คุณฎีของผักกาด ʕ·ᴥ·ʔ ตอนที่ 06 :: ฝนอะไรเป็นใจจัง (100%) [07/04/20]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณฎีของผักกาด ʕ·ᴥ·ʔ ตอนที่ 06 :: ฝนอะไรเป็นใจจัง (100%) [07/04/20]  (อ่าน 6322 ครั้ง)

ออฟไลน์ ้ีืhunnaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลุ้นไปด้วยแล้วเนี่ย
คุณฎีชัดเจนขนาดนี้ ผักกาดจะคิดว่าคุณฎีชอบน้องคิวท์ไม่ได้แล้วนะะะะ
:a5:

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 
คุณฎีของผักกาด ʕ·ᴥ·ʔ

ตอนที่ 04 :: เรียกพี่ได้มั๊ย เรียกได้มั๊ยขอแค่นี้






 







“ เดี๋ยวครับผักกาด เราลืมอะไรหรือเปล่า  ”

เอี๊ยดด

เหยียบเบรกโดยอัตโนมัติ

ลืมอะไร ลืมใจหรือว่าลืมตาอะคร้าบบ (?)

มุกๆ ผมเล่นมุกนะ เข้าใจคำว่าขอหนีไปตั้งหลักมั๊ยอะครับ คุณฎี


“ กุญแจเราหรือเปล่าครับ ”

ใช่สิ เมื่อกี้เขาเป็นคนขับรถให้ผมนี่หน่า แสดงว่าตอนนี้กุญแจของผมก็ต้องอยู่กับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“ แล้ว..ทำไมคุณฎีไม่รีบคืนผมล่ะครับ ”

ผมทำปากอุบอิบบ่นเสียงเบา หันกลับไปมองคนตัวสูงที่มีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากส่งมาให้ ทั้งยังยืนถือกุญแจห้อยตุ๊กตาไม้แกว่งไปมาอยู่ที่เดิม เหมือนรอให้ผมเป็นฝ่ายก้าวเดินเข้าไปเอา

“ พี่นึกว่า เราจะให้พี่ไว้ซะอีก มีกุญแจห้องด้วย ”

รู้ได้ไงว่านั่นเป็นกุญแจห้อง

“ ห้อง 407 หรอ ”

เลขห้องติดไว้ชัดเจนขนาดนั้น ก็รู้แหละเนาะ

“ ผมให้คุณฎีที่ไหนกัน ”

“ ก็เนี่ย ถ้าเราไม่เดินกลับมาเอา ก็หมายความว่าจะให้กุญแจพี่ไว้ ”

“ ผมไม่ได้ให้ เฮ้ย! เอาคืนมานะ ”

ผมตัดสินใจเดินก้าวฉับๆ เข้าไป หวังชิงกุญแจรถที่พ่วงด้วยกุญแจห้องคืนมาจากคนตัวสูง แต่ต้องร้องเสียงหลง เพราะรายนั้นไม่ยอมคืนแถมยกกุญแจขึ้นเหนือศีรษะสูงกว่าเดิม

ผมเขย่งปลายเท้าทั้งสองข้างก็แล้ว พยายามเอื้อมแขนสั้นๆ ไปให้ถึงก็แล้ว จับที่ปลายแขนก็แล้ว ก็ยังเอื้อมไม่ถึงมือใหญ่ที่กำกุญแจพวงนั้นไว้

“ ผมขอคืน เว๋อออ!”

เขาส่ายหน้า แล้วเอนหลบไปมาจนผมตัวเซตาม แต่เร็วเท่าความคิดก่อนที่ผมจะหน้าขมำไปจุ่มอกของเขา คุณฎีใช้แขนแข็งแรงอีกข้างมารวบตัวผมไว้

“ ปะ..ปล่อย! ”

ผมยั้งตัวเองไว้กับหน้าอกผายของคนขี้แกล้ง ถึงหน้าไม่ขมำไปจุ่มอกแต่ผมก็ไม่ได้อยากเอาตัวมาอยู่ในอ้อมแขนที่มีไอความร้อนของเขานานๆ นะ

“ เอื้อมถึงหรอเรา ตัวเท่าแมวไม่ได้กินนม ”

“ ขอโทษที่เตี้ยกว่าได้มั๊ยล่ะครับ! ” ผมทำได้แค่โต้ตอบไปเบาๆ ก่อนค่อยๆ ผละตัวเองออกจากอ้อมแขนนั้นอีกครั้ง

ดื่มๆๆ เรามาดื่ม ดื่มนมกันเถอะ ดื่มแล้วอย่าทำเลอะเทอะ ดื่มแล้วอย่าทำเลอะเทอะ ดื่มนมเยอะๆ ร่างกายแข็งแรง

อยู่ๆ เพลงนี้ก็แล่นเข้ามาในหัว ไอ้บ้าเอ้ย -o-

อดหงุดหงิดตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่ตอนเด็กโดนคุณชัดเจนบังคับให้ดื่มนมเยอะๆ แล้ว แต่ผมไม่ยอมดื่มเอง เลยเตี้ยกว่าคนตรงหน้าที่มีสัดส่วนและส่วนสูงสมส่วนไปซะทุกอย่าง

“ พี่ไม่ได้ว่าเราเตี้ยเลยนะ ”

ครับๆ ไม่ได้ว่าเลยเนาะ แต่คุณมองผมด้วยแววตาและรอยยิ้มมุมปากที่เหนือกันสุดๆ

“ เอาคืนมา คุณฎี ” ผมถอยไปตั้งหลัก แบมือขอกุญแจของตัวเองคืน

“ พูดเพราะกว่านี้หน่อย แล้วห้ามทำหน้างอด้วย ”

“ ผมป่าวหน้างอ ”

“ หน้างอครับ ”

“ ผมป่าว! ”

“ นี่ไงครับ ขมวดคิ้วด้วย ”

พอเขาว่าอย่างนั้นพร้อมกับยิ้มขำ ผมก็ถอนหายใจเบาๆ

โอเค ขอเวลาทำหน้าทำตาให้มันดีๆ กว่านี้สักครู่แล้วกันครับ

ผมใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของตัวเองกดนวดที่หัวคิ้วเพื่อให้คลายปมคิ้วที่ขมวดเป็นลิปบิ้น พรู่ลมหายใจน้อยๆ ก่อนเผยยิ้มที่ใครหลายคนชอบบอกว่า เป็นรอยยิ้มที่กระชากใจ แม้ครั้งนี้จะฝืดๆฝืนๆ แต่ผมก็รู้ว่ามันก็ยังมีสเน่ห์พอสมควร

คุณฎีครับ ผมขอกุญแจของผมคืน

“ หื้ม ไม่กัดฟันพูดสิครับ ”

“ เฮ้อ นะครับ ”

ผมเลิกกัดฟันพูดตามที่เขาบอก ผมไม่อยากทำตามที่เขาต้องการก็เพราะงี้ไง เขาชอบได้ใจว่าถ้าเขาบอกอะไรมา ผมจะต้องยอมทำตามเสมอๆ


“ เรียกพี่ฎีสิครับ ”

เขาแกล้งผม ไอ้คนขี้แกล้ง

“ …. ”

“ เรียกแล้วพี่ฎีจะยอมคืนให้ผักกาดเลย ”

“ ไม่ใช่แหละ กุญแจก็ของผม ทำไมผมต้องทำตามด้วย ”

..ผมไม่อยากเรียกเลย หึ!

“ ไม่เรียก ก็ไม่คืนครับ ”

“ ทำไมผมต้องเรียก? ” ทำไมผมต้องเรียกพี่ด้วย เรียกคุณมันไม่เสนาะหูตรงไหน

“ พี่มีเหตุผลของพี่ ” เขาบอกปัด แล้วยังหลบสายตาผมอีก

เอ้า! ไหนเหตุผล คุณกำลังไม่มีเหตุผลอยู่นะเนี่ย ไอ้คนผมหยิกหน้าตาดีเอ้ย! ขอด่าในใจทีเถอะ (?)

“ ทำหน้างออีกก็จะไม่คืน ”

“ คุณตั้งใจแกล้งผมอะ! ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้ จะแกล้งอะไรผมนักหนา ”

ผมโวยลั่นเมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาด(?) ทั้งๆ ที่ผมก็ปรับสีหน้า พยายามพูดจาดีๆ และยิ้มกระชากใจให้กับเขาแล้ว เขายังจะแกล้งผมต่ออีกอะ

“ พี่ไม่ได้แกล้งพูด เราน่ารักจริงๆ ยิ่งตอนโกรธยิ่งน่ะ.. ”

“ แกล้ง! เนี่ยเรียกว่าแกล้ง”

ห้ามพูดคำว่าน่ารักเลยนะ เลิกพูดซักที คำนี้มันเป็นคำต้องห้าม ไม่รู้หรือไง

บางคนที่ไม่รู้จริงๆ ผมมักจะปล่อยผ่านและน้อมรับ แต่ถ้าคนที่รู้จักผม ผมมักจะบอกใครต่อใครเสมอว่าอย่าพูดคำนี้เลย เพราะมันทำให้ผมทำตัวไม่ถูก

“ อืม ถ้าเราคิดว่าพี่จะแกล้ง แล้วจะยอมให้แกล้งมั๊ยครับ ”

“ ไม่ยอม คุณก็รู้ ”

“ งั้นเมื่อกี้พี่ไม่ได้แกล้งชมครับ พี่พูดความจริง แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้แกล้งจริงๆครับ พี่แค่อยากให้เราเรียกพี่ นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งเลยนะครับ ”

คนที่ยึดกุญแจผมไปพูดเสียงอ่อนลงมาก ใช้ตาเรียวที่มีดวงตาสีน้ำตาลเหมือนใบไม้แห้งมองมาตรงนี้ พร้อมเอื้อมมืออีกข้างมาวางบนศีรษะและกลุ่มผมของผม ก่อนขยี้มันเบาๆจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากฝ่ามือที่มาจากตัวเขา

นี่คือเหตุผลข้อหนึ่งหรอ ..แค่อยากให้ผมเรียกเนี่ยนะ

แล้ว..ข้ออื่นๆ ล่ะ

“ เรียกพี่ฎี หรือไอ้พี่ฎี ที่เคยบอกว่าอยากจะเรียกก็ได้ครับ ”

เขาผละฝ่ามืออุ่นออกไปแล้ว แต่เหมือนสัมผัสมันยังคงอยู่ เพราะไอร้อนนั้นมันกำลังเคลื่อนตัวมาอยู่ที่ก้อนแก้มทั้งสองข้างของคนขี้โวยอย่างผม

วันนี้เขากำลังเล่นอะไรกับใจของผม? จะมาอยู่ใกล้ จะมาถามทำไมเรื่องที่ผมโสด จะมาชมทำไมว่าผมน่ารัก จะมาจงมาจับตัวกันให้ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกทำไม

“ นะครับ ”

แล้วอีกอย่างคือเขาจะรู้ตัวมั๊ยว่าตอนนี้กำลังทำหน้าคาดหวังใส่ผมอีกแล้ว ตกลงเอายังไงกับ(ใจ)ผม

“ ...... ” ผมตีหน้ามึนแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น ก่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เพื่อคลายความร้อนผ่าวที่อยู่บนหน้า ตอนนี้ผมต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาคืนพวงกุญแจให้ผม

อ่ะๆ งั้นขอเวลาทำใจซัก 10 วินาทีได้มั๊ยล่ะ

“ พี่อยากได้ยิน แค่อยากได้ยินครับ ”

   ยังจะมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ผมอีก ผมไม่ใช่คิวท์สักหน่อย ผมไม่ใช่คนที่คุณชอบนะ

“ คุณ.. ”

ความจริงผมไม่ใช่คนใจอ่อนนะ

“ พิ..พี่ฎี ขอกุญแจผมคืนด้วยครับ ”

ไม่ใช่คนยอมใครง่ายๆ ด้วย

“ นะครับพี่ฎี ”
   
…แต่กับบางคน ผมดันสูญเสียความเป็นตัวเองไปดื้อๆ

โฮะ! อย่ามายิ้มแบบนั้นไอ้พี่บ้าเอ้ย

“ ครับ พี่คืนก็ได้ครับ ยื่นมือมาสิครับน้องผักกาด ”

“ ...... ”

ผมหลบสายตาของตัวเองไปทางอื่นอีกครั้งและอีกครั้ง ยื่นมือไปแบหงายเพื่อรับของคืนจากเขา จนสัมผัสได้ถึงความเย็นของกุญแจที่ถูกวางลงบนฝ่ามือ ผมกำมันไว้แล้วรีบเอามือไขว้หลังอย่างรนรานน เพราะกลัวว่าจะถูกแย่งไปอีกครั้ง

“ ไว้เจอกันนะ ”

เกลียดจังเลย ไอ้จังหวะที่พอเงยหน้าขึ้นมาปุ๊บ ดันสบสายตาเขาพอดีเนี่ย

“ ขอตัว..นะครับ ”

มองไปทางอื่นบ้างก็ได้

“ ครับ พี่ก็..กลับแล้วนะ  ”

ผมรีบหันหลังเดินออกมา เพื่อหลบสายตาและสีหน้าของคนที่พยายามกลั้นยิ้มแห่งความดีใจ พร้อมกับได้ยินเสียงพูดไล่ตามหลังมา ก็ทำได้แต่พะงกหัวของตัวเองให้เป็นคำตอบ

“ ไว้เจอกันครับ ”

      

.
.
.
รู้สึกว่า

เสียอาการ
   
ใครสักคนกำลังเสียอาการ 










‘ น่ารักครับ ’

‘ คุณฎี ’

‘ น่ารักที่สุดเลยครับ ’



‘ เรียกพี่ฎีสิครับ ’

‘ พี่ฏี ’




ครืดดดด

เฮือก!

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา พลิกตัวไปมาเพื่อบิดขี้เกียจ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่สะดุ้งตื่นเป็นเพราะตอนนี้เป็นเวลาประจำที่ต้องตื่น หรือเพราะว่าโทรศัพท์ที่สั่นครืดอยู่บนหัวเตียงจากคนที่โทรเข้ามา หรือเพราะความฝัน
   
แต่ปกติคนเรามักจะสะดุ้งตื่นถ้าฝันนั้นเป็นฝันร้าย เช่น ฝันว่าวิ่งหนีเอาตัวรอดจากผี ฝันว่าตกจากที่สูงหรือจมน้ำ ฝันว่าคนที่เรารักตายจากเราไป

ผมไม่ขอสรุปว่าเมื่อกี้ที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นเพราะฝันแล้วกัน

..มันคงไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แน่ๆ เพราะฝันเมื่อกี้มันคือฝันดีสำหรับผมเลยนะ ฝันมันดี..จนอยากกลับไปนอนฝันต่อ


อีกแล้วสิ
ในความฝันของผม มีเขาโผล่เข้ามาอีกแล้ว


ครืดดดด

Your video call is visible
N’ Pakkhom

Video calling...

“ อื้อ ผักโขม? ”

ผมกดรับสายของน้องชาย พร้อมพยุงตัวเองขึ้นนั่งพิงพนักพิงเตียง และใช้มืออีกข้างเอื้อมมือไปหยิบแว่นสายตาที่วางไว้ข้างหมอนหนุนมาใส่ ปรากฏภาพแสนน่ารักในจอที่เคยเลือนลางให้ชัดเจนขึ้น

“ พี่กาดดด/พี่กาดดด ”

เผลออมยิ้มเมื่อเห็นภาพน้องชายผิวเข้มที่นั่งอยู่ตรงกลาง ประกบสองข้างด้วยน้องสาวฝาแฝดที่นั่งกินอาหารเช้ากันอย่างอารมณ์ดี ได้ยินเสียงเมื่อกี้ที่ประสานกันเรียกชื่อก็คือน้องสาวสุดน่ารักของผมเอง

“ หัวฟูเชียวพี่ ยังนอนอยู่หรอ? ”

“ อืมมม ” ผมขานรับกับผักโขมแบบอึนๆ เพราะเพิ่งตื่น ส่องหน้าส่องตาตัวเองในหน้าจอ แล้วยกมือไปจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรง

“ ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามะ.. ”

“ โอย! พอๆ อย่าร้องอีกเลย ถ้าคุณคือนักร้องเสียงเพี้ยนอะ ”

ผมร้องห้ามน้องชายที่กำลังส่งเสียงแสนโหยหวนมาให้ จนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหู นอกจากจะมีนิสัยเพี้ยนๆ เสียงก็ยังเพี้ยนไปด้วยอีก

“ โธ่ ให้น้องร้องหน่อยก็ไม่ได้ ”

“ พี่ตื่นแล้วล่ะ ไม่อยากฟังเสียงหมาหอน โอเค๊? ”

“ โหหห แรงมาก เป็นพี่แท้ๆ ของโขมป่ะเนี่ย โอ้ มาย ก๊อดดด ”


ไม่แท้มั๊งพ่อแม่ชื่อเดียวกันขนาดนี้

ผมน่ะ มีบ้านอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีโดยพ่อเป็นคนกาญนะจ้ะ ส่วนแม่เป็นคนเชียงราย พวกเขาทั้งคู่แต่งงานกันโดยพ่อก็พาแม่ลงดอยมาปักหลักที่เมืองกาญ มีลูก 4 คน คือผักกาด ผักโขม และน้องสาวฝาแฝด ชื่อข้าวโพดกับข้าวฟ่าง

“ แล้วมีอะไรอ่ะ? คิดถึงหรอ ”

ผมถามน้องๆ พร้อมยักคิ้วล้อ แต่อย่าได้ถามผมกลับมาเชียวนะ มีร้องไห้นะขอบอก

ก็เพราะผมไม่กลับบ้านมาหลายเดือนแล้วน่ะสิ มีแต่พ่อกับแม่ที่พาน้องๆ แวะมาหาที่นี้

“ ทำม่ะ! ”  อีกแล้ว เกลียดสไตล์การพูดการจาของมันเหลือเกิน  “ ต้องมีอะไรด้วยหรอ เนี่ยๆ แค่นี้น้องก็โทรหาไม่ได้ คิดถึงก็ต้องให้ไปหาเอง ไม่ยอมกลับบ้าน รถก็มีขับมามั๊ยก็ไม่ แล้วยัง..”

“ พี่โขมคะ พอเถอะ ถือว่าข้าวโพดขอร้องนะ ”

“ ใช่คะ ข้าวฟ่างสงสารพี่กาดที่ต้องฟังพี่โขมพูดไม่หยุดเลยเนี่ย ”

ผมหลุุดขำ เมื่อน้องสาวทั้งสองแสดงสีหน้าเอือมๆ หันไปห้ามและบ่นพี่ชายคนกลางที่พูดไม่หยุด ก่อนสองแฝดจะหันมายิ้มให้ผมที่กำลังยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม น้องสาวทั้งสองคนอะ อยู่ทีมผมกันทั้งคู่

“ ใช่สิ ไอ้เรามันลูกคนกลาง น้องไม่แล พี่ก็ไม่รัก ”

ดราม่า หรือขายขำไอ้นี่

เออหน่า เข้าเรื่องเถอะ พี่กับน้องไม่รักแต่พ่อรักเอ็งเหมือนเดิม

“ โฮะๆๆๆ พ่อบอกรักโขมด้วย พี่กาดดูดิ พ่อรักโขม>< ”

ก่อนที่น้องชายคนกลางจะตัดพ้อที่น้องสาวและผมที่เป็นพี่ชายคนโตว่าไม่รักเขามากไปกว่านี้ ผมก็ต้องหัวเราะรั่วอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงคุณชัดเจนดังเข้ามาในสายด้วย ส่วนผักโขมก็ยิ้มร่าหันมายักคิ้วให้กล้องอย่างอวดโอ้ พร้อมทำเสียงสาวน้อยบอกรักพ่อเสียงดังเหมือนอวดคนทั้งโลก

“ พ่ออ่าา หนูรักพ่อนะ ”

น้องชายเขาอะ มันอะกวนตีนที่สุดในบ้านแหละ

“ เข้าเรื่องๆ สิ ”

“ ก็ด้ะๆ พอดีคุณชัดเจนกับแม่ให้โขมโทรมาถามเรื่องที่พักของเจ้าสองข้าวอะ ”

“ อ่อ เรื่องที่พัก? ”

“ คืองี้พี่กาด เจ้าสองข้าวจะต้องย้ายเข้าที่พักแล้วนะพี่ ”

“ เย้ย จริงสิ! พี่ลืมสนิทเลย อีกสองอาทิตย์มหาวิทยาลัยจะเปิดแล้วใช่มั๊ย ”

“ ใช่ครับ แต่มีกิจกรรมเฟรชชี้ไงพี่ เจ้าสองข้าวเลยต้องเข้ามอเพื่อไปทำกิจกรรมคณะอะครับ  ”

ผมว่าผมกำลังมีปัญหาเพราะความขี้ลืมของตัวเอง ผมลืมหาคอนโดใหม่ เนื่องจากความตั้งใจของผมก็คือ ผมจะย้ายออกจากหอพักเพื่อให้สองฝาแฝดได้เข้ามาอยู่แทน เพราะหอที่ผมอยู่ปัจจุบันนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยมาก เวลาน้องๆ เดินทางไปเรียนจะได้สะดวกๆ

“ แล้ว..น้องเตรียมของกันหรือยัง พอดีช่วงนี้พี่ยุ่งๆ เลยลืมเรื่องจะหาคอนโดเลยอะ ”

“ เตรียมแล้วค่าพี่กาด / เยอะเต็มไปหมดเลยค่าา ”

เสียงสดในของข้าวฟ่างและข้าวโพดที่แย่งกันพูดเข้ามาในสายทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาอดหัวเราะไม่ได้

“ แย่งกันพูดอะไรขนาดนั้นเล่า ..นั่นแหละพี่กาด โขมจะถามว่าให้น้องเข้าหอวันเสาร์นี้ได้ป่ะพี่ ”

“ อืม ได้ๆ แต่พี่อาจจะต้องอยู่ห้องกับน้องต่อไปก่อนสักพักนะ อาจจะเบียดๆ กันหน่อย ”

“ งั้นเอางี้! เดี๋ยว.. โขมไปอยู่ด้วย จะได้เบียดมากกว่าเดิม ”

“ กวนตีนนัก ไอ้โขม ”

“ เอ้า พูดเล่นก็ไม่ได้ ”

“ เงียบก่อน จะคุยกับน้อง ” ผมเอ่ยเสียงดุ ทำให้ผักโขมรีบพยักหน้างืมรับทราบ ทำท่าอมมะนาว แล้วรูดซิปปากก่อนกอดอกให้พี่ชายพูดกับน้องบ้าง

“ เดี๋ยวพี่รีบหาคอนโดนะคะคนเก่ง ”

“ ไม่เป็นไรเลยค่าพี่กาด ความจริงไม่อยากให้พี่กาดย้ายออกเลย ” ข้าวฟ่างมองด้วนสีหน้าเศร้า เพราะเหมือนตัวเองมาสร้างความลำบากให้ผม

“ ช่ายยย อยู่ด้วยกันก็ได้นะะะ ” ข้าวโพดเสริม

“ ไม่ได้หรอก เพราะถ้าพี่อยู่ด้วยนะ สองข้าวก็หนีเที่ยวไม่ได้น่ะสิ ”

“ พี่กาดอ่า คะ..ใครจะหนีเที่ยวกันเนาะข้าวโพด ”

“ ช่าย เราสองคนจะไม่หนีเที่ยว เป็นเด็กดี ถ้าไปไหนจะบอกพี่กาดก่อนนะคะ ”

“ ล้อเล่นค่ะคนเก่ง พี่แค่อยากให้เวลาและพื้นที่ส่วนตัวของทั้งคู่น่ะ อีกอย่างพี่ก็ตั้งใจจะหาซื้อคอนโดอยู่แล้วด้วย ”

นึกอยากหยิกแก้มเจ้าสองข้าวที่พูดจาเอาใจอย่างน่ารัก แต่ติดที่ว่าเอื้อมมือเข้าไปในโทรศัพท์ได้ไม่ถึงกาญจนบุรีน่ะสิ

“ พี่กาดขาา พี่โขมสะกิดหนูไม่หยุดเลย สงสัยอยากพูดด้วยอะคะ ”

“ ครับ บอกพี่โขมพูดได้ครับ ” ผมพยักหน้าอนุญาต จนผักโขมก็รีบทำท่ารูดซิบปากเพื่อพูดต่อทันที

“ ขอบพระคุณที่อนุญาตคร้าบผม แล้วพอจะมีที่น่าสนใจยังอะพี่กาด?  ”

“ ก็พอจะดูๆ ไว้บ้างอะ แต่ที่ที่เคยสนใจบางทีก็คงเต็มแล้ว ”

“ คอนโดอะไรพวกนี้เขาต้องจองห้องไว้ล่วงหน้าเลยป่ะพี่ ”

“ ช่ายย ”

ผมมีแพลนว่าอยากซื้อคอนโดให้กับตัวเองมาซักพัก แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมทำงานเกือบทุกวัน และค่อนข้างยุ่ง จนทำให้ลืมเรื่องนี้ไป

“ แล้วนี่พี่จะโอเคป่ะ? ไม่ใช่พอเปลี่ยนห้องใหม่แล้ว ไม่ได้นอนจนเป็นหมีแพนด้าล่ะ”

พอผักโขมถามขึ้นมา ก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเหมือนกัน เพราะการเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ หรือหาคอนโดที่ถูกใจสำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ผมเป็นพวกนอนไม่หลับในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย อย่างตอนเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 น่ะกว่าจะนอนหลับสนิทในหอพักนี้ผมก็ต้องปรับตัวเองให้คุ้นชินกับห้องนอนตั้งหลายอาทิตย์นู้น กว่าจะนอนหลับสนิทจริงๆ ก็เป็นเดือนๆ

“ เดี๋ยวยังไงพี่จะลองถามลองหาข้อมูลอีกที ”

“ โอเคคร้าบ ”

“ แล้วโขมจะขับรถมาส่งน้องใช่มั๊ย? ”

“ เปล่าครับพี่ คุณชัดเจนบอกว่าจะขับไปจากกาญฯ เองครับผม ”

“ จริงหรอ พ่อเนี่ยนะ! ”

“  ครับ โหๆ พี่กาดไม่ต้องกังวลๆ พ่อขับรถเก่งจะตายพี่ก็รู้ ”

“ ไงก็ดูๆ พ่อหน่อยนะ บอกพ่อด้วยว่าสายตาแกก็ไม่ใช่จะดีเหมือนตอนหนุ่มๆ แล้ว ”

“ ครับ แต่พี่ พ่อฝากบอกมาว่า บอกไอ้กาดว่าไม่ต้องหาแล้วคอนดงคอนโด กลับมาทำงานที่บ้าน กลับมาอยู่บ้าน! กระแทกเสียงแบบนี้ด้วยอะพี่ ” ผักโขมเรียนแบบคำพูดพ่อได้ทั้งท่าทางและน้ำเสียง ก่อนทุกคนจะหัวเราะออกมา ได้ยินเสียงพ่อชมผักโขมใหญ่โต ว่าไอ้ลูกหมา ไอ้ลูกกวนตีน

สงสัยพ่อจะเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆนั่นแหละ แต่ไม่อยากเข้ามาในกล้องด้วย เพราะถ้าเห็นหน้าลูกชายคนโตอย่างผักกาดมีหวังน้ำตาซึม

“ พี่คิดว่าไง จะกลับมาอยู่บ้านมั๊ยล่ะ? กลับมาป่ะ? ” ผักโขมถามหน้ากวนๆ

“ ไม่เอาอะ งั้นฝากบอกพ่อด้วยว่า ไม่ กาดไม่กลับนะพ่อ ”

“ ฮ่ะๆ ..พ่อบอกว่าพี่ดื้อ ไอ้ลูกดื้อ ” ผักโขมยังเรียนแบบคำพูดพ่อต่อ

“ หึ คิดถึงเขาก็บอก ”

“ คุณชัดเจนคิดถึงพี่อะแหละ ” ผักโขมทำท่ากระซิบกระซาบ

ผักกาดกับน้องๆ พูดอะไรต่อกันเพียงเล็กน้อย โบกมือลาก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์จากกัน

ตอนนี้ต้องเริ่มหาคอนโดอย่างจริงจังแล้วสิ บ้านในอนาคตของไอ้ผักกาดดดด อื้ม!
 




❤ 30 เปอร์เซนต์ (%)


----
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2020 15:12:06 โดย pimpipam_s »

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาต่อค่ะ

 
 



งานเช้าก็ต้องมา

ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้วที่ผักกาดยังหาคอนโดไม่ได้เลย และตอนนี้น้องสาวฝาแฝดก็ย้ายเข้ามาอยู่ห้องเดียวกับผักกาดแล้ว เขาให้น้องสองคนนอนที่เตียงในห้อง และเสียสละย้ายหมอนผ้าห่มมานอนโซฟาที่แยกออกมาจากห้องนอนแทนแม้จะปวดหลังนิดหน่อยก็ตาม

ช่วงแรกๆ ผักกาดก็ดื้อจะตื่นขับรถไปส่งน้องที่มหาวิทยาลัยทุกวัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วเพราะน้องสาวไม่ยอมอย่างเดียว น้องของเขายืนยันที่จะไปกันเอง ถ้าผักกาดไม่ยอมก็จะโกรธ ดังนั้นผักกาดจึงยอมทำตามแต่โดยดี



วันนี้วันทำงาน ผักกาดยอมตื่นเช้า ออกจากหอพักแต่เช้า และกินขนมปังแทนข้าวเช้าบนรถดีกว่าการที่ต้องไปติดอยู่ในท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด วันนี้กำลังดีมีช่วงถนนโล่ง ถนนรถติดบ้าง แต่ก็ถือได้ว่าเขาทำเวลาได้ค่อนข้างดีเลย

“ พี่กาด เห็นพี่ติณบอกว่าพี่กำลังหาคอนโดหรอ? ”

“ ใช่ๆ ”

“ ทำไมอะพี่ แล้วหอพักเดิมพี่ล่ะ เห็นบอกว่าพี่อยู่มาตั้งแต่เรียน ปี 1 ไม่ใช่หรอครับ ”

“ อืม พี่อยากจะซื้อคอนโดตั้งนานแล้วล่ะ เพราะเวลามาทำงานก็จะได้สะดวกขึ้นด้วย ส่วนหอนี้ก็ตั้งใจให้น้องสาวมาอยู่แทน มันใกล้มหาวิทยาลัยด้วย แต่ที่พี่ยังอยู่ที่เดิมเพราะยังหาคอนโดไม่ได้ ”

“ อ๋อครับ แล้วนี่..พี่ชอบนอนไม่หลับถ้าแปลกที่ใช่มั๊ยล่ะ ”

“ อืมมม แต่ก็ปรับตัวได้ นอนทุกวันเดี๋ยวก็ชินเอง^^ ความจริงพี่อะนะอยากมีบ้านเป็นของตัวเองน่ะ แต่คงยากหน่อย เลยคิดว่าเป็นคอนโดที่มีห้องเป็นสัดส่วน มีเตียงนุ่มๆ แบ่งพื้นที่ไว้ทำงาน ชั้นวางหนังสือการ์ตูน มีโทรทัศน์เปิดดูหนัง มีครัวทำอาหาร เลี้ยงแมวได้ อืม.. ปลูกต้นไม้บนชั้นวางริมระเบียงได้ สำหรับการอยู่คนเดียว พี่ก็ถือว่าน่าอยู่แล้วล่ะนะ ”

“ โห พูดอย่างกับจะอยู่คนเดียว จะโสดตลอดชีวิตนะคนเรา ”

“ คงงั้น ”

" ไม่เอาน่าพี่กาด รอคิวท์หาแฟนให้พี่ก่อนค่อยตัดสินใจไม่ได้หรอ "

" ขี้เกียจรอหน่าาา"

ผมไม่เคยมีแฟนไม่เคยคบใคร แม้เมื่อก่อนเคยมีคนคุยๆบ้างตอนมอปลาย กับช่วงมหาวิทยาลัยปี 1 แต่ไม่ได้คบหรอก เพราะผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการเรียนและการทำงานพิเศษ ทำงานพาร์ทไทม์ รับจัดเบรก ขายเสื้อผ้า สอนพิเศษ เพื่อหาเงินเรียน เรื่องรักๆใคร่ๆ เลยเป็นเรื่องที่รองลงมา จนตอนนี้ก็กลายเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะคิด

" งั้นคิวท์จะรีบหาเลย ไม่ใช่สิ.. หาได้แล้วต่างหาก "

" ยังไม่เลิกคิดอีกหรือไง "

ผักกาดคิดหนัก ไม่น่าไปปากไวบอกคิวท์ให้หาให้เลย เพราะเด็กน้อยดูท่าจะจริงจัง ไม่ยอมแพ้เลย

" ไม่เลยครับโผมมม คิวท์หาแฟนให้พี่กาดได้ทันก่อนพี่จะได้คอนโดแน่ๆ ชัวร์! ยืนยันเลย "

" เพ้อๆ "

เฮ้อออ ไม่ใช่อะไรนะ

การเป็นนักรักมันยากอะ ดูอย่างไอ้แยมที่มันผ่านความรักมาเป็นสิบครั้ง ร้องไห้แทบตาย แค่นึกก็ท้อแท้

บางทีผักกาดก็อยากเปลี่ยนความคิดอยู่เหมือนกัน อยากมีความรู้สึกว่าการมีความรัก ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

เพราะบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตด้วย
 
“ สุดสวยของผมจะแต่งงานแล้วหรอพี่? ”

“ ใช่ มันเจอคนที่รักมันจริงๆ พี่ก็โล่งใจนะ ว่าแต่เรารู้ได้ยังไง? ”

“ พี่แยมโทรมาบอกครับ ”

“ มันนี่น้าา ”

“ เพื่อนรักพี่เลยนะนั่น ”

“ เพื่อนเหี้ยน่ะสิ ตอนมันอกหักกี่ครั้งๆนะ พี่กับไอ้วาน่ะเหนื่อยแทบแย่ ไม่เป็นอันกินอันนอนไปด้วย แต่มันก็ไม่เคยเข็ดกับความรักนะ ”

เวลา 7 ปี ที่ไอ้แยมกับพี่ปังคบกันก็ไม่ใช่น้อยๆ

เขาบอกกันว่าคู่รักที่คบกันมา 7 ปี ส่วนใหญ่จะเลิกรากัน แต่มันก็ไม่จริงเสมอไปหรอก ดูจากไอ้แยมสิ ตอนนี้ชีวิตแยมกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความรักที่ดี

“ รักคืออะไร  ”

“  หือ? ความรักก็คือความรักน่ะพี่ นิยามรักของแต่ละคนมันก็ต่างกัน ไม่มีใครนิยามมันเหมือนกันหรอกพี่ ”

“ อืม แยมมันก็เคยบอกพี่ว่า มันเกิดมาเพื่อมีความรัก มันทุ่มเทกับทุกความสัมพันธ์ที่มันเคยรัก มันไม่รู้ว่าความรักครั้งนี้จะอยู่กับมันตลอดไปหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขารักมัน มันรักเขา ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่อะ หึ ”

“ โห ผมนับถือใจพี่แยมมากอะ ..แต่พี่อะ? ”

“ พี่ทำไม? ”

“ เปล๊า ไม่มีไรครับ ” เปล่าซะเสียงสูงเชียว แต่ผมก็ไม่ถามต่อหรอกนะ เพราะเดี๋ยวคิวท์คงจะวนเข้าเรื่องเดิมๆ

“ งั้นก็ช่วยหาคอนโดดิ เลิกพูดถึงเรื่องรงเรื่องรักได้แล้ว”

“ โธ่ คิวท์ช่วยอยู่แล้ว นี่ไงพี่กาด พอได้ยินจากพี่ติณบอกว่าพี่กาดกำลังหาคอนโด คิวท์เลยลองถามคนรู้จักให้พี่เรื่องคอนโดมาแล้ว เขาแนะนำที่นี่มา คือพี่เขาซื้อไว้ 2 ห้อง เขาอยู่ห้องหนึ่งแล้วอีกห้องไม่มีคนอยู่ เขาบอกถ้าพี่สนใจเขาจะขายต่อให้ ”

“ จริงอะ ที่ไหน? ”

ผมยื่นมือไปรับโทรศัพท์ที่มีรูปคอนโด และรายละเอียดจากคิวท์ ก่อนที่จะก้มลงไปอ่านชื่อคอนโด

ความจริงแล้วผมรู้จักที่นี้ และค่อนข้างสนใจที่นี้ตั้งแต่หาข้อมูลแล้วล่ะ แต่เคยโทรไปสอบถามเขาบอกว่าเต็มแล้ว ตอนนั้นก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน

“ คอนโดนี้มีทำเลที่ดีมากเลยครับ แถมมีดีไซน์ที่โดดเด่นทันสมัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และระบบปลอดภัยของเขาก็ดี ถ้าคุณวงศ์รวีสนใจลอง..”

“ เดี๋ยวๆ ทำยังกะเป็นพรีเซนต์เตอร์ เราไปรับโฆษณาให้เขาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพี่ไม่รู้ ” ผมเลิกคิ้วสงสัย หลังจากเห็นว่าคิวท์ยืนตัวตรง มือประสานกันไว้ด้านหน้าอย่างคนมีบุคลิกภาพดี บวกกับการพูดแนะนำคอนโดอย่างกับเป็นเจ้าของหรือพรีเซนเตอร์โครงการ

“ เปล่าครับ แต่ที่นี้ดีจริงๆ ถ้าเป็นคิวท์คิวท์ก็ซื้อ ”

“ แล้วทะ..”

“ พี่อย่าถามสิว่าทำไมไม่ซื้อ ผมมีบ้านพี่ก็รู้ แถมแม่ไม่ให้ซื้อแน่ๆ ”

“ เออจริง ”

“ แล้วพี่สนใจป่ะ ”

“ ก็สน แล้วเขาขายเท่าไรถ้าแพงเกินไปก็ไม่อะ ”

“ ไม่แพงเลยพี่กาด เขาบอกว่าถ้าพี่สนใจแต่ไม่มีเงินก้อน สามารถผ่อนจ่ายได้ไม่คิดดอกเบี้ย คุยกันได้ๆ ”

“ จริงมั๊ย ดีว่ะ พี่สนๆ ”

“ งั้นผมจะให้ไลน์พี่เขาไปนะ ”

“ โอเค ”


 
 



@Drd

ดี อาร์ ดี หรอ?


“ แน่ใจนะว่าถ้าพี่ทักไปแล้วเขาจะตอบพี่ ”

“ ทำไมถามงั้นล่ะพี่ ”

ผมถามคิวท์ขณะกำลังจะกดแอดไลน์คนที่เป็นเจ้าของคอนโดที่อยากจะซื้อต่ออย่างคิดไม่ตก

มีความกังวลเล็กๆ ว่าจะติดต่อเขาได้จริงมั๊ย เพราะพอกำลังจะกดแอดไปดันเห็นว่าคนนั้นเขาไม่ได้ใส่รูปอะไรเป็นรูปโปรไฟล์เลย

“ เขามีตัวตนใช่มั๊ยวะ ”

“ มีดิพี่กาด ถามไรเนี่ยย  แอดไปเลยพี่ ไว้ใจได้จริงๆ คิวท์เกริ่นๆกับพี่เขาไว้แล้วว่าพี่กาดสนใจซื้อคอนโดต่ออะ ” คิวท์ผู้เป็นนายหน้าไม่หวังผลตอบแทนพูดติดหัวเราะ

“ เออๆ แล้วเขาชื่ออะไรอะ? ”

“ หื้อ?? อ๋อ เขาหรอ ชื่อ.. เขาชื่อ.. อ้าว! โทรศัพท์เข้าอะพี่ แม่โทรมา เดี๋ยว..คิวท์ไปคุยกับแม่ก่อนนะ ”

“ ซะงั้น! ” ผมเผลอถอนหายใจ มองตามแผ่นหลังเด็กน้อยที่รีบเดินหันหลังออกไปพร้อมโทรศัพท์ในมืออย่างคาดโทษ มันจะบอกชื่อเขาก่อนจะเดินไปก็ไม่ได้


อะๆ งั้นแอดไปเลยล่ะกันเนาะ
ทักว่ายังไงดี..



Wongrawee
: สวัสดีครับ
: ผมชื่อวงศ์รวี ได้ไลน์คุณมาจากน้องคิวท์ อาริยะ ครับ

เออ แบบนี้ก็ง่ายดี ส-วัส-ดี ไว้ก่อน ตามสเต็ปด้วยการแนะนำตัว

Drd
: ครับ

เขาอ่านแล้ว
ตอบเร็วด้วยแฮะ

Drd
: รวี
: พี่เดาว่านั่นคือชื่อเล่นของน้องล่ะนะ

ผมชะงัก และไล่สายตาอ่านประโยคในข้อความไลน์อีกรอบ รวี?

ใช่เลย ผมอ่านไม่ผิดแน่ๆ แต่คุณคนนั้นมันเดาผิดไงโว้ย

ไม่เคยมีคนอื่นเรียกชื่อเล่นของผมว่ารวีเลยสักครั้ง ยกเว้นคนคนหนึ่ง แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว

คนอื่นไม่เรียกกันเพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าผมไม่ชอบ แถมผมเป็นผู้ชาย การเรียกรวีเฉยๆ มันค่อนข้างจะดูหวานแว๋วเกินไปจริงๆ ไม่เหมาะกับหน้าตาของผู้ชายแมนๆ อย่างผมเลยสักกะนิด แถมฟังแล้วไม่ค่อยจะเข้าหูด้วย

‘ ไอ้น้องรวี ’

‘ อย่าเรียกแบบนั้นได้ป่ะครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่ามันไม่แมนอะ’

‘ น้องบอกว่ารวีเฉยๆ ไม่แมน งั้นผักกาดนี่แมนมากเลยมั๊ง ’

‘ โว๊ะ งั้นแล้วแต่พี่จะเรียกแล้วกัน ’

‘ งั้นกูจะเรียกรวี สลับกับผักกาดแล้วกันนะครับน้อง ’

‘ ไอ้.. ’

‘ หึ มีปัญหาอะไรกับพี่หรอครับน้องรวี ’

เหอะ! เลิกคิดถึงเสียงนั่นสักที ผมต้องรีบแก้ชื่อให้คุณเขาเรียกผมให้ถูก


Wongrawee
: เออ..
: ไม่ใช่ครับ ผมผักกาดนะฮะ   

Drd
: ผักกาด
: ผักกาดขาว

ผมหัวเราะแห้งๆ กับตัวเองหลังจากอ่านข้อความที่เขาตอบกลับมา เติมขาวให้เก่ง บางคนก็เติมเขียว

Drd
: ชื่อน่ารักนะครับ

Wongrawee
: ขอบคุณครับ


ขอเข้าเรื่องเลยได้ไหม ใจมันอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาชงมาชมอะไรทั้งน้านน

Wongrawee
: พอดีผมสนใจที่จะซื้อคอนโดของคุณครับ

Drd
: สนใจพี่
: เฮ้ย สนใจคอนโดของพี่
: พิมพ์ตกไปน่ะครับ

Wongrawee
: ครับ

Drd
: ก่อนจะสนใจคอนโด อยากรู้จักชื่อพี่ไหม


เออ ผมลืม
ตอนแรกก็กะว่าจะถาม แต่ข้อความของเขาคนนี้ดันทำผมเป๋ไปไกล

Wongrawee
: เออ
: ขอโทษครับ ผมลืมถามเรื่องนี้กับคุณไปสนิท

Drd
: ลืม หรอครับ
: งั้นพี่ขอไม่บอกนะ

Wongrawee
: เดี๋ยวๆ ครับ
: ผมขอโทษจริงๆ ผมอยากทราบชื่อของคุณครับ

Drd
: ครับ ล้อเล่นนะ
: แกล้งง่ายเหมือนกันนะเรา
: เรียกพี่ว่า D

D Dog อะหรอครับ

เชี่ยๆ เกือบมือลั่น ได้ซวยพอดีไอ้ผักกาดด
   
ความจริงผมเป็นคนหยาบคายนะ หยาบคายในใจ ด่าในใจซะส่วนใหญ่ ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆหรอก กลัวโดนต่อย
   
ชื่อ D d ดี  เนี่ยนะ ทำไมบังเอิญจังว่ะ

Wongrawee
: คุณ ดี หรอครับ

Drd
: จะเขียนแบบนั้นก็ได้

Wongrawee
: ชื่อคุณคล้ายกับคนที่ผมรู้จักเลยนะครับ

Drd
: หรอครับ
: ไม่แน่ เราอาจจะรู้จักกันนะ

Wongrawee
: ไม่หรอกมั๊งครับ

ในชีวิตของไอ้ผักกาดคนนี้ รู้จักคนชื่อฎี ที่เขียนว่าฎีเป็นคนแรก เขาเป็นคนเดียวที่เรียกผมว่ารวี เป็นคนขี้แกล้งแถมกวนประสาทที่หนึ่งในใจ แม้วันดีคืนดีจะมาด้วยหน้านิ่งๆ หรือยิ้มกวนก็ตาม แต่ล่าสุดเขาหายตัวไปอีกแล้ว

“ ว่าแต่..เขาบอกว่าจะไปไหนทั้งเดือนนะ เงียบหายไปเลยจริงๆ ด้วย ”

เอาล่ะๆ จะไปนึกถึงเขาทำไมกัน ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั่นออกไป ช่วงนี้มาอยู่ในความคิดกันบ่อยเกินไปแล้วนะ
   
ส่วนคนนี้ ชื่อดี คงแค่อ่านออกเสียงเหมือนกันเท่านั้นแหละ

Drd
: ชื่ิอพี่อ่านว่าดี
: แต่เขียนก็ได้หลายแบบนะ


นั่นไง จริงด้วย

บางทีชื่อเขาอาจมี ย ยักษ์ การันต์ล่ะมั๊ง เพื่อเพิ่มความกวนตีนอีก 87%

ดีย์ คิกๆๆๆๆๆ

แต่ช่างเถอะ ดีย์ ก็คือ ดี

ไม่ใช่ฎี แบบคุณฎีรดลหรอก ชื่อแบบนั้นคิดว่าคงมีคนเดียวในโลก


Wongrawee
: ครับคุณดี

Drd
: ไม่ใช่ คุณดีครับ
: เรียกพี่ว่าพี่เถอะครับ
: ไม่ยากๆ ลองเรียกดูสิครับ
: พี่ดี


แงะ ทำไมประโยคนี้มันดูคุ้น ๆ นะ ไอ้ประโยค ลองเรียกดูสิครับ เนี่ย

นอกจากจะชื่อออกเสียงเหมือนกัน ยังย้ำให้เขาเรียก 'พี่' เหมือนกันอีก

ไม่ได้เรียกลุงสักหน่อย ทำไมถึงต้องย้ำให้เรียกพี่กันจัง


Wongrawee
: ครับ
: พี่ดี

Drd
: เก่งมากครับ
: ค่อยดูสนิทกันง่ายขึ้นหน่อย


ผมเผลอถอนหายใจ

การสื่อสารกับใครสักคนที่ไม่รู้จักแบบนี้ โคตรเหนื่อยและใช้พลังงานอย่างเยอะเลย กดพิมพ์ไปพลางคิดไปด้วยว่าเขาจะรู้ตัวไหมนะว่าตัวเองค่อนข้างเหมือนผักโขมน้องชายของผมไม่มีผิด เรื่องพลังเยอะแล้วทำให้คนคุยด้วยรู้สึกเหนื่อย

แต่ก็นะ อย่ารู้จักกันน่ะดีที่สุด ไม่งั้นผมได้เหนื่อยคูณสองคูณสามแน่ๆ


“ พี่กาดหน้ามุ่ยเชียว เป็นไรอะ? ”

“ เปล่าๆ ”

“ เปล่าที่แปลว่าเป็นน่ะสิ ”

คิวท์ที่เดินบอกว่าออกไปโทรศัพท์กับแม่เมื่อกี้ รีบเดินตรงดิ่งกลับมานั่งข้างผักกาด เพราะเห็นว่าผู้จัดการของเขากำลังทำหน้ายุ่ง คิ้วขมวดผูกเป็นริบบิ้นห่อของขวัญ

“ ก็คนเนี่ยอะ เขาชื่อดีใช่ป่ะ? ”

“ เฮ้ย? ”

ไอ้น้องคิวท์มันจะร้องเฮ้ยอะไรของมัน ผมทำหน้าสงสัยเพราะคิวท์เล่นร้องซะเสียงดัง แถมทำหน้าตาอึ้งๆ ก่อนหลบสายตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ ตกใจอะไรขนาดนั้น? ”

“ พี่คุยกันแล้วหรอ รู้แล้วหรอ? ”

“ กำลังคุย ทักไปซักพักแล้ว เพิ่งได้รู้ชื่อเนี่ย ”

“ แล้ว เออ.. ”

“ เขาเป็นคนกวนตีนหรอวะคิวท์ หรือเค้าออกแนวเพี้ยนๆ ป่ะ? หรือคนชื่อนี้จะเป็นแบบนี้กันทุกคน? ”

ผมยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้คิวท์ดูข้อความในแชท เพื่อยืนยันว่าเขาเข้าใจไม่ผิด แต่ดันกลายเป็นว่าคิวท์ทำหน้างงมากกว่าเดิม

“ เออ ..พี่รู้แล้วจริงป่ะเนี่ย ”

“ เอ้า แล้วจะให้รู้อะไร? แต่เนี่ย..ชีวิตเราต้องมารู้จักคนชื่อดีหลายคนจังเนาะ เหอะ! ” ผมกรอกตาพร้อมกับเอ่ยปากบ่น

“ คนชื่อ ดี หลายคน? ไหนผมขออ่านใหม่สิ ”

ว่าแล้วคิวท์ก็ขอโทรศัพท์ของผมไปเปิดดูแชท และไล่อ่านอีกครั้ง ก่อนพยักหน้าเข้าใจอยู่คนเดียว ซึ่งสร้างความงุนงงให้ผมไม่สิ้นสุด

“ เออๆ ช่างมันเหอะ ” ผมว่าขณะที่รับโทรศัพท์ของตัวเองคืนมา

“ อ่าๆ โอเคพี่  ..สงสัยยังไม่รู้ ”

“ ว่าไงนะเมื่อกี้? ”

“ เปล่าๆ ไม่มีอะไร พี่กาดอะหูแว่ว ”

ไม่มีพิรุจเลย ดูทำหน้าเข้า

ผมมองคิวท์ที่ทำหน้าตาเลิกลักแล้วก้มหน้าหลบสายตาผมอีกครั้งไปสนใจโทรศัพท์มือถือของเขาแทน แต่ผมก็ไม่ได้ไปคาดคั้นอะไรอยู่แล้ว เพราะต่อให้คิวท์ทำหน้ามีพิรุจอย่างนั้นก็จริง แต่ความจริงไม่มีอะไรหรอก หรือถ้ามี ไม่นานน้องน้อยของผมก็จะบอกออกมาเอง
.
.







“ เรื่องคอนโดพี่กาดว่าไงอะ ”

“ พี่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดเขาต่อเลยอะ ”

“ ครับ ”

“ ขอเก็บพลังก่อน คุยกับคนมีพลังเยอะแล้วมันเหนื่อยเราอะพี่ว่า ”

“ ฮ่ะๆๆ ครับผม ”

“ กลับดีๆ นะคิวท์ ”

“ ครับ เหมือนกันนะพี่กาด ”

ผมกับคิวท์บอกลาก่อนแยกกันเหมือนทุกวันเมื่อถึงเวลาเลิกงาน วันนี้มีกลุ่มเพื่อนน้องขับรถมารับเพราะน้องต้องรีบไปติวและอ่านหนังสือที่หอสมุดเตรียมสอบย่อยในบ่ายวันพรุ่งนี้


ตื้อดึ้ง

ผมกดเปิดแอปพิเคชั่นสีเขียวในโทรศัพท์ขึ้นมาดู วันนี้ที่มันสั่นครืดแทบทุกครึ่งชั่วโมงระหว่างที่ผมเฝ้าและดูความเรียบร้อยให้กับคิวท์เพื่อเข้าร่วมสัมภาษณ์กับเก่งกล้าในรายการรายการหนึ่ง

ปกติผมจะถือโทรศัพท์ไว้กับตัวตลอดอยู่แล้ว ถ้าไลน์เข้าผมก็อ่านมันแบบไม่ได้เปิดเข้าไปในแชทนั่นแหละ เพราะถ้ามันสำคัญเขาคงโทรมาหา การคุยกันโดยการโทรศัพท์มันง่ายที่สุด ถ้าให้มาพิมพ์ตอบกลับทั้งๆ ที่กำลังยุ่งก็จะเสียเวลาทำงานเปล่าๆ ไว้ผมว่างแล้วค่อยเปิดอ่านทีเดียวตอบกลับทีเดียวก็ได้ ผมว่านะ


ตื้อดึ้ง

แชทหรือข้อความที่เด้งเข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างวันนั้นมีทั้งข้อความของพี่ติณที่เป็นหัวหน้างานที่ทักมาตามงาน

ในกลุ่มที่มีไอ้แยมไอ้วาทักมาเม้าท์มอยเรื่องเครื่องสำอางและรองเท้าลดราคา

น้องสาวอย่างข้าวโพด-ข้าวฟ่างที่ทักมาบอกว่าขอไปกินหมูกระทะกับเพื่อนใหม่

น้องชายอย่างผักโขมที่ทักมาบอกว่าอยากไปร้องคาราโอเกะด้วยเพราะเพื่อนมันไม่ยอมไป แถมยังบอกว่ามันร้องเพี้ยน

และแชทล่าสุดคือคุณดีเจ้าของคอนโด


15.22 น
Drd
: ทักมาแล้ว ก็หายไปทั้งวันเลยหรอครับ
: ไม่ว่างหรอครับ

16.39 น.
Drd
: ทักพี่มาได้ตลอดนะครับ

16.55 น.
Drd
: ผักกาดครับ

17.45 น.
Drd
: พี่รอได้


   หึ สงสัยเขาคงอยากขายคอนโดให้ผมเหมือนที่ผมอยากซื้อคอนโดของเขามาก หรือไม่เขาก็คงเหงา
   

Wongrawee
: ผมทำงานเพิ่งเสร็จครับพี่ ขอโทษที
: เดี๋ยวผมขอคุยกับพี่เรื่องคอนโดได้มั๊ยครับ

   ผมพิมพ์ต่อกแต่กตอบเขาไปแล้วก็เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าสะพายของตัวเองอีกครั้ง ก่อนขับรถเพื่อกลับหอพัก และผมใช้เวลากับการแวะซื้อของมินิมาร์ทใต้หอนิดหน่อยพวกน้ำดื่มกับขนมจุกจิกเผื่อน้องสาว



❤ 70 เปอร์เซนต์ (%)





-----



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2020 17:10:00 โดย pimpipam_s »

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ต่อ



.
.
.


เมื่อถึงหอพักก็เห็นว่าน้องสาวทั้งสองของผมกลับมาจากมหาวิทยาลัยกันแล้ว ทั้งคู่งอแงกันยกใหญ่เรื่องที่ผมไม่ได้ตอบไลน์จนต้องได้ขอเลื่อนนัดกินหมูกระทะกับเพื่อนไป และเปลี่ยนใจซื้อกับข้าวมากินกันที่ห้อง อีกทั้งจัดเตรียมโต๊ะอาหารเรียบร้อยเพื่อรอผมกลับมากินด้วยกัน ผมเลยไถ่โทษด้วยการนั่งกินข้าวและฟังน้องพูดคุยถึงเรื่องการรับน้อง รวมถึงเรื่องเพื่อนใหม่ที่มหาวิทยาลัย จนลืมสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปเลย

กระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ นาฬิกาที่ผนังก็บอกเวลาว่าตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ตั้งใจว่าจะเปิดเน็ตฟลิกซ์เพื่อนอนดูหนังหน้าโซฟาที่ตอนนี้เป็นที่นอนประจำของผมแล้ว

“ เฮ้ย โทรศัพท์ ”

ดันนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เปิดเช็คข้อความในโทรศัพท์เลยตั้งแต่กลับมาถึงห้อง ป่านนี้เจ้าของคอนโดจะตอบกลับมาหรือยังนะ หรือบล็อคผมไปแล้วก็ไม่รู้เพราะผมไม่ตอบเขากลับไปสักที ว่าแล้วผมก็รีบลุกไปหยิบกระเป๋าสะพายสีดำที่วางอยู่โต๊ะกินข้าวเปิดเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาดู

17.31 น.
Drd
: ได้ครับ
: คุยได้ทุกเรื่อง

17.53 น.
Drd
: แล้ววันนี้เหนื่อยมั๊ยครับ

18.20 น.
Drd
: สงสัยคงเหนื่อยอยู่

18.25 น.
Drd
: ผักกาดครับ
: ผักกาดขาว

19.05 น.
Drd
: ยังไม่ว่างหรอครับ

19.06 น.
Drd
: สงสัยไม่ว่างอีกแล้วสินะครับ

ผมเปิดอ่านข้อความไลน์ที่เขาพิมพ์ตอบมา อ่านแล้วก็เผลอหลุดขำกับการถามเองตอบเองของเขา

แปะ! ผมหน้าผากตัวเองแรงๆสักที เพื่อเรียกสติ >[<

ผมก็แย่นะ! ไปทักเขาไว้แต่ดันไม่ได้สนใจโทรศัพท์จนลืมตอบซะเอง ถ้าผมลองทักไปอีกรอบเขาจะยอมตอบกลับมามั๊ยก็ยังไม่รู้


Wongrawee
: ขอโทษนะครับ
: พอดีผมติดธุระนิดหน่อยครับ
: ไว้ผมขอทักไปสอบถามข้อมูลพรุ่งนี้นะครับ

พิมพ์และกดส่ง อย่างน้อยทักไปขอโทษไว้ก่อนแล้วกัน

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่พื้นข้างๆ ตัวเอง ก่อนหันไปสนใจโน๊ตบุ๊คเพื่อกดเลือกหนังที่อยากจะดู เมื่อเลือกได้แล้วก็เอื้อมไปหยิบสาย HDMI มาเชื่อมต่อโน๊ตบุ๊คเข้ากับจอโทรทัศน์ คลิกเมาส์เพื่อกดเล่น และ Skip Intro

ผมเอาหมอนนุ่มๆมากอด ค่อยๆ เอนตัวและไหลลงกับพื้นจนเอาหัวหนุนได้กับโซฟาพอดี กระดิกเท้าที่ยื่นเหยียดไปข้างหน้าอย่างสบายใจเฉิบ เอื้อมแขนไปหยิบถุงขนมมาฉีกและหยิบกินอย่างเอร็ดอร่อยแม้ว่าจะเพิ่งกินข้าวไป

ครืดด

แรงสั่นต่อเนื่องสองครั้งและแสงกระพริบของหน้าจอโทรศัพท์เรียกความสนใจให้ผมต้องละสายตาจากหนังในจอโทรทัศน์เหลือบไปส่องโทรศัพท์ดูแทนว่าใครส่งอะไรมา แต่มองไม่ถนัด จนต้องเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู

“ คุณดีเจ้าของคอนโดนี่เอง ” ผมกดเข้าไปในห้องแชท ขยับแว่นตาที่ตัวเองใส่และหยีตาเล็กน้อยหลังจากที่โดนแสงสว่างหน้าจอโทรศัพท์สาดส่องเข้ามาดวงตาเต็ม ๆ


Drd
: ทักกลับมาแล้ว ทำไมไม่คุยตอนนี้เลยล่ะครับ


“ ตอนนี้? ”

นาฬิกาในโทรศัพท์บอกเวลาสองทุ่มยี่สิบห้านาที ถ้าโทรหรือส่งข้อความหาใครสักคนที่สนิทกันเวลานี้คงไม่รู้สึกลำบากใจเท่ากับส่งข้อความหาคนที่ผมเพิ่งรู้จัก ซึ่งผมดันทำไปแล้ว


Wongrawee
: มันดึกแล้ว ผมกลัวจะรบกวน

Drd
: พี่คุยได้
: ไม่กวนเลยครับ
: วันนี้พี่รอเราทั้งวันเลยนะ
: รอเพื่อจะคุยกับเราเลย

อืม.. ประโยคของเขามันทำให้ผมรู้สึกผิดแหะ

ก็จริงที่ผมจะเป็นคนติดต่อไปก่อน และผมก็ยังไม่ได้เอ่ยถามรายละเอียดของคอนโดที่ผมต้องการจะซื้อจากเขาให้ชัดเจนเลย ผมบอกเขาไว้เพียงแค่ว่าสนใจเท่านั้น แต่คุณดีเขาน่าจะพอรู้เรื่องนี้มาจากคิวท์บ้างแล้วล่ะว่าผมสนใจที่นี่มากกก อยากได้ห้องในคอนโดนี้มากกก เขาถึงได้พิมพ์ตอบมาว่า เขารอเพื่อจะคุยกับผม แถมรอทั้งวันเลยด้วย

แต่ผมก็อดคิดและรู้สึกผิดไม่ได้ ผมก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องมารอเลยด้วยซ้ำ


Wongrawee
: ขอโทษจริงๆครับ
: ตอนกลางวันผมติดงาน

Drd
: ครับ
: พี่พอจะรู้เรื่องนี้

หือ เขาจะมารู้ได้อย่างไร ใครเล่า

Drd
: รู้มาจากคิวท์นะครับ

อ๋อ น้องน้อยของผมเป็นสายรายงานให้คุณเขานี่เอง

Drd
: แล้ววันนี้เหนื่อยมากมั๊ยครับ

Wongrawee
: อ๋อ
: ไม่เหนื่อยครับ

Drd
: เก่งจังเลยครับ

เก่งเนี่ยนะ ..เขาจะมาชมผมทำไมกัน

ว่าแต่คุณดีคนนี้เขาเป็นใคร ทำงานอะไร มาจากไหนผมก็ไม่รู้เลย

เคยจะเอ่ยปากถามคิวท์ ไอ้เจ้าตัวดีก็ติดนู้นติดนี้ เดี๋ยวท่องบท เดี๋ยวซ้อม เดี๋ยวเข้าฉาก พอว่างก็วิ่งไปรับโทรศัพท์ของแม่บ้างของพ่อที ไม่ยอมสละเวลาหรือแวะมาตอบผมเลยจนถึงเวลาแยกย้ายกันกลับไอ้คนน้องก็รีบไปกับเพื่อน ผมเลยถอดใจไม่ถามแล้ว


Drd
: ตอนนี้เราว่างแล้วใช่มั๊ยครับ
: คุยกับพี่เลยมั๊ย
: พี่ตอบได้

เออ ผมจะต้องทำตัวยังไงวะ

เอาจริงผมก็กลัวมันรบกวนเวลาพักเขานะ และยังรู้สึกผิดไม่หาย แต่เขาบอกว่าตอบได้ก็คงจะได้จริงๆ นั่นแหละ งั้นผมไม่รอพรุ่งนี้แล้วนะ คุยกันให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดมันวันนี้เลย

Wongrawee
: ผมขอโทษอีกรอบนะครับ

Drd
: ไม่เป็นไรครับ
: แต่พี่จะให้เราไถ่โทษด้วยการ..
: คุยกับพี่ทั้งคืน

คุยทั้งคืนก็ไม่ใช่แหละ -=-

Wongrawee
: แล้วจะไม่ง่วงหรอครับ

Drd
: ลองดูก็จะรู้ครับ
: ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่
   
ผมส่ายหน้ากับตัวเอง คาราวะความกวนของเขาเลยที่ทำให้ความกังวลของผมลดลงได้

คนอะไร บอกจะคุยกับผมทั้งคืนไม่หลับไม่นอนเนี่ยนะ ผมหัวเราะเบาๆ พลางพิมพ์ต่อกแต่กเพื่อตั้งใจจะเข้าเรื่องเข้าประเด็นเลย

ไม่เอ่ยตกลงหรือปฎิเสธอะไรทั้งนั้น เพราะขี้เกียจ

ถ้าต้องให้พิมพ์คุยกันทั้งคืน ผมขอยอมแพ้ดีกว่า ตอนนี้ก็เริ่มง่วงแล้ว และไม่อยากมีอาการนิ้วล็อคหลังจากวันนี้ด้วย มันปวดๆ โปรดเข้าใจ


Wongrawee
: งั้นขอเข้าเรื่องนะครับ
: คอนโดอีกห้อง
: ขายจริงๆ ใช่มั๊ยครับ

Drd
: ขายครับ
: หมายถึง พี่ขายแค่คอนโดนะ

Wongrawee
: เออ
: อ๋อ
: โอเคครับ

ผมตอบกลับแบบไปไม่ถูก อ่านทวนอีกครั้งว่าตัวเองถามอะไรผิดหรือไง เขาถึงได้ตอบอะไรแปลกๆ กลับมา

คนอะไรขี้กวนสุดๆ นอกจากคอนโดจะขายอะไรเล่า ก็เราคุยเรื่องคอนโดมั๊ยล่ะคุณพี่!


Wongrawee
: ผมก็หมายถึงแค่คอนโดครับ

Drd
: แต่พี่หมายถึงเจ้าของคอนโดด้วย
: แบบนี้ไม่มีขายนะครับ

เฮ้อ ผมควรไปต่อหรือพอแค่นี้


Wongrawee
: ผมขอถามได้มั๊ยครับว่าทำไมถึงขาย

ผมเลือกไปต่อ โดยการเปลี่ยนเรื่อง ผลัดประเด็น
   
ชีวิตของเรามันต้องก้าวต่อไป เจอคนกวนประสาทชนเราต้องไม่ตาย !!

และที่สำคัญผมพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามที่จะใช้ในการเรียกเขา ผมถนัดใช้ ’คุณ’ กับคนที่เพิ่งจะทำความรู้จักกัน ในขณะที่อีกคนเขาต้องการให้ผมเรียกเขาว่า ‘พี่’


Drd
: งั้นพี่ขอถามเราก่อน
: เรากลัวผีมั๊ยครับ

เฮ้ย! ถามทำไมเนี่ย! ถามมาแบบไม่ให้ผมได้ตั้งตัวเลยด้วย

ที่ผมถามเขาถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจจะขายห้องหนึ่งก่อน ก็เพราะคอนโดนี้ทำเลดีและน่าอยู่มาก การที่เขาขายในราคาที่ถูกกว่าเดิมทั้งยังผ่อนจ่ายได้แบบไม่คิดดอกเบี้ยตามที่คิวท์บอกมา เขาจะไม่เสียดายหรอ

แต่นั่นแหละ มาเป๋เพราะเขาถามกลับเรื่องผี

การที่เขาถามกลับว่าผมกลัวผีมั๊ยทำให้ผมลังเลและเกิดความกังวลในใจเล็กน้อย อย่างตอนนี้ที่เหงื่อเริ่มผุดซึมตรงหน้าผาก

ถ้าจะให้ผมถามต่อว่า ‘คอนโดมีผีมั๊ย’ ผมก็ดันไม่อยากอ่านคำตอบของเขา ถ้าเขาบอกประโยคนั้นออกมาคือจบเลยนะ ไม่ด่าหูฉีกก็กดบล็อคไลน์กันไปข้างอะ

   
Wongrawee
: คือ..
: ผมแค่สงสัยน่ะครับ เห็นว่าห้องมันออกจะทำเลดี

Drd
: ตอบพี่ก่อนครับ กลัวผีมั๊ย?

เอ้า มีการถามย้ำด้วย
   
โห ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนอยากโชว์ความกากความกลัวของตัวเองให้คนอื่นรู้สักหน่อย เราก็ต้องทำเป็นเข้มแข็ง ไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว ไม่งั้นก็จะถูกเอาไปล้อได้ เหมือนตอนนั้น..


   ‘ ไปดูหนังกับกู กูว่าจะไปกับไอ้ปัง ’

   ‘ ผมไม่ไปอะ แล้วอีกอย่างนะ.. พี่จะไปเป็นก้างขวางเพื่อนพี่กับเพื่อนผมเพื่อ? ’

   ‘ ไม่ได้เป็นก้าง กูจะนั่งแยกจากพวกมัน และมึง ผักกาดต้องไปกับกู ’

   ‘ หือ ไม่เอา ผมไม่ว่างพี่ ไม่ไปอะ ’

   ‘ อย่ามาส่ายหน้าปฏิเสธผักกาด มึงว่าง วันนี้มึงไม่ได้ทำงานพิเศษกูรู้ ไป!! ’

   ‘ โว๊ะ ทำไมพี่ฏีเป็นคนแบบนี้ ขี้บังคับกับผมตลอดเลย! ’



“ คนอะไรขี้บังคับโคตรๆ เหอะ! ”

ผมเกาหน้าผากตัวเองเบาๆ ดันไปนึกถึงสมัยที่ผมโดนคนกวนประสาทอันดับหนึ่งในใจลากไปเป็น กขค ไอ้แยมกับพี่ปัง

นอกจากเขาจะขี้แกล้งแล้ว ยังกวนประสาทผมด้วยการชอบล้อผมเรื่องกลัวผี ใครกันบอกว่าเขาจิตใจดี นิสัยดี ดูสิ่งที่เขาเคยทำกับผมไว้นะ แล้วผมให้โอกาสคิดใหม่เลย..

   
   ‘ หรือน้องกลัวผีล่ะ ถ้ากลัวก็แค่ยกมือแล้วตะโกนออกไปก็จบ! ไม่ต้องเข้าไปดู ’ ; D

   ‘ แยมขอบายค่ะ บรื๋อ  ’ l o l

   ‘ ไม่ได้ไอ้แยมห้ามยกมือนะ มึงจะกลัวไม่ได้! กูยังไม่กลัวเลย! ’ - = -

   ‘ หะ! ไอ้กาด มึงเนี่ยนะไม่กะ.. ’ o . O

   ‘ ใช่! ไม่กลัว ..จริงๆ ’ : ][

   ‘ ไม่ใช่แหละ มึงจะมายุขึ้นอะไรตอนนี้ หนังผีนะเว้ย! ’ : 0

   ‘ นั่นแหละ กูชอบหนังผี ’ = . =

   ‘ มึงงงง พักก่อน’ = u =
   
   ‘ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วยสิครับ พี่ว่าไปรอหน้าโรงเลยมั๊ย ’ ^ - ^

   ‘ เดี๋ยวก่อนไอ้ปัง รอให้น้องมันตัดสินใจก่อน เพราะถ้าน้องเขากลัว ก็แค่พากลับไป ’ - . =

   ‘ ผม ไม่ ได้ กลัว อยู่แล้ว เนาะไอ้แยม! ’ : P
   
   ‘ ไอ้กาด มึงอะตัวดี มึงกละ..’ o O o

   ‘ เข้าโรงกับกูเดี๋ยวนี้ไอ้แยม มา! มาครับพี่ปัง! พี่ด้วยตามมาเลย! ’ - w -

   ‘ ไม่เอาหน่าผักกาด ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ ’ T c T

   ‘ มา! ’ ; q

   ‘ กูกลั..อุ๊ป !@#%%$ไอ้^%(กาด%$ไอ้#@#()เพื่อน_*&%เยี้ยยย#%@&! ’ - m -




“ กูขอโทษที่เป็นตัวจุ้นจ้านในเดทของมึง แยม ”

คนอื่นเขาจะไปเดทโดยการดูหนังรัก แต่ไอ้คนขี้แกล้งที่อาสาไปซื้อบัตรดันซื้อบัตรเป็นหนังผี และวัดใจโดยการประกาศว่าใครกลัวให้ยกมือขึ้นและตะโกนว่ากลัว แล้วไม่ต้องดูก็ได้

แต่ตอนนั้นผมรู้สึกได้ถึงเสียงหัวเราะขบขันและสายตาที่ท้าทายส่งมาให้กัน ด้วยความที่ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ ผมเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กลัว ตัดสินใจลากและบังคับไอ้แยมให้เข้าไปดูหนังในโรงด้วยกันพร้อมกับพี่ปังและไอ้พี่คนท้า ผมจำได้ว่าถูกไอ้แยมด่ากราด
 

“ เฮ้อออออ ”

ผมขยับตัวขึ้นนั่งพิงโซฟาอีกครั้ง หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ไหลลงไปกองกับพื้นจนนอนอยู่ในแนวระนาบ

ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเป็นคนไม่ยอมใครหรือเพราะเป็นคนถูกยุแยงได้ง่าย ถึงยอมที่จะไปนั่งดูหนังผีกับคนที่ตัวเองไม่ชอบ


   ‘ กลัวผีมั๊ย? ’

   ‘ ไม่ครับ ’

   ‘ กลัวผีมั๊ย? กูถามจริงๆนะเนี่ย! ’

   ‘ ผม มะ..ไม่เคยกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว เฉยมาก เฉยๆ มาก ตะ..แต่ก็ไม่ได้ลบลู่ด้วยนะบอกไว้ก่อน ’

   ‘ เข้าไปในโรงอย่ากลัวจนกรี๊ดแล้วกัน ’

   ‘ ก็บอกแล้วไงครับ ว่าเฉยมากกก ’

   ‘ จริงหร้อ? ’

   ‘ อืมมมม ก็ใช่นะสิ ผมไม่ได้กลัว ผะ..ผมก็แค่ตกใจง่ายอะพี่ ตกใจนิดหน่อย ’

   ‘ หึ ถ้ากลัวก็เอาเสื้อกูไปปิดตา ’

   ‘ ไม่เอา! เอาคืนไปเลย ก็บอกว่า ไม่! ได้! กลัว! ไงเล่า>-< ’

   ‘ กู! ไม่! เชื่อ! ’

   ‘ เอ๊ะ! พี่นี่! ’

   ‘ โอเคๆ เอาเสื้อกูไปถือไว้ก่อนเถอะหน่า ถ้าไม่ปิดตาก็เอาไว้ห่ม ข้างในโรงหนังมันหนาว เข้าใจ๊? ’



ตอนนั้นเป็นช่วงรอเวลาก่อนเข้าไปในโรงหนัง ระหว่างที่พี่ปังเดินไปตามไอ้แยมที่ไปเข้าห้องน้ำรอบที่สาม ปล่อยผมยืนรับมือและสู้อยู่ในสงครามประสาทกับรุ่นพี่ขี้แกล้งที่ทำตัวเหมือนยักษ์จอมเซ้าซี้ยืนอยู่หน้าโรง ก็ไม่รู้ตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้มายัดเสื้อแขนยาวของตัวเองให้ผมถือไว้ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ได้กลัว

แต่ตัดกลับมาปัจจุบันผมต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นความจริง เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

Drd
: ถ้ากลัวผี ต้องยอมรับว่ากลัวนะครับ

Wongrawee
: ก็กลัวนะครับ

   ก็กลัวของผม คือ โคตรกลัว กลัวจนขึ้นสมอง กลัวที่สุดในโลก


ตือดึง!
Drd
: แล้วชอบดูหนังผีมั๊ย?

ชอบดูหนังผีมั๊ย?

ผมทวนคำถามแล้วเงยหน้ามองไปที่จอโทรทัศน์ที่ตอนนี้กำลังฉายหนังตลกของต่างประเทศเรื่องหนึ่งอยู่ เป็นหนังตลกที่สร้างเสียงหัวเราะ และไม่เครียดมากเกินไป เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายก่อนนอน ก่อนที่จะมีภาพบางอย่างซ้อนทับเข้ามา


   ‘ ขนหัวลุกเลย ไอ้สัดเอ้ย! ’

   ‘ ไหนว่าไม่กลัวไง ’

   ‘ โห พี่ฎี! เลิกล้อผมสักทีได้ป่ะ! ’

   ‘ เออ ก็ได้ แล้วสนุกมั๊ย? ’

   ‘ สนุกดิ ผมโคตรชอบ ถ้าพี่อยากให้สาวกลัวแล้วซบอกอะนะ พามาดูเรื่องนี้อีกรอบเลย ’

   ‘ หรอ เหมือนที่มึงซบกูน่ะหรอ ’

   ‘ ถ้าใช่ก็เชี่ยแหละครับพี่! ผมซบพี่ตอนไหน ’

   ‘ ก็ตั้งหลายครั้ง ’

   ‘ บ้า! พี่คิดไปเองทั้งนั้น ผมนั่งนิ่งจะตาย’

   ‘ ไอ้เด็กไม่ยอมรับความจริงเอ้ย หึ! ’



“ อายชิบ! ”

นึกถึงตอนนั้นอีกแล้ว ให้ตาย.. โคตรน่าอาย น่าขายหน้า

ผมสะบัดหน้าไล่ความทรงจำสุดกระโปกของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ก่อนพิมพ์ตอบกลับคนในแชทไปอีกครั้ง แน่นอนว่า..


Wongrawee
: ชอบดูครับ
: ถึงผมกลัวผี แต่ผมชอบดูหนังผีมากๆ เลย
: มันสนุกดี

ผมไม่ได้โกหกนะ ผมชอบจริงๆ แม้มันจะมีความย้อนแย้งในตัวเองเล็กๆ ก็ตาม

ตั้งแต่ตอนนั้นที่ถูกท้าให้ไปดูหนังผี ผมก็เปิดใจดูเลยสิ แม้จะปิดตาไปแล้ว 80% ของเรื่องทั้งหมด แล้วเป็นไงล่ะ เห็นม่ะ! ว่าผมสามารถดูหนังผีได้ และชอบมากด้วย


Wongrawee
: แต่แค่ไม่ชอบดูหนังผีคนเดียวอะครับ

พิมพ์ตอบเขาต่อ พลางพยักหน้าสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ผมเชื่อว่ามันต้องมีคนแบบผมเยอะแยะ กลัวนะแต่ว่าชอบดู ชอบดูมาก แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ยืนยันว่าจะไม่เลือกดูหนังผีเด็ดขาดถ้าต้องนั่งดูนั่งกลัวอยู่คนเดียวแบบตอนนี้ มีหวังหลอนตาย


Wongrawee
: แล้วถามทำไมครับ

Drd
: พี่อยากยืนยันอะไรบางอย่าง
: พอดีพี่เคยมีคนรู้จัก เขากลัวผีมาก แต่เขาไม่ยอมรับนะครับ

กลัวผีมาก ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะดูหนังผีไม่ได้ซะหน่อย


Wongrawee
: ผมกลัวนะแต่ก็ดูได้
: ชอบมากด้วย
: แต่แค่ผมจะไม่ดูตอนอยู่คนเดียว555

Drd
: พี่ก็ชอบเหมือนกัน
: งั้นเดี๋ยวว่างๆ พี่จะพาเราไปดูหนังด้วยกันนะ

หะ! เดี๋ยว
ผมว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาด..

Wongrawee
: เดี๋ยวครับ

Drd
: ครับ
: เดี๋ยวแปลว่าตกลงหรอครับ

เข้าเรื่องให้ผมทีเถอะ ผมปวดขมับแล้วเนี่ย

Wongrawee
: แล้วเรื่องคอนโดที่จะขายล่ะครับ
: เมื่อกี้ ถามเหมือนมี..

Drd
: มีผี

Wongrawee
: เฮ้ย ผีหรอ!

   ผมต้องรีบพิมพ์ด่าเขาแล้วกดบล็อคเลยป่ะเนี่ย คอนโดมีพี่แล้วจะมาขายต่อคนอื่นได้ยังไง

Drd
: ใจเย็นครับ
: หยอกๆ พี่หยอกเล่นครับ
: ไม่ต้องกังวล คอนโดนี้ไม่มีผีแน่นอน

Wongrawee
: แล้วนี่จะเข้าเรื่องผีทำไม
: ถามผมทำไมเนี่ย

ไอ้คุณพี่ดีคนนี้เนี่ย ทำผมระแวงแล้วนะ


Drd
: เพราะพี่ชอบดูหนังผี

แล้วไง.. พี่ชอบ ผมก็ชอบ แต่ว่า แล้วยังไงต่อ?

Drd
: พี่หาเพื่อนดู เลยถามผักกาดไง
: เราจะได้มาดูด้วยกัน

Wongrawee
: แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องคอนโดที่ไหนล่ะครับ

Drd
: ทำไมจะไม่เกี่ยวครับ ถ้าผักกาดตกลงซื้อห้องต่อจากพี่
: จะได้เลือกถูกว่าจะไปดูหนังที่ห้องไหน
: ห้องเราก็ได้ ห้องพี่ก็ดี

เอิ่มม ผมคิดถูกมั๊ยนะ ผมคิดถูกใช่มั๊ยที่จะซื้อคอนโดต่อจากเขา ผมต้องรับมือกับคนแบบนี้อีกแล้วใช่มั๊ย

Wongrawee
: ไม่เอาดีกว่าครับ

Drd
: ปฏิเสธเร็วเชียว

Wongrawee
: เข้าเรื่องเถอะครับ
: คอนโด
: คอนโด
: คอนโด
: คอนโด

ผมไหว้พี่ผ่านโทรศัพท์เลยอะ เข้าเรื่องทีเถอะพี่


Drd
: ครับผม
: ไม่แกล้งแล้วครับ
: ความจริงคอนโดนี้พี่ซื้อไว้ให้น้องสาว
: แต่น้องไม่ย้ายเข้ามาซักที เพราะชอบอยู่บ้าน
: ไปๆมาๆ ไม่มีคนอยู่เลยตกลงกับน้องสาวว่าจะขายครับ

Wongrawee
: ครับ

Drd
: * Drd สร้างอัลบัม
: นี่คือรายละเอียดของคอนโดทั้งหมด

Wongrawee
: ขอบคุณครับ
: แต่ก่อนจะตัดสินใจ ผมจะขอเข้าไปดูห้องก่อนได้ไหมครับ

Drd
: ได้ครับ
: วันไหนดีครับ พรุ่งนี้เป็นไง

Wongrawee
: พรุ่งนี้หรอ?
: ได้ครับ

Drd
: แต่พรุ่งนี้พี่ไม่ว่างนะครับ
: พอดีพี่ยังติดธุระยังอยู่ต่างประเทศ


อ้าวล้อเล่นป่ะเนี่ย!

แล้วถามเขาว่าพรุ่งนี้เพื่ออะไรถ้าตัวเองไม่ว่าง คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ทำไมเวลาตอบต้องทำเป็นยึกยักๆ คนอะไรกวนเป็นอันดับสอง ไม่มีคนเล่นด้วยหรือไง คนแบบนี้ไม่ทำคนอื่นรำคาญก็ทำให้ตัวเองโดนด่าอ่ะ


Drd
: อย่าเพิ่งด่าพี่นะครับ

ห้ามช้าไป ด่าไปแล้วครับผม เป็นชุด รัวๆ


Wongrawee
: เปล่าเลยครับ ไม่ได้ด่าเลย

Drd
: พรุ่งนี้พี่จะให้ผู้ช่วยของพี่พาผักกาดไปดูห้องแทน
: โอเคไหมครับ

เอ๊า มีผู้ช่วยด้วย


Wongrawee
: ครับผม

Drd
: งั้นประมาณ 10.00 น.
: เผื่อผักกาดตื่นสายนะครับ

กวนว่ะคนเรา ผักกาดเจอคนกวนเพิ่มอีกหนึ่งอัตรา


Wongrawee
: ครับ แต่ไม่เป็นไร
: ผมมีนาฬิกาปลุด

กวนมากวนกลับ ชนะใสๆ


Drd
: นาฬิกาปลุกครับ แก้ให้

จะกวนเขากลับก็ดันพิมพ์ผิด ไอ้ผักกาดด><

อย่าบอกใครว่าได้เกรดสี่ภาษาไทย


Wongrawee
: ครับผม
: ขอบคุณครับ

Drd
: เรียกพี่ให้ชื่นใจหน่อยสิครับ
: พี่รู้นะว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามกับพี่

Wongrawee
: ผมไม่ได้หลีกเลี่ยงนะครับ

Drd
: ไม่รู้ล่ะครับ
: ถ้าคุยกันครั้งหน้าไม่เรียกพี่ดี
: พี่ขอไม่ขายคอนโดให้นะครับ

เชี้ยย ไอ้เชี้ยย

นี่ผักกาดกำลังคุยอยู่กับใครวะ แล้วเขาพูดจริงป่ะเนี่ย แค่ไม่เรียกพี่เขาจะไม่ขายคอนโดให้ผมเนี่ยนะ โคตรเอาแต่ใจเลย พิมพ์คุยกับคนแบบนี้กี่ครั้งๆ ก็รู้สึกหมดพลัง

ไม่ มี ทาง ที่เขาจะเรียกพี่ให้อีกฝ่ายได้ยิน

Wongrawee
: ครับ
: พี่ดี

เพราะเขาพิมพ์เอาโว้ย!!!







❤ 100 เปอร์เซนต์ (%)

----------------------



1 ไลค์ 1 คอมเมนต์ = 1 กำลังใจ ❤

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

(◜◡‾) (‾◡◝)






นักเขียน :: คนขี้แกล้ง หรือ คนไม่ยอมรับความจริง อะเลือกทีมเลย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2020 23:32:47 โดย pimpipam_s »

ออฟไลน์ orayassa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เปิดมาตอนแรกก็เขินเลย :ling1:

ออฟไลน์ Nadaii20

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ผักกาดมันน่ารัก พี่เขาชอบหนูลูก
ถามว่ากลัวผีมั๊ย จะชวนไปดูหนังด้วยกัน โอยอย่างชอบ
:heaven

ออฟไลน์ Tawanwee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันเป็นแผนนนนน
ชอบมากกก รออ่านต่อเลยจ้า
:z2:

ออฟไลน์ funndee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่ดี เท่ากับ พี่ฎีชัวร์ๆ  :m13:

ออฟไลน์ Yeewajj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักเกินไปแล้ววว
 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
พี่ฎีร้ายนะเนี้ย :hao7: :hao7: ชอบ55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ luklukky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1: อยากอ่านต่อแล้ว รอน้าาาาาาาาาา

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 
คุณฎีของผักกาด ʕ·ᴥ·ʔ

ตอนที่ 05 :: เจ้าของห้องคนใหม่ เจ้าของใจคนเก่า
 
 





เช้าวันถัดมา

ตอนนี้ผมอยู่บริเวณล็อบบี้ชั้นหนึ่งของคอนโดที่ผมต้องการจะมาดูห้อง โดยผ่านด่านพี่ รปภ. หน้าประตูทางเข้ามาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่บอกชื่อของตัวเองออกไป ไม่ใช่ใหญ่โตมาจากไหนหรอกนะ แต่เพราะทางคุณดีเขาได้บอกกับผู้ดูแลคอนโดไว้เรียบร้อยแล้วต่างหาก ว่าจะมีคนเข้ามาที่ห้องของเขา

วงศ์รวีครับผม วงศ์รวีมาแล้ว

เมื่อวานหลังจากสอบถามข้อมูลจากคุณดีอะไรนั้นเสร็จ ผมก็รีบทักไลน์ไปหาคิวท์ทันที แต่เด็กนั้นดันไม่ยอมตอบอะไรผมเลยจนถึงตอนนี้ ก็รู้อยู่ว่าเป็นวันหยุดพักผ่อนของคิวท์ แต่ผมก็ไม่ได้จะทักไปถามเรื่องงานสักหน่อย ตอบผมกลับมานิดมาหน่อยก็ไม่ได้

ผมจะถามว่าคุณดีอะไรนั่น เขาคือใครไงล่ะ ทำงานที่ไหน และที่สำคัญหน้าตาเป็นยังไง ผมอยากเห็นจะแย่ กว่าเขาจะตอบแต่ละคำถามของผม และกว่าผมจะได้นอนก็เกือบเลือดขึ้นหน้า ไม่ได้เขินนะเว้ย โมโห><

Drd
: มีอะไรสงสัย ทักหาพี่ได้ตลอดนะครับ
: พร้อมตอบเสมอ

“ ถ้าผมมีอะไร ผมจะเลือกทักหาพี่เป็นคนสุดท้ายอะครับ ”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่ายนั้นเขาเป็นคนยังไง เพราะบางทีผมก็นึกตลกตัวเองเวลาพยายามคุยกับเขาให้รู้เรื่อง กว่าจะเข้าเรื่อง กว่าจะได้คำตอบ ผมท้อ -=- เหมือนกันไม่มีผิดคนชื่ออ่านว่า ‘ดี’ เนี่ย!

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเก้าโมงห้าสิบแปดนาทีซึ่งก็ใกล้เวลามากแล้ว ผมแค่รอให้ผู้ช่วยคุณดีเขามาหา แต่นอกจากผู้ชายหน้าตี๋คนหนึ่งที่นั่งอยู่โซฟาตรงกันข้าม ก็ไม่มีใครที่มีความเป็นไปได้แล้วนะ

ผมเห็นเขามองมาเป็นพักๆ แล้วก็ก้มลงไปเหมือนกำลังขีดเขียนหรือวาดอะไรสักอย่างในสมุดจดบันทึกอย่างใจเย็น

พรึบ!

ไอ้เชี่ย!

เขาลุกเดินมาแล้วว่ะ O-O

“ สวัสดีครับ คุณวงศ์รวีใช่มั๊ยครับ ”

“ หะ? ..เออครับ คุณคือ.. ”

“ ผมชานนครับ ผู้ช่วยของคุณดีระ.. เอ่อ คุณดีเจ้าของห้องในคอนโดนี้ครับ ”

“ ครับผม คือเมื่อกี้คุณ.. ” ผมอ้ำอึ้ง มองเขาแล้วชี้ไปที่โซฟาที่เขาเคยนั่ง จนเขาพยักหน้าเข้าใจในความหมายที่ผมจะสื่อ

“ ใช่ครับ ผมเองคนเดียวกันฮะ ไม่ใช่ผี อย่าเพิ่งตกใจนะครับ พอดีผมเห็นว่ามันยังไม่ถึงเวลานัด เลยไม่กล้าเข้ามาทักทายน่ะครับ อืม.. ตอนนี้ก็สิบโมงพอดีเลย ” เขาตอบพร้อมยิ้มหวานจนตาปิดให้ผม หลังจากก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง

“ ผมเห็นว่าคุณนั่งอยู่ก่อน แต่ไม่ทราบ.. ”

“ ครับ ผมพอจะดูออกว่าคุณวงศ์รวีอาจระแวงผม ”

“ ไม่นะครับ ผมแค่แปลกใจนิดหน่อย ” พูดเสร็จก็ยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้เขาที่ดันรู้ทัน

“ ไม่ต้องคิดมากครับ ผมแซวเล่น^^ แล้ว.. คุณวงศ์รวีทานอะไรมาหรือยังครับ ”

“ เรียบร้อยแล้วครับ เอ่อ.. คุณชานนเรียกผมว่าผักกาดก็ได้ครับ ชื่อเล่นของผมน่ะครับ ” ผมเอ่ยบอกคุณผู้ช่วยหน้าตี๋เพื่อเป็นการเริ่มต้นการพูดคุยที่เป็นกันเองมากขึ้น

“ ผัก..กาด คุณคือคุณผักกาดหรอครับ? ”

“ ครับ ..ทำไมหรอครับ? ”

ผมเอ่ยถามเพราะอีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจไปเล็กน้อย เมื่อผมบอกชื่อเล่นของตัวเองออกไป ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าและอมยิ้มกลับมาให้เหมือนเดิม

“ คุณคือผู้จัดการน้องคิวท์? ”

“ ใช่ครับ ” หึย เขารู้จักน้องคิวท์ด้วยอะ

“ คือผมรู้จักกับคิวท์นะครับ แบบว่า..เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ”

“ หา! จริงหรอครับเนี่ย? ” ผมถามตาโต ตระกูลนี้เขาหน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยหรอเนี่ย

“ จริงครับ โหห>< ดีใจจังได้เห็นหน้าคุณผักกาดสักที ผมเคยได้ยินแต่ชื่อของคุณ ไม่รู้จะขี้หวงอะไรขนาดนั้น ชอบมาพูดถึงตลอดแต่ไม่ยอมเอารูปให้ผมดู นึกแล้วโกรธคุณเขาจริงๆ แต่..วันนี้ได้เจอคุณผักกาดก็เลยดีใจสุดๆ อะครับ  ”

คนหน้าตี๋พูดรัวไม่หยุดทั้งยังทำหน้ายิ้มหน้าโกรธสลับไปมาจนผมงง แต่ก็ไม่กล้าถามกลับว่าโกรธใคร ยอมพยักหน้าเออๆออๆไปกับคุณชานนอยู่ดี

“ อ๋อ ขนาดนั้นเลยหรอครับเนี่ย^^ ”

“ ครับ ผมได้ยินน้องคิวท์กับเจ้านายผมพูดถึงคุณบ่อยๆ บ่อยมาก โดยเฉพาะเจ้านาย คิกๆๆ อุ๊ป! ผมไม่ได้อยากเม้าท์เจ้านายหรอกเนาะ แค่หลุดนิดหลุดหน่อยเอง ” คุณชานนพูดเหมือนตกใจแต่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ตลกขบขัน เหมือนไม่ได้คิดอะไรมากมาย 

“ เจ้านาย? หมายถึงคุณดีน่ะหรอครับ ”

“ ครับ พอดีเขาไปต่างประเทศน่ะครับ ไปกับท่านประธานเกือบเดือนแล้ว พอดีทางบริษัทได้ไปตั้งฐานการผลิตที่ญี่ปุ่นเลยต้องไปดูด้วยตัวเอง เขาค่อนข้างงานยุ่งน่ะครับ อู้ย! แล้วนี่ผมออกนอกเรื่องไปไกลเลย วันนี้ผมมีหน้าที่พาคุณผักกาดมาดูห้องต่างหาก ” เขาเอ่ยแล้วเตรียมตัวจะลุกขึ้น แต่ก็ทิ้งตัวนั่งโซฟาตัวเดิมอีกครั้ง

“ มีอะไรหรอครับ? ”

“ลืมเลย เอางี้ดีกว่าผมให้คุณผักกาดเรียกผมว่าชาเฉยๆ นะครับ ”

“ ครับ คุณชา ”

“ อื้ม! ทานน้ำมั๊ยครับ พอดีผมซื้อชามะนาวมาให้ครับ ”

“ หา? ”

ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่โซฟาตัวแรกที่เขานั่ง เปิดกระติกเก็บความเย็นสี่เหลี่ยมเล็กๆที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งผมเพิ่งเห็นว่าเขาพกมันมาด้วย แต่ทำหน้างงได้ไม่นาน เจ้าตัวก็เดินกลับมาพร้อมถุงที่มีแก้วอะไรบางอย่างยื่นให้ผม

“ นี่ครับ ชามะนาว ”

ผมหลุดยิ้มแล้วเอื้อมมือไปรับกับคุณชาอย่างเกรงใจ เป็นถุงน้ำชามะนาวแยกน้ำแข็งในแก้วที่เริ่มละลาย เออ..ของโปรด

“ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ”

“ ขึ้นไปกันเลยมั๊ยครับ เดี๋ยวน้ำแข็งจะละลายไปมากกว่านี้ ”

“ ได้ครับ ”

“ งั้นผมขออนุญาตนำนะครับ ”

ผมยิ้มบางๆ ให้กับคุณชานนอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินนำทางไปที่ลิฟท์ เขาค่อนข้างหน้าตาดี ยิ้มแย้มเก่ง นิสัยก็น่ารัก ดูเป็นมิตรกับทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งผิดกับบุคลิกในตอนแรกที่ผมเห็นเลย ตอนนั้นเขานิ่งๆ เหมือนคนพูดจาไม่เก่ง

เขาตัวสูงกว่าผมไม่กี่เซนติเมตร แต่ค่อนข้างผอมเพรียวกว่า ดูจากหน้าตาของเขาแล้ว เขาน่าจะรุ่นๆ เดียวกับผมนะ






ผมตามคุณชานนขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 17 เดินออกจากลิฟท์จนถึงหน้าประตูห้องริมสุดของชั้นที่มีเลขห้องระบุชัดเจนว่า 1701 คุณชานนอธิบายว่าห้องนี้สามารถใช้กุญแจไข บัตรสแกน รหัสที่ตั้งไว้ หรือลายนิ้วมือเจ้าของห้องเพื่อเปิดประตูก็ได้

พอประตูห้องถูกเปิดด้วยการแสกนบัตร ผมก็เดินเข้าไปสำรวจทันทีพบว่าตรงกลางคือทางเดิน แบ่งห้องเป็นสัดส่วนซ้ายและขวา

“ เชิญตามสบายนะครับ ”

“ ครับ ” ผมพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจกัน ก่อนเดินแยกจากคุณชานนที่ขอตัวออกไปรับโทรศัพท์

ทางด้านซ้ายมือของประตูห้องจะเจอโซนของครัวเป็นอันดับแรก มีเคาน์เตอร์บาร์ ตู้ดูดควัน ที่ติดตั้งเตา ซิงก์ล้างมือ ตู้เย็นและโต๊ะสำหรับทานอาหารสำหรับ 4-6 คน และเนื่องจากห้องนี้เป็นห้องริมสุด ตรงครัวจึงมีบานกระจกเล็กๆ ให้มองออกไปเห็นคุณก้อนเมฆบนท้องฟ้าด้วย และถ้าเอาม่านสีเขียวพาสเทลมาติดไว้ด้วยคงโคตรของโคตรจะน่ารัก

ถัดไปจะเป็นห้องน้ำแบบมินิมอล กะทัดรัด สีขาวสลับเทาดูปลอดโปร่ง มีพัดลมระบายอากาศ ด้านในสุดแบ่งโซนเปียกด้วยประตูกระจกกั้น มีอ่างอาบน้ำขนาดพอเหมาะและพื้นที่อาบโดยใช้ฝักบัว ข้างกันเป็นโถส้วมแบบชักโครกอยู่ตรงกลางห้อง และริมด้านนอกสุดเป็นอ่างล่างหน้า บิ้วอินด้วยชั้นลายหินอ่อน และชั้นไม้สีอ่อนด้านข้าง

ข้างๆ กันเป็นห้องนอนที่มีประตูห้องสีขาว ซึ่งผมยังไม่เปิดเข้าไปดู ผมเดินมาด้านตรงข้างกันที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งก็คือห้องนั่งเล่นที่นี้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอรนิเจอร์อยู่บางส่วน โซฟาสีเทาหลังใหญ่วางอยู่ศูนย์กลางของห้อง มีชั้นวางโซนมัลติมีเดียและโทรทัศน์ติดตั้งกับผนังที่แข็งแรง ผนังที่ยังว่างถ้าผมเอาตู้หรือทำชั้นวางหนังสือขึ้นมาใหม่คงเป็นอีกมุมโปรดที่ผมมาคลุกตัวอยู่บ่อยๆแน่

เมื่อเดินตรงถัดเข้าไปจากห้องนั่งเล่นจะเจอประตูกระจกที่มีม่านสีขาวปิดอยู่

แกร็ก! ครืดด

ผมเปิดประตูกระจกนั้นเพื่อออกไปยังริมระเบียง ตอนนี้แดดเริ่มร้อนระอุ แต่ถ้าตอนกลางคืนอากาศไม่ร้อนระเบียงนี้คงน่าออกมานั่งเล่น หรือเอาฟูกใหญ่ๆ ออกมานั่งพิงนอนพิงทำงาน กินข้าว หรืออ่านหนังสือการ์ตูนได้นะ อืม..ริมระเบียงด้านซ้ายและขวาที่เป็นระแนงไม้ ผมก็จะหาต้นไม้มาปลูกไว้ ทำชั้นสวยๆ ขึ้นมาเลยก็จะดีมาก

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนเป็นอันดับสุดท้าย และอยู่ในนั้นนานเป็นพิเศษ ห้องนอนคือสถานที่ที่ใช้ในการพักผ่อนและหลับนอน 1 ใน 3 ของวัน ต้องไร้สิ่งรบกวน ผมเลยคิดว่าในห้องนี้ไม่จำเป็นต้องมีโทรทัศน์

เตียงยางพาราที่ไม่มีผ้าปู ผมตั้งใจว่าจะใช้ผ้าปูเป็นขาว ผ้าห่มและหมอนข้างสีเขียวอ่อนสลับสีเขียวเข้ม แต่ไม่ได้คิดหรอกนะว่าจะเข้ากับสีผนังห้องที่เป็นสีขาวที่ตัดด้วยผนังไม้ลายสีเทาอ่อนหรือไม่ แต่เพราะความชอบล้วนๆ ผมลองนั่งลงบนฟูกที่นิ่มๆนั้น เอนตัวลงนอนและนั่งอยู่หลายรอบจนพอใจ

มองรอบๆ เตียง เห็นมีหลอดไฟบนเพดานกลางห้อง และโคมไฟแขวนอยู่ทั้งสองข้างของเตียงบริเวณผนัง ข้างซ้ายมีชั้นวางของใกล้ๆ กับหน้าต่างบานใหญ่ ผมเดินไปเปิดดูตู้เสื้อผ้าลายไม้สีเดียวกับผนังที่มีขนาดใหญ่จนสามารถเอาตัวเข้าไปอยู่ได้ และแวะส่องกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างๆกัน

ข้างขวาของเตียงใกล้กับประตูห้อง เป็นโต๊ะไม้ไว้ทำงานและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่คู่กัน ผมนั่งลงและมองรอบๆห้องอีกครั้งเพื่อสร้างความคุ้นชิน

ก่อนตัดสินใจเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกรอบ พบกับคุณชานนที่กำลังเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับแก้วชามะนาวที่ยื่นให้กับผม

“ นี่ครับชามะนาว ผมเห็นว่าคุณเดินดูห้องเพลินเลย แต่เจ้านายผมย้ำว่าต้องให้คุณดื่มชามะนาวนี้ให้ได้ เพราะมันอร่อยมากๆ เขาย้ำนักย้ำหนาเลยนะครับ ฮ่ะๆ ร้านนี้เป็นเจ้าประจำของเจ้านายผมน่ะครับ ”

“ ขอบคุณอีกครั้งครับ ” ผมรับแก้วชามะนาวมาถือเอาไว้ แล้วดูดขึ้นมาอึกหนึ่งเพื่อเป็นการลองชิมรสชาติ ผมรับรสฝาดและหวานหน่อยๆของตัวชาและรสเปรี้ยวของมะนาว มันกลมกล่อมและเข้มข้น ซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ แก้วนี้ถือว่าอร่อยเลย

“ อืม? แล้วห้องนี้เป็นยังไงบ้างครับ ชอบหรือเปล่า  ”

“ ดีเลยนะครับ ผมจินตนาการไปเยอะเลยว่าถ้าเข้ามาอยู่จะตกแต่งยังไง วางของ ใส่ผ้าม่าน ผ้าปู ทำชั้น ปลูกต้นไม้ โห เยอะไปหมดเลยครับ ” ผมพูดพลางไล่เรียงสิ่งที่จินตนาการไปอย่างมีความสุข

“ ครับ^^ ที่นี่ยังใหม่เอี่ยมทุกอย่างนะครับ ไม่มีคนอยู่ก็จริงแต่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดประจำ ”

“ ถ้าผมเออ..สนใจ.. ”

“ ได้แน่นอนครับ ตามที่คุณตกลงไว้กับคุณดีเลย ”

“ งั้นผมจะต้องรบกวนคุณชาเรื่องเอกสารใช่มั๊ย ”

“ ไม่รบกวนเลยครับ งั้นเรื่องเอกสารเดี๋ยวผมจัดการให้นะครับ ถ้าเซ็นเอกสาร จัดการเรื่องธนาคารเสร็จ คุณจะย้ายเข้าวันไหนครับ ”

“ วันศุกร์นี้เลย.. ได้มั๊ยครับ ”

“ ได้สิครับ ผมจะบอกคุณดีให้นะครับ ”






ผมดูหน้าจอที่ขึ้นแจ้งเตือน แอปสีเขียว และเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้งในเวลาติดๆกัน จนผมต้องเปิดเข้าไปดู

Drd
: ย้ายเข้าคอนโด ศุกร์นี้หรอครับ

Wongrawee
: ครับผม

Drd
: พี่กลับวันพฤหัสฯพอดีเลย
: วันศุกร์ให้ไปช่วยขนของมั๊ยครับ


   หืม?  ไหนคุณชาบอกว่าเจ้านายอย่างคุณดีเขางานยุ่งมากยังไงล่ะ ยังมีเวลาอาสามาช่วยกันย้ายของอีกหรอครับเนี่ย

Wongrawee
: ไม่เป็นไรดีกว่าครับ

Drd
: ปฏิเสธเร็วจัง

..พักก่อน

Wongrawee
: ผมอยากให้พี่ได้พักผ่อนไงครับ
: เดินทางมา มันเหนื่อยนะครับรู้มั๊ย

Drd
: เป็นห่วงหรอครับ

Wongrawee
: ไม่อะครับ

Drd
: *สติ๊กเกอร์ม่ะหมาร้องไห้
: ผักกาดเป็นคนตรงๆ

   ผมอ่านแล้วเผลอหลุดขำ เขาดูเหมือนจะผิดหวังในคำตอบของผมยังไงไม่รู้

Wongrawee
: แค่อยากให้พี่พัก พักเถอะครับ

Drd
: หึ
: ก็ได้ครับผม
: แล้วมีใครขนของมาช่วยมั๊ย

Wongrawee
: มีครับ

Drd
: งั้นก็โอเคครับ
: มีอะไรบอกพี่ได้นะ
: พี่อยู่ห้องข้างๆ

Wongrawee
: ล้อผมเล่นหน่าา

Drd
: ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ
: พี่อยู่ห้องข้างๆเรา จริงๆครับ

หะ! ห้องข้างผม? ห้องไหน..
0 2 หรอ

Wongrawee
: ห้อง 02 หรอครับ

ผมที่เอนตัวพิงโซฟาในท่าสบายเปลี่ยนท่าเป็นนั่งตัวตรง เพราะตกใจจริงๆนะ หลังจากที่อ่านข้อความของเขา ผมรีบกดพิมพ์บนแป้นพิมพ์โทรศัพท์ไปรัวๆ เพราะนี่คือเรื่องใหม่ที่ผมรู้ และไม่ได้คาดคิดมาก่อน ตอนคุยกันครั้งที่แล้วๆ ผมก็ไม่ได้ถามเขาเลยว่าอีกห้องหนึ่งที่เขาว่าอยู่ชั้นอะไร เลขห้องไหน

Drd
: ใช่ครับ
: เราห้อง1701 พี่ห้อง1702

จริงด้วยแฮะ ต้อง 1 7 0 2 อยู่แล้วที่เป็นห้องข้างๆ เพราะห้อง 1701 ของผม มันอยู่ห้องริมสุดของชั้นเลยนี่หน่า

Wongrawee
: ผมนึกว่าพี่อยู่ชั้นอื่นซะอีก

Drd
: หรอครับ
: แล้วเสียใจมั๊ยที่พี่อยู่ใกล้มาก

Wongrawee
: จะเสียใจทำไมครับ

Drd
: กลัวว่าพอรู้ว่าพี่อยู่ข้างห้องจะไม่อยากย้ายมาอยู่แล้ว

นอกจากเขาจะชอบกวนประสาทและขี้บังคับแล้ว บางทีเขายังทำตัวเหมือนคุณลุงขี้น้อยใจและชอบคิดไปเองโดยไม่รู้ตัวอีกคนหนึ่งด้วย ผมสังเกตมาสักพักแล้วจากการคุยผ่านทางข้อความของเขา

อีกอย่างห้องที่ว่าผมก็จ่ายตังค์บางส่วนแล้ว ไม่ย้ายเข้าไปอยู่คงไม่ได้

Wongrawee
: ไม่เลยครับ
: แบบนี้ก็ดี ผมจะได้มีโอกาสเจอพี่ตัวเป็นๆ

Drd
: โธ่ น้องครับ พี่เป็นคนไม่ใช่ผีครับ
: ตัวเป็นๆ เลยหรอ

..ก็ไม่ได้บอกซักหน่อยว่าคุณเขาเป็นอย่างอื่น

เนี่ย แต่ที่ว่าเขาน้อยใจก็น้อยใจได้ไม่นานหรอก ผมชวนคุยแป๊บๆ ก็กลับมากวนประสาทเหมือนเดิมแล้วเนาะคนเรา

Wongrawee
: แค่หยอกเล่นนะครับ

Drd
: หยอกซะกลัวขึ้นมาจริงๆ เลยนะครับ

Wongrawee
: กลัวผีหรอครับ?

Drd
: เปล่าครับ
: กลัวตกหลุมยักน่ะครับ

   ยัก?

…เฮ้ย ผมอ่านอีกรอบ และอีกรอบ พี่เขาคงเล่นมุกแหละเนาะ






   ‘ ไม่เคยตกหลุมรักใครเลยหรอ? ’ เสียงทุ้มเสียงหนึ่งของคนที่นั่งเยื้องๆกันกับผมเอ่ยถามขึ้นมาขัดความสนุกในขณะที่ผมกำลังตั้งใจอ่านหนังสือการ์ตูนเกี่ยวกับการผจญภัยในเมืองแม่มดเล่มหนึ่งอยู่
   
   มันเป็นเวลาประมาณสี่โมงกว่าๆ ที่ผมมีนัดกับเดอะแก็งค์อย่างไอ้แยมและวาวาที่ยังไม่เลิกเรียนทั้งคู่เพื่อจะไปกินข้าวเย็นกันในรอบเดือน แต่หลังจากไอ้แยมคบกับพี่ปัง การไปกินข้าวเย็นของพวกเราจึงมักจะมีสมาชิกพวงมาเพิ่มแบบไม่จำกัดจำนวน อย่างเช่นวันนี้ที่มีพี่ปังแฟนไอ้แยม และพี่ฎีที่ไม่รู้ว่าถูกใครอันเชิญมาร่วมวงด้วย

   ‘ มึงถามใคร? ’ พี่ปังที่นั่งเล่นเกมส์โทรศัพท์ตรงข้ามกันกับผม เงยหน้าหันไปถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง แต่ไม่นานว่าที่คุณหมอฟันก็ต้องหลุดหัวเราะ เมื่อเจ้าตัวส่ายหน้าและพูดชื่อที่ผมไม่ชอบและไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกออกมานัก
   
   ‘ กูถามรวี ’

   ชื่อนี่ไงล่ะ รวี

   รวีอีกแล้ว! รวีบ้านพี่สิ! ผมชื่อวงศ์รวีโว้ยยย!

   ‘ เออๆ! เดี๋ยวน้องได้ด่ามึงไอ้ห่าไปเรียกน้องมันว่ารวี น้องเขาชื่อเล่นว่าผักกาด’

   เอ่อเนี่ย พี่ปังคนดีคนเดิมของน้อง บอกเขาไปเลยพี่! บอกเพื่อนพี่ไปให้เรียกชื่อคนอื่นเขาให้ถูก
   
   ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ปัง และพยายามไม่สนใจคนตัวสูงที่กำลังจ้องมองมาที่หน้าของผมอย่างอยากรู้

   ‘ อ้าว! ยังอีก! ’

   ‘ อืมๆ! ผักกาด! วงศ์รวี! ’

   ‘ เอิ่ม ไอ้ห่า แล้วจะตะโกนเสียงดังไปไหน แล้วดูพูดก็ไม่มองหน้าน้อง น้องก็จะคิดว่ามึงไม่เต็มใจเรียกน่ะสิ ..ผักกาด พี่ขอโทษจริงๆ ที่มีเพื่อนกวนตีนอย่างมัน ’

   ผมดันหลุดขำออกมาง่ายๆ ให้กับหน้าตาเหลอหลาของพี่ปังที่หันไปว่าให้กับเพื่อนชุดใหญ่ไฟกระพริบหนึ่งที ก่อนจะรีบหันกลับมาเอ่ยขอโทษผมแทนคนกวนประสาท จนผมต้องส่ายหน้ารัวๆ และอมยิ้มเล็กๆ เพื่อบอกว่าไม่เป็นไร

   ‘ อย่าไปยิ้มแบบนั้นให้เพื่อนกูนะ! ’

   ‘ อะไรของพี่เนี่ย! ’ ผมเบี่ยงหลบพร้อมกับโวยวายใส่คนหน้าดุที่นอกจากจะกระแทกเสียงไม่พอใจใส่กัน ยังจะเอื้อมฝ่ามือใหญ่ๆ ของตัวเองมาบังหน้าผมไว้อีก
   
   ‘ ก็ไอ้ปังมันมีแฟนแล้ว แฟนมันก็คือเพื่อนของมึงด้วย ’

   ‘ รู้แล้ว! ผมรู้ แล้วพี่เป็นอะไรเนี่ย! หึย!! ’ ผมร้องใส่คนหน้ายุ่งพร้อมกับปัดมือเขาออก แต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะยอมแพ้เลย

   ‘ มึงจะไปทำหน้าทำตาอย่างนั้นกับมันไม่ได้ ทำกับกูนี่! ’ ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบดันตัวพี่ปังออกไปอย่างแรงแล้วขยับตัวเข้ามานั่งแทนที่ ซึ่งอยู่ตำแหน่งตรงกันข้ามกับผมพอดี

   ‘ ทำยังไง? ผมทำหน้าทำตายังไง ถามหน่อย.. พี่นี่โวยวายเก่งว่ะ! ’

   ‘ ยิ้ม! ก็มึงยิ้ม ’

   ‘ โอ๊ะ!? ยิ้มแล้วยังไง ผมก็ยิ้มให้ทุกคนนั่นแหละ ’

   ‘ ทุกคนแต่ยกเว้นกูไง มึงไม่เคยจะยิ้มให้กูอย่างเต็มใจ เห็นหน้ากูแต่ละทีก็ชอบทำหน้าบูดเป็นตูดให้ตลอด เซ็งว่ะ ’
   
   เงียบ..

   เออ ผมนี่แหละเงียบเลย ใครจะไปพูดออกวะ..

   ผมมองหน้าคนพูดอย่างอึ้งๆ ก่อนหันไปมองพี่ปังเพื่อหาตัวช่วย แต่พี่เขาก็ส่ายหัวให้กับผมราวกับคนไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นกัน

   ‘ คะ..แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง ระ..เรื่องเล็กๆเหอะ ’ ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก แล้วหลบสายตาเขา

   ‘ น้อย..ใจ..แน่ๆ ’ พี่ปังขยับปากพูดแบบไม่ออกเสียงด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม พลางชี้ด้วยนิ้วโป้งเหมือนท่ากดไลค์ให้ผมหันกลับไปมองคนข้างๆเขาที่เพิ่งเงียบไปหลังจากหลุดปากพูดราวกับน้อยใจผม

   ‘ พี่รู้ตัวป่ะ พี่พูดอะไรอยู่ ’ ผมเม้มปากหลังจากถามเขาออกไป แอบยกมือขึ้นมาเกาหน้าผากตัวเองเพราะทำตัวไม่ถูก ที่ผมไม่ค่อยอยากพูดจากับเขา ไม่ค่อยอยากยิ้มให้ก็เพราะผมหมั้นไส้ที่เขาชอบมาแกล้งผมอยู่ตลอดเวลาที่เจอกัน แต่ใครจะนึกว่าเขาจะน้อยใจการกระทำของผมกันเล่า

   ‘ เออ รู้! แต่ก็ช่างมันเถอะ ..มึงโง่ กูก็ป๊อด ’

   หะ!? อะไรนะ!?

   ‘ พี่บ่นอะไรงึมงำ ผมเอียงหูฟังแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง ’

   ใครโง่ ใครป๊อดนะ??

   ‘ ช่างเหอะ กูพูดไม่ให้มึงได้ยินเอง ’ เขาบอกออกมาอย่างเซ็งๆ

   ‘ เอ้าพี่!’

   ‘ เอ้าไอ้นี่! ’ พี่ปังที่กำลังทำหน้าลุ้นอยู่ ร้องด่าพี่ฎีออกมาอย่างผิดหวัง แล้วผมกับพี่ปังก็มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง

   ‘ มึงก็ด้วยไอ้สัดปัง ’ เขาหันไปชี้หน้าพี่ปังอย่างไม่พอใจ หันมามองหน้าผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะถอนหายใจและเสหน้าไปทางอื่น

   ‘ ใจเย็น มีอะไรค่อยๆพูดไอ้ฎี มึงมันขี้น้อยใจ อยู่ดีๆก็ของขึ้นไอ้นี่ กูขอโทษแต่กูไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย ทีหลังมึงก็แสดงออกดีๆดิวะ ทำแบบนี้ไม่มีใครเดาใจมึงได้นะเว้ย น้องมันก็ไม่รู้ว่ามึงต้องการอะไร ’ พี่ปังพูดบ่นสลับด่า หลังจากนั้นก็พูดอะไรซะยาวไม่รู้ ผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจ มองอีกทีก็เห็นพี่ปังกอดคอตบหัวไหล่คนตัวโตราวกับอดปลอบใจไม่ได้

   ‘ ………. ’

   แม้ผมจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ผมก็ไม่ชอบเลยเวลาที่เขานิ่งไปนานๆ ไม่กวนบาทาเหมือนเดิม

   เมื่อผมเห็นคนที่ตรงข้ามนั่งเงียบทั้งยังเบือนหน้าไปมองทางอื่น ผมก็เลยตัดสินใจพูดประโยคหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพูดออกไปแล้วเขาจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างมั๊ย เขาจะโอเคขึ้นหรือเปล่า แต่ก็ดีกว่าไม่ยอมพูดอะไรแล้วปล่อยให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลง

   ‘ อยากให้ยิ้มให้ใช่ป่ะ ..ถ้าผมอารมณ์ดีๆ เดี๋ยวผมยอมยิ้มหวานๆ ให้พี่บ้างก็ด้ะ! ’

   ผมบอกคนตรงหน้าจบประโยคก็ก้มหน้ากลับมาสนใจหนังสือการ์ตูนเล่มเดิมในมือที่อ่านค้างเอาไว้ต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังทำหน้ายังไง จะกลั้นยิ้มเอาไว้หรือหลุดยิ้มมุมปากตามสไตล์ออกมาหรือเปล่า แต่แค่ได้ยินเสียง ‘อืม’ ตอบรับเบาๆ กลับมาก็คงเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วล่ะนะ

   ‘ ไอ้นี่! จะยิ้มก็ยิ้ม มึงอย่ามาทำเป็นกลั้น เห็นปากมึงขมุบขมิบ จมูกบานๆแล้ว แม่งน่าเกลียด ’

   ‘ สัด! ’

   ผมเหลือบสายตาไปมองคนตรงหน้าทั้งคู่หลังจากได้ยินเสียงกึ่งแซวกึ่งล้อจากพี่ปัง กับเสียงสบถด่าเพื่อนสนิทของคนที่น่าจะหายงอนแล้ว ทำให้ตัวผมเองเริ่มสบายใจขึ้นมาบ้าง

   ‘ มอง! ทำเป็นมอง ’

   ผมถอนหายใจ มองคนที่พาลไม่หยุด หลังจากเอ่ยกับผมด้วยสีหน้าล้อเลียน

   ‘ อะไร? ’ ผมถามเขาตาโต

   ‘ ก็มึงมองกู ’

   ‘ ว่าแต่คนอื่นมองตัวเอง พี่ก็ชอบมองผมเหมือนกันนั่นแหละ ’

   ‘ ……… ’ O.O

   ผมว่าแค่นั้นคนตัวสูงตรงหน้าก็อึ้งไปเลย เขาทำเป็นหยิบขวดน้ำขึ้นมายกดื่มแก้อายแน่ๆที่ผมจับได้ เป็นไงล่ะ! ผมรู้ทันตลอดนั้นแหละว่าที่เขามองผมก็เพราะจะหาจังหวะมาแกล้งกัน

   ‘ ฮ่ะๆ ’

   ‘ ไปไหนก็ไปๆ! ’ พี่ฏีหันไปไล่เพื่อนที่กำลังหัวเราะขำด้วยสีหน้าอันหงุดหงิด จนพี่ปังพยักหน้าอย่างยอมแพ้

   ‘ ก็ได้ งั้นกูไปรอแยมข้างบนตึกก่อน พี่ฝากเพื่อนพี่ด้วยนะผักกาด ’

   ว่าจบ พี่ปังก็ขอตัวลุกเดินออกไป ส่งท้ายด้วยการหันกลับมาบอกกับผมว่า ‘สู้ๆน้า’ ด้วยแอคติ้งเป๊ะๆอันน่าหมั้นไส้ที่ไอ้แยมเคยสอนไว้ ส่วนผมที่กำลังรีบเก็บของแล้วจะลุกขึ้นตามก็หน้าเอ๋อแบบไปไม่ถูก
   
   ‘ พี่ปัง! รอด้ะ.. ’

   ‘ จะลุกไปไหน นั่งลง! ’

   ‘ ผมจะไปหาไอ้แยม ’ ว่าแล้วผมก็ลุกเดินออกไปยืนนอกเก้าอี้ ก้าวถอยหลังสองสามก้าวเท่านั้น แต่โดนขัดไว้ก่อนด้วยคำพูดและสายตาดุๆของคนใจร้าย

   ‘ ไม่ต้องไป เดี๋ยวไอ้ปังก็พาเพื่อนมึงมา นั่งอยู่กับกูอยู่ที่นี่แหละ ’

   ‘ ทำไมผมต้องอยู่กับพี่ไม่ทราบ ’

   ‘ จะนั่งไม่นั่ง กูลุกไปลากกลับมานะ! ’

   ‘ เอ่อๆ! พี่ไม่ต้องลุกมาเว้ย นั่งๆ ผมนั่งแล้วเนี่ย! ’ > = <

   ผมรนรานเพราะกลัวคำขู่ของคนตัวสูงหน้าดุที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกขั้วโลกเหนือ ทั้งยังทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาลากตัวผมกลับไปนั่งจนผมต้องเอ่ยห้าม แล้วรีบวิ่งด๊อกแด็กกลับมานั่งลงที่เดิม

   ‘ ว่าง่ายแบบนี้บ่อยๆ ก็ดี ’

   ‘ ……. ’ อะไรหนักหนากับผมวะ ไอ้คนขี้ก่อกวน ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนขี้บังคับ

   ‘ กูรู้นะ ด่ากูอยู่ในใจ ’

   ‘ เบื่อพี่ว่ะ ’ ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมหยิบหนังสือเล่มเดิมออกจากกระเป๋า มาเปิดหน้าเดิมที่ถูกคั่นเอาไว้ หน้านี้ผมอ่านมาสามรอบแล้วยังไม่เข้าใจเลยทั้งที่มันก็มีอยู่ไม่กี่ประโยค เฮ้อ! โดนขัดขึ้นมาตลอด

   ‘ เบื่อเก่ง ถ้าไม่เห็นหน้ากูแล้วอย่ามาเหงาแล้วกัน ’

   ‘ จิ! ’ ผมส่งเสียงไม่พอใจใส่คนที่กำลังลอยหน้าลอยตา เงยหน้าไปมองก็พบว่าคนหน้าดุในตอนนั้นกำลังเผยยิ้มมุมปากพอใจหลังจากได้แกล้งผมอีกครั้ง อารมณ์ดีเก่ง!

   ‘ แล้ว..ตอบกูได้ยัง ’

   ‘ อะไรอีกอะ? ’ ผมเบะปากให้เขาน้อยๆ

   ‘ ไม่เคยตกหลุมรักใครเลยหรอ? ’

   ‘ ถามไมเนี่ย ’

   ‘ ตอบมาเถอะน่า ’

   ‘ ก็ไม่เคยอะดิ แล้วอยู่ๆ ทำไมพี่ถึงมาถามแบบนี้อะ เห็นผมเป็นที่ปรึกษาความรักเนี่ยนะ ไปชอบใครเขาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ ’ ผมว่าพร้อมกับแสยะยิ้มไปให้เขา เจ้าตัวส่ายหน้าแกล้งทำเป็นขวยเขินจนผมกรอกตาแบบเอือมๆ

   ‘ ก็เมื่อไม่นานมานี้หรอก ’

   ‘ ใครว่ะ โคตรโชคร้ายเลย ได้พี่ไปชอยเนี่ยนะ แบร่! ;P ’ ผมว่าเสร็จแล้วก็รีบหอบหนังสือ ใช้มืออีกข้างคว้ากระเป๋าลุกขึ้นวิ่งหนีเขาด้วยความเร็วแสง วิ่งออกมาตั้งหลักที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักก็ได้ยินเขาตะโกนตามหลังมาเลยตัดสินใจหันกลับไปมอง

   ‘ เดี๋ยวมึงจะโดนผักกาด ’

   ‘ อะไร ผมพูดความจริง ’ เถียงสู้ใกล้ๆ ไม่ได้ ผมก็ตะโกนกลับ สู้แม่งไกลๆ นี่แหละ

   ‘ งั้นมึงก็ระวังแล้วกัน ไอ้เด็กไม่น่ารัก กูแม่งก็ยังจะ... ’

   ‘ พี่ว่าอะไรนะ!? ยักหรอ!? ’

   ผมตะโกนถามเขากลับด้วยสีหน้าหงุดหงิด คิ้วเผลอขมวดเพราะคนที่ลุกขึ้นยืนเล่นตะโกนคำพึมพำคำในลำคอแบบนี้ ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกว้อยย!

   ‘ กูพูดว่า มึงไม่น่ารัก.. แต่กู..’

   บริ้น! บริ้น!

   ไอ้รถเวสป้าคันนี้นี่จะบีบแตรทำไม ผมไม่ได้จะข้ามถนนตัดหน้ารถเขาซะหน่อย

   ‘ ยักอะ? ผมได้ยินว่ายัก  ยักอะไรของพี่ว่ะ? ’

   หรือเขาพูดว่า มึงแม่งหน้ายัก หรอวะ??

   ‘ ยักอะไรของมึง กูพูดว่ายักที่ไหนเล่า! ’

   ‘ ก็เนี่ยยักอยู่ ยัก!? ’

   ‘ เออๆ ยักก็ยัก กูก็จะกลายเป็นยักษ์แล้ว ’

   ‘ พี่จะบอกว่าตัวเองเหมือนยักษ์หรอ เอ๊ะ! หรือพี่หลอกด่าว่าผมหน้าเหมือนยักษ์ ’

   ‘ เอ่อ! แล้วแต่มึงจะได้ยินแล้วกันผักกาด ’ เขาตะโกนบอกผมก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมอย่างถอดใจ แต่ใช่ว่าผมจะง้อ จะสนใจ ดันมาว่ากันว่าหน้าเหมือนยักษ์ซะขนาดนั้น ไม่คุยด้วยแล้ว




❤ 30 เปอร์เซนต์ (%)


----
Note : ตัวหนังสือเอียงคือพาร์ทอดีตค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :z6:
เอาเข้าไป สองคนนี้

ออฟไลน์ funndee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
จะได้อยู่ห้องติดกันแล้ว :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาต่อค่ะ

 
 



“ เหอะ! ว่าเราหน้าเหมือนยักษ์เนี่ยนะ ”

   ขณะที่กำลังไล่สายตาอ่านตัวหนังสือที่ปรากฎขึ้นในข้อความไลน์ ผมดันไปนึกถึงเขา นึกถึงคนกวนประสาทอันดับหนึ่งอีกแล้ว สมองเรียบเรียงความทรงจำที่เคยเลือนลางให้เริ่มออกมาชัดเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งยังเห็นเป็นรูปร่างหน้าตา รวมถึงได้ยินน้ำเสียงของเขาวนไปวนมาอยู่ในหัวอีกครั้ง

   ทั้งหมดที่ผมนึกขึ้นมาได้มันอาจไม่ใช่เหตุการณ์ครบถ้วนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต มันค่อนข้างเลือนลางไปมากแล้ว แต่คำว่า ‘ยัก’ ของคุณดีคำเดียวทำให้ผมกลับไปนึกถึงความทรงจำนั้น

ตือดึ้งง!
Drd
: อ้าว เงียบไปเลยหรอ?
: กลับมาก่อนนน

Wongrawee
: ไม่ได้ไปไหนสักหน่อยครับ

Drd
: พี่ว่า พี่ก็พิมพ์ผิดนะ
: ไม่คิดจะแก้ให้กันหน่อยหรอครับ

Wongrawee
: พิมพ์อะไรผิดครับ

Drd
: ยัก

Wongrawee
: ไม่แก้หรอกครับ พี่เลิกเล่นมุกพิมพ์ผิด หรือแกล้งผมเถอะหน่า

Drd
: อืมมม
: ความจริงพี่ก็แกล้งเราจริงๆน่ะครับ

Wongrawee
: นั่นไง จะแกล้งว่าผมเหมือนยักษ์ใช่มั๊ยล่ะครับ

   ผมกดส่งพิมพ์ส่งไป ในใจภาวนาให้เขารับมุกผมเหมือนกันนะ แต่ผิดคาด..

Drd
: เปล่าครับ ที่บอกแกล้ง
: คือพี่แกล้งพิมพ์ผิดน่ะครับ
: จะพิมพ์ ร เรือ
: ไม้หันอากาศ

Drd
: ….. (กำลังพิมพ์)

Wongrawee
: พี่ครับผมไหว้ล่ะ

   ผมรีบพิมพ์และกดส่งตัดหน้าเขา ก่อนที่เขาจะพิมพ์ตัวสะกดตัวสุดท้ายส่งมา มันก็เดาไม่อยากหรอกว่าเขาหมายถึงคำไหน แม้เขาจะเล่นมุก แต่ผมไม่ค่อยชอบเลยถ้ามีใครสักคนมาพูดคำนี้พร่ำเพรื่อ โดยที่ไม่คิดอะไรหรือรู้สึกถึงมันจริงๆ เพราะตัวผมเองเป็นแบบนั้น ไม่เคยตกหลุมรัก ไม่เคยรู้สึกถึงความรักแบบคนที่รักกันเขาเป็น ไม่เคยเข้าใจว่าคนเรากันเขาจะรู้สึกยังไง มันเลยพูดออกมาได้ยาก
   
   ง่ายๆ คือ ถ้าไม่รักก็จะไม่พูด

Drd
: แล้วเราจะไม่สู้พี่หน่อยหรอครับ

   ไม่สู้ครับ ผมหมดแรงตั้งแต่ประโยคแรกที่คุยกันแล้ว ไอ้คนพลังงานเยอะเอ้ย

Wongrawee
: ไม่ครับ
: พี่อย่าแกล้งแบบนี้อีกนะ

Drd
: ครับ ไม่แกล้งแบบนี้แล้ว

Wongrawee
: ดีครับ
: อีกอย่างนะ ผมไม่เชื่อพี่อยู่แล้ว
: พี่จะมาตกหลุมรักคนที่ไม่เคยเจอกันได้ไง

Drd
: แต่
: เราเคยเจอกันแล้วนะ

   หะ!

Wongrawee
: จริงหรอครับ?
: อ๋อ สงสัยตอนนั้นเรายังไม่รู้จักชื่อกันเนาะ

Drd
: พี่รู้จักผักกาดครับ

   หะ!
   
   วันนี้หลายหะแล้วนะเว้ย

Drd
: พี่รู้จักเราจริงๆ ครับ

   แต่..กระผม ไอ้ผักกาดไม่รู้จักพี่ไงโว้ย

   คนที่ชื่ออ่านว่า 'ดี' ที่ผักกาดรู้จัก ตอนแรกมันก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ คือคนตัวสูงๆ ที่เป็นเจ้าของหุ่นสมส่วน เจ้าของใบหน้าคมเข้ารูปที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ ตรงมุมปาก เจ้าของนิสัยกวนประสาทอันดับหนึ่งที่ผมเคยบอกว่าไม่ชอบ คุณฏี ฏีรดลนะ

   พี่ดีเจ้าของคอนโดนี้ผมไม่คุ้นเลย ผมพูดด้วยความสัตย์จริง เพราะผมรู้ข้อมูลของเขาน้อยมาก

Wongrawee
: ผมคงจะจำหน้าพี่ไม่ได้น่ะสิ
: แถมรูปในไลน์ พี่ก็ไม่ตั้ง

Drd
: ก็เพราะกลัวเราตกใจจนไม่ซื้อคอนโด

Wongrawee
: ก็ไหนว่าเคยเจอกัน
: ผมจะตกใจพี่ได้ไง

   ผมครุ่นคิด เพราะเขาบอกว่าเราเคยเจอกัน และถึงแม้ผมจะจำไม่ค่อยได้หรือเลือนลาง แต่ถ้าคนเคยเจอกันมาเจอกันใหม่อีกครั้ง คนเรามันก็ต้องมีเอ๊ะ? ต้องมีคุ้นๆกันบ้างแหละ

Drd
: ไม่รู้สิ เผื่อเราขวัญอ่อน

Wongrawee
: อะไรของพี่
: คนเคยเจอกันเลยนะ

Drd
: หึ ครับผม
: งั้นการที่พี่เคยเจอเราแล้ว แสดงว่าก็ตกหลุมยักเราได้ใช่มั๊ย

   แหนะ!(?) ยังไม่จบจากคำว่า 'ยัก' พิมพ์มาอีกแล้ว แถมยังพิมพ์ผิดอีกรอบแล้วด้วย

Wongrawee
: พี่ดีอย่าแกล้งผมเลย

Drd
: ครับ พี่ไม่แกล้งแล้วครับ
: แต่เมื่อกี้พี่พูดจริงๆ

Wongrawee
: งั้นผมตอบคำถามพี่เลยว่าไม่ได้

Drd
: 55555
: แต่ถ้าเจอกันหน้ากันแล้ว อย่าตกใจนะ

Wongrawee
: ทำไมผมต้องตกใจอะครับ

Drd
: เพราะพี่มันหล่อเกินไปไงครับ

   มั่นหน้ามั่นใจจังครับคูณณณณณ

Wongrawee
: *สติ๊กเกอร์แมวมองบน

Drd
: แล้วที่สำคัญที่บอกก่อนหน้านี้ พี่ไม่ได้ขออนุญาตนะครับ
: แค่บอกให้รับทราบไว้เฉยๆ

   มะ..หมายถึงเรื่องอะไร

   ผมจะพยายามเข้าใจเขา แม้จะไม่เข้าใจแล้วกันเนาะ

Wongrawee
: งั้นถ้าเราเคยเจอกัน
: ผมขอดูรูปของพี่หน่อยได้มั๊ย
: ผมอยากรู้ว่าพี่หน้าตายังไงอะครับ เผื่อผมจะนึกออก



“ พี่กาดอะแหนะๆ คุยกับใครอะ ”

   ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์ เห็นข้าวโพดเดินหอบกางเกงยีนส์ของผมที่น้องอาสาเอาไปพับให้มาวางลงบนโซฟา และทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆผม ยัยน้องสาวยิ้มแป้นส่งสายตาเหมือนจับผิดพี่ชายข้อหาที่นั่งพิมพ์โทรศัพท์ต๊อกๆแต๊กๆเมื้อกี้ แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุด

“ พี่ติดต่อเรื่องคอนโดอยู่ ”

“ อ้าว หรอคะ นึกว่าคุยกับ..ใครซะอีก ” ใครที่ว่าของน้องสาวก็คงจะหมายถึง คนคุยที่แปลว่าแฟนสินะ

“ ไม่มีซะหน่อย ”

“ คิกๆ ไม่มีก็ไม่มี้ แต่เดี๋ยวหน้ายุ่งเดี๋ยวยิ้มแก้มปริเชียว ”

“ อือ แล้วเราออกมาทำไม พับกางเกงให้พี่เสร็จแล้วทำไมไม่นอน ” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด พลางแอบเอามือขึ้นมาแตะๆที่ข้างแก้มของตัวเองอย่างงุนงง ยิ้มที่ไหน.. ไม่ได้ยิ้มเลยนะะะ แค่กินมาม่าเผ็ดมาแล้วปากมันกระตุกไปเอง

“ ข้าวว่าจะมาช่วยพี่กาดเก็บของต่อ ”

“ หรอ มาดิ ของอีกเยอะเลย ช่วยพับเสื้อพวกนี้ก็ได้ ”

   ผมว่าแล้วก็ดันตะกร้าผ้าที่เพิ่งเก็บมาจากราวไปให้ใกล้น้อง น้องอาสาพี่ไม่ปฏิเสธน้ำใจอยู่แล้ว

“ พี่กาดจะเอาของไปแค่นี้หรอ? แล้วของที่เหลือล่ะคะ ”

“ ของที่เหลืออยู่พี่ก็ให้สองข้าวเอาไว้ใช้ไง ”

   ตอนนี้ของที่ผมเตรียมไว้ก็มีเสื้อผ้า หมอน ของใช้ยิบย่อย ส่วนของอื่นๆ เดี๋ยวค่อยไปทยอยซื้อเพิ่มตอนย้ายเข้าไปอยู่คอนโดแล้วก็ได้

“ พี่กาดย้ายไป จะไม่เหงาหรอ ” ยัยน้องสาวพูดหน้าหงอย

“ พี่ไม่เหงาหรอก ” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“ ไม่ช่ายยย ข้าวหมายถึงข้าวเนี่ย จะไม่เหงาหรอ คิกๆๆ ” ว่าแล้วสาวน้อยก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง แล้วก็หัวเราะเยาะผมใหญ่

“ กวนนะคนเรา ” ผมให้มะเหงกลงหัวน้องไปหนึ่งทีเบาๆ

“ ล้อเล่นค่าาา ข้าวหมายถึงพี่กาดนั่นแหละ ”

“ ทำไมถึงคิดว่าพี่จะเหงา ” ผมลูปหัวน้องเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ ก็พี่กาดไม่มีใครดูแลเลย ”

“ พี่ดูแลตัวเองได้ ”

“ ข้าวรู้ว่าพี่กาดเก่ง เก่งทุกเรื่องเลย.. แต่เรื่องความรักนี่อ่อนด๋อยมาก มีคนคุยหรือเปล่า มีแฟนหรือยัง ไม่เห็นเล่าให้ข้าวฟังเลย ”

“ ไม่มี พี่บอกไปแล้ว ” ผมรีบบอกน้องไปตามความจริงอีกครั้ง

“ ไม่มีอีกล่ะ ถามกี่ครั้งก็ไม่มี ตัวเอง 26 แล้วนะ ” ข้าวโพดพูดสีหน้าผิดหวัง เพราะเคยถามพี่ตั้งแต่ตัวเองจำความได้

“ แค่ 25 เองข้าว ” ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งบวกเพิ่มหนึ่งปีสิ

“ หืม ก็ย่างเข้า 26 แล้วไงงง พี่หนูออกจะน่ารักทำไมไม่มีแฟนนะ หาผู้หญิงไม่ได้ก็หาผู้ชายไปเลยพี่กาด ” ข้าวโพดทำหน้างอแงใหญ่

“ พี่ไม่ได้ติดเรื่องนี้เถอะ แต่ไม่มีจริงๆ ”

“ แต่พี่กาดดดด.. ”

“ เอาเถอะๆ เดี๋ยวหาได้แล้วจะบอกนะคะ โอเคมั๊ย ”

   ผมชูมือสองข้างขึ้นข้างศีรษะในท่ายอมแพ้ ก่อนที่น้องจะทำหน้างอแงผมไปมากกว่านี้

“ โอเคค่ะ ” ข้าวโพดตอบรับและชูท่าโอเคซะน่ารักเลย

“ งั้นช่วยพี่จัดของได้ยัง? ”

“ ได้แล้ว งู้ยยย ข้าวอยากเห็นหน้าแฟนพี่กาดจะแย่ >< ”






“ พี่กาดดดดด ”

   ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาซูดเส้นก๋วยจั๊บเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้ยินเสียงเรียกแสนสดใสของคิวท์ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา

“ ว่าไง? ”

   ผมเหลือบสายตาผ่านเลนส์แว่นขึ้นไปมองหาเจ้าของใบหน้าที่มีลักยิ้มข้างแก้มทั้งสองข้าง ในมือข้างหนึ่งของน้องกำลังชูโทรศัพท์ที่มีหน้าจอแชทของใครสักคนอยู่

“ พี่กาด พอดีว่า.. พี่ฎี(ดี)ฝากถามว่าอยากกินขนม หรืออยากได้อะไรจากญี่ปุ่นมั๊ยครับ พี่เขาจะซื้อมาฝาก ”
   
หืม?

“ พี่ฏี(ดี) ไหน? ”

   แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ในหัวผมมันดันนึกขึ้นมาได้อยู่สองคน

   คนหนึ่งคือคุณฎี ฎีรดลที่หายไปจากสาระบบของผม ทิ้งไว้เป็นเพียงภาพในหัวของคนที่มีรอยยิ้มขี้เล่นและเสียงหัวเราะอย่างคนขี้แกล้งในความทรงจำของผมเท่านั้น กับอีกคนคือคุณดีเจ้าของคอนโดที่ผมไม่เคยเห็นหน้าเห็นตา แต่ก็มักจะได้รับข้อความทางไลน์จากเขาที่ส่งเข้ามาหาเสมอ เขาเหมือนคนขี้เหงาที่หาเพื่อนคุย และคิวท์ก็รู้จักคุณฎีและคุณดี ทั้งสองคน

“ ก็มีพี่ฏีคนเดียวนะครับพี่กาด เออ!.. O.O ”

“ เออ.. มาองมาเอออะไร ”

   ผมไม่ได้มองจอโทรศัพท์ แต่มองหน้าน้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม คิวท์ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนคนเผลอตัวดันพลาดพูดบ้างอย่างออกมา

“ พี่ฎี.. ฎีรดลครับผม ” น้องน้อยหัวเราะแห้งๆ ก่อนตอบกลับมาเสียงเบา แบบที่ไม่มีความมั่นใจ

   นั่นไง ผมว่าแล้วว่าเป็นคุณฎี

“ ไม่เอาอะ ถ้าเป็นของจากคุณฎีพี่ไม่เอา กงการอะไรเขาถึงจะต้องซื้อของมาฝากพี่ ”

“ โธ่พี่กาด ยังไม่ยอมญาติดีกับพี่ฎีอีกหรอ? ”

   ผมเลือกส่ายหน้าเป็นคำตอบ เป็นอันเข้าใจกันนะ ว่าไม่ได้ญาติดีกับเขาคนนั้นเลยสักกะนิด

“ แต่พี่ฎีเล่าว่าตอนไปกินข้าวกับพี่แยม พี่กาดยอมให้จับมือ ลูบหัว แล้วก็ยอมให้พี่ฏีไปส่ง ..แถมยังยอมเรียกพี่ฎีว่าพี่แล้วนี่ ”

   = o = ว่าไงนะ!

“ นี่เขาเล่าให้เราฟังหรอ! ”

“ เอ่อๆ พี่กาดใจเย็นครับ คือ..  owo เอ๊ๆ แสดงว่าเรื่องจริงหรอเนี่ย  ” คิวท์ทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ

“ เหอะ! เรื่องจริงไม่จริงแล้วยังไง พี่ไม่ได้เต็มใจสักหน่อย ” ผมตอบกระแทกเสียง เบือนสายตามองไปทางอื่น

“ แต่พี่กาดก็ไม่ได้ปฏิเสธใช่ม๊าา ” คิวท์ยังถามจี้ต่อ

“ เฮ้ย พี่ปะ..ปฏิเสธนะ ” ผมรีบแก้ตัวเสียงดัง กลัวน้องเข้าผิดหรอกนะไม่ใช่อะไร

   ตอนนั้นดันสติรวนยอมให้เขาจูงมือ ลูบหัวขยี้ผม แถมยังยอมถูกบังคับให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการ อย่างเช่น การเรียกเขาว่าพี่

“ แต่พี่กาดก็ยอมใจอ่อนกับพี่ฏีอยู่ดี”

“ …… ” ใจอ่อนที่ไหนเล่า

“ เพราะเป็นพี่ฏีใช่มั๊ยล่ะ ต้องเป็นพี่ฎีคนเดียว พี่กาดก็เลยใจอ่อนแบบไม่รู้ตัวล่ะสิ ”

   ผมไม่ได้ยอมใจอ่อนกับเขาสักหน่อย แต่ถ้าไม่ยอม.. หน้าของเขาก็จะหงอยลงทันตา แถมพูดน้อยลงด้วย

“ อะแหน่! คิดอะไรในใจอยู่น้า ”

“ มาแหน่!อะไร เดี๋ยวตีเลยไอ้เด็กนี่! ” ผมชูฝ่ามือขึ้นขู่ พร้อมฟาดเปี๊ยะๆแล้วเนี่ยย ><

“ เอ้า ใจร้ายอะจะตีน้องเฉยเลย ”  - o -

“ ไปหากินข้าวไป! พี่จะเอาถ้วยไปเก็บแล้ว ”

   ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นถือถ้วยเปล่าเดินหนีคิวท์ออกมาเลย นึกพาลไปถึงคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง ผมไม่เห็นหน้าเขามาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว คิดว่าเรื่องนี้จะรู้กันแค่ผมกับเขาสองคน แต่ที่ไหนได้เขาดันไปเล่าต่อ เขาเล่าเรื่องแบบนี้ให้น้องฟังได้ยังไง!






   ตอนนี้คิวท์ไม่มีถ่ายแล้ว แต่ที่ยังอยู่ที่กองเพราะจะรอซ้อมกีตาร์กับเก่งกล้าซึ่งกำลังเข้าฉากสุดท้ายอยู่

“ แล้วคิวท์จะบอกพี่ฏีว่ายังไงดีอะ ”

“ อะไร? ”

   ผมเอ่ยถามเมื่อเด็กน้อยที่นั่งทวนบทอยู่ตรงข้ามทำหน้าบู้บี้พร้อมกับส่งเสียงงอแงใส่ผมอีกครั้ง วันนี้คิวท์มันพูดเรื่องนี้ทั้งวัน และต้องการเอาคำตอบจากผมให้ได้

“ พี่กาดไม่ยอมบอกว่าอยากได้อะไร ”

“ ก็พี่ไม่อยากได้ไง ”

“ แต่พี่ฎีอุตส่าห์จะซื้อให้อะ เอาเป็นเครื่องรางเรื่องความรักมั๊ยพี่กาด หรือ.. ”

“ บอกเขาว่าพี่ไม่เอา ” ผมบอกเสียงแข็งพร้อมส่ายหน้า

“ แต่ว่า..  ก็ได้ครับ ”

   เมื่อเห็นว่าคิวท์จะพูดขึ้นมาอีกผมเลยยกนิ้วชี้ขึ้นมาชี้เตือนน้อง เจ้าของลักยิ้มสองข้างจึงรีบปิดปากสนิทแล้วก้มหน้าพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปบอกใครสักคนในโทรศัพท์ ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นคนที่น้องบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ

“ เรียบร้อยแล้วครับพี่กาด ”

“ เห็นม่ะ แค่บอกว่าพี่ไม่เอาก็จบแล้ว ”

   ผมมองคนที่กำลังพยักหน้าเบาๆ จากหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนมายิ้มหวานเพราะคลายความกังวลลง ไม่รู้คุณฎีมาบอกอะไรกับน้อง น้องถึงได้มาถามผมซ้ำๆ เพื่อจะเอาคำตอบไม่หยุด รายนั้นยิ่งชอบบังคับคนอื่นอยู่เรื่อย

“ แต่พี่กาด.. ”

“ อะไรอีกอะ ”

“ ไม่จบง่ายๆอะ พี่ฎีเขาพิมพ์มาบอกว่าเขาจะซื้อของมาให้พี่กาดอยู่ดี ”

“ ก็แล้วแต่เขา เพราะพี่ไม่เอาซะอย่าง ”

“ ครับ ” ว่าแล้วเจ้าคิวท์ก็ก้มหน้ากลับไปสนใจโทรศัพท์แล้วพิมพ์ยุ๊กยิ๊กๆลงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนมีอะไรจะพูดกับผมอีกครั้ง

“ พี่กาด.. ”

“ ว่า.. ชื่อพี่มันเรียกง่ายใช่มั๊ยเนี่ย เรียกตลอดเลย.. ” ผมเอ่ยถาม ลองนับดูวันนี้คิวท์เรียกผมกี่ครั้งแล้ว และตอนนี้น้องก็อ้าปากเหมือนอยากจะพูดออกมาเต็มทน แต่ยังไม่กล้า

“ อย่าดุสิ คิวท์กลัว ขนลุกแล้วเนี่ย ..พี่ฎีเขาตอบกลับมาอะครับ ” คิวท์พูดพร้อมทำท่าทางขนลุกกลัวเกินจริง

“ แล้วเราจะพิมพ์ไปบอกเขาทำไมอะ ถ้าเราไม่ตอบ เขาก็ไม่มาจุ้นจ้าน ไหน..เขาบอกว่าไง? ” เอ่ยปากดุน้องอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของน้องขึ้นมา

“ แงงง คิวท์บอกว่าอย่าดุ ใจมันสั่นๆ กลัวแล้วเนี่ยพี่คร้าบบบ ” ปากว่ากลัวแต่หน้าไม่ได้กลัวกันเลย

“ กลัวให้จริงเถอะเราน่ะ! ” ผมเอ่ยน้ำเสียงเดิมให้กับคนที่ทำเป็นแกล้งกลัว ก่อนก้มมองจอแสดงผลที่ขึ้นชื่อเจ้าของห้องแชทด้านบนสุดว่า ‘ P'Dee  ’

P'Dee
: พี่จะเอาไปให้ซะอย่าง
: ผักกาดไม่เอา พี่ก็จะบังคับให้รับไว้

“ เหอะๆ ” ผมอ่านแล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างไม่เต็มใจออกมา

“ พี่ฎีบอกว่า จะเอามาให้เอง ยังไงก็จะบังคับให้พี่กาดรับไว้ให้ได้ ” ไอ้น้องน้อยนี่ก็ชอบมาพูดย้ำ

“ คนขี้บังคับ นิสัยเหมือนเดิมไม่มีผิด ” ผมบ่นอย่างหัวเสีย แล้วเอาโทรศัพท์คืนให้กับคิวท์ที่กำลังทำหน้าคิดหนัก

“ แหะๆ งั้นเอางี้ครับ เปลี่ยนเรื่องคุยกันพี่กาด ” คิวท์สะกิดผมเบาๆ แววตาอ้อนวอนให้ผมใจเย็นลง นี่เห็นแก่น้องรักของผมที่ขอร้องผมหรอกนะ

“ อืมๆ เรื่องไหนล่ะ คุยกับพี่ก็มีแต่เรื่องงานนะ ” ผมพูดแล้วหลุดขำเล็กน้อย เมื่อเห็นเจ้าคิวท์แอบทำหน้าเหวอออกมา

“ ไม่อ้าววว ไม่คุยเรื่องงาน คุยเรื่องพี่ดี... ”

“ แล้วไหนว่าจะเปลี่ยนเรื่อง?? ” ผมแทรกคิวท์ที่ยังพูดไม่จบจนเด็กน้อยตกใจตาโต

“ ฟังน้องก่อนนน คิวท์จะเปลี่ยนเรื่องจริงๆ คิวท์หมายถึงพี่ดีที่เป็นเจ้าของห้องที่พี่กาดซื้อต่ออะ ”

“ อ๋อๆ ตกกะใจหมด ” แล้วเมื่อกี้จังหวะมันได้ด้วยนะ “ ว่าแต่..ทำไมอ่ะ? ”

“ คิวท์จะถามว่า.. พวกพี่คุยกันเป็นไงบ้าง พี่กาดมีอะไรที่สงสัย ผิดสังเกตุหรือเป็นพิรุจมั๊ยอะครับ? ”

“ สงสัย ผิดสังเกตุ เป็นพิรุจ เรื่องอะไร? ” ผมทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจที่น้องพูด เรื่องสงสัยก็พอมีอยู่นะ สงสัยว่าเขาคือใครไงล่ะ? แต่เรื่องผิดสังเกตุกับเรื่องพิรุจน่ะ ไม่เข้าใจว่าต้องมีด้วยหรอวะ

“ อึย! เปล่าๆครับ เปลี่ยนๆ คิวท์จะถามว่าพี่ดีเขาคุยเก่งมั๊ย ” คิวท์ร้องเสียงหลงรีบสั่นหัวรัวๆ ก่อนจะยิ้มแฉ่งพูดเปลี่ยนคำถามทันที

   อะไรของน้องมันวะ วันนี้แปลกๆ ผมว่าคุณดีเขาไม่มีพิรุจอะไรหรอก มีแต่มันเนี่ย ไอ้น้องน้อยของผมเนี่ย มีพิรุจสุดๆ

“ ว่าไงครับพี่กาด คุยกันเป็นยังไงบ้าง พี่ดีเขาเป็นยังไงเวลาคุยกับพี่กาด ” ผมมองสีหน้าล่อกแล่กของคิวท์แล้วรู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนเด็กหลอกถามอะไรบางอย่างอยู่ยังไงไม่รู้

“ พี่ว่าเขาก็ดูกวนๆอะ ถามกอขอคอไป ตอบเอบีซีมา ใช้เวลานานมากกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง” ผมตอบ พลางนึกจินตนาการหน้าตาของเขาในหัว

   คุณเขาน่าจะอายุมากกว่าผมแต่ไม่น่าจะมากเกินสิบปี และตามที่คุณชาผู้ช่วยของเขาหลุดปากบอกกับผมนอกจากเรื่องที่เขาเป็นรองประธาน ไปทำงานต่างประเทศ ผมก็แทบไม่รู้อะไรเลย แม้แต่ชื่อจริงและหน้าตาของเขา

“ ฮ่ะๆๆ ก็เหมือนตัวจริงนั่นแหละครับ ”

“ หรอ ตัวจริงเขาเป็นยังไงอ่ะ? พูดถึงก็อยากเห็นหน้าเขาเลยว่ะ ”

“ พี่กาดอยากเห็นหน้าพี่ดีอะหรอครับ? ” คิวท์ถามกลับด้วยสีหน้าเหมือนมีความลังเลเล็กๆ

“ อยากเห็นสิ ก็อีกไม่นานเขาก็จะเป็นเพื่อนบ้านพี่แล้วนะ ”

“ เพื่อนบ้านหรอ? ”

“ อืม ก็ห้องของเขาอยู่ข้างๆกับห้องของพี่ที่เขาขายให้เลย ” เจ้าของห้อง 1702 น่ะ

“ จริงป่ะเนี่ยพี่กาด โห้ยย พี่ดีโคตรสุดยอดๆ อ่ะ .. จึยย! ” คนมีลักยิ้มที่ปรบมือฉาดใหญ่พร้อมพูดกับตัวเอง แต่เหมือนนึกอะไรสักอย่างออกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวเลยเงยหน้ามาสบตากับผมที่มองอยู่อย่างสงสัย

“ สุดยอดอะไร? ”

“ ก็..ก็สุดยอดที่ขายห้องให้พี่กาดจนได้ไงครับ เอ่อๆ..นั่นเลย! สุดยอดเลยเนาะพี่ สุดยอดจริงๆ ” คิวท์พูดคำเดิมซ้ำไปมาเหมือนคนคิดไม่ออก

“ มันจะสุดยอดอะไรขนาดนั้นกัน ” ผมถามจี้คนที่ไม่ยอมมองหน้า ขนาดนี้แล้วแสดงว่ามีความลับชัวร์ๆ

“ แหะๆ ก็พี่กาดยังไม่เคยเห็นหน้าพี่ดี พี่เขาก็ต้องสุดยอดสิครับ พี่ดีมาพูดยังไงถึงสร้างความไว้ใจให้กับพี่กาดขนาดที่ยอมซื้อห้องต่อได้อะ  ” คิวท์พูด ทำให้ผมพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย

“ แต่ที่พี่ไว้ใจเขา อีกส่วนหนึ่งก็เพราะเรานั่นแหละที่เป็นคนแนะนำ ” ผมเอ่ยตามความจริง เพราะคิวท์เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความมั่นใจให้ผมไว้ใจเขามากพอจนที่ยอมซื้อห้องต่อ

“ ว้าว! จริงง่ะ>< ”

“ อื้ม.. ว่าแล้วพี่ก็ขอถามหน่อย มีรูปเขาป่ะ? แล้วชื่อจริงเขาชื่อว่าอะไร ”

“ อะ..อะไรนะครับ? ” คนเพิ่งดีใจ เปลี่ยนสีหน้าเป็นอ้ำอึ้ง

“ พี่อยากเห็นหน้าตาเขาอะ เรามีรูปเขาป่ะ เปิดให้พี่ดูหน่อย ” ผมเอ่ยย้ำด้วยเสียงตื่นเต้น เพราะคิวท์คือความหวังสุดท้ายของผมแล้ว

   ก่อนหน้านี้ผมถามใครก็ไม่มีใครบอก ซึ่งใครคนที่ว่าก็คือ คุณดีเจ้าของชื่อเอง และคุณชาผู้ช่วยของเขา

“ คือ..ไม่ได้อะครับพี่กาด ”

   อ้าว ไหงความหวังสุดท้ายของผมถึงทำกับผมได้ลงคอ ปฏิเสธผมที่ตั้งตารอดูรูปคุณเขาอยู่ได้ยังไงงง

“ ทำไมอ่า ”

“ พี่กาด คิวท์ขอโทษ คือ..พี่ดีเขาเคยบอกว่าขอยังไม่เปิดเผยข้อมูลให้พี่กาดรู้อะครับ คิวท์เลยบอกไม่ได้ เอารูปให้ดูก็ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ ครับ ” ความหวังสุดท้ายของผม มันบอกว่าไม่ได้ มันย้ำว่าไม่ได้ โอ้มายก๊อดดด

“ ได้ไง! ทำไมเปิดเผยไม่ได้ แล้วนี่ไอ้ปลาทูน้อย! ทำไมแกพูดเหมือนคุณชาเลยหะ? ” ผมบ่นแล้วชี้หน้าน้องรัวๆ

“ คุณชา.. พี่ชาหรอ? ”

“ ก็ลูกพี่ลูกน้องเราไง วันนั้นที่พี่ไปดูห้องและดำเนินการเรื่องเอกสาร เขาเป็นคนพาพี่ไปดูและจัดการให้ พี่ก็ถามเขาเรื่องคุณดีแบบนี้ ถามชื่อจริง ขอดูรูป คุณชาเขาก็บอกว่ายังเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ ”

“ อ่าฮะๆ ฮูว! ” คิวท์พยักหน้า ตามด้วยเสียงพ่นลมหายใจเบาๆ

“ ถอนหายใจอะไร? แล้วทำไมทำหน้าตาเหมือนโล่งอกโล่งใจขนาดนั้น ปิดบังอะไรพี่หรือเปล่า บอกมานะ! ” ผมถามเสียงดังเพราะอดคิดไม่ได้เมื่อเห็นหน้าตาของคิวท์ที่เหมือนกำลังมีอะไรในใจ

“ เฮ้ยย คิวท์ไม่ได้ปิดบังนะพี่กาด>< คือแบบว่าพี่ดีเขาเป็นนักธุรกิจใช่มั๊ยครับ เขาก็ต้องปกปิดข้อมูลบางอย่างเป็นธรรมดา ”

“ แม้แต่ชื่อก็บอกไม่ได้เนี่ยนะ ทำธุรกิจผิดกฎหมายหรอ ถามจริง? ”

“ ไม่ได้ผิดกฎหมายครับ แต่พี่เขาบอกผมมาแบบนั้น บอกว่า..ไม่ว่าพี่กาดจะถามอะไรก็ห้ามบอก เอ้ย! แล้วนี่ผมก็หลุดพูดไปแล้วด้วย เอาเป็นว่า.. พี่ดีเขาจะเป็นคนบอกพี่กาดทั้งหมดเอง ไว้พี่กาดไปคุยกับพี่ดีเอาเองแล้วกัน คิวท์ไม่เกี่ยวนะ โอเค๊? ”

“ ไม่โอเคเลย”

“ โอเคเถอะครับผม^o^ ว่าแต่.. ก่อนหน้านี้พี่กาดไม่ได้ลองถามพี่ดีเองหรอครับ? ” คิวท์พยายามปลอบใจ และถามผมกลับอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ พี่ถามเขานะ ถามแล้วเนี่ยๆ! ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

   ก่อนรีบเอาโทรศัพท์ของตัวเองในกระเป๋าขึ้นมาเปิดไปในแชทไลน์ เลื่อนหาข้อความที่เคยสร้างความหงุดหงิด งุนงง ให้ผมสักพัก ก่อนหันจอโทรศัพท์ไปให้น้องอ่าน


Wongrawee
: งั้นถ้าเราเคยเจอกัน
: ผมขอดูรูปของพี่หน่อยได้มั๊ย
: ผมอยากรู้ว่าพี่หน้าตายังไงอะครับ เผื่อผมจะนึกออก

Drd
: ไม่ได้ครับ
: รู้แค่ว่าพี่หล่อก็พอแล้ว

“ เนี่ย! กวนประสาทป่ะ ” ผมกอดอกทำหน้ายู๋เมื่ออ่านแชทของคุณฏีอีกครั้งพร้อมกับคิวท์

“ ถ้าไม่หล่อจริง พูดไม่ได้นะครับเนี่ย ” คิวท์พยักหน้าราวกับเห็นด้วย ยู่ปากเล็กน้อยเมื่ออ่านจบ

   ก็แหงสิไอ้เด็กนี่มันรู้จักและเคยเห็นหน้าคุณดีคนนี้มาก่อนอยู่แล้วนี่

“ งั้นเขาต้องหล่อแน่เลย แสดงว่าเขาต้องหล่อจริงๆอะเนาะ ใช่ม่ะ? ” ผมเห็นคิวท์กำลังเผลอ จึงค่อยๆตะล่อมๆหลอกถาม

“ โหพี่กาด พี่กาดก็รู้ว่าพี่ดีอะเป็นเดือนมหาวิทยาลัย ”

“ พี่รู้? ..เดือนมหาวิทยาลัย? ”

   ผมรู้ด้วยหรอว่ะ? ผมว่าตัวเองก็เพิ่งจะรู้ตอนคิวท์หลุดปากบอกเมื่อกี้นี้เอง แต่ถ้าหล่อขนาดเดือนมหาวิทยาลัย คนขี้คุยก็คงหล่อจริงๆ นั่นแหละ

“ อึยย! พี่กาด คิวท์ไหว้แหละ อย่าหลอกถามกันสิครับ โธ่ - o - คิวท์หลุดพูดอีกแล้วเนี่ย พี่ดีเขาขอคิวท์ไว้อะครับ ไหนๆ มีอันอื่นอีกมั๊ย ” คิวท์ทำหน้างอแงไหว้ผมสองสามที ส่งสายตาอ้อนวอนจนผมหลุดหัวเราะ ก่อนที่น้องจะขอโทรศัพท์จากผมไปเปิดอ่านไลน์ในแชทถัดไปอย่างอยากรู้

Wongrawee
: งั้นขอถามอีกข้อหนึ่งครับ
: พี่ดี ชื่อจริงว่าอะไรหรอครับ

Drd
: ไม่บอกครับ
: ไว้เจอกัน ตอนนั้นเดี๋ยวผักกากก็รู้เอง
: พี่บอกแล้วว่าเราเคยเจอกัน

“ โหห ไม่ยอมหลุดบอกซักแอ๊ะเลยหรอเนี่ย? ” คิวท์พึมพำ ส่งสายตารู้สึกผิดและช่วยไม่ได้มาให้กับผม

“ เห็นม่ะ! เขาไม่ยอมบอกพี่เลย บอกแค่ว่าเคยรู้จักกัน เคยเห็นกัน แล้วที่ไหนล่ะ? พี่รู้จักคนชื่อฏีก็คือคุณฏีรดลเท่านั้นแหละ ” ..เอ๊ะ?

“ เฮ้ยๆๆๆ! พี่กาด! งั้นก็อย่าเพิ่งอยากรู้เลยพี่ ถ้าพี่ดีเขาอยากแนะนำตัวเองให้รู้จัก เขาคงไปหาพี่กาดที่ห้องแล้วบอกออกมาเองน่ะครับ แล้วความจริงเขาอาจจะมีเหตุผล มีจุดประสงค์ที่ต้องการบอกพี่กาดทีหลังหรือเปล่า ” คิวท์สะกิดเรียกผมเสียงดัง จนผมหลุดออกจากความคิดหนึ่งเมื่อกี้ เหมือนผมจะคิดอะไรบ้างอย่างออกแต่ดันลืมไปซะงั้น

“ ได้ยังไง พี่ซื้อห้องต่อจากเขาเลยนะโว้ย ถ้าไม่ติดว่าให้คุณชาช่วยจัดการเรื่องเอกสารไปแล้ว พี่ว่าจะเปลี่ยนใจไม่ซื้ออยู่หรอก ”

   อะไรหว่าา? เมื่อกี้ผมคิดอะไร?  เฮ้อ! แต่ช่างมันเถอะ..

“ ไม่ทันแล้วพี่เอ๋ย ”

“ อืม! ก็ไม่ทันแล้วน่ะสิ ไม่รู้จะปกปิดหรือปิดบังทำไม ยังไงเขากับพี่ก็อยู่ห้องข้างกัน มันก็ต้องมีโอกาสเจอกันบ้างแหละ ”

“ จริงด้วย ยังไงก็ต้องเจอกันบ้างอยู่ดี ” คราวนี้คิวท์พยักหน้าเห็นด้วยกับผมใหญ่เลย

“ เนาะๆ งั้นพี่ขอแอบถามได้มั๊ย น้าาๆ  ” ผมลองพยายามอีกครั้ง มองหน้าเจ้าของฉายาปลาทูน้อยอย่างอ้อนวอน

“ ไม่ได้แล้ว ไม่ได้จริงๆ ” แต่ดูน้องมันทำ

“ อืม ” แล้วผมก็ถูกปฏิเสธอีกครั้ง เสียใจว่ะ..

“ อ่ะๆ พี่กาดอย่าหน้าหงอยขนาดนั้นสิ มาๆ คิวท์ยอมบอกนิดหนึ่งก็ได้ ” คิวท์พูดพร้อมทำท่าประกอบว่านิดหนึ่ง นิดหนึ่งจริงๆ

“ จริงหรอ ” ผมยิ้มมองน้องอย่างมีความหวัง

“ ครับ แค่นิดเดียวนะ เอาตรงๆ เลยนะพี่กาด.. พี่ดี กับพี่ฎี ฎีรดลน่ะ.. ”

“ หืม? ” คุณฎีเกี่ยวอะไร

“ เออ คิวท์จะบอกว่าเขามีความคล้ายกันมากๆ ย้ำว่ามากๆ ..เป็น เอ่อ..เหมือนๆ คนเดียวกันเลยก็ว่าได้ ” คิวท์พูดหลบสายตาผมเล็กน้อยพร้อมกับลูบท้ายทอยตัวเองไปมา

“ ยังไง? ”

“ แบบว่าหน้าตา นิสัย การทำงานของพี่เขา คล้ายๆกัน.. ”

“ จริงอะ? ”

“ ครับ อื้ม! บอกแค่นี้แหละ เดี๋ยวผมไปซ้อมกีตาร์ก่อนนะพี่กาด ”

   เออ! ดีเหลือเกิน

   ตอนแรกคิวท์พยายามชวนผมคุยเรื่องอื่นเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นจากเรื่องความขี้บังคับของคุณฎี

   แต่พอเปลี่ยนเรื่อง เป็นเรื่องคุณดีเจ้าของห้องก็ดันมาทำให้ผมเกิดความสงสัยถึงเหตุผลที่เขาต้องปิดบังตัวเองไม่ให้ผมรู้จักว่าตัวเขาเป็นใคร หน้าตายังไง

   พอผมถามคิวท์ น้องก็บอกผมไม่ได้

   พอผมหลอกถามเข้าเลยยอมหลุดปากบอกมา แม้จะยอมบอกกันนิดหน่อย แต่เจ้าตัวก็ดันรีบชิ่งหนีเอ่ยขอตัวกับผมเพื่อไปซ้อมกีต้าร์อีก โว๊ะ!



❤ 70 เปอร์เซนต์ (%)





-----



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 12:11:06 โดย pimpipam_s »

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ต่อ







“ วางของไว้นี้ก่อนก็ได้ ”

“ โหห ห้องน่าอยู่มากเลยพี่กาดดดด ”

“ ใช่ม่ะ ” ผมพยักหน้ายิ้มให้กับน้องๆ ขณะที่เดินนำเข้ามาในห้องใหม่ บ้านหลังใหม่ของไอ้ผักกาด ภูมิใจนำเสนอม้ากมากกก

“ ป่ะ ฟ่างเราไปดูห้องวิวที่ระเบียงกัน ”

“ อื้มมม>< ”

   ผมทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาสีเทาหันไปมองน้องสาวทั้งสองคนที่รีบวางของและกระเป๋าที่ถือขึ้นมาช่วยผมลง ก่อนจูงมือกันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ริมระเบียง

“ อุ้ย พี่กาด ตรงนี้วิวสวยมากเลยค่า! ”

“ แต่ฟ่างว่าตอนกลางวันร้อนสุดๆเลย! นี่แหละแดดประเทศไทย ”

“ เบาๆ เรา เสียงดังเกินไปแล้ว เดี๋ยวห้องอื่นเขาจะมาว่าเอา ” ผมรีบเอ่ยห้ามปรามเจ้าน้องสาวทั้งสองที่ตะโกนเข้ามาแข่งกับเสียงสายลมข้างนอก

“ คิกๆ ขอโทษค่า^^ ”

“ ป่ะ ข้าวโพด เราไปดูห้องนอนพี่กาดกัน ” ว่าแล้วสองสาวก็พากันปิดประตูระเบียงวิ่งเข้าไปทางห้องนอน และพูดคุยกันว่าห้องสวยไม่หยุดจนผมอดหัวเราะคนเดียวข้างนอกไม่ได้


ตื้อดึง
Drd
: ย้ายมาถึงห้องแล้วหรอครับ

Wongrawee
: พี่รู้ได้ยังไงครับ
: หรือพวกผมเสียงดังกันมากไป

Drd
: ไม่ได้เสียงดังครับ
: คอนโดนี้ไม่ได้ผนังบางนะ เรารู้หรือป่าว

Wongrawee
: อ่า
: แล้วพี่รู้ได้ยังไงครับว่าผมมาแล้ว

Drd
: ได้ยินเสียงครับ

   หา!

Wongrawee
: ไหนบอกว่าผนังไม่บางไงครับ
: พี่หูดีขนาดนั้นเลยหรอ

Drd
: เรียกว่าหูดีมั๊ยก็ไม่รู้
: พอดีเมื่อกี้ พี่อยู่ที่ริมระเบียง
: แล้วได้ยินเสียงสาวๆ คุยกัน

Wongrawee
: อ๋อ น้องสาวของผมน่ะครับ

Drd
: มีอะไรให้พี่ช่วยมั๊ยครับ

Wongrawee
: ไม่มีแล้วครับ
: ผมเอาของมาไม่เยอะ

Drd
: ถ้ามีอะไรให้ช่วย ผักกาดทักมาบอกไว้ได้เลยนะ
: พี่ว่าจะขอตัวไปนอนก่อนนะครับ

Wongrawee
: นอนตอนนี้อะหรอพี่
: ตอนนี้มัน 5 โมงเองนะ

Drd
: ใช่ เมื่อเช้าพี่ไปที่บ้านมานะ
: แล้วตั้งแต่เมื่อวานที่กลับมาถึงก็ยังไม่ได้พักเลยครับ

Wongrawee
: นอนตอนนี้พี่จะตื่นกี่โมงครับเนี่ย

Drd
: ไม่รู้สิครับ
: แต่ไม่นอนก็คงไม่ไหว
: ตาพี่จะปิดแล้ว

Wongrawee
: งั้นพี่พักผ่อนเถอะครับ

Drd
: ครับ

Wongrawee
: ครับ

Drd
: จะนอนแล้วนะครับ

   อะไรของเขานะ จะนอนก็นอนไปสิ จะบอกผมอีกรอบทำไม อยากได้ยินคำว่าฝันดีหรือไง

Wongrawee
: ครับ

Drd
: ไม่บอกฝันดีกันหรอครับ

Wongrawee
: เออ

   ซื้อหวยทำไมถูกแบบนี้นะ

Drd
: ง่วงมาก
: *สติ๊กเกอร์ม่ะหมาหาวปากกว้าง

Wongrawee
: งั้นเป็นนอนหลับให้สนิท ไม่ต้องฝันอะไรดีกว่าครับ
: พี่จะได้ไม่เหนื่อยกับความฝันเนาะ

Drd
: ครับ
: นอนหลับให้สนิทเหมือนกันนะครับ

   ความจริงผมก็กะจะถามเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่จากที่คิวท์บอกกับผมเมื่อวาน ผมคิดว่าถ้าถามเขาไปก็เท่านั้น เพราะคงจะไม่ได้คำตอบอยู่ดี

“ พี่กาดนอนได้แน่นะคะ คืนนี้ต้องนอนเตียงใหม่แล้ว ” ข้าวฟ่างที่เดินออกมาจากห้องนอนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ พี่นอนได้ ”

“ ให้พวกข้าวนอนด้วยมั๊ยพี่กาด ” ข้าวโพดเดินเข้ามาควงแขนผมไว้

“ ไม่เป็นไร แล้วดูพูดยังกับเราสองคนจะนอนกับพี่ได้จริงๆ ” ผมเอ่ยพร้อมกับจิ้มหน้าผากเจ้าสองข้าวเบาๆ

“ งืม ถ้าข้าวไม่ติดเรียนชดเชยนะ ข้าวนอนแล้วอะ ”

“ ใช่ ถ้าฟ่างไม่ติดซ้อมกีฬาฟ่างก็นอนด้วยแล้ว ”

   น้องสาวทั้งสองทำหน้าตาเสียดาย เพราะต่อให้พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์แต่ทั้งคู่ก็มีเรียนและมีนัดเช้าที่มหาวิทยาลัย ไปสายไม่ได้ ซึ่งคอนโดที่ผมอยู่มันต้องนั่งรถไฟฟ้าหลายสถานี ผมไม่อยากให้น้องเสียเวลา

“ พี่นอนได้ ” ผมยังยืนยัน นอนได้จริงๆ แต่หลับไม่หลับนั่นอีกเรื่อง
 





   นอนหลับ ผมนอนหลับ แต่หลับตอนตีสามอะนะ - = - ตื่นอีกทีก็หกโมงเช้า แบบนี้ก็รู้สภาพตัวเองเลยว่าวันนี้ต้องหงุดหงิดสุดๆ เพราะนอนไม่พอ

   วันนี้ผมและวาวามาทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เนื่องจากต้องมาดูแลคิวท์และจั๊บที่เป็นพรีเซนเตอร์ของเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง

“ มึงเป็นอะไรเนี่ย พร้อมทำงานมั๊ย? ” เสียงวาวาถามขึ้นขณะที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัวของน้องๆพรีเซนเตอร์ มันคงเห็นว่าผมเดินเหมือนคนไร้วิญญาณล่ะมั๊ง

“ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม เมื่อคืนกว่ากูจะนอนหลับปาไปตีสาม หาวว ” ผมว่าแล้วก็เอามือป้องปากหาวปากกว้าง

“ มึงอย่าแอบหลับแล้วกัน เดี๋ยวแฟนคลับน้องแอบถ่ายรูปไปลงทวิตเตอร์อีกนะ ”

“ อืมๆ ” ผมพยักหน้าเบาๆให้เพื่อนสนิทไปหนึ่งที

   พลางนึกถึงครั้งนั้นที่มาทำงานแล้วผมเป็นหวัดน้ำมูกไหลไม่หยุดเลยกินยาแก้แพ้ไปหนึ่งเม็ด แต่ลืมนึกถึงผลข้างเคียงของยาไง จากที่นั่งรอคิวท์อยู่ดีๆ ก็หลับไปเฉยเลย ตอนนั้นเลยมีแฟนคลับของน้องแอบถ่ายรูปผมไปแซวขำๆ ในทวิตเตอร์ว่าผมแอบอู้ แต่ด้วยความที่แค่แซวกันขำๆ ไม่ได้จริงจัง ผมก็ไม่ได้ถือสาว่าความให้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร มีแค่เจ้าคิวท์น่ะสิที่เป็นเดือดเป็นร้อนเพราะกลัวว่าผมจะไม่สบายใจ รีบทวิตบอกแฟนคลับแทนว่าผมไม่สบาย

“ เห็นพี่กิมมั๊ยล่ะ? ”

“ อืม กูไปคุยกับพี่เขามาแล้วเมื่อกี้ ไม่รู้ไปทำหน้าอึนใส่พี่แกหรือเปล่า แกเลยรีบพูดรีบบอกแล้วเดินหายวับไปเลย ”

“ ฮ่ะๆๆ แล้วพี่เขาบอกว่าไง ” วาวาตบไหล่ผมเบาพร้อมกับหัวเราะ

“ นอกจากร้องเพลงที่เพิ่มเข้ามา เขาต้องการให้คิวท์กับจั๊บถ่ายรูปกับผู้โชคดี เป็นรางวัลพิเศษด้วยอะ ”

“ คิวท์กูไม่ห่วง แต่ห่วงไอ้น้องจั๊บของกูมากกว่าจะรอดมั๊ยร้องเพลงเนี่ย เพี้ยนเชียว ” วาวาพูดและส่ายหน้าขำอย่างเอ็นดู

   ผมเข้าใจเพราะเด็กทุกคนมีความสามารถแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นด้านการแสดง ร้อง เต้น เราเลยค่อนข้างเป็นห่วงว่าน้องจะทำได้หรือเปล่า แต่การที่เขาบรีฟงานมาว่าต้องให้น้องๆทำ หลังจากรับงานไปแล้ว ยังไงน้องก็ต้องทำให้ได้และทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

“ แต่น้องมันเต้นเก่ง ก็ให้น้องเต้นๆร้องๆไปกับคิวท์นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก ”

   ระหว่างที่รอ ผมและวาวาก็ทำหน้าที่ในการเก็บภาพระหว่างที่น้องทั้งสองทำกิจกรรมร่วมกับแฟนคลับและผู้โชคดีภายในงาน มีแฟนคลับของคิวท์หลายๆ คนเข้ามาพูดคุยกับผม ร่วมถึงฝากของขวัญ จดหมายเล็กๆ ไปให้น้องด้วย ซึ่งผมก็รับไว้เพราะข้อตกลงของคิวท์กับแฟนคลับในวันนี้ คือหลังจบงานไม่มีการร่วมพล ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับอย่างปลอดภัย

   เมื่อเสร็จจากงานวาวาก็รับผิดชอบพาน้องจั๊บไปส่งก่อนแล้ว ส่วนผมตอนนี้มีหน้าที่เป็นเพื่อนพาคิวท์มาซื้อต่อ เห็นน้องมันบอกว่าอยากได้น้ำหอมไปเป็นของขวัญให้พี่รดาในวันเกิดอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ถ้าถามว่าทำไมต้องรีบซื้อวันนี้ คิวท์ก็บอกว่ากลัววันอื่นไม่มีเวลามาซื้อ

“ พี่กาดๆ หลังจากซื้อนี่เสร็จแล้ว ไปกินเนื้อย่างกับคิวท์มั๊ย ”

“ เนื้อย่างหรอ ก็ได้ๆ ”






ร้านเนื้อย่าง เฮียโยกเยก

“ พี่กาด คิวท์อยากถ่ายรูปลงไอจี ”

“ มาพี่ถ่ายให้ ” ผมพยักหน้าแบมือไปขอโทรศัพท์จากคิวท์ แต่เจ้าตัวรีบส่งเสียงหื้อพร้อมกับส่ายหน้าให้ผมทันที

“ ไม่ๆ คิวท์หมายถึงถ่ายด้วยกัน นะครับๆ ” ว่าแล้วคิวท์ที่อยู่ตรงข้ามก็ลุกมานั่งฝั่งเดียวกับผม บอกให้ยิ้มหวานๆแล้วก็ยื่นมือออกไปเพื่อกดถ่ายทั้งรูปและวิดีโอสั้นๆ

   พอน้องกลับไปนั่งที่เดิม ผมเห็นเจ้าตัวกดพิมพ์แคปชั่นอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ก่อนกดอัพลงไอจีที่แท็กผมด้วย พวกเรานั่งรอไปสักพัก พนักงานก็เดินมาเสิร์ฟอาหารสดพวกเนื้อหมูและผักที่สั่งไป

ครืดด ครืดด

“ ฮัลโล..ครับ เอ๊ๆ ว่าแล้วไง ว่าพอคิวท์ลงรูปปุ๊บต้องโทรมาปั๊บ ”

   ผมเงยหน้ามองคิวท์ที่รับโทรศัพท์ของตัวเองนิดหน่อย ก่อนกลับมาพลิกเนื้อหมูไปมาอย่างไม่ใสใจ ปล่อยให้คนพูดเก่งคุยกับคนในสายต่อไป เพราะน้องคงคุยกับแม่ของน้องนั่นแหละมั๊ง

“ หรอคร้าบบ แล้วใครเอาให้ดูอะครับ ได้ข่าวว่าไม่เล่นไอจีหนิ ”

   หืม แต่แม่ของคิวท์มีไอจีนะ แสดงว่าคนในสายคงไม่ใช่คุณแม่

“ แซวเล่นครับ จะสมัครเลยหรอ ฮ่ะๆๆๆ ”

   หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเชียว เจ้าปลาทู

“ คิวท์ก็กินเนื้อย่างอยู่น่ะสิครับ ”

“ อยู่นี่แหละครับ มากับพี่กาดแค่สองคนครับ เรียกว่าเดทได้ม่ะ? หืม..ไม่ให้หรอ โอเคๆคร้าบบ ฮ่ะๆๆ ”

   ผมยิ้มให้คนที่เอ่ยชื่อผมเล็กน้อย หึ มาเดทกับผู้จัดกาดอย่างผมเนี่ยนะ น่าสนุกตรงไหนกัน

“ เพิ่งกินไม่นานครับ ..หะ!!! ” O.o

“ เสียงดังไป เจ้าคิวท์ ”

   ผมรีบปราบคนน้องที่มองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พร้อมคีบหมูที่ย่างสุกไปใส่ในจานให้ น้องกำลังทำหน้าอึ้งก่อนจะพยายามตั้งสติถามคนในสายต่อ

“ ครับ? ล้อเล่นหรอครับ โหห ”

   คนในสายล้อเล่นเรื่องอะไรนะ เจ้าคิวท์ถึงตกใจเสียงดังลั่นขนาดนั้น

“ คิวท์ตกใจหมดเลยเนี่ย นึกว่าพี่ฏีจะมาจริงๆ ”

   อ้าว.. คุณฎี?

   คนในสายคือคุณฏีรดลหรอกหรอ?

“ เดี๋ยวคิวท์กับพี่กาดจะกินเผื่อครับ ”

   น้องพูดในขณะที่ผมกำลังยัดหมูสามชั้นสไลด์เข้าปากตามด้วยผักกะหล่ำลวก หึ! ไม่กินเผื่อหรอกนะ > - <

“ ครับ จะดูแลอย่างดีเลยครับ ”

   เฮ้อ.. สงสัยฝ่ายนั่นคงจะบอกว่าให้คิวท์ดูแลตัวเองดีๆสินะ

“ อื้ม.. เมื่อกี้บอกใคร หืม? ไม่ได้บอกคิวท์ว่างั้น ไอคำว่าคิดถึงน่ะ ”

   ต้องบอกคิดถึงกันด้วยหรอ เหอะ! คงจะบอกกันตลอดสินะ

   แล้วเจ้าคิวท์ก็กำลังยิ้มแหย่ๆมาให้ผมด้วยสิ กำลังเขินคนในสายสินะ

“ ฮ่ะๆ ครับ.. มะรื้นนี้จะเข้ามาหาด้วยหรอ? ”

   ผมลางานวันนั้นเลยได้มั๊ยนะ ไม่อยากเจอคนมาจีบน้องตรงหน้า เห็นบ่อยแล้ว

“ ไม่เอา ไม่ให้คุยแล้ว ..เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ ”

   แหนะ! ยังจะชวนน้องของผมคุยต่ออีก หมูจะไหม้แล้วเนี่ย พลิกหมูกลับไม่ทัน น้องต้องวางสายมาช่วยผมพลิกได้แล้ว ไม่รู้หรือไงนะคุณฎี

“ ไว้เจอกันครับ ฮื้ม? อยากบอกฝันดีด้วยหรอครับ ฮ่ะๆ ครับๆ แค่นี้นะครับ”

   บอกฝันดีกันด้วยแหะ

“ อร่อยเนาะพี่กาด ” คิวท์พูดอย่างร่าเริงแล้วคีบหมูลงจากเตาไปจิ้มน้ำจิ้มเข้าปากไม่หยุด

“ อืม อร่อยมากๆ ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะค่อยๆ คีบหมูสไลด์ลงเตาทางฝั่งน้อง

“ เมื่อกี้ เอ่อ.. พี่ฏีโทรมาหาครับ ”

“ อ่อ พี่รู้ๆ ” พี่แอบฟังอยู่

   แล้วก็คิดอยู่ด้วยว่าคุณฏีเขาจะโอเคกับความสัมพันธ์แบบนี้หรือเปล่านะ..

“ อื้ม! เราสั่งหมูสามชั้นกับเบคอนเพิ่มเนาะพี่กาด ”

“ เดี๋ยวๆ คิวท์! พี่..มีอะไรจะถาม ”

   ตอนแรกกะว่าจะปล่อยผ่านไปเหมือนทุกครั้ง แต่ใจมันสะกิดสมองสั่งให้ปากเรียกชื่อน้องเอาไว้ก่อน เพื่อความสบายใจของตัวผมเอง ผมควรจะถามเรื่องนั้นกับน้องได้แล้วใช่มั๊ยล่ะ

“ ครับ? ” คิวท์ที่กำลังลุกเอื้อมมือไปหยิบกระดาษเมนูอาหารพยักหน้าทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม “ เรื่องไหนพี่กาด? ”

“ คุณเขาโทรหาเราตลอดเลยหรอ? ”

“ อะไรนะครับ? ”

   คิวท์ก้มๆเงยๆมองใบเมนูที่เพิ่งหยิบมาสลับกับมองหน้าผมด้วยสีหน้างุนงง เหมือนไม่อยากเชื่อที่ผมถามออกไป

“ ก็คุณฎีรดลน่ะ.. ”

   ถึงแม้เจ้าของฝ่ามืออุ่นๆ จะไม่ได้โผล่มาที่กองถ่ายเพราะไปทำอะไรสักอย่างที่ญี่ปุ่น เขาก็ยังติดต่อกับคิวท์เสมอผ่านทางข้อความไลน์ เช่นเดียวกันกับวันนี้เมื่อถึงเวลาที่น้องว่างก็หยิบจับโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบเสมอๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากสนใจนัก แค่ดันสายตาดีไปเห็นเองตลอด และเมื่อกี้ผมก็ได้ยินที่เขาโทรศัพท์มาหาน้อง

“ เขาทักเรามาบ่อยหรอ? แล้วโทรคุยกันบ่อยมากมั๊ย? ”

“ กะ..ก็บ่อยนะครับ แต่..ไม่ได้บ่อยขนาดนั้นนะครับพี่กาด ”

“ อืม ”

   คำตอบของคิวท์ทำให้ผมเผลองับปากของตัวของลง ไม่ต่อบทสนทนาอะไรกับน้องต่อปล่อยให้อีกคนที่เพิ่งพยักหน้าตอบและรอฟังทำหน้าตางงมากกว่าเดิม

“ อย่าเงียบสิครับ ใจคอไม่ดี.. มีอะไรเรื่องพี่ฎีที่อยากรู้ พี่กาดถามคิวท์มาเลย ” คิวท์สะกิดมือผมยิกๆ

“ ไม่มีอะไร ”

   ‘พี่กับคิวท์รู้ดีว่ามันเป็นยังไง.. แล้วผักกาดเป็นถึงผู้จัดการของน้อง ก่อนที่จะมาถามพี่เราเคยถามคิวท์ก่อนหรือยังว่าน้องเขาคิดยังไงในเรื่องนี้’
   
   แม้ปากจะตอบคิวท์ไปว่าไม่มีอะไร แต่สมองมันกลับไปนึกถึงน้ำเสียงติติงของอีกคนที่บอกผมไว้ในวันนั้น

“ พี่กาดเป็นผู้จัดการคิวท์นะ เป็นพี่ชายของคิวท์ด้วย ถามอะไรคิวท์ก็ตอบหมดอ่ะ อยากตอบมากเลยนะเนี่ย ” คิวท์วางปากกาที่กำลังเขียนจำนวนอาหารเพื่อส่งเพิ่มลงบนโต๊ะ ก่อนถูมือตัวเองไปมาเตรียมตัวพร้อมตอบคำถามเต็มที่

“ เรื่องคุณฎีรดล.. ”

“ เรื่องพี่ฎี! โอ๊ะ ถามเลย ตอบได้หมดเลยครับ^^ ” คิวท์เอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงดีใจปนตื่นเต้น พร้อมส่งรอยยิ้มเล็กๆที่น่าเอ็นดูออกมา

“ พี่มีเรื่องสงสัย แต่พี่ไม่รู้จะเริ่มยังไง พี่เลยว่าจะไม่ถามดีกว่า ” ผมส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ ซึ่งทำให้คิวท์หรี่ตาและเผลอยู๋ปากอย่างผิดหวังที่ผมพูดกลับไปกลับมา   

“ ไม่เอาๆ ต้องถามๆ อืมมม.. เริ่มที่เรื่องความสัมพันธ์ของพี่ฎีกับคิวท์มั๊ย? ”

   ผมตาโตมองคิวท์ แล้วก็หันมองซ้ายขวาซ้าย ราวกับกลัวว่าจะมีคนมาได้ยินเรื่องที่เรากำลังคุยกัน แต่เสียงของคิวท์ก็เรียกสติให้ผมกลับไปสนใจ

“ พี่ฏีกับคิวท์อะ เป็นแค่พี่น้องกันนะพี่กาด ”

“ ทำไมรู้.. หรือเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา หรือเขามาเล่าอะไรให้เราฟัง.. ” โดยเฉพาะเล่าเรื่องที่ผมกับเขาเคยคุยกันที่ร้านอาหารวันนั้น

“ เปล่าครับ คิวท์สังเกตเอง สังเกตหลายครั้งด้วย เหมือนพี่กาดจะไม่ค่อยพอใจที่ เออ..ที่พี่ฎีเข้ามาคุยกับคิวท์ หรือเวลาที่พวกผมอยู่ด้วยกัน แหะๆ ” ว่าแล้วน้องน้อยก็หัวเราะแห้งๆ มองผมทีหลบสายตาที

“ พี่ไม่ได้ไม่พอใจนะ ”

“ แต่ก็ไม่ชอบใจอะดิ ”

“ ไม่ได้ไม่ชอบใจด้วย ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียวมองคนหน้ามุ่ยที่เริ่มหายใจฟึดฟัด ใช้ตะเกียบคีบวุ้นเส้นเข้าปากรัวๆ เพราะเดาใจผมไม่ถูกซักที

“ แล้วทำไมครับ หรือว่า..พี่หึงใช่มั๊ยล่ะ? ” แค่เพียงชั่ววินาทีที่คิวท์พูดจบประโยค ตาของผมก็เบิกกว้าง หึงเนี่ยนะ?

“ พี่จะไปหึงใคร! ” ผมยกสองมือที่ถือตะเกียบกับช้อนแนบปิดหูและพูดแทรกอย่างเร็ว จนพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ สะดุ้งเล็กน้อย เพราะเป็นจังหวะที่พวกเขากำลังจะลุกไปพอดีเลยหันมาเอ่ยแซวผมว่า ‘หึงใครครับน้อง’ ผมกับคิวท์ก็เลยรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ กันทั้งคู่

“ พี่หึง? หึงใคร.. ” ว่าแล้วผมก็หันกลับมาถามน้องต่อ

“ ก็..หึงผมไง ” แต่ดูมันตอบ พูดเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น

“ จะไปหึงเราทำไม ”

“ 5555 โอ๊ะ! นั่นสิเนาะ ใช่มั๊ยล่ะครับ คิวท์ล้อเล่นๆ พี่กาดจะหึงคิวท์ได้ยังไงกัน ..พี่กาดหึงพี่ฎีต่างหาก แน่ๆเลย ” คิวท์ว่าต่อด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์มองผมเหมือนจับผิด ก่อนจะเผยรอยยิ้มล้อเลียน

“ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ” และผมก็ยังยืนยันคำเดิม

“ …….แป๊บนะพี่กาด ” คิวท์ยกมือขอเวลานอก เพื่อยืนใบเมนูที่เขียนจำนวนอาหารที่ต้องการจะสั่งเพิ่มให้กับพนักงาน “ อ่ะ พูดต่อครับพี่ ”

“ พี่แค่..รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม ” ผมส่ายหน้าเอ่ยเบาๆ เพราะผมรู้ตัวว่ากำลังใช้คำพูดจากการที่ผมเป็นคนนอกมองเหมือนไปตัดสินใจแทนความสัมพันธ์ของน้องกับคุณฎี

“ ไม่เหมาะสม.. ยังไงครับ? ” คิวท์ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องที่ผมพูดทำหน้าสงสัย และตั้งใจฟังขึ้นมาทันที

   มันก็ไม่ได้ไม่เหมาะสมขนาดนั้น แต่ผมไม่รู้จะใช้คำพูดไหนมาอธิบาย ผมไม่ได้หมายถึงหน้าตา ฐานะ หรือเพศสภาพของทั้งคู่นะ แต่ผมเน้นความหมายไปทางความรู้สึกของพวกเขา

   ผมอาจจะมองในมุมมองของคนที่ไม่เคยมีความรักมั๊ง

   รู้ว่ารักก็คือรัก เพราะผมมีตัวอย่างจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นแบบที่ตารักยาย แบบที่พ่อรักแม่ หรือแบบที่ไอ้แยมรักพี่ปัง รวมทั้งคิวท์ที่กำลังรู้สึกดีๆกับเก่งกล้า

   ผมรู้ว่ามันมีอยู่จริงๆนะ ไอความรักที่มีรูปแบบของการที่ทั้งคู่รักกันเนี่ย มันคงทำให้กันและกันมีความสุขมากๆ

   เพียงแต่..ถ้าความรักมันอยู่ในรูปแบบของคนที่รักเขาข้างเดียว..โดยที่เขาไม่รักล่ะ มันยังจะมีความสุขอยู่มั๊ย

“ อะ พี่ถามก่อน.. เรารู้สึกบางอย่างกับเก่งกล้าใช่มั๊ย? ”

“ หาา? พี่กาด! o.o พี่กล้าเขาเป็นคู่จิ้นของคิวท์นะ คิวท์.. ” คิวท์ตาโตบอกปัดออกมาได้ไม่เต็มปาก

“ แต่เราก็รู้สึกดี จนไปถึงขั้นชอบแล้วใช่มั๊ยล่ะ ”

“ พี่กาดดดด จุ๊ๆ ฮือ พี่กาดรู้หรอ? ได้โปรดอยากบอกใครนะ ” น้องน้อยวิ่งอ้อมโต๊ะเนื้อย่างมานั่งข้างผม ขยับตัวเข้ามาใกล้ เอาแขนมาคล้องแขนผมไว้ หัวหนุนไหล่ผมทั้งยังพนมมือราวกับขอร้อง จนผมต้องหัวเราะรั่ว มันจะเสียอาการอะไรขนาดนั่นเลยหรอ แค่โดนจับได้ว่าตัวเองชอบเก่งกล้าเนี่ย

“ อ่าๆ พี่ไม่บอกใครหรอกน้า ” เพราะใครๆ เขาก็ดูออก ไอ้ปลาทูน้อยเอ้ยย

“ ตะ..แต่พี่รู้ได้ยังไง ” คิวท์ถามด้วยรอยยิ้มเขินขณะที่ค่อยไปผละตัวออกไปนั่งที่เดิมในฝั่งตรงข้าม

“ ก็พี่อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ต้น พี่รู้ ” ผมเอ่ยแล้วอมยิ้ม มองคนหูแดงคอแดง พอเขินแล้วเลือดสูบฉีดดีเหลือเกิน

“ ครับ แต่..พี่ห้ามบอกพี่กล้านะ ”

“ อืม ไม่บอกๆ ” ว่าแล้วผมก็สัญญาเกี่ยวก้อยกับน้อง

“ แล้ว..ชอบไม่ชอบพี่กล้ามันเกี่ยวอะไรกับพี่ฎีอะครับ ” น้องน้อยเอ่ยถามต่อด้วยสีหน้าสงสัย

“ ก็มันไม่เหมาะสมไง ถ้าเราชอบอีกคนหนึ่งอยู่ เราจะไปให้ความหวังอีกคนทำไมล่ะ ”

“ ชอบอีกคน? ”

“ หมายถึงเราที่เก่งกล้า ” ผมเอ่ยเบาๆ

“ อ๋อ แล้ว..ให้ความหวังอีกคน ”

“ หมายถึงเราที่ไปให้ความหวังคุณฎีไง ” ผมก็เอ่ยเบาๆอีกรอบ

   ความหายของผมก็ตรงตัวเด๊ะๆ คือถ้าคิวท์ชอบเก่งกล้า น้องก็ไม่ควรจะไปให้ความหวังคุณฏี

“ มะ.. ”

“ เข้าใจใช่มั๊ยล่ะ ง่ายๆ เลยคือพี่ไม่อยากให้ต้องมีใครที่มาเสียใจและผิดหวัง ” ผมรีบพูดต่อแบบไม่รอให้น้องได้พูดแทรก

“ พี่กาด.. ”

“ ถ้าการที่คุณฎีจะมาชอบคิวท์ รักคิวท์ข้างเดียว เขาก็ต้องเป็นฝ่ายที่เสียใจอยู่แล้ว เพราะคิวท์ชอบเก่งกล้า ดังนั้นพี่เลยคิดว่ามันไม่เหมาะสม คิวท์น่าจะวางตัวแสดงให้เขารู้ไปเลยว่าเราไม่ได้ชอบเขา ”

“ พี่กาดคิดว่าพี่ฎีชอบคิวท์??? และคิดว่ามันไม่เหมาะสม ” คิวท์เอ่ยหน้างง พร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ อืม ” ผมรีบพยักหน้าหงึกหงัก

“ พี่กาดกลัวว่าพี่ฎีจะเสียใจเนี่ยนะ? ”

“ ใช่ เอ๊ยย! ไม่ได้หมายถึงแค่คุณฎี แต่พี่หมายถึงทุกคนที่มาชอบคิวท์ ทุกคนที่มีรักข้างเดียว ” ผมพยักหน้าอีกหนึ่งครั้งก่อนนึกได้ว่าไม่ใช่จึงรีบสั่นหัวรัวๆ โอย ปวดคอแล้วนะ

“ ไม่ใช่อะพี่กาด พี่กาดกำลังเข้าใจผิด ”

“ หื้อออ ไม่ผิดด ”

“ ที่คิวท์เข้าใจ คิวท์คิดว่า.. เออ.. คิดว่าพี่กาดอาจจะชอบพี่ฎีแบบไม่รู้ว่าตัวเองชอบ ”

??

“ หะ! พี่เนี่ยนะชอบคุณฎี ”

“ ใช่ครับ ” คิวท์พยักหน้าบวกกับสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างแน่วแน่ “ ชอบแบบ..ไม่รู้ตัว ”

   ชอบแบบไม่รู้ตัวเนี่ยนะ ใครมันจะโง่ไม่รู้ตัวเองว่าชอบขนาดนั้นว่ะ

   เอ๊ะ หรือว่าเรื่องนี้ผมจะโง่จริงๆ ?

   บ้า.. ผมไม่ได้โง่

“ ถ้าใช่ก็บ้าแล้ว พี่ไม่ได้ชอบ ” ผมยกมือโบกปฏิเสธไปมา ทั้งยังยืนยันเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบออกไปเสียงหนักแน่น แม้แววตาจะไม่ค่อยแน่ใจนักก็ตามเรื่องที่ตัวเองโง่ไม่โง่

“ เฮ้! คิวท์เข้าใจผิดหรอ? แต่สายตาพี่กาดมันแบบ.. ” คิวท์ชี้ๆที่โหนกแก้มใต้ตาแล้วใช้นิ้วดันๆจนตาหยี๋

“ สายตาพี่มันยังไง แบบไหน.. ” ผมทำหน้างง มองหน้าน้องผ่านกรอบแว่น นอกจากสายตาจะสั้นบรรลัยตั้ง 650 แล้ว มันยังมีสายตาแบบไหนอีก

“ มันแบบ..ไม่ธรรมดา ” คิวท์พูดพร้อมกับยิ้มกว้างที่ทำใบหน้าขาวปรากฎลักยิ้มสองข้างชัดเจน

“ ไม่ธรรมดา? ไม่ธรรมดาน่ะสิ พะ..พี่ไม่ได้ชอบเขา เพราะพี่มีเรื่องกับเขาเป็นการส่วนตัวต่างหาก เขากวนประสาทพี่ขนาดไหนเราก็รู้ อีกอย่างพี่ไม่ได้ไม่พอใจเรานะที่เขามาเจ๊าะแจ๊ะด้วย เพียงแต่พี่แค่เตือน เพราะไม่อยากให้เราต้องไปทำร้ายให้ใครเสียใจ ”

“ พี่กาด คิวท์ว่าไปกันใหญ่แล้วพี่ ” คิวท์รีบยกมือปางห้ามญาติเบรกไม่ให้ผมพูดต่อ

?

“ พี่ฎีไม่ได้ชอบคิวท์นะ ” คิวท์หน้ายุ่งก่อนถอนหายใจออกมาหนึ่งพรืด

“ แล้วเรารู้ได้ไง? ” ผมถามกลับอย่างไม่เชื่อ

“ ก็พี่ฎีเขาออกจะชัดเจน นี่อย่าบอกนะว่าพี่กาดยังดูไม่ออก ” คิวท์ส่งสายตาสงสัย ทั้งยังยิ้มแหย่ๆมาให้กับผม

“ อีกแล้ว.. คำก็ชัดเจน คำก็ดูไม่ออก เขาชัดเจนยังไง? พี่ก็เห็นอยู่ว่าเขามายุ่งแค่กับเรา ชัดเจนแค่กับเราอะ ”

“ โห ผมเครียดขึ้นมาเลยเนี่ย ไมเกรนขึ้น ” คิวท์ยกมือขึ้นมากุมขมับ ถอนหายใจยาวพรืดอย่างอ่อนใจอีกครั้ง เพราะจากที่เครียดอยู่แล้วเครียดขึ้นไปกว่าเดิม

“ ซะงั้น ”

“ พี่กาดคิดดูดีๆพี่ อ่ะ! แล้วพี่กาดไม่ต้องกลัวพี่ฎีจะเสียใจเรื่องคิวท์เลยนะ ขอยืนยันว่าพวกผมสองคนเป็นแค่พี่น้อง พี่น้องกันเท่านั้นครับพี่ ”

“ ...…. ” พี่น้องกันต้องโทรหากันบ่อยๆหรอ

“ และที่สำคัญ พี่ฎีไม่ได้ชอบคิวท์ อันนี้คิวท์ยืนยัน! ” คิวท์เอ่ยออกมาเหมือนปลงจนทนไม่ได้

   ดูหน้าน้องมันที่มองผมตอนนี้ ผมยังดูออกเลยว่ามันแอบบ่นผมในใจ ทั้งยังเห็นไอ้ผักกาดคนนี้เป็นเด็กน้อยที่อ่อนด๋อยเรื่องความรักมากกว่าตัวเอง เพราะพูดอะไรมาผมก็ไม่เข้าใจอะไรเลยสักกะอย่าง

“ แล้วทำไมคุณฎีเขาทำเหมือนชอบเรา ” พอไม่เข้าใจอะไร ก็เลยอยากรู้และถามต่อ

“ เช่นอะไรครับ ทำไมพี่กาดถึงคิดแบบนั้น ” คิวท์ทำหน้าคิดหนัก

“ ก็การพูดคุย ไลน์หา โทรหา ซื้อของมาให้ ชวนไปเที่ยว ”

“ แค่นั้นมันบอกไม่ได้หรอกพี่ อืม.. จะว่ายังไงดีล่ะ คือครอบครัวพวกคิวท์รู้จักกันครับ ลูกพี่ลูกน้องคิวท์เขาก็ทำงานกับพี่ฎี สถานะพวกเรามันก็ชัดเจนว่าเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องครับ ย้ำเลยนะว่าพี่น้อง เข้าใจเนาะพี่เนาะ ” คิวท์ยังอธิบายกับผมต่อ แล้วไถ่ถามความเข้าใจกับผมด้วยสีหน้าที่คาดหวัง

“ อืม ” ผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง เจ้าเด็กน้อยก็เลยยิ้มกว้างโชว์เหมือนสบายใจขึ้น

“ พี่ฏีเขามีคนในใจอยู่แล้ว มีมานานแล้วด้วย ”

“ จริงหรอ.. ”

“ จริงสิครับ อ่อ! ส่วนพี่ฎีจะคิดอะไรยังไงกับใครเนี่ย พี่กาดต้องรอฟังจากพี่ฎีเลย ย้ำเลยนะว่าพี่กาดต้องฟังจากปากพี่ฎี ” คิวท์เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง

“ ทำไมพี่ต้องรอฟัง? ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่ ”

“ เถอะหน่าพี่ ” คิวท์ตอบปัดๆ

“ …… ” วู้! อะไรว่ะ ผมเดาผิดหรอ ผมมองผิดหรอที่คิดว่าคุณฎีเขาชอบคิวท์ข้างเดียว และทำไมทั้งคุณฎีทั้งคิวท์ต่างก็บอกกับผมว่า ชัดเจนนะ! ดูไม่ออกหรอ?

   แล้วทำไมไม่พูดล่ะ ถ้าไม่ได้ชอบ ทำไมคุณเขาไม่บอกให้มันเคลียร์ตั้งแต่ตอนที่ผมถาม

“แล้วอีกอย่างเลย คือบางเรื่องที่พี่ฎีทำไปอะ เขาหวังดีนะพี่ เขาไม่ได้อยากจะแกล้งหรือปิดบังอะไรพี่กาดเลย ”

“ เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ” เมื่อคิวท์พูดจบผมก็ได้แต่พึมพำถามเบาๆ

“ เดี๋ยวพี่กาดก็จะรู้เองครับ อย่าถามคิวท์เลย แค่นี้คิวท์ก็แทบจะบอกทุกอย่างออกไปหมดแล้วนะ ”

“ ……. ” บอกทุกอย่างอะไรว่ะ ทำไมผมยังไม่เห็นจะเข้าใจ

“ แล้วถ้าพี่กาดรู้ ก็อย่าโกรธคิวท์ด้วยนะเข้าใจมั๊ยครับ ”

“ พี่จะไปโกรธอะไรเราอีกอ่าา ” ผมเอ่ยพร้อมส่งสายตามองน้องด้วยหน้าหงอยๆ แกพูดอะไรมาพี่ไม่เข้าใจเลยเนี่ย

“ คิวท์ไม่บอก บอกไม่ได้จริงๆ >< คิวท์กอดหน่อย ไปแล้วๆ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บ อย่าโกรธนะ ” คิวท์พูดทิ้งท้ายรัวๆ พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นวิ่งอ้อมโต๊ะมากอดผมไม่ถึงสามวินาทีก็ผละออกแล้ววิ่งออกไปทางห้องน้ำเลย

   เฮ้อ.. เรื่องเก่ายังเคลียร์แบบไม่เคลียร์ เอาเรื่องใหม่มาพูดให้ผมงงอีกแล้ว ไอ้น้องน้อยเอ๊ยย

“ ขอเสริฟอาหารครับ ”

“ ครับ วางเลยครับ เอ๋? ทะ..ทั้งหมดนี้เลยหรอครับ ” ผมมองคอนโดถาดอาหารที่ตัวเองไม่ได้สั่งอย่างอึ้งๆ พี่พนักงานทยอยเอามาวางลงที่โต๊ะใหม่เรื่อยๆ

“ ใช่ครับ ”

   สองคอนโด ทั้งหมดเป็นจำนวนเกือบยี่สิบถาด ไหนจะผักรวมอีกชุด ไข่ไก่อีกสองฟอง เชี่ย! เราจะกินหมดมั๊ยเนี่ยคิวท์ แกสั่งมาไม่ถามกันเลยว่าพี่จะกินด้วยมั๊ย แล้วทำไงที่นี่..

“ พี่ครับ ผมขอคืนสักสิบถาดได้มั๊ยครับ แหะๆ ”





❤ 100 เปอร์เซนต์ (%)

----------------------



1 ไลค์ 1 คอมเมนต์ = 1 กำลังใจ ❤

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

(◜◡‾) (‾◡◝)




นักเขียน :: ตอนนี้ยาวมากเลยน้าาา แต่พี่ฏีโผล่มาน้อยนิด555
ฝากทวิตเตอร์ :: แม่น้องผักกาด @PimpipamS
ติดแท็ก #คุณฎีของผักกาด
ฝากคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจ❤หน่อยค่าาา รักคนที่เข้ามาอ่านทุกคนนะคะ





ออฟไลน์ Tawanwee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องคิวท์ก็น่ารักนะ ปายๆๆ :katai5:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
คุณฎีต้องรุกหนักกว่านี้แล้วละ เจ้าผักกาดคนไม่รู้เรื่องความรัก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ต้องรุกแบบชัดๆเพราะคุณกาดสายตาสั้นนะคุณฎี
 :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ funndee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบตอนอดีตที่พี่ฎีพูดกูมึงอะ แล้วปัจจุบันคือพูดเพราะกันมาก ครับๆๆ กับคนที่ชอบแหละเนาะะะะ

ออฟไลน์ luklukky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบคนกวนประสาทอันดับหนึ่งจริงจริ๊งงงง :m3: :m3:

ออฟไลน์ Nadaii20

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือมันเขินตั้งแต่ ยัก ยัก ไม่ยักษ์ แล้วเว้ยแกกก :fox2: :fox2:

ออฟไลน์ Yeewajj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากอ่านต่อมากกกก :katai4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ทุกคนช่วยกันปิดเก่งมาก 55555555555555

ออฟไลน์ orayassa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถ้าชอบตั้งแต่ตอนนั้น คือชอบมานานมากแล้วนะ

ทำไมไม่จีบน้องดีๆ หรือจีบแล้วแต่ผักกาดมันไม่รู้เรื่อสักที55555
:m20:

ออฟไลน์ ้ีืhunnaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ผักกาด ลูกเอ๊ยยย คิวท์ยืนยันขนาดนั้นแล้ว
รอฟังจากปากคุณฎีเลยลูกกก :ling2:

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 
คุณฎีของผักกาด ʕ·ᴥ·ʔ

ตอนที่ 06 :: ฝนอะไรเป็นใจจัง ขึ้นห้องกัน(!?)
 
 





   พ่อจ๋า ไอ้กาดไม่กลับกาญนะจ๊ะ ไอ้กาดมีคอนโดเป็นของตัวเองแล้ว

N’ Pakkhom

calling...


‘ พี่กาดดดดด!! เห็นสองแฝดบอกว่าพี่ย้ายไปคอนโดหลายวันแล้ว ’

“ ใช่ ”

‘  ทำไมพี่กาดไม่บอกโขมอะ ผมเป็นน้องพี่นะะ ’

   ผมเกาหน้าผากตัวเองแรงๆ ไม่ใช่เพราะคัน แต่เป็นเพราะปวดกบาลที่โดนน้องชายตัวโตกว่าหมา งอแงใส่กันอีกแล้ว
   
“ ทำไม? จะมาขนของช่วยหรือไง ”

‘  ป่าว โขมอยากไปยืนดูพี่ขนของเฉยๆ อาจจะร้องเพลงเชียร์ให้ด้วยนิดหน่อย ’ คนในสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“ ไอ้น้องเวรหนิ! ” ด่าให้เลย

‘  อย่าด่าดิ ใจโขมเล็กนิดเดียว ’ พี่เกลียดท่าประกอบนิดเดียวว่ะโขม พูดว่าอย่าด่าแต่น้ำเสียงกวนให้ด่ามากกว่าเดิม

“ เอิ่ม ”

‘  อย่าทำหน้าทำเสียงเอือมน้องด้วย! ว่าแต่..อยู่ชั้นไหนอะพี่ ห้องสวยป่ะ? ’

“ ชั้น 17 ห้องสวยนะ กว้างด้วย ”

‘  โหห เนี่ย พี่ย้ายไปเล่นไม่บอกน้อง รู้ป่ะน้องอยากไปเห็นอะ น้องนะ นี่โขมน้องพี่กาด น้องเอง น้องของพะ.. ’

“ พ่ามอะไรเนี่ย มีไรอีกม่ะพี่จะไปหาอะไรกิน ร่างกายมันสั่งให้ไปหาไรกิน ถ้าไม่งั้นพี่คงได้กินหัวแกแน่ ”

‘  เนี่ย! ไม่ฟังกัน แล้วยังมาโมโหหิวอีก ’

“ ฟัง แต่ไม่รู้เรื่องโว้ย ” ผมยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองไปมา

‘  ชิ ไม่มีแล้วก็ได้ ไม่คิดถึงด้วยคนใจร้าย ’

“ …… ” ตกลงมันเป็นน้องคนกลางหรือน้องคนเล็กสุดของบ้านวะ สองข้าวยังไม่งอแงเท่าผักโขมคนเดียวแบบนี้เลยนะ

‘  …....  ’

“ เอ้า ไมไม่วางล่ะ? ” ผมถาม เพราะเราต่างก็เงียบไปสักพัก

‘  แป๊ปดิ มีไรจะบอกครับ ...รักพี่นะ อย่าแอบไปมีแฟนแล้วไม่บอกน้องล่ะ โขมหวง หวงมั๊กมาก ไปจริงๆแล้วก่อนถูกด่า ’

“ ไอ.. ”

ติ๊ด!

   หึ ไอ้น้องเพี้ยนเอ้ย

   ผมยังงงไม่หาย ที่ถูกน้องชายโทรมาพูดๆๆแล้วตัดสายไปก่อนเพราะกลัวโดนผมด่า ดูมันดิ้โวยวายแบบเล่นใหญ่ เรื่องที่ผมย้ายเข้าคอนโดโดยที่ไม่บอก จนคนเป็นพี่อย่างผมแทบหมดพลังงาน

   แค่ฟังผักโขมพูด ผักกาดก็เหนื่อยสุดล่ะ

   ดูนาฬิกาอีกทีก็จะบ่ายโมงครึ่งแล้ว ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า

“ มือสั่นอีกแล้วนะคนเรา ”

   บ่นให้ร่างกายตัวเอง ไม่ชอบไอ้อาการไม่มีแรงของตัวเอง แม้ท้องไม่ร้องหรือไม่อยาก แต่ตาจะลายและมือเริ่มสั่น อาการแบบนี้คือหิวอยู่ดี ต้องหาอะไรมากินเพื่อเพิ่มพลังงานเท่านั้นเลย

   วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของผมด้วยเลยตื่นสายได้

   พอตื่นมาผมก็เริ่มจัดของ วางนู้นวางนี้ที่ซื้อเข้ามาเพิ่มเติม จัดๆ วางๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็สวยเอง

   ผมลุกจากพื้นพรมห้องนั่งเล่นไปหยิบกระเป๋าตังค์ในห้องนอน และกระเป๋าผ้าในห้องครัวที่มีกล่องพลาสติกเล็กๆใส่ไว้ เพื่อเอาไปใส่อาหารตอนซื้ออาหารกับร้านตามสั่งที่อยู่หน้าปากซอย

   คอนโดของผมห่างจากทางเข้าหรือหน้าปากซอยระยะทางประมาณ 700 เมตรได้ ดังนั้นผมจึงเลือกวิธีการเดิน

“ ผัดกะเพราปลาหมึกบวกปลา 1 กล่องครับ นี่ครับผม”

   ว่าแล้วก็ยื่นกล่องข้าวน้อยไปให้กับแม่ค้า ตั้งใจว่าจะสั่งกลับไปกินบนห้อง จะแวะซื้อของเล็กน้อยที่มินิมาร์ทแล้วกลับไปนอนตีพุงดูซีรีย์สักเรื่อง






เปาะแปะ! เปาะแปะ!

“ เอ้า! ซวยแล้ว ” ฝนตก?

   โธ่ ไหงเป็นงี้ ทำไมฟ้าต้องแกล้งคนอย่างผักกาดดด

   ผมที่เดินทอดน่องสบายใจเฉิบออกจากมินิมาร์ทในตอนแรกกลับต้องหน้าหงอยลง ทั้งยังอยากจะเอาหัวไปโขกกับเสาไฟฟ้า เพราะร่มก็ไม่ได้พกมาด้วย

   แต่ช่างมันเถอะ ใครจะไปรู้ว่าฝนจะตกแบบนี้ ตอนเดินลงมาจากคอนโด คุณท้องฟ้ายังสดใสกว่านี้ตั้งเยอะ ตอนนี้กลายเป็นว่ามีแต่กลุ่มก้อนเมฆสีเทา ท้องฟ้ามืดครึ่มแถมลมยังพัดกระโชกแรงอีก

“ กลับให้ทันก็พอ ” ผมตั้งสติแล้วบอกกับตัวเองว่าอย่างงั้น ก่อนรีบออกตัวเดินเร็วขึ้น พร้อมยกถุงผ้าที่ใส่กล่องข้าวมาบังละอองฝนที่ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ ดีที่วันนี้ผมใส่คอนแทคเลนส์แทนแว่นตาออกมาพอดี ไม่งั้นฝนตกแบบนี้ก็จะทำให้แว่นตาเปียก พร่ามัวและมองทางก็จะไม่เห็นไปอีก

เปาะแปะๆๆ!

   แต่ตอนนี้ผมต้องกลับไปให้ถึงคอนโดก่อน ก่อนที่ฝนจะตกแรงกว่านี้ ไม่งั้นเปียกทั้งตัวทั้งหัวแน่นอนจ้ะ

   

ซ่าาา ๆๆ ซ่าาา

   ไอ้เชี่ยเอ้ย !!

   ผมไม่ได้ตั้งใจด่านะคุณท้องฟ้า แต่มันเป็นคำอุทานที่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ที่สุดแล้ว เพราะผมก้าวเท้าเดินยังไม่ทันครบ 20 ก้าวเลยมั๊ง

“ ไม่ทำกับผักกาดแบบนี้ดิคู้ณณณ ”

   ผมยืนนิ่งมองท้องฟ้าที่มืดมัว มองฝ่าเม็ดฝนที่ถูกเทกระหน่ำลงมา ถนนหนทางด้านหน้าเป็นม่านฝนสีขาว ทุกคนรอบตัวเริ่มออกตัววิ่งเร็วขึ้น และลับหายไป

   ทั้งที่ตอนนี้ผมเร่งตัวเองมาอยู่กลางๆ ซอยแล้วแท้ๆ คอนโดสูงตะหง่านตรงหน้าที่เหมือนใกล้ๆ ดูไกลไปเลยแม่จ๋า

   ผมชอบเล่นน้ำก็จริง ชอบไปเที่ยวสถานที่ที่มีน้ำ น้ำตก น้ำทะเล แต่ไม่ชอบเลยเวลาที่ฝนตกแล้วเฉอะแฉะ ใช้ชีวิตลำบากขึ้นไปอีก

   อยากจะวิ่ง แต่ไม่อยากให้น้ำกระเด็นโดนเลย

“ ที่หลบก็ไม่มี ” ผมบ่นกับตัวเองนิดหน่อยแข่งกับเสียงฝนในขณะที่เดินสับขาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

   อยากให้มีคนวิ่งเอาร่มมารับจัง กระเป๋าผ้าใส่ของของผมเปียกหมดแล้ว หนักกว่านั้นคือไปทั้งหน้าทั้งผม เปียกปอน หึ

   เสียงหัวเราะสมเพสในความหวังเล็กๆ ของตัวเองหยุดลง เมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับผืนน้ำที่ระบายไม่ทันอยู่บริเวณพื้นถนน จากด้านหน้าไกลๆ และเริ่มเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ

   ฝนตกแรงขนาดนี้ ยังมีคนวิ่งฝ่าฝนออกมาอีก เขาใช้มือข้างขวาของตัวเองถือร่มเพื่อกันฝนที่กำลังตกลงมา และรวบกระเป๋าผ้าที่เหมือนจะใส่ของไว้จนตุงเต็มกระเป๋าถือไว้ในมือข้างเดียวกัน

   ผมมองฝ่าสายฝนสีขาวเห็นเป็นเงาจางๆ จนเริ่มเปลี่ยนเป็นภาพและรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น ผู้ชายตัวสูงมากๆ ใบหน้าขาวสะอาด นัยน์ตาสีน้ำตาล เขากำลังวิ่งฝ่าสายฝน และมาหยุดยืนตรงด้านหน้าของผม

   
หมับ

“ วิ่งดิ หัวเปียกเป็นลูกหมาแล้ว ”

   ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีมือของคนที่วิ่งเข้ามาอย่างไม่คาดคิดเข้ามาจับหมับเข้าที่ต้นแขนของตัวเองไว้

“ เฮ้ย! ..คุณฎี O.O ”

   ใช่ ..คือเขาจริงๆ

   เขาวิ่งมาอยู่ตรงนี้ได้ไง
   
   เขาวิ่งมาหาผมหรอ?  หรือแค่บังเอิญ..

“ ตกใจอะไรขนาดนั้น วิ่งเร็วครับ ”

“ หะ? ” ผมมองหน้าคนหอบหายใจที่ตัวเริ่มเปียกชื้นเล็กน้อยอย่างเต็มไปด้วยคำถาม เขาฝ่าฝนมาจากไหน ฝ่าจะไปไหน แล้ว..ฝ่ามาทำไม

“ วิ่ง! ”

“ เดี๋ยวๆครับ มันเปียก  ” เร็วเท่าความคิด ผมยั้งตัวเองไว้พยายามไม่ให้ตัวเองวิ่งไปตามแรงดึงของคุณฎี แม้ขาของผมมันจะก้าวฉับๆ ตามเขาแล้วก็ตาม

“ ถ้ายังช้า ก็จะเปียกกว่านี้ครับอย่ามัวแต่คิด มากับพี่เร็วเดี๋ยวไม่สบาย ”

   ไม่สบายหรอ?
 
   ผมไม่อยากไม่สบาย


“ ทำหน้างงอีกแล้วนะเรา ม่ะ ”

   ไม่รู้ผมทำหน้างงออกไปแค่ไหนเหมือนกัน

   รู้ตัวอีกทีก็..ยอมให้คนที่เพิ่งเจอในรอบหนึ่งเดือน เปลี่ยนเอาฝ่ามือใหญ่จากที่จับต้นแขนมาสอดประสานปลายนิ้วแล้วกอบกุมเข้าที่ฝ่ามือเล็กของตัวเอง ยอมถูกรั้งตัวเข้าไปอยู่ในร่มคันใหญ่ด้วยกัน พร้อมกับยังยอมก้าวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งให้เร็วขึ้นตามแรงจูงอีกด้วย สงสัยวันนี้สติของผมมันรวนอีกรอบแล้ว..

   คนตัวสูงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้างๆกัน ทำเพียงหันมามองผมบ้างเป็นระยะ ผิดกับผมที่เผลอ..มองเขาจากด้านข้างไม่ยอมหยุด

   ไม่ละสายตา
   
   มองตั้งแต่เท้าของคนที่สวมรองเท้าแตะแบบคีบสีดำสบายๆ กำลังก้าวเท้าฉับๆข้างๆผมที่สวมรองเท้าแตะแบบสวมสีเดียวกัน
   
   มองข้อมือข้างซ้ายของคนที่สวมนาฬิกาแบรนด์ mondaine ฝ่ามือกำลังจับมือข้างขวาของผมที่ใส่แค่กำไลข้อมือสลักชื่อเล็กๆว่าผักกาด
   
   มองต้นแขน หัวไหล่ ไล่ไปถึงใบหน้าขาวในมุมด้านข้างของเขา

“ มอง มองเข้าไป ”

“ อะไรนะ!? ”

“ มองกันเก่งขึ้นนะครับ เมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจมอง ” คุณฎีเอ่ยพร้อมขยิบตาให้หนึ่งข้าง ซึ่งกลายเป็นผมที่เหลอหลาปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ บ้าเหรอ! ป่าว ป่าวนะ! ผมไม่ได้มองสักหน่อย! ”

“ คราวนี้ทำไมไม่เถียงว่าพี่ก็มองเราล่ะ ” รื้อฟื้นเก่งว่ะคนนี้

“ ก็เดี๋ยวนี้คุณฎีไม่ได้มองผม เหมือนตอนนั้นสักหน่อย ” แต่มองมากกว่าเดิม มองมากกว่าการมองเพื่อจะแกล้งกัน ผมคิดจากที่เห็นนะแต่ไม่กล้าพูด

“ หึ พี่ก็แค่พูดเล่น ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นล่ะ ” เขาส่ายหน้าขำ

“ ผมไม่ได้ตกใจด้วย ถึงหน้าผมเหมือนคนตกใจ แต่ผะ.. ผมไม่ได้ตกใจ ”

   ผมเถียงขาดใจแม้จะไม่ค่อยเต็มเสียงก็ตาม ผมก็พอรู้ตัวว่าเมื่อกี้ตัวเองมองผู้ชายตัวสูงที่ผมเองมักบอกว่าไม่ชอบหน้านานเกินไปจริงๆ แต่ไม่อยากยอมรับความจริงอ่ะ จะทำไม!

   ผมมองแต่ใช่ว่าจะสนใจสักหน่อย ก็แค่..มองเพราะไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ทำอะไรมา มองเพราะช่วงที่ผ่านมามีคนเข้ามาทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเขากับผม มองเพราะแต่ละวันในช่วงหนึ่งของความคิดมักจะนึกถึงเขาอยู่ตลอด

   และในหัวดันมีแต่คำถาม


“ ..คุณฎีมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ ”

   ในช่วงเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมไม่เห็นคุณฎีเลยด้วยซ้ำ คุณฎีไม่ได้ไปกับพี่รดาที่กองถ่าย ไม่ได้แวะเข้าไปหาคิวท์ ผมรู้เพียงแต่ว่าเขาติดต่อคิวท์ผ่านทางโทรศัพท์เสมอ

" ไว้ถึงก่อน ค่อยคุยกันนะครับ " คนเสียงทุ้มเอ่ยแล้วหันมาอมยิ้มๆ

   คุณฎีผมยาวขึ้นนะ

   เส้นผมปรกด้านหน้ายิ่งดูยาวขึ้นมากๆ อย่างเห็นได้ชัดเลย คงเพราะวันนี้เขาไม่ได้มีการเซ็ตทรงผมใดใด ปลายผมลอนนั้นถูกปล่อยเป็นธรรมชาติ มีชี้มีฟูเล็กน้อย และลูบลีบบ้างบางส่วนเพราะเปียกจากละอองและเม็ดฝน

   บางทีฝนก็ทำให้คนดูไม่หลงเหลือสภาพที่ดี แต่คุณฎีคือข้อยกเว้นหรือเปล่านะ

   เพราะคนที่ไม่เหลือสภาพมันคือ ไอ้ผักกาดคนนี้เอง แหม.. หัวก็เปียกเหมียนหมาตกน้ำแล้ว

" ได้ยินเสียงพี่มั๊ย ..ผักกาด ..ผักกาด ..ผักกาด! "

" เอ๊ะ! คุณจะเรียกชื่อผมทำไมนักหนา "

   ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของคุณฏี หลุดขำหลังจากที่หันมามองและเรียกชื่อของผมซ้ำๆ จนตัวคนถูกเรียกอย่างผมสะดุ้งโหยง(!?)

" นึกว่าไม่ได้ยิน "

" ผมได้ยิน.. แต่เมื่อกี้คิดเรื่องอื่นอยู่เลยไม่ตอบ "

" คิดเรื่องไหนกันครับ หรือคิดเรื่องพี่ วันนี้เรามองพี่ไม่หยุดเลยนะ "

" ก็บอกว่าไม่ได้มองไงครับ" อย่าล้อกันได้ป่ะ " แล้วคุณจะพาผมวิ่งไปถึงไหน มะ..เมื่อไรจะถึงสักที"

   ไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี้ ข้างถนน ท่ามกลางฝนที่ตกลงมา

" คุณฎีอยู่แถวนี้หรอ? "

" ครับ แถวๆนี้ พี่ไปซื้อของมานะ"

   ผมมองถุงผ้าที่เขาตั้งใจยกเข้ามาใกล้จนเกือบฟาดดั้งกัน! และจังหวะที่เขาหักข้อมือข้างที่ถือของขึ้นมาให้ดู ก็ทำให้ร่มที่เขาถือทางของผมถูกเปิดออก 

“ เปียกๆ คุณนี่! ” ว่าไม่ทันจบ ผมก็รีบเอามือข้างซ้ายที่ถือของไปคว้ามือหนาที่ถือคันร่มให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมที่สามารถกันฝนให้เราทั้งคู่

“ ก็พี่กลัวไม่เห็นถุงผ้าสีเขียว ” เขาพูดเสียงอ่อนใจ เลือนสายตามองมือของผมที่จับทับกับมือของเขา ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ตัว ค่อยๆปล่อยมือออกจากมือหนานั้นลงมาไว้ข้างตัวเหมือนเดิม

“ แต่ผมกลัวเปียก! ” ผมโพล่งขึ้น

“ แต่เราก็เปียกอยู่แล้วนี่ครับ ” เขาพูดหัวเราะในลำคอ ดวงตาฉายแววขบขัน

“ ครับ! ” ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเปียก เปียกจนถึงกางเกงในแล้วเนี่ย!


   ถุงผ้าสีเขียว

   พอเข้าใจนะช่วงนี้งดใช้ถุงพลาสติก แต่ทำไมคุณฎีต้องใช้ถุงผ้าสีเขียวสีเดียวกับที่ผมชอบด้วย

   อืม ถ้าอย่างนั้นคุณเขาก็ซื้อของเสร็จแล้วน่ะสิ แล้วเขาจะวิ่งกลับไปทางหน้าปากซอยทำไม? ลืมเงินทอนที่มินิมาร์ทหรอ?


" ถึงซักที เฮ้อ "

   คำพูดปนเสียงหายใจหอบเหนื่อยของคุณฎีทำให้ผมละสายตาจากคนที่เดินนำ ใช้เวลาไม่นานเพราะต่างคนต่างก็ไม่อยากเปียกไปกว่านี้

“ ที่นี่? ”

   พวกเราทั้งสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตูกระจกทางเข้าคอนโดที่สูงเกือบสี่สิบชั้น

   และที่นี่คือคอนโดที่ผมอยู่ปัจจุบัน

“ พี่ขอคีย์การ์ดหน่อย เราก็อยู่ที่นี่ใช่มั๊ย? ”

“ ใช่ครับ แต่...? ”

   เขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่

“ เปียกแล้ว ขอคีย์การ์ดเร็วครับ เข้าข้างในกัน ” เขาว่าพร้อมกับยื่นร่มมากันฝนทางผมมากขึ้น ทำให้ตัวเขาโดนน้ำฝนจนช่วงตัวฝั่งขวาเริ่มเปียก

“ คีย์การ์ดของผม? ”

“ ก็เราจะได้เข้าไปในคอนโดไงครับ พี่ไม่มีคีย์การ์ดพี่เข้าไปไม่ได้นะครับเนี่ย ” คนตัวสูงที่เริ่มตัวเปียกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เขาแบมือมาเพื่อจะเอาคีย์การ์ดคอนโดของผม


ซ่าๆ ซ่าๆ

เปรี้ยง!


“ เชี่ย! ”

   เสียงฟ้าร้องเรียกสติให้กับผม ถ้าผมมัวแต่สงสัย ถ้าเราไม่เข้าไปในคอนโดสักที เราจะโดนฟ้าผ่าและตายกันหมด

   คิดแบบนั้นมือเล็กก็รีบล้วงเข้าไปในถุงผ้าเพื่อคว้านหาสิ่งที่ต้องการ ก่อนปรากฏรอยยิ้มจางๆเมื่อเจอคีย์การ์ดและกุญแจต่างๆ


ติ๊ด

   ในขณะที่คุณฎีสแกนคีย์การ์ดของผมและเปิดประตูก้าวเท้านำเข้าไปด้านใน เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเพราะถูกผมรั้งมือเอาไว้ก่อน

“ ……. ” เขามองมาด้วยแววตาสงสัยที่ผมไม่ยอมเดินตามเข้าไป ทั้งยังยืนยะยื้อยึกยืออยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโด จนฝนที่กำลังตกลงมาถูกลมพัดมาชนประตูกระจกเสียงดัง แถมยังสาดกระเซ็นเข้าไปด้านในอีก

“ เข้ามาสิครับ พื้นเขาเปียกหมดแล้ว ”

“ คุณ.. อืม ” ผมงับปากที่จะเอ่ยถามเขา ก่อนพยักหน้าให้และยอมเดินตามเขาเข้าไปดีๆ

“ แปลกใจที่เห็นพี่หรอ? ” เป็นเขาที่เอ่ยถามกลับมาก่อน

“ ครับ แปลกใจ คุณฎีก็..อยู่ที่นี่หรอ? ” ผมหยุดเดินโดยอัตโนมัติ

“ ที่นี่คอนโดของพี่เอง ”

“ คอนโดของพี่ฎี! หมายถึง..พี่เป็นเจ้าของคอนโด? ” O.O

   อ้าว ไอ้เชี่ยๆ เผลอเรียกเขาว่าพี่ไปอีก ไอ้ผักกาด!

“ ตาโตจะถลนออกมาแล้ว ”

   ตาโตก็เป็นเพราะตกใจที่เขาบอกว่าที่นี่คือคอนโดของเขานั่นแหละ !

   ผมรู้ข้อมูลแค่ว่าเขาเป็นผู้บริหารเกี่ยวกับสื่อโทรทัศน์ หุ่นส่วนค่ายเพลง ทั้งยังมีทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังและเครื่องดื่มจากผลไม้ต่างๆ แต่ไม่เคยรู้ว่าเขามีกิจการเกี่ยวกับโครงการคอนโดมาก่อน

“ หื้ม? แล้วเมื่อกี้เรียกพี่ว่าพี่ฎีหรอครับ? ”

“ ปะ..เปล่า ครับ ”

“ พี่ว่าพี่ไม่ได้หูฝาด ” เขาส่งสายตาอย่างจับผิด จะย้ำทำไม! ถ้าได้ยินก็ทำเป็นได้ยินแบบเงียบๆไปไม่ได้หรือไง

“ กาดไม่ได้เรียก! ผม..ไม่ได้เรียกจริงๆ ”

“ ครับๆ เชื่อก็ได้ ”

“ ตอบผมก่อนครับ ที่นี่คือคอนโดของคุณฎีจริงๆ หรอ? ”
 
“ ไม่ใช่ครับ ”  อ้าว! - = -   “ พี่พูดเล่น ตัวพี่ไม่ได้มีธุรกิจเกี่ยวกับคอนโดหรอกครับ ” คนตัวสูงเอ่ยพร้อมกับยักไหล่

“ งั้นคุณ..จะพูดเล่นทำไม ”  ผมใจหายหมด

“ ไม่ได้ตั้งใจครับ ..ความจริงพี่ไม่เคยอยากจะพูดเล่นกับเรื่องของเราเลยนะ ”

   เอ๊ะ?

   ผมเม้มปากหลบสายตาอย่างคนไม่มีอะไรไปสู้ ผมจะเอาอะไรไปสู้ไหว เขาดันพูดประโยคเมื่อกี้ออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่หน้าตาจริงจังเนี่ยสิ

   ฝ่ามือที่ถูกจับเอาไว้เริ่มอุ่นขึ้น แต่ยังเทียบไม่ได้กับความร้อนที่ใบหน้าของผม

   โหหห แล้วมือเนี่ยมือ!

“ ปล่อยมือผมด้วยครับ! ”

“ หึ ”

   ผมเงยหน้ามองเจ้าของลมหายใจที่แสดงความขำขัน เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ พี่ปล่อยแล้วครับ มีแค่เราต่างหากที่จับมือพี่ไว้ ”

   เราต่างหากที่จับมือพี่ไว้? เอ๊ะๆ ผักกาด แกจับ?

   คนตัวสูงค่อยๆยกมือของเขาขึ้นมา ทำให้ผมรู้ว่าฝ่ามือบางๆของตัวเองเป็นคนไปจับฝ่ามือหนาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดนั้นไว้อย่างไม่รู้ตัว

“ เฮ้ย! ” ผมตาโต รีบสะบัดมือตัวเองที่จับมือคุณฎีออกทันที

   เสียหมามั๊ยเมื่อกี้ ถามก่อน > = <

   ผมจับมือเขามานานหรือยัง จับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมกลายเป็นแกที่เป็นคนไปจับมือของเขาไว้ฮะ! ไอ้ผักกาดด

“ ไม่เจอกันเกือบเดือน ยังเหมือนเดิมเลย ”

“ เอ๊ะ! ” ผมส่งเสียงความไม่พอใจ “ จะให้เปลี่ยนอะไร? ผมคนเดิมก็ต้องเหมือนเดิมสิครับ นิสัยเหมือนเดิม คำพูดคำจาที่ใช้กับคุณผมก็เหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนหรอกนะ หรือคุณคิดว่าไม่ใช่? ”

“ ก็ไม่ใช่ไง ” เขาสั่นหัว “ พี่หมายถึงความน่ารักยังเหมือนเดิม หน้างอ หน้าหงิก หน้างงๆ ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมอยู่ดี ”

“ หาา O.o ” ผมอึ้งไปสักพัก และกลายเป็นคนเหวอ2020 ความร้อนพวยพุ่งไปทั้งหน้า แย่แล้วว

“ เหวอเลยหรอเรา หื้ม? ”

“ อะฮึม! เมื่อกี้วะ..ว่าไงนะครับ? ” จะองจะไอ จะติดอ่างเพื่อ?

“ หึ พี่พูดครั้งเดียวนะครับ ” เขาพูดและอมยิ้มน้อยๆ ในขณะที่กำลังหุบร่มและเก็บลงในถุงผ้าอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน

“ ละ..แล้วใครอยากฟังอีกครั้งกันล่ะครับ! ” เป็นผมที่โวยวายแก้เก้อและแอบยู๋หน้าไปให้เล็กน้อย ส่วนเขาหันมายิ้มมองผม
   
   ..เขายิ้มบ่อยไปนะ จะยิ้มอะไรหนักหนา ยิ้มเป็นจริงเป็นจัง ผมทำตัวไม่ถูกอีกแล้วเนี่ย

“ หึ มาสิครับ ”

   เจ้าของรอยยิ้มยื่นมือมาหาเพื่อจะเข้ามาจับกับมือผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมม้วนมือไปไขว้เก็บไว้ด้านหลังได้ทัน ผมไม่ยอมให้เขาจับง่ายๆ เหมือนก่อนหน้านี้แน่!

   หึ ไม่ได้กินไอ้ผักกาดหรอกนะ

“ จิ้งจก! ”

“ อ้ากกก!!!! ไหนๆ มันอยู่ไหน? กาดกลัวพี่ ไม่เอา>< ” ผมหน้าเหลอหลากระโดดสลับขาโหยงๆ ไปเกาะแขนคนตัวสูงข้างๆ เมื่อเขาชี้นิ้วไปพื้นด้านข้างฝั่งทางผม

“ ฮ่ะๆๆๆ ” อะไร?

   ผมเงยหน้าขวับ หันมองคนที่ถูกผมเกาะแขนด้วยใบหน้าจืดเจื่อน เขากำลังอ้าปากหัวเราะจนตาปิดที่หลอกให้ผมเชื่อได้สำเร็จ

“ นี่คุณแกล้งผม? ” ไอ้.. =O= ผมผละตัวออกห่างเขาอย่างไม่พอใจ เขาทำให้ผมเสียหมาตัวที่สองแล้วเนี่ย!

“ เราตัวโตกว่ามันตั้งเยอะ มันตัวเล็กนิดเดียว ยังทำเรากระโดดดีดเป็นแมวได้ ”

“ ชิ! ”



❤ 30 เปอร์เซนต์ (%)


----


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2020 03:00:03 โดย pimpipam_s »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ pimpipam_s

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาต่อค่ะ

 

 หมับ

“ เอ้ๆๆ! ปล่อย! ปล่อยเลย ” ผมร้องขึ้นเสียงหลงเมื่อถูกมือหนาเข้ามาจับหมับเข้าที่มือตัวเองอีกครั้ง

“ ไม่ปล่อยง่ายๆหรอกครับ ห้ามสะบัดมือออกจากพี่ด้วย พี่ไม่ได้ขู่นะ แต่ถ้าเราไม่ฟังพี่ ..ก็ลองดู ” เจ้าของใบหน้าคมพูดด้วยแววตาท้าทาย

ติ๊ง!

“ คุณชอบเล่นทีเผลอ! แกล้งผมอยู่ได้! แกล้งผมคนเดียวเลยเนี่ย! ” ผมบ่นน้ำเสียงหงุดหงิดให้กับคนที่กำลังจับมือของผมทั้งยังออกแรงดึงเบาๆให้เดินตามเข้ามาในลิฟท์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แกล้งกันจนเป็นเรื่องปกติแล้วสินะ

   ลิฟท์ก็รู้จังหวะดีเหลือเกิน พอกดขึ้นปุ๊บก็เปิดรับปั๊บ

   ผมจะไม่เข้าก็ไม่ได้ ก็ผมพักอยู่ที่นี่นี่หน่า

   คุณฎีคนขี้บังคับกุมมือผมแน่นขึ้น ครั้นจะดึงมือออกอีกครั้งก็ไม่กล้า ได้แต่ทำปากพะงาบๆ แก้มก็ร้อนผ่าวไม่หาย


“ ชั้นสิบเจ็ด.. ”

O.O

“ คุณฎีรู้หรอ? ”

   เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปกดหมายเลขชั้นสิบเจ็ด และไม่ได้กดชั้นไหนเพิ่ม

“ เปียกหมดแล้ว ”

   คุณฎีเบี่ยงความสนใจของคำตอบด้วยรอยยิ้ม เขาผละมือที่เคยจับประสานมือผมไว้ออกช้าๆราวกับเสียดาย ความอบอุ่นของสัมผัสเมื่อกี้ยังคงอยู่จนผมเผลอกำฝ่ามือตัวเองแน่นขึ้น ไขว้ไปไว้ด้านหลังเหมือนซ้อนความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่เกิดขึ้น

   ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนข้างๆค่อยๆยกฝ่ามืออุ่นนั้นขึ้นมาสางผมไปด้านข้างและจัดทรงผมให้กับผม

“ ไม่เอา อย่ามาจงมาจับนะ! ”

   ผมเอียงหัวหลบเล็กน้อย เจ้าตัวเลยหยอกล้อด้วยการขยี้กลุ่มผมให้เสียทรงอีกรอบ ผมส่งเสียงไม่พอใจ ขู่ฟ่อๆใส่ เขาก็เลยใช้นิ้วเรียวๆ เกลี่ยเม็ดฝนบริเวณขมับและข้างแก้มออกให้ผมเผื่อไถ่โทษ

   มะ..มาทำแบบนี้ใส่กันบ่อยๆ ก็ไม่ได้ป่ะ?

“ ให้แกล้งหน่อยสิครับ ” เอ๊ะ! ยังจะมาใช้น้ำเสียงอ้อน พูดเบาๆ แบบนี้อีก

“ ไม่ ” ผมตอบแล้วหลบสายตาคนกวนประสาท ที่มีแววตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแปลกๆ 

“ ให้พี่แกล้งหน่อยนะ นะครับ”

“ …… ” พอถูกตื้อเข้า ผมก็เงยหน้ามองเขาตาปริบๆ

   ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น และไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการ

   ..ให้แกล้งอะไรว่ะ แกล้งไปตั้งเยอะแล้วยังไม่พออีกหรอ อยากจะถามเหลือเกิน -////-

“ หนาวมั๊ย? ”

   เชี่ย.. ถามคนอื่นว่าหนาวมั๊ย ต้องทำเสียงแหบพร่าเซ็กซี่ขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ หนาวมั๊ยครับ? ” ถามซ้ำแล้วเขาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เพราะไม่ได้คำตอบ

   ยิ่งผมขยับหนีเขาก็ขยับตามจนต้นแขนของเขาเบียดติดกับไหล่ของผม และผมจะขยับหนีจากเขามากไปกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะแค่นี้ตัวก็จะลีบติดกับผนังของลิฟท์แล้ว

“ มะ..ไม่ค่อยหนาวหรอกครับ ” ผมตอบแบบนั้นเขาก็ขยับออกไปเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น

   คนเราอะนะ ทำไมถึงตัวอุ่นได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เราต่างก็เพิ่งเปียกฝนที่เย็นชุ่มกันมา

   เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ผมก็เช่นกัน ผมเพียงเหลือบมองหน้าเขาจากด้านข้าง ค่อนข้างแปลกใจและยังแปลกใจอยู่ดี ว่าเขามาอยู่แถวได้ยังไง

   แถวนี้มีคอนโดสามแห่ง หรือเขาจะอยู่คอนโดถัดจากคอนโดของผมไปอีก แต่มันต้องเดินเข้าไปในซอยอีก 100 เมตรเลยนะ แล้วเขาเข้ามาอยู่แถวนี้ก่อนที่ผมจะย้ายเข้ามาอีกหรอ แต่เขามีบ้านนะ ทำไมไม่อยู่ที่บ้านเหมือนเดิมล่ะ


   แล้ว..เขารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่คอนโดนี้

   ..รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ชั้นไหน


“ คุณฎีรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่? ” ผมโพล่งถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“ พี่เห็นเราเข้าออกคอนโดที่นี่มาสองสามวันแล้ว ” เขาตอบด้วยหน้าซื่อๆ เหมือนไม่มีอะไรที่มากไปกว่านั้นจริงๆ

“ เห็น? จริงหรอครับ.. ” เห็นได้ยังไง?

“ ใช่ครับ แล้วเราย้ายออกจากหอเดิมมาอยู่ที่นี่หรอ? ”

“ ก็..ใช่ครับ แล้ว..คุณฎีรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ชั้นสิบเจ็ด ”

“ หึๆ พี่เดาครับ ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของคนตัวสูงเอ่ยขึ้นปนหยอกล้อ

“ เดาเนี่ยนะ! ละ..แล้วทำไมเดาถูก ” ผมโพล่งถามขึ้น เพราะไม่คาดคิดในคำตอบของอีกคน

“ หื้ม ถูกหรอ? ” คนตัวสูงเลิกคิ้วทำหน้าตาเหลือเชื่อ

“ ก็ถูกน่ะสิครับ! ”

“ ชั้นสิบเจ็ดน่ะ พี่กดแบบเดาๆ เพราะถ้าไม่ใช่ชั้นนี้เดี๋ยวผักกาดก็คงจะกดเปลี่ยนชั้นไปเอง ”

“ แต่เพราะมันถูก ผมเลยไม่อยากจะเชื่อคุณฎีอะ ” ผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจ อะไรจะเดาถูกเดาแม่นขนาดนั้น

   คอนโดมีตั้งสามสิบชั้นนะ เขาใช้ความน่าจะเป็นแบบไหนมาตัดสินใจในการเดา

“ ไม่..น่ะ..แล้วครับ ” เขาเอ่ยบางอย่างขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง

“ อะไรนะ? ” ผมถามกลับทันที มันมาอีกแล้วไอ้นิสัยพูดในลำคอเนี่ย พูดเบาเกิ้นนน กลัวคนอื่นรู้เรื่องด้วยหรือไง หึม!

“ เปล่าครับเปล่า ใจเย็นครับ แล้วเลิกทำหน้าเหมือนแมวขู่กันได้แล้ว ” เอ่อ! ขนที่หลังพองขึ้นแล้วเนี่ยเห็นมั๊ย

   เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ!

“ เนี่ยยิ่งดุยิ่งเหมือนเลย ” เขาพูดก่อนขยับมุมปากยิ้ม

“ จิ! คุณ..  ” ผมหายใจฮึดฮัด เม้มริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงอแงของตัวเอง เอาชนะเขาไม่ได้เลยสินะ กวนประสาทอันดับหนึ่งในใจเลยล่ะคนนี้

   
   หืม? คิดหาทางเอาชนะเขาไปมา ผมดันมีคำถามบางอย่างเกิดขึ้นมาในใจแหละ..

“ แล้วนี่..คุณฎีจะขึ้นลิฟท์มากับผมทำไม ถ้าคุณไม่ได้อยู่ที่นี่? ” ผมยื่นหน้าเอียงคอเข้าไปใกล้เพื่อถามคนข้างๆตาปริบๆ แต่เหมือนคนตัวสูงชะงักไปเสี้ยววิ ก่อนผิวแก้มคนขาวจะเปลี่ยนเป็นแดงจัดลามไปถึงหู

“ แค่กๆ อะแฮ่ม ” เขากระแอมไอเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกยิ้มก่อนจะหลุบดวงตามองไปทางอื่นราวกับคิดคำตอบไม่ออกไปชั่วขณะ

“ ว่าไงครับ? ” ผมเอ่ยถามย้ำ

“ พี่แค่..จะขอเข้ามานั่งหลบฝนน่ะครับ ” เขาเอ่ยเหตุผลออกมา

“ แต่คุณขึ้นมากับผมเนี่ยนะ จะไปหลบที่ไหน? ทำไมไม่รอที่ล็อบบี้ข้างล่างล่ะครับ ” ผมถามด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง ผมพาคนนอกเข้ามาในคอนโด ตายละ!

“ เฮ้อออ เพิ่งรู้นะว่าผักกาดใจร้ายขนาดนี้ ” เขาเอ่ยขึ้นมา

“ กาดใจร้าย? ” ผมทวนคำพูดของเขา เขาว่าผมใจร้ายหรอ

“ ฝนตกแรงขนาดนี้พี่คงไปไหนไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ต่อให้มีร่มก็เอาไม่อยู่ ให้นั่งอยู่ข้างล่างพี่ก็หนาวนะ หัวก็เปียก เสื้อผ้าก็เปียก ของที่ซื้อมาก็เปียก ”

“ แล้ว.. ”

“ ไม่ชวนพี่ไปหลบฝนที่ห้องหน่อยหรอครับ? ”

   เดี๋ยวก่อน!

“ ทำไมผมต้องชวนด้วย คุณรอข้างล่างได้ ต้องไปรอข้างล่างสิ พอฝนซาคุณก็กลับไปที่พักของตัวเอง ” ผมเอ่ยปฏิเสธแบบอ้อมๆ

   อ้อมมากมั๊งเนี่ย ผมอ้อมจนทำให้คนฟังนิ่งไปสักพักเลยเนี่ย

“ ..แบบนั้นหรอครับ อืม ” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง ก่อนจะพยักหน้าต่ออีกเล็กน้อย

“ เอ่อ..คือ.. ” พอเห็นสีหน้าเขา ผมก็พูดจาอึกอักขึ้นทันที

“ งั้นก็ได้ ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ส่งเราถึงชั้นสิบเจ็ดแล้วพี่จะลงไปรอข้างล่างแล้วกัน ” เขาเอ่ยเรียบๆ ราวกับผิดหวังมากกว่าเดิม ซึ่งผมอึ้ง! เพราะปกติเขาจะพยายามพูดต่ออีกนิด หรือหาข้ออ้างมาอ้างจนผมยอมตกลง แต่ครั้งนี้เขากลับยอมรับฟังและทำตามแบบง่ายๆ ไม่หาข้ออ้าง ไม่บังคับผมต่อ

   ภายในลิฟท์มันเงียบมากเพราะผมและเขาต่างไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ทำได้แค่เหลือบสายตามองกันเป็นระยะๆ อยู่ดีๆภาพในความคิดก็ฉายสีหน้าและแววตาที่เขามองมาตอนผมบอกเขาให้ไปรอข้างล่างขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังทำให้ผมรู้สึกผิด

   ไม่รู้เพราะอะไรหรือบังเอิญที่เขาถือร่มวิ่งไปเจอผมกลางทาง และเป็นคนพาผมวิ่งกลับมาส่งที่คอนโด

   ตอนเรามาถึงใต้คอนโด ฝนมันตกแรงขึ้นมากเลยนะ แล้วเขาเปียกฝนด้วย ของที่เขาถือมาก็เปียก

   เขาว่าผมใจร้าย และเขาดูผิดหวังมากๆด้วย แล้วเนี่ย..เงียบสนิท ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย..

ติ๊ง!!

“ ถึงแล้วครับ นี่คีย์การ์ดของผักกาด ”คุณฏีเอ่ยเบาๆพร้อมกับยื่นคีย์การ์ดคืนให้กับผม

“ …… ”

   ประตูลิฟท์เปิดออก ผมก้าวเท้าเดินออกมาพร้อมกับพรู่ลมหายใจอย่างคิดหนัก หันกลับไปเหลือบสายตามองคนที่ทำหน้าหงอยทั้งยังส่งสายตาเศร้าซึมมองมาที่ผม จนผมรู้สึกผิดขึ้นมา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกไป

“ คุณฎี..จะไปที่ห้องกาดก่อนมั๊ย ”

“ หะ..หื้ม? ” คนเคยหน้าหงอยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนส่งเสียงอย่างเหลือเชื่อ

“ อะ..ไร.. ” ผมตาโต มองกลับคนที่มองมาที่ผมก่อนด้วยแววตาดีใจ

“ พี่ขอชัดๆ อีกครั้งนะครับ ” คนตัวสูงในลิฟท์ชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ก่อนใช้นิ้วเดียวกันยื่นไปกดปุ่ม Hold เพื่อให้ประตูลิฟต์เปิดค้าง

“ ก็ไปห้องผม เอ่อ.. รอฝนหยุดตกก่อนก็ได้ ไปมั๊ย? ”

“ ได้หรอครับ? ” คนถามเบิกตากว้างขึ้น

“ อึ้งทำไมเนี่ย! ได้ก็ได้สิครับ เอ่อ..ก็คุณเปียก.. ถ้าอยากจะมาก็เดินตามผมมาแล้วกัน ”

“ ครับ พี่อยากไปสิครับ! ” เขาพยักหน้ารัว ส่งเสียงตื่นเต้น แล้วยังยิ้มกว้างมาให้ ราวกับว่านี่คือประโยคที่เขารอคอย

“ อะ..อืม ”
 
   ว่าจบผมก็รีบหันกลับเดินนำคนตัวสูงที่ก้าวเท้าฉับๆ ตามออกมาจากลิฟท์ไปยังห้องริมสุดของชั้น พบว่าหน้าห้องมีถุงผ้าห้อยไว้ ผมหยิบมันขึ้นมาถือไว้

   ใครเอามาห้อยไว้นะ

   หืม? ในถุงมันเป็นกล่องของขวัญลายใบไม้

         ‘ ขนมไดฟูกุสตอเบอรี่ ฟูริน(กระดิ่ง) และเครื่องรางสำหรับความรัก จากญี่ปุ่นครับ คิดซะว่าเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่เล็กๆน้อยๆนะครับ ’

พี่ข้างห้อง


   บอกมาซะหมดเลยว่าในกล่องคืออะไรบ้าง แล้วจะห่อให้เปลืองกระดาษทำไมเนี่ย

“ ใครมาจีบอีกอะครับ? ” เสียงของคนที่ผมเพิ่งอนุญาตให้เดินตามมา เอ่ยถามขึ้น

“ ไม่มีใครมาจีบทั้งนั้นครับ ” ผมส่ายหน้าแล้วยื่นบัตรไปสแกนบัตรเพื่อเปิดประตูเข้าห้อง


ติ้ดดด แกร๊ก!

   ครั้งแรกมันก็เงอะงะกันแบบนี้เป็นธรรมดา หมายถึง..ครั้งแรกที่มีคนอื่นนอกจากน้องสาวที่มาที่ห้องนี้

“ ขะ..เข้ามาสิครับ ”

“ ครับ ”

“ คุณฎีนั่งตรงนี้ก่อนก็ได้ ” ผมผายมือไปที่โซฟา หลุดยิ้มเล็กๆในขณะที่มองคนมารยาทดีกว่าเมื่อก่อนที่กำลังถอดรองเท้าแตะคีบของตัวเองและหยิบขึ้นไปวางไว้บนชั้นข้างๆกับคู่ของผม

“ ครับ ”

   พอเขาพยักหน้าเลื่อนสายตามามองผมยิ้มๆ ผมก็แกล้งทำหน้านิ่งๆ แล้วถามเขาต่อ

“ จะอาบน้ำหรือเปลี่ยนชุดมั๊ยครับ เดี๋ยว..ผมไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ก่อน ”

“ ได้หรอครับ ” เขาเดินเข้ามาถามผมแววตาดีใจ ผมเลยพยักหน้าให้เป็นคำตอบ

   จากที่มองออกไปนอกระเบียงแล้วท้องฟ้าช่วงเวลาบ่ายสองยังคงมืดครึ่ม เสียงลมพัดแรงทำให้สายฝนที่เทสาดตกลงมากระทบกับตัวตึก กระทบกระจกเปาะๆแปะ เสียงฟ้าร้องและแสงฟ้าแลบยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง การที่ผมให้เขาเข้ามารอที่ห้องด้วยกัน ผมคงคิดถูกแล้วละนะ และผมก็ควรจะมีน้ำใจให้เข้าอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก่อนที่จะไม่สบายไปซะก่อน

“ เราอาบก่อนพี่เถอะ ตัวเปียกกว่าพี่อีก ”

“ ผมจะให้คุณอาบก่อน ”

“ อย่าทำเป็นเก่งตอนนี้เลย ” เขาว่าพลางมองผมจากหัวจรดปลายเท้า แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมาหยุดที่ใบหน้าของผม “ พี่ให้เจ้าแมวเปียกน้ำฝนอาบก่อนดีกว่าครับ ”

   เอ๊ะ! เขาว่าผมอีกแล้วเนี่ย!

“ คุณสิ! ” อะ..ไอหมีขาวเปียกน้ำฝน รู้งี้ห้ามไม่ให้เข้ามาห้องด้วยก็ดี ปล่อยให้หน้าหงอยเป็นหมีซึมแบบนั้นในลิฟต์ต่อไปยังดีกว่า

   ดูสิ คนอุตส่าห์มีน้ำใจให้เข้าห้อง พออนุญาตเท่านั้นแหละ ผมนี่กลายเป็นเหมือนคนมาขออยู่อาศัยแทนเลยด้วยซ้ำ

“ ไม่ต้องมาว่าพี่ในใจเลยนะครับ ” เขากระตุกยิ้มมุมปากอีกครั้งอย่างรู้ทัน

“ รู้ได้ไงอีกเนี่ย ”

“ ดูจากสีหน้าก็รู้แล้ว ไปอาบน้ำครับ เดี๋ยวพี่รออาบต่อ ” ว่าแล้วเขาก็ขยี้กลุ่มผมผมสองสามที

“ อะ..อืม ” ผมอ้ำอึ้งเล็กน้อย

   ก่อนหันหลังให้เขาเข้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้า ผ้าเช็ตตัวของตัวเองพาดบ่าเรียบร้อย และผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ ผมผงะเล็กน้อยเมื่อเดินออกจากห้องนอนมาก็พบสายตาของเขากำลังจ้องมองมาเหมือนรอผมอยู่ และไม่ได้ละสายตาไปไหน

“ ผ้าเช็ดตัวครับ ” ผมค่อยๆยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับเขา “ เดี๋ยวผมรีบอาบ เออ.. ในครัวมีน้ำกับของกินอยู่บ้าง คุณฎีกินได้นะ ” ว่าจบก็ยังเงอะๆงะๆ ผมเลยรีบตรงดิ่งหลบสายตาแพรวพราวนั้นเข้าห้องน้ำทันที

   ทำไมต้องตื่นเต้น ถามก่อนผักกาด > u <

   ผมอาบน้ำสระผม และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จใช้เวลาประมาณ 20 นาที เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำและพบว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิม ผมตาเบลอมองอะไรไม่ชัดนักก็เลยเดินไปหยิบแว่นตาในห้องนอนมาใส่ ก่อนชะโงกหน้าออกมามองหาเขาอีกครั้งจึงเห็นปลายเท้าของคนตัวสูงที่กำลังนอนเหยียดขายาวๆเกินขนาดโซฟาออกไป

   เขากำลังนอนหลับตาพริ้มหนุนแขนของตัวเองอยู่ มีผ้าเช็ดตัวคลุมปิดช่วงอก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆหรือเปล่า จึงเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วลองเรียกชื่อของเขาเบาๆ

“ คุณฎี ..หลับหรอครับ? ”

“ ……. ” ไม่มีเสียงตอบรับ

“ คุณฎีครับ ตื่นมาอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย ” ผมเรียกชื่อเขาดังขึ้น ทิ้งตัวนั่งที่พื้นข้างๆโซฟา แล้วเอื้อมมือไปสะกิดท่อนแขนคนตัวโตยิกๆ จนเขาก็ส่งเสียงอือๆอืมๆ เมื่อโดนก่อกวน แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาตื่น

   ง่วงมาจากไหน? นี่แค่บ่ายสองเองนะ

“ อ่ะ นอนก็นอน ” ผมพึมพำมองเขาอยู่ซักพักก่อนตัดสินใจลุกขึ้นอย่างถอดใจ

“ ฮึบ! จะไปไหนหื้มม! ”

“ เฮ้ยยย!! >< ” ผมร้องเสียงหลงเพราะยังไม่ทันเดินออกมาก็ถูกมือใหญ่จับหมับเข้าที่ข้อมือและออกแรงดึงจนเสียการทรงตัว เขาลุกขึ้นนั่งเอื้อมแขนแกร่งมาโอบรวบตัวของผมเข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กลงบนตักของตัวเอง

   ไม่ถึงห้าวินาทีเขาดึงผมมาอยู่ในท่าแบบนี้แล้ว

“ นั่งดีๆ ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มอยู่ข้างหูผมเอ่ยขึ้น

เพี้ยะ! เพี้ยะ!

“ ทำอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยผมเลยนะ! ” ผมฟาดลงที่มือและท่อนแขนของเขาที่โอบเอวผมไว้ พยายามดิ้นขลุกขลักจะลุกไปมาเพื่อจะลุกออกจากตักเขาท่าเดียว

“ ไม่ครับ ” เขาว่าแล้วล็อกตัวผมไว้แน่นขึ้น

“ คุณฎี! ”

“ ครับผักกาด ” เจ้าของตักกระซิบเอ่ยด้วยแววตาขบขัน “ อย่าดิ้นมากสิครับ เดี๋ยวมันตื่นนะ ”

“ หะๆ อะไร!? ปล่อยผมมม!”

   O.O ทันทีที่เขาพูดจบผมก็สะดุ้งเฮือก เลือนสายตามองตามเจ้าของตักที่กำลังส่งซิกทางสายตาเพื่อบอกว่าตัวเขาหมายถึงอะไรที่จะตื่น

“ ไอ้คุณฎีบ้า! ”

“ บ้าตรงไหนก็เรานั่งทับมันอยู่ ”

“ ทับก็บ้าแล้ว! ” ว่าแล้วก็มองหน่อย หึยย! ไม่ ได้ ทับ ไอ้ นั่น ของ คุณ สัก กะ นิด!

“ หึ ”

“อย่ามาหัวเราะกันนะ คุณทะลึ่งหรอ ละ..แล้วมาพูดอะไรของคุณ อีกอย่างคือเราสนิทกันถึงขั้นนั่งตักเลยหรอฮะ! ” ผมยืดตัวใช้แขนผลักไหล่แข็งแรงนั้น เบี่ยงตัวเข้าหาเขามากกว่าเดิมเพื่อดันตัวเองออก

“ ก็สนิทนะครับ ”  แหมะ! ตอบได้หน้าด้านมาก

“ สนิทที่ไหน โอยย ต่อให้สนิทกาดก็ไม่นั่งมั๊ย! เราเป็นผู้ชายกันนะคุณ ” ผมโวยวายเสียงดังกำปั่นทุบไหล่เขาปั่กๆ

“ โวยวายเก่งขึ้นนะครับ ทำอย่างกับไม่เคย ”

หะ?

“ พูดอะไรของคุณเนี่ย ก็ไม่เคยน่ะสิ! ” นอกจากพ่อกับแม่ก็ไม่เคยนั่งตักใครแล้วมั๊ง(?)

“ หึ! ”

“ แกล้งผมมันสนุกนักหรือไง ขำอะไรของคุณ ” ผมถามเขาด้วยเสียงเหวี่ยงสุดๆ เพราะถูกความอายเข้าจู่โจม

“ ขำคนที่บอกว่าไม่เคยนั่งตักพี่ คิดว่าไม่เคยนั่งจริงๆหรอ?”

“ เอ้า! ก็ผมไม่เคยไง! ” อย่าให้ต้องตอบย้ำได้ป่ะ? เริ่มลังเลแล้วเหมือนกันเนี่ย!

“ คงจำไม่ได้สินะครับ งั้น..นั่งนิ่งๆบนนี้สักห้านาที ถือว่าพี่ทวนความจำให้แล้วกัน ” ทำไมเขาดื้อขนาดนี้วะ คุณฏีรดลน่ะ แล้ว..จะมาทวนความจำอะไร?

“ ไม่เอา ปล่อย! อื้ออออ! ” ผมดิ้นเตะขาที่ไม่ถึงพื้นของตัวเองไปมากับอากาศ

   โอยยย ปวดกบาล ผมอยากร้องกรี๊ดอ๊ากๆดังๆด้วยซ้ำ ไอ้คุณฎีเขาเป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย กำลังทำอะไรอยู่ แล้วพูดถึงเรื่องอะไร ผมจะหมดแรงสู้แล้วนะเนี่ย ข้าวเช้าบวกเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน

“ อยากรู้มั๊ย.. ว่าวันงานเลี้ยงส่งก่อนพี่ไปเรียนต่อโทที่อังกฤษ เราเคยทำอะไรไว้ ”

กึก

   งานเลี้ยงส่ง เขาไปเรียนต่อต่างประเทศ

“ ผม.. ” เลิกดิ้นโดยอัตโนมัติ

ผมเมา

“ วันนั้นผักกาดเมานะครับ ”
   
   ผมหันขวับมองหน้าคนเปิดประเด็นอย่างไม่เข้าใจ ก็ใช่..ผมเมา แต่เขาจะรื้อฟื้นเรื่องตอนนั้นขึ้นมาทำไมล่ะเนี่ย..

   วันนั้นเป็นวันที่ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนให้ตามไปสมทบที่งานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ ซึ่งก็คือพี่ฎีหรือคุณฎีรดลที่ ‘ร้านพี่ชอบ(เหล้า)’ ผมจะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะก่อนหน้านั้นผมก็ถูกลูกตื้อลูกตามจากไอ้แยมและวาวา จนยอมตบปากรับคำไว้แล้ว ร่วมถึงผมก็ถูกเจ้าของงานกึ่งชวนกึ่งบังคับให้ไปอยู่แล้วด้วย

   รุ่นพี่ที่ชื่อฎี ฎีรดล เป็นบัณฑิตของคณะบริหาร รุ่นxx ปี25xx เขาคือหนุ่มฮอต เดือยมหาวิทยาลัย บัณฑิตจบใหม่ ป.ตรี ในวัย 23 ปี และกำลังมีแพลนไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนตอนนั้นผมเป็นแค่เด็กปีสอง ในวัย 20 ปี

   สถานการณ์ก่อนเมาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากตอนนั้นผมที่นั่งมองคนอื่นๆในวงชวนกันชนแก้วกินเหล้ากินเบียร์กันก็องแก็ง แต่พอดึกขึ้นเรื่อยๆรุ่นพี่และเพื่อนของผมได้พยายามชวนผมชนแก้วด้วยกัน ในขณะที่เจ้าของงานดันโดนสาวๆลากไปร่วมวงที่โต๊ะอื่น ยิ่งนึกถึงแล้วก็ยิ่งน่าหมั้นไส้เพราะที่เขาชวนผมมาก็เพราะอยากอวดให้เห็นภาพพวกนี้ใช่มั๊ยล่ะ

   หลังจากเหล้าเข้าปาก โดยเฉพาะผมที่โดนไอ้แยมที่แทบจะเรียกว่าเอาเหล้ากรอกปาก ผมก็สะลึมสะลือตาปรือแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าของงานที่หายตัวไปเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ เขาพยายามห้ามไม่ให้ผมกินต่อ และโวยวายบ่นเพื่อนตัวเองใหญ่เรื่องความคออ่อนของผม แต่เสียงของเขามันสร้างความหงุดหงิดใจให้กับผมที่กำลังมีอะไรปะทุอยู่ข้างในและผมเกลียดที่เขาดูถูกว่าผมคออ่อน ผมก็เลยยกแก้วชนกับรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นๆโชว์อย่างไม่เกรงกลัวสายตาดุๆของเขา และสุดท้ายก็..เละตุ้มเป๊ะ(?) ภาพตัด ผมเมาจนจำอะไรไม่ได้

   จำได้แค่ว่าตื่นขึ้นมาอีกทีก็โดนไอ้แยมกับวาวากรี๊ดใส่หูและกราดด่ายับ ซึ่งพอผมถามพวกมันกลับว่าเกิดอะไรขึ้น ก็บอกกันแค่ว่าผมทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ทำสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดลงไป ทำให้พี่ฎีของพวกมันเกือบเปลี่ยนใจไม่ไปเรียนต่อ เหอะ!

   ถ้าถามต่อว่าทำอะไร พวกมันก็ไม่ยอมบอกผมสักคน มีแต่ไอ้แยมที่แอบกระซิบบอกผมแค่ว่า ทุกคนถูกสั่งห้ามไม่ให้บอกผมและยังถูกสั่งให้ปิดปากเงียบ ซึ่งคนที่ใช้อำนาจมืดโดยไม่ชอบธรรมคนนั้นก็คือ คุณฏี ฏีรดล คนตรงหน้าไอ้ผักกาดตอนนี้

   ไอ้ตัวกระผมก็ไม่ใช่คนขี้เซ้าซี่ขนาดนั้น เวลาผ่านไป..เรื่องนี้มันก็เลยหายไปจากการพูดถึงและความทรงจำชั่วขณะของผม พร้อมๆกับการจากไปของใครบางคนถึง 2 เกือบ3 ปี

   ผมลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 5 ปี มันไม่ใช่เป็นแค่ความทรงจำที่เลือนลางนะ เพราะมันคือเรื่องที่ผมลืมเลือนไปเลยต่างหาก

   มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป

   พอคนตรงหน้ากลับมาพูดถึงเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เลยทำให้ผมคิดหนักว่าเคยไปทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า

“ มากกว่านี้ผักกาดก็ทำกับพี่มาแล้วครับ ”

“ ทะ..ทำอะไร? ” มากกว่านั่งตัก คือผมนอนตักหรอถามจริง “ ผมทำอะไร ..ผมทำอะไรที่มันไม่ดีหรอ? ”

“ ไม่ใช่ไม่ดีครับ ..มันดี

“ ……. ”

มาก

   เชี่ย! ผมไปทำอะไรว่ะ

   ผมควรวางใจใช่มั๊ย ที่เขาบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันดี แถมท้ายประโยคว่ามากน่ะ - = -

   คุณคงไม่เชื่อว่าผมเห็นแววตาและสีหน้าเหนือกว่าของคุณฎีที่ทำราวกับว่าเขากำลังเป็นผู้กุมความลับสุดยอดของผมไว้อ่ะ และคุณคงไม่เชื่อว่ารอยยิ้มของเขาในตอนนี้มันคือรอยยิ้มที่มีความสุขจนทำให้ผมขนลุกซู่ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้

“ มีเป็นคลิปเลยล่ะ! ไอ้ปังอัดไว้ได้พอดี ผักกาดอยากดูมั๊ย? ” เขาว่าพร้อมกับชี้ไปที่โทรศัพท์เครื่องสวยที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกใกล้ๆ

“ …….. ”  O . o นี่เขาหมายถึงมีคลิปตั้งแต่ 5 ปีก่อนอะนะ! ละ.. และเขาก็ยังเก็บไว้ด้วยเนี่ยนะ!

   ถ้ามีจริงๆ คือผมคงทำเรื่องเชี่ยๆไปน่ะสิ ไม่ใช่เรื่องดีหรอก!!

“ บอกผมมาว่าผมทำอะไร? และทำไมคุณถึงสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับผม ” ผมจ้องตาเขาเขม็ง ผิดกับเขาที่ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์

“ ถ้าผักกาดอยากรู้.. พี่มีข้อแลกเปลี่ยน ”

“ อะไร? ”

“ ผักกาดก็แค่ต้องทำสิ่งที่พี่ต้องการทุกอย่าง และถ้าไม่อยากให้คลิปนี้ถูกเปิดเผย พี่ว่าผักกาดก็ควรจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่พี่ต้องการ ”

   คิดดีไม่ได้ ผมคิดดีไม่ได้ >< อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ(?)!

   ก็อยากรู้นะ แต่ผมน่ะไม่ค่อยไว้ใจสายตาของเขาเลย..

“ อย่างแรกที่พี่ต้องการคือเราต้องทำตัวน่ารักๆกับพี่ และถ้าเราทำตัวน่ารักๆบ่อยๆ พี่จะใจดีเอาให้ดูก็ได้ ”

   ไม่! มี! ทาง!

“ หึ ดูท่าจะไม่ยอมสินะครับ ไว้พี่ให้เวลาผักกาดคิดก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องรีบนะครับคนเก่ง ”

“ จิ!! ไม่ต้องมาจับนะ ปล่อยผมเลย ผมไม่อยากดู ” ผมบอกเสียงดัง รีบสะบัดหัวออกจากฝ่ามือใหญ่ที่ยกขึ้นมาลูบหัวผมเหมือนหมาอยู่ได้

   ผมไม่มีทางทำทุกสิ่งที่เขาต้องการหรอก ต่อให้ผมอยากจะรู้นิดหนึ่งก็เถอะ!

   ถ้าไม่ดูก็ไม่ต้องไปทำตัวน่ารักๆ

   ถ้าไม่ดูก็ไม่ต้องรู้ว่าตัวเองทำเรื่องอะไรลงไป

   ถ้าไม่ดูเขาก็ไม่สามารถเอาเรื่องคลิปมาเป็นคำขู่ให้ผมทำในสิ่งที่เขาต้องการได้

   หึ! ผมจะให้เขาเอาเรื่องแบบนี้มาขู่เพื่อกลั่นแกล้งกันต่อไม่ได้!

“ ปล่อยกันได้ล่ะ ”

   ผมพยายามผละตัวออกจากเขาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ลุกผมก็ต้องชะงักและหันไปสนใจเขาอีกครั้ง

“ โอ๊ย.. ” เขาร้องสีหน้าเจ็บปวด แล้วเอามือข้างหนึ่งขึ้นไปขยี้ตาตัวเองแรงๆ

“ เป็นอะไรครับ? คุณอย่าขยี้ตาขนาดนั้นสิ! ” ผมเอ่ยเสียงดุพร้อมกับรีบดึงข้อมือของเขาออกจากเบ้าตาที่ถูกขยี้จนเริ่มแดง

“ งั้นดูตาให้พี่หน่อยนะครับ ..อะไรเข้าตาไม่รู้ เมื่อกี้พี่รู้สึกเคืองเลยลองหลับตาไป พอลืมตาขึ้นมามันก็ยังแสบตาไม่หาย ” เขาพูดแล้วยกมือขึ้นไปปิดกุมที่ตา จะขยี้อีกครั้งแต่ผมก็ดึงข้อมือของเขาเอาไว้

“ …… ” ผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้วางใจ “ คุณ..ก็ลองลุกไปส่องกระจกในห้องน้ำนู้นน ”

“ มันไม่ถนัด ” เขาทำเสียงงอแง ” พี่อยากให้ผักกาดดูให้ เร็วครับ! ” เฮ้อ! ถนัดจริง เรื่องบังคับคนอื่นเนี่ย!

“ งั้นก็ปล่อยผม ผมลุกยืน..ก็ดูตาให้คุณฎีได้ ” ผมบอกเขาหน้ามุ่ย

“ ไม่ครับ อยู่ท่านี้แหละ ” เขาส่ายหน้าแล้วกระชับเอวผมเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม

“ เอ๊ะ! อะไรเนี้ย ” พอเขายิ่งรวบรัดตัวผม ผมยิ่งใช้ฝ่ามือยันไหล่เพื่อดันตัวเองออกจากเขามากขึ้น

“ นั่งท่านี้แหละครับ ..นะครับ ”

   เกลียดได้มั๊ย ..น้ำเสียงอ้อนๆของเขาคนนี้ - o -

“ นะครับผักกาด.. ”

   อยากเกลียด ..แต่เกลียดไม่ลงนี่สิ > - <




❤ 70 เปอร์เซนต์ (%)





-----

นักเขียน : อย่าลืมไปอ่านตอนที่6 อีก30%สุดท้าย ที่ P.3 นะคะ ( อัพแล้ว)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2020 02:21:40 โดย pimpipam_s »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด