ตอนที่ 13/1 สถานการณ์แปรปรวน
บรี๊นนนน บรี๊นนนน บรี๊นนนน
‘บีบเก่งจิงนะแตรรถเนี่ยยยย หุ้ย! หูกูจะหนวกแล้วไอ้พี่เวร
ผมบ่นในใจให้ไอ้คนตัวโตที่ขี่รถตามผมมาสักพักแล้วตั้งแต่ไฟแดงคนข้ามถนน ไม่พอบีบแตรแล้วบีบแตรอีกไม่เลิกสักทีจนคนเค้ามองด้วยสายตาประณามมึงกันหมดแล้ว ส่วนผมก็พยายามเดินหนีพี่มันขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะตามมาทำไมนักหนา เนี่ยเดินจนจะถึงโรงแรมแล้วเนี่ย แล้วก็โคตรหงุดหงิดไอ้ขาสั้น ๆ นี่สุด ๆอ่ะ
แม่ง! อยากจะเดินไวกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวกูวิ่งหนีแม่งเลยสาดดด
“เล”
“…”
“ไอ้เล”
“...” เรียกเก่ง เรียกกูจัง กลัวลืมชื่อกูไง ไม่ตอบก็ยังเรียกอยู่ได้นะเว้ยยยย
“ทะเล! หยุด กูพูดไม่ได้ยินไง หูหนวกหรือไงว่ะ” โว้ยยยยย กูได้ยินแล้วเว้ย แต่ไม่อยากหยุดมีอะไรป่าวว่ะ เอ่อ แล้วทำไมขากูไม่ก้าวต่อว่ะเนี่ย ???
‘ไอ้ขาเวรอย่าทรยศดิเว้ยยยยย
ไหน ๆ ขาผมมันก็ทรยศร่างกายอันบอบบางนี้แล้ว ผมก็เลยต้องหันไปหาไอ้คนตัวโตที่แหกปากเรียกชื่อจนคนเค้ามองอยากรู้อยากเห็นกันไปหมด
“ทำไม!!! ผมไม่ได้หูหนวกโว้ย แต่ผมไม่อยากคุยกับพี่”
“แน่ใจนะ” เออ! ไม่แน่ใจเว้ยไอ้พี่บ้า ผมจ้องหน้าคนตัวโตเขม็งด้วยความหงุดหงิด แม่ง รู้ดีไปหมดเลยนะว่าถามแบบนี้ผมต้องตอบไม่ได้แน่
“พี่ปลาย!!! พี่มันคนใจร้าย”
“พี่ปลาย มีอะไรกันพี่ ใจเย็น ๆ ก่อน” เสียงของคนที่มาที่หลังแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้พี่ปลายที่กำลังแข่งกันแหกปากเหมือนกำลังชิงชนะเลิศแหกปากโอลิมปิก ประหนึ่งว่าถ้าใครเสียงดังกว่าจะได้เหรียญทองไป โถ่!
คนตัวโตเกือบเท่าพี่ปลายเดินมาหยุดยืนระหว่างเราสองคน ถ้าผมจำไม่ผิดก็น่าจะชื่อระตินั้นแหละ
“ไม่มีไรมึง ไปก่อนเลย กูมีเรื่องต้องคุยกับไอ้เด็กดื้อนี้ก่อน”
“ผมไม่ได้ดื้อ แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ด้วย ผมจะไปทำงาน” ผมหันกลับไปมองค้อนไอ้คนที่ว่าผมดื้อ เถียงออกมาเสียงดังก่อนจะหมุนตัวตั้งใจจะเดินต่อ แต่ยังไม่ทันเดินสักก้าว ไอ้พี่ปลายมันก็พูดเสียงเย็นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“จะขึ้นดี ๆ หรือจะให้กูลงไปอุ้ม”
“พี่ใจเย็นดิวะ” ใช่เลยพี่ระติ พีปลายแม่งชอบโวยวายเว้ย เลนี่เรียบร้อยสุดอ่ะบอกเลย พี่พามันกลับไปทำงานด้วยเลยมาตามอยู่ได้เนี่ย
“มึงยังไม่ไปอีกใช่ไหม ถ้างั้นมึงไปอุ้มไอ้เด็กนั้นมาขึ้นรถกูที”
“ไม่ต้องอุ้ม!!”
หันไปตวาดอย่างดังไม่ใช่ว่าไม่ไปนะครับ ตาเหลือกเลยสิครับคราวนี้ ก็อยู่ ๆ ไอ้พี่แม่งจะให้คนอื่นมาอุ้มผมเฉยเลยอ่ะ ไม่คิดบ้างไงว่ะว่ากูก็รักนวลสงวนตัวนะเว้ย ถ้าพี่มึงมาอุ้มกูนี่อาจจะแกล้งขัดขืนนิดหน่อยพอเล่นตัว นี่ให้ผู้ชายคนอื่นมาอุ้มอ่ะใครจะยอมว่ะ พอทำไรไม่ได้เลยจำยอมโดดขึ้นรถเองสิรอไรเล่า
“แค่เนี่ยก็จบแล้ว มึงจะเรื่องเยอะทำไมห๊ะเล”
“ค่อย ๆ คุยกันนะพี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องเล งั้นผมไปก่อนนะ” พี่ระติหันไปบอกพี่ปลายก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ผมแล้วบอกลา ผมทำแค่พยักหน้าเบา ๆ เพราะอารมณ์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก โมโหไอ้เสาไฟฟ้าข้างหน้านี้อยู่ อยากจะกัดแม่งให้จมเขี้ยวสักทีสองที
“เออ บอกไอ้วิวว่ากูจะเข้าสาย พาเด็กไปอบรมก่อน”
“คร๊าบบบบ อบรมเบานะครับพี่”
พอได้ยินพี่ระติบอกว่าให้อบรมเบา ๆ นี่เล่นเอาผมหน้าร้อนเลยครับ เผลอไปคิดอะไรก็ไม่รู้เข้านะสิ แล้วยิ่งคนพูดยิ้มกรุ่มกริ้มแบบนั้นแล้วหัวใจก็ดันเต้นผิดจังหวะเข้าไปอีกอ่ะ
“ไปเร็ว ๆ เลยมึง”
พี่ปลายมองดูรุ่นน้องที่ทำงานเดินไปขึ้นรถ จากนั้นก็ขับออกมาจากที่ตรงนั้น ผมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ไม่ทันได้มองว่าพี่มันจะพาไปไหน มารู้ตัวก็ตอนมันจะกลับรถนี้แหละ ตกใจที่มันขับเลยที่ทำงานผมเลยจัดการทุบหลังพี่มันไปที
“จะพาเลไปไหนพี่ปลาย เลต้องไปทำงานนะเว้ย”
“พาไปอบรม มึงโทรไปลางานครึ่งวันได้เลย หึหึ”
“พี่แม่งอบรมอะไรของพี่ว่ะ ถ้าเลโดนไล่ออกทำไงเล่า”
“เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง ตลอดชีวิตเลยเอ้า”
“หึ่ยยยย!”
เถียงไม่ออกเลยไง เขินขึ้นมาเฉยเลย แม่ง! มาพูดแบบนี้ทั้ง ๆ ที่คนเค้างอนอยู่ได้ไงว่ะ ทำแบบนี้เดี๋ยวหัวใจวายตกรถตายห่าขึ้นมาทำไงเล่า
ส่วนไอ้เรื่องก่อนหน้าที่จะเป็นแบบนี้ก็มาจากเมื่อวานที่เป็นวันหยุดพี่มันนั้นแหละ ก็หลังจากวันเสาร์ที่พี่มันมาง้อที่ห้องก็พากันลงไปทานข้าว ขึ้นมานั่งเล่นจนค่ำ ๆ พี่มันก็กลับบ้านมันไป
จากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาคุยกันอีกทีก็ตอนเช้าที่ผมต้องไปทำงานแล้วพี่มันมารับเหมือนปกติ
วันทั้งวันช่วงทำงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ ผมก็ทำงานตามปกติ เข้างานเช้าเลิกงานเย็น เจอคุณแทนให้ไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเหมือนเช่นเคย ต่างไปคือไม่ได้ชวนไปกินข้าวเหมือนเมื่อก่อน
ตอนเลิกงานไอ้พี่ปลายก็แสนดีเสนอหน้ามารับตามปกติที่ทำในช่วงนี้ บอกว่ากลัวหมาโดนอุ้มขึ้นรถ
‘โอ้โหหมามึงตัวเท่าควายใครเค้าจะมาอุ้มไหวไอ้พี่ ทำไมรู้สึกแปลก ๆ เหมือนด่าตัวเองเลยว่ะ
ไอ้ผมก็ไม่ได้คิดขัดขืน เรียกว่าใจง่ายก็ได้ กระโดดขึ้นรถอย่างไม่ต้องชวน ก่อนกลับห้องพี่มันก็ใจดีพาไปกินข้าวเย็น แล้วพามาส่งที่ห้องเหมือนเช่นปกติ แต่ไอ้ที่มันไม่ปกตินี่หลังจากนั้นแหละครับ
อยู่ ๆ ในใจผมมันก็เกิดตะงิด ๆ ขึ้นมา เพราะว่าไอ้พี่ตัวโตมันไม่ได้ส่งข้อความมาบอกว่าถึงบ้านแล้วเหมือนทุกวัน มันเล่นเงียบหายไปเลยเว้ยแกร ไอ้เราก็ไม่ได้อะไรหรอก คิดว่าคงยุ่งหรือลืมอะไรแบบนี้แหละ ไม่ส่งมาก็ไม่เป็นไร ไหน ๆ พี่มันก็ออกตัวแรงว่าจีบกันอยู่ ก็เลยส่งข้อความไปหามันเองเลยจ้า
In LAY : พี่ปลาย ทำอะไรอยู่ครับ 20.30 น.
In LAY : นอนแล้วหรอ 20.55 น.
ข้อความที่ผมส่งไปไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมาเลย อ่านก็ยังไม่เปิดอ่านเลยจ้า แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้กังวลใจหรืออะไรเท่าไหร่หรอกครับ เพราะว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าพี่ปลายอาจจะหลับไปแล้ว หรือมีธุระอะไรเลยไม่ว่างคุย
โดยปกติแล้วเราสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันทางข้อความ หรือโทรหากันเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเวลาอยู่บ้านก็ใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองกันไป
ข้อสำคัญอีกอย่างคือ เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันจริงจัง ถึงจะต่างคนต่างรู้สึกดี ๆ ให้กัน และพี่มันออกตัวว่าจีบผมเหมือนที่ผมตามจีบมันมาตั้งแต่แรกก็เถอะ แต่เราสองคนก็ยังไม่เคยคุยกันจริงจังหรือตกลงปลงใจเลื่อนสถานะจากคนรู้จักเป็นคนรัก เลยทำให้ยังเว้นระยะห่างให้กันอยู่มาก
อาจจะเป็นเพราะผมไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ หรือตามจิกตามหวงใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะมีแค่ถ้ามาทำให้เห็นต่อหน้าต่อตาอะไรแบบนี้ ก็มีมองตาขวางกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
อ่ะ ๆ กลับเข้าเรื่องที่ตีกันดีกว่า จากที่ส่งข้อความไปแล้วมันไม่ตอบกลับ ผมก็เลยมานั่งดูทีวี พอหนังจบก็เข้านอน แต่ไอ้ตอนที่นอนหลับอยู่ดีๆนี่ดิ มีคนโทรเข้ามาไง
Rrrrrrrrrrrrr
>>> P’Paii <<<
ผมมองดูว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นคนที่ส่งข้อความไปหาแล้วไม่ได้ตอบกลับมาก็แปลกใจนิดหน่อยที่ทำไมพี่แกโทรมาตอนนี้ เพราะนี้มันจะเที่ยงคืนแล้ว คงไม่ใช่เพราะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นตัวสั่นเป็นสาวแรกรุ่นแน่ ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณก็ลองคิดสภาพดูสิ มันจะน่าสยองแค่ไหน
“ฮัลโหล”
[ทำมายยย รับสายช้าว้าาาาา]
“เมาหรอเนี่ย” เสียงปลายสายยานคางจนไม่ต้องเดาเลยว่าไอ้ตัวนี้มันต้องเมาแน่ ๆ เสียงเพลงก็ดังจนหูกูเกือบพังเลยนะพี่มึง
[ม่ายยยเมาคร๊าบบ]
“ไม่เมาบ้านพี่สิ เสียงยานขนาดนี้”
[หู้ยยยย ปลายยยม่ายเมาสากกหน่อย] น๊านนนนไงไม่เมา แทนตัวเองว่าปลายด้วยเป็นไงครับ อันนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกมันเรื่องส่วนตัวไปสังสรรค์กับเพื่อน แต่หลังจากนี้ดิช๊อตเด็ด
“อืมมม ไม่เมาเลย แล้วอยู่ไหนเนี่ย ไปเที่ยวไม่เห็นบอกเลบ้างเลย”
[พี่ปลายยืนดี ๆ สิครับ ยิมจับไม่ไหวแล้วนะ]
[คร๊าบตัวเล็ก ขอเกาะหน่อยสิ]
“...”
[เกาะดี ๆ สิครับ เดี๋ยวล้มไปจะเจ็บตัวนะ]
[เป็นห่วงเค้าหรอ น่ารักจังเลย] ไอ้เฮี้ยยยย อุทานในใจออกมาดังลั่น ไม่ได้มาแค่เสียงนี้มีชื่อมาด้วยเลยไม่ต้องเดาให้ยากว่าเป็นใครกัน หน้าผมนี่ขึ้นสีเลยครับไม่ใช่อายนะ โมโหอยากถีบคน
“พี่แม่งโคตรเลวอ่ะ โทรมาให้กูฟังอะไรว่ะ แม่งเอ้ยยย!” แค่นั้นแหละครับที่ผมพูดไป จากนั้นก็กดวางสายไปเลย
มันใช่หรอว่ะโทรมาให้เราฟังแม่งคุยกับแฟนเก่ากระหนุงกระหนิงมากกว่าคุยกับผมคนที่มันบอกว่าจีบอยู่อีก
ทีกับกูนี่เรียกเตี้ยบ้างหมาบ้าง แต่นั้นเรียกกันตัวเล็ก ไอ้สาดดดดดดดดดดด
ตอนนี้เลือดทั้งร่างรวมใจกันวิ่งขึ้นหน้าประหนึ่งพี่ตูนวิ่งขึ้นเหนือนั้นแหละครับ สองเท้าถีบผ้าห่มไปมาอย่างบ้าคลั่ง หัวก็สะบัดไปมาจนคอแทบหลุด มือชกลมชกอากาศคิดซะว่าเป็นหน้าของไอ้คนเลวที่โทรมาเมื่อกี้
“ไปตายซะ เชี่ยเอ้ยยยยยย ไอ้พี่เลว” ทั้งด่าทั้งโวยวายลั่นห้อง หงุดหงิดแบบขั้นสุดเหมือนตอนนี้มีควันออกหู ไฟออกตา อยากจะไปถีบหน้าคนสักทีสองที
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
>>> P’Paii <<<
“โทรมาทำห่าไรอีก คิดว่ากูจะรับหรอ”
จ้องมองสายที่โทรเข้ามาหลังจากวางไปได้ไม่ถึงห้านาที คนโทรก็ชื่อเดิมที่ผมเพิ่งตะโกนด่ากราดเกรี้ยวไปก่อนหน้านี้ บอกเลยกูไม่รับแน่มึง กูโกรธอยู่โว้ยไอ้พี่ชั่ว
“ฮัลโหล โทรมาทำไมอีก” ฮืออออ ทำไมมือแม่งไม่ฟังสมองกูเลยว่ะ เสือกกดรับสายไม่ปรึกษากันบ้างเลยไง
[เตี้ย เป็นไร วางทำไม] มึงยังมีหน้ามาถามกูอีกหรอไอ้พี่เวร แล้วมาคราวนี้เสียงนี่เหมือนคนละคนเลยนะ
แล้วไอ้ควายที่เมาก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วว่ะแม่ง ???
ส่งค้อนให้โทรศัพท์ไปหนึ่งทีเหมือนว่าไอ้คนปลายสายมันจะเห็นยังนั้นแหละ ที่ไหนได้ก็มีแค่กูที่เห็นคนเดียว
“...”
[เล เป็นอะไร ทำไมไม่พูด]
“ไม่อยากพูด”
เอ้า!!! แล้วมึงพูดทำไมว่ะเนี่ยไอ้ทะเล งงกับตัวเองมากตอนนี้บอกเลย
[โกรธอะไรกูอีก ด่ากูแล้ววางสายใส่เนี้ย]
“พี่แม่งโคตรเลวเลย ทำอะไรไปยังไม่รู้ตัวอีก”
[มึงพูดดี ๆ ไม่ได้หรอว่ะเตี้ย กูไม่เห็นเข้าใจ]
“มึงแม่ง! ไม่เคยเข้าใจกูหรอก ออกไปจากชีวิตกูเลยไป ฮึก”
เอ้าชิบหายละ พูดเองร้องไห้เองซะอย่างนั้น คนปลายสายก็เงียบไปเลยคงตกใจที่อยู่ ๆ ผมก็พูดไม่ดีใส่มัน ไม่พอเสือกไปร้องไห้ใส่มันอีก
[เตี้ยคร๊าบ ใจเย็น ๆ ก่อน]
“แค่นี้นะ...อึก...ไม่ต้องโทรมาอีกนะเว้ย”
ผมพยายามกั้นก้อนสะอื้นสุดขีด พร้อมทั้งกดวางสายแม่งเลย ไม่สนใจแล้วแหละตอนนี้ ขอแหกปากร้องไห้กับตัวเองก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที มันหงุดหงิดงุนง่านใจไปหมดแล้วเว้ย คนอะไรบอกว่าเรื่องแฟนเก่าจบไปแล้วเมื่อวานนี้เอง วันนี้แม่งไปเที่ยวด้วยกันไม่บอกกูสักคำ หนำซ้ำยังมาคุยให้ได้ยินแล้วใจหายวูบลงไปตาตุ่มอีกมึง มันมากเกินไปป่ะวะแบบนี้
แต่แล้วความใฝ่ฝันที่จะนอนเล่นเอ็มวีร้องไห้ฟูมฟายทั้งคืนของผมก็หมดสิ้น เพราะหลังจากนั้นก็มากันเป็นฝูงเลยครับ มายืนออกันอยู่ในห้องผมสี่ห้าคน ไม่พอเท่านั้นไอ้แกนนำนี่เพื่อนรักผมเอง บิวไง! จะใครหล่ะ คราวนี้พาจอนมาด้วย แม่งมีทั้งคีย์การ์ดทั้งรหัสประตู ไม่ต้องรอให้ไปเปิด มันเปิดเข้ามาเองเลยจ้า
โชคดีหน่อยที่ห้องนอนผมล๊อคเอาไว้ ไม่งั้นคงมายืนล้อมเตียงเหมือนสัมภเวสีมาขอส่วนบุญกูแน่
แล้วจังหวะก็เสือกพอดีที่ผมหิวน้ำหลังจากโวยวายแหกปากเยอะไปไง เลยเดินออกมาจากห้องเจอพวกมันพากันเข้ามาพอดี หัวใจเกือบวายตาย นึกว่าโจรบุกบ้าน
‘ซวยแล้วกูจะเสียตัวก็งานนี้แหละ
“เฮ้ยยยยยย!!! ไอ้เฮี้ยยยย พวกมึงมาห้องกูทำไม ไม่ใช่ดิ มึงเข้าห้องกูได้ไงว่ะเนี่ยกูหัวใจแทบวาย”
“เอ่อ...เราเอง แต่เราไม่ได้อยากทำนะเล เราโดนบังคับ” จอนที่ยืนอยู่ข้างหลังสุด ก้าวออกมาข้างหน้า ทำหน้ารู้สึกผิดเต็มๆ ที่พาไอ้พวกที่เหลือเข้ามาในห้องผม โดยไม่ได้บอกกล่าว
ส่วนมีใครบ้างนั้นหรอครับ ก็ ไอ้บิวจอมแทรก กาย จอน และก็อีกคนนี้ไม่อยากจะพูดชื่อแม่งเลย ก็ไอ้คนที่ทำให้ผมหน้าโทรมเป็นศพอยู่นี้นั้นแหละ
ช่วงนี้ดูเหมือนพวกแม่งจะสนิทกันไวไปไหม เจอกันเกือบทุกวันเลยนะพวกมึง อยากถามจริง ๆ ว่าพวกมึงนี่เป็นเพื่อนใครกันแน่ ทำไมแค่ไอ้พี่นี้ขอให้ช่วยพวกมึงถึงใจง่ายช่วยมันว๊ะ !!!
‘นี่เลไง เพื่อนพวกมึงน่ะ จำไม่ได้หรอ
“ทำไมจอนทำงี้อ่ะ เลอุส่าไว้ใจ” ผมมองหน้าเพื่อนรักด้วยแววตาตัดพ้อ เรื่องไปเจอกันอย่างไรไม่อยากรู้แล้ว เพราะแม่งคงโทรหากันนั้นแหละ ที่งงคือมันจะยกโขยงกันมาทำห่าอะไรทั้งฝูงแบบนี้ มันรกห้องกูเข้าใจบ้างไหม
“มึงอย่าไปว่าเพื่อนเลยเตี้ย กูบังคับเพื่อนมึงเอง”
“พวกกูกลับดีกว่า เพื่อมึงจะมีเรื่องคุยกัน” ไอ้บิวจอมแทรก ก็พูดแหกโค้งเหมือนเดิม ไม่พูดเปล่าหันไปลากไอ้กายพูดน้อยตามมันไปด้วย ส่วนไอ้คนที่พูดก่อนหน้านี้ผมก็ทำเป็นไม่ได้ยินมันพูดไปซะ
“มึงมากันกี่คนก็เอากลับไปให้หมด กูไม่มีอะไรจะคุย”
“แต่กูมี”
พี่ปลายพูดต่อทันทีที่ผมพูดจบ หน้าคมจ้องมองที่ผมอย่างจะเอาเรื่อง ต่างจากผมที่ไม่หันไปมองหน้าพี่เค้าเลยสักนิด ทำแค่จ้องหน้าไอ้บิวหัวโจกฝากบอกกับมันไป
“ฝากบอกเค้าด้วยว่า กูไม่อยากคุยตอนนี้ ออกไปได้แล้ว”
“แต่กูอยากคุยตอนนี้ อย่างงี่เง่าดิว่ะเตี้ย” เออ จะงี่เง่ามึงจะทำไมว่ะไอ้สูง แค่คิดในใจนะครับไม่ได้ด่ามันหรอก เดี๋ยวมันมองแรงใส่แล้วจะสะดุ้ง
“ผมไม่ได้งี่เง่า และนี้ก็ห้องผม เชิญพวกคุณออกไปได้แล้ว”
“พี่ปลายครับ ผมว่าเราไปกันก่อนเถอะ ถ้ามาอารมณ์นี้คุยยังไงก็ไม่จบแน่”
จอนเพื่อนรักผู้รู้ใจผมดีที่สุดหันไปบอกกับอีกคน เพราะมันคงรู้ดีว่าตอนนี้ผมเริ่มจะมีมากกว่าความหงุดหงิดแล้ว พวกมันเคยเจอผมร่างมารมันเลยรู้ดี
“แต่...”
“นะครับพี่ เชื่อพวกผมเถอะ อย่าให้มันโกรธกว่านี้เลย” นั้นไงเห็นไหมว่าเพื่อนผมมันรู้ใจ รีบเดินไปดึงอีกคนให้เดินตามพวกมันทันที แต่ก่อนจะเดินออกไปไอ้พี่เสาไฟฟ้าก็หยุดเดินหันมามองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“เฮ้อออออ กูยอมกลับก็ได้” ถอนหายใจใส่หน้ากูเพื่อ? ยอมก็เดินต่อไปเด้ มาหยุดมองแล้วทำหน้าหงอยใส่ทำมายยยย ไม่ใจอ่อนหรอกเว้ย
“เล พวกเราไปก่อนนะ”
“เออ กูไปก่อนนะมึงไอ้เล เชี่ยเอ้ยกูยังไม่ทันได้นั่งเลย”
“ไปนั่งห้องมึงสิไอ้บิว พากันมาห้องกูทำไม”
“เอ้าไอ้นี้ พาลกูล่ะ” ไอ้บิวขมวดคิ้วมองหน้าผมที่ไปโวยวายใส่มัน แต่ผมหรอหน้านิ่งสิครับรออะไร ไม่สนเว้ยนี่ห้องกูไง มึงลืมหรือเปล่า ยู้ฮู
“ไปนะ อย่าคิดไปเองหล่ะ กูไปหลายคนและก็ไม่ได้คิดไรกับยิมแล้วด้วย วันนี้มึงยังไม่อยากฟัง แต่พรุ่งนี้มึงต้องฟังกูนะเตี้ย พรุ่งนี้เช้ากูมารับรอกูด้วย” ใครจะรอพี่มึง
“...”
“ไปนะเล” ผมไม่ตอบอะไรอีกคนเลย ทำแค่หันไปพยักหน้าให้กายที่มันบอกลาผม ก่อนที่พวกมันจะลากกันออกจากห้องไป พอไปกันหมดห้องก็เงียบวังเวงสุด กำลังคิดว่าควรเปลี่ยนรหัสห้องดีไหมว่ะเนี่ย ชักไม่ไว้ใจเพื่อนตัวเองที่แปรพักตร์ซะแล้ว
ก็นั้นแหละครับเรื่องทั้งหมด พอเช้ามาผมก็เลยหนีออกจากห้องก่อนพี่มันมารับไง คิดว่ากว่ามันจะรู้ตัวผมคงถึงที่ทำงานแล้ว ที่ไหนได้ตอนเดินข้ามทางม้าลาย เจอจอดรออยู่ตรงนั้นเลยจ้า และสุดท้ายก็จบที่ผมโดนลักพาตัวขึ้นรถมันมานี่แหละ
แต่ได้ข่าวว่ากูปีนรถเค้าขึ้นมาเองแท้ ๆ ก็มันจะให้คนอื่นอุ้มเค้าอ่ะ งอแง
พี่ปลายขับมาไม่นานก็พาเลี้ยวเข้าไปในคอนโดแถวแยกราชเทวี คอนโดสูงสามสิบกว่าชั้นรูปทรงสวยเก๋ แต่เพราะอารมณ์ตอนนี้ยังไม่อยากหายงอนก็เลยไม่ถามมันว่าพามาที่ไหน
“โทรไปลางานยัง”
“อือ”
“มึงโทรตอนไหน กูยังไม่เห็นได้ยิน”
“ส่งข้อความไป”
“อื้มดี งั้นตามมานี้”
“ไม่ไป อยากลากนะเว้ย”
“จะไปดี ๆ หรือให้กูอุ้ม”
“พูดบ่อยนะจะอุ้มเนี่ย งั้นอุ้มเลย อยากรู้นักจะอุ้มไหวไหม เอ้ยยย”
ลอยเลยจ้ะ ขาลอยจากพื้นอย่างรวดเร็วไม่ทันได้ท้าทายจนจบ แล้วอย่าคิดว่าอุ้มแบบน่ารัก ๆ นะครับ พี่มันเดินมาจับผมพาดบ่าเป็นกระสอบข้าวเลยมึง หัวห้อยต๋องแต๋งจนเลือดไหลมากองอยู่ที่ปลายดั้งกูนี่แหละ
“เป็นไง หายซ่าเลยมึง”
“ปล่อยเลลงเลยหายใจไม่ออก”
“ถ้าปล่อยแล้วจะเลิกดื้อไหมฮึ?”
คนตัวโตหยุดเดิน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่มยิ่งกว่ากระดาษทิชชู่แบบสามชั้น ผมรับรองว่าตอนนี้ให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละจ้ะ
เวียนหัวจะตายแล้วโว้ยย!
ผมพยักหน้ารับหงึกหงักอย่างแรงจนตัวพี่ปลายเองยังขยับไปมาตามแรงพยักหน้า แต่ใช่ว่าพี่มันจะเห็นไหมหล่ะมันก็ไม่เห็นไงเว้ย เลยยังไม่ปล่อยผมลงสักที
“ปล่อยสิพี่ปลาย เลไม่ดื้อแล้ว”
“แน่ใจ?” คนถามทำเสียงเหมือนไม่เชื่อเท่าไหร่นัก แต่ผมนี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ บอกเลย ตอนนี้หน้าคงแดงเถือกจนจะม่วงแล้วมั่ง ก็เลือดแม่งไหลลงมากองที่หน้า ถ้ามันไหลออกจากตาได้มันคงไหลออกมาแล้วพี่มึง
“เออ แน่ใจมาก”
“พูดเพราะ ๆ ดิเตี้ย” ยัง ๆ จะมาเรียกร้องอีก นี่เลยังพูดได้ก็ถือว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงที่เคยสั่งสมมาแล้วนะเว้ยพี่ปลาย ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่คือเลตายนะบอกเลย
แอร่กกก~
“โห เรื่องมากจัง ทำอย่างกับตัวเองพูดเพราะงั้นแหละ โอ้ยยย เวียนหัวแล้วเว้ย”
“พูดดี ๆ ก่อนสิครับน้องเล”
จะบอกเลยว่าต่อให้ตอนนี้เรียกที่รักก็ไม่อินอ่ะ หัวสมองเต้นตุ๊บ ๆ แล้วเนี่ยยยยพี่โว้ย
“โอ้ยยยย ยังจะมาเล่นอีกนะพี่ปลาย ปล่อยเลลงเถอะไม่ไหวแล้วครับ”
“หึหึ” คนตัวโตหัวเราะกวนประสาทก่อนจะยอมปล่อยผมลงสู่พื้น ผมดีใจอย่างกับนักบินอวกาศที่เพิ่งกลับมาเหยียบพื้นโลกในรอบห้าสิบปี
“อะไรเล่า เอ้ยยย”
“ยืนดี ๆ เตี้ย” หลังจากลงได้โลกก็โคลงเคลงไปมา ขยับนิดหน่อยก็เซแถ๊ด ๆ ๆ จนหน้าเกือบโหม่งพื้นโลก โชคดีที่ไอ้ตัวต้นเรื่องมันรั้งเอวผมไว้ทัน ไม่งั้นมึงเอ้ยยยย ได้ทำหน้าใหม่ยกแผงแน่ ๆ
‘ถ้าได้ทำใหม่น่ะ จะเอาให้หล่อกว่าพี่มึงเลยคอยดู
“เพราะใครเล่าเนี่ย ล้มไปหน้าแหกหมอไม่รับเย็บจะให้ทำไง”
“ก็หมามันอยากท้าให้กูอุ้มไง เลยจัดให้ ทีนี้มาร้องงอแง” พี่ปลายยกมือข้างหนึ่งผลักหัวผมเบา ๆ แต่อีกข้างก็ยังโอบเอวผมไว้กันไม่ให้หน้าทิ่มลงพื้น ตอนนี้สภาพร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติดีแล้ว แต่ว่าอารมณ์นี้ยังงอแงอยู่มากบอกเลย
“หึ้ย!”
“ไปได้แล้ว อย่าดื้ออีกนะคราวนี้กูอุ้มมึงเดินไปถึงข้างบนแน่”
“เออ! ครับก็ได้ว่ะ” แม่งพี่มันมองแรงใส่ผมอ่ะ เลยจำใจต้องเปลี่ยนเป็นพูดเพราะ ไม่ได้กลัวไอ้พี่เสาไฟฟ้านะขอออกตัวก่อน แค่เกรงใจมันนิดหน่อยแค่นั้นเองงงง
‘ถ้ามันจับเค้าอุ้มอีกเค้าจะทำไงเล่าแกร
พี่ปลายพาผมเดินเข้ามาในตัวอาคารก่อนพามาขึ้นลิฟต์ สักพักลิฟต์ก็เปิดให้พวกเราเดินออกมาในชั้นที่ 32 บรรยากาศโดยรอบเงียบเพราะคงเป็นช่วงเช้าที่คนน่าจะออกไปทำงานกันหมด และด้วยเป็นคอนโดที่น่าจะราคาสูงอยู่มากเลยทำให้ห้องน่าจะเก็บเสียงได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นถ้าดังมากจริง ๆ ผมว่าก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดมาบ้าง
เฮ้ยยยย! นี่ไม่ได้คิดอะไรเลยนะที่พูดไปอย่าเข้าใจผิดนะเว้ยยยย
‘เอ๊อะ รู้สึกเหมือนลน ๆ ยังไงไม่รู้
พี่ปลายหยุดเดินที่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่งที่สุดทางเดิน ก่อนจะทาบคีย์การ์ดและกดรหัสผ่าน ผมไม่ได้มองว่ารหัสที่กดเป็นเลขอะไรเพราะไม่อยากเสียมารยาท แต่พอประตูเปิดออกพี่ปลายก็ดันให้ผมเดินเข้าไปก่อน
‘ทำไมใจเต้นแรงขึ้นมาว่ะเนี่ย
ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงแค่ประตูห้องถูกเปิดออก ยิ่งตอนนี้โดนมือคนตัวโตดันหลังให้เดินเข้ามาก่อน ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปเท่าตัว หน้าร้อนจนคิดว่าคงแดงกว่าตอนห้อยหัวเมื่อกี้ สมองอันน้อยนิดมันดันคิดไปในเรื่อง 18+ ได้ไงไม่รู้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังตีกันอยู่
“กลัวหรอครับ”
“ฮื่อออ~”
ขนลุกซู่เลยคราวนี้ รีบหดคอหนีสัมผัสอุ่นร้อนที่รดลงมา ก็ไอ้คนพี่มันมาหยุดยืนซ้อนหลังแล้วยังก้มลงมากระซิบข้างหู ไม่พอแค่นั้นยังพ่นลมหายใจรดต้นคอผมอีก จากที่แค่ตื่นเต้นตอนนี้มือไม้เริ่มสั่นเพิ่มไปอีกแล้วดิ
“เข้าไปสิ ไม่ได้จะทำอะไรอย่างที่มึงคิดหรอกไอ้หมาเล”
“อะไร! ใครคิดอะไรอย่ามั่ว”
หันไปมองหน้าคนตัวโตด้วยด้วยความเลิ่กลั่ก เบิกตากว้าง ตะโกนแหกปากอย่างดังเพื่อกลบเกลื่อนความคิดของตัวเองที่คิดไปไกลถึงสุไหงโกลก ถ้าพี่มันไม่พูดแบบนี้สงสัยไอ้ทะเลคนนี้คิดไปยันก้นนรกแน่ ๆ
“เตี้ยเอ้ย! ทำไมน่ารักจังว่ะ”
“อุ้ย!”
เจอแบบนี้พูดไม่ออกอีกเลย ทำไมช่วงนี้พี่มันอ่อนโยนใส่ผมจังว่ะ ทั้งตามง้อทั้งพูดดีด้วยมากกว่าเดิม หรือนี่มันโหมดพี่ปลายผู้ชายอบอุ่นจนหน้าผมร้อนไปหมดแล้วเนี่ย แต่ไม่ได้นะต้องรีบดึงสติกลับมาก่อน ตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องเคลียร์กันไม่ใช่หรือว่ะไอ้พี่เสาไฟ
‘อย่า ๆ คิดว่าหยอดแบบนี้แล้วไอ้เลจะลืมนะเว้ยยยย
หลังจากถอดรองเท้าเสร็จก็เดินตามพี่เสาไฟเข้ามาในห้อง แต่ยังก้าวเท้าไม่ถึงไหนก็ต้องตกใจยืนนิ่งทันที เพราะว่าในห้องดันมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว
‘เอ้าไม่ได้พากูมาคุยแค่สองคนเหรอว่ะ
นี่แหละสิ่งแรกที่สมองผมคิด แต่ลำดับต่อมาคือหน้าที่เคยเขินก่อนหน้านี้มันเกิดตึงเปี๊ยะเพราะเห็นหน้าคนที่รออยู่ในห้องนั้นแหละ เล่ามาถึงตอนนี้ก็คิดว่าคงเดากันได้แล้วว่าผมเจอใคร ก็นายยิมตัวเล็กของไอ้พี่เสาไฟมันนั้นแหละ
‘แม่งเอ้ยยยยย พากูมาเจอมันทำไม
ผมหันไปมองค้อนคนตัวโตหนึ่งที ก่อนจะหันไปฝืนยิ้มให้กับคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนแล้ว ยิมมองมาที่ผมพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างไม่ได้ฝืนเหมือนที่ผมทำ
“สวัสดีครับคุณเล”
“สวัสดีครับคุณยิม” ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะทักทายกลับอย่างไม่ให้เสียมารยาท พี่ปลายมองดูพวกเราอยู่สักพักก่อนจะพาผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่ และตัวเองก็นั่งลงบนพนักวางแขนโซฟาตัวที่ผมนั่ง วาดแขนลงบนขอบโซฟาพร้อมทั้งวางมือไว้ที่ไหล่ของผม
To be con. »