[เรื่องสั้น] ฟันเฟืองและนาฬิกา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ฟันเฟืองและนาฬิกา  (อ่าน 20710 ครั้ง)

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

                    ชีวิตคืออะไร…?
  
                    ในบางครั้งผมก็นึกสงสัยในสิ่งที่ผมเองก็ไม่อาจอธิบายได้ว่ามันคืออะไร มันจะมีคำตอบหรือไม่ หรือมันจะเป็นเช่นไรในวันที่ผมได้รู้ถึงคำตอบนั้น ผมไม่รู้ และไม่คิดที่อยากจะหาคำตอบของคำถามที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรนั้นด้วย เพราะชีวิตของผม ทุกลมหายใจที่เข้าออกนี้ล้วนถูกกำหนดอยู่ในบางสิ่งที่ผู้เป็นพ่อและแม่ของผมสร้างขึ้น ทุก ๆ ก้าวที่จะต้องก้าวไป ทุก ๆ ความรู้สึก ทุก ๆ ความนึกคิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลายล้อมรอบตัวนั้นล้วนเป็นสิ่งที่คนทั้งสองต่างทำให้เกิดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะยังเป็นผมที่พวกท่านรู้จัก พวกท่านใช้มือทั้งสองปิดป้องหูและตาของผมไว้เพื่อไม่ให้ได้รับรู้ในสิ่งนอกเหนือจากนั้น และได้โปรด....ด้วยความกรุณาทั้งหมดนั้น....โปรดอย่าถามว่าผมรู้สึกเช่นไร เพราะนั้นก็เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมไม่อาจจะให้คำตอบได้เช่นกัน
   
                    พ่อของผมเป็นนายตำรวจชั้นกลางที่น่ากลัว (นั่นคงพออธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงต้องการให้ผมเรียนนิติศาสตร์...หรือผมอาจจะคิดไปเองก็ได้...ผมไม่แน่ใจ) ร่างของท่านนั้นท้วม ผิวคล้ำกรำแดด สีหน้าบึงตึงตลอดเวลา เสียงดุดังและมีระเบียบ ส่วนแม่ของผมเป็นแม่บ้านที่เรียบร้อย ร่างผอมเล็ก และค่อนข้างเงียบ นั้นคงเป็นส่วนที่พ่อชอบแม่มากที่สุด เพราะยามเมื่อพ่อของผมกลับมาบ้านท่านชอบให้บ้านและครอบครัวของท่านนั้นไม่มีเสียงอะไรเลย ทั้งเสียงโทรทัศน์ เสียงเพลง เสียงพูดคุย หรือแม้แต่เสียงแมลงเม่าบินชนหลอดไฟ ทำให้ยามที่ท่านกลับมาบ้านผมกับแม่ต้องกระซิบพูดคุยกันเสมอ จนบางครั้งเวลาที่พ่อของผมไม่อยู่ เราก็ยังกระซิบคุยกันด้วยความเคยชิน

             แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น ท่ามกลางห้องที่เต็มล้นไปด้วยสิ่งปั้นแต่งสวยงามของพ่อและแม่ควบแน่นด้วยความเงียบงันและอับเฉา ผมก็ยังโชคดีเหลือเกินที่ท่านทั้งสองยังให้ที่ว่างมากพอที่ผมจะมีหน้าต่างบานเล็ก ๆ ไว้เฝ้ามองโลกภายนอกนั้น
 
             หน้าต่างนั้นมีชื่อ มันชื่อว่า นิฬ
 
             นิฬเป็นเพื่อนของผมตั้งแต่มัธยมปีที่หนึ่ง เขามีรูปร่างที่ผอมจนน่ากลัว แก้มตอบจนผิวเนื้อยุบลงไปเป็นบ่อกว้างขับเน้นให้โหนกแก้มทั้งสองลอยเด่น ผิวซีดขาว และตามข้อพับแขนขาก็ยังปูดโนนด้วยกระดูกที่ถูกหุ้มด้วยผิวเนื้อ แต่ทั้งที่มีรูปร่างที่ดูเหมือนจะบอบบางแบบนั้น เขากลับเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้นานนัก และผมก็ชอบมองดูเวลาเขาทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น
 
             ในหลาย ๆ ครั้งเขาก็จะชวนผมไปทำสิ่งที่เขาเห็นว่าสนุก ทั้งฟุตบอล เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ตามร้านที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และอีกหลายต่อหลายอย่าง แต่ผมก็ไม่ชอบมันไปมากกว่าที่จะได้มองเขาทำกิจกรรมเหล่านั้น
 
              และในหลาย ๆ ครั้งผมก็จะชวนเขานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดที่ผมชื่นชอบ เดินซื้อหนังสือในร้านหนังสือ หรือทำการบ้าน ซึ่งเขาก็ดูเหมือนจะไม่ชอบเช่นกัน
 
              “ก็แค่หมึกเบื้อนกระดาษ... สนุกตรงไหนวะ”

               ทุกครั้งเขาจะถามผมแบบนั้น และผมก็ได้แต่ส่ายหัวและตอบว่าไม่รู้
   
                       เราเติบโตขึ้นพร้อมกันภายในสถานที่และสถานภาพอันแปลกประหลาดที่มีให้แก่กัน...แปลกประหลาด...คำ ๆ นี้ไม่ได้มีมาแต่แรก เพราะในตอนแรกมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่มันเริ่มก่อตัวขึ้นที่ละน้อย ๆ เหมือนน้ำที่ละหยดที่ค่อย ๆ เติมเต็มทะเลสาบกว้างใหญ่ ครั้งแรกที่มันเริ่มก่อตัวคือวันที่ฟ้าหม่นหมองด้วยเมฆฝน นิฬมาเรียนหลังจากหยุดไปสองอาทิตย์พร้อมกับรอยแผลที่ลำแขน ผมสงสัยและถาม
   
                        “กระจกบาดนะ....ไม่มีอะไรหลอก” เขาเอ่ยตอบก่อนจะวิ่งออกไปแตะฟุตบอลกับคนอื่น ๆ
   
                        เพียงไม่นานเม็ดฝนก็เทตัวลงมาเป็นห่าใหญ่จนทุกอย่างต้องหยุดลง เขาวิ่งกลับมาหาผมที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้อาคารเรียนและถอดเสื้อสีขาวที่เปียกโชคนั้นออก
สิ่งที่ปรากฏก็คือผิวเนื้อใต้ร่มผ้าของเขาที่ขาวซีดกว่าภายนอกมาก อีกทั้งรอยปูดโปนของกระดูกซี่โครงและสันหลังก็ชัดเจนจนน่าตกใจ มันให้ความรู้สึกเปราะบางอย่างประหลาด

                        “มึงน่าจะกินพวกโปรตีนบ้างนะ” ผมเอ่ยเสียงเรียบพรางมองดูอีกฝ่ายเอาเสื้อเปียกนั้นพาดไว้กับที่นั่ง “...พวกเนื้อสัตว์หรือไม่ก็พวกใขมัน”
 
                        “ทำไม...มึงว่ากูผอมไปหลอ” เขาว่าพรางนั่งลงข้าง ๆ ผม

                        “มาก” ผมตอบสั้น ๆ และกลับมาอ่านหนังสือต่อ ดูเหมือนว่าเขาก็จะขบขันไปกับคำตอบนั้นของผม

                         “แม้แต่มึงก็คิดหลอว่ะ...” เขาเอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะจ้องมองออกไปยังสายน้ำที่เทตัวลงมาจากท้องฟ้า เสียงเม็ดฝนตกกระทบพื้นดังเซ็งแซ่ไปทั่ว สายตาเขานิ่งเรียบ มันเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ผมจะเห็นดวงตาแบบนั้นจากเขา
 
                          “มึงคิดอะไรอยู่...” ผมเอ่ยขึ้นทั้งที่สายตายังไม่ละจากหน้ากระดาษของหนังสือ

                          “อนาคต...”

                           ผมกระตุกยิ้ม “อย่างมึงเนี่ยนะคิดเรื่องอนาคต”

                           เขายิ้มออกมาเช่นกัน “อาจจะใช่...อาจจะไม่....มึงจะรู้ได้ยังไงว่ากูไม่ได้โกหก”

                           “มึงไม่โกหกกู...กูรู้”

                          “มึงจะรู้ได้ยังไง”

                            ผมหยิบเอาที่คั้นหนังสือมาวางไว้ที่หน้าหนังสือและปิดมัน ก่อนจะหันมาทางอีกฝ่าย

                           “ก็มึงไม่เคยโกหกกู”

                           ชายคนนั้นหัวเราะและยิ้ม “แค่ว่าไม่เคยไม่พอหลอก...ถ้ากูโกหกมึงแล้วมึงจับไม่ได้ละ...ถ้าตลอดมากูโกหกมึงทุกเรื่องแล้วมึงไม่เคยจับได้ละ...” ชายคนนั้นหันกลับไปจ้องมองสายฝนอีกครั้ง “คนเราก็แบบนี้ละ คิดไปกันเองว่ารู้ทุกอย่าง ทั้งที่จริง ๆ แล้วยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่าสิ่งที่รู้มันเป็นจริงมากแค่ไหน สักแต่ว่าอะไรดีกับตัวเอง อะไรทำให้ตัวเองมีความสุขก็เชื่อไปตามนั้น...ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้...”

                            “แล้วมันสำคัญตรงไหน....” ผมเอ่ยขึ้น

                            ชายคนนั้นกระตุกยิ้มเบา ๆ พรางหันมาสบตากับผม“นั้นละ...ที่กูกำลังคิดอยู่”

                             นับแต่วินาทีนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมก็ค่อย ๆ แปลเปลี่ยนไปทีละน้อย นิฬไม่ใช่หน้าต่างของผมอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นบางอย่างที่มากกว่า เป็นประตูที่นำผมสู่โลกภายนอก สู่โลกกว้างอันไม่รู้จบนั้น

                             เราทั้งสองใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งดูหนังด้วยกัน กินข้าวที่โรงอาหาร นาน ๆ ครั้งผมจะชวนเขานั่งเล่นกันในห้องสมุด และเกือบทุกเย็นผมจะนั่งดูเขาเล่นฟุตบอลในสนาม
ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองนั้นแน่นแฟ้นขึ้นตามเวลาที่เราใช้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่มีใครสักคนกล้าพอที่จะเอ่ยอะไรออกมาเกี่ยวกับสิ่งนั้น ไม่แม้แต่จะถามหาว่ามันคืออะไร อาจเพราะมันไม่มีอะไร อาจจะเพราะมันเป็นแค่ความเป็นเพื่อน หรืออาจเพราะกลัวคำตอบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายและตัวเองต้องเจ็บปวด กลัวว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้ และสุดท้ายสิ่งที่เรามีให้แก่กันก็จะหมดสิ้นไป

                              ความสัมพันธ์ของเราบางครั้งมันก็เหมือนกับภาพของความฝัน ที่เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นตอนเช้าก็ต้องถามตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือ บางครั้งผมก็ไม่กล้าพอที่จะสบตาชายคนนั้นเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผมเฟ้อฝันจิตนาการณ์ไปเอง แต่ทุก ๆ วันเขาก็พิสูจน์ว่าไม่ใช่ เราทั้งสองต่างมีบางอย่างร่วมกันอยู่และแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพอที่จะให้ความหมายแต่เราก็รู้สึกถึงมันได้ตลอดเวลา

                              เวลาล่วงเลยไปอีกหลายปีจนเราทั้งคู่เขาสู่มัธยมปลาย และความสัมพันธ์ของเราก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม เรายังกินข้าวกลางวันด้วยกันบ่อยครั้ง ยังไปดูหนังด้วยกันเกือบทุกสัปดาห์ นิฬยังมานั่งเป็นเพื่อนผมในห้องสมุดและผมยังไปนั่งดูเขาเล่นฟุตบอลเกือบทุกเย็น

                              ในตอนนั้นเหมือนกับว่าในร่างกายของผมมีนาฬิกาที่นับถอยหลังอยู่ ในทุก ๆ ครั้งที่ผมและนิฬกินข้าวด้วยกัน ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ทุกครั้งที่เราไปดูหนังด้วยกันผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไป และทุกเย็นที่ผมได้นั่งดูนิฬเล่นฟุตบอล ผมไม่อยากจะให้มันเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นมัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันเวลาก็ไม่เคยหยุดนิ่งทั้งในรูปธรรมและนามธรรม จนเราทั้งสองเข้าสู่มัธยมปีที่หก

                               เรามีเวลาให้กันและกันน้อยลงทุกที อีกทั้งภาระหน้าที่มากมายก็รอคอยผมและนิฬอยู่ ทั้งการสอบมากมาย ทั้งรายงานและการบ้าน แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะพยายามหาเวลาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็สัปดาห์ละครั้งหรือสองสัปดาห์ครั้ง จนสุดท้าย ชีวิตของนักเรียนมัธยมปลายของเราทั้งคู่ก็สิ้นสุดลง ในเดือนเมษายนอันอบอ้าวแต่ชุ่มเย็นด้วยเทศการสงกราน
 
                          ในวันนั้นผมกับพ่อมีปากเสียงกันยกใหญ่ ด้วยเรื่องที่ท่านทึกทักเอาเองว่าผมเข้าใจดีแล้ว แต่เปล่า...ไม่ใช่...ผมไม่ต้องการเรียนนิติศาสตร์ ท่านถามผมว่าแล้วต้องการอะไร ผมตอบไปว่าผมต้องการเรียนอักษรศาสตร์ ผมอยากเป็นนักเขียน ท่านหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างเย้ยหยันก่อนตะโกนว่าผมปัญญาอ่อนไปแล้ว จะเป็นไอ้นักเขียนไส้แห้งเฟ้อฝันได้อย่าไร มันเป็นไปไม่ได้ ผมตอบท่านไปว่า เป็นไปได้และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็คือการที่ผมจะต้องไปเป็นไอ้นักกฎหมายลิ้นมันเยิ้ม เป็นไอ้แก่หัวล้านมือถือสากปากถือศีลนั้นต่างหากที่เป็นไปไม่ได้ ท่านโกรธจัด ก่อนจะเริ่มลงมือลงไม้กับผม ผมหนีออกมา และตรงไปที่โรงเรียน

                           ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ผมโทรหานิฬและเขามารับผมไปบ้านของเขา
นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมไปที่บ้านของเขา ที่นั้นเป็นห้องเช่าห้องเล็ก ๆ มีเพียงที่นอนวางไว้กับพื้น โทรทัศน์ ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ เขาหยิบเสื้อและกางเกงออกจากตู้ยื่นให้ผมเปลี่ยน ก่อนเราทั้งคู่จะออกสู่ราตรีอันส่องสว่างภายนอก
เราดื่มกิน เราเล่นน้ำ เราโยกย้าย ผมยิ้ม นิฬยิ้ม ผมหัวเราะ นิฬหัวเราะ มันเป็นเวลาอันสนุกและสุขที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ของผมจะมีได้ อาการเมามายทำให้ปัญหาต่าง ๆ ในหัวของผมหดหายไป เสียงเพลงทำให้โลกนี้ไม่มีค่ากับผมอีกต่อไปแล้ว และนิฬก็อยู่กับผม นั้นคงเป็นสิ่งดีที่สุดเท่าที่ผมจะมีได้

                            เราทั้งสองทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เวลาจะล่วงเข้าวันใหม่ เขาเอ่ยชวนผมไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

                            “ไปไหน...” ผมเอ่ยถามพรางยิ้ม

                            “ไปเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง” เขาว่าพรางดึงผมออกเดิน

                             เราทั้งคู่ออกเดินไปตามทางที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ก่อนจะเลี้ยวเข้าตึกร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ภายในนั้นมืดและชื้นแต่นิฬก็ยังพาผมเดินขึ้นบันไดไปหลายต่อหลายชั้น จนสุดทางของบันได ดาดฟ้ากว้างก็ปรากฏแก่สายตา
 
                             ผมยิ้มและหัวเราะออกมา นิฬหยิบขวดเครื่องดื่มขึ้นจรดปาก

                             “เป็นไง...ดีใช่มั้ยละ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับ

                             ลมเย็นพัดผ่านมา ผมมองออกไปยังทิวทัศน์ของค่ำคืนเบื้องล่าง แสงไฟ ผู้คน ตึกราม ทุกอย่างดูเล็กลงและห่างไกลจากเราทั้งสอง

                             “เข้ามาแบบนี้เดี๋ยวก็เดือดร้อนหลอก” ผมเอ่ยพรางหยิบขวดเครื่องดื่มขึ้นจรดปากของตัวเอง

                             “เดือดร้อนได้ไง...ก็ที่นี้มันของกู”

                             สิ้นคำผมมองหน้าเขาและหัวเราะ

                             “จริง ๆ...มึงไม่เชื่อกูหลอ”

                             “เชื่อ กูเชื่อ” ผมว่า

                             “มึงไม่เชื่อกู...” เขาเอ่ยพรางดื่มเข้าไปอีกหลายอึก “ที่นี่นะ...พ่อกับแม่กูเขาจะทำเป็นคอนโด ให้คนเช่า”
 
                             “แล้วไง...เงินเสือกหมดก่อนไง” พูดจบผมก็หัวเราะ

                             “เปล่า...ล้มละลาย” เขาว่า

                             “หลอ” ผมเอ่ย ในใจยังไม่เชื่อ

                             “เออ...” เขาตอบพรางปีนขึ้นไปนั่งบนส่วนที่สูงที่สุด “พอล้มละลายได้ไม่กี่วันก็ตาย...ดีนะว่าประกันชีวิตมากพอจากหนี้”

                             ผมมองหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งข้าง ๆ

                             “มึงพูดจริง ๆ หลอ” ผมถาม เขาพยักหน้าและกระตุกยิ้ม

                             “บังเอิญโคตร ๆ ...เชื่อก็ปัญญาอ่อนแล้ว”

                             ผมนิ่งไปหลายนาที “งั้นก็...” เขาพยักหน้าอีกครั้ง

                             “ฆ่าตัวตาย...ง่ายดีมั้ยละ...ฆ่าตัวตายเอาเงินประกันไปจ่ายหนี้”

                             เราเงียบไปอีกหลายนาทีก่อนที่นิฬจะเอ่ยขึ้น

                             “มึงรู้จักทฤษฎีนาฬิกามั้ย...” ผมส่ายหัว นิฬยิ้ม “....สังคมของคนนะก็เหมือนนาฬิกา...ทุก ๆ คนที่อยู่ในสังคมก็เป็นเหมือนฟันเฟืองที่คอยขับเคลื่อนนาฬิกาให้เดินไปข้างหน้า บางคนรู้ตัว บางคนก็ไม่...แต่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เราก็ยังทำหน้าที่หมุนไปรอบ ๆ เพื่อให้นาฬิกาเดินต่อไป เราหมุน คนอื่นก็หมุน เป็นหลักการเกื้อกูลซึ่งกันและกันในสังคม...” เขายกขวดเครื่องดื่มขึ้นกระดกใส่ปาก ก่อนชี้นิ้วไปยังกลุ่มก้อนแสงสีเบื้องล่าง “นั้นนะ...นาฬิกา”

                              ผมมองตามไป “อะไรของมึง...กูว่ามึงเมานะเนี้ย” ผมเอ่ยพรางหัวเราะก่อนจะดื่มเครื่องดื่มไปอีกหลายอึก

                              เขากระตุกยิ้มอีกครั้ง “ไอ้นั้นนะเป็นนาฬิกา นาฬิกาที่มีฟันเฟืองสองตัวหายไป” เขาว่าพรางปลายตามองผม “มึงกับกูไง”

                              ผมมองหน้าเขา
 
                              “มึงรู้มั้ยว่าข้อดีของมึงกับกูที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาคืออะไร...” ผมส่ายหัวน้อย ๆ “ก็คือทั้งมึงทั้งกูสามารถมองดูนาฬิกาได้เหมือนกับ ช่างทำนาฬิกา นะสิ”  

                              “ช่างทำนาฬิกา....” ผมหัวเราะ “พูดเรื่องส้นตีนไรเนี่ย กูว่ามึงอ่านหนังสือการ์ตูนมากไปแล้ววะ”

                              “ไม่แน่...อาจจะ....” เขาว่าก่อนจะเงียบไป

                               หลังจากเงียบกันไปอีกนานผมก็เอ่ยขึ้น “แล้วมันเป็นยังไง...ช่างทำนาฬิกาอะไรของมึงนะ”

                               เขายิ้มอย่างผู้มีชัยออกมาก่อนเอ่ยตอบ “ช่างทำนาฬิกาก็คือคนที่สร้างเงื่อนไขต่าง ๆ ในสังคมไง เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นฟันเฟืองทุกตัวหมุน รู้ว่าฟันเฟืองตัวไหนควรอยู่ตรงไหน ฟันเฟืองแบบไหนควรหมุนอย่างไร เขาเป็นคนกำหนดทั้งหมด ส่วนฟันเฟือง...” เขาหยุดและกระดกขวดเครื่องดื่มใส่ปาก “พวกมันไม่รู้หลอกว่าตัวเองเป็นยังไง พวกมันก็แค่หมุนและทึกทักเอาเองว่ารู้ทุกอย่าง รู้ว่าฟันเฟืองแต่ละตัวอยู่ตรงไหน ทำอะไร หมุนอย่างไร แต่พวกมันก็แค่ทึกทักเอาเองและทำเป็นอวดรู้โดยแอบซ่อนความโง่ปัญญาอ่อนของตัวเองอยู่หลังคำว่า ภาพรวม...ภาพรวมส้นตีนกูนี่”

                               ผมหัวเราะ “แล้วมึงกับกูละ...” เขามองหน้าผมคล้ายถามว่าอะไร “ที่มึงบอกว่ามึงกับกูเป็นฟันเฟืองที่หายไป...เป็นฟันเฟืองที่มองเห็นนาฬิกาได้อย่างช่างทำนาฬิกา แปลว่าอะไร”

                               “ใช่...ใช่…”เขาว่าพรางตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ผมดึงเขาให้นั่งลงอย่างเดิม “ทั้งมึงทั้งกู เป็นข้อยกเว้น เป็นฟันเฟืองอันเล็ก ๆ ที่ถูกวางอยู่นอกนาฬิกา เราไม่ต้องหมุน ไม่ต้องเคลื่อนไหว หน้าที่ของเราก็คือเฝ้าดูนาฬิกา เราเป็นพวกที่เห็นภาพรวมได้อย่างภาพรวมจริง ๆ เห็นความเป็นจริงของนาฬิกาได้อย่างที่เป็นนาฬิกาจริง ๆ”

                              “งั้นก็แปลว่ามึงกับกูเป็นพวกแหกคอก...” เขาแทรงคำว่าไม่มาหลายคำ “หรือพวกสังคมรังเกียจ”

                               “ไม่ใช่...ไม่ใช่” น้ำเสียงเขาอ่อนลงด้วยคมดาบของสุรา “แต่เป็นพวก....พวก...”

                              “ไอ้นั่นไม่แข็ง...” ผมต่อคำ เขาหัวเราะ

                               ทั้งผมและเขาเงียบกันไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับความเงียบก่อนหน้า คล้ายกับว่ามีบางอย่างมาบีบกดตัวผมให้เล็กลงทุกที นาฬิกาในตัวผมเริ่มร้องเตือนถึงเวลาอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของเรา ถ้าไม่พูดตอนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสอีกต่อไป

                              “ไอ้นิฬ...กูว่าเรื่องของมึงกับกู”

                              “อย่าพูดนะ...” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสะลึมสะลือ “มึงอย่าพูดเด็ดขาด”

                              ผมนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนหัวเราะ “อะไรของมึง...มึงรู้หลอว่ากูจะพูดอะไร” เขาพยักหน้า “งั้นมึงลองบอกกูสิ กูจะพูดอะไร”

                              “มันไม่ใช่...” เขาเอ่ย “มันไม่ควรเป็นแบบนั้น...แบบที่มึงคิด” ผมนิ่งเงียบไปพรางจ้องมองลงสู่แสงสีเบื้องล่าง “ถึงทั้งมึงทั้งกูจะเป็นฟันเฟืองที่อยู่นอกนาฬิกาเหมือนกัน แต่ทั้งมึงทั้งกูก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี...มึง...แค่หลุดออกมาจากนาฬิกาที่เสียหาย...และอีกไม่นานมึงก็ต้องกลับไป...กลับไปข้างล่างนั้น...กลับไปทำให้นาฬิกาเดินต่อไป กลับไปทำให้นาฬิกาที่ขาดหายกลับมาเดินต่อไปอีกครั้ง กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาที่ยังต้องการฟันเฟือง แต่กู ไม่มีที่ให้กลับไปแล้ว...เป็นฟันเฟืองที่ไม่มีนาฬิกาตัวไหนต้องการ...”

                              ผมหันกลับมามองหน้าเขา “มึงอย่าตลกน่า...มึงก็ยังมีเพื่อน...ทั้งพวกที่เล่นฟุตบอลด้วย...ทั้งกู”

                              เขายิ้มที่มุมปากพรางทำเสียงขึ้นจมูก “พวกนั้นนะ...สำหลับพวกมัน กูก็เป็นได้แค่หมุดที่ตอกนาฬิกาให้แขวนอยู่กับกำแพง เป็นเส้นหนังที่ใช้รัดนาฬิกาไว้กับข้อมือ...กูไม่สำคัญพอที่จะเป็นฟันเฟืองส่วนได้ส่วนหนึ่งได้หลอก...แล้วกับมึง ฟันเฟืองสองตัวไม่เรียกว่านาฬิกาหลอก...มันก็เป็นได้แค่...” เขาถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะเงียบไป “อีกไม่นานมึงก็ต้องไป...มันจะมีค่าอะไร”

                               ผมเงียบไปอีกนานหลายวินาทีก่อนว่า “แล้วถ้ากูสัญญาละ...สัญญาว่ากูจะไม่ไปไหน”

                               นิฬทำเสียงขึ้นจมูกอีกครั้งพรางหันมามองผม “มึงจะสัญญาทำไม ในเมื่อมึงก็รู้ว่ามึงทำตามไม่ได้ ไม่มีทางทำได้”
 
                                ผมนิ่งเงียบไป...ไม่มีคำไดจะอธิบายความรู้สึกภายในนั้นได้ ไม่มีคำตอบหรือคำถาม ไม่เติมเต็มหรือขาดหาย มัน...ว่างเปล่า...ไร้สิ่งได

                                 “นั้นนะ...” ผมเอ่ยพรางมองไปยังแผลที่ยาวไปตามลำแขนของเขา “ไม่ใช่กระจกบาดใช่มั้ย”

                                 เขายิ้มทั้งดวงตาที่ปิดอยู่ “นาฬิกาบางตัวเรือนก็เดินไปข้างหน้า...บางเรือนก็ถอยหลัง...แต่บางเรือนก็ไม่เดินอีกต่อไปแล้ว...เป็นนาฬิกาที่ตาย”

                                  และนั้นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นและได้ยินเสียงของนิฬ เขาหายตัวไปนับจากนั้นและที่น่าแปลกคือไม่มีใครสังเกตเห็น มันช่างน่ากลัวเหลือเกินที่ใครสักคนจะหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครต้องการ

                                  ไม่นานต่อมาผมก็ได้รู้ว่าคำพูดของนิฬเป็นจริง ผมกลับไปเป็นผมคนเดิม กลับไปหาพ่อและแม่ กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาอีกครั้ง กลับไปหมุนและกลายเป็นส่วนสำคัญของนาฬิกาหลาย ๆ เรือน เรือนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง สำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง

                                   นาน ๆ ครั้งผมจะยังกลับไปยังตึกร้างนั่น กลับไปเป็นฟันเฟืองที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ที่มองลงสู่นาฬิกาเบื้องล่างและคิดถึงนิฬ คิดถึงค่ำคืนนั้นที่ผมยังไม่สามารถเป็นนาฬิกาได้ ค่ำคืนที่ฟันเฟืองสองตัวพูดคุยกัน คิดว่าถ้าตอนนี้เขายังอยู่ตรงนี้จะเป็นอย่างไร ชีวิตของผมจะยังเป็นอย่างไร นาฬิกาเรือนนี้จะเดินหน้าหรือถอยหลัง

                                    และบางที ผมอาจจะเป็นนาฬิกาที่มีฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ หายไปก็ได้....



*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 15:42:14 โดย THIP »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

keivet001

  • บุคคลทั่วไป


TaEnIaE_CoLi

  • บุคคลทั่วไป
ชอบนะ

มันลื่นไหลดี น่าติดตาม

แต่ก็แอบแฝงความเศร้าไว้ให้สัมผัสได้

อยากให้มีภาคต่อจัง ภาคที่หาฟันเฟืองตัวเล็กๆที่หายไปเจอ

จะรอเรื่องยาวนะค๊าบบ อ่ะให้ :L2: ให้นี่ด้วย  :กอด1:



ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
ปาดข้อมือเหรอ?  ไม่เอานะ  ผมกลัวเลือด!!!

ผมชอบเรื่องสั้นเรื่องนี้นะครับ  สั้นกระชับได้ใจความดี

ถือว่าเป็นเรื่องสั้นขนาดสั้น  ที่เน้นเสนออารมณ์  และแนวคิดบางอย่าง  แทนที่จะเป็นโครงเรื่องแบบรูปธรรม

แต่คำสะกดผิดมีพอสมควรเน้อ  โดยเฉพาะคำควบกล้ำ ล.ลิง ร.เรือครับ *-*


ชอบครับ   o13

muhan

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ...อ่านแล้วมองตัวเอง...

ฟันเฟือง....

.........นาฬิกา

เวลา..........

......ลมหายใจ

ขาดไม่ได้แม้นสักวินาที...เฮ้อ

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

The Living River Ping

  • บุคคลทั่วไป
มีแนวคิดแทรกไว้ด้วยดีจัง ฟันเฟืองของนาฬิกาเรือนหนึ่ง ที่ขับเคลื่อน ทำให้เวลาเดินไป

แต่ฟันเฟืองอันนั้น อาจจะไม่พอดี ที่จะทำให้นาฬิกาอีกเรือน ขับเคลื่อนเวลาให้ตรงกัน คิดแล้วน่าเสียดาย

ขอบคุณนะจ๊ะ มาลงเรื่องต่อไปเร็วๆนะ  :mc3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Twilight

  • บุคคลทั่วไป
 :pig4:

ขอบคุณคับ

ให้แนวคิดดีคับ

แต่แอบเศร้างะ

ออฟไลน์ kritcha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณค่ะ ให้ข้อคิดมากทีเดียว

เปรียบเทียบได้เห็นภาพเลยค่ะ ฟันเฟือง เวลา การขับเคลื่อน

อ่านแล้วได้อารมณ์มาก...


OhJa

  • บุคคลทั่วไป


kungfoopungpon

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ knightprince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ชอบมากเลยคะ ตามหาเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว ขอบคุณมากเลยคะ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1

ออฟไลน์ Pippin_Fujoshi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ชอบที่เอาไปเปรียบเทียบกับฟันเฟืองนาฬิกาจัง
มันเห็นภาพดี
ภาษาก็ชวนติดตามมากเลยค่ะ
แต่แอบสะดุดตรงไอ้ที่สะกดผิดหน่อยๆ อย่างคำว่า หลอก (หรอก)

ถึงจะจบคล้ายๆจะแบดเอนก็เถอะ แต่ก็ชอบนะ  :o8:

ออฟไลน์ nco1236

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
แอบหลอนนิด ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด