END ตอนที่ 21 [ You are my Engineer ] วิศวกรคนเนี่ย ขอผมเป็นเมียได้หรือเปล่า?
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END ตอนที่ 21 [ You are my Engineer ] วิศวกรคนเนี่ย ขอผมเป็นเมียได้หรือเปล่า?  (อ่าน 13137 ครั้ง)

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 







[ You are my Engineer ]




"ถ้าพี่บอกว่าอยากให้เลได้เจอกับคนที่ทำให้เลมีความสุข แล้วพี่จะทิ้งเลทำไม?"

ผมตะโกนออกมาสุดเสียงใส่หน้าผู้ชายตัวโตตรงหน้า ที่เอาแต่บอกกับผมว่าอยากให้มีความสุขและเจอคนที่ดีกว่าโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยว่าคนฟังมันเจ็บแค่ไหน พี่ปลายยังคงเงียบไม่พูดอะไร ทำแค่ก้มหน้ามองที่พื้นเหมือนหาเศษตังไปแดกข้าว

'ช่วยอินกับอารมณ์กูบ้างไม่ได้หรอว่ะ



"..."



"พี่เคยรู้บ้างไหมว่า คนที่ทำให้เลมีความสุขมันคือพี่เว้ย ไอ้พี่ปลาย ไอ้คนโง่"



ผมพูดจบ พี่ปลายก็เงยหน้ามามองผม พร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปกอด นี่พี่มันไม่เคยรู้ตัวบ้างเลยหรอว่ะว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกกับมันยังไง



'ด่ากูเก่งจังว่าโง่ ที่แท้ตัวเองโง่เก่งกว่ากูอีก ไอ้คนตัวโตเอ้ยยย



 



พี่ปลาย (ปลายปฐพี) กับ น้องทะเล (เหนือสมุทร)

หนุ่มวิศวกรไฟฟ้า กับ พนักงานโรงแรมสุดหรู เค้าจะเจอกันได้ยังไงหนอ...[/size][/font]


To be con. »
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2020 09:55:04 โดย litaP »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทนำ - วันแห่งความหวัง
[/size][/color]

 

“ปลายเราว่าเราสองคนพอกันแค่นี้เถอะ ปลายก็รู้ว่าที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ไงปลาย”

 

“มีนทำไมพูดแบบนั้นวะ”

 

ขณะที่ตั้งใจจะเดินมาเข้าห้องน้ำ ชื่อของคน ๆ หนึ่งเรียกความสนใจจนผมต้องหันไปมองทันที คนสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ได้หันมาสนใจผมที่เพิ่งเดินมาเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะแสงไฟสลัวภายในร้านเลยทำให้ผมมองหน้าของคนทั้งสองคนไม่ชัดเท่าไหร่ และแทนที่ผมจะเดินต่อไปเพื่อเข้าห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจ ผมดันหยุดยืนฟังว่าคนสองคนจะพูดอะไรกันต่อ

 

‘เลไม่ได้ชอบเสือกนะ เลแค่เป็นห่วง เนอะ

 

“เราพูดความจริงเว้ยปลาย เมื่อไหร่ปลายจะยอมรับความจริงว่ะ แกไม่ได้ชอบแบบเรา เข้าใจไหมปลาย”

 

“ไม่”

 

“พอเถอะ จบกันแค่นี้ เราไม่อยากเป็นเกาะกำบังให้ปลายอีกแล้ว สงสารเราเถอะนะปลาย”

 

“มีน เราขอโทษ” เสียงทุ่มของผู้ชายตัวโตพูดออกมาไม่ดังมากนัก แต่โชคดีที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีเสียงรบกวนจากดนตรีข้างในร้าน เลยทำให้ผมได้ยินชัดเจน

 

‘บอกเลยเสียงแม่งก็โคตรจะคุ้น ใช่หรือเปล่าว่ะเนี่ย

 

“ไม่ต้องขอโทษเราเลยปลาย แกต้องขอโทษตัวเองเว้ย ขอโทษที่แกไม่ยอมรับความจริงสักที ที่เป็นอยู่แบบนี้แกไม่อึดอัดหรอว่ะเราถามจริงๆ”

 

“...” คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับของอีกคน ได้ยินแค่เสียงของผู้หญิงคนเดิมที่พูดขึ้น และเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดขึ้นต่อ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสองคนทำท่าทางยังไง เพราะผมแค่ยืนหันหลังพิงกำแพงเหมือนไม่ได้สนใจอะไร โชคดีที่ตรงนั้นก็ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนยืนสูบบุหรี่อยู่ แต่ไม่อยากจะบอกเลยว่าไอ้เลนี่กำลังแอบฟังเต็มที่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ

 

“เป็นเพื่อนกันเถอะวะ กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ตอนนี้ยังเป็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเว้ย เป็นได้เมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน”

 

“อือ”

 

มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจเลยว่าเรื่องที่พวกเค้าสองคนคุยกันเป็นเรื่องอะไร น่าสงสารผู้ชายตัวโตนั้นจังครับ โดนบอกเลิกไม่พอ ขอกลับไปเป็นเพื่อนอีก มันใช่หรอว่ะ เลิกแล้วจะมาเป็นเพื่อนกันเนี่ย

 

‘เลรับไม่ได้เว้ย ฟังแบบนี้แล้วหงุดหงิดแทน

 

ขอโทษทีครับอินไปหน่อย ไม่เคยเจอกับตัวหรอกนะ อย่างผมนี่เลิกแล้วเลิกเลย อย่าได้พบได้เจอกันอีก ไปตายซะ เอ่อ ขอโทษอีกที แอลกอฮอล์ในเลือดมันพาอารมณ์ขึ้นง่ายไปหน่อย

 

“เราไปนะ ขอให้แกโชคดีและยอมรับในสิ่งที่ตัวแกเป็นสักที”

 

จบคำพูดของผู้หญิงคนนั้น เธอก็เดินออกมาเลย ไม่ได้รอฟังคำตอบของผู้ชายตัวโตนั้นว่าจะตอบอะไร ผมยืนมองตามแผ่นหลังของเธอจนลับสายตา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนที่โดนแฟนบอกเลิกจะเดินออกมาเลย อุส่ายืนรออยากดูให้แน่ใจว่าใช่ ‘ปลาย’ คนเดียวกับที่รู้จักหรือเปล่า

 

‘เฮ้อ สงสัยจะเสียใจมาก เออแล้วนี่กูมายืนทำห่าไรตรงนี้ ไปฉี่สิเว้ย

 

คิดได้แบบนั้นผมก็เลยรีบเดินออกมาทันที โดยไม่ลืมหันกลับมองหน้าคนโดนทิ้ง แต่ก็ไม่เห็นหรอกครับ เห็นแบบวับ ๆ แวม ๆ แสงน้อย ๆ พอให้รู้เค้าโครงหน้าว่า บอกเลยเบ้าหน้าแม่งเหมือนกันมาก เห็นแล้วอยากจะเห็นชัด ๆ แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วต้องไปปลดปล่อยเสียก่อน

 

“โอ้ยยยย สบายตัว” ขณะที่ผมกำลังปลดปล่อยสายน้ำให้พวยพุ่งใส่โถ่ฉี่ ก็บ่นพึมพำอย่างสบายใจกับตัวเองไปด้วย

 

“ชอบเสือกเรื่องของคนอื่นหรอ”

 

ผมหันซ้ายหันขวามองดูว่าตรงนี้มีใครนอกจากผมไหม ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีเลยสักคน นั้นก็แปลว่าไอ้ผู้ชายตัวโตที่ยืนหันหลังอยู่มันพูดกับผมหรอว่ะ

 

“พี่พูดกับผมหรอ”

 

“...” ไม่ตอบเว้ยมันไม่ตอบ ไอ้สาดดดด ด่ากูหรือเปล่าบอกกูหน่อยกูอยากรู้

 

“เงียบแปลว่าไม่ใช่ สบายใจไป”

 

“นอกจากเสือกแล้วยังจะโง่อีกเนอะ”

 

“ห๊ะ ว่าไงนะ” คราวนี้ใช่แน่ ๆ แม่งต้องว่ากูแน่ ๆ เพราะมองแล้วมองอีกก็ไม่เห็นจะมีคนอื่นนอกจากผมกับมันเลย แล้วแม่งด่ากูก็ไม่เสือกหันหน้ามามองกูเลยนะ มึงไม่ให้เกียรติ์คนโดนด่าบ้างเลยนะมึง ไม่ได้เว้ยถึงไอ้ทะเลคนนี้จะตัวเล็ก แต่บอกเลยถีบคนหงายมาแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่รอช้า ไม่หันมาใช่ไหม กูเดินไปหามึงเองก็ได้

 

“ไอ้เฮี้ยยย!!! พี่ปลาย”

 

 

 
To be con. »


 



ฝากให้กำลังใจน้องเล กับ พี่ปลาย ของเค้าด้วยน๊า

ฝากคิดแอชแทก ให้ทีสิ เค้าคิดไม่ออก ฮ๋า ๆ

ที่คิดออกก็จะไปคล้าย ๆ อาหารทะเลแช่แข็งไง

#ปลายทะเล พิมพ์เสร็จก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวเลย บ้าจัง

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 1 ขอบคุณพระเจ้า
«ตอบ #2 เมื่อ07-01-2020 16:34:32 »

ตอนที่ 1 ขอบคุณพระเจ้า


“เอ้ยยยยยยยย”

 

หมับ

 

ขณะที่ผมเดินออกมาจากที่ทำงาน ผ่านหน้าโครงการก่อสร้างที่เพิ่งมาสร้างติดกับโรงแรมที่ผมทำงานอยู่ เพื่อเดินไปที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ด้วยจังหวะที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอันงดงามในฤดูร้อน ก็ดันไปชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง แต่ความรู้สึกตอนนั้นแม่งเหมือนชนกับเสาไฟฟ้าติดสปริงมากกว่า เพราะผมนี่กระเด็นถอยหลังมาสองก้าว ไม่พอเท่านั้นหงายหลังสิครับรออะไรเล่า โชคดีที่คนโดนชนยังมีน้ำใจรั้งแขนของผมเอาไว้ ไม่งั้นไอ้เลเอ้ยยย มึงได้ลงไปนอนเล่นเป็นเลนถนนให้รถวิ่งผ่านแล้ว

 

“ขอบคุณพระเจ้า อาเมน”

หลังจากที่คิดว่ารอดชีวิตจากการเป็นเส้นถนนแล้วก็จัดการเงยหน้าขึ้นฟ้า กล่าวขอบคุณพระเจ้าเหมือนที่ชอบทำ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งเพราะมีเสียงพูดแทรกขึ้นมาทันที จนผมต้องรีบหันไปมอง ไม่ต้องถามว่าเลต้องก้มหน้ามองคนที่พูดไหม ไม่ต้องเลยแม่งไปแดกเสาไฟมาแน่ ๆ สูงชิบหาย

 

“ขอบคุณพระเจ้าทำไม ขอบคุณผมสิ ผมเป็นคนช่วยคุณนะ”

 

“อะ...เอ่อ...ขอบคุณครับ” เสียงกระตุกทันทีเลยครับเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อคมของคนที่ช่วยชีวิตไอ้เลเอาไว้ หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่าตอนออกไปรำข้างรถแห่ซะอีก ยิ่งผิวสีแทนที่ดูออกว่าน่าจะทำงานกลางแจ้งยิ่งช่วยส่งเสริมให้หน้าหล่อ ๆ นั้นดูเป็นผู้ชายที่โคตรจะแมนเลย

 

แบบว่า สเปกเลเลยไม่อยากจะบอก เอ่อ เอาจริงๆ ก็อยากจะบอกนั้นแหละ เล อยากได้อะ

 

ตอนนี้ตาคมจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาดุดัน ก่อนที่จะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง

 

“คราวหน้าก็เดินดี ๆ หน่อยนะคุณ อย่ามัวแต่ล่องลอย เป็นผีไม่มีศาล”

 

“อ้าว!!! นี่ปากหรอพี่”

 

“ก็ปากดิ เห็นเป็นหูหรือไง”

 

“กวนตีน”

 

“หร๊อ”

ไอ้สาดดดด นี่มันคือบทสนทนาแรกของคนที่เพิ่งเจอกันจริง ๆ หรอว่ะ หน้าตานี้เทพบุตร แต่ปากนี้ส้นตีนหมายังอายเลย เมื่อกี้มึงไม่น่าช่วยกูเลย น่าจะปล่อยให้กูหงายหลังตกถนนกลางเป็นเส้นจราจรไปซะ

 

แบะปากมองบนหนึ่งที ก่อนคิดในใจว่า‘ปากหมาไม่เป็นไรยังไงเลก็จะเอา ฮ่า ๆ ๆ

 

คุณเคยเป็นไหม แบบว่าเห็นแล้วถูกใจมาก ชอบมาก อยากได้เป็นของตัวเอง ตอนนี้ผมเป็นแบบนั้นเลยครับ ถึงแม้ว่าการเจอกันครั้งแรกมันจะแลดูเฮี้ยมาก ๆ แต่ก็นะ เหมือนในละครน้ำดำทางช่องมากสีไง แบบพระเอกกับนางเองต้องไม่ชอบขี้หน้ากันก่อนเงี้ย เชื่อดิสุดท้ายยังไงก็ได้กัน

 

“เออดิ โคตรกวนตีนเลย”

 

“แล้วไงต่อ” เอ้าไอ้นี่ แล้วไงอะไรของมันว่ะ

 

“ไม่แล้วไง แล้วนี่บ่นจบยังผมจะได้กลับบ้าน”

“อือ” พูดจบแค่นั้น ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันก็เดินไปเลยครับ ปล่อยให้ผมยืนอึน อะไรของมันวะ บทจะจบการสนทนาก็จบง่าย ๆ เลย

 

‘จะเท่ห์ไปไหนเนี่ย โอ้ยยยย หัวใจกระตุก เหมือนจะเจอเนื้อคู่

 

-----------------------------

 

 

“เล พรุ่งนี้วันหยุดเลใช่ไหม พอดีแอนมันไม่สบายมาไม่ได้ เลช่วยอยู่แทนมันได้ไหมคืนนี้”

 

“ได้ครับพี่”

 

“ขอบใจมากนะ เล”

พี่ก้อย หัวหน้าแผนกต้อนรับของผมเดินเข้ามาบอกกับผมก่อนจะเดินออกไป อย่างที่พี่เค้าบอกนั้นแหละครับ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงานของผมและก็ไม่ได้มีแพลนจะไปไหนด้วย ดังนั้นการทำงานแทนเพื่อนที่หยุดเพราะป่วยจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมได้เงินเพิ่มอีก ยิ่งลูกค้าช่วงกลางคืนไม่เยอะเท่าช่วงเช้า เรื่องแค่นี้สบายมากเลยขอบอก

 

ผมทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนถนนสาทร อยู่ไม่ไกลจากตลาดชื่อดังเท่าไหร่นัก โรงแรมของผมแขกที่มาเข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ คนไทยมีบ้างแต่ก็ไม่มาก ส่วนมากจะเป็นพวกคนมีเงินแต่ไม่พกมารยาทมาด้วยแหละครับ แต่ไม่เป็นไร เล สตรองอยู่แล้ว

 

เอ้อ มาแนะนำตัวกันหน่อยไหมครับ ผมชื่อเล่นว่าทะเล เรียกสั้น ๆ ว่า เล แต่บ้านไม่ได้ติดทะเลนะครับ แต่ที่ชื่อทะเลเพราะพ่อกับแม่ได้กันที่ทะเล 555+ อันนี้เลพูดจริงนะ ไม่เชื่อไปถามพ่อกับแม่ได้เลย

 

ผมเป็นผู้ชายตัวเล็ก สูงยังไม่ถึง 175 เลยครับ ผิวขาวเพราะมีเชื้อสายจีน บ้านอยู่ปทุมธานีคลองสี่ เรียนจบมาได้สองปีที่มหาลัยดี ๆ แถวนั้นแหละครับ และที่สำคัญคือ ผมชอบผู้ชาย

 

 

 

“เลออกไปหาข้าวกินก่อนนะ”

 

“โอเค วันนี้เลอยู่ยาวใช่ไหม”

 

“ครับ เดี๋ยวรีบมาครับ”

 

“จ้า”

 

ผมบอกกับเกรซเพื่อนร่วมงานของผมอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ก่อนจะเดินออกจากโรงแรกเพื่อไปหาอะไรกินก่อนจะกลับมาทำงานต่อ ถ้าจะถามว่าที่โรงแรมไม่มีอาหารเลี้ยงพนักงานหรอ ก็ตอบได้เลยว่ามี แต่ผมเบื่อไง วันนี้อยากจะไปแทะตีนไก่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวกลางซอยเสียหน่อย

 

‘บอกเลย เล ชอบกินตีน...ไก่

 

(อยากกินตีน(ไก่) ตีน (ไก่) จัดให้ผมสักตีน จะได้ไหม )

 

 

 

“จอน วันนี้อยู่ควบกะเหมือนกันหรอ” ผมถามเพื่อนสนิทของผมที่เดินออกมาหาข้าวกินด้วยกัน เพราะปกติมันจะต้องกลับบ้านไปแล้ว แต่วันนี้ยังเห็นหัวมันอยู่ก็แปลว่ามันต้องทำยาวเหมือนผมแน่

 

จอน เป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่เข้าเรียนม.ปลายครับ มันเป็นลูกครึ่งออสเตรเลีย หน้าตาดี มีสกุล สูง ขาว สาวเหลียวทุกคนที่มันเดินผ่าน แต่มันก็ไม่สนใจใครเลย ส่วนมากก็เล่นไปทั่วแบบไม่ผูกมัดอะไร

 

จอนมาทำงานด้วยกันที่นี้ตั้งแต่เรียนจบ เราเรียนจบที่เดียวกันสาขาเดียวกัน และก็มาฝึกงานที่นี้ด้วยกัน พอเรียนจบก็ยื่นใบสมัครที่นี้เลยครับ

 

“อือ พรุ่งนี้เราหยุดอะ”

 

“เลก็หยุดเหมือนกันแหละ”

 

“แล้วจะไปไหนหละวันหยุด ไปหาแฟนหรอ”

 

“ปากร้าย เลมีแฟนที่ไหนกัน” ผมย่นจมูกใส่ไปหนึ่งที มันก็เลยขยี้หัวผมจนผมยุ่งไปหมด

 

“น่ารักจังนะ”

 

“อย่าชมเลสิ เลเขินนะ ฮ๋า ๆ ๆ” เป็นเรื่องธรรมาดาครับที่มันจะพูดว่าผมน่ารัก ผมชินแล้วหล่ะ และก็ยอมรับด้วยว่าตัวเองน่ารัก อิอิ

 

 

 

เราเดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ที่ให้เยอะเหมือนกลัวจะไม่อิ่มในราคาแค่ 40 บาท แต่ถ้าเอาทุกอย่างก็แค่ 50 บาทเองครับ ทุกอย่างนี้มีทุกอย่างจริง ๆ นะครับ เนื้อไก่ ข้อไก่ เครื่องในไก่ น่องไก่ตุ๋น ไข่ต้ม และที่สำคัญ ตีนไก่จ้า

 

“บะหมี่แห้งทุกอย่างครับ จอนเอาเหมือนเดิมนะ เส้นเล็กน้ำทุกอย่างครับ” ผมสั่งอาหารของตัวเองก่อนจะหันไปถามย้ำเพื่อนอีกครั้ง จอนก็พยักหน้าเพื่อตอบรับ

 

“เล เอาน้ำอะไร เดี๋ยวเราไปซื้อให้”

 

“เหมือนเดิมเลยครับ”

 

“ได้ครับ”

 

ไม่ต้องแปลกใจที่พวกเราพูดกันด้วยคำสุภาพนะครับ พวกเราพูดกันแบบนี้ตั้งแต่รู้จักกันแรก ๆ แล้ว มันเลยติดมา ยิ่งตอนนี้ทำงานในโรงแรมมีระดับยิ่งทำให้เราจำเป็นจะต้องใช้คำพูดที่สุภาพตลอดเวลา แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่า เล เป็นคนดีนะครับ

อย่าให้ เล ได้ด่านะเว้ยยยยยยย

 

เอาจริง ๆ ก็เลือกแหละครับว่าพูดกับใคร และสถานการณ์แบบไหน

 

“นั่งโต๊ะนี่ก่อนนะคะ โต๊ะอื่นเต็มหมด”

 

“ครับ” ผมเดินไปนั่งตามที่พนักงานของร้านชี้ไป แต่ก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ และไอ้ผู้ชายที่พูดถึงก็ไม่ใช่ใครเลย คนของเล

 

“สวัสดีครับ”

 

“อือ” โอ้โห คนเค้าอุส่าทักทายซะดิบดี ดูครับดูมันตอบ ไม่พอก้มหน้าก้มตาแทะตีนไม่สนใจผมเลยสักนิด

 

“ไม่คิดจะเงยหน้ามามองผมบ้างหรอ”

 

“ไม่” อยากจะถามจริง ๆ ว่า ตีนนั้นน่ามองกว่าหน้าของ กู เหรอว่ะ แม้งงงง ทั้งจ้อง ทั้งดูด ไอ้เลคนนี้ก็ดูดได้นะบอกเลย

 

“ใจร้าย”

 

“...”

 

“แต่โดนใจ”

 

“หึ๊” ได้ผลครับ คราวนี้เงยหน้ามามองเลย ความหล่อกระชากใจเล ก็ยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตีน(ไก่)คาอยู่ที่ปาก

 

“อร่อยปะ ตีนอะ”

 

“อยากรู้ก็กินเองดิ” คนตรงหน้าขมวดคิ้วหนาเข้าหากันจนติด คงจะหงุดหงิดที่ผมไปรบกวนการกินตีนของเค้า

 

“อยากกินในถ้วยพี่อะ”

 

“ตลก” ทีแรกจะบอกว่าอยากกินในปากพี่ ก็กลัวจะโดนถีบหน้าหงายแล้วได้กินตีนอื่นมากกว่า เลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นในถ้วยพี่แกแทน

 

“ตลกตรงไหนไม่เห็นหน้าขำเลย”

 

“บะหมี่แห้ง กับ เส้นเล็กน้ำค่ะ”

 

“ขอบคุณครับ”เสียงของพนักงานที่เอาก๋วยเตี๋ยวมาส่งให้ผมทำให้เราต้องหยุดการถกเถียงกันไปสักพัก

 

“อ่ะ อยากกินก็เอาไปเลย”

 

“ว๊าว ขอบคุณครับ”

คนหน้าหล่อตักตีนไก่ที่เหลือชิ้นสุดท้ายวางลงในถ้วยของผม ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าอันไหนเป็นของผม แต่พี่แกก็วางถูกด้วยอ่ะ หรือว่า แอบฟังตอนผมสั่งหล่ะเนี่ย แต่ก็แค่นั้นแหละครับ วางตีน(ไก่)ในจากผมเสร็จก็ลุกออกไปเลย

 

 

‘ไม่มีคำลาจากเธอสักคำ ฉันนั่งมองตีนที่เทอฝากเอาไว้

 

 

ผมชอบเค้าอ่ะ ทำยังไงดี

 

 

"เอ้ามั่วแต่หยอด ลืมถามชื่ออีกแล้วเว้ย"

 

 
To be con. »

 

 

 

*ขอบคุณเนื้อเพลง อยากกินตีน ฝ้าย เมฆะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเหมือนเดิมนะจ้ะ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2020 09:01:50 โดย litaP »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 2 จีบได้นะ


ผมมาทำงานในเช้าอีกวันหลังจากวันหยุดของผมเมื่อวานนี้ รถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงเช้าคนแน่นยิ่งกว่าโฮลเกรนในขนมปังซองเขียวเสียอีก แต่จะให้ขับรถมาก็คงไม่ไหวเหมือนกัน เลยต้องจำใจขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้วมาลงที่สถานีศาลาแดง ก่อนจะเดินทอดน่องเข้าซอยผ่านหน้าโรงเรียนเด็กคอนเวนต์ แอบมองเด็กๆ น่ารัก ๆ บ้าง เพื่อความจรรโลงใจ ก่อนจะเดินทะลุออกปากซอยถนนสาธร แล้วเดินไปหยุดรอสัญญาณไฟจราจรสำหรับคนข้ามที่ทางม้าลาย แต่บางวันก็มีรถมอเตอร์ไซด์นรกแตกที่ไม่ยอมเบรกทั้ง ๆ ที่ไฟแดงจะทิ่มหน้าแหกอยู่แล้ว

 

บางทีกำลังเดิน ๆ อยู่ไฟแดงซะงั้น แอบสงสัยว่านี่กูเดินช้า หรือว่าไฟแดงมันไว ก็ได้คำตอบที่ว่า คนข้างหน้าเดินช้าไง เราเดินตามเกือบรั้งท้ายเลยเจอไฟแดงเลย

 

บางคนแม่งด่ากูอีก

 

‘คิดว่าเดินเล่นอยู่บ้านหรือไงว่ะ

 

แล้วบ้านมึงมีสัญญาณจราจรติดอยู่บ้านเหรอถึงคิดว่าบ้านกูมีไว้เดินเล่น

 

อยากจะถามจริง ๆ แหม่มึงก็ช่วยแหกตาดูบ้างว่ากูขาสั้น เดินเร็วกว่านี้กูคงต้องใช้ขาหน้า เอ้ยย มือ ช่วย

 

 

 

ปี๊นนนนนนนนนนนน

 

“เฮ้ยยยยย บีบแตรหาเตี่ยไงว่ะ”

แม่งใครก็ไม่รู้เสือกมาบีบแตรใส่ผมขณะที่กำลังก้าวขาออกจากถนนขึ้นฟุตบาท ตกใจเกือบสะดุดพื้นหน้าแหกแล้วไหม เลยตะโกนด่ามันเลย แต่พอด่าเสร็จถึงกับต้องชะงักเมื่อหันมาเจอคนที่ผมด่าไปเมื่อกี้ ผู้ชายคนที่ผมเจอเมื่อวันก่อน คนที่มอบตีนไก่ให้ผมแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมนั่งน้ำตาซึมมองตีนไก่ต่างหน้าพี่มัน ตอนนี้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว พี่มันเปิดกระจกหมวกกันน๊อคก่อนจะพูดกับผม เห็นแค่ตาคมหัวใจผมก็กระตุกวูบวาบเลย อย่ารอช้าเนื้อเพลงวิ่งมาเข้าหัวผมเลยครัช

 

‘ชอบแบบนี้ ก็ชอบที่เป็นแบบนี้ ชอบแววตาแบบนี้

 

“บีบหาคุณนั้นแหละ”

 

“อ้าวพี่ เสียงแตรเพราะดีนะ” ผมหยุดเดินก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้อีกคน พี่เค้าก็แค่มองกลับมานิ่ง ๆ

 

‘เปลี่ยนเสียงเลยนะมึงไอ้เล แล้วอะไรของกูว่ะเสียงแตรเพราะดี แต่นั้นแหละ คนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก

 

“เมื่อกี้ยังตะโกนด่าผมอยู่เลย เปลี่ยนไวจริง” แหม๋ หูดีจริง ๆ เสียงรถก็ดัน ฟังเลย ๆ ไปบ้างก็ได้

 

“อันนั้นเรียกอุทานครับ ไม่ใช่ด่า”

 

“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง”

 

“จะดีหรอครับ” ผมกระโดดขึ้นรถทันทีที่พูดจบ ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่อยู่ข้างหน้า ก่อนพี่ตัวโตจะพูดเหมือนกับบ่นอยู่คนเดียว แต่เลได้ยินนะบอกเลย

 

“คงไม่ดีหรอกมั่ง ขึ้นเร็วขนาดนี้”

 

 

 

ผมกระโดดลงจากรถหลังจากที่คนขับจอดให้ผมลงที่หน้าโรงแรม จริง ๆ ระยะทางมันไม่ได้ไกลหรอกครับ แต่จะมีโอกาสกี่ครั้งที่จะได้นั่งรถคนที่เราชอบ

 

“ขอบคุณครับ” เอ่ยขอบคุณแต่คนตัวโตกลับแบบมือส่งมาตรงหน้าผมพร้อมกับ

 

“20 บาท”

 

“เอ้าเห้ยยยย” ผมร้องออกมาเสียงดังลั่นจนฝรั่งที่เดินผ่านไปหันมามอง ก็เลยส่งยิ้มหวานไปให้ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเงินเหรียญสิบสองเหรียญ ปากก็บ่นพึมพำไปด้วย‘ไม่ได้ให้รับสักหน่อยจะมาเอาตังกูอีก แต่จังหวะที่จะวางเงินบนมือ คนตัวโตก็ดึงมือออก

 

“ซื้อบื้อ ใครเค้าจะเอาจริง”

 

“งั้นไว้ผมเรียกข้าวคืนนะ” พอมาคิด ๆ ดูแล้ว ถ้าจะหาโอกาสเจอกันอีกก็ต้องเลี้ยงข้าวนี่แหละ จะได้ถือโอกาสจีบซะเลย

 

“ไม่ต้อง ทางผ่าน”

 

“แต่ผมอยากเลี้ยงนี้” ไม่ได้หรอกครับ อย่ามาปฏิเสธกันแบบนี้ ผมเลยต้องส่งท่าไม้ตาย หน้าอ้อนไปให้สักหนึ่งที แต่ทำไมพี่มันไม่สะทกสะท้านเลยหล่ะ เฮ้อออออออออ

 

“เรื่องเยอะ ไปละ” ดูครับ ว่าผมเสร็จก็ทำท่าจะขับรถออกไปเฉย ๆ เลย แต่ผมเองก็จะสายแล้วไง ถึงจะอยากรั้งเอาไว้แต่ก็ต้องยอมจำใจบอกลา

 

“ครับ เอ้ยยยย เดี๋ยวพี่”

 

“มีอะไร” พี่มันหยุดชะงักทันทีที่ผมร้องเรียกเอาไว้ หันหน้ามาทำตาดุผมอีก

 

“ผมชื่อเล นะ แล้วพี่หล่ะชื่ออะไร”

 

“ปลาย” คราวนี้ไปจริง ๆ ครับ พูดจบแล้วไปเลย แล้วไอ้คำที่พูดเมื่อกี้นี้คือชื่อมันใช่ไหมฟังไม่ค่อยถนัด เสียงท่อรถพ่อรูปหล่อก็ดังยังกับเรือหางยาว เมื่อกี้พี่มันพูดว่า บาย หรือ ปลาย ว่ะเนี่ย ครั้งนี้ยังไม่แน่ใจเอาไว้รอบหน้าถามใหม่แล้วกันเรา

 

 

 

 

 

ผมเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องล็อคเกอร์ของพนักงานชาย ก่อนจะเดินออกมาที่หน้าฟร้อนเพื่อเปลี่ยนกะกับพี่ที่อยู่เวรเมื่อคืน

 

“สวัสดีครับพี่แอน หายดีแล้วหรอครับ”

 

“จ้ะพี่หายดีแล้ว ขอบใจเลมากนะที่ทำแทนวันก่อน มันกะทันหันจริง ๆ นะจ้ะ”

 

“ไม่เป็นไรครับพี่แอน สบายมาก”

 

“จ้า งั้นพี่ไปก่อนนะ” พี่แอนอยู่เวรดึกถึงเช้านี้ พอผมมาเปลี่ยนกะพี่แกก็เลยรีบขอตัวกลับทันที วันนี้มีผมอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน วันธรรมดาแบบนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ นอกจากจะมีทัวร์มาลงบ้าง

 

 

Rrrrrrrrrrrrrrr

 

“สวัสดีครับ ผ้าปูที่นอนนะครับ ได้ครับเดี๋ยวผมขึ้นไปเองครับ สวัสดีครับ”

 

“ลูกค้าหรอเล 2402 ใช่ไหม” ไม่แปลกที่เพื่อนร่วมงานผมจะรู้ว่าใครโทรมา เพราะคนที่โทรมาให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนแล้วกำชับให้ผมขึ้นไปด้วยก็มีแค่ห้องเดียวนั้นแหละครับ

 

“อือ บอกให้ไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้หน่อย เดี๋ยวเราโทรบอกแม่บ้านก่อนให้เอาผ้าปูมาให้”

 

“ทำไมชอบให้เลขึ้นไปด้วยก็ไม่รู้ แปลกจริง ๆ เลยนะเราว่า” นุชทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจแขกที่พักอยู่ห้อง 2404 เท่าไหร่นัก เพราะจริง ๆ แล้วผมไม่ได้มีหน้าที่ขึ้นไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้แขก มันเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน ผมเคยบอกกับพี่ก้อยไปแล้วว่าแขกต้องการแบบนี้ แกก็บอกว่าให้ทำไปเถอะเพราะแขกห้องนั้นเป็นแขกวีไอพี ผมมันก็แค่ลูกจ้างนี่ยังไงก็ต้องทำตาม

 

“ไม่หรอก คงอยากให้ไปช่วยดูเวลาแม่บ้านเปลี่ยนหละมั่ง”

 

“ขอให้จริงเถอะ เรากลัวจะจับเลปล้ำนะสิ ถึงจะหล่อมากแต่ก็น๊า ลุกขนาดนี้”

 

“นุชก็ว่าไป คุณแทนเค้าเป็นลูกค้าประจำนี่ เจอกันบ่อยก็คงไว้ใจนั้นแหละ” คุณแทนที่พวกเราพูดถึงเช้าห้องที่โรงแรมนี้แบบรายปี ราคาค่าเช่าไม่ได้ถูก ๆ นะครับ แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปซื้อคอนโดหรูอยู่ จะมาเช่าให้เสียเงินเสียทองไปเปล่า ๆ ทำไม

 

“ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะจ้า แต่ถ้าจีบเลจริง ๆ ก็เอาเลยนะ เราเชียร์”

 

“นั้นสิ ฮ๋า ๆ ๆ” ผมหัวเราะกับความคิดของเพื่อนสาว คิดได้ยังไงกันคนระดับนั้นจะมาจีบพนักงานต้องรับอย่างผม แต่ถ้าจีบจริง ๆ ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ ผมมีคนที่น่าสนใจกว่าแล้ว

 

 

 

 

ติ๊ง ต๊อง

ผมกดออดที่หน้าห้อง 2402 เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง แม่บ้านที่ผมโทรไปบอกให้เอาผ้าปูที่นอนมายังขึ้นมาไม่ถึง แต่ถ้าจะยืนรอให้แม่บ้านมาถึงก่อนแล้วค่อยเข้าไปก็กลัวว่าจะนานจนโดนบ่นเอาได้ เลยตัดสินใจกดออดเพื่อให้เจ้าของห้องได้รับรู้ว่าผมมาถึงแล้ว

 

“สวัสดีครับคุณแทน”

 

“สวัสดีคุณเล เชิญครับ” ผมเดินตามหลังคุณแทนเข้าไปในห้อง ห้องที่คุณแทนพักอยู่เป็นห้องใหญ่ มีห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำสามห้อง และมีพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวาง

 

“รบกวนรอแม่บ้านสักครู่นะครับ”

 

“ไม่เป็นไรครับคุณเล ผมไม่ได้รีบร้อนอะไร” คุณแทนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองเหมือนในทุกครั้งที่ผมขึ้นมา ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเดินไปที่อ่างล้างจานที่เห็นว่ามีแก้วกาแฟที่เจ้าของห้องน่าจะเพิ่งดื่มเสร็จแล้วเอามาวางไว้ จัดการล้างของที่วางอยู่ไม่กี่อย่างฆ่าเวลารอให้แม่บ้านมาถึง

 

“คุณเลสนใจเปลี่ยนงานบ้างไหมครับ” เอาอีกแล้วครับ เจอคำถามนี้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเจอกันทีไรคุณเค้าต้องถามผมเรื่องเปลี่ยนงานทุกที ผมก็ตอบคำเดิมตลอดแต่ก็ยังไม่เลิกถามอีก

 

“ยังไม่ได้คิดเลยครับ”

 

“คุณเลดูรักงานนี้นะครับเนี่ย”

 

“ครับ ผมชอบทำงานที่นี้” ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม เพราะไม่รู้ว่าที่คุณแทนถามเพราะอะไร กลัวว่าแกจะแค่ลองใจผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมอาจจะตกงานได้ แต่ไอ้ที่บอกว่าผมชอบทำงานที่นีเป็นเรื่องจริงนะครับ ยิ่งตอนนี้มีคนที่อยากเจอหน้าบ่อย ๆ ทำงานอยู่ใกล้ ๆ กันผมยิ่งไม่อยากย้ายงานเลย

 

“สงสัยผมต้อง...”

 

“ต้องอะไรหรอครับ” อยู่ ๆ คุณแทนที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรก็หยุดไปเสียดื้อ ๆ จนผมเผลอตัวถามออกไป ลืมไปว่าไม่ใช่สิ่งที่พนักงานควรจะทำ

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

 

“ครับ” ในเมื่อคนพูดบอกว่าไม่มีอะไร ผมก็คงต้องไม่มีอะไรตามไปด้วยนั้นแหละครับ ถึงแม้ผมจะรู้จักคุณแทนได้ไม่ถึงปี แต่ที่เคยได้ยินมาก็ถือว่าเป็นคนใจดีคนหนึ่งเลยครับ หน้าตาดี ดูมีฐานะ สาว ๆ หลายคนก็แอบมอง แอบเอามาพูดถึงบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่พอใจก็โวยวายเหมือนกันครับ เคยได้ยินจากแม่บ้านอยู่บ้าง ก็คงตามประสานั้นแหละครับ เค้าเป็นลูกค้านี่นา ยังไงเราก็ต้องยอม เพราะเราทำงานบริการด้วย

 

 

“แม่บ้านมาแล้วครับ คุณแทนจะให้เปลี่ยนทั้งสองห้องเลยไหมครับ” เวลาผ่านไปไม่นานแม่บ้านที่ผมตามก็เข้ามาถึง ผมเลยเอ่ยถามเจ้าของห้องว่าต้องการให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่ห้องไหน

 

“ห้องเล็กครับ ขอบคุณมาก”

 

“ยินดีครับ” ผมตอบเสร็จก็เดินนำแม่บ้านเข้าไปในห้องเล็กที่ไม่ได้เล็กอย่างที่คุณเค้าบอก แค่เล็กกว่าอีกห้องนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมมองดูที่ผ้าปูที่นอนสีขาวที่แทบไม่มีรอยย่นของการใช้งานเลย เหมือนกับว่าแม่บ้านเพิ่งเข้ามาเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้นะครับ อาจจะไม่ถูกใจอะไรนิดหน่อยเลยให้มาเปลี่ยนให้ใหม่ ผมพยายามคิดแบบนั้น

 

 

 

ผมมองออกไปที่วิวด้านนอก เพิ่งรู้ว่าห้องของคุณแทนอยู่ฝั่งเดี๋ยวกันกับโครงการก่อสร้างที่พี่ตัวโตทำงานอยู่ เลยไม่รอช้าเดินไปยืนชิดขอบกระจกทันที เผื่อว่าจะได้เจอคนที่มาส่งเมื่อเช้า อยากรู้จังว่าเวลาทำงานจะเป็นยังไง

 

บริเวณที่ผมเห็นตอนนี้ยังไม่มีโครงสร้างของตึกขึ้นมา มีแค่รถแบคโฮที่กำลังขุดดิน

 

“นั้นไง อยู่นั้นเอง”

 

“อะไรหรือค่ะคุณเล”

 

“อ๋อ คนรู้จักนะครับพี่” ผมลืมไปเลยว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มัวแต่ดีใจที่เห็นคนตัวโตเมื่อเช้ายืนเท้าสะเอวดูรถแบคโฮขุดดินอยู่ พี่เค้าใส่หมวกวิศวกรสีขาวยิ่งทำให้ดูเท่ห์ขึ้นไปอีก ถึงแม้จากตรงนี้ลงไปจะไกลอยู่มาก แต่ความหล่อทะลุโลกของพี่แกก็ยังกระแทกตาผมอยู่ดี

 

“เสร็จแล้วนะค่ะคุณเล”

 

“งั้นเดี๋ยวเลไปบอกคุณแทนให้ พี่รอแปบนะครับ”

 

“ได้ค่ะ” ผมเดินออกจากห้องนอนที่ทำการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จแล้ว เพื่อมาบอกเจ้าของห้องเผื่อว่าคุณแทนจะอยากเข้ามาตรวจ เพราะมีบ้างบางที่ที่คุณเค้าก็ขอดูก่อน แต่ส่วนมากจะเป็นที่ห้องนอนใหญ่ที่คุณแทนใช้นอนมากกว่าที่เจ้าตัวจะเข้าไปตรวจหลังจากที่ผมเปลี่ยนผ้าปูให้เรียบร้อย

 

“เรียบร้อยแล้วนะครับคุณแทน”

 

“ขอบคุณครับ” คุณแทนเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมามองผมก่อนส่งยิ้มมาให้ ผมเองยิ้มตอบตามมารยาทที่ควรจะทำ ก่อนจะเริ่มถามต่อเพราะเหมือนกับว่าคุณแทนจะไม่ได้ลุกขึ้น

 

“คุณแทนจะเข้าไปตรวจดูไหมครับ”

 

“ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อใจคุณเล” คำว่าเชื่อใจของคุณแทนทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุกทันที เชื่อใจผมทำไม ถ้าไม่ถูกใจกูจะซวยไหมเนี่ย แต่ก็เหมือนเดิมแหละครับ ยิ้มเข้าไว้

 

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวนะครับ”

 

“เชิญครับ” ผมเดินออกมาจากห้องคุณแทน หลังจากเดินเข้าไปตรวจความเรียบร้อยเพื่อความมั่นใจอีกที กลัวว่าความเชื่อใจเมื่อกี้จะทำร้ายตัวผมที่หลัง เดี๋ยวหากไม่ถูกใจขึ้นมาจะซวยถึงโคตรเง้าวงตระกูลไม่มีงานจะทำ อันนี้เว่อไปหน่อย แค่กลัวตกงานนั้นแหละครับ ว่าแต่เมื่อกี้กำลังยืนมองเพลิน ๆ เลย ไม่รู้ว่าพี่แม่บ้านจะรีบเปลี่ยนไปไหน คราวหน้าต้องบอกให้เปลี่ยนนาน ๆ แล้วสิ

 

 

 

 

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปจนได้เวลาเลิกงาน ผมก็เตรียมตัวจะออกไปเปลี่ยนชุดเพื่อกลับบ้าน เพราะตอนนี้พี่ที่มาเปลี่ยนกะกับผมมาถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบังเอิญเจอกับพี่ตัวโตอีกไหมน๊า

 

 

“มองทางด้วยเว้ย”

 

“เย้ยยยย พี่ทำไรเนี่ย” อยู่ ๆ ผมก็โดนกระชากกระเด็นไปชนกับอกแข็ง ๆ ของใครบางคน ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ ตาพี่คนเมื่อเช้านั้นแหละ แต่ดูมันพูดดิครับ พูดทีนี้คิดในใจเลยว่า มึงอย่าช่วยกูดีไหมหล่ะ

 

“เดินดี ๆ ไม่เป็นหรือไงว่ะ มองหาเครื่องบินไว้หอนหรอไง”

 

“ผมไม่ใช่หมาสักหน่อย” ผมถอยหลังออกห่างพี่มันนิดหน่อย จ้องหน้าคมก่อนจะพูดด้วยเสียงหงุดหงิด

 

“แล้วเป็นอะไรทำไมชอบเดินเงยหน้าจัง จะเดินชนคนอื่นเค้าหมดแล้วเนี่ย”

 

“แอบมองผมหรอ” อย่า ๆ พลาดนะ มารงมารู้ว่าผมเดินชนคนอื่น แอบมองผมละเซ่

 

“โอ้ย มึงตัวเท่าควายขนาดนี้ไม่ต้องมองก็เห็นไหม”

 

‘นี่กูคนหรือเอเลี่ยน เปลี่ยนจากหมาเป็นความในหนึ่งนาที ไอ้บ้า

 

“เฮ้ย เรียกมึงเลยหรอ สนิทกันแล้วหรือไง” ผมทำตาโตใส่คนเป็นพี่ที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกผมซะอย่างนั้น

 

“ไม่อ่ะ แต่ไม่ถนัด ผม ๆ คุณ ๆ ว่ะ ไม่พอใจไม่ต้องคุยกับกูก็ได้นะครับ”

 

“เออ แล้วแต่พี่มึงเลย แต่นี่เมื่อเช้านี่บอกชื่อหรือบอกลาอะ เลฟังไม่ทันอะ บาย ๆ ปลาย ๆ อะไรไม่รู้” เอาเถอะครับจะเรียกอะไรก็ตามใจพี่เลย แต่ถ้าเรียกไอ้ไม่ถนัด เรียกเลที่รักก็ได้นะพี่

 

“ไม่รู้ดิ ไม่สำคัญไม่อยากจำ”

 

“เออ งั้นก็ลืมไป ผมถามใหม่ก็ได้ ตกลงพี่ชื่อไร” ในเมื่อไม่อยากจำงั้นถามใหม่เลยแล้วกัน ไม่ยากอยู่แล้ว

 

“กูบอกมึงแล้วมึงไม่ฟังหล่ะ”

 

“โหหห พี่ บอกเลใหม่นะ นะ นะครับ” ผมเขยิบเข้าไปใกล้พี่มันก่อนจะทำตาโตพร้อมกับพูดเสียงออดอ้อนเหมือนที่ชอบทำกับจอนเวลาอยากให้มันช่วยอะไร และดูเหมือนครั้งนี้ผมจะทำสำเร็จ ถ้าไม่โดนเพื่อนพี่แกตะโกนเรียกเสียก่อน

 

“ไอ้ปลายไหนติมกู นานชิบหาย นานจนต้องเดินมาตาม เอ้าแล้วนี่ใครว่ะ มึงรู้จักหรอ”

อ๋อรู้แล้ว ชื่อปลายนี่เอง แปลว่าเมื่อเช้าพี่มันก็ต้องบอกผมว่า ปลาย ไม่ใช่ บาย ก็ว่าอยู่หน้าแบบนี้จะมาบายเบย มันไม่ใช่อะจอสส

 

“หมาหลงทางอ่ะ ชอบเดินมาเห่าเครื่องบินแถวนี้ คราวหน้ากูจะปล่อยให้มึงตกถนนตายไปเลย” เอ้าไอ้บ้า กูกลายเป็นหมาหลงทางซะงั้น โดดงับคอแม่งสักทีดีม๊าง

 

 

“สวัสดีครับ พี่ชื่อวิวนะครับ”

 

“สวัสดีครับ ผมชื่อเลครับ ทำงานโรงแรมข้าง ๆนี้ครับ” พี่หน้าสวยที่เดินมาหาพี่ปลายหันมาส่งยิ้มให้ผม พร้อมทั้งแนะนำตัว พี่เค้าสูงกว่าผมนิดหน่อย ตัวเล็ก หน้าตาไม่ดุเหมือนคำพูดแกเลยสักนิด ออกจะน่ารักมากกว่า

 

“ไอ้ปลายมันจีบน้องหรอ”

 

“เชีย!!! พูดห่าไรของมึงเนี่ย” คนถูกเรียกชื่อถึงกับสำลักไอศกรีมกะทิที่เจ้าตัวเพิ่งตักเข้าปากไปทันที เพราะคำถามของเพื่อน โชคดีที่ไม่มีเม็ดข้าวเหนียวกระเด็นติดหน้าผากผม ไม่งั้นกะจะให้มันเอาหัวผมไปแดกแทนไอศกรีมเลย แต่ไอ้ที่พี่วิวพูดเมื่อกี้ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หัวใจเต้นแรง หน้าแดงขึ้นมาทันที หัวใจอยากตะโกนบอกว่า

 

‘จีบเลยจ้า พ่อไม่ว่า แม่ไม่ตี จีบวันนี้ แถมฟรีข้าวเย็น

 

 

“ถ้าจีบจริงก็ยอมเลยหละครับ งั้นเลขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับบ้านค่ำ ไปนะครับพี่ปลาย จีบได้นะเลยินดี”

ไหน ๆ พี่แกก็ชงมาขนาดนี้ ไอ้เล ก็ต้องรีบตบกลับเลยสิครับ ส่วนคนโดนป่วนนี้หน้างอเป็นตะขอเกี่ยวหญ้าแล้ว

 

“อู้ยยยยยยยยยยย มาแรงแซงทางโค้ง จีบเลยไอ้สัส น่ารักขนาดนี้ เป็นกูไม่ปล่อยให้เดินผ่านไป” ผมเดินออกมาจากตรงนั้นไม่ไกลมากทันได้ยินพี่วิวพูดกับพี่ปลายนิดหน่อย แต่ก็ทำให้หัวใจที่พองโตก่อนหน้านี้แอบแฟบลงไปนิดนึง นิดเดียวนะแค่นิดเดียวจริง ๆ

 

“กูมีแฟนแล้วไหม มึงลืมไปหรอ”

 

“แปลว่าไม่มีมึงจะจีบดิ”

 

“กูไม่ได้พูด”

 

“นี่มึงหน้าแดงเพราะร้อนหรือเขินว่ะ ตัวเล็กสเปกมึงเลยดิ” เฮ้ย ๆ ๆ มีหวังนะเนี่ย ไปทำให้พี่มันเลิกกับแฟนเลยดีไหมว่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน รอบหน้าค่อยรุกใหม่ หรือว่าควรจะหยุดดี พี่มันมีแฟนแล้วนะ

 

เฮ้อ~ แต่ก็อยากได้นี่หว่า

 

เอาแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน ไม่ได้เป็นแฟน เป็นกิ๊ก ก็ยังดี ฮ่า ๆ ๆ

 

อย่าคิดว่าเลเป็นคนดี อยากเป็นนงเป็นน้องไม่มีทาง

 

 

 

 

To be con. »

 

 

มาแล้วจ้าตอนที่สอง ,

พี่วิวมาอีกแล้วอะ มาทำไมคิดถึงเราหล่ะสิ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านะค่ะ

ฝากแชร์ด้วยงับ ถ้าชอบใจเรียกเพื่อนมาอ่านด้วยก็ได้แฮะๆ

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 3 ไม่ทันตั้งตัว
«ตอบ #4 เมื่อ08-01-2020 13:01:37 »

ตอนที่ 3 ไม่ทันตั้งตัว
(1)

 

“พี่ปลายๆๆๆ ทำไรอยู่อ่ะ” ผมตะโกนเรียกคนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพง ดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังวุ่นวายกับการทำงานอยู่ เพราะสีหน้าท่าทางเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับงานข้างหน้าเท่าไหร่นัก ยิ่งพอได้ยินเสียงผมเรียกชื่อพี่แกก็หันซ้ายหันขวามองหาว่าใครเป็นคนเรียกชื่อตัวเองทันที ก่อนจะตะโกนถามออกมาเสียงดังเมื่อไม่เห็นว่าเป็นใคร

 

“ใครว่ะ”

 

“อยู่นี่ ๆ เลอยู่บนนี้”

 

“ไหนว่ะ นี้ของมึงเนี่ย” ผมตะโกนลงไปอีกครั้งแต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็ยังไม่เห็นอยู่ดี คราวนี้พี่ปลายเริ่มตะโกนเสียงดังขึ้นจนคนงานคนอื่น ๆ เริ่มหันมามองและมีบางคนที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นผมก็ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

 

“เงยหน้าดิพี่”

 

“เอ้า มึงไปทำไรตรงนั้นว่ะ” ผมยิ้มให้กับคนที่เงยหน้าขึ้นมองผม แต่พี่ปลายทำแค่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นกว่าเดิม

 

“มาแอบดูพี่ไง”

 

“...”

 

“ล้อเล่น เล มาขึ้นมาหาเพื่อนเลยแอบมาส่องพี่แหละ ฮ๋า ๆ” ผมตอบตามความจริงและเหมือนกับคนที่ได้ฟังคำตอบก็ชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะเริ่มตะโกนตอบผมอีกครั้ง

 

“มึงนี่ไม่คิดจะพูดอ้อม ๆ เลยนะ”

 

“เสียเวลาอ่ะ ชอบก็พูดตรงๆ งี้แหละ” ไหน ๆ ผมก็แสดงออกขนาดนี้แล้ว คิดว่าพี่มันก็คงรู้อยู่บ้างว่าผมคิดไงกับมัน เลยตอบกลับไปโดยไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร

 

“น้องเลสุดยอดเลยอะ พี่วิวโดนใจ”

 

“แล้วพี่ปลายไม่โดนใจเลบ้างหรอ”

 

“ปักอกเลยครับน้องเล” คนที่ตอบผมไม่ใช่พี่ปลายนะครับ แต่เป็นพี่วิว พี่ตัวเล็กหน้ารักคนที่เจอวันก่อน แต่คนที่ผมอยากให้ตอบกลับทำหน้าบอกบุญก็คงไม่ไป

 

“เฮ้ออออ กูไปทำงานดีกว่า ขี้เกลียดคุยกะหมา มึงเห่าเครื่องบินดี ๆ นะ อย่าตกลงมาตายห่าซะก่อน”

 

“เลไม่ใช่หมานะเว้ยย ถึงจะเป็นก็เห่าพี่คนเดียวแหละ”

 

“วู้ยยยยยยยยยย เห่าพี่คนเดียวววว”

 

“แล่ว แล่ว แล่ว แล้ว อะไรยังไงว่ะไอ้ปลาย” พี่วิวทำท่าบิดตัวไปมา แต่ก็โดนพี่ปลายยกเท้าทำท่าจะถีบ ดีที่พี่ตัวเล็กกระโดดหลบทัน ไม่งั้นหน้าทิ่มดินแน่ผมบอกเลย แต่พอจบเสียงของพี่วิว ก็มีพี่ผู้ชายอีกคนที่เพิ่งเดินมาและเหมือนกับว่าพี่เค้าจะได้ยินที่ผมพูดก่อนหน้านี้เลยแซวพี่ปลายไปด้วย

 

“อะไรของมึงไอ้กิต มึงก็เข้าไปได้แล้วไอ้หมาเล เดี๋ยวตกมาตายห่าจริง ๆ กูไม่ไปงานนะบอกก่อน” คนโดนเพื่อนแซวทำหน้างอกว่าเดิม ก่อนจะหันไปด่าเพื่อนตัวเอง แต่ท้ายประโยคก็เงยหน้ามามองผมที่ยิ้มร่าส่งไปให้พี่แกอยู่ พี่ปลายพูดเสียงดุใส่ผมพร้อมกับชี้นิ้วมาด้วย ผมเลยต้องยินยอมแต่โดยดี ซะที่ไหน อิอิ

 

“คร๊าบ อย่าลืมคิดถึงเลด้วยนะ”

 

“พี่ปลายคิดถึงน้องเลเสมอแหละครับ”

 

“ไอ้สัสวิว” ผมได้ยินเสียงของเพื่อนพี่ปลายตะโกนตอบกลับมาตามมาด้วยเสียงพี่ปลายที่โวยว่าด่าเพื่อนตัวเองก็อดยิ้มไม่ได้จริง ๆ พี่วิวนี่สงสัยต้องซื้อขนมไปเซ่นซะหน่อยแล้ว

 

‘หนีไอ้หมาเลไม่รอดหรอกเว้ยพี่ปลาย หึหึ อ้าว! แล้วนี่กูก็เป็นหมาตามเค้าบอกเลยนะ ใจง่ายยย

 

ผมหัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ในใจ ก่อนจะเดินออกจากระเบียงชั้นห้าที่เป็นสวนย่อมเล็กๆ เอาไว้ให้แขกได้มานั่งสูบบุหรี่และพักผ่อนเข้ามาในตัวอาคารที่เป็นส่วนกลางและร้านกาแฟ

 

 

ผมเดินขึ้นมาหาจอนที่ชั้นห้าเพราะยังไม่ได้เวลาทำงานของผม วันนี้ผมเข้างานกะกลางคืน แต่เพราะว่าไม่มีอะไรทำเลยมาไวหน่อย จริง ๆ ก็คิดว่าถ้ามาก่อนงานเลิกก็อาจจะได้เจอพ่อหนุ่มวิศวกรที่ทำงานอยู่ข้าง ๆ โรงแรม เลยตั้งใจขึ้นมายืนส่องส่วนเรื่องขึ้นมาหาเพื่อนก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละครับ เจอมันก็คุยกันสองสามคำ แล้วหนีออกมายืนที่ระเบียง สายตาก็เริ่มสอดส่องมองหาหนุ่มหล่อพ่อทูนหัวและด้วยออร่าความหล่อทะลุโลกของพี่มัน หรืออาจจะด้วยบุเพอาละวาด วันนี้พี่มันดันมาทำงานอยู่ฝั่งรั่วข้างโรงแรมของผม ทีแรกก็จะไม่ตะโกนเรียกหรอกว่าจะยืนมองคนหล่อทำงานเฉย ๆ แต่เห็นความหล่อก็อดใจไม่ไหวจริง ๆ

 

 

 



 

“สวัสดีครับคุณเล” ผมหันไปตามเสียงทักทายของใครคนหนึ่งที่ฟังแล้วคุ้นหู ก่อนจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ส่งยิ้มมาให้

 

“สวัสดีครับคุณแทน”

 

“ดื่มกาแฟด้วยกันไหมครับ” คุณแทนผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเหมือนจะเชิญชวนให้ผมนั่งลงด้วยกัน แต่ผมก็ไม่ได้นั่งตามที่ได้รับคำเชิญ ทำแค่ยืนยิ้มตอบกลับไปอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมทำตัวเสียมารยาท

 

“ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณแทนตามสบายเลยครับ”

 

“แต่ถ้าผมอยากรบกวนให้คุณเล นั่งดื่มเป็นเพื่อนจะรังเกียจไหมครับ” ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองมาที่ผม รอยยิ้มที่ยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าขาวใส แต่เพราะว่าผมรู้ตัวดีว่าที่นี้เป็นที่ทำงานและยังเป็นเวลาที่ผมใกล้จะต้องเข้างานแล้ว เลยยิ่งดูไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะตกลงนั่งเป็นเพื่อนกับแขกของโรงแรม

 

“เล เอ้ยผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับ แต่มันไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ผมทำงานอยู่ด้วยครับ”

 

“แปลว่า ถ้าเลไม่ได้ทำงานอยู่ ก็ไปดื่มกาแฟกับผมได้ใช่ไหมครับ” ผมเผลอเรียกชื่อตัวเองแทนคำว่าผม เหมือนที่ควรจะทำ เลยทำให้คุณแทนเปลี่ยนมาเรียกแค่ชื่อของผมโดยไม่มีคำว่าคุณ ผมเองก็ตกใจไม่น้อยกับคำพูดของอีกคนที่เหมือนจะพยายามพูดให้ดูสนิทสนมกับผม เลยทำให้คิดไม่ทันว่าควรจะตอบกลับไปว่ายังไง

 

“เอ่อ...”

 

“เอาไว้ว่าง ๆ ผมชวนเลไปนั่งทานกาแฟด้วยกันนะครับ วันที่เลหยุดงาน อีกอย่าง เรียกแทนตัวเองว่า เล กับผมก็ได้ครับ มันน่ารักดี” อะไรคือการที่ยิ้มหวานขนาดนั้นแล้วบอกว่าน่ารักดี ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกว่าชอบคุณแทนเหมือนที่ชอบไอ้พี่ปลาย แต่ด้วยรอยยิ้มกับน้ำเสียงทุ่ม ๆ ที่บอกว่าน่ารักดีก็ทำให้ผมถึงกับหน้าร้อนขึ้นมาเหมือนกัน

 

“อะ...เอ่อ ผมว่ามันไม่ดีหรอกครับ”

 

“พี่ ไปก่อนนะครับ น้องเล”

 

ง่า !!! รู้สึกว่าเมื่อกี้กูตอบว่าไม่ดีไม่ใช่หรอว่ะ

 

แล้วอะไรมาเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เรียกผมว่า ‘น้องเล’ ไม่พอยังยิ้มหวานปานน้ำตาลโตนด แล้วลุกเดินออกไปเฉย ๆ แบบนั้นเลย แล้วยังไงต่อ ไอ้เล ต้องทำหน้ายังไงต่อหล่ะคราวนี้ นี่คุณเค้าจีบกูเหรอ หรือว่าไม่มีเพื่อนคบ ห๊ะ!! ใครรู้ไหมบอกเลที แล้วมึงจะหน้าร้อนทำไม ไม่ได้นะเว้ยห้ามหวั่นไหวนะเว้ย เป้าหมายของมึงอยู่ข้างกำแพงโน้นไอ้หมาเล

 



 



 

ผมกลับลงมาที่ชั้นล่างของโรงแรม ด้วยอาการมึนงงกับการกระทำก่อนหน้านี้ของคุณแทน คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออก เลยตั้งใจว่าช่างคุณแทนแกไปแล้วกัน อยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ แต่ผมคงไม่เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อคุณเค้าตามความต้องการของคุณเค้าหรอก

 

“เล กินข้าวมาแล้วใช่ไหม”

 

“ครับพี่” พี่ก้อยเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถามขึ้นทันที

 

“เล พี่รบกวนเลออกไปเอาของให้ลูกค้าหน่อยได้ไหม พอดีพี่มีประชุมเลยออกไปไม่ได้ เดี๋ยวตรงนี้ให้เกรซดูแลกับฟ้าไปก่อน” พี่ก้อยพูดกับผมก่อนจะหันไปบอกผู้หญิงอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม พวกเราทั้งสามคนก็พยักหน้ารับตามคำสั่งของพี่ก้อยผู้เป็นหัวหน้าใหญ่

 

“เลไปที่เซลทรัลเวิลด์นะ แล้วไปที่ร้านเอาใบนี้ไปยื่นให้พนักงาน แล้วรับของมานะจ้ะ แล้วนี้ค่ารถจ้ะไม่ต้องทอน”

 

“โห พันนึงเลยหรอค่ะพี่ก้อย คุ้มเลยนะเลวันนี้” ฟ้าที่ยืนมองผมกับพี่ก้อยคุยกันถึงกับทำตาโตพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจที่เห็นค่ารถเกินราคาไปมาก ก็ที่ผมบอกว่าเกินราคาไปมากเพราะคิดว่าถ้านั่งวินมอเตอร์ไซด์ไปก็คงไม่ถึงร้อยห้าสิบ แท็กซี่ยิ่งแล้วใหญ่ที่เคยนั่งก่อนหน้านี้ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำหากรถไม่ติด แต่อย่างเลนะบอกเลย ไม่เลือกทั้งสองอย่าง บีทีเอสจ้า ประหยัดกว่าเยอะ ฮ่าๆ

 

“โถ่ ของที่ไปเอาอาจจะเป็นตู้เย็นก็ได้นะฟ้า แบบนั้นหนึ่งพันก็ไม่มีรถวิ่งมาส่งหรอก เลอาจจะต้องแบกเดินกลับมาก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ”

 

“พี่ไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกจ้ะ” พี่ก้อยหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดกับผม ฟ้าที่ทำตาโตตกใจอยู่ก็หัวเราะตามไปด้วย

 

“ อิอิ นั้นนะสิเล เราเกือบเชื่อแล้วเนี่ย”

 

“งั้นผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ ฝากด้วยนะ”

 

“จ้า”

 

 

 

ผมเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนจะเดินออกมาจากโรงแรม ตอนนี้ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดลงแล้ว ผมเดินผ่านหน้าโครงการก่อสร้างก็อดที่จะเหลือบมองเข้าไปข้างในไม่ได้ แต่พอคิดได้ว่าเย็นป่านนี้แล้วอีกคนคงกลับไปแล้วเลยเริ่มเดินต่อ

 

“น้องเล!” เสียงตะโกนที่ดังมาไม่ไกลนักเรียกให้ผมหันไปมองตามเสียงนั้นทันที

 

“อ้าวพี่วิว แล้วพี่ปลายหละครับ”

 

“แหม๋ พี่น้อยใจนะเนี่ย เจอพี่แล้วถามถึงไอ้ปลาย” ผมยิ้มให้พี่ตัวเล็กที่เรียกผมขณะที่เดินผ่านหน้าโครงการก่อสร้าง แต่เพราะไม่เห็นอีกคนเลยเอ่ยถาม พี่วิวแกเลยแกล้งทำเสียงน้อยใจกลับมา

 

“ป่าวนะครับ แค่ปกติเห็นอยู่ด้วยกันตลอดหรือว่าพี่ปลายกลับบ้านแล้วครับ”

 

“นั้นไง บอกว่าเปล่า แต่ก็ยังถามถึงมันอีก”

 

“แหะ ๆ” ผมยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินที่โดนพี่วิวส่งสายตามาแซว ก็อยากเจอจริง ๆ นี่นา

 

“มันกำลังขี่รถออกมานะ กำลังจะกลับบ้าน แล้วเลหล่ะจะกลับบ้านหรอ”

 

“ป่าวครับ เลจะไปเอาของที่เซนทรัลเวิลด์ให้หัวหน้า”

 

“หรอ งั้นไปกับพี่ไหม พี่ก็จะไปพอดีนัดเพื่อนไว้นะ” พี่วิวทำท่าคิดนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยปากชวนผมไปด้วยกันเพราะเหมือนกับว่าพี่เค้าต้องไปที่เดียวกันพอดี ผมเองก็อยากไปหรอกแต่ก็เกรงใจ คราวนี้เกรงใจจริง ๆ นะครับ เพราะเป็นพี่วิว แต่ถ้าเป็นพี่ปลายนี้ผมตกลงไปแล้วไม่ต้องคิดเลย

 

“เอ่อ...จะรบกวนหรือเปล่าครับ”

 

“ไม่หรอก อ่ะนั้นไงไอ้ปลายขี่รถออกมาละ หยุดก่อนมึง!” เสียงมอเตอร์ไซด์ที่ดังเหมือนเรือหางยาวดังเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับคนที่ผมอยากเจอขับออกมาจากประตูโครงการ พี่วิวเลยโบกมือเรียกเพื่อนตัวเองให้จอดรถก่อน พี่ปลายก็จอดรถทันที ก่อนจะดึงกระจกหมวกกันน๊อคขึ้น

 

“อะไรของมึง เอ้าไอ้หมาเลมาทำไรตรงนี้มึง มาเห่าเครื่องบินอีกแล้วหรอว่ะ”เห่าหน้าพี่มึงสิ เดี๋ยวเห่าแม่งจริง ๆ เลยดีไหม บรู๊ววววววววว~ง่ะ

 

“น้องมันจะไปเซนทรัลเวิลด์มึงก็ผ่านไม่ใช่หรอพาน้องซ้อนไปด้วยดิ มา ๆ เล ขึ้นรถเลย”

 

“เฮ้ย!! พี่วิว พี่ปลายยังไม่ได้บอกให้เลไปเลยนะ แล้วไหนพี่วิวบอกจะให้เลไปกับพี่ไงครับ” พี่วิวเดินมาดึงผมก่อนจะผลักให้ขึ้นรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ของอีกคน แต่ผมก็ขืนตัวเองเอาไว้ก่อนเพราะผมไม่แน่ใจว่าเจ้าของรถเต็มใจหรือเปล่า

 

“พี่ว่าเลไปกับไอ้ปลายน่าจะไวกว่า พี่ขับรถยนต์รถติดด้วย ยังไงมึงก็ต้องผ่านทางนั้น หรือเปล่าว่ะ เออช่างเหอะ ผ่านไปส่งน้องหน่อยแล้วกันนะมึง”

 

“ไม่เป็นไรพี่ เลไปเองได้” คราวนี้ผมเกรงใจจริง ๆ นะ เพราะไม่รู้ว่าทางผ่านพี่เค้าหรือเปล่า แล้วมันก็ไม่ได้ไกลมากด้วยไปเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ค่ารถก็ฟรี

 

“ขึ้นมาอย่าลีลา” อ้าววววววว มาด่ากูเฉยเลยนะ มึงยังไม่ได้บอกจะไปส่งกูไหมหล่ะ ไอ้พี่ปลายยยย

 

“ขึ้นเลยเร็ว เดี๋ยวมันเปลี่ยนใจ”

 

“อ่ะ...ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายคนตัวโตทันที ไม่รอให้พี่มันพูดรอบสองเดี๋ยวแม่งเปลี่ยนใจ นี่มันโอกาสทองนะครับใครจะไม่คว้าเอาไว้ แล้วผลพลอยได้ก็คืออาจจะได้เงินค่าขนมที่เหลือจากค่ารถเกินครึ่งเลยจ้า

 

“ใส่แล้วเกาะกูดี ๆ นะ”

 

“อือ” ผมหยิบเอาหมวกวิศวกรสีขาวที่อีกคนยื่นมาให้ อาจจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างที่ทำไมให้ผมใส่หมวกวิศวกรแทนหมวกกันน๊อค แต่ดู ๆ แล้วพี่แกก็คงจะไม่มีด้วยแหละ แล้วไอ้หมวกวิศวกรเนี่ยก็น่าจะของพี่วิวที่ใส่อยู่ก่อนหน้านี้

 

“กอดมันไว้เลยน้องเล มันขับเร็วเดี๋ยวตก”

 

“ไม่เป็นไรครับ”

 

“กอดกู” มือหนาที่สวมถุงมือสีดำของพี่ปลายเอื้อมมาข้างหลังพร้อมกับดึงมือของผมไปโอบรอบเอวของพี่มัน หัวใจผมกระตุบวูบก่อนจะเริ่มเต้นแรงเพราะความตื่นเต้น ไม่พอยังดึงเข้าไปจนตัวผมแนบอยู่กับแผ่นหลังกว้างของพี่มันอีก

 

“ใกล้ปายยยย”

 

“สัส” พี่วิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทำสายตาล้อเลียนเพื่อนตัวเองก่อนจะพูดออกมาเสียงดังแล้วรีบเดินเข้าประตูไป ปล่อยผมที่นั่งหน้าร้อนแล้วร้อนอีก ไม่รู้ว่าเพราะอุณหภูมิจากแผ่นหลังที่หน้าผมซบอยู่หรือเพราะความรู้สึกเขินอายกันแน่ แต่ที่รู้ ๆ เลมีความสุขเว่ออะ

 

‘ฮึ่ยยยย

 



 

 



 
 
 
To be con. »

มาครึ่งนึงก่อนนะคะ มันยาวเกิน

คอมเม้นมาคุยกันบ้างนะจ้ะ ^ ^
 

 

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 3 ไม่ทันตั้งตัว (2)
«ตอบ #5 เมื่อ08-01-2020 13:04:45 »

ตอนที่ 3 ไม่ทันตั้งตัว (2)


พี่ปลายพาผมมาส่งที่เซนทรัลเวิลด์ในเวลาไม่นาน แต่แทนที่ส่งเสร็จแล้วคนตัวโตจะกลับไปเลย พี่แกพาผมเข้าไปในลานจอดรถมอเตอร์ไซด์ด้วย จัดการจอดรถเอาไว้ก่อนจะเดินเข้ามาในตัวห้างสรรพสินค้ากับผม คงเพราะพี่ปลายคงอยากจะซื้อของด้วยเหมือนกัน ผมเลยไม่ได้ถามอะไรมาก แค่เดินตามอีกคนเข้ามาและตั้งใจจะแยกตัวออกเพื่อไปร้านค้าตามที่ได้รับคำสั่งมา

 

“พี่ปลาย งั้นเลไปเอาของก่อนนะ ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”

 

“ไปร้านไหน”

 

“นี่ครับ” คนตัวโตยื่นมือมารับกระดาษที่ผมยื่นให้ดู โดยที่ไม่พูดอะไรตอบแล้วเริ่มเดินออกไปทันที

 

“พี่ปลายจะไปไหน เอากระดาษคืนเลมาสิ เลต้องรีบเอาของไปให้หัวหน้านะ”

 

“รีบก็เดินเร็ว ๆ อย่ามัวแต่พูด” ผมเดินตามคนตัวสูงที่ไม่ยอมคืนแผ่นกระดาษมาให้ผมสักที ไม่รู้ว่าพี่มันจะแกล้งผมหรือว่าผมขาสั้นกันแน่ เดินตามเท่าไหร่ก็ไม่ทันสักที

 

“เอ้า ก็พี่เอากระดาษเลไป แล้วเลจะรู้ไหมว่าร้านอยู่ชั้นไหน”

 

“ก็พาไปอยู่นี่ไง”

 

“พี่จะไปกับเลหรอเนี่ย ฮื่อออ ใจดีจัง” ผมถึงกับยิ้มออกมาทันทีเมื่อเสียงเรียบของอีกคนตอบกลับมา ไม่คิดว่าพี่มันจะไปด้วยกัน

 

“พูดมากว่ะเตี้ย” พี่ปลาย พี่แม่งใจร้าย พี่ไม่รู้หรอกคำว่าเตี้ย พูดเบา ๆ ก็เจ็บนะเว้ยยยย

 

“ชิส์”

 



 



 

ผมเดินตามพี่ปลายไปที่ร้านเป้าหมายจัดการยื่นกระดาษใบที่พี่ก้อยให้มากับพนักงาน และไม่นานพนักงานสาวของร้านก็เดินถือถุงใบใหญ่ที่ข้างในบรรจุกล่องของขวัญขนาดพอดีกับถุงมาให้ แต่สายตาของคนที่ยื่นถุงมาให้ผมแทบไม่มองที่ผมเลยสักนิด เพราะมัวแต่ส่งตาหวานเยิ้มไปให้ไอ้เสาไฟฟ้าหน้าหล่อข้าง ๆ ผมนี่แหละ

 

ผมกระตุกมือเบา ๆ เพื่อเรียกความสนใจของคนที่ยื่นถุงมาให้ผม จนเจ้าตัวต้องรีบหันมามองด้วยความตกใจเล็กน้อย ผมเลยจัดการส่งสายตาโหดเหี้ยมพร้อมแสยะยิ้มไปให้

 

‘คนนี้ของเลนะเจ้ ห้ามมองเว้ย!!!



 

“เสร็จยัง”

 

“อือ”

 

“กลับดิ” พี่ปลายดึงของในมือของผมไปถือก่อนจะเดินนำออกไป

 

“พี่ปลาย เอาของมาครับ เลจะได้กลับเลย”

 

“ก็กลับไง”

 

“ครับ เอามาสิ”

 

“มึงนี่นอกจากจะเป็นหมาแล้วเป็นควายด้วยหรอว่ะ” ดูแม่ง เคยมองกูเป็นตัวน่ารัก ๆ แบบกระต่ายบ้างไหมว่ะไอ้พี่ ด่ากูบ่อยจนกูนึกว่ากูไม่ใช่คนแล้วเนี่ย

 

“เอ้า มาว่าเลทำไมว่ะ แค่บอกให้เอาของมาเลจะได้กลับ ทำไมต้องว่าด้วยเนี่ย”

 

“กูก็บอกว่ากลับไง มึงไม่เข้าใจหรอ กูจะไปส่งมึงเนี่ย”

 

“ห๊าาาาาา”

 

“โง่”

เออ ยอมโง่เลยครับ ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของพี่มึงที่หันมายิ้มน้อย ๆ ให้ตอนที่ผมทำเสียงตกใจพร้อมกับทำหน้าเหว่อ จะไม่ตกใจได้ไง อยู่ ๆ ไอ้คนตัวโตนี่จะไปส่ง อยากรู้จริง ๆว่าอะไรมาสิงใจเธอ หรือว่าเป็นเพราะเธอแอบเผลอใจให้ฉัน ว๊ายยยยยยยยยยยย เขิน



 

 

“กินติมไหม เล เลี้ยง” ผมดึงแขนอีกคนขณะที่เดินผ่านร้านไอศรีมขึ้นชื่อของที่นี้ แต่เหมือนกับว่าคนที่หันมาเลิกคิ้วเหมือนเป็นคำถามที่โดนดึงแขนก็รีบปฏิเสธทันที

 

“ไม่อะ”

 

“นะเลอยากขอบคุณ” แต่เพราะอยากเลี้ยงขอบคุณพี่มันที่อุส่ามาส่งแล้วยังจะพากลับอีก ทำให้เงินค่ารถที่ได้มาผมยังไม่ได้ใช้ แต่พี่มันก็ยังมีเหตุผลที่ผมเองก็เถียงไม่ออกเลย

 

“มึงไม่รีบแล้วหรอ”

 

“อ่ะ...เออ ก็ได้งั้นคราวหน้านะ นะพี่ปลายนะ” ผมเงยหน้ามองคนที่มองมาที่ผม ก่อนจะกระตุกแขนอีกคนเบา ๆ จนเจ้าตัวต้องพยักหน้ายอมตกลงแล้วเริ่มเดินต่อ

 

“แล้วแต่มึงเลยเตี้ย”

 

“พูดแล้วน๊า” บอกเลยว่าตอนนี้ ผมรู้สึกดีมาก มากจนลืมไปว่าเราเพิ่งรู้จักกันและพี่มันก็มีแฟนแล้ว และเพราะสิ่งที่พี่ปลายทำให้ผมตอนนี้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่ผมอยากจะได้พี่ปลายมาเป็นแฟนยิ่งเพิ่มขึ้นมากไปอีก โดยที่ลืมคิดไปเลยว่า มันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่อย่าเศร้าไปครับ บอกแล้วไง แค่กิ๊ก เลก็ยินดี

 



 



 

รถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จอดที่หน้าโรงแรมเพื่อให้ผมลงจากรถ คนขับเปิดกระจกหมวกกันน๊อคมองมาที่ผมก่อนจะพยักหน้าให้หนึ่งทีพร้อมกับหันกลับไปโดยไม่รอให้ผมได้พูดอะไร

 

“เดี๋ยวพี่” ผมรีบดึงแขนอีกคนเอาไว้ก่อนที่พี่ปลายจะบิดคันเร่ง คนตัวโตเลยหันมามองด้วยแววตาสงสัยว่าผมมีอะไรอีก

 

“...”

 

“ขอบคุณนะครับวันนี้ แล้วก็...” ผมหยุดชะงักไปนิดหน่อย ไม่มั่นใจว่าควรจะพูดดีไหม จนคนที่รอฟังต่อต้องเปิดกระจกหมวกกันน๊อคอีกครั้ง

 

“ก็อะไรของมึง จะพูดไหม ไม่พูดกูไปนะ”

 

“เดี๋ยว ๆ เล ขอเบอร์พี่ได้ไหม”

 

“...”

 

“ก็เพื่อจะชวนไปกินติมไงที่ เล จะเลี้ยงพี่อะ พี่ก็ตกลงแล้วด้วย...” ผมรีบพูดแก้ตัวทันทีเมื่อพี่ปลายไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันพูดจบอีกคนก็ยื่นมือมาข้างหน้า

 

“เอาโทรศัพท์มา ทำไมมึงพูดมากจังวะหมาเตี้ย” นั้นไง คราวนี้กูกลายพันธ์เป็นหมาเตี้ยไปเรียบร้อยแล้ว เออก็ยังดีแม่งไม่บอกว่าเป็นหมาขี้เรื้อนหรือหมาวัด แง๊ง ๆ งับแขนแม่งเลยดีไหม

 

“ขอบคุณนะครับ รับไลน์เลด้วยนะ ขับรถดี ๆ นะ”

 

“เออ เข้าไปเลยมึง” บิ๊กไบท์คันโตขี่ออกไปทันทีที่คนขับพูดจบ ผมเองก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในโรงแรมเหมือนกัน

 

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดีมาก ดีจนหัวใจน้อย ๆ ของผมพองโตไปหมด เพราะพี่ปลายเป็นแบบนี้สินะ ผมถึงได้ชอบได้มากขนาดนี้ ถึงแม้จะปากร้ายแค่ไหน แต่ก็ใจดีกับผมตลอด

 

“ผมชอบพี่นะ พี่ปลาย”



 



 



 ---------------------------

 

 



 

ตั้งแต่วันนั้นที่พี่ปลายพาผมไปเซนทรัลเวิลด์ผมก็ยังไม่ได้เจอกับพี่เค้าอีกเลย นี่ก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ผมมารู้จากพี่วิวที่เจอกันเมื่อวันก่อนว่า พี่ปลายต้องเข้าไปช่วยงานที่อีกโครงการแถว ๆ รังสิต ประมาณสี่ห้าเดือน หัวใจของผมก็ห่อเหี่ยวขึ้นมานิดหน่อย พี่แม่งไม่คิดจะบอกผมเลยสักนิด แอบน้อยใจหน่อย ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างยังไงผมก็มีเบอร์พี่มันกับไลน์อยู่ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังไม่เคยโทรหรือส่งข้อความไปหาพี่มันเลยสักครั้ง เอาไว้ว่าง ๆ ค่อยส่งก็แล้วกัน

 

วันนี้ผมมาอยู่ที่ร้านเหล้าแถวทองหล่อกับเพื่อน ๆ สมัยเรียนมหา’ลัย พวกเรามักนัดเจอกันเกือบทุกเดือน และด้วยผมกับจอนเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมีวันหยุดตรงกับวันอาทิตย์เหมือนกัน เสาร์นี้เลยเป็นวันที่พวกผมกับเพื่อนอีกสองคนของเราตกลงว่าจะออกมาเที่ยวด้วยกัน เพื่อนในกลุ่มของผมอีกสองคนชื่อว่า บิว กับ กาย เราเรียนจบที่เดียวกันแต่สองคนนี้ไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานโรงแรมเหมือนผมกับจอน

 

บิวเป็นผู้ชายตัวสูงผิวขาวหุ่นล่ำ ต่างจากกายที่ลักษณะของมันจะคล้าย ๆ ผม เวลามันสองคนเดินไปไหนมาไหนด้วยกันคนมักคิดว่ามันสองคนเป็นแฟนกัน ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วหล่ะครับ ผมเองก็เคยถามมันนะเพราะมันสองคนชอบตัวติดกันมาก แถมพักอยู่ที่เดียวกันอีก แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ

 

“พ่องมึงสิ” พร้อมกับมือหนักที่ตบลงบนกะบาลผมทันที แค่คิดก็เจ็บหัวขึ้นมาเลยครับ

 

บิวมันทำงานที่โรงแรมของครอบครัวมัน ไม่ได้เป็นพนักงานเหมือนผมหรอก โรงแรมของมันไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็มีแขกเข้ามาพักตลอด มันเคยชวนผมกับจอนไปทำงานด้วยกันแต่พวกผมได้งานที่โรงแรมนี้ก่อนเลยไม่ได้ไป

 

ส่วน กาย มันเปิดร้านกาแฟอยู่แถว ๆ หนองจอกบ้านมันและเรียนต่อปริญญาโทที่มหา’ลัยแถวนั้น พวกมันก็เลยมีเวลาว่างมากกว่าพวกผม เวลาจะนัดเจอกันพวกมันก็จะรอให้ผมกับจอนว่างก่อน อย่างวันนี้แหละครับ

 

“กายร้านมึงเป็นไงบ้างหว่ะ”

 

“ก็เรื่อย ๆ อะ คนจะเยอะช่วงเสาร์อาทิตย์” กายหันมาตอบผมพร้อมกับยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

 

“แล้วมึงอะ มีตัวจริงยังจอน”

 

“มีแล้วนี่ไง เล ของ จอน” แขนใหญ่ของจอนที่วางพาดอยู่ที่ไหล่ผมดึงตัวผมเข้าไปใกล้ ๆ แต่บิวที่รู้ว่าพวกเราพูดเล่นก็โวยวายทันที

 

“ไอ้เฮี้ยเมื่อไหร่มึงสองคนจะเลิกเล่นแบบนี้สักทีว่ะ กูจะเชื่อแล้วเนี่ย”

 

“ทำไมหละบิว เราก็อยู่กับเลตลอด นี่แหละตัวจริงเลย” จอนก็ยังไม่ละความพยายามที่จะแกล้งเพื่อน ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะพวกมันก็แบบนี้ตลอด

 

“จริงหรอว่ะเล”

 

“จริง”

 

“เฮ้ยยยย มึงสองคน เมื่อไหร่ว่ะ”

 

“เมื่อไหร่อะไรของมึงกาย” ผมหันไปถามกายทันทีที่มันพูดจบ ไม่เข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ มันก็รู้อยู่แล้วว่าผมรู้จักกับจอนตั้งแต่เมื่อไหร่ จะถามทำไมกันอีก

 

“ได้กันอะเมื่อไหร่”

 

“ไอ้สัสบิว กูไม่ได้หมายความแบบนั้น” คำขยายความของไอ้บิวเล่นเอาผมตกใจ แม่งคิดได้ยังไงว่าผมกับไอ้จอนได้กัน ถึงมันจะหล่อมาก แต่มันก็เป็นเพื่อนผมอะ ผมไม่นิยมกันเพื่อนตัวเอง

 

“เอ้าแล้วตัวจริงคืออะไร”

 

“เพื่อนไง เพื่อนตัวจริง อยู่ด้วยกันตลอด แฟนไม่ต้องมี”

 

“แม่งพูดไม่เคลียร์กูตกใจหมดนะ ยก ๆ หมดแก้วเลยมึง” ไอ้บิวยกแก้วขึ้นกระดกจนเกือบหมดก่อนจะสั่งให้ผมกับคนอื่น ๆ ทำตาม ทุกคนก็ยกขึ้นกระดกหมดแก้วทันที

 

 

 

“กูไปห้องน้ำนะ” ผมเริ่มรู้สึกปวดฉี่เลยรีบลุกขึ้นบอกพวกมัน แล้วเดินออกมาเลย เพราะคิดว่ากว่าจะเดินไปถึงก็น่าจะใช้เวลาสักพัก ตอนนี้คนในร้านเยอะมากจนเดินแทบไม่ได้ ต้องพยายามแทรกตัวเพื่อหลบคนที่กำลังยืนเต้นตามจังหวะเพลงมันส์ ๆ ที่ดีเจเปิดอยู่

 

ผมเดินแทรกคนมากมายจนออกมาที่ประตูข้างร้าน ซึ่งเป็นทางผ่านไปเข้าห้องน้ำ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเพื่อนผมทำไมชอบเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งของห้องน้ำตลอดเลย กูเดินเหนื่อยนะพวกมึงเข้าใจไหม



 

“ปลายเราว่าเราสองคนพอกันแค่นี้เถอะ ปลายก็รู้ว่าที่เป็นอยู่มันไม่ใช่ไงปลาย”

 

“มีนทำไมพูดแบบนั้นวะ” ขณะที่ตั้งใจจะเดินมาเข้าห้องน้ำ ชื่อของคน ๆ หนึ่งเรียกความสนใจจนผมต้องหันไปมองทันที คนสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ได้หันมาสนใจผมที่เพิ่งเดินมาเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะแสงไฟสลัวภายในร้านเลยทำให้ผมมองหน้าของคนทั้งสองคนไม่ชัดเท่าไหร่และแทนที่ผมจะเดินต่อไปเพื่อเข้าห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจ ผมดันหยุดยืนฟังว่าคนสองคนจะพูดอะไรกันต่อ

 

‘เลไม่ได้ชอบเสือกนะ เลแค่เป็นห่วง เนอะ

 

“เราพูดความจริงเว้ยปลาย เมื่อไหร่ปลายจะยอมรับความจริงว่ะ แกไม่ได้ชอบแบบเรา เข้าใจไหมปลาย”

 

“ไม่”

 

“พอเถอะ จบกันแค่นี้ เราไม่อยากเป็นเกาะกำบังให้ปลายอีกแล้ว สงสารเราเถอะนะปลาย”

 

“มีน เราขอโทษ” เสียงทุ่มของผู้ชายตัวโตพูดออกมาไม่ดังมากนัก แต่โชคดีที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีเสียงรบกวนจากดนตรีข้างในร้าน เลยทำให้ผมได้ยินชัดเจน

 

‘บอกเลยเสียงแม่งก็โคตรจะคุ้น ใช่หรือเปล่าว่ะเนี่ย

 

“ไม่ต้องขอโทษเราเลยปลาย แกต้องขอโทษตัวเองเว้ย ขอโทษที่แกไม่ยอมรับความจริงสักที ที่เป็นอยู่แบบนี้แกไม่อึดอัดหรอว่ะเราถามจริงๆ”

 

“...” คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับของอีกคน ได้ยินแค่เสียงของผู้หญิงคนเดิมที่พูดขึ้น และเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดขึ้นต่อ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสองคนทำท่าทางยังไง เพราะผมแค่ยืนหันหลังพิงกำแพงเหมือนไม่ได้สนใจอะไร โชคดีที่ตรงนั้นก็ยังมีคนอื่นอีกสองสามคนยืนสูบบุหรี่อยู่ แต่ไม่อยากจะบอกเลยว่าไอ้เลนี่กำลังแอบฟังเต็มที่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ

 

“เป็นเพื่อนกันเถอะวะ กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ตอนนี้ยังเป็นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเว้ย เป็นได้เมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน”

 

“อือ” มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจเลยว่าเรื่องที่พวกเค้าสองคนคุยกันเป็นเรื่องอะไร น่าสงสารผู้ชายตัวโตนั้นจังครับ โดนบอกเลิกไม่พอ ขอกลับไปเป็นเพื่อนอีก มันใช่หรอว่ะ เลิกแล้วจะมาเป็นเพื่อนกันเนี่ย

 

‘เลรับไม่ได้เว้ย ฟังแบบนี้แล้วหงุดหงิดแทน

 

ขอโทษทีครับอินไปหน่อย ไม่เคยเจอกับตัวหรอกนะ อย่างผมนี่เลิกแล้วเลิกเลย อย่าได้พบได้เจอกันอีก ไปตายซะ เอ่อ ขอโทษอีกที แอลกอฮอล์ในเลือดมันพาอารมณ์ขึ้นง่ายไปหน่อย

 

“เราไปนะ ขอให้แกโชคดีและยอมรับในสิ่งที่ตัวแกเป็นสักที”

 

จบคำพูดของผู้หญิงคนนั้น เธอก็เดินออกมาเลย ไม่ได้รอฟังคำตอบของผู้ชายตัวโตนั้นว่าจะตอบอะไร ผมยืนมองตามแผ่นหลังของเธอจนลับสายตา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนที่โดนแฟนบอกเลิกจะเดินออกมาเลย อุส่ายืนรออยากดูให้แน่ใจว่าใช่ ‘ปลาย’ คนเดียวกับที่รู้จักหรือเปล่า

 

‘เฮ้อ สงสัยจะเสียใจมาก เออแล้วนี่กูมายืนทำห่าไรตรงนี้ ไปฉี่สิเว้ย

 

คิดได้แบบนั้นผมก็เลยรีบเดินออกมาทันที โดยไม่ลืมหันกลับมองหน้าคนโดนทิ้ง แต่ก็ไม่เห็นหรอกครับ เห็นแบบวับ ๆ แวม ๆ แสงน้อย ๆ พอให้รู้เค้าโครงหน้าว่า บอกเลยเบ้าหน้าแม่งเหมือนกันมาก เห็นแล้วอยากจะเห็นชัด ๆ แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วต้องไปปลดปล่อยเสียก่อน
 

 

“โอ้ยยยย สบายตัว” ขณะที่ผมกำลังปลดปล่อยสายน้ำให้พวยพุ่งใส่โถ่ฉี่ ก็บ่นพึมพำอย่างสบายใจกับตัวเองไปด้วย

 

“ชอบเสือกเรื่องของคนอื่นหรอ”

 

ผมหันซ้ายหันขวามองดูว่าตรงนี้มีใครนอกจากผมไหม ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีเลยสักคน นั้นก็แปลว่าไอ้ผู้ชายตัวโตที่ยืนหันหลังอยู่มันพูดกับผมหรอว่ะ

 

“พี่พูดกับผมหรอ”

 

“...” ไม่ตอบเว้ยมันไม่ตอบ ไอ้สาดดดด ด่ากูหรือเปล่าบอกกูหน่อยกูอยากรู้

 

“เงียบแปลว่าไม่ใช่ สบายใจไป”

 

“นอกจากเสือกแล้วยังจะโง่อีกเนอะ”

 

“ห๊ะ ว่าไงนะ” คราวนี้ใช่แน่ ๆ แม่งต้องว่ากูแน่ ๆ เพราะมองแล้วมองอีกก็ไม่เห็นจะมีคนอื่นนอกจากผมกับมันเลย แล้วแม่งด่ากูก็ไม่เสือกหันหน้ามามองกูเลยนะ มึงไม่ให้เกียรติ์คนโดนด่าบ้างเลยนะมึง ไม่ได้เว้ยถึงไอ้ทะเลคนนี้จะตัวเล็ก แต่บอกเลยถีบคนหงายมาแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่รอช้า ไม่หันมาใช่ไหม กูเดินไปหามึงเองก็ได้

 

“ไอ้เฮี้ยยย!!! พี่ปลาย”

 

“เออ”

 

“โอ้ย อือ” หลังของผมกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำข้าง ๆ อ้างล้างมือ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องเพราะความเจ็บที่โดยคนตรงหน้าผลักก็ต้องตกใจชะงัดทันทีที่หน้าคมกดจูบลงมาที่ริมฝีปากของผมอย่างหนักหน่วง



To be con. »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 4 ระยะเวลาที่รอคอย
«ตอบ #6 เมื่อ09-01-2020 09:25:01 »

ตอนที่ 4 ระยะเวลาที่รอคอย


“ไอ้เฮี้ยยย!!! พี่ปลาย”
“เออ”
“โอ้ย อือ” หลังของผมกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำข้าง ๆ อ้างล้างมือ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องเพราะความเจ็บที่โดยคนตรงหน้าผลักก็ต้องตกใจชะงัดทันทีที่หน้าคมกดจูบลงมาที่ริมฝีปากของผมอย่างหนักหน่วง ความเจ็บแปลบที่ริมฝีปากพร้อมทั้งกลิ่นคาวและรสชาติของเลือดทำให้ผมยิ่งพยายามผลักร่างใหญ่ที่บดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างรุนแรง ยิ่งผมพยามดิ้นรนเท่าไหร่ความรุนแรงยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งๆ ที่ผมควรรู้สึกดีที่ได้จูบกับผู้ชายที่ผมชอบแต่มันกลับไม่ใช่เลย มันแย่และทรมานมาก เพราะสิ่งที่พี่ปลายทำอยู่นั้นมันเหมือนการระบายความรู้สึกทั้งหมดลงมาที่ผม เมื่อรู้ดีว่าการพยายามดิ้นรนไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้ ผมจึงปล่อยให้อีกคนได้ทำตามใจต้องการถึงแม้ว่าจะรู้สึกแย่มากแค่ไหนก็ตาม
“ฮึก”
พี่ปลายผละออกจากผมทันทีที่รับรู้ได้ถึงเสียงสะอื้นและหยาดน้ำตาของผมที่ไหลลงมาอาบแก้ม มือหนาสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อยกขึ้นมาปาดน้ำตาบนแก้มให้ผม แววตาของพี่ปลายเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและยิ่งได้เห็นว่าปากของผมมีรอยเลือดซึมออกมาเพราะความรุนแรงที่เจ้าตัวทำกับผมก่อนหน้านี้ ตาสวยยิ่งสั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม
“ขอโทษ”
“...” ผมมองสบตาคนตรงหน้า แววตาที่ส่งมาและคำพูดของอีกคนทำให้ความรู้สึกแย่ก่อนหน้านี้เบาบางลงไปจนเกือบหมด ผมไม่ได้โกรธพี่ปลายเลยสักนิดที่ทำกับผมแบบนี้แค่รู้สึกน้อยใจว่าสิ่งที่พี่ปลายทำกับผมเหมือนเป็นแค่การระบายความโกรธหรืออะไรสักอย่างที่ได้รับจากการกระทำของผู้หญิงคนนั้น ผมไม่ได้อยากเป็นคนที่รองรับอารมณ์ที่เกิดจากคนอื่น
“ขอโทษ”
“...” ผมยังคงเงียบแม้ดวงตาของเราจะยังคงจ้องมองกันอยู่ คนตัวโตที่จ้องมองมาที่ผมเริ่มมีน้ำเอ่อล้นอยู่รอบดวงตาคม
“กูขอโทษ” ปากได้รูปขยับพูดคำเดิมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมยังคงยืนนิ่งไม่ตอบรับอะไร มือหนาที่ยกขึ้นวางทาบไปบนกำแพงเพื่อช่วยพยุงร่างใหญ่ของคนตรงหน้าผมถูกเลื่อนลงมาโอบกอดรอบเอวของผม พร้อมกับหน้าคมที่ก้มลงมาวางบนไหล่ผม ไม่นานความเปียกชื้นที่เกิดจากน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากตาคมก็ทำให้หัวใจของผมกลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกแย่เหมือนก่อนหน้านี้ กลับเป็นความรู้สึกเป็นห่วงคนตัวโตที่กำลังเจ็บปวด
“พี่ขอโทษ” เสียงแหบพร่าที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูผมพร้อมกับคำแทนตัวของอีกคนที่เปลี่ยนไปทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบทันที ถ้าคำว่า “พี่” ที่อีกคนพูดไม่ใช่ในสถานการณ์นี้ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ใช่ไหม
“กลับบ้านกันไหม เดี๋ยวเลไปส่ง”
“อือ” พี่ปลายดันตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้งหลังจากตอบรับคำของผม ก่อนย้ายมือที่โอบรอบเอวของผมมาจับไว้ที่มือของผมแทน นิ้วเรียวสอดเข้ากับนิ้วมือของผมเหมือนกับว่าต้องการความมั่นใจว่าผมจะไม่หนีไปไหน
อย่ากลัวไปเลย เลไม่ไปไหนหรอก


เราสองคนเดินออกจากห้องน้ำมาเงียบ ๆ ผ่านผู้คนมากมายที่นั่งพูดคุยกันอยู่ตามทางเดินข้างร้าน ระยะทางจากห้องน้ำจนถึงลานจอดรถไม่ได้ไกลมากนัก แต่เพราะหัวใจของเราสองคนมันหนักหน่วงเกินไปหรือเปล่าไม่รู้ ผมถึงรู้สึกว่าระยะทางมันไกลเหลือเกิน
“เลขี่มอเตอร์ไซด์พี่ไม่ไหวหรอกนะ และไม่คิดจะซ้อนพี่ด้วย” ผมพูดขึ้นทันทีที่เราเดินมาถึงลานจอดรถ คนตัวโตก้มลงมามองหน้าผม คิ้วหนายกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ปากสวยจะเริ่มขยับ
“เอารถยนต์มา”
“งั้นเอากุญแจมา”ผมยืนมือที่ว่างอยู่ไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนส่งกุญแจรถให้ผม ถือว่าโชคดีที่พี่มันเอารถยนต์มา ถ้าเอาบิ๊กไบท์ที่มันชอบขี่มาทำงานทุกวันมาละก็ เลไม่อยากจะคิดภาพเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขับเลย  เอาแค่ขึ้นคร่อมรถ ขาสั้น ๆ อย่าผมนี่จะก้าวพาดพ้นตัวถังรถไหมล่ะคุณคิดดูเซ่

ผมยืนรอพี่ปลายล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีดที่เจ้าตัวใส่อยู่ ก่อนจะหยิบเอาพวกกุญแจรูปเกียร์ห้อยกับลูกกุญแจที่มีตราสัญลักษณ์รถยนต์ยุปโรปยี่ห้อหนึ่งส่งมาให้ผมพร้อมกับดึงมือของผมที่ประสานอยู่กับเจ้าตัวให้เดินไปยังรถสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่
“คันนี้”
“โห แล้วเลจะขับเป็นไหมเนี่ย” ผมมองไปที่รถสปอร์ตคันสวยที่อยู่ตรงหน้า แค่ยี่ห้อผมก็รู้สึกประหม่าแล้ว มาเห็นรถผมยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าจะรอด เอาไงดีว่ะเนี่ย
“ขับไม่ยากหรอก”
“งั้นพี่ก็ขับเองสิ”
“ไม่ไหว” คนบอกไม่ไหวดึงกุญแจจากมือผมไปปลดล๊อครถก่อนจะส่งคืนให้ผมอีกครั้ง พร้อมกับเจ้าของรถที่ปล่อยมือผมแล้วเดินเข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับทันที ผมที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าได้แต่ทอดถอนหายใจ เอาไงเอากันเว้ยไอ้เล
“เฮ้อ” ผมเดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับหลังจากที่ยืนพ้นลมหายใจเข้าออกจนพอใจ คนที่ขึ้นมาก่อนตอนนี้ปรับเบาะรถเอนหลังนอนหลับตาไปเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่รถคันสวยคันนี้เป็นเกียร์ออโต้ ไม่งั้นผมว่าคงได้นอนค้างที่ลานจอดรถกันนี้แหละครับ

“พี่ปลายบ้านพี่อยู่ไหน” ผมเริ่มถามคนข้าง ๆ ทันทีที่ขับรถออกมาได้สักพัก ลืมคิดไปว่าควรถามเจ้าตัวตั้งแต่ก่อนออกรถ เลยทำให้ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปทางคอนโดที่ผมพักอยู่
“...”
“พี่ปลายพี่”
“อือ” เสียงตอบรับในลำคอของคนตัวโตที่ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมา ทำให้ผมละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถไปเขย่าแขนคนข้าง ๆ เบา แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรอีกเลย
“เลถามว่าบ้านพี่อยู่ไหน”
“...”
“พี่ปลาย”
“....”
“พี่ปลาย!” ผมเริ่มตะโกนเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวโตไม่ยอมตอบรับอะไร และเหมือนคราวนี้จะได้ผลเพราะตาคมปรือตาขึ้นเล็กน้อย
“ไม่อยากกลับบ้าน”
“แล้วจะไปไหน บอกมาผมจะได้ไปส่งถูก” อาจจะเป็นเพราะบ้านที่ว่านั้นพี่มันอยู่กับแฟนมันมาก่อน ถ้ากลับไปอาจจะทำให้ยิ่งคิดถึงและเจ็บปวด แต่ถ้าไม่กลับบ้านแล้วพี่มันจะให้ผมไปส่งไหน
“บ้านมึง”
“เฮ้ย! ไม่ได้ดิ” คำตอบของพี่ปลายทำให้ผมถึงกับเหยียบเบรกทันที โชคดีที่ตอนนี้รถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ และไม่มีรถตามหลังผมมา ไม่งั้นได้ไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลแทนบ้านมึงแน่ไอ้เล แต่ไอ้ที่บอกจะไปบ้านผมนี่ก็ไม่ใช่เรื่องหรือเปล่าว่ะ ไม่ได้นะเว้ยอย่ามามั่วนิ่มไอ้พี่ปลาย
“...”
“พี่ปลาย”
“...”
“ไอ้พี่ปลาย”
“...”
“โว้ยยย ไอ้เฮี้ยพี่ปลายตื่นสิวะ”
“....”
“แม่งเอ้ย” คราวนี้ถึงผมจะพยายามเรียกด้วยเสียงดังโวยวายหรือเขย่าตัวพี่มันแรงแค่ไหน พี่ปลายก็ไม่ยอมตอบรับอะไรผมอีกเลย ไม่พอแค่นั้นพี่มันยังเบี่ยงตัวหนีผมหันหน้าไปทางกระจกข้างอีก
‘เฮ้ออออ กูต้องยอมใช่ไหมเนี่ย  ที่ยอมเพราะพี่มึงเสียใจอยู่หรอกนะเว้ย ไม่ได้ใจง่ายเลย
ผมพยายามสะกดจิตตัวเองแบบนั้น ตอนนี้อารมณ์พิศวาสคนตัวโตไม่มีเลย มีแค่ความรู้สึก งง กับเรื่องที่เกิดขึ้นแค่นั้นเอง ทำไมมันต้องเป็นจังหวะที่ผมเดินมาเข้าห้องน้ำพอดีด้วยว่ะ แต่มาคิดดี ๆ อีกทีมันก็ดีเหมือนกันที่ผมได้รู้ว่าพี่ปลายมันเลิกกับแฟนแล้ว แต่ทำไมไม่ค่อยดีใจเลยว่ะ คงเพราะพี่มันเสียใจหล่ะมั่งผมเลยรู้สึกแย่ไปด้วย สับสนตัวเองมากอะบอกเลยตอนนี้
“พี่ปลายลุกดิ ถึงแล้ว”
“อือ” คนตัวโตยอมลืมตาขึ้นอย่างง่ายดายต่างจากก่อนหน้านี้จนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าเมื้อกี้พี่มันหลับจริงหรือเปล่า หรือว่าพี่มันแกล้งผมอยู่กันแน่ แต่ช่างมันเถอะไหน ๆ ก็ขับมาถึงนี้แล้ว
“ไหวไหมเนี่ย”
“ไหว”
“งั้นก็เดินตามมา” ผมรีบออกเดินนำหน้าอีกคนที่ยืนอยู่ประตูฝั่งข้างคนขับ แต่เพราะพี่ปลายไม่ยอมขยับตัวตาม ผมเลยหันไปมองว่าเพราะอะไร ก็ถึงกับต้องชะงักทันทีเมื่อพี่มันพูดขึ้นมา
“ไม่ไหวอ่ะ มาจับมือหน่อย” เสียงทุ้มพูดขึ้นพร้อมกับมือหนาที่ยื่นออกมาตรงหน้า
“อะไรของพี่ว่ะเนี่ย แม่งเมาแน่เลย”
“เร็วดิครับ” นั้นไง ‘ครับ’  ก็มาด้วย พี่มันเมาจริงหรอว่ะ ก่อนหน้านี้ยังปกติดีอยู่เลยนี่หว่า แล้วทำไมตอนนี้ทำตัวแปลก ๆ ใส่ล่ะเนี่ย
เฮ้ยยยยย หรือพี่มันจะอ่อยกูว่ะเนี่ย / ไม่ม๊างงงง พี่มันเพิ่งอกหักนะเว้ย/ เออหรืออกหักจนบ้าว่ะเนี่ย
ผมพยายามถกเถียงกับตัวเองอยู่ในใจกับอาการที่อีกคนเป็นอยู่ตอนนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนเดินเข้าไปหาอยู่ดี
“เออ” ผมเดินเข้าไปจับมือใหญ่ที่ยื่นมาข้างหน้ารออยู่ก่อนแล้ว คนตัวโตไม่ได้มีสีหน้าท่าทางว่าจะยิ้มหรืออะไรเลย ยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนที่เคยทำ จะมีแค่อาการกับคำพูดแปลกๆที่ผมไม่เคยได้ยิน ผมคิดว่าพี่มันก็น่าจะอาการหนักอยู่ไม่น้อย



ผมจูงมืออีกคนที่เดินตามมาอย่างช้า ๆ คนตัวโตไม่พูดอะไรอีกเลยตั้งแต่เดินออกมาจากรถจนถึงห้องของผม ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน มันเหมือนอารมณ์หนักๆก่อนหน้านี้หวนกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยทิ้งไปตอนขับรถกลับมาห้อง ยิ่งมือหนาที่จับกับมือของผมอยู่กระชับให้แน่นขึ้นเท่าไหร่ ความหนักหน่วงในใจของผมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันเหมือนกับว่าอีกคนส่งความรู้สึกเจ็บปวดและหนักหนาที่รู้สึกผ่านทางการสัมผัสที่มือของเรา
ผมพาพี่ปลายมานั่งลงบนโซฟาที่ส่วนรับแขก ก่อนจะคลายมือที่จับกันอยู่ออกเพื่อเดินไปหยิบเอาน้ำเปล่ามาให้ดื่ม
“พี่ปลายอาบน้ำไหม จะได้สบายตัวขึ้น”
“อืม” เมื่อคนตัวโตพยักหน้ารับพร้อมกับตอบรับเบา ๆ ผมก็เดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองทันที เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่  หาเสื้อยืดโอเวอร์ไซด์กับกางเกงเล ขาสามส่วนที่คิดว่าอีกคนน่าจะใส่ได้ออกมา และไม่ลืมที่จะหยิบแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้ใช้ติดมาด้วย
“อ่ะ เข้าไปอาบในห้องนอนเลก็ได้”
“อืม” คนตัวโตยังคงตอบสั้น ๆ ก่อนจะลุกเดินไปตามที่ผมบอก หลังจากประตูห้องน้ำในห้องนอนปิดลง เหลือแค่ผมที่นั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าไม่คิดอะไรเลย เพราะไม่รู้ว่าถ้าหากมานั่งคิดอะไรคนเดียวตอนนี้ ผมจะหาคำตอบได้ไหม สู้ปล่อยให้เวลาตอนนี้มันผ่านไปน่าจะดีกว่า

Rrrrrrrr

“อ่ะ” ผมตกใจเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ก่อนจะรีบล้วงมือเข้าไปหยิบขึ้นมาทันที
[อยู่ไหน!] เสียงตะโกนเหมือนคนที่กำลังโมโหของจอนทำให้ผมถึงกับรีบเอาหูออกห่างจากโทรศัพท์ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้บอกเพื่อน ๆ ว่าจะกลับบ้านก่อน เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กลับไอ้คนตัวโตในห้องน้ำนั้น ครั้งสุดท้ายก็บอกเพื่อนแค่ว่าจะมาห้องน้ำเฉย ๆ สงสัยคงห่วงผมกันแย่แน่ ๆ เลย
“แฮะ ๆ อยู่ห้องแล้ว”
[กลับทำไมไม่บอก ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน รู้ไหมว่าเราเป็นห่วง]
“เลขอโทษ” ผมรีบขอโทษเพื่อนสนิททันที ก่อนจะยกมือถือออกมาดูว่าเพื่อนส่งข้อความมาจริงไหม ก็พบว่าเพื่อนทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ส่งข้อความหาผมเกือบร้อยข้อความได้
[เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมกลับไม่บอก]
“เปล่าครับ แค่เหนื่อยๆ” ผมเลือกที่จะตอบกลับไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงมากไปกว่านี้ โชคดีที่จอนก็เข้าใจและไม่ได้ถามอะไรต่อ
[เหนื่อยก็พักผ่อนเถอะ ถ้าไม่สบายก็กินยาด้วย]
“ครับ”
[แค่นี้]


“เฮ้อ วันอะไรว่ะเนี่ย”
“วันเสาร์”

ขวับ

ผมถึงกับรีบหันกลับไปมองต้นเสียงที่ตอบผมว่าวันเสาร์ ไม่เข้าใจว่าพี่มันกำลังกวนตีนผมอยู่หรือมันคิดว่าผมถามจริง ๆ ว่าวันนี้มันอะไร เพราะสีหน้าคนตอบกับแววตาที่มองมาหาผมมันนิ่งสนิทมากจนผมที่ควรจะรู้สึกอยากด่าคนถึงกลับต้องเปลี่ยนทันที
“วันอาทิตย์แล้วมั่ง”
“อืมใช่เลยเที่ยงคืนแล้ว” คราวนี้ไม่ตอบเปล่าครับ พี่มันมองไปที่นาฬิกาที่ผมแขวนเอาไว้เหนือทีวี ซึ่งตอนนี้เวลาล่วงเลยมาตีหนึ่งกว่าแล้ว หน้านิ่ง ๆพยักขึ้นลงเล็กน้อยยิ่งส่งผลให้ผมกำลังจะบ้าตายเพราะท่าทางของพี่มันเข้าไปอีก
‘ตกลงนี่พี่มันอกหักจนเพี้ยนหรือเปล่าว่ะเนี่ย
“โอ้ยยย ไปอาบน้ำดีกว่า”

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ถึงกลับผงะเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนอนของผม ตาคมปิดสนิทพร้อมกับผ้านวมสีชมพูลายการ์ตูนตัวโปรดของผมที่ห่มทับร่างใหญ่อยู่ถึงเอว มันเป็นภาพที่ไม่ค่อยเข้ากันซะเลย แต่ก็ไม่ได้ขัดตาเท่าไหร่นัก
“มานอนได้แล้วง่วง”
“อ้าว!” ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อเสียงทุ้มของคนที่นอนหลับตาอยู่พูดขึ้น
“อะไร”
“นึกว่าหลับแล้ว”
“รออยู่” ไม่รู้ว่าเพราะคำตอบหรือเพราะอะไรที่ทำให้หัวใจของผมวูบไหวได้มากมายขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ผมยังคิดไม่ตกว่าควรจะนอนบนที่นอนกับพี่ปลายดีไหม หรือว่าจะไปนอนที่โซฟาดี ผมไม่อยากให้พี่มันเข้าใจว่าผมฉวยโอกาสตอนที่กำลังรู้สึกแย่ แต่เพราะได้ฟังคำตอบสั้น ๆ ของคนเป็นพี่ผมก็คิดว่า นอนด้วยกันสักครั้ง คงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตผมก็ได้


หลังจากเดินไปปิดไฟห้องเรียบร้อยแล้ว ผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนฝั่งที่ยังว่างอยู่ ทิ้งระยะห่างของเราสองคนเอาไว้ ก่อนจะยกผ้าห่มหนาขึ้นมาคลุมจนถึงคาง
“ฝันดีครับ” เสียงพูดแผ่วเบาของผมที่ไม่แน่ใจว่าอีกคนจะได้ยินไหม แต่ก็หวังว่าในค่ำคืนนี้พี่ปลายจะฝันดีได้บ้าง เพราะสำหรับพี่ปลายตอนนี้ความเป็นจริงคงเจ็บปวดมากเกินพอแล้ว
สวบ
“ขอบคุณนะ” ความสั่นไหวเล็กน้อยของที่นอนมาพร้อมกับความหนักที่ทาบทับลงบนตัวผม ร่างใหญ่เบียดเข้ามาจนชิดกับลำตัวของผม หัวของอีกคนวางทาบลงข้าง ๆ ตัวผม พร้อมกับเสียงแผ่วเบาที่พูดออกมา ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อนอนตะแคงหันไปทางคนตัวโต สอดแขนเข้าไปใต้คอของคนเป็นพี่ ก่อนจะเขยิบตัวให้ใกล้กันมากขึ้น หวังว่าความอบอุ่นในครั้งนี้จะช่วยให้ใจที่หนาวเหน็บของพี่ปลายเบาบางลงมาบ้าง
“ไม่เป็นไรนะครับ พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว” ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ปลายจะเข้าใจความหมายที่ผมพูดไหม แต่แค่ตอนนี้ผมได้แบ่งเบาความรู้สึกของพี่มันมาบ้าง ผมก็ยินดี

------------------------

“ตื่นแล้วหรอครับ”
“อือ” ผมลืมตาขึ้นมาเห็นว่าอีกคนเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เลยเข้าใจได้ว่าพี่ปลายคนตื่นก่อนผมนานพอสมควร และดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน
“จะกลับเลยใช่ไหมครับ”
“ใช่” เสียงห้วน ๆ กับคำตอบสั้น ๆ ของพี่ปลายทำให้ผมถึงกับหายใจสะดุด รู้สึกเหมือนพี่ปลายไม่พอใจอะไรสักอย่างอยู่ หรือเพราะว่าที่เราสองคนนอนกอดกัน
“รถจอดอยู่ชั้น 5 นะครับ ให้ลงไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก” หลังจากพูดจบพี่ปลายก็เปิดประตูออกจากห้องนอนไปโดยไม่หันมามองหน้าผมเลยสักนิด คำพูดและการกระทำของพี่ปลายทำให้ผมรู้สึกแย่ทั้ง ๆ ที่ก็คิดไว้อยู่บ้างแล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่พอเจอเข้าจริง ๆ ผมกลับห้ามความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเองไม่ได้เลย
นี่ผมทำผิดหรอ

พฤ. 4 กค. 62

In LAY  : พี่ปลาย เป็นยังไงบ้างครับ     13.22

ศ. 5 กค. 62

In LAY  : พี่ปลาย เงียบไปเลย   17.00
In LAY  : เลเป็นห่วงนะพี่   17.01

จ. 8 กค. 62

In LAY  : พี่ปลาย     20.15
 In LAY  : สบายดีไหมครับ      20.15

พ. 11 กย. 62

In LAY  : คิดถึง    12.24


ผมพยายามส่งข้อความไปหาอีกคนเกือบทุกวันเพราะตั้งแต่วันนั้นที่พี่มันออกไปจากห้องของผม เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมพยายามเว้นระยะไว้เกือบอาทิตย์ถึงทำใจกล้าส่งข้อความไปหา แต่ก็ไม่มีการตอบกลับหรือแม้แต่อ่านข้อความของผมเลยสักครั้ง และถึงแม้ผมจะรู้ดีว่าพี่ปลายคงไม่ตอบกลับผมก็ยังคงส่งไปเหมือนเดิม
เพียงหวังว่า จะมีสักข้อความตอบกลับมา
ผมยังคงมาทำงานและทำตัวปกติถึงแม้ในช่วงแรก ๆ จะรู้สึกเป็นห่วงพี่ปลายมากก็ตาม แต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้
โครงการก่อสร้างข้าง ๆ โรงแรมของผมที่พี่ปลายเคยทำอยู่ เริ่มคืบหน้าไปมากแล้ว เพื่อน ๆ ของพี่ปลายยังคงทำอยู่ที่นี้เหมือนเดิม และผมยังได้เจอกับพี่วิวบ้างบางครั้งแต่ไม่บ่อยนัก เพราะผมไม่ค่อยออกมาทานข้าวข้างนอกเหมือนแต่ก่อนตอนที่พี่ปลายยังทำงานอยู่ที่นี้ ผมไม่รู้ว่าจะออกไปทำไมเมื่อรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางได้เจอ
ระยะเวลาเกือบสามเดือนที่อีกคนเงียบหายไป ผมเริ่มรู้สึกเบาบางในความรู้สึกเป็นห่วงลงไปมากแล้ว แต่ความรู้สึกชอบและคิดถึงยังคงมีอยู่ ผมถึงยังส่งข้อความไปบอกอีกคนเสมอว่า

คิดถึง


หลายคนอาจจะมองว่าผมบ้าที่ทำแบบนั้น เพราะผมกับพี่มันแทบไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันมากมายอะไรเลย มีแค่ผมที่ชอบพี่ปลายอยู่คนเดียว พี่ปลายเองก็ไม่เคยแสดงทีท่าหรือท่าทางว่าสนใจหรือชอบผมตอบเลยสักครั้ง แต่เชื่อผมเถอะถ้าหากว่าสักครั้งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ได้รู้สึกชอบใครสักคนแล้ว ยังไงความรู้สึกนั้นมันจะไม่ลบเลื่อนออกไปง่าย ๆ หรอก ยิ่งเมื่อเคยได้สัมผัสและใกล้ชิดกันด้วยแล้ว ยังไงก็คงไม่มีทางลืมต่อให้มีใครอีกคนเข้ามาในชีวิตเหมือนผมตอนนี้ก็ตาม
“เล กำลังจะกลับบ้านหรอครับ”
“ครับคุณแทน” เสียงเรียกที่ดังจากข้างหลังขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากที่ทำงานทำให้ผมต้องหยุดเดินและหันกลับไปมองทันที คุณแทนที่ยังคงพักอยู่ที่โรงแรมกำลังเดินตามหลังผมและส่งยิ้มมาให้เมื่อเราสองคนสบตากัน
“งั้นไปด้วยกันสิ ผมจะไปส่งเลเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรบกวน”
“แต่ผมอยากให้เลรบกวน และผมอยากรบกวนชวนเลไปทานข้าวด้วยกัน นะครับ” สายตาที่ส่งมาทำให้ผมใจอ่อนแบบนี้ในทุก ๆ ครั้ง เสียงทุ้มแต่อ่อนโยนของคุณแทนทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธคำขอของอีกคนได้เลย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกแต่มันเป็นแบบนี้ในเกือบทุก ๆ วันที่ผมเข้ากะเช้าและเลิกงานในตอนเย็น
“เอ่อ...”
“เล”
“พี่ปลาย!” 


ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 5 เหมือนกัน
«ตอบ #7 เมื่อ10-01-2020 08:37:07 »

ตอนที่ 5 เหมือนกัน


“เล”
“พี่ปลาย!”  เสียงคุ้นเคยของใครบางคนที่ผมเฝ้ารอข้อความตอบกลับมาตลอดเรียกให้ผมต้องรีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว คนตัวโตในชุดเสื้อหนังสีดำยืนพิงรถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบท์คันคุ้นตาอยู่ที่หน้าทางเข้าของโรงแรมที่ผมทำงาน เพราะความดีใจที่ผมได้เจอกับพี่ปลายทำให้ผมรีบที่จะเดินเข้าไปหาอีกคนแต่ติดที่มือของใครบางคนที่ผมลืมไปเสียสนิทรั้งตัวผมไว้เสียก่อน
“เลครับ”
“เอ่อ คุณแทนครับวันนี้ผมขอตัวนะครับ” ผมพยายามพูดกับคุณแทนให้สุภาพที่สุดเพราะไม่อยากให้มีปัญหาตามมาที่หลัง และดูเหมือนคุณแทนก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเลยยอมปล่อยมือที่รั้งแขนของผมเอาไว้ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ผมและมองไปที่คนตัวโตอีกคนก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
“ใคร”
“คุณแทน เป็นลูกค้าที่นี้”
“ลูกค้า ดึงแขนพนักงานด้วยหรอว่ะ” สายตาที่มองมาเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่นักทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะตอบอีกคนว่าอย่างไรดี
“ก็...”
“เออ ช่างเถอะ ขึ้นรถ”
“ครับ” ผมรับหมวกกันน๊อคที่พี่ปลายส่งมาให้สวมไว้ก่อนจะก้าวขึ้นรถตามคำสั่งของคนขับที่นั่งคร่อมรออยู่ก่อนแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ถามอีกคนเลยด้วยซ้ำว่ากำลังจะพาผมไปไหน แต่สำหรับผมตอนนี้พี่ปลายจะพาไปไหนผมก็ไปหมดแหละ จะว่า ๆ ผมเป็นคนใจง่ายก็ได้ แต่แค่ได้เห็นหน้าพี่ปลายที่ยืนรอผมอยู่เมื่อกี้นี้ ความรู้สึกหน่วงที่พี่มันหายไปและไม่ติดต่อมาหาผมเลยเป็นเวลาหลายเดือนมันหายไปจนเกือบหมด ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนที่พี่มันคิดถึง แต่พี่ปลายยังเป็นคนที่ผมคิดถึงเสมอ


พี่ปลายขี่มอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาเรื่อย ๆ จนถึงตลาดนัดแห่งหนึ่งแถวรามคำแหง ก่อนจะหาที่จอดในสนามกีฬาที่จัดที่ไว้ให้ผู้ที่มานั่งเล่นหรือมาเดินตลาดได้จอด
“หิวไหม”
“อืม”  ผมตอบรับคนเป็นพี่เบา ๆ แต่ไม่กล้ามองสบตาอีกคนเพราะกลัวว่าพี่ปลายจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ความรู้สึกสงสัยในหัวผมวนเวียนกันอยู่มากมายแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยถามคนตรงหน้า
พี่เป็นยังไงบ้าง ?
พี่สบายดีไหม ?
พี่มาได้ยังไง ?
ทำไมถึงมาหาผมได้ ?
ทำไมไม่ตอบข้อความผมเลย ?
คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า ?
คำถามมากมายที่คงหลั่งไหลออกมาทางดวงตาของผมหากว่าผมเงยหน้าขึ้นสบตาคมคู่นั้น ทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาคนตัวโตกว่า กลัวว่าจะทำให้อีกคนรำคานและหายไปจากผมอีก
“เป็นอะไร”
“เปล่า” ผมกั้นใจเงยหน้าขึ้นสบตากับคนถามเพียงชั่วครู่ก่อนจะเสสายตามองไปทางอื่นอีกครั้ง
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
“แน่ใจ?” คราวนี้คนถามเริ่มเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม มือหนาวาบลงบนไหลผมก่อนจะค่อย ๆ บีบเบา ๆ ผมรับรู้ได้ว่าอีกคนคงจับความคิดและความรู้สึกของผมได้แน่ เลยจำใจต้องยอมรับออกมา
“เลแค่สงสัย”
“ไม่ต้องสงสัย” ตาคมมองมาที่ผมเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปสบกับตาคู่นั้น พี่ปลายยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา
“อ้าว”
“คิดถึง”
“!!! ห๊ะ” คำตอบสั้น ๆ ของพี่ปลายทำให้ผมถึงกับหน้าร้อนผ่าว ไม่เคยคิดเลยว่าคนตัวโตที่มักจะบ่นและด่าผมตลอดจะพูดคำนี้ออกมา ถึงแม้คำว่าคิดถึงของพี่ปลายจะต่างจากผมหรือเหมือนกันก็ตาม มันก็ยังทำให้ทุกคำถามและความคิดที่ผมคิดอยู่ตอนนี้สลายหายไปกับอากาศได้อย่างรวดเร็ว
“ไปได้ละ”
“พี่ปลายยยยยย พูดใหม่สิ เลไม่ค่อยได้ยินเลย”
“อะไร หิวแล้ว” ผมรีบเดินตามคนเป็นพี่ที่เดินหนีหลังจากพูดจบ คือเอาจริง ๆ ผมก็ได้ยินหรอกนะว่าพี่ปลายพูดอะไร แต่คนมันอยากฟังอ่ะ ไม่ใช่ง่าย ๆ นะเว้ยที่ไอ้คนตัวโตเนี่ยมันจะพูดดี ๆ กับผม
“นะ พี่ปลายนะ อีกทีเดียว”
“ไม่”
“นะคร๊าบ” ผมรีบวิ่งไปเกาะแขนล่ำของพี่ปลายเหมือน ทำเสียงออดอ้อนยื่นหน้ายื่นหัวไปให้อีกคน พี่ปลายยกยิ้มมุมปากอีกครั้งก่อนจะยกแขนเข้าล๊อคคอผมไว้ ตอนนี้ผมยิ่งโคตรเหมือนลูกลิงโดนหิ้วบอกเลย ลองคิดสภาพตามติด ผู้ชายตัวสูง ๆ ล๊อคคอผมที่ตัวเล็กกว่ามันตั้งเยอะแล้วแกล้งเดินไวไวอะ ขาสั้น ๆ ของผมนี่จะไปสู้อะไรมันได้ ไอ้พี่บ้า อุ้มกูเลยไหมหล่ะห๊ะ แต่ไม่พูดหรอกเดี๋ยวมันอุ้มจริงอายเค้าตายเลย
“ไม่เว้ย”
“เออก็ได้ว๊า ไม่พูดใช่ไหม เลพูดเองก็ได้  เลคิดถึงพี่ปลายนะ” เมื่อรู้ดีว่าต่อให้ตื้อยังไงอีกคนก็ไม่ยอมพูด เลยคิดว่าพูดเองซะเลยดีกว่า คราวนี้คนโดนบอกคิดถึงหยุดเดินทันที พร้อมกับพูดออกมาเสียงดัง
“เออ รู้แล้ว”
“นั้นแหน่ เห็นนะว่ายิ้ม”
“เดี๋ยวโดน” คนโดนแซวที่ยังล๊อคคอผมอยู่ยกมืออีกข้างเขกหัวผมก่อนจะคลายวงแขนออกปล่อยผมเป็นอิสระแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปเลย
‘เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าดาเมจผมก็ทำลายล้างได้เหมือนกัน บ้าบอ
ผมหยุดยืนมองแผ่นหลังกว้างสักพักก่อนจะวิ่งตาม ผมว่าแค่ที่พี่ปลายทำให้ผมอยู่ตอนนี้มันก็โคตรดีสำหรับผมแล้ว ไม่ต้องมีสถานะ ไม่ต้องบอกอะไรมากมาย แค่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้บ้างก็โคตรจะดี
แต่เอาเข้าจริง ๆนะ ใครจะไม่อยากมีสถานะเล๊า ผมก็พูดให้ดูดีไปงั้นแหละ ยังไงไอ้เลคนนี้ก็จะเอาพี่ปลายเป็นแฟนให้ได้ ขอกำลังใจหน่อย ฮึบ ๆ
‘สู้เว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



หลังจากที่เราสองคนเดินเล่นรอบตลาดนัดหน้าสนามกีฬากันเสร็จเรียบร้อย ผมกับพี่ปลายได้ของกินมาอย่างล้นหลาม มีทั้งไก่ทอด ลูกชิ้นปิ้ง ส้มตำ ไข่ปลาหมึก ปลาไข่ชุบแป้งทอด เห็ดย่างพันเบคอน ไม่พอยังมีขนมหวานติดไม้ติดมือมาอีก ทอฟฟี่เค้กด้วยจ้า
เราเดินมาหาที่นั่งบนสนามหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดนัก รอบ ๆ ตัวเรามีคนเอากระต่ายน่ารัก ๆมาปล่อยให้วิ่งเล่นกันอยู่หลายตัว ไม่ใช่แค่วิ่งอย่างเดียว น้องกระต่ายอึด้วยจ้า นี่แหละเค้าเรียกว่าบรรยากาศดี ๆ ผมจัดการวางข้าวของที่เราสองคน ซึ่งคงจะหิวมากจนแห่ซื้อมาเหมือนมีกันสิบคน

“กินหมดไหมเนี่ย” เออนั้นดิแม่งจะกินหมดไหมเนี่ย ตอนซื้อก็ไม่ทันได้คิดเลย พอวางรวมกันเท่านั้นแหละ โอ้โห นี่มันร้านข้าวย่อม ๆเลยเมิงงง
 “ไม่รู้ดิ”
“แล้วมึงจะซื้อมาทำไมเยอะแยะ”
“เอ้าเห้ยยยยยย โยนเลยนะ โยนความผิดให้เลเลยนะ” ถ้าจำไม่ผิด พี่มึงซื้อเยอะกว่ากูไหมหล่ะ ผมมองค้อนให้คนตัวโตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เจ้าตัวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มองสบตาผมจนผมเองที่ต้องรีบหลบตา
‘เขินอะบอกเลย
“ก็เห็นมึงมอง เหมือนอยากได้”
“โอ้โห!!! ถ้ารู้ว่าซื้อทุกอย่างที่เลมองแบบนี้ คราวหน้าจะมองทอง ซื้อให้ป่ะ” ผมทำตาโตด้วยความตะลึง ไม่ใช่เพราะดีใจที่พี่มันพูดแบบนั้น แต่รู้สึกเหมือนแม่งโยนความผิดให้ผมเต็ม ๆ มากกว่า แค่มองเพื่อพิจารณาไหมว่ะ ไม่ได้อยากกินทุกอย่างนะเฟ้ย อยากบอกพี่มึงจริง ๆ ว่า
‘ไม่เจอะกันนานกวนตีนจังเลยยยยยย
“เอาดิ เดี๋ยวกูซื้อให้”
“จิงอ่ะ”  เฮ้ยยย พี่มันบอกจะซื้อให้ด้วยเว้ยแก อย่านึกว่าเลไม่กล้านะเว้ย พรุ่งนี้เลยไหมล๊า แต่แล้วความฝันอันสวยงามของผมก็ดับวูบทันที
“ทองม้วนนะ ฮ่า ๆ”
“เฮ้อ~” แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มุกเก่ามากอ่ะ ไม่คิดว่ามันจะเล่นนะเนี่ย ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ก็มีมึงไม่เลือกมา เสือกเลือกทองม้วนมันเก่าแล้วเว้ยพี่มึง แถมเล่นอย่างเดียวไม่พอครับมีขำด้วย ผมเลยมองบนให้คนตัวโตไปหนึ่งที ก่อนจะจัดการกับของตรงหน้าเลิกสนใจคนอีกคนไปเลย ถึงหล่อแต่ไม่จรรโลงใจมากบอกเลย




“ขอบคุณครับ” ผมบอกคนตัวโตหลังจากยื่นหมวกกันน๊อคคืนให้
“ขึ้นไปได้แล้ว”
“พี่ก็ไปก่อนสิ”
“เออ” พูดจบพี่มันก็ขี่รถออกไปเลยครับ ไอ้ผมก็นึกว่ามันจะเถียงกลับแบบ ขึ้นไปก่อนสิ พี่อยากให้เลขึ้นไปก่อนแล้วค่อยไป อะไรแบบนี้อ่ะ แบบโรแมนติกเหมือนในหนังอ่ะ แต่นี่แม่งไม่ใช่ไง พี่มันออกรถไปเลย ทิ้งให้ผมยื่นอ้าปากหว่อด้วยความ งง งวย
‘พี่ปลายแม่งสากกะเบือมาก



ติ๊ง

พ. 11 กย. 62
Plai EN : ถึงบ้านละ  22.55


ผมนั่งมองข้อความที่ถูกส่งมาจากคนที่เพิ่งแยกกันไปไม่นาน แอบแปลกใจนิดหน่อยที่พี่ปลายยอมส่งข้อความมาบอกทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ขอเลยด้วยซ้ำ แต่ความแปลกใจนั้นไม่เท่ากับอาการดีใจยิ้มหน้าบานของผมตอนนี้หรอก

 

In LAY  : รับทราบครับผม    22.56
In LAY  : วันนี้ขอบคุณมากนะ เลมีความสุขมากอะ หายคิดถึงได้เยอะเลยแหละ แต่ก็ยังคิดถึงมากอยู่ดี 22.57


ผมตอบกลับข้อความของคนตัวโต ข้อความที่ถูกส่งไปขึ้นแจ้งเตือนว่าเจ้าของห้องแชทที่คุยกับผมอยู่อ่านข้อความเรียบร้อยแล้ว ผมนั่งจ้องมองว่าอีกคนจะตอบกลับมาว่ายังไง แต่จนแล้วจนรอดพี่ปลายก็ไม่ได้ตอบกลับมาเลย เฮ้อออ ก็รู้อยู่หรอกครับว่าคงเป็นแบบนี้ แต่ก็แอบหวังหน่อย ๆ ว่าอีกคนจะมีน้ำใจส่งกลับมาบ้าง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่ได้รับข้อความตอบกลับแน่ เลยปิดห้องแชทและออกจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวนั้นซะ คิดว่าจะหาหนังสืออ่านสักนิดก่อนจะนอน แต่เอาจริง ๆ วันนี้อิ่มจนคิดว่าไม่น่าจะไหวอ่าน ถ้างั้นก็นอนเลยละกัน
ผมล้มตัวลงนอนบนที่นอนที่แสนคุ้นเคย วันนี้ผ้าปูที่นอนที่ใช้อยู่เป็นลายหมีสีเหลือง ไม่ใช่สีชมพูผืนนั้นที่พี่ปลายเคยนอน ผมไม่ได้หยิบออกมาใช้เลยหลังจากวันนั้น กลัวว่าจะคิดถึงอีกคนมากเกินไป

 
ติ๊ง

เสียงสัญญาณแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ผมรีบเอื้อมมือไปหยิบเอาเจ้าโทรศัพท์เพื่อนรักมาเปิดดูทันที หวังว่าคนที่ส่งมาจะเป็นคนที่รออยู่ แต่

พ. 11 กย. 62
Johney H : นอนหรือยัง 23.10

เฮ้อ~ ผิดหวังไปแปดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ อุส่าห์คิดไว้ว่าอีกคนคงตอบไลน์มาหา เอาจริง ๆ นะ แค่ตอบว่า อืม ไอ้เลก็ดีใจแล้วเว้ยพี่ปลาย ตอบหน่อยไม่ได้หรอว๊า แต่ตอนนี้ต้องปล่อยไปก่อนผมต้องตอบไลน์เพื่อนรักของผมเสียก่อน
In LAY  : ยังจ้า        23.10
Johney H : ใครมารับเล เราเห็นนะ      23.11
In LAY  : พี่น่ะ         23.11
Johney H : พี่ที่ไหนเราไม่เคยเห็นเลย ปิดบังอะไรเราใช่ไหม   23.11
In LAY  : ป๊าวว         23.11
‘เสียงสูงมากบอกเลย ไม่ได้ไม่อยากบอกเพื่อนหรอกครับ แค่อยากรอเวลาสักหน่อย
Johney H : Sure ?  23.12
In LAY  : Yep     23.12
Johney H : Ok I got it ไม่ใช่พี่แน่นอน  23.12
In LAY  : เฮ้ยยยยยยยยย ทำไมพูดแบบนั้นหล๊า     23.13
ผมถึงกับหน้าเหว่อทันทีที่อ่านข้อความของจอนที่ส่งกลับมา ทำไมเพื่อนผมถึงรู้ทันผมดีจริง ๆละเนี่ย
In LAY  : Sent sticker (ลิงหน้าบูด)     23.13
Johney H : เราเห็นคุณแทน หน้าไม่สบอารมณ์เลย  23.14
In LAY  : แล้วเกี่ยวอะไรกันเล่า คุณแทนอาจจะอารมณ์ไม่ดีก็ได้   23.14
Johney H : เค้ารู้กันทั้ง โรงแรมนะเล ว่าคุณแทนตามจีบเลอยู่  23.14
In LAY  : ไม่จริงหรอก คงแค่อยากมีเพื่อน  23.14
Johney H : แน่ใจนะว่าคิดแบบนั้น  23.15
เอาจริง ๆ ผมก็พอจะดูออกนะครับว่าคุณแทนที่เพื่อนพูดถึงนั้นคิดอะไรกับผมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าฟันธงมากนัก เพราะไม่คิดว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่าง จะมามองแค่พนักงานธรรมดาแบบผม แต่ผมก็ไม่ได้หมายความรวมว่าพี่ปลายไม่ได้มีพร้อมนะครับ แค่เอาจริง ๆ ผมไม่ได้ชอบคุณแทนเหมือนที่รู้สึกชอบพี่ปลายเท่านั้นแหละ เลยทำเสียว่าไม่สนใจไปน่าจะดีกว่า
Johney H : ไม่ใช่เพราะ พี่ คนนั้นเลยทำให้เลไม่อยากคิดว่าคุณแทนเค้าตามจีบเลอยู่  23.15
In LAY  : ก็...  23.17
In LAY  : อือ เราชอบพี่ปลายอ่ะ ไม่ได้คิดอะไรกับคุณแทนด้วย   23.17
            Johney H : นั้นไงว่าแล้ว ฮ่า ๆ 23.17
            Johney H : ชื่อพี่ปลายสินะ 23.17
In LAY  : อะไรเล่า   23.17
In LAY  : Sent sticker (ลิงมองบน)     23.17
Johney H : จริง ๆแล้วเราไม่ได้เห็นเองหรอก แค่ได้ยินคนอื่นคุยกันว่ามีชายหนุ่มสองคนมาชิงหนุ่มน่ารักประจำฟร้อนนะ เลยลองมาหลอกถามเลดู ฮ่า ๆ ๆ ๆ  แล้วก็จริงอย่างที่คิดไว้ซะด้วย 23.17
In LAY  : ง่ะ    23.18
In LAY  : เรางอนแล้ว ไม่คุยกับจอนแล่ว     23.18
ผมทำหน้าค้อนลมค้อนแล้ง ใส่มือถือตัวเองอย่างกับว่าเพื่อนสนิทของผมจะเห็นซะอย่าง ก็จะไม่ให้ทำหน้างอนได้ยังไงกันหละเล่นมาหลอกถามกันแบบนี้ แล้วผมมันก็ดันร้อนตัวด้วยไง บ้าเอ้ยยยย

   
Johney H : งั้นเดี๋ยวเราช่วยเล จีบพี่ปลายดีไหม 23.18
In LAY  : จริงนะ     23.18
     Johney H : ไปนอนได้แล้ว  อย่ามัวแต่นั่งเพ้อหล่ะ 23.18

“โถ่ จอนนนนนน” ผมเรียกชื่อเพื่อนตัวเองเสียงดังด้วยความเขินอายที่เพื่อนดันรู้ทันผมไปเสียหมด แบบนี้สินะถึงเรียกว่าเพื่อนสนิท แต่เอาเข้าจริง ๆ ถ้ามีคนช่วยอีกแรงก็ดีเหมือนกันนะ แต่จะช่วยยังไงตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก ผมย่นจมูกใส่ช่องแชทของเพื่อนไปหนึ่งที่ ก่อนจะปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ แล้ววางมือถือเอาไว้ที่เดิมเพื่อเตรียมตัวนอน



ติ๊ง


Plai EN : เหมือนกัน   23.35

งื่อออออออ ~ มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินสัญญาณแจ้งเตือน คิดว่าเพื่อนคงส่งอะไรมาอีกแต่ไม่ใช่ ผมเจอกับข้อความตอบกลับของพี่ปลาย แค่สองพยางค์สั้น ๆ แต่มันมีความหมายเยอะมากสำหรับผม
‘เหมือนกัน นี่มัน
ขอบคุณเหมือนกัน
หรือ
มีความสุข เหมือนกัน
หรือว่าจะเป็น
คิดถึง เหมือนกัน
งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า เหมือนกันทุกอย่างเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ เล สะดวกแบบนี้

---------------------------

“ไฟเขียวแล้ว” ผมรีบเดินข้ามถนนอย่างไวเมื่อเห็นว่าสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวสำหรับคนข้าม ผู้คนมากมายหลายคนที่ยื่นอยู่ข้าง ๆ ผมเพื่อรอข้ามถนนพากันรีบก้าวลงจากฟุตบาธ ตัวเลขที่กำลังนับถอยหลังเป็นเหมือนตัวเร่งเวลาและความเร็วของฝีเท้าในการก้าวเดิน
‘เลชอบนะ มันน่าตื่นเต้นดี
  ผมเดินข้ามถนนมาถึงฝั่งที่ทำงานของผมได้อย่างปลอดภัย วันนี้ไม่มีเรื่องตื่นเต้นที่ต้องหลบมอเตอร์ไซด์นรกแตกที่แหกไฟแดงจนเกือบชนตูดผมอยู่บ่อย ๆ
ช่วงเช้าของการทำงานมักจะวุ่นวายเพราะทุกคนต่างรีบร้อนที่จะไปเข้างาน ผมเองก็เป็นอีกคนที่พยายามจ้ำอ้าวให้ทันเวลาเข้างานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ด้วยเพราะวันนี้รถไฟฟ้าบีทีเอส ดันเสียไง คนก็ยืนต่อแถวยาวจากอ่อนนุชไปยันนอกโลกอ่ะ  ไม่ได้โม้นะพูดเรื่องจริง แต่จริงแค่นิดเดียวแค่นั้นแหละ ทีแรกว่าจะเดินมาทำงานแล้วก็ไม่ไหวมันก็ไกลเกินไป เลยต้องจำใจยืนต่อแถวรอกับชาวบ้านชาวช่องเค้า ตอนนี้เป็นไงหล่ะ สายไงจ้ะ อีก 10 นาทีเข้างาน เหลืออีก 200 เมตร เดินชิว ๆ สบายยยยยยย
พอคิดได้มาถึงตรงนี้เลยรีบจ้ำหนักกว่าเดิมจนเหมือนผมกำลังจะวิ่ง แต่เชื่อไหม 200 เมตรที่ว่าผมใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำจะมาเสียเวลาก็ตอนนี้แหละที่ขาผมดันชะงักทันทีที่เห็นใครบางคนที่คุ้นตายืนอยู่ที่หน้าโครงการก่อสร้างข้าง ๆ โรงแรม
“ปลาย มาคุยกันหน่อยสิ” ใช่ครับ พี่ปลาย แต่ไม่ใช่พี่ปลายคนเดียว มีผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาสวยกำลังจับแขนคนตัวโตอยู่ หน้าคมจ้องมองอยู่ที่หน้าสวยของผู้หญิงคนนั้น รอยยิ้มหวานที่ส่งให้พี่ปลาย ทำให้ผมเริ่มรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ คงเป็นเพราะสองคนนั้นดูสนิทกันมาก
“อืม ว่ามาสิมีน”
“ไม่ใช่ตรงนี้ปลาย” มือสวยของคนชื่อคุ้นหูยังคงเกาะกุมแขนของคนตัวโตไม่ยอมปล่อย เขย่าเบา ๆ เหมือนต้องการให้อีกคนพาออกจากจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ แต่เพราะอะไรดลใจไม่รู้ทำให้พี่ปลายดันหันมาทางที่ผมยืนอยู่พอดี สายตาของเราสบเข้าหากัน แววตาที่มองมาไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอะไรเลยสักนิด มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกวูบโหวงไปทั่วทั้งหน้าอกข้างซ้าย พี่ปลายที่เห็นตรงหน้านี้ แตกต่างจากพี่ปลายที่ได้เจอกันเมื่อสามวันก่อนมาก อย่างกับคนละคน
“เอ่อ...”
“งั้นไปกันครับ” ขณะที่ผมพยายามเค้นเสียงตัวเองออกมาเพื่อกล่าวทักทายคนตรงหน้า แต่เหมือนกับว่าพี่ปลายไม่คิดจะรอฟังผมเลยสักนิด เพราะเจ้าตัวรีบพาผู้หญิงสวยที่ยืนเกาะแขนตัวเองเข้าไปในโครงการก่อสร้างอย่างรวดเร็ว
อะไรของพี่มันว่ะ แค่ทักทายกันบ้างสักนิดไม่ได้เลยหรอ นี่คือคำถามที่ผมอยากรู้มากตอนนี้ ไม่ได้รู้สึกอกหักหรือว่าเสียใจที่เห็นคนสองคนยืนคุยกัน แต่น้อยใจที่พี่ปลายไม่ยอมทักผมมากกว่า

“ใจร้ายชิบหายยยยยย ฮึ่ย” ผมบ่นกับตัวเองพร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบลมถีบอากาศด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนมือของใครบางคนวางลงบนไหล่ของผม
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับเล”
“เอ้ยยยย คุณแทนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ก็ ทันได้เห็นเลว่าใคร ใจร้ายพร้อมกับยกเท้าแตะอากาศนั้นแหละครับ” คุณแทนส่งยิ้มพร้อมกับสายตาล้อเลียนถึงท่าทางที่ผมทำก่อนหน้านี้มาให้ผม  เล่นเอาผมต้องรีบหัวเราะแก้เก้อเลยทีเดียว
“แฮะ ๆ คุณแทนอย่าล้อสิครับ”
“ครับไม่ล้อก็ได้ แต่เล ต้องไปทานข้าวกับผมนะเย็นนี้ ไม่งั้นผมจะล้อให้เพื่อน ๆ เลฟังด้วย” โอ้ พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง เรื่องนี้ก็ยังสามารถเอารวมไปกับเรื่องกินข้าวได้อีก อยากจะถามจริง ๆ ว่า
‘หิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง
แม่มมมมม
“เอ่อ...”
“อย่าปฏิเสธผมเลยนะครับเล” สายตาและน้ำเสียงที่คุณแทนชอบทำถูกส่งมาที่ผมอีกแล้ว แล้วเป็นไงก็เหมือนเดิมนะสิ
“ก็ได้ครับ”
“เลิกงานเจอกันนะครับ”
“ครับ งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อน”
นี่ก็อีกคน มองข้ามกันไปบ้างก็ไม่ได้เลย เจอทีไรก็ชวนไปกินข้าวด้วยทุกที หน้าผมนี้มันแสดงออกว่าอดยากมากหรือไงว่ะ ถึงได้จะพาไปกินข้าวแม่งตลอด วุ้ยยยยยย อารมณ์เสียชิบหาย
แดรกข้าวเองคนเดียวไม่เป็นหรือไง โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ส่วนไอ้คนอยากคุยด้วยก็ขยันเดินหนีกูจางงงงงง
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมกับเล เลย
เล ต้อแต้
ผมพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะขอตัวเดินเข้ามาในโรงแรม เพราะที่ยืนคุยกันอยู่เนี่ยะ จากที่จะไม่สายก็เลยเวลาทำงานไปเกือบสิบนาทีแล้ว สุดท้ายก็สายอยู่ดี เพื่อนร่วมงานด่าผมตายห่าแน่เลย 


“วันอะไรของกูว่ะเนี่ย”
ขวับ  ขวับ
ผมบ่นกับตัวเองอีกครั้งหลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ แต่ก็ต้องรีบมองซ้ายมองขวา ไม่ใช่อะไรหรอกครับ กลัวมีคนตอบว่าวันนี้เป็นวันพฤหัส เหมือนไอ้พี่ปลายคราวก่อนอีก
โถ่ ชีวิต จะเจอคนปกติกับเค้าบ้างไหมเนี่ยเล กูว่ากูปกติน้อยที่สุดแล้วนะเว้ยยยย


To be con. »

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^ ^
ว่างก็เม้นคุยกันบ้างนะคะ

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 6/1 ผมยอมเป็นหมาเตี้ย
«ตอบ #8 เมื่อ11-01-2020 09:07:30 »

ตอนที่ 6 ผมยอมเป็นหมาเตี้ย
 

ช่วงเย็นของวันนี้มาถึงจนได้ อีกไม่กี่นาทีผมก็จะได้เวลาเลิกงานแล้วและเรื่องที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็มาถึงด้วยเช่นกัน มาเป็นตัว ๆ เลยครับ มานั่งรอที่โซฟารับแขกจับจ้องผมประหนึ่งว่าผมจะระเหยหายไปในอากาศเสียอย่างนั้น
“เล ๆ คุณแทนนี้แสดงออกชัดเจนมากเลยนะว่าไหม ว่ามานั่งรออ่ะ”
“ไม่หรอก คงมานั่งทำงานเหมือนปกตินั้นแหละ” ผมหันไปกระซิบตอบเพื่อนร่วมงานคนสวยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน หลังจากที่เกรซพูดกับผมเรื่องของคุณแทนที่มานั่งมองหน้าผมอยู่ตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าคุณแทนจะถือโน๊ตบุ๊คเครื่องที่ใช้ประจำลงมาด้วยแต่สายตาที่ควรจะจับจ้องที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คเครื่องบางนั้นกลับเลยมามองที่ผมอยู่บ่อยครั้ง
“หรอ ทำงานนี้ไม่มองจอคอมฯเลยนะ มองแต่หน้าคนแถวนี้เนี่ย”
“โถ่ เกรซ ไม่ใช่สักหน่อย” เพื่อนคนสวยทำหน้าตาล้อเลียนพร้อมทั้งปากสวยที่ยื่นออกมาเล็กน้อยเหมือนกำลังหมั่นไส้คำตอบของผม ไม่พอเจ้าตัวยังพูดด้วยน้ำเสียงแกมหัวเราะใส่ผมจนผมแอบหน้าเหว่อไปเลย
“เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่ามองใคร”
“เอ้าหรอ แฮะๆ”
“ล้อเล่น ก็เลนั้นแหละจะใครหล่ะ เค้ารู้กันหมดทั้งโรงแรมแล้ว แขกบางห้องยังรู้เลย”
“เฮ้ยยย!!”
“เบา ๆ สิเล คุณแทนหันมามองอีกแล้วนั้น”ผมร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่เพื่อนสาวบอกว่าแขกบางห้องก็รู้เรื่องที่คุณแทนตามจีบผม จนเกรซต้องรีบยกนิ้วชี้ขึ้นชิดริมฝีปากเพื่อบอกให้ผมเบาเสียงลง ก่อนจะหันไปมองคนที่มองผมอยู่อย่างที่เพื่อนบอก รอยยิ้มบาง ๆ ที่ส่งมาให้ผมทำให้ผมจำเป็นต้องยิ้มตอบไปอย่างไม่ให้เสียมารยาท ถึงแม้ตอนนี้จะรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องที่เพื่อนเล่าเท่าไหร่นักก็เถอะ
“เอ่อ โทษที แต่ที่บอกนั้นจริงหรอเกรซ”
“อื้อ ก็แขกที่พักอยู่ประจำที่เรารู้จักก็เคยถามเราอยู่บ้างว่าคุณแทนแอบมาถูกใจพนักงานหน้าฟร้อนคนไหนหรือเปล่า”
“อ๋ออออ เราก็นึกว่ารู้แล้วว่าเรา” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งใจที่เพื่อนไม่ได้พูดว่าลูกค้ารู้ว่าใครที่คุณแทนหมายตาอยู่ อย่างน้อยผมก็ยังพอมีที่ให้หายใจบ้างเวลาเดินผ่านลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในโรงแรม
“เรายังเล่าไม่จบเลย”
“ยังมีอีกหรอ?” ผมมองหน้าสวยของเพื่อนด้วยแววตาหวาดหวั่นเมื่อเกรซทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสิ่งที่เจ้าตัวกำลังจะพูดต่อ ชักใจไม่ดีแล้วสิเว้ยไอ้เล
“ก็...ลูกค้าก็ถามต่อว่า ใช่ คุณเล คนที่ตัวเล็ก ๆ น่ารักใช่ไหม แล้วเราก็...เอ่อ...เผลอพยักหน้าเฉยเลยอ่ะ ขอโทษน๊าเล”
“!!!ง่า” คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียงนะครับ ผมนี้ตาเหลือกเลยหลังจากฟังเพื่อนพูดจบ สงสัยจริง ๆ ว่าเมื่อเช้าก้าวเท้าไหนออกจากห้องทำไมวันนี้มีแต่เรื่องบ้าบอว่ะเนี่ย
“เล เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะ”
“เอ่อ...ไม่ได้เป็นอะไรครับพี่ก้อย” ผมหันไปตอบพี่ก้อยผู้จัดการแผนกที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่น่าจะพอกับเวลาที่ผมทำหน้าเหว่ออ้าปากหว่อจนแมลงวันหัวเขียวบินเข้าปากได้เป็นฝูง
“เล เลิกงานเลยก็ได้จ้ะ พี่สงสารคนนั่งรอ จ้องพี่แล้วจ้องพี่อีกจนตาจะถล่นอยู่แล้ว เลรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะมาหาว่าโรงแรมของเราใช้งานพนักงานคนโปรดเลยเวลา”
“พี่ก้อยยยยยยยย” ผมนี่แหละจะตาถล่นออกจากเบ้า แค่เกรซพูดคนเดียวผมก็ทำหน้าไม่ถูกแล้วมาเจอผู้จัดการแซวอีก ไปไม่ถูกเลยครับทีนี้
‘ลาออกทันไหมว่ะเนี่ย
“อิอิ ไปสิเล ยืนรอแล้วนั้น”
“จ้า ๆ ไปแล้วจ้า” ผมหันไปส่งค้อนวงใหญ่ให้ทั้งเพื่อนสาวและผู้จัดการที่ช่วยกันรุมผม ไม่พอยัยเกรซยังทำท่าทำทางดันตัวผมให้เดินออกจากเคาเตอร์ที่ยืนอยู่อีก อยากจะกระโดดงับคอเพื่อนจริง ๆ


คุณแทนพาผมมาทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพัฒนาการ เป็นร้านอาหารไทยที่มีอาหารให้เลือกมากมายหลายเมนู บรรยากาศภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เปิดเพลงสากลเบา ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศในการรับประทานอาหารของลูกค้าให้รื่นรมย์มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากห่างไกลจากความเป็นเลมากบอกเลย ผมชอบกินอาหารตามร้านค้าข้างทางที่ไม่ได้ปรุงแต่งให้ดูเลิศหรู แต่รสชาติเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปมากกว่า
“ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ”
“เชิญครับ” ผมบอกกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันหลังจากเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมตั้งใจว่าจะคุยกับคุณแทนให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากให้คุณแทนเสียเวลากับเรื่องที่ทำอยู่ ผมรู้ตัวเองดีว่าไม่มีวันรู้สึกอะไรกับคุณแทนมากไปกว่าพนักงานกับลูกค้าของโรงแรม หากถ้าจะขอเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักก็พอจะเป็นให้ได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ผมคงต้องขอปฏิเสธกันตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำตามที่บอกกับคุณแทนไปจริง ๆ แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากออกมาจากห้องน้ำผมจะได้เจอกับผู้หญิงคุ้นหน้าที่เหมือนกำลังยืนรอใครสักคนอยู่ ผู้หญิงคนเมื่อเช้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่ปลาย
“น้องค่ะ พี่รบกวนเวลาสักครู่ได้ไหม”
“ผมหรอครับ? ” เสียงหวานที่พูดขึ้นพอดีกับจังหวะที่ผมเดินผ่านหน้าเธอ ทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าตัวเองก่อนจะหันไปมองหน้าสวยพร้อมกับเอ่ยถามให้แน่ใจว่าอีกคนเรียกผมหรือเปล่า
“ใช่ค่ะ”
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” ผมมองสบตาสวยของเธอก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่เธออยากคุยกับผมคนที่เธอไม่เคยรู้จัก หรือว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร และดูเหมือนคนหน้าสวยจะไม่ได้ใจเย็นเลยสักนิด เพราะพี่คนสวยเล่นยิงคำถามมาที่ผมจนผมหายใจสะดุด
“น้องรู้จักกับปลายใช่ไหมคะ”
“ถ้าหมายถึงพี่ปลายคนที่พี่ยืนคุยด้วยเมื่อเช้าก็พอรู้จักอยู่ครับ” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไม่กล้าบอกว่ารู้จักพี่ปลายอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะยังไม่แน่ใจว่าภายใต้ใบหน้าสวย ๆ ที่ยิ้มออกมาน้อย ๆนี้ต้องการอะไรกับคำตอบของผมมากน้อยแค่ไหน
“พี่ว่าแล้วว่าน้องต้องจำพี่ได้ งั้นพี่ไม่ต้องแนะนำตัวเนอะ ใช่ค่ะปลายเดียวกัน”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือพี่เป็นเพื่อนของปลาย จะว่ายังไงดีหล่ะ เราสองคนเคยคบกัน แต่ว่าตอนนี้เป็นเพื่อนกันแล้ว”
‘แล้วมาบอกกูเพื่อ What ???
“ครับ แล้ว?” ยิ่งฟังเรื่องที่อีกคนพูดผมก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าพี่คนสวยต้องการจะบอกอะไรกับผม จะมาห้ามไม่ให้ผมคุยกับแฟนเก่าตัวเองหรือว่าอะไรก็ยังไม่รู้ ผมเลยทำสีหน้าเรียบเฉยให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้ว่าตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“เมื่อเช้าพี่เห็นตอนที่ปลายหันไปเจอน้อง เลยพอจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง นี่ตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปเจอน้องที่ทำงานเพื่อคุยเรื่องของปลายเลยนะ ไม่คิดว่าโอกาสจะมาไวขนาดนี้” คนสวยพูดกับผมพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ยังคงมีอยู่ตลอด ไม่พอยังหัวเราะเบา ๆ เหมือนกำลังคิดถึงเรื่องสนุก ๆ อะไรอยู่
“ทำไมต้องคุยกับผมเรื่องพี่ปลายหล่ะครับ” หน้าสวยที่ยิ้มก่อนหน้านี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ก่อนที่ตากลมจะจ้องมองมาที่หน้าผมด้วยแววตาจริงจังจนผมรู้สึกหวั่นใจ
“น้องชอบปลายใช่ไหม?”
“เอ่อ...คือ” หัวใจของผมเต้นแรงทันทีที่ได้ฟังคำถาม แววตาจริงจังยังจ้องมองมาที่ผมเหมือนจะรอเอาคำตอบ ผมที่กำลังทำอะไรไม่ถูกรีบก้มหน้าลงมองพื้นทันที
“ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ พี่ไม่ได้ว่าอะไร แค่จะบอกว่า สู้ ๆ หน่อยนะคะ คนนี้นะปากแข็งแต่จริงๆแล้วใจอ่อนมาก”
“หือ หมายความว่ายังไงครับ” ผมถึงกับเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงกับแววตาจริงจังของคนตรงหน้าก่อนหน้านี้แปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง มือเรียววางลงบนไหล่ของผมพร้อมกับตบลงมาเบา ๆ เหมือนให้กำลังใจอะไรบางอย่าง คราวนี้ผมก็ยิ่ง งง เข้าไปใหญ่
“ชอบใช่ไหมค่ะ”
“ครับ” เมื่อเห็นว่าคนถามไม่ได้มีแววตาจะหาเรื่องหรือจะว่าอะไร ผมเลยตอบรับ
“เอาตรง ๆ เลยนะ พี่อยากให้ปลายมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็นนะ” พูดอะไรของแม่งว่ะเนี่ย ยิ่งพูดกูยิ่ง งง เข้าไปใหญ่ คือคิดว่าหน้าเลเหมือนโคนันหรือไงว่ะ ถึงต้องพูดอะไรให้เป็นปริศนาด้วย
ตอนนี้อารมณ์ของผมมันเหมือนคนเป็นไบโพล่าเลยครับ แต่เป็นแบบระยะฉับพลันนะ ปรับไม่ถูกเลยว่าต้องทำตัวยังไงกันแน่ เดี่ยวหงุดหงิด เดี๋ยวใจเต้นแรง เดี๋ยวหน้าเหว่อ
‘โอยยยย ไม่ไหวแล้ว
“นี่ตรงแล้วหรอครับ ผมยัง งง อยู่เลย” ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองพร้อมกับถามสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ก็นั้นแหละครับ ดูเค้าตอบสิ
“ฮ่า ๆ ๆ น้องนี้น่ารักดีนะ” ไปกันใหญ่แล้วทีนี้ มันเกี่ยวกับที่ผมถามไหมอยากรู้ ผู้หญิงอะไรเนี่ยทำให้ผม งง ตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพราะสงสัยไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
“เอ่อ...”
“พี่ไม่พูดดีกว่า ให้ปลายเป็นคนบอกน้องเล เองแล้วกัน”
“หืม พี่รู้จักชื่อผมด้วยหรอครับ”
“ความลับนะ แต่สู้ ๆ นะ อีกอย่าง หนุ่มที่มาด้วยนี่งานดีมากพี่บอกเลย แฟนหรอ”
“ง่า เพื่อนนะครับ” เธอคนนี้เปลี่ยนเรื่องไวเหมือนเปลี่ยนช่องทีวีเลยทีเดียว เล่นเอาผมเวียนหัวอยากได้ยาหอมสักสี่ห้าถุง ไม่ได้เอามากินนะครับ เอามาอาบ กินคงไม่น่าจะหายแน่ ๆ
“จ้า เพื่อนที่แอบชอบเพื่อนหรือเปล่าไม่รู้หนอ สงสัยงานนี้ปลายคงเจอคู่แข่งน่ากลัวแล้วหล่ะ”
“ดูออกหรือครับ” คราวนี้เป็นผมที่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ต่างจากอีกคนที่ส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้ พร้อมกับปากสวยที่เริ่มคลายความสงสัยให้ผมได้เพียงนิดเดียวก็เล่นเอาผม เวียนหัวเข้าไปอีก
“อือ แววตาเปิดเผยขนาดนั้นเวลามองเรานะ ใครเห็นก็รู้ แต่... พี่ไปดีกว่า”
“อ้าววว”   พี่คร๊าบบบบ พี่จะทำกับเล แบบนี้ไม่ได้นะ จะมาพูดให้อยากรู้แล้วเดินหนีไปง่าย ๆ แบบนี้มันไม่ได้นะเว้ยยยยยยยยยยยยยยย กลับมาก่อนนนนนนนน
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ชื่อ มีน นะ ไว้เจอกัน” พี่คนสวยหัวเราะเสียงดังอย่างไม่อายใคร ก่อนหันมาพูดกับผมอีกครั้งและเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนงงในดงส้วมกับเรื่องที่คุยกันไปก่อนหน้านี้ ยอมรับเลยนะว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น ผมไม่เข้าใจเลย สงสัยมาก ๆ เลยตอนนี้ว่า
‘นี่กูโง่หรือว่ะ ทำไมถึงไม่เข้าใจอะไรสักนิดเลยหล่ะ
แล้วอีกเรื่องที่สงสัยมากที่สุดคือทำไมต้องมายืนคุยหน้าห้องน้ำด้วย คราวก่อนก็ทีแล้วที่พี่มันบอกเลิกพี่ปลาย ก็ไม่ได้ห่างไกลจากห้องน้ำเลยยยยยยยยยยยยย หรือว่า....
‘ชาติก่อนทำบุญถวายส้วมร่วมกันมา ก็เป็นได้

“ขอโทษที่ไปนานนะครับ พอดีเจอคนรู้จักเลยทักทายกันนิดหน่อยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ อาหารมาครบพอดี” คนนั่งรอหันมาส่งยิ้มหวานให้ผมเหมือนทุกครั้ง ผมไม่ค่อยโอเคกับคุณแทนเวอร์ชั่นแสนอบอุ่นเท่าไหร่เลยครับ มันอึดอัดแปลกๆ อยากได้แบบห่างเหินเหมือนเมื่อก่อนมากกว่า
“คุณแทนครับ ผมขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเราสองคนทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ได้สิครับเล” ผมจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาจริงจัง ผมไม่อยากให้คุณแทนคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
“คุณแทนจีบผมหรือครับ”
“ใช่ครับ เล รังเกียจผมหรือเปล่า” คุณแทนตอบคำถามผมอย่างรวดเร็วเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะถามอะไร ใบหน้าที่เคยส่งยิ้มให้ตลอดตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“คือผมไม่ได้รังเกียจที่คุณแทนจีบผม แต่ที่ผมจะบอกก็คือว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วครับ”
“ผมทราบดีครับเล และพอจะรู้อยู่บ้างว่าคนนั้นเป็นใคร”
“ครับ แล้วทำไมคุณแทนยัง...เอ่อ” ผมอึ้งกับคำตอบของคุณแทนไม่น้อย ไม่คิดว่าอีกคนจะรู้เรื่องของผมอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวรู้อยู่แล้วทำไมยังเข้าหาผมอีก แต่พอจะพูดจริง ๆ มันก็เกิดพูดไม่ออกซะอย่างนั้น
“ตามจีบเล ใช่ไหมครับ”
“ครับ ทำไมหล่ะครับ”
“เพราะผมชอบเล  มันก็เหมือนกับที่เล ชอบผู้ชายคนนั้นไงครับ เวลาที่เราชอบใครสักคนเราก็มักจะอยากอยู่ใกล้ ๆ อยากจะมีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง ถึงแม้โอกาสที่อีกคนจะชอบเราจะเป็นศูนย์ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสจริงไหมครับ” คนพูดจ้องมองมาที่ตาของผม รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ส่งมาให้ผมยังมีอยู่เสมอ ผมฟังสิ่งที่คุณแทนพูดก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด
“ไอ้เรื่องได้ใช้เวลาร่วมกันผมพอเข้าใจครับ แต่โอกาสเป็นศูนย์แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสนั้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ ในเมื่อเป็นศูนย์แล้วทำไมยังคิดว่ามีโอกาส หล่ะครับ”
“เพราะสิ่งที่เรามองเห็นรอบตัวของเรา มักจะเริ่มที่ศูนย์ก่อนหนึ่งไม่ใช่หรอครับ เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ว โอกาสที่เป็นศูนย์ ก็ยังมีโอกาสที่จะขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งอยู่ดีครับ ถึงแม้บางครั้งจะติดลบไปบ้าง แต่ถ้าหากว่าอีกคนยังไม่ได้ปิดกั้นโอกาสผมว่าเราก็ยังพอสร้างมันขึ้นมาได้ครับ” โอ้โห อดอึ้ง ทึ้ง กับหลักการและเหตุผลไม่ได้เลยจริง ๆ ผมนี่เริ่มมั่นใจตัวเองแล้วว่าผมน่าจะ โง่ เพราะเวลาคุยกับคนฉลาด ๆ พวกนี้ทีไร ผมมึนตึบทุกที
“อ๋อครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“ผมขออะไรเลสักอย่างได้ไหมครับ” คุณแทนวางมือทับลงบนมือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมไม่ได้ขยับมือหนีเพราะไม่ได้รู้สึกว่าอีกคนกำลังคุกคาม
“ถ้าผมให้ได้ ผมยินดี”
“ผมจะขอแค่ อย่าปิดกั้นโอกาสที่เป็นศูนย์ของผมได้ไหมครับ ถ้าหากว่าคนที่เลชอบเค้าไม่ได้ชอบเล อย่างน้อยผมจะได้เหลือช่องว่างที่จะได้ใช้โอกาสของผมบ้าง”
“คือ...ผะ...ผมควรจะตอบว่ายังไงดีหล่ะครับ” ตาเรียวของคุณแทนยังจ้องมองมาที่ผม นัยน์ตาจริงจังเป็นประกายระยิบระยับ ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะตอบตกลงหรือว่าปิดกั้นโอกาสของคุณแทนตั้งแต่ตอนนี้เลยดี เผื่อว่าคุณแทนจะได้เลิกสนใจผมแล้วมองคนอื่น
“แค่ตกลงก็พอครับ”
“เฮ้อออ ถ้ามันไม่ได้ทำให้คุณแทนอึดอัดหรือรู้สึกเสียใจ ผมก็ตกลงครับ” เสียงถอนหายใจหนัก ๆ ที่ผมพ่นออกมากับคำพูดที่กลั้นกรองมาอย่างที่คิดว่าน่าจะดีพอแล้วของผม ทำให้คนฟังกลับมายิ้มได้อีกครั้ง มือขาวบีบมือผมเบา
“จริง ๆ ผมควรจะเป็นคนพูดประโยคนี้มากกว่านะครับ ถ้าหากสิ่งที่ผมทำอยู่ไม่ได้ทำให้เลอึดอัดใจ ผมก็อยากให้เล ตกลงครับ เพราะผมไม่เคยอึดอัดหรือเสียใจที่ชอบเล สักนิดเลยครับ”
“ขอบคุณนะครับคุณแทน” ผมส่งยิ้มให้อีกคนและพูดอย่างที่ใจคิดจริง ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอครับ ถ้าหากจะมีใครสักคนที่มาชอบเรา และคน ๆ นั้นก็เป็นคนที่ดูไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
“เรียกผมว่า พี่ บ้างสิครับ แบบที่เลเรียกผู้ชายคนนั้น ชื่ออะไรนะครับคนที่หล่อ ๆ ขี่บิ๊กไบท์มารับ เล ชื่อ ปลายใช่ไหม” แววตาหยอกล้อของคุณแทนกับชื่ออีกคนที่วันนี้ได้ยินจากปากคนอื่นมาถึงสองรอบทำให้ผมเริ่มรู้สึกหน้าร้อน จนต้องรีบยกมือปิดหน้ากลัวว่าจะหน้าแดงโชว์คุณแทน
“งื่อ คุณแทนอย่าล้อผมสิครับ แต่อย่าให้ผมเรียกคุณแทนว่าพี่เลยครับ เดี๋ยวผมเผลอไปเรียกที่โรงแรมมันจะดูไม่ดี พี่ก้อยต้องเอ็ดผมแน่”
“ก็ได้ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

คุณแทนมาส่งผมที่หน้าคอนโดก่อนจะขับรถออกไปเหมือนกับทุกครั้งที่เราไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า จากที่ก่อนหน้านี้ผมมักจะรู้สึกอึดอัดน้อย ๆ ที่ต้องไปทานข้าวกับคุณแทน แต่หลังจากที่คุยกันแล้วผมก็รู้สึกสบายใจและสนิทใจกับคุณแทนมากขึ้น

‘อย่างน้อยก็ได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนในชีวิต

“ทำไมกลับช้า”


 

To be con. »

 



#ที่ปลายทะเล

 

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ตอนที่ 6/2 ผมยอมเป็นหมาเตี้ย


คุณแทนมาส่งผมที่หน้าคอนโดก่อนจะขับรถออกไปเหมือนกับทุกครั้งที่เราไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า จากที่ก่อนหน้านี้ผมมักจะรู้สึกอึดอัดน้อย ๆ ที่ต้องไปทานข้าวกับคุณแทน แต่หลังจากที่คุยกันแล้วผมก็รู้สึกสบายใจและสนิทใจกับคุณแทนมากขึ้น
‘อย่างน้อยก็ได้รู้จักคนดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกคนในชีวิต
“ทำไมกลับช้า” ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเองทันทีที่มือของคนบางคนจับเข้าที่แขนของผมขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร เสียงทุ้มที่ติดความหงุดหงิดของคนที่เมินใส่ผมเมื่อเช้าทำให้ผมต้องรีบหมุนตัวกลับไปมอง คนที่ผมเห็นยืนจ้องมองมาที่ผมในขณะที่ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“มาได้ไงเนี่ย”
“นั้นไง” พี่ปลายชี้นิ้วไปที่รถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถหน้าคอนโด หน้าหล่อยังคงนิ่งสนิท แตกต่างจากผมที่อยากจะพูดเลยว่า
‘พี่แม่งโคตรกวนตีน กูไม่ได้ถามไหมหล่ะว่ามึงเดินมาหรือขี่รถมา
“ไม่ได้หมายความว่ามายังไง ที่ถามนี้คือมาทำไม”
“แล้วเมื่อกี้มึงพูดว่าไง” มือหนายังคงจับที่ต้นแขนของผมเอาไว้ไม่ปล่อย ใบหน้าหล่อเรียบตึงด้วยความลำคานใจ
“เออ ผิดเองก็ได้ งั้นเลถามใหม่นะ พี่มาทำไม”
“มาหาหมามั่ง” คำตอบของพี่ปลายทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาอีกร้อยรอบ ผมเริ่มเข้าใจความหมายของพี่มีนแล้วว่า ปากแข็ง นี่เป็นยังไงหรือบางทีมันอาจจะเรียกว่า กวนตีนก็ได้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าถ้าพี่มันจะตอบดี ๆ แบบไม่กวนตีนนี้น้ำน่าจะท่วมโลกไหม
“หรา ก็ไปหาดิ มาจับเลไว้ทำไม” ผมแกล้งสะบัดตัวน้อย ๆ เหมือนอยากให้อีกคนปล่อยมือจากแขนของผม แต่ดูเหมือนคนตัวโตจะพอรู้เลยเอาปล่อยมือจากแขนผมจริง ๆ
‘ไม่น่าเลยเล มึงไม่น่าเล่นตัวเลย
ผมบ่นตัวเองอยู่ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ครั้นจะให้ไปจับเอามืออีกคนมาจับแขนตัวเองมันก็ยังไง ๆ อยู่ เลยได้แต่ทำหน้าเง้าหน้างอส่งไปให้เสียเลยจะได้ดูแนบเนียนกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ แต่ไม่นานมือหนาของพี่ปลายก็ถูกยกมาวางไว้บนหัวผม จนผมตกใจทำอะไรไม่ถูก สัมผัสอุ่น ๆ จากมือพี่ปลายทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและพองโตขึ้น ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหน้า ผมว่าตอนนี้หน้าผมคงเริ่มขึ้นสีแล้วแน่ ๆ แล้วยิ่งพี่ปลายก้มหน้าลงมาน้อย ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของผมกระตุกมากกว่าเดิม
‘ฮื่อออออ อย่าบอกนะว่าพี่มันจะ...
“นี่ไง หมาเตี้ย”  ไอ้แสรดดดดดดดดดดดดดดดดด หมดเลยครับความโรแมนติกก่อนหน้านี้ นี่กูกลายร่างเป็นหมาอีกแล้วหรอ
“อะไรว่ะ เลไม่ใช่หมานะเว้ย”
“ไม่ใช่หมาทำไมชอบเห่าเครื่องบิน” กูไปเห่าตอนไหนว่ะพี่มึงก็แค่ชอบมองท้องฟ้าเว้ย คนขี้แกล้งยังคงวางมือไว้บนหัวผม ถึงแม้ว่าผมจะพยายามสะบัดหัวไปมาเหมือนหมาดุกดิกมากแค่ไหนก็ตาม แต่มือหนาที่เหมือนกับว่าทากาวตราช้างมาก็ยังไม่ยอมหลุดออกไป
“โว้ยยยย เคยที่ไหนว่ะ จะเห่าก็เห่าแต่พี่มึงนั้นแหละ เอ้ยยย ไม่ได้เห่าเว้ย”
“หึหึ ไอ้เตี้ยเอ้ย” พี่ปลายหัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับสีหน้าเรียบเฉยก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากน้อย ๆ
“พี่ปลายยยยยยยย” ผมยกมือสองข้างขึ้นไปจับไว้บนมือใหญ่ที่วางอยู่ที่หัวของผม ก่อนจะเรียกชื่อเจ้าของมือด้วยเสียงที่ออดอ้อนจนคนได้ยินถึงกับชะงัดไปเล็กน้อย หน้าคมขึ้นสีจาง ๆ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงที่พยายามให้เข้ม
“อะไรของมึงอีก”
“พี่มาหาเลหรอออออ งื่ออออ เขิน” ผมส่ายหัวดุกดิกไปมาใต้มือหนา ส่งสายตาออดอ้อนไปให้ ผมมองเห็นรอยยิ้มจาง ๆ ของพี่ปลายที่มองมาที่ผมก่อนจะเสสายตาไปทางอื่น
“เพ้อเจ้อ กูบอกว่ามาหาหมา”
“ว๊าาาาาาา รู้งี้ยอมเป็นหมาก็ดี อย่างน้อยก็มีคนมาหา เนอะก้อนเมฆเนอะ” เพราะคำตอบของคนปากแข็งที่ตอบผมทำให้ผมแกล้งทำเสียงน้อยใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า พี่ปลายคงรู้สึกหมั่นไส้ผมมากเลยใช้มือที่วางอยู่บนหัวผม โยนหัวผมไปมาอย่างรุนแรง เล่นเอาคอแทบหัก
‘ถ้าหัวกูหลุดซื้อกาวมาต่อให้ด้วยนะเว้ยยยยย
“เพี้ยนนะมึงเนี่ย”
“ฮ่า ๆ ๆ พี่ปลาย” ผมหยุดหัวเราะทันทีที่คิดเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา คนตัวโตเองก็ชะงัดไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของผมที่จริงจังกว่าก่อนหน้านี้
“อะไรของมึงอีกเนี่ย”
“ทำไมเมื่อเช้าพี่ไม่ทักผม”
“ไม่ทำไม” พี่ปลายหลบตาผมทันทีที่ได้ยินคำถาม คนตัวโตตอบกลับมาสั้น ๆ ตามสไตร์ที่เจ้าตัวเป็น แต่มีหรอคนอย่างไอ้เลจะยอมง่าย ๆ
“พี่แม่งใจร้ายว่ะ” ผมทำเสียงตัดพ้ออีกคนพร้อมทั้งยกมือของพี่ปลายออกจากหัวของผม พี่ปลายที่เสสายตามองไปทางอื่นเลยหันกลับมามองที่ผมด้วยความตกใจ ก่อนที่ตาคมจะส่อแววตารู้สึกผิดเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่นอีกครั้ง ไม่นานปากได้รูปก็ขยับพูดด้วยเสียงเบา ๆ อย่างกับกำลังกระซิบ
“กูก็มาหามึงแล้วไง”
“อ่ะ ๆ  เลได้ยินนะ” ผมเคลื่อนตัวไปยืนให้ตรงกับหน้าของพี่ปลายที่หันไปอีกทาง ยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มที่แก้มสากของคนเป็นพี่ พร้อมกับพูดหยอกล้อ
“เออ”
“เลหายน้อยใจละ”
จุ๊บ
“ขอบคุณนะครับที่มาหาเล” ผมเขย่งเท้าขึ้นพร้อมกับกดจูบลงบนแก้มสากของคนตัวโตด้วยความรวดเร็วจนอีกคนไม่ทันตั้งตัว พี่ปลายหันกลับมามองหน้าผมด้วยท่าทางตกตะลึง ผมรีบเขยิบถอยหลังสองก้าวเพราะกลัวว่าพี่ปลายจะถีบผมหงายที่ไปทะลึ่งหอมแก้มพี่มัน
“ไอ้หมาเตี้ย!!!” ผมทำมือเป็นรูปปืนพร้อมกับขยิบตาใส่คนตัวโตไปหนึ่งที ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมเองที่ถึงกับหน้าร้อนผ่าว หัวใจนี่ไม่ต้องพูดถึง เต้นแรงจนแทบจะระเบิด อย่าว่าแต่ผมเลยครับ คนฟังก็ถึงกับหน้าขึ้นสีไม่ต่างกันเลย
“ถึงจะเป็นหมาเตี้ยก็เลียหน้าเจ้าของถึงนะบอกเลย”
‘อั้ยย่ะ เป็นไงหล่ะ
“ขึ้นห้องมึงไปเลย เบื่อขี้หน้าแล้ว ไป”
“ฮั่นแน่ ยอมเป็นเจ้าของหมาเตี้ยตัวนี้ใช่ม๊า” ผมยังทำใจกล้าล้อเลียนอีกคนไม่เลิก จะเลิกได้ไงครับ ทำมาขนาดนี้แล้ว ต้องเอาให้สุดสิคร๊าบ
“เยอะแล้วนะมึง กูไปดีกว่า”
“ขี่รถดีนะครับ เจ้านายสุดหล่อ”
“กวนตีน!”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” เสียงตะโกนด่าของพี่ปลายตอนนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เลยครับ กลับรู้สึกโคตรมีความสุขมากกว่า ผมมั่นใจเลยว่าผมชอบคนไม่ผิดแน่ ๆ เพราะคนที่ผมชอบคนนี้ทำให้ผมโคตรรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้ผมเป็นหมาอย่างที่พี่มันบอก ผมก็ยอม
‘ระวังหมาตัวนี้ดี ๆ นะพี่ปลาย หมาตัวนี้ชอบเลียปากเจ้านายซะด้วย
คิดได้ไงว่ะเนี่ย เขินนนนน


------------------------
“ไอ้เล!”
“ห๊ะ!!” ร่างของผมปลิวไปตามแรงดึงของคนที่เรียกชื่อผม จนผมถึงกับหน้าเหว่ออ้าปากค้างด้วยความตกใจ 
“มึงนี่เมื่อไหร่จะเลิกเห่าเครื่องบินสักทีวะ รอบหน้ากูปล่อยมึงเดินชนเสาไฟแน่บอกเลย” พี่ปลายที่ยืนอยู่หน้าโครงการก่อสร้างที่ข้างโรงแรมของผม พูดด้วยหน้าตาที่จริงจังและน้ำเสียงที่ดุ เมื่อผมที่ชอบเดินลอยหน้าลอยตามองฟ้ามองเมฆเกือบหน้าแหกเพราะอีกไม่ถึงคืบใบหน้าอันน่ารักของผมก็จะปะทะเข้ากับเสาไฟฟ้า และเป็นโชคดีอีกครั้งที่พี่ปลายช่วยชีวิตผมไว้ ถึงแม้ว่าการช่วยชีวิตผมทุกครั้งจะแลกมาด้วยคำสรรเสริญเยินยอก็ตาม
‘เหร๊อออออออออออออออออ
“โง่แล้วโง่เลยจริง ๆ มึง” นั้นไงหล่ะ
‘เจอะแบบนี้มันเจ็บจุงเบยยยยย 
ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร แต่เคยได้ยินเด็กสี่ขวบแถวบ้านร้องแล้วเสือกเด้งเข้าหัวมาตอนนี้พอดีเลยครับ สถานการณ์มันใช่อ่ะ เลบอกเลย
“พี่ปลายอ่ะ”
“น้องเลอ่ะ”
“ง่าพี่วิวอ่า อย่าล้อเลสิครับ” ผมรีบหันหน้าขวับไปมองตามเสียงของคนอีกคนที่ทำเสียงล้อเลียนผม พี่วิวคนน่ารักยืนยิ้มหวานส่งมาให้
“จะกลับบ้านแล้วหรอ ไม่รอพี่ปลายหรอครับ”
“เอ่อ...ต้องรอหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าพี่วิวก่อนจะหันไปสบตาคนตัวโตที่ยังยืนจับแขนผมอยู่จากการที่ดึงตัวผมไว้เมื่อกี้ พี่ปลายไม่ได้ตอบอะไรทำแค่มองมาที่ผมนิ่ง
“...”
“มึงไม่ไปส่งน้องหรอว่ะ น้องมันตามจีบมึงอยู่นะเว้ย”
“ฮึ๊ ทำไมมันฟังแปลก ๆ ว่ะไอ้วิว” พี่อีกคนที่ยืนอยู่ด้วยพูดขึ้นมาทันทีที่ฟังพี่วิวพูดจบ ไม่ใช่แค่พี่คนนั้นที่ งง กับสิ่งที่พี่วิวพูด ผมเองก็ งง ครับ ถึงแม้จะเขินกับคำว่าผมตามจีบพี่ปลายอยู่ก็เถอะ ไม่พอแค่นั้นยังมีผู้ชายตัวโตที่สูงพอ ๆ กับพี่ปลายแต่ผิวขาวกว่าหน้าตาหล่อ ซึ่งผมเคยเห็นหน้าก่อนหน้านี้ไม่กี่ครั้งแต่ยังไม่รู้ชื่อก็ยังพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยเหมือนกัน
“นั้นสิ แปลกจริง ๆ ว่ะพี่”
“ไม่เห็นแปลกเลยพวกมึง ก็ไอ้ปลายไม่ไปส่งน้อง แล้วน้องเค้าจะเอาเวลาไหนมาจีบมัน แค่นี้มึงก็คิดไม่ได้หรอว่ะไอ้กิต ทำไมโง่หล่ะครับเพื่อน”
“เอ่อ...ทำไมฟังมึงพูดแล้วกูดูเหมือนโง่จริงเลยว่ะ หรือว่ากูโง่จริง ๆ ว่ะไอ้ระติ” ผมมองดูพี่กิตทำสีหน้าแปลก ๆ ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ไร้สาระนะพวกมึง ส่วนมึงรอกูอยู่นี่” พี่ปลายที่ยืนเงียบอยู่นานจู่ ๆ ก็หันไปด่าเพื่อน ก่อนจะหันมาพูดกับผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร คนตัวโตก็เดินหนีเข้าไปในประตูโครงการก่อสร้างเสียก่อน
‘ให้ฉันรอแล้วได้อะไร
“รอทำไม เอ้า!!!”
“แหม๋ ว่ากูไร้สาระ แต่มึงนี่รีบจ้ำอ้าว ๆ ไปเอารถเลยนะ เลรอนี้แหละ เดี๋ยวมันก็มามันไปเอารถ”
“ครับ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจหลังจากที่พี่วิวตะโกนแซวเพื่อนตัวโตของตัวเองแล้วหันมาบอกกับผม
“กูว่างานนี้ ไอ้ปลายไม่รอดแน่”
“ไม่รอดนานแล้ว ไอ้โง่”
“ไอ้เชี่ยวิว ด่ากูโง่บ่อย ๆ กูเริ่มเชื่อมึงแล้วเนี่ยว่ากูโง่จริง” คราวนี้พี่กิตหันไปผลักหัวพี่วิวด้วยความหมั่นไส้ เพราะโดนเพื่อนตัวเล็กด่าหลายรอบ แต่ด้วยความขี้แกล้งของพี่วิวเลยให้พี่วิวยังไม่หยุดแค่นั้น
“ไอ้เฮี้ยยยย นี่มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรอว่ะ”
“ไอ้ระติมึงว่า กูโง่ จริงหรอว่ะ”
“น่าจะจริงครับเห็นพี่วิวบอก”
“ไอ้สัส มึงสองตัวพี่น้องนี่เหมือนกันเลย”พี่ผู้ชายที่ชื่อระติ หันหน้าน้อย ๆ ไปมองพี่กิตก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่รับรองว่าเฉียบและกระแทกใจจนพี่กิต ต้องวิ่งไล่ถีบคนตอบที่วิ่งหนีเข้าไปในไซด์งาน
“มันปัญญาอ่อนอย่าไปสนใจมันเลยเล เดี๋ยวพี่รอไอ้ปลายเป็นเพื่อน”
“ขอบคุณครับ”
“สู้ ๆ นะ พี่เอาใจช่วย”
“แต่ว่าผมมีเรื่องสงสัย ไม่รู้ว่าพี่วิวจะพอรู้ไหม” เมื่อสบโอกาสได้อยู่กันสองคนกับพี่วิว ผมเลยตัดสินใจลองถามสิ่งที่ผมอยากรู้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว
“ลองว่ามาสิ”
“คือตอนที่พี่มีนบอกเลิกพี่ปลาย บังเอิญว่าเลยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ได้แอบเสือกนะครับ”
“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราเลย ว่าต่อสิ” แหม๋พี่มึงไม่ว่าด้วยคำพูดหรอกแต่สายตานี่ด่ากูแรงกว่าอีกนะ
 “พี่มีนบอกว่าเมื่อไหร่พี่ปลายจะยอมรับความจริง แกไม่ได้ชอบแบบเรา เราไม่อยากเป็นเกาะกำบังให้ปลายอีกแล้ว สงสารเราเถอะนะ ทำไมพี่เค้าถึงพุดแบบนั้นหล่ะครับ” ผมพูดสิ่งที่ได้ยินและจำได้ในวันนั้นให้พี่วิวฟัง พี่วิวมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แววตาที่บ่งบอกว่าอีกคนรู้คำตอบทำให้ผมมีความหวัง
“อ๋อ คือจริง ๆ แล้วไอ้ปลายกับมีนมัน...” ขณะที่พี่วิวกำลังจะตอบคำถามผม สายตาของพี่วิวเหลือบไปข้างหลังผมก่อนจะหยุดไปพร้อมกับเสียงของพี่ปลายที่ดังตามมา
“ขึ้นรถ!”
“ไว้ค่อยคุยกันนะ หรือไม่ก็ลองถามมันดูเลยก็ได้ พี่เชื่อว่ามันน่าจะบอกเรา พี่ไปละ” พี่วิวบอกกับผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะขอตัวเดินออกไป
“วันนี้เอารถยนต์มาหรอครับ”
“มึงเห็นเป็นเกวียนหรือไง”
 ‘ง่ะ ! บ้านพี่มึงสิ
“...อืม เห็นสีดำ ๆ เหมือนกันนึกว่า ควาย” ผมเน้นคำว่า ควาย แต่อย่าคิดว่าผมใจกล้าหันหน้าไปพูดใส่พี่มันนะครับ ใครจะทำ เดี๋ยวโดนมันถีบตกรถก็อดจีบพี่มันนะสิ

To be con. »

 

ขี่เกวียนกันไปจ้า

#ที่ปลายทะเล

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 7 สิ่งที่ผมเป็น [ ปลาย: ปลายปฐพี ] Part 1

 

“เอ้ยยยยย” เสียงร้องตกใจของผู้ชายตัวเล็กกว่าผมที่เดินเหม่อลอยมองทองฟ้าเหมือนกับว่าหมาตัวน้อย ๆ ที่มองหาเครื่องบินเตรียมจะเห่าเสียอย่างนั้น

 

ผมยืนมองคนตัวเล็กที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนหลายคนที่ต้องเดินหลบไม่ให้เจ้าตัวเดินชน และด้วยความหมั่นไส้ผมเลยตั้งใจเดินเข้าไปขวางทางจนร่างเล็กของคนที่เดินลอยหน้าลอยตามองท้องฟ้าเข้ามาชนกับตัวผมอย่างจัง คนตัวเล็กกว่ากระเด็นถอยออกห่างผมไปนิดหน่อยและท่าทางเหมือนจะหงายหลังตกฟุตบาธ ทำให้ผมต้องรีบคว้าแขนอีกคนเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฐกรรมพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า

 

‘หมาเตี้ยโดนรถเหยียบตายหน้าไซด์แถวย่านกลางเมือง

 

 

“ขอบคุณพระเจ้า อาเมน” เสียนุ่มของคนตรงหน้าพร้อมกับตากลมโตที่เงยหน้าขึ้นฟ้ากล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันทีประหนึ่งว่าคนที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ไม่ใช่ผม

 

“ขอบคุณพระเจ้าทำไม ขอบคุณผมสิ ผมเป็นคนช่วยคุณนะ”

 

“อะ...เอ่อ...ขอบคุณครับ” เสียงเล็กตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อหันมาสบตากับผม นัยน์ตากลมโตสั่นระริกจนน่ามอง หน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อเมื่อต้องกับแสงแดดอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ยามเย็นยิ่งส่งผลให้คนตรงหน้าน่ามองขึ้นไปอีก ผมจ้องมองคนตัวเล็กกว่าอย่างอดไม่ได้ หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเจ้าหมาเตี้ยที่นั่งอยู่ในรถข้าง ๆ กับผมตอนนี้

 

 

 

หลังจากวันนั้นผมก็ได้มีโอกาสเจอกับหมาเตี้ยอีกทีที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ คนตัวเล็กในชุดสูทสีน้ำตาลเดินมาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่หน้าตาออกไปทางลูกครึ่ง ความสนิทสนมของคนสองคนที่เดินพูดคุยกันมาทำให้หลาย ๆ คนที่เดินผ่านไปมาสนใจมองรวมถึงผมที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ก่อนแล้วด้วย แต่ด้วยเพราะร้านนี้ไม่ได้ใหญ่มากและเป็นช่วงที่คนพักเที่ยงพร้อม ๆ กันเยอะเลยทำให้โต๊ะในร้านเต็มเกือบหมด จะเหลือแค่ตรงที่ผมนั่งที่ยังพอมีที่ว่างให้นั่งได้อีกสองที่ พนักงานบอกให้อีกคนมานั่งตรงนี้

 

“สวัสดีครับ” เสียงของคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยทักขึ้น ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง เพียงแต่ตอบรับอีกคนในลำคอเบา เพราะเป็นช่วงที่ผมกำลังก้มลงไปแทะตีนไก่ตุ๋นอยู่ คิดดูนะครับจะให้ผมเงยหน้าขึ้นไปทั้ง ๆ ที่มีตีนไก่คาปากไม่พอมีนิ้วยื่นออกมาจากปากอีกสองนิ้ว ถถถถโถ่ อายตายห่า

 

“อือ”

 

“ไม่คิดจะเงยหน้ามามองผมบ้างหรอ”

 

“ไม่”

 

“ใจร้าย”

 

‘กูไม่ได้ใจร้าย กูแทะตีนอยู่เว้ย

 

“...”

 

“แต่โดนใจ”

 

“หึ๊” คำพูดของไอ้คนที่นั่งฝังตรงข้ามที่ก่อนหน้านี้ทำเสียงเหมือนน้อยใจว่าผมใจร้ายอยู่ไม่ถึงนาที ก็เปลี่ยนเป็นเสียงเจ้าเล่ห์กับคำพูดที่เล่นเอาการแทะตีนของผมสะดุด ถึงกับต้องเงยหน้าบอกลาตีนไก่ไปมองหน้าหมาเตี้ยแทน

 

“อร่อยปะ ตีนอะ”

 

“อยากรู้ก็กินเองดิ” แต่เมื่อเผลอมองหน้าอีกคนมากเกินไป หัวใจของผมมันเริ่มเต้นแรงเข้าอีกครั้ง ยิ่งเมื่อดวงตากลมโตจ้องมองมาเหมือนหมากำลังอ้อนเอากระดูก ผมยิ่งรู้สึกเหมือนควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่ผมเพิ่งเคยเจอกับคนตรงหน้าแค่ครั้งเดียว แต่ผมกลับอยากเอื้อมมือไปวางบนหัวอีกคนด้วยความเอ็นดูในความน่ารัก ความกังวลใจของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกของตัวเองมาตลอดหลายปี

 

ผมรู้ตัวดีมาตลอดว่าผม

 

'ชอบผู้ชาย'

 

แต่เพราะครอบครัวและคนรอบข้างที่กดดันชีวิตของผม ทำให้ผมตกลงคบกับเพื่อนผู้หญิงทีรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม

 

มีน เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 เราอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด แต่เพราะความใกล้ชิดและการที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับมีนนอกจากคำว่าเพื่อนเลยทำตัวสนิทสนมกับมีนอย่างไม่ระวังตัว ถึงแม้ตอนนั้นผมจะยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยชอบมีนเลยสักนิด

 

แต่ผมลืมไปว่าความรู้สึกไม่ได้มาจากเราเพียงคนเดียว เพราะความสนิทสนมที่ผมให้กับมีน ทำให้มีน แอบชอบผมตั้งแต่ ม. 2

 

ผมที่ไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองมีรสนิยมแบบไหน ก็เริ่มรู้เมื่อผมขึ้น ม. 5 ผมที่คิดว่าที่ตัวเองไม่ได้ชอบมีนเพราะมีนเข้ามาในฐานะเพื่อน และคิดเสมอว่าตัวเองยังเด็กเกินกว่าจะมีความรักเลยไม่ได้มองว่าผู้หญิงคนไหนน่าสนใจ

 

แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ผมมารู้ตัวตอนที่มีรุ่นน้อง ม.4 คนหนึ่งเข้ามาเรียนที่โรงเรียนของผม น้องตัวเล็ก ผิวขาว ปากสีชมพูอ่อน หน้าตาน่ารักมากเกินกว่าเด็กผู้หญิงในระดับชั้นเดียวกัน และที่แย่ไปกว่านั้น...

 

น้องเป็นเด็กผู้ชาย

 

จากที่ผมคิดว่าตัวเองแค่รู้สึกเอ็นดูความน่ารักของอีกคน กลับเป็นว่าผมคอยมองหาคนตัวเล็กอยู่ตลอด และด้วยเพราะเราเรียนสายวิทย์-คณิตฯ เหมือนกัน ทำให้กลุ่มของเราเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนในกลุ่มของผมกับเพื่อนของน้องดันเป็นแฟนกันอีก ทำให้น้องต้องติดสอยห้อยตามเพื่อนมาด้วยทุกครั้งที่มาหาเพื่อนผม ยิ่งเพิ่มความใกล้ชิด สนิทสนมกับพวกผมมากขึ้น

 

ผมที่เอ็นดูน้องอยู่แล้วก็มักจะคอยซื้อขนม ซื้อน้ำมาให้อีกคนตลอด เพราะกลัวว่าน้องจะเหงาเวลาที่เพื่อนของตัวเองใช้เวลาอยู่กับแฟน รวมไปถึงเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมก็ทำเหมือนที่ผมทำ

 

เราสองคนพูดคุยกันมากขึ้นทุก ๆ วัน น้องเป็นเด็กขี้อ้อนและยิ้มเก่ง ยิ่งผมได้รู้จัก ยิ่งอยากอยู่ใกล้

 

จนเย็นวันหนึ่งที่พวกเรากำลังแยกย้ายกลับบ้าน เพื่อนของน้องก็หันมาพูดกับผม

 

“พี่ปลายฝากไปส่งเพื่อนหนูด้วยได้ไหมคะ วันนี้น้ำต้องไปบ้านพี่แบงค์ แล้วพอดีว่าวันนี้ที่บ้าน ยิม ไม่ได้มารับ บ้านพี่ปลายอยู่ทางเดียวกันกับบ้านยิม น้ำฝากด้วยได้ไหมคะ นะคะพี่”

 

“ได้สิ ว่าไงจะกลับหรือยังเรา” ผมตอบรับเพื่อนน้องทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไร ผมที่อยากอยู่ใกล้กับอีกคนอยู่แล้วยิ่งไม่คิดจะปฏิเสธเลยสักนิด และมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากจริง ๆ

 

และนั้นเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกที่ผมกับน้องได้กลับบ้านด้วยกันแค่สองคน เพราะโดยปกติถ้าที่บ้านน้องไม่มารับ เพื่อนน้องก็จะเป็นคนไปส่งเองหรือไม่ก็ยกกันไปทั้งกลุ่ม

 

 

 

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องพายิมไปส่งบ้าน

 

“กลับบ้านกันครับ” คนตัวเล็กกว่าหันมาสบตาผมแวบหนึ่งก่อนจะหันมองไปทางอื่น ใบหน้าขาวของ ยิม ขึ้นสีชมพูอ่อน พร้อมกับปากเล็กที่เม้มเข้าหากันเหมือนกับว่าเจ้าตัวพยายามข่มกั้นอะไรบางอย่าง

 

ผมพาน้องเดินออกมาที่หน้าโรงเรียน ตั้งใจจะเรียกรถแทกซี่กลับเลย แต่ด้วยเพราะตั้งแต่ที่เดินออกมาคนตัวเล็กที่ปกติมักจะพูดจาเจื้อแจ้วกลับนิ่งสนิท ทำให้ผมเริ่มรู้สึกกังวลใจว่าน้องมีปัญหาอะไร หรือไม่ชอบใจอะไรผมหรือเปล่า

 

“ยิม คุยกันก่อนนะครับ” ผมดึงมือคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามมา ตั้งใจจะพาไปคุยที่สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก มือเล็กที่ผมจับอยู่ไม่ได้สะบัดมือผมออก ความร้อนที่ส่งผ่านมาทางมือที่สัมผัสกันทำให้หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้งแม้ว่าจะจับมือกับมีน หรือเพื่อนคนอื่น ๆ มาหลายครั้งแล้วก็ตาม

 

แต่ครั้งนี้แค่ครั้งแรกที่ผมจับมือกับยิมหัวใจผมสั่นไหวเหลือเกิน

 

ผมชอบยิมหรอ

 

ผมชอบยิมใช่ไหม ?

 

ผมถามตัวเองทุกย่างก้าวที่ก้าวเดินตลอดทางที่เราสองคนเดินมาด้วยกันอย่างเงียบ ๆ

 

ผมไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ ที่จะไม่รู้จักความรักหรือการชอบใครสักคนเป็นยังไง ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ได้แค่เอ็นดูเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เดินตามผมอยู่ แต่ผม...

 

ชอบ ยิม มากกว่าคำว่าพี่ชาย

 

เราสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะและนั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางสวนวางไว้ริมบ่อน้ำ ผมยังไม่ได้ปล่อยมืออีกคนให้เป็นอิสระ ตัดสนใจกับตัวเองแล้วว่าจะลองบอกความรู้สึกอีกคนดู ถ้าหากอีกคนไม่ได้คิดเหมือนกัน ก็ไม่เป็นไร อย่างน้องผมก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และพร้อมจะยอมรับสิ่งที่ตามมาหากน้องไม่อยากรู้จักกับผมอีก ผมพยายามตั้งสติตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ

 

“พี่ชอบยิมนะ”

 

“...” คนตัวเล็กมองสบตาผมด้วยแววตาประหลาดใจกับสิ่งที่ผมพูดก่อนจะก้มหน้ามองที่ตักของตัวเอง ความรู้สึกวูบโหวงไปทั้งช่องท้องเพราะอีกคนไม่ยอมพูดอะไรเลย ทำให้ผมต้องรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาอีกครั้ง ตัดสินใจแล้วว่าถ้าหากน้องไม่ตอบอะไรอีกจะพาน้องไปส่งบ้านแล้วก็ถอยห่างน้องทันทีเพราะไม่อยากให้อีกคนต้องอึดอัดกับการที่ต้องเจอหน้าผม

 

“ยิมรังเกียจพี่ไหม ที่พี่บอกชอบยิม ทั้ง ๆ ที่พี่เป็นผู้ชายเหมือนยิม พี่ขอโทษนะ”ตากลมช้อนขึ้นมามองหน้าผมน้อย ๆ ก่อนจะบอกในสิ่งที่ทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น

 

“อะ เอ่อ ผมก็...ก็ชอบพี่ปลายครับ”

 

“หืออออ จริงหรอยิม”

 

“อื้อ” ผมเผลอตัวด้วยความดีใจมาก เลยดึงคนอีกคนเข้ามากอด ความอบอุ่นของร่างกายที่ได้รับไม่เท่ากับความอบอุ่นที่มากจากหัวใจเลยสักนิด ผมดันตัวคนตัวเล็กในอ้อมกอดออกห่างจากตัวเล็กน้อย ก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ

 

“เป็นแฟนกับพี่นะครับยิม”

 

“ครับพี่ปลาย” นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมมีแฟน และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วที่ผมไม่เคยมองว่าผู้หญิงคนไหนน่าสนใจเพราะว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง

 

 

ผมกับยิมตัดสินใจคบกันตั้งแต่วันนั้น แต่เราสองคนไม่ได้เปิดเผยอะไรมากนัก เพราะในตอนนั้นการที่ผู้ชายกับผู้ชายคบกันมันเป็นเรื่องที่สังคมยังไม่ค่อยเปิดกว้างและยอมรับ เท่าทุกวันนี้

 

เราสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ผมพายิมมาที่บ้านบ่อยขึ้นและมีบ้างที่ค้างด้วยกัน เราสองคนคบกันได้อยู่ปีกว่า จนปิดเทอมภาคเรียนที่หนึ่งของชั้น ม.6 ครอบครัวของผมก็รู้เรื่องของเราเข้า

 

เพราะพี่ชายคนโตของผมเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นผมกับยิมกำลัง จูบ กัน

 

พี่ชายของผมรีบวิ่งไปบอกพ่อทันที ถึงแม้ว่าผมจะขอร้องยังไงก็ตาม ยิ่งเห็นสายตารังเกียจที่ส่งมาให้ผมเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกผิดกับยิมมากเท่านั้น

 

หลังจากพ่อสั่งให้คนขับรถที่บ้านพายิมไปส่ง วันนั้นผมโดนพ่อตีหนักจนแทบร่างแหลกพร้อมทั้งคำด่าหยาบคายมากมายที่ได้ฟังจากคนรอบข้าง จนผมแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่เพราะมีแม่ที่ยังเป็นห่วงและเข้าใจผมมากกว่าคนอื่น ๆ ในบ้าน ทำให้ผมอดทนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่คิดสั้นจนทำร้ายตัวเอง

 

 

“มึงมันวิปริต ผู้หญิงมีเยอะแยะเสือกจะไปเอาผู้ชาย ไอ้ลูกชั่ว”

 

“ไอ้โรคจิต อย่าบอกใครนะว่ากูเป็นพี่น้องกับมึง”

 

“ทำไมพี่ปลายทำแบบนี้คะ น่าอายที่สุดเลย”

 

คำด่าและแววตาตำหนิ ที่ผมต้องทนรับตลอดเวลาช่วงปิดเทอม มันทั้งบั่นทอนและทำลายความรู้สึกของผมจนผมกลายเป็นคนเก็บตัว ผมแทบไม่ออกจากห้องนอนตัวเองเลยในแต่ละวัน ยิ่งพ่อยึดโทรศัพท์ของผมทำให้ผมติดต่อกับยิมไม่ได้ หัวใจของผมยิ่งแย่ลงไปอีก ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็อ่อนแอลงในทุก ๆ วัน

 

ผมคิดถึงยิมจนอยากจะไปหา แต่ก็ทำไม่ได้ แม้จะพยายามหนีก็โดนจับได้ทุกครั้ง

 

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และทรมานเหมือนกับลมหายใจที่แสนหนักหน่วงและแผ่วเบาของผม แต่ที่เจ็บปวดมากที่สุดคือ

 

ยิม ย้ายไปเรียนต่างประเทศ โดยที่เราไม่มีโอกาสได้เอ่ยลากันสักคำ มีเพียงจดหมายของน้องที่ฝากเพื่อนสนิทมาให้ผม

 

 

พี่ปลาย

 

ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และ ช่วงเวลาดี ๆ ที่มีให้กันนะครับ

ขอโทษที่ไม่ได้บอกลา ขอโทษที่เข้าไปสร้างปัญหาให้กับชีวิตพี่

อย่าเสียใจเพราะยิมเลย ยิมรักพี่ปลายนะ แต่

เราเลิกกันนะครับ

 

 

น้องบอกว่ารักผม แต่ทำไมน้องถึงขอเลิกกับผม

 

มันเป็นการบอกลาที่แสนเจ็บปวด ถึงแม้จะไม่ได้ฟังจากปากของอีกคนแต่ลายมือที่คุ้นตาตรงหน้าทำให้ผมถึงกลับล้มทั้งยืน

 

ยิมเคยเป็นคนที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด

 

และยิมก็เป็นคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากที่สุดเหมือนกัน

 

 

ในตอนนั้นผมยิ่งเหมือนคนกำลังจะตายมากขึ้นไปอีก แต่เพราะมีเพื่อนดี ๆ ที่คอยดึงให้ผมออกจากห้วงความรู้สึกนั้น ผมเลยต้องฝืนยิ้มและทำตัวเองให้ดีขึ้นมา

 

มีน คือคนที่อยู่กับผมและให้กำลังใจผมตลอด

 

‘เวลา’ ที่ใครหลาย ๆ คนบอกว่าจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ก็ช่วยเยียวยาหัวใจของผมได้จริงอย่างที่บอก

 

ถึงมันจะไม่ทั้งหมด แต่ความเจ็บปวดที่เคยมีก็เบาบางลงไปบ้าง

 

ที่ยังคงหลงเหลือก็คงจะเป็นเพียงความทรงจำที่มีความสุขและเจ็บปวดบ้างเมื่อนึกถึงมัน

 

ซึ่งในตอนนั้นผมหวังว่ามันจะเลือนรางลงไปบ้างในสักวัน เมื่อผมคิดถึงมัน

 

 

 

ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดคณะวิศวกรรมศาสตร์โดยมีมีนที่ติดตามผมมาด้วยอีกคน เราสองคนสนิทกันมากขึ้น ความรู้สึกที่มีนมีให้กับผมก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นจนผมเองเริ่มรู้สึกได้

 

“คบกับเราไหมมีน” ผมบอกกับมีนในเช้าวันหนึ่งที่เรานั่งรอเรียนที่ลานเกียร์ ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 แล้ว เพื่อนคนสวยหันมามองหน้าผมด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ผมพูด

 

“ทำไมปลายถึงพูดแบบนั้นหละ”

 

“มีนชอบเราไม่ใช่หรอ”

 

“ใช่ แต่ปลายไม่ได้...” เพราะคำถามที่ตรงเกินไปของผมทำให้มีนหน้าซีดลงไปเล็กน้อย เสียงหวานสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น

 

“มีนยังไม่เคยลองเลยจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบหรือไม่ชอบ”

 

“ปลายแน่ใจหรอที่พูดมานะ”

 

“แน่ใจ คบกับเรานะ” ผมยังคงยืนยันคำเดิมและถึงแม้ว่าในดวงตาของมีนจะมีแววไม่แน่ใจนัก แต่คงเพราะความรู้สึกที่มีนมีให้ผมเธอเลยตอบตกลง

 

“ก็ได้”

 

 

เมื่อมานึกถึงตอนนั้น ผมก็รู้ได้เลยว่าตัวเองเลวมากจริง ๆ เหตุผลจริง ๆ ที่ผมขอคบกับมีน เพราะตอนนั้นผมเริ่มมองใครคนหนึ่งมากจนกลัวว่าหัวใจของผมจะเผลอไปรักเข้าอีกครั้ง

 

ผมไม่อยากให้ใครผิดหวังในตัวผมอีกเลยเลือกที่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจตัวเอง

 

 

 

หลังจากนั้นเราสองคนก็เริ่มใช้ชีวิตเหมือนคนเป็นแฟนกันมากขึ้น ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อไม่ให้ทำให้มีนรู้สึกว่าผมแค่ฝืนคบกับเธอ เราสองคนคบกันโดยเพื่อน ๆ รับรู้และยินดีกับเราด้วยคำที่ว่าเราสองคน

 

เหมาะสมกันมาก

 

ครอบครัวของผมยินดีและรับรู้เรื่องระหว่างเราสองคน แต่จะมีใครรู้บ้างว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้อึดอัดใจแค่ไหน ผมทรมานมากแค่ไหนกับสิ่งที่เป็นอยู่ คงจะมีอยู่เพียงสองคนเท่านั้นที่รับรู้ได้นั้นก็คือ แม่ของผม กับ มีน คนที่ฝืนทนคบกับผมมาได้ถึง 4 ปี โดยที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ยอมอดทนทุกอย่างถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยให้ความสุขทางกายกับเธอเลยก็ตาม

 

 

และยิ่งหลังจากที่เราสองคนเรียนจบแล้ว ต่างคนก็ต่างทำงานคนละที่ ผมที่เคยหนีครอบครัวไปเรียนไกลถึงสี่ปี สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานในบริษัทของครอบครัวตัวเองอยู่ดี

 

ผมกับมีนเจอกันน้อยลงเรื่อย ๆ จะมีแค่บางวันที่พ่อกับแม่อยากเจอมีน ผมเลยต้องไปรับมีนมาที่บ้านและถือเป็นการได้เจอหน้ากันของผมกับมีนไปด้วย

 

อาจเป็นเพราะเวลาที่เราห่างกันมีมากขึ้น ความรู้สึกที่มีนมีให้กับผม เลยเบาบางลงจนในที่สุด

 

มีนก็บอกเลิกผม

 

คำพูดที่ออกมาจากความรู้สึกทุกอย่างของมีนทำให้ผมรับรู้เลยว่า ผมเลวมากแค่ไหนที่หลอกใช้ความรักของอีกคนเพื่อปกปิดตัวเอง

 

ผมมันเห็นแก่ตัว

 

 

“พอเถอะ จบกันแค่นี้ เราไม่อยากเป็นเกาะกำบังให้ปลายอีกแล้ว สงสารเราเถอะนะปลาย”

 

“มีน เราขอโทษ”

 

“ไม่ต้องขอโทษเราเลยปลาย แกต้องขอโทษตัวเองเว้ย ขอโทษที่แกไม่ยอมรับความจริงสักที ที่เป็นอยู่แบบนี้แกไม่อึดอัดหรอว่ะเราถามจริงๆ”

 

ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่กำเอาไว้แน่นจนเจ็บ ผมอยากจะบอกกับมีนเหลือเกินว่าผมอึกอัดจนแทบหายใจไม่ออก ผมมันขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริงและยิ่งตอนนี้ ตอนที่ผมได้เจอกับ เล

 

ผมยิ่งทรมานทุกครั้งที่จะพยายามออกห่างและที่แย่ไปกว่านั้น คือผมขอพ่อให้ส่งผมไปช่วงงานที่โครงการอื่น

 

เพื่อหนี หัวใจตัวเอง อีกครั้ง

 

แต่แล้วการที่ผมหายหน้าจากอีกคนมาตลอดเดือนกว่าก็สูญเปล่า หลังจากที่ มีน เดินออกไปจากจุดที่เรายืนคุยกันในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ผมเห็นคนตัวเล็กที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลนัก ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าขาวนั้น ผมก็มั่นใจว่า นั้นคือ เล และที่สำคัญเจ้าหมาเตี้ยตัวนี้ต้องได้ยินที่ผมกับมีนคุยกันแน่

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน เลก็เดินออกไปทางห้องน้ำ ผมเองก็ลุกขึ้นเดินตามอีกคนไปเช่นกัน

 

และคงเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่วิ่งอยู่ในร่างกายตอนนี้ทำให้ผมไม่คิดจะเดินหนีหรือหลบซ่อนตัวเองจากอีกคนเหมือนที่พยายามทำมาตลอด

 

“ชอบเสือกเรื่องของคนอื่นหรอ” เมื่อมองดูแล้วว่าไม่มีคนอื่นนอกจากเราสองคนในห้องน้ำนี้ ผมเลยพูดขึ้นทันที

 

“พี่พูดกับผมหรอ”

 

“...” ด้วยเพราะผมหันหลังให้อีกคน เลยทำให้เจ้าตัวไม่แน่ใจนักว่าผมคุยด้วยอยู่ แต่ที่น่าโมโหคือ มันจำผมไม่ได้เลยหรอว่ะ ทั้ง ๆ ที่ผมจำมันได้เพียงเห็นแค่แวบเดียวเท่านั้น

 

“เงียบแปลว่าไม่ใช่ สบายใจไป”

 

“นอกจากเสือกแล้วยังจะโง่อีกเนอะ” เพราะเสียงที่ดูสบายใจของอีกคนยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดของผมเพิ่มมากขึ้น

 

“ห๊ะ ว่าไงนะ”

 

“ไอ้เฮี้ยยย!!! พี่ปลาย”

 

“เออ”

 

“โอ้ย อือ”เสียงร้องดังกับแววตากลมโตที่จ้องมองมาที่ผม ทำให้ผมห้ามความรู้สึกตัวเองไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ผมผลักคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงจนร้องออกมา แต่ผมไม่ได้สนใจเลยสักนิด เพราะผมกดจูบลงไปบนปากสวยอย่างหนักหน่วงทันที

 

ด้วยอารมณ์หลาย ๆ อย่างที่ประดังอยู่ตอนนี้ทำให้ผมยิ่งบดเบียดความต้องการลงบนปากอิ่มอย่างรุนแรง โดยไม่สนใจว่าอีกคนจะเจ็บมากแค่ไหน ยิ่งคนตัวเล็กดิ้นรนเท่าไหร่ผมยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากเท่านั้น ถึงแม้จะได้กลิ่นและรสคาวของเลือดจากปลายลิ้นที่ผมสอดเข้าไปในโพรงปากของอีกคนผมก็ยังคงบดเบียดลงไปบนปากสวยไม่หยุด คนตัวเล็กเริ่มรู้ว่ายิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ ผมยิ่งรุนแรงกับเจ้าตัวเท่านั้น เล เลยหยุดนิ่งปล่อยให้ผมรุกรานอยู่อย่างนั้น

 

“ฮึก” เสียงสะอื้นกับความเปียกชื้นจากน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสวยของเลทำให้ผมตกใจและรีบหยุดการกระทำเลว ๆ ของตัวเองทันที ก่อนจะใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มขาวของคนตัวเล็กแผ่วเบา ปากอิ่มเจ่อแดงและมีเลือดออกมาซิบ ๆ ผมยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

 

“ขอโทษ”

 

“...”

 

“ขอโทษ”

 

“...”

 

“กูขอโทษ”

ผมเอ่ยคำขอโทษอยู่ซ้ำ ๆ เพราะคนตัวเล็กไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย ถึงแม้แววตาที่ส่งมาจะไม่มีแววโกรธหรือรังเกียจสิ่งที่ผมทำลงไป แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่ผมทำไปนั้น มันแย่กับอีกคนมากแค่ไหน เพราะความร้อนรอบดวงตาที่ผมพยายามข่มกั้นกำลังจะเอ่อล้นออกมา ทำให้ผมทิ้งหัวหนักซบหน้าลงบนไหล่เล็ก ๆ ของคนตรงหน้า ปล่อยให้สายน้ำอุ่นจากดวงตาไหลลงบนไหล่ของอีกคน ความรู้สึกผิดยิ่งกระแทกหัวใจของผมจนอั้นไม่ไหว ผมเริ่มพูดความรู้สึกออกมาอีกครั้ง หวังว่าคำว่าขอโทษที่มาจากจากใจจะทำให้ เล ยอมอภัย

 

“พี่ขอโทษ”

 

“กลับบ้านกันไหม เดี๋ยวเลไปส่ง”

 

“อือ” ถึงแม้คนตัวเล็กจะไม่ตอบรับคำขอโทษจากผม แต่การกระทำที่คนอีกคนทำให้ผม พร้อมทั้งมือสวยที่ผมเลื่อนมือมาเกาะกุมไว้อยู่ไม่ได้สะบัดมือออกจากกัน แค่นี้ความหนักหน่วงในใจของผมก็เบาลงไปบ้างแล้ว

 

ผมอยากขอบคุณอะไรหลาย ๆ อย่างในวันนั้น ที่ทำให้คน ๆ นี้ อยู่กับผมในวันที่อ่อนแอที่สุด

 

รอพี่หน่อยนะเล

 

พี่จะไม่หนีอีกแล้ว

 

ถึงผมจะไม่ได้เอ่ยปากบอกกับน้อง แต่มันเหมือนเป็นคำสัญญากับตัวผมเองว่า ผมจะไม่หนีอีกแล้ว

 

เพียงแต่ขอเวลาอีกสักนิดเพื่อเคลียร์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

 

 

To be con. »



 

#ที่ปลายทะเล

ตอนนี้เป็นเรื่องอดีตอันขมปี้ของพี่ปลายคนหล่อมาให้ได้รับรู้กันก่อนนะ

ตอนหน้ามาดูกันว่าไอ้ที่บอกว่าเคลียร์ปัญหาของพี่แกนี่มันยังไงหว๊า

เล่นหายหัวไปหลายเดือนอยู่ ๆ ก็โผล่มารุกซะน้องเราหน้าหงายเลย


ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 8 เดินหน้าเต็มกำลัง [ ปลาย: ปลายปฐพี] Part 2

 

 

“แกจะกลับไปทำตัวทุเรศ ๆ แบบนั้นอีกแล้วหรอห๊ะไอ้ปลาย”

 

“...”

 

“มันยากมากหรอห๊ะ!!! แค่เป็นคนปกติเหมือนคนอื่นเค้า ไอ้ปลายไอ้ลูกชั่ว” เสียงตะโกนที่ดังราวกับเสียงฟ้าผ่าของพ่อเมื่อผมบอกกับพ่อว่าผมกับมีนเลิกกันแล้ว และผมกำลังชอบผู้ชายคนหนึ่งอยู่ หน้าของพ่อขึ้นสีแดงจัดด้วยความโกรธ ไม่สามารถข่มกั้นอารมณ์เอาไว้ได้อีก พร้อมกับตาคมที่จ้องมองผมด้วยความโกรธเคือง โดยที่ผมเองก็จ้องมองกลับไปในดวงตาคู่นั้นอย่างไม่คิดจะหลบสายตา เหมือนครั้งเป็นเด็กอีก

 

“แล้วผมไม่ปกติตรงไหนพ่อ แค่ผมชอบผู้ชาย ผมทำชั่วตรงไหนพ่อ”

 

 

เพี๊ยะ

 

 

มือใหญ่ที่เคยโอบอุ้มผมเมื่อวัยเด็กกระแทกลงบนซีกหน้าด้านซ้ายของผมจนหน้าผมสะบัดเพราะความแรงที่ส่งมาจากฝ่ามือนั้น รสคาวของเลือดที่ไหลออกทางมุมปากยิ่งตอกย้ำความรุนแรงที่ได้รับได้อย่างดี ผมยกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปากก่อนจะหันกลับไปมองสบตากับดวงตาโกรธที่เหมือนประหนึ่งมีไฟลุกโชนของพ่ออีกครั้ง

 

“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าตีแกเพราะแกโตแล้วนะไอ้ปลาย หึ”

รอยยิ้มเยาะที่มุมปากของพ่อที่แสดงออกว่าตัวเองกำลังเหนือกว่าผม ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเลยสักนิด ผมเพียงแต่จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วตอบกลับคนเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและมั่นคงที่สุด

 

“ผมไม่เคยคิด พ่อจะทำเหมือนที่เคยทำกับผมตอนเด็กก็ได้ แต่ผมจะบอกพ่อว่ายังไงผมก็จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองอีกแล้ว”

 

“หยุด!!! ปลายหยุดเถียงพ่อได้แล้ว คุณก็ด้วย ลูกโตพอทีจะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว เลิกทำร้ายลูกสักที”

เสียงหวานของแม่ที่เคยนุ่มหูครั้งนี้กลับทรงพลังจนมือหนาของพ่อที่กำลังจะฝาดลงมาที่หน้าของผมอีกครั้งต้องหยุดชะงัด ร่างบางเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคน ดวงตาคู่สวยมองที่เราสองคนพ่อลูกสลับกันด้วยความไม่พอใจ

 

“แม่ครับผมขอโทษ แต่แค่ครั้งนี้ ครั้งสุดท้ายนะครับแม่”

 

“แม่ไม่ได้ห้ามให้ปลายพูด แต่ต้องพูดกันด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ คุณก็ด้วยคุณพล ฉันไม่เคยเข้ามาวุ่นวายเลยสักครั้งที่คุณคอยอบรมสั่งสอนลูก เพราะคิดเสมอว่าตัวฉันเองที่เลี้ยงดูลูกไม่ดีพอถึงทำให้เป็นแบบนี้ และยิ่งลูกพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองอึดอัดมานานเพราะความต้องการของพ่อกับแม่และคนรอบข้าง ฉันที่คอยเฝ้ามองอยู่รู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งกว่าการที่ยอมรับให้ลูกได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองเป็น คงจะมีแค่คุณเท่านั้นคุณพล ที่หลับหูหลับตาไม่เคยมองความรู้สึกลูกชายของตัวเองเลยสักครั้ง ฮึก”

 

“แม่ครับอย่าร้องไห้ครับแม่ ปลายขอโทษ” คำพูดที่ออกมาจากน้ำเสียงตัดพ้อของแม่ทำให้หัวใจของผมวูบโหวงและเจ็บปวดไปหมด ยิ่งเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มขาวยิ่งทำให้ผมรับรู้เลยว่า แม่ต้องอดทนอดกลั้นความรู้สึกมานานมากแค่ไหน และแม่เจ็บปวดมากกว่าผมกี่ร้อยกี่พันเท่า แม้แต่แววตาของพ่อเองก็อ่อนลงไปเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนเป็นภรรยาพูด ผมยกมือปาดน้ำตาบนแก้มขาวของแม่ จากนั้นแม่ก็ยกมือสวยขึ้นมาจับมือข้างนั้นของผมไว้ หน้าสวยส่งยิ้มอ่อน ๆ มาให้ผมก่อนจะหันไปสบตาคมของสามีและพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“คุณเคยคิดไหมว่าทำไม เราถึงต้องเอาความคิดของคนอื่นมาใส่ใจแทนที่จะมองความรู้สึกของลูก ในเมื่อคนที่เราควรใส่ใจน่าจะเป็นลูกที่เรารักและทะนุถนอมมาอย่างดีไม่ใช่หรอ”

 

“..”

 

“แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำมันกำลังทำร้ายลูกด้วยน้ำมือของเราเอง เพราะเรามัวแต่กลัวว่าลูกจะโดนคนอื่นมองไม่ดี กลัวว่าคนจะดูถูกลูก เลยกลายเป็นเรานี้แหละที่กำลังทำแบบนั้นไม่ใช่คนอื่นเลย เพราะคำพูดมากมายที่เราคิดว่าคนอื่นจะเอามาต่อว่าลูกเรา มันกลับออกมาจากปากของเราก่อนคนอื่นเสียด้วยซ้ำ”

 

“คุณ...” พ่อที่ยืนฟังคนรักของตัวเองพูดด้วยน้ำตาถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แววตารู้สึกผิดจ้องมองไปที่ตาสวยของแม่ด้วยใบหน้าที่ซีดลง ผมบีบกระชับมือสวยที่จับกันอยู่ให้แน่นขึ้นเพื่อส่งต่อกำลังใจให้แม่

 

“ทำไมคุณไม่ลองเชื่อใจปลายดูสักครั้ง ตั้งแต่เด็กจนโตปลายไม่เคยทำอะไรให้คุณเสียใจเลยไม่ใช่หรอ นอกจากเรื่องที่ลูกไม่ชอบผู้หญิง ซึ่งมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆ และไม่ได้เป็นความผิดของลูกเลย แต่คุณกลับเอาเรื่องที่เล็กน้อยแค่นั้นมาทำให้มันเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของลูก”

 

“...”

 

“คุณพลที่ฉันแต่งงานกับคุณเพราะฉันเชื่อว่าคุณจะเป็นสามีที่น่านับถือและเป็นพ่อที่ดีของลูก คุณจะคอยชี้แนะแนวทางเมื่อลูกของเรามีปัญหา คุณเป็นคนมีเหตุผลเสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนหรือเรื่องของใครก็ตาม ฉันมองดูคุณมาตลอดตั้งแต่คุณเดินเข้ามาในชีวิตฉัน”

 

“ผม” แม่ยกมือที่ว่างอยู่ขึ้นมาเพื่อเป็นการห้ามไม่ให้พ่อพูดอะไร ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

 

“ฟังฉันก่อนค่ะ ฉันไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรในตัวคุณเลยเพราะคุณเป็นแบบนั้นมาตลอด จนวันที่ได้รับรู้เรื่องของปลายตอนนั้นฉันก็ยอมรับว่าเชื่อในสิ่งที่คุณตัดสินใจทำลงไป เพราะฉันมั่นใจในตัวคุณมาแต่แรกอยู่แล้วเลยเชื่อว่าสิ่งที่คุณทำเป็นสิ่งที่ถูก แต่ในวันนี้และตอนนี้ฉันขอโทษที่คิดว่าคุณกำลังตัดสินใจผิด และถ้าหากว่าสิ่งที่ลูกเป็นมันยังเป็นเรื่องที่คุณมองว่าเป็นเรื่องผิดพลาดในชีวิตคุณ ก็ถือว่าฉันที่เป็นแม่ของปลายเป็นความผิดพลาดในชีวิตคุณเหมือนกัน ฮึก”

 

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น...” มือสวยยกขึ้นมาห้ามคนเป็นสามีอีกครั้ง เพราะเหมือนกับว่าแม่จะยังพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะพูดไม่จบ พ่อเองก็ยอมที่จะหยุดพูดเพื่อฟังต่อ หน้าสวยของแม่หันมามองหน้าผมพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างวางบนสองข้างแก้มของผม มืออบอุ่นที่เคยโอบกอดและปลอบโยนผมทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

 

แต่แววตาที่มองมาด้วยความรักกลับมีความกังวลแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มหวานของแม่ปรากฏบนหน้าอีกครั้งก่อนที่จะพยักหน้าเบา ๆ เหมือนกำลังจะบอกกับผมว่าให้เชื่อใจในสิ่งที่แม่กำลังจะทำ จากนั้นแม่ก็หันกลับมองหน้าพ่ออีกครั้ง มือสวยยกขึ้นจับแขนคนเป็นสามี

 

“ฉันจะขอเป็นคนยอมรับความผิดนั้นเอง ด้วยการหย่ากับคุณ โดยที่ไม่ขอรับเงินของคุณแม่แต่บาทเดียว ขอแค่ปล่อยให้ปลายได้ใช้ชีวิตของตัวเองก็พอ”

 

“คุณหญิง!!” “แม่!!!” ผมกับพ่อร้องออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่แม่พูดพร้อม ๆ กัน ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวจนแทบจะไม่มีสีของเลือด มือใหญ่สั่นเทาเมื่อพยายามจะยกขึ้นมาโอบกอดแม่

 

“ไม่นะคุณหญิง ผมขอโทษ” สีหน้าแววตาและคำพูดที่ผมแทบไม่เคยได้ยินจากปากพ่อถูกแสดงออกมาต่อหน้าผม มือหนาดึงคนที่อยู่คู่ชีวิตกันมาตลอดเข้าไปกอด พ่อซบหน้าลงบนกลุ่มผมของแม่ในขณะที่แม่เองก็ซบหน้าลงบนอดกว้างพร้อมกับกอดตอบคนซึ่งเป็นที่รัก

 

ผมคิดว่าพ่อคงไม่เคยคิดว่าแม่จะรู้สึกแย่แค่ไหนเหมือนที่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะยอมทำเพื่อผมได้ถึงขนาดนี้

 

ผมมองดูภาพของคนสองคนที่รักและดูแลผมมาตลอดชีวิตที่ผมเกิดมา ก่อนจะนั่งลงบนพื้นพรมพร้อมกับก้มลงกราบเท้าบุพการีทั้งสองด้วยหัวใจที่รู้สึกผิดและขอบคุณ

 

 

ขอบคุณนะครับแม่ ที่รักผมมากมายขนาดนี้

 

 

“ปลาย...ฮึก...ขอโทษที่เกิดมาเป็นแบบนี้...ฮือ” ผมปล่อยให้น้ำตาลูกผู้ชายที่อดกลั้นมาตลอดหลั่งไหลออกมาโดยไม่คิดจะอดกลั้นไว้อีกแล้ว ร้องไห้โฮเหมือนกับตอนหกล้มในวัยเด็ก

 

ความเจ็บปวดในตอนนั้น คงยิ่งใหญ่พอ ๆ กับความเจ็บปวดในครั้งนี้

 

ต่างกันตรงที่

 

ความเจ็บปวดที่มาจากใจครั้งนี้มันจะไม่หายไปง่าย ๆ

 

เหมือนแผลถลอกบนร่างกายจากการหกล้ม

 

ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันจะบานปลายใหญ่โตมากขนาดนี้ เพราะความตั้งใจแรกที่ผมจะทำคือเอาข้อต่อรองที่จะอยู่ทำงานที่บริษัทของพ่อตามความต้องการของพ่อ

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ผมจะหมดสัญญาที่จะทำงานที่บริษัทของพ่อในอีกไม่ถึงปี และจะออกไปเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนตามที่ตั้งใจเอาไว้ ผมเลยคิดว่าหากเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับพ่อ ผมคงจะพอมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำได้

 

เรื่องตั้งบริษัทก็คงจะให้เพื่อนเป็นคนดำเนินการไปก่อน ผมจะขอเป็นที่ปรึกษาและหุ้นส่วน โดยมั่นใจว่าเพื่อนคงเข้าใจ

 

แต่สุดท้ายเรื่องทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลย ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดหรือต่อรองอะไรสักนิด แม่กลับเป็นคนออกหน้ามาพูดแทนผมจนเรื่องเป็นอย่างที่เห็น

 

ผมยังคงก้มกราบพ่อกับแม่ค้างเอาไว้อย่างนั้นจนแม่ต้องนั่งลงบนพื้นพรมข้างหน้าแล้วดึงตัวผมให้ลุกขึ้น แม่โอบกอดตัวผมที่สั่นเทาเอาไว้แน่ ผมหลับตาลงซบอยู่บนไหล่เล็กของแม่ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือหนาของคนอีกคนที่ยืนมองเราอยู่ก่อนหน้านี้

 

พ่อกอดผมกับแม่

 

มือหนาของพ่อที่เคยใช่ตบหน้าผมตอนนี้วางทาบทับลงบนหัวของผมพร้อมกับลูบเบา ๆ เหมือนกับที่ทำกับผมเมื่อตอนยังเล็ก

 

“พ่อขอโทษนะเจ้าปลาย”

 

“ปลาย...ฮึ่ก...ขอโทษ”

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก ไม่เป็นไร ใช่ไหมค่ะคุณ” แม่พูดกับผมก่อนจะดันตัวผมออกจากอ้อมกอดเล็กน้อย แล้วหันไปมองหน้าคนเป็นสามีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก่อนจะเอ่ยถาม ผมจ้องมองไปที่หน้าหล่อของพ่อเพื่อรอคำตอบด้วยหัวใจที่ตื่นเต้น

 

“เอ่อ...ใช่ ไม่เป็นไรแล้ว แกจะเป็นอะไรก็เป็นเถอะต่อจากนี้ พ่อจะไม่สนใจคำพูดคนอื่นแล้ว”

 

“พ่ออนุญาตผมแล้วใช่ไหมครับ”

 

“เออ” พ่อยกคิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงดัง แต่เหมือนกับว่าคำตอบจะไม่เป็นที่พอใจของคนเป็นภรรยาเท่าไหร่นัก เพราะแค่โดนแม่เรียกด้วยเสียงเรียบ ๆ หน้าหล่อก็ยิ้มออกมาเสียกว้าง

 

“คุณค่ะ”

 

“ครับคุณลูก คุณแม่ พ่อยอมหมดแล้ว แต่คุณหญิงต้องสัญญากับผมก่อนว่าจะไม่พูดแบบนั้นกับผมอีก”

 

“ที่จะหย่านั้นหรอค่ะ” ผมเห็นหน้าพ่อตกใจที่แม่พูดคำที่ไม่อยากฟัง ต่างจากแม่ที่ยิ้มหวานหยอกล้อคนเป็นสามี

 

“คุณหญิงผมบอกว่าอย่าพูดไงครับ เจ้าปลายเพราะแกเลยพ่อเกือบโดนเมียทิ้งแล้วไหม มาให้เขกกะโหลกซะดี ๆ”

 

“แม่ครับพ่อจะตีปลาย”

 

“คุณค่ะ” เป็นไงหล่ะพ่อ รีบหดมือหนีเลยแค่โดนสายตาพิฆาตของแม่เข้าไปหน่อย ให้รู้ซะบ้างว่าปลายมันลูกใคร

 

‘ปากดีไปงั้นแหละครับ หน้านี่ยังเกอะกังไปด้วยคราบน้ำตาอยู่เลย

 

“โถ่ คุณหญิง”

 

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ/ฮ่า ๆ”เสียงหัวเราะของเราสองแม่ลูกดังลั่นออกมาด้วยความสุขจากหัวใจ พ่อเองก็ยังหัวเราะตามพวกเราสองคนไปด้วย ตอนนี้ผมมีความสุขจนพูดไม่ออกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันเหมือนครอบครัวของผมกลับมาอีกครั้ง พ่อที่เคยรู้จักก่อนที่เราจะทะเลาะกันกำลังอยู่ตรงหน้าผม และหวังว่าพี่ชายและน้องสาวของผมจะยอมรับในตัวตนของผมได้เหมือนกัน ผมอยากให้ครอบครัวของเราอบอุ่นอีกครั้ง

 

 

-----------------------

 

 

 

“มองหน้าเลแบบนี้ เล เขินนะพี่ปลาย” เสียงเล็กของคนตรงหน้าเรียกสติให้ผมหลุดออกจากความคิดก่อนหน้านี้ หน้าสวยของคนปากกล้าขึ้นสีระเรื่อก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้ามองไปที่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

ผมพา เล แวะกินข้าวเย็นก่อนจะพาเจ้าตัวไปส่งที่คอนโด หลังจากที่เจอไอ้หมาเตี้ยที่เดินมองท้องฟ้าผ่านหน้าไซด์งานที่ผมทำงานอยู่ จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะอยู่ทำงานต่ออีกหน่อยแล้วค่อยกลับ เพราะช่วงนี้น้องอีกคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันเหมือนจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ไอ้วิวที่เป็นคนดูแลน้องที่ว่าหรือไอ้ระติมันมาปรึกษาผมเพราะเห็นว่าเด็กที่มันดูแลชอบออกไปเมาทุกวันจนเดือดร้อนมันต้องลากกลับไปส่ง มันกลัวว่าไอ้เด็กนั้นจะตกตึกตายก่อนจะผ่านโปร ผมเลยตั้งใจว่าจะลองคุยกับน้องมันดูว่ามีอะไรทีพอช่วยได้หรือเปล่า จะมาผิดแผนก็ตอนเจอไอ้หมานี่เดินเกือบชนเสาไฟฟ้าหน้าแหก เลยอดเป็นห่วง เอ้ยไม่ใช่เป็นห่วงไอ้เตี้ยนะครับอย่าเข้าใจผิด ผมห่วงมันจะไปเดินสะดุดตีนใครเค้าถ้าเผลอไปเดินชนเค้าเข้า เลยจำใจสั่งให้มันยืนรอ เดินกลับขึ้นไปเก็บของในออฟฟิตแล้วขับรถออกมา

 

‘ไอ้ระติมึงอย่าเพิ่งรีบตายนะ รอกูก่อน กูขอเอาหมาไปเก็บกรงก่อนเดี๋ยวกูจะกลับไปคุยกับมึง

 

“เป็นไรเตี้ย มึงจะชุบชีวิตไก่หรอ” ผมแกล้งแซวคนตรงหน้าที่ยังก้มหน้าก้มตามองไก่ในจากผัดกระเพราเหมือนกับว่ากำลังจะชุบชีวิตมันอย่างนั้นแหละ

 

“ป่าวสักหน่อย”

 

“ป่าวแล้วมึงจะจ้องมันทำไม กินข้าวดิ” คนตัวเล็กช้อนตามามองหน้าผมก่อนจะแบะปากน้อย ๆ

 

“อือ”

 

“อือก็กินดิ หรือจะให้กูป้อน”

 

“เฮ้ย!! ได้หรอ เอาดิ อ้า”

คราวนี้แทนที่มันจะเขินกลายเป็นผมที่หายใจสะดุด เพราะน้องมันเล่นยื่นหน้า ช้อนตากลมโตมามองผมไม่พอปากสวยยังอ้ากว้างส่ายหน้าไปมา รอรับข้าวให้ผมป้อนอีก แต่ผมหรอจะป้อน จัดการดีดหน้าผากขาวไปหนึ่งทีสิรออะไร

 

“นี่แหนะ! ป้อน”

 

“โอ๊ะ!! พี่ปลาย เล เจ็บนะ...อือ” อย่าตกใจครับผมไม่ได้จูบมัน ผมแค่จัดการเอาข้าวยัดปากคนพูดเยอะไปคำโต เพราะเสียงอ้อนที่เจ้าตัวกำลังจะพูดเล่นเอาหัวใจของผมกระตุกอีกแล้วนะสิ

 

‘อย่าอ้อนเยอะสิวะ ไอ้หมาเล

 

“กินไป อย่าพูดมาก น้ำลายกระเด็นใส่กับข้าวหมดแล้ว”

 

“ฮึ้ย” คนตัวเล็กที่กำลังเคี้ยวข้าวที่ผมป้อนให้พูนช้อน ส่งเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับตากลมที่ส่งค้อนปะหลับปะเหลือกมาให้ผม จนผมอดไม่ได้ที่จะวางมือไปบนหัวสวยขยี้ผมนุ่มเบา ๆ จนเจ้าตัวหน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิม

 

ไอ้ตัวน่ารักนี้ ทำผมเก๊กขรึมเกือบไม่อยู่ตลอดเลย

 

 

 

“อิ่มจัง ตังก็ไม่เสีย ใจดีขนาดเนี่ยจะไม่ให้สนใจเฮียได้ยังงั้ยยยย” เสียเจื้อแจ้วของคนที่เดินอยู่ข้างหน้าผมพูดขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะหันมาขยิบตาใส่ผมหนึ่งครั้ง ผมที่พอจะเข้าใจท่าทางของคนตัวเล็กอยู่บ้าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้ง

 

“แมงเข้าตามึงไงเตี้ย”

 

“โหหหหห พี่ปลายอ่ะ เค้าเรียกว่าส่งวิ้ง ส่งวิ้งแบบเนี่ย ๆ” คนตัวเล็กที่ยิ้มระรื่นก่อนหน้านี้หุบยิ้มทันที ตาสวยจ้องมองมาที่ผมอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะทำท่าทางก่อนหน้านี้ให้ผมดูอีกครั้ง ไม่พอแค่นั้นยังทำเสียงเหมือนกับว่าไม่ไหวจะคุยกับผม

 

ผมเกือบหลุดยิ้มออกมาเพราะความหน้ารักของหมาเตี้ยแล้วหละครับ โชคดีที่ยังพอตั้งสติได้อยู่ทั้ง ๆ ที่หัวใจนี้กระตุกแล้วกระตุกอีก

 

“มึงอยากวิ้งกว่านี้ป่ะ?” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้าเมื่อคิดอะไรออก และดูเหมือนอีกคนก็สนใจกับคำพูดของผม คงหวังว่าผมจะทำตาวิ้งกลับไปให้แน่ ๆ

 

“เอาดิ ไหนหล่ะ”

 

“เขยิบมาใกล้ ๆ ดิ”

 

“ได้ยัง” เล ก้าวเข้ามาใกล้ผมขึ้นอีกนิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม

 

“อีกหน่อยนึง”

 

“แค่นี้ เค ยัง”

 

“ตรงนี้ ได้ละ ๆ ทีนี้หลับตา” ผมเอื้อมมือไปดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

 

“หลับตาด้วยหรอ แล้วจะเห็นพี่ทำวิ้งได้ไงเล่า”

 

“เออ มึงหลับตาก่อน เดี๋ยวมึงได้เห็นวิ้งแน่” สายตามี่มองมาที่ผมเริ่มระแวงขึ้นนิด ๆ ถึงแม้จะคัดค้านเล็กน้อย แต่พอผมยืนยันแบบนั้น น้องมันก็เลยยอมทำตาม

 

“ก็ได้”

 

“อย่าแอบมอง!”

 

“แฮะ ๆ รู้อีก” คนตัวเล็กที่แอบหรี่ตาขึ้นมอง หัวเราะแห้ง ๆ เมื่อโดนผมจับได้ ผมยืนมองดูให้แน่ใจว่าอีกคนจะไม่ลืมตาขึ้นมาแน่แล้วก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง

 

“เอาละนะ”

 

‘เสร็จกูแน่คราวนี้

 

“อื้อ”

 

ผมแสยะยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลับตาเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะนับในใจ

 

1

 

.

 

2

 

.

 

3

 

 

แป๊ะ

 

“โอ้ยยยยย”

 

“ฮ่า ๆ ๆ วิ้งไหมหล่ะมึง” คนโดนดีดหน้าผากร้องออกมาลั่น มือขาวยกขึ้นกุมหน้าผากตรงที่โดนผมใช้นิ้วดีด น้ำตาเอ่อคลอที่เบ้าตาสวยเพราะความเจ็บปวด ก่อนจะมองผมด้วยสายตาที่เจ้าตัวคงคิดว่าโหดที่สุด แต่มันกลับไม่ได้น่ากลัวเลยสัดนิด ปากสวยก็บ่นขมุบขมิบก่อนจะตะโกนใส่ผมเสียงดังแล้วเดินหนีออกไป

 

“ไอ้คนใจร้าย! ฮึ่ย”

 

ผมเดินตามคนตัวเล็กที่ยังใช้มือลูบหัวตัวเองไม่เลิก ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมดีดแรงจนทำให้เจ้าตัวเล็กข้างหน้าเจ็บเกินไปหรือเปล่า เลยรีบเร่งฝีเท้าให้เดินทันอีกคน

 

“ไหนมาดูดิ”

 

“ไม่ต้องมายุ่ง” นั้นไง โดนเหวี่ยงใส่เลย ท่าทางจะงอนจริง ๆ

 

ตอนนี้หน้าผากขาวขึ้นสีแดงจนผมเองก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งน้องมันต่อ

 

“ทำหน้าอย่างกับตูดลิง” พูดจบผมก็วางมือบนหัวทุย ๆ ของเจ้าทะเลดื้อ โยกไปมาเบา ๆ จนคนที่หน้างออยู่แล้วยิ่งงองุ้มมากขึ้นไปอีก นัยน์ตาสีดำสั่นไหวจ้องมองมาที่หน้าผม ด้วยความโกรธ

 

“เออ แล้วไง”

 

“ก็ไม่แล้วไง” ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะง้อไอ้หมาเตี้ยแท้ ๆ แต่พอเห็นแก้มแดง ๆ ตาโต ๆที่มองมาด้วยความงอแงก็อยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

“ปล่อยไม่ต้องมายุ่งกันเลย ไม่ต้องไปส่งแล้ว จะกลับเอง”

 

 

จุ๊บ

 

“!!!”

 

จังหวะที่อีกคนกำลังจะหันหลังหนีเดินออกไปผมก็รีบคว้าแขนเล็กเอาไว้ ผมกดจูบเร็ว ๆ ลงไปที่หน้าผากสวยที่ขึ้นสีแดงจากการโดนนิ้วผมดีด คราวนี้คนโดนผมจุ๊บหน้าผากหน้าแดงเถือกกลบรอยแดงบนหน้าผากลากยาวไปยันหู ตาโตเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมด้วยความตกใจ ผมเองก็อดตกใจกับสิ่งที่ตัวทำไปไม่ได้เหมือนกัน หัวใจของผมเต้นแรงอย่างหนักหน่วง

 

‘จนได้สินะไอ้ปลาย

 

“ไปกลับบ้าน”

 

“งื่อ”

เสียงตอบที่เหมือนอีกคนจะยังไม่ได้สติเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมเดินตามแรงจูงมือของผม จนถึงตอนนี้ที่รถออกจากร้านอาหารมาสักพักแล้ว คนตัวเล็กก็ยังนั่งอึ้งมองหน้าผม จนผมเริ่มจะขับรถต่อไม่ได้แล้วเนี่ย

 

‘ไปน่ารักไกล ๆ ได้ไหมไอ้หมาเตี้ย

 

อีกไม่นานผมคงจะรับหมาตัวนี้ไปเลี้ยงแน่ ๆ คอยดู

 

 

To be con. »

 

#ที่ปลายทะเล

จะรับเลี้ยงกันแล้วจ้าาาาา

วันนี้หมาเตี้ยโดนเจ้าของเลียหน้าบ้าง แฮะๆ เป็นไงล๊าไอ้ทะเลดื้อ

ส่วนของพี่ปลายเรื่องอดีตกลับที่หายหัวไปตอนนี้จบไปแล้วน๊า

อย่าแอบบ่นแม่พี่ปลายเลยนะที่บทเยอะอ่าาา

ตอนหน้ากลับมาเจอกับน้องเล กันนะจ้ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้า

ติชมกันมาบ้างน๊า อิอิ เค้าอยากรู้ว่าคนอ่านรู้สึกยังไงกันบ้างง

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 9 เดี๋ยวหมาโดนขโมย
«ตอบ #12 เมื่อ12-01-2020 19:49:18 »

ตอนที่ 9 เดี๋ยวหมาโดนขโมย



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



“มาแล้ว ๆ” เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์เพื่อนยากของผมเรียกให้ผมต้องรีบเร่งไปดูว่าใครกันที่โทรมาหาผมในเวลาเช้าขนาดนี้

ปกติแล้วเช้า ๆ แบบนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทก็คงจะเป็นแม่ที่โทรหา จะมีก็นาน ๆ ทีที่เพื่อนร่วมงานจะโทรมาหาบ้างถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยเหลือหรือฝากซื้อของ แต่ว่าวันนี้โลกอาจจะถล่มทลายลงมาก็ได้เพราะว่า...



>P’Paii<



ชื่อของคนที่โทรมาหาผมแต่เช้ากลับเป็นชื่อที่ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ปลายโทรมาหาตั้งแต่เรามีเบอร์ของกันและกัน



‘บ้าจังใช่คำนี้แล้วก็แอบเขิล



ผมยกโทรศัพท์มือถือเครื่องบางค้างเอาไว้อย่างนั้น ยืนจ้องชื่อที่ปรากฏบนจอนิ่งเหมือนโดนเอลซ่ายิงน้ำแข็งใส่ จะรับหรือไม่รับไม่ใช่ประเด็นที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้ เพราะยังไงผมก็รับอยู่แล้วแน่นอนครับไม่มีเล่นตัวเป็นแน่



แต่ที่ยืนอึ้งกิมกี้อยู่ตอนนี้ คือดันไปคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่พี่มันมาจุ๊บหน้าผากผมแล้วเกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้



หวิวหวิวอ่ะแกรเข้าใจป่ะ



ไม่คิดว่าไอ้พี่เสาไฟฟ้ามันจะกล้าแอทแทคกันได้ถึงขนาดน๊านนนไง



“อ่ะ งื่ออออออ” พอตั้งใจจะกดรับ สายก็ตัดไปเสียก่อน ไม่น่าเลยกูไม่น่าเพ้อเจ้อนานเลยไอ้ทะเล แล้วเอาไงทีนี้โทรกลับไปดีหรือว่าไม่ดีว่ะ



เอาไง เอาไง



โทรไหม หรือ รอดี





“อ๊ะ” ขณะที่สมองกำลังประมวลผลตีกันไปตีกันมา เจ้าลูกชายก็ร้องออกมาอีกที



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



“ฮัลโหล” ไม่รอแล้วครับคราวนี้ กดรับทันที กลัวพี่มันวางอีก ไม่พอแค่นั้นไม่รับสายมันถ้าเจอหน้ากันอาจโดนด่าตายห่าได้



[หูมึงหนวกหรอกูโทรไปไม่รับ ต้องให้โทรซ้ำรอบสอง] นั้นไงคิดผิดที่ไหนกัน พอรับก็สรรเสริญกันแต่เช้าเลย



เลไม่ได้หูหนวกเว้ยพี่ปลาย แค่กำลังอายลมอายอากาศอยู่ไม่รู้หรอ?



“ง่ะ”



[ทำเสียงไรของมึงเตี้ย]



“ไม่ได้ชื่อเตี้ยเว้ย เรียกอยู่ได้ไอ้พี่ปลาย” ผมตอบกลับทันควัน หงุดหงิดใจจริง ๆ ตัวเล็กกว่าแค่นี้ทำมาเรียกตงเรียกเตี้ย ทีพี่มึงตัวสูง เลยังไม่เรียกไอ้สูงเลยนะเว้ย ฮึ่ย ๆ ๆ



[กูจะเรียกมีปัญหาไหม]



“ไม่” ตอบด้วยน้ำเสียมั่นใจเต็มที่ ประหนึ่งครูเรียกเช็คชื่อหน้าชั้นตอนสมัยเรียน สมองก็ไม่ต้องใช้เลยแม่แต่เศษเสี้ยวความคิด ใครจะกล้าไปมีปัญหากับพี่มันเล่า ปัญหาเรื่องเดียวที่อยากมีกับพี่คงเป็น ปัญหาที่หัวใจนี่แหละครับ



[เออดี ลงมาไวๆกูรอนานละ]



“ห๊ะ!!! ว่าไงนะ” จริง ๆ ก็ได้ยินชัดแหละครับ แค่ไม่คิดว่าพี่ปลายจะมารับแค่นั้นเอง



[ให้เวลาสองนาที ลงมาช้ากูไม่รอนะ]



“อ่ะ ๆ ๆ ไปแล้ว ๆ” ตาเหลือกสิครับคราวนี้ วิ่งที่ขาแถบขวิด กูอยู่ชั้น 25 นะพี่มึงลืมหรือเปล่า เวลาแค่ 2 นาทีมันจะทันหรือไงเล่า



ห้า



สี่



สาม



สอง



หนึ่ง



“อ๊ากกกกกกกกกกกกมาแล้ว”



แฮ่กๆ ๆ เกือบไม่ทันแล้วเนี่ย โชคดีที่ลิฟต์มันจอดอยู่ชั้นผมพอดี อยากจะกราบงาม ๆ เพื่อนร่วมชั้นสักที คนที่เพิ่งใช้ลิพต์ก่อนหน้าผม ไม่งั้นไอ้เลคนนี้อาจจะได้กระโดดออกทางระเบียงคอนโดลงมาชั้นล่างเป็นแน่



แต่ถ้าจะโดดจริง ๆ ผมไม่ได้กลัวตายนะครับ กลัวทับรถคนอื่นเค้าพังต่างหาก



แฮะ ๆ ไม่มีตังซ่อมให้เค้าอ่า



“หอบเป็นหมาเลยนะมึง แล้วนี่มึงวิ่งทำไม”



“อ้าวววว” สะบัดบ๊อบใส่ไปหนึ่งที



ยังนะ พี่ปลาย ยังนะ ยังมาถามอีกหรอกว่าเลวิ่งทำไม แล้วใครมันบอกว่าให้เวลาแค่สองนาทีหละว่ะ



ผมได้แต่ส่งสายตาอาฆาตแค้นไปให้ตัวต้นเรื่อง ที่มองมาที่ผมอย่างขบขัน ทำได้แค่คิดบ่นอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกมา และเหมือนคนโดนบ่นทางสายตาก็จะพอรู้ตัว



“ด่ากูในใจหรอเล”



“ป๊าวววว” เสียงสูงมากบอกเลย สูงกว่าตึกคอนโด 37 ชั้นที่พักอยู่อีก ยิ่งโดนสายตาดุ ๆ ที่มองจ้องมาแบบนี้ใครมันจะกล้ายอมรับว่ะเนี่ย ถ้าบอกว่าใช่แล้วโดนพี่มันเอาหมวกกันน๊อคทุบหัวจนเห็นดาวใครจะช่วยเลหล๊า



“กูเชื่อมาก จะไปทำงานได้ยัง”



“นี่ ๆ มารับเลหรอ” ผมมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างรู้ทัน ยกนิ้วชี้จิ้มแขนคนตรงหน้าไปสองสามจึ๊ก เลยโดนมองแรงกลับมาหนึ่งที



แหม๋ ๆ ทำเป็นไม่พูด อย่าคิดว่าคนอย่างไอ้ทะเลจะพลาดไม่ถามนะ หึหึ ไม่มีทางหร๊อกกกก



“กูมาเดินเล่นมั้ง” จ้าาาาาาา เล เชื่อมากเลย พาควายมาเดินหรอว่ะ ไอ้ที่เห็นดำ ๆ อยู่เนี่ยควายใช่ไหมไม่ใช่มอ’ไซด์



“เดินเล่นไกล๊ไกล”



“หรือมึงอยากเดินไปทำงานเองดูว่าจะไกลไหม”



“อุ้ย!! ไม่คร๊าบ” พี่ปลายหันมามองหน้าผมก่อนจะแสยะยิ้มน้อย ๆ เล่นเอาไอ้เลคนนี้สะดุ้งเฮือก



“หึหึ” คนถือไผ่เหนือกว่าหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนผมก็ทำได้แค่รับหมวกกันน๊อคมาสวมก่อนจะปีนขึ้นรถตามไปอย่างสงบเสงี่ยม กลัวว่าพี่มันจะปล่อยให้เดินไปทำงานจริง ๆ



แต่ก็หุบยิ้มไม่ได้เลยเนี่ย พี่ปลายมารับเค้าด้วยอ่ะแกรรรร



คนบ้า!!









พี่ปลายขับรถออกมาจนเกือบถึงที่ทำงานของผม ก็พาจอดที่ศูนย์อาหารแห่งหนึ่ง โชคดีที่ตรงนี้มีที่ให้จอดรถมอเตอร์ไซด์ได้ พวกเราเลยจอดรถเอาไว้ข้างหน้า แล้วก็พากันเดินเข้าไปข้างใน ภายในศูนย์อาหารมีร้านค้าเรียงรายกันเป็นสิบร้าน ผมเดินตามหลังพี่ปลายไปเรื่อย ๆ ไม่กล้ามองร้านไหนนาน ๆ ทำแค่เดินตามไปเรื่อย ๆ พอพี่ปลายหยุดผมก็หยุด พอพี่ปลายเดินต่อผมก็เดินตาม



“จะกินอะไร”



“เอ่อ...พี่ถามเลหรอ”



“อ้าวมึงนี่ยังไง กูถามพัดลมนั้นมั่ง” พี่ปลายพูดไม่พอยังทำท่าพยักหน้าไปทางพัดลมที่แขวนอยู่ที่ผนัง พอผมหันไปมองตาม ไอ้เจ้าพัดลมมันก็ส่ายหน้าไปมาใส่ผมเลยอ่ะ



“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ เลไม่ได้มองเลย”



“เอ้าไอ้นี่ กูพาเดินมาจนจะสุดทางแล้วเนี่ย มึงไม่ได้มองร้านไหนเลยหรือไงว่ะ แล้วที่มึงเดินตามกูมาเนี่ยมึงมองอะไรว่ะเตี้ย” โอ้โหมาเป็นชุดเลยจ้า ปกติเห็นพูดน้อย พอบทจะพูดก็เล่นเอาซะยาวเลยนะ



“เลก็เดินตามพี่ปลายไง”



“แล้วทำไมมึงไม่มองร้านที่เดินผ่านมาบ้าง” พี่ปลายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในสิ่งที่ผมกำลังเป็น



“ก็...”



“ก็อะไร พูดมาไวไวมึงจะอ้ำอึ้งทำไม จะสายแล้วเนี่ย” คนใจร้อนจ้องหน้าผมด้วยความหงุดหงิด คงจะรำคานเต็มที ที่ผมไม่ยอมตอบสักที



“ก็กลัวมองแล้วพี่ปลายซื้อทุกร้านเหมือนวันนั้นง่ะ”



“ไอ้หมาเตี้ย มึงนี่คิดได้นะ” พอฟังคำตอบผมพี่ปลายก็ยกมือขึ้นมาวางบนหัวผมขยี้เบา ๆ หนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ หน้าหล่อยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ



“แฮะ ๆ”



“ทีแรกกูจะรอมึงเลือก แต่ถ้ามึงยังเลือกไม่ได้กูจะซื้อทุกร้านเลย แล้วถ้ามึงกินไม่หมดกูจะเขกหัวมึง”



“เอ้ยยย ไม่เอานะเว้ยเจ็บ” ผมรีบมองซ้ายมองขาวตาลีตาเหลือก เอาไงดีว่ะเนี่ยกู ต้องเลือกสักอย่างแล้วเว้ยยยยย



“ได้ยังเตี้ย”



“ใจเย็นดิว๊ะ” ผมหันไปค้อนคนตัวโตไปหนึ่งที คนก็รีบอยู่ยังมาเร่งกันอีก ใจเย็น ๆ ไม่เป็นหรือไง



“เร็ว ๆ เลย”



“เดี๋ยวเด่” เร่งอีกแล้วเร่งเลจังนะพี่ปลาย คราวนี้ไม่มีเวลาหันไปส่งค้อนแล้วครับ ต้องรีบหาอะไรที่อยากกินให้ไวที่สุด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมต้องกลัวด้วยก็แค่ซื้อทุกร้านเองง สิบกว่าอย่างเองงงจ้า กินวันนี้อาจจะอิ่มไปยันชาติหน้าเลยนะเว้ย



“หนึ่ง!”



“อ๊าก ข้าวมันไก่” สิ้นคิดมากตอนนี้ ไม่ได้อยากกินเลยข้าวมันไก่ แต่หันไปเห็นพอดีตอนพี่มันนับหนึ่ง ด้วยความตกใจเลยตอบทันควัน เอาก็เอาว่ะ กินให้เก๊าแดกขามึงไปเลยไอ้เล



“อื้ม” พี่ปลายเดินไปร้านเป้าหมายทันทีที่ผมพูดจบ ทิ้งให้ผมยืนอยู่กับพัดลมตัวเดิม ดูดิครับมันยังไม่เลิกส่ายหน้าให้ผมเลย

ไอ้พัดลมบ้า!! หรือที่บ้านี่กูกันแน่









พี่ปลายจอดรถที่หน้าโรงแรมเมื่อขับรถมาถึง จริง ๆ ผมบอกว่าให้ไปจอดที่ในโครงการก่อสร้างที่เจ้าตัวทำงานอยู่ก็ได้ เดี๋ยวผมเดินออกมาเองเพราะมันไม่ได้ไกลเลย แต่พี่ปลายก็ยังยืนยันที่จะส่งผมที่หน้าโรงแรมก่อน



‘ไม่ได้คิดไปประกาศตัวว่าจองพี่มันเลยนะเว้ย ไม่ได้คิดเล๊ยยยยยยยยยย จริ๊งงง



ผมก้าวขาปีนลงจากรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ เตรียมจะถอดหมวกกันน๊อคส่งคืนให้เจ้าของที่จอดรถรออยู่



“มานี่กูถอดให้”



“ไม่เป็นไรเลถอดได้ อ่ะ” พี่ปลายไม่ฟังคำของผมเลยสักนิด พี่แกเล่นตั้งขาตั้งรถแล้วก้าวขาออกมาทันที จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปใกล้ ๆ จับให้เงยหน้าขึ้นไปหาเจ้าตัวเล็กน้อย ส่วนหน้าพี่ปลายก็ก้มลงมา ลมหายใจอุ่น ๆ รดลงมาโดนที่แก้มของผมเบา ๆ สายตาของเราประสานกัน เล่นเอาหัวใจผมนี่เต้นตุบ ๆ เผลอกั้นหายใจเสียอย่างนั้น



“มึงเลิกห้าโมงใช่ไหม”



“คะ...ครับ” เสียงทุ้มถามผมในขณะที่มือก็ทำการปลดล๊อคหมวกกันน๊อคอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันปลดยากมากนักหรือยังไง ทำไมถึงปลดไม่ออกเสียที กั้นหายใจจนจะตายแล้วนะเว้ย



“วันนี้กูอาจจะเลิกช้า มึงกลับเองได้ไหม?”



“ดะ...ได้ครับ” ผมยังตอบเสียงตกร่องอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ตัวผมเองเป็นคนที่คอยวิ่งตามพี่ปลายตั้งใจว่าจะจีบพี่มัน แต่ทำไมตอนนี้เหมือนพี่มันจะจีบผมมากกว่าหล่ะเนี่ย



ยิ่งพี่มันทำแบบนี้ให้ก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ หัวใจมันเต้นแรงไม่เลิกสักทีเวลาพี่ปลายมาอยู่ใกล้ ๆ







“อ้าวเล เพิ่งมาทำงานหรอครับ”



“สวัสดีครับคุณแทน ผมเพิ่งมาถึงนะครับ” เสียงทักทายของคนที่เพิ่งเดินมาทำให้ผมรีบหันไปมองทันที คุณแทนในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอมยี่ห้อแพงสีดำ หยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากเราสองคนเท่าไหร่นัก เม็ดเหงื่อน้อย ๆ บนใบหน้าพอจะทำให้เดาได้ว่าคุณแทนคงเพิ่งไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะตรงแยกใกล้ ๆนี้มาแน่



“แต่งตัวแบบนี้มาเดินเล่นมั่ง” ง่ะ ผมรีบหันกลับไปมองทันทีที่ได้ยินคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น ถึงแม้จะพูดเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเองแต่ก็พอให้ได้ยินอยู่ ไม่พูดป่าวหน้าคมแสดงออกถึงความไม่พอใจอะไรสักอย่างเสียอย่างนั้น



“ไม่ทราบว่าพูดกับผมหรือเปล่าครับ” คุณแทนที่คงจะพอได้ยินที่พี่ปลายพูดก็มองไปที่พี่ปลายพร้อมกับส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร(มั่ง)ไปให้ ผมที่ยืนมองสถานการณ์ก็เริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาเมื่อพี่ปลายเริ่มแสยะยิ้มตอบกลับ ผมยกมือจับแขนพี่ปลายกระตุกเบา ๆ เพื่อเรียกให้อีกคนมองมาที่ผม



“เอ่อ...พี่ปลายเลไปทำงานก่อนนะจะสายแล้ว”



“เข้าไปพร้อมกันเลยไหมครับเล” คุณแทนหันกลับมามองผมด้วยรอยยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยถามขึ้น



“คะ...ครับ ไปครับคุณแทน”



“งั้นไปกันครับ” ขณะที่ผมกับคุณแทนกำลังจะก้าวเท้าออกจากตรงนี้ เสียงของคนข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง



“เข้าไปคนเดียวไม่เป็นไงว่ะ”



“เป็นครับแต่อยากเข้าไปพร้อมเลมากกว่า” คงเพราะครั้งนี้พี่ปลายพูดดังกว่าเดิม คุณแทนเลยหันกลับมาตอบทันทีเมื่อรู้แล้วว่าพี่ปลายพูดกับเจ้าตัว ไม่พอเท่านั้นคุณแทนผู้นึกสนุกอะไรขึ้นมาไม่รู้เดินมาใกล้ผมมากขึ้นแล้ววางมือไว้บนไหล่แบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว



ชิบหายแล้วกู



ผมสบถกับตัวเองในใจเมื่อได้ยินเสียถอนหายใจของคนที่มาส่ง



“พี่ปลายไปทำงานได้แล้ว ไปกันครับคุณแทน”



“ครับเล ลานะครับ” คุณแทนผู้อัธยาศัยดีเกินเบอร์ก็หันไปส่งยิ้มที่ผมมองว่ากวนบาทามากให้กับพี่ปลายอีกครั้ง



“เตี้ยเดี๋ยวกูมารับตอนเย็น”

เมื่อกี้ยังบอกว่าจะกลับเย็นอยู่เลย ไหงเปลี่ยนใจไวเบอร์นี้ไม่รู้ จนอดที่จะถามกลับไม่ได้



“อ้าวไหน...”



“อย่าถามมาก” แม้พี่ปลายจะพูดกับผมแต่สายตากับจ้องมองไปที่คุณแทนอย่างไม่มีใครยอมใคร



“ถ้าคุณปลายไม่ว่าง ผมไปส่งแทนก็ได้นะครับ”



“ขอบคุณครับแต่ไม่รบกวนดีกว่า”

 คำพูดดูเพราะพริ้งแต่แววตาและน้ำเสียงของทั้งสองคนเหมือนคนที่กำลังจะกระโดดงับคอกันเสียอย่างนั้น ส่วนเลนะหรอ ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกละครน้ำเน่าอยู่เลย



‘ไม่ต้องแย่งกันจ้ะ ได้ทุกคน



ได้ไปส่งบ้านนะ อ่ะ อ่ะ อย่าคิดลึกสิ๊



“ไม่รบกวนหรอกครับผมยินดี”



“แต่...”



“พี่ปลายไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวเลรอ เจอกันตอนเย็นนะ แล้วคุณแทนไปจะไหมครับ ไม่ไปผมไปก่อนนะครับจะสายแล้ว”

ผมที่เริ่มรำคานสองคนนี้ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียเลย ไม่ห้ามหรอกแต่ถ้าอยากจะจ้องตากันจนท้องก็จ้องกันไปสองคนเลยเว้ย เลจะสายแล้วเนี่ยไม่ว่างมาเล่นด้วยหรอกนะ





พูดจบผมก็เดินออกมาเลย ไม่ได้หันไปมองคนสองคนว่าได้คุยอะไรกันต่อไหม แต่คิดว่าน่าจะไม่ได้คุยเพราะพอผมเดินออกมาคุณแทนก็เดินตามมาติด ๆ และไม่ถึงนาทีเสียงรถพี่ปลายก็ขับออกไป



วุ่นวายกันชะมัดเลยพวกนี้



อยากจะบอกเลยว่าไม่ต้องไปส่งก็ได้ โตแล้วกลับบ้านเองได้ไง เข้าใจป่ะว่ะ



ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ นะเนี่ย โสดอยู่ตั้งนานไม่เห็นมีใครมาจีบ พอมีคนที่สนใจขึ้นมาปุ๊บ ไอ้คุณแทนที่เจอกันมาเป็นปี ๆ ก็มาแสดงตัวว่าชอบขึ้นมาปั๊บเลย ลำไยมากบอกตรง



คนน่ารักเพลีย









ผมเข้าไปเปลี่ยนชุดหลังจากได้เวลาเลิกงาน ตั้งใจจะเดินออกมานั่งรอพี่ปลายตามที่ได้บอกกันไว้ ไม่แน่ใจว่าพี่เค้าจะเลิกงานหรือยัง เพราะทีแรกบอกว่าจะเลิกงานช้า แต่ก็เปลี่ยนใจว่าจะไปส่ง เลยคิดว่าบางทีพี่ปลายอาจจะลงมาช้าก็ได้ แต่พอเดินออกมาถึงหน้าโรงแรมก็รู้เลยว่า ผมคิดผิด



“มาไวจังครับ”



“อือ” พี่ปลายที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีดำพิงรถคันเก่งตอบรับผมเบา ๆ ก่อนจะหันไปหยิบเอาหมวกกันน๊อคส่งมาให้ แต่ผมเองก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะถามเรื่องงานของอีกคน กลัวว่าจะไปรบกวนทำงานของพี่เค้า



“งานเสร็จแล้วหรอพี่ปลาย”



“ยัง”



“อ้าว! แล้วทำไมไม่ทำให้เสร็จก่อน” คำตอบสั้น ๆ ของพี่ปลายทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรให้พี่เค้าไปส่งดีหรือเปล่า แต่พอฟังสิ่งที่อีกคนพูดก็เล่นเอ้ายิ้มออกเลย



“เดี๋ยวหมาโดนขโมย”



“อ่ะ หื้อออ? หมาที่ว่านี่หมายถึง เล ป่ะเนี่ย” ผมส่งสายตาออดอ้อนไปให้อีกคนทันที คนโดนมองก็เหมือนจะทำหน้าไม่ถูก รีบหยิบหมวกกันน๊อคตัวเองที่วางอยู่บนเบาะรถมาสวมก่อนจะพูดกับผมเสียงนิ่ง ๆ



“ขึ้นรถได้แล้วถามเยอะ”



“คร๊าบบบบ ไปแล้วคร๊าบเจ้านาย”

 ไหน ๆ ก็โดนเรียกเป็นหมาละ พี่ปลายก็ต้องเป็นเจ้าของเลนะเว้ยยยย



-------------------------------

#ที่ปลายทะเล

พี่ปลายอ่ะขี้หวงมากบอกเลย

พ่อแม่ไฟเขียวแล้วไง เล่นใหญ่เลยนะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค๊า วันนี้มาน้อย ๆ แต่มาแล้วน๊า

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 10 มากขึ้นและมากขึ้น
«ตอบ #13 เมื่อ14-01-2020 08:41:18 »

ตอนที่ 10 มากขึ้นและมากขึ้น


ตอนที่ 10 มากขึ้นและมากขึ้น

 

In LAY : Johney Johney

Johney H : Yes Papa

In LAY : Eating sugar

Johney H : No Papa

In LAY : 55555 ยังจะเล่นตามอีกนะจอน

In LAY : วันนี้เลิกกี่โมง เราไม่ได้ขึ้นไปหาเลย

Johney H : เลิกงานแล้ว ตอนนี้อยู่ห้องครับ

In LAY : อาทิตย์นี้จอนได้หยุดวันไหนหรอ

 

In LAY : คือเลอยากไปเที่ยวแล้วไอ้สองคนนั้นมันก็อยากเหมือนกัน เลยมาถามจอนว่าได้หยุดวันไหน ของเลวันเสาร์

Johney H : งั้นก็นัดกันเลย เดี๋ยวเราแลกวันกับเพื่อนเอา

In LAY : ได้หรอ ถ้าไม่สะดวกก็ค่อยไปคราวหน้าก็ได้

Johney H : ได้ดิ เราก็อยากไปเหมือนกัน นัดเลย

In LAY : งั้นเป็นเย็นวันศุกร์นี้นะ

Johney H : โอเคครับ

 

ผมส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ด้วยกัน แต่ว่าวันนี้ทั้งวัน ยังไม่เจอหน้ากันเลย ด้วยเพราะเราสองคนทำอยู่คนละชั้น เลยทำให้บางวันแทบไม่ได้เจอกัน

 

ก็เหมือนวันนี้แหละครับ ผมเองก็ยุ่ง ๆ กับลูกค้าทัวร์ที่เข้ามากันถึงสามคันรถ เลยไม่มีเวลาขึ้นไปทักทายเพื่อนรัก และคิดว่าจอนเองก็คงจะวุ่นวายไม่ต่างกัน

 

เมื่อวานนี้ผมได้คุยกับไอ้กายกับไอ้บิว พวกมันสองตัวเปย ๆ ว่าอยากจะไปสังสรรค์กันเสียหน่อย เพราะไม่ได้ไปด้วยกันมาจะเดือนแล้ว ผมเลยรับหน้าที่มาถามเพื่อนสนิทที่ทำงานด้วยกันให้ จากทีแรกว่าจะไปหาแล้วถามกับเจ้าตัวเลย แต่เพราะงานยุ่งมากประจวบกับวันนี้พี่ปลายบอกเอาไว้ว่าตอนเย็นจะมาส่งเลยไม่มีโอกาสขึ้นไปบอกเพื่อน ผมเลยเลือกที่จะส่งข้อความไปหาแทนการโทรฯ เพราะไม่แน่ใจว่าเพื่อนเลิกงานแล้วหรือยัง

 

เมื่อเย็นหลังจากพี่ปลายมารับที่หน้าโรงแรม พี่แกก็พาไปแวะกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารใกล้ ๆ คอนโด แล้วขับรถมาส่ง ก่อนจะกลับก็บอกกับผมว่าเจ้าตัวจะกลับไปทำงานต่อ เล่นเอาผมแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไปรบกวนเวลาทำงานของพี่เค้า

 

“พี่ปลาย คราวหน้าถ้าทำงานยังไม่เสร็จก็ไม่ต้องมาส่งเลก็ได้นะ มันเสียเวลา” หลังจากยื่นหมวกกันน๊อคคืนให้คนตัวโตเก็บแล้ว ผมก็บอกอีกคนทันทีกลัวว่าพี่ปลายจะออกรถไปเสียก่อน และพอพี่ปลายฟังที่ผมพูดจบพี่แกก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

 

“ทำไม?”

 

“ไม่ทำไม เลก็แค่เกรงใจ” ผมตอบตามความจริงที่ผมคิด ก็แค่เกรงใจพี่มันนั้นแหละ ระยะทางจากคอนโดผมกับที่ทำงานก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้ ๆ เสียหน่อย ขับไปขับมาก็กินเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ยิ่งเมื่อกี้ก็แวะกินข้าวอีก ไม่รู้ว่าถ้าพี่ปลายกลับไปเข้างานช้าจะโดนว่าเอาหรือเปล่า

 

เวลาการทำงานที่โรงแรมของผมมันฟิกตายตัว ทุกคนจะต้องมาทำงานตรงเวลา แต่ถ้าหากว่ามีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ก็ต้องโทรฯแจ้งผู้จัดการหรือเพื่อนร่วมงานอันนั้นก็พออนุโลมได้ แต่การที่พี่ปลายขับรถมาส่งผมกลับบ้านมันไม่น่าจะเป็นข้ออ้างให้เข้างานสายได้นี่ จริงไหม???

 

หรือว่าได้หว่า แบบ ไปส่งแฟนไรเงี่ยยยยอ่ะ

 

เพ้อเจ้อจังทะเลอ่ะ แกรไปเป็นแฟนพี่เค้าเมื่อไหร่กัน

 

“เกรงใจหรือมึงจะให้ใครมาส่ง” พี่ปลายถอดหมวกกันน๊อคออกก่อนจะถามผมด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ผมเองที่กำลังคิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ก็ถึงกลับหลุดออกจากความคิดอย่างรวดเร็ว หน้าหล่อมองมาที่ผมด้วยสายตาดุ ๆ

 

“เอ้ย ไม่ใช่สักหน่อย เลกลับเองได้นะ”

 

“มึงแน่ใจว่ามึงจะได้กลับเอง” นี่บอกว่ากลับเองได้เว้ย ฟังเข้าใจไหมเนี่ยยยยย

 

“แน่ใจดิ ปกติก็กลับเองป่ะ”

 

“อื้อ แล้วมันปกติไหมหล่ะ” ตาคมมองมาที่ผมด้วยความหงุดหงิดขั้นสุด ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรที่มันไม่ปกติ ชีวิตตอนนี้มันก็ปกติดีนี่หว่า ที่แปลก ๆ ไปบ้างเล็กน้อยก็ตรงที่พี่ปลายมารับมาส่งนี้แหละ ถ้าทำแบบนี้บ่อย ๆ ไอ้เลคนนี้จะไม่รู้จักบีทีเอสแล้วน่ะบอกเลย

 

ลาก่อนนนน บีทีเอสสส

 

“ก็ปกตินะ ทำไมอ่ะพี่ปลาย”

 

“นี่มึงไม่รู้หรือแกล้งโง่” คนตัวโตเริ่มมีน้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม จ้องมองมาที่ผมด้วยความไม่พอใจนักที่ผมยังคงทำหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน เอาจริง ๆ ผมก็พอจะเข้าใจว่าพี่ปลายหมายถึงอะไร แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องดีกว่า ไม่อยากเข้าข้างตัวเองมากไปกว่านี้ เพียงเพราะพี่มันทำดีด้วย หยอดด้วยคำพูดห้วน ๆ ผมก็ยังไม่ได้แน่ใจว่าพี่มันคิดอะไรกับผมบ้างไหม หรือว่าแค่เล่นสนุก ๆ กันแน่

 

“เอ้าอะไรเนี่ย ด่าเลอีกแล้ว”

 

“เออ ๆ ช่างแม่งเหอะ เข้าไปเลยมึง แล้วอย่าออกมาเพ่นพ่านให้ใครจูงขึ้นรถไปหล่ะ”

 

“อะไรเล่า เล คนนะเว้ย ไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้นด้วย” ผมตอบคนที่เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ส่งตาค้อนไปให้คนตัวโตที่ยังจ้องมองผมด้วยความหงุดหงิด

 

ชอบว่าเลเป็นหมาอยู่เรื่อยเลยนะไอ้พี่ปลาย

 

หรือมันยังไม่ได้ว่าว่ะ กูร้อนตัวไปเองหรือเปลาเนี่ย

 

“ไปดิ ยืนรอเห่าเครื่องบินไง กูจะได้ไปทำงาน” นั้นไงชัดเจน มันคงไม่หาว่าผมเป็นกระต่ายหรอกครับ ที่เห่าได้นอกจากหมาก็คงจะเป็นงูหล่ะม๊างงง

 

เออ หรือกูจะเป็นงูเห่าดีว่ะ

 

หยึ่ย ไม่เอาอ๊า เลกลัว

 

“พี่ปลายก็ไปดิ เลไม่ได้เกาะขาไว้สักหน่อย” ผมย่นจมูกให้คนตรงหน้าพร้อมทั้งสะบัดมือไปมาสองทีเพื่อบอกให้อีกคนไปก่อน

 

“มึงจะไปไหม หรือจะให้กูอุ้มเข้าไป”

 

“ได้หรอ เอาสิ มา ๆ” ผมทำท่ากางแขนสองข้างออกเพื่อล้อเลียนคนพูดว่าจะอุ้ม แต่ต้องหน้าเหว่อรีบก้าวถอยหลังหนีมาสามก้าวด้วยความไวแสง “เฮ้ยยยย ไม่เอาเลล้อเล่น เลไปเองได้ ” เพราะพี่ปลายดันทำท่าจะลุกขึ้นออกจากรถมาจริง ๆนะสิ แล้วพอพี่มันเห็นหน้าผมแบบนั้น พี่แกก็กระตุกยิ้มมุมปากไปทีด้วยความสะใจที่แกล้งผมได้

 

เออ ฝากเอาไว่ก่อนนะเว้ยยยย อย่าให้ไอ้ทะเลได้เอาคืน

 

“ไปเองได้ มึงก็ไปสักที”

 

“พี่ปลายก็ไปดิ” ผมยังคงดื้อตาใส พยักเพยิดหน้าให้อีกคนออกไปก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะพี่ปลายไม่ไปตามที่ผมบอก พี่แกยังจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น จากที่ตอนแรกว่าจะไม่เขินเสียหน่อยเพราะตาที่มองผมมามันดุ แต่พอจ้องตาคมสักพัก สายตาก็เปลี่ยนเป็นไปซะอย่างนั้น ทำเอาผมถึงกับหน้าร้อน ต้องรีบหันหน้าตามองฟ้ามองตึกทางอื่นแทน

 

หัวใจเต้นแรง หน้าแดงอีกแล้วแน่เลย

 

“กูรอมึงขึ้นไปเนี่ย เข้าใจยากตรงไหนว่ะ” ผมมองหน้าคนตัวโตด้วยอาการอึ้งไปสองวิ คิดในใจกับตัวเองว่า

 

นี้หรอโมเม้น รอให้ตัวเองขึ้นไปก่อนแล้วเค้าค่อยไป มันดีมากอ่ะ หัวใจพองเลย

 

แล้วพอตั้งสติตัวเองได้ เลยแกล้งหยอกอีกคนด้วยการชี้นิ้วชี้ ส่ายไปส่ายมาทำเสียงล้อเลียนจนเกือบโดนถีบหงายท้อง โชคดีที่ยื่นอยู่ห่างไม่งั้นไอ้เลคนนี้ได้นอนนับดาวแน่นอนคอนเฟิร์ม

 

“ฮั่นแน่~ เป็นห่วงเค้าหล่ะซี๊ตัวเองงงงง”

 

“ไอ้ทะเล!” สะดุ้งเฮือกกันเลยทีเดียว ก็แค่โดนเรียกชื่อเล่นเต็ม ๆ ด้วยเสียงดัง พร้อมกับใบหน้าอยากถีบเสียเต็มประดา นี่ไม่ได้กลัวนะเว้ยก็แค่....

 

ฮื่อ...แค่อะไรดีว่ะ คิดไม่ออก

 

“คร๊าบไปแล้วคร๊าบเจ้านาย ผมจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่หนีออกมาเดินให้ใครจูงไปแน่นอนครับ”

 

“เออ” ผมยกมือขึ้นทำท่าตะแบะพร้อมส่งยิ้มหวานไปให้พี่ปลาย ผมแอบเห็นนะว่าพี่ปลายยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากด้วยอ่ะ ก่อนที่จะเก๊กขรึมยกหมวกกันน๊อคมาสวม เตรียมจะขับรถออกไปเมื่อเห็นว่าผมยอมเดินจะเข้าไปในคอนโด แต่ก่อนจะถึงหน้าประตูกระจกไอ้ทะเลคนนี้ก็หันกลับไปหาคนเป็นพี่ที่ยังมองมาทางผมอยู่ แล้วยกมือโบกไปมาประหนึ่งว่ากำลังประกวดนางงาม โชคดีหันกลับมามองทางทันพอดี เกือบเดินชนกระจกดั้งหักแล้วไหมล่ะมึง

 

 

--------------------------



 

เช้าวันใหม่มาถึงอีกแล้ว เมื่อคืนก่อนนอนเวลาน่าจะเกือบเที่ยงคืนได้พี่ปลายก็ส่งข้อความมาบอกกับผมว่าถึงบ้านแล้ว ผมที่กำลังจะเข้านอนหลังจากดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะรออีกคนกลับบ้านหรืออะไรแบบนั้นหรอก เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้มีสิทธิมีเสียงอะไรมากมายที่จะโทรฯไปถามว่าพี่เค้ากลับถึงบ้านหรือยังอะไรแบบนั้น แต่พออีกคนส่งข้อความมาบอก

 

Plai EN : ถึงบ้านละ 23.56

 

ข้อความสั้น ๆ ที่เหมือนกับครั้งก่อนที่พี่ปลายเคยส่งมาบอกกับผม ยอมรับเลยว่าโคตรรู้สึกดี มันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นต้องขอให้อีกคนทำ แต่พี่ปลายก็มักจะทำเองโดยไม่ทันคาดคิด

 

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ผมนัดกับเพื่อนเอาไว้ว่าเย็นนี้จะออกไปเที่ยวด้วยกันที่ร้านเดิม ร้านที่เคยเจอพี่ปลายแถว ๆ ห้องน้ำนั้นแหละ

 

ผมเดินออกจากห้องหลังจัดการล๊อคประตูเรียบร้อยแล้ว ลงลิฟต์มาที่ชั้นล่างของคอนโด

 

วันนี้คนตัวโตไม่ได้โทรฯมาตามให้รีบลงไป เลยคิดว่าวันนี้พี่ปลายคงไม่ได้แวะมารับ แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรที่อีกคนไม่มารับหรอกครับ เพราะปกติก็ไปทำงานเองอยู่แล้ว คิดเสียว่าวันไหนที่พี่ปลายมารับก็เป็นกำไรชีวิตไป

 

“อ้าว มาได้ไง เอ้ยยย มาด้วยหรอวันนี้ไม่เห็นบอกเลเลย”

ผมตกเล็กน้อยเมื่อเดินออกจากประตูกระจกหน้าคอนโดแล้วเจอกับพี่ปลายที่ยืนท่าประจำรออยู่ เกือบถามอีกคนด้วยคำถามโง่ ๆ เหมือนเมื่อวาน แต่เอาจริง ๆ ที่ถามไปก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่นักหรอกเลรู้ดี

 

“ช้านะมึง”

 

“มานานแล้วหรอครับ ทำไมพี่ปลายไม่ไลน์บอกเล เลจะได้รีบลงมา นี่นึกว่าวันนี้พี่ไม่ได้มาเลเลยไม่ได้รีบ” ตรรกะผมแปลก ๆ ว่าไหมครับ มีคนมารับนี่ต้องรีบ แต่ไปเองผมกลับไม่รีบ งงใจตัวเองเหมือนกัน

 

แต่คือที่ผมบอกแบบนั้นเพราะเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปเองผมรู้อยู่แล้วว่ามันประมาณเท่าไหร่ ผมเลยมีเวลาออกจากห้องที่แน่นอน แต่เวลาที่พี่ปลายมารับแล้วผมบอกว่าจะรีบลงมาไม่ใช่เพราะว่าไปกับพี่ปลายแล้วถึงช้านะครับ ถ้าพี่ปลายขับรถจากห้องไปส่งผมที่ทำงานเลยไม่แวะไหน ยังไงก็ถึงไวกว่านั่งรถไฟฟ้าและเดินต่อไปที่ทำงานเองอยู่แล้ว แต่ที่ต้องพูดไปแบบนั้นเพราะว่าเกรงใจพี่เค้าที่ต้องมารอเท่านั้นแหละ

 

อธิบายซะยาวเลยนะเนี่ยเรื่องแค่นี้

 

“ไลน์ทำไมเดี๋ยวมึงก็ลงมาอยูดี เขยิบมานี่” พี่ปลายตอบกลับมาก่อนจะหันไปหยิบเอาหมวกกันน๊อค แล้วดึงแขนผมให้ผมเขยิบเข้าไปใกล้ตัวเองมากขึ้น จัดการสวมหมวกให้ ผมที่มั่วแต่สงสัยอยากรู้เรื่องที่อีกคนมารอ เลยไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่อีกคนทำให้

 

“อ้าว ถ้าเลออกไปแล้วหล่ะ”

 

“กูก็แค่ไปทำงาน ไม่เห็นจะยากเลย”

 

ขณะที่ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อจะถามอีกคนด้วยความแปลกใจกับคำตอบ ทำให้ตาของเราสบกันพอดี หัวใจน้อย ๆ ของผมก็เริ่มทำงานหนักอีกครั้ง มันเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งพอได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อน ๆ ที่พี่ปลายใช้ ความรู้สึกผ่าวร้อนก็ลามไปทั่วใบหน้า ตอนนี้มันใกล้มากจริง ๆ และหน้าของผมคงจะแดงขึ้นแน่ ๆ ผมรีบก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของคนที่มองมา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสะดุด

 

“งะ...ง่าย ๆ แบบนั้นเลย”

 

“อื้อ หรือมึงชอบยาก ๆ”

 

“เฮ้ยยย!”

อยู่ ๆ อีกคนก็โอบรอบเอวแล้วดึงตัวผมเข้าไปจนชิด หน้าผมแทบฝังลงบนอกกว้าง ทำให้ผมต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ

 

“หนวกหูเตี้ย มึงจะร้องทำไม”

 

“ก็พี่ปลายทำอะไรเนี่ยปล่อยเลเลย” ผมดันตัวออกจากคนตัวโต พี่ปลายเลยดันหัวผมแรง ๆ หนึ่งที แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามือของพี่ปลายสัมผัสกับหัวของผม ทำให้ต้องยกมือขึ้นจับที่หัวตัวเองดูว่าเพราะอะไร ”เอ้าเฮ้ย!!! นี่เลใส่หมวกตั้งแต่ตอนไหนว่ะ” นั้นแหละครับ ผมงงมากเลยผมใส่หมวกกันน๊อคตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งรู้ตัวเองเลยตอนนี้ หรือว่า

 

“ซื้อบื้อ”

 

“ง่า ว่าเลอีกแล้ว พี่ปลายใส่ให้เลหรอ มุ้งมิ้งจัง”

 

“พูดมาก” คนตัวโตที่โดนแซวรีบหันไปหยิบหมวกกันน๊อคมาสวม ก่อนจะขึ้นคร่อมรถให้ผมต้องรีบปีนขึ้นตาม

 

แหม๋ ๆ พอเขินแล้วเสียงห้วนตลอด ไม่ทันหร๊อก เล เห็นนะเว้ยพี่ปลาย แก้มพี่แดงด้วยอ่ะ

 

 

 

 

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง เลไปนะ”

 

“อื้อ” พี่ปลายตอบรับคำผมสั้น ๆ แต่จังหวะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในโรงแรมก็นึกอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ เลยหมุนตัวกลับไปหาอีกคนอย่างไว จนพี่ปลายที่กำลังจะขี่รถออกไปเห็นแบบนั้นก็ต้องหยุดแล้วหันมามองผมด้วยแววตาสงสัย

 

“เออ! พี่ปลาย เย็นนี้เลไปเที่ยวกับเพื่อนนะ”

 

“มึงจะไปที่ไหน”

 

“แถวทองหล่อครับ”

 

“ร้านนั้น?”

 

“ร้านนั้น อ๋อ ๆ ใช่ครับร้านนั้นแหละ” คำว่าร้านนั้นของพี่ปลายทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกคนหมายถึงร้านไหนก็พยักหน้าตอบกลับไป พี่ปลายเองก็ตอบกลับมาสั้น ๆ เหมือนเดิม

 

“อือ ไปได้ล่ะ”

 

“คร๊าบ ตั้งใจทำงานนะครับ” พี่ปลายพยักหน้ารับแล้วขับรถออกไป แต่ไม่ได้ไกลนะครับแค่นิดเดียวเพราะที่ทำงานเราโคตรติดกัน มันใกล้แบบเดินจากหน้าโรงแรมผมไม่ถึงยี่สิบก้าวก็ถึงอ่ะ นี่แหละผมถึงบอกให้ไปจอดในไซต์งานพี่แกเลย แต่พี่ปลายก็ไม่ยอมซ๊ากที

 

ไม่รู้แอบซุกใครไว้หรือเปล่าเนี่ยยยย

 

 

 

 

ช่วงค่ำตามเวลาและสถานที่ ที่นัดกับเพื่อนสนิทสามคนเอาไว้ ตอนนี้ผมก็มานั่งอยู่ในร้านเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนเย็นที่ผมเลิกงานก็นั่งรอจอนอยู่สักพัก พอเพื่อนลงมาแล้วก็พากันเดินมาโบกแท็กซี่ให้มาส่งที่นี้ วันนี้จอนไม่ได้เอารถยนต์มาเพราะกลัวว่าถ้าเมาแล้วจะขับกลับไม่ไหว

 

‘เมาไม่ขับนะครับทุกคน

 

“เล ผู้ชายโต๊ะโน้นมองมึงอะ”

 

“ไหนว่ะไอ้กาย” ผมหันไปมองตามที่กายมันบอก แต่ไม่เห็นว่าใครกำลังมองมาที่ผมเลย คือเอาจริง ๆ ผมตาสั้นนิดหน่อยด้วยแหละ

 

“โน้นไงที่ใส่เสื้อสีขาว หน้าตาหล่อ ๆ นั้นอ่ะ”

 

“เฮ้ย เล นั้นคุณแทนไม่ใช่หรอ” อยู่ ๆ จอนก็พูดขึ้นมาเมื่อมันมองตามที่ไอ้กายบอก ผมเองก็ตกใจไม่น้อยที่จะเจอคุณแทนที่นี้ ไม่คิดเลยว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้

 

“จริงดิจอน?”

 

“คุณแทนไหนว่ะ พวกมึงรู้จักด้วยหรอ” บิวที่นั่งเงียบ ๆ ถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัยที่เห็นว่าพวกผมพูดเหมือนรู้จักคนที่กายบอกว่ามองมาที่ผม

 

“แขกที่โรงแรมนะ สงสัยมากับเพื่อนมั้ง”

 

“นั้นเค้าลุกเดินมาแล้ว สงสัยจะมาทักพวกมึง”

 

“จริงดิ?”

 

“มึงนี่เชื่อคนยากหรอว่ะ จริงดิ ๆ อยู่ได้ กูจะหลอกมึงเพื่อไอ้เล” ไอ้บิวเจ้าเก่า บ่นเสียงรำคานที่ผมเอาแต่ถามคำถามเดิม ๆ

 

ก็กูไม่อยากจะเชื่อเว้ย มึงไม่เข้าใจเพื่อนอ่ะบิว เพื่อนน้อยใจ

 

“สวัสดีครับเล คุณจอน” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ได้ยินบ่อย ๆ เอ่ยทักพวกผมสองคนทันทีก่อนจะหันไปก้มหัวน้อย ๆ ให้กับบิวและกาย

 

“สวัสดีครับคุณแทน”

 

“เอ่อ สวัสดีครับคุณแทน มาเที่ยวกับเพื่อนหรอครับ”

 

“ป่าวครับ มาคนเดียว” คุณแทนตอบกลับคำถามของผมด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวชอบทำ

 

“อ้าวแล้ว...”

 

“ถ้าไม่รังเกียจนั่งกับพวกเราก็ได้นะครับ” ขณะที่ผมกำลังถามอะไรต่อ ไอ้เพื่อนชอบแทรกก็พูดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

 

“ไอ้บิว” ผมหันไปมองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ มันจะชวนมานั่งด้วยทำไมไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่เคยถามความเห็นกูก่อนเลยนะ ว่ากูอยากนั่งกับเค้าหรือเปล่า

 

“จะไม่เป็นการรบกวนหรอครับ” คราวนี้พออีกคนถามกลับมาอย่างสุภาพ คนที่ต้องเกรงใจก็กลายเป็นพวกผมไงครับ จะให้ตอบว่ารบกวนก็คงไม่ได้ กายเลยรับหน้าที่ตอบกลับไป

 

“ไม่หรอกครับนั่งได้เลยตามสบาย นั่งหลาย ๆ คนสนุกดี”

 

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนใช่ไหมครับเล” อ้าวนี่หูไม่ดีหรอ ไอ้กายมันก็บอกแล้วไงว่าไม่รบกวน ตอนนี้เพลงก็ไม่ได้ดังสักหน่อย คุณแทนจะมาถามย้ำทำไม เดี๋ยวตีเลย

 

“อะ...เอ่อ ครับ ไม่รบกวน”

 

“ถ้างั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับ” จบคำว่าไม่เกรงใจเจ้าตัวก็นั่งลงข้าง ๆ กายเพื่อนรักของผมทันที โชคดีที่วันนี้ผมเลือกนั่งโซฟาเดี่ยว บิวกับจอนนั่งด้วยกัน ส่วนกายก็นั่งโซฟาสำหรับสองคนอีกตัว ทำให้ที่ข้าง ๆ กายเป็นที่ว่างที่เดียวที่คุณแทนจะนั่งได้ ถึงจะไม่ได้นั่งใกล้ผม แต่คุณแทนก็นั่งฝั่งตรงข้ามกับผมพอเลยว่ะ

 

แล้วตกลงนี่มันดีหรือไม่ดีไม่รู้ที่ไม่ได้นั่งโซฟาเดียวกัน แต่นั่งหันหน้าชนกัน แบบไหนหน้าอึดอัดกว่าเนี่ย

 

แต่ความอึดอัดที่คิดว่าจะมีเมื่อมีคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทมานั่งด้วยกลับไม่เป็นอย่างที่คิด คุณแทนเข้ากับเพื่อน ๆ ผมได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ได้หันมาวุ่นวายอะไรกับผม ส่วนมากก็คุยเรื่องธุรกิจร้านกาแฟกับกาย และเรื่องโรงแรมกับบิวเสียมากกว่า จะมีบ้างที่หันมาส่งยิ้มให้ตามประสาคนยิ้มง่าย และจากที่ดูแล้วตอนนี้เหมือนพวกมันสนิทกับคุณแทนไปเรียบร้อยแล้วซะด้วย

 

“ไปเข้าห้องน้ำนะ”

 

“ผมไปด้วยครับเล”

 

“ครับ” ผมตอบกลับแล้วลุกขึ้นทันที เบื่อตัวเองจริง ๆ ชอบปวดฉี่เวลากินเหล้า ไม่เห็นเพื่อนผมมันจะปวดบ้างเลย มีแต่ผมนี่แหละที่ต้องคอยลุกไปห้องน้ำบ่อย ๆ

 

 

ผมเดินนำคุณแทนแหวกผู้คนออกมาทางประตูข้างร้านเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคงไม่มีใครมาบอกเลิกกันให้ได้หยุดเสือกเป็นแน่ และก็ไม่มีจริง ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ หลังจากมาถึงห้องน้ำก็จัดการธุระส่วนตัวแล้วเดินออกมาข้างนอกโดยมีคุณแทนตามมาติด ๆ

 

ลืมไปเลยว่าจะแอบดูคุณแทนน้อยเสียหน่อย

 

แฮะ ๆ เค้าล้อเล่นน๊าตัวเอง

 

 

หลังจากที่ผมเคลียร์ใจกับคุณแทนไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าคุณแทนก็เริ่มวางตัวใหม่ไม่ได้ก้าวก่ายหรือทำให้อึดอัดเหมือนช่วงที่คุณแกคอยรุกจีบ แต่ก็ยังมีทักทายชวนคุยบ้างซึ่งก็พอรับได้และเข้าใจอารมณ์คนแอบชอบ มันก็เหมือนที่ผมชอบชวนพี่ปลายคุยนั้นแหละครับ อีกอย่างก็เหมือนที่คุณแทนเคยขอไว้ อย่าปิดโอกาสศูนย์เปอร์เซ็นของแกเลย ผมเองก็มองว่าไม่ได้เสียหายอะไรก็เลยทำตัวตามปกติ

 

“เอ้ยยย!”

 

“ระวังครับเล”

ไม่รู้เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินมากไปหรือเปล่า เลยทำให้เดินสะดุดขาโต๊ะหงายหลัง ดีที่คุณแทนเดินตามหลังมาเลยรับผมไว้ได้ทัน

 

“แฮะ ๆ ขอโทษครับ”

 

“เลเป็นอะไรไหม”

 

“ไม่...โอ้ยยย ใครว่...”

อยู่ ๆ ก็มีมือหนาของใครไม่รู้มากระชากตัวผมออกจากแขนคุณแทนอย่างแรง ตัวผมกระแทกเข้ากับแผ่นอกหนาของคน ๆนั้น ผมตกใจมากจนต้องตะโกนด่าเสียงดัง แต่ยังไม่ทันได้พูดจบก็ต้องชะงักทันที

 

 

“ไอ้ทะเล!!”

 

ขวับ

 

เฮือก

 

“พี่ปลาย!”

สายตาเยือกเย็นที่จ้องมองมาที่ผมเล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัว ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรผิดแล้วโดนจับได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเลยสักนิด

 

“ไอ้นี่หรอเพื่อนที่มึงว่า”

 

“ใช่ เอ้ย ไม่ใช่ เพื่อนเลอยู่ตรงโน้น”

ผมลนลานตอบผิดตอบถูก เพราะตาคมที่กำลังลุกเป็นไฟของพี่ปลายจ้องมาที่ผมจนเหมือนตัวเองโคตรทำเรื่องผิด ซึ่งก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่ แค่เดินสะดุดขาโต๊ะเองนะพี่ปลาย

 

“สวัสดีครับคุณปลาย”

 

“กลับ!!”

 

“พี่ปลายยยยเลเจ็บ”พี่ปลายไม่ได้สนใจเสียงคุณแทนที่เอ่ยทักเจ้าตัวเลยสักนิด มือหนาที่จับแขนผมอยู่บีบแน่นขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บ แต่ก็ยอมคลายออกเมื่อผมบอก

 

“ไอ้เล ได้ยินไหมกูบอกให้กลับ!” น้ำเสียงห้วนแต่ไม่ดังเท่าก่อนหน้านี้ บอกกับผมพร้อมด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่าง

 

“ใจเย็น ๆ ก่อนครับคุณปลาย”

 

“ผมไม่ได้พูดกับคุณ ผมพูดกับคนของผมอยู่” พี่ปลายที่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจมองคุณแทน หันไปมองหน้าอีกคนด้วยแววตาเยือกเย็นพร้อมกับพูดน้ำเสียงเรียบ

 

“แต่เล มากับผมนะครับ”คุณแทนตอบกลับพี่ปลายด้วยรอยยิ้มกวน ๆ ไม่พอยังเอื้อมมือมาจับแขนผมเอาไว้อีก

 

“คุณแทน!”

ผมเรียกชื่ออีกคนเสียงดังเพราะไม่คิดว่าคุณแทนจะทำอย่างนั้น ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าพี่ปลายที่ขบกรามแน่นเหมือนกำลังข่มกั้นความโกรธ

 

‘น่ากลัวมากอ่ะ กาย บิว จอน ช่วยเลด้วยยยยยยยยยยยยย

 

 

“ถ้ามึงอยากอยู่มาก มึงก็อยู่ไป”

พี่ปลายหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเรียบเฉย ผิดจากก่อนหน้านี้ พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เย็นชาจนผมใจหายวูบ แล้วปล่อยมือจากตัวผมก่อนเดินออกไปทิ้งให้ผมยืนงงในดงเหล้าไม่เข้าใจว่าทำต้องโกรธขนาดนั้น

 

‘เลทำไรผิดอ่ะ กลับมาบอกก่อนดิแล้วค่อยเดินไป

 

 

 

 

 

 

 

 

"พี่ปลายรอเลด้วย" ตามสิครับรออะไรเล่า เพื่อนนะเข้าใจเลอยู่แล้ว

'ใช่ไหมเพื่อนรัก น้ำตาซึม

 

 

To be con. »

 

#ที่ปลายทะเล

ไอ้ที่มากนี่น่าจะความหวงของพี่ปลายใช่ไหม

หวงเค้าก็ไม่บอกเค้าหล๊า ทำมาดุ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้า

 

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 11 คนรู้ใจ...ที่อยู่ในหัวใจ




"พี่ปลายรอเลด้วย" ผมวิ่งตามพี่ปลายออกมาโดยไม่ได้หันไปสนใจคุณแทนว่าทำหน้ายังไง เพราะกลัวว่าจะตามพี่เสาไฟฟ้าของผมไม่ทัน ก็ดูดิครับขาพี่มันก็ยาวอ่ะแล้วยังเดินไวซะขนาดนั้น ไอ้ผมมันแค่หลักกิโลเมตร จะไปก้าวยาวเท่าเสาไฟฟ้าได้ยังไงเล่า



‘เลวิ่งดิ ไอ้ทะเลวิ่ง



ปลุกใจตัวเองพร้อมกับออกวิ่งเมื่อเปิดประตูออกมาข้างนอกได้แล้ว ก่อนหน้านี้คงวิ่งไม่ได้หรอกครับ ถ้าวิ่งก็ชนคนอื่นเค้า เผลอๆได้กินยำรวมตีนอีก



“พี่ปลายยยยยย” ตะโกนด้วยเสียงอันดังกลัวว่าอีกคนที่เดินห่างไปจะไม่ได้ยิน คนอื่นหรอไม่สนใจหรอกครับถึงจะมองมาด้วยแววตาสงสัยก็เถอะ



เลไม่แคร์



ตอนนี้ระยะห่างของเราเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่ปลายเดินช้าลงหรือเปล่า ผมเลยตามพี่แกทัน แต่ก็อาจจะเป็นเพราะผมวิ่งล่ะมั่ง ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่มันเดินรออ่ะ กลัวหน้าแหก



“มีไร” โอ้โห เสียงแข็งมาก แข็งกว่าลูกมะพร้าวก็เสียงพี่ปลายตอนนี้นี่แหละ แต่ก็ยังดีที่ยังมีกระจิตกระใจพูดออกมาให้ไอ้เลคนนี้ได้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะถ้าพี่มันไม่ยอมพูดด้วยนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนเหมือนกัน



“กลับบ้านกันครับ” ผมเดินเข้าไปเกาะแขนของพี่ปลายพร้อมกับเงยหน้าช้อนตาออดอ้อนขึ้นไปมองหน้าคมที่ไม่ยอมหันมาสบตากับผม แต่ไม่ต้องห่วงไปครับไม่ก้มมามองกันใช่ไหม?



ไอ้ทะเลคนนี้ก็จัดการยกมือสองข้างขึ้นไปจับหน้าคนที่ไม่ยอมมองมา จัดการดึงหน้าคนหล่อให้ก้มลงมามองหน้ากันซะก็สิ้นเรื่อง พี่ปลายที่เหมือนจะขัดขืนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยอมก้มลงมาตามแรงมือ ตาคมฉายแววดุมองจ้องมาที่หน้าของผม



“ไม่อยู่กับเพื่อนมึงแล้วรึไง?” เสียงพูดที่อ่อนลงมาบ้างแล้วแต่ไม่ถึงกับปกติถามด้วยใบหน้าเรียบตึง แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้นมาอีกนิด



มือผมยังคงวางแนบอยู่บนแก้มทั้งสองข้างของพี่ปลาย ตาคมเริ่มอ่อนแสงลงและยังคงจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตาไปไหน ผมเองก็มองสบเข้าไปในดวงตาคู่นั้น



พี่ปลายไม่ได้จับเอามือผมออกจากหน้าของพี่เค้า ความอบอุ่นจากใบหน้าหล่อที่ผมได้รับผ่านทางฝ่ามือ ส่งผลให้หน้าของผมผ่าวร้อนตามไปด้วย



“ไม่เอาอ่ะ เลอยากอยู่กับพี่ปลายมากกว่า” อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมดื่มไปก่อนหน้านี้ไม่น้อยทำให้ผมไม่ได้หลบสายตาของอีกคนเหมือนทุกครั้งเวลาที่เราสบตากัน ความรู้สึกอยากให้อีกคนหายโกรธทำให้ผมพูดไปอย่างนั้น



“จะมาอยู่ทำไมกับกู อยู่กับกูไม่ได้กอดเหมือนอยู่กับเพื่อนมึงหรอกนะ”



“เลไม่ได้กอดกันสักหน่อยนะพี่ปลาย คุณแทนเค้าแค่ช่วยรับเลไว้ไม่ให้ล้ม” ผมตอบเสียงอ่อน ปล่อยมือจากหน้าอีกคนมาจับที่แขนแล้วเขย่า ๆ เบา ๆ พี่ปลายทำเหมือนจะเบี่ยงหน้าหันไปมองทางอื่น แต่สุดท้ายก็ยอมมองหน้ากันเหมือนเดิม



“อือ”



“จริงนะพี่ปลาย เลจะล้มจริง ๆ นะ” เสียงตอบกลับกับใบหน้าเรียบเฉยทำให้ผมยิ่งลนลาน รีบพูดยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าก่อนหน้านี้ แต่คนตัวโตที่จ้องมาที่ผมก็ยังคงตอบรับเหมือนเดิมถึงจะยาวขึ้นมาหน่อยก็เถอะ แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกว่าพี่เค้าเชื่อผมเลย



“ก็อือไง”



“อย่าอืออย่างเดียวสิพี่ปลาย พูดอย่างอื่นบ้างนะ”



“อืม” ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนพี่มันกวนประสาทยังไงไม่รู้หล่ะครับ พี่มันไม่ได้พูดอือก็จริงแต่มันต่างกันตรงไหนว่ะเนี่ย



“ง่าาาาา พี่ปลายอ่า ไม่เชื่อเลหรออออ เลจะร้องไห้แล้วนะ”



“...” คราวนี้ไม่ตอบคำนิ่งสนิท ใจผมนี่แป้วไปเลย ไอ้ทีแรกที่บอกจะร้องไห้อ่ะแค่พูดไปงั้น ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ทำไมน้ำตากูซึมเลยว่ะ



“พี่ปลายอ่ะ ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” ผมปล่อยมือจากแขนอีกคนหลังจากพูดจบ ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองด้วยอารมณ์น้อยใจที่คนเป็นพี่ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักที



“กูพูดตอนไหนว่าไม่เชื่อ กูก็เห็น”



“อ้าว!!” เสียงตอบกลับมานิ่ง ๆ เล่นเอาผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว อ้าปากหว่อตาค้างมองคนตรงหน้าด้วยความงงงวย



อะไรว่ะเห็นแล้วแท้ๆ แล้วไหงมาทำเป็นไม่รู้เรื่องเฉยเลยอ่า



ส่วนคนที่บอกรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วนะหรอ ก็แค่ยิ้มมุมปากกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์อย่างคนที่ได้รับชัยชนะนะสิ ฮื่ย เห็นแล้วอยากกระโดดงับคอสักที



นี่ผมโดนไอ้พี่เสาไฟฟ้ามันแกล้งหรอเนี่ย



อีกแล้วนะอีกแล้ว แกล้งเก่งจริง ๆ เลย



“เพิ่งรู้ว่าหมาก็ชอบแดกยุง อ้าปากจนยุงเข้าไปทั้งฝูงแล้วเตี้ย”



“ฮื่ออออออ พี่ปลายอ่ะแกล้งเล ถ้าเลร้องไห้ขึ้นมาปลอบเลด้วยนะเว้ย”



“อือ เดี๋ยวพี่กอดปลอบ”

มือหนาวางทาบลงบนหัวผมโยก ๆ เบากับน้ำเสียงอบอุ่นที่แทบไม่เคยได้ยิน เล่นเอาผมตาค้างไปอีกรอบ



O//O



‘พี่’ อื่ยยยยยย อ่อนยวบเลยครับเจอคำนี้ไป



ตาย ครับ ตาย ไอ้ทะเลคนนี้ได้ลาโลกไปแล้ว ฝากประกาศให้ญาติโยมมารับศพผมด้วยครับ บอกแม่ให้ด้วยว่าลูกชายคนนี้ตายเพราะโดนเสาไฟฟ้าแอทแทร็ค ไม่ใช่ด้วยการล้มทับนะครับ ถ้าเป็นเสาไฟฟ้าต้นนี้เลบอกเลยไม่ต้องล้มทับหรอก แค่พูดแบบเมื่อเกี๊ย เสียงนุ่ม ๆ แบบเมื่อเกี๊ยอ่ะ ไอ้เลคนนี้ก็ยอมตายอย่างสงบแล้ว



“หายงอแงยัง”



“งื่ออออ~ ใครเค้างอแงเล่า”

ผมกำลังจะตายจริง ๆ แล้วครับ สตงสติหายไปหมด แถมตอนนี้ผมกำลังโดนพี่ปลายกอดอยู่ ใช่ฟังไม่ผิดหรอกครับ พี่ปลายกอดผมอยู่



อ๊ากกกกกกกกกกกกก สติแตก ตัวเหลว



มือหนาที่ก่อนหน้านี้วางบนหัวผมเปลี่ยนมาโอบอยู่รอบตัวผมเป็นที่เรียบร้อย พี่ปลายดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ไม่แน่นมาก หน้าของผมซบอยู่ที่อกกว้างพอดี ทีแรกผมก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ เพราะเมื่อกี้กำลังกำลังอึ้งกับคำพูดของพี่มันอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงของคนตัวโตดังอยู่ข้างหูนี่แหละ



หน้าไหม้แล้วจ้ะ หัวใจก็เต้นแรงสิจ้ะรออะไร



ตุบ ตุบ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุบ (คำเตือน: อย่าลืมใส่ทำนองสามช่า)



ผมแนบหน้าลงไปที่อกกว้างของพี่ปลายด้วยความเขิลอายขั้นที่ไกลกว่าคำว่าสุด ถึงแม้ตรงนี้จะไม่เงียบเท่าไหร่นัก แต่เสียงที่ผมได้ยินในตอนนี้กลับเป็นเสียงหัวใจของอีกคนที่กำลังเต้นแรงไม่ต่างจากผมเลย



ตุบตุบ



ตุบตุบตุบ



เสียงหัวใจของเราสองคนเต้นไปในจังหวะที่เกือบจะเท่ากัน คงเป็นเพราะหัวใจของผมคงเล็กกว่าคนตัวโตหล่ะมั่ง ถึงได้เต้นเร็วกว่าพี่ปลายอยู่นิดหน่อย



“เพลินเลยนะเตี้ย”



“อะ...อะไรเล่า ตัวเองกอดเค้าแท้ๆ มาว่าเค้าอีก”

ผมรีบดันตัวออกจากอ้อมแขนของพี่ปลายทันทีที่อีกคนพูดขึ้น ยังคงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายพี่ปลาย หน้าของผมตอนนี้ไม่รู้ว่าจะแดงมากขนาดไหนแล้ว เพราะความร้อนที่แผ่ซ่านบนหน้าตอนนี้ลามไปถึงหูทั้งสองข้าง พี่ปลายมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ มือทั้งสองข้างยังวางอยู่ที่หลังของผมไม่ปล่อย



“เข้าไปหาเพื่อนมึงต่อก็ได้นะ”



“พี่ปลายไปกับเลไหม?” ผมช้อนตามองคนอีกคนด้วยความออดอ้อน ก่อนจะเอ่ยถาม



“...”



“นะ ๆ ไปด้วยกันนะ เล อยากแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนเลด้วย” มือของพี่ปลายยกมาวางบนหัวผมอีกครั้ง หน้าคมก้มลงมาสบตากับผม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้ม



“เดี๋ยวมึงจะไม่สนุกป่าว ๆ”



“ไปเถอะนะ เลอยากให้พี่อยู่ด้วย นะครับ”



“อื้อ” พี่ปลายตอบรับสั้น ๆ เหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ ผมยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่อีกคนยอมเข้าไปข้างในด้วย แต่ถ้าพี่ปลายไม่เข้า ผมเองก็ไม่เข้าไปเหมือนกัน





หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ฉวยโอกาสตีหน้ามึนจับมือพี่ปลายจูงให้เดินตามเข้ามาข้างในร้าน เดินผ่านหลาย ๆ โต๊ะ ที่มองมาที่เราสองคนด้วยแววตาสงสัยบ้าง บางคนก็ส่งยิ้มมาให้ผม และผู้หญิงบางคนก็ส่งตาหวานให้คนตัวโตที่เดินตามผมอยู่ แต่พอเห็นมือของผมที่จับกับพี่ปลายไว้ก็หุบยิ้มทันที



‘หึหึ นี่แหละเหตุผลที่ผมต้องจับมือพี่ปลาย



“อ้าวยังอยู่หรอว่ะ นึกว่าตายไปแล้ว” คนแรกที่ทักผมแบบนี้คงไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร ก็ไอ้บิวจอมแทรกนั้นแหละครับ อยากจะบอกเพื่อนรักจริง ๆ เลยว่า



‘กูได้ตายไปแล้วและตอนนี้คือร่างใหม่จ้ะ



“พวกมึง นี่พี่ปลาย ส่วนนี้ชื่อ บิว จอน กาย แล้วก็เอ่อ...คุณแทน ครับ” คนหลังนี่ผมไม่คิดว่าจะยังนั่งอยู่ตรงนี้กับพวกเพื่อน ๆ ผมนะครับ นึกว่าแยกตัวไปแล้ว ที่ไหนได้ยังนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เดิมเลย



“สวัสดีครับพี่ปลาย เชิญนั่งครับ”



“ครับ” พี่ปลายพยักหน้านิดหน่อยเพื่อเป็นการทักทายพวกเพื่อน ๆ ผม ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่ผมนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เหลือแค่ผมอ่ะดิที่ไม่มีที่นั่ง ผมมองหน้าเพื่อนกะว่าจะเดินไปนั่งกับบิวและจอน แต่....





ตุ๊บ







“อ่ะ!” ร่างของผมล่วงลงทับลงบนตักของพี่ปลายเพราะแรงดึงของคนตัวโต แขนแข็งแรงโอบรอบเอวของผมอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าผมจะลุกหนี



ผมเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนตัวโตด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่าพี่ปลายจะทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น และจากที่ได้กอดพี่มันก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวพี่มันนี่นา จะว่าเป็นเพราะความเมาคงไม่ใช่แน่ หรือว่าพี่ปลายจะมีใจให้ผมแล้วเนี่ยยยยย



“มองไรเตี้ย นั่งดี ๆ เดี๋ยวตก”



“อื่อ~” ผมตอบรับเสียงแผ่วเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ ความสุขมากมายเอ่อล้นจนร่างกำลังจะระเบิด คนตัวโตส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ก่อนจะดันตัวผมให้นั่งดี ๆ



“เล พวกกูอยู่นี้ ยู้ฮู มึงจำกูได้ไหม”



“”ไอ้บิว!” และก็ยังคงเป็นคนเดิมที่ทำลายความสุขของผม อยากจะถีบมันสักทีสองทีจริง ๆ ไอ้ก่อนหน้านี้ที่ชอบแทรกก็น่าหงุดหงิดอยู่บ้างนะ แต่ครั้งนี้บอกเลย กูเกลียดมึงมากไอ้เชี่ยบิว



“ฮ่า ๆ ๆ เพื่อนกูเขินจนหน้าแดงหมดแล้ว พี่ปลายนี่สุดยอดเลยครับผมนับถือ”



“หึหึ” คนที่ผมนั่งตักอยู่หันไปก้มหัวน้อย ๆ กับไอ้บิวเหมือนกำลังตอบรับคำชมของมัน แล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ ส่วนเลคนนี้นะหรอ ยกมือปิดหน้าตัวเองสิครับ จริง ๆ อยากจะเนียนเอาหน้าซุกอกพี่ปลายอะแหละแต่ติดที่กลัวพี่มันจะถีบล่วงพื้นซะก่อน



“พี่ปลายเมื่อยไหม เลตัวหนักนะ”

หลังจากที่นั่งบนตักพี่ปลายมานานพอสมควรแล้ว ผมก็หันกลับไปหาอีกคน แต่เพราะเสียงเพลงที่เริ่มดังทำให้ผมต้องก้มหน้าลงไปที่ข้างหูเพื่อถามคนที่ผมนั่งทับอยู่ คนตัวโตหันหน้ามามองผมก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อเป็นคำตอบ



“ถ้าเมื่อยบอกเลเลยนะ เดี๋ยวเลไปนั่งกับเพื่อน” ผมบอกกับพี่ปลายอีกครั้ง คราวนี้พี่ปลายไม่ได้ส่ายหน้าเป็นคำตอบแต่ตอบมาเป็นคำพูดเลยครับ



“ตัวแค่ลูกหมาเองไม่นักหรอก”



“ง่ะ ว่าเลอีกแล้ว”



“เป็นลูกหมาไม่ดีหรอหืม ? น่ารักออกเหมาะกับเลดีพี่ว่า”



“พี่ปลาย~” ‘พี่’ อีกแล้ว พี่ปลายแทนตัวเองว่าพี่อีกแล้วอ่ะพวกแกร ไม่พอยังบอกว่าเลน่ารักอีก



อ๊ากกกกกกกกกกกก ไม่ตายวันนี้เลจะตายวันไหนเนี่ย



ครั้งนี้ผมว่าน่าจะเป็นเพราะมีแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นแน่ ถึงทำให้พี่ปลายพูดกับผมด้วยน้ำเสียอ่อนโยน แถมนัยน์ตาคมยังมองผมด้วยความเอ็นดูอีก มือสองข้างที่คลายออกจากตัวผมกลับมากระชับมากขึ้น สายตาของเราสองคนสบกันนิ่งอยู่สักพัก ความรู้สึกวูบวาบจากการจ้องตาลามไปทั่วทั้งช่องท้อง หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นอีกครั้งอย่างที่ผมเองก็ไม่คิดจะห้าม ขณะที่หน้าของเราเริ่มใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง แต่...



“พี่ปลายกับเล เป็นแฟนกันหรอครับ”

เสียงของกายผู้ไม่เคยแทรกเวลาคนอื่นพูด เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่รู้เวลา เล่นเอาผมกับพี่ปลายรีบผละออกจากกันทันที เราสองคนมองหน้าคนที่ถามคำถามก่อนหน้านี้ด้วยความตั้งใจเสียเต็มที ประหนึ่งว่าคุณครูกำลังถามคำถามที่กำลังจะออกข้อสอบในวันพรุ่งนี้ โดยที่ลืมไปว่าไอ้คำถามที่กายมันถามนั้นก็ทำให้ผมไปไม่ถูกเหมือนกัน



“ไอ้เหี้ยกาย มึงนี่มัน”



“อะไรเล่าไอ้บิว ก็กูอยากรู้” กายหันไปมองหน้าเพื่อนรักอย่างเอาเรื่อง ที่อยู่ ๆ ไอ้บิวก็โวยวายใส่เจ้าตัว



“เกือบแล้ว กูเกือบได้ดูช๊อตเด็ดแล้ว เพราะมึงคนเดียวเลย”



“อะไร!! ช๊อตเด็ดอะไรของมึงบิว”



“มึงร้อนตัวเลกูบอกเลย” ไอ้บิวหันมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มล้อเลียนที่อยู่ ๆ ผมก็โวยวายขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเพื่อนคนอื่นๆ ก็พลอยตกใจหันมามองผมไปด้วย



“สัส”



“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้เล มึงโคตรลนอ่ะ”



“พี่ปลายยยย อย่าเงียบดิช่วยเลก่อน” ผมที่สู้เพื่อนตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็หันไปหาตัวช่วยที่จริง ๆ แล้วผมแม่งโคตรคิดผิด เพราะพี่ปลายไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยสักนิด ทำแค่ขยี้หัวผมเล่นให้ยิ่งอายขึ้นไปอีก



“เตี้ยเอ้ย”



“ว่าแต่ตกลงสองคนเป็นอะไรกันครับ” กายถามขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ละความพยายาม อาจจะเป็นเพราะมันอยากจะรู้จริง ๆ เลยถามย้ำออกมา เพราะปกติมันจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นมากนัก



“เอ่อ...เป็น”



“เป็นคนรู้ใจ”



“!!!”



“ไอ้เฮี้ยยยย คำตอบพี่แม่งโคตรหล่ออ่ะพี่ปลาย มายไอดอล” คำตอบของพี่ปลายเล่นเอาผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ต่างจากคนตอบที่หันไปยิ้มให้กับไอ้เพื่อนเวรของผม



“แล้วเลหล่ะ พี่ปลายเป็นอะไรกับเล”



“จอน ทำไมถามแบบนั้นหล๊า” จอนที่นั่งอยู่เงียบ ๆ อยู่ ๆไม่รู้อะไรดลใจให้อยากพูดขึ้นมา แต่พอพูดทีเนี่ยไม่ได้ช่วยผมเลยครับ



“ก็พี่ปลายบอกว่าเลเป็นคนรู้ใจ เราเลยอยากรู้” ผมจ้องมองหน้าเพื่อนสนิท ทบทวนกับหัวใจตัวเองว่าควรจะตอบหรือไม่ตอบเพื่อนดี และเมื่อคิดได้ว่าคงไม่เสียหายอะไรถ้าผมจะตอบ และมันคงเป็นโอกาสสักครั้งให้ผมได้พูดความรู้สึกตัวเองกับอีกคน



ผมหันกลับมามองหน้าคมของคนที่ผมนั่งซ้อนอยู่บนตัก จ้องลึกเข้าไปในตาคมสีเข้มนั้น ก่อนจะพูดคำตอบที่คิดเอาไว้



“พี่ปลายเป็น...คนที่อยู่ในหัวใจเล”



นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสารภาพความรู้สึกกับคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเริ่มเข้าใกล้กันมากขึ้น แต่ผมก็ยังไม่เคยได้บอกความรู้สึกจริง ๆ จัง ๆ กับอีกคนเลยสักครั้ง



ตาของเราสองคนยังสบกันนิ่งเหมือนกับว่าหยุดเวลาเอาไว้ เสียงรอบข้างที่ดังอยู่ก่อนหน้านี้เงียบหายไปหมด เหลือแค่เพียงเสียงหัวใจของเราสองคนที่ดังก้องประสานรับกันอยู่



“จูบเลยครับ พวกผมไม่แอบมองหรอก”



“ไอ้เฮี้ยยยยบิว” ผมรีบหันไปด่าเพื่อนตัวดีของผมที่ชอบจริง ๆ ไอ้เรื่องชอบแทรกเนี่ย กูอยากจะถามมึงจริง ๆ เลยว่า



มึงจะพูดขัดขึ้นมาทำไมว่ะเนี่ย กูเกือบได้ฟินแล้วเนี่ยยยยย จะดูก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้หรอว่ะ



อย่าครับอย่าคิดว่าที่ผมด่าเพื่อนเพราะเขิน ผมด่าเพราะมันขัดความสุขผมนี่แหละ ฮึ่ย







หลังจากที่เวลาล่วงเลยเกินเที่ยงคืนมาพอสมควร พวกเราก็ตกลงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน จากทีแรกผมตั้งใจว่าจะกลับกับจอน แต่พอพี่ปลายมาด้วยก็เลยไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ จอนเลยกลับกับบิวและกาย ส่วนคุณแทนเห็นว่าให้รถจากทางโรงแรมมารับ



ผมขอยอมรับตรง ๆ เลยนะว่าตอนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ผมนี่แทบลืมคุณแทนไปเลย และคุณแทนเองก็ดูเหมือนจะสนุกกับการได้พูดคุยกับกายมากกว่าจะมาสนใจผม สงสัยว่างานนี้เพื่อนผมจะได้เพื่อนใหม่แล้วหละครับ



ปั๊ก



“อ่ะ ขอโทษครับ”



“ไม่เป็นไรครับ” ผมหันไปตอบกลับคนที่เดินมาชนผมขณะที่กำลังเดินตามพี่ปลายออกมาที่หน้าร้าน ผู้ชายตัวพอ ๆ กับผมส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร คนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่น่ารักน่ามองจนผมเองยังละสายตาไม่ได้ เราสองคนส่งยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น



“มีอะไรเตี้ย”



“ป่าวครับ” ผมยอมละสายตาจากคนที่เดินชนกันก่อนหน้านี้ เพราะเสียงเอ่ยถามของคนพี่ที่เดินนำอยู่ข้างหน้า พี่ปลายหันหลังกลับมามองผมด้วยแววตาสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นหน้าของอีกคน



“พี่ปลาย!”



“ยิม”



To be con. »



อะไรนะ เป็นอะไรกันนะ

แล้วเมื่อกี้อะไร ชื่อใคร อะไร ยิม ยิม

ฮึ่ยยยย มาได้ไงว่ะนายยิมเนี่ย

แล้วทีนี้ไอ้หมาเลจะทำไงหล่ะเนี่ย

ไม่บอกจ้าาาาา อย่ามาถามเค้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านงับ




ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 12/1 สายตาเธอบ่งบอก
«ตอบ #15 เมื่อ16-01-2020 13:20:53 »

ตอนที่ 12/1 สายตาเธอบ่งบอก



“มีอะไรเตี้ย”



“ป่าวครับ” ผมยอมละสายตาจากคนที่เดินชนกันก่อนหน้านี้ เพราะเสียงเอ่ยถามของคนพี่ที่เดินนำอยู่ข้างหน้า พี่ปลายหันหลังกลับมามองผมด้วยแววตาสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นหน้าของอีกคน



“พี่ปลาย!” เสียงนุ่มของคนที่เพิ่งเดินชนกับผมพูดขึ้นด้วยเสียงที่ติดความตื่นเต้น เหมือนกับว่าไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับคนที่เจ้าตัวเรียกชื่อ ต่างจากคนโดนเรียกชื่อที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ตาคมดูหม่นหมองลงจนผมสังเกตได้และเสียงเอ่ยเรียกชื่ออีกคนก็เบาจนเหมือนจะเป็นเสียงกระซิบ และก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย



“ยิม”



“รู้จักกันหรอครับพี่ปลาย” ผมที่ยืนดูสถานการณ์อยู่สักพักก็พูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศและการจ้องตากันของคนสองคน



“เคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกันครับ ผมชื่อยิม ยินดีทีได้รู้จักนะคะครับคุณเอ่อ?”

คนตัวเท่ากันแนะนำตัวเองว่าชื่อยิมหันมาส่งยิ้มที่ต่างจากก่อนหน้านี้ให้ผม พร้อมทั้งตอบผมแทนคนตัวโตที่ยืนเงียบไม่พูดอะไร



“เล ครับ ยินดีที่ได้ร...”



“แค่เคยรู้จัก”

พี่ปลายพูดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบเย็นจนผมที่กำลังพูดอยู่ถึงกับต้องหยุดพูด ต่างจากยิมที่คงเห็นว่าพี่ปลายยอมพูดอะไรบ้างแล้ว เลยหันไปพูดกับคนตัวโตอีกครั้ง



“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”



“...”



“สบายดีไหมครับ” เสียงนุ่มของคนที่จ้องมองหน้าพี่ปลายด้วยแววตาที่ดีใจละคนเศร้ายังคงเอ่ยถามต่อแม้คนแก่กว่าจะไม่ยอมพูดตอบอะไรออกมาอีกเลยก็ตาม





บรรยากาศตอนนี้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด แววตาสองคู่ของคนตรงหน้าผมจ้องมองหน้ากันและกันอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครยอมหลบสายตา ผมมองหน้าคนสองคนสลับกันไปมา แววตาของทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างแอบแฝงอยู่แต่ผมก็ไม่สามารถบรรยายมันออกมาได้ ความเงียบที่น่าอึดอัดนี่ทำให้ผมแทบหายใจไม่ออกไปด้วย ไม่เข้าใจว่าระหว่างสองคนนี้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แน่ ๆ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะแววตาที่มองจ้องกันอยู่มันบ่งบอกออกมาแบบนั้น



“พี่ปลาย” ผมก้าวเข้าไปใกล้คนตัวโตอีกนิด สะกิดแขนเบา ๆ เพื่อเรียกให้อีกคนรับรู้ว่าผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วย พี่ปลายเองก็เหมือนจะเพิ่งได้สติ หันมามองหน้าผมแต่แววตายังคงคาดเดาไม่ได้เหมือนเดิม



“กลับ”



“เอ่อ...แล้วพี่จะ”



“กลับเตี้ย กูบอกให้กลับ!” พี่ปลายหันมาย้ำเสียงหนัก แล้วออกเดินต่อไม่รอฟังอะไรอีก



“คะ...ครับ ขอตัวก่อนนะครับ” ผมตอบรับคนตัวโตที่เดินออกไปก่อนแล้ว ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยืนทำหน้าไม่สู้ดีนัก บอกลาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท แล้ววิ่งตามคนตัวโตมา



“พี่ปลายยยยยย”



“...”



“พี่ปลายรอเลด้วยดิ”



“...”



“พี่ปลายโว้ย พี่เป็นอะไรว่ะเนี่ย”



“...”



ครั้งนี้ผมตะโกนดังจนคนที่ยืนอยู่แถวนั้นมองมาที่พวกเรา คงคิดว่าผมกับพี่ปลายทะเลาะกัน แต่เพราะมองดูแล้วไม่ได้มีอะไรมากก็เลยหันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ คนตัวโตยังไม่หันมาตอบอะไรทำแค่เดินดุ่ม ๆ ต่อไป



“พี่ปลายเลถามว่า...”



“หุบปาก!”

คนตัวโตที่เดินมาถึงรถก่อนแล้วหันมาตวาดผมเสียงดังจนหัวใจของผมแทบหยุดเต้น พี่ปลายไม่เคยโกรธหรือทำอะไรแบบนี้กับผมเลยสักครั้ง ถึงจะพูดไม่พูดเพราะกับผมแต่ก็ไม่เคยตะคอกเสียงดังด้วยใบหน้าน่ากลัวแบบนี้



“ทำไมต้องตวาดเลด้วยว่ะ เลทำอะไรให้เล่า! ฮึก”

เพราะความตกใจและอารามน้อยใจอีกคนเลยทำให้ผมถึงกับน้ำตาไหล โวยวายใส่คนตัวโตเสียงดัง ผมรู้สึกทั้งกลัว ทั้งหงุดหงิดที่อยู่ ๆ ก็โดนอีกคนตวาดด้วยเสียงดังแบบนั้น



“ขอโทษ”

มือหนาของพี่ปลายวางลงบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง บีบเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิมมาก มันเหมือนกับว่าตอนนี้พี่ปลายเริ่มได้สติกลับมาบ้างแล้ว



“คนใจร้าย ฮึก”



“อย่างอแงดิหมาเตี้ย” คนตัวโตดึงผมเข้าไปกอด โยกตัวผมไปมาเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบใจเด็ก แต่เพราะความน้อยใจเลยทำให้ผมพยายามจะดันตัวออก คนพี่เลยกระชับมากขึ้นกว่าเดิม



“ไม่ต้องมาเรียกแบบนั้นเลย ฮือ”



“กลับบ้านกันไอ้หมาง๊องแง๊ง”



“ง่า พี่ปลายอ่ะ” มันไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่เลยจากคำที่เรียกก่อนหน้านี้ จากหมาเตี้ยกลายเป็นหมาง๊องแง๊งไปซะงั้น แต่เพราะอ้อมกอดที่อีกคนกอดผมอยู่ มันเหมือนเป็นการง้อกับน้ำเสียงอ่อนโยนก็ทำให้ไอ้ทะเลคนนี้ยินยอมหายงอนแต่โดยดี





หลังจากนั้นพี่ปลายก็ใส่หมวกกันน๊อคให้ผม เราสองคนสบตากันเล็กน้อย ตาคมที่มองมาที่ผมถึงจะไม่เศร้าเท่าก่อนหน้านี้แต่ก็ยังหลงเหลือให้พอได้มองเห็น



“พี่ปลายครับ ถ้าพอมีเวลาว่ามาเจอกันได้ไหมครับ ยิมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”



“...” เสียงเรียกของคนที่ไม่คิดว่าจะเดินตามมาเรียกให้พี่ปลายที่กำลังจะขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ต้องชะงักชั่วครู่ ก่อนจะขึ้นไปนั่งคร่อมบนรถอย่างไม่สนใจที่จะตอบกลับอะไร

“นะครับพี่ปลาย ขอโอกาสให้ยิมได้พูดอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นบ้าง”



“ไม่จำเป็น เพราะผมกับคุณไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ขึ้นรถเล”

พี่ปลายหันมามองด้วยแววตาที่นิ่งจนน่ากลัว มองไปที่คนอีกคนที่เพิ่งพูดจบ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกอะไรหลาย ๆ อย่าง ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยเสียงที่อ่อนลง



‘นี่มันเรื่องอะไรกัน



“อะ...เอ่อ ครับ งั้นขอตัวนะครับ”



“คุณเลครับ ผมฝากนี้ให้พี่ปลายด้วยนะครับ”

ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาขึ้นรถตามคำสั่งของคนเป็นพี่ มือสวยของยิมก็วางลงบนแขนของผม ส่งซองจดหมายบาง ๆ มาให้ ผมมองไปที่ใบหน้าน่ารักนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มยังคงปรากฏขึ้นเหมือนเดิม แต่ไม่ได้สดใสเหมือนที่ได้รับในครั้งแรก คงเป็นเพราะแววตาที่หม่นหมองคู่นั้น



“ทะเล!”



“ครับ” ผมหยิบเอาของสิ่งนั้นมาจากมือสวย ก่อนจะรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายคนที่เรียกชื่อผมด้วยเสียงที่ดังขึ้น



‘ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยนะ







ตลอดทางที่พี่ปลายขับรถมาส่งผม คนตัวโตไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แม้กระทั่งตอนที่ผมลงจากรถแล้วยื่นหมวกกันน๊อคคืนให้ พี่ปลายก็ยังคงนิ่งเงียบจนผิดสังเกต ถึงแม้ว่าพี่ปลายจะไม่ใช่คนพูดเก่งโดยปกติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เงียบจนเรียกได้ว่าไม่พูดอะไรเลยแบบในครั้งนี้



ผมมองหน้าอีกคนนิ่งเพื่อรอดูว่าพี่ปลายจะพูดอะไรบ้างไหม แต่ก็เหมือนกับว่าจะไม่มีเสียงออกมาจากปากสวยนั้นเลยสักนิด เลยทำให้ผมตัดสินใจที่จะเป็นคนพูดขึ้นก่อน



“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง และนี้ของพี่”



“กูไม่เอา” พี่ปลายมองมาที่หน้าผมพร้อมกับตอบเสียงเรียบเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังคงไม่ละความพยายามที่จะยื่นจดหมายนั้นให้คนเป็นพี่



“ไม่ลองอ่านดูหน่อยหรอครับ”



“ไม่จำเป็น”



“มันอาจจะมีเรื่องจำเป็นก็ได้”



“มันไม่ใช่เรื่องของกู” คนตัวโตยังคงยืนยันว่าจะไม่รับจดหมายฉบับนี้ มือหนาไม่แม้แต่จะยกขึ้นมาหยิบจดหมายที่ผมยื่นค้างอยู่ตรงหน้า



“พี่ปลาย เลไม่รู้นะว่าพี่กับเค้ามีเรื่องอะไรกัน”



“....”



“แต่ที่ดูคุณยิมเค้า เลว่าเค้าก็น่าจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ลองอ่านดูหน่อยเถอะครับ”



“ไม่มีอะไรที่กูอยากรู้อีกแล้ว” ตาคมจ้องมองมาที่ผมด้วยความหงุดหงิด เหมือนไม่พอใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ ผมเองที่พยายามพูดให้เสียงเป็นปกติที่สุดก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วไม่ต่างกัน



“แต่นี้มันของพี่นะเว้ย”



“กูบอกว่าไม่ไงไอ้เล”



“เออ ก็ตามใจพี่เลย ถ้าไม่อยากได้ขนาดนั้นจะเอาไปทิ้งหรืออะไรก็เรื่องพี่เลย เลไม่ยุ่งแล้ว ขอบคุณที่มาส่ง”

ผมวางจดหมายลงบนฝาถังน้ำมันข้างหน้าพี่ปลาย ก่อนจะพูดด้วยความลำคานใจที่มองดูแล้วว่าต่อให้พูดอะไรไปตอนนี้พี่ปลายก็คงจะไม่ตอบรับแน่ ๆ จากนั้นก็เดินหนีออกมาเลยไม่ได้สนใจว่าพี่ปลายจะขับรถออกไปตอนไหน



‘หงุดหงิดชิบหาย



อารมณ์ตอนนี้ทั้งหงุดหงิดและคิดอะไรมากมายหลายอย่าง ผมเริ่มคิดขึ้นมาบ้างแล้วว่ามันต้องเป็นเรื่องที่แย่มากขนาดไหนถึงทำให้พี่ปลายปฏิเสธคนน่ารักแบบนั้นด้วยเสียงที่เยือกเย็นขนาดนี้ คนที่ดูเหมือนกับว่าไม่น่าจะทำให้ใครโกรธหรือโมโหได้เลย เพราะแค่ผมได้เห็นใบหน้าน่ารักที่ติดรอยยิ้มของอีกคนก็ยังทำให้ผมเอ็นดูจนต้องยิ้มตามไปได้โดยง่าย มันผิดกับพี่ปลายที่มองหน้าสวยนั้นด้วยแววตาที่เย็นชา



“หรือว่าสองคนนั้นเคยคบกัน เห้ย เป็นไปไม่ได้หรอก พี่ปลายมีแฟนเป็นผู้หญิงนะเว้ย”



ผมบ่นกับตัวเองเมื่ออยู่ ๆ สมองอันชาญฉลาดก็ดันเผลอไปคิดว่าคนสองคนอาจจะเคยคบกันมาก่อน แล้วตอนที่เลิกลากันไปอาจจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เลยทำให้พี่ปลายไม่อยากคุยกับคนตัวเล็กคนนั้น แต่พอมาคิดอีกที คนที่พี่ปลายเพิ่งเลิกไปก็พี่มีนที่เป็นผู้หญิงนี่หว่า นั้นก็แปลได้ว่าพี่ปลายไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนไม่ใช่หรอ



“แต่ก็ไม่แน่นะ โอ้ยยยย ไม่คิดแล้วปวดหัว แม่งเอ้ยยยไม่เคลียร์เลยเว้ย”

เพราะความคิดที่ว่าอีกคนเคยคบกันเริ่มเพิ่มเปอร์เซ็นมากกว่าความคิดอื่น ๆ เลยทำให้ผมถึงกับต้องสะบัดหัวตัวเองแรง ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป เพราะใจมันเริ่มเต้นแรงด้วยความกังวลว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วที่อีกคนอยากคุยด้วยเพื่อมาขอคืนดีกับพี่ปลายของผมหล่ะ ผมจะทำยังไง



คนอย่าผมจะไปสู้อะไรคนน่ารักที่เคยเป็นคนในหัวใจของพี่ปลายได้ว่ะ



‘เลมันก็แค่คนรู้ใจ ไม่ใช่คนในหัวใจสักหน่อย



คำว่าคนรู้ใจที่อีกคนนิยามความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าตัวเอาไว้ มันไม่ได้ทำให้ผมมั่นใจกับความมั่นคงทางใจของเราเลยสักนิด



คนรู้ใจอาจจะมีมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ เพราะบางทีแล้วเพื่อนสนิทก็ถือเป็นคนรู้ใจเหมือนกัน แบบที่จอนก็เป็นคนรู้ใจที่อยู่ในสถานะเพื่อนของผมนั้นแหละ



ส่วนพี่ปลายสำหรับผมแล้ว พี่เค้าเป็นคนที่อยู่ในหัวใจของผมไปแล้วตอนนี้ เลยทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มีอิทธิพลกับความรู้สึก ความคิดและอัตราการเต้นของหัวใจผมเสมอ



“อยากรู้จังว่าสองคนนั้นมีเรื่องอะไรกัน”



----------------------------------





ผมตื่นขึ้นมาในเวลาสายของอีกวัน เพราะเมื่อคืนเอาแต่คิดเรื่องของสองคนนั้นจนนอนไม่หลับ สิ่งแรกที่ทำก็คงเหมือนคนอื่นทั่ว ๆไปนั้นแหละครับ ควานหาเจ้าโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมาเช็คความเป็นไปก่อนจะลุกไปอาบน้ำหรือทำอะไรอย่างอื่น



“อ้าว แบตหมดหรอเนี่ย ตั้งแต่ตอนไหนว่ะ” หน้าจอดำสนิทที่ไม่แสดงอะไรขึ้นมาเลย ทำให้ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานลืมชาตแบตโทรศัพท์ จะพูดง่าย ๆ ก็แทบไม่ได้จับเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่นอนคิดนั่งคิดเรื่องที่ได้เจอก่อนกลับมาถึงบ้าน และยิ่งทะเลาะกับอีกคนด้วยแล้วยิ่งทำให้หงุดหงิดใจจนลืมทุกอย่างไปเสียหมด



ผมลุกออกจากที่นอนเพื่อไปหยิบเอาสายชาตที่วางอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เสียบเจ้าเครื่องบางเอาไว้ตรงนั้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว อาบน้ำเย็นเพื่อไล่ความหงุดหงิดใจที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กับความง่วงงุนให้เบาบางลงไปบ้าง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำเพื่อแต่งตัว ตั้งใจจะออกไปหาข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ คอนโดกิน



“ข้อความเข้าเยอะจัง” หลังจากแต่งตัวเสร็จเตรียมจะออกจากห้อง ก็เดินมาหยิบเครื่องมือสื่อสารดูว่ามีใครส่งอะไรมาบ้างหรือเปล่า และเมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาก็เห็นว่ามีรายการแจ้งเตือนจากหลาย ๆ แอพฯ ทั้ง ไลน์ เฟสบุ๊ค รวมไปถึงข้อความแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้ามาอีกหลายสาย แต่ทุกข้อความเป็นเบอร์เดียวกันทั้งหมด





P’Paii โทรหาคุณเมื่อxx/xx/xxxx, 3.07 น.This number called you.

P’Paii โทรหาคุณเมื่อxx/xx/xxxx, 4.50 น.This number called you.

P’Paii โทรหาคุณเมื่อxx/xx/xxxx, 6.00 น.This number called you.

P’Paii โทรหาคุณเมื่อxx/xx/xxxx, 7.20 น.This number called you.

P’Paii โทรหาคุณเมื่อxx/xx/xxxx, 8.05 น.This number called you.







3 สายที่ไม่ได้รับ

P’Paii 10 นาทีที่แล้ว





และสุดท้ายเป็นแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ผมไม่แน่ใจว่าทำไมพี่ปลายโทรมาหาผมเยอะขนาดนั้น ยิ่งดูจากเวลาแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อคืนเราสองคนน่าจะแยกกันตอนตีหนึ่งกว่า ๆ และพี่ปลายโทรหาผมสายแรกตอนตีสามแปลว่าพี่เค้าเพิ่งถึงบ้านหรอหรือว่ายังไงกัน ทำไมนานขนาดนั้น



เมื่อคิดได้แบบนั้นเลยเลือกที่จะเปิดเข้าแอพลิเคชั่นสีเขียวเพื่อดูว่าพี่ปลายได้ส่งข้อความอะไรมาหรือเปล่า และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ





Plai EN : ถึงบ้านแล้ว 1.58 น.



เป็นข้อความที่เจ้าตัวมักจะส่งมาบอกกับผมเมื่อขับรถถึงบ้านแล้วเหมือนปกติ แต่มันไม่ปกติตรงที่อีกคนยังส่งอย่างอื่นมาอีก



Plai EN : นอนแล้วหรอ 2.40 น.



Plai EN : วันนี้ขอโทษนะ 2.40 น.



Plai EN : ตอนนี้มันไม่โอเคเลยว่ะ 2.50 น.



Plai EN : ยกเลิกข้อความ



แต่ข้อความสุดท้ายกลับโดนลบไป ก่อนที่จะเป็นสายที่โทรเข้ามาอย่างที่ผมได้เห็นจากข้อความแจ้งเตือน







ตืดดดดด ตืดดดดดดด



เสียงรอสายจากหมายเลขปลายทางที่ผมตัดสินใจกดโทรออกทันทีที่อ่านข้อความจากไลน์จบ อยากรู้ว่าอีกคนมีปัญหาอะไรถึงได้โทรมาหลายสายขนาดนั้น และข้อความที่ลบไปมันคืออะไรกันแน่ จากนิสัยที่ได้รู้จักกันมาสักพัก พี่ปลายไม่ใช่คนที่จะทำแบบนี้เลยสักนิด



“ฮัลโหลพี่ปลายโทรหาเลตั้งหลายสายมีอะไรหรือเปล่าครับ”



[สวัสดีครับคุณเล]

เสียงปลายสายที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของคนที่ผมตั้งใจโทรหา แต่กลับเป็นเสียงที่ผมคิดว่าผมเพิ่งได้ยินมาก่อนหน้านี้ ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจหยุดเต้นเกิดขึ้นมาฉับพลัน มันเหมือนโดนแช่แข็งไปเสียอย่างนั้น



ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะตั้งสติตัวเอง ปลอบใจว่าอาจจะไม่ใช่คนที่คิดและเรื่องที่สมองพาให้คิดไปไกลแล้ว ก็ได้ เพราะจากเวลาตอนนี้พี่ปลายน่าจะทำงานอยู่ คนที่รับสายผมอาจจะเป็นพี่วิวหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่น



“เอ่อ...นั้นใครหรอครับ”



[ยิมเองครับ พอดีพี่ปลายเพิ่งหลับไปเมื่อกี้ ผมเห็นว่าเป็นคุณเลโทรมาเลยถือวิสาสะรับให้ กลัวว่าจะเป็นห่วงนะครับ]



‘ถ้าไม่รับจะห่วงน้อยกว่าไหมว่ะ ถ้ารับแล้วต้องมารู้ว่าคนที่รับสายเป็นใคร



“อ๋อ หรอครับ ถ้างั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ”

คำตอบที่ได้รับเล่นเอาผมแทบกดวางสาย ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อความคิดตัวเองเมื่อคืนนี้เกินเก้าสิบเปอร์เซ็นแล้วว่าสอนคนนี้น่าจะมีอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงไปอยู่กับพี่ปลายได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนพี่ปลายจะกลับบ้านไป ยังทำท่าทางเหมือนไม่อยากเจอหน้าไม่อยากคุยกับคนที่ให้จดหมายมาอยู่เลย หรือว่าสุดท้ายแล้วพี่ปลายเปิดอ่านจดหมายนั้น



[เดี๋ยวครับเล อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ]



“เอ่อ แฮะ ๆ ไม่หรอกครับ ผมแค่เห็นพี่ปลายโทรมาหลายสายเลยโทรกลับเท่านั้นครับ พอบอกว่านอนหลับอยู่ก็เลยคิดว่าไว้ค่อยคุยตอนตื่นอีกที”

ผมพยายามแค่นหัวเราะออกมาก่อนจะควบคุมเสียงพูดตัวเองให้นิ่งที่สุดเพื่อตอบคนปลายสาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่หัวใจตอนนี้อึดอัดจนบอกไม่ถูก มีเรื่องมากมายที่อยากรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไร อยากจะบอกให้ไปปลุกอีกคนมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่ก็อย่างที่เคยบอกไป



ผมไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปถาม หรือแม้แต่จะเข้าใจผิดเลยสักนิด



เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย



[ถ้าอย่างนั้นผมก็สบายใจไม่อยากให้เลเข้าใจผิด งั้นถ้าพี่ปลายตื่นแล้วผมจะบอกให้นะครับ]



“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ผมโทรกลับไปเองดีกว่า ขอบคุณมากครับ”

เอาจริง ๆ ไอ้คำที่ย้ำว่าไม่อยากให้ผมเข้าใจผิด ผมนี่โคตรเข้าใจไปหลายอย่างบอกเลย คิดไปเยอะมากจนไม่รู้ว่าอันไหนผมเข้าใจผิด และอันไหนผมเข้าใจถูก



ทั้ง ๆ ที่ควรจะให้พี่ปลายโทรกลับอย่างที่อีกคนบอก เพื่อผมจะได้ถามคำถามมากมายที่เริ่มประดังเข้ามาในใจตอนนี้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ผมว่า ผมยังไม่พร้อมจะรู้ความจริงที่อาจจะทำให้ผมเสียใจ



[เอาแบบนั้นหรอครับ]



“เอาแบบนั้นแหละครับ ถ้างั้นผมวางก่อนนะครับ”



[สวัสดีครับคุณเล]



“สวัสดีครับคุณยิม”



เฮ้ออออออออ



เสียงถอยหายใจยาว ๆ ที่ผมพ่นออกมาด้วยความหนักหน่วงในใจหลังจากวางสาย ความพยายามที่ข่มกั้นเสียงสั่นเครือของตัวเองหมดสิ้นลงทันที หัวใจเริ่มสั่นไหวหนักขึ้นเพราะความคิดมากมายที่วิ่งเข้ามาในหัวสมอง ความอัดอั้นจากความคิดในสมองส่งผลให้หัวตาร้อนผ่าวและเพียงไม่นานหยดน้ำใสหยดแรกก็ร่วงลงมา



เผลาะ



ฮึบ



ฮือ



และหยดที่เหลือก็ไหลออกมาอย่าที่ผมห้ามไม่ได้



‘ถ้าห้ามมันไม่ไหว ก็คงต้องปล่อยให้มันไหลออกมา









Rrrrrrrrrr



P’Paii





สายเรียกเข้าที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมไม่ใช่สายแรกที่คนปลายสายโทรเข้ามา ผมนั่งมองชื่อที่แจ้งเตือนบนหน้าจออยู่แบบนี้มาเกือบชั่วโมงแล้ว พี่ปลายยังคงโทรเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ สายต่อสายอย่างไม่หยุดพัก ทั้ง ๆ ที่ผมคงจะกดรับตั้งแต่สายแรกที่โทรเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกลับทำไม่ได้จริง ๆ



เราไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะเราสองคนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทะเลาะกัน



เราไม่ได้เข้าใจผิดกัน เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเข้าใจผิดกันได้



เราก็แค่คนรู้จักกัน



ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือใส่ใจอะไร กับแค่คนรู้จัก



แล้วทำไมผมไม่กดรับหล่ะถ้าบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจ



อาจจะเป็นเพราะผม ไม่ได้อยากเป็นแค่คนรู้จักของพี่ปลาย



ผมอยากเป็นคน...





ปึ๊ง ปึ๊ง ปึ๊ง



เสียงทุบประตูหน้าห้องทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งจมอยู่เกือบทั้งวัน นี่ถือเป็นครั้งแรกของวันก็ได้ที่ผมขยับตัวออกจากที่ตรงนี้ เพราะตั้งแต่เช้าที่ผมวางสายไปผมก็นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองที่นี้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเกือบเที่ยงที่พี่ปลายโทรเข้ามา



To be con. »

#ที่ปลายทะเล


ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 12/2 สายตาเธอบ่งบอก
«ตอบ #16 เมื่อ16-01-2020 13:22:42 »

ตอนที่ 12/2 สายตาเธอบ่งบอก

“เล เปิดประตูหน่อยเล”

เสียงเพื่อนสนิทที่ดังเขามาในห้องก่อนที่ผมจะได้ทันส่องที่ช่องตาแมว ดูว่าใครที่มาหาผมตอนนี้ ทำให้ผมเลือกที่จะเปิดประตูออกไปทันทีด้วยความแปลกใจว่าทำไมเพื่อนถึงมาหาผมวันนี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเราเพิ่งจะเจอกัน จนลืมถามไปว่าเพื่อนขึ้นมาข้างบนนี้ได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ไม่มีคีย์การ์ด



“กาย บิว พวกมึง...”



“มึงเป็นอะไรทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่เค้า”



“พี่ปลาย!”

ผมหันไปมองตามมือเพื่อนที่ชี้ไปที่คนที่เพิ่งโทรหาผมก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที พี่ปลายยืนผิงอยู่ที่กำแพงข้าง ๆ ประตูห้องด้วยแววตาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ตาคมจ้องมองมาที่หน้าผมนิ่งก่อนจะหันไปหาเพื่อนผมที่หันไปพูดกับเจ้าตัว



“ผมส่งแค่นี้นะพี่ ค่อย ๆ คุยกัน”



“ขอบใจมาก”



“พวกกูไปก่อนนะ”

กายตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะเดินตามไอ้บิวไป เหลือแค่ผมกับอีกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ ผมมองสบเข้าไปในตาคมคู่นั้น นัยน์ตาดำมีแววกังวลแอบซ่อนอยู่ มันเหมือนกับว่าอีกคนอยากจะบอกอะไรกับผมแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดมันตอนนี้

"เข้าไปคุยกันข้างในได้ไหมเล"



#ที่ปลายทะเล ต่อ



“เชิญครับ” ผมเดินนำพี่ปลายเข้ามาในห้อง แวะเข้าครัวไปหยิบเอาแก้วมาเทน้ำให้คนที่มาหา ก่อนจะเดินตามอีกคนที่เดินไปนั่งรออยู่ที่โซฟาก่อนแล้ว จัดการวางแก้วบนโต๊ะกระจก

“ไม่มีอะไรจะถามหรอ?”

“ไม่มีนี่ครับ” ถึงแม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในหัวของผมตอนนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถเอ่ยถามออกมาได้เลย พี่ปลายมองจ้องมาที่หน้าของผมที่เพิ่งนั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ กัน ผมพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุดเพื่อปกปิดความรู้สึกที่ผมมีในตอนนี้

“แน่ใจหรอ ว่าไม่มีอะไรจะถาม”

“แน่ใจครับ” ผมยังพยายามตอบเสียงนิ่ง ถึงแม้ตอนนี้จะไม่กล้าสบตาพี่ปลาย ทำได้แค่ก้มมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ บีบกระชับแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อข่มกั้นความรู้สึกและก้อนสะอื้นที่อยู่ ๆ ก็ตีตื้นขึ้นมา

“แล้วมึงเป็นอะไร ทำไมไม่มองหน้ากู”

“ไม่ได้เป็นครับ”

“ถ้ามึงบอกว่าไม่มีอะไรจะถาม งั้นกูจะพูดเองเพราะกูอยากบอก”

“แต่ผมไม่อยากฟังเท่าไหร่”

“ผม ? นี่หรอว่ะที่ไม่เป็นอะไร ปกติมึงแทบไม่เคยพูดแทนตัวเองกับกูว่าผมเลยนะเล”

“...” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าพี่ปลายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าคน ๆ นี้จะใส่ใจคำพูดของผมแม้กระทั่งการเรียกแทนตัวของผมเอง ซึ่งเอาจริง ๆ ผมยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ก็แค่ตอนนี้มันอยากจะพูดแบบนี้ก็แค่นั้นเอง

“มึงมีอะไรกูพูดดิว่ะ มึงอยากรู้อะไรมึงก็แค่ถามกู ไม่ใช่ไม่รับสายหนีกูแบบนี้”

“ผมไม่ได้หนี ก็แค่...” ผมก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่พี่ปลายก็ใช้มือข้างหนึ่งรั้งที่คางของผมเอาไว้ เพื่อไม่ให้ผมก้มหน้าหนีอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองสบตาพี่เค้าได้แค่ไม่ถึงสองวิ ก่อนจะเสสายตาไปทางอื่น ที่ทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เพราะกลัวว่าถ้ามองเข้าไปในตาคมสีเข้มคู่นั้นแล้ว จะเห็นความรู้สึกที่อีกคนมีให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม

“แค่อะไร แค่ไม่อยากรับ หรือว่าแค่เป็นกู คนที่ไม่สำคัญอะไร”

“มันไม่ใช่นะพี่ปลาย มันไม่ใช่แบบนั้น”

“แล้วอะไรที่ใช่หล่ะ อะไรที่ทำให้มึงไม่รับสายกู มึงบอกกูดิเล” มือหนาอีกข้างของพี่ปลายถูกยกขึ้นมาวางบนหน้าผม ทาบทับลงบนสองข้างแก้มด้วยมือทั้งสองข้าง ถึงจะไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนรู้สึกเจ็บ พี่ปลายเขยิบตัวเข้ามาให้ใกล้กันมาขึ้น ก่อนจะดันให้หน้าผมอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าตัว ผมมองสบเข้าไปในตาคมคู่นั้นอีกครั้ง แววตากังวลใจฉายแววชัดเจนจนผมเองก็อดหวั่นใจไม่ได้

‘กลัวว่าอีกคนจะบอกในสิ่งที่ไม่อยากฟัง เลยังไม่พร้อม

“ขอโทษ”

“ขอโทษอะไร มึงทำอะไรผิด”

“มะ...ไม่มี”

“ถ้าไม่มีแล้วมึงจะขอโทษทำไม มึงทำแบบนี้กูโคตรรู้สึกแย่เลยมึงรู้ไหมทะเล” แววตาพี่ปลายหม่นหมองลงกว่าเดิม หน้าคมก็ดูเหนื่อยล้ามากขึ้นขณะที่พูดกับผม ความรู้สึกมากมายกำลังถาโถมเข้ามาในหัวใจผมอีกครั้ง ทั้งรู้สึกผิดที่ทำให้อีกคนดูเหนื่อยหน่ายขนาดนี้ ทั้งดีใจที่พี่ปลายมาหา ทั้งกลัว กังวล และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะไม่อดกั้นอีก

“พี่กับเค้าเป็นอะไรกัน”

“ยิม?” พี่ปลายเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยชื่อของคนที่ผมไม่ค่อยอยากได้ยินเท่าไหร่นัก และเหมือนกับว่าตอนนี้การเอ่ยชื่อของอีกคนจากปากพี่ปลายจะไม่ได้หนักหน่วยเท่าเมื่อวานนี้ กลับกลายเป็นผมเองที่รู้สึกอึดอัดจนเผลอกลั้นหลายใจ

“ครับ”

“กูจะไม่โกหกมึงเล กูเคยคบกับยิมตอนเรียนม.ปลาย” คำตอบของพี่ปลายทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น มันหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ เหมือนโดนอะไรหลาย ๆ อย่างหล่นมาทับ มือหนายังคงประคองอยู่ที่หน้าของผม แววตาที่มองมาที่ผมฉายแววเศร้าน้อยๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ผมต้องพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่อัดแน่นอยู่ในลำคอ พยายามฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้อีกคนรู้สึกแย่มากไปกว่านี้

“อื้อ ผมเข้าใจแล้วครับ”

“เข้าใจว่าอะไร”

“...” คราวนี้ผมไม่ตอบ ไม่ใช่ไม่อยากตอบแต่ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริง ๆ ผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย และไม่อยากเข้าใจด้วย คิดว่าถ้าได้รู้อะไรมากกว่านี้ผมคงข่มกลั้นไว้อีกไม่ไหวแน่ ผมพยายามเสสายตามองไปทางอื่น รู้สึกไม่อยากมองคนตรงหน้าเลยตอนนี้ กลัวว่าหัวใจตัวเองจะหยุดเต้นไปเสียจริง ๆ

“เลครับ มองหน้าพี่นะครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลกับคำพูดเพราะ ๆ ของพี่ปลายที่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่นักหรือเรียกว่าแทบไม่เคยได้ยินเลย ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ พี่ปลายจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาเปลี่ยนไปจากเดิม มันไม่มีความเศร้าหมองหรือเหนื่อยหน่ายติดอยู่แล้ว เหลือแค่ความเอ็นดูที่ส่งมาให้ผม ปากสวยยิ้มออกน้อย ๆ แต่รับรู้ได้ว่าไม่ใช่การฝืนยิ้มเพื่อให้ผมสบายใจเหมือนที่ผมทำไปก่อนหน้านี้ นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างเกลี่ยไปมาเบา ๆ ที่สองข้างแก้มของผม ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใบหน้า อบอุ่นไปถึงหัวใจ ความรู้สึกหน่วงก่อนหน้านี้เหมือนได้รับการเยียวยาไปจนเกือบหมด

”ฟังพี่พูดให้จบก่อนนะครับ” ผมพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมทั้งมองสบตากับคนตัวโตที่อยู่ในโหมดอ่อนโยน พี่ปลายละมือออกจากหน้าผมเพราะมั่นใจแล้วว่าผมจะไม่หันหนีพี่แกอีก วาบทาบทับลงบนมือของผมก่อนบีบเบา ๆ

‘หัวใจมันอบอุ่นเหลือเกิน

“พี่กับยิม เราเคยคบกัน”แค่ฟังเริ่มแรกที่พี่ปลายพูดหัวใจของผมกลับมารู้สึกหน่วง ๆ อีกครั้ง แต่คงเพราะมือของเราที่จับกันอยู่เลยไม่ได้หนักหนามาเท่าก่อนหน้านี้ และเหมือนกับว่าคนที่กำลังพูดอยู่จะรู้เลย เลยยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโอบเอวผม อีกข้างสอดประสานนิ้วเรียวเข้ากับนิ้วมือของผมพร้อมกับกระชับให้แน่นขึ้น แต่มันไม่ได้แน่นจนรู้สึกอึดอัด จากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง

“ยิมเป็นแฟนคนแรกของพี่ เค้าเป็นคนที่ทำให้พี่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน เราคบกันอยู่ได้นานพอสมควร...” พี่ปลายเล่าเรื่องในอดีตของตัวเองให้ผมฟังอย่างไม่มีปิดบังอะไรเลยสักนิด แม้กระทั่งเรื่องที่พี่ปลายไม่ได้ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่แรก เรื่องที่ครอบครัวจับได้และไม่ยอมรับ เรื่องที่ยิมขอเลิกกับพี่ปลายแล้วไปเรียนต่อต่างประเทศผ่านทางจดหมาย อาจจะเป็นเพราะแบบนี้เมื่อวานพี่ปลายเลยไม่อยากอ่านจดหมายฉบับนั้น มันคงยังทำให้พี่ปลายรู้สึกแย่อยู่ไม่น้อย และเรื่องสุดท้ายที่พี่ปลายเล่าเป็นเรื่องของพี่มีน “สุดท้ายมีนก็ขอเลิกกับพี่ ก็ตอนที่เลได้ยินนั้นแหละ”

“ขอโทษที่แอบฟังนะครับวันนั้น” ผมทำหน้าหงอ เหมือนรู้สึกผิดแต่เอาจริง ๆ ไม่เลยสักนิดแค่กลัวพี่มันจะดีดหน้าผากเท่านั้นแหละ

“ดีแล้วแหละที่เลได้ยิน จะได้รู้ว่าพี่โสดแล้ว”

“หื่อออ ทำไมหล่ะครับ” ผมเบิกตาโตมองพี่ปลายด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจความหมายที่อีกคนพูด พี่ปลายก็ยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะพูดคำที่ผมถึงกับหน้าร้อน

“ก็จะได้ตามจีบน้องเลได้อย่างสบายใจไงครับ”

“อะไรนะ! เมื่อกี้พี่ปลายพูดว่าไงน่ะ”

“ของดีไม่มีรอบสองเว้ยเตี้ย” ง่ะ ทำไมอยู่ ๆ กลับมาเป็นเตี้ยอีกแล้วเนี่ย น้องเล หายไปไหนแล้วว่ะ เมื่อกี้กำลังจะฟินเลยนะเว้ย

“โหหหห พี่ปลายร่างจริงกลับมาแล้วสิเนี่ย เรียกเลว่าเตี้ยแล้วอ่ะ”

“หายงอนพี่ปลายเถอะนะครับน้องเล” อ๊ากกกกกกกกกกกก พี่ปลายแอคแทร็กผมอีกแล้ว พูดอย่างเดียวไม่พอยังทำตาหวานส่งมาให้ผมอีก เอาจริง ๆ พี่ปลายร่างโหดว่าน่ากลัวแล้ว พี่ปลายร่างนี้อันตรายกับหัวใจผมมากกว่าอีกบอกเลย

‘จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ไอ้ทะเลเอ้ยยยย

“งื่ออออ~ไอ้พี่ปลายไอ้คนบ้า เลเขินนะเว้ย”

“ไม่ชอบหรอครับน้องเลย พี่นึกว่าชอบแบบนี้” ยื่ออออ~ ตายได้ไหม ตายแล้วเกิดใหม่ได้อีกไหมบอกที

คนตัวโตยังคงแกล้งผมไม่เลิก หนำซ้ำแขนที่โอบรอบตัวไว้ก็กระชับจนร่างผมจะสิงเข้าไปในรวมร่างกับพี่มันอยู่แล้วตอนนี้

“ก็ชอบ แต่จริง ๆ ก็ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่ปลายนั้นแหละ แบบปกติก็ดี แต่แบบนี้กร้าวใจมากบอกเลย”

“ปากดี”

“แน่นอน อื้อ..” ปากสวยประกบลงมาปากผมทันที ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันได้พูดจบ พี่ปลายกดจูบลงมาเบา ๆ แช่ค้างเอาไว้อย่างนั้นไม่นาน ก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากลงมาดูดเม้มริมฝีปากล่างของผม ดูดดึงหยอกล้อก่อนจะใช้ลิ้นดุนเบา ๆ จนผมรู้สึกเสียววาบไปถึงช่องท้อง ฟันขาวขบเบา ๆ จากนั้นก็เลื่อนขึ้นมาหยอกล้อกับริมฝีปากบนอยู่เล็กน้อย ส่งลิ้นร้อนเลียจนทั่วบริเวณรอบนอกเหมือนเป็นการทักทาย รสจูบที่พี่ปลายมอบให้ในครั้งนี้อ่อนโยนและวาบหวามแตกต่างจากครั้งแรกที่เราเคยจูบกัน ครั้งนั้นมันทั้งเจ็บปวดและทรมานจนไม่อยากจะนับว่าเคยได้จูบกับคน ๆ นี้ มันต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“อือ~” เสียงครางเบา ๆ หลุดออกมาจากปากผมเมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศ พี่ปลายถอนใบหน้าออกจากกันเล็กน้อย เพื่อให้ผมได้พักหายใจแต่ยังไม่ทันได้หายใจเข้าเต็มปอด ปากสวยของคนพี่ก็ประกบลงมาอีกครั้ง คราวนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม พี่ปลายสอดลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผมโดยที่ผมเองไม่คิดขัดขืน มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่างกาย ผมรู้สึกอ่อนยวบไปหมดจนต้องยกมือขึ้นโอบไปที่รอบคอของคนตัวโตเพื่อรั้งตัวเองเอาไว้

หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าวิ่งออกกำลังกายมาสองชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ลิ้นร้อนควานไปทั่วทั้งโพรงปาก เหมือนกำลังสำรวจว่ามีอะไรหลบซ่อนอยู่ จากนั้นก็เลื่อนมาหยอกล้อกับลิ้นเรียวของผมที่ตอบรับอย่างไม่หลบหนี เสียงแลกเปลี่ยนความหวานของน้ำสีใสดังก้องไปทั่วห้องสอดประสานกับเสียงครางเบา ๆ ของเราทั้งสองคน

“อื่อ~พอก่อน เลไม่ไหวแล้ว” ผมก้มหน้าซุกลงบนไหล่กว้าง จังหวะที่พี่ปลายถอนริมฝีปากออกเพื่อให้ได้หายใจ

‘รุนแรงกับเลตลอด ใจและกายเลอ่อนยวบไปหมดแล้วน๊า

“เตี้ยเอ้ย” พี่ปลายลูบหัวผมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ผมซุกหน้าอยู่ที่ไหล่กว้างเพื่อซ่อนหน้าร้อน ๆ ของตัวเองอยู่แบบนั้นสักพัก หอบหายใจถี่ ๆ อยู่ไม่นานจนเริ่มหายใจเป็นปกติ เรียกสติให้กลับมาจนครบก่อนจะเริ่มถามคำถามที่ยังค้างคาใจ ตั้งใจจะถามตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ทันได้ถามเพราะโดนดูดวิญญาณเสียก่อน

‘ฮึ่ยยยยย ขอพัดลมหน่อยจ้า หน้าจะไหม้แล้ว

“พี่ปลาย เลถามอะไรหน่อยได้ไหม” ผมดันตัวออกจากไหล่กว้างจ้องมองไปที่หน้าหล่อนั้นพร้อมกับพูดขึ้น

“ว่ามาสิ”

“ทำไม...เค้า... ถึงรับโทรศัพท์พี่หล่ะ”

“อืมมมมม” พี่ปลายลากเสียยาวเหมือนทำท่าคิดอะไรอยู่ จนผมเริ่มรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่แน่ใจว่าควรจะรอฟังคำตอบดีไหม ไอ้ผมนี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่เลยช่วยนี้ อารมณ์แปรปรวนเหมือนกำลังจะวัยทองยังไงไม่รู้

“ถ้าลำบากใจ ก็ไม่ได้ต้องเล่าก็ได้นะครับ”

“คิดเยอะนะไอ้หมาเตี้ย มีนพามาหาที่ทำงานนะ บอกว่าอยากให้เคลียร์กัน” พี่ปลายผลักหัวผมเบา ๆ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมกลับมาใจชื้นขึ้นอีกครั้ง

‘เห็นป่ะแม่ง อารมณ์มึงเปลี่ยนนาทีละกี่รอบว่ะไอ้ทะเล

“หืม?”

“ไม่ต้องมาทำหน้าหมางงเลยมึง ฟังให้จบก่อน”

“จริงดิ๊ เลทำหน้าเหมือนหมา งง จริง ๆ หรอ” ผมหันขวับไปมองที่หน้าจอทีวีที่ปิดอยู่ กะว่าจะใช้เป็นกระจกส่องหน้าตัวเองว่าทำหน้ายังไงอยู่ ไอ้หน้าหมา งง ที่พี่ปลายบอกนั้นมันเป็นยังไง แต่พอส่องไปก็เห็นแต่คนน่ารักเท่านั้นนะแหละ หุหุ “แต่ช่างมันเถอะหน้าหมางงไม่ใช่ประเด็น เล่าต่อสิรอฟังอยู่”

“ก็นั่นแหละ มีนพายิมมาหาที่ทำงาน เลยออกไปที่คอนโดมีนด้วยกัน ไม่อยากให้คนที่ทำงานมองมันจะไม่ดี”

‘ไอ้ก็นั้นแหละนี่หมายถึงหน้ากูเหมือนหมางงหรือเปล่าว่ะ

ยัง ยัง ไม่พอนะ นี่ว่าพี่ปลายหรอ ไม่ใช่เว้ย ว่ามึงนั้นแหละไอ้ทะเล เล่นอยู่ได้นะมึง แฮะๆ (แลกูจะเหงา)

“ครับ”

“ทีแรกก็ไม่อยากคุยหรอก แต่มาคิดอีกทีเคลียร์ ๆ ไปจะได้จบ ไม่งั้นมันก็ค้างคาอยู่แบบนี้ แล้วเค้าก็แค่คุยเหตุผลที่เค้าไปไม่ลา และน้องมันก็ขอโทษที่ทำแบบนั้น เพราะที่บ้านน้องมันก็ไม่โอเคกับเรื่องนี้เหมือนกัน เลยบังคับให้ไปเรียน แต่ตอนนี้ก็ไม่อะไรกันแล้ว เพราะตอนนี้น้องมันก็มีคนของตัวเองแล้ว ก็เหมือนกับกูนี่แหละ”

“เหมือนยังไงอ่ะ บอกหน่อยสิ๊” ที่ฟังมาโดยใจแค่ประโยคสุดท้ายนี้แหละครับ ไม่มีทางปล่อยผ่านแน่นอน คอนเฟิร์ม ผมทำหน้าออดอ้อนคนตัวโตอย่างเต็มที่ แต่ผลที่ได้กลับมานะหรอ

“หึหึ กูไม่บอกมึงหรอก” นี่ไงหล่ะครับคำตอบ ไม่พอเท่านั้นผลักหัวกันจนเกือบหลุด

‘นี่หัวคนนะเว้ยยยยย ไม่ใช่หัวตุ๊กตา ที่หลุดแล้วเสียบคืนได้ ฮึ่ยยยยยย ทะนุถนอมเลหน่อยเด่

(โวยวายเก่ง)

“ใจร้ายยยยย เอ๊อออออ อีกเรื่อง ๆ ทำไมไปนอนด้วยกันได้ว่ะ” อยู่ ๆก็อารมณ์ขึ้นเลยครับแค่นึกถึงเรื่องเมื่อเช้า ตอนที่โทรไปแล้วคนอื่นรับ

‘หึ้ยไปคุยกันยังไงถึงขนาดต้องนอนด้วยว่ะเนี่ย

“ก็มันง่วง โทรหาหมาทั้งคืนหมาแม่งก็ปิดเครื่อง อุส่าขับรถกลับมาหาถึงคอนโด แม่งก็ขึ้นไม่ได้อีก”

“ห๊าาาาาา มาหาที่นี่หรอ งื่ออออออ รู้สึกผิดจัง” ทำไมความรู้สึกผิดมันเป็นสีชมพูไม่รู้อ่าครั้งนี้ หัวใจเต้นรัวเหมือนจะไปทัวร์คอนเสิร์ต ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ปลายจะมาหาแค่เพราะโทรหาไม่ติด มันเขินอีกแล้วอ่าแกร

“รู้สึกผิดก็ไถ่โทษมาดิ” และจังหวะที่กำลังมัวแต่ปลาบปลื้มอยู่ก็โดนรวบตัวเข้าไปกอดโดยไม่ทันตั้งตัวเลยครับ ไม่ได้สมยอมนะเว้ยอย่ามองแบบนั้นดิ พี่ปลายวางคางเกยอยู่ที่หัวของผมหลังจากพูดจบ

“ได้ ๆ อยากได้อะไรบอกมาสิ เล ยอมทุกอย่างเลย”

“แน่ใจนะว่ายอมทุกอย่างนะ” พี่ปลายผละตัวผมออกห่างจากตัวเองนิดหน่อย หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองมาที่หน้าผมเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง ก่อนจะหยุดสายตาที่ปากของผม แค่มองแววตาคมที่จ้องริมฝีปากของผมก็ทำให้หน้าทั้งหน้าเห่อร้อนขึ้นกว่าเดิมไปอีก อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าร้อนกว่านี้มันจะระเบิดตูมเลยไหม หน้าผมตอนนี้บอกเลยว่ามะเขือเทศทั้งสวนก็คงสู้ความแดงของหน้าผมไม่ได้

“ฮื่ออออออ ไอ้พี่ปลาย ไอ้คนทะลึ่ง”

“เป็นอะไรเตี้ย กูยังไม่พูดอะไรเลยนะ ฮ่า ๆ ๆ ” มือหนาดันหน้าผากผมแรง ๆ อีกครั้งก่อนหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เล่นเอาผมหน้าเหว่ออ้าปากหวอ เหมือนกำลังรอแมลงวันบินเข้าปาก

“ง่ะ แกล้งเลหรอเออพี่ปลาย ยังไม่จบอีกนิดๆ” อารมณ์เปลี่ยนอีกแล้วครับ ดึงกลับเข้าโหมดคำถามประจำสัปดาห์ จนคนหัวเราะร่วนต้องขมวดคิ้วมุ่น

‘ไม่ต้องแปลกใจ เลน่าจะวัยทองไม่ก็ไบโพล่าชับพลันแน่ ๆ

“ยังไม่จบอีกหรอ พอได้ถามทีนี่ ถามเยอะเลยนะมึง”

“น๊า ๆ สุดท้ายละ” ผมยกนิ้วขี้ขึ้นมาชูเพื่อยืนยันว่านี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้วจริง ๆ และพี่ปลายเองก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้ถามได้ “พี่ไปเจอไอ้เพื่อนสองตัวนั้นได้ยังไง”

“ก็โทรหามึงไม่รับ เลยนึกขึ้นได้ว่าแลกเบอร์กับจอนไว้ เลยโทรหาจอนถามว่ามีคีย์การ์ดห้องมึงไหม พอบอกว่ามีกูเลยขอให้พามาหามึงหน่อยเพราะกูขึ้นมาไม่ได้ แต่จอนบอกว่าต้องเข้างานบ่ายเลยโทรเรียกบิวกับกายมาช่วยนี่แหละ”

‘โอ้โหทำกันเป็นขบวนการเลยนะไอ้เพื่อนเวร ไม่คิดจะถามกูเลยสักนิด อย่าให้กูเจอนะพวกมึงจะตบรางวัลให้ ที่ทำได้ดีมากเพื่อนรัก เอิ้ก ๆ ๆ

“อ๋อออออออออ อย่างนี้นี่เอง”

“จบแล้วใช่ไหม ไปกินข้าวเหอะกูหิวละ หรือถ้ามึงไม่อยากไป จะให้กูกินอย่างอื่นที่นี้ก็ได้นะ”

“หื่ยยยยยยย ไม่ต้องมามองเลย ลุกเลยรีบลุก หิวจนจะแดกควายได้แล้ว” ผมรีบดีดตัวขึ้นยืนทันทีไม่รอช้า เพียงเพราะแววตาและคำพูดของพี่ปลายก็เล่นเอาขนลุกซู่ไปหมดทั้งตัว นี่พี่มึงจะแดรกกูแทนข้าวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้คบกันเลยหร๊อว๊า เลหัวโบราณนะเว้ย ยังไม่ได้เป็นแฟนอย่าหวังได้แอ๊มเลบอกเลย แต่ที่จูบไปเมื่อกี้ไม่ได้สมยอมนะเว้ยยยยยยยยยยย โดนบังคับ (เหรออออ)



ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 13/1 สถานการณ์แปรปรวน
«ตอบ #17 เมื่อ18-01-2020 12:45:24 »

ตอนที่ 13/1 สถานการณ์แปรปรวน

บรี๊นนนน บรี๊นนนน บรี๊นนนน
‘บีบเก่งจิงนะแตรรถเนี่ยยยย หุ้ย! หูกูจะหนวกแล้วไอ้พี่เวร
ผมบ่นในใจให้ไอ้คนตัวโตที่ขี่รถตามผมมาสักพักแล้วตั้งแต่ไฟแดงคนข้ามถนน ไม่พอบีบแตรแล้วบีบแตรอีกไม่เลิกสักทีจนคนเค้ามองด้วยสายตาประณามมึงกันหมดแล้ว ส่วนผมก็พยายามเดินหนีพี่มันขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะตามมาทำไมนักหนา เนี่ยเดินจนจะถึงโรงแรมแล้วเนี่ย แล้วก็โคตรหงุดหงิดไอ้ขาสั้น ๆ นี่สุด ๆอ่ะ
แม่ง! อยากจะเดินไวกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวกูวิ่งหนีแม่งเลยสาดดด
“เล”
“…”
“ไอ้เล”
“...” เรียกเก่ง เรียกกูจัง กลัวลืมชื่อกูไง ไม่ตอบก็ยังเรียกอยู่ได้นะเว้ยยยย
“ทะเล! หยุด กูพูดไม่ได้ยินไง หูหนวกหรือไงว่ะ” โว้ยยยยย กูได้ยินแล้วเว้ย แต่ไม่อยากหยุดมีอะไรป่าวว่ะ เอ่อ แล้วทำไมขากูไม่ก้าวต่อว่ะเนี่ย ???
‘ไอ้ขาเวรอย่าทรยศดิเว้ยยยยย
ไหน ๆ ขาผมมันก็ทรยศร่างกายอันบอบบางนี้แล้ว ผมก็เลยต้องหันไปหาไอ้คนตัวโตที่แหกปากเรียกชื่อจนคนเค้ามองอยากรู้อยากเห็นกันไปหมด
“ทำไม!!! ผมไม่ได้หูหนวกโว้ย แต่ผมไม่อยากคุยกับพี่”
“แน่ใจนะ” เออ! ไม่แน่ใจเว้ยไอ้พี่บ้า ผมจ้องหน้าคนตัวโตเขม็งด้วยความหงุดหงิด แม่ง รู้ดีไปหมดเลยนะว่าถามแบบนี้ผมต้องตอบไม่ได้แน่
“พี่ปลาย!!! พี่มันคนใจร้าย”
“พี่ปลาย มีอะไรกันพี่ ใจเย็น ๆ ก่อน” เสียงของคนที่มาที่หลังแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้พี่ปลายที่กำลังแข่งกันแหกปากเหมือนกำลังชิงชนะเลิศแหกปากโอลิมปิก ประหนึ่งว่าถ้าใครเสียงดังกว่าจะได้เหรียญทองไป โถ่!
คนตัวโตเกือบเท่าพี่ปลายเดินมาหยุดยืนระหว่างเราสองคน ถ้าผมจำไม่ผิดก็น่าจะชื่อระตินั้นแหละ
“ไม่มีไรมึง ไปก่อนเลย กูมีเรื่องต้องคุยกับไอ้เด็กดื้อนี้ก่อน”
“ผมไม่ได้ดื้อ แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ด้วย ผมจะไปทำงาน” ผมหันกลับไปมองค้อนไอ้คนที่ว่าผมดื้อ เถียงออกมาเสียงดังก่อนจะหมุนตัวตั้งใจจะเดินต่อ แต่ยังไม่ทันเดินสักก้าว ไอ้พี่ปลายมันก็พูดเสียงเย็นจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“จะขึ้นดี ๆ หรือจะให้กูลงไปอุ้ม”
“พี่ใจเย็นดิวะ” ใช่เลยพี่ระติ พีปลายแม่งชอบโวยวายเว้ย เลนี่เรียบร้อยสุดอ่ะบอกเลย พี่พามันกลับไปทำงานด้วยเลยมาตามอยู่ได้เนี่ย
“มึงยังไม่ไปอีกใช่ไหม ถ้างั้นมึงไปอุ้มไอ้เด็กนั้นมาขึ้นรถกูที”
“ไม่ต้องอุ้ม!!”
หันไปตวาดอย่างดังไม่ใช่ว่าไม่ไปนะครับ ตาเหลือกเลยสิครับคราวนี้ ก็อยู่ ๆ ไอ้พี่แม่งจะให้คนอื่นมาอุ้มผมเฉยเลยอ่ะ ไม่คิดบ้างไงว่ะว่ากูก็รักนวลสงวนตัวนะเว้ย ถ้าพี่มึงมาอุ้มกูนี่อาจจะแกล้งขัดขืนนิดหน่อยพอเล่นตัว นี่ให้ผู้ชายคนอื่นมาอุ้มอ่ะใครจะยอมว่ะ พอทำไรไม่ได้เลยจำยอมโดดขึ้นรถเองสิรอไรเล่า
“แค่เนี่ยก็จบแล้ว มึงจะเรื่องเยอะทำไมห๊ะเล”
“ค่อย ๆ คุยกันนะพี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องเล งั้นผมไปก่อนนะ” พี่ระติหันไปบอกพี่ปลายก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ผมแล้วบอกลา ผมทำแค่พยักหน้าเบา ๆ เพราะอารมณ์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก โมโหไอ้เสาไฟฟ้าข้างหน้านี้อยู่ อยากจะกัดแม่งให้จมเขี้ยวสักทีสองที
“เออ บอกไอ้วิวว่ากูจะเข้าสาย พาเด็กไปอบรมก่อน”
“คร๊าบบบบ อบรมเบานะครับพี่”
พอได้ยินพี่ระติบอกว่าให้อบรมเบา ๆ นี่เล่นเอาผมหน้าร้อนเลยครับ เผลอไปคิดอะไรก็ไม่รู้เข้านะสิ แล้วยิ่งคนพูดยิ้มกรุ่มกริ้มแบบนั้นแล้วหัวใจก็ดันเต้นผิดจังหวะเข้าไปอีกอ่ะ
“ไปเร็ว ๆ เลยมึง”
พี่ปลายมองดูรุ่นน้องที่ทำงานเดินไปขึ้นรถ จากนั้นก็ขับออกมาจากที่ตรงนั้น ผมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ไม่ทันได้มองว่าพี่มันจะพาไปไหน มารู้ตัวก็ตอนมันจะกลับรถนี้แหละ ตกใจที่มันขับเลยที่ทำงานผมเลยจัดการทุบหลังพี่มันไปที
“จะพาเลไปไหนพี่ปลาย เลต้องไปทำงานนะเว้ย”
“พาไปอบรม มึงโทรไปลางานครึ่งวันได้เลย หึหึ”
“พี่แม่งอบรมอะไรของพี่ว่ะ ถ้าเลโดนไล่ออกทำไงเล่า”
“เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง ตลอดชีวิตเลยเอ้า”
“หึ่ยยยย!”
เถียงไม่ออกเลยไง เขินขึ้นมาเฉยเลย แม่ง! มาพูดแบบนี้ทั้ง ๆ ที่คนเค้างอนอยู่ได้ไงว่ะ ทำแบบนี้เดี๋ยวหัวใจวายตกรถตายห่าขึ้นมาทำไงเล่า


ส่วนไอ้เรื่องก่อนหน้าที่จะเป็นแบบนี้ก็มาจากเมื่อวานที่เป็นวันหยุดพี่มันนั้นแหละ ก็หลังจากวันเสาร์ที่พี่มันมาง้อที่ห้องก็พากันลงไปทานข้าว ขึ้นมานั่งเล่นจนค่ำ ๆ พี่มันก็กลับบ้านมันไป
จากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาคุยกันอีกทีก็ตอนเช้าที่ผมต้องไปทำงานแล้วพี่มันมารับเหมือนปกติ
วันทั้งวันช่วงทำงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ ผมก็ทำงานตามปกติ เข้างานเช้าเลิกงานเย็น เจอคุณแทนให้ไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเหมือนเช่นเคย ต่างไปคือไม่ได้ชวนไปกินข้าวเหมือนเมื่อก่อน
ตอนเลิกงานไอ้พี่ปลายก็แสนดีเสนอหน้ามารับตามปกติที่ทำในช่วงนี้ บอกว่ากลัวหมาโดนอุ้มขึ้นรถ
‘โอ้โหหมามึงตัวเท่าควายใครเค้าจะมาอุ้มไหวไอ้พี่ ทำไมรู้สึกแปลก ๆ เหมือนด่าตัวเองเลยว่ะ
ไอ้ผมก็ไม่ได้คิดขัดขืน เรียกว่าใจง่ายก็ได้ กระโดดขึ้นรถอย่างไม่ต้องชวน ก่อนกลับห้องพี่มันก็ใจดีพาไปกินข้าวเย็น แล้วพามาส่งที่ห้องเหมือนเช่นปกติ แต่ไอ้ที่มันไม่ปกตินี่หลังจากนั้นแหละครับ
อยู่ ๆ ในใจผมมันก็เกิดตะงิด ๆ ขึ้นมา เพราะว่าไอ้พี่ตัวโตมันไม่ได้ส่งข้อความมาบอกว่าถึงบ้านแล้วเหมือนทุกวัน มันเล่นเงียบหายไปเลยเว้ยแกร ไอ้เราก็ไม่ได้อะไรหรอก คิดว่าคงยุ่งหรือลืมอะไรแบบนี้แหละ ไม่ส่งมาก็ไม่เป็นไร ไหน ๆ พี่มันก็ออกตัวแรงว่าจีบกันอยู่ ก็เลยส่งข้อความไปหามันเองเลยจ้า
In LAY : พี่ปลาย ทำอะไรอยู่ครับ 20.30 น.
In LAY : นอนแล้วหรอ 20.55 น.
ข้อความที่ผมส่งไปไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมาเลย อ่านก็ยังไม่เปิดอ่านเลยจ้า แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้กังวลใจหรืออะไรเท่าไหร่หรอกครับ เพราะว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าพี่ปลายอาจจะหลับไปแล้ว หรือมีธุระอะไรเลยไม่ว่างคุย
โดยปกติแล้วเราสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันทางข้อความ หรือโทรหากันเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเวลาอยู่บ้านก็ใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองกันไป
ข้อสำคัญอีกอย่างคือ เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันจริงจัง ถึงจะต่างคนต่างรู้สึกดี ๆ ให้กัน และพี่มันออกตัวว่าจีบผมเหมือนที่ผมตามจีบมันมาตั้งแต่แรกก็เถอะ แต่เราสองคนก็ยังไม่เคยคุยกันจริงจังหรือตกลงปลงใจเลื่อนสถานะจากคนรู้จักเป็นคนรัก เลยทำให้ยังเว้นระยะห่างให้กันอยู่มาก
อาจจะเป็นเพราะผมไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ หรือตามจิกตามหวงใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะมีแค่ถ้ามาทำให้เห็นต่อหน้าต่อตาอะไรแบบนี้ ก็มีมองตาขวางกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
อ่ะ ๆ กลับเข้าเรื่องที่ตีกันดีกว่า จากที่ส่งข้อความไปแล้วมันไม่ตอบกลับ ผมก็เลยมานั่งดูทีวี พอหนังจบก็เข้านอน แต่ไอ้ตอนที่นอนหลับอยู่ดีๆนี่ดิ มีคนโทรเข้ามาไง
Rrrrrrrrrrrrr
>>> P’Paii <<<
ผมมองดูว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นคนที่ส่งข้อความไปหาแล้วไม่ได้ตอบกลับมาก็แปลกใจนิดหน่อยที่ทำไมพี่แกโทรมาตอนนี้ เพราะนี้มันจะเที่ยงคืนแล้ว คงไม่ใช่เพราะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นตัวสั่นเป็นสาวแรกรุ่นแน่ ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณก็ลองคิดสภาพดูสิ มันจะน่าสยองแค่ไหน
“ฮัลโหล”
[ทำมายยย รับสายช้าว้าาาาา]
“เมาหรอเนี่ย” เสียงปลายสายยานคางจนไม่ต้องเดาเลยว่าไอ้ตัวนี้มันต้องเมาแน่ ๆ เสียงเพลงก็ดังจนหูกูเกือบพังเลยนะพี่มึง
[ม่ายยยเมาคร๊าบบ]
“ไม่เมาบ้านพี่สิ เสียงยานขนาดนี้”
[หู้ยยยย ปลายยยม่ายเมาสากกหน่อย] น๊านนนนไงไม่เมา แทนตัวเองว่าปลายด้วยเป็นไงครับ อันนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกมันเรื่องส่วนตัวไปสังสรรค์กับเพื่อน แต่หลังจากนี้ดิช๊อตเด็ด
“อืมมม ไม่เมาเลย แล้วอยู่ไหนเนี่ย ไปเที่ยวไม่เห็นบอกเลบ้างเลย”
[พี่ปลายยืนดี ๆ สิครับ ยิมจับไม่ไหวแล้วนะ]
[คร๊าบตัวเล็ก ขอเกาะหน่อยสิ]
“...”
[เกาะดี ๆ สิครับ เดี๋ยวล้มไปจะเจ็บตัวนะ]
[เป็นห่วงเค้าหรอ น่ารักจังเลย] ไอ้เฮี้ยยยย อุทานในใจออกมาดังลั่น ไม่ได้มาแค่เสียงนี้มีชื่อมาด้วยเลยไม่ต้องเดาให้ยากว่าเป็นใครกัน หน้าผมนี่ขึ้นสีเลยครับไม่ใช่อายนะ โมโหอยากถีบคน
“พี่แม่งโคตรเลวอ่ะ โทรมาให้กูฟังอะไรว่ะ แม่งเอ้ยยย!” แค่นั้นแหละครับที่ผมพูดไป จากนั้นก็กดวางสายไปเลย
มันใช่หรอว่ะโทรมาให้เราฟังแม่งคุยกับแฟนเก่ากระหนุงกระหนิงมากกว่าคุยกับผมคนที่มันบอกว่าจีบอยู่อีก
ทีกับกูนี่เรียกเตี้ยบ้างหมาบ้าง แต่นั้นเรียกกันตัวเล็ก ไอ้สาดดดดดดดดดดด
ตอนนี้เลือดทั้งร่างรวมใจกันวิ่งขึ้นหน้าประหนึ่งพี่ตูนวิ่งขึ้นเหนือนั้นแหละครับ สองเท้าถีบผ้าห่มไปมาอย่างบ้าคลั่ง หัวก็สะบัดไปมาจนคอแทบหลุด มือชกลมชกอากาศคิดซะว่าเป็นหน้าของไอ้คนเลวที่โทรมาเมื่อกี้
“ไปตายซะ เชี่ยเอ้ยยยยยย ไอ้พี่เลว” ทั้งด่าทั้งโวยวายลั่นห้อง หงุดหงิดแบบขั้นสุดเหมือนตอนนี้มีควันออกหู ไฟออกตา อยากจะไปถีบหน้าคนสักทีสองที

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
>>> P’Paii <<<
“โทรมาทำห่าไรอีก คิดว่ากูจะรับหรอ”
จ้องมองสายที่โทรเข้ามาหลังจากวางไปได้ไม่ถึงห้านาที คนโทรก็ชื่อเดิมที่ผมเพิ่งตะโกนด่ากราดเกรี้ยวไปก่อนหน้านี้ บอกเลยกูไม่รับแน่มึง กูโกรธอยู่โว้ยไอ้พี่ชั่ว
“ฮัลโหล โทรมาทำไมอีก” ฮืออออ ทำไมมือแม่งไม่ฟังสมองกูเลยว่ะ เสือกกดรับสายไม่ปรึกษากันบ้างเลยไง
[เตี้ย เป็นไร วางทำไม] มึงยังมีหน้ามาถามกูอีกหรอไอ้พี่เวร แล้วมาคราวนี้เสียงนี่เหมือนคนละคนเลยนะ
แล้วไอ้ควายที่เมาก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วว่ะแม่ง ???
ส่งค้อนให้โทรศัพท์ไปหนึ่งทีเหมือนว่าไอ้คนปลายสายมันจะเห็นยังนั้นแหละ ที่ไหนได้ก็มีแค่กูที่เห็นคนเดียว
“...”
[เล เป็นอะไร ทำไมไม่พูด]
“ไม่อยากพูด”
เอ้า!!! แล้วมึงพูดทำไมว่ะเนี่ยไอ้ทะเล งงกับตัวเองมากตอนนี้บอกเลย
[โกรธอะไรกูอีก ด่ากูแล้ววางสายใส่เนี้ย]
“พี่แม่งโคตรเลวเลย ทำอะไรไปยังไม่รู้ตัวอีก”
[มึงพูดดี ๆ ไม่ได้หรอว่ะเตี้ย กูไม่เห็นเข้าใจ]
“มึงแม่ง! ไม่เคยเข้าใจกูหรอก ออกไปจากชีวิตกูเลยไป ฮึก”
เอ้าชิบหายละ พูดเองร้องไห้เองซะอย่างนั้น คนปลายสายก็เงียบไปเลยคงตกใจที่อยู่ ๆ ผมก็พูดไม่ดีใส่มัน ไม่พอเสือกไปร้องไห้ใส่มันอีก
[เตี้ยคร๊าบ ใจเย็น ๆ ก่อน]
“แค่นี้นะ...อึก...ไม่ต้องโทรมาอีกนะเว้ย”
ผมพยายามกั้นก้อนสะอื้นสุดขีด พร้อมทั้งกดวางสายแม่งเลย ไม่สนใจแล้วแหละตอนนี้ ขอแหกปากร้องไห้กับตัวเองก่อนแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที มันหงุดหงิดงุนง่านใจไปหมดแล้วเว้ย คนอะไรบอกว่าเรื่องแฟนเก่าจบไปแล้วเมื่อวานนี้เอง วันนี้แม่งไปเที่ยวด้วยกันไม่บอกกูสักคำ หนำซ้ำยังมาคุยให้ได้ยินแล้วใจหายวูบลงไปตาตุ่มอีกมึง มันมากเกินไปป่ะวะแบบนี้

แต่แล้วความใฝ่ฝันที่จะนอนเล่นเอ็มวีร้องไห้ฟูมฟายทั้งคืนของผมก็หมดสิ้น เพราะหลังจากนั้นก็มากันเป็นฝูงเลยครับ มายืนออกันอยู่ในห้องผมสี่ห้าคน ไม่พอเท่านั้นไอ้แกนนำนี่เพื่อนรักผมเอง บิวไง! จะใครหล่ะ คราวนี้พาจอนมาด้วย แม่งมีทั้งคีย์การ์ดทั้งรหัสประตู ไม่ต้องรอให้ไปเปิด มันเปิดเข้ามาเองเลยจ้า
โชคดีหน่อยที่ห้องนอนผมล๊อคเอาไว้ ไม่งั้นคงมายืนล้อมเตียงเหมือนสัมภเวสีมาขอส่วนบุญกูแน่
แล้วจังหวะก็เสือกพอดีที่ผมหิวน้ำหลังจากโวยวายแหกปากเยอะไปไง เลยเดินออกมาจากห้องเจอพวกมันพากันเข้ามาพอดี หัวใจเกือบวายตาย นึกว่าโจรบุกบ้าน
‘ซวยแล้วกูจะเสียตัวก็งานนี้แหละ
“เฮ้ยยยยยย!!! ไอ้เฮี้ยยยย พวกมึงมาห้องกูทำไม ไม่ใช่ดิ มึงเข้าห้องกูได้ไงว่ะเนี่ยกูหัวใจแทบวาย”
“เอ่อ...เราเอง แต่เราไม่ได้อยากทำนะเล เราโดนบังคับ” จอนที่ยืนอยู่ข้างหลังสุด ก้าวออกมาข้างหน้า ทำหน้ารู้สึกผิดเต็มๆ ที่พาไอ้พวกที่เหลือเข้ามาในห้องผม โดยไม่ได้บอกกล่าว
ส่วนมีใครบ้างนั้นหรอครับ ก็ ไอ้บิวจอมแทรก กาย จอน และก็อีกคนนี้ไม่อยากจะพูดชื่อแม่งเลย ก็ไอ้คนที่ทำให้ผมหน้าโทรมเป็นศพอยู่นี้นั้นแหละ
ช่วงนี้ดูเหมือนพวกแม่งจะสนิทกันไวไปไหม เจอกันเกือบทุกวันเลยนะพวกมึง อยากถามจริง ๆ ว่าพวกมึงนี่เป็นเพื่อนใครกันแน่ ทำไมแค่ไอ้พี่นี้ขอให้ช่วยพวกมึงถึงใจง่ายช่วยมันว๊ะ !!!
‘นี่เลไง เพื่อนพวกมึงน่ะ จำไม่ได้หรอ
“ทำไมจอนทำงี้อ่ะ เลอุส่าไว้ใจ” ผมมองหน้าเพื่อนรักด้วยแววตาตัดพ้อ เรื่องไปเจอกันอย่างไรไม่อยากรู้แล้ว เพราะแม่งคงโทรหากันนั้นแหละ ที่งงคือมันจะยกโขยงกันมาทำห่าอะไรทั้งฝูงแบบนี้ มันรกห้องกูเข้าใจบ้างไหม
“มึงอย่าไปว่าเพื่อนเลยเตี้ย กูบังคับเพื่อนมึงเอง”
“พวกกูกลับดีกว่า เพื่อมึงจะมีเรื่องคุยกัน” ไอ้บิวจอมแทรก ก็พูดแหกโค้งเหมือนเดิม ไม่พูดเปล่าหันไปลากไอ้กายพูดน้อยตามมันไปด้วย ส่วนไอ้คนที่พูดก่อนหน้านี้ผมก็ทำเป็นไม่ได้ยินมันพูดไปซะ
“มึงมากันกี่คนก็เอากลับไปให้หมด กูไม่มีอะไรจะคุย”
“แต่กูมี”
พี่ปลายพูดต่อทันทีที่ผมพูดจบ หน้าคมจ้องมองที่ผมอย่างจะเอาเรื่อง ต่างจากผมที่ไม่หันไปมองหน้าพี่เค้าเลยสักนิด ทำแค่จ้องหน้าไอ้บิวหัวโจกฝากบอกกับมันไป
“ฝากบอกเค้าด้วยว่า กูไม่อยากคุยตอนนี้ ออกไปได้แล้ว”
“แต่กูอยากคุยตอนนี้ อย่างงี่เง่าดิว่ะเตี้ย” เออ จะงี่เง่ามึงจะทำไมว่ะไอ้สูง แค่คิดในใจนะครับไม่ได้ด่ามันหรอก เดี๋ยวมันมองแรงใส่แล้วจะสะดุ้ง
“ผมไม่ได้งี่เง่า และนี้ก็ห้องผม เชิญพวกคุณออกไปได้แล้ว”
“พี่ปลายครับ ผมว่าเราไปกันก่อนเถอะ ถ้ามาอารมณ์นี้คุยยังไงก็ไม่จบแน่”
จอนเพื่อนรักผู้รู้ใจผมดีที่สุดหันไปบอกกับอีกคน เพราะมันคงรู้ดีว่าตอนนี้ผมเริ่มจะมีมากกว่าความหงุดหงิดแล้ว พวกมันเคยเจอผมร่างมารมันเลยรู้ดี
“แต่...”
“นะครับพี่ เชื่อพวกผมเถอะ อย่าให้มันโกรธกว่านี้เลย” นั้นไงเห็นไหมว่าเพื่อนผมมันรู้ใจ รีบเดินไปดึงอีกคนให้เดินตามพวกมันทันที แต่ก่อนจะเดินออกไปไอ้พี่เสาไฟฟ้าก็หยุดเดินหันมามองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“เฮ้อออออ กูยอมกลับก็ได้” ถอนหายใจใส่หน้ากูเพื่อ? ยอมก็เดินต่อไปเด้ มาหยุดมองแล้วทำหน้าหงอยใส่ทำมายยยย ไม่ใจอ่อนหรอกเว้ย
“เล พวกเราไปก่อนนะ”
“เออ กูไปก่อนนะมึงไอ้เล เชี่ยเอ้ยกูยังไม่ทันได้นั่งเลย”
“ไปนั่งห้องมึงสิไอ้บิว พากันมาห้องกูทำไม”
“เอ้าไอ้นี้ พาลกูล่ะ” ไอ้บิวขมวดคิ้วมองหน้าผมที่ไปโวยวายใส่มัน แต่ผมหรอหน้านิ่งสิครับรออะไร ไม่สนเว้ยนี่ห้องกูไง มึงลืมหรือเปล่า ยู้ฮู
“ไปนะ อย่าคิดไปเองหล่ะ กูไปหลายคนและก็ไม่ได้คิดไรกับยิมแล้วด้วย วันนี้มึงยังไม่อยากฟัง แต่พรุ่งนี้มึงต้องฟังกูนะเตี้ย พรุ่งนี้เช้ากูมารับรอกูด้วย” ใครจะรอพี่มึง
“...”
“ไปนะเล” ผมไม่ตอบอะไรอีกคนเลย ทำแค่หันไปพยักหน้าให้กายที่มันบอกลาผม ก่อนที่พวกมันจะลากกันออกจากห้องไป พอไปกันหมดห้องก็เงียบวังเวงสุด กำลังคิดว่าควรเปลี่ยนรหัสห้องดีไหมว่ะเนี่ย ชักไม่ไว้ใจเพื่อนตัวเองที่แปรพักตร์ซะแล้ว


ก็นั้นแหละครับเรื่องทั้งหมด พอเช้ามาผมก็เลยหนีออกจากห้องก่อนพี่มันมารับไง คิดว่ากว่ามันจะรู้ตัวผมคงถึงที่ทำงานแล้ว ที่ไหนได้ตอนเดินข้ามทางม้าลาย เจอจอดรออยู่ตรงนั้นเลยจ้า และสุดท้ายก็จบที่ผมโดนลักพาตัวขึ้นรถมันมานี่แหละ
แต่ได้ข่าวว่ากูปีนรถเค้าขึ้นมาเองแท้ ๆ ก็มันจะให้คนอื่นอุ้มเค้าอ่ะ งอแง
พี่ปลายขับมาไม่นานก็พาเลี้ยวเข้าไปในคอนโดแถวแยกราชเทวี คอนโดสูงสามสิบกว่าชั้นรูปทรงสวยเก๋ แต่เพราะอารมณ์ตอนนี้ยังไม่อยากหายงอนก็เลยไม่ถามมันว่าพามาที่ไหน
“โทรไปลางานยัง”
“อือ”
“มึงโทรตอนไหน กูยังไม่เห็นได้ยิน”
“ส่งข้อความไป”
“อื้มดี งั้นตามมานี้”
“ไม่ไป อยากลากนะเว้ย”
“จะไปดี ๆ หรือให้กูอุ้ม”
“พูดบ่อยนะจะอุ้มเนี่ย งั้นอุ้มเลย อยากรู้นักจะอุ้มไหวไหม เอ้ยยย”
ลอยเลยจ้ะ ขาลอยจากพื้นอย่างรวดเร็วไม่ทันได้ท้าทายจนจบ แล้วอย่าคิดว่าอุ้มแบบน่ารัก ๆ นะครับ พี่มันเดินมาจับผมพาดบ่าเป็นกระสอบข้าวเลยมึง หัวห้อยต๋องแต๋งจนเลือดไหลมากองอยู่ที่ปลายดั้งกูนี่แหละ
“เป็นไง หายซ่าเลยมึง”
“ปล่อยเลลงเลยหายใจไม่ออก”
“ถ้าปล่อยแล้วจะเลิกดื้อไหมฮึ?”
คนตัวโตหยุดเดิน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่มยิ่งกว่ากระดาษทิชชู่แบบสามชั้น ผมรับรองว่าตอนนี้ให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละจ้ะ
เวียนหัวจะตายแล้วโว้ยย!
ผมพยักหน้ารับหงึกหงักอย่างแรงจนตัวพี่ปลายเองยังขยับไปมาตามแรงพยักหน้า แต่ใช่ว่าพี่มันจะเห็นไหมหล่ะมันก็ไม่เห็นไงเว้ย เลยยังไม่ปล่อยผมลงสักที
“ปล่อยสิพี่ปลาย เลไม่ดื้อแล้ว”
“แน่ใจ?” คนถามทำเสียงเหมือนไม่เชื่อเท่าไหร่นัก แต่ผมนี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ บอกเลย ตอนนี้หน้าคงแดงเถือกจนจะม่วงแล้วมั่ง ก็เลือดแม่งไหลลงมากองที่หน้า ถ้ามันไหลออกจากตาได้มันคงไหลออกมาแล้วพี่มึง
“เออ แน่ใจมาก”
“พูดเพราะ ๆ ดิเตี้ย” ยัง ๆ จะมาเรียกร้องอีก นี่เลยังพูดได้ก็ถือว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงที่เคยสั่งสมมาแล้วนะเว้ยพี่ปลาย ถ้าหมดบุญเมื่อไหร่คือเลตายนะบอกเลย
แอร่กกก~
“โห เรื่องมากจัง ทำอย่างกับตัวเองพูดเพราะงั้นแหละ โอ้ยยย เวียนหัวแล้วเว้ย”
“พูดดี ๆ ก่อนสิครับน้องเล”
จะบอกเลยว่าต่อให้ตอนนี้เรียกที่รักก็ไม่อินอ่ะ หัวสมองเต้นตุ๊บ ๆ แล้วเนี่ยยยยพี่โว้ย
“โอ้ยยยย ยังจะมาเล่นอีกนะพี่ปลาย ปล่อยเลลงเถอะไม่ไหวแล้วครับ”
“หึหึ” คนตัวโตหัวเราะกวนประสาทก่อนจะยอมปล่อยผมลงสู่พื้น ผมดีใจอย่างกับนักบินอวกาศที่เพิ่งกลับมาเหยียบพื้นโลกในรอบห้าสิบปี
“อะไรเล่า เอ้ยยย”
“ยืนดี ๆ เตี้ย” หลังจากลงได้โลกก็โคลงเคลงไปมา ขยับนิดหน่อยก็เซแถ๊ด ๆ ๆ จนหน้าเกือบโหม่งพื้นโลก โชคดีที่ไอ้ตัวต้นเรื่องมันรั้งเอวผมไว้ทัน ไม่งั้นมึงเอ้ยยยย ได้ทำหน้าใหม่ยกแผงแน่ ๆ
‘ถ้าได้ทำใหม่น่ะ จะเอาให้หล่อกว่าพี่มึงเลยคอยดู
“เพราะใครเล่าเนี่ย ล้มไปหน้าแหกหมอไม่รับเย็บจะให้ทำไง”
“ก็หมามันอยากท้าให้กูอุ้มไง เลยจัดให้ ทีนี้มาร้องงอแง” พี่ปลายยกมือข้างหนึ่งผลักหัวผมเบา ๆ แต่อีกข้างก็ยังโอบเอวผมไว้กันไม่ให้หน้าทิ่มลงพื้น ตอนนี้สภาพร่างกายเริ่มกลับมาเป็นปกติดีแล้ว แต่ว่าอารมณ์นี้ยังงอแงอยู่มากบอกเลย
“หึ้ย!”
“ไปได้แล้ว อย่าดื้ออีกนะคราวนี้กูอุ้มมึงเดินไปถึงข้างบนแน่”
“เออ! ครับก็ได้ว่ะ” แม่งพี่มันมองแรงใส่ผมอ่ะ เลยจำใจต้องเปลี่ยนเป็นพูดเพราะ ไม่ได้กลัวไอ้พี่เสาไฟฟ้านะขอออกตัวก่อน แค่เกรงใจมันนิดหน่อยแค่นั้นเองงงง
‘ถ้ามันจับเค้าอุ้มอีกเค้าจะทำไงเล่าแกร
พี่ปลายพาผมเดินเข้ามาในตัวอาคารก่อนพามาขึ้นลิฟต์ สักพักลิฟต์ก็เปิดให้พวกเราเดินออกมาในชั้นที่ 32 บรรยากาศโดยรอบเงียบเพราะคงเป็นช่วงเช้าที่คนน่าจะออกไปทำงานกันหมด และด้วยเป็นคอนโดที่น่าจะราคาสูงอยู่มากเลยทำให้ห้องน่าจะเก็บเสียงได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นถ้าดังมากจริง ๆ ผมว่าก็อาจจะมีเสียงเล็ดลอดมาบ้าง
เฮ้ยยยย! นี่ไม่ได้คิดอะไรเลยนะที่พูดไปอย่าเข้าใจผิดนะเว้ยยยย
‘เอ๊อะ รู้สึกเหมือนลน ๆ ยังไงไม่รู้
พี่ปลายหยุดเดินที่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่งที่สุดทางเดิน ก่อนจะทาบคีย์การ์ดและกดรหัสผ่าน ผมไม่ได้มองว่ารหัสที่กดเป็นเลขอะไรเพราะไม่อยากเสียมารยาท แต่พอประตูเปิดออกพี่ปลายก็ดันให้ผมเดินเข้าไปก่อน
‘ทำไมใจเต้นแรงขึ้นมาว่ะเนี่ย
ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงแค่ประตูห้องถูกเปิดออก ยิ่งตอนนี้โดนมือคนตัวโตดันหลังให้เดินเข้ามาก่อน ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปเท่าตัว หน้าร้อนจนคิดว่าคงแดงกว่าตอนห้อยหัวเมื่อกี้ สมองอันน้อยนิดมันดันคิดไปในเรื่อง 18+ ได้ไงไม่รู้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังตีกันอยู่
“กลัวหรอครับ”
“ฮื่อออ~”
ขนลุกซู่เลยคราวนี้ รีบหดคอหนีสัมผัสอุ่นร้อนที่รดลงมา ก็ไอ้คนพี่มันมาหยุดยืนซ้อนหลังแล้วยังก้มลงมากระซิบข้างหู ไม่พอแค่นั้นยังพ่นลมหายใจรดต้นคอผมอีก จากที่แค่ตื่นเต้นตอนนี้มือไม้เริ่มสั่นเพิ่มไปอีกแล้วดิ
“เข้าไปสิ ไม่ได้จะทำอะไรอย่างที่มึงคิดหรอกไอ้หมาเล”
“อะไร! ใครคิดอะไรอย่ามั่ว”
หันไปมองหน้าคนตัวโตด้วยด้วยความเลิ่กลั่ก เบิกตากว้าง ตะโกนแหกปากอย่างดังเพื่อกลบเกลื่อนความคิดของตัวเองที่คิดไปไกลถึงสุไหงโกลก ถ้าพี่มันไม่พูดแบบนี้สงสัยไอ้ทะเลคนนี้คิดไปยันก้นนรกแน่ ๆ
“เตี้ยเอ้ย! ทำไมน่ารักจังว่ะ”
“อุ้ย!”
เจอแบบนี้พูดไม่ออกอีกเลย ทำไมช่วงนี้พี่มันอ่อนโยนใส่ผมจังว่ะ ทั้งตามง้อทั้งพูดดีด้วยมากกว่าเดิม หรือนี่มันโหมดพี่ปลายผู้ชายอบอุ่นจนหน้าผมร้อนไปหมดแล้วเนี่ย แต่ไม่ได้นะต้องรีบดึงสติกลับมาก่อน ตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องเคลียร์กันไม่ใช่หรือว่ะไอ้พี่เสาไฟ
‘อย่า ๆ คิดว่าหยอดแบบนี้แล้วไอ้เลจะลืมนะเว้ยยยย
หลังจากถอดรองเท้าเสร็จก็เดินตามพี่เสาไฟเข้ามาในห้อง แต่ยังก้าวเท้าไม่ถึงไหนก็ต้องตกใจยืนนิ่งทันที เพราะว่าในห้องดันมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว
‘เอ้าไม่ได้พากูมาคุยแค่สองคนเหรอว่ะ
นี่แหละสิ่งแรกที่สมองผมคิด แต่ลำดับต่อมาคือหน้าที่เคยเขินก่อนหน้านี้มันเกิดตึงเปี๊ยะเพราะเห็นหน้าคนที่รออยู่ในห้องนั้นแหละ เล่ามาถึงตอนนี้ก็คิดว่าคงเดากันได้แล้วว่าผมเจอใคร ก็นายยิมตัวเล็กของไอ้พี่เสาไฟมันนั้นแหละ
‘แม่งเอ้ยยยยย พากูมาเจอมันทำไม
ผมหันไปมองค้อนคนตัวโตหนึ่งที ก่อนจะหันไปฝืนยิ้มให้กับคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนแล้ว ยิมมองมาที่ผมพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างไม่ได้ฝืนเหมือนที่ผมทำ
“สวัสดีครับคุณเล”
“สวัสดีครับคุณยิม” ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะทักทายกลับอย่างไม่ให้เสียมารยาท พี่ปลายมองดูพวกเราอยู่สักพักก่อนจะพาผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่ และตัวเองก็นั่งลงบนพนักวางแขนโซฟาตัวที่ผมนั่ง วาดแขนลงบนขอบโซฟาพร้อมทั้งวางมือไว้ที่ไหล่ของผม

To be con. »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 13/2 สถานการณ์แปรปรวน
«ตอบ #18 เมื่อ18-01-2020 12:47:10 »

ตอนที่ 13/2 สถานการณ์แปรปรวน

“หวงจริงนะครับคนนี้ ที่นั่งตั้งเยอะไปเบียดคุณเลเค้าทำไมก็ไม่รู้ อึดอัดไหมครับคุณเล ถ้าอึดอัดมานั่งกับผมก็ได้”
“เอ่อ...” คนน่ารักมองพี่ปลายด้วยแววตาหมั่นไส้ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผมเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ แต่ในขณะที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นักก็เลยได้แต่นั่งเอ๋อ จะอ้าปากตอบก็ไม่ทันไอ้คนตัวโตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ไม่อึดอัดหรอก ใช่ไหมเตี้ย”
“โมเม เก่งจังนะครับพี่ปลาย”
“หึหึ” มือหนาเกลี่ยที่ไหล่ของผมเบา ๆ จนเริ่มรู้สึกสยิว ก่อนจะยกขึ้นมาลูบหัวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ผมที่ยังคง งงงวย และทำตัวไม่ถูกก็ทำได้แค่นั่งมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที ไอ้อารมณ์หงุดหงิดทีแรกที่ได้เห็นหน้าคนตัวเท่ากันในห้องหายวับไปกับตา ลืมไปเลยว่าก่อนมานี้มีเรื่องอะไรกับไอ้พี่ตัวโตนี้มาก่อนหรือเปล่า ทำไมบรรยากาศตอนนี้มันเหมือนพี่ปลายพาผมมานั่งอวดแฟนเก่ามันว่ะ
“เอ่อ...แล้วมีอะไรกันหรือเปล่าครับ เอ้ยยไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ ผมหมายถึงว่าพาผมมาที่นี้ทำไม”
“ฮ่ะ ๆ คุณเลนี่น่ารักดีนะครับ ผมเข้าใจครับว่าคุณเลจะถามอะไร ไม่เข้าใจผิดหรอกครับ เอ๊อ แล้วผมกับพี่ปลายเราก็ไม่ได้มีอะไรกันนะครับ” ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่ออีกคนตอบว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมถาม แต่ก็ต้องหายใจสะดุดตรงประโยคสุดท้ายนี้แหละ สติสตังหายไปไหนไม่รู้ดันไปถามแบบนั้นเฉยเลย
“เอ่อ ครับ แล้วตกลงมันยังไงครับ”
“ก็นายปลายนะสิ บอกว่าแฟนงอนเมื่อวานนี้ น่าจะเข้าใจผิดเพราะได้ยินเสียงยิมตอนโทรหา เลยลากพวกเรามานี่แหละ” เสียงหวานที่เอ่ยแทรกขึ้นมาทำให้ผมรีบหันไปมอง
โอ้โห! นี่มันวันรวมญาติแฟนเก่าของไอ้พี่ปลายมันหรือไงว่ะ แล้วนี่กูยังไม่ได้เป็นแฟนมันเลยนะเว้ยยยย จะพามาทำไมว่ะเนี่ย
‘ไม่เอานะเว้ย เลยังไม่อยากเข้ากลุ่มแฟนเก่าพี่ แล้ว เฮ้ยยยย เมื่อกี้พี่มีนพูดว่าอะไรนะ แฟนใครงอน ห๊ะ ๆ
“กว่าจะออกมาได้นะตัวสร้างเรื่อง”
“พี่มีน สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่คนสวยที่พี่ปลายบ่นว่าเป็นตัวสร้างเรื่อง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องอะไรเพราะเมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงพี่มีนเลยนี่หว่า
“จ้าน้องเล อย่าไปหายงอนมันนะ งอนมันหนัก ๆ ไปเลย”
“เอ้าเห้ยยย หาเรื่องให้เราทำไมเนี่ยมีน น้องมันยิ่งอยากวิ่งหนีเราอยู่” ผมแหงนหน้ามองพี่ปลายที่ทำตาดุใส่ พี่มีนอย่างเอาเรื่องที่พี่แกมายุให้ผมงอนเจ้าตัวต่อ
“ก็ปลายทำเรื่องเองนี่หว่า เราไม่เกี่ยวด้วยนี่ หนีเที่ยวก็ไม่ยอมบอกเนอะเลเนอะ” คราวนี้ผมพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว มันต้องเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติแน่ ๆ ผมว่า ส่วนพี่ปลายนะหรอพอเห็นผมพยักหน้ารับก็เอาคางมาเกยอยู่บนหัวผมนะสิ มือก็ลูบไหล่ผมไม่เลิก ไม่พอยังทำเสียงอ้อนใส่อีก
“ขอโทษนะครับน้องเล”
‘เลหายงอนแล้วจ้า ยอมตั้งแต่หน้าประตูเลยคุณณณณ
“ยิมผิดเองแหละครับ คุณเลอย่าไปโกรธพี่ปลายเลยนะ”
“เอ่อ...ผมงงไปหมดแล้ว” ผมตอบตามความจริง เพราะตอนนี้โคตรไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรนี่เลยสักนิด งงโคตร ๆ อ่าบอกเลย ไม่งงอย่างเดียว เริ่มรำคานไอ้ตัวข้าง ๆ นี่ด้วยแม่งเขี่ยกูอยู่ได้
‘หยิวนะเว้ยยยย พี่เมิงงงงง!!!
“น่ารักจังเลยยยย ขอกอดหน่อยสิน้องเล”
“หยุดเลยมีน ห้ามเข้ามาเลยนะ” พี่ปลายยกมือดันตัวพี่มีนที่เตรียมจะพุ่งตัวเข้ามาหาผม คนสวยหันไปทำหน้ายุ่ง ย่นจมูกใส่พี่ปลายหนึ่งทีก่อนจะยอมแพ้ไป
“หูยยยยย หวงเก่งงง ตอนเราไม่เห็นหวงแบบนี้เลย อุ๊บ! ลืมตัวจ้ะขอโทษทีเพื่อน”
“หาเรื่องให้เราอีกแล้วนะมีน”
“พวกพี่ไปทะเลาะกันข้างนอกก่อนไหมครับ ผมจะได้คุยกับคุณเลให้จบ”
ยิมที่นั่งดูสถาการณ์เหมือนกับผมพูดแทรกขึ้นด้วยเสียงที่เข้มขึ้นจนพี่มีนถึงกับหยุดเถียงกับพี่ปลายก่อนจะหันไปยิ้มแหย่ ๆ
“เอื้อกกกกกก ขอโทษจ้ายิม”
“ถ้างั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ คือว่าเมื่อวานพวกเรานัดรวมกลุ่มตอนม.ปลายกันนะครับ โดยพี่มีนเป็นคนติดต่อทุกคน อาจจะเป็นเพราะมันเร่งด่วนมากพี่ปลายเลยไม่ได้บอก คุณเล ใช่ไหมครับ?”
“ใช่” พี่ปลายพยักหน้าตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่ยิมจะเริ่มพูดต่อ
“หลังจากนั้นพี่แกก็โดนเพื่อน ๆ มอมเหล้าเพราะหมั่นไส้ พอเมาก็งอแงบอกจะโทรหาหมาเตี้ยให้ได้ บอกว่าเดี๋ยวมันรอยังไม่ได้บอกมันเลยว่าออกมาเที่ยว จากนั้นก็อย่างที่เลได้ยินแหละครับ พอดีตอนที่พี่ปลายคุยกับคุณเลอยู่แล้วไม่รู้นึกคึกอะไรขึ้นมาลุกขึ้นยืน แล้วเซจะล้ม ดีที่ผมจับไว้ได้ไม่งั้นได้ล่วงลงไปนอนกองกับพื้นแน่ ๆ ”
ผมนั่งนิ่งฟังคนตัวเล็กพูดอย่างสนใจแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไร เลยโดนพี่ปลายสะกิดไหล่เบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมามองหน้าผม
“เตี้ย ทำไมไม่พูดไรเลยอ่ะ”
“จะให้พูดไรเล่า ก็ฟังคุณยิมอยู่”
คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ ออกมาต่างจากผมที่ทำคิ้วขมวดมองหน้าพี่มันด้วยความสงสัยว่ามันเป็นบ้าอะไรอยู่ ๆ ก็ยิ้มแบบนั้น
“ฟังแล้วเข้าใจกันแล้วใช่ไหมครับหืม?”
“ฮึ เรื่องเมาพอเข้าใจ แต่เรื่องไปไม่บอกนี้ เออ! ช่างมันเหอะ ไม่ได้เป็นไรกันนี่เนอะ ไม่บอกก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“อะไรกัน! นี่สองคนยังไม่ได้คบกันหรอ” พี่มีนถามแทรกขึ้นทันทีที่ผมพูดจบ หน้าสวยดูแปลกใจมากที่ผมพูดไปแบบนั้น ไม่ต่างจากคุณยิมที่มองมาที่เราสองคนอย่างอยากรู้คำตอบ
“ยังครับพี่มีน”
“โหหหหห กากมากบอกเลยปลาย”
“เดี๋ยวเถอะมีน” คนโดนแซวหน้าเสียไปนิดหน่อย มองหน้าผมด้วยแววตาประหม่าก่อนจะหันไปค้อนใส่พี่คนสวย
“ร้อนรนขนาดนั้นตอนโดนเค้าวางสายใส่ ไอ้เราก็นึกว่าได้กันไปแล้ว”
“เฮ้ยยย พี่มีนนนน ยังนะครับ”
คำว่าได้กันแล้วของพี่มีนเล่นเอาผมใจหายวูบ รีบปฏิเสธเสียงหนักแน่นจนหน้าสวยถึงกับยิ้มออกมาอย่างล้อเลียน ส่วนผมที่โดนแซวก็เริ่มหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว ไม่ใช่แค่โดนแซวอย่างเดียวนะครับเพราะมือของคนข้าง ๆ ที่ย้ายไปลูบหลังผมเบา ๆ ไปมานี่แหละ
‘ลูบจนเลขจะขึ้นแล้วจ้า
“จ้า พี่แซวเล่น ปลายมันกากทำไม่เป็นหรอก”
“นั้นนะสิครับ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ปากกล้า ดันตอบไปอย่างหน้าตาเฉยเหมือนเคยกันมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่มากสุดก็แค่จูบกันแค่นั้นเอง และที่มันจูบก็ไม่ได้กากด้วยดิ
“หึหึ อยากลองดูไหมหล่ะเตี้ย”
“หยึ้ยยย อย่าเด่พี่ปลาย” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูทำเอาผมต้องเอียงคอหนี เพราะลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบที่ข้างหูเล่นเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัวอีกแล้ว
“คุณเล สบายใจแล้วใช่ไหมครับ ผมกับพี่ปลายเราเป็นพี่น้องกันนะครับ ไม่มีอะไรแล้ว”
“เอ่อ ครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะครับ” ผมละความสนใจจากคนตัวโต หันไปส่งยิ้มอย่างจริงใจให้กับคนที่ตัวเท่ากัน
“ไม่หรอกครับ ช่วงนี้ผมว่าง ยังไม่ได้ทำงานอะไรเพิ่งกลับมาเมืองไทยด้วย ถ้าคุณเลว่าง ๆ เราไปเที่ยวด้วยกันนะครับ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบรับคนพูด แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบรับเป็นคำพูดก็โดนเบรกเกือบหน้าทิ่มเสียก่อน
“ไม่ได้! ถ้าไปพี่ต้องไปด้วย”
“กั๊กเก่งจังครับ”
“โอ้โห!! หวงเก่งงงงงงงสุดในโลกา” คราวนี้ทั้งพี่มีนและยิมพูดพร้อมกันเลยครับถึงจะไม่ใช่คำพูดเดียวกันแต่ความหมายที่สื่ออกมาเหมือนกัน ส่วนคนโดนแซวหรอก็แค่ยกไหล่ขึ้นน้อย ๆ พร้อมทำหน้าไม่แคร์สื่อ โค้งหัวยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจมาก
‘ไม่ถงไม่ถามสุขภาพใจเลสักคำ เต้นตูมต๊ามจนจะระเบิดแล้วเนี่ย
“กลับกันเถอะครับพี่มีน ปล่อยให้เค้าเคลียร์ใจกันต่อ”
“ไปจ้ะ โชคดีนะปลายคนกาก ไปนะจ้ะน้องเล”
“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ฮ่า ๆ ๆ จ้ะ พี่จะระมัดระวังเต็มที่”
พี่มีนหัวเราะกับคำกล่าวลาของผม เหมือนไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนั้นขึ้นมา ไอ้ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะไปบอกลาพี่เค้าแบบนั้นเหมือนกัน แต่คือสถานการณ์ตอนนี้ผมแม่งไม่รู้จะพูดอะไรเลยไง เลือดลแปรปรวนไปหมด อารมณ์ก็ยังปรับไม่ถูกเลยเนี่ยตอนนี้ หัวใจก็เต้นเก่งจัง ไปสมัครเป็นแดน์เซอร์ดีม๊างงงงไอ้บ้า
“เข้าใจกูแล้วใช่ป่ะเล” พี่ปลายดึงตัวผมให้ไปนั่งโซฟาตัวยาวด้วยกัน จ้องมองมาที่หน้าผมอย่างรอเอาคำตอบ
“อือ”
คนตัวโตยื่นหน้าเข้ามาหาผมจนจมูกชนกัน ถูไปมาเบา ๆ จนผมใจสั่นระริกถึงกับกั้นหายใจอย่างเร็ว สติกระเจิดกระเจิง ตาคมสบเข้ากับตาผม ปากสวยกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“ถ้างั้นมาคุยเรื่องขอเราต่อดีป่ะ หรือมึงอยากลองดูว่ากูกากจริงไหม”
“เฮ้ยยยย!!! ถอยไปเลยนะ อย่านะเว้ยยยย เลจะไปทำงานแล้ว” เกือบเคลิ้มพยักหน้าแล้วครับ โชคดีที่ทำบุญไว้เยอะเลยรีบพอมีสติ เด้งตัวถอยอย่างกับติดสปริง
“ยังไม่ถึงเวลาเลย อยู่ด้วยกันก่อนดิ”
พี่ปลายรวบตัวผมเข้าไปกอดชิดอกกว้างทั้ง ๆ ที่ผมพยายามผลักตัวพี่มันออกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล มือใหญ่โอบกระชับรอบเอวจนผมแทบกระดิกตัวไม่ได้
“แต่ไม่ต้องพิสูจน์นะเว้ยพี่ เลไม่อยากรู้”
“เออ กูไม่ทำไรมึงหรอก แต่ขอจูบทีได้ไหม”
“เอ่อ....” เกิดอาการภาพค้าง ตาค้าง ขึ้นมาทันทีเมื่ออีกคนพูดจบ หน้าคมก้มลงมามองหน้าผมอีกครั้ง ด้วยสายตาเว้าวอน ส่งผลให้ผมถึงกลับหน้าไหม้เพราะคนตรงหน้า หัวใจตอนนี้ไม่ต้องถามหาน่าจะกระเด็นตกตึกไปแล้ว
“นะครับ”
“...”
“ขอจูบนะครับน้องเล”
“งื่ออออ~” จูบเลยจ้า ห้ามไม่ไหวหรอกถ้าจะอ้อนกันขนาดนี้ อ่ะแถมเงยหน้ารับให้เลยจะได้ไม่ลำบากพี่มัน

To be con. »

#ที่ปลายทะเล
จูบเก่งจ้าช่วงนี้ ติดใจอะไรหรือเปล่าไอ้พี่
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นเคยจ้า

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 14/1 เลเหลือทนแล้วนั้น...
«ตอบ #19 เมื่อ21-01-2020 09:02:05 »

ตอนที่ 14/1 เลเหลือทนแล้วนั้น...

Rrrrrrrrrrrrrr
“อื่อ” เสียงเรียกเข้าของเจ้าเครื่องบาง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงปลุกให้ผมตื่นนอนในตอนเช้าวันหยุด ผมเอื้อมมือไปตามสัญชาตญาณเพื่อหยิบเจ้าเครื่องที่ส่งเสียงร้องไม่หยุดขึ้นมา ก่อนจะปรือตาดูว่าใครกันที่โทรมาปลุกในเช้าวันหยุดแบบนี้
P’Paii
ชื่อของคนที่โทรมาบ่อยที่สุดในช่วงนี้ทำให้ผมจำต้องกดรับ ถึงแม้ว่าจะง่วงและไม่อยากจะตื่นมากแค่ไหนก็ตาม
“ฮัลโหล พี่ปลาย”
[ยังไม่ตื่นอีกหรอว่ะ] พี่ปลายถามขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงงัวเงียของผม ผมสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความง่วงให้ออกไปก่อนจะตอบกลับอีกคน
“อื้อ ตื่นแล้วเนี่ย มีอะไรครับโทรหาเลแต่เช้าเลย วันนี้เลไม่ได้ไปทำงานนะพี่ลืมหรอ”
[พูดซะยาวเลยมึง กูไม่ได้โง่เหมือนมึงนะจะลืมว่าวันนี้มึงหยุด]
“อ้าว!!!”
ฮึ่ย! โดนอีกแล้วกู ผมมองค้อนให้คนในสายไปทีด้วยความหงุดหงิดที่ไอ้พี่เสาไฟฟ้าเล่นมาด่ากันตั้งแต่เช้าแบบนี้ ไม่เคยหร๊อกที่จะโทรมาแล้วบอกอรุณสวัสดิ์หรือถามว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม? อยากจะกดวางก็ไม่ได้เพราะใจมันไม่ยอมให้วาง ผมแม่ง งงใจตัวเองมากว่าทำไมชอบคนเถื่อน ๆแบบนี้ไปได้
[ลุกขึ้นไปอาบน้ำ อีกครึ่งชั่วโมงกูไปรับ]
“รับไปไหนอ่ะพี่ปลาย เลง่วง ไม่ไปได้ไหม”
[แค่นี้ อย่าช้าด้วย] อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ไม่ฟังกันเลยนะเว้ยยยย
ไอ้พี่ปลายพูดจบพี่มันก็วางสายไปเลยครับ ไม่ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด
ฮึ่ยยยย! อยากจะบ้าตายกับไอ้พี่คนนี้
ไอ้ที่ชอบพี่มันก็ยอมรับว่าชอบมากหรอกนะ แต่ไอ้นิสัยชอบบังคับนี่อยากจะจับไปดัดนิสัยกับแม่ที่บ้านสักเดือนสองเดือนจริง ๆ
‘จะได้บอกแม่ด้วยว่านี่ลูกเขยย เขิลลล
ผมนอนถีบผ้าห่ม ถีบหมอน ถีบอากาศด้วยความหงุดหงิดใจอยู่สักพัก อยากจะนอนพักวันหยุดพี่มึงเคยเข้าใจกูบ้างไหมหล่ะ???
พอเริ่มเหนื่อยก็หยุดแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ เพราะถ้าเสร็จช้าแล้วพี่มันมาก่อนผมคงโดนมันด่าอีกแน่ ๆ นี่ตอนนี้เริ่มมีความสงสัยในใจแล้วว่า ตกลงนี่ผมเคยได้ตามจีบมันจริง ๆ จัง ๆ สักทีหรือยังว่ะ จากที่ตั้งใจจะจีบมันมารู้ตัวอีกทีแม่งก็เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตผมไปแล้ว
เวลาเจอกับมันทีไรพี่มันก็ทำหัวใจผมเต้นแรงตลอด ไม่ใช่แค่เขินที่มันชอบหยอดแบบเถื่อน ๆ เท่านั้นนะครับ ยังมีอาการเต้นแรงเพราะอยากถีบมันสักทีสองทีด้วยความโมโหอีก คนอะไรกวนประสาทได้ตลอดเวลา
‘ฮึ้ยยยยย หมดกันความรักโรแมนติกที่เคยตามหา
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมผมเตรียมตัวเร็วขนาดนั้น ก็มันสั่งไว้ว่าจะมารับในอีกครึ่งชั่วโมง แล้วไอ้เวลาที่มัวแต่หงุดหงิดต่อสู้กับตัวเองบนเตียงก็กินเวลาไปเกือบสิบนาทีแล้ว คราวนี้ผมก็เลยต้องวิ่งผ่านน้ำด้วยความเร็วแสงแบบที่เดอะแฟลชยังต้องอาย แต่งตัวแบบไม่ได้สนใจเลยว่าจะใส่อะไรเพื่อให้ดูดี ตอนนี้เอาเร็วไว้ก่อนเพราะเวลาใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว
ร่างกายสะอาดไหมไม่รู้ แต่จิตใจบอกเลยสกปรกมาก ฮึ ๆ เพราะเตรียมตัวไปด่าพี่มันไปตลอดเวลาไม่มีหยุดหย่อน เหนื่อยที่จะด่าออกเสียงก็ด่าในใจต่อ ด่าจนไม่รู้จะด่าคำไหนถึงได้หยุด ไม่ใช่หยุดด่านะครับ แค่หยุดคิดว่าจะหาคำไหนมาด่าต่อดี
ไอ้พี่สากกะเบือเอ้ยยยยยยยยยยย
ผมลงมาที่ชั้นล่างเพราะได้รับข้อความว่าคนที่มารับถึงแล้ว รถบิ๊กไบท์คันเดิมและคนขับคนเดิมยืนรออยู่ที่เดิมเหมือนในทุก ๆ วัน ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ตรงนั้นมีจุดมาร์คเอาไว้ให้พี่มันจอดหรือเปล่า
‘หรือพี่มึงซื้อที่ตรงนี้ไว้เปล่าว่ะ
“ช้าตลอด”
“จ้ะ” ไม่รู้จะตอบอะไรกับความพี่ปลายจริง ๆ ครับ เชื่อไหมว่าไอ้คำทักทายคำเนี๊ยะผมแม่งฟังทุกวันเลย
ช้าตลอด!!!!
ถ้าพี่มึงรีบมากไม่มานอนห้องเดียวกันเลยหล่ะ จะได้ออกไปพร้อมกันไง แต่ถ้านอนห้องแล้วยังไม่เร็วทันใจ อาบน้ำพร้อมกันไปเลยก็ยังได้นะ หึหึ
นี่ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยนะแกร แค่เบื่อที่โดนมันบ่นว่าช้าจริ๊ง ๆ
“เขยิบมา” ผมเขยิบเข้าไปใกล้คนตัวโตตามที่พี่มันบอก ไม่ต้องถามแล้วว่าพี่ปลายจะให้เขยิบเข้าไปใกล้พี่มันทำไม
“เขินนะเนี่ย ใส่หมวกให้เค้าทุกวันเลย” นั้นแหละครับเหตุผลที่พี่ปลายสั่งให้ผมเขยิบเข้าไปยืนใกล้ ๆ หมวกกันน๊อคที่ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหมวกประจำตัวของผมถูกคนตัวโตสวมให้ทุกครั้งที่พี่มันมารับ ถึงพี่มันจะไม่ได้พูดหวาน ๆ หรือโรแมนติกเหมือนคนอื่น แต่การกระทำที่พี่ปลายทำมันดีกับหัวใจของผมเสมอ
”โอ้ยยย เลเจ็บนะพี่ปลาย ดีดหน้าผากทำไมเนี่ย” ขอเปลี่ยนคำพูดทันไหมว่ะ
“ไปได้แล้วเล่นอยู่ได้”
“เดี๋ยวดิจะพาไปไหนไม่เห็นบอกเลย”พี่ปลายขึ้นไปคร่อมบนรถรอให้ผมตามขึ้นไป แต่ว่าพี่มันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะพาผมไปไหน ถึงแม้จะเชื่อใจแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะลากไปไหนผมก็ต้องไปหมดนะเว้ย
‘เลไม่ง่ายนะบอกเลย หร๊า
“กูไม่พามึงไปฆ่าหรอก เปลืองมือ”
“เอ้าเห้ยยยย ไม่ไปแม่งล่ะ” ผมทำหน้างอใส่คนตัวโต พร้อมกับทำท่าจะถอดหมวกกันน๊อคที่ใส่อยู่ แต่มือหนาก็เอื้อมมาดึงมือผมออกก่อนจะจ้องมองมาด้วยสายตาดุ ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเข้ม
“จะขึ้นดี ๆ ไหม?”
“โหไรว่ะพี่ปลาย ง้อเลบ้างไม่ได้หรอว่ะ”พอเจอสายตากับน้ำเสียงแบบนั้นคิดว่าผมจะยอมไหมหล่ะครับ จะเหลือหรอ รออะไร
‘ขึ้นดิเล ขึ้นรถเด่
“งอนปัญญาอ่อน พี่จะพาไปเจอเพื่อน ”
“ฮื่ออออออออ พี่อารัยน๊าาาา”
ประโยคแรกที่อีกคนพูดทำให้ผมถึงกับหน้างอเพราะโดนมันด่า แต่พอมาเจอคำว่า’พี่’ ที่หาฟังได้ไม่บ่อยก็เล่นเอาเขินขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วยังจะบอกว่าจะพาไปเจอเพื่อนอีก นี้หมายความว่าจะพาไปเปิดตัวหรอเนี่ยยย บ้าจัง
“อย่าถามเยอะ เกาะดี ๆ เลย”
“คร๊าบบบ” ผมใช้สองแขนโอบรอบเอวหนาของคนข้างหน้า กอดเอาไว้หลวมๆ ไม่อยากให้อีกคนอึดอัด แต่พี่ปลายก็ใช้มือทั้งสองข้างจับที่มือของผมแล้วดึงให้ผมกอดตัวเองแน่นขึ้น
“เดี๋ยวตก”
“อื่อ” ถึงรู้ว่ายังไงผมก็ไม่ตกง่าย ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปแย้งให้เสียเวลา มันไม่ได้เสียหายอะไรหรือทำให้เราสองคนอึดอัด กลับกันมันทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจทีเดียว แม้จะร้อนกายก็เถอะ
‘นี่แดดเมืองไทยนะจ้ะอย่าลืม
พี่ปลายขี่รถมาเรื่อย ๆจนถึงตลาดน้ำแห่งหนึ่งย่านสุขาภิบาล 3 ตลาดนี้ไม่ใหญ่เหมือนตลาดน้ำดัง ๆ ที่อยู่ในต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป เราสองคนจอดรถที่ลานจอดในวัดก่อนจะพากันเดินข้ามสะพานมาที่ฝั่งของตลาดน้ำ มีร้านอาหารมากมายที่น่าสนใจและเรียกน้ำย่อยในเวลาใกล้เที่ยงได้ดีทีเดียว ทางตลาดน้ำมีการนำสัตว์หลายชนิดมาจัดโชว์ให้คนทั่วไปโดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้ให้อาหารและถ่ายรูปด้วย
“หน้าเหมือนพี่เลยดูดิ” ผมชี้ไปที่อัลปากาสีน้ำตาลที่กำลังชะเง้อคอรอรับอาหารที่มีเด็กกำลังป้อนให้อยู่ คนตัวโตหันไปตามนิ้วมือผมที่ชี้ไปก่อนจะหันมามองหน้าผมเหมือนจะเอาเรื่อง
“งั้นมึงก็เหมือนโน้น”
“ฮืมมมม ฟามิงโก้หรอ น่ารักเลยอะดิ”
“ม้าแคระ”
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นไงเหมือนไหมหล่ะ กำลังจะเขินอยู่แล้วเชียว นึกว่าพี่มันบอกว่าผมน่ารักเหมือนนกฟามิงโก้ แต่พอมันตอบว่าเป็นม้าเท่านั้นแหละ อยากจะเอาฟันเฉาะหน้าแม่งเลย
“นิสัย”
“ดี”
“กวน”
“ใจ”
“โอ้ยยยยยย”
ยังจะมาเติมคำให้อีกนะ นี่พี่คิดว่าเลเล่นเกมส์ลับสมองอยู่หรือไงว่ะ ช่วยจริงจังกับคำด่าของเลหน่อยเถอะพี่เอ้ยยยยยยย
ผมหล่ะละเหี่ยใจจริง ๆ กับไอ้พี่คนนี้
Rrrrrrrrrrrrrrr
“กูถึงแล้ว อยู่ข้างในตรงที่มีสัตว์เยอะๆ / เออ เข้ามาเลย /กูรอนี่แหละ” พี่ปลายกดวางสายหลังจากที่พูดจบ สงสัยว่าเพื่อนที่พี่มันนัดไว้คงมาถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ปลายนัดเพื่อนคนไหนมา เพราะที่ผมรู้จักก็มีพี่วิวกับพี่กิตที่เจอกันบ่อย ๆ อยู่ เพราะทำงานอยู่ที่เดียวกันกับพี่ปลาย
“เพื่อนพี่มาแล้วหรอ”
“อืม กำลังเดินเข้ามา”
ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับคนตัวโต ก่อนจะหันไปดูพวกสัตว์ที่อยู่ข้างหน้าต่อ ตอนนี้ผมเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเฉย ๆ อย่างไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะนี้เป็นการพามาเจอเพื่อนของพี่ปลายอย่างเป็นทางการ หรือจะเรียกว่าพี่ปลายตั้งใจพามาเจอเพื่อนของพี่เค้าโดยที่ไม่ได้บังเอิญเจอกันหรือเจอในที่ทำงานอย่างพี่วิวกับพี่กิต
มือของผมเริ่มรู้สึกเย็นขึ้น ตื่นเต้นมากจนบอกไม่ถูก กลัวว่าคนที่เป็นเพื่อนพี่ปลายจะไม่ชอบผมทั้ง ๆ ที่ผมกับพี่มันยังไม่ได้คบกันเลย
“เป็นไรเตี้ย มือเย็นเชียว” พี่ปลายที่เอามือมาจับมือผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ ป่าว มันหนาวอ่ะ”
“หึหึ หนาวจนเหงื่อกูออกเต็มหลังเลยเนี่ยนะ”
มือหนาขยี้ที่หัวผมเบา ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะกวนอารมณ์ของพี่ปลายทำให้ผมต้องมองค้อนไปให้หนึ่งที
“อะไรเล่า ก็เลตื่นเต้น”
“ตื่นเต้นอะไรของมึง”
“ก็เพื่อนพี่” ผมมองสบตาคมก่อนจะตอบกลับไปเบา ๆ จนเหมือนกำลังบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่า แต่พี่ปลายก็ยังได้ยินและยิ้มออกมา
“ไอ้วิวเนี่ยนะ ทำเป็นไม่เคยเจอ”
“อ่ะ เฮ้ออออ~” เพราะคำตอบของพี่ปลายที่บอกว่าคนที่มาคือใครก็ทำให้ผมถึงกับโล่งอกถอนหายใจออกมาเสียงดัง คนตัวโตยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนจะพูดประโยคที่เล่นเอาผมถึงกับหัวใจเต้นแรง ความร้อนรวมตัวกันขึ้นหน้าทันที
“เตี้ยเอ้ย! ถ้าพาไปเจอพ่อแม่มึงจะไหวไหมเนี่ย”
“ห๊า พ่อแม่ เจอทำไม พูดไรของพี่ว่ะเนี่ย! ไม่คุยด้วยแล้วพูดไม่รู้เรื่อง จะพาไปเจอพ่อแม่ทำไม ใครจะกล้าไป...”
“ใจเย็นเตี้ย หายใจลึก ๆ”
“ไอ้ปลายมึงแกล้งอะไรน้อง”
“พี่วิวววว ช่วยเลด้วย” ผมรีบเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง ยื่นมือไปจับแขนของคนเป็นพี่เพื่อหาคนช่วยบรรเทาความร้อนบนหน้าและหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะระเบิด
‘พี่จะพาเลไปหาพ่อแม่ไม่ได้นะ เลยังไม่พร้อมมมม มันเขินเว้ยยยย
“มานี้เลยมึง ไปเกาะมันทำไม”
“หวงเก่งงง” พี่วิวมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเองอย่างขบขันที่พี่ปลายมาลากตัวผมกลับไปยืนข้าง ๆ เจ้าตัว ไม่ยอมให้ผมไปยืนเกาะแขนพี่วิว ไม่พอยังพูดแซวพี่ปลายจนเจ้าตัวต้องรีบแก้ตัวทันที
“ใครหวง กูกลัวมันถูกไอ้วินถีบตกน้ำโน้น”
“หึหึ มาเกาะแขนพี่ก็ได้นะครับ” คนโดนเอ่ยถึงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ผม จนพี่วิวที่ยืนอยู่ข้างหน้าต้องหันกลับไปมองแรงใส่
“เดี๋ยวกูถีบมึงเองไอ้วิน”
“ล้อเล่นครับ วิว”
“กวนตีนนะ” พี่วิวที่โดนพี่ที่ชื่อวินดึงตัวเข้าไปโอบไหล่ทุบอกอีกคนไปหนึ่งที ก่อนจะโดนมืออีกข้างของคนที่โอบไหล่อยู่จับเอาไว้ จากที่ผมดูแล้วสองคนนี้น่าจะไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่ ๆ พี่วิวที่เคยเห็นตอนอยู่ที่ทำงานกับพี่วิวตอนนี้มันคนละความรู้สึกกันเลย แต่ไม่ใช่ว่าตลอดเวลานะครับ แค่เวลาที่พี่แกหันไปคุยกับพี่วินที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นแฟนกัน แต่ก็ยังไม่กล้าฟันธงเท่าไหร่ต้องรอให้พี่เค้าบอกก่อนน่าจะดีกว่า
“พวกมึงเลิกหวานโชว์กูก่อนไหม”
“ไอ้สัสปลาย” พี่วิวมองค้อนเพื่อนตัวเองหลังจากที่โดนเอ่ยแซว แต่คนตัวโตข้าง ๆ ผมก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร
“สวัสดีครับ พี่ชื่อวินนะครับ”
“แฟนไอ้วิวมัน” ผมสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อพี่ปลายพูดแทรกขึ้นมาเพื่อบอกสถานะของคนที่แนะนำตัวกับผม พี่วินยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยต่างจากพี่ตัวเล็กที่หน้าขึ้นสีน้อย ๆ แต่ก็ไม่วายที่จะส่งตาค้อนไปมองหน้าเพื่อนตัวเอง
“อ่ะ...อ๋อ ผมชื่อเลครับ”
“แฟนไอ้ปลายมัน”
“เฮ้ยยย! พี่ไม่ใช่” ผมตกใจร้องเสียงหลงออกมาทันทีที่พี่วิวพูดจบ ไม่ต่างจากอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รีบปฏิเสธเสียแข็ง
“ไอ้สัสวิว ใครแฟนกู”
“ฮ่าๆ ๆ เล่นตัวสัสปลาย”
“วิวครับ”
“วินมึงอ่ะ” พี่วิวหยุดหัวเราะทันทีที่โดนคนเป็นแฟนสะกิดและเรียกชื่อด้วยเสียงนุ่ม ๆ มือขาวของพี่วินวาง ลงบนไหล่ของพี่ตัวเล็ก พี่วิวที่โดนทำแบบนั้นก็เลยต้องหันไปมองคนเป็นแฟนด้วยสายตาที่ติดจะงอแง แต่บอกเลยว่าพอเห็นแบบนี้พี่วิวโคตรน่ารักเลย น่ารักกว่าผมด้วยมั่งเนี่ย
‘ชอบพี่วิวอ่ะ น่าร๊ากกกกกก
“เตี้ยทำไมมองไอ้วิวแบบนั้น”
“เอ้ยยย พี่ปลาย ปล่อยเลนะเว้ย เลมองไม่เห็น” ผมโดนมือของคนข้าง ๆ ยกมาปิดตาจนมองอะไรไม่เห็น มือหนาอีกข้างถูกวางพาดอกผมตอนที่พยายามจะดิ้นแล้วดึงมือพี่ปลายออก คนตัวโตล๊อคผมไว้ไม่ให้ดิ้นขัดขืน ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าพวกพี่ทำหน้ายังไงกันอยู่ แต่ว่าคำพูดที่พี่วิวพูดนี่เล่นเอาผมไม่อยากให้พี่ปลายเอามือออกเลย
“ปากบอกไม่ใช่แฟน แต่แสดงออกมากกว่าน้องนะมึงไอ้ปลาย”
“ไอ้สาด วินมึงเอาเมียมึงหันไปทางอื่นเลย”
“ไอ้เพื่อนเลว!” ฮื่อออออ เขินแทนพี่วิวเลยอ่ะ ตอนที่พี่ปลายเรียกพี่วิวว่าเมียพี่วิน แอบเผลอไปคิดว่าถ้าผมกับพี่มัน หยึยหยึย กัน ผมก็ต้องเป็นเมียพี่ปลายอ่ะดิ บ้าจัง ยังไม่ได้เป็นแฟนเลยคิดข้ามขั้นได้ไงเนี่ยยย
“ใจมึงเต้นแรงนะเตี้ย คิดไม่ดีกับกูป่ะเนี่ย”
“เฮ้ย! พี่ปลาย! ปล่อยเลดิ๊” พี่ปลายแม่งยังจะมาพูดแบบนี้อีก ไม่คิดบ้างหรอว่ะว่าผมอาจจะหัวใจวายตายได้ เพราะไอ้หน้าหล่อ ๆของพี่มันที่ก้มลงมากระซิบอยู่ข้างหูผมเนี่ย เล่นเอาสยิวเลยแม่ง
‘เออ! กูคิดบอกเลย
หลังจากที่ยืนคุยกันจบพวกเราก็พากันเดินไปดูอะไรไปเรื่อย ๆ เพื่อรอคนที่จะมาอีกสองคน นั้นก็คือพี่กิตกับพี่ระติ หลังจากเดินไปเกือบรอบแล้วก็พากันมาหาที่นั่งใกล้ๆ กับท่าลงเรือชมคลองแสนแสบ
“เดี๋ยวเลมาแปบนะพี่ปลาย”
“ไปไหน”
“อยากกินซาลาเปา พี่เอาไหม?”
“กูไปด้วย” คนตัวโตลุกขึ้นตามผมที่กำลังยืนรอคำตอบ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเพื่อนรักพูดขึ้น
“ไอ้ปลาย มึงให้น้องเค้าเดินคนเดียวบ้างเถอะ หวงจริง กลัวหายหรือไงว่ะ” พี่ปลายไม่ได้พูดตอบอะไรพี่วิว ส่วนผมก็ส่งยิ้มน้อย ๆ ให้พี่วิวที่มองมา แอบรู้สึกดีกับคำพูดของพี่วิวไม่น้อยเลย
“พี่สองคนเอาไหมครับ ?”
“งั้นขอหมูสับไข่เค็มสองนะ วินขอตังหน่อย” พี่วิวตอบผมเสร็จก็หันไปแบบมือของเงินคนข้าง ๆ เพื่อจะเอามาจ่ายค่าซาลาเปาที่ฝากซื้อ
“ไม่ต้องครับพี่วิว เลเลี้ยงเอง”
“น่ารักแล้วยังใจดีอีก ถ้าโสดนี่พี่จีบแล้วเนี่ย”
“วิวครับ!/ไอ้วิว!”
สองเสียงของชายหนุ่มร่างสูงเรียกชื่อพี่ตัวเล็กออกมาพร้อม ๆ กัน จนผมเองก็ยังตกใจไปด้วย ต่างจากพี่วิวที่ยิ้มออกมาเสียกว้างเหมือนว่าเรื่องที่ทำไปก่อนหน้านี้เจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
“พวกมึงจะแหกปากกันทำไม กลัวลืมชื่อกูหรือไงห๊ะ! ไอ้ห่านี้ก็หวงเค้าจังมึงเป็นแฟนเค้าหรอ?”
“พูดมาก”
“จ้าคนพูดน้อยยยย ระวังโดนคาบไปแดกนะมึง”
“วิวครับมาคุยกันก่อนเลย” พี่วิวที่กำลังลับฝีปากกับพี่ปลายโดนมือของคนข้าง ๆ จับไหล่ให้หันหน้าไปคุยกัน
“อะไรของมึงเนี่ยวิน กูก็แค่ล้อเล่น”
“งั้นเลไปนะครับ”
ผมบอกก่อนจะเดินออกมาไม่ได้อยู่รอฟังว่าสองคนนั้นจะเคลียร์อะไรกัน เป้าหมายที่ผมตั้งไว้คือร้านขาวซาลาเปาที่ผมเห็นตอนเดินสำรวจไปก่อนหน้านี้ พี่ปลายเดินตามหลังมาเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านซาลาเปาและสั่งตามรายการที่อยากได้ ไม่ลืมที่จะสั่งไปเผื่อคนอีกสองคนที่ยังมาไม่ถึงด้วย
หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมานั่งที่เดิม เจอพี่กิตที่มาถึงแล้วก็ยกมือไหว้ทักทายกันนิดหน่อย จากนั้นก็แจกจ่ายซาลาเปาร้อน ๆ ที่ซื้อมา ให้กับพวกพี่ ๆ ก่อนจะเริ่มกินของตัวเอง พี่ปลายไม่ได้กินซาลาเปาที่ผมซื้อมาให้เพราะบอกว่าไม่ค่อยอยากกิน แต่ผมเห็นว่าเวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ตั้งแต่ที่พี่ปลายมารับเมื่อสายเราสองคนก็ยังไม่ได้กินอะไรกันจริง ๆ จัง ๆ เลย
“อ่ะ กินหน่อยสิครับ” ผมฉีกซาลาเปาเป็นชิ้นพอดีคำ จ่อที่ปากสวยของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่ปลายขมวดคิ้วมองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ไม่นานปากสวยก็อ้าออกเพื่อรับซาลาเปาในมือผมเข้าปาก
“อร่อยป่ะ”
“อร่อยอยู่แล้วครับน้องเล เพราะมีคนป้อนถึงปากเลย”
“นี่ถ้าใช้ปากป้อนกูว่าไอ้ปลายน่าจะเจริญอาหารกว่านี้ว่ะไอ้วิว” ผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้วเพราะดันเผลอไปคิดตามคำพูดของพี่กิต ถ้าใช้ปากป้อนหรอ ฮื่ยยยยย ก็เท่ากับเราจูบกันอ่ะดิ
“เดี๋ยวมึงสองตัวจะโดน” พี่ปลายชี้หน้าเพื่อนสนิทสองคนที่แซว ก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วตาคมก็หยุดมองนิ่งอยู่ที่ปากผม ปากสวยของพี่ปลายยกยิ้มน้อย ๆ จนหัวใจของผมกระตุก มือหนาที่วางพาดพนักผิงของเก้าอี้ไม้ยกมาวางไว้บนไหล่ผมเกลี่ยเบา ๆ จนผมรู้สึกแปลก ๆ หัวใจเริ่มเต้นดังขึ้นจนกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า สมองเริ่มคิดภาพผมตอนที่ป้อนอีกคนด้วยปาก แล้วถ้าไม่จบแค่นั้นหล่ะ
‘โอ้ยยยยยยย หัวใจจะวาย
“ป้อนดิ” อยู่ ๆ พี่ปลายก็พูดขึ้นจนผมหลุดออกจากความคิด หน้าเห่อร้อนกว่าเดิมเมื่อสายตาที่มองมาเหมือนมีเลศนัยอะไรบางอย่าง หรือว่าพี่ปลายจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ว่ะ อย่าบอกนะว่าพี่มันจะให้ผมป้อนด้วยปากจริง ๆ หึ้ยยยยย ไม่ได้นะ ผมตายแน่ ๆ ถ้าทำแบบนั้น แต่ความคิดก็หยุดลงทันทีเมื่อพี่ปลายยกมือมาเขกกะบาล
“โอ้ยยยยย เลเจ็บนะ”
“มึงคิดไรเตี้ย ทะลึ่งนะเดี๋ยวนี้”
“อะไรเล่า เลไม่ได้คิดจะป้อนพี่ด้วยปากจริง ๆ สักหน่อยอุ๊บ!”
งื่อออออออออ ไอ้ทะเล มึงบ้าหรือเปล่าเนี่ยเผลอไปพูดแบบนั้นได้ไงว่ะ ตายแล้วตายห่าแล้วกู ผมมองซ้ายมองขวาก็เห็นว่าสายตาทุกคู่จ้องมองมาที่ผมด้วยความตื่นตะลึง ตายตอนนี้ผมคิดได้คำเดียวคือต้องแกล้งตาย ไม่งั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
‘พ่อขวัญแม่เรียมช่วยเลด้วยยยย
“ถ้าอยากป้อนจากปาก ต้องไปป้อนที่ห้องกูนะ”
“ฮืออออออ บ้า” ร้องไห้แม่งเลยดีกว่า ก็ไอ้พี่ปลายแม่งเล่นก้มลงมากระซิบที่ข้างหูจนขนลุกซู่ไปหมด ลมหายใจอุ่น ๆ ก็เป่ารดหูจนร้อนขึ้นไปอีก ไม่น่าเลยกูไม่น่าพลาดเลยแม่ง แดงหมดแล้วเนี่ย ทั้งหน้าทั้งหูกูแดงหมดแล้วแน่ ๆ
“ไอ้เชี่ยบอกไม่ได้เป็นไรกับเค้า แต่เล่นเอาซะน้องมันย้วยไปหมด” อะไรคือย้วยของพี่กิตเค้าว่ะเนี่ย เลนี่คนนะไม่ใช้กางเกงลิงเก่า ๆ ที่จะย้วยได้ หื่ออออ เขินต่อ
“กูนั่งอยู่ตรงทางจะขึ้นเรือชมวิว เดินมาไวไวเลย ถ้าไม่รู้ทางมึงก็ถามเค้าเอา” เสียงพี่วิวที่ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยชีวิต เพราะทุกคนหันไปมองพี่ตัวเล็กที่เพิ่งกดวางสายหลังจากพูดจบ แน่นอนว่าคนที่โทรมาต้องเป็นคนที่พวกเรานั่งรออยู่กันแน่ ๆ และไม่นานคนที่พวกเรารอก็เดินขึ้นสะพานข้ามคลองมา
“นั้นไงมันมาแล้ว”

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ตอนที่ 14/1 เลเหลือทนแล้วนั้น...
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-01-2020 09:02:05 »





ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 14/2 เลเหลือทนแล้วนั้น...
«ตอบ #20 เมื่อ21-01-2020 09:02:49 »

ตอนที่ 14/2 เลเหลือทนแล้วนั้น...

“ไอ้ระติ ทางนี้ ๆ”พี่วิวลุกขึ้นยืนทันทีที่หันไปมองตามที่พี่กิตบอก จากนั้นก็ตะโกนเรียกชื่อของคนที่ยืนอยู่กลางสะพาน ไม่พอเท่านั้นยังโบกไม้โบกมือเรียกเหมือนกลัวว่าคนโดนเรียกชื่อจะมองไม่เห็น แต่ไม่ใช่เลยครับ นอกจากพี่ระติจะเห็นแล้ว คนที่เดินผ่านไปผ่านมายังเห็นอีก ตอนนี้เค้าคงรู้กันหมดแล้วว่าใครชื่อ ระติ
“สวัสดีครับพี่ ๆ อ้าว!” พี่ระติที่เพิ่งเดินมาถึงยกมือไหว้พวกพี่ ๆ ก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่ด้วย
“อ้าวเหี้ยไรของมึง นี่น้องเล เด็กไอ้ปลายมึงก็เคยเจอไม่ใช่ไง”
“เด็กกูเหี้ยไร แม่งอยากตามมา”
เอ้าเฮ้ยยยยยยยยยยยยยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า หมามาแล้วกู ทำไมอยู่ ๆ เป็นผมอยากตามมาเฉยเลยว่ะเนี่ย รู้สึกเหมือนว่ากูโดนพี่มึงล่อลวงมาไม่ใช่หรอว่ะ
ผมหันไปมองค้อนไอ้พี่ตัวโตที่โยนขี้มาให้ผมก้อนใหญ่ แต่เจ้าตัวก็ทำแค่ยกยิ้มกวนบาทามาให้จนอยากจะถีบลงคลองแสนแสบให้ตายห่าไปเลย
‘เลเหลือทนแล้วนั้น ขอ(ถีบ)สักที
“กูเกือบเชื่อแล้วไอ้สัส น้องมันโดดขึ้นรถมึงตอนขับผ่านงี้หรอ”
“ฮ่า ๆ ๆ เออ พูดดีว่ะพี่ อันนี้ชอบ”
“ชอบห่าไรของมึง มาสายแล้วยังกวนตีนอีก”
“เอ้า เขินแล้วพาลเลยน๊า สวัสดีครับน้องเล”
“สวัสดีครับพี่...”
“มันชื่อระติ” พี่ปลายหันมาบอกกับผมว่าคนที่มาใหม่ชื่ออะไร แต่ที่ผมเงียบไปไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะว่าพี่เค้าชื่อระติ แต่ที่เงียบคือไม่ค่อยแน่ใจว่าเราสองคนอายุเท่ากันหรือใครอายุมากกว่า แต่ว่าพี่ปลายให้เรียกพี่ก็เรียกไปตามนั้นแล้วกัน ดีออกเลจะได้เด็กที่สุด อิอิ
“พี่ระติ”
“น้องเลน่ารักมากอะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบรับคนตัวโตพอ ๆ กับพี่ปลายที่อยู่ ๆ ก็เอ่ยชมผมขึ้นมา ถึงจะไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวหรือชอบพี่ระติเหมือนกับที่รู้สึกกับพี่ปลาย แต่ก็อดที่จะเขินไม่ได้เหมือนกันที่มีคนหล่อ ๆ มาชมว่าน่ารักต่อหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แต่ยังไม่ทันได้เขินนานก็โดนมือหนาของคนที่บอกว่าผมตามมาลากไปลงเรือเสียก่อน
‘ขัดตลอดดดด เป็นฝอยขัดหม้อป่ะเนี่ย
“จะลงไหมเรือไอ้เล ยืนยิ้มห่าอะไรนักหนา ไปเลย”
“กูชักไม่แน่ใจแล้วว่า ใครตามใครมากันแน่”
“ฮิ้วววว”
เสียงเอ่ยแซวของพี่วิวทำให้เพื่อนคนอื่น ๆ โห่รับตามกันอย่างสนุกสนาน ต่างจากไอ้คนข้าง ๆ ที่หน้างอเป็นจวัก จนจะเอามาตักน้ำในคลองแสนแสบมาแดกแล้วเนี่ย
“ไปพวกมึง ไปกันวิน”
“กับผัวอ่อนโยน กับพวกกูนี่หยาบคายตลอด”
“มึงเคยเป็นผัวกูแล้วหรอ ถึงรู้ว่ากูอ่อนโยน” ผมหัวเราะตามพวกพี่ ๆ ที่เค้าแซวเล่นกันก่อนจะตามลงเรือมา คนโดนแซวอย่างพี่วิวเหมือนจะชินกับคำแซวของพวกเพื่อน ๆ แล้ว เลยตอบกลับไปจนคนแซวถึงกับร้องออกมาเสียงดัง
“ไอ้เชี่ย ขนลุกยันตูดเลยกู”
“ฮ่า ๆ”
“ขำไรเตี้ย”
“เพื่อนพี่ตลกดี” พี่ปลายพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองสองข้างทาง ไม่นานเรือก็เริ่มออกตัว น้อง ๆ มักคุเทศน์เริ่มบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับคลองแสนแสบตามที่เรือขับผ่านไป น้ำในคลองแสนแสบช่วงนี้ใสสะอาดกว่าแถว ๆ ช่วงบางกะปิ เหมือนกับว่าคนละคลองกันก็ว่าได้
“หิวว่ะพี่” เสียงของพี่ระติที่หันไปคุยกับพี่วิวทำให้ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าซื้อซาลาเปาเผื่อพี่เค้าเอาไว้ เลยหันไปทางพี่ระติก่อนจะยื่นถุงในมือไปให้
“พี่ระติ ซาลาเปาครับ เลซื้อมาฝาก”
“โอ้โห น่ารักที่สุดเลยครับ” พี่ระติยื่นมือมารับถุงซาลาเปาจากมือผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะดึงมือออกก็มีคนช่วยดึงมือผมกลับมาซะก่อน ก็พี่ปลายไงจะใครหล่ะ
“แดกไปเงียบ ๆ เลยมึง ส่วนมึงก็นั่งดี ๆ”
“โอ้โหหหหหหหห นี่น้องไงครับพี่ปลาย ระติเอง เอ๊อะ”
คนโดนสั่งให้กินเงียบ ๆ ถึงกับโวยวายทันที แต่พอโดนพี่ปลายหันไปทำตาดุใส่ก็ถึงกับยกซาลาเปายัดปากตัวเอง เล่นเอาพวกเราที่อยู่ในเหตุการณ์พากันหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ มองแรงด้วย เดี๋ยวก็โดนถีบตกน้ำหรอกไอ้ระติ”
“ขอโทษคร๊าบ แล้วก็ ขอบคุณนะครับน้องเลของพี่ปลายยย”
“พ่อง”
แทนที่ผมจะเป็นคนเขินที่โดนเรียกว่าน้องเลของพี่ปลาย กลายเป็นคนข้าง ๆ ที่อยู่ ๆ หน้าก็ขึ้นสีระเรื่อเสียงอย่างนั้น แต่ก็ไม่วายด่ารุ่นน้องที่เอ่ยแซวไปทีแล้วหันหน้าหนีไปมองทางอื่น
เรือแล่นมาเรื่อย ๆ เพื่อให้เราได้ชมความงดงามของธรรมชาติและบ้านเรือนริมน้ำ ผมมองตามไปทางอย่างเพลิดเพลิน ฟังเสียงเด็กนักเรียนที่บรรยายอย่างคล่องแคล้วจนลืมระวังตัว
ซ่า
“อ่ะ งื่ออออออ เกือบเข้าปากเลย”
ใช่ครับ ผมเพลินมากไปหน่อยพอตอนเรืออีกลำที่วิ่งไปก่อนหน้าสวนทางกลับมาก็เลยทำให้น้ำกระเด็นมาใส่ คนตัวโตที่นั่งข้าง ๆ พอได้ยินแบบนั้นก็รีบหันมามอง
“ไหนมาดูดิ” มือหนายกขึ้นมาจับที่หน้าผมให้หันไปหาก่อนจะปาดน้ำที่ติดอยู่บนแก้มเบา ๆ สายตาของเราสบกันเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะส่งยิ้มไปให้คนตรงหน้า พี่ปลายเองก็ส่งยิ้มน้อย ๆ กลับมาให้ก่อนจะวางมือบนหัวผมแล้วขยี้เบา ๆ ด้วยท่าทางเอ็นดู
“ขอบคุณครับ”
“อื้อ นั่งดี ๆ ระวังด้วย”
คนตัวโตบอกก่อนจะหันกลับไปมองสองข้างทางอีกครั้ง แต่เสียงอบอุ่นกับการกระทำก่อนหน้านี้เล่นเอาหัวใจของผมกระโดดออกจากอกลงคลองไปว่ายน้ำเล่นในคลองแสนแสบตามพ่อขวัญกับแม่เรียมไปแล้ว แต่ยังไม่พอแค่นั้นเมื่ออยู่ ๆ พี่ปลายก็จับเอามือของผมไปวางไว้ที่ตักของตัวเอง พร้อมทั้งลูบเบา ๆ อย่างไม่อายว่าเพื่อนที่มาด้วยจะเห็น คราวนี้ผมอยากจะเอาหน้ามุดลงไปในน้ำคลองแสนแสบซะเหลือเกิน เผื่อมันจะช่วยดับความร้อนบนหน้าที่เกิดจากความอบอุ่นของคนข้าง ๆลงได้บ้าง
พวกเราลงจากเรือหลังจากที่วนมาจอดที่เดิม จากนั้นก็พากันไปหาข้าวกินเพราะทุกคนเริ่มหิวกันมากแล้ว ตอนนี้เวลาก็ปาไปบ่ายสองโมงหน่อย ๆ แล้ว พวกเราตกลงกันว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวเรือเพราะว่ามาตลาดน้ำ แต่เอาจริง ๆ มาตลาดน้ำจะกินผัดไท หอยทอด หรืออาหารตามสั่งก็ไม่มีใครว่าป่ะว่ะ แค่พวกพี่อยากกินเตี๋ยวเรือก็ไม่เห็นต้องมาโยงเข้าตลาดน้ำเลยนี่เนอะ
หลังจากทุกคนอิ่มกันเรียบร้อย ก็เริ่มพากันออกเดินทัวร์ตลาดอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้มีสองคนที่ยังไม่ได้เดิน และพวกเราที่ได้เดินก่อน ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักอย่าง ผมเดินคู่กับพี่ปลายตามพี่วิวกับพี่วินที่เดินนำอยู่ ส่วนสองคนข้างหลังนี่เป็นพี่ระติกับพี่กิต สองคนนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีแฟนกันหรือยังเพราะไม่กล้าถาม แต่ถ้าจะให้เดาพี่ระติหน้าตาหล่อขนาดนี้ก็ไม่น่าจะยังไม่มี แต่พี่กิตนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพี่แกไม่หล่อนะครับ แค่ดูเป็นคนที่เหมือนจะเจ้าชู้ไปหน่อย เห็นมองสาวคนนั้นทีคนนี้ทีเลยคิดว่าถ้ามีแฟนก็น่าจะโดนแฟนทุบแน่ ๆ เหมือนจะเป็นคนรักอิสระอะไรประมาณนี้แหละครับ
“เล ๆ เสื้อร้านนี้สวย” ผมหันไปมองพี่วิวที่ยืนอยู่หน้าร้านเสื้อร้านหนึ่ง ภายในร้านมีเสื้อยืดสีขาวที่สกรีนลายต่าง ๆ เรียงรายกันอยู่ ผมเดินตามพี่วิวเข้าไปในร้านโดยที่พี่ปลายกับพี่วินยืนรออยู่ข้างนอก เราสองคนเดินดูเสื้อตัวนั้นตัวนี้ด้วยความสนใจ ก่อนที่พี่วิวจะหยิบเสื้อสองตัวที่สนใจออกไปให้พี่วินช่วยดู
“สวัสดีครับ สนใจตัวไหนเป็นพิเศษไหมครับ”
“อ๋อ ยังเลือกไม่ถูกเลยครับ สวยทุกตัวเลย” ผมหันไปยิ้มให้คนที่เดินเข้ามาทักทายซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของร้าน ผู้ชายตัวสูงกว่าผมเกือบสิบเซนติเมตร รูปร่างสมส่วน หน้าตาถือว่าดูดีถึงดูดีมาก ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
“ผมชื่อคิว นะครับ แล้วคุณ?”
“เอ่อ... ผมเลครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเล”
“ยินดีเช่นกันครับ”
“อ่ะ พี่ปลาย”
คนที่เพิ่งแนะนำตัวว่าชื่อคิวยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อเป็นการทักทาย ผมยกมือขึ้นเตรียมยื่นออกไปจับกับอีกคนที่ยื่นค้างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้จับก็ถูกคนตัวโตที่เดินมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ชิงจับมือของคิวไปก่อน หน้าคมส่งยิ้มไปให้เพื่อนใหม่ ก่อนจะหันมาทำตาดุใส่ผม
“มึงเลือกเสร็จยัง ถ้าเลือกไม่ได้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
“อะ...พี่ปลายเลยังเลือกไม่เสร็จเลย”
“ไอ้วิว เพราะมึงเลย กูกลับแล้ว”
พี่ปลายไม่ตอบอะไรผม แต่หันไปโวยวายเพื่อนตัวเองแทน ผมไม่เข้าใจว่าพี่วิวแกไปทำอะไรให้พี่ปลายถึงได้โมโหขนาดนี้
“เอ้าไอ้นี่พาล เออ ไปดี ๆ นะมึง โชคดีน้องเล”
“สวัสดีครับพี่ๆ โอ้ย พี่ปลายปล่อยดิ่เลเจ็บ” ผมรั้งตัวไว้ไม่ยอมเดินตามแรงลากของพี่ปลาย คนตัวโตเลยหันมามองด้วยแววตาสงสัย แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่หันไปมองพี่ ๆ ที่ยืนมองพวกเราอยู่ ก่อนจะก้มหัวนิดหน่อยเพื่อเป็นการบอกลา จะยกมือไหว้ก็ไม่ได้เพราะมือหนายังกำข้อมือของผมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ
“เบา ๆ ไอ้ปลาย เดี๋ยวน้องก็แขนหักพอดี”
“เออ” พี่ปลายตอบเพื่อนตัวเองก่อนจะคลายมือที่กำแน่นออก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็ดึงให้ผมเดินตามออกมา แต่ก่อนที่เราสองคนจะเดินไปได้ไกลจากเพื่อนพี่ปลายผมก็ทันได้ยินพี่วิวพูดบางอย่าง
“พอพวกกูถามบอกไม่ได้เป็นไรกัน แล้วดูมันทำดิ แค่มีคนมาทักน้องมันก็หึงจนลากเค้ากลับบ้านเลย”
“เออไอ้เฮี้ยยย ปากแข็ง โดนคาบไปแดกกูจะขำให้” จากนั้นก็ไม่ได้ยินว่าพวกพี่ ๆ เค้าคุยอะไรกันอีก ทำได้แค่เดินตามคนตัวโตที่เดินนำมาจนถึงรถที่จอดไว้
พี่ปลายยังคงทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก คนตัวโตหยิบเอาหมวกกันน๊อคมาสวมให้ผมโดยไม่พูดอะไรเลย จากนั้นก็สวมให้ตัวเองแล้วขึ้นคร่อมบนรถ ผมเองก็ตามขึ้นไปซ้อนโดยไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมกลัวหรือว่าอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าพี่ปลายจะยอมพูดกับผมเมื่อไหร่
พี่ปลายขี่รถออกมาจากตลาดน้ำก่อนจะกลับรถแล้วขับต่อไปบนเส้นรามคำแหง จากนั้นก็เลี้ยวเข้าเส้นศรีนครินทร์มุ่งหน้าไปแยกพัฒนาการ ผมไม่ได้ถามว่าอีกคนจะพาไปไหน จนเมื่อถึงแยกพัฒนาการพี่ปลายก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพัฒนาการอีกที จากนั้นไม่นานก็พาผมเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนจะจอดรถที่สระน้ำในหมู่บ้าน ผมลงจากรถเมื่อพี่ปลายจอดรถสนิทแล้ว ถอดหมวกกันน๊อคส่งคืนให้อีกคน ยืนรอจนพี่ปลายจัดการกับตัวเองเสร็จ
“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”
“ครับ”
ผมพยักหน้ารับเมื่อพี่ปลายหันมาพูดกับผม หน้าหล่อขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำเวลาเครียดหรือไม่พอใจอะไร
ผมเดินตามพี่ปลายมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้สนามริมน้ำ ในใจเริ่มคิดว่าพี่ปลายแม่งจะถีบผมตกน้ำหรือเปล่าว่ะ ที่นั่งตั้งเยอะแยะทำไมต้องมานั่งตรงนี้ด้วย นี่ถ้าผมพูดไม่เข้าหูมันจะทุบผมตายให้กลายเป็นแม่ปลาปู่ทองไหมเนี่ย
‘สงสารแต่แม่ปลาปู่ เคยสงสารเลบ้างไหม???? นี่ไม่ได้ร้องเพลงนะ ถามเฉย ๆ
“นั่งดิ กูไม่ถีบมึงตกน้ำหรอกไอ้หมาเตี้ย” เฮ้ยยยยยย พี่มันมีญาณทิพย์หรือไงว่ะ ทำไมมันอ่านใจผมได้ว่ะเนี่ย
“เลไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
“หรอ หน้ามึงออกซะขนาดนั้น” ที่แท้ก็หน้าของผมนี่เองที่ทำให้พี่มันรู้เนี่ย ว่าแต่ทำหน้ายังไงว่ะถึงรู้ว่ากลัวจะโดนถีบตกน้ำ อยากจะกราบงาม ๆ เลยนะเนี่ยดูหน้าก็รู้แล้วว่าคิดอะไร
“พี่ปลายมีอะไรจะคุยกับเลหรอ” ผมนั่งลงข้าง ๆ พี่ปลาย ตอนนี้คนตัวโตมองไปข้างหน้าพร้อมกับมือสองข้างที่ประสานกันวางอยู่บนหน้าขา ตาคมจ้องมองไปบนผิวน้ำนิ่งเหมือนกำลังขบคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ
“กูไม่รู้ว่ะ...”
“อ้าวววว”
“กูยังพูดไม่จบ มึงก็รีแอคชั่นไวไปนะ”
คนตัวโตหันมามองค้อนผมก่อนจะผลักหัวเบา ๆ หนึ่งที เพราะผมยังฟังที่เจ้าตัวพูดไม่จบก็ดันร้องออกมาเสียงดัง
“แฮะ ๆ”
“เมื่อกี้ กูไม่ชอบที่มึงคุยกับคนอื่น”
“...” อ้อเรื่องนี้นี่เอง ผมนั่งฟังอีกคนพูดด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้คนพูดจะดูเครียดมากก็ตาม แต่การที่คนที่เราชอบหวงเรามันก็เป็นสิ่งดี ๆ ไม่ใช่หรอครับ ทำไมผมต้องเครียดด้วยเนอะ
“กูไม่ชอบที่ไอ้นั้นจะจับมือมึง”
“อ๋อ”
“กูหวงมึงว่ะ”
“อื่อ”
“มึงชอบกูไหมเล เหมือนที่กูชอบมึง”
“ชอบครับ”
ผมตอบไปตามตรง ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว คนตัวโตมีแววตาประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคงไม่คิดว่าผมจะยอมรับง่าย ๆ แบบนี้ มือสวยถูกเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ทันทีที่ฟังผมพูดจบ แววตากังวลก่อนหน้านี้เริ่มเบาบางลง ก่อนจะเริ่มเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ผมมองสบเข้าไปในตาคมนิ่งเพื่อรอว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อ ตอนนี้เราสองคนบอกความรู้สึกของกันและกันไปแล้ว การกระทำหลาย ๆ อย่างก็ข้ามขั้นคำว่าคนรู้จักหรือพี่น้องมาแล้ว เหลือก็แค่สถานะที่มันยังไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง
“แต่ตอนนี้กูว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เราสองคนจะคบกันจริงจัง กูยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกนิดหน่อย มึงรอกูหน่อยได้ไหม? กูสัญญาว่ามันจะไม่นาน”
“ครับเลจะรอ”
ผมบีบมือพี่ปลายก่อนจะส่งยิ้มให้อีกคน พี่ปลายเองก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนโล่งใจกับสิ่งที่เจ้าตัวคิดมาตลอด ผมไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่พี่เค้าบอกมันคือเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ที่เราสองคนเป็นอยู่มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัด ผมไม่ได้ต้องการเรียกร้องเอาสถานะจากพี่ปลายตอนนี้ ผมรู้ว่าทุก ๆ ความสัมพันธ์มันต้องใช้เวลาค่อย ๆ เรียนรู้กันไป
‘แค่ที่เป็นอยู่มันก็มีความสุขมากแล้ว
“เลครับ”
“ครับ”
พี่ปลายเบี่ยงตัวเพื่อหันมาทางผม หน้าหล่อส่งยิ้มมาให้ผมอีกครั้ง มือสวยปล่อยจากมือผมที่จับกันอยู่ ก่อนจะสอดประสานนิ้วของเราเข้าด้วยกัน สายตาที่มองมาบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่อีกคนมีให้ หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอีกครั้งเพียงเพราะสัมผัสและสายตาที่จ้องมองมา ความรู้สึกเขินอายจนไม่สามารถมองจ้องตากับตาคมคู่นั้นได้อีก ทำให้ผมต้องก้มหน้าลงมองมือของเราที่ประสานกันอยู่ไม่นานสัมผัสอุ่น ๆ จากลมหายใจของพี่ปลายก็กระทบที่ข้างแก้มของผม ริมฝีปากสวยประทับลงที่แก้มเบา ๆ ก่อนจะผละออก
“พี่จองเลแล้วนะครับ”

To be con. »
#ที่ปลายทะเล
จองกันแล้วอ่าาาาาา
ใครไม่ไหวแล้วยกมือขึ้นนนนนน -.-/
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 15 [ปลาย: ปลายปฐพี] : เป็นเมียพี่นะครับ

[ปลาย: ปลายปฐพี]
“มึงชอบกูไหมเล เหมือนที่กูชอบมึง”
“ชอบครับ” ผมมองหน้าคนตัวเล็กที่ตอบคำถามผมทันที อย่างกับเจ้าตัวมีคำตอบในใจอยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกหนักใจก่อนหน้านี้เบาบางลงไปมาก แต่ถึงเราสองคนจะมีความรู้สึกที่ตรงกันแล้ว แต่ผมก็ยังคงให้สถานะของเราสองคนไม่ได้ เพราะยังมีบางเรื่องที่ผมอยากจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะเอาเวลาทั้งหมดมาดูแลคนตัวเล็กของผม ผมไตร่ตรองสิ่งที่อยู่ในความคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดมันออกมา
“แต่ตอนนี้กูว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เราสองคนจะคบกันจริงจัง กูยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกนิดหน่อย มึงรอกูหน่อยได้ไหม? กูสัญญาว่ามันจะไม่นาน”
“ครับเลจะรอ” มือเล็กที่ผมจับไว้บีบกระชับมือผมเบา ๆ พร้อมทั้งรอยยิ้มอบอุ่นที่เลส่งมาให้ทำให้ผมต้องยิ้มตามไปด้วย ความรู้สึกเอ็นดูอีกคนในหัวใจของผมเริ่มเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน ผมอยากจะนอนกอดคน ๆ นี้ในทุกค่ำคืน อยากให้อีกคนมีรอยยิ้มสดใสแบบนี้ไปนาน ๆ
“เลครับ”
“ครับ” ผมเบี่ยงตัวเพื่อหันไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน มองสบเข้าไปในตากลมสีสวยที่กำลังสั่นไหวจนน่าหลงใหล ก่อนจะละสายตาลงไปมองมือของเราที่จับกันอยู่ ค่อย ๆ คลายมือที่จับกันออกก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปประสานกับนิ้วสวยของน้อง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาสวยยังคงสั่นไหวเมื่อเราสบตากัน ผมส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจไปให้อีกคนผ่านทางแววตา หน้าขาวของคนตรงหน้าเริ่มแดงขึ้นกว่าเดิมคงเป็นเพราะความเขินอาย เลสบตากับผมได้ไม่นานก็ก้มหน้าลงไปมองที่มือของเราที่ประสานกันอยู่ ผมโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนแก้มเนียนสีสวยนั้น
“พี่จองเลแล้วนะครับ”
“...”
“เลครับ”
“...”
“เล”
“...”
“เตี้ย! เป็นไรเนี่ย เรียกก็ไม่ตอบ”
“ก็มันเขิลอยู่เว้ยพี่ปลาย ความโรแมนติกนี่หาไม่ได้จากพี่เลยจริง ๆ”
คนโดนเรียกเสียงดังเงยหน้ามามองผมด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก คงเพราะผมไปขัดจังหวะความเขินอายของเจ้าตัวนั้นแน่ ๆ เอาจริง ๆ ไอ้อารมณ์เมื่อกี้มันก็ยากสำหรับผมเหมือนกันนะ มันเขินโคตร ๆ เลย เพราะเราสองคนไม่ค่อยได้มีโมเม้นแบบนี้เท่าไหร่นัก ลองคิดดูดี ๆ นี่แทบไม่มีเลยก็ว่าได้
“เลิกเขินได้แล้ว กูหิวข้าว”
“โฮ๊ะ ชาติก่อนเกิดเป็นฝอยขัดหม้อแน่ ๆ คอยขัดอารมณ์ตลอด คนจะเขินก็ไม่ได้อี๊กกก” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังใส่ผม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป
“เอ้าแล้วจะไปไหน”
“หิวไม่ใช่ไง ไปดิ”
“ฮ่า ๆ ไอ้เตี้ยเอ้ยยย” ผมลุกขึ้นเดินตามคนหน้ายุ่งที่โดนขัดอารมณ์จนมาถึงที่รถ หัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของคนตรงหน้า แต่คนโดนหัวเราะก็ส่งสายตาค้อนมาให้ก่อนจะเริ่มโวยวายต่อ
“อะไรเล่า เปลี่ยนใจไม่ให้จองทันไหมว่ะเนี่ย”
“ไม่ทันเว้ย มานี่เลยเตี้ย พูดอย่างงี้ได้ไง”
ผมดึงตัวอีกคนเข้ามากอด กดจมูกลงที่กลุ่มผมนุ่มสวยก่อนจะวางคางไว้บนหัวอีกคนแล้วกดลงไปเบาเพื่อลงโทษที่เจ้าตัวพูดอะไรแบบนั้นออกมา คนตัวเล็กในอ้อมกอดผมพยายามสะบัดตัวหนีจนผมต้องกอดกระชับให้แน่นขึ้น
“ฮื่อ พี่ปลายปล่อยเลเลยนะเว้ย เลเจ็บนะ” ถึงผมจะไม่ใช่คนโรแมนติกอย่างที่อีกคนบอกแต่ก็ไม่ใช่คนที่จะไม่แสดงออกว่ารู้สึกยังไง ตอนนี้ผมกับน้องคงทำได้แค่กอดหรือขโมยหอมมันบ้าง แต่อยากจะเตือนมันไว้ก่อนเลยว่า เมื่อไหร่ที่เราสองคนคบกันจริงจังแล้วมันจะไม่จบแค่จูบแน่ ๆ หึหึ
ผมพาเลมาส่งที่ห้องหลังจากพาไปกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ขี่รถกลับมาที่บ้านทันทีเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับคนในครอบครัว มีเรื่องที่อยากจะปรึกษาและเรื่องที่อยากจะคุยกับพี่ปานและน้องปรางด้วย
“สวัสดีครับพ่อแม่”
“สวัสดีจ้ะ ทำไมวันนี้กลับบ้านได้หล่ะเนี่ย” แม่หันมารับไหว้ผมด้วยแววตาแปลกใจไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผมก็กลับบ้านโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อน
“โถ่แม่ครับ อย่าแซวปลายสิครับแม่”
“เอ้อ เจ้าปลาย งานที่โครงการเป็นยังไงบ้างตอนนี้”
“คุณค่ะ ลูกเพิ่งกลับมายังไม่ทันได้นั่งก็ถามเรื่องงานแล้วหรอค่ะเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมก็ตั้งใจจะมาคุยเรื่องงานกับพ่อเหมือนกัน”
ผมนั่งลงข้าง ๆ แม่ยกแขนขึ้นโอบเอวคอดของแม่ กดหอมที่แก้มสวยเบา ๆ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก”
“นั้นนะสิ งานมีปัญหาหรอ” แววตาเป็นห่วงของพ่อและแม่มองมาที่ผมพร้อม ๆ กัน อาจจะเป็นเพราะว่าปกติแล้วผมแทบไม่เคยเอาเรื่องงานกลับมาคุยที่บ้านกับพ่อซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเลย งานทุกอย่างผมมักจะเคลียร์ให้จบในที่ทำงานตลอด ถึงผมจะเป็นแค่วิศวกรในโครงการ แต่การตัดสินใจหลาย ๆ อย่างผมก็สามารถตัดสินใจเองได้โดยไม่จำเป็นต้องถึงผู้บริหาร
“ป่าวครับพ่อ ผมแค่จะมาขออนุญาตหยุดงานสักสองอาทิตย์”
“หืม ? สองอาทิตย์เลยหรอ” พ่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่ทำงานมาผมแทบไม่เคยลาหยุดเลย แต่ครั้งนี้ผมมาเพื่อลาหยุดงานถึงสองอาทิตย์คงทำให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ครับพ่อ ผมจะต้องไปคุยงานกับลูกค้าที่จะมาลงทุนกับบริษัทของผม”
“อนุญาตลูกเถอะค่ะคุณ อนาคตของลูกเลยนะคะ”
“ผมก็ยังไม่ได้จะห้ามสักหน่อยนี่” รอยยิ้มมุมปากของพ่อถูกส่งมาให้แม่ที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดผม มือสวยของแม่วางทาบทับอยู่บนแขนของผม แม่ส่งยิ้มกลับไปให้คนเป็นสามีก่อนจะหันมายิ้มให้ผมเมื่อได้ยินพ่อพูดแบบนั้น
“งั้นแปลว่าพ่ออนุมัติใบลาของผมใช่ไหมครับ เซ็นตรงนี้เลยครับพ่อ”ผมคลายอ้อมกอดออกจากแม่ก่อนจะหันไปหยิบเอาซองจดหมายในกระเป๋าเสื้อคลุมที่ถอดวางไว้ข้าง ๆตัว จัดการเปิดซองเอากระดาษสีขาวที่พิมพ์ลายละเอียดการขอหยุดงานส่งไปให้พ่อพร้อมกับปากกาทันที
“โถ่ ๆ ลูกปลายเล่นแบบนี้เลยหรอจ้ะ”
“ต้องแบบนี้แหละครับแม่ ไม่งั้นเดี๋ยวท่านประธานเปลี่ยนใจผมจะแย่”
“เจ้าลูกคนนี้นี่ แล้วแกจะไปเมื่อไหร่หล่ะ” พ่อจรดปากกาลงในช่องก่อนจะลงมือเซ็น ผมส่งยิ้มกว้างไปให้พ่อ ยกมือไหว้ขอบคุณหนึ่งครั้งก่อนจะรับใบลาที่ได้รับการอนุมัติใส่ลงในซองเหมือนเดิม
“อีกสองวันครับ ส่วนงานที่โครงการก็ให้ไอ้วิวมันช่วยดูอยู่ มีน้องอีกคนที่เพิ่งเข้ามาก็ช่วงงานมันได้ไม่มีปัญหาอะไรครับ”
“เฮ้อ~ ฉันอยากให้แกมาเป็นคนบริหารงานของบริษัท แต่แกก็อยากจะเป็นแค่วิศวกรคุมงาน”
“พ่อครับ เรื่องบริหารยกให้พี่ปานกับน้องปรางทำเถอะครับ ผมมันพวกชอบใช้แรงงาน”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อพูดกับผมเรื่องนี้ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตอบพ่อไปแบบนั้น เพราะพี่ชายของผมที่เรียนบริหารจนจบปริญญาโท กับน้องสาวคนเล็กที่กำลังเรียนบริหารอยู่เหมาะสมมากกว่าผม
“เหรอ แล้วแกไปเปิดบริษัทตัวเองทำไมหึ๊”
“โหพ่อ ปลายไปไม่เป็นเลยเจอถามแบบนี้ แม่ครับช่วยปลายด้วยสิครับแม่”
“ไม่ได้หรอกจ้ะ แม่ไม่เข้าข้างใคร”
“ฮา ๆ ๆ สมน้ำหน้า” พ่อหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่าแม่ไม่เข้าข้างผม ผมก็ทำได้แค่กอดคนแม่คนสวยก่อนจะซบหน้าลงไปบนไหล่เล็กของแม่อย่างออดอ้อน
“หัวเราะอะไรกันเสียงดังเลยค่ะ อุ้ย! พี่ปลาย กลับมาตอนไหนคะเนี่ย”น้องปราง น้องสาวคนสวยของผมเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเพราะเสียงหัวเราะของพ่อ แต่พอเห็นผมเจ้าตัวก็รีบเดินเข้ามากอดคอจากทางด้านหลังทันที
“สักพักแล้วครับ แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหนหรือครับคนสวย”
“ไม่มีคนพาน้องปรางไปเลยค่ะ พี่ปานก็อยู่แต่ในห้องทำงาน ส่วนพี่ปลายก็ไม่ค่อยกลับบ้านด้วยใช่ไหมค่ะคุณแม่” คนเล็กของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ จนผมอดเอ็นดูไม่ได้ต้องยกมือลูบหัวเบาๆ
“ใช่จ้ะ ไหน ๆ วันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เย็นนี้คงต้องเลี้ยงฉลองกันหน่อยดีไหมค่ะคุณ”
“ตามใจคุณหญิงเลยครับ”
“อิอิ พี่ปลายดูสิค่ะ บ้านนี้ใครใหญ่”
“เจ้าปรางนี้แซวพ่อรึ”
“โอ๋ ๆ ไม่งอนนะคะคุณพ่อสุดหล่อ” พ่อหันมาส่งค้อนให้ลูกสาวคนเดียวของบ้านที่ยิ่งโตยิ่งทะเล้นเสียเหลือเกิน พอคนสวยรู้ตัวว่าพ่อจะงอนก็ปล่อยมือจากการโอบรอบคอผมไปนั่งกอดพ่อแทน
ผมนั่งมองครอบครัวด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยิ่งตอนนี้เรื่องของผมที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ได้จางหายไปจนเกือบจะหมดแล้ว จะเหลือแค่น้องสาวคนสวยกับพี่ปานพี่ชายคนโตที่ผมตั้งใจว่าจะมาบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรับรู้ ผมไม่อยากปิดบังอะไรอีก
ถ้าหากวันนี้ทั้งสองคนยังคงรับในสิ่งที่ผมเป็นไม่ได้ ผมก็จะไม่เรียกร้องอะไร และจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเหมือนกัน ก็แค่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจและอยากให้คนในครอบครัวรับรู้เพียงเท่านั้น
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว คุณแม่คนสวยของผมลงมือเข้าครัวพร้อมกับน้องปรางที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเข้าไปช่วยหรือเข้าไปวุ่นวายให้คุณแม่ต้องปวดหัวกันแน่ เพราะกว่าอาหารจะเสร็จน้องสาวคนเล็กของผมก็ดูเลอะเทอะไปเสียหมด
“น่าทานทุกอย่างเลยครับ”
“นั่งเลยจ้ะลูก”
“พี่ปานสวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่ชายที่เพิ่งเดินมาที่โต๊ะอาหาร ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้เข้าไปทักเพราะเหมือนกับว่าพี่ชายจะยุ่ง ๆ กับการทำงานอยู่
“อื้ม สบายดีไหมเรา”
“สบายดีครับพี่”
“ทานข้าวเสร็จ มาคุยกันหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ...ครับ ผมก็มีเรื่องอยากคุยกับพี่และน้องปรางเหมือนกัน”
“ปรางด้วยหรอค่ะ เย้ ดีใจจังเลย รู้สึกเหมือนเป็นนักธุรกิจเลยนะเนี่ยมีคนนัดคุยด้วย”
“เพ้อเจ้อนะยัยปราง”
“โถ่พี่ปานอ่ะ อย่ามาขัดกันสิ เป็นฝอยขัดหม้อป่ะเนี่ย ขัดเก่ง”
“หึหึ พูดเหมือนกันเลย”
‘โฮ๊ะ ชาติก่อนเกิดเป็นฝอยขัดหม้อแน่ ๆ คอยขัดอารมณ์ตลอด คนจะเขินก็ไม่ได้อี๊กกก
ผมเผลอตัวหัวเราะออกมา เพราะดันไปคิดถึงคนอีกคนที่เพิ่งพูดคำที่น้องสาวพูดกับพี่ปานไปเมื่อบ่ายนี้ หน้าขาวที่งองุ้มเพราะความหงุดหงิดที่โดนผมขัดอารมณ์ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันพร้อมกับดวงตากลมโตที่หรี่ลงเล็กน้อย
‘น่ารักชะมัดเลย
“เหมือนอะไรค่ะพี่ปลาย แล้วทำไมยิ้มแบบนั้นหล่ะค่ะ คิดถึงใครอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
“ปะ..ป่าวจ้ะ ทานข้าวกันเถอะครับ หิวจะแย่แล้ว” ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเองเมื่อน้องสาวคนสวยสะกิดที่แขน พร้อมกับเอ่ยถามสิ่งที่ผมเผลอพูดออกไป หันไปส่งยิ้มเก้อ ๆ ให้คนสวยข้าง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“แน่นะคะ แอบไปตกหลุมรักใครหรือเปล่าเนี่ย”
“จริงหรอลูกปลาย” เสียงสดใสปนตื่นเต้นของแม่ทำให้ผมต้องพยักหน้าตอบรับก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตั้งใจจะมาคุยในวันนี้
“แฮะ ๆ ครับแม่ แต่ว่าทานข้าวก่อนเถอะครับเดี๋ยวเราค่อยคุยเรื่องนี้กัน ผมตั้งใจจะบอกทุกคนอยู่แล้ว”
“เรื่องนี้สินะที่นายอยากคุยกับพี่”
“ครับ”
เสียงเรียบ ๆ ของพี่ปานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมพูดขึ้น หน้าหล่อยังคงเรียบเฉยจนผมรู้สึกหวั่น ๆ แต่ยังไงผมก็จะไม่ล้มเลิกความคิดที่จะคุยแน่ ๆ
เหตุผลที่ผมต้องมาคุยเรื่องผมกับเลให้ที่บ้านรับรู้วันนี้เพราะผมบอกความรู้สึกที่มีกับอีกคนไปแล้ว ผมก็อยากจะบอกกับครอบครัวได้รับรู้และยอมรับในตัวผมสักที ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นแล้ว แต่ครอบครัวผมยังมีอีกสองคนที่ผมอยากให้พวกเขายอมรับในตัวของผมด้วย และหากว่าวันนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ก็ตั้งใจว่าถ้าเรื่องงานที่บริษัทเรียบร้อยผมจะไปขออีกคนเป็นแฟน
หลังจากที่พวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ย้ายกันมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อที่จะได้พูดคุยในเรื่องที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ จากที่ตั้งใจว่าจะคุยกับพี่ปานและน้องปรางแค่สามคนพี่น้อย ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเราห้าคนมานั่งรวมตัวกันหมด ผมนั่งลงข้าง ๆ แม่เหมือนตอนที่ผมมาถึงบ้าน มือสวยของแม่จับที่มือของผมไว้ก่อนจะบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ
“นายมีอะไรก็พูดมาเลย พวกเราพร้อมแล้ว”
“ถ้างั้นผมขอพูดเลยนะครับ”
“พูดเลยค๊า ปรางพร้อมฟังแล้ว” ผมหันไปยิ้มให้น้องสาวคนสวยที่ทำหน้าตากระตือรือร้นต่างจากพี่ปานที่ทำหน้านิ่งจนผมอดที่จะเกร็งไม่ได้ แต่เพราะกำลังใจจากมือสวยของแม่ที่จับกันอยู่ก็ทำให้ผมตัดสินใจพูดออกไป
“ผมชอบผู้ชายคนหนึ่งครับ และน้องเค้าก็ชอบผมเหมือนกัน”
“ห๊ะ!”
“อืม แล้วยังไง”
พี่ปานตอบกลับมาเสียงเรียบต่างจากน้องปรางที่ทำท่าทางตกใจร้องออกมาเสียงดังจนผมใจเสีย จนต้องถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งเพื่อเรียกกำลังใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ผมแค่อยากจะบอกพี่กับปรางว่า ผมเป็นแบบนี้และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ พี่อาจจะยังเกลียดผมเหมือนตอนที่ผมคบกับยิม และตอนนั้นผมยังเด็กเกินไปในสายตาพี่ พี่ปานอาจจะมองว่าผมยังไม่เข้าใจความรักและกำลังหลงผิด แต่ตอนนี้ผมโตพอแล้ว พอที่จะรู้ว่าตัวผมเป็นแบบไหน”
“ถ้านายคิดแบบนั้น แล้วนายจะมาบอกพวกเราทำไม?”
พี่ปานยังคงทำหน้านิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ตาคมของพี่ปานมองมาที่ผมขณะที่พูดออกมาแบบนั้น ผมรับรู้ได้เลยว่าพี่ชายของผมเป็นนักธุรกิจที่น่ากลัวคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะแม้กระทั่งการพูดคุยกับคนในครอบครัวแบบนี้พี่ปานยังเก็บอาการและไม่แสดงสีหน้าให้ผมได้รับรู้เลย
“ที่ผมบอก เพราะผมมองว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน และคนที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตผมก็จะเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเราในวันข้างหน้า ผมไม่อยากให้พี่กับน้องปรางและเค้า หรือแม้แต่พ่อแม่ที่ยอมรับในตัวของผมต้องรู้สึกอึดอัดหากวันใดวันหนึ่งที่ต้องเจอกัน เพราะแน่นอนว่าวันนั้นมันจะต้องมีแน่ๆ”
“อืม นั้นมันเรื่องของนาย เพราะนายก็บอกเองว่านายโตแล้ว”
“ตาปาน”
อาจเป็นเพราะความนิ่งเฉยและคำพูดของพี่ปานทำให้แม่ที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับร้องเรียกชื่อลูกชายคนโตออกมา ผมไม่ได้โกรธหรือน้อยใจอะไรที่พี่ชายตอบมาแบบนั้น และผมก็เข้าใจความหมายมันดี
“เอ่อ...ปรางขอพูดได้ไหมค่ะ”
“ว่ามาสิปราง”
น้องปรางยกมือขึ้นหลังจากที่หายจากอาการตกใจก่อนหน้านี้ เพื่อขอเป็นคนพูดบ้าง ผมเลยตอบรับและหลังจากนั้นน้องสาวคนสวยขอผมก็เริ่มพูดขึ้น
“พี่ปลาย ปรางขอโทษที่เคยทำตัวไม่น่ารักใส่พี่เรื่องที่พี่คบกับพี่ยิม ตอนนั้นปรางยังเด็ก ปรางยังไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายที่ปรางรักถึงไม่เหมือนคนอื่น ปรางกลัวว่าเพื่อน ๆ จะล้อว่าพี่ปรางเป็นเกย์” น้องปรางยกมือไหว้ผมขณะที่พูดสิ่งที่คงอยู่ในใจของเจ้าตัวมานาน “แต่ตอนนี้ปรางไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วนะคะ สังคมที่เราได้เจอมันกว้างขึ้นเพื่อนปรางหลายคนก็เป็นแบบนั้น พวกเค้าก็แค่รักกัน ความรักมันไม่ได้มีข้อกำหนดตายตัวหรอกค่ะ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจเลยสักนิด คนที่มองเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องน่ารังเกียจคน ๆ นั้นอาจจะเป็นคนที่น่ารังเกียจมากกว่าก็ได้ค่ะ และปรางก็เคยเป็นคนแบบนั้น พี่ปลายต่อให้พี่เป็นยังไงปรางก็รักพี่นะคะ และจะรักคนที่พี่รักด้วยค่ะ ว๊าววว ทำไมพูดดีจังเลยแฮะวันนี้”
“ยัยปรางลูก”
เพราะความทะเล้นจนล้นของน้องสาวที่พูดดีมาตั้งแต่ต้อนดันมาตายเอาตอนจบจนแม่หมั่นไส้ต้องเอื้อมมือไปตีเสียหนึ่งที ผมได้แต่ยิ้มขอบคุณในสิ่งที่น้องสาวได้พูด ผมรับรู้ได้เลยว่าน้องสาวตัวน้อย ๆ ที่เคยผิดหวังในตัวผมตอนนั้น ได้โตมาเป็นผู้หญิงที่มีความคิดในวันนี้แล้ว
“อย่าเครียดสิคะทุกคน เรื่องแค่นี้เอง ดูดาราบางคนสิคะเค้ายังเปิดเผยเลย เราก็แค่คนธรรมดา เกิดมาแล้วก็ต้องตายจากไปสักวัน ความสุขมันไม่ได้ยืนยาวเท่าโลกนะคะ ถ้าอะไรที่ทำให้มีความสุขก็ทำเลยค่ะพี่ สู้ ๆ”
“พูดจบหรือยังปราง”
“เอื้อกกก...จบแล้วค่ะ ทำไมต้องทำหน้ายักษ์ด้วยพี่ปาน” เสียงเรียบนิ่งของพี่ปานทำให้น้องสาวคนสวยของผมถึงกับหยุดชะงัก แต่ก็ไม่วายที่จะเอ่ยแซวพี่ชายคนโตของบ้าน
“ถ้าพูดจบแล้วพี่จะได้พูดบ้าง”
“เชิญเลยค่ะท่านรองประธาน”
“นายจะคบกับใครมันก็เรื่องของนายปลาย ก็อย่างที่นายบอกว่าตอนนั้นกับตอนนี้ระยะเวลาและวุฒิภาวะของนายมันต่างกัน ดังนั้นการที่นายโตจนสามารถดูแลชีวิตนายเองได้แล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะทำอะไร ฉันหรือคนอื่น ๆ ก็คงไม่มีสิทธิไปตัดสินใจนายได้ แต่สิ่งที่นายทำนายต้องแน่ใจว่าจะยอมรับผลที่ตามมาไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือขาดทุน”
“โอ้มายก๊อดดดดดดดดด!!!! พี่ปาน เอามาเข้าเรื่องธุรกิจได้ยังไงกันค่ะเนี่ย ปรางตบมือให้รัว ๆ เลยค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ยัยตัวแสบ”
เพราะความทะเล้นจนล้นของน้องสาวคนสวยที่ทำท่าตื่นเต้นเมื่อฟังพี่ปานพูดจบก็ลุกขึ้นปรบมือจนพ่อที่นั่งดูอยู่ถึงกับอดทนไม่ไหวหัวเราะออกมาดังลั่น ทำให้บรรยากาศตอนนี้กลายเป็นสนุกสนานจนลืมไปเลยว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดเป็นเรื่องที่ตึงเครียด
“คุณพ่อขา ยกมรดกให้พี่ปานดูแลได้เลยค่ะ ปรางรับรองบริษัทเรารวยเละแน่”
“ยัยปราง”
“แฮะ ๆ ไม่เอาสิค่ะพี่ชายคนหล่อ อย่าทำหน้าดุใส่น้องสิ๊ ยิ้มหน่อยน๊า เก๊กหน้านาน ๆ ไม่เมื่อยหรือไงกันเนี่ย”
“ปรางลูกอย่าไปแกล้งพี่ปานสิลูก” แม่คนสวยรีบดุลูกสาวคนเล็กที่ทะเล้นเกินเบอร์ ถึงขั้นยกมือขึ้นไปจับแก้มพี่ปานเพื่อหวังจะให้พี่ชายคนโตของบ้านยิ้มออกมา
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ปรางรู้หรอกน่าว่าพี่ปานอยากยิ้มจะแย่แล้วเนี่ย เห็นไหม ๆ ยิ้มแล้ว”
“ขอบคุณนะครับพี่ ผมรับรองว่าคนนี้ผมได้กำไรแน่นอน”
“โอ้โห! ผู้ชายสองคนนี้น่ากลัวจริง ๆ ว่าแต่พี่ปลายบอกปรางมาสิว่า ว่าที่พี่สะใภ้ปรางเป็นใครกัน”
“อ่ะนี่ พี่ไม่อยู่สองอาทิตย์ฝากไปดูแลให้ด้วยเลยแล้วกัน”
ผมส่งใบจองห้องพักของโรงแรมที่เลทำงานอยู่ให้กับน้องสาวคนเล็กของบ้าน เพราะผมมั่นใจว่ายังไงยัยปรางจะต้องอยากรู้แน่ๆ ว่าคนที่ทำให้ผมต้องมาพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังนั้นเป็นใคร ผมเลยจัดการจองห้องเอาไว้เรียบร้อย อีกอย่างจะได้มีคนไปสอดส่องแทนผมด้วย ถึงแม้ช่วงนี้ไอ้คุณแทนนั้นจะไม่ได้มาให้ผมเห็นหน้า แต่ไม่รู้ว่าตอนที่หมาเตี้ยของผมทำงานอยู่จะมาวุ่นวายอะไรหรือเปล่า ยิ่งผมจะไม่อยู่ตั้งสองอาทิตย์ด้วย ต้องยิ่งระวังเต็มที่
“ว๊าวววว คุณแม่ดูสิค่ะ ห้องพักโรงแรมหรูใจกลางเมืองตั้งห้าคืน ลูกชายคุณแม่ลงทุนขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” น้องปลายทำท่าทางเหมือนจะคิดอะไรได้ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เอ๊ะ! นี่พี่ปลายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าปรางต้องถามว่าเป็นใคร หึหึ ปรางไม่เอาดีกว่า แต่ถ้าจ้างอันนี้ยินดีเลยค๊า”
“ยัยขี้งก” พี่ปานที่นั่งดูน้องสาวคนเล็กถึงกับพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ ผมว่าน้องสาวของผมกับไอ้หมาเตี้ยเนี่ยถ้าอยู่ด้วยกันผมคงปวดหัวแน่ๆ
“โน โน โน อย่าว่าปรางขี้งกค่ะ สำหรับเรื่องธุรกิจเราต้องได้กำไรไม่ใช่หรือค่ะท่านประธาน”
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นไงหล่ะพวกแก เจอยัยแสบเข้าไป”
“ตกลงยังไงค่ะพี่ปลาย จะจ้างปรางไปดูแลว่าที่พี่สะใภ้หรือป่าวค่ะ”
“กระเป๋าแบรน์เนม 2 ใบ”
“ตกลง!”
“ฮ่า ๆๆๆ/ ฮ่าาาาาา” เสียงหัวเราะของพวกเราห้าคนดังจนลั่นห้องรับแขก ความรักและความอบอุ่นในครอบครัวของผมยังคงมีอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเวลาที่เราเคยมีปัญหาหรือทะเลาะกันจะมีบ้าง แต่ว่าครอบครัวก็ยังคงเป็นบ้านที่คอยรอรับผมอยู่เสมอ
‘ขอบคุณนะครับ ครอบครัวของผม
--------------------------
“เตี้ยอย่าเพิ่งไป ขอคุยด้วยหน่อย”
“พี่ปลายมีอะไรหรอครับ” ผมมาส่งเลที่ห้องหลังจากที่เลิกงาน คนตัวเล็กทำท่าจะเดินขึ้นห้องเหมือนทุกครั้งหลังจากที่คืนหมวกให้กับผมแล้ว แต่ก็ต้องหยุดเดินและหันหลังกลับมาตามเสียงผมที่เรียกเจ้าตัวไว้
“กูขึ้นไปบนห้องได้ไหม?” เลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่ผมเอ่ยถามไปอย่างนั้น ก่อนจะพูดอย่างที่เจ้าตัวกำลังคิดอยู่
“อืมมม ปกติไม่เห็นเคยถามเลย แปลกคน”
“เออนั้นดิ งั้นไปจอดรถก่อน”
“อื้อ”
ผมดึงมืออีกคนให้ลงมานั่งข้าง ๆ กันหลังจากที่เดินเข้ามาในห้องแล้ว คนตัวเล็กมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบจะติด
“อะไรพี่ปลาย ทำตัวแปลกๆ ป่ะว่ะ ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับเลใช่ไหมเนี่ย”
“คิด”
“เฮ้ยยยย ปล่อยเลยนะเว้ย” คนตัวเล็กพยายามสะบัดมือออกจากมือผม ตากลมโตขึ้นด้วยความตกใจจนผมอยากจะหัวเราะออกมาให้ได้ แต่ก็ต้องพยายามกลั้นเอาไว้
“อะไรของมึงเตี้ย รีแอคชั่นมึงนี่น่าทุบจริง ๆ ฟังกูพูดไม่เคยจบก็แหกปากตลอด”
“ก็พูดมาสักทีสิ เลรอฟังอยู่เนี่ย แต่ถ้าบอกว่าไม่จองแล้วโดนถีบแน่”
“ไอ้หมาเตี้ย ตัวแค่นี้จะถีบกูหรอ” ผมดึงคนตัวเล็กที่ปากกล้าว่าจะถีบผมมาไว้ในอ้อมกอด กดจมูกลงที่ซอกคอขาวดมกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวชอบใช่ แล้วฟังเจ้าหมาเตี้ยในอ้อมกอดเริ่มบ่นต่อ
“ถีบไม่ได้ก็กัดได้นะเว้ยลองไหมหล่ะ”
“มึงกัดกู ถ้ากูกัดตอบแล้วกูไม่ปล่อยนะบอกก่อน แล้วกูไม่กัดแขนด้วยกูจะกัดอย่างอื่น”
“พี่ปลายแม่ง! ไม่คุยด้วยแล้วเว้ย ปล่อยเลเลย กอดทำไมเนี่ย” คนตัวเล็กที่หน้าแดงขึ้นเพียงแค่ผมจ้องมองไปที่ปากสีอ่อนของเจ้าตัว ก่อนจะเริ่มโวยวายสะบัดตัวไปมาให้ผมปล่อย
“ไม่แกล้งแล้ว นั่งดี ๆ กูมีเรื่องจะบอก”
“...” คงเพราะผมพูดด้วยเสียงที่จริงจังขึ้น เลยทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดถึงกับหยุดดิ้นแล้วหันมามองด้วยตากลมใสอย่างตั้งใจ
“กูจะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศสองอาทิตย์ มันเป็นงานของบริษัทที่กูลงมือสร้างด้วยตัวกูเอง ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่กูไม่อยู่ มึงสัญญากับกูได้ไหมว่าจะดูแลตัวเองดี ๆ”
“สองอาทิตย์เลยหรอ แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่”
“ไปพรุ่งนี้ตอนสองทุ่ม มึงไม่ต้องไปส่งกูนะ”
“อ้าว ทำไมหล่ะ” เสียงเล็กอ่อยลงไปทันทีที่ผมบอกไปแบบนั้น คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่ยอมให้ไปส่ง
“เห็นหน้ามึงแล้ว เดี๋ยวกูไม่อยากไป”
“ฮื่ออออ น้ำเน่าอ่ะ ไปทำงานไม่ใช่หรือไง แค่สองอาทิตย์เอง”
คนบอกน้ำเน่าถึงกับก้มหน้าซุกที่อกของผมทันที หน้าขาวก็ขึ้นสีระเรื่อจนผมอยากจะก้มลงไปฟัดแก้มให้ช้ำจริง ๆ
“เออ อย่ามาร้องไห้คิดถึงกูให้รีบกลับมาละกัน”
“ไม่ร้องหรอก จะแอบหนีเที่ยวกับหนุ่ม ๆ ด้วยคอยดู”
“มึงอยากเดินไม่ได้ไหม”
“โหพี่ปลาย จะกระทืบเลเลยหรอว่ะ”
.
“กูไม่กระทืบมึงหรอก” ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กที่พยายามผลักให้ผมออกห่างจากตัว ”แต่กูจะ...ให้มึงเดินไม่ได้เลย” ตาสวยสั่นระริกด้วยความเขินอายเมื่อผมพูดจบ
“เอ้ยยยยยไอ้พี่ปลายบ้า ลามกอ่ะ จะบ้าหรอว่ะ ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยจะมาคิดแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” คนบอกจะหนีเที่ยวตอนนี้ร้องโวยวายเสียงดัง เอนตัวหนีผม มือก็ผลักตัวผมที่โน้มตัวเข้าไปใกล้จนเจ้าตัวเสียหลักลงไปนอนราบบนโซฟา คราวนี้กลายเป็นว่าผมกำลังคร่อมตัวอยู่บนร่างบางที่หน้าขาวแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุก ผมค่อย ๆ ก้มหน้าเข้าไปใกล้อีกคนจนจมูกของเราชนกัน คนตัวเล็กเอียงหน้าหนีด้วยความเขินอาย ทำให้ตอนนี้ใบหูสีสวยอยู่ตรงกับหน้าผมพอดี ผมแกล้งหายใจรดที่หูสวยนั้น ลมหายใจร้อนที่เบารดใบหูทำให้คนตัวเล็กพยายามเอียงคอหลบ ผมก้มลงไปดูดเม้มที่ติ่งหูเบา ๆ จนคนได้รับสัมผัสถึงกับตัวสั่น ก่อนจะกระซิบเบา ๆ
“หึหึ มึงอยากลองก็ได้นะ กูพร้อม”
คนตัวเล็กหันหน้ามามองผมด้วยความตกตะลึง คงไม่คิดว่าผมจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา แต่พอเจ้าตัวตั้งสติได้ก็รีบผลักผมออกแล้วโวยวายเปลี่ยนเรื่องทันที
“โอ้ยยยย ร้อน ๆ ปล่อยเลย ๆ จะไปกินน้ำ”
“น้ำกูก็มีน่ะ อร่อยแน่รับรอง”
“คนบ้า!” เลตะโกนโวยวายเสียงดังก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไป อาการเขินจนลนลานของเลทำให้ผมถึงกับหัวเราะออกมาดังลั่น ผมยังจำได้เลยว่าก่อนหน้าที่เราเพิ่งเจอกัน น้องเลของไอ้วิวยังคอยตามหยอดผมอย่างนั้นอย่างนี้ แรก ๆ ผมคิดว่าน้องมันคงเป็นคนแรง ๆ ที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะแล้ว แต่พอรู้จักกันจริง ๆ แค่หยอดนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เขินจนหน้าแดงเถือกไปหมด
‘เด็กน้อยเอ้ย
------------------------

To be con. »


ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 15/2 [ปลาย: ปลายปฐพี] : เป็นเมียพี่นะครับ

ผมเดินทางมาทำงานได้อาทิตย์กว่าแล้ว เรื่องงานไม่ได้มีปัญหาอะไรให้น่าเป็นห่วง คู่ค้าทางธุรกิจให้การตอนรับเป็นอย่างดีไม่ได้ติดขัดอะไร จะมีก็แค่เรื่องของคนที่อยู่เมืองไทยนั้นแหละครับที่น่าเป็นห่วงสุดๆ เพราะสายสืบของผมที่ส่งไปสืบรายงานว่ามีคนมาวุ่นวายกับคนตัวเล็กของผมบ่อย ๆ ไม่พอแค่นั้นไอ้วิวเพื่อนรักยังส่งข่าวมาบอกอีกว่าเห็นหมาเตี้ยของผมมีคนพาไปส่งบ้านเกือบทุกวัน คงไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนที่ผมคุยกับเลช่วงที่ว่างเจ้าตัวก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลย ยิ่งพอถามก็บอกว่าปกติดีไม่มีปัญหาอะไร
ผมเดินทางกลับไทยก่อนกำหนดที่บอกกับเลเอาไว้สองวัน ตั้งใจว่าจะไปเซอร์ไพร์คนตัวเล็กที่ทำงาน จริง ๆ ก็อยากไปส่องด้วยว่ามีอะไรชอบมาพากลหรือเปล่า
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามกว่า ๆ แล้ว ถ้าออกจากสนามบินตอนนี้ก็น่าจะทันเวลาเลิกงานของเลพอดี
รถแท๊กซี่สนามบินที่ผมเรียกใช้บริการให้มาส่งที่หน้าโครงการก่อสร้างข้างโรงแรมที่เลทำงานอยู่ เข้ามาจอดในเวลาสี่โมงสี่สิบห้า ผมเดินเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ป้อมยามหน้าโครงการ แล้วโทรไปหาไอ้วิวเพื่อนรักเพื่อบอกว่ากลับมาถึงแล้ว
ผมเดินเข้าไปในโรงแรมที่คนตัวเล็กทำงานอยู่ ตั้งใจจะเข้าไปนั่งที่ร้านกาแฟชั้นล่างเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่พอผมเดินเข้ามานั่งในร้านกาแฟได้ไม่นาน ก็เห็นสิ่งที่น้องสาวเคยบอกเอาไว้
“วันนี้ผมไปส่งนะครับเล”
“ก็ได้ครับคุณแทน”
เสียงบทสนทนาของคนสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมที่นั่งเท่าไหร่นัก ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทั้งสองคนรู้ว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ อย่าคิดว่าผมจะเป็นเหมือนพระเอกในละครหลังข่าว ที่จะทำเป็นไม่รับรู้แล้วปล่อยให้นางเอกไปกับคนอื่น
‘หึหึ นี่ปลายปฐพีนะครับ ไม่ใด้มาเล่นๆ
หน้าขาวของคนตัวเล็กซีดลงทันทีที่เห็นว่าเป็นผม จากนั้นเจ้าตัวยิ้มออกมา ต่างจากผมที่ยืนทำหน้านิ่งจนรอยยิ้มของอีกคนจางหายไป
“พี่ปลายกลับมาแล้วหรอครับ”
“อือ”
“ไหนบอกว่าอีกสองวันไง”
“ทำไม กูกลับมาก่อนมันขัดความสุขของมึงหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นกูก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” ผมมองสบเข้าไปในตากลมที่เริ่มมีน้ำในเอ่อคลอนิ่ง พยายามไม่แสดงอาการอะไรออกมานอกจากความไม่พอใจที่ได้เจออะไรแบบนี้ คนตัวเล็กเริ่มเม้มปากแน่นเหมือนกำลังข่มกั้นความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“เฮ้ยไม่ใช่นะพี่ปลาย เลแค่ถามเฉยๆ”
“อื้อ” ผมตอบรับแค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกมาอย่างไม่ได้บอกลา ใจจริงผมไม่ได้โกรธอะไรมันเลยสักนิด แค่อยากจะลองดราม่าเพื่อดัดนิสัยคนอัธยาศัยดีที่ปฏิเสธใครไม่เป็นดูบ้างแค่นั้น
ผมกลับถึงคอนโดย่านราชเทวีที่เคยพาเลมาคุยกับยิมหลังจากเดินหนีออกมา โทรเล่ารายละเอียดให้ไอ้วิวเพื่อนรักฟังเพราะมั่นใจว่าคนตัวเล็กที่ผมเดินหนีออกมาจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทผมแน่ ๆ
จัดการบอกกับพนักงานต้อนรับที่คอนโดเอาไว้ว่าถ้ามีคนมาหาให้ถามชื่อก่อน ถ้าชื่อตามที่ผมบอกก็รบกวนให้พาขึ้นมาหาที่ห้องได้เลย โดยบอกอีกด้วยว่าถ้าน้องมันถามก็ให้บอกไปว่าผมมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย เพราะถ้าให้พาขึ้นมาเฉย ๆ น้องมันต้องสงสัยแน่ว่าคนโกรธทำไมถึงให้ขึ้นห้องง่าย ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้ผมถึงกับยิ้มออกมาได้ เมื่อแผนทุกอย่างที่วางไว้เป็นไปอย่างราบรื่น ผมเดินช้าหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อไม่ให้เหมือนว่าตั้งใจรออีกคนอยู่แล้ว
“พี่ปลาย” คนตัวเล็กเรียกชื่อผมทันทีที่ประตูเปิดออก ตาสวยจ้องผมตาแป๋วเหมือนกำลังจะออดอ้อน เล่นเอาหัวใจของกระตุกวูบ อยากจะดึงคนตรงหน้าที่คิดถึงเข้ามากอด แต่ก็ต้องพยายามอดกลั้นเอาไว้
‘ผมมันรุ่นใหญ่ ใจต้องนิ่ง
“เข้ามาสิ” ผมเดินนำคนตัวเล็กมาหยุดอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เราสองคนนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน คนตัวเล็กเอียงตัวหันมาทางผม หน้าสวยจ้องมองมาที่ผมเหมือนกำลังเฝ้ารอคำพูดอะไรสักอย่าง ผมพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ หนึ่งทีก่อนจะเริ่มพูดขึ้น
“เล พี่คิดว่าพี่อาจจะไม่ดีพอสำหรับเล พี่คงทำให้เลมีความสุขไม่ได้”
“พี่ปลายทำไมพูดแบบนั้น” คนตัวเล็กมีสีหน้าตกใจที่ผมพูดออกไปแบบนั้น ขอบตาสวยเริ่มขึ้นสีแดงก่อนที่น้ำใสจะเอ่อคลอ
“เลครับฟังพี่ก่อน พี่แค่เห็นแล้วว่าตอนที่พี่ไม่อยู่ เลก็มีคนดี ๆ คอยดูแล และเลก็คงมีความสุขด้วยใช่ไหมครับ”
“ไม่นะพี่ปลาย อย่าพูดแบบนั้นสิ”
คนตัวเล็กเอื้อมมือมาจับทีแขนของผม เขย่าไปมาจนสมองผมเกือบจะไหลออกมาทางหู อยากจะบอกกับน้องเหลือเกินว่าพี่มึนหัวจะตายห่าอยู่แล้ว แต่ก็ทำไมได้ต้องวางท่านิ่งเฉยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“พี่อยากให้เลมีความสุขนะครับ”
พูดจบผมก็ก้มหน้ามองไปที่ปลายเท้าของตัว เพราะตอนนี้ผมใกล้จะฝืนตัวเองไม่ไหวแล้ว พยายามกั้นเสียงหัวเราะที่จะออกมาด้วยการเม้มปากแน่
‘ฮึ้ยยย ไอ้วิวช่วยกูด้วยกูไม่ไหวแล้วเว้ยยยยย
"ถ้าพี่บอกว่าอยากให้เลได้เจอกับคนที่ทำให้เลมีความสุข แล้วพี่จะทิ้งเลทำไม?"
"..."
"พี่เคยรู้บ้างไหมว่า คนที่ทำให้เลมีความสุขมันคือพี่เว้ย ไอ้พี่ปลาย ไอ้คนโง่"
คนตัวเล็กที่น่าจะอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหวแล้ว ตะโกนเสียงดังจนหูผมเกือบแตก ขี้หูสั้นไปหมด อยากจะเขกกะโหลกไอ้ตัวเล็กที่แหกปากเสียงดัง แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของน้องก่อนจะดึงเข้ามากอด อมยิ้มน้อย ๆ ให้กับความสำเร็จตัว หัวเราะกับตัวเองในใจอย่างมีความสุข หึหึ
‘เสร็จกูแน่เตี้ย
กดจูบลงไปที่ขมับของคนในอ้อมกอดเบา ๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
“ถ้าอย่างงั้น..เป็นเมียพี่นะครับคนดี”
“ห๊ะ!”

To be con. »

#ที่ปลายทะเล
เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!! ขอเป็นแฟนไปไหน ทำไมมาขอเป็นเมียเลยว่ะเนี่ยยย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 16 เป็นเมียพี่ปลายต้องอดทน

“วันนี้ผมไปส่งนะครับเล”



“ก็ได้ครับคุณแทน” ผมตอบรับคุณแทนที่เดินเข้ามาทักทายผมเหมือนเช่นทุกวันในช่วงนี้ ตั้งแต่พี่ปลายไม่อยู่คุณแทนก็คอยอาสาไปส่งผมอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวให้น่าอึดอัดอะไร และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมยอมตกลงให้คุณแทนไปส่งเพราะเวลาที่เรานั่งกันอยู่ในรถ บทสนทนาที่คุณแทนมักจะชวนคุยส่วนมากจะเป็นเรื่องของกายเพื่อนสนิทของผมเสียส่วนใหญ่ ผมเริ่มรู้สึกเค้าลางแปลกๆ ว่าคุณแทนจะหันไปสนใจเพื่อนสนิทตัวเท่ากันของผมเสียแล้วหล่ะครับ และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ผมก็จะดันเต็มที่



ขณะเรากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีลูกค้าที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆลุกขึ้น ผมละสายตาจาคุณแทนเพื่อหันไปมองลูกค้าท่านนั้นเผื่อว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่พอได้เห็นหน้าของคนที่เพิ่งลุกขึ้นยืนก็เล่นเอาหัวใจผมตกวูบลงไปที่ตาตุ่มทันที มันเหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดเสียอย่างนั้นแหละ แต่จริง ๆ ก็ไม่มีเลย



ใบหน้าหล่อคมของคนที่ไม่ไดเจอกันเกือบสองอาทิตย์มองมาที่ผมกับคุณแทนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ผมตั้งสติตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าที่ผมคิดถึง แต่พี่ปลายกลับไม่ยิ้มตอบเอาแต่จ้องมองมาที่เราด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ถูก ทำให้ผมต้องหุบยิ้มลงทันที ตอนนี้ในใจเริ่มคิดว่าพี่ปลายน่าจะเข้าใจผิดผมไปแล้วแน่ ๆ ดังนั้นผมจึงรวบรวมสติแล้วเอ่ยถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ



“พี่ปลายกลับมาแล้วหรอครับ”



“อือ”



“ไหนบอกว่าอีกสองวันไง”



“ทำไม กูกลับมาก่อนมันขัดความสุขของมึงหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นกูก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” เสียงตอบกลับนิ่ง ๆ กับแววตาเรียบเฉยทำให้หัวใจของผมเริ่มวูบโหวง ความเห่อร้อนเริ่มเกาะกุมไปรอบดวงตาของผม ทั้ง ๆ ที่ผมโคตรคิดถึงคนตรงหน้าแต่การเจอกันครั้งนี้มันดูน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน



“เฮ้ยไม่ใช่นะพี่ปลาย เลแค่ถามเฉยๆ”



“อื้อ” พี่ปลายตอบรับสั้น ๆ แทบจะเหมือนว่ามันไม่ใช่คำตอบ จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินตามออกไปก็ถูกมือของคุณแทนรั้งเอาไว้ ทำให้ผมต้องหันไปมองว่าอีกคนต้องการอะไร



“รอเลิกงานก่อนไหมครับ ผมว่าไปตอนนี้เลจะมีปัญหาได้นะครับ”



“ก็ได้ครับ” ผมตอบคุณแทนก่อนจะก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ เวลาในตอนนี้บอกว่าเหลืออีกไม่กี่นาทีผมก็จะเลิกงานแล้ว ทำให้ผมต้องจำใจเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ เพื่อรอเพื่อนที่จะมาเปลี่ยนเวร



หลังจากที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากที่ทำงาน ผมก็ทั้งโทรและส่งข้อความหาพี่ปลายเพื่อขอร้องให้ออกมาคุยกันก่อน แต่เหมือนกับว่าพี่ปลายจะปิดเครื่องไปซะแล้ว ยิ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึกร้อนรนใจอย่างบอกไม่ถูก กลัวว่าอีกคนจะไม่ยอมฟังและหายไปจากชีวิตผมจริง ๆ





ผมเดินออกมาจนถึงหน้าโรงแรม มือก็กดส่งข้อความหาอีกคนอย่างไม่หยุดหย่อน สองเท้าของผมพาผมเดินมาเรื่อย ๆ โดยที่ผมแทบไม่ได้มองทางเลยสักนิดมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนมือของใครบางคนรั้งเอาไว้



“น้องเล เดินไม่มองทางเลยนะเรา”



“ฮื่อ พี่วิว ฮึก”



“เฮ้ย ใจเย็น ๆ เป็นอะไรร้องไห้ทำไม” พี่วิวทำสีหน้าตกใจที่อยู่ ๆ ผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ พี่ตัวเล็กดึงตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบใจ



“พี่ปลาย ฮึก พี่ปลายทิ้งเล”



“อะไรน๊ะ!” พี่วิวร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะดึงตัวผมออกจากอ้อมกอด หน้าขาวมองจ้องที่หน้าผมก่อนจะยิ้มออกมาน้อย ๆ “ไม่เห็นมันพูดแบบนั้นเลย เราคิดมากเองหรือเปล่า เมื่อกี้ยังโทรบอกพี่ว่าจะกลับคอนโดไปพักผ่อน”



“พี่ปลายไม่รับสายเล ฮือ ปิดเครื่องด้วย” ผมยังคงร้องไห้และไม่ได้สนใจฟังที่พี่วิวพูดเท่าไหร่นัก มือสวยของพี่วิวยกขึ้นมาปาดน้ำตาให้ผม



“ฮึบ ๆ ฮึบก่อนคนดี” พี่วิวมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มก่อนจะทำเสียงเหมือนปลอบเด็กที่กำลังงอแง และผมเองก็ทำตามที่พี่วิวบอก เลยทำให้ตอนนี้น้ำตาเริ่มหยุดไหล “เราก็ไปหามันสิ เราก็เคยไปไม่ใช่หรอคอนโดตรงราชเทวีนะ”



“ครับเคยไป แต่ไปแล้วจะขึ้นได้หรอครับ”



“ได้ดิ ไปบอกแผนกต้อนรับเลย ขึ้นได้อยู่แล้ว” คำตอบของพี่วิวกับรอยยิ้มแปลกทำให้ผมเริ่มรู้สึกตงิด ๆ ใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่อยากจะเจอพี่ปลายให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะให้ทำอะไรตอนนี้ก็ทำได้หมดอยู่แล้ว



“จริงนะครับ ขึ้นได้จริงนะ”



“เอางี้ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” พอพี่วิวพูดแบบนั้นผมก็พยักหน้าตอบรับทันที



หงึก หงึก



“งั้นไปขึ้นรถกัน” พี่วิวจูงมือผมที่เข้าไปในโครงการก่อสร้าง นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมได้เดินเข้ามาในนี้ ภายในประตูรั่วที่ติดป้าย Safety first ขนาดใหญ่มีตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่ ช่วงนี้เป็นช่วงเลิกงานทำให้คนงานหลายคนกำลังยืนรอแสกนนิ้วเพื่อออกจากงาน รถหกล้อโดยสารสองคันกำลังจอดรอรับส่งคนงาน เครื่องจักรใหญ่ ๆ ก็หยุดทำงานไปหมดแล้ว ผมมองสภาพรอบ ๆ ตัวยอมรับเลยว่าโครงการก่อสร้างนี้ดูสะอาดตาและเป็นระเบียบมาก



พี่วิวพาผมเดินผ่านทางเดินที่ติดป้ายกำกับเอาไว้ว่า Safety walk way ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับคนเดินเท้าที่เชื่อมต่อกับประตูเล็กตรงทางเข้า ส่วนทางรถยนต์จะเปิดให้เข้าทางประตูใหญ่ต่างหาก ผมเดินตามพี่วิวมายืนรอลิฟต์โดยสารชั่วคราวที่คิดว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานแบบนี้อย่างผมคงไม่มีโอกาสได้ขึ้น หลังจากขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นสามพี่วิวก็พาผมเดินออกมา เจ้าตัวบอกว่าจะต้องเดินเข้าไปเอาของในออฟฟิตก่อน



หลังจากพี่วิวเข้าไปในออฟฟิตไม่นานก็เดินกลับออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายใบเล็ก จากนั้นก็พาผมเดินขึ้นอีกชั้นเพื่อไปขึ้นรถ





ผมมาถึงคอนโดของพี่ปลายไม่นานหลังจากนั้น พี่วิวจอดรถที่ช่องจอดรถหน้าคอนโด จากนั้นก็พาผมเดินเข้ามาคุยกับพนักงานต้อนรับที่นั่งข้างล่าง ไม่นานพนักงานคนสวยก็พาผมมาส่งที่ชั้นที่ห้องพี่ปลายอยู่ ส่วนพี่วิวก็ขอตัวกลับไปก่อนไม่ได้ขึ้นมาด้วยกัน



ผมเดินตามทางหลังจากออกจากลิฟต์ มาด้วยหัวใจและเท้าที่เริ่มหนักหน่วง ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างเริ่มถาโถมกันเข้ามา ผมไม่รู้ว่าพี่ปลายจะยอมเปิดประตูห้องให้ผมเข้าไปไหม และถ้าพี่ปลายยอมเปิดออกมาผมควรจะทำหน้ายังไง



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



หลังจากที่ผมตัดสินใจเคาะประตูบานใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า ความเงียบภายในทำให้หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล แต่เพียงไม่นานบานประตูก็ถูกเปิดออก



“พี่ปลาย” ผมเรียกชื่อคนตัวโตเบา ๆ ก่อนจะพยายามมองอีกคนด้วยสายตาออดอ้อน หวังว่าความน่ารักที่ใครหลาย ๆ คนเคยเอ่ยชมจะทำให้พี่ปลายใจอ่อนลงมาบ้าง แต่เหมือนกับว่าผมจะคิดผิดเพราะพี่ปลายยังคงใช้เสียงเรียบ ๆ เพื่อบอกให้ผมเดินตามเข้าไป

“เข้ามาสิ”





หลังจากที่เรานั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีแล้ว ผมมองหน้าพี่ปลายเพื่อรอว่าพี่เค้าจะพูดอะไรออกมาบ้างไหม คนตัวโตมองสบตากับผมนิ่งก่อนจะถอยหายใจออกมา เล่นเอาหัวใจของผมวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที ความรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ปลายจะพูดมันหนักหนากับความรู้สึกเหลือเกิน และยิ่งสิ่งที่พี่ปลายพูดหลังจากนั้น ก็ทำผมเกือบหยุดหายใจ



“เล พี่คิดว่าพี่อาจจะไม่ดีพอสำหรับเล พี่คงทำให้เลมีความสุขไม่ได้”



“พี่ปลายทำไมพูดแบบนั้น”



“เลครับฟังพี่ก่อน พี่แค่เห็นแล้วว่าตอนที่พี่ไม่อยู่ เลก็มีคนดี ๆ คอยดูแล และเลก็คงมีความสุขด้วยใช่ไหมครับ”



“ไม่นะพี่ปลาย อย่าพูดแบบนั้นสิ” ผมตกใจกับสิ่งที่พี่ปลายพูดจนเผลอคว้าเอาแขนหนาของพี่ปลายเขย่าไปมาอย่างเต็มที่ แต่พี่ปลายก็ยังคงมองผมด้วยหน้านิ่ง ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนผมเริ่มจะอดกลั้นความรู้สึกต่อไม่ไหว



“พี่อยากให้เลมีความสุขนะครับ” และคำพูดสุดท้ายที่อีกคนพูดก่อนจะก้มหน้าลงไปมองพื้นยิ่งทำให้ความอดกลั้นของผมขาดสะบั้นลง



"ถ้าพี่บอกว่าอยากให้เลได้เจอกับคนที่ทำให้เลมีความสุข แล้วพี่จะทิ้งเลทำไม?"



ผมตะโกนออกมาสุดเสียงใส่หน้าผู้ชายตัวโตตรงหน้า ที่เอาแต่บอกกับผมว่าอยากให้มีความสุขและเจอคนที่ดีกว่าโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยว่าคนฟังมันเจ็บแค่ไหน พี่ปลายยังคงเงียบไม่พูดอะไร ทำแค่ก้มหน้ามองที่พื้นเหมือนหาเศษตังไปแดกข้าว



'ช่วยอินกับอารมณ์กูบ้างไม่ได้หรอว่ะ



"..."



"พี่เคยรู้บ้างไหมว่า คนที่ทำให้เลมีความสุขมันคือพี่เว้ย ไอ้พี่ปลาย ไอ้คนโง่"



ผมพูดจบ พี่ปลายก็เงยหน้ามามองผม พร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปกอด นี่พี่มันไม่เคยรู้ตัวบ้างเลยหรอว่ะว่าที่ผ่านมาผมรู้สึกกับมันยังไง



'ด่ากูเก่งจังว่าโง่ ที่แท้ตัวเองโง่เก่งกว่ากูอีก ไอ้คนตัวโตเอ้ยยย



คนตัวโตลูบหลังผมเบา ๆ ก่อนจะจูบที่ขมับผม แล้วพูดในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับเด้งตัวหนีออกจากอ้อมกอดนั้นทันที



“ถ้าอย่างงั้น..เป็นเมียพี่นะครับคนดี”



“ห๊ะ!”



“หึหึ มานี่เลยเตี้ย” มือหนาของพี่ปลายเอื้อมมาดึงตัวผมที่กำลังนั่งตาค้างอ้าปากหวอด้วยความตกใจ คนตัวโตจัดการอุ้มผมแล้วพาเดินเข้าไปในห้องนอน ความตกใจทำให้ผมลืมที่จะขัดขืน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หลังของผมทาบทับลงบนที่นอนนุ่ม



“พี่ปลายอย่านะเว้ย ไม่เอานะอย่าแกล้งกันแบบนี้ดิ” ผมยกมือขึ้นผลักอกคนที่คร่อมอยู่บนตัวผม หน้าคมมองจ้องมาด้วยแววตาหยาดเยิ้ม มือข้างหนึ่งยกมาวางที่ข้างแก้มของผมก่อนจะลูบเบา ๆ จนรู้สึกวาบหวิว



“ใครแกล้ง พี่เอาจริง” โอ้ยหนอออออ เล่นมาทำเสียงนุ่ม ๆ กับตาหวานใส่กันแบบนี้ หัวใจของผมก็ยิ่งเต้นแรงมากเข้าไปอีก หน้าเห่อร้อนจนแทบจะไหม้ สมองตื้อจนคิดอะไรไม่ออก แต่ว่าผมจะมาพลาดท่าเสียทีแบบนี้ไม่ได้



“ไม่ได้นะเว้ย เล ยังไม่ได้อาบน้ำเลย เอ้ยยยย ไม่ใช่ เลไม่พร้อม”



‘ไอ้ทะเล มึงพูดอะไรของมึงแบบนั้นว่ะเนี่ย ต้องปฏิเสธสิโว้ย



“หึหึ ไม่ต้องอาบหรอกครับ ตัวยังหอมอยู่เลย”



“อื่อ พี่ปลายเลจั๊กจี้” หน้าคมก้มลงมาซุกที่ซอกคอพร้อมทั้งสูดดมกลิ่นตัวของผม เล่นเอาขนลุกไปหมดทั้งตัว มือหนาก็เริ่มไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ ผมพยายามเอียงคอหลบสัมผัสของลมหายใจที่เป่ารดลงมา แต่ทำไมมันเหมือนกับว่าผมยิ่งเปิดโอกาสให้อีกคนซุกไซร้ไปทั่วก็ไม่รู้



‘ฮื่ออออ ทำไมใจมันสยิวจังว่ะ



“พี่ปลาย เล อื้อ” ปากสวยของคนด้านบนประกบลงมาปิดปากผมที่กำลังจะอ้อนวอนให้ปล่อย มือหนาจัดการปลดกระดุมเสื้อของผมออกจนหมด









(ตัดฉับ)







ตอนนี้ผมนอนซบอยู่ที่อกพี่ปลายหลังจากที่พี่ปลายพาไปเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผมทุบคนตัวโตไปหลายทีที่ไม่ยอมใส่ถุงยางอนามันทั้ง ๆ ที่เตรียมเอาไว้แล้วแท้ๆ เล่นเอาผมเหนอะหนะไปหมด



“กูรักมึงนะเตี้ย มึงเป็นเมียกูแล้วนะ นอกใจเมื่อไหร่กูจะเอาให้เดินไม่ได้เลย” ผมเงยหน้าส่งค้อนให้คนที่เพิ่งพูดจบไปที เพราะไอ้ที่บอกว่าจะทำให้เดินไม่ได้นี้ พี่มึงคิดว่าตอนนี้กูเดินได้หรอ



“แค่นี้ก็เดินไม่ไหวแล้วป่ะว่ะ จะนั่งยังไม่ไหวเลยเนี่ย พี่แม่ง”



“หึหึ”



“หึหึ บ้าไรเล่า พรุ่งนี้เลจะไปทำงานไหวไหมเนี่ย” ผมทุบอกพี่ปลายอีกครั้งที่ดูเหมือนจะมีความสุขเสียเหลือเกิน ไม่ห่วงว่าผมนี่จะไปทำงานไม่ไหวบ้างเลยหรือไงว่ะ ถึงนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของผม แต่แม่งก็ครั้งแรกในรอบห้าปีเลยนะเว้ย แฟนคนเดียวที่เคยมีก็เลิกกันไปตั้งแต่เรียนปีสอง จากนั้นก็ไม่ได้คบใครอีกเลย แถมไอ้แฟนคนแรกมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดมหึมาเท่าไอ้พี่เสาไฟฟ้านะเว้ยยยย



‘เจ็บ...ชิบหาย แหกหมดแล้วมั่งเนี่ย



“ไม่ต้องทำหรอก ลาออกเลยยิ่งดี”



“บ้าหรอว่ะ ลาออกแล้วจะเอาไรกิน” ผมมองหน้าอีกคนอย่างเหลืออด พูดมาได้ยังไงว่าไม่ต้องทำงาน พ่อแม่อุส่าขายลูกส่งควายเรียน เอ้ยยยย ขายควายส่งลูกอย่างผมเรียนกว่าจะจบ เลือดตาแทบกระเด็น อยู่ ๆ จะมาให้ลาออกได้ไงเล่า ยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เลยเนี่ย



“เมียคนเดียว พี่ปลายเลี้ยงไหว”



“อ่ะ! ฮึ้ยยย ไอ้พี่บ้า รวยหรอ งั้นขอเงินเดือน ๆ ละแสนนะ” ผมสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อฟังพี่ปลายพูดจบ มันยังรู้สึกเขินกับคำว่าเมียที่โดนอีกคนเรียก แต่ก็ตั้งสติตัวเองได้ทัน



“ให้สองแสนเลยเอ้า”



“ห๊ะ! นี่พี่เป็นวิศวกรหรือคนขายยาบ้าว่ะเนี่ย”



“ฮ่า ๆ ๆ คิดได้นะเตี้ย” พี่ปลายหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะซุกหน้าลงมาที่ซอกคอผมจนผมต้องรีบดันหัวพี่มันออก ไม่ได้นะเว้ยนี่ยังไม่หายเหนื่อยเลย แถมยังมีเรื่องที่คล่องใจอยู่อีก



“ฮื่ออ เดี๋ยวดิพี่ปลาย เลว่ามันแปลก ๆ อ่ะ”



“ปวดตัวหรอ จะไม่สบายหรือเปล่า กินยาไหม” ฟังผมพูดจบพี่ปลายก็รีบถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงห่วงใยทันที ไม่พอยังทำท่าจะลุกขึ้นไปหยิบเอายามาให้ จนผมต้องกอดเอวรั้งตัวเอาไว้



“ไม่ใช่ดิ คือ...แบบว่า”



“ว่าอะไรเตี้ย”



“ก็พี่...ยังไม่ได้ขอเลเป็นแฟนเลยนะ” ผมตอบเสียงเบาด้วยความเขินอาย เมื่ออีกคนจ้องหน้าผมอย่างอยากรู้เต็มที่ ฟังจบพี่ปลายก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ



“ขอเป็นแฟนมันเด็กไป ขอเป็นเมียเลยเนี่ยดีแล้ว”



“โห ไม่มีจริง ๆ ไม่มีเลยจริง ๆ"



“อะไร ไม่มีอะไรว่ะ” พี่ปลายทำหน้าตาแปลกใจกับสิ่งผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย คนตัวโตมองซ้ายมองขวาอยากรู้ว่าอะไรที่ผมบอกว่าไม่มี จนผมนึกอยากจะหยิกให้เนื้อเขียวสักที



“ความโรแมนติกไงว่ะ พี่แม่งไม่มีเลยสักนิด คนบ้าอะไรขอเป็นเมียทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นแฟนเลย ฮึ่ย ๆ แล้วนี่เลก็ยังไม่ได้ทันตอบตกลงเลยด้วย ฮึ่ย”



“ไม่ทันแล้ว กูตกลงกับตัวเองตั้งแต่ก่อนไปทำงานแล้ว”



“อะไรนะ! พี่ปลายแม่งขี้โกงว่ะ” ผมทำหน้างอใส่อีกคนก่อนจะหันหลังหนี ไม่อยากคุยกับคนขี้โกงที่คิดจะรวบรัดผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว งั้นก็แปลว่าเรื่องที่งอนเมื่อเย็นนี่ผมโดนหลอกหรือเปล่าว่ะเนี่ย



“เตี้ย” พี่ปลายพลิกตัวมานอนกอดผมจากด้านหลัง ความอบอุ่นจากแผ่นอกกว้างที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของผมทำให้ผมลืมความคิดก่อนหน้านี้ไปซะอย่างนั้น มือหนาลูบไล้ไปทั่วหน้าท้องจนเริ่มรู้สึกวาบหวิว ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ที่ซอกคอ



“ครับ”



“เตี้ยครับ”



“ฮืม”



“เล”



“อะไรอ่ะพี่ปลาย”



“เลครับ”



“โอ้ยยยย พี่ปลายเรียกอยู่ได้จะพูดก็พูดมาดิ”



“ขออีกรอบนะ”



“ห๊ะ!!!!”

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กูก็ว่าแล้วทำไมหวิว ๆ ลูบนั้นลูบนี้จนขนลุกไปหมด ที่ไหนได้พี่มันของขึ้นนี่เอง แล้วยังไงผมจะทำอะไรได้



‘แม่จ๋าช่วยเลด้วยยยยยยยยยยยย ผัวเลมันหื่น เลตายแน่



---------------------



“โอ๊ะ ฮือออเจ็บอ่ะ” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน พยายามขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันปวดเมื่อยไปหมด ไม่พอยังรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ที่ก้นอีก และที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะใครนะครับ ก็ไอ้คนที่ผมนอนหนุนแขนมันอยู่นี่แหละ



“ตื่นแล้วหรอหืม”



“อื้อ แต่ลุกไม่ได้อะ ฮืออออ” ร้องไห้แม่งเลย หยุดหงิดที่ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าช่วงล่างพังไปหมดแล้วหรือเปล่าเนี่ย เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปกี่รอบก็ไม่รู้ อยากรู้เหลือเกินว่าไอ้ตัวข้าง ๆ ที่บอกว่าไปทำงานต่างประเทศนี้ไปแดกอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าว่ะเนี่ย กลับมาถึงได้คึกขนาดนี้



“ร้องทำไมเตี้ย เป็นอะไร”



“พี่แม่ง ปล่อยเลยนะเว้ย ฮืออออ” สะบัดแม่งไปทีเลยครับ กูหงุดหงิดอยู่ไม่รู้หรือไง ยังจะมากอดมาก่ายอีก เอาจริง ๆ ก็กลัวแม่งของขึ้นแบบเมื่อคืนอีก รับรองว่าคราวนี้ได้ไปนอนโรงพยาบาลแน่



“เอ้า! งอแงอะไรเนี่ย จะร้องทำไม โอ๋ ๆ ไม่ต้องกลัวนะคนดี พี่ไม่ทิ้งน้องนะครับ” ยัง ๆ มันยังจะมาเล่นบทพระเอกละครอีก กูเจ็บจนต้องเอาร่างไปโมดิฟายใหม่แล้วมั่งเนี่ย แล้วลองทิ้งดูดิ ไอ้ทะเลคนนี้จะถีบให้หน้าทิ่มเลย



‘นี่ลูกแม่เจี๊ยบนะบอกก่อน ทิ้งกูเมื่อไหร่กูฟ้องแม่แน่



“โว้ยยยย เลไม่ใช่นางเอกละครนะเว้ย”



“เอ้าแล้วเป็นไรอ่ะ”



“ก็พี่แหละ ฮือออ พิการแล้วมั่งเนี่ย ตายอดตายอยากหรือไงว่ะ เล่นเอาทั้งคืนเลยเนี่ย”



“หึหึ ขอโทษครับเมีย จุ๊บ” พี่ปลายกดจูบลงมาบนปากของผมอยากเร็วแล้วผละออก เล่นเอาอารมณ์โมโหก่อนหน้ากระเจิดกระเจิงไปหมด



“ฮึ่ยยย มาเรียกแบบนี้ทำไมเล่า กำลังโมโหอยู่จะมาทำให้เขินไม่ได้นะเว้ย”



‘โอ้ยยยย ปรับอารมณ์ไม่ถูกอีกแล้วเนี่ย กูจะงอนพี่มึงก็มาทำให้เขินซะงั้นอ่ะ



“อีกรอบได้ป่ะ”



“ไอ้เฮี้ยยยยยยพี่ปลายยยยย ไปไกล ๆ เลย”



“ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่นจ้าเมียจ๋า” โอ้ยยยย พี่ปลายแม่งเป็นบ้าอะไรของมันว่ะเนี่ย กลับมารอบนี้แม่งแปลกประหลาดอย่างกับคนละคนเลย มีใครคิดเหมือนเลบ้างป่ะ ปกติพี่มันไม่ใช่คนแบบนี้อ่ะ ไอ้พี่ปลายคนนิ่ง ๆ ไปไหนแล้วเนี่ย ทำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ว่ะ ชักจะหลอนแล้วเนี่ยกู





------------------





หลังจากที่ผมต้องลางานไปสองวันเพราะตกเย็นวันนั้นดันไข้ขึ้นจนต้องนอนซมอยู่ห้องให้พี่ปลายดูแล คนดูแลก็แสนดี ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ ประคบประหงมอยากกินอะไรก็หามาให้ อยากจะดูอะไรก็เปิดให้ดู ทั้งเช็ดตัวป้อนข้าวป้อนยา จนอาการดีขึ้น แล้วยังไงต่อหรอ เมื่อคืนก็โดนจับแดกไปอีกรอบนะสิครับ ไม่ใช่จับผมกินยานะ ไอ้พี่เสาไฟฟ้ามันจับผมแดกทั้งตัวนี่และจ้ะ



‘ลาออกจากการเป็นเมียมันได้ไหมว๊ะ



“พี่ปลาย วันนี้เลกลับห้องนะ” ผมบอกคนตัวโตที่มารับในตอนเย็นหลังเลิกงาน พี่จ้องหน้าผมอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด



“ทำไม?”



“เอ้า! ถามแปลก ไม่กลับห้องแล้วจะให้ไปไหน ห้องพี่เสื้อผ้าก็ไม่มีจะใส่อะไรมาทำงาน”



“ก็กลับไปขนมาไว้ที่ห้องกูดิ ไม่ต้องอยู่แล้วห้องมึงอ่ะ”



“ไม่เอา”



“ไม่อยากอยู่กับกูว่างั้น”



“เอ้ย ไม่ใช่นะ แต่...”



“เออแล้วแต่มึง เดี๋ยวกูไปส่งแล้วกัน”

คนตัวโตตัดบทก่อนจะรอให้ผมขึ้นรถแล้วขี่ออกมาเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมมีความรู้สึกว่าพี่ปลายน่าจะกำลังงอนเรื่องที่ผมไม่ยอมไปนอนห้องพี่มัน แต่จะให้ผมไปอยู่ที่นั้นเลยผมก็ยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ ผมอยากจะให้เราสองคนค่อย ๆ ปรับตัวก่อน







“พี่ปลาย ขึ้นไปข้างบนไหม?”



“ไม่อ่ะ มึงขึ้นไปเถอะ” คนมาส่งไม่ยอมหันมามองหน้าผม แถมยังพูดด้วยเสียห้วน ๆ



“พี่เป็นอะไร โกรธเลหรอ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคน ยกเอามือคนตัวโตมาจับไว้



“ป่าว กูแค่ไม่เข้าใจ มึงไม่อยากอยู่กับกูหรอเล”



“ไม่ใช่นะ เลแค่คิดว่าทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด ยังไม่ทันตั้งตัว เลยอยากให้เราควรค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากันอีกหน่อย”



“มึงไม่เชื่อใจกูหรอ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ตัดพ้อ ผมประสานนิ้วเข้ากับมือของพี่ปลายที่ยังคงสวมถุงมืออยู่ ใช้มืออีกข้างโอบเอวหนาของคนที่นั่งคร่อมอยู่บนรถ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงที่คิดว่าจะให้อีกคนใจเย็นลงได้



“ไปกันใหญ่แล้วครับ ฟังเลก่อนนะครับคนดี เลไม่ได้ไม่อยากอยู่กับพี่ปลาย เลแค่ยังตั้งตัวไม่ทัน พี่ปลายให้เวลาเลอีกหน่อยได้ไหม ถ้าเลพร้อมเลจะย้ายไปอยู่กับพี่ สบายจะตายไม่ต้องเสียค่าน้ำค่าไฟด้วย”



“นานไหม?”



“ไม่นานหรอกครับ” ผมส่งยิ้มให้เป็นคำยืนยันว่าเวลาที่ผมขอไม่ได้นานจนอีกคนจะรอไม่ไหว พี่ปลายกำมือข้างที่ประสานกันอยู่ให้กระชับขึ้น



“งั้นคืนนี้กูนอนนี่ได้ไหม”



“ง่า ไม่เอาสิ แยกกันนอนสักสองสามวันเผื่อพี่ปลายจะได้คิดถึงเลเยอะ ๆ ไง”



“เฮ้อ~ ยืนอยู่ตรงนี้ยังคิดถึงเลย”



“ฮื่ออออ พี่ปลายอ่ะ เลเขินนะเว้ย” เพียงเพราะคำว่าคิดถึงที่พี่ปลายพูดเล่นเอาผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ความรู้สึกเขินอายก็อยู่ได้ไม่นาน



“อยากเขินกว่านี้ป่ะ ให้กูนอนค้างดิ จะทำให้เขินทั้งคืนเลย”



“เดี๋ยวถีบ!”



เฮ้ออออออ ขอเปลี่ยนใจเป็นให้รอนานได้ไหมว่ะเนี่ย อยากจะบ้าตายกับความหื่นกระหายของไอ้คนตัวโตนี่จริง ๆ



To be con. »

#ที่ปลายทะเล

เอิ่มมมม เกิดไรขึ้น

แฮะ ๆ วันนี้ไม่มีไรเลย ใช่ไหม ?

ไร้สาระล้วน ๆ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^ ^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 16:42:41 โดย litaP »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 17 ป.ปลาย ไถ่นา
«ตอบ #24 เมื่อ26-01-2020 12:16:18 »

ตอนที่ 17 ป.ปลาย ไถ่นา
เช้าแรกของวันหยุดยาวประจำปีหลังจากที่ผมทำงานมาอย่างหลังขดหลังแข็งก็มาถึงจนได้ โชคดีนะที่ปีนี้ผมชิงเขียนใบลาพักร้อนเอาไว้ก่อนตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ไม่งั้นตอนนี้ผมคงจะยืนขาแข็งอยู่ที่โรงแรม ปั้นหน้ายิ้มจนเหงือกแห้งต้อนรับแขกที่มาเข้าพัก
ยิ่งช่วงปลายปีใครว่าคนน้อย ปีก่อนนี้ผมแทบตายเป็นผีเฝ้าโรงแรมไปแล้วน่ะบอกเลย เล่นให้เข้าเวรเช้าบ่าย สลับกันวันเว้นวัน จนร่างกายสับสนว่าควรจะเอาเวลาไหนไปนอนดี
หึหึ แต่ไอ้ทะเลลูกแม่เจี๊ยบคนนี้ก็ผ่านมาได้จนถึงวันนี้ที่มีสามีตัวเท่าเสาไฟฟ้า
ปีใหม่ปีนี้เลยต้องเอาหลานเขยมาอวดตายายที่บ้านเสียหน่อย
‘บ้าจังคิดเองก็เขินเองนะเนี่ย
บ้านที่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่บ้านผมที่ปทุมคลองสี่นะครับ ผมพาพี่ปลายมาบ้านตายายที่นครนายก เรามาถึงเมื่อวานนี้หลังจากที่เลิกงาน ก็พากันขับรถออกจากกรุงเทพฯมาเลย คิดว่าออกมาก่อนคนอื่น ถนนน่าจะโล่ง
โอ้โหไม่อยากจะพูด โล่งตายห่าเลยมึง โล่งใจแล้วว่าวันนี้ไม่น่าจะถึงบ้านไว
ไม่ขอเรียกว่ารถติด ขอเรียกว่ารถจอดเรียงรายกันกลางถนนเถอะ แล้วดันเผลอคิดไปถึงหนังซอมบี้ บอกเลยถ้ามีจริง กูจะยอมเป็นซอมบี้คนแรก ขี้เกียจวิ่งหนีมันเมื่อย
ทีแรกจะเอามอ’ไซด์มาแล้ว แต่ติดตรงของฝากญาติโยมที่บ้านมันเยอะ เพราะไอ้คนขับมันตื่นเต้นมากไปหน่อย อาจจะไม่เรียกว่าหน่อยก็ได้ เล่นขนซื้อตั้งแต่คุกกี้สิงคโปร์ยันคุกกี้เม’กา รังนงรังนกขนซื้อมาหมด นี่ถ้ามีรังแตนขายแม่งก็คงซื้อมา ไม่พอแค่นั้นไอ้ที่ประหลาดสุดนี้ก็คือตุ๊กตา ไม่รู้ว่ามันจะให้ตากับยายเอามานอนกอดเล่นหรือไงกันว่ะ คิดแล้วคงน่าเอ็นดูพิลึก
“พี่ปลายตื่นเร็ว เช้าแล้ว”  ผมสะกิดเรียกคนที่ยังนอนเอาหน้าซุกหมอนไม่ยอมตื่น คงเป็นเพราะอากาศเย็นของบ้านไร่ใกล้นา กับความเหนื่อยล้าจากการขับรถเมื่อวานทำให้พี่ปลายยังไม่อยากตื่น
“อื่อ อีกสิบนาทีได้ไหม”
“ไม่ได้พี่ปลาย ตื่นเร็ว ๆ เลย เดี๋ยวโดนแม่ด่า” ต้องเรียกว่าด่าแทนคำว่าดุ บอกไว้ก่อนเลยว่า อย่าทำให้ยายเจี๊ยบของขึ้น ด่าทีไฟแล่บแป๊ลบ ๆ  ไม่รู้ไปสรรหาคำด่ามาจากไหนไม่มีซ้ำคำ คนฟังยังจำไม่ได้เลยว่าโดนด่าอะไรไปบ้าง “เร็ว ๆ พี่ปลายลุกขึ้นๆ” ผมใช้มือสองข้างเขย่าตัวพี่ปลายไปมาจนคนโดนรบกวนต้องลืมตาขึ้นมามองอย่างไม่สบอารมณ์
“อื้ม ๆ ตื่นก็ตื่น”
“ตื่นก็ลุกดิ ไปล้างหน้าแปรงฟันจะได้ลงไปข้างล่าง” คนบอกตื่นยังนอนเอาหน้าซุกหมอนไม่ยอมลุก จนต้องรวบแขนดึงให้ลุกขึ้น แต่พอลุกขึ้นนั่งได้ก็บ่นงึมงำ
“ให้กูได้ตั้งสติบ้างเถอะ มึงจะรีบไปไหน”
“ให้เวลาอีก 10 นาทีนะ ทุกอย่างต้องเรียบร้อยเดี๋ยวเลลงไปดูก่อนว่าแม่ทำอะไรอยู่”
“อือ” ผมลุกขึ้นจากที่นอนเตรียมจะออกจากห้อง แต่รู้สึกเหมือนคนที่ตอบรับยังไม่ยอมขยับตัวเสียทีจนต้องหันไปย้ำเสียงเข้ม
“10 นาทีนะพี่ปลาย ลุกเดี๋ยวนี้เลย”
“โอ้ยยยย เมียหรือมอ’ไซด์ว่ะเนี่ย เร่งจิง หึหึ ตอน...ยังเร่งเลย”
“บ้านพี่มึงสิ!” ไอ้คนบ้า ตื่นมาก็คิดเรื่องลามกแต่เช้า พูดไม่พอยังทำหน้าหื่นใส่กูอีก ใครเค้าไปเร่งกันว่ะตอนแบบนั้น มีแต่พี่มึงนั้นแหละปั้มเอาปั้มเอา จนไฟแทบติด...
ผมเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน เห็นแม่กำลังเตรียมสำรับกับข้าวอยู่ เลยรีบเดินลงไปช่วยยกเอามาวางที่โต๊ะนอกชาน  วันนี้อาหารเช้ามีผัดผักคะน้าใส่ไก่ ต้มจืดมะระหมูสับ ปลานิลทอด และที่ขาดไม่ได้ก็ต้องน้ำพริกกะปิกับผักสดจากริมรั้วนี่แหละครับ กินกับข้าวหอมมะลิหุงเสร็จใหม่ ๆ อร่อยอย่าบอกใครเลยครับ ที่ไม่ให้บอกใครไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะข้าวมันร้อนกินไม่เป่าปากจะพองเอา ฮ่า ๆ ๆ
‘ตลกตรงไหนว่ะเนี่ยกู
“ตื่นแล้วหรอเรา แล้วลูกเขยหล่ะตื่นหรือยัง” เดี๋ยวนี้คุณนายเจี๊ยบเรียกไอ้พี่เสาไฟว่าลูกเขยอย่างเต็มปาก ไม่สนเลยว่าลูกชายจะเขินอายมากแค่ไหน นี่เจอกันแค่สองสามครั้ง คุณนายก็ชอบอกชอบใจเสียเหลือเกิน ก็ไอ้พี่ปลายมันเล่นซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไปฝากทั้งสองรอบ อีกรอบพาไปเดินชอปปิ้งที่ห้างสบายใจเชิบ แล้วที่ไปกันไม่ได้บอกผมด้วยนะ ไปกันสองคน สงสัยมากว่านั้นแม่มึงหรอ?
นี่ก็ห้ามแล้วห้ามอีกว่าอย่าไปเอาของเค้า ทีแรกก็เหมือนจะเชื่อ แต่เห็นซุบซิบมุบมิบกันอยู่สองคนเดี๋ยวเดียวยายเจี๊ยบเอากระเป๋าไปเก็บเข้าตู้เลยจ้า มารู้ตัวอีกทีเรียกกันลูกเขย แม่ยายไปเรียบร้อยแล้ว จนถึงตอนนี้ชักไม่มั่นใจแล้วว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ให้เจอกัน
“ตื่นแล้วแม่ หนูปลุกแล้ว”
“เอ้า! ไอ้ลูกหมา ไปปลุกพี่เค้าทำไมเมื่อวานก็ขับรถมาเหนื่อย ๆ ทำไมไม่ให้เค้านอนพักไปหล่ะลูก” แทนที่ผมจะได้คำชมที่ปลุกพี่ปลายให้ตื่นแต่เช้าอย่างที่แม่ชอบ ที่ไหนได้โดนดุซะงั้น
“โหแม่ ไหนบอกไม่ชอบให้นอนตื่นสายไง ทีหนูตื่นสายแม่ด่าไปสามบ้านแปดบ้านเลย”
“ก็แกมันขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่นอน แถมแข็งแรงอย่างกับควายถึกขนาดนี้จะนอนทำไมนักหนา” อื้อหือ อื้อหือ ดูคุณนายแกพูดเข้า ผมบอกแล้วไงว่ายายเจี๊ยบนั้นเก่งเรื่องด่าลูกตัวเอง ผมตัวแค่เนี้ยมาบอกว่าเป็นควายถึก แล้วไอ้พี่ปลายนี่ไม่เป็นช้างเลยหรือว่ะ
“ฮึ่ย!นี่แม่เป็นแม่หนูจริง ๆ ป่ะเนี่ย หนูชักสงสัยแล้ว” ผมหันไปส่งตาค้อนให้แม่ แบะปากนิดหน่อยด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะสะบัดหน้าหนี “หนูตัวแค่เนี่ย แล้วดูพี่ปลายตัวอย่างกับควายใครต้องถึกกว่ากัน”
“ไอ้ลูกคนนี้ ไปว่าพี่เค้าเป็นควายได้ยังไง แกน่ะสิถึกอย่างกับควาย” แทนที่แม่จะเข้าข้างที่ไหนได้โดนด่าหนักกว่าเดิม ผมจึงต้องล่าถอยไปหาตัวช่วย ที่นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดูพวกเราสองคนทะเลาะกัน
“แม่อ่ะ ตาจ๋า ยายจ๋า ช่วยหนูด้วย ยายเจี๊ยบว่าหนูเป็นควาย” ผมเดินเข้าไปนั่งแทรกกลางระหว่างตากับยายที่นั่งอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ เอาหัวซบไหล่ตาทียายที พร้อมทั้งฟ้องที่โดนแม่ด่า
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเอ็งเป็นควาย นี่ก็ควายกันหมดนั้นแหละ”
“เออนั้นสิ ใช่เลยตาจ๋าพูดถูก ยายเจี๊ยบเป็นแม่หนู ถ้าหนูเป็นควาย งั้นแม่ก็...”
“เดี๋ยวเถอะ! ไอ้ลูกหมาตัวนี้นี่” คราวนี้ยายเจี๊ยบไม่ได้มาแต่เสียง มาทั้งตัวในมือถือทับพีตักข้าวเดินก้าวเข้ามาเกือบประชิด ประหนึ่งดาบจะฟาดลงกะบาลผม โชคดีที่ไหวตัวทันลุกขึ้นวิ่งหนีก่อน ไม่งั้นคงโดนทับพีโบกจนหน้ามึน
“ยายจ๋าช่วยหนูด้วย! ยายเจี๊ยบจะตีหนูแล้วววว”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ยอมโตกันสักทีทั้งแม่ทั้งลูกเลยเนี่ย” ยายไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยครับ เอาแต่นั่งขำจนน้ำตาเล็ด มองแม่วิ่งไล่ผมที่วิ่งวนรอบแคร่ที่แกนั่งอยู่
วันนี้ผมได้รู้แล้วว่ายายเจี๊ยบนั้นยังไม่แข็งแรงมากจริง ๆ เล่นเอาผมวิ่งหนีจนหอบกิน โชคดีที่ยายเจี๊ยบเริ่มหอบเหมือนกันเลยหยุดวิ่ง แต่ไม่วายยกทัพพีชี้หน้าผม ปากก็เริ่มบ่นต่อ
‘บ่นเก่งขนาดนี้ พ่อถึงหนีไปอยู่นอกโลก
“มัวแต่เล่นอยู่ได้นะเจ้าทะเล รีบขึ้นไปดูเลยว่าพี่เค้าเสร็จรึยัง จะได้ลงมากินข้าวเช้าด้วยกัน”
“ขอรับคุณหญิงเจี๊ยบ บ่าวจะรีบขึ้นไปตามเดี๋ยวนี้เลย” พูดจบผมก็วิ่งหนีขึ้นบันไดทันที ขืนยังยืนอยู่ตรงนี้มีหวังทัพพีจะลอยลงหัวกะบาลจริง ๆ
“ฮึ ฮึ มันล้นเหลือเกินไอ้หลานคนนี้”
ผมเดินขึ้นมาบนบ้านเพื่อไปตามพี่ปลายอย่างที่แม่บอก คนตัวโตอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทากับกางเกงเลสีดำ ผมมองคนที่ยืนส่องกระจกหวีผมด้วยความรู้สึกทึ่ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าขนาดแต่งตัวบ้าน ๆ แบบนี้อีกคนยังดูดีไม่ต่างจากใส่เสื้อผ้าราคาแพง ช่างน่าภาคภูมิใจแทนตัวเองจริง ๆ
ยิ่งตอนที่พี่ปลายถกชายเสื้อขึ้นเพื่อมัดกางเกงเลให้แน่นจนเห็นกล้ามท้องเป็นลอน อยู่ ๆ ผมก็หน้าร้อนขึ้นมาเสียงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นเสียหน่อย แต่เห็นทีไรหัวใจกระตุกวูบทุกที
“เตี้ยมองแบบนี้ คิดอะไรไม่ดีกับกูป่ะเนี่ย” เสียงเอ่ยถามกับสายตาล้อเลียน เล่นเอาผมหลุดออกจากความคิด มองหน้าคนตัวโตที่กำลังเดินเข้าใกล้ด้วยตาเบิกกว้าง ปากก็รีบโวยวายทันที
“บ้าหรอ! ใครจะไปคิดเล่า”
“ไม่คิดแล้วมึงหน้าแดงทำไม”
“เอ้ยบ้าหรอ ใครหน้าแดง ไม่มีเลยเนี่ย”ผมรีบยกเอามือมากุมหน้าตัวเองทันทีที่พี่ปลายพูดจบ รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงก็ต้องหน้าแดง แต่จะยอมรับง่ายๆได้ยังไง
คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจที่ผมทำท่าทำทางแบบนั้น มือหนาจับเอามือของผมออกก่อนจะก้มหน้าลงมาจนอยู่ในระดับเดียวกัน ตาคมมองสำรวจไปทั่ว จนผมยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้ายิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็จ้องตาผมก่อนจะกลับไปยืนเต็มความสูงเหมือนเดิม
“อื้มม ไม่มีจริง ๆ ด้วย”
“ใช่ไหมหล่ะ ไม่มีหรอกเนอะ เห็นไหมเลบอกแล้ว” พอฟังแบบนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในใจคิดกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วว่าพี่มึงไม่มีทางรู้หรอกว่ากูกำลังเขินเพียงเพราะแค่มองหุ่นพี่มัน ถ้ามันรู้นี่อายตายห่าเลย แต่ความสบายใจในโลกนี้ก็ไม่ได้มีอยู่จริง
“อืม ไม่มีแล้วสีขาวบนหน้ามึงอ่ะ แดงเถือกเลยเนี่ย”
“งื่อออออ ไอ้พี่ปลายบ้า” เท่านั้นแหละครับ อยากจะม้วนหน้าสามตลบลงบันไดบ้านไปเลย ยิ่งไอ้พี่ปลายไม่ได้พูดเปล่า เล่นก้มลงมาหอมแก้มผมอีก หัวใจที่เต้นแรงตอนนี้ระเบิดตู้มต้ามเป็นเม็ดป๊อบคอนในไมโครเวฟไปเรียบร้อยแล้ว
“จัดสักรอบไหม ก่อนลงไปกินข้าว”
“โอ้ยยยย อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยยยย” ผมถึงกับวิ่งหนีออกนอกห้องเพราะไอ้คนตัวโตมันทำท่าเหมือนจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ก็เล่นเดินเข้ามาประชิดตัว น่ากลัวกว่าวิ่งหนียายเจี๊ยบก่อนหน้านี่เข้าไปอีก ตอนนี้ชักเริ่มคิด ๆ แล้วว่าไม่ย้ายไปอยู่กับมันดีกว่าไหม ที่บอกเอาไว้ว่าจะย้ายไปปีใหม่นี่ ขอเลื่อนออกไปอีกปีได้ไหมหล่ะ
‘ก็เค้ายังไม่อยากพิการนะแกรร
ตั้งแต่วันที่ผมกลับมาที่ห้อง ก็ไปนอนค้างห้องพี่ปลายแค่สองครั้ง เพราะว่าผมต้องทำงานสลับกะเช้ากับกลางคืน วันหยุดเลยเป็นวันที่ต้องพักอย่างเต็มที่ พี่ปลายเองก็เริ่มเปรย ๆ ว่าอยากให้ทำงานอื่น ผมเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเรียนจบมาทางนี้ ก็อยากทำงานตามที่ได้เรียนจบมา พอบอกไปแบบนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร
ช่วงนี้พี่ปลายเองก็มีเรื่องงานที่บริษัทใหม่ที่พี่มันเปิดหุ้นกับเพื่อนที่ต้องไปเคลียร์ แลดูวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลา แต่ก็ยังอุตส่าห์มารับมาส่งอยู่เกือบทุกวัน จะลำบากก็ตอนที่ผมเลิกงานเช้า แรก ๆ พี่ปลายก็จะคอยมารับที่ทำงานตอนเช้าแล้วมาส่งที่คอนโด แล้วเจ้าตัวก็กลับไปทำงาน มันดูวุ่นวายมาก เพราะต้องกลับไปกลับมาเสียเวลาแถมพี่มันก็เหนื่อยด้วย มาหลัง ๆ ผมเลยบอกให้ไปส่งแค่ที่รถไฟฟ้า ผมนั่งกลับเองง่ายกว่า ถึงแม้ทีแรกเจ้าตัวจะไม่ยอมแต่พอผมยื่นคำขาดก็เลยต้องจำยอม
ผมเคยคิดว่าเพราะเราเพิ่งคบกัน พี่ปลายคงอยากทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อผม แต่พอลองมานั่งคิดดี ๆ แล้วว่าก่อนที่เราจะคบกัน พี่ปลายก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย จะมีก็แค่ความสัมพันธ์กับสถานะที่เราสองคนชัดเจนขึ้น การดูแลเอาใจใส่และการแสดงออกถึงความรักก็เปิดเผยขึ้นกว่าตอนที่เรายังเป็นแค่คนที่ชอบกัน
แต่เอาเข้าจริง ๆ สำหรับผมแล้ว ก็อยากให้เราสองคนยังมีเวลาที่เรียกว่าส่วนตัว
เว้นช่องว่างระหว่างกันไว้ให้ได้หายใจในพื้นที่ของตัวเองบ้าง
ไม่อยากให้พี่ปลายต้องเอาเวลาทั้งหมดมาดูแลผม เอาจริง ๆ ก็กลัวว่าผมจะชินกับการที่พี่ปลายทำให้ทุกอย่าง แล้วถ้าวันนึงพี่ปลายเบื่อที่จะทำให้แล้ว จะกลายเป็นผมที่เดินต่อไปข้างหน้าเองไม่ได้
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่ปลายหรอกนะ แต่เพราะผมเชื่อว่ายิ่งเราโตขึ้นอะไรหลาย ๆ อย่างก็ต้องเปลี่ยนไป ทั้งหน้าที่การงาน หรือแม้แต่นิสัย และร่างกาย
สู้เราเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าไม่ใช่หรอ?
“สวัสดีครับคุณตา คุณยาย คุณแม่” พี่ปลายยกมือไหว้ทุกคนหลังจากที่เดินลงมาถึงนอกชาน ตากับยายก็หันมารับไหว้พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาให้อย่างใจดี
“ไหว้พระเถอะหลานเอ้ย”
. “มาแล้วหรอลูก มา ๆ มานั่งนี่จ้ะ”
“แม่ แล้วหนูหล่ะ” ผมเอ่ยถามแม่ทันทีที่แม่เรียกให้พี่ปลายไปนั่งที่ประจำของผม คนตัวโตเดินไปนั่งลงข้าง ๆ แม่อย่างว่าง่ายจนหน้าหมั่นไส้
“ยืนเอาก็ได้เรานะ ถึกขนาดนั้น” ยัง ๆ ยายเจี๊ยบยังไม่จบเรื่องความถึกของผม ไม่พูดป่าวยังยื่นจานข้าวมาให้ทั้ง ๆ ที่ผมยังยืนอยู่ หรือแม่จะให้ผมยืนกินจริง ๆ ว่ะเนี่ย
‘ทำไมชอบทำร้ายลูกตัวเองตลอดนะยายเจี๊ยบบบบ
“ฮื่ออออ หนูน้อยใจแล้วนะ”
“ไม่มีที่นั่งก็ไปนั่งตักผัวเอ็งสิ”
“อ่ะ! งื่ออออ ตาจ๋าาาาาา”ผมถึงกับถลึงตาโตมองตาด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบนั้น หน้าเห่อร้อนจนต้องยกมือขึ้นมาปิด ไม่พอแค่นั้นไอ้คนตัวโตก็ดันเล่นกับเค้าไปด้วย ตีหน้าขาตัวเองแปะ ๆ พร้อมสายตาเชิญชวนให้ผมไปนั่ง
“มานั่งสิเตี้ย”
‘จะบ้าหรอว่ะใครเค้าจะทำ แกล้งกันอยู่ได้เขินนะเว้ย
“พี่ปลายยยยยย~”ผมหันไปส่งค้อนวงใหญ่ให้คนที่แกล้งผมไม่เลิก แล้วยังมายิ้มแย้มอยู่ใส่อีก และนึกขึ้นได้ว่าต้องหาตัวช่วยซะแล้ว ”ยายจ๋าช่วยหนูด้วยทุกคนแกล้งหนู”
“ก็มานั่งสิหลานเอ้ย ผัวเอ็งเรียกใหญ่แล้วนั้น”
“ง่า~ยายยยย ไปดีกว่าไม่อยู่แล้ว ทุกคนใจร้าย” ตายห่าจริง ๆ แน่งานนี้ เล่นผมกันทั้งบ้านเลยหรอเนี่ย นึกว่ายายจะช่วยดุคนอื่น ๆ ให้ ที่ไหนได้ตัวชงอันดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ใช่แค่พูด ยายเล่นดึงมือผมไปหาพี่ปลายเลยอ่า
‘ฝากเอาไว้ก่อนนะทุกโคนนนนนนน
ตะโกนก้องอยู่ในใจ อย่าให้มีใครพลาดท่าเลยนะ ไอ้ทะเลคนนี้จะเอาคืนแน่นอน หึหึ
“จะไปไหน มากินข้าว ไอ้ลูกคนนี้”
“แม่อ่ะ เลเขินนะเว้ย”
“ฮ่า ๆ ๆ”  สุดท้ายผมก็กลายเป็นลูกมะเขือเทศ เพราะหน้าแดงเถือกทั้งเขินทั้งโกรธที่โดนทุกคนรุมทำร้าย กว่าจะกินข้าวเช้าเสร็จนี่ผมแทบจะร้องไห้ไปกินไปเลยทีเดียว ล้อกันเก่ง จนอยากจะจับไปใส่รถยนต์แทนล้อเก่าแล้ว บ้าบอคอแตกกันจริง ๆ คนบ้านนี้
หลังจากมื้ออาหารเช้าผ่านไป ตาก็พาพวกเรามาดูที่นา ที่ตอนนี้กำลังจะเริ่มไถ่ดิน เพื่อเตรียมปลูกต้นกล้า คนงานที่ตาจ้างมาก็เริ่มทำงานกันตั้งแต่เช้า
ผมยืนมองพี่ตาลคนงานของตากำลังเดินตามรถไถอยู่ในนา ก็เกิดนึกสนุกอยากแกล้งคนแถวนี้ที่น่าจะทำไม่เป็นขึ้นมา
“ตาจ๋า ให้พี่ปลายลองไถ่นาบ้างสิ” ผมรีบสะกิดบอกตาทันทีที่คิดแผนการเอาคืนคนข้าง ๆ ได้ ตาหันมามองผมพร้อม ๆ กับคนที่โดนอ้างชื่อที่ขมวดคิ้วจ้องหน้าผมอย่างจะเอาเรื่อง
‘หึหึ หัวเราะที่หลังดังลั่นนาแน่
“เอ็งอยากลองหรือหลาน”
“ใช่จ้ะ พี่ปลายบอกหนูว่าอยากลองทำ”
“หึ๊!” ผมตอบรับทันทีที่ตาถาม ไม่รอให้พี่ปลายได้ปฏิเสธ เล่นเอาพี่ปลายที่มั่นใจว่าโดนผมแกล้งต้องทำเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับสายตาคาดโทษมองมาที่ผม
“ว่าไงหล่ะหลาน เอ็งอยากลองทำไหมล่ะ”
“เอ่อ...ครับผมอยากลอง” สุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมตอบรับ แต่ก็ยังไม่วายจะหันมาแสยะยิ้มร้ายให้ผม ขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ’คืนนี้มึงตายแน่’ เล่นเอาผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่จะให้คนอย่างไอ้ทะเลหยุดแผนการเอาคืนตอนนี้ก็ไม่มีทางซะหรอก อีกอย่างนั้น กว่าจะถึงคืนนี้พี่มึงคงหมดแรงก่อน หึหึ ผมส่งยิ้มร้ายอย่างผู้ถือไผ่เหนือกว่าไปให้อีกคน
“ไอ้ตาล ไอ้ตาลโว้ย!”
“จ้ะตา มีอะไรหรอ” พี่ตาลเดินเข้ามาหาตาหลังจากได้ยินเสียงเรียก มองมาที่พวกผมสองคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปคุยกับตาต่อ
“หลานข้ามันอยากลองไถ่นา เอ็งสอนมันหน่อยสิ”
“ได้สิจ้ะ ลงมาสิน้องเล” คนถูกไหว้วานตอบรับก่อนจะหันมาพยักพเยิดหน้าให้ผมเดินตามลงไป แต่ก็ต้องชะงัดทันทีกับคำพูดของตา
“ไม่ใช่ไอ้ทะเล โน้นผัวมันโน้น”
“ห๊ะ!” คนฟังนี่ตาค้างไปเลยครับ จะไม่ให้ช๊อคได้ยังไงก็ผมมันเด็กผู้ชาย แถมเมื่อตอนเด็ก ๆ นี่ยังวิ่งถอดเสื้อผ้าเล่นโคลนกับพี่มันอยู่เลย
“ง่า...ตาาาาาา” ผมเองถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าตาจะพูดแบบนั้น เขินจนหน้าจะไหม้เพราะพี่ตาลเล่นจ้องจนตาไม่กระพริบ อยากจะโดดเอาหัวทิ่มโคลนให้รู้แล้วรู้รอดไป พี่ปลายก็นะจะมาโอบไหล่ทำไมตอนนี้ก็ไม่รู้เนี่ย
“ตกใจอะไรของเอ็งว่ะไอ้ตาล นี่ไง ไอ้หนุ่มนี่ผัวไอ้เจ้าทะเลมัน” ตาจ๋า ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้จ้ะตา ฮื่อ ๆ ๆ พี่ตาลมันได้ยินเต็มสองหูแล้วจ้า
ตายเลตายแน่ ๆ จะอยู่รอดปลอดภัยไหมเนี่ย มาวันแรกตาก็บอกคนงานหมดแล้ว ถ้าอยู่ครบสี่วันไม่รู้กันทั้งอำเภอเลยหรอว๊ะ ว่าหลายตาแสนโตเป็นหนุ่มจนมีผัวแล้วเนี่ย
‘ใครก็ได้ช่วยเลด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“อะ...อ๋อ จ้ะตา งั้นเชิญเลยครับคุณ”
“พี่ปลายถอดรองเท้าออกเร็วๆเลย” ผมสะบัดความเขินอายเอาไว้ในกระเป๋าทันทีเมื่อตั้งสติได้ บอกกับตัวเองว่าต้องโฟกัสที่การแกล้งคนข้าง ๆ ก่อน
“อืม”
หลังจากพี่ปลายถอดรองเท้าเสร็จก็เตรียมจะก้าวลงจากคันนาไปที่พื้นดินโคลน คนตัวโตค่อย ๆ ก้าวลงไปอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะลื่น ผมที่ยืนอยู่ข้างบนฝั่งก็ยื่นมือให้อีกคนจับไว้ ถึงแม้ใจจะอยากให้พี่มันลื่นมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราก็ต้องแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น พี่ตาลยื่นมือมาเพื่อช่วยรับพี่ปลายจากด้านล่างพร้อมกับพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ระวังลื่นนะคุณ”
‘ให้พี่มันลื่นไปเลย เลรอขำอยู่ หึหึ
พรืดดดดดด
“อ๊ากกกกกกกกก  ฮื่อ~ ไอ้พี่ปลายไอ้คนบ้า” อยู่ ๆ ตัวผมก็ไถลลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในนา แทนที่จะเป็นไอ้คนตัวโตที่เดินลงไปยืนยิ้มอยู่ในนาอย่างมีความสุข สถานการณ์มันรวดเร็วมากจนไม่มั่นใจว่าพี่ปลายมันตั้งใจแกล้งผมหรือเปล่า แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้หน้ากูดำเมี่ยงเลย แล้วแม่งยืนหัวเราะเยาะเย้ยกันอยู่ได้ พี่มึงนึกว่ากูทำสปาโคลนอยู่หรือไงว่ะ
“อยากเล่นโคลนก็ไม่บอกนะเตี้ย”
“หึ้ย ไม่ต้องมาพูดเลย พี่ดึงเลลงมาใช่ไหม?”
“ผมดึงหรอกครับพี่ตาล พี่เห็นไหม?”
“ผมไม่เห็นครับ พี่ก็นึกว่าน้องเลอยากลงมาเล่นโคลนเหมือนตอนเด็ก ๆ อยู่ ๆ ก็ไถลตัวลงมา”
“บ้าหรอพี่ตาล เลจะทำแบบนั้นทำไม”
“ไหน ๆ ก็ลงมาแล้ว มาไถ่นาด้วยกันเลยมา”
“เออ เจ้าทะเล ลงไปแล้วก็ไปช่วยพี่เค้าเลยสิเอ็ง”
“แง มีแต่คนแกล้งหนู หนูจะฟ้องยาย” แหกปากโวยวายร้องลั่นทุ่งแม่งเลย โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีควายไม่งั้นโดนไล่ขวิดไปแล้วเนี่ย แล้วกว่าพี่ปลายแม่งจะมาช่วยให้ลุกขึ้น ก็ยืนขำงอก่องอขิงอยู่ตั้งนาน ปลาดุกจะกัดตูดเมียมึงอยู่แล้วยังจะขำอยู่ได้เนี่ย
หลังจากที่ผมได้รับการกู้ชีพขึ้นมานั่งอยู่บนคันนาเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงตาไอ้พี่ควาย เอ้ยยย พี่ปลายต้องเรียนรู้การไถ่จากพี่ตาล จะบอกเลยว่าถ้านั่งมอง มันเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ และเหมือนจะสนุก แต่เอาจริง ๆ มันไม่ได้สนุกสักนิดเลยผมขอบอก ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย เห็นผมตัวเล็ก ๆ แบบนี้ ผมก็เคยลองทำมาแล้ว จำได้ว่ากลับบ้านไปกินข้าวเกือบหมดหม้อ จากนั้นก็หลับเป็นตายไปเลยหล่ะครับ
“พี่ปลายสู้ ๆ” ผมตะโกนให้กำลังใจคนตัวโตที่ดูท่าทางเงอะ ๆ เงิ้น ๆ หน้าจะทิ่มโคลนไปหลายรอบเพราะเดินตามรถไถ่ไม่ทัน คนตัวโตหันมาทำตาค้อนใส่ผมที่ทำให้เจ้าตัวต้องมาออกกำลังกายกลางแดดแบบนี้
“ผัวเอ็งนี่ก็เก่งเหมือนกันนะเจ้าทะเล” ผมหันไปมองตาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาแบบนั้น สายตาที่ตามองพี่ปลายยืนยันได้ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทักท้วงตาเรื่องที่เรียกพี่ปลายว่าแบบนั้น
“ง่าตา เรียกว่าเพื่อนดีกว่าไหมอ่า เรียกผัวแล้วหนูอายคนอื่นเค้า”
“อะไรของเอ็งว่ะ! จะให้เรียกผัวว่าเพื่อนได้ยังไง ผัวหล่อขนาดนี้ยังจะอายอีกหึ๊” ตาหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก เล่นเอาผมถึงกับต้องรีบบอกเหตุผลที่พูดออกไปแบบนั้น
“โถ่ตา ก็หนูเป็นผู้ชายนะ แล้วตาไม่อายหรือไงที่หลานชายได้ผัวแทนที่จะมีเมีย”
“อายทำไมหล่ะ หลานข้าไม่ได้ไปฆ่าใครเสียหน่อย แถมได้ผัวหล่อกว่าสาว ๆ แถวนี้ซะอีก ฮ่า ๆ ๆ” ตาหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากพูดจบ สายตาที่มองมาเหมือนกำลังล้อเลียน ผมเองที่ตั้งใจจะคุยอย่างจริงจังกับตา กลายเป็นว่าตอนนี้หน้าเห่อร้อนขึ้นเพียงเพราะตาบอกว่าพี่ปลายมันหล่อ
“ตาอ่ะ”
“อีกอย่างนะหลาน ถึงตาจะรู้สึกแปลก ๆ ไปบ้างในตอนแรกที่แม่เอ็งบอกว่าเอ็งมีแฟนเป็นผู้ชาย” ตาวางมือบนหัวผมแล้วลูบเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู สายตาก็มองไปที่คนตัวโตที่กำลังไถนาอยู่ ก่อนจะหันมาพูดอีกครั้ง ”แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่หว่า หลานข้าไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย ช่างหัวชาวบ้านมันปะไร  ถ้าใครมาว่าหลานข้าให้ได้ยิน ข้าจะไม่สีข้าวให้มันซะเลย ดีไหมว๊ะ ฮ่า ๆๆๆๆ”
“หนูรักตานะจ้ะ” ผมถึงกับน้ำตาซึมเมื่อได้ฟังแบบนั้น เสียงหัวเราะกับคำพูดที่ทำให้หัวใจอบอุ่นของตาเล่นเอาผมถึงกับตื้นตัน ไม่ได้คิดไว้ก่อนเลยว่าทุกคนจะเข้าใจและยอมรับผมในแบบที่ผมเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าหากว่าพ่อยังอยู่ด้วยในตอนนี้ ผมก็เชื่อว่าพ่อจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นเหมือนกัน
‘หนูคิดถึงพ่อเสมอนะ
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย”
“พี่ปลายยย ว๊ะ ฮ่า ๆ ๆ” สุดท้ายความตั้งใจของผมก็เป็นผล เมื่อคนที่ไถ่นาอยู่หน้าทิ่มแปะลงโคลน เสียงร้องดังลั่นทุ่งเหมือนควายกำลังจะออกลูก เรียกให้ผมกับคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต้องหันไปดู ทั้งผมและตาต่างหัวเราะกันลั่น ตอนล้มว่าตลกแล้ว ตอนลุกขึ้นมานี่สิตลกยิ่งกว่า ก็ไอ้คนหน้าหล่อที่ตาเพิ่งชมไปหยก ๆ ตอนนี้พอกไปด้วยโคลน แม้แต่ลูกตาก็แทบจะมองไม่เห็น หนักกว่าผมตอนที่ล้มลงไปซะอีก
“ไปเอ็ง ไปช่วยผัวเอ็งขึ้นมา”
“ไม่เอาตา หนูไม่อยากเลอะ” ผมรีบโบกมือปฏิเสธทันที จะบ้าหรอใครจะลงไปให้เลอะเทอะเล่า นี้ก็โคลนเกาะกังเต็มตัวไปหมดแล้วเนี่ย ดีที่ยังได้ล้างหน้าไม่งั้นหน้าผมแข็งจนขยับปากพูดไม่ได้
“ไปเลยไม่ต้องมากลัวเลอะ บอกมันให้พอได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายเอา”
“แง ตาอ่ะ หนูไปก็ได้” เพราะโดนตาดุ และแอบเป็นห่วงคนตัวโตกลัวว่าจะป่วยรับปีใหม่เลยต้องยอมเดินลงนาไปอีกรอบ แต่ตาก็ยังไม่หมดความพยายามที่จะทำให้หลานหน้าระเบิด ตะโกนเสียงดังจนคนอื่นหันมาส่งยิ้มให้ผมกันหมด
“พากันไปอาบน้ำในคลองโน้นสิ จะได้เกี้ยวกันตอนเล่นน้ำด้วย”
“อ๊ากกกกกกกตาอ่ะ เกี้ยวเกิ้วอะไรเล่า” ถึงตาจะใช้คำโบราณ แต่บอกเลยว่าคำไหนก็ทำให้ผมเขินได้หมดแหละ ก็ลองคิดดูดิ นี่เดินมาเกือบกลางนาแล้วเนี่ย ตาต้องเสียงดังแค่ไหนผมถึงได้ยิน แล้วก็ยืนหัวโด่อยู่คนเดียวกลางนาไง คนงานสี่ห้าคนที่ตาจ้างมาก็มองผมกันเป็นตาเดียว
‘มุดโคลนไปนอนเล่นกับปลาดุกแม่งเลยดีไหม
“เขินอะไรนักหนา เขินจนตัวจะดำเป็นควายอยู่แล้วเนี่ย”
“ง่ะ” อะไรของตาว่ะเนี่ย อยู่ ๆ มาว่าหลานตัวเองได้ไงอ่า แล้วเขินยังไงถึงตัวจะดำเป็นควายว๊ะ
และไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพาพี่ปลายไปอาบน้ำในคลองจริง ๆ พี่มันจะเกี๊ยวผมหรือมันจะจับผมกดน้ำให้ตายห่ากันแน่
ถ้าตอนหน้าไม่มีผม ก็รับรู้โดยทั่วกันนะว่า ไอ้ทะเลลูกแม่เจี๊ยบ หลานตาแสน ยายจันทร์ ได้ลาโลกนี้ไปแล้ว
อาเมน

To be con. »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 18 อบอุ่น เขต ร้อน
«ตอบ #25 เมื่อ26-01-2020 12:17:18 »

ตอนที่ 18 อบอุ่น เขต ร้อน

“เล อะ แฮปปี้นิวเยียร์ อาห์” พี่ปลายปลดปล่อยความสุขสมพวยพุ่งเข้ามาในตัวผมเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับเสียงพุที่ถูกจุดดังไปทั่วบริเวณ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ของปีใหม่แล้ว
ร่างหนาทิ้งตัวทาบทับลงมาบนตัวผม กดจูบที่ขมับเบา ๆ เพื่อซับเหงื่อที่พุดออกมาทั่วทั้งใบหน้า แตะจูบที่มุมปากหนึ่งครั้ง ก่อนจะพลิกตัวลงไปนอนราบกับที่นอนนุ่ม จัดการสอดแขนเข้ามารองที่ใต้คอของผม อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบหายใจหนัก ๆ ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
ผมตะแคงตัวหันไปหาอีกคน วางแขนพาดลงบนอกกว้าง ช้อนตามองคนตัวโตด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ”สุขสันต์วันปีใหม่ครับพี่ปลาย”
“อืม สุขสันต์วันปีใหม่นะไอ้หมาเตี้ย” พี่ปลายกดจูบลงมาที่หน้าผากของผมอีกหนึ่งครั้ง ปากบางคลี่ออกให้เห็นรอยยิ้มหวาน มือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเบา ๆ “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันนะ”
“เหมือนกันนะครับ” ผมตอบกลับคนตัวโต ก่อนจะดันตัวขึ้นเล็กน้อยกดจมูกลงบนแก้มสากทั้งสองข้าง แล้ววางหัวลงบนอกหนาเพื่อฟังเสียงหัวใจของอีกคน หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับผม
“เล”
“ฮืม”
“ทะเล”
“อื้อ จะนอน”
“เตี้ยตื่น”
“ไม่เอาอย่ากวน”
“ไอ้เตี้ย!”
“โอ้ยยยย! อะไรเนี่ยเรียกอยู่ได้ เลง่วงนะพี่ปลาย พักก่อนได้ไหมเนี่ย ไม่ไหวแล้ว” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหนักเมื่อโดนพี่ปลายเขย่าตัวไปมาจนต้องยอมลืมตาตื่น หงุดหงิดใจมากไม่รู้ว่ามันจะหื่นอะไรนักหนา ปลุกเก่งเสียเหลือเกินนะพี่มึงเนี่ย แต่แล้วก็ต้องสตั้นไปสามวิเมื่อพี่มันผลักหัวให้ออกจากอกของมัน
‘หรือพี่ปลายจะเล่นบทรุนแรง ว๊ายยยยยตายแล้ว
“มึงลุกขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย น้ำลายมึงไหลเต็มอกกูเลยเนี่ย”
“ง่า!!! จริงดิ” ตกใจจนต้องเด้งตัวขึ้นนั่ง มองไปที่หลักฐานชิ้นโตที่ตัวเองเพิ่งสร้างเอาไว้ สิ่งที่ตาเห็นยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ยกมือปาดปากตัวเองดูสิว่าจริงหรือพี่มันอำ
‘อี๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เต็มมือกูเลยแม่ง
“แหกตามึงดู แฉะเลยเนี่ย” กูเห็นแล้วจ้ะ พี่มึงจะย้ำทำไม แค่นี้ก็รู้สึกผิดไม่ทันแล้วไหม
“งื่อออ มา ๆ เดี๋ยวเลไปเอาผ้ามาเช็ดให้”
“ไม่ต้องเช้าแล้ว เดี๋ยวกูจะลุกไปอาบน้ำเลย” ขณะที่ทำท่าจะลุกไปหยิบผ้า ก็โดนดึงตัวเอาไว้ซะก่อน หน้าคมหงิง งอ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่งจนน้ำใสบนอกไหล่ย้อยลงไปถึงสะดื้อ
‘ฮื่อออออออ นั้นน้ำลายกูหรือเขื่อนขุนด่านว่ะเนี่ย
“น้ำลายแค่นี้ทำมารังเกียจ ทีตอนนั้นนะ โถ๊ะ” แต่จะยอมรับว่าตัวเองผิดไม่ได้ครับ เดี๋ยวอีกคนจะได้ใจข่มเราใหญ่
“บ่นอะไร กูได้ยินนะ”
“ก็มันจริงไหมหล่ะ” เออ ตอบมาดิว่าจริงไหมหล่ะ ทีตอนเลียกูเนี่ยยังไม่เคยบ่นเลยนะ แค่นอนน้ำลายยืดใส่หน่อย แค่เนี๊ยะทำมาบ่นนะโถถถถถ่
“ไม่รู้ดิต้องพิสูจน์”
“พิสูจน์อะไร! อย่านะเว้ยยย” ผมถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนบนเตียงอย่างไว เมื่อเห็นว่าพี่ปลายทำท่าจะกระโจนเข้ามาใส่ผมจริง ๆ กลัวใจอีกคนเหลือเกินว่าจะมาพิสูจน์อย่างที่ว่าจริง ๆ ไม่พอกลัวน้ำลายตัวเองที่ยังเกาะอยู่ที่อกไอ้พี่ปลายมันอีก คือแบบว่า...แหยง ๆ อ่ะ
“อันเก่าไม่นับ ป่ะเร็ว ไปพิสูจน์ในห้องน้ำกัน”
“ไม่เอาโว้ย!!! ปล่อยเด่” มือหนาของพี่ปลายจับเอาข้อเท้าของผม ก่อนจะแกล้งกระตุกเบา ๆ จนผมเกือบหงายหลัง “พี่ปลายเดี๋ยวหัวกระแทก อย่างแกล้งดิ อ๊ากกก” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนประชิดตัวทันที จากนั้นก็จับเอาผมพาดบ่าเป็นกระสอบข้าว แต่เหมือนจะยังไม่พอใจพี่เค้าเท่าไหร่นัก ก็พี่แม่งเล่นยกมือตีก้นผมไปสองป๊าบสะเทือนไปยันลำไส้ใหญ่เลยกู
‘ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
วันนี้เป็นวันปีใหม่ของพวกเราชาวโลก ทุกคนในครอบครัวตกลงปลงใจกันว่าตอนเช้าจะพากันไปวัด เพราะวัดใกล้ ๆ บ้านมีการจัดงานปีใหม่ใหญ่โต เช้าก็มีตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งกัน
หลังจากเลี้ยงเพลพระจนเรียบร้อย จะมีงานรื่นเริงให้ชาวบ้านละแวกนี้ได้มาสังสรรค์กัน มีทั้งร้องเพลงคาราโอเกะ ส่วนมากก็จะเป็นเพลงลูกทุ่งนั้นแหละครับ บ่ายคล้อย ๆ ก็จะมีลำวงพื้นบ้านให้ปู่ย่า ตาทวด เค้าได้สนุกสนานกระชุ่มกระชวยหัวใจกันไป
ช่วงเย็นก็จะมีจับของขวัญที่แจ้งให้ลูกบ้านเตรียมกันมาบ้านละกล่องสองกล่องแล้วแต่จำนวนสมาชิกและความสามารถ เหมือนกับบ้านผมเนี่ย ขนกันมาคนละกล่องเลยหล่ะ ซึ่งของข้างในก็มาจากของฝากที่ไอ้พี่เสาไฟฟ้ามันขนมาฝากตากับยายนั้นแหละครับ
“เอ้าตาแสน มานั่งนี้ๆ” ผมมองตามเสียงเรียกของผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตาของผม ก่อนจะยกมือไหว้เพื่อเป็นการทักทาย
“นั้นหลายเอ็งหล่ะสิ โตเป็นหนุ่มแล้วหน้าตาดีเชียว”
“เออ ไอ้ทะเลนั้นแหละ”
“เอ้าแล้วอีกคนนั้นใครหล่ะ ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” ตาแก้วชี้มือไปที่พี่ปลายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม
“ผะ...”
“เพื่อนครับเพื่อน” ผมรีบพูดแทรกขึ้นมาจนตาต้องหยุดชะงัก หันมาสบตากับผมอย่างไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ตาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
“เพื่อนทะเลมันนะจ้ะลุงแก้ว มาจากกรุงเทพฯโน้น”
“เออ หล่อดีเว้ย ชื่ออะไรหล่ะเอ็ง มีเมียหรือยังว่ะ ถ้ายังข้าจะยกหลานสาวให้เอาไหม ฮ่า ๆ ๆ”
“ผมชื่อปลายครับ ส่วนเรื่องมีเมียนั้น...” พี่ปลายหยุดพูดก่อนจะหันมามองหน้าผม ยกยิ้มมุมปากอย่างกวนอารมณ์ จากนั้นก็หันไปทางตาแก้วอีกครั้ง “มีบ้างไม่มีบ้างครับ”
หึ! ตอบว่าอะไรนะ
ผมหันขวับไปมองอีกคนทันที ไม่คิดว่าพี่มันจะตอบแบบนั้น อะไรของมันว่ะมีบ้างไม่มีบ้าง ตาแก้วเองก็คงจะไม่เข้าใจเหมือนผมเลยขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนคิดอะไรได้
“ฮ่า ๆ ๆ เออ จริงของเอ็งว่า เมียไม่มาก็ไม่มีสิเนอะ” มาดิตาแก้ว ก็ยืนหัวโด่อยู่เนี่ยไง อยากจะตะโกนบอกออกไปก็ทำไม่ได้ เพราะเมื่อกี้ดันไปพูดว่าเป็นเพื่อนกันไปแล้ว
“ครับ ผมมีแต่เพื่อนนี้แหละครับตอนนี้” พี่ปลายวางมือบนไหล่ผม บีบหนัก ๆ สองสามที พร้อมกับพูดประโยคนั้น ตาคมก็มองมาอย่างขบขัน “กลับบ้านไปค่อยมีเมียเน๊อะ”
เน๊อะบ้าอะไรของพี่มึงว่ะ นี่กำลังกวนประสาทกันใช่ไหม เอาเส่ เพื่อนก็เพื่อน
“เอ็งนี้มันก็ตลกดีเว้ย แล้วเอ็งหล่ะทะเล มีเมียกับเค้าหรือยัง”
“ยังเลยจ้ะ กำลังหาอยู่เหมือนกัน ตาแก้วช่วยผมหาสักคนสิ” เป็นไงหล่ะ นี่ตอบความจริงนะเว้ย ผมมีที่ไหนหล่ะเมีย หึหึ แต่ไอ้ประโยคหลังนี่อยากจะแกล้งคนด้วยความหมั่นไส้เท่านั้น
“บ๊ะ! ไม่ต้องหาหรอก ข้ายกหลานสาวให้เอ็งไปเลยดีไหมไอ้แสน”
“แล้วแต่พวกเอ็งเถอะ” ตาตอบเพื่อนวัยเดียวกันด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผมแวบนึงแล้วหันไปคุยกับเพื่อนตัวเองต่อ “เรื่องแบบนี้ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก เดี๋ยวบ้านแตกจะมาด่าหัวข้าอีก”
“เอ็งก็พูดเกินไปไอ้แสน หลานข้ามันออกจะเรียบร้อย นั้นไงหล่ะมาแล้ว” ตาแก้วที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ก็ยังคงยัดเหยียดหลานสาวตัวเองให้กับผม “ไอ้เกด มานี้หน่อยโว้ย”
“จ๋าตา มีอะไรหรือจ้ะ” คนโดนเรียกรีบเดินเข้ามาทันที หน้าสวยยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเขินอายเมื่อมองมาทางผมสองคน แต่สายตาที่มองนี่ไม่ได้มองหน้าผมเลยสักนิด ไม่ต้องสงสัยหรอกว่านางมองใคร ก็ไอ้พี่ปลายควายถึกของผมนี่แหละ
“สวยไหมหล่ะไอ้ทะเล ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ เอ็งอยากจะเปลี่ยนใจเป็นไม่มีเมียบ้างไหมหล่ะ” เอ้า ๆ ตาแก้วพูดแบบนี้ไม่อยากตายอย่างสงบแล้วใช่ไหมเนี่ย ถึงในใจจะร่ำร้องพูดออกไปแบบนั้น แต่ปากก็ทำได้แค่ยกยิ้มอย่างฝืดเคืองสุด ๆ ส่วนไอ้คนข้าง ๆ นะหรอ ไม่รู้แม่งจะยิ้มกว้างอะไรนักหนา
‘หมั่นไส้โว้ยยยยย
“สวัสดีจ้ะยายจันทร์ น้าเจี๊ยบแล้วก็พี่ ๆ ด้วยจ้ะ” อ่ะ ๆ บิดเข้าไป บิดจนผ้าถุงจะขาดแล้วนางเอ้ย
“ไหว้พระเถอะจ้ะแม่เกด แล้วนี่เราเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเนี่ย ไม่ค่อยได้เจอโตเป็นสาวแล้ว”
“อยู่ปี1 แล้วจ้ะ” คนโดนถามละสายตาจากพี่ปลายไปตอบคำถามแม่ผม ก่อนจะหันมามองหน้าพี่ปลายอีกครั้ง สายตาหยาดเยิ้มจนผมอยากจะเอื้อมมือไปดีดให้ลูกตาแตกสักที
“ไอ้เกดเอ้ย พาพี่ ๆ เค้าไปเดินดูงานสิไป ตรงนี้คนแก่เค้าจะคุยกัน”
“จ้ะตา ไปไหมจ้ะพี่”
พวกผมเดินตามน้องเกดหลานตาแก้วเข้ามาภายในงาน เด็กสาวที่เดินนำหน้าก็คอยเหลือบมองผมที มองไอ้พี่ปลายที มือก็บิดผ้าถุงไปมาอยู่อย่างนั้น มองแล้วก็อยากจะถามกับน้องแกจริง ๆ เลยว่าบิดเก่งขนาดนี้เป็นเด็กแว้นมาก่อนใช่ไหม
“พี่ ๆ ให้อาหารปลาไหมจ้ะ”
“เอาสิครับ” พี่ปลายตอบกลับไปอย่างสุภาพ มือหนายื่นไปหยิบเอาถุงขนมปังที่น้องเกดยื่นให้ ปากบางยิ้มออกมาน้อย ๆ เพื่อทำลายล้างจิตวิญญาณของคนที่มอง หน้าขาวของเด็กเกดถึงกับขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ต่างจากผมที่ตอนนี้หน้าแดงไม่แพ้กัน
“อยากโดนถีบลงไปเป็นอาหารปลาแทนขนมปังไหม? ยิ้มห่าอะไรนักหนาว่ะ” ผมกัดฟันพูดเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าเด็กเกดกำลังเดินไปหยิบเอาอาหารปลาถุงใหม่อยู่ คนโดนขู่ทำแค่หันมาส่งยิ้มพร้อมกับแบะปากอย่างไม่ใส่ใจคำพูดของผมเท่าไหร่นัก
“พี่ปลายจ้ะ เอาอีกถุงไหมจะได้ไม่ต้องแย่งกับพี่ทะเลนะจ้ะ”
“น้องเกดนี่น่ารักจังนะครับ อ่ะ!” หยิกแม่งไปทีด้วยความหงุดหงิดใจ เมียมึงยืนอยู่ตรงนี้ยังมีหน้าไปชมคนอื่นอีกหรอ
“เป็นอะไรหรอจ้ะพี่ปลาย”
“มดกัดนะครับ ตัวใหญ่ซะด้วย แถมหน้าก็งออีก”
“หืม? มดนั้นหรอจ้ะหน้างอ อิอิ พี่ปลายนี่ตลกจังเลยจ้ะ” แหนะๆ ตลกแดกหล่ะสิแม่เกด ก็แม่สาวน้อยร้อยเรียบ เอ้ยยย เรียบร้อยเล่นทำท่าหัวเราะคิกคัก มือก็ยกมาวางไว้บนแขนไอ้พี่ปลายลูบไปลูบมาอย่างเมามัน แล้วนี่ก็ยืนนิ่งเลยนะพี่มึง
ผมหันไปมองหน้าแม่สาวเกดเพื่อบอกให้เจ้าหล่อนเอามือออกจากแขนพี่ปลาย แต่เด็กมันวอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่พอแบะปากน้อย ๆ จนน่าหมั่นไส้ เลยต้องใช้วิธีมารในการขัดขวางทันที
“พี่ปลาย เกาหลังให้หน่อยดิเลคัน”
“เกดเกาให้ไหมจ้ะ”
“ไม่เป็นไร ขอบใจมากจ้ะ” แสยะยิ้มร้ายไปให้แม่นางหนึ่งที ก่อนจะหันมามองหน้าอีกคนที่อมยิ้มอยู่ “เร็ว ๆ ดิพี่ปลาย”
“หึหึ” คนโดนเร่งหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอี่ยวแขนออกจากมือของสาวเจ้า มาเกาหลังให้ผม เกาเองโดยที่ผมยังไม่ได้บอกเลยด้วยซ้ำว่าคันตรงไหน รู้ดีจังนะพี่มึงทีแบบนี้ ส่วนผมนะหรอ ยกยิ้มหวานเจี๊ยบให้สาวสวยที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ยักคิ้วหนึ่งทีอย่างคนเหนือชั้นกว่า
‘คนนี้ของพี่นะหนู ให้รู้ไว้บ้าง
หลังจากศึกเกาหลังผ่านไป ก็พากันเดินออกมาที่ลานกว้าง พวกลุงป้า น้าอา กำลังจะตั้งวงลำวงด๋าวด่าวกันอยู่ ไอ้ผมก็นึกอยากสนุกคึกครื้นเลยลากพี่ปลายให้ไปเข้าร่วมวงกับคนอื่น ๆ เค้าด้วย แต่มันไม่ได้มีแค่เราสองคนนะสิครับ ก็ยังมีแม่สาวงามทรามวัยเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ไม่พอคราวนี้ไปลากพี่ชายเจ้าตัวมาอีก
“พี่ ๆ จ้ะ นี่พี่อั๋น พี่ชายของเกดเองจ้ะ พี่อั๋นไปต่อหลังพี่เลสิ” น้องสาวพูดจบ พี่ชายก็เดินมาแทรกกลางระหว่างผมกับพี่ปลายทันที ส่วนคนน้องก็ไปต่อหลังพี่ชายตัวเองนั้นแหละ กลายเป็นว่าแม่นางกำลังยืนอยู่ข้างหน้าไอ้พี่เสาไฟฟ้าของผมไงหล่ะ
“น้องเลสวัสดีครับ โตเป็นหนุ่มแล้วน่ารักจังนะครับ”  คนมายืนซ้อนหลังยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู มือข้างหนึ่งก็วางทาบลงบนเอวผม จนผมต้องรีบเบี่ยงตัวให้มือนั้นหลุดออก
“ขอบคุณครับพี่อั๋น พี่เองก็โตมาแล้วดูดีขึ้นนะครับ” ผมยิ้มฝืนให้คนที่ไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่นัก เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ค่อยถูกกับไอ้นี่เท่าไหร่ นิสัยมันไม่ค่อยดีชอบแกล้งเด็กผู้หญิง ไม่พอยังล้อว่าผมเป็นตุ๊ดอีก
“น้องเลมีแฟนหรือยังครับ”
“ไม่มีหรอกครับแฟนนะ มีแต่ผัว!” พี่ปลายที่น่าจะยืนฟังอยู่พูดแทรกขึ้นมาเสียงดังจนคนอื่นหันมามอง แต่พี่ปลายก็ไม่ได้สนใจอะไร “ออกมานี่เลยเตี้ย กูไม่สนุกแล้ว” พูดเสร็จก็จับแขนผมลากออกมาทันที ทิ้งให้อีกสองคนยืนหน้าเหว่ออยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย พี่ปลาย ใจเย็น ๆ ก่อนดิ คุยกันก่อน” ผมร้องเรียกพร้อมทั้งกระตุกแขนที่อีกคนดึงไว้ให้หยุดเดิน เมื่อเห็นว่าห่างจากคนอื่นมามากแล้ว
“ทำไมว่ะ มึงอายหรอที่คบกับกู” พี่ปลายถอนหายใจออกมาสองสามครั้งแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ไม่ดิพี่ปลาย เลไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แล้วทำไมตอนตาจะแนะนำว่ากูเป็นอะไรกับมึง มึงต้องแทรกด้วย” อ๋อเรื่องนี้ ๆ เอง ตอนนั้นคิดว่าพี่ปลายไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นพี่แกยังพูดเล่นยิ้ม ๆ อยู่ ไม่คิดเลยว่าพี่มันจะเก็บเอามาคิดจริงจัง
“ก็เลกลัวว่าพี่จะอายคนอื่นเค้า”
“หึ กลัวกูอาย” พี่ปลายพูดออกมาแบบนั้นก่อนจะหันมามองหน้าผม เลิกคิ้วขึ้นอย่างกวน ๆ แล้วเริ่มพูดต่อ”หรือตัวมึงกันแน่เลที่อาย ถ้ามึงอายมากทีมีแฟนเป็นกู กูกลับไปเป็นเพื่อนให้มึงก็ได้นะ”
จบคำพูดของพี่ปลายผมถึงกับหน้าชา ไม่คิดว่าพี่มันจะพูดออกมาแบบนั้น จะให้กลับไปเป็นเพื่อนได้ยังไงว่ะแม่ง
ผมยื่นมือไปจับข้อมืออีกคนที่ทำท่าจะเดินหนีออกไป กำสุดแรงด้วยความโมโหแล้วเริ่มพูดเสียงดังขึ้น
“พี่ปลายหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ทำไม” คนตัวโตจ้องมองมาอย่างหาเรื่อง “มึงจะอะไรอีก ในเมื่อมึงอยากเป็นเพื่อนกับกูนักนี่ กูก็เป็นให้แล้วไง”
“หยุดพูด!” ผมตวาดเสียงดังใส่พี่ปลายด้วยความโกรธ น้ำตารื้นขึ้นมาเต็มทั้งสองตา คนตัวโตชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า พ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ สองสามที เหมือนกำลังสงบสติอารมณ์
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน” พูดจบพี่ปลายก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว
มันรู้สึกทั้งโกรธตัวเองและโกรธอีกคนที่มาทะเลาะกันเรื่องอะไรแบบนี้ แต่พอมาคิดทบทวนดี ๆ จริง ๆ เรื่องนี้ผมเองนั้นแหละที่ผิดเต็ม ๆ ที่มัวแต่กลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี ผมไม่ได้อายที่คบกับพี่ปลาย ไม่ได้อายที่มีแฟนเป็นผู้ชาย แค่คิดเผื่อไปว่าครอบครัวของผมอาจจะเป็นขี้ปากของชาวบ้าน และพี่ปลายอาจจะไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน แต่พอเจอพี่มันบอกว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกัน ผมนี่ฟิวส์ขาดเลย หัวใจแทบหยุดเต้น คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ จะทำยังต่อไป
ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาตามทางที่พี่ปลายเดินไปก่อนหน้านี้ ตั้งใจจะไปตามหาเพื่อขอโทษในสิ่งที่ตัวผมเองทำไป
“พี่ปลาย”
“อืม” คนตัวโตที่เดินสวนกลับมาพอดีตอบรับเบา ๆ หน้าคมยกยิ้มน้อย ๆ มาให้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าผม
“พี่ปลายครับ” ผมเดินเข้าไปกอดพี่ปลายเอาไว้แน่น ช้อนตาอ้อนขึ้นไปมองหน้าอีกคน ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกผิด “เลขอโทษที่งี่เง่า”
“เหมือนกัน” มืออุ่นลูบที่หลังผมเบา ๆ อย่างปลอบโยน
“ไม่เป็นเพื่อนนะ”
“นอกจากคนรักกูก็เป็นอะไรกับมึงไม่ได้แล้วเตี้ย แค่คิดก็เจ็บไปทั้งหัวใจแล้ว ถ้าไม่มีมึงไม่หายใจยังจะดีกว่า” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน ความหมายและคำพูดที่ได้ฟังทำให้หัวใจของผมพองโต มันเต้นแรงมากกว่าได้ยินคำว่ารัก เพราะมันแสดงความหมายว่าอีกคนก็ขาดผมไม่ได้เหมือนกับที่ผมก็ขาดพี่ปลายไม่ได้เหมือนกัน
พวกเรากลับมาที่บ้านหลังจากเสร็จงานในช่วยสองทุ่ม แม่พาผมกับพี่ปลายไปจุดธูปไหว้พ่อในห้องพระ เพื่อเป็นการบอกลาเนื่องจากพรุ่งนี้เช้าผมกับพี่ปลายจะต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว
“พ่อจ๋า สบายดีใช่ไหม สวัสดีปีใหม่นะจ้ะพ่อ” ผมนั่งมองรูปพ่อก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
“สวัสดีปีใหม่ครับคุณพ่อ” พี่ปลายเองก็กล่าวคำทักทายพ่อด้วยเช่นกัน
“พี่ลูกจะกลับไปทำงานแล้วนะ ตอนนี้เจ้าทะเลน้อยของพี่มันโตจนมีสามีแล้วนะพี่”
“พ่อจ๋า พ่อไม่โกรธหนูใช่ไหมที่หนูเป็นแบบนี้” ผมถามออกไปอย่างที่คิด หวังว่าพ่อที่มองผมจากบนฟ้าจะยิ้มให้ผมเหมือนเมื่อตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน
“พูดอะไรอย่างนั้นหล่ะลูก พ่อเค้าไม่โกรธหรอก ลูกเขยหล่อขนาดนี้ ใช่ไหมหล่ะพ่อ”
“แม่ก็ชมเกินปายยย” ผมหันไปกระแซะแม่ที่เอาแต่ชมพี่ปลายจนออกนอกหน้า คนโดนชมก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานข้าวหมาเลย
“พ่อครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“ดีมากพี่ปลาย พ่อถ้าพี่ปลายดื้อก็จัดการเลยนะ” หน้าคมหันมาส่งยิ้มให้ผมก่อนจะหันไปมองที่รูปของพ่ออีกครั้ง แววตาที่แสดงออกมาเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องให้ดีที่สุดครับ และจะไม่ทำให้น้องรู้สึกเสียใจที่มีผมเป็นคนรัก” ผมรู้สึกหน้าร้อนเพียงเพราะคำพูดที่อีกคนพูดกับพ่อ หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“น้ำเน่าอ่ะพี่ปลาย”
“เจ้าทะเล ว่าพี่เค้าน้ำเน่า แต่หน้าเรานี่แดงจนเป็นตูดลิงแล้วนะ”
“ง่าแม่อ่า~” ผมหันไปแบะปากใส่ทั้งแม่ทั้งแฟนตัวเองด้วยความหมั่นไส้ ทำไมต้องมาล้อกันด้วยก็ไม่รู้ก็คนมันเขินนี่นา ก็เมื่อกี้ที่พี่ปลายพูดมันเหมือนจะสู่ขอจากพ่อเลยอ่ะ
‘แม่จ๋าเรียกสินสอดแพง ๆ เลยน๊า
“พี่ พวกเราไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องให้พ่อกับแม่ผูกข้อมือให้ลูกอีก”
“หนูไปก่อนนะจ้ะพ่อ แล้วจะมาหาใหม่นะ”
“ลานะครับคุณพ่อ”
“ป่ะ ตากับยาย รอแย่แล้ว” ผมกับพี่ปลายยกมือไหว้พ่ออีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินตามแม่ออกมาจากห้องเพื่อไปหาตากับยายที่นั่งรออยู่
“ยายจ๋าหนูมาแล้ว”
“มานั่งนี่มาเร็ว” ยายตบพื้นข้าง ๆ เรียกให้ผมกับพี่ปลายลงไปนั่ง หลังจากนั้นก็หยิบเอาด้ายสายสิญจน์ที่วางไว้บนพานขึ้นมา
“พี่ปลายยื่นแขนมาสิ” พี่ปลายยื่นแขนขวาออกมาข้างหน้าตามที่ผมบอก หลังจากนั้นยายก็วางด้ายสายสิญจน์ไว้ที่แขนของพี่ปลาย ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงผูก ปากก็เอ่ยคำอวยพรไปด้วย
“ขอให้มีความสุขกายสบายใจนะหลาน มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกัน ถ้าอีกคนร้อนอีกคนก็ต้องเย็นเอาไว้นะลูก ยายฝากเจ้าทะเลให้พ่อปลายช่วยดูแลด้วยนะ ถ้าดื้อนักก็ตีได้เลยยายอนุญาต”
“ง่า!!! ยายจ๋า หนูไม่ดื้อเลยนะยาย พี่ปลายนั้นแหละดื้อ” ผมส่งสายตาออดอ้อนไปให้ยาย จนยายต้องยกมือมาลูบหัวอย่างเอ็นดู แต่ไอ้พี่ปลายนี่ดิแม่งไม่ร่วมมือ เล่นมาทำสายตาสยิวกิ้วใส่จนหน้าร้อนอีกแล้วเนี่ยยยยยย
“ครับยาย ผมจะดูแลน้องอย่างดี ถ้าดื้อผมไม่ตีหรอกครับ จะลงโทษด้วยวิธีอื่นแทนครับ”
“อุ๊บ๊ะ!ให้มันได้อย่างนี้สิว่ะ เอ็งนี่เหมือนข้าตอนหนุ่ม ๆเลยไอ้หลานเขย ฮ๋า ๆ ๆ” ตาหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจที่พี่ปลายพูดแบบนั้น เล่นเอาผมละเหี่ยใจจริง ๆ กับสองคนนี้
“เอ้าตา~หนูนี่หลานตานะ พี่ปลายมันไม่ใช่สักหน่อยยยยย”
“งอแงนะเจ้าทะเล มา ๆ ตาจะผูกแขนให้ผัวเอ็งบ้าง”  อีกแล้ว อีกแล้ว ผัว อีกแล้วววววววววว
“มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะเอ็ง”
“ตา!!!!”
“พ่อ!!! อวยพรอะไรของพ่อเนี่ย หลานไม่ได้จะแต่งงานสักหน่อย แล้วอย่างไอ้เจ้าทะเลมันจะมีลูกได้ยังไง”
‘โอ้ มาย ก๊อดดดดดดดด
ตาอวยพรแบบนี้เล่นเอาผมตาเหลือกด้วยความตกตะลึง แม่เองก็ไม่ต่างกันถึงได้ร้องเรียกคนเป็นพ่อเสียงดังลั่นบ้าน ตัดภาพมาที่พี่ปลาย ยิ้มแย้มแจ่มใสประหนึ่งแดกกัญชาไปหมดต้น
“เออว่ะ ฮ่า ๆ ไปดีมาดีนะหลายเอ้ย ว่าง ๆ ก็มาหาคนแก่บ้างหล่ะ”
“ตากับยายยังไม่แก่เลยครับ แต่ผมจะพาน้องมาหาบ่อย ๆ นะครับใกล้แค่นี้เอง” แหม๋ ๆ ๆ ทำคะแนนเก่ง แค่นี้ตากับยายก็จะไม่เอาผมเป็นหลานแล้วเนี่ยยยยยย
“ขอบใจนะลูกปลาย”
“ครับแม่” หลังจากนั้นแม่ก็ผูกข้อมือให้เราสองคนเป็นคนสุดท้าย อวยพรให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง ไม่พอยังฝากฝังพี่ปลายให้ดุผมเยอะ ๆ อีก
‘ผมดื้อหรอทุกคนนนนนนนนนนนนนน แล้วใครว่าผมไม่มีลูก เนี่ยมีตั้งสองลูกแหนะ อ่ะ ๆ หมายถึงลูกตานะ

To be con. »

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 19 ท.ทะเล โยกย้าย
«ตอบ #26 เมื่อ31-01-2020 15:37:29 »


ตอนที่ 19 ท.ทะเล โยกย้าย

หลังจากที่กลับมาจากบ้านสวนของตายาย ผมที่ตกลงกับพี่ปลายว่าจะยอมย้ายไปอยู่คอนโดพี่มันก็ได้ทำการย้ายข้าวของมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ผมแทบไม่ได้เป็นคนเก็บอะไรเลยสักอย่าง เพราะพี่ปลายคนกวนบาทา สั่งให้เพื่อน ๆ มารุมทึ้งห้องผมจนวุ่นวายไปหมดตั้งแต่เช้า ข้าวของที่ผมได้เก็บด้วยตัวเองก็มีแต่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้นเลยจริง ๆ ไอ้ของใช้ส่วนตัวที่ว่าก็มีแค่ชุดชั้นในนั้นแหละ เพราะแม้แต่เสื้อผ้าผมยังเก็บไม่ทันพวกพี่มันเลย
ของในห้องผมส่วนหนึ่งฝีมือเพื่อน ๆ พี่ปลายเก็บ จับทุกอย่างยัดลงกล่องที่ไอ้คุณพี่เสาไฟเป็นคนไปซื้อมา ส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากนั้น พี่ปลายบอกให้ทิ้งไว้ที่ห้องเหมือนเดิม เพราะว่าเอาไปก็รกคอนโดอันหรูหราของพี่แกเค้า เอาไว้ให้คนที่มาเช่าได้มีใช้บ้าง แต่อยากจะบอกเลยว่า ไม่ใช่มีใช้บ้าง นั้นมันเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างของกูเลยนะพี่มึง
ก็ทั้งโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า เตียงพร้อมที่นอน ตู้เย็น อุปกรณ์ครัว ไมโครเวฟมันก็ยังห้ามผมเอาไปเลย อยากจะร้องไห้แล้วโทรไปฟ้องแม่ว่า…
ไอ้พี่บ้ามันจะลักพาตัวหนู แต่ถ้าโทรไปจริง ๆ คิดหรอว่ายายเจี๊ยบจะเข้าข้างผม
‘ให้สากกะเบือตีหัวเถอะ
“น้องเล พี่เอาวางไว้ตรงนี้น่ะ”
“อ่ะ ครับ ๆ พี่วิว ขอบคุณนะครับ” พี่วิวคนน่ารัก(สำหรับผม) ลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่เข้ามาวางไว้ในห้องนอน ขณะที่ผมกำลังยืนอึน มึนตึบกับตัวเองว่า จะเอาอะไรจัดวางไว้ตรงไหนดี ก็ของไอ้เจ้าของห้องที่มันวางไว้อยู่ก่อนแล้วก็เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่กล้าจะไปหยิบไปย้ายของพี่แกเค้านะสิ
“เตี้ย ทำไมไม่เอาหนังสือใส่ตู้” หันไปมองค้อนสี่วินาทีให้ไอ้คนที่เพิ่งเดินเข้ามา คุณพี่ครับได้แหกตาดูหรือยังก่อนพูด ตู้พี่มึงเต็มเอี๊ยดขนาดนี้จะให้ยัดลงไปที่ช่องไหนหล่ะว่ะ
“ใส่ตู้เสื้อผ้าได้ไหมหล่ะ ตู้หนังสือล้นขนาดนั้นเนี่ย” จัดการชี้นิ้วให้ไอ้คนไม่ยอมแหกตาดูก่อนพูดได้เห็นว่าจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า
อยากจะทุบหัวพี่มันสักที บอกแล้วบอกอีกว่าให้ขนตู้หนังสือมาให้ด้วยก็ไม่ยอมจะเชื่อกันบ้างเลย ก็ครั้งก่อนที่มาก็เห็นว่าหนังสือของคุณท่านปลายปฐพีนั้นเยอะจนอยากจะโยนให้ปลวกแดก
แต่ก็สงสารคนแต่งที่อุตสาห์เขียนออกมาให้คนกวนประสาทอย่างพี่ปลายมันได้อ่าน แล้วไอ้ตอนบอกให้เอามาก็เถียงชิบหายวายวอดไม่ให้ยกมา บ่นอยู่ได้ว่ามันรกและไม่เข้ากับตรีมห้องสากกะเบือเรือรบที่ตัวเองแต่งเอาไว้อีก ทีนี้จะมาถามว่าทำไมไม่เก็บหนังสือเข้าชั้นอีกหรอ
“เดี๋ยวซื้อใหม่เอา”
“รวยจริ๊งงงงงงงง ยกของเลมาก็จบแล้วเนี่ย” หมั่นไส้จริง ๆ พวกคนมีเงินเหลือใช้ ของเก่าก็มียังดีอยู่ด้วย ไม่รู้จะอะไรนักหนา
“ของมึงมันทุเรศ”
“ทุเรศตรงไหน ออกจะน่ารัก” น่ารักจริง ๆ นะบอกเลย ก็ตู้หนังสือสีฟ้าลายการ์ตูนตัวกลม ๆ ตอนซื้อนี้เลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะได้อันนี้ ก็ที่ร้านนั้นมีแต่ลายน่ารัก ๆ ทั้งนั้น คนอย่างพี่ปลายมันไม่เข้าใจหรอก เพราะมันซื้อบื้อ
“ครับผม น่ารักที่สุดเลยเมีย”
!!!
เอ่อออออออ ทำไมหักมุมแบบนี้ได้ว่ะ อยู่ ๆ ไอ้คนที่มันควรจะเถียงต่อก็เดินมาประชิดตัว ก้มหน้าลงมากระซิบข้างหู เสียงนุ่มยิ่งกว่าคัตเติ้ลบัต เล่นเอาขี้หูผมกลายเป็นสีชมพูไปหมด
“แหวะ กูจะอ้วกไอ้เฮี้ยปลาย” เสียงพูดพร้อมท่าทางของคนที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คงได้ยินว่าไอ้พี่ปลายมันพูดอะไรแน่ ๆ ก็พี่วิวแกทำท่าขนลุกขนพองซะขนาดนั้น ส่วนผมที่กำลังยื่นอึ้งทึ้งแต่ไม่ได้เสียวก็รีบหันไปดันไอ้คนที่น่าจะแดกน้ำตาลเยอะไปจนพูดอะไรหวานเลี่ยนเล่นเอาขนตั้งเด่ให้รีบออกไปไกล ๆ ตัว
“งื่อออ ออกไปเลย เลจะจัดของแล้ว เกะกะ”
“เออ ออกมาช่วยพวกกูขนของเลย ปล่อยให้น้องมันมีอากาศหายใจบ้างเถอะ ตามเก่งจริง ๆ”
“ใช่เลยพี่วิว ลากออกไปด้วยเลยครับ” รีบพยักหน้างึกงัก ๆ จนแทบหัวหลุด เห็นด้วยกับพี่วิวที่บอกให้คนที่ทำให้ผมหน้าร้อนออกไปช่วยชาวบ้านชาวช่องขนของ คนโดนไล่ก็ไม่แสดงท่าทางอะไรเลยสักนิด แค่ยืนทำหน้านิ่งเหมือนว่าสิ่งที่พวกผมพูดกันอยู่ไม่ได้พูดถึงตัวเองเลยซะอย่างนั้น จนสุดท้ายพี่วิวคงลำคานเลยต้องเดินมาลากให้ตามออกไป
“ไปดิ เร็ว”
‘เดี๋ยวคืนนี้มึงโดน’ แต่ก่อนจะเดินออกไปจนลับตา ยังมีหน้าขยับปากเป็นคำพูดคาดโทษผมไว้อีก เล่นเอาอยากจะขนของหนีกลับคอนโดตัวเองเลยจริง ๆ ไอ้คำว่าโดนของพี่มันนี่ มีไม่กี่อย่างหรอกครับ ไม่โดนดีดหน้าผาก ดีดหู ก็โดน...
นั้นแหละ
วางยาสลบมันทันไหมว่ะเนี่ย
“เฮ้อออ เสร็จสักที” หลังจากที่วางกล่องสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย พี่กิตก็ถอนหายใจออกมาอย่างดังด้วยความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับน้องกานแฟนพี่ระติที่เข้ามาช่วยจัดของพอดี
“ขอบคุณมากนั้นครับพวกพี่” ยกมือไหว้พวกพี่ ๆ ที่กำลังนั่งรวมตัวกันที่โซฟาหน้าทีวีอีกครั้ง “ทานอะไรกันดีครับ เดี๋ยวมื้อนี้เลเป็นเจ้ามือเอง”
“ว๊าววว แค่ได้ยินแค่นี้ก็หายเหนื่อยเลย” พี่กิตคนเดิมพูดออกมาอย่างมีความสุข
“หายแล้วก็ไม่ต้องแดก” และหยุดชะงักเมื่อพี่ปลายกวนกลับ
“ไปกินที่ร้าน หรือว่าจะสั่งมากินที่ห้องดีครับ” ผมเอ่ยถามทุกคนอีกครั้ง เพราะเหมือนกับว่ายังไม่มีใครมีข้อเสนอแนะว่าจะกินอะไรเป็นมื้อบ่ายของวันนี้ “พี่ปลายว่ายังไง?”
“ไปร้านก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องล้างจานด้วย ห้องก็ยังเก็บไม่เสร็จเลย” คนที่ตอบไม่ใช่พี่ปลายนะครับ แต่เป็นพี่วินคนหล่อพ่อทูลหัวของพี่วิวเป็นคนออกความเห็น และเหมือนกับว่าจะเป็นความเห็นที่ทุกคนยอมรับ
“ถ้างั้นก็ไปกันเลยครับ” พูดจบก็พากันลุกฮือขึ้นมากันหมด ลองคิดดูสิครับผู้ชายตัวโต ๆสี่ห้าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาบริเวณเดียวกัน ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน แล้วบริเวณตรงนั้นจะวุ่นวายมากแค่ไหน คนที่ดูจะน่าสงสารที่สุดก็คงเป็นพี่วิวนั้นแหละ ก็พี่แกตัวเล็กกว่าคนอื่นเค้าเพื่อนเลย โชคดีที่ผมกับน้องกานยืนอยู่ห่างจากตรงนั้น ไม่งั้นคงดูวุ่นวายมากกว่าเดิมอีก
“ไปครับกาน” พี่ระติหนึ่งในผู้ชายตัวโต เดินแยกตัวมาหาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม มือหนายื่นมารอให้คนเป็นแฟนยกมือขึ้นมาจับกัน
“พี่เล ตามมานะครับ”
“ครับ” ผมส่งยิ้มหวานตอบน้องกาน ก่อนที่น้องจะเดินตามแรงจูงของคนเป็นแฟนไป ตอนนี้ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว เหลือแค่ผมกับเจ้าของห้องที่มีตำแหน่งเป็นแฟนยืนบื้ออยู่
“พี่ปลายไปกัน”
“อืม” คนตอบรับไม่ยอมขยับตัว ยังยืนนิ่งอยู่หน้าทีวีจนผมต้องเรียกซ้ำอีกครั้ง
“อืม ก็เดินมาสิ”
“อืม” พี่ปลายยังคงตอบกลับมาสั้น ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัวเดินออกมาจากตรงนั้น ผมชักเริ่มรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลซะแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก
“เอ้าพี่ปลาย ก็เดินมาสิครับ”
“อืม” ครั้งนี้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนตัวโตน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วแน่ ๆ เพราะขนาดผมเดินมาหาถึงที่ เจ้าตัวยังไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกาย เลยต้องยอมเดินอ้อมโซฟาไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าของคนตัวโตกว่า
“เป็นอะไรครับเนี่ย? โกรธอะไรเลหรอ” ผมช้อนตาขึ้นไปมองสบตากับตาคมของอีกคน ส่งยิ้มออดอ้อนไปให้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พี่ปลายพูดอะไรมากมายขึ้นมาเลยสักนิด
“ป่าว”
“ป่าวแล้วทำไมไม่ไปครับ”
“ไม่ทำไม”
“พี่ปลาย เป็นอะไรไหนบอกเลสิ” ผมที่เริ่มจะไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว อยากจะจับอีกคนมาทุบสักทีสองที โทษฐานที่ถามอะไรแล้วไม่ค่อยอยากจะตอบ
“ไม่ได้เป็น”
“อึดอัดหรอที่เลมาอยู่ด้วย”
“ไม่ใช่!” เสียงตอบกลับคราวนี้เหมือนอีกคนจะเริ่มมีอารมณ์ร่วมด้วยแล้ว เพราะหน้าคมที่นิ่งเฉยตอนนี้เริ่มมีอาการขมวดคิ้วเข้าหากันจนชิด ตาคมก็จ้องมองมาด้วยความหงุดหงิด อย่าว่าแต่พี่ปลายหงุดหงิดเลย ผมเองก็ชักจะหงุดหงิดพี่มันแล้วเหมือนกัน
“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมทำหน้าแบบนี้หล่ะ!” ผมเริ่มพูดด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น แสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจกับสิ่งที่พี่ปลายทำอยู่ตอนนี้ ยกมือสองข้างขึ้นเท้าเอวด้วยความเหลืออด
“ก็...”
“ก็อะไร?”
“อยากให้เดินมาจับมือแบบไอ้ระติบ้าง” เสียงอ่อย ๆ ที่ตอบมากับตาคมที่เหมือนกำลังรู้สึกผิด เล่นเอาผมยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เวลาคนตัวโตๆ ที่ชอบทำหน้าดุ ๆ แล้วมาทำท่าทำทางแบบนี้ก็น่าเอ็นดูไม่ใช่เล่นเลยจริง ๆ
“โถ่~ แล้วทำไมไม่เดินมาจับมือเลหล่ะ” ผมโอบมือทั้งสองข้างไปรอบเอวหนาของพี่ปลาย ซุกหน้าลงบนอกกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกคนด้วยแววตาหยอกล้อ “หรืออยากจะอ้อนเลครับ”
“พอเลยเตี้ย ไปได้แล้ว” คนโดนแซวถึงกับหน้าแดงเรื่อ มือหนารีบยกมาผลักหัวผมเบา ๆอย่างไม่จริงจังนัก แต่เพราะนาน ๆ ทีจะเห็นพี่ปลายงี่เง่าได้น่ารักขนาดนี้ ผมเลยต้องเพิ่มดีกรีความเขินให้อีกคนเสียหน่อย
จุ๊บ
“เดี๋ยวจะโดน” คนโดนจูบปลายคางถึงกับพูดเสียงดุ ตาคมจ้องมองหน้าผมอย่างเหลืออด ต่างจากแก้มทั้งสองข้างที่ขึ้นสีมากกว่าเดิม ผมที่ยังนึกสนุกที่ได้แกล้งก็ละมือออกจากเอวหนา ถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อความปลอดภัย จากนั้นก็ยกนิ้วชี้เอื้อมไปจิ้มที่แก้มสากเบา ๆสองสามที
“น่ารักนะเนี่ยเราเนี่ย”
“ไอ้หมาเตี้ย!”
“ฮ่า ๆ ๆ ไปแล้วจ้า” วิ่งสิครับรออะไร แกล้งพี่ปลายเสร็จก็วิ่งหางจุกตูดออกมาทันที ใครจะยืนอยู่ให้พี่มันถีบหงายหล่ะ


ตอนนี้พวกเราทั้งเจ็ดคนมาถึงร้านอาหารที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ร้านอยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่อยู่เท่าไหร่นัก เป็นร้านอาหารไทยที่มีเมนูหลากหลายให้ได้เลือกทาน รสชาติค่อนดีสมกับราคาที่ทางร้านตั้งเอาไว้
“พวกมึงนี่หนีกูไปมีครอบครัวกันหมดเลยนะ” พี่กิตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดขึ้นหลังจากที่พนักงานรับออเดอร์เดินออกไปแล้ว คนที่โสดคนเดียวของโต๊ะมองพวกเราหกคนที่เหลือด้วยแววตาเหลืออด
“ก็หาเมียสิว่ะ หรือมึงอยากหาผัวก็ไม่มีใครว่า”
“แบบมึงอ่ะนะไอ้วิว” พี่กิตตอบกลับเพื่อนตัวเล็กด้วยคำถามที่เล่นเอาคนโดนแซวต้องทำตาดุใส่ แต่หน้าขาวของพี่วิวก็ต้องขึ้นสีเมื่อพี่วินที่นั่งข้าง ๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่ ไม่พอยังก้มหน้าลงมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่เล่นเอาหน้าขาวแดงมากกว่าเดิมเข้าไปอีก
“มึงพูดอะไรว่ะวิน ไอ้วิวมันถึงหน้าแดงขนาดนั้น” คนอยากรู้อย่างพี่กิตก็อดที่จะถามออกมาตรง ๆ ไม่ได้ และมันก็เป็นคำถามที่พวกเราที่เหลือก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน มีแต่พี่วิวเท่านั้นที่หันไปจ้องหน้าคนเป็นแฟนเหมือนจะบอกว่าห้ามตอบคำถามพี่กิต
“เสือก”
“แน่นอน” คนโดนด่ายิ้มรับอย่างเต็มอกเต็มใจกับคำด่าของพี่วิว “บอกสักทีสิว่ะ กูรอเสือกอยู่”
“อย่านะมึงวิน”
“หึหึ”
“พูดมาไอ้หล่อ พวกกูรอฟังอยู่เนี่ย” พี่กิตที่ท่าทางจะอยากรู้มากถึงกับลุกขึ้นยืน เพราะคนโดนถามไม่ยอมตอบเอาแต่นั่งหัวเราะ
“ถ้ามึงพูดกูจะโกรธ”
“พี่วิว ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอพี่พูดแบบนี้นี่ผมคิดเลย” เพราะคำพูดและท่าทางของพี่วิวที่จ้องมองพี่วินตาเขม็ง เล่นเอาพี่ระติที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ต้องพูดขึ้นมาบ้าง พี่ปลายเองก็เช่นกัน
“นั้นดิไอ้วิว ส่วนมึงก็พูดมาสักทีเถอะไอ้วิน”
“ก็แค่บอกว่า...”
“ไอ้วิน!”
“รักวิวนะครับ”
“วินมึงอ่ะ~” น้ำเสียงอบอุ่น กับแววตาที่เต็มไปด้วยความรักที่พี่วินมองพี่วิวเล่นเอาคนโดนบอกรักถึงกับซุกหน้าเข้าหาไหล่กว้างของคนเป็นแฟน ต่างจากพี่กิตที่ร้องออกมาลั่นด้วยความตกใจ
“เชี่ยยยยยย!”
“หวานมากเลยครับ” น้องกานเอ่ยชม
“น่ารักจังเลยครับพี่วิน”
“เตี้ย! ชมมันต่อหน้ากูเลยนะ” พอผมพูดจบก็โดนคนข้าง ๆ ดุทันที จนคนอื่น ๆ เปลี่ยนเป้าหมายจากคู่พี่วิวมามองพวกผมแทน และก็ยังเป็นพี่กิตเจ้าเดิมที่พูดเสริมขึ้นมา
“อ้าว ๆ ๆ ๆ งานเข้าแล้วน้องเล”
“อะไรเล่าพี่ปลาย ก็พวกพี่เค้าน่ารักจริง ๆ นี่”
“ทะเล” คราวนี้พี่ปลายใช้เสียงเรียบ ๆ มือหนายกมาวางไว้บนไหล่ผม เหมือนจะบอกว่าถ้ายังกวนประสารทไม่เลิก พี่ปลายคงจะทุบผมแน่ ๆ แต่คนอย่างทะเลลูกยายเจี๊ยบนั้น ไม่มีทางจะยอมแพ้แค่นี้แน่ ๆ
“เลรักพี่ปลายนะครับ”
!!!
“ไอ้เฮี้ยยยยยยยยย!!!” คนที่โดนบอกรักตกใจจนนั่งนิ่งไปแล้ว แต่พี่กิตคนโสดกลับร้องดังกว่าเดิมเข้าไปอีก ไม่พอเท่านั้น พี่วิวคนน่ารักที่รอดพ้นจากการโดนกลั่นแกล้งไปเรียบร้อย ก็หันมาหัวเราะใส่ผู้ร่วมชะตากรรมทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้ปลายเป็นไงหล่ะมึง”
“พี่ปลายหน้าแดงแล้วครับ” พี่ปลายที่โดนพี่ระติทักเรื่องหน้าแดงก็หันไปขยับปากด่ารุ่นน้องอย่างไม่มีเสียง ‘กวนส้นตีน’ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พี่ระติกลัวเลยสักนิด แถมพี่เขายังส่งยิ้มกว้างมาให้พี่ปลายซะอีก
“โอ้ยยย แดกข้าวไม่ลงแล้วกู เลี่ยนสัส” และก็ยังเป็นพี่กิตที่ผมคิดว่าน่าจะเหงาที่เป็นคนบ่นออกมาอีกเหมือนเดิม จะว่าไปก็สงสารพี่กิตแกนะครับ ก็เล่นมานั่งอยู่ในดงคนมีคู่เค้าเนี่ย น่าสงสารจริง ๆ เลย
หัวเราะเบา ๆ


หลังจากทานอาหารกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ผมกับพี่ปลายแวะไปซื้อของใช้ที่จำเป็นรวมถึงตู้ใส่หนังสือใบใหม่ตามที่เจ้าของห้องเขาบอกว่าจะซื้อก่อนจะกลับเข้าห้อง
ข้าวของที่ขนมาจากคอนโดผมตอนนี้ถูกจัดเก็บจนเกือบทั้งหมดแล้ว จะเหลือแค่หนังสือที่ต้องรอตู้มาส่งอีกสองวัน กับชุดชั้นในที่ผมยังไม่รู้ว่าจะเอาใส่ตรงไหนดี
ก่อนหน้านี้เรายังไม่ได้แบ่งช่องเก็บของกันก่อนผมย้ายเข้า เลยทำให้ตอนนี้ของพี่ปลายยังอยู่เต็มทุกลิ้นชัก จะถือวิสาสะจับย้ายก็กลัวว่าถ้าเจ้าของเค้าหาไม่เจอก็จะพาลหงุดหงิดใจอีก ตอนนี้เลยต้องนั่งรอให้คนที่กำลังอาบน้ำอยู่ออกมาก่อน จะได้ถามว่าจะให้ผมเก็บไว้ตรงไหนได้บ้าง
แกร๊ก
เสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออกมาทำให้ผมต้องหันไปมอง พี่ปลายที่ตอนนี้มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันอยู่ที่รอบเอวอย่างหลวม ๆ ยังคงทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า เพียงเพราะได้เห็นลอนกล้ามหน้าท้องที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ กับท่าทางที่อีกคนกำลังยกมือขึ้นเช็ดผมที่เปียก
‘เซ็กซี่มากบอกเลย
“เตี้ย! น้ำลายหกแล้ว”
“เอ้ยยย! มั่วว่ะ” ปากเถียงอีกคนว่ามั่ว แต่มือกลับยกขึ้นปาดน้ำลายอย่างรวดเร็ว จนคนขี้แกล้งขำออกมาอย่างสนุกสนาน มีใครรู้สึกบ้างว่า เดี๋ยวนี้พี่ปลายมันโคตรแกล้งเก่งเลย
“พรุ่งนี้ ไปบ้านกูนะ แม่บอกให้พามึงไปกินข้าว”
“ห๊ะ! ไปบ้านพี่หรอ?” ผมทำสีหน้าตกใจเมื่ออยู่ ๆ พี่ปลายก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ถึงจะได้ยินชัดเต็มสองหูแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่ดี
“อืม ไปบ้านกู” พี่ปลายเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าผม ยื่นผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ใช้เช็ดผมมาให้ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน หันหน้าเข้าหาผมเพื่อให้เช็ดผมให้เจ้าตัว “ไม่อยากไปหรอ?”
“ปะ...ป่าว แค่ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า” ผมตอบเสียงกระตุก หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาเสียงอย่างนั้น ยิ่งตอนได้สบตากับพี่ปลายก็ยิ่งใจเต้นแรงเข้าไปอีก ตาคมสีเข้มที่เหมือนมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดให้จ้องมอง แต่ก็สร้างความรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นบนใบหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าผมจะเคยจ้องตากับพี่ปลายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่รู้สึกหลงใหลนัยน์ตาคมคู่นี้
“งั้นก็ตกลงนะ”
“ครับ” ผมตอบรับไปสั้น ๆ ก่อนที่มือหนาจะดึงตัวผมเข้าไปหาจนแนบชิด จัดการยกตัวผมขึ้นนั่งบนตักกว้าง “พี่ปลายปล่อยเลเลยนะ”
“ทำไมต้องปล่อย”
“เลยังไม่ได้อาบน้ำ ตัวเหม็นมากเลย”
“ยังหอมอยู่เลย” อีกแล้วมุกนี้อีกแล้วพี่มึง ผมยังจำฝังใจเลยนะตอนนั้นที่พี่มันหลอกกินตับกัน ทำท่าเหมือนตอนนี้เลยเนี่ย ทำเป็นก้มลงมาซุกซอกคอดมกลิ่นตัวผมเนี่ย กูจำได้นะเว้ยยยยยยยยยย
“ไม่เอาพี่ปลาย คุยกับเลก่อนดิ๊”
“ก็คุยมาสิ” คนบอกให้คุย แต่ไม่ยอมเงยหน้ามามองกัน มือก็เลื้อยไปทั่วจนผมเริ่มหวิวไปทั่วช่องท้อง หน้าคมก็ซุกไซ้ร์อยู่ที่ซอกคอบ้าง เลื่อนมาใช้ปากขบติ่งหูผมบ้าง
‘เสียวนะเว้ยไอ้คนบ้า
“อื่อออ~ ปล่อยเลก่อนนะครับ” เพราะรู้ดีว่ายิ่งดิ้นยิ่งเหมือนไปเพิ่มอารมณ์ให้อีกคน เนื่องจากเคยทำมาแล้ว และไม่เคยรอดสักครั้ง คราวนี้เลยลองเปลี่ยนดูบ้าง และเหมือนกับว่าจะได้ผล
“ว่าไงครับ”
“งื่อ~” แค่เสียงนุ่ม ๆ กับคำว่าครับของพี่ปลาย ก็เล่นเอาตัวผมอ่อนระทวยไปหมด จากที่คิดว่าน่าจะรอดแล้วกลายเป็นว่า
อยากเสียตัวขึ้นมาทันที
‘เลแพ้คนอ่อนโยน
แต่จะปล่อยตัวปล่อยใจแบบนั้นไม่ได้ครับ ผมต้องตั้งสติอย่าให้พี่ปลายยิงดาเมจความหวานจนเบาหวานขึ้นตาแบบนี้ ยังมีเรื่องที่ต้องถามและทำความเข้าใจกันอยู่
“พี่ปลายไปแต่งตัวก่อนเลย คุยแบบนี้มันไม่ปล่อยภัย” หลังจากที่ตั้งสติแล้วดันตัวออกจากร่างหนามายืนได้อย่างยากเย็นแล้ว ก็ควบคุมสติตัวเองด้วยการหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ปล่อยให้สายตาเผลอไปจ้องซิกแพคบนร่างเปลือยเปล่านั้น
“ก็คุยแบบนี้แหละ คุยเสร็จจะได้ไม่เสียเวลา”
“ไม่เสียเวลาอะไร ???” ถึงกับต้องทำตาเหลือกด้วยความตกใจ พูดออกมาได้ยังไงไม่เสียเวลา แล้วนี่ก็ดันคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วด้วยเนี่ย ก็ลองคิดดูดิ ไม่ใส่เสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เสียเวลามันมีกี่เรื่องกันนนนน
ล่อกแล่กแล้วกู จะหนีไปไหนดีว่ะเนี่ย
“พ่อแม่พี่รู้เรื่องเราแล้วใช่ไหม” พอไม่รู้จะทำยังไงดีก็ถามคำถามพี่มันซะเลย เผื่อมันจะลืม ๆ ไปได้บ้าง
“อืมรู้แล้ว”
“แล้วว่าอะไรไหม?”
“ก็ไม่ว่าอะไร นอกจากเรื่องที่ยังไม่ได้พามึงไปเจอ แต่พามึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันก่อน”
“เอ่อ...” ฟังจบก็สตั้นไปสองวิ ก็จริงอย่างที่พี่ปลายว่า ผมย้ายมาอยู่กับพี่ปลายโดยที่ยังไม่ได้ไปคุยกับทางบ้านพี่มันเลย ทั้ง ๆ ที่พี่ปลายก็ไปบ้านผมมาแล้ว แถมไปหาแม่ผมมาแล้วตั้งหลายครั้งอีก
“แต่กูก็บอกไปแล้วว่า จะพาไปเจอหลังจากไปบ้านมึงก่อน อยากจะไปคุยกับครอบครัวมึงให้เรียบร้อยก่อนไง”
“ครับ” พอฟังพี่ปลายพูดแบบนั้นก็ถือว่าสบายใจขึ้นมาบ้าง ไม่อยากให้คนที่บ้านพี่เค้าไม่ว่าเอาว่าไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ “แล้วพ่อแม่พี่ดุไหม?”
“ดุ”
“ง่า! งั้นไม่ไปได้ไหม เลกลัว” ถึงกับขนลุกทันทีที่พี่ปลายตอบมาด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้น ความกลัวพุ่งขึ้นหัวรวดเร็วยิ่งกว่าเนต 5G
“กลัวทำไมกูก็ไปด้วย ไม่ได้ให้มึงไปคนเดียวเสียหน่อย”
“ก็พี่ปลายบอกว่าพ่อแม่ดุ เลก็กลัวดิว่ะ” ทำหน้างอแงใส่แม่งเลย คนมันกลัวจะห้ามได้ยังไงกัน พ่อแม่ตัวเองนี่หว่าตัวเองก็ไม่กลัวดิ พี่ปลายแม่งไม่เข้าใจเลเลยว่ะ
“ก็ดุ ถ้าทำตัวไม่ดี แต่ถ้าอยู่ปกติเค้าจะมาดุมึงทำไม? ยกเว้นแต่ว่า...”
“ว่าอะไรพี่ปลาย?” อ่ะ ๆ เหตุผลพอฟังขึ้น แต่ไอ้ที่พูดแล้วทำท่าทางมีลับลมคมใน ไม่พอยังเว้นวรรคให้หายใจไม่ทั่วท้องนี่เล่นเอาใจแป๋วขึ้นมาทันที
“มึงแอบนอกใจกู”
“โธ่! ไอ้พี่ปลายบ้า ตัวเองนั้นแหละ แฟนเก่าวนเวียนอยู่รอบตัวเลย”
“นี่หึง?” เออดิว่ะ นี่คนนะเว้ยไม่ใช่พระอิฐ พระปูน แต่อย่าไปยอมรับครับไม่ดี
“ใครหึง? ไม่มี๊” เสียงสูงยิ่งกว่านี่คงได้เป็นนักร้องโอเปร่าแล้วเนี่ย
“หึหึ เออดี”
“ดีอะไรว่ะ”
“ก็ดีที่ไม่หึงไง”
“ทำไม จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจงี้?” แม่ง คนไม่หึงบอกว่าดี หมายความว่าไงว่ะ เนี่ยแม่งเล่นกูของขึ้นเลยเนี่ย อ๊ากกกกกกกกกกก
“ป่าว” คนที่เหมือนจะรู้ว่าผมเริ่มจะงี่เง่าก็ลุกขึ้นมายืนใกล้ ๆ จ้องหน้าผมพร้อมกับยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ “เพราะกูจะไม่มีวันนอกใจมึง”
“บ้าว่ะ!” เขินเลยนะเว้ยยยไอ้พี่บ้า อยากจะประกาศรับบริจาคน้ำด่วนเลยน่ะ หน้าจะไหม้แล้ว ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยมาดับความร้อนบนหน้าเลที
‘อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยย
ปัง
“เตี้ย ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ไม่ออกโว้ยยยย จะอาบน้ำ” หึหึ วิ่งหนีสิจ้ะรอให้มันจับไปแดกหรอ ต้องรีบพาหน้าไหม้ ๆ ไปแช่น้ำอย่างด่วน เพราะมั่นใจเลยว่าถ้ายังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ จะไม่ไหม้แค่หน้าเท่านั้น ได้ไหม้ทั้งตัวแน่นอน


-----------------------
ผมเดินตามหลังพี่ปลายมาอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่จอดรถที่โรงจอดรถหน้าบ้านพ่อแม่พี่ปลาย ความประหม่าทำให้มือทั้งสองข้างเริ่มเหงื่อออก ความตื่นเต้นที่จะได้เจอกับพ่อแม่ของพี่ปลายเล่นเอาผมทำงานแทบไม่ได้
ถึงแม้ว่าทุกคนในบ้านจะรับรู้เรื่องที่เราสองคนคบกัน และยอมรับได้ว่าพี่ปลายคบกับผมที่เป็นผู้ชาย แต่เอาจริง ๆ เถอะนะ มีใครบ้างว่ะไม่ตื่นเต้นตอนเข้าบ้านแฟนครั้งแรก ไอ้เลคนนี้เอาหัวพี่ปลายมันเป็นประกันเลยว่าคงไม่มีแน่ ๆ ลองคิดดูดิถ้าเผื่อว่ามีคนแบบนั้น มันต้องสตรองแค่ไหนกัน???
“น้องเล มาแล้วหรอลูก” เสียงหวานที่เอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าสวยเมื่อเห็นผมกับพี่ปลายเดินเข้ามาถึงข้างในตัวบ้าน มืออุ่นจับที่แขนของผมอย่างเป็นกันเองต่างจากผมที่รู้สึกขัดเขิน
“สวัสดีครับคุณน้า”
“อะไรกันลูก ทำไมเรียกแม่ว่าน้า เดี๋ยวโดนตีนะจ้ะ” คนบอกจะตีกลับยิ้มกว้างมาให้ผม มืออุ่นเลื่อนมาจับมือผมไว้เหมือนจะช่วยผ่อนคลายความประหม่าให้ลดน้อยลง
“ขอโทษครับคุณ...แม่”
“ดีมากจ้ะ” เมื่อได้ฟังคำที่ต้องการรอยยิ้มหวานก็กว้างขึ้นกว่าเดิม “หิวหรือยังลูกมา ๆ แม่ทำกับข้าวไว้เยอะแยะเลย”
“แม่ครับ ลืมลูกชายหรือเปล่าครับ”
“อ้าว! ตาปลาย มาด้วยหรือจ้ะ” ผมยิ้มออกมาทันทีกับความขี้เล่นของแม่พี่ปลาย หลังจากที่ลูกชายตัวเท่าเสาไฟฟ้าสะกิดที่ไหล่เบา ๆ เพื่อบอกว่าเจ้าตัวก็อยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน
“แม่คร๊าบบบบ”
“หึหึ สมน้ำหน้า” และอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะพูดตามความรู้สึก จนคนโดนหัวเราะใส่หันมาทำตาดุใส่
“ไอ้เตี้ยเดี๋ยวมึงจะโดน”
เพี๊ยะ
“โอ้ยยย แม่ตีปลายทำไมครับ” มือบางตีลงบนแขนแกร่งของลูกชายจนคนโดนตีถึงกับร้องออกมาเสียงดัง ผมเองก็ตกใจไม่ต่างจากพี่ปลายเท่าไหร่นัก ก็ไม่คิดว่าแม่พี่ปลายจะตีให้เห็นต่อหน้าแบบนี้
“ไปเรียกน้องแบบนั้นได้ยังไงลูก พูดก็ไม่เพราะเดี๋ยวแม่จะยุให้น้องทิ้งเรา”
“กล้าทิ้งกูหรอ?” ถึงกับหน้าเหวอเมื่ออยู่ ๆ ไอ้คนโดนแม่ดุก็หันมาถามเสียงอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็เหมือนได้เจอกับเดจาวู
เพี๊ยะ
“แม่คร๊าบ ปลายเจ็บนะครับ” ใช่แล้วครับ ไอ้พี่เสาไฟมันโดนตีอีกทีตรงที่เดิม แต่บอกเลยว่าแรงกว่าเดิมสามเท่าตัว ตอนนี้เลยคิดว่าแขนตรงที่โดนตีคงจะแดงไปแล้วแน่ ๆ
“ก็ตีให้เจ็บจะได้จำ ต่อไปนี้ห้ามพูดไม่เพราะกับน้อง เข้าใจไหมตาปลาย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ พี่ปลายก็เป็นคนแบบนี้แหละครับ ไม่ค่อยชอบพูดดี ๆ กับเลหรอกครับ” ผมที่ยืนกลั้นขำจนแทบปวดแก้มที่เห็นคนโดนดุหน้างอเป็นตูดไก่ เลยต้องพูดออกมาเพื่อเรียกคะแนนความชอบให้กับตัวเองเสียหน่อย
“ไม่ได้จะน้องเล” แอบยิ้มมุมปากน้อย ๆ ด้วยความพึงพอใจ เมื่อทำให้คนตัวโตที่พักนี้ชอบแกล้งกันโดนแม่หันไปบ่นต่อ “ตาปลายเราต้องเรียกน้องว่าน้องเลเข้าใจไหม?”
“ไม่เข้าใจได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ ไหนลองเรียกสิ” คราวนี้ไม่ได้มาแค่คำบอกเล่า แม่คนสวยของพี่ปลายสั่งให้เรียกต่อหน้ากันเลยทีเดียว ส่วนผมนั้นหรอ พอแม่หันไปมองหน้าพี่ปลาย ก็ยักคิ้วหลิวตาส่งไปให้อย่างสนุกสนาน “เร็ว ๆ สิแม่รอฟังอยู่”
“ไอ้น้อ”
“ตาปลาย!”
“น้องเล พอใจไหมครับคุณแม่คนสวย”
“ฮึฮึ” พอใจมากจ้ะ พอใจไอ้ทะเลคนนี้นี่แหละที่ได้เห็นคนโดนดุ แต่ดูเหมือนคนโดนบังคับจะไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะจ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อผมเต็มที่เลย
“หัวเราะไรตะ...”
“ปลายปฐพี”
“หัวเราะอะไรพี่ครับน้องเล”
“ป่าวครับพี่ปลาย” ตอบกลับไอ้คนทำหน้าบอกบุญไม่รับด้วยยิ้มหวานเจี๊ยบ จากนั้นก็หันมาส่งยิ้มหวานให้คุณแม่คนสวย
“ไปเถอะจ้ะลูกเล ปล่อยพ่อคนหน้ายักษ์ไว้นี่แหละจ้ะ”
“ครับแม่”
แบร่~
หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อีกคนอย่างมีความสุข ยิ่งเห็นหน้าคมง้อง้ำยิ่งรู้สึกได้ใจ เล่นใหญ่ยิ่งกว่านางร้ายของช่องหลายสี แต่ก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อพึ่งนึกขึ้นได้หลังจากได้อ่านปากของอีกคนเสร็จ
‘มึงตายคาเตียงแน่’
‘ชิบหายแล้วกู
ลืมไปเลยว่าแม่ได้อยู่ด้วยตลอดเหมือนไอ้พี่ปลายมันนี่หว่า ตอนนี้อยากจะคุกเข่าลงกับพื้น บีบน้ำตาให้ไหลอาบทั้งสองแก้ม พร้อมกับเกาะแข้งเกาะขาขอแม่พี่ปลายย้ายมาอยู่บ้านนี้ด้วยได้ไหม
นอนห้องแม่ด้วยเลยก็ดี
ไม่งั้นพรุ่งนี้น้องเลของคุณแม่เดินไม่ได้แน่ ๆ

To be con. »


#ที่ปลายทะเล

ฝากอ่านเรื่องสั้นนะคะ
ตรงนี้เลยนะจ้ะ >>> ใกล้ชิดคุณ [ INSIDE YOUR MIND ]  http://www.tunwalai.com/story/380732/ใกล้ชิดคุณ-inside-your-mind-ธัญล่าฝันตอนเรื่องสั้นสายมู

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 20/1 นี่มันบ้านเชื้อเพลิง หรอ????

หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นกับแม่พี่ปลาย ก็ได้เจอกับคนอีกสามคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่ดูมีอายุแล้ว แต่ยังคงมีเค้าความหล่อให้ได้เห็นอยู่ รูปร่างสูงโปร่ง ซึ่งน่าจะเป็นพ่อของพี่ปลายแน่ ๆ ส่วนผู้ชายอีกคนหน้าตาคล้ายคลึงกับพี่ปลายมาก ต่างกันตรงที่ใส่แว่นตา กับสีผิวที่ขาวมากกว่าพี่ปลาย คนนี้ก็คงเป็นพี่ชายคนโตที่ชื่อว่าพี่ปาน ส่วนคนสุดท้ายผมว่าผมเคยเห็นหน้าที่ไหนสักแห่ง แต่ก็นึกไม่ออก เป็นผู้หญิงรูปร่างดี ความสูงน่าจะพอ ๆ กับผม ผมยาวสวย หน้าหวานเหมือนกับคุณแม่พี่ปลาย ตาคมกลมโต ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นน้องปราง น้องสาวคนเล็กของพี่ปลายเค้านั้นแหละ
‘พี่น้องบ้านนี้เลี้ยงด้วยอะไรทำไมหน้าตาดีจังเนี่ย
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายเมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ โซฟาตัวใหญ่ จากนั้นทุกคนก็หันมามองหน้าผม พ่อและพี่ปานยกมือรับไหวพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ ส่วนน้องปรางเมื่อเห็นว่าคนที่มาใหม่เป็นใคร ก็รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะเดินมาเกาะแขนผมเอาไว้
“สวัสดีค๊าพี่เล จำปรางได้ไหมค่ะ”
“เอ่อ...พี่กำลังพยายามนึกอยู่ครับ แต่รู้สึกว่าเคยเจอหน้าน้องปรางที่ไหนมาก่อน”
“คิคิ นึกดี ๆ สิค่ะ ว่าเคยเจอปรางที่ไหน” คนพูดหัวเราะคิกคัก ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูผม “ที่โรงแรมหรือเปล่าค่ะ? ตอนที่พี่ปลายไปต่างประเทศไง”
“อ๋อออออ! ใช่ครับ นึกออกแล้ว ลูกค้าห้อง 2218 คนที่ชอบมานั่งอยู่ร้านกาแฟ”
“ถูกต้องค๊า!!! รับรางวัลเป็นหอมพี่ปลายหนึ่งทีค๊า”
“นี่ยังปราง! ล้นเหลือเกินนะเราเนี่ย” เสียงคุณแม่คนสวยดุน้องปรางทันทีที่พูดออกมาแบบนั้น ส่วนคนโดนดุก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด เพราะเล่นส่งยิ้มหวานออดอ้อนไปให้คนเป็นแม่ จากนั้นก็หันไปดึงมือพี่ชายคนกลางมาคล้องเอาไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของตัวเอง
“พี่ปลายเอาแก้มมาสิค่ะ” คนพูดหันไปมองพี่ชายตัวสูงกว่า พูดด้วยเสียงเจื้อแจ้วอย่างอารมณ์ดี “หอมเลยค่ะพี่เล”
“ง่า ไม่เอาหรอกครับ ไม่ขอรับรางวัลดีกว่า” ผมรีบเอียงตัวไปทางข้างหลังทันทีที่หน้าคมของพี่ปลายยื่นออกมาตามที่น้องสาวคนเล็กบอก คนตัวโตยกยิ้มมุมปากพร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์หันมามองหน้าผม
“อ่อนว่ะเตี้ย” ปากบางพูดเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่คิดว่าคนที่น่าจะได้ยินด้วยอีกคนก็คงเป็นคนที่ตอนนี้กำลังยื่นหน้าลงมาจนหัวแทบติดกับหัวพี่ปลายเพื่อรอฟังว่าพวกผมคุยอะไรกัน คนสวยยิ้มออกมากว้างตาคมเบิกโตเมื่อเห็นว่าพวกผมสองคนเหลือบตาไปมอง
“แฮร่... ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นเลยค๊า ไม่เห็นด้วยนะค่ะเนี่ย” น้องปรางยกมือที่คล้องแขนผมกับพี่ปลายขึ้นมาปิดหูตัวเอง ตาคมก็รีบหลับตาทันที เล่นเอาทุกคนในบ้านต้องหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู มือหนาของพี่ปลายยกไปวางบนหัวน้องสาวคนเล็กขยี้เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะย้ายมาโอบไหล่เล็กของน้องสาวคนสวย แต่คงเป็นเพราะแขนที่ยาวกว่าไหล่น้องปราง มือหนาถึงได้เลยมาลูบทายทอยผมจนรู้สึกขนลุก จนต้องหันไปทำตาดุใส่เพื่อให้หยุดแกล้งกัน คนโดนมองตาดุก็ไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด ผมนี่อยากจะหันไปงับนิ้วเสียให้ขาด ติดตรงที่คุณแม่คนสวยพูดขึ้นมาก่อน
“หิวกันหรือยังค่ะทุกคน”
“หิวแล้วค๊า”
“งั้นไปทานข้าวเย็นกันได้แล้วจ้ะ ไปเร็วยัยปรางปล่อยพี่เค้าได้แล้ว”
“ค๊าคุณหญิงแม่” น้องปรางที่ตอบรับว่าหิว ปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากผมและพี่ปลาย จากนั้นก็เดินตามคุณแม่ออกไปจากห้องนั่งเล่น ผมกับพี่ปลายยืนรอให้คุณพ่อ กับพี่ปานลุกขึ้นเดินนำออกไปก่อน จากนั้นพี่ปลายก็ยกมือมาดันไหล่ผมให้หมุนตัวเดินตามออกไป
โต๊ะรับประทานอาหารตัวยาวที่เคยเห็นแต่ในละครทีวีตอนนี้ตั้งอยู่ในห้องทานข้าวที่มีประตูเชื่อมต่อกับห้องครัว ห้องนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ และดูเหมือนจะใหญ่กว่าห้องนอนผมที่คอนโดเก่าเสียอีก การตกแต่งภายในดูเรียบง่ายแต่หรูหรา บนโต๊ะอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยกับข้าวหลายอย่าง ทั้งแกงเขียวหวาน หมูทอดกระเทียม ปลาหมึกผัดผงกระหรี่ ต้มยำกุ้ง ผัดผักคะน้าน้ำมันหอย และสุดท้ายเป็นปลาทับทิมทอดกรอบ ผมไม่แน่ใจว่าปกติแล้วครอบครัวพี่ปลายทานกับข้าวเยอะขนาดนี้ทุกวันหรือแค่วันนี้ที่ผมมาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันผมก็ชักสงสารแม่ครัวแล้วหล่ะครับ ปวดหัวตายที่ต้องมานั่งคิดเมนูอาหารเนี่ย
“ทานเยอะๆ เลยนะจ้ะน้องเล” เสียงหวานของคุณแม่คนสวยที่มองมาที่ผมที่กำลังคิดไม่ออกว่าจะเลือกตักอะไรมากินก่อนดี ทำให้ต้องชะงักมือหันไปตอบรับคนเป็นแม่ก่อน
“ครับคุณแม่”
“ใช้ลูกทานเยอะ ๆ ไม่ต้องอาย ฝีมือคุณแม่เลยนะวันนี้” คุณพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดเสริมขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ ก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ผม ”ตาปลายตักแกงเขียวหวานให้น้องด้วยสิ”
“ครับพ่อ” คนได้รับคำสั่งรีบทำตามทันที นิ้วเรียวเอื้อมไปหยิบเอาช้อนกลางที่วางอยู่ในถ้วยแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ตักเอามะเขือเปราะกับน้ำมาใส่จานผม พร้อมกับส่งยิ้มกวนอารมณ์จนผมต้องให้รางวัลด้วยการเลื่อนเท้าไปเหยียบเท้าพี่ปลายที่ใต้โต๊ะด้วยความหมั่นไส้ คนโดนเหยียบเท้าถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ตาคมจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ต่างจากผมที่ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความสบายใจ
‘เลนี่สัตว์กินเนื้อนะเว้ยยยยไอ้พี่ปลาย ตักมะเขือมาให้ทำมายยยย
“พี่เลรู้ไหมค่ะ คุณแม่นะตื่นเต้นจะได้เจอลูกสะใภ้ถึงกับเข้าครัวเองเลยนะค่ะ” ขณะที่สงครามใต้โต๊ะกำลังดุเดือด สองเท้าฟาดฟันกันอย่างเมามัน น้องสาวคนสวยก็พูดขึ้นมาจนต้องพักยกแล้วหันไปมองหน้าคนพูดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จากที่หน้าแดงเพราะกำลังสู้รบกับพี่ปลายอยู่ ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเห่อร้อนเพราะคำพูดของน้องทันที
“ไปเรียกพี่เค้าแบบนั้นได้ยังไงปราง” พี่ปานผู้นั่งเงียบไม่มีบท พูดด้วยเสียงเรียบพร้อมกับส่งสายตาตำหนิไปมองน้องสาวคนเล็ก แต่เหมือนกับว่าคนโดนดุจะไม่รู้สึกอะไรเลย เล่นเติมเชื้อเพลิงจนหน้าผมร้อนจนแทบปะทุ
“โถ่พี่ปาน ก็พี่เลเป็นแฟนพี่ปลาย แล้วพี่เลตัวเล็กแค่เนี่ย” คนสวยไม่พูดเปล่า ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาแตะกัน ก่อนจะแยกออกจากกันเล็กน้อย เพื่อยืนยันคำว่าแค่เนี่ยของตัวเอง “ก็ต้องเป็นลูกสะใภ้คุณแม่สิค่ะ คงไม่ใช่ลูกเขยหรอก ถูกไหมค่ะพี่ปลาย?”
“ถูกครับ” ไอ้คนข้าง ๆ ที่มีชื่อในบทสนทนา ก็ตอบรับอย่างไม่ได้ใช้สมองคิดแม้แต่น้อย มือหนายกมาวางไว้บนต้นขาผมแล้วลูบไปมา เล่นเอาขนหน้าแข้งขากูรวมใจกันลุกฮือไปหมด
‘ไม่ได้กินแล้วกูข้าว คนน้องก็พูดให้เขิน คนพี่ก็ลูบกูจางงงงงงงง โอ้ยยยยยย
“เห็นไหมค่ะพี่ปาน ปรางพูดถูกแล้ว” คนสวยผู้มั่นใจในคำพูดของตัวเองมากก็ยื่นหน้ายื่นตาตอบพี่ชายคนโต และดูเหมือนคนบ้านนี้จะดื้อรั้นไม่มีใครยอมใคร เพราะพอคนน้องเถียงไปแบบนั้น พี่ชายคนโตที่ดูจะนิ่งที่สุดก็หาข้อแก้ต่างทันที แต่เลคนนี้อยากถามเหลือเกินว่า…
‘ไม่มีอะไรจะคุยกันหรือไง ถึงต้องเอาเรื่องเลมาเถียงกันด้วยเนี่ย
“แต่เค้าสองคนยังไม่แต่งงานกันเลยนะ เราจะไปเรียกพี่เค้าแบบนั้นได้ยังไง” เออ เอาเข้าไปจ้ะ แต่งงง แต่งงานอาไร๊กันเนี่ย
“โห๊ะ พี่ปานนี่หัวโบราณชะมัดเลย” คนสวยผู้ไม่คิดจะยอมแพ้ และพ่อแม่ก็ไม่คิดจะห้าม ทำหน้าเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า ยกมือสองข้างเสมอไหล่ ปากสวยแบะออกเล็กน้อย ตาคมมองบนก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่มั่นใจเต็มที่ แต่มีใครถามผมไหมว่าอยากฟังหรือเปล่า งื่อออออ “ทางนิตินัยยังไม่ใช่ แต่ทางพฤตินัยนี่ปรางว่า...อึ้ยยยยเขินจังเลย” คนพูดบอกว่าเขิน แต่สายตานี่จ้องจนผมอยากจะเอาหน้ามุดลงจากข้าวที่มีมะเขือเปราะกระเทาะหน้าแว่นวางอยู่ ไม่ก็ไถลร่างลงไปกองอยู่ใต้โต๊ะเสียตอนนี้เลย จะบ้าหรอคนที่เขินนี่เลไหมหล่ะ ไม่เขินอย่างเดียวเสียวขาด้วยโว้ยยย ลูบกูจังลูบจนเลขจะขึ้นแล้วเนี่ย
แม่จ๋าหนูอยากกลับบ้านนนนนนนนน
“ยัยแซบหยุดแกล้งพี่เค้าได้แล้ว” ใช่เลยครับพ่อ มีแต่คนแกล้งเล มีแต่คนใจร้ายกับเลครับพ่อ ดุทุกคนเลยครับบบบบบบ ผมรีบส่งสายตาอ้อนวอนไปหาคุณพ่อที่ท่าทางน่าจะช่วยชีวิตผมได้มากที่ แต่แล้ว...“ลูกสะใภ้พ่อหน้าแดงหมดแล้วเนี่ย” เฮือกกกกกกกกก ตาเบิกกว้างมองพ่อด้วยความตกตะลึงหนึ่งวิ ก่อนจะยกมือมากุมหน้าตัวเองที่ร้อนยิ่งกว่าแกงเขียวหวานในถ้วยบนโต๊ะ ก้มหน้ามองจานข้าวเหมือนกำลังจะนับว่ามันมีกี่เม็ด ร่ำร้องกับตัวเองในใจว่า บ้านนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ทุกคนน่ากลัวเหลือเกินนนนน
‘ไอ้บ้านเชื้อเพิลง
!!!
“หึหึ” แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ร้องไห้ใส่พี่ปลายแม่งเลยได้ไหม ไม่ช่วยแล้วยังจะมาหัวเราะอย่างสบายใจอีก แล้วเมื่อไหร่ ห๊ะ เมื่อไหร่ มือพี่มึงนะ เมื่อไหร่จะหยุดลูบขากูซะที เสียวจนฉี่จะแตกแล้วเนี่ย



“พี่ปลายรูปนี้น่ารักจัง”
“นั้นตอนประถม” พี่ปลายหันมามองรูปที่อยู่ในมือผม เป็นรูปของเด็กผู้ชายจ้ำม้ำนั่งอยู่บนจักรยานสี่ล้อ ใบหน้าอิ่มยิ้มกว้างตามองกล้อง
ตอนนี้ผมขึ้นมาบนห้องนอนของพี่ปลาย หลังจากที่กินของหวานเสร็จและนั่งคุยกับทุกคนที่ห้องนั่งเล่นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ปลายก็ขอตัวพาผมขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเอง บอกว่าจะเอาของอะไรสักอย่างแล้วจะพากลับคอนโด เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงานกันแต่เช้า
ผมที่เดินไปมาเพราะไม่มีอะไรทำ ก็เลยเดินสำรวจห้องนอนของคนตัวโตเสียหน่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าตู้โชว์ที่มีกรอบรูปตั้งไว้หลายอัน มีทั้งรูปตอนเด็กจนถึงรูปปัจจุบัน ดูไปดูมาก็เหลือบไปเห็นอัลบั้มรูปที่วางอยู่ เลยถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดูเสียหน่อย
“พี่ปลายหาอะไรหรอ เลช่วยหาไหม?”
“ไม่เป็นไร” คนที่กำลังสาละวนกับการเปิดตู้โน้นที รื้อลิ้นชักนั้นที ตอบกลับมาเสียงเรียบขณะที่มือก็ไม่ได้หยุดรื้อค้นเลยแม้แต่น้อย เล่นเอาผมที่ถามเจ้าตัวไปหลายรอบแล้วว่าหาอะไรอยู่ยิ่งอยากรู้เข้าไปอีก แล้วพอบอกจะช่วยก็ไม่ให้ช่วยก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยมาขึ้นทันที
‘หาอะไรของพี่มันว่ะ
“เลช่วยหาจะได้เจอไว ๆ ไง”
“บอกว่าไม่ต้องไง”
“ทำไมหล่ะ”
“ไม่ทำไม จะหาเอง” คนตอบยังไม่ยอมหันมามองหน้าผม แถมน้ำเสียงที่ตอบมาก็ทำเหมือนรำคาญที่ผมถามซ้ำอยู่แบบนี้ ผมเองก็ไม่ต่างกันเลยเพราะตอนนี้เริ่มจะมีอารมณ์หงุดหงิดใจเพราะความสงสัยในสิ่งที่อีกคนทำมีมากขึ้นไปร้อยเท่าแล้ว
“ก็บอกจะช่วยหาไง สำคัญมากหรอห๊ะ”
“อืมสำคัญมาก”
“สำคัญก็บอกมาดิจะได้ช่วยหา”
“ไม่ต้อง!”
“หาอะไรกันแน่ว่ะ ของแฟนเก่าหรือไง” เพราะเสียงตอบกลับมาของพี่ปลายดังขึ้นจนหัวใจผมแทบหยุดเต้น เลยทำให้อารมณ์น้อยใจมันเพิ่มเติมขึ้นมาผสมอารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้านี้
“เตี้ยอย่าหาเรื่อง”
“หาเรื่องอะไร บอกจะช่วยหาก็ไม่ให้ กลัวรู้ขนาดนั้นเลยหรอ”
“อย่างี่เง่าดิว่ะ ก็บอกว่าจะหาเองแล้วจะโวยวายทำไมเนี่ย”
“เออ เลมันงี่เง่า ขี้โวยวายด้วย” พอพูดไปแบบนั้นคนที่ไม่ยอมหันมามองหน้ากันก็หยุดมือที่กำลังหาของทันที พี่ปลายหันมามองหน้าผมด้วยแววตาไม่เข้าใจนักว่าผมกำลังเป็นอะไร ต่างจากผมที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้าด้วยอารมณ์น้อยใจ งี่เง่ามากมายแบบที่พี่มันบอก จากนั้นพอพี่ปลายเห็นว่าหน้าผมเป็นแบบนั้น เจ้าตัวก็เลยเดินเข้ามาหา หยุดยืนอยู่ข้างหน้ายกมือขึ้นมาจะวางบนหัวผมอย่างที่ชอบทำเวลาผมงอแง แต่ผมเองก็เบี่ยงหัวเพื่อหลบสัมผัสของอีกคน เลยทำให้พี่ปลายยิ่งขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างจับต้นแขนผมเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เบี่ยงตัวหนี ตาคมจ้องมองมาที่ผมถึงแม้ว่าผมจะหันหน้าไปมองทางอื่นพี่ปลายก็ยังคงจ้องมองมาอยู่อย่างนั้น
“ไปกันใหญ่แล้วนะ เป็นอะไรของมึงเนี่ย”
“...”
“กูถามว่าเป็นอะไร งอแงทำไม”
“...”
“เป็นอะไรฮะเตี้ย หันหน้ามามองกูหน่อย”
“...” ผมไม่ได้หันกลับไปมองหน้าพี่ปลายถึงแม้พี่ปลายจะพูดออกมาแบบนั้น ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาเพราะกลัวว่าตัวเองจะงอแงมากขึ้นกว่าเดิม ที่เงียบไม่ใช่ไม่อยากคุยกับอีกคนหรอกครับ แค่กำลังกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยใจไม่ให้ไหลออกมาเท่านั้นเอง
“น้องเลครับ งอนอะไรไหนบอกพี่ปลายสิ” พี่ปลายพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มนุ่ม มือหนาดึงตัวผมเข้าไปกอดแนบลำตัว ลูบหลังเบา ๆ เหมือนเป็นการปลอบโยน จากนั้นก็ผละตัวออกเล็กน้อยกดจมูกลงบนแก้มผมเบา ๆ ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนอะไรหนัก ๆ ก่อนหน้านี้หายไปหมด ความรู้สึกน้อยใจก็เบาบางจนแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ แต่ผมก็ยังไม่พูดอะไรออกมาเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นพูดว่ายังไง จะให้บอกว่าเลงอนพี่นะที่พี่ไม่ให้ช่วยหาของมันก็ไม่ใช่ทั้งหมด จะบอกว่าพี่ไม่สนใจมัวแต่หาของมันก็ไม่ใช่อีก แล้วยิ่งจะบอกว่าเพราะพี่ปลายเห็นของที่หาสำคัญกว่าแม่งยิ่งโคตรดูงี่เง่าเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
“...”
“มองหน้าพี่ปลายหน่อยสิครับ” คนพูดเอามือข้างหนึ่งมาจับไว้ที่ปลายคางผม จับให้หันไปมองหน้ากัน รอจนผมยอมสบตากับตาคมถึงพูดขึ้นอีกครั้ง “พี่ปลายขอโทษนะครับที่พูดไม่ดีใส่เล อย่างอนพี่เลยนะ” ครั้งนี้ยอมรับว่าความรู้สึกที่มีก่อนหน้านี้หายไปจนไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว มันรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ยิ่งคนพูดที่พยายามทำทุกอย่างให้ผมหายงอน หายงอแง มันเป็นอะไรที่โคตรอยากงอแงต่อ เพราะมีไม่กี่ครั้งหรอกที่พี่ปลายจะยอมใช้คำพูดแบบนี้กับผม แต่ไม่ใช่ว่าคำพูดที่พูดคุยกันปกติผมจะไม่ชอบนะ ผมก็ชอบ แต่แบบนี้ผมบอกเลยว่า ตายอย่างสงบแล้ว แต่ยังไงก็ขออีกนิดละกันเน๊อะ
‘เล นิ่งไว้เล
“...”
“ไม่อยากพูดกับพี่หรอ พูดหน่อยสิครับ”
“...”
“ไม่พูดกูปล้ำมึงนะ”
“เฮ้ยยยยย ไอ้พี่ปลายบ้า” กำลังเคลิ้มเลยครับก่อนหน้านี้ คำพูดดีสลายไปกับอากาศหมดแล้ว พอมาเจอคำพูดกับท่าทางที่พี่มันขยับหน้าเข้ามาจนสันดั้งชนกันนี่ถึงกับต้องร้องออกมาลั่นห้อง มือก็ยกมาผลักอกพี่มันให้ออกไปไกล ๆ ทันที เห็นไหมหล่ะเนี่ย ไอ้พี่คนเนี่ยพูดดี พูดหวาน ได้นานที่ไหนกัน
เฮ้ออออออออออออออออ ถอนหายใจยาวยิ่งกว่าถนนสุขุมวิทตอนที่รถติดอยู่ 2 ชั่วโมง
“ฮ่า ๆ ๆ”
“ขำไรว่ะ ไม่ต้องมาคุยด้วยเลยเว้ย”
“มึงแน่ใจนะว่าจะไม่คุย ก็ดีกูก็ขี้เกียจคุยเหมือนกัน อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”
“เอ้ยยยยคุยแล้ว ๆ” งื่ออออออออออ อยากจะบ้าตาย ไม่อยากคุยอยากทำอย่างอื่นนี้ทำอะไรไม่ต้องสืบกันเลย คงไม่ได้คิดจะสอนอ่านหนังสือหร๊อกคร๊าบบบบบ
“ป่ะ กลับบ้านกัน”
“อ้าว ไม่หาของต่อแล้วหรอ?”
“ไม่หาและขี้เกียจ ไม่เจอก็ช่างมัน” พูดจบพี่ปลายก็เดินมาจูงมือผมเดินออกจากห้องนอนลงมาข้างล่าง แล้วแวะเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ยังนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เพื่อจะไปลากลับคอนโดเพราะเวลาตอนนี้ก็จะสามทุ่มแล้ว กว่าจะถึงกว่าจะได้อาบน้ำนอนก็คงจะดึกพอตัวอยู่
“จะกลับกันแล้วหรอลูก ทำไมไม่ค้างที่นี้กันสักคืนหล่ะจ้ะ” คุณแม่คนสวยที่เห็นพวกผมเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทายพวกเราสองคน
“น้องไม่ได้เตรียมชุดมาครับแม่”
“อ๋อ งั้นก็ขับรถเบา ๆ นะตาปลาย ระวัง ๆ ด้วย เดี๋ยวน้องจะตกรถรู้ไหม?” คุณแม่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ก่อนจะขมวดคิ้วหันไปมองหน้าลูกชายตัวโต “รถยนต์ก็มีทำไมไม่เอามาใช้ ไอ้รถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่นี้ไม่รู้มันดีตรงไหนกัน น้องก็ตัวแค่เนี่ยถ้ากระเด็นตกรถจะทำยังไงฮึ?”
“โถ่แม่ครับ รถมันติด ใช้รถยนต์ไม่สะดวกหรอกครับ” คนโดนบ่นเรื่องรถรีบเดินเข้าไปกอดคุณแม่อย่างออดอ้อน หอมแก้มคนสวยหนึ่งฟอดใหญ่ “อีกอย่างถ้าผมเอารถยนต์มาใช้ น้องเลของคุณหญิงแม่ก็จะต้องตื่นแต่เช้า เผลอๆ ไปทำงานสายอีกนะครับเนี้ย” คนอ้อนแม่พยายามหาเหตุผลที่ฟังแล้วทำไมเหมือนผมโดนจับไปเป็นข้ออ้างก็ไม่แน่ใจ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่พอจะรับได้
“เลลูก”
“ครับพ่อ” เสียงพ่อเรียกผมหลังจากที่ผมเดินมานั่งลงข้างๆ พี่ปลายแล้ว ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองว่าพ่อมีอะไรจะคุยกับผม
“เราทำงานที่โรงแรมใช่ไหมตอนนี้”
“ใช่ครับ”
“ติดกับโครงการของเราที่สาธรเลยครับพ่อ” คนนั่งข้างๆ เสริมขึ้นมาทันที ส่วนคนฟังก็พยักหน้ารับรู้
“อ๋อ! นี่ไปเจอกันที่นั้นใช่ไหมเนี่ย” แม่ส่งสายตาหวานมาให้ผม พร้อมกับยกมือโอบไหล่ลูกชายตัวโตที่นั่งข้าง ๆ “พี่ปลายจีบน้องเลก่อนหรอจ้ะ”
ง่า เจอคำถามกับแววตาล้อเลียนของแม่ก็เล่นเอาผมร้อนตัวยังไม่รู้ กลัวเหลือเกินว่าไอ้พี่ปลายมันจะฟ้องแม่ว่าผมนี่แหละไปหยอด ไปตามมันก่อน ไม่ได้อะไรหรอกนะครับ ก็แค่เขินอ่ะ โมเม้นแรกที่พี่มันยกตีนไก่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวให้ยังจำได้ดี มันแบบฟินมากตอนนั่งดูตีนไก่ตุ่นไปแล้วคิดถึงหน้าพี่ปลายไป แล้วดูดิ ดูสายตาพ่อกับแม่ที่มองผมเด่ หน้าร้อนหมดแล้วเนี่ยยยยยย
“หึหึ”
“หัวเราะอะไรตาปลาย ตกลงนี่เราได้จีบน้องก่อนหรือเปล่า?”
“ตอบดิครับ น้องเล” เน้นจริง เน้นจังนะคำพูดเนี่ย อยากจะกระโจนไปงับหน้าให้จมเขี้ยวสักทีสองที หมั่นไส้ไอ้คนมั่นหน้าที่ทำเป็นยิ้มมุมปาก คิดว่าหล่อ ว่าเท่ห์นักหรอกว๊า
เออ ก็หล่อนั้นแหละ หล่อมากด้วย ยอมรับ
“คือ...เลน่าจะจีบพี่ปลายก่อนครับ งื่ออออ” เขินมากอ่ะ ก็แม่เล่นส่งยิ้มกว้างกับทำสายตาล้อเลียนกันแบบนั้น ไม่พอไอ้คุณลูกชายตัวโตมันก็ยิ้มกรุ่มกริ่มยกมือกอดอกด้วยความมั่นหน้าอีก ตอนนี้หน้าผมคงแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วแน่ ๆ ทำอะไรไม่ได้เลยยกมือขึ้นมาปิดหน้ากุมแก้มสองข้างของตัวเองเอาไว้ก่อน มันเขินนะเว้ยยยยรู้บ้างไหมเนี่ย
“พ่อก็ว่าแล้ว ซื้อบื้อ แข็งทื่อเป็นท่อนไม้แบบนี้จะไปจีบใครเค้าเป็น”
“พ่อครับ แรก ๆ เลมันอาจจะตามหยอดผม แต่หลัง ๆ นี่ฝีมือลูกชายพ่อล้วน ๆ เลยนะเนี่ย” คนภูมิใจในตัวเองมากถึงกับนั่งยืดอกตัวตรง ยอมรับหน้าบานว่าเป็นคนจีบผมจนติด จะเถียงก็ไม่ได้เพราะหลัง ๆ นี่การแอทแทร็คของพี่แกรุนแรงจนห้ามใจไม่ได้จริง ๆ นั้นแหละครับ หัวใจผมนี่ถึงกลับเต้นเป็นชื่อพี่ปลายเลยทีเดียว
ปลาย ปลาย ปลาย ปลาย แบบนี้เลยอ่ะ ไม่เต้นแล้ว ตึก ตึก ตึก ตึก
‘งื่อออออ บ้าบอ
“น่าสงสารน้องเลจริง ฮ่า ๆ ๆ”
“อ้าวแม่ครับ นี่ปลายเองครับแม่”
“จ้าลูกปลายของแม่” พอโดนแซวลูกชายตัวเท่าเสาไฟฟ้าก็ออดอ้อนแม่จนผมต้องยิ้มตามไปด้วย พี่ปลายโหมดขี้อ้อนนี่ก็น่ารัก จนขนลุกเหมือนกันนะเนี่ย
“พอก่อน ๆ เรื่องนั้น พ่อจะถามเลว่าอยากมาทำงานที่โรงแรมของพ่อไหมลูก”
“เอ่อ...ที่โรงแรมของพ่อหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าพ่อด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้คำชวนให้ไปทำงานที่โรงแรมของครอบครัวพี่ปลาย ไม่คิดว่าจะได้รับความเชื่อใจและเอ็นดูขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้เจอกันแค่ครั้งแรกเท่านั้น
“ใช่จ้ะ พ่อกับแม่ปรึกษากันอยู่ อยากให้ลูกมาช่วยดูแลโรงแรมของครอบครัว แทนพี่ปลายที่หนีไปเปิดบริษัทของตัวเองนี่แหละจ้ะ” แม่คนสวยหันไปตีไหล่ลูกชายเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว คนโดนตีก็ทำหน้าหงอแบบไม่จริงจังเท่าไหร่นัก
“อีกหน่อยพอพ่อวางมือ เลจะได้เป็นคนดูแลต่อไงลูก”
“มันจะดีหรอครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่เลย” ผมตอบออกไปตรง ๆ ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่เพราะประสบการณ์การทำงานมีน้อยเหลือเกิน แต่พอฟังคำพูดหลังจากนั้น ก็เล่นเอาผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“ดีสิลูก นี่พ่อกับแม่ก็ตั้งใจจะยกให้เป็นสินสอดตอนไปสู่ขอเรากับที่บ้านอยู่แล้ว เข้ามาเรียนรู้งานเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีใช่ไหมค่ะคุณ”
“สะ...สินสอดหรอครับ” สะดุดเลยจ้ะเสียงเนี่ย ตื่นเต้นกับคำว่าสู่ขอจนตาจะเหลือก
“ใช่แล้วลูก ลองปรึกษาพี่เค้าดูก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาบอกพ่อกับแม่อีกที”
“ตกลงครับพ่อ ผมอนุญาต” คนตัวโตที่นั่งฟังไปอมยิ้มไป ก็ตอบกลับมาอย่างไม่ทันที่ผมจะได้ปรึกษาอะไรเลยสักนิด
“ไอ้ลูกคนนี้นี่ ให้น้องตัดสินใจก่อนสิ”
“ถ้าน้องถามผม ผมก็คิดว่าดี แต่ผมจะไม่บังคับ ให้น้องได้ตัดสินใจเองครับ เพราะผมนะอยากให้อยู่บ้านเฉย ๆ ด้วยซ้ำ”
“ไม่ต้องเครียดนะลูก ค่อย ๆ คิด” แม่พูดกับผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “แต่อยู่บ้านเฉย ๆ นี่ก็ดีนะ แต่มาอยู่กับแม่นะจะได้หนีเที่ยวกัน ฮิฮิ”
“ไม่ได้นะครับแม่ ถ้างั้นก็ทำงานไปเลยมึง”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” และบทสนทนาก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะของพวกเราทุกคน เมื่อพี่ปลายโวยวายเรื่องที่แม่จะให้ผมมาอยู่ที่บ้านด้วย พี่ปลายคงกลัวแม่พาผมไปเที่ยวจนไม่กลับบ้านกลับช่อง

--------------------
To be con. »

#ที่ปลายทะเล

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 20/2 นี่มันบ้านเชื้อเพลิง หรอ????


สุดสัปดาห์นี้พี่ปลายและเพื่อน ๆ จะไปพักผ่อนกันที่ต่างจังหวัด โดยคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็คือพี่วิวและผม ซึ่งเป็นผู้เห็นด้วยอย่างมาก พวกเราตั้งใจจะพาน้องกานที่เป็นแฟนของพี่ระติ ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา
เนื่องจากน้องเพิ่งย้ายมาอยู่ในโลกของเรา ใช่แล้วครับผมพูดไม่ผิดหรอก เพราะเรื่องของน้องกานกับพี่ระติมันเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ ครั้งแรกที่ได้รู้เรื่องจากปากพี่ระติ ผมบอกเลยว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ คนเราจะเจอกันผ่านความฝันนี่ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ไม่พอแค่นั้นยังอยู่คนละโลกกันอีก แต่ตอนนั้นอาการของพี่ระติแย่มาก มากจริง ๆ เลยทำให้พวกเราทุกคน ทุกคนที่หมายถึงพี่วิว พี่วิน พี่ปลาย และผม ปลอบใจและรับฟังทุกอย่างที่พี่ระติพูด จนสุดท้ายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในโลกใบใหญ่ใบนี้ มันก็เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวของผม
วันที่ได้รับข่าวจากพี่ปลายว่าน้องกานแฟนของพี่ระติได้มาอยู่ที่นี้กับพี่ระติแล้ว ผมนี่โคตรยินดีด้วยเลย แล้วคิดดูว่าพี่ระติ จะมีความสุขแค่ไหน มันเป็นเหมือนของขวัญในการเริ่มต้นปีใหม่ที่น่าจะดีที่สุดในชีวิตพี่ระติเลยก็ได้
น้องกานเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี และสดใสอยู่เสมอ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกับโลกใบนี้เลยสักนิด มันก็ไม่ต่างจากเด็กที่เพิ่งเกิด หรือคนที่กำลังหลงทาง โชคดีที่ครอบครัวของพี่ระติ รักและเอ็นดูน้องมาก เลยทำให้พอได้อุ่นใจกับการเริ่มต้นชีวิตที่นี้ได้ การที่จะทิ้งครอบครัวมาอยู่ที่นี้คนเดียว ผมว่าน้องเป็นคนที่เข้มแข็งมากจริง ๆ
พวกเราเลยตกลงใจกันว่าจะพาน้องไปเที่ยวบ่อย ๆ ไปเปิดหูเปิดตา และอีกอย่างที่ผมอยากจะกระซิบบอก ก็คือพี่ระติมีเซอร์ไพร์ขอแต่งงานคนตัวเล็กของแกในวันเด็ก นั้นก็คือวันเสาร์นี้ หรือพรุ่งนี้นั้นเองงงงง
ตอนนี้ผมเพิ่งเลิกงาน กำลังจะเดินออกไปหาพี่ปลายที่ในโครงการก่อสร้างข้าง ๆ โรงแรมที่ทำงานนั้นแหละ เอ่อผมลืมบอกไปว่า ผมตกลงจะไปทำงานที่โรงแรมของพ่อพี่ปลายแล้วนะ จอนก็จะไปด้วยนะ แต่น่าจะอีกสักสองเดือน เพราะทางโรงแรมต้องหาคนมาแทนผมก่อน และที่สำคัญไปกว่านั้น
พี่ปลายพาเลเข้าไปที่ออฟฟิตในโครงการก่อสร้างแล้วนะแกร
แนะนำว่าเลเป็นแฟนด้วยจ้า
หึหึ อยากบอกชะนีที่แอบมองพี่ปลายว่า คนนี้เลฉี่รดเรียบร้อยแล้ว ห้ามฉีดทับที่จ้า ไม่งั้นจะกัดให้เลย
‘นี่หมาเลน่ะ ไม่กลัวหรอ
“ไอ้ปลายเมียมึงมาแล้ว”
“พี่กิต พี่วิว พี่ระติ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้เพื่อน ๆ พี่ปลายที่วันนี้นั่งอยู่กันครบถ้วน ส่วนคนที่เอ่ยแซวผม คิดว่าทุกคนคงไม่ต้องทายว่าเป็นใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่าคือพี่กิต ปากแบบนี้มีคนเดียวเท่านั้นแหละครับ
“แล้วไม่สวัสดีกูหรอเตี้ย” เอ้า ต้องสวัสดีปัวตัวเองด้วยหรอว่ะ งงใจจริง ๆ เมื่อเช้าก็เจอกันไหมหล่ะ
“กราบเท้าครับพี่ปลาย” ขอมาก็จัดให้ไปหนึ่งที ด้วยการเดินไปยืนซ้อนหลังเก้าอี้ที่พี่มันนั่งอยู่ ยกมือสองข้างประกบกันแล้ววางไว้บนหัวทุยของไอ้พี่ปลายก่อนจะก้มลงกราบงาม ๆ
“นี่หัวผัวมึงไหม?”
“เอ้าหรอ เห็นดำ ๆ นึกว่าเท้า”
“ฮ่า ๆ ๆ ชอบ ๆ มุกนี่พี่ชอบ”
“อยากกราบเท้ากูสักทีไหมไอ้กิต”
“เอิ้กกกกก โหดสัส” คนที่กำลังหัวเราะอยู่ถึงกับชะงัก เมื่อพี่ปลายยกเท้าชี้หน้าอย่าคาดโทษ จัดการเพื่อนเสร็จก็หันมาทำตาดุใส่ผมที่เล่นไม่รู้เรื่อง แต่คนอย่างผมจะกลัวไหม?
ตอบเลยตรงนี้ กลัวจ้า
“ระติมึงจะออกไปรับกานก่อนใช่ไหม?”
“ครับ น้องรออยู่ที่ห้อง”
“แล้วแหวนมึงอยู่ไหน เช็ดดูให้ดีนะไอ้ระติ ไม่ใช่ไปถึงแล้วเสือกลืมนะมึง” พี่วิวเงยหน้าขึ้นจากงาน หันไปหารุ่นน้องคนสนิทเพื่อเตือนความจำเรื่องแหวนที่ตั้งใจจะเอาไปขอคนเป็นแฟนแต่งงาน คนถูกเตือนก็รีบเปิดลิ้นชักหยิบเอาออกมาใส่กระเป๋าทันที พร้อมกับส่งยิ้มแหยๆกลับมา
“ขอบคุณที่เตือนนะพี่วิว”
“เออ กูว่าแล้วว่ามึงต้องลืม”
“แล้วมึงหล่ะวิว ไอ้วินจะมารับที่นี้ใช่ไหม?” พี่ปลายที่เก็บของเรียบร้อยแล้วหันไปคุยกับพี่วิวอีกครั้ง เพราะอีกสักพักพวกผมก็จะออกจากที่ทำงานแล้ว เรานัดเจอกันที่ปั้มน้ำมันแถว ๆ วังน้อย ตอนทุ่มสี่สิบ
“อืม มันออกมาแล้วแหละ น่าจะใกล้ถึงละ”
“กูเกลียดพวกมึง!!!” คนไม่ได้ไปโวยวายเสียงดังจนคนอื่น ๆ ที่ยังนั่งทำงานอยู่ต้องหันมามอง ส่วนพี่วิวก็จัดการขว้างยางลบก้อนโตใส่หัวเพื่อนขี้โวยวายทันที
“เป็นเชี่ยไรไอ้กิต อยู่ ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง”
“ก็พวกมึงจะไปเที่ยวกันเป็นคู่ ๆ เลย” พูดเสร็จก็ทำหน้าหงอย ก่อนจะยกมือมาปิดหน้าทำเหมือนจะร้องไห้ “ดูดิ๊กูนี่โสดอยู่คนเดียวไอ้พวกใจร้าย”
“เอ้าไอ้ควาย กูบอกให้หาผัวก็ไม่หา”
“ไอ้เฮี้ยยยยวิว อย่างกูต้องหาเมียไหมสัส” คนขี้โวยวายยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองทันทีที่เพื่อนตัวเล็กพูดจบ “ขนลุกเลยแม่ง”
“ก็ไม่แน่ มึงคิดดีแล้วหรอ”
“เออ...กูยังไม่ได้คิดว่าจะเป็นเมียหรือผัวดี”
“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้เฮี้ยยยยย” พี่วิวหัวเราะดังลั่นออกมาทันทีที่พี่กิตตอบด้วยท่าทางไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่นัก ผมที่ยืนดูอยู่ก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ อยู่กับกลุ่มเพื่อนของพี่ปลายทีไร ผมนี้หัวเราะไม่หยุดทุกที บางทีขำจนเหนื่อยหายใจไม่ทันกันเลย
“ถ้างั้นผมออกไปก่อนนะครับ”
“เออ เจอกันที่นัดไว้” พี่ปลายหันไปบอกพี่ระติที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะไปแล้ว
“พวกกูไปนะ”
“บาย นะครับพี่”
“เดินทางปลอดภัยนะเว้ย แล้วไอ้ปลายไม่มีเซอร์ไพร์ขอเมียมึงแต่งงานบ้างหรอว่ะ”
“ไร้สาระไอ้กิต” คนโดนถามหันไปบ่นเพื่อนก่อนจะหันมาจับมือผม “ไปได้แล้วเตี้ย”
ผมกับพี่ปลายกลับมาที่คอนโดก่อน มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ด้วย คงเป็นความโชคดีที่คอนโดของพี่ปลายอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงาน เลยไม่ต้องแบกของไปเลยเหมือนคู่พี่วิว
ทริปนี้พวกเราหกคนเดินทางด้วยรถบิ๊กไบท์สามคัน ผมเพิ่งรู้นะว่าพี่วินคนที่หล่อมากและดูสุภาพนั้นจะมีขี่มอเตอร์ไซด์เป็นด้วย คือเอาจริง ๆ อย่างพี่วินนี้ต้องลัมโบร์กินี แต่พอบอกว่าขี่มอเตอร์ไซด์แล้วก็ลองมาคิดว่า ท่าตอนที่พี่วินถอดหมวกกันน๊อคออกมามันจะเท่ห์มากแค่ไหน ผมว่าคงเท่ห์โคตร ๆ อะ
โอ้ยยยยยย น่าจะมีคนหัวใจวายตายมากกว่าสิบคน และเลจะเป็นหนึ่งในนั้น
‘ฟินนนนนนนนนนนนน
“เตี้ยทำหน้าอะไรของมึง”
“อะ...เอ่อ หน้าอะไรไม่มี๊” ตอบด้วยเสียงที่ทั้งสั่นทั้งสูงจนคนได้ยินเลิกคิ้วขึ้นทันทีอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่นัก
“แน่ใจ?”
“แน่ใจมากกกกก” ลากเสียงยาวให้รู้ว่ามี ก.ไก่ เกินห้าสิบล้านตัว
“งั้นไปได้แล้ว ยืนเพ้อถึงไอ้วินอยู่ได้”
“เฮ้ยยยยย รู้ได้ไงอ่ะ”
“มึงนอกใจกูหรอเตี้ย!”
“ป่าวนะพี่ปลายยยยยย” ง่า หลุดพูดออกไปอย่างไม่ได้ตั้งตัว จะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว ไม่คิดเลยว่าพี่มันแค่แกล้งแซวเท่านั้น สุดท้ายเลยโดนจับได้ไง ไอ้พี่ปลายมันก็เลยเข้ามาล็อคคอด้วยแขนแกร่ง ยกมืออีกข้างดีดเหม่งจนแดงไปหมด จะดิ้นก็ดิ้นไม่ได้เพราะแรงมันเยอะไงหล่ะ
ฮื่ออออออออ น่าอนาถความโง่ของตัวเองจริง ๆ


To be con. »

#ที่ปลายทะเล
นู๋ไม่ได้โง่หรอกลูก หนูแค่ไม่ทันไอ้พี่ปลายมันเท่านั้นเองจ้า
เอ็นดูน้องเลหนักมาก หึหึ ตอนหน้าจบแล้วนะจ้ะเพื่อน ๆ
อยากรู้จังว่าพี่ปลายมันหาอะไร สำคัญขนาดดุน้องหนูเลยอ่ะ
แอบกระซิบดัง ๆ ว่าตอนจบไอ้ต้าวเลมันจะมาอ้อนนนนนนน...
อยากอ่านคอมเม้นท์เพื่อน ๆ บ้าง อยากรู้ว่ามีใครยังอยู่กับเค้าบ้างไง 0.0
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่ะทุกคน

ออฟไลน์ litaP

  • I'M Lita P
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ 21/1 ที่ปลายทะเล END
«ตอบ #29 เมื่อ03-02-2020 09:53:04 »

ตอนที่ 21/1 ที่ปลายทะเล

หลังจากที่โดนทารุณกรรมก่อนออกจากห้องอยู่เกือบสิบนาที ตอนนี้ผมกับพี่ปลายก็ออกเดินทางมาจนใกล้จะถึงสถานที่นัดรวมตัวกันแล้ว พวกเราตั้งใจจะแวะทานข้าวเย็นที่นี้ด้วยกัน ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางคือจังหวัดนครราชสีมา หรือโคราชบ้านเอ็งนั้นแหละครับ
สถานที่ ๆ เราจะไปพักเป็นรีสอร์ทแนวโบฮีเมียน พวกเราจองที่พักแบบเต็นท์กระโจมสีขาวสามเต็นท์สำหรับหกคน นี่ถือเป็นครั้งแรกของผมที่เดินทางไกลโดยรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบ แต่เอาจริง ๆ ตั้งแต่เรียนจบและทำงานมาก็แทบไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย วันหยุดมันไม่ค่อยมีจะมีก็แค่อาทิตย์ละวัน
ตอนนี้รถของเรามาถึงปั้มน้ำมันที่นัดหมายกันไว้แล้ว พี่ปลายกำลังเลี้ยวรถเข้าไปในปั้มเพื่อหาที่จอดรถ ยังไม่แน่ใจว่ามีใครมาถึงก่อนแล้วหรือยัง ตั้งใจจะจอดรถแล้วค่อยโทรหากันอีกที
“อื้ออออออ”
“เป็นไรเตี้ย เมื้อยหรอ?”
“บิดขี้เกียจเฉย ๆ แบบว่าจะหลับเลยอ่ะพี่ปลาย” ยกมือขึ้นประสานกันค้างไว้ก่อนหันมาตอบคำถามคนข้าง ๆ ที่เพิ่งยกขาออกจากตัวรถมายืนอยู่ข้างๆกัน
“อือ” แค่เนี้ย ตอบแค่เนี้ยอะน่ะ นึกว่าจะพูดอะไรต่อ อุส่าห์ยืนรอฟังอย่างตั้งใจ แต่ไอ้พี่ปลายมันเล่นพยักหน้ารับแล้วกลับไปถอดหมวกกันน๊อคตัวเองต่อเฉยเลย ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคำพูดหวาน ๆ แบบ ถ้าง่วงก็นอนซบหลังพี่ก็ได้ หึ ไม่มีเลยจ้า อย่าว่าแต่พูดเลยพี่ปลายมันเคยคิดบ้างป่าวหร๊ออออออก
“พี่ปลายโทรหาพี่วิวยัง”
“มันถึงแล้ว”
“เอ้ารู้ได้ไง เลยังไม่เห็นพี่โทรเลย”
“มันไลน์มาบอก”
“อ๋อ แล้วอยู่ตรงไหนอ่ะ”
“ทำไมอยากเจอหน้าไอ้วินมากไง?”
“บ้าหรอ ไม่ใช่สักหน่อย”
“อืม”
? จบสั้น ๆ อีกแล้วเนี่ยนะ ตอบรับแค่นั้นแล้วหันไปมองทางอื่นเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ อะไรว่ะเนี่ย จบประเด็นกันง่าย ๆ แบบนี้เลย นึกว่าจะโดนบ่นยาวซะอีก แต่ก็ดีแล้วหล่ะถือว่ารอดตัวไป
“พี่ปลายเลไปห้องน้ำนะ”
“อืม” พอพี่ปลายตอบเสร็จผมก็เดินแยกตัวออกไปทางห้องน้ำทันที คราวนี้ไม่ได้รอว่าอีกคนจะพูดอะไร เพราะคิดว่าก็คงไม่มีอะไรจะพูดต่อเหมือนก่อนหน้านี้แน่ ๆ
เข้าห้องน้ำได้ก็จัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปล้างมือพร้อมกับส่องกระจกสำรวจความหน้าตาดีของตัวเองเสียหน่อย จะว่าไปแล้วเสื้อยืดสีดำสกรีนลายขาวกับเสื้อคลุมหนังสีดำที่ใส่อยู่ตอนนี้ก็ดูดีใช่หยอกเหมือนกัน ไหนจะกางเกงยีนส์สีดำขาดเข่าที่ตั้งใจใส่ให้เข้าชุดนี่ยิ่งดูไปดูมาไอ้ผมนี่ก็ยิ่งโคตรเท่ห์เลยนะ
‘ไม่มีใครชมเลชมตัวเองก็ได้
“ช้า”
“อ้าว พี่ปลายรอเลหรอ”
“รอหมา”
“โฮ่งๆ งับแขนแม่งเลย”
“เดี๋ยวมึงจะโดน”
“โดนอะไรครับ โดนหอมแก้มหรอ เอาสิ ๆ” ยื่นหน้ายื่นตาไปให้อย่างกวนอารมณ์ เพราะคิดว่ายังไงพี่ปลายก็คงไม่หอมจริง ๆ แน่ เพราะตรงนี้มันหน้าห้องน้ำชายและอีกอย่างก็อยู่ในปั้มน้ำมันด้วยไง คนเดินไปเดินมาก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยกล้าท้าทายอำนาจของพ่อวิศวกรไฟฟ้าที่ตัวเท่าเสาไฟ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิด พี่ปลายไม่ได้หอมผมหรอกครับแต่
แปะ
“โอ้ยยยย พี่ปลายเลเจ็บนะ”
“ดีแล้วที่เจ็บ” คนตบเหม่งผมหันมายกยิ้มมุมปากอย่างสะใจ ส่วนไอ้เราก็ทำได้แค่ยกมือลูบหน้าผากตัวเองที่คงแดงเพราะเมื่อกี้ฝ่ามือพิฆาตที่ฟาดลงมาก็ไม่ใช่เบา ๆ พร้อมทั้งมองอีกคนด้วยแววตาอาฆาต อยากจะขอต่อฟ้าดินเลยว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้พี่แม่งกลัวเมีย และเมียคนนั้นก็ต้องเป็นทะเลคนนี้ด้วยเว้ยยยย
‘อาเมน
“โหยย ไรเนี่ย ชอบทำร้ายเมียตัวเองหรอว่ะ”
“ก็มึงมันดื้อ”
“เลเนี่ยนะดื้อ” ไม่ได้ ไม่จริง ไม่เชื่อ คนน่ารักแบบทะเลเนี่ยนะดื้อ พี่ปลายใช้อะไรคิดว่ะเนี่ยยยยยย ม่ายยยยยยยยย รับไม่ได้
“นี่มึงไม่รู้ตัวเลย?”
“ไม่เคยรู้สักนิด คิดมาตลอดว่าเลนี่เป็นคนเรียบร้อยมาก” ใช่คิดมาแบบนี้ตลอดตั้งแต่เกิดมาเลย
“เฮ้อ”
“เฮ้ยย พี่ปลายอย่ามาถอนหายใจใส่กันแบบนี้นะเว้ย”
“...”
“พี่ปลายอย่าเงียบเด่ ฟังเลพูดป่ะเนี่ย”
จุ๊บ
“ง่าาาาาาาาาาาาาา”
“ไปได้แล้วไอ้หมาเตี้ย”
“งื่ออออ~” และสุดท้ายก็จบด้วยการเดินตามพี่ปลายไปอย่างว่าง่าย ตาลอยเพราะหัวใจที่เต้นแรงจากการโดนโจมตีด้วยการจุ๊บปากของไอ้คนหน้าหล่อที่เดินจูงมืออยู่ ตอนจุ๊บก็ตกใจจนตาเหลือกแล้ว ตอนเห็นพี่มันส่งยิ้มหวานมาให้นี่หัวใจแทบวาย มันแบบว่าความหล่อกระชากวิญญาณไปเลยอ่ะเนี่ย
นี่ขนาดได้กันแล้วนะยังเขินเลยแม่ง ภาพพี่วงพี่วินที่เคยคิดก่อนหน้านี้สลายกลายเป็นฝุ่น PM2.5 ไปเลยจ้า
‘ปัวหล่อไม่บอกต่อนะจ้ะ


“ออกเดินทางต่อเลยนะ ขับตาม ๆ กันไปแล้วกันเพื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันได้”
“โอเค”
“ได้ครับ” หลังจากที่มากันครบทุกคนพวกเราก็พากันไปนั่งกินข้าวที่ศูนย์อาหารภายในปั้มน้ำมัน ใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง เมื่อเสร็จเรียบร้อยทุกคนแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง โดยจะขับตาม ๆ กันไปเหมือนที่พี่วินบอก
ระยะทางจากที่นี้ไปจนถึงที่พักก็ประมาณ 220 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางก็น่าจะประมาณสามชั่วโมงครึ่งถึงสี่ชั่วโมง ก็น่าจะถึงดึกพอดูแหละครับ แต่พี่วิวก็โทรแจ้งกับทางรีสอร์ทแล้วว่าพวกเราจะไปถึงช้า เนื่องจากออกเดินทางหลังจากเลิกงาน
ความเย็นของอากาศเริ่มเพิ่มมากขึ้นเมื่อรถวิ่งเข้าใกล้ที่พัก เพราะตั้งแต่เราเลี้ยวขวาเข้ามาตามป้ายบอกทางเขื่อนลำพระเพลิง ถนนสองข้างทางก็เป็นทุ่งนาและต้นไม้ใหญ่ ผมที่เริ่มรู้สึกหนาวเลยกระชับมือที่กอดเอวพี่ปลายให้แน่นขึ้น และดูเหมือนกับว่าพี่ปลายก็พอจะรู้เลยลดความเร็วของรถลง เพื่อให้ลมที่พัดเข้ามาปะทะลดลง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่หรอกครับ ยังไงก็ยังหนาวอยู่ดี
วิ่งตามเส้นทางที่จะไปเขื่อนลำพระเพลิงไม่นาน จุดหมายปลายทางของเราก็อยู่ข้างหน้าแล้ว พี่ปลายผู้ขับนำมาคนแรกรีบเปิดไฟเลี้ยวขวาอีกครั้ง เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้อีกสองคันที่ตามมาได้รับรู้ จากนั้นก็หักเลี้ยวขวาข้ามสะพานและเลี้ยวซ้ายเพื่อขับบนถนนเล็ก ๆ ที่จะพาพวกเราไปถึงรีสอร์ท ระยะทางจากสะพานไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึง หน้ารีสอร์ทที่เราจะเข้าพักเปิดเป็นลานเบียร์ มีเวทีสำหรับการแสดงดนตรีสด ตอนนี้เป็นเวลาที่ค่อยข้างดึก หรือจะเรียกว่าดึกมากก็ได้ เพราะคนที่ร้านเริ่มจะเบาบางลงไปมากแล้ว อีกไม่นานลานเบียร์ก็คงจะปิด


หลังจากที่ทำการเช็คอินเข้าที่พักกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการค้นเอาเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ใส่นอนในคืนนี้ออกมา ทีแรกว่าจะไม่อาบน้ำหรอกครับ แต่ว่ามันเหมือนจะนอนไม่หลับ เวลาไม่อาบน้ำนอน เลยตั้งใจว่าจะขออาบสักหน่อยก็ยังดี ส่วนอีกคนนะหรอ ตอนนี้นอนแผ่หลาอยู่บนที่นอน จากที่มองดูสภาพแล้วคงจะเหนื่อยไม่เบา
“พี่ปลายถอดถุงเท้าก่อนสิ จะได้นอนสบาย”
“อือ” หันไปบอกอีกคนที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ ได้เสียงตอบรับมาเบา ๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมขยับเขยื้อนตัวเลยสักนิด
“มาเลถอดให้ ยกเท้าหน่อย”
“ไม่ต้องเดี๋ยวถอดเองสกปรก”
“อย่าดื้อดิ เลถอดได้” ตีขาอีกคนไปเบา ๆ ก่อนจะจับขาที่โยกไปโยกมาให้อยู่นิ่ง ๆ แล้วดึงถุงเท้าสีดำสนิทออกจากเท้ายาวของพี่ปลาย จากนั้นก็คิดอะไรสนุก ๆ ได้
“หอมไหม?”
“ไอ้เตี้ย! เล่นอะไรเนี่ยสกปรก” คนโดนถุงเท้าปิดจมูกถึงกับลุกขึ้นนั่งทำหน้าตายุ่งเหยิง มองผมด้วยความโมโห มือหนาชี้มาที่หน้าผมอย่างจะเอาเรื่อง ต่างจากผมที่ส่งยิ้มหวานไปให้อย่างสบายอารมณ์
“เท้าตัวเองทำมารังเกียจ”
“งั้นมึงเอาไปดมเลย”
“ได้ไม่มีปัญหา ของพี่ปลายเลดมได้สบายมาก”
“เฮ้ยยย กูล้อเล่น”
“ไม่เป็นไรพี่ปลาย หอมออก”
“เตี้ยมึงทำบ้าไรเนี่ย” ยื่นมือไปรับเอาก้อนกลมๆ สีดำจากอีกคนมาสูดดมอย่างสบายใจ คราวนี้หน้าคมที่ทำหน้ายุ่งเหยิงอยู่ก่อนหน้านี้ถึงกลับเบิกตากว้าง ตกใจที่ผมไม่ปฏิเสธ รีบคว้าก้อนกลมนั้นออกจากมือผมทันที พร้อมทั้งโยนไปไว้อีกมุมหนึ่งของเต็นท์ให้ไกลจากมือผม สีหน้าท่าทางตกใจจนตาคมเบิกโตนั้น ทำให้ผมที่พยายามกลั้นขำเอาไว้ตั้งแต่แรกถึงกับอ้าปากหัวเราะออกมาดังลั่น ลืมไปแม้กระทั่งว่าเต็นท์ที่เรานอนอยู่มันไม่ได้เก็บเสียง โชคดีที่เสียงเพลงจากภายนอกช่วยกลบเอาไว้
“ฮ่า ๆๆๆๆๆ ตลกว่ะ”
“ไอ้หมาเตี้ย มึงแกล้งกูหรอ”
“อ๊ากกกก พี่ปลายเลขอโทษ” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนแกล้งถึงกับจับแขนผมลากเข้าไปหาตัวเอง แล้วล๊อคคอผมจนแน่น ใช้นิ้วเรียวดีดหน้าผากผมจนเจ็บไปถึงสมอง ถึงกับต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว แต่ใช่ว่าการร้องขอชีวิตของผมจะเป็นผล เพราะไอ้พี่ปลายใจโหดมันโยนผมลงบนที่นอน ก่อนจะขึ้นคร่อมทับบนตัวผม จากนั้นก็รั้งสองมือเอาไว้เหนือหัวด้วยมือหนาข้างเดียวของพี่มัน ผมที่พยายามส่ายตัวไปมาเพื่อให้รอดพ้นจากการลงทัณฑ์ของมัจจุราชปลาย ก็ยิ่งโดนล็อคตัวแน่นกว่าเดิมด้วยต้นขาแกร่งที่คร่อมอยู่บนตัว
“พี่ปลายครับ เลผิดไปแล้ว”
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอกับตาคมที่มองมาอย่างดิบเถื่อนเล่นเอาผมขนหัวลุก อยากจะย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ แต่พอคิดอีกทีย้อนไปยังไงผมก็ต้องแกล้งพี่มันเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็อาจจะวิ่งหนีทันไง
“พี่ปลายจ๋า เลขอโทษครับ”
“ขอโทษอะไร”
“ที่เลเอาผ้าคลุมหน้าให้พี่ดม หลอกว่าเป็นถุงเท้าไงครับ ผืนนั้นยังไม่ได้ใช้เลยนะ ยังหอมอยู่เลย”
“อืม” คนฟังยังจ้องมาอย่างไม่วางตา ตาคมไม่มีแววว่าจะใจอ่อนเลยสักนิด ยิ่งผมอ้อนวอนขอร้องพี่ปลายก็ยิ่งเหมือนจะสนุก พอเห็นว่าเป็นแบบนั้นแล้วก็คิดว่าต้องหาแผนใหม่แล้วหล่ะ
“พี่ปลาย ลงโทษเลก็ได้ เลยอมแล้ว” เอาสิ ขอให้ปล่อยไม่ปล่อย ก็แกล้งยอมโดนลงโทษไปเลย ก็คงจะแค่ดีดหน้าผาก ไม่ก็จั๊กจี้ให้ขำจนหายใจไม่ออกเหมือนที่พี่มันชอบทำเวลาผมแกล้งมันตอนอยู่คอนโด
“แน่ใจนะ”
“อื้อ แน่ใจ เอาเลยครับเลพร้อมแล้ว” ทำหน้าสลดพร้อมกับสายตาสำนึกผิดจ้องคนที่คร่อมร่างผมอยู่ เม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ และดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะได้ผล เพราะพี่ปลายคลายมือที่จับแขนสองข้างเหนือหัวผมออกทำให้มือผมเป็นอิสระ รวมไปถึงแรงกดทับของหน้าขาก็ลดลงไปจนเริ่มขยับตัวได้ แต่ผมก็ยังคงนอนนิ่งเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อ ถ้าดิ้นหรือขยับตัวตอนนี้รับรองได้เลยว่าคงไม่ตายดีแน่ ๆ
ตาคมที่จ้องมองมาตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นปกติ ปากบางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนพี่ปลายกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นไม่นานผมก็ต้องตาเหลือกเมื่อหน้าเรียวก้มลงมากระซิบข้างหู
“เต็นท์นี้มันไม่เก็บเสียง เม้มปากแน่น ๆ นะเมีย”
“พี่ปลายยย จะทำอะไรเล”
“ก็ลงโทษมึงไง”
“อื่อออออออ” ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที เมื่อพี่ปลายซุกหน้าลงมาที่ซอกคอของผม กดจูบเบา ๆ ก่อนจะใช้ฟันขบลงมาบนผิวเนื้อ ความเจ็บจี๊ดเล่นเอาผมสะดุ้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียวซ่านเมื่อมือหนาล้วงเข้ามาลูบไล้ที่ยอดอดแข็ง สะโพกหนาขยับขึ้นลงจนอะไรบางอย่างของเราเสียดสีกัน ตอนนี้ร่างกายของผมเริ่มเกิดความร้อนและเริ่มสั่นเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับ
‘นี้หรอบทลงโทษของเมิงงงงงงงงง ไอ้คนบ้า
อยากจะร้องตะโกนออกมาใส่หน้าไอ้คนที่ซุกไซร้ ไล่เลียอยู่ที่ซอกคอตัวเอง แต่ก็กลัวว่าถ้าเอามือออกจากปากเมื่อไหร่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจะไม่ใช่เสียงตะโกน มันอาจจะเป็นเสียง...กระเส่า
“หายดื้อหรือยัง”
หงึก หงึก
พยักหน้าขึ้นลงไปมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงแหบพล่ากระซิบอยู่ที่ข้างหูจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกร้อนผ่าวที่ได้รับจากลมหายใจอุ่นที่ลดลงบนหน้าเล่นเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว เอาจริง ๆ อารมณ์ตอนนี้ของผมมันจะหยุดไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีพอมีสติรับรู้ว่าถ้ามันไปไกลกว่านี้ผมต้องอดกลั้นเสียงครางตัวเองไม่ได้แน่ ตอนนั้นเลยทำได้แค่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้อีกคน ก่อนจะหลับตาลงเมื่อหัวใจกระตุกวาบตอนที่จ้องตากับตาคมนั้นอย่างจัง
“เอามือออก” ครั้งนี้ส่ายหัวไปมาแรงกว่าพยักหน้าเข้าไปอีก จะให้เอาออกได้ยังไงในเมื่อมือหนายังคงบีบคลึงอยู่ที่ยอดอก ความเสียวซ่านวิ่งพล่านไปหมด ถ้าขืนเอามือออกคนอื่นรู้กันไปทั่วแน่
“เอามือออกครับ” เสียงทุ้มกับตาคมที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหวานเยิ้มเล่นเอาหัวใจทำงานหนัก หน้าเห่อร้อนเพราะความรู้สึกหลายหลาก มือหนาที่จับหน้าอกอยู่ก่อนหน้านี้ยกขึ้นมาดึงมือผมที่ผิดปากอยู่ออก ก่อนจะปิดทับลงมาอีกครั้งด้วยปากสวย
พี่ปลายกดจูบลงมาเบา ๆ ก่อนจะดูดเม้มริมฝีปากล่างของผมอยู่สักพัก จากนั้นก็ผละออกเล็กน้อยแต่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่กับปากของผม ตอนนี้ผมบอกได้คำเดียวว่าตัวสั่นมาก มันมีความต้องการให้พี่ปลายจูบมากกว่านี้
“อีกสิ”
“อะไรอีกหืม?”
“...” ผมไม่ได้ตอบ แค่ขยับปากขึ้นไปจูบกับปากบางที่ยังคลอเคลียอยู่ แต่พี่ปลายก็ผละถอยออกห่างไป พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เล่นเอาความต้องการเพิ่มขึ้นมากไปกว่าเดิมอีก
“ไม่เอาสิครับ บอกพี่ก่อนว่าเราจะเอาอะไร”
“เลอยากจูบ พี่ปลายจูบเลน่ อือ~” ยังไม่ทันพูดจบประโยคปากสวยก็กดลงมาเสียก่อน พี่ปลายกดจูบลงมาหนักหน่วงกว่าเดิม ครั้งนี้มันร้อนแรงและเผาผลาญพลังงานจนหัวใจเต้นถี่ ปากสวยบดเบียดทั้งดูดทั้งขบไปทั่วทั้งริมฝีปาก จากนั้นลิ้นร้อนก็เลียสะเปะสะปะไปทั่วรอบปาด ก่อนจะสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากเพื่อแลกเปลี่ยนน้ำเชื่อมสีใส
“ฮึ่ม” เสียงครางในลำคออย่างพอใจของพี่ปลายเมื่อผมกระหวัดลิ้นรับลิ้นร้อนของเจ้าตัว ลิ้นเรียวทั้งดันทั้งเลียอยู่ในปากผมจนแทบหมดลมหายใจ จนต้องจิกเล็บลงบนไหล่กว้างที่วางมือทั้งสองข้างเอาไว้
“ไหวไหม?” ปากบางคลี่ยิ้มเมื่อปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ ผมส่ายหัวเบาๆ เพื่อบอกอีกคนว่าผมไม่น่าจะไหวแล้ว หากว่าพี่ปลายยังจูบผมอีกครั้ง มันคงไปไกลมากกว่านี้แน่ ๆ โชคดีที่ปลายก็พอจะเข้าใจ เลยพลิกตัวลงนอนบนที่นอน แล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้ ก่อนจะกดจมูกลงบนหน้าผากกว้างแล้วกอดเอาไว้อย่างนั้นไม่ได้ทำอะไรต่อ
“ไม่ชอบที่นี้เลย”
“ทำไมหล่ะพี่ปลาย ไม่สวยหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนที่พูดแบบนั้น ก่อนหน้านี้ตอนเข้ามายังชมว่าสวยอยู่เลย ทำไมมาบอกไม่ชอบที่นี้ได้ก็ไม่รู้
“ไม่ใช่ไม่สวย แต่มันไม่เก็บเสียง”
“บ้าว่ะพี่ปลาย” แววตาและคำตอบที่อีกคนบอกมาเล่นเอาผมยกมือทุบอกเบา ๆ พาลไปคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็เลยเขินขึ้นมาอีก
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูต้องอดทนแค่ไหน”
“เลน่ารักขนาดนั้นเลยหรอ ฮึ?” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดไปแบบนั้น คงเพราะรู้อยู่แล้วว่าพูดแบบนี้ไปยังไงพี่ปลายก็คงไม่ตอบ เผลอ ๆ อาจจะโดนดีดหน้าผากเพราะความหมั่นไส้ และคิดว่าคงจะช่วยลดความรู้สึกอะไร ๆ ลงไปบ้าง แต่ว่าผมคิดผิด
“ใช่ น่ารักจนกูอยาก...จะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“งื่อออออ~ พี่ปลายยยยย” ซุกหน้าลงกับอกกว้างทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น น้ำเสียงอบอุ่นกับแววตาที่แสดงออกมาว่าพี่ปลายต้องการผมมากขนาดไหนเล่นเอาหัวใจแทบระเบิด หน้าร้อนลามไปทั่วทั้งตัว อยากจะบอกพี่ปลายเหมือนกันว่า ผมก็ต้องการพี่มันเหมือนกันนั้นแหละ



สถานการณ์เมื่อคืนผ่านพ้นไปด้วยดี จบด้วยการนอนกอดกันจนหลับไปทั้งคู่ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้อาบน้ำหรือแม้กระทั่งฟันก็ยังไม่ได้แปรง อาจเป็นเพราะหัวใจเต้นแรงเหมือนกับได้ออกกำลังกายอย่างหนักเลยทำให้ไม่อยากจะลุกไปไหน ประจวบเหมาะกับที่อากาศหนาวภายนอกก็ทำให้ไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดอุ่น ๆ ของคนตัวโต ก็นั้นแหละครับ ข้ออ้างสารพัดที่ทำให้ไม่ได้อาบน้ำก่อนนอน
“เล มานี่ ๆ มารอดูหนังสดกัน”
“หืม ? พี่ระติชอบโชว์หรอ ดีเลย” ขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าเต็นท์ตัวเองหลังจากไปเดินรอบ ๆ ที่พักมา พี่วิวคนน่ารักก็เรียก ทำให้ผมเดินไปหาพี่แกที่นั่งอยู่หน้าเต็นท์ของพี่ระติกับน้องกาน แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้นนั่งก็โดนเจ้ากรรมนายเวรเรียกไว้ซะก่อน
“เตี้ย มานี่เลยมึง”
โถ่พี่ปลาย ขัดจังหวะจริง ๆ เลย
“อะไรเล่า เล จะรอดูเป็นเพื่อนพี่วิวเนี่ย” หันไปงอแงใส่อีกคนที่เข้ามาขัดจังหวะ อุส่าห์จะได้ดูของดีแต่เช้าเลยนะ
“มึงอยากไปดูกับกูสองคนป่ะ”
“ได้หรอ ที่ไหนอ่ะพี่ปลาย”
“มึงจะพาน้องไปดูหรือมึงจะแสดงเองไอ้ปลาย”
“ห๊าาาาา ไอ้บ้าพี่ปลาย ไอ้คนทะลึ่ง” ฟังพี่วิวพูดจบสมองอันชาญฉลาดก็นึกถึงเมื่อคืนขึ้นมาอีก ตายแน่ต้องตายแน่ ๆ ถ้าพี่ปลายเล่นหนังสดจริง ๆ กลางคืนว่าน่าอายแล้ว แต่คนก็ยังน้องกว่าเช้า ๆ แบบนี้
“มึงแหละทะลึ่งเตี้ย กูยังไม่คิดอะไรเลย แต่ถ้ามึงอยากทำกูจัดให้ได้นะ มานี้มา” คนตัวโตเดินเข้ามาล็อคคอผมด้วยท่าประจำ ก่อนจะลากออกมาจากเต็นท์ของพี่ระติ เพื่อเดินกลับมาที่พักของตัวเอง
“พี่ปลายปล่อยเลเลยนะ”
“กลัวหรอ”
“เออดิ เมื่อคืนก็ทีแล้วนะ”
“หึหึ” หัวเราะอีกแล้ว หัวเราะเก่งจริง ๆ คนยิ่งกลัว ๆ อยู่นะเว้ยว่าพี่มึงจะเอาจริง โชคดีที่พี่มันยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่งั้นบอกเลย เลร้องไห้ฟ้องแม่แน่ ๆ ไม่ใช่ฟ้องยายเจี๊ยบนะเพราะยายเจี๊ยบคงไม่ช่วยแน่ เลจะฟ้องแม่พี่ปลายเลยด้วย



“มึงไปทำไรมาไอ้ปลาย” พี่วิวเอ่ยทักทันทีที่ผมกับพี่ปลายเดินมานั่งลงที่โต๊ะเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน คนตัวโตนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ เพื่อนสนิทตัวเล็กกว่า ส่วนผมเดินมานั่งลงอีกฝั่งที่มีเก้าอี้ว่างอยู่
“บอกเค้าดิว่ามึงไปทำไรมาเล”
“อ้าวพี่ปลายยยย” หันไปมองหน้าคนตัวโตกว่าที่อยู่ ๆ ก็โยนคำถามที่พี่วิวถามมาให้กันเสียอย่างนั้น เล่นเอาลนไปหมดไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี
“ก็มึงอาบน้ำ กูเลยต้องรอมึง หรือมึงมีเรื่องอื่นจะบอกอีก”
“ไม่มี๊” ยกมือโบกไปมาพร้อมกับตอบด้วยเสียงที่สูงจนนึกว่าไม่ใช่เสียงตัวเอง ยิ่งพอเห็นสายตาของคนที่มองมาที่ผมยิ่งเล่นเอาทำหน้าไม่ถูก ก็ก่อนหน้านี้ที่เหมือนกับว่าไอ้พี่ปลายมันจะปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนหลังจากผมกลับมาจากอาบน้ำ พี่มันก็จับผมฟัดซะจนหอบแดก ทั้งจูบทั้งหอมจนหายใจแทบไม่ทัน กว่าจะออกมากินข้าวพร้อมคนอื่นได้นี่ต้องนอนสงบนิ่งอยู่นานเลย
“หึหึ ไอ้หมาเอ้ย” ไม่ช่วยแล้วยังมาหัวเราะอีกนะ ไอ้คนบ้า

วันนี้โปรแกรมท่องเที่ยวของเราที่แรกเป็นเขื่อนลำพระเพลิง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก จากนั้นก็จะไปเที่ยวสวนสัตว์กันต่อ ส่วนตอนเย็นจะมานั่งฟังเพลงกันที่รีสอร์ท และที่สำคัญที่สุดก็เซอร์ไพร์ขอแต่งงานน้องกานของพี่ระติ
การออกไปเที่ยวในช่วงกลางวันผ่านไปได้ด้วยดี โชคดีที่อากาศวันนี้ไม่ร้อนมาก แดดแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำจนถึงตอนนี้ที่กลับมาถึงที่พักในช่วงเย็น อากาศโดยรอบก็เย็นมากไปกว่าเดิมอีก พวกเราตกลงกันว่าจะเข้ามาพักผ่อนอาบน้ำอาบท่าตามอัธยาศัยกันก่อน รอเวลาค่ำ ๆ แล้วค่อยออกไปนั่งทานข้าวเย็นที่ลานเบียร์หน้ารีสอร์ทที่วันนี้จัดงานตรีมวันเด็ก เพราะมันตรงกับวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม



“สวัสดีครับทุกคน วันนี้เป็นวันเด็ก ไหนใครพกเด็กมาบ้างครับ”
ฮิ้วววว
เสียงพูดของพิธีกรบนเวทีเรียกให้พวกเราและลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ โห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้พวกเราออกมานั่งที่ลานเบียร์กันแล้ว จัดการสั่งอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมกับนั่งดูวงดนตรีที่วันนี้มีเด็กมัธยมมาเล่นให้ฟัง แขกส่วนมากที่มานั่งใส่ชุดนักเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงชุดนักศึกษา แต่ก็มีคนที่แต่งตัวธรรมดาเหมือนพวกเราหกคนอยู่หลายโต๊ะ
เมื่อเย็นตอนที่น้องกานเข้าไปอาบน้ำ พวกเราก็รวมตัวกันวางแผนเซอร์ไพร์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ระติจะลืมเอาแหวนออกมาเลยทำให้พี่วิวกับพี่วินต้องไปเอาให้ เพราะตอนที่พี่ระติจะกลับไปเอาโดยอ้างว่าจะไปห้องน้ำ น้องกานดันขอตามไปด้วย เลยต้องเดือดร้อนพี่วิวเป็นคนเดินไปเอาให้แทน
“พี่ระติ วันนี้วันเด็กพี่ให้ของขวัญอะไรน้องกาน” เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็เริ่มดำเนินตามแผนที่วางไว้
“แล้วพี่ปลายให้อะไรพี่เลหรอครับ” เสียงนุ่มของกานเอ่ยถามกลับมาเมื่อผมถามไปแบบนั้น เล่นเอาผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ได้คิดคำพูดเผื่อเอาไว้ แต่ก็โชคดีที่ยังพอไหลลื่นไปได้
“นั้นสิพี่ปลาย ยังไม่ให้อะไรเลเลยนะ”
“มึงอยากได้ป่ะหล่ะ กลับเต็นท์ดิ เดี๋ยวกูให้ชิ้นใหญ่เลย” แววตาของพี่ปลายที่มองมาพร้อมกับคำตอบ เล่นเอาผมร้อนหน้าขึ้นมาอีกแล้ว ความคิดอะไรต่อมิอะไรเตลิดเปิดเปิงไปกับคำว่าของขวัญชิ้นใหญ่
‘อึ้ยยยยย อยากได้
“ไอ้เฮี้ยยย!! มึงนี่ชวนน้องมันเข้าเต็นท์ตลอดเลยนะ”
“ก็ของมันอยู่ในเต็นท์ มึงจะให้กูชวนลงนาหรือไง”
“มึงแน่ใจว่ามึงคิดอย่างนั้นจริง ๆ”
“ไม่”
“พี่ปลายยยยยย~” ผมถึงกลับร้องเสียงหลงออกมาเมื่ออีกคนตอบเพื่อนสนิทแบบนั้น ความร้อนบนใบหน้ายิ่งร้อนลามขึ้นมากกว่าเดิมเข้าไปอีก ทีแรกก็ว่าจะไม่เขินมากมายขนาดนี้นะ แต่มันห้ามไม่ได้จริง ๆ ยิ่งไอ้คนข้าง ๆ มันก้มลงมากระซิบอีก ตายห่าเลยครับงานนี้
“จะไปเอาเลยไหมเตี้ย?” ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป เสียงของพี่ระติก็เอ่ยเรียกชื่อคนเป็นแฟน
“กานครับ”
“หืม?” พวกเราทุกคนหันไปมองที่พี่ระติกับน้องกาน ตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นแทนน้องกานมาก ๆ ผมมองพี่ระติที่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบกล้องแหวนขึ้นมาส่งให้กับน้องกาน พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่คนที่แค่ได้ยินอย่างผมยังรับรู้ได้ว่ามันคงจะทำให้หัวใจเต้นหนักมากแน่ ๆ
‘เขิลแทนเลยอ่ะแกร
“แต่งงานกับพี่นะครับ”
“...”
“กานครับแต่งงานกับพี่นะครับ” เพราะกานยังคงนั่งเงียบด้วยความตกใจ เลยทำให้พี่ระติต้องเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง และพวกเราก็เริ่มร้องเชียร์ออกมา
“แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย” น้องกานหันมามองที่พวกเราทุกคน ก่อนจะหันกลับมองที่พี่ระติอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ผมที่นั่งมองสถานการณ์อยู่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของตัวเอง จนมือหนาของคนข้าง ๆ เลื่อนมาจับมือผมไว้ ผมหันไปสบตากับพี่ปลายเพียงเล็กน้อยเมื่อได้รับสัมผัสนั้น แล้วหันกลับมาดูสถานการณ์อีกครั้งเมื่อพี่ระติเอ่ยเรียกชื่อคนเป็นแฟนซ้ำ
“กานครับ”
“แต่งงานกันครับ”
“เย้~”
“ยินดีด้วยน๊า”
“ปรบมืออออ” คำตอบที่เหมือนเป็นคำชวนของกานทำให้พวกเราร้องออกมาลั่นด้วยความยินดี รวมไปถึงโต๊ะข้าง ๆ ที่คงจะได้เห็นเหตุการณ์ก็ต่างร่วมยินดีไปกับพวกคนทั้งสองด้วย
ผมมีความรู้สึกยินดีกับคนทั้งสองคนมาก มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขจนห้ามรอยยิ้มไม่ได้ หัวใจของพวกเขาคงพองโตมาก ๆ แน่ พอคิดเรื่องของสองคนนั้นก็เผลอมาคิดเรื่องของตัวเองบบ้าง แต่ผมคงไม่มีหวังหรอกครับ เพราะพี่ปลายคนเนี้ย...
‘คงไม่มีทางทำแบบนี้แน่ๆ
แต่แค่ที่เป็นอยู่ ก็ดีที่สุดแล้วหล่ะครับ



------------------------->

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด