไงวะ

“นี่ ไอ้กัสเพื่อนกู จริงๆ ก็เพื่อนไอ้ยุด้วย ติวมาด้วยกัน"

“กูภพนะ” ผมหันไปพยักหน้าทักทาย แล้วหันมาบรรเลงปิ้งเนื้อยัดใส่ปากต่อ พอจบช่วงแนะนำตัวพวกมันก็คุยกันออกรส ไอ้กัสเป็นคนพูดเก่งฉิบหายยิ่งมาอยู่กับไอ้คินแล้วยิ่งบรรลัย มาหมดตั้งแต่เรื่องเรียน บอลนัดเมื่อคืน ลากยาวไปจนหนังโป๊เรื่องใหม่ของน้องยูอะ มิคามิ ล่าสุดผมก็ได้รู้ว่าปลาทองไอ้กัสพึ่งตายเพราะมันลืมปิดฝาตู้ แมวที่มันเลี้ยงเลยลากปลาไปแดก อีกนิดจะรู้ชื่อพ่อแม่มันแล้ว คงมีแค่ไอ้ยุที่นั่งฟังเงียบๆ มีเออออบ้างเป็นครั้งคราว มันก็ยังคงปิ้งเนื้อมามาวางให้ผมเป็นพักๆ ผมหัวเราะให้กับเรื่องเล่าตลกๆ ของไอ้กัสแล้วมองไปทางเค้าท์เตอร์บุฟเฟ่ต์ทันทีที่เห็นพี่พนักงานยกคิมบับมาเติม ต้องจัดสักหน่อยเดี๋ยวไม่คุ้ม

“กัส กูขอออกหน่อยดิ”

“มึงจะเอาไร กูไปหยิบให้” ไอ้กัสหันมาถาม

“ไม่เป็นไรๆ”

“เออหน่าขาพึ่งหายไม่ใช่เหรอ เอาไรบอกมาๆ” ในเมื่อมันพูดขนาดนี้งั้นผมจะไม่ปฏิเสธน้ำใจมัน เหมือนที่ไอ้ยุเคยสั่งสอนไว้ แล้วมันจะต้องภูมิใจ

“งั้นกูขอคิมบับ ห้าชิ้น กิมจิต้นหอม แล้วก็ขอต๊อกเอาแบบซอสเผ็ดนะ”

“มึงแดกหรือยัด” เสียงไอ้คินพูด

“เสือก”

“ฮ่าๆ เอาไรอีกมั้ย”

“ไม่แล้ว ขอบใจนะมึง”

“ครับ” แล้วไอ้กัสก็ลุกเดินออกไป ไม่นานมันก็กลับมาพร้อมจานในมือ ผมรับมาแล้วเริ่มคีบใส่ปาก หัวก็ขยับชื่นชมรสชาติไปด้วย ทำไมเสียงมันเงียบกันจังวะ พอเงยหน้ามองผมก็เห็นไอ้ยุขมวดคิ้วมองอยู่ เลื่อนสายตามองไอ้คินที่ทำหน้าแปลกๆ มึงปวดขี้เหรอ พอหันมองคนข้างๆ ผมก็ผงะ ไอ้กัส มันมองผมยิ้มหวาน

“มึงมีอะไร”

“เปล่าเห็นมึงกินแล้วดูน่าอร่อยดี” มันพูดแล้วสายตาเลื่อนลง ก่อนที่นิ้วมันจะปาดคาบซอสออกจากริมฝีปากให้ “กินเลอะเทอะเหมือนเด็กเลยนะมึง” ห๊ะ ผมขยับตัวถอยชิดกระจกทันที

“เหี้ยกัส เบาๆ หน่อย”

“ทำไมวะ"

“ไอ้ภพอะของไอ้ยุมัน มึงอย่ายุ่งดีกว่า"

“กูไม่ใช่ของใครซะหน่อย"

“มึงว่าไงไอ้ยุ"

“จะถามมันทำไม กูกับมันแค่เพื่อนกันเว้ย” ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ ผมหันมองหน้าไอ้ยุ มันมองตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนขยับปากพูดทั้งๆ ที่ยังสบตาผมอยู่

“เขาว่าไงกูก็ตามนั่นแหละ"

“โอเคค งั้นกูขอจีบนะ"ผมหันขวับไปมองไอ้กัส เดี๋ยวก่อนนะโยม มึงถามกูยังว่ากูโอเคมั้ย ถามกูบ้าง จะเล่นอะไรกันถามกูบ้างง ทำไมตั้งแต่ไอ้ยุเข้ามาผมก็มีแต่ผู้ชายเข้าหาว่ะ

“อืมเอาเลย จะถามกูทำไม ถามเจ้าตัวดิ"ผมหันกลับไปมองไอ้ยุ ไม่รู้ทำไมแต่ผมไม่ชอบคำตอบของมันเลย





“ภพกูขอไลน์มึงไว้ได้ปะ"

“เออเอาดิ"ผมรับโทรศัพท์ไอ้กัส มากดแอดตัวเอง เรายืนกันอยู่หน้าร้านเตรียมแยกย้ายกันกลับ มื้อนี้บอกเลยว่าจุกไปถึงเย็น ส่งโทรศัพท์คืนมันไป หันไปหาไอ้ยุจะบอกมันว่าขอแวะห้องน้ำก่อน แต่กลับว่างเปล่า หายไปไหนของมัน

“มันเดินลงไปแล้ว"ไอ้คินเป็นคนตอบ

“เอ้าไม่รอกู งั้นกูไปก่อนนะ เจอกันมึง” ผมโบกมึงลาพวกมันแล้วรีบวิ่งไปที่รถ มันจะหนีกลับก่อนป่ะเนี่ย มองเห็นรถจอดสตาร์ท อยู่ตรงหน้า รีบวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง หอบแฮก มือก็เอื้อมจับข้อเท้าบีบคลายอาการเจ็บแปลบ เบาๆ เมื่อกี้รีบจนลืมไปเลยว่าพึ่งเอาเฝือกออก

“เป็นอะไร”

“มึงแหละเป็นอะไร ออกมาไม่รอกู”

“ก็กูไม่ชอบ มึงไปให้ไลน์ไอ้กัส มันทำไม”

“ก็เพื่อนปะว่ะ”

“แต่มันไม่ได้คิดแบบนั้นไง ดูก็รู้ว่ามันอยากได้มึง”

“พูดดีๆ หน่อย อยากด้งอยากได้อะไร ได้ยินแล้วขนลุก”

“หรือไม่จริง”

"มันก็อาจจะแค่เล่นๆ ก็ได้มั้ง แล้วจะให้ทำไงอ่ะนั่นก็เพื่อนกันทั้งนั้น จะให้ปฏิเสธว่าอะไร"ผมตอบพลางบีบนวดข้อเท้าไปด้วย ไม่น่ารีบวิ่งมาเลย เจ็บว่ะ

“ถ้ามันทักมาก็ไม่ต้องคุย”

“เออๆ ที่งี้มาห้ามเมื่อกี้ยังบอกให้มันมาถามกูเองอยู่เลย”

“มึงนั่นแหละ ที่ไม่เปิดโอกาสให้กูได้พูด”

“กูก็พูดตามความจริงมั้ย ก็เราเป็นเพื่อนกันปะวะ” ไอ้ยุปลดสายเบลท์ออก แล้วหันตัวมามองผม

“มึงคิดว่าที่กูทำให้มึงทั้งหมดเนี่ย คือสิ่งที่คนเป็นเพื่อนกันเขาทำให้กันเหรอวะ”

“ไอ้นนนก็ทำแบบนี้ให้กูนะไม่เห็นแปลก”

“ว่าไงนะ”

“กูบอกว่าที่มึงดูแลกูอ่ะไอ้นนน ไอ้พิม ไอ้โทนี่ มันก็ทำให้กูนะ มันถึงไม่แปลกไงที่เพื่อนจะดูแลกัน จริงมั้….” ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคดี มือหนาของมันก็จับใบหน้าผมให้หันไปหา ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ผมเม้มปากแน่น เบิกตาโตมือผลักตัวมันให้ออกไป แต่ยิ่งผลักผมกลับยิ่งใกล้มันมากกว่าเดิม แรงขบเม้มดูดดึงเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างทำผมใจสั่น มือหนาเลื่อนกดท้ายทอยแน่นจนผมขยับหนีไม่ได้ ทำได้แค่ส่งเสียงปรามมัน แต่ไหงแม่งออกมาเป็นเสียงครางอืออ๊าได้ว่ะ ก่อนที่จะรู้สึกถึงปลายลิ้นเปียกชื้นรุกล้ำเข้ามาไล้เลียไปตามสบฟัน ผมหลับตาลง รับรู้ทุกสัมผัสที่มันส่งมา ทั้งลึกล้ำและหวาบหวาบ จนเริ่มหายใจหอบถี่ ขย้ำอกเสื้อมันแน่น ในที่สุดมันก็ผละออกไป จับใบหน้าผมไว้แล้วใช้ปลายนี้วเกลี่ยมุมปากผมแผ่วเบา ทำได้แค่หายใจโกยอากาศเข้าปอด สายตามองสบมันนิ่ง

“ยังจะบอกว่ากูเหมือนเพื่อนมึงอยู่อีกมั้ย”



ผมนั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงคอนโด และยังคงนั่งไม่ขยับแม้รถจะจอดนิ่งสนิทแล้วก็ตาม ไอยุเปิดประตูลงไปแล้วเดินมาเปิดประตูฝั่งผม มันชะโงกตัวเข้ามาใกล้ จนผมลนลานยกมือขึ้นปิดปากมองหน้ามันอย่างหวาดๆ เกลียดตัวเองว่ะ ตอนนี้กูเหมือนสาวน้อยที่พึ่งเสียสาวเลย มองใบหน้ามันที่ยกยิ้มมุมปาก เสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับสายเบลท์ที่เลื่อนเก็บเข้าที่ มันผละออกไปยืดตัวเต็มความสูง มองผม

“ลงมาได้แล้ว มึงจะตกใจนานอะไรขนาดนั้น”

“ก็มึงจูบกู”

“เออไง”

“สัด มึงจูบกู!”

“อีกสักรอบมั้ยหล่ะ”

“พอ ถอยไปเลย”

ผมพลักหน้ามันที่ยื่นเข้ามาแล้ว ขยับตัวลงจากรถ ทันทีที่ยืนก็เจ็บแปลบๆ ที่ข้อเท้า จนต้องจับขอบประตูยืนนิ่งให้ร่างกายปรับสภาพ

“เจ็บข้อเท้าใช่มั้ย”

“อือ”

“ให้กูอุ้มไปมั้ย”

“ไม่ต้อง” ยืนปรับสภาพได้สักพัก ผมก็เริ่มก้าวเท้าไปข้างหน้า พยายามไม่ลงน้ำหนักเท้ามาก แต่ทุกก้าวก็ตามมาด้วยความเจ็บ เหมือนกระดูกขัดกันเบาๆ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็เดินมานั่งยองๆ หันหลังให้ ตรงหน้า

“ขึ้นมา กูเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าอยู่กับกูไม่ต้องทำเก่ง”

“เพราะมึงแหละทำให้กูต้องวิ่ง”

“ขอโทษได้ป่ะหล่ะ”

“เออๆ แต่ไม่ต้องกูเดินเองได้”

"อย่าดื้อ ขึ้นหลังกูมา ไม่งั้นกูเข้าไปอุ้มนะ"           "โว๊ะ เออๆ" ผมทิ้งตัวลงไปบนหลังมัน มือคล้องที่คอหนาเกยใบหน้าไว้ที่บ่ามัน ไอ้ขยับลุกจัดท่าทางให้เข้าที่ แล้วเริ่มออกเดิน          "เจ็บเท้ามากมั้ย"  มันหันหน้ามาหาผม ผมผงะตัวออกเล็กน้อย         "ใกล้ไปแล้ว"         “มันทำไม ห๊ะ โดนกูจูบไปทีเดียว เข้าใกล้ไม่ได้เลย” สัด เกลียดมัน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม สายตาแพรวพราวมาก ขนาดมองแค่เสี้ยวหน้ามันยังรู้เลยว่าไอ้นี่มันร้าย มองปากกูอีกแล้ววว ผมเม้มปากแน่น มันผละออกหันกลับไปมองทางแล้วหัวเราะร่า เท้าก้าวเดินจนเข้ามายืนในลิฟต์

“ปล่อยกูลงเหอะ ตัวกูหนัก”

“เออหนักจริง แต่กูไม่ปล่อย"มันพูดลอยหน้าลอยตา ผมกลอกตามองมันแล้วปล่อยเลยตามเลย"เมื่อกี้ที่กูจูบมึง ไม่ได้ล้อเล่นนะ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยล้อเล่น” อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมา เล่นเอาตั้งตัวไม่ทัน

“ห๊ะ อะ เออ รู้แล้ว”

“แล้วมึงคิดยังไงกับกู”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ผมมองเสี้ยวหน้ามันที่มองตรงไปข้างหน้า ก่อนมันจะหันมามองผม สายตามันดูจริงจังและลึกซึ้งอย่างที่มันพูด คงมีแค่ผมที่ไม่แน่ใจอะไรเลย

“กูไม่รู้ แต่เป็นเพื่อนกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วมั้ยวะ”




**********************************************************

หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่11/1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-03-2020 02:56:33
 :serius2:
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่11/2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 25-03-2020 22:01:52
ยิ่งงานกีฬาใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ ความวุ่นวายก็มากขึ้นเท่านั้น เย็นนี้ผมมานั่งช่วยปักขนนกบนชุด หลังจากนั่งว่างๆ มาเกือบเดือน ชุดหรีด และโชว์ตอนนี้เสร็จเกือบหมดแล้วเหลือแค่ดีเทลที่ต้องมาออนท๊อปบนชุด ซึ่งก็ใช้เวลาและยุ่งยากในระดับนึง ไม่ใช่แค่ฝ่ายเสื้อผ้าที่วุ่นวาย แต่ฝ่ายอื่นๆ ก็วิ่งวุ่นกันสุดๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากงาน มองออกไปนอกกระจก เห็นคนตัวสูงที่ยืนทาสีอยู่นึกถึงครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน หลังจากผมตอบมันว่าผมยังไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง ไอ้ยุก็ไม่ได้เซ้าซี้หรือพูดอะไรต่อ มันอุ้มผมไปส่งที่ห้อง อยู่ประคบอุ่นที่เท้าให้จนดีขึ้น แล้วมันก็กลับออกไป หายหน้าหายตาไปสองวันไม่มากวนใจอย่างเคย พอวันนี้ได้เจอกันผมก็รีบเข้าไปทักทายทันที แต่มันกลับทำเมินผมซะงั้น ไม่รู้มันโกรธอะไรผมรึเปล่า สายตามองตามร่างสูง ที่วางแปรงลง มันเดินเข้าไปคุยกับพี่เฟียตนานสองนาน แล้วมันก็เดินออกไป จนลับตา

“ภพมึงเป็นไร"เสียงไอ้นนนดึงให้ผมกลับมา

“ไม่เป็นไร"

“พักนี้มึงเหม่อบ่อยจังนะ"ไอ้พิมเสริมขึ้นมาทันที

“ คิดเรื่องงานนิดหน่อยมึงกูถามไรหน่อยดิ ถ้าเกิดมีคนเอางานชิ้นใหม่มาให้มึงทำ แต่งานชิ้นนั้นมันใหม่มากเป็นสิ่งที่มึงไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการทำ แต่มึงตื่นเต้นมากๆ ตอนเขาอธิบายงาน ถ้าเป็นมึง มึงจะรับงานนั้นมาทำมั้ยวะหรือทำในสิ่งที่ถนัดมากกว่า คุ้นเคยมากกว่า"

“ถ้าเป็นกู กูจะเลือกรับงานนั้นนะ"

“กูก็ด้วย"ผมมองไอ้พิมกับโทนี่ที่ตอบแทบจะทันที ขณะที่ไอ้นนนยังคงนั่งฟังนิ่ง

“ทำไมวะ ทั้งที่มึงอาจจะทำได้ไม่ดีก็ได้นะ"

“ก็จริงที่เราอาจจะทำได้ไม่ดี แต่มึง ใช่ว่าเราต้องรู้ต้องเก่งไปซะทุกเรื่องหนิ ในโลกนี่ยังมีอะไรอีกเยอะที่มึงไม่รู้นะ และเพราะนั่นแหละมึงถึงควรเรียนรู้มันเมื่อมีโอกาส บางครั้งการที่มึงรับแต่งานเดิมๆ ที่ถนัด อาจทำให้มึงพลาดสิ่งดีๆ ไปก็ได้ใครจะรู้"ผมมองหน้าไอ้พิมนิ่ง อยู่ๆ มันก็ดูสวยและเปล่งประกายขึ้นมา"ง่อวว กูดูสวยเป็นไงกูพูดดีมั้ยอีโทนี่"

“เลิศจ้าา กูเห็นด้วยกับอีพิมนะ ถ้ามึงตื่นเต้นกับอะไรมึงก็น่าจะได้คำตอบชัดเจนแล้วม่ะ"

“พวกมึงคิดงั้นหรอ"

“เออ มึงจะกลัวอะไร ลองดูก็ไม่เสียหาย"



พลั๊ก



“พวกมึงอย่าพึ่งกลับนะ พี่เฟียตเรียกประชุมต่อตอนทุ่มหนึ่ง"ไอ้โอบเปิดประตูเข้ามาบอก แล้วจะผละออกไป แต่ผมก็ร้องเรียกมันไว้ก่อน

“เดี๋ยวมึง ไอพายุไปไหนวะ"

“มันกลับไปแล้ว" มันตอบแล้วหันเดินออกไป ผมก้มทำงานต่อ แต่ลึกๆ ในใจยังคงคิดถึงเรื่องไอ้ยุ มันหลบหน้าผมรึเปล่านะ



“วันนี้ที่กูเรียกประชุมเพราะจะคุยเรื่องความคืบหน้าของแต่ละฝ่าย เราเหลือเวลาเตรียมงานอีกแค่อาทิตย์เดียว ฝ่ายไหนเหลืออะไรบ้างติดขัดอะไรบอกมาตอนนี้ได้เลย จะได้ช่วยกัน"ผมนั่งฟังเพื่อนๆ พี่ๆ พูดความคืบหน้าอย่างใจลอย ไอ้พิมรับหน้าที่พูดของฝ่ายผมเพราะวันนี้ที่จูนไม่เข้า แกสูัรบกับช่างอยู่ ตั้งแต่บาดเจ็บไอ้พิมก็เข้ามาดูแลงานแทนผม มันเลยรู้เรื่องความเป็นไปของงานมากที่สุด

“เออโอเค สรุปที่ยังเหลือเยอะๆ คือฝ่ายฉากสินะ ไอ้ยุก็ดัน ชิงกลับก่อน เอาเป็นว่า ถ้าใครช่วยได้ก็มาช่วยหน่อย แล้วก็มึงอาจจะต้องอยู่กันดึกขึ้นใครค้างได้ก็ค้างเลย เดี๋ยวกูทำใบขออนุญาตกับคณะเอง ขอบคุณพวกมึงมากที่ทำเพื่อคณะขนาดนี้ วันนี้เท่านี้แหละ แยกย้ายได้ เอ้อ วันนี้ใครจะอยู่ต่ออยู่ได้ถึง2ทุ่มครึ่งนะ แยกๆ "

พวกผมลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องอุปกรณ์ นั่งลงเก็บของ แล้วเตรียมย้ายเอากลับไปทำกันต่อที่ห้องไอ้นนนแทน



วันรุ่งขึ้นพวกผมก็มานั่งกันอยู่ที่'นอนมั้ยมึง'รอเวลาเรียน ผมฟุบหน้ากับโต๊ะพักสายตาเมื่อคืนผมทั้งไลน์ไป โทรไปก็แล้ว แต่ไอ้ยุก็ไม่ตอบกลับอะไรเลย เล่นเอาผมหงุดหงิดจนนอนไม่หลับ ลุกมานั่งทำงานทั้งคืน เมื่อเช้าแทบไม่อยากลุกจากเตียงแต่ก็โดนเพื่อนลากออกมาอยู่ดี

“โทนี่ ไอ้ภพไม่สบายเหรอ"ผมได้ยินเสียงไอ้คินดังขึ้น แต่ยังคงฟุบหน้าหลับตา

“เปล่าหรอกเมื่อคืนมันไม่ได้นอน"

“ทำอะไร ทำไมไม่นอน"ผมเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียบๆ ดังขึ้น

“ไงมึง โต้รุ่งเหรอ"

“อืม"ผมตอบไอ้คินแต่สายตายังมองคนตัวสูงนิ่ง ใบหน้ามันเรียบเฉย "ไอ้พา.."

มันหันหลังไปทั้งที่ผมยังไม่ได้เริ่มพูดด้วยซ้ำ มองตามร่างสูงที่เดินออกไปจากร้าน อยู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากร้องไห้ รีบฟุบหน้าลงไปตามเดิม อยากกลับไปนอนที่ห้องจัง



พายุหลบหน้าผม มันหลบหน้าผมแน่ๆ ห้องเรียนมันก็อยู่ใกล้แค่นี้แต่ผมแวะไปกี่ครั้งก็ไม่เจอมัน ทั้งที่เห็นหลังมันแวบๆ แต่พอเข้าไปดูมันก็หายไปทุกที พอตกเย็นคิดว่าจะได้เจอแน่ๆ พี่จูนก็มาบอกให้ย้ายไปทำงานกันที่บ้านพี่แกเฉย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ทำที่มอมาตลอด สุดท้ายผมก็ต้องพักเรื่องมันเก็บไปก่อน แล้วทุ่มเททำงานตรงหน้า แม้บ่อยครั้งใบหน้ามันจะเข้ามากวนใจผมตลอดเวลาก็ตาม



ผมยุ่งทั้งงานกีฬาและเรื่องเรียน สุดท้ายก็ทำใจเรื่องพายุ ได้แต่คิดว่ามันคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมแล้วแน่ๆ มันถึงหายไปไม่บอกไม่กล่าวนานขนาดนี้ จนเวลาล่วงเลยมาเป็นอาทิตย์ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง งานกีฬาและแข่งผู้นำเชียร์ มหาลัย ผมมาถึงมอแต่เช้ามืด พร้อมพวกนนน และพี่จูน จัดการเตรียมชุด เช็คความเรียบร้อยและยังคงนั่งสอยผ้าจุดที่ยังไม่เรียบร้อยดี ระหว่างรอน้องๆแต่งหน้า ทำผม การแข่งจะเริ่มตอน 9โมง เสียงตะโกน พูดคุยในห้องดังระงม วุ่นวายไปหมด

“ภพๆ น้องคนนี้แต่งตัวได้เลยชุดแคตนิสนะ"พี่มินนี่ดันน้องคนหนึ่งมาตรงหน้า ผมจัดการหยิบเสื้อคอเต่าเนื้อบางแขนยาวสีดำและกางเกงหนังรัดรูปส่งให้น้อง ระหว่างรอก็หันไปหยิบคอร์เซ็ทหนังที่ตัดต่อกระโปรงตกแต่งขนนกตรงปลายใส่ให้น้องแล้วเช็คความเรียบร้อย

“หมุนตามแรงที่ซ้อมมาเลยนะตอนหมุนเปลี่ยนฉาก ปลดตรงนี้นะ โอเคเรียบร้อยครับ"ผมและเพื่อนๆ ยืนช่วยกันแต่งตัวให้น้องคนแล้วคนเล่า ทั้งหญิงและชาย น้องผู้ชายคนสุดท้ายผมเป็นคนใส่ชุดให้ ก่อนจะตบไหล่น้องเบาๆ ส่งยิ้มอย่างให้กำลังใจ ใกล้เวลาเริ่มแล้ว เราก็ย้ายกันมาปักหลักหน้าเวที รอชมผลงาน นั่งดูโชว์ของคณะอื่นๆ ไปเรื่อยจนในที่สุดเสียงประกาศเรียกสินกำก็ดัง เสียงกริ๊ดและเสียงตบมือดังก้องทั้งลานกีฬา น้องๆ ในเสื้อคณะวิ่งกรูกันออกมา พร้อมฉากสีเทาทะมึนก่อนจะวิ่งกลับเข้าไป แสงไฟหรี่ลง เสียงรอบตัวเงียบสนิทพร้อมกับเสียงพากท์ดังขึ้น

“บทบัญญัติความผิดฐานกบฎ แต่ละเขตต้องเลือกตัวแทนชายหญิงอายุ12-18ปี เพื่อเป็นเครื่องบรรณาการในเกมล่าเกม"สิ้นสุดเสียงไฟสว่างวาบพร้อม น้องๆ ที่ยืนตั้งท่า ทุกคนอยู่ในชุดโทนเดียวกันมีเพียงสองคนที่รับบทเคตนีสและพีต้าเท่านั้นที่ชุดแตกต่างโดดเด่นจากคนอื่นๆ เสียงดนตรีเปิดตัวดังขึ้น หรีดแปรแถวเปิดทางให้ ทั้งคู่ก้าวออกมา เสียงเชียร์ดังจากหลายๆ คณะ ก่อนที่น้องเคสนีสจะตะโกนก้อง ก่อนเริ่มร้องเพลงคณะ โชว์ดำเนินไป สายตามองตามตัวละครไป น้องพ้อยเท้าหมุนตัวต่อเนื่องเป็นจังหวะ แสงที่กระทบขนนกส่งแสงแวววาว ก่อนค่อยๆ ปลิวออกจากชุดตามแรงเหวี่ยงสุดท้ายน้องก็เหวี่ยงกระโปรงออก พร้อมซาวด์ดนตรีผิวปากที่เป็นเอกลักษณ์ของเรื่องก็ดังขึ้น น้องกลับมาหยุดยืนอีกครั้งในชุดหนังสีดำ มีคอร์เซ็ทเกาะอกและกางเกงหนังสีดำดูทะมัดทะแมง เสียงฮือฮาดังขึ้น แล้วฉากก็ถูกดึงเปลี่ยน เป็นป่าทึบ ดนตรีชวนระทึกดังประกอบการไล่ล่า ผมตื่นตาตื่นใจกับการแสดงตรงหน้ามาก และลุ้นให้เคตนีสรอด แม้จะรู้เนื้อเรื่องอยู่แล้วก็ตาม จนเมื่อโชว์จบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้น พี่ๆ น้องที่อยู่เบื้องหลัง พากันตบไม้ตบมือ กอดกัน และยิ้มให้กับผลงานตรงหน้า ที่ทำร่วมกันมาตลอดสองเดือน มันคุ้มค่า ผมมองหาร่างสูงและเห็นมัน ยืนอยู่ไกลออกไปใบหน้าเรียบเฉย เคยได้ยินทฤษฎีถ้าเรามองใครแล้วเรียกชื่อเขาในใจ สุดท้ายเขาจะหันมา ผมอยากลองดูสักครั้ง อยากยิ้มยินดีไปพร้อมกับมัน ไอ้ยุ ไอ้พายุ เพ่งมองร่างสูง ร้องเรียกมันในใจ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงยินดี ที่ดังขึ้นรอบตัว ผมเห็นมันยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ส่งมาให้ผม



หลังจบงานกีฬาก็แยกย้ายกันกลับ ผมกลับมานอน แล้วตื่นอีกทีในช่วงเย็น ตอนไอ้พิมกับโทนี่มาที่ห้อง มันมาแต่งตัวกันเพราะค่ำนี้เรามีนัดฉลองชัยชนะที่ได้มาประดับคณะอีกปี กันที่ร้าน cabin night งานนี้พี่เจ้าของร้านถึงกับปิดร้านเลี้ยง ซึ่งเจ้าของร้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ผมก็พึ่งรู้ว่าอีร้านนี้เจ้าของร้านคือพี่เฟียต กับแฟนพี่มัน ไม่น่าร้านมันถึงแปลกประหลาดถูกใจผมขนาดนี้ ผม ไอ้พิม โทนี่ เดินกันเข้าไปในร้าน ที่แน่นไปด้วยพี่ๆ น้องๆ ในคณะ แวะทักทายเป็นระยะก่อนเดินเข้าไปหาพี่จูนที่ยืนโบกไม้โบกมือให้อยู่ พอไปถึงโต๊ะ ก็เห็นพี่เฟียตนั่งอยู่ ข้างๆ กันมีพวกไอ้โอบผมไล่สายตามองทีละคนจนมาหยุดที่ใบหน้าเรียวที่คิดถึง ยืนนิ่งลังเลว่าควรนั่งกับพวกพี่มันดีมั้ย ไอ้ยุไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองด้วยซ้ำ ผมกับมันเดินมาอยู่จุดที่ห่างเหินกันขนาดนี้ได้ยังไงนะ ผมกลัวทำมันอึดอัดเตรียมหันหลังจะเดินออก แต่ไอ้พิมก็เป็นฝ่ายดึงผมให้นั่งลง

“ แล้วไอ้นนนไม่มาด้วยเหรอ"พี่จูนถาม

“เดี๋ยวมันตามมาพี่ มันไปเอาของอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ"โทนี่ตอบ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาไอ้นนนถามว่ามันจะเข้ามาเมื่อไหร่ ผมอยากกลับแล้ว หันมองไอ้พิมที่เลื่อนแก้วเข้ามาให้ตรงหน้า ยกขึ้นจิบ สายตาหันมองไปบนเวที พยายามไม่หันมองคนตัวสูง ผมชอบเพลงนี้ เริ่มโยกตัวเบาๆ ตามจังหวะ เหลือบมองไอ้พิมกับไอ้โทนี่แล้วถึงกับหลุดขำ ไอ้ห่า นั่งไม่ถึงสิบนาที มึงร่อนเอวกันใหญ่เลยนะ ผมได้ยินเสียงเชียร์ของพวกพี่เฟียตผสมไปกับเสียงเพลงที่เร่งเร้า ไอ้พิมดึงแขนผมให้ยืนขึ้นตามมัน แล้วเริ่มชวนผมเต้น ผมยกแก้วขึ้นกระดกทีเดียว วันนี้ผมควรจะสนุกสิ คิดได้แล้วลุกขึ้นเริ่มโยกตามมัน แอลกอร์ฮอร์และเสียงเพลงช่วยให้ผมผ่อนคลายและลืมเรื่องไอ้ยุไปได้พักนึง

“แรงอีกๆ "

“ชนนน"

“ฮ่า ฮ่าๆ เชี่ยโทนี่ อย่าเด้งเป้าใส่หน้ากูวว"

"ไอ้ภพ เซ็กซี่จังโว้ยย" เสียงเอะอะโวยวายดังไม่หยุด ผมสนุกไปกับพวกมัน เต้นและหัวเราะไม่หยุด เมื่อเห็นไอ้โทนี่ลงไปทำท่าtwerkingจนรุ่นพี่โต๊ะข้างๆ ยังต้อง เคลียร์พื้นที่ให้ เสียงหัวเราะรอบตัวดังระงม ผมได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกผมพร้อมยื่นแก้วมาตรงหน้า มือรับมาดื่มแล้วโยกย้ายไปกับเสียงเพลงอย่างลืมตัว คืนนี้ยาววว


* -copic (โคปิค) ชื่อยี่ห้อปากกามาร์เกอร์ สำหรับลงสี
  - collage (คอลลาจ)เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง โดยใช้เทคนิคการตัดแปะภาพ

เม้นพูดคุย หรือกดหัวใจเป็นกำลังใจให้ได้นะคะ สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่า
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่11/2
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 25-03-2020 23:03:19
พายุอย่างอนนานนักสิ :sad4:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่11/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-03-2020 00:32:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่12/1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 28-03-2020 20:02:09
ตอนที่ 12 storm stories


ผมยังจำได้ดี วันนั้นเป็นวันสอบตรงเข้ามหาลัย ผมกับไอ้คินไปถึงสนามสอบใหญ่แต่เช้า พร้อมกับเพื่อนๆ ที่ร่วมหัวจมท้ายติวสอบกันมาตลอดสามปี เรานั่งจับกลุ่มทบทวนเนื้อหากันอยู่ใกล้ๆ ประตูห้องสอบ รอบตัวเสียงดังโหวกแหวก เพราะไม่ได้มีสาขาเดียวแต่เป็นการสอบที่รวมทุกสาขา สีและบอร์ดรองวาดวางอยู่ข้างกายผม เมื่อคืนผมนั่งดูแล้วดูอีกว่าไม่หลงลืมอะไร ในมือถือชีทประวัติศาสตร์ศิลป์ฉบับย่ออ่านทวนครั้งสุดท้ายยิ่งเวลาใกล้เข้ามาเท่าไหร่ผมก็นั่งไม่ติดเท่านั้น อีก10นาที จะรอดไม่รอด ขึ้นอยู่กับตัวผมคนเดียวเลย

“เชิญเข้าห้องสอบได้ค่ะ"เสียงประกาศดังพร้อมกับประตูที่เปิดออก จัดการเก็บชีทใส่กระเป๋าแล้วหยิบของเดินเข้าไปพร้อมไอ้คิน

“โชคดีนะมึง"

“เออมึงด้วย"ผมกับไอ้คินเดินแยกกันไปคนละแถว มองหาป้ายตัว Eแล้วก้าวเดินไป พร้อมๆ หลายๆ คนที่เดินหาแถวสอบของตัวเอง ไล่สายตามองตัวเลขที่ติดที่โต๊ะ จนมาหยุดที่ E13ที่นั่งข้างๆ มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมมองเขาเล็กน้อยแล้วเลื่อนเก้าอี้นั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วก้มลงจัดสีในกล่องต่อ ผมจัดอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับหยิบใช้ง่ายๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว มองป้ายตัวEใหญ่ๆตรงหน้า ข้างกันมีป้าย อักษรF ผู้คนยังเดินกันขวักไขว่

“นักเรียนที่ต้องการใช้สีน้ำและสีโปสเตอร์ สามารถใช้ห้องน้ำด้านในนี้นะคะ เข้ามาแล้วไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบนะคะ"ผมก็ต้องใช้แต่ใส่ขวดเตรียมเข้ามาเรียบร้อยแล้ว ก้มมองนาฬิกา มือบีบกันแน่น พยายามทำสมาธิ

“เครียดเหรอ" เสียงใสๆ ดังขึ้น ผมหันไปมองผู้ชายตัวเล็กข้างๆ ชุดนักเรียนกางเกงน้ำเงิน ผิวขาว หน้าใส ลูกคุณหนูนี่หว่า

"อืม"

“ผมก็เครียด อย่ามองแต่เวลาเลยมันยิ่งกดดันเปล่าๆ"

“แล้วต้องทำอะไร"ถามคนตัวเล็กที่ยังคงก้มหน้าจัดสีโคปิคในกล่อง ทั้งๆ ที่มันก็ดูเป็นระเบียบดีอยู่แล้ว

“ลองจัดสีดูดิ มันช่วยให้มีสมาธิมากขึ้นนะ"

“งั้นเหรอ"

“ลองดูก็ไม่เสียหาย"

ผมหันกลับมามองผู้คนที่ยังคงเดินวุ่นวาย แล้วก้มลงเริ่มจัดของบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง เสียงรอบตัวค่อยๆ เบาลง ผมมีสมาธิมากขึ้นอย่างประหลาด แล้วเสียงประกาศเริ่มสอบก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับผู้คุมสอบที่เดินถือกระดาษมาวางตรงหน้าผม

“โชคดีนะ"

“อืม มึงก็ด้วย"

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอ...เขา



ในที่สุด ผมกับไอ้คินก็ได้เข้ามาเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่งมหาลัยเดียวกัน เรานั่งกันอยู่ที่พื้นบริเวณชั้นลอยของตึกสินกำ ด้านหน้ามีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงนั่งเรียงแถวอยู่ ส่วนพวกผมก็นั่งต่ออยู่แถวหลังสุด รอบตัวมีพี่ๆ ยืนคุมเป็นจุดๆ วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรก อาทิตย์ก่อนอยู่ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ไม่คุ้น เขาแนะนำตัวว่าเป็นรุ่นพี่ผม โทรมายินดีและนัดหมายวันรวมตัว ตอนแรกก็กะจะไม่มาแต่ไอ้คินคะยั้นคะยอให้มาเป็นเพื่อนมันจนได้

“สวัสดีครับ ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาในรั้ว สินกำแห่งนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะมารู้จักกัน พวกคุณที่นั่งกันอยู่นี้คือเอกออกแบบ ไม่มีแบ่งแยก ผมจะให้เวลาสิบนาที ในการคิดคำแนะนำตัว ประกอบท่าทาง ไปเริ่ม” เสียงพูดคุยดังขึ้นทันทีที่พี่ผู้ชายหน้าคมเข้มพูดจบ ผมกับไอ้คิน มองหน้ากัน อะไรวะเริ่มเลยเหรอ ยังไม่ทันได้คิดอะไร พี่มันก็เรียกเพื่อนผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งหน้าสุดให้เดินออกไป

“เงียบด้วยครับ หมดเวลาคิดแล้ว หลังจากนี้ฟังเพื่อนดีๆ แล้วจำชื่อเพื่อนด้วย เอ้าน้องเริ่มเลยครับ”

ผมนั่งดูเพื่อนออกไปเต้นแร้งเต้นกาแนะนำตัวผ่านไปทีละคนทีละคน บางคนก็เรียกเสียงหัวเราะ บางคนเขินอายก็โดนทำโทษไปตามระเบียบ รู้แหละมันคือกิจกรรมละลายพฤติกรรม แต่ทำไมเราทำความรู้จักกันด้วยวิธีปกติไม่ได้เหรอ ผมมองคนแล้วคนเล่า จำชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง

“คนต่อไป เชิญ”

ผู้ชายตัวบางลุกขึ้นเขาอยู่แถวหน้าผมไปสามแถว ลุกปัดขากางเกงแล้วก้าวออกไป ผมยืดหลังตรงทันที เมื่อเห็นเสี้ยวหน้าที่คุ้นตา มองตามร่างบาง เขาหยุดยืนด้านหน้า หันมองเพื่อนกับรุ่นพี่สลับกัน อย่างประหม่า ดวงตากลมโตดูกังวล กัดริมฝีปาก หันมองหน้ารุ่นพี่ ก่อนยกยิ้มสู้

“อะ เร็วดิครับ”

“เออ ชื่อเอกภพครับ เรียกเอกก็ได้เรียกภพก็ดี แมนๆ อยู่แฟชั่นฮ้าา” เงียบกริบ สงสารมันว่ะ หน้าสลดเลย

“เด็กแฟชั่น แรงมีแค่นี้เหรอ รุ่นพี่พวกคุณทำได้แรงกว่านี้อีกนะ เอาใหม่!”

ผมมองคนตัวบาง โดนรุ่นพี่ทั้งหญิงและชายรุมหยอก แกล้งมันให้กลัว ยุให้แม่งเต้นแรงๆ ก็นะถึงมันจะเป็นผู้ชายแต่รูปร่างหน้าตาและท่าทางเอ๋อๆ ของมันก็ดูน่าแกล้งจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นมันส่งยิ้มให้พี่ทุกคน มองมันยืนเต้นเก้ๆ กังๆ ดูยังไงก็โคตรน่าแกล้งฉิบหาย และคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนั้น

“พอ ไม่ไหวเลยมึง ไปนู่นเลย ไปยืนคุยกับต้นไม้ เดี๋ยวกูจะเรียกมาใหม่” มันเดินคอตกไปยืนหันเข้าหาต้นไม้ ไอ้สัด มึงก็เชื่อฟังพี่มันดีเนอะ ผมเห็นพี่ผู้ชายสองคนเดินเข้าไปยืนคุยกับมัน มองมันยิ้มและหัวเราะให้เขา ก่อนที่มันจะโดนเรียกกลับมาให้แนะนำตัวใหม่อีกครั้ง บอกได้คำเดียวเอ๋อฉิบหาย ผมมองมันเต้นส่ายเอวไปมา เก้ๆ กังๆ เหมือนเดิม ปากก็พูดแนะนำตัวไปด้วย ด้วยประโยคเดิมเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน แต่ไม่รู้ทำไมผมมองว่ามันโคตร

“น่ารักก” เสียงหวีดดังเบาๆ จากกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่นั่งกันอยู่ อืม นั่นแหละสิ่งที่ผมคิด

'โคตรน่ารัก’









ผมได้เจอเอกภพอีกครั้งในวันรับน้องวันแรก ที่จำได้ดีเพราะวันนั้นมีคนมารับน้องแค่หกคน โดนลงโทษไปตามระเบียบ พี่สั่งพวกผมวิ่งไปกลับจากตึกฝากหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง จนกว่าเพื่อนผู้หญิงจะโทรตามเพื่อนมาจนครบ ใจก็ได้แต่คิดว่าไร้สาระฉิบหายเลย อยากจะเทแล้วเดินออกไปเลยด้วยซ้ำ แต่ไอ้คินแม่งก็ดึงแขนไว้บวกกับพอหันไปมองคนตัวขาวข้างๆ ผมก็จำใจอยู่ต่อ ดึงมันที่ทำหน้าเอ๋อมายืนใกล้ๆ ยกมือพาดคอมัน แล้วเริ่มออกวิ่ง พอมายืนใกล้ๆ ขนาดนี้ตัวแม่งโคตรบาง แถมเตี้ยกว่าผมอีกหลายเซน ส่วนสูงที่ต่างกัน ยิ่งทำให้เราวิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก เราวิ่งไปกลับได้ห้าหกรอบคนตัวเล็กข้างๆ ผมก็เริ่มหอบหน้าดำหน้าแดง

“มึงไหวมั้ย” ไอ้คินถาม

“ไหวๆ” มันพูด พลางหอบหายใจหนักๆ เท้าก้าวไปข้างหน้า ยังไม่ทันขาดคำ

“เห้ย”

มันก็ทรุดลงไปกองที่พื้น หน้าคะมำ ผมเห็นพี่สองคนวิ่งเข้ามาพร้อมกล่องพยาบาล ผมก้มลงไปพยุงมันขึ้นมานั่ง ตามองก้อนอิฐที่กระเด็นออกมา เลื่อนมองข้อเท้ามันที่ดูผิดรูป ก่อนหันมองหน้ามัน ที่ขึ้นปื้นแดงๆ ตรงหน้าผาก มันเบะปาก จนผมคิดว่ามันจะร้องไห้ แต่อยู่ๆ มันก็หัวเราะเสียงดัง จนน้ำตาเล็ด เล่นเอาพวกผมมองหน้ากันงงๆ

“เห้ย น้องเป็นไงบ้าง” พี่เฟียตไอ้พี่หน้าโหดๆ เดินเข้ามาถาม พี่ผู้หญิงวางกล่องพยาบาลลงแล้วเริ่มเช็ดแผลที่หน้าผากให้มัน ผมขมวดคิ้วมองไอ้ภพที่ยังคงส่ายหัวและยกยิ้ม

“พวกคุณกลับไปวิ่งต่อ เดี๋ยวผมดูเพื่อนคุณเอง"ผมยังคงนั่งประคองมันนิ่ง จนไอ้คินมาดึงให้ลุกขึ้น พี่เฟียตเข้ามาทั้งแทนที่ผม

“ยืนไหวมั้ย" ได้ยินเสียงพี่เฟียต หันกลับไปมองคนตัวบางที่พยักหน้าแวบหนึ่งแล้วเดินตามแรงลากของเพื่อนไป



“มึงมองหาอะไรวะ หลุกหลิกฉิบหาย"ไอ้คินพูด ขณะที่เรายังคงวิ่งกอดคอกันอยู่ สายตาผมกวาดตามองหาคนตัวบาง ขาก็ออกวิ่งไปด้วย คลาดสายตาแป๊บเดียว หายไปไหนวะ

“มองหาไอ้ภพเหรอ กูเห็นพี่เฟียตอุ้มออกไปแล้วนะ"

“ตอนไหนวะ"

“ก็ตอนที่เราวิ่งกันอยู่เนี่ย ห่วงรึไง"

“เปล่า กูเห็นข้อเท้าเขาแปลกๆ "

“สังเกตขนาดนี้ ก็คือห่วงปะวะ"



ผมไม่ได้ตอบ ขาก้าววิ่ง นั่นดิ ทำไมผมต้องห่วงมันขนาดนี้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมหยุดนึกถึงเอกภพไม่ได้เลย







หลังจากวันนั้นผมก็มารับน้องทุกวัน เพราะหวังจะได้เจอมัน แต่มันก็หายไปเฉยๆ เวลาที่ต้องโทรตามเพื่อนให้มารับน้องผมก็จองเบอร์มัน ขอเป็นคนโทรตามเอง จนเพื่อนเริ่มพูดกันว่าผมชอบไอ้ภพ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมก็โทรที่เบอร์คุ้นเคย เสียงรอสายดังขึ้นจนกระทั่งสายตัดไป เป็นแบบนี้อีกแล้วไม่ว่าผมจะโทรไปกี่ครั้งไอ้ภพก็ไม่เคยรับสายเลย

“นับดังๆ เสียงพวกคุณมีแค่นี้เหรอ"

เคยบอกไปรึยัง ผมโคตรไม่ชอบระบบรับน้อง แต่ผมก็ยังมาทุกครั้งเพราะหวังว่าจะได้เจอมันหรือรู้ข่าวมันจากเพื่อนคนอื่นบ้าง แต่ก็ไร้วี่แวว ดังนั้นนอกจากการอาสาโทรตามไอ้ภพมารับน้องแล้ว สิ่งที่ผมทำทุกครั้งหลังพี่ปล่อย คือการเดินเข้าไปหาไอ้พี่เฟียต

“มึงอีกแล้วเรอะ กูไม่รู้ "

“พี่ ผมยังไม่ได้ถามเลย"

“มึงเดินมาหากูเนี่ย มึงถามอยู่กี่อย่าง ภพเป็นไงบ้าง มันจะมาเมื่อไหร่ ไอ้สัดกูเป็นพี่ไม่ได้เป็นพ่อมัน กูไม่รู้เว้ย"

“งั้นพี่ติดต่อมันได้มั้ย ทำไมผมโทรไปแล้วมันไม่เคยรับ"

“ไอ้ยุ ถามจริง มึงชอบไอ้ภพเหรอวะ"

ผมเงียบ

“มึงบอกกูได้ กูไม่ตัดสินมึงหรอกนะไม่ว่ามึงจะชอบใครหรือเพศอะไร ไอ้ภพเองมันก็น่ารักดี ไม่แปลกที่มึงจะสนใจ"

“พี่"

“เออๆ ไม่ต้องทำซึ้ง เบอร์ที่มึงโทรหาทุกวันอ่ะไม่ใช่เบอร์ไอ้ภพหรอก แต่เป็นเบอร์กูเองจ้า"แล้วพี่มันก็ชูโทรศัพท์ในมือโบกไปมา

“เหี้ยพี่ ไมทำงี้วะ"

“ก็กูได้ยินมา ว่ามึงถามหาไอ้ภพกับพี่ๆ แล้วยังจะร้องหาเบอร์ไอ้ภพกับกลุ่มเพื่อนที่มารับน้องอีก มึงก็ไม่ดูเล้ยแฟชั่นมีใครมาที่ไหน มึงคงได้เบอร์มันหรอก เห็นแล้วหมั่นไส้กูเลยเอาเบอร์กูให้แทน”

“โคตรเหี้ย”

“พูดดีๆ น้า กูมีเบอร์น้องภพคนแมนน้า”

“ขอ”

"กูจะให้เบอร์ไอ้ภพก็ได้ แต่มีข้อแม้ มึงต้องลงประกวดดาวเดือนปีนี้"

“เห้ยพี่ ไม่เอา"

“กูมีแถมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องไอ้ภพด้วยนะ ถ้ามึงตกลงกูถึงจะบอก"ผมเงียบคิด มองพี่มันที่ส่งยิ้มกวนมาให้ แม่งเอ้ยเสียเหลี่ยมพี่มันมากี่ครั้งแล้วว่ะ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้พี่มัน

“ดีมาก ฟังดีๆ นะ ไอ้ภพมันมารับน้องไม่ได้หรอก วันนั้นที่มันล้ม ข้อเท้ามันหลุด เลยต้องพักรักษาตัว 2เดือน เพราะงั้นมึงคงไม่ได้เจอมันอีกนานนนน" เกลียดพี่มันว่ะ



“วันนี้ไอ้ยุดูอารมณ์ดีจังนะ”

“ให้มันหน่อย รอเจอเขามานาน"

“สัด"

ผมนั่งอยู่ในห้องเรียนรวม สายตามองประตูอย่างตั้งตารอ ใช่ครับ วันนี้ผมจะได้เรียนห้องเดียวกับไอ้ภพ หลังจบกิจกรรมรับน้องและได้ตำแหน่งเดือนคณะพ่วงเดือนมหาลัยมาให้ไอ้พี่เฟียตที่รักคณะยิ่งชีพ ผมก็ตั้งตารอวันเปิดเรียน นั่นเดินมานู่นแล้ว ผมมองร่างบาง มันยังคงดึงดูดสายตาผมไม่เปลี่ยน ไอ้ภพเดินยิ้มร่าตามหลังผู้หญิงตัวเล็กมาหลังห้อง ก่อนทิ้งตัวนั่งลงห่างไปจากผมสองสามแถว

"เอ๊า ยิ้มม ยิ้มมม ถามจริงมึงชอบไอ้ภพตรงไหนวะ”

“มันน่ารัก”

“โว๊ะ คนน่ารักเยอะเยะให้กูแนะนำมั้ย”

“ไม่เอา”

“ลองดูก่อนมั้ยกูมีรูปๆ แจ่มๆทั้งนั้น”

“ไม่เอา ไม่มีใครน่ารัก เท่าภพ”

“ยอมมึงเลย แค่ได้มองเขาก็สุขใจเนอะ” ผมไม่ได้สนใจเสียงเพื่อนรอบตัว ที่พวกมันไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่เพราะรับรู้มาตลอดว่าผมชอบไอ้ภพ ยิ่งไอ้คินนี่รู้ทุกเรื่อง ถ้าให้ขยายความ คำว่า น่ารักของไอ้ภพ คงเป็น รอยยิ้มของมัน ตาของมัน ปากเยลลี่ของมัน ภพไม่ได้พยายามจะน่ารัก แต่ความธรรมชาติของมันนั่นแหละที่ทำให้มันดูน่ารักมากในสายตาผม แต่ถึงผมจะชอบมันขนาดไหนผมก็ไม่กล้าเข้าไปบอกมันอยู่ดี เคยเป็นมั้ยครับ ช่วงแอบชอบแรกๆเราจะมีแรงฮึดอยากทำความรู้จักแต่พอนานๆไปความกล้าแม่งหายไปไหนไม่รู้ สุดท้ายเลยทำได้แค่แอบชอบ และรับรู้เรื่องราวของมันมาตลอดหนึ่งปี



ตอนที่ผมรู้ว่ามันมีแฟน

“ไอ้ยุ ไอ้ยุ มึงรู้ยังไอ้ภพคบกับนานะแล้ว”

“รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ”

“โห ซึมเป็นส้วมเลยเพื่อน ทำใจนะหวังจับเขาทำเมียแต่เขาชิงไปเป็นผัวคนอื่นซะก่อน”

“ฆวย”



ตอนที่บังเอิญเจอมันในลิฟต์

มันยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ผมมองด้านหลังมัน ร่างบางก้าวออกไปทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก แทบหยุดหายใจ

“ไหวมั้ยเพื่อน”

“กูไม่ไหวว่ะ ตัวหอมสัด”

“โว้ย ไอ้ห่า”





ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้ขนาดนี้ รถที่ยังอยู่ในศูนย์ทำให้ผมต้องใช้บริการรถไฟใต้ดิน และผมก็เห็นมันยืนหอบตัวโยนอยู่หน้าประตูที่พึ่งปิดลง ถ้าผมเดินเข้ามานั่งช้ากว่านี้ หรือมันเดินเข้ามาทันก่อนประตูจะปิด ผมคงมีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆ มันอีกครั้ง ทำได้แค่มองมันผ่านกระจก ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและไอ้ภพก็หายไปจากสายตา

คืนนั้นผมฝัน เป็นฝันที่เหมือนจริงมาก ผมเห็นไอ้ภพเดินขึ้นรถไฟมาทันหวุดหวิด เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ ผม ใบหน้าอ่อนล้า มือล้วงหยิบหูฟัง ผมลอบมองทุกกิริยาท่าทางของเขา จนเจ้าตัวหันมามองขนาดหน้าตอนสงสัยยังน่ารักเลย ให้ตายสิ ในความฝันผมกลายเป็นคนกล้า ผมคุยกับมัน หยอกล้อมัน และนั่นเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ไอ้ภพเห็นผมอยู่ในสายตา



ฝันนั้นดูยาวนาน ผมได้ใกล้ชิดไอ้ภพ ได้เห็นน้ำตาของมันที่ผิดหวังจากความรัก ได้บอกรักและได้จูบ ริมฝีปากมันนุ่มฉิบหาย มันดีมาก และเกือบจะเป็นฝันหวานจนกระทั่ง ผมเห็นตัวเองขึ้นเสียงใส่มัน เร่งเร้ามัน ได้แต่ตะโกนบอกให้ตัวเองหยุดทำแบบนั้น แต่มันกับยิ่งแย่ เมื่อเกิดเสียงกระแทกดัง มันดังมากจนผมกลัว ร่างไอ้ภพลอยไปกองอยู่ที่พื้นห่างจากตัวผมไปไกล อยู่ๆ ภาพรอบตัวก็มืดสนิท มีแค่ผมที่ยืนนิ่ง มองดูร่างบางที่ นอนจมกองเลือดตรงหน้า เหมือนร่างผมถูกตรึงให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ ทำได้แค่มองภาพตรงหน้าแม้จะพยายามขยับตัวเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้เลย จ้องมองใบหน้าหวานที่มองมา ก่อนที่ผมจะเห็นตัวเองอีกคนวิ่งเข้าไป ร้องไห้และโวยวายขอโทษไม่หยุด ผมยังคงยืนนิ่งมองภาพนั้น มองไอ้ภพที่สบตาผม แล้วมันก็ยกยิ้มก่อนจะปิดเปลือกตาลง เป็นยิ้มที่สวยที่สุดแต่มันก็เจ็บปวดที่สุดเช่นกัน ผมสะดุ้งตื่นจากฝันที่ยาวนาน ในหัวยังได้ยินเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดของตัวเองดังก้อง อกซ้ายเจ็บแปลบ ใบหน้าเปียกชื้น มันดูจริงมาก มันดูจริงเกินไปจนผมกลัว ว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างผมอาจจะเสียมันไปจริงๆ



แล้วฟ้าก็เป็นใจ



“มึงกูเจอไอ้ภพมานั่งแดกเหล้าคนเดียว”

ทันทีที่ได้ฟังว่าไอ้คินพูดอะไรผมก็คว้ากุญแจรถกับกระเป๋าตัง ออกจากบ้านทันที พอถึงก็เดินดิ่งเข้าไปหาพวกมันที่โต๊ะ พอพวกมันเห็นผมก็พยักพเยิดไปที่บาร์ทันที ผมมองตามทิศทางไปเห็นด้านข้างของคนตัวบาง นั่นเสื้อเหรอวะ อะไรมันจะบางและแนบเนื้อขนาดนั้น มันนั่งอยู่คนเดียว พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่ชี้ไปทางกลุ่มผู้ชายโต๊ะข้างๆ แค่นี้ก็พอเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมสาวเท้ารีบเดินตรงเข้าไปคว้าขวดเหล้าออกจากมือมันทันที ทำไมซี้ซั้วรับของจากคนแปลกหน้าแบบนี้วะ มันมีทั้งความหงุดหงิดความเป็นห่วงตีกันไปหมด และคืนนั้นเราก็ได้คุยกันนิดหน่อย ผมได้เห็นอีกด้านของมัน ไอ้ภพชอบเถียงและดื้อเอาเรื่องเหมือนกัน ผมมองมันที่เดินฟึดฟัดออกไป ให้ตายเหอะผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย ในที่สุดผมก็กล้าเข้าหามันจริงๆ สักที

หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่12/2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 28-03-2020 20:03:27
(ต่อ 12/1)


“พี่ ช่วยผมหน่อยนะ”

“มึงเชื่อกูเดินไปบอกเลยให้มันจบๆ จะได้ไม่เป็นภาระกูอีก”

“พี่ก็รู้ว่ามันยากนะเว้ย แล้วไอ้ภพมันก็ยังคบกับแฟนมันดีอยู่ เกิดผมบอกไปแล้วมันปฏิเสธกูก็หมาดิพี่”

“เวอร์ฉิบหาย อกหักไม่ทำให้มึงตายหรอกไอ้ยุ มึงกลัวมันเกลียดมึงมากกว่า”

“พี่”

“กูพูดถูกสินะ ไอ้พายุ รักมันก็คือรักปะวะมันห้ามกันไม่ได้ และถ้าไอ้ภพมันจะปฏิเสธ หรือเกลียดที่มึงชอบมันขึ้นมา อันนั้นก็ห้ามมันไม่ได้เหมือนกัน มึงอย่าทำให้ความรักของมึงมันยุ่งยากนักเลย บางทีถ้ามึงแสดงออกไปเลยอะไรๆ มันอาจจะดีกว่านี้” พี่เฟียตตบที่บ่าผมเบาๆ “เอาจริงกูว่าไอ้ภพมันไม่มีทางเกลียดมึงหรอก มึงดูรอบตัวมันซะก่อนมีชายแท้กี่คน และตัวมันเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร เพราะงั้นกูว่ามันไม่มีทางเกลียดมึงแน่ๆ แต่จะรับรักมึงมั้ยนี่อีกเรื่อง”

“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนแบบนั้น แต่พี่ช่วยกูเหอะ เนี่ยผมจะเดินเกมแล้ว”

“ไอ้ห่าที่พูดไปตั้งนานนี่ไม่เข้าใจ มึงนี่นะเหมือนเด็กหัดจีบ หาวิธีให้เขามาอยู่ใกล้ แต่เสือกเดือดร้อนคนอื่นไอ้ฟาย “

“นะ พี่ ผมก็เป็นเดือนมอให้พี่แล้วไง”

“เออๆ เดี๋ยวกูไปบอกจูนให้ ว่าให้ไอ้ภพมาช่วยงานกีฬา แต่”

“พี่มึงอย่าแต่ดิ”

“แต่ ถ้ากูเอามันมาทำงานได้ มึงต้องสัญญากับกูว่าจะไม่ตามไอ้ภพจนเสียการเสียงาน กูคาดหวังถ้วยปีนี้อยู่นะเฟ้ย”

“ถามจริง คณะให้อะไรพี่วะ พี่ถึงรักคณะขนาดนี้”

“ให้น้องเวรๆ อย่างมึงไง ฟาย”



และนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้อยู่ใกล้มันมากขึ้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันยังมีแฟนอยู่ แต่ผมก็มักแสดงออกให้มันเห็นว่าผมสนใจมันแค่ไหน ซึ่งมันก็ยังคงเหมือนเดิม ทำตัวเอ๋อๆ ต่อปากต่อคำ ผมรู้ว่ามันคนคิดว่าผมแค่แกล้งเล่นเอาฮา ซึ่งผมก็ปล่อยให้มันคิดแบบนั้น จนกระทั่ง วันที่ผมเห็นน้ำตามันอีกครั้ง พร้อมร่างที่ล่วงไปตรงหน้า ผมรีบวิ่งเข้าไปถึงตัวมันอย่างรวดเร็ว ใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ภาพในความฝันฉายย้อนกลับเข้ามา แวบหนึ่ง แล้วจางหายไป ผมมองใบหน้ามันที่บิดเบี้ยว หลับตามือกุมอยู่ที่ศีรษะ ริมฝีปากเปล่งเสียงแผ่วเบาคล้ายคนละเมอ

“พายุเหรอ มึงเป็นอะไร” มันเรียกผมใช่มั้ย ผมเอื้อมมือไปเขย่าตัวมันเบาๆ

"ไอ้ภพ ไอ้ภพ มึงเป็นไงบ้าง” เสียงผมดูร้อนรน มันปรือตามอง แล้วตอนนี้ผมก็เห็นภาพที่มันนอนจมกองเลือดซ้อนทับเข้ามา มันยกยิ้มบางๆ ให้ผม ทำไมเวลามึงเจ็บตัวมึงยังยิ้มได้อีกว่ะ ไอ้ภพหลับตาลง ผมกลัว เริ่มลนลานมือยกขึ้นตบหน้ามันเบาๆ ให้ตื่น ปากก็ร้องเรียกชื่อมัน

“ภพ ภพ มึงตื่นก่อน ไอ้ภพ! "

“เห้ย ไอ้ยุมึงใจเย็นๆ ภพมันไม่เป็นอะไรหรอก"

“แต่มันสลบไปเลยนะเว้ย กูจะอุ้มมันไปโรงบาล"ผมตั้งท่าเตรียมช้อนร่างมัน แต่ร่างผมก็ถูกกระชากออกอย่างแรง

“ปล่อยเพื่อนกู มึงมีสติหน่อย มันตกบันไดลงมา" ผมมองไอ้นนนเข้าไปนั่งข้างไอ้ภพ ได้ยินเสียงสะอื้นของนานะ ดังอยู่ไม่ไกล"อาจมีกระดูกหักถ้าเคลื่อนย้ายซี้ซั้วมันจะเป็นหนักกว่าเดิม"

“กูโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว"

"ไอ้ภพจะปลอดภัย"ไอ้คินจับไหล่ผมและบอกให้ผมใจเย็น เหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าพยาบาลจะขึ้นมา ปฐมพยาบาล แล้วเคลื่อนย้ายร่างมันลงไปทางบันได ผมวิ่งตามลงมาติดๆ กระโดดขึ้นรถฉุกเฉินไป แม้ตลอดทางพยาบาลจะบอกว่ามันปลอดภัยแล้วก็ตาม หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็รู้ว่าผมไม่สามารถปล่อยมันไปได้อีกแล้ว ผมไม่อยากเห็นมันต้องบาดเจ็บอีก และไม่อยากเสียใจถ้าไม่ได้บอกรักมันหรือต้องมาบอกเอาตอนสายไป ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงแต่ผมจะลองจีบมันสักครั้ง







***************************************************************









ผมมองร่างบางที่รับแก้วจากรุ่นพี่คนหนึ่งมายกดื่ม มันยิ้มตาแย้มโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด แล้วดูแต่งตัว ชอบใส่จังวะ ไอ้พวกเสื้อผ้าพลิ้วๆ ลู่ไปกับตัวเนี่ย ตั้งแต่วันที่ผมจูบมันและถามความรู้สึกมันไป ผมก็ถอยตัวออกมา ให้มันได้คิดทบทวน เกือบจะล้มเลิกแผนตั้งแต่เห็นมันฟุบหลับในร้านกาแฟ แต่ก็ทำใจแข็งเดินออกมา แม้จะอยากเข้าไปหามากแค่ไหนก็ตามแต่ผมอยากให้ไอ้ภพคิดได้เองว่าตัวเองคิดยังไงกันแน่ แอบกลัวเหมือนกันถ้ามันจะหายไปเลย แต่ผมว่าผมดูไม่ผิดหรอก ว่าตัวมันเองก็รู้สึกดีที่มีผมอยู่ใกล้ๆ และผมคิดว่าแผนถอยห่างของผมก็ควรจบลงตอนนี้

“มึงไม่ห้ามมันหน่อยเหรอ รับแก้วจากคนอื่นไปทั่ว" เสียงพี่เฟียตพูดขึ้น ทุกสายตามองไปทางไอ้ภพ และเพื่อนมัน แม่งเต้นกันจนไม่สนใครเลย ตอนแรกมันก็เต้นอยู่ตรงโต๊ะผมอะนะ แต่ไปๆ มาแม่งเลื้อยไปโต๊ะข้างๆ เต้นกับพวกพี่ห่ามๆ เอกอื่นเฉย

“วันนี้ไอ้ภพโคตรเด็ดเลยว่ะ"หันมองหน้าไอ้มิกซ์ปรามๆ

“โทษๆ กูหยอกจ้า"

“กูว่าถ้ามึงยังไม่เข้าไปลากมันกลับมาที่โต๊ะ มีหวังโดนหิ้วไปทั้งแก๊ง"ไอ้พี่เฟียตลุกขึ้นไปดึงตัวพิมกับไอ้โทนี่ออกห่างจากกลุ่มนั้น ขนาดเพื่อนมันโดนฉุดไปตรงหน้าแม่งยังส่ายเอวตาแย้มอยู่เลย ผมลุกตามพี่มันไปดึงแขนคนตัวบางที่กำลังยิ้มโยกตัวกับรุ่นพี่อยู่ มันหันมาหรี่ตามอง แล้วหันกลับไปเต้นต่อ เมินกูไปอีก โคตรดื้อ

“กลับโต๊ะ"

“มึงยุ่งไรด้วย"

“กลับ"ว่าจบผมก็ดึงแขนมันแรงๆ กลับมาที่โต๊ะ ผลักให้มันเข้าไปนั่งข้างไอ้คิน แล้วผมนั่งประกบปิดทางออก ขืนปล่อยมันนั่งกับเพื่อนมีหวังพากันลุกออกไปอีกแน่

“มึงทำอะไรวะ กูกำลังหนุกเลย"

“พอแล้ว” พูดพลางยื่น น้ำเปล่าให้มันดื่มจะได้มีสติขึ้นหน่อย เห็นมันรับแก้วมั่วซั่วไปหมดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มันยังนั่งนิ่งมองผมตาเยิ้ม นี่มึงดื่มไปมากขนาดไหนวะ

“ไอ้ภพๆ มึงลองนี่ดีกว่า ดีกว่าน้ำเปล่าของไอ้ยุเยอะ" สัด พวกเวร ผมมองไอ้ภพยื่นมือไปรับแก้วจากพวกเพื่อนผม พวกมึงไม่เห็นเหรอว่ามันเริ่มเมาแล้ว ยังจะยื่นเหล้าให้มันอีก

“พอๆ มึงจะรับแก้วจากทุกคนที่ยื่นมาให้ไม่ได้ พวกมึงก็เลิกแกล้งมันได้แล้ว"

ฉวยเอาแก้วในมือมัน มันหันมองผมหน้ามุ่ย ไม่รู้เพราะแสงไฟหรือฤทธิแอลกอฮอล์ที่ทำให้แก้มมันขึ้นสี จ้องผมตาไม่กะพริบ แล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แบมือออกมาตรงหน้า ก่อนที่มันจะขยับปากบวมๆ พูด

“ขอภพกินเหล้าหน่อยคร้าบ" นิ่งเลยกู

“เชี่ย ตอนเมาแม่งน่ารักสัด"เสียงไอ้มิกซ์ดังแทรกเข้ามา มึงสองรอบแล้วนะ หันไปมองไอ้มิกซ์แล้วหันกลับมาดูไอ้เอ๋อตรงหน้า เออ แม่งน่ารักจริง ผมยกมือผลักหัวมันเบาๆ แล้วยกยิ้ม ทำไมมึงน่ารักขนาดนี้ว่ะ น่ารักจนกูไม่อยากรอเหี้ยอะไรแล้วเนี่ย

“พายุ! กิ้วๆ คิดอะไรกับเพื่อนเราใช่เปล่า"ผมผละจากใบหน้าหวานหันไปมอง พิม ที่ยกนิ้วชี้สายไปมา แล้วยิ้มร่า นี่ก็เมาแล้วสินะ เหลือบมองโทนี่ที่นั่งก้มหน้านิ่ง นั่นก็ไม่น่ารอด ไม่ควรปล่อยเหล้าเข้าปากพวกมัน อันตรายฉิบหาย ผมไม่ได้ตอบพิมแต่หันกลับมามองคนตัวบางที่มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข เอื้อมจะคว้าแก้วเหล้าตลอด

“ภพ นั่งเฉยๆ "

“เป็นพ่อเหรอ มาสั่งกูวว"

“พ่อทูนหัวป่าวจ้าา"เสียงไอ้โทนี่ดังขึ้นมา แล้วมันก็ลุกยืนเด้งตูดต่อ โคตรบรรลัย

“เหี้ย ใครก็ได้โทรตามไอ้นนน มาเก็บเพื่อนมันดิ๊ เรื้อนกันฉิบหาย"

“กูมาแล้วพี่"เสียงต่ำๆ ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของไอ้นนน มันมองไปที่สภาพเพื่อนมันแต่ละคนแล้วมาหยุดสายตาที่คนตัวบาง ตอนนี้ภพมันพิงหัวกับผนังตาปรือไปแล้ว ไอ้นนนเดินเข้ามายืนค้ำหัวผมหน้านิ่ง สายตามองที่ไอ้ภพ ผมสังเกตมานานแล้ว ว่ามันต้องคิดเกินเพื่อนแน่ ๆ ก่อนหน้านี้แค่สงสัยแต่ตอนนี้สายตามันบอกผมชัดเจนว่ามันมองผมเป็นคู่แข่ง

“ถอย กูจะพาไอ้ภพกลับ"

“มึงไปดูเพื่อนมึงอีกสองคนเหอะ ภพกูดูแลเอง"มันยืนนิ่งมองผม ก่อนเอื้อมมือมาดึงแขนไอ้ภพ จนคนตัวบางส่งเสียงร้องเบาๆ ปรือตามองคิ้วขมวด แล้วแม่งก็ยิ้มตาเยิ้ม ลุกยืนหันหน้าไปหาเพื่อนมัน

“เอ้าาา ไอ้นนน มึงมาแล้วววคิดถึงมึงจะแย่ เมื่อกี้ไอ้โทนี่เต้นท่าtwerkingด้วย ฮ่าฮ่าๆ โคตรคูลล"

“มึงเมาแล้วกลับกันนะ"ไอ้นนนพูดเสียงอ่อน ผมมองมือมันที่จับใบหน้าไอ้ภพ นิ้วเกลี่ยแก้มเบาๆ ถามจริง! มึงเป็นแบบนี้กันบ่อยเหรอ ผมมองภาพตรงหน้า เริ่มเข้าใจแล้วที่ไอ้ภพบอกว่า ผมก็ดูแลมันดีไม่ต่างกับเพื่อนๆ ในกลุ่มมันคือแบบนี้เอง แต่ที่มันไม่รู้คือเพื่อนมันเนี่ยคิดไม่ซื่อ หรือแม่งมันรู้แต่ทำ มึนเหมือนที่ทำกับผมว่ะ

“กูยังไม่เมาา เต้นๆ "มองไอ้นนนที่ยิ้มบางๆ แล้วดึงภพให้ก้าวข้ามขาผมออกมา มันก้มไปพูดใกล้ๆ คนตัวบางที่พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนยืนนิ่งปล่อยให้เพื่อนจัดการอุ้มขึ้นหลัง" แล้วหันเดินออกไปทันที หงุดหงิดว่ะ โคตรไม่ชอบ นี่มันเพื่อนไม่จริงชัดๆ

“ปลาย่างโดนแมวขโมยไปซะแหละ"

“ตัวจริงเขามา พระรองก็หลบไปคร้าบบ”

“พี่! ชนแก้ววว"

“วู้ววว เต้นกันนน”

“ไอ้เหี้ย นนน มึงกลับมาเอาเพื่อนมึงอีกสองตัวด้วย ไอ้ฟายยย"เสียงเอะอะโวยวายไม่สามารถดึงความสนใจผมจากภาพร่างบางได้เลย

“ไม่ตามไปเหรอวะ” เสียงไอ้คินพูดขึ้น

“ไม่อะ”

“อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”

ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองพี่จูนส่งแก้วน้ำเปล่าให้พิมกับโทนี่ดื่มจนมันเริ่มสร่าง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่วงดนตรีสดพึ่งเล่นเพลงจบไป ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สักพักไอ้นนนก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ มันเดินเข้าไปรั้งเอวพิมให้ลุกขึ้น แล้วสะกิดโทนี่ที่น่าจะสร่างเมาแล้วให้ลุกขึ้นก่อนมันจะดันโทนี่ให้ออกเดินไปข้างหน้า โดยมีมันเดินตามติดๆ

“ไอ้นนน มึงจะไปเลยเหรอไม่อยู่สนุกก่อนว่ะ”

“ไม่อะพี่ ผมต้องรีบกลับไปดูไอ้ภพ ทิ้งมันอยู่ห้องคนเดียว ผมไปนะ”

“เออๆ ดูแลเพื่อนมึงดีๆ”

“กูบอกแล้วว่าอย่ามาเสียใจทีหลัง”



Talk

มาฟังเรื่องราวจากฝั่งพายุบ้างที่เพื่อนให้ฉายา กาก ไม่ได้ได้มาเล่นๆนะ อิมเมจของพายุคือผู้ชาย ที่นอกจากหน้าตาแล้วก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์อะไร มีด้านที่กากๆอยู่ เป็นคนพูดน้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบหรือกับคนที่ชอบก็จะพูดมากขึ้น และอีกเรื่องที่เพิ่มให้คือไม่ใช่คนชอบระบบรับน้อง ไม่ได้เอนตี้ขนาดนั้นแต่ถ้าเลือกไม่ไปได้ พายุก็ไม่ไป ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเวลาพายุคุยกับพี่เฟียตจะดูเป็นน้องน้อยมากๆ ซึ่งส่วนตัวชอบพายุเวลาคุยกับพี่เฟียต ฟิวแบบพี่ที่รู้ทันไปหมด

เรื่องความดูแลเอาใจใส่ของนนน นั้นน ละมุนเสมอ เวลาภพเมาทุกครั้งภพไม่เคยรู้ตัวนะว่าตัวเองพูดหรือทำท่าทางแบบไหนไปและก็ไม่รู้ด้วยว่านนนอ่อนโยนกับตัวเองยังไง เพราะไม่มีใครเคยเห็น(มั้ง)เพราะพิมกับโทนี่ก็เมาด้วยกันหมด ที่ภพเคยพูดว่าพายุก็ดูแลดีไม่ต่างจากที่เพื่อนในกลุ่มทำอันนั่นก็คือในความรู้สึกภพที่่มักโดนเพื่อนสปอยรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เลยยังแยกไม่ออก ส่วนเรื่องที่แกล้งถอยห่างให้รู้ใจตัวเองของพายุ จะสำเร็จมั้ย รอติดตามตอนต่อไปค่า

ช่วงนี้อยู่แต่บ้านหนีโควิด งานน้อยลงจนแทบว่าง5555ในเลขห้ามีน้ำตา คิดว่าคงมาอัพได้ถี่ขึ้น สุดท้าย ฝากกดหัวใจ คอมเม้นท์กันได้ถึงไม่ได้ตอบแต่อ่านทุกข้อความนะคะ ฝาก #เอกภพของพายุ #คู่ขนานของเอกภพ ไว้ด้วยค่า
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่12/1-12/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-03-2020 00:06:25
 :z3:


หืมมมม เอาจริงดิ
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่13/1
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 03-04-2020 17:13:46
ผมขยับตัวไม่ได้ ร่างผมเหมือนถูกกดจนชาไปทั้งตัว ปวดหัวชะมัด เกิดอะไรขึ้นวะ ขมวดคิ้วก่อนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แสงที่แยงตาทำให้ผมต้องปิดตาลงกะพริบถี่ๆ ให้คุ้นชิน ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องที่คุ้นเคย ห้องไอ้นนนสินะ หลุบตามองต่ำ แล้วก็รู้สาเหตุที่ทำให้ผมขยับตัวไม่ได้ ไอ้เหี้ย นี่เอง พิมนอนพาดอยู่บนตัวผม ในสภาพผมเผ้ากระเซิงปิดไปทั้งหน้า หมดสภาพฉิบหาย จัดการดันตัวมันออกไปอีกทางแล้วดึงผ้าห่มคลุมปิดขามัน มันส่งเสียงครางประท้วงเบาๆ แล้วถีบผ้าห่มออก ได้แต่ส่ายหัวมองมันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นปิดขามันอีกรอบ นอนแหกจนกูจะเห็นไปถึงไส้แล้วไอ้ห่า ปิดภาพอุจาดแล้วหันตัวลงจากเตียง เท้าเตะพื้น ทำไมพื้นมันหยุ่นๆ ลองเหยียบอีกสักที ดึ๋งๆ เด้งสู้เท้ากูซะด้วย อะไรวะ ผมก้มลงมองไปที่ปลายเท้า

"เหี้ย! พุง! "

ไอ้โทนี่มันนอนเปิดพุงแผ่อยู่ที่พื้น ริมฝีปากยกยิ้ม บอกได้คำเดียวเมื่อคืน เละ! ผมจำได้แค่ตอนเดินเข้าไปที่โต๊ะ เห็นไอ้พายุที่ยังคงเมินผม หลังจากนั้นจำได้ว่าก็เลิกสนใจมันแล้วหันไปสนุกกับเพื่อน แล้วภาพก็ตัด จำได้รางๆ อีกทีก็เหตุการณ์ระทึกในรถกับไอ้นนน แค่คิดผมก็ไม่กล้าลุกเดินออกจากห้องแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่นั่งนิ่ง วางเท้าบนพุงไอ้โทนี่ พลางนึกเรื่องเมื่อคืน ทั้งเรื่องไอ้พายุที่ผมยังคาใจ และเรื่องไอ้นนนที่ทำผมอึดอัด

“มึงตื่นแล้วเหรอ"หันไปมองไอ้คนต้นเรื่องที่ทำผมคิดมาก มันเดินหัวเปียก นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ

“อ่า อืม"

“ไปล้างหน้าแปรงฟันดิ ของมึงวางอยู่ที่เดิม เสื้อผ้าเอาในตู้"



มองมันแต่งตัวแล้วเดินออกไป เหมือนเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำไมมันดูปกติจังวะหรือเมื่อคืนที่ผมได้ยิน ผมเมาจนหลอนไปเอง แต่แม่งเหมือนจริงมากเลยนะ ผมเกือบสร่างเมาเลยด้วย นั่งคิดไม่ตก ยกมือเกาท้ายทอยยิกๆ ช่างมัน เดี๋ยวค่อยคุย ลุกเดินข้ามตัว โทนี่เข้าห้องน้ำจัดการธุระเรียบร้อยก็เดินออกมานอกห้อง ไอ้นนนนั่งอยู่ที่โต๊ะตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอยู่

“มึง เมื่อคืนมึงได้พูดอะไรกับกูปะวะ เมื่อคืนกูเมามากแต่เหมือนกูได้ยินมึงพูดรักๆ อะไรสักอย่าง” ผมจะไม่ปล่อยผ่าน ขอลองหยั่งเชิงก่อน เผื่อฟังผิดไป จะได้ไม่หน้าแตกมาก

“อืม กูบอกรักมึง”

เวร เมื่อคือกูฟังไม่ผิดสินะ ใจเย็นมันคงไม่ได้หมายถึงแบบนั้นมั้ง

“แบบเพื่อนรักเพื่อนใช่ปะวะ” ถามอีกเพื่อความชัวร์ มันยังคงก้มหน้าตักข้าวเข้าปาก ผมยืนรอคำตอบมันเงียบๆ ไอ้นี่ก็ชักช้า คิดนานฉิบหาย “ว่าไง มึงรักกูเหมือนที่รักไอ้พิม รักไอ้โทนี่ใช่มั้ย”

“เปล่า กับมึง กูอยากเอาด้วย”

เชี่ยยยยย  ขนลุกเลย นี่ไม่ใช่เพื่อนผม ผงะถอยไปหนึ่งก้าว มองมันแบบหวาดๆ

กูรักมึงนะ แต่ตอนนี้สายตามึงน่ากลัวมาก ห่าเอ๊ย

“มึง คือ...”

“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด กูล้อเล่น”

“ไอ้เหี้ยย ตกใจหมด”

ผมเดินเข้ามาหยุดยืนที่โต๊ะ ไอ้นนน มองผมยิ้มๆ แล้วก้มหน้ามองจานข้าว ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ

“ภพ"

“ห๊ะ"ผมมองมันที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวในจาน เรียกผมเสียงจริงจัง

“กูรักมึง รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักใครอีกคนได้”

“…..”

“แบบที่มึงคิดนั่นแหละ”

“มึง...คือ”

“กูรู้”

“ไม่เว้ย มึงไม่รู้! กูไม่ได้รังเกียจมึงนะ แต่กู...คือกู…มีคนที่ชอบอยู่แล้ววะ”

“ไอ้พายุสินะ"

มึงเป็นลูกเทพเหรอ ผมมองมันตาโต

“รู้ได้ไงวะ"

“มึงดูง่าย"

“กูไม่ได้ง่ายเว้ย"

“สัด พอ เอาเป็นว่าเมื่อคืนกูใจร้อนเลยพูดไป และที่กูยอมรับกับมึงตรงๆ เพราะกูไม่อยากเก็บไว้แล้ว ไม่ได้บอกเพราะหวังจะได้อะไรจากมึง ความรู้สึกนี้กูเริ่มเอง เพราะงั้นกูก็จะรับผิดชอบมันเอง”

มาซะยาวเหมือนเก็บกด พึ่งเคยเห็นมันพูดยาวๆ กับผมก็ครั้งนี้แหละ ปกติเงียบเหมือนลืมปากไว้ที่บ้าน

“กูขอโทษนะเว้ย"

"ขอโทษทำไม เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วมากินข้าวเหอะ"

มันว่าแล้วหันตัวกลับไป ผมเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้าม มองมันที่จัดการหยิบกล่องข้าวมาเปิดแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้า กะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุกเหมือนเดิม ผมไม่เคยรู้เลยว่าที่มันคอยดูแล คอยใส่ใจ มันมีอะไรมากกว่านั้น ตั้งแต่จำได้ผมก็เห็นมันอยู่ข้างๆ เอาใจใส่แบบนี้ไม่ใช่แค่กับผมแต่กับเราทุกคนในกลุ่ม จนผมมองข้ามความรู้สึกมันไป กูขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เลย

“เลิกมองกูแบบนั้น หลังจากนี้กูจะดูแลมึงแบบเพื่อน เพื่อนจริงๆ เชื่อใจกูได้"

ว่าจบมันก็ยื่นช้อนส้อมมาให้ ผมรับมาแล้วพยักหน้าส่งยิ้มให้มัน ยังไงไอ้นนนก็คือเพื่อนที่ผมรักที่สุดอยู่ดี และผมก็เชื่อใจมัน แม้เมื่อกี้มึงจะทำกูเสียวตูดก็ตาม

"แต่หลังจากข้าวมือนี้นะ"

"สัด แล้วแต่มึงเลย”

“แล้วกับไอ้พายุเป็นไงบ้าง"

“มันเมินกู"

“ทำไม”

“ไม่รู้”

“ง้อยัง"

“ทำไมกูต้องง้อมันด้วย มันโกธรอะไรกูยังไม่รู้เลย"

“จริงๆ มันอาจรอให้มึงไปง้ออยู่ เมื่อคืนตอนมึงเมา ก่อนกูจะเข้าไปลากมึงกลับ มันเป็นคนดูแลมึง"

“….”





หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ผมก็ปลีกตัวกลับมาที่ห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกดโทรหาคนที่ทำเมินผมเป็นอาทิตย์ๆ รอบนี้กูจะไม่ยอมแล้ว ถ้ามันไม่รับสายอีก จะไล่โทรหาเพื่อนมัน แล้วบุกห้องเลย ยังไงก็ต้องคุยให้รู้เรื่องว่ามันโกธรอะไรหนักหนา ทำกูวุ่นวายใจมาหลายวัน เดินมานั่งที่โซฟา ในหัวเตรียมคำพูดสารพัด ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งแต่คิดว่าต้องใช้ไม้อ่อนง้อๆ มันหน่อย มันคงไม่ใจร้ายกับผมหรอก มั้ง

รอสายอยู่นาน จนเกือบกดวาง

[ฮัลโหล]

สัดดด รับว่ะ

[จะพูดไหม ไม่พูดจะวางละนะ]

"">เดี๋ยว! ”

[……]

"…."

[กูวางนะ]

"ใจเย็นสิโว้ย เตรียมใจแป๊บ เริ่มแล้วนะ"

[มึงเริ่มสักทีเหอะ กูยุ่งอยู่]

เสียงมันเริ่มหงุดหงิด สัด นี่กูกำลังง้อมึงอยู่นะไอ้ฟายย สนใจกูบ้าง จากตั้งใจจะค่อยๆ คุย กลายเป็นผมก็เริ่มมีอารมณ์

"มึงเมินกู! กูโทรหามึงเป็นสิบๆ สาย ส่งข้อความไปก็ตั้งหลายครั้ง อ่านแล้วไม่ตอบคืออะไรไอ้เหี้ย แวะไปหาที่ห้องเรียนก็หลบหน้ากู ไหนจะเมื่อคืนอีก มึงเมินกู จนกูเมาเหมือนหมา ไม่พอใจอะไรก็พูดดิ"

[จบยัง]

"ยัง! อยู่ๆ มึงก็หายไปเลย กูคิดว่าต้องเจอมึงใต้ตึก แต่พี่จูนก็ให้กูย้ายไปทำงานที่ห้องเขาเฉย กูโทรหามึงรอบที่ร้อยมึงก็ยังไม่รับสายกู กูไปถามไอ้โอบมันก็ตอบแต่ไม่รู้ ไอ้ฟาย เป็นเพื่อนกันยังไงวะไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปไหน แล้วการบ้านก็เยอะฉิบหาย แล้วกูแล้วกูก็...โคตรคิดถึงมึงเลย">”

พูดไปจนได้ เล่นเอากูหอบเลย สัดเอ๊ยยย เขินว่ะ

[….]

อย่าเงียบแบบนี้ดิ กูกลัวนะ

[มาเปิดประตู]

“ห๊ะ"

[เปิดประตู กูอยู่หน้าห้องเนี่ย]



ผมรีบหันมองไปหน้าห้อง มันพูดจริงปะวะเท้าก้าวเดินไปเปิดประตู แล้วมันก็อยู่ตรงหน้าผมจริงๆ เงยหน้ามองมันตาโต อยู่ๆ ผมก็รู้สึกกระดากอายกับสิ่งที่พึ่งพูดออกไป ไอ้ยุยังยืนถือโทรศัพท์แนบหู มองผมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไง”

“มึงมาได้ไง"

“ขับรถมา”

“ไม่ๆ กูหมายถึงมึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่” อะไรของผมวะ ลนไปหมด มันก็ตอบถูกแล้ว มีแต่กูเนี่ย สติ!

“กูมารอมึงใต้คอนโดตั้งแต่เช้าแล้ว ให้กูเข้าห้องได้ยังครับ”

“อะ เออ ลืม เข้ามาดิ”

ผมหลบให้ร่างสูงเดินผ่านเข้าไป แล้วเดินตามมันไปนั่งที่โซฟา

“สรุปคิดถึงกูสินะ"

“ห้ามโกหก"

รู้ทัน กูไปอี๊กกก

“เออออ มึงโกรธอะไรก็บอกกูดิไม่ใช่เมินใส่กูแบบนี้"

“กูไม่ได้โกรธมึง"

“ไม่โกรธก็เหี้ยแล้ว มึงหายไปเป็นอาทิตย์ มึงรู้มั้ยว่ากูเดินไปหาที่ห้องเรียนมึงตั้งกี่ครั้ง"

“รู้"

“รู้แล้วมึงก็ยังเมินกู มึงมันเหี้ย"

ยิ่งพูดทำไมเสียงผมยิ่งสั่นวะ

ไอ้พายุ ดึงตัวผมเข้าไปนั่งใกล้มัน ผมมองหน้ามัน ด้วยความรู้สึกน้อยใจ มันยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ ปลอบผม

“กูขอโทษ กูแค่อยากให้มึงได้คิดทบทวน"

"กูไม่ชอบ"

"จะไม่ทำแล้ว แล้วที่บอกคิดถึงกูเนี่ยแบบไหนนะ”

“คิดถึงก็คือคิดถึงดิจะแบบไหนก็เหมือนกันมั้ย"

ผมขืนตัวจากออกจากวงแขนมัน จะถามจี้ทำไม กูก็เขินเป็นนะไอ้เหี้ย

“มันไม่เหมือนกัน มึงต้องตอบ เพราะกูบอกความรู้สึกกูไปหมดแล้ว ถ้าแบบเพื่อนกูจะได้เว้นระยะ" คำพูดของมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า เหตุการณ์มันคุ้นๆ จังนะ ผมไล่สายตามองใบหน้ามัน สบตามัน ไฝใต้ตาเม็ดเล็กนั่นยิ่งทำให้มันดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด

“กูก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอมึงหายไป กูโคตรไม่ชอบเลย กูคิดถึงเสียงกวนๆ ของมึง คิดถึงหน้ามึง ชอบเวลาที่มึงคอยดูแลกู ถ้านี่คือคำตอบที่มึงอยากฟัง กูจะพูดครั้งเดียวนะ”

“….”

“กูว่า...กูคงชอบมึงแล้วว่ะ"

ตั้งแต่มันหนีหน้า ผมก็คิดมาตลอดระหว่างความรู้สึกและความเหมาะสม ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่างเรามันจะดีมั้ย ผมรู้ว่าเราทั้งคู่เป็นผู้ชาย แต่ไอ้พายุ ก็เข้ามาหาผมในจังหวะที่ผมกำลังต้องการใครสักคน ผมไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้แต่ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับมันมากขึ้นทุกวันๆ ผมมองดูปฎิกิริยาคนตรงหน้า มันยังคงนั่งนิ่งใบหน้าเรียบเฉย ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆ ยกยิ้มกว้าง และผมก็ส่งยิ้มตอบกลับไป ครั้งนี้ผมไม่ต้องเรียกชื่อมันในใจ หลายๆ ครั้งอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ เวลานี้ เรากำลังส่งยิ้มกว้างให้กัน



“เมื่อคืนมึงโคตรดื้อ”

เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ หลังจากได้คุยกัน ไอ้พายุก็ยังคงสิงสถิตอยู่ในห้องผม เราโทรสั่งอาหารเข้ามากินกันที่ห้อง เพราะขี้เกียจออกไปเผชิญอากาศอบอ้าวข้างนอก แล้วมันก็เปิดประเด็นเมื่อคืนขึ้นมา

“ยังไง”

“รู้ไว้แค่ว่า มึงห้ามไปกินเหล้าโดยไม่มีกูไปด้วยอีก”

“บ้าบอ”

“กูพูดจริง แล้วเมื่อคืนไปนอนห้องไอ้นนนเหรอ”

“อือ” ผมตอบมันแล้วตักข้าวเข้าปาก

“ไอ้นนนมันดูชอบมึงนะ”

"แค่ก แค่ก"

สำลักเลยกู ข้าวเกือบพุ่ง มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“มึงรู้สินะ ว่ามันคิดยังไง”

“ไม่รู้”

เลี่ยงสายตามัน ก้มลงตักข้าวเข้าปากต่อ ไม่รู้จะกลัวมันทำไมเหมือนกัน เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้น ผมเงยหน้ามอง คนตัวสูงลุกเดินไปในครัว โว้ยยย ขี้งอนฉิบหาย ลุกเดินตามมันไป เข้าไปยืนข้างๆ ไอ้พายุที่ยืนรินน้ำใส่แก้วอยู่

“เป็นอะไร”

“มึงกลับไปกินข้าวเหอะ กูแค่มาเอาน้ำให้”

“งอนกูเหรอ”

“….”

“ไหนบอกกูสิอาการมันยังไง หืม"

“มึงแม่ง"

มันหันตัวมาเผชิญหน้ากับผม หน้ามุ่ย

“สรุปมึงรู้ใช่มั้ยว่าไอ้นนนมันคิดเกินเพื่อน"

“อ่า"

“หงุดหงิดว่ะ”

“เอ้า ใจเย็นดิ กูก็พึ่งรู้เมื่อคืน แล้วกูก็บอกมันแล้วด้วยว่ากูชอบมึงเนี่ย ทำไมชอบให้กูพูดอะไรแบบนี้นัก"

เห็นนะ ว่าแอบยิ้ม มันยืนมองผมนิ่ง ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาคว้าผมเข้าไปใกล้ แล้วริมฝีปากมันก็กดลงมาเบาๆ ที่ริมฝีปากผมสองสามที ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด เล่นกูทีเผลอตลอดดด สัดเอ๊ยยย ใจกู ผมยกแขน ลูบหลังปลอบมัน สีสันชีวิตโคตรๆ เกิดมาพึ่งเคยมายืนง้อผู้ชายตัวเท่าควาย

“หายยัง”

“ยัง คืนนี้ขอนอนนี่นะ” ผมขืนตัวออกมามองมัน

“อะไร เนียนเลยนะ เมื่อกี้ก็ทีหนึ่งจูบกูทีเผลอ”

“อดไม่ไหวว่ะ เมื่อกี้แค่จุ๊บเอง จูบอะแบบนี้"

“พอเลยยยย กลับบ้านไป” ผมดันหน้ามันออก กูจะรอดมือมันมั้ยวะ

“นะ ขับกลับดึกๆ มันอันตราย”

“เอาไรมาดึก นี่พึ่งห้าโมง”

“บ้านกูไกล”

“อ้างไปเรื่อยนะมึงอะ”

“นะ”

“เออๆ”

ทำไมนะ เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าไอ้พายุแม่ง...น่ารัก



ขอถอนคำพูดที่ชมมันเมื่อกี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกมั้ยที่ยอมให้มันนอนค้างที่ห้อง ผมเดินออกจากห้องน้ำมาก็เจอร่างควายๆ ของมันที่ยังอยู่ในชุดเดิม นอนกดมือถือกระดิกตีนอยู่บนเตียงผมอย่างสบายใจ

“ที่ให้มึงค้างกูหมายถึงให้มึงนอนห้องแขก"

“รู้แล้ว เดี๋ยวกูไปมานั่งนี่ดิ"

แล้วมันก็ตบที่เตียงเรียก ผมเดินเข้าไปสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มข้างๆ มัน ไอ้พายุขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วยื่นโทรศัพท์ให้อยู่ในระยะสายตาเราทั้งคู่

ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือ ผู้ชายสูงอายุใส่แค่กางเกงสีดำ ยืนหันหลัง และเคลื่อนไหวตัวไปมา เหมือนเขาจะสวมแว่นว่ายน้ำ ในมือทั้งสองข้างสวมนวมที่พันฟองน้ำ ก่อนที่เขาจะจุ่มลงไปในถังสี และเริ่มต่อยกำแพงสีขาว เสียงที่ดังปั๊กๆ ดังขึ้นพร้อมกับสีดำที่ถูกแต่งแต้มลงไป เสียงดนตรีที่ดังประกอบดึงดูดผมไม่ให้ละสายตา

“ดูอะไรวะ"

“DocumentaryของUshio Shinohara กับภรรยา"

“มึงชอบงานเขาเหรอ"

“ไม่รู้ดิ กูก็พึ่งรู้จัก จารย์ให้ดู”

“อ่อ”

แล้วเราก็เงียบ จดจ่อซึมซับกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า มันคือเรื่องราวของสามีและภรรยาที่เป็นศิลปินทั้งคู่ ฝ่ายสามีที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงโดยเทคนิคboxing painting และภรรยาที่ผลงานยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เปรียบเหมือนกับดอกไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ได้เปล่งประกายสักที จนกระทั่งในที่สุดเธอก็มีชื่อเสียงเทียบเท่าสามี ผมแอบเห็นความหวั่นวิตกในสายตาของสามี เขากลัวเมียตัวเองดังกว่า มันดูซื่อตรงมากแม้ว่าเขาจะรับรู้ว่ากำลังโดนถ่ายทำอยู่ก็ตาม เรื่องราวความรักและชีวิตของทั้งคู่และการทำงานมันดูน่าสนใจจนผมละสายตาไม่ได้เลย ความสุขทุกข์ ความสับสนวุ่นวายในชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ด้วยกัน มันคือความรักในแบบที่ผมชอบ ไม่เพอร์เฟ็กต์แต่สุดท้ายก็ยังคงดูแลกัน เต้นรำ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันจนแก่

‘Did Cuties hates Bullies?’

‘No Cuties loves Bullies so much.’

เสียงสัมภาษณ์ช่วงท้าย และรอบยิ้มของทั้งคู่ ทำให้ผมยิ้มตาม

“ดีเนอะ” เสียงเรียบๆ ดังข้างๆ

“อืม”









เมื่อคืนไม่รู้ผมเผลอหลับไปตอนไหน เสียงนาฬิกาปลุกดังปลุกผมให้ลืมตาตื่นมาเจอใบหน้าคมที่นอนอยู่ข้างกัน ก้มมองแขนหนักๆ ที่พาดอยู่บนตัว ผลักแขนมันออกแรงๆ จนมันส่งเสียงครางพลางขมวดคิ้ว ผมมองมันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ ของผมดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้ามัน แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้ผมมีเรียนบ่าย ส่วนไอ้พายุ มันบอกจารย์ยกคลาส พอเดินกลับออกมาก็เห็นมันลุกขึ้นมานั่งยิ้มกริ่มมองตามร่างผมที่เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า

“ขาวจัง"

“ไอ้สัด"

“ด่ากูทำไมครับ

“ด่าเรื่องที่มึงมานอนเบียดกูด้วยไง เห็นกูหลับแล้วตีเนียนเลยนะ"

"เตียงมึงก็ออกจะใหญ่ ทำหวง แล้ววันนี้เลิกกี่โมง”

“เลิกเรียน4แต่กูต้องอยู่เย็บชุดที่ตึกต่อ”

“โอเค”

แล้วมันก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ผมยืนเป่าผม รอผมแห้ง ไม่นานมันก็เดินกลับออกมา เข้ามาดึงไดร์ไปเป่าให้

“เดี๋ยวกูไปส่งนะ”

“อืม”

“ตัวมึงหอมจัง”

เสียงมันดังแผ่วเบาอยู่ข้างใบหู จนผมขนลุกซู่ ปากแม่งเริ่มอยู่ไม่สุขมันวนเวียนอยู่ที่ซอกคอผม ก่อนจะขบกัดเบาๆจนผมหลุดเสียงน่าเกลียด ฮือออ มันจะเล่นกูแล้วว

“อื้อ พอเลย”

ผมดึงไดร์กลับมาเป่าเองแล้วผลักมันออก มือไวปากไวฉิบหาย มองไอ้พยุที่ลงไปนั่งที่ขอบเตียง ยิ้มกรุ้มกริ่มมองผม มึต้องใจเย็นไอ้สัด พอกูยอมหน่อยละเล่นกูบ่อยเลยนะ







พายุขับรถมาส่งผมที่มอ แล้วก็แยกกลับบ้าน ก่อนไปยังไม่วายย้ำว่าให้รอ มันจะมารับ แม้ผมจะบอกว่าอาจจะไปกินข้าวกับเพื่อนต่อก็ตาม ผมเดินมาถึงห้องเรียน ตรงไปที่โต๊ะที่พวกพิมนั่งกันอยู่

“ไงมึง"พิมหันมาถามผมแล้วชะโงกตัวมองไปด้านหลัง

“หาไรวะ"

“หาพายุ สายข่าวกูรายงานมาว่าเจอมึงลงมาจากรถมัน"

“ดีกันแล้วเหรอ งอนกัน เหมือนผัวเมีย"ไอ้โทนี่เสริม

“ผัวเมียพ่อมึงดิ แล้วสายมึงนี่ใคร"

“ไม่บอก แต่สายกูเชื่อใจได้แระกัน"

"คบกันแล้วเหรอ"

ทั้งโต๊ะเงียบทันทีที่เสียงเรียบๆ ของไอ้นนนดังขึ้น

“ยังหรอกแต่ก็คุยๆ กันอยู่ๆ "

“ง่อววว โดนหญิงหลอกครั้งเดียว เพื่อนกูจะมีผัวเฉย"

“บ้าบอ กูเนี่ยผัวมัน”

"แล้วคอเป็นไร"                 

"อะไร"

ยกมือขึ้นกุมคอตัวเอง

"เห็นรอยแดงๆ โดนพายุกัดคอมารึไง"

"...."

"เชี่ยยย แค่นี้ก็รู้แล้วมึงเป็นเมียชัดๆ"   

"สัด มันเล่นกูทีเผลอเว้ย กูบอกว่ากูไม่ใช่เมียไง!"

“ฮ่าๆ กูจะรอดู"

“โทนี่!เลิกยุ่งกับคอกู จริงจังนะ พวกมึง...แบบไม่แปลกใจหรือห้ามกูหน่อยเหรอวะ”

“โอ๊ย ห้ามทำไมคนจะได้กัน กูห้ามกูก็ขึ้นคานดิ อย่างมึงอะเหมาะกับให้คนดูแล มึงดูแลคนอื่นไม่ได้หลอก กูเห็นตอนมึงคบกับนานะกูยังคิดเลยว่ามึงเหมือนเพื่อนกัน แฟนบ้าไรรู้เรื่องรองพื้น”

“เวลาซื้อเสื้อผ้ามึงก็ไม่ได้ไปรอเขานะ เขาเนี่ยรอมึง" ไอ้โทนี่เสริม



“ไม่ดีอ่อ เวลามึงหน้าเทา กูก็เตือนมึงได้ ช่วยเลือกลิปก็ได้ แต่งหน้าทำผมให้งี้”

“ดีกับผี บางทีผู้หญิงก็ไม่ได้อยากได้คนที่รู้ไปหมดในเรื่องแบบนั้นปะ เอาตรงๆ คือมึงอะให้ความรู้สึกแบบเป็นเพื่อนมากกว่าจะเป็นผัวจบนะ”

“สัด”

“แล้วมึงก็ไม่ต้องคิดมาก พวกกูพอจะดูออกตั้งนานแล้วว่ามึงเคลิ้ม ชอบก็จัดเลยเพื่อน”

ผมฟังไอ้พิมพูด มองโทนี่ที่พยักหน้าเห็นด้วย แล้วมองไปที่ไอ้นนน ที่ส่งยิ้มบางๆ ให้

“ขอบคุณนะเว้ย”

“เออ แต่ถ้ารู้แล้วว่าใครผัวใครเมียมาบอกกูด้วยนะ”

“ถ้ามึงเป็นเมียปรึกษากูได้เรื่องนี้กูถนัด”

สัด พวกเวร







หลังจากจารย์ปล่อยพวกผมก็ยังคงอยู่ที่ห้องเรียนเย็บงานกันต่อ เพราะมีส่งพรุ่งนี้เช้า ถามว่าทำไมกลับไปเย็บที่บ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะที่ห้องผมไม่มีจักรอุตสาหกรรม แล้วจารย์ก็ไม่ให้ใช้จักรหิ้วเย็บด้วย เราเลยต้องอยู่เย็บกันที่มอ พวกผมนั่งประจำกันอยู่ที่จักรคนละตัว ลุกเดินมาตัดผ้า รีดผ้ากาวแล้วกลับไปประจำที่จักร เป็นแบบนี้วนไป

“มึง ใครเอากรรไกรตัดผ้ากูไป เอามาคืนด้วยเว้ยย"

“อยู่นี่ๆ "

“พิวว จักรพ้งเป็นอะไรทำไมกูเหยียบไม่ไปว่ะ"

“ก็มึงไม่ได้เสียบปลั๊กไอ้ควาย! "

“เสร็จแล้วโว้ยย”

“มาช่วยกู”



ผมยังคงทำงานท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ที่ดังไม่หยุด ก้มหน้ารีดผ้ากาวงกๆ หันกลับมา ในห้องจากที่อยู่กันเป็นสิบคนก็เหลือกันไม่กี่คน ไฟนีออนสว่างจ้า ฟ้าด้านนอกมืดสนิท

“เสร็จแล้ววว"

เสียงไอ้พิมดัง พร้อมชูผลงานขึ้นมาตรงหน้า

“อีพิมมม ช่วยกูเย็บเข้าวงแขนหน่อยดิ กูเลาะหลายรอบแล้ววว"

ผมมองไอ้พิมที่เดินเข้าไปนั่งหลังจักรแทนโทนี่ แล้วเริ่มถีบจักรเข้าวงแขน ผมเดินกลับมาประจำที่จักรตัวเองและเริ่มเย็บเข้าวงแขนบ้าง



กริ๊งๆ



“เสียงไรวะ"พวกผมหันไปมองหาเสียงพร้อมกัน แต่เพราะงานที่ไฟลนก้นมากทุกคนก็หันกลับมาทำงานตัวเองต่ออย่างไม่ใส่ใจ แขนเสื้อเสร็จแล้ว ผมเหลือแค่เย็บปก เข้าคอแล้วพ้งก็เสร็จ จะได้กลับสักที โคตรหิวข้าวเลย



กริ๊งๆ



เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีใคร ให้ความสนใจ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตา ทำงานตัวเอง ไม่นานผมก็ทำเสร็จพร้อมๆ กับเพื่อนที่เหลือ เราเริ่มเก็บของ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างรอเพื่อน แล้วก็ต้องตกใจกับเวลาบนหน้าจอ สองทุ่มแล้ว ไม่เคยอยู่ตึกดึกขนาดนี้เลย ที่ตกใจมากกว่าคือสายที่ไม่ได้รับ รีบกดโทร หามัน รอสายไม่นานไอ้พายุก็รับสาย

"มึงโทษๆ กูปิดเสียง เลยไม่ได้ยิน"

[นี่อยู่ไหน]

"ห้องเรียน พึ่งทำงานเสร็จ เดี๋ยวจะกลับแล้ว"

[โอเค รอกูข้างล่าง]

"มึงอยู่ไหน"

[อยู่บนรถ กำลังขับไปหามึง อีกสิบนาทีถึง]

"อ่อๆ โอเค แค่นี้ก่อนนะ จะลงแล้ว"

ผมบอกมันแล้ววางสายเมื่อเห็นว่า เพื่อนเริ่มเดินกันไปหน้าประตูพอเดินพ้นประตูออกมาเท่านั้นแหละพวกผมก็ผงะ ฉิบหาย มืดสนิทเหมือนอนาคตกูเลย

"นนน อย่าพึ่งปิดไฟ! "

เสียงไอ้พิมพ์ร้องดัง ไอ้นนนชะโงกหน้าออกมามองทางเดินที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากห้องเรียนที่เราออกมาเท่านั้นที่ส่องให้เห็นทางรำไร พวกผมจัดการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดไฟฉาย พอไอ้นนนเห็นว่าเราเตรียมตัวกันพร้อมมันก็เดินกลับเข้าห้องไปปิดไฟ

“ทำไมเขาปิดไฟมืดขนาดนี้วะ"

“มึงกูกลัวผี"

“มึงอย่าพูด! ”

หันไปบอกพวกมัน บรรยากาศแบบนี้ใครเขาพูดเรื่องผีกัน ผมมองหุ่นที่ยืนเรียงกันอยู่ระหว่างทางเดิน ชวนขนลุก เราพากันเดินไปที่ลิฟต์แล้วก็ต้องตกใจรอบสอง ลิฟต์ไม่ทำงาน ก่อนปิดตึกเขาไม่ตรวจดูหน่อยเหรอ ว่ายังมีคนค้างอยู่

“ลงบันไดเหอะ หวังว่าเขาจะไม่ปิดลูกกรงบันได" ไอ้นนนพูดแล้วเดินนำพวกเรา ไปทางบันได เราเดินกันลงมาจากชั้นเก้า มีเพียงแสงไฟจากมือถือส่องนำทาง บรรยากาศดูวังเวง เงียบเชียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเราดังสะท้อน จนน่าขนลุกยิ่งพอคิดถึงเรื่องเล่าประจำคณะก็พาเอาขนลุกซู่ เราเดินเกาะกลุ่มกันลงมา ในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นล่าง ที่ไร้ผู้คน แม้แต่พี่ยามก็ยังไม่นั่งอยู่ในที่ประจำ แสงไฟนอกตึกที่ส่องผ่านประตูกระจกเข้ามา ทำให้ผมโล่งใจ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกัน รอดแล้ว พากันเดินไปที่ประตูผมผลักเปิดแต่ประตูกลับไม่ขยับ เวร ปิดตึกของจริง

“ใครมีเบอร์ไอ้มิวมั้ยมันลงมาก่อนเรามันอาจจะยังออกไปไม่ไกลมาก โทรให้มันตามใครมาช่วยหน่อย"

“กูโทรเอง" ระหว่างที่รอโทนี่โทรหามิว โทรศัพท์ผมก็ดัง ผมรีบกดรับสายไอ้พายุทันที

“มึงกูลงมาแล้วแต่ประตูล๊อคจากข้างนอกอ่ะกูออกไปไม่ได้"                             รีบพูดตื่นๆ บรรยากาศในตึกกำลังทำผมสติแตก

[ใจเย็นๆ กูรู้แล้ว กูอยู่กับลุงกฤตแล้ว เขามาขี่จักรยานรอพวกมึง]

“ห๊ะ ใครนะ"

[ลุงกฤต ยามใต้ตึกเราอะ เขาบอกเขากดกริ่งเตือนให้มึงออกจากตึกสองครั้งแล้ว แต่พวกมึงไม่สนใจเขาเลยออกมาขี่จักรยานรอพวกมึง]

“แบบนี้ก็ได้เหรอวะ"

[ใจเย็นๆ นั่งรอแป๊บหนึ่ง แกขอปั่นรอบสนามอีกรอบแล้วจะไปเปิดตึกให้]

“ครึ่งรอบไม่ได้เหรอวะ”

[บอกไม่ทันว่ะ ลูงแกปั่นไปแล้ว]

"ทำไมลุงทำงี้ว้า ปิดไฟทั้งตึกเลยนะมึง ลิฟต์ยังปิด ตอนเดินลงมาโคตรน่ากลัว"

[อย่าพึ่งงอแง มึงผิดเองนะที่ทำงานไม่ดูเวลา ลุงเขาก็แค่ทำหน้าที่เขา]

"ก็งานมันเร่ง กูก็รีบสุดๆ แล้วใครจะรู้ว่าไอ้เสียงออดนั่นคือเสียงเตือน"

[งานนี้ส่งเมื่อไหร่]

“พรุ่งนี้ กูถึงรีบทำไง"

[อ่าห๊ะ แล้วจารย์สั่งงานนี้มาตอนไหน]

“….” เงียบเลยกู จาร์ยสั่งมาอาทิตย์ที่แล้ว

[กูกำลังเดินไปที่ตึกแล้ว นั่งรอก่อน]

“อือ”

ผมกดวางสายจากไอ้พายุ โดนมันสอนไปหนึ่งดอก เล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก

“คุยกับพายุเหรอ" พิมหันมาถามผม

“อืม”

“พายุว่าไง”

“มันบอกลุงยามเห็นเรายังทำงานก็เลยไปปั่นจักรยานรอ”

“ห๊ะ จริงปะเนี่ย"

“ระหว่างลงมากูคิดแต่เรื่องพี่คนนั้น"

“สัดอย่าพูด"

ผมนั่งฟังพวกมันเถียงกันได้ไม่นาน เราก็เห็นร่างไอ้พายุเดินเข้ามาหน้าประตูข้างกายมีลุงที่อยู่ในชุดวอร์ม พวกผมลุกเดินไปยืนรอหน้าประตู พอออกมาได้ ก็ยกมือไหว้ลุงแกที่ยืนส่งยิ้มให้

“เป็นไง งานเสร็จมั้ย เห็นขยันกันมากนึกว่าอยากนอนนี่"

“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมพูดแล้วยกมือไหว้อีกรอบ

“ไม่เป็นไรๆ ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ/ค่า"

“ขอบคุณนะลุง"ผมมองไอ้พายุที่ยกมือไหว้ ลุงแกก็ตบบ่ามันเบาๆ ตอบ อย่างคุ้นเคยก่อนมันจะหันกลับมาแล้วฉวยกระเป๋าใบใหญ่สุดในมือผมไปถือให้

“เป็นไง ทัวร์ตึกตอนกลางคืน สนุกปะ”

“สนุกบ้านมึงดิ”

มันยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“เมื่อกี้ที่มึงขอโทษลุงอะถูกแล้ว"

“ชอบทำเหมือนกูเป็นเด็กจังวะ ไม่ตบตูดกูด้วยเลยละ”

แล้วมันก็ตบตูดผมสองสามที อยากดูดนมนอนเลยกู

“อีภพ พวกกูจะไปแดกข้าวต่อ มึงจะไปด้วยมั้ย”

เสียงไอ้โทนี่ถาม ผมหันไปมองเพื่อนที่หยุดยืนห่างออกไป แล้วหันมามองหน้าไอ้ยุเป็นเชิงถาม มันพยักหน้าเป็นอันตกลงว่ามันไปด้วย

“ไป ร้านไหน”

“หน้ามอเนี่ย ที่รักจะไปก็ตามมาจ้า”

“เออๆ”

“แล้วเย็บชุดเสร็จมั้ย” ไอ้พายุถาม สองเท้าก้าวเดินไปพร้อมๆ ผม

“เสร็จ ยากฉิบหายแต่กูเก่ง”

“หรออ” ขยี้หัวกูอีกแล้ว

“พอ ผมกูยุ่งหมด”

มือล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดกล้องหน้าจับผมตัวเอง ไอ้พายุมันก็ช่วยนะ ช่วยทำให้ยุ่งกว่าเดิมเนี่ยยย





ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมายเหลือแค่ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ หน้ามอที่ยังเปิดอยู่

“พวกมึงเอาไรกูจะจด” ไอ้พิมรับหน้าที่จดเมนู แต่ละคนก็นั่งเลือกกันส่วนผมมีในใจแล้ว

“ภพมึงเอากะเพราหมูกรอบใช่มั้ย/ของมึงกะเพราหมูกรอบปะ” ผมมองไอ้พายุสลับกับไอ้นนน ที่พูดขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองหน้ากันนิ่ง เอิ่มมม มึงสามัคคีกันทำไม

“เอ่อ พิมกูเอาหมูกรอบผัดพริกแกง วันนี้อยากกินถั่วฝักยาววะ” หันไปบอกไอ้พิมแล้วส่งยิ้มแหย่ให้ไอ้พายุกับไอ้นนนเป็นการตัดบท

“สองคนเลิกจ้องจะกัดกันแล้วสั่งมา เอาอะไร”

เสียงไอ้พิมช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ตรงหน้าไปได้ ผมว่าถ้ามันสองคนมาเจอกันบ่อยๆ ผมคงต้องอยู่สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ไปอีกพักใหญ่







เขาใจตรงกันแล้วนะแม่
มาอ่านตอนเก่าๆเห็นว่ามีหลายคำที่พิมพ์ผิด จะค่อยๆปรับปรุงแก้ไขคำให้ถูกต้องมากขึ้นนะคะ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่13
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-04-2020 23:21:23
 :katai2-1:
หัวข้อ: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่13/2
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 05-04-2020 19:18:39
#



“พรุ่งนี้ไปไหน" ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้โทรศัพท์ ถามคนอีกฟาก มือก็เริ่มเก็บของบนโต๊ะไปด้วย

“มีนัดคุยงานกับพวกพี่เฟียต ที่ห้องสมุด มึงจะมามั้ย"

“กี่โมง"

“พี่มันนัดสิบเอ็ด แต่คงอยู่ถึงค่ำๆ เลยถ้าปิดงานไม่ได้”

“ไม่ไปนะ ขี้เกียจหอบงานออกไป"

“เออๆ แต่ถ้าจะมาบอกแล้วกัน"

ช่วงนี้ผมกับไอ้พายุไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ มันงานเยอะ ผมก็พึ่งรู้ว่ามันรับงานนอกอยู่หลายชิ้น ไม่รู้มันแบ่งเวลายังไง เก่งจัด ก่อนหน้านี้ถึงยังมีเวลามาไล่ตามผม เห็นมันเล่าว่าตอนแรกก็แค่ไปช่วยพี่เฟียตนิดๆ หน่อยๆ แต่งานดันเข้าตาลูกค้าเข้า พี่เฟียตเลยดึงมันลงไปช่วยงานเติมตัว ส่วนผมก็ยังคงลอยไปลอยมางานนอกเหรอไม่มีโอกาสได้แอ้ม แค่การบ้านยังแทบเอาตัวไม่รอด

“เค มึงกูจะวางแล้วนะ จะไปอาบน้ำ"

“เปิดจอ กูอยากซี๊ดดด"

“ซี๊ด พ่อง"

“ฮ่าๆ กูแกล้งเล่นหน่า"

“มึงพูดจริง"

“กูแกล้งมึงจริงๆ แต่ถ้ามึงบ้าจี้ทำก็เป็นกำไร"

“ทะลึ่งฉิบหาย"

“ก็แค่กับมึง"

“เออๆ แค่นี้"

ผมเข้าไปอาบน้ำ เดินกลับออกมาคว้าเอาโทรศัพท์มาไถที่ปลายเตียง มือก็ยกผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกไปด้วย กดเข้าไอจี ไถดูรูปไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดที่ภาพของพี่เฟียต มองดูเวลาพึ่งลงเมื่อสิบนาทีที่แล้ว รูปที่ผมเห็นคือพี่มันยืนอยู่ตรงกลางกอดคอไอ้พายุที่ยืนขนาบอยู่ข้างซ้าย ส่วนข้างขวาเป็นผู้หญิงผิวขาวหน้าตาสวย ที่ส่งยิ้มมองไปทางไอ้พายุ ผมขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้า ก่อนเลื่อนไปอ่านคอมเม้นท์ใต้รูป



GuFiattt: มองข้ามกูขนาดนี้ เอากลับไปกินที่บ้านเหอะเจ๊

WhiteMilk_kiki: น้องพายุของเจ๊ น่ารักน่ากัด

GuFiattt: @paayu มึงว่าไง สนองเจ๊มันหน่อยมั้ย







ผมไล่สายตาอ่านข้อความใต้รูปแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม นี่รูปตอนไหน เมื่อกี้ตอนโทรคุยรอบตัวมันก็ดูเงียบปกตินะ แล้วเจ๊นี่คือใครวะ ผมยังคงมองหน้าจอ คงแซวเล่นเฉยๆ มั้ง รอให้พายุมาตอบ แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ โยนบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน



Rrrrr~


โทรมาได้จังหวะเหมือนรู้เลยนะว่ามีประเด็น

“ว่าไง”

[มึงเห็นที่พี่เฟียตโพสต์ใช่มั้ย]

“ไม่หนิ”

[โกหก มึงกดไลค์รูปพี่มันอยู่] เวร มือคงเผลอกดโดน

“อ่า”

[นั่นนะเจ๊มิลค์ เพื่อนที่ทำงานพี่เฟียตมัน พี่มันชอบแซวกันเล่นๆ แบบนี้แหละ]

“ร้อนตัวจังนะมึง”

[เออ แต่มันไม่มีไรจริงๆ]

“รู้แล้ว กูก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิ แล้วนี่มึงอยู่ไหน”

[อยู่บ้านดิ เนี่ยไอ้คินก็อยู่ด้วย] แล้วมันก็กดเปิดกล้อง ผมเห็นมันที่สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ หันกล้องไปรอบๆห้องนอน ก่อนมาหยุดที่หน้าไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้คินพยักพเยิดทักทาย

“แค่พูดก็ได้มั้ง”

[กลัวมึงไม่เชื่อ]

“กูไม่งี่เง่าขนาดนั้นมั้ย"

[ครับๆ เปิดกล้องมึงบ้างดิ อยากเห็นหน้า]

“แปปเดียวนะ จะนอนแล้ว” ว่าจบผมก็กดเปิดกล้อง “แล้วนี่ พวกเซตทำอะไรกัน”

ไอ้คินโผล่หน้าเข้ามา ชูขวดสีเขียวๆ ขึ้นให้เห็น

“ระวังตับพวกมึงจะแข็งก่อนเรียนจบ”

[ตับพวกกูอะไม่แข็งหรอกจ้า แต่อย่างอื่นอะไม่แน่]

 เสียงไอ้คินดังแทรกเข้ามา ผมมองหน้าไอ้พายุที่ยกยิ้มมุมปาก ยักคิ้วกวนๆมาให้

[เออ อย่างอื่นนี่แข็งตลอด]

“พวกเหี้ย”

[รู้เหรอว่าคืออะไร]

"กูไม่รู้เลยมั้งกูก็มี"

[กูหมายถึงน้ำแข็งนะ]

[เออหมายถึงน้ำแข็ง วู้ววไอ้ภพมึงคิดไปถึงไหน]

ถ้าเจอมันขอถีบไอ้คินสักทีเหอะ กวนตีน

"เออๆ แล้วแต่พวกมึงเหอะ”

[คิดทะลึ่งนะเรา]

ผมไม่ตอบไอ้ยุ แต่หันไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแทน ขยับตัวปรับท่านอนให้สบาย คว้าหนังสือหัวเตียงมาช่วยดันโทรศัพท์ไว้ มองไอ้พายุที่หันไปคุยกับไอ้คินบ้าง ชวนผมคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้บ้าง ไม่นานเสียงไอ้คินก็ดังแทรกเข้ามาอีก

[ไอ้ยุเลิกงุ้งงิ้งกับไอ้ภพแล้วมาเล่นเกมได้แล้วสัด ทั้งทีมรอมึงคนเดียวเนี่ย]

“มึงไปเล่นเกมกับเพื่อนเหอะกูง่วงแล้ว”

[เคๆ พรุ่งนี้ถ้ามา โทรหากูนะ]

“อืม ขอบคุณนะมึง”

[อะไร]

“เรื่องรูป”

[อืม ฝันดี]

“ฝันดี”







หลังวางสายไปได้ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กหาผมก็ดัง ผมกดเข้าไปดูว่าใครแท็กอะไรมา หน้าจอปรากฏภาพที่พี่เฟียตโพสต์รูปเดิม และข้อความที่ขึ้นมาใหม่



GuFiattt91: @paayuมึงว่าไง สนองเจ๊มันหน่อยมั้ย

AKin: มันไม่ว่างตอบหรอกพี่ นั่งง้อเมียอยู่

WhiteMilk_kiki: น้องพายุมีแฟนแล้วเหรอ ไม่จริงใช่มั้ย!

Paayu: พวกพี่พอเลย คนที่ผมจะให้กัดได้มีแค่คนเดียว คนนี้ @Ekkapop






จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าวันนี้ผมจะอยู่ทำงานที่ห้องคนเดียว ตอนนี้ผมกำลังนั่งเซตผมอยู่หน้ากระจก เพราะวันนี้มีภารกิจเร่งด่วนเข้ามา เมื่อเช้าตอนตื่นมาผมได้รับแจ้งเตือนจากแบรนด์ที่ผมติดตามอยู่ ว่าวันนี้จะเปิดขายคอลเลคชั่นใหม่วันแรก คราวที่แล้วชะล่าใจ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่พลาด หยิบลิปบาล์มมาทาให้ปากไม่แห้ง เดินรอบห้องเอาของใส่กระเป๋า สมุดสเก็ตช์ สี กระเป๋าสตางค์ สายชาร์ต โอเคครบ ตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปที่ห้องสมุดออกแบบนั่งทำงานรอเพราะเขาเริ่มเปิดให้ซื้อตอนหกโมง ต้องโทรบอกไอ้พายุปะวะ ไม่ต้องหรอกมั้ง ยังไงก็คงเจอกันอยู่แล้ว ห้องสมุดก็ไม่ได้ใหญ่ ไปถึงค่อยเดินหามันเอาแล้วกัน

ผมออกจากห้องใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงห้างใจกลางเมือง ตรงขึ้นไปชั้นบนสุดที่เป็นที่ตั้งของห้องสมุดก่อนเป็นที่แรก ส่วนช๊อปแบรนด์ก็อยู่ถัดลงไปสามชั้น ผมติ๊ดบัตรเดินเข้าไปตามทางเดิน ที่ผนังข้างหนึ่งเรียงรายไปด้วยหนังสือศิลปะ สายตามองหา ไอ้พายุตามโต๊ะที่เรียงราย มันคงอยู่ห้องมีตติ้ง คิดได้ผมก็ก้าวเดินตรงเข้าไปด้านในสุด ที่มีห้องกระจกทรงกลมอยู่ นั่น มันนั่งหน้าเครียดอยู่นั่น นอกจากไอ้พายุและพี่เฟียตผมก็เห็นไอ้คินนั่งอยู่ด้วย มีผู้หญิงแต่งตัวเท่ ที่ผมไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ข้างไอ้พายุ ท่าทางเครียดกันน่าดูไม่เข้าไปรบกวนดีกว่า หันหลังกลับ สายตาสอดส่องมองหาที่นั่งที่ว่างอยู่ และก็ได้ที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องมีตติ้งกดตั้งเวลาเตือนไม่ลืมที่จะกดปิดเสียงแล้วเปิดโหมดสั่นแทน

ล้วงหยิบสมุดสเก็ตที่ทำค้างไว้เมื่อคืน ขึ้นมาลงสีต่อ ผมนั่งทำงานจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง มือคว้าโทรศัพท์มาเล่นผ่อนคลาย พลางคิดถึงไอ้คนตัวสูง ไม่รู้ไอ้พายุมันได้ออกมากินอะไรบ้างยัง เงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องกระจกอย่างเป็นห่วง แต่ภาพตรงหน้าทำผมคิ้วขมวด

ผู้หญิงที่นั่งข้างไอ้ยุก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยผู้หญิงผิวขาวหน้าตาดีที่ซบไหล่หัวเราะออเซาะไอ้พายุอยู่ มันก็นั่งเฉยปล่อยเขาเบียดอยู่ได้ ฟินเลยดิมึงนมถูแขนขนาดนั้น พอเพ่งมองดีๆ หน้าตาเขาดูคุ้นๆ นะ คนเดียวกับรูปเมื่อคืนปะวะ ผมนึกย้อนถึงรูปเมื่อคืน ผมว่าใช่ หน้าสวย ผิวขาว ชื่ออะไรนะ เจ๊มิลค์ มิลค์สมชื่อขาวสว่างมาก ไม่รู้ทำไม ถึงไอ้พายุจะบอกว่าพวกพี่มันแซวเล่นกันเฉยๆ แต่ผมก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ผมยังคงมองไปทางห้องกระจก ดูเจ๊มิลค์ออเซาะไอ้พายุ ไม่ไหวว่ะ ไม่ชอบ หันไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์แล้วลุกเดินออกมา ไปเดินเล่นให้ใจร่มๆ หน่อยคงดี ผมไม่อยากทำตัวงี่เง่า และมันก็ทำงานอยู่ด้วย แต่ทำงานเหี้ยไรวะแทบจะนั่งตักกันแล้วนะ ลุกเดินออกมาจนถึงทางออก กำลังจะยกบัตรติ๊ดออก มือก็ถูกคว้าไว้ก่อน ผมหันไปตามแรง เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้า

“จะไปไหน”

มันพูดเสียงเบา รู้เหรอว่ากูมา ถึงยังงั้นก็ยังนั่งออเซาะกับเจ๊มันอะนะ ผมไม่ได้ตอบแต่เลือกจะบิดข้อมือออก แล้วหันหนี มือหนาเอื้อมมาดึงผมอีกครั้งก่อนจะดึงตัวผมหลบออกมาพ้นทาง ไม่ให้เกะกะคนที่จะออก

“ปล่อย”

“เป็นอะไร"

“ไม่ได้เป็นไร" เมินหน้ามองไปทางอื่นหนีสายตาคมที่จ้องมองมา เกลียดมันว่ะ แต่เกลียดความงี่เง่าของตัวเองมากกว่าสัดเอ้ย แล้วเราก็ยังยืนอยู่ในเขตห้ามใช้เสียงด้วยนะ อยากใส่อารณ์ก็ใส่มากไม่ได้ ได้แต่พูดเสียงเบาใส่กัน

“ก็เห็นอยู่เนี่ยว่าเป็น"

“มึงกลับไปทำงานเหอะ กูแค่จะไปเดินเล่น"

ผมพูด มือก็แงะมือมันออก แต่ไอ้พายุกลับบีบแน่น แล้วออกแรงดึง ให้เดินตามมันกลับเข้าไป

“เห้ย ปล่อยกู!”

“ชู่วว อย่าเสียงดัง” ผมเงียบปากทันทีแล้วเดินตามแรงดึงไป มันเดินพาผมมาจนถึงห้องมีตติ้ง

“กูไม่เข้าไป”

“ทำไม”

“ไม่อยากเข้า เขาทำงานกันอยู่”

ไม่จริงครับ มองกูกันหมดไม่มีใครทำงานสักคน เรายืนยื้อยุดกันอยู่หน้าประตูสักพักสุดท้ายผมก็สู้แรงควายๆ ของมันกับสายตาดุด่าของคนที่นั่งอ่านหนังสือรอบตัวไม่ได้ มันดันผมเข้าไปในห้อง แล้วเดินตามมายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ผมพามาแล้วนะพี่ เลิกเซ้าซี้ผมสักที” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ หมายถึงอะไรวะ ก่อนหันกลับมามองคนอื่นๆ ในห้อง แล้วสบตาพี่เฟียต ที่มองผมอย่างล้อเลียน

“ไงมึง เล่นซะไอ้ยุลุกพรวดเลยนะ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่จะไปเดินเล่น”

ตอบพี่มัน ก็จริงอะผมแค่จะไปเดินเล่น แต่มันตามมาเองนะ

“หรา กูเห็นหึงเดินตูดบิดออกไป”

“เงียบไปเลย มึงอะ” ตอบไอ้คินที่ยกยิ้ม แล้วขยับปากล้อเลียนผม

“นี่เหรอ น้องเอกภพ”

แล้วเสียงใสก็ดังขึ้น ผมมองผู้หญิงใบหน้ารูปไข่เรียวสวย ดวงตากลมโต ใส่เสื้อจับสม๊อคที่ยิ่งทำให้เน้นทรวดทรงให้ทิ่มลูกตาเข้าไปอีก ไหนจะความขาวสว่างขนาดนี้ เจ๊แกใช้สกินแคร์ของอะไรนะ อยากปรึกษา

“สวัสดีครับ"

เจ๊พยักหน้าเบาๆ แล้วลุกเดินเข้ามาใกล้จนผมผงะตัวถอยหลังไปชิดไอ้พายุ เจ๊สูงจังครับ จะตบผมปะวะ กลัวนะเฟ้ย เจ๊แกเดินเข้ามาสำรวจมองผมตั้งแต่หัวจดเท้า ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ

“เจ๊ว่า น้องพายุเปลี่ยนใจยังทันนะคะ"

ไอ้พายุไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆ เจ๊มิลค์หันมาจ้องผมอีก ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ผู้หญิงอะไรวะ สวยแต่น่ากลัวฉิบหาย

“พี่ พอได้แล้วหน่า"เสียงเรียบๆ ดังขึ้นหลังผม จังหวะเดียวกับที่เจ๊แกยื่นมือมาบีบแก้มผมทั้งสองข้าง แล้วดึงไปมา ฮือขาว เจ๊ขาวมากก

“น่าร๊ากก ยิ่งตอนหน้าตื่นๆ แบบเมื่อกี้โคตรน่ามันเขี้ยวเลย น้องภพเป็นของเจ๊เถอะนะ"

“ครับ"

“อะไร มึงอะของกู"

“ห๊ะ อะเออ"

โทษว่ะ กูเมาความขาว

“พอๆ อีเจ๊มึงเลิกเล่นแล้วกลับมาทำงาน ชอบนัก ทำผัวเมียเขาร้าวฉาน"

“หยอกๆ พอเป็นน้ำจิ้ม แต่ถ้าได้จริงก็เอาจ้าา"

เจ๊แกบีบแก้มผมแรงๆทิ้งท้าย แล้วเดินไปนั่ง ปล่อยผมยืนงงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวะ ยกมือขึ้นนวดแก้มตัวเองเบาๆ พลางมองทุกคนที่หัวเราะกันอยู่แล้วหันมามองหน้าไอ้พายุ

“เมื่อกี้มันอะไรวะมึง"

“เอ๋อฉิบหาย ไปเอาของมึงกัน พี่เดี๋ยวผมมานะ" มันก้มบอกผมแล้วหันไปบอกคนอื่นๆ ก่อนดันหลังผมให้เดินออกมาจากห้อง มาหยุดที่โต๊ะที่ยังมีสมุดและสีของผมวางอยู่ที่เดิม ไอ้พายุจัดการเก็บของ พลางพูดไปด้วย "กูเหลือคุยงานอีกนิดหน่อย มึงเข้าไปนั่งทำในห้องกับกูนะ"

“ไม่เอา เกรงใจพี่เขาอะ มึงรีบกลับไปเหอะ เดี๋ยวกูนั่งอยู่นี่แหละ"ผมดึงของจากในมือมันมาถือเอง

“เอางั้นเหรอ"

“อืม"

“งั้นวันนี้กลับพร้อมกูนะ" ผมพยักหน้าแล้วผลักมันให้เดินกลับไป มันหันกลับเดินไปไม่กี่ก้าวมันก็ถอยกลับมาดึงผมเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบข้างหู

“รู้ป่ะ เวลามึงหึง มึงโคตรน่ารัก อยากกัดว่ะ" ผมหันขวับไปมองมัน เตรียมจะด่า แต่มันก็รีบเดินถอยหลัง ยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ๆ ที่ปากอย่างกวนตีน เลยได้แต่ขยับปากส่งไป

กู ไม่ ได้ หึง โว้ยยยยย

แล้วมึงไม่ได้แค่อยากแต่มึงกัดคอกูไปแล้ววว กลางห้องสมุดเลย ไอ้เหี้ยยย
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่13/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-04-2020 00:40:02
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่ 14 สนามอารมณ์
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 08-04-2020 15:07:01
ตอนที่ 14 สนามอารมณ์



หลังจากสติแตกกับไอ้พายุเมื่อกี้ ผมก็กลับมาลงสีงานจนเสร็จก็พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นเตือนว่าผมต้องไปรับลูกๆ จัดการพิมพ์ไปบอกมันว่าผมจะลงไปช๊อปปิ้ง ไม่บอกเกิดมันพรวดพราดมาลากไปอีก ผมอาจได้แบล็คลิสห้ามเข้าห้องสมุดพอดีโทษฐานก่อกวน กดส่งเรียบร้อยก็เก็บของใส่กระเป๋า พอดีกับที่ไอ้พายุตอบกลับมา ว่ามันใกล้ประชุมเสร็จแล้ว ให้รอไปพร้อมกัน ผมก็เลยทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม นั่งเล่นโทรศัพท์ได้ไม่นาน เสียงเรียบๆ ก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ภพ" หันตามเสียง ไปมองร่างสูงที่สะพายกระเป๋าผ้า

“เสร็จแล้วอ่อ"

“อืม ไปกัน" ผมคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย แล้วลุกเดินโดยมีมันเดินขนาบข้างตามมา

“ประชุมเป็นไง"

“ก็ดี แล้วมึงจะไปซื้ออะไร"

“กูจะไปดูเสื้อ วันนี้เขาเปิดขายวันแรก"

“เสร็จแล้วไปกินข้าวบ้านกูนะ"

“ห๊ะ เออเอาดิ"

เราเดินกันลงมา หยุดยืนอยู่หน้าร้านแล้วมองหน้ากัน

“มันจำเป็นมั้ยที่ต้องซื้อวันนี้" ไอ้พายุถามเสียงเรียบ

“จำเป็น มึงรอกูอยู่นี่แหละ ฝากของหน่อย"

ว่าจบผมก็ส่งกระเป๋าให้มันถือ หยิบมาแค่กระเป๋าสตางค์ หันมองเข้าไปในร้านที่คนแน่นขนัด ลงมาช้าแค่นิดเดียวเอง จะมีเหลือรอดมาให้ผมสักตัวปะวะ ผมเดินเข้าไปในร้าน พุ่งตัวไปที่ราว คอลเลคชั่นใหม่ กวาดสายตามองแล้วคว้าตัวที่สะดุดตามาไว้ในมือก่อน ค่อยไปลองทีเดียว เลือกที่ถูกใจได้ก็เดินไปทางห้องลอง ผมลองไปสองสามชุดกดถ่ายส่งไปให้พายุช่วยดูแต่ส่งอันไหนไปมันก็บอกแต่ก็ดี สุดท้ายเลยตัดสินใจเอง ผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่า ผมก็หลุดออกมาจากร้านพร้อมถุงกระดาษในมือ ผมได้เสื้อทูนิคผ้าเจอร์ซี่สีเขียวหม่นๆ เสื้อเชิ๊ตตัดต่อสีขาวโอเวอร์ไซส์ กับกางเกงสีกากีทรงวินเทจเอวสูง และกางเกงขาสั้นทรงกระบอกสีครีมอีกตัว เดือนนี้แดกมาม่าวนไปป เดินตรงไปหาไอ้พายุที่ยืนรออยู่หน้าร้านใบหน้าเรียบเฉย

“หมดไปกี่แสน"

“เวอร์ฉิบหาย"

“ต้องดูอะไรอีกมั้ย”

“ไม่แล้วๆ”

“งั้นไปบ้านกูกัน พ่อแม่กูรอกินข้าวอยู่”

“ห๊ะ”

“พ่อแม่กูรอกินข้าวอยู่”

“ไว้วันหลังได้ปะวะ”

“ทำไม"

“ก็แบบ ไม่รู้ดิมึงจะแนะนำกูว่าไร"

“เพื่อนไง"

อ่า นั่นสินะ ผมคาดหวังอะไรอยู่กันนะ

“เพื่อนที่อยากเอานะ"

“กามตลอด แล้วพ่อแม่มึงจะไม่อะไรใช่ปะวะ"

“ไม่รู้เหมือนกัน กูไม่เคยพาผู้ชายเข้าบ้าน"

“สัด คืนก่อนมึงยังพาไอ้คินเข้าบ้านอยู่เลย"

“ไม่เหมือนกัน ไอ้นั่นกูไม่นับเป็นคน”

“โคตรเหี้ย กูจะฟ้องมัน”

มันยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ ชอบยุ่งกับหัวกูจังเลยโว้ยย

“อย่าคิดมาก ไปเหอะ"

แล้วไอ้ยุก็จับมือผมลากไปลานจอดรถ ผมนั่งรถมันมาก็หลายครั้ง จากที่สังเกตเห็นไอ้ยุมันไม่ค่อยอารมณ์ร้อนเวลาขับรถเท่าไหร่ ไม่เคยได้ยินคำด่าหรือความหงุดหงิดออกจากปากมันให้ระคายหู แต่เรื่องความเร็วนั่นคือที่สุด เวลารถโล่งแม่งก็เหยียบมิดจนน่ากลัว ดังเช่นตอนนี้ เรากำลังวิ่งอยู่บนสะพานข้ามไปฝั่งปู่เจ้า ถนนโล่งเหมือนตั้งใจให้มันได้ทดสอบความเร็วรถ บนความสูงหลายร้อยฟุตจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่งเอ้ยยย

“มึงช้าหน่อยมั้ย”

“รถโล่งจะตาย ช้าทำไมแม่กูรออยู่”

“มึงขับเร็วไป นี่บนสะพานแขวนนะเฟ้ย เกิดพลาดตกไป ตายอย่างเดียวเลยนะ แม่มึงก็จะไม่ได้เจอ ช้าหน่อย!”

“ปากโคตรไม่เป็นมงคล เออๆ ขอโค้งหน้าสุดท้าย เดี๋ยวช้าให้”

ไอ้เหี้ยยยย ยังไม่ทันได้ห้าม รถก็เริ่มตีโค้งงง แล้วโค้งแม่งใหญ่ด้วยนะมองเห็นแม่น้ำอยู่ไกลๆ เสียวโว้ยย มึงคิดว่ามึงเป็นโดมินิคในฟาสต์แอนด์เดอะฟิวเรียสรึไงไอ้ควายยย ผมจับสายเบลท์แน่น เฝือกก็พึ่งถอดออกไม่ถึงเดือน มึงจะพากูเสี่ยงตายอีกก ยังไม่อยากกลับไปใส่อีกนะโว้ยย สาสสสส พ้นโค้งอันใหญ่ยักษ์มาด้วยความเร็ว แล้วผมก็เบิกตากว้าง

“เหี่ย!”

เอี๊ยดด

เสียงสบถครั้งแรกที่ได้ยินจากปากคนข้างๆ และเสียงล้อรถเบรกดัง พร้อมแขนหนา ที่ยกขึ้นกันตัวผม ร่างผมเหวี่ยงเล็กน้อยไปข้างหน้าตามแรงก่อนกระเด้งกลับเข้าไปที่เบาะ มองภาพตรงหน้าตาค้าง เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวชนตูดรถข้างหน้าแน่ๆ จังหวะเมื่อกี้โคตรจังหวะนรก ที่เห็นโล่งๆ ไม่มีจริง พอพ้นโค้งใหญ่ยักษ์มาเราก็เจอกับรถที่จอดติดกันไม่ขยับ ถ้าเมื่อกี้ไอ้พายุมันเบรกไม่ทัน มีหวังหน้าผมได้ไปอยู่บนสื่อทุกสื่อแน่ๆ อันตราย อันตรายฉิบหายเลยย ผมจะไม่นั่งรถมันอีก ฮืออ ใจกูจะวาย

“ไอ้ภพ เป็นไรมั้ย"

“…..”

“ภพ มึงเจ็บตรงไหนรึเปล่า"

ใจผมยังเต้นแรงอยู่เลย มองภาพท้ายรถข้างหน้าที่ยังจอดนิ่งไม่ขยับ และรับรู้ได้ถึงแรงที่สัมผัสไปตามเนื้อตามตัวผม

“ภพ ตอบกู มึงเจ็บตรงไหนมั้ย"

ผมหันไปมองหน้ามัน ที่ดูกังวล ก่อนขยับริมฝีปากตอบ

“มะ ไม่เป็นไร กูแค่ตกใจ"

“กูขอโทษ”

“อะ อืม”

ขอกูทำใจกับความผาดโผนของมึงเมื่อกี้ก่อน

“โกรธกูอ่อวะ”

“เปล่า”

“แล้วทำไมเงียบ”

“ขอพักหายใจแปปดิ ใจกูยังเต้นแรงอยู่เลย”

“ขอโทษ”

ผมหันไปมองมัน ที่ยังคงมองผมด้วยความเป็นห่วง แสงสีส้มส่องกระทบใบหน้าคม ทำให้ภาพตรงหน้าดูเปล่งประกายและฟุ้งกระจาย โกรธไม่ลง

“ช่างมันเหอะ กูรู้ว่ามึงจะไม่ทำให้กูเจ็บ”

ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ เพราะเสี้ยววินาทีความเป็นความตายเมื่อกี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยไม่ใช่สายเบลท์แต่เป็นแขนหนาๆ ของมันที่ยกขึ้นปกป้องผมก่อนตัวเอง



หลังเหตุการณ์สุดหวาดเสียวชวนให้อะดรีนาลีนหลั่ง จนเกินความจำเป็น ผมที่เริ่มสติสตังกลับมาครบถ้วน ก็หันกลับมาเป็นบ้าต่อกับสิ่งที่กำลังต้องเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าหรืออาจจะนานกว่านั้น เพราะรถยังคงจอดนิ่ง ทีนี้ หล่ะช้าสมใจผม ขยับได้ทีละคีบ รถติดบรรลัย ดังนั้นกิจกรรมผ่อนคลายความตื่นตระหนกกับสารพัดสิ่งที่ผมพึ่งเผชิญและกำลังจะเผชิญนั่นก็คือ

“มึงมีพี่น้องมั้ย”

โคฟเป็นอีลูก ช่างถาม ถามแม่งทุกเรื่องที่คิดออก

“พี่สาวหนึ่ง น้องชายหนึ่ง มึงอะ”

“กูมีน้องสาวชื่อน้องพลอย"

"ห่างกันกี่ปี"

"สามปี มึงอะ"

“พี่ฝนแก่กว่ากูสองปี แสงแดดสามปี เท่าน้องมึง”

“ชื่อน่ารักกันจังว่ะ ฝน พายุ แสงแดด กูชอบชื่อน้องมึงดูน่ารัก”

“รอเจอมันก่อนเหอะ หาความน่ารักไม่เจอ”

"แล้ว..พ่อแม่มึงดุปะวะ”

“ก็ไม่นะ กังวลเหรอ”

“เออ ก็นิดหน่อย”

“เชื่อกู กูไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรมึงหรอก”

“ปากดี เขาที่ว่านะ พ่อแม่มึงนะ”

“ก็พูดให้ดูหล่อไปงั้นแหละ จริงๆ กูก็กลัวเหมือนกัน”

“เอ้า ไอ้สัดด แล้วจะพากูมาทำไม”

“เออหน่า ไม่มีไรหรอก”

ไอ้บ้าเอ้ยย หาความมั่นใจจากมึงไม่ได้เลย

เราใช้เวลาอยู่บนรถร่วมชั่วโมง ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อน เข้าย่านชานเมืองที่ผมไม่คุ้นเคย

"แถวนี้หมู่บ้านเยอะว่ะ"

"อือ เมื่อก่อนก็ไม่เยอะเท่านี้นะ เดี๋ยวนี้รถโคตรติด จนกูว่าจะย้ายไปอยู่คอนโดใกล้มอเร็วๆ นี้"

"ดูที่ไหนไว้"

“คอนโดมึง"

“เห้ยจริงดิ มีคนปล่อยเช่าเหรอวะ แล้วไปดูห้องมายัง"

“ดูแล้ว"

“งี้มึงก็จะมาอยู่คอนโดเดียวกับกูอะดิ ชั้นไหนห้องไร”

“ชั้น13”

“เห้ย ชั้นเดียวกับกูเลย ห้องอะๆ”

“1314”

“ห๊ะ”

“1314”

“นั่นมันห้องกู!”

“ใช่ไง ไปอยู่ด้วยได้ปะ”

“ไม่เอา”

“โอเค”

“ทำไมยอมง่ายวะ”

“สุดท้ายเดี๋ยวมึงก็ยอม กูก็ได้ไปอยู่ดี”

“มั่นใจเกินไปแล้ว กูไม่ยอมง่ายๆ หรอก”

“จะรอดู”

ผมเลี่ยงสายตาไปมองรอบๆ เมื่อรู้สึกว่ารถจอดนิ่งสนิท เมื่อกี้มัวแต่เถียงกับมัน รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่หน้าบ้านเดี่ยวสีขาวขนาดใหญ่ แสงไฟนีออนสว่างจ้าออกมาถึงหน้าประตูรั่ว บ่งบอกให้รู้ว่าสมาชิกในบ้านน่าจะอยู่กันครบ เรื่องห้องนั่นค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ กลัวโว้ยย กลับตอนนี้ยังทันมั้ยวะ ผมยังคงนั่งแช่อยู่ในรถแม้ไอ้พายุจะเปิดประตูลงไปแล้ว มันเดินอ้อมมาเปิดประตู ยืนรอ

"ลงมา"

"มึงวันหลังได้ปะวะ"

"ไม่ได้ รีบลงมาเลย ให้ผู้ใหญ่รอนานๆ มันไม่ดี"

"เออๆ " ขี้เกียจเถียง กูเหนื่อยมากวันนี้

ผมก้าวเท้าลงจากรถ เดินตามมันผ่านสนามหญ้า และต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่น เข้าไปในตัวบ้านนี่คือผมกำลังจะเข้าไปรู้จักครอบครัวมันสินะ ใจเย็นหน่า ทำตัวปกติ ดูยังไงก็เพื่อนกันปะวะ ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น คบก็ยังไม่ได้คบ ปกติก็ไม่ได้หวานกันอยู่แล้ว เออใช่ แล้วกูจะกลัวทำไม พอคิดได้ผมก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย สองเท้าก้าวเดิน พลางสำรวจบ้านมันไปด้วย เดินผ่านห้องรับแขก ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังใกล้เข้ามา จนกระทั่งไอ้พายุ มันหยุดเดิน สองเท้าหยุดตาม ยืนหลบอยู่ด้านหลังมัน

“มึง"

มือเอื้อมไปจับแขนมันอย่างกังวลไอ้พายุหันกลับมามองผม ยกมืออีกข้างขึ้นมาวางทับมือผมแล้วลูบเบาๆ

“เอ้า พายุมาแล้วเหรอ พอดีเลยแม่พึ่งตั้งโต๊ะเสร็จ แล้วนั่นพาใครมา"

ผมปล่อยมือออก เดินขึ้นไปยืนข้างๆ คนตัวสูง ยกมือไหว้รอบทิศ พลางรอบมองใบหน้าแต่ละคน ผู้หญิงในชุดเดรสสีหวาน ใบหน้าสละสลวยเกลี้ยงเกลาส่งยิ้มมาให้ผมอย่างใจดีนั่นคงเป็นแม่ ข้างๆ กันผู้ชายหน้าตาคมดูดุ ที่พยักหน้ารับไหว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยนั่นพ่อมันแน่ๆ นี่มันไอ้พายุเวอร์ชันแก่ชัดๆ และน้องชายมันที่ตัวสูงใหญ่พอๆ กับพี่มันเลยวุ้ยไหนมันบอกน้องมันอายุเท่าน้องผม นี่คือรูปร่างของเด็กมอสี่เหรอวะ

“เพื่อนยุเองแม่ ดีพ่อ ไงไอ้แสงแดดวันนี้กลับเร็วนะมึง"

“ใครจะเหมือนพี่ กลับช้าทุกวัน"

"เออๆ กูยอม นี่ภพครับ เพื่อนที่คณะ ส่วนนั่นแม่กู พ่อกู กับไอ้แสงแดดน้องชายกูเอง ที่ยืนอยู่หลังครัวนั่นป้าจันทร์แม่นมกู"

แล้วผมก็ยกมือไหวอีกครั้ง ไม่ลืมหันไปมองคนที่ผมไม่ทันสังเกตเมื่อกี้ ป้าจันทร์ ที่ส่งยิ้มกว้างรับไหว้ผม

“ภพ เอกภพคนนั้นอะนะ”

“เออ มึงจะทำไม”

“ก็ไม่ทำไม ก็น่ารักดี”

“อะพอๆ สองพี่น้อง พายุ พาเพื่อนมานั่งกินข้าว ยังไม่ได้ทานอะไรกันมาใช่มั้ย”

“ยังครับ”

ผมตอบแม่มันเมื่อเห็นว่าประโยคสุดท้ายท่านหันมาถามผม เดินตามไอ้พายุไปติดๆ นั่งลงข้างๆ มัน ตรงข้ามแสงแดดที่จ้องผมตาไม่กะพริบ หันไปรับจานข้าวจากป้าจันทร์ ที่ยื่นมาวางให้

“ขอบคุณฮะ”

“แล้วพี่ปลายฝนอะแม่”

“เห็นว่าไปกินข้าวกับเพื่อนนะ เราก็กินข้าวกันเถอะ”

นั่งตัวเกร็ง มองกับข้าวหน้าตาน่ากินที่วางเรียงรายบนโต๊ะ รอให้ผู้ใหญ่ตักก่อน อึดอัดโว้ยย ปกติถ้าของกินอยู่ตรงหน้าผมก็โกยเข้าปากอย่างเร็วแล้ว แต่นี่ทำไม่ได้ไง ถึงผมจะไม่ค่อยมีมารยาท แต่ผมก็พอรู้จักมันอยู่บ้างนะ

“ภพ กินเลยลูก”

“ครับๆ”

“ลองนี่”

แล้วไอ้พายุก็ตักทอดมันกุ้งมาใส่จานผม

“ขอบใจ"

ตักหันแล้วใส่ปาก ค่อยๆ เคี้ยว ไม่เคยกินกระมิดกระเมี้ยนขนาดนี้เลย เล่นจ้องผมกันหมด เกร็งจนตะคริวจะแดกแล้วว กลืนทอดมันกุ้งที่ละเอียดจนกระเพาะแทบไม่ต้องย่อย ก่อนส่งยิ้มให้ทุกคน

“แล้วภพเรียนเอกเดียวกับพายุเหรอจ๊ะ"

“ใช่ครับแต่คนละสาขา"

“ไอ้ภพมันเรียนแฟชั่นอะแม่"

“ไม่น่าหล่ะ แต่งตัวเก่งเชียว"

“ขอบคุณฮะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ ตักเลยๆ”

ผมส่งยิ้มไปให้คุณแม่ แล้วหันไปพูดเสียงเบากับไอ้พายุ

“มึงพอแล้ว เลิกตักอาหารใส่จานกู"

“ก็เห็นมึงยึกๆ ยักๆ เอาอะไรอีกมั้ย"

“ไม่แล้ว อีกนิดจานกูจะเหมือนบาตรพระแล้วนะ"

“เออเนอะ"

“มึงก็กินบ้างมัวแต่ตักให้กูอยู่นั่น”

“ครับๆ”

“พี่สองคนนี่ คุยกันงุ้งงิ้งดีเนอะ"

“อะไรไอ้แดด"

“คุยกันงุ้งงิ้งอย่างกับแฟนกัน เนอะพ่อ"

“อืม พ่อก็มองอยู่"

เงียบกริบ ผมถือช้อนค้าง มองหน้าคนในครอบครัวมัน เหมือนเวลาหยุดไปแปปหนึ่ง แล้วเสียงเรียบๆ ของไอ้คนข้างๆ ก็ดังขึ้น

"ยังไม่ใช่แฟน ผมกำลังจีบมันอยู่"

เดี๋ยวววว มึงพูดโต้งๆ แบบนี้เลยเหรอ ได้เหรอ

“…….”

ฮืออ ผมไม่กล้าแม่แต่จะหายใจ พ่อลูกเขาจะทะเลาะกันปะวะ จ้องกันเขม็งเลย แล้วก็เป็นแสงแดดที่ทำลายความเงียบ

"สักทีเนอะ พร่ำเพ้อจนผมรำคาญ"

"ไอ้น้องเวร"

"จะทำอะไรก็คิดดีๆ ลูกเขามีพ่อมีแม่"

“พ่ออ มันยังไม่ถึงขนาดนั้น”

“พามาขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าแกคิดจะทำอะไร”

“กะตับเขาชัวร์ พามาเจอพ่อแม่ให้ตายใจ พี่ภพพี่ระวังตัวก็ดีนะ พี่พายุเคยบอกผมว่าอยากเอาพี่แรงๆ ให้ตายคาอก”

“เชี่ยแดด”

เอิ่ม หันมองหน้าไอ้พายุ อย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันคิดแบบนี้กับผมแถมยังพูดกับน้องมันอีก ไอ้เลววว

“กูไม่ได้พูดแบบนั้นนะไอ้ภพ”

“พี่พูด แถมบอกว่าอยากลองเอ้าท์ดอร์กลางป่ากลางเขา พ่อก็ได้ยินใช่ปะ”

“อืม ตอนได้ยินฉันยังไม่อยากเชื่อว่าจะเลี้ยงลูกได้หมกมุ่นในกามขนาดนี้ เขาถึงบอกคนเงียบๆ มักมีอารมณ์ทางเพศสูง”

“พ่อ! ผมแค่บอกว่าไอ้ภพมันน่ารักจนทนไม่ไหวต่างหาก”

สัดไม่ได้ดีขึ้นเลย เชี่ยยุ น่ากลัวฉิบหาย

“ใช่ไง แกบอกว่าภพน่ารักจนแกอยากปู้ยี่ปู้ยำ พ่อกับแสงแดดพูดผิดตรงไหน”

“พ่อออ”

เอิ่ม คุณพ่อครับ ผิดคาดมาก บ้านมันเกินจากจุดที่ผมคิดไว้มากกก น่ากลัวทั้งบ้านเลยวุ้ย

"พอๆ พ่อลูกคุยเรื่องแบบนี้บนโต๊ะอาหารได้ยังไง เกรงใจภพบ้าง หน้าเหวอแล้วนั่น ต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้ แม่ขอโทษแทนพ่อกับลูกแม่ด้วยนะ"

" อ่า ไม่เป็นไรฮะ"

"พี่ต้องระวังนะ"

"อะ อืม"

"อย่ายอมมันถ้ามันยังไม่ขอเป็นแฟน"

"คะครับ คุณพ่อ"

จะบ้าตายย หันมองไอ้คนตัวสูงข้างๆ อย่างรังเกียจ

"โว้ยยยย"

ไอ้พายุ สติแตกไปแล้ว





หลังจากสถานการณ์บนโต๊ะกินข้าวกลับมาเป็นปกติ พ่อแม่มันก็พูดคุยถามผมสัพเพเหระ ระหว่างกินข้าวไปด้วย ครอบครัวมันน่ารักนะ ดูวัยรุ่นเหมือนเพื่อนกันดี แต่บ้างเรื่องที่คุยกันก็ทำผมไปไม่เป็นเหมือนกัน

"คุยกันเสียงดังไปถึงหน้าบ้านเลยนะคะ"

"ไงพี่ฝน"

"ไงน้องชาย แล้วนั่นใคร"

"ภพ เพื่อนเจ้าพายุมัน"

“อ่อออ”

“สวัสดีครับ”

ยกมือไหว้พี่ฝนที่เดินเข้ามานั่งลงข้างแสงแดด ให้ตายดิ สวยสาดดด หุ่นดี ผิวขาวแถมสูงพอๆ กับไอ้พายุ นี่มันสัดส่วนนางแบบชัดๆ

“คนนี้นี่เองได้เจอกันสักทีเนอะ หน้าตาน่ารักอย่างที่แกบอกจริงๆ ด้วย”

ผมหันไปมองไอ้พายุ สรุปคือมึงเพ้อถึงกูให้ทุกคนที่บ้านฟังเลยเรอะ มันหันมายิ้มเจื่อนๆให้

“แล้วทำไมกลับมาเร็ว ไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนเหรอ”

“ยังไม่ทันได้กินเลยพ่อ ฝนก็รีบบึ่งรถมาเลยตอนได้ข้อความจากแสงแดด ดีใจที่มาทันได้เจอน้องภพนะ”

“พี่สวยมากเลยครับ”

“ขอบคุณจ๊ะ ถ้าเบื่อพายุ มาซบอกพี่ได้นะพี่ชอบของน่ารักๆ”

“ได้เลยครับ”

“เห้ย นั่นพี่กู”

“รู้หน่า ขี้หวงจัง เด็กติดพี่เหรอมึงอะ”

“พี่ว่ามันไม่ได้หวงพี่หรอก”

“พ่อก็ว่างั้น”

ผมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคนอย่างมึนงง ยิ้มอะไรกัน

(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่ 14 สนามอารมณ์ (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 08-04-2020 15:08:16
“ครอบครัวมึงน่ารักดีนะ”

“อืม วุ่นวายดี”

ผมก้าวเท้าขึ้นบันได เดินตามร่างสูงที่เดินนำหน้า หลังมื้อเย็นที่โคตรครื้นเครง จบลง ไอ้พายุก็ลากผมให้เดินตามมันออกมา เราเดินมาหยุดยืนหน้าประตูห้องที่มีป้ายรูปพายุหมุนแขวนอยู่

" โคตรเด็ก นี่ห้องน้องพายุเหรอครับ"

ผมหันไปแซวมันแล้ว ปัดป้ายเบาๆ

"หยุดเลย แม่กูแขวนไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว"

พอลองมองไปห้องตรงข้ามมีรูปพระอาทิตย์แปะอยู่ ข้างๆ เป็นรูปเม็ดฝน น่ารักดีแฮะ

มันเปิดประตูดันผมเข้าไปในห้องที่มืดสนิท ก่อนมันจะเป็นคนกดสวิตท์เปิดไฟ ผมมองรอบๆ ห้องที่ดูเรียบง่ายกำแพงสีครีมตัดกับข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นไม้ดูอบอุ่น  ห้องแม่งเรียบร้อยกว่าห้องผมอีก แต่โต๊ะทำงานมึงรกใช้ได้เลยนะ มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยว่ะ อย่างเจ๋ง เดินเข้าไปดูชั้นหนังสือที่อัดแน่นด้วยหนังสือศิลปะ แผ่นเสียง และสมุดวาดภาพของมัน

“หนังสืออาร์ตมึงเยอะจัง"

“มือสองทั้งนั้น ภพมานั่งนี่ดิ"

ผมหันตัวกลับไปมองมันแล้วเดินไปนั่งข้างๆ บนเตียง

“หืม ว่าไงครับน้องพายุ"

“ยังไม่หยุดอีก”

“ฮ่าฮ่าๆ กูอดไม่ได้อะ”

“เดี๋ยวกูจะเอาออก ไอ้คินพูดกูยังไม่อายเท่ามึงล้อกูเลยเนี่ย”

“เห้ย อย่าเอาออก เดี๋ยวแม่มึงเสียใจนะ”

“ก็มึงล้อกูเนี่ย”

“กูแซวเพราะเห็นว่ามันน่ารักดี แขวนไว้เหอะ นะ”

"ภพ"

"ว่า"

"ขอจูบได้ปะ”

ผมขยับตัวออกห่างจากมัน

“ไม่เอา พ่อมึงบอกว่าห้ามยอมมึงง่ายๆ”

“โว้ยย มึงอย่าไปฟังเขามาก”

"ไม่ฟังได้เหรอ มึงแม่ง พูดเรื่องจะเอากูกับที่บ้านนะ โคตรน่ากลัว"

"เออ ขอโทษไม่ได้ตั้งใจไง วันนั้นกูกินเหล้ากับที่บ้าน แล้วเมาว่ะเลยหลุด"

“โคตรเหี้ย”

“ขอโทษ แต่มึงแม่งน่ารัก กูไม่ไหว”

“พอเลย เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ”

“แล้วเมื่อกี้อิ่มมั้ย กูเห็นมึงกินไปนิดเดียว”

“ก็ไม่ค่อย แอบเกรงใจพ่อแม่มึงอะ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกลับไปกินมาม่าที่ห้อง”

"จะกินไรเปล่าล่ะ เดี๋ยวกูให้ป้าจันทร์เอาขึ้นมาให้"

“ไม่ต้องๆ อีกสักพักกูจะกลับแล้ว"

"เดี๋ยวไปส่ง นอนเล่นห้องกูไปก่อน ขอเคลียร์งานส่งพี่เฟียตแปปนึง”

“เออได้"

ไอ้พายุเดินไปที่ตู้หนังสือ เห็นมันยืนเลือกแผ่นเสียงสักพัก แล้วหันไปวางแผ่นไวนีลลงบนเครื่องเล่น ก่อนเสียงเพลงที่ดูฟังสบายจะดังคลอเบาๆ ผมไม่รู้ว่ามันคือแนวเพลงอะไรแต่ฟังแล้วผ่อนคลายดี มองไอ้พายุที่เดินไปนั่งหันหลังทำงานที่โต๊ะ เวลามันทำงานเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยดูจริงจัง และมีเสน่ห์แปลกๆ

ผมลุกจากเตียงเดินสำรวจห้องอีกครั้งอย่างเงียบเชียบไม่ให้รบกวนการทำงานของพายุ เดินวนไปมารอบห้องสุดท้ายมาจบที่ตู้หนังสือหยิบที่สนใจมาสองสามเล่ม นั่งลงที่พื้นหน้าตู้หลังเก้าอี้มัน แล้วพลิกดูด้านใน นั่งอยู่ตรงนั้นได้ไม่นาน ความหนาวของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้ผมต้องย้ายตัวเองขึ้นไปนอนสอดตัวใต้ผ้าห่ม สบายโคตรร เสียงเพลงที่เปิดคลอๆ ความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกสบายเริ่มโจมตีผม หนังตาเริ่มปิด ผมฝืนสายตามองภาพตรงหน้าได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้านความง่วงงุนและความเหนื่อยล้าตลอดวันไว้ไม่ไหว พลิกตัวนอนตะแคง หาท่าที่สบายแล้วผล๊อยหลับไปในที่สุด









“อื้ออ”

ผมครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่สัมผัสผิวบริเวณสีข้างท่ามกลางความหนาวเย็น ก่อนเคลื่อนมาลูบไล้ท้องน้อยผม เดี๋ยวนะ ลูบไล้เหรอ ค่อยๆ ปรือตา มองภาพตรงหน้าผมที่ว่างเปล่าอย่างมึนงง ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ กี่โมงแล้วนะ

“กูปลุกเหรอ”

แหงนหน้าไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวดวงตาเบิกกว้าง ตื่นเลยกู หน้าไอ้พายุอยู่ใกล้จนผมแทบหยุดหายใจ มันนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง ก่อนซุกใบหน้าลงมาที่ซอกคอผม มือหนาลูบไล้ไปตามเนื้อตัว บีบนวดเหมือนผมเป็นแป้งขนมปังที่มันเตรียมจะเอาเข้าเตาอบ

“มึงทำอะไรวะ”

“…..”

“อื้อ ไอ้ยุ อย่ากัด”

ขยับหัวหนีริมฝีปากมัน ที่กัดตรงหลังคอ ก้มมองมือที่บีบเคล้นตามเนื้อตัวผมแรงขึ้น เสื้อที่ผมใส่ร่นขึ้นมากองเกือบถึงคอ ถึงว่ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไอ้เหี้ยย

“ไอ้พายุ คุยกันก่อน”

“หืม”

“คุยกั…เดี๋ยว!”

ผมร้องเสียงหลงมือรีบตะปบมือหนา เมื่อมือร้อนพยายามจะสอดเข้ามาใต้กางเกง ไอ้พายุเงยหน้าขึ้นมาจากซอกคอ ยันตัวมองผม จับใบหน้าผมให้เอียงไปหามัน ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ มันขบเม้มริมฝีปากผมแผ่วเบา มือหนาที่ผมจับอยู่เคลื่อนกลับมาลูบไล้ด้านบน เหมือนมันกำลังหลอกล่อ เชิญชวนให้ผมตกหลุมที่มันขุดไว้ ผมรู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนที่เขามาชักนำ ความวูบวาบทำหัวสมองขาวโพล่นจนผมหลับตาลง รับทุกสัมผัสของปลายลิ้นร้อน ทำไมมันเก่งจังวะ ผมเหมือนจะขาดใจ หายใจไม่ทัน

แล้วผมก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมือร้อนที่ผมกอบกุมไว้ในคราแรก สอดเข้าไปในกางเกง ผมผงะถอนใบหน้าออก พยายามขยับตัวหนี แต่มันกลับรั้งเอวผมกลับเข้ามาชิดตัว มือมันยังคงสัมผัสตัวผมใต้กางเกงแม้ยังมีผ้าบางๆ ของชั้นในกั้นอยู่ก็ตาม แม่ง ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรกูได้เลยย ฮือออ กูไม่โอเค มันไม่โอเคคค

“มะ มึง หยุดก่อน”

“กูแค่จะช่วย”

ฮือ ไอ้สัด เสียงกระเส่ามาเลย ไม่ต้องช่วยยย จะช่วยเหี้ยอารายยยย พ่อครับ ลูกพ่อมันจะเล่นผมแล้ววววว

“ไม่เอาา มึงหยุดก่อนนะ นะ เดี๋ยวกูจัดการเองได้”

ผมพูดเสียงสั่น มองไอ้พายุอย่างอ้อนวอน ได้ผล มือหนาค่อยๆ เลื่อนออกจากใต้กางเกง มาวางที่ท้องน้อยแทน กูรอดแล้วโว้ยย ไอ้ยุขยับตัวออกเล็กน้อย มองผมสายตาจริงจัง หรือกูจะไม่รอดวะ

“ภพ ไว้ใจกูดิ”

“ไม่เอา มันไม่ดีหรอกมึง ปล่อยกูเหอะนะ”

“หลับตา”

“ห๊ะ”

“หลับตา” มันย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ผมขัดอะไรไม่ได้อีก

ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง กูไม่รอดแน่ คืนนี้กูไม่รอด ฮือออ

"ไม่ต้องกลัว กูไม่ใจร้ายกับมึงหรอก"

มันพูดเสียงเบา ก่อนผมจะได้รับสัมผัสเปียกชื้นที่ริมฝีปากอีกครั้ง เราจูบกันไปหลายครั้งแล้ว ผมไม่เคยชินเลยสักครั้ง แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมเผยอปากรับปลายลิ้นร้อนที่ดุนดันเข้ามา มือเลื่อนไปกุมมือมันให้หยุดนวดคลึงสะโพกผม รู้สึกได้ว่ามันหงายมือมาประสานมือผมไว้และบีบเบาๆ

ปลายลิ้นร้อนเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ หยอกล้อ ดูดดึงริมฝีปากผม พายุชักนำให้ผมทำตาม และผมก็เริ่มคล้อยตามเชื่อฟังมันอย่างง่ายดาย ความรู้สึกวาบหวามปะทุขึ้น มันปล่อยมือที่กุมผม ลูบไล้บีบเคล้นไปตามเนื้อตัว ก่อนที่จะได้ยินเสียงซิปกางเกงที่ถูกรูดลง ผมครางประท้วง แต่ริมฝีปากและปลายลิ้นของมันก็ดึงความสนใจผมไปอีกครั้ง เหมือนกำลังล่องลอย และร่วงลงจากที่สูง เมื่อมันถอนริมฝีปากออกไป หอบหายใจส่งสายตาอ้อนวอนมันอีกครั้ง ว่าไว้ชีวิตกูเหอะ พลีสส

แต่มันกลับส่งยิ้มบาง มาให้ผม

ณ เวลานั้นผมรู้แล้วว่ากำลังจะต้องเจอกับอะไร ไม่รอดมือมันแล้วแน่ๆ แต่ลองอ้อนวอนมันอีกสักครั้งเผื่อมันจะเห็นใจกันบ้าง ทำน่าสงสารเข้าไว้ น้ำตามา เริ่ม

“ไอ้พายุ ไว้ชีวิตกูเถอะนะ นะ”

“กูแค่จะช่วย ไม่ได้จะฆ่ามึง งอแงจังว่ะ”

“ฮือออ ไม่ต้องช่วยย กูสบายดี ไม่ต้องช่วยกูวว”

“ภพ เชื่อใจกู”

“ไม่เอา มึงปล่อยกะ...อื้อ”

ผมหลับตาแน่น เมื่อมือร้อน สัมผัสตัวตนผมใต้ชั้นในตัวบาง รับรู้ว่ามันจูบขมับผมแผ่วเบาอย่างปลอบโยน ในขณะที่มือมันก็รูดรั้งชักนำอย่างไม่เร่งเร้า ลมหายใจอุ่นร้อนหลังคอ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด จนผมเกือบหลุดคราง

“มึงน่ารักมาก”

“ฮึก มึง พายุเดี๋ยวกูทำเอง ขอกูทำต่อเองนะ”

“อึดอัดมากมั้ย”

“ฮืออ มันไม่ดีหรอก หยุดเหอะ เดี๋ยวกูทำเอง กูทำได้”

“ภพตอบกู”

“อือ”

ไม่ฟังกูเลยยย ที่กูขอเนี่ยย สุดท้ายผมก็พยักหน้ายอมรับ ตอนคบกับนานะผมเกรงใจเธอเลยไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ในห้อง พอมันมาทำแบบนี้ให้ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ กูจะร้องง

“พลิกตัวหน่อย”

ผมพลิกตัวมานอนหงายมองมันน้ำตาคลอ ไอ้พายุส่งยิ้มบางๆ ให้ผมโน้มใบหน้าเข้ามาซุกไซ้ ที่ซอกคอ ขบกัดข้างใบหูจนรู้สึกเปียกชื้น ฮือออ ผมรู้สึกแปลกๆ

“ไม่ต้องกลัว กูไม่ทำร้ายมึง”

“อะ ไอ้ยุ อย่าขยับ"

“ใจเย็นๆ ผ่อนคลาย”

"พะ พายุ อึก"

ผมเม้มริมฝีปากแน่น กลั้นเสียงน่าอายที่จะหลุดออกมา ก้มมองข้อมือหนาเคลื่อนไหวกอบกุมตัวตนผม ก่อนที่จะถูกบดบังด้วยศีรษะมัน ผมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ยอดอก มันขบเม้มดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ มือผมกำแน่นจนรู้สึกปวดไปหมด

“รู้สึกยังไง"

“….”

ผมไม่ตอบ ได้แต่หลับตารับสัมผัสที่มันมอบให้ ร่างกายผมร้อนผ่าวตามแรงปลุกเร้าที่มากขึ้น ปลายเท้าจิกเกร็ง หายใจหอบถี่ตามจังหวะที่มันชักนำ

“ภพ อย่ากัดปาก”

“….”

“อย่ากัดปาก ร้องออกมา”

“อ้าา ไอ้เหี้ย!”

ผมครางดัง เปิดตามองมัน เมื่อมันบีบเคล้นรูดรั้งตัวตนผมแรงๆ

“ชอบมั้ย”

“อึก อ้าาาา พายุ มึง”

ผมดิ้น เมื่อมันเพิ่มความเร็วมากขึ้น ร้องครางอย่างหน้าไม่อาย ถีบขาขยับตัวถอยหนีสัมผัสมัน แต่มันก็ล๊อคตรึงสะโพกผมไว้แน่น มันรุนแรงมากขึ้น รูดรั้งมากขึ้น ไม่ไหว ท้องน้อยเริ่มบิดเกร็ง ดวงตาพร่าเลื่อน แหงนหน้าซุกหัวลงกับหมอน กัดริมฝีปากแน่น เหมือนระเบิดเวลาที่ถูกกดเริ่มใกล้จะสิ้นสุดลง และตัวผมกำลังจะระเบิดออก ใกล้แล้ว และในจังหวะนั้นผมก็เหมือนตกนรก เมื่อมือหนาหยุดนิ่งปลายนิ้วร้อนกดปิดส่วนปลายแน่น สบตาไอ้พายุ ความรู้สึกทรมานและอึดอัดกำลังทำร้ายผม จนน้ำตาคลอ

“พายุ ฮืออ ไอ้เหี้ย"

“อยากให้กูทำอะไร"

“ไอ้เหี้ย”

“คำเดียวเองบอกปุ๊บมึงจะสบายตัวเลย"

ฮือออ มันแกล้งผม มันแกล้งโผมมม มันลุกขึ้นมามองผม ริมฝีปากยกยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์ ปลายนิ้วยังคงกดปิดรอยหยักส่วนหัวแน่น ผมขยับร่างกายอย่างอึดอัด เท้าถีบตัวให้หลุดออกจากวงแขนมัน แต่แรงกดทำให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ ความอึดอัดทรมานยังคงเล่นงาน จนผมสิ้นสติและยางอาย ไม่ไหว ผมต้องปลดปล่อย ผมยันตัวลุกขึ้นเลื่อนมือตัวเองลงไปดันหัวแม่มือมันที่กดปิดส่วนปลายออกอย่างแรง กอบกำตัวเอง ก่อนเริ่มชักนำรูดรั้งอย่างลืมอาย เห็นสายตาที่มันมองมาแล้วผมน้ำตาไหลไม่หยุด ทุเรศตัวเองมาก แต่ผมหยุดไม่ได้ ข้อมือขยับขึ้นลง หลับตาหนีสายตาคมที่จ้องมอง ฮืออ เกลียดมันอะ

“อะ อื้อ"

ไม่เหมือนมันทำ ไม่ดีเท่ามันทำ

หูผมอื้ออึง ดวงตาพร่าเรือน รับรู้แค่สัมผัสจากมือตัวเองที่ขยับระรัวเร็ว มากกว่านี้ต้องมากกว่านี้ ก่อนที่ความร้อนของมือหนาจะเข้ามาช่วย ฮือออ ตาย กูตายแน่ๆ ความวาบหวาม จุดขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมือหนากอบกุมเคลื่อนไหวหนักหน่วงช่วยผม กล้ามเนื้อผมเกร็งเครียด ปลายเท้าจิกเกร็งจนปวดไปหมด ผมละมือออกไปจับที่ข้อมือหนาบีบแน่นเมื่อมันรุนแรงเกินไป อย่างต้องการที่ระบาย เมื่อตัวเลขกำลังวิ่งถอยหลังอีกครั้ง แล้วไม่นานร่างกายผมก็กระตุกเกร็งนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนมีเสียงระเบิดดังขึ้นในหัว แสงสีขาวสว่างวาบ ผมหายใจหอบถี่โกยอากาศเข้าปอดจนแทบสำลัก ก่อนร่างผมจะรู้สึกเบาหวิวและหมดเรี่ยวแรง

นอนหอบหายใจ รับรู้ถึงริมฝีปากร้อนจูบแผ่วเบาที่หน้าผากอย่างปลอบโยน

“เลอะเทอะ จริงๆ เลย"

ผมก้มมองช่วงล่าง และมือของมัน ที่ตอนนี้เลอะเปอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น ไม่นะ กางเกงโผมมม

“เมื่อกี้มึงนิสัยไม่ดี"

“ขอโทษ ก็มึงมันน่าแกล้ง”

“โคตรแย่”

“เออรู้”

ทิ้งหัวลงบนหมอน หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้ว่าไอ้พายุขยับตัวออกไปจากเตียง ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงน้ำดัง มาจากมุมห้อง ก่อนที่ตัวผมจะลอยขึ้นจากเตียง สองมือยกขึ้นหาที่ยึดตามกลไกธรรมชาติ ลืมตามองใบหน้าคม ที่ก้มลงมามองผม ฮือ กูเหนื่อยแล้วนะ

“มะ มึง จะทำอะไรอีก"

“จะพาไปอาบน้ำ เลอะเทอะแบบนี้มึงนอนไม่สบายหรอก"

“กูอาบเองๆ”

“เฉยๆ เหอะ"

เท้ามันก้าวเดิน พาผมเข้าไปในห้องน้ำ วางผมลงที่ขอบอ่าง ก่อนที่มือมันจะดึงทึ้งเสื้อผมขึ้น แต่ผมยื้อไว้ด้วยแรงน้อยนิด

“ไอ้ยุกูขออาบเอง มึงออกไปเหอะ"

“อายอะไร กูเห็นหมดแล้ว ถอดเสื้อออก"

“ฮืออ"

ขอความส่วนตัวให้กูบ้างงง แค่นี้ก็มองหน้าไม่ติดแล้วสัด

“…..”

“เออๆ อาบไหวแน่นะ"

“ไหวๆ มึงออกไปก่อน"

“งั้นไม่ต้องล๊อคประตู เดี๋ยวกูไปหยิบผ้าขนหนูให้"

“อะ อืม"

ผมนั่งรอ ไม่นานไอ้พายุก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูและเสื้อผ้า

“ห้ามล๊อคประตู"

รู้ทันกูตลอด

“เอออ รู้แล้ว"

พอประตูปิดลง ผมก็จัดการถอดเสื้อผ้า ลงไปนั่งในอ่างที่มันเตรียมน้ำไว้ให้ พิงหลังชิดขอบอ่าง ย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อกี้ก็รู้สึกอยากหายไปฉิบหายเลย ผมช่วยตัวเองต่อหน้ามันอ่ะ ฮือออ โคตรแย่ กูรับไม่ด้ายยย

แหงนหน้า ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตไอ้เอกภพเลย ความอุ่นของน้ำช่วยผ่อนคลายร่างกาย และผมก็ต้านความง่วงงุนไว้ไม่ไหว เริ่มจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความมืด ก่อนสติผมจะดับวูบไป





พายุมันเอาแล้วววว
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ โดย tantiya [Update] ตอนที่14 สนามอารมณ์
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-04-2020 23:24:00
 :laugh:



จัดไปให้หนักๆ เลย ยุ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่14 สนามอารมณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 23-04-2020 22:56:16
พอพาเข้าบ้านละ. ไวเลยนะ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่15/1 เวลาคุณยิ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 26-04-2020 02:44:14
ผมฝัน ในฝันผมเห็นไมโลตัวใหญ่กว่าปกติมันวิ่งเข้ามาตะปบตัวผมจนผมลงไปนอนกับพื้น แต่พื้นกลับไม่แข็งอย่างที่คิด ผมไม่เจ็บ แต่รู้สึกอึดอัด พยายามตะเกียกตะกายออกมาให้พ้นจากร่างของมันที่โถมเข้าหาตัวผม ก่อนที่ผมจะถูกอุ้มมือมันกดแน่น ผมค่อยๆ ลืมตา กะพริบตาเมื่อแสงสาดเข้ามาในม่านตาจนแสบตา มองเห็นใบหน้าที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ก้มมองตัวเองที่อยู่ในชุดของมันและแขนขาควายๆ ที่กอดก่ายรัดตัวผม มันคือไอ้ไมโลยักษ์ในความฝันกูใช่มั้ย หนักฉิบหายเลย

ผมมานอนบนนี้ยังไงวะ จำได้ว่าแช่น้ำอยู่แล้วภาพก็ตัด ไอ้พายุมาพามานอนเหรอ ขยับตัวออกจากวงแขนมันแต่ก็ถูกดึงกลับเข้าไปทุกครั้ง ให้ตายดิ เอาใหญ่เลยนะ

“ตื่นแล้วเหรอ"

“เออ เอาแขนออกไป กูหนัก"

ผมพูดพลางผลักแขนมันออกอีกครั้ง มันยอมคลายอ้อมกอดออก แล้วหันมามองผมตาแวววาวเหมือนสิงโตแก่ๆ หื่นๆ ที่จ้องตะครุบเหยื่อ

“เมื่อคืนดื้อจะอาบเอง แล้วเป็นไง สุดท้ายกูก็ต้องช่วยอยู่ดี"

“เลิกพูดเรื่องเมื่อคืนเหอะ”

“ทำไม"

“กูไม่ชอบ"

“ใช่เหรอ เมื่อคืนมึงสบายตัวคนเดียวเลยนะ"

“…..”

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปล้างหน้าแปรงฟันไป กูวางแปรงไว้ให้แล้ว จะได้ลงไปกินข้าว"

ผมลุกออกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ หยิบแปรงใหม่ที่ยังอยู่ในซองมาแกะ แปลกๆว่ะ ไม่กล้าสบตามันเลย



ก๊อก ก๊อก



“ภพ มึงหลับอีก ปะเนี่ย"

“เปล่าๆ จะออกไปแล้วๆ ….เร่งกูจัง"

เปิดประตูออกมาเจอมันยืนทำหน้าแปลกๆ อยู่หน้าห้องน้ำ เป็นไรของมันอีก

“มึงลงไปกินก่อนเลย กูขอแปรงฟันก่อน"

หันตัวเดินเลี่ยงออกมานั่งปลายเตียง ปากก็ขยับพูดไปด้วย

“ไม่เป็นไร รอลงไปพร้อมมึงดีกว่า"

“เชื่อกูลงไปก่อน กูต้องใช้เวลา"

“แค่แปรงฟันไม่ใช่เหรอ กูรอได้"

“ไม่ใช่แค่แปรงฟันอะดิ"

“อึอ้อ ตามสบายเลยเดี๋ยวกูนอนรอ”

“ถ้าอันนั้นกูก็ไม่ไล่มึงลงไปหรอก แต่...”

ยิกยักจริงเล้ย พอสังเกตดีๆ ทำไมมันยืนแบบนั้นวะ ตัวงอทำไม อะไรของมัน แล้วมันก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ก้มมองพื้น ผมมองตามสายตามันไป

ไอ้สัด โด่ไม่รู้ล้ม

“โคตรเหี้ย"

“มันคงอึดอัดตั้งแต่เมื่อคืนว่ะ มึงนอนดิ้นด้วยลูกกูเลยตื่น"

อึ้งไปเลยกู

“ทีนี้มึงจะลงไปก่อนหรือจะเข้ามาช่วยกูละ” เงยหน้ามองมันที่ทำหน้าตากวนส้น หรือชักชวนวะ ผมไม่แน่ใจตีความหน้ามันไม่ออก รู้แต่ตอนนี้ผมควรออกจากห้องมัน ตอนนี้! เดี๋ยวนี้เลย!

“พอ ไม่เอา เชิญมึงตามสบายเถอะ ตามมาเร็วๆ ด้วย กูอยากกลับบ้านแล้ว"

พูดจนลิ้นแทบจะพันกัน รีบลุกเดินหนีออกจากห้อง ปิดประตูตามหลังเสียงดังปังอย่างยั้งมือไม่อยู่ หน้ายังคงหันเข้าหาประตูห้อง มือกำลูกบิดแน่น จะบ้าตาย กามฉิบหาย กลัวก็กลัวยังไม่อยากเห็นหนอนแต่เช้า แต่ใจแม่งเต้นตุบๆเลย แถมรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ สัด ผมจะมาตะมุตะมิเขินอายเป็นสาววัยใสแบบนี้ไม่ได้นะ

“เอ้าพี่ภพเมื่อคืนนอนนี่เหรอ"

ยืนตบตีกับตัวเองในหัว จนเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังดึงผมกลับสู่ปัจจุบัน

“แสงแดด"

“พี่หนีไรออกมาอะ ไอ้พี่ยุมันทำอะไรพี่รึเปล่า"

ยิ่งกว่าทำ น้องเอ๊ย

“เปล่าๆ "

“งั้นไปกินข้าวกันเหอะพี่ ป้าจันทร์กับแม่น่าจะจัดโต๊ะแล้ว"

ผมพยักหน้า ตั้งสติแล้วเดินตามแสงแดดลงบันไดไป

“พี่รู้ปะ ก่อนผมจะเจอพี่ผมโคตรสงสัยว่าพี่หน้าตายังไง เป็นคนแบบไหน ถึงทำพี่ผมเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้"

“ยังไงวะ"

“ไม่รู้ดิ แต่พี่มันยิ้มบ้ายิ้มบอทุกวัน แล้วปกติพี่มันก็ไม่ใช่คนพูดมาก แต่พักหลังมันพูดมากขึ้นและทุกเรื่องที่มันเล่าจะมีชื่อพี่ภพโผล่มาเสมอ พวกเราก็สงสัยนะแต่พอถามพี่ผมก็เฉไฉตลอด แล้วอยู่ๆ อาทิตย์ก่อนพี่มันก็พูดขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร บอกพ่อว่าตอนนี้มีคนที่ชอบ เป็นผู้ชาย แม่งโคตรบ้า ตอนพ่อได้ยินนี่แทบหงาย แล้วก็เริ่มมีปากเสียงกันจนผมกับพี่ฝนต้องช่วยห้าม ไม่ว่าพ่อจะพูดอะไรพี่พายุก็ยังยืนยันและบอกว่าอยากให้เจอก่อนแล้วจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงปล่อยคนนี้ไปไม่ได้ เสี่ยวเนอะ”

แสงแดดเล่าด้วยรอยยิ้ม และหันมายักคิ้วให้ผม

"อ่า แล้วไงต่อ"

"สุดท้ายแม่ก็เข้ามาไกล่เกลี่ย คืนนั้นเราทั้งบ้านก็เลยนั่งคุยกันพร้อมดื่มกันนิดหน่อย จริงๆก็ไม่หน่อยอะ แล้วพี่ยุมันก็เมาเล่าแม่งทุกเรื่องเลยรวมถึงสิ่งที่อยากทำกับพี่ด้วย พี่ผมโคตรลามกเลย พี่ต้องระวังนะ"

พี่ว่าไม่ทันแล้วว่ะ

"แล้วอยู่ๆ พ่อก็ไม่ห้ามแถมบอกว่าให้พามาที่บ้าน แล้วพี่ก็มานี่ไง พี่ผมมันชอบพี่มากนะ"

“อะ อืม"

“ผมว่านั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อยอมลงให้ ยิ่งพอได้เจอพี่เมื่อวานผมว่าพ่อก็คงยอมพี่พายุแล้วแหละไม่งั้นไม่พูดเล่นด้วยขนาดนี้หรอก”

ผมฟังที่แสงแดดพูดมาตลอดทาง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง แต่เหมือนหัวใจผมพองโต ผมก็ไม่รู้ว่าครอบครัวมันเห็นอะไรในตัวผมถึงยอมเปิดใจ แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดีกว่าที่ผมกังวล แสงแดดส่งยิ้มให้ผม สองเท้าก้าวเดินก่อนมาหยุดที่โต๊ะกินข้าว ผมเดินตามน้องมันไปนั่งลงข้างๆ ส่งยิ้มทักทายพี่ฝน กับคุณพ่อ ที่พยักหน้ารับไหว้ผมนิ่งๆ

“พายุหล่ะภพ”

“เข้าห้องน้ำอยู่ฮะ”

“งั้นเรากินกันก่อนเลยเนอะ” ลุกเดินตามพี่ฝนเข้าไปในครัว ช่วยถือจานกับข้าว ออกมา ผมเป็นเด็กดีปะหล่ะ

“ขอบคุณจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”

“สบายครับ”

“ภพไปนั่งเถอะเดี๋ยวที่เหลือพี่กับแม่ยกไปเอง”

“อ่า ไม่เป็นไรครับผมช่วยดีกว่า”

ผมถือจานข้าวมาวางให้คุณพ่อก่อน แล้วส่งให้แสงแดดที่ยื่นมือมารับ หันกลับจะเดินเข้าไปเอาที่เหลือ พี่ฝนกับแม่ก็เดินกลับออกมา

“นั่งๆ พี่เอาของภพออกมาให้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

“ทำไมพายุมันยังไม่ลงมาอีก”

น่าจะอีกสักพักเลยครับพ่อ ลูกพ่อมันบริกรรมคาถาอยู่

“ผมมาแล้ว” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของร่างสูง มันเดินเข้ามาไล่แสงแดดให้ลุกจากที่นั่ง แล้วมันก็เขามานั่งลงข้างๆผมแทน 

“สบายตัวแล้วเหรอ”

ก้มลงไปกระซิบแซวมัน ชอบพูดแบบนี้กับกูนัก กูพูดบ้างมึงจะได้รู้ว่าเวลาโดนพูดกามๆใส่มันรู้สึกยังไง

แต่สกิลผมคงห่างจากมันอีกหลายขุม

“ไม่เท่ามึงเมื่อคืนหรอก ร้องไม่หยุด”

สัด มันเล่นกลับแรงกว่าอะ หน้าผมร้อนผ่าว หลบตามัน แล้วถอยตัวออกมานั่งหลังตรง แม่งเอ๊ยไม่น่าเล่นเลยกู

ทว่าไอ้พายุมันกลับขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูผม

“ครั้งหน้า กูจะให้มึงช่วยกูบ้าง”

ไม่เอาโว้ยยย ฮืออ

"พายุแกล้งไรภพอ่ะ ทำไมน้องทำหน้าจะร้องไห้แบบนั้น" ผมมองพี่ฝนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มองสายตาทุกคนที่มองมาที่ผม

"ไม่ได้ทำไรเลย ภพมันคงหิวมากเมื่อวานกินน้อยไปหน่อย"

"เอ้า ภพไม่ต้องเกรงใจนะลูก กินเยอะๆเลย"

"ครับแม่"

"พี่ลองนี่ๆ" แล้วแสงแดดก็ตัก หมูทอดใส่จานผม

"ขอบคุณนะ"

เช้านี้ผมว่าผมผ่อนคลายขึ้นเยอะ ผมกินข้าวได้มากขึ้นกว่าเมื่อวาน พูดคุยได้คล้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

"งั้นแบบนี้ภพก็มาอยู่กรุงเทพฯคนเดียวเหรอ"

"ใช่ครับ" ตอบพี่ฝน พลางตักข้าวเข้าปาก

"เหงาแน่เลย"

"ก็มีบ้างครับ แต่งานที่เรียนเยอะ ถ้าเหงาๆผมก็ไปอยู่ห้องเพื่อนไม่ก็เพื่อนมาห้องผม" ยกมือปิดปากพลางตอบคำถามไปด้วย ข้าวก็จะกินคำถามก็ต้องตอบ

"เหงาๆก็แวะมาบ้านเราก็ได้ ให้พายุพามา หรือ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ที่บ้านต้อนรับเสมอนะจ๊ะ"

"ขอบคุณครับ ไว้ผมจะมาฝากท้องบ่อยๆ คุณแม่กับป้าจันทร์ทำกับข้าวอร่อยมากเลย"

ผมพูดแล้วส่งยิ้มให้คุณแม่ไม่ลืมหันไปยิ้มให้ป้าจันทร์ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งคู่ยิ้มตอบผมอย่างใจดี

"พายุ แม่ชอบนะ พาภพมาบ่อยๆหล่ะ"

"ได้ครับ แต่ผมว่าผมจะขอพ่อกับแม่ย้ายไปอยู่ห้องภพ"

"ห๊ะ" ผมหันไปมองหน้ามัน คิดว่ามันลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก

"อะไรกัน" พ่อวางช้อนส้อมแล้วพูดเสียงเรียบ ใบหน้าดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"บ้านเรารถติดอะพ่อ หลังๆผมตื่นไปเรียนไม่ทันด้วย คอนโดไอ้ภพอยู่ใกล้มอ เดินทางสะดวกกว่า"

"ไอ้พายุ แต่กูยังไม่ได้ตกลงจะให้มึงไปอยู่ด้วยเลยนะ"

ผมบอกมันผมไม่ได้ล้อเล่นหรือพูดแค่เพราะพ่อแม่มันอยู่ตรงนี้ แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ความรักครั้งก่อนของผมก็รวดเร็วแบบนี้และมันก็ดูฉาบฉวยมาก ถูกใจพามาอยู่ด้วยกัน แล้วสุดท้ายความตื่นเต้นถูกใจนั้นก็จางหายไปทุกวัน ผมยังไม่อยากให้อะไรมันดูง่ายไปหมดทั้งๆที่เรายังเรียนรู้กันไม่มากพอ แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมว่าบางอย่างยังเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ไอ้พายุมองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจ ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่เสียงหัวเราะต่ำๆจะดังขึ้นที่หัวโต๊ะ

"หึ สมน้ำหน้า รีบร้อนดีนัก" คุณพ่อพูด ท่าทางดูสะใจที่ผมปฎิเสธลูกเขา

"กูจะย้ายไปห้องมึง มึงจะได้ไม่เหงาไง" มันยังคงพูดยืนยันแต่ด้วยเสียงที่ดูอ่อนลง จนแทบจะเหมือนอ้อนผม แต่อ้อนตีนนะ สายตาแม่งมาอีกแล้วสายตาแบบลูกหมา ให้ตายดิ ไอ้พายุมันมีกี่เวอร์ชั่นว่ะ

"อย่าไปยอมพี่มันนะ พี่ภพ"

"ไอ้แสงแดด!"

หันไปพยักหน้าให้แสงแดด ถึงน้องมันไม่ทัก ผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว

"กูมีเพื่อนเยอะแยะ เรื่องย้ายมาไว้ก่อนเหอะ"

เรามองกันนิ่ง และครั้งนี้ผมไม่ยอมแพ้มันแน่ๆ ผมยังไม่พร้อมจริงๆ สุดท้ายไอ้พายุก็ถอนหายใจ

"ก็ได้"

"โคตรหงอเลยพี่ผม"

"สมน้ำหน้า"

"ภาพหายากนะ แม่น่าจะอัดวิดีโอไว้"

"อะพอๆอย่าซ้ำเติมยุกันเลยคะ แค่นี้ก็หมาสุดๆแล้ว ภพกินข้าวต่อเถอะ"

"ครับ"

"แกงจืดก็อร่อยน่ะลองดูสิ" ผมพยักหน้ารับ ขยับตัวยื่นจานไปรับเต้าหู้ไข่ที่พ่อตักให้ ด้วยรอยยิ้ม พ่อดูแฮปปี้จังนะครับ พ่อแฮปปี้ผมก็แฮปปี้ครับ

*

“ขับรถดีๆ นะมึง ชุดมึงเดี๋ยวกูซักแล้วเอามาคืน”

ก้มมองเสื้อยืดสีขาวสกรีนภาพ'เดอะสครีม'ที่ชูสองนิ้ว กับกางเกงตัวใหม่เอี่ยมที่พึ่งได้มาเมื่อวาน ตอนแรกก็จะเอาเสื้อใหม่มาใส่กลับ แต่มันก็พูดอยู่นั่นว่าเสื้อที่พึ่งซื้อต้องซักก่อนใส่ รู้มั้ยว่ามันสกปรกผื่นขึ้นหลังได้บลาๆ สุดท้ายขี้เกียจเถียงกับมัน ก็เลยจำใจใส่เสื้อมันกลับมา

ก่อนหน้านี้เรื่องที่โต๊ะกินข้าว มันทำตีหน้าเศร้าไปงั้นแหละ ผมรู้ทันหรอก เพราะแวบหนึ่งผมเห็นมันลอบยิ้ม หลังจากเมื่อคืนผมก็มั่นใจว่าไอ้พายุมันเจ้าเล่ห์จะตาย เผลอๆตอนนี้มันคงคิดวิธีหว่านล้อมผมอยู่แน่ๆ

“ไม่ต้องกูมีหลายตัว”

“เออๆ ตั้งใจทำงาน”

"มึงก็ทำงานด้วยเดี๋ยวไม่ทันมึงก็งอแงอีก”

“ใครงอแง กูไม่เคยย”

“เหรออ ค่ำๆ เดี๋ยวกูแวะมา"

"มาทำไมอี๊กก”

“เออหน่าลงไปได้แล้ว”

ไอ้พายุขับรถมาส่งผมที่คอนโดในช่วงบ่ายๆ ครั้งนี้มันขับรถดีขึ้นเยอะแม้รถจะโล่งแค่ไหนมันก็ไม่เหยียบมิดให้ผมหวั่นใจ ลงจากรถมัน ยืนมองรถออดี้สีควันบุหรี่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา หันหลังก้าวเดินเข้าคอนโด พายุมันต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อนมันต่อ คิวแม่งเยอะ ส่วนผมนะเหรอบ่ายวันอาทิตย์แบบนี้ ขอนอนก่อนแล้วกัน เมื่อวานแม่งมหกรรมชีวิต มีเรื่องให้ตื่นเต้นทั้งวัน ขอพักใจหน่อย ดึกๆ ค่อยลุกมาปั่นงานก็ไม่สาย เตะคีย์การ์ด เข้าห้องล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินไปทิ้งตัวที่โซฟา กะจะอัปเดตข่าวสารซะหน่อยตามประสาคนต้องติดตามแทรนด์โลก

กรรมแบตหมด

เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าดึงสายชาร์จออกมาเสียบ ระหว่างรอให้มันฟื้นผมก็ลุกเดินไปเปิดตู้หยิบน้ำมากระดกดื่ม



RRR~

พอเครื่องเปิดปุ๊ป เสียงก็ดังปั๊ป รีบเดินไปนั่งลงกดสไลด์รับสายอย่างรีบร้อน เผื่อเป็นอะไรฉุกเฉินที่ผมพลาดไปตอนเครื่องปิด

“ฮัลโหลครับ"

[สุภาพทำเหี้ยไร นี่กูเอง พิม]

“ว่าไง"

[เปิดเครื่องสักทีเนอะ เมื่อคืนพวกกูโทรหากันให้วุ่น]

“โทษๆ กูลืมชาร์จ มีเรื่องอะไรกันวะ"

[มึงเข้าไปดูในไลน์กลุ่ม ตอนนี้เลย ไม่ต้องวางสายเปิดลำโพงไว้]

“เออๆ แปป"

มีเรื่องอะไรกัน ผมกดเปิดลำโพงแล้วเปลี่ยนไปเข้ากลุ่มแชท

[เข้ายัง]

“เข้าแล้ว คุยอะไรกันเยอะแยะ"

[เลื่อนไปอ่านที่จารย์ภูโพสต์]

“ใจเย็น หาแปป"

[เจอยัง]

“แปปเส่! เจอแล้ว อ่านก่อน”

[ด่วนๆ ]

เร่งจริงโว้ย ผมไล่สายตาไปตามข้อความ
A.J Phu : อาจารย์มีข่าวมาแจ้งค่ะ เนื่องจาก อาจารย์ได้รับเชิญจากมอเชียงใหม่ ให้ร่วมสัมมนาการพัฒนาสินค้าท้องถิ่น โดยได้โค้วต้าให้นักศึกษาชั้นปีที่สองเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนห้าคน ซึ่งกิจกรรมจะจัดทั้งหมด4วัน3คืนที่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เดินทางวันอังคารที่13นี้โดยรถไฟ(ไม่มีค่าใช้จ่าย) ส่วนขากลับถ้าใครต้องการนั่งเครื่องกลับรบกวนแจ้งอาจารย์ภายในวันพรุ่งนี้(จ่ายค่าเครื่องเองนะคะ) ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน อาจารย์จึงขอเสนอชื่อคนที่จะเข้าร่วมดัง..



“มึง อย่าบอกนะ"

ผมหยุดอ่านแล้วกรอกเสียงถามพิม อย่างหวั่นๆ

[เออออออ เราคือผู้โชคดี ไอ้สัด]

“เหี้ย แล้วมีแค่กูกับมึงอ๋อ"

[อ่านถึงรายชื่อยัง]

“ยัง”

[มึงก็อ่านให้จบสิโว้ยค่อยพูด]

ผมกลับมาโฟกัสตัวอักษรตรงหน้าอีกครั้ง



อาจารย์จึงขอเสนอชื่อคนที่จะเข้าร่วมดังนี้

นาย นนน สันติวงศ์ตระกูล

นาย เอกภพ ติวัฒณะ

นาย ชาตรี คงกระพัน

นางสาว พิมมาดา โสพิพิธวรรณ

นางสาว พรรณณิษา…..

“ทั้งกลุ่มเลยนี่หว่า”

[เอออ]

“ซวยฉิบหาย แค่นี้กูก็เรียนจะไม่ทันแล้วนะ”

[เมื่อคืนพวกกูก็โวยวายแบบมึงเนี่ยแหละจ้า]

[แต่จารย์บอกจารย์ส่งรายชื่อไปแล้ว เกิดรักอะไรกูขึ้นมาก็ไม่รู้วว]

เสียงไอ้โทนี่ดังแทรกเข้ามาในสาย

“กระชั้นชิดด้วยนะ ไปอังคารมีเวลาเตรียมตัววันเดียว?”

[เออ กูไปคุยกับพี่ในสายมาเขาบอกจริงๆสัมมนาอ่ะปีสามต้องไปแต่เหมือนทางนู้นเลื่อนวันขึ้นมาแล้วมันตรงกับปีสามพรีเซ้นต์ซีเนียร์ ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นเอาเราไปแทน]

“กูไม่อยากไปอ่ะ”

[กูก็ไม่อยากกกก]

“แล้วไกลโคตรร"

[ไกลไม่ว่าเสือกให้นั่งรถไฟไป กี่ชมอะมึงคิดดู]

“เทไม่ได้ ใช่ปะ หรือเราจะนั่งเครื่อง"

[กูถามแล้ว ขาไปเขาบังคับนั่งรถไฟว่ะ แต่ขากลับพวกกูคิดอยู่ว่าเอาไงก็รอมึงเนี่ยย หายหัวติดต่อไม่ได้ สรุปเมื่อคืนไปไหน]

[เอออีดอก ไม่มาช่วยพวกกูคุยกับจารย์ พวกกูติดต่อมึงไม่ได้จนห่วงไปหมดอีนนนนี่หนัก ห่วงมากกลัวมึงตายเลยไปหาที่ห้อง แต่มึงไม่อยู่ วุ่นวายกันไปหมด ประสาทจะแดก] ไอ้โทนี่พูดรัวๆ

“โทษๆ กูไปบ้านไอ้พายุอ่ะ แล้วเผลอหลับไป”

[อูยย เข้าบ้านกันแล้วว่ะ แล้วได้มะ]

“ได้ไร”

[ได้เอ็นดูกันมั้ย]

“เอ็นดูอะไรวะ ก็ปกติ”

[อีภพอย่าทำเป็นอินโนเซ้นนนส์] เสียงไอ้โทนี่ดังแทรกมาอีกแล้ว

“มันอาจจะไม่ทันจริงมึง ภพมึงกลับคำสิๆ”

ดู เอ็… โว้ยยยย พวกเหี้ย

“มึงนี่นะ ทำตัวให้มันเหมือนผู้หญิงบ้างได้มั้ย”

[ก็อยากรู้อ่ะ ได้ดูม่ะ]

"ไม่ได้ดูโว้ยย แล้วนี่อยู่ไหนกัน”

[ฮ่าๆ ห้องไอ้นนน มาปะ]

“เออเดี๋ยวไป รอแบตเต็ม”

[รีบมา เอางานมึงมาทำห้องกูด้วยก็ได้]

“ห้องใครนะ”

[ห้องพ่อกูก็เหมือนห้องกูจ้าา]

รำคาญมันจริงๆ วางสายจากไอ้พิมเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้าห้องนอนจัดของใส่กระเป๋า หยิบชุดนิสิตพับใส่ไปด้วยเผื่อนอนนู่นเลย แล้วก็นึกได้ว่าไอ้พายุมันบอกจะแวะมานี่หว่าเดินกลับออกมาจากห้องกดโทรหามัน รอสายไม่นาน เสียงเรียบๆ คุ้นหูก็ดังขึ้น

[ว่า]

[ไอ้เหี้ยย มึงไปทางขวาเส่/อย่าเตะกูๆๆ ไอ้เหี้ยยย กูจะตายๆๆ กูตาย]

"เสียงดังจังวะทำไรอยู่”

[พวกไอ้คินมันเล่นเกม โทรมามีอะไรรึเปล่า]

“เออมี มึงกูจะออกไปห้องเพื่อนนะ มึงไม่ต้องแวะมา”

[ไปห้องใคร พิมเหรอ]

มันถามเสียงเรียบท่ามกลางเสียงดังโหวกเหวก

"ห้องไอ้นนนอะ แต่ไอ้พิมกับโทนี่อยู่ด้วย”

[โอเค กลับกี่โมง ให้ไปรับมั้ย]

“ไม่ต้องๆ นอนนู่นเลย แล้วงานมึงเป็นไง”

[ยังไม่เริ่ม]

“แล้วทำมาว่ากู ก็พอกันแหละว้า”

[กูไม่ได้เล่นไง]

[คุยกะไอ้ภพอ่อวะ]

[อืม]

[ไอ้ภพ ว่างๆ มาตี้ห้องกูได้นะเว้ย]

เสียงไอ้มิกซ์ปะวะ ไม่แน่ใจ พวกมันเสียงดังมาก

[ไม่ต้องไปฟังมัน มึงถึงห้องเพื่อนแล้วบอกกูด้วย]

“โอเค ทำงานได้แล้วมึงอะ จะได้กลับบ้านเร็วๆ บ้าง”

[ครับเมีย]

“เมียพ่อง”

ผมกดตัดสาย แต่ก็ทันได้ยินเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของมันอยู่ดี เดินกลับเข้าไปเก็บของ แล้วออกจากห้อง เดินทางไปห้องไอ้นนน โดยรถไฟฟ้า แสนสะดวกสบายและราคาที่ปรับขึ้นอีก ใช้เวลาไม่นานผมก็มายืนใต้คอนโดที่คุ้นเคย กดโทรหาไอ้พิม ให้มันลงมารับ
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่15/2 เวลาคุณยิ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 26-04-2020 02:52:12
ยืนรอได้สักพัก ประตูตรงหน้าก็เปิดออก พร้อมร่างไอ้นนนที่โผล่ออกมา ผมแทรกตัวเข้าไป เดินตรงเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดค้างรออยู่ มันก็เดินตามมาติดๆ เข้ามาเตะบัตร กดชั้นเงียบๆ ตามสไตล์ แล้วก็เป็นผมที่เปิดประเด็น

“เมื่อคืนโทษนะมึง”

“อืม มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

“มึงก็ห่วงกูเกินไป แล้วนี่เตรียมของยัง”

“ยัง นั่งเคลียร์งานอยู่”

“กูไม่อยากไปเลยว่ะ”

“ทำไงได้”

“เซ็งสาสส”

“แล้วกับไอ้พายุเป็นไงบ้าง”

ถามทำไมวะ

“ก็ปกตินะ เรื่อยๆ”

“กูว่ามันไม่น่าเรื่อยๆ นะ"

“ห๊ะ”

หันไปมองมัน อย่างสงสัย

"หลังคอมึงรอยโคตรชัด ปิดดีๆ เดี๋ยวสองคนนั้นเห็นก็ถามให้วุ่นวายอีก”

แม่งเอ๊ยยย ยกมือลูบหลังคอตัวเอง แล้วเดินตามมันออกจากลิฟต์

เราเดินไปจนสุดทางเดิน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป ผมก็ได้ยินเสียงดัง โวยวาย ไอ้นนนเดินนำเข้าไปโยนคีย์การ์ดไว้บนตู้วางรองเท้าแล้วเดินแยกไปห้องนอน ผมเดินเข้าไปหาไอ้สองคนที่เอกเขนกกันอยู่ที่โซฟา

“ไงพวกมึง”

“ไอ้ภพ มึงมาพอดีเลย ช่วยกูดูหน่อย ตรงนี้กูใส่ไรเพิ่มอีกดีมั้ยหรือโอเคแล้ว อีพิมแม่งช่วยไรไม่ได้เลย”

ผมนั่งลงข้างโทนี่ มองภาพสเก็ตมัน

พรึ่บ

“เห็นมึงบอกหนาว ใส่ดิ”

ไอ้นนนโยนเสื้อ ฮู๊ดตัวใหญ่มาให้ผม มองหน้ามันเป็นเชิงถาม ร้อนจะตายห่าให้กูใส่ เพื่อ?

แล้วมันก็เอามือลูบๆ หลังคอ แล้วบุ้ยปากไปทางไอ้สองคนที่ก็มองมันอยู่เหมือนกัน ไอ้เหี้ยยบอกกูไม่ให้มีพิรุธ มึงเนี่ยโคตรพิรุธ

“มึงหนาวเหรอวะไอ้ภพ”

น้านไง พิมมันเริ่มแล้ว มันเริ่มมองสำรวจผม อย่างจับผิดไอ้นี่มันจมูกไวยิ่งกว่าหมา

“เออๆ เสื้อกูบางอะ”

พูดจบก็รีบสวมเสื้อทับทันที

“พวกมึงแปลกๆ นะ แต่ช่างเหอะ ไอ้นนนมึงควรเลิกดูแลไอ้ภพแบบนี้ได้แล้ว มันโตจนจะมีผัวแล้ว”

“ไอ้สัดพิม”

“เออๆ กูพยายามอยู่”

“เห็นมึงพูดงี้ทุกที แล้วก็ทำแบบเดิม ภพมึงก็ด้วยอย่าอ้อยให้มากนักรู้ว่าเขาชอบนี่ก็อ้อยจัง”

ห๊ะ กูอ้อยตอนไหน แล้วมันรู้เหรอว่า

“เออพวกกูรู้นานแล้วว่านนนมันแอบชอบมึง หมั่นไส้มึงสัดๆ”

“มึงมันมีดีตรงไหนวะ คนถึงได้แย่งกันนัก”

มันรับส่งกันสนุกเลย มีแค่ผมกับไอ้นนนที่ยังเงียบอยู่

“จริง! กูนะ ก็ตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ ทำไมไม่ชอบ เสือกชอบอีเหี้ยนี่”

“แหมม มั่นมากอีดอก”

“ก็กูมีดี”

“ยกเว้นปากมึง/ยกเว้นปาก/ยกเว้นปากมึงอ่ะ” พวกผมพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรามองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมา พร้อมเสียงด่า ของไอ้พิมพ์ที่ดังจนชวนปวดหัว ใครจะทนมันได้วะ อ่อ แต่ก็เห็นมีอยู่คนหนึ่ง

เมื่อวานจนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้บอกไอ้พายุว่าวันอังคารจะต้องไปเชียงใหม่ กะว่าจะบอกมันวันนี้แหละ เพราะมีเรียนรวมตอนเช้าตัวเดียวกัน เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน มัวแต่นั่งเคลียร์งาน เสร็จไปส่วนหนึ่ง เดี๋ยวที่เหลือเอาไปทำต่อ ตอนไปเชียงใหม่ด้วย ไอ้พายุเองก็เงียบหายมันน่าจะยุ่งๆ กับงานมันอยู่ผมเลยไม่ได้โทรไปกวนอะไร เข้าใจดีว่าเวลาทำงานมันต้องใช้สมาธิ

พวกผมเดินไปนั่งที่ประจำ สายตาก็สอดส่องหามันทั่วห้อง ไร้วี่แววของคนตัวสูง ยังไม่มาเหรอวะ กำลังจะกดโทรหามัน เพราะอีกไม่กี่นาทีอาจารย์ก็น่าจะเข้าแล้ว ก็พอดีกับที่สายตาผมเห็นพวกมันเดินเข้ามา นำทีมมาด้วยไอ้โอบ และไอ้มิกซ์ ที่ใบหน้ามีรอยฟกช้ำไปกัดกับหมาที่ไหนมา แล้วผมก็เห็นคนตัวสูงที่เดินตามหลังไอ้คินเข้ามา ใบหน้าฟกช้ำไม่ต่างจากไอ้มิกซ์ เห็นแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเดินเข้าไปหามันทันที

“ไอ้พายุ”

มันหันไปพยักพเยิดให้ไอ้คิน แล้วเดินแยกออกมาหาผมก่อนจูงมือไปคุยที่มุมห้อง พอมองใกล้ๆ แล้วปลายคางมันดูเขียวๆ แล้วยังมีแผลมุมปากอีก ไปฟัดกับใครมา เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย

“ไง เมื่อคืนนอนกี่โมง"

มันส่งยิ้มบางๆ แล้วยกมือขยี้หัวผมเบาๆ

“หน้ามึงไปโดนอะไรมา"

“ไม่มีไรหรอก”

“กูเห็นไอ้มิกซ์ก็มี พวกมึงไปมีเรื่องกันมาเหรอ”

“นี่กินข้าวเช้ายัง”

“ไอ้พายุ มึงตอบกูก่อนดิ มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกวะ กูเป็นห่วงนะ”

มันเงียบมองผม ก่อนถอนหายใจเล็กน้อย

“ทะเลาะกับไอ้มิกซ์”

“ห๊ะ ถึงขั้นต้องต่อยกันเลย”

“นิดหน่อยเอง”

“ใครเริ่มก่อน”

“กู”

“อ่าว”

“ฮ่าฮ่าๆ ทำไมถ้ามันเริ่มก่อนมึงจะไปต่อยมันให้กูคืนเหรอ”

“เออดิ”

“มึงแม่ง”

“อะไร เป็นบ้าเหรอ ยิ้มอยู่ได้ แล้วทะเลาะเรื่องอะไรกัน”

“เรื่องงาน"

"เรื่องงาน? ถามจริง เถื่อนไปมั้ย"

"ช่างมันเหอะ"

"แล้วทำแผลยัง"

"เมื่อคืนไอ้แดดทำให้แล้ว และสรุปมึงนอนกี่โมง”

“เกือบตีสองอะดิ แต่งานกูเสร็จนะ”

“เก่งครับเก่ง” มึงสิเก่ง ขยี้หัวกูเก่ง

“เออมึงเกือบลืม พรุ่งนี้กูไปเชียงใหม่นะ กลับมาอีกทีวันศุกร์ดึกๆ”

“ห๊ะ ไปทำไร”

“ต้องไปสัมนากับอาจารย์อะ จารย์มัดมือชกเหี้ยๆ”

“พึ่งรู้? แล้วไปยังไง”

“พึ่งรู้เมื่อวานเลย งานไฟลน ไปรถไฟ นั่งยาวๆ เกือบสิบเอ็ดชั่วโมง”

“มีเพื่อนไปด้วยใช่มั้ย”

“ใช่ๆ โดนทั้งกลุ่มอย่างเซ็ง”

“คิดซะว่าไปเที่ยว”

“กลัวจะไม่ได้เที่ยวอะดิ ต้องเอางานไปทำด้วย”

“งั้นคืนนี้กูไปนอนห้องมึงนะ พรุ่งนี้กูไปส่งไม่ได้ มีเรียนเช้า”

“โทษว่ะ แต่กูว่าจะไปนอนห้องนนนแล้วพรุ่งนี้ออกพร้อมพวกมันเลย”

“อ๋ออ”

เสียงจ๋อยเชียว ทำไมมันดูเหมือนไอ้ไมโลหมาผมอีกแล้วว่ะ

“แต่มึงแวะมาช่วยกูจัดกระเป๋าก็ได้นะ กูไปห้องไอ้นนนช่วงดึกๆ ได้”

“โอเคตามนั้น”

โคตรเหมือน เหมือนเห็นหางมันกระดิกเลย

ผมส่งยิ้มให้ไอ้พายุ ที่ก็ยิ้มให้ผมอยู่ แล้วเอื้อมมือไปแตะมุมปากมันเบาๆ เจ็บมากปะวะ ปากกำลังจะขยับปากถาม

“สองคนตรงนั้นนะคะ คุยกันเสร็จรึยังคะ จารย์เปิดสไลด์รอจะสิบนาทีแล้ว เห็นอาจารย์เป็นอากาศตลอดเลยเด็กพวกนี้”

ผมหันขวับ รีบก้าวเดินไปที่นั่ง โดยมีร่างสูงเดินตามผมมาติดๆ ก่อนแยกไปนั่งกับเพื่อนมัน ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้พิมที่ยิ้มปากฉีก ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในห้อง เขินว่ะ หันมองหน้าห้องเรียน อ่าวันนี้จารย์สาขาผมเป็นคนสอนด้วย ไม่น่าพลาดเลยยกู จารย์ยิ่งขี้เม้าท์อยู่



“เมื่อกี้มึงสองคนแม่งโคตรตลก ยืนคุยกันยังกะโลกมีแค่สองเรา”

“ขนาดจารย์เดินผ่าน ยังไม่เห็นเขาเลย”

“ตลกสุดคือจารย์ก็นั่งดูมันคุยกันงุ้งงิ้ง เอดอก”

“อย่าว่าแต่จารย์ ทั้งห้องอะ ไอ้เหี้ย”

“ทำไมไม่คบกันให้จบๆ พวกกูเชียร์จนเยี่ยวเหนียวแล้ววว”

เอิ่ม ด้านบนนั่นคือบทสนทนาของไอ้คิน ไอ้โอบ ไอ้โทนี่ แต่ที่ยกให้เป็นที่สุดคือประโยคสุดท้าย ผมอยากพูดประโยคเดิม ไอ้พิมมันยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่บ้างมั้ย ถ้าเป็นแม่มันจะตีมันวันละหลายๆ ที

เรานั่งกินข้าวกันอยู่ที่แคนทีนคณะทันตะ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รวมกลุ่มมานั่งกินข้าวด้วยกันแบบไม่มีของมึนเมา พวกมันเข้ากันได้ดี คุยกันสนุก ตบมุกกันโบ๊ะบ๊ะเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน ผมมองไปทางไอ้นนน ที่นั่งข้างไอ้แบงค์ ขนาดคนเงียบๆ อย่างมันยังคุยไม่หยุด ได้ยินมันพูดเรื่องเกมกันมาจะสิบนาทีแล้ว ก็ดีอะนะที่พวกมันเข้ากันได้ แต่ไอ้พวกที่เหลือเนี่ยทำผมประสาทจะแดก อ่อ เว้นไอ้มิกซ์ไว้คนวันนี้แม่งนั่งเงียบ ไม่พูดไม่จา แถมไม่สบตาผมเลยด้วยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมก็ลองถามไอ้พายุแล้วนะแต่มันก็บอกแค่ว่า ไม่รู้

“มึงหยุดเสือกเรื่องกูได้ปะ รีบกินเดี๋ยวขึ้นเรียนไม่ทัน"

ไอ้คนที่นั่งข้างผมนี่ก็ไม่ช่วยกันเลย นั่งนิ่งฟังพวกนี้พูดอยู่ได้

“ไม่ใช่เสือกเขาเรียกใส่ใจ”

“เลิกใส่ใจ ไม่ต้องรักกูกันมากก็ได้ กูขออ"

“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกสัด เออๆ หยุดก็ได้"

ในที่สุดพวกมันก็ก้มลงกินข้าวเงียบๆ สักที ผมตักหมูกรอบเข้าปากได้คำเดียว เสียงเล็กๆ ของไอ้พิมก็ดังขึ้นมาอีก มึงยังไม่หยุดอีกกก

“ภพ มึงบอกพายุเรื่องเชียงใหม่ยัง"

“บอกแล้วว ยุ่งกับกูจัง"

“กูก็แค่เตือนมั้ย กลัวมึงลืมไง"

“เสื… เห้ย หมูกรอบกูวว"

ผมที่กำลังจะเถียงกับไอ้พิม เป็นต้องหยุดแล้วมองตามช้อนที่เข้ามาขโมยหมูกรอบไปจากจานผม หันมองหน้าไอ้พายุที่ตักหมูกรอบใส่ปาก เคี้ยวหน้าตาเฉย มันสตีลหมูกรอบโผมม

“เห็นพูดอยู่นั่น นึกว่าอิ่มแล้ว”

“ยังไม่ทันกินเลย! หมูกรอบกู”

ป้ายิ่งให้มาน้อยๆ อยู่ด้วย ผมหันกลับมาที่จานข้าวตัวเอง รีบตักเข้าปากก่อนแม่งจะแย่งผมอีก ชอบจัง เวลาเห็นกูกินมูมมามเนี่ย

“ค่อยๆ กิน" มันพูดแล้วตักหมูนุ่มมาวางในจานผมแทน

“เอี๋ยวอึงก็แอ่งอูอีก"

ข้าวเติมปาก ภพมึงควรใจเย็น บอกตัวเองในใจ แต่เรื่องกินมันไม่ได้ป่ะหมูกรอบที่หมูนุ่มก็แทนกันไม่ได้อะ

“ไม่แย่งแล้ว ค่อยๆ กิน”

“อีภพโคตรทุเรศ ข้าวกระเด็นจากปากมึงแล้วเนี่ย"

เพราะมึงเลยพิมเพราะมึงเลยยเคี้ยวๆ แล้วหันไปขยับปากด่ามัน

“เล่นกันเหมือนเด็กฉิบหาย แล้วพวกมึงจะไปเชียงใหม่กันเหรอ" เสียงไอ้คินถาม

“ช่ายย ต้องไปสัมมนาที่มอเชียงใหม่” ไอ้โทนี่ตอบ

“เอ้า จริงดิ ภพ มึงจำเพื่อนกูได้ปะ กัสอะ มันเรียนอยู่เชียงใหม่นะ ถ้าเจอก็ฝากทักทายด้วย”

“จำได้ที่สูงๆ เหมือนนายแบบ”

“นั่นแหละๆ”

“ไม่ต้องไปคุยกับไอ้กัสมาก เจอก็ไม่ต้องทัก”

หันมองไอ้คนข้างๆ แล้วพยักหน้ารับ ผมยังจำได้ว่าคราวที่แล้วตอนเถียงกับมันเรื่องนี้แล้วผมโดนอะไร เพราะงั้นเงียบๆ ไว้น่าจะดีกว่า

“หูยย หวงฉิบหายเลยเว้ย”

“เพื่อนกูก็เชื่อฟังดี๊ดี”

“มึงมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเขาเนี่ยไอ้ยุ”

“สิทธิ์ของความเป็นผัวปะจ๊ะ”

ผัวผ่องง ไอ้พายุครับ แล้วมึงจะยิ้มทำเหี้ยไรหนักหนาเนี่ย





“เอายาไปเผื่อมั้ย"

“กูไปสัมมนาไม่ได้ไปรบ มึงนั่นแหละที่ควรพกยาคางม่วงแล้ว"

ผมนั่งจัดกระเป๋าอยู่กลางห้องรับแขก โดยมีไอ้พายุนั่งช่วยตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ มันชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กตลอด

“มึงมันซุ่มซ่าม เอายาไปเผื่อนิดหน่อยก็ยังดี"

“อืมๆ "

ลุกเดินไปหยิบกล่องยาที่ตู้ในห้องครัวแล้วเดินเข้าห้องนอนโกยสกินแคร์ลงกระเป๋า พอเดินออกมาจากห้องอีกครั้งก็เห็นไอ้พายุหยิบเสื้อผมออกจากกระเป๋า อะไรของมันอีกเนี่ย

“มึงทำอะไรวะ"

“เสื้อมึงตัวนี้บาง ไปเอาตัวอื่นมา"

“อะไรของมึงเนี่ยย บางตรงไหนน"

เดินเข้าไปวางกระเป๋าสกินแคร์ลง แล้วหยิบเสื้อที่มันเอาออกจากกระเป๋ามากาง บางยังไงสีดำด้วยซ้ำ แค่ผ้ามันพลิ้วๆ เอง

“ผ้ามันบาง ไปเอาตัวอื่น" มันพูดเสียงต่ำ เราจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สักพักสุดท้ายผมก็ถอย

“ยุ่งจริงๆ เลยมึงเนี่ย"

ผมเดินกลับเข้าห้อง ไปเปิดตู้เสื้อผ้า ยืนเลือกตัวใหม่ วุ่นวายจริงๆเลย มันก็ดีอยู่หรอกที่มันคอยเอาใจใส่แต่บางทีก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ไม่ค่อยชินกับความโดนเจ้ากี้เจ้าการเรื่องแต่งตัวเท่าไหร่ ยืนฟิดฟัดเลือกเสื้ออยู่สักพักแล้วผมก็รู้สึกถึงมือหนา ที่สอดเข้ามากอดหลวมๆ อยู่ที่เอว ใบหน้ามันวางเกยบนไหล่ ตัวผมเกร็งขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ ก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายลงเมื่อเสียงมันดังข้างๆ หูผม

“โกรธเหรอ"

“มึงโคตรวุ่นวาย"

“ก็กูหวงอะ"

“…..”

อ่า ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายวับไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นแทน มันรู้สึกดีแปลกๆ แล้วมันจะมาพูดใกล้หูทำไมเนี่ย จั๊กจี้

“กูขี้หวงไปหน่อย จะพยายามลดๆ ลงนะ"

“มึงเป็นแบบที่มึงเป็นเหอะ เสื้อตัวนั้นมันก็บางไปจริงๆ”

ฮืออ ผมแพ้มันอะ อยู่ๆ ผมก็มองว่าเสื้อมันบางไปจริงๆ บ้าไปล้าวว ไม่นะแบบนี้ไม่โอเค หยุดพูดเสียงแบบนั้นข้างหูกูซะที แล้วผมก็รู้สึกถึงริมฝีปากที่กดจูบที่หลังคอผม เอาแล้ววว นี่ขนาดยังไม่คบกันถ้าคบกัน ผมจะมีแต่เสียเปรียบปะวะ พอกูยอมหน่อยก็ตอดเล็กตอดน้อยทุกวันเลยโว้ยย

“ปล่อยกูได้แล้ว จะเก็บของ"

จับมือหนาออกจากเอว ดึงตัวเองออกจากวงแขนหนา แต่มันก็รวบผมเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม ยื้อยุดกันอยู่สักพัก สุดท้ายผมก็ปล่อยเลยตามเลย สู้มันไม่เคยได้ เหนื่อย

“ไปถึงแล้วโทรหากูบ้างนะ กูเหงา”

“อือๆ รู้แล้ว”

“อย่ากินเหล้า”

“อันนี้ไม่รับปากได้มั้ย มันก็ต้องคิกคักกันบ้าง”

“คิกคักอะไร เดี๋ยวกูจูบนะ”

“สัด โอเคๆ จะพยายาม กูไม่เมาง่ายๆ ซะหน่อย”

ผมโกหกครับ ผมเนี่ยตัวเมาเลย

“มึงอะตัวดีเลย ดูแลตัวเองไม่ได้ชอบบ้าไปตามพิมกับโทนี่”

“คิกคักหน่า อื้ออ”

ผมว่าผมเห็นอนาคตตัวเองรำไร ผมคงต้องตายคาอกมัน เข้าสักวัน



*

หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่15/3 เวลาคุณยิ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 26-04-2020 02:54:24


เมื่อคืนหลังคุณพายุเข้าจูบผมจนพอใจ ขนาดแม่งจูบไปบ่นเจ็บปากไปนะยังเล่นเอาผมแทบเหลวกองอยู่ที่พื้น หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ผมจัดกระเป๋าต่อ อันที่จริงคือไอ้พายุเป็นคนจัด ส่วนผมได้แค่นั่งมองมันยัดเสื้อผ้าและข้าวของลงกระเป๋า แล้วมันก็พาผมมาส่งถึงมือไอ้นนน แบบว่าถึงมือจริงๆ มีการจับมือแลกเบอร์กันและย้ำว่าถ้าผมว่อกแว่กให้โทรบอกได้ตลอดซึ่งไอ้นนนก็รับปากอย่างดี งงมาก มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ จากที่ก่อนหน้านี้ยังฮึ่มฮั่มใส่กันที่ร้านข้าวอยู่เลย ตามอารมณ์พวกมันไม่ทัน ก่อนไอ้พายุจะไปไม่วายกำชับว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ และโทรหามันบ้าง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับ ทำอย่างกับผมไปเป็นปี นี่ไปแค่4วันไง เล่นใหญ่เล่นโต

วันรุ่งขึ้นพวกผมเดินทางมาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงในช่วงเวลาแปดโมงเช้า สองเท้าก้าวเดิน แบกเป้ใบใหญ่ไว้ที่หลัง แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามากระทบใบหน้า ให้ความอบอุ่นมากกว่าแดดตอนเที่ยงที่ร้อนจนแสบผิว ผมเดินตามหลังพิม มันอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาว พร้อมนอน ผมเองก็อยู่ในชุดสบายๆ เราเดินผ่านกลุ่มคนที่นั่งรอเรียงรายกันจนแน่นขนัด นักท่องเที่ยวยุโรปสองสามคนนอนกันอยู่ที่พื้นโดยใช้กระเป๋าหนุนแทนหมอน ได้ฟิวของการเป็นแบ็คแพ็คเกอร์สุดๆ

ในที่สุดเราก็เข้ามาถึงด้านในเรายืนกันอยู่ที่จุดนัดหมาย รอเพื่อนคนอื่นๆ และอาจาร์ยที่ยังมาไม่ถึง ผมมองไปทางซ้ายมือ ที่มีรถไฟสีขาวแดงดูคลาสสิคจอดอยู่ จากตอนแรกที่ไม่อยากไป ความรู้สึกผมก็เปลี่ยนทันทีเมื่อมาถึงสถานี ผมไม่เคยขึ้นรถไฟเลย นี่จะเป็นครั้งแรก ดังนั้น ผมจึงอดตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ ทางขวารางรถไฟยังคงว่างเปล่า

“หวังว่าจารย์จะให้เราไปรถไฟแอร์นะ กูไม่ไหวกับความร้อนของประเทศไทย"

“หน้ากูเยิ้มหมดแล้ว"

ผมฟังพิมกับโทนี่พูด เมื่อคืนมันก็พูดแต่เรื่องนี้ กังวลถึงขนาดพิมพ์ไปถามอาจารย์แต่จารย์ผมครับจารย์ผม บันเทิงเสมอต้นเสมอปลาย บอกว่าให้รอดูหน้างาน

สำหรับผมแล้วผมได้หมด จะแบบคลาสสิคหรือรถไฟใหม่ติดแอร์ ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นอยู่ดี



ยืนรอได้ไม่ถึงสิบนาที อาจารย์ก็เดินลากกระเป๋าใบย่อมๆ สับเท้าฉับๆเข้ามาหา พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ที่ผมหวั่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น ผมยกมือไหว้ แล้วส่งยิ้มที่คิดว่าเปรมปรีดิ์ที่สุดกลับไปให้

“มากันครบมั้ยคะ"

“ขาดพิวค่ะ กำลังเดินขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน"

“โอเค งั้นรับตั๋วกันไปก่อน"

“แอร์มั้ยคะจารย์"

ไอ้พิมรีบถาม

“แอร์สิคะพิม"

ผมเห็นไอ้พิมยกยิ้มกว้าง ไอ้โทนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีใจกับมันด้วย หน้ามึงจะไม่ฉ่ำวาวไปกว่านี้แล้ว ไอ้นนนยังคงยืนเงียบตามสไตล์

ไม่กี่นาทีต่อมา พิวก็วิ่งหน้าตาตื่นหอบกระเป๋าสองใบสามใบเข้ามา มันจะย้ายบ้านเหรอ ผมยืนฟังคนอื่นๆ ถามว่ามันหอบอะไรมาเยอะแยะ และมันก็ให้คำตอบด้วยเสียงหอบเบาๆ ว่าของกินสำหรับเราทุกคน มันบอกบนรถไฟของอาจจะแพงขึ้นอีก ซึ่งอันนี้ไอ้พายุก็มีบอกผม แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ นับว่าพิวมันรอบคอบมาก มีเพื่อนดีเราก็จะไม่อดตาย

ผมก้มมองตั๋วในมือที่มีชื่อผมและเลขที่นั่งกำกับอยู่ ชูหา มุมดีๆแสงสวยๆ แล้วยกมือถือขึ้นมาถ่ายก่อนโพสต์ลงไอจีไว้เป็นความทรงจำว่าผมได้ขึ้นรถไฟครั้งแรกในชีวิต



โพสต์รูปพร้อมแคปชั่น



Ekkapop : ชอบทะเล แต่กำลังจะไปหาเขา #ขึ้นรถไฟครั้งแรก



รู้ว่ามันเสี่ยว แต่ขอคิกคักหน่อยแล้วกัน

โพสต์เสร็จ ผมก็ไถดูรูปคนอื่นๆ ต่อ ตอบคอมเม้นท์กวนตีนของเพื่อนๆเล็กน้อย แล้วเสียงแตรก็ดังมาแต่ไกล ทำให้ผมละความสนใจจากหน้าจอ ขึ้นมามองรถไฟสีเงิน ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบท่า ภายนอกมันดูใหม่และทันสมัยแตกต่างจากรถไฟที่จอดอยู่ตรงข้ามกัน อย่างชัดเจน เรานั่งรอเวลาไม่นาน รถไฟก็พร้อมออกเดินทาง พวกผมเดินกันไปที่ตู้รถไฟตามหมายเลขบนหน้าตั๋ว เดินไปตามทางที่มีเก้าอี้สีแดงสองฝากขนาบเรียงเป็นทาง มาหยุดยืนที่ เลขที่นั่งของผมที่ตรงกับเลขบนตั๋ว ผมได้ชั้นล่าง ไอ้พิมได้ชั้นบน ผมตื่นเต้นกับทุกอย่าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป และโพสต์ลง ไม่หยุด จนกระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

การเดินทางของผมได้เริ่มขึ้นแล้ววว

เราใช้เวลาเดินทาง เป็นสิบๆ ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงเชียงใหม่เกือบเจ็ดโมงเช้า ผมวางกระเป๋าลงทันทีที่เดินลงจากรถไฟบิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยและความง่วงงุ่นออกไป ยกมือขึ้นบังแสงของวันใหม่ที่สาดเข้าใบหน้า สูดเอากลิ่นของใบไม้ใบหญ้ายามเช้าไว้เต็มปอด อากาศดีกว่ากรุงเทพอย่างชัดเจน

ตลอดการเดินทาง ผมแทบไม่ได้เตะโทรศัพท์เลย เรากิน หัวเราะ พลัดกันเล่าเรื่องตลก และเล่นเกมส์ต่อเพลงกันตลอดทาง พอสักสามทุ่มเราก็แยกย้าย ผมคิดว่าผมจะได้นอนสบายๆ ด้านล่าง และตื่นมาดูวิวในยามเช้า หวังจะได้เห็นแสงแรกผ่านมุมมองจากบนรถไฟ แต่ทันทีที่พนักงานมาปรับเป็นเบาะนอน ไอ้พิมก็งอแงขอนอนข้างล่างทันที สุดท้ายผมก็ระเห็จไปนอนชั้นบนแทน ชั้นบนก็ไม่ได้แย่อากาศปลอดโปร่งกว่าด้วยซ้ำ แต่พื้นที่มันพอดีตัวเกินไปหน่อย วิวก็ไม่ได้เห็นแถมได้ความปวดเมื่อยเป็นของแถมอีก

เราเดินทางต่อด้วยรถตู้ที่ทางมอเชียงใหม่ส่งมารับ และเข้าพักในโรงแรมไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่สัมมนา ไม่มีเวลาให้ได้พักหรือซึมซับบรรยากาศ จารย์ก็บอกให้พวกผมรีบเก็บของเราจะแวะกินข้าวกัน และต้องรีบเข้าฟังสัมมนาในช่วงบ่ายทันที การบรรยายเป็นไปอย่างน่าเบื่อ อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ผมเลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ รู้แค่ว่า พรุ่งนี้จะมีการลงพื้นที่บลาๆ

กว่าจะจบการสัมมนาก็เกือบสี่โมงเย็น ถือว่าการมาครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว เพราะนอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ ในสาขาอื่นๆแล้ว ผมยังได้ความรู้เรื่องผ้าท้องถิ่น ซึ่งมันน่าจะช่วยผมได้เยอะตอนผมขึ้นปีสาม และคนที่ผมไม่คาดหวังว่าจะได้เจอผมก็เจอจนได้

“กัสส กัสแนะนำร้านนั่งชิลบรรยากาศดีๆ ให้เราหน่อยสิ คืนนี้เราว่าจะออกชมเมืองหน่อย”

ผมมองไอ้โทนี่ที่บีบเสียงเล็กเสียงน้อย ยืนเกาะแขนกัส เหมือนสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน แน่หล่ะ หน้าเก๋ ขาว สูง หุ่นดีแบบนี้สเปคมันเลย ตอนกัสมันเดินเข้ามาทักผม ไอ้โทนี่ถึงขั้นอุทานตาโต

แต่ต้องยอมนะ ผมบอกแล้วอย่างไอ้กัสเนี่ยเดินแบบได้สบายๆ

“เดี๋ยวเราพาไปก็ได้”

“หู้ยย ใจดีจัง”

“กัสมึงแค่บอกชื่อมาก็ได้ กูเกรงใจ” ผมพูดขัดขึ้น

ไอ้กัสมองผมแล้วส่งยิ้มมาให้

“มึงมาถึงนี่ทั้งที กูพาไปได้”

เออเอาเหอะผมพยักหน้ารับเบาๆ มองมันที่ยังคงส่งยิ้มเจิดจ้าให้ผมโดยมีไอ้โทนี่ออเซาะอยู่ใกล้ๆ ไอ้นี่ก็ชัดเจนเหลือเกินว่าอยากได้เขา แล้วแขนผมก็ถูกสะกิดยิกๆ หันมองไอ้พิมที่เอามือป้องปากแล้วกระซิบข้างหูผม

“กัสดูมองมึงแปลกๆ นะ"

“ยังไง"

“ไม่รู้ดิ กัสคือเพื่อนคินกับพายุใช่ปะ"

“อืม เพื่อนที่ติวมาด้วยกัน"

“เขามองมึงแปลกจริงๆ นะ ดูมีความอยากได้ อยากเล่นกับของเพื่อนอ่ะ"

“ก็บ้าแล้ว มึงคิดมากมันเป็นคนเฟรนด์ลี่"

“มึงอ่ะคิดน้อยไป”

“กูเห็นด้วยกับพิม ถ้าไอ้โทนี่มันอยากไป เดี๋ยวกูไปกับมันเองพวกมึงไม่ต้องไป” เสียงไอ้นนนดังขึ้นด้านหลังพวกเรา มันได้ยินได้ไงวะ ผมกับไอ้พิมไม่ได้คุยกันเสียงดังเลยด้วยซ้ำ หูดีเวอร์

“กูจะไปด้วย ภพมึงอยู่กับพิวไป รายนั้นเด็กอนามัยมันไม่ออกแน่นอน”

ผมพยักหน้ารับ เพราะผมก็ไม่อยากไป เหนื่อยจะตาย มันยังมีแรงไปเที่ยวกันอีกได้ไง





ตกลงกันซะดิบดี ไหงสุดท้ายมาจบกันที่หน้าห้องผมวะ

ผมยืนอยู่หน้าประตูมองพวกมันที่ยืนถือถุงกันคนละถุงสองถุง ไอ้พิมส่งยิ้มแหย่ๆ มาให้

“โทษวะ จารย์มาเจอตอนพวกกูกำลังจะออก เขาเลยห้าม” มันพูดแล้วเดินแทรกตัวเข้ามา ไอ้นนนกับโทนี่เดินตามเข้ามาโดยไม่ลืมลากแขนกัสให้เข้ามาด้วย

“รบกวนด้วยนะมึง"

ผมปิดประตูเดินกลับมานั่งที่เตียงคิงไซส์ ท่ามกลางพวกมันที่กระจายตัวอยู่บนพื้นและบนเตียง

“แล้วทำไมต้องห้องกูวะ กูอยากนอนเนี่ย”

“ห้องมึงคนเดียวที่ไหนนี่ก็ห้องกูกับไอ้นนนด้วย อีกอย่าง ห้องไอ้พิม พิวมันก็หลับไปแล้ว” ไอ้โทนี่พูด

“ภพมึงไปนอนห้องนู่นก่อนก็ได้”

ไอ้พิมหันมาบอกผม ลำบากกูอีก

“ช่างเหอะ กูอยู่นี่แหละ”

มองพวกมันที่เริ่มแจกจ่ายเครื่องดื่ม กัสส่งมาให้ผมกระป๋องหนึ่ง ผมรับมาถือไว้ แต่ไม่คิดเปิดดื่ม ก็รับปากไอ้พายุไว้แล้วว่าจะไม่ดื่ม มาวันแรกผมจะตบะแตกไม่ได้ แม้ในใจจะแอบหวั่นๆ เหนื่อยๆ แบบนี้เบียร์สักกระป๋องคือเดอะเบสปะ

“มึงขอขนมนั่นหน่อย” ผมชี้ไปในถุง ไอ้นนนหยิบส่งให้ผม แกะห่อ ออกแล้วหยิบมันฝรั่งแผ่นหยักเข้าปาก ตาก็มองจอทีวีที่เปิดละครหลังข่าวค้างอยู่ พลางฟังพวกมันพูดคุยกันไปด้วย

“กัสไปรู้จักกับคินตอนไหนเหรอ”

มองไอ้โทนี่ที่นั่งออเซาะ กัสมันก็ดีนะ ดูไม่ได้ทำท่าทางอึดอัดอะไรให้เห็น อย่างที่บอกมันเข้ากับคนง่าย แถมรู้ว่าต้องเข้าหาคนยังไงให้คนชอบ ก็ดูมันดิพูดกับไอ้โทนี่แทนตัวเองซะสุภาพ เล่นเอาเพื่อนผมยิ่งไปไหนไม่รอดเลย

“ช่วงติวสอบเข้าเนี่ยแหละ”

“ก็รู้จักกันมานานแล้วสิ แล้วรู้จักพายุด้วยมั้ย”

“รู้ ติวมาด้วยกันทั้งนั้น”

“เสียดายเนอะเธอน่าจะสอบติดที่เดียวกัน”

“ฮ่าๆ ตอนแรกผมก็ไม่เสียดายหรอกนะ อยู่นี่ก็สนุกดี แต่ตอนนี้ก็ชักเสียดายหน่อยๆ แล้วเหมือนกัน” ผมมองมันเมื่อรู้สึกถึงหางเสียงที่ส่งมาทางผม และใช่ไอ้กัสมันมองผมและยกยิ้มมุมปากอยู่

“แต่ไม่เป็นไรเนอะ ถึงตัวจะห่างแต่ใจเราใกล้กันได้”

“นั่นสินะครับ” ไอ้กัสยังคงมองผม ผมมองหน้าเพื่อนแต่ละคน อย่างรู้กัน แม้แต่ไอ้โทนี่ยังพยายามช่วยดึงความสนใจ

“กัสๆ แล้วพรุ่งนี้กัสลงพื้นที่ด้วยใช่มั้ย”

“ครับ เจอกันทั้งวันแน่นอน”

“ภพ มึงได้โทรหาพายุยัง”

อยู่ๆไอ้พิมก็พูดแทรกขึ้นมา มองมันงงๆเปลี่ยนเรื่องไวจังวะ

“ยังว่ะ”

“รีบไปโทรไป เมื่อกี้พายุโทรหานนน บอกมึงไม่รับสาย”

“ห๊ะ” โทรมาตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่อง มองไอ้นนนเป็นเชิงถาม และมันก็พยักหน้ายืนยันคำพูดพิม

“โทรหาพายุได้แล้ว เดี๋ยวมันเป็นห่วง”

ไอ้พิมเร่งยิกๆ ไม่พอยังลุกไปหยิบโทรศัพท์ผมที่วางอยู่โต๊ะเครื่องแป้งมายัดใส่มือผมให้เสร็จสรรพ จะว่าไปผมก็ไม่ได้เช็กโทรศัพท์เลย หน้าจอสว่างวาบพร้อมข้อความจากแอปพลิเคชันต่างๆ และหนึ่งในนั้นมีสายที่ไม่ได้รับจากไอ้พายุอยู่จริงๆ ผมดูเวลาที่มันโทรมาครั้งแรกเมื่อเช้าช่วงสายๆ และอีกครั้ง ตอนเที่ยง และครั้งล่าสุด คือตอนทุ่มกว่าๆ ช่วงที่พวกไอ้นนนออกไปจากห้อง ผมลืมเปิดเสียงอะ แล้วก็ยุ่งๆ เหนื่อยๆ จนไม่ได้สนใจโทรศัพท์เลย โทรไปตอนนี้มีหวังโดนบ่นยาว แต่ไม่โทรก็ไม่ได้ รีบสไลด์หน้าจอกดโทรหามัน รอสายไม่นานพายุก็รับสายผม

[….]

“มึง กูลืมเปิดเสียงอ่ะ กูถึงเชียงใหม่แล้ว ถึงปุ๊ปก็เข้าห้องสัมมนาเลย ไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลย เหนื่อยมากเลยด้วย”

[อืม กูโทรถามไอ้นนนแล้ว และนี่ได้กินอะไรยัง]

“กินแล้วๆ นี่ก็จะนอนแล้ว”

“ตอแหล พายุไอ้ภพมันนั่งแดกเหล้ากับพวกกูอยู่” สัดไอ้พิม หาเรื่องให้กู มองพวกมันที่นั่งขำกันแม้แต่ไอ้กัสก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย

[เปิดกล้องหน่อยดิ]

“เปิดทำไม พวกมันกิน กูไม่ได้แตะเลยจริงๆนะ”

[กูเชื่อ เสียงมึงยังดูปกติ ที่ให้เปิดกล้องอะแค่อยากเห็นหน้า มึงไม่รับโทรศัพท์ทั้งวัน รู้มั้ยกูเป็นห่วง]

“เออรู้แล้ว ขอโทษๆ”

แล้วผมก็กดเปิดกล้อง พร้อมๆ กับมันที่ก็เปิดกล้องเหมือนกัน มองใบหน้าคม ที่ยังคงมีร่องรอยของแผลที่มุมปาก

“แผลมึงเป็นไงบ้างวะ"

[เจ็บนิดหน่อย รอมึงมาทายาให้]

“ให้แสงแดดทาดิ กว่ากูจะกลับมึงก็คงหายพอดี”

[มือแม่งหนัก]

“แล้วกูมือเบามากมั้ง”

[ก็เบากว่าไอ้แดด]

“ไอ้พายุ ไงมึง” อยู่ๆ ไอ้กัสก็ลุกขึ้นมานั่งลงข้างผม แล้วโผล่หน้าเข้ามาในกล้อง มือมันโอบอยู่บนไหล่ผม ส่งยิ้มทักทายคนในจอ

เอาหล่ะ ผมว่าชักไม่ดีแล้วเพราะหน้าไอ้พายุเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยทันที

[เออ ไอ้สัด เอามือออกจากไหล่ไอ้ภพ]

“หวงจังวะ กูกับภพก็เพื่อนกันมั้ย”

[เอาออก]

ผมเริ่มขยับตัวออกจากไอ้กัสทันทีที่ได้ยินเสียงต่ำๆ ของมัน อะไรวะทำไมกูต้องกลัวมันด้วยเนี่ย

“ฮ่าๆ มึงนี่นะ จริงจังฉิบหาย ภพกลัวหมดแล้ว”

[มึงอะเล่นไม่รู้เรื่องไอ้ห่า ออกไปไกลๆคนของกู]

“อู้วหูววว ของกูว่ะ”

“หมั่นไส้โว้ยย”

ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนที่ส่งเสียงกันระงม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถูกใจ โดยเฉพาะไอ้พิมที่ตบเข่าฉาด ท่าทางมันเหมือนเชียร์มวยอยู่เลยอะ ไอ้นนนยังมองมันแล้วยิ้มขำ

“เต็มปากเต็มคำจังนะไอ้สัด กูถามไอ้คินมันบอกพวกมึงยังไม่ได้คบกัน”

[….]

“เงียบเลยนะมึง แบบนี้กูก็ยังมีหวังอะดิ”

ผมมองหน้าไอ้พายุในจอที่ขมวดคิ้วมุ่น ไอ้กัสนี่ก็ยังไงวะ ไม่รู้แม่งแค่แกล้งเล่นหรือจริงจังแต่มันกำลังจะพาปัญหามาให้ผม มองไอ้คนในกล้องที่ดูน้ำท่วมปาก ก่อนผมจะพูดบ้างหลังจากที่เงียบมานาน

“อย่าหวังอะไรจากกูเลย กูให้มึงไม่ได้หรอกเพราะตอนนี้กูชอบพายุ”

แล้วผมก็เห็นรอยยิ้มกว้างของไอ้พายุอีกครั้ง ผมว่ามันเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าหน้าตาบูดบึ้งตั้งเยอะ




นอกจากเรื่องนี้ตอนนี้มีเปิดอีกเรื่องไว้ด้วย แวะไปอ่านกันได้ค่า

ชื่อ คานาเล่ชิ้นนั้น ให้ผมกินเถอะนะครับ เหตุเกิดจากอยากกินคานาเล่แต่ออกจากบ้านไม่ได้ ตั้งใจจะแต่งขำๆ แต่เขียนไปเขียนมามันหม่นเกิน แต่เขียนไปเยอะแล้วจะมาทยอยอัพพร้อมๆกับเรื่องนี้

 คำเตือนเรื่องนั้นจะแนวหม่นๆหน่อย ถ้าใครกลัวเครียดก็ข้ามได้เลยค่า สุดท้าย ฝากเอกภพกับพายุไว้ด้วยน้า
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่15 เวลาคุณยิ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-04-2020 20:26:51
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่15 เวลาคุณยิ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-04-2020 22:30:44
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่16 คิด(ถึง)
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 07-05-2020 14:18:43
“พิมมึงไหวมั้ย”

หันไปถามไอ้พิมที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆผม กรอบหน้าชื้นด้วยเหงื่อ ใต้ตาดำคล้ำ จนอดเป็นห่วงไม่ได้ 

“กูโอเค” มันตอบเสียงเบา มือจับด้ามไม้กดผ้าให้จมในหม้อต้ม 

ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง แล้วหันกลับมามองผ้าในหม้อของผม

‘หมดสภาพ’ คำนี้ไม่ได้ใช้แค่กับไอ้พิมแต่กับผมด้วย 

วันนี้คือวันที่สามที่ผมอยู่เชียงใหม่ เมื่อวานเรามาลงพื้นที่กันที่ กลุ่มทอผ้าฝ้าย แม่ริม ซึ่งหน้าที่ของเราที่อาจารย์มอบหมายให้ คือ ลงไปศึกษาขั้นตอน สินค้าของชุมชน รวมถึงปัญหา แล้วมาคิดวิธีการปรับปรุงให้มันร่วมสมัยมากขึ้น

อาจจะสงสัยทำไมเรียนแฟชั่นแต่มาทำอะไรไทยจัง ที่มอผมเขามีแนวการสอนที่อาจจะไม่เหมือนที่อื่น เขาเน้นให้เราเอาความเป็นไทยมาใช้ในงานด้วย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีลายไทยหรืออะไรแบบดั้งเดิมหรอก เราแค่เอาวิธีเดิมๆมาใช้สร้างงานให้มันดูสากลมากขึ้น ก็คงเหมือนกับ อิซเซ่ มิยาเกะ ที่ในงานเขาก็จะมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งนั้นแหละคือตัวตนของคนสร้างงาน 

พวกผมต้องคิด ออกแบบ ทำตัวอย่าง และนำเสนอ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานั้น มีตัวกำหนดที่สำคัญที่สุดคือ เวลา 

เราเหลือวันที่จะอยู่ที่นี่อีกแค่สองวันเท่านั้น ถ้านับรวมวันนี้ ดังนั้นเมื่อวานตลอดทั้งวันหลังพวกผมคลุกอยู่กับแม่ๆเรียนรู้ทุกกระบวนการของผ้าฝ้ายแล้ว เราก็ต้องกลับมาคิด ออกแบบและพรีเซ้นส์ย่อยๆให้กับจารย์ฟัง ไม่ใช่แค่พวกผม แต่กลุ่มเด็กเชียงใหม่เองก็ต้องทำ แต่แตกต่างกันตามสิ่งที่เรียนมา

มันก็สนุกดี อย่างที่ผมบอกมอผมเน้นเรื่องนี้ดังนั้นปีหน้าที่ผมต้องทำซีเนียร์ มันจะง่ายขึ้นถ้าผมเลือกใช้ผ้าฝ้ายย้อมธรรมชาติเป็นหัวข้ออะนะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ เมื่อคืนเราแทบไม่ได้นอน พอกลับห้อง คิดว่าจะได้พัก เราก็ต้องลุกมานั่งเคลียรูการบ้านกันอีก เอาเป็นว่าเมื่อวานทั้งวันผมยุ่งสุดๆ

ตารางวันนี้ก็ไม่ต่างกัน ได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียว ก็ต้องลุกมาอาบน้ำแต่งตัวออกมาที่กลุ่มทอผ้าอีกครั้ง เรามาถึงนี่กันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กินข้าวกับแม่ๆ และเริ่มอธิบายสิ่งที่เราออกแบบ รวมถึงลงมือทำตัวชิ้นงานให้ดู ผมกับพิมดูเรื่องย้อม โทนี่กับนนนดูเรื่องแพทเทิรน์ ส่วนพิวรับหน้าที่เย็บไป เรามีเวลาเหลือแค่วันนี้และพรุ่งนี้แค่ครึ่งวัน แล้วต้องนำเสนอต่อในช่วงบ่ายก่อนที่เราจะบินกลับกทม 

“มึงไปพักเหอะ เดี๋ยวกูดูเอง” ผมบอกเมื่อเห็นไอ้พิมยืนหลับกลางอากาศ ดึงไม้จากมือมันมาถือไว้แทน แล้วดันตัวมันให้เดินไปทางตัวบ้าน กลายเป็นตอนนี้ผมต้องคอยกดผ้าทั้งสองหม้อ มองไอ้พิมที่ดูเดินลอยๆออกไปจนพ้นสายตา 

มันคงไม่ไหวแล้วแหละ อย่าว่าแต่มันเลยผมเองก็ปวดหัวตุบๆ ถึงจะยืนอยู่ในที่ร่ม มีหลังคาบังแดด แต่อากาศร้อนอบอ้าว และควันร้อนจากหม้อต้ม ก็ทำหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ 

ถ้าจบงานนี้ผมอยากนอนยาวๆสักหนึ่งวัน แต่นั่นคงเป็นแค่ความคิด ก็ในเมื่อทันทีที่ผมกลับไป การบ้านก็ยังรอผมอยู่ ให้ตายสิ แค่คิดก็อยากร้องไห้แล้ว 

“ไหวมั้ยมึง” เงยหน้ามองคนมาใหม่

คืนนั้นก่อนมันกลับ มันบอกผม 

‘อันที่จริงกูก็แซวมึงเล่นๆท่าทางมึงกับรีแอคชั่นไอ้พายุมันตลกดี’

‘กูว่าแล้ว’ แล้วมันก็ยิ้มบางๆ

‘แต่พอได้ยินมึงปฏิเสธขึ้นมา ก็แอบเจ็บเหมือนกันว่ะ เหมือนอกหักเลย’

‘เวอร์ฉิบหาย’

‘ฮ่าๆ เออกูไปแระพรุ่งนี้เจอกัน’

แล้วมันก็เดินออกจากห้องไป ก็ง่ายๆแบบนี้แหละ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก แค่ที่เรียนอยู่ก็จะตายอยู่แล้ว หลังจากนั้นไอ้กัสก็ไม่เคยแสดงท่าทางสนใจผมหรือพูดจากวนๆอีก 

“เหม่ออะไรวะ หลับเหรอ”

“ห๊ะ”

“กูมาตามไปกินข้าว”

“ไอ้นนนกับโทนี่อะ”

“นนนดูพิมอยู่ พิมปวดหัว โทนี่ก็กินข้าวอยู่ ไม่เห็นมึงกูเลยอาสามาตาม”

“อ่อเออ กูเอาผ้าขึ้นก่อนเดี๋ยวตามไป”

“ให้กูช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไร มึงไปเหอะ”

ผมมองเวลา ยังต้องรออีกสองสามนาที ถึงจะเอาขึ้นได้ แต่ผมก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน มึนหัวโคตรๆ 

หันไปสวมถุงมือยาง หยิบที่คืบ มาหนีบผ้าขึ้นจากหม้อแรก หนักจังโว้ยย ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเอาไปวางพักในกะละมังที่มีน้ำสะอาดรออยู่ แล้วเดินกลับมาจะเอาผืนที่สอง หนีบผ้าที่หนักขึ้นเพราะน้ำที่แทรกซึมอยู่   มันหนักกว่าชิ้นแรก 

“เหี้ย/เห้ย ไอ้ภพ”

เรียบร้อย ผ้าร่วงกลับลงไปในหม้อ และแรงกระแทกของมันก็ทำให้น้ำร้อนๆกระเด็นเข้าตัวผม ถึงจะขยับถอยหนี แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกแสบร้อน ที่หน้าท้อง ก้มมองเสื้อตัวเองที่มีรอยสีส้มเป็นวงหย่อมๆ

“มึงโอเคมั้ยไปล้างน้ำเย็นก่อนไป ตรงนี้กูจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรนิดเดียวเองมึง”

“ไปเหอะสัด”

ผมพยักหน้า ขอบคุณมัน แล้วเดินไปที่ก๊อกน้ำ ถลกเสื้อขึ้นดู และเห็นรอยแดงๆเป็นปื้นๆ แสบนิดหน่อย กวักน้ำเตะแผลเบาๆ แล้วเดินกลับไปที่กะละมังที่ไอ้กัสหนีบผ้าอีกผืนมาใส่ เรียบร้อยแล้ว

“เป็นไงบ้าง”

“เล็กน้อยหน่า”

นั่งลงขยี้ผ้า ล้างสีตกค้างออกจนหมด แล้วจัดการเอาขึ้นตากโดยได้รับความช่วยเหลือจากมัน

กว่าผมจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน และได้กินข้าว ตอนนั้นทุกคนก็กินกันจะเสร็จแล้ว

“ทำไมพึ่งมาวะ” ไอ้โทนี่ถามผม ก่อนจะมองเสื้อผมที่เปียกชุ่มด้วยความสงสัย “แล้วทำไมสภาพมึงเละขนาดนี้”

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” เดินไปนั่งลงข้างมัน โดยมีไอ้กัสเดินตามมานั่งใกล้ๆ มองไอ้พิมที่ฟุบหลับอยู่ตรงข้าม ข้างกันมีไอ้นนนที่คอยโบกกระดาษพัดให้อยู่ “ไอ้พิมเป็นไงบ้าง”

“ให้กินยาไปแล้ว” ไอ้นนนตอบพลางมองสำรวจผม “มึงหน้าซีดนะ”

“คงร้อนมั้ง” แล้วมันก็วางกระดาษในมือลง ดันกล่องข้าวและขวดน้ำมาให้ตรงหน้า ผมเปิดกล่องออก รีบตักข้าวผัดไก่ เข้าปาก พึ่งรู้ว่าตัวเองหิวก็ตอนเห็นข้าวมาอยู่ตรงหน้าเนี่ยแหละ

“ไอ้กัสของมึงไปเอาเองนะ” 

“เออรู้” แล้วมันก็ลุกเดินออกไป 

“ผ้ามึงย้อมเสร็จยัง” พยักหน้าตอบไอ้โทนี่

ไม่โอเคว่ะ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลย 

“ของพวกกูก็เสร็จแล้ว รอผ้ามึงแห้ง รีบเย็บแล้วจะได้จบสักที คืนนี้กูจะเทงานทุกอย่างกูจะนอน นอนเท่านั้น!”

“ภพ มึงกินอีกหน่อยดิ” ไอ้นนนบอกผม เมื่อมันเห็นผมปิดฝากล่องลง

“เดี๋ยวมากินต่อ ไปห้องน้ำแปปนึง” ผมรีบลุกสาวเท้าเดินไปห้อง ทันทีที่ปิดประตู ผมก็โก่งคออาเจียนเอาข้าวที่พึ่งกินไปได้แค่ครึ่งกล่องออกมา จนรู้สึกแสบคอ ไปหมด วันนี้มันวันบรรลัยอะไรของผมวะ

หันมาล้างหน้า กวักน้ำล้างปาก และเช็ดน้ำตาที่หางตาออก แต่ยังไม่ทันไร ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอก็ทำให้ผมรีบหันกลับไปโก่งคออ๊วกอีกครั้ง ยิ่งมองเห็นคราบเหลืองๆดำๆที่โถส้วมแล้ว เหมือนทุกสิ่งอย่างก็พร้อมจะกระโจนออกมาจากตัวผมมากขึ้น ฮือออ 

ผมเป็นอารายยย

แสบคอไปหมดเลยโว้ยย

ก๊อกๆ 

“ไอ้ภพ เปิดประตู” ผมได้ยินเสียงนนน เอื่อมมือไปหมุนลูกบิด ในขณะที่ยังตะบี้ตะบันอ๊วกจนหน้าดำหน้าแดง 

มันเข้ามาไม่ถามอะไร แค่ลูบหลังผม แล้วตบๆก่อนที่ผมจะรู้สึกดีขึ้น หันกลับไปล้างปาก ล้างหน้าล้างตา 

“กูว่าเมื่อกี้กูกินเร็วไป”

“อาหารไม่ย่อย?”

“มั้ง แต่ไม่ไหวว่ะ มันมาอีก...”

ผมหันไปอาเจียนอีกครั้งขอเถอะครั้งสุดท้ายนะ แสบคอไปหมดแล้ว เห็นเม็ดข้าวที่ยังเป็นเม็ดสวยแล้วอยากจะบ้า ไม่ย่อยของจริง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมไอ้นนน กลับไปที่โต๊ะ นั่งลงข้างไอ้พิมที่ยังฟุบหลับอยู่ ไอ้กัสกับโทนี่มองผมด้วยความตกใจ แน่หละสถาพผมตอนนี้ ตาแดงจมูกแดงไปหมดเสื้อก็ยังเปียกทั้งสีและเหงื่อชุ่มๆ ขอหน่อยเหอะ ผมเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน 

“มึงของีบ20นาที แล้วจะกลับไปช่วยนะ” 

มองพวกมันที่พยักหน้า แล้วผมก็ฟุบนอน หลับไปทันทีอย่างง่ายดาย 



“อีภพ มึงตื่นได้แล้ว” เสียงไอ้โทนี่ปลุกผม ค่อยๆลืมตาขึ้นมา แล้วพบว่าผมอยู่บนรถ ที่จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าโรงแรมแล้ว นี่ผมหลับลึกขนาดไหนวะถึงไม่รู้ว่าโดนลากขึ้นรถมาตอนไหน

“โทษว่ะกูหลับยาวเลย งานเป็นไงวะทำไมพวกมึงไม่ปลุกกูอะ”

“เสร็จแล้ว กูปลุกแล้วแต่มึงไม่ตื่น”

“ขอโทษว่ะ”

“เออไม่เป็นไร รีบขึ้นห้องเหอะกูอยากอาบน้ำนอนเติมที” พิวพูดแล้วเดินนำไป พวกผมเดินตามไปติดๆแล้วผมก็พึ่งสังเกต ทำไมเราเหลือกันแค่สามคน

“ไอ้นนนกับพิมอ่ะ”

“เข้าไปแล้วพิมมันมีไข้ นนนเลยพามันเข้าไปแล้ว” 

“หนักเหรอวะ”

“ก็เล่นเอามันซึมไม่พูดไม่จาทั้งวัน กูว่ามันเหนื่อยสะสมแหละ แล้วพออดนอนแล้วมาเจอแดดกับความร้อนเลยไปกันใหญ่ มึงก็พอกันคืนนี้อย่าฝืนอะรีบนอน” ไอ้โทนี่ร่ายยาว 

“มึงก็ด้วยเหอะ”

“โน กูรู้ลิมิตตัวเองไง ไม่เหมือนมึงจ๊ะ”

เราเดินไปส่งพิวที่ห้อง แวะเข้าไปดูไอ้พิมที่นอนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว และเดินกลับไปที่ห้อง





[พายุ]

11.30 น.

ผมนั่งดูคลิปสั้นๆที่ไอ้กัสพึ่งส่งมา พร้อมข้อความกวนตีน มองร่างบางที่ยืนถลกเสื้อกวักน้ำตบๆที่พุง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันโดนแอบถ่ายอยู่ มองใบหน้าด้านข้างที่ดูชื้นเหงื่อ และขาวซีด ยิ่งตอนที่ใบหน้านั้นหันมาก่อนที่วิดีโอจะตัดจบ มันดูโทรมมาก 

เป็นห่วง คำนี้ขึ้นมาให้หัวผมทันที ผมไม่ได้คุยกับไอ้ภพมาสองวันแล้ว มันดูยุ่งมากจนคงลืมที่จะดูโทรศัพท์ อันนั้นไม่เท่าไหร่ที่ผมห่วงคือกลัวมันจะมัวแต่ทำงานจนลืมกินลืมนอนเนี่ยแหละ ผมได้แต่คอยถามเรื่องมันกับไอ้นนน และตอนนี้ก็จากไอ้กัสอีกคน ถึงแม่งจะชอบส่งข่าวมาพร้อมความกวนตีนแค่ไหนก็ตาม 

Payu: ภพมันเป็นไรทำไมต้องถลกเสื้อขนาดนั้น

August: ซุ่มซ่ามไงทำผ้าตกลงหม้อต้มน้ำร้อนเลยกระเด็นใส่

Payu: แล้วทำไมมึงไม่ช่วยมันจับ

August: กูจะช่วยแล้วแต่มันบอกจะทำเอง 

ให้ตายดิ โคตรเป็นห่วงเลย ผมกดออกจากหน้าแชท เปลี่ยนไปกดโทรหาไอ้ภพ เสียงรอสายดัง ต่อเนื่องอย่างไร้วี่แววคนรับ ทำไมมันชอบปิดเสียงวะ

กดวางสายเมื่อขึ้นเสียงสัญญาฝากข้อความแล้วกดเปลี่ยนเป็นโทรหาไอ้กัสแทน รอสายไม่นานเสียงกวนๆของมันก็ดัง

[ครับคุณพายุ]

“ขอกูคุยกับภพหน่อย”

[มันทำงานอยู่ ไม่ว่าง]

“สัด งั้นมึงบอกมันให้รับสายกู”

[กูบอกอยู่เนี่ยว่ามันไม่ว่าง งานทางนี้เร่งจะตายไม่ว่างคุยกับมึงหรอก]

เพื่อนเวร ฟังเสียงแม่งก็รู้ว่ากำลังกวนตีนผม

“แล้วที่มันโดนน้ำร้อนเป็นไรมากมั้ย”

[เท่าที่เห็นก็ไม่มากนะ แค่แดงๆ]

“กูฝากดูมันด้วย ไอ้นนนก็บอกว่าเมื่อคืนมันไม่ได้นอน แล้วแม่งไม่โทรหากูเลยด้วยนะ”

[หมาสัดฮ่าๆ กูจะดูแลอย่างดีเลยครับ]

“แค่ให้ช่วยดู นั่นของกู”

[เออรู้ ย้ำบ่อยจัด กูจะไปกินข้าวแล้ว ไปแระแค่นี้]

“เออๆฝากด้วย”

วางสายจากไอ้กัสไปแล้ว พยายามหันมาโฟกัสกับงานตรงหน้า แต่สุดท้ายความเป็นห่วงก็ทำผมว้าวุ่นใจ ถ้าผมไปด้วยผมคงคอยดูแลมันได้ไม่ปล่อยให้มันดื้อ อดหลับอดนอนแน่ๆ 

ก๊อก ก๊อก

“พี่ยุ แม่เรียกกินข้าว”

“อืม”

ลุกเดินตามแสงแดดออกจากห้องโดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ตอนที่ผมกับไอ้แดดเดินมาถึงโต๊ะ ทุกคนก็เริ่มกินกันแล้ว ผมนั่งลงกินข้าวเงียบๆมีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังจนทุกคนหันมอง รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าใครโทรมา 

[มึง ไอ้ภพอ๊วกว่ะ]

“ห๊ะ”

[พวกกูนั่งกินข้าวกันอยู่ดีๆแม่งก็ลุกพรวดพราดไปห้องน้ำ ไอ้นนนมันเลยตามไปดู กลับมาอีกทีไอ้ภพก็คือหน้าซีด ตาแดง นนนบอกมันอ๊วกเอาที่กินออกมาหมด]

“ไอ้นนนอยู่ตรงนั้นมั้ยขอกูคุยหน่อย”

[แปป]

ผมรอสายด้วยความกังวล ได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงไอ้กัสที่เรียกไอ้นนน ก่อนเสียงเรียบๆของมันจะดัง

[ว่าไง]

“ภพเป็นไงบ้าง”

[ฟุบนอนไปแล้ว]

“แล้วทำไมมันอ๊วก”

[คงนอนไม่พอ เจออากาศร้อน รีบกินอาหารเลยไม่ย่อย ไม่ต้องห่วงกูดูแลเพื่อนกูอยู่]

“เออฝากด้วย มึงส่งไฟล์ทบินพรุ่งนี้มาให้กูด้วย”

[อืม]



ผมกดวางสาย บอกตรงๆโคตรเป็นห่วงจนหงุดหงิด ผมเคยเห็นเวลาไอ้ภพมันทำงานแล้ว มันเหมือนลืมทุกอย่างรอบตัวไปเลย โฟกัสแค่จะทำงานให้เสร็จ และหลายครั้งที่มันรีบกินแค่เพื่อให้มีอะไรลงท้องแล้วรีบไปทำงานต่อ เคยเตือนมันหลายครั้งแล้วนะ 

ไอ้เรื่องอดหลับอดนอนทำงานไม่ใช่ไม่เข้าใจ ผมก็เป็น แต่มันก็ต้องรู้ลิมิตตัวเองปะวะ ที่ผมรู้คือสองวันที่ผ่านมาแทบนับนิ้วชั่วโมงที่มันนอนได้เลย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ทำไมชอบทำให้เป็นห่วงว่ะ แล้วไม่มีเลยนะที่จะโทรกลับ

“มีอะไรรึเปล่าพายุ”

ผมลืมไปเลยว่ายังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เงยหน้าตอบแม่

“ภพไม่สบายนิดหน่อยนะครับ”

“อ่าวแล้วเป็นไงบ้าง ได้คุยกันรึยัง”

ผมส่ายหัว 

“เพื่อนมันบอกว่ามันหลับไปแล้ว”

“น้องภพไปเชียงใหม่ใช่มั้ย”

“ใช่พี่ ถ้ามันอยู่ใกล้ๆผมเนี่ยจะสวดมัน ไม่ค่อยดูแลตัวเอง”

“ห่วงมาก ตอนเขากลับมาก็ดูแลดีๆ” 

“รู้หน่าพ่อ ยุก็ดูแลดีตลอด”

“เอาจริงใช่มั้ย คนนี้”

“อืม ก็เคยบอกแล้วคนนี้ผมจริงจัง”





ผ่านไปหลายชั่วโมง ก่อนหน้านี้ผมทั้งพิมพอทั้งโทรหาไอ้ภพ แต่มันก็ยังคงเงียบ ผมเคลียรองานตัวเองไปก็คิดว้าวุ่นไปหมด ไม่รู้ทำไมกับมันผมไม่เคยเย็นได้เลย มองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มครึ่ง กดโทรเบอร์เดิมเบอร์เดียวที่ลอยเด่นให้เห็น แต่กลับไม่มีเสียงสัญญานตอบกลับ ให้ตายสิ รีบกดหาเบอร์นนน รอสายไม่นานมันก็รับ

“ภพอยู่กับมึงมั้ย”

[อยู่]

“ขอคุยกับมันหน่อย”

[มันจะนอนแล้ว]

“ไอ้นนนกูรู้ว่ามึงหวงมัน แต่กูเป็นห่วงไอ้ภพฉิบหายเลยเพราะงั้นมึงช่วยเอาโทรศัพท์ไปให้ไอ้ภพที”

“....เออๆแปป”

ผมได้ยินเสียงไอ้นนนเรียกชื่อภพเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่โคตรแตกต่างกับตอนคุยกับผม ก่อนที่เสียงที่ผมคิดถึงจะดังขึ้น

[ฮัลโหล] 

เสียงมันดูเหนื่อย

“เป็นไงบ้าง”

[ก็ดี ไมโทรมาเบอร์นนนอ่ะ]

“แบตมึงหมด”

[อ่าวเหรอ กูไม่ได้เล่นเลย หมดได้ไง]

“ยังอาเจียนอยู่มั้ย”

[ใครบอกมึงว่ะ]

“ตอบกูก่อน”

[ไม่แล้ว แต่ไม่ค่อยสบายตัวเลยอ่ะ]

“วันนี้ก็นอนด้วย”

[จะพยายาม แต่เมื่อบ่ายกูเผลอหลับยาวเลย นี่ก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่แต่ไอ้นนนกับโทนี่ก็ไล่กูนอนอย่างเดียวเลย]

“มึงต้องพักผ่อน”

[อืออ โอเค]

“กูไม่อยู่ด้วย ก็ดูแลตัวเองดีๆหน่อย”

[แล้วกูไม่ทำตรงไหน]

“ยังกล้าพูดนะ”

[อะไร ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยวะ หงุดหงิดอะไรมา]

“หงุดหงิดมึงเนี่ยแหละสัด ชอบทำให้คนเป็นห่วงโทรศัพท์ก็ปิดเสียง ไม่รับสาย ไม่ยอมหลับยอมนอน กินข้าวไม่ตรงเวลา ซุ่มซ่ามไม่ยอมให้คนช่วย แล้วเป็นไงน้ำร้อนลวกพุง”

[เดี๋ยว! มึงรู้ได้ไงวะ]

“กลับมาโดนแน่”

[ดะ โดนอะไร]

“คิดว่าอะไร ก็อันนั้นแหละ”

[สัดไม่เอา กูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย]

“ยังอีก”

[ก็จริงๆอ่ะเรื่องน้ำร้อนลวกมันเป็นอุบัติเหตุ ที่อาเจียนกูก็ห้ามไม่ได้มั้ย มันพุ่งออกมาเอง]

“ภพ กูเคยเตือนมึงหลายครั้งเรื่องกินเรื่องนอนแล้วนะที่มึงอ๊วกแตกอ๊วกแตนสาเหตุนึงก็มาจากที่มึงอดนอน ไหนจะชอบกินเร็วอีก และบอกแล้วใช่มั้ยถ้ารู้ว่าตัวเองไม่ไหวให้หาคนช่วยไม่ใช่ฝืนทำเก่ง ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่า...”

ตู๊ด ตู๊ด

สัดตัดสาย

แม่งโคตรดื้อเลยโว้ยย ผมกดโทรไปใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีคนรับแม้แต่ไอ้นนนก็ยังไม่รับสาย เวรแม่งงอนเหรอวะ แล้วไหงมันมางอนผมเนี่ย 

กดพิมไลน์ไปหาไอ้นนน ถามวันเวลาพรุ่งนี้อีกครั้ง แล้วย้ำให้มันช่วยดูไอ้ภพด้วย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าถึงผมไม่ขอมันก็พร้อมจะทำอยู่แล้ว

ส่งข้อความไปหาไอ้ภพ หวังว่ามันจะชาร์จแบตแล้วเห็นข้อความผม

Payu: ขอโทษที่เมื่อกี้อารมณ์เสียใส่ แต่ที่ทำไปเพราะกูเป็นห่วงนะ

นั่นไง ขึ้นอ่าน แต่ไม่ตอบ เอากะมันดิ หมั่นเขี้ยวว่ะ 

Payu: ฝันดีนะ

[จบ พายุ part]





ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศดังคลอไปพร้อมกับเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเพื่อนทั้งสองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ง่วงนะแต่ผมนอนไม่หลับ คิดว่าคงเป็นเพราะผมนอนไปมากแล้วในช่วงบ่าย และตอนนี้ก็รู้สึกแสบท้องมากๆ เมื่อค่ำผมกินข้าวกล่องที่พวกมันซื้อไว้ให้ไปแค่นิดเดียวเอง เพราะกินไม่ค่อยลง พลิกตัวไปมาจนไอ้โทนี่ที่นอนอยู่ข้างๆส่งเสียงครางปราม

สุดท้ายทนไม่ไหว ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ หยิบมือถือมากดเปิดไฟ แล้วเดินไปเปิดถุงขนมบนโต๊ะหาของมารองท้อง ได้นมจืดหนึ่งกล่องกับขนมปังหน้าสังขยาเย็นชืด

ไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปหยิบคอมกับเม้าปากกาออกมา กดเปิดโคมไฟที่โต๊ะ กัดขนมปังมองหน้าจอที่สว่างวาบ และรอให้มันพร้อมใช้งาน มือนึงถือขนมปังที่เหลือเพียงครึ่งแผ่น ลากปากกาเปิดไฟล์งานที่ทำค้างอยู่ขึ้นมาทำต่อ แล้วเสียงต่ำๆที่ดูหงุดหงิด เมื่อเย็นก็แวบดังขึ้นมาในหัว ไอ้พายุโคตรขี้บ่นเลย ก็รู้ว่ามันเป็นห่วงแต่ผมไม่ชอบน้ำเสียงที่มันใช้ แล้วก็ไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย ที่ผมไม่ได้นอนก็เพราะงานมันเยอะอ่ะ ที่เหลือก็อุบัติเหตุทั้งนั้นห้ามได้ที่ไหน ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เลิกคิดถึงมันแล้วหันกลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้า

ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่เสียงนกร้องที่เริ่มออกจากรังบอกผมว่า ผมโต้รุ้งอีกแล้ว แต่มันคุ้มนะเพราะในที่สุดงานผมอีกวิชาก็เสร็จ ผมขยี้ตา และนวดเบาๆ บิดตัวไล่ความเมื้อยล้าออกไป แล้วลุกเดินกลับไปที่เตียง นาฬิกาบอกเวลา ตีห้ายี่สิบสี่นาที กดตั้งปลุกในโทรศัพท์ตอนหกโมง ได้นอนนิดหน่อยก็ยังดี ทิ้งตัวลงนอนและจมเข้าสู่นิทรา

ผมรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลืมตามองเพดานห้อง ขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง มองพวกมันเดินกันไปมารอบห้อง กี่โมงแล้ววะ

“ตื่นพอดีเลยนะมึง พวกกูเก็บของให้แล้ว อีกชั่วโมงจะไปสนามบิน มึงจะอาบน้ำก่อนมั้ย”

“ห๊ะ แล้วงานอ่ะ”

“ส่งแล้ว เห็นมึงนอนพวกกูเลยไม่ได้ปลุก”

“อ่าว”

“เมื่อคืนมึงลุกมานั่งทำงานอีกใช่ม่ะ มึงนี่นะ”

“ก็กูนอนไม่หลับ จารย์ไม่ได้ว่าไรใช่ปะวะ”

“ไม่กูบอกแล้วว่ามึงไม่สบาย”

พยักหน้า ปัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบชุดใหม่ออกมา เดินเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่ 

ตอนเราสามคนมาถึงล๊อบบี้โรงแรม พิมกับพิวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว จาร์ยผมบินกลับไปแล้วทันทีหลังงานจบเพราะเราจองได้กันคนไฟล์ท ของพวกผมบินบ่าย3 ตอนนี้เที่ยงยังมีเวลาเราเลยตัดสินใจว่าจะแวะหาอะไรกินแถวโรงแรมก่อนไปสนามบิน 

ไอ้พิมหน้าตาดูสดชื้นขึ้น และทันทีที่มันเห็นผมมันก็เอ่ยทักเสียงใส

“ที่รักเมื่อวานได้ข่าวมึงอาการหนักเหรอ”

“มึงสิหนัก”

“ก็กูเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ว่าแต่นี่ที่รักยังไม่หายอีกเหรอ ดูโทรมจัง”

“โอเคขึ้นแล้ว”

“เมื่อคืนมันลุกมานั่งทำงานอีก กูเห็น”

“กูบอกว่ากูนอนไม่หลับไงไอ้โทนี่”

“กูจะฟ้องพายุ” ไอ้พิมรีบพูด

“แล้วแต่มึงเหอะ กูไม่กลัว”

“อื้อหื้ออ ก่อนมายังเชื่อฟังดีอยู่เลย ตอนนี้หล่ะทำเก่ง”

ยักไหล่ แล้วตักข้าวหมูกรอบเข้าปาก ใครจะกลัวมันวะ ถ้าให้ผมเอาจริงผมก็สู้ไอ้ยุได้เหอะ 



1 ชั่วโมงผ่านไป 



“รู้แล้วๆ ก็มันนอนไม่หลับอะ”

สัด ความแกร่งกล้าของผมมันหายไปไหนหมด 10นาทีก่อน ไอ้พายุโทรเข้ามา ผมมองหน้าไอ้พิมก็รู้ทันทีว่ามันต้องมีเอี่ยวด้วย ทันทีที่กดรับสาย เสียงต่ำๆก็เริ่มสวดผมไม่หยุด มันจะห่วงอะไรผมขนาดน้านนน 

“ขี้บ่นฉิบหาย”

[ที่บ่นก็เพราะห่วงมั้ย]

“ครับๆ รู้แล้วคร้าบ ภพจะกินนมเยอะๆ นอนแต่หัววัน ไม่ดื้อไม่ซนอ่ะ พอใจมึงยัง”

[มึงแม่ง]

“กูโอเคแล้วจริงๆ”

[อืม นี่อยู่ไหนแล้ว]

“อยู่บนรถกำลังไปสนามบิน”

[ถึงสี่โมงสิบห้าใช่มั้ย]

“อืม มึงไม่ต้องมารับก็ได้กูนั่งกลับพร้อมเพื่อนได้”

[ไม่ต้องกูจะไปรับมีอะไรจะคุยด้วย]

“อารายอีกก ถ้าบ่นเรื่องสุขภาพกู กูไม่ขอกลับด้วยนะ”

[ไม่ใช่ เรื่องอื่น]

“โอเคๆ จริงจังจังวะ แล้วช่วงกูไม่อยู่เป็นไงบ้าง”

[เหงา เด้าหมอนทุกวัน] เรื่องกามๆเนี่ย เสียงระรื่นเชียวนะ

“เชิญมึงเด้าต่อไป กูจะกลับกับเพื่อน”

[ฮ่าๆ หยอกหน่า กูก็ไปเรียนแล้วตรงกลับบ้านตลอดแหละ]

“อย่างมึงเนี่ยนะ ไม่ตี้กะเพื่อนเลย?”

[ไม่]

“แปลก งานเยอะอ่อ”

[ก็เยอะแต่กูจัดการได้ แต่ที่ไม่ไปเพราะเป็นห่วงบางคนจนไม่มีอารมณ์ไปต่อกับเพื่อน]

“เวอร์หน่า”

[กูพูดจริง กูเป็นห่วงมึงมากนะ ถ้ามึงไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงใจกูบ้าง]

ประโยคอะไรของมันวะ ยุบยิบใจฉิบหาย

“อะ อืม ขอโทษ”

[ครับ]

“แค่นี้นะ จะถึงสนามบินแล้ว”

[โอเคๆถึงแล้วโทรหากูด้วย]

“รู้แล้ว” กำลังจะกดวางสาย แต่มันก็เรียกชื่อผมเสียงดังรอดออกมาจากโทรศัพท์ “ห๊ะ”

[คิดถึงมึงนะ]

“อืออ เหมือนกัน”

สายตัดไปแล้ว แต่ใจผมยังคงเต้นแรง ทำไมกับแค่คำพูดธรรมดาๆ มันถึงทำให้ใจฟูได้ขนาดนี้นะ

“อะยิ้ม ยิ้มม”

“หมั่นไส้คนมีความรักจริงๆเลยโว้ยยย” ผมมองไอ้โทนี่ ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อในขณะที่ไอ้พิมซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าและเกาะเบาะมองผมอยู่ด้วยสายตาล้อเลียน “ถามจริงนี่พวกมึงตกลงคบกันยัง”

ผมส่ายหัว “พายุมันก็ดูชอบมึงมากนะทำไมมันยังไม่ขอคบวะ” 

เรื่องนี้ผมก็มีคิดนะ แต่ไม่รู้ดิ มันไม่ได้พูด ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเอาสถานะมาเป็นตัวกำหนด แค่ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีแล้ว 

“หรือมันเคยขอแต่มึงปฎิเสธ”

“ไม่เคยเหอะ”

“งั้นมึงก็ขอก่อนเลย”

“แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วปะวะไม่เห็นต้องไปถึงขั้นนั้น”ผมพูดเสียงเบาลงในช่วงท้ายประโยค

“เดี๋ยวนะ มึงจะไม่ชัดเจนแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” มองหน้าไอ้พิมที่ดูจริงจังขึ้น แม่งจริงจังกว่าตัวผมเองอีกมั้ง 

“มึงกังวลอะไรรึเปล่า” เสียงไอ้นนนดังขึ้นจากด้านหน้า มันยังคงมองออกนอกหน้าต่างแม้จะถามผมอยู่ก็ตาม

“ก็นิดหน่อย”

“กังวลอะไรวะ หรือไอ้พายุมันไม่ได้ดีอย่างที่พวกกูเห็น”

“ไม่ มันดี” แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าผมปล่อยใจไปให้มันทั้งหมด ปล่อยให้ถล้ำลึกไปมากขึ้นโดยไม่เผื่อใจเลยไม่ได้ กลัวเหมือนกับตอนนานะ ถึงผมจะเลิกกับเขามานานแล้วผมก็ยังจำความเจ็บปวดตอนนั้นได้ และถึงเราจะจบกันด้วยดี แต่สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปอยู่ดี ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ความรักมาและจากไป มันเป็นแบบนั้น และถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับผมและไอ้พายุหล่ะ

ไหนจะพ่อแม่ผมอีกถ้าผมคบกับมัน เกิดครอบครัวผมไม่โอเคแบบครอบครัวมันจะทำไง 

ถ้าเราเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆถึงเวลาแยกกันผมคงไม่เจ็บปวดเท่าไหร่ 

“มึงกลัวเป็นเหมือนตอนนานะเหรอ” ไอ้พิมมันเก่งจังวะ 

“เออ แล้วกูก็ไม่เห็นว่าแบบนี้กับคบกันมันจะต่างกันตรงไหน”

“มันต่างมึงก็รู้ ถามจริงเคยมีสักแวบมั้ยที่มึงอยากได้พายุเป็นแฟน”

ผมพยักหน้ายอมรับ ผมชอบที่มันใส่ใจผม ดูแลผม ชอบรอยยิ้มมัน และอยากให้มันยิ้มให้ผมคนเดียว 

“มึงควรคุยดู ที่กูสังเกตพายุมันดีกับมึง มันดูแลมึงได้ ปรามมึงได้ และดูเข้าใจมึงดี ถ้ามึงคุยกับมันมันน่าจะให้คำตอบได้ เพราะถ้าปล่อยแบบนี้ไปเรื่อยๆมันก็ไม่แฟร์กับพายุ” พูดจบไอ้พิมก็หันกลับไปนั่งลง เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาถึงสนามบิน

“มึงกลัวมึงเจ็บแต่สถานะไม่ชัดเจนมึงก็เจ็บได้นะ” ไอ้โทนี่พูดเสริม นี่มันอะไร คลับฟรายเดย์เหรอ 





ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกดหัวใจและคอมเม้นท์ให้กันนะคะ อาจจะเรื่อยๆหน่อย แต่ฝากติดตามกันด้วยน้าขอบคุณมากๆค่า
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่16 คิด(ถึง)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-05-2020 02:11:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่17 cutie ของ boxer
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 11-05-2020 15:31:31
ตอนที่ 17

ภายในรถเงียบสนิทมาเกือบจะสิบนาทีแล้ว ก่อนหน้านี้หลังผมมาถึงกทมและยืนรอไอ้ยุมารับอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทันทีที่ขึ้นรถมัน ไอ้ยุก็เริ่มบ่นเรื่องสุขภาพผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ย่อท้อในการเถียงมัน เราตีกันไปหนึ่งยกพอกรุบกริบ อยู่ไอ้คุณพายุก็พูดขึ้นมา

‘ภพเป็นแฟนกัน’ ไม่มีคำนำ ไม่มีสัญยานบอก มันพูดเหมือนมันถามผมว่า ผมกินข้าวยัง น้ำเสียงเดียวกันเลย เรียบง่าย ตรงประเด็น และไร้ซึ่งความโรแมนติก แต่ก็สมเป็นมันดี ‘ว่าไง กูว่าเราควรก้าวไปอีกขั้นแล้ว’

มันหันหน้ามาถามขึ้นอีกเมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่ แต่แค่เพียงแวบเดียวมันก็หันกลับไปมองถนนต่อ

‘ไม่เห็นจำเป็นเลย’

ผมว่าผมพลาดแล้วแหละ ‘กูหมายถึง กูก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันยังไงกับที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย’ ผมรีบพูดแก้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ไอ้ยุอารมณ์ดีขึ้นเลย

หลังจากนั้นมันก็เงียบ และดูจะสนใจกับถนนหนทางมากจนเหมือนลืมว่าผมยังนั่งหายใจอยู่ข้างๆ

“เออมึง มึงรู้ปะกูลองเอาดอกคำฝอยไปต้มแล้วใส่แก่นฝางลงไปต้มด้วย สีอย่างสวย กูถ่ายรูปมาด้วยเนี่ยๆ” หันไปชวนมันคุยเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น แต่มันไม่ให้ความร่วมมือผมอ่ะ

“.....” วางมือที่ถือโทรศัพท์ลงที่ตักแล้วขยับตัวหันไปมองมัน

“ไอ้พายุ”

“.....”

“แล้วมึงมาโกรธอะไรกูเนี่ย”

เงียบอีก อึดอัดโว้ย แล้วผมควรทำไงวะชวนคุยก็แล้ว เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับใดๆจากมันผมก็หันกลับมานั่งหลังตรง มองถนนหนทางตรงหน้า เห็นป้ายปั๊มน้ำมันที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แล้วผมก็นึกอะไรออก

“มึงๆแวะปั๊มได้มั้ย กูหิว” มันไม่ตอบแต่ตบไฟเลี้ยวเข้าไปให้ รถเคลื่อนตัวมาจอดที่หน้ามินิมาร์ท ผมหยิบกระเป๋ากระโดดลงจากรถแล้วรีบวิ่งเข้าไป เลือกแซนวิชแฮมชีสมาสองชิ้น ยืนรอเขาเอาเข้าอบร้อน ไม่ลืมหยิบน้ำมาสองขวด จ่ายเงินเรียบร้อย ก็เดินกลับมาขึ้นรถ

พอมันเห็นผมนั่งเรียบร้อย ไอ้พายุก็เริ่มถอยรถออก ผมเปิดถุงหยิบแซนวิช ที่อุ่นร้อนแล้วออกมา หันไปหามัน แล้วยืนไปจ่อที่ปากมัน เผื่อของโปรดมันจะช่วยให้มันอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

“อะไร”

“กูรู้มึงชอบ เลยซื้อมาให้” เลื่อนปลายขนมปังให้ชิดโดนปากมันอีก กินสักทีสิวะ กูเมื่อยแล้วนะ

“ขับรถอยู่” เย็นชาฉิบหาย

“นี่ไง กูป้อนๆเดี๋ยวมันเย็นแล้วไม่อร่อยนะ” มันแหล่มองผม และผมก็ส่งยิ้มที่คิดว่ามันจะชอบไปให้ ได้ผล! มันกัดคำเล็กเข้าปาก มองมันเคี้ยวและรอที่จะป้อนมันอีก แต่มันก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

“ไหนว่าหิว”

“ก็ให้มึงกินก่อนไง”

“พอแล้ว กูยังไม่หิว”

กูท้อแล้วนะ

“ก็ได้” ผมหันกลับมานั่งหลังตรงกินแซนวิชที่มันไม่เอาแล้วอย่างเสียดาย

เงียบเกินไป

เอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ ทันทีที่เสียงเพลงฮิตดัง บรรยากาศภายในรถก็ดูจะดีขึ้นเยอะ แต่แล้วเสียงเรียบๆของมันก็ดัง

“ปิด กูต้องการสมาธิ” มองเสี้ยวหน้านิ่ง ก่อนกดปิด เสียงเพลงหายไปและกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง อะไรกัน ไม่เจอกันตั้งสี่วัน แต่ทำไมเราต้องไม่คุยกันแค่เพราะเรื่องแค่นี้ด้วยวะ

ผมมองมือมันที่วางนิ่งๆอยู่บนตัก เลื่อนมือตัวเองเข้าไปสอดใต้มือหนา แต่มันก็ยังคงนิ่งมองทาง และบังคับพวงมาลัยด้วยมือเดียว มึงจะนิ่งเกินไปแล้วนะ กูท้อมากๆแล้วนะ ค่อยๆเลื่อนมือออก พร้อมๆกับเสียงถอนหายใจของมันที่ดังขึ้น แล้วดึงมือผมกลับไปกุมประสานไว้

รถค่อยๆเลื่อนเข้าไปจอดข้างทาง ก่อนที่ไอ้พายุจะหันมามองผม

“มึงรู้มั้ยว่ากูหงุดหงิดเรื่องอะไร”

อ่า คิดว่ารู้นะ ผมพยักหน้า

“งั้นมาคุยกันใหม่ เมื่อกี้กูอาจจริงจังน้อยเกินไป” ไม่นะ กูก็เห็นมึงจริงจังตลอดอ่ะ

“อือ”

“ที่มึงพูดว่ามันไม่ต่าง มันก็จริง แต่ถ้ามีคนมาเกาะแกะมึงแบบไอ้กัส หรือไอ้นนนอีกมึงก็เห็นว่ากูแสดงออกว่ามึงเป็นของกูได้ไม่เต็มปาก มึงเข้าใจใช่มั้ย”

“เข้าใจ แต่ถ้ากูไม่เล่นด้วย มันก็จบป่ะ ไอ้กัสมันก็แค่แกล้งเล่น ไอ้นนนพอกูบอกมันก็เข้าใจดีไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”

“เพราะไอ้สองคนนั้นมันยังเป็นคนดีไง”

“ไม่เห็นเกี่ยว ถ้าเราไม่คิดสักอย่างเขาก็ทำไรไม่ได้ แล้วใช่ว่ากูจะมีคนมาชอบเยอะแยะขนาดนั้นมั้ย กูไม่ใช่เดือนมอแบบมึงนะ”

“น้อยไปสิ”

“มึงพูดไรนะ”

“ป่าว มึงไม่เข้าใจที่กูจะพูดอ่อวะ”

“กูเข้าใจ แต่กูก็บอกแล้วไงถ้ากูไม่เล่นด้วยซะอย่างมันก็ไม่มีอะไร เราก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยก็ได้นี่ แค่นี้ก็เหมือนแฟนกันอยู่แล้ว”

มองหน้ามันที่ดูหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากผม แล้วมันก็สูดหายใจเข้าออกช้าๆ เหมือนกับว่าสิ่งนั้นจะช่วยให้มันใจเย็นขึ้นบ้าง กับสถานการณ์ตรงหน้า และผมคิดว่าคงได้ผลดีด้วยเพราะแววตามันดูเปลี่ยนไป

“งั้นกลับกัน ถ้ามีคนเข้าหากู กูก็บอกเขาแล้วว่ากูไม่ชอบเขา แต่เขาก็ยังยืนยันจะคุยเล่นกับกู แบบนั้นมึงโอเคใช่มั้ย”

“....”

“เวลามีผู้หญิงมาถามว่ากูมีแฟนยัง กูก็บอกว่ายัง แบบนี้คือที่มึงต้องการถูกมั้ย” มันพูดเสียงปกตินะ แต่การที่มันยักคิ้วให้เหมือนท้าทายคำตอบของผม มันทำให้ผมรู้สึกอยากเอาชนะ แม้ในใจลึกๆจะไม่ชอบเลยกับสิ่งที่มันพูดมา

“ว่าไง ที่กูพูดมาคือที่มึงต้องการถูกมั้ย ให้สถานะเราคลุมเครือเป็นแค่คนคุยๆกันไปเรื่อยๆ เหมือนแฟนแต่ไม่ใช่แฟน ถ้ามีใครเข้ามาแล้วถูกคอกว่าก็คุยได้ไม่ผิดจะเอาแบบนี้ใช่มั้ย”

ไม่เอา

“อือ กูไม่คิดมากอยู่แล้ว” ไอ้พายุชักสีหน้าทันที

“กูจะถามอีกครั้ง ถ้าคนอื่นเข้าหากู ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“อือ”

“แน่ใจนะ”

“เออ ถามย้ำอยู่ได้”

“โอเค เข้าใจแล้ว”

มันปล่อยมือผม แล้วหันกลับไปจับพวงมาลัยทั้งสองมือ ผมอยากจะทึ่งหัวตัวเอง ทำไมผมต้องมาอยากเอาชนะอะไรตอนนี้ด้วยวะ ผมไม่โอเคสักอย่างอะที่มันพูดมา สายตาสุดท้ายที่มันมองผมก่อนหันกลับไปขับรถ มันดูเย็นชาจนผมกลัวว่าเราอาจจะจบกันแค่นี้ด้วยซ้ำ

แล้วเราก็กลับมาเงียบใส่กันอีกจนถึงคอนโด อย่างน้อยๆมันก็ยังปรานีผมไม่ไล่ผมลงจากรถ และจนถึงตอนนี้มันจะไม่ยิ้มและไม่ได้ดูร่าเริงแต่ไอ้ยุก็กลับมาพูดคุยปกติ ผมว่าปกติเกินไปด้วยซ้ำ เหมือนเรื่องที่เราคิดไม่ตรงกันก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เราเดินมาหยุดกันที่หน้าห้องผม ผมเปิดประตูห้อง หันไปรับกระเป๋าจากมันมาถือไว้

“เข้ามามั้ย”

“ไม่ว่ะ ไอ้คินชวนแดกเหล้ากูเลยว่าจะไปเลย”

“ที่ไหน”

”cabin night”

“งั้นรอกูเก็บของแปปนึงกูไปด้วย”

“อย่าเลย มึงพึ่งกลับมาพักผ่อนเหอะ จะกินไรเดี๋ยวกูลงไปซื้อมาทิ้งไว้ให้”

“กระเพราหมูกรอบไข่ดาวก็ได้”

“โอเค เอาคีย์การ์ดมา”

“มึงเก็บไว้เลย กูมีอีกอัน”

มันพยักหน้ารับคีย์การ์ดไปจากมือผม แล้วเดินออกไป ผมมองแผ่นหลังกว้าง ที่ค่อยๆไกลออกไป มันเหมือนจะปกติ แต่ผมรู้ว่าไอ้ยุ มันยังคงคิดเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ต่างกับผม และผมกลัวว่าเพราะความดื้อของผมอาจทำให้มันออกห่างผมไปจริงๆ



*



หน้าจอโทรทัศน์เปลี่ยนจากละครไทยๆไปเป็นรายการบันเทิงใต้เตียงดาราและเปลี่ยนเป็นภาพยนต์ภาคต่อชื่อดัง ก่อนจะวนกลับไปที่เดิม ผมกดเปลี่ยนช่องไปมาแบบนี้สักพักแล้ว ใจผมมันว้าวุ่นเอาแต่จะนึกถึงไอ้พายุ มองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง ไม่รู้ตอนนี้มันจะกลับรึยัง

สุดท้ายก็ทนไม่ไหวคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาคนที่คิดถึง รอสายอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเพลงชวนให้ลุกขึ้นมาโยกดังลอดออกมา

“ยังไม่กลับอีกเหรอ”

[ไอ้ภพ ไอ้ยุมันลืมโทรศัพท์ไว้]

“แล้วมันไปไหน” เอ่ยถามไอ้คิน

[แปปนะ เชี่ยโอบไอ้ยุมันเดินไปไหนวะ/เห็นลุกไปกับบิ้ว ไปห้องน้ำมั้ง] ฟังเสียงพวกมันที่ตะโกนถามกันท่ามกลางเสียงดนตรีดังกระหึ่ม

[ภพ ถ้าไอ้ยุกลับมาแล้วกูบอกให้มันโทรกลับนะ]

“อือ ไอ้คินแล้วบิ้วนี่ใครวะ”

[อ่ออ เพื่อนพวกกูตอนติวเนี่ยแหละอยู่คนละมอ ไม่มีอะไรหรอกสนิทกันๆ มึงไม่ต้องคิดมาก]

“กูก็ไม่ได้คิดมากสักหน่อย แค่ถามเอง”

[เคๆกูไปแดกเหล้าต่อได้ยัง]

“เออ”

ผมยังคงมองหน้าจอที่ดับไปพร้อมๆกับสายที่ตัดไปแล้ว บิ้ว นี่ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ แต่ก็น่าจะผู้หญิงมั้ยนะ ผมร้อนใจแปลกๆ อาจเพราะเราพึ่งคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ที่คลุมเครือมั้ง กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยนะหว่างรอให้มันโทรกลับมา

จนเวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมง ผมก็ยังไม่ได้รับสายนั้นอยู่ดี

ผมไม่ควรจมจ่อหรือคิดมากเกินไป มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ไอ้ยุมันอาจจะยังสนุกกับเพื่อนอยู่ มันอาจจะกำลังขับรถกลับบ้านอยู่ หรือไอ้คินอาจจะลืมบอกมันว่าผมโทรไป ลุกเดินเข้าห้องครัวเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมาหมุนเปิด เผื่อความเย็นของน้ำมันจะช่วยดับความร้อนใจของผมได้บ้าง ยังไม่ทันยกดื่ม เสียงริงโทนก็ดัง ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว ฉวยเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนสายจะตัดไป

“ไอ้ยุ”

[อืม กูเอง ยังไม่นอนอีกเหรอ] เสียงเรียบๆของมันดังชัดเจน ไร้ซึ่งเสียงดนตรี เหมือนว่ามันไม่ได้อยู่ในร้านเหล้าอีกแล้ว

“พึ่งถึงบ้านอ้อ”

[ยัง พึ่งขึ้นรถ กูต้องแวะไปส่งเพื่อนก่อน]

“ใครวะ พวกไอ้คิน?”

[ไม่ใช่ เพื่อนมออื่นนะบังเอิญเจอ]

“อ่อ”

[เขาเมานิดหน่อย เป็นผู้หญิงด้วยกูเลยไม่อยากปล่อยกลับคนเดียว]

“งั้นมึงรีบไปส่งเขาเหอะ นี่ไม่ได้เมาใช่มั้ย”

[ไม่เมา กูกินไปครึ่งแก้วเอง]

“โอเค ส่งเขาเสร็จถ้าง่วงโทรมาได้ เดี๋ยวคุยเป็นเพื่อน”

[อืม]

ผมยังไม่วางสายแม้ว่าบทสนทนาของเรามันดูจะจบแล้วก็ตาม

[ภพ มีอะไรอีกมั้ย]

“มึง”

[ว่า]

ผมเงียบ และคิด ว่าผมควรพูดมั้ย

“ขับรถดีๆนะ”

[ครับ]

แล้วสายก็ตัดไป ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่ผมไม่สามารถพูดห้ามอะไรมันได้เพราะถ้าผมพูด มันก็ดูจะงี่เง่าและเห็นแก่ตัวเกินไป



ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ แบบไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ เดินลงจากคอนโดไปหาอะไรกินทั้งชุดนอน และกลับขึ้นมาที่ห้องตอนเกือบเก้าโมง

งานยังกองอยู่บนโต๊ะ และทุกครั้งที่มองก็เหมือนมีเสียงออกมาว่า ‘เลิกเพ้อเจ้อและมาทำงานได้แล้วโว้ย’ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะทำมันเลย ควานหาโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไปที่ไหนสักแห่งบนโซฟา มากดเข้าไอจี นั่งดูชีวิตที่สดใสของเพื่อนๆสมัยมัธยม กดเปลี่ยนไปหน้าค้นหา ว่าจะหาอะไรสุ่มๆดู แต่แล้วก็สะดุดตากับภาพเคลื่อนไหวสีขาวดำที่มีใบหน้าของคนที่ผมรู้จัก

กล้องถ่ายไอ้คินที่ตะโกนแหกปากร้องเพลง ก่อนที่จะหันไปถ่ายไอ้โอบ ไอ้แบงค์และสุดท้ายไอ้พายุที่นั่งมองแก้วเหล้านิ่งๆ แล้วเสียงหวานๆของคนถ่ายก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงร้องโหยหวนของไอ้คิน

‘พายุรึเปล่า พายุไม่น่ารักรึเปล่า ลุกมาร้องเต้นหน่อยเร็ววว นั่งนิ่งเป็นหินเลยพ่อ’ มองใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กล้อง

แม้จะมืดแต่ผมก็เห็นมือบางที่ยื่นไปดึงรั้งมันให้ลุกขึ้น ก่อนมันจะลุกตามแรงเขาเข้ามาใกล้กล้องแล้วภาพก็ตัดไป

ผมนั่งดูวิดีโอนั่นซ้ำๆ ทำไมมึงต้องยิ้มหวานแบบนั้นด้วยวะ แล้วคนนี้คือใคร ทำไมมันต้องยอมทำตามที่เขาบอกด้วย

กดเข้าไปดูโปรไฟล์แล้วผมก็บอกได้คำเดียว โคตรจะมีเสน่ห์ และที่สำคัญเขาดูชอบอะไรคล้ายกับไอ้พายุ ผมมองภาพแผ่นเสียง ที่เขาถ่ายลง ดูรูปฟิลม์ที่เขาเป็นคนถ่าย และอีกสารพัดของความอาร์ต ไอจีเขาดูเหมือนกับไดอารี่ที่น่าหลงใหล ดูเป็นผู้หญิงเท่ห์ๆ แต่มีความน่ารักชวนมอง จากชื่อไอจีผมคิดว่าเธอคือคนเดียวกับบิ้วที่ไอ้คินพูดถึง และคงเป็นเพื่อนที่ไอ้พายุพาไปส่งเมื่อคืน

จังหวะที่กดออกจากรูปฟิลม์สถานที่แปลกตารูปหนึ่งของเธอ ผมก็เห็นว่าเธอพึ่งลงรูปใหม่ มันเป็นรูปขาวดำ แต่เพราะใบหน้าที่คุ้นเคยนั่น ทำให้ผมรีบกดเข้าไปดูทันที

ไอ้พายุยังอยู่ในเสื้อตัวเดิมกับที่มันใส่เมื่อวาน มันนั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงแต่ถึงยังงั้นมันก็ยังดูดี มือหนายกแก้วกาแฟขึ้นจิบเหมือนมันกำลังดื่มดำกับกาแฟ แล้วบังเอิญคนที่นั่งตรงข้ามก็รู้สึกว่าแสงที่ตกกระทบหน้ามันนั้นสวยดี เลยยกกล้องขึ้นมาถ่าย และไอ้ยุก็เหลือบมองเขา ด้วยดวงตาคมของมัน

และเพราะสายตาที่มันมองแบบไม่ได้ตั้งใจนั่น กลับทำให้ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าไม่ได้เลย

จำเป็นต้องดาเมจรุนแรงแต่เช้ามั้ย คุณพายุ

นั่นคือแคปชั่นใต้ภาพ

อืมจริง ผมเห็นด้วยกับเธอ ผมวางโทรศัพท์ลง ลูบหน้าตัวเอง ผมว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนที่ไอ้พายุต้องเห็นไอ้กัสเข้ามาวุ่นวายกับผมแล้วมันพูดได้ไม่เต็มปาก มันรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะรู้สึกนิดๆแล้วเหมือนกัน

ก็ไม่ได้อยากฟุ้งซ่าน แต่คนเรามักคิดเรื่องเลวร้ายได้ง่ายกว่าเรื่องดีๆอยู่แล้ว และจากรูปที่ผมเห็นก็บอกได้คำเดียวว่าเมื่อคืนมันนอนห้องเขา สุดท้ายผมก็วางโทรศัพท์ลง ทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา ยกมือก่ายหน้าผาก ถ้าตอนนั้นในรถที่มันขอผมคบแล้วผมตกลง เมื่อคืนมันก็คงไม่ได้ไปกินเหล้ากับไอ้คินและมันก็คงไม่เจอกับเพื่อนเก่าและไม่นอนห้องเขา ผมแม่ง

มึงเลือกเองไอ้ภพ มึงเลือกให้มันไม่ชัดเจนเอง

เพราะงั้นมึงก็ต้องยอมรับความรู้สึกครึ่งๆกลางแบบนี้ต่อไป

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ผมคงรักมันมากกว่าที่ผมคิด



รู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ตอนที่ได้ยินเสียงลูกบิดประตู คงเป็นไอ้พายุ เพราะผมให้คีย์การ์ดกับมันแล้ว ผมยังคงหลับตาและฟังเสียงฝีเท้าและถุงพลาสติก ที่น่าจะถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนที่เสียงฝีเท้านั้นจะดังใกล้เข้ามาหาผม พร้อมความอ่อนยวบของเบาะข้างลำตัว และสัมผัสแผ่วเบาของปลายนิ้วที่เกลี่ยเช็ดหางตาให้ผม

“ฝันร้ายเหรอวะ” เสียงนั้นเบาและฟังดูเหมือนมันพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะเป็นคำถามถามผม แต่แค่ได้ยินเสียงมัน ผมก็อยากปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็ก

ผมขยับตัว ค่อยๆลืมตามามองมัน ที่ยังอยู่ในเสื้อตัวเดิมกับเมื่อคืน เจ็บว่ะ

“มาแล้วอ้อ”

“อืม มึงกินไรยัง”

“เช้ากินแล้ว กลางวันยัง”

“กูซื้อข้าวต้มปลามาจะกินเลยมั้ย”

“เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้านเหรอวะ ไมอยู่ชุดเดิม”

ผมไม่ได้ตอบแต่เลือกจะถามกลับ

“เออกูขับกลับไม่ไหวเลยนอนห้องเพื่อน”

“ห้องไอ้คินเหรอ” จะถามทำไมวะ ทั้งๆที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่ใช่

“ไม่ใช่ห้องเพื่อนที่กูไปส่งอะ” มันมองผมและตอบเสียงเรียบเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มันจะนอนห้องเพื่อนผู้หญิงคนไหนก็ได้

“อ่ออ” ผมหันหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลลงมา ให้ตายดิขี้แงฉิบหายเลยกู

“เป็นอะไร ถ้าคิดอะไรไม่ดีอยู่ก็หยุดเลย”

“ปะ เปล่าสักหน่อย” พิรุธมาก กูเนี่ย ขยับตัวลุกจะเดินข้ามขายาวๆของมันไปที่โต๊ะกินข้าว แต่มือหนาก็คว้าแขนผมแล้วฉุดให้นั่งลงตามเดิม

“กูกับบิ้วรู้จักกันมานานแล้ว พวกกูสนิทกันแบบที่กูไม่มีวันจะคิดไม่ดีกับเขา อีกอย่างกูไม่มีทางจะทำอะไรแบบนั้นกับคนที่กูไม่ได้ชอบหรอกนะ”

ทำไมยิ่งมันพูดแบบนี้เขายิ่งดูสำคัญกับมันจังวะ

“งั้นถ้ามึงกลับไม่ไหวทำไมมึงไม่มานอนห้องกูวะ แล้วทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย แล้วยังจะลุกไปเต้นกับเขาอีก”

“นี่มึงไปเห็นไรมา” สัดหลุดอีกแล้ว มันหรี่ตามองผม ก่อนจะตอบทุกคำตอบที่ผมถาม “กว่ากูจะขับไปถึงหอบิ้ว ก็เกือบตีสามแล้ว และจากตรงนั้นมาถึงคอนโดมึงกูคงได้หลับในรถชนตายก่อน บิ้วเลยบอกให้กูนอนนั่นเลย ซึ่งกูก็เห็นด้วยเพราะกูก็ไม่ไหวเหมือนกัน กูนอนโซฟาหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย”

“แล้วที่ยิ้มอ่ะ ก็เขาคุยกับกูกูก็ต้องยิ้มมั้ย นั่นก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น” ทำไมประโยคมันฟังดูคุ้นๆจังวะ

“คุ้นๆมั้ย”

ผมพยักหน้า

“มึงเคยพูดแบบนี้กับกูตอนไอ้กัสมันยุ่งกับมึงแรกๆ” นี่ก็จำแม่นเกินนนน

“เข้าใจยังที่กูพยายามบอก ว่าทำไมเราควรจะชัดเจนขึ้นอีกขั้นกับความสัมพันธ์ของเรา”

“อือ”

“เมื่อวานที่มึงพูดมากูโมโหนะ แต่พอกูได้ลองคิดในมุมของมึงดูก็คิดว่ามึงอาจมีอะไรที่ยังกังวลอยู่ แล้วมันก็ไม่ผิดที่มึงจะรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ก็โอเคอยู่แล้ว และกูก็เชื่อใจมึงว่าขณะที่เราคุยๆกันมึงจะไม่คุยกับคนอื่นไปด้วย”

“กูก็เชื่อมึงนะ”

“เหรออ แต่ที่เห็นเมื่อกี้นะไม่ใช่นะ คิดไปไกลแล้วมั้ง”

“ก็มันน่าคิดนี่หว่า”

“กูดูเอาไปทั่วขนาดนั้นเลย”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่ใครจะรู้ถ้าอีกฝ่ายเกิดพิษวาสมึงขึ้นมาแล้วมึงเคลิ้มงี้”

“บิ้วไม่ใช่คนแบบนั้น ทีนี้เข้าใจกูยัง เราอะมั่นใจในคนที่เรารักก็จริงแต่เราไม่มั่นใจในคนอื่น คำว่าแฟน มันก็เหมือนเป็นไม้กันหมาในระดับนึง”

เออ เปรียบเทียบได้เหี้ยแต่ชัดเจนดี

“รู้แล้ว”

“แล้วมึงนี่เวลาหึงชอบหนีนะ แล้วก็ไปดราม่าคนเดียว คิดเป็นตุเป็นตะ”

“กูไม่ได้หึง”

“ปากมึงก็นุ่มดีนะ แต่เวลาเถียงนี้คนละเรื่องเลย”

“ไอ้สัด เออกูหึงพอใจยัง ก็ก่อนหน้านี้เราเหมือนจะทะเลาะกันอะแล้วอยู่ๆมึงก็ไปแดกเหล้าทั้งๆที่เราไม่ได้เจอกันตั้งสี่วัน แล้วกูก็พึ่งหายป่วยด้วย แถมมึงยังไปนอนห้องสาวอีกจะให้กูคิดไงวะ”

“ครับๆเข้าใจแล้ว งั้นมาเริ่มใหม่กัน”

“เริ่มไร” งงมันจะเริ่มอะไรของมัน

แล้วมันก็ดึงผมขึ้นไปนั่งเกยบนตัก มือโอบรอบเอว ใบหน้าซุกอยู่ที่ซอกคอ ก่อนที่มันจะกดจูบสองสามที นี่มันจะเริ่มอะไรของมันกันแน่เนี่ยยย

“มึงทำไรเนี่ย ปล่อยย” พยายามขยับตัวให้พ้นจากมือปลาหมึกของมัน ปากก็เริ่มโวยวาย

“ชู่วส์ อยู่นิ่งๆมึงจำหนังที่เราดูด้วยกันได้มั้ย” เอ้าสัด เปลี่ยนเรื่องไวไปป แต่เพราะมันใช้น้ำเสียงที่ดูจริงจังผมก็เลยยอมปล่อยตัวให้พิงอกมันแล้วมองจอโทรทัศน์ที่สีดำสนิท

“จำได้” ก็มีอยู่เรื่องเดียวอะที่เคยดูกับมัน

“มึงบอกมึงชอบความสัมพันธ์แบบนั้น”

“มึงก็ชอบหนิ”

“อืมชอบ” แล้วมันก็เงียบไป จนผมต้องหันไปไปมอง เอี้ยวคอมองมันแบบนี้แล้วเมื่อยว่ะ ผมเริ่มขยับตัวไปมา จนวงแขนที่กอดรัดอยู่เริ่มคลายออก ให้ผมขยับตัวได้ง่ายขึ้น ค่อยๆเคลื่อนตัวลงจากตักมัน เงยหน้าสบตาคมที่มองผมอยู่

“เมื่อยอะ มึงจะพูดอะไรนะ ต่อเลย"

“ฮ่าๆ พอกูจะหวานก็เป็นแบบนี้ตลอด มึงแม่ง”

ขำเฉย อะไรวะ มองมันที่หัวเราะได้สักพัก แล้วหายใจเข้าลึกๆ ส่งยิ้มบางมาให้ผม ดีใจนะที่ทำให้มันอารมณ์ดีได้อ่ะ

"ต่อนะ"

"อือ"

"น่ารักว่ะ โทษๆ จะพูดแล้ว”

“สักทีเถอะมึงเป็นบ้าเหรอ กูหิวแล้วเนี่ยพูดตอนกินข้าวได้มั้ย”

มองมันที่ทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า เป็นบ้าเป็นบอ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผม ก่อนมันจะพูดทั้งรอยยิ้ม “อีกแปปเดียวแล้วกูจะปล่อยมึงไปกินข้าว”

พยักหน้าและตั้งตารอว่ามันจะพูดอะไร

“กูรู้ว่ามึงอาจกังวลและไม่มั่นใจว่ามันจะยืนยาวมั้ย อันนั้นกูก็รับปากไม่ได้ แต่ที่กูมั่นใจคือกูสึกดีเวลาที่ได้อยู่กับมึง และมันก็ไม่เคยน้อยลงเลย กูอยากดูแลมึง อยากปกป้องมึง อยากมีสิทธิในตัวมึง อยากทำหลายๆ อย่างไปด้วยกัน อยากยิ้มและหัวเราะแบบนี้ไปจนแก่กับมึง ไม่ต้องเพอร์เฟกต์ แต่ในทุกครั้งที่มึงเสียใจ หรือเหนื่อย มึงจะมีกูอยู่ข้างๆ เหมือนตากับยายในเรื่องนั้น"

“ไอ้พายุ"

“ไอ้ภพ เป็นแฟนกันนะ”

ผมยังคงมองตามัน รับรู้ว่ามันจริงจังและจริงใจแค่ไหนกับสิ่งที่พูด ผมก็ไม่รู้ว่าผมกับไอ้พายุเราจะเดินกันไปได้ไกลแค่ไหน ผมไม่เคยวาดภาพไว้เลย แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมก็สบายใจและพอใจแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเคยไม่มั่นใจ เคยสงสัยและลังเล แต่ก็เป็นมันทุกครั้งที่ยังคงเหมือนเดิมและย้ำให้ผมเห็นเสมอว่ามันมั่นใจกับรักครั้งนี้แค่ไหน ถ้าถามว่าผมยังกังวลเรื่องที่บ้านจะไม่เห็นด้วยมั่ย ก็ต้องบอกเลยว่ามาก แต่มันก็คงเหมือนที่พิมพูดว่าผมอาจกำลังเห็นแก่ตัวถ้าจะปล่อยให้มันรอไปเรื่อยๆกับความสัมพันธ์ที่คลุมเครือแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลยผมเองก็คงไม่โอเครเท่าไหร่

“แต่กูกลัวที่บ้านกูไม่โอเคแบบบ้านมึง”

“มึงกังวลเรื่องนี้สินะ”

“อือ”

“ไว้เราไปหาพ่อแม่มึงกัน กูว่ากูก็มีดีพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ชอบนะ”

หมั่นไส้วะ

“กูอาจจะงี่เง่า ช๊อปปิ้งนาน และขี้แย มึงจะไม่รำคานใช่มั้ย”

“มึงก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นมึงแค่มีความคิดของมึง ที่ออกจะซับซ้อนไปหน่อย แต่กูว่ากูจัดการได้”

“สัด”

“ว่าไงเป็นcutieของกูนะ” มันถามย้ำเมื่อเห็นผมเงียบนานเกินไป

“ไม่เอากูจะเป็นboxerมึงเอาcutieไป”

“สรุปคือ”

“อืม”

แล้วมันก็ยิ้มกว้าง ดึงผมเข้าไปกอดแน่น ผมเองก็ยิ้ม เลื่อนมือขึ้นกอดตอบมัน ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเราต้องเจออะไรอีก แต่ตอนนี้ผมโคตรมีความสุขที่ได้รักและได้รับความรัก และไม่ลืมย้ำมันอีกครั้ง

“แต่มึงเป็นcutieให้กูนะ”

“มึงจะให้กูเป็นอะไรก็ได้เพราะในสายตากู มึงก็เป็นไอ้น่ารักสำหรับกูอยู่ดี”



คิดว่าอีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้ววว เกือบถอดใจหลายครั้งแต่พอเห็นคอมเม้นต์ก็มีแรงฮึบขึ้นมา ฮา

พายุก็ยังเป็นพายุนะ พอรู้ว่าอีกคนคิดอะไรก็คือเคลียร์เลยทันที  ไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อ ส่วนตัวนี่คิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีคือทั้งสองฝ่ายต้องรักษาใจกัน ทะเลาะกันได้แต่ก็ต้องหันมาพูดคุยและรับฟังกันทีหลังด้วย เลยเขียนออกมาได้ฉะนี้ ยังมีจุดที่เขียนไม่ราบรื่นบ้างแต่จะค่อยปรับปรุงไปค่า
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่17 cutie ของ boxer
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-05-2020 15:40:01
 :pig4:
 :3123:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่17 cutie ของ boxer
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-05-2020 19:55:16
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่18 ยังไงไหว
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 03-06-2020 22:01:08
ผมเคยคิดว่าการคบกัน มันคงไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เลย มันต่าง ทั้งในเรื่องของกายภาพ และเรื่องของจิตใจ ยอมรับว่าความรักของผมครั้งนี้ดูแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างชัดเจน พายุมันให้ผมมามาก มากจนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าผมให้มันได้ไม่เท่าที่รับมา นี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว และเรื่องของเราเพื่อนๆก็รับรู้และดูจะยินดี โดยเฉพาะ พิมกับโทนี่ มันดูมีความสุขเกินไปมากกก

"เมื่อคืนมึงนอนไม่หลับเหรอ กูได้ยินเสียงเปิดประตูกลางดึก" 

"ตอนนั้นมึงยังไม่นอนเหรอวะ"

"ยัง"

ใช่ครับ มันย้ายเข้ามาอยู่กับผมแล้ว ไม่รู้มันไปคุยกับที่บ้านยังไง พ่อถึงยอมให้มันมาอยู่นี่ หรือมันไม่ได้ขอก็ไม่รู้

'กูขออยู่ด้วยนะ'

มันพูดแบบนั้นตอนมันเดินเข้ามาในห้องหน้าตาเฉย ไม่น่าให้คีย์การ์ดมันไปเลยย แล้วไม่อยู่ฟรีๆด้วยนะ ไอ้ยุบอกจะจ่ายค่าเช่าให้ทุกเดือนถึงผมจะบอกว่าแค่แชร์ค่าน้ำค่าไฟให้ก็พอแล้วก็ตาม แต่คุณเขาก็ยังดึงดันว่าจะไม่อยู่ฟรีๆ ในเมื่อเขาว่ามาอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดศรัทธา มีเงินมาไว้ซื้อผ้าซื้อสี หรืออาจจะได้เสื้อใหม่สักตัว แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย

เพื่อไม่ให้มันรู้สึกว่าเงินที่มันเสียมานั้นไม่คุ้มค่า ผมก็เลยยกห้องที่ว่าง(ห้องเก่านานะ)ให้มันไปเลย จะได้รู้สึกสะดวกสบายไม่ต้องมานอนเบียดผม ซึ่งมันก็ดูจะงอแงนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี ก็นี่มันถิ่นโผมม

“เหม่อไร”

ติดอยู่ข้อเดียวเนี่ยแหละ มือแม่งอยู่ไม่สุข ผมจับมือหนาที่สอดเข้ามาใต้สาบเสื้อออกมากุมไว้ และตบเบาๆให้มันใจเย็น 

“ขอกูทำงานดีๆได้มั้ย งานมึงไม่มีเหรอ” เอี้ยวคอไปมองมันที่นั่งซ้อนกอดผมอยู่ด้านหลัง 

“มี แต่ขอเติมพลังก่อน” แล้วริมฝีปากอุ่นก็สัมผัสริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว ก่อนขยับตัวลุกออกไป เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวและทำงานของมันต่อ ทีแบบนี้อะไวนัก ได้แต่มองแล้วส่ายหัวเบาๆ ก็แค่นี้แหละ นิดๆหน่อยก็เอา แต่ไอ้บ้าเอ๊ย ทำกูสติแตกตลอด จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชิน มันยุบยิบใจเป็นบ้า

หันมองงานตัวเองและพยายามตั้งสติอีกครั้ง ชีวิตช่วงนี้ของผมนะเหรอครับวนลูป เรียน ทำงาน กิน นอน มีอยู่แค่นี้ แม้ใจจะระริกอยากออกไปเจอแสงสียามค่ำคืนแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเราใกล้เข้าสู่ช่วงไฟนอลแล้ว งานทั้งหลายที่ผมค้างอยู่ตั้งแต่แข็งขาหัก และที่ไปเชียงใหม่ ทุกอย่างที่ยังไม่เสร็จถูกยกมาสมทบในช่วงนี้

นี่คือสองอาทิตย์นรกแตกของโผมมม

บอกเลย การนั่งทำงานดึกดื่นหรืออาจจะโต้รุ้งกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว จนบางคืนถึงงานผมเสร็จตั้งแต่หัวค่ำผมก็นอนไม่หลับอยู่ดี (อย่างเช่นเมื่อคืนเป็นต้น) โชคยังดีที่วิชาเรียนรวมเริ่มปิดคลาสหมดแล้วรอสอบอาทิตย์หน้าก็จบ จะมีก็แต่วิชาหลักของสาขาบางตัวที่ยังต้องเข้าอยู่  บางตัวจารย์ก็ให้เวลาเคลียร์งานทั้งหมดที่ค้าง ดังนั้นสภาพผมตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากตอนเชียงใหม่เท่าไหร่ จะดีหน่อยก็คือ ผมกินข้าวตรงเวลา เพราะมีพ่อ(ไอ้พายุ)คอยป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ไม่ห่าง เยี่ยมจริงๆ

แต่เรื่องนอนนี่มันเองก็ห้ามไม่ได้เพราะเราต่างคนต่างโต้รุ่งถึงเช้า ก็เข้าใจได้ งานไฟนอลที่เรียนก็เยอะแล้ว มันยังไปรับงานพี่เฟียตมาเพิ่มอีก บางทีก็สงสัยนี่มึงร้อนเงินเหรอ เคยแซวๆไปครั้งนึง แล้วมันก็ตอบเสียงจริงจัง ‘ได้รับโอกาสมาแล้วก็ต้องรับดิ กูจะได้เรียนรู้การทำงานจริงๆก่อนเรียนจบตั้งหลายปี’ เหตุผลฟังดูดี แต่กลัวแม่งจะน๊อคคาคอมไปสักวันจริงๆ 

ห่วงมันนะ แต่ตัวเองก็ยังไม่รอด จะตายมั้ยก่อน! งานเยอะฉิบหายเลยโว้ยย ได้แต่ทึ่งหัวตัวเองแล้วก้มหน้าชดใช้กรรม 

“เดี๋ยวกูมานะ”

“ไปไหนวะ” หันไปถามมัน ที่ปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊ค มาถือไว้ 

“ลงไปคุยงานกับพี่เฟียตแปปนึง ตอนเย็นมึงจะกินไร กูจะได้ซื้อขึ้นมาเลย”

“ให้พี่มันขึ้นมาคุยข้างบนก็ได้ ข้างล่างร้อนจะตาย” 

“ได้เหรอ”

“ได้ดิ นี่ก็ห้องมึงแล้ว ถ้างานเป็นความลับ กูย้ายไปทำงานในห้องนอนได้”

มองไอ้พายุที่วางโน๊ตบุ๊คลงบนโต๊ะตามเดิมแล้วหันมายืนกางแขนออกมองผม เออไม่ต้องมองกูตาเยิ้มขนาดนั้นก็ได้ รู้ว่ารักกูมาก

“อะไร”

“มาให้กอดหน่อย”

“มึงก็เดินมาเส่” แต่มันยังคงยืนนิ่งมีเพียงฝ่ามือหนาที่ขยับกวักเรียกผม โว๊ะไอ้นี่หนิ สุดท้ายผมก็ลุกเดินเข้าไปสวมกอดมัน วงแขนอุ่นก็กอดรัดผมให้แนบแน่นขึ้น คางแหลมวางเกยที่หัวผม ผมไม่ได้เตี้ยนะ แต่มันสูงเกินมาตราฐานต่างหาก

“มึงนี่ชอบสกินชิพเนอะ”

“เออชอบมากกก” ไม่พูดเปล่ามันยังย้ำในคำพูดของผมด้วยการเลื่อนลงมากดจูบที่ซอกคอ มือเริ่มเคลื่อนไหวลงไปที่สะโพกและบีบเบาๆ ให้ตายดิ ไวตลอดเลยโว้ย มึงไม่ต้องย้ำกูก็ได้ ผมละกลัวใจตัวเองจริงๆ กลัวจะเผลอไปกับมัน

“พอแล้วสัด พี่เฟียตมันยืนแห้งตายรอมึงแล้วมั้ง” ผลักมันออกจากตัว

“ว้า เสียดายจังเมื่อกี้มึงดูเคลิ้มแล้วเชียว” เกลียดน้ำเสียงมันอะ กะล่อนฉิบหาย แล้วดูตามันเด้ ไอ้พายุคนเงียบขรึมไม่มีจริง นี่มันเสือซุ้มชัดๆ

“กามตลอด ไอ้สัด”

“ฮ่าๆ พูดไม่เพราะเลยนะครับคุณภพ” แล้วมันก็ดึงผมกลับเข้าไปในอ้อมกอดหลวมๆอีกครั้ง

“แล้วจะเอาเพราะขนาดไหนหละครับ” ผมพูดแล้วเชิดหน้าทำหน้ากวนมัน “ต้องแบบ คุณพายุครับ หรือให้กูเรียกพี่พายุครับ พี่ลามกจังครับ งี้เลยมั้ย”

รู้สึกได้ว่าตัวมันแกร่งเครียด ก่อนดึงตัวผมออก อ่าว อะไรกัน มึงคิดอะไรอยู่ มองหน้ามันก่อนค่อยๆยกยิ้มมุมปาก ในที่สุด

กูก็รู้จุดอ่อนมึงแล้วโว้ยยย วะฮ่าๆ

“พี่พายุครับ เป็นอะไรเหรอครับ” งงมันมาก ผมก็พูดเสียงปกตินะ ไม่ได้บีบเสียงอะไรเลย แต่มันเขินอะไร ใช่ มันเขินเฉย เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ทำมันหูแดงได้ ปกติก็มีแต่มันทำผมเนี่ยเขินตัวบิดสาวแตก

รู้สึกชนะว่ะ สนุกโว้ยย เอาอีกๆ ชอบแบบนี้ก็ไม่บอก กูจัดให้!

ขยับตัวเข้าหาเบียดเสียดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สบตาคมที่ดูลอยๆ เป็นเอามากนะแพ้คนพูดเพราะขี้อ้อนเหรอวะ ซึ่งไม่มีอยู่ในตัวกูเลยย “เป็นอะไรไปครับ พายุชอบแบบนี้เหรอ”

ฮ่าๆเกลียดอินเนอร์ความตอแหลของตัวเองจัง แต่ที่ตลกกว่าคือหน้าตาเหลอหลาของมัน ในจังหวะที่ผมยังคงคึกคะนองและคิดว่าได้แกล้งมันแล้วน้านน

เสือแม่งก็ยังเป็นเสือ ทันทีที่ผมเห็นแววตาคมวูบไหวผมก็ถอยตัวออก เตรียมหันตัวหนีทันที 

แต่ไม่ทัน

“อื้อออ”

สัด จูบกระชากวิญญาณ รุนแรงเหลือเกินพ่อ กูจะไม่หยอกมันแบบนี้อีกแล้ว เข็ดไปจนตายยย



*



ผมยังนั่งอยู่ที่โซฟาตอนที่ไอ้พี่เฟียตเดินหน้ามุ่ยเหงื่อโทรมกายเข้ามาในห้องตามหลังไอ้พายุที่ดูจะอารมณ์ดีจนน่าถีบ

“ให้กูยืนรอนานฉิบหาย มัวทำไรกันอยู่วะ” พี่มันเดินมานั่งลงข้างผม หันมองผมด้วยใบหน้าหงุดหงิด “ไงมึง แล้วปากโดนไรมา ทำไมบวมขนาดนั้น” 

“หมามันกัดอะพี่” เหล่ตามองหมาที่ยืนยิ้มกริ่ม

“อ่อ ไอ้ยุสินะ ที่หลังก็กัดตอบเลยอย่าปล่อยให้แม่งเอาเปรียบ” ผมก็อยากอยู่อะนะแต่แม่งแรงควายไง เคยสู้มันได้ที่ไหน แค่จะหายใจยังยาก “แล้วนี่ยังไง นัดกูมาคุยงานคอนโดไอ้ภพ ย้ายมาอยู่ด้วยกัน? คบกันแล้ว?”

“อืม” ผมไม่ได้ตอบนะ คนที่ตอบอะนู่น ไอ้พายุแล้วพี่มันก็ยกยิ้มมุมปาก ยกแขนขึ้นพาดบ่าผม ตบแปะๆสองสามที

“กูยินดีกับพวกมึงด้วย ไอ้พายุมันเป็นคนดีและแม่งโคตรรักมึงเลย แต่กูขอแนะนำอะไรพวกมึงหน่อย” 

“อะไร” 

“ถึงสมัยนี้มันจะเปิดกว้างหมดแล้ว แต่มันก็ยังมีคนที่ยอมรับไม่ได้ พวกมึงยังต้องเจออะไรอีกเยอะ อย่าไปสนใจ คนที่มึงควรแคร์ที่สุดคือคนของมึง อย่าทำร้ายความรู้สึกกัน แค่เพราะคนอื่นบอกว่ามันไม่สมควร”

“แล้วถ้าคนอื่นเป็นพ่อผมอะพี่” ที่ถามนี่ไม่ได้จะกวนตีนนะ อันนี้อยากฟังพี่มันพูดจริงๆ

“อันนี้กูไม่ทันคิด” อะโด่ เกือบดีแล้วเชียว “แต่กูว่า ถ้ามึงไม่ได้พากันไปทำเรื่องไม่ดี เขาก็คงยอมรับในสักวันแหละ พวกมึงแค่อย่าปล่อยมือกันก่อนก็พอ”

“โอ้วว นานๆจะได้ฟังอะไรดีๆจากปากพี่”

“น้องเวร” โว๊ะ ผลักหัวกูซะแรงเลย “ส่วนมึงไอ้ยุ ได้เขามาแล้วก็ดูแลดีๆ อย่าทำเหี้ยๆกับน้องกู เข้าใจ๋”

“กูก็น้องมึง มั้ยพี่” ไอ้พายุพูด

ผมว่าตอนนี้ผมเห็นพีรามิดห่วงโซ่อาหารอะไรสักอย่างที่เกินขึ้นรางๆระหว่างพวกเรา เวลาผมอยู่กับไอ้ยุจะรู้สึกว่าสู้มันไม่ได้ แบบถึงสู้สุดท้ายผมก็แพ้อยู่วันยังค่ำ เลยต้องยอมๆมันไป แล้วหน้าตาไอ้ยุกับน้ำเสียงมันตอนนี้ที่พูดกับพี่เฟียตทำให้รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไอ้พี่เฟียตคือจุดสูงสุดของยอดพีรามิดตอนนี้ 

เอาหละได้ทีกู เมื่อกี้ผมสู้มันคนเดียวเลยแพ้ไป แต่ตอนนี้ผมมีพี่เฟียตอยู่ ฮึกเหิมๆ ม่านละครเปิดได้!

“เนี่ยพี่ ไอ้พายุแม่งชอบรังแกผมอะ” 

“อะไร” มันขมวดคิ้วมองผม

“มึงชอบมาจับตัวกู แล้วบีบๆ”

“แล้วจับไม่ได้ไง เต๊ะไม่ได้เลย”

“มันก็ไม่ต้องบ่อยก็ได้มั้ยย เอะอะจับๆลูบๆอยู่ได้”

“ตัวมึงนุ่ม เพลินมือดี”

“ไอ้สัด เนี่ยพี่ดูมันพูดดิ ชอบพูดจาสองแง่สามง่ามใส่ผมด้วย ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย” ผมทำหน้าบึ้ง หันไปฟ้องพี่เฟียต พี่มันอมยิ้มมองผมอย่างรู้ทัน 

“มึงเป็นไรของมึงเนี่ย” ไอ้ยุดูจะเริ่มหัวเสียนิดๆ 

“ไหนมันจับๆลูบๆมึงยังไง” พี่เฟียตหันไปมองไอ้ยุแล้วหันกลับมาถามเสียงขัน ขยิบตาส่งซิกและผมก็รู้ทันเกมพี่มัน 

“มันชอบกอดผมแบบนี้ แล้วทำแบบนี้ที่พุงกูอะพี่” ผมกอดพี่มัน ยื่นมือไปจับหน้าท้องที่แน่นปั๊กของพี่เฟียต แล้วลูบๆ “แบบเนี่ยๆ โคตรจั๊กจี้ พี่จั๊กจี้มั้ย”

“ไม่นะ แต่สบายว่ะ ซ้ายหน่อยดิคันตรงนั้นพอดี” สัด พี่เฟียตแม่งจะเอาฮาไปไหน ผมหัวเราะกับพี่มัน แล้วเกาตามตำแหน่งที่พี่มันบอก

“ภพ ให้มันน้อยๆหน่อย” แต่เห็นจะมีคนไม่ขำด้วยว่ะ ไอ้พายุพูดเสียงเรียบ เดินเข้ามาดึงตัวผมออกแล้วแทรกตัวนั่งคั่นระหว่างผมกับพี่เฟียต หน้าเป็นตูดเลยโว้ยย

“มึงนี้จี้ง่ายฉิบหาย และให้มันเพลาๆบ้าง อย่าลวนลามน้องมันมาก”

“เออ อย่าลวมลามกูมาก” ผมพูดทวน และไอ้ยุก็หันมามองผม ยกมือขึ้นขยี้หัวผมเบาๆอย่างที่มันชอบทำ

“ยากวะพี่ แต่จะพยายาม” 

“เออ เรื่องของพวกมึงเหอะ กูพูดที่อยากพูดแล้ว จะเริ่มคุยงานกับกูได้ยัง”

พี่มันก็ไม่ได้ไล่ผมหรอกนะ แต่ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้น หอบหิ้วงานตัวเอง ก่อนไปไม่ลืมหันไปยิ้มขอบคุณพี่มัน แต่ไอ้คนนั่งหน้านิ่ง ก็เอียงตัวมาบังพี่เฟียตให้พ้นจากสายตาผม ส่ายหัวกับท่าทางมันแล้วหันหลังเดินเข้าห้องนอน 

ตลกดียิ่งอยู่ด้วยกันผมก็มองว่าท่าทางของมันเมื่อกี้แม่งน่ารักว่ะ

(มีต่อ)

หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่18 ยังไงไหว
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 03-06-2020 22:03:18
[พายุ part]

หลังไอ้พี่เฟียตกลับออกไปตอนเกือบหกโมง ผมก็เดินไปเคาะห้องภพ เมื่อเย็นมันแวบออกมาเอาข้าวแล้วเดินกลับเข้าห้องไป ที่จริงผมกับพี่เฟียตก็ไม่ได้จะคุยงานกันยาวหรอกแล้วก็ไม่ได้ต้องเป็นความลับอะไรด้วย แต่พอเห็นไอ้ภพมันดูใส่ใจและไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายมาก ผมว่ามันก็น่ารักดี เลยปล่อยให้มันทำสิ่งที่มันสบายใจจะทำ 

ผมเดินเข้าไปหาไอ้คนตัวเล็กที่ฟุบหลับคากองงานบนโต๊ะ ในมือยังถือดินสอค้างอยู่ ค่อยๆ ดึงออกจากมือเรียว จับตัวมันขึ้นมาก่อนจะช้อนตัวอุ้มคนที่หลับสนิท ไปวางลงบนเตียง ทันทีที่หัวลงหมอน ไอ้ภพก็ซุกตัวหาท่าที่สบาย เกลี่ยผมที่ปรกลงมาให้พ้นกรอบหน้าหวาน แม่ง มันจะน่ารักทุกเวลายันตอนนอนไม่ได้นะ 

ทำไมผมถึงบอกว่ามัน ‘น่ารัก’ บ่อยๆนะเหรอ เพราะนั่นคือคำนิยามที่ดูเหมาะสมกับมันที่สุด

ไม่สิมีอีกคำ ‘สวย’ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมคำว่าสวยเราถึงใช้นิยามได้แค่กับผู้หญิง ในเมื่อทุกอย่างมีความสวยงามในแบบของมันทั้งนั้น

ในที่สุดผมก็ย้ายเข้ามาอยู่กับมันจนได้ พ่ออนุญาติสักที ขอบคุณแสงแดดที่ช่วยพูดแลกกับการที่ผมต้องซื้อนินเทนโด ราคาเหยียบหมื่นให้มัน (เครื่องเล่นเกมห่าไรแพงฉิบหาย) แต่ก็ถือว่าคุ้มเพราะผมจะได้อยู่ใกล้ๆมันได้นอนกอดมันทุกคืนและตื่นขึ้นมาพร้อมกันในทุกเช้า และคอยดูแลมันได้ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

แต่ความจริงโหดร้ายกว่านั้น

แม้จะอยากนอนกอดมันแค่ไหนแต่ไอ้ภพก็พูดเสียงแข็งว่าไม่เอา มันนอนดิ้น (ซึ่งโคตรจะจริง) และมันกลัวจะทำผมนอนไม่สบาย (แลดูเป็นห่วง) พอบอกว่าไม่เป็นไร มันก็ยกเอาเรื่องว่า ผมจ่ายค่าเช่าให้มันผมก็ควรได้นอนสบายๆคุ้มค่าเงินที่จ่าย ใจดีไม่ดูเวล่ำเวลาแบบสุดๆ คือกูอยากนอนกับมึงไง แต่พอเห็นมันยืนยันแน่วแน่แบบนั้น สุดท้ายผมก็เลยเออๆ ออๆ ยอมมันไป ผมเลยได้ห้องเก่าของแฟนเก่ามัน (แอบเจ็บ)มาซุกหัวนอน

แต่ผมว่ามันกลัวอย่างอื่นมากกว่า

นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็คิดถึงเรื่องที่คุยกับพี่เฟียตเมื่อตอนเย็น เอาจริงคุยงานกันอะแค่30นาที ที่เหลือคือคุยเรื่องมันทั้งนั้น ก็เข้าใจได้ไอ้ภพมันก็เป็นน้องที่พี่เฟียตมันเอ็นดู พี่มันคงประทับใจตอนรับน้อง ไปมาหาสู่พาไปส่งโรงบาลตอนที่แม่งข้อเท้าหลุด ก็เหมือนผมแหละที่ชอบมันตั้งแต่ตอนนั้น และไหนจะความกวนตีนขี้อ้อนที่ดูน่ารักแปลกๆที่ให้ความรู้สึกน่าปกป้องของมันอีก ก็ไม่ยากที่จะทำให้มันเป็นที่รักของทุกคน (เกินไปจนบางทีก็น่ารำคาญ)

ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเสน่ห์แรงและมีคนหมายตาขนาดไหน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะ พวกผู้ชายห่ามๆก็เยอะ 

ล่าสุดก็คนใกล้ตัวผมเลย ไอ้มิกซ์ ก็พอรู้ว่าอย่าถือสากับคนเมา แต่ผมรับคำพูดแทะโลมที่มันพูดถึงไอ้ภพไม่ได้ ก็เลยเผลอแลกหมัดกันไปยกสองยก

ผมไม่ชอบให้คนอื่นพูดหรือคิดแบบนั้นกับคนของผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เผลอคิดลามกกับมันทุกที โคตรแย่ ก็พยายามปรับปรุงอยู่เหมือนกัน

‘กูเข้าใจนะ ยิ่งใกล้เหมือนไฟมันสปาร์ค แต่มึงก็อย่าให้มันเยอะไปเลยสงสารไอ้ภพมัน มันคงยังไม่ชิน’

‘พี่ก็เชื่อที่ไอ้ภพพูดมากเกินไป ผมก็ไม่ได้หื่นขนาดนั้น’

‘เรื่องนี้กูเชื่อไอ้ภพมากกว่ามึงว่ะ ตามึงตอนมองมันนี่แทบจะกลืนกิน ถ้ากูเป็นไอ้ภพกูก็ไม่ให้มึงเข้าห้องนอนหรอก’

อันนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยเห็นตาตัวเองตอนมองมัน แต่ผมว่าผมก็ไม่ได้พยายามพามันไปถึงจุดนั้นนะ ขอแค่สัมผัสนิดๆหน่อยให้อบอุ่นใจเฉยๆ 

‘เวลาพี่อยู่กับแฟนพี่ไม่ชอบสกินชิพเขารึไงมันคือการแสดงความรักเว้ย ผมไม่ได้จะทำไรมันสักหน่อย’

‘แต่ถ้ามันเคลิ้มมึงก็เอา’

ก็ไม่ขนาดนั้น 

‘กูเตือนเลยนะ เซ็กส์มันต้องเกิดขึ้นจากความต้องการของทั้งสองคนไม่ใช่คนเดียว แล้วไอ้วิธีเจ้าเล่ห์ๆ เจ้าแผนการของมึงที่ชอบใช้หลอกล้ออะหยุดไปเลย’

รู้ดีฉิบหาย แต่เรื่องนี้ผมไม่คิดวางแผนอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ล้วนๆ

‘อันนี้ผมรู้พี่ ผมก็ไม่คิดจะใช้แผนไรอยู่แล้ว กะรอให้มันพร้อมแล้วเป็นคนเปิดเอง’

‘เออคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว’

‘พี่นี่ก็ยุ่งกับเรื่องผมจริง’

‘เอ้า ไอ้เวร ที่ตอนจะจีบวิ่งให้กูช่วย พอจะได้กันถีบหัวกูส่งซะงั้น’

‘เออหน่า พี่มึงไม่ต้องห่วงหรอก ผมก็ไม่คิดจะทำไรมันเร็วๆนี้หรอก ผมรักมันนะ ไม่ได้คบแค่จะเอา  ช่วงนี้มันเครียดไฟนอลด้วย ไหนจะกลัวพ่อมันรู้เรื่องอีก’

‘เออแล้วมึงไปเจอพ่อแม่มันยัง’

‘ยัง แต่คิดว่าจะไปช่วงปิดเทอม’

‘เออดี แต่บ้านมึงรู้แล้วป่ะ'

‘รู้ ตอนแรกพ่อก็ไม่โอเค ที่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย เกือบตบผมด้วยซ้ำแต่ผมหลบทัน ส่วนแม่ถึงไม่พูดแต่ก็ดูเสียใจอยู่ แต่พอผมบอกว่าผมแค่คิดว่าการที่ผมเป็นเกย์มันก็ไม่ได้ผิดอะไร ผมก็ยังเป็นผม เป็นลูกคนเดิมของเขาอยู่ดี ถ้าในเมื่อออกไปผมเป็นตัวผมได้แต่ถ้ากลับมาบ้าน ผมต้องหลบๆซ่อนๆผมว่ามันไม่น่ามีไรดี ผมไม่อยากปิดกับคนที่ผมรักที่สุดอย่างครอบครัว พี่เกทป่ะ’

'อืม'

'นั่นแหละ พอผมแน่ใจว่าความรู้สึกของผมต่อภพมันเกินจากการแอบชอบ หรือแค่หลงไปไกลแล้ว  พอผมมั่นใจ ว่ามันกลายเป็นความรัก ที่ผมอยากครอบครอง ก็เลยตัดสินใจบอกที่บ้าน'

‘แล้วเขาว่าไง’

‘ก็ดูนิ่งๆไปแต่โชคดีไง มีพี่ฝน กับแสงแดดช่วยพูด แล้วแม่ก็เริ่มเข้าใจมั้ง ก็เลยช่วยคุยกับพ่ออีกที สุดท้ายเลยชวนกันกินเหล้า แล้วผมก็เลยเล่าเรื่องไอ้ภพให้ฟัง แต่กูเมาอะพี่ ก็ไม่รู้พูดไรไปบ้าง วันรุ่งขึ้นพ่อก็บอกว่าให้พาภพมาเจอบ้าง’

‘แล้วพาไปยังวะ’

‘ไปแล้ว ก่อนจะตกลงเป็นแฟนกันอีก’

‘เร็วเหมือนกันนะพวกมึงเนี่ย’

‘ก็ใช่ แต่สำหรับผมมันช้ามากเลยพี่ก็รู้’

‘เออ เข้าใจก็แอบชอบมาเป็นปีๆกูยอมมึงเลย แล้วที่บ้านเจอไอ้ภพแล้วว่าไง’

‘ผมก็กลายเป็นหมาไง ไอ้แสงแดดนี่ดูจะถูกใจก่อนใครเพื่อน พี่ฝนก็ดูชอบรายนั้นชอบอะไรนุ่มนิ่มๆอยู่แล้วและพี่มึงดูแก้มไอ้ภพดิ ป่องขนาดนั้น'

'เออจริง แก้มแม่งน่าบีบ'

'อืม แล้วพี่ก็รู้ไอ้ภพมันมีความขี้อ่อนเอาใจใส่แบบไม่รู้ตัวอะ สุดท้ายแม่ผมก็ดูจะถูกใจ พ่อก็ไม่ได้ถึงกับยอมรับ แต่ก็ดูไม่ได้รังเกียจหรือห้ามอะไร เออแต่ก่อนกลับก็ดูจะถูกใจอยู่เหมือนกัน’

‘งั้นเหลือแต่พ่อแม่ไอ้ภพสินะ’

‘อืม แต่ผมลองถามพวกเพื่อนๆมันก็เห็นบอกใจดีนะ แต่กับเรื่องแบบนี้ก็ต้องรอดู’

‘จริงจังฉิบหาย แต่ก็ดีแล้ว’ 

‘ก็หวังว่ามันจะผ่านไปด้วยดี’

 ผมกลับมาสู่ปัจจุบัน เมื่อไอ้ภพเริ่มถีบผ้าห่มออกจากตัว จนเห็นขาขาวๆของมัน และกางเกงขาสั้นที่ร่นขึ้นไปถึงโคนขา ไหนจะเสื้อที่เปิดอ้าซ่าจนเห็นหน้าท้องบาง ดึงผ้าห่มกลับมากางออกคุมตัวให้ถึงคอ ปิดความขาว ที่ชวนอารมณ์ขึ้นให้พ้นสายตา

ก็ยอมรับอะนะ ผมมันก็ผู้ชายหื่นกามดีๆนี่เอง พึ่งมารู้ว่าตัวเองหื่นแค่ไหนก็ตอนอยู่กับมันเนี่ยแหละ ก็ดูแม่งดิ ปากอิ่มน่ากัด ยิ่งเวลาเถียงงุ่ยๆแล้วโคตรหมั่นเขี้ยว ไหนจะแก้มบวมๆของมันอีก ไอ้ภพมันผอมมากนะแต่แก้มนี่ น่าบีบฉิบหาย แล้วมือผมก็เผลอบีบแก้มมันเบาๆอย่างไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ตอนมันส่งเสียงครางแล้วหันหนีถีบผ้าห่มออกอีกเนี่ยแหละ

แล้วแบบนี้ใคนจะทนไหววะ 

แต่ต้องทนแม่งเอ้ย ลุกไปหยิบโทรศัพท์มันมาเสียบชาร์จให้ เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินแบบตอนมันไปนอนบ้านผมอีก เช็คว่ามันนอนห่มผ้าเรียบร้อยดีแล้วเดินออกจากห้องมันมาโดยไม่ลืมปิดไฟ 

ผมกลับมาที่ห้องตัวเอง หยิบผ้าเช็ดตัวรีบเดินเข้าห้องน้ำ ต้องอาบน้ำดับความร้อนรุ่มในใจหน่อย ความขาวแม่งติดตา น้ำเย็นๆช่วยผมได้ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ดีกว่ายังนั่งอยู่ในห้องมันอะนะ

เดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ สภาพเปลือยท่อนบน แล้วผมก็ต้องตกใจ ชะงักยืนอยู่กับที่ เพราะตอนนี้ เวลานี้ ไอ้คนที่คิดว่านอนหลับไปแล้วกลับมานั่งอยู่ปลายเตียง ดวงตากลมสบตาผมอย่างเลื่อนลอย

นี่มึงละเมอปะเนี่ย

“ภพ มึงมีอะไรรึเปล่า”

มันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตัวเข้ามากอดผม ใช่ครับผมใช้คำว่าพุ่ง ความเร็วและแรงปะทะนั้นเกิดเสียงดังอั๊ก ใบหน้ามันซุกอยู่ที่ซอกคอผม 

“เป็นอะไร” ดึงตัวมันออกมา ทำไมดูลอยๆวะ

“....”

“ไอ้ภพ มึงละเม...หืม”

งงดิ บอกเลยงงมาก อยู่ๆมันก็เงยหน้าขึ้น โน้มคอผมไปจูบ ผมค่อยๆขยับริมฝีปากให้เราสัมผัสกันได้มากขึ้น ปล่อยให้ไอ้ภพนำไป ความรู้สึกอุ่นวาบวิ่งไปทั้วร่าง รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตัวเอง สัมผัสของมันไม่ได้เร้าร้อนแต่กลับทำให้ผมรู้สึกดี  ทันทีที่ไอ้ภพเหมือนจะถอนริมฝีปากออกไป สองมือผมก็จับตรึงใบหน้ามันไว้และเป็นฝ่ายกอบโกยความหวานจากริมฝีปากอิ่ม เสียงครางของมันดังก้องในหูผม ให้ตายดิ นี่มันยั่วกันชัดๆ

มือเริ่มเลื่อนไปที่ต้นคอมัน นวดคลึงเบาๆ ก่อนเลื่อนลงต่ำลูบไล้แผ่นหลังบางและกอดให้แนบชิดมากขึ้น ใจอยากเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้นแต่ก็ต้องหักห้ามใจ แล้วผละใบหน้าออกมา ยกปลายนิ้วเช็ดคราบใสๆที่ริมฝีปากที่บวมเจ่อของมันออกให้ มองมันอย่างอ่อนใจ

ตาหวานเยิ้มเลย อยากจะบ้าตาย แม่งเอ้ย 

“พอแล้ว มึงกลับห้องมึงได้แล้ว”

“คืนนี้กูจะนอนนี่” 

“ห๊ะ เมื่อกี้มึงหลับไปแล้วไม่ใช่เหรอวะตื่นขึ้นมาอีกทำไม”

มันส่ายหน้า ส่ายหน้าหมายถึงอะไร ไม่ได้หลับเหรอ? หรืออะไร?

"ตื่นตั้งแต่มึงอุ้มแล้ว" 

งั้นไอ้ที่ถีบๆผ้าห่มให้เห็นขานั่นคือ? ตั้งใจเรอะผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง โดนแม่งเล่นแล้ว วันนี้ทำตัวแสบยั่วอารมณ์ทั้งวันเลย ให้มันได้งี้ดิ 

แล้วมันทำไปทำไม 

แต่ก่อนอื่นผมควรแต่งตัวก่อน ผมผละออกจากร่างบาง เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อมาสวม หันกลับมามันก็สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มเรียบร้อย สบตากลมที่จ้องมองผม เดินเข้าไปนั่งลงข้างตัวมัน 

“ยอมนอนร่วมเตียงกับกูแล้วเหรอ”

“อือ ถ้ากูนอนดิ้นมึงก็ปลุกกูได้”

“อะห๊ะ” ผมมองหน้ามันแล้วครุ่นคิดว่าผมควรจะพูดยังไงดี มันเองก็นอนมองผมตาแป่ว“กูรักมึงนะ”

“รู้แล้วหน่า”

“ที่กูจะบอกคือ มึงไม่ต้องพยายามจะเอาใจกู หรือทำในสิ่งที่มึงยังไม่อยากทำ แค่เพราะได้ยินที่กูพูดกับพี่เฟียต กูย้ายมาอยู่ด้วยเพราะอยากอยู่ใกล้ๆคอยดูแลแค่นั้น”

มันเงียบไป คิ้วขมวดมุ่น เหมือนมันกำลังคิดอย่างหนัก เห็นท่าทางมันผมก็เริ่มคิดว่าหรือผมคิดมากไปวะ ผมลูบศรีษะมันเบาๆ และส่งยิ้มบางๆให้บอกมันว่าสิ่งที่มันกังวลอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เซ็กส์สำหรับผมคือแมคเลิฟไม่ใช่แค่เอากันให้จบๆ และเพราะงั้นผมถึงไม่อยากให้มันรีบร้อน ผมรอได้ 

“แต่กูต้องการ” มันพูดเสียงเบา

หูฟาดปะวะ

“ห๊ะ”

“กูต้องการ ช่วยกูหน่อยนะ”

อะไรกันเนี่ยย! ว๊อทเดอะ...

"รู้ใช่มั้ยว่ากูรุกอย่างเดียวนะ"

"....."

เงียบว่ะ มีลังเลเว้ยเห้ย 

"ว่าไง" 

"รู้แล้วหน่า"

เอาหละ แม่งเอ๊ยย งานเข้า ผมบอกแล้วว่าผมรอมันได้ดังนั้นผมเลยไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรไว้ทั้งนั้น ทั้งถุงยาง ทั้งเจล ไม่มีอะไรสักอย่างถึงแม้ใบหน้ามันที่มองผมอยู่ตอนนี้จะยั่วอารมณ์แค่ไหน แต่เพื่อความปลอดภัยและความสะอาด ที่จะไม่ทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวนั้นสำคัญยิ่งกว่า 

ก้มลงไปจูบที่หน้าผากมันแผ่วเบา สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ก่อนดึงมันเข้ามาจูบ ไล่ปลายลิ้นดูดดึงริมฝีปากมันเบาๆ ก่อนลากไล้ฝ่ามือไปตามตัว ลูบวนแผ่วเบาที่หน้าท้องใต้สาบเสื้อ ชอบพุงน้อยๆของมันฉิบหายเลย ไอ้ภพเริ่มส่งเสียงครางแผ่วเบาเมื่อผมหยอกล้อยอดอกมัน และนั่นก็เปิดโอกาสให้ผมสอดปลายลิ้นร้อนเข้าไปชิมความหวาน  พร้อมๆกับฝ่ามือที่เคลื่อนสอดเข้าใต้กางเกงคนตัวบาง

"อ๊ะอื้อ"

ผมถอนจูบออกมามองทุกปฎิกริยาของมัน ผมไม่ได้จะทำอะไรมากกว่านี้หรอก แค่จะช่วยให้มันได้ปลดปล่อย แล้วคงไปจัดการตัวเองต่อในห้องน้ำ 

ให้ตายดิน่ารักเป็นบ้า

"อ๊า"

"ชอบมั้ยที่กูสัมผัสมึงแบบนี้"

"ชะ ชอบ ฮืออ อ๊า"

มึงจะยั่วอารมณ์กูมากไปแล้ว เร่งชักรูดแก่นกายมัน ขบเม้มยอดอกผ่านเสื้อจนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายผม ยิ่งไอ้ภพบิดเร้า และร้องครางเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากให้มันร้องดังขึ้นอีก และไม่นาน ไอ้ภพก็กำหมอน ตัวเกร็ง หันหน้ามาซุกอกผม ริมฝีปากเม้มแน่น

"อ๊ะ ไอ้ยุ กู"

ใกล้แล้วสินะ 

ผมมองไอ้ภพที่นอน หายใจหอบหลับตาพริ้ม ก้มลงไปจูบหน้าผากมันทีหนึ่งแล้วค่อยๆดึงมือที่เปียกชุ่มออกมา ลุกไปเอาทิชชู่มาเช็ดมือ ก่อนเปิดผ้าห่มแล้วเช็ดคราบที่เลอะบนหน้าท้องมัน เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกางเกงให้มันแระกัน หันตัวลุกจะไปห้องน้ำจัดการตัวเองบ้าง แต่ก็ถูกมือบางเอื้อมมาคว้าไว้

"จะ จะไปไหน"

"เดี๋ยวกูมา มึงนอนเถอะ"

"ต่อนะ" 

ไม่อย่ามองกูแบบนั้น 

"นะ"

"เดี๋ยว!" ผมร้องเสียงหลง เมื่อมันยันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน เอื้อมมาจับน้องชายผมแล้วบีบเบาๆ 

"กูช่วยนะ" ใจเย็นน ใครสอนให้มันพูดแบบนี้! นี่ไม่ใช่ไอ้ภพของโผมม รีบดึงมือมันออก มาจับไว้แน่น มองแววตากลม และใบหน้าที่ยังคงแดงซ่าน ฮึบไว้ไอ้พายุ

“ไม่เป็นไร วันนี้พอแค่นี้เถอะ กูไม่มีถุง"

"ต่อเถอะ กูอยากช่วย" มันพูดด้วยใบหน้าใสซื่อแต่แววตามีความมุ่งมั่น ขยับขึ้นมานั่งแล้วหันตัวหาผม พลางส่งมืออีกข้างมาแทนมือที่ผมจับยืดไว้ รีบรวบมือมันมาไว้ด้วยกันทันที มึงใจเย็นก่อนนนน

"ภพ หยุด!"

"กูอยากทำให้มึงสบายตัวบ้าง"

ภาพตรงหน้าทำผมมือไม้อ่อน ทำไมมันน่ารักจังวะ กูจะทนยังไงไหว ผมมองมือบางที่หลุดจากการจับกุมของผม เลื่อนลงไป ดึงกางเกงผมลง แล้วนิ่งไป ก่อนที่มือนิ่มจะสัมผัสตัวผมที่อึดอัดเติมที่ 

ผมได้แต่กัดฟัน มองมือบางที่รูดรั้งให้ผม มันทำช้าไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกดีเพราะมัน 

"ทำไมมึงยังไม่เสร็จอีกวะ กูเมื่อยมือแล้วนะ"

มันพูดขึ้นมาหลังผ่านไปได้ สิบนาที ให้ตายดิ กำลังจะดีอยู่แล้ว ผมโน้มตัวลงไปหา คร่อมตัวมันไว้ และจับมือมันออก 

"พอแล้ว เดี๋ยวมือมึงสกปรก"

"แต่.."

"แค่มองกู กอดกู"

จ้องมองใบหน้าชื้นเหงื่อของมัน พลางขยับมือที่กอบกำตัวเองไปด้วย ไอ้ภพมองผมตาโตเมื่อผมเริ่มครางเสียงต่ำ มันนอนตัวแข็งใต้ร่างสองแขนโอบกอดผม ผมโน้มหน้าลงไปที่ซอกคอมัน ขบกัดติ่งหูมันเบาๆ และร้องเรียกชื่อมัน แล้วไม่นานผมก็ปลดปล่อยตัวเอง เหลือบตามองของเหลวสีขาวขุ่นที่เลอะบนเสื้อของคนตัวบาง  จุ๊บเหม่งมันแล้วถอยตัวออก มองไอ้ภพที่ตัวแดงเถือก

"นอนเถอะ พรุ่งนี้มึงมีเรียน"

แล้วเหมือนมันพึ่งได้สติ ไอ้ภพรีบขยับตัวลุก ตั้งท่าจะลงจากเตียง ทั้งเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ย

"ไปไหน" ผมคว้าแขนมันไว้ แล้วดึงให้กลับมานอนบนเตียง

"กะ กลับห้อง จะเปลี่ยนเสื้อ"

"นอนนี่แหละ กูเปลี่ยนเสื้อให้เอง"

"...."

เห็นมันไม่ตอบและไม่ได้มีทีท่าอะไร ผมก็เลยลุกเดินไปเข้าห้องน้ำล้างมือ แล้วกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำอุ่น เวลานั้น ไอ้ภพก็(แกล้ง)หลับไปแล้ว 

จัดการเช็ดทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันที่ใช้เวลานานเพราะแม่งขื่นตัว แต่ยังแกล้งหลับอยู่ จนผมได้แต่ยิ้มให้กับความน่ารักของมัน

เมื่อกี้ยังทำซ่าจะช่วยกูอยู่เลย มาตอนนี้แกล้งหลับเฉย

“....”

ลุกไปปิดไฟ ฉับพลันไฟในห้องก็มืดสนิท ผมเดินไปตามทางที่เริ่มจะคุ้นชินในความมืด สอดตัวใต้ผ้าห่มข้างคนตัวบาง ดึงมันเข้ามากอดแนบอก 

"พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนไปเลือกเจลที่จะใช้กับมึงกัน"

มันยังไม่หลับหรอกเพราะแม้ในความมืด ผมก็เห็นว่ามันขมวดคิ้วอยู่ ก่อนเสียงอู้อี้ของมันจะดังขึ้น

“ไม่ได้ใช้กับกู ใช้กับมึงตังหาก”

ว่าแล้ว ว่าต้องพูดงี้ กลับคำเฉย ผมรอบยิ้มขัน ยอมไม่ได้เลยนะ ขอให้ได้เถียงกูตลอด โอเค ตอนนี้กูจะยอมให้มึงก็ได้ แต่ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้ว่าจะใช้กับใคร

"ครับๆฝันดีนะ"

"อือ มึงด้วย"


#คู่ขนานของเอกภพ

 เขียนได้ทีละนิด ต้องเริ่มกลับมาทำงานหาเงินกินข้าว เลยหายไปนานเลย หวังว่าจะยังติดตามกันอยู่นะคะ.
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: tantiya ที่ 12-06-2020 19:28:15
ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ

"เมื่อไหร่มึงจะกลับๆห้องมึงไปซะที"

"มึงให้กูอยู่เหอะ"

"พายุมันโทรไปตามมึงยิกๆกับไอ้นนนแล้วเนี่ย หนีมันมาทำไม ทะเลาะกัน?"

"เปล่า" ผมตอบพิม โดยไม่ละสายตาไปจากงานที่กำลังทำอยู่ ใช่ครับ จริงๆแล้ววันนี้ผมมีนัดกับไอ้ยุ จะไปซื้อของใช้กันนิดหน่อย แต่ทันทีที่ตื่น ผมก็จัดการเก็บกระเป๋า คว้างาน ออกมาสิงห้องไอ้พิมทันที 

บอกตรงๆภาพใบหน้ามัน และน้ำเสียงกระเส่าที่ดังข้างหูเมื่อคืนยังติดตา เมื่อวาน ผมดันไปได้ยินเรื่องที่ไอ้ยุคุยกับพี่เฟียต นิดหน่อย จากที่ผมรู้สึกว่าให้มันไม่ได้มากพออยู่แล้ว ความรู้สึกนั้นมันก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก 

แล้วไม่ใช่ผมไม่รู้ ว่ามันมักจะบริกรรมคาถาโลกสวยด้วยมือเรา ตอนดึกๆ มันคงไม่รู้ว่า ผนังห้องแม่งอย่างบาง ผมได้ยินหมดแหละ เสียงเรียกชื่อผมเหมือนเมื่อคืน และรู้สึกขอบคุณมันตลอดที่ไม่ได้พยายามหรือขออะไรแบบนั้นจากผม ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้เมื่อผมได้ยินประโยคที่มันพูดอย่างให้เกียติ และมั่นคง ผมก็เลยอยากลองดู ตอนที่มันบอกปัดและปฏิเสธ ผมเองลึกไปก็โล่งใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็..

"เป็นไร หูแดงๆ"

"เปล๊า"

"มีพิรุธนะ"

"โว๊ะ กูแค่ร้อน มึงเปิดแอร์ไม่ได้เหรอ"

"ไม่จ้า เปลือง แล้วสรุปหนีพายุมาหากูทำไม"

"ไม่มีไรหรอกน่า กูแค่คิดถึงมึงไง"

"โหห ที่รักกล้าพูดนะ เมื่อก่อนถ้าช่วงไฟนอลแบบนี้มึงหอบผ้าหอบผ่อนเรียกพวกกูไปห้องไอ้นนนแล้ว ตั้งแต่มีผัวก็เงียบกริบ อยู่แต่ห้องตัวติดกันฉิบหาย"

"ก็ไม่ขนาดนั้น" หันตัวไปเถียงมันที่นั่งอยู่บนโซฟา

"ขนาดนั้นเลยแหละ"

"...." เอาไงดีวะ ควรปรึกษากับพิมดีมั้ย คือ ที่ผมหนีมาเพราะอยู่ๆก็รู้สึกกระดาก กับสิ่งที่ตัวเองพยายามจะทำ และพอตอนเช้ามีสติความรู้สึกกลัวก็แทรกซึมเข้ามาเพิ่ม ผมเหมือนเคยได้ยินโทนี่บอกว่าครั้งแรกเจ็บมาก ตอนนั้นไม่เคยสนใจสิ่งที่มันพูดด้วยซ้ำจนกำลังจะเจอกับตัวเนี่ยแหละ กลัวก็กลัวแต่ก็อยากให้และรับมันได้มากขึ้น

"มึงเป็นไร เล่าได้นะ"

"ทำไมกูต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับมึงด้วยวะ" งึมงำกับตัวเองเบาๆ มองสบดวงตากลมโตของเพื่อนอย่างลังเล

"เรื่องแบบไหน?" ไอ้พิมมองผมด้วยความสงสัย มันเป็นคนฉลาดและหัวไว เดาทางเก่งยิ่งกว่าโคนัน ทำไมผมถึงบอกแบบนั้นนะเหรอ เพราะแววตาฉงนของมันหายไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเจ้าเล่ห์และขบขัน "กูต่อสายหาอีโทแปป"

ผมมองพิมที่ลนลานหาโทรศัพท์มากดโทรหาบุคคลที่สาม ได้ยินเสียงมันพูดรัวเร็ว

"อีโททิ้งทุกอย่าง เพื่อนต้องการมึง" แล้วมันก็กดเปิดลำโพง ก่อนเสียงแหบเสน่ห์จะดังก้องไปทั้งห้อง 

[ว่า]

ผมยังคงนั่งเงียบ ขณะที่มือไอ้พิมก็ยิกๆที่แขนผม 

[สรุปมึงมีไรอีพิม]

"กูอะไม่มี คนที่มีอะไอ้ภพ เล่าซะทีสิวะ"

[ภพมึงเป็นไร]

เอาหล่ะ ก่อนที่เพื่อนจะสงสัยและเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ผมควรพูดอะไรสักอย่าง ลองถามมันดูก็ได้ยังไงมันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ

"โทนี่ คือ แบบครั้งแรกมันเจ็บมากปะวะ"

[......]

กริบ เงียบกริบทั้งในสายและบรรยากาศรอบตัวผม ก่อนเสียงโทนี่จะดังขึ้นอีกครั้ง

[โอ๊ยยย กูก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย]

"มันก็น่าจะตายได้อยู่นะมึง" 

"ไอ้ภพ มึงเอากันไปได้ฆ่ากันตาย"

"ก็คือๆกันนั้นแหละ"

[ตลกวะ ที่มึงมาถามเรื่องแบบนี้ แต่ถ้ามึงกล้าถามกูก็กล้าตอบจ้า ครั้งแรกแม่งโคตรเจ็บ]


"แต่หลังจากนั้นจะดีช่ะ" ไอ้พิมถามแทนผมไปแล้ว

[ไม่ว่ะ]

"เอ้า ไม่ฟินเหรอ"

[ก็ฟินแต่ก็เจ็บ]

"มึงทำเพื่อนกังวลกว่าเดิม" เสียงไอ้พิมพูด และใช่ผมกังวล 

[เอาเป็นว่า อย่าถามกูเลย มึงแค่ต้องเชื่อใจพายุ]

กูจะเชื่อใจมันได้จริงๆเหรอวะ 


*


สุดท้ายผมก็หอบสารร่างกลับมา ที่ห้องตอนเกือบเที่ยงคืน ไฟในห้องกลางปิดสนิท มีเพียงแสงสีเหลืองนวลที่ส่องลอดออกมาจากห้องของพายุ ที่บอกว่าเจ้าตัวยังคงตื่นอยู่ 

ไอ้พายุเลิกโทรหาผม หลังจากผมพิมพ์ไปบอกมันว่าอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ มันก็ตอบกลับมาเพียงว่า โอเค อย่าลืมกินข้าว ผมเดินเข้าห้องตัวเองโดยไม่ได้แวะไปทักทายมัน 

เดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำ และลองทำหลายๆอย่างตามคำแนะนำของไอ้โทนี่ ด้วยความทุลักทุเล 

ก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกลิ่นหอมฟรุ้ง พร้อมชุดนอนและต้องชะงักค้าง เมื่อพบว่าไอ้ยุมานั่งอยู่ในห้องผมแล้ว 

"ไม่แวะมาทักทายกันเลยนะ"

"อ่า ก็กำลังจะไป"

"นึกว่าหลบหน้ากูเพราะกลัวซะอีก" โว๊ะ รำคาญสายตารู้ทันของมันชะมัด 

"เออกลัว" ผมยอมรับไปตรงๆ หลังจากคุยกับโทนี่ มันบอกว่าผมควรบอกไปตรงๆ มองไอ้ยุที่ลุกจากปลายเตียงเดินเข้ามาหาผม ก่อนฝ่ามือหนาจะวางลงบนหัวและโยกเบาๆพร้อมรอยยิ้มบาง

"อืม กูเข้าใจ ไม่รีบ"

มึงอ่อนโยนกับกูจังวะ ผมจะอธิบายความรู้สึกผมยังไงดี ผมกลัวเจ็บ กังวลและกลัวไปหมดแต่ถึงอย่างงั้นผมก็อยากใกล้ชิดมันมากกว่านี้ ช่วงนาทีของความเงียบที่โอบล้อมตัวเรา ผมสบตาไอ้ยุและมันก็ตอบรับ ก่อนที่ใบหน้าเราจะเคลื่อนเข้าหากันเพราะแรงดึงดูด 

ริมฝีปากเราสัมผัสกันแผ่วเบา รู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนที่ละเลียดไปตามริมฝีปากผม ขบเม้มเว้าวอนที่จะเข้ามาสัมผัสผมให้มากขึ้นและผมก็ยินยอมให้พายุแทรกปลายลิ้นร้อนเข้ามา ฉกฉวยกอบโกยเอาลมหายใจของผมไปพร้อมๆกับความวาบหวามที่เข้ามาแทนที่ 

ผมไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่เมื่อพายุถอนริมฝีปากออกไป ผมก็โกยลมหายใจเข้าปอด และหอบเบาๆ

"ทำแบบนี้กูว่า กูจะทนไม่ไหวนะ" เสียงมันฟังดูแหบพร่า ดวงตาฉ่ำ และดูแวววาวสะท้อนแสง ผมรู้ ผมรู้ ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ผมรั้งคอมัน ทันทีที่ผมหายใจได้มากขึ้น ขยับริมฝีปากตอบรับมัน เรากำลังจมดึ่งสู่ห้วงอารมณ์ รับรู้ถึงฝ่ามือร้อนที่สอดลูบไล้เข้ามาใต้สาบเสื้อ ผมปล่อยให้พายุสัมผัสผมอย่างที่มันต้องการ สองเท้าก้าวถอยไปตามทิศทางการชักนำ

ผมตกอยู่ใต้พายุเมื่อแผ่นหลังผมจมลงไปบนความนุ่มของเตียง ริมฝีปากเรายังคงสัมผัสกันมันเติมไปด้วยความเร้าร้อนและหวานล้ำ พายุถอนจูบออกไป และขบกัดเบาๆที่ซอกคอผม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กระดุมเสื้อทุกเม็ดถูกปลดออกไป ความหนาวเย็นที่อาบไล้ตัวผม หายไปแทบจะทันทีที่ฝ่ามือหนาลูบไล้ 

"อ๊ะ"

หูผมอื้ออึงแต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ได้ยินเสียงร้องของตัวเอง ที่เปล่งออกไปเมื่อปลายนิ้วมันหยอกล้อยอดอกผม เลือดในกายเหมือนจะสูบฉีดมากขึ้น และมันดูจะไม่มีทางสิ้นสุด เมื่อพายุเปลี่ยนจากปลายนิ้วเป็นปลายลิ้น ผมเหมือนกำลังจะตาย ผมบิดเร้าเพราะแค่มันสัมผัส และร้องครางเมื่อมันขบกัดเบาๆ 

ผมมองใบหน้าที่เคลื่อนลงต่ำ พร้อมๆกับฝ่ามือที่ยกสะโพกผมและเกี่ยวรั้งเอากางเกงของผมออกไป สายตาที่จ้องมองมาที่ผมของพายุ ทำให้ผมรู้สึกกระดากอาย ผมหันหนีสายตามัน แต่เพียงเสี้ยววิผมก็ผวาลุกขึ้น มือขวาผมคว้าจับผมหนาแน่น และพยายามขยับถอยหนีทันที

"มะ ไม่เอา ไม่เอาปาก"

"โอเคๆ ปล่อยหัวกูก่อน หนังหัวจะหลุด"

ผมผ่อนแรงลง ก่อนค่อยๆละมือออก ทิ้งตัวลงนอนทันทีที่ฝ่ามือหนาสัมผัสผม พายุทำแบบนี้ให้ผมสองครั้งแล้ว ครั้งแรกมันเรียกร้องเอาจากผม โดยที่ผมไม่ตั้งตัว ครั้งที่สอง ผมเรียกร้องจากมัน โดยที่มันไม่ตั้งตัวเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะครั้งไหน ครั้งนี้คือดีที่สุด 

เพราะเราต้องการกันและกัน 

ผมร้องคราง ขยับสะโพกเขาหามือมันอย่างลืมสิ้นแล้วความอาย เมื่อห้วงอารมณ์ชักนำผมมากกว่าที่เคย และไม่นานแสงก็สว่างวาปในหัวผม พร้อมอาการกระตุกที่บอกให้รู้ว่าผมไปถึงฝั่งเพราะมือมันอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่ามันจะไม่มีทางจบแค่ครั้งเดียวอย่างที่แล้วมา เมื่อผมปรือตามอง ผมรู้ว่าพายุไม่สามารถอดทนมันได้อีกต่อไป

"ได้มั้ย"

มันถามทั้งที่ผมเห็นว่าตัวมันอึดอัดแค่ไหน ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล 

"รอกูแปป" ผมนอนมองพายุที่รีบลุกออกไปจากเตียงและเดินออกไปจากห้องก่อนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมของที่ตอนแรกผมรับปากว่าจะไปซื้อด้วย 

ข้อเท้าผมถูกจับดึงเข้าไปหาตัวมันสะโพกผมถูกวางเกยบนหน้าตัก และตอนนั้นก็พึ่งเห็นเต็มตาว่าในขณะที่ผมเหลือเพียงเสื้อคอตตอนบางเบาติดตัว กลับไม่มีเสื้อผ้าชิ้นไหนหายไปจากตัวพายุเลย ไม่แฟร์ทำไมทุกครั้งมีแต่กูที่ล่อนจ้อนหล่ะ 

"เป็นอะไร" และเหมือนพายุจะสังเกตเห็น ความไม่พอใจบนใบหน้าผม

"ทำไมมีแต่กูที่โป๊วะ" 

มันยกยิ้ม วางขวดเจลลงข้างตัว จับผมให้ลุกขึ้นนั่ง 

"ถอดให้กูสิ"

เพราะน้ำเสียงมัน เพราะแววตามันที่มองผม หรือเพราะท่าทางที่มันแสดงออก ทั้งหมดนั้นทำให้ผมใจสั่นจนน่ากังวล มือผมเลื่อนไปดึงรั้งเสื้อมันขึ้น โดยมีมันให้ความร่วมมืออย่างดี กางเกงมันถูกรั้งลงด้วยมือผมแต่ถูกถอดออกทั้งหมดด้วยตัวมันเอง ก่อนมันจะขยับเข้ามาหาผมอีกครั้ง ร่างกายมันเปิดเผยตรงหน้าผม ฝ่ามือผมถูกจับไปวางที่อกมัน และผมก็วางไว้อย่างเก้ๆกังๆ

"สัมผัสกูเหมือนที่กูสัมผัสมึง" 

ผมยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าผมควรทำอะไร มือไม้มันดูจะเกะกะไปหมด แต่ทุกอย่างก็ดูง่ายขึ้นเมื่อมันกุมมือผมและบังคับให้ผมสัมผัสไปตามกล้ามเนื้อแน่นของมัน 

"พะ พอ พอแล้ว" ผมยั้งมือไว้เมื่อมันลากลงต่ำ ไม่ใช่ผมไม่เคยสัมผัสมัน แต่วันนี้กับเมื่อวานความรู้สึกมันต่างออกไป พายุไม่ได้พยายามคาดคั้นหรือบังคับให้ผมทำอะไรต่อ มันแค่ปล่อยมือผม ผลักให้นอนลง จับสะโพกผมให้เข้าไปแนบชิดและยกขึ้นจนขาผมลอยเคว้งในอากาศ

ผมรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โทนี่บอกผมแล้ว ผมได้ยินเสียงพายุที่บอกว่า

"ถ้ามึงรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายตัวแม้แต่นิดเดียวต้องบอกกูนะ"

ผมพยักหน้า ก่อนที่เสียงเปิดปิดฝาจะดัง และเพียงไม่นานหลังความเย็นวาบที่ทำผมสะดุ้ง ร่างกายผมก็เกร็งขึ้น มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเราสองคน ผมไม่แน่ใจนัก แต่มันใหม่สำหรับผม เพราะผมไม่รู้ว่าพายุเคยทำแบบนี้มาก่อนมั้ย 

แต่สำหรับผม มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลอง และมันทำให้ผมกังวลมาตลอดสองวัน 

ปลายนิ้วมันลูบผ่านไปมาหลายครั้ง นานพอจนกระทั้งผมคิดว่าผมผ่อนคลายลงและไหล่ผมไม่เกร็งอีกต่อไป ก่อนที่ปลายนิ้วจะสอดเข้ามาในตัวผม

มันอึดอัด แต่ผมกลับไปรู้สึกเจ็บ แต่ทันทีที่มันเข้ามาลึกขึ้นผมก็รู้สึกได้ว่าผมตัวสั่นแค่ไหน 

พายุจูบที่ต้นขาผม พูดปลอบโยนและถามผมว่าผมรู้สึกยังไง ผมไม่รู้อะไรแล้วเมื่อมันเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ  

"อ๊า"

"เจ็บรึเปล่า"

ผมส่ายหน้า บิดตัวไปมาเมื่อมันจี้ซ้ำๆที่จุดเสียวซ่าน ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากผมอีก แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะขาดห้วงไป เมื่อมันสอดนิ้วที่สองและสามเข้ามาเพื่อขยายตัวผมให้กว้างขึ้น ผมหลับตา รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ไหลลงจากดวงตาที่ปิดสนิท กัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ มันยากที่จะอธิบายว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ผมไม่อยากร้องไห้ แต่ต้องยอมรับว่าสุดท้ายเสียงที่ผมพยายามกลั้นไว้ก็หลุดออกไปทันทีที่ได้รับจูบที่หางตา

"ฮือออ"

"ไหวมั้ย อยากให้กูหยุดมั้ย"

ผมส่ายหน้าแต่ก็พยักหน้า ผมเหมือนคนขาดสติ ร่างกายที่เคยผ่อนคลายมันกลับเกร็งขึ้นอีกครั้งและรับรู้ถึงปลายนิ้วที่อัดแน่นอยู่ในตัวผม 

"อย่า หยุด" ผมพูดอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามันกำลังขยับออกไปจากตัวผม "อ๊า" 

และผวาแอ่นตัวขึ้นร้องแทบจะทันทีที่มันกระแทกนิ้วเข้ามา ลึกจนผมรู้สึกถึงฝ่ามือมัน หลังจากนั้นพายุก็เคลื่อนไหวปลายนิ้วอย่างไม่เร่งร้อน 

มันทรมาน และทำให้ผมรู้สึกเว้าวอน

ผมตกอยู่ในอำนาจของมันทันทีเมื่อความเจ็บจางหายไป ผมอ้าขากว้าง โดยที่มันไม่ต้องบอก ส่ายหน้าไปมาและร้องเรียกชื่อมันอย่าลืมสิ้นความเขินอาย 

ตัวผมถูกจับพลิกอย่างรวดเร็ว ก่อนปลายนิ้วของมันถอดถอนออกไป สะโพกถูกรั้งขึ้น ใบหน้าผมแนบอยู่ที่หมอน และรับรู้ถึงความเปียกชื้น

"พายุ"

เหมือนไม่ใช่เสียงผม มันฟังดูกึ่งสุขสม กึ่งเจ็บปวด

"ได้มั้ย" เสียงของมันแหบพร่า ดิบเถื่อนและอ้อนวอนผม 

ทันใดนั้นผมก็รู้ว่าผม กำลังมีอำนาจเหนือมัน ถึงแม้ถ้าดูจากท่าทางของเราตอนนี้แล้วมันจะขัดกันก็ตาม แต่ผมบอกได้เลยว่ามันแทบจะร้องขอผม

พายุไม่ทำอะไร มันแค่จับตรึงสะโพกผมไว้ อย่างรอคอยคำตอบจากปากผม ผมไม่คิด ไม่ชั่งใจ และไม่รีรออะไรอีกต่อไป เพียงแค่ปล่อยให้อารมณ์จมดิ่งลงไปสู่ความวาบหวาม

ผมยอม 

ผมเชื่อใจมัน

"อือ"

"กูจะทำเบาๆ"

หลังสิ้นเสียง มันก็สอดกายเข้ามาช้าๆ ผมรู้สึกถึงตัวตนมัน ผมกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น มือขย่ำหมอนที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแน่น เมื่อตัวผมกำลังถูกขยายออกมากขึ้นเพราะมัน และมันก็ยากมากที่ผมจะปฎิเสธว่ามันไม่เจ็บ

"ภพอย่ากัดปาก ผ่อนคลายนะ" 

"ฮือออ" 

ผมทำได้แค่ร้องไห้ออกมา สูดหายใจเฮือก พายุหยุดชะงักและรอให้ผมปรับตัว ขณะที่ฝ่ามือร้อนลูบสอดอ้อมเข้ามาใต้ตัวผมและสัมผัสยอดอกผม บีบเคล้นเบา และเพียงไม่นานก็ดันกายเข้ามาอีกอย่างนุ่มนวล  จนกระทั้งผมรับพายุเข้ามาได้ทั้งหมดโดยสมบูรณ์ แล้วมันก็หยุดนิ่งไปแบบนั้น ปล่อยให้ร่างกายผมทำความคุ้นเคย 

"เจ็บมั้ย"

ผมส่ายหน้า ผมคืดว่ามันไม่เจ็บแล้ว แต่

"อึดอัด" 

ผมรู้สึกว่าฝ่ามือที่เคล้นคลึงอกผม กำลังเลื่อนลงต่ำ ก่อนจะเข้ากอบกุมผมอีกครั้ง และเพียงแค่มันขยับมือและหมุนวนปลายนิ้วเป็นวงกลมเบาๆ อย่างเย้ายวนและชำนาญ ผมก็ร้องคราง และโก่งตัวขึ้น จนแผ่นหลังผมแนบกับอกแกร่ง

พายุเริ่มขยับเข้าออกเนิ่บนาบก่อนจะเร่งขยับให้เร็วขึ้นตามจังหวะที่ฝ่ามือหนารูดรั้งตัวผม 

"อ๊า กู มึง อ๊ะอ๊า" ผมพูดไม่เป็นภาษาและจับใจความไม่ได้ ผมหลับตา หวีดร้องทุกครั้งที่มันแท่งโดนจุด หัวสมองผมโล่งไปหมด ร่างกายเริ่มเกร็งขึ้นอีกครั้งแต่มันไม่ใช่เพราะความเจ็บอีกต่อไป ผมกำลังจะเสร็จอีกแล้ว ให้ตายสิ

"ยังก่อน"

มันกำลังจะฆ่าผม เมื่อปลายนิ้วมันกดปิดไม่ให้ผมได้ปลดปล่อย

"ไม่ ไอ้ ไอ้ยุกูต้องปล่อย ฮืออ" ร่างกายผมยังคงสั่นคลอนไปมาตามแรงส่งของสะโพกสอบ ผมเคยคิดหลายครั้งว่าผมเหมือนตกเป็นเบี้ยร่างมัน เหมือนโดนข่มเหง บังคับ และทำให้อับอาย เมื่อร่างกายผมมันไร้ซึ่งการควบคุมและเปิดเปลือยต่อหน้ามันมากเกินไป 

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย 

มันคือสัญชาติญาณดิบ ที่น่ากลัวแต่ก็งดงาม ราวกับว่าผมได้มอบให้และได้รับ ความรักจากมันที่ลึกล้ำกว่าครั้งไหน

แล้วผมก็ขยับตัว ดันสะโพกตอบกลับเข้าหามัน เว้าวอนให้มันปลดปล่อยผม และได้รับริมฝีปากร้อนที่ไล้จูบไปตามซอกคอและแผ่นหลัง 

พายุเริ่มกัดไปตามเนื้อตัวผม สบถคำหยาบที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากมัน และเริ่มครางด้วยเสียงแหบพร่า มันยิ่งกว่าเซ็กส์ เพราะผมได้รับรู้ถึงตัวตนเขาอย่างแนบชิด

"อื้อ ช้า ช้าหน่อย"

ผมร้องบอกเมื่อมันเร่งความเร็วจนเสียงน่าอายดังก้องไปทั้งห้อง มือผมปัดป่าย ใบหน้าเปียกชื้นจากทั้งน้ำตาและเหงื่อที่ผุดออกมา ผมรู้สึกได้ว่าผมไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป ของเหลวถูกปลอดปล่อยออกไปแม้ปลายนิ้วมันจะยังกดแนบไว้อยู่ก็ตาม 

"อีกนิดเดียว นิดเดียวกูจะยอมให้มึงปล่อย" พายุทำตามนั้น หลังจากการขยับเข้าออกรัวเร็วอีกสามสี่ครั้ง ผมก็กระตุกเกร็ง เชิดหน้าขึ้น และปลดปล่อยออกมาในฝ่ามือมัน ผมทิ้งตัวลง เมื่อพายุถอนตัวออกไป ความรู้สึกวูบโหวงเข้ามาแทนที่อย่างประหลาด

ผมยังคงหอบหายใจอยู่ตอนที่ร่างกายถูกจับพลิกให้หงายขึ้น ปรือตามองทุกการกระทำของมัน มองมันสวมถุงยางชิ้นใหม่ ขาผมถูกจับให้แยกออก ก่อนที่พายุจะแทรกตัวเข้ามา มือทั้งสองข้างของมันวางอยู่ที่สะโพกผม ก่อนช้อนสะโพกผมขึ้น

"อีกรอบนะ" มันพูดแบบนั้นตอนที่มันกดตัวเข้ามาหาผมทีละนิด และครั้งนี้มันก็ยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก พายุพร่ำบอกให้ผมผ่อนคลาย ฝ่ามือนวดคลึงสะโพกผม 

"แบบนั้น แบบนั้น ดีมาก" คำพูดเอ่ยชมของมันทำผมเลือดสูบฉีด และในที่สุดผมก็รับมันเข้ามาอีกครั้ง เรามองสบกัน และมันก็ส่งปลายนิ้วมาเกลี่ยเบาๆที่หางตาผม ใบหน้ามันดูกระวนกระวาย เมื่อเห็นน้ำตาผมยังคงไหลออกมาจากหางตาไม่หยุด "ขอโทษนะ เจ็บมากใช่มั้ยกูทำให้มึงเจ็บรึเปล่า" 

ผมส่ายหน้า ผมไม่รู้ทำไมผมถึงยังคงร้องไห้ แต่รู้แค่ว่ามันไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด พายุนิ่งอยู่แบบนั้น เพียงจ้องมองผม และเมื่อผมพยักหน้าอนุญาต เอวสอบก็เริ่มขยับเข้าหาผมช้าๆแต่ชัดเจนทุกครั้งที่เข้ามา มันดีที่ผมได้มองเห็นใบหน้ามันบ้าง ยามที่มันเคลื่อนตัวเข้าหาผม เห็นว่ามันต้องการผมมากแค่ไหน ทรมานแค่ไหนเมื่อผมบีบรัดมันมากเกินไป ผมหลับตาลงเมื่อมันเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นและตอกย้ำถูกจุดทุกครั้งที่กระแทกเข้ามา

มือปัดป่ายก่อนพยายามสัมผัสหน้าท้องมันเพื่อบอกให้มันผ่อนแรงลง แต่เมื่อมือผมเอื้อมไปไม่ถึง จึงทำได้แค่จับข้อมือมันไว้และจิกเล็บลง เผื่อช่วยให้ความจุกเจ็บจางหายไป ก่อนจะรู้สึกว่ามันละมือจากสะโพกมากุมมือผมไว้ ร่างกายผมแอ่นโค้งตอบรับมัน 

ไม่ไหว 

"อ๊ะ ไอ้ยุ เบา เบาหน่อย เจ็บฮือกูเจ็บ"

พายุผ่อนแรงลง แต่มันไม่ผ่อนความเร็วลงเลย ผมซุกหน้าหันข้างเข้าหาหมอน ดึงมือออกจากการจับกุมยกขึ้นปัดปาย เมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงานผม รับรู้ถึงปลายนิ้วร้อนที่คลึงริมฝีปากผมเบาๆก่อนสอดปลายนิ้วเข้ามาในปากผม ผมไม่รับรู้อะไรอีก ไม่รู้แม้กระทั้งว่าผมอาจเผลอกัดนิ้วมันแรงเกินไป เมื่อห้วงอารมณ์ของผมจมดิ่งลงไปมากขึ้น ในความวาบหวามที่มันมอบให้ ได้ยินเสียงครางต่ำของมัน เสียงเนื้อที่กระทบกัน และเสียงครางของตัวเองที่ดังก้อง ก่อนร่างผมจะแอ่นโค้งลอยขึ้นจากเตียง ปลายเท้าจิกเกร็ง กระตุกถี่ก่อนปลดปล่อยอีกครั้ง พายุหยุดให้ผมผ่อนคลาย และเมื่อตัวผมทิ้งตัวกลับลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า มันก็ขยับเข้าออกช้าๆ จับปลายเท้าผมข้างหนึ่งให้พาดที่บ่า มือกดขาอีกข้างผมให้แนบลงแน่นกับเตียง มันไม่ปล่อยให้ผมพักเลย

"ยุ กะกูไม่ไหว ละ แล้ว"

"อีกนิดนะ นิดเดียว" 

"อ๊า ลึก ลึกไป" 

"มึงน่ารักมาก น่ารักมาก" 

เสียงผมเริ่มหวีดร้อง จนดูแปลก มันฟังดูไม่ใช่ผมเลย ยิ่งเมื่อพายุโน้มตัวลงมามอบจูบเร่าร้อน จนใบหน้าผมลอยขึ้นจากหมอน พร้อมๆร่างกายที่ยังคงขยับเข้าออกลึกมากขึ้นเพราะท่าทาของเรา เร็วมากขึ้น จนร่างกายผมสั่นคลอนไปตามแรงส่ง พยายามปรือตามอง แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แล้วไม่นานร่างกายผมก็เกร็งขึ้นอีกครั้ง 

"พร้อมกันนะ" 

เสียงมันฟังดูห่างไกลออกไป แม้มันจะขยับริมฝีปากพูดทั้งๆที่ยังคงสัมผัสริมฝีปากผม แสงสว่างวาบขึ้น เมื้อผมถูกดึงขึ้นสูง และร่วงหล่นลงทันทีที่ผมปลดปล่อยอีกครั้ง พร้อมๆกับเสียงคำรามต่ำของมันที่บอกว่ามันเองก็สุขสมพร้อมผม 

ผมนอนหอบหายใจ ร่างกายยังคงบีบเกร็ง และสั่นเบาๆ พายุถอนตัวออกไปแล้ว ผมไม่รู้มันทำอะไรอยู่ แต่เพียงไม่นานร่างผมก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นในวงแขนมัน

"ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว" แม้แต่เสียงที่เปล่งออกไปก็ฟังดูเบาหวิวเหลือเกิน

"รู้ครับ แค่จะพาไปล้างตัว จะได้นอนสบาย" 

ผมปล่อยตัวในอ้อมกอดมัน ผมเข้าใจที่โทนี่บอกแล้ว ว่าความเชื่อใจที่มันหมายถึงคืออะไร

การยอมลดการระวังตัวลง ยอมปล่อยให้ตัวเองอยู่ในกำมืออีกฝ่าย และให้เขาชักนำพาไปสู่สถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน 

และผมเชื่อใจไอ้ยุ มั่นใจว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกดี และมันก็เป็นแบบนั้น 





#คู่ขนานของเอกภพ



ยากมากกกกกก เขียนNCไว้หลายเวอร์ชั่นมาก ทั้งแบบพายุเป็นคนเล่า และภพเป็นคนเล่า ไม่รู้ว่าจะใช้คำยังไง ที่ไม่ทำให้รู้สึกว่า ภพดูเป็นเบี้ยล่างเกินไป หรือพายุดูเอาแต่ใจเกินไป อยากให้มันดูเป็นความรู้สึกที่เสมอกันสุดท้ายเลยเลือกจะเล่าในด้านความรู้สึกของภพ อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างฝากคอมเม้นท์ติชทให้กำลังใจกันได้ค่า  อันนี้ยังไม่จบตอนนะ แต่แวะมาลงให้อ่านก่อน 
หัวข้อ: Re: คู่ขนานของเอกภพ [Update] ตอนที่19 พายุโหมกระหน่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-11-2021 20:04:38
 :pig4:
 :3123: