พิมพ์หน้านี้ - 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่10 หญิงสาวในแม่น้ำ | 4.5.2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: indigomoon ที่ 16-12-2019 11:58:29

หัวข้อ: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่10 หญิงสาวในแม่น้ำ | 4.5.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 16-12-2019 11:58:29
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 16-12-2019 12:03:23
_____________________________________________________


(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/19/i6GAMg.jpg)



กลีบดอกท้อนุ่มนวลปลิดปลิวจากขั้วต้นง่ายดายดั่งชีวิตคน

ในรอยรัก ความแค้น เรื่องราวที่ติดค้างในชาติภพนำพาหวนคืนสู่วสันต์

เพื่อทวงถามการรอคอยและกระทำดั่งสัญญาที่ป่าดอกท้อ




ฝากติดตามผลงาน
หรือเข้าไปพูดคุยกับคนเขียนได้ตลอดนะครับ
ไม่กัด ฉีดยาแล้ว
 >>> https://twitter.com/XII_Indigomoon (https://twitter.com/XII_Indigomoon) <<<
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 16-12-2019 12:10:32
第一 章
บทนำลำนำขาน


รัชศกยงเจิ้งปีที่สี่สิบเก้า



เดือนเอ้อร์เยว่*นับว่าปราการด่านแรกแห่งวสันต์ฤดู


เม็ดพิรุณน้อยใหญ่ที่กำลังโปรยปรายดั่งกล่าวคำอำลาเป็นสัญญาณให้ผองชนรับรู้ว่าบัดนี้ใกล้เวลาเปลี่ยนผันของฤดูกาล เปลี่ยนสู่เดือนแห่งการเริ่มต้น แห่งการก่อกำเนิดชีวิตใหม่ๆ เมื่อผ่านพ้นยามเหมันต์มาได้


หากแต่เมื่อเราเพ่งมองดูดีๆ แล้ว


อาจเป็นฟ้าดินกำลังร่ำไห้อยู่ก็เป็นได้ ไฉนเลยที่ปุถุชนคนธรรมดาใยจะเข้าใจลิขิตฟ้า...



กลีบสีชมพูนวลของดอกท้อดอกแรกแห่งฤดูกาลกำลังเบ่งบานชูช่อไสวอยู่บนกิ่งก้านแข็งแรง แม้จะบอบบางจนอาจโดนสายพระพายปลิดให้หลุดจากขั้วได้อย่างง่ายดาย หากแต่มันก็คือสัญญาณแห่งการก่อกำเนิดใหม่จากความหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ จากความมืดมิดแห่งรัตติกาลในค่ำคืนที่มีแต่ความเย็นเยือกปกคลุมไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินและจิตใจเฉกเช่นเดียวกัน


เป็นเหมือนตัวแทนแห่งการต่อสู่และดิ้นรน กลีบดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานบอกเล่าถึงสัญญาณของการมีชีวิตใหม่


กิ่งก้านที่แผ่ขยายไปในห้วงอากาศอันจับต้องไม่ได้ มันเองก็กำลังบอกเช่นเดียวกันว่าอีกไม่ถึงชั่วอึดใจก็จะเยื้องย่างเข้าสู่เขตฤดูกาลชุนเทียน*แล้ว


หากแต่ ‘บางชีวิต’ อาจมิมีโอกาสได้เห็นแสงแรกของอาทิตย์ยามอุทัยในวันพรุ่งนี้...


ร่างบางเล็กใต้ผ้าแพรที่ถูกทักทอห่อหุ้มด้วยไหมสีพิศุทธิ์ เรือนกายระหงสวมอาภรณ์สีขาวปลอดตัดกับความมืดแห่งยามค่ำคืนดุจเทียนไขเล่มน้อย เรือนผมดำทมิฬยาวถึงกลางแผ่นหลังปล่อยสยายก่อนผูกมวยผมไว้ด้วยเพียงผ้าแพรสีเดียวกับอาภรณ์ ไร้ซึ่งกวานหรือเครื่องประดับประกอบเกียรติยศใดๆ


องค์ชายสิบสี่ หรือที่คนทั่วไปในวังรู้จักนามกันดีว่า ‘องค์ชายเมิ่งจิวฮวา


แม้นฐานะเป็นถึงองค์ชาย หากศักดิ์ศรีกลับเทียบเทียมมิได้แม้แต่หมาตัวนึงเท่านั้น!
.
.
.



ใบหน้าเนียนลลอดุจหยกในน้ำค้างแข็งเหยียดยิ้มให้กับชะตาชีวิตของตนเอง นับแต่จำความได้ เขามักมีสิ่งนึงติดตัวไว้ด้วยตลอดเวลาไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับ ยามกินหรือยามนอน หากแต่บัดนี้ใบหน้านั้นไร้ผ้าผืนบางปกคลุมปิดป้องอีกต่อไป เพราะมันไม่มีความจำเป็นอีกแล้วในสถานที่ที่เด็กหนุ่มต้องการจะไป


มิต้องแล้ว...ไม่มีสิ่งใดต้องการปิดบังอีกแล้ว


ฝ่าเท้าขาวเหยียบย่ำลงไปบนร่องรอยแห่งเหมันต์ฤดูที่เหลือทิ้งไว้ เท้าเปลือยเปล่าเดินบนเกล็ดน้ำแข็งสีขาวแวววาวสวยงามดั่งหยดมณีล้ำค่า หากบาดผิวดุจคมมีดเย็นเฉียบเรือนหมื่นเรือนแสนเล่มทิ่มแทงพร้อมสร้างบาดแผลให้ฝ่าเท้าคู่งามอยู่ตลอดเวลา


แต่เขาไม่รู้สึกถึงคมมีดนั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความเจ็บปวดใดให้ต้องชักเท้าหนี ไม่มีแม้แต่สติสัมปชัญญะหลงเหลือบอกให้หลบตามสันชาติญาณมนุษย์


ราวกับว่าความเป็นไปของโลกใบนี้ ไม่ส่งผลใดต่อหัวใจองค์ชายหนุ่มให้รู้สึกทรมาณอีกต่อไป


ถึงแม้ความหนาวเย็นของหิมะรอบตัวจะกัดกินผิวหนังบางใสจนทิ้งหยดสีแดงเข้มเอาไว้เบื้องหลังในทุกย่างก้าวที่ผ่านพ้นไป แต่เมิ่งจิวฮวาผู้นี้ไม่หวาดกลัวกับหนทางที่ตนกำลังดำเนินไปเลยแม้แต่น้อย



จะกลัวไปใย



ข้าไม่เจ็บ...ข้าไม่ปวดอีกแล้ว



ไม่มีอีกแล้ว...ไม่อีกแล้ว




จิวฮวาเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมากระทบผิวกาย ฝ่ามือขาวดุจดั่งสีของหิมะนั้นเหยียดไปคว้าอากาศก่อนกอบกุมบางสิ่งกลับมาไว้ในอ้อมอกของตัวเอง หยดน้ำที่ตกลงมาจากฟ้าได้เพียงชั่วครู่กลับกลายเป็นผลึกน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ส่องแสงระยิบระยับในฝ่ามือซีดจาง ริมฝีปากบางดั่งกลีบดอกซีฝู่ไห่ถางยกมุมปากของตนขึ้นเสี้ยวนึงก่อนเหม่อมองเจ้าสิ่งของต้องแสงในมือ


เกล็ดใสระยิบระยับละลายหายไปชั่วพริบตาเมื่อโดนอุณหภูมิจากร่างกายมนุษย์นานเข้า ทิ้งไว้เพียงหยดน้ำเล็กๆ หยดนึงที่ครั้งนึงเคยบอกเล่าเรื่องราวตลอดการเดินทางของมันมา


เมิ่งจิวฮวายิ้มให้กับใครคนนึงเคยบอกเขาว่าสิ่งนี้มันเรียก ‘น้ำตาฟ้า’ และองค์ชายหนุ่มเชื่อมั่นมาโดยตลอด


เชื่อมั่นในทุกคำพูด เชื่อถือในทุกวาจา...


ไม่เคลือบแคลง ไม่กังขา ไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ


เชื่อด้วยหัวใจและจิตวิญญาณ



หยาดน้ำตาที่ไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าไหลรินสู่พื้นพิภพก่อนกลายเป็นเพียงแค่เกล็ดน้ำแข็งแวววาวอยู่ชั่วครู่ก่อนกลืนหายไปกับปุยเฆมสีขาวบนพื้นดินราวกับไม่เคยมีอยู่จริง...


น้ำตาองค์ชายสิบสี่ เมิ่งจิวฮวาผู้นี้ไม่เคยมีอยู่จริง
.
.
.



นิ้วเรียวดั่งลำเทียนลูบเส้นไหมตรงหน้าอย่างคุ้นเคย ดวงตาคู่งามไล้ไปตามรูปร่างของเครื่องดนตรีไม้ซานชั้นดีของตนเอง สิ่งๆ นี้เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวในชีวิตที่เมิ่งจิวฮวายังหลงเหลืออยู่บนโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ สมบัติเพียงสิ่งเดียวที่เป็นสหายคู่ใจในยามทุกข์ เป็นดั่งครอบครัวในยามสุข


เป็นเพียงสิ่งเดียวที่องค์ชายสิบสี่คิดว่าตนเอง ‘พอจะใช้การได้’ แค่อย่างเดียวในชีวิต เพราะนอกเหนือจากการเล่นพิณกู่ฉินนี้แล้ว จิวฮวาก็ไม่คิดว่าโอรสของสนมเล็กๆ คนนึงจะทำอะไรไปมากกว่านี้ได้ในชีวิตไร้ค่าอย่างเขา


ร่างขาวในชุดแพรไหมเยื้องย่างไปตามทางที่บัดนี้ถูกหิมะปกคลุมทางเดินเอาไว้จนมองไม่เห็นแผ่นหินปูพื้นแม้สักผีก องค์ชายสิบสี่ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ท่อนแขนเรียวเล็กดูไร้เรี่ยวแรงกลับมีพละกำลังหยิบเจ้าพิณไม้ซางลายดอกท้อคู่ใจแนบชิดติดกายมิห่าง


เมิ่งจิวฮวาเดินมาถึงหน้าตำหนักเรือนไม้หลังนึง บรรดาดอกซีฝู่ไห่ถางยังคงยืนต้นทะนงอยู่แม้กิ่งผลจะไม่มีดอกใบสีเขียวเล็กๆ น่ารักอย่างที่จิวฮวาเคยชมชอบ แต่องค์ชายหนุ่มมิสนใจมันอีกแล้ว


บ่อน้ำแห่งนี้ครานึงเคยมีเหล่ามัจฉาใหญ่น้อยแลดอกบัวคอยอวดโฉมแก่หมู่ผึ้งภมร บัดนี้ผืนธารากลับเย็นเหยียบเสียจนไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้ สัญญาณของการมีชีวิตอยู่ได้เหือดแห้งหายไปพร้อมกับคนผู้เป็นเจ้าของตำหนักที่จากไปไกลแสนไกลเสียแล้ว


ที่บ่อน้ำกลางตำหนัก มีศาลาอยู่หลังนึง เสาทำขึ้นจากไม้หนานมู่ หลังคามุงด้วยกระเบื้องแก้วตัดขอบเขียวบ่งบอกถึงสถานะของผู้เป็นเจ้าของที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี


องค์ชายสิบสี่เคลื่อนกายผ่านสายธาราเยือกเย็นมายังกลางศาลาริมน้ำ ริมฝีปากที่ครั้งนึงเคยแต่งแต้มสีดั่งกลีบดอกบุพชาติ บัดนี้แตกระแหงแห้งผากเสียยิ่งกว่าแผ่นดินของแคว้นฉินเสียอีก เศษหนังที่ตายแล้วยังเกรอะกรังเลอะไปด้วยคราบเลือดแห้งเกาะกุมอยู่บนริมฝีปาก หากแต่เจ้าของเรือนร่างกลับไม่แยแสมันสักนิด


เจ้าของเรือนผมไหมแพรสีดำสนิทเคลื่อนตัวด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ดังก้านดอกเหลียนฮวาในสระน้ำแข็ง แผ่วเบาคล้ายปลิดปลิวแต่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสาหนานมู่ จิวฮวาวางกู่ฉินข้างกายตนลงบางเบาประดุจดั่งหยาดน้ำค้างต้องกลีบเกสรดอกท้อที่เริ่มเบ่งบานแรกแย้มต้อนรับแสงอรุโณทัยในอีกไม่ช้านานเมื่อยามเหม่ามาถึง แขนขาวที่ดูบอบบางคู่นั้นยังคงลูบไล้ไปบนเนื้อไม้ซางลายดอกท้อสีเข้มของตนอย่างรักและหวงแหน ก่อนนิ้วขาวซีดจะเริ่มทาบทับดีดดึงเส้นไหมนั้นจนเกิดเสียงทุ้มนุ่มดังก้องกังวานไปทั่วตำหนักแห่งนี้


“ดั่งที่คนว่าไว้ เมื่อใดความสุขมักไม่มาซ้ำ ดั่งความทุกข์ไม่มาเดี่ยว”


สุรเสียงหวานที่น้อยครั้งจะเอื้อนเอ่ยกล่าวกับลมฟ้าเปล่งวาจาให้กับเทพยดาได้ฟังเรื่องราวของตน ปลายนิ้วเรียวไร้สีโลหิตยังคงจรดลงบนเส้นสายขึงตึงเพื่อขับขานบทเพลงสุดท้ายแห่งชีวิตกล่อมผู้เป็นดั่งดวงใจให้นิทราหลับไหลสนิทจนกว่าแสงแรกแห่งวสันต์ฤดูจะมาถึง


รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนดวงหน้าหาได้มาจากความสุขสำราญแต่อย่างใดไม่ หากแต่รีดเค้นมาจากความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส เจ็บปวดทรมาณจนกลั่นออกมาได้แค่เพียงรอยยิ้มสังเวชในโชคชะตาของตัวเอง


ไม่เหลือน้ำตาแม้สักหยดพอให้ไหลออกมาเจือจางชะล้างความขุ่นมัวหรือความเจ็บปวดใดๆ ในใจอีกต่อไป


ความเจ็บในใจนั้นกู่ร้องตะโกนไปจนสุดเสียง ดังร่ำไห้อยู่ภายในใจดั่งภูเขาฉางอันพังถล่มทลายทั้งลูกชั่วพริบตา โดยที่มีเมิ่งจิวฮวายืนอยู่ตรงสุดขอบผา ท้ายที่สุดเหลือไว้แต่ความรู้สึกว่างเปล่าจนไม่สามารถแม้จะนั่งตั้งหลังให้ตรงได้


ความเจ็บปวดยังคงเสกสรรค์ให้องค์ชายหนุ่มต้องงอตัวแบกรับความรู้สึกมากมายที่ถาโถมประหนึ่งคลื่นซัดเข้าฝั่งพร้อมพายุความรู้สึกผิดโหมกระหน่ำเข้ามาในทุกชั่วขณะของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี


ความเจ็บที่เขารู้สึกเหมือนกับชิ้นส่วนนึงของแผ่นอกถูกกระชากหายไปด้วยน้ำมือของคนอันผู้เป็นที่รัก


คำพูด น้ำเสียง การกระทำทุกอย่างหมุนเวียนกลับดั่งมีจิตกรมือเอกของโลกมาระบายภาพความทรงจำให้หัวขององค์ชายสิบสี่ผู้นี้ให้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ่งวนเวียนอยู่เสมอ


ออกไป! ’ อักษรเพียงสองพยางค์จากปากคนที่เป็นหลักยึดเดียวบนโลกใบนี้ของจิวฮวาดั่งเส้นไหมสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้บนโลกใบนี้


ไม่มีอีกแล้วผู้ซึ่งอันเป็นที่รัก... ไม่มีอีกแล้วที่ที่ให้คนอย่างข้าอยู่ต่อไป


ดวงตาสีนิลกาฬทอดไปยังเส้นขอบฟ้าที่ซึ่งแสงอาทิตย์อุทัยเริ่มทักทอขึ้นมา ณ ริมขอบฟ้า อันเป็นที่ตั้งของตำหนักตงกงแห่งทิศบรูพา อีกไม่นานเหล่าขันทีคงร้องบอกเวลาเข้ายามเหม่าเสียแล้ว


ความผิดโทษมหันต์ ชั่วฟ้าดินคงไม่อาจอภัย


เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของลมหายใจพัดพาผ้าแพรผืนบางให้ปลายด้านนึงคล้องไปยังขื่อไม้ ร่างบางในอาภรณ์สีพิสุทธิ์ก้าวขึ้นไปเหยียบบนโต๊ะที่ไว้ใช้สำหรับทรงอักษร


ใบหน้าเนียนใสหากแต่มีบาดแผลเป็นรอยบากครึ่งหน้าส่งยิ้มสุดท้ายให้กับชีวิตในชาติภพนี้ของตน องค์ชายสิบสี่ซวนเซค้อมตัวลงหันหน้าไปยังทิศประจิมอีกครั้งเป็นการกล่าวคำอำลา แล้วเสกลับมองยังผ้าแพรขาวนวลในกำมืออันเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะพาเขาโบยบินจากกรงทองแห่งนี้เสียที


หากแม้เกิดชาติภพหน้า ข้าขอกลับมายิ่งใหญ่เหนือแผ่นดิน มิต้องอายฟ้าอายดินมิต้องเกรงกลัวผู้ใด


ลาจากพันหมื่นชาติภพ หวังเพียงได้เปลี่ยนชะตา...


โทษทัณฑ์นี้คงมิมีวันได้รับการอภัย สุดแต่ฟ้าลิขิตชะตาให้หมุนวนไป


ในห้วงคำนึงก่อนเรื่องราวความรักความแค้นในชาติภพนี้ทั้งหมดจะจบลง ม่านน้ำตาที่รินไหลอาบใบหน้าบดบังภาพทั้งหมดไปพร้อมกับมโนสำนึก ในจิตสุดท้ายเมิ่งจิวฮวาเห็นชุดปักมังกรสีแดงที่ใช้สำหรับพิธีสมรสอยู่ในลานสายตาก่อนแสงแรกของฤดูวสันต์จะทาบทับขอบฟ้า เปลือกตาสีมุกค่อยๆปิดจนแนบสนิทลง


บางครั้งความตายก็ง่ายดายเช่นนี้



เพียงชั่วสายลมเหมันต์บิดพลิ้ว กลีบสีชมพูนวลของกิ่งดอกท้อที่ยังไม่ทันมีโอกาสได้ผลิบานก็หลุดออกจากขั้วตกลงสู่พื้นดิน



ก่อนท่วงทำนองตัวสุดท้ายจะถูกขับขานไปตลอดกาล....




...จบสิ้นชาติภพ...




____________________________________________________________
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 16-12-2019 12:15:52
第二 章
一年之计在于春
แรกเริ่มหยาดพิรุณ




เมืองกูจางตั้งอยู่ทางทิศมณฑลพายัพ แวดล้อมไปด้วยเขตที่ราบลุ่ม เนินทุ่งหญ้าและป่าสนกว้างใหญ่สุดคณานับ มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านทั้งตอนกลางและทางตะวันออก ทำให้อุดมไปด้วยเหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารเหมาะแก่การเพาะปลูกมากยิ่งนัก อีกทั้งทางตอนเหนือของเมืองยังติดต่อกับเส้นทางทะเลทรายซึ่งไว้สำหรับใช้ติดต่อค้าขายกับชนชาติอื่นอีกด้วย


นับว่าเป็นหน้าด่านแห่งเศรษฐกิจการค้าสำคัญสำหรับแคว้นฉินเลยทีเดียว


สกุลที่ดูแลดินแดนในแถบนี้คือตระกูลหรูแห่งกูจาง โดยมีผู้นำสกุลคือ ‘แม่ทัพหรู’ หรือ ‘หรูมู่เฉิง’


“อาเชิง วันนี้เรียนเป็นเช่นไร” ผู้เป็นบิดาถามขึ้นหลังจากเห็นบุตรชายของตนเข้ามาคำนับทันทีที่กลับถึงบ้าน


เด็กชายตัวน้อยวัยสิบหกอดรนทำท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตนอยู่ได้เพียงชั่วครู่ก็บ่นออกมายาวนับลี้ทันทีที่สบโอกาส “เหนื่อยนักท่านพ่อ ราวกับข้าออกไปวิ่งสักสิบลี้เห็นจะได้”


คุณชายสกุลหรูแสร้งทุบเนื้อทุบตัวตนเองแสดงท่าทีความเหน็ดเหนื่อยจนผู้เป็นบิดาส่ายหน้า  ก่อนจะเอ่ยคำร่ำออกมาเบาๆ “บอบบางเสียจริง”


“ม้าศึกยามสงบจึงหลบลี้ หากม้ามิรู้จักพัก เช่นนั้นจะโจนทะยานยามหน้าศึกสงครามได้อย่างไรเล่าท่านพ่อ” คำเปรียบเปรยจากคัมภีร์บทหนึ่งที่เล่าเรียนมาถูกเอื้อนเอ่ยจนอดีตแม่ทัพต้องทอดถอนใจ เด็กชายหน้าหยกเอ่ยยิ้มขำอย่างอารมณ์ดีด้วยรู้ว่าบิดาตนเพียงแค่บ่นไปตามประสา


“ข้าไม่สู้ต่อคำรบกับเจ้าจริงๆ ไปพักผ่อนเถอะไป” อดีตทหารกรำศึกว่าพลางโบกมือไล่คล้ายจะอ่อนใจอยู่ทุกที เห็นดังนั้นหรูฟู่เชิงก็ยกยิ้มสำทับอีกคราก่อนค้อมตัวลงเตรียมก้าวออกไป


“เดี๋ยวก่อนอาเชิง” แม่ทัพหรูพูดขึ้น


“ขอรับ?”คำเรียกทัดทานบุตรชายให้หันกลับมา ก่อนคุณชายสกุลหรูจะยิ้มร่าอวดแผงฟันเสียครบทุกซี่เมื่อฟังจบ “อาเหนียงอยู่ในครัวนะ ถ้าเจ้าหิวก็แวะไปหาซะล่ะ”


“ขอรับท่านพ่อ”


คล้อยหลังบุตรชายตน ประมุขสกุลหรูก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ยกมุมปากขึ้นอย่างพออกพอใจในความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดี หากแต่ว่าในขณะเดียวกันคิ้วที่เรียงเส้นก็ขมวดมุ่นอย่างหนักใจอยู่เหมือนกัน


การเลี้ยงลูกคนเดียวนับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับชายชาตินักรบอย่างเขา...


มือนึงที่ต้องจับดาบแกว่งไกวเพื่อปกป้องชายแดนขอบขัณฑ์มิให้ใครมารุกราน เข่นฆ่าข้าศึกมากมายนับร้อยนับพัน  หากเมื่อหลังรั้วประตูกลับมา มืออีกข้างก็ต้องโอบอุ้มเลี้ยงดูบุตรชายเพียงคนเดียวให้เติบใหญ่ กว่าจะผ่านพ้นมาถึงวันนี้ได้ หรูมู่เฉิงยอมรับเลยว่ามันไม่ง่ายจริงๆ


ไม่ง่ายสำหรับคนที่ต้องปกป้องทั้งแผ่นดินและครอบครัวตัวเองไปในเวลาพร้อมๆกัน 
 

ตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาแม่ทัพหรูตรากตรำกรำศึกมากมายเหลือคณานับ ทุกครั้งที่ออกรบสิ่งที่คิดขณะดาบแกว่งไกวมีเพียงอย่างเดียวคือตนจะต้องมีชีวิตกลับไปเพื่อนั่งฟังบุตรชายท่องหนังสือ


อยากรับรู้ว่าวันนี้เขาเล่าเรียนไปถึงไหนแล้วบ้าง...


อยากเห็นเขาเติบใหญ่และแข็งแรง...




หากแต่นานวันเข้าความเฉลียวฉลาดของหรูฟู่เชิงก้าวล้ำนำผู้อื่นไปดั่งม้าศึกโจนทะยาน นำหน้าจนแม่ทัพหรูนึกหวาดกลัว


เขาหวั่นวิตกว่าวันใดวันนึงสติปัญญาและมันสมองนี้มันจะกลับกลายเป็นดั่งคมศาสตรา ผูดมัดราวกับบ่วงย้อนคืนคล้ายลูกศรพุ่งตรงกลับมาทำร้ายบุตรชายของตนเองได้


เพียงแค่คิดชายชราก็อดสั่นหวิวๆอยู่ในอกเสียแล้ว....


“ขอสวรรค์คุ้มครองลูกข้าด้วย คุ้มครองด้วย” หรูมู่เฉิงเอ่ยคำนับฟ้าดิน
.
.
.



หรูฟู่เชิงเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี


เป็นที่ทราบกันโดยถ้วนทั่วมณฑลพายัพแห่งนี้ ว่าบุตรชายของอดีตแม่ทัพสกุลหรูคือผู้มีใบหน้าอันเป็นที่เลื่องลือไปร้อยลี้พันลี้ ด้วยรูปโฉมงามสง่าผ่าเผย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้รอยตำหนิดั่งหยกชิ้นงามแห่งลั่วหยาง ผิวพรรณผุดผ่องเนียนละเอียดดุจหิมะแรกรุ่นในเหมันต์ฤดู ผิดแผกจากผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก


อีกทั้งยังโจษจันระบือไกลว่านอกจากหน้าตาแล้ว สติปัญญาของคุณชายสกุลหรูนี้ ยังยากหาใครเทียบเทียมได้ทั่วทั้งแผ่นดินฉิน


กล่าวกันว่าหรูฟู่เชิงสามารถสอบวัดระดับความรู้เป็นบัณฑิตระดับหยวนสือ*ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ทันย่างเข้าสิบสาม


ดังนั้นไม่แปลกเลยที่กระแสความนิยมชมชอบและคำสรรเสริญเยินยอจะดังเข้าหูคุณชายสกุลหรูอยู่เนืองๆแต่เด็กหนุ่มกลับมองคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ


“ข้าว่าปีนี้หรูกงจื่อ*ต้องสอบเป็นจู้เหริน*ผ่านอย่างแน่นอน” หนี่งในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเอ่ยขึ้นมากลางวงสนทนา
ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งเลี้ยงฉลองในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของตัวเมืองกูจาง ไม่ไกลจากสำนักที่เล่าเรียนเท่าใด



“ข้าพนันสิบอีแปะกับเจ้าเลย”คุณชายอีกคนเริ่มเสียงดังมากขึ้น “ข้าให้ห้าสิบ”พอมีผู้เริ่ม ก็ย่อมมีคนตาม คุณชายทางด้านซ้ายเอ่ยเกทับทันที


คนที่ถูกพาดพิงเพียงแต่ยกยิ้มนิ่งๆมิได้ว่ากระไร คุณชายหรูในชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนฟังการโต้เถียงอยู่นานจึงแกล้งกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย


 “ดูอย่างข้าสิ สอบมาจนอายุป่านนี้แล้วยังไม่เคยผ่านได้ระดับหยวนสือเลยด้วยซ้ำ นับถือหรูกงจื่อจริงๆ นับถือๆ” คุณชายคนที่วางเงินพนันในทีแรกเอ่ยตัดพ้อ ประสานมือยกมาทางคุณชายหน้าหยก


“ท่านอย่ากล่าวเกินจริงเลย ใครมาได้ยินเข้าจะเข้าใจผิดเปล่าๆ” หรูฟู่เชิงพูดห้ามปรามเมื่อเห็นว่าวงสนทนาชักไปไกลถึงสิบทะเลแปดแม่น้ำ


เกิดมาเป็นมนุษย์ มีผู้ใดบ้างมิชอบคำเยินยอ


หากแต่ปล่อยปละละเลยมากเข้า นานวันเกรงคนอื่นไกลได้ยินเข้าคงนึกหมั่นไส้ตนไม่ใช่น้อย


“หึๆ” เสียงสะบัดลมหายใจล้วนขัดข้องหูผู้ได้ยินจนต้องมองมาหาว่ามาจากผู้ใด แม้นเมื่อเจอต้นสายปลายเหตุ ด้วยการที่เหล่าคุณชายถือตนว่าเป็นวิญญูชนจึงไม่มีใครเอ่ยปากอันใดออกไป เพียงแต่ส่งสายตาอันไม่เป็นมิตรไปให้อีกฝ่ายเท่านั้น


เมื่อเหล่าวิญญูชนตั้งท่าจะพูดคุยกันต่อ ชายแปลกหน้าก็เอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะ “หนึ่งถึงสิบ สิบถึงร้อย ร้อยเป็นพัน หนึ่งพันจึงนับเป็นหมื่น”


“เจ้ากำลังสอนนับเลขหรืออย่างไร จู่ๆก็พูดขึ้นมาเช่นนี้” เป็นคุณชายคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันทีที่ฟังจบ


ชายแปลกหน้าไม่ตอบอะไร เพียงแต่นั่งอยู่กับที่พลางรินน้ำชาลงป้านชาก่อนกระดกดื่มเพื่อดับกระหาย


ยิ่งเห็นท่าทางอวดดีของผู้มาใหม่ กอปกับตนมีพวกอยู่มาก ทำให้คนหนุ่มเลือดร้อนซักถามเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินเหรอ ว่าเจ้ากำลังสอนพวกข้านับเลขหรืออย่างไร?”


ผู้ที่กำลังตกเป็นเป้านิ่งยังคงไม่ไหวติง นั่งหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผยไร้ซึ่งแววตาแห่งความหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่ในท่าทาง ใบหน้าคมเลื่อนมองชมนกชมไม้ไปเรื่อย ราวกับไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น คุณชายหนุ่มเลือดร้อนรู้สึกเสียหน้าเมื่อตนโดนเมินจากคนแปลกถิ่น รู้สึกราวกับโดนหมิ่นเกียรติ ตั้งท่าจะลุกเดินไปเอาเรื่องกับอีกฝ่าย หากแต่หรูฟู่เชิงที่นั่งสังเกตการณ์มาสักพักห้ามปรามจับแขนของศิษย์ร่วมสำนักของตนเองไว้แล้วกดตัวคุณชายคนนั้นให้นั่งลง


คุณชายสกุลหรูลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างสงบเสงี่ยม ดวงหน้าเนียนใสมิมีร่องรอยของความขุ่นเคืองข้องใจปรากฏอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย เขาเพียงหยิบป้านชาติดตัวไปด้วยหนึ่งจอก ก่อนเด็กหนุ่มจะเดินตรงไปยังโต๊ะด้านในสุดของโรงเตี๊ยม หยุดอยู่ห่างจากโต๊ะประมาณคืบนึงจึงประสานมือกันค้อมตัวลง


การกระทำดังกล่าวเรียกเสียงฮือฮาของเหล่าศิษย์ร่วมสำนักและรวมไปถึงสายตาของบุรุษแปลกหน้าให้หันกลับมามองคุณชายหนุ่มในชุดผ้าแพรบางสีฟ้าอ่อนใสนี้ได้สำเร็จ


“น้ำชาป้านนี้ พวกข้าน้อยยกมาคารวะที่ล่วงเกินผู้อาวุโสไป ขอผู้อาวุโสอย่าถือสาพวกข้าเลยนะขอรับ”


แววตาคมเลื่อนลงมามองป้านน้ำชาดินเผาในฝ่ามือขาวนวลของอีกฝ่าย หากแต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับแต่อย่างใด


“หรูซ่านเป่า เจ้าก็เห็นว่าคนๆนี้หยิ่งยโสแค่ไหน เจ้าทำถึงขนาดนี้มันยัง...”คุณชายอีกคนนึงในกลุ่มเอ่ยเสียงดัง


“กงจวี้จื่อ เจ้าเงียบก่อน”คำพูดทักท้วงเสียงเรียบนิ่งทำให้เขาจำต้องนั่งลงไปทั้งที่รู้สึกเจ็บแค้นแทนสหายร่วมสำนักของตน เพราะด้วยรู้ดีว่าหรูฟู่เชิงผู้นี้เป็นคนอ่อนน้อมมากแค่ไหน ยิ่งพอเห็นอีกฝ่ายโดนกระทำเช่นนี้ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนถูกหยามเกียรติเข้าไปใหญ่


หรูฟู่เชิงยันกายขึ้นมามองสบกับใบหน้าของผู้มาใหม่ ก่อนจะเจอกับสายตาน่าครั่นครามซึ่งกำลังจับจ้องวางที่ตนเองอยู่ก่อนแล้ว ดูจากลักษณะท่าทาง การแต่งกาย และดวงตาคมที่มองอย่างไม่วางตาไปไหนของบุรุษแปลกหน้าผู้นี้แล้ว คุณชายสกุลหรูพอจะเดาออกว่าคนผู้นี้คงไม่ใช่คนจรธรรมดาสามัญเป็นแน่


“หากผู้อาวุโสไม่รับคำคารวะจากข้าน้อยก็มิเป็นไร เพียงแต่อยากจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสสักเรื่องนึงจะได้รึไม่ขอรับ?”หรูฟู่เชิงอธิบายเจตนาของตน เมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้ายังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เด็กหนุ่มหน้าหยกจึงเหมาเอาว่าอีกฝ่ายอนุญาติแล้ว


“บทกลอนที่ท่านท่องมาเมื่อสักครู่ ใช่บทหนึ่งในคัมภีร์ซันจื้อจิง*หรือไม่ประการใดขอรับ?” สิ้นคำถามชั่วครู่นึงหรูฟู่เชิงเห็นดวงตาคู่คมนั้นทอแววเป็นประกายจ้องมองมา ราวกับอีกฝ่ายพึงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน


“แต่ข้าน้อยด้อยปัญญา ไม่อาจแปลได้ว่าผู้อาวุโสหมายถึงสิ่งใดกัน ขอผู้อาวุโสชี้แนะข้าน้อยเถิดขอรับ”คุณชายหรูก้มตัวลงอย่างเคารพนบนอบ ก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า และเสียงเก้าอี้เคลื่อนตัวเหมือนใครสักคนลุกขึ้น


“เอ๊ะ..”หรูฟู่เชิงส่งเสียงแปลกใจ บุรุษแปลกหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลันเดินสวนร่างเล็กออกจากโรงเตี๊ยมไปในทันที


บรรดาศิษย์ร่วมสำนักของหรูฟู่เชิงเมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่เดินจากไปไกลแล้วถึงค่อยกรูเข้ามาดูสิ่งของที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนโต๊ะแล้วก็พากันโห่ร้องไล่หลัง “ข้าว่าเจ้านั่นมิได้ท่องบทกลอนจากคัมภีร์อันใดได้หรอก ก็แค่พูดมั่วไปดั่งหว่านจอกแหนมากกว่า เขาคงแค่อยากประฝีปากกับเจ้าเท่านั้นน่ะ พอเห็นว่าหรูกงจื่อของพวกเราท่าทางฉลาดกว่าเลยรีบสะบัดชายผ้าหนีอายไปเลยยังไงเล่า” พูดจบก็หัวเราะสำทับอีกหนึ่งครา


คุณชายสกุลหรูแห่งกูจางหยิบสิ่งของที่บุรุษแปลกหน้าทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดูอย่างพิจารณา พลางพึมพัมกับตนเอง “หยกดิบอย่างนั้นเหรอ?”


ดวงตาหวานราวกระต่ายป่าจ้องมองก้อนอัญมณีสีเขียวในฝ่ามือ แม้นชิ้นไม่ได้ใหญ่มาก แถมยังไม่ผ่านการขัดเกลาจนเนื้อใสพอจะนำไปประดับตกแต่งหรือทำเครื่องประดับอันใดได้ แต่เหตุใดคนผู้นั้นถึงทิ้งของสิ่งนี้ไว้กันเล่า


“ซ่านเป่า เจ้าอย่าไปสนใจคนบ้านั่นเลยดีกว่า เจ้านั่นคงรีบร้อนหนีเกินไปเสียจนทำสิ่งนี้ตกไว้น่ะ” กงจวี้จื่อศิษย์ร่วมสำนักหันมาพูดกับคุณชายสกุลหรูอย่างยิ้มแย้ม


หรูฟู่เชิงไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ หากแต่คุณชายหนุ่มยังคงเก็บหยกดิบชิ้นนั้นเอาไว้กับตัว คิ้วเรียวดังสายธนูยังขมวดมุ่นไม่คลายออก มีบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขาอยู่จึงไม่สามารถสลัดมันทิ้งออกไปได้


ผู้อาวุโสท่านนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน...
.
.
.
.



สำนักตงฝางเป็นสำนักสำหรับบัณฑิตในตระกูลชนชั้นสูง


กล่าวกันว่าอาจารย์ผู้สอนแห่งสำนักตงฝางนี้เคยเป็นถึงราชบัณฑิตแห่งราชสำนัก เป็นหนึ่งในคณะของกรมธรรมการ*แห่งวังหลวง ทว่าภายหลังกลับทูลขอลาออกจากราชการ แล้วมาประจำอยู่เมืองกูจางแห่งนี้แทน สุดท้ายจึงได้เปิดสำนักตงฝางขึ้นสำหรับสั่งสอนบุตรหลานของเหล่าชนชั้นสูงสำหรับสอบเข้ารับราชการในวังหลวงต่อไป


ดังนั้นเหล่าคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงต่างๆจึงมารวมตัวกันที่สำนักตงฝาง เพื่อศึกษาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้มากมายสำหรับความเจริญในภายภาคหน้าต่อไป


“นี่ซ่านเป่า เจ้ารู้ข่าวรึยัง?” กงจวี้จื่อท่าทีตื่นตระหนกเอ่ยถามเสียงดังพร้อมวิ่งกระหืดกระหอบมาเกาะโต๊ะของหรูฟู่เชิงเอาไว้


“ข่าวอะไรรึ?”คุณชายสกุลหรูในชุดแพรต่วนสีขาวสะอาดพริ้วไหวนั่งคัดอักษรอยู่ยกใบหน้ากลับขึ้นมามองสหายของตนชั่วครู่นึงก่อนก้มลงตั้งใจคัดตัวอักษรในกระดาษต่อ


‘หนึ่งถึงสิบ


สิบเป็นร้อย


ร้อยเป็นพัน


 จากหนึ่งพันจึงนับเป็นหมื่น’


หมายความว่ากระไรกัน?


ใบหน้างดงามยังคงมุ่นมวยไม่สบอารมณ์


นี่เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าซ่านเป่า!” คุณชายสกุลกงในชุดแบบเดียวกันพูดเสียงดังดึงสติคนที่ลอยไปไกลให้กลับมา


“ขอโทษ ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ เจ้าว่าอะไรนะ?” หรูฟู่เชิงตอบยิ้มๆเมื่อเห็นว่าสหายตนชักเริ่มโวยวายเสียงดังตามนิสัยเจ้าตัว


แววตาเป็นประกายที่มองมาของคนผู้นั้นฟู่เชิงเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เหมือนพึงใจอะไรสักอย่าง


“ใจเจ้าลอยไปถึงภูเขาเซียนลูกไหนแล้ว?”กงจวี่จื่อถาม ก่อนยื่นหน้ามาดูตัวอักษรในกระดาษพลางทำหน้าเบ้


“ข้าคิดถึง” คุณชายสกุลหรูตอบ


“เจ้ายังคิดถึงเจ้าคนบ้านั่นอยู่อีกเหรอ?” ตาตี่ของกงจวี้จื่อเบิ่งโตขึ้นพลางเพิ่มระดับให้เสียงดังขึ้นอีกสำรับ


“กลอน!มิใช่คน!” หรูฟู่เชิงตอบกลับทำเอากงจวี้จื่อตบอกตัวเองแปะๆ ถอนหายใจเสียงดังฟู่


“ข้าว่าเจ้านั่นคงพูดมั่วๆมากกว่า เจ้าอย่าใส่ใจนักเลย” สหายร่วมสำนักพูดอย่างไม่ยี่หร่ะอันใด


“แล้วข่าวที่ว่าของเจ้านั้นคือสิ่งใด?” หรูฟู่เชิงเปลี่ยนเรื่องภายในทันที


“โอ้ใช่! ข้าเกือบลืมไปเสียแล้วแน่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าสำนักของเราจะมีอาจารย์ท่านใหม่มาสอนนะ” คุณชายหนุ่มสกุลกงพูดพลางทำใบหน้าเคลิบเคลิ้มฝันหวานไปด้วย


“หากเป็นอาจารย์หญิงสวยๆสักคนคงดีมิใช่น้อย”กงจวี้จื่อยิ้มค้างหวานหยดเสียจนน้ำลายไหลเปื้อนกระดาษของหรูฟู่เชิง จนคุณชายหรูรีบยกใบหน้าอีกฝ่ายให้ห่างในทันที


“เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆจวี้จื่อ” หรูฟู่เชิงเหลือบตามองคนข้างกายด้วยแววตาสังเวชใจก่อนส่ายหน้าอีกรอบ


“อะไรเล่า! ข้าหมายถึงถ้าเป็นอาจารย์หญิงคนใหม่คงทำให้พวกข้าตั้งใจเรียนได้กว่าท่านอาจารย์แก่ๆเป็นไหนๆ ” กงจวี้จื่อชักโวยวายเสียงดังอีกแล้ว


หรูฟู่เชิงลุกขึ้นหยิบกระดาษกลอนขึ้นมาตั้งใจจะนำไปสอบถามท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่วายกระดิกนิ้วชี้ส่ายไปมาหน้าสหายสนิทตนคล้ายเป็นการแกล้งขู่ “มุสา! ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์” ก่อนตั้งท่าจะวิ่งออกจากห้องอักษรไป


ซ่านเป่า! หรูซ่านเป่า! ไอ้กระเรียนผีเจ้าเล่ห์! หยุดฝีเท้าเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!” กงจวี้จื่อพูดเสียงดังทะลุห้องอักษรไปไกลพันลี้ เด็กหนุ่มเห็นเฆมหมอกแห่งเคราะห์กรรมตั้งเค้ามาก็รีบวิ่งไล่จับตัวเจ้าตัวบางที่เป็นต้นเหตุเคราะห์กรรมหนักของตนอย่างทันท่วงที


หากทว่าคนสกุลหรูเองก็วิ่งเร็วปรื๋อดั่งวาโยพัดพา


หรูฟู่เชิงอยากหันไปบอกกับคนกลัวเคราะห์กรรมหนักนักว่าหากยังเสียงดังอยู่เช่นนี้ ท่านอาจารย์คงรู้เองโดยที่เขาไม่ต้องไปบอกแต่ประการใด


“หยุดสิซ่านเป่า!” กงจวี้จื่อเริ่มหอบ


“หยุดให้เจ้าตีข้าอย่างนั้นรึ?ไม่เอาหรอก!” ยิ้มล้อเลียนอีกฝ่าย แต่คุณชายหนุ่มก็เริ่มมีอาการเหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน


ชั่วขณะที่กงจวี้จื่ออาศัยช่วงลำตัวของตนที่ยาวกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อยเอื้อมมือตั้งใจไปคว้าคอเสื้อแพรต่วนสีขาวสะอาดของคุณชายสกุลหรูเอาไว้ได้ หากแต่เขากะระยะผิดพลาดจึงไปคว้าโดนเอาเสื้อตัวนอกบางใสทำให้ทั้งเขาและหรูฟู่เชิงถูกดึงให้หน้าคว่ำคะมำหงายทะลุประตูห้องอักษรไปพร้อมๆกัน


เหวอ..อ.ออ


ตึง!


ทั้งคู่ทำประตูไม้พังครืนลงมา แถมยังกระเด็นออกมาไกลจนถึงนอกระเบียงทางเดินของเรือนอักษรอีกต่างหาก


“โอย..เจ้ากระเรียนขนร่วง เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย” คุณชายสกุลกงที่ตัวทับอยู่ด้านบนร้องโอดโอยเสียงดังทั้งที่คนรับน้ำหนักคือคนตัวขาวแท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ยังมิวายร้องเสียงสั่นเครือดังลั่นเรือนอักษรราวกับโดนดาบของอริราชศัตรูฟันเข้าที่สีข้างเข้าอย่างเหมาะเหม็ง ดั่งเลือดไหลถมแม่น้ำอย่างนั้นแหละ!


เพราะเสียงดังโครมครามลั่นสำนักทำให้ตอนนี้เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ต่างเริ่มชะโงกหน้าออกมาดูว่าเกิดเหตุอันใดกันขึ้น
มือเก้งก้างของกงจวี้จื่อที่หมายจะช่วยดึงคอเสื้อของหรูฟู่เชิงให้เรียบร้อยดันพลาดเลื่อนไปปลดเสื้อแพรตัวนอกของคุณชายสกุลหรูทำให้ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในสภาพล่อแหลมไม่น่าดูชมเท่าไหร่ แถมเสื้อด้านในสีสะอาดของคุณชายหรูยังไหลไปกองจนเกือบหลุดจากสายคาดเอวเสียด้วยซ้ำ


“เจ้าเป็นอะไรไหมซ่านเป่า โอ๊ะ!”คุณชายสกุลกงยกตัวขึ้นกำลังจะช่วยสหายสนิทลุกขึ้น แต่สายตาก็ดันเห็นอะไรเข้าเสียก่อน


“ข้าอาบน้ำพร้อมเจ้ามาตั้งหลายครั้ง เพิ่งรู้เจ้ามีปานแดงตรงคอนี่ด้วย” เด็กหนุ่มตั้งท่าจะสัมผัสที่ซอกคอขาวหากแต่โดนแรงกำลังมหาศาลฉุดลุกขึ้นก่อนผลักกระเด็นออกไปเกือบหนี่งฝ่ากระดาน


หรูฟู่เชิงที่ยังนอนอยู่บนประตูไม้รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ดวงตาหวานราวกระต่ายป่ากระพริบตาไล่ความมึนงงอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณชายหรูยังมึนๆงงๆคล้ายจะเห็นดาวเดือนในตอนอรุณรุ่งก็ไม่ปาน ในลานสายตาเขาเห็นเสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ปักลายไก่เงินของใครบางคนเยื้องย่างเข้ามาใกล้ก่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มทั้งสอง


“ใครมันกล้าทำข้า...” กงจวี้จื่อตั้งท่าจะโวยวายเสียงดังอีกครั้ง “เจ้า!!”


ดวงตาคมดุจกระบี่มองเฉือดเฉือนมาที่คุณชายสกุลกงราวกับว่าได้ฟาดฟันทางสายตาให้ได้แหลกราญตัวขาดเป็นหมื่นท่อนไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมเข้มดุดัน หัวคิ้วเข้มกดลงต่ำคล้ายมีเรื่องไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ร่างสูงใหญ่หัวเกือบจรดเพดานหออักษรแผ่รัศมีทรงอำนาจออกมารอบๆตัวจนกงจวี้จื่อเผลอกลืนลูกคอตัวเองลงไปดังอึ้ก


หรูฟู่เชิงยังคงนอนมึนงง พยายามไล่เรียงว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมผู้อาวุโสที่พบเจอที่โรงเตี๊ยมเมื่อสองสามวันก่อนจึงมาปรากฏตัวที่นี่ แถมยังใส่ชุดอาจารย์ของสำนักตงฝางอีกต่างหาก


ลุก!” เสียงคมเข้มดุดันดั่งฟ้าฟาดคล้ายคำประกาศิตรัดกระชากตัวให้บัณฑิตน้อยสกุลหรูกระเด้งตัวจากพื้นขึ้นมานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นแทบในทันที ไม่รู้เพราะสาเหตุใด คนๆนี้ถึงดูมีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้าคับดินยิ่งนัก เพียงแค่เปรยตามองก็ทำให้เขายอมศิโรราบแล้ว


เป็นสายตาที่ติดค้างอยู่ในใจของหรูฟู่เชิงมาตั้งแต่หลายวันก่อน


จวบจนมาวันนี้คุณชายสกุลหรูได้คำตอบแล้วว่าทำไมตนถึงติดใจในสายตานั้นยิ่งนัก...


ดวงตานั้นไม่ดูดุดันแข็งกร้าว หรือมุทะลุตรงไปตรงมาเหมือนดั่งเช่นผู้เป็นบิดาของตนที่เป็นอดีตแม่ทัพเมืองกูจาง กลับกันสายตาของคนผู้นี้กลับดูทรงอำนาจ วาวโรจน์คล้ายดั่งเปลวไฟสุกสกาว ในบางคราวกลับเรียบนิ่งทว่านุ่มลึกดั่งห้วงนทีที่ไม่อาจหยั่งลึกตื้นชลธาร


คล้ายดั่งสามารถทลายฟ้าถล่มปฐพีได้ด้วยเพียงแค่การเหลือบมองในคราเดียว


ด้านบุรุษงามสง่าสูงจรดเพดานหออักษรเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่ตกอยู่ที่พื้นของหรูฟู่เชิง พร้อมทั้งเศษอัญมณีสีเขียวชิ้นเล็กตกอยู่ข้างตัวของเด็กหนุ่มหน้าหยกก็แสร้งเมินหนีไปทำเป็นไม่เห็น


“แต่งตัวแล้วไปเจอข้าที่หอตำราอี้จิง” กล่าวจบก็ออกเดินไปโดยไม่หันมามองผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีกเลย


สองสหายสนิทร่วมสำนักมองหน้าพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย พลางรู้สึกลำคอฝืดดั่งหายใจไม่ทั่วท้อง พากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ


...รู้สึกเคราะห์กรรมหนักจะตั้งเค้าสำหรับคุณชายทั้งสองแล้ว...



TBC

_____________________________________________________________



*หยวนสือ [院試] : การสอบวัดระดับสมัยจีนโบราณ แบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง โดยระดับหยวนสือคือการสอบวัดระดับขั้นต้น เป็นการสอบในระดับอำเภอ มีเพียงแค่5-10% ของผู้สอบเท่านั้นที่ผ่านการสอบระดับหยวนสือไปได้

*กงจื่อ : การเรียกแบบสมัยโบราณ ใช้สำหรับผู้ที่ไม่สนิทสนม+อายุยังไม่มาก เรียกอีกผู้หนึ่งอย่างให้เกียรติ

*จู้เหริน [舉人] : คำใช้เรียกผู้ที่สอบผ่านระดับกลาง(มณฑล)ได้แล้ว ต่อปีมีผู้ที่สอบได้ราวๆ 3-5% ของจำนวนผู้ที่เข้าสอบทั้งหมดจากระดับหยวนสือ

*คัมภีร์ซันจื้อจิง [三字经] : หรือคัมภีร์สามอักษร เป็นคัมภีร์โบราณของจีนสำหรับระดับพื้นฐานของผู้ต้องการศึกษา แบ่งเป็นหมวดและหัวข้อต่างๆทั้งจารีตประเพณี ประวัติศาสตร์หรือปรัชญา โดยจะแบ่งวรรคตอนแต่ละบทมีเพียงแค่สามอักษร เพื่อการท่องจำที่ง่ายและคล้องจองกัน

_____________________________________________________________



Talk



อาเชิงอาจื่อตายหยังเขียดแน่ๆ ไม่รู้บุรุษแปลกหน้าจะลงโทษน้องสองคนยังไงหนอ

ยังไงเบามือหน่อยล่ะกันนะพ่อนะ เอาใจช่วย 555555

สวัสดีนะครับสวัสดีกับทุกๆคนเลยวันนี้เอาตอนที่สองมาส่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ตัวละคร ชื่อ คำศัพท์อะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอย่างทะลัก ยังไงผมขอฝาก
ทุกๆตัวละครทุกบทบาทเค้าเอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของผู้อ่านกันด้วยนะครับ
ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดหรืออะไรบอกกันได้เสมอเลย



แล้วก็ขอกำลังใจจากผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน

ช่วยเม้นท์บอกกันนิดนึงว่าเป็นยังไงนะครับ

ขอบคุณทุกคนจริงๆสำหรับโอกาสที่ให้กันมา
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]| บทที่1+2 | 16.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2019 16:06:49
 :L2: :pig4: :L2:

สำนวนสละสลวยมากครับ.. o13
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]| บทที่1+2 | 16.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-12-2019 20:54:33
น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน/BL]| บทที่1+2 | 16.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 17-12-2019 05:14:40
สำนวนสวยมากเลยค่ะ เอาใจช่วยเด็กๆนะคะ จะใช่องค์ชายคนนั้นมาเกิดใหม่รึเปล่านะ...
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ | 17.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 17-12-2019 20:23:03
第三章
多雨的
พิรุณโปรยร่ำ



เคราะห์กรรมหนัก เคราะห์กรรมหนักจริงๆนั่นแหละ...


หรูฟู่เชิงได้ยินคนข้างตัวงึมงัมพึมพำอยู่กับอกตัวเองมาสักพักใหญ่


เขาแค้นเคืองข้าแน่ๆ แค้นแน่ๆ...


คุณชายสกุลหรูเหลือบแววตาซุกซนกลับขึ้นมามองสองผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหน้าตนเล็กน้อยให้พอไม่เป็นที่สังเกต หากแต่ว่าเห็นดวงตาวาวโรจน์ของใครบางคนซึ่งจ้องมองมาทางตนอยู่ก่อนแล้วทำให้ต้องเบนหลบโดยไว


บัณทิตน้อยแห่งสำนักตงฝางสองสกุลกำลังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นอาจารย์


“กงจวี้จื่อ ที่เจ้าโวยวายจนถล่มสำนักข้าพังพินาศเนี่ย ข้ายังพอเข้าใจได้นะเพราะปกติเจ้าก็มิใช่คนเงียบขรึมทำก่อนคิดสักเท่าไหร่ แต่คิดไม่ถึงว่าหรูฟู่เชิง เจ้าก็กล้าเอากับเขาด้วยรึ” เหยียนหุยกล่าวพลางหยุดสายตามองมาที่คุณชายสกุลหรู


“ศิษย์ขออภัยขอรับ”เด็กสกุลหรูตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อมไม่กล้าโต้วาจากระไรมาก


“ไม่คิดเลย..ไม่คิดเลย”ผู้เฒ่าแห่งสำนักตงฝางลูบเคราตัวเองส่ายหัวไปมา ยิ่งทำให้ผู้เป็นศิษย์เอกรู้สึกผิดมากเข้าไปใหญ่


“ศิษย์คิดน้อยไป คิดแต่จะเล่นสนุกเลยมิทันระวังตัว ศิษย์ขออภัยท่านอาจารย์ขอรับ” ผู้เป็นลูกศิษย์ทั้งสองประสานมือก่อนก้มลงคำนับอีกรอบ


เหยียนหุยส่ายหน้าน้อยๆคล้ายหน่ายระอาใจ ก่อนเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านข้างราวกับขอความคิดเห็น “ท่านจะว่าอย่างไร”


สองบัณฑิตตัวน้อยในชุดสีขาวปลอดผินหน้ามองบุรุษผู้สวมชุดผ้าไหมปักลายไก่เงินข้างตัวอาจารย์ตนเองราวกับว่าชะตาชีวิตของเขาทั้งสองอยู่ในกำมือของคนผู้นี้แล้ว


เปรียบดั่งลูกไก่อ้อนวอนขอแม่ใก่เพื่อความเห็นใจ


หากแต่แม่ไก่ไม่ปราณีเช่นนั้น!


“ทำผิดก็ควรลงโทษ ศิษย์อื่นจะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง”เหวินชุนหลินเอ่ยประโยคยืดยาวเป็นครั้งแรก เสียงทุ้มกล่าวเรียบนิ่งดั่งคำฟ้าประกาศิตฟาดลงกลางใจหรูฟู่เชิงและกงจวี้จื่อ


นางเอาเท้าเหยียบลูกไก่ซ้ำ ดุจจงใจขยี้ให้จมธรณี!


ดวงตาหวานดั่งกระต่ายป่าลอบสบมองใบหน้าคมของบุรุษผู้นิ่งสงบอย่างสังเกตการณ์ ในชั่วแว่บนึงดั่งเขาเห็นแววตาเป็นคลื่นดุจเกลียวสมุทรอยู่ในลูกตาคู่นั้น


“แล้วท่านจะทำเช่นไร?”ผู้เป็นอาจารย์ของศิษย์สำนักตงฝางมิได้เหลือบมามองสายตาร้องขอความเห็นใจของลูกศิษย์ตนแต่อย่างใดยังคงนิ่งฟังบุรุษร่างสูงใหญ่กล่าวต่อ


หรูฟู่เชิงเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปสลักหยกไม่แสดงอารมณ์อีกครั้งอย่างลุ้นระทึก นับเป็นครั้งแรกของเขาที่โดนอาจารย์สั่งลงโทษ บอกได้เลยว่าไม่อาจหายใจได้ทั่วท้องดีนัก


“เด็กทั้งสองเคยทำความผิดมาก่อนหน้านี้มั้ยขอรับ?” ชายหนุ่มชุดสีพิศุทธิ์เช่นเดียวกับของเหยียนหุยเอ่ยถามผู้อาวุโส


“มิใหญ่โตขนาดพังเรือนอักษร”เหยียนหุยกล่าวตอบ


เหวินชุนหลินพูดโดยไม่สบตาคู่ใดของศิษย์ทั้งสอง “งั้นลงโทษให้คัดตำราสำนึกผิดกับอยู่จัดหอคัมภีร์คงเพียงพอแล้วขอรับ” ใบหน้าคมกล่าวจบเรียบสนิทไร้อารมณ์ดั่งสายน้ำไร้แรงกระเพื่อม นั่งแผ่นหลังตรงงามสง่า


“เช่นนั้นก็ตามที่เห็นสมควรเถิด ข้าขอตัว” ผู้เฒ่าเจ้าของสำนักตงฝางโบกพัดในมือไปมาพลางลุกขึ้นออกจากห้องไป


กงจวี้จื่อน้ำตาไหลพราก แทบจะคลานเข่าเกาะกำแพงเกาะประตูร้องเรียกอาจารย์โปรดเอาข้าตามไปด้วยลั่นสำนักตงฝาง


การลงโทษคัดลอกตำราไม่ได้ง่ายดั่งที่ทุกคนคิด


เมื่อคนสั่งบทลงโทษผู้นั้นคือบุรุษหน้าหยกแต่ไร้อารมณ์ผู้นี้ กงจวี้จื่อโดนสั่งคัดกฏสำนักสิบจบ รวมด้วยคัมภีร์ซันจื้อจิงอีกสิบจบ ส่วนของหรูฟู่เชิงเองก็โดนคัดคัมภีร์ซันจื้อจิงกับคัมภีร์หลุนอี่ว์*เพิ่มอีกอย่างละสิบจบเช่นเดียวกัน ความหนาของคัมภีร์ทั้งสามนั้นราวท่อนไม้ใหญ่ที่ใช้สร้างเสาเรือน ไหนจะกฏสำนักอีกหนึ่งพันแปดข้อที่จะต้องจดจำ การคัดสิบจบไม่ต่างอะไรกับสั่งให้หักกระดูกมือตนเองทิ้งเสียด้วยซ้ำ


“มาวันแรกก็คิดจะอวดใหญ่อวดโตคับสำนัก เที่ยวสั่งลงโทษศิษย์ไปทั่ว คนๆนี้นับว่าร้ายกาจนัก!”กงจวี้จื่อฮึ่มฮั่มพลางแยกเขี้ยวตอนที่พูดถึงอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันมือนึงก็ตัองคัดอักษร อีกมือก็ยังต้องจับคัมภีร์เอาไว้มองสลับไปมา


“หากวาจาแปรเป็นอักษรได้ ต่อไปเจ้าคงสร้างกำแพงเมืองได้ด้วยคัมภีร์เป็นแน่”คุณชายสกุลหรูในชุดผ้าแพรกล่าวยิ้มๆ นิ้วเรียวขาวยังคงตวัดปลายพู่กันอ่อนช้อยสวยงาม การเขียนของคุณชายหรูนับว่างดงามหมดจดไร้ที่ติไม่ต่างอะไรกับรูปโฉมของผู้เขียน ท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างาม แผ่นหลังเที่ยงตรง คล้ายดั่งภาพวาดของจิตรกรจากสรวงสวรรค์


“คนที่ยืนพูดเช่นเจ้าได้ก็ย่อมไม่ปวดเอวนี่*” ศิษย์ร่วมสำนักบ่นทับอีกคำรบ


“ข้าต่างกับเจ้าตรงไหน ก็นั่งคัดตำราด้วยกันอยู่ตรงนี้”หรูฟู่เชิงพูดแล้วส่ายหัวขำน้อยๆกับความเจ้าอารมณ์ของสหายตนเอง


“เอ..ซ่านเป่า..นี่เจ้าว่ามั้ย? ข้าว่านะ เจ้านั่นน่ะต้องผูกใจเจ็บข้า แล้วคงกำลังหาทางแก้แค้นพวกเราอยู่แน่ๆ” กงจวี้จื่อพยายามหาแนวร่วม เขาเริ่มหัวข้อบทสนทนาใหม่แบบฉับพลันทันทีจนเพื่อนสนิทเกือบตามไม่ทัน สองศิษย์ร่วมสำนักยังคงพูดคุยพลางนั่งหลังขดหลังแข็งที่โต๊ะอักษรเพื่อคัดลอกตำรากันอยู่


“ตกลงเจ้าถามความคิดเห็นข้ารึไม่เล่า?” หรูฟู่เชิงจุดยิ้มที่มุมปาก มือเรียวยังคงปราณีตเขียนลงบนแผ่นกระดาษโดยมิต้องใช้ตำรามาเปิดเคียงคู่ เพราะคัมภีร์ซันจื้อจิงนั้นเขาท่องจำจนขึ้นใจแล้ว


“ถามซิ! แต่ข้าเชื่อนะว่าเขาน่ะผูกใจเจ็บข้าอยู่” หรูฟู่เชิงหัวเราะ กงจวี้จื่อถามความเห็นเขาจริงๆนั่นแหละ


“แล้วเขาจะมาแค้นเคืองอะไรเจ้า พบหน้าเพียงคราเดียว”คุณชายสกุลหรูเลิกคิ้วขึ้นมองคล้ายถามหาเหตุผล คนเราจะรักจะแค้นมิอาจตัดสินได้จากการพานพบในหนึ่งครา


“ก็คงเป็นเรื่องที่โรงเตี๊ยมนั่นแหละมั้ง เขาคงเคืองข้าน่าดู”กงจวี้จื่อตอบพลางหยุดมือเอาพู่กันมาวางไว้ที่ปลายจมูกตนเองทำท่านึกหาเหตุผลก่นด่าบุรุษหน้าหยก แต่จริงๆก็คือหาเรื่องอู้นั่นแหละ


“เจ้านี่คิดสร้างกำแพงเมืองในวันเดียวเกินไปแล้ว”หรูฟู่เชิงแก้ตัวแทน


“เอ๊ะ! หรูซ่านเป่านะหรูซ่านเป่า เพียงวันเดียวไกลจาก มิตรแปรเป็นอื่น ตกลงเจ้าเป็นสหายของผู้ใดกัน” เอาอีกแล้ว โวยวายอีกแล้ว


“ข้ามิได้จะเข้าข้างเขา เพียงแค่...” เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากอธิบาย หากแต่คนที่กำลังถูกพาดพิงปรากฏตัวขึ้นมายืนจ้องดุดันที่กรอบประตูไม้ของหอคัมภีร์เข้าเสียก่อน มิรู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด


สองศิษย์ต่างสกุลสะดุ้งสุดตัวก้มหน้าลงคัดคัมภีร์ต่อราวกับบทสนทนาก่อนหน้านี้มิเคยเกิดขึ้น คุณชายสกุลกงก้มหน้าก้มตาเสียจนคางชิดอกแทบจมหายลงไป


เด็กหนุ่มอธิษฐานต่อพระโพธิสัตว์ขอโปรดเมตตาแก่เขาสักครา


ต่อไปจะตั้งตนเป็นเด็กดี มิแอบหนีเที่ยวหอบุปผางามอีกแล้ว...



“เจ้า สกุลกงใช่หรือไม่?” บุรุษในชุดผ้าไหมปักลายไก่เงินถามขึ้นเสียงนิ่งๆหากแต่เหน็บหนาวตัดขั้วหัวใจคนฟังยิ่งนัก “ขะ...ขอรับ” เจ้าของสกุลตอบรับ


“ท่านอาจารย์ให้เจ้าไปพบ”


คล้ายสวรรค์ยังมีเมตตา กงจวี้จื่อเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานแทบรำพัดบินถลาออกไปหาท่านอาจารย์ หากแต่มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้ ทำให้หัวทุยกระแทกกับขอบประตูของเรือนไม้เสียงสะเทือนลั่นหอคัมภีร์ จนมวยผมที่ผูกผ้าแพรเอาไว้เบี้ยวไปอยู่ด้านข้าง คุณชายทั้งสองสกุลอยู่ในอารามตกใจทำตัวไม่ถูก กงจวี้จื่ออยากจะอ้าปากร้องแต่เมื่อเจอสายตาหมื่นกระบี่เข้าไปก็คล้ายตนจะถูกตัดลิ้นออกก็ไม่ปาน


เหมือนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำยามได้สบตาใกล้ๆ


มิใช่ด้วยตกหลุมรักมีใจปฏิพัทธ์ “คะ..ขอรับ” กงจวี้จื่อเอ่ยเสียงสั่น ในลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย


ดุเหลือเกิน สายตา...


ถ้อยคำแผ่วเบาดั่งกระซิบคล้ายต้องการให้ได้ยินกันเพียงสองคน“อย่าได้เที่ยวยุ่งกับผ้าคนอื่นอีก”


เสียงทุ้มต่ำยามพูดข้างหูดั่งดาบคมของเพชรฆาตได้บั่นลงที่คอของเด็กหนุ่มเรียบร้อยแล้ว


เหมือนพระโพธิสัตว์จะไม่ได้ยินคำร้องขอจากเขา


มือใหญ่ที่จับคอเสื้อเอาไว้คลายออก คุณชายสกุลกงดั่งวิญญาณเคลื่อนออกจากร่าง หากแต่เมื่อมีสติก็รีบพุ่งตัวหายจากหอคัมภีร์ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่วายยังอุตส่าห์หันมาพูดแบบไม่มีเสียงกับหรูฟู่เชิงที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั่งปั้นสีหน้าอ่านยากอีกว่า‘แล้วข้าจะไหว้ไก่ส่งไปให้


มันน่าเอาพู่กันจิ้มลูกกะตาให้บอดนัก!



การเข้ามาใหม่ของผู้มาเยือนไม่ต่างอะไรกับการทำให้บรรยากาศของหอคัมภีร์เงียบเหงาดุจป่าช้า


ไม่มีการพูดคุย ไม่มีเสียงสนทนา ต่างฝ่ายต่างทำในสิ่งที่ตนต้องกระทำไป หรูฟู่เชิงนั่งคัดอักษร คนมาใหม่ก็ค้นหาคัมภีร์ที่ตัวเองต้องการไปเงียบๆ


มีแต่ความสงบโรยตัวอยู่ในทุกหย่อมหญ้า ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจที่เป่ารดเคลื่อนออกจากปลายจมูกของกันและกัน


จนผู้เยาว์วัยเป็นฝ่ายยอมแพ้ทนต่อความอึดอัดนี้ไม่ไหว


“ท่านผู้อาวุโสคือข้ามีเรื่องนึงสงสัย”คำเอ่ยเรียกดึงสายตาคมให้หันกลับมามอง หรูฟู่เชิงลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่


“...”ร่างสูงใหญ่ยังคงเงียบงันดั่งพระพุทธรูปสลัก


“ท่านผู้อาวุโสขอรั...”


“หากยังไม่หยุดเรียก ข้าจะสั่งให้เจ้าคัดคัมภีร์ทุกเล่มในหอนี้” ดวงหน้าหล่อเหลาปานหยกหิมะจ้องมองมาที่คุณชายสกุลหรูไม่บอกอารมณ์ใดๆบนใบหน้าหยกนั้น หากแต่คิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับกำลังไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ศิษย์ผู้น้อยเดาเอาว่าเขาคงไม่อยากให้ตนรบกวนจึงเก็บความอยากรู้ของตัวเองเอาไว้ ก้มหน้าลงมองแผ่นกระดาษต่อไป


บุรุษในชุดผ้าปักไหมเมื่อเห็นท่าทีดั่งบุปผาโรยของอีกฝ่ายแล้วก็เอ่ยเสียงเรียบๆขึ้น “สงสัยอะไร”


พอได้ยินคำอนุญาตเจ้ากระเรียนขาวก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนใคร่รู้ทันที“ผู้อาวุโสจ...”


คิ้วเข้มทะนงกระตุก หัวคิ้วกดลง เสียงทุ้มเอ่ยดังราวฟ้าฟาด“คัดเพิ่มอีกห้าจบ!


“ขะ..ข้าทำผิดอะไร” หรูฟู่เชิงเบิกตาโต ทำหน้างุนงงกับความผิดอันไม่ได้ก่อของตน ลอบอุทานในใจ‘เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเลือดจะไปลมจะมาเหมือนอย่างท่านอาจารย์ปู่หรืออย่างไรเล่าตาลุงนี่’


ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ใหม่แห่งสำนักตงฝางหุนหันเดินตีสีหน้าอึมครึมพลางหยิบคัมภีรสองสามเล่มออกจากหอคัมภีร์ไป ไม่ได้หันกลับมามองเบื้องหลังอีก คล้อยหลังเพียงชั่วครู่ คนแซ่กงก็เดินคอตกกลับมาที่หอคัมภีร์เช่นเดิมจนผู้เป็นสหายต้องเอ่ยถาม


“ข้านึกว่าท่านอาจารย์ยกเลิกการลงโทษเจ้าแล้ว”คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเลิกคิ้วถาม


“ทีแรกข้าก็นึกเช่นนั้น แต่พอไปถึงห้องท่านอาจารย์ตาแก่นั่นกลับบอกว่าไม่ได้เรียกหาข้า ซ้ำยังโดนดุหาว่าแอบอู้จนข้าโดนลงโทษให้คัดเพิ่มอีกสิบจบเนี่ย อะไรกัน!” กงจวี้จื่อโวยวายทุบอกตัวเองปึงปัง


“ตาแก่นั่นแก่แล้วแก่เลย ชอบเลอะเลือน เดี๋ยวจำเดี๋ยวลืม! เดี๋ยวเรียกเดี๋ยวไม่เรียก!” คุณชายสกุลกงทึ้งผมตัวเองจนหัวไม่เป็นทรง โอดครวญไม่หยุดหย่อน “ให้ข้าคัดเพิ่มอีกสิบจบ หักมือข้าทิ้งเสียเลยดีกว่า!”


หรูฟู่เชิงปรายตามอง “งั้นหรือ” แสร้งเอียงศรีษะอย่างไม่ประสาสำทับตามอีก “ให้ข้าไปบอกท่านอาจารย์คนใหม่ดีหรือไม่?”


“ข้าจะหักมือเจ้าทิ้งก่อนซะ!”


คนที่ถูกลงโทษเพิ่มแยกเขี้ยวใส่คุณชายหรูซึ่งกำลังหัวเราะร่วนพลางกุมท้องตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็โดนโทษเพิ่มจากคนที่เพิ่งเดินหน้าดำออกไปเช่นกัน ยิ้มที่ประดับค้างไว้บนดวงหน้าหวานจึงค่อยๆดึงมุมปากลงเสตัวเองกลับมานั่งหลังตรงเช่นเดิม


สองสหายสนิทเหลือบมองใบหน้าซึ่งกันและกันก่อนผ่อนลมหายใจออกมาประสานเสียง


เฮ้อ..อ..ออ!
.
.
.



(มีต่อรีพลายล่างนะครับ)
หัวข้อ: Re: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ | 17.12.1
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 17-12-2019 20:23:36



หน้าจวนสกุลหรูมีรถม้ามาจอดเอาไว้


ดูจากไม้ที่ใช้สร้างรวมไปถึงอาชาที่เทียมเป็นพาหนะแล้ว หรูฟู่เชิงพอเดาออกว่าคนผู้นี้คงมีบารมีเทียมฟ้าเทียมดิน เป็นใหญ่ในวังหลวงเป็นแน่แท้ คุณชายหรูจึงไม่แปลกใจเท่าใดนัก หากบางครั้งบางคราวมักมีขุนน้ำขุนนางหรือสหายสนิทของบิดาตนแวะมาเยี่ยมเยียนถามไถ่หาความช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้มากบารมีเช่นนี้มาถึงจวนของตัวเอง


เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็พบผู้ติดตามของเจ้าของเทียมม้าอันนั้นยืนอยู่ด้วยกันสี่ถึงห้าคน  คุณชายน้อยยิ้มส่งให้กับบ่าวผู้ติดตาม ก่อนบ่ายหน้าเห็นผู้เป็นบิดาตนเดินออกมาจากทางเรือนใหญ่พร้อมแขกผู้มาเยือน คุณชายสกุลหรูจึงตรงเข้าไปประสานมือคำนับบุพการีพร้อมทั้งส่งความเคารพไปยังแขกของสกุลอีกด้วย


“คารวะท่านพ่อ คารวะผู้อาวุโส”ท่อนแขนขาวดุจเกล็ดเหมันต์ยกประสานไว้ตรงหน้าก่อนยอบกายลง


“กลับมาแล้วหรือ”ผู้เป็นบิดาตอบรับ หรูฟู่เชิงตอบคำผู้เป็นบิดาว่ากลับมาแล้ว แขกผู้มาเยือนก็เอ่ยทักทันที“โอ้..โตป่านนี้เลยหรือ”


“ขอรับพี่เยี่ย” หรูมู่เฉิงดูจะเคารพนบนอบคนผู้นี้มาก


“หน้าเหมือน..” ชายสูงศักดิ์เว้นวรรคจนผู้น้อยที่ยืนฟังอยู่ขมวดคิ้วสงสัยแต่มิกล้าเอ่ยถามออกไป “หน้าเหมือนน้องหรูจริงๆ เหมือนจริงๆ”


น้ำคำแก้ตัวจากผู้อาวุโสมากบารมี ก่อนทั้งจวนจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกังวาลของผู้มาเยี่ยมเยือน หรูฟู่เชิงระบายยิ้มอ่อนรับฟัง จากการสังเกต เนื้อผ้า ลวดลายการปักหรือแม้แต่พู่หยกห้อยประดับล้วนเป็นของมีราคา เป็นของนำเข้าจากดินแดนไกลทั้งสิ้น ตำแหน่งของคนผู้นี้อาจสำคัญต่อแผ่นดินมากจริงๆ แต่ท่าทางการพูดจากลับเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี ดูมีเมตตากับเด็กหนุ่มอยู่มากโขทีเดียว


“ได้ข่าวมาว่าซ่านเอ๋อร์*ฉลาดเฉลียวมากนัก จริงเท็จประการใดเล่าอาเฉิง” ผู้สูงศักดิ์ยังคงกล่าวถามต่อ


“หูตาพี่เยี่ยกว้างไกลนัก อาเชิงมิได้เก่งเท่าที่ลือฟุ้ง แค่พออ่านออกเขียนได้ขอรับ”อดีตแม่ทัพกล่าวนิ่งๆ


“ไฮ้! เด็กมันเก่งก็ว่าเก่งสิ ที่ข้าได้ยินมามิใช่แบบนั้นซักหน่อย อาเฉิงนี่ท่าจะรู้แต่กลทัพจับศึกจับดาบไปวันๆ หยกชิ้นงามในมือไซร้กลับมองเป็นกรวดไปเสียได้ ซ่านเอ๋อร์เล่า เจ้าอยากเป็นขุนนางรึไม่”ชายชราท่าทางใจดียังคงแย้มถามฟู่เชิงอย่างเอ็นดู


“ซ่านเอ๋อร์มิกล้าอาจเอื้อมขอรับ”เด็กน้อยก้มหน้าลงตอบ


“หากเจ้าอยากเข้าวังก็บอกลุงได้ ยังไงก็เหมือนลูกเหมือนหลานลุงคนนึง”ขุนนางผู้มากด้วยเมตตากล่าวพลางจับไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างให้กำลังใจ


“ขอบคุณท่านลุงที่เมตตาขอรับ” หรูฟู่เชิงกล่าวคำนับอีกรอบก่อนจะขอตัวแยกจากผู้เป็นบิดามาที่โรงครัวของจวนสกุลหรู


“วันนี้อาเหนียงทำแกงจืดใบบัวตุ๋นซี่โครงของโปรดไว้ให้คุณชายด้วยนะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นชุดสีขาวพิสุทธิ์ในลานสายตา เหนียงเจียวอิงเป็นแม่บ้านประจำสกุลหรูมาตั้งแต่ฟู่เชิงยังไม่เกิด คอยดูแลหรูฮูหยินตอนที่ตั้งท้องจนกระทั่งคลอด อีกทั้งยังเป็นแม่นมและคนที่เลี้ยงบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพหรูมู่เฉิงครั้งลืมตาดูโลก คอยฟูมฟักดูแลทุกครั้งที่ท่านแม่ทัพมีงานราชการแล้วทิ้งเด็กน้อยเอาไว้ที่จวน ดั่งนั้นอาเหนียงจึงเปรียบเสมือนมารดาแท้ๆอีกคนของหรูฟู่เชิงที่เขาให้ความเคารพไม่ต่างจากผู้ให้กำเนิด


คุณชายสกุลหรูในชุดประจำสำนักตงฝางดิ่งเข้าไปสวมกอดร่างบางผอมบางของอีกฝ่ายจากทางด้านหลังทันที วางใบหน้าลงบนลาดไหล่เล็กพลางพูดเสียงออเซาะ “อาเชิงคิดถึงอาเหนียงจังเลย”


“อาเหนียงรู้หรอกว่าคุณชายหิวโซกลับมาจึงได้มาออดอ้อนเช่นนี้” ข้อนิ้วที่ขึ้นลายจากการทำงานมาตลอดชีวิตแตะที่ปลายจมูกโด่งงามแผ่วเบาราวกับกลัวรูปสลักหยกที่เธอฟูมฟักมาแต่น้อยจะแตกหัก มือหยาบกร้านโอบประคองดวงหน้าเนียนเอาไว้ด้วยความรักใคร่


“คุณชายเหนื่อยรึไม่” เสียงนุ่มละมุนหูถามขึ้น


“ไม่เหนื่อย อาเชิงไม่เหนื่อยเลย”ตอบพลางสั่นใบหน้าน้อยๆยืนยันคำพูดตัวเอง แล้วยิ้มอ้อนอีกฝ่าย “ถ้าได้กินแกงจืดใบบัวตุ๋นซี่โครงที่อร่อยที่สุดในแคว้นฉินให้อาเชิงวิ่งสักพันลี้ก็ไม่เหนื่อย”


“แค่สิบก้าวคุณชายของอาเหนียงก็บ่นแล้ว” แม่บ้านสกุลหรูยิ้มล้อ สุดท้ายต่างพากันปล่อยเสียงหัวเราะออกมาโอบล้อมโรงครัวเอาไว้ด้วยมวลความสุข


หรูมู่เฉิงจัดการส่งแขกกลับจวนที่พักเป็นที่เรียบร้อย ก่อนเดินเข้ามาเพื่อร่วมมื้อเย็นที่โต๊ะอาหารของบ้านสกุลหรู


มื้อเย็นมีอาหารเพียงไม่กี่อย่างเพราะมีกันแค่สองคนพ่อลูก แต่ถึงอย่างนั้นอาเหนียงก็ล้วนแต่ตระเตรียมเลือกสรรทำเมนูที่คุณชายของเธอชอบทานเอาไว้ทั้งหมด ในจวนของอดีตแม่ทัพหรูมู่เชิงไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนักหากเทียบกับคหบดีหรือขุนนางคนอื่นๆในละแวกใกล้เคียงกัน ขนาดของจวนไม่ใหญ่ไม่เล็กสมฐานะอดีตแม่ทัพ ผู้ที่ชาวบ้านในละแวกนี้ให้ความไว้วางใจนับหน้าถือตายกย่องเอาว่าสกุลหรูเป็นคนดูแลพื้นที่ในเมืองกูจางแห่งนี้


“ใกล้จะถึงวันเกิดของคุณชายแล้ว คุณชายอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย อาเหนียงจะได้เตรียมไว้ให้” หญิงแม่บ้านเอ่ยถามขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ถึงแม้ตามธรรมเนียมคนเป็นบ่าวจะไม่มีสิทธิ์ร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนาย แต่หรูมู่เฉิงไม่เรื่องมาก คิดเล็กคิดน้อย มองแม่บ้านเก่าแก่ผู้นี้เป็นดั่งพี่สาวน้องสาวของตนเองคนนึงไม่เหมือนดั่งเช่นคนของเรือนอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เลี้ยงบุตรชายเพียงคนเดียวของเขามา คนๆนี้จึงเสมือนเป็นสมาชิกคนนึงของสกุลหรูไปแล้ว จึงให้เธอร่วมโต๊ะด้วยอย่างไม่รังเกียจอะไร


“ฝีมือของอาเหนียง แค่ข้าวโรยเกลือข้าก็ชอบ”คุณชายสกุลหรูที่บัดนี้เปลี่ยนมาสวมชุดแพรสีฟ้าอ่อนเอ่ยขึ้นพลางซดน้ำแกงใบบัวที่ต้มอย่างดีเข้ากับเครื่องเทศผสานกลิ่นหอมของใบบัวทำให้ซดได้คล่องคอยิ่งนัก ช่วยให้อบอุ่นขึ้นในอากาศเช่นนี้


“วันเกิดของคุณชายทั้งที บอกอาเหนียงเถิด ว่าคุณชายอยากกินอะไรบ้าง”แม่บ้านแซ่เหนียงยิ้มละไมเอ่ยถามพลางตักซี่โครงหมูชิ้นใหญ่ที่เธอตุ๋นจนเปื่อยนุ่มใส่ไว้ในชามน้ำแกงของหรูฟู่เชิงเพิ่มจนน้ำแกงปริ่มอยู่ที่ขอบถ้วยแล้ว


“งั้นข้าอยากกินเจี้ยวฮัวจี*”เด็กชายสกุลหรูเอ่ยขึ้นในที่สุด


“ได้สิได้ อาเหนียงจะทำให้กินนะ”แม่บ้านสกุลหรูเอ่ยรับพลางยิ้มบางเบากับตนเอง เธอคิดเมนูมากมายเอาไว้ในใจเกินกว่าที่เด็กหนุ่มร้องขอเอาไว้เสียอีก  ‘อา...ต้องไปบอกให้อาเปาเตรียมปลาเอาไว้แต่เนิ่นๆเสียแล้ว’ เหนียงเจียวอิงรำพึงในใจ


มือเรียวของหญิงเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลหรูคีบเป็ดพะโล้อีกชิ้นใส่จานข้าวของเด็กเจ้าของวันเกิดที่กำลังนั่งฝันหวานอยู่


“ท่านพ่อขอรับ ข้ามีเรื่องอยากขอคำชี้แนะสักเรื่อง”เด็กหนุ่มเหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยทักขึ้นมา


ประมุขสกุลหรูรินน้ำร้อนลงป้านชาดินเผาก่อนเหลือบมองผู้เป็นบุตรชายดั่งคำอนุญาติ ”ว่าไปสิ”


“คือ..ข้า..ปีนี้อายุจะครบสิบเจ็ดหนาวแล้วนะขอรับ แล้วปีนี้ก็..”คำพูดตะกุกตะกักไม่มั่นใจทำให้แม่ทัพหรูลดถ้วยน้ำชาลง มองสบผู้เป็นบุตรชายอย่างไต่ถามหาเหตุผล


“...”


“ข้าอยากจะ..” หรูฟู่เชิงลังเล เหลือบสายตาไปเห็นแม่บ้านแซ่เหนียงที่ยืนพยักหน้าอยู่มุมห้องอย่างเป็นกำลังใจให้


“...”


“ข้าอยากจะขอท่านพ่อเข้าสอบระดับเซี่ยงสือ*น่ะขอรับ เพื่อว่าท่านพ่อ..”คุณชายสกุลหรูลดมือที่ถือชามข้าวลงจนราบสนิทไปกับโต๊ะ จ้องมองใบหน้าผู้เป็นบิดาตรงๆ รวบรวมความกล้าร้องขอ เพราะถ้าหากเขาสอบผ่านเป็นบัณฑิตระดับมณฑลได้ ต่อไปก็เหลือแค่อีกสองขั้นก็จะได้เป็นขุนนางในวังหลวง มีอำนาจหน้าที่ สามารถรับตำแหน่งใหญ่โตบริหารบ้านเมืองได้แล้ว


เมื่อนั้นชีวิตความเป็นอยู่และคนรอบตัวตนต่างก็จะอยู่สุขสบายมากกว่านี้


คงทำให้ ‘ผู้เป็นพ่อภาคภูมิใจได้มากกว่านี้’


ไม่ได้”หรูมู่เฉิงตอบในทันที เสียงของอดีตแม่ทัพประกาศกร้าว


“ทำไมล่ะขอรับ”ผู้เป็นบุตรชายถามหาเหตุผล ความหวังที่ตั้งใจสั่งสมรวบรวมความกล้ามาพอได้ยินคำพูดจากผู้เป็นบิดาแล้วอารมณ์ทุกอย่างก็ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่อก เหมือนใจมันห่อเหี่ยว หากแต่หรูฟู่เชิงยังเคารพนบน้อมบุพการีตนเองจึงได้แต่ถามหาเหตุผลด้วยเสียงสั่นเครือมิแสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่


“ไม่ได้คือไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต”อดีตแม่ทัพพูดจาเสียงดังลั่นจวนสกุล ระดับโทสะในกายเพิ่มมากขึ้นทุกที


“แต่ตอน..” หรูฟู่เชิงจะกล่าวอ้างถึงตอนที่ตนสอบผ่านระดับหยวนสือมาได้ทำไมตอนนั้นผู้เป็นบิดาถึงอนุญาต “ตอนเจ้าไปสอบหยวนสือ เป็นเพราะข้าเห็นแก่ท่านอาจารย์เหยียนหุยที่แบกหน้ามาจวนข้าหรอกนะถึงยอม แต่คราวนี้ต่อให้เง็กเซียนเสด็จลงมาขอร้อง ข้าก็ไม่ให้!”


หรูมู่เชิงลุกขึ้นยืนวางป้านชาในมือลงเสียงดังจนแม่บ้านเหนียงที่ยืนหลบอยู่มุมห้องยังสะดุ้ง มือคู่ขาวที่ถือตะเกียบอยู่สั่นระริก ผู้เป็นบุตรชายไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เพียงก้มหน้าลงนั่งนิ่งๆตามนิสัยของเจ้าตัว “ขอรับ”


“เหตุใดต้องอยากเป็นขุนนางในวัง แค่บ้านเรามันยังไม่พอรึ”ผู้เป็นพ่อยังคงกราดเกรี้ยวฉุนเฉียว


เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรออกมาอีก ทั้งที่ในใจมันเต็มตื้นไปด้วยความผิดหวัง ขอบตาร้อนผ่าวเสียจนหากผู้เป็นบิดายังอยู่ในห้องนี้อีกแค่ชั่วยาม เขาอาจปล่อยเสียงสะอื้นออกมาก็เป็นได้


“เจ้ายังเด็ก มิเข้าใจหรอก”คล้ายเสียงของแม่ทัพหรูอ่อนลงในประโยคสุดท้าย หากแต่คนฟังมิอาจรับรู้อะไรอีกแล้ว ในใจเอ่อล้นด้วยความผิดหวัง เหมือนหูมันอื้อจนไม่อาจได้ยินว่าผู้เป็นบิดาพูดอะไร ทำได้เพียงแค่นั่งตัวสั่นกับก้อนความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก เด็กหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองในหัวมากมายว่า


เขาผิดอะไร’




เรือนร่างระหงนั่งอยู่ในห้องหนังสือมาเป็นเวลากว่าชั่วยามแล้ว


ถึงแม้จะมีตำรากางอยู่ตรงหน้า หากแต่หรูฟู่เชิงกลับไม่เข้าใจในตัวอักษรใดเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเนียนผ่องดั่งหยกขาวเหม่อมองไฟดวงน้อยจากแท่งเทียนไขที่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง เด็กหนุ่มหวังเพียงว่าเปลวไฟด้อยแสงนั้นพอจะให้ความอบอุ่นแก่ใจที่เหน็บหนาวของเขาขึ้นมาบ้าง


ในหัวของมีแต่คำถามวนเวียนไปมาแค่ว่า


ทำไมบิดาถึงไม่เข้าใจเขาบ้าง


“คุณชาย อาเหนียงเข้าไปได้รึไม่” เสียงหวานละมุนของแม่บ้านสกุลหรูเอ่ยถามดึงสติที่หลุดลอยไปไกลให้กลับคืนร่าง


เจ้าของห้องอักษรเก็บก้อนสะอื้นกลับลงไปก่อนหันมามองผู้มาใหม่ เด็กหนุ่มยกยิ้มทาบทับดวงหน้าหวานก่อนเอ่ยถามกลับ “ทำไมอาเหนียงยังไม่นอน”


หญิงแม่บ้านยิ้มละไมเดินมาทรุดกายนั่งข้างเด็กชายตัวน้อยของเธอ “เมื่อเย็นเห็นคุณชายกินข้าวได้น้อย อาเหนียงเลยต้มน้ำแกงมาให้”


“ข้าไม่หิวหรอก” คุณชายสกุลหรูตอบพลางหันหน้าหนี หากแต่เหนียงเจียวอิงยังคงนั่งยิ้มอยู่เช่นเดิม “ซดตอนร้อนๆถึงจะอร่อยนะเจ้าคะ”


ริมฝีปากบางระเรื่อเม้มแน่น ก่อนสุดท้ายจะยอมพ่ายแพ้ต่อกลิ่นหอมยั่วยวน ยอมหยิบถ้วยน้ำแกงขึ้นมาตักกินในที่สุด ยังไม่ทันชั่วก้านธูปหมด น้ำแกงของเหนียงเจียวอิงก็หมดเกลี้ยงมิมีเหลือแม้แต่น้ำหยดนึง ผู้ที่ตั้งใจทำเห็นดังนั้นก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างเข้าไปอีก


“อากาศคืนนี้เย็น คุณชายต้องนอนห่มผ้าให้หนาๆ เดี๋ยวอาเหนียงจะไปเอาผ้ามาให้” พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินไปหยิบของที่เรือนนอนตนเองมาเพิ่มให้คุณชายของเธอ


หากแต่เสียงเล็กๆสั่นเครือดังขึ้นฝ่าสายลมหนาวในยามค่ำคืนร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน “อาเหนียง...


ถ้อยวจีทั้งหมดที่ฟู่เชิงเคยเตรียมไว้ในหัวกลืนกลับหายลงไปในลำคอ รู้สึกกระบอกตามันร้อนผ่าวจนเขาควบคุมอะไรแทบไม่ได้


อาเหนียงเห็นอีกฝ่ายร้องเรียกตนเช่นนั้นก็ระบายยิ้มอ่อนโยน เธอไม่พูดอะไรเพียงเดินเข้ามาสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้จนจมอก วงแขนที่ครั้งนึงเคยอุ้มทารกน้อยเอาไว้ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ฝ่ามือหยาบอย่างคนทำงานหนักลูบไล้ใบหน้าของบุตรต่างอุทรด้วยความรักใคร่เมตตา ก้มลงจุมพิตบางเบาที่เรือนผมดั่งคล้ายปลอบประโลมความเศร้าทั้งมวล


“คนเก่งของอาเหนียง อิ่มแล้วอ้อนเหมือนตอนเด็กๆไม่มีผิดเลย” หญิงแม่บ้านยังคงสวมกอดร่างบางเอาไว้เพื่อยืนยันว่าตนเองจะไม่ไปไหน เหนียงเจียวอิงโยกตัวช้าๆแผ่วเบาเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่เสื้อของหล่อน


“อาเชิงยังเด็กนี่ ยังไม่โตซะหน่อย” คุณชายสกุลหรูตอบกลับเสียงอู้อี้ สูดน้ำมูกดังฟืดฟาดทีนึง


“ยังไม่ทันเห็นกิ่งท้อจะบาน เผลอพริบตาเดียวคุณชายก็จะสิบเจ็ดแล้วนะเจ้าคะ” ผู้ที่เป็นดั่งมารดายังคงเอนตัวขับกล่อมไปมาพลางหวนคิดถึงครั้งแรกที่เธอโอบอุ้มทารกไว้แนบอก


“สิบเจ็ดแล้วยังไง มีขุนนางผู้ไหนโตแล้วห้ามอ้อนหรืออย่างไร” สุ้มเสียงเล็กบ่นพลางซุกใบหน้าลงแนบสนิทอีก หญิงแม่บ้านพร่างยิ้ม “มิมีเจ้าค่ะ”


“อาเชิงเป็นลูกอกตัญญูนักใช่หรือไม่อาเหนียง” บุคคลที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดแห่งกูจางเอ่ยถามกับหญิงแม่บ้านสกุลเหนียงไม่เต็มเสียงดีนัก “ชั่วครู่นึงข้านึกโกรธเคืองท่านพ่อด้วยล่ะ”


เหนียงเจียวอิงยิ้ม เอื้อมมือมาลูบศรีษะของเด็กน้อยของเธอเอาไว้แผ่วเบา หญิงแม่บ้านเฝ้ามองใบหน้าหยกขาวที่เธอเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยเอาไว้ เผลอเพียงครู่เดียว กิ่งของเจ้าดอกท้อก็โตจนสูงกว่าเธอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน “คุณชายคิดมาดีแล้วจึงเอ่ยออกไปเช่นนั้นกับท่านแม่ทัพ อาเหนียงรู้”


หรูฟู่เชิงกระชับอ้อมกอดสองแขนผอมบางเอาไว้แนบแน่นขึ้นไปอีก ซุกดวงหน้ามิดชิดดั่งมิต้องการให้ใครเห็นความอ่อนแอ เรียวคิ้วที่เคยเหยียดทะนงสั่นไหวดุจสายน้ำ เขื่อนแห่งน้ำตาไหลทะลักดุจดั่งเก็บกักมวลแห่งความเสียใจเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ก้อนสะอื้นดุจพิณใสเคลื่อนไหวกังวาลจนอาบเคลือบทั่วจวนหลังเล็กแห่งนี้


“ข้าผิดอะไร”เด็กชายสะอื้นถาม เหนียงเจียวอิงยิ้มส่ายหน้าน้อยๆแผ่วเบาแทนคำตอบ “คุณชายของอาเหนียงแค่เป็นเด็กดี”


“เด็กดีต้องไม่โกรธเคืองบุพการี กตัญญูต่อบิดามารดามิใช่หรือ” เด็กชายหรูยกใบหน้าเช็ดจมูกตัวเองป้อยๆ แม่บ้านแซ่เหนียงเห็นดังนั้นก็ยังคงยิ้มอ่อนโยน หล่อนใช้ชายผ้าตนเองลูบดวงหน้าขาวผ่องเหมือนเมื่อครั้งวันวานที่อีกฝ่ายยังตัวไม่พ้นเอวของเธอ


“เพราะคุณชายของอาเหนียงรู้ว่าไม่ควรโกรธเคืองท่านพ่อท่านแม่ กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ดังนั้นอาเหนียงจึงว่าคุณชายเป็นเด็กดี” แม่บ้านกล่าวเหตุผล “แต่อาเหนียงไม่ได้บอกว่าผู้ใหญ่ก็มิได้ทำผิด ผู้ใหญ่เพียงแค่ตัดสินจากสิ่งที่ผู้ใหญ่คิด” เหนียงเจียวอิงยังคงลูบหัวเด็กดีของเธออย่างแผ่วเบา “ดังนั้นสิ่งที่คุณชายของอาเหนียงทำ จึงนับว่าเป็นเด็กดีแล้ว”


คำปลอบโยนและความเข้าใจจากหญิงผู้เป็นดั่งมารดาคนที่สองทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นแต่ก็อ้างว้างไปในเวลาเดียวกัน


คุณชายสกุลหรูขยับตัวก่อนเอาหัวซุกไว้ที่ตักของอีกฝ่าย ตักที่เขานอนเล่นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อยไม่ประสา สองมือที่โอบอุ้มเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อยยังคงลูบหัวปลอบโยนดุจขนปักษาบ่งบอกให้รู้ถึงการอยู่เคียงข้าง การสัมผัสอย่างอบอุ่นทำให้หัวสมองของหรูฟู่เชิงโล่งขาวไม่คิดฟุ้งซ่าน เด็กหนุ่มปิดดวงตาหวานปล่อยให้ความชื้นไหลซึมที่ผืนผ้าของอีกฝ่ายเงียบๆแผ่วเบา


...อาเชิงคิดถึงท่านแม่...


หญิงแม่บ้านยิ้มแผ่วเบาในสายความมืด หางตาหล่อนเห็นเงาใหญ่ของใครบางคนทาบทับอยู่ที่เหนือริมหน้าต่าง บุคลผู้นั้นคงจักมายืนอยู่นานพอจะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว ก่อนชั่วครู่จะหายออกจากเรือนหลังเล็กแห่งนี้ไปราวกับมิเคยมีผู้ใดยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน เหนียงเจียวอิงยิ้มบางใสกับถ้อยคำบอกกล่าวที่เดินเข้ามาถึงโรงครัวว่าให้เธอต้มน้ำแกงมาให้เพราะกลัวบุตรชายจะหิวแม้นว่าหญิงสาวกำลังตั้งใจจะทำอยู่แล้วก็ตาม


อาเหนียงลูบใบหน้าเยาว์วัยที่นิ่งสงบลงแล้ว ก่อนปล่อยให้เด็กชายซบอยู่กับตักของตัวเองต่อไปเงียบๆตลอดค่ำคืน...



TBC


___________________________________________________________________



*คัมภีร์หลุนอีว์ [论语] : คัมภีร์โบราณของประเทศจีน หรือเรียกว่า 'ปกิณกคดี' ที่เป็นคัมภีร์พื้นฐานของปรัญาขงจื่อ เนื้อหาภายในคัมภีร์รวบรวมบทสนทนา คำสอน ปรัญญาเอาไว้สำหรับใช้เป็นแนวทางคำสอน หรือแม้กระทั่งใช้สอบในการสอบบัณฑิตยุคต่างๆ นับว่าเป็นคัมภีร์สำคัญเล่มนึงของจีนเลยทีเดียว

*คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว : เป็นสำนวนจีนเปรียบเทียบว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจหรอก

*เอ๋อร์ : คำเรียกลงท้ายชื่อ ใช้สำหรับผู้ที่อายุมากกว่าเรียกผู้น้อยอย่างเอ็นดู อย่างเช่นในเรื่อง ขุนนางเรียงซีเชิงว่า 'ซ่านเอ๋อร์' เพราะว่านามทั่วไปของซีเชิงคือ ซ่านเป่า เมื่อเติมเอ๋อร์ เข้าไปจึงนับว่าผู้พูดแสดงอาการเอ็นดูสนิทสนิมกับอีกฝ่ายเป็นพิเศษ

* เจี้ยวฮัวจี [叫化鸡] : เป็นหนึ่งในอาหารจีนโบราณของกลุ่มเมืองหยังโจว เมืองหวยอัน เมืองเจิ้นเจียง เมืองเหยียนเฉิง เมืองไท่โจว เมืองหนานทง เรียกอาหารจากเมืองต่างๆ ดังกล่าวว่า อาหารหวยหยัง หรือ หวยหยังไช่ (淮扬菜) และโดยที่เมืองเหล่านี้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลเจียงซี ทำให้หวยหยังไช่เป็นหน้าเป็นตาของอาหารเจียงซู

หน้าตาอาหารคือเป็นไก่ทั้งตัวถูกนำไปอบด้วยดินเหนียวให้ความร้อนระอุทำให้เนื้อไก่สุกภายในเนื้อไก่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ เผือกหอม แปะก๊วย พุทราจีนเชื่อม ปรุงรสแล้วนำไส้ทั้งหมดยัดไว้ในตัวไก่ ก่อนห่อด้วยใบบัวแล้วจัดการเข้าอบ

* การสอบระดับเซี่ยงสือ [鄉試] : การสอบระดับกลางหรือระดับมณฑล คนที่สามารถเข้าสอบได้ต้องผ่านการสอบเป็นระดับหยวนสือ(การสอบระดับอำเภอ/จังหวัด) มาก่อนแล้วเท่านั้น



________________________________________________________________





ตอนนี้พ่อพระเอกเปิดตัวแล้วนะครับ เปิดมาแบบโหดๆนิ่งๆ สายตาฆ่าหมื่นลี้จนน้องไม่กล้าพูดกันเลย แถมก็ออกน้อยนิดนึง เพราะอย่างว่า ค่าตัวมันแพง 55555

น้องซีเชิงงง!! ลูกกก โอย อยากหอมหัว พาร์ทนี้ปมครอบครัวเรามาเต็มมาแน่นน้ำตาไหลล้นทะลักกันเลย ตอนเขียนก็ดีไซน์หนักมากว่าจะให้น้องแสดงอารมณ์ประมาณไหนยังไงถึงจะเข้ากับความเป็นน้องที่ถูกเลี้ยงแล้วก็เติบโตมา อย่างว่าด้วยประเพณีความคิดอะไรต่างๆจะถูกสอนว่าต้องเคารพบิดามารดาห้ามเถียงผู้ใหญ่ คิดอะไรก็ทำได้แค่เก็บเงียบๆไว้ในใจ พอน้องเจอคนที่เข้าใจก็ปล่อยโฮ เข้มแข็งไม่ไหวล่ะจ้า แบบนี้เลย

ขอบคุณนะครับสำหรับทุกๆการติดตามทุกๆกำลังใจจากคุณผู้อ่านคุณผู้ชมที่น่ารัก ขอบคุณมากจริงๆที่ให้โอกาสอ่านมาถึงตอนนี้กันแล้ว ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยจริงๆนะครับ มีอะไรถูกผิดอยากติชมหรือคุยกันช่วยคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ผมหน่อยนะค้าบ รักทุกคนมากๆเลย

เจอกันตอนหน้าครับ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ| 17.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-12-2019 21:34:56
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ| 17.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-12-2019 22:03:51
ชาติที่แล้วก็ทุกข์จากอะไรก็ไม่รู้จนต้องฆ่าตัวตาย
ชาตินี้ก็หวังว่าอะไร ๆ จะดีขึ้นนะ (เข้าใจถูกไหม)
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ| 17.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-12-2019 16:16:24
ชาตินี้ยังจะตามมาราวีอีกนะ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 19-12-2019 18:51:12
第四章
像丝绸一样温柔
นวลตาต้องใจ

 
บรรยากาศของบ้านสกุลหรูยังคงอึมครึมขมุกขมัว


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะด้วยสภาพอากาศซึ่งเป็นปลายฤดูเหมันต์ แม้เกล็ดน้ำแข็งสีขาวจะร่วงหล่นหายไปเพราะด้วยใกล้หน้าวสันต์ แต่ในตอนเช้าตรู่เช่นนี้ยังคงมีสายลมอ้อยอิ่งลอยเล่นกับไอหมอกบางๆ ซึ่งอวลอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศบ้านสกุลหรูทั้งหลังนั้นเงียบเชียบวังเวงจนเหนียงเจียวอิงได้ยินเสียงของจิ้งหรีดร้องเรไรอยู่ที่คูน้ำข้างจวน


ดอกท้อที่ยืนต้นอยู่ด้านหลังเรือนอดีตแม่ทัพมีเพียงแต่ดอกตูมอยู่เต็มต้น พวกมันเฝ้ารอจุมพิตแรกแห่งวสันต์เพื่อจะผลิบานชูช่ออวดความงดงามกันอย่างเต็มที่เมื่อถึงฤดูกาล
 

อดีตแม่ทัพหรูมู่เฉิงผู้เป็นเจ้าของเรือนลุกออกจากจวนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันเข้ายามเหม่า (05.00 น.-06.59 น.) ดีเลยด้วยซ้ำ


ถึงแม้ชายชราจะอยู่ในวัยที่ล่วงเลยการรับราชการมาเนิ่นนาน แต่หรูมู่เฉิงก็ยังคงยึดถือว่าตนมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของชาวเมืองกูจางอยู่ดี แต่ช่วงนี้ชายชราออกจากจวนเร็วเป็นพิเศษนับตั้งแต่คืนวันนั้น


คืนวันที่เขาได้ยินบุตรชายเอ่ยถึงมารดา...


เด็กชายตัวน้อยเฝ้าถามหญิงแม่บ้านว่าหากผู้เป็นแม่ยังอยู่คงยินดีที่ตนจะสอบเข้ารับราชการได้เป็นแน่
 

สองพ่อลูกเลยมิได้พูดคุยดั่งเช่นเคยเลยนับจากวันนั้น


แม้ปกติทั้งคู่จะคุยกันเพียงกระผีกริ้น แต่ก็นับได้ว่าอย่างน้อยก็ยังได้คุย ถึงบทสนทนาส่วนใหญ่จะไม่ได้มีไปมากกว่าไต่ถามถึงการเล่าเรียนประจำวันของเด็กชาย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพอเป็นกระษัย แต่พ่อลูกก็ยังคงได้สานสัมพันธ์รับรู้ว่ามีตัวตนซึ่งกันและกันมาโดยตลอด


แต่พอเกิดเรื่อง เมื่อมีฝ่ายหนึ่งหนีหน้า อีกฝ่ายก็เข้าไม่ติด
 

สุดท้ายนับวันป่านด้ายบางๆ ก็ยิ่งผ่อนยาวมากขึ้นทุกที...


อดีตแม่ทัพหรูมักออกไปก่อนยามเหม่า แล้วกลับถึงจวนยามโฉ่ว (01.00 – 02.59 น.) สลับกับผู้เป็นบุตรชายที่ตื่นยามเหม่า กลับถึงจวนตั้งแต่พระจันทร์ยังไม่ทันประดับฟ้า ดังนั้นสองคนจึงแทบไม่เจอหน้าคร่าตากันเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ จวนทั้งหลังไร้เสียงหัวเราะพูดคุยดังเช่นเคย โรงครัวมีเพียงเหนียวเจียวอิงกินข้าวเย็นคนเดียวมาหลายมื้อแล้ว
 

“คุณชายจะรับอะไรก่อนมั้ยเจ้าคะ” หญิงแม่บ้านเอ่ยทักเมื่อเห็นผู้เป็นนายออกมาจากเรือนนอน


หรูฟู่เชิงส่ายหน้าส่งยิ้มเบาๆ ให้อีกฝ่าย “วันนี้ที่สำนักมีทดสอบประจำเดือนน่ะอาเหนียง ข้าต้องรีบไปแต่เช้า” เด็กชายพูดจบก็เดินเข้าไปสวมกอดร่างผอมบางก่อนมุ่งหน้าไปสำนักเรียนทันที ทิ้งสายตาห่วงหาอาทรของเหนียงเจียวอิงเอาไว้ข้างหลัง


 
การทดสอบประจำสำนักตงฝางถูกจัดขึ้นในทุกๆ เดือน


โดยการทดสอบนั้นเป็นการวัดถึงความจำ ความเข้าใจ หลักศาสนา หลักธรรมคำสอน จารีต ประเพณี และรวมไปถึงวิชาพื้นฐานที่ศิษย์ทุกคนต้องเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และแตกฉาน ยกตัวอย่างเช่นคัมภีร์ดาราศาสตร์ พิธีกรรม กวี และคัมภีร์โบราณตำราความรู้ต่างๆ ที่สั่งสอนบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ของสำนักมาตลอดช่วงเดือน


เหมือนเป็นการจำลองสนามประลองย่อยๆ ของผู้ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นบัณฑิต เป็นขุนนางผู้ค้ำยันแผ่นดินในภายภาคหน้าเลยก็ว่าได้


เทียนไขบนโต๊ะถูกจุดขึ้นให้ความสว่างไปทั่วเรือนอักษรดั่งหิ่งห้อยตัวน้อยท่ามกลางห้องที่มืดมิด ฝ่ามือขาวดุจหิมะแรกรุ่นจับชายเสื้อด้านนึงของตนเองเอาไว้ก่อนหยิบสิ่งล้ำค่าสี่ประการในห้องหนังสือขึ้นเรียงบนโต๊ะไม้อย่างถนัดมือ อันว่าด้วยสิ่งล้ำค่าสำหรับผู้เป็นวิญญูชนอย่างเขาแล้ว นอกเหนือจากตำราและความรู้ ก็คือมือทั้งสองและสิ่งของสี่ประการนี้แหละที่สำคัญกับชีวิตของผู้ที่เรียกตัวเองว่า ‘บัณฑิต’ มากที่สุด
 

สิ่งล้ำค่าทั้งสี่แห่งห้องอักษรนั้น ประกอบไปด้วย ‘หูปี่’ พู่กันหูโจวด้ามงามจากเจ้อเจียง ใช้รังสรรค์ถ่ายถอดความคิดและจิตวิญญาณของผู้เป็นปราชญ์ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ รับรู้ได้ เปรียบดั่งอาวุธของผู้ท่องยุทธที่มีกระบี่แหลมคม บัณฑิตเองก็มีพู่กันเป็นศาสตราคอยทิ่มแทงอริราชศัตรูเฉกเช่นเดียวกัน
 

อย่างที่สองคือ ‘ฮุยโม่’ หมึกดำฮุยโจวดั่งคืนเดือนดับจากอานฮุย ดุจท่วงท่าลีลาและกำลังภายในของผู้ฝึกวรยุทธ เหล่าบัณฑิตเองก็ใช้หมึกดำนี้สร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า นำพาประเทศให้รุ่งเรืองงอกงามเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลงในแผ่นดิน อย่างที่สามคือ ‘ซวนจื่อ’ หรือคือกระดาษซวนโจวเนื้องามแห่งอานฮุย และอย่างสุดท้ายคือจานฝนหมึกอู้หยวนหลงเหว่ยจากเจียงซี


หรูฟู่เชิงนั่งหลังเที่ยงตรงขึ้นยามที่จรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ นิ้วเรียวจับอาวุธของตนเองบรรเลงลำนำ ร้อยเรียงตัวอักษรลงไปอย่างใจเย็นแผ่วเบาดุจขนของปีกปักษาโบยบิน


หากนับว่าในแผ่นดินแคว้นฉินแล้ว ตัวอักษรของฟู่เชิงนั้นเป็นที่สอง ทั่วใต้หล้าก็ไม่อาจนับใครเป็นหนึ่งได้อีกเลย ทุกเส้นสาย ทุกการเขียน น้ำหนักมือหรือแม้การตวัดบรรจงปลายพู่กันลงบนกระดาษนั้นเต็มไปด้วยความสง่างาม อ่อนช้อย ปราณีต บรรจงแต่แฝงไว้ยังความหนักแน่นมั่นคงแข็งแกร่งดุจหุบเขาเทียนตี้ยืนตระหง่านมิเคยสั่นไหว
 

เด็กหนุ่มปล่อยใจไปกับเสียงสายลมเหมันต์หวีดหวิวที่ต้องกายจนอดลูบไล้ตัวเองไม่ได้ หรูฟู่เชิงยังคงก้มหน้าก้มตาตั้งใจคัดอักษรไม่สนใจโลกภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น
 

โคมไฟสีเหลืองนวลตาถูกจุดขึ้นพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ตรงทางเดินเรือนอักษร


เสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาดั่งพระพุทธรูปสลักจากหยกหิมะปรากฏขึ้นในความมืดมิด แววตาดุจคมกระบี่นับหมื่นเล่มจับจองฝ่ารัตติกาลเข้าไปยังแผ่นหลังบอบบางภายใต้ผ้าคลุมแพรตัวยาวที่อยู่ในการมองเห็นของอีกฝ่ายในทุกๆ อิริยาบท ไม่ว่ากายนั้นจะขยับไปทางไหน ทำอะไร ดวงหน้าก้มขึ้นหรือลงหรือแม้กระทั่งลมหายใจที่ผ่อนเคลื่อนออกจากปลายจมูก


ทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในการจับจ้องของเขาทั้งสิ้น...


การเคลื่อนกายดุจบุรุษไร้เงาเงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงใดๆ ชายหนุ่มจงใจลงฝีเท้าแผ่วเบาบนพื้นไม้เพราะเขาไม่อยากรบกวนสมาธิคนที่ตั้งใจอ่านตำราอยู่
 

อนึ่งว่าบุรุษร่างสูงใหญ่นั้นจริงๆ แล้วก็คล้ายทำเพื่อตัวเขาเองทั้งหมดทั้งสิ้น ชายหนุ่มนึกเสียดายไม่อยากให้ภาพตรงหน้าของตนจางหายไปราวกับสายหมอกในยามรุ่งอรุณเร็วเกินไปนัก
 


การทดสอบของสำนักตงฝางเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย แม้นผู้ที่เสร็จสุดท้ายจะเป็นคุณชายสกุลหรูที่นั่งอ่านข้อสอบอยู่เนิ่นนานจนผิดสังเกต หากแต่ว่าเมื่อผลประกาศออกมา เหล่าลูกศิษย์ก็แทบไม่ต้องคาดเดาว่าใครเป็นผู้คว้าคะแนนสูงสุดของสำนักไป แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจท่ามกลางสายตาของทุกคนมากขึ้นไปอีกคือคะแนนอันดับสองรองจากหรูฟู่เชิงต่างหาก


ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนดีเป็นอันสองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากสหายเพียงหนึ่งเดียวของคุณชายสกุลหรู ‘กงจวี้จื่อ’ กระทั่งเจ้าตัวยังแทบไม่เชื่อสายตา เบิ่งตาตี่ดั่งเสี้ยวพระจันทร์โค้งนั้นเสียจนผู้ที่ได้เห็นยังแอบปิดปากหัวเราะ


“ข้าแทบไม่อยากเชื่อว่าข้าจะได้คะแนนเป็นรองเจ้าเพียงหนึ่งข้อ” ผู้ที่ได้คะแนนอันดับสองรองจากสหายสนิทเอ่ยปากโวยวายเสียงดัง


ริมฝีปากบางดั่งกลีบดอกซีฝู่ไห่ถางแย้มยิ้มยินดีกับเพื่อนของตน“เจ้าหมั่นทบทวนตำรา ท่องจำคัมภีร์สามอักษรได้”


“หากข้าท่องจำบ่อยๆ เช่นนี้ หรูซ่านเป่านะหรูซ่านเป่า ตำแหน่งกระเรียนขาวแห่งกูจางต่อไปเจ้าคงต้องยกให้กับข้า” กงจวี้จื่อยืดอกสามศอกของตนเองขึ้นอย่างลำพอง ก่อนเผลอทุบแรงไปจนไอค่อกแค่กออกมา มือขาวเนียนภายใต้ชุดศิษย์สำนักตงฝางเลื่อนมาลูบแผ่นหลังสหายตนแผ่วเบาเป็นการช่วยเหลือ

 
“ข้าจะเป็นไม้ให้เจ้าเหยียบขึ้นเกี้ยวกระเรียนหัวแดงอย่างแน่นอน ข้าสัญญา” หรูฟู่เชิงกล่าวก่อนคลี่ยิ้มมองเพื่อนรักของตน ก่อนเด็กหนุ่มทั้งสองจะปล่อยเสียงหัวเราะโอบล้อมหอตำราอี้จิงเอาไว้


 “ข้ายังมิได้ขอบใจเจ้าเลยจวี้จื่อ” คุณชายหรูเอ่ยขึ้นมาบ้าง


คนฟังเลิกคิ้วถาม “เรี่องใด?”


 “ที่เจ้าอุตส่าห์เอาตะเกียงเหมันต์มาวางไว้ให้ข้าเมื่อตอนรุ่งสาง” คนพูดอธิบาย เพราะตอนที่เขานั่งอ่านตำราอยู่ที่เรือนอักษร เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวสั่นจนขนทั่วร่างลุกชูชัน ทนไม่ไหวจะเดินมาปิดประตูเรือน
 

หากแต่สายตากลับพบกับเจ้าตะเกียงไฟดวงน้อยที่จุดเอาไว้คอยแผ่ซ่านให้ความอุ่นไอในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้วางไว้ที่ชานเรือนใกล้ๆ ตัวเขา

 
เด็กหนุ่มจึงนึกไปว่าคงเป็นสหายตนตั้งใจเอามาวางไว้ให้คลายความหนาว


กงจวี้จื่อเบ้หน้ามองเพื่อนทำหน้าตางงงวยตั้งท่าจะอธิบาย หากแต่คุณชายคนอื่นๆ เดินมาร่วมวงสนทนากันจนใหญ่โตครึกครื้น ทำให้คำพูดของพวกเขาถูกลืมเลือนแล้วก็ปัดตกทิ้งไป

 
“เออ สงสัยข้าต้องไปกราบขอบคุณเหวินซือฝู* (คำเรียกแทนว่าอาจารย์) เสียหน่อยแล้ว พวกเจ้าคิดเห็นประการใด” กงจวี้จื่อยังแย้มยิ้มดีใจกับคะแนนสอบตนเอง
 

หรูฟู่เชิงที่นั่งอยู่ข้างกันเลิกคิ้วมองบ้าง “เจ้ายอมรับเขาเป็นอาจารย์แล้วหรือ” เด็กหนุ่มหัวเราะกับเพื่อนสนิทตน


“เอาน่า... อย่างไรเขาก็นับว่าเป็นอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือคนนึง หรือพวกเจ้าว่าไม่ใช่” กงจวี้จื่อตอบไม่เต็มเสียงนัก ลอบเกาแก้มแก้เขินอยู่หลายครา เหล่าบรรดาศิษย์ที่สอบผ่านได้คะแนนดีในคราวนี้ก็ล้วนแต่พยักหน้าเห็นด้วยกับคุณชายอันดับสองกันหน้าขวิดหน้างอ


พวกเขาทุกคนล้วนผ่านมือท่านอาจารย์ใบหน้าพระพุทธรูปหยกไร้อารมณ์นั่นกันมาแล้วทุกคน ทีแรกเหมือนเหวินชุนหลิงจงใจหาเรื่องมาลงโทษให้เหล่าศิษย์ของสำนักที่ทำผิดพากันคัดคัมภีร์สามอักษรกันแทบจะยกสำนัก สิบจบบ้างร้อยจบบ้างว่ากันไป


แรกๆ เหล่าศิษย์ใหญ่น้อยล้วนก่นด่าสาปแช่งอาจารย์หนุ่มอยู่ในใจ หากแต่เมื่อผลปรากฏออกมาแล้วกลับพลิกฟ้าพลิกดิน ทุกคนต่างยอมรับและเคารพในตัวของผู้สั่งสอน

 
หรูฟู่เชิงคลี่ยิ้มดั่งกลีบบุปผาประดับวงหน้าเอาไว้ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกไป หากแต่ในใจเขาแอบตอบคำถามสหายของตนเองเรียบร้อยไปแล้วว่า ‘มิเป็นอื่น’

 
บรรดาคุณชายและศิษย์กลุ่มใหญ่ของสำนักตงฝางรวมตัวกันอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งเดิม


หากแต่วันนี้บุรุษรูปร่างสูงใหญ่แปลกหน้าโต๊ะด้านในสุดวันนั้น กลับโดนลากมานั่งร่วมโต๊ะกับเหล่าวิญญูชนแห่งสำนักตงฝางด้วยกันในวันนี้


ตอนแรกที่เหวินชุนหลิงก้าวเท้าเข้ามายังโรงเตี๊ยมพร้อมทั้งเหล่าคุณชายทั้งหลายก้าวตามเข้ามาทีหลัง เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมยังทำตาปะหลับปะเหลือก ตั้งท่าว่าจะวิ่งไปเรียกเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมเตรียมมาห้ามปรามการวางมวยของคนทั้งสองฝ่ายอยู่เลย


หากแต่พอจัดโต๊ะเสร็จสรรพเรียบร้อย คนทั้งคู่กลับนั่งรวมกันแถมยังเชื้อเชิญเคารพชายแปลกหน้าคนนี้เสียจนแทบยกเอามาวาง มิต้องให้เท้าแตะพื้นอย่างไงอย่างงั้น


วันนี้เหล่าศิษย์สำนักตงฝางตั้งใจพากันมาเลี้ยงฉลองที่การทดสอบประจำเดือนผ่านพ้นไปด้วยดี
 

โดยมีหัวเรือใหญ่อย่างคุณชายสกุลกงที่ใจป้ำเหมาโรงเตี๊ยมเมืองกูจางแห่งนี้ เพื่อฉลองที่ตนสอบได้คะแนนเป็นอันดับสองรองจากกระเรียนขาวแห่งกูจาง


สิบปีมีน้อยร้อยปีจึงได้เห็น นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่น่ายินดีอย่างยิ่ง น่ายินดีๆ


ในตอนแรกที่เหล่าคุณชายน้อยใหญ่ไปกราบเคารพพระพุทธหยกไร้อารมณ์ผู้นี้ยกย่องอีกฝ่ายเป็นซือฝู ท่านอาจารย์หนุ่มกลับตั้งคอตรง ไม่เคยสักครั้งที่ให้ศีรษะตนเองต่ำกว่าไหล่เลยแม้แต่ยามเดียว เหวินชุนหลิงบอกเพียงว่าตนแค่ลงโทษไปตามหน้าที่ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่เหล่าศิษย์แห่งสำนักตงฝางก็ยังคะยั้นคะยอให้ท่านอาจารย์หนุ่มมาร่วมฉลองกับพวกตน


เมื่อใบหน้าหล่อเหลาตั้งท่าจะปฏิเสธ กงจวี้จื่อก็จัดการดีดท่าไม้ตายใส่หน้าอาจารย์ของเขาทันที!
 

“ท่านผู้อาวุโสอยากกินสิ่งใดเป็นพิเศษมั้ยขอรับ” คุณชายสกุลหรูที่นั่งใกล้มากที่สุดเอ่ยถาม กงวี้จื่อลอบอมยิ้ม ‘นั่นอย่างไรล่ะ ท่าไม้ตายพิฆาตของข้า’


 ในตอนแรกกงจวี้จื่อทำท่าจะเดินมาทิ้งกายลงข้างสหายสนิท หากแต่โดนสายตาหมื่นกระบี่ของบุรุษหน้าทมิฬเฉือดเฉือนบั่นคอเหล่าคุณชายจนพากันล่าถอยไปนั่งยิ้มแหะๆ อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย จะมีก็เพียงคนเดียวทั่วทั้งกูจางนี่ล่ะมั้ง ที่เข้าใกล้ท่านอาจารย์ภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีผู้นี้ได้
 

คุณชายสกุลกงเดาเอาว่าถ้าเป็นเจ้ากระเรียนตัวขาวนี้เอ่ยปากร้องขอ แม้แต่ฮ่องเต้คงพระทัยอ่อนยอมยกบัลลังก์ทองคำของพระองค์ให้สหายตนครอบครองใต้หล้าเป็นแน่แท้ แล้วเด็กหนุ่มก็คาดเดาอะไรมิมีผิดแม้แต่น้อย...
 

แค่หรูฟู่เชิงเอ่ยปาก ใบหน้าพระพุทธรูปสลักนั่นก็ยอมตามมาโรงเตี๊ยมด้วยอย่างโดยดี


แต่ก็ยังมานั่งทำหน้าทะมึนดำมืดทุกครั้งที่ใครจะเข้าหวังปรนนิบัติใกล้ชิด ราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง


ช่างเถอะ! อาจารย์อย่างไรก็เป็นอาจารย์วันยังค่ำ


ทนกับตาแก่เหยียนหุยได้ ในสิบทะเลแปดดินแดน กงวี้จื่อนับว่าไม่มีอะไรที่ตนเองทนไม่ได้อีกต่อไป!




 ต่อรีพลายล่างนะครับ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 19-12-2019 18:51:44
“สุราเมืองกูจางนับว่าเป็นสุราชั้นดีในใต้หล้า เชิญเหวินซือฝูก่อนขอรับ” คุณชายสกุลกงรินน้ำสีใสทว่ากลิ่นเข้มข้นรุนแรงจากไหบรรจุสีขาวกระเบื้องเคลือบ ก่อนยกจอกสุราคารวะให้ผู้เป็นอาจารย์
 

เหวินชุนหลิงรับจอกมาไม่กล่าวอะไรยกขึ้นดื่มหมดในคราเดียว ชายหนุ่มรู้สึกถึงรสของสุรานั้นช่างรุนแรงนัก ขนาดเขาเองยังรู้สึกร้อนคอเล็กน้อยเสียเลยด้วยซ้ำ ผู้เป็นเหล่าลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เฮยกใหญ่ตั้งท่าจะมอมท่านอาจารย์อีกระลอก ทว่าครานี้มือขาวจากเด็กหนุ่มข้างตัวกลับเป็นฝ่ายยื่นจอกว่างเปล่าของตนออกมาแทน ดึงสายตาของผู้ที่อายุมากกว่าให้หันเหลือบมองคนข้างกาย


คุณชายรองอันดับสองคล้ายจะเหวอไปเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มในที่สุด เทเมรัยสีใสให้สหายตนอย่างยินดี


 “วันนี้กระเรียนขาวแห่งกูจางยอมถอดปีกถอดหางมานั่งร่ำสุรากับพวกเรา นับว่าน่ายินดีๆ” กงจวี้จื่อพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วทั้งศิษย์สำนักตงฝาง เพราะปกติสหายสกุลหรูผู้นี้ไม่ค่อยยอมร่วมวงร่ำสุรากับพวกตนเท่าใดนัก อย่างมากก็แค่น้ำร้อนน้ำชาจนเมามาย นี่จึงนับว่าเป็นโอกาสหาได้ยากยิ่งนัก


เหล้าสุรากับชายหนุ่มนับว่าเป็นของคู่กันดั่งฟ้าดิน


งานสังสรรค์รื่นเริงเริ่มเงียบเสียงลงเพราะเหล่าคุณชายหนุ่มวัยไม่ประสาพากันหัวทิ่มลงบนโต๊ะกันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เจ้าภาพอย่างเด็กสกุลกงนั่น เมาจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ก็ยังพยายามเดินโซซัดโซเซมาที่ร่างของเพื่อนสนิทตน ในมือถือไหสุรากระเบื้องเคลือบของเมืองกูจางเอาไว้ ตั้งท่าจะยื่นให้เด็กหนุ่มข้างตัวเหวินชุนหลิง


อยู่ๆ คนสกุลกงก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถูกเหวี่ยงหวือออกไป เมื่อมีแรงดัชนีดันหัวกงจวี้จื่อให้ออกห่างจากร่างขาวไปไกลเกือบหนี่งฝ่าไม้กระดานทันทีจนคนเมายังไม่ทันตั้งตัว ล้มแผละหงายหลังลงบนตัวของลูกศิษย์ร่วมสำนักสักคนหนึ่งของสำนักตงฝางก่อนหมดสติไป


เห็นแล้วสังเวชใจแท้ๆ ...


“ท่านผู้อาวุโสท่านเมารึยัง” เสียงอ้อแอ้จากเด็กข้างตัวดังขึ้นเรียกสายตาคมให้หันกลับมามองที่เจ้าตัว


 หรูฟู่เชิงนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน ตั้งแต่รับสุราจอกนั้นมาเด็กหนุ่มก็นั่งหน้าแดงตัวแดงเป็นผลลูกท้อสุกไม่คุยกับใครอีกเลย จนเหวินชุนหลิงที่นั่งข้างๆ ต้องคอยส่งสายตาพิฆาตให้กับเหล่าศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นที่ทำท่าจะเข้ามาหาว่า ‘ถ้าใครยังกล้ายื่นสุราให้เจ้าเด็กนี่อีกแค่จอกเดียวล่ะก็.. ข้าจะสั่งคนๆ นั้นให้หักมือตัวเองทิ้งเสีย! ’
 

“ท่านผู้อาวุโสคงเมาแล้วสินะ” พูดจบก็เอามือเท้าคางไว้กับโต๊ะก่อนหยิบใบหน้าหวานมาวางเอาไว้ เด็กหนุ่มพร่างยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนักเวลาที่อยู่กับคนอายุมากกว่าอย่างเช่นเขา หรือผู้เป็นเจ้าของสำนักตงฝาง


หากแต่คราวนี้กลับกล้าจ้องหน้าตรงๆ ไม่ต้องหลบไปหลบมาอีกแล้ว
 

ดวงตาหวานฉ่ำเยิ้มดั่งกระต่ายป่าพินิจบุรุษตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา หากแต่เพียงคนที่ถูกจ้องมองก็จ้องกลับนิ่งๆ ไม่หลบสายตาเช่นเดียวกัน


ชายหนุ่มรูปงาม ดวงหน้าดั่งพระพุทธรูปสลักจากหยกหิมะ ทั้งงดงาม หล่อเหลา จนฟู่เชิงต้องแอบมาชมในใจอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยซ้ำว่าขนาดแค่จ้องมองผ่านๆ มิได้ตั้งใจมอง คนตรงหน้าเขานี้ยังรูปงามยิ่งกว่ากงจวี้จื่อที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษเจ้าสำราญอยู่สิบส่วนทีเดียว

 
คิ้วเข้มเหยียดตรงอย่างทะนงองอาจ ล้อมกรอบรับกับดวงตาคมดุจเกลียวคลื่นของมหาสมุทรที่ไร้การเข้าใจและยากหยั่งถึง คุณชายสกุลหรูนึกชมว่าตาคู่นี้สวยประหลาดยิ่งนัก


จมูกโด่งชัดเจนจนแม้แต่เขาที่นั่งมองอยู่ด้านข้างแบบนี้ยังเห็นเป็นสันขึ้นมา เด็กหนุ่มเคยคิดเล่นๆ ว่าท่านผู้อาวุโสคนนี้แอบเอากิ่งไม้ไปดามไว้รึเปล่าหนออยากจะขอลองจับดูซักครั้งเพื่อคลายความสงสัยตนเองยิ่งนัก


จะเสียก็เพียงอย่างเดียว...


ท่านผู้อาวุโสของเขามิเคยยิ้มแย้มเลยสักครั้ง เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงดั่งไม่พอใจใครอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ แถมยังรังสีความเยือกเย็นที่เจ้าตัวชอบแผ่ออกมารอบๆ ตัวนี่อีก ถึงจะดูลึกลับงดงามแต่ก็เย็นชาไร้ชีวิตชีวาไปพร้อมๆ กันอยู่ดี ใครๆ ถึงไม่กล้าเข้าใกล้อย่างไรล่ะ

 
ถ้าลองบุรุษผู้นี้ยิ้มสักครานะ


คงมิต่างจากหนึ่งยิ้มครองเมืองเลยเสียด้วยซ้ำ


เหล่าสตรีทั้งแผ่นดินคงยินยอมศิโรราบแก่คนผู้นี้เป็นแน่แท้


นึกแล้วก็อิจฉายิ่งนัก...


“ข้าน่ะไขปริศนาของท่านผู้อาวุโสออกแล้วนะ” หรูฟู่เชิงที่กึ่งเมากึ่งมีสติพูดขึ้นลอยๆ
 

เหวินชุนหลิงที่นั่งแผ่นหลังตั้งตรงอย่างสง่าผ่าเผยเหลือบตามองดวงหน้าหวานข้างกาย  ผู้ที่นั่งฟังอยู่ยังคงไม่พูดจาตามนิสัยเจ้าตัวต่อไป เขาไม่ใช่คนที่พูดหรือแสดงออกอะไรเก่งกาจมากมายนัก จึงทำได้เพียงแค่รับฟังเด็กข้างกายเงียบๆแผ่วเบา


“ท่านเงียบอีกแล้ว เหตุใดจึงชอบเงียบใส่ข้านัก!” เด็กน้อยตัวแดงโวยวายฮึดฮัดเสียงเบา เพราะถึงแม้จะเมาแต่เขาก็ยังระลึกถึงมารยาทที่พึงมีของเหล่าบัณฑิตเอาไว้ได้


ว่าการโวยวายไร้สตินั้นเป็นของที่ผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนขัดเกลาเท่านั้นที่จะพึงกระทำ เสียงที่เปล่งออกมานั้นจึงไม่ต่างกับสัตว์ตัวเล็กๆ ส่งเสียงงุ้งงิ้งอยู่ตรงหน้าพญามังกรเลยแม้แต่น้อย...


หรูฟู่เชิงที่มีสติอยู่เพียงกึ่งนึงนั้นกล้าแสดงอารมณ์ที่ซุกซ่อนออกมามากยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มเบะปากราวกับไม่พอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่พูดไม่จาอะไรเช่นเดิม นี่ขนาดเขาต่อว่าอีกฝ่ายอยู่นะ


คนเมาเหมือนนึกอะไรได้อยู่ชั่วครู่ก็นิ่งไปอีก ก่อนปากจิ้มลิ้มจะสารธยายยืดยาวอีกครั้ง “เออข้าลืมไป..ก็ท่านเมาอยู่นี่น่าจะมาตอบข้าได้อย่างไร ฮ่าๆ” พูดจบก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาเสียจนแก้มขาวๆ สองข้างนั่นขึ้นไปกระจุกกันเป็นก้อนกลมประดับไว้บนวงหน้าหวาน ไม่วายยังเอานิ้วชี้ปัดป่ายจนเกือบโดนใบหน้าหยกหิมะนั่นจนโดนสายตามองแรงใส่ เด็กตัวแดงถึงได้ชักมือกลับมานั่งทำท่าเจี๋ยมเจี๊ยมตามเดิม
 

ส่วนคนที่นั่งจ้องใบหน้าขาวผ่องเยาว์วัยมาเป็นชั่วยามแล้วก็นึกอยากเอานิ้วไปจิ้มแก้มกลมๆที่สูบลมเข้าไปจนพองเต็มท้องอยู่นั่นดูนัก อยากรู้ว่าสัมผัสมันจะนุ่มมือสักแค่ไหนกันเชียว
 

เหวินชุนหลิงครางฮึ่มฮั่มในใจ คิดอยากจะหยิกแก้มให้โย้แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่แอบดีดหน้าผากเนียนเบาๆจนคนโดนแกล้งเอามือกุมพื้นที่อันตรายต่อการโดนลอบทำร้ายแล้วเหลือบมองหน้าเขาอย่างเคืองๆ
 

หมั่นเขี้ยว’
 

“เจ้าไม่ชอบ?” เสียงทุ้มนุ่มละมุนหูเอ่ยฝ่าความเงียบขึ้นมาช้าๆ ไถ่ถามเด็กที่นั่งหน้าแดงกุมหัวป้อยๆอยู่ข้างกาย น้ำเสียงทุ้มนุ่มจนถ้าคุณชายสกุลกงตื่นขึ้นมาได้ยินคงนึกว่าตัวเองหูฝาดไปเป็นแน่

 
 หรูฟู่ชิงหยุดคิดพักนึงว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใดค่อยพยักหน้าหงึกหงักตอบเสียงอ้อมแอ้มกลับไป “ใช่! ข้าไม่ชอบ” ใส่อารมณ์เข้าไปหน่อยให้รู้ว่าเขาไม่พอใจที่อีกฝ่ายชอบเงียบใส่กันแบบนี้ตลอด
 
 
“ข้าเองก็ไม่ชอบ” เหวินชุนหลิงพูดขึ้นมาบ้าง
 

“ท่านไม่ชอบอะไร” คนเมาเงยหน้ามามองผู้พูดอีกครั้ง ใกล้จนกระทั่งเหวินชุนหลิงเห็นแพขนตายาวอยู่ห่างเพียงแค่คืบตาจนแทบนับจำนวนเส้นขนอ่อนนุ่มที่ล้อมดวงตาคู่หวานฉ่ำเอาไว้ได้เพียงแค่กะระยะ ร่างสูงใหญ่ต้องลอบกลืนน้ำลายคล้ายดั่งลืมคำพูดของตัวเองไปในชั่วคราวเลยทันที

 
“ผู้อาวุโส ข้าไม่ชอบคำนี้” คนสกุลเหวินหาเสียงของตัวเองเจอในที่สุด
 

เด็กหนุ่มฟังจบก็ผละใบหน้าไปอีกทาง พลางหรุบตาลงต่ำ มือขาวบางเอื้อมไปหยิบจอกสุรามาถือไว้ก่อนหมุนไปมาครู่นึง ไม่มีบทสนทนาใดต่อจนเหวินชุนหลิงคิดจะลุกจากไปเรียกให้เถ้าแก่เนี้ยจัดการนำเหล่าลูกศิษย์ที่นอนสลบไสลขึ้นไปพักในห้อง

 
หากแต่แล้วสุ้มเสียงหวานก็เอ่ยถามพร้อมเงยหน้าขึ้นมาสบกับผู้มองอีกครา แถมยังเอื้อมไปจับชายแขนเสื้อไหมปักของอีกฝ่ายเอาไว้ ออกแรงยื้ออีกเล็กน้อย “ท่านเลยไม่ยอมรับป้านชาที่ข้ายื่นให้วันนั้นใช่หรือไม่” คล้ายมีความไม่เข้าใจปนอยู่ในน้ำเสียงเลือนราง


“ใช่”

 
หรูฟู่เชิงฟังจบก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบาบาง “งั้นท่านอยากให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไร”

 
ดวงตาฉ่ำเยิ้มเงยสบราวกับต้องการค้นหาลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่าย แววตาคู่ที่เหมือนดั่งมหาสมุทรที่ไม่รู้ลึกตื้น ยากเกินคาดเดา หากแต่ในแววตานั้นกลับทอประกายระยิบระยับดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าพร่างพราวจนทำเอาคนมองต้องเสหน้าหลบ คิดในใจตนว่า ‘คราวหน้าจักไม่ลองดื่มสุราเช่นนี้แล้ว


หรูซ่านเป่า! ไอ้เจ้ากระเรียนขาว ข้าไม่ได้เป็นคนถือโคมไฟเหมันต์ไปให้เจ้านะ!” คุณชายสกุลกงลุกขึ้นมาโวยวายเสียงดังพูดถึงถ้อยคำก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ทันได้กล่าว


 “....”

 
“....”

 
“ท่านอาจารย์ ท่านเหวินซือฝู ข้าเห็นเขาถืออยู่ เขาเป็นคนเอาไปให้เจ้า เอิ๊ก!” คำสารภาพถูกพูดออกมาจนหมดสิ้น ก่อนที่คนเมาจะโดนจอกเหล้าปาใส่หัวทีนึงก็กลับไปสลบไสลไม่ได้สติล้มตัวลงทับศิษย์ร่วมสำนักคนเดิม

 
เดาเอาว่าพรุ่งนี้เช้าหัวคงปูดดั่งลูกทับทิมเป็นแน่

 
คราวนี้หวังว่าเจ้าคงหลับไม่ต้องตื่นไปถึงภพหน้าเลยนะ’ ฝ่ามือหนาเช็ดมือตัวเองไปเงียบๆ ไม่พูดอะไร หรูฟู่เชิงนั่งก้มหน้าก้มตาลงจนใบหน้าแดงเรื่อ เหวินชุนหลิงเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงยังไม่ทันหายจากพิษสุราดีจึงเตรียมเดินไปหาเถ้าแก่เนี้ยอีกรอบ เหมือนดั่งเด็กทำผิดแล้วกลัวโดนจับได้ บรรยากาศมันกระอั่กกระอ่วนชอบกล รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ จนอยากเดินออกไปจากตรงนี้ไปให้พ้นเสียที
 

ขอบคุณ...” สติของคุณชายหรูกลับคืนมาอย่างน้อยแล้วสี่ส่วน


เขาได้ยินและรับรู้ทั้งหมด


รับรู้แม้กระทั่งอาการไม่ปกติของตัวเองตอนนี้ด้วยซ้ำ
 

เหมือนดั่งมันหายใจไม่ทันท่วงที ใจเต้นโครมครามหน้าร้อนไปหมด เพราะพิษสุรากูจางแน่ๆ พิษสุราเป็นแน่
 

ข้าจะไม่ดื่มมันอีกตลอดชีวิต


 “หยางเถิง...


สุ้มเสียงทุ้มที่พูดกล่าวหนักแน่นราวกับสื่อความหมายอะไรบางอย่าง คำพูดนั้นดึงดวงตาหวานซึ้งดั่งกระต่ายป่าหันกลับไปจ้องมองใบหน้าเยือกเย็นของคนที่ตนจับชายผ้าของเขาเอาไว้ มันยังคงนิ่งสงบ ไร้อารมณ์และเย็นชาดังเดิม ไม่มีเหยียดยิ้ม ไม่มีหัวเราะ


"..."



ข้าชื่อหยางเถิง เรียกข้าด้วยชื่อนี้


ในนัยน์ตาคู่คมที่มองสบกันเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนดั่งแสงของพระจันทร์ยามที่ทักทอนุ่มนวลอยู่บนฟากฟ้า หรูฟู่เชิงเห็นเพียงใบหน้าตนสะท้อนอยู่ข้างในนั้น ลึกลงไปเด็กหนุ่มมองเห็นความยินดีและคำอนุญาตที่ร้องเรียกขอเพียงเอ่ยชื่อนั้นออกมาแค่ครั้งเดียว ราวกับอีกฝ่ายเฝ้ารอคอยที่จะได้ยินคำพูดนี้มาเนิ่นนาน
 

ขอรับ..
.
.
.

 

หยางเกอเกอ



TBC

________________________________________________________________


จิกเท้าสุดพลัง // เขาเรียกกันด้วยอีกชื่อแล้ว

ชื่อ หยางเถิง นี่เหมือนแบบชื่อติดตัวตั้งแต่เกิดมาติดตัวมาอะไรแบบนี้ครับ
เหมือนอย่างของคนน้องชื่อเกิดคือฟู่เชิง ส่วนนามทั่วไปที่คนเรียกคือซ่านเป่า
ธรรมเนียมจีนคือชื่อเกิดเนี่ย ไว้สำหรับครอบครัว ลูก แล้วก็ ภรรยา ไว้เรียกอ่ะเนอะ
แต่คนพี่มันขอให้น้องเรียกว่ะ 5555 // กำไม้พายแน่น โมเม้นท์มา!

(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/20/ir8gju.png)



อันว่าส่วนคุณชายกงมือชงแห่งกูจางโดนจอกเหล้าปาหัวสลบไปแล้ว // สงสารเขานะคะคุณกิตติ 5555


(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/20/ir8ivZ.png)




ขอบคุณนะครับสำหรับการติดตาม ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ทุกกำลังใจด้วย
ทำไมทุกคนดูไม่ไว้ใจผมเลย นิยายเราเป็นนิยายฟีลกู้ดนะ(?) 55555555

ยังไงก็เจอกันตอนหน้านะครับ ฝากทวิตเตอร์ไว้นิดนึงนะครับบ รักผู้อ่านทุกคนมากๆ

Twitter : @XII_Indigomoon
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-12-2019 19:10:29
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-12-2019 19:59:02
ดุ๊ ดุ ใครจะไปคิดว่าพี่เขาก็มีหัวใจ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 3 第三章 พิรุณโปรยร่ำ| 17.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 19-12-2019 20:25:08
ผมอยากบอกกับคนแต่นิยายเรื่องนี้ว่า  คุณทำให้ผมร้องให้
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-12-2019 21:36:34
กระต่ายป่า น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
ท่านแม่ทัพ รู้ว่าการเป็นขุนนางเป็นอย่างไร   :z6: :เฮ้อ:
ไม่อยากให้ลูกชายถูกทำร้ายสินะ  :mew2:
     
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 20-12-2019 10:11:55
น้องเมาแล้วน่ารักนะ ส่วนพ่อพระเอกก็เย็นชาจังแต่ชอบนะ 55555
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 4 第四章 นวลตาต้องใจ | 19.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-12-2019 23:18:29
ใจบางมากจ้า
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 22-12-2019 13:22:04

第五章
สุราชมจันทร์



หรูฟู่เชิงยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง


เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาสีมุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองมาเยือนยังสถานที่แห่งนี้แล้ว


กำลังฝันอยู่หรือ? ’ ไต่ถามตัวเองพลางหมุนกายไปโดยรอบ ก่อนกลิ่นไอความสดชื่นของสายน้ำระลอกนึงจะซัดเข้ามาปะทะใบหน้าดั่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่อยู่ก็ไม่ปาน อบอวลแวดล้อมไปด้วยความหอมจากมวลหมู่ผกาที่ชูช่อไสวอยู่มากมาย หอมฟุ้งราวกับลูกกวาดแสนหวานจนเหมือนกลิ่นหอมนั้นแทบจะติดอยู่ตามผ้าบนตัวของหรูฟู่เชิงเลยในทันทีเพียงแค่เด็กหนุ่มเคลื่อนกายผ่านหมู่ผกาเพียงเท่านั้น


ในครรลองสายตาคุณชายสกุลหรูเห็นศาลากลางน้ำอยู่เบื้องหน้า


ศาลาไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระการ ลวดลายบนเสาใหญ่สีแดงชาดวิจิตรบรรจงจนเขาไม่อาจแตะต้องมันได้ รู้สึกสูงค่ายิ่งจนเหมือนดั่งว่าชีวิตนี้คงไม่อาจชดใช้ได้หากตนทำเสียหายไป ด้านบนตัวศาลาถูกมุงด้วยกระเบื้องแก้วสีเขียวตัดขอบอย่างดี ประดับประดาลวดลายปูนปั้นเหล่าสัตว์มงคลตามขอบของแนวหลังคาเอาไว้ถึงด้านละเจ็ดตัวด้วยกัน


เสียงสนทนาดังขึ้นมาในการรับรู้ทำให้ผู้ที่กำลังตะลึงในความสวยงามของแดนสวรรค์แห่งนี้อยู่ถึงกับต้องเร้นกายหลบลี้หลังไม้ใหญ่ต้นนึง ก่อนสายตาจะเห็นร่างเล็กๆ กำลังจับจูงกันเดินมายังที่แห่งนี้


เมื่อมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว หรูฟู่เชิงเห็น ‘เด็ก ’ สองคนกำลังเดินไปยังศาลากลางน้ำแห่งนั้นอยู่ แต่จะว่าจูงมือพากันเดินก็ไม่ถูกนัก ดูเหมือนว่าฝ่ายนึงจะลากอีกฝ่ายนึงเบะปากจะร้องไห้เสียมากกว่า


“เจ้าจะร้องทำไม” เด็กที่ตัวโตกว่าอีกฝ่ายพูดขึ้น เสียงนั่นยังไม่แตกหนุ่มดีแต่กลับทุ้มนุ่มชวนฟัง คนที่ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกลอบสังเกตเอาว่าเด็กคนนี้มีท่าทางทะมัดทะแมง องอาจห้าวหาญ ผมถูกรวบเก็บขึ้นไปจนหมด บนศีรษะมีกวานทรงสูงลวดลายปราณีตสีเงินประดับเอาไว้อยู่ บ่งบอกถึงสถานะและอำนาจของคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี


คนผู้นั้นสวมใส่ชุดผ้าไหมสีดำสนิทมืดมิดดั่งรัตติกาลไม่ต่างกับสายตาคู่คมที่ถูกประดับไว้บนใบหน้า บนผืนผ้านั้นปักลายดอกหมู่ตานและมวลหมู่เมฆมงคลเอาไว้ด้วยเส้นไหมเงิน ใบหน้านั้นถึงแม้อ่อนเยาว์ด้วยยังผ่านลมหนาวมาไม่เท่าใดนัก แต่ก็นับว่าหน้าตาดูดีมาก โตขึ้นคงหล่อเหลาจนหาตัวจับได้ยากผู้นึงเชียว...


ในขณะที่อีกคนผอมบางร่างน้อยคล้ายจะยืนได้ไม่ตรงนัก เด็กตัวขาวผิวซีดเซียวดูไม่มีชีวิตชีวา เส้นผมดั่งใยไหมน้อยปล่อยสยายคลอไปกับแผ่นหลังเล็ก เกล้ามวยไว้เพียงครึ่งหัวมีผ้าแพรสีขาวนวลผูกประดับล้อกับสายพระพายยามที่โบกพริ้ว ถึงแม้ร่างกายจะซูบเซียวดูอ่อนแรงแต่ก็ดูนุ่มนวลละมุนละไมตาไปพร้อมๆ กัน เด็กคนนั้นตัวเล็กเสียจนคนที่โตกว่าต้องคอยจับมือเอาไว้เพราะคงกลัวอีกคนจะปลิวหายไปหากต้องสายลมแรงๆ


หรูฟู่เชิงคาดเดาจากสายตาเด็กทั้งคู่คงอายุไม่มากไม่น้อยกว่าเขาไปสักเท่าไหร่นัก อย่างมากก็อ่อนกว่าสักสองถึงสามปี


เด็กน้อยในชุดขาวบริสุทธิ์ยังคงก้มใบหน้าชิดอก จากที่ตรงนี้หรูฟู่เชิงเห็นเด็กคนนั้นมีผ้าผืนบางปิดบังใบหน้าเอาไว้สามในสี่ส่วน มีเพียงดวงตากลมโตหวานล้ำลึกทว่าหางตากลับตกลงราวกับโศกศัลย์พร้อมร่ำไห้ตลอดเวลา บนใบหน้าที่โผล่พ้นแพรนั้นประดับไว้ด้วยคิ้วเรียวยาวดั่งสายคันศรเอาไว้อยู่ คุณชายสกุลหรูลอบคิดในใจว่าใบหน้าไร้เดียงสาภายใต้ผืนผ้าบางนั้นน่าจะงดงามเป็นอย่างมาก ‘แล้วเหตุใดต้องปิดหน้าเสียจนมิดชิดขนาดนั้นด้วยเล่า


“รู้มาว่าเจ้าชอบกลิ่นของดอกเถาฮวา (1) มากเป็นพิเศษ” เด็กตัวสูงพูดกับคนด้านหลังของเขา ทว่ามือยังคงไม่ยอมปล่อยไออุ่นเล็กๆ ที่จับเอาไว้นั้นออกซ้ำยังกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เด็กน้อยตัวขาวที่ทำท่าจะร้องไห้ในตอนแรกนิ่งสงบลงเดินตามแผ่นหลังของอีกคนไปเงียบๆ ไม่หือไม่อืออะไร


คนตัวสูงกว่าพลิกหน้าหันกลับมามอง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ต่อไปหากอยากชมบุปผาให้มาที่นี่” พูดจบก็ทำหน้าดุดันกำชับในถ้อยคำตนเองอีกที “เข้าใจรึไม่?”


ใบหน้าเล็กภายใต้ผ้าแพรปิดบังนั้นเบิ่งตากลมโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าบางเบาเสียจนแทบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายขยับ ถ้าไม่ใช่คนที่ยืนใกล้ชิดจนเห็นแพขนตายาวนั่นแบบเขาแล้ว ใครที่ผ่านไปผ่านมาคงนึกว่าบ้าคุยอยู่กับรูปปั้นอยู่เพียงผู้เดียวกระมัง แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของผู้พูดก็หรี่ลงดั่งเสี้ยวพระจันทร์เป็นแววตายิ้มแย้มยินดี


“แต่ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนนะ”


ว่าแล้ว... ดวงตาหวานนั่นหม่นแสงลงนึกตำหนิที่โดนล่อลวงอำพราง เด็กตัวสูงอ่านสีหน้าที่ฉายออกมาจากดวงหน้าเยาว์วัยของอีกคนได้ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่มีปิดบัง


คนตัวสูงพูดอย่างใจเย็น “อย่าเพิ่งทำหน้าเยี่ยงนั้น” เด็กคนนี้มีอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมดเลยอย่างนั้นสินะ


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบอยู่ การเจรจาต่อรองเลยเริ่มต่อไป “คำขอของข้าง่ายดายแลกกับการที่เจ้าสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามอำเภอใจ เมื่อใดก็ได้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า” คนที่พูดมองสบกับวงหน้าขาวดั่งหยก ตั้งใจมองมั่นไปในแววตาอีกฝ่ายเพื่อยืนยันว่าเขาจะปลอดภัย แต่คนที่ยืนฟังก็ยังคงนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมา


ฝ่ามือใต้ชุดไหมปักดิ้นเงินถือวิสาสะเอื้อมไปลูบหัวอีกฝ่ายเอาไว้แผ่วเบา ค่อยๆ เกลี่ยเช็ดหยาดเพชรคลอใสบนนัยน์ตาคู่งามนั้นออกดั่งสัมผัสของขนนกด้วยชายเสื้อตนเอง ดวงตาคมทอดมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยนลง พูดเสียงนุ่มนวลกล่อมเกลาชโลมจิตใจคนฟังเอาไว้ได้เป็นอย่างดี


...แค่เรียกข้าว่าเกอเกอก็พอ...


เด็กตัวเล็กในชุดสีขาวปลอดนิ่งอึ้งไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า


นั่นคือข้อแลกเปลี่ยนของข้า


“...”


เด็กน้อยผอมบางยังคงนิ่งอึ้งอย่างไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรดี ทว่าไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมมือเขาเอาไว้แน่นดั่งคำมั่นว่าจะไม่ปล่อยมือคู่นี้ไปก็คล้ายจะทำให้หัวใจที่ด้านชาหนาวเหน็บของเด็กน้อยสั่นไหวดั่งภูเขาน้ำแข็งถูกละลายหลอมรวมเป็นผืนน้ำ ราวกับว่านี่คือสิ่งที่เขาโหยหาและเฝ้ารอคอยมาตลอดชีวิต


ได้มั้ย...


ในชั่วของสายลมหอบเอากลิ่นของดอกเถาฮวาพัดพาลอยมาลมแตะเยือนจมูกให้ได้กลิ่นหอมหวานเบาบางนุ่มนวลดั่งกำลังยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า


ใบหน้าเล็กไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือพยักลงแย้มจนเห็นรอยบุ๋มของผืนผ้าที่แนบสนิท พร้อมเสียงใสแผ่วหวานแต่เสนาะหูดั่งกังสดาลใบน้อย กล่าวคำที่ทำให้ใจของผู้ฟังยกยิ้มไปอีกสามวันสามคืน


เกอเกอ


เฮือก! หรูฟู่เชิงสะดุ้งตื่น ความรู้สึกเหมือนตนเองโดนกระชากตกไปในห้วงความมืดมิดดั่งร่วงลงจากที่สูง ไร้การยึดเหนี่ยวจนหัวใจวูบโหวงจนร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มหอบหายใจตัวโยน พยายามรวบรวมอากาศเข้าไปภายในปอดจนหน้าอกแบนราบกระเพื่อมขึ้นลง เหงื่อกาฬไหลตามกรอบหน้าผุดพราย แผ่นหลังเปียกชุ่ม เผลอกลืนน้ำลายอึกนึงลงลำคอแห้งผากไม่ต่างกับทะเลทราย


เขาฝัน เด็กหนุ่มรวบรวมสติพยายามนึกถึงสถานการณ์รอบตัวตนเอง การหายใจยังทำได้ลำบากจนมีเสียงฟืดฟาดดังออกมา พักนึงพอปรับให้ทุกอย่างเข้าที่สายตาซึ่งชินกับความมืดก็เหลือบมองไปรอบๆ ก็พบว่าเขายังอยู่ในห้องนอนตัวเองที่จวนสกุลหรู


สมองพยายามทบทวนภาพเหตุการณที่ตนเองเห็นเมื่อครู่ มันฟุ้งเบลอจนตัวมันเบารู้สึกเหมือนราวกับลอยได้ แต่ก็สมจริงดั่งเขาอยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นเสียเอง หากแต่ว่าสุดท้ายก็ได้แต่พูดกับตัวเองไปว่า แค่ฝันเท่านั้น


ร่างระหงตัดสินใจลุกออกจากตั่งนอนเพื่อไปล้างหน้าล้างตา ลืมเลือนความฝันทั้งหมดสิ้นไป...



ถึงแม้จะผ่านพ้นฤดูกาลสอบของสำนักตงฝางมาแล้วหลายวัน หรูฟู่เชิงก็ยังคงเดินทางมาถึงสำนักเป็นผู้แรก และกลับเป็นคนสุดท้ายในตอนที่ตะเกียงเหมันต์ดับลงเสมอ บางครั้งเหมือนเขาจงใจอ้อยอิ่งเพียงเพื่อแค่ฆ่าเวลารอให้พระอาทิตย์จวนตกดินเท่านั้นจึงยอมกลับจวนตัวเองไป


ทว่าคนภายนอกที่มองเข้ามาผิวเผินล้วนแต่สรรเสริญกล่าวชมบัณฑิตน้อยว่า กระเรียนขาวผู้นี้ช่างตั้งอกตั้งใจศึกษาเล่าเรียนยิ่งนัก คงมิพ้นได้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไปในภายภาคหน้าเป็นแน่


จะมีสักกี่คนเล่า..ที่ล่วงรู้เรื่องราวหลังบานประตูของจวนสกุลหรูบ้าง


กระสวยด้ายที่ถูกผ่อนปรนจนหย่อนยาน ด้ายไหมถูกคลายออกคล้ายดั่งจะหมดกอ มิมีผู้ใดเคยพบเห็นป่านด้ายนั้นเลย...


ผู้เป็นพ่อยังคงเย็นชามึนตึงกับบุตรชายเช่นเดิม ไม่ว่าหรูฟู่เชิงจะพยายามหาทางเข้าไปคุยทั้งใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง กล่าวอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ สุดกำลัง หรือแม้กระทั่งเหนียงเจียวอิงจะช่วยพูดประการใด อดีตท่านแม่ทัพก็ยังยืนยันหนักแน่นคำเดิม ประกาศิตเพียงอย่างเดียวที่กล่าวคือ ‘หากยังดื้อดึงคิดจะไปสอบ ก็จงอย่าเซ่นไหว้วิญญาณกันอีกต่อไปเลย


นั่นไม่เท่ากับว่าประกาศตัดพ่อตัดลูก ตัดสกุลกันเลยหรอกหรือ...


บัณฑิตหนุ่มอนาคตไกลที่ตั้งเป้าหมายไว้ในใจจึงทำได้เพียงผ่อนลมออกปลายจมูก ความอัดอั้นในใจนี้ยากเกินจะบรรยายยิ่งนัก หากปัญหาคาราคาซังนี่ยังยืดเยื้อไม่เลิกรา ถึงที่สุดเขาคงตัดใจเลือกไม่เดินทางสายนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวด


คุณชายสกุลหรูเดินผ่านโรงเตี๊ยมเดิมที่พวกตนชอบมาก็เห็นเสี่ยวเอ้อร์กำลังเก็บกวาดเช็ดถูอยู่ เด็กหนุ่มคิดอะไรออกได้ในสมองก็เดินตรงไปทักทายคนดูแลโรงเตี๊ยม ก่อนขอแวะซื้อของอะไรบางอย่างติดตัวแล้วตั้งหน้าตั้งตาออกเดินไปยังทิศตะวันตกของเมืองในทันที



ทางทิศประจิมของตัวเมืองนั้นห่างออกมาเป็นพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา มีแม่น้ำสายใหญ่ทอดตัวไหลผ่านจากทางเหนือจรดใต้จากหัวเมืองหรืออำเภอต่างๆ ก่อนไหลกลับเข้าทางทิศบรูพาอันเป็นที่ตั้งของเมืองกูจาง ทำให้ดินแถวนี้อุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่บริเวณอื่นของเมือง เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ยิ่งนัก อีกทั้งทิวทัศน์รอบข้างยังแวดล้อมไปด้วยป่าสนที่ขึ้นคลุมอาณาเขตบริเวณนี้จนเขียวชอุ่ม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดก็ห่างออกไปเกือบหนี่งลี้ ดังนั้นพื้นที่บริเวณนี้จึงเงียบสงบมากยิ่งนัก


คุณชายสกุลหรูขี่ม้าที่ตนไปเช่ามาจากในตัวเมืองออกมาเดินเลียบเคียงกับแถวริมแม่น้ำ คอยให้เจ้าม้าเล็มต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ ตามทาง เด็กหนุ่มรู้สึกหัวสมองตัน เลยคิดอยากออกมาสูดอากาศแถวนี้เสียหน่อย


จับจูงเจ้าม้าน้อยมาได้ไม่ไกลจากริมแม่น้ำ หรูฟู่เชิงก็เจอศาลาชมจันทร์หลังนึงถูกสร้างเอาไว้อยู่ คงสร้างเอาไว้ใช้สำหรับนักเดินทางที่สัญจรเดินทางผ่านไปผ่านมาได้แวะพักหรือสำหรับใครที่อยากพักผ่อนชมทิวทัศน์ดื่มด่ำบรรยากาศได้มาใช้งานกัน ซึ่งวันนี้แขกของศาลาชมจันทร์ก็เป็นคุณชายสกุลหรูนั่นเอง


หรูฟู่เชิงในชุดแพรสีฟ้าอ่อนขยับผูกเจ้าม้าตัวน้อยเอาไว้กับเสาต้นนึงของศาลาชมจันทร์ เรือนร่างของเขานับว่าไม่ใช่คนผอมบางอ่อนแอ แต่ก็มิได้มีกล้ามเนื้อหนาดั่งเช่นผู้ฝึกยุทธหรือเหล่าทหาร แค่นับว่าปราดเปรียวระหงเสียมากกว่า ผิวพรรณขาวดุจหิมะในแรกรุ่นทำให้ในหลายๆ คราชอบมีผู้คิดว่าเขาเป็นเพียงบัณฑิตไม่เอาอ่าว ทำอะไรไม่เป็นนอกจากจับตำราและเขียนอักษร ซึ่งมันก็ไม่ผิดเท่าใดนัก


ทั้งชีวิตของเขานับตั้งแต่รู้ความ หรูฟู่เชิงก็ถูกพร่ำสอนด้วยคำสอนสั่งที่ว่าให้ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเล่าเรียนศึกษา อีกทั้งเกิดมาในตระกูลของอดีตแม่ทัพที่เป็นผู้ดูแลเมืองกูจางแห่งนี้ ถึงเป็นเมืองเล็กๆ ทางชายแดนแต่ก็นับว่าสำคัญเพราะเป็นหน้าด่านแรก ดังนั้นทั้งวินัย ความเข้มงวด การปฏิบัตตัวตามครรลอง หรือกฏสกุลต่างๆ หรือแม้แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีล้วนบ่มเพาะอบรมให้เขาเติบโตมาเป็นคนเช่นนี้


แม้นในยามที่อยากไต่ถามหาถึงเหตุผล อยากโต้เถียงถึงข้อเท็จจริง อยากเอาเหตุผลต่างๆ มากองไว้ตรงหน้าดั่งถมทะเล แต่ผืนน้ำไม่อาจถมจนเห็นแผ่นดินได้ฉันท์ใด การโต้เถียงกับผู้ใหญ่กว่านั้นย่อมทำไม่ได้สำเร็จด้วยฉันท์นั้น


อาจเพราะด้วยคำว่า บุพการี ที่ค้ำอยู่เหนือศีรษะจนบางครั้งเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนดั่งมีโซ่มาร้อยรัดเอาไว้ให้ขยับไปไหนไม่ได้ จนรู้สึกอึดอัด บางคราที่ทะเลาะแล้วผู้เป็นพ่อเสียงดังแล้วโวยวายไม่ฟังเด็กหนุ่ม เขาทั้งโกรธทั้งโมโหจนตัวสั่นแต่กลับทำได้เพียงแค่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา เพราะเขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น


มิใช่ว่าเขามิรักมิเข้าใจบิดาของตน ทุกคนย่อมรักพ่อแม่กันทั้งนั้น หากแต่มีมุมเล็กๆ มุมนึงที่แอบคิดว่า หากผู้เป็นพ่อฟังเขาให้มากกว่านี้คงจะดี



สวบซาบ!


เสียงแหวกพงหญ้าดังขึ้นมาจากทางด้านนึงของทิวป่าสนดึงความสนใจของคนที่กำลังคิดอะไรเพลิดเพลินให้หันไปมอง เด็กหนุ่มในชุดแพรสีฟ้าอ่อนวางไหกระเบื้องเคลือบไว้ที่มุมนึงของศาลา ในทีแรกเขาคิดว่าเป็นเสียงของสัตว์ป่าแถวนี้คงเผ่นพ่านเดินผ่านไปผ่านมาเลยไม่ได้คิดจะสนใจ หากไม่ได้ยินเสียงด่าทอตบตี ก่อนเสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรีนางนึงจะดังแว่วมา


คุณชายสกุลหรูผุดลุกขึ้นเดินไปตามทิวสนที่บังสายตา เดินเลาะริมน้ำไปยังต้นทางของเสียงที่ได้ยินมา รองเท้าผ้าที่ถูกตัดเย็บขึ้นมาก้าวย่างไปตามริมแม่น้ำเรื่อยๆ อย่างทุลักทุเลเพราะสภาพโดยรอบเป็นทั้งดินและโคลนทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่รวดเร็วนักเพราะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ตนเองลื่นหล่นตกน้ำไปเสียก่อน ไหนจะก้อนหินก้อนดินริมแม่น้ำนี่อีกเล่า ถ้าล้มขึ้นมาคงได้แผลเป็นแน่ หากแต่ดวงตากลมยังคงสอดส่ายหาเสียงขอความช่วยเหลือนั้นพลางเงี่ยหูฟังไปด้วย


ฝ่ามือชื้นเหงื่อโผล่พ้นชายเสื้อนั้นกอบกุมท่อนไม้ท่อนนึงเอาไว้แน่น ในอกเต้นสั่นระรัวจนอยากยกเอามือมาทาบไว้แต่ว่าก็ต้องเตรียมพร้อม เพราะถ้าหากเสียงนั้นเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจริงๆ ล่ะเขาจะทำเช่นไรดี?


ลำพังตัวคนเดียวบัณฑิตหนุ่มผอมแห้งแรงน้อยเช่นเขาไม่น่าสู้ใครได้เป็นแน่เพราะถ้าหากอีกฝ่ายเป็นโจรหรือมีอาวุธครบมืออยู่ล่ะก็


แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ฟังจากเสียงนั้นเป็นผู้หญิง ผู้ที่เกิดมาเป็นบุรุษเช่นเขาถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำนิ่งเฉยดูดายปล่อยสตรีโดนทำร้ายร่างกายไปได้


หรูฟู่เชิงยังก้าวเดินตามริมแม่น้ำเลาะทิวสนไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้มากขึ้นเสียงด่าทอนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเสียงดังอึก กระชับท่อนไม้แห้งในมือตัวเองไว้แน่นขึ้นจนกล้ามเนื้อเกร็ง เส้นเลือดข้างขมับกระตุกยิ่งกว่าการทดสอบใดในชีวิตเสียอีก เด็กหนุ่มเตรียมพร้อมกะโผล่ออกไปทันทีที่พ้นจากต้นไม้ใหญ่


ในหางตาเด็กหนุ่มเห็นร่างสองร่างกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา คนนึงเป็นหญิงสาวอีกคนเป็นชายฉกรรจ์หน้าตาดุดันกำลังตรงเข้าบีบด้านหลังคอคล้ายจะจับหญิงผู้นั้นกดน้ำ


เขาคิดว่าจะอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายยังไม่ทันระวังตัว จะฟาดไอ้โจรนั่นให้มึนงงแล้วคงรีบพาผู้หญิงหนีเอาตัวรอดก่อน!


อย่างน้อยก็ดีกว่าปะทะกันซึ่งๆ หน้าก็แล้วกัน...


หากจะตีต้องให้ตายในคราเดียว


เห้ย! เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนปะทะกับต้นคอขาวทำให้เด็กหนุ่มเสียจังหวะจากการหลบซ่อน สะดุ้งจนกระโดดทั้งตัวเกือบเอาท่อนไม้นั่นมาตีหัวคนที่ลอบมาอยู่ข้างหลังตัวเองแทน แต่พอหันหน้ามาเห็นว่าเป็นใครก็ร้องเสียงดังลั่นป่าจนฝูงสกุณาผวาบินร่อนเต็มผืนฟ้า


เท้าที่เหยียบก้อนหินก้อนนึงเกิดพลาดพลั้งคงเพราะอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำทำให้มีตะไคร่เกาะกุมแวดล้อมโดยรอบ สถาพหน้าดินเปียกชื้นแฉะจนกลายเป็นโคลนทำให้หินก้อนที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ลื่นผิดปกติ ร่างขาวในชุดผ้าแพรจึงเสียการทรงตัวในทันทีหงายหลังล้มลงกับแม่น้ำเสียงดังตูมเบ้อเร่อ


คนร้ายที่หมายใจจะกระทำการอุกอาจสะดุ้งเมื่อเห็นว่ามีผู้อื่นเข้ามาแทรกแทรง หันกลับมาจ้องเหยื่อด้วยสายตาอาฆาตแค้นสบถเสียงดังก่อนปล่อยมือแล้วอาศัยความกว้างใหญ่ของทิวสนวิ่งหลบหนีไป


เงาร่างสูงใหญ่เหลือบสายตาไปมองหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่ตอนนี้ปลอดภัยดีลุกขึ้นมานั่งไอโขลกอยู่ริมฝั่งน้ำแว่บนึง ก็ผินหน้ากลับมามองเด็กตัวขาวตรงหน้าตัวเองที่ล้มก้นจ้ำเป้าลงไปเปียกปอนเสียครึ่งตัวที่ริมแม่น้ำแทน สายตาคมนั่นคล้ายจะเวทนาสงสารอยู่ก็ไม่ปาน


สภาพดูไม่ได้เลยจริงๆ


ยะ..หยางเกอเกอ!! ” หรูฟู่เชิงเบิกตาค้าง เมื่อคนที่ไม่คาดคิดจะมาโผล่อยู่ที่นี่ตอนนี้


บุรุษผู้สวมใส่ชุดผ้าแพรสีขาวเอาไว้ตลอดเวลาแม้นอยู่หรือไม่ในสำนักศึกษายังคงวางสีหน้าเมินเฉยได้คงเส้นคงวา หยางเถิงเหลือบมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระเรียนขาวสง่างามแห่งกูจางที่ล้มก้นจ้ำเป้าอยู่ในแม่น้ำแล้วก็ส่ายหน้า ดูอย่างไรก็ไม่มีเค้าความจริงนั้นหลงเหลืออยู่เลยในความคิดของเขา


หรูฟู่เชิงที่ยังคงนั่งแช่น้ำทำตาปะหลับปะเหลือกรับสายตาจากคนบนฝั่งที่มองมาด้วยความเวทนาแล้วกระดากอายในใจยิ่งนัก


เมื่อคุณชายหรูคิดได้ก็รีบตะโกนบอกอีกฝ่าย “มีแม่นางจะโดนทำร้ายขอรับ ท่านรีบไปช่วยนางก่อน!” เด็กหนุ่มชี้ไปทางริมแม่น้ำอีกด้านหลังต้นสนใหญ่ที่ตนใช้แอบเมื่อครู่สีหน้าลุกลน


หากแต่คนตัวสูงใหญ่ไม่ตอบรับอะไร เพียงแต่ส่งท่อนไม้ยาวๆ ลำนึงมาทางเขา ยืนถือค้างอยู่อย่างนั้นจนหรูฟู่เชิงที่นั่งงงกับท่าทีของอีกฝ่าย พอเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องมองมาราวกับบอกให้เขารีบจับไม้นั่นเร็วๆ แล้วคิดได้ก็รีบคว้าท่อนไม้อันนั้นไว้ทันที ก่อนคนที่อยู่บนฝั่งจะออกแรงดึงฟู่เชิงขึ้นจากแม่น้ำ หากทว่าคงดึงแรงไปหน่อย เด็กที่เพิ่งขึ้นจากน้ำมาเลยเซถลาตามแรงลม พุ่งเข้าสู่อ้อมอกใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว


ท่อนแขนหนาโอบรับประคองเอวบางเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี วงแขนกว้างกระชับร่างกายเขาสองคนให้แนบสนิทมากขึ้น พอให้ความเปียกชื้นไล่ซึมผ่านเนื้อผ้าสองสีจนแทบแยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นผู้ที่ตกน้ำลงไปกันแน่


ไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายที่ใกล้ชิดกันทำให้คนที่เปียกชื้นจากกระแสน้ำเย็นเกิดอาการร้อนวูบวาบทั่วร่างกาย ลามไปจนถึงใบหูขาวที่สีซีดจางลงจากการแช่น้ำเย็นนั้น บัดนี้สายตาของผู้ที่ประคองเจ้าของร่างนั้นเอาไว้เห็นมันเปลี่ยนเป็นสีแดงปลั่งดั่งกลีบดอกเถาฮวาไปเสียแล้ว


ลมหายใจพัดผ่านคลอเคลียใบหน้าพาให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ดวงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น


ขอโทษขอรับ” หรูฟู่เชิงคิดว่ากิริยาอาการของเขาสองคนมันแปลกๆ เลยรีบผละตัวออกอย่างรวดเร็วดั่งต้องไฟ


ท่านอาจารย์หนุ่มแห่งตงฝางเคลื่อนมือที่เมื่อครู่จับจองเอวบางของอีกฝ่ายค้างเอาไว้ลงช้าๆ ใบหน้าเยือกเย็นไร้อารมณ์ไม่กล่าวอันใดเพิ่มเติม ผละหนีเดินไปที่ริมน้ำอีกฝั่ง ทิ้งระยะให้คนที่เพิ่งขึ้นจากน้ำได้หายใจหายคอบ้าง เดี๋ยวจะหัวใจวายเสียก่อน


สุดท้ายคนทั้งสามพากันมานั่งหลบพักอยู่ที่ศาลาชมจันทร์อยู่พักใหญ่ สอบถามจนได้ใจความว่าแม่นางผู้เคราะห์ร้ายมีนามว่า ‘จ้าวรุ่ยเสีย’ เป็นสาวรับใช้อยู่คฤหาสน์ของคหบดีคนนึงในตัวเมืองกูจาง หยางเถิงที่ยืดกอดอกพิงเสาศาลาชมจันทร์อยู่มองบทสนทนาตรงนี้นิ่งๆ ตามนิสัย ไม่ปริปากพูดจาอันใดกับหล่อน มีเพียงบัณฑิตหนุ่มน้อยที่ดูเป็นห่วงเป็นใยแม่นางจ้าวมากยิ่งกว่านางห่วงตัวเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายพูดจ้ออยู่คนเดียว


“ข้าว่าแม่นางจ้าวไปแจ้งอำเภอไว้ก่อนดีรึไม่ อย่างไรก็ถูกทำร้ายร่างกายเช่นนี้” หรูฟู่เชิงเป็นห่วง


เพราะจากที่เห็นตอนนี้ แม่นางมีรอยบอบช้ำบนใบหน้าหลายจุด คาดว่าคงโดนคนชายผู้นั้นทำร้ายร่างกายมา ส่วนสาเหตุนางกลับไม่ยอมเปิดปากเล่าอันใด เอาแต่กล่าวขอบคุณคุณชายทั้งสองที่ช่วยชีวิตของนางเอาไว้ ยิ่งเมื่อทราบว่าหรูฟู่เชิงเป็นบุตรชายของท่านแม่ทัพหรู หญิงสาวกลับยิ่งรีบบอกลา แล้วเดินหายไปในทิวป่าสนทันที


“มันแปลกๆ ว่ามั้ย?” คุณชายสกุลหรูที่ตัวยังเปียกชื้นหันมามองร่างสูงอย่างขอความเห็น เรียวคิ้วขมวดมองตามแผ่นหลังเล็กที่หายไปตามแนวชายป่าไป มันแปลกจริงๆ นะ


ต่อรีพลายล่างนะครับ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 22-12-2019 13:23:23
หยางเถิงไม่ตอบอะไร ร่างสูงเพียงถอนหายใจใส่หน้าเด็กหนุ่มก่อนทำท่าจะเดินหนีไป หากแต่มือขาวกลับรีบคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ออกแรงยื้อเบาๆ แล้วกระตุกตามชายผ้า ตาคมหันกลับมามองไออุ่นที่ข้อมือตัวเองแล้วก็เบนหน้าขึ้นมามองฟู่เชิงแทน พอเด็กตัวขาวเห็นสายตาเย็นชาจากอีกฝ่ายก็สะดุ้งตัวน้อยๆ รีบปล่อยมือออก


“ท่านรีบรึเปล่า..”


เปล่งคำถามกับร่างสูงใหญ่ก่อนยกไหกระเบื้องเคลือบให้อีกฝ่ายดูแล้วคลี่ยิ้มจนดวงตาหยีปิดเป็นดั่งเสี้ยวพระจันทร์ที่เริ่มทาบทับอยู่บนเส้นขอบฟ้า


“หอชมจันทร์แห่งนี้นับว่าทิวทัศน์งดงามเป็นเลิศที่สุดในเมืองกูจาง”


หยางเถิงยังคงยืนแผ่นหลังตั้งตรงสง่างามเอามือไขว้หลังจ้องลึกลงไปในตาอีกฝ่ายราวกับกำลังค้นหาคำตอบ


“ข้าได้สุราดอกท้อมาสองไห เกรงว่าคนเดียวคงจักถมลงแม่น้ำไม่หมด”


สุดท้ายหรูฟู่เชิงก็มีเพื่อนร่วมร่ำสุราดอกท้อเพิ่มมาอีกหนึ่งคน



“..ช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครึ่งชั่วยามได้มั๊ย..”




นับว่าไหสุราที่นำติดตัวมาไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวนัก วิวทิวทัศน์รอบๆ ศาลาชมจันทร์ในยามอาทิตย์อัสดงนั้นสวยงามราวกับภาพวาดจากสรวงสวรรค์แต่งแต้มก็ไม่ปาน เมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า แสงสีทองก็ฉาบเคลือบผืนน้ำทั้งสายทอดยาว ผิวน้ำค่อยๆ กระเพื่อมไหลเอื่อยทอแสงแวววับดั่งเกล็ดของพญามังกร ดูแล้วเพลินตาเพลินใจยิ่งนัก


เด็กหนุ่มรินสุราให้กับผู้อาวุโสที่อายุมากกว่าตนเป็นจอกที่สามก่อนส่งให้ “ข้าจำได้ว่าคราวที่แล้วที่พวกข้าเมาจนไม่ได้สติ ได้ท่านช่วยจัดการดูแลพวกข้าทุกคน เหล่าศิษย์ใหญ่น้อยฝากมาขอบคุณท่านเหวินซือฝูกันด้วย” เด็กหนุ่มยกจอกสุราแทนคำคารวะ


คราวนี้เหล้าที่หรูฟู่เชิงได้มาเป็นเพียงสุรารสอ่อนๆ หอมหวานนุ่มนวลดั่งกลีบดอกเถาฮวาตามชื่อของมัน ทำให้คนที่คออ่อนคอพับนั้นสามารถลิ้มรสความหวานนี้ได้อย่างไม่กลัวเมามายเท่าใดนัก


มือขาวกำลังจะยกจอกสุราเข้าปากแต่เสียงเข้มก็พูดขึ้นดักคอไว้ก่อน


“หากวันนี้เมาข้าจะทิ้งเจ้าลงแม่น้ำ”


คนที่โดนหมายหัวยิ้มแห้ง “ว่าแต่วันนี้ เหวินซือฝู มาทำอะไรแถวนี้หรือ”


สรรพนามการเรียกที่เปลี่ยนไปทำให้เจ้าของนามหันมามองใบหน้าของอีกฝ่าย “จำอะไรได้บ้าง”


“ขอรับ?”


น้ำเสียงเย็นเยียบไม่ต่างกับสายน้ำที่หรูฟู่เชิงกระโดดลงไปนั้นกล่าวขึ้น “วันนั้น จำอะไรได้บ้าง


เด็กหนุ่มรับฟังแล้วเหยียดยิ้ม “คราวที่แล้วข้าน้อยไม่สำรวมปล่อยปละละเลยตัวเองไปมาก ความทรงจำก็เลือนราง หลงๆ ลืมๆ หากเผลอกระทำล่วงเกินไป ขอท่านซือฝูอภัยด้วย” สองมือขาวประสานกันยกคำนับเสมือนกับกำแพงเมืองกันข้าศึก คำปฏิเสธเรื่องราวทั้งหมดดั่งคนตรงหน้ากำลังสร้างป้อมปราการระหว่างตนเองกับผู้ที่นั่งฟังเช่นเขาขึ้นมา


หยางเถิงเบือนหน้าหนีไม่จ้องมองอีกฝ่าย ทิ้งสายตาลงกับผืนน้ำทอดยาวให้มันไหลเอื่อยพัดพาความคิดเขาไป ‘เกิดอันใดขึ้น?


คุณชายสกุลหรูเห็นผู้เป็นอาจารย์เงียบไปนานก็เอ่ยเสียงขึ้นมา “แต่อย่างน้อยข้าก็จำได้ว่าข้าแก้ปริศนาของท่านได้แล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวยิ้มพลางทำสายตาเป็นประกาย


คนฟังผินหน้ากลับมาฟังอีกครั้ง เด็กตัวขาวเห็นดังนั้นเลยรีบพูดต่อ “กลอนจากคัมภีร์สามอักษรที่ท่านพูดขึ้นตอนนั้น”


หนึ่งถึงสิบ


สิบเป็นร้อย


ร้อยเป็นพัน


จากหนึ่งพันจึงนับเป็นหมื่น



หรูฟู่เชิงท่องอักษรทั้งหมดกล่าวจบก็อมยิ้มส่งให้คนหน้าตาย “ท่านตั้งใจกล่าวเตือนข้าใช่รึไม่”


“มิใช่”


“ท่านคิดว่าข้าจะหลงในคำสรรเสริญพวกนั้นจนเหลิงใช่รึเปล่า”


“ไม่” ผู้ร้ายปากแข็งยังคงกล่าวปฏิเสธ แต่คนฟังผินใบหน้ามองแสงสุดท้ายของวันที่ค่อยๆ จางหายไป


“หนึ่งถึงสิบ หนึ่งเดียวจากทั่วทั้งสิบทิศ สิบสำนักศึกษาในเมืองกูจางนั้นรวมได้ถึงกลายเป็นหยวนสือ (2)  จากร้อยอำเภอจึงนับเป็นมณฑล พอผ่านเซี่ยงสือ (3) แล้วนับได้ว่าคนผู้นั้นเป็นคน” บัณฑิตตัวขาวตั้งใจอธิบายความคิดตนเองต่อไป “จากหลายร้อยคนเรือนหน้าได้เป็นฮุ่ยสือ (4) หรือกล่าวก็คือบัณฑิตผู้ที่จะเข้าสอบ จากบัณฑิตอีกพันคนทั่วทั้งแว่นแคว้นแล้วจึงได้เป็นจิ้นสือ (5)


หยางเถิงหันกลับมามองกระเรียนขาวแห่งกูจางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป


“ท่านจงใจใส่กวีเหล่านี้ลงในข้อสอบของสำนักเมื่อคราวที่ผ่านมา” หรูฟู่เชิงพูดพลางผินหน้ามองสายน้ำไหล แสงอาทิตย์อัสดงอาบไล้ตามวงหน้าหวานทำให้ละมุนตามากขึ้นยิ่งนัก สายลมหอบนึงหวนเอากลิ่นอายของสายน้ำขึ้นมาปะทะใบหน้าอีกทั้งทำให้ชายผ้าแพรขาวนวลที่ใช้ผูกผมของอีกฝ่ายปลิวไสว ภาพตรงหน้าทำให้หยางเถิงหยุดมอง


ดั่งจิตรกรรมจากฝีพระหัตถ์ของประมุขสวรรค์มีชีวิตอยู่ตรงเบื้องหน้าเขาแล้ว


“คราแรกข้านึกว่าท่านจงใจแกล้งเพื่อทดสอบความจำว่าจะมีผู้ใดจดจำกลอนท่านได้รึไม่” คุณชายหรูหมายถึงตอนที่อีกฝ่ายท่องบทกวีนี้ครั้งแรกในโรงเตี๊ยมแล้วพวกเขาเกือบจะมีเรื่องกัน เด็กหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงจงใจใส่มาแกล้งเหล่าศิษย์ของสำนักให้รู้สำนึก


“หากแต่ว่าจากทุกสิ่งที่ท่านกระทำ ถึงแม้ปากจะบอกลงโทษ แต่ท่านเห็นว่าน้อยคนในสำนักที่จะใส่ใจเรียนรู้คัมภีร์สามอักษรเหล่านี้ เพราะด้วยมันเป็นคัมภีร์ที่ง่ายดายมีเพียงสามอักษร ทำให้ส่วนใหญ่มองข้ามข้อนี้ไป”


เด็กตัวขาวพูดพรรณนา พลางยกจอกสุราขึ้นดื่มเพื่อเชยชมกลิ่มหอมหวานของมัน


“คนมักไปสนใจแต่หนังสือทั้งสี่ที่จัดเป็นคัมภีร์ขั้นสูง หากแต่ว่าในการทดสอบขั้นแรกเพื่อเป็นหยวนสือให้ได้นั้น ข้อสอบมักกล่าวอ้างถึงหลักการพื้นฐานในการใช้ชีวิต ศีลธรรม รวมไปถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ จากคัมภีร์เล่มนี้ ท่านจึงจงใจสั่งลงโทษไปแบบนั้น”


“นิทานของเจ้าสนุกดี” ผู้ยอมรับคำก่นด่าสาปแช่งจากบรรดาเหล่านักเรียนตัวน้อยเหม่อมองสายน้ำเงียบๆ ดุจห้วงน้ำนิ่งไหลลึกที่ไม่มีการเคลื่อนไหว


กระเรียนขาวแห่งกูจางยกมือขึ้นคำนับ บนบ่าคือความรู้สึกที่ตนเห็นแววตาเป็นประกายของทุกคนแบกเอาไว้ “พวกศิษย์มีความหวังว่าตัวเองจะสอบผ่านหยวนสือได้เพราะท่านแท้ๆ”


หยางเถิงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ


ทุกอย่างที่เด็กคนนี้กล่าวมาล้วนถูกต้อง เขาจงใจสั่งให้ศิษย์ทั้งสำนักคัดและท่องจำคัมภีร์เหล่านั้นให้ขึ้นใจจริงๆ ในคราแรกที่พบกับเหล่าศิษย์ใหญ่น้อยด้วยความบังเอิญนั้น เขาได้ยินเหล่าคุณชายสรรเสริญเยินยอกระเรียนขาวแห่งกูจางซ้ำยังดูถูกกดดันตัวเองตลอดเวลา บางคนสอบมาหลายปียังไม่ผ่านแม้แต่ขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ


ไม่เคยรู้เลยว่ากลอนบทนี้อยู่ในคัมภีร์เล่มใด จะมีก็เพียงเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาเท่านั้นที่มองออก มองทุกการกระทำของเขาออกหมด...


หยางเถิงเลิกคิ้วเข้มขึ้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”


เอ่ยถามเมื่อเด็กสกุลหรูยกจอกสุราขึ้นติดกันอีกเป็นหนที่สาม


“แค่อยากร่ำสุราชมดอกไม้เป็นเพื่อนท่านเฉยๆ” คนแก้ตัวตอบแล้วคลี่ยิ้มอ่อนแรง


“ถ้าเมาข้าจะโยนเจ้าลงแม่น้ำ” เสียงดุเอ่ยเตือน


หรูฟู่เชิงหัวเราะออกมาแผ่วเบาแต่กลับหนักอึ้งในจิตใจ “โยนเถอะ ท่านโยนข้าได้เลย”


เด็กหนุ่มแค่นยิ้มออกมา เขายกจอกสุราดอกท้อขึ้นมาลิ้มรสความหวานหอมที่ลอยมาเตะจมูกยามเมื่อดอมดม ก่อนดื่มด่ำรสชาติฝาดเฝื่อนแห่งชีวิตเมื่อน้ำเมรัยนั่นไหลผ่านลำคอลงไป


จากเพียงตอนแรกแค่หมุนจอกแก้วในฝ่ามือเล่นไปมา แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตนเพิ่งพูดคุยออกไปนั้น ความทุกข์อัดอั้นตันใจที่สั่งสมมาก็คล้ายดั่งเขื่อนแม่น้ำแห่งความรู้สึกพังทลายลง รู้ตัวอีกทีก็ยกไหสุราขึ้นกระดกดื่มเสียแล้ว


หยางเถิงเฝ้ามองกิริยาของคนตัวขาวเงียบๆ ไม่พูดอันใดออกมา รอบข้างตัวเงียบสงบจนได้เสียงน้ำที่ไหลกระทบกับโขดหิน หรือแม้แต่เสียงกระเพื่อมของผืนน้ำ ด้านในชายป่ามีเสียงของแมลงร้องบรรเลงดั่งวงดนตรีขับกล่อม ต่อเมื่อยามที่ใบหน้าเนียนดั่งหยกขาวนั่นงองุ้มเพราะสิ่งในมือหมดลงแล้วพลางมองหาไหสุราที่ยังเหลืออยู่ ฝ่ามือใหญ่ก็หยิบยื่นขวดกระเบื้องสีขาวพิสุทธิ์เคลือบกลิ่นหวานหอมในมือตนให้อีกฝ่ายรับไป


แววตาคมดุจห้วงนทียากหยั่งลึกตื้นยังคงจับจ้องคอยเฝ้ามองไม่ได้เลื่อนสายตาไปไหน หยางเถิงเพียงปล่อยให้เด็กตรงหน้าเขาจมดิ่งกับความรู้สึกไปก่อน


หากเมื่อใดที่อีกฝ่ายทุกข์ระทมจนตะเกียกตะกายไม่ไหว


เขาจะยื่นมือไปจับฝ่ามือคู่นั้นเอาไว้เอง


จะไม่ปล่อยมือคู่นี้ให้จมกับทุกข์นี้เพียงคนเดียวแน่นอน...




พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว มีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบนตกกระทบกับผืนดิน วันนี้เป็นวันที่พระจันทร์ดวงโตนั้นทอแสงสุกสว่างอยู่บนท้องฟ้าเต็มดวงสมบูรณ์ ดังนั้นพื้นปฐพีเลยได้อาศัยแสงนวลตานั้นเป็นแสงสว่างในการก้าวเดินนำต่อไปในค่ำคืนแห่งรัตติกาลเช่นนี้


ศิษย์เอกแห่งสำนักตงฝางบัดนี้หลับไปแล้ว


หรูฟู่เชิงปิดเปลือกตาสีมุกแนบสนิท


ร่างสูงใหญ่จับจูงเจ้าม้าสีน้ำตาลค่อยๆ เดินย่องไปตามทางกลับเมืองไม่ได้ใช้ความรวดเร็วดั่งเขาไม่ได้เร่งรีบอะไร ในลานสายตาคมเห็นกำแพงเมืองอยู่ลิบตา ใบหน้าคมคายหล่อเหลาดั่งพระพุทธรูปหยกสลักเหลือบมองดวงหน้าเยาว์วัยที่นอนหลับพริ้มพิงแผ่นหลังของตนเองอยู่แล้วก็หันกลับมาตั้งตรงมองไปข้างหน้าเช่นเดิม


หยางเถิงกำบังเหียนบังคับเจ้าอาชาสีหม่นให้เดินตรงทางอีกทั้งยังต้องนุ่มนวลด้วยความชำนาญ มือใหญ่ข้างที่ว่างคอยกอบกุมฝ่ามือขาวที่โอบรอบลำตัวหนาของตัวเองเอาไว้กันไม่ให้เด็กข้างหลังตกจากม้าไปเสียก่อน แสงสว่างจากพระจันทร์อาบไล้คนทั้งคู่เอาไว้ดั่งแสงของหิ่งห้อยในยามรัตติกาล ดูนุ่มนวลตาดั่งเทพเซียนสององค์ลงมาเล่นที่เมืองมนุษย์


ความเปียกชื้นที่ซึมอยู่ตรงแผ่นหลังบ่งบอกได้ดีว่าคนที่กำลังพักพิงไออุ่นของเขาอยู่นั้นกำลังรู้สึกเช่นไร


ผู้บังคับอาชาผ่อนฝีเท้าเจ้าม้าน้อยให้เดินช้าลงไปอีกเพื่อผ่อนปรนเวลาระหว่างพวกเขาอีกหน่อย ให้คนด้านหลังได้ต่อเวลาระบายความเศร้าใจออกมาอีกเพียงนิด


ไม่รู้ว่าเด็กตัวขาวคนนี้กำลังฝันถึงเรื่องอะไร


..หยางเกอ..ท่านท่องอะไร..” เด็กตัวขาวที่บัดนี้ไม่มีสติกล่าวขึ้นฝ่าความเงียบขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้ลืมตา


เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเสียงทุ้มที่ตนเคยได้ยินมาตลอดยามนี้มันนุ่มนวลดีจัง..รู้สึกอุ่นๆ เข้าไปถึงในใจของเขาเลย


‘...เมามายแล้วจึงรู้ว่าสุรานั้นฤทธิ์แรง


เคยรักแล้วจึงได้รู้ว่าความรักนั้นหนักหน่วง


เธอไม่อาจเขียนบทกวีของฉัน


เหมือนกับที่ฉันไม่อาจฝันความฝันของเธอ...’ (6)




TBC

_____________________________________________________________


(1) เถาฮวา (桃花) : ดอกท้อ

(2) การสอบระดับหยวนสือ (院試) : การสอบระดับต้นหรือระดับอำเภอ

(3) การสอบระดับเซี่ยงสือ (鄉試) : การสอบระดับกลางหรือระดับมณฑล คนที่สามารถเข้าสอบได้ต้องผ่านการสอบเป็นระดับหยวนสือ (การสอบระดับอำเภอ/จังหวัด) มาก่อนแล้วเท่านั้น

(4) การสอบระดับฮุ่ยสือ (會試) : การสอบระดับสูง จัดสอบในเมืองหลวง คนที่สามารถเข้าสอบได้ถูกเรียกว่า ก่งเซิ่ง(貢生)

(5) จิ้นสือ (進士) : คำเรียกบัณฑิตที่สามารถสอบผ่านระดับสูงมาแล้วจะมีโอกาสได้สอบรอบสุดท้ายต่อหน้าพระพักตร์ในพระราชวัง มีจำนวนราวๆ200คนต่อปี ในบรรดาจิ้นสือจะมีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ได้คะแนนมากที่สุด

(6) บทกวีของหูเส้อ 梦与诗 (1891 - 1962) : ความฝันกับบทกวี

_____________________________________________________________


เอาตอนที่ 5 มาส่งแล้วจ้าาาาาาา
ตอนนี้ปมอะไรเริ่มมาแล้วนะครับ ปูกันมาได้สักพักละ มาๆดำเนินเรื่องแล้ว
สำหรับพ่อคนที่เอะอะบอกจะโยนเขาลงน้ำบ้างล่ะ จะทิ้งบ้างล่ะ
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/22/iafy5l.jpg)
// ใดๆคือพี่เขาอบอุ่นนะ คนหรือไมโครเวฟเนี่ยหือพ่อออ


ยังคงต้องบอกว่าขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับโอกาสที่ทุกคนมอบให้เปิดใจอ่านนิยายเรื่องนี้
เป็นพีเรียดจีนเรื่องแรกเลย ไม่เคยแต่งมาก่อน งานหนักยากจริงๆ แต่เราสนุกกับเค้ามากๆ
เราเห็นเค้าโลดแล่นมีชีวิตจริงๆ อยากพาเค้าดำเนินเรื่องต่อๆไปจนถึงบทสรุป
พยายามถ่ายทอดพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดต้องขอบคุณคนอ่านทุกคน ขอบคุณทุกเมนต์จริงๆนะครับ
เวลาเหนื่อยๆเนี่ยมานั่งไล่อ่านคอมเมนต์แล้วกำลังใจก้อนโตมากอบอุ่นมาก ดีใจที่ได้เจอทุกคนนะครับฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วย
เจอกันตอนหน้าครับ
my Twitter @IndigomoonXii
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-12-2019 15:31:56
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-12-2019 16:02:50
ยังไงต่อเนี่ย
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-12-2019 22:45:12
ตามติดทุกฝีก้าวเลยสินะ ถึงได้รู้ว่าน้องอยู่ไหน ทำอะไร
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 24-12-2019 15:31:58
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 5 第五章 สุราชมจันทร์ | 22.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 25-12-2019 14:23:02
ฮือออ ดีมากเลยย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 6 第六章 สายธารในจิตใจ
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 28-12-2019 18:48:57

第六章
สายธารในจิตใจ



วันนี้เป็นวันจับจ่ายประจำสำนักการศึกษา


ในทุกๆ เดือน สำนักศึกษาตงฝางจะมีการจัดหาซื้อกระดาษ พู่กัน หมึก ตำรับตำรา ผืนผ้าต่างๆ อีกทั้งรวมไปถึงข้าวสารอาหารแห้งเข้ามาภายในสำนักเป็นการใหญ่จากตลาดภายในตัวเมือง โดยมีพ่อค้าและคหบดีผูกขาดสินค้าเหล่านี้เอาไว้อยู่แล้ว เพียงแค่ไปแจ้งจำนวนแก่เหล่าพ่อค้าเหล่านั้นให้รับทราบเท่านั้นเอง


“ซ่านเป่า ทำไมคราวนี้เหวินซือฝูถึงจะตามไปด้วยเล่า” กงจวี้จื่อใช้ไหล่กระแซะร่างขาวลอบซุบซิบเสียงเบา


“ถามไถ่ลำธารเจ้าหวังให้กลายเป็นภูเขาหรือ” คนตอบพยักเพยิดหน้าไปทางต้นร่างส่งๆ ไม่ได้หันไปมอง ความหมายของเด็กหนุ่มก็คือทำไมไม่ไปถามกับเจ้าตัวเขาเอาเอง หรูฟู่เชิงจรดพู่กันทวนรายการสินค้าอีกรอบ เขาต้องตรวจทานให้ดี ห้ามตกหล่นเสียหายไปแม้แต่อย่างเดียว


ไปเพื่อหาเรื่องตายหรือ? คุณชายสกุลกงตอบในใจพลางหันมามองเพื่อนตัวเองสะบัดพัดในมือสั่นรัวราวกับจุกอก ดวงตาตี่นั่นเบิ่งโตขึ้น สีหน้าเหมือนมีคำพูดอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำแต่ปากล้วนถูกอุดเอาไว้


ก่อนหลังคอเด็กหนุ่มจะเย็นวาบเมื่อรับรู้ถึงรังสีแช่แข็งจากแววตาหมื่นกระบี่ที่กำลังจ้องมองมาทางพวกเขาสองคนได้ในทันทีทันใด ถึงตัวจะห่างไปเกือบหนึ่งจิ้ง (1) แต่ความอำมหิตทางสายตาที่ส่งออกมานั้นไม่มีลดลงเลยแม้แต่น้อย


เด็กหนุ่มสกุลกงลอบกลืนน้ำลายเสียงดังอึก นี่ขนาดกราบเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันแล้วนะ อีกฝ่ายยังดูไม่มีทีท่าจะลดปราณสังหารเขาลงเลยแม้แต่น้อย มิรู้ว่าถ้าคิดแค้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วยแล้วล่ะก็ สงสัยท่านอาจารย์คงใช้สายตาทิ่มแทงกระซวกพุงเขาเสียจนกระอักเลือดตายไปเลยกระมัง...


คนที่โดนสายตาลอบสังหารอยู่อดยกมือมาลูบแขนภายใต้ชุดศิษย์สำนักศึกษาไม่ได้ เหมือนมันร้อนๆ หนาวๆ ราวกับโดนจับโยนลงธารน้ำแข็งก็ไม่ปาน ตัดสินใจเดินหนีให้ห่างสายตาท่านอาจารย์น้ำแข็งหมื่นปีเสียดีกว่า ทำให้ตอนนี้รอบตัวหรูฟู่เชิงไม่มีศิษย์คนไหนอยู่ใกล้ให้เด็กหนุ่มเรียกหาได้อีกเลย


กระเรียนขาวแห่งกูจางเงยหน้าขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวาเห็นแต่กองข้าวของทิ้งไว้ไร้ซึ่งเงาผู้คนก็ทำหน้ามึน ก่อนดวงตาของเจ้าวิหคเหมันต์จะตวัดมองเห็นร่างของตัวต้นเหตุที่นั่งกอดอกทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้นอยู่ตรงชานเรือนอักษร


ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยไร้ซึ่งมัดกล้ามเนื้อใดๆ ทำให้มีอารมณ์ปรากฏบนนั้น เด็กหนุ่มหันหน้าหนีทันทีเมื่ออีกฝ่ายเริ่มวางสายตามาไว้ที่เขา คนตัวขาวเบะปากจิ้มลิ้มกับแผ่นกระดาษตรงหน้า ก้มหน้าจดยุกยิกลอบนินทาอีกฝ่ายในใจบ้างว่า


มานั่งเป็นพระพุทธรูปแช่เย็นแบบนี้ใครจะกล้าอยู่เล่า!


การจัดซื้อเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อยดี ทั้งตำรับยา กระดาษ น้ำหมึก เหล่าลูกศิษย์ของตงฝางจะเป็นผู้นำกลับไปยังสำนักของตัวเองเป็นบางส่วน ทั้งหรูฟู่เชิงกับกงจวี้จื่อต่างยกม้วนกระดาษพู่กันและห่อยาเอาไว้กันคนละอย่างสองอย่าง มีเพียงก็แต่ร่างสูงใหญ่ที่สวมใส่อาภรณ์ไหมสีพิสุทธิ์ปักลายไก่เงินเอาไว้ผู้เดียวที่ไม่ได้ถืออะไรในมือกับใครเขา เพราะถึงอีกคนจะหิ้วก็คงไม่มีศิษย์หน้าไหนกล้ายื่นให้อาจารย์ตนรับไปถืออยู่ดี


“ไอ้หยา! ซ่านเป่า ห่อสมุนไพรของท่านอาจารย์หายไป” คุณชายสกุลกงโหวกเหวกขึ้นหลังจากทุกคนกลับถึงสำนักตงฝางเป็นที่เรียบร้อยแล้วกำลังตรวจนับข้าวของที่จัดซื้อมาอยู่


“ตรวจผิดรึเปล่า เจ้าลองหาดูอีกที” คุณชายหรูพยายามปลอบเพื่อนตนให้ใจเย็นลงก่อน


“ข้าหาแล้ว” ใบหน้ากลมแสดงสีหน้าวิตก คงเพราะถ้าหากผู้เป็นอาจารย์รู้ตนคงโดนด่าจนหูชา เหตุจากความไม่รอบคอบของตัวเอง ยิ่งเป็นยาสำคัญที่ผู้อาวุโสต้องใช้กินเป็นประจำแล้วด้วยยิ่งทวีคูณโทษทัณฑ์เข้าไปใหญ่ “ทำอย่างไรดี”


ผู้ที่รับผิดชอบภาระเริ่มมองหน้าพวกเดียวกันไปมา ต่างฝ่ายไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยอย่างไรเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น การจัดซื้อของเข้าสำนักแม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่ก็บ่งบอกถึงความรับผิดชอบของผู้กระทำ ยิ่งพอเป็นลูกศิษย์สำนักการศึกษาอย่างพวกเขาด้วยแล้ว การปล่อยปละละเลยเผลอเรอไม่คิดหน้าไม่เผื่อหลังยิ่งเป็นกฏต้องห้ามของสำนักตงฝางแห่งนี้เลยก็ว่าได้


ยิ่งของสำคัญอย่างยาสมุนไพรของเจ้าสำนักยิ่งถือว่าไม่ควรหละหลวมเช่นนี้


“เจ้าคอยรับหน้าอาจารย์เอาไว้” หรูฟู่เชิงตัดสินใจรับผิดชอบผลทั้งหมด


คนทำผิดรั้งข้อมือขาวเอาไว้ส่ายหน้าไม่ยินยอม “เจ้าจะบ้าหรือ!”


“อ๊ะ..ท่านเหวินซือฝูจะไปไหน” ดวงตาหวานดั่งกระต่ายป่าเหลือบเห็นทางว่าร่างสูงลุกเดินออกไปแล้ว


“ซื้อยา” ร่างสูงใหญ่ตอบแค่นั้นก็เดินหายออกจากเรือนอักษรไป ใบหน้าขาวเนียนดั่งหยกเม้มปากคิดคำนวนอยู่ครู่นึงในใจก่อนหันมากำชับงานกับคนที่เหลือแล้วรีบวิ่งตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปโดยเร็ว ทิ้งสีหน้าทุกข์ร้อนของสหายตนเองไว้เบื้องหลัง ปลอบประโลมอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตนจะรีบนำห่อยากลับมาให้แน่นอน


เด็กหนุ่มสกุลหรูวิ่งตามช่วงขายาวๆ ของผู้เป็นอาจารย์มาทันในที่สุด ร่างสูงเดินด้วยฝีเท้ารวดเร็วจนคนที่ตามมาเกือบเดินไม่ทันเพราะอีกฝ่ายก้าวเท้าเร็วเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน แต่กระนั้นผู้เยาว์วัยก็ไม่ได้เอ่ยปากพร่ำบ่นอะไร ก้าวตามแผ่นหลังกว้างนั่นไปเงียบๆ พยายามรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาให้ไม่มากไปน้อยไป เอาแค่พอดิบพอดี...


ความเร็วจากการเร่งฝีเท้าตามทำให้เด็กหนุ่มยั้งตัวเองไม่ทัน เดินไถไปเรื่อยๆ


นัยน์ตาหวานสีเปลือกไม้ที่เอาแต่จดจ้องเบื้องล่างพยายามเพ่งมองฝีเท้าอีกคนเพื่อก้าวให้ทันเลยไม่ได้คิดเผื่อใจจะระวังเมื่ออีกฝ่ายจู่ๆ หยุดเดินกระทันหัน!


ใบหน้าเนียนใสจุ้มปุ้กจมลงไปกับแผ่นหลังแข็งๆ ของอีกฝ่ายแบบไม่ทันตั้งตัว


เด็กตัวขาวผงะออกมาเอามือกุมจมูกที่บัดนี้แอบเจ็บเล็กน้อยจากแรงกระแทก เหลือบตามองคนที่สูงกว่าตนเองเกือบหกชุ่น (2) ก็เห็นว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างกำลังผินหน้ามองมาที่ตนเองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาแปลกประหลาด


พอตั้งใจพินิจดูอีกที ใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์นั่นยังคงเป็นแบบเดิมเหมือนราวไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นนอกจากเขาเดินเอาหน้าไปซุกแผ่นหลังอีกฝ่าย หรูฟู่เชิงคิดหาเหตุผลในใจก็ร้องอ้อขึ้นมา จงใจแกล้งข้านี่!


คนโดนลอบประทุษร้ายบ่นอุบอิบเสียงแผ่วตั้งท่าจะเดินต่อ สองมือขาวกุมจมูกป้อยๆ ลูบไปมาราวกับกลัวแท่งหยกตัวเองจะหักก็ไม่ปาน ในใจแอบบ่นท่านอาจารย์หนุ่มแห่งตงฝางไปไม่รู้กี่ร้อยตลบ เดี๋ยวหยุดเดินเดี๋ยวเดินเร็ว ไหนคืนนั้นจะยังแอบดีดเหม่งข้าอีก...


คิดอะไรเรื่อยเปื่อยมองฟ้ามองดินไปทั่วทิศ พลันดวงตากลมเห็นชายเสื้อคลุมตัวยาวปักดิ้นด้ายสีเงินในลานสายตาตัวเองนั้นไม่ได้ก้าวเดินตามมา อีกฝ่ายหยุดอยู่กับที่จนเด็กตัวขาวต้องหันกลับไปถาม


“เหวินซือฝู ท่านมีอะไร..”


เจ็บหรือ


ริมฝีปากหนาเม้มแน่น ดวงตาคมดั่งคลื่นสมุทรจับจองไว้ที่วงหน้าหวาน เห็นจมูกเล็กรั้นนั่นขึ้นสีแดงจางๆ คล้ายดั่งกลีบบุบผางาม มือแกร่งอยากจะขยับเลื่อนไปปลอบโยนแต่กลับนิ่งเฉย ทำได้เพียงหลุบสายตาลงมองเจ้าของร่างนั้นจากตรงนี้


“มะ..ไม่..ขอรับ” ดวงตาหวานล้ำเบิกโตขึ้น


...ข้าขอโทษ...


หรูฟู่เชิงคลายปลายนิ้วทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัวอย่างลืมตน เด็กตัวขาวรับสายตาอีกคนที่ใช้ทอดมองกันนั้นส่งมาให้ถึงตัวเองตรงนี้


แววตาคนตัวโตนั้นแผ่วเบาอ่อนโยนดั่งสายลมลูบไล้ปลอบประโลมความเจ็บปวดให้หายไป


ทั้งอ่อนหวานและนุ่มนวล ราวกับได้ยินเสียงอีกฝ่ายมากระซิบข้างหูพลางบอกว่า ‘ไม่เจ็บแล้ว’ อยู่ก็ไม่ปาน


เด็กตัวขาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างประหลาดจนเจ้าตัวยังไม่อาจรับรู้ถึงอาการผิดปกติของตัวเองได้ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายขอโทษสิ่งใด แต่หัวใจคนฟังกลับอบอุ่นราวกับได้ผิงไฟท่ามกลางสายลมหนาวในฤดูเหมันต์ขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่มีสาเหตุ


สุดท้ายได้แต่ยกมุมปากขึ้นมาประดับใบหน้าเอาไว้ ปล่อยหัวสมองไปไม่ต้องคิดหาเหตุผล


รู้แค่ว่าเขาอยากยิ้มก็พอ...


เรียบเรียงคำพูดในหัวตัวเองเสร็จหรูฟู่เชิงก้าวเท้าขึ้นเคียงร่างสูงไปต่อ หากคราวนี้เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้เร่งฝีเท้าอย่างเช่นเคย ทั้งสองเพียงแค่เดินในระยะที่เท่ากันไปตลอดทาง ไม่มีใครเร่งไป ไม่มีใครช้าเกิน


เมื่อเท้าคู่นึงก้าวไปข้างหน้า อีกคนเพียงแค่เดินตามไปด้วยท่วงท่าปกติ มิต้องวิ่งเร็วหรือผ่อนปรนเพื่อให้ทันกัน แค่เดินเคียงกันไปเรื่อยๆ เท่านั้น


สองร่างต่างความสูงทอดน่องจนมาถึงร้านขายยาของสกุลเจิ้ง ซึ่งตระกูลแห่งนี้นั้นทำการค้ายาสมุนไพรรวมไปถึงใบชาจากต่างแคว้นต่างเมือง นับว่าเป็นอีกตระกูลนึงที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองกูจางเลยก็ว่าได้ ตำรับยาโบราณ สมุนไพรหายาก สมุนไพรพื้นฐาน ใบชาชั้นดีล้วนมาจากแหล่งการค้าใหญ่ของเมืองคือบ้านสกุลเจิ้งนั่นเอง


ยังไม่ทันจะก้าวเข้าอาณาเขตร้านขายยา เด็กหนุ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังออกมาถึงบริเวณริมถนน คนทั้งสองมองหน้ากันทันทีเมื่อรู้ว่าต้นตอนั้นมาจากไหน ศิษย์ตัวขาวรีบรุดหน้าวิ่งเข้าไปดูก่อน


พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือ! ” คุณชายสกุลกงยืนอยู่ตรงกลางลานบ้านที่ใช้เปิดเป็นร้านขายยาแววตาดุดันฉุนเฉียวประกาศกร้าว


เบื้องหน้าลูกศิษย์สำนักตงฝาง มีห่อยาจำนวนมากหล่นกระจายอยู่เต็มพื้น คนตัวขาวที่รุดเข้ามาเห็นสภาพดังกล่าวก็กวาดตาไปทั่วๆ ก่อนสบเข้ากับยาห่อนึงที่หุ้มด้วยกระดาษไม้จันทร์ถูกฉีกกระจายออกจนเห็นของข้างในเละเทะ พลางรับรู้ได้ว่านั่นคือห่อยาพิเศษของท่านอาจารย์ตน


“เกิดอะไรขึ้นจวี้จื่อ ข้าบอกให้เจ้ารอที่สำนักมิใช่หรือ” หรูฟู่เชิงถามเพื่อนตน


เจ้าของชื่อหันมามองเมื่อเห็นเป็นสหายตนก็รีบตอบ “ซ่านเป่า! ไอ้พวกหน้าไม่อายพวกนี้ มันคิดจะโกงเรา!” คุณชายสกุลกงมองกราดไปยังชายชกรรจ์พร้อมเหล่าลูกน้องในร้านอย่างไม่เกรงกลัว


“ข้าเป็นห่วงพวกเจ้าเลยรีบตามมา คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงร้าน ได้ยินคนถ่อยพวกนี้คุยกันว่าหลอกขายตัวยาพิเศษให้


บัณฑิตโง่เง่าไปคนนึง แถมยังจงใจชนข้าให้ล้มแล้วหยิบห่อยาแอบเอามาไว้ขายต่อ” กงจวี้จื่อคำรามในลำคอ เพราะตอนที่เด็กหนุ่มซื้อข้าวของนั้นมีห่อยาหลายอย่างเต็มมือจนถือไม่ไหว และโดนชนเข้าจริงๆ แต่ไม่ทันระวังและตรวจสอบให้ดี


มารู้ภายหลังว่าห่อยานั้นโดนขโมยกลับไปขายต่อก็สายไปเสียแล้ว


“พูดแบบนี้พวกเจ้าคงไม่อยากกลับไปดีๆ” เป็นคนรูปร่างบึกบึนล่ำสันก้าวขึ้นมากดดันคุณชายทั้งสอง


กงจวี้จื่อดันร่างเล็กของเพื่อนตนหลบด้านหลัง “ข้าไม่กลับ! พวกเจ้ามันขี้โกง หน้าด้านไร้ยางอาย ข้าจะไปป่าวประกาศให้คนทั้งเมืองรู้กันทั่ว” พูดเสียงดังสวนกลับไป


“พี่ชาย จริงเท็จประการใดอย่าเพิ่งหาเรื่องกันเลย ขอพวกข้าได้ตรวจสอบก่อนเถิด” คนตัวขาวพยายามไกล่เกลี่ย ดึงแขนเพื่อนตนเองไว้เพราะไม่อยากให้มีเรื่องเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าชักเริ่มบานปลาย


“ไม่มี! ไม่ให้ตรวจอะไรทั้งนั้น โง่เง่าแล้วยังไม่เจียม อาจารย์พวกเจ้าไม่สั่งสอนหรือ! ” อีกฝ่ายขู่ตะคอกพลางผลักฟู่เชิงเสียจนกระเด็นไปชนกับเสาไม้ล้มลง คนเป็นเพื่อนเห็นดังนั้นก็ขาดสติพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที


บัดซบ!” กงจวี้จื่อผรุสวาท


คนเปิดก่อนตรงเข้าต่อยใบหน้าหยาบช้า อีกฝ่ายสวนหมัดกลับจนคุณชายหนุ่มเซถลาไปอีกฝั่งด้วยแรงกำปั้นและพละกำลังที่มากกว่า เหล่าลูกน้องในร้านกรูเข้ามาจับตัวศิษย์สำนักตงฝางทั้งสองเอาไว้ ทั้งกงจวี้จื่อกับหรูฟู่เชิงพยายามดิ้นรนปีนป่ายเตะอากาศไปมา


เด็กหนุ่มเลือดร้อนกระเสือกกระสนให้หลุดพ้นจากการจับกุมของพวกหมาหมู่จ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาต พลันหมัดนึงก็พุ่งเข้าต่อยท้องคุณชายหนุ่มที่เกร็งตัวรับไว้ไม่ทัน จุกจนพูดไม่ออกต้องค้อมตัวลงกระอักเลือด อีกฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น


เป็นแค่ลูกอนุเล็กๆ ทำปากดีนัก!” ชายฉกรรจ์ที่น่าจะเป็นหัวหน้าของร้านถมถุยน้ำลายลงบนพื้น


ใบหน้าติดเลือดปนเล็กน้อยจากแรงหมัดโย้ไปบ้าง มือหยาบหนาจิกเข้าที่หัวของคนแซ่กงพลางง้างแขนขึ้นเต็มวง รวมกำลังเอาไว้ที่ปลายมือ กะต่อยเด็กปากดีให้เจ็บจนเห่าไม่ได้อีก คิดไว้ว่าอย่างน้อยคงเลาะฟันออกมาได้สามสี่ซี่!


กงจวี้จื่อเห็นหมัดคนตรงหน้าดวงตาจ้องเขม็งไม่หลบสายตา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กลัว! หรูฟู่เชิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามได้แต่ร้องห้ามสุดเสียง ตะโกนจนแหบพร่าตัวสั่นไหวพยายามดิ้นรนจากการฉุดรั้งสุดกำลัง


ในขณะที่หมัดถูกปล่อยด้วยความเร็วและแรงฝ่ามวลอากาศเสียงดังหวืดซัดไปยังเป้าหมายที่ห่างเพียงไม่ถึงปลายเส้นขน ลูกกระเดือกของคนที่ออกแรงเต็มที่ก็ชะงักงัน


ร่างของชายฉกรรจ์นิ่งแข็งค้างไม่กล้าขยับเขยื้อนต่อราวมือเท้าด้านชาไร้ความรู้สึก แค่จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าทำ...


ปอยผมนึงหลุดร่วงลงกับพื้นดิน ความวาววับจากเหล็กชั้นดีสะท้อนให้เห็นเงาเนื้อบริเวณลำคอ ห่างอีกเพียงแค่เส้นขนตากระพริบหลอดเลือดใหญ่ที่คอนั้นพร้อมขาดสะบั้นหลุดรุ่ยราวกับสัมผัสของมัจจุราช


ก้อนกระดูกอ่อนชิ้นบางที่ซุกซ่อนอยู่ในลำคออาจถูกเฉือนทิ้งจนแผ่ซ่านกระเซ็นไปทั่วพื้นหินร้านสกุลเจิ้งแห่งนี้เป็นแน่


ความเย็นเหยียบของแผ่นเหล็กกล้านั้นยังกดแนบคมมีดให้จมลงกับผิวเนื้ออีกเล็กน้อย ของเหลวสีแดงเข้มไหลซึมออกมาตามแร่เหล็กสีเงินอาบจนเต็มใบ


ทว่าเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอยู่ข้างหูของคนใต้อาณัตินั่นต่างหากที่หนาวเหน็บดั่งห้วงธาราน้ำแข็งสุดรู้ตื้น


ดั่งสามารถตัดขั้วหัวใจคนฟังได้ดียิ่งกว่าอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชใดทั้งมวล เสียงนั้นพูดแผ่วเบาแต่ทรงอำนาจกับคนใต้คมมีดว่า “เก็บลมหายใจของเจ้าไว้


คำประกาศิตนั้นไม่ได้บอกกล่าวแต่มันคือคำสั่งให้ยอมสยบศิโรราบกองแทบเท้าเขา!


ร่างสูงใหญ่ของผู้สวมอาภรณ์ไหมปักลายจับไหล่หนากักฬขะนั่นเอาไว้ หัวหน้าคนงานไม่กล้าผ่อนปราณออกมาอีกแม้แต่เสี้ยวเดียวจากปลายจมูก


บรรยากาศหนักอึ้งจนรู้สึกถึงคมของใบมีดที่จ่ออยู่ตรงลำคอ เหงื่อกาฬไหลซึม เส้นเลือดที่ขมับกระตุกเกร็ง


แรงกดดันมหาศาลจากคนด้านหลังแผ่ออกมาจนเหล่าลูกน้องแข้งขาอ่อนเผลอปล่อยคุณชายทั้งสองเป็นอิสระ มือหนาของผู้เป็นอาจารย์แห่งสำนักศึกษายังคงจับแผ่นหลังหัวหน้าคนงานราวกับบอกคนตกอยู่ใต้อาณัติว่าหากอีกฝ่ายยังดึงดันต่อไป


แรงแผ่วเบาเพียงปลายนิ้วผลักนั้นอาจทำให้เขาพบกับอ้อมกอดแห่งความตายได้อย่างง่ายดายราวเด็ดปลิดขั้วดอกใบแล้วขยี้ด้วยฝ่าเท้าให้แหลกราญ!


เหวินซือฝู เมื่อครู่ท่านอย่างกับแม่ทัพปราบกบฏแน่ะ!


คุณชายสกุลกงกระโดดโลดเต้น แกล้งเลียนแบบท่าทางของผู้อาวุโสโดยกดเสียงทุ้มต่ำให้คล้ายกับผู้เป็นอาจารย์ มือข้างนึงพุ่งเข้าไปจับล็อคคอขาวของสหายข้างตัว


หรูฟู่เชิงที่หอบหิ้วห่อยาจากสกุลเจิ้งอยู่ในตอนแรกหัวเราะขบขันกับท่าทีตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นของอีกฝ่ายไม่ไหว ก่อนกลายมาเป็นหุ่นสาธิตท่าทางในที่สุดก็เลยโวยวายตีเข้าที่แขนเพื่อนสนิทตนเองบ้าง


“จวี้จื่อปล่อยข้า!” เด็กตัวขาวถองศอกเข้าที่ลำตัวด้านหลังตนจนคนโดนร้องโอยเพราะซ้ำแผลเดิม


เรื่องราวทั้งหมดจบลงที่ประมุขสกุลเจิ้งมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าพอดีอย่างกับเดาได้ล่วงหน้า แม้นจะแปลกใจว่าเสียงเอะอะโวยวายดังถึงเพียงนั้นใยเจ้าของร้านถึงกลับไม่ได้ยินเสียงหรือออกมาห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย


ราวกับอีกฝ่ายตั้งใจให้เรื่องราวมันออกมาเป็นเยี่ยงนี้ต่างหาก ถ้าไม่มีหยางเถิงเข้ามาช่วยคุณชายทั้งสองไว้ได้ทัน ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะเป็นเช่นไร


ผู้เฒ่าเจ้าของร้านขายยาอาศัยความอาวุโสและวัยวุฒิไกล่เกลี่ยบอกเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน พร้อมทั้งชดใช้ค่ายาและให้สมุนไพรจำนวนมากเพื่อแก้ไขคำครหา แม้คนสกุลกงจะฮึดฮัดไม่พอใจแต่เด็กหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้


หรูฟู่เชิงยังคำนับเอามือประสานเคารพนบนอบผู้ใหญ่เป็นการกล่าวลาและจบเรื่องราวอีกหนึ่งฉากก่อนพากันออกจากร้านมา


ศิษย์ร่วมสำนักสองคนเล่นกันไปมาจนเสื้อตัวนอกของคนตัวขาวร่นลง เผยลำคอขาวเนียนดั่งหิมะมีรอยปานแดงเป็นปื้นอยู่โผล่พ้นชายเสื้อออกมาให้เห็นอยู่ชั่วครู่นึง ก่อนศิษย์สกุลกงจะรู้สึกถึงสายตาอำมหิตพร้อมจิตสังหารมากมายมหาศาลอย่างเดียวกับตอนที่อยู่ในร้านสกุลเจิ้งก็ตัวแข็งชะงักงัน


มือที่หมายช่วยจัดเสื้อผ้าอีกฝ่ายให้เข้าที่เหมือนโดนแช่แข็งจากทางสายตาให้ความเหน็บหนาวกัดกินมือเขาจนขาดหลุดรุ่ย คนแซ่กงรีบหดอวัยวะชิ้นน้อยของตัวเองกลับเข้าชายผ้าแทบไม่ทัน


สายตาเหวินซือฝูนั้นราวกับไม่มีความลังเลใดอยู่ในแววตาเลยแม้แต่น้อย พร้อมเอามีดตัดหลอดลมเขาได้ตลอดเวลา เด็กหนุ่มนึกอยากกรีดร้องอัดใส่หน้าอีกฝ่ายว่า ข้าเป็นลูกศิษย์ท่านนะ!


สุดท้ายจวี้จื่อได้แต่หัวเราะเสียงแห้งๆ คลายมือจากลาดไหล่เล็กกระดึ๊บตัวออกมายืนเจี่ยมเจี๊ยมอยู่ข้างกายคนตัวขาวห่างออกมาเกือบหนึ่งฝ่ามือจนอีกฝ่ายยังแปลกใจมองหน้าสหายร่วมสำนักอย่างมีคำถาม


คนที่โดนสายตาอำมหิตหมายหัวอยู่เบะปากส่ายหน้าจนเหนียงกระพือทำสีหน้าอ้อนวอนต้นเหตุของสายตาพิฆาตสื่อความว่า ‘อย่าเพิ่งสงสัย ข้ายังอยากเก็บมือไว้ใช้งาน!


_________________________________________________________________________

(1) จิ้ง : หน่วยวัดของจีนโบราณ ประมาณ 3 เมตร
(2) ชุ่น :หน่วยวัดความสูง  1 ชุ่น ประมาณ 1 นิ้ว = 6 ชุ่น ราวๆ  6 นิ้ว = 15 cm.
_________________________________________________________________________

คุณพี่ คุณพี่หลายมาตรฐานมากเกินไปมั้ย ใครใกล้น้อง//มองแบบพร้อมฟาด!
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะครับ ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากๆเลย
ตอนนี้มาช้าเพราะมัวแต่เกลาอยู่ งานยุ่งหน่อยๆด้วย

พูดคุยกันได้ที่
Twitter @IndigomoonXii
เจอกันตอนหน้านะครับ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 6 第六章 สายธารในจิตใจ | 28.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-12-2019 19:52:19
ตามต่อไป  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 6 第六章 สายธารในจิตใจ | 28.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-12-2019 09:45:34
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 6 第六章 สายธารในจิตใจ | 28.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-12-2019 00:14:01
ค้างงง
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 6 第六章 สายธารในจิตใจ | 28.12.19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-01-2020 23:40:34
ถ้าอาจารย์ไม่ตามมา เด็ก ๆ จะโดนอะไรบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]| บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 05-01-2020 10:52:13
第七章
การจากลา



เรื่องราวทะเลาะวิวาทที่คฤหาสน์สกุลเจิ้งนั้นลอยเข้ามาถึงสำนักตงฝางว่องไวราวกับสายลมพัด


เท้ายังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตูสำนักการศึกษา ก็มีศิษย์ผู้นึงมาเชิญให้หยางเถิงแยกตัวออกไปพบผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของที่นี่ทันที ส่วนลูกศิษย์ทั้งสองนั้นแค่ให้ไปยืนรอที่หน้าเรือนอี้จิงอย่างทันทีทันใดมิทันได้เอ่ยปากไถ่ถามอันใดกันก่อน


เด็กทั้งสองถูกถ่วงเวลากักตัวเอาไว้หนึ่งชั่วก้านธูปไหม้ พอเป็นอิสระต่างฝ่ายพากันรีบร้อนก้าวล่วงให้ถึงเรือนไม้ทรงสูงโดยเร็ว หางตาเรียวเห็นว่าประตูหอตำรานั้นถูกกางกั้นปิดไว้อยู่ก็หรี่ตากลมโตลงมอง ลักษณะแบบนี้ผิดปกติวิสัยยิ่งนัก...


หรูฟู่เชิงและกงจวี้จื่อลอบสบตากันก็พอเข้าใจในความหมายในการกระทำได้ในทันที


มือขาวที่กอบกุมห่อยาไว้ในอ้อมอกอยู่นั้นส่งต่อสมุนไพรในห่อไม้จันทร์ให้ลูกศิษย์คนนึงรับเอาไปแล้วเอ่ยปากไล่คนบริเวณหอตำราอี้จิงให้ออกไปจากบริเวณนั้นให้หมด


ก่อนคนตัวขาวจะขยับตัวเอาหูไปแนบกับบานไม้ใหญ่เพื่อลอบฟังความข้างใน คุณชายสกุลกงผู้เป็นสหายเห็นท่าทางซุกซนของเพื่อนตัวเองเป็นครั้งแรกแล้วอดตกตะลึงเบิกตาเรียวไม่มีเหล่าเต็งขึ้นมาเสียจนกลมโตดั่งผลลูกท้อเอาไว้ไม่ได้


คนที่แอบฟังอยู่ดูจะยังไม่พอใจกับผลลัพท์เท่าใดนัก ลากคอเสื้อสหายตนเองให้เอาหูมาแนบประตูช่วยเขาฟังด้วยกัน


คนโดนลากลงเรือในคลองเดียวกันกระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออกเหมือนถ้อยคำมันวนอยู่ในหัวของเขาไปมา


ไม่ยักรู้ว่าเจ้ากระเรียนตัวขาวจะอยากยุ่งเรื่องชาวบ้านถึงเพียงนี้


คนสกุลหรูไม่ใช่ม้วนผ้าไหมเรียบลื่นอย่างที่ทุกคนคาดคิด


เรื่องนี้ต้องถึงหูเง็กเซียนแน่ๆ ถึงแน่ๆ ข้าจะแจ้ง!


กงจวี้จื่อลอบสัญญาเป็นมั่นเหมาะกับฟ้าดินให้เป็นพยานแก่เขาเบาๆ ในจิตใจ


คนตัวขาวที่เกาะบานประตูไม้อยู่ขยับปากบอกเพื่อนร่วมขบวนการแบบไม่มีเสียงให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังให้ดีๆ พลางถามไปด้วยว่าได้ยินเสียงอะไรรึไม่ หากแต่คุณชายสกุลกงนั้นเอาแต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ


เด็กซุกซนทั้งสองไม่ได้ยินอะไรเล็ดลอดจากเรือนภายในเลยแม้แต่เสียงแมลงสักตัวเคลื่อนไหวไปมาหรือแม้แต่ผืนผ้าสะบัดพริ้วพรายตามสายลม


ที่แอบฟังอยู่หน้าประตูน่ะ เข้ามาได้” เสียงผู้อาวุโสของสำนักเอ่ยดังราวสายฟ้าฟาด


คนที่โดนเรียกสะดุ้งโหยงจนหน้าวืดหัวเกือบทิ่มลงพื้นกันทั้งคู่ ยังไม่ทันจะขยับตัวหนีไปไหนบานประตูไม้ก็ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับสายตาหมื่นกระบี่เย็นเหยียบสาดซัดออกมาต้อนรับทันที


หรูฟู่เชิงมีสีหน้าราบเรียบส่งให้กับผู้อาวุโสด้านใน ประสานฝ่ามือขาวโขกศีรษะคำนับผู้เป็นอาจารย์ไปพลางไม่รู้ว่าจะแก้ตัวว่ากระไรจึงยอมรับความผิดกลายๆ ของตนที่แอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน


ยิ่งเด็กตัวขาวเห็นใบหน้าแสนเย็นชานั่นส่งสายตามองมาที่ตัวเองแล้ว ฟู่เชิงก็ยิ่งเข้าใจได้ว่าผู้เป็นอาจารย์หนุ่มคงนึกไม่ชอบกิริยาและการกระทำของเขามากขึ้นไปอีกจนมีแต่ความเฉยเมยส่งมาให้กันเช่นนี้


เหยียนหุยเหลือบตากลับมาพินิจศิษย์ของตัวเองทั้งสองพลางยกป้านชาขึ้นจิบช้าๆ ก่อนวางลงด้วยท่าทีนิ่งสงบไม่ต่างกับผู้ที่นั่งตรงข้ามกัน


ท่าทีผู้อาวุโสทั้งสองดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องราวอะไรดั่งมหาสมุทรไร้คลื่นลม


หากทว่าผู้ที่ร้อนทั้งกายทั้งใจกลับเป็นคุณชายตัวน้อยทั้งสองเสียมากกว่า


ซึ่งเดาจากท่าทางศิษย์เอกของสำนักตนเองแล้วนั้นดูจะมีพายุเร่งเร้าในจิตใจมากกว่าใครทั้งหมดทั้งมวลตรงนี้เสียอีก


เจ้าตัวเล่นแสดงออกชัดเจนผ่านทางสีหน้ายิ่งกว่าคนที่หมายจะโดนโทษทัณฑ์นั้นเองจนใครมองมาก็ดูรู้


ทั้งหมดก็เพราะหรูฟู่เชิงนั้นเดาอารมณ์บุรุษตรงหน้าตนเองไม่ออก ไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าแสนเย็นชานั่นกำลังคิดอะไรอยู่


จึงทึกทักเอาเองว่าหยางเถิงกำลังจะโดนลงโทษแล้วยังทำตัวประหนึ่งว่าเป็นจอกแหนไหลตามลำน้ำ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจใดๆ อยู่ได้


ช่างไร้หัวใจเสียจริง!


เขายินดีรับผิดชอบผลการกระทำแทนทุกคนเอง


ถึงอย่างไรฟู่เชิงก็ปล่อยให้ผู้ที่มีบุญคุญเดือนร้อนเพราะตนเองไม่ได้เป็นอันขาด...


“มีอะไร” เหยียนฮุยเอ่ยถามเสียงนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดแฝงอยู่ในน้ำคำ


ศิษย์เอกสำนักตงฝางรีบกล่าวรับโทษ “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้หากไต่สวนทวนความแล้ว ศิษย์ผิดที่ไม่รอบคอบตรวจสอบให้ดี” โขกศีรษะน้อมรับเพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายและส่งผลกระทบกับคนรอบตัวตนเอง


“ไม่! เป็นข้าที่ผิดขอรับอาจารย์ อาเป่าไม่เกี่ยว เหวินซือฝูก็ไม่เกี่ยวขอรับ” ศิษย์อีกคนร้อนรนออกรับแทน


ผู้เฒ่าชราเจ้าของสำนักผินวงหน้าเหลือบมองบุรุษร่างสูงใหญ่ข้างกายเรียบนิ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ขยับเขยื้อนอะไรท่านเจ้าสำนักก็กระแอมในลำคอเล็กน้อย ก่อนหันมาวางสายตาไว้ที่ลูกศิษย์ทั้งสองของตัวเองอีกครั้ง


“ใช้ไม่ได้! ” เสียงดุดันเอ่ยขึ้นจนศิษย์ทั้งสองแทบก้มหน้างุดลงกับพื้นเรือนไม่กล้าสบตา


“ศิษย์ขออภัยขอรับ // ข้าขออภัยท่านอาจารย์”


ผู้เฒ่าเหยียนหุยลูบเคราในมือเพ่งพินิจร่างของศิษย์ทั้งสอง ส่ายหัวช้าๆ “ดีแต่ออกรับแทนกันไปกันมา คิดอะไรอยู่”


คำพูดของเจ้าของสำนักศึกษาดึงดวงตาสองคู่ให้เงยขึ้นมามองอย่างมีคำถาม


“เมื่อครู่อาจารย์ของพวกเจ้าก็บอกว่าตนเองเป็นคนลงมือก่อน”


“ไม่ใช่นะขอรับ!” เด็กตัวขาวร้องประท้วง


“ตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไง”


“เป็นศิษย์เองที่หุนหันรีบไปยังคฤหาสน์สกุลเจิ้งทำให้มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ขอรับ” ฟู่เชิงแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดแทน


กงจวี้จื่อที่นั่งอยู่ข้างกายขาวละเอียดส่งเสียงประท้วงอีกหน “ไม่จริงขอรับ ข้าเป็นคนบุกไปเองต่างหาก”


“ตกลงข้าเป็นเพียงตาแก่ถูกพวกเจ้าจูงจมูกเหรอ เจ้าเห็นข้าเป็นตัวตลกหรืออย่างไร!”


“ศิษย์ขออภัย // ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นขอรับ” ศิษย์ประจำสำนักทั้งสองก้มลงคารวะผู้เป็นอาจารย์พร้อมเพรียงกัน


“สำนึกผิดชอบชั่วดี คุณธรรมจรรยา มารยาทที่ข้าอบรมสั่งสอนพวกเจ้ามา เจ้าทิ้งไว้แต่เพียงในสำนัก ท่องจำดั่งปล่อยวาจาไหลลงแม่น้ำไปวันๆ อย่างนั้นหรอกหรือ” เหยียนหุยน้ำเสียงขุ่นข้อง ความผิดฐานเป็นวิญญูชนแล้วยังแสดงท่าทีก้าวร้าวหาเรื่องเอะอะต่อยตีดั่งพวกนักเลงกลางตลาดเป็นสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างตนรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง


“ข้าไม่เคยสั่งสอนลูกศิษย์ให้ไปทำตัวเยี่ยงจอมยุทธอันธพาล”


“แต่พวกนั้นโกงเราก่อนนะท่านอาจารย์” คนที่ตั้งต้นไปอาละวาดบ้านสกุลเจิ้งแทรกเสียงขึ้นมาอีกรอบ


กฏสำนักมีไว้ทำกระไร! ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตบโต๊ะเสียงดัง


“หากมัวแต่คิดถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทำกระไรกันแล้ว” เด็กสกุลกงยังไม่ยอมแพ้


“แล้วหน้าตาของสำนักพวกเจ้าเคยคิดถึงมันบ้างมั๊ย บนบ่าของพวกเจ้าแบกอะไรไว้อยู่ลืมไปแล้วหรือ! หน้าของศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของพวกเจ้า หน้าอาจารย์อย่างข้าไม่มีความหมายอะไรแล้วใช่ไหม”


แต่หากถูกรังแกเราต้องนิ่งเฉยยอมรับเช่นนั้นหรือขอรับท่านอาจารย์


ประโยคคำถามจากคนที่เงียบไปนาน มักไม่หือไม่อือกล่าวขึ้นมาจนคิ้วสีขาวโพลนเลิกขึ้นอย่างตกใจ แม้กระทั่งใบหน้าคมคายดุจหยกหิมะหมื่นปีของหยางเถิงเองยังหันมาจ้องมอง


เหมือนกับเขาไม่เชื่อหูตนเองว่านั่นเป็นเสียงหวานดั่งกังสดาลของร่างบางตรงหน้า


“ศิษย์คิดน้อยไปที่เหยียบย่างไปยังคฤหาสน์สกุลเจิ้ง แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายลงมือก่อนกลับไม่ใช่อาจื่อนะขอรับ” หรูฟู่เชิงประสานมือกันหยัดตัวขึ้นมองหน้าสบกับผู้เป็นอาจารย์ที่เปรียบดั่งบิดาคนที่สอง


ดวงตากลมโตหวานล้ำดั่งกระต่ายป่าทอดสายตามองไว้ที่วงหน้าคมคาย


ราวกับคนผู้นั้นกำลังห้ามปรามเด็กหนุ่ม ไม่ให้เขาราดน้ำมันลงบนกองเพลิงลุกโชนไปมากกว่านี้


“หัวหน้าคนงานผู้นั้นทำร้ายทั้งศิษย์และอาจื่อ อีกทั้งยังใช้ให้คนหมู่มากมารุมพวกเราจนแทบไม่มีทางสู้” ผู้เป็นศิษย์เอกของสำนักกล่าววาจาเหยียดยาวดวงตาแน่วแน่มุ่งมั่น “หากไม่ได้เหวินซือฝูมาช่วยไว้ ป่านนี้สภาพพวกศิษย์จะเป็นเช่นใดบ้าง รอยแผลบนใบหน้าของอาจื่อก็ยังเด่นชัดอยู่ หากไม่นับหนึ่งหมัดถ้วนบนใบหน้าคนงานผู้นั้นแล้ว ฝั่งศิษย์ก็แทบไม่ได้ลงมืออันใดต่อกันเลย”


“ถึงขนาดต้องชักมีดออกมาขู่ฆ่ากันเลยหรอกหรือ” ผู้อาวุโสกล่าวถาม “ท่านไม่คิดว่ามันเอิกเกริกไปหน่อยรึไง”


คำถามข้อหลังเอ่ยถึงผู้ที่สวมอาภรณ์อาจารย์ประจำสำนักตงฝาง อันหมายถึงศักดิ์และสิทธิ์ของความเป็นอาจารย์ซึ่งมีความหมายมากกว่าผืนผ้าที่ถูกทักทอสำหรับสวมใส่เพียงเท่านั้น


มันยังคือเครื่องแบบแห่งความภาคภูมิใจในฐานะครูคนนึงของเหล่าลูกศิษย์ประจำสำนักแห่งนี้อีกด้วย


ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ดั่งพระพุทธรูปหยกสลักลายส่ายไปมาเล็กน้อยราวกับไม่มีความลังเลใดในใจเมื่อคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้องสมควรแล้ว


ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนาจนผู้เฒ่าชราต้องระบายลมจากปลายจมูกอย่างเหนื่อยใจ


“ที่เหวินซือฝูทำไปเพื่อช่วยศิษย์นะขอรับ” เด็กตัวขาวพูดแก้ตัวอย่างร้อนรน


“เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแทนใคร..หรูฟู่เชิง”


แต่ศิษย์...


เจ้าของสำนักการศึกษายกมือขึ้นห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ของตัวกล่าววาจาอันใดต่อไปอีก ทั้งสามสายตาเลื่อนมองสบกับร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่ยังคงนั่งแผ่นหลังตั้งตรงไม่มีเอนเอียง ใบหน้าคร้ามครันคมคายดวงตาเรียวฉายแววนิ่งสงบไม่รู้สึกรู้สมสะทกสะท้านกับสิ่งใดทั้งนั้น


“คหบดีสกุลเจิ้งนับว่าเป็นผู้ที่ได้รับการนับหน้าถือตาของผู้คนในเมืองกูจางคนนึง ตัวท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป” เหยียนหุยไต่ถามถึงหนทางแก้ปัญหากับอาจารย์หนุ่ม


ถึงเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นมาอย่างไร แต่ผลกระทบจากการกระทำของสำนักตงฝางย่อมถูกชาวบ้านต่อว่าเอาได้โดยง่าย เพราะไม่ว่าอย่างไรฝ่ายนั้นคงโหมประโคมข่าวการกระทำอุกอาจของเหล่าศิษย์สำนักของเขาให้แพร่สะพัดไปไกลเป็นแน่


ดูเอาเถอะ! ขนาดยังไม่ทันพ้นชั่วกาน้ำชาจะเย็นชืด..ข่าวยังแล่นหล้ามาเร็วเสียถึงหน้าชานเรือนอี้จิงของเขานี่เลย
ไฉนกับเรื่องซุบซิบนินทาปากตลาดของผู้คนกัน


“พวกมันไม่กล้าทำแน่ท่านอาจารย์ ไม่งั้นข้าจะเปิดโปงความชั่วของพวกมันด้วยเช่นกัน!” คุณชายสกุลกงทะลุขึ้นกลางปล้อง


หากแต่โดนสายตาห้ามปรามสองคู่ถลึงตามองเชิงตำหนิติเตียนจนเด็กหนุ่มฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดในใจต้องกลับไปนั่งเงียบๆ ตามเดิม


“แล้วอย่างไร เจ้าบุกไปถึงเรือนเขา ไปต่อยตีคนของเขา ผู้ใดจะเชื่อเด็กใช้กำลังตัดสินปัญหาก่อนสติอย่างเช่นเจ้ากันงั้นหรือกงจวี้จื่อ” คนอายุมากที่สุดตักเตือน


ผู้ที่ถูกถามจนปัญญาที่จะตอบอาจารย์ของตนเอง ได้แต่เข่นเขี้ยวเข็ญฟันในใจ


“ท่านจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร” ชายชราเอ่ยถามคนหนุ่มตรงหน้าตนอีกครั้ง


หรูฟู่เชิงเมื่อเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดจะถูกโยนไปให้ร่างสูงตรงหน้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวเขาจึงรับไม่ได้กับผลการตัดสินยิ่งนัก


“ท่านอาจารย์โปรดฟังศิษย์ก่อนเถิดขอรับ เหวินซือฝูไม่มีความผิดอันใดเลย”


“ความผิดของลูกเปรียบเสมือนตราบาปของบิดาฉันท์ใด ความผิดของลูกศิษย์ก็เช่นเดียวกัน ผู้เป็นอาจารย์ย่อมต้องรับผิดชอบแทน” ท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าของสำนักเอ่ยบทสรุปตัดจบ


แววตาคมดั่งคลื่นสมุทรเพียงเคลื่อนที่มาจับจ้องยังนัยน์ตากลมโตสุกใสของหรูฟู่เชิงได้เพียงครู่ก็หันหน้าหนีไปอีกทาง


เด็กหนุ่มสกุลหรูพยายามมองสบใบหน้าไร้หัวใจของอีกฝ่ายอย่างขอร้องปนห้ามปรามความคิดของอีกฝ่ายที่กำลังกระทำ


เหมือนที่คุยกันก่อนหน้านี้ขอรับ ” เสียงทุ้มเปิดปากเป็นประโยคแรก


วงหน้าหวานที่ก้มร้องขอความเห็นใจจากผู้เป็นอาจารย์เงยหน้าขึ้นมามอง


ราวกับหัวใจของเขามันกระตุกเกร็ง!


เหยียนหุยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับ


งั้นท่านยังไม่ต้องมาสอนที่สำนักแห่งนี้ไปสักระยะก็แล้วกัน


คำพิพากษาคือการโยนบาปไปให้แพะตัวนึงรับไว้อย่างนั้นหรือ!


เพียงแค่ตัดสินใจไล่คนนึงออกไปให้พ้นสำนักเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็จบกันใช่หรือไม่...


“พวกเจ้าสองคนไปคัดตำราสำนึกผิดที่เรือนอักษรร้อยจบ ห้ามตกหล่น” คำตัดสินที่สองเอ่ยโทษทัณฑ์แก่เหล่าคุณชาย


ถึงแม้จะออกปากว่าไม่ต้องมาสอนสักระยะ แต่ที่ผ่านมาหรูฟู่เชิงไม่เคยเห็นอาจารย์ท่านใดที่ออกไปแล้วจะได้กลับมายังสำนักแห่งนี้อีกเลย นั่นไม่เท่ากับว่าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กำลังไล่คนผู้นี้ออกไปให้พ้นสำนักการศึกษาแห่งนี้หรอกหรือ?


ขนาดคนที่ออกแรงต่อต้านบุรุษใจทมิฬอย่างคนแซ่กงในทีแรกยังโวยวายร้องประท้วงเสียงดัง


แต่เจ้าตัวกลับนิ่งเฉยรับทุกความผิดเอาไว้ที่ตัวคนเดียวเสียอย่างนั้น..


ผู้เฒ่าชราเจ้าของสำนักเมื่อเห็นทุกอย่างตกล่องปล่องชิ้นอย่างที่ควรจะเป็นแล้วก็พยักหน้าพึงพอใจ เอ่ยปากให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ เป็นอันว่าจบเรื่องราวทั้งหมดลง


จริงๆ คือตนสามารถปิดจบคดีเรื่องนี้ได้แล้วจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดไปให้วุ่นวายปวดหัวอีก...


สามร่างต่างความสูงระเห็จออกมายืนอยู่ที่ริมชานเรือน ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นต่อ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวกรีดร้องพัดพาเอาความเหน็บหนาวของปลายฤดูเหมันต์มาเยี่ยมเยือน


ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงความคิดตน อยู่ในอารมณ์ที่หลากหลาย


ดวงตากลมโตดั่งเจ้ากระต่ายป่ามองแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างไม่นึกเข้าใจเหตุผล


ในใจคนที่พยายามร้องหาความยุติธรรมมันเอ่อล้นไปด้วยความขับข้องยากที่จะระบายออก


ในหัวเต็มไปด้วยสิ่งที่เด็กหนุ่มมองว่าไม่ถูกต้อง


ขนาดเขายังพยายามปกป้องคนๆ นี้อย่างสุดความสามารถ


แล้วใยผู้ชายคนนี้จึงทำตัวเฉยชาไม่สนใจอันใดเลยขนาดนี้


“เหวินซือฝู ให้ข้าไปคุยกับท่านอาจารย์อีกครั้งเถิดนะขอรับ ข้าว่าเรื่องทุกอย่างมันเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว” หรูฟู่เชิงเอ่ยขึ้นฝ่าลมหนาว ตั้งท่าจะพุ่งตัวเข้าไปขอร้องท่านอาจารย์ใหญ่เหยียนหุยอีกครั้ง


“ไม่ต้อง!”


ถ้อยคำตัดรอนส่งจากปากผู้พูดตรงสู่หัวใจคนฟังจนหน้าชา


“ทำไมขอรับ?” ทำไมจึงไม่ปกป้องตัวเองบ้างเลย...


นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการถามอย่างแท้จริง


หรูฟู่เชิงพูดกับแผ่นหลังแกร่งของอีกฝ่ายเพราะคนตัวโตไม่หันกลับมาสบตาเขาเพียงสักน้อย


เพราะหากหยางเถิงหันมามองคงได้พบกับแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อแล้วก็ความไม่เข้าใจจากคนตัวขาว หยาดเพชรเม็ดใสที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาคู่งาม


หรูฟู่เชิงก็ไม่อยากจะร้องไห้ให้ใครเห็นง่ายๆ นักหรอก!


หากทว่ามันอัดอั้นตันใจจนไม่รู้จะระบายออกทางไหน เหมือนตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง


อยากจะตะโกนกรีดร้องโวยวายหรือแสดงออกให้มากกว่านี้แต่เขากลับทำมันไม่ได้


รู้ตัวอีกทีกระบอกตามันร้อนผ่าวเสียจนรู้สึกถึงความชื้นแฉะ เสียงกังวาลใสสั่นเครือไปด้วยแรงอารมณ์มากมาย


ท่านไม่ผิด ไยต้องยอมรับด้วย” คนที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมท้วงถาม หากแต่อีกฝ่ายเมินเฉยไม่พูดอันใด “หยางเก...


“พอแค่นี้แหละ”


ดั่งคำพิพากษาจากสวรรค์ลงเกาทัณฑ์รอนราญหักหาญน้ำใจ


คล้ายดั่งอีกคนกำลังบอกกลายๆ ว่าความหวังดีของเขาไม่เป็นที่ต้องการของใคร


ตนเองเพียงแต่ทำหน้าที่เกินศิษย์คนนึงจะพึงกระทำแล้ว


“ซ่านเป่า ถ้าเขาไม่รับน้ำใจเจ้า พวกเราก็ไปกันเถอะ”


ศิษย์ร่วมสำนักที่ยืนอยู่ข้างคนร่างบางเอื้อมมือมาคว้าลาดไหล่เล็กไว้ เพราะขนาดกงจวี้จื่อเองยังรู้สึกพูดไม่ออกเช่นกัน


ทั้งที่พวกเขาทำเพื่อคนผู้นี้ถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ ...


เกล็ดเพชรแววใสหยาดนึงร่วงหล่นลงบนชายคาหอตำราอี้จิง เพียงชั่วครู่ก็ทิ้งรอยเปื้อนสีเข้มจางๆ เอาไว้บนไม้แผ่นนั้น


เด็กตัวขาวยกฝ่ามือขึ้นเช็ดใบหน้าลวกๆ กักเก็บความน้อยใจที่เอ่อล้นออกมาไปจนมิดชิด ปั้นใบหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งท่าทางเจียมตัว คงไว้ซึ่งความห่างเหินสมกับเป็นกระเรียนขาวผู้งามสง่าเช่นเดิมก่อนยกมือขึ้นประสานพลางค้อมตัวให้อีกฝ่ายแผ่วเบา


เช่นนั้นขอผู้อาวุโสเหวินรักษาตัวด้วย


เมื่อสองร่างหายไปจากการรับรู้ของอดีตอาจารย์หนุ่มแห่งสำนักศึกษาตงฝางแล้ว เสี้ยวใบหน้าคมก็หันกลับมามองแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆ ห่างไกลสายตาของเขาไปทุกที


ไออุ่นจากผิวกายที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในมวลอากาศบ่งบอกเพียงว่าครั้งนึงเคยมีคนยืนอยู่ตรงนี้


หยดน้ำตาที่ยังไม่ซึมหายไปกับพื้นไม้กระดานยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้จางๆ ไม่เลือนหายไปไหน


หยางเถิงมองตามเรือนผมดำขลับที่ผูกชายผ้าสีขาวพิศุทธิ์ยามที่ปลิวไสวต้องกับสายลมจนสุดสายตา ก่อนร่างนั้นจะลาลับหายไปหลังเรือนไม้หลังนึงราวกับไม่เคยมีอยู่จริง


ริมฝีปากหนาเหยียดตรงเม้มแน่น ก่อนตัดสินใจสะบัดหน้าเดินออกจากจุดตรงนั้นทิ้งเรื่องราวไว้แต่หนหลังไม่หันกลับมามองอีกเป็นครั้งที่สอง


..ลาก่อนเจ้ากระต่าย..



TBC

_______________________________________________________________


เอ้า ทำไมมันเศร้าเฉยเลย สงสารทั้งคู่เลย
เอาตอนใหม่มาส่งให้แล้วนะครับ ต้องขอโทษทีที่มาช้าไปหน่อย ตอนแรกว่าจะรีบมาก่อนปีใหม่ก็ไม่ทัน
ยังไงก็ขออวยพรย้อนหลังให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกๆคนมีแต่ความสุข แข็งแรงทั้งกายทั้งใจ
ขอให้ทุกๆวันของทุกคน made your day นะครับ
ยังไงช่วยคอมเม้นท์คุยกันบ้างนะครับ
รักคนอ่านทุกๆ คนเลย
พูดคุยกันได้ที่ทวิตเตอร์นะครับ @IndigomoonXii
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-01-2020 12:00:10
 :L2: :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-01-2020 19:38:32
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-01-2020 22:29:31
เอ้า บทจะไปก็ไปง่าย ๆ อิหยังวะ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-01-2020 01:25:47
คุณชายสกุลกงก็ดีแต่ทะลุกลางปล้อง
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 7第七章 การจากลา | 5.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-01-2020 10:11:21
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 8 第八章 ความบังเอิญ | 9.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 09-01-2020 19:31:39


第八章

ความบังเอิญ



หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสำนักตงฝางขึ้น ข่าวลือที่ว่าท่านอาจารย์หนุ่มคนใหม่ถูกไล่ออกจากสำนักก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองกูจาง


ชาวบ้านเล่าลือกันไปต่างๆ นาๆ ส่วนใหญ่มักใส่สีเติมไข่ เติมแต่งอรรธรสกันสนุกสนานจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมของเรื่องอยู่แม้แต่น้อย


บ้างก็ว่าคนผู้นี้เป็นจอมยุทธหลบหนีแล้วปลอมตัวมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ บ้างก็บอกว่าอีกฝ่ายเป็นแค่บัณฑิตโง่เง่าคนนึงที่บังเอิญไปมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลของเมืองเข้าเลยทำให้เหตุการณ์สรุปออกมาเช่นนี้


แต่ที่แน่ๆ ผู้ที่ทำตัวเป็นผู้เคราะห์ร้ายอย่างบ้านสกุลเจิ้งนั้นค้าขายดีกำไรมากขึ้นเป็นเท่าตัวจากผลกระทบของข่าวลือนี้


นับว่าเป็นช่วงเวลากอบโกยเงินทองกันเลยทีเดียว


“ข้าล่ะชังน้ำหน้าตาเฒ่างูพิษสกุลเจิ้งนั่นนัก” ฝ่ามือที่จับพู่กันอยู่ในทีแรกกระแทกด้ามไม้ลงกับโต๊ะเสียงดัง กงจวี้จื่อเอ่ยปากบ่นกับสหายตัวขาวหลังจากเล่าเรื่องราวที่ตนไปได้ยินมาจากในตลาดให้คนข้างโต๊ะได้ฟัง


หากแต่หรูฟู่เชิงกลับนั่งฟังนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา ไม่แม้กระทั่งออกความเห็นใด เจ้าตัวเพียงแต่นั่งคัดตำราสำนึกผิดไปเงียบๆ จนคนที่โดนโทษทัณฑ์พร้อมกันยังแอบเผลอนึกว่าตนเองโดนสั่งคัดตำราและนั่งอยู่เพียงคนเดียวในหอหนังสือแห่งนี้บ่อยครั้ง


คุณชายสกุลกงลอบมองดวงตากลมโตหวานล้ำดั่งกระต่ายป่าที่บางครั้งแอบทอแสงไร้ซึ่งแววสุขสันต์ในนัยน์ตาจนคนที่เป็นทั้งศิษย์ร่วมสำนักและสหายสนิทยังอดห่วงไม่ได้


“หรูซ่านเป่า เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าหน่อยหรือ”


“จะก่อกำแพงเมืองต้องใช้ก้อนอิฐและแรงงานมิใช่วาจา” ฟู่เชิงตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว จนคนฟังลุกขึ้นยืนเดินตึงตังมาหาคนตัวขาวที่ใบหน้าไร้รอยยิ้มประดับเอาไว้มาหลายวันพลางจับข้อมือเล็กนั่นให้หันมามองตัวเองตรงๆ


เด็กตัวสูงพูดเสียงเข้มใส่ดวงหน้าขาวว่า “จะพูดกับใครเจ้าก็ต้องหัดมองหน้าคนๆ นั้น แล้วก็ไม่ต้องอ้อมค้อมร่ายรำบทกวีใส่คนเขาไปทั่วเลยนะซ่านเป่า ใครจะไปทันคิดแล้วก็ตีความทุกคำที่เจ้าพูดได้ตลอดเวลากันหือ”


คนตัวขาวขืนตัวจากการจับกุม “เจ้าคัดเสร็จตำราเสร็จแล้วหรือไงถึงเอาแต่เล่าเรื่องของชาวบ้านให้ข้าฟัง” พูดพลางบิดข้อมือตัวเองไปมาเล็กน้อย ปัดมือศิษย์ร่วมสำนักของตัวเองออก


คนที่โดนว่าชอบยุ่งเรื่องคนอื่นยิ้มตาใสทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ใส่บุคคลหน้ามึนที่ทำเป็นไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน


แต่ข้าก็เห็นเจ้านั่งนิ่งตั้งใจฟังทุกครั้งมิใช่หรือ


จะลุกเดินหนีไปก็ได้ แต่เจ้าตัวเขากลับไม่ทำเองต่างหาก...



ฟู่เชิงบีบนวดเนื้อหนังภายใต้ชุดผ้าแพรสีขาวบริสุทธิ์ของตนเอง พลางนึกสงสัยว่าวันนี้กลับไปแขนเขาคงได้มีรอยแดงเป็นปื้นแน่ๆ นับวันจวี้จื่อยิ่งแรงเยอะขึ้นชะมัด!


เด็กทะโมนยิ้มเผล่ตอบรับ เพิ่งได้ยินประโยคยาวๆ จากปากสหายของตนในรอบหลายวันมานี้ก็คราวนี้เอง “เรื่องคนอื่นที่ไหน เรื่องของเหวินซือฝูต่างหาก”


ผู้อาวุโส...เรียกเขาว่าผู้อาวุโสเถิด” คนตัวขาวแก้คำผิดให้ หลุบแก้วตาสีเปลือกไม้ลงต่ำหลบซ่อนสีหน้า ตั้งท่าจะหยิบพู่กันเพื่อคัดอักษรต่อ


“ก็นั่นแหละเหมือนๆ กัน ข้าแค่เห็นเจ้าไม่พูดอะไรกับใครเลยมาหลายวันแล้วนะ” จวี้จื่อตอบรับขมวดคิ้วทำสีหน้าเป็นกังวล


“ข้าไม่เป็นไร”


“เจ้าเป็นห่วงเหวินซือฝูอยู่ใช่มั้ย”


“เหลวไหล!” คนตัวขาวพูดเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย


ท้ายประโยคแผ่วเบาราวพูดกับลมกับฟ้าเสียมากกว่า


เขาไม่ห่วงแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำ..


ศิษย์ร่วมสำนักอย่างคุณชายแซ่กงเบ้หน้าไม่รู้จะตอบรับเพื่อนของตัวเองยังไงดี หัวคิ้วขมวดเข้มมุ่นราวกับผูกปมด้ายขดแน่นเป็นก้อนกลมเอาไว้ จนใจจะต่อกรกับความดื้อดึงของคนตัวขาวตรงหน้าตัวเอง


หากใครว่าคนสกุลหรูผู้นี้พูดน้อยเรียบร้อยหัวอ่อนล่ะก็เขาอยากจะเถียงขาดใจ


ดื้อตาใสเลยต่างหากล่ะคนๆ นี้!


“นี่ซ่านเป่า..ข้าได้ยินมาว่าตลาดในตัวเมืองน่ะมีบะหมี่เนื้อเจ้าอร่อยอยู่ด้วยนะ เจ้าอยากไปลองรึไม่เล่า” ยอดนักขายแห่งเมืองกูจางเท้าแขนบนโต๊ะอักษรของสหายตนเอง จงใจขัดขวางการเขียนพู่กันของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง พลางเสนอตัวเลือกใหม่ในการลากเด็กตัวขาวให้ออกจากเรือนอักษรนี้เสียที


นิ้วเรียวยาวใต้ผ้าคลุมคีบหนีบท่อนแขนหนาของคนที่ตั้งใจขัดขวางเขาออกส่งๆ เหลือบตามองดวงหน้าของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอ่อนใจส่งให้คนข้างตัวตนเองเป็นการตอกตะปูปิดผนึกทับอีกรอบ “ทั่วทั้งกูจางคงมีแต่เจ้าผู้เดียวแล้วล่ะมั้งที่รู้เรื่องแม้กระทั่งเหลือบไรตามผืนผ้าชาวบ้านเขา”


ถ้อยคำปรามาสที่บ่งบอกว่าเขารู้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเองต่างหากที่อีกฝ่ายหมายถึง


กงจวี้จื่อนึกอยากลอบเพ่นกบาลสหายร่วมสำนักตัวเองนัก ติดตรงถ้าไม่เกรงใจคนที่ตัวไม่อยู่แต่ลอบพูดเสียงเย็นสั่งกำชับลับหลังเขาเอาไว้ราวกับแผ่นป้ายประกาศิตจารึกไว้ว่า


‘ดูแลให้ดี ’


ข้าล่ะอยากดีดเจ้าให้กระเด็นออกจากเรือนอักษรเสียจริงๆ นะเจ้ากระเรียนขนร่วง!


“ก็ได้ๆ ข้ามันรู้เรื่องชาวบ้านดีที่สุด แล้วยังไง..ตกลงเจ้าจะไปรึไม่?” เด็กตัวสูงยกมือขึ้นสองข้างอย่างคนยอมพ่ายแพ้พยักหน้าหงึกหงัก


หรูฟู่เชิงวางใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา เอื้อมมือคล้ายจะหยิบพู่กันไปวางไว้ แต่ชั่วอึดใจเขาก็แอบเอาเจ้าขนกระต่ายที่ชุ่มไปด้วยน้ำหมึกสีดำสนิทป้ายไปบนจมูกของคนที่กำลังเผลอไผลตัว


ก่อนสองเท้าจะออกวิ่งทิ้งแผ่นหลังเล็กไว้ในลานสายตาหายจากเรือนอักษรไปรวดเร็วดั่งสายวาโยพัดพา พร้อมพูดเสียงใสดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกสองส่วนให้คนฟังได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู


“เจ้าจ่ายนะ”


คนนั่งหน้ามึนอยู่คิดตามอีกฝ่ายไม่ทัน ได้แต่เบิ่งตาเรียวเล็กดั่งเสี้ยวพระจันทร์ของตัวเองหมายจะจับเจ้ากระเรียนป่ามาถอนขนก็ช้าไปเสียแล้ว


เด็กหนุ่มลอบกัดฟันกำหมัดแน่น ทบต้นทบดอกเอาไว้ในจิตใจ


ไอ้กระเรียนเจ้าเล่ห์!



ตลาดในเมืองกูจางครึกครื้นหนาแน่นไปด้วยผู้คน เนื่องด้วยเป็นเมืองสินค้าหน้าด่านที่ติดกับเส้นทางการค้ากับกลุ่มชาวเผ่าและแว่นแคว้นทางไกล ทำให้ในตลาดมีสินค้าแปลกๆ หายากมากมาย รวมไปถึงของพื้นเมืองและเสื้อผ้าแพรพรรณมากมายให้ได้เลือกสรรกันตามชอบใจ


หากพูดถึงอาหารของเมืองกูจางแล้ว นับว่าชื่อเสียงของที่นี่เป็นหนึ่งไม่มีสองแล้วในแผ่นดินแคว้นฉินนั้น เพราะด้วยการปรุงรสที่คัดสรรวัตถุดิบรวมไปถึงการจัดจานล้วนแต่ประณีตรังสรรค์ เคยมีคำกล่าวไว้ว่าหากมาถึงกูจางแล้วไม่ได้ลิ้มรสอาหารของคนเมืองนี้ นับว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว


ตัวรสชาติจะเน้นออกไปทางหวานนำและเค็มตาม ผสานความละมุนละไมทุกเครื่องปรุงและส่วนผสมเอาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอดี อีกทั้งยังมีเนื้อสัตว์ตั้งแต่หมู แพะ แกะ ยันไปยังวัวพันธุ์ต่าง ๆ ที่เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรมภายในเมืองเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศอีกนั้น ทำให้รับรองได้แน่นอนถึงคุณภาพของอาหารในทุกจานที่คนเมืองนี้นั้นรังสรรค์ออกมา


นับว่าเมืองหน้าด่านแห่งนี้เป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบร่ำสุราชมดอกท้อท้องกินอาหารตาชมวิวทิวทัศน์ไปด้วยก็ไม่ผิดแต่อย่างใดนัก


ของขึ้นชื่ออีกอย่างของเมืองก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากบะหมี่เนื้อน้ำใสแห่งกูจางนั่นเอง...


ศิษย์จากสำนักตงฝางสองขนาดต่างความสูงออกเดินปะปนไปกับฝูงชนคราคร่ำมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาในตัวเมืองแห่งนี้ เสียงพ่อค้าแม่ขายร้องเรียกตลอดทางพาให้สองคุณชายเพลินตาต้องใจเป็นยิ่งนัก


หากทว่าความสง่างามราวกับเทพเซียนตัวน้อยของหรูฟู่เชิงในชุดสีขาวละเมียดละไมของสำนักการศึกษานั้นดั่งอีกฝ่ายกำลังลอยอยู่แทนการเดินก็ไม่ปาน ทำให้เด็กตัวขาวยิ่งเป็นที่จับจ้องของผู้ที่ได้พบเห็นทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นมา


เคียงข้างกันนั้นมีเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดแพรพรรณแบบเดียวกันแต่ต่างในความรู้สึกของคนมอง คุณชายสกุลกงรูปร่างสูงใหญ่กว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย ใบหน้าคร้ามคมจากแสงแดดกว่าแต่ไม่ถึงขั้นกุลีใช้แรงงาน ใบหน้าหล่อเหลาแต่ไม่ได้คมคายอย่างเช่นอดีตอาจารย์หนุ่ม เบียดไปทางละมุนตาอย่างผู้มีอันจะกินเสียมากกว่า


“ตกลงร้านบะหมี่ที่เจ้าว่าคือร้านไหนกันหรือ” หรูฟู่เชิงเอ่ยทักถามเมื่อเห็นว่าสหายของตนยังเพลิดเพลินกับของในตลาดตรงหน้าไม่มีทีท่าจะพาเขาไปยังร้านจุดหมายปลายทางเสียที


แต่ท้องเขามันดันเริ่มประท้วงไม่เชื่อฟังผู้เป็นเจ้าของเสียแล้วเนี่ยสิ


ยิ่งพอมาเห็นเหล่าบรรดาอาหารมากมายนานาชนิดตรงหน้า ร้านรวงต่างๆ ตั้งแถวเรียงกันเป็นตับขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตนหักห้ามจิตใจไม่ให้รู้สึกแต่ท้องมันก็ดันทรยศเสียแล้ว ไหนเลยกับกระเพาะของเด็กวัยกำลังโตแบบเขากัน ใครจะห้ามความอยากไหว


“ข้านึกก่อนนะซ่านเป่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน”


คุณชายสกุลกงไม่ได้แกล้งคนตัวขาวแต่อย่างใด แต่ความจำเขามันไม่ดีจริงๆ !


“มันควรจะอยู่ที่หัวมุมถนนเมื่อครู่นี้สิ แต่ตรงนี้มันก็มีอีกสี่ห้าร้าน แล้วมันร้านไหนกันล่ะเนี่ย” คนหลงร้านพึมพำส่ายหน้ามองหน้าความคุ้นเคยไปทั่วทิศทาง


“ไม่งั้นข้ากลับล่ะนะ” เด็กตัวขาวตั้งท่าจะหันหลังหนีไปจากตรงนี้ หากแต่เจ้ามือที่ตั้งใจพามาเลี้ยงกระโดดคว้าตัวเอาไว้ได้ก่อน


“ใจเย็นนะซ่านเป่า ใจเย็นๆ” ฝ่ามือใหญ่ตบปุๆ ลงบนอกเพื่อนตน “เอาอย่างนี้..เดี๋ยวข้าไปซื้อเจิงกั่วจ้ง (1) ที่ร้านตรงนั้นมาให้เจ้ารองท้องไปก่อนแล้วจะถามหาร้านบะหมี่มาให้ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยวนะ”


กงจวี้จื่อร่ายยาวเป็นลำนำดับโทสะของคนโมโหหิวลง ฟู่เชิงพยักหน้ารับบอกให้เพื่อนตัวเองรีบไป


ใครโมโหหิวกันเล่า...ไม่มีทั้งนั้นแหละ!


เทพเซียนองค์น้อยยืนรอคนที่ออกไปซื้อขนมรองท้องให้ตัวเองพลางสอดส่ายสายตาไปทั่ว เห็นแผ่นหลังของเพื่อนสนิทตนเองก้าวไวๆ ตรงดิ่งไปยังแผงร้านค้าร้านนึงพลางใช้หน้าตาของตัวเองหยอกล้อกับแม่ค้าสาวแล้วก็อดส่ายหน้าอิดแหนงแคลงใจไม่ได้


คุณชายเจ้าสำราญจริงๆ เลยเพื่อนของเขา


มิรู้ว่าชาตินี้ระหว่างหิวตายกับได้กินขนม อย่างไหนจะเกิดก่อนกัน



พลันในครรลองสายตาหวานล้ำพิสุทธิ์ หรูฟู่เชิงเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หัวหน้าคนงานและเหล่าลูกน้องของบ้านสกุลเจิ้งอยู่ในลานสายตา อีกฝ่ายดูท่าคงจะเห็นเขาเข้าแล้วเช่นเดียวกัน ฝั่งโน้นหันไปกระซิบกระซาบพยักเพยิดมาที่ตนเอง


“จวี้...”


คนที่โดนหมายตาตั้งใจจะร้องเรียกเพื่อนของตนเองที่ยืนเกี้ยวแม่ค้าสาวแผงขนมอยู่นั้นก็ห้ามปากตัวเองไว้ได้ทัน ฟู่เชิงสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มชายฉกรรจ์นั้นคงไม่ทันเห็นศิษย์ร่วมสำนักของตนที่ยืนอยู่อีกฝั่งถนน อีกฝ่ายจับจ้องเขาเพียงคนเดียว


ดังนั้นคนที่คิดจะปกป้องเพื่อนของตนจึงหุบปากฉุบกลืนถ้อยคำลงลำคอขาวไป


อย่างไรก็ให้เจอกันไม่ได้ ด้วยนิสัยมุทะลุเลือดร้อนของคนสกุลกงเช่นนี้


คงไม่พ้นมีเรื่องต่อยตีกันกลางตลาดแห่งนี้แน่นอน



หนีก่อนค่อยคุย นี่คือคติของฟู่เชิงในตอนนั้น



ฝีเท้าไวเท่าความคิด หรูฟู่เชิงออกวิ่งจากจุดที่ยืนอยู่ทันที ร่างบางหอบหิ้วชุดยาวรุ่มร่ามของสำนักตงฝางไปประจันหน้ากับกลุ่มคนงานบ้านสกุลเจิ้งก่อนเลี้ยวตัดที่หัวมุมตลาดทันทีเพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเดินไปจนเจอแผงขนมที่เพื่อนตัวเองยืนอยู่


นกกระเรียนขาวออกบินถลาพร้อมกับโดนกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนไล่ตามจับหมายจะถอนขน ตั้งแต่มีเรื่องไปคราวก่อนดูอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมจบจริงๆ เสียด้วยสินะ


ยิ่งเวลานี้ข้างกายไม่มีคนตัวสูงใหญ่คอยปกปักษ์เป็นปราการคุ้มครองพวกเขาอีกต่อไปแล้ว


...ท่านอยู่ที่ไหน...



ชั่วขณะนึงหรูฟู่เชิงเห็นใบหน้าแสนเย็นชาลอยเข้ามาในห้วงคำนึง


สมองคิดเท้าก็ออกวิ่งไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มต้องใช้ทั้งสมาธิและสติอย่างมากจนเส้นเลือดที่ข้างขมับกระตุกเกร็ง ร่างบางพยายามลัดเลาะตามมุมถนนบ้านเรือนไปหวังจะให้คลาดกันเพื่อสลัดอีกฝ่ายให้หลุด


หากแต่ว่ากลุ่มคนพวกนั้นก็เป็นดั่งหมาล่าเนื้อจมูกว่องไวที่ไล่ตามเหยื่ออันโอชะอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้คนที่ตั้งใจวิ่งหนีในทีแรกสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดพ้นเสียที


เมื่อสัตว์นักล่าเห็นเหยื่อแสนหวานอยู่ตรงหน้าเพียงผู้เดียวไร้ซึ่งการคุ้มครองใดๆ ดังนั้นพวกมันจึงกัดไม่ปล่อยกะเอาให้ตายจมคมเขี้ยวเสียเลยในวันนี้!


หรูฟู่เชิงออกวิ่งมาจนถึงหัวมุมบ้านหลังนึงก็หักหลบเลี้ยวเข้าซอกมุมทันที


ทว่านับตั้งแต่เกิดจนผ่านสิบหกฝนสิบหกหนาวนี้ เด็กหนุ่มอยากยอมรับว่าครานี้เป็นการกระทำที่โง่ที่สุดที่เขาตัดสินใจกระทำลงไป


เมื่อซอกถนนคับแคบไร้ผู้คนนั้นไม่มีทางให้ไปต่อ!


จะกลับตัวหันหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนตัวขาวหันหน้ามาประจันกับกลุ่มคนงานที่เดินแลบลิ้นเลียริมฝีปากมาแต่ไกล


พวกมันผ่อนปรนฝีเท้าลงย่างเดินเรียบเรื่อยเชื่องช้าเข้ามาหาคนจนมุมราวกับไม่รีบร้อนเชือดคอเหยื่อของตนแต่อย่างใด


เด็กหนุ่มไร้ทางสู้หันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายพยายามข่มสีหน้าหวาดกลัวสุดฤทธิ์แม้ในใจเขาจะอกสั่นขวัญแขวนมากขนาดไหน


“อาจารย์ของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ” ถ้อยคำคล้ายจะเย้ยหยันอยู่ในที


เจ้ากระเรียนขาวแห่งกูจางยังคงแย้มยิ้มพยายามแสดงท่าทีวางเฉยเอ่ยทักอีกฝ่ายตอบกลับไป แม้หน้าอกแบนราบจะกระเพื่อมขึ้นลงด้วยเพราะออกแรงวิ่งมาเป็นเวลานาน “พวกพี่ชายตามข้ามาด้วยเหตุอันใด”


กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นท่าทีของลูกนกไร้ทางสู้ก็หันไประเบิดหัวเราะหยาบช้ากันในพวกของตน ก่อนหันมาจ้องมองจาบจ้วงร่างขาวโพลนดั่งหิมะแรกรุ่นเอาไว้ในลูกตา


หัวหน้าคนงานตะคอกเสียงดังใส่หรูฟู่เชิงว่า “เห็นคุณชายมาคนเดียว พวกข้าเลยอยากเดินเป็นเพื่อนด้วยก็เท่านั้น”


“พูดคุยกันใยต้องวิ่งไล่ต้อนข้าจนอับมุมเช่นนี้” ใบหน้าเนียนใสมีหยาดเหงื่อเม็ดเป้งล้อมกรอบทั่ววงหน้าขาวเอาไว้ ริ้วสีแดงแล่นไปทั่วร่างกายเพราะฟู่เชิงเป็นคนตัวขาวจัด แม้กระทั่งใบหูก็ยังแต่งแต้มไปด้วยสีชาดดั่งผลลูกท้อสุกปลั่ง


“ก็คุณชายวิ่งหนีพวกข้าก่อน”


คนที่โดนปรามาสคิดในใจ ‘ไม่หนีจะอยู่รอให้พวกเจ้าจับข้าไปตุ๋นน้ำแกงกินอย่างนั้นหรือ


“เช่นนั้นพวกพี่ชายก็ไปเจอข้าที่สำนักเถิด พวกข้ามีชาดีไว้ต้อนรับพวกท่านมากมาย”


คนฟังได้ยินดังนั้นก็เหยียดยิ้มพ่นลมหายใจฮึดฮัดส่งเสียงดังหึ ดูท่าเด็กตัวขาวคนนี้จะไม่ประสาต่อโลกเกินไปแล้ว


ร่างหนากักขฬะตรงเข้าไปจับที่ข้อแขนเล็กก่อนออกแรงกระชากเสียจนอีกฝ่ายตัวปลิวกระดูกแทบจะหักคามือ


หัวหน้าคนงานยังพูดเสียงต่ำใส่ดวงหน้าขาวดั่งหยกงามแห่งลั่วหยางขู่เข็ญอีกว่า “งั้นเชิญคุณชายไปกับพวกข้าหน่อยปะไร” ออกแรงบีบข้อมือขาวจนผิวหนังบอบบางขึ้นแถบแดงเป็นทาง


ชั่วพริบตาวัตถุบางอย่างก็แหวกอากาศเสียงดังหวือขึ้นมาปักลงตรงกลางเสาเรือนด้านข้างคนทั้งสอง!


ลูกเกาทัณฑ์แหลมคมแล่นผ่านช่องว่างระหว่างใบหน้าหยาบกร้านไปเสียจนคมของดอกธนูนั้นแฉลบผ่านสันจมูกงองุ้มผิดรูปทำให้เกิดรอยเสียดสีแสบผิวเสียจนหยาดโลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาเล็กน้อยที่ใบหน้านั่น


ร่างของหัวหน้าคนงานแข็งเกร็ง!


เหล่าลูกน้องชายฉกรรจ์ผงะล่าถอยหันรีหันขวางมองไปรอบทิศเพื่อหาต้นตอของลูกธนูนั้น


ใครมันกล้า! ” สุ้มเสียงต่ำแผดดังหมายจะขู่ให้คนที่หลบซ่อนตัวเผยออกมา


มือหยาบกร้านที่จับกุมอยู่นั้นรีบปล่อยข้อมือเล็กออกทันที เผลอตัวถอยหลังไปเสียสองสามก้าวอย่างลองหยั่งเชิง


ยังไม่ทันจะอ้าปากพ่นคำอีกเป็นครั้งที่สอง ลูกธนูหัวเหล็กวาววับก็พุ่งแหวกม่านอากาศเสียงดังฟิ้วตรงมาปักลงที่ข้างเท้าของหัวหน้าคนงานอีกสามลูกพร้อมกันทันทีจนคนที่ยืนอยู่หงายหลังลงกับพื้น


คนที่เป็นเป้านิ่งเหลือบมองเกาทัณฑ์ทั้งหมดสี่ดอกที่ส่งออกมาจากบุคคลปริศนาก็แทบจะยืนไว้ไม่อยู่


ดูผิวเผินเหมือนดั่งกับว่าคนปล่อยลูกธนูนั้นยิงพลาดเป้าไป


หากแต่ว่าคนที่เคยเป็นทหารรับจ้างเก่าเช่นหัวหน้าคนงานสกุลเจิ้งมาก่อนนั้นรู้ว่าฝีมือการยิงลูกธนูเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ได้คลาดเคลื่อนไปใดๆ ทั้งสิ้น!


กลับกันมันตรงเข้าเป้าหมายในทุกการปล่อยรั้งสายเลยต่างหาก...


ลูกธนูดอกแรกมองเหมือนดั่งทำไปเพื่อข่มขู่ขวัญ หากแต่แท้จริงแล้วกลับปล่อยเพื่อสร้างบาดแผลไว้บนใบหน้าเขาได้อย่างแม่นยำดั่งจับศีรษะของเขาไปวางให้ยิงทะลุเล่นคล้ายหัวของสัตว์ที่ถูกล่าจากพรานมือฉมังต่างหาก


สามนัดต่อมานั้นต่างหากที่มีจิตสังหารบรรจุอยู่อย่างเต็มเปี่ยมหมายจะเด็ดหัวเขาทิ้งหากเมื่อครู่ไม่ยอมผละมือแล้วถอยออกมา


หัวของเหล็กกล้าวาววับที่สะท้อนอยู่กับแสงอาทิตย์จนเห็นหยาดเหงื่อที่ใบหน้าหยาบกร้านตรงหน้าตอนนี้อยู่นั้นคงปักเข้าที่กลางหน้าอกของตนเองเข้าอย่างจังจนไม่อาจมีแม้แต่โอกาสร้องขอลมหายใจแม้เพียงเสี้ยวคำ


กลุ่มคนงานเมื่อเห็นท่าทีดังนั้นต่างวิ่งหนีหายไปทิ้งลูกพี่ของตนไว้กับลูกศิษย์สำนักตงฝางเพียงสองคน


ไม่ว่าใครต่างก็รักชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น!


ร่างกักฬะของหัวหน้าคนงานเมื่อเห็นว่าตนเองไร้ทางสู้แล้วก็สบถหยาบคายออกมา พลางลุกขึ้นจ้องวงหน้าหวานก่อนเร้นกายวิ่งหายลับไปเช่นเดียวกับพวกลูกน้องตน


คุณชายตัวขาวที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาหมาดๆ ยังคงเบิกตาโพลง ในใจเต้นระรัวดั่งแทบจะหลุดออกมานอกอก


เสียงเนื้อผ้าขยับสวบซาบดังขึ้นมาในสายลมเรียกสายตาของผู้มองให้หันตามไปอย่างระแวดระวังตัว


ร่างสูงโปร่งของบุคคลผู้นึงที่สวมชุดดำทมิฬทั้งตัวเผยกายออกมา ในมือคนผู้นั้นถือคันศรใหญ่โตเอาไว้ คนที่เพิ่งโดนช่วยชีวิตมาหยก ๆ ก็เข้าใจได้ในทันที


ฟู่เชิงที่รวบรวมสติได้ยกมือขึ้นประสานค้อมตัวลง “ขอบคุณท่านที่ช่วยข้าไว้”


สายตาดำทะมึนจ้องมองร่างบางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรแล้วก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนอีกฝ่ายจะคำนับยบย่อตัวให้เด็กตัวขาวตกใจเล่น


“ท่าน..คำนับข้าทำไม” เรียวมืองามหมายจะไปคว้าตัวของชายปริศนาเอาไว้ไม่ให้กระทำเช่นนั้น


หากแต่แผ่นหลังเล็กชนเข้ากับอกแกร่งที่ไม่รู้ว่ามายืนซ้อนเขาตั้งแต่เมื่อใด ฝ่ามือใหญ่โอบรอบเอวสอบบางนั้นเอาไว้ในวงแขนกว้างไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันดิ้นหนี


ลมหายใจอุ่นร้อนที่ปัดป่ายอยู่แถวพวงแก้มใสทำให้เด็กหนุ่มเผลอหดคอหนีอย่างลืมตัว


ก่อนจมูกโด่งรั้นดั่งหยดน้ำค้างแข็งจะได้กรุ่นกลิ่นหอมประจำกายที่ไม่ได้มาจากถุงผ้าแพรภัณฑ์เครื่องหอมใด หากแต่เป็นกลิ่นของดอกเถาฮวาที่อวลอยู่รอบกายใครบางคนตลอดเวลานั่นต่างหากที่เขาได้เชยกลิ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


คล้ายกับว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของร่างเล็กในอ้อมแขนเขาไปเสียแล้ว


“หยางเกอ!”


ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเกือบเจ็ดราตรีอยู่ใกล้เพียงแค่แพขนตากระพริบทำให้คนมองเผลอเรียกเสียงดัง


สายตาล้ำลึกเย็นชาดังผืนมหาสมุทรกว้างใหญ่ยังคงพร่างพรายดั่งมีดวงดาวนับพันล้านดวงแต่งแต้มเอาไว้เช่นเดิม


นัยน์ตาคู่นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้มองอย่างประหลาด แต่ในขณะเดียวกันก็กลับอ้างว้างดั่งภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านไร้หุบเขาเคียงคู่


ทั้งสวยงามและโดดเดี่ยวไปพร้อม ๆ กัน


ใบหน้าคร้ามครันเพียงแต่ก้มลงมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนรับรู้ถึงปราณที่ปลายจมูกโด่งเคลื่อนออก เจ้ากระต่ายตัวขาวที่หลงติดกับดักนายพรานหนุ่มวางล่อลวงเอาไว้ได้แต่ย่นคอหนีจนแทบมุดหายจมลงไปในอกอีกฝ่าย


สุ้มเสียงทุ้มนุ่มแผ่วเบาที่คลอเคลียปัดป่ายข้างใบหูขาวซึ่งบัดนี้ย้อมสีแดงระเรื่อจนคล้ายดั่งกลีบดอกท้อในหน้าวสันต์แรกแย้ม มิรู้ว่าเป็นเพราะด้วยสภาพอากาศแวดล้อมหรือถ้อยคำที่ร่างสูงจงใจใช้พูดอยู่กันแน่จึงทำให้คนฟังรู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้าแบบนี้


“เป็นอะไร”


“.....”


ใจเจ้าเต้นเสียงดัง...





TBC





_____________________________________________________________________



(1) เจิงกั่วจ้ง (蒸裹粽) : ทำจากข้าวเหนียวนึ่งสุกคลุกน้ำตาล ห่อด้วยใบไผ่แล้วนึ่งอีกครั้ง เป็นของว่างชนิดนึงของจีน


(https://sv1.picz.in.th/images/2020/01/10/RTTY8W.png)


(ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ https://www.xuehua.us)



_____________________________________________________________________



Talk : เสียงไม่ดังเลยจ๊ะ ไม่ดังเลยยยยยย~
เป็นยังไงช่วยคอมเม้นท์พูดคุยกันด้วยนะครับ
พูดคุย ทวงงาน หวีดกันได้ Twitter @IndigomoonXii

หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 8 第八章 ความบังเอิญ | 9.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-01-2020 20:26:09
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 8 第八章 ความบังเอิญ | 9.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-01-2020 23:17:20
พวกนั้นไม่รู้หรือว่าคุณหนูท่านนี้เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพ ช่างกระทำอุกอาจนัก
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 8 第八章 ความบังเอิญ | 9.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-01-2020 00:41:39
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่ 8 第八章 ความบังเอิญ | 9.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2020 06:54:09
ดีต่อ....ใจ..........  :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 |แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 14-01-2020 06:43:32
第九章

ป้านชาแห่งความหลัง



ร่างสูงใหญ่หลุบตาลงมองสำรวจดวงหน้าหวานของคนที่ไม่ได้พบพานกันนานเกือบเจ็ดทิวาราตรี ก่อนปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระจากกรงขังของเขาอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้า


คล้ายยังเสียดายไออุ่นที่ตกอยู่ในวงแขนเมื่อสักครู่


หยางเถิงหันไปมองชายหนุ่มด้านหลังของหรูฟู่เชิงก่อนพยักเพยิดลงเล็กน้อยแทบไม่ได้ขยับใบหน้าไปมากกว่าเสี้ยวนึงของปกติ ก่อนอีกฝ่ายจะโขกศีรษะทำความเคารพผู้เป็นนายอีกครั้ง แล้วเร้นกายหลืบหายเข้าไปในความมืดมิดของพระอาทิตย์เที่ยงวันที่สาดซัดทอดเงาลงมายังบริเวณชายเรือนด้านนึงเอาไว้


ดั่งอีกฝ่ายเป็นเพียงภาพมายาของเมฆหมอกจางเท่านั้น หาได้มีตัวตนจริงอยู่แต่แห่งหนใดไม่


เด็กตัวขาวหันไปยังไม่ทันได้เอ่ยปากขอทดแทนบุญคุณ ตรงหน้าก็มีเพียงแต่สายลมว่างเปล่าเสียแล้ว


แถมนัยน์ตาคมเมื่อครู่ที่ใช้เหลือบมองเงาทมิฬนั้นราวกับป้ายประกาศิตทองคำถ่ายทอดคำสั่งผ่านสายตาเยือกเย็นเหน็บหนาว


จนคนที่จ้องสบอยู่นั้นอดลูบแขนตัวเองภายใต้ผ้าแพรเอาไว้ไม่ได้


ก่อนชั่วขั้วบุปผาปลิวเรื่องราวทั้งหมดจะกลับมาว่างเปล่าดังเดิม ฟู่เชิงจึงตีความสรุปเอาว่าตนเองคงมองผิดไปเนื่องจากแสงมันร้อนจนแยงตาเขาเข้า


“ผู้อาวุโสบังเอิญผ่านมาหรือขอรับ” คนที่เพิ่งขืนตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นหันกลับมาวางท่าทีห่างเหินเช่นเดิม


คิ้วเข้มดั่งขนอีกาเลิกขึ้นคล้ายจะหัวร่ออยู่ในทีเมื่อเห็นเจ้ากระต่ายตัวขาวขนฟูกอดอกตัวเองเสียแน่น กระเถิบถอยห่างเขาไปเสียเกือบหนึ่งฝ่าไม้กระดานไกลๆ คล้ายจะสุดมือเอื้อมถึง


ทำราวกับกลัวว่าเขาจะหลอกกินเต้าหู้เสียอย่างนั้นแหละ


“นี่เรือนของข้า” เจ้าของบ้านตอบรับ แอบเห็นท่าทีของผู้บุกรุกที่ตะลึงงันดวงตาเบิกโพลง


เสียงทุ้มเอ่ยวาจาพาเด็กตัวขาวที่บุกบ้านคนอื่นโดยพลการทำสีหน้าเหรอหรา พอลองมาจับสังเกตดูดีๆ ฟู่เชิงก็พบว่าซอกหลืบประตูที่ตนวิ่งมุดเข้ามาหลบเมื่อครู่นั้นคือแนวรั้วกำแพงทอดตัวยาวจนสุดสายตา


หลังก้อนดินสีหม่นนั้นมีเรือนไม้หลังนึงตั้งตระหง่านอยู่ ขนาดของจวนมิได้ใหญ่หรือเล็กไปกว่าจวนของท่านแม่ทัพสกุลหรูแห่งเมืองกูจางเลยแม้แต่น้อย


กลับกันมันดูแฝงไปด้วยกลิ่นไอบางอย่างแบบที่เด็กหนุ่มก็ไม่รู้จะเปรียบเปรยเป็นคำพูดว่าอะไรดีจึงจักเหมาะสม


คล้ายจะว่าน่าเกรงขามก็บอกไม่ถูก เมื่อจวนหลังนี้เป็นเพียงเรือนไม้เรียบๆ ไม่มีลวดลายประดับประดาหรือว่าใหญ่โตระโหฐานแต่ประการใด ซ้ำยังดูรกร้างไร้ผู้คน ไม่มีสาวใช้หรือข้าทาสบริวารเดินกันควั่กไขว่อย่างที่ควรจะเป็น


นับไปแล้วคฤหาสน์บ้านสกุลเจิ้งนั้นยังใหญ่โตและโอ่โถงกว่าเสียด้วยซ้ำ


“ขออภัย..ข้าน้อยมิได้ตั้งใจจะบุกรุกเรือนของท่าน” มือขาวประสานกันกางกั้นเขตแดน ท่าทางเย็นชาภายใต้ใบหน้าไร้ซึ่งห้วงอารมณ์ดั่งจิตใจถูกตัดขาดออกจากร่างกาย


ร่างสูงมองการกระทำนั้นด้วยความอึมครึมขึ้นมาหนึ่งส่วนหากแต่ปากก็ยังเอ่ยถามไม่ห่าง


“ทำไมจึงมาผู้เดียว”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรอดีตอาจารย์สำนักตงฝางก็พอจะเดาเรื่องราวหนหลังของอีกฝ่ายออกในทันที ชั่วอึดใจก็มีผู้เฒ่าท่านนึงโผล่ออกมาจากทางหลังเรือนทันทีดั่งเร้นกายรอคำสั่งอยู่นานแล้ว


ดูจากท่าทางหรูฟู่เชิงเดาว่าคนผู้นี้คงเป็นพ่อบ้านสกุลเหวินเป็นแน่


เด็กน้อยลอบมองสบตาผู้อาวุโสด้วยวัย รีบก้มศีรษะลงเป็นการทำความเคารพอีกฝ่ายผ่านทางอากาศ หากแต่ชั่วครู่นึงเหมือนท่านผู้เฒ่าจะผงะตัวไปเล็กน้อย ก่อนวางท่าทีนิ่งเงียบเช่นเดิม


เสียงทุ้มเอ่ยเรียบง่ายแต่ทรงอำนาจในถ้อยคำ


“ไปหาคนแซ่กงนามจวี้จื่อ..พาเขามา” จบท้ายประโยคลูกแก้วสีนิลหลุบกลับมามองคนที่ยืนลอบฟังความอยู่ข้างกายจนอีกฝ่ายหุบใบหน้าหลบแทบไม่ทัน


หลับหลังผู้เฒ่าชราคนตัวสูงก็ออกเดินไปทางด้านข้างของเรือนไม้ใหญ่ เด็กตัวขาวที่รู้สึกตัวเองว่าอยู่ผิดที่ผิดทางหมายใจจะเอ่ยคำร่ำลา ทว่าด้วยมารยาทจึงทำได้เพียงแค่เดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ไม่สบโอกาสได้บอกกล่าว ทั้งที่ในจิตใจกำลังสับสนวุ่นวาย


ฟู่เชิงยังคงไม่ลืมเลือนถ้อยคำที่อีกฝ่ายใช้บอกตนให้อย่าก้าวล้ำเส้นไปมากกว่านี้


คำพูดเหล่านั้นดุจดั่งฝักกระบี่ด้ามทื่อมนไร้ซึ่งความคมของแผ่นเหล็กกล้า แต่กลับค่อยๆ เถือเฉือนเนื้อบาดลึกลงเข้าที่จิตใจของคนฟังทีละเล็กละน้อยจนขาดแหว่งวิ่นไม่มีชิ้นดี


ครั้นจะให้เดินหนีไปเลยก็ไม่หาญกล้าราญรอนทำเช่นนั้นกับอีกฝ่ายได้ลง...


อย่างไรครั้งนึงคนตรงหน้าก็เคยช่วยเหลือกันมาก่อน



ดังนั้นคนที่หวังดีแต่โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจึงหันมาสร้างม่านบางๆ ดั่งรังไหมพันชั้นกางกั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองขึ้นมา ดูคล้ายว่าจะห่อหุ้มปกป้องตัวเองเอาไว้


หากแต่เจ้าไหมรังน้อยนั้นกลับปิดกั้นความรู้สึก ไม่รับรู้ถึงสายตาห่วงหาที่อีกฝ่ายใช้มองมาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว


อาจเป็นเพียงเพราะคนเด็กกว่านั้นไม่อยากโดนมองเป็นข้าวของที่ไม่ต้องการอีกแล้ว...



ผู้เป็นเจ้าของเรือนไม้หลังงามพาเด็กหนุ่มมาจนถึงมุมด้านในของตัวบ้านที่เมื่อครู่ถูกกำแพงดินกางกั้นเอาไว้ ในลานสายตาเด็กตัวขาวเห็นเหล่าพฤกษายืนต้นบานอยู่ท่ามกลางสายลมเหมันต์เหน็บหนาวที่ขาวโพลนไปทั่วบริเวณดั่งทะเลสีศุภกร


แม้จะเป็นปลายฤดูแล้วแต่เกล็ดน้ำค้างแข็งยังคงเกาะผลึกติดตรึงเจ้าไม้งามเอาไว้บนต้นราวกับไม่ยอมให้กลีบบุปผาร่วงโรยไปไหนได้โดยง่าย


ต้นเถาฮวาถูกปลูกขึ้นเรียงกันไปตลอดแนวยาวตามกำแพงดิน หากถึงหน้าวสันต์แล้ว ที่นี่คงจะแต่งแต้มสีสันเบ่งบานสะพรั่งไปด้วยสีแดงชาดเป็นแน่ ความงามเห็นจะไม่แพ้ทิวทัศน์ของศาลาชมจันทร์ที่เขาเคยนั่งร่ำสุราทางทิศประจิมของเมือง


หวนคิดคำนึงถึงเรื่องในวันวานพลางดึงสติตนเองกลับมาสู่ร่าง


“ผู้อาวุโสข้าน้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะท่านหน่อย” เมื่อคิดอะไรได้ในจิตใจเสียงหวานดั่งกังสดาลใบย่อมจึงเอื้อนเอ่ยขอร้อง


อีกฝ่ายผินเสี้ยวหน้าที่เฝ้ามองกลีบดอกไม้ซึ่งยังติดค้างอยู่ในเกล็ดน้ำแข็งเหมันต์ด้วยแววตายากที่จะอ่านกลับมาฟังถ้อยคำของคนข้างตัว


“อือ”


ชั่วครู่เหมือนคนตัวสูงจะหลุดลอยจากที่ตรงนี้ไปไกลแสนไกล


“ผู้ที่สวมชุดดำผู้นั้นเป็นใครหรือขอรับ”


“ทำไม”


“ท่านพ่อสอนไว้ว่าแม้ผ่านไปนับสิบปีถึงอย่างไรหนี้บุญคุณต้องทดแทน” คนตัวขาวตอบ


“อืม..”


หยางเถิงครางรับไม่ได้ตอบกลับอะไร เอาแต่จดจ้องคนพูดนิ่งงัน เมื่อสายตาคมเห็นว่าเด็กตัวขาวลูบมือไปตามเนื้อผ้าของตนอยู่หลายคราแล้ว


คุณชายสกุลหรูผู้นี้ผิวพรรณขาวละเอียดไม่ต่างกับสีของหิมะยามเหมันตฤดูเมื่อครั้งแรกรุ่นเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเกล็ดน้ำค้างแข็งที่โรยตัวอยู่รอบบริเวณนี้ยังดูคล้ายจะกลืนไปกับสีผิวของตรงหน้าจนเขาแทบหาข้อแตกต่างอันใดได้ไม่


“ตกลงพี่ชายท่านนั้นชื่อแซ่อะไรหรือขอรับ” ถามย้ำอีกรอบเมื่อริมฝีปากหนายังอมพะนำไม่ยอมตอบ


“หากเจ้าหาเขาไม่เจอ หนี้นี้จะติดอยู่ตลอดไป แบบนั้นหรือ?” ผู้พูดดูคล้ายจะมีมวลอารมณ์บางอย่างแฝงอยู่ในบทสนทนา หากแต่ว่าร่างโปร่งไม่อาจรับรู้ได้


เพราะอีกฝ่ายซุกซ่อนสีหน้าไว้เก่งกาจเกินไป


“เป็นแบบนั้น” หรูฟู่เชิงช้อนตาขึ้นมองผู้ที่สูงกว่าเขา ตอบกลับอีกฝ่ายไปโดยไม่ทันได้ตรึกตรองอะไร


หากเพราะเขารู้ว่าผู้มีพระคุณของตนนั้นอยู่ที่ใด คงมิมารบกวนเวลาชมดอกไม้ของท่านเจ้าของเรือนอยู่แบบนี้หรอก..


ผู้เป็นนายของเงาทมิฬนั้นหันมาจ้องหน้าเด็กที่หัวคิ้วเริ่มขมวดมัดปมจนใบหน้าหวานยับยู่ยี่


ชั่วสายลมพริ้วผ่านปัดเป่าเอาความบอบบางของพันธุ์พฤกษาตกลงมายังพื้นแผ่นดินให้เชยชม


กลีบดอกของต้นเถาฮวาหลุดจากขั้วต้นร่วงหล่นลงบนศีรษะที่ถูกเกล้ามวยไว้เพียงครึ่งหัวแล้วมีผ้าผืนยาวผูกทับเอาไว้


ไม่มีถ้อยคำอื่นใดนอกจากสัมผัสแผ่วเบาราวกับกลัวเจ้าแก้วบอบบางจะแตกสลาย


เจ้าของเรือนไม้และแพรกพฤกษางามเพียงยื่นมือมาหยิบสิ่งที่แซมเรือนผมเรียบลื่นดั่งเส้นแพรไหมนั้นออกให้อย่างระมัดระวังไม่ให้กลีบดอกไม้นั้นบอบช้ำ


ในแววตาที่ทอดมองกันนั้นดูเหมือนมีกระแสน้ำไหลทวนสั่นไหวอยู่ในนัยน์ตาคม


ลมตะวันตกโชยมาแรงนัก..


อีกฝ่ายกำชับเอื้อนเอ่ยพร้อมทั้งปลดผ้าคลุมจากร่างของตัวเองก่อนยื่นให้คนที่ยืนอยู่รับไปใส่ไว้พอให้คนตัวสั่นคลายความหนาวเย็นขึ้นมาได้บ้าง


นัยน์ตาหวานล้ำดั่งเจ้ากระต่ายป่าบนดวงจันทร์เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของผู้ที่เดินจากไปทิ้งไว้เพียงกลิ่นกรุ่นจางจากเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตาที่ห่มทับตัวเขาเองอยู่


ในผืนผ้านั้นยังคงมีอุ่นไอของผู้เป็นเจ้าของหลงเหลือเอาไว้เบาบาง


มือเรียวใต้ผ้าแพรกระชับห่มผ้าให้แนบสนิทกับกายตนมากขึ้นอีกหน่อย ถ้อยคำห่วงหาที่คนตัวสูงเลือกใช้ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงอารมณ์ของเด็กหนุ่มไม่ไปไหน


ซึ่งเขาไม่สามารถสลัดออกไปจากจิตใจได้เลย...



เงาทมิฬแห่งรัตติกาลซึ่งหลบรื้นอยู่ใต้ความมืดมิดที่สะท้อนลงบนพื้นแผ่นดินยอมปรากฏกายฝ่าแสงแดดของยามอู่ (ช่วงเวลาประมาณ 11.00 – 12.59 น.) ออกมาเผชิญกับพระอาทิตย์ตรงหัวเพื่อมองสถานการณ์ข้างหน้าให้ชัดเจน


ร่างสูงโปร่งเพรียวลมอย่างผู้ช่ำชองวรยุทธซุกซ่อนจิตสังหารตนเองเอาไว้มิดชิด ทำการเร้นกายกำบังอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เฝ้าดูกลุ่มคนพวกนึงที่กำลังล้มลุกคลุกคลานจนหน้าไถลไปกับพื้นดินพยายามดิ้นรนร้องขอชีวิตตนกันเซ็งแซ่ราวกับสุนัขโดนน้ำร้อน


สภาพน่าเวทนาสังเวชใจเป็นยิ่งนักสำหรับบุคคลทั่วไปหากได้มาพบเห็น...


แต่มิใช่กับดวงตาทมิฬไร้ซึ่งแววปราณีใดที่กำลังจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก


ชายในชุดดำทั้งตัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพลางยกมือขึ้นกอดอก เอนตัวพิงกับไม้ใหญ่พลางเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าต่อไปอย่างเงียบๆ


ดูท่าแล้วภารกิจของเขาคงจะไม่สำเร็จเป็นแน่


เพราะดันมีคนมาแย่งตัดหน้าจัดการไปก่อนเสียได้!


แต่ก็ดีเหมือนกัน..ชายหนุ่มคิด หนึ่งเพราะตนเองไม่ต้องเปลืองแรงลงไปสู้รบปรบมือกับพวกเศษสวะข้างถนนนี้ให้เสียมือคนอย่างเขา


ไหนจะอาวุธในมือที่ถูกยัดเข้ามาอย่างฉุกละหุกนี่อีก


ใหญ่โตเกินที่แบกรับเอาไว้ได้หมด...


คนที่ลอบคว้าชิ้นปลาย่างจึงขออยู่เป็นผู้ชมแถวหน้า เฝ้ามองเรื่องราวสนุกสนานที่กำลังเกิดขึ้นไปอย่างสบายอารมณ์เพราะตัวไม่ต้องเหนื่อยอะไร


แถมได้ชมมหรสพเพลิดเพลินอีกต่างหาก


น่าจะมีสุราดีๆ สักหน่อย ร่างเงาทมิฬคิดในใจ


เหล่าชายฉกรรจ์ที่ล้อมวงขู่เด็กตัวขาวอยู่ก่อนหน้านี้นั้น บัดนี้กลับกลายเป็นพวกมันบ้างที่ถูกต้อนเอามารวมกันไว้อยู่ในวงล้อมของกลุ่มคนที่ถืออาวุธแหลมคมวาววับสะท้อนกับแสงอาทิตย์เสียจนเหล่าผู้เคราะห์ร้ายอกสั่นขวัญแขวนกันไปตามๆ กัน


หน้าซีดเทาดั่งหมูที่ถูกเชือดคอเสียจนเลือดไหลหมดตัว เหลือแต่เพียงร่างไร้วิญญาณเซ่นสังเวยบูชา


กลุ่มคนที่มีอาวุธพร้อมมือเหล่านั้นพากันแหวกทางให้คนผู้นึงในชุดสีเข้มตัดกับความสว่างของยามรุ่งอรุณก้าวเดินออกมาข้างหน้าจนเห็นได้เด่นชัดในครรลองสายตาของผู้เฝ้ามอง


ผู้มาใหม่เดินเอามือไพล่หลัง ค่อยๆ ย่างกรายสุขุมเข้ามาตรงหน้าทุกผู้คน จิตสังหารที่ชายสูงวัยแผ่ซ่านออกมาคล้ายดั่งสายน้ำแห่งเมืองกูจางเย็นเหยียบจนหนาวลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ


ใบหน้าของชายชรายามต้องแสงอาทิตย์ดูเป็นเพียงคนแก่ผู้นึงไร้พิษสงใดๆ ทั้งสิ้น


หากแต่ลึกลงไปในแววตานั้นกลับแข็งแกร่งเหี้ยมเกรียมเยี่ยงขุนศึกชำนาญการที่ผ่านยุทธภูมิมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน!


“พวกข้าผิดไปแล้ว ขอนายท่านโปรดเมตตาด้วย” หนึ่งในเหล่าหมูที่กำลังจะถูกเชือดโอดครวญร้องขอชีวิต ใบหน้าก้มต่ำเรี่ยพื้นดินคลานเข่าเข้าไปแทบเท้าของผู้มีอำนาจสูงส่งตัดสินชะตาชี้เป็นชี้ตายจนแทบจูบกับรองเท้าของอีกฝ่าย


บัดนี้ศักดิ์ศรีใด ๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิตรอดกลับไปอย่างมีหัวอยู่กับตัวอีกแล้ว!


“มือใดที่ผลักลูกข้า” คำถามเรียบนิ่งแต่แฝงจิตสังหารเต็มเปี่ยม


“ใต้เท้า..พวกข้าเป็นเพียงลูกน้อง ใครสั่งอะไรก็ต้องทำขัดขืนมิได้” หนึ่งในลูกน้องบ้านสกุลเจิ้งยังเอ่ยตัวสั่นเทิ้มคร่ำครวญทั้งน้ำตาพยายามพุ่งเข้ามาเกาะแขนขาของชายชราเพื่ออ้อนวอนขอความเมตตาด้วยความกลัวตาย


ผู้ที่กุมชะตาชีวิตของคนเหล่านี้ไว้เชิดใบหน้าขึ้นเหยียดตามองลงต่ำ สะบัดข้อเท้าหลบฝ่ามือที่กำชายผ้าของตนออกอย่างเยือกเย็น


งั้นถ้าสั่งให้เจ้า..ตายล่ะ


สุ้มเสียงทรงอำนาจพูดจบคนทั้งหมดก็ก้มลงกราบแทบพื้นดิน น้ำตาลูกผู้ชายไหลนองอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรีใดให้หยิ่งทะนงได้อีก บางคนหวาดกลัวมากเสียจนอาจมจากทางทวารไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นดิน


สภาพน่าสมเพชยิ่งนัก!


อดีตขุนพลผู้ชาญศึกสวมอาภรณ์สีเข้มสะบัดตัวหันหลังเหลือบมองจำนวนใบหน้าที่หมอบคลานอยู่ฝ่าเท้าของตนอีกครั้ง ไต่ถามเสียงเฉียบขาด “หัวหน้าของพวกเจ้าไปไหน!!”


“มะ..มิรู้ขอรับ พวกข้าหนีออกมาก่อน”


ชายชราส่งเสียงหึในลำคอ ก่อนหันไปบอกลูกน้องทั้งหมดของตนเองที่ยืนรอรับคำอยู่เพียงผู้เป็นนายสั่งการลงมา


“จับพวกมันกร้อนผม..หักมือทิ้ง แล้วส่งออกนอกเมือง!”


“ขอรับ!”


กลุ่มคนที่ถืออาวุธประจันบานน้อมรับคำสั่งเสียงแข็งขัน หิ้วร่างของเหล่าคนงานบ้านสกุลเจิ้งออกไปทั้งหมดจากบริเวณนั้น


ชั่วอึดใจก็มีแต่เพียงเสียงร้องครวญครางดังระงมด้วยความทรมาณแสนสาหัสดังเป็นฉากหลังแผ่ซ่านไปทั่วชายป่ามืดครื้มที่ซึ่งแสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง


ไม่นานเสียงเหล่านั้นพลันเงียบเชียบไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน...


เงาดำทมิฬที่หลบซ่อนตัวอยู่แฝงกายหลีกลี้ออกมาเงียบเชียบไม่ให้ใครได้ทันจับพิรุธตน ชายหนุ่มโจนทะยานไปตามเงาพระอาทิตย์ที่บัดนี้เริ่มบ่ายคล้อยไปเสียแล้ว เร่งหมายกลับจวนของผู้เป็นนายเหนือหัวเพื่อรายงานให้ทราบถึงความเป็นไปที่เกิดขึ้น


โหดเหี้ยมดุจความกรุณาของพระโพธิสัตว์’ นั่นคือคำนิยามที่ร่างทมิฬเอ่ยขึ้นในใจ


เพราะหากว่าเป็นเขาลงมือเองแล้วล่ะก็...คนทั้งหมดนั่นคงไม่เหลือแม้เศษเถ้ากระดูกให้ลูกหลานเซ่นไหว้!


แต่ก็นะ..สมกับเสียงเล่าลือที่เขาเคยได้ยินผ่านหูมาถึงฉายาดังกระฉ่อนในอดีตของชายชราผู้นี้


ว่าหากใครที่คิดหลู่เกียรติอดีตแม่ทัพบรูพาผู้นี้แล้ว


มีหัวไว้บนบ่านับได้ว่านรกยังคงไม่อยากรับตัวไป...




ต่อรีพลายล่างนะครับ
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 14-01-2020 07:00:00




ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามผู้ที่นับหน้าถือตาว่าเป็นพ่อบ้านสกุลเหวินก็กลับมาพร้อมสหายร่วมสำนักของฟู่เชิง เด็กตัวสูงทำหน้าเหรอหลาไม่ต่างกับผู้ที่มาก่อนมากนักเมื่อเท้าเหยียบย่างเข้ามาในที่พำนักของคนแซ่เหวินที่เขากราบไหว้เคารพเป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน


“ที่นี่คือจวนของเหวินซือฝูหรือขอรับ” ผู้มาใหม่มองไปรอบชายเรือนอย่างสำรวจตรวจตรา


พ่อบ้านชรากระแอมในลำคอเปล่งเสียงสูงผิดธรรมชาติของชายทั่วไปให้แปร่งหูยามได้ยินกับคนข้างกาย “คุณชายกงโปรดรักษามารยาทด้วย”


“คะ..ขออภัยขอรับ ขออภัย” ผู้น้อยที่โดนตักเตือนยกสองมือขอโทษขอโพยอีกฝ่าย คำตำหนิของคนรับใช้ผู้นี้ขนาดฟังแล้วยังรู้สึกแปลกในใจ ใช้ถ้อยคำสุภาพทว่ากลับบาดลึกพิกล


“นายท่านรออยู่ที่เรือนรับรองนานแล้ว เชิญคุณชายทางนี้”


ผู้พูดอธิบายพลางกรีดมือไปทางด้านนึงของเรือนไม้ก่อนออกเดินนำคุณชายสกุลกงไปด้วยความรวดเร็ว สองเท้าเล็กนั่นซอยยิกเสียจนเด็กหนุ่มมองตามแทบไม่ทัน บรรยากาศรอบตัวบ้านเย็นเหยียบไม่ต่างกับผู้เป็นเจ้าของเลยแม้แต่น้อย ไหนจะพ่อบ้านผู้นี้อีก ไม่เหมือนคนรับใช้ในจวนใดที่เขาเคยประสบพบเจอมาก่อนเลย


ช่างเลือกสรรได้เหมาะเจาะทั้งลูกน้องทั้งเจ้านายจริง ๆ ’ กงจวี้จื่อลอบคิดในใจ


คนที่ถูกใช้ให้ไปตามเด็กตัวสูงมาเดินถึงเรือนรับรองกลางตัวบ้านก่อนแยกตัวหายไปในทันทีไม่ทันให้คุณชายได้กล่าวขอบคุณ คนสกุลกงหันหน้ามาอีกทางก็เห็นเพื่อนตัวเองนั่งรออยู่กับผู้เป็นอดีตอาจารย์สำนักการศึกษาอยู่ก่อนแล้ว คนทั้งคู่เพียงแต่นั่งนิ่งๆ ไม่กล่าววาจา ไม่มีบทสนทนาใดต่อกัน


นั่งเงียบเสียจนเสียงกระพือปีกของนกยังดังกว่าเลยด้วยซ้ำ


ตรงหน้านั้นมีเพียงโต๊ะน้ำชาตัวนึงคั่นกลางระหว่างคนทั้งคู่เอาไว้ แต่เหมือนนั่งอยู่ไกลกันสุดพันลี้ไม่อาจหยั่งรู้เหนือใต้ก็ไม่ปาน บรรยากาศชวนน่าอึดอัดใจพิกล


“คารวะเหวินซื...ท่านผู้อาวุโสขอรับ” กงจวี้จื่อตั้งท่าจะยอบกายกล่าวความเคารพผู้เป็นอดีตอาจารย์แห่งสำนักตงฝาง หากแต่เมื่อได้รับสายตาจากคนตัวขาวที่มองมา คุณชายกงก็รีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้โดยพลัน


กงจวี้จื่อลอบขออภัยหยางเถิงอยู่ในใจ เขาเองยังไม่อยากอยู่ระหว่างสงครามกลางเมืองเช่นนี้หรอกนะ


อย่างไรเจ้ากระเรียนขาวก็ยังมีภาษีดีกว่าท่านอยู่หนึ่งส่วน


“สหายของข้าน้อยมาถึงพอดี รบกวนผู้อาวุโสแล้ว” หรูฟู่เชิงกล่าวขอบคุณหมายจะพาตนออกไปจากความขุ่นมัวในใจตรงนี้เสียที


“นั่งลงดื่มชาด้วยกันก่อนสิ”


ความคิดนั้นหยุดชะงักถูกระงับไปทันทีไม่ทันได้ก้าวตัวไปไหนเมื่อผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย หยางเถิงปรายตามองไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนเหงื่อตกอยู่อย่างไม่รู้ว่าควรเอาบั้นท้ายตนไปวางไว้ตรงไหนของทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนี้ดี


“เกรงใจผู้อาวุโสแล้ว แค่นี้ก็กวนเวลาท่านมามาก” คนตัวขาวเถียง


“ถามข้าหรือยัง” หยางเถิงตอบกลับ


ไม่ทันให้ใครได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมเมื่อพ่อบ้านสกุลเหวินยกกาน้ำชาที่ทำจากหยกมาตั้งรับรองแขกจวนสกุลเหวินพร้อมทั้งขนมของว่างอีกสองสามชนิดไว้ตรงหน้ากงจวี้จื่อ ก่อนยอบกายคำนับผู้เป็นนายเหนือหัวใหญ่อีกครั้งแล้วหลีกกายหลบลี้หายไปตามเดิมดั่งสายวาโยพัด


คนสกุลกงที่ได้กลิ่นหอมของใบชาก็เบิกตาเรียวดั่งเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นโพลง ร้องบอกเสียงดัง “ชาดี!”


“ยังไม่ทันเห็นภูเขาเจ้าก็ว่าเป็นแม่น้ำไปเสียได้” หรูฟู่เชิงปรายตามองเห็นอาการตัวสั่นระริกเวลาได้เจอสิ่งมีค่าของเพื่อนตัวเองแล้วก็ต้องแอบบึนปากน้อยๆ


“ข้าก็ยังไม่เห็นเจ้าแตะชาในถ้วยเลยสักนิด ทำไมถึงรู้ว่าเป็นภูเขาล่ะ อาจจะเป็นแม่น้ำก็ได้นี่” คนที่เนื้อตัวสั่นเพราะได้ลิ้มรสของราคาแพงพยักเพยิดไปที่ป้านชาของสหายสนิทตน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวยังไม่ได้ทันลิ้มรสเลยด้วยซ้ำ


เด็กดื้อตาใสเบะปากแต่ก็ยอมยกป้านชาหยกขึ้นมาก่อนดมกลิ่นหอมชวนให้ผ่อนคลายก่อนปลดระวางคิ้วที่ขมวดมุ่นของตนเองลงสองในสี่ส่วนแล้วลิ้มรสของที่ว่าเป็นแม่น้ำไม่ใช่ภูเขาดู


รสหวานหอมที่อวลอยู่ในปากยามได้สัมผัสนั้นเกินยากพรรรณา ไม่เย็นชื่นแต่ก็ไม่เข้มขม หอมอ่อนๆ ติดฝาดขมบางเบาที่ปลายลิ้น น้ำชาสีเหลืองทองที่ชงออกมาได้นั้นมีสีเปล่งประกายบริสุทธิ์ดั่งก้อนสุวรรณอำไพ น้ำชาละเลียดแผ่ซ่านไปทั่วปาก ลื่นคอดื่มง่าย แถมยังชุ่มคออย่างประหลาด คล้ายกับบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่เดินทางนับพันปี สงบเงียบและน่าลุ่มหลงเป็นยิ่งนัก


ส่วนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันลอบมองวงหน้าขาวนวลที่หลับตาลงจนแพขนตากระเพื่อมทำหน้าพริ้มเพราพึงพอใจในรสชาก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ จนกงจวี้จื่อต้องขยี้ตามองแล้วมองอีกว่าตนไม่ได้หูตาเลอะเลือนฝ้าฟางอย่างผู้เฒ่าเหยียนหุย


ข้าเห็นพระพุทธรูปหยกยิ้มได้หรือนี่?


สายตาหมื่นกระบี่เลื่อนกลับมาจ้องเขม็งที่คุณชายกงแทน ลูกศิษย์หนุ่มสะดุ้งตัวโยนก้มหน้ารวบเอาขนมในจานเข้าปากทั้งหมดทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเศษความหวานติดคอไอโขล่กเสียงดังลูบอกลูบหลังตัวเองเป็นพัลวันพลางส่งป้านชากรอกเข้าปากดังอั่กๆ


“แค่ก ๆ คะ..ข้าไม่เป็นไร” กงจวี้จื่อโบกมือปฏิเสธเอามือลูบหน้าตนเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเพื่อนส่งมา


หรูฟู่เชิงรีบยกมือคำนับผู้ใหญ่ในที่นี้ “ขอท่านอย่าถือสา”


“อืม” คุณชายสกุลเหวินครางรับ


กงจวี้จื่อพยายามปัดป้องมือสหายตัวเล็กของตนอย่างเอาเป็นเอาตายไม่บอกว่าทำไม ปราพร่ำแต่คำว่าตนเองสบายดีและให้ฟู่เชิงอยู่ห่างๆ เท่านั้นจึงจะปลอดภัย “เจ้าไปไกลๆ ข้าเถอะน่าซ่านเป่า หัวข้าจะขาดอยู่รอมร่อแล้ว” คุณชายกงโวยวายหน้าซีดเผือก


ใยไม่มองสายตาเหวินซือฝูบ้างเล่าเจ้ากระเรียนบื้อเอ้ย!


หรูฟู่เชิงยิ่งทำหน้าแปลกประหลาดเข้าไปอีกคำรบ ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตนพูดถึงสิ่งใดกัน


เมื่อสายตาคมที่ทอดมองอยู่นั้นแทบอยากจะพุ่งเข้าไปนั่งแทนที่คนสกุลกงเพื่อว่าตนเองจะได้รับสายตาเช่นนั้นบ้างสักครั้งคราว...


ทันทีที่เห็นช่วงเวลาว่างพ่อบ้านชราก็โผล่กายเร้นตัวออกมาจากเงามืด ยอบกายกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนายที่สายตาคมนั้นจ้องเขม็งวางเอาไว้ที่ร่างขาวซึ่งกำลังยื่นมือไปลูบหลังศิษย์ร่วมสำนักอยู่


ผู้อาวุโสสุดยืนขึ้นกล่าวเรียบๆ จัดเสื้อคลุมสีพิสุทธิ์ของตนให้เรียบร้อย “มีแขกมาขอพบ ขอตัวสักครู่”


ผู้พูดบอกกล่าวไม่แสดงสีหน้า แต่ถ้อยคำดั่งสั่งว่าให้พวกตนรออยู่ตรงนี้อย่าเพิ่งไปไหน


เด็กตัวขาวเห็นช่องสบโอกาสให้หนีได้ทันจึงรีบตะครุบไว้ “เกรงใจท่านแล้ว งั้นพวกข้าขอลากลับสำนักเลยดีกว่า..ไม่ต้องส่งนะขอรับ”


หรูฟู่เชิงหยัดกายลุกขึ้นพรวดพราดน้อมศีรษะลงเคารพก่อนลากแขนเสื้อกงจวี้จื่อที่ยังลิ้มรสชาราคาแพงนั่นอยู่อย่างเสียดายจนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


ลูกศิษย์สำนักตงฝางรีบสำรวมเก็บข้าวของที่คนสกุลกงหอบหิ้วมาใส่มือลุกจากเรือนรับรองทันทีไม่สนสีหน้าของผู้เป็นเจ้าของเรือนที่มองตามแผ่นหลังเล็กนั่นจนสุดสายตา ทว่าริมฝีปากกลับหนักอึ้งไม่เอ่ยอะไรออกมา


หลังจากหลบกายออกมาจากเรือนรับรองได้นิดหน่อย พ่อบ้านชราก็เดินตามมาส่งเด็กทั้งสองเพื่อไม่ให้ทั้งคู่เดินสะเปะสะปะออกนอกลู่ทางไปชนข้าวของหรือซุกซนภายในจวนสกุลเหวินแห่งนี้


ทว่าร่างบางที่ยังไม่ทันก้าวไปไหนก็ชนเข้ากับใครคนนึงที่เลี้ยวตรงหัวมุมเรือนไม้เข้าพอดี


“โอ๊ะ! ขออภัยขอรับ ข้าเดินไม่ดูทางเอง”


“มิเป็นไรเจ้าค่ะ”


เมื่อทั้งสองฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองกัน หรูฟู่เชิงก็พูดเสียงดังตกใจขึ้นมาว่า “แม่นางจ้าว!


จ้าวรุ่ยเสีย หญิงสาวโชคไม่ดีที่โดนทำร้ายตรงริมน้ำชานเมืองคราวที่แล้วบัดนี้กำลังยืนอยู่ในเรือนสกุลเหวิน อีกทั้งยังเดินชนกันอย่างบังเอิญอีกต่างหาก แต่พอนางเห็นว่าผู้ที่ชนตนเองนั้นเป็นคุณชายสกุลหรูบุตรชายท่านแม่ทัพแห่งกูจางก็หน้าซีดเผือกรีบก้มหน้าลงมิดชิด


“แม่นางจ้าวหายดีแล้วใช่รึไม่ มาทำอะไรที่นี่หรือ?” หรูฟู่เชิงรีบเอ่ยถามทันที


หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงดีนัก “ข้าน้อยมีธุระมาพบท่านเหวินเจ้าค่ะ ขอตัว”


ร่างบางแน่งน้อยวัยสะคราญยอบกายเอ่ยคำลาแล้วรีบเดินหนีออกไปอีกทางทันที จนคุณชายทั้งสองมีสีหน้างุนงง หากแต่ว่าพ่อบ้านเหวินก็กล่าวนำเตือนสติลูกศิษย์สำนักศึกษาให้รีบเร่งกลับยังสำนักก่อนจะเย็นย่ำมืดค่ำเสียก่อน


คนทั้งสามเดินมาจนถึงหน้าจวนของอดีตอาจารย์ประจำสำนักพวกตน หรูฟู่เชิงก็หันมาพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณกับพ่อบ้านเหวิน


“ขอบใจท่านที่อุตส่าห์เดินออกมาส่งพวกข้า รบกวนผู้อาวุโสแล้วจริงๆ” กระเรียนขาวแห่งกูจางประสานมือส่งให้ผู้ชราอีกทีพร้อมกับสหายข้างตัวที่มีทีท่ายังเสียดายรสชาติที่ติดอยู่ปลายลิ้นของตน


กงจวี้จื่อแทบจะอยากขอยกกาน้ำชากลับจวนของตนเองเลยด้วยซ้ำไป!


“แม่นางผู้นั้นเป็นใครหรือ?” คุณชายเจ้าสำราญทำหน้าตาวิบวับจนโดนศอกเล็กๆ ถองเข้าไปที่ท้องจนจุก แทบขย้อนเอาน้ำชาดีออกมาเสียจนหมดไส้หมดพุง


เจ้ากระเรียนป่านี่ เป็นบ้าหรือ..เสียดายของ!


“เป็นคนที่ข้าเคยเจออยู่ตอนออกไปเที่ยวเล่นที่ศาลาชมจันทร์น่ะ นางถูกทำร้ายพอดีตอนข้าไปเจอเข้า แล้วผู้อาวุโสเหวินไปช่วยนางเอาไว้”


คนฟังร้องอ๋อครางรับขึ้นมาพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ “นางเลยมาหาเพื่อตอบแทนน้ำใจอย่างนั้นรึ?”


“คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง” ผู้พูดตอบรับพลางคิดเหตุผลในใจ


“ก็มิแปลก..หน้าตานางก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเสียหน่อย”


“เจ้าคิดอะไรน่ะกงจวี้จื่อ จะฟ้องท่านอาจารย์!” หรูฟู่เชิงชี้นิ้วขู่สหายตัวโตของตน


“อย่าบ้าหน่า! ข้ายังไม่ถามเจ้าเลยมากกว่าว่าเหตุใดเจ้ากับเหวินซือฝูถึงไปอยู่ด้วยกันจนช่วยแม่นางจ้าวไว้ได้”


กงจวี้จื่อกระถดไหล่แซะร่างบางของศิษย์ร่วมสำนักตัวขาวข้างตัวจนอีกฝ่ายตัวปลิวหันมาจ้องหน้าทำตาเขียวใส่เขาแล้วเอ่ยปากปฏิเสธฉับพลัน หน้าขาวๆ นั่นมีแต่ริ้วแดงขึ้นพาดเสียจนลามไปยังใบหู


“บังเอิญทั้งนั้นแหละ บังเอิญ!” หรูฟู่เชิงตอบกลับเสียงดังจนแหลมขึ้นจมูก ทำท่าทีฟึดฟัดเดินหนีสีหน้าจับผิดที่ทำให้ใจของเขาคันยุบยิบ เรียวนิ้วขาวลูบไล้ปลายจมูกตนเองอย่างมือไม้อยู่ไม่สุข ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหนดี


ไม่เคยรู้สึกว่ามือตนเองมันเกะกะเช่นนี้มาก่อน


ใช่..บังเอิญเจอกันทั้งนั้นแหละ เด็กหนุ่มคิดคำนึงขึ้นมาภายในจิตใจ


บังเอิญชวนนั่งร่ำสุราเป็นเพื่อน


บังเอิญจิบเหล้าจนเมามายหลับพับคาศาลาชมจันทร์


แถมยังบังเอิญ...ให้เขาอุ้มพาส่งกลับจวนอีกต่างหาก



...เรื่องบังเอิญทั้งนั้นเลย...


“แล้วตกลงชานั่นมันดียังไงรึอาจื่อ” พอปัดเป่าความขัดเขินไปได้บ้างแล้ว คนตัวแดงก็เอ่ยถามข้อสงสัยตนทันที เอาจริงก็หมายใจเพื่อเบี่ยงประเด็นให้ห่างจากเรื่องของตนเองด้วย


“เจ้านี่มันฉลาดแต่เรื่องในคัมภีร์ตำราอักษรเรียนจริงๆ นะเจ้ากระเรียนป่า” กงจวี้จื่อกอดอกยืดกายขึ้นทำท่าภาคภูมิใจทันทีเมื่อรู้ว่ามีเรื่องที่คนฉลาดที่สุดของเมืองไม่รู้บ้างเสียที


“ข้าไม่รู้แล้วถามเจ้านี่ผิดตรงไหน?”


“ก็..ไม่ผิด”


คนตอบยิ้มแห้งก่อนโดนยัดข้าวของที่หรูฟู่เชิงถืออยู่เข้ามาในอ้อมอกแทน ร่างบางยังไม่คลายสงสัยจึงถามต่อว่า “แล้วตกลงมันดียังไงกัน เจ้าจึงทำตัวเป็นโป๊ยก่ายเห็นสตรีเช่นนั้น หากอาจารย์รู้เข้าว่าเจ้ามีกิริยาเช่นนั้นเจ้าโดนตีตาย”


“ชาเมื่อครู่มีค่ายิ่งกว่าสตรีหนึ่งร้อยนางเสียอีกนะ ข้ายอมโดนตีจนขาหักเดินไม่ได้แต่มิยอมไม่ได้ดื่มชา” ผู้พูดทำตาโตทั้งที่มันก็ไม่ได้กว้างไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่


“เยี่ยงนั้น?”


“ยิ่งกว่านั้น!”


“มันต่างจากชาเหวินซานที่ท่านอาจารย์ซื้อจากบ้านสกุลเจิ้งนั่นอย่างไรหรือ?”


“ชาของท่านอาจารย์ก็ถือว่าเป็นของดี เหมือนที่เขาพูดกันว่า ทางเหนือมีเหวินซาน ทางใต้มีตงติ้งอย่างไรเล่า” กงจวี้จื่อผู้ชื่นชอบดื่มชากล่าวอย่างดวงตาระยิบระยับพลางอธิบายต่อ “หากแต่ของเหวินซือ.. ของผู้อาวุโสเหวินน่ะ นับว่าเป็นสุดยอดชา สุดยอดของสุดยอด น้ำชาสีทองเหลืองอร่ามสำหรับส่งเข้าในวังถวายแด่องค์จักรพรรดิ หรือที่เขาเรียกกันว่าชาเชวี่ยเสอน่ะสิ!!”


เป็นคราวที่หรูฟู่เชิงเบิกดวงตาหวานล้ำนั่นใหญ่โตเท่าไข่ห่านบ้าง


หากทว่าชาที่ว่านี่ราคามากกว่าอิสตรีถึงหนึ่งร้อยนางจริง ใยบัณฑิตบ้านนอกอย่างเช่นคนสกุลเหวินผู้นี้ถึงมีในครอบครองไว้ได้!


“เจ้ารู้มั้ย..ชานี่น่ะนะแค่กล่องเล็ก ๆ ใหญ่ไม่เกินหนึ่งฝ่ามือของเจ้า ใบชาน้ำหนักน้อยเสียยิ่งกว่าถุงแป้งหอมผัดหน้าก็ราคากว่าสี่แสนตำลึงทองเชียวนะ!”


หรูฟู่เชิงแทบทำห่อขนมที่อยู่ในมือร่วง “แล้วหยางเกอมีได้อย่างไร”


“เจ้าเรียกผู้อาวุโสเหวินว่าอะไรนะ?”


คนที่ทำสติหล่นหายไว้ในป้านชารีบสั่นหน้าปฏิเสธเสียจนผมปลิว “ข้าหมายถึงผู้อาวุโสน่ะ เขาจะมีได้อย่างไร หรือว่า...”


“อย่าเพิ่งคิดไปไกล..ใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ แค่มันมีราคาแพงมากจนไม่มีใครกล้าซื้อต่างหาก บางคนก็ได้รับพระราชทานมา บางคนก็ได้เป็นข้าวของสินน้ำใจจากขุนนางใหญ่โตทั้งหลายในวังก็มี สำหรับพวกชนชั้นสูงในวังน่ะ มีเสียจนให้เกลื่อน” กงจวี้จื่อรีบยกมือห้ามความคิดเจิดจรัสของสหายร่วมสำนักของตนแล้วอธิบายข้อเท็จจริง


ที่คุณชายสกุลกงรู้นั้น เพราะบิดาของเขาเป็นรองเจ้ากรมพระคลังแห่งแคว้นฉิน มีบ้างบางครั้งสมัยยังเด็กที่ผู้เป็นพ่อมาเยี่ยมเยียนมารดาของเขายังเมืองกูจางแห่งนี้พร้อมทั้งอาหารและข้าวของดีๆ มากมายที่นำมาฝาก ชาราคาแพงนี้ก็เช่นเดียวกัน ยามที่ผู้เป็นบิดาพำนักอยู่ที่เรือน เขาเลยมักมีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรสหวานหอมแห่งมูลค่าของความสุขเมื่อนานมาแล้ว


พอมาวันนี้ได้มีโอกาสสูดกลิ่นความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์ ก็อดไม่ได้ที่จะขอดอมดมเพื่อหวนระลึกย้อนคืนถึงความทรงจำเมื่อครั้งวันวานเสียนานๆ หน่อย


คิดเช่นนั้นเด็กหนุ่มตัวสูงก็อดระบายยิ้มอย่างมีความสุขออกมาไม่ได้ เป็นยิ้มที่ปากแต่ตาเรียวกลับฉายแววเศร้าหมองแทน


จะสุขก็ไม่เต็มที่จะทุกข์ก็ไม่เต็มกลืน...


หรูฟู่เชิงเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนตนเช่นนั้นก็พอเดาเรื่องราวออกได้ในทันที คว้าห่อข้าวของของเพื่อนที่ถืออยู่ไว้เข้ามาในมือตน ยิ้มเผล่ปากกว้างเสียจนถึงรูหู พูดกับสหายที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เล็กว่า “เช่นนั้นแล้ววันนี้ตอนท่านอาจารย์หลับ ข้าจะแอบเอาชาเหวินซานของท่านอาจารย์มาชงให้เจ้าดื่มดีรึไม่”


“เจ้าจะขโมยของของอาจารย์หรือ?” กงจวี้จื่อแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง อยากจะวิ่งโร่ไปป่าวประกาศให้คนทั้งสำนักได้รับรู้


“ข้าเปล่า.. ข้าจะจ่ายเงินคืนให้ท่านอาจารย์เหยียน เพราะชาเชวี่ยเสอที่เจ้าว่านั่นข้าคงไม่มีปัญญาหาซื้อมาให้เจ้าลองดื่มหรอกนะ”


“เจ้าจะบ้าเหรอ จะซื้อชาแพงบรรลัยนั่นมาทำไม”


เด็กตัวขาวยิ้มกว้าง หวังให้ยิ้มนี้ส่งถึงใจคนรับบ้าง “ไว้วันนึงเจ้ากับข้าต้องร่วมดื่มชาแพงบรรลัยนี้ด้วยกันนะ”


“รับปากข้าแล้วนะ..”


“อื้อ! สัญญาไม่คืนคำ”


เด็กสกุลกงคลี่ยิ้มเหมือนเจ้าคนตัวขาวที่ดูมีแต่ความสดใสเผื่อแผ่ถึงคนทั้งโลกให้ยิ้มตามได้ก็ยกมือขยี้หัวทุยนั่นไปทีอย่างหมั่นเขี้ยว เมฆหมอกที่ปกคลุมจิตใจเหมือนจะโดนปัดเป่าจนหายวับแล้วก็ลืมเลือนไปในที่สุด


กล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจเงียบๆ แผ่วเบา


โชคดีนักที่ชีวิตนึงมีสหายรู้ใจเฉกเช่นนี้





TBC

_______________________________________________


TALK : อุ๊ปส์! สหายรู้ใจ...ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่กูซู นี่กูจาง 55555 คนเขียนนิยายก็แอบวนในกูซูไม่ออกไปไหนซะทีเหมือนกัน มูฟออนเป็นวงกลมกันไป

อาจื่อเรานางก็เป็นคนมีปมเหมือนกัน คนอ่านอย่าเพิ่งหมั่นไส้น้องเลย น้องแค่เป็นคุณชายเจ้าสำราญที่มุทะลุไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ให้อภัย รักๆน้องมันหน่อย น้องมันเด็กขี้เหงา

ส่วน #ทีมคุณพ่อกร๊าวใจ นั้นแม่ทัพบรูพาผู้นี้ไม่ได้มาเล่นๆนะจ๊ะ พี่มาเพื่อฆ่า ฆ่าได้ฆ่าใครจะตายชั่งมัน555 แอบเปิดตัวละครมาใหม่หลายคนเลยทีนี้ ยังไงฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะครับ

เจอกันใหม่ตอนหน้า ติชมยังไงช่วยคอมเม้นท์บอกกันหน่อยนะครับผม

อยากอ่านเมนท์ของทุกคนมากๆ รักแล้วก็ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนเสมอ



นิยายจะอัพทุกวันอังคารและวันเสาร์นะครับ

ยังไงเข้าไปพูดคุย ติดตามผู้เขียนได้ที่ >> Twitter @IndigomoonXii
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-01-2020 15:40:25
  :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-01-2020 18:21:53
เอิ่ม....ไม่หิวกันแย่หรือ เลยเวลากินตั้งนานแล้ว    :z3: :z3: :z3:
ยังไม่ได้กินบะหมี่เจ้าอร่อยเลย   :เฮ้อ: :serius2:
ให้สงสัย หยางเกอ เป็นอ๋องหรือเปล่า   o22
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-01-2020 20:24:03
พระเอกบทน้อยเหลือเกินพ่อเอ๊ย
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่9 ป้านชาแห่งความหลัง |14.1.2020
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-01-2020 02:34:42
 :hao7:
หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่10 หญิงสาวในแม่น้ำ | 4.5.2020
เริ่มหัวข้อโดย: indigomoon ที่ 04-05-2020 07:23:18
第十章
หญิงสาวในแม่น้ำ



หรูฟู่เชิงลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ในที่ที่เดิมอีกแล้ว

 

เด็กหนุ่มก้มมองก็พบว่าเขายังคงสวมชุดผ้าแพรที่ใช้ใส่นอนไว้อยู่กับตัว สองเท้าขาวที่ควรสวมรองเท้าเอาไว้ก็มีเพียงเท้าเปล่าแตะเหยียบย่างความเยือกเย็นของแผ่นดินจนแทบยืนไม่ไหว คล้ายจะรู้สึกถึงความเหน็บหนาวของสายหิมะโปรยปรายแต่ก็กลับไม่รู้สึกถึงสิ่งใดราวกับได้รับเพียงคำอนุญาตให้เฝ้ามองเพียงเท่านั้น

 

ดั่งเป็นเพียงแค่ธาตุวาโยพัดพาผ่านสายนทีไหลเอื่อยไปตามห้วงเวลา

 

รอบข้างที่ควรเป็นห้องนอนในจวนสกุลหรู ที่ซึ่งเขาซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมอบอุ่นของยามราตรี บัดนี้ฟู่เชิงกลับยืนอยู่ในศาลาริมน้ำพร้อมกับเสาไม้แดงล้ำค่าหลังเดิมที่เด็กหนุ่มมักฝันเห็นอยู่บ่อยครั้ง จนหลัง ๆ มานี้เขารับรู้ได้ในห้วงคำนึงของตัวเองทันทีว่าตนกำลังฝันเรื่องอะไรอยู่โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้มากนัก

 

หากแต่ในหลายคราภาพฝันนั้นกลับเสมือนจริงเสียจนหรูฟู่เชิงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังเป็นคนคนเดียวกันกับในฝันของตัวเองอยู่ก็ไม่ปาน...

 

เบื้องหน้าคนสกุลหรูคือภาพของเด็กน้อยต่างวัยสองคนยืนเคียงกันอยู่ท่ามกลางแมกไม้พฤกษาใหญ่ที่บานชูช่อไสวแต่งแต้มสีสันราวกับภาพวาดของจิตรกรอันล้ำค่ายากประเมินได้

 

เด็กชายผู้หนึ่งสูงส่งห้าวหาญ สง่างามและหยิ่งทะนง อีกผู้เปรียบดั่งม้วนผ้าแพรไหมที่ถูกถักทอขึ้นมา ทั้งเรียบลื่นดูนุ่มนวลตายามได้พิศยล ทั้งบอบบางเมื่อยามได้สัมผัสแตะต้อง

 

ผู้มาเยือนในภาพฝันนั้นจ้องมองสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าของเด็กทั้งสองก็แจ้งประจักษ์แก่ใจว่ามันคือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีลวดลายของดอกท้อประดับสลักอยู่ทั่วตัวเรือนไม้

 

“องค์ไท่จื่อนำฉินมาให้กระหม่อมทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

“สัญญาระหว่างเราเจ้าลืมแล้วรึ?” สุรเสียงเข้มดูท่าคล้ายว่าจะติดไม่พอใจเอ่ยทวงถาม

 

เด็กตัวขาวซีดในอาภรณ์แพรค้อมตัวเยี่ยงเสมอดินไม่กล้าสบตา เนื้อตัวบอบบางสั่นไหวดั่งกิ่งหลิวต้องลม “กระหม่อมไม่อาจเอื้อม”

 

องค์ชายสิบสี่!

 

“...”

 

“เงยหน้า”

 

“.....”

 

“เงยหน้าขึ้นมา”

 

ยามที่อีกคนเรียกชื่อเต็มของตนนั่นหมายถึงแรงอารมณ์ที่มากขึ้น ยิ่งส่งผลให้เด็กตัวขาวก้มหน้างุดมุดลงดินจนแทบหลอมรวมเข้าไปกับผืนพรมยิ่งกว่าเดิม

 

เสียงสาบผ้าดังซวบซาบพร้อมทั้งเงาตะคุ่มที่ปลายหางตายามมองเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาจนร่างพิสุทธิ์กลืนหายไปในเงาสูงใหญ่ของผู้ที่สวมชุดสีดำทมิฬปักลายดอกมู่ตานเพียงแค่อีกฝ่ายยืนขึ้น

 

ความเคลื่อนไหวบ่งบอกถึงแรงกระทำที่อีกไม่นานคงถูกปะทะเข้ากับร่างน้อยอย่างจังยิ่งทำให้เมิ่งจิวฮวานั้นหลับตาปี๋อย่างยอมจำนนรับในชะตากรรมของตนที่พูดจาระคายหูของอีกฝ่ายเข้า

 

อา... เขาชินชากับการรองมือรองเท้ารับแรงอารมณ์ของคนที่นี่เสียแล้ว

 

“....”

 

เพียงชั่วลมตะวันตกผ่านพลิ้วพัดพาให้ผ้าแพรขาวผืนบางที่ปิดคลุมความงามของใบหน้าเสียครึ่งหนึ่งล้อเล่นกับสายลมเอื่อยล่องลอยไป

 

สัมผัสอบอุ่นทาบทับลงมาทำให้คนหมอบคลานปิดกั้นตัวเองเผลอลืมตาขึ้นมาเมื่อได้รับการกระทำที่แตกต่าง

 

ใบหน้างดงามหล่อเหลาเปรียบเสมือนดั่งพระพุทธรูปสลัก และยิ่งใหญ่ประดุจดุจดั่งพระอาทิตย์ที่ฉายแสงแรงกล้าบนฟากฟ้านั้นกำลังส่งยิ้มให้กับเมิ่งจิวฮวา

 

ยิ้มเหรอ?

 

เขากำลังได้รับรอยยิ้มอย่างนั้นเหรอ...

 

“เป็นอะไรไปหรือเจ้ากระต่าย” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มที่ยังไม่ทันแตกหนุ่มดีเอ่ยถาม

 

หากแต่จิวฮวากลับตัวเย็นวาบ เด็กน้อยแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินและได้ยลอยู่ในขณะนี้

 

มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ...

 

ปกติไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่เมื่อไม่พอใจก็มักจะตบตีเขาอยู่เสมอ

 

ไม่เคยมีใครยิ้มให้กับเขามาก่อน

 

ไม่มี...แม้แค่หางตามอง


 

“อะ..องค์ไท่จื่อเรียกกระหม่อมว่าอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ” สุรเสียงเล็กกระท่อนกระแท่นอ้อมแอ้มเอ่ยถามจนแทบไม่ได้ยิน

 

ผู้ที่สวมกวานสีเงินประดับสูงก้มลงมาชิดเด็กตัวขาวใกล้กว่าเดิม “ข้าถามว่าเจ้ากลัวข้าหรือ?”

 

องค์ชายสิบสี่เมื่อเห็นผู้ที่เป็นดั่งดวงอาทิตย์ลงมาใกล้ตนถึงเพียงนั้นก็ยิ่งสะดุ้งตัวถดหนีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เด็กตัวน้อยคอยเตือนตนเองอยู่ในใจทุกครั้งว่าอย่าแม้คิดจะเหยียบย่างแค่ปลายเงาของอีกฝ่ายเลย แม้แต่เศษฝุ่นละอองที่เท้าขององค์ไท่จื่อเดินพัดผ่านไปแล้ว คนอย่างจิวฮวาก็ไม่สมควรก้าวไปตามทาบทับให้ต้องระคายแปดเปื้อนมลทิน

 

“อย่าเข้าใกล้กระหม่อมมากกว่านี้เลย”

 

“ทำไมล่ะ?” คนตัวโตกว่าถามขึ้นอย่างแปลกใจ

 

“....”

 

เจ้ากระต่าย...ตอบข้าเถอะนะ

 

...พระองค์จะโชคร้ายหากแตะตัวกระหม่อม

 

เพียงเด็กน้อยพูดจบฝ่ามือใหญ่ก็ทาบทับความอบอุ่นลงมาตอกย้ำถึงกระแสความอ่อนโยนจนคนที่ตัวสั่นเทิ้มไม่ทันได้หนีห่างไปไหน

 

องค์ไท่จื่อ!! ” เมิ่งจิวฮวาร้องเสียงหลง ดวงตาเบิกโพลง

 

“เจ้าห่วงกลัวข้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มยอบกายลงนั่งเสมอระดับเดียวกับอีกฝ่าย

 

เด็กตัวขาวพยักหน้ากึกๆ พยายามจะขดตัวหนีทำตัวเองให้ลีบแบนที่สุดราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จนใกล้จะตกจากศาลากลางน้ำนี้เต็มที

 

แม้นหากว่าถึงจนสุดทางแล้วจริงๆ เมิ่งจิวฮวาก็พร้อมโดดลงน้ำหนีให้พ้นๆ ไปเสีย!

 

ระวัง!

 

ร่างบางพิสุทธิ์คล้ายทำท่าว่าจะยอมถอยจนตัวเองตกน้ำไปแต่ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ กระถดตัวหนีจนพ้นเขตกางกั้นของพื้นแผ่นศาลา เด็กหนุ่มเอื้อมเพียงช่วงแขนก็คว้าเจ้ากระต่ายน้อยเข้ามาในระยะปลอดภัยได้สำเร็จ จนมองคล้ายกับว่าจิวฮวากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของแสงอาทิตย์ก็ไม่ปาน

 

“เกือบตกไปแล้วเห็นมั้ย” สุ้มเสียงเข้มเอ่ยดังขึ้นแบบที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัวจนเจ้ากระต่ายเบะปากน้อยๆ เด็กหนุ่มมองดูท่าแล้วคล้ายว่าอีกฝ่ายใกล้จะร้องไห้เต็มทนแต่ก็ยังอุตส่าห์อดทนอดกลั้นเอาไว้เลยคว้าร่างเล็กมาลูบหัวลูบหางส่งเสียงชู่วปลอบโยนโยกตัวอีกฝ่ายไปมาเบาๆ

 

“เด็กดี” ฝ่ามือใหญ่ยังคงลูบหัวคนที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยสัมผัสแผ่วเบาดั่งปลายปีกปักษา

 

อะ..ออก..ไป

 

“รังเกียจข้าหรือ?”

 

ศีรษะที่ถูกมัดจุกมีผ้าแพรประดับไว้เพียงครึ่งหัวส่ายไปมาเล็กๆ

 

ใครๆ ก็บอกว่าพระองค์จะโชคร้ายถ้า...

 

“ไม่ต้องกลัว...เกอจะไม่เป็นไร”

 

อย่างนั้นจริงๆ ใช่มั้ย..

 

เสียงเล็กสั่นเครือไหว ม่านน้ำตาเริ่มไหลมาปิดบังการมองเห็นเมื่อสุดท้ายไม่อาจหนีออกจากอ้อมแขนกว้างได้ เป็นทั้งความหวาดกลัวและสับสนในคราวเดียวกัน เมื่อใจหนึ่งก็กลัวโดนโทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากคนผู้นี้ตกต้องคำสาปแห่งความโชคร้ายเป็นอะไรไป

 

หากแต่อีกใจก็ห่วงหาไม่อยากให้ความอบอุ่นตอนนี้ต้องสลายหายไปทั้งที่มันดีมากๆ จนคล้ายกับว่าตนกำลังอยู่ในห้วงฝันดั่งลูกกวาดแสนหวาน

 

ฝันที่ดีมากที่สุดของเด็กคนหนึ่งไม่เคยได้รับนับตั้งแต่เติบโตขึ้นมา

 

เกอเกอจะไม่เป็นไรใช่มั้ย” เด็กตัวน้อยยังคงไต่ถาม

 

ความบริสุทธิ์และอ่อนโยนฉายชัดในแววตากลมโตของเด็กตัวน้อยจนทำให้คนที่นั่งเช็ดน้ำหูน้ำตาเอ่ยยิ้มกว้าง พยักหน้ายืนยันคำพูดตน

 

“อื้อ”

 

เมื่อเห็นดวงหน้าเล็กๆ บู้บี้ยับย่น อีกทั้งแรงกระตุกแผ่วเบาที่ฝ่ามือน้อยนั้นจับชายผ้าของตนเองไว้ คนที่ประคองอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอกเลยตัดสินใจเอ่ยถามขึ้น “มีอะไร?”

 

กอด..

 

“หืม?” สุ้มเสียงเล็กเอ่ยติดขัดออกจะฟังยากเมื่อมันเจือปนไปด้วยน้ำหูน้ำตาของคนพูดจนต้องใช้ชายแขนเสื้อเช็ดให้ป้อยๆ

 

ขออนุญาต...ฮึก! ..กอด... ฮึก..จะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ

 

ร่างใหญ่เมื่อได้ฟังจบก็รู้สึกท่วมท้นวูบโหวงอยู่ภายในจิตใจทันที!

 

คล้ายราวกับว่าสิ่งที่ตนมองเห็นและรู้สึกจนชินตา เด็กคนนี้กลับไม่เคยได้รับ หรือแม้แต่จะมีสิทธิ์คิดหรือฝันเลยด้วยซ้ำ

 

วงแขนใหญ่ของเด็กวัยสิบสามกระชับร่างเล็กเข้ามาแนบชิดสนิทยิ่งขึ้นเพื่อหวังที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ตนได้รับมาตลอดชีวิตให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่หวงแหน

 

ไม่ต้องเอ่ยคำร้องขอหรือรอรับการยินยอมจากใครทั้งสิ้น

 

หวังเพียงความอบอุ่นเพียงเศษเสี้ยวที่ได้รับจะพอหลอมชโลมจิตใจดวงน้อยๆ ให้คลายความเหน็บหนาวนี้ลงได้บ้าง

 

...เจ้ากระต่ายน้อย...

 

เฮือก!! หรูฟู่เชิงลืมตาขึ้นมาในความมืดมิด

 

เด็กหนุ่มมองเห็นเพดานที่ดูคุ้นตา เมื่อมองไปรอบๆ ก็รู้ว่าตนเองยังคงอยู่ในห้องของจวนสกุลหรู หยดน้ำใสจากหางตากลิ้งหล่นผ่านใบหน้าเนียนก่อนตกลงซึมแผ่กระจายเป็นวงกว้างบนหมอนผ้าแพรทิ้งไว้แต่ร่องรอยบ่งบอกว่าครั้งนึงมันเคยมีอยู่จริง

 

เขาร้องไห้! เด็กหนุ่มปาดหยาดน้ำใสที่ยังหลงเหลืออยู่ ความปวดหน่วงในจิตใจจากภาพฝันยังคงติดค้างในห้วงอารมณ์ดั่งทะเลกว้างสุดแท้หยั่งถึง เหมือนคลื่นหมุนวนลงไปใต้ลำน้ำลึกดำดิ่งไปราวกับหาที่สุดไม่ได้ ทุกภาพฝัน ทุกห้วงอารมณ์ คำพูด ทุกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ร้องไห้ หรือแม้แต่ความรู้สึกทั้งหมดเขารับรู้ได้

 

...เขารู้สึก

 

รู้สึกราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกับในฝันอย่างไงอย่างงั้น!

 

ฟู่เชิงลุกขึ้นนั่งในความมืดมิด พยายามจดจำเรื่องราวหมด เรียงลำดับเหตุการณ์ขึ้นมาในหัว หากแต่เมื่อตื่นลุกขึ้นมาเต็มตาก็ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกระจายหายไปกับหมอกควันของรัตติกาลเพียงชั่วเสี้ยวห้วงนาที

 

ลืมเลือนไปหมดทั้ง ดวงตา คิ้ว รูปร่างหรือแม้กระทั่งใบหน้าของพระอาทิตย์ดวงโตที่ยอมโน้มลงมาใกล้ๆ

 

แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่สามารถจดจำได้คืออ้อมกอดและรอยยิ้มที่ตรอกตรึงปักลงในจิตใจนั้น...

 

อ้อมกอดที่แผ่วเบาดุจดั่งสายลม แต่ก็อบอุ่นเหมือนกองไฟท่ามกลางลมพายุเหมันต์

 

มันทำให้รู้สึกจนเขาไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เลย


 

.........

 

.....

 

..

 

 

 

 

เจ้ากระเรียนขาวแห่งกูจางยังคงมาถึงสำนักการศึกษาเป็นคนแรกในรอบรายปักษ์อยู่เสมอ

 

หลังจากปัดกวาดเช็ดหอตำราเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรูฟู่เชิงก็นั่งลงเตรียมตัวคัดอักษรเป็นงานอดิเรกยามว่างอย่างที่เขาชอบทำอยู่เสมอ

 

ตึงๆ !!

 

เสียงฝีเท้าหนักๆ กระเทือนลั่นดาลจนพื้นไม้แทบทะลุพังลงไปบ่งบอกถึงผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี บุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่าชาญฉลาดที่สุดรับรู้ถึงการมาเยือนของสหายตนจึงได้แต่ทำท่านิ่งเฉย วางตัวอย่างกิ่งหลิวไม่เอนไหวไปตามลม

 

จวบจนเสียงเรียกพร้อมทั้งท่าทางหอบเหนื่อยของศิษย์ร่วมสำนักปรากฏกายที่กรอบประตูไม้ไผ่เมื่อนั้นคนตัวขาวจึงได้วางสายตาเงยหน้ากลับขึ้นมามองพลางเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ไม่ค่อยจะสู้ดีอาบเคลือบทั่วใบหน้าสอางของสหายสนิทตน

 

“วิ่งเร็วดั่งม้าทะยานศึก เจ้าไม่กลัวท่านอาจารย์ออกมาตีข้อเท้าเจ้ารึจวี้จื่อ”

 

ซ่านเป่า! ไปกับข้า!!

 

ร่างสูงของเพื่อนร่วมสำนักศึกษาเดินโทงๆ เข้ามาคว้าข้อมือขาวจนคนที่นั่งอยู่ตกอกตกใจพยายามยื้อยุดเอาไว้ไต่ถามเหตุผล

 

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไร”

 

ไม่มีเวลาคุยแล้ว ไปกับข้าก่อน! ” คุณชายสกุลกงพยายามถูลู่ถูกังลากร่างของหรูฟู่เชิงให้ไปกับตน

 

“มันมีอะไร เจ้าจะพาข้าไปไหน” คนตัวขาวสะบัดข้อมือตัวเองหลุดได้สำเร็จ พลางไต่ถาม เมื่อเห็นใบหน้าของคนตรงหน้ามีเหงื่อกาฬเม็ดใหญ่เท่าหยกเขียวผุดพรายตามกรอบหน้า อีกทั้งลมหายใจที่สะดุดเป็นช่วงๆ บอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายวิ่งมาเป็นระยะทางไกลพอสมควร

 

เมื่อรวบลมสติเอาไว้พลางนึกลำดับคำพูด กงจวี้จื่อก็หลับตาก่อนผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วมองมาที่สหายสนิทของตนเองอีกครั้ง

 

“เจ้าฟังข้าให้ดีๆ นะซ่านเป่า”

 

“....”

 

“แม่นางจ้าว คนที่ข้ากับเจ้าเจอเมื่อวานนี้ที่จวนของเหวินซือฝูน่ะ...เจ้าจำได้ใช่มั้ย”

 

คนฟังพยักหน้ารับ

 

นาง..ตายแล้ว!

 

คล้ายกับโลกหยุดหมุนไปทันที หูสองข้างเหมือนจะอื้ออึงขึ้นมา ภายในจิตใจมีแต่ความสับสนงุนงง

 

ตายแล้ว... ตายได้อย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าทำหน้าตกใจเช่นนี้?” น้ำเสียงของคนที่สงบนิ่งในทีแรกชักมีความร้อนรนอยู่ในที

 

“เมื่อรุ่งสางข้าเผอิญผ่านไปทางใกล้ๆ ตลาด ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจอศพหญิงสาวปริศนาถัดออกมาแถวตลาดจากทางทิศใต้ลอยอยู่ในแม่น้ำ ข้าก็เลยเดินตามเพื่อไปดูสถานที่เกิดเหตุ” กงจวี้จื่อกลืนน้ำลายก่อนเล่าต่อ “ทีแรกข้าก็ไม่รู้ว่านางเป็นใครเพราะศพสภาพไม่น่าดูนัก แต่พอข้าเหลือบไปเห็นเสื้อผ้าที่นางใส่แล้วก็พอนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน..”

 

“....”

 

“ข้าจำได้ว่ามันคือชุดเดียวกับที่แม่นางจ้าวใส่ตอนที่พวกเราเจอนางที่จวนสกุลเหวิน!”

 

“แล้วเจ้าแน่ใจได้อย่างไรกงจวี้จื่อว่านั่นคือแม่นางจ้าว” หรูฟู่เชิงสวนกลับทั้งที่คิ้วเรียวยาวนั้นขมวดจนแทบมัดเป็นปมเดียวกันอยู่แล้ว

 

“ทีแรกข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก เพียงแต่ได้ยินมาว่ามีคนไปแจ้งกับทางการว่าหญิงรับใช้ในสกุลเจิ้งขโมยของสำคัญของฮูหยินใหญ่ไป ทางการเลยประกาศตามหานางไปทั่วเมือง แต่พอรู้อีกทีก็พบนางเป็นศพไปเสียแล้ว”

 

เด็กหนุ่มตัวขาวกลืนน้ำลายเหนียวลงลำคออย่างยากลำบาก พยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวอย่างช้าๆ “แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นอีก มีคนยืนยันเหตุการณ์เหล่านี้รึไม่?”

 

กงจวี้จื่อพยักหน้ารับ “มีพยานให้ความกับทางการว่าเห็นนางไปที่จวนสกุลเหวินเป็นที่สุดท้าย ก่อนที่นางจะ...” วลีที่คนพูดไม่กล้าเอ่ยต่อออกมานำพาให้เรียวคิ้วนั้นขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม

 

เจ้ากระเรียนขาวรับฟังแล้วไล่เรียงเหตุการณ์เมื่อเย็นคืนวานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เริ่มจากเมื่อตอนเย็นวานนี้พวกเขากำลังหาช่องทางสบโอกาสเพื่อที่จะปลีกตัวออกมาจากเรือนสกุลเหวินอยู่ แต่จู่ๆ พ่อบ้านชราก็เข้ามาแจ้งแก่อีกฝ่ายก่อนที่คนคนนั้นจะขอตัวแยกออกไปเพื่อพบผู้มาเยือน

 

และหากพวกเขาไม่บังเอิญเดินชนเข้ากับแม่นางจ้าวเข้า ก็คงไม่รู้ว่า แขกที่ว่า ของคนตัวสูงนั้นเป็นใคร...

 

“แล้วตอนนี้เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?” เด็กหนุ่มกำลังคาดหวังให้เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์หรือเดาสุ่มขึ้นมาในหัว...

 

ขอเถอะ... ขออย่าเป็นอย่างที่คิดเลย

 

“ตอนนี้ทางการออกหมายจับแล้ว”

 

หรูฟู่เชิงเบิกตาโพลงกับสิ่งที่ได้ยิน “หมายจับ! หมายจับใคร!?

 

หัวใจของเด็กหนุ่มตัวขาวร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นเรือนของหอตำรา

 

วะ...

 

...เหวินซือฝู


 

 

สองศิษย์ร่วมสำนักต่างพากันเร่งรุดมาถึงย่านใกล้ๆ กับจวนสกุลเหวินเมื่อวานนี้ ชาวบ้านร้านตลาดตลอดข้างทางที่ผ่านมานั้นต่างจับกลุ่มนินทาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างออกรสออกชาติ สาเหตุก็เพราะในเมืองกูจางแห่งนี้เงียบสงบมานาน ไม่เคยมีเหตุการณ์ฉกชิงวิ่งราวหรือฆาตกรรมเกิดขึ้นมาก่อนกับคนในเมืองแห่งนี้เป็นเวลานับสิบๆ ปี

 

ดังนั้นเมื่อมีคนพบศพที่สันนิษฐานว่าเป็นการตายอย่างผิดธรรมชาติเกิดขึ้นในเมืองกูจางแห่งนี้ จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าโจษจันอีกทั้งยังข่มขวัญสั่นประสาท กระทบต่อความมั่นคง รวมไปถึงนับเป็นภัยร้ายต่อชาวเมืองยิ่งนักหากว่ายังจับตัวผู้ลงมือกระทำมาลงโทษไม่ได้สักที..

 

“ข้าได้ยินมานะว่าคนของบ้านนั้นน่ะไม่ยุ่งเกี่ยว พบปะผู้คน หรือออกมาซื้อของในตลาดเลยด้วยซ้ำ เก็บตัวเงียบกันอยู่แต่ในเรือน น่าสงสัยนะเจ้าว่ามั๊ย” หญิงชาวบ้านที่ยืนห่างออกไปจากหรูฟู่เชิงหนึ่งช่วงตัวพูดเปรยขึ้นมา หากแต่ทุกบทสนทนาเด็กหนุ่มกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู

 

“เล่ากันว่านะว่าคนสกุลเหวินอะไรนั่นน่ะไม่ใช่คนของเมืองนี้ด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ ก็ย้ายเข้ามาในเมืองเมื่อสามเดือนก่อนเฉยเลย” คำบอกเล่าจากปากชาวบ้านอีกคนทยอยส่งต่อข้อมูลที่ได้ยินมาซึ่งกันและกัน “แต่แปลกที่ไม่เคยเห็นคนรับใช้พ่อบ้านหรือใครเข้าออกจากบ้านเลยน่ะสิ ได้ข่าวมาว่าเป็นอันธพาลซ่องสุมนะ”

 

“ข้าได้ยินวงในเล่ากันมาว่าคนสกุลเหวินนั่นน่ะลักลอบเป็นชู้กับคนที่ตายไปแล้วด้วยนะ เอ..หรือไม่แน่นะ...ของของฮูหยินเจิ้งที่ว่าสำคัญๆ น่ะ สงสัยนางก็คงจะขโมยไปบำเรอชายชู้ของนางแน่ๆ เลย เจ้าว่ามั๊ยๆ” หญิงสาวปากตลาดอีกคนสันนิษฐานขึ้นมา

 

ชู้เหรอ! คนที่ทำตัวตรงเป๊ะเป็นท่อนไม้ขวางแม่น้ำเยี่ยงนั้นน่ะหรือจะลักลอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน? หรูฟู่เชิงอยากหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก

 

แล้วเรื่องที่บอกว่าไม่เคยเห็นคนรับใช้หรือพ่อบ้านชราอยู่ ถึงแม้จะจริงเพียงบางส่วน

 

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร...ก็คราวที่แล้วพวกเขายังเจอพ่อบ้านสกุลเหวินอยู่เลย

 

หรูฟู่เชิงและกงจวี้จื่อสองสหายสนิทมองหน้ากันในทันที สรุปความทุกอย่างตรงกันได้ว่าเรื่องราวนี้มันขยายไปไกลเกินกว่าความจริงที่พวกตนรู้เห็นมามากแล้ว

 

คุณชายสกุลกงทำท่าจะเข้าไปแก้ไขข้อเข้าใจผิดตามประสาคนหนุ่มเลือดร้อนกับพวกชาวบ้านปากตลาด หากแต่ว่าเจ้ากระเรียนขาวรีบคว้าข้อมือเพื่อนของตนเองเอาไว้ ส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามก่อนออกแรงลากร่างสูงออกจากบริเวณนั้นทันที

 

คนที่โดนลากออกมาจากวงซุบซิบนินทายังไม่หายโมโหเมื่อได้ยินพวกชาวบ้านต่อว่าอดีตอาจารย์ของตนเองเป็นอันธพาลข้างถนน หนำซ้ำยังใส่ร้ายป้ายสีว่าอีกฝ่ายทำผิดทำนองคลองธรรม ทำผิดศีลด้วยการเล่นชู้กับเมียชาวบ้าน เด็กหนุ่มเลยตั้งท่าจะเข้าไปหาเรื่องคนพวกนั้นต่อ จนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันในมุมลับตาต้องออกแรงกระชากห้ามปรามเพื่อนไว้พร้อมทั้งเอ่ยเตือนสติ

 

“ยิ่งเจ้าเข้าไปแก้ตัวหรือหาความกับคนพวกนั้น มันก็ยิ่งเหมือนเจ้ายิ่งเข้าไปเติมเชื้อไฟให้พัดแรงขึ้นนะ” หรูฟู่เชิงปรารภ ทั้งที่ความจริงแล้วในใจเขาก็คุกรุ่นไม่แพ้สหายสนิทของตนเช่นกันตามประสาเด็กหนุ่มเลือดลมดี “ห้ามอะไรเจ้าก็ห้ามได้ แต่จะห้ามคนเจ็บท้องคลอดไม่ให้คลอด ห้ามไฟที่พัดแรงไม่ให้ไหม้ มันก็เหมือนเจ้าโยนกิ่งไม้ลงในแม่น้ำให้ลอยไป”

 

เมื่อเห็นท่าทีฟึดฟัดพอจะเงียบสงบลงคนที่มีสติกว่าก็พูดต่อ “มีอยู่วิธีเดียวที่พวกเราจะช่วยผู้อาวุโสได้”

 

“วิธีอะไร?” กงจวี้จื่อเลิกคิ้วขึ้นสงสัย เมื่อเห็นใบหน้าเนียนของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าฉลาดที่สุดในเมืองก็กำลังขมวดคิ้วไม่แพ้กันราวกับว่ามีอะไรอยู่ในใจ

 

หาต้นตอของแม่น้ำ...

 

.....

 

..

 

แล้วถมหินปิดทางน้ำมันซะ!


 

 

TBC

 

______________________________________________________________________

 

พอตอนใหม่มาเสิร์ฟแล้วครับทุกคนนน

ขอโทษด้วยที่ห่างหายไปนานมากจริงๆ ยอมให้คนอ่านด่าได้เลยครับจริงๆ แต่ที่หายไปนานเพราะยุ่งๆกับภาระหน้าที่ จัดการทั้งตัวเองและความรู้สึก กว่าจะจูนกลับมาติดก็ใช้เวลาประมาณนึงเลย ต้องขอโทษคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ

 

อีกเรื่องนึงก็คือต้องบอกว่า 'ขอบคุณ' นะครับ ขอบคุณทุกๆคอมเม้น ทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้จากคุณผู้อ่านทุกๆท่าน มันทำให้ผมผ่านเวลาช่วงที่ยากลำบากของตัวเองมาได้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแค่การมานั่งย้อนอ่านคอมเม้น อ่านข้อความให้กำลังใจจากทุกคน มันจะทำให้เรามีแรงที่จะลุกยืนแล้วก้าวต่อไปได้

มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจเลยว่า ผมจะต้องรีบกลับมาเพื่อคุณผู้อ่านทุกๆท่าน

 

ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับการที่ทุกคนยังอยู่ตรงนี้

 

ผมรักคุณผู้อ่านทุกคนจริงๆจากใจจริง

 

ขอบคุณที่ยังให้โอกาสกันเสมอมา

 

ปล. ถือว่าอย่างน้อยเป็นของขวัญให้กับทุกๆคนที่ตามอ่านกันอยู่นะครับ พอดีตอนเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเคยคิดว่าอยากมีงานโปสเตอร์สวยๆของนิยายตัวเองไว้ให้รู้สึกชื่นใจ ก็เลยลงมือวาดเองตัดเส้นระบายสีทุกอย่าง ดองไว้เป็นชาตินึงแล้ว ไหนๆคราวนี้ก็เลยขอเอามาแชร์ให้ทุกคนเห็นกันนะครับ

ขอบคุณสำหรับทุกแรงกำลังใจก้อนโตด้วย

 

(https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/img-in-th/190f78c23c0cb37cec2f20f79d1b7a0f.jpg)


 

ยังไงสามารถเข้าไปพูดคุย ติดตามผู้เขียนได้ที่ Twitter @IndigomoonXii เลยนะครับ

หัวข้อ: Re: 桃花源 | แรกวสันต์ผลิบาน ยามดอกท้อร่วงโรย [พีเรียดจีน]|บทที่10 หญิงสาวในแม่น้ำ | 4.5.2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-10-2021 12:05:52
 :pig4:
 :3123: