ต่อ
“ คะ..คุณฎีไม่หนักหรือไง ” ผมถามเสียงเบาเพราะเราใกล้กันมาก เขาเลยส่ายหน้าและยิ้มมุมปากเป็นคำตอบมาให้
“ ไม่เลย ”
“ อืมๆ กะ..ก็ได้ แต่คุณอย่าล็อคตัวผมไว้แน่นขนาดนี้.. ” ผมเอ่ยเสียงอู้อี้พร้อมกับก้มหน้างุดจนคางชิดอกตัวเอง “ ข้างขวาใช่มั๊ย? ”
“ ครับ ”
เขาค่อยๆ ยกมือสางผมขึ้นเพื่อเปิดหน้าผาก เส้นผมที่เคยยาวปรกคลุมด้านหน้าเป๋ข้างไปตามแรงสาง เผยให้เห็นหน้าคมขาวสะอาดที่มีรอยยิ้มเล็กๆนั้นชัดเจนขึ้น ผมพรู่ลมหายใจด้วยความลังเล แต่เขาสะกิดเพื่อเรียกสติของผมด้วยการยกนิ้วขึ้นชี้ๆที่ตาข้างขวาของตัวเอง
“ ข้างขวาครับ ”
ผมพยักหน้าให้หน่อยๆเพื่อบอกว่ารู้แล้ว มองเขาสลับกับเลื่อนสายตาหนีอยู่หลายครั้ง จนมั่นใจว่าเก็บอาการความอายที่ต้องมาทิ้งตัวนั่งลงเต็มๆบนตักของเขาไว้ได้แน่แล้ว เลยตัดสินใจมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
ผมเม้มปากแน่น และจะพยายามมองแค่ดวงตาของเขา ผมท่องไว้แบบนั้น..
มองแค่ดวงตา ผมจะไม่ไล่สายตามองใบหน้าขาวๆที่มีตอหนวดเล็กๆ ไม่ไล่มองแก้มใสขึ้นสีของคนอายุมากกว่า ไม่มองคิ้วเข้มๆ สันจมูกโด่งๆ ริมฝีปากที่แต้มรอยยิ้ม ผมจะโฟกัสที่ดวงตาเท่านั้น
แต่..รู้ตัวอีกทีว่าจะไม่ไล่สายตามอง ก็ดันเผลอมองไปซะแล้ว ช่างเถอะ..เนาะ
ตั้งสติด้วย ผักกาด!
“ ขอโทษนะครับ ”
ผมเอ่ยเป็นการขออนุญาต ค่อยๆใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งของตัวเองไปเปิดเปลือกตาเขาขึ้น มองดวงตาคมสีน้ำตาลใบไม้แห้งของเขาที่กำลังจ้องมองผมนิ่ง เราทั้งคู่ต่างมองกันนิ่งๆราวกับโดนใครสักคนสับสวิตซ์
ไม่รู้ว่าผมมองดวงตาเขานานเท่าไร แต่รู้ว่าแก้มขาวของเขาตอนนี้กำลังขึ้นสีแดงจัดลามไปถึงหู ส่วนตัวผมเองก็หน้าร้อนผะผ่าว เพราะไม่เคยที่จะต้องสบตาใครใกล้ๆ และนานขนาดนี้มาก่อน
“ เอ่อ.. ”
เขาอมยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นว่าผมตื่นตระหนก ผมรีบละนิ้วมือจากหางตาของเขา กระพริบตาปริบๆเพื่อเรียกสติตัวเอง
“ ผะ..ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรเข้าตาคุณ ”
“ หึ สงสัยมันจะออกจากตาไปอยู่ที่อื่นแล้วมั๊งครับ ”
แหนะ! เขาแกล้งผมเล่นอีกเปล่าเนี่ย เมื่อกี้นี้
“ …… ” ผมรู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของเขาว่ะ นอกจากจะดูเจ้าเล่ห์กวนประสาทขึ้นกว่าเดิม ทำไมครั้งนี้ผมกับรู้สึกว่าแววตาของเขามันมีความเอ็นดูที่แสดงออกมาอยู่ตลอดเวลาด้วย
“ ผักกาด.. พี่รู้แล้วล่ะครับว่าอะไรเข้าตาพี่ ”
“ อะ..อะไรครับ? ”
“ หึ เราไม่รู้หรอก..เพราะเรามันซื่อบื้อครับ ” อ๊าววว! เขาพูดแค่เนี้ยแล้วก็มายิ้มให้อีกแหละ
โอ๊ะ! ไม่ไหวว่ะ! ลุกๆๆ ผมนี่รีบดันตัวเองลุกขึ้นเลยตอนเขาเผลอ และเขาก็ยอมปล่อยทั้งยังพยุงผมให้ลุกขึ้นยืนแต่โดยดีด้วยนะ - = -
ไม่ใช่อะไรหรอก.. เมื่อกี้ผมดันเข้าใจว่าเขาจะเล่นมุก’ความรักเข้าตา’ง่ะ(!?) อุตส่าห์เตรียมตัวรับมือไว้ในใจซะดิบดี แต่เจ้าตัวกลับมาบอกว่าผมซื่อบื้อซะงั้น ก็เออ..ยอมรับแล้วก็ได้ว่าโง่(!?)
“ ปะ..ไปอาบน้ำได้แล้วครับ ” ผมเอื้อมมือก้มลงไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตกขึ้นมาจากพื้นโยนไปให้เขา ก่อนกระถดเท้าถอยหลังอย่างทำตัวไม่ถูก
“ ครับ ”
“ ดะ.. เดี๋ยวผมไปหาเสื้อผ้าให้เปลี่ยนนะ ”
ผมรีบหันหลังกลับเข้าห้องอีกครั้งเพื่อหาเสื้อผ้าที่คิดว่าเขาน่าจะใส่ได้ รื้อไปรื้อมาก็เจอเสื้อยืดตัวใหญ่ที่สุดที่ผมมีพอดี หยิบกางเกงบอลขาสั้น แต่กางเกงในไม่ต้องเพราะเขาคงไม่ได้เปียกไปถึงขนาดนั้น
“ คุณฎี.. ผมห้อยเสื้อผ้าไว้ราวหน้าห้องน้ำนะครับ ” ผมตะโกนบอกคนในห้องน้ำ ได้ยินเสียงตอบรับจนแน่ใจแล้วจึงเดินไปทำอย่างอื่นต่อ
○
●
“ มีอะไร?.. ฝนตกเนี่ย! ยางงง.. กำลังจะไปกินแล้ว.. อืมมม.. อ่า.. จ้าาา.. พอแล้วจ้าพ่อคนที่สอง.. ไม่ต้องมาบ่นพี่เลย.. โอเคๆ.. ”
ครึ้ม ครึ้มมม
“ ไอ้โขมฟ้าร้องอีกแล้ว! รีบพูดเร็ว.. เอ่อๆ.. พอๆ.. พี่กลัวฟ้า.. ก็ถ้าไม่รับสายเดี๋ยวแกก็จะโกรธอะ.. อืมมม.. งั้นแค่นี้นะ.. ก็จะไปกินข้าวไงโว้ย.. อืม.. ไอ้น้องบ๊อง! ”
ติ้ด!
ปวดประสาทคูณสอง
ผมเพิ่งวางสายโทรศัพท์และปิดเครื่องหนีผักโขมที่โทรมาหากันรอบที่สองของวัน มันคงว่างมั๊ง หึ! รอบนี้โทรมาถามว่ากินข้าวหรือยังและกินกับอะไร ซึ่งพอผมบอกว่ายังไม่ได้กิน ก็โดนคนในสายบ่น ดีนะที่เสียงฟ้าร้องทำให้น้องมันยอมวางสาย ไม่งั้นผมคงได้โดนบ่นจนมีอาการหูชา
“ เฮ้อ ” พูดถึงข้าวแล้วก็หิวเลย ผมสั่นจนลืมว่าร่างกายตัวเองสั่นไป ตั้งแต่เจอคุณฏีวิ่งมาปรากฏตัวตรงกลางซอยพร้อมกับร่มคันใหญ่แล้วล่ะ
แกร๊ก!
พลั๊ก!
ประตูกระจกริมระเบียงถูกเปิดออกพร้อมกับผมที่เดินกลับเข้ามาด้านใน เป็นจังหวะเดียวกันกับคนที่อยู่ในห้องน้ำเปิดประตูและกำลังก้าวเท้าออกมาพอดี
“ …… ” เป็นผมที่เห็นเขาก่อน และเป็นผมที่ชะงักเพราะเห็นใบหน้าและลำตัวด้านข้างของคนที่อาบน้ำเพิ่งเสร็จ เขาใส่เพียงผ้าเช็ดตัวที่ผูกไว้กับเอวเพื่อปกปิดส่วนล่าง และคลุมหัวด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาว
คนตัวสูงยกมือหนาขึ้นขยี้ผ้าขนหนูเพื่อเช็ดเส้นผมที่เปียกหมาดๆ ทำให้หยดน้ำเล็กๆที่ปลายผมของเขาหยดลงที่ไหล่กว้าง แผงอกขาว ต้นแขน และแผ่นหลัง
“ อ้าว ”
เจ้าของเสียงประหลาดใจค่อยๆเผยยิ้มขำเล็กน้อย เมื่อเลื่อนสายตามามองทางประตูระเบียงที่มีผมกำลังยืนตกตะลึงอยู่ หลังจากที่เขามองไปรอบห้องนั่งเล่นแล้วไม่เจอใคร
“ อยู่นี่เอง ”
“ ทะ..ทำไมคุณฎียังไม่แต่งตัวอีกครับ ” ผมถามเขาตะกุกตะกัก ชี้ไม้ชี้มือสะเปะสะปะ
“ พี่เพิ่งอาบน้ำเสร็จครับ ”
“ อึยย! มะ..ไม่ต้องหันตัวมา! ” ผมตาโตยกมือโบกสะบัดร้องห้าม ก่อนหันหลังขวับให้กับคนตัวขาวที่กำลังหันมามองทางผมทั้งตัว
เชี่ย! แล้วผมเป็นอะไรเนี่ย!
จะตกใจทำไม o=o
“ พี่กำลังจะออกมาหยิบเสื้อผ้า แล้วผักกาด..ตกใจอะไรครับ ”
“เปล่า..เปล่าครับ ” ผมบอกแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ปิดไปแล้วขึ้นมาทำท่ากดๆ แบบคนรนรานที่ถูกจับได้
“ เป็นอะไรครับ หันหลังแบบนี้พี่จะคิดว่าเราเขินพี่นะ.. ”
ไม่ได้เขิน!
แต่ขาว!
เอ้ย!
“ คือ.. อ๋อ! ผมจะ..ไปโทรศัพท์ ” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นโชว์เขา แม้จะหันหลังให้กันอยู่ก็ตาม
“ ฝนตกอยู่นะ พี่ว่าอย่าเพิ่งโทรเลย ”
“ ครับๆ ไม่โทร.. ” ผมขานรับอย่างเชื่อฟัง พองลมที่แก้มและค่อยๆพรู่ลมหายใจเพื่อระบายความร้อนที่หน้าก่อนพูดต่อ “ งั้นคุณฎีก็.. เข้า..เข้าห้องน้ำไปใส่เสื้อผ้าเถอะครับ ”
“ ผักกาดก็หันมาบอกกันดีๆสิครับ เราพูดอะไรพี่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน จนผมคิดว่าเขาตั้งใจจะกลั่นแกล้ง
“ ผม..บอกว่าให้คุณไปใส่เสื้อผ้า ” ผมหันข้างเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจเพื่อย้ำกับเขาอีกรอบ แต่หางตาก็ดันเหลือบเห็นอะไรขาวๆอีกจนได้
“ หื้ม? ไม่ได้ยินเลยครับ ”
เอ๊ะ! ผมเริ่มจะโมโหเจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังหลุดหัวเราะอยู่จริงๆซะแล้วนะ><
“ ว่ายังไงนะครับ น้องผักกาด ”
จิ!!
ผมตัดสินใจหันกลับไปหาคนตัวขาว ก่อนจะตะโกนบอกเขาด้วยน้ำเสียงแห่งความโมโห ถ้าพูดตั้งสามครั้งแล้วยังไม่ได้ยินอีก ก็แก้ผ้า เอ้ย!! ก็ใส่แต่ผ้าขนหนูอยู่แบบนั้นไปเล้ย!
“ หึย!! ผมบอกว่าให้คุณไปใส่เสื้อผ้า > = < ”
“ อ๋อ.. ”
“ เฮ้ยๆๆ คุณอย่าเดินเข้ามา! ” ผมร้องเสียงหลง ยกมือข้างหนึ่งห้ามคนตัวเปียกที่ทำท่าจะก้าวเท้าเข้ามาหา ก่อนยกมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นมาปิดตาของตัวเอง
“ เราเป็นอะไร? หื้ม? ”
อย่าถาม..ผมเองก็ยังไม่รู้เลยเนี่ย!
“ คุณฎี.. อย่าเดินเข้ามาใกล้ก็พอ ”
“ หึ พี่รู้แล้ว ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เจ้ากล “ ผักกาดเขินที่เห็นหุ่นพี่ฎีหรอครับ? ”
“ ไม่ได้เขิน! ” ผมไม่ได้เขิน ต่อให้คุณหุ่นดีผมก็ไม่ได้เขิน ผมแค่แพ้(!?) ..ความขาว
“ หึ รู้อะไรมั๊ย.. ถ้าเขินกัน..ก็ต้องเห็นกันบ่อยๆนะครับ ผักกาดจะได้ไม่เขิน ”
เชี่ย ผมกำลังจะตาย ใครก็ได้ไล่เขาไปใส่เสื้อผ้าที!!
○
●
“ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณฎีทำแบบนี้ ผมจะถ่ายรูปคุณตอนโป๊ไปขายให้แฟนคลับของคุณ! ” ผมยกช้อนที่หยิบติดมือมาชี้ขู่เขาฟ่อๆ
“ หื้ม ถ้าเป็นพี่ในเมื่อก่อน เราจะกล้าทำเหรอครับ น้องผักกาดดด ” เขาบลั๊ฟ(เกทับ)ผมกลับ พร้อมยักคิ้วด้วยสีหน้าท้าทาย จนผมอดกรอกตาไปมาไม่ได้
“ หึย! คุณฎีไปนั่งนู้นเลยนะครับ! ผมจะได้กินข้าวสักที ” ผมที่ยืนกดน้ำเย็นใส่แก้วของตัวเองอยู่ พร้อมกับออกปากไล่เขากลับไปนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น
หลังจากที่ไล่ยะยักยะยื้อให้เขาไปใส่เสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำเมื่อกี้ ผมก็หมดแรงเถียงเดินมานั่งพักที่โต๊ะกินข้าวในครัว พอเขาแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินตามผมมาแล้วยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนให้กันไม่หยุด
“ ไม่ไปครับ ”
“ เอ๊ะ! ”
“ ใจเย็นคนดี ”
คนดีบ้าบออะไร เรียกผมว่าคนดีเนี่ยนะ เรียกยังกะเวลาที่พี่ปังเรียกไอ้แยม - v -
“ พี่ก็จะกินข้าวครับ นี่ไงกล้องข้าวที่ซื้อมาจากหน้าปากซอย ” ว่าแล้วเขาก็เอื้อมไปหยิบกล้องข้างของตัวเองออกจากระเป๋าผ้าสีเขียวสวย แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับที่ผมอยู่
“ อืมๆ ” ผมยอมทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาดีๆ ก่อนเอื้อมมือหยิบกล่องข้าวของตัวเองออกมาจากถุงผ้าเหมือนกัน
แก๊ก!
แก๊ก!
เสียงกระทบกันเล็กน้อยของฝาและกล่องทัพเพอร์แวร์ ทำให้ผมและเขาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหารต่างมองหน้ากันเล็กน้อย ในขณะเราต่างคนต่างก็กำลังเปิดกล่องข้าวที่ใส่อาหารของตัวเอง
“ หึ ”
“ …. ”
“ กินข้าวกันครับ ”
“ ครับ ” ผมพยักหน้าอมยิ้มอย่างจำใจให้กับคนที่ยิ้มมาให้กันก่อนเล็กน้อย
ขณะกินข้าวเราต่างก็นั่งกินข้าวเงียบๆ ไม่ได้มีบทสนทนาใดขึ้นมาจากคนตรงข้าม ทำให้ผมนึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้นเมื้อกี้ ผมรู้สึกขำและตลกตัวเองขึ้นมาเฉยเลย ที่ยอมให้คุณฎีเขาแกล้งกันทั้งที่รู้ว่าผมอะเสียอาการไปแล้ว
อื้ม! ผมยอมรับว่าผมเสียอาการจริงๆ เพราะความขาวของเขา ความขาวของเขาทำให้ผมนึกถึง Polar Bare หรือคุณหมีขั้วโลกสีขาว ถ้ามันไม่ดุร้ายผมคิดว่าผมโคตรจะแพ้ความน่ารักของมันสุดๆเลย หน้าตาน่ารัก ตัวใหญ่ๆ ขาวๆ และคุณฎีดันคล้ายคุณหมีขาวไปอีก บ้าเอ้ย!
○
●
“ เรื่องของฝาก ”
“ ครับ? ”
“ ทำไมถึงปฏิเสธเด็ดขาดจังเลยล่ะครับว่าไม่เอา ” เขาถามขึ้นมาหน้าเครียดเล็กน้อย ในขณะที่ผมเดินถือกีตาร์ออกมาจากห้องนอนเพื่อยื่นให้กับเขา
หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จ ผมตัดสินใจว่าจะนั่งวาดรูปเล่น แต่กลัวว่าคุณฎีเขาจะเหงาเพราะไม่มีอะไรทำ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานน้องสาวได้เอากีต้าร์ที่ผมลืมไว้ที่หอเก่ามาให้แล้ว ผมก็เลยลุกเข้าไปเอาออกมาให้กับคนที่ชอบเล่นดนตรีเผื่อจะได้มีอะไรทำฆ่าเวลา ดีกว่านั่งเฉยๆรอฝนที่ยังไม่มีวี่แววหรือทีท่าว่าจะหยุดตกลงมาเลย
“ ก็ผมไม่อยากได้ อีกอย่างคุณจะเสียเงินซื้อมาให้ผมทำไม ” ผมตอบเขาขณะที่กำลังนั่งติดเทปมุมกระดาษเข้ากับกระดานรองแข็งๆ หยิบดินสอ2B มาเหลาๆ ให้ไม่คมมาก พลางคิดว่าจะวาดรูปอะไรดี
“ เพราะพี่อยากให้เรา ”
ผมชะงักเล็กน้อย เงยหน้ามองคนที่รีบพูดจนจบก็ทำเป็นแกล้งก้มหน้าก้มตาเพื่อเปิดหาคอร์ดเพลงในโทรศัพท์อย่างไม่สนใจ
“ อยากให้ผม? ”
“ ใช่ อยากให้มากๆ ”
“ อยากให้ผมทำไม? ”
“ กะ..ก็ เป็นของฝากก็ได้ เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่ก็ได้ ที่สำคัญมันเป็นของที่พี่อยากให้ผักกาด ” เขากำลังกลั้นรอยยิ้ม พูดไล่เรียงประโยคเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงเงอะงะ แต่ยังคงไม่เงยหน้ามามองผมอยู่ดี
“ แต่พี่ก็ให้ผมมาตลอด ให้ทุกปี ” ผมพูดช้าๆ
อดแปลกใจไม่ได้นี่หน่า เพราะในวันเกิดของผมที่ผ่านมาทุกปี ผมมักจะได้กล่องของขวัญชิ้นหนึ่งจากเขา ตอนแรกๆเขาก็บังคับให้รับนั่นแหละ แต่มีช่วงที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศเขาจะฝากพี่ปังมาให้แทน และพอเขากลับมาอีกครั้ง เขาก็เป็นฝ่ายเอามายัดใส่มือให้ผมเองเหมือนเดิม
แต่เรื่องหนึ่งที่เขาอาจจะไม่รู้ก็คือ ต่อให้เขาจะบังคับให้ผมรับมา ต่อให้ผมจะคิดว่าไม่อยากให้เขามายุ่งวุ่นวายกัน ต่อให้ปากจะบอกว่ารำคาญที่เขากวนประสาท ผมก็ยังแอบเก็บของที่เขาให้ทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี
“ นี่ไม่ใช่ของขวัญวันเกิดนะครับ มันเป็นของที่พี่อยากให้ผักกาดจริงๆ ”
อยากให้ผักกาด แต่ไปถามกับน้องคิวท์หรอ..
“ แล้วทำไมไม่ถามผมเอง ไปถามผ่านคิวท์ทำไม อ่ะ! ” เหมือนความคิดของผมมันจะเสียงดังเกินไป ปากมันถึงพูดในสิ่งที่คิดออกมาแบบนั้น
ผมมองเขาต่อเพียงเสี้ยววินาที พยายามละสายตาไปมองอย่างอื่นแก้เก้อ แต่รอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากนั้นก็ทำให้ผมต้องส่งสายตากลับไปมองคนที่กำลังยิ้มมองมาเงียบๆเป็นระยะเหมือนเดิม
“ เราอยากให้พี่ถามเราเองหรอครับ? ”
“ ใช่ เอ้ย! ไม่ใช่! ” ผมพยักหน้าแต่เมื่อนึกได้ว่าไม่ใช่ก็เลยรีบส่ายหัวทันที
“ ใช่สินะ ”
“ จิ๊! ก็บอกว่าไม่ใช่ ผมแค่..ไม่อยากได้อะไร ” ผมจิ๊ปากอย่างไม่พอใจที่ถูกจับผิด อย่าถามย้ำนะ!
“ พี่อยากให้ และคนที่พี่อยากให้ก็คือผักกาด ”
“ อ่ะ! ” ผมชะงักอีกแล้วสิ คุณฎีเขายอมแพ้ง่ายๆที่ไหน
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มองคนตรงหน้านิ่งๆ เพราะเขาพูดคำว่า ‘พี่อยากให้’ มามากกว่าสามครั้งแล้ว นิ้วเรียวของเขาเริ่มเกาสายกีต้าร์ให้ออกมาเป็นเสียงเพลง ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไรเหมือนกัน แต่มันก็เป็นทำนองที่เพราะดี
“ พี่ไม่บังคับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถ้าพี่อยากให้เรา เราจะ..รับมันไว้ได้มั๊ยครับ ” คนตัวโตเอ่ยถามและเผยยิ้มเล็กๆอีกครั้ง เขาหยุดเล่นกีต้าร์ ก่อนนั่งเอาปลายคางค้ำกับกีตาร์โปร่ง มองมาตาแป๋วราวกับกำลังอ้อนวอนกันให้ตกลง
“ คือ..ถ้ามันแพง ผมขอไม่รับ ” ผมตอบอ้ำอึ้ง เลื่อนสายตาไปมองคนตรงหน้าเล็กน้อย จดจำรายละเอียดของใบหน้าแห่งความดีใจเล็กๆที่ผุดขึ้นมา และค่อยๆลงมือร่างเส้นด้วยดินสอบางๆ เพราะรู้แล้วว่าจะวาดรูปอะไรดี
“ ดูก่อนสิครับ พี่คิดว่าผักกาดจะชอบมันมากๆ ”
“ อืม ” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ เขาจึงรีบลุกเดินไปที่ห้องครัว ผมชะโงกหน้ามองตามเมื่อได้ยินเสียงคนค้นหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าผ้าและเสียงก๊อบแก๊บๆของถุงพลาสติก พอเขาทำท่าเหมือนจะเดินกลับออกมา ผมก็แกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่ออย่างไม่สนใจ
“ มาแล้วครับ ”
เขาเดินเข้ามาหาผม ก่อนยื่นกล่องของขวัญนั้นให้กับผม เป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากถูกห่อด้วยกระดาษสีเทาและพลาสติกอีกหนึ่งชั้น
“ คุณพกมันมาด้วย? ”
“ ใช่ครับ พี่หาโอกาสจะให้เราด้วยตัวเองมาตลอด แต่พี่ยุ่งมากๆตั้งแต่กลับมา เลยคิดว่าถ้าสักวันบังเอิญเจอก็จะให้กับเราด้วยตัวเอง ”
“ ….. ” ผมยกมือขึ้นมาทำเป็นกุมแก้มของตัวเองเพื่อปิดบังรอยยิ้มที่แอบยิ้มออกมา
ผมล่ะอย่างเชื่อเขาเลย คุณฎีคนนี้เขาเกินความคาดหมายของผมไปเยอะจริงๆ ถ้าผมปฏิเสธเขาอีกครั้งจะเป็นยังไงนะ จะหน้าเหวอมั๊ย
“ พี่ให้ครับ ”
“ ไม่เอา.. ”
“ ……. ” โอ๊ะ! สำเร็จ
“ แฮร่ ล้อเล่น ” ผมแลบลิ้นให้เขาแล้วยิ้มขำคิกคัก เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชักมือกลับเล็กน้อย ผมเลยเอื้อมมือไปรับกล่องของขวัญจากเขามาวางไว้ที่ตักของตัวเอง
เมื่อกี้หน้าเขาเหวอไปเลยล่ะ หน้าเขาตลกชะมัดเวลาที่ตกใจ ไม่มีเสียงพูดออกมานะ แต่สีหน้าของเขาแสดงความ ‘ฮะ?’ ออกมาได้ชัดเจนมาก
“ แกล้งกันก็เป็นหรอเรา ” ผมได้สติขึ้นมาเมื่อถูกมือหนักๆดันหัวเบาๆ
“ เอาคืนคุณบ้างไง ชอบแกล้งแต่ผมดีนัก ” ผมใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าท้องแข็งๆของเขาคืน แต่เจ้าตัวก็ยืนนิ่งๆให้ผมจิ้มไม่กระดิก เพราะเขาไม่ใช่คนบ้าจี้อะไร
“ ที่พี่ทำมาตลอด มันไม่ได้เรียกว่าแกล้งสักหน่อย ”
“ อะ.. ”
ริมฝีปากเผลอกระตุกไปเล็กน้อย เมื่อสายตาเหลือบเห็นเงาคนด้านบนเข้ามาใกล้ขึ้น ผมค่อยๆเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้มที่อยู่สูงกว่าอย่างไม่เข้าใจ พบว่าเข้ากำลังก้มหน้าลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้หน้าของเราทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่คืบเดียว
นี่เป็นอีกครั้งที่เขาทำแบบนี้ ใกล้ขนาดที่ผมได้ยินเสียงลมหายใจ ใกล้ขนาดที่ผมได้กลิ่นสบู่ของผมผสมกับกลิ่นความหอมจางๆที่ยังติดอยู่ที่ตัวเขา
ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะกลิ่นหอมทำให้ผมตาเบลอ เผลอเม้มริมฝีปากแน่นสนิท กลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก
เอาแล้วไง..
“ คะ..คุณแกล้งผม ”
“ ทำไมชอบคิดไปเองว่าพี่แกล้ง หื้มๆ ”
“ อึย! ” ผมสะบัดหน้าหนีเล็กน้อย เมื่อเขาเอานิ้วมือมางัดจมูกผมสองสามทีเหมือนหมั่นเขี้ยวกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
“ ทำไมไม่คิดว่าสิ่งที่พี่ทำ มันคืออย่างอื่นบ้าง ”
“ ถะ..ถ้าไม่ได้แกล้งแล้วจะเรียกว่าอะไร ” ผมยกมือเล็กๆของตัวเองขึ้นมากั้นระหว่างดวงหน้าของเราทั้งสอง เพราะใกล้มากไปมันรู้สึกไม่ดีเลย แต่ก็ได้แค่บ่นในใจไม่กล้าดันหน้าเขาออกไปอยู่ดี
“ อย่าเผลอกลั้นหายใจบ่อยสิครับ เดี๋ยวพี่งัดจมูกเราอีกสักรอบ.. ” เขาว่าแบบนั้นพร้อมทำท่าขู่ ผมก็เลยเปลี่ยนมือที่กั้นอยู่มาลูบจมูกตัวเองปอยๆ
“ นี่จมูกนะไม่ใช่ฝาขวดน้ำอัดลม ” ผมขอทำหน้ามุ่ยใส่เยอะๆเขาหน่อยเถอพ เอาหน้าออกไปเลยนะคนกวนประสาท
“ หึๆ”
“ ….. ”
“ น่ารักชะมัด ” เขาว่าพร้อมกับผละตัวออกไปมองทางอื่น ไม่พอยังเอื้อมฝ่ามือหนักๆ ของตัวเองมาขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด
“ คุณฎี.. ” ผมเรียกชื่อเขาลากเสียงยาว ไม่เอาดิ อย่าพูดนะ!
“ หึ คุณผักกาด ”
“ ….. ”
“ น่ารักแบบนี้บ่อยๆ พี่ก็ไม่ไหวนะครับ ”
เกลียดว่ะ มาพูดให้ผมงงจนไปไหนไม่เป็นแล้วก็กลับไปนั่งเล่นกีต้าร์สบายใจเฉิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเฉยเลย
คำว่าน่ารักน่ะ บอกแล้วไงว่ามันเป็นคำต้องห้ามที่ห้ามพูดกับผม
คิดว่าผมจะเขินหรอ..
ก็เอ่อ!!
///////
“ ของขวัญน่ะ ขะ..ขอบคุณนะครับ ”
“ ครับ ”
“ แล้ว..ผมแกะได้เลยมั๊ย ”
“ แกะได้สิครับ พี่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าเราชอบมั๊ย ” เขาตอบผมแล้วอมยิ้ม แม้มือหนาจะกำลังเกาสายกีตาร์เป็นทำนองไปเรื่อยๆ แต่สายตาของเขากลับไม่ได้ละสายตาไปไหน จับจ้องมาที่ผมอย่างคาดหวัง
แคว่กๆ!
ผมพยายามแกะกระดาษห่อของขวัญอย่างเบามือ พบว่าของในกล่องถูกหุ้มด้วยแผ่นกันกระแทกอีกสองชั้น ดูจากรูปร่างก็น่าจะเป็นแก้วน้ำชา
หึ ใช่จริงๆด้วย
แก้วน้ำชาดินเผาสีขาว ลักษณะเป็นแก้วทรงกระบอกตรงๆ ไม่มีหูจับ ข้างแก้วมีลวดลายเล็กๆที่ถูกวาดระบายสีลงไปเป็นรูปผักกาดขาว รูปเด็กผู้ชายหัวหยิก และรูปสายรุ้งพาดผ่านก้อนเมฆ และมีชื่อสลักเล็กๆเป็นภาษาไทยข้างล่างว่า 'ผักกาด'
มันน่ารักมากๆ
“ คุณฎีทำเองหรอครับ? ”
“ ใช่ครับ พี่ทำเอง ”
หื้ม? ผมส่งสายตาไปให้เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้าตัวก็ชะงักและหลบสายตาผมซะงั้น จริงๆนอกจากจะขี้กวนขี้แกล้งไปหน่อย เขาก็ยังมีมุมน่ารักอยู่นะเนี่ย
ผมค่อยๆห่อมันด้วยแผ่นกันกระแทก และเก็บเข้าไปในกล่องเดิมอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินเอามันไปเก็บในที่ของมันเป็นอย่างดี
❤ 100 เปอร์เซนต์ (%)
----------------------
1 ไลค์ 1 คอมเมนต์ = 1 กำลังใจ ❤
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
(◜◡‾) (‾◡◝)
นักเขียน :: ถ้าฝนไม่หยุดตก เราจะไม่ให้คุณฎีกลับง่ายๆแน่
ฝากทวิตเตอร์ :: แม่น้องผักกาด @PimpipamS
ติดแท็ก #คุณฎีของผักกาด
ฝากคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจ❤หน่อยค่าาา รักคนที่เข้ามาอ่านทุกคนนะคะ
ช่วงนี้ชีวิตไม่มีอะไรบำบัดเลยนอกจากนิยายกับเสียงเพลง ถ้าได้กำลังใจดีๆจากคนอ่านคงหายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง