第二 章
一年之计在于春
แรกเริ่มหยาดพิรุณ
เมืองกูจางตั้งอยู่ทางทิศมณฑลพายัพ แวดล้อมไปด้วยเขตที่ราบลุ่ม เนินทุ่งหญ้าและป่าสนกว้างใหญ่สุดคณานับ มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านทั้งตอนกลางและทางตะวันออก ทำให้อุดมไปด้วยเหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารเหมาะแก่การเพาะปลูกมากยิ่งนัก อีกทั้งทางตอนเหนือของเมืองยังติดต่อกับเส้นทางทะเลทรายซึ่งไว้สำหรับใช้ติดต่อค้าขายกับชนชาติอื่นอีกด้วย
นับว่าเป็นหน้าด่านแห่งเศรษฐกิจการค้าสำคัญสำหรับแคว้นฉินเลยทีเดียว
สกุลที่ดูแลดินแดนในแถบนี้คือตระกูลหรูแห่งกูจาง โดยมีผู้นำสกุลคือ ‘แม่ทัพหรู’ หรือ ‘หรูมู่เฉิง’
“อาเชิง วันนี้เรียนเป็นเช่นไร” ผู้เป็นบิดาถามขึ้นหลังจากเห็นบุตรชายของตนเข้ามาคำนับทันทีที่กลับถึงบ้าน
เด็กชายตัวน้อยวัยสิบหกอดรนทำท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตนอยู่ได้เพียงชั่วครู่ก็บ่นออกมายาวนับลี้ทันทีที่สบโอกาส “เหนื่อยนักท่านพ่อ ราวกับข้าออกไปวิ่งสักสิบลี้เห็นจะได้”
คุณชายสกุลหรูแสร้งทุบเนื้อทุบตัวตนเองแสดงท่าทีความเหน็ดเหนื่อยจนผู้เป็นบิดาส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยคำร่ำออกมาเบาๆ “บอบบางเสียจริง”
“ม้าศึกยามสงบจึงหลบลี้ หากม้ามิรู้จักพัก เช่นนั้นจะโจนทะยานยามหน้าศึกสงครามได้อย่างไรเล่าท่านพ่อ” คำเปรียบเปรยจากคัมภีร์บทหนึ่งที่เล่าเรียนมาถูกเอื้อนเอ่ยจนอดีตแม่ทัพต้องทอดถอนใจ เด็กชายหน้าหยกเอ่ยยิ้มขำอย่างอารมณ์ดีด้วยรู้ว่าบิดาตนเพียงแค่บ่นไปตามประสา
“ข้าไม่สู้ต่อคำรบกับเจ้าจริงๆ ไปพักผ่อนเถอะไป” อดีตทหารกรำศึกว่าพลางโบกมือไล่คล้ายจะอ่อนใจอยู่ทุกที เห็นดังนั้นหรูฟู่เชิงก็ยกยิ้มสำทับอีกคราก่อนค้อมตัวลงเตรียมก้าวออกไป
“เดี๋ยวก่อนอาเชิง” แม่ทัพหรูพูดขึ้น
“ขอรับ?”คำเรียกทัดทานบุตรชายให้หันกลับมา ก่อนคุณชายสกุลหรูจะยิ้มร่าอวดแผงฟันเสียครบทุกซี่เมื่อฟังจบ “อาเหนียงอยู่ในครัวนะ ถ้าเจ้าหิวก็แวะไปหาซะล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ”
คล้อยหลังบุตรชายตน ประมุขสกุลหรูก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ยกมุมปากขึ้นอย่างพออกพอใจในความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดี หากแต่ว่าในขณะเดียวกันคิ้วที่เรียงเส้นก็ขมวดมุ่นอย่างหนักใจอยู่เหมือนกัน
การเลี้ยงลูกคนเดียวนับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับชายชาตินักรบอย่างเขา...
มือนึงที่ต้องจับดาบแกว่งไกวเพื่อปกป้องชายแดนขอบขัณฑ์มิให้ใครมารุกราน เข่นฆ่าข้าศึกมากมายนับร้อยนับพัน หากเมื่อหลังรั้วประตูกลับมา มืออีกข้างก็ต้องโอบอุ้มเลี้ยงดูบุตรชายเพียงคนเดียวให้เติบใหญ่ กว่าจะผ่านพ้นมาถึงวันนี้ได้ หรูมู่เฉิงยอมรับเลยว่ามันไม่ง่ายจริงๆ
ไม่ง่ายสำหรับคนที่ต้องปกป้องทั้งแผ่นดินและครอบครัวตัวเองไปในเวลาพร้อมๆกัน
ตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาแม่ทัพหรูตรากตรำกรำศึกมากมายเหลือคณานับ ทุกครั้งที่ออกรบสิ่งที่คิดขณะดาบแกว่งไกวมีเพียงอย่างเดียวคือตนจะต้องมีชีวิตกลับไปเพื่อนั่งฟังบุตรชายท่องหนังสือ
อยากรับรู้ว่าวันนี้เขาเล่าเรียนไปถึงไหนแล้วบ้าง...
อยากเห็นเขาเติบใหญ่และแข็งแรง...หากแต่นานวันเข้าความเฉลียวฉลาดของหรูฟู่เชิงก้าวล้ำนำผู้อื่นไปดั่งม้าศึกโจนทะยาน นำหน้าจนแม่ทัพหรูนึกหวาดกลัว
เขาหวั่นวิตกว่าวันใดวันนึงสติปัญญาและมันสมองนี้มันจะกลับกลายเป็นดั่งคมศาสตรา ผูดมัดราวกับบ่วงย้อนคืนคล้ายลูกศรพุ่งตรงกลับมาทำร้ายบุตรชายของตนเองได้
เพียงแค่คิดชายชราก็อดสั่นหวิวๆอยู่ในอกเสียแล้ว....
“ขอสวรรค์คุ้มครองลูกข้าด้วย คุ้มครองด้วย” หรูมู่เฉิงเอ่ยคำนับฟ้าดิน
.
.
.
หรูฟู่เชิงเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีเป็นที่ทราบกันโดยถ้วนทั่วมณฑลพายัพแห่งนี้ ว่าบุตรชายของอดีตแม่ทัพสกุลหรูคือผู้มีใบหน้าอันเป็นที่เลื่องลือไปร้อยลี้พันลี้ ด้วยรูปโฉมงามสง่าผ่าเผย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้รอยตำหนิดั่งหยกชิ้นงามแห่งลั่วหยาง ผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียดดุจหิมะแรกรุ่นในเหมันต์ฤดู ผิดแผกจากผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังโจษจันระบือไกลว่านอกจากหน้าตาแล้ว สติปัญญาของคุณชายสกุลหรูนี้ ยังยากหาใครเทียบเทียมได้ทั่วทั้งแผ่นดินฉิน
กล่าวกันว่าหรูฟู่เชิงสามารถสอบวัดระดับความรู้เป็นบัณฑิตระดับหยวนสือ*ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ทันย่างเข้าสิบสาม
ดังนั้นไม่แปลกเลยที่กระแสความนิยมชมชอบและคำสรรเสริญเยินยอจะดังเข้าหูคุณชายสกุลหรูอยู่เนืองๆแต่เด็กหนุ่มกลับมองคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
“ข้าว่าปีนี้หรูกงจื่อ*ต้องสอบเป็นจู้เหริน*ผ่านอย่างแน่นอน” หนี่งในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเอ่ยขึ้นมากลางวงสนทนา
ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งเลี้ยงฉลองในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของตัวเมืองกูจาง ไม่ไกลจากสำนักที่เล่าเรียนเท่าใด
“ข้าพนันสิบอีแปะกับเจ้าเลย”คุณชายอีกคนเริ่มเสียงดังมากขึ้น “ข้าให้ห้าสิบ”พอมีผู้เริ่ม ก็ย่อมมีคนตาม คุณชายทางด้านซ้ายเอ่ยเกทับทันที
คนที่ถูกพาดพิงเพียงแต่ยกยิ้มนิ่งๆมิได้ว่ากระไร คุณชายหรูในชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนฟังการโต้เถียงอยู่นานจึงแกล้งกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย
“ดูอย่างข้าสิ สอบมาจนอายุป่านนี้แล้วยังไม่เคยผ่านได้ระดับหยวนสือเลยด้วยซ้ำ นับถือหรูกงจื่อจริงๆ นับถือๆ” คุณชายคนที่วางเงินพนันในทีแรกเอ่ยตัดพ้อ ประสานมือยกมาทางคุณชายหน้าหยก
“ท่านอย่ากล่าวเกินจริงเลย ใครมาได้ยินเข้าจะเข้าใจผิดเปล่าๆ” หรูฟู่เชิงพูดห้ามปรามเมื่อเห็นว่าวงสนทนาชักไปไกลถึงสิบทะเลแปดแม่น้ำ
เกิดมาเป็นมนุษย์ มีผู้ใดบ้างมิชอบคำเยินยอ
หากแต่ปล่อยปละละเลยมากเข้า นานวันเกรงคนอื่นไกลได้ยินเข้าคงนึกหมั่นไส้ตนไม่ใช่น้อย
“หึๆ” เสียงสะบัดลมหายใจล้วนขัดข้องหูผู้ได้ยินจนต้องมองมาหาว่ามาจากผู้ใด แม้นเมื่อเจอต้นสายปลายเหตุ ด้วยการที่เหล่าคุณชายถือตนว่าเป็นวิญญูชนจึงไม่มีใครเอ่ยปากอันใดออกไป เพียงแต่ส่งสายตาอันไม่เป็นมิตรไปให้อีกฝ่ายเท่านั้น
เมื่อเหล่าวิญญูชนตั้งท่าจะพูดคุยกันต่อ ชายแปลกหน้าก็เอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะ “หนึ่งถึงสิบ สิบถึงร้อย ร้อยเป็นพัน หนึ่งพันจึงนับเป็นหมื่น”
“เจ้ากำลังสอนนับเลขหรืออย่างไร จู่ๆก็พูดขึ้นมาเช่นนี้” เป็นคุณชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันทีที่ฟังจบ
ชายแปลกหน้าไม่ตอบอะไร เพียงแต่นั่งอยู่กับที่พลางรินน้ำชาลงป้านชาก่อนกระดกดื่มเพื่อดับกระหาย
ยิ่งเห็นท่าทางอวดดีของผู้มาใหม่ กอปกับตนมีพวกอยู่มาก ทำให้คนหนุ่มเลือดร้อนซักถามเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินเหรอ ว่าเจ้ากำลังสอนพวกข้านับเลขหรืออย่างไร?”
ผู้ที่กำลังตกเป็นเป้านิ่งยังคงไม่ไหวติง นั่งหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผยไร้ซึ่งแววตาแห่งความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่ในท่าทาง ใบหน้าคมเลื่อนมองชมนกชมไม้ไปเรื่อย ราวกับไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น คุณชายหนุ่มเลือดร้อนรู้สึกเสียหน้าเมื่อตนโดนเมินจากคนแปลกถิ่น รู้สึกราวกับโดนหมิ่นเกียรติ ตั้งท่าจะลุกเดินไปเอาเรื่องกับอีกฝ่าย หากแต่หรูฟู่เชิงที่นั่งสังเกตการณ์มาสักพักห้ามปรามจับแขนของศิษย์ร่วมสำนักของตนเองไว้แล้วกดตัวคุณชายคนนั้นให้นั่งลง
คุณชายสกุลหรูลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างสงบเสงี่ยม ดวงหน้าเนียนใสมิมีร่องรอยของความขุ่นเคืองข้องใจปรากฏอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย เขาเพียงหยิบป้านชาติดตัวไปด้วยหนึ่งจอก ก่อนเด็กหนุ่มจะเดินตรงไปยังโต๊ะด้านในสุดของโรงเตี๊ยม หยุดอยู่ห่างจากโต๊ะประมาณคืบนึงจึงประสานมือกันค้อมตัวลง
การกระทำดังกล่าวเรียกเสียงฮือฮาของเหล่าศิษย์ร่วมสำนักและรวมไปถึงสายตาของบุรุษแปลกหน้าให้หันกลับมามองคุณชายหนุ่มในชุดผ้าแพรบางสีฟ้าอ่อนใสนี้ได้สำเร็จ
“น้ำชาป้านนี้ พวกข้าน้อยยกมาคารวะที่ล่วงเกินผู้อาวุโสไป ขอผู้อาวุโสอย่าถือสาพวกข้าเลยนะขอรับ”
แววตาคมเลื่อนลงมามองป้านน้ำชาดินเผาในฝ่ามือขาวนวลของอีกฝ่าย หากแต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแต่อย่างใด
“หรูซ่านเป่า เจ้าก็เห็นว่าคนๆนี้หยิ่งยโสแค่ไหน เจ้าทำถึงขนาดนี้มันยัง...”คุณชายอีกคนนึงในกลุ่มเอ่ยเสียงดัง
“กงจวี้จื่อ เจ้าเงียบก่อน”คำพูดทักท้วงเสียงเรียบนิ่งทำให้เขาจำต้องนั่งลงไปทั้งที่รู้สึกเจ็บแค้นแทนสหายร่วมสำนักของตน เพราะด้วยรู้ดีว่าหรูฟู่เชิงผู้นี้เป็นคนอ่อนน้อมมากแค่ไหน ยิ่งพอเห็นอีกฝ่ายโดนกระทำเช่นนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนถูกหยามเกียรติเข้าไปใหญ่
หรูฟู่เชิงยันกายขึ้นมามองสบกับใบหน้าของผู้มาใหม่ ก่อนจะเจอกับสายตาน่าครั่นครามซึ่งกำลังจับจ้องวางที่ตนเองอยู่ก่อนแล้ว ดูจากลักษณะท่าทาง การแต่งกาย และดวงตาคมที่มองอย่างไม่วางตาไปไหนของบุรุษแปลกหน้าผู้นี้แล้ว คุณชายสกุลหรูพอจะเดาออกว่าคนผู้นี้คงไม่ใช่คนจรธรรมดาสามัญเป็นแน่
“หากผู้อาวุโสไม่รับคำคารวะจากข้าน้อยก็มิเป็นไร เพียงแต่อยากจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสสักเรื่องนึงจะได้รึไม่ขอรับ?”หรูฟู่เชิงอธิบายเจตนาของตน เมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้ายังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เด็กหนุ่มหน้าหยกจึงเหมาเอาว่าอีกฝ่ายอนุญาติแล้ว
“บทกลอนที่ท่านท่องมาเมื่อสักครู่ ใช่บทหนึ่งในคัมภีร์ซันจื้อจิง*หรือไม่ประการใดขอรับ?” สิ้นคำถามชั่วครู่นึงหรูฟู่เชิงเห็นดวงตาคู่คมนั้นทอแววเป็นประกายจ้องมองมา ราวกับอีกฝ่ายพึงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน
“แต่ข้าน้อยด้อยปัญญา ไม่อาจแปลได้ว่าผู้อาวุโสหมายถึงสิ่งใดกัน ขอผู้อาวุโสชี้แนะข้าน้อยเถิดขอรับ”คุณชายหรูก้มตัวลงอย่างเคารพนบนอบ ก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า และเสียงเก้าอี้เคลื่อนตัวเหมือนใครสักคนลุกขึ้น
“เอ๊ะ..”หรูฟู่เชิงส่งเสียงแปลกใจ บุรุษแปลกหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลันเดินสวนร่างเล็กออกจากโรงเตี๊ยมไปในทันที
บรรดาศิษย์ร่วมสำนักของหรูฟู่เชิงเมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่เดินจากไปไกลแล้วถึงค่อยกรูเข้ามาดูสิ่งของที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนโต๊ะแล้วก็พากันโห่ร้องไล่หลัง “ข้าว่าเจ้านั่นมิได้ท่องบทกลอนจากคัมภีร์อันใดได้หรอก ก็แค่พูดมั่วไปดั่งหว่านจอกแหนมากกว่า เขาคงแค่อยากประฝีปากกับเจ้าเท่านั้นน่ะ พอเห็นว่าหรูกงจื่อของพวกเราท่าทางฉลาดกว่าเลยรีบสะบัดชายผ้าหนีอายไปเลยยังไงเล่า” พูดจบก็หัวเราะสำทับอีกหนึ่งครา
คุณชายสกุลหรูแห่งกูจางหยิบสิ่งของที่บุรุษแปลกหน้าทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดูอย่างพิจารณา พลางพึมพัมกับตนเอง “หยกดิบอย่างนั้นเหรอ?”
ดวงตาหวานราวกระต่ายป่าจ้องมองก้อนอัญมณีสีเขียวในฝ่ามือ แม้นชิ้นไม่ได้ใหญ่มาก แถมยังไม่ผ่านการขัดเกลาจนเนื้อใสพอจะนำไปประดับตกแต่งหรือทำเครื่องประดับอันใดได้ แต่เหตุใดคนผู้นั้นถึงทิ้งของสิ่งนี้ไว้กันเล่า
“ซ่านเป่า เจ้าอย่าไปสนใจคนบ้านั่นเลยดีกว่า เจ้านั่นคงรีบร้อนหนีเกินไปเสียจนทำสิ่งนี้ตกไว้น่ะ” กงจวี้จื่อศิษย์ร่วมสำนักหันมาพูดกับคุณชายสกุลหรูอย่างยิ้มแย้ม
หรูฟู่เชิงไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ หากแต่คุณชายหนุ่มยังคงเก็บหยกดิบชิ้นนั้นเอาไว้กับตัว คิ้วเรียวดังสายธนูยังขมวดมุ่นไม่คลายออก มีบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขาอยู่จึงไม่สามารถสลัดมันทิ้งออกไปได้
ผู้อาวุโสท่านนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน....
.
.
.
สำนักตงฝางเป็นสำนักสำหรับบัณฑิตในตระกูลชนชั้นสูง
กล่าวกันว่าอาจารย์ผู้สอนแห่งสำนักตงฝางนี้เคยเป็นถึงราชบัณฑิตแห่งราชสำนัก เป็นหนึ่งในคณะของกรมธรรมการ*แห่งวังหลวง ทว่าภายหลังกลับทูลขอลาออกจากราชการ แล้วมาประจำอยู่เมืองกูจางแห่งนี้แทน สุดท้ายจึงได้เปิดสำนักตงฝางขึ้นสำหรับสั่งสอนบุตรหลานของเหล่าชนชั้นสูงสำหรับสอบเข้ารับราชการในวังหลวงต่อไป
ดังนั้นเหล่าคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงต่างๆจึงมารวมตัวกันที่สำนักตงฝาง เพื่อศึกษาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้มากมายสำหรับความเจริญในภายภาคหน้าต่อไป
“นี่ซ่านเป่า เจ้ารู้ข่าวรึยัง?” กงจวี้จื่อท่าทีตื่นตระหนกเอ่ยถามเสียงดังพร้อมวิ่งกระหืดกระหอบมาเกาะโต๊ะของหรูฟู่เชิงเอาไว้
“ข่าวอะไรรึ?”คุณชายสกุลหรูในชุดแพรต่วนสีขาวสะอาดพริ้วไหวนั่งคัดอักษรอยู่ยกใบหน้ากลับขึ้นมามองสหายของตนชั่วครู่นึงก่อนก้มลงตั้งใจคัดตัวอักษรในกระดาษต่อ
‘หนึ่งถึงสิบ
สิบเป็นร้อย
ร้อยเป็นพัน
จากหนึ่งพันจึงนับเป็นหมื่น’
หมายความว่ากระไรกัน?
ใบหน้างดงามยังคงมุ่นมวยไม่สบอารมณ์
“
นี่เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าซ่านเป่า!” คุณชายสกุลกงในชุดแบบเดียวกันพูดเสียงดังดึงสติคนที่ลอยไปไกลให้กลับมา
“ขอโทษ ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ เจ้าว่าอะไรนะ?” หรูฟู่เชิงตอบยิ้มๆเมื่อเห็นว่าสหายตนชักเริ่มโวยวายเสียงดังตามนิสัยเจ้าตัว
แววตาเป็นประกายที่มองมาของคนผู้นั้นฟู่เชิงเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เหมือนพึงใจอะไรสักอย่าง
“ใจเจ้าลอยไปถึงภูเขาเซียนลูกไหนแล้ว?”กงจวี่จื่อถาม ก่อนยื่นหน้ามาดูตัวอักษรในกระดาษพลางทำหน้าเบ้
“ข้าคิดถึง” คุณชายสกุลหรูตอบ
“เจ้ายังคิดถึงเจ้าคนบ้านั่นอยู่อีกเหรอ?” ตาตี่ของกงจวี้จื่อเบิ่งโตขึ้นพลางเพิ่มระดับให้เสียงดังขึ้นอีกสำรับ
“กลอน!มิใช่คน!” หรูฟู่เชิงตอบกลับทำเอากงจวี้จื่อตบอกตัวเองแปะๆ ถอนหายใจเสียงดังฟู่
“ข้าว่าเจ้านั่นคงพูดมั่วๆมากกว่า เจ้าอย่าใส่ใจนักเลย” สหายร่วมสำนักพูดอย่างไม่ยี่หร่ะอันใด
“แล้วข่าวที่ว่าของเจ้านั้นคือสิ่งใด?” หรูฟู่เชิงเปลี่ยนเรื่องภายในทันที
“โอ้ใช่! ข้าเกือบลืมไปเสียแล้วแน่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าสำนักของเราจะมีอาจารย์ท่านใหม่มาสอนนะ” คุณชายหนุ่มสกุลกงพูดพลางทำใบหน้าเคลิบเคลิ้มฝันหวานไปด้วย
“หากเป็นอาจารย์หญิงสวยๆสักคนคงดีมิใช่น้อย”กงจวี้จื่อยิ้มค้างหวานหยดเสียจนน้ำลายไหลเปื้อนกระดาษของหรูฟู่เชิง จนคุณชายหรูรีบยกใบหน้าอีกฝ่ายให้ห่างในทันที
“เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆจวี้จื่อ” หรูฟู่เชิงเหลือบตามองคนข้างกายด้วยแววตาสังเวชใจก่อนส่ายหน้าอีกรอบ
“อะไรเล่า! ข้าหมายถึงถ้าเป็นอาจารย์หญิงคนใหม่คงทำให้พวกข้าตั้งใจเรียนได้กว่าท่านอาจารย์แก่ๆเป็นไหนๆ ” กงจวี้จื่อชักโวยวายเสียงดังอีกแล้ว
หรูฟู่เชิงลุกขึ้นหยิบกระดาษกลอนขึ้นมาตั้งใจจะนำไปสอบถามท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่วายกระดิกนิ้วชี้ส่ายไปมาหน้าสหายสนิทตนคล้ายเป็นการแกล้งขู่ “มุสา! ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์” ก่อนตั้งท่าจะวิ่งออกจากห้องอักษรไป
“
ซ่านเป่า! หรูซ่านเป่า! ไอ้กระเรียนผีเจ้าเล่ห์! หยุดฝีเท้าเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!” กงจวี้จื่อพูดเสียงดังทะลุห้องอักษรไปไกลพันลี้ เด็กหนุ่มเห็นเฆมหมอกแห่งเคราะห์กรรมตั้งเค้ามาก็รีบวิ่งไล่จับตัวเจ้าตัวบางที่เป็นต้นเหตุเคราะห์กรรมหนักของตนอย่างทันท่วงที
หากทว่าคนสกุลหรูเองก็วิ่งเร็วปรื๋อดั่งวาโยพัดพา
หรูฟู่เชิงอยากหันไปบอกกับคนกลัวเคราะห์กรรมหนักนักว่าหากยังเสียงดังอยู่เช่นนี้ ท่านอาจารย์คงรู้เองโดยที่เขาไม่ต้องไปบอกแต่ประการใด
“หยุดสิซ่านเป่า!” กงจวี้จื่อเริ่มหอบ
“หยุดให้เจ้าตีข้าอย่างนั้นรึ?ไม่เอาหรอก!” ยิ้มล้อเลียนอีกฝ่าย แต่คุณชายหนุ่มก็เริ่มมีอาการเหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน
ชั่วขณะที่กงจวี้จื่ออาศัยช่วงลำตัวของตนที่ยาวกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อยเอื้อมมือตั้งใจไปคว้าคอเสื้อแพรต่วนสีขาวสะอาดของคุณชายสกุลหรูเอาไว้ได้ หากแต่เขากะระยะผิดพลาดจึงไปคว้าโดนเอาเสื้อตัวนอกบางใสทำให้ทั้งเขาและหรูฟู่เชิงถูกดึงให้หน้าคว่ำคะมำหงายทะลุประตูห้องอักษรไปพร้อมๆกัน
เหวอ..อ.ออ
ตึง!
ทั้งคู่ทำประตูไม้พังครืนลงมา แถมยังกระเด็นออกมาไกลจนถึงนอกระเบียงทางเดินของเรือนอักษรอีกต่างหาก
“โอย..เจ้ากระเรียนขนร่วง เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย” คุณชายสกุลกงที่ตัวทับอยู่ด้านบนร้องโอดโอยเสียงดังทั้งที่คนรับน้ำหนักคือคนตัวขาวแท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ยังมิวายร้องเสียงสั่นเครือดังลั่นเรือนอักษรราวกับโดนดาบของอริราชศัตรูฟันเข้าที่สีข้างเข้าอย่างเหมาะเหม็ง ดั่งเลือดไหลถมแม่น้ำอย่างนั้นแหละ!
เพราะเสียงดังโครมครามลั่นสำนักทำให้ตอนนี้เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ต่างเริ่มชะโงกหน้าออกมาดูว่าเกิดเหตุอันใดกันขึ้น
มือเก้งก้างของกงจวี้จื่อที่หมายจะช่วยดึงคอเสื้อของหรูฟู่เชิงให้เรียบร้อยดันพลาดเลื่อนไปปลดเสื้อแพรตัวนอกของคุณชายสกุลหรูทำให้ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสภาพล่อแหลมไม่น่าดูชมเท่าไหร่ แถมเสื้อด้านในสีสะอาดของคุณชายหรูยังไหลไปกองจนเกือบหลุดจากสายคาดเอวเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าเป็นอะไรไหมซ่านเป่า โอ๊ะ!”คุณชายสกุลกงยกตัวขึ้นกำลังจะช่วยสหายสนิทลุกขึ้น แต่สายตาก็ดันเห็นอะไรเข้าเสียก่อน
“ข้าอาบน้ำพร้อมเจ้ามาตั้งหลายครั้ง เพิ่งรู้เจ้ามีปานแดงตรงคอนี่ด้วย” เด็กหนุ่มตั้งท่าจะสัมผัสที่ซอกคอขาวหากแต่โดนแรงกำลังมหาศาลฉุดลุกขึ้นก่อนผลักกระเด็นออกไปเกือบหนี่งฝ่ากระดาน
หรูฟู่เชิงที่ยังนอนอยู่บนประตูไม้รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ดวงตาหวานราวกระต่ายป่ากระพริบตาไล่ความมึนงงอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณชายหรูยังมึนๆงงๆคล้ายจะเห็นดาวเดือนในตอนอรุณรุ่งก็ไม่ปาน ในลานสายตาเขาเห็นเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ปักลายไก่เงินของใครบางคนเยื้องย่างเข้ามาใกล้ก่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ใครมันกล้าทำข้า...” กงจวี้จื่อตั้งท่าจะโวยวายเสียงดังอีกครั้ง “เจ้า!!”
ดวงตาคมดุจกระบี่มองเฉือดเฉือนมาที่คุณชายสกุลกงราวกับว่าได้ฟาดฟันทางสายตาให้ได้แหลกราญตัวขาดเป็นหมื่นท่อนไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมเข้มดุดัน หัวคิ้วเข้มกดลงต่ำคล้ายมีเรื่องไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ร่างสูงใหญ่หัวเกือบจรดเพดานหออักษรแผ่รัศมีทรงอำนาจออกมารอบๆตัวจนกงจวี้จื่อเผลอกลืนลูกคอตัวเองลงไปดังอึ้ก
หรูฟู่เชิงยังคงนอนมึนงง พยายามไล่เรียงว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมผู้อาวุโสที่พบเจอที่โรงเตี๊ยมเมื่อสองสามวันก่อนจึงมาปรากฏตัวที่นี่ แถมยังใส่ชุดอาจารย์ของสำนักตงฝางอีกต่างหาก
“
ลุก!” เสียงคมเข้มดุดันดั่งฟ้าฟาดคล้ายคำประกาศิตรัดกระชากตัวให้บัณฑิตน้อยสกุลหรูกระเด้งตัวจากพื้นขึ้นมานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นแทบในทันที ไม่รู้เพราะสาเหตุใด คนๆนี้ถึงดูมีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้าคับดินยิ่งนัก เพียงแค่เปรยตามองก็ทำให้เขายอมศิโรราบแล้ว
เป็นสายตาที่ติดค้างอยู่ในใจของหรูฟู่เชิงมาตั้งแต่หลายวันก่อน
จวบจนมาวันนี้คุณชายสกุลหรูได้คำตอบแล้วว่าทำไมตนถึงติดใจในสายตานั้นยิ่งนัก...
ดวงตานั้นไม่ดูดุดันแข็งกร้าว หรือมุทะลุตรงไปตรงมาเหมือนดั่งเช่นผู้เป็นบิดาของตนที่เป็นอดีตแม่ทัพเมืองกูจาง กลับกันสายตาของคนผู้นี้กลับดูทรงอำนาจ วาวโรจน์คล้ายดั่งเปลวไฟสุกสกาว ในบางคราวกลับเรียบนิ่งทว่านุ่มลึกดั่งห้วงนทีที่ไม่อาจหยั่งลึกตื้นชลธาร
คล้ายดั่งสามารถทลายฟ้าถล่มปฐพีได้ด้วยเพียงแค่การเหลือบมองในคราเดียว
ด้านบุรุษงามสง่าสูงจรดเพดานหออักษรเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่ตกอยู่ที่พื้นของหรูฟู่เชิง พร้อมทั้งเศษอัญมณีสีเขียวชิ้นเล็กตกอยู่ข้างตัวของเด็กหนุ่มหน้าหยกก็แสร้งเมินหนีไปทำเป็นไม่เห็น
“แต่งตัวแล้วไปเจอข้าที่หอตำราอี้จิง” กล่าวจบก็ออกเดินไปโดยไม่หันมามองผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีกเลย
สองสหายสนิทร่วมสำนักมองหน้าพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย พลางรู้สึกลำคอฝืดดั่งหายใจไม่ทั่วท้อง พากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
...รู้สึกเคราะห์กรรมหนักจะตั้งเค้าสำหรับคุณชายทั้งสองแล้ว...
TBC
_____________________________________________________________
*หยวนสือ [院試] : การสอบวัดระดับสมัยจีนโบราณ แบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง โดยระดับหยวนสือคือการสอบวัดระดับขั้นต้น เป็นการสอบในระดับอำเภอ มีเพียงแค่5-10% ของผู้สอบเท่านั้นที่ผ่านการสอบระดับหยวนสือไปได้
*กงจื่อ : การเรียกแบบสมัยโบราณ ใช้สำหรับผู้ที่ไม่สนิทสนม+อายุยังไม่มาก เรียกอีกผู้หนึ่งอย่างให้เกียรติ
*จู้เหริน [舉人] : คำใช้เรียกผู้ที่สอบผ่านระดับกลาง(มณฑล)ได้แล้ว ต่อปีมีผู้ที่สอบได้ราวๆ 3-5% ของจำนวนผู้ที่เข้าสอบทั้งหมดจากระดับหยวนสือ
*คัมภีร์ซันจื้อจิง [三字经] : หรือคัมภีร์สามอักษร เป็นคัมภีร์โบราณของจีนสำหรับระดับพื้นฐานของผู้ต้องการศึกษา แบ่งเป็นหมวดและหัวข้อต่างๆทั้งจารีตประเพณี ประวัติศาสตร์หรือปรัชญา โดยจะแบ่งวรรคตอนแต่ละบทมีเพียงแค่สามอักษร เพื่อการท่องจำที่ง่ายและคล้องจองกัน
_____________________________________________________________
Talk
อาเชิงอาจื่อตายหยังเขียดแน่ๆ ไม่รู้บุรุษแปลกหน้าจะลงโทษน้องสองคนยังไงหนอ
ยังไงเบามือหน่อยล่ะกันนะพ่อนะ เอาใจช่วย 555555
สวัสดีนะครับสวัสดีกับทุกๆคนเลยวันนี้เอาตอนที่สองมาส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ตัวละคร ชื่อ คำศัพท์อะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอย่างทะลัก ยังไงผมขอฝาก
ทุกๆตัวละครทุกบทบาทเค้าเอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของผู้อ่านกันด้วยนะครับ
ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดหรืออะไรบอกกันได้เสมอเลย
แล้วก็ขอกำลังใจจากผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน
ช่วยเม้นท์บอกกันนิดนึงว่าเป็นยังไงนะครับ
ขอบคุณทุกคนจริงๆสำหรับโอกาสที่ให้กันมา