บทที่ 13
พี่ชายงอนต้องรีบง้อ
[/b]
Sati’ s talk
“ไอ้ติทำไมยังไม่นอน?”
“กำลังดูหนังอยู่พี่ กำลังสนุกเลย” ผมหันไปตอบพี่กูนที่เดินเข้ามาในห้องนอนผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ผมล็อกอินเน็ตฟิคพี่ได้ใช่ไหม”
“มึงล็อกไปแล้วจะถามกูเพื่อ” พี่กูนกอดอกมองผมนิ่งๆ
“เป็นมารยาทไงพี่ พี่ดูไหม” ผมเขยิบให้พี่กูนเข้ามานั่งข้างๆ ผม แต่พี่กูนกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ไม่ กูจะไปนอนแล้ว มึงก็นอนได้แล้วไอ้ติพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานรึไง”
“ไปครับ แต่ว่ามันกำลังสนุกเลย อีกไม่กี่นาทีก็จบแล้ว พี่โคตรของโคตรพีคเลย” หนังที่ผมดูชื่อเรื่อง Forgotten เป็นหนังเกาหลีแนวสืบสวนแต่ก็ไม่ได้สืบสวนแต่จะออกไปทางแนวระทึกขวัญมากกว่า ผมดูมาตั้งแต่ต้นผมคาดเดาอะไรไม่ได้เลยเพราะมันพีคไปหมด
“เรื่องอะไร”
“Forgotten พี่”
“ดูแล้ว สุดท้ายแม่งก็ตายหมด”
“พี่กูน!! พี่สปอยล์ผมทำไมวะเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมจะมีเรื่องกับพี่กูน “พี่ไม่รู้เหรอว่าเขาห้ามสปอยล์เวลาคนอื่นดูหนังอะครับ” ผมโกรธนะแต่ก็ทำได้แค่โกรธเพราะอย่างไรผมก็โกรธผู้มีพระคุณอย่างพี่กูนไม่ได้นานอยู่แล้ว
“มึงรู้ตอนจบแล้วก็นอนไป ถ้ายังไม่นอนกูจะปิดไวไฟ”
“พี่ขู่ผมเป็นเด็กเลยวะ”
“แล้วช่วยบอกกูทีว่ามีตรงไหนที่มึงไม่ใช่เด็ก?” แววตาที่ท้าทายของพี่กูนเป็นสายตาที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน อีกอย่างผมแพ้แววตาแบบนี้ แววตาของพี่กูนที่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ผมมีอะไรที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่พี่คิดอะครับ” ด้วยความที่เป็นนักเลงเก่าผมเลยถกแขนเสื้อเป็นสัญลักษณ์ว่าตอนนี้ผมพร้อมที่จะมีเรื่องถ้าพี่กูนยังท้าทายผมอยู่อย่างนี้ “อย่ามาท้าผม”
“แต่เท่าที่กูดู..กูยังไม่เห็นความเป็นผู้ใหญ่เลยวะไอ้ติ ไอ้เด็กอ่อนอย่างมึงอย่าทำปากดี” ผมรู้นะว่าตอนนี้พี่กูนพยายามที่จะปั่นให้ผมโมโห ด้วยคำพูดที่โคตรจะกวนส้นตีน โทษนะผมขอใช้คำหยาบแต่ตอนนี้ผมไม่ไหวจริงๆ
“โห่พี่ เรียกเด็กอ่อนนี่ผมไม่ยอมนะ” ในความคิดของผม ผมอยากจะเข้าไปกระชากคอเสื้อพี่กูนแรงๆ เพื่อบ่งบอกว่าผมเอาจริง แต่...สิ่งที่ผมทำได้คือ “ผมอ่ะ...”
“อะไร?” เมื่อเห็นว่าผมจนมุมไม่มีอะไรมานำเสนอว่าผมนี่แหละที่เป็นผู้ใหญ่ตัวจริง พี่กูนก็ยิ่งท้าทายด้วยการเบะปากและเลิกคิ้วขึ้น “ไหนวะ”
พรึบ!
“......!!!”
“เป็นไงยิ่งใหญ่ไหมล่ะ” ผมเท้าเอวพร้อมกับแอ่นอวัยวะบางอย่างไปตรงหน้าพี่กูนด้วยความภาคภูมิใจ ส่วนพี่กูนตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งให้กับความเป็นผู้ใหญ่ของผม
“อึ้งเลยดิพี่ นี่แหละโคตรของโคตรผู้ใหญ่” เมื่อเห็นว่าผมโชว์นานเกินไป ผมจึงค่อยๆ ดึงกางเกงกลับขึ้นมาเหมือนเดิม
“หึ” พี่กูนเค้นยิ้มเล็กๆ พร้อมกับส่ายหน้า
“พี่ขำไรวะพี่กูน”
“นี่แหละที่โคตรเด็ก นอนได้แล้วมึงไอ้ติ เลิกปัญญาอ่อนสักที” ก่อนจะออกจากห้องพี่กูนเดินอ้ามือมาตรงหน้า ด้วยความที่ผมคิดเอาเองว่าพี่กูนจะตบหัวผมแรงๆ เหมือนทุกที ผมจึงหลับตาแต่ที่ไหนได้...
“พี่ไม่ได้จะตบเหรอ”
“ยิ่งตบมึงก็ยิ่งเอ๋อ นอนได้แล้ว” ผมมองตามหลังพี่กูนที่เดินออกจากห้องผมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ฝ่ามือที่พี่กูนทิ้งลงบนศีรษะของผมพร้อมกับขยี้เบาๆ แบบนั้น...ไอ้ติรู้สึกตัวเล็กเลยครับผม
เมื่อพี่กูนออกจากห้องนอนของผมไป ผมจึงค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนิ่มๆ ตาของผมเหม่อมองไปที่เพดานและคิดทบทวนว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมวะ
“มีพี่ชายมันดีแบบนี้นี่เอง ฝันดีนะพี่กูน”
เช้าวันต่อมา
“กูบอกมึงแล้วไอ้ติว่าอย่านอนดึก สายจนได้ กูจะสมน้ำหน้าให้ถ้ามึงถูกไล่ออกจากวิน” ตอนนี้ผมรีบแต่งตัวโดยมีพี่กูนคอยนั่งบ่นอยู่บนเตียง
สาเหตุที่พี่กูนมานั่งอยู่ในห้องของผมก็เพราะว่า... สิบนาทีก่อนหน้า
‘ไอ้ติ’
‘พี่ผมง่วง เข้ามาทำไมแต่เช้าเนี่ย’
‘ไอ้ติ’
‘พี่ค้าบบบ ผมง่วง ขอนอน’
‘จะแปดโมงแล้ว’
‘แค่แปดโมงเองพี่ ห้ะ!! ทำไมพี่ไม่ปลุกผมให้เร็วกว่านี้วะ!!’ เท่านั้นแหละครับผมรีบเด่งขึ้นจากที่นอนถอดเสื้อถอดทุกอย่างและวิ่งเข้าห้องน้ำไปโดยที่ไม่ได้สนใจว่าพี่กูนจะอยู่ในห้องด้วย อย่างไรพี่กูนก็เห็นน้องชายผมไปแล้วเมื่อคืน ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องอาย เพราะอย่างไรเราก็มีเหมือนๆ กัน ผมอาจจะใหญ่กว่าพี่กูนก็ได้ใครจะไปรู้ ขอยาดขิงนะครับ พอดีปลูกไว้เยอะ
กลับมาที่ปัจจุบัน
“พี่อย่าซ้ำเติมผมดิ ผมรีบอยู่เนี่ย” ผมรีบยัดขาใส่กางเกงยีนก่อนจะหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ พร้อมกับทาครีมกันแดดไปด้วยอย่างลวกๆ
“กูก็เข้ามาเตือนแล้วว่าให้รีบนอน ยังจะมาเถียงนู่นนี่นั่น ถ้าอยากนอนตื่นสายก็ไม่ต้องทำงานนอนเฝ้าบ้านให้กูนิ”
“โถ่พี่ ถ้าผมไม่ไปทำงานผมจะเอาอะไรกินล่ะครับ”
“หญ้ามั้ง”
“ผมไม่ใช่ปลาคาฟนะพี่”
“ควายไหมล่ะ”
“แฮร่ ได้หนึ่งขำก่อนไปทำงาน ผมไปแล้วนะพี่หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้หลังจากที่หวีผมเสร็จ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้เซตผม เพราะไม่มีเวลา เมื่อแต่งตัวเสร็จอะไรเสร็จผมจึงรีบวิ่งมาหยิบหมวกและใส่เสื้อวินก่อนจะขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงพี่กูนตะโกนมาตามหลัง แต่ผมไม่ทันได้ฟังเลยตะโกนเพียงแค่ครับกลับไป
“เย็นนี้รีบกลับนะมึง กูจะพาไปกินข้าวข้างนอก”
“ครับ”
เมื่อมาถึงวินลูกค้ายังคงยืนต่อแถวรออยู่ ผมจึงรีบเข้าไปจอดเทียบท่ารับลูกค้าทันที
“ไปไหนครับ”
“โรงพยาบาล L ครับ” ผมยื่นหมวกไปให้ลูกค้า..ลูกค้าคนนี้เสียงคุ้นๆ เหมือนผมเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ด้วยความสงสัยทำให้ผมมองหน้าลูกค้าผ่านกระจก
“อ่าว พี่ไท้หวัดดีครับ” ผมกล่าวทักทายเมื่อลูกค้าคนนี้คือลูกค้าที่ครั้งก่อนผมเคยพาไปบุกซอยอันตรายนั้น เมื่อพี่ไท้เห็นว่าเป็นผมจึงยิ้มออกมา
“เป็นไงเรา แผลหายดียัง”
“ก็เริ่มหายแล้วพี่ แล้วพี่เป็นไงบ้างครับ ผมขอโทษจริงๆ นะเรื่องวันนั้น” ระหว่างที่ขับรถผมก็ชวนพี่ไท้คุยไปด้วยเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าพี่ไท้จะเหงา แต่บางทีผมก็ลืมคิดไปว่าพี่ไท้อาจจะรำคาญ
“ไม่เป็นไรมันเป็นอุบัติเหตุ” พี่ไท้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“งั้นวันนี้ผมไม่เก็บเงินพี่นะ ถือว่าเป็นคำขอโทษ ครั้นที่ผมจะชวนพี่ไปเลี้ยงผมก็กลัวพี่ไม่อยากไป” เพราะดูจากการแต่งตัวและลักษณะของพี่ไท้นั้นมันคนละชั้นกับผมเลย
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็...ผมขับวินไงพี่”
“แล้ววินไม่ใช่คนเหรอ ไม่มีใครดูถูกอาชีพเราเลย แต่คำพูดของเรากำลังดูถูกอาชีพตัวเองอยู่นะ” ผมพยักหน้ารับ “เอาเป็นว่าพี่สะดวกใจจะไปกินข้าวกับเรา ถ้าเราอยากจะเลี้ยงขอโทษ”
“งั้นพี่สะดวกวันไหนครับ ผมได้เสมอ”
“วันนี้ก็ได้เดี๋ยวพี่เลิกจะแวะไป อย่างไงทางกลับบ้านพี่ก็ต้องผ่านคิววินอยู่ดี”
“งั้นก็ได้ครับพี่ไท้ ผมจะรอพี่ที่ท่าวินนะ” เมื่อตกลงกันได้ก็ถึงโรงพยาบาลดี พี่ไท้ลงจากรถก่อนจะถอดหมวกส่งคืนให้กับผม “ยี่สิบบาทครับ”
“ไม่ต้องถอน” พี่ไท้ยัดเงินใส่มือผมก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ระหว่างนั้นผมจึงรีบแบมือเพื่อเก็บเงินใส่กระเป๋า
“แต่ยี่สิบบาทก็ไม่ต้องถอนป่าววะ” นอกจากจะหล่อ ใจดี พี่ไท้ยังตลกด้วย ถ้าเป็นคนแบบผมมาพูดในลักษณะนี้ ที่บ้านเรียกว่ากวนตีน
ตลอดทั้งวันผมก็ทำงานปกติ มีลูกค้าบ้างไม่มีลูกค้าบาง แต่ผมพึ่งสังเกตว่าวันนี้พี่ติ่งไม่ได้เข้ามาขับวิน
“วันนี้วันออฟพี่ติ่งเหรอพี่โก้” วันออฟคือวันหยุด
“น่าจะใช่ กูก็ไม่รู้ว่ะแล้วมึงออฟวันไหน” พี่โก้พี่อีกคนที่ขับวินด้วยกันถามกลับ
“พรุ่งนี้พี่” ผมได้วันออฟเป็นวันเสาร์วันเดียว ตั้งแต่ผมทำงานมาผมก็ไม่ได้หยุดเพราะก่อนหน้าพี่กูนไม่อยู่บ้านผมเลยไม่รู้ว่าจะหยุดไปทำไมเพราะอยู่บ้านก็เหงาเลยออกมาทำงาน แต่พรุ่งนี้พี่กูนน่าจะหยุดด้วยผมเลยถือโอกาสนี้หยุดเช่นกัน เผื่อพี่กูนจะเรียกใช้
“เอาไหม”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับพี่” พี่โก้ยื่นซองบุหรี่มาให้ผม จะว่าไปพี่ๆ ที่วินส่วนมากก็สูบบุหรี่กันจัด ผมเคยถามพี่ติ่งนะ พี่ติ่งบอกว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ได้สูบบ้างก็ชื่นใจ ผมไม่รู้หรอกว่าสูบบุหรี่มันจะชื่นใจได้แค่ไหนกันเชียวถ้าเทียบกับกินเอ็มร้อยหรือลิปโพ
วันนี้พี่ติ่งไม่มาทำให้ผมอดที่จะสืบเรื่องที่สงสัยต่อจากเมื่อวาน แต่เอาเถอะถือว่าได้พักสมองบ้าง
“น้องซอยเจ็ด”
“ครับ” ผมรับลูกค้าต่อในช่วงเกือบๆ บ่ายสาม และมุ่งหน้าพาลูกค้าไปยังซอยเจ็ดซึ่งติดอยู่กับซอยอันตรายที่เป็นซอยสิบเอ็ด ถ้าอยู่ฝั่งผมเลขซอยจะเป็นเลขคี่ ส่วนอีกฝั่งของถนนจะเป็นเลขคู่
“พี่อยู่แถวนี้เหรอครับ”
“ใช่จ่ะ”
“แล้วทำไมซอยสิบเอ็ดถึงไม่ค่อยมีคนไปเลยล่ะครับ” ได้โอกาสผมจึงสอบถามคนในพื้นที่เพื่อจะได้เบาะแสหรือข้อมูลอะไรได้บ้าง
“น้องไม่รู้เหรอว่าซอยนั้นมีแต่คนส่งยา แหล่งค้ายารายใหญ่เลย อย่าไปยุ่งล่ะ” คำตอบของพี่ลูกค้าทำให้ผมรู้แจ้งแจ่มชัดในทันที “คนที่เข้าไปส่วนมาก ถ้าหน้าใหม่แถวนั้นเขาก็รู้กันแหละว่ามารับมาส่งของ”
“มันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ก็ไม่เห็นยาก” เออเนอะ ผมก็ถามอะไรโง่ๆ “พวกตำรวจก็รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้ามันใหญ่ ถ้าอยากรู้ก็ไปร้านเหล้า XXX ซิ เลยไปไม่กี่ซอย นั่นก็ธุรกิจฟอกเงิน” ข้อมูลค่อนข้างแน่น แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดมามันเป็นข้อมูลที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม
“แสดงว่าเงินถึงเลยยัดตำรวจแถวนี้ได้ใช่ไหมครับ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้างหน้าๆ จอดตรงนี้แหละ”
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างที่ลูกค้าเมื่อสักครู่เล่า แสดงว่าเมื่อวานนี้พี่ติ่ง...ก็เข้าไปซื้อยาหน่ะซิ! แต่ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไม..ยาบ้าสมัยนี้มันซื้อขายกันง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ดูทุกคนจะรู้แหล่งแต่ทำอะไรไม่ได้ ผมเลิกสนใจเรื่องนี้และกลับมาทำงานต่อจนกระทั่ง
“อ่าวพี่ไท้”
“ติเลิกงานยัง” พี่ไท้เดินเข้ามาด้านในคิววินที่ผมนั่งอยู่ระหว่างรอลูกค้า
“เลิกก็ได้ครับ” ผมถอดเสื้อวินออกก่อนจะหันไปบอกพี่ๆ ว่าผมขอตัวกลับก่อน “พี่ไท้อยากกินอะไรครับ ผมได้หมดเลย แต่กระซิบว่าอย่าแพงมากนะครับ” ผมรู้นะว่านี่เป็นการเสียมารยาท แต่ถ้ามีมารยาทแล้วจ่ายแพงผมก็ยอมเสียมารยาทดีกว่า
“พี่กินง่าย ติเลือกก็ได้”
“งั้นร้านแถวๆ นี้เนอะพี่ไท้ อร่อยอยู่ผมเคยกิน” ผมจอดรถทิ้งไว้ที่คิววินก่อนจะเดินพาพี่ไท้ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ นั้น
“พี่ไท้เอาไรครับ ผมสั่งให้”
“พี่เอาเหมือนเรา”
“งั้นรอสักครู่ครับผม” ผมเดินไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงพิเศษสองชามก่อนจะเดินไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นมาสองแก้วให้พี่ไท้ ผมรอจนน้ำปั่นเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะก๋วยเตี๋ยวก็มาเสิร์ฟพอดี
“ของพี่ครับ” ผมยื่นน้ำแตงโมปั่นให้พี่ไท้ก่อนจะเริ่มลงมือกินก๋วยเตี๋ยว
“ขอบใจนะติ อร่อยมากเลย” พี่ไท้ตักน้ำซุปขึ้นมาชิม
“พี่ไท้ทำงานที่โรงพยาบาลเหรอครับ”
“ครับ พี่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลที่เราไปส่งพี่เมื่อเช้านี่แหละ” พี่ไท้ตอบยิ้มๆ พร้อมกับตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นกิน “แล้วติขับวินนานรึยัง”
“น่าจะเดือนแล้วครับพี่ไท้ ผมทำระหว่างรอมหาลัยเปิด”
“อ่อ ติเรียนอะไรล่ะ พี่ถามได้ไหม”
“ได้ดิพี่ ผมกำลังจะเข้าวิดวะ ผมจบปวส.มาก็เลยต่ออีกสองปีครึ่งครับ อยากได้วุฒิปอตรี” ผมยอมรับเลยว่าผมไว้ใจคนง่าย โดยเฉพาะกับพี่ไท้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรแต่ผมกลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
“ตินี่ขยันนะ พ่อแม่คงจะภูมิใจ” ผมยิ้มแห้งๆ ออกมา ถ้าพ่อกับแม่ผมภูมิใจก็คงจะดี
“ผมไม่มีหรอกครับพ่อกับแม่ ผมมีแต่พี่ชาย แค่พี่ชายผมภูมิใจผมก็ดีใจแล้ว” ผมรอวันที่ผมจะเอาเงินทั้งหมดที่ผมได้เอาไปให้พี่กูน ผมอยากให้พี่กูนเป็นส่วนหนึ่งของเงินก้อนนี้ เงินที่ผมทำงานหลังจากผมได้รับโอกาสและชีวิตใหม่
“พี่ชายของติคงโชคดีที่มีน้องชายดีๆ แบบติ เป็นเด็กดีแบบนี้แหละดีแล้ว” ผมก็ขอให้พี่กูนคิดแบบพี่ไท้ ผมอยากให้พี่กูนดีใจที่มีน้องชายแบบผม ผมรู้ว่าบางเรื่องผมอาจจะไม่ได้เรื่อง แต่หลายๆ เรื่องผมก็พยายามทำเต็มที่แล้ว
“ขอบคุณครับพี่”
หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมมาส่งพี่ไท้ที่บ้านของเขา และพึ่งรู้ว่าบ้านของพี่ไท้อยู่ห่างจากบ้านของพี่กูนไปแค่ไม่กี่หลัง
“บ้านนี้เหรอพี่ บ้านผมอยู่หลังท้ายสุด ผมมารับพี่ไปทำงานได้นะ พี่จะได้ไม่ต้องเดินออกไปหน้าปากซอย” พี่ไท้ยื่นหมวกกันน็อคส่งให้ผม
“บ้านเราท้ายสุดเหรอ?” พี่ไท้ทำท่าคุ้นคิดอยู่นานจนผมเอ่ยปากอธิบาย
“อ่อ บ้านพี่ชายของผมอะครับ ผมพึ่งมาอยู่ได้ไม่นาน”
“อ่อ กลับดีๆ เจอกันนะติ งั้นพี่ขอเบอร์เราไว้นะเพื่อโทรบอกว่าให้มารับวันไหน เผื่อพี่เข้าเวรดึกอาจจะไม่ได้ไปทำงานช่วงเช้า”
“ได้ครับๆ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้พี่ไท้เพื่อให้พี่ไท้เมมเบอร์ของเขาลงในโทรศัพท์ของผม “ไปแล้วนะครับพี่ เจอกันครับ”
หลังจากนั้นผมจึงขับรถกลับบ้านในเวลาเกือบๆ สองทุ่ม แต่ทำไมผมรู้สึกว่าบ้านร้อนแปลกๆ มันเป็นแค่ความรู้สึกนั่นแหละครับ ผมอาจจะคิดมากไป
“พี่กูนหวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่กูนเหมือนปกติ แต่ดูพี่กูนจะไม่ปกติ “พี่เป็นอะไรรึเปล่า”
“เมื่อเช้ากูบอกมึงว่าอะไร” พี่กูนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม
“ก็...ไม่ได้บอกอะไรนิพี่”
“กูบอกให้มึงรีบกลับบ้านเพราะจะพาไปกินข้าวข้างนอก แต่มึงกลับมาตอนนี้?” เมื่อเช้าพี่กูนบอกผมอย่างนั้นเหรอครับ? ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย หรือจะเป็นตอนที่พี่กูนตะโกนตามหลังผมเมื่อเช้า
“คือว่า...”
“ถ้าไม่อยากไปทีหลังมึงก็บอกกู ไม่ต้องรับปากส่งๆ แล้วไม่ทำตาม” พี่กูนลุกขึ้นจากโซฟาเตรียมจะเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา แต่ผมวิ่งไปดักหน้าพี่กูนเอาไว้ก่อน
“ผมขอโทษครับพี่ ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่มีอะไรตะแก้ตัว พี่อยากด่าอะไรก็ด่าผมมาเลย แต่ว่าอย่างอนแบบนี้เลยนะพี่” ผมถือวิสาสะจับมือพี่กูนเอาไว้
“กูไม่ได้งอนไอ้ติ กูแค่ไม่พอใจ”
“ผมขอโทษ”
“เออ ช่างแม่ง”
“พี่ช่างแม่งได้ไง พี่ไม่พอใจ..ผมสามารถทำอะไรให้พี่หายไม่พอใจได้บ้างอะครับ” ผมยังคงไม่ยอมปล่อยพี่กูนไปง่ายๆ “พี่เป็นพี่ผมนะ”
“แล้วมันแก้ไขอะไรได้วะไอ้ติ ไหนบอกกู” สีหน้าและน้ำเสียงของพี่กูนตอนนี้ดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่เห็นว่าผมยังคงดื้อดึง
“ก็...ผมกินข้าวกับพี่ได้อีกนะ ผมยังไม่อิ่มเลย พี่จะไปกินที่ไหนผมไปด้วยได้พี่”
“แสดงว่ามึงกินเข้ามาแล้ว?”
“ก็...ครับ”
“เอาเถอะไอ้ติกูไม่กิน กูไม่หิวแล้ว กูหายหงุดหงิดล่ะ ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก คนรอเขาไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น แล้วก็ปล่อยมือกูได้แล้ว”
“จริงนะพี่”
“เออ ถ้ายังเซ้าซี้กูถีบนะ”
“โอเคครับ” และผมก็ยอมปล่อยให้พี่กูนเดินเข้าไปในห้อง ด้วยความที่อะไรดนใจผมอยู่ก็ไม่รู้สั่งให้ผมยกมือที่จับมือพี่กูนเมื่อสักครู่ขึ้นมาดม
“ไอ้ติ มึงทำเหี้ยอะไรของมึงวะ” ผมรีบปล่อยมือของตัวเองออกเมื่อได้สติ เมื่อกี้ผมโคตรโรคจิตเลย “พี่กูนพี่ผมจะทำอาหารง่ายๆ มาให้พี่นะ” ผมเคาะประตูห้องพี่กูนและออกมาทำอาหารง่ายๆ ไปง้อพี่ชาย
พี่ชายโกรธต้องรีบง้อ หลวงตาเคยสอนว่าถ้าโกรธใครหรือใครโกรธให้รีบเคลียร์อย่าปล่อยไว้ข้ามคืน ไม่อย่างนั้นความโกรธมันจะสะสม
ก็อกๆ
“อาหารมาเสิร์ฟครับพี่” ผมเคาะประตูและถือวิสาสะเปิดเข้าไป พี่กูนที่นั่งทำงานอยู่หันมามองหน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิดที่ชอบมองผมแบบนี้เป็นประจำ
“กูบอกว่าไม่กินไงไอ้ติ ดื้อฉิบหาย”
“ยอมโดนด่าเลยถ้าพี่กินมาม่าต้มที่ผมทำมาให้ เวลานี้ทำได้แค่นี้แหละครับพี่” ผมวางถ้วยลงบนโต๊ะข้างๆ ที่ไม่มีเอกสารวางอยู่ “ผมจะนั่งอยู่จนกว่าพี่จะกิน”
“ไม่ป้อนกูเลยล่ะ”
“ได้เหรอพี่ มาๆ ผมเป่าให้” ผมเตรียมยื่นมือไปจับช้อนเพื่อป้อนพี่กูน แต่แล้วก็ถูกมือใหญ่ของพี่กูนปัดมือผมให้ออกห่างจากถ้วยของเขา
“กูประชด”
“ผมเอาจริง”
“กวนตีนนะครับ”
“รักพี่นะครับ ไม่อยากให้โกรธ แค่ไม่พอใจก็ไม่ได้ ผมมีพี่แค่คนเดียวนะพี่กูน” ด้วยความที่ปากไวผมจึงพูดออกไปแบบนั้น ถึงปากผมจะไวแต่คำพูดนั้นสมองของผมคิดแล้ว
“คำพูดมึงกำกวมฉิบหายไอ้ติ”
“ก็มาจากใจดวงน้อยๆ ของไอ้ติคนนี้อะครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับส่งสายตาหวานๆ ไปให้พี่กูน “หายโกรธนะ”
“ก็กูบอกว่าไม่ได้โกรธไง”
“ก็หายไม่พอใจนะ”
“ถ้ายังทำแบบนี้กูถีบมึงจริงๆ นะ” ผมรีบถอยออกก่อนที่พี่กูนจะถีบผมจริงๆ
“กง.231 กค.478 มันคืออะไรอะพี่ ป้ายทะเบียนเหรอ” ด้วยความที่ตาไวผมเห็นกระดาษที่มีตัวอักษรบางอย่างที่คล้ายๆ กับทะเบียนรถ
“รถที่คาดว่าน่าจะขนยาเข้ากรุงเทพฯ แล้วจะผ่านมาแถวๆ เราเขาส่งมาให้ช่วยกันสังเกตุ”
“พี่บอกผมเหรอ?” ผมตกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่กูนบอกผมในเรื่องที่ผมไม่คิดว่าพี่กูนจะบอก
“บอกไปมึงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีไอ้ติ” และก็ถูกของพี่กูน ผมรู้ไปผมก็ช่วยอะไรหรือทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “ถ้าเห็นป้ายทะเบียนแบบนี้ก็โทรหากู”
“แล้วผมจะได้อะไร”
“หัวหมอนะมึง”
“ก็ทำดีหวังผลไงพี่ ผมรู้ถ้าพวกพี่จับได้คงได้รางวัลนำจับอยู่หลายบาท”
“กว่าจะถึงกูผ่านมากี่คนแล้วล่ะ มันไม่ได้ง่ายๆ นะมึง อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เขตที่กูดูแล เพราะเขตที่กูดูแลก็แถวๆ บ้านเก่ามึง” แสดงว่ากว่าจะถึงพี่กูนก็ต้องผ่านมาหลายขั้นแล้วสินะ
“แสดงว่าตำรวจกินเก่งก็เป็นเรื่องจริง”
“กูก็ไม่ได้เถียง เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนมากทำกัน”
“แต่....ปกติเหรอพี่ ทำไมพี่พูดดูไม่เดือดร้อนอะไรเลย”
“แล้วต้องให้กูเดือดร้อนอย่างไงวะ ไหนมึงบอกกูทีดิ้” คราวนี้พี่กูนหันมามองหน้าผมตรงๆ เพื่อต้องการคำตอบของคำถาม
“ก็..พี่ควรเที่ยงตรงไหมอะ ที่พี่ทำงานก็ภาษีของประชาชนทั้งนั้น ไม่ควรรับเงินใต้โต๊ะอะไรแบบนี้”
“นี่มึงจะบอกว่ากูทำงานไม่สมกับเงินเดือนที่ได้รับว่างั้น? แล้วกูบอกหรือยังว่ากูทำเหมือนสิ่งที่มึงกำลังกล่าวหากู” ผมนิ่งและคิดตามคำพูดของพี่กูน “กูไม่ได้หมายความว่าข่าวที่ออกมาไม่ใช่เรื่องจริง แต่กูก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะต้องทำตามที่เป็นข้อกล่าวหาทุกอย่าง ตำรวจดีๆ ก็มี ไม่ใช่มีแต่ตำรวจเหี้ยๆ”
“โทษนะ ตอนนี้พี่ขึ้นรึเปล่า” ผมถามด้วยความแน่ใจเพราะตอนนี้พี่กูนดูอารมณ์เดือดขึ้นกว่าเดิม
“เปล่า กูอธิบายให้ฟัง”
“ผมขอถามหน่อยดิ พี่เคยทำแบบในข่าวปะที่รับเงินไรงี้”
“กูไม่ตอบได้ไหม”
“ถ้าไม่ตอบผมก็จะแอบคิดว่าพี่อาจจะเคยทำ”
“งั้นก็ปล่อยให้มึงคิดแบบนั้นไป แต่กูจะบอกอะไรให้นะไอ้ติ” พี่กูนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผมเรื่อยๆ “ในสังคมคนที่อยู่รอดได้คือคนเทาๆ ถ้าขาวไประวังจะไม่รอด กูว่าข้อนี้มึงรู้ดี”
และผมก็แน่ใจว่าสิ่งที่พี่กูนบอกผมพี่กูนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง สื่อให้ผมเห็นว่าบางทีการเป็นคนดีอย่างเดียวมันก็เอาตัวรอดไม่ได้ในสังคมที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ ซึ่งผมเองก็เข้าใจเหมือนกันเพราะ..ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี เพียงแค่ผมเลือกปฏิบัติดีกับคนที่ดีกับผม