<<< เดเมี่ยน กับ เจสัน >>> กับสงครามโลกเวทมนต์ครั้งสุดท้าย อัพเดท 13/4/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<< เดเมี่ยน กับ เจสัน >>> กับสงครามโลกเวทมนต์ครั้งสุดท้าย อัพเดท 13/4/2020  (อ่าน 3707 ครั้ง)

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน

กระผมหิวเหลือเกิน นายน้อย

เวตาลกรอกเสียงมาตามก้านสมองของผมตอนที่ผมกำลังแขวนกวางที่เพิ่งล่ามาใหม่ ๆ ขึ้นกับกิ่งไม้

"แกก็หิวตลอดนั่นแหละ" ผมว่า

กระผมไม่อยากจะทำตัวให้ท่านลำบากแบบนี้เลย นายน้อย ถ้าหากท่านให้กระผมออกไป ให้กระผมได้ออกล่าเอง...

"อย่าฝัน" ผมพูดพลางคว้ามีดพับออกมาจากกระเป๋าและปักมันที่หว่างขาหลังของกวางก่อนจะลากมันลงไปจนถึกคอหอย เครื่องในไหลทะลักออกมากองอยู่กับพื้น

"เอาสิ" ผมว่า

แล้วแขนที่เหมือนแขนมนุษย์แต่ไร้ผิวหนังก็ยื่นยาวออกมาจากตราอัญเชิญที่ข้างรูหูของผม มันมีสีแดงสลับขาวจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เล็บยาวเหยียดแหลมคมคว้าเครื่องในลากเข้าไปทางตราอัญเชิญ เสียงซวบซาบน่าสะอิดสะเอียนดังมาในสมองของผม

ช่าวหวาน ช่างหอมเหลือเกินนายน้อย

"เงียบซะ" ผมเอ่ยก่อนจะลงมือแล่กวางต่อ

แต่ยังไม่ทันที่จะถลกหนังออกจากตัวกวางเสร็จเสียงเดินหนังหน่วงก็ดังมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร

"บอกไปแล้วไงว่าฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น" ผมเอ่ยกับอีกฝ่ายโดยที่ไม่หันไป มือยังถลกหนังกวางไม่หยุด

อีกฝ่ายเงียบไปวินาทีหนึ่งก่อนว่า "จอมเวทสูงสุดบอกให้นายไปพักกับมอริอัส ฉันไปหานายที่นั่นมาแต่ไม่เจอ"

"ช่าย" ผมว่า "ฉันไม่ค่อยชอบอยู่กับสัตว์น่ะ ที่นี่ถึงกระท่อมจะโดนระเบิดไปแต่มันก็เป็นที่ ๆ ของฉัน"

"ที่นี่มันโรงเรียน ไม่มีที่ไหนเป็นที่ของนายหรอก"

ผมหลุดขำออกมา อีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่ออยู่นานก่อนจะว่า "หันมา เดเมี่ยน" ผมทำเป็นไม่สนใจจนอีกฝ่ายพูดย้ำคำเดิม

"อะไรนักหนาวะ" ผมพูดกระชากเสียงก่อนจะเห็นอีกฝ่าย เขาอยู่ในชุดทางการของพ่อมด ชุดสูทสีแดงเลือดหมูเดินดิ้นขลิบทอง เสื้อตัวในเป็นสีขาว สร้อยทองที่มีจี้เป็นรูปทรงกลมสีทองถูกห้อยอยู่ที่คอ มันเป็นเครื่องหมายของโลกแห่งแสง เครื่องหมายแทนดวงอาทิตย์ เสื้อคลุมที่ยาวแค่ข้อศอกถูกสวมไว้บนบ่าหลวม ๆ ผมไม่คิดมาก่อนว่าสีเลือดหมูจะเขากับเจสันได้ดีขนาดนี้ มันทำให้ในตาสีฟ้าของเขาเด่นชัด ทั้งผมที่ยาวก็ถูกหวีเสยไปด้านหลังก็ทำให้ใบหน้าเขาดูชวนมองมากขึ้น

หัวใจผมเย็นวาบในวินาทีนั้น รู้สึกหน้ามืดและคลื่นเหียนจนต้องนั่งลงกับพื้น

"ได้เวลาแล้วใช่ไหม" ผมถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบ อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแต่มันก็มากพอแล้ว

เราทั้งคู่เงียบไปนานหลายนาที รอบด้านแทบเงียบสนิท จะมีก็แต่เสียงฝืนแตกจากกองไฟที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต

"เดเมี่ยน เราไม่มีเวลามาก" เขาพูดขึ้นในที่สุด เอาเถอะ ครั้งนี้ผมจะยอมเจ้านั่นสักครั้งก็แล้วกัน

ผมลุกขึ้นเงียบ ๆ "ฉันต้องแต่งตัวเป็นลิเกเหมือนแกหรือเปล่า" อีกฝ่ายส่ายหน้า "ดี เพราะยังไงฉันก็ไม่มีชุดอยู่แล้ว" จบคำผมก็ออกเดินไปโดยมีเขาเดินตามหลัง สัญชาตญาณบอกผมว่าเขาชี้ไม้กายสิทธิ์มาจ่อหลังผมไว้ ซึ่งบ้ามาก ผมไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว ไม่อีกต่อไปแล้ว ตลอดเวลาห้าปีกว่า ๆ ที่ผมอยู่ที่นี่ผมคิดเรื่องหนีเป็นพันล้านรอบ พยายามและล้มเหลวเป็นสองเท่าของจำนวนนั้น เมื่อวานเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย...และผมล้มเหลวเหมือนเช่นที่ผ่าน ๆ มา

รู้ไหม ในใจลึก ๆ ผมรู้ดีว่ายังไงซะผมก็ต้องตาย...หมายถึง เกิดมาทุกคนก็ต้องตายแต่ผมพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อยตรงที่ว่ารู้ว่าจะตายแบบไหนและกะเวลาคร่าว ๆ ได้ว่าจะตายเมื่อไร ความจริงนักโทษประหารก็เป็นแบบนั้น ซึ่งในแง่มุมผมก็คือนักโทษประหารดี ๆ นี่เอง

แล้วรู้อะไรไหม? ผมว่าผมรู้สึกโล่งใจนะที่ทุกอย่างจะได้จบสักที ทุกความโดดเดี่ยว ทุกหยดน้ำตา ทุกความเจ็บปวด ทุกอย่างนั้น ผมดีใจที่มันจบได้สักที

ผมไม่รู้ว่าเราเดินกันอยู่นานเท่าไรแต่สุดท้ายเราก็มาถึงลานโล่ง ๆ กลางป่า ถ้าผมจำไม่ผิดคูน้ำแห้งที่ผมช่วยเจสันไว้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก

จอมเวทสูงสุดยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไอ้ชาติหมาจอมตลบตะแลงลิ้นสองแฉกนั่น

"ฉันคิดว่าแกจะพาฉันไปที่หอคอยทมิฬซะอีก" ผมพูดออกไป

"เราไม่มีเวลา" ไอ้แก่นั่นว่า บางครั้งผมก็นึกอยากจะรู้ชื่อจริงของมันเหมือนกัน แต่ก็ช่างมันเถอะ มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว

"นั่งลง" เจสันเอ่ยออกมาเบา ๆ ทำให้ในลำคอของผมตีบตัน ในปากมีรสขมปร่า รู้สึกหายใจติดขัด เจ็บปวดข้างในอก ภาพตรงหน้าพร่าเรือน...ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้มันเมื่อไรนะ...ผมจำไม่ได้แล้ว

ผมทำตามคำนั้นของเจสัน คุกเข่าลงกับพื้นหญ้าแห้ง ก่อนที่ชายคนนั้นจะเสกดาบไลท์เซเบอร์ออกมา ...มันสั่นเบา ๆ จนเกิดเสียง หวึ่ง ถี่ ๆ ลมหายใจร้อนและมีกลิ่นเหมือนส้มของเขาพุ่งออกมาจนผมรู้สึกได้ เขากลัว

"ไม่เป็นไร เจสัน" ผมว่า "ทำสิ่งที่นายต้องทำ" พูดจบผมก็หลับตา เป็นคำสั่งเสียที่ไม่ได้สวยหรูนักแต่ก็ดีแล้ว แบบนี้แหละดีแล้ว

.........................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
โอลิเวอร์

ทำไมพวกเราถึงตามเจสันมาอันนี้ผมก็ไม่รู้

จู่ ๆ อริสก็พูดขึ้นว่า "เราต้องตามเขาไป" แล้วฟรานก็เดินตามเธอ แล้วผมก็เดินตามฟาน พวกเราเดินตามกันเหมือนลูกเป็ดเดินตามแม่...เว้นแต่เดเมี่ยนเป็นแม่เป็ด ซึ่งนั่นก็พิลึกดีเหมือนกัน

พวกเราตามพวกเขามาจนถึงลานโล่งกลางป่า อริสนำเราเข้าหลบที่เนินดินใกล้ ๆ ผมก้มลงเพื่อหลบจากสายตาก่อนจะโผล่หัวขึ้นมองไปยังลานโล่ง จอมเวทย์สูงสุดก็อยู่ที่นั่น แล้วเดเมี่ยนก็คุกเข่าลง เจสันใช้ดาบไลท์เซเบอร์ของเขา

"มันไม่ควรเป็นแบบนี้นี่หน่า" ฟรานเอ่ยเสียงกระซิบ "มันต้องมีศึกสุดท้าย ต่อสู้ ๆ กันแบบนั้นไม่ใช่เหรอ"

มันก็จริงอย่างที่ฟรานซี่พูด ศึกสุดท้ายตามที่พวกเราเรียนมาเป็นสงครามสิ้นสุดยุคของผู้ถูกเลือกแต่ละคน เมื่อพวกเขาอายุได้สิบแปดปีกองทัพแห่งแสงและเงาจะต้องเข้าเผชิญหน้ากัน เดอะดาร์ควันจะถูกผู้ถูกเลือกแห่งแสงสังหาร ปลดปล่อยพลังแห่งเงาออกมา จากนั้นผู้ถูกเลือกจะดูดกลืนมันเข้าไปในตัว ชำระล้างพลังเงานั้นให้เป็นแสงสว่างและสละชีพตัวเองเพื่อปกป้องโลกแห่งแสงทั้งมวล

มันควรจะเป็นแบบนั้น ทุกอย่างควรจะเกิดขึ้นที่หอคอยทมิฬในดินแดนแห่งเงาไม่ใช่เหรอ?

"ไม่แน่เรื่องเมื่อคืนอาจจะเป็นศึกสุดท้าย" ผมว่า

ทั้งคู่หันมามองผม "อย่าหลอกตัวเองหน่อยเลยโอลิเวอร์" อริสกระซิบ "เทียบกับที่พวกเขาสอนเรามา เรื่องเมื่อคืนอย่างดีก็แค่เด็กช่างยกพวกตีกัน"

ผมเม้มปาก ถึงจะไม่ชอบใจแต่เธอก็พูดถูก ศึกสุดท้ายควรจะเป็นอะไรที่อลังการงานสร้างมากกว่านี้แบบ...ระเบิดนิวเครีย์ จรวดโทมาฮ๊อก มนต์ทำลายล้างโลก และตอนจบที่หักมุมกว่านี้...ผู้ถูกเลือกทุกยุคต้องมีจุดหักมุมตอนจบเสมอ

เจสันกำลังง้างดาบขึ้นในอากาศ มือของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด

"เราต้องทำอะไรสักอย่าง" ฟรานซี่ว่า

"ไม่ เธอจะบ้าเหรอ จอมเวทสูงสุดก็อยู่ที่นี่นะ เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร"

"บางทีเขาอาจจะเป็นจอมโกหกลวงโลกนะ" อริสว่า "เคยคิดเรื่องนั้นไหม"

ผมมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ "ไม่มีทาง เขาคือคนที่ปกป้องเรามาตลอดห้าร้อยปีนะ เขาเป็นจอมเวทที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาจะเป็นคนเลวไปได้ยังไง...พอกันที ฉันจะออกไป"

ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่เธอทั้งสองคนก็โถมตัวมาทับผมไว้...ผมเคยลองแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งกับสาวสองคนจากทีมเชียร์ มันค่อนข้างเลอะเทอะท่าดู

"ขอร้อง โอลี่ เชื่อใจฉัน" ฟรานซี่กระซิบที่ข้างหูของผม

"ลงมือซะ เจสัน" เสียงจอมเวทสูงสุดดังมา "เดี๋ยวนี้"

อริสและฟรานซี่ลุกขึ้นนั่งในท่าเดิม มือของฟรานซี่ยังจับที่แขนผมไว้ มันเล็กเหมือนกิ่งไม้...เปราะบางเหมือนมือตุ๊กตากระเบื้องที่แตกหักได้ตลอดเวลา

"ผม...ผมทำไม่ได้"

"ทำให้มันจบ ๆ ไปซะเจสัน" เดเมี่ยนตะโกนลั่น "ไอ้ลูกกะหรี่เอ้ย"

"หุบปาก" เจสันตะโกนตอบ "ฉันกำลังพยายามช่วยชีวิตนายอยู่นะ"

"คิดถึงคนอื่นบ้างสิโว้ย" เดเมี่ยนพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางเจสันที่พยายามถอยหลังออกห่าง แต่เดเมี่ยนเดินตาม เขาผลักอกเจสันด้วยมือทั้งสองข้างตามจังหวะพูด "ชีวิตฉันคนเดียวแลกกับคนอีกเป็นพันล้าน ใช้สมองหมา ๆ ของแกคิดบ้างเซ่"

"เขาพูดถูก" จอมเวทสูงสุดเอ่ยขึ้นเสียงเรียบและแทบจะฟังดูประจบสอพลอ "ฟังนะเจสัน เรื่องนี้จะดีกว่าถ้าจะให้มันจบโดยเร็ว"

เจสันเงียบไป ไม่อยากจะเชื่อเจ้านั่นเกิดปอดแหกกลัวตายขึ้นมาในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ

"มันต้องมีทางอื่นสิครับ" เขาพูดขึ้นในที่สุด

"มันไม่มีทางอื่น" จอมเวทตอบ

"เพราะว่าไม่เคยมีใครคิดหามาก่อนไงครับ" เจสันพูดพลางเดินไปทางจอมเวทย์สูงสุด "ขอร้องเถอะครับท่านจอมเวทย์สูงสุด ผมขอแค่เวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ หรือไม่กี่วันก็ได้ ผมแน่ใจว่าจะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่มีใครต้องตาย"

"โดยที่เธอไม่ต้องตาย...ที่เธอต้องการจะบอก" อีกฝ่ายตอบเสียงกระซิบยะเยือกบางเบา "หรือว่าเธอรู้อะไรมา...มีใครบอกอะไรเธอตอนพวกนั้นเข้าโจมตีโรงเรียนงั้นเหรอ" เจสันไม่ตอบ เขาแค่ก้มหน้านิ่ง จอมเวทสูงสุดจึงพูดต่อ "งั้นฉันก็ขอโทษจริง ๆ คุณแพรต เธอไม่เหลือทางเลือกอื่นให้ฉันเลย"

จบคำชายคนนั้นก็ยกไม้กายสิทธิ์ของตัวเองขึ้นในอากาศ เดเมี่ยนร้องออกมาว่า "ไม่" และพุ่งตัวไปหาเจสัน

แต่แล้วพื้นข้างใต้ตัวพวกเราก็ขยับไหว...ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาคนทั้งคู่

.......................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เเดเมี่ยน

มินนี่และลูก ๆ ของมันที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนไปตรงเข้ากัดจอมเวทสูงสุด

เจ้างูยักษ์สีขาวฝังเขี้ยวของมันจมแขนของชายคนนั้น ส่วนตัวอื่น ๆ ที่เล็กกว่าก็กระจายตัวกัดไปทั่วร่างกาย ไอ้แก่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อพิษถูกฉีดเข้าเส้นเลือด เขาพยายามสะบัดให้มันหลุดออกไปแต่ดูเหมือนกำลังของเขาจะสู้มินนี่ไม่ได้

"สารพัดตัดขาดประหลาดนัก" จอมเวทสูงสุดว่ามนต์และร่างของมินนี่ก็ขาดออกเป็นท่อน ๆ ตามแรงจังหวะเหวี่ยงไม้กายสิทธิ์

นางงูขาวเหลือบมองผม

"จงนำเราสู้ศึกสุดท้าย เดอะดาร์ควัน" เสียงของเธอสั่นสะเทือนรวยรินในหัวของผมก่อนที่มันจะคายแขนของจอมเวทสูงสุดออกมาและสิ้นใจตาย

"ไม่ ๆ ๆ มินนี่" ผมร้องออกมาและพยายามวิ่งเข้าไปหาเธอ แต่มือของเจสันก็คว้าแขนผมไว้ สายตาของเขาจ้องไปยังไอ้จอมเวทแก่นั่นที่ยังยืนโซเซ

"คิดว่าพิษแค่นี่จะทำอะไรฉันได้เหรอ" มันพูดแล้วก็เตะหัวมินนี่ให้พ้นทาง "ไอ้คนสวนเฮงซวย ฉันบอกให้มันฆ่าอีนี่ซะตั้งนานแล้วก็ไม่ทำตาม เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ "

"ท่านจอมเวท ขอร้อง อย่าทำแบบนี้" เจสันพูดพลางฉุดให้ผมมายืนด้านหลังเขา

"พวกแกรวมหัวกันจะฆ่าฉันใช่ไหม" เขาว่า ใบหน้าเหยเก ลูกปัดที่ใส่ไว้กับหนวดและผมหลุดร่วงลงที่ละอันจนปล่อยให้เส้นขนสยายออก เสื้อคลุมยาวเลื่อนหลุดจากหัวไหล่ข้างหนึ่งของเขา มือก็จับและกระชากลูกงูตัวอื่น ๆ ออกจากร่างกายของตัวเอง หยดเลือดทิ้งตัวเป็นทางยาวจากปากแผลเหล่านั้น

"เปล่าครับ ท่านจอมเวท ท่านเป็นคนให้ผมมาที่นี่เอง" เจสันว่า น้ำเสียงเหมือนพูดกับเด็กห้าขวบ

"ไอ้พวกเด็กสาวเลว" เขาตะโกนลั่นพลางเดินเข้ามาหาเรา สภาพเหมือนคนเมายา ในตาแดงก่ำ เม็ดเหงื่อผุดพลายอยู่ทั่วหน้าและไหลลงมาตามเครายาว "ฉันเกลียด เกลียดฉิบหายไอ้พวกเด็กอย่างแกเนี่ย เหลือขอ กลิ่นตัวเหมือนกองขี้ สู่รู้อวดฉลาดแถมยังร้องจะเอานั่นจะเอานี่" เขาเริ่มหอบหายใจถี่ "ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง" เขาดึงงูที่กัดอยู่ที่หว่างขาของตัวเองออกและยัดหัวลูกงูตัวนั้นใส่ปากก่อนจะกัดและดึงจนหัวกับตัวของลูกงูขาดออกจากกัน "ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณสักนิด" เขาพ่นหัวงูออกมา "ทีนี้ มาจบเรื่องนี้กันเถอะ"

"ไม่" เจสันร้องออกมา

"กรีดแขนไม่ช่วยอะไร" แล้วแสงวาบวับก็พุ่งมาจากด้านข้างของชายคนนั้น วินาทีแรกเขาเหมือนยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรเข้า จนกระทั่งปากแผลที่ท้องเริ่มกรีดร้องออกมาเป็นสายเลือดและลำไส้

ชายคนนั้นใช้สองมือกอบเครื่องในของตัวเองไว้ด้วยความตกใจก่อนจะล้มหงายหลังไป

"อริส" เสียงคุ้นหูดังมาจากอีกด้านของเนินดิน แล้วร่างของอริส แคมเบอร์บัชก็พุ่งตัวออกมาจากเนินดินนั่น ในมือยังชี้ไม้กายสิทธิ์ไปทางไอ้แก่จอมเวท "ไม่ เธออยู่นี่" เสียเดิมพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่เจ้าของเสียงจะโผล่มาอีกคน โอลิเวอร์ สแครบเบิ้ล

แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เธอวิ่งตามคนที่เหลือลงมายังด้านล่างเนินดินอีกคน ฟรานเชสก้า เลิฟฮิวอิท

"ฉันบอกให้เธออยู่เฉย ๆ ไง"

"ฉันไม่ใช่ลูกหมาที่จะมาสั่งนั่นสั่งนี่ได้นะโอลี่" เธอว่าก่อนจะตรงเข้าไปดูไอ้แก่ แต่ไอ้ชั่วนั้นก็พุดลุกขึ้นทั้ง ๆ ที่ใส้ยังทะลักออกมา มือง้างไม้กายสิทธิ์ขึ้นเหนือหัวและฟาดก้อนกลมสีดำออกมา มันลอยไปกระแทกหน้าโอลิเวอร์จนเขาหงายหลัง

"ยิ่งตอกย้ำ ยิ่งเจ็บยิ่งทำร้ายใจ ทุรนทุรายหัวใจอ่อนล้า" อริสรัวคาถาใส่ แสงวาบวับพุ่งไปเฉือนเนื้อของมันอีกหลายจุด ก่อนที่โอลิเวอร์จะปัดมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเธอลง

"อริส พอได้แล้ว" ฟรานโวยลั่น โชคดีที่เธอกลิ้งตัวหลบทันเลยไม่โดนลูกหลงไปด้วย

"เขาเป็นไงบ้าง" โอลิเวอร์ร้องออกมา แม้ว่าจะโดนซัดซะหน้าหงายแต่ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่ได้โมโหแม้แต่นิดเดียว

"แย่ แย่มากด้วย" ฟรานตอบ "แต่ยังไม่ตาย"

"หนังเหนียวฉิบหาย" ผมพึมพำกับตัวเอง

"หุบปากไปเหอะ ไอ้สวะ" ไอ้โทรว์หัวหลิมตะโกนใส่ผม

"อยากได้อะไรไปปักคอเล่นไหม โอลี่" ผมพูดพลางควักมีดพับออกมา

"พอได้แล้วน่า" เจสันร้องห้ามพวกเราเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงสัญญาณไซเรนจะดังขึ้น...เป็นครั้งที่สองในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ครั้งนี้จังหวะของเสียงดังต่างออกไป "เชี่ย...สัญญาณเตือนพวกหน่วยองครักษ์ อีกไม่กี่นาทีพวกนั้นต้องมาถึงที่นี่แน่"

ทุกคนมองหน้ากันไปมาและมันช่วยไม่ได้เลยที่ต้องหันไปมองเจสัน เขาดูสับสนและไร้คำตอบ

"หนีไป" ฟรานตะโกนขึ้นในที่สุด "พวกเธอหนีไป ฉันจะอยู่ที่นี่ล่อพวกนั้นไปทางอื่น"

"ฉันไม่ทิ้ง..."

"ไอ้หัวขวดโอลิเวอร์ ไปกับพวกเขา" เธอตะโกนลั่น "เดี๋ยวนี้!!! "

ไม่ทันจะมีใครพูดอะไรต่อ เจสันก็กระชากแขนผมหันหลังและออกวิ่ง ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลานั้นเขาไม่ปล่อยแขนของผมเลย

ผมสะบัดแขนของตัวเองออก อีกฝ่ายมองผมแต่เราก็ไม่พูดอะไรกันออกมา

"แล้วเราจะหนีไปไหน" โอลิเวอร์พูด "รถก็ไม่มี เงินก็ไม่มี สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไปเป็นร้อยกิโล"

เจสันทำหน้าคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะว่า "แทกซี่ที่ฉันขับมา ตอนเปิดเรียน..."

"มอริอัสขายมันเอาเงินมากินเหล้าหมดแล้ว" อริสตอบ

"เชี่ยเอ้ย" อีกฝ่ายร้องออกมาอย่างหัวเสีย

"แล้วถ้าเราหนีไปได้ก็ต้องโดนตามล่าอยู่ดี ฉันว่าเราควรยอมมอบตัวนะ อธิบายให้พวกนั้นเข้าใจ"

"อธิบายว่าอะไรโอลิเวอร์" อริสร้องถามก่อนจะกระโดดหลบท่อนไม้ที่พาดขวางทาง "ว่าฉันพยายามฆ่าจอมเวทสูงสุดเพราะอยากจะช่วยเดอะดาร์ควันเหรอ คิดว่ามันฟังดูโอเคไหมล่ะ"

เธอพูดถูก ถึงผมจะไม่ชอบนักก็เหอะ

"ฉัน...ฉันทำแบบนี้ไม่ได้" จู่ ๆ ชายคนนั้นก็หยุดฝีเท้า พวกเราจึงหยุดตามและหันกลับไปมอง "ฟังนะ พ่อแม่ฉันต้องเสียใจแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าฉันมีส่วนกับเรื่องนี้"

"รู้จักโตได้แล้วโอลิเวอร์" เจสันร้องออกมา

"อย่าพูดกับฉันแบบนั้นนะ" อีกฝ่ายว่า

"พวกเธอหยุดเถียงกันสักที ฉันว่าได้ยินเสียงคนมาทางนี้" อริสพูดถูก ป่าบอกผมแบบนั้นเหมือนกัน

"ฟังนะ พวกนายต้องหนีไปจากที่นี่" ผมเอ่ยขึ้น "โทษของคนที่ทำร้ายจอมเวทสูงสุดคงไม่ใช่เสียค่าปรับแน่ ๆ ถ้ามันจับพวกนายได้จะไม่มีการขึ้นศาล ไต่สวน หรือลูกขุน ที่พวกนายจะโดนคือจับยัดเข้าตารางรอวันตาย " ผมพูดคำนั้นออกมาโดยหันมองโอลิเวอร์ เขาหันมองทางอื่นด้วยสีหน้าครุ่นคิด "แล้วฉันพาพวกนายออกไปได้ ป่าบอกกว่ามันมีทางออกไปจากโรงเรียนโดยไม่ต้องใช้ทางหลักอยู่ แต่หลังจากนั้นพวกนายต้องหาทางเอง"

เจสันหันมาทางผม "อะไรของนาย นายก็ต้องไปกับพวกเราด้วย"

"ฉันออกไปจากโรงเรียนไม่ได้ จอมเวทสูงสุดร่ายมนตร์ขังฉันไว้ที่นี่"

"ห๊ะ" อริสร้อง "ตั้งแต่เมื่อไร"

"ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียน ฟังนะ ต้องไปกันแล้ว ตอนนี้ ป่าบอกว่ากำลังมีคนมา"

"ป่า" เจสันทวนคำ แต่ผมไม่คิดจะพูดอะไรต่อจึงหันหลังและออกวิ่งไป แทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโอลิเวอร์ตามมาด้วยหรือเปล่า และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าช่วยพวกนี้ทำไม อาจจะเพราะป่าบอกให้ผมทำและถ้าไม่ทำมันก็จะไม่หุบปากเหมือนไอ้เวตาลนั่นแหละ...จะว่าไปไอ้ห่าลากนั่นก็เงียบเสียงไปตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ ท้องอิ่มแล้วเงียบหายเลยนะ!!!

ป่าชี้ทางผมให้ลัดเลาะไปตามแนวป่ารกชัฏทางด้านใต้ของโรงเรียน พวกเราวิ่งกันอย่างไม่ลดละจนมาถึงสุดเขตแดนที่ผมไม่สามารถผ่านออกไปได้ ที่รู้เพราะผมวิ่งชนกำแพงเวทจนหน้าหงาย

"ตรงนี้แหละ" ผมว่าพลางยกมือขึ้นจับจมูกตัวเอง

"อะไร" โอลิเวอร์เดินไปข้างหน้าอีกสองสามเมตร "นี่มันหน้าผา หน้าผานะไอ้บ้าเอ้ย"

"พวกนายต้องโดด ข้างล่างเป็นแม่น้ำพวกนายไม่ตายหรอก" คิดว่านะ "หลังจากขึ้นฝั่งก็วิ่งต่อไป...เท่าไรนะ" ผมถามต้นไม้รอบตัว "สิบสามกิโลเมตรจะมีสถานีรถไฟร้างอยู่ จากนั้นเดินไปตามรางขึ้นเหนือไปอีกสิบกิโลจะเจอสถานีรถไฟ"

"มันกำลังโกหก" โอลิเวอร์หันไปพูดกับเจสัน ส่วนอริสเดินไปชะโงกดูความสูงของหน้าผา "มันจะหลอกให้พวกเราไปตาย"

"ไม่หรอก มันสูงแต่ก็คุ้มที่จะเสี่ยง"

"เสี่ยงกับอะไร ชีวิตเหรอ" โอลิเวอร์โวยวายก่อนจะหันกลับมาทางเจสัน "ตอนนี้ทางเดียวที่จะรอดคือมอบตัว ขอร้องเจสัน"

"กับฉันมันก็มีค่าเท่ากันไม่ใช่เหรอ" คำนั้นทำให้ผมคิดสงสัย แต่ไม่ทันจะพูดอะไรออกไปป่าก็กรีดร้อง

"อะไร...เชี่ยเอ้ย พวกมันมาแล้ว"

ไม่ทันจบคำกลุ่มควันสีขาวซีดก็พุ่งลงมาจากยอดไม้และปะทะกับพื้นดินตรงหน้าพวกเรา ร่างที่มาถึงเป็นชายหญิงในชุดสูทสีแดงเข้ม สวมแว่นกันแดดสีเดียวกัน ที่หน้าอกด้านขวามีตราของอาณาจักรแห่งแสงติดอยู่

"ผู้ถูกเลือก เดอะดาร์ควัน ดิฉันชื่อมอยร่าเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ เราต้องเชิญพวกเธอไปกับเรา" คนที่พูดเป็นหญิงสาวอายุไม่น่าเกินสามสิบ ผมสั้นรองทรงตั้งแต่งอย่างเรียบร้อย

"ไป เดี๋ยวนี้" ผมพูดพลางหยิบมีดพับออกมา ในหัวพยายามตะโกนเรียกเวตาล เวลาแบบนี้ล่ะไม่มาแพร่มเรื่องอยากจะออกมาข้างนอกหรอกนะ "แพรต"

"ฉันจะอยู่" เขาว่า โอลิเวอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก "ถ้าพวกฉันไปนายตายแน่"

"ฉันไม่ต้องการให้นายช่วย" ผมร้องออกมา และใช่ มันเป็นคำโกหก

"เราไม่ต้องการทำอัตรายพวกเธอ" มอยร่าว่า "เราแค่อยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น วางอาวุธเถอะ"

"เจสัน" โอลิเวอร์พูดพลางเหลือบมอง เจสันพยักหน้าและกำลังย่อตัวลงจะวางไม้กายสิทธิ์ลงกับพื้น

ไอ้เวตาล ไอ้ห่าเวตาลโว้ย

ครับนายน้อย

เสียงนั้นดังมาในหัวและเมื่อผมกะพริบตาอีกครั้ง ผมก็ไม่ได้อยู่ที่หน้าผากลางป่าอีกต่อไปแล้ว

มันเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มีผนังและพื้นเป็นร่างกายของมนุษย์ทับซ้อนกัน แขนขาของพวกนั้นปัดป่ายเกี่ยวพันกันไปมาจนยากที่จะแยกแยะ เลือดสีแดงฉานอาบทับพวกมัน เสียงกรี้ดร้องดังมาจากส่วนที่เป็นปากนับร้อยนับพันที่กระจายอยู่ไปทั่ว แขนที่โผล่พ้นออกมาพยายามจับคว้าร่างกายผม

"นายน้อย" เสียงหนึ่งดังมาจากส่วนในของอุโมงค์ เมื่อผมเพ่งดูจึงรู้ว่าส่วนที่ดำมืดที่สุดนั้นกำลังจ้องมองมาทางผม ดวงตาที่สะท้อนแสงเหมือนสัตว์นั่น

"แก...เวตาลเหรอ"

"ครับ กระผมเอง" มันว่าก่อนจะขยับตัวให้ดวงตาเปิดกว้างมากขึ้น พอผมมองดูดี ๆ ถึงรู้ว่าร่างกายใหญ่โตของมันคุดคู่อยู่จนยากจะแยกแยะว่ามันมีรูปร่างแบบไหน

"นี่แกพาฉันมาที่ไหนเนี่ย" ผมร้องถามพลางมองไปรอบตัวก่อนจะกระโดดหลบน้ำตกเลือดที่ไหลลงมาจากเพดานตรงศีรษะ

"ช่างเป็นสถานที่ ๆ อภิรมย์เหลือเกินว่าไหมครับนายน้อย มีแต่ความเจ็บปวด คาวเลือด" มันพูดจบก็หัวเราะออกมา "กระผมอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดนับตั้งแต่ได้รับใช่นายน้อย นับว่าเป็นเกียรติอย่างสุดแสนครับ"

อุโมงค์บิดตัวราวกับมีชีวิต ร่างของเวตาลกระตุกตามเสียงกระดูกในตัวของมันแตกออก มันร้องออกมา "ช่างเจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน"

ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแต่ผมก็มีเวลาไม่มาก "นายต้องพาฉันกลับไป พวกนั้นต้องให้นายช่วย ฉันต้องให้นายช่วย"

"ช่วย? "

"ฉันจะปล่อยให้นายเป็นอิสระ แลกกับที่ต้องพาพวกนั้นหนี"

อีกฝ่ายจ้องมาทางผม "ทำไม? "

"หมายความว่าไงทำไม"

"ทำไมกระผมต้องช่วยพวกนั้นด้วย" มันว่า

"เพราะฉันบอกว่าจะปล่อยให้นายเป็นอิสระไง"

มันหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะวิปราสที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินก่อนมันจะม้วนตัวขยับร่างกาย ผมถึงรู้ว่าตลอดเวลาที่เราคุยกันมันมองผมแบบกลับหัวกลับหางอยู่

"ถ้านายน้อยถูกพวกมันจับตัวไปและฆ่านายน้อย กระผมก็เป็นอิสระอยู่ดี แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ กระผมยินดีจะอยู่รับใช้นายน้อยเช่นนี้ไปจนกว่าชีวิตของกระผมจะหาไม่"

"ไอ้ตอแหล" อีกฝ่ายหัวเราะอีก ผมสูดหายในลึก กลิ่นในนี้มันสุดจะทนจริง ๆ มีแต่คาวเลือดชวนอ้วก "แกต้องการอะไร เวตาล"

"เพื่อช่วยเพื่อน ๆ ของนายน้อยหรือครับ? "

"พวกมันไม่ใช่เพื่อนฉัน"

"ถ้าท่านบอกเช่นนั้น" มันว่าและหัวเราะ "ท่านต้องการให้กระผมพาพวกนั้นสามคนออกมาจากโรงเรียน..."

"ไปยังสถานที่ปลอดภัย" ผมพูดขัดอีกฝ่าย

"ครับ ไปยังสถานที่ปลอดภัย" มันครางในลำคออย่างใช้ความคิด...นี่มันเป็นตัวละครในละครหลังข่าวหรือไง "นั่นค่อนข้างจะยากนะครับ มีพวกองครักษ์อยู่เป็นสิบและ..."

"รีบ ๆ พูดออกมาเวตาล"

"ได้ครับ นี่คือข้อเสนอของผม..." มันว่า "หลังจากเรื่องนี้จบ กระผมต้องการตัวของท่านครับ"

คำนั้นทำเอาผมขนลุก "แกพูดว่าอะไรนะ"

"ไม่ครับ ไม่ ๆ ไม่ใช่ในแบบนั้น แน่นอนที่สุด การสมสู่กับนายน้อยเป็นความคิดที่น่าขยะแขยงมากสำหรับกระผม" มันหยุด "กระผมหมายถึงเลือดเนื้อของนายน้อย เครื่องใน ตับไตไส้พุง กระดูก เส้นเอ็น ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นครับนายน้อย"

ความรู้สึกมวลท้องเหมือนจะอาเจียนก่อตัวในกระเพาะของผม "แกมันชาติหมารู้ตัวไหม"

"กระผมเป็นแค่ทาสผู้ต่ำต้อยและซื่อสัตย์ของท่านเท่านั้นครับ" มันว่า "อย่างไรดีครับนายน้อย"

ผมนิ่งไปนานหลายวินาทีพยายามคิดหาทางอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ก็จนปัญญา

"ก็ได้" ผมพูดลอดไรฟันออกมา "ไอ้หมาขี้เรื้อนชาติชั่ว ช่วยพวกนั้นออกมาแล้วจะทำอะไรก็เชิญ"

อีกฝ่ายหัวเราะ พื้นและผนังอุโมงค์ขยับตัวราวกับตอบรับคำนั่นของผม เลือดไหลทะลักออกมาจากผนังและเพดาน มันเติมเต็มและท่วมอุโมงค์อย่างรวดเร็วจนผมจมลงไปในเลือดเหล่านั้น ในตาเรืองแสงฉายแววอย่างผู้ชนะ

"ถ้าเช่นนั้น กระผมก็ยินดีทำตามคำขอของนายน้อยครับ"

.....................................

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจสัน

ผมกำลังวางไม้กายสิทธิ์ของตัวเองลงกับพื้นตอนที่จู่ ๆ เดเมี่ยนแหกปากร้องลั่นออกมา ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางอย่างพุ่งทะลุออกมาจากตราอัญเชิญบนใบหน้าเขา...มันเป็นแขน จากนั้นเท้า และขา ฉีกแหวกผิวหนังของชายคนนั้นออกเป็นริ้วเหมือนแผ่นกระดาษ


ร่างที่โผล่ออกมานั้นมีสีแดงเหมือนเลือด เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อมองเห็นได้ชัดใต้แสงจันทร์ยามเที่ยงคืน จากนั้นมันก็หลอมละลาย กลายเป็นหยดเหมือนเนื้อบดแฉะ ๆ ก่อนจะลามเลียกลืนกินร่างของเดเมี่ยน


"เก็บของได้แล้ว" เสียงนั้นไม่ใช่ของเดเมี่ยนแม้ปากที่พูดจะยังคงเป็นของเขาก็ตาม มันแหลมสูงเหมือนเสียงข่วนเล็บบนกระดานดำ "ยังต้องไปกันอีกไกล"


พวกหน่วยองครักษ์รู้ทันทีว่ามีอะไรผิดไป พวกนั้นระดมยิงกระสุนแสงจากไม้กายสิทธิ์ แต่เดเมี่ยน...หรือตัวอะไรก็เหอะ...กางปีกค้างคาวของมันบังพวกเราไว้ มันคว้าผมไปด้วยแขนและนิ้วที่ยืดยาว ไม่มีผิวหนัง รสสัมผัสมันเหมือนชิ้นเนื้อแฉะ ๆ


มันปล่อยผมลงที่บนหลังของมัน ผมรัดคอมันด้วยแขนทั้งสองข้าง


"อย่ารัดแน่นนักเซ่" มันร้อง


"โทษที"


จากนั้นวินาทีต่อมามันก็ทะยานออกจากริมหน้าผา


"พวกแกจะฆ่าข้าเหรอ" มันร้องออกมาก่อนจะหัวเราะเสียงแหลมสะท้อนก้องในหุบเขา ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นไปในท้องฟ้าและปล่อยตัวให้ตกลงด้านล่างเป็นแนวดิ่ง


"เชี่ยเอ้ย เชี่ยเอ๊ย แกจะทำบ้าอะไรวะ" ผมร้องออกมาตอนที่คิดว่าตัวเองกำลังดิ่งลงโหม่งโลก หลับตาแน่นเตรียมรับแรงกระแทก...ที่ไม่เคยมาถึง


พอลืมตาอีกครั้งผมก็เห็นว่าตัวเองกำลังตก...ตกลงไปในโพรง...แต่มันไม่ใช่โพรง มันเหมือนผมอยู่ในลิฟต์แก้วที่กำลังเคลื่อนผ่านชั้นต่าง ๆ ไปทีละชั้น ทุก ๆ ชั้นมีทิวทัศน์ ช่วงเวลา และสิ่งมีชีวิตเป็นของตัวเอง วินาทีหนึ่งผมเห็นไดโนเสาร์ด้วย ให้ตายเหอะ ไดโนเสาร์!!!


ทุกอย่างผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อนที่ไอ้ตัวไม่มีหนังจะพาเราตกลงกระแทกพื้น ผมกลิ้งหลุดจากหลังของมันกระเด็นไปกระแทกกับอะไรสักอย่างจนต้องร้อง "แอ๊ก" ออกมาเบา ๆ


กลิ่นอากาศมีแต่ฝุ่น พื้นผิวเรียบแต่เย็นเหมือนน้ำแข็ง พอผมลืมตาอีกครั้งแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาทางส่วนที่ครั้งหนึ่งคงเคยเป็นหน้าต่างทำให้เห็นว่าพวกเราอยู่ในร้านขายของชำร้าง อากาศภายนอกมีแต่กลิ่นแห้งและเม็ดทราย พวกเราอยู่กลางทะเลทราย


"เชี่ยเอ๊ย" เสียงโอลิเวอร์ดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน พอผมมองไปจึงเห็นเขากระเด็นเข้าไปในตู้แช่น้ำเก่า ๆ


"อริส" ผมร้องออกมา


"อยู่นี่" เสียงใส ๆ ตอบมาจากบนชั้นวางของที่เอาไปกองอยู่มุมหนึ่งของห้อง


และเดเมี่ยน...ผมมองไปรอบตัวก่อนจะเห็นร่างนั้นนอนอยู่ห่างออกไปไม่มาก แสงจันทร์ส่องไปที่ร่างของเขาพอดีผมจึงเห็นได้อย่างชัดเจน แขนขาและปีกของเขาค่อย ๆ ละลายอีกครั้งจนกลายเป็นเนื้อบดเหมือนเดิมก่อนจะไหลกลับเข้าไปในตราอัญเชิญที่ข้างหู วินาทีต่อมา เดเมี่ยนก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิน ผอมแห้งแต่ดูแข็งแรงดี แผ่นหลังที่มีแต่รอยแผลเหมือนถูกของมีคมบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ผมรู้สึกยากที่จะมอง มันเหมือนมีใครพยายามฆ่าเขาด้วยการฟันมีดปอกผลไม้ทื่อ ๆ ไปที่หลังซ้ำแล้วซ้ำอีก รอยแผลปูดนูนหลายจุด บางส่วนผิวหนังหายไปมีแต่แผลเป็นคล้ำดำ...มันดูเหมือนเป็นแผลที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ผมสงสัยว่ามันเกิดขึ้นระหว่างที่เขาอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่า


แผลฉีกขาดจากตราอัญเชิญทำให้ผมรู้สึกเจ็บจุกที่อก รอยแผลที่เหมือนถูกกรีดด้วยมีดคัดเตอร์ลากตัวยาวลงมาจากตราอัญเชิญที่ใบหน้าข้างซ้ายของเขา ทิ้งตัวมาตามลำคอ ไหล่ และลากลงมาเป็นแนวเฉียงจากกระดูกไหปลาร้าด้านซ้ายลงมาที่กลางแผ่นหลัง มันดูน่าจะเจ็บมากแน่ ๆ แต่เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ไม่แม้แต่คำเดียว


ผมไล่สายตาลงไปตามรอยแผลและต่ำลงไปจึงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเสื้อผ้าสวมไว้สักชิ้น เขานอนคว่ำอยู่...แต่บางอย่างก็ยังลอดออกมาจากหว่างขาของเขา ผมรีบละสายตาไปทางอื่นทันที


"นั่นมันอะไร" ผมหันไปจึงเห็นอริสเดินมานั่งข้าง ๆ ร่างของเดเมี่ยน เธอปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เช็ดมือกับกางเกงก่อนจะไล่นิ้วไปบนแผ่นหลังของเดเมี่ยน


"แผลเป็น...ฉันก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนเหมือนกัน" ผมเอ่ยตอบ


"ไม่ใช่...มันไม่ใช่แผลเป็น..." เธอว่าก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากเสื้อนอก "ก๊อก ๆ ๆ เปิดประตู เปิดออกดู ว่าใครมา" แล้วแผลเป็นพวกนั้นก็เรืองแสงขึ้น ...ไม่ ไม่ใช่ที่แผลเป็น แต่เป็นข้างในแผลเป็นมากกว่า พวกมันเรืองแสงสีส้มเหมือนไฟในก้อนถ่าน


"มันตัวหนังสือไม่ใช่เหรอ" โอลิเวอร์ที่สุดท้ายก็หาทางออกมาจากตู้แช่ได้พูดออกมาและนั่งลงข้าง ๆ ผม


"มันเป็น..." อริสพูดได้แค่นั้นตอนที่เดเมี่ยนครางออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนจะดิ้นทุรนทุราย ร่างกายปิดงอ และร้องออกมาสุดเสียง


ผมทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่จับตัวเขาไว้โดยมีโอลิเวอร์ช่วย อริสตวัดข้อมือเพื่อยกเลิกมนต์และเดเมี่ยนก็หยุดร้องและดิ้นในทันที เขาหอบหายใจถี่ เหงื่อโทรมกาย ตัวของเขาค่อนข้างเย็น


"อะไร" เขาพูดออกมาเป็นคำแรก เสียงยังแหบแห้งน่าขนลุกอยู่เหมือนเดิม


"อะไรล่ะ" ผมตอบกลับก่อนอีกฝ่ายจะมองไปรอบ ๆ เพดาน ผนัง ผม และตัวเอง


"เสื้อผ้าฉันไปไหน...นี่พวกนายทำอะไรฉันเนี่ย" เขาสะบัดตัวสุดกำลังโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวก่อนจะกระโดดไปยังมุมห้องด้านหนึ่งนั่งคุดคู้เหมือนหมาตื่นกลัว สมองมือซุกอยู่ในซอกขา "มันเรื่องอะไรวะ" เขาร้อง "ใครเอาเสื้อผ้าฉันไป"


"ไม่มีใครเอาไป...มัน..."


"นายกลายร่างเป็นค้างคาวแล้วพาพวกเรามานี่" โอลิเวอร์สรุปเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ย่างรัดกุม "เสื้อผ้านายขาดหมดตอนที่นายกลายร่าง"


"พูดเรื่องบ้าอะไรของแก ฉัน..." เขาหยุดก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ "เวตาล เวตาล แกใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ไอ้ชาติหมาเอ๊ย ตอบเซ่"


"นายพูดกับใคร" อริสเอ่ยขึ้น


"ก็ไอ้ตัวเหี้ยที่เพื่อนเธอส่งมาฝังอยู่บนหน้าฉันนี่ไงล่ะ" เขาตะโกนตอบพลางยื่นหน้าฝั่งซ้ายมาให้ดู สีหน้าเหมือนคนสติแตกเต็มที่ "จำได้ไหม เชี่ย เชี่ย เชี่ยเอ้ย"


"ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหม" ผมเอ่ยออกมา


"เย็นบ้านพ่องสิ ฉันเย็นจนไข่จะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย" ผมหลุดขำออกมาก่อนจะถอดเสื้อคลุมโยนให้อีกฝ่าย "แกคิดว่าน่าขำเหรอแพรต แล้วนี่อะไร ฉันจะเอามาใส่ยังไงห๊ะ เอามานุ่งเป็นกระโปรงแหวกขาหรือไง ไอ้ควายเอ๊ย" พูดจบก็ปาเสื้อคลุมกลับมาใส่หน้าผม


"นายไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นก็ได้นะ" โอลิเวอร์พูดพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังก่อนจะหยิบกางเกงยีนอีกตัวออกมา "เอานี่" เขาโยนมันให้อีกฝ่าย


ผมกับอริสรู้ว่าโอลิเวอร์ชอบพกกางเกงสำรองไว้เสมอ เผื่อเวลากินเยอะจนตัวที่ใส่อยู่คับเกินไป


เดเมี่ยนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะว่า "หันไป" พวกเราจึงหันหลังกลับ


"ทำอย่างกับอยากจะมองงั้นแหละ" โอลิเวอร์พึมพำออกมา


ผ่านไปไม่กี่วินาทีเสียงฝีเท้าก็ดังมาทำให้ผมหันกลับไปมองจึงเห็นอีกฝ่ายกำลังเดินไปทั่วบริเวณเหมือนหาอะไรบางอย่าง


"นายหาอะไร" ผมถามร้องถาม


"บ้านสักหลังกับที่ดินสักผืน กะจะเอามาทำไร่" เขาตอบ


ผมถอนหายใจยาว "ฉันถามจริง ๆ "


"แกคิดว่าไงล่ะ" เขาว่าพลางหันมา มือข้างหนึ่งกำขอบกางเกงที่อยู่ต่ำมากจนเห็นไรขนสีดำตรงใต้ท้องน้อย "กางเกงมันหลวม ฉันจะหาอะไรมาใช้แทนเข็มขัด"


"ปล่อยเขาไปก่อนเหอะ" อริสพูดออกมา "ตอนนี้เราต้องคิดหาทางก่อนว่าจะเอายังไงกันต่อ"


"เราควรกลับไป" โอลิเวอร์พูดออกมาเหมือนรอมานานแล้ว ตาข้างซ้ายของเขาเริ่มช้ำเป็นสีม่วง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปโดนอะไรมา


"ไม่ โอลิเวอร์ เราจะไม่กลับไป" อริสพูดน้ำเสียงยียวน "ก่อนหน้านี้มันอาจจะเป็นความคิดที่ดีเพราะเราไม่มีทางเลือก ตอนนี้เราหนีออกมาได้แล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ"


"เดินหน้าไปไหน" โอลิเวอร์ร้องออกมา "กลับบ้านเหรอ? ป่านนี้พวกนั้นคงไปซุ่มรอพวกเราอยู่ที่บ้านแล้ว ดีไม่ดีอาจจะรวมไปถึงพวกญาติ ๆ ด้วย...ให้ตายเหอะ ลุงโทมัสต้องฆ่าฉันแน่ ๆ ที่จู่ ๆ มีรถไปซุ่มอยู่หน้าบ้านเขาน่ะ"


ผมถอนหายใจ "คงต้องหาที่ซ่อนตัวกันสักพัก ฟรานยังอยู่ที่โรงเรียนเพราะงั้นเราอาจจะยังพอมีทางหาข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ได้"


"เรื่องนั้น..." อริสพูดได้แค่นั้นก่อนที่เดเมี่ยนจะพูดเสียงดังมาจากด้านหลัง


"นั่นเหรอแผนนาย" ผมหันไปจึงเห็นอีกฝ่ายไปเจอเชือกไนลอนเก่า ๆ เอามาทำเป็นเข็มขัด...ให้ตาย เขาผอมมากจริง ๆ "หาที่ซ่อนแล้วใช้แฟนตัวเองเป็นสายลับ"


"พวกเขาเลิกกันแล้ว" คำนั้นหลุดออกมาจากปากโอลิเวอร์และผมนึกอย่างจะตะบันหน้าหมอนั่นให้แหก


"ถ้านายมีทางที่ดีกว่านี้ก็พูดออกมาได้เลยเดเมี่ยน พวกเราก็อยากจะฟังเหมือนกัน" ผมว่า


"ตอนนี้อยากจะฟังฉันขึ้นมาแล้วเหรอ" เขาพูดทำหน้ากวนประสาท "แล้วก่อนหน้านี้ทำไมไม่ฟังตอนที่ฉันบอกว่าให้ฆ่าฉัน"


คำนั้นทำให้ผมรู้สึกขนในลำคอ "ฉันช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ" ใช่ และของผมเองด้วย ความคิดนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนไอ้หน้าตัวเมียขี้ขลาด


"ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วย" เขาบอก "ที่ฉันขอให้นายทำคือฆ่าฉันซะ"


คำพูดนั้นเป็นเหมือนฝากเส้นสุดท้ายที่ขาดผึ่ง ผมทั้งเหนื่อย เครียดที่กำลังถูกตามล่าและอ่อนล้าที่ไม่ได้นอนมาสองคืนติด แล้วไอ้ห่านี่ก็ยังมาพูดเหมือนไม่รู้จับสำนึกบุญคุณ ไอ้ห่าที่ผมเพิ่งช่วยชีวิตไว้ "รู้อะไรไหม เดเมี่ยน ถ้านายอยากตายมากนักทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปซะล่ะ"


"เจสัน" อริสร้องออกมาเสียงดัง ผมหันมองเธอจึงรู้ว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรออกไปและรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที


ผมหลับตาและส่ายหน้าก่อนว่า "เดเมี่ยน..."


"คิดว่ามันง่ายแบบนั้นเหรอ..." ชายคนนั้นว่า มือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบบางอย่างออกมา ควงมันในมือสองสามครั้งก่อนจะตวัดขามีดทั้งสองข้างเข้าหากัน ใบมีดปลายแหลมเป็นประกายในแสงจันทร์ "ได้...มาลองทำแบบนั้นกัน"


จบคำเขาก็ส่งปลายมีดเข้าไปที่ข้างลำคอของตัวเอง ปาดมันจากซ้ายไปขวาและดึงออก



........................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 21:38:35 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดเมี่ยน



เลือดสาดเยอะมาก...นั่นค่อนข้างดราม่าดี


ผมดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น รู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังถูกสูบออกจากปอด ในปากรู้สึกถึงเลือดที่ไหลทะลักจากเส้นเลือดใหญ่ เข้าไปมาลำคอ ล้นออกมาทางปากและจมูก พวกนั้นพยายามเข้ามาห้ามเลือด อริสบอกให้เจสันใช้มือกดห้ามเลือดไว้ สีหน้าเธอดูมีสติที่สุด ส่วนเจสันหน้าซีดเป็นไก่ต้ม...เจ้านั่นน่าจะเห็นความตายมาเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนโอลิเวอร์ได้แต่ยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก สองมือของเขากุมอยู่บนหัว ในตาว่างเปล่า ปากอ้าค้าง


มันน่าขำสิ้นดี พวกนั้นทำตัวน่าสมเพชจนผมหัวเราะออกมา


"อะไร" อริสหยุดมือจากการพยายามฉีดแขนเสื้อของตัวเองมาทำเป็นผ้าพันแผล ส่วนเจสันทำตาโตเท่าไข่ไดโนเสาร์


แล้วผมก็ได้แต่หัวเราะ หัวเราะเอาลมหายใจออกมาจากปอด ไอโครกเอาลิ่มเลือดออกมาก่อนจะกลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่ออาเจียนเอาเลือดผสมน้ำย่อยออกมาและหัวเราะต่อ


"พวกนาย แม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยว่ะ" ผมพูดเคล้าเสียงหัวเราะ


"มัน...มันอะไรวะ" เจสันพึมพำ


ผมดันตัวเองขึ้นนั่งทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะออกมาไม่หยุด ไถล่ตัวไปพิงผนังห้องและใช้สองมือเช็ดเลือดออกจากคอและลำตัว รู้สึกถึงแผลที่สมานตัวจนหายดี "ฉันฆ่าตัวตายไม่ได้ เจสัน" ผมพูดเคร้าเสียงหัวเราะ "ไม่มีใครฆ่าฉันได้นอกจากนาย"


ทั้งสามคนเงียบไปหลังจากคำนั้นของผมก่อนที่อริสจะพูดขึ้น


"คำสาป ไอ้ตายไม่ตายหรอกเธอ"


ผมเบ้หน้าแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ ทุกคนเงียบกันต่อไปอีกหลายวินาทีเหมือนรอคำอธิบายเพิ่ม อริสจึงพูดขึ้น


"มันเป็นคำสาปต้องห้ามที่มีแต่ผู้คุมแห่งเงาเท่านั้นที่ใช้ได้...พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือคำสาปที่ทำให้คนที่ถูกสาปไม่มีวันตายไม่ว่าจะโดนทำร้ายหรือได้รับบาดเจ็บแค่ไหนก็ตาม"


"คาถาที่ทำให้ฆ่าไม่ตายเหรอ" โอลิเวอร์พูด "ฟังดูไม่ค่อยจะเหมือนคำสาปเท่าไร"


"ถ้านายอยากตาย มันก็เป็นคำสาป" ผมพูดพลางพ่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาก่อนจะมองเจสัน สายตาเราประสานกัน ในตาเขาเป็นสีฟ้าสะท้อนแสงจันทร์งดงามจนผมทนมองมันไม่ได้จึงหลบสายตามองต่ำ


"เพราะงั้นนายถึงบอกว่าให้พวกฉันหนีไป" เจสันพูดเสียงเบา "เพราะยังไงนายก็ฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว นายน่าจะบอกเรื่องนี้ ถ้าฉันรู้..."


"ช่าย ตอนนั้นเรามีเวลาตั้งสามชั่วโมงใช่ไหม ฉันน่าจะพกชุดปิ๊กนิคมาด้วย พวกเราจะได้นั่งจิบชาระหว่างที่ฉันเล่าให้พวกนายฟังว่าฉันจมน้ำอยู่สามวันได้ยังไงโดยที่ยังไม่ตาย" บ้าชิบ ผมพูดมากเกินไปแล้ว "ถ้านายถามฉันว่าพวกเราควรจะทำยังไง ฉันก็ขอบอกว่าให้ทำตามที่แม่นายบอก" ผมเปลี่ยนเรื่องโดยทันทีพลางลุกขึ้นยืน


"แม่? " โอลิเวอร์ร้องขึ้น "แม่ไหน...ฉันคิดว่าพวกเราจะหาที่ซ่อนตัวกันซะอีก"


"ซ่อนดีแค่ไหนพวกนั้นก็ต้องหาเจอแน่" ผมว่า "พอไอ้แก่นั่นฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีใครรอดจากคาถาติดตามตัวของมันได้หรอก"


พวกเขาเงียบไปก่อนที่เจสันจะถอนหายใจและว่า "เขาพูดถูก"


"ก็เออสิวะ" ผมร้องเสียงสูง "ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่แม่นายบอก" ผมหยุด มองเขา "ก็คิดแบบนั้นไม่ใช่เหรอตอนที่ไม่ยอมฆ่าฉันน่ะ"


"พวกนายพูดเรื่องอะไร แม่ใคร" อริสถาม


"เมื่อวันก่อนตอนเกิดเรื่อง ฉันเจอวิญาณของแม่ฉัน คือตอนนั้น..."


"สั้น ๆ ก็คือ แม่ของหมอนี่บอกให้เราหนีออกจากโรงเรียนไปด้วยกัน" ผมเอ่ยสวนขึ้น ไม่อยากให้เจสันพูดเรื่องอื่นมากไปกว่านั้น


"ไปไหน" โอลิเวอร์ถามต่อ


"ไม่รู้ เขาบอกว่าความฝันของเดเมี่ยนจะนำทาง" จนได้สิหน่า เจ้านี่ชอบพูดเรื่องที่ผมไม่อยากให้พูดออกมาตลอด


"เรียกฉันว่าโดว์" ผมพูดสั้น ๆ


"เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวนะ นายเจอวิญญาณแม่นาย แล้วไม่เล่าให้พวกเราฟังเนี่ยนะ" อริสร้องขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นระดับใหล่และส่ายศีรษะถี่ ๆ "ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน...ความฝันของนายเหรอ" คำนั้นเธอหันมาทางผม


"ช่าย เรื่องนั้นฉันจะเล่าระหว่างทางก็แล้วกัน"



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด