ตอนที่ 1

ผมกำลังเดินเข้าไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์ตอนเช้า ๆ คนก็พอมีประปราย แต่วันนี้คนเหมือนจะเยอะเป็นพิเศษ สงสัยรถคงขาดระยะ คันที่จะมาคันต่อไปคนคงจะแน่น
แต่ก็เอาเหอะ คงไม่สายหรอกน่า...
แล้วไอ้คนนั้นก็มาถึงป้ายรถเมล์ หันมามองทางผมนิด ๆ (คือผมแอบไปมองเขาด้วยแหล่ะ ก็เลยรู้ว่า เขาก็มองผมนิด ๆ เหมือนกัน) แล้วเขาก็ก้มหน้ารอรถเมล์ สลับกับหันไปมองโน่นนี่
นั่นๆ มาแล้ว รถเมล์ครีมแดง “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” คนเป็นแสน เมื่อรถคันนั้นเทียบป้าย ประโยคแรกที่ได้ยินก็คือ “ขอทางลงก่อนนะคะ ไม่ลงเดินในให้ด้วยค่ะ” แล้วก็สีหน้าของผู้ที่ลงรถมา เหมือนกับว่าได้ปลดปล่อยอะไรไปซักอย่าง
ด้วยความที่ผมเป็นคนที่รวดเร็วว่องไวปานสายฟ้า จึงพาตัวเองขึ้นรถไปโดยเร็ว เบียดผู้คนที่หน้าประตูที่แน่นเหลือเกินไปยังด้านหลัง ไม่รู้ทำไมว่าคนถึงไม่ค่อยจะเดินเข้าไปข้างใน แต่ข้างในยืนสบายกว่ากันเยอะ
ไอ้เสื้อสีน้ำตาลคนนั้นตามมาอีกแล้ว มันจะจองเวรกับการเยียบเท้าผมไปถึงไหนวะ
รถแล่นออกจากป้ายรถเมล์ไปตามเส้นทาง ทุก ๆ ป้ายผู้คนก็ต่างแย่งกันขึ้น คนก็เริ่มเขยิบมาข้างหลังเรื่อย ๆ แล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าตรงประตูกับข้างหลังก็มีคนแน่นพอกัน
จังหวะรถเบรกอย่างแรงที่สี่แยกแห่งหนึ่ง หน้าผมก็ทิ่มไปข้างหน้า ไปโดนผู้โดยสารอีกคนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจริงๆเลยกูเนี๊ย
“ขอโทษครับ” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหัวขอโทษ
“ไม่เป็นไรคับ” ไอ้เสื้อน้ำตาลคนนั้นอีกแล้ว มันพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้ผมอีกที
“คนไรวะยิ้มโคตรน่ารักเลย” ผมคิดในใจ
ทุกอย่างสิ้นสุดลง ไอ้เสื้อน้ำตาลก็หันหลังกลับไป ผมเริ่มมองมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันเป็นคนที่ตัวเล็กกว่าผมอีกแต่ถึงยังไงรอยยิ้มของมันก็น่ารัก
“คิดไรวะเนี๊ยกรู มันเป็นผู้ชายนะเฟร้ย” – ผมคิดในใจ
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับการสำรวจร่างกายของไอ้เสื้อน้ำตาลคนนั้นด้วยสายตา โดยที่มันเองก็ไม่รู้ตัว รถเมล์ก็เลี้ยวขวา นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่ผมจะลงแล้ว ขณะที่ผมกำลังจะเดินเบียดคนออกไปที่ประตู มันก็เดินออกไปที่ประตูเช่นเดียวกัน
สรุปแล้ว มันลงรถป้ายเดียวกับผม
หลังจากที่มันลงรถไปแล้ว เหมือนมันรออะไรซักอย่าง ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เนื่องจากมันก็ใกล้เวลาที่ผมจะเข้างานแล้ว ผมจึงต้องรีบ ๆ เดินไปที่ทำงาน ซึ่งห่างจากป้ายรถเมล์ที่ผมลงไม่ไกลนัก
เดินไปเรื่อย ๆ หันหลังมามองดู มันเดินตามผมมาอีกแน๊ะ สงสัยมันคงทำงานแถวนี้ล่ะมั้ง แต่คงไม่ใช่ที่เดียวกับผมหรอกน่า
.
.
.
แล้วผมก็เดินเลี้ยวเข้าตึกไป สถานที่ผมทำงานเป็นอาคารสูง 5 ชั้น ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 เอาไว้จอดรถ แล้วก็มีส่วนของสำนักงาน ชั้นที่ 3 เป็นส่วนของการดูแลระบบ ซึ่งผมต้องนั่งทำงานที่นี่แหล่ะ ส่วนชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5 เป็นอะไร ผมยังไม่เคยขึ้นไปสำรวจ เพราะผมเพิ่งมาทำงานได้แค่ 3 วันเอง
งานโดยทั่วไปก็ไม่ถือว่าโหดร้ายมากนัก เพราะเป็นงานเกี่ยวกับสารสนเทศของบริษัทนั้น ซึ่งไม่มีระบบสารสนเทศที่เป็นระบบระเบียบ ที่ผ่านมาเขาใช้การจัดเก็บข้อมูลอย่างง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งคือ แผนกของผมแต่ก่อนยังไม่ถูกแยกออกเป็นแผนกสารสนเทศ แต่ก่อนจะรวมอยู่ในส่วนของสำนักงาน ทีนี้เมื่อบริษัทขยายตัว อะไรๆ ก็เริ่มยุ่งเยิง เขาก็เลยเปิดแผนกสารสนเทศ และประกาศรับสมัครเจ้าหน้าที่สารสนเทศ ซึ่งจะว่าไปก็มีผมเป็นคนที่ 2 ของแผนกนี้ เพราะว่าแต่ก่อนจะมีพี่ตอยที่เขาทำเกี่ยวกับสารสนเทศ แต่ว่าเขาต้องดูแลเกี่ยวกับการติดต่อลูกค้าภายนอกด้วย พี่เขาก็เลยโยนเกี่ยวกับสารสนเทศให้ผมดูแลทั้งหมด ช่วงแรก ๆ ก็มีติดขัดกันบ้าง แต่ตอนนี้ ก็ยังติดขัดเหมือนเดิม (เอ๊ะยังไง??) ก็เพิ่งผ่านไป 3 วันเอง อะไรจะไปเข้าที่ได้ไงล่ะ แต่พี่เขาบอกว่า กำลังรับเพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง ก็ดี จะได้มาช่วย ๆ กัน
ห้องที่ผมนั่งก็อยู่ ชื่อห้องว่า “แผนกสารสนเทศ และเทคโนโลยี” ก็จะมีฝ่าย IT และฝ่ายการจัดการทั่วไปในห้องนั้นด้วย คอยดูแลเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ในบริษัท ซึ่งก็มีกันอยู่ทั้งหมด 9 คน แต่มีโต๊ะ 12 โต๊ะ สงสัยว่าจะรับเพิ่มมาแล้วก็มานั่งตรงที่ว่างนั้นแหล่ะมั้ง
เท่ากับว่าตอนนี้ผมก็เป็นลูกน้อง และเป็นเจ้านายในตัวเอง
“ป๊อก ถ้าเอ็งผ่านโปร ข้าจะให้เอ็งเป็นหัวหน้า” – พี่ตอยบอกผม
“ครับ” – ผมรับคำ
“เต็มที่ล่ะ นายเขาดูงานที่คุณภาพนะ”
“ครับ”
แล้วพี่ตอยก็เดินจากไป บอกว่า วันนี้พี่ไปคุยกับลูกค้า กรำเวรจริง ๆ ผมต้องถูกทิ้งมาอย่างโดดเดี่ยวมา 2 วัน แล้ววันนี้ก็อีกแล้ว ถ้าไม่บอกว่าแกเคยทำสารสนเทศนะ ต้องคิดว่าแกต้องทำเกี่ยวกับเซลแน่ๆ เพราะพี่ตอยแกเป็นคนพูดเก่งมาก
แล้วผมก็เริ่มหยิบข้อมูลของพนักงานในบริษัทมาทำต่อ
“คนไรวะ ชื่อสมหญิง” – ผมพูดเบา ๆ แล้วก็พลิกดูเกี่ยวกับประวัติ “หน้าตาก็สวย แต่ทำไมชื่อตลกงี๊วะ” อ่านชื่อเล่น “โบว์” “สงสัยมาจาก “โบราณ” ล่ะมั้ง” แล้วผมก็หัวเราะเบา ๆ คล้าย ๆ คนบ้า
“ขำไรยะ” – ผู้หญิงหน้าตาที่เหมือนในรูปเดินเข้ามา พร้อมกับเอกสารกองหนึ่ง
“เปล่าคับ” ผมรีบเก็บเอกสารของผมที่กระจายเต็มโต๊ะ
“อ่ะ จดหมายเวียน” แล้วเธอก็ยื่นเอกสารให้ผมเซ็นต์รับ
“ขอบคุณคับ”
“มาใหม่เหรอ เราชื่อโบว์นะ”
“ป๊อก ครับ”
“ไปก่อนนะ” – แล้วเธอก็เดินไป
จะว่าไปโบว์ก็น่ารักดีนะ ไม่รู้ดิ มันอาจจะเป็นการมองแบบผ่าน ๆ ก็ได้มั้ง เพราะเวลาผมมองผู้หญิงน่ารัก ใคร ๆ ก็จะบอกผมว่า เนี๊ยนะ น่ารักของแก แต่ก็ดีแล้วคับ ผมกับเพื่อนจะได้ไม่แย่งตลาดกันเอง
“แล้วไอ้ที่เมื่อเช้ากูมองผู้ชายล่ะ หมายความว่าไง”- ผมคิดในใจ คนมันยิ้มน่ารัก ก็เลยทำให้มีเสน่ห์ล่ะมั้ง
เที่ยงแล้วคับ ผมก็เดินลงไปกินข้าว ที่นี่ไม่มีโรงอาหารหรอกคับ เวลากินข้าวจะต้องเดินไปกินที่อื่น ไม่โรงอาหารบริษัทข้าง ๆ ก็ร้านข้าวแกง หรือก๋วยเตี๋ยวข้างทางแหล่ะคับ
เที่ยงวันนี้ไม่เหมือนเที่ยงวันอื่น ร้านไหน ๆ คนก็เต็ม ไม่รู้มาจากไหน แค่ผมลงมาช้าไป 5 นาที ไม่มีที่นั่งให้ผมเลย หลังจากเดินหาอยู่นานพอสมควร ผมก็มาตกอยู่ที่ร้านขายข้าวแกงข้างทาง ข้างบริษัทของผมเอง ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 1 โต๊ะที่ว่างอยู่
“ขนมจีนยอดมะพร้าวคับ” – ผมสั่งป้า แล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
ระหว่างกำลังรอให้ป้ามาเสริ์ฟที่โต๊ะ ผมก็นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ ว่าบ่ายวันนี้ผมกะว่าจะพิมพ์ข้อมูลให้เสร็จ แล้วจะได้จัดระเบียบกับข้อมูลซักที
“ขอโทษคับ มีคนนั่งป่ะคับ”
“ไม่มีคับ” – ผมตอบไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง
“ขอบคุณนะคับ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปดูเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร เฮ้ย!!! ไอ้เสื้อน้ำตาลนี่หว่า มันจะมาหลอกหลอนผมไปถึงไหนเนี๊ย มันจ้องมองมาทางผม แล้วก็ยิ้มเหมือนกรุ้มกริ่มอะไรของมันไม่รู้ ผมก็เขินสิคับ แกล้งมองไปทางอื่น พอดีเห็นหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะข้าง ๆ เขาไม่อ่านแล้ว ผมก็เลยวิสาสะหยิบมา ซึ่งหนังสือพิมพ์จะมี 2 ส่วน ผมหยิบส่วนที่เป็นข่าวกีฬาขึ้นมาก่อน จริง ๆ แล้วผมอ่านมาแล้วแหล่ะคับ แต่มันเล่นจ้องหน้าผมอย่างงี๊ ผมก็เขินอ่ะดิ
“ขอโทษนะคับ ผมขออ่านส่วนแรกด้วยได้ป่ะคับ” – ไอ้เสื้อน้ำตาลมันพูดกับผม
“คับ ตามสบายคับ” – ผมส่งส่วนแรกของหนังสือพิมพ์ให้มัน มันก็รับมาอ่าน
เกร็งสิคับผม อะไรเนี๊ย มันจะมาอะไรกับผมนักหนาเนี๊ย
-------------------
ขอบคุณทุกท่าน ทุกแรงใจนะคับ 