พี่ชายชั่วคราว #กูนติ บทที่ 16 (13.01.2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ชายชั่วคราว #กูนติ บทที่ 16 (13.01.2020)  (อ่าน 9019 ครั้ง)

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :katai2-1: ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ  :katai5:
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พี่ชายชั่วคราว

"จากเด็กวัดที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด
อยู่ๆก็กลายมาเป็นน้องชายชั่วคราวของคุณตำรวจที่รับเขามาอุปการะเพราะความสงสาร "


จากชีวิตเด็กวัดธรรมดาที่ไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารัก
ไม่น่าเชื่อว่า วันหนึ่งสิ่งที่เขาขาดหายจะมาเติมเต็ม
คำว่ารักที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาตลอด
ผ่านการดูแลของผู้ปกครองคนใหม่
ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองธรรมดา แต่พ่วงมาด้วยอาชีพตำรวจ
ที่ 'สติ' คนนี้แสนกลัว

"กูดูแลมึงได้แค่ตัว..ที่เหลือมึงดูแลเองก็แล้วกัน"
.
.
.
"แล้วข้อหาขโมยหัวใจแจ้งความตรงไหนครับหมวด?"






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2020 18:28:50 โดย teamB »

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทนำ

ทุกคนเชื่อในเรื่องรักแรกพบไหมครับ? ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งวันหนึ่งผมได้เจอเข้ากับใครบางคนที่ทำให้ผมหัวใจเต้นแรง...ไม่ใช่แรงธรรมดานะครับ ไอ้เชี้ย!! รุนแรงฉิบหายเลย เหมือนกับตอนนี้

“หยุด!! ไม่งั้นยิง” สิ้นสุดเสียงนั้นเท้าทั้งสองข้างที่ผมกำลังวิ่งหยุดชะงักทันทีโดยอัตโนมัติ ผมยังตายตอนนี้ไม่ได้ยังไม่ได้บวชเลยครับ!!

“หยุดแล้วหมวด” ผมหันหลังกลับไปพร้อมกับชูแขนทั้งสองข้าง “ถึงกับยิงเลยเหรอ คุยกันดีๆ ก็ได้มั้ง..ครับ” ผมพยายามใช้นำเสียงออดอ้อนเผื่อคุณตำรวยเอ้ย! คุณตำรวจจะเห็นใจ

“แล้วใครให้มึงหนี”

“พูดไม่เพราะเลยอะครับ” ผมยอมหยุดนิ่งเพื่อให้คุณตำรวจใส่กุญแจมือทั้งสองข้าง คุณตำรวจท่านนี้วิ่งไล่ตามจับผมกับเพื่อนๆ มาได้หลายร้อยเมตรแต่ไอ้เพื่อนๆ เวรของผมมันดันหนีไปได้จะเหลือก็แต่..ผมแหละครับที่เกิดมาขาสั้นวิ่งตามเพื่อนไม่ทัน อ่อ ทุกคนคงจะสงสัยใช่ไหมครับว่าผมวิ่งหนีทำไมก็เพราะไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันไปก่อคดีหาเรื่องกับเด็กสถาบันอื่นทั้งๆ ที่ผมเตือนมันแล้วว่าแถวนี้ลงตรวจบ่อย สุดท้ายแม่งก็ต่อยไปคนละไม่กี่หมัดก็ต้องวิ่งหนีกันอุตลุดเพื่อไม่ให้ถูกจับ

“กับเด็กอย่างมึงพูดเพราะไม่ได้หรอก วันๆ ก็สร้างแต่เรื่องไม่สงสารพ่อแม่บ้างรึไงวะ” ผมคอตกทันทีที่พูดถึงพ่อกับแม่...ไม่ได้อยากจะดราม่าหรอกนะแต่น้ำตามันไหลออกมาเอง “แค่นี้ร้องไห้ตอนทำไมรู้จักคิด สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไม่เว้นวัน”

“......”

“มีลูกอย่างมึงกูนี่หนักใจแทนพ่อกับแม่มึงเลย” ผมเงียบมาตลอดทั้งทางที่คุณตำรวจควบคุมตัวผมไปที่โรงพัก เมื่อขึ้นไปถึงผมก็เจอกับเพื่อนๆ คนอื่นที่นั่งโดนพ่อกับแม่พวกมันบ่นรวมถึงคู่อริที่หาเรื่องกันไปก่อนหน้านี้

“โทรหาผู้ปกครองให้มาประกันตัว” ผมถอนหายใจมองนาฬิกาบนผนังป่านนี้ไม่มีใครมาประกันตัวผมหรอกครับเพราะใกล้จะค่ำแล้วทำให้ผมนั่งนิ่งๆ ไม่ทำตามที่คุณตำรวจพูด “ไม่ได้ยินที่พูด?”

“ขังเถอะครับ”

“ทำไม?” คุณตำรวจเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งใจจะกวนตีน?”

“ถึงผมจะหน้าตากวนตีนแต่เรื่องนี้ผมพูดจริงนะหมวด ขังผมเถอะผมไม่อยากให้ผู้ปกครองเดือดร้อน”

“เอาโทรศัพท์มา ตอนทำก็ไม่รู้จักคิด” โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของผมถูกกระชากด้วยความรุนแรง คือผมโคตรจะไม่เข้าใจเลยครับว่าทำไมคุณตำรวจต้องรุนแรงกับผมด้วยทั้งๆ ที่ผมเองก็เป็นประชาชนตาดำๆ น่าสงสารซะขนาดนี้ “ไหนเบอร์ผู้ปกครอง”

“เบอร์แรกครับ” ผมกลั้นใจบอกคุณตำรวจไปเพราะเกรงใจดาวบนบ่าซะเหลือเกิน “ค่อยๆ พูดนะคุณตำรวจ” คุณตำรวจใช้หางตามองผมอย่างไม่มีเยื่อใยก่อนจะกดโทรออก

“ใช่ผู้ปกครองของ....” คุณตำรวจมองมาทางผมเหมือนต้องการจะถามอะไรบางอย่างผมจึงขยับปากบอกไปเบาๆ “ผู้ปกครองของแป๊ะรึเปล่าครับ พอดีแป๊ะถูกจับอยู่ที่สน.xxx ช่วยมาประกันตัวด้วยนะครับ”

(แป๊ะ?)

“ครับผู้ปกครองแป๊ะ”

(แป๊ะนั่นชื่ออาตมานะโยม.....)

“.....!!!” และหลังจากนั้นผมก็เจอสายตาดุๆ ที่ส่งมาให้เหมือนต้องการจะขู่ว่าผมเล่นไม่รู้เรื่อง ผมจึงส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณตำรวจ แต่เรื่องนี้ผมว่าผมไม่ผิดนะเพราะคุณตำรวจไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะถามชื่อใครผมก็คิดว่าถามชื่อของผู้ปกครองผม “เอาเป็นว่าถ้าเป็นผู้ปกครองของเจ้าของเบอร์นี้รบกวนมาที่สน.นะครับ” และคุณตำรวจก็จัดการโยนโทรศัพท์ลงมาบนตักของผมด้วยอารมณ์รุนแรงจนผมแทบจะรับไม่ทัน โทรศัพท์เครื่องนี้กว่าจะได้มาทำงานหลายเดือนเลยนะครับนั่น

“เล่นไม่รู้เรื่องนะมึง” คุณตำรวจเอนหลังพิงกับเก้าอี้ชี้มาที่หน้าผมด้วยสายตาหงุดหงิด

“ก็ผมไม่รู้ว่าหมวดถามอะไรแค่มองก็คิดว่าถามชื่อผู้ปกครองของผม”

“นั่งเงียบจนกว่าผู้ปกครองจะมา” คุณตำรวจลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินหันหลังออกไปทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางคู่อริต่างสถาบัน คือผมไม่เข้าใจว่าเอากูมาปล่อยตรงนี้ทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าพึ่งมีเรื่อง ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นของผมก็ทยอยกันกลับไปทีละคนสองคนจนกระทั่ง...

“หลวงตา” ผมรีบวิ่งออกไปทันทีที่เห็นออร่าจีวรของหลวงตา “คือหนู.....”

“หลวงตาบอกเอ็งว่าอะไรไอ้หนู” หลวงตาถามผมเสียงเข้ม หลวงตาคือผู้ปกครองคนเดียวที่ผมมี มาเข้าเรื่องดราม่าของผมดีกว่าครับ หลวงตาท่านเล่าว่าผมเป็นผลผลิตของวัยรุ่นแถวๆ นั้นที่ท้องในวัยเรียนและถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่วัดตั้งแต่เกิดโดยมีหลวงตาเก็บผมเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่หลวงตายังหนุ่มจนตอนนี้หลวงตาเริ่มแก่ เคยมีข่าวลือเรื่องพ่อกับแม่ของผมนะว่าพวกเขาคือใครแต่ผมก็ไม่กล้าไปถามหรอกกลัวว่าจะถูกไล่กลับมา ผมอยู่กับหลวงตาก็มีความสุขดีเว้นก็แต่เรื่องนี้แหละครับที่ทำให้หลวงตาท่านปวดหัว

“หนูไม่ได้ตั้งใจคือเพื่อน...หนูห้ามแล้วนะหลวงตา”

“เอาเถอะหลวงตาห้ามอะไรเอ็งก็ไม่เคยฟังต้องมาเสียเวลาธรรมวัดเย็นเพราะเอ็ง” ผมคอตกเข้าไปใหญ่เพราะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คุณตำรวจคนนั้นเดินออกมาพอดีเราสบตากันก่อนที่เขาจะเดินเข้ามายกมือไหว้หลวงตา

“แป๊ะเอง”

“ขอโทษครับหลวงพ่อ” คุณตำรวจกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เป็นผู้ปกครองใช่ไหมครับ” หลวงตาพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปประกันตัวกับคุณตำรวจส่วนผมนั่งรออยู่ด้านนอก

ผมชื่อนายสติครับทุกคนจะเรียกว่าไอ้ติเพราะมันสั้นดี ก็ตามที่ทุกคนรู้ว่าผมเป็นเด็กที่ถูกพ่อกับแม่ทิ้งให้มาอยู่กับหลวงตาท่านก็เปรียบเสมือนผู้ปกครองของผมคนหนึ่ง ท่านตั้งชื่อผมว่าสติเพราะต้องการให้ผมระลึกอยู่เสมอว่าผมกำลังทำอะไร แต่ชื่อมันค่อนข้างที่จะขัดกับบุคลิกเพราะผมเป็นคนไม่มีสติเท่าที่ควร ตอนนี้ผมเรียนอยู่ ปวส.ปีสุดท้ายแล้วครับหลวงตาเลยกังวลว่าผมจะตายก่อนจบเพราะมีเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน ท่านเลยค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเพราะสภาพแวดล้อมของผมค่อนข้างที่จะเสี่ยงกับการมีเรื่องมากพอสมควร ถึงผมไม่มีแต่เพื่อนผมมีผมก็ต้องไปช่วยก็รู้นะว่าเสี่ยงแต่เลือดสถาบันมันเข้มข้นมากเกินกว่าจะมองข้าม

“ผมขออนุญาตไปส่งที่วัดนะครับ ตอนนี้ก็ค่ำคงหารถกลับยาก” ผมลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณตำรวจพร้อมกับหลวงตาที่เดินลงมาจากสน.

“เจริญพรนะโยม” ผมเดินตามหลังหลวงตาไปติดๆ ด้วยความรู้สึกผิดติยังไม่อยากซ่าหรือแผงฤทธิ์เดชอะไรมากเพราะในสายตาของหลวงตาผมคือ ไอ้หนู ผู้น่ารัก

“ไปนั่งหน้าเป็นเพื่อนคุณตำรวจไปไอ้หนู” ผมขึ้นมานั่งตามที่หลวงตาบอกหลังจากที่มาถึงรถคันหรูของคุณตำรวจ

“คาดเข็มขัด” ผมค่อยๆ ใช้มือระวังดึงเข็มขัดมาคาดแต่เหมือนว่าท่าทางของผมมันคงจะขัดใจเพราะอยู่ๆ คุณตำรวจโน้มตัวลงมาจับสายเข็มขัดและขาดให้ผมอย่างแรง “ชักช้า”

“ผมกลัวทำของหมวดพัง”

“นั่งเงียบไป” ตลอดทั้งทางผมนั่งเงียบและเกร็งมาตลอดจนกระทั่งถึงวัด หลวงตาให้ผมพาคุณตำรวจมาเลี้ยงขอบคุณที่ร้านอาหารแถวๆ ตลาดเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว

“หมวดอยากกินอะไร ให้ผมแนะนำไหม”

“อะไรก็ได้” ผมเลยพาคุณตำรวจมาทานอาหารตามสั่งร้านเจ้น้องร้านประจำของผมที่ปิดช้าสุดในตลาด

“ผมสั่งให้หมวดแล้วนะเมนูเด็ด” ผมบริการน้ำดื่มฟรีพร้อมกับจัดแจงเช็ดช้อนส้อมให้คุณตำรวจเผื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีเพราะร้านเจ้น้องค่อนข้างที่จะโลคอลนิดหน่อยคุณตำรวจอาจจะยังไม่ชิน

“พ่อกับแม่ไปไหน”

“ผมเหรอ?” คุณตำรวจพยักหน้าให้เป็นคำตอบ “ไม่มีหรอกครับผมถูกทิ้งตั้งแต่เด็ก มีแต่หลวงตาที่เมตตาเก็บผมมาเลี้ยงเอาไว้”

“ขอโทษที่พูดแรงไปตอนนั้น” คุณตำรวจยกน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมกับพูดขอโทษด้วยท่าทางขัดๆ เหมือนว่าเขาทำตัวไม่ถูก

“ชินแล้วหมวด โดนเพื่อล้อประจำว่าลูกไม่มีพ่อแม่” ไม่อยากจะดึงดราม่านะแต่อารมณ์ของติมันพาไปเอง “แต่ไม่ต้องสงสารผมนะหมวดเพราะอย่างไงผมก็มีหลวงตา หลวงตาก็พ่อผมนี่แหละ”

“ไม่ได้สงสารเลย แต่อยากจะบอกให้ระวังหน่อยมีเรื่องบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเท่”

“ผมรู้แต่เพื่อนผมมันไม่ฟัง แล้วจะบอกว่าวันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลย...จริงๆ เชื่อผมดิ” ก็อย่างที่บอกไปครับว่าผมนี่เป็นตัวห้ามของกลุ่มเลย แต่ถ้าห้ามไม่ฟังผมก็ลุยอะครับ

“อีกกี่ปีจะจบ”

“สองสามเดือนก็จบแล้ว แต่ผมอยากเรียนต่อมหาลัยอีกสองปีคิดว่าน่าจะทำงานสักปีก่อนค่อยเรียนต่อ ทำงานแถวๆ อู่แถวนี้แล้วค่อยเรียนปีหน้าผมไม่อยากรบกวนเงินหลวงตา”

“ยังดีที่มีความคิด”

“เห้ยหมวด! ผมก็คนดีนะเว้ย”

“เว้ยกับใคร?” คุณตำรวจจ้องหน้าผมนิ่งๆ

“ทีหมวดยังพูดมึงกูกับผมเลย”

“แต่มึงเป็นเด็ก”

“ผู้ใหญ่ก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ”

“เถียงเก่งนะมึง” คุณตรวจพูดทีเล่นทีจริง จนกระทั่งอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟและเมนูที่ผมสั่งคือข้าวผัดหมูให้คุณตำรวจเพราะอร่อยและเป็นเมนูเบสิกที่สุด

“หมวดหล่อนะครับ แต่ชอบทำหน้าดุ”

“แล้ว?” คุณตำรวจที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากชะงักค้างก่อนจะเลิกคิ้วถามเป็นเชิงสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ผมถึงชมว่าเขาหล่อ

“ไม่มีไรครับ” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณตำรวจก่อนจะนั่งเท้าคางมองคุณตำรวจกินข้าว แต่ดูเหมือนว่าคุณตำรวจคงจะรำคาญผมเลยหันหน้าหนีไปทางอื่น ก็พึ่งรู้ว่าเวลาตำรวจกินข้าวมันมีเสน่ห์แบบนี้นี่เอง

“.........”



#ฝากทีมบีไว้ในหัวใจด้วยนะจ๊ะ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 1

เจอกันอีกแล้วนะคุณตำรวจ



“ไอ้ติเย็นนี้ไปกับพวกกูไหม” ผมนั่งซ่อมรถอยู่อู่พี่เจ๋งในช่วงวันหยุดเป็นการหารายได้เสริมจะได้ไม่ไปรบกวนเงินของหลวงตามากอะไรที่ผมพอทำได้ผมก็ทำ



“งานวัดเหรอพี่”



“เออดิ มีนักร้องมาไปดูไหม โคโยตี้ด้วย อย่างเเจ่ม” พี่เจ๋งยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบท่าทางว่านักร้องที่พี่เจ๋งพูดคือแจ่มจริง



“ไปพี่ไป เดี๋ยวผมขอปะยางให้ลูกค้าก่อนนะพี่” ผมจัดการปะยางรถจักรยานให้ลูกค้าตัวน้อยที่นั่งรออยู่หน้าร้าน จะว่าไปผมก็อยากเรียนต่อนะแต่ถ้าภายในหนึ่งปีผมมีเงินไม่มากพอก็คงต้องพักแผลนไว้ก่อนไม่ว่าจะช้าจะเร็วอย่างไรผมก็จะต้องเรียนให้จบปริญญาตรีให้ได้ ผมจะเอาใบปริญญามาให้หลวงตาให้ได้



“ตามไปนะมึงกูไปก่อน ปิดร้านให้ด้วย” ผมพยักหน้าและปะยางต่อ ปะอีกไม่นานก็เสร็จผมเข็นรถจักรยานออกไปให้ลูกค้าตัวน้อยของผม



“เท่าไหร่คะพี่”



“ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง” ผมยิ้มให้เธอ



“พี่ใจดีจังเลยค่ะ” ผมลืมบอกไปว่าลูกค้าของผมคือน้องผู้หญิงอายุเก้าขวบที่อาศัยอยู่บ้านแถวๆ ที่ผมทำงานอยู่ เนื้อตัวเธอสะอาดสะอ้านดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นลูกของคนมีฐานะแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมพ่อกับแม่ปล่อยให้เธอมาคนเดียว



“ให้พี่ไปส่งไหม ตอนนี้เย็นแล้วเดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง” น้องทำท่าคิดก่อนจะพยักหน้าตาลง ผมจึงอาสาปั่นจักรยานคันจิ๋วให้น้องซ้อนและขับไปตามทางที่น้องบอก จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่



“ถึงแล้วค่ะ” น้องกระโดดลงจากเบาะหลังมาจับแฮนจักรยานเพื่อเตรียมจูงเข้าไปในบ้าน



“พี่ไปแล้วนะครับ” ผมเตรียมที่จะเดินหันหลังกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะน้องวิ่งมาดึงชายเสื้อของผมเอาไว้ก่อน ทำให้ผมหันไปมองน้อง



“ครับ?”



“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ?”



“สติครับ เรียกว่าพี่ติก็ได้”



“ขอบคุณนะคะพี่ติ” คราวนี้ผมพยักหน้าและเดินหันหลังกลับออกมาจากบ้านของน้อง และเดินไปที่วัดที่จัดงานซึ่งเป็นวัดที่ผมอาศัยอยู่ทุกวันนั่นแหละครับ



ตอนนี้ผมมาถึงงานเป็นที่เรียบร้อย งานวัดที่จัดก็เป็นงานวัดทั่วไปนั่นแหละครับเพียงแต่ว่าคืนนี้พิเศษตรงที่เป็นคืนวันศุกร์คนจึงเยอะมากกว่าทุกวัน



“ไอ้ติ! ทางนี้ๆ” พี่เจ๋งที่นั่งอยู่ร้านก๋วยเตี๋ยวในงานกวักมือเรียกผม “สั่งเลยกูเลี้ยง” ผมพยักหน้าและเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะกับพี่เจ๋ง



“มึงมาช้าจังวะ”



“ผมไปส่งลูกค้ามาเห็นว่าจะมืดแล้ว อีกอย่างน้องเป็นเด็กกลัวว่าจะเป็นอันตรายเลยมาช้า อะนี่พี่กุญแจร้านผมล็อกแล้ว” ผมควักกุญแจร้านในกระเป๋าส่งคืนให้พี่เจ๋ง



“เออกูเห็นพวกไอ้เต๋าแถวนี้ มึงระวังๆ ด้วยนะ” ผมพยักหน้าไอ้เต๋าที่พี่เจ๋งพูดคือคู่อริต่างสถาบันของกลุ่มผมที่มีเรื่องกันมาเนิ่นนานไม่จบไม่สิ้น และไอ้พวกนี้มันเก่งก็ตอนที่ผมอยู่คนเดียว คราวก่อนก็วิ่งหนีผมมันไปตอนที่ผมบังเอิญเจอตอนจะไปเรียน



“เกาะติดพี่เลย ถ้าผมอยู่กับพี่มันไม่กล้าหรอก” เอาจริงๆ นะครับ เจ้านายผมคนนี้แกก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นนักเลงในละแวกนี้เลยก็ว่าได้ทำให้ผมวางใจอยู่ในระดับหนึ่งถ้าเจอกับพวกไอ้เต๋าในงานวันนี้



“เออ ระวังนะมึง”



หลังจากที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จผมกับพี่เจ๋งก็พากันมาหน้าเวทีเพื่อจับจองที่นั่งเพราะถ้ามาตอนดนตรีเล่นรับรองไม่มีที่แน่ๆ อีกอย่างผมก็ตัวเตี้ยไปอยู่หลังๆ ก็มองอะไรไม่เห็น



ผลัก!



ผมหันไปมองทางด้านหลังของผมหลังจากที่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทก และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิดไอ้คนที่กระแทกผมก็คือไอ้เต๋านั่นเอง ผมรีบมองหาพี่เจ๋งแต่ก็ไม่เจอเพราะตอนนี้คนเริ่มเบียดมาจากทางด้านหลัง ฉิบหายมาเยือนแล้วคราวนี้ ไอ้เต๋ามันทำท่าพยักหน้าให้เพื่อนๆ ของมันมายืนขนาบข้างผมเอาไว้ทั้งดักหน้าและล้อมหลัง



“คนเดียวเหรอมึง?”



“สามมั้ง” ผมตอบกลับมันหลังจากที่ไอ้เต๋ามันพูดขึ้น



“กวนตีนนะมึง” ไอ้เต๋าพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้เท้าของมันเหยียบเท้าผมแรงๆ “วันนี้เอากี่แผลไปโชว์เพื่อนๆ มึงดีหนา?”



“.......”



“ที่เงียบสงสัยอยากจะเจ็บตัวเร็วๆ” ผมมองหาช่องทางหนีให้ตัวเอง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เจอเพราะพวกไอ้เต๋าเหมือนรู้ความคิดผมมันเลยขยับเข้ามาใกล้ๆ จนตัวของผมชิดกับพวกมัน



“กูขอร้องเถอะวันนี้กูไม่อยากมีเรื่อง” ผมตัดสินใจลองเจรจากับพวกมันไป



“ไม่อนุญาตครับ”



“ไอ้เต๋า...กูไม่อยากมีเรื่องจริงๆ มึง” คราวนี้ผมพยายามแสดงสีหน้าออกไปให้มันเห็นว่าวันนี้ผมไม่อยากมีเรื่องกับมันจริงๆ ที่ไม่อยากมีหลักๆ ก็เพราะผมมีคนเดียวและอีกเรื่องก็คือมันอยู่ในวัดถ้ามีเรื่องหลวงตาเอาผมตายแน่ๆ



“กูจัดให้ พวกมึงพามันไป”



“ไอ้เต๋า!!” คราวนี้ผมถูกพวกของไอ้เต๋าหิ้วปีกออกจากด้านหน้าเวที ระหว่างทางผมก็พยายามมองหาคนที่สามารถช่วยเหลือผมได้ และแล้วสายตาผมก็มองเห็นพี่เจ๋งผมเตรียมจะตะโกนเรียกแต่อยู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนปิดปากผมเอาไว้



“ถ้าตะโกนวันนี้หนักแน่มึง” เสียงของไอ้เต๋ากระซิบมาข้างๆ หูของผมเบาๆ



ผลัก!!



อยู่ๆ ผมก็ถูกผลักจนล้มลงกับพื้นเพราะแรงที่ผลักลงมาไม่ใช่แรงเบาๆ หรือผลักเล่นๆ เลย และยังไม่ทันที่ผมจะตั้งหลักอยู่ๆ ก็มีฝ่าเท้าของใครก็ไม่รู้ตามมากดที่หน้าอกของผมเอาไว้



“กูก็ไม่อยากทำมึงนะไอ้ติ แต่เพื่อนมึงทำพวกกูไว้แสบมา กูจะฝากแผลนี้ไปให้ไอ้ไม้มันดูก็แล้วกัน” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกมา ฝ่าเท้านับสิบกระทืบลงมาบนตัวของผมแรงๆ สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือเอามือตั้งการ์ดป้องกันหน้าของผมเอาไว้



ไม่ได้ห่วงหล่อหรอกครับแค่ไม่อยากให้หลวงตาเห็นว่าผมมีเรื่องจากรอยแผลบนหน้า แต่นั่นก็ไม่รู้ว่าจะช่วยผมได้มากน้อยแค่ไหนเพราะตอนนี้ผมรู้สึกถึงคาวเลือดที่ไหลลงมาจากคิ้ว



“กูขออีกทีเถอะมึง!!”



ผลัก!! ตุบ!!



“โอ้ยยยยยย!!” ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่อยู่ๆ ก็มีของแข็งฟาดลงมาที่ขาขวาของผมแรงๆ ในวินาทีแรกผมรับรู้ได้เลยว่าขาของผมหักแน่ๆ



“ตำรวจมา!!” ผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้นอกจากความเจ็บทำให้ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พวกมันกำลังทำอะไรผม



“เจ็บ...” ผมพยายามจะลุกขึ้นเพื่อดูขาตัวเองแต่ผมก็ไม่สามารถจะลุกได้เพราะยิ่งขยับตัวผมก็ยิ่งเจ็บ ตั้งแต่มีเรื่องมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมเจ็บตัวมากที่สุด



ใบหน้าของหลวงตาลอยขึ้นมา...ถ้าหลวงตารู้ หลวงตาจะต้องเสียความรู้สึกและผิดหวังกับผมทั้งๆ ที่ผมเคยสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องอีกหลังจากที่ขึ้นโรงพักคราวนั้น



แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ....



“อยู่ๆ เฉยๆ” อยู่ๆ ก็มีฝ่ามือใหญ่จับมาที่แขนของผม



“อย่า..กูเจ็บแล้ว อย่าทำกู” ผมยกแขนขึ้นมากันก่อนจะพยายามขยับตัวหนีแม้ว่าจะเจ็บมากก็ตาม “อย่าทำกูเลยมึง...กูเจ็บ”



“ตั้งสติหน่อย! นี่ตำรวจ” เสียงตะโกนของใครก็ไม่รู้ตะโกนเข้ามาในหูของผมดังๆ แต่ผมก็จับใจความของความหมายไม่ได้ว่าพูดอะไรเพราะตอนนี้ผมกลัว กลัวว่าพวกมันจะเอาผมถึงตาย ผมยังไม่อยากตายตอนนี้



“จ่า เรียกรถพยาบาลด่วนมีคนบาดเจ็บหนัก!” ตำรวจที่ได้รับแจ้งจากแม่ค้าแถวนั้นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นกำลังรุมทำร้ายคู่อริอยู่หลังวัด เขาที่มาตรวจความเรียบร้อยพอดีเลยรีบมายังที่เกิดเหตุ “ดักประตูทางเข้าออกด้วย ผู้ก่อเหตุมาเป็นกลุ่มใส่เสื้อชอปสีเลือดหมู” ตำรวจวอไปยังจุดที่เจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ด้านในวัด ส่วนเขาตอนนี้ทำได้แค่เพียงเรียกสติของผู้บาดเจ็บที่เอาแต่เพ้อว่าเจ็บและไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ตรงหน้า



“น้อง! พี่เป็นตำรวจไม่ต้องกลัว” เขาพยายามที่จะสัมผัสตัวของผู้บาดเจ็บเบาๆ เพราะเขาไม่กล้าจับแรง แต่ดูเหมือนการทำอย่างนี้ก็ไม่ช่วยให้ผู้บาดเจ็บได้สติเขาจึงตัดสินใจจับแขนของผู้บาดเจ็บที่เอาแต่ยกปิดหน้าออก และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เขาเห็นใบหน้าของผู้บาดเจ็บที่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็น



“มึง.....”



“อย่าทำกู กูเจ็บ โอ้ยยย!!!”



โรงพยาบาล



“เรียบร้อยแล้วจ่าเดี๋ยวผมจัดการทางนี้ต่อเอง จ่าไปจัดการกับพวกที่โรงพักต่อเถอะ”



“ครับหมวด”



หลังจากเหตุการณ์นั้น ‘ร้อยตำรวจตรีณฐิ กาญจนวิจิต’ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนจะพาผู้บาดเจ็บขึ้นรถฉุกเฉินมาที่โรงพยาบาล หลังจากที่เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงสั่งให้ลูกน้องที่เหลือกลับไปเคลียร์อีกส่วนที่อยู่โรงพักคือกลุ่มผู้ก่อเหตุ



“คุณตำรวจครับ” ผู้หมวดหันไปมองทางประตูก่อนจะเห็นหลวงพ่อที่เขาเคยเจอวิ่งมากับลูกศิษย์วัดอีกสองสามคนด้วยท่าทางร้อนรน



“สวัสดีครับหลวงพ่อ” ผู้หมวดยกมือไหว้หลวงพ่อ



“ไอ้ติมันเป็นไงบ้างครับ อาตมา .... เฮ้อออ”



“หลวงพ่อ/หลวงตา!” อยู่ๆ หลวงพ่อเซไปทางด้านหลังคล้ายกับจะเป็นลมทำให้ผู้หมวดและลูกศิษย์รีบเข้าไปประคองให้หลวงพ่อนั่งลงที่เก้าอี้



“ไอ้ติ ไอ้ติ มันเป็นอย่างไรบ้างครับ”



“ปลอดภัยครับ หมอบอกว่าขาหักและก็ช้ำตามตัวอีกพอสมควร ผมเลยให้หมอตรวจและเอกซเรย์อย่างละเอียดเผื่อว่ามีเลือดคลั่ง”



“มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคุณตำรวจ ไอ้จ้อย..ดูพี่พวกเอ็งทำกับหลวงตา” สีหน้าของหลวงตาดูเป็นห่วงและกังวลหลังจากที่ฟังผู้หมวดรายงานอาการของสติ เด็กผู้เป็นเหมือนลูกแท้ๆ “หลวงตากลัวมันจะเรียนไม่จบจริงๆ อีกไม่กี่เดือน หลวงตาขอมันแล้วแต่ดูมันทำ...”



“หลวงตาครับ คือเรื่องนี้ลูกศิษย์ของหลวงตาไม่ผิดครับ ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ก่อเหตุไว้ที่โรงพัก จากการสอบปากคำลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นผู้ถูกกระทำ...” ผู้หมวดรีบอธิบายให้หลวงตาเข้าใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรีบแก้ต่างให้เด็กคนนั้นทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพูดหรือรายงานโดยละเอียด และการที่เขาสั่งให้หมอเช็กอย่างละเอียดก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของตำรวจเลย เขาแค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสาร



“คุณตำรวจถ้าหลวงตาขอร้องให้ช่วยบางอย่าง..”



“ครับหลวงตา ผมพร้อมช่วยเสมอ” ผู้หมวดรีบตอบตกลงทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าหลวงตาจะขอร้องเรื่องอะไร



“หลวงตาขอ....”



“......”

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai5:      :katai5:

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 2

ผู้ปกครองคนใหม่



Sati’ s talk



“เอ๋.....” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเหมือนในละครเลยครับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่ที่แปลกออกไปคือ เหมือนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอย่างไรอย่างนั้นแหละ ผมพยายามมองซ้ายมองขวา..และนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่คิดและรู้สึกเป็นจริง เพราะตอนนี้รอบๆ ตัวของผมมีไอ้จ้อย ไอ้แจ่ม และคุณตำรวจ ว่าแต่คุณตำรวจมาทำไมที่นี่นะ สติงงจังครับ



“พี่ติฟื้นแล้ว บอกหลวงตาเร็วไอ้จ้อย” ไอ้แจ่มแหกปากเสียงดังส่วนไอ้จ้อยก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพากันหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับคุณตำรวจที่แต่ตำเต็มยศพร้อมกับดาวบนบ่าที่เรียงสวยเหมือนครั้งแรกที่ผมเคยเจอ



“ไง”



“สวัสดีครับ เจอกันอีกจนได้ เจอในสภาพนี้ทุกที” ผมยกมือขึ้นไหว้คุณตำรวจ “คราวนั้นผมยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณตำรวจชื่ออะไร แต่....ร้อยตำรวจตรีณฐิ..ผมเรียกว่าพี่ฐิได้ไหมครับ”



“มึงตื่นมาแล้วพูดมากจังวะไอ้ติ”



“เห้ย! คุณตำรวย เอ้ย! คุณตำรวจรู้จักชื่อผมได้ไงอะครับ” ผมเผลอตัวลุกนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณตำรวจเรียกชื่อผมด้วยท่าทางสนิทสนม



“ค่อยๆ ลุกก็ได้” คุณตำรวจที่แสนจะใจดีรีบเข้ามาประคองด้านหลังพร้อมกับปรับเตียงให้ผมสามารถนั่งได้ถนัด



“ผมขอถามไรหน่อยนะครับ คือทำไมผมได้มาอยู่ห้องพักหรูๆ แบบนี้ ผมคงไม่มีปัญญาจ่ายหรอก วานคุณตำรวจบอกพยาบาลให้ย้ายห้องให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” แค่คิดถึงค่าใช้จ่ายก็น่าจะแพงเอาเรื่องเดิมทีเงินเก็บก็จะไม่พอเอาไปเรียนต่ออยู่แล้วถ้าเอามาจ่ายค่าห้องพักมีหวังเงินในบัญชีติดลบแน่นอน



“กูจ่ายเอง” คุณตำรวจกอดอกทำท่าทีเหนือกว่ามองมาที่ผม



“ผมเกรงใจ แบบจะพูดอย่างไงดีคือผมกับคุณตำรวจก็ไม่ได้สนิทกันแบบนั้น ที่ผมพูดแบบนี้คือเกรงใจนะครับไม่ได้จะว่าหยิ่งอะไรเลย และที่สำคัญผมไม่มีปัญญาใช้คืนได้อย่างแน่นอน”



“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย คนที่ทำมึงต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องคดีความกูจัดการให้ทุกอย่าง ถ้ามึงฟื้นแล้วเดี๋ยวกูโทรบอกให้พวกคนที่ทำมึงมาขอโทษ”



“ผมถามจริง”



“หน้าตากูเหมือนคนโกหก?”



“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ เอาจริงๆ ผมยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความทรงจำล่าสุดของผมคือถูกพวกไอ้เต๋ากระทืบอยู่หลังวัดจำได้ว่าตอนนั้นเจ็บฉิบหาย แต่ทำไมตอนนี้..ไม่เจ็บว่ะ “คุณตำรวจช่วยบอกผมทีว่าผมไม่ได้ถูกตัดขา”



“......”



“คือผมจำได้ว่าผมถูกฟาดที่ขาแรงๆ ...” สาบานได้ว่าไม่อยากก้มลงไปมองเลย ถ้าเกิดมองแล้วผมไม่เจอขาตัวเองผมคงทำใจไม่ได้ นอกจากไม่หล่อแล้วยังจะพิการอีก



“แล้วฟาดที่ขาแรงๆ ถึงกับต้องตัดขาเลยเหรอวะ? พึ่งเคยได้ยินเหมือนกัน” คุณตำรวจไม่ตอบคำถามแต่คำพูดของคุณตำรวจเหมือนกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่าผมโง่ฉิบหายเลยแบบนี้



“ผมไม่อยากก้มไปมองไงคุณตำรวจ”



“ไม่ได้ตัดแต่เข้าเฝือกเพราะกระดูกบริเวณที่โดนฟาดหัก”



“โล่งอกไปที” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณตำรวจ



“มองหน้าหาอะไร?”



“คือผมอยากจะบอกว่าผมขอบคุณคุณตำรวจมากๆ นะครับที่เป็นธุระจัดการให้ผมทุกอย่างทั้งเรื่องคดีความและเรื่องการรักษา”



“ไปขอบคุณหลวงตาดีกว่าเพราะท่านวานให้กูช่วยเป็นธุระให้เพราะท่านมีกิจไปต่างประเทศ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้หลวงตาต้องไปพุทธคายาที่อินเดียวกว่าจะกลับก็ปีหน้า แล้วไอ้ที่สองตัวนั้นบอกจะไปโทรหาหลวงตาพวกมันจะโทรติดไหม



“พี่ติ ผมลืมไปว่าหลวงตาไปอินเดีย แฮะๆ” ไอ้จ้อยวิ่งกลับเข้ามาในห้องเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่



“พี่ก็ว่าอยู่ว่าพวกเอ็งจะโทรไปได้อย่างไง” ผมส่ายหัวให้กับไอ้สองตัว ไอ้จ้อยกับไอ้แจ่มเป็นเด็กวัดเหมือนอย่างผมนี่แหละแต่มันโชคดีกว่าที่ยังมีพ่อกับแม่แต่พ่อกับแม่ของมันฝากไว้กับหลวงตาซึ่งมีศักดิ์เป็นตาแท้ๆ ของพวกมัน



“คุณตำรวจบอกพี่ติหรือยังครับว่าต้องไปอยู่กับคุณตำรวจ” อยู่ๆ ไอ้แจ่มก็พูดขึ้น



“ห้ะ? เอ็งพูดว่าอะไรนะไอ้แจ่ม” ผมหันไปทางไอ้แจ่มหลังจากที่ได้ยินมันนั่งคุยกับคุณตำรวจที่โซฟาราวกับว่าสนิทกันมาสิบปี



“ยังเลย พี่ของเราตื่นขึ้นมาก็พูดไม่หยุดจนพี่ไม่ได้บอก” ไอ้ท่าที่อบอุ่นของคุณตำรวจที่มีต่อไอ้แจ่มคืออะไร ผมไม่เข้าใจ เรียกแทนตัวเองว่าพี่แต่เรียกตัวเองว่ากูกับผม งงไปเลยดิหรือหน้าตาผมมันไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนไอ้สองตัวนั้น



“คุณตำรวยบอกผมก่อนว่ามันคืออย่างไง ผมไม่เข้าใจ”



“นอกจากจะโง่แล้วยังเข้าใจอะไรยากอีก” คราวนี้คุณตำรวจหันหน้ามาทางผมพร้อมกับกลอกตามองบนประหนึ่งว่ารำคาญผมสุดๆ ไปเลย ผมแค่ถามนิดเดียวเอง....



“ก็คนพึ่งตื่นอะครับคุณตำรวย”



“ไม่มีอะไรก็แค่ไปอยู่บ้านกูเท่านั้น” คุณตำรวจยักไหล่เหมือนว่านี่เป็นเรื่องเล็ก “แล้วก็เลิกเรียกกูว่าคุณตำรวย เพราะมันไม่สุภาพ”



“ผมเกรงใจ ผมอยู่ที่วัดเหมือนเดิมได้นะครับ จะได้ไม่ไปกวนคุณตำรวจ” ไม่ให้เรียกก็ไม่เรียกก็ได้ สติเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ



“พอดีว่าเรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือกู ไม่ใช่มึง ดังนั้นเงียบแล้วก็ทำตามที่พูด เพราะต่อจากนี้ผู้ปกครองของมึงคือกูครับ ไม่ใช่หลวงตา”



“ผมขออนุญาตถามจริงอีกสักรอบได้ไหมคุณตำรวจ”



“.....ไปแจ่มจ้อยพี่พาไปเลี้ยงไอติม” และคุณตำรวจก็ฉกตัวน้องชายของผมออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมงงอยู่ในห้องคนเดียว



สรุปแล้ว คือผมต้องไปอยู่กับคุณตำรวจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เราสองคนไม่เคยเจอกันมาก่อน ถ้าพูดง่ายๆ คือคนแปลกหน้าดีๆ นี่เอง ถึงแม้ว่าอาชีพการงานจะดูโคตรน่าไว้ใจ แต่อย่างไงผมก็ไม่อยากไปอยู่ดีเรื่องนี้คนที่เห็นดีเห็นงามน่าจะเป็นหลวงตา เพราะหลวงตาเคยพูดกับผมไว้ว่า



‘ถ้าเอ็งยังมีเรื่องอยู่อีก หลวงตาจะส่งเอ็งไปอยู่กับตำรวจ’



ผมไม่คิดว่าหลวงตาจะทำจริงๆ อย่างที่พูด เพราะหลวงตาไม่ใช่กษัตรตรัสแล้วคืนคำได้ รู้หรอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกัน แต่ตอนนี้ไอ้ติเครียดโว้ยยยย!! แล้วไอ้คุณตำรวยนี่ก็เชื่อคนง่ายเหลือเกิน เอาผมไปอยู่บ้านด้วยทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผมนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ถ้าผมเป็นโจรบ้านคุณตำรวยจะเหลือแค่ที่ดินอะครับ คิดแล้วก็เซ็งๆ





หลังจากที่อยู่ในห้องคนเดียวผมก็เผลอหลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการนอนครับ หลับแม่งเลย รู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว



“พี่ติกินข้าวกินยา พรุ่งนี้คุณตำรวจจะมารับออกจากโรงพยาบาล” ไอ้แจ่มรีบวิ่งมาเกาะที่เตียงทันทีที่มันเห็นว่าผมตื่น



“ไปเอาไอแพดใครมาไอ้จ้อย?” ผมมองไปยังไอ้จอยที่นอนดูอะไรบางอย่างในไอแพด



“ของคุณตำรวจ พี่กูนอะ พี่รู้จักชื่อเขายัง หล่อแล้วใจดีสุดๆ เลย เขาเอาไอแพดมาให้ผมเล่นกับไอ้แจ่มด้วย ใช่ไหมไอ้แจ่ม



“ช่ายยย พี่กูนใจดีที่สุดในโลกเลย” กูน ใครชื่อกูนวะ? คุณตำรวจไม่ได้ชื่อฐิหรอกหรอ?



“ใครคือพี่กูนของพวกเอ็งวะ”



“คุณตำรวจไง พี่เขาบอกว่าชื่อกูน แปลว่าลูกชายและก็มีน้องสาวชื่อว่าธิตา” ผมนั่งมองไอ้สองตัวที่ผลัดกันพูดด้วยน้ำเสียงเจี่ยวแจ้ว



“พวกเอ็งสนิทกับคุณตำรวจถึงขั้นเล่าประวัติให้ฟังกันเลยเหรอ”



“ใช่ พี่กูนออกจะใจดี สุภาพ”



“พวกเอ็งไม่ได้ยินเขาเรียกพี่ว่ามึงกูรึไง นี่นะสุภาพของพวกเอ็ง”



“ก็ได้ยินแต่พี่กูนบอกว่ามันสุภาพสำหรับใช้เรียกพี่ติอะดิ และอีกอย่างพี่กูนของพวกเราบอกว่าพี่ติก็พูดกับพวกเราไม่สุภาพที่เรียกพวกเราว่าเอ็งแบบนี้” คราวนี้ไอ้จ้อยพูดแทน



“เออ พี่มันไม่ใจดีเหมือนพี่กูนอะไรของพวกเอ็งนิ แล้วถ้าไม่ให้พี่เรียกว่าเอ็งจะให้เรียกว่าคุณน้องชายที่แสนประเสริฐรึไงวะ” ไอ้สองตัวถูกคุณตำรวจล่อซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “คนที่คอยซักผ้าให้พวกเอ็ง แบ่งเงินให้พวกเอ็ง ซื้อของเล่นให้นี่หมดประโยชน์แล้วดิ แค่ไอแพดเครื่องเดียว.....”



“นี่ สองเครื่องต่างหาก” ไอ้แจ่มรีบวิ่งไปเอาไอแพดอีกเครื่องขึ้นมาโชว์ก่อนที่ผมจะพูดจบประโยชน์ ยอมรับก็ได้ว่ะว่าที่ผมเคยให้พวกมันยังไม่เท่าราคาไอแพดสองเครื่องเลย “แต่ไม่ต้องน้อยใจนะเดี๋ยวพี่ติไปอยู่กับพี่กูน พี่ติก็จะได้เหมือนพวกผม”



“ทำไมพูดเหมือนพวกเอ็งไม่ไปด้วยวะ?”



“ไอ้จ้อยลืมบอกใช่ไหมเนี่ย ก็พ่อกับแม่ผมจะมารับพรุ่งนี้อะดิ ดีใจที่สุด” ไอ้แจ่มพูดแทรก “กลับมาอยู่ไทยถาวรเลย” พูดแล้วก็ใจหายเหมือนกันพวกมันก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผม แต่ก็ต้องยินดีกับพวกมันด้วยเพราะมันจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของพวกมันจริงๆ สักที ส่วนผม...ก็ถึงคราวย้ายอีกรอบ



“ลาก่อยนะพี่ติ รักเสมอ ไลน์มาหาพวกเราได้นะมีไลน์แล้ว” พวกมึงมีแต่กูไม่มีไง แค่โทรศัพท์โทรเข้าโทรออกได้ก็บุญนักหนาแล้ว “เดี๋ยวจดใส่กระดาษไว้ให้นะ พี่กูนสมัครให้พวกเราแล้ว” ผมส่ายหน้าให้กับไอ้สองตัวนั้นโดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพวกมันดี แต่เอาเถอะปล่อยเด็กมันไป





เช้าวันต่อมา



ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำโดยมีไอ้สองตัวยุ่งคอยช่วยเวลาผมอาบน้ำ ผมไม่ได้ให้มันช่วยอาบหรอกนะแค่ให้พวกมันหยิบข้าวหยิบของให้เท่านั้นก่อนจะนั่งรอคุณตำรวจมารับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนเกือบเย็นพ่อแม่ของไอ้สองตัวมารับกลับไปแล้วก็เหลือแต่ผมนั่งเหงาอยู่ในห้องคนเดียว ไหนคุณตำรวยบอกไอ้เด็กสองตัวนั้นว่าจะมารับตอนเช้าไงวะ หรือไอ้สองตัวนั้นมันบอกผมผิด?



“หรือกูโดนทิ้ง?” น่าจะเป็นไปได้ที่ผมจะโดนทิ้งนะครับ บางที่คุณตำรวจก็อาจจะแค่รับปากหลวงตาเฉยๆ ผมคิดแล้วว่าไม่มีใครเอาผมไปอยู่ด้วยหรอก ผมก็คงกลับไปอยู่วัดแบบเดิม



ผมกดสัญญาณเรียกพี่พยาบาลให้เข้ามาหาที่ห้องเพื่อจะขอทำเรื่องย้ายออกจากโรงพยาบาลเอง โดยที่ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะเมื่อวานคุณตำรวยบอกเขาทำหน้าที่จ่ายให้แทนจากเงินค่าสินไหมที่ผมได้รับจากพวกไอ้เต๋า



“ว่าไงคะคุณคนไข้” รอไม่นานพี่พยาบาลคนสวยก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสุภาพ



“พอดีผมอยากจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลอะครับ ผมว่าผมหายแล้ว”



“ต้องมีผู้ปกครองมาทำเรื่องนะคะ”



“แต่ผมอายุเลยยี่สิบแล้วนะครับ” ผมพยายามอ้อนวอนพี่พยาบาล “หรือว่าผมต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล แถวนี้มีธนาคารไหมครับ ผมจะไปกดเงินมาให้ ถ้าคุณพยาบาลไม่ไว้ใจไปกับผมก็ได้นะครับ” ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่มีโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ตโฟนไอ้เรื่องโมไบล์แบงก์กิ้งพวกนี้ผมไม่มีหรอก แต่ไม่รู้ว่าไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาผมจะไปกดได้ไหม



“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ....”



“นะครับๆ ผมไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมอยากกลับวัด...” จะพูดว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะผมไม่มีบ้านอยู่



“ไม่ได้ค่ะคุณคนไข้”



“แต่....”



“วัยรุ่นใจร้อนรึไง?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณตำรวยที่วันนี้มาในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนไม่ได้มาเต็มยศเหมือนที่เคยเจอ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วใช่ไหมที่ผมเจอกับคุณตำรวจ แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากไปอยู่บ้านกับคุณตำรวจเลย “ขอโทษนะครับคุณพยาบาลที่ทำให้รบกวน”



“ไม่เป็นไรค่ะ” พี่พยาบาลได้ออกจากห้องไปแล้วทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เราสองคน จะบอกว่าเขินก็ไม่ใช่ มันรู้สึกว่าอึดอัดมากกว่ามั้ง ผมก็บรรยายบรรยากาศไม่ถูกเหมือนกัน



“คือให้ผมกลับไปอยู่วัดก็ได้นะครับ ไม่จะได้ไม่เดือดร้อนคุณตำรวจ”



“แล้วบอกรึยังว่าเดือดร้อน?”



“ก็ไม่ได้บอกแต่ผมเกรงใจไง คุณตำรวจไม่กลัวผมขโมยของเหรอ” ผมพยายามหาเหตุผลมากล่อมให้คุณตำรวจยอมปล่อยผมกลับไปนอนที่วัดเหมือนเดิม



“กลัวทำไมถ้ามึงขโมยกูก็แค่จับเข้าคุก”



“โถ่ ทำไมพูดง่ายอย่างนั้นละคุณตำรวจ” หมดแรงที่จะเถียง



“เปลี่ยนเสื้อผ้า” คุณตำรวจโยนถุงกระดาษลงบนเตียงที่ผมนั่งอยู่ “เดี๋ยวไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วจะมารับ” และเป็นอีกครั้งที่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเพราะถูกคุณตำรวจเดินหนี



“สั่งเก่งฉิบหาย” ผมก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่ง ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าตำรวจแม่งชอบออกคำสั่งแบบนี้นี่เอง







หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จผมก็นั่งรอคุณตำรวจอยู่ที่โซฟา ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับรถเข็นโดยมีบุรุษพยาบาลทำหน้าที่เข็นมา



“เชิญคนไข้นั่งครับ” ผมพยุงตัวเองพร้อมเฝือกหนาๆ มานั่งบนรถเข็นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ถึงพูดมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คุณตำรวจใจอ่อนยอมให้ผมกลับไปนอนที่วัดหรอกครับ



“เดี๋ยวผมเข็นเองครับ” อยู่ๆ คุณตำรวจก็เข้ามาเข็นแทนพี่บุรุษพยาบาล และนั่นที่ทำให้ผมนั่งเกร็งจนจะเป็นบ้า เกิดมาไม่เคยมีใครเข็นให้ผมเลย “เกร็งไรขนาดนั้นวะ”



“ก็ผมเกร็งมันห้ามไม่ได้อะครับคุณตำรวจ”



“พี่กูน”



“คือ..?” อยู่ๆ คุณตำรวจก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งมันขัดกับบทสนทนาเบื้องต้น



“เรียกว่าพี่กูนกูชื่อกูน”



“ผมคิดว่าคุณตำรวจชื่อฐิซะอีก”



“คนอื่นก็เรียกฐินั่นแหละ แต่กูนเอาไว้ให้คนที่บ้านเรียก”



“เห้ย! ผมเป็นคนในครอบครัวคุณตำรวจแล้วเหรอ” ผมเอี้ยวตัวหันไปมองหน้าคุณตำรวจด้วยความสงสัย



“มึงอายุยี่สิบตอนนี้กูจะสามสิบละ ก็เหมือนเลี้ยงลูกนั่นแหละ อย่างไงก็ผู้ปกครอง จะถือว่าเป็นครอบครัวก็ได้มั้ง” ผมมองหน้าคุณตำรวจด้วยความอึ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ ผมจะกลายไปเป็นลูกของเขา



“แต่ว่า..สิบขวบมันมีลูกได้แล้วเหรอคุณตำรวจ”



“มึงช่วยเหลือตัวเองตอนอายุเท่าไหร่”



“อื้มม ไม่รู้อะครับ”



“ช่างเถอะ” แล้วคุณตำรวจก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งมาถึงรถของคุณตำรวจที่ผมเคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่คุณตำรวจอาสามาส่งหลวงตากับผมที่วัด



“ผมต้องกลับไปเอาของที่วัดไหมครับ” หลังจากขึ้นรถมาแล้วผมจึงเอ่ยปากถามคุณตำรวจ



“แจ่มกับจ้อยบอกว่ามึงไม่ค่อยมีของส่วนตัวเท่าไหร่นอกจากเอกสาร กูให้แจ่มกับจ้อยเอามาให้แล้ว”



“ผมก็มีอยู่นะ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย” ไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาผมลอยๆ ได้อย่างไงวะ ของผมออกจะเยอะอย่างน้อยก็มีเสื้อเจ็ดตัวกับกางเกงยีนสองสามตัว



“เดี๋ยวซื้อให้ใหม่เลย”



“คุณตำรวจ....”



“พี่กูน”



“โอเค พี่กูนผมเกรงใจนะ พี่เอาผมไปเลี้ยงแล้วยังต้องเสียเงินเสียทองอีก ผมตอบแทนไม่หมดหรอกครับ” อันนี้ผมพูดจริงๆ นะเพราะผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะตอบแทนพี่กูลอย่างไรดีกับสิ่งที่ทำให้ผม “อย่าบอกว่าเป็นเด็กดีแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ โคตรเหมือนพ่อบอกลูกเลย”



“แค่เฝ้าบ้านให้กูพอ อีกอย่างกูรวย”



“ฟังดูเหมือนหมาเลยนะพี่” ผมหันไปมองด้านข้างของพี่กูนด้วยความแปลกใจ “เงินเดือนตำรวจมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอพี่?”



“ไม่เยอะ แต่กูรวยโดยกำเนิด” ผมขออนุญาตหมั่นไส้ความรวยของพี่เขาจริงๆ ตอนนี้ผมขอเรียกคุณตำรวจว่าพี่กูนแทนนะครับเพื่อความชินในอนาคต



“ครับพี่ เชื่อแล้ว” ผมนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรออกมาจนกระทั่งพี่กูนขับรถเลี้ยวเข้ารั้วบ้านแห่งหนึ่งที่ดูจากภายนอกก็มองออกว่าโคตรยิ่งใหญ่



“ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าพี่รวยจริง”



“ก็บอกแล้ว” พี่เขาไม่เถียงจริงๆ ครับ ยอมรับหน้าตาเฉยว่ารวยจริงซึ่งผมก็จะไม่เถียง “ลง” ผมเปิดประตูค่อยๆ ลงจากรถเพราะมีเผือกที่คอยเกะกะอยู่



“ช่วยไหม”



“ไม่เป็นไรพี่ ผมยังเดินได้อยู่” ผมปฏิเสธพี่กูนก่อนจะเดินตามพี่เขาไป แต่ทางที่พี่กูนเดินไม่ได้เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่แต่เดินเข้าไปในสวนที่มีต้นไม้ปกคลุมจนมองไม่เห็นด้านหลัง



“พี่จะให้ไปนอนในป่าเหรอ”



“เดินตามเงียบๆ ก็พอ ถึงแล้วจะรู้เอง” ผมพยักหน้าและเดินตามพี่เขา

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
โอ้โหพี่กูน พี่จะใจดีอะไรขนาดนี้คะ
หรือใจดีขนาดนี้กับน้องติคนเดียว :hao3:

 :pig4:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“มึงช่วยเหลือตัวเองตอนอายุเท่าไหร่”

อิอิ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 3

พี่ชายคนละสายเลือด



Sati’ s talk



“อยู่นี่ไปนะ ห้องยังไม่ได้เก็บกวาดดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้แม่บ้านมาทำให้” หลังจากที่เดินตามพี่กูนเข้ามาเรื่อยๆ ก็พบกับบ้านหลังหนึ่งที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่ ลักษณะภายนอกเป็นสีเหมือนสีปูนเปลือยเรียบๆ แนวแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ



“บ้านพี่ตกแต่งแบบแอนนี่มอลเหรอ”



“มินิมอลพอ แอนนี่มอลเอาไว้แต่งบ้านมึงนะ” พี่กูนหันมามองหน้าผมเอือมๆ ก่อนจะปิดประตูห้องที่จะเป็นห้องของผมนับต่อจากนี้



“พี่ครับ ผมมาอยู่กับพี่แล้วผมสามารถออกไปทำงานข้างนอกเหมือนเดิมได้ไหมพี่ พอดีว่าจำเป็นต้องใช้เงิน”



“พ่อมีหน้าที่อะไร” พี่กูนเดินไปนั่งที่โซฟาสีเทาก่อนจะกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ ส่วนผมก็ยืนบื้ออยู่ตรงหน้าพี่กูนอย่างทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าจะต้องนั่งตรงไหนหรือควรทำตัวอย่างไร



“เลี้ยงดูบุตร แต่พี่ไม่ใช่พ่อผมนะ ขอพูดก่อนผมไม่ได้หมายความว่าจะว่าพี่แต่ในความหมายของผมคือผมเกรงใจพี่แบบโคตรๆ เลย ผมรู้สึกไม่ดีที่จะมาอาศัยอยู่บ้านพี่ฟรีๆ แบบนี้” ตามที่ผมบอกผมเกรงใจพี่กูนจริงๆ นะ แม้ว่าตอนนี้ผมจะรู้สึกไม่เกร็งเหมือนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมามันก็แค่ไม่กี่วันเองนี่หว่า



“มึงจะพูดเยอะทำไม มีคนเอาเงินมาให้ใช้ฟรีๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”



“ผมรู้ว่ามันดี แต่ผมยังเป็นคนที่มีความคิดนะพี่ ผมรู้ว่าอะไรที่ผมควรรับและอะไรที่ผมไม่ควรรับ พี่ให้ผมมากเกินไปทั้งๆ ที่เราพึ่งรู้จักกัน”



“ไอ้ติฟังกูนะ” อยู่ๆ พี่กูนก็ลุกขึ้นจากโซฟามายืนอยู่ตรงหน้าผม “ต่อไปนี้มึงคือน้องชายกู กูคือพี่ชายมึง กูกับมึงคือพี่น้องกัน เพราะกูคงเป็นพ่อมึงไม่ได้ และกูก็เต็มใจที่จะดูแลมึงในฐานะน้องชายของกู มึงอย่าเกรงใจ” ผมมองหน้าพี่กูนนิ่งๆ ผมทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะยิ่งมองเห็นแววตาที่โคตรจะจริงใจของพี่กูนผมยอมรับเลยว่าตื้นตัน ตั้งแต่เกิดมานอกจากหลวงตาก็ไม่มีใครพูดกับผมแบบนี้เลย “แล้วถ้ามึงกลับไปทำงานที่สภาพแวดล้อมแบบนั้น มันเสี่ยง”



“แต่ผมก็โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้นนะพี่ ผมแข็งแกรงและดูแลตัวเองได้ อีกอย่างผมก็ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เกิด” ผมว่าถ้าเทียบผมกับคนอายุรุ่นราวเดียวกัน ผมมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนพวกนั้นมากโข ผมผ่านมาทุกอย่างในสภาพแวดล้อมแบบนั้น และผมก็โตพอที่จะแยกแยะว่าอะไรดีอะไรไม่ดี “จะให้พูดง่ายๆ ผมคงไม่ชินกับการที่มีคนคอยดูแล”



“มึงพูดยากเนอะไอ้ติ”



“แต่พี่ควรชมผมนะว่าผมมีความคิด อีกอย่างมันก็ยากที่จะทำให้ผมคิดง่ายๆ ว่าพี่คือพี่ชายของผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเราไม่เคยรู้จักกันเลย”



“ทำอย่างไงให้มึงคิดว่ากูเป็นพี่ชายของมึง” ผมเองก็ไม่สามารถตอบคำถามของพี่ติได้เหมือนกัน ผมจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถ้าในหนังคงมีแต่กรีดเลือดสาบาน มึงจะเอาแบบนั้นไหม กูใจพอที่จะทำแบบนั้น”



“......”



“หรือมึงกลัว?” พี่กูนเลิกคิ้วถาม



“เจ็บกว่ามีดก็เคยเจอมาแล้วพี่” ผมยิ้มให้พี่กูนหลังจากที่ได้ยินพี่กูนบอกว่าผมกลัว “ถ้าเพื่อความสบายใจ ผมก็เอา”



“ดี” พี่กูนพยักหน้าก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในครัว ผมเดินตามหลังพี่กูนเข้าไปในครัวติดๆ มองดูพี่กูนเปิดลิ้นชักและหยิบกล่องมีดที่ยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา



“กูไม่อยากไปฉีดบาดทะยักเอามีดใหม่ก็แล้วกัน” พี่กูนค่อยๆ แกะมีดออกจากกล่อง



“ผมขอกรีดก่อน” ผมเดินไปตรงหน้าก่อนจะแบบมือของมีดจากพี่กูน “ถ้ากรีดเอาเท่ก็กรีดแนวนี้พี่ เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนเส้นเลือดใหญ่”



“กูคิดว่าจะกรีดปลายนิ้ว”



“กรีดได้นะ แต่เด็กน้อยเขากรีดกัน”



ผั๊วะ!



อยู่ๆ พี่กูนก็ยื่นมือมาตบที่ศีรษะของผมแรงๆ จนศีรษะผมโยกไปอีกทาง



“ปากดี จะกรีดก็รีบกรีด” ผมพยักหน้าก่อนจะค่อยๆ บรรจงเอาแนวคมของมีดจิ้มลงบนแขนของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะออกแรง พี่กูนก็ยื่นมือมาดึงมีดออกจากมือผม



“กูว่าเปลี่ยนวิธีเถอะ อันนี้มันอันตรายไปไม่ใช่ว่ากลัวแต่มันมีอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้” พี่กูนเก็บมีดลงในกล่องเหมือนเดิม



“วิธีไหนพี่?”



“อมลูกอมเม็ดเดียวกัน กูเคยทำตอนเรียนเตรียมฯ ยิ่งอมก็ยิ่งสนิท ตอนแรกกูก็ไม่สนิทกับเพื่อนเหมือนกันแต่พอทำแบบนี้ มันก็สนิทดี” พี่กูนเปลี่ยนจากมีดมาเป็นลูกอมตามคำพูดของเขาจริงๆ เพราะตอนนี้พี่กูนแกะลูกอมสีหวานและส่งมาให้ผม



“กูให้มึงก่อน” ผมยื่นมือไปรับลูกอมก่อนจะใส่มันเข้าไปในปากและใช้เวลาสัมผัสรสชาติของมันจนพอใจ



“อร่อยวะพี่”



“คายออกมา ตากู” พี่กูนยื่นมือมาตรงหน้า ส่วนผมค่อยๆ ก้มลงไปคายลูกอมบนมือของพี่กูน



“พี่ว่าไม่แปลกใช่ไหม?” ผมมองดูพี่กูนที่เอาลูกอมที่ผมอมเข้าไปหน้าตาเฉย “ผมว่ามันแปลก” ถึงผมกับเพื่อนจะสนิทกันมาแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยกินลูกอมเม็ดเดียวกันแบบนี้มาก่อน



“พี่...แต่ว่ามันหยึยๆ ว่ะ”



“กูยังกินของมึงเลยไอ้ติ อย่าเยอะ”



“ก็ได้พี่ ไม่คาย” ผมอมลูกอมจนละลายก่อนจะอ้าปากให้พี่กูนดู “หมดแล้วพี่”



“ดีมากไอ้น้องชาย” พี่กูนยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าผมแรงๆ



“ครับพี่ ต่อไปนี้พี่เป็นพี่ชายผม”



“เออ เป็นน้องกูแล้วพูดอะไรก็ฟังกูด้วย” พี่ติเดินออกมาจากห้องครัวและตรงมาที่โซฟาเหมือนเดิม “บ้านใหญ่นั้นบ้านแม่กับพ่อกู เดี๋ยวว่างๆ จะพาไปแนะนำ”



“แล้วพ่อกับแม่พี่เขารู้ไหมว่าพี่เอาผมมาเลี้ยง”



“เวลามึงแอบเอาหมามาเลี้ยงมึงจะบอกหลวงตาไหม?”



“ถ้าแอบผมก็ไม่บอก”



“นั่นแหละ กูก็ไม่บอก” พี่กูนลุกออกจากโซฟาและเดินผ่านหน้าผมเข้าไปในห้องนอนของเขาทันที ทิ้งให้ผมยืนงงกับสิ่งที่พี่กูพูด



“แอบเลี้ยงหมา? เอ้า! หลอกด่ากูเป็นหมานี่หว่า” ผมเกายืนเกาศีรษะของตัวเองด้วยความงงหลังจากพึ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกด่าว่าเป็นหมา แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็เป็นหมาที่มีเจ้าของ



ผมเดินเข้ามาในห้องที่ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนของผม เป็นห้องที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่ ด้านในมีเตียง มีโต๊ะ มีเก้าอี้และชั้นวางหนังสือพร้อมกับมีห้องน้ำในตัว ผมเดินสำรวจห้องของตัวเองเพื่อดูว่าอะไรอยู่ตรงไหน ก่อนจะตกใจที่ในตู้เสื้อผ้ามีชุดที่พอดีกับตัวของผมแขวนอยู่



“ไอ้เชี้ย! เกิดมาพึ่งมีตู้เสื้อผ้า” เพราะตอนที่ผมอยู่วัดผมเอาเสื้อผ้าพับและกองไว้ที่พื้นไม่มีหรอกครับที่มาแขวนเรียงสวยแบบนี้ และไอ้เสื้อผ้าใหม่ๆ ผมนับได้เลยว่าใส่กี่ครั้ง ส่วนมากจะเป็นเสื้อบริจาคและเสื้อมือสองมากกว่า เพราะผมต้องเซฟคอส



ผมยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ปริ่มอยู่ขอบตา ผมยอมรับเลยว่าเรื่องแค่นี้มันสามารถทำให้ผมดีใจจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ผมพึ่งเคยได้สัมผัสของคำว่าเอาใจใส่ก็ครั้งนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่โคตรเล็กน้อยสำหรับพี่กูน แต่มันเป็นเรื่องที่โคตรยิ่งใหญ่สำหรับผม



ต่อไปนี้พี่กูนคือพี่ชายของผมอย่างสัตย์จริง พี่ชายที่ผมสามารถตายแทนได้ อย่างน้อยในชีวิตนี้ผมก็มีคนที่อยากตอบแทนและดูแล ผมคงไม่ปล่อยให้พี่กูนดูแลผมอย่างเดียวแน่นอน ในฐานะน้องชายต่างสายเลือดผมจะทำให้พี่ชายของผมภูมิใจ



ก็อกๆ



หลังจากที่สำรวจภายในห้องเสร็จผมก็ออกมาเคาะประตูห้องของพี่กูน



“ว่าไง” พี่กูนเปิดประตูออกพร้อมกับเสื้อตราห่านและกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคุณตำรวจสุดเนี๊ยบที่ผมเคยเจอ “มองกูตั้งแต่หัวจรดตีนหมายความว่า?”



“ว่า..คือผมไม่เคยเห็นพี่ในสภาพนี้ไง เคยเห็นแต่เต็มยศเลยรู้สึกอึ้งๆ”



“ตอนนี้อยู่บ้านไหมกูก็ควรจะสบายๆ ละมึงมาเคาะห้องกูมีอะไร” พี่กูนกอดอกมองหน้าผมนิ่งๆ



“ผมจะมาบอกพี่ว่าผมขอบคุณพี่สำหรับทุกอย่าง ต่อไปนี้พี่คือพี่ชายผม!!” ผมหลับตาพูดออกไปเสียงดัง



“......” แต่คนตรงหน้านิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และเห็นว่าพี่กูนกำลังกลั้นขำอยู่



“โห่ พี่ขำไรอ่ะ ผมพูดจริงๆ นะ ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานของพี่ชาย”



“พลังงานของพี่ชาย คืออะไรวะ?”



“ก็คือ...ถ้ามีใครมาทำร้ายพี่แล้วพี่ต้องการใช้กำลังในการแก้ปัญหา พี่บอกผม ผมช่วยพี่ได้”



“ช่วยกู? แต่ยังเข้าเฝือกอยู่”



“แต่ผมเดินได้โดยไม่ได้ต้องใช้ไม้ค้ำนะพี่” ผมรีบปล่อยไม้ค้ำออกจากตัวทันทีพร้อมกับชูมือขึ้นสองข้าง “เก่งไหมพี่ผมอะ”



“เก่งมาก” พี่กูนยิ้มจนตาหยี่ก่อนจะหุบยิ้ม “แต่ไร้สาระ กูบอกเลยนะว่าเป็นน้องชายกูเรื่องชกต่อยอย่าให้มี ถ้ามีกูจะลงโทษมึง”



“พี่จะลงโทษผมอย่างไง”



“แล้วแต่กรณี ถ้ามากก็ลงมากถ้าน้อยก็ลงน้อยตามการพิจารณาของกูครับน้อง”



“เหมือนพี่ขู่”



“กูทำจริง”



“งั้นผมไม่กวนแล้วพี่ ฝันดีครับ” ผมโค้งศีรษะให้พี่กูนเล็กน้อยเกินจะก้มเก็บไม้ค้ำและเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองด้วยหัวใจที่ปริ่มสุข



สุขเพราะเข้าใจคำว่าครอบครัว... ผมชอบการมีพี่ชายที่สุดเลยว่ะ!!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2019 20:10:37 โดย teamB »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 4
น้องชายพี่ต้องไม่อด

Sati’ s talk

วันนี้ครบอาทิตย์แล้วที่ผมมาอยู่กับพี่กูน พี่กูนดูแลผมโคตรดีเลยทั้งอาหารและที่อยู่อาศัยทำให้ตอนนี้ผมค่อยๆ กลายเป็นสติที่มีพุงพลุ้ยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะไม่ค่อยได้เจอเพราะพี่กูนต้องไปทำงานผมก็อยู่กับพี่ธิตาหรือพี่ธิน้องสาวของพี่กูนที่มาอยู่เป็นเพื่อนผมในช่วงที่พี่กูนไม่อยู่

ถ้าถามว่าผมรู้จักกับพี่ธิตาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตั้งแต่ที่พี่ธิตาบุกเข้ามาที่บ้านของพี่กูนในช่วงเวลาที่พี่กูนไม่อยู่ ทำให้เจอผมเข้าเต็มๆ พี่ธิตาคิดว่าผมคือคนงานเลยโทรไปต่อว่าที่ใช้งานคนงานที่ขาหัก โดยที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไร ทำให้พี่กูนจำเป็นต้องลางานมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างโคตรวุ่นวายจนเรื่องไปถึงหูของพ่อกับแม่พี่กูนและพี่ธิตา สุดท้ายกว่าจะเข้าใจกันก็เล่นเอาหลายชั่วโมงแต่โชคดีที่พ่อกับแม่พี่กูนไม่ได้ว่าอะไรผม พวกท่านออกจะสงสารผมมากกว่าจนยื่นมือบอกว่าจะรับผมเป็นลูกบุญธรรม จนผมต้องรีบปฏิเสธกว่าท่านจะยอมก็ต่อไปอีกหลายชั่วโมง

และอีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้เกี่ยวกับพี่กูนคือ พื้นฐานครอบครัวของพี่กูนโคตรดี ซึ่งมันต่างจากผมมากๆ ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พี่กูนตัดสินใจเอาผมมาอยู่ด้วย เพราะพี่กูนอธิบายให้พ่อกับแม่ของเขาฟังต่อหน้าผม

‘กูนรู้ว่าการที่กูนมีครอบครัวที่ดีมันเป็นอย่างไร กูนเลยอยากส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยมีโอกาสนั้น กูนอยากให้ชีวิตใหม่ กูนอยากให้น้องชายคนนี้ของกูนได้รับแบบที่กูนเคยได้จากพ่อกับแม่....’

ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพี่กูนพูดอะไรต่อเพราะตอนนั้นผมร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน คุณตำรวจท่าทางห้าวหาญในวันแรกที่เจอ โคตรอบอุ่นในวันนี้เลย ผมโคตรโชคดีที่มีพี่ชายอย่างพี่กูน

“น้องติ” ผมหันไปหาพี่ธิตาที่เรียกผมเสียงดัง “เหม่ออะไรเอ่ย”

“กำลังคิดว่าพี่ตาจะทำอะไรมาให้ผมกิน” ผมยิ้มให้พี่ธิตาที่ถือกล่องขนมเข้ามาในบ้านของพี่กูนในช่วงเช้าวันเสาร์

“น้องติคิดถูกเพราะตอนนี้พี่หัดอบบราวนี่ ลองชิมๆ” พี่ธิตารีบขยับมานั่งข้างๆ พร้อมกับเปิดกล่องบราวนี่และยื่นมาตรงปากผมหนึ่งชิ้น “พี่ป้อนๆ”

“ขอบคุงครับ” ผมอ้าปากและงับเข้ากับบราวนี่ของพี่ธิตา สัมผัสแรกที่ผมรับรู้ได้คือ..ขม ขมไหม้อะครับ พี่ธิตามองหน้าผมด้วยสีน่าลุ้นๆ

“มันเป็นอย่างไรน้องติ!”

“เอ่อ....”

“น้องติบอกพี่มาเลย” แม้ว่าพี่ธิตาจะรับได้กับคำติชมของผม แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะหักหาญน้ำใจของพี่ธิตาได้ ผมไม่อยากให้พี่ธิตารู้สึกแย่

“อร่อย....”

“ไอ้ติโกหก” อยู่ๆ เสียงของพี่กูนแทรกเข้ามาในวงสนทนาของผมกับพี่ธิตาที่นั่งอยู่บนโซฟา “ถ้ามันอร่อยมันจะไม่อ้ำอึ้งแบบนี้ แสดงว่ารสชาติแย่”

“ไม่ใช่นะครับพี่ตา..พี่กูนอย่ามั่ว บราวนี่พี่ตาโคตรอร่อย” แม้ว่าพี่กูนจะรู้ว่าผมโกหกก็ตาม แต่ไอ้ติคนนี้ไม่อยากให้พี่ตาเสียความรู้สึกหรอก

“กูชิม” พี่กูนเตรียมหยิบบราวนี่ในกล่องขึ้นมาชิมแต่ผมมือไวกว่ารีบปิดกล่องและกอดบราวนี่เอาไว้

“มันอร่อยผมไม่อยากให้พี่ชิม”

“มึงโกหก”

“ผมไม่ได้โกหกนะพี่”

“โกหก เดี๋ยวกูตัดสินให้ว่าอร่อยจริงไหม ตาเอาบราวนี่มาให้พี่” พี่กูนเตรียมเข้ามาแย่งกล่องบราวนี่ออกจากตัวผม “ไอ้ติมึงอย่างกวนตีน”

“พี่..ผมขอเถอะ” ในช่วงจังหวะที่พี่กูนขยับเข้ามาใกล้ผมรีบทำสายตาเว้าวอนไปให้พี่กูน “ผมอยากเก็บไว้กินคนเดียว”

“ได้ งั้นมึงกินตรงนี้ให้หมด”

“พี่กูน...”

“พี่กูนอย่างแกล้งน้องติ” คราวนี้พี่ธิตาออกปากช่วยผมพูดกับพี่กูน “ถ้าพี่กูนจะกินไปกินที่บ้านใหญ่ ตาทำไว้เยอะเลย”

“ไอ้ติมันกวนตีนพี่”

“ตายังไม่เห็นเลยว่าน้องมันกวนตีนพี่กูน”

“งั้นตาให้มันกินให้หมด” คราวนี้พี่ตาหันมามองหน้าผม ผมรอบกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆหยิบบราวนี่ขึ้นมากินทีละชิ้นด้วยสีหน้าที่แสร้งว่าโคตรอร่อยเพื่อให้พี่ตาสบายใจ ผมไม่อยากเห็นพี่สาวของผมต้องเสียใจ พี่ธิตาก็เหมือนพี่สาวผมคนหนึ่งเหมือนกัน

“กินให้หมดนะน้องชาย เป็นน้องกูต้องไม่อด” ดูสีหน้าของพี่กูนโคตรจะสะใจเลยตอนที่เห็นผมกินบราวนี่ชิ้นสุดท้าย

“เห็นไหมผมบอกแล้วว่าอร่อย”

“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นพี่มั่นใจแล้วว่าอร่อย พี่จะทำขาย” พี่ธิตาขว้ากล่องบราวนี่ที่อยู่บนตักผมไปพร้อมกับสีหน้าที่มีความสุข ทิ้งให้ผมนั่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่กับพี่กูน

“พี่กูนพี่...”

“รับผิดชอบคำพูดของตัวเอง มันไม่อร่อยมึงจะโกหกตาทำไม” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“พี่รู้ได้ไงว่าผมโกหก”

“เรื่องนี้ง่ายกว่าจับผิดหมาตัวไหนฉี่ที่ล้อรถ” ผมไม่เข้าใจการเปรียบเทียบของพี่กูนเลยวะ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งงง “ไม่ต้องมาสงสัยว่ากูรู้ได้ไง แต่มึงควรสนใจดีกว่าว่าจะบอกตาอย่างไงเรื่องที่ตาจะทำขาย”

“ผมไม่อยากให้พี่ตาเสียความมั่นใจ พี่ตาดูใส่ใจกับบราวนี่มาก ถ้าผมบอกไม่อร่อยพี่ตาจะต้องผิดหวัง”

“แล้วถ้าตาทำขาย ลูกค้าด่า กับมึงที่เลือกจะบอกตาตั้งแต่แรก มึงว่าตาจะผิดหวังอะไรมากกว่ากัน” ผมนิ่งเงียบและคิดตามที่พี่กูนพูด “ไอ้ติฟังกูนะ ทุกคนมันต้องมีเรื่องผิดหวังกันบ้างแหละ แต่การที่มึงเลือกจะบอกตาอย่างจริงใจว่ามันไม่อร่อยกูว่าตาจะรู้สึกดีกว่าที่มึงโกหกตาแบบนั้น ถ้าตามารู้ทีหลัง”

“พี่กูนผมผิดไปแล้วว่ะ”

“กูถึงบอกไง นี่กูกำลังสอนมึงอยู่”

“ผมควรทำไงดีพี่” คราวนี้ผมร้อนรนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไงดีเพราะกลัวว่าพี่ตาจะไปทำขายและโดนลูกค้าด่า และผิดหวังกับผมที่โกหก

“ไม่ต้องทำไง”

“อ่าว...แล้วถ้าพี่ตาโดนด่า”

“ตาไม่ได้โง่เหมือนมึง ตามันรู้ว่ามึงอะโกหกว่าอร่อย รู้ตั้งแต่แรก”

“ห้ะ! เดี๋ยวๆ ผมไม่เข้าใจ”

“ก็บอกแล้วว่ามึงโกหกใครๆ ก็ดูออก” พี่กูเอนหลังพิงกับโซฟาด้วยความสบายใจ และปล่อยให้ผมนั่งงงๆ อยู่กับสองพี่น้อง

“แสดงว่าพี่ตารู้ตั้งแต่แรก....”

“เริ่มฉลาดแล้วนิ”

“โห่พี่ แล้วปล่อยให้ผมกินเข้าไปทั้งหมดอะนะ!” คิดแล้วก็ขมถึงคอ

“ลงโทษเด็กขี้โกหกอย่างมึง”

“เรื่องนี้ผมผิดจริง ไม่โกรธ”

“มึงเป็นคนผิดไม่มีสิทธิ์โกรธ”

“ผิดก็ผิดครับพี่” เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่าอย่าโกหกและเลือกที่จะแสดงความจริงใจออกมาตั้งแต่แรก ผมขอบคุณพี่กูนกับพี่ตาที่สอนผมในเรื่องนี้ ผมจะเก็บไว้เป็นบทเรียน



“ไอ้ติกูดูเป็นไงบ้าง”

“ลิเกว่ะพี่ เหมือนแต่งไปขอพวงมาลัยแม่ยกอะ”

“.....มึงไม่รักษาน้ำใจกู นี่กูซื้อใหม่ทั้งชุดเลยนะเว้ย” ตอนนี้ผมนั่งมองพี่กูนที่ลองชุดมาให้ผมดูเพื่อเช็กก่อนจะไปออกเดตกับสาวในวันต่อมา

“ผมพูดจากใจจริงเหมือนที่พี่บอก ผมเลือกที่จะไม่โกหกพี่ไงพี่กูน”

“เฮ้อออ” พี่กูนถอนหายใจออกมา “รู้จักรักษาน้ำใจหน่อยดิ กูหมดความมั่นใจเลย”

“ผมว่าพี่ดูดีมากในเครื่องแบบ” ผมรีบชิงพูดออกมาก่อนที่จะโดนพี่กูนบ่นไปมากกว่านี้

“จะให้กูแต่งชุดตำรวจไปกับสาว??”

“ก็เท่สุดแล้วอะพี่ ดีกว่าไปแบบนี้ไม่ผ่าน ลิเกสุดโดยเฉพาะไอ้เพชรเลื่อมๆ บนตัวพี่อะ”

“ไอ้ติมันเป็นดีไซน์”

“เป็นผม ผมไม่ซื้อ” คราวนี้พี่กูนมองบนและเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เพราะไม่รู้จะเล่นอะไร หนังสือพิมพ์กับหนังสือกฎหมายของพี่กูนจึงเป็นกิจกรรมยามว่างของผม

“มึงชอบอ่านกฎหมายเหรอ” คราวนี้พี่กูนออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีกรม ผมว่าชุดนี้แหละดีกว่าเมื่อกี้เยอะเลย

“ผมไม่รู้จะทำอะไร ผมว่าง”

“มึงต้องเข้ามหาลัยตอนไหน เห็นว่าเรียนปวส.ปีสุดท้าย” พี่กูนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม

“ผมพับแผนไปแล้ว รอให้ผมหายดีแล้วค่อยไปหางานทำสักปีจะได้มีเงินไปเรียน” ตั้งแต่มีเรื่องผมก็คิดมาตลอดว่าผมควรพักการเรียนต่อเอาไว้ก่อน

“กูจ่ายให้ ไปทำเรื่องสมัครสอบ มันสมัครออนไลน์ได้ไหมหรือต้องไปที่มหาลัย”

“พี่กูน ผมเกรงใจ เอาไว้ปีหน้าก็ได้”

“กูบอกว่าอะไร เป็นน้องต้องเชื่อฟังกู”

“แต่พี่..มันเยอะเกินไป”

“งั้นกูจะไปบอกแม่กูให้เอามึงเป็นลูกบุญธรรม”

“โอเคพี่ผมจะรีบสมัครเลย” พี่กูนชอบเอาเรื่องนี้มาขู่ผมทุกทีก็รู้ว่าผมโคตรเกรงใจ โดยเฉพาะเรื่องนี้พี่กูนก็ชอบเอามาเป็นเครื่องต่อรอง

“พูดตั้งแต่แรกก็จบแล้ว เดี๋ยวกูไปเอาคอมมาให้ใช้ เครื่องนี้มันเก่าแล้ว”

“พี่จะซื้อเหรอ?”

“เออ ทำไม”

“พี่กูนมันแพงนะพี่ ผมใช้เครื่องเก่าได้”

“กูไม่ได้ขอความคิดเห็น ไปล่ะ” และพี่กูนก็เดินหนีผมออกไปจากบ้านทั้งๆ ที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าผมขาไม่เป็นแบบนี้คงวิ่งตามพี่กูนไปได้

ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่าพี่กูนเลี้ยงผมด้วยเงิน เพราะอีกไม่นานผมจะเคยตัวและกลายเป็นเด็กวัตถุนิยมแทนที่จะเป็นเด็กที่สมถะเรียบง่ายแบบนี้

คนตามใจใครบ้างจะไม่ชอบ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 4 (31.12.19)
«ตอบ #11 เมื่อ31-12-2019 16:29:09 »

อยาก

เป็น

น้อง

คุณ

ตำรวจ

มั่งอ่ะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 4 (31.12.19)
«ตอบ #12 เมื่อ31-12-2019 16:31:48 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 4 (31.12.19)
«ตอบ #13 เมื่อ01-01-2020 01:17:08 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ กฤตย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 4 (31.12.19)
«ตอบ #14 เมื่อ01-01-2020 09:57:16 »

ชอบๆ ประโยคนี้ครับ
ผมไม่อยากให้คนอื่นมองว่าพี่กูนเลี้ยงผมด้วยเงิน เพราะอีกไม่นานผมจะเคยตัวและกลายเป็นเด็กวัตถุนิยมแทนที่จะเป็นเด็กที่สมถะเรียบง่ายแบบนี้  มาหักทุมเอาตรงนี้แหละ  คนตามใจใครบ้างจะไม่ชอบ   :hao3:  :hao3:  :hao3:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 4 (31.12.19)
«ตอบ #15 เมื่อ01-01-2020 12:03:36 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 5 (01.01.2020)
«ตอบ #16 เมื่อ01-01-2020 17:48:12 »

บทที่ 5
สติและโทรศัพท์เครื่องใหม่

Sati's talk

“ซัมซุงเลยเหรอพี่ ผมก็เคยใช้ รุ่นฮีโร่อะพี่อย่างทน” ผมคุยโม้โอ้อวดเกี่ยวกับสรรพคุณโทรศัพท์เครื่องแรกที่ผมใช้ ซึ่งตอนนี้มันชาร์จไม่เข้าหลังจากที่ถูกกระแทกวันที่ผมโดนรุมทำให้ผมไม่ได้ติดต่อเพื่อนๆ ในวิทยาลัย

“อันนี้รุ่นโน้ตล่าสุดเผื่อมึงเอาไว้จดเวลาเรียน มันใช้จดได้” พี่กูนกดตรงตูดโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะมีปากกาเด้งออกมาจากตูดโทรศัพท์

“พี่กูนพี่มันออกมาได้ไง” ผมยื่นหน้าเข้าไปหาพี่กูนด้วยความสนอกสนใจ

“มึงอยู่วัดหรืออยู่ถ้ำ??” คราวนี้พี่กูนละลายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าผมแทน

“ก็..ผมไม่เคยเห็นนิพี่ เพื่อนผมก็ไม่เคยมีใครใช้โทรศัพท์ที่มีปากกาออกมาจากตูดแบบนี้ ขอลองเอาออกแบบพี่ได้ไหม?”
“เอาดิ” พี่กูนยื่นโทรศัพท์มาให้ผมตรงหน้า

“มือสั่นว่ะพี่ ไม่เวอร์นะสั่นจริง” ตอนนี้มือผมสั่นโคตรหลังจากที่สัมผัสโทรศัพท์ ผมไม่รู้หรอกว่ามันราคาเท่าไหร่แต่ถ้าเดาจากที่มีปากกาออกจากตูดแบบนี้ผมว่าแพงแน่ๆ

“ตื่นเต้นเป็นเด็กได้ของเล่นเลย”

“ผมไม่เคยมีของเล่นอะดิ ไม่ต้องสงสารนะเพราะผมไม่ได้รู้สึกขาดหาย” ผมไม่ได้มองหน้าพี่กูนเพราะมัวแต่เอาปากกาเข้าออกตูดโทรศัพท์อยู่ “มันเจ๋งมากพี่”

“ไอ้ติ”

“ครับ”

“กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้มึงรู้สึกขาดเวลาที่อยู่กับกู”

“ไม่เอาหนาพี่ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้รู้สึกขาดอะไร”

“ตอนเด็กกูเคยคิดนะว่าของเล่นที่กูมีอยู่มันไม่พอเพราะกูขี้เบื่อพ่อกับแม่เลยซื้อมาให้กูเยอะๆ ขนาดกูมีของเล่นกูยังรู้สึกว่ามันไม่พอ แต่ทำไมมึงถึง...”

“เพราะผมไม่เคยมีไงพี่ ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าต้องมี” ผมใช้ปากกาเขียนที่หน้าจอเพื่อวาดรูป “เขียนอย่างลื่น”

“ถ้าชอบกูก็ดีใจ” ผมพยักหน้าโดยที่ไม่ได้ตอบกลับพี่กูนเพราะมัวแต่สนใจโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องแรกในชีวิตของผม “เอาซิมมึงมาใส่สิ เดี๋ยวใส่ให้”

“มันใส่ด้วยกันได้เหรอพี่ ผมไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ?” ผมเงยหน้าขึ้นถามพี่กูน

“ไม่ต้องมันใช้เบอร์เดิมได้” ผมรีบลุกเข้าไปในห้องเพื่อเอาโทรศัพท์เครื่องเกาออกมาและยื่นให้พี่กูนจัดการเปลี่ยนซิมให้ผมมาที่เครื่องใหม่

“พี่เท่จัง”

“ห้ะ? เท่อะไรของมึงวะ” พี่กูนเงยหน้าขึ้นมาถามโดยที่มือของพี่กูกำลังดันซิมใส่ถาดอะไรสักอย่าง

“ก็พี่เปลี่ยนซิม โคตรเท่เลย”

“ไอ้ติ มึงนี่นะ” พี่กูนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “ใส่แล้วลองเปิดดู ตรงนี้ใช้เปิดแล้วก็ตั้งรหัสเป็นตัวเลขหรือสแกนหน้าก็ได้”

“มันสแกนหน้าได้เหรอพี่”

“ได้ดิ เดี๋ยวทำให้ดู นั่งนิ่งๆ ทำหน้าหล่อๆ” พี่กูนจัดแจงให้ผมนั่งอยู่ที่โซฟาและขยับเข้ามาใกล้ๆ ผมพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาจ่อที่หน้าผมเอาไว้นิ่งๆ “มึงจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเอาสักอย่าง เครื่องมันไม่อ่านค่าเนี่ย”

“พี่ว่าผมยิ้มหรือไม่ยิ้มหล่อกว่า”

“ไอ้ติมึงไม่หล่อทั้งยิ้มและไม่ยิ้มไม่ต้องเลือก” และผมก็ทำหน้านิ่งใส่โทรศัพท์ไป “เวลาจะใช้ก็เอามาจ่อที่หน้าแล้วเครื่องมันจะเปิด ทำได้ไหม?” ผมพยักหน้า

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”

“ครับคนเก่ง” คำพูดที่โคตรประชดของพี่กูนทำให้ผมยิ้มออกมา “ขอบคุณกูยัง”

“อ่อ ไม่ลืมหรอกแค่กำลังหาจังหวะ”

“แถเก่งนะมึง” ไม่อยากจะยอมรับว่าพี่กูนแม่งรู้ทันผมทุกเรื่องเลยโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของผม

“ขอบพระคุณครับคุณพี่ชายที่แสนดีของผม” ผมแกล้งกวนตีนพี่กูนโดยการวางมือที่พนมทั้งสองข้างไว้บนอกพี่กูนพร้อมกับแนบหน้าของผมลงบนมือของตัวเอง “ผมกราบแนบอกเลย”

“กวนตีนนะมึง” พี่กูนดันผมออกจากตัวของเขา “แล้วเรื่องมหาลัยอย่างไง สมัครรึยัง”

“ผมสมัครไว้สามสี่ที่ในกรุงเทพฯ ที่เขารับปวส.ที่เป็นภาคพิเศษ มันต้องสอบข้อเขียนแล้วก็ปฏิบัติด้วยพี่ ผมกลัวสู้เด็กเก่งๆ ไม่ได้จัง” และเรื่องที่ผมซีเรียสคือเรื่องสอบเข้าเพราะเกณฑ์ในปีนี้ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะเป็นรอบของปวส.ก็ตาม เพราะมหาลัยที่ผมอยากเข้า มีวิทยาลัยที่สอนปวช.และปวส.เหมือนอย่างผมดังนั้นจึงต้องแข่งกับเด็กของเขาเองและเด็กข้างนอกอย่างผมอีกทั้งประเทศ แต่ถ้าผมเข้าได้อนาคตก็ค่อนข้างที่จะสบายเลย

“เอามาดูว่าที่ไหนบ้าง” ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อไปหยิบใบเสร็จจ่ายเงินค่าสมัครมาให้พี่กูนดู

“ผมอยากเข้าที่นี่แต่การแข่งขันสูง”

“กูก็อยากให้เข้าที่นี่ วิดวะเขาดังและก็ได้มาตรฐานติดอันดับโลกด้วย” พี่กูนรับมาดูทีละใบ “แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอกชน เดี๋ยวนี้เอกชนเขาสอนดีมีเครื่องมือพร้อม กูไปถามเพื่อนที่เป็นอาจารย์มา”

“แต่เพื่อนผมส่วนมากมันไม่เรียนต่อกันอะพี่”

“แล้วเพื่อนเป็นพ่อมึงรึไงถึงจะต้องทำตาม?” คราวนี้พี่กูนเอากระดาษมาม้วนๆ และฟาดมาที่ศีรษะผมแรงๆ “เรื่องอื่นคิดได้คิดดี แต่พอเรื่องแบบนี้เสือกคิดไม่ได้”

“ก็คิดนะพี่ แต่ว่าผมจะไปในสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ ผมไม่อยากถูกมองด้วยสายตาเหยียดๆ” เพราะสภาพแวดล้อมเก่าของผมอย่างที่รู้ๆ มีแต่พวกรุนแรงก็จริง แต่พวกนั้นมันจริงใจ ผมไม่รู้ว่าสังคมมหาลัยในเมืองจะเป็นแบบที่ผมเคยเจอมาไหม แต่เท่าที่เคยฟังมาผ่านๆ ก็ดูไม่น่าคบได้

“คิดมาก บางทีมันดีกว่าที่มึงเคยอยู่ก็ได้”

“จะพยายามครับ”

“ถ้าสอบติดกูพาไปเลี้ยงเลย อยากได้อะไรจะซื้อให้”

“ผมกำลังจะกลายเป็นเด็กวัตถุนิยมเต็มตัวถ้ามีผู้ใหญ่อย่างพี่กูนสปอยล์ผมแบบนี้”

“ถ้าไม่ให้กูสปอยล์น้องอย่างมึงจะให้กูไปสปอยล์หมาที่ไหน” พี่กูนตอบกลับมาทันที “ส่วนตาก็โตพอที่จะซื้อเองได้ มีแต่มึงที่ยังไม่โต”

“พี่ไม่คิดจะเก็บเงินไว้ให้สาวๆ หรือครอบครัวในอนาคตพี่เหรอ”

“กูแยกส่วนได้ครับ ไม่ต้องมาแนะนำ แค่ทำตัวของมึงให้ดีก็พอแล้ว” พี่กูนยื่นมือมาตบไหล่ของผมเบาๆ “กูไปทำงานล่ะ ถ้าไปกินข้าวบ้านใหญ่ไปตามกูด้วย” ผมพยักหน้าและปล่อยให้พี่กูนเข้าไปทำงานในห้อง ส่วนผมก็ได้เวลาศึกษาการใช้งานโทรศัพท์เครื่องใหม่

ติ้งๆๆๆ

เสียงแจ้งเตือนไลน์ของผมเด้งทันทีที่ผมสมัครเสร็จพร้อมกับรูปโปร์ไฟล์มุมเสยรูปแรกในชีวิต ผมไม่รู้หรอกว่ารูปไลน์มันต้องหล่อแค่ไหน เอาเป็นว่าแค่รูปนี้ก่อนก็แล้วกัน

“หน้าเนียนดีจัง” ผมยิ้มให้กับรูปที่ถ่ายจากกล้องหน้าก่อนจะกดเข้าไปดูสาเหตุของแจ้งเตือนที่ดังไม่หยุด

กระป๋องไม่ใช่กระปู๋ : เสือติมีไลน์ว่ะพวก กูนากเข้ากลุ่มแล้ว

หน้าหนาวไม่เหงาเท่าเขาไม่รัก : โห่ กว่าจะมีนะมึงเสือติ

กะพงไม่ใช่ปลาแต่เป็นคนหล่อ : ดูรูปเสือติ อย่างแจ๋ว

กระป๋องไม่ใช่กระปู๋ : เสือติขอชื่อเท่ๆ หน่อย

ผมอ่านข้อความของเพื่อนๆ ที่อยู่ๆ มันก็ลากผมเข้าหน้าแชตที่มีหลายๆ คน ที่ผมไม่ตอบไม่ใช่หยิ่งอะไรหรอกครับแต่ว่าผมกำลังเล็งหาตัวหนังสือ มันตัวเล็กผมมองไม่ค่อยถนัด ผมย้ายออกมานั่งด้านนอกที่ติดระหว่างบ้านพี่กูนและบ้านของคุณแม่พี่กูน

“อ่าวติ”

“สวัสดีครับคุณแม่” ผมรีบยกมือไหว้คุณแม่ของพี่กูนทันทีที่เห็นซึ่งเป็นจังหวะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับพิมพ์ตอบเพื่อนๆ ไป

“ทำอะไรอยู่ลูก” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามคุณแม่

“พี่กูนซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้ผม ตอนนี้ผมพึ่งสมัครไลน์ครับแต่ยังไม่ค่อยถนัดเลยตอนพิมพ์” ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและเงยหน้าขึ้นมาคุยกับคุณแม่ “เพื่อนๆ นี่ตื่นเต้นมากเลยครับที่ผมมีไลน์”

“ไหนมาแอดไลน์แม่ด้วยจะได้ลากเข้ากลุ่มครอบครัว” คราวนี้คุณแม่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา

“มันแอดยังไงอะครับ พอดีผมทำไม่เป็น” ผมยื่นโทรศัพท์ให้คุณแม่จัดการ

“เดี๋ยวแม่สอนมานั่งนี่มา” ผมย้ายตัวไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ คุณแม่ “ก็แอดได้ทั้งคิวอาร์โค้ดกับไอดีไลน์ ถ้าลิงค์กับเบอร์โทรมันก็จะเชื่อมต่ออัตโนมัติ แบบนี้ นี่เราเป็นเพื่อนกับแม่แล้ว”

“ขอบคุณครับ ทำไมผมพึ่งรู้นะว่ามันทำแบบนี้ได้” คราวนี้คุณแม่แนะนำให้ผมถ่ายรูปใหม่เพราะรูปของผมที่ถ่ายมุมเสยมันดูเฉยมาก

“ผมต้องถ่ายอย่างไงครับแม่”

“เดี๋ยวติไปยืนใต้ต้นไม้นะลูกทำท่าเท่ๆ เดี๋ยวแม่ถ่ายให้” ผมพยักหน้าและเดินไปใต้ต้นไม้ตามที่คุณแม่แนะนำก่อนจะใช้มืออีกข้างยันลำต้นเอาไว้และค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปจิก เขาเรียกว่าจิกกล้องใช่ไหม นั่นแหละผมเลยจิกไปที่กล้อง

“หล่อมากลูก เปลี่ยนท่าๆ” ดูคุณแม่จะตื่นเต้นกับการเป็นตากล้องถ่ายรูปให้ผม และผมเองก็สนุกไปกับการถ่ายรูปดูเหมือนกัน จนกระทั่งผมเห็นพี่กูนเดินออกมาจากบ้านและตรงมาที่ผมกับแม่

“ทำอะไรกันครับแม่” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้มองผมกับคุณแม่ที่กำลังสนุกกับการถ่ายรูป

“ถ่ายรูปให้ติไปตั้งโปร์ไฟล์ในไลน์ หล่อมากเลย ติเอาไปให้พี่กูนดูไปลูก” ผมรับโทรศัพท์จากคุณแม่และตรงไปยื่นให้พี่กูนดู

“คุณแม่ถ่ายดีนะ แต่ไอ้ติมันหน้าแย่” พี่กูนวางโทรศัพท์ลบนโต๊ะ

“โถ่พี่ ผมว่าหล่อนะดูมีรูปเผลอๆ ด้วย” ผมยังคงพยายามนำเสนอรูปของผมให้พี่กูนดูแต่พี่กูนก็เอาแต่บอกว่าหน้าผมโคตรแย่ถ่ายอย่างไงก็ไม่หล่อขึ้น แต่เอาเถอะใครจะว่าอย่างไรผมไม่สนใจหรอก เพราะผมมีความมั่นใจว่าผมหล่อที่สุด

“แต่แม่ว่าติก็น่าตาดีนะกูน” คราวนี้ปากที่คว่ำเพราะพี่กูนบอกผมว่าไม่หล่อตอนนี้ฉีกยิ้มจนจะถึงรูหูเพราะคุณแม่ของพี่กูนชมผม อย่างน้อยมีคนเห็นว่าผมน่าตาดีหนึ่งคนก็พึ่งพอใจแล้วครับ

“แม่ครับอย่าไปสปอยล์มัน ดูมันยิ้ม ไอ้ติบอกไว้ก่อนถ้าทำตัวไม่ดีกูยึดคืนนะโทรศัพท์ของมึง”

“อ่าว ไหนพี่บอกว่าพี่ให้ผมไง” ผมรีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงทันทีที่ได้ยินพี่กูนขู่ว่าจะยึดคืน “ให้แล้วเขาไม่เอาคืนกันหรอก”

“ถ้ามึงยังต่อปากต่อคำอีกก็ไม่แน่”

“คุณแม่ครับผมว่าผมขอไปทบทวนข้อสอบก่อนดีกว่า เดี๋ยวสอบไม่ติดครับ” ผมรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปในบ้านโดยลืมว่าตัวผมยังใส่เฝือกอยู่ เวลานี้เฝือกก็ไม่ใช่ปัญหาในการเอาตัวรอดของผมอ่ะครับ

“แม่ดูไอ้ติมัน ตอนแรกก็เงียบๆขี้เกรงใจแต่พอตอนนี้มาต่อปากต่อคำ” กูนบ่นกับแม่ของตนเองหลังจากที่สติหายกลับเข้าไปในบ้าน

“ก็ดีแล้วนิลูก มีคนคอยต่อปากต่อคำจะได้ไม่เหงา”

“ผมว่าผมคิดผิด จากที่ไม่เหงาจะรำคาญมันมากกว่า ขนาดใส่เฝือกอยู่มันยังวิ่งเข้าไปในบ้าน ไอ้เด็กนี่มันไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย” กูนอดที่จะบ่นน้องชายอย่างสติไม่ได้ที่ชอบทำอะไรไม่ระวังตัวให้เขาบ่นอยู่เรื่อย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะสามสิบเขาไม่เคยต้องบ่นใครมากขนาดนี้มาก่อน

“กูนต้องค่อยๆพูดค่อยๆสอนติ เพราะกูนก็รู้ว่าสภาพแวดล้อมที่ติเขาเคยอยู่มามันเป็นอย่างไร ดีแค่ไหนแล้วที่ติเป็นแบบนี้” ครั้งนี้กูนเห็นด้วยกับคำพูดของแม่เพราะตั้งแต่ที่เขาเจอกับสติครั้งแรกเพราะเหตุทะเลาะวิวาทต่างสถาบันทำให้กูนมีอคติ ไม่ใช่แค่ติแต่เป็นเด็กทุกคนที่เอาเวลามาทะเลาะในเรื่องไร้สาระแบบนี้ “แม่ถือว่าติเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย”

“คอยดูมันต่อไปก่อนครับแม่ บางทีมันอาจจะมีอะไรมาเซอร์ไพร์สพวกเรา”

“ถ้าเป็นแบบนั้นกูนจะส่งติกลับไปอยู่วัดเหรอลูก แบบนั้นแม่ไม่ยอมนะ”

“ไม่ใช่หรอกครับ ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดผมก็จะทำให้มันเปลี่ยนเป็นคนใหม่”

“อย่างไรเหรอลูก”

“ผมมีวิธีของผม” กูนยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เขาบอกไม่ได้หรอกว่าวิธีที่เขาจะใช้เป็นวิธีแบบไหน

“รอยยิ้มลูกชั่วมากครับ”

“แม่ครับ...แม่เป็นแม่ผมนะ- -!”

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 5 (01.01.2020)
«ตอบ #17 เมื่อ01-01-2020 18:17:38 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: พี่ชายชั่วคราว บทที่ 5 (01.01.2020)
«ตอบ #18 เมื่อ01-01-2020 19:02:17 »

คุณแม่น่ารัก

 :pig4:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
“รอยยิ้มลูกชั่วมากครับ”

ยิ้มแบบไหนกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :ruready


มีพี่ชาวแบบนี้ มันน่าจะดีมากแน่ๆ

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 6
พี่ชายไปส่งครั้งแรก

Sati’ s talk

หลังจากที่หยุดเรียนมาได้หลายอาทิตย์ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมกำลังจะกลับไปเรียนที่วิทยาลัย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ถอดเฝือกแต่ก็ถือว่าสามารถเดินโดยที่ไม่มใช้ไม้ค้ำได้บ้าง แม้ว่าจะโดนพี่กูนด่าก็ตามว่าผมชอบทำอะไรไม่ค่อยระวังตัว ทำทุกอย่างเป็นเล่นไปหมด แต่ก็ช่างพี่กูนจะบ่นก็บ่นไป

“ไหนมึงบอกว่าเพื่อนๆ มึงมีแต่คนเรียบร้อยไง เท่าที่กูเห็น...ไม่น่าไว้ใจสักคน” พี่กูนหันหน้ามาพูดกับผมขณะที่จอดรถเทียบอยู่ด้านหน้าวิทยาลัย

“ก็แบบนี้แหละพี่ เด็กช่าง” พี่กูนยังคงมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา คนพวกนี้ก็เหมือนผมนั่นแหละ ผมยาวปะบ่าแซกกลางให้ดูเท่ บ้างก็เจาะปากระเบิดหูตามแฟชั่นในวิทยาลัยที่กำลังเป็นเทรน แต่สิ่งที่พี่กูนเห็นมันเป็นแค่ส่วนน้อย ใช่ว่าจะไม่มีเด็กดีๆ ในวิทยาลัย อย่างน้อยก็ผม

“ไอ้ตรงข้ามนี่คู่อริเหรอวะ”

“ใช่ วิทยาลัยวพวกไอ้เต๋าที่มันเคยมารุมผมอะ” จะว่าไปเรื่องไอ้เต๋าพี่กูนเป็นธุระจัดการให้ผมหมดทุกอย่าง ผมลืมเล่าตอนที่มันถือกระเช้าผลไม้มาเยี่ยมผมพร้อมกับแม่มัน หน้าตาโคตรไม่รู้สึกผิดเลยแต่เหมือนมาเพราะถูกบังคับ แต่ผมก็ให้อภัยมันไปเพราะไม่อยากถือสาเอาความ ผมดูดีไหม “เห้ยๆ พี่กูนจะลงไปไหน” ผมร้องทันทีที่อยู่ๆ พี่กูนก็เปิดประตูลงจากรถ

“ไปส่งมึงไง”

“ผมเดินไปได้พี่” ผมรีบวิ่งไปดักหน้าพี่กูน “เดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าผมมีคดีหรอก ดูพี่แต่งตัวโคตรเต็มยศ” อย่างว่าตอนนี้พี่กูนมาส่งผมและไปทำงานต่อ

“จะไปคุยกับครูประจำชั้นมึง”

“เขามีแต่อาจารย์ที่ปรึกษาพี่”

“นั่นแหละ จะไปรายงานตัวว่าเป็นผู้ปกครองมึง ถ้ามึงทำตัวไม่ดีให้รายงานกู กูจะยึดทุกอย่างที่เคยให้มึงคืนถ้าทำตัวแย่”

“พี่หลอกให้ผมหลงใหลไปกับของที่พี่ให้ผม แล้วมาเอาคืนเนี่ยนะ”

“เออ”

“โคตรเจ้าเล่ห์”

“แน่นอน ไม่งั้นเอาเด็กอย่างมึงไม่อยู่หรอก” ผมกลอกตามองบนและยอมพาพี่กูนไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของผมที่ห้องพัก แต่ระหว่างทางเพื่อนๆ ในวิทยาลัยต่างมองมาที่ผมกับพี่กูนด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็บอกว่าผมถูกตำรวจคุมตัวให้มาลาออกเพราะไปก่อคดีร้ายแรง บ้างก็บอกว่าผมพาตำรวจมาชี้ตัวคนที่หาเรื่อง ใครบอกว่าผู้ชายเม้าไม่เป็นผมนี่เถียงสุดใจเลย

“ไอ้ติเพื่อน!! มึงเป็นอะไรวะทำไมมีตำรวจมาคุม!!! เพื่อนอีกไม่กี่เดือนมึงก็จบแล้วนะจะมาติดคุกตอนนี้เลยเหรอวะ คุณตำรวจสงสารเพื่อนผมเถอะ มันเป็นเด็กดี” ไอ้ป๋องเพื่อนรักของผมที่ไม่รู้ว่าโพล่มาจากไหน คุกเข่ากอดขาพี่กูนด้วยท่าทางเล่นใหญ่จนทำให้พวกเราเป็นจุดสนใจมากกว่าเดิม “คุณตำรวจจจจจ”

“ไอ้ป๋องปล่อยก่อนมึง” ผมก็อยากที่จะก้มไปแกะมือมันออกจากขาพี่กูนนะ แต่ติดที่ว่าผมก้มไม่ได้ผมเลยเอาไม้ค้ำเขี่ยๆ มันให้ออกจากพี่กูน

“โถ่ติเพื่อนรัก ไอ้พวกนั้นมันใส่ร้ายมึงใช่ไหมวะ มึงถูกรุมไม่ใช่เหรอทำไมมึงถูกจับ! ความยุติธรรมอะคุณตำรวจ!! โลกนี้มันมีอยู่ไหม”

“ไอ้ป๋องเพื่อนนนน” ผมลากเสียงยาวเมื่อไอ้ป๋องเริ่มพูดไปเรื่อย “นี่พี่ชายกูไม่ใช่พากูมาลาออก กูไม่ได้ถูกจับ”

“ไอ้ติมึงมันแสนดีเกินไป มึงอย่ามาแกล้งพูดให้กูสบายใจ มึงปิดกูไม่มิดหรอก” ไอ้ป๋องไม่ยอมลดละมันพยายามที่จะอ้อนวอนพี่กูนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพี่กูนย่อตัวลงไปเสมอกับมัน

“ถ้าน้องไม่ปล่อยพี่จะจับน้อง..หาข้อมีของมึนเมาอยู่ในสถานศึกษาดีไหม?” คราวนี้ไอ้ป๋องรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับสีหน้าเลิกลักบ่งบอกว่าสิ่งที่พี่กูนพูดเป็นเรื่องจริง

“คะ..คุณตำรวจรู้ได้ไงครับ?”

“ถ้ายังไม่สร่างก็กลับไปนอนดีกว่า แล้วในกระเป๋าน้องไม่ได้รูดซิป” ไอ้ผมก็คิดว่าพี่กูนมีสัมผัสพิเศษที่ไหนได้ไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันปิดกระเป๋าไม่สนิททำให้เห็นขวดชาที่ด้านในบรรจุของมึนเมาเอาไว้อยู่ จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของที่นี่นะ โดยเฉพาะน้ำโปร (ยาแก้ไข้ผสมน้ำอัดลมหรือชา)

“มันเข้าข่ายสารเสพติดนะ” พี่กูนมองหน้าไอ้ป๋องนิ่งๆ ก่อนจะเดินนำผมออกไป ส่วนผมได้แค่ส่งยิ้มให้ไอ้ป๋องและเดินตามหลังพี่กูนมาเรื่อยๆ

“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องกินโปร” พี่กูนกึ่งพูดลอยๆ ขณะเดินมาถึงโรงอาหาร “มันมีดีอะไรวะ กินมากก็ช็อกได้โคตรอันตราย”

“พี่บ่นหรือพูดกับผม?”

“ทั้งคู่ แล้วมึงกินป่าวไอ้ติ” ผมรีบส่ายหัวทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ถ้ายุ่งของพวกนี้หลวงตาไล่ออกจากวัดแน่ๆ ลำพังตังค์จะกินข้าวยังไม่ค่อยจะมีเลย”

“เออ ลืมให้ตังค์มึงเลย เอาไปใช้หนึ่งอาทิตย์” พี่กูนหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาก่อนจะส่งแบงก์พันมาให้ผมหนึ่งใบ “พอไหม”

“ปกติผมใช้แค่วันละห้าสิบเองพี่”

“ถ้าเหลือก็ออม” ผมพยักหน้า

หลังจากที่พาพี่กูนไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นที่เรียบร้อยผมก็แยกออกมาเรียนตามปกติ ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีเรียนเท่าไหร่ จะมีก็แต่ไอ้รายงานที่ทำก่อนจบนี่แหละครับ เป็นรายงานห้องที่ทำร่วมกันแต่ผมได้ยินมาว่าห้องผมเสร็จในช่วงที่ผมไม่ได้มาทำให้ผมไม่ต้องทำ ดังนั้นก็ว่างยาวๆ จนกว่าจะจบ แม้รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไม่ได้ดช่วยเพื่อนก็ตาม

“เป็นไงวะไอ้ติเห็นไอ้ป๋องบอกว่ามึงมากับตำรวจ” เพื่อนสนิทอีกคนของผมคือ  ‘ไอ้ชิน’ เพื่อนคนนี้เรียกได้ว่าน่าจะดูดีที่สุดเพราะมันค่อนข้างเป็นเด็กเรียนไอ้เรื่องชกต่อยมันไม่ค่อยมีหรอกครับ เวลาที่เพื่อนนัดรวมตัวไปมีเรื่องมันก็หนีกลับไปได้อ้างว่าต้องกลับไปช่วยพ่อมันขายของ ส่วนผมที่ไม่มีพันธะอะไรก็ถูกลากไปเป็นตัวประกอบให้ดูเยอะๆ เข้าไว้ นานๆ ทีผมถึงจะต่อยกับเขาบ้าง

“พี่กูนอะนะ พี่ชายคนใหม่กู”

“เดี๋ยวๆ มึงไปมีญาติตั้งแต่เมื่อไหร่วะเพื่อน”

“ก็หลวงตากูฝากให้พี่กูนดูแลกูตอนที่ท่านไปอินเดีย แต่เหมือนพี่กูนกับครอบครัวเขาจะสงสารกูเลยรับเลี้ยงกูจนกว่ากูจะจบมหาลัย เขาบอกว่าบ้านเขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เลี้ยงกูเพิ่มอีกคนก็ไม่ทำให้เขาจนหรอก” ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ไอ้ชินฟัง ส่วนไอ้ชินเองก็ฟังผมอย่างตั้งใจ

“โชคดีแล้วมึงถึงจะมาช้าแต่ก็มานะ ดีใจด้วยที่มึงจะได้เรียนมหาลัยเพื่อน” ไอ้ชินคว้าตัวผมเข้าไปกอด “สมัครไปยังกูสมัครไปแล้ว ขอให้เราได้เรียนที่เดียวกันเพื่อน” ผมก็หวังว่าจะได้เรียนกับไอ้ชินเพราะส่วนมากเพื่อนในห้องผมมันไม่เรียนต่อกัน มันบอกว่าเสียเวลาหาเงิน


ช่วงเย็น

หลังจากที่ผมเรียนเสร็จก็ได้รับข้อความจากพี่กูนส่งมาบอกว่าให้ผมไปรอที่โรงพักและกลับบ้านพร้อมเขา แต่สภาพที่ผมใส่เฝือกอยู่ก็ค่อนข้างลำบากพอสมควร

“ไอ้ติมึงจะไปไหนวะ” ไอ้ชินวิ่งตามผมออกมาหน้าวิทยาลัย

“ไปหาพี่ที่โรงพัก”

“สภาพนี้เนี่ยนะ? วันนี้คงถึงหรอกมึง ดีไม่ดีเจอพวกไอ้เต๋าดักกระทืบอีก” ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย เมื่อคิดได้ผมก็อดที่จะมองไปยังวิทยาลัยตรงข้ามไม่ได้ แต่มองได้เพียงแวบเดียวเท่านั้นเพราะถ้าดันไปสบตากับพวกมันเดี๋ยวจะได้มีเรื่องกันแน่ๆ “จะหักจะได้ตัด”

“ปากดีมากเพื่อนกู” ผมตบหัวไอ้ชินแรงๆ

“เดี๋ยวไปส่ง วันนี้เอารถยนต์มา”

“รักมึงว่ะเพื่อน” และผมก็ติดรถไอ้ชินมาที่โรงพักโดยบอกให้มันจอดด้านนอกเพราะผมสามารถเดินเข้าไปเองได้ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องเพราะหน้าโรงพักมีนักข่าวและคนมายืนมุงดูเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นว่าพี่กูนยืนหน้าเครียดคุยอยู่กับเพื่อนตำรวจของเขา

“ไอ้ติ ไปรอข้างบนก่อน” พี่กูนที่พึ่งจะสังเกตเห็นผมชี้ไปด้านใน ผมเลยเลี่ยงนักข่าวลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนสามารถขึ้นไปด้านบนได้

“น้องหมวดฐิเหรอ”

“ครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คุณตำรวจท่าทางมีภูมิฐานเพราะสังเกตจากดาวบนบ่าที่มีหลายดวง

“รอก่อนนะ วันนี้น่าจะยาว”

“มีอะไรเหรอครับ ทำไมนักข่าวเยอะจัง”

“คดีพยายามฆ่าน่ะ ผู้ต้องหาเป็นมีอิทธิพลพอสมควรเลยได้รับความสนใจจากสื่อ” ท่านพูดอย่างปลงๆ “เดี๋ยวนี้จะทำอะไรกันไม่เกรงใจกฎหมายบ้านเมืองกันเลย”

“แล้วคู่กรณีเป็นอย่างไงบ้างเหรอครับ”

“ตอนนี้กำลังนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ไม่น่าจะมีอันตราย คดีนี้ไม่ซับซ้อนแต่ที่เยอะก็กันพวกนักข่าวนี่แหละ ถ้าเบื่อๆ ก็เดินเล่นได้นะ” ผมยกมือไหว้ท่านอีกครั้งเมื่อท่านเดินผ่านผมไป แต่ที่ผมสงสัยผมจะไปเดินเล่นที่ไหนในโรงพักว่ะครับ

ผมไม่รู้จะทำอะไรก็เอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อีกว่าในโทรศัพท์มันเล่นอะไรได้บ้างนอกจากไลน์ แต่แล้วผมก็คิดได้ว่ามันมียูทูปผมเลยโหลดแอพมาและนั่งดูระหว่างรอพี่กูน จนกระทั่งผมรู้สึกว่ามีใครยืนอยู่ตรงหน้า ผมเลยเงยขึ้นไปมองก่อนจะเห็นว่าเป็นพี่กูนนั่นเอง

“เสร็จแล้วเหรอพี่”

“เออ เหนื่อยฉิบหาย” พี่กูนทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ผม “คดีลูกคนรวยแม่งก็งี้ ไม่ยอมให้สรุปสำนวนทั้งๆ ที่หลักฐานคาตา แบคแม่งใหญ่” ผมนั่งฟังพี่กูนพูดโดยที่ไม่รู้ว่าพี่กูนต้องการความคิดเห็นไหม แต่เพื่อไม่ไปการปล่อยให้พี่กูนพูดอยู่ฝ่ายเดียว ผมเลยจัดการเก็บโทรศัพท์และเริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง

“อย่างนี้แหละพี่ ทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมายคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ เพราะเห็นว่าพ่อกับแม่มีเงินเลยทำตัวเป็นศาลเตี้ยไปตัดสินชีวิตคนอื่น”

“ไอ้ติมึงอินอะไร?” คราวนี้พี่กูนหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาดที่อยู่ๆ ผมก็ขึ้นโดยที่ไม่มีสาเหตุ

“ก็คดีที่พี่ทำอะครับ ผมเห็นด้วยกับพี่ทุกอย่าง”

“แสนรู้นะมึง”

“อันนั้นใช้ชมหมาป่าวพี่”

“ใช้ชมมึงก็ได้ไม่ต่างกัน เดี๋ยวกูมารอไปก่อน” และพี่กูนก็ปล่อยให้ผมสับสนว่าพี่กูนหมายถึงใครที่เป็นหมา หมายถึงหมาที่เป็นหมาหรือหมายถึงผมที่เป็นหมา แต่ว่าน่าจะอย่างหลังมากกว่า เอาเถอะถ้าเป็นหมาแล้วมีเจ้าของเลี้ยงดีแบบนี้ผมก็ยอมเป็นวะ

หลังจากรอพี่กูนทำงานไม่นานพี่กูนพาผมออกมากินข้าวกับเพื่อนๆ ของเขาที่เป็นตำรวจด้วยกัน ไอ้ผมก็นั่งเกร็งเลยสิเกิดมายังไม่เคยนั่งโดยที่มีตำรวจล้อมรอบแบบนี้ จนกระทั่งกินข้าวเสร็จผมจึงรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมาหน่อย

“มึงเกร็งอะไรไอ้ติ” พี่กูนที่ขับรถอยู่เอ่ยปากถามขณะที่ผมขึ้นมานั่งบนรถหลังจากเเวะไปซื้อน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋

“โห่พี่ เกิดมายังไม่เคยได้นั่งกินข้าวโดยมีตำรวจนั่งล้อมแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนนักโทษโคตรๆ อะ” แล้วไอ้ผมก็เกร็งจนกินอะไรไม่ค่อยถนัดทำให้ต้องแวะซื้อของมากินด้วย

“ไม่ได้ทำอะไรผิดมึงจะกลัวทำไม?”

“ไม่ได้ทำผิดและไม่ได้กลัวแต่มันเกร็งไงพี่”

“ทำตัวให้ชินเพราะมึงต้องอยู่กับตำรวจไปอีกนาน อย่างน้อยก็กู” ผมอยากจะพูดออกไปว่าสำหรับผมพี่กูนอะไม่ได้น่ากลัวเท่าพี่ตำรวจกลุ่มเมื่อกี้เลย สงสัยผมคงจะชินกับพี่กูนแล้วมั้งครับ มาอยู่บ้านเขาก็นานแล้ว “แล้วเพื่อนมึงที่ติโปร มึงติด้วยไหม บอกไว้ก่อนเลยถ้าติดก็เลิกซะเพราะมาอยู่กับกูห้ามของที่ผิดกฎหมายทุกอย่าง ถ้าจับได้กูไม่เอามึงไว้แน่”

“อันนี้ขู่ป่ะพี่”

“มึงลองแล้วจะได้รู้ว่ากูขู่ไหม” น้ำเสียงเย็นๆ บวกกับสายตาที่โคตรจะจริงจังมองผมมาแค่วินาทีเดียวก็เล่นเอาไอ้ติคนนี้เสียวสันหลังวาบไปเลยครับ

“ไม่ลองแน่นอนพี่ ผมออกจะเป็นเด็กดี” มั้ง.....ตอนนี้คงเป็นเด็กดีเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 7
เฝือกออกเผือกมาแทน

Sati’ s talk

นับเป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด ถ้าเห็นจากชื่อตอนทุกคนคงจะรู้แล้วใช่ไหมครับ วันนี้เป็นเกิดของผมเอง แฮร่! ไม่ใช่ วันนี้เป็นวันที่ผมเอาเฝือกออก จริงๆ ผมว่าขาผมเริ่มเดินได้โดยไม่ใช้ไม้ค้ำก็นานแล้ว แต่ในเมื่อหมอเขานัดมาว่าต้องเอาออกวันนี้ ก็ต้องมาตามที่หมอบอกแหละครับ

“สั่นอะไรของมึง”

“มันดีใจอะพี่จะได้เอาเฝือกออก พี่ช่วยเขียนอะไรให้ผมหน่อยดิ” ผมหยิบปากกาที่แอบเอาออกมาจากบ้านขึ้นมาและส่งให้พี่กูน

“ถึงกูเขียนอย่างไงหมอก็เอาทิ้งอยู่ดี เขาไม่ได้ให้มึงเอากลับบ้านสักหน่อย”

“ความทรงจำครั้งหนึ่งไงพี่..ถ้าผมไม่ขาหักผมก็คงไม่มีโอกาสได้มาเป็นน้องชายพี่แบบนี้ พูดแล้วน้ำตาผมนี่ซึมเลย” ผมทำหน้าทะเล้นส่งไปให้พี่กูนที่เอาแต่ส่ายหัวและปากก็บ่นว่าผมไร้สาระอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ก็หยิบปากกามาเขียน

“เอาเฝือกออกแล้วก็เอาเผือกออกด้วย..เอ๋ ผมมีเผือกตั้งแต่ตอนไหนนะพี่” ผมอ่านข้อความที่พี่กูนเขียนให้ แต่สะดุดอยู่ที่บทสุดท้าย “เท่าที่จำได้ผมก็ไม่ได้ปลูกเผือกไว้บ้านพี่เลย”

“กูให้คิดดีๆ แล้วสารภาพมา”

“ก็.....” ผมนิ่งคิด ถ้าเรื่องที่ผมเผือกเรื่องของพี่กูนก็น่าจะมีแค่เรื่องเดียวมั้ง


ย้อนกลับไปอาทิตย์ที่แล้ว

“ไอ้ติเดี๋ยวเอาเสื้อผ้าในตะกร้ากูไปให้ป้าแจ่มซักให้หน่อยที่บ้านใหญ่ อาทิตย์นี้กูยุ่งมาก” ผมพยักหน้ารับและเอาไม้ค้ำลากหูตะกร้าไปไว้ที่บ้านใหญ่ด้วยความทุลักทุเล เหมือนพี่กูนจะลืมว่าผมเข้าเฝือกอยู่ละมั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับยอดเด็กดีอย่างกระผม

แต่ระหว่างทางผมดันทำตะกร้าล้มจนเสื้อผ้าของพี่กูนหล่นลงบนพื้น ด้วยความร้อนรนว่าพี่กูนจะมาเห็นละบ่นผมหูชาผมเลยรีบเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้า แต่ระหว่างที่ผมกำลังเก็บนั้นอยู่ๆ ผมก็เห็นชุดชั้นในของผู้หญิงปนมาด้วย ซึ่งมันสอดคล้องกับเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ผมเห็นพี่กูนเอาผู้หญิงท่าทางเมาๆ มานอนที่บ้าน แต่ด้วยความที่มันดึกแล้วผมเลยไม่ได้ออกมาดู พอตอนเช้าผมก็รีบตื่นเพื่อมาดูว่าผู้หญิงที่พี่กูนเอามาด้วยเป็นใครแต่ปรากฏว่าไม่มีแล้ว กลับมาที่ชุดชั้นในนี้..เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผู้หญิงคนนั้น ด้วยความที่ผมคันปากอยากพูดผมเลยเอาไปบนกับป้าแจ่ม..แต่ไม่รู้ว่าป้าแจ่มเอาไปบอกใครบ้าง

“ก็..ไม่มีอะไรหรอกพี่”

“ไม่ของมึงแต่แม่มาถามกูว่ากูเอาผู้หญิงมานอนบ้านเหรอ”

“ก็...แต่ผมไม่ได้บอกแม่พี่เลยนะ” ผมรีบยกมือปฏิเสธแต่พอเจอหน้าดุๆ ของพี่กูน ลิ้นผมนี่พลิกเลยทันที “แค่บอกป้าแจ่มเอง..”

“แล้วทำไมไม่ถามกูก่อนแล้วเอาไปพูดมั่วๆ ทำแบบนี้กูแจ้งความข้อหาดูหมิ่นนะมึง”

“พี่..นี่น้องเอง อย่าถึงกับแจ้งคงแจ้งความเลยครับ” ผมขยับไปใกล้ๆ พี่กูนพร้อมกับเอียงศรีษะไปถูให้ดูน่ารัก แต่แล้วก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของพี่กูนตบเข้ามาเต็มๆ “น้องเจ็บ”

“ถ้าแม่ไม่สั่งให้กูพูดเพราะๆ กับมึงกูด่าไปแล้วนะ”

“ถามจริงพี่นี่เพราะแล้วเหรอ?”

“ถ้าไม่มีคำหยาบที่ใช้ด่าก็เพราะสุดสำหรับมึงแล้ว” ผมกลอกตามองบนใส่พี่กูนไปหนึ่งทีโดยที่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เอาจริงๆ ผมก็คิดไม่ออกแหละ

เราสองคนนั่งเงียบอยู่กับตัวเองจนกระทั่งถึงคิวที่ผมต้องเข้าไปเอาเฝือกออก ส่วนพี่กูนนั่งรอผมอยู่ด้านนอก จนเวลาผ่านไปผมเดินออกมาพร้อมกับขาที่ไร้เฝือก มันก็แอบใจหายอยู่เหมือนกันนะอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน

“พี่อาทิตย์หน้าผมไปสอบมหาลัยที่ผมเคยบอกพี่ว่าอยากเข้า” หลังจากเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางกลับผมดันคิดถึงเรื่องสอบได้เลยพูดขึ้นมา

“พร้อมไหมล่ะ”

“ก็พอได้อยู่ แต่แอบกลัวๆ ว่าจะไม่ติด เอาจริงผมก็เผลอใจเอาไว้เยอะอยู่ แต่จะทำให้เต็มที่” สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่เรื่องปฏิบัติ แต่ที่ผมกลัวคือสอบภาคทฤษฎีที่ผมโคตรจะอ่อน ผมเป็นคนที่คิดเร็วตัดสินใจเร็วโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองหรือตรวจทานคำตอบให้ดี ทำให้ผมพลาดในส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่นๆ

“เห็นตาบอกว่ามึงเอาแต่อ่านหนังสือ อาทิตย์ที่แล้ว” อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ผมไม่ได้ไปเรียนเพราะว่าไปเรียนก็ไม่ได้เรียนผมเลยตัดสินใจไม่ไปแม่งเลย ส่วนพี่กูนที่ไม่ด่าก็เพราะว่าไปราชการต่างจังหวัดพึ่งจะกลับมาก็เมื่อวานผมเลยรอดตัวไป

“ก็นั่นแหละพี่พยายามอยู่ ถ้าผมไม่ติด...”

“เอกชน”

“มันแพงนะพี่”

“แล้วกูให้มึงออกค่าเทอมรึไง มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป คิดว่ามึงมีโอกาสมากกว่าเด็กอื่นๆ ก็ทำให้ดีตั้งใจกับที่กูส่งเสียมึง”

“ถ้าผมเรียนจบเงินเดือนก้อนแรกผมจะให้พี่”

“เอาให้จบก่อนนะแล้วค่อยว่ากัน”


มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี XXX

“เป็นไงบ้างติ” ผมเดินยิ้มออกมาจากห้องสอบตรงมาที่คุณแม่และพี่ธิตาที่วันนี้มาเป็นเพื่อนผมในการสอบ

“เตรียมตัวเลยครับ”

“เตรียมตัวเรียน?”

“เตรียมตัวหาที่ใหม่เลย ยากมากเลยครับแม่พี่ตา” จากหน้าที่ยิ้มๆ ในตอนแรกของผมตอนนี้กลายเป็นเบะปากร้องไห้ เพราะแกล้งทำเป็นเข้มแข็งไม่ไหว ข้อสอบมันยากเกินไป แต่โชคดีที่ผมมั่นใจว่าปฏิบัติผมทำได้และถูกค่อนข้างเยอะ ถ้ามันเอาคะแนนสองส่วนมารวมกันก็น่าจะมีลุ้นอยู่บ้าง

“เดี๋ยววันนี้แม่พาไปเลี้ยงปลอบใจนะลูก” คุณแม่ของพี่กูนกอดปลอบก่อนที่พวกเราทั้งสามคนจะเดินกลับไปที่รถและมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าตามที่คุณแม่บอก

เมื่อมาถึงห้าคุณแม่และพี่ตาก็ลากผมมาที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่วัยรุ่นชอบใส่ ซึ่งผมก็ไม่มีทางรู้แน่นอนถ้าพี่ตาไม่บอกผม

“ตัวละหลายพันเลยครับพี่ตา ผมไม่เอาหรอกเห็นที่ตลาดแบบนี้แค่ร้อยกว่าบาทเอง”

“น้องติ นั่นมันของปลอมอันนี้ของแท้ค่ะ ถ้าน้องไปอยู่มหาลัยต้องมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่บ้าง เดี๋ยวจะหาว่าพี่กูนเลี้ยงไม่ดี” พี่ตากำลังยัดเยียดเสื้อมาให้ผมสองสามตัว

“ผมใส่ของพี่กูนก็ได้ครับ เมื่อวันก่อนพี่กูนพึ่งเอามาให้ผมยังใส่ไม่ครบทุกตัวเลย” เสื้อผ้าที่พี่กูนเอามาให้ผมมีทั้งใหม่และของเก่าที่พี่กูนไม่ใส่แล้วซึ่งตอนนี้มันเยอะจนล้นออกมาจากตู้ “ผมเกรงใจ”

“ติก็เหมือนน้องชายพี่ พี่ไม่เคยมีน้องชายขอพี่เปย์หนักๆ หน่อยนะ” คราวนี้พี่ตาไม่สนใจผมอีกต่อไปเพราะเธอเอาแต่เลือกเสื้อที่พอดีกับตัวผม ส่วนไอ้ผมก็ได้แต่ยืนมองโดยที่ทำอะไรไม่ได้จนกระทั่ง.....

“ไปหลอกอะไรตามา ทำไมตาซื้อของให้มึงเยอะขนาดนี้ว่ะ” ผมหอบถุงเสื้อผ้าและของอีกมากมายเข้ามาในบ้านที่ตอนนี้พี่กูนนั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอกมองผมด้วยสายตาจับผิด

“ผมไม่ได้หลอกนะพี่ผมห้ามพี่ตาแล้ว แต่พี่ตาบอกว่าไม่เคยมีน้องชายเลยอยากจะเปย์ผม”

“มีแต่คนเอ็นดูมึงเนอะ”

“อย่างน้อยหนึ่งในนั้นก็มีพี่ด้วยที่เอ็นดูผม”

“ใครบอกมึง”

“ผมคิดเอง พี่อ่ะปากร้ายแต่ใจดีผมรู้” ผมเอาของไปเก็บในห้องและออกมานั่งกับพี่กูน

“แล้วสอบเป็นไง”

“ห้าสิบห้าสิบพี่ แต่ด้วยความหวังดีพี่อย่าคาดหวังว่าผมจะติดเลยเดี๋ยวพี่จะผิดหวังเอา” เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยคาดหวังกับชีวิตตัวเองสักเท่าไหร่

“ถ้าไม่คาดหวังอะไรเลย มันจะมีแรงจูงใจในการทำอะไรเหรอวะ มึงบอกกูไม่ให้หวังแต่กูจะบังคับให้มึงหวัง มาอยู่กับกูแล้วต้องหวังทุกเรื่อง”

“พี่กำลังจะสอนอะไรผม”

“สอนให้รู้จักหวังถ้ามึงพยายามทำเต็มที่แล้ว ไม่ใช่หวังแต่ไม่พยายามอันนั้นมันก็ไม่ต่างจากการขอพรแต่ไม่ลงมือ”

“คมกว่ามีดก็คำพูดของพี่อ่ะครับ” ผมนั่งพูดคุยกับพี่กูนไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องคราวนั้นขึ้นมาจนอดที่จะถามพี่กูนไม่ได้ “พี่แล้วเจ้าของชุดชั้นในพี่ไม่พามาบ้านแล้วเหรอ?”

“ชุดชั้นในไหนวะ...” พี่กูนทำท่าคิดอยู่สักพัก “อ่อ ไอ้เรื่องที่เอาไปฟ้องแม่กูอะนะ”

“ก็บอกว่าแค่คุยกับป้าแจ่มเอง ไม่คิดว่าป้าแจ่มจะเอาไปบอกแม่พี่”

“งั้นก็รู้ไว้ด้วยว่าถ้าป้าแจ่มรู้ ทั้งบ้านรู้” ผมพยักหน้ารับ “แล้วจะบอกว่าไอ้ชุดชั้นในนั้นก็ของลูกน้องกู”

“ลูกน้องพี่??”

“มันเป็นสายสืบที่ต้องปลอมตัวแล้ววันนั้นกูไปสืบคดีกับมัน มันต้องปลอบตัวให้เนียนเลยปลอมตัวเป็นผู้หญิง เห็นว่ากว่าจะเสร็จก็ดึกเลยชวนมันมานอนที่บ้าน พอเช้ามันก็ถอดทิ้งไว้แล้วใส่ชุดกูกลับ”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ผมก็คิดว่าพี่พาสาวมานอนบ้าน”

“กูไม่เอามาหรอกที่บ้าน”

“ทำไมอะพี่”

“ไม่เสือกดิ”

“ไม่ได้เสือกเลยผมแค่เป็นห่วง” เรื่องแถขอให้ไว้ในคนอย่างสติครับ แถจนสีข้างถลอกก็แถมาแล้ว ถ้าไม่ไล่ให้จนมุมผมไม่ยอมจำนนหรอกครับ

“ไม่ต้องเป็นห่วงกูมากขนาดนี้ก็ได้ไอ้น้อง” ไม่รู้ด้วยความเอ็นดูหรือหมั่นไส้ ที่พี่กูนใช้มือทั้งสองข้างของเขาตบเข้ามาที่ศีรษะของผมแรงๆ

“เล่นแรงนะพี่ ตบมากสมองผมจะเสื่อมเอา”

“ให้มันเสื่อมๆบ้างจะได้พูดน้อยๆหน่อย เดี๋ยวนี้พูดมากฉิบหาย”

“ผมไม่เห็นจะรู้ตัวเลย...” เมื่อเห็นว่าพี่กูนมองผมด้วยสายตาดุๆผมจึงค่อยๆสงบปากสงบคำและนั่งเล่นโทรศัพท์ของผมไปเงียบๆจนกระทั่งพี่กูนใช้เท้าเขี่ยขาผมเบาๆ

“มีไรพี่”

“ไปเอาน้ำให้กูดิ หิวแต่ขี้เกียจ” พี่กูนยังคงเล่นโทรศัพท์ของเขาไปเรื่อยๆไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองผม “เล่นโทรศัพท์แล้วเจ็บคอ”

“ถ้าพี่ขี้เกียจแบบนี้อนาคตจะติดเตียงนะพี่”

“เป็นห่วงหรือหลอกด่า?”

“เป็นห่วงซิครับ แต่ว่าพี่คงไม่ติดเตียงหรอกนะ ผมไปเอาน้ำมาให้ อย่าดื่มน้ำอะไรดีเอ่ย น้ำส้ม น้ำแตงโม หรือน้ำสารพัดที่ผมจะนึก”

“ถ้ามึงยังกวนตีนอยู่กูเปลี่ยนมาเอาน้ำเลือดออกจากหัวมึง”

“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปหาน้ำมาให้พี่กูนก่อนที่พี่กูนจะเปลี่ยนมาเอาเลือดหัวผมออก ไอ้ผมก็แค่กวนนิดกวนหน่อยทำเป็นหัวร้อนไปได้ คุณตำรวจนี่เลือดร้อนทุกคนหรือป่าววะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เป็นคู่พี่น้องที่บรรเทิงกันมากทั้งตบมุกทั้งตบตีกัน :laugh:
ใครจะหวั่นไหวคิดเกินเลยก่อนน้า

 :pig4:

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :z13:    :z3:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ teamB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 8
ประกาศผล ชี้ชะตาชีวิต

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่หวังมากขนาดนี้อะครับ”

“กูบอกให้มึงตั้งใจทำ”

“ผมก็ตั้งใจ แต่ดูพี่จะเครียดกว่าผมอีก” ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มผมกับพี่กูนนั่งอยู่หน้าคอมเพื่อรอเข้าเว็บของมหาวิทยาลัยเพื่อดูผลสอบ “ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าดูตอนนี้เดี๋ยวเว็บล่มพี่ก็หงุดหงิดอีก” และเรื่องที่ผมรับรู้ได้จากการมาอยู่กับพี่กูนเป็นเวลาเกือบๆ สามเดือนคือ พี่กูนเป็นคนขี้หงุดหงิด โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไม่ยอมทำตามหรือเห็นด้วย

“กูไม่หงุดหงิด” พี่กูนเชิดหน้าขึ้นส่วนมือก็คลิกเข้าเว็บนู้นเว็บนี้ไปเรื่อยระหว่างรอเวลาประกาศผล

“ผมถามจริง”

“กูจะโกหกทำไม” คราวนี้ผมเลิกเซ้าซี้และเงียบมองพี่กูนเล่นคอมไปเรื่อยๆ “เอาไหมมันลดราคา”

“ลดแล้วเหรอพี่ ผมว่ามันยังแพงอยู่เลย” ด้วยความที่ว่างกันทั้งคู่ทำให้พี่กูนแวะเข้าไปส่องเว็บที่ดิวราคานาฬิกายี่ห้อดังที่ผมแอบเห็นว่าพี่กูนมีอยู่หลายเรือน

“กูว่ามันถูก”

“แต่พี่มีเยอะแล้วนะพี่ อย่าหาว่าผมสอนเลยตอนพี่มีเงินพี่ก็เก็บไว้บ้าง เพราะวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าเงินที่พี่ใช้อยู่มันจะหมดเมื่อไหร่ ความจนมันน่ากลัวจริงๆ นะพี่...” ความจนที่ผมสัมผัสมาตลอดชีวิตผมรู้ดีว่ามันรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะตอนที่จำเป็นต้องใช้เงินแต่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ญาติหรือที่พึ่งก็ไม่มี ลำพังแค่หลวงตาให้พี่พักอาศัยผมก็เกรงใจท่านจะแย่ ถ้าให้ผมแบกหน้าไปขอเงินผมทำไม่ได้จริงๆ และมีอีกหลายๆ ครั้งที่ผมยอมอด ทั้งชีวิตผมรู้จักคำว่าอดมากกว่าอิ่ม

“มึงเป็นน้องกูมึงต้องมี กูอยากให้มึงได้ใช้ของดีๆ บ้าง”

“ผมเข้าใจเจตนาของพี่นะ แต่ที่พี่ให้ผมมันมากเกินกว่าที่ผมจะจำเป็น ผมขอพูดตรงๆ กับพี่เลย” ด้วยความที่เริ่มสนิทใจกับพี่กูนมากยิ่งขึ้น และเห็นว่าพี่กูนคือพี่ชายของผมจริงๆ ผมจึงกล้าที่จะพูดตรงๆ ตามที่ผมคิด “ผมโชคดีที่ผมมาเจอพี่ แต่ยังมีเด็กอีกหลายๆ คนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนผม”

“ทำไมมึงทำหน้าจริงจังขนาดนั้นวะ กูจะบอกให้ว่ากูไม่ได้ใช้เงินแบบนี้บ่อยๆ แล้วไม่ต้องเกรงใจกูเต็มใจที่จะให้มึง และไอ้ที่กูซื้อให้เพราะเห็นว่ามึงยังไม่มี”

“แต่ผมใช้แค่อันละร้อยกว่าบาทตามตลาดนัดก็ได้พี่ถ้าพี่จะซื้อให้ผมจริงๆ จะถูกจะแพงมันก็ใช้ดูเวลาได้เหมือนกัน”

“แต่ของถูกใช่ว่าจะดี ใช้ไปไม่นานก็พังอย่าเห็นแก่ของถูกไอ้ติ แล้วไอ้ที่กูจะซื้อให้มึงมันเคลมว่าใช้ได้เป็นสิบยี่สิบปี ถ้าเฉลี่ยราคาดูตามระยะเวลาที่มึงใช้มันก็คุ้มที่จะจ่าย” คราวนี้ผมนั่งคิดตามที่พี่กูนพูด ซึ่งมันก็จริงเพราะของที่ผมเคยซื้อมาตามตลาดนัดใช้ได้ไม่นานก็พัง “ที่กูให้มึงกูคิดแล้วไอ้ติว่ามันเหมาะสำหรับมึง” พี่กูนยิ้มให้ผมบางๆ พร้อมกับยื่นมือมายีผมของผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู...มั้ง

“ผมขอกอดพี่ได้ป่าวว่ะพี่กูน มันจะแปลกไปไหม ผม...ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้จริงๆ” ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างที่จุกอยู่ที่อกของผม มันตื้นตันที่อยู่ๆ ก็คอยมีคนคอยเป็นห่วงมีคนคอยคิดให้ในหลายๆ เรื่อง มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป

“ได้ดิวะไอ้น้องชาย” พี่กูนดึงตัวผมเข้าไปกอดพร้อมกับตบหลังของผมเบาๆ ซึ่งผมว่ามันค่อนข้างที่จะแรง แต่ยิ่งแรงก็ยิ่งแสดงถึงความรักมั้ง “ขี้แยฉิบหาย เป็นน้องกูต้องเข้มแข็ง”

“โห่พี่ ถ้าเจอแบบผมก็ต้องร้องทุกคนป่าววะ” ผมยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแห่งความตื้นตันและดีใจออกจากตาผมอย่างลวกๆ

“กูไม่เช็ดน้ำตาให้มึงนะ ร้องเองต้องเช็ดเอง” พี่กูนมองหน้าผมนิ่งๆ มองผมเช็ดน้ำตา

“ผมเข้มแข็งพอที่จะเช็ดเองได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ้อย” ผมหัวเราะออกมาเมื่อคิดถึงความขี้แยของตัวเอง ตั้งแต่ผมมาอยู่กับพี่กูนผมว่าผมขี้แยมากกว่าตอนอยู่วัดอีก พี่กูนทำอะไรให้นิดหน่อยบ่อน้ำตาผมก็แตกฉิบหายเลย

“แล้วตกลงจะเอาไหมนาฬิกา?” พี่กูนหันกลับไปสนใจหน้าจอคอมที่เปิดเว็บไซต์ทิ้งไว้อยู่

“ถ้าพี่เห็นว่ามันสมควรผมก็ไม่ปฏิเสธครับ”

“คำพูดคำจามึงนี่นะ” พี่กูนส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับคลิกเมาท์กดสั่งนาฬิกาไปทันที ก่อนจะเลื่อนไปดูสินค้าตัวอื่น ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าซะมากกว่า

“ไอ้ติเอากางเกงไหม เอาไปใส่เรียนได้กูว่ามึงควรใส่ทรงนี้ กูเห็นมึงใส่ชุดที่ไปเรียนแล้วมันขัดใจกูไอ้กางเกงขาเต่อแบบไร้รสนิยม”

“ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าผมจะติดไหม พี่ซื้อก่อนถ้าผมไม่ติดขึ้นมาก็เก้อดิพี่ แล้วไอ้ที่ว่าผมว่าขาเต่อไร้รสนิยมผมรับไม่ได้จริงๆ” พี่กูนนิ่งคิดและพยักหน้าเห็นด้วยกับผมพร้อมกับกดเลื่อนไปยังสินค้าตัวอื่นๆ โดยที่ไม่สนใจประโยคหลังของผม “ผมพึ่งรู้ว่าพี่ช้อปเก่งเหมือนกันนะ”

“มันเป็นของที่ต้องใช้ กูไม่ค่อยมีเวลาไปเดินซื้อ ซื้อในเว็บง่ายสุดสำหรับกู” ก็อย่างว่าแหละครับงานพี่กูนทำไม่ค่อยเป็นเวลา บางวันก็ไปราชการกลับทีก็เกือบเช้า

“ผมจะตั้งใจเรียนทำงานดีๆ นะพี่ แล้วผมจะเลี้ยงพี่เอง”

“ไอ้ติกูขนลุก”

“ถ้าผมมีเงินเดือนเยอะกว่าพี่ พี่ต้องลาออกจากตำรวจนะ อันนี้ผมจริงจัง ผมอยากตอบแทนพี่”

“ไอ้ติ มึงเอาตัวเองให้รอดกูจะถือว่ากูประสบความสำเร็จที่เลี้ยงดูมึง ส่วนเรื่องตอบแทนไม่ต้องคิดเพราะกูเต็มใจทำให้มึง กูว่าเรื่องนี้เราคุยกันไปหลายรอบแล้วนะ”

“ก็ผมเกรงใจนิพี่ ทำไมผมไม่เกิดมาเป็นลูกพี่ว่ะ ผมจะได้ใช้เงินพี่แบบไม่รู้สึกผิดแบบนี้” ทุกวันนี้ผมจะใช้อะไรผมคิดแล้วคิดอีกมากกว่าตอนที่ผมหาเงินเองแบบเมื่อก่อน เพราะไม่รู้ว่าของที่ผมสียเงินซื้อไปมันคุ้มกับเงินที่พี่กูนให้มาใช้ไหม

“เกือบดีแล้วมึง”

ผมนั่งดูพี่กูนไปเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาประกาศผล เมื่อยิ่งใกล้เวลาผมก็ยิ่งตื่นเต้น แม้ตอนแรกผมจะบอกพี่กูนว่าไม่ต้องรีบดูก็เถอะ

ถ้าผมไม่ติดขึ้นมาจะทำอย่างไรวะ?

พี่กูนจะผิดหวังไหม?

ไอ้เชี้ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดจนผมนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ และด้วยท่าทางผิดปกติของผมทำให้พี่กูนหันมาขมวดคิ้วมองเหมือนสงสัยว่าผมเป็นบ้าอะไร

“เป็นอะไรของมึง”

“คือ...พี่กะกูน.. ผมจะพูดไงดีวะ ตอนแรกก็ไม่ตื่นเต้นนะ แต่พอตอนนี้ผมโคตรกลัวเลยพี่ ไอ้เหี้ย! มือแม่งสั่น” ผมก้มลงมามองมือตัวเองที่ตอนนี้สั่นโคตรๆ แถมยังเย็นอีก “พี่..พี่ทำไงดีวะ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้อะ มันนั่งไม่ติดเลย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และทิ้งตัวลงนั่งและลุกขึ้นอยู่อย่างนี้จนพี่กูนถอนหายใจและเอื้อมมือมาจับข้อแขนของผมเอาไว้

“ไอ้ติ ใจเย็น”

“เย็นไม่ได้แล้วพี่ ตอนนี้ดึกแล้ว แฮร่! พี่มันไม่ตลกว่ะ จางโคตร” ผมพยายามจะสรรหามุขมาเล่น แต่มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิม “พี่กูนนนนนนน” ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีทำให้เผลอไปจับมือพี่กูนเข้าเต็มๆ

“......”

“ผมขอจับมือพี่แบบนี้ได้ไหม ไม่อย่างนั้นมันจะสั่น”

“......”

“ได้ไหมพี่ ไม่ได้เหรอ...” ผมเตรียมจะปล่อยมือออกจากมือของพี่กูน แต่อยู่ๆ พี่กูนก็คว้ามือของผมเอาไว้และออกแรงดึงให้ผมนั่งลงเหมือนเดิม

“ไม่ติดกูก็ไม่ได้ว่าอะไร” เมื่อเห็นว่าผมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก พี่กูนจึงพยายามใช้น้ำเสียงเย็นๆ เพื่อให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย

“แต่ผมไม่อยากให้พี่ผิดหวัง เพราะพี่บอกว่าพี่หวัง”

“แต่กูก็ไม่ได้บอกว่ากูจะไม่ยอมรับความผิดหวัง กูหวังก็จริงแต่กูก็ต้องเผื่อใจให้กับความผิดหวังด้วยดิ ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกนะที่จะสมหวัง” ผมเข้าใจที่พี่กูนพูดนะแต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากให้พี่กูนผิดหวังจริงๆ มันเหมือนถ้าผมสอบติดก็เป็นการตอบแทนพี่กูนอย่างหนึ่ง

“ถ้าผมผิดหวังผมไม่เป็นไร แต่ผมไม่อยากให้พี่มาผิดหวังเพราะผม” ผมก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่กูน

“ไอ้ติ มึงฟังกูรู้เรื่องไหมเนี่ย”

“รู้พี่ แต่ผม....ผมอธิบายไม่ถูกว่ะ”

“กูเข้าใจนะที่มึงอยากติดเพราะมึงอยากให้กูภูมิใจ กูบอกตามตรงว่ากูดีใจที่มึงคิดแบบนี้ แต่ถ้ามันไม่ติดก็ไม่เป็นไรจริงๆ”

“ผมอยากติด.....”

“อย่ากดดันตัวเอง”

“ผมอยากดูว่ะพี่”

“เอางี้ไหม มึงหลับตาแล้วกูจะดูให้ว่ามึงติดไหม ถ้าติดกูจะตบหัวมึง ถ้าไม่ติดกูจะสะกิดแบบเบาๆ” ผมพยักหน้าตามที่พี่กูนพูด และตอนนี้ผมหลับตาและฟังเสียหายใจของพี่กูนที่ดูลุ้นอยู่เหมือนกันขณะที่กำลังคลิกเมาส์

“พี่....”

“มึงอย่าเรียกกู นั่งเงียบๆ ไป” น้ำเสียงของพี่กูนเองดูจริงจังจนผมปิดปากเงียบและหลับตาอยู่กับที่นิ่งๆ เพื่อรอสัญญาณพี่กูนตามที่ตกลง ถ้าติดผมโดนตบหัวถ้าไม่ติดผมจะถูกสะกิดเบาๆ ก็ถือว่าพี่กูนไม่ได้ซ้ำเติมผมแรงๆ ถ้าผมไม่ติด และนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมรอคอยการตบหัวจากพี่กูน

“.........”

ไอ้เชี้ย!! ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้วพี่กูนก็ยังไม่ทำอะไรผมสักที

“พะ...พี่ ตุบ!!!!”

เพี๊ยะ!!!

“ไอ้ติ!!!!”

มันเกิดขึ้นเร็วมากเมื่ออยู่ๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่มือมากระแทกที่ศีรษะผม ด้วยความเจ็บผมจึงลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าพี่กูนยืนมองผมตกลงมาจากเก้าอี้ ในมือของพี่กูนมีถาดใบใหญ่ที่ผมไม่รู้ว่าไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่

“พี่กูนผม....”

“ไอ้ติน้องรักกก!!! มึงติดเว้ย มึงติดไอ้เหี้ยเอ้ย! ติดอันดับหนึ่งด้วย!! คะแนนมึงมาโด่งเลย โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ ไอ้ติ!!!! ไอ้ติมึงติด!!! มึงติดแล้ว!!” ไม่พูดเปล่าพี่กูนก้มลงมาจับตัวผมให้ลุกขึ้นยืนและเขย่าจนตัวผมโยกไปมา

ไอ้ท่าทางดีใจจนเสียอาการแบบนี้ ช่วยบอกผมทีว่าพี่กูไม่ได้หวังอะไรเลย

ผมไม่อยากคิดภาพถ้าผมสอบไม่ติดขึ้นมา

“สรุปผมติดใช่ไหมพี่”

“เออดิ!!!”

“แค่ถามเองพี่ เสียงดังใส่กันเฉย” ผมอยากไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอพี่กูนตอนนี้เลย โคตรตลก ห้ะ! เดี๋ยวนะผมสอบติดเหรอวะ??? เป็นไปได้ไง

“พี่!!!! ผมติดเหรอ!!!!”

“ไอ้ติมึงเสียงดังกว่ากูอีก”

“พี่....ตึง!”

“ไอ้ติ๊!!!!” ผมไม่รับรู้อะไรแล้วครับ


Kun’ s talk

ผมยืนมองไอ้เด็กติที่ตอนนี้มันนอนหลับอยู่บนเตียงหลังจากที่ผมลากมันมาจากห้องนั่งเล่น ผมยอมรับเลยว่าผมดีใจที่ไอ้ติมันติดมหาวิทยาลัย จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วว่ามันน่าจะติดแต่ไม่คาดคิดว่ามันจะติดเป็นลำดับที่หนึ่ง มันเกินความหมายของผมจริงๆ

มันอาจจะดูเวอร์ที่ผมดีใจมากขนาดนี้ แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าตอนนี้สถานะของไอ้ติเปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ เลยก็ว่าได้ ถึงมันจะอยู่กับผมได้ไม่นานก็เถอะ

และไอ้การที่ผมซื้อนู่นนี่ให้มันเยอะไม่ใช่ว่าจะตามใจเลยหรือสปอยล์แต่ผมมองว่าไอ้ติมันควรมีของดีๆ ไว้ใช้บ้าง โดยเฉพาะตอนที่มันมีโอกาสแบบนี้ มันไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย มีแต่ผมที่เต็มใจจะให้ เห็นผมให้มันแบบนี้แต่แม่กับตาสปอยล์มันมากกว่าผมอีก ถ้าผมปล่อยให้แม่รับมันเป็นลูกบุญธรรมไอ้ติเสียคนแน่ๆ

“นอนซะมึง เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปซื้อไอแพดให้” ผมไม่ได้สปอยล์มันหรอกเนอะ แต่เดี๋ยวนี้ไอแพดมันจำเป็นสำหรับการศึกษา

ผมไม่ได้สปอยล์ไม่เชื่อผมเหรอ???

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด