<<< เดเมี่ยน กับ เจสัน >>> กับสงครามโลกเวทมนต์ครั้งสุดท้าย อัพเดท 13/4/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<< เดเมี่ยน กับ เจสัน >>> กับสงครามโลกเวทมนต์ครั้งสุดท้าย อัพเดท 13/4/2020  (อ่าน 3844 ครั้ง)

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

----------------------------------

เดเมี่ยน กับ เจสัน เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มอายุ 17 เกือบ 18 สองคนที่กำลังจะจบจากโรงเรียนเวทมนตร์

คนหนึ่ง มีพลังเวทมนตร์มากกว่านักเวทคนไหนในโลก อีกคน ใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย

คนหนึ่ง คือเดอะโชสเซ่นวัน ผู้ถูกเลือกแห่งแสง อีกคน คือเดอะดาร์ควัน ผู้ถูกเลือกแห่งเงา

พวกเขาถูกชะตาลิขิตให้ต้องห้ำหั่นกันเอง แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนึ่งในนั้นรักอีกคนอย่างสุดหัวใจ

 

                        นิยายเรื่องนี้เอาตรง ๆ พูดแบบไม่กระดากปากคือ เลียนแบบมาจาก แครี่ออน ของ เรนโบว์ รอเวล ซึ่งเป็นนิยายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแฮรี่ พอตเตอร์ และนิยายแนวผู้ถูกเลือกเรื่องอื่น ๆ เราอ่านแล้วชอบมาก มันตลก สนุก บ้า ๆ บอ ๆ แต่ซึ่งและเต็มไปด้วยความหวังและความฝันของวัยรุ่น

                        พออ่านจบ เรารู้สึกว่า เราอยากจะเขียนอะไรแบบนี้บ้าง เพียงแต่ ให้มันดาร์คกว่า มันเจ็บปวดมากกว่า มันคั่งแค้นมากกว่า นิยายเรื่องนี้เลยเกิดขึ้น ยอมรับว่าใช้เวลาเขียนแค่ไม่ถึงเดือน เขียนเพลินมาก คำผิดก็เยอะมาก พล๊อดโฮลก็เยอะมาก จะพยายามปรับแก้ไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะ

                        อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง ที่พูดถึงเรื่องการบูลี่ในโรงเรียน การทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตาย การข่มขืน การล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ เพราะแบบนั้น ผู้อ่านที่รู้ตัวว่ามีอาการซึมเศร้า หรือจิตตก หรือมีประสบการณ์โดยตรงในเรื่องที่กล่าวมาข้างตน เราไม่แนะนำจริง ๆ  อย่างที่บอก เรื่องนี้มันดาร์คและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 21:34:45 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

ผมกำลังรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางอยู่ตอนที่ป้าเอ็มม่าเปิดประตูเข้ามา เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวแขนตุ๊กตาลายดอกลินลี่สีชมพู สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้าสด

"ใกล้เสร็จหรือยัง" เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงราบเรียบไม่ยินดียินร้ายได ๆ เหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปรกติแม้เราจะรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้อยู่ในห้องนอนของตัวเอง "แทกซี่มารอนานแล้วนะ"

"เสร็จแล้วครับ" ผมตอบพลางปั้นยิ้มซึ่งเธอก็ทำแบบเดียวกัน พยายามฝังลึกความรู้สึกของตัวเองและปั้นแต่งสิ่งตรงกันข้ามออกมาทางสีหน้า คำพูด และท่าทาง

ผมหิ้วกระเป๋าออกมาจากห้องนอน นึกอยากจะกอดอีกฝ่ายตอนที่เดินสวนกันที่หน้าประตูแต่ก็ไม่ได้ทำ

"ไม่ลืมอะไรแล้วแน่นะ" ลุงจอร์ชถามผมเมื่อผมเดินลงมาถึงตีนบันได เขาเป็นชายศีรษะล้านเลี่ยนวาววับสะท้อนแสงร่างอ้วนท้วน ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นช่างปะปาเท่าไรแถมยังชอบใส่กางเกงยีนหลวม ๆ ผมเคยช่วงงานลุงอยู่ชัมเมอร์หนึ่ง ร่องก้นของเขายังทำให้ผมฝันร้ายไม่หาย

"ครับ ไม่แล้ว"

"แน่นะ โทรศัพท์? กระเป๋าตัง? ไอ้ไม้....อะไรนะ ไอ้นั่นนะ" เขาพูดพลางเดินไปพร้อมกับผม เปิดประตู ป้าเอ็มม่าเดินตามมาด้านหลัง

"ไม้กายสิทธิ์" ผมเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มพลางตบที่กระเป๋ากางเกง "ครับ เอามาแล้ว" ลุงผมเป็นพวกเบซิกซ์แม้จะเกิดมาในครอบครัวของผู้ใช้เวทแต่ก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติที่เป็นพวกเบซิกซ์เหมือนกันตั้งแต่เล็ก ๆ จึงไม่ค่อยคุ้นกับเรื่องเวทมนตร์เท่าไรนัก

อีกฝ่ายไม่ว่าอะไรนอกจากปั้นยิ้มออกมา เขาช่วยผมยกกระเป๋าเสื้อผ้าใส่ท้ายรถแทกซี่ คนขับไม่แม้แต่จะใส่ใจลงมาช่วยด้วยซ้ำไป ไร้มารยาทจริง ๆ

"ขอบคุณครับ" ผมเอ่ยบอกอีกฝ่าย

"อือ...ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน" เขาพูดแล้วตบไหล่ผมเบา ๆ

"โทรมานะถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร..." ป้าเอ็มมาว่า

"ครับ" ผมรับคำ

"ไม่ เจสัน แพตทริก แพรต" ป้าเรียกผมด้วยชื่อเต็มพลางเดินมาจับใหล่ทั้งสองข้าวของผมและมองตาตรง ๆ "ป้าพูดจริง ๆ กลับมาเลือดโชกแบบคราวที่แล้วไม่เอานะ"

"ครับ" ผมรับคำและยิ้มออกมาเกือบจะจริงใจ

อีกฝ่ายมองผมอยู่แบบนั้นอีกหลายวินาทีก่อนจะกอดผม ตอนนี้ป้าตัวเตี้ยกว่าผมแล้ว ศีรษะของเธออยู่แค่ระดับอกของผมเท่านั้น "ดูแลตัวเองนะ" เธอว่า "เจอกันตอนปิดเทอม โอเคไหม"

มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ เธอรู้ ผมก็รู้ แต่เราก็ไม่พูดอะไรออกมา ผมยกมือขึ้นกอดอีกฝ่ายกลับแต่แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเธอก็ผละออกจากตัวผมและหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป

"ดูแลตัวเองนะ" ลุงผมเอ่ยก่อนจะเดินตามป้ากลับเข้าบ้านไป ปล่อยให้ผมยืนมองทั้งคู่เดินลับไปด้านหลังประตู



พอก้าวขาขึ้นนั่งที่เบาะหลังของรถโทรศัพท์ก็ส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความมา ผมหยิบมันขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นอลิส

>อยู่ไหนแล้ว<

>กำลังออก อยู่บนแทกซี่< ผมตอบกลับไป

>อือ นี่ก็กำลังออกจากตรอกยาบาบุชเหมือนกัน เจอกันที่สถานีไหม? <

ผมนิ่งคิดอยู่หลายวินาทีก่อนพิมพ์ตอบ >อือ แกจะถึงกี่โมงล่ะ<

>น่าจะบ่ายสองกว่า ๆ <

>ฉันถึงก่อนแกแน่ ๆ จะรอก็แล้วกัน<

>อือ< อีกฝ่ายตอบกลับมาและผมก็เก็บโทรศัพยท์เข้ากระเป๋ากางเกง

"ปีสุดท้ายสินะ" เสียงจากคนขับดังมาทำให้ผมหันไป อีกฝ่ายมองผมจากกระจกมองหลัง เขาสวมแว่นตากันแดดพร้อมกับยิ้มกว้างเผยให้เห็นแนวฟันเรียบสวยที่ขาวจนแสบตา

"ครับ" ผมยิ้มรับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกดีนักที่คนแปลกหน้าจะรู้จักผมก่อนที่ผมจะรู้จักพวกเขาเสียอีก...มันเป็นข้อเสียที่มาพร้อมกับการเป็นผู้ถูกเลือกของโลกแห่งเวทย์มนต์และโลกแห่งแสงทั้งมวล เด็กชายผู้รอดจากการถูกทำร้ายโดยราชินีมืด เด็กชายผู้มีแผลเป็นรูปพระจันทร์ที่หน้าผาก เด็กชายผู้ที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งที่สุดในโลก เด็กชายผู้ที่แบกรับชะตากรรมของโลกไว้บนบ่า...ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นแหละคือผมเอง

เจสัน แพรต

แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดหรอกนะ...ผมหมายถึงส่วนใหญ่ผมค่อนข้างชอบที่เป็นผู้ถูกเลือก หลาย ๆ ครั้งก็ได้ของฟรีมาเยอะแยะ ไหนจะพวกงานถ่าบแบบ ถ่ายโฆษณา (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสินค้าที่เป็นผู้สนับสนุนโรงเรียนน่ะ ผมไม่รู้รายละเอียดมากหรอก จอมเวทย์สูงสุดจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าผมควรรับงานไหน) แล้วก็นะ มันก็ไม่ได้แย่ที่เกิดมาเป็นเซเลบ...แค่อยากบอกเฉย ๆ น่ะ

"ช่วงนี้รถติดหน่อยนะครับ คงต้องไปทางอากาศ" คนขับพูดก่อนจะเทคออฟตัวรถขึ้นฟ้าโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผม อยากจะบ้า ผมไม่ชอบเลยเวลาคนทำแบบนั้น แบบทำอะไรโดยที่ไม่รอคำอนุญาตจากผมก่อน

ตัวรถทะยานขึ้นไปเหนือเมฆกลางมหานคร แดดสีส้มแดงสาดจ้าเข้ามาทางหน้าต่างรถและผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากมองมันและคิดถึงปีสุดท้ายของตัวเอง มันจะเป็นปีที่ยุ่งมาก ๆ สำหรับผม ถ้าไม่นับเรื่องภารกิจนั่นนี่ที่ไม่รู้จะมาตอนไหนอีก ไหนจะเรื่องศึกสุดท้ายตามคำทำนาย...ผมพยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้นเพราะชวนให้หดหู่ แล้วไหนจะเรื่องแข่งฟุตบอลระดับประเทศที่ใกล้เข้ามาอีก โค๊ชพีเจี้ยนอารมณ์งุ่นเงี้ยวมาตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะเราแพ้การแข่งขันในรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีนับตั้งแต่ผมเข้ามาร่วมทีม

"แพรต ฉันผิดหวังมากที่นายพาทีมมาแพ้แบบนี้ ผิดหวัง ผิดหวังจริง ๆ " เขาชอบพูดย้ำคำท้ายของตัวเองสองรอบเสมอ มันค่อนข้างแปลกและน่ารำคาญ แต่ไม่น่ารำคาญเท่ากลิ่นปากที่เหมือนปุ๋ยคอกของเขาหรอก...แต่ก็นะ เขาเป็นเซ็นทอร์ เพราะงั้นมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

และเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คนอื่น ๆ คิดว่ามันแย่หรอก...หมายถึง ได้ล้มเหลวบ้างมันก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่คนอื่นไม่คิดแบบนั้นน่ะสิ อย่างฟราน...ฟรานเชสก้า แฟนที่คบกันมาตั้งแต่ม.4 เธอทิ้งผมไปนอนกับไอ้โอลิเวอร์ทันทีที่ผมแข่งฟุตบอลแพ้ แถมบนเตียงผมด้วย เตียงผม!!! งูพิษแท้ ๆ ทั้งสองคนเลย ให้เงาสาปส่งพวกนั้นทั้งคู่!

ผมไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นเหมือนกัน...ความคิดด้านบวก ความคิดด้านบวก...ผมพร่ำบอกกับตัวเองแบบนั้นอย่างที่จิตแพทย์บอก คิดถึงด้านบวกของชีวิตเข้าไป คิดถึงพลังด้านบวกที่ไหลเวียนอยู่ในตัว โอเค...ผมว่าดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว...ให้ตายเหอะ ผมยอมให้ฟรานถ่ายรูปประกอบบทความในเมจิกโพสคู่ผมแท้ ๆ!

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ริงโทนเป็นซิงเกิ้ลที่ผมออกเมื่อสองปีก่อน...ยังติดท๊อบชาร์ตมาจนถึงวันนี้ "ว่า"

"แกอยู่ไหน"

"อยู่บนรถ" ผมบอก

"รถไฟกำลังจะออกแล้วนะ รีบมาสิ"

ผมถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปถามคนขับรถ "พี่ครับ ใกล้ถึงยังครับ"

"อีกไม่กี่นาทีแล้วครับ" อีกฝ่ายยิ้มยิงฟันมาอีก

"เร็วนิดนึงได้ป่ะครับ ผมจะไปไม่ทัน"

"ได้ครับ ๆ "

"แกมีเวลาแค่ห้านาทีนะ ไม่งั้นไม่ทันแน่"

"บอกให้พวกเขารอไม่ได้หรือไง"

"นี่มันรถไฟนะ รถไฟเจสัน รู้จักไหม ไอ้เครื่องจักรขบวนยาว ๆ ที่มีคนอยู่ข้างในอีกเป็นร้อยน่ะ"

"ฉันว่าแก่สับสนว่ะ นั่นมันรถเม ฉันเคยขึ้นครั้งหนึ่ง กลิ่นแย่มาก"

"ไม่ตลกนะ แกจะให้ฉันไปบอกเขาว่าให้คนอีกเป็นร้อย ๆ คนรอแกแค่คนเดียวเหรอ แกบ้าหรือเปล่า"

ผมถอนหายใจ ถ้าเป็นฟรานเธอทำให้ผมได้แน่ เธอทำให้ผมได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว โอลิเวอร์ก็เหมือนกัน ผมเลยเหลือแค่อริสคนเดียว "เค ๆ ฉันจะรีบไปก็แล้วกัน" ผมตัดบทก่อนจะวางสาย พอหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งก็รู้ว่าตอนนี้รถกำลังไต่ระดับลงเรื่อย ๆ ผมเห็นทุ่งหญ้า แนวป่า และแม่น้ำ

นี่มันไม่ถูก ไม่ถูกแน่ ๆ ให้ตายเหอะ อย่างบอกนะว่าคนขับไม่รู้ทาง...ผมว่าจอมเวทสูงสุดต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับพวกผู้อพยพเข้ามาทำงานสักที พวกนั้นทั้งโง่ทั้งบื้อและทำงานไม่ได้เรื่องสักอย่าง

"พี่ครับ ผมว่าพี่มาผิดทางนะครับ"

อีกฝ่ายไม่ตอบ ผมจึงโน้มตัวเข้าไปหาเขาและพูดอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองก่อนจะพ่นแผงฟันสีขาวสะท้อนแสงใส่หน้าผม

"เฮ้ย ไอ้เชี่ยนี่..." ผมร้องออกมาพลางเอี้ยวตัวหลบ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาเสียงดังเหมือนคนบ้าด้วยปากกอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวขาวที่มุมปากทั้งสองด้าน...แวมไพร์

ผมเอื้อมมือไปยังกระเป๋ากางเกงแต่ช้าไป เจ้านั่นพุ่งตัวรถลงด้านล่างอย่างรวดเร็วจนผมร่วงไปกระแทกกับกระจกหน้ารถพร้อม ๆ กับตัวรถที่แลนดิ้งลงจอดกับพื้น จากนั้นร่างผมก็ทุ่งทะลุออกมาตกอยู่ข้างแอ่งน้ำโคลน อยากจะบ้า ไม่น่าใส่สนีกเกอร์ไนกี้สีขาวมาเลย เมื่อเช้าเพจแม่หมอพยากรณ์ก็บอกแล้วว่าคนเกิดวันอังคารสีขาวเป็นการกิณี รู้งี้เชื่อก็ดีไปแล้ว

ไม่ทันจะคิดอะไรต่อ ไอ้แวมไพร์ตัวนั้นก็เดินลงมา มันสะบัดแว่นกันแดดออกเหลือแค่แว่นว่ายน้ำสีดำที่ใส่ไว้ข้างใต้...นี่มันใส่แว่นสองอันมาตลอดเลยเหรอ? ถือว่ากล้ามากในทางแฟชั่นน่ะนะ

"จำวันนี้ไว้ ผู้ถูกเลือก เจสัน แพรต วันนี้คือวันตายของแก"

"ไม่ใช่ด้วยไอ้เสื้อโค๊ตหนังยาวสีดำทับเสื้อคอเต่าที่แก่ใส่แน่ ๆ ผ้าหนังมันเอ้าท์ไปเป็นปีแล้ว"

อีกฝ่ายคำรามในลำคอก่อนจะกระโจนเข้าใส่ ผมรีบคว้าไม้กายสิทธิ์ออกมาและว่าคาถา "พลังจงสถิตอยู่กับเจ้า" ลำแสงพุ่งออกมาจากปลายไม้กลายเป็นดาบเซเบอร์ ผมฟาดมันใส่อีกฝ่ายแต่แวมไพร์ตัวนั้นก็เบี่ยงตัวหลบทัน และถอยไปตั้งหลัก ผมคว้างดาบเซเบอร์ใส่ ดาบนั่นลอยควงเข้าหามันแต่ก็หลบได้

"ฮาฮ่า แกมันไม่ได้เรื่องสักนิดผู้ถูกเลือก คิดว่าจะใช้ดาบแสงกับฉันเหมือนในหนังเจไดนั่นเหรอ ฝันไปเหอะ ฉันเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะไกลและ..." แล้วมันก็หัวขาดด้วยดาบเซเบอร์ที่ลอยควงเป็นวงกลมกลับมาหาผม

"หนังชื่อสตาวอร์ไอ้ฟาย แล้วของฉันมันเวอร์ชันเกมโว้ย" ผมพูดพลางเดินไปใช้เท้าเขี่ยหัวของแวมไพร์ตัวนั่น วินาทีต่อมาร่างของมันก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

พวกเบซิกส์ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหนว่าแวมไพร์โดนแดดแล้วจะตาย เพี้ยนไปกันหมด พวกนั้นไม่ได้ตายง่าย ๆ แบบนั้นหรอก...มันก็จริงที่พวกมันมีผิวค่อนข้างบางเลยไวต่อแสง แต่นั่นก็ไม่ถึงขนาดทำให้ตาย อย่างมากก็แค่ผิวไหม้เพราะแดดเผา แต่ที่พวกนั้นไม่กล้าออกมาสู้แสงก็เพราะประสาทตาของพวกมันไวต่อแสงมาก ถ้าไปไหนมาไหนโดยไม่ใส่แว่นที่เหมือนริดิกจากหนังเรื่องพิชแบร๊คไว้ตลอดลูกตาก็จะละลายแทบจะทันที ถึงจะมีพลังรักษาตัวเองดีแค่ไหนมันก็ยังเจ็บจนแทบขาดใจ...เท่าที่ผมเข้าใจน่ะนะ

โทรศัพท์ดังขึ้นอีก ผมรับสาย

"รถไฟออกแล้วนะ แกต้องหาทางไปโรงเรียนเอง" อริสพูดแค่นั้นแล้วก็ตัดสายไป

ผมดูดริมฝีปากเป็นเสียงด้วยความรำคาญใจก่อนจะหันไปมองรถแทกซี่ของไอ้แวมไพร์ตัวนั้น...ไม่อยากเชื่อว่ารถคันแรกที่ผมจะได้ขับคือแทกซี่...ถ้ามองในด้านดีผมคงพอจะนำความสิวิไลและเซนส์ทางแฟชั่นสู่วงการผู้ขับรถสาธารณะได้บ้าง

ผมยกโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่และส่งให้แอดมิทเพจของผม...แต่ก็ลืมไปว่าแอดมินของผมเหมือนจะเลิกกับผมและหันไปดูดปากกับเพื่อนสนิทของผมอีกคน ตอนนี้ผมเลยต้องทำเองทุกอย่าง งานของผู้ถูกเลือกนี่มันก็ยากจจังเลยน้า ต้องฆ่าปิศาจ หยุดหายนะของโลก แล้วไหนจะต้องอัพโซเชี่ยวเองอีก งานของชนชั้นแรงงานแท้ ๆ

......................................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

ผมนั่งอยู่บนหินพยากรณ์จำลองที่ตั้งอยู่กลางทางเดินเข้าโรงเรียนที่เป็นทางโรยกรวด มือขวาจับปากกาเมจิกสีดำระบายเล็บตัวเองอยู่ตอนที่รถแทกซี่ลอยล่องมาจอดที่ข้างต้นไทรจอมเขย่า รถคันนั้นพุ่งเอาหน้ารถทิ่มลงดินจนตัวรถตั้งชี้โด่เด่ จอดได้ห่วยแตกมาก และไม่ต้องสงสัยว่าใครที่กระโดดลงมาจากรถพร้อมเสียงตบมือของนักเรียนหลายสิบที่วิ่งเข้าไปดู

เจสัน แพรต

อีลูกกะหรี่จอมยะโส

"หุบปาก เวตาล" ผมพูดกับเสียงในหัวของตัวเอง

ครับ นายน้อย

แต่เจ้านั่นก็ไม่ได้พูดผิดไปแม้แต่คำเดียว เจสัน แพรต เป็นอีลูกกะหรี่จอมยะโสและมันก็ไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย ด้วยทรงผมที่ตัดแต่งอย่างสมบูรณ์แบบสีทองอร่าม ในตาสีน้ำเงินเป็นประกาย ผิวขาวเหมือนหิมะ ริมฝีปากแดงที่ฉีกยิ้มอย่างเสแสร้งและท่าทางโบกมือหย็อย ๆ ให้กับไอ้พวกลูกกะหรี่ตัวอื่น ๆ ที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดตบมือเหมือนอยู่ในงานศพพ่อแม่ตัวเอง

นี่ยังไม่นับรวมไอ้แผลเป็นอุบาทว์ ๆ ที่อยู่บนคิ้วขวาของมันอีกนะ ไอ้แผลเป็นรูปจันทร์เสี้ยวที่ตัดแบ่งคิ้วรูปร่างเพอร์เฟคให้เป็นสองท่อน...แผลรูปจันทร์เสี้ยว...น่าขำ ไอ้แก่จอมเวทสูงสุดคิดคำมาเรียกแล้วทุกคนก็พากันเทิดทูนบูชามันเหมือนพระผู้ช่วยเสด็จลงมาจากสวรรค์ ซึ่งความเป็นจริงคือไม่ว่าใครที่โดนปลายของแข็งไม่มีคมอย่างปลายท่อเหล็กฟาดที่จุดเดียวกันก็จะทำให้เกิดแผลรูปร่างเหมือนกันเป๊ะ แต่ถ้าเป็นผู้ถูกเลือกเขาจะเรียกแผลรูปจันทร์เสี้ยว แต่ถ้าเป็นคนธรรมดา เขาจะเรียกรถพยาบาล

แค่หน้าน่าสมเพชของมันก็ทำให้ผมรู้สึกคันยิบ ๆ ที่รอยตราบนซีกหน้าด้านซ้าย เด็กม.1 เดินเข้ามาไกล ๆ กับที่ผมนั่งพลางมองผมและทำท่าซุบซิบ ผมจึงบิดคอในองศาประหลาดที่สุดและแลบลิ้น พวกนั้นวิ่งหากจุกตูดแล้วร้องกรี๊ดดังลั่น

"ทำแบบนั้นทำไม" เสียงทุ้มต่ำเคล้าลมหายใจพรืดพราดดังมา "เธอจะทำให้เด็กพวกนั้นฝันร้ายไปเป็นเดือนเลยนะ เป็นเดือน ๆ เลย"

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคือโค๊ชพีเจี้ยน

"ก็ตั้งใจแบบนั้น" ผมกลับมาก้มหน้าระบายเล็บตัวเองต่อ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเดินจากไปแต่เสียงเกือกม้าย่ำกับพื้นกรวดดังกุบกับก็ยังดังอยู่ที่เดิม "ต้องการอะไรโค๊ช"

อีกฝ่ายถอนหายใจแบบม้า ๆ ออกมาก่อนว่า "ฉันอยากให้เธอกลับไปร่วมทีม"

"ผมลาออกแล้ว จำได้หรือเปล่า"

พ่นลมหายใจแบบม้า ๆ ออกมาอีก "เธอจะวิ่งหนีทุกครั้งที่มีเรื่องเกิดยากขึ้นมาไม่ได้นะโดว์ และทีมก็ต้องการเธอ"

ผมเค้นหัวเราะประชดออกมา "หนึ่งนะ ทีมไม่ต้องการผม ถ้าคุณลืมไป ผมคือเดอะดาร์ควัน ไม่มีใครต้องการผมหรอก ไม่ว่าจะทีมฟุตบอล นักเรียนคนอื่น อาจารย์ และเอาเข้าจริง ๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมไอ้แก่เหนียงยานนั่นถึงเอาผมมาขังไว้ที่นี่..."

"อย่าเรียกจอมเวทสูงสุดแบบนั้น" โค๊ชพูดขึ้นแต่ผมไม่สนใจ

"...และอย่างที่สอง ที่บอกว่าผมวิ่งหนีไม่ได้ ผมหนีได้และผมจะทำให้โค๊ชดู" พูดจบก็กระโดดลงจากหินพยากรณ์จำลอง คว้าคันธนูที่วางทิ้งไว้กับพื้นมาสะพายบนบ่า กระบอกลูกศรคาดไว้ที่เอว

"เธอจะไปไหน"

"ล่าสัตว์ ไม่ต้องบอกนะว่ามันผิดกฏโรงเรียน ผมรู้ดี และผมโคตรจะชอบเลย" พูดจบฝูงนักเรียนก็เดินมาตามทางเดิน โดยมีไอ้แพรตอยู่ตรงกลาง สายตาเราประสานกันวินาทีหนึ่งก่อนมันจะก้มหน้า กัดริมฝีปากล่างและหันไปยิ้มพูดคุยกับเพื่อนของมัน

มันทำแบบนั้นอีกแล้ว...ไอ้เชี่ยนั่นมันทำแบบนั้นตลอด

น่าขยะแขยง อีลูกกะหรี่

ผมละสายตาจากมัน เดินแหวกฝูงชนออกไปและมุ่งหน้าวิ่งเข้าไปในป่า

...........................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อริส

"แกไปทำอีท่าไหนถึงขับแทกซี่มาโรงเรียนได้"

"ฮ๊ะ" อีกฝ่ายร้องออกมาพลางหันกลับมามองที่ฉัน

"ถามว่าทำไมแกถึงไปเอาแทกซี่มาขับได้" ฉันพูดเสียงดังขึ้นเพราะรอบด้านมีแต่เสียงร้องกรีดวี้ดว้ายของนักเรียนคนอื่น ๆ ที่มารุมล้อมพวกเรา หลายคนยกโทรศัพท์ออกมาถ่ายวิดีโอ เซลฟี่ หรือทั้งสองอย่าง

"อ๋อใช่...เออ รถของแวมไพร์สักตัว มันลอบทำร้ายฉันแต่ฉันจัดการไปแล้ว" เขาพูดพลางหันกลับไปด้านหลังตัวเองแบบเร็ว ๆ สองสามครั้งระหว่างที่เราเดินไปด้วยกัน "...ไอ้ห่านั่นทำฉันขนลุก"

"ใคร? แวมไพร์ตัวนั้นเหรอ? " ฉันถามออกมาเพราะมันค่อนข้างเป็นอะไรที่เกิดขึ้นกับเจสันประจำอยู่แล้ว...แบบ...โดนลอบทำร้าย วางยาพิษ หรือโดนพยายามฆ่า เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะทำอะไรเขาได้

เจสันหยุดถ่ายเซลฟี่และแจกลายเซ็นอยู่สองสามวินาทีก่อนตอบ "ไม่ใช่ ไอ้โดว์ต่างหาก"

ฉันคว่ำปาก "อ๋อ เดอะดาร์ควัน"

เขาทำเสียงจิ๊ปากเบา ๆ "บอกหลายทีแล้วว่าอย่าเรียกแบบนั้น มันทำให้ชื่อเสียงฉันเสียหาย" ใช่ฉันรู้ ฉันถึงเรียกไง

"ความจริงแกก็ไม่เห็นต้องสนใจอะไรเลย อีกไม่กี่เดือนแกก็ต้อง..." ฉันใช้นิ้่วโป้งทำท่าปาดคอตัวเอง "...เขาอยู่ดี"

อีกฝ่ายไม่ตอบ เขาเม้มริมฝีปากล่างก่อนจะว่าต่อ "ฉันรู้ แต่แกไม่คิดเหรอว่าเจ้านั่นมันน่ากลัวพิลึก ชอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่กินข้าวในโรงอาหาร ไม่นอนในหอพัก เข้าเรียนก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง..." เราเดินมาถึงโรงอาหารที่ตอนนี้มีนักเรียนนั่งคุยกันจอแจ โต๊ะกินอาหารทรงกลมตั้งกระจายไปทั่วห้องโดยมีเก้าอี้คละสีวางประจำอยู่ เหลือง แดง เขียว น้ำเงิน ขาว แทนสีประจำสีบ้านพักทั้งห้า นักเรียนทุกคนหันมาทักทายฉันกับเจสัน หลายคนฉันรู้จักหรือเคยเรียนในวิชาเรียนเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่ฉันไม่รู้จักคนพวกนั้นหรอก

"แต่มันก็เข้าเค้าดีนะ...หมายถึง..." ฉันว่าพลางหยุดที่โต๊ะประจำของเราซึ่งอยู่ตรงกลางโรงอาหารพอดี เช็กให้แน่ใจว่าเก้าอี้ที่ตัวเองจะนั่งเป็นสีน้ำเงินก่อนจะนั่งลง "...แกจะเข้าเรียนไปทำไมในเมื่อรู้ตัวว่าต้องตายตอนอายุสิบแปด..." ฉันหลุดพูดออกไปและรู้ทันทีว่าไม่ควร เจสันอ่อนไหวกับเรื่องนี้...บางครั้งน่ะนะ "...ขอโทษที"

อีกฝ่ายที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะส่ายหน้า แต่ก่อนจะพูดอะไร แจนมิน ไพเพอร์ก็เดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเรา เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเป็นอันดับสองรองมาจากแฟนของเจสัน ฟรานเชสก้า เลิฟฮิวอิท (ยืนยันโดนผลโหวตของนักเรียนทั้งโรงเรียนจากเมื่อเทอมที่แล้ว)

ฉันไม่ค่อยชอบฟรานและฟรานก็ดูเหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

"หวัดดี เจสัน" เธอพูดพลางส่งยิ้มกระชากใจมา นิ้วมือม้วนผมสีดำสนิทที่เป็นลอนมันวับสวยงาม "จริงหรือเปล่าที่เธอเลิกกับฟราสซี่แล้ว"

"ใครบอกเธอ" เจสันถามกลับด้วยน้ำเสียงทั้งตกใจและโกรธนิด ๆ คนทั่ว ๆ ไปชอบคิดว่าเจสันเป็นคนกล้าหาญและสุภาพ ส่วนคนที่รู้จักเขาจะรู้ว่าเขาเป็นไอ้ตูดหมึกเจ้าสำอางค์ โดนสปอยด์จนเสียคนและบ่นได้ตลอดเวลา แต่กับเพื่อนที่ฝ่าฟันอุปสรรคและรอดตายด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างฉันกับโอลิเวอร์จะรู้ว่าเจสันเป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และถ้าเขาโกรธมันจะน่ากลัวมาก...ทั้งฉัน โอลิเวอร์ และฟรานเชสก้าเคยเห็นมาแล้ว...หลายครั้งด้วย

"เขาก็พูดกัน" ยัยนั่นยังไม่เลิกเล่นหูเล่นตา เห็นแล้วเปรี้ยวมืออยากกระชากหัวมาตบ! "เมื่อกี้ได้ยินว่าเธอคุยกันเรื่องเดเมี่ยน โดว์ใช่ไหม? รู้หรือเปล่าว่าเขาลือกันว่าเจ้านั่นฆ่าพ่อแม่ตัวเอง แล้วศาสตราจารย์สโครว์อีก พวกเธอจำได้ไหม? ที่สอนวิชาเคมีตอนเราเรียนม.3น่ะ เขาว่าก็โดยโดว์จับขังไว้ในห้องทำงานแล้วเผาทั้งเป็น"

"มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม" ฉันทำท่าประชดประชันแต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่รู้หรืออาจจะแกล้งไม่รู้...ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอันไหนทำให้ฉันอารมณ์เสียกว่ากัน ที่ยัยนั้นโง่จริง ๆ หรือแกล้งทำเป็นโง่

"อือ...อ๋อ...ใช่ แล้วก็ลือกันว่าเขาเป็ยเกย์ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก และเมื่อปีที่แล้วตอนที่โดว์ไปเข้าทีมฟุตบอล เขาว่ากันว่าเจ้านั่นแอบใช้มนต์ดำสาปทีมเลยทำให้ทีมแพ้เพื่อแก้แค้นที่เธอไปทำหน้าเขาเสียโฉม"

"โดว์ใช้เวทมนตร์ไม่ได้จะ ยัยงั่ง" ฉันพูดโดยพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องที่ไพเพอร์พูดถึงเรื่องหน้าของโดว์...เขาไม่ได้ทำไปเพื่อแก้แค้นเจสัน...แต่มันเหมือนจะกลับกันมากกว่า

อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนได้กลิ่นตดทางปากพลางเอามือทาบอก "เธอจะรู้อะไร แคมเบอร์บัช"

"ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่าจะรู้อะไร...อ๋อ ลืมไป ก็เพราะเธอนอนกับทีมฟุตบอลเกือบหมดทีมแล้วจริงไหมล่ะ"

"ช่างไร้มารยาท" แจสมินร้องออกมาแต่เจสันตัดบท

"เธอต้องการอะไร ไพเพอร์"

ยัยปลิงหัวเป็นลอนปรับท่าทางตัวเองทันทีที่ผู้ชายหันมาพูดด้วย เธอยิ้มหวานและเริ่มเล่นกับผมตัวเองอีกครั้ง...ฉันไม่เข้าใจว่ายัยนั่นเป็นอะไรกับผมตัวเองนัก ทำท่าอย่างกับคนเป็นง่อย "เรียกฉันแจสมินเถอะ" พูดจบก็เอื้อมมือมาจับมือผู้ชาย นมที่แทบทะลักออกมาจากคอเสื้อเกยอยู่บนโต๊ะ ตอนแรกฉันคิดว่าเจสันจะดึงมือตัวเองกลับ...แต่เปล่า เขาไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

"ก็ได้ ต้องการอะไรแจสมิน"

อีกฝ่ายหัวเราะคิกคักก่อนจะบีบมือเจสันเป็นจังหวะ "ฉันได้ยินว่าเธอเลิกกับฟรานซี่แล้ว ฉันเลยมาถามว่า...เธอมีคนคอยช่วยดูแลโซเชี่ยวมีเดียให้หรือยัง ฉันค่อนข้างเก่งนะกับเรื่อง..." แล้วก็เอาไม้กายสิทธิ์ของตัวเองมาเล่น...กับปาก...นั่นโคตรจะน่าขยะแขยงเลย "...ผู้คน...และจัดการกับเรื่อง 'อื่น ๆ ' เก่งด้วย"

เจสันยิ้มกรุ่มกริ่ม โอ๊ย ฉันเกลียดเวลาเขาทำแบบนั้น เข้าใจไหม แบบ บริหารเสน่ห์ตัวเองกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว เห็นแล้วอยากจะอ้วก

"ฉันจะลองคิดดู"

"อะไรนะ" ฉันร้องออกมาเสียงดังคับโรงอาหาร ยัยแจสมินหัวเราะคิกคักก่อนจะลุกขึ้น

"อย่าให้ฉันรอนานนะเจสัน" พูดจบก็สะบัดดูดงอน ๆ เดินจากไป

"เจสัน ว๊อดเดอะฟัค" ทันทีที่สิ้นเสียง แรงตบก็เข้าปะทะที่แก้มฉันจนหน้าหัน ให้เงาสาป เปิดเทอมมาใหม่ ๆ ฉันลืมตลอดว่าออโรร่าจริงจังแค่ไหนกับเรื่องพูดคำหยาบในโรงเรียน

"สมควร" อีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะออกมา

"เจสัน อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่อง แกไปบอกไพเพอร์แบบนั้นได้ยังไง ก็ฟรานเป็นคนดูแลเรื่องพวกนั้นให้อยู่ไม่ใช่เหรอ"

"ตอนนี้ไม่แล้ว"

"ยังไงวะ? " ฉันรู้สึกถึงคิ้วของตัวเองที่ขมวดเข้าหากัน ฟรานชอบบอกว่าถ้าฉันเอาแต่ทำแบบนั้นหน้าจะย่นเหมือนหมาปั๊กแต่ฉันไม่สนใจ "งั้นที่เขาพูดกันก็เรื่องจริงเหรอ" อีกฝ่ายไม่ตอบ "เจสัน ฉันเป็นเพื่อนสนิทแกนะ"

"เฮ้ ว่าไง" เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังมาจากด้านหลังของฉัน พอหันไปจึงเห็นโอลิเวอร์ยืนอยู่ "เจสัน ฉันขอคุยด้วยได้ไหม"

"ไม่ใช่ตอนนี้" เจสันตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าจริงจังพลางตั้งท่าลุกขึ้น

"ไม่เอาน่าเพื่อน ฉันแค่อยากคุยด้วย"

"บอกว่าไม่ใช่ตอนนี้! " ทันทีที่คำสุดท้ายหลุดออกมาจากปาก ของเหลวทุกชนิดในโรงอาหารก็เดือดปุดจนระเบิดอยู่ในภาชนะ ทั้งแก้ว จาน เหยือก เสียงเด็กคนอื่น ๆ กรีดร้องระหว่างที่เจสันเดินออกไปจากโรงอาหาร

...ฉันบอกแล้ว เจสันเป็นคนน่ากลัวเวลาโกรธ

...............................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แอนนา

เรามีเวลาน้อยเหลือเกิน ลูกรัก เขากำลังแย่ จิตใจของเขากำลังย่ำแย่และยิ่งเราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปเขาจะยิ่งเจ็บปวด พวกเราทุกคนจะยิ่งเจ็บปวด...ป่าเอ๋ย นำข้อความไปยังลูกของฉัน บอกเขาว่าเวลากำลังจะหมดแล้ว พวกเราต้องรีบลงมือ...ถ้าไม่สำเร็จ...โลกของเราจะถูกทำลาย

.................................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อีกอร์

"พวกเราต้องเข้าโจมตีโรงเรียนเวรนั่น ทันที" นายพลธีโอดอร์พูดเสียงดังลั่น นัยน์ตาสีแดงส่องประกายออกมาจากเบาตาลึกโบ๋ฉายแววโมโห เครื่องแบบของทหารสมัยสงครามโลกที่ทั้งฉีกขาดและสกปรกส่งกลิ่นเหม็นหืนจนผมนึกอยากสำรอก...พวกซอมบี้เป็นแบบนี้ทุกคน...อายุเป็นร้อยปีแต่ไม่เคยอาบน้ำสักครั้ง ซกมกจริง ๆ

"เรามีกำลังไม่พอ" นายพลหญิงอิย์สุเลย์ว่า ผมยาวสีเงินยวงทิ้งตัวลงมาถึงหน้าอกสะท้อนแสงเป็นเงาวาว สองมือประสานกันหลวม ๆ อยู่บนโต๊ะกลมที่พวกเรานั่งกันอยู่ เธอเป็นนายพลหญิงจากเผ่าดาร์คเอลฟ์ที่จำนวนเหลืออยู่น้อยนิด

"ไม่พอก็ต้องโจมตี" นายพลซอมบี้ตอบกลับ "กองพันของเราพร้อมสำหรับการสู้รบ พวกเราไม่กลัวที่ต้องตายเพื่อชัยชนะของอาณาจักรแห่งเงา" เสียงโห่ร้องดังขึ้นรอบโต๊ะ

"ถ้าท่านเอาสมองมาไว้ในกะโหลกแทนที่จะกิน ท่านก็จะคิดได้ว่าการทำแบบนั้นก็เป็นการฆ่าตัวตายดี ๆ นี่เอง" เธอเอ่ยตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะและเสียงเห็นชอบจากฝ่ายที่สนับสนุนเธอ

ผมเสมองเจ้านายของผม ชายผิวขาวซีดที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่สุดในจำนวนทั้งหมด เขากำมือเท้าแขนข้างหนึ่งกับโต๊ะ ถุงมือที่เป็นสีดำสนิทส่งเสียงเหมือนโลหะเสียดสีกันเบา ๆ ยามเขาขยับนิ้วบดกำปั้นของตัวเอง สายตาเรียบนิ่งจ้องมองการถกเถียงที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมเรียบสีทองหวีเสยอย่างเรียบร้อย แต่มองจากด้านหลังยังเห็นส่วนที่ไม่เรียบร้อยอยู่...ผมคงรีบมากเกินไป แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยเพราะสภาที่ปรึกษาเรียกประชุมอย่างเร่งด่วนจนผมไม่มีเวลาแต่งตัวเขาให้ดีกว่านี้...หวังว่าเขาจะไม่อารมณ์เสียจนจับผมโยนลงบ่อจระเข้นะ

เจ้านายเหลือบมองผมทางหางตา นัยน์ตาสีฟ้าและใบหน้านั้นทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง

"พอแล้ว" เจ้านายเอ่ยขึ้นลั่นห้องอย่างไม่มีปี่มีขุ่ย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบนิ่ง "สภานี้ได้ถกเถียงกันเรื่องเข้าโจมตีโรงเรียนนั่นมานานจนผมรู้สึกว่ามันจะนานเกินไปด้วยซ้ำ...ประสงค์ของท่านแม่...ราชินีของเราชัดเจน ท่านต้องการเข้าโจมตี..." เสียงร้องเห็นด้วยดังมาจากสมาชิกฝั่งของนายพลธีโอดอร์ "...แต่เป็นสภาแห่งนี้ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นและนำชัยมาสู่อาณาจักรแห่งเงา...หากสถานการณ์ไม่อำนวย เราก็ไม่อาจจะเปิดฉากสงครามสุดท้ายได้" ทุกคนนิ่งเงียบและฟัง "ท่านนายพลหญิง..." เขาเสมองไปทางอิย์สุเลย์ "เราจะรวบรวมไพร่พลได้ตามจำนวนที่ต้องการเร็วที่สุดเมื่อไร"

อีกฝ่ายหันไปปรึกษากับคนทางด้านซ้ายมือก่อนว่า "สามเดือนหรืออาจจะมากกว่านั้น"

"ผมให้ได้แค่สองเดือน" เจ้านายของผมว่าเสียงเรียบนิ่งเฉียบขาด "ถ้ามากกว่านั้นเผ่าดาร์คเอลฟ์ต้องรับผิดชอบต่อความล่าช้า

ไม่มีเสียงตอบ

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมข้อเลิกประชุม" เจ้านายเอ่ยก่อนจะตั้งท่าลุกขึ้น ผมขยับตัวเตรียมเลื่อนเก้าอี้ให้เขาตอนที่หนึ่งในสมาชิกสภาเอ่ยขึ้น

"ยังมีอีกเรื่องที่เราต้องพูดคุยกัน" คนที่พูดเป็นนายพลจากเผ่าแวมไพร์ เจ้านายเอียงศีรษะมาทางผมเล็กน้อย ผมจึงก้มลงไปกระซิบ

"นายพลอาริอัส เป็นสมาชิคสภาคนใหม่"

เจ้านายเสมอง "เช่นนั้นผมก็พร้อมจะรับฟัง"

นายพลแวมไพร์นั่นมองไปทางธีโอดอร์ ไม่บอกก็รู้ว่ามันกลายเป็นหุ่นเชิดของซอมบี้ไปแล้ว น่าสมเพชจริง ๆ

"พวกเราทุกคนต่างทราบซึ้งในความทุ่มเทของท่านในฐานะอัศวินมืด ศึกนับพันนับหมื่นที่ท่านได้สู้รบให้พวกเราในรอบหลายปีที่ผ่านมาทำให้ฝ่ายเงาแข็งแกร่งและ..."

"ประเด็นของท่านคืออะไรท่านนายพล" เจ้านายพูดขึ้นอย่างเหลืออด

อีกฝ่ายทำตาเลิกลักก่อนจะพูดต่อ "...หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับ...หน้าที่ของท่าน...ใน...ในฐานะผู้นำทัพของเราในศึกสุดท้าย เพื่อให้คำพยากรณ์สมบูรณ์ ผู้นับทัพของเราคือเดอะดาร์ควัน แต่ท่าน..."

"ไอ้ปากหมา" ผมตะโกนลั่น แต่เจ้านายยกมือให้ผมเงียบ

"ท่านนายพล ท่านกำลังเดินเข้าไปในหนทางที่อันตราย" เจ้านายของผมว่า น้ำเสียงต่ำอย่างเดือดดาล ทุกคนรู้ดี "โปรดใช้ความคิดและคำพูดของท่านให้ดี"

อีกฝ่ายในตาเบิกโพร่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าและเงียบไป

"ผมทราบดีว่าสภาแห่งนี้มีความกังวลเกี่ยวกับสถานะของผมมานับตั้งแต่ผมก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกในสภานี้" เจ้านายของผมว่า "และผมเองจะไม่แกล้งทำเป็นว่าตัวเองเหมาะสมกับเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่...ผมไม่คู่ควรกับมัน..." เสียงร้องอย่าโกลาหลกำลังก่อตัวแต่เจ้านายตะโกนเสียงดังกว่า "แต่ถ้าใครคิดจะเอามันไปจากผม ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองกล้าดีพอจะทำแบบนั้น ผมสาบาน ด้วยเงาและชุดเกราะที่ผมสวมอยู่ ผมจะลากคอมัน ครอบครัวของมัน และสมาชิกเผ่าของมันทุกตัวมาเชือดคอเอาเลือดมาล้างตีน" เขาหยุด ปรายสายตาไปรอบโต๊ะ "คิดว่านั่นน่าจะพอแล้วสำหรับวันนี้ ผมขอตัว" พูดจบก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มลงก่อนจะหันหลังเดินไป

ผมเดินตามเจ้านายไปตามโถงทางเดิน เขาก้าวเดินอย่างรวดเร็วนั่นหมายถึงเขากำลังร้อนใจ กำลังโกรธ

"ฉันอยากจับพวกมันเผาทั้งเป็น" เขาพูดเสียงเรียบพลางเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้าไป "ทุกตัวเลย"

"ถ้าทำแบบนั้นได้อะไร ๆ ก็คงง่ายขึ้นเยอะ" ผมเอ่ยตอบ พนักงานประจำห้องนอนเดินถือถาดอาหารว่างเข้ามา ผมไล่ให้มันรีบออกไป ถ้าเข้ามาตอนนี้ได้กลายเป็นเศษเนื้อแน่

"นายไม่เคยเห็นด้วยกับอะไรที่ฉันพูดเลย" เขาเดินไปยังหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก ดวงจันทร์ลอยสูงอยู่บนฟ้าไร้เมฆ

"มันเป็นงานของผมครับ"

"งานของนายคือเป็นขี้ข้าฉัน อย่าได้คิดเป็นอย่างอื่น" เขาว่าก่อนจะหันมาและเดินสวนผมไปทางห้องอาบน้ำ ที่นั่นเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีสระน้ำเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง พนักงานยืนประจำอยู่ทั้งสี่มุมของห้อง

เจ้านายยกมือทุบที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองก่อนที่ชุดเกราะสีดำจะค่อย ๆ หดตัวกลับเข้าไปในหินทมิฬที่ถูกฝังอยู่ที่อกซ้ายของเขาเผยให้เห็นร่างสูงโปร่งที่สวมแค่กางเกงชั้นในสีขาวแบรนด์เควินไคลน์ เขาค่อย ๆ เดินลงไปในสระน้ำนั่น พนักงานคนหนึ่งหันไปปรับระดับอุณหภูมิ อีกสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งถือสบู่ อีกคนถือผ้าที่ใช้สำหรับขัดตัว เจ้านายยกมือปฏิเสธขึ้นก่อนจะชี้มาทางผม

พนักงานทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะเดินนำสบู่และผ้ามาให้ ผมรับมันมาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังของเจ้านายที่นั่งพิงริมสระอยู่ ผมนั่งคุกเข่าลง ถูสบู่ไปตามแขนและร่างกายของเขาก่อนจะใช้ผ้าถูเพื่อขจัดคราบไคล

"นายพลธีโอดอร์กำลังเล่นเกมที่ฉันเอาชนะไม่ได้" เจ้านายพูดขึ้นหลังจากผมทำความสะอาดร่างกายให้เขานานหลายนาที

"เขาแค่ต้องการชนะในศึกสุดท้าย" ผมตอบพลางเอื้อมตัวลงไปขัดร่างกายท่อนล่างของเขา อีกฝ่ายขยับตัวถอดชั้นในออกเพื่อให้ผมทำงานได้สะดวกขึ้น

"ที่มันต้องการคือทำให้ฉันหลุดออกจากตำแหน่งเพื่อตัวเองจะได้ขึ้นมานั่งแทน" เขาพูด "ไอ้ซอมบี้ชาติหมาไม่รู้จักเจียมกะลาหัวนั่น"

"ไม่ว่าอย่างไรเจ้านายก็ต้องหลุดจากตำแหน่งอยู่ดี...ไม่ทางไดก็ทางหนึ่ง" ผมว่าก่อนอีกฝ่ายจะมองผม ในตาแข็งอย่างโมโห ผมเป็นแค่คนเดียวที่เขามองแบบนั้น

"บางครั้งฉันก็สงสัยว่าแกรับใช้ใครกันแน่"

ผมถอนหายใจ "ผมรับใช้อาณาจักรแห่งเงา ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น"

อีกฝ่ายเขม็งมองผมก่อนจะว่า "ถอดเสื้อผ้า"

ผมหยุดมือในวินาทีนั้น สมองคิดหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด "เจ้านาย ผมไม่อยากทำ"

"ฉันสั่งให้แกถอดเสื้อผ้าออก" เขาย้ำคำเดิมด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย ผมจึงต้องทำตาม พนักงานทั้งสี่เดินออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่ เสียงปิดประตูดังมาตอนที่ผมกำลังก้าวลงไปในสระน้ำ นั่งคล่อมอีกฝ่ายที่นั่งหันหลังพิงกับพนักขอบสระ มือคว้าสบู่และผ้ามาขัดตัวให้เขา

"แน่ใจนะว่าไม่มีคนแอบฟัง" เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปหลายนาที ผมพยักหน้ารับ "ดี...เรามีเวลาไม่มาก" เสียงชายคนนั้นกระซิบมา มือทั้งสองข้างเลื้อยลัดอยู่บนเอวและสีข้างของผม "ป่าเพิ่งส่งข่าวมาถึง"

"จะให้ผมทำอะไร" ผมพูดโดยที่ยังขัดตัวให้อีกฝ่ายต่อไปตามปรกติ

"ส่งข่าวให้โอมาร์ เตรียมกำลังให้พร้อม"

"เพื่อบุกโรงเรียน? "

"ไม่ บุกโรงเรียนจะมีแค่นายกับฉัน" เขาว่าพลางเงยหน้ามองผม ในตาสีฟ้าครามจ้องมองมา "บอกโอมาร์ให้เตรียมตัวสำหรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น มีเวลาแค่สองเดือน"

"ได้ครับ" ผมรับคำก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นแต่อีกฝ่ายไม่ยอม เขาจับผมให้นั่งลงในท่าเดิม ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงบางอย่างสอดใส่เข้ามาในตัวจากด้านล่าง ความรู้สึกเสียวซ่านทำให้ผมครางออกมาเบา ๆ

"ถ้านายออกไปเร็วพวกนั้นจะสงสัย" เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะบรรจงจูบผมที่หน้าอก ลำคอ และริมฝีปาก "และฉันไม่อยากให้ใครสงสัย"

เขาพูดออกมาก่อนจะเริ่มขยับสะโพก และผมก็ขยับตัวรับดื่มด่ำกับรสกามนั้น

..................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

สามอาทิตย์กว่าแล้วตั้งแต่เปิดเทอมมาและอะไร ๆ มันยิ่งห่วยแตก อยากจะบ้าตาย ผมสั่งเสื้อยืดสุพรีมทางออนไลน์ไปตั้งแต่สองวันแรกหลังเปิดเรียนแต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ไอ้เสื้อห่านั่้นเลย

นั่นก็เรื่องหนึ่ง แล้วไหนจะเรื่องจัดการกับโซเชี่ยวอีก ใครจะไปคิดว่าไอ้การถ่ายรูปและคิดแคปชั่นเก๋ ๆ เรียกยอดไลค์ยอดรีทวีตมันจะยากขนาดนี้ ทำสตอรี่ลงเฟสบุ๊คกับอิสตราแกรมอีก แล้วยังต้องถ่ายวล๊อกและตัดต่อลงยูทูปด้วย ไหนจะเรื่องจัดคิวถ่ายแบบกับออกรายการทุกวันจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย แค่คุยกับพวกผู้ประสานงานคนนั้นคนนี้ก็หมดวันแล้ว ไม่รู้ฟรานทำได้ยังไง

พอคิดขึ้นมาสายตาผมก็หันไปมองหญิงสาวคนนั้นที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง เธอมีผมยาวสีทองเป็นประกายเงางามใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง รูปหน้าคนชัด โหนกแก้มลอยเด่นสวยงาม ริมฝีปากอิ่ม ในตาสีน้ำตาลคมคาย ทุกอย่างนั้นช่างเทียบอะไรไม่ได้กับทักษะการจัดการเรื่องราวในชีวิตของผม เธอเก่งเรื่องนั้น ถึงผมจะเคยบ่นเรื่องเธอใช้อิโมจิมากเกินไปในแคปชั่นรูปภาพแต่มันก็เวิร์คและเรียกยอดไลค์ได้มากกว่าที่ผมเขียน

ให้แสงเป็นพยาน ผมโคตรจะคิดถึงเธอเลย

ผมรู้ว่าเวลาคนอื่นรู้ว่าเธอทำอะไรบ้างในชีวิตผมมักจะคิดว่าเธอก็ไม่ต่างอะไรกับเลขาที่นอนกับเจ้านายตัวเอง แต่มันไม่ใช่เลย ไม่ใช่แบบนั้นสักนิด ตอนที่พวกเราเรียนอยู่ม.4 ผมมีปัญหากับผู้จัดการที่จอมเวทสูงสุดหามาให้ ยัยยักษ์โทรว์ออก้านั่นโขกสับผมอย่างกับผมเป็นกระท้อน สุดท้ายผมทนไม่ไหวเลยบอกให้เธอไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว เรื่องไปถึงหูจอมเวทสูงสุดเขาก็เลยเรียกผมไปสวดซะยกใหญ่ สุดท้ายเขาก็บอกว่าถ้าไม่ชอบสิ่งที่เขาเลือกให้ก็ให้ผมหาคนมาทำเองก็แล้วกัน ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ปรึกษาทั้งอริสและโอลิเวอร์ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ สุดท้ายเลยให้ฝ่ายโสตฯ ลงประกาศที่หน้าเฟสบุ๊คของโรงเรียน ไม่กี่วันต่อมาหญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอก็เดินมาที่โต๊ะกินข้าวของพวกเรา

"ไง" ผมพูดทักทายอีกฝ่าย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง

"ฉันเห็นประกาศ หาผู้ช่วยอยู่เหรอ" เธอพูดด้วยรอยยิ้มและยกมือขึ้นเสยผมทัดหู

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอพูดกับผมจนโอลิเวอร์ใช้ศอกกระทุ้งชายโครงผมเพื่อเรียกสติ "ชะ...ใช่ ๆ "

"ฉันคิดว่าฉันช่วยเธอเรื่องนั้นได้นะ ฉันฟรานเชสก้า เลิฟฮิวอิท" จบคำเธอก็ยื่นมือออกมา

...และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของเรา รู้ไหม? เธอไม่ใช่แค่ผู้จัดการแต่เธอเป็นเพื่อนสนิทที่ผมวางใจมากที่สุดด้วย เธอน่ารัก ใจดี และอยู่ข้าง ๆ ผมเสมอ เราผ่านอะไร ๆ ด้วยกันมามากมาย อย่างตอนที่ผมโดนลอบโจมตีจากพวกซอมบี้เมื่อสองปีก่อนและหนีรอดกลับมาได้ ก็มีเธอคอยดูแลไม่ห่างอยู่เกือบหนึ่งเดือนเต็ม ๆ หรือตอนที่เธอถูกจับไปเป็นตัวประกันเมื่อตอนม.4 เทอมสอง ผมกับอริสและโอลิเวอร์ก็บุกรังแวมไพร์ไปช่วยเธอออกมา เราผ่านเรื่องพวกนั้นมาด้วยกัน ฝ่าฟันมันมาด้วยกันและถึงจะรู้ว่าชีวิตของผมอัตรายมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดจะทิ้งผมไป...เธอเป็นเหมือนเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ผมออกไปทำภารกิจและอยากจะมีชีวิตรอดกลับมา...กลับมาหาเธอ มาหาฟรานเชสก้า แฟนของผม แต่ทุกอย่างมันจบไปแล้ว จบไปตั้งแต่ตอนที่ผมเข้าไปเจอเธอกับโอลิเวอร์แก้ผ้านอนในห้องที่ผมกับไอ้โอลิเวอร์เป็นรูมเมทกันมาตั้งแต่ม.1 บนเตียงของผม!!! ไอ้เชี่ยนั่น ขอให้เงาสาปมันให้ลงนรก!!!

ในใจลึก ๆ ผมไม่เคยโกรธเธอเลย ผมโกรธโอลิเวอร์ แต่ไม่ใช่เธอ ฟรานสำคัญกับผมมากเกินกว่าที่ผมจะโมโหเธอได้ ผมแน่ใจว่าที่เธอทำไปต้องมีเหตุผลของเธอเอง และผมพร้อมจะยอมให้อภัย ทั้งหมดที่ต้องการก็คือคำขอโทษสั้น ๆ แค่นั้นเอง แค่นั้นก็มากพอแล้วที่ผมจะกลับไปหาเธอ

"เฮ้" ผมหลุดจากภวังค์เพราะคนข้างหน้าผมส่งอะไรบางอย่างมาให้ เป็นกระดาษคะแนนสอบย่อยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

"เอาล่ะ คนที่ได้คะแนนสูงสุดก็คือ..." ศาสตราจารย์แม็กมอนดูว่าพูดเสียงเข้มและกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ "คุณโดว์ เหมือนเช่นเคย รางวัลก็คือเค้กเนยลูกยอในช่วงอาหารค่ำ แต่ในเมื่อคุณโดว์ไม่เคยเข้าร่วมรับประทานกับเรา รางวัลจึงตกเป็นของคนที่ได้คะแนนอันดับสอง คุณแคมเบอร์บัช" ทุกคนมองหน้ากันและตบมือเหมือนไม่ค่อยอยากเท่าไรนัก ผมหันไปทางอริสและยิ้มให้เธอเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเค้กเนยลูกยอและมักจะยกให้ผมเสมอ

มันอร่อยสุดยอดเลยจะบอกให้

แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอม แน่ล่ะอริสไม่เคยยอมอะไรแม้ว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ก็ตาม "ศาสตราจารย์แม็กมอนดูว่าคะ" เธอยกมือขึ้นและอีกฝ่ายก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ผมก็เหมือนกัน ทุกครั้งเลย เธอต้องทำแบบนี้ทุกครั้งเลยสิน่า "หนูคิดว่ามันไม่แฟร์กับโดว์ที่หนูจะรับรางวัลที่ควรเป็นของเขาค่ะ หนูขอเสนอให้ศาสตราจารย์ยกเค้กชิ้นนั้นให้โดว์ค่ะ"

และก็เหมือนเคย ศาสตราจารย์แม็กมอนดูว่าก็จะตอบว่า "เหมือนทุกครั้งนะคุณแคมเบอร์บัช ถ้าคุณไม่ต้องการคุณสามารถยกเค้กชิ้นนั้นให้ใครก็ได้ด้วยตัวเอง"

"แต่..."

"แดก ๆ ไอ้เค้กเหี้ย ๆ นั่นเข้าไปเหอะแคมเบอร์บัช" คนที่ตะโกนมาคือโดว์ ผมแทบจำไม่ได้แล้วเสียงของเขาแหบพร่าและน่าสะอิดสะเอียนมากแค่ไหน มันเหมือนมีคนเอาก้อนกรวดกรอกลงไปในคอของเขาและเขย่าออกมาเป็นคำ "ไม่มีใครสนใจห่าอะไรหรอก" จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเนื้อกระทบเนื้อห้าครั้งติด เจ้านั่นหัวเราะเสียงดังก่อนจะเงยหน้าพูดกับจิตวิญญาณของโรงเรียน "ทำได้แค่นี้เหรอออโรร่า ฉันคิดว่าแกทำได้ดีกว่านี้นะ อีหมาโสโครก! " แล้วเสียงตบหน้าก็ดังมาอีก คราวนี้ทำเอาหน้าของโดว์สะบัดจนคอแทบหลุด "นั่นดีขึ้นเยอะเลย"

"พอแค่นั้นแหละคุณโดว์" ศาสตราจารย์แม็กมอนดูว่าพูดเสียงเข้ม "ไม่งั้นฉันจะเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคบไฟเดินได้"

อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างซึ่งอยู่ติดกับโต๊ะเรียนของเขา แสงที่ส่องเข้ามาเผยให้เห็นซีกหน้าด้านซ้ายชัดเจน รอยตราอัญเชิญที่ผมเสกไว้จากเมื่อปีที่แล้วยังอยู่ตรงนั้น วงกลมและตัวอักขระทั้งหมดนั่นกินพื้นที่ทั้งตาซ้าย แก้ม หูและคอของชายคนนั้น...เขาเป็นคนน่ากลัว ทุกคนรู้เรื่องนั้น ในตาเป็นสีดำขลับเหมือนดูดแสงทั้งโลกเข้าไป ผมตัดสั้นเกรียน หางตาข้างขวาของเขามีปานดำเล็ก ๆ แต้มไว้จนดูเหมือนหยดน้ำตาของปิศาจ แต่เมื่อเพิ่มรอยตราเข้าไปก็ยิ่งทำให้ใบหน้าเขาชวนขนลุก นี่ยังไม่นับรวมรอยแผลซึ่งลากยาวจากศูนย์กลางของตราอัญเชิญที่อยู่ตรงก่อนถึงรูหูเล็กน้อย มันลากยาวเหมือนรอยโดนมีดกรีดไปหลายทิศทาง รอยแผลหนึ่งลากยาวผ่านดั้งจมูกไปจบที่ใต้ตาข้างซ้าย....

เขาสมควรโดนแบบนั้น รู้ไหม...ไม่มีใครบอกให้เขาควักมีดพับบาลิซองออกมา ไม่มีใครบอกให้เขาจะใช้มันแทงคอโอลิเวอร์ และไม่มีใครบอกให้เขาขัดขืนตอนที่ทุกคนพยายามห้าม



เย็นนั้นผมกับอริสนั่งกินข้าวด้วยกันสองคนเหมือนช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธออยากจะถามและถามผมหลายรอบแล้วว่าทำไมฟราสกับโอลิเวอร์ถึงไม่นั่งกับเราเหมือนที่ผ่าน ๆ มา และผมก็ไม่คิดจะตอบ ส่วนหนึ่งเพราะมันน่าอายที่จะบอกใครสักคนว่าแฟนผมแอบไปมีอะไรกับเพื่อนสนิท...แฟนกับเพื่อนสนิท เป็นเรื่องที่โคตรจะซ้ำซากเลย

ผมหันมองโอลิเวอร์ที่ตอนนี้นั่งอยู่กับพวกทีมฟุตบอลและฟรานที่นั่งอยู่อีกมุมห้องกับพวกเพื่อนแก๊งค์สาวฮ๊อท ไพเพอร์ก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย...ไม่รู้ว่าเธอได้บอกหรือเปล่าเรื่องที่ผมกับเธอคุยกัน ผมอยากให้เธอบอกนะ...

"เลิกมองพวกนั้นได้แล้ว" อริสพูดออกมาพลางตักอาหารเข้าปาก "มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ "

ผมนิ่วหน้า "แกคิดว่าการมองคนอื่นในห้องเป็นเหมือนอาหารขยะหรือไง แฟตตี้"

"อย่าเรียกฉันแบบนั้น" เธอว่าด้วยหน้าบึ้งซึ่งผมว่ามันดูตลกดี "แล้วมันทำให้ฉันไม่เจริญอาหาร" เธอต่อคำ อริสไม่ใช่คนผอมแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นโรคอ้วน ที่จริงการที่เธอไม่ใช่สาวผอมแห้งเหมือนหลุดออกมาจากแคทวอร์กทำให้เธอดูน่าจับต้องมากกว่า และเธอเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม มันทำให้มีผู้ชายหลายคนเข้ามาชวนคุยอยู่เรื่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยคบหากับใครจริงจังสักคน คนที่มีความอดทนสูงที่สุดในการตามจีบอริสคือ อเล็กซ์ พอร์ตแมน เขาเป็นหนุ่มเนิร์ดสายไอทีตัวผอมแห้งแถมยังใส่แว่นหนา ๆ ที่ตามอริสต้อย ๆ มาตั้งแต่ม.2

'แฟนทำให้ฉันโง่ลง เจสัน พวกนั้นค่อยแต่จะขวางทางการเป็นศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดของฉันเสียมากกว่า' เธอบอกผมแบบนั้นทุกครั้งที่ผมถามเธอว่าทำไมไม่มีแฟน ผมจะไม่โกหกหรอกนะ บางครั้งผมก็จินตนาการว่าจูบกับเธอ มันทำให้ผมหัวเราะเพราะน่าขำมากกว่าเซ็กซี่

"ฉันโอเคนะที่แกไม่อยากบอกอะไรฉัน แต่ถ้าถามฉัน..."

"ซึ่งไม่ได้ถาม..."

"...แกควรจะไปคุยกับพวกนั้น" เธอพูดต่อโดยไม่สนใจ "พวกนั้นเป็นเพื่อนแกนะ ต่อให้เลิกกับฟรานไปแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นว่าต้องเลิกเป็นเพื่อนกันนี่หนา แล้วโอลิเวอร์...พวกแกผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะ...จำเรื่องเมื่อคราวตอนที่เราไปบุกเขาวงกตแห่งมิโนธอร์ได้ไหม"

"ได้" ผมพูดพลางพ่นลมหายใจออกมา

"เจ้านั่นยอมติดอยู่ในนั้นคนเดียวเป็นอาทิตย์เพื่อให้แกกับฉันหนีออกมา เขายอมตายเพื่อแกได้เลยนะ"

"เพื่อเรา อริส และก็ใช่ ฉันรู้" ผมร้องออกมาอีกก่อนจะจมใบหน้าตัวเองกับฝ่ามือ วินาทีต่อมา อริสก็สะกิดผมเบา ๆ และวางจานเค้กเนยลูกยอไว้ตรงหน้าผม

"กินสิ"

เธอรู้ว่าไอ้เค้กสีเขียวเหมือนต้นคริสต์มาสชิ้นเล็ก ๆ นี่มักจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นไม่ว่าจะเจออะไรมาก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะกินอะไรทั้งนั้น

"ไม่ล่ะ ฉันว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย" ผมเอ่ยออกมาพลางยันตัวลุกขึ้นและเดินไป แต่ก็เปลี่ยนใจกลับมาเก็บเค้กชั้นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อคลุม

"ช่าย ฉันก็ว่างั้นแหละ" อริสเอ่ยเสียงเรียบพลางกินอาหารต่อ

.................................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
โอลิเวอร์

เรื่องนี้ต้องจบวันนี้ ผมเบื่อเต็มทีที่โดนคนนั้นคนนี้เตะไปเตะมาเหมือนลูกบอล

"เฮ้ เห็นฟรานเชสก้าไหม" ผมถามใครสักคนที่โถงทางเดินหน้าบ้านพักแวมไพร์ส์แฟง พวกเขารู้ดีว่าผมพูดถึงฟานเชสก้าคนไหนทั้ง ๆ ที่ทั้งโรงเรียนมีฟานเชสก้าสักสามล้านคนได้ (ผมรู้ ๆ มันไม่ถึงหรอกผมแค่ทำให้มันดูเว่อร์ ๆ เข้าไว้...คงติดนิสัยของเจสันมา)

อีกฝ่ายชี้ไปที่ด้านนอกโถงทางเดินซึ่งเป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ ที่มีหลังคาเปิดโล่งและต้นแอบเปิ้นต้นใหญ่อยู่ตรงกลาง และเธอก็อยู่ตรงนั้น นั่งอ่านหนังสืออะไรสักอย่างกลางแสงจันทร์ แม้แต่ตอนนี้ที่เธอสวมแว่นกรอบดำอันใหญ่เชย ๆ เธอยังดูสวยงามและโดดเด่น เป็นเหมือนดวงดาวกลางฟ้ายามราตรี

"มันเป็นของพ่อฉัน..." เธอบอกผมครั้งหนึ่งตอนที่เธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของผมหลังจากเรามีเซ็กส์กันบนเตียงของเจสัน เธอวางแว่นอันนั้นไว้กับหน้าอกของผม นิ้วมืดเรียวยาวไล่ไปตามขาข้างหนึ่งของมันที่หักและเธอใช้ต้องใช้เทปพันสายไฟสีดำมาพันไว้เพราะคิดว่าจะทำให้คนอื่นมองไม่เห็นรอยหัก แต่เธอก็พันมันจนเป็นปมใหญ่ยิ่งทำให้ทุกคนเห็นมันชัดเจน

"เขาถูก...." ผมทิ้งคำพูดของตัวเองไว้เท่านั้น บางครั้งผมก็รู้สึกอยากควักเอาสมองของตัวเองออกมาให้ซอมบี้กินแทนที่จะพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป

"ถูกจับ...ข้อหากบฏ...แต่ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันว่าเขาแค่..." เธอเม้มปากแน่นก่อนจะจ้องตาผมและจูบผมเบา ๆ ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุดก็รู้ว่าคำต่อไปของเธอคืออะไร ฉันว่าเขาแค่ทำให้จอมเวทย์สูงสุดไม่พอใจแค่นั้นเอง



"เฮ้ ฟรานซี่" ผมร้องเรียกอีกฝ่าย เธอเงยหน้าจากหนังสือเล่มหนาและถอดแว่นออกก่อนจะตั้งท่าลุกขึ้น "เดี๋ยวก่อนสิ ฉันแค่จะคุยด้วย"

"ไม่โอลิเวอร์" เธอว่าพลางกอดหนังสือไว้กับอกและออกเดิน ท่าทางแบบเด็กเนิร์ดไม่ค่อยเข้ากับเธอเท่าไร แต่ด้วยอะไรสักอย่างมันทำให้ผมรู้สึกเสียววาบในอกและท้องน้อย "แล้วเลิกเรียกฉันว่าฟรานซี่ซักที"

"เธอเป็นคนบอกให้ฉันเรียกแบบนั้นเองนะ" ผมจับแขนอีกฝ่ายไว้และดึงให้เธอหันมา มันค่อนข้างแรง ผมจึงขอโทษทันทีที่เธอสะบัดมือผมออก...ข้อเสียของการเล่นเวทจนเป็นแช้มป์เพาะกายสิบสามปีซ้อนก็คือบางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าควรจะจับต้องของบอบบางอย่างผู้หญิงอย่างไร "ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ...เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเจ็บ

"ฉันรู้โอลิเวอร์..." บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเธอไม่ได้หมายถึงที่ผมจับเธอเมื่อวินาทีก่อน "แต่เรื่องนี้ต้องหยุดได้แล้ว"

"เรื่องอะไร? ที่ฉันจับเธอแรง ๆ น่ะเหรอ"

"เรื่องเรา โอลิเวอร์" เธอทำแบบนั้นอีกแล้ว แบบมองหน้าผมด้วยตาโต ๆ แบบที่เจสันชอบทำเวลาพูดกับผม

"อย่าทำแบบนั้น"

"ทำอะไร"

"เหมือนกำลังพูดกับเด็กห้าขวบไง" ผมว่าเสียงราบเรียบ "ฉันเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบ แค่เจสันคนเดียวก็ทำฉันประสาทจะกินอยู่แล้ว"

อีกฝ่ายหันหน้าไปทางอื่นพลางส่ายหน้าและดุนด้านในริมฝีปากล่างด้วยลิ้นของเธอ "เธอรู้ไหมว่าทำไมเรื่องของเราไม่มีทางเวิร์ค"

ผมยักไหล่

"เพราะเจสัน ทุกครั้งที่ฉันมองหน้าเธอ ทุกครั้งที่จูบเธอ ทุกครั้งที่กอดเธอ ทุกอย่างที่ฉันคิดก็คือเจสันจะรู้สึกยังไงถ้าเขารู้เรื่องเข้า...ถ้าเขารู้ว่าแฟนไปนอนกับเพื่อนสนิทของเขา"

"ก็นะ เรื่องนั้นมันออกจะช้าไปหน่อยเพราะเขารู้แล้ว"

ฟรานเชสก้าหันมามองผมตรง ๆ "ใช่ โคตรพ่อโคตรแม่ใช่เลย" แล้วออโรร่าก็ลงโทษเธอที่พูดคำหยาบ "ฉันเกลียดโรงเรียนนี้" เธอว่าพลางส่ายศีรษะเบา ๆ

ผมหลุดขำออกมา "ไม่ตลกนะ" เธอว่า แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

"แต่...เราก็มีเวลาดี ๆ ด้วยกันใช่ไหม" ผมเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มเบาพลางลากนิ้วไปตามข้อศอกของเธอ...มันได้ผลเสมอกับพวกผู้หญิง

เธอยิ้มรับก่อนจะว่า "ก็ใช่หรอก"

ตอนแรกมันไม่เป็นแบบนี้...จริง ๆ นะ...ผมคงไม่โกหกว่าตลอดเวลาตั้งแต่เรารู้จักกันผมคิดกับฟรานแค่เพื่อน ไม่เลยสักนิด เธอเป็นคนสวย และผู้ชายทุกคนที่ตาไม่ได้บอดหรือเป็นเกย์ก็ต้องคิดกับเธอมากกว่าแค่เพื่อนอยู่แล้ว แต่ผมรู้ดีกว่าเธอเป็นแฟนเจสัน พวกเขาคบกันและผมก็ไม่คิดจะเข้าไปเป็นมือที่สามหรอก...ผมหมายถึง เจสันเป็นผู้ถูกเลือกนะ สวมผมก็เป็นแค่ไอ้ลูกกระจ๊อกที่ตามเขาไปไหนมาไหน

จนกระทั่งเมื่อต้นปีก่อนที่ผมกลับมาจากเขาวงกตของมิโนธอร์ ผมป่วยนอนซมอยู่ห้องพยาบาลตลอดเทอมสอง อริสและเจสันต้องไปทำภารกิจต่อทำให้มีแต่ฟรานเชสก้าเท่านั้นที่อยู่ดูแลผม พวกเราคุยกัน และกินข้าวด้วยกัน และอย่างหนึ่งนำไปสู่อีกอย่างและอีกอย่างและอีกอย่าง พอมารู้ตัวอีกทีเธอก็นอนเปลือยกายอยู่ข้างผมในกระท่อมริมทะเลสาบของพ่อผมตลอดกลางฤดูร้อนช่วงปิดเทอมโดยแทบไม่ได้คิดถึงเจสันที่ยังคงติดพันอยู่กับภารกิจกู้โลก

"เธอยังจำกระท่อมริมทะเลสาบได้ไหม"

อีกฝ่ายหลับตา ถอนหายใจ ส่ายศีรษะจนผมยาวสีทองสะบัดเป็นคลื่นก่อนจะยิ้มออกมา "อย่า" เธอว่า

"อะไร ฉันแค่พูดถึงเฉย ๆ " ผมพูดเสียงเบา "กระท่อมกลางป่า แล้วก็ทะเลสาบ เธอนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบแพทย์ ส่วนฉันออกไปตกปลา"

"ซึ่งไม่เคยได้สักตัว"

"แต่ก็ได้มักกะโรนีแอ่นชีสมาไม่ใช่เหรอ"

"ก็เพราะเธอขับรถไปซื้อมาจากร้านค้าไม่ใช่หรือไง" เธอหัวเราะ

"ใครบอก ฉันตกมันมาจากทะเลสาบต่างหาก" ผมว่า "แล้วเราก็กินมันด้วยกัน" ผมไล่นิ้วไปตามลำแขนของเธอ

"ทุกวันเลยด้วย" เธอว่าและหัวเราะหนักกว่าเก่า

"มักกะโรนีแอ่นชีส...ทุกวัน ทุกมื้อเลย" ผมยิ้มกลับให้เธอพลางก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย ในตาสีฟ้าของเธอสะท้อนแสงจันทร์เป็นมันวาว มันเป็นสีฟ้าคนละแบบกับของเจสัน ของเจ้านั่นเป็นสีฟ้าใส ๆ เหมือนไนท์คิงส์ในเรื่องเกมออฟโทรนส์ มันดูจืดชืดและไร้อารมณ์ แต่ของฟรานเชสก้าต่างออกไป สีฟ้าของเธอเป็นสีของน้ำทะเล เข้มกว่า ลุ่มลึกกว่า และงดงามกว่า เพราะแบบนั้นผมจึงก้มลงจูบริมฝีปากเธอ มันหอมหวานและสดใหม่ทุกครั้งที่เราจูบกัน ไม่มีใครรู้จักเธออย่างที่ผมรู้จัก ไม่มีใครเข้าใจเธออย่างที่ผมเข้าใจ ผมแน่ใจว่าไม่มี ไม่มีแน่นอน แม้แต่เจสันก็ตาม

"เชี่ยไรวะเนี่ย" เสียงนั้นทำให้ฟรานเชสก้าถอนริมฝีปากออกไป ส่วนผมได้แต่หลับตาแน่นเพราะรู้ดีว่าเจ้าของเสียงคือใคร

"เจสัน" เสียงของเธอคนนั้นขาดหายเป็นห้วงตอนที่เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย แต่เจ้านั่นกลับถอยหลัง ทิ้งเค้กสีเขียว ๆ ลงพื้นและเดินจากไป...เหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด เหมือนตอนที่เขามาเจอผมกับฟรานบนเตียงของเขา

"เชี่ยเอ้ย" ฟรานเชสก้าพูดพลางทิ้งหนังสือในมือลงพื้นและยกมือขึ้นกุมศีรษะแน่น

"ให้ฉันไปคุยกับเขาเอง โอเค๊" ผมเอ่ยออกมา "ทุกอย่างจะต้องโอเค" เธอคนนั้นพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะเดินตามเจสันไป



.......................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

ผมเห็นทั้งสองคน ยืนจูบกันเหมือนหมาสองตัวแอบพลอดรักกันกลางดึกในซอกหลืบที่ไม่มีคนเห็น คนหนึ่งเป็นแฟนผม อีกคนเป็นเพื่อนรักของผม นี่มัน...นี่มันละครหลังข่าวชัด ๆ

และผมก็ทำอย่างที่พระเอกส่วนใหญ่จะทำ นั่นคือเดินหนีไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของฟรานหรือเสียงของไอ้โอลิเวอร์

ผมตรงกลับไปยังห้องพักของผมที่อยู่บนสุดของหอคอยของบ้านไลอ้อนส์ฮาร์ท โยนเสื้อผ้าออกมาจากตู้และยัดมันใส่กระเป๋า พอกันที พอกันทีกับไอ้รูมเมทเชี่ย ๆ แฟนจอมหักหลัก และห้องพักแบบหนึ่งห้องนอนสองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น ทีวีเจ็ดสิบห้านิ้ว เครื่องเสียงแบบสเตอร์ริโอเก้าร้อยสามสิบทิศทาง และระบบสาธารณูปโภคที่ควบคุมด้วยเสียงผ่านอเล็กซ่าแบบร้อยเปอร์เซ็นต์! พอกันที!!!

"เจสัน" และเป็นโอลิเวอร์ที่ตามผมทัน เขาเข้ามาในห้องและเริ่มพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเหมือนสรพงษ์ ชาตรี "ฟังก่อนนะ ฉันอธิบายได้"

"ไอ้ชาติหมา" ผมร้องลั่นก่อนจะโดนออโร่ร่าฟาดปากเข้าให้ "ฉันคิดว่าแกเป็นเพื่อนฉัน ฉันคิดว่าแกไว้ใจได้...แล้วแกมาหักหลังฉันแบบนี้เหรอ"

"อย่าทำเป็นดราม่าหน่อยเลยเจสัน แค่...คุยกันก่อนจะได้หรือเปล่า"

"คุยเหรอ มีอะไรต้องให้คุยอีกไอ้...อ้าาาา" คำสุดท้ายผมร้องในลำคอพลางเดินสวนอีกฝ่ายออกมาจากห้องนอน "รอฟรานรู้ก่อนเหอะว่าแกโง่มากแค่ไหน ถึงตอนนั้นยัยนั่นทิ้งแกไปหาผู้ชายใหม่แน่" ผมตะโกนโหวกเหวก ก่อนจะพยายามยัดรองเท้าไนกี้และปราด้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นสามสิบห้าคู่เข้าไปในกระเป๋า แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ผมจึงปามันไปที่มุมห้อง "ไม่อยากจะเชื่อ จากผู้หญิงทั้งโลก โอลิเวอร์ จากผู้หญิงเป็นพันล้านคนนายต้องมาเอาแฟนของฉัน"

"ฉันขอโทษ เจ ที่นายต้องมาเจ็บเพราะฉันสองคน...ฉันพยายาม..."

"อย่ามาเรียกฉันว่าเจ ไอ้ลูกแมว ตั้งแต่นี้ไปนายต้องเรียกฉันว่า แพรต หรือคุณแพรต หรือท่านผู้ถูกเลือก" ผมว่า "ไม่อยากจะเชื่อว่านายทำแบบนี้กับฉัน ไม่ได้สำนึกบุญคุณกันเลยใช่ไหม ที่นายอยู่ในห้องหรูหราแบบนี้ได้คิดว่าเป็นเพราะใคร ฮ๊ะ ที่ได้หนีจากชีวิตจน ๆ ของนายมาใช้ชีวิตเหมือนมหาเศรษฐีแบบนี้ได้ก็เพราะฉัน"

อีกฝ่ายมองหน้าผมเหมือนเห็นผมเป็นครั้งแรกชีวิต เหมือนผมเป็นคนแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็มาโผล่อยู่ในห้องของตัวเอง

"นายคิดว่ามันสำคัญเหรอ..." เขาว่า "นี่คือเรื่องสำคัญสำหรับนายตอนนี้เหรอเจสัน ไอ้ห้องเฮงซวยนี่นะเหรอ" จบคำก็คว้าแจกันมาปาไปที่ผนังห่างจากหน้าผมไปไม่กี่นิ้ว วินาทีต่อมาเสียงหวือแหวกอากาศเหมือนวัตถุบาง ๆ ถูกหวดก็ดังขึ้นก่อนจะปะทะกับแผ่นหลังขอโอลิเวอร์ ไอ้กอลิล่ายักษ์นั่นแทบไม่สะดุ้ง เขายกมือลูกหน้าตัวเองแรง ๆ สองสามครั้ง "รู้ไหม ทุกคนทนกับนิสัยขี้อวดดี โดนตามใจจนเสียคน ทำอะไรไม่เห็นหัวคนอื่นของนายมานานพอแล้ว ทั้งทำกับฉันอย่างกับเป็นคนโง่ตลอดเวลา เรียกอริสว่าแฟตตี้ที่แปลว่ายัยอ้วน และฟรานซี่ก็ถูกนายทำเหมือนเป็นทาสมากกว่าแฟน..."

"อย่าเอาฟรานเชสก้ามาเกี่ยวเรื่องนี้นะ ฉันรักเธอ"

"เออสิ รักแบบนี้ใช้ให้แฟนตัวเองขนเสื้อผ้าไปซักแห้งให้ทุก ๆ สุดสัปดาห์น่ะ" อีกฝ่ายสวน "ตลอดมาทุกคนเห็นใจนายกับทุก ๆ อย่างที่นายต้องเจอและกำลังจะเจอ พวกเราพยายามเต็มที่ที่จะสนับสนุนนายและทำให้นายมีความสุขมากที่สุด แต่มันต้องพอแล้ว ฉันพอแล้วเจสัน!!! " เขาตะโกนลั่น "สิ้นปีนี้ทุกอย่างจะจบแล้วทุกคนก็จะแยกย้ายไปใช้ชีวิต พวกเรามีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป และฉันจะไม่ยอมให้นายทำลายมันเด็ดขาด"

"ฟัคยู โอลิเวอร์" และผมก็ได้รับการลงโทษทันที

"จะอะไรก็เหอะ" อีกฝ่ายย้อนก่อนที่ผมจะตะโกนลั่นและกระแทกประตูปิดตามหลัง มันออกจะดร่ามาหน่อย ๆ ผมรู้ แต่วินาทีนี้ผมไม่อาจจะห้ามอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป ถ้าไม่มีกฏบ้า ๆ ของออโรร่า ผมคงเผาเจ้านั่นจนกลายเป็นกองขี้เถ้าไปแล้ว แต่โชคยังดีที่ผมยังพอครองสติของตัวเองได้ ให้ตายเหอะ แล้วพวกนั้นชอบพูดว่าผมชอบสติแตกเวลาโกรธ

ผมเดินลงบันไดมาจากหอคอย เด็กคนอื่น ๆ ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ผมไม่สนใจพวกนั้นและเดินฝ่าออกไป เปิดประตูออกมาสู่โถงวงกตซึ่งเป็นเหมือนบันไดเพนโรสที่ทับซ้อนกันนับสิบนับร้อย กระโดดจากบันไดหนึ่งไปอีกบันไดหนึ่งเพื่อไปยังทางออก

ผมเดินจ้ำออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่มีใครคิดจะห้ามผม ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะทุกครั้งที่ผมหิ้วกระเป๋าออกไปกลางดึกมักจะหมายความว่ามีภารกิจจากจอมเวทสูงสุด ไม่มีใครถาม ไม่มีใครสงสัย ทุกคนแค่ปล่อยให้ผมเดินไป

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเดินไปไหน ผมรู้แค่ว่าต้องเดิน ต้องออกไปจากไอ้ห้องห่านั้นก่อนที่จะฆ่าไอ้คนเนรคุณโอลิเวอร์ มันคิดว่าที่มันมีทุกวันนี้ได้เพราะใคร...ทำมาเป็นพูดว่าผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พวกมันเองก็ได้ประโยชน์จากผมเหมือนกันนั่นแหละ เสื้อผ้าผมก็ซื้อให้มันตลอด ทั้งหนังสือเรียน เครื่องแบบ ผมต้องแอบซื้อให้มันแล้วเอาไปวางไว้ให้เพราะรู้ว่าครอบครัวของเขาค่อนข้างฝืดเคืองเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไหนจะตอนที่พ่อเจ้านั่น คุณสแครบเบิ้ล ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องใช้เครื่องมือของพวกเบซิกค์โดยไม่จำเป็นผมก็เป็นคนไปขอร้องกับจอมเวทสูงสุดให้ยกเลิกการสอบสวน ตอนที่ยายของฟรานเสชก้าป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลผมก็ช่วยออกค่ารักษาให้ ค่าแรงที่ช่วยผมจัดคิวผมก็ให้ชนิดที่ว่าต่อให้ตายไปอีกสามชาติก็ไม่มีทางใช้หมด อริสเองก็ให้ผมช่วยเป็นบอดี้การ์ดเวลาออกสำรวจทำแผนที่ชั้นใหม่ ๆ หรือสถานที่ใหม่ ๆ ของโรงเรียนตลอด และผมรู้ว่ามันฟังดูเหมือนผมเป็นลูกมหาเศษฐีเอาเงินมาแจกเพื่อน เป็นไอ้เด็กขี้สปอย์ดไม่รู้จักค่าของเงิน ซึ่งมันก็จริง ผมใช่จ่ายเงินเยอะมากเมื่อเที่ยบกับคนอายุเท่ากันและรู้ด้วยว่าเงินทุกสตางค์ที่ได้มามันไม่มีค่าห่าอะไรเลยสำหรับผม แต่มันจะมีประโยชน์มากกว่าถ้าอยู่กับพวกนั้น ผมถึงได้ทำแบบนั้น

และทั้งหมดที่ผมทำไปไม่ใช่เพราะต้องการเป็นบุญคุณอะไรเลยด้วย ไม่สักนิด ที่ผมทำไปเพราะผมรู้ว่าพวกนั้นยอมตายแทนผมได้และผมยอดตายแทนพวกนั้นได้ไม่ว่าจะวินาทีไหนก็ตาม ผมไม่คิดจะลังเล แต่มาตอนนี้เจ้านั่นกลับบอกว่าผมทำกับพวกมันเหมือนเป็นลูกกระจ๊อกเหรอ ว่าผมไม่เคยเห็นหัวคนอื่นเหรอ...ผมอยากให้เจ้านั่นมาเป็นผมบ้าง ลองมาเป็นผมสักวันแล้วจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรง่ายเลยในการเป็นผู้ถูกเลือก

ผมเดินสะดุดอะไรบางอย่างจนหน้าทิ่มก่อนจะกลิ้งตกลงไปในคูน้ำแห้งที่ถูกปกคลุมไปด้วยกองใบไม้หนา ๆ พอยันตัวลุกขึ้นได้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเดินเข้าในลึกในเขตป่าหวงห้ามแล้ว อยากจะบ้า ผมเรียนที่นี่มาห้าปีผมยังไม่เข้าใจเลยอะไรไปดลจิตดลใจให้มีคนมาสร้างโรงเรียนติดกับป่าที่มีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่ อะไรคืออินเนอร์ของการกระทำนี้เหรอ? ผมอยากจะรู้

แต่ไม่ทันจะคิดอะไรต่อเสียงหญ้าแห้งแหวกและถูกกดทับก็ดังมาจากด้านหลัง และจากประสบการณ์เป็นผู้ถูกเลือกมาสิบเจ็ดปี ผมรู้ทันทีว่าเมื่อได้ยินเสียงแปลก ๆ มาจากด้านหลังไม่เคยเป็นเรื่องดีแน่ ผมจึงล้วงไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและร่ายเวท

"ขอพลังจงสถิตอยู่กับเจ้า" ผมหันไปประจันท์หน้ากับอะไรก็ตามที่อยู่ตรงนั้นและรู้ทันทีว่าตัวเองโคตรจะซวยเลย

เพราะเจ้านั่นคือมินนี่ งูเห่าเผือกยักษ์สายพันธุ์หายากจากแอฟริกาที่ มอริอัส คนสวนของโรงเรียนและเพื่อนสนิทของผมอีกคนแอบเอามาเลี้ยงไว้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแผนของพวกฝ่ายเงาที่คิดจะใช้มันทำลายโรงเรียน จอมเวทสูงสุดสั่งให้มอริสฆ่ามันไปแล้วไม่ใช่หรือไง...แล้วนี่มัน...

"ว่าไงแม่สาวน้อย" ผมทำเสียงเหมือนแบรล์ กลิล เพราะรู้ดีว่าแค่ดาบไลท์เซเบอร์ของตัวเองเมื่อเจอกับเกร็ดเหล็กกล้าสีขาวของมินนี่คงเป็นได้แค่ไม้จิ้มฟันทิ่มเข้าไปในเกราะเพชรเจ็ดสี "จำฉันได้ไหม เจอกันครั้งสุดท้ายเธอยังเป็นแค่แม่หนูน้อยตัวเล็ก ๆ อยู่เลย" ผมว่าพลางค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไป สายตาก็จ้องไปที่ในตารูปวงรีเหมือนในตาเซารอนในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์ เพียงแต่มินนี้มีในตาสีเงิน เธอมองผมและแลบลิ้นสองแฉกออกมาเพื่อชิมอากาศ มุมปากของเธอยกขึ้นเหมือนกำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา...นั่นแหละคือปัญหาของงู พวกมันดูเหมือนยิ้มอยู่ตลอดต่อให้กำลังอารมณ์เสียสุด ๆ ก็ตาม ทั้งเมดูซ่า ไฮดร้า จอมังแกน แล้วยังแม่มินนี่น้อยนี่อีก

มินนี่เลื้อยเข้ามาใกล้โดยสายตายังจ้องหน้าผมสลับกับดาบแสงที่ผมถืออยู่ในมือ มันแผ่แม่เบี้ยสูงขึ้นเมื่อผมเผลอขยับดาบไปโดนกิ่งไม้เล็ก ๆ จนมันขาดจากต้น

"ไม่ ๆ ๆ ฉันไม่ได้จะทำร้ายเธอ โอเค ดู ๆ " ผมพูดพลางสะบัดข้อมือเร็ว ๆ จนไลท์เซเบอร์หายไปกลายเป็นไม้กายสิทธิ์ "เห็นไหม" มินนี่เอียงคอเหมือนสงสัยก่อนจะกลับมาสนใจผมอีกครั้ง มันเบิกตากว้างตอนที่เผยอปากออก ฟันคู่หน้ายาวสองฟุตสีเงินสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ ผมรู้ทันทีว่าสถาณการณ์กำลังดิ่งลงเหวจึงทำอย่างที่ผู้ถูกเลือกทุกคนควรจะทำ นั่นคือเสก "วิ่งดิเอ๋ วิ่ง" ใส่ขาของของตัวเองและรีบย้ายตูดออกไปจากที่ตรงนี้ซะ

แต่มันช้าไป เพราะวินาทีต่อมาผมก็รู้สึกถึงคมเขี้ยวที่เสียดแทงเข้ามาฝังอยู่ใต้ใหปลาล้าด้านซ้าย ผมหันไปมองจึงเห็นในตาสีเงินมองมา ในตาเซารอนสีเงินดึงดูดผมเข้าไปในนั้น ความเมามึนกำลังจู่โจมผมอย่างไม่ทันตั้งตัวเหมือนมีคนฉีดเหล้าขาวสามลิตรเข้าเส้นเลือดผมโดยตรง ทุกอย่างกำลังหมุนคว้าง แล้วจู่ ๆ ผมก็เห็นผู้คนเดินออกมาจากเงาต้นไม้ หลายคนผมรู้จักและหลายคนก็ไม่ พวกเขาทุกคนต่างก้มลงคุกเข่าต่อหน้าผม

"ท่านผู้ถูกเลือก" พวกเขาประสานเสียงเรียกหาผม "โปรดช่วยเราด้วย"

"ผมจะช่วย ผมจะช่วยพวกคุณทุกคน"

แล้วปิศาจก็โผลออกมา เผ่าพันธุ์ดาร์คเอลฟ์ที่เคยปกครองอาณาจักรเงาเมื่อหลายร้อยปีก่อน มันมีผิวและดวงตาทั้งดวงเป็นสีดำสนิท ผมสีเงินเหมือนสีแสงจันทร์ยาวลงมาถึงเอว ร่างกายปกคลุมด้วยเครื่องแต่งกายที่ทำจากเปลือกไม้และใบไม้ เขี้ยวยาวงอกออกมาจากแนวฟันด้านบน

"เข้ามาสิวะ" ผมร้องพลางคว้าไม้กายสิทธิ์และเรียกดาบไลท์เซเบอร์มากำไว้ในมือ อีกฝ่ายไม่สนใจ มันหันหน้าเข้าไปหางูสีขาวตัวยักษ์ พูดภาษาซี่ ๆ ซ่า ๆ ออกมาก่อนที่งูตัวนั้นจะหุบแม่เบี้ยและหันหลักกลับไป

"ท่านทำสำเร็จ ท่านปกป้องพวกเรา ท่านผู้ถูกเลือก" แล้วผู้คนต่างก็พากันยกผมขึ้นและส่งผมต่อไปเป็นทอด ๆ ผมรู้สึกได้ถึงกระแสความยินดีที่อบอวลอยู่ในอากาศและลมหายใจ

แล้วแรงกระแทกก็ประทับที่หน้าผม ผมลืมตา เห็น เดเมี่ยน โดว์ อยู่ตรงนั้น ตอนแรกเขามีสามคน แล้วก็เป็นสอง และกลายเป็นคนเดียว "นายชื่อ เจสัน แพรต ถูกหรือผิด"

"อะไรนะ"

"ชื่อนายไง" แล้วแรงกระทบก็ปะทะหน้าผมอีกรอบ "ตั้งสติไอ้ลูกหมาเอ้ย นายชื่อ เจสัน แพรต ถูกหรือผิด"

"ถูก" ผมเอ่ยตอบ รู้สึกถึงแรงดึงของผู้คนที่พยายามดึงผมกลับไปยังอีกสถานที่ ที่ ๆ ผมจะถูกบูชาเหมือนเป็นเทพเจ้า แล้วแรงกระแทกอีกครั้งก็เข้าปะทะ คราวนี้ผมรู้แล้วว่าอีกฝ่ายตบผมที่หน้า

"นายเรียนอยู่ที่โรงเรียนพ่อมดแม่มดแห่งแสงฮิลไฮด์ ถูกหรือผิด"

ผมนิ่งคิด...โรงเรียนชื่อนี้ถูกหรือเปล่า ถูกไหมนะ หรือว่า ฮอร์ก...ไม่ทันจะคิดจนจบอีกฝ่ายก็ตบผมอีกฉาดใหญ่ "แพรต ถูกหรือผิด ตอบมา"

"ถูก"

"พ่อนายคือจอมเวทสูงสุด ถูกหรือผิด"

ผมหายใจถี่และรวยริน สายตามองเห็นพื้นตรงหน้าที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า "อยากให้ถูก...แต่ผิด"

"ใช่ ใช่ อย่างงั้นแหละ จดจ่ออยู่กับความจริง เจสัน จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและความจริง อย่าหลับตา อย่าหลับตาเด็ดขาด!!! "

แต่ก็นั่นแหละ จิตแพทย์บอกว่าผมเป็นพวกทำตามคำสั่งได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมจึงหลับตา...

..........................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

ผมได้ยินเสียงของป่ากำลังแตกตื่นตอนที่ปล่อยลูกศรไปเสียบหัวไก่ป่า

มีคนเข้ามาในป่า นายน้อย น่าจะเป็นพวกนักเรียน เสียงในหัวของผมพูดออกมา

ผมหันไปตามเสียงกระซิบเซ็งแซ่ที่ดังมาตามลมก่อนจะเดินไปยังอาหารเย็นที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร "คงจะเป็นพวกที่แอบออกมากินเหล้าอัพยากัน" ผมพูดตอบเสียงในหัวของตัวเอง

กระผมไม่คิดเช่นนั้น นายน้อย มันมาแค่คนเดียว

"ใครจะไปสนใจ จะมาคนเดียว มาเป็นสิบ หรือมาทั้งโรงเรียน ถ้าโดนหมาป่าคาบไปแดกก็เรื่องของพวกแม่ง เสือกอยากจะเข้ามากันเอง" ผมว่าแล้วก็ดึงลูกศรออกจากศพเหยื่อ พลาดลูกตาไปหลายมิลลิเมตร ก็เพราะเสียงไอ้เวตาลนั่นแหละที่ทำให้ผมเสียสมาธิ

ฝีมือของท่านยอดเยี่ยน นายน้อย กระผมไม่อาจหาญจะรับความดีความชอบนั้นหรอก

"หุบปากไปเหอะไอ้ปลิงปากมาก" ผมพูดเสียงกระชาก "แล้วเลิกเรียกฉันว่านายน้อยตรงกลางประโยคสักที มันน่าขยะแขยง"

มิบังอาจ นายน้อย บิบังอาจ จบคำก็หัวเราะออกมา มันเป็นเสียงแหลมสูงกวนประสาท

สักวันเถอะ สักวันผมจะเอาลูกปืนลูกซองยิงสมองตัวเอง ดูสิว่ามันจะยังปากดีแบบนี้ได้อีกไหม

ผมแขวนไก่ป่าไว้กับเอวตอนที่เสียงของป่าดังขึ้นอีกระลอก คราวนี้ป่าดูจะกระวนกระวายมากกว่าเก่า ความระส่ำในน้ำเสียงที่เวียนวนอยู่ในอากาศ ความหวาดหวั่นที่ลอยอยู่กับใบไม้ที่ปลิดปลิวจากต้น ป่ากำลังหวาดกลัว...ไม่สิ กำลังร้องเตือนอะไรบางอย่าง

ไอ้บ้าเอ้ย ถ้าไม่ทำอะไรมีหวังคงนอนไม่หลับไปอีกหลายอาทิตย์แน่

เราคงต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น นายน้อย

"รู้แล้วล่ะน่า" ผมเอ่ยอย่างเสียอารมณ์แล้วเริ่มออกเดิน

ครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของป่าคือหลังจากปิดเทอมที่แล้วได้ไม่กี่วัน...หลังจากไอ้เวตาลเริ่มส่งเสียงอยู่ในสมองผมได้ประมาณสองอาทิตย์...จู่ ๆ คืนหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงแว่วมาตามลม...มันไม่เชิงเป็นเสียงพูด หรือเป็นคำเป็นประโยคแบบนั้น แต่เป็นความรู้สึก เป็นแรงสั่นสะเทือนที่ผมรับรู้ได้ เป็นกลิ่นอายในอากาศที่บอกเล่าเรื่องราว เป็นกิ่งก้านของต้นไม่ที่ชี้นำทาง มันไม่เคยชัดเจน ไม่เคยแม้แต่จะสื่อความหมายตรง ๆ ออกมา แต่เมื่อได้ยิน ผมจะรู้แน่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น หรือเคยเกิด หรือกำลังจะเกิดขึ้น...ผมรู้มันฟังเหมือนคำอธิบายที่หลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซี แต่มันเป็นเรื่องจริง ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันชัดเจนมากกว่านี้

ผมจึงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่กิ่งไม้ชี้ทาง ป่าบอกให้ผมเร็วขึ้น ผมจึงเริ่มออกวิ่ง

ผ่านไปได้ประมาณสิบนาทีผมก็มาถึง มันเป็นคูน้ำเก่าที่โรงเรียนเคยใช้เป็นทางปล่อยน้ำเสียเมื่อสักร้อยปีก่อนได้ ผมไม่ค่อยแน่ใจ ป่าไม่เคยจดจำเวลาที่แน่ชัดได้ ที่นั่นผมเห็นร่างของชายคนหนึ่งยืนประจันหน้ากับมินนี่ นางงูยักษ์ที่ไอ้ห่าลากมอริอัสเอามาปล่อยทิ้งไว้แถมยังมาทำเป็นสั่งให้ดูแล



"ก็มาดูเองสิ เอามาเลี้ยงแล้วไม่รับผิดชอบมันใช้ได้เหรอ" ผมจำได้ว่าย้อนเจ้านั่นไปตอนที่มันเดินมาบอกผมที่กระท่อม

"ไอ้เด็กเหลือขอปากหมา แกอย่าลืมนะว่าใครเป็นคนไปพาแกออกมาจากไอ้เพิงหมาแหงนเฮงซวยนั่น สภาพอย่างกับซอมบี้มีแต่หนังหุ้มกระดูก รู้จักสำนึกบุญคุณคนซะบ้าง" พูดจบก็ถ่มน้ำลายลงพื้น "ให้ข้าวหมาแดก หมายังรู้จักบุญคุณคนเลย"

"บุญคุณอะไรวะ บุญคุณที่จับฉันยัดใส่ไอ้รถมอเตอร์ไซพ่วงข้างปุโลทั่งนั่นมาขังไว้ในนี้เหรอ"

"ขังเขิงอะไรของแก ที่นี่มันโรงเรียน"

ผมเค้นเสียงหัวเราะ "โรงเรียนที่ฉันออกไปไม่ได้ไง อย่ามาทำเป็นแต่งคำสวยหรูเลยมอริอัส แกจับฉันมาขังไว้ในไอ้คุกขนาดสามร้อยกว่าเอเคอร์และสองในสามก็เป็นป่าอีกต่างหาก...แกมันก็แค่ลูกหมาที่ทำตามคำสั่งไอ้แก่แร้งทึ้งสันดาน..."

ไม่ทันจะพูดจบไอ้ชั่วนั่นก็ชี้ปลายพลั่วทำสวนมาทางผมและว่า "ปากปลาร้า"

แล้วในลำคอของผมก็ถูกเติมเต็มด้วยน้ำที่มีกลิ่นเหมือนของเน่า มันผุดออกมาจากปากผมและจมูกผมเหมือนตาน้ำเล็ก ๆ ทำให้ผมหายใจไม่ออก สองมืดตะกุยตะกายลำคอของตัวเอง ร่างกายบิดไปมาและดิ้นทุรนทุรายเพื่อหาอากาศหายใจ

วินาทีนั้นสมองผมกลับคิดถึงหน้าไอ้ศาสตราจารย์สโครว์ หน้าที่แฉะด้วยเหงื่อไคลของมัน ลิ้นที่แลบเลียริมฝีปากจากซ้ายไปขวาของมัน หน้าของไอ้ชาติหมานั่น...

"อย่าได้พูดไม่ดีเกี่ยวกับจอมเวทสูงสุด" ไอ้ห่าลากนั่นพูดออกมาในที่สุดก่อนจะคลายมนต์ ผมนอนสำลักน้ำไอ้โครกอยู่กับพื้นนานหลายนาที "...แล้วดูแลมินนี่ให้ดีด้วย ไม่งั้นฉันจะมาลากคอแก...เอาเป็นว่าฉันยังมีมนต์อีกหลายบทที่อยากจะทดลองก็แล้วกัน"



แล้วผมก็เลยต้องดูแลนังงูยักษ์นี่...โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มันกำลังจะเป็นแม่คน...ให้ตายเหอะ เจ้านั่นคงไปเหยียบรังของมันเขามินนี่เลยโกรธ งูหวงใข่นี่ดุยิ่งกว่าม้ายูนิคอนหวงหญิงพรหมจรรย์ซะอีกนะ

อ้า นั่นมันผู้ถูกเลือกนี่ นายน้อย กระผมเห็นมัน มันคืออีลูกกะหรี่คนนั้น

เวตาลพูดถูก แต่ไอ้แพรตมันมาทำอะไรในป่าตอนกลางคืนแบบนี้วะ แล้วไหนจะกระเป๋าเสื้อที่สะพายมาอีก...หรือว่ามันอยู่ระหว่างออกทำภารกิจ ไม่ยักรู้ว่าไอ้หมาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นกลับมาแล้ว

ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อไอ้บ้าห้าร้อยนั่นก็คลายมนต์ดาบเซเบอร์ วินาทีต่อมามันก็หันหลังแล้ววิ่ง ซึ่งผิดถนัด มินนี่พุ่งตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปฝังคมเขี้ยวเข้าที่หัวใหล่ของอีกฝ่ายจากด้านหลัง

น่ายินดี น่ายินดีจริง ๆ นายน้อย ไอ้มารหัวขนนั่นกำลังจะตายแล้ว ช่างน่ายินดีจริง ๆ

ผมกระโจนออกจากพุ่มไม้ในวินาทีนั้น

ท่านจะทำอะไร นายน้อย ท่านกำลังจะช่วยมันเหรอ

ผมไม่คิดจะตอบคำถามนั้นของไอ้ปรสิทไร้ค่าในหัว ผมวิ่งเข้าไปหามินนี่ที่ตอนนี้ยังคาบแพรตไว้ในปาก ลำตัวของมันม้วนรัดร่างเหยื่อไว้เป็นชั้น ๆ จนดูเหมือนอิโมจิรูปขี้เพียงแต่ที่ตรงยอดมีหัวของงูที่คาบร่างคนไว้โผล่ออกมาแทน

และสิ่งที่ผมทำก็คือ...ผมพูดภาษางูกับมินนี่...ใช่ ผมพูดภาษางูได้และไม่ใช่แค่ภาษางูนะ ภาษาแมว ภาษาหมา ภาษาแมงมุม ภาษานก ผมก็พูดได้หมด ป่าสอนผม...จะเรียกว่าสอนก็คงไม่ค่อยถูกเพราะมันเหมือนป่าอัปโหลดความรู้พวกนั้นเข้ามาในสมองผมแบบเดียวกันกับนีโอเรียนการต่อสู้ในเดอะแมตทริกส์ ยังไงก็เถอะ ผมเข้าไปยืนตรงหน้ามินนี่และพูดกับมัน

"มินนี่ มินนี่" ผมร้องเรียกอีกฝ่าย มันปรายสายตามามองผมด้วยนัยน์ตาสีเงินชวนขนลุก

"ว่าไง ไอ้หน้าแหกอัปลักษณ์" ช่าย...มินนี่ค่อนข้างปากหมาไปสักหน่อยสำหรับงูน่ะนะ

"เธอก็สวยเหมือนกัน ขอบใจที่อุตส่าห์ชมนะ" ผมว่า "ฟังนะ ฉันว่าเธอคงเข้าใจผิดอะไรไปนิดหน่อย ไอ้ที่อยู่ในปากเธอนะ คือเดอะโชสซิ่นวัน โอเค๊ คือเจสัน แพรต ผู้ถูกเลือกในตำนาน เธอต้องปล่อยเขาลง"

"อย่ามาสั่งฉันนะ ฉันไม่ใช่สัตว์ชั้นต่ำมีแขนมีขาขี้ในผ้าอ้อมอย่างพวกแก" มันว่าพลางส่ายหัวไปมา "แล้วฉันก็ไม่สนใจหรอก ไอ้ห่าลากนี่จู่ ๆ ก็โผล่มาเหยียบรังของฉัน เกือบจะเหยียบลูก ๆ ตัวหนึ่งของฉันไปด้วย"

"จริงเหรอ" ผมทำหน้าตาตกใจ "มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่...ฟร๊อกซี่ตกใจนิดหน่อย...แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันไปเหยียบรังของฉัน"

ผมยกมือสองข้างขึ้นระดับอกทำท่าให้อีกฝ่ายใจเย็น ๆ "ฉันเข้าใจ ๆ ถ้ามีใครมาหยียบบ้านของฉันจนพังฉันก็ต้องโมโหเหมือนกัน"

"จริงไหมล่ะ"

"ใช่ ๆ ฉันสนับสนุนเธอเต็มที่เลย สนับสนุนเธอหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นท์ สองร้อยเปอร์เซ็นเลยอ่ะ...แต่ฉันพยายามคิดหาทางออกหลังจากที่เธอจัดการกับไอ้คนหยาบคายนั่นไปแล้วน่ะ"

มินนี่หลี่ตามองผม "แกพูดเรื่องอะไร"

"ก็นะ ไอ้คนที่เธอคาบอยู่ในปากคือผู้ถูกเลือก มันคือเจสัน แพรตใช่ไหมล่ะ...ทีนี้พอเธอฆ่ามันเสร็จพวกนั้นก็ต้องแห่มาที่นี่แน่ ๆ ถูกไหม..." ผมหยุด พยายามอ่านท่าทีของอีกฝ่ายว่าตามทันหรือเปล่า...บางครั้งงูก็คิดอะไรช้าเวลาอยู่ในที่อากาศเย็น "รวมทั้งไอ้จอมเวทย์สูงสุดนั่นด้วย"

"ให้เงาสาปมัน ฉันเกลียดไอ้เคราแพะนั่น"

"ใช่ไหมล่ะ ฉันหมายถึงขนาดหนวดยังยาวขนาดนั้น ขนหน้าอกจะขนาดไหนจริงไหม" ผมว่า

ฉลาดมากครับ นายน้อย พูดตลกเข้าไปเยอะ ๆ ครับ

ผมนึกอยากจะเอาหัวโหม่งโลกเพื่อทำให้ไอ้เวตาลหยุดพูดสักที แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลา "ฉันเองก็เกลียดมันเหมือนกัน เกลียดมันทุก ๆ คนนั่นแหละ แต่พวกมันมีมากกว่าพวกเรา โอเค๊ ถ้าพวกมันมามันจะทำร้ายเธอและลูก ๆ นั่นไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะ"

"ไม่ ไม่ดีแน่" เธอว่า

"ใช่ เพราะงั้น...ปล่อยเจ้านั่นลงมาเถอะ ให้ฉันจัดการมันเองดีไหม...รับรองว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่ โอเค๊"

อีกฝ่ายลังเลอยู่หลายวินาที เธอส่ายหัวไปมาและกะพือแม่เบี้ยเหมือนช้างกะพือหูก่อนจะหันกลับไปมองรังของตัวเอง เมื่อผมหันตามไปก็เห็นลูกงูตัวเท่ากิ่งไม้เล็ก ๆ หลายสิบตัวชูหัวขึ้นมามอง ดูน่าสยองสุด ๆ

จนแล้วจนรอดมินนี่ก็ยอมอ้าปากปล่อยแพรตตกลงมาที่พื้น

"จัดการให้เรียบร้อย" พูดแล้วก็ชายตามามองเหมือนเจ้าแม่สั่งงานลูกน้อง

ผมรีบตรงเข้าไปหิ้วปีกไอ้สมองหมานั่น นัยน์ตามันเหลือกขึ้นด้านบนและกระตุกไปซ้ายทีขวาที ปากที่ส่งเสียงอู้อี้ก็มีน้ำลายไหลยืดออกมาจนถึงคางแถมตัวมันยังหนักใช่เล่น กลิ่นตัวของมันก็ยังเหมือนเดิม...กลิ่นเหมือนทุ่งหญ้ากลางฤดูร้อน...บ้าเอ้ย บ้าแท้ ๆ

"แล้วอีกอย่าง" เสียงยัยงูนั่นดังมาอีกครั้งทำให้ผมหนาวเข้าไปถึงกระดูก พอหันไปก็เห็นอีกฝ่ายเอี้ยวศีรษะมามองผมด้วยหางตา "แกเป็นชั่วช้า เดอะดาร์ควัน เจ้าเล่ห์ สามหาวและกักขฬะ น่าเสียดายที่แกไม่ได้เป็นผู้นำของเราในศึกสุดท้าย...น่าเสียดาย"

ผมไม่แน่ใจนั่นเป็นคำชมหรือคำด่า แต่ผมก็พยายามปั้นหน้ายิ้มแห้งรับและหิ้วไอ้ผู้ถูกเลือกที่ไม่ค่อยจะได้ความไป

พิษของมินนี่ไม่ค่อยอัตรายเท่าไร มันออกฤทธิ์หลอนประสาทเหมือนโคเคนเพื่อให้เหยื่ออยู่นิ่ง ๆ เพียงแต่ถ้าได้รับมากเกินไปก็อาจจะทำให้เอ๋อตลอดชีวิตได้เหมือนกัน...ไม่ได้การ กระท่อมอยู่ห่างเกินไป ให้เคลื่อนย้ายตัวไปเรื่อย ๆ แบบนี้จะยิ่งทำให้พิษแพร่กระจายเร็วขึ้น

"แพรต แพรต!!! " ผมหิ้วปีกมันไปเรียกมันไปอยู่นาน แต่อีกฝ่ายไม่มีที่ท่าตอบสนอง ผมจึงรีบเดินให้เร็วที่สุด จนเมื่อพ้นจากระยะอาณาเขตของมินนี่มาแล้วผมจึงวางอีกฝ่ายลงกับพื้น พยายามเขย่าตัวเรียกชื่อ ไม่ตอบ ผมจึงตบหน้าอีกฝ่ายไปหลายที...แบบหวดไม่ยั้งมากกว่านะ จนกระทั่งลูกนัยน์ตาสีฟ้าขยับมาอยู่ในเบ้า

"อะไร" มันพูดด้วยน้ำเสียงป้อแป้

"นายชื่อ เจสัน แพรต ถูกหรือผิด" ผมร้องถาม มันเป็นทริกเก่าที่ไอ้พ่อสารเลวของผมสอนมา เมื่อถูกพิษที่มีฤทธิ์หลอนประสาท ให้พยายามตั้งสติจดจ่ออยู่กับความจริง

"อะไรนะ" มันพูดและพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ผมดันตัวมันไว้ติดพื้น

"ชื่อนายไง" ผมฟาดหน้ามันไปอีกหลายที "ตั้งสติไอ้ลูกหมาเอ้ย นายชื่อ เจสัน แพรต ถูกหรือผิด"

"ถูก" มันว่า ก่อนที่ลูกตาจะเริ่มลอยหายไปอีก ผมจึงตบมันไปอีกหลายฉาด

"นายเรียนอยู่ที่โรงเรียนพ่อมดแม่มดแห่งแสง ฮิลไฮด์ ถูกหรือผิด" อีกฝ่ายนิ่งเงียบ ริมฝีปากล่างที่ซีดเผือดขยับแต่ไม่มีเสียงตอบออกมา "แพรต ถูกหรือผิด ตอบมา"

"ถูก"

"พ่อนายคือจอมเวทสูงสุด ถูกหรือผิด"

มันกระตุกมุมปากก่อนตอบ "อยากให้ถูก...แต่ผิด"

"ใช่ ใช่ อย่างงั้นแหละ จดจ่ออยู่กับความจริง เจสัน จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและความจริง อย่าหลับตา อย่าหลับตาเด็ดขาด!!! "

พอเห็นอีกฝ่ายจะหลับตา ผมก็ตบหน้ามันไปอีกเกือบสองโหลจนมันคืนสติ ดูเหมือนอาการจะเริ่มดีขึ้นแล้ว พิษคงไม่ร้ายแรงอย่างที่ผมคิด...หรือไม่ก็เพราะมันเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้เทียมทาน

ผมจับแขนข้างหนึ่งของเจ้านั่นพาดบ่าและหิ้วปีกมันเดินต่อ ปากก็ตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด นายเป็นผู้ชาย ถูกหรือผิด นายเป็นผู้ถูกเลือก ถูกหรือผิด นายอายุสิบเจ็ด ถูกหรือผิด อะไรพวกนั้น ผมไม่ได้สนใจห่าอะไรมันนักหรอก...และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องมาช่วยมัน แค่เห็นหน้าอีกฝ่ายแผลที่หน้าก็คันขึ้นมายิบ ๆ ไอ้แผลและตราอัญเชิญที่มันเสกไว้ที่หน้าผมเนี่ย



เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อปลายเทอมที่แล้วหลังจากแข่งฟุตบอลประจำปีจบ ทีมของโรงเรียนเราแพ้และมีข่าวลือบ้า ๆ บอ ๆ ว่าผมใช้คำสาปมนต์ดำทำให้ทีมเสียแช้มป์ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนถึงคิดว่าผมทำแบบนั้นได้ ผมใช้เวทย์มนต์ไม่ได้ใคร ๆ ก็รู้ มันไม่ใช่ความลับอะไรซึ่งนั่นก็ยิ่งแปลกเพราะผมอยู่ในโรงเรียนสอนเวทย์มนต์...แต่ก็ช่างเหอะ พอมีข่าวลือออกมาผมเลยเลิกไปเป็นผู้ช่วยโค๊ช (ผมเป็นแค่ผู้ช่วยโค๊ช ผมบอกไปหรือยัง? แต่ก็ช่างเหอะ) และไม่กลับไปเหยียบสนามซ้อมฟุตบอลอีกเลย ถึงจะอยากกลับ ถึงจะชอบที่ได้เป็นหนึ่งในทีมแม้จะไม่ใช่ผู้เล่นก็ตาม ถึงโค๊ชพีเจี้ยนจะเป็นเพียงไม่กี่คนที่ปฏิบัติกับผมเหมือนผมเป็นคนทั่วไป ถึงอยากจะกลับไปมากขนาดไหนมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว...ผมน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น...เวลามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับผมสักเรื่องหรือสองเรื่อง มันมักจะมีเรื่องเลวร้ายสักสามพันล้านเรื่องตามมาเสมอ...และก็ใช่ มันเป็นแบบนั้นตลอด



มันเป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้าย อีกไม่กี่วันหลังจากนั้นโรงเรียนก็จะปิด ผมจึงออกล่าสัตว์ตั้งแต่เช้า แกะรอยตามกวางแม่ลูกอ่อนลึกเข้าไปในป่า สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่ได้อะไรติดมือกลับมาสักอย่าง กว่าจะกลับออกมาก็ค่ำแล้ว เดินมาเกือบจะถึงกระท่อมผมก็เจอพวกทีมฟุตบอลและทีมเชียร์ลีดเดอร์เกือบทั้งทีมมารวมกลุ่มกันก่อกองไฟกินเหล้าเมาเละเทะ หลายคนควักไม้กายสิทธิ์ออกมาเสกนั่นเสกนี่เล่น ผมเห็นแพรตกำลังพยายามเสกคาถาสักอย่างออกมาโดยมีเลิฟฮิวอิท และ แคมเบอร์บัช ยืนขำอยู่ข้าง ๆ

ตอนแรกผมพยายามเลี่ยงเดินไปทางอื่นแต่ไอ้โอลิเวอร์ สแครบเบิ้ล เห็นผมมันเลยเรียกผมไว้

"ไง เดอะดาร์ควัน ฉันคอแห้งจัง ไปเอาน้ำมาให้หน่อยสิ" ทำไมมันถึงคิดว่าผมจะรู้สึกโกรธหรือโมโหที่มันเอาหน้าที่ของผมตอนที่เป็นผู้ช่วยโค๊ชมาล้อนะ...มันเป็นงานของผมที่โค๊ชมอบหมายมา และมันก็ไม่ได้น่าอายสำหรับผมเลยสักนิด

อย่างหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการโดยรุมแกล้งจากคนทั้งโรงเรียนมานานหลายปีก็คือ การทำเป็นเมินต่อไอ้พวกเศษนรกเดนตายพวกนั้นไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ผมจึงถอนหายใจยาวและหันไปทางมัน

"ทำไมไม่หาแก้วมารองเยี่ยวตัวเองแดกล่ะสแครบเบิ้ล" ผมพูดและเดินสวนกับอีกฝ่ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กลัวพวกมัน แม้ว่าความจริงจะตรงกันข้ามก็ตาม

คนอื่น ๆ ต่างพากันหัวเราะตอนที่ผมเดินผ่านไปแต่ไม่ใช่สแครบเบิ้ล มันหันกลับมาเหวี่ยงแขนกอดคอผมซึ่งผมรีบขยับตัวออกมาโดยเร็ว "อย่ามาแตะต้องตัวฉันไอ้หมาโสโครก"

"อะไรเล่า ไม่เอาน่า เราเคยเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอตอนม. ต้นน่ะ"

ผมกระชับคันธนูที่สวมอยู่กับใหล่ ลูกศรในกระบอกก็ไม่เหลือแล้ว แต่ในกระเป๋ากางเกงยังมีมีดบาลิซองอยู่ "ฉันไม่เรียกการที่แกกับเพื่อนจับฉันเอาหัวกดส้วมจนเกือบจมน้ำตายว่าเล่นกันหรอกนะ"

มันหัวเราะ คนอื่น ๆ ก็เริ่มหัวเราะตาม

"โอลิเวอร์..." แล้วแพรตก็พูดขึ้น ในตาสีฟ้าสะท้อนแสงจากกองไฟ...ไอ้ตาสีฟ้าคู่นั้น

"อะไร" อีกฝ่ายกระชากเสียงตอบ ผมเหลือบมองแพรต เจ้านั้นกัดริมฝีปากล่างและหันไปทางอื่น...น่าสมเพช

"แล้วแกไปไหนมา โดว์" เขาว่าพลางเดินเข้ามาจับคันธนู ผมสะบัดหนี มันหัวเราะ "รู้ไหมว่าล่าสัตว์ในเขตโรงเรียนมันผิดกฏ"

"ฉันไม่ได้ไปล่าสัตว์ สแครบเบิ้ล ฉันไปเอากับแม่แกมา"

เสียงหัวเราะรอบข้างดังขึ้นมาอีก แต่ไม่ใช่จากสแครบเบิ้ล มันยกมือขึ้นเท้าเอวและหันไปทางอื่นพลางยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมา

"พอได้แล้วน่าโอลิเวอร์" เสียงหวานหูของเลิฟฮิวอิทดังมาจากข้าง ๆ แพรต เธอยืนอยู่ตรงนั้นมาเสมอไม่ว่าผมจะเห็นหรือไม่ก็ตาม "นายก็รู้ว่าการทำร้ายกันมันผิดกฏโรงเรียน...เดี๋ยวก็โดนออโรล่าเตะโด่งออกไปนอกโรงเรียนหรอก"

ชายคนนั้นชายตามองเธอก่อนหันกลับมาทางผม "เธอไม่รู้เหรอ กฏนั่นใช้ไม่ได้กับไอ้สถุนนี่หรอก..." เธอรู้ ทุกคนรู้ ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนั้น แต่ถ้าให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองเธอคงพูดไปเผื่อโชคจะเข้าข้างให้สแครบเบิ้ลเมามากพอจนลืมเรื่องนั้น เธออาจจะพยายามช่วยผมอยู่ก็ได้ "...อีกอย่าง ในป่านี้ออโรล่าแทบไม่เคยบังคับใช้กฏอะไรเลยด้วย...เพราะงั้น" มันจบคำด้วยการพยักหน้าให้คนยืนที่อยู่ด้านหลังผม...เหตุการณ์ต่อจากนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่ววินาที

นักฟุตบอลสองคนเข้ามาจับแขนผมไว้คนละข้าง ผมกระทุ้งศอกใส่หน้าคนทางขวา คว้ามืดพับจากกระเป๋ากางเกงมาปักเข้าที่หน้าขาคนทางซ้าย ลึกจนปลายมีดทะลุออกอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะบิดเพื่อฉีกปากแผลให้กว้าง ดึงมันออกและกระโจนตัวเข้าหาสแครบเบิ้ล ง้างมีดขึ้นไปในอากาศ สีหน้ามันทั้งตกใจ กลัว พยายามถอยหลังไปเพื่อให้พ้นจากคมมีด แต่มันช้าไป มันช้าไปมาก ผมเล็งที่คอของมันและสะบัดมือ...

แล้วผมก็รู้สึกเหมือนโดนคนเตะอัดเข้าที่กกหูด้านซ้าย สมองมึนเบลอไปหลายวินาที พอยันตัวลุกขึ้นยืนก็เห็นคนรอบด้านตรงเข้าไปช่วยคนที่โดนผมเล่นงาน แพรตยืนค้างในท่าชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางผม ปลายไม้มีควันจาง ๆ ลอยออกมา สีหน้าของเขายากจะบอกว่ารู้สึกอย่างไร มีแต่เลิฟฮิวอิทเท่านั้นที่หันมาสนใจผม เธอตรงเข้ามาพยุงผมไว้ "โดว์ หน้านาย"

"อะไร..." แล้วผมก็ได้ยินเสียงของเวตาลเป็นครั้งแรก

มันกรีดร้องเหมือนคนคลั่งก่อนที่ผิวหนังบนหน้าผมจะรู้สึกเหมือนโดนมีดโลหะร้อนแดงกรีดและแทง มันเป็นความรู้สึกแสนเจ็บปวดที่ผมคุ้นชินเมื่อสมัยยังเด็ก ผมร้องโหยหวนแต่แทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เสียงในหัวอื้ออึงและสับสน เสียงของความตาย ความทรมาน ความเจ็บปวด ทุกอย่างถาโถมเข้ามาเหมือนเขื่อนที่พังทลาย

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น แต่เมื่อได้สติในอีกสามวันต่อมา ผมก็เห็นจอมเวทย์สูงสุดยืนรอให้ผมฟื้นอยู่ก่อนแล้ว...เขาไม่พูดอะไรออกมา เครายาวสีเทากระดำกระด่างนั่นปกปิดอารมณ์ความรู้สึกของเขาไว้จนหมด เช่นเดียวกับดวงตาสีซีดจางที่แทบจะถูกกลืนกินโดยสีขาวโดยรอบ เขาก้มมองผมเหมือนมองดูหนูสกปรกสักตัวก่อนจะเดินไปคุยกับศาสตราจารย์บับเบิ้ลบี หมอประจำโรงเรียน และเดินออกจากห้องไป

"ฉันคิดว่าเธอกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ"

"ผมพักในกระท่อม ไอ้หมอกำมะลอเอ้ย" จบคำผมก็สะบัดตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกมา...ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ายังอยู่ในชุดผู้ป่วยที่โชว์ก้นอล่างฉ่าง



และนั่นก็คือเรื่องราวที่ว่าผมได้รอยสักและแผลเป็นสวย ๆ บนหน้ามาได้ยังไง

................................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

ผมตื่นขึ้นมาในสถานที่แปลก ๆ แต่ก็แน่ล่ะ หลังจากเป็นผู้ถูกเลือกและออกเดินทางทำภารกิจมาตั้งแต่อายุสิบสอง เรื่องแบบนี้แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

ที่ ๆ ผมนอนอยู่ดูเหมือนเป็นเตียงนอน มันยกขึ้นจากพื้นไม่กี่เซนติเมตร ไม่มีฟูก ผ้าปูหรืออะไร จะมีก็แต่ผ้าห่มเก่า ๆ สีเลือดหมูที่มีตราโรงเรียนปักติดอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง

ผมถูหน้าตัวเองแรง ๆ หลายครั้งเพื่อเรียกสติก่อนจะเหวี่ยงขาลงมาวางไว้กับพื้น รู้สึกเหมือนสมองถูกแทงด้วยเหล็กแหลมและควักมันออกมาทางจมูก ภาพตรงหน้าสั่นไหวและเบลอเป็นพัก ๆ แต่พอกะพริบตาถี่ ๆ ก็หายไป

...นั่นแหละ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรอก

ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ จึงรู้ว่าอยู่ในห้องพักเล็ก ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณสามคูณสี่เมตรเห็นจะได้...ไม่ต่างจากคุกของพวกฮาร์ปี้ที่ผมเคยไปติดอยู่สองสามวันมากนัก แสงไฟสีส้มส่องสว่างมาจากหลอดไฟทรงหยดน้ำที่แขวนห้อยลงมาจากเพดาล ผนังมีสิ่งของนับสิบนับร้อยแขวนห้อยไว้ บ้างอยู่ในถุงพราสติก บ้างก็แค่เกี่ยวไว้กับตะปูที่ตอกไว้กับเนื้อไม้ ที่ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ บนนั้นมีตำรากองตั้งจนไปถึงเพดาลที่สูงขึ้นไปเกือบ ๆ สองเมตร พอเดินไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นหนังสืออีกหลายเล่มที่เหมือนจะโดนขโมยออกมาจากห้องสมุด ผนังด้านข้างมีชุดเครื่องแบบเก่า ๆ แขวนไว้ ที่หน้าอกด้านหนึ่งมีชื่อปักไว้หยาบ ๆ

"เดเมี่ยน โดว์"

"ที่พักของเจ้านั่นเหรอ" ผมพูดกับตัวเองแล้วมองไปรอบ ๆ อีกครั้งก่อนจะมองเห็นแสงไฟลอดเข้ามาจากทางประตูที่ผุพังจนแทบกันอะไรไม่ได้ พอเดินออกมาก็เจออีกฝ่ายนั่งอยู่บนก้อนหินข้าง ๆ กองไฟ เขาสวมเสื้อเชิร์ดเครื่องแบบนักเรียนสีขาวเก่า ๆ ที่ถูกดึงแขนเสื้อออกทั้งสองข้าง มือจับชิ้นไก่หรืออะไรสักอย่างแทะกินอย่างมูมมาม

"ฉันนึกว่าแกตายไปแล้ว" เดเมี่ยนพูดโดยไม่หยุดกินหรือละสายตาจากไก่ในมือมาด้วยซ้ำ "กำลังคิดว่าจะเอาแกไปทำเหยื่อล่อสัตว์อยู่" พูดจบก็โยนกระดูกที่แทะจนหนำใจแล้วลงไปในกองไฟก่อนจะหันไปหยิบอะไรสักอย่างที่ข้างขามาเช็ดมือและปาก

"นั่นเสื้อฉันเหรอ" ผมร้องออกมาเพราะจำเสื้อยืดปราด้าสีขาวลิมิเต็ดอิดิชั่นของตัวเองได้ พอเอี้ยวตัวมองไปจึงเห็นกระเป๋าของผมนอนตัวอยู่ข้าง ๆ ขาของเจ้านั่น สภาพเหมือนโดนลื้อดูทุกซอกทุกมุม

"ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว" อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันมา

"มันไม่ใช่ของนายนะ" ผมว่าแล้วก็เดินเข้าไป อีกฝ่ายตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการคว้าคันธนูและลูกศรมาขึ้นสายเล็งมาทางผม

"อีกแค่ก้าวเดียว เจสัน แพรต ฉันท้าให้แกก้าวมาอีกแค่ก้าวเดียว" นัยน์สีดำของชายคนนั้นมองมาทางผมอย่างเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ได ๆ แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะปล่อยสายธนูอย่างไม่ลังเลถ้าผมทำตามคำท้านั้น ผมจึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลังและยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวใหล่ "หุปปาก! " จู่ ๆ เขาก็ตะโกนลั่น

"ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย" ผมว่า

เขาเงียบไปหลายวินาทีก่อนตอบ "ให้มันเป็นแบบนั้นต่อไปก็แล้วกัน"

พอผมก้าวถอยมาได้สี่ก้าวเขาก็ลดธนูลง "ที่นายทำเขาเรียกขโมย รู้ใช่ไหม"

อีกฝ่ายประสานมือไปที่ใกล้ ๆ กองไฟ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ากางเกงของเขาเป็นกางเกงนักเรียนเก่า ๆ มันขาดเป็นริ้วรูหลายที่ ปลายขากางเกงถูกยัดเข้าไปในรองเท้าคอมแบตสีดำที่ดูทั้งเก่าและสกปรกไม่แพ้กัน

"มันเรียกว่าค่าจ้างที่ฉันช่วยชีวิตแกไว้ต่างหาก ไอ้สมองหมา"

ได้ยินแบบนั้นผมก็นึกเรื่องก่อนหน้าขึ้นมาได้ พอก้มลงมองใต้เสื้อของตัวเองจึงเห็นใบไม้แห้งและอะไรหลาย ๆ หลายอย่างแปะใต้ใหล่ซ้ายซึ่งควรจะเป็นที่ ๆ มินนี่กัดผมจมเขี้ยว พอลองขยับดูก็ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่นิดเดียว

"ที่ฉันใส่ไปเป็นแค่สนุนไพรที่ทำให้ชา ไม่ได้รักษาห่าเหวอะไรหรอก ถ้าไม่อยากตายเพราะติดเชื้อก็กลับไปโรงเรียนให้ไอ้หมอเฮงซวยนั่นใช้มนต์รักษาให้ซะ" เขาพูดแล้วก็หยิบเอามีดพับบาลิซอนออกมาควงเล่น

"ขอบใจ" ผมพูดออกมาพลางทำเป็นมองไปยังกองไฟแต่ที่จริงแอบเหลือบมองเขาควงมีด มันทั้งน่าประทับใจและน่าขนลุกที่เขาใช้มือและมีดได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนั้น

บนกองไฟยังมีไก่เสียบไม้ตั้งอยู่ พอได้กลิ่นหอม ๆ ก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้กินอาหารเย็นเลย

"ฉัน..." ผมพูดพลางชี้ไปที่ไก่ อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าสนใจผมเลยเดินเข้าไปจะหยิบมากินก่อนที่เขาจะสะบัดข้อมือแรง ๆ และมีดก็ปลิวมาปักอยู่ที่ข้างเท้าของผมห่างออกไปแค่ไม่กี่มิลลิเมตร ผมมองหน้าอีกฝ่าย ยิ่งอยู่ใต้บรรยากาศแสงน้อย ๆ แบบนี้ยิ่้งทำให้ใบหน้าของเขาชวนสยองยิ่งกว่าหน้านางปิศาจเมดูซ่า

"พวกนายชอบใช้มีดกินอาหารไม่ใช่เหรอ ใช้สิ" เขาว่าก่อนจะลุกขึ้น คว้ากระเป๋าผมไปสะพาย "กินเสร็จก็วางมีดทิ้งไว้แถวนั่นแหละ แล้วจะไปไหนก็ไป"

"ใช่...เรื่องนั่นนะ" ผมว่าพลางยืนขึ้นอีกครั้งและหันไปทางอีกฝ่าย "ฉันคิดว่าจะขอค้างที่นี่สักคืน...ถ้านายไม่ว่า"

เดเมี่ยนหยุดเท้าและนิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะหันหลังกลับมาหาผม "ห๊ะ? " เขาร้องออกมา "นาย...นายเนี่ยนะมาขอให้ฉันช่วย"

"คือฉันทะเลาะกับรูมเมทและ..."

"นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉันสักนิด" อีกฝ่ายว่าด้วยรอยยิ้มประชดประชัน "แก..." เขาพูดพลางชี้นิ้วมาทางผมและเดินเข้ามาใกล้ "แก...เดอะโชสเซ่นวัน ผู้ถูกเลือกแห่งแสง ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก มาขอให้ฉัน! เดอะดาร์ควัน! เจ้าแห่งความชั่วชาติและเงา ให้ช่วยงั้นเหรอ!! " คำสุดท้ายนั่นแทบจะดังลั่นไปถึงดาวอังคาร ไม่น่าเชื่อว่าด้วยเสียงแหบ ๆ แบบนั้นเขาจะตะโกนได้ดังขนาดนี้

"ฟังนะ..."

"ไม่ แกนั่นแหละฟังฉัน" เขาว่าแล้วจิ้มนิ้วชี้มาที่หน้าอกผม "ไอ้สารเลวชิงหมาเกิด ฉันเคยขอให้แกช่วยฉัน จำได้ไหม ช่วยฉันจากไอ้หน้าเหี้ยโอลิเวอร์ สแครบเบิ้ล เพื่อนแก อ้อนวอนแกให้พาฉันออกไปตอนที่พวกมันจับฉันเอาหัวกดน้ำส้วม แล้วแกทำยังไง ห๊ะ!! "

ผมกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดที่ซึมออกมา

"ตอบมาเซ่!!! "

"ฉัน...ยืนดู..." ผมตอบอีกฝ่าย ไม่กล้าจะมองเข้าไปในด้วงตาคู่นั้นด้วยซ้ำ

"ช่าย...นั่นแหละที่แกทำ แพรต แกมองฉันโดนพวกเพื่อนแกจับกดน้ำจนเกือบตาย โดยที่ไม่ทำอะไรเลย" เขาพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งและเบา "เพราะงั้นอย่าได้...อย่าได้กล้ามาขอให้ฉันช่วยอะไรแกอีกเป็นอันขาด" จบคำเขาก็หันหลังเดินไป

"ฉันให้เงินนายได้นะ" ผมหลุดคำนั้นออกไปโดยไม่ยั้งคิด ให้ตายเหอะ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าผมกับโอลิเวอร์ใครโง่กว่ากัน "หรือเสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้"

"แกมันน่าสมเพช แพรต" อีกฝ่ายตอบกลับมาโดยที่ไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ "แกมันไอ้คนน่าสมเพชและฉันก็โคตรจะเสียใจเลยที่คนอย่างแกต้องเป็นคนฆ่าฉัน"

แล้วเขาก็เดินเข้าไปในกระท่อม ปิดประตู และทุกอย่างก็เงียบลง มีแค่ผม กองไฟ และป่า ลมเย็นหวีดหวือพัดมาตามยอดไม้ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งลงที่ก้อนหินที่ชายคนนั้นเคยนั่งอยู่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน สมองคิดถึงแต่เรื่องที่อีกฝ่ายพูด



ตอนนั้นพวกเราเรียนอยู่ม.2 โอลิเวอร์และเพื่อน ๆ ของเราอีกสามสี่คนจับตัวเดเมี่ยนได้ที่โถงทางเดิน พวกเขาได้ยินมาว่ากฏการทำร้ายร่างกายใช้ไม่ได้กับเดเมี่ยน พวกนั้นจึงอยากจะลองพิสูจน์ดู และมันก็เป็นจริง พวกนั้นจับเขากดลงกับพื้น ใช้เท้าเหยียบใบหน้าของเขาไว้และหัวเราะ...และผมก็ยืนอยู่ที่นั่น มองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันเรียกว่าอะไร ป้ากับลุงไม่เคยบอกผม ไม่เคยมีใครบอกผมว่าควรต้องทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมจึงได้แต่ตกตะลึงและมองดูอีกฝ่ายถูกกระทำ เดเมี่ยนร้องเรียกผมให้ช่วย อ้อนวอนด้วยน้ำตา แต่ผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ไม่กล้าจะทำตามที่เดเมี่ยนอ้อนวอนเพราะกลัวว่าคนที่ต้องลงไปนอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกนั้นจะเป็นผมเอง...

ไม่แน่เดเมี่ยนอาจจะพูดถูก...ผมมันอาจจะเป็นแค่ได้คนน่าสมเพชจริง ๆ ก็ได้

ผมหยิบไก่ขึ้นมากิน รสชาติมันดีมากแต่ผมกลับไม่รู้สึกดีสักนิด ผ่านไปนานเท่าไรผมก็ไม่รู้แต่จู่ ๆ เดเมี่ยนก็กระโจนออกมาจากประตูกระท่อม

"อะไร" เขาตะโกนลั่น แต่ไม่ใช่ตะโกนใส่ผม...ที่จริงมันเหมือนเขาตะโกนกับอากาศรอบตัวมากกว่า "ไม่มีทาง ผมไม่มีทางให้...มันไม่ใช่ทางเลือก มันไม่เคยมีทางเลือก โอเค๊..." เขาหมุนตัว วิ่งไปทางซ้ายและขวาสะเปะสะปะ "หุปปากเวตาล" เขาสะบัดศีรษะอีกครั้ง "อะไร ไม่ใช่แบบนั้น...ไม่..."

"เดเมี่ยน...นายโอเคหรือเปล่า"

"หุปปาก" เขาตะโกนจนเสียงแหบแห้งขาดหายเป็นห้วง ก่อนจะหันมาทางผมแต่ไม่ได้มองผม เขามองต่ำลงไป...เหมือนคนที่กำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง "บอกว่าให้หุบปากไง"

"ฉันไม่ได้..." ไม่ทันจบคำเขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทางผมเป็นเชิงให้ผมหยุดพูด

"ผมเข้าใจ" เขาพูดอีกครั้ง ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างเท้าเอว "ใช่...ไม่ ๆ ๆ ไม่ใช่แบบนั้น...โอเค ก็ได้ ถึงเขาจะอยากอยู่มันก็ไม่มีที่ให้เขาอยู่ ๆ ดี กระท่อมเล็กเท่าจิ๋มหมา แค่ผมคนเดียวก็แทบไม่มีอากาศหายใจแล้ว แล้วยังจะให้..." คำหลังเขาปลายมือมาทางผมและถอนหายใจยาว "...อะไร? "

แล้วจู่ ๆ พื้นก็สั่นเบา ๆ ก่อนจะตามมาด้วยกระท่อมของเดเมี่ยนที่เริ่มขยายตัว...มันเหมือนมองดูอาคารถูกสร้างแบบเร่งสปีด หลังคาสูงขึ้น ตัวบ้านยกขึ้นจากพื้น ประตูเก่าหายไปพร้อม ๆ กับระเบียงหน้าบ้านที่ยืดตัวออก ผนังขยายออกพร้อมหน้าต่างที่ถูกเพิ่มเข้ามา ประตูบานใหม่ก่อตัวขึ้นและงับปิด ทุกอย่างใช้เวลาแค่ไม่ถึงสามนาทีก็จบ...จากกระท่อมซ่อมซ่อกลายเป็นกระท่อมกลางป่าแบบที่เห็นได้ทั่วไป

พอผมหันกลับมามองอีกครั้งเดเมี่ยนก็มองผมด้วยสายตาผิดหวัง เขาส่ายหน้า รอยยิ้มประชดประชันนั่นเป็นสิ่งคุ้นตาที่ทุกคนเห็นแทบจะทุกวัน "แน่ล่ะ นายได้สิ่งที่นายต้องการตลอดนั่นแหละ จริงไหม" เขาพูดพลางเดินไปคว้ามีดพับของตัวเองจากพื้นและกระแทกเปิดประตูเข้าไปภายใน ผมเดินตามไปติด ๆ จึงเห็นว่าภายในกลายเป็นห้องพักขนาดกลาง ๆ ไปแล้ว เตียงสองเตียงวางขนาบประตูคนละด้าน โต๊ะหนังสือ ตู้เสื้อผ้า และส่วนนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านในสุดของห้องถูกเพิ่มเติมเข้ามา

ผมหันมามองก็เห็นเดเมี่ยนกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าไปในกระเป๋าของผม (ซึ่งเขายึดไปเรียบร้อยแล้ว) พลางพึมพำอะไรออกมาคนเดียว

"นายจะไปไหน" ผมเอ่ยถาม

"บ้านนี่เขาสร้างให้นาย มันเป็นของนายไง ดีใจด้วยนะ"

"ไม่เอาน่า ออโรร่าคงสร้างให้เราทั้งคู่นั่นแหละ ดูสิมันมีสองเตียง" ผมว่าเสียงอ่อย "นายไม่เห็นจำเป็นต้องไปเลย"

"แกคิดงั้นเหรอ คิดงั้นจริง ๆ เหรอ" อีกฝ่ายหันมาพูดกับผมตรง ๆ "ฉันอยู่ในไอ้กระท่อมเซ็งเคร่งนั้นมาห้าปี ไม่มีสักครั้งที่อีดอกออโรร่าจะมาดูดำดูดี ขนาดฉันนอนซมเพราะปอดบวมแทบตายมันยังไม่ตามคนมาช่วยเลย แล้วตอนนี้ พอแกมาบอกว่าต้องการที่นอนสักคืน มันก็สร้างบ้านหรูหราให้นอนงั้นเหรอ"

"เป็นฉันจะไม่เรียกว่าบ้านหรูหรอกนะแต่..."

"ฟังคยู แพรต" พูดจบก็หันไปเก็บกระเป๋าต่อพลางพึมพำสบถด่าไม่หยุด ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเดเมี่ยนก็พุ่งตัวออกไปด้านนอก

"แล้วนายจะไปนอนไหน เดเมี่ยน" ผมร้องถามไล่หลัง

อีกฝ่ายตะโกนตอบโดยที่ไม่หันมาพร้อมชูนิ้วกลางใส่ผม "ในรูจิ๋มแม่แกไง"

..............................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอฝากนิยายเรื่องอื่น ๆ หน่อยจั๊บ












ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อริส

วิชาการพยากรณ์และตีความเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงลงเรียนวิชานี้ อาจจะเป็นเพราะคิดว่ามันน่าสนุกดี หรืออาจจะเพราะฉันคิดน้อยไปก็ได้ แถมศาสตราจารย์ฮัดสันก็ออกจะเพี้ยน ๆ ชอบพูดอะไรที่มันไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล คงเป็นเพราะถูกผีเข้ามากไป...ใคร ๆ ก็รู้ว่าครอบครัวของเธอสืบทอดสายเลือดมาจากพวกดาร์คเอฟ ถึงจะเจือจางมาก ๆ แต่ก็พอที่จะทำให้เธอถูกผีเข้าได้ง่าย ๆ อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อนจู่ ๆ เธอก็กรีดร้องกลางห้องเรียน ผมยิกหยักศกยาวจนถึงกลางหลังสยายขึ้นในอากาศ นัยน์ตากลายเป็นสีขาวและพูดออกมาด้วยเสียงของคนอื่น เธอชี้หน้าฉันและบอกว่า "ไปตามหา ไปตามหาหินนั่น"

...ฉันว่าวิญญาณนั่นคงเป็นคุณยายของฉัน ในพินัยกรรมเธอยกปะคำข้อมือหินให้ฉันซึ่งฉันทำหายไปตั้งนานแล้ว...นั่นแหละคือข้อเสียของการยกของมีค่าให้เด็นสิบสองที่แม้แต่ปากกายังรักษาไว้ไม่ได้เลย

"นี่แย่ โคตรจะแย่เลย" จู่ ๆ เจสันที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็พูดขึ้นพลางเดินไปกับฉันที่โถงทางเดิน

"อะไร" ฉันเอ่ยถามอย่างเบื่อ ๆ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทุกอย่างฟังดูโอเว่อร์เกินไปเสมอ "ขอเดานะ...เรื่องโดว์อีกแล้วใช่ไหม"

"ก็ใช่น่ะสิ...เมื่อคืนเขาออกนอนนอกกระท่อมอีกแล้ว"

ตั้งแต่เจสันย้ายไปเป็นรูมเมทกับเดเมี่ยนเมื่อสองสามวันก่อน เขาก็เอาแต่บ่นไม่หยุดเรื่องพฤติกรรมแปลก ๆ ของอีกฝ่าย ทั้งพูดคนเดียว ละเมอโวยวาย และชอบหายไปตอนกลางดึกและกลับมาตอนเช้า

"ฉันว่าแกคิดไปเองมากกว่าเจสัน เขาอาจจะแค่ละเมอเดินก็ได้" ฉันพูดยั่วโมโหอีกฝ่าย

เขาพ่นลมหายใจออกมาทางปาก

"ถ้ามันลำบากนักทำไมแกไม่ย้ายออกมาล่ะ" อีกฝ่ายไม่ตอบ พอฉันหันไปก็เห็นเขาทำหน้าเซ็งเม้มกัดริมฝีปากล่าง "นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่คุยกับโอลิเวอร์อีกน่ะ"

เขาถอนหายใจ "ก็ประมาณนั้น"

"เจสัน...กับฟรานก็ด้วย? " เขาพยักหน้า "ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย"

"แล้วมันวกมาเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย" เขาร้องออกมา "นี่ฉันกำลังพูดถึงเดเมี่ยนอยู่นะ"

ฉันหยุดเดินในวินาทีนั้นและหันมองอีกฝ่ายตรง ๆ "แกกำลังทำตัวประหลาด"

"ฉันเปล่านะ" เขาตอบกลับ

"แกทำสิ" ฉันย้ำ "แกทะเลาะกับโอลิเวอร์ ไม่คุยกับเขามาเป็นเดือน แล้วเหมือนจะเลิกกับฟราน แล้วก็ไปเป็นรูมเมทกับเดเมี่ยน โดว์...แล้วให้ตายเหอะ เดเมี่ยน โดว์ นะ เดอะดาร์ควัน...คนที่แกต้อง..." ฉันหยุดอยู่แค่นั้นเพราะไม่อยากพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่มีใครอยากพูดถึงมัน ไม่มีใครกล้าพอจะพูดถึงมัน...

"ฉันรู้อริส" เขากัดริมฝีปากล่างแน่นจนมันกลายเป็นสีขาว

"มีอะไรกันแน่ แกไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อนนะ" ฉันว่าพลางจับไหล่เขา อีกฝ่ายเสมองไปทางอื่น

"ฉันไม่อยากพูดถึงมันตอนนี้น่ะ" เขาว่าก่อนจะเงียบไป

เขาในตอนนี้ดูแปลกกว่าเจสันคนเดิมที่ฉันรู้จัก ในตาลึกดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอน แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มสูงเด่น ผิวหน้าซีดดูอ่อนเพลีย ตาสีฟ้าซีดจากกว่าเก่า ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง...เขาไม่เคยเป็นแบบนี้...แบบปล่อยตัวให้โทรมขนาดนี้ ขนาดอยู่ระหว่างไปทำภาระกิจเขายังพกไนท์ครีมไปด้วยเพราะว่ากลัวโดนปาปารัสซี่แอบถ่ายตอนโทรมสุด ๆ

...และตลอดมาเขาเก่งเรื่องนั้นนะ...เรื่องแสดงออกว่าตัวเองเพอร์เฟ็คตลอดเวลา ทั้งการแต่งตัว บุคลิกภาพ การพูดจา

และเมื่อไม่มีสิ่งลวงตาพวกนั้นฉันก็เริ่มจะเห็นเจสันที่เป็นเจสันจริง ๆ ชายคนที่ไม่ได้เพอร์เฟ็ค หน้าตาของเขาไม่ได้ดูดีเกินกว่ามาตรฐานหนุ่มผิวขาวทั่วไป ผมของเขาหยิกนิด ๆ เป็นสีทองเสยขึ้นทัดหูทำให้มองเห็นใบหูกางและมักเป็นสีแดงชัดเจน นัยน์ตาสีฟ้าซีดจางที่เขามักปกปิดมันด้วยคอนแทคเลนส์ กระเม็ดเล็กที่เคยถูกปกปิดด้วยรองพื้นกระจายพาดผ่านจมูกของเขา...ฉันไม่คิดว่าจะมีคนเคยเห็นมัน...แม้แต่โอลิเวอร์ที่เป็นรูมเมทเขาก็ตาม

ศึกสุดท้ายคงกำลังทำให้เขาเครียด...เราทุกคนนั่นแหละ แต่กับเจสันมันไม่เหมือนกัน...กับเขามันหมายถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

"แกว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม"

"อะไร" ฉันถามกลับพลางมองไปตามสายตาของอีกฝ่าย เขากำลังมองไปยังประตูไม้ที่ไหม้เกรียมที่ฟังอยู่ในผนังสุดทางเดิน "เรื่องศาสตราจารย์สโครว์น่ะเหรอ"

"แกคิดว่าเขาทำจริงไหม เดเมี่ยนน่ะ"

ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นเมื่อสี่ปีก่อน อย่างเป็นทางการก็คือศาตราจารย์สโครว์ทดลองสูตรเคมีตัวใหม่ผิดพลาดจนมันระเบิด แต่นักเรียนลือกันว่าเป็นโดว์ที่ฆ่าเขาและจัดฉากเผาห้องทำงานอำพลาง ใคร ๆ ก็รู้ว่าโดว์สนิทกับศาตราจารย์สโครว์และเป็นคนเดียวที่เข้าออกห้องทำงานของเขาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต...แต่ก็นั่นแหละ ขนาดส้วมเต็มทุกคนก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของเดเมี่ยน เพราะงั้น...

"ฉันจำได้ว่าในห้องของเขามีมีดตั้งโชว์อยู่บนชั้นหนังสือ" เจสันพูด "ฉันเคยเข้าไปในนั้นตอนอยู่ม.1 เขาชี้ให้ฉันดูแล้วบอกเป็นของต้องคำสาปอะไรสักอย่าง"

"เหรอ...แล้ว? "

"ตอนแรกฉันก็จำไม่ได้ แต่ฉันว่ามันเป็นมีดเล่มเดียวกันกับที่เดเมี่ยนควงเล่นตลอด"

ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเดเมี่ยนควงมีด...อาจจะเป็นเพราะการพกอาวุธในโรงเรียนถือเป็นเรื่องผิดกฎ แต่จะว่าไปเมื่อปีที่แล้วเขาก็ใช้มีดแทงพวกนักฟุตบอลไปสองคนไม่ใช่เหรอ แถมยังจะแทงโอลิเวอร์ด้วย...ก็ตามที่เขาเล่าน่ะนะ ฉันเมาจนแทบจำอะไรไม่ได้เลย

"แล้วมันสำคัญยังไง? " ฉันว่า "ยังไงซะมันก็ต้องจบใช่ไหม" อีกฝ่ายหันมองฉันด้วยสีหน้าหวั่นใจ ฉันกอดเขา บางครั้งบุคลิกแบบเด็กเสียคนเพราะโดนตามใจมากเกินไป จองหอง ไม่คิดถึงคนอื่นของเขาก็ทำให้ฉันลืมไปว่าเขาคือคนที่เสียสละมากที่สุดในเรื่องนี้

อีกฝ่ายกอดฉันกลับอยู่นานหลายวินาทีก่อนจะปล่อย "เธอชอบทำอะไรดราม่าอยู่เรื่อย"

ฉันหัวเราะ บางครั้งเจสัน แพรตก็เป็นตลกและน่ารักได้

"เธอจะมางานเลี้ยงฮาร์ฟมูนคืนนี้ไหม" อีกฝ่ายเบ้หน้า ฉันคิดว่าคงเพราะที่แล้ว ๆ มาเขาจะไปกับฟรานเชสก้าเสมอ "งั้นก็ตามใจ ถ้าเปลี่ยนใจล่ะก็ฉันอยู่ที่งานนะ"

อีกฝ่ายยิ้มรับก่อนที่เสียงกระดิ่งเข้าเรียนจะดัง

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

นี่มันแย่ แย่มาก ๆ

เจสันเพิ่งอาบน้ำเสร็จตอนผมกลับมาจากกินมื้อค่ำที่ข้าง ๆ กองไฟหน้ากระท่อม เขาปกปิดร่างกายท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวสีเลือดหมูที่มีตราของโรงเรียนปักอยู่ที่มุมหนึ่ง ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า เม็ดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวทำให้เขาดูเหมือนจะเปร่งประกายได้ ที่แก้มด้านขวาของเขามีไฝเม็ดเล็ก ๆ ติดอยู่ กระสีน้ำตาลอ่อน ๆ ที่กระจายตัวผาดผ่านดั้งจมูกของเขามักจะเข้มขึ้นเล็กน้อยตอนที่เขาเพิ่งกลับมาจากซ้อมฟุตบอล แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับกระสีน้ำตาลอ่อนสามเม็ดเรียงตัวเป็นแนวเฉียงอยู่ที่ก้นกบของเขา...ผมไม่ควรจะรู้เรื่องพวกนั้น ไม่ควรเลย

ช่างเป็นกลิ่นที่น่าขยะแขยง นายน้อย บอกมัน บอกมันสิ

"รู้ไหมว่าตัวแกกลิ่นเหมือนขี้ยูนิคอร์น" ผมพูดพลางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองและคว้าหนังสือมาทำเป็นอ่าน รู้ตัวดีว่ากำลังโกหก กลิ่นตัวของเขาหอมด้วยกลิ่นสบู่และหญ้าผสมปนเปกัน นั่นก็แย่ แย่มาก ๆ

"ทำไมนายถึงสนใจเรื่องกลิ่นตัวฉันนัก เดเมี่ยน ตั้งแต่ฉันมาอยู่นี่นายก็บ่นทุกวันไม่เคยหยุด"

"เรียกฉันว่าโดว์"

"ทำไม? "

"เพราะฉันไม่ชอบให้นายเรียกชื่อฉันไง" นั่นก็โกหก ทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อผมมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ "เราไม่ได้แม้แต่เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ"

"นายมีเพื่อนที่ไหน" เขาประท้วง

ช่างสามหาว นายน้อย ให้กระผมฆ่ามัน ให้กระผมออกไปฆ่ามันเพื่อท่านเถอะ

"แล้วใส่เสื้อผ้าสักทีเหอะ แกเป็นอะไร นักเต้นเปลื้องผ้าหรือไง" นั่นก็โกหก ผมชอบที่ได้เห็นร่างกายของเขา ร่างกายสูงและสมส่วน เขามีมัดกล้ามแต่ไม่ได้ชัดเจนเหมือนโอลิเวอร์เพื่อนเขา มันไม่เพอร์เฟค...แต่ก็ชวนมอง

อีกฝ่ายทำเสียคำรามในลำคอก่อนจะสวมกางเกงบ๊อกเซอร์แนบเนื้อสีขาวแทนผ้าขนหนูแล้วมานั่งที่ขอบเตียงเพื่อเช็ดผมให้แห้ง...หว่างขาของเขาอยู่ในระดับที่สายตาจากเตียงของผม...นั่นโคตรจะแย่เลย

"นายอ่านอะไรอยู่" พูดแล้วก็ช้อนตาผ้าลอดผ่านผ้าขนหนูมองมาทางผม

"ไปตายซะ แพรต" ผมว่าก่อนจะโยนหนังสือไปที่ปลายเตียงและพลิกตัวหันหลังให้กับอีกฝ่าย

"ชื่อหนังสือแแปลกดีนะ" เขาตอบ

นี่แย่ แย่มาก ๆ ผมทนไม่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียวที่จะมองหน้าชายคนนั้นโดยที่ไม่หลุดปากออกไปว่าผมแอบชอบเขาอย่างสุดหัวใจนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

มันฟังดูน้ำเน่า ผมรู้ แต่มันเป็นความจริง ตั้งแต่ตอนพิธีคัดสรรที่ผมได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งแรกผมก็รู้ว่าเจสันพิเศษกว่าคนอื่น ก่อนที่ผมจะรู้ว่าเขาคือผู้ถูกเลือก ก่อนที่ผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ด้วยซ้ำ ผมรู้แค่ว่าชายคนนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน เขามีรอยยิ้มที่งดงาม ในตาสีฟ้าเหมือนท้องฟ้าที่เปิดโล่งหลังพายุสงบ ผมหยักศกนิด ๆ สีทองช่วยทำให้เขาดูมีชีวิตชีวา...แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนโลกทั้งโลกพยายามแยกเราให้อยู่ห่างออกจากกัน ทุกคนบอกว่าพวกเราเป็นศัตรูกัน เราต้องห้ำหั่นกันในศึกสุดท้ายและผมจะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกเขาฆ่าเพื่อรักษาอาณาจักรแห่งแสงไว้...เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่ปรากฏอยู่บนหินนั่น นานหลายปีที่ผมคิดว่าผมเกลียดเขา ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนักหลังจากที่เขาไม่สนใจไยดีผมตอนที่ถูกเพื่อน ๆ ของเขาจับกดน้ำชักโครกในห้องส้วม นานหลายปีที่ผมเอาแต่จ้องมองเขาจากที่ไกล ๆ ด้วยความชิงชังไอ้ความอวดดีและหยิ่งผยองของเขา มองดูเขาเอาชนะอุปสรรคนับร้อยนับพันที่โถมเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าและรู้สึกขยะแขยง...หรืออย่างน้อยผมก็เชื่อว่าผมรู้สึกแบบนั้น ผมพร่ำคำโกหกให้ตัวเองฟังจนคิดว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ

จนกระทั่งผมเข้าร่วมทีมฟุตบอล

มันเป็นความฝันของผมเลยนะ...รู้ไหม ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรสักอย่าง ตลอดหลายปีผมเอาแต่เฝ้ามองพวกนั้นจากที่ไกล ๆ และหวังว่าสักวันผมจะดีพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกนั้นได้ และเมื่อโค๊ชพีเจี้ยนถามผมว่าอยากเข้าร่วมทีมไหม ผมก็ตกลงทันทีโดยไม่สนใจว่าต้องทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ช่วยกิ๊กก๊อกคอยช่วยโค๊ชทำตารางซ้อม แบกน้ำเสิร์ฟให้ผู้เล่น ซักเสื้อผ้าให้ทีม สูบลมลูกฟุตบอล หรือแม้แต่ทำความสะอาดห้องล๊อกเกอร์ ถึงจะทำงานเหมือนคนใช้แต่ผมมีความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกมานานหลายปี โค๊ชพีเจี้ยนเองก็ปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ เขาเป็นเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนนี้...หรือในชีวิตของผมที่ทำปฏิบัติกับผมแบบนั้น

และผมก็คิดกับตัวเองว่าคงไม่เป็นไรที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเจสัน...แต่ผมคิดผิด

ครั้งแรกที่เขาพูดกับผมคือตอนที่ผมเอาชุดซ้อมที่ซักเสร็จเรียบร้อยไปให้ เขามองผมและยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่า "ขอบใจ"

เพียงเท่านั้น และมากถึงขนาดนั้นก็ทำเอาทุกความเกลียดชังที่ผมสั่งสมมาหลายปีมลายหายไป

พอมารู้ตัวอีกที ผมก็แอบกอดเสื้อซ้อมของเขาและสูดกลิ่นกายที่หอมหวามนั่นทุกครั้งที่ต้องเอาเสื้อผ้าไปซักและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้คนจิตป่วยน่าสมเพช ชิงชังตัวเองทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ชิงชังที่ตัวเองไม่มีวันดีพอที่จะอยู่ใกล้เขาได้ ชิงชังที่ต้องเกิดมาเป็นเดอะดาร์ควัน เป็นไอ้ชั่วชาติที่ไม่มีวันจะดีได้ และเศร้าที่ต้องตายด้วยน้ำมือชายคนนั้น

เพราะงั้น พอมีข่าวลือว่าผมสาปทีมจนแพ้การแข่งรอบสุดท้าย ผมก็รีบวิ่งหนีออกมาเหมือนหมาขี้ขลาดตาขาว



ไม่นานเจสันก็ดับไฟ ตามมาด้วยเสียงผิวหนังของเขาเสียดสีกับผ้าห่ม เขาขยับตัวอยู่สองสามครั้งก่อนที่ลมหายใจจะค่อย ๆ ดังเป็นจังหวะเนิบช้า มันใช้เวลาไม่นานกว่าเขาจะหลับลึกพอที่จะไม่รู้ว่าผมแอบพลิกตัวมามองเขาเวลานอน

บางครั้งมันก็ยากจะจินตนาการว่าไอ้คนหัวสูงหยิ่งจองหองในพลังของตัวเองและคิดว่าเงินใช้แก้ปัญหาทุกอย่างได้จะเป็นคน ๆ เดียวกันกับชายที่นอนอยู่บนเตียงถัดจากผมไปไม่กี่ฟุต ชายที่ดูสงบนิ่ง น่าหลงใหล เขามีขนตาสั้นแต่ดูน่ารัก ชอบกระดิกจมูกไปมาและสูดหายใจลึกสั้น ๆ

เขาอยู่ใกล้ผมมาก...แต่ในเวลาเดียวกันก็ไกลเกินกว่าที่คนอย่างผมจะเอื้อมคว้าไว้

นี่ก็แย่ แย่มาก ๆ ด้วย ผมควรออกไปนอนข้างนอกอย่างที่ผมตั้งใจแต่แรก แต่ป่าไม่ยอม มันไม่ยอมให้ผมไปนอนที่ไหนนอกจากในกระท่อม...และผมก็ไม่แน่ใจว่าผมอยากจะไปนอนที่อื่น

เรื่องนี้ต้องจบ มันต้องจบได้แล้ว ผมบอกกับตัวเองพลางหลับตา

นายต้องเกลียดมัน เดเมี่ยน นายต้องชิงชังมัน เพราะถ้าไม่เป็นแบบนั้นเมื่อถึงเวลาที่มันต้องแทงหัวใจนายด้วยดาบเซเบอร์เห่ย ๆ นั่นมันจะเจ็บปวดเกินไป เจ็บปวดเกินกว่าที่แม้แต่คนอย่างนายจะรับไหว

ผมกล่อมตัวเองด้วยคำพูดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างคนจนตรอกเพราะความรัก ไม่นานผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกลงไป...ตกลงไปในห้วงนิทราที่ยากเหลือเกินที่ต้านทาน ตกลงไปห้วงเหวลึกที่ผมไม่อาจจะปืนป่ายออกมาได้ ห้วงเหวแห่งความน่าหวาดหวั่นอันไร้ซึ่งทางหลีกหนี

มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว

ผมตกลงไป ตกลงไปยังใจกลางความดำมืดนั้นเหมือนเช่นเกือบทุกคืนตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่ม แล้วผมก็ถูกลากผ่านพื้นไม้เก่าลงไปยังห้องใต้ดินที่มีกลิ่นเหมือนดินและคาวเลือด

"จำไว้ว่ามันไม่มีทางเลือกอื่น มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น" เสียงพ่อของผมพูดก่อนจะจับผมมัดกับเส้นเชือกหนัง เขาหวดผมเข้าที่แผ่นหลัง ความเจ็บปวดจากเพลิงนรกแผ่ซ่านเข้ามาในตัวผม ผมอ้อนวอน ครั้งแล้วครั้งเล่า คืนแล้วคืนเล่า ผมอ้อนวอน อ้อนวอนด้วยน้ำตาให้เขาหยุด

แล้วผมก็ตลกลงไปอีกครั้ง ตกลงไปยังห้องของศาสตราจารย์สโครว์ ใบหน้าน่าสะอิดสะเอียนของชายคนนั้นทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก หยดเหงื่อของเขาหยดลงบนใบหน้าผม ลิ้นที่เลียอยู่บนริมฝีปากน่าขยะแขยง ผมหายใจไม่ออก ได้ยินเสียงกระดูกในคอแตกหักและแหลกเหลวอยู่ในกำมือของชายคนนั้น แล้วทุกอย่างก็ลุกเป็นไฟ... ใบหน้าของไอ้สโครว์หลอมละลายจากความร้อน ที่ลำคอมีมีดพับบาลิซองปักอยู่ ลูกตาระเบิดและไหลย้อยลงมาจากเบ้า ผิวหนังหดตัวและไหม้เผยให้เห็นผิวหนังสีขาวซีดด้านใน ก่อนจะกลายเป็นกล้ามเนื้อ และกระดูก

อย่าฝืนเลย เดเมี่ยน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย มันพูดด้วยริมฝีปากที่ฉีกขาดจากความร้อน ฟันของมันเรืองแสงจากไฟที่ลามเลียอยู่บนใบหน้า

แล้วทุกอย่างก็เลือนหายไปและผมก็ตกลงไปอีกครั้ง...ไปยังห้อง ๆ หนึ่ง บนผนังมีแต่นกฮูกนับสิบ ๆ ตัว พวกมันจ้องมองมาทางผมด้วยในตาโตในความเงียบงัน เสียงร้องเพลงดังมาในอากาศแต่ผมไม่เห็นใครคนอื่น เก้าอี้และโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่มุมห้องด้านหลัง บนนั้นมีลูกสี่เหลี่ยมวางอยู่ มันมีสีฟ้ากระดำกระด่าง ตัวหนังสือเขียนไว้ด้วยลายมือขยุกขยิก แต่มันอยู่ด้านข้าง ผมพยายามมองมัน แต่ไม่ได้

และผมก็ตกลงไปอีกครั้ง ตกลงไปในความมืดมิดและจากนั้นก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องครัว แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทาบทับอยู่บนวอร์เปเปอร์รูปดอกลินลี่เล็ก ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหน้าเข้าหาอ่างล้างจานและหันหลังให้ผม เธอดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก กลิ่นควันบุหรี่เจือจางอยู่ในอากาศมาจากบุหรี่ที่เธอคนนั้นคาบไว้ ในมือผมมีมาราคัสสีฟ้าอยู่ มันส่งเสียง แซก แซก ทุกครั้งที่ผมทุบมันกับโต๊ะ และทุบ และทุบ และทุบ จากนั้นเส้นสายสีดำก็กระจายออกมาจากมือผม มันเหมือนรากไม้ ชอนไชและกลืนกินห้องนั้นทั้งห้อง แล้วความดำมืดก็ปกคลุมบดบังวิสัยทัศน์ตรงหน้าก่อนจะแทนที่ด้วยภาพของหอคอยสีดำกลางความมืดและพายุฝน ผมเลื้อยลัดขึ้นไปตามความสูงของหอคอยนั้น เข้าไปยังห้องที่อยู่บนสุด ที่นั่นผมเห็นมัน แหล่งพลังของเงาทั้งมวล ต้นไม้สีดำทมิฬที่แผ่กิ่งก้านสีดำ และที่ตรงนั้น ที่กลางต้นไม่นั้นมีใบหน้ายื่นออกมา ใบหน้าของหญิงคนหนึ่ง เธอเปิดเปลือกตาเมื่อผมเข้าไปไกล้

"ฉันเจอเธอแล้ว"



คำนั้นทำให้ผมกรีดร้องและเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน เหงื่อกาฬไหลทะลักเหมือนเช่นทุกคืน เจสันครางงัวเงียเหมือนกำลังจะตื่น ผมจึงรีบออกจากกระท่อม ความร้อนที่ไหม้อยู่ที่แผ่นหลังของผมกำลังฆ่าผมทั้งเป็น มันเจ็บปวดเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วินาทีก่อนนี่เอง ผมรู้สึกได้ถึงหยดเลือดที่แผ่ซึมออกมา ความแสบร้อนเหมือนผิวหนังถูกเผาไหม้ด้วยไฟ

มันกำลังฆ่าผมทั้งเป็น หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทำให้ผมเจ็บปวดจนเหมือนกำลังจะเป็นแบบนั้น

นี่แย่ แย่มาก ๆ นายน้อย ท่านต้องหาคนช่วย ให้กระผมออกไปสิ กระผมช่วยท่านได้

"หุบปาก! " ผมตะโกนตอบเวตาลก่อนจะล้มลง ได้กลิ่นหญ้าและดินกระจายอยู่ในปาก รู้สึกเหมือนสติขาดหายเป็นห้วง ๆ

นี่โคตรจะแย่เลย

ท่านต้องไปที่บ่อน้ำ นายน้อย เหมือนครั้งก่อน ๆ

ผมกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนและออกเดิน ไม่รู้นานเท่าไร ไม่รู้ทำได้ยังไง แต่สุดท้ายผมก็มาถึงจุดหมาย มันเป็นบ่อน้ำที่มีตรงกลางเป็นเกาะเล็ก ๆ ต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ที่นั่น ตรงโคนต้นมีก้อนหินสีเงินตั้งอยู่โดยมีรากของต้นไม้โอบอุ้มมันไว้

ผมเดินลงไปยังบ่อน้ำก่อนจะถอดเสื้อยืดที่ยึดมาจากเจสันออกมากำไว้ในมือ ถึงผมจะใส่มันมานานเป็นอาทิตย์แล้วกลิ่นของชายคนนั้นก็ยังติดอยู่บนเสื้อ ผมหย่อนตัวลงแช่น้ำสีเขียวมรกตท่ามกลางแสงจันทร์ รู้สึกได้ถึงความเย็นเหยียบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและแผ่นหลัง และเหมือนทุก ๆ ครั้ง ทุกอย่างค่อย ๆ สงบลง ผมรู้สึกเหมือนปิศาจร้ายที่อยู่ในร่างกายกำลังหลับใหลไปอีกครั้ง

นายน้อย ท่านน่าจะให้ข้าช่วย

"ช่วยออกมาฆ่าคนอื่น ๆ นะเหรอ ฝันไปเหอะ"

ข้าไม่ทำแบบนั้นแน่นอน ขอสาบาน

"ทำไมไม่ลองสาบานว่าจะหุบปากไปตลอดชาติล่ะ" ผมว่า "แบบนั้นน่าเชื่อกว่าเยอะเลย"

นั่นก็น่าสนใจดี แต่ท่านคงจะเบื่อแย่

ผมหลุดยิ้มออกมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เวตาลก็เป็นสิ่งที่ไกล้เคียงกับคำว่าเพื่อนมากที่สุดเท่าที่ผมจะมีได้

"นายพูดกับใคร" จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของผม บ้าเอ้ย มันมาทำอะไรที่นี่วะ

นายน้อย มันมาแล้ว ฆ่ามัน ฆ่ามันนายน้อย

"หุปปาก" ผมตะโกนลั่น บอกกับทั้งเวตาลและเจสัน "นายมาทำอะไรที่นี่ เจสัน"

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง "ฉันตามนายมาเพราะอยากรู้ว่านายมาทำห่าอะไรที่นี่...นี่มัน...บ่อน้ำแห่งหินพยากรณ์ไม่ใชเหรอ...จอมเวทสูงสุดสั่งห้ามเข้ามาที่นี่เด็ดขาด"

"บอกหน่อยว่าทำไมฉันต้องสนใจ" ผมพูดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันกลับไปมอง พยายามย่อตัวลงให้ร่างกายอยู่ใต้น้ำเพื่ออีกฝ่ายจะได้ไม่เห็น

อีกฝ่ายสูดหายใจลึกก่อนจะว่าต่อ "แล้ว...หลังนาย..."

"อย่ามอง" ผมตะโกนลั่น

ฆ่ามัน ให้กระผมฆ่ามัน

"เวตาล หุปปาก! " ผมตะโกนอีกครั้งจนเสียงแหบแห้งขาดหาย

"นายพูดกับใคร" เจสันถาม "เวตาลไหน"

"แม่แกไง มันฝากทักทายด้วย"

เจสันเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฉันต้องการให้นายขึ้นจากบ่อน้ำและตามฉันไปที่โรงเรียน เดี๋ยวนี้"

"อ้อ ดูสิว่าใครเป็นเจ้านายใครแล้วตอนนี้" ผมว่า "สั่งคนนั้นสั่งคนนี้ไปทั่ว ฉันไม่ใช่ไอ้พวกลูกกระจ๊อกของแกนะที่จะให้แกมาสั่งให้ทำตามได้ทุกอย่างนะ"

"หันกลับมาและเดินขึ้นจากบ่อน้ำช้า ๆ เดเมี่ยน ไม่งั้น..."

"ไม่งั้นอะไรเจสัน! ไม่งั้นอะไร!! " ผมแหกปาก "ไม่งั้นจะฆ่าฉันหรอ ก็เอาสิ ทำเลย" อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง "น่าสมเพจ แกมันอย่างกับลูกหมา รู้ไหม? ถูกฝึกให้เชื่อง ต้องรอคำสั่งจากเจ้านาย รอให้เขากระตุกสายจูงก่อนจะขี้จะเยี่ยวได้"

"หันมาเดเมี่ยน เดี๋ยวนี้! "

ผมหมดความอดทนในวินาทีนั้น หมดความอดทนกับทั้งอีกฝ่ายที่น่าสมเพช กับตัวเองที่แอบชอบเขา และไอ้สิ่งที่ถูกฝังอยู่ในหัวของผม ก็ได้ ถ้าเขาอยากจะเห็น ก็เอาเลย ดูมันให้เต็มตา

ผมหันหลังมาประจันหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ

...........................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

นัยน์ตาของชายคนนั้นเป็นสีดำ...ไม่ใช่ มันคือเงา...เส้นสายสีดำที่แผ่ไปรอบทิศทางเหมือนรากไม้ที่ชอนไชไปในเนื้อดิน ผมเคยเห็นมันมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่ใช่บนตัวคนแบบนี้ ไม่ใช่ในเบ้าตาของคนแบบนี้

"พอใจหรือยัง" เดเมี่ยนว่าด้วยรอยยิ้มน่าขยะแขยง...และให้ตาย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาลืมตาอยู่หรือเปล่า

"นาย...แบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นมัน..."

"เงา ความมืด ความชั่วร้าย ความฟอนเฟะ อะไรอีกล่ะ...ให้ตายเหอะฉันไม่มีพจนานุกรมติดมาด้วยสิ"

"ไม่ตลกนะเดเมี่ยน..."

"อย่าเรียกชื่อฉัน" เขาตะโกน

ผมสูดลมหายใจลึกก่อนว่าต่อ "โดว์...นี่มัน ตานาย หลังนาย...มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่"

"แกจะสนใจทำไม" อีกฝ่ายว่าพร้อม ๆ กับเส้นสายสีดำที่เริ่มเคลื่อนตัวลงมาจากเบ้าตา มันลามเลียตามใบหน้าเหมือนหยดน้ำตาสีดำทมิฬ เลื้อยลัดไปตามลำคอ หัวไหล่ ลำแขนและละลายลงบนผิวน้ำที่อยู่สูงในระดับเอวต่ำของเขาทำให้รอบ ๆ ตัวของเดเมี่ยนดูเหมือนจมอยู่ในแอ่งสีดำ

วินาทีต่อมาเดเมี่ยนก็กลับมาเป็นเดเมี่ยนอีกครั้ง

"อะไร" ชายคนนั้นถาม ใบหน้าของเขามีเม็ดน้ำเกาะอยู่ส่องแสงวิบวับล้อกับแสงสะท้อนจากผิวน้ำ

มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ในท้องน้อย

ผมเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาและชี้ไม้กายสิทธิ์ในมือไปทางอีกฝ่าย "นายต้องไปกับฉัน เดี๋ยวนี้"

เดเมี่ยนหัวเราะ "ไม่ล่ะ ขอบใจ" เขาว่าก่อนจะค่อย ๆ เดินขึ้นจากบ่อน้ำ มือก็ฟาดเสื้อเปียกโชกขึ้นพาดบ่า

"ฉันไม่ได้ขอ" ผมคว้าไหล่ของเขาไว้ แต่อีกฝ่ายสะบัดหลุดและโถมตัวเข้าใส่ผมจนเราล้มลงไปนอนกับพื้น ไม่รู้ว่าเขาควักมีดพับออกมาตอนไหน แต่ตอนนี้มันก็จ่ออยู่ที่คอหอยผมแล้ว

"อย่ามาจับตัวฉันไอ้เศษสวะ" เขาว่า

"แต่ตอนนี้นายเป็นคนนอนทับตัวฉันอยู่นะ...หมายความว่าไง นายจับตัวฉันได้ แต่ฉันห้ามจับตัวนายงั้นเหรอ"

ทันทีที่พูดจบผมก็รู้ว่ามันฟังดูเกย์มากแค่ไหน

อีกฝ่ายจ้องผมเหมือนหมาบ้า ในตาสีดำที่เหมือนหลุมลึกมองผมอย่างเคียดแค้น แต่มันมีบางอย่างมากกว่านั้น กับเดเมี่ยนมันมักจะมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้นในสายตาของเขาเสมอ ความเหงา เศร้า และความเจ็บปวด

แล้วจู่ ๆ แผ่นเดินที่อยู่ข้างใต้พวกเราก็สั่นสะเทือน เดเมี่ยนเสียสมาธิไปครู่หนึ่งผมจึงผลักเขาให้ออกจากตัวผมและคว้าไม้กายสิทธิ์มาไว้ในมือแล้วชี้ไปที่เขา

"อย่า" เสียงใครสักคนดังมา

ผมหันไปทางต้นเสียงนั้นจึงเห็นร่างสีเงินที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ผมของเธอสยายยาวเหมือนนางเงือก เธอสวมชุดสูธที่มีรอยแผลอยู่ที่หน้าอกข้างซ้าย สวมรองเท้าส้นสูงสีดำที่เท้าขวาส่วนอีกข้างเปลื่อยเปล่า

ผมจ้องใบหน้านั่นและรู้ทันทีว่าเธอคือใคร

"แม่" ผมพูดออกมาอย่างยากลำบาก เดเมี่ยนร้องออกมาว่า ห๊ะ เบา ๆ แต่ผมไม่สนใจ

"ลูกรัก แม่มีเวลาไม่มาก" เธอพูดอย่างรัวเร็วด้วยเสียงก้องกังวาน "ลูกต้องออกไปจากโรงเรียนนี้ให้เร็วที่สุด ทุกอย่างเป็นคำโกหก พาเดเมี่ยนไปด้วย ความฝันของเขาจะนำทาง พวกลูกคือความหวังสุดท้ายแล้ว"

ผมได้แต่ยืนตกตะลึง ไม่รู้จะพูดคำไหนออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ยินหมดทุกคำที่อีกฝ่ายพูด

แต่แล้วเสียงไซเรนเตือนภัยก็ดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง

"หนีออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้" เธอว่า "และจำไว้ อย่าไว้ใจจอมเวทสูงสุด อย่าไว้ใจเขาเด็ดขาด"

จากนั้นเธอก็จากหายไปเหมือนไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน

"อะไร"

"แพรต แพรต" เดเมี่ยนตะโกนเรียกผม

"นั่นมัน..." ผมชี้ไปตรงที่ร่างของเธอเคยลอยอยู่ก่อนจะหันมองเดเมี่ยน "นายก็เห็น ใช่ไหม"

เดเมี่ยนไม่พูด แต่สีหน้าก็บอกชัดเจนว่าเขาก็เห็นเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน

เสียงไซเรนที่ดูเหมือนจะดังขึ้นกว่าเก่าฉุดรั้งให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน "มีเรื่องเกิดขึ้นที่โรงเรียน" ผมพึมพำกับตัวเองและออกเดิน "นายกลับไปที่กระท่อมก่อน รอฉันที่นั่น"

"นายเป็นใครมาสั่งฉัน"

"เดเมี่ยน" ผมเผลอตะคอกเขา ก่อนจะลดเสียงลงและพูดต่อ "ขอร้อง กลับไปที่กระท่อม เก็บข้าวของแล้วเตรียมออกเดินทาง"

"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะ"

"แค่ ทำตามที่บอก โอเค๊" ผมสรุปก่อนจะหันหลังเดินไป

อีกฝ่ายตะโกนไล่หลังผมมา "ไม่ แพรต ฉันจะไม่ทำตามคำสั่งเหมือนลูกหมาโง่ ๆ แค่เพราะวิญญาณแม่แกโผล่มาบอกให้ทำหรอก"

"ฉันไม่สนใจหรอกว่าแกจะคิดอะไร" ผมตะโกนลั่นพลางเดินไปหาอีกฝ่าย จับเขาที่หัวไหล่และเขย่า รู้สึกถึงไฟที่กำลังลุกโชนอยู่บนผิวกาย "แต่พอฉันจัดการเรื่องที่โรงเรียนจบ แกต้องไปกับฉัน"

"ไม่งั้นจะทำไม" เดเมี่ยนถามกลับมาแล้วสะบัดมือผมออก "แกจะฆ่าฉันหรือไง"

คำนั้นของเขาทำให้ผมเจ็บในอก ไฟที่ลุกอยู่รอบตัวกลายเป็นสีฟ้าและค่อย ๆ มอดดับลง "เราค่อยคุยเรื่องนั้นทีหลัง ตอนนี้ฉันต้องกลับไปที่โรงเรียนก่อน"

พูดจบผมก็หันหลังและวิ่งกลับไปยังโรงเรียน สมองยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน พยายามหาเหตุผลมาอธิบายถึงการปรากฏตัวของแม่ ทำไมตอนนี้ ทำไมวันนี้ ทั้งที่ตลอดหลายปีมานี่แม่ไม่เคยมาหาผมเลย ไม่เคยเข้าฝัน ไม่เคยแม้แต่เขาสิงคนทรง ตลอดมาผมคิดว่าเธอคงไปสู่สุคติแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น...หรือสิ่งที่ผมเห็นอาจจะไม่ใช่เธอ อาจจะเป็นภาพลวงตาของฝ่ายเงาที่สร้างมาเพื่อให้ผมพาเดเมี่ยนออกไปจากโรงเรียนและชิงตัวเขากลับไปครองบัลลังก์เป็นจอมมาร มันก็เป็นไปได้...แต่วิญญาณนั่นก็ดูเหมือนจริงมาก...ให้ตาย ผมเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องวิเคราะห์เวทย์ด้วยตาเปล่าด้วยสิ ผมเกือบตกวิชานั้น....

คิดมาถึงตรงนี้ผมก็มาถึงสนามของโรงเรียนที่ดูเหมือนสนามรบ...

...............................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอฝากนิยายเรื่องอื่น ๆ ด้วยจั๊บ




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Moonwish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ชอบมากกกกก ทั้งภาษาทั้งเนื้อเรื่อง
ภาษาเหมือนนิยายแปล ไม่หยาบ บรรยายลื่นไหล อ่านง่าย
เนื้อเรื่องเป็นแนวแฟนาซี ตัวเอกทั้งสองมีเอกลักษณ์ ชอบเดเมี่ยนมาก
น่าสงสาร ชีวิตรันทดได้อีก พ่อตาย แม่ตาย ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ต้องตายตอนอายุ 18 ปี
โอว้ ดราม่าขั้นสุด แต่เดเมี่ยนไม่มานั่งเศร้า เป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนขวางโลกเพราะโลกไม่เคยเข้าข้าง สงสัยว่าไปชอบอีตาเจสันได้ไง พ่อหนุ่มสำอางค์ สุดฮอตหลงตัวเอง แต่เอาเหอะเชื่อว่าอีกหน่อยเจสันก็จะรูุ้ว่าเดเมี่ยนมีเสน่ห์เป็นตัวของตัวเอง ถึงตอนนั้นต้องเอาเวทย์บนหน้าออกให้เดเมี่ยนด้วย กับโอลิเวอร์ก็เลิกคบไปเลย เพื่อนเลว แฟนเก่าก็ดูเป็นคนดีแต่ห้ามกับไปคบ
มาต่อไวไวนะ


ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ฟรานเชสก้า

มันเป็นช่วงค่ำที่ค่อนข้างดีเลยนะ งานเลี้ยงฮาร์ฟมูนถูกจัดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยน แน่ล่ะก็เพราะฉันเป็นคนจัดการเองกับมือนี่หน่า

อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้ตามซุ้มอาหารบุฟเฟ่ต์ ล้อมรอบพื้นที่ตรงกลางที่เป็นพื้นที่ฉายหนังบนจอกลางแปลง...ธีมปีนี้คือภาพยนตร์ พวกชมรมภาพยนตร์ศึกษาดี้ด้ากันใหญ่

"จัดงานได้เพอร์เฟ็คเหมือนเดิมเลยนะ ฟราน" เสียงอริสดังมาจากด้านหลังของฉัน

"อ้าว อริส ว่าไง" ฉันพยายามทำตัวเหมือนยุ่งเข้าไว้เพื่อให้อีกฝ่ายถอยออกไปเอง การอยู่กับเธอสองต่อสองเป็นอะไรที่ชวนอึดอัดเมื่อเธอคอยแต่จะย้ำเตือนว่าฉันมันเป็นได้แค่เบอร์สองในเรื่องราวของเจสัน

"ต้องยอมรับเลยนะว่าธีมปีนี้โอเคมากเลย"

"จริงเหรอ ขอบใจมากนะ" ฉันว่าพลางหันไปสั่งให้ลูกทีมสองสามคนจัดการกับขยะรอบ ๆ

"ขอฉันคุยกับเธอสักเดี๋ยวได้ไหม" อีกฝ่ายว่า ฉันกำลังจะหันไปปฏิเสธแต่เธอก็เข้ามาควงแขนฉันเดินไปด้วยกัน "ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะฟราน ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"อะไร? "

"ขอร้องล่ะ...เรื่องเธอกับเจสันไง"

"เขาไม่ได้เล่าให้เธอฟังเหรอ"

"เปล่า" เธอว่าพลางเลิกตาโต "มันเรื่องอะไรกันแน่ฟราน"

ฉันถอนหายใจ "ฉันเลิกกับเขาแล้วอริส"

อีกฝ่ายนิ่วหน้า "ทำไม"

"เพราะเขาจับได้ว่าฉันนอกใจเขา"

อริสหดคอกลับเข้าไปเหมือนเต่า "อะไร? เธอเนี่ยนะ"

"ใช่ เขาเข้ามาเห็นตอนฉันนอนอยู่กับโอลิเวอร์" ฉันพูดต่อโดยไม่สนใจเสียงร้องว่า แสงศักดิ์สิทธิ์ ของเธอ "...บนเตียงของเขา"

"โอ้ให้ตายเหอะ เธอถูกเงาสิงเหรอ" อริสร้องออกมา เธอหมุนรอบตัวเองพลางนาบฝ่ามือกับหน้าผาก "แล้วเธอ...แล้วเธอกล้ามาบอกฉันตรง ๆ แบบนี้ได้ยังไง"

ฉันจนปัญญา ไม่รู้จะบอกเธอตรง ๆ ดีไหมว่าเพราะอยากให้เธอเลิกมาตามตอแยฉันสักที แค่โอลิเวอร์คนเดียวก็ทำเอาฉันประสาทเสียแล้ว

"เธอกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง เขาเป็นแฟนเธอนะ ฉันคิดว่า..."

"อะไร? " ฉันสวน "คิดว่าฉันรักเขาเหรอ...ใช่อริส ฉันรักเขา แต่เขาไม่ได้รู้สึกอย่างที่ฉันรู้สึกหรอก"

เธอคนนั้นขมวดคิ้วจนมันย่น ฉันบอกเธอแล้วว่ามันทำให้หน้าเธอดูเหมือนหมาปั๊ก "หมายความว่า"

"ไม่เอาน่า" ฉันร้องออกมา "ทุกครั้งที่มีเรื่องอะไร ทุกครั้งที่มีปัญหา ใครที่เขาวิ่งแจ้นไปหาก่อนเป็นคนแรก ใครที่คอยแก้ปัญหาให้เขา คอยอยู่กับเขาเวลาออกไปทำภารกิจ คอยพาเขากลับมาที่นี่ทุกครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา" ฉันหยุด "เธอเป็นคนแรกเสมออริส จากนั้นก็เป็นโอลิเวอร์ แล้วค่อยมาเป็นฉัน"

"คนแรกควรจะเป็นจอมเวทสูงสุดแต่..."

"เธอได้นอนกับเขาไหม" ฉันถามสวนขึ้นในทันที

"ใคร โอริเวอร์น่ะเหรอ"

"ไม่ เจสัน"

"ไม่ ไม่มีทาง" เธอทำหน้าเหยเกจนฉันเกือบคิดว่าเธอรู้สึกขยะแขยงเจสันมากกว่าไอเดียที่ว่าเธอนอนกับเขา "ตกลงมันเรื่องนี้เหรอ เรื่องฉัน เรื่องที่เธอหึงฉัน" ฉันไม่ตอบ มันก็ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด "เธอได้นอนกับเขาไหม"

ฉันชายตามองอีกฝ่าย เธอดูเหมือนจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วจึงเสมองไปทางอื่น

"เขาต้องเสียใจมากแน่ ๆ " อริสพึมพำออกมาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า

"ฉันก็เสียใจ อริส ..." ฉันหยุด พยายามรวบรวมความคิดก่อนว่า "ฉันรักเขานะ รักมาตลอด...แต่..."

คำต่อไปของฉันขาดหายไปในเสียงไซเรนเตือนภัย นักเรียนพากันลุกขึ้นจากพื้นสนาม หลายคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

และเม็ดน้ำก็หยดลงบนใบหน้าฉัน มันเป็นเลือด ร้อนอุ่นเหมือนเพิ่งไหลออกมาจากร่างสิ่งมีชีวิต

ทุกคนต่างเงียบนิ่งอย่างตกตะลึง ฉันมองขึ้นไปบนฟ้าจึงเห็นบางอย่างทะยานหยาดลงมาจากกลุ่มเมฆขมุ่กขมัว ร่างกายของมันดูเหมือนกิ้งก่าที่มีแต่โครงกระดูก ปีกค้างคาวสะบัดกระพือก่อนเท้าทั้งสี่ของมันจะลงแตะพื้น

และชายคนนั้นก็วาดขาลงมาจากคอของสัตว์ตัวนั้น ชายที่อยู่ในชุดเกาะสีดำทมิฬ

"อัศวินมืด" อริสพูดคำนั้นออกมาอย่างเสียขวัญก่อนจะตะโกนลั่น "ทุกคน หนีไป" เธอคว้าไม้กายสิทธิ์มาไว้ในมือก่อนจะวิ่งเข้าไปหาร่างทมิฬนั่น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

เสียงกรีดร้องของเด็กนักเรียนหลายร้อยดังขึ้นก่อนที่ผมจะไปถึงลานต้นไทรจอมเขย่า และอย่างที่ผมกลัว ผมมาช้าไป

ปิศาจจากเงามากมายกำลังเข้าโจมตีโรงเรียน แวมไพร์ ซอมบี้ กากอย และอีกนับร้อยนับพันกำลังเข้าฆ่าเด็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้

ผมคว้าไม้กายสิทธิ์ของตัวเองออกมาและว่าคาถาเรียกดาบเซเบอร์ก่อนจะฟันซอมบี้ตัวหนึ่งล้มลง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่ มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้ คาถาป้องกันของจอมเวทสูงสุดน่าจะกันพวกมันให้อยู่นอกเขตโรงเรียนได้นี่หนา

"เจสัน เจสัน! " เสียงใครสักคนดังมา เมื่อหันไปจึงเห็นอริสอยู่ที่นั่น พร้อมกับฟราน

"พวกเธอโอเคหรือเปล่า" ผมเอ่ยถามพลางมองฟราน หยดเลือดสีแดงที่ชโลมอยู่ทั่วทั้งตัวทำให้หน้าตาเธอดูเหมือนหลุดออกมาจากหนังเรื่องแครี่ สาวสยอง

"ไม่ แน่นอนเลยว่าไม่" อริสร้องออกมาก่อนจะเสกบอลไฟใส่แวมไพร์ตัวหนึ่ง "จะเอายังไง"

ก่อนที่ผมจะตอบเสียงอีกเสียงก็ตะโกนจากอีกด้านของสนาม เขาวิ่งเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว โอลิเวอร์ "ศาสตราจารย์บอกว่าให้เด็ก ๆ เข้าไปข้างใน"

"ความคิดไม่เลว" อริสว่า

"ฉันกำลังช่วยนักเรียนคนอื่น ๆ " เขาว่า สายตาแอบเหลือบมองฟรานหลายครั้ง คิดว่าไม่เห็นเหรอ!!

"เรื่องนั้นให้พวกอาจารย์จัดการเหอะ" อริสร้องออกมาก่อนจะฆ่ากากายที่พยายามโฉบลงมาจับตัวเธอ "พวกเรามีเรื่องสำคัญกว่า"

"อะไรจะสำคัญกว่าช่วยชีวิตนักเรียนห๊ะ" ผมร้องและฆ่าซอมบี้อีกตัว

"อัศวินมืด" เธอว่า "เขาอยู่ที่นี่ ฉันเห็น"

แค่ได้ยินชื่อขนทั้งตัวของผมก็ลุกชัน เจ้านั่นมาที่นี่ ขุนพลเอกของราชินีแห่งเงาที่ขึ้นมาแทนตำแหน่งเดอะดาร์ควันอยู่ที่นี่

"ฉันต้องไปจัดการเจ้านั่น" ผมว่า ตลอดหลายปีที่มานี่ผมกับเจ้านั่นไล่ฆ่ากันไปมาแต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ผมจะทำสำเร็จ

"ฉันไปกับนายเอง" อริสว่า

"ฉันด้วย" โอลิเวอร์รับคำต่อ

"ไม่ นายไม่ต้อง"

"เจสัน" อริสร้องออกมา "นี่มันไม่ใช่เวลาจะเอาดราม่ารักสามเส้ามาทำให้เป็นประเด็นนะ"

"เธอไม่เข้าใจอริส เขา..." เสียงของผมขาดหายไปเพราะต้องเหวี่ยงตัวฟันแวมไพร์อีกตัว

"เขาเอาแฟนนาย เออ ฉันรู้" อีกฝ่ายร้องออกมาตอนที่เผากากอยไปอีกตัว "แล้วมันก็โคตรจะทุเรสและไม่น่าให้อภัย แต่ตอนนี้เขาฝีมือดีที่สุดเท่าที่เราจะหาได้และเป็นคนเดียวที่มีประสบการณ์ต่อสู้กับอัศวินมืด แถมยังอยู่กับนายมาตั้งแต่ต้น" เธอว่าก่อนจะหันมามองผม ด้วยใบหน้าเลอะเลือดสีเขียวของซอมบี้ "แล้วแต่นายนะ"

ผมมองหน้าเจ้านั่นอยู่นานหลายวินาที รู้สึกอยากจะกระโดดขย้ำคอมัน เกลียดไอ้สีหน้าเหมือนลูกหมาสำนึกผิดของมัน แต่ก็เท่านั้น...ฟรานเองก็ด้วย ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว

ผมจึงขยับศีรษะเป็นเชิงบอกโอลิเวอร์ว่าให้ไปด้วยกันอย่างที่ผมเคยทำมาตลอด มันยิ้มและพวกเราสามคนก็ออกวิ่งไป

"ฉันเห็นมันขี่อีกอร์ไปทางป่าตะวันตก"

"ไปในป่าเหรอ" โอลิเวอร์ทวนถาม "มันไปทำอะไร"

แล้วทุกอย่างก็เหมือนจะลงล๊อก เรื่องที่วิญญาณที่ดูเหมือนแม่ของผมพูด ที่โรงเรียนถูกโจมตี

"พวกมันพยายามมาพาตัวเดเมี่ยนไป" ผมว่า "ต้องรีบแล้ว"

"วิ่งดิ เอ๋ วิ่ง" อริสพูดพลางแกว่งไม้กายสิทธิ์แล้วพวกเราก็จ้ำอ้าวกันเหมือนจะเหาะได้

...................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

ผมเพิ่งจะเดินมาถึงกระท่อมตอนที่เจอกับเจ้านั่น...เจสัน...แต่มีบางอย่างแปลก ๆ ผมของเขาเสยไปด้านหลังดูเปียกแฉะ ไม่มีแผลเป็นบนคิ้ว สีผิวซีดเซียว สวมชุดเกราะสีดำมันวาว แถมยังมีตัวอะไรสักอย่างกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนหลังคากระท่อมของผม หน้าตามันเหมือน...ตัวเหี้ยผอม ๆ ที่มีปีกเป็นค้างคาว

"เจสัน...แก" ผมพูดออกมาได้แค่นั้นตอนที่อีกฝ่ายชักดาบออกมาจากด้านหลังและเดินตรงมาหาผม สัญชาตญาณบอกให้ผมคว้ามีดพับออกมา แต่ช้าไป เขาเข้าถึงตัวผมเร็วมาก...กลิ่นตัวของเขา...มันแปลกไป

แล้วจู่ ๆ แสงวาบก็สว่างจ้าจนผมต้องหยีตา ก่อนที่แรงระเบิดอะไรสักอย่างจะส่งผมกระเด็นไปไกลหลายเมตร แรงกระแทกตอนตกลงพื้นทำเอาผมจุกท้องน้อย ในหูมีแต่เสียงวิ้งดังเสียดแทงสมอง พอลืมตาอีกครั้ง กระท่อมก็โดนถล่มไปครึ่งหลัง ส่วนเจสันก็สวมหมวกเหล็กสีดำที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหมาป่า เขาฟาดดาบใส่ลูกไฟสีขาวที่ถูกสัดมาไม่หยุด

และคนที่กำลังสู้อยู่กับเขาก็คือจอมเวทสูงสุด ชายแก่ในชุดคลุมสีเทาที่ดูเหมือนทำมาจากผ้าปูที่นอนเก่า ๆ เครายาวสีเทากระดำกระด่างที่มีลูกปัดสีเงินประดับไว้สะบัดไปมาตามแรงการเคลื่อนย้ายร่างกาย...สำหรับคนอายุห้าร้อยกว่าปีก็ถือว่าแข็งแรงมากทีเดียว

ชายแก่ส่งสายตามองผมอย่างเย็นชา ในตาสีฟ้าอ่อนจางนั่นดูน่าขยะแขยง

วินาทีหนึ่งจอมเวทสูงสุดหมุนตัวและซัด "รอยแตกบนปราสาทกระจก" ออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ ชิ้นกระจกนับล้านพุ่งมาทางผม เจสันกระโจนมาและใช้ตัวเองกันไว้ แน่นอนมันไม่มีทางพอ แต่ก็นะ ผมมันไม่มีวันตายอยู่แล้วเพราะงั้น...

และไอ้กิ้งก่านั่นก็กระโจนเข้ามา มันใช้ตัวเองกันเศษกระจกนั้นที่ด้านหน้าเจสัน

"ต้องหนี...เดี๋ยวนี้" อีกฝ่ายพูดรอดออกมาจากหมวกเหล็กก่อนจะกระชากแขนผมที่ข้อมือและออกวิ่ง "ต้องใช้มัน...เรียกออกมา"

น้ำเสียงของเขาไม่มีอารมณ์ใด ๆ เจือปนในนั้น มันเป็นเสียงเรียบ ๆ และผมค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เจสัน ที่จริงรู้ตั้งแต่สิบวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว แต่ทุกอย่างมันดูไม่น่าใช่ความจริงจนผมสับสนไปหมด

"นายเป็นใคร" ผมเอ่ยถามอีกฝ่าย

"ไม่สำคัญ...เรียกมันมา"

"อะไร? ใคร? " ผมร้อง

อีกฝ่ายมองผมลอดออกมาจากส่วนที่เป็นปากหมาป่าของหมวกเหล็ก เขาอ้าปากจะตอบตอนที่จอมเวทสูงสุดตามมาทัน "ไม่ทันแล้ว" เจสันหมายเลขสองพูดออกมาแค่นั้นตอนที่สะบัดร่างผมให้พ้นทางและใช้ดาบกัน ดาวกระจายกระจกของจอมเวทสูงสุดไว้

กิ้งก่าบินได้ตัวเดิมกระโดดลงมายืนข้าง ๆ เจสันก่อนจะม้วนตัวกลายร่างกลับเป็นคน..."อีกอร์...พาเขาหนีไป"

"ผมหมดสภาพแล้วครับเจ้านาย" อีกอร์ตอบและมันก็จริง ร่างกายเปลือยเปล่าที่มีแค่กระเป๋าเก่า ๆ สะพายไว้ที่หลังของเขามีบาดแผลเต็มไปหมดแต่มีเลือดให้เห็นน้อยมาก "เจ้านายพาเขาหนีไป ผมจะรั้งไอ้แก่นั่นเอาไว้ให้นานที่สุด"

"ไม่...แกจะตายก่อนที่เขาจะหนีไปได้" เขาว่า "พาเขาหนีไป...นี่เป็นคำสั่ง"

อีกอร์เงียบไปวินาทีหนึ่งก่อนจะหันมา "วิ่ง เดอะดาร์ควัน"

"ไม่ได้ ฉันออกจากโรงเรียนไม่ได้ ไอ้แก่นั่นมัน..."

"แค่ตามมาก็พอ" เขากระชากแขนผมให้วิ่งตามไป ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นหรือกำลังจะไปไหน แต่ดูเหมือนพวกนี้กำลังจะพาผมหนี

พวกเรามุ่งหน้ากันไปจนเกือบถึงสุดเขตโรงเรียนตอนที่เจสันหมายเลขหนึ่งตามผมทัน (ที่รู้เพราะเขายังใส่เสื้อผ้าชุดเดิม)

เขาโผล่มาดักหน้าผมสองคนไว้ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจเพราะพวกนั้นทำหน้าตาตื่น อีกอร์เอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายและชักดาบออกมา

"ไม่" ผมร้องลั่นพลางกระโจนไปดักหน้าอีกอร์ อีกฝ่ายชะงักมืออย่างไม่คาดคิด เขาทำหน้าตกใจก่อนจะเอื้อมมือมาทางผม แต่ช้าไป ดาบเซเบอร์พุ่งมาจากด้านหลังของผม และแทงอีกฝ่ายเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย

สีหน้าของชายคนนั้นทั้งตกใจและตื่นกลัว "ไอ้คนทรยศ" เขาร้องออกมาแค่นั้นก่อนชีวิตจะเหือดหายไปจากใบหน้า

ผมไม่ทันจะคิดหรือพูดหรือทำอะไร เจสันหมายเลขสองก็โผล่มา เขาผลักผมจนล้มและคว้าอีกอร์ไปไว้ในอ้อมแขน กวาดดาบไปรอบตัวเพื่อไล่เจสันหมายเลขหนึ่งให้พ้นทางก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปในป่าและหายลับไป

ผมที่ตอนนี้นั่งอยู่กับพื้นหันกลับไปมองพวกนั้น อริส โอลิเวอร์ และเจสัน พวกนั้นมองผมด้วยสายตาแปลกประหลาด

และเป็นไอ้ยักษ์โอลิเวอร์ที่ตรงเข้ามาหาผมและกระชากผมให้ลุกขึ้น มันกดผมกับต้นไม้ "แกไปทำบ้าอะไรกับพวกมัน โดว์" มันถามผม

"ปล่อยฉันลง" ผมพูดเสียงลอดไรฟัน "ไม่งั้นแกได้นอนสมองไหลอยู่ตรงนี้แน่" ผมพูดพลางจ่อมีดพับไปที่กกหูอีกฝ่าย...สมองเป็นจุดเดียวที่ใช้เวทมนตร์รักษาไม่ได้

มันมองมาอย่างโกรธแค้นก่อนจะโยนผมลงกับพื้น

"พอแล้วน่าโอลิเวอร์" เจสันเอ่ยพลางเดินมาขวาง เขายื่นมือมาให้ผม แต่ผมถ่มน้ำลายใส่และยันตัวลุกขึ้น

"อย่างน้อยอัศวินมืดก็ไปแล้ว" อริสพูดอย่างโล่งอก

งั้นเจสันหมายเลขสองก็คืออัศวินมืดงั้นเหรอ...ก็เข้าเค้าอยู่ถ้าดูจากชุดเกราะสีดำที่เขาใส่ ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจแต่ยังไม่คิดจะบอกคนอื่น ๆ ตอนนี้ ยังไงซะพวกนั้นก็อาจจะรู้อยู่แล้วหรือพวกนั้นอาจจะเก็บเรื่องที่เจสันกับอัศวินมืดหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะเป็นความลับ การจะพูดอะไรออกไปในตอนนี้เป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าจะทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

วินาทีหลังจากนั้นจอมเวทสูงสุดก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งของป่า

"ท่านจอมเวท" อริสร้องออกมาพลางวิ่งเข้าไปพยุงชายแก่ ดูก็รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ผมมองหน้าเจสัน พยายามเตือนความจำของเขาถึงสิ่งที่แม่ของเขาพูด

อย่าไว้ใจจอมเวทสูงสุด

อีกฝ่ายรับรู้แต่เหมือนจะทำเป็นไม่สนใจ เขาตรงไปพยุงไอ้แก่เคราแพะนั่นอีกคน

"โอ้ คุณแพลต...ขอบใจ" มันร้องออกมาตอนเจสันเขาไปพยุงปีก เป็นการแสดงที่ทำให้ผมอยากจะอ้วกแตก "ดูเหมือนว่าเธอจะช่วยพวกเราเอาไว้ได้อีกครั้งแล้ว" ก่อนจะหันมาทางผม "คุณโดว์ เธอโอเคไหม"

ผมเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ชายคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป มีอำนาจเกินไป และโหดเหี้ยมเกินไปที่จะไปยั่วโมโห

"ขอโทษด้วยเรื่องกระท่อมของเธอ ฉันแน่ใจว่าคนสวนของเราจะให้เธอพักกับเขาจนกว่าออโรร่าจะซ่อมกระท่อมของเธอจนเสร็จ

ผมไม่ตอบ โอลิเวอร์ตรงเข้ามากระชากผมแต่ไอ้แก่ห้ามไว้ "ไม่เป็นไรคุณสแครบเบิ้ล วันนี้พวกเราต่างเจออะไรมากันมากมาย พอกันแค่นี้เถอะ" เขาว่าก่อนจะเริ่มมองไปรอบตัว "แล้วทางกลับโรงเรียนไปทางไหนล่ะนี่ ฉันไม่เคยมาแถวนี้ซะด้วยสิ"

พวกนั้นหัวเราะ...หัวเราะอะไรกันวะ มันไม่เห็นจะขำสักนิด

"มาเถอะค่ะ หนูจะนำทางกลับให้" อริสว่าก่อนจะออกเดินไป



ใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีพวกเราก็ออกมาถึงมุมหนึ่งของสนามต้นไทรจอมเขย่า ร่องรอยของการต่อสู้ยังปรากฏอยู่ให้เห็นทั่วไปหมด ศพของปิศาจนอนอยู่กระจัดกระจาย ไม่มีศพของมนุษย์ให้เห็นหรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่ ๆ ผมมองเห็นได้ พวกศาสตราจารย์พากันวิ่งกรูกันเข้ามาหาเรา ศาสตราจารย์บับเบิ้ลบีเข้ามาพาไอ้แก่หนังเหนียวไปห้องพยาบาล

"ไม่...คุณแพรต" จอมเวทสูงสุดเอ่ยขึ้น "เธอมากับฉัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไปพักผ่อนกันเถอะนะ"

..............................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ชอบมากกกกก ทั้งภาษาทั้งเนื้อเรื่อง
ภาษาเหมือนนิยายแปล ไม่หยาบ บรรยายลื่นไหล อ่านง่าย
เนื้อเรื่องเป็นแนวแฟนาซี ตัวเอกทั้งสองมีเอกลักษณ์ ชอบเดเมี่ยนมาก
น่าสงสาร ชีวิตรันทดได้อีก พ่อตาย แม่ตาย ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน ต้องตายตอนอายุ 18 ปี
โอว้ ดราม่าขั้นสุด แต่เดเมี่ยนไม่มานั่งเศร้า เป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนขวางโลกเพราะโลกไม่เคยเข้าข้าง สงสัยว่าไปชอบอีตาเจสันได้ไง พ่อหนุ่มสำอางค์ สุดฮอตหลงตัวเอง แต่เอาเหอะเชื่อว่าอีกหน่อยเจสันก็จะรูุ้ว่าเดเมี่ยนมีเสน่ห์เป็นตัวของตัวเอง ถึงตอนนั้นต้องเอาเวทย์บนหน้าออกให้เดเมี่ยนด้วย กับโอลิเวอร์ก็เลิกคบไปเลย เพื่อนเลว แฟนเก่าก็ดูเป็นคนดีแต่ห้ามกับไปคบ
มาต่อไวไวนะ

ขอบคุณจร้า จะมาต่อเรื่อย ๆ น้า :)

:pig4:
 o13

 :pig4:

:pig4:
 :3123:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:


ขอฝากนิยายเรื่องอื่น ๆ ด้วยจั๊บ




ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

จอมเวทสูงสุดนั่งลงที่หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง แม้ว่าศาสตราจารย์บับเบิ้ลบีจะยืนยันให้เขาพักในห้องพยาบาล แต่ชายชราก็ยืนยันที่จะกลับไปที่ห้องทำงานแทน

"อ้า..." ชายคนนั้นร้องออกมาตอนที่นั่งลงกับเก้าอี้ ธันเดอร์เฮด...สัตว์เลี้ยงของชายคนนั้นบินเข้ามาทางหน้าต่างและหย่อนตัวลงเกาะที่ ๆ พักของตัวเอง มันเป็นอินทรีย์ตัวใหญ่เท่าหมาลาบาดอร์ ในตาสีเหลืองคมมักจะมองผมเหมือนเห็นผมเป็นลูกหมาสักตัว

ชายคนนั้นพูดอะไรออกมาบางอย่างแต่ผมไม่ทันฟังจึงรับคำไปว่า "ครับ? "

จอมเวทสูงสุดยิ้มออกมา "ฉันบอกว่ามันเป็นคืนที่วุ่นวายจริง ๆ ว่าไหม"

"ครับ ใช่" ผมเอ่ยตอบ "พวกนั้นเข้ามาในโรงเรียนได้ยังไงครับ"

ชายคนนั้นถอนหายใจ "ฉันก็ไม่รู้คุณแพรต แต่ถ้าจะให้ฉันเดาก็คงเพราะพลังของฉันกำลังเสื่อมลงตามวัฏจักรแห่งแสงและเงา" เขาพูดพลางชูมือขึ้นส่องกับแสงเทียนที่อยู่บนโต๊ะทำงาน มันเหี่ยวย่นและแห้งติดกับกระดูกจนน่ากลัว "พวกนั้นต้องรู้แน่ ๆ ว่าคุณโดว์อยู่กับเราที่นี่"

ผมพยักหน้า "ที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรนี่ครับ ทุกคนทั้งอาณาจักรแห่งแสงก็รู้กันหมด"

"มันก็ใช่ แต่ฉันไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกกับฝ่ายเงา...กบฏเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ฉันมั่นใจว่าทุกคนรู้เรื่องนั้นดี"

พิจารณาจากการสั่งประหารชีวิตพวกกบฏหกสิบสองคนในคราวเดียวเมื่อปีที่แล้ว ผมก็คิดว่าเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

"งั้นท่านคิดว่าพวกนั้นรู้ได้ยังไงล่ะครับ"

อีกฝ่ายส่ายหน้าพลางมองลงต่ำ "ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือต้องเป็นคนที่เคียดแค้นฝ่ายแสงมากจนอยากให้เราแพ้ในสงครามสุดท้ายและไม่กลัวตาย" เขาว่า "เธอพอจะคิดออกไหมล่ะว่าใคร"

ภาพของวิญญาณแม่ผมลอยมาในสมอง เสียงของเธอดังก้องอยู่ในโสทประสาทผม "อย่าไว้ใจจอมเวทสูงสุด อย่าไว้ใจเขา" คำเตือนนั้นไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก ผมรู้ และผมควรบอกเรื่องนั้นกับอีกฝ่าย...ผมควรบอกเขา

"ไม่ครับ" ผมเอ่ยตอบ "ท่านล่ะครับ"

ชายคนนั้นกรอกตามองบนค้างไว้นานหลายวินาที "หลายร้อยคนเลยล่ะ" เขาว่า "ทั้งที่ยังเป็นคนและที่ตายไปแล้ว"

ผมพยักหน้ารับ "พวกกบฏ? "

"ใช่ พวกนั้นแหละ" เขาว่า "นับวัน ๆ พวกนั้นก็จะเหิมเกริมมากขึ้น บุกเข้าทำลายหมูบ้านจอมเวท พังร้านขายไม้กายสิทธิ์ ดักทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ..." เขาถอนหายใจออกมาอีกพลางลุกขึ้นเดินไปยังธันเดอร์เฮด "โลกแห่งแสงกำลังอ่อนแอลง เจสัน ไม่ใช่จากฝ่ายเงา แต่เป็นจากพวกเราเอง"

"ผมอาจจะช่วยได้" ผมว่า "ส่งผมไปสิครับ ไม่แน่ผมอาจจะเข้าถึงตัวหัวหน้าฝ่ายกบฏและจัดการ..."

อีกฝ่ายยิ้มออกมาแล้วมองผมอีกครั้ง เขาเดินเข้ามา ยกมือขึ้นจับต้นคอผม "เธอเป็นเด็กดี เจสัน แต่ฉันให้เธอไปเสี่ยงแบบนั้นไม่ได้" เขาหยุด สูดหายใจลึก "มันได้เวลาแล้ว"

คำนั้นทำให้หัวใจผมขืนเกร็งอย่างเจ็บปวด "เมื่อไรครับ"

"พรุ่งนี้ เที่ยงคืน..." เขาเอ่ยออกมาก่อนจะชนหน้าผากเขากับหน้าผากผม "ฉันอยากให้มันมีทางอื่นจริง ๆ เจสัน"

.............................

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ฟรานเชสก้า

ฉันเดินออกมาจากห้องพยาบาลหลังจากผู้บาดเจ็บคนสุดท้ายได้รับยาแก้ปวดและนอนหลับไป นาฬิกาตีบอกเวลาตีสามสิบสองนาที และฉันไม่คิดว่าวันนี้จะได้นอนพักผ่อน...พรุ่งนี้คงต้องอยู่ที่ห้องพยาบาลต่อไปอีกและต่อไปหลายวัน ผู้ป่วยที่หนักที่สุดอาจจะเสียแขนไปข้างหนึ่ง เป็นเด็กม.2 ...นั่นถือว่าโชคดีแล้ว

ฉันหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและจุดสูบ มันผิดกฎโรงเรียนและปรกติออโรร่าจะเสกหนอนเข้าไปในปากของคนที่แอบสูบบุหรี่ในโรงเรียน แต่ดูเหมือนวันนี้จิตวิญญาณของโรงเรียนจะอ่อนกำลังลง เธออาจจะแค่หยุดพัก หรือไม่พวกฝ่ายเงาก็กำจัดเธอไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

เสียงฝีเท้าดังมาตามทางเดินและฉันก็หันไปมอง

เจสัน...เขาก้มหน้าล้วงกระเป๋าเดินมาช้า ๆ เหมือนวิญญาณ ในตาเหม่อมองไปที่พื้นห่างจากเท้าของตัวเองไม่กี่ฟุต ฉันต้องเรียกเขาถึงสามครั้งว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว

"ฟราน เฮ้..." เขาพูดออกมาเหมือนคนเพิ่งตื่นจากนอนละเมอก่อนจะมองไปรอบตัว "นี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย"

"เธอ...เดินมา" ฉันตอบ เขามักเป็นแบบนี้เสมอตอนที่มีอะไรให้คิดในสมอง ซุกมือเข้ากระเป๋ากางเกงและเดินเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...ฉันได้ยินว่าจอมเวทสูงสุดกลับมาแล้ว"

"ใช่ ๆ เขากลับมาแล้ว..." อีกฝ่ายว่า "นั่นเธอ...สูบบุหรี่เหรอ"

ฉันแค่ยกบุหรี่ขึ้นระดับอกและยักไหล่

"ไม่ยักรู้ว่าเธอสูบ" เขาว่า น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์เหมือนพูดกับตัวเอง

"มีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวฉันที่เธอไม่รู้" ฉันตอบ อีกฝ่ายกระตุกยิ้มก่อนจะเดินมาหาฉัน

"ขอได้ไหม" เขาว่า

ฉันเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยื่นมันให้อีกฝ่าย เขารับไป สูดมันเข้าปอดและไอออกมาโครกใหญ่

"ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนถึงชอบสูบกันนัก"

ฉันหัวเราะก่อนจะรับบุหรี่กลับมา มันเป็นครั้งแรกที่ฉันหัวเราะกับเขาในรอบหลายเดือน "เธอต้องสูบบ่อย ๆ แล้วมันจะชินไปเอง"

เรายืนมองดูพระจันทร์จากหน้าต่างกับเงียบ ๆ อยู่นานหลายนาที ไม่มีใครพูดอะไร มีแค่เรา พระจันทร์ และควัญบุหรี่ในมือของฉัน

"เป็นไงบ้าง คนเจ็บเยอะไหม" เขาเอ่ยถามฉันขึ้นในที่สุด

"สองร้อยกว่าคน" เธอตอบ "ที่หนักจริง ๆ ก็ประมาณสามสิบ ที่เหลือไม่น่าเป็นห่วงแล้ว"

"โชคร้ายจริง ๆ "

"ไม่ร้ายไปกว่าเจ็ดคนที่ต้องตายหรอก" ฉันว่าพลางอัดบุหรี่เข้าปอด " ม.1 สองคน ม.3 หนึ่งคน ม.5สามคน และม.6หนึ่งคน"

ชายคนนั้นถอนหายใจและส่ายหน้า ฉันรู้ดี เขารู้สึกว่าทุกชีวิตที่ตายเป็นความรับผิดชอบของเขา เขาแบกมันไว้แบบนั้นมาตั้งแต่อายุสิบสอง แบกอาณาจักรแห่งแสงไว้ทั้งอาณาจักร รับผิดชอบชีวิตของคนทุกคน เพราะแบบนั้นฉันถึงรักเขา

"ฉันถามอะไรได้ไหม" จู่ ๆ เจสันก็เอ่ยขึ้น

"อะไรล่ะ"

"ทำไมโอลิเวอร์" เขาว่า "...ทำไมเลิกกับฉัน ทำไม...ทำไมฟราน ฉันไม่เข้าใจ" เขาถามน้ำเสียงนิ่งสนิท ไม่มีอารมณ์อะไรในนั้น ฉันอยากจะบอกว่านั่นแหละคือปัญหา แต่เขาคงไม่เข้าใจ เขาต้องการคำอธิบายมากกว่านั้น

ฉันใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อเรียบเรียงความคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น "เราจูบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร..."

"ฮ๊ะ" เขาร้องออกมาด้วยเสียงสูงจนฉันหลุดขำออกมา

"เธอก็ได้ยินที่ถามนี่ ตอบมาสิ"

เขาทำท่าคิด "ไม่รู้สิ...ก่อนปิดเทอมมั้ง"

ฉันยิ้ม "ไม่...มันนานกว่านั้น...ฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเมื่อไร..." ฉันว่า "แล้วครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันโดยที่ไม่มีเรื่องอื่นขึ้นมาแทรกล่ะ ไม่มีภารกิจ ไม่มีปิศาจ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเรา" เขาเงียบ "ครั้งสุดท้ายที่เธอกอดฉันล่ะ ครั้งสุดท้ายที่จับมือกันหรือสัมผัสฉันอย่างที่คนเป็นแฟนเขาทำกันน่ะ"

เขาขมวดคิ้วทำสีหน้ามุ่ย "งั้นก็เรื่องเซ็กส์งั้นเหรอ...เพราะถ้าใช่ ฉันทำให้ได้นะ"

"ได้เหรอเจสัน เธอมีอะไรกับฉันได้จริง ๆ น่ะเหรอ" ฉันพูด "ฉันพยายามตั้งเป็นล้านครั้งได้มั้งแต่เธอก็มีข้ออ้างตลอด และให้ตายเหอะ ฉันก็โง่หลงเชื่อเหตุผลเป็นตุเป็นตะบ้า ๆ ของเธอทุกที"

อีกฝ่ายมองฉันตรง ๆ สีหน้าดูโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน "ฉันคิดว่าเธอต้องการแบบนั้น...แบบ ให้เกียรติเธอโดยไม่หวังอย่างอื่นตอบแทน..." ฉันส่ายหน้าแล้วเขาก็หยุดพูด เรารู้ดีว่ามันเป็นแค่คำโกหก "ฉันรักเธอนะฟราน"

"เรื่องนั้นฉันรู้" น้ำเสียงของฉันฟังดูเกือบจะเหมือนอ้อนวอน "และฉันก็รักเธอ รักมากนะ แต่มันไม่ใช่แบบคนที่เป็นแฟนรักกันหรอก"

"หมายความว่าไง หมายความว่าตลอดมาเธอคิดกับฉันแค่เพื่อนเหรอ"

"ไม่ เจสัน เธอคิดกับฉันแค่ผู้จัดการส่วนตัว คนคอยจัดคิวทำนั่นนี่ให้ เอาผ้าไปซักแห้ง สั่งของออนไลน์" ฉันหยุดเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธ "เป็นคนที่คอยให้เธอกลับมาหาและกุมมือเธอตอนนอนป่วย รอเธอกลับมาจากภารกิจกู้โลกที่เสี่ยงอันตราย ร้องไห้เวลาเธอกลับมาด้วยสภาพขาดวิ้นเหมือนผ้าขี้ริ้วโชกเลือด และฉันยังทำแบบนั้นได้อยู่นะ ยังยินดีทำแบบนั้นและจะทำมันจนถึงวันสุดท้ายเลยก็ได้ถ้าเธอต้องการ จริง ๆ ฉันทำได้" ฉันย้ำคำนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ "แต่ไม่ใช่ในฐานะแฟนของเธอ" ฉันหยุดและสูดลมหายใจลึก กล้ำกลืนน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา

"ฉันขอโทษ ฉัน..." เขาหยุดก่อนว่าต่อ "ฉันให้เธอได้ทุกอย่างนะฟราน ไม่ว่าอะไรก็ตาม"

"ฉันก็เหมือนกัน...ฉันให้ไปหมดแล้วด้วยซ้ำ แต่เธอไม่ได้เห็นค่ามันมากไปกว่าความหวังดีของเพื่อน...และตำแหน่งแฟนของเธอทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นแค่แรย์ไอเท็มที่ดร๊อบได้หลังฆ่าบอสเสร็จ เก็ตไหม? เป็นรางวัลของผู้กล้า เป็นแค่สิ่งของที่ไม่มีความรู้สึก"

เจสันเงียบไปนานหลายนาที เขาอ้าปากจะพูดหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำออกมา จนกระทั่งเขาว่า "ฉันขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอรู้สึกแบบนั้น ถ้าฉันรู้ฉันคง..."

"เอาฉันเหรอ" ฉันพูดออกมา เจสันหันมองฉันเหมือนตกใจก่อนที่เราทั้งคู่จะหัวเราะกัน

"ฉันอยากให้เธอมีความสุข ฟราน" เขาพูดออกมาในที่สุด

"ฉันก็อยากให้เธอมีความสุขเหมือนกัน" ฉันตอบก่อนจะโน้มตัวกอดเขาไว้และมันเหมือนเป็นครั้งแรกที่ฉันได้กอดเขา กอดเขาจริง ๆ

...........................

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อริส

วันต่อมาดูจะวุ่นวายกว่าคืนที่ผ่านมาเสียอีก

ผู้ปกครองต่างพากันขับรถเข้ามารับลูกหลานกลับบ้านเพื่อความปลอดภัย แม้จอมเวทสูงสุดจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ปลุกกำลังใจให้ฮึกเหิมยังไง ความที่จริงที่ป้อมปราการณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกแห่งแสงถูกบุกทำลายนั้นก็ไม่อาจจะถูกลบเลือนได้ คนเจ็บถูกย้ายไปยังโรงพยาบาล นักเรียนหันหลังให้โรงเรียน จนเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ก็เหลือแต่นักเรียนแค่ไม่ถึงหยิบมือ แม้แต่แม่ครัวยังหนีหายไปไหนก็ไม่รู้

ค่ำนั้นเราจึงได้กินสตูกระเพาะแพะยัดไส้เนื้อวัวสูตรประจำตระกูลของมอริอัส ซึ่งถ้าถามฉันเขาควรเก็บมันไว้ทำกินแค่ภายในตระกูลของตัวเองต่อไป

ศาสตราจารย์ฮัดสันมาทำหน้าที่ตักอาหารให้นักเรียน เธอเรียกฉันไว้เมื่อถึงคิวของฉัน

"คุณแคมเบอร์บัช" เธอว่า "ค่ำนี่ช่างเงียบเหงานะ ว่าไหม"

บางครั้งกับศาสตราจารย์ฮัดสัน อะไร ๆ ก็ฟังดูมีความหมายมากกว่าที่เธอพูดเสมอ เหมือนคำทำนาย...หรือคำพยากรณ์อะไรสักอย่าง

"มั้งคะ? " ฉันตอบกลับไป เธอยิ้มก่อนจะจ้วงทัพพีตักอาหารใส่จานให้ฉัน

"ได้เจอคุณแพรตบ้างไหม ฉันไม่เจอเขาเลยตั้งแต่เช้า"

นั่นก็อีกหนึ่งปัญหา ตั้งแต่เมื่อคืนที่เขาไปคุยกับจอมเวทสูงสุด เขาก็หายตัวไปไม่มีใครเห็น โอลิเวอร์บอกว่าเมื่อคืนเขากลับมานอนที่ห้อง แต่พอตื่นเช้าก็หายตัวไปอีก

"ไม่ค่ะ" ฉันตอบพลางยิ้มและตั้งท่าจะเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร ตอนที่เธอคว้ามือฉันไว้อย่างแรงจนจานอาหารหลุดจากมือ

"ศิลาเหนือศิลา" เธอพูดออกมาด้วยเสียงนั้น...เสียงที่เธอมักทำเวลาโดนผีสิงน่ะ เสียงทุ่มต่ำแหบพร่าและสั่นเครือเหมือนเสียงจากขุมนรกยะเยือก "คำพูดที่ไม่ใช่คำพูด ความจริงที่ไม่ใช่ความจริง จงไป จงไป เกาะกลางน้ำที่ต้นไม้โอบอุ้ม จงไป จงไป ก่อนแสงและเงาจะจางหายตลอดกาล"

แล้วเธอก็สั่นศีรษะเหมือนลูกหมาเปียกน้ำ แล้วยิ้มออกมาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน "ว่าไง คุณแคมเบอร์บัช...โอไม่นะ ช่างซุ่มซ่ามจริง" เธอพูดแล้วมองชามอาหารที่ตกอยู่ที่เท้าฉัน "เดี๋ยวฉันตักให้ใหม่"

"ไม่ค่ะ ขอบคุณ"

ฉันพูดออกมา รู้สึกถึงกระแสไฟที่วิ่งไปมาในก้านสมองและคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมา...แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างจะได้รับคำตอบก็ต่อเมื่อฉันไปถึงที่หมายก่อน มันเป็นแบบนั้นเสมอ...หรืออย่างน้อยก็จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหนต่อ

ฉันวิ่งออกมาทางประตูหน้าของโรงเรียนและเจอโอลิเวอร์กับฟรานยืนคุยกันอยู่ ฉันยกมือขึ้นบังเพราะไม่อยากเห็นภาพอุจาดตา

"ไม่เอาน่าอริส" โอริเวอร์ร้องขึ้นทันทีที่ฉันเดินผ่าน ตอนแรกคิดจะเดินผ่านไปเฉย ๆ แต่ก็นึกขึ้นมาได้...ไม่มีสักครั้งที่ฉันจะทำอะไรคนเดียวสำเร็จ ไม่สักครั้งและมันโคตรจะน่าลำคานเลย

ฉันจึงหมุนตัวกลับไปหาคนทั้งคู่ "ฉันอาจต้องการให้พวกเธอช่วย"

ฟรานดูจะประหลาดใจกว่าโอลิเวอร์ที่ฉันพูดคำนั้นออกมา "เรื่องอะไร" ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน ให้เงาสาปเหอะ

"ศิลาเหนือศิลา...พวกเธอคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก"

"ก้อนหิน" โอลิเวอร์ว่า

"ไม่...มัน...หินพยากรณ์" ฟรานว่า "มันอยู่ในเพลงกล่อมเด็กใช่ไหม เขากลับมาพร้อมศิลาเหนือศิลา..." ฟรานร้องออกมาเป็นทำนอง

"ใช่ ฉันเพิ่งได้คำทำนายมา...จาก...ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราต้องไปที่บ่อน้ำแห่งหินพยากรณ์ เดี๋ยวเล่าระหว่างทาง" พูดจบก็หันหลังเดินไปโดยมีคนทั้งคู่เดินตามมา



ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีกว่าพวกเราจะมาถึงบ่อน้ำที่ว่าซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าต้องห้าม...ซึ่งมันก็น่าแปลกอยู่เพราะสำหรับเเขตหวงห้ามที่มีแต่คนบอกว่าอย่าเข้าไปแต่ไม่มีแม้กระทั้งป้ายบอก รั้วลวดหนามหรือกำแพงสูงสักสิบเมตร...แล้วพวกนั้นคาดหวังว่าเด็กนักเรียนจะไม่มีใครเข้าไปเหรอ...

เมื่อฉันหยุดที่ริบบ่อน้ำ ทุกอย่างก็ดูเหมือนยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่

บ่อน้ำทั้งบ่อกลายเป็นสีดำสนิท ต้นไม้แห้งและหงิกงอยืนต้นตาย ต้นหญ้าเหี่ยวเฉา แม้แต่ต้นไม้ที่โอบหินพยากรณ์ไว้ก็ยืนต้นแห้งแผ่กิ่งก้านไร้ใบในความมืด

"มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม" โอลิเวอร์พูดขึ้น

ครั้งสุดท้ายที่พวกเรามาที่นี่คือเมื่อตอนม.1ในคาบวิชาประวัติศาสตร์ ศาสตราจารย์เวสวู๊ดพาเรามาและอธิบายถึงเหตุการณ์ศึกสุดท้ายครั้งแรกที่จอมเวทสูงสุดและเจ้าชายอาเธอร์ ผู้ถูกเลือกในเวลานั้นได้ร่วมต่อสู้กับจอมมารและเอาชนะได้...แต่มันก็ต้องแลกกับชีวิตของผู้ถูกเลือก จอมเวทสูงสุดกลับมาจากดินแดนแห่งเงาพร้อมด้วยหินพยากรณ์

นับตั้งแต่นั้นหินพยากรณ์ก็อยู่ที่นี่มาตลอด (ยกเว้นช่วง กีฬาจตุภาคี ที่หินจะถูกเอาไปซ่อนให้ผู้เข้าแข่งขันตามหาในการแข่งขันสุดท้าย...แตเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะมันจะยาวมาก แทบจะเป็นนิยายภาคต่อได้อีกเล่มเลยล่ะ)

ฉันเดินลงไปในน้ำมุ่งไปยังเกาะกลาง น้ำค่อนข้างเย็นแต่ที่แยยิ่งกว่าคือฉันกำลังมีประจำเดือน...ให้ตายเหอะ ลืมพกผ้าอนามัยมาเปลี่ยนด้วยสิ

ไม่ถึงสองนาทีต่อมาฉันก็ขึ้นมาถึงเกาะกลางน้ำ ตามมาด้วยฟรานและโอลิเวอร์

"เชี่ย" โอลิเวอร์ร้องออกมาเมื่อเห็นหินพยากรณ์

และก็ใช่...หินพยากาณ์ที่แตกเป็นสองซีกถือได้ว่าโคตรเชี่ยเลยล่ะ

"แล้วยังไงต่อ" ฟรานเอ่ยถามฉันที่นั่งลงมองดูหินก้อนนั้นอย่างพินิจ ฉันมองดูหินจำลองที่อยู่ตรงทางเข้าโรงเรียนสักล้านครั้งได้ แต่นี่ถือได้ว่าเป็นแค่ครั้งที่สามเท่านั้นที่ฉันได้เห็นหินจริง ๆ ในระยะใกล้แบบนี้



บุตรแห่งเงาจักมาจุติ

หมายพิชิตพสุธาดับแสงไข

บุตรแห่งแสงจักปกป้องผองปวงภัย

นำธงชัยสู่พิภพกลบราตรี



"ฉันก็ไม่รู้...คำทำนายบอกว่า คำพูดที่ไม่ใช่คำพูด ความจริงที่ไม่ใช่ความจริง"

ฉันกับฟรานมองหน้ากัน เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่แน่ ๆ

"หมายความว่าไง เฮ้ พวกสมองเพชร บอกกันบ้างเซ่" โอลิเวอร์ร้อง

"มันคือคำโกหก" ฉันว่าก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา และร่ายมนตร์ "ความจริงที่เธอต้องฟัง ความจริงที่เธอแกล้งลืมมัน"

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่ล่ะ มันไม่มีทางง่ายแบบนั้นแน่ ๆ

"อาจจะต้องใช้มนต์ที่เก่ากว่านั้น...หินนี่อายุตั้งห้าหกร้อยปีได้มั้ง" ฟรานพูดพลางก้มลงมอง "อาจจะต้องใช้พวกภาษาเอชเท็คหรือไม่ก็ภาษาแอตแลนติสเลยด้วยซ้ำ"

"เดี๋ยวสิ ๆ ๆ " โอลิเวอร์ว่า "มันจะเป็นไปได้เหรอ นี่มันหินที่จอมเวทสูงสุดเป็นคนเอากลับมาจากดินแดนมืดเองนะ จอมเวทสูงสุดนะ"

"ก็ใช่ไงโอลิเวอร์ พวกเรารู้กันทุกคนนั่นแหละ" ฉันว่า

"แล้วรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง" เขาว่าต่อด้วยเสียงเบาเหมือนกำลังพูดเรื่องต้องห้าม "กล่าวหาว่าจอมเวทสูงสุดเป็นคนโกหก...มันคือกบฏนะอริส"

คำนั้นทำให้ฉันหันมองอีกฝ่ายและฟราน บางครั้งเจ้าบ้านี่ก็สมองทึบยิ่งกว่าควายไบซัน

ชายคนนั้นหันมองฟรานและก้มหน้าเหมือนหมารู้สึกผิด

"โอลิเวอร์พูดถูก" จู่ ๆ ฟรานเชสก้าก็เอ่ยขึ้น "กล่าวหาว่าจอมเวทสูงสุดปลอมคำพยากรณ์เป็นข้อหาร้ายแรงมาก...เราต้องแน่ใจว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆ "

"ฉันไม่ได้จะบอกแบบนั้นนะ" โอลิเวอร์ตอบกลับ "ฉันจะบอกว่าให้เราเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ซะ"

"พ่อฉัน...พ่อฉันก็ศึกษาเรื่องนี้อยู่" ฟรานทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย "ตอนที่เขาถูกจับตัวไป"

ฉันมองหน้าเธอ

"ในห้องใต้ดินที่บ้านฉันมีห้องที่ใช้เก็บเอกสารหรือตำราอะไรสักอย่าง" เธอว่าเหมือนพยายามทบทวนความจำ "ตอนพ่อถูกจับตัวไปเอกสารส่วนใหญ่ถูกเอาไปด้วย...แต่มีบางส่วนที่ยังอยู่ที่บ้าน"

"เอกสารแบบไหน"

"ตำรา บันทึกเก่า ๆ ก่อนยุคสงครามสุดท้ายอะไรแบบนั้น" เธอว่า "มันอาจจะไม่ค่อยมีหวัง แต่ฉันลองไปดูที่บ้านได้เผื่อมีอะไรที่พอจะช่วยได้"

"ฟรานซี่" โอลิเวอร์ร้องออกมาเหมือนอ้อนวอน

"ไม่ โอลี่ ถ้ามันเป็นความจริง แปลว่าพ่อฉันคิดถูกมาตลอดและเขาก็ตายเพราะจอมเวทสูงสุดพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง"

โอลิเวอร์เงียบ แต่ที่ฉันแปลกใจกว่าก็คือไอ้ชื่อเล่นกุ๊กกิ๊กนั่น ฟังแล้วชวนขนลุก

"เธอจะไปได้เมื่อไร" ฉันพยายามทำลายบรรยากาศชวนเลี่ยนหวานให้กลับมาเป็นงานเป็นการอีกครั้ง

"ฉันให้แม่มารับได้ ยังไงแม่ก็อยากให้ฉันกลับบ้านอยู่แล้ว"

ฉันพยักหน้า "ฉันจะพยายามหาข้อมูลในห้องสมุดด้วยก็แล้วกัน นั่นก็ดูไม่ค่อยมีความหวังแต่อย่างน้อยก็อาจจะมีอะไรสักอย่างที่รอดหูรอดตาจอมเวทสูงสุดไปได้บ้างในห้องสมุดที่ใหญ่ขนาดนั้น" ฉันคิดถึงหอสมุดที่อยู่ในส่วนใต้ดินของโรงเรียน ว่ากันว่ามันลึกจากระดับผิวดินกว่าสี่พันเมตร

"เรื่องนี้แย่ แย่มาก ๆ ด้วย" โอลิเวอร์ร้องออกมา "ฉันจะไม่ทำเรื่องนี้กับพวกเธอนะ ฉันทำไม่ได้หรอก"

"โอลี่"

"ไม่ฟราน ฉันรักเธอ แต่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง ที่พวกเธอทำมัน..." เสียงเขาขาดหายไปแค่นั้น สายตามองลึกเข้าไปในป่า "...นั่นเจสันเหรอ"

ฉันมองตามสายตาของชายคนนั้นไปและเห็นเจสันอยู่ที่อีกฝั่งของบ่อน้ำ เขากำลังเดินอยู่ในความมืด ในมือถือไม้กายสิทธิ์ชี้ไปยังอีกคนที่เดินนำหน้าเขา...ฉันจำชายคนนั้นได้ดี

เดเมี่ยน โดว์

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด