✁ ความลับของช่างตัดเสื้อ (BDSM) ✁ ตอน 37 [The end] (update 22/11/2021)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✁ ความลับของช่างตัดเสื้อ (BDSM) ✁ ตอน 37 [The end] (update 22/11/2021)  (อ่าน 24153 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“ผมมาเก็บปิ่นโตครับ” เด็กชายวัยสิบปีกล่าวพลางยืนยิ้มแฉ่ง ขณะที่บีมกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า และยังต้องคอยควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ซ้ำยังต้องบังคับร่างกายไม่ให้แสดงปฏิกิริยาแปลก ๆ ส่วนนายท่านดูเหมือนจะชอบใจเป็นอย่างมาก เพราะริมฝีปากกำลังคลี่เป็นรอยยิ้ม แม้ว่าช่วงล่างจะกำลังตกที่นั่งลำบากไม่ต่างกัน

“เอ่อ.. เดี๋ยวพี่ขอเก็บแป๊บนึงนะ เพิ่งกินเสร็จน่ะ” บีมแก้ตัวเสียงสั่นพร้อมก้าวเดินไปยังถาดปิ่นโตที่อยู่ไม่ไกลจากคุณนัทมากนัก ซึ่งคุณนัทก็ทำหน้าที่เป็นกำแพงบดบังพวงหางของบีมได้เป็นอย่างดี แต่พอรู้ตัวอีกทีวิถีแห่งการบดบังก็ถูกสับเปลี่ยน หัวใจของบีมจึงวูบไหวด้วยความตื่นเต้น ในหัวจึงพาลแต่จะคาดเดาว่าเด็กคนนั้นจะเห็นพวงหางอันน่ามองนี่หรือเปล่า แล้วจะใช้สายตาแบบไหนจ้องมองกลับมา ความเก้อเขินจึงผสมปนเปไปกับความต้องการจนทำให้ห้วงแห่งอารมณ์ปั่นป่วนราวกับพายุโหมกระหน่ำ

“นี่ครับ” บีมพยายามควบคุมสติและเร่งมือเก็บปิ่นโตทั้ง ๆ ที่ฝ่ามือกำลังสั่นเทา จากนั้นจึงยื่นให้กับเด็กชายผู้แสนนอบน้อมที่พอได้รับสิ่งของที่ต้องการก็รีบกล่าวขอบคุณแล้ววิ่งแจ้นออกไป บีมจึงถือโอกาสตีลาดไหล่ของคุณนัทเป็นการสั่งสอน โดยที่ในใจไม่ได้คิดโกรธเคืองแต่อย่างใด

“คุณไม่ต้องทำมาเป็นดุผมเลย เพราะผมน่ะรู้ใจคุณยิ่งกว่าอะไร” คุณนัทกล่าวพลางยักคิ้วด้วยท่าทางสุดแสนจะดูดี พร้อมกับรั้งเอวให้บีมขึ้นมานั่งคร่อมบนหน้าตัก

“ผมควรต้องให้รางวัลคุณ ?” บีมย้อนถามพลางโอบรอบลำคอของอีกฝ่าย ส่งผลให้ช่วงล่างสัมผัสกันอย่างแนบเนียน

“หรือมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ?” คุณนัทย้อนถามอย่างไว้เชิง แต่ทว่าเรียวขาอันซุกซนกลับเย้าหยอกช่วงล่างของบีมราวกับแอบชื่นชมของรางวัลล่วงหน้า บีมจึงได้แต่หลุดหัวเราะด้วยท่าทีที่แสนผ่อนคลาย

จากนั้นพิธีการมอบรางวัลก็ดำเนินต่อไป จนกระทั่งความสุขสมพร่างพรมราวกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายตรงบริเวณนอกโรงเรือนอีกระลอก สุ้มเสียงแห่งความหวามไหวจึงถูกซ่อนเร้นได้อย่างแนบเนียน

   
“ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เราสองคนถือโอกาสทานอาหารกลางวันร่วมกัน ข้อจำกัดนั้นจะถูกคุณมองข้ามโดยไม่รู้ตัวนะครับ” กระทั่งความเงียบเริ่มโอบล้อมคนทั้งคู่ คุณนัทจึงเปิดบทสนทนาที่น่าสนใจพลางวิเคราะห์อย่างจริงจัง บีมจึงใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าวครู่หนึ่ง จนเริ่มมองเห็นพฤติกรรมของตัวเองที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพราะคนตรงหน้า เช่น เวลาพักหนึ่งชั่วโมง ปกติบีมจะใช้แค่ 45 นาที แต่พอได้รู้จักกับคุณนัทเวลาพักของบีมกลับกลายเป็นหนึ่งชั่วโมงเต็มโดยไม่รู้ตัว

“อันที่จริงการโหมงานหนักของผมยังมีอีกเหตุผลหนึ่งนะครับ” บีมเปรยขึ้นพร้อมลงมือแปรรูปมะพร้าวน้ำหอมอย่างตั้งใจ

“คุณนัทคงจะทราบดีว่าผู้คนแถวบ้านผมให้ความสำคัญกับอาชีพรับราชการมาก แน่นอนว่าสายงานไหนที่พวกเขาไม่รู้จักก็จะหมดความหมาย เพราะพวกเขามองที่ความมั่นคงและรายได้เป็นหลัก ดังนั้นอาชีพอื่นจึงต้องนำเงินทองมาอวดอ้างกัน เพราะทุกคนต่างก็อยากได้รับการยอมรับและคำยกย่องจากสังคมที่ตัวเองยืนอยู่ ซึ่งผมทราบดีครับว่าไม่ควรไปใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ พ่อของผมท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านมีหน้ามีตาในสังคม พวกท่านก็เลยทำงานอย่างหนักเพื่อที่ผมจะได้เรียนโรงเรียนดี ๆ พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็หวังให้ผมสอบติดสถาบันดัง ๆ ออกมาจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี เพราะสิ่งเหล่านั้นจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีด้วย” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะชีวิตในวัยเด็กล้วนเต็มไปด้วยความกดดัน

“แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะผมชอบการดีไซน์เสื้อผ้า ซึ่งในมุมมองของคนอื่นคงจะเป็นแค่ช่างตัดเสื้อกระจอก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่ความมั่นคง อีกทั้งผมยังมาค้นพบว่าตัวเองชอบใส่ชุดของผู้หญิง เพราะมันทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเสื้อผ้าที่ผมออกแบบมันสวยงามมากแค่ไหน ดังนั้นเวลาที่คุณนัทชื่นชมผมในลุคของจูเลียตด้วยคำว่า ‘สวย’ ผมเลยดีใจมาก เพราะมันหมายความว่าเสื้อผ้าของแบรนด์ผมแม้แต่ผู้หญิงโครงร่างใหญ่ก็ยังใส่ออกมาสวย” บีมกล่าวพลางยกยิ้มในประโยคสุดท้ายเมื่อพูดถึงเหตุผลของความชื่นชอบที่แตกต่างจากคนอื่น

“แถมตอนนั้นผมเริ่มให้ความสนใจกับเพศเดียวกันแล้วล่ะครับ ชาวบ้านที่รับรู้เรื่องพวกนี้ก็เลยแต่งเสริมเรื่องราวออกไปมาก เพราะพวกเขาไม่เข้าใจรสนิยมและความฝันของคนอื่นแล้วยังตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ราวกับชีวิตของผมคือเรื่องตลกที่มีไว้เพื่อคลายเครียดระหว่างมื้ออาหาร พ่อกับแม่ก็เลยอับอายที่มีลูกอย่างผมถึงได้ข่มขู่สารพัดว่าถ้าหากผมยังไม่เลิกทำตัวแบบนั้น พวกท่านจะพาผมไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลบ้า ซึ่งคำพูดแบบนั้นและการถูกลากถูลู่ถูกังมันน่ากลัวสำหรับเด็กคนหนึ่งมากนะครับ ผมเลยต้องยอมอยู่ในกรอบที่พวกท่านขีดไว้” หลังจากบีมถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตให้อีกฝ่ายฟัง ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นก็เคลื่อนมากอบกุมฝ่ามือของบีมไว้ รอยยิ้มจึงเริ่มจุดประกายตรงบริเวณมุมปากเล็กน้อย แต่ทว่าแววตาสุกใสกลับหมองหม่น

“ด้วยความเก็บกดและการมองเห็นสายตาของชาวบ้านจ้องมองเหมือนกับผมเป็นตัวประหลาด ผมเลยตัดสินใจติดปีกให้ตัวเองโผบิน ทั้ง ๆ ที่ในใจผมร้องตะโกนไปร้อยแปดประโยค เพราะผมก็แค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำไมพวกเขาต้องมายุ่งกับเรื่องของผม ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เข้าใจ ทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องฟังคำพูดของคนอื่นมากกว่าผม ทำไมเรื่องของครอบครัวผมถึงได้กลายเป็นเรื่องของคนอื่น คนพวกนั้นมีสิทธิ์อะไรมารุกรานความเป็นส่วนตัวของพวกเราขนาดนี้ หรือการที่พ่อกับแม่ของผมให้สิทธิเข้านอกออกในเหมือนกับบ้านของตัวเอง มันหมายรวมไปถึงพวกเขาจะเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตของคนอื่นยังไงก็ได้ อีกอย่าง.. ผมเป็นเพศทางเลือกแล้วยังไงครับ ผมก็คนเหมือนกันนะ ทำไมผมต้องพยายามถีบตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับมากกว่าคนอื่นด้วยไม่ยุติธรรมเลย” บีมระบายออกมาอย่างหมดเปลือก เพราะสิ่งเหล่านี้ติดอยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้ว

“นั่นสิครับ ตอนนี้สังคมดูเหมือนจะเริ่มเปิดรับเพศทางเลือกได้มากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มีทั้งนิยายแล้วก็ซีรีส์ตั้งมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนส่วนมากที่มองว่าความรู้สึกของพวกเราเป็นเรื่องผิดแผก เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของภาพลวงตาทางธุรกิจ ไม่ใช่การยอมรับอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นพวกสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเช่น การสร้างทรัพย์สินร่วมกัน คงจะเอื้ออำนวยให้พวกเราไปนานแล้วล่ะครับ” คุณนัทแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง อาจเพราะอีกฝ่ายคงจะเคยประสบปัญหาเดียวกัน ดังนั้นการนั่งแท่นผู้บริหารคงไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะถึงแม้ครอบครัวจะยอมรับได้ แต่บุคคลที่สามสี่ห้าก็คือปัจจัยสำคัญที่บังคับให้เราต้องพยายามถีบตัวเองให้โดดเด่น เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมเหมือนกับคู่ชายหญิง

“คุณนัทรู้ไหมครับ คนแถวบ้านผมแค่รู้ว่าผมชอบผู้ชายก็เข้าใจไปแล้วว่าผมจะต้องเป็นตุ๊ดหรือกระเทย เวลาผมไปไหนมาไหนก็ชอบทำเป็นเดินบิดตูดล้อเลียน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้แสดงจริตแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แถมยังชอบทำเหมือนสิ่งที่ผมเป็นคือเรื่องตลก จนผมรู้สึกว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้โตแต่ตัว ส่วนความคิดโคตรจะน่ารังเกียจ ดังนั้นตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองมีอาการเดินละเมอออกจากห้อง ผมถึงได้กังวลว่าคนที่เพนท์เฮ้าส์จะรู้ว่าผมมีรสนิยมแบบไหน แล้วก็หวาดกลัวว่าพวกเขาจะจดจำได้ว่าผมเป็นใคร เพราะถ้าหากผมต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนั้น ผมรู้ตัวเองดีครับว่าผมคงจะรับไม่ไหว” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกราวกับประโยคข้างต้นถูกเค้นออกมาจากตะกอนอันขุ่นมัว เพราะสถานการณ์ของบีมก็ไม่ต่างกับการถูกทอดทิ้งไว้กับความอึดอัดและความโดดเดี่ยว เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่เคยเข้าใจ แถมคนรอบข้างยังมาเพิ่มแรงกดดันจนทำให้บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอึดอัด

กระทั่งแรงกระชับจากฝ่ามือของคุณนัทส่งมาถึง ริมฝีปากของบีมจึงวาดเป็นรอยยิ้ม

“อันที่จริงการทำงานหนักของผมคือความคาดหวังอันสูงสุด เพราะถ้าหากพ่อกับแม่รับรู้ว่าผมแอบดื้อดึงจนถึงขั้นเปิดห้องเสื้อเป็นของตัวเองได้ พวกท่านคงจะยอมให้อภัยและให้โอกาสผมได้ก้าวเดินตามความฝันของตัวเอง เพราะผมเชื่อว่าถ้าหากพวกท่านเห็นตัวเงินที่มากกว่าเงินเดือนข้าราชการจะต้องเปลี่ยนมุมมองได้แน่ ๆ เพราะขนาดงานบัญชีที่ตอนแรกไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกท่าน ผมยังสามารถเลือกเรียนได้เลยครับ ส่วนคนพวกนั้นพอถึงเวลาที่พ่อกับแม่ให้ความสนับสนุนก็คงจะถูกตอกกลับด้วยความสำเร็จของผมจนไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากยุ่งย่ามกับครอบครัวของคนอื่น” บีมกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความคาดหวัง

“ผมจะคอยอยู่ข้าง ๆ คุณนะครับ” สิ้นคำพูดอันแสนเรียบง่ายของอีกฝ่าย หัวใจของบีมก็คล้ายกับถูกโอบกอดด้วยความอบอุ่น

การถลำลึกจึงยิ่งทวีความรุนแรงมากกว่าที่เคย เพราะใจหนึ่งบีมยังคงหวาดกลัวว่าความสัมพันธ์ในครั้งนี้ อาจจะพบเจอจุดจบที่ไม่สวยงามนัก ส่วนอีกใจหนึ่งก็หวังว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจความรู้สึกของบีมมากกว่าที่ผ่านมา

--------------------------✁


บทความที่เกี่ยวข้อง
- มะพร้าวน้ำหอม http://bit.ly/2YgHjfk


แมวเหมียวน้องบีมน่าเอ็นดูมั้ย อิอิ เขียนแก้เกือบ 5-6 รอบได้มั้งคะ แก้แล้วแก้อีก 555 ปกติเราไม่ใช่คนแก้ซ้ำซากขนาดนี้เลย แต่พอมาเขียนเรื่องนี้เราติดโรครีไรต์บ่อยมาก เพราะเราเขียนฉากเลิฟซีนไม่เก่งก็เลยคิดเยอะ อีกอย่างแนวนี้จุดเด่นคือการเข้าซีนด้วย เลยอยากทำออกมาให้ดีที่สุด วันนี้เห็นคอมเมนต์นึงที่บอกว่าการเขียนของเราสื่อความเป็นดอมและซับในรูปแบบที่น่าหลงใหล เราดีใจมากจริง ๆ ค่ะ ถือว่าปลดแอกความหนักใจของเราไปได้เยอะเลยค่ะ แล้วก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ รวมถึงคอยโดเนทให้เราด้วยนะคะ

ส่วนปมของบีมจะเห็นได้ว่ามันแอบหนักนิดนึง รีบเสพโมเมนต์รัว ๆ เลยจ้า เผื่อคุณแม่โผล่มาจะได้รับมือทัน สังคมแถวบ้านของบีมเราเอามาจากที่คนใกล้ตัวเล่าให้ฟังนะคะ เรียกได้ว่าขยำรวมกับมุมมองที่เราเห็นด้วย ซึ่งเรื่องเพศทางเลือกเนี่ย บางคนแยกไม่ออกอย่างที่บีมพูดไว้จริง ๆ  แล้วก็ชอบทำเหมือนเรื่องตลกจริง ๆ เพียงแต่สังคมเมืองอาจจะไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ เราเลยอยากเขียนสื่อถึงจุดนี้ด้วย 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2019 21:48:11 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 13

หลังจากแปรรูปมะพร้าวน้ำหอมจนย่ำค่ำ บีมกับคุณนัทจึงแยกย้ายไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเตรียมทานมื้อเย็น จากนั้นจึงมานั่งเล่นกับครอบครัวของคุณนัทที่กำลังล้อมวงดูละครตรงบริเวณห้องนั่งเล่น โดยคุณนัทรับหน้าที่เป็นมือนวดชั้นดีให้กับคุณย่าที่กำลังนอนเอกเขนกอย่างเพลิดเพลิน

บรรยากาศรอบตัวในตอนนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นจนบีมเริ่มจะอาลัยอาวรณ์ เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับการทำงานอันเคร่งเครียด แต่ขณะเดียวกันเสียงของจิ้งหรีดเรไรก็ทำให้บีมคิดถึงบรรยากาศท้องทุ่งที่บ้านเกิด และยังคิดถึงช่วงเวลาเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยความสุข ใจหนึ่งจึงคิดอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้าน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากได้รับพลังงานด้านลบจากการเป็นขี้ปากของผู้คน

“คุณ..” แต่แล้วแรงเขย่าของคุณนัทก็ทำให้บีมตื่นจากภวังค์

“คุณย่าให้กลับไปนอนครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า” คุณนัทขยายความ เมื่อคาดคะเนดูแล้วว่าบีมคงไม่ทันฟัง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ” บีมบอกลาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งดูละครอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งได้รับรอยยิ้มเป็นคำอนุญาต ชายหนุ่มทั้งสองจึงเดินเลี่ยงออกจากห้องรับแขกเพื่อมุ่งตรงไปยังชั้นสองของตัวบ้าน

ทันทีที่ประตูปิดสนิท บีมก็รีบเดินไปหยิบปลอกคอมายื่นให้กับผู้เป็นนายด้วยท่าทีแสนเชื่อง เนื่องจากพวกเขาตกลงกันไว้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมด้านล่างจะเริ่มเข้าสู่บทลงโทษของทาสผู้แสนดื้อดึงในวันวาน

“ผมคิดว่านายควรจะถอดเสื้อ แล้วเอาหางมาใส่ก่อนสวมปลอกคอถึงจะเหมาะสม” สิ้นคำพูดของนายท่าน บีมจึงค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้นพร้อมส่งสายตายั่วเย้าเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่กระนั้นช่างภาพมือฉมังกลับจับจ้องด้วยท่าทีเฉยเมย ราวกับชินชาต่อสถานการณ์ตรงหน้า นายแบบอย่างบีมจึงได้แต่เดินฟึดฟัดไปหยิบบัตต์ปลั๊กจากถุงซิปล็อกตามคำสั่ง

“นายควรจะใส่มันตรงโต๊ะเครื่องแป้งข้างหน้าต่าง รูปที่ผมถ่ายจะได้ออกมาตรงตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้” ตากล้องมืออาชีพกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน ภาพลักษณ์จึงเต็มไปด้วยความเย็นชายากจะเอื้อมถึง ก่อนจะตรงไปหยิบกล้อง DSLR พร้อมลากเก้าอี้ไปยังมุมหนึ่งของห้องเพื่อไม่ให้เกะกะ

บีมจึงรับรู้ได้ทันทีว่าซีนสำหรับวันนี้เกี่ยวกับการถ่ายภาพ ซึ่งนายท่านรับบทเป็นตากล้องฝีมือดีที่แสนเย่อหยิ่งและจริงจัง ส่วนซับอย่างบีมรับบทเป็นนายแบบแนวเซ็กซี่ที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากชายที่หมายตา

“ค่อย ๆ ใส่มันอย่างช้า ๆ ล่ะ ผมจะได้เก็บอารมณ์ของภาพได้ครบถ้วน” ตากล้องผู้แสนจริงจังกับการทำงานเอ่ยสั่งเพียงแค่นั้น แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ บีมจึงโน้มตัวเข้าหาโต๊ะเครื่องแป้งพลางใช้เจลหล่อลื่นปัดป่ายช่องทางด้านหลัง โดยที่ใบหน้าและแววตากำลังจดจ้องเงาสะท้อนของผู้เป็นนายผ่านกระจกเงาอย่างไม่ลดละ แต่ทว่าภาษากายของบีมกลับถูกมองข้ามอย่างไม่ใยดี เสียงระรัวชัตเตอร์จึงดังระงมอย่างต่อเนื่อง

“นายควรจะออกท่าทางให้มันเซ็กซี่มากกว่านี้นะ ขนาดผมยืนอยู่ตรงนี้ยังไร้อารมณ์เลย” สุ้มเสียงลุ่มลึกดังขึ้นพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่น เมื่ออารมณ์ของภาพดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ส่งผลให้บีมรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก เพราะสีหน้าไร้อารมณ์ของช่างภาพกำลังฉายแววเหยียดหยามอยู่ในที

“ครับ น..นาย..อ๊ะ..ท่าน” บีมตอบรับเสียงกระเส่าทันทีที่บัตต์ปลั๊กถูกสอดใส่อย่างเชื่องช้า พร้อมทั้งแสดงสีหน้าเร้าอารมณ์ผ่านกระจกบานใสอย่างสุดความสามารถ ส่งผลให้ผู้เป็นนายลอบยิ้มตรงมุมปาก แต่กระนั้นตัวกล้องราคาแพงกลับบดบังเครื่องหน้าแห่งความพึงพอใจ

“หันกลับมามองกล้อง” นายท่านยังคงสั่งการอย่างประหยัดคำพูดราวกับรักษาภาพลักษณ์แห่งความจริงจังอย่างไม่ลดละ บีมจึงเอี้ยวตัวมองกล้องโดยที่พวงหางอันคุ้นเคยยังคงเคล้าคลออยู่ตรงบริเวณต้นขา

“ใช้สายตาที่นายคิดว่าเซ็กซี่ที่สุดมองมาที่เลนส์กล้อง” เจ้านายยังคงสั่งการด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย บีมจึงได้แต่ระดมสมองครุ่นคิดว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างไร จากนั้นจึงใช้สายตาฉ่ำหวานราวกับเต็มไปด้วยความอัดอั้นของม่านราคะ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รับรู้ว่าเวลานี้บีมกำลังเชิญชวนให้เข้ามากระทำชำเราด้วยความเต็มใจ

“ดี ผมจะใส่ปลอกคอให้นาย” สิ้นคำชื่นชมของนายท่าน ส่งผลให้ข้างแก้มของบีมเริ่มแดงปลั่ง แต่กระนั้นก็ยังทำเป็นมาดมั่นอย่างมีชั้นเชิงด้วยการนั่งไขว้ขาบนโต๊ะเครื่องแป้ง เพื่อรอรับการสวมปลอกคออย่างใจจดใจจ่อ

“เดินมาหาผม” เจ้านายกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เพราะเวลานี้บีมกำลังสวมบทบาททาสผู้แสนพยศที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดอยากจะให้เจ้านายลดตัวลงมาสวมปลอกคอให้ถึงที่

“นายยังอยากจะใส่ปลอกคออยู่หรือเปล่า ถ้าอยาก.. ก็เดินมาหาผม อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” น้ำเสียงลอดไรฟันเอื้อนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด เมื่อเห็นบีมวางท่าชูคอราวกับพญาหงส์ แต่กระนั้นในใจกลับรู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก เพราะภาพลักษณ์อันแสนดื้อรั้นมันทำเอานัทอยากจะสั่งสอนให้หลาบจำ

“ถ้ายังมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกันแบบนี้ งานจะเสร็จช้าเอานะครับ” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ซ้ำยังทำเป็นชื่นชมฝ่ามืออันงดงามด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ทั้งรู้ว่าเจ้านายกำลังไม่พอใจ แต่เพราะจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายในบทบาทช่างภาพผู้แสนจริงจังได้ เวลานี้ทาสจึงเป็นฝ่ายถือไผ่เหนือกว่าอย่างไม่ต้องกังวล

“ตัวคุณหอมจัง ใช้น้ำหอมอะไรเหรอครับ ?” กระทั่งอีกฝ่ายลดตัวลงมาสวมปลอกคอให้ถึงที่ บีมจึงอาศัยจังหวะนั้นลอบสูดดมกลิ่นกายอย่างแนบเนียน แต่ทว่าคำถามกลับพุ่งเป้ามาอย่างเปิดเผย
 
ฝ่ายตากล้องฝีมือดีกลับทำเป็นหูทวนลม ด้วยการยืนถอยห่างจากบริเวณที่บีมนั่ง พร้อมกวาดตามองโลเคชั่นที่แสงและเงาของดวงจันทร์ทอดตัวลงมาตามคอนเซ็ปต์ที่คิดไว้

“เย็นชาจัง” บีมทำเป็นบ่นลมบ่นฟ้า แต่กระนั้นตากล้องมือฉมังก็ยังได้ยิน จึงเดินไปคว้าข้อมือของนายแบบแสนพยศให้มายืนตรงมุมหนึ่งที่หมายตา พร้อมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสุดเข้ม เพื่อหยุดยั้งสุ้มเสียงน่ารำคาญ

“นอนลง” บีมจึงยอมทำตามด้วยท่าทีสงบปากสงบคำ เพราะตอนนี้หัวคิ้วของนายท่านกำลังผูกโบว์อย่างสวยงาม เพียงแต่ช่วงล่างกลับแสดงความชื่นชอบที่มีต่อทาสแสนผยศอย่างเปิดเผย ในใจจึงรู้สึกชุ่มฉ่ำที่สามารถละลายภูเขาน้ำแข็งได้อย่างหมดจด

“เมื่อวานนายทำผมเสียเวลาจนต้องมาถ่ายซ่อม แถมวันนี้ยังก่อกวนไร้ท่าทีสำนึกผิด เห็นทีผมคงต้องดัดนิสัยนายแบบเกรดต่ำอย่างนายซะแล้วมั้ง” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ซ้ำยังกระชากเส้นผมของบีมอย่างไม่ปรานี บ่งบอกถึงความอดทนกำลังขาดสะบั้น ดังนั้นท่าทีสงบปากสงบคำจึงไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ที่แย่ลง

“หวังว่าเท้าของนายคงจะไม่หลุดจากปลอกคอ และคงจะไม่เอื้อมแตะพื้น เพราะผมไม่อนุญาต” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับพยายามสงบสติอารมณ์ เพื่อกลับมาทำหน้าที่ตากล้องผู้แสนจริงจัง ขณะคล้องสายจูงกับปลอกคอแบบแฟชั่น เชื่อมกับปลอกคออีกหนึ่งอันที่บีมจะต้องใช้นิ้วเท้าคล้องเกี่ยวอย่างระมัดระวัง ท่าทีที่แสดงออกจึงเต็มไปด้วยความเปิดเผย เสริมสร้างบทเรียนแห่งความอับอายให้กับทาสผู้แสนดื้อดึงจนสมใจ

“ตอบ!” นายท่านเริ่มคาดคั้นเอาคำตอบด้วยการใช้ปลายเท้าเหยียบย่ำบนลำตัวของบีม ราวกับจะวางอำนาจให้ผู้เป็นทาสรับรู้ว่าใครคือราชาอย่างแท้จริง ส่งผลให้ความรู้สึกในส่วนลึกถูกกระตุ้นเร้าให้ต้อยต่ำ

“เข้าใจครับ” บีมระล่ำระลักตอบพร้อมกับพยักหน้าระรัวอย่างรวดเร็ว

“นายเพิ่งจะรับงานนี้เป็นงานแรกหรือไง ถึงได้ไม่รู้ว่าการมาถ่ายแบบควรต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าและไม่ควรทำตัวอดอยากปากแห้งเหมือนวันนี้ ผมเห็นแล้วรู้สึกสมเพชนายจริง ๆ” นายท่านในมาดช่างภาพฝีมือดีเอ่ยถามด้วยสีหน้าดุดัน แต่กระนั้นปลายเท้ากลับลากไล้ไปทั่วแผ่นอกของร่างข้างใต้ด้วยสัมผัสแผ่วหวิว สร้างความหวามไหวได้ไม่ยากเย็น เพราะเวลานี้ขนอ่อนทั่วร่างกำลังชูชันอย่างสามัคคี

“ผมถามทำไมไม่ตอบ ไม่มีปากหรือไง!” สุ้มเสียงดุดันดังมาพร้อมกับน้ำหนักของปลายเท้าที่กำลังบดขยี้ยอดอกอันโดดเด่นอย่างไม่ปรานี ลมหายใจของบีมจึงเริ่มติดขัด เพราะอารมณ์กำลังพุ่งสูงจากการดูถูกเหยียดหยาม ประหนึ่งบีมคือบุหรี่มวนหนึ่ง ที่พอหมดความสำคัญก็มักจะถูกเจ้าของใช้รองเท้าเหยียบย่ำเพื่อดับไฟ

“ค..ครับ..อะ..อา..ผมเพิ่ง..อ๊ะ..เคยรับงานนี้เป็นงานแรก” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงครวญคราง ขณะที่เรียวขาอันถูกพันธนาการกลับไม่อาจนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ เพราะความเมื่อยล้ากำลังมาเยือน จึงถูกเจ้านายตีสั่งสอนจนสะดุ้งโหยง โสตประสาทการรับรู้ถึงกับดับวูบ เพราะจิตใจของบีมกำลังเตลิดไกลด้วยความหวาดกลัวและตื่นเต้นว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งรวมตัวอยู่ตรงห้องรับแขกจะได้ยิน จากนั้นความลับระหว่างทั้งคู่ก็จะถูกเปิดเผย

“ถึงจะเป็นงานแรก แต่นายก็ไม่ควรเอามาใช้เป็นข้ออ้าง แล้วก็ไม่ควรจะเผยตัวตนน่าสมเพชออกมา เพราะสำหรับผมมันโคตรไม่น่าสนใจ” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันในต้นประโยคและเย็นชาในท้ายประโยคพร้อมเพิ่มแรงกดทับให้มากขึ้น แต่กระนั้นตำแหน่งที่ปลายเท้าเหยียบย่ำก็ล้วนเป็นบริเวณที่ไม่เสี่ยงอันตราย และบีมยังรับรู้ได้อีกว่านายท่านพยายามจะควบคุมน้ำหนักของปลายเท้าไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป เพราะการเป็นดอมไม่ใช่แค่โปรดปรานการออกคำสั่งก็เป็นได้ แต่ยังต้องคอยวางแผนการเพลย์ และยังต้องคอยสังเกตพาร์ทเนอร์อย่างละเอียด เพื่อที่จะได้ไม่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บอันไม่พึงประสงค์

“ผมขอโทษครับ” บีมกล่าวพร้อมใช้สายตาเว้าวอนเป็นใบเบิกทาง

“พูดว่าอะไรนะ” เจ้านายแสร้งถามพร้อมโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อเพิ่มแรงการกดทับ

“ผมขอโทษครับ!” บีมยู่หน้าเพียงนิดก่อนจะกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่ดังขึ้น โดยที่แววตาไม่กล้าแม้แต่จะสบมองกับอีกฝ่าย ส่งผลให้ผู้เป็นนายแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ เพราะท่าทีดังกล่าวก็ไม่ต่างกับลูกหมาที่กำลังทำหน้าหงอยเมื่อถูกเจ้าของตักเตือน

“ผมเชื่อว่านายรู้สึกผิด แต่ถ้าหากไม่ทำโทษกันเสียบ้างก็คงจะไม่คิดจดจำ” นายท่านกล่าวพร้อมรั้งปลายเท้าออกห่าง

“เล่นกับหางของนายในท่านี้จนกว่าผมจะได้งานที่พอใจ” นายท่านเอื้อนเอ่ยพร้อมเดินไปหยิบถุงซิปล็อกออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า บีมจึงรับรู้ได้ทันทีว่าการลงโทษยังไม่จบลงง่าย ๆ

“สีอะไร” กระทั่งแหวนชะลอการหลั่งปรากฏอยู่ในกรอบสายตา นายท่านจึงเอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิงว่าฝ่ายซับจะอนุญาตหรือไม่ เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้เดิมทีคืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการสวมใส่หากนานเกิน 20 นาทีก็อาจจะทำให้เลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ อีกทั้งการบีบรัดถ้าหากคับแน่นเกินไปก็จะทำให้เกิดบาดแผลและยังเป็นห้อเลือด แต่กระนั้นอุปกรณ์ดังกล่าวก็สร้างความทุกข์ทรมานอันแสนสุขสมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“เขียวครับ” บีมตอบกลับอย่างไม่นึกลังเล เพราะเขาเองก็มีประสบการณ์กับอุปกรณ์ชนิดนี้ และแน่นอนว่าดอมอย่างคุณนัทคงไม่ปล่อยให้บีมเกิดอันตราย

“อย่าเสียงดังล่ะ สตูดิโอนี้ไม่ได้มีแค่นาย” นายท่านเอ่ยเตือนพร้อมสวมใส่วงแหวนจนเสร็จสิ้น โดยไม่มีการเย้าหยอกแต่อย่างใด เพราะเวลานี้อีกฝ่ายกำลังกลับกลายเป็นเจ้าชายน้ำแข็งที่สนใจแต่เรื่องงานเป็นสำคัญ กล้องตัวสวยจึงได้รับความสนใจจากช่างภาพฝีมือดีอีกครั้ง เสียงชัตเตอร์จึงดังระงมอย่างต่อเนื่องเหมือนอย่างเคย

“อะ..อา..” บีมครวญครางเสียงกระเส่าอย่างไม่มีความเหนียมอาย ทันทีที่บริเวณช่วงล่างถูกปลุกเร้าด้วยการดึงรั้งพวงหางอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าผนังอุ่นนุ่มกลับตอดรัดราวกับหวงแหน ความเสียวซ่านจึงนำพาให้สมองเริ่มขาวโพลน แต่บีมก็ยังจดจำได้ดีว่านายท่านชอบให้นายแบบแสดงท่าทางสุดเซ็กซี่ราวกับหลงใหลอยู่ในห้วงแห่งราคะ

“ดีมาก” นายท่านเอ่ยชมพลางสับเปลี่ยนมุมกล้องตามต้องการ จึงส่งผลให้เงาร่างพาดผ่านลำตัวของบีมอยู่หลายครั้ง ความรู้สึกจึงยิ่งถูกปลุกเร้า เพราะบีมกำลังจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ร่างกายถูกซ้อนทับเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนจะไหวเอนไปตามเรี่ยวแรงที่อีกฝ่ายกระแทกกระทั้น อารมณ์วาบหวามจึงยิ่งโหมกระพือฉุดไม่อยู่ บวกกับการถ่ายภาพจำเป็นจะต้องเล็งโฟกัสมายังนายแบบ เท่ากับว่าร่างกายอันหน้าไม่อายนี้ กำลังถูกนายท่านเฝ้ามองจนทะลุปรุโปร่ง

“อื้อ..อ๊ะ..น..นายท่าน..ได้โปรด..ถอดแหวนให้ผม..อ๊า..ผมอึดอัด..ได้โปรด” สิ้นภาพแห่งจินตนาการความคับแน่นก็เริ่มมาเยือน บีมจึงรู้สึกกระสับกระส่ายอีกทั้งเรียวขาก็เริ่มสั่นไหว พันธนาการอันหละหลวมจึงดึงรั้งกันไปมา ลำตัวของบีมจึงโค้งงออย่างพิลึกพิลั่น

“จูบเท้าผมสิ แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำตัวดื้อดึงอีก” กระทั่งทางสว่างถูกหยิบยื่น บีมจึงรีบไขว่คว้าอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจึงบรรจงจุมพิตบริเวณปลายเท้าของเจ้านายด้วยความนุ่มนวล ซ้ำยังแนบใบหน้าลงบนหลังเท้าคู่นั้นด้วยความจำนน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วว่า..

“ผมสัญญาณว่าจะเป็นเด็กดีของนายท่าน” สิ้นคำพูดอันแสนยวนใจ ผู้เป็นนายก็ไม่รอช้าที่จะปลดเปลื้องพันธนาการทุกส่วนให้อีกฝ่าย แต่กระนั้นฝ่ามืออันซุกซนกลับไม่วายจะสัมผัสความสุขสมอันคับแน่น จนสร้างความเสียวกระสันให้กับฝ่ายซับในความดูแลอย่างมากล้น เพราะเวลานี้ร่างกายของบีมคล้ายกับถูกถ่ายโอนความร้อนจากดวงอาทิตย์สุดร้อนแรงที่กำลังแผดเผาผิวกายอย่างไม่ปรานี

“อ๊ะ..อื้อ..ค..คุณนัท..อา” แต่แล้วการสวมบทบาทกลับถูกสลัดออกจากห้วงแห่งความคิดจนหมดสิ้น เมื่อริมฝีปากของคุณนัทกำลังครอบครองส่วนอ่อนไหวอย่างทะนุถนอม ความเสียวซ่านจึงแพร่กระจายราวกับถูกน้ำมันราดจนโหมกระหน่ำ ร่างกายของบีมจึงบิดเร้าอย่างหนัก เพราะประสบการณ์ในเรื่องอย่างว่าของอีกฝ่ายก็ไม่เป็นสองรองใคร 

“บ..บีม..คุณต้องการผมมากกว่านี้หรือเปล่า” คุณนัทเคลื่อนตัวให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนจะเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว พร้อมมอบจุมพิตให้บีมครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้หัวใจของบีมเต้นโครมครามอย่างควบคุมไม่อยู่ เพราะเวลานี้พวกเขาต่างหลุดโฟกัสจากกิจกรรมเดิมจนหมดสิ้น

“ครับ..ผม..อา..ต้องการคุณ” บีมเอ่ยตอบเสียงกระเส่าเมื่อสัมผัสฉ่ำชื้นกำลังแต่งแต้มบริเวณต้นคออย่างเชื่องช้า สร้างความหวามไหวในช่องท้องได้ไม่ยาก

“ถ้าอย่างนั้นครั้งแรกของเรา ควรเป็นแบบวนิลาหรือว่า BDSM ดีล่ะครับ” คุณนัทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ทว่าช่วงตัวกลับปลุกเร้าความต้องการจนหื่นกระหาย

“ว..วนิลา” สิ้นคำตอบร่างของบีมก็ถูกพลิกคว่ำและตามมาด้วยการจุมพิตอย่างรักใคร่จนทั่วแผ่นหลังเนียนนุ่ม แต่กระนั้นสะโพกกลมกลึงกลับถูกบดคลึงอย่างเพลิดเพลิน จากนั้นบัตต์ปลั๊กก็ถูกดึงรั้งออกไปอย่างเชื่องช้าสร้างความทรมานทางร่างกายให้กับบีมอย่างสุดซึ้ง

“อา..ค..คุณนัท” บีมครางเสียงแผ่วด้วยความเสียวกระสัน ขณะที่ส่วนอ่อนไหวเบื้องหน้ากลับฉ่ำเยิ้ม

“คุณชอบหรือเปล่า” นัทเอ่ยถามอย่างใส่ใจ เพราะรู้ดีว่าการมีเซ็กส์แบบชาววนิลาอาจไม่ใช่แนวทางเติมเต็มความรู้สึกของบีมมากนัก

“ช..ชอบครับ” บีมเอ่ยตอบพร้อมหลับตาพริ้ม เมื่อช่องทางด้านหลังยังคงถูกเจลหล่อลื่นเอาใจใส่เป็นอย่างดี ภายในจึงกระตุ้นรับเรียวนิ้วอันแข็งแกร่งอย่างโหยหา

“คุณนัท.. ผ..ผมต้องการ..อา..คุณ” บีมกล่าวอย่างไม่คิดเหนียมอาย เมื่อความต้องการไม่อาจถูกเติมเต็มด้วยเรียวนิ้วอันแข็งแกร่ง พร้อมควานหาฝ่ามือของอีกฝ่ายเพื่อบ่งบอกให้รับรู้ว่า เวลานี้บีมต้องการหลอมรวมเป็นหนึ่งจนไม่อาจทนรอได้แม้แต่วินาทีเดียว

“ผมอยากให้คุณกอดผม เดี๋ยวนี้..” บีมเอ่ยแกมสั่งพร้อมกับพยายามข่มกลั้นน้ำเสียงหวามไหว ขณะใช้แววตาแห่งความปรารถนาปลุกปั่นจิตวิญญาณของผู้เป็นดอมอย่างจงใจ ส่งผลให้ฝ่ายถูกยั่วเย้าไม่อาจทานทนจึงยอมถูกควบคุมด้วยความเต็มใจ เครื่องป้องกันจึงถูกนำออกมาสวมใส่ด้วยความร้อนรน ก่อนจะส่งมอบความแข็งแกร่งให้อีกฝ่ายสัมผัสด้วยจังหวะหนักหน่วง

“อ๊ะ..อ๊า..” บีมครวญครางเสียงแผ่วพร้อมจิกปลายเล็บลงบนพื้นไม้อย่างระบายอารมณ์ เพราะบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาสองคน แต่กระนั้นจังหวะกระแทกกระทั้นของชายหนุ่มด้านบน กลับทำให้ความพยายามของบีมดำเนินไปอย่างยากเย็น
 
“อา..บีม..รสชาติวนิลาในแบบของผม..อา..ถูกใจคุณหรือเปล่า” คุณนัทเอ่ยถามด้วยถ้อยคำแสนสุภาพ ซ้ำยังจุมพิตข้างขมับอย่างรักใคร่ แต่ทว่าจังหวะการเร่งเร้ากลับเต็มไปด้วยความร้อนแรง จนเนื้อตัวของบีมไหวเอนราวกับก้านมะพร้าวโดนพายุพัดพา

“อ๊า..อื้อ..ผมชอบ..” บีมเอ่ยตอบเสียงกระเส่า เพราะยิ่งแสดงความคิดเห็นช่วงล่างก็ยิ่งสอดรับกันอย่างรุนแรง สมองของบีมจึงเริ่มขาวโพลนอีกครั้ง จากนั้นความสุขสมก็เริ่มโปรยปรายลงบนพื้นไม้อันเงางาม แต่ทว่าการสอดรับบริเวณช่วงล่างยังคงถี่กระชั้น อาจเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทันปลดปล่อยแต่ก็ใกล้เต็มที

กระทั่งความสุขสมพร่างพรมไปทั่วห้องนอนอันแสนร้อนแรง ชายหนุ่มทั้งสองจึงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่กระนั้นก็ยังคงโอบกอดกันราวกับจะซึมซับความอบอุ่น

“เราสองคนกำลังทำตัวไม่ต่างกับโรมิโอและจูเลียต ที่แอบจัดงานแต่งงานอย่างลับ ๆ” บีมเปรยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบภายใต้อ้อมกอดของคนรัก

“แต่อย่างน้อยเรื่องของเราก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะครอบครัวของผมเอ็นดูคุณมาก” คุณนัทเอ่ยแย้ง ซึ่งบีมก็เห็นด้วยเพราะพวกท่านไม่เคยแสดงสีหน้าตลกขบขันที่บีมชอบแต่งหญิง และไม่เคยแสดงท่าทีไม่ชอบใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา

“แต่ครอบครัวของผม..” บีมเอ่ยได้เพียงแค่นั้น แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“จากที่คุณพูดในวันนี้ ผมคิดว่าคุณคงพอจะมองออก ว่าพวกท่านไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกของคุณ เพียงแต่สภาพแวดล้อมมันบังคับให้พวกท่านต้องคาดหวังว่าคุณจะเป็นอย่างที่พวกท่านต้องการ และถึงแม้คุณจะโบยบินออกมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังคาดหวังว่าอาชีพของคุณจะทำให้พวกท่านเปิดใจยอมรับความฝันในครั้งนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งเรื่องของเราและความฝันของคุณคงจะได้รับความเห็นชอบจากพวกท่าน ขอแค่คุณอย่าปล่อยมือผม เพราะผมจะไม่มีวันปล่อยมือคุณ” คุณนัทกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง อีกทั้งสีหน้ายังเต็มไปด้วยความชัดเจน หัวใจของบีมจึงสั่นระรัวด้วยความหวั่นไหว พร้อมเหลือบมองฝ่ามือที่กอบกุมกันอย่างแนบแน่น

ความเชื่อมั่นอันมากมายจึงถาโถมเข้าสู่จิตใจที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กระนั้นบีมกลับเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไม่มีข้อแม้ และบีมก็ดีใจที่สุดท้ายก็มีความกล้ามากพอที่จะไขว่คว้าอีกฝ่ายมาครอบครอง


--------------------------✁


ตอนหน้าจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาอีกครั้งนะคะ และจะค่อย ๆ เปิดความลับที่ซ่อนอยู่ในคอลเลกชันเสื้อผ้าของบีมด้วย  เรื่องนี้คาดว่าจะมี 30 ตอนค่ะ แต่เรายังไม่แน่ใจว่าจะเขียนลากยาวหรือเปล่า เพราะตอนนี้เรายังไม่ได้เริ่มเขียนตอนใหม่เลยค่ะ มัวแต่รีไรต์ตอนเก่า ๆ ให้มั่นใจก่อน 555 (แต่เท่าที่ผ่านมาสิ่งที่คาดการณ์ไว้มันเกินจำนวนตอนหมดเลย 555)

ส่วนตอนนี้เราพยายามจะเขียนน้องบีมให้ออกแนวควีน ๆ ตามคำเรียกร้อง แต่คงได้เท่านี้แหละ เพราะเราสายละมุนจนเข้าเส้นเลือด 555 แล้วก็ตั้งแต่ได้อ่านคอมเมนต์แล้วมีคนบอกว่าชอบบรรยากาศของเรื่องเราก็เป็นปลื้มค่ะ คือเราแอบกลัวว่าจะเบื่อกันด้วยซ้ำ เพราะแนวนี้ส่วนใหญ่น่าจะขายที่ฉากเพลย์อันร้อนแรงมากกว่า แต่สำหรับตัวเราคิดว่าถ้ามีแค่ฉากเพลย์มันน่าจะสื่อถึงคำว่า 'รสนิยม' ออกมายากค่ะ เลยเลือกที่จะเขียนแบบมีปมอื่น ๆ เข้ามาด้วย เพราะมันจะทำให้ดูมีมิติว่านัทกับบีมมีความแตกต่างกับชาววนิลายังไง แล้วภาพสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านนิยายแนว BDSM มาก่อนก็น่าจะชัดเจนขึ้นด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2019 12:54:40 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 14

ดูเหมือนการมาพักผ่อนที่บ้านสวนของคุณนัทจะทำให้สภาพจิตใจของบีมปลอดโปร่ง การนอนหลับจึงเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะคุณนัทบอกว่าบีมไม่มีอาการเดินละเมอเหมือนกับตอนที่อยู่เพนท์เฮ้าส์ ดังนั้นสาเหตุของพฤติกรรมอาจมาจากความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว

คุณนัทเลยออกความเห็นว่า ช่วงเสาร์อาทิตย์บีมควรจะถือโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งบ้านสวนคือตัวเลือกชั้นดี

“แม่..” บีมอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เพราะทันทีที่รถยนต์แบรนด์หรูของคุณนัท จอดสนิทตรงลานจอดรถของเพนท์เฮ้าส์ ภาพของหญิงวัยกลางคนที่แสนคุ้นตาก็ปรากฏ จากนั้นไม่นานโทรศัพท์มือถือก็สั่นครืดคราด บีมจึงเร่งค้นหาอย่างลนลาน

“ครับแม่” บีมแสร้งทำเป็นรับสายอย่างคนไม่รับรู้การมาถึงของอีกฝ่าย พร้อมหันไปส่งสัญญาณให้คุณนัทหยุดการเคลื่อนไหว เพราะตอนนี้บีมเกร็งจนทำอะไรแทบไม่ถูก

‘แม่กำลังจะเข้าไปที่เพนท์เฮ้าส์นะบีม’ คุณแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมเดินเข้าไปยังที่พักสุดหรูอย่างไม่เร่งรีบ เพราะท่านมีคีย์การ์ดห้องของบีมอีกหนึ่งใบ แต่ทว่าสมองของบีมกำลังประมวลผลอย่างหนัก เนื่องจากที่ผ่านมาคุณนัทมักจะมานอนค้างด้วย ดังนั้นข้าวของภายในห้องย่อมไม่ได้มีแค่ของบีม

“ครับแม่.. ตอนนี้บีมออกไปหามื้อเช้าทานครับ อีกสักพักถึงจะเข้าไป” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจากนั้นจึงวางสาย เมื่อคุณแม่เดินหอบหิ้วข้าวของจนเต็มสองไม้สองมือเลยไม่สะดวกพูดคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานนัก

“ให้ตายสิ ผมลืมไปเลย งานออฟฟิศน่าจะเข้าแปดโมง” กระทั่งมองเห็นความผิดพลาดแรกของตัวเอง บีมจึงสบถออกมาอย่างกลุ้มใจ

“คุณส่งไลน์ไปบอกท่านสิครับว่าวันนี้คุณลาไปทำธุระช่วงเช้า ตอนแรกว่าจะเข้าไปที่เพนท์เฮ้าส์ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว” คุณนัทให้คำแนะนำเป็นอย่างดี แต่บีมกลับเป็นกังวลเกินกว่าจะตั้งสติปฏิบัติตาม เพราะในหัวกำลังห่วงหน้าพะวงหลังจนสับสน

“ผมไม่แน่ใจว่าก่อนออกจากห้องได้ล็อกตู้เสื้อผ้ากับตู้เก็บอุปกรณ์หรือเปล่า อีกอย่างในห้องของผมมีแต่ข้าวของของคุณเต็มไปหมด” บีมกล่าวพลางขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง เพราะกำลังหวาดกลัวว่าแม่จะจับได้ว่าบีมยังคงเป็นบีมในวันนั้น แถมยังปีกกล้าขาแข็งจนถึงขนาดพาผู้ชายมานอนที่ห้อง และยังเก็บรักษาเซ็กส์ทอยพร้อมด้วยอุปกรณ์จำเป็นสำหรับรสนิยมแบบ BDSM อีกมากมาย

“คุณล็อกตู้เสื้อผ้าแล้วครับ ก่อนออกจากห้องผมตรวจดูแล้ว ส่วนตู้เก็บอุปกรณ์ผมเป็นคนล็อกเองกับมือ ข้าวของของผมถ้าหากคุณแม่ถาม คุณบอกว่าเป็นของเพื่อนก็ได้ครับ หรือจะบอกว่าเป็นของคุณก็ได้ เพราะเสื้อผ้าของผมไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร” คุณนัทยังคงให้คำแนะนำอย่างรอบคอบ บีมที่กำลังสติแตกจึงเริ่มใจเย็นลงพร้อมนิ่งคิดเพียงครู่ พอตกผลึกได้ว่าคุณแม่น่าจะไม่รู้จักแบรนด์ดังมากนัก ดังนั้นเสื้อผ้าและข้าวของของคุณนัท บีมอาจจะทำเนียนว่าเป็นของตัวเองก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นผมส่งข้อความหาแม่แล้วรีบเข้าร้านเลยดีกว่า ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าผมคงต้องฝากไว้ที่ห้องของคุณ” บีมกล่าวอย่างรีบร้อนพร้อมมองซ้ายขวาและด้านบนอย่างถี่ถ้วนจึงยอมลงจากรถ เพื่อแยกตัวไปยังห้องเสื้ออิสระ ขณะที่ในหัวกำลังคิดถึงแผนการสำรวจตลาดอย่างกลุ้มใจ เพราะเดิมทีบีมตั้งเป้าเอาไว้ว่าวันนี้จะเริ่มรีเสิร์ชข้อมูลนอกสถานที่เพื่อเตรียมทำเสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่ แต่เห็นทีคงจะทำได้แค่นั่งรีเสิร์ชอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ และคงต้องวานให้คุณนัทซื้อมื้อเที่ยงเข้ามาให้ เพราะตอนนี้คุณแม่ยังเข้าใจว่าบีมทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีของห้างสรรพสินค้าภายใต้เครือของคุณนัทเลยได้รับเงินเดือนมากกว่าบริษัทอื่น ถ้าหากไปเดินเพ่นพ่านตามช็อปต่าง ๆ เกรงว่าถ้าแม่มาเจอจะผิดสังเกต


กระทั่งเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้น บีมจึงได้เวลาหยุดความคิดอันยุ่งเหยิง พบว่าข้อความที่ถูกส่งมาเป็นของคุณนัท

‘เด็กดี นายรีบร้อนจนลืมให้ผมถอดปลอกคอ’

‘มารับกุญแจได้ที่ห้องทำงานของผม’

สิ้นบทสนทนานั้นบีมก็รีบกอบกุมลำคอของตนเองอย่างรวดเร็ว พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่เดินทะเล่อทะล่ากลับไปที่ห้อง เพราะคนที่บีมหวาดกลัวว่าจะล่วงรู้ถึงรสนิยมอันแปลกแยกมากที่สุดก็คือพ่อกับแม่ หรือถ้าหากความลับไม่สามารถกักเก็บไว้ได้จริง ๆ บีมอยากให้มันเกิดกับห้องเสื้ออิสระเป็นอันดับแรก เนื่องจากสถานการณ์ของห้องเสื้อในตอนนี้ไม่ใช่แบรนด์หางแถวเหมือนกับแต่ก่อน ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้พ่อกับแม่เข้าใจและยอมรับได้ง่ายกว่า

‘ออฟฟิศของคุณอยู่ตรงไหนครับ’ บีมตัดสินใจไลน์ถามอย่างไม่คิดลังเล เพราะการสวมปลอกคอในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอีกต่อไป เนื่องจากบีมเกรงว่าถ้าหากยังใส่แม้กระทั่งเวลาเข้านอน ความลับคงจะแตกเอาง่าย ๆ

‘ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นบนสุดแล้วสอบถามพนักงานได้เลยครับ เดี๋ยวพวกเขาจะพาคุณมาหาผมเอง’ สิ้นคำตอบของคุณนัท บีมจึงรีบเข้าไปยังออฟฟิศของตัวเองเพื่อสอบถามเกี่ยวกับงานกองถ่ายที่ฝากไว้ เพราะช่วงที่บีมไม่อยู่ทางกองถ่ายจะเข้ามารับชุดด้วยตัวเอง


กระทั่งเคลียร์งานที่ร้านเสร็จ บีมก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดที่อยู่เหนือห้องอาหารบนดาดฟ้า สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือเคาน์เตอร์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ บีมไม่รอช้าที่จะเข้าไปติดต่อตามคำแนะนำของคุณนัท

พนักงานสาวคนนั้นจึงพาบีมเดินลัดเลาะผ่านแผนกต่าง ๆ ที่มีการแบ่งสันปันส่วนอย่างไม่น่าอึดอัด เพราะสำนักงานใหญ่ของห้างสรรพสินค้าภายในเครือของคุณนัท ดูเหมือนจะให้อิสระกับพนักงานไม่น้อย เนื่องจากมุมรีแลกซ์ที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าค่อนข้างมีอยู่มาก อีกทั้งโต๊ะทำงานของแต่ละคนก็ยังอยู่ท่ามกลางสีเขียวของใบไม้ มิหนำซ้ำยังสามารถเล่นเกมหรืออ่านหนังสือในยามที่เหนื่อยล้าได้ แต่คงมีข้อแม้ว่างานจะต้องสำเร็จโดยไม่มีข้อบกพร่อง

“ที่นี่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ด้วยเหรอครับ” บีมสอบถามประชาสัมพันธ์สาวด้วยความสงสัย เพราะเมื่อครู่ตอนเดินผ่านสวนขนาดย่อม มีพนักงานท่านหนึ่งพาสุนัขไปเดินเล่น แถมบางคนยังยืนให้อาหารปลาพร้อมกับคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คาดว่าคงจะกำลังเจรจาเนื้องานที่ตัวเองรับผิดชอบ

“ออฟฟิศของเรา พนักงานทุกคนสามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ทุกอย่างค่ะ แต่มีข้อแม้ว่างานจะต้องเสร็จตามกำหนดและต้องมีคุณภาพตามมาตราฐาน” ทันทีที่พนักงานสาวไขข้อข้องใจ บีมก็ได้แต่พยักหน้ารับฟังด้วยความสนใจ อีกทั้งความปลาบปลื้มที่มีต่อคุณนัทก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะวิสัยทัศน์ของอีกฝ่ายไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังเอื้อประโยชน์ให้กับพนักงานในความดูแล ซึ่งในเมืองไทยค่อนข้างหายาก เนื่องจากบีมเคยได้ยินข้อมูลแบบนี้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

“ถึงแล้วค่ะ” หญิงสาวกล่าวพลางส่งยิ้มการค้าพร้อมเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต กระทั่งได้ยินเสียงตอบรับจากคุณนัท เธอจึงผลักประตูเข้าไปก่อนจะหลีกทางให้แขกผู้มาเยือน ส่งผลให้เลขาสาวที่กำลังรับคำสั่งจากผู้เป็นนายต้องรีบไปตระเตรียมน้ำดื่มเพื่อรับรองแขก ทั้งห้องจึงเหลือเพียงบีมกับคุณนัท

“ออฟฟิศของคุณน่าสนใจดีนะครับ” บีมเปรยขึ้นขณะรอให้เลขานำน้ำมาเสิร์ฟจนเรียบร้อย ก่อนจะเข้าสู่เป้าหมายหลักอย่างจริงจัง

“อยู่ในช่วงทดลองผลน่ะครับ” คุณนัทกล่าวด้วยท่าทีสุขุม อาจเพราะเจ้าตัวกำลังนั่งแท่นผู้บริหาร ภาพลักษณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ

“ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์เอื้อเฟื้อต่อพนักงานหายากนะครับ” บีมเอ่ยชื่นชมจากใจจริง เพราะส่วนใหญ่บีมเจอแต่จะเพิ่มเวลาทำงาน จากที่หยุดสองวันกลายเป็นหยุดวันเดียว ถ้าไม่มีกฎหมายแรงงานบีมเชื่อได้เลยว่าวันหยุดคงจะถูกปล้นไปจนหมด

“คงต้องยกความดีความชอบให้กับการพิสูจน์ตัวเองของผมมั้งครับ เพราะมันทำให้ผมได้เผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าจากการทำงาน” คุณนัทเริ่มบอกกล่าวที่มาที่ไปอย่างละเอียด

“ตอนนั้นผมรู้ตัวเลยว่า อะไรที่มันตึงเครียดเกินไป ไม่มีทางให้ผลลัพธ์ที่ดี ผมเลยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของตัวเองใหม่ ความคิดถึงค่อยปลอดโปร่งและมีความสร้างสรรค์มากขึ้น แผนงานดี ๆ เลยมีออกมาไม่ขาดสาย จากนั้นผมก็เลยวางแผนไว้ในใจว่า ถ้าหากบอร์ดบริหารให้การยอมรับผมในฐานะผู้บริหารแล้ว ผมจะปฏิวัติการทำงานใหม่” คุณนัทอธิบายพร้อมยกยิ้มเพียงเล็กน้อยโดยที่ใบหน้าแทบไม่ขยับ แต่บีมก็เข้าใจดีว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของอีกฝ่าย คงจะมีเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ

“ว่าแต่คุณคิดจะรับมือกับคุณแม่ยังไงเหรอครับ” นัทเอ่ยถามพร้อมลุกออกจากเก้าอี้ท่านประธาน เพื่อเดินมาปลดเปลื้องพันธนาการให้กับคนรัก

“ช่วงนี้ผมคงต้องวานให้คุณเป็นเด็กส่งอาหารให้ผม” บีมกล่าวอย่างไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด พร้อมกับนั่งนิ่ง ๆ ให้คุณนัทถอดปลอกคอ

“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่คุณคิดจะแสดงความพยายามของตัวเองให้ท่านเห็นเมื่อไหร่เหรอครับ” นัทเอ่ยถามพลางวางปลอกคอลงบนโต๊ะทำงาน และก้าวเดินไปยังกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นตึกระฟ้าจำนวนมาก เพราะเวลานี้บีมเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตพร้อมสวมทับด้วยสูทสีดำที่มองอย่างไรก็ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่เหมาะสมกับอีกฝ่าย

“ไม่รู้สิครับ.. ตลกดีเนอะ สองวันก่อนผมยังทำเป็นอวดดีกับคุณอยู่เลย แต่พอรู้ว่าแม่มาหา ผมกลับเป็นกังวลจนคิดอะไรไม่ออก ขนาดจะไปเดินรีเสิร์ชงานของตัวเอง ผมยังไม่กล้าทำเลยครับ เพราะผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามท่านยังไง อีกอย่างพนักงานออฟฟิศก็ไม่ได้มีเวลามาเที่ยวเล่นแบบที่ผมทำอยู่ หรือแม้แต่การทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้า ผมยังไม่กล้าไปเลยครับ” บีมเดินไปหยุดยืนเคียงข้างคุณนัท พร้อมระบายความไม่สบายใจออกมาจนหมดเปลือก

“พนักงานของผมส่วนใหญ่ก็ไปทานที่นั่นกันนะครับ และพนักงานของผมก็สามารถรีแลกซ์ตัวเองด้วยวิธีที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสม” คุณนัทกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งมันทำให้บีมเริ่มจับประเด็นได้ว่า อีกฝ่ายกำลังให้คำอธิบายอันเป็นประโยชน์

“บีม” คุณนัทเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซ้ำยังประคองลาดไหล่ทั้งสองข้างเพื่อบังคับให้หันมาเผชิญหน้ากัน

“ผมอยากให้คุณเป็นตัวของตัวเอง เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการสวมใส่ผ้าลูกไม้ ถ้าหากท่านติติง คุณก็แค่อธิบายไปว่าพนักงานออฟฟิศไม่จำเป็นต้องสวมใส่ชุดยูนิฟอร์ม คุณเลยถือโอกาสใส่ชุดที่คุณตัด เพราะคุณรักการตัดเสื้อผ้า ผมเชื่อว่าคุณแม่คงไม่ห้ามคุณแบบตอนที่สวมใส่เดรสของผู้หญิงหรอกครับ” คุณนัทให้คำแนะนำอย่างจริงจัง เพราะทุกคำพูดที่ถ่ายทอดออกมา บีมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายทั้งเป็นห่วงและอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บีมไม่ต้องสูญเสียความเป็นตัวเอง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือคุณนัทกำลังพยายามจะช่วยเก็บรักษา ‘อิสระ’ ที่บีมไขว่คว้ามาอย่างยากลำบาก

“ผมไม่ได้ส่งเสริมให้คุณโกหก แต่ผมกำลังช่วยคุณหาทางออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าหากท่านมองว่าการตัดเสื้อคือความชื่นชอบของคุณจริง ๆ ขั้นต่อไปท่านก็จะทราบว่าการที่คุณชอบสวมใส่เดรสของผู้หญิง มาจากการที่คุณได้ลองฟิตติ้งเสื้อผ้าด้วยตัวเอง แล้วพบว่าชุดที่คุณตัด สวยงามมากกว่าที่คุณคิด รสนิยมของคุณอาจจะถูกวิเคราะห์ใหม่ก็ได้นะครับ เพราะผมเชื่อว่าเจ้าของผลงานทุกแขนงคงรู้สึกไม่ต่างกับคุณ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่คุณอยากจะเก็บเสื้อผ้าทุกคอลเลกชันไว้ หรือคิดอยากจะสวมใส่ ไม่ว่าชุดเหล่านั้นจะเป็นของเพศไหนก็ตาม”

“ถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณลืมเสียงนินทาของคนในหมู่บ้านไปก่อน เพราะจากที่คุณเคยเล่าให้ผมฟัง ดูเหมือนว่าถ้าหากพ่อกับแม่ของคุณให้การสนับสนุนเมื่อไหร่ คำนินทาเหล่านั้นก็จะไม่มีความหมายสำหรับคุณไม่ใช่เหรอครับ” บีมยังคงนิ่งฟังอย่างตั้งใจขณะครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน

“คุณกำลังจะบอกให้ผมค่อย ๆ พาพวกท่านเข้ามาในโลกของผม เพื่อที่ท่านจะได้ทราบว่าอาชีพดีไซเนอร์ก็ไม่ด้อยไปกว่าการรับราชการ ?” บีมย้อนถามเพื่อความแน่ใจ

“ใช่ครับ” คุณนัทเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น ส่วนบีมก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เพราะการพาพ่อกับแม่เข้ามายังโลกของบีมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คำแนะนำของคุณนัทก็ดูเหมือนจะเป็นคำแนะนำที่ดี จากนั้นสมองของบีมก็เริ่มปลอดโปร่งจึงมองเห็นทางออกอีกอย่างหนึ่ง

ซึ่งช่วงชีวิตหนึ่งบีมเคยทำทั้งงานออฟฟิศและงานห้องเสื้อ ถ้าหากวันข้างหน้าบีมคิดอยากจะเปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าของห้องเสื้อก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบีมมีประสบการณ์และเหตุผลมารองรับทุกอย่าง จากนั้นบีมก็ค่อยยื่นรายได้ให้พวกท่านทราบ แล้วสารภาพความจริงว่าตัวเองลาออกจากงานออฟฟิศมานานแล้ว คงไม่น่าจะมีปัญหา เพราะวิธีนี้ดูค่อยเป็นค่อยไปที่สุดแล้ว

“คุณยิ้มแล้ว” คุณนัทเอื้อนเอ่ยหลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ บีมจึงพยักหน้ายอมรับด้วยความเบิกบาน
“ผมอยู่ข้าง ๆ คุณนะ” คุณนัทรั้งบีมเข้ามายังอ้อมกอดพร้อมกระซิบเสียงแผ่ว ขณะที่บีมเอาแต่อมยิ้มด้วยความอบอุ่น ก่อนจะโอบรอบเอวของท่านประธานด้วยความแนบแน่น พร้อมเอื้อนเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ครับ”


พอกลับมาถึงห้องเสื้ออิสระ บีมจึงรีบเปลี่ยนกลับมาใส่เชิ้ตลูกไม้เหมือนอย่างเคย จากนั้นการรีเสิร์ชเทรนใหม่ ๆ จึงอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นหลัก เพราะบีมวางแผนว่าพรุ่งนี้จะออกไปสำรวจตั้งแต่ตลาดนัดจนถึงแบรนด์หรูที่ผู้คนให้ความนิยม

“รีแลกซ์ด้วยของหวานคงดี” บีมนั่งบิดขี้เกียจพลางบ่นกับตัวเอง จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อเตรียมออกไปหาของหวานรองท้อง แม้ว่าอีกไม่นานก็จะพักเที่ยงแล้วก็ตาม

“แม่..” ทว่าปลายเท้าของบีมกลับต้องชะงักค้าง พร้อมซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผ้าลูกไม้อย่างมิดชิด เพราะการมาเยือนของแม่ไม่ใช่สิ่งที่บีมคาดคิด แต่พอนึกทบทวนดูดี ๆ ก็จะพบว่าเสื้อผ้าที่บีมออกแบบ ไม่ได้มีเพียงวัยหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงวัยกลางคนและวัยสูงอายุเลยก็ว่าได้ เพราะผ้าลูกไม้ส่วนใหญ่จะเหมาะกับการใส่ไปงานมงคล อีกทั้งชุดเจ้าสาวยังเป็นสินค้ายอดนิยมที่ได้รับความไว้วางใจเป็นพิเศษ เนื่องจากผ้าลูกไม้ของห้องเสื้ออิสระจะเป็นงานประณีต บีมจึงว่าจ้างดีไซเนอร์สำหรับดูแลทางด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคอลเลกชันต่าง ๆ ที่วางขายตามห้างสรรพสินค้า

บีมจึงแหวกผ้าลูกไม้เพื่อลอบสังเกตความเป็นไปภายในสโตร์ด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นแม่เลือกดูเสื้อผ้าด้วยความสนใจ รอยยิ้มจึงปรากฏตรงมุมปาก ขณะเดียวกันชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ไลน์แมนส่งอาหาร กลับยืนมองเจ้าของห้องเสื้อด้วยความเงียบเชียบ แต่ทว่าริมฝีปากกลับวาดเป็นรอยยิ้มอย่างกว้างขวาง เพราะท่าทางของคนรักในยามนี้ ดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังรอลุ้นว่าผลงานของตัวเองจะได้รับความพึงพอใจจากคนสำคัญมากแค่ไหน

กระทั่งรอยยิ้มฉีกกว้างเมื่อแม่ซื้อเดรสตัวหนึ่งกลับไป บีมจึงหันกลับสู่ความเป็นไปภายในห้องทำงาน

“ทานข้าวกันเถอะครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยเพียงแค่นั้น แต่บีมกลับอ่านสายตาออกว่าการมาเยือนห้องเสื้ออิสระของแม่ ล้วนตกอยู่ในการรับรู้ของอีกฝ่าย รวมถึงท่าทางราวกับเด็กของบีมก็เช่นกัน

บีมจึงเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะทำงาน พร้อมจัดเก็บเอกสารที่ยังคงกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะด้วยความเบิกบาน ซ้ำยังโน้มตัวเข้าหาเจ้าของห้างสรรพสินค้าพร้อมเอื้อนเอ่ยเพียงแผ่วว่า..

“ดูเหมือนวันนี้ผมคงไม่ต้องเสียเงินซื้อของหวานมากินเพื่อรีแลกซ์แล้วล่ะครับ” 


--------------------------✁   


ตอนนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากเบิกตัวคุณแม่เข้าสู่เนื้อเรื่องค่ะ ยังไงก็เตรียมสังเกตพฤติกรรมของคุณแม่เอาไว้ให้ดีจ้า
ส่วนคุณนัทก็โชว์ความเป็นเจนเทิลแมนต่อไป ส่วนตอนหน้ามาไขความลับของคอลเลกชันเสื้อผ้าน้องบีมกันค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 14:35:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอาใจช่วยเลย ต้องผ่านด่านแม่ให้ได้ ฮึบๆ o13

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 15

หลังจากเห็นแม่เลือกซื้อชุดเดรสของห้องเสื้ออิสระ บีมรู้สึกมีกำลังใจที่จะทำตามคำแนะนำของคุณนัทมากขึ้น การแต่งตัวไปทำงานในเช้าวันใหม่จึงไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัดอีกต่อไป เพราะแม่ไม่เคยเอ่ยปากห้าม มิหนำซ้ำยังไม่เคยเอ่ยทักอย่างผิดสังเกต แต่ทว่ากลับเป็นบีมเสียเองที่ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ

วันนี้บีมเลยพาแม่ออกไปสำรวจแฟชั่นตามท้องตลาด โดยอ้างถึงการลาหยุดเพราะอยากจะพาแม่ออกไปเปิดหูเปิดตา แต่กระนั้นบีมก็ทำได้เพียงเหลือบมองเสื้อผ้าของผู้หญิงอย่างผิวเผิน โชคดีหน่อยที่แม่เรียกให้เข้าไปช่วยดูบ้าง บีมจึงพอจะมองออกว่าเทรนด์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้และคาดว่าน่าจะเป็นที่นิยมไปอีกระยะหนึ่ง คือเสื้อครอปหรือเสื้อเอวลอยที่มีทั้งแบบเซ็กซี่และแบบหวาน ๆ เหมาะกับการมิกซ์แอนด์แมทช์เป็นอย่างดี

“บีมให้แม่เอาเสื้อไปเก็บไว้ตรงไหน” เมื่อได้ยินแม่เอ่ยถามหลังจากเคาะประตูห้องนอนได้เพียงครู่ บีมจึงกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ขณะที่สมองคล้ายกับประมวลผลไม่ทัน

“เดี๋ยวบีมเอาไปเก็บเองครับ แม่วางไว้บนเตียงก่อนก็ได้” หลังจากเปิดประตูให้ผู้เป็นแม่ บีมก็ยืนละล้าละลังก่อนจะชี้ไปยังเตียงนอนหลังกว้าง

“ไปเดินตะลอนมาทั้งวันยังไม่อาบน้ำอีก” แม่เอ่ยทักเมื่อเห็นบีมยังคงอยู่ในชุดเดิม แม้ว่าจะกลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์นานแล้ว

“พอดีบีมปวดขาก็เลยจะนอนพักก่อนแล้วค่อยอาบน้ำ” ชายหนุ่มกล่าวพลางยกยิ้มให้ผู้เป็นแม่ที่ยังคงถือไม้แขวนเสื้อไม่ยอมปล่อย ราวกับกังวลว่าเสื้อผ้าของลูกชายจะยับ เพราะเสื้อทุกตัวดูเหมือนจะผ่านการรีดมาอย่างดี

“แม่เอาไปเก็บไว้ในตู้ให้ดีกว่า วางไว้บนที่นอนเดี๋ยวยับหมด” หลังจากได้ยินแม่พูดแบบนั้น บีมก็นิ่งคิดไปพักใหญ่ แต่พอสบสายตาเร่งรัดของแม่ บีมจึงตัดสินใจเดินไปไขกุญแจตู้เสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานในห้องแต่งตัว

“ตู้เสื้อผ้าก็ยังต้องล็อกอีก” แม่กล่าวพลางส่ายหัวคงเพราะชินกับนิสัยล็อกทุกอย่างของบีมแล้ว

“เสื้อแบรนด์นี้เหมือนจะเป็นแบรนด์เดียวกับที่แม่ซื้อใส่ไปงานแต่งของแก้วเมื่อวันก่อน” หลังจากแม่นำเสื้อไปแขวนไว้ในตู้จนหมดก็เอ่ยราวกับคนช่างสังเกตทำให้บีมแปลกใจมาก เพราะปกติแม่ไม่ค่อยรู้จักแบรนด์เสื้อผ้าสักเท่าไหร่ แต่คิดอีกแง่ก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากการซักเสื้อผ้าให้บีมก็เป็นได้

“เหรอครับ บีมว่าเนื้อผ้ามันใส่สบายดี เลยเอามาดัดแปลงเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่ไม่โดดเด่นมากนักจะได้ใส่ไปทำงานได้” บีมกล่าวพลางลอบมองปฏิกิริยาของแม่สลับกับเสื้อเชิ้ตสำหรับใส่ไปทำงานที่แขวนเรียงรายอยู่ในตู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่เชิ้ตประดับลูกไม้เล็กน้อย ส่วนชุดที่ดูฟู่ฟ่าไปอีกขั้นบีมแขวนเก็บไว้ในตู้ข้าง ๆ กัน เพียงแต่ช่วงนี้ยังไม่มีโอกาสนำออกมาใส่ เพราะบีมอยากจะดูปฏิกิริยาของแม่อีกสักพัก

“อย่านอนดึกนักล่ะ” แม่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมบอกกล่าวความห่วงใย ซึ่งบีมก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยท่าทีสุดแน่นิ่ง แม้ว่าในใจนึกอยากจะร้องตะโกนด้วยความดีใจ เพราะแม่ไม่มีทีท่าขัดเคืองแต่อย่างใด


กระทั่งหลงเหลือเพียงตัวเองภายในห้องนอนกว้าง บีมจึงรีบเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พลางกลิ้งตัวไปมาด้วยความเบิกบานพร้อมหยิบหมอนปิดใบหน้าเพื่อส่งเสียงร้องตะโกนแห่งความดีใจ ครั้นความเหนื่อยล้ามาเยือน บีมจึงรีบลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน

แต่กระนั้นเวลานอนของบีมในยามนี้ ไม่อาจปล่อยปละละเลยให้อาการเดินละเมอนำพาจูเลียตออกไปเดินเพ่นพ่าน คุณนัทจึงแนะนำให้บีมล็อกกุญแจมือไว้กับหัวเตียง พอยามเช้ามาเยือนคุณนัทจะเป็นคนอนุญาตให้ปลดพันธนาการ

“วันนี้เหนื่อยมากเลยครับ” บีมกล่าวขณะมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มเจ้าของห้อง 005

‘แต่สีหน้าของคุณยังดูสดใสอยู่เลยนะครับ’ คุณนัทเอ่ยแย้งพร้อมส่งยิ้มบางเบากลับมา

“คงเพราะวิธีของคุณนัทกำลังไปได้สวยมั้งครับ” บีมกล่าวพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้โทรศัพท์ที่กำลังพิงหมอนใบโต เพราะตอนนี้บีมไม่สะดวกจะถือไว้ เนื่องจากข้อมือข้างหนึ่งถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือที่มีขนเฟอร์สีชมพูเนียนนุ่ม

“แม่รู้แล้วว่าเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่ไปทำงานเป็นเสื้อที่ผมทำเอง แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ” บีมยังคงบอกเล่าต่อไป เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่จะตัดสินอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะในอดีตบีมเริ่มจากการตัดเดรสของผู้หญิง เรื่องราวเลยบานปลายใหญ่โต แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเสื้อผ้าของผู้หญิงมีลูกเล่นที่หลากหลายกว่า

“แต่ผมก็ยังไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสไตล์อื่นที่คุณเคยเห็นอยู่ดี” บีมกล่าวพลางทำหน้ามู่ทู่ เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ใส่ไปทำงาน มักจะเป็นแบบซีทรูหรือไม่ก็ตัวโคร่ง ๆ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงานออฟฟิศ

‘ไม่ว่าคุณจะสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์ไหน แค่มีผ้าลูกไม้เป็นส่วนประกอบ ผมก็รับรู้ได้แล้วครับ ว่านั่นคือรสนิยมการแต่งตัวของคุณ’ ชายหนุ่มในจอโทรศัพท์กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม แต่ทว่ากลับทำให้บีมรู้สึกอบอุ่น เพราะคำพูดของอีกฝ่ายไม่ต่างกับการบอกใบ้ว่า ตอนนี้บีมกำลังเป็นตัวของตัวเองและมันก็เท่ากับเป็นการเปิดโลกที่ตัวเองคุ้นเคยให้แม่รู้จัก มิหนำซ้ำวันนี้บีมยังพาท่านก้าวเข้าไปในโลกใบนั้นตั้งครึ่งทาง

“พอใส่กุญแจมือแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องสมัยเรียนเลยครับ” บีมเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับจะเปิดเผยเรื่องราวในอดีตให้อีกฝ่ายสัมผัส

“หลังจากดูหนังผมก็เริ่มทดลองกับตัวเอง ตอนนั้นผมอยู่หอนอกเลยทำอะไรได้สะดวกขึ้น ช่วงวันหยุดผมไม่ต้องกลับบ้านก็เลยล็อกตัวเองไว้กับราวตากผ้า ความรู้สึกในตอนนั้นมันท้าทายดีนะครับ เพราะถ้าหากกุญแจหาย ผมคงถูกล็อกจนหิวโซ” บีมเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ

‘ผมเดาว่ามีครั้งหนึ่งคุณเคยทำกุญแจหาย’ แต่แล้วคุณนัทก็พูดสวนขึ้นมาอย่างตรงประเด็น

“ใช่เลยครับ ตอนนั้นผมกระวนกระวายแทบแย่ แต่พอมีสติถึงได้โทรบอกให้เพื่อนรุ่นพี่มางัดออกให้ เธอเลยรู้รสนิยมของผมเป็นคนแรก แล้วยังเป็นคนที่คอยถือกุญแจให้ผม แต่ถ้าช่วงไหนเธอมีถ่ายละคร เธอจะสั่งให้ผมเอากุญแจไปแขวนไว้ที่ตะปูตัวที่เธอมาตอกไว้ใกล้ ๆ กับราวตากผ้านอกระเบียง ชีวิตของผมเลยง่ายขึ้น” บีมบอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงช่วงเวลานั้น เพราะรสนิยมแบบนี้คนส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจ แต่บีมโชคดีที่ได้รู้จักกับพี่มีน

“ตั้งแต่ที่แม่มาหา ผมไม่มีอาการเดินละเมอจริง ๆ เหรอครับ” บีมพลิกตัวนอนคว่ำพร้อมเอ่ยถามผู้สังเกตการณ์ด้วยความสงสัย

‘จริงครับ คงเพราะคุณเริ่มสบายใจมากขึ้น ปัญหาหนักอกที่เคยสะสมมาตั้งแต่สมัยเรียน เลยไม่มีผลต่อการนอนหลับของคุณในช่วงนี้’ นัทแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง

“ความเครียดของผมคงเริ่มมาจากการที่ได้เห็นสีหน้าของพ่อกับแม่หลังจากที่พวกท่านทราบว่าผมสอบไม่ติดสถาบันดัง ๆ มั้งครับ จะว่ายังไงดี ผมคงรู้สึกผิดที่จงใจทำให้มันเป็นแบบนั้น เพื่อที่ตัวเองจะได้เรียนเอกดีไซน์ เพราะถ้าหากผมสอบติดสถาบันดัง ๆ การเรียนเอกดีไซน์คงเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ” บีมเปิดเผยความในใจพร้อมถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจนัก

“ที่ผ่านมาผมเลยใช้ชีวิตเหมือนกับนกนางแอ่นที่มักจะซื่อสัตย์กับคู่ของตัวเองจนวันตาย เพราะตัวผมไม่สามารถปล่อยวางความฝันนั้นได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมอาการเดินละเมอของผมถึงมาสำแดงฤทธิ์เอาตอนนี้” บีมระบายความรู้สึกจนหมดเปลือกพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

‘อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาคุณใช้ชีวิตตามลำพังก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองมีอาการแบบนี้มั้งครับ’ นัทแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง เพราะดูท่าแล้วปมในใจของอีกฝ่ายคงจะสะสมมานานเกินไป

“ดูเหมือนว่าพาร์ทเนอร์คนเก่าของผมจะเคยบอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างการอาฟเตอร์แคร์ผมเผลอหลับไป สักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงก็ลุกขึ้นมานั่ง แต่พอถามหรือพูดอะไรกลับไม่ตอบ สงสัยคงจะเป็นแบบที่คุณว่า เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสังเกตอาการของผมอย่างละเอียด พอถูกทักแบบนั้นผมเลยคิดว่าตัวเองทำงานจนเหนื่อยเลยทำให้นอนละเมอชั่วคราว” บีมวิเคราะห์ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นสีหน้าก็เริ่มยุ่งเหยิง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากเลือกทางออกเดียวที่หลงเหลืออยู่

‘เวลาคุณคิดคอนเซ็ปต์ของแต่ละคอลเลกชัน ดูเหมือนจะแอบแฝงความคิดหรือเหตุการณ์ในชีวิตของคุณตลอดเลยนะครับ’ นัทเริ่มเปลี่ยนประเด็นในการพูดคุย เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ตึงเครียดที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

‘อย่างเดรสลวดลายนกนางแอ่นที่คุณใส่ตอนที่เรากำลัง Doll Play กัน ดูเหมือนมันจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคุณตอนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เพียงแต่อิสระที่คุณสัมผัสได้ คงจะให้ความรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่ของจริง เพราะคุณเปรียบชีวิตของตัวเองเหมือนกับนกนางแอ่นที่มักจะกลับมาทำรังบริเวณเดิมเสมอ ต่อให้รังเก่าไม่ถูกเก็บไป แต่นกนางแอ่นก็ยังสร้างทับรังเดิมอยู่ดี แถมการออกหากินและกลับคืนรังก็ยังเป็นระบบระเบียบเหมือนกับถูกกักขังอยู่ในกรง’ สิ้นการวิเคราะห์อันละเอียดอ่อน คุณนัทก็ยังเป็นคนที่น่าทึ่งเสมอ เพราะทันทีที่บีมพูดถึงนกนางแอ่น อีกฝ่ายก็รีบหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องที่คงจะเอาไว้ติดต่อเรื่องราวอื่น ๆ นอกจากการเพลย์มาเสิร์ชหาข้อมูลอย่างใส่ใจ

“คุณเป็นคนแรกที่รู้ความลับที่ผมซ่อนไว้” บีมกล่าวพลางยกยิ้ม เพราะทุกครั้งที่คิดคอนเซ็ปต์ บีมมักจะคิดคำอธิบายที่เป็นภาพรวมทั้งหมด เพื่อที่ขอบเขตของงานจะได้ชัดเจน ดังนั้นการรีเสิร์ชของบีมจึงหมายรวมไปถึงข้อมูลทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับคอลเลกชันนั้น ซึ่งวิถีชีวิตของนกนางแอ่นทำให้บีมรู้สึกเหมือนกับที่คุณนัทพูดทุกประการ

‘ถ้าหากผมอยากจะเข้าใจตัวตนของคุณให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ ผมคงต้องเรียนรู้ผ่านทางผลงานของห้องเสื้ออิสระใช่ไหมครับ’ คุณนัทเอ่ยถามพร้อมยกยิ้ม ขณะที่แววตาดูเป็นประกายงดงามอย่างบอกไม่ถูก

“อันที่จริงแค่คุณเอ่ยปากถาม ผมก็พร้อมจะเล่าทุกอย่าง” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยความหวั่นไหว อาจเพราะคุณนัทเป็นคนอ่อนโยนกว่าที่คิด และคำพูดเมื่อครู่ก็ทำให้บีมรับรู้ว่าคุณนัทใส่ใจความชอบของบีม อีกทั้งยังสนใจความเป็นบีมอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

‘แต่การวิเคราะห์แบบเมื่อครู่ มันทำให้ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนมีเสน่ห์มากนะครับ ถ้าหากปล่อยให้ผมค้นหาความเป็นคุณด้วยวิธีนั้น ผมคงหลงใหลความเป็นคุณจนถลำลึก โดยที่ไม่มีทางปืนป่ายขึ้นมาได้’ สิ้นคำพูดนั้นบีมก็ได้แต่เม้มริมฝีปากราวกับอยากจะกลั้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ เพราะคุณนัทในเวลานี้น่ารักมากกว่าวันวาน

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้อย่าลืมมาส่งการบ้านนะครับ” บีมเอื้อนเอ่ยเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะชิงตัดบทเพื่อเตรียมตัวเข้านอนพร้อมรอยยิ้มอันกว้างขวางและหัวใจที่รู้สึกอบอุ่น


กระทั่งยามเช้ามาเยือน บีมจำเป็นจะต้องออกจากห้องเร็วกว่ากำหนด ทำให้มีเวลาไปนั่งแช่ในร้านกาแฟไม่ไกลจากสถานที่ทำงานมากนัก ซึ่งบีมก็เอาเวลาในช่วงนั้นมานั่งขบคิดคอนเซ็ปต์สำหรับผลงานในชิ้นต่อไป

ขณะเดียวกันบีมก็เริ่มมองเห็นข้อดีของการตื่นเช้ามากขึ้น เพราะการทำงานที่ร้านกาแฟทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่ง บวกกับบรรยากาศสบาย ๆ เคล้าเสียงเพลงบรรเลงอันแผ่วเบา หลอมรวมให้ความคิดเริ่มบรรเจิด บีมจึงมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนสไตล์การทำงานเหมือนคุณนัท เนื่องจากงานของบีมล้วนต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์

บีมจึงนั่งเท้าคางดื่มด่ำบรรยากาศของร้านที่ถูกโอบล้อมด้วยสีเขียวของต้นไม้หลากชนิด ขณะเลือกนั่งบนระเบียงลักษณะเหมือนกรงนกใหญ่ที่มีบันไดเชื่อมไปยังอีกสองกรงด้านล่าง คาดว่าที่นั่งพิเศษในส่วนนี้คงจะเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้าน ซึ่งบีมไม่อาจนำสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาประยุกต์ได้ เพราะบีมเคยใช้ธีมดังกล่าวไปนานแล้ว

“เดซี่..” บีมใช้ปลายนิ้วชี้เคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด ขณะเหลือบมองไปยังดอกเดซี่สีขาวที่กำลังบานสะพรั่งอย่างงดงาม จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์เครื่องที่ใช้สำหรับติดต่องานขึ้นมาเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ชนิดดังกล่าว เพื่อที่จะใช้เป็นไอเดียในการสร้างคอลเลกชันใหม่ประจำปี 2021

ซึ่งดอกไม้กับความซัมเมอร์มักเป็นของคู่กัน อีกทั้งความหมายของดอกเดซี่ยังสื่อถึงหัวใจอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ส่วนในด้านของความรัก หญิงสาวมักจะเด็ดกลีบดอกเพื่อทำนายทายรัก เรียกได้ว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่มีความลึกซึ้งและมีชีวิตชีวามากขึ้น มิหนำซ้ำคอลเลกชันสปริงซัมเมอร์ที่บีมรับผิดชอบ ยังเริ่มวางขายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์อันเป็นเดือนแห่งความรัก ทุกอย่างจึงดูเหมาะเจาะเพราะความรักอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาสำหรับบีม หมายถึงความรักแบบหนุ่มสาวและความรักแบบครอบครัว

กระทั่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่ บีมจึงพิมพ์ชื่อคอลเลกชันลงในโทรศัพท์ว่า ‘เดส์อาย ความบริสุทธิ์อันไร้เดียงสา’ แทนที่จะเลือกใช้คำว่า ‘เดซี่’ ออกไปตรง ๆ เพราะบีมรู้สึกว่าการใช้ชื่อ ‘เดส์อาย’ แบบที่ชาวอังกฤษเรียกใช้ สามารถแสดงถึงความพิเศษได้อย่างลงตัว เพราะอันที่จริงชื่อดอกเดซี่เกิดจากการเรียกขานที่ผิดเพี้ยนไป

แต่แล้วช่วงเวลาอันเงียบสงบกลับถูกรบกวนโดยคุณนัทที่ส่งการบ้านผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ว่า ‘การโหยหาที่ไม่สิ้นสุด Spring/Summer ปี 2016 ธีมโรมิโอกับจูเลียต ผมจำได้ว่าตอนออกแบบคุณรู้สึกเหมือนถูกกักขัง เพราะพ่อกับแม่จับได้ว่าคุณชื่นชอบการตัดเสื้อและยังมีรสนิยมที่พิเศษอย่างการสวมใส่เดรสสำหรับผู้หญิง เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้เลยเน้นแบบสบาย ๆ เหมาะกับการมิกซ์แอนด์แมทช์กับกางเกงหรือกระโปรงยีน’ สิ้นข้อความแรกบีมก็ได้แต่นั่งอ่านด้วยรอยยิ้ม เพราะอีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาเพื่อเอาใจ ดังนั้นความใส่ใจของคุณนัทบีมจึงให้คะแนนเต็มร้อย เนื่องจากชื่อคอลเลกชันเหล่านี้บีมไม่เคยพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน จึงมีเพียงหนทางเดียวที่ทราบได้คือการเปิดเว็บไซต์ของทางร้าน

‘อิสรภาพอันหอมหวาน Spring/Summer ปี 2017 ธีมนกนางแอ่น สื่อถึงอิสรภาพที่เหมือนกับภาพลวงตา เพราะตอนออกแบบคุณรู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังต่อการเลือกสถาบันศึกษา เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้จึงดูหลากหลายสไตล์ ไม่ต่างกับความสับสนในจิตใจของคุณ’

ซึ่งการบ้านในข้อถัดมาที่คุณนัทวิเคราะห์ยังคงตรงใจของบีมเสมอ เพราะเสื้อผ้าคอลเลกชันนี้มีทั้งเดรสแขนยาวปกปิดมิดชิด และเดรสสั้นเลยหัวเข่าที่มีความผ่าลึกตรงบริเวณช่วงอก แต่กระนั้นผ้าลูกไม้ก็ยังเลือกใช้แบบซีทรูผสมกับผ้าลูกไม้แบบโครเชต์ที่มีความหนาแน่นของเส้นด้าย จึงทำให้การออกแบบคล้ายกับเต็มไปด้วยความเหนียมอาย เพราะบางชุดที่เป็นเกาะอกบีมจะเลือกใช้ผ้าลูกไม้ประเภท ‘GUIPURE LACE’ ห่มคลุมตรงบริเวณลาดไหล่

‘ไม่อาจลืมเลือน Spring/Summer ปี 2018 ธีมย้อนยุคสไตล์วินเทจ สื่อถึงทุกสิ่งที่คุณไขว่คว้ามาได้ล้วนเป็นความลับ เพราะคุณไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้ว่า ความสำเร็จเหล่านั้นพ่อกับแม่ไม่เคยให้การสนับสนุน เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้เลยถูกนำไปใช้ในละครย้อนยุคช่องหนึ่งที่อาจจะผ่านหูผ่านตาพ่อกับแม่ของคุณ’ สิ้นคำตอบของคุณนัท บีมได้แต่นั่งเท้าคางพลางยกยิ้มจนเห็นฟันเรียงตัวสวย เพราะนักธุรกิจอย่างคุณนัทพยายามหาข้อมูลจนรับรู้ว่าเสื้อผ้าคอลเลกชันนี้ถูกนำไปใช้ในกองละครย้อนยุค และในปีนั้นบีมจำได้ว่าเงินทองไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ซึ่งความดีความชอบล้วนเป็นของพี่มีน นางเอกละครเรื่องดังกล่าว

‘ทำการบ้านได้คะแนนเต็มแบบนี้ อยากได้รางวัลอะไรครับ’ บีมแกล้งส่งข้อความเป็นการหยอกเย้า แต่ถ้าหากอีกฝ่ายต้องการของรางวัลจริง ๆ ก็ไม่เกี่ยง

‘รางวัลเป็นแบบสะสมแต้ม แล้วคืนกำไรให้กับคนให้คะแนนได้หรือเปล่าครับ’ ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอ่ยถามด้วยรูปประโยคที่ทำให้บีมยิ่งฉีกยิ้มกว้าง

‘ได้สิครับ’ บีมรีบพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่คุณนัทก็รีบส่งข้อความกลับมาว่า ‘ถ้าหากผมเลือกสะสมแต้มด้วยการสั่งให้นายเอารูปนี้ตั้งเป็นวอลโฟนล่ะ’ สิ้นคำถามนั้นบีมใช้เวลานิ่งคิดสักพักใหญ่ เพราะรูปที่ถูกส่งมาคือรูปในวันที่ทั้งคู่เพลย์ในบทบาทสมมติของช่างภาพและนายแบบแนวเซ็กซี่ ซึ่งบีมในรูปนั้นถูกพันธนาการด้วยปลอกคอ ซ้ำยังต้องนิ่งค้างเรียวขาอยู่กลางอากาศด้วยการใช้ปลายเท้าคล้องเกี่ยวปลอกคออีกด้านหนึ่ง ขณะที่ฝ่ามือก็ต้องเล่นปลั๊กหางอันฟูฟ่องอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าของบีมในเวลานั้นจึงดูเหมือนกับชายหนุ่มผู้กระสันในกามารมย์

‘น่าตื่นเต้นดีนะครับ แล้วผมต้องตั้งวอลโฟนรูปนี้กี่วันเหรอครับ’ บีมเอ่ยถามด้วยถ้อยคำแสนยั่วเย้า เพราะเข้าใจโดยนัยว่าอีกฝ่ายชักชวนให้ลองเพลย์ด้วยวิธีการใหม่ที่ครอบคลุมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน

‘จนกว่าผมจะส่งการบ้านข้อถัดไป’ คำตอบอันแสนเสียเปรียบจากนายท่านไม่ได้ทำให้บีมนึกอยากประท้วง แต่กลับเฝ้ารอว่ารูปถัดไปจะเป็นอย่างไร

‘ถ้าหากสะสมแต้มจนครบแล้ว นายท่านจะคืนกำไรให้ผมยังไงเหรอครับ’ บีมสอบถามอย่างละเอียด พร้อมคาดคะเนว่ากิจกรรมฆ่าเวลาในครั้งนี้ คงจะกินเวลาจนกว่าแม่จะกลับบ้าน

‘เช็คลิสต์สำหรับซีนต่อ ๆ ไป’ นายท่านส่งข้อความกลับมาเพียงสั้น ๆ พร้อมแนบเอกสารสำหรับตรวจเช็คความพึงพอใจว่าบีมชื่นชอบอุปกรณ์แบบไหน เช่น หน้ากาก ชุดหนัง กรง หรือแม้แต่สถานการณ์ที่น่าสนใจก็มีให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นการถูกทรมานตลอดเวลาแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ถึงฝั่งฝัน การถูกหยดด้วยน้ำตาเทียน การมีเซ็กส์นอกสถานที่ หรือแม้แต่การมัดแขวน

นับได้ว่านายท่านส่งมอบกำไรคืนสู่ซับอย่างบีมด้วยความสัตย์จริง บีมจึงไม่รอช้าที่จะตั้งวอลโฟนเป็นรูปอันแสนน่าอาย เพราะถึงอย่างไรบีมก็ยังมีโทรศัพท์สำหรับติดต่อเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเครื่องหนึ่ง ส่วนอีกเครื่องหนึ่งมีไว้เพื่อการเพลย์โดยเฉพาะ

ดังนั้นบีมจึงไม่ต้องหวาดกลัวว่าแม่จะล่วงรู้ เพราะบีมไม่เคยหยิบโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวออกมาใช้งานต่อหน้าแม่เลยสักครั้ง มิหนำซ้ำห้องนอนของบีมยังลงกลอนตลอดเวลาจึงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
 
บีมเลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธผู้เป็นนาย


--------------------------✁


ตอนหน้ามาติดตามกันค่ะว่าจะเพลย์อะไรต่อ แต่คงไม่ได้เพลย์แบบจัดเต็มเหมือนที่ผ่านมา เพราะแม่ยังอยู่ แล้วก็เหลืออีกไม่กี่ตอนเราก็จะลงจนหมดสต๊อกแล้วค่ะ ถ้าหมดเมื่อไหร่อาจจะอัพไม่ได้ทุกวัน ตอนนี้เลยได้แต่รอลงให้หมดก่อนค่อยเริ่มเขียนตอนใหม่ เพราะอยากให้อารมณ์มันต่อเนื่องกัน

ปล. ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามเรื่องนี้นะคะ แล้วก็ขอบคุณคนที่เข้ามาเล่นแท็กด้วยค่ะ 555 แท็กไม่เหงาแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 15:22:54 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตื่นเต้นกลัวแม่จะรู้มากค่ะ แบบทุกวินาทีกลัวแม่จะโผล่มา โอ้ย  :katai1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ชอบๆๆๆๆ ละมุนๆผสมความตื่นเต้น

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 16

กระทั่งการประชุมคอนเซ็ปต์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บีมก็ง่วนอยู่กับการสเก็ตช์ภาพอันเป็นขั้นตอนถัดไปสำหรับการออกแบบเสื้อผ้า เพราะส่วนสำคัญของขั้นตอนนี้จะส่งผลกับการทำแพทเทิร์นเพื่อตัวอย่างแรกที่ไม่ต้องใช้เนื้อผ้าราคาแพง เพราะจุดประสงค์คือการลองผิดลองถูกเรื่องการตัดเย็บ

“อาหารมาส่งแล้วครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพร้อมเคาะประตูกระจกห้องทำงานทีหนึ่ง เจ้าของห้องเสื้ออิสระจึงเงยหน้ามองไปยังต้นเสียงแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปยังนาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง บีมจึงรีบจัดเก็บเล่มสเก็ตช์ ดินสอ และสีอย่างรวดเร็ว

“ราวีโอลี กับเชือก” บีมแหวกถุงบรรจุมื้อกลางวันที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเอนพิงพนักเก้าอี้พร้อมกอดอกมองไปยังบุคคลตรงหน้าราวกับต้องการถามไถ่

“ในเช็คลิสต์ของคุณระบุไว้” ชายหนุ่มเจ้าของห้างสรรพสินค้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะเท้าคางลงบนโต๊ะทำงานของผู้ถาม ซ้ำยังใช้สายตาแกมเจ้าเล่ห์จ้องมองมาอย่างเปิดเผย

“คุณก็เลยอยากทยอยคืนกำไรให้ผม ?” บีมย้อนถามไปอย่างนั้น เพราะอันที่จริงคำตอบก็อยู่ที่ ‘เชือก’ สีดำสนิทมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งบีมยังความจำดีมาก เลยพอจะทราบว่าตนเองเคยเลือกหัวข้อมัดเชือกในที่สาธารณะ

“หากคุณยินยอมรับผลประโยชน์ในครั้งนี้..” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยความเนิบช้า คล้ายกับอยากจะถ่วงเวลาให้บีมได้รอลุ้น และยังลดทอนเวลาในการทานมื้อกลางวันไปในตัว

“คุณกับผมจะมีเวลาทานราวีโอลีครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น” สุ้มเสียงของคุณนัทยังคงเนิบนาบ เพียงแต่ทันทีที่เอ่ยบอกเวลาอันแสนจำกัด คนตรงหน้ากลับโคลงศีรษะเพียงเล็กน้อย แต่ทว่ากลับส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเกรงขาม

“ตรงนี้.. หรือว่าห้องน้ำดีครับนายท่าน” เจ้าของห้องเสื้อใช้เวลาครุ่นคิดเพียงครู่ จึงเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดเหนียมอาย เพราะการเพลย์ในลักษณะดังกล่าวคือสิ่งที่บีมหลงใหลและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สัมผัส

“เด็กดีผู้ไร้ยางอายอย่างนาย น่าจะชอบถอดเสื้อผ้าตรงนี้ แล้วคลานเหมือนลูกหมาที่น่าเอ็นดูไปรอผมที่หน้าประตูห้องน้ำ” น้ำเสียงของนายท่านยังคงทุ้มนุ่มอีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่าถ้อยคำที่พูดออกมาล้วนเต็มไปด้วยความร้ายกาจ และมันก็ทำให้บีมจิตนาการตามคำพูดได้อย่างชัดแจ้ง ความรู้สึกจึงเริ่มพลุ่งพล่าน

“ค่อย ๆ ถอดทีละชิ้นล่ะ ผมจะได้จ้องมองร่างกายโสมมของนายได้เต็มตา อ้อ.. แต่ประตูห้องทำงานของนายเป็นกระจกใส มีแค่ผ้าลูกไม้ขวางกั้น หากคนนอกมองเข้ามาในนี้ คงจะเห็นเจ้าของห้องเสื้อกำลังทำตัวน่าสมเพชจนอยากจะกลั้วหัวเราะ” นายท่านกล่าวอย่างไม่ได้เร่งเร้า ซ้ำยังลุกเดินไปที่ปากประตูห้องทำงานพร้อมสอดส่ายสายตาเพียงครู่ จากนั้นจึงกดล็อกอย่างแน่นหนาพลางยืนกอดอกพิงมันไว้ ส่งผลให้บีมยิ่งลุ้นระทึก เพราะจากมุมที่บีมยืนอยู่ไม่อาจมองเห็นเรื่องราวภายนอก

“ผมเห็นพนักงานในความดูแลของนาย..” นายท่านขยับตัวหันข้างพร้อมมองออกไปยังบริเวณสโตร์ แต่กระนั้นบีมก็รับรู้ได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายยังคงเหลือบมองเรือนร่างที่กำลังปลดรั้งอาภรณ์ออกทีละชิ้น

“ดูเหมือนจะเดินมาทางนี้..” สิ้นคำพูดนั้นแววตาระยิบระยับของนายท่านก็มองสบกับฝ่ายซับอย่างแน่วแน่ ขณะที่บีมได้แต่บังคับจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ แต่ทว่าก็ไม่อาจเป็นไปตามหวัง เพราะบีมกำลังตื่นเต้นเมื่อเวลานี้กางเกงสแลคสีดำถูกปลดเปลื้องพร้อมกับอันเดอร์แวร์สีขาวบริสุทธิ์

“พวกเขามากันสองคน แถมยังซุบซิบอะไรกันไม่หยุด ถ้าให้ผมเดาคงเป็นเพราะพวกเขารู้อะไรดี ๆ เกี่ยวกับนายเลยอยากจะพิสูจน์ พอพวกเขาสบตากับผมก็เริ่มทำตัวเลิ่กลั่ก คงเพราะอยากจะรู้จนเต็มแก่ว่าเจ้าของห้องเสื้อเป็นพวกชอบมีอารมณ์ในที่สาธารณะจริงหรือเปล่า” ผู้เป็นดอมเอื้อนเอ่ยด้วยจังหวะเนิบช้าพร้อมยืนพิงประตูจ้องมองร่างเพรียวที่กำลังคลานสี่ขาเหมือนลูกหมาตัวเชื่อง ๆ มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำอันคับแคบที่อยู่ภายในห้องทำงาน ขณะเดียวกันบีมก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ช่องทางด้านหลังจึงหดเกร็งเป็นระยะ ราวกับจะส่งสัญญาณให้นายท่านทราบว่า การเพลย์อันแสนเรียบง่ายกำลังสร้างความพึงพอใจให้กับบีมอย่างมากล้น

“ดีมาก” กระทั่งบีมคืบคลานเข้ามานั่งในท่าเบญจางคประดิษฐ์ตรงบริเวณหน้าห้องน้ำ พร้อมวางฝ่ามือลงบนหน้าขาอย่างเรียบร้อย นายท่านจึงเอ่ยคำเชยชมก่อนจะวางฝ่ามือลงบนศีรษะ ราวกับมอบรางวัลให้แก่สัตว์เลี้ยง ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้บีมรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเหลือประมาณ แต่กระนั้นก็เป็นความสุขใจที่พร้อมจะโอบกอดมันไว้

“หากนายเริ่มชาตรงส่วนไหนให้รีบบอกสีแดง” นายท่านกำชับพลางแก้มัดเชือกปอกระเจาที่ให้ความรู้สึกหยาบกร้าน แต่ไม่ระคายผิวอย่างใจเย็น ราวกับต้องการจะกลั่นแกล้งให้บีมหลงเหลือเวลาทานมื้อกลางวันให้น้อยที่สุด

“รับทราบ ?” เมื่อบีมยังคงนั่งเงียบเป็นหมาซื่อบื้อ นายท่านจึงเริ่มถามย้ำ  ซ้ำยังเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยท่วงท่าน่ามอง

“รับทราบครับนายท่าน” สิ้นคำกล่าวนั้นเกลียวเชือกสีรัตติกาลก็แต่งแต้มอยู่บนผิวกายของบีมอย่างชำนาญ เนื่องจากนายท่านผ่านการฝึกฝนตามคอร์สต่าง ๆ เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเข้าใจสรีระทางร่างกายของบีมทุกสัดส่วน ความเจ็บปวดจึงไม่อาจกล้ำกราย เพราะสัมผัสนุ่มลื่นของตัวเชือกก็ไม่ต่างกับความเอาใจใส่ของนายท่านที่บรรจงถักทอจนทั่วร่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งส่วนอ่อนไหวอันโดดเด่น ความวาบหวามจึงเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นนายท่านก็ทำแค่เพียงส่งอาภรณ์คืนกลับมา ก่อนจะผละจากไปด้วยสัมผัสแผ่วหวิวบริเวณศีรษะ คล้ายกับมอบคำชื่นชมให้แก่ผู้เป็นทาส



“หลังเลิกงานหมดโปรโมชั่นนะครับ” ทันทีที่บีมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เหมาะสมกับการเป็นดีไซเนอร์ประจำห้องเสื้ออิสระ คุณนัทที่กำลังเปิดฝากล่องอาหารพร้อมรินน้ำดื่มใส่แก้วเตรียมไว้ให้ก็เอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หากไม่สังเกตคงไม่รู้

“เหลือเวลาทานมื้อกลางวันมากกว่าที่คิดอีกนะครับ” บีมกล่าวพลางก้าวเดินอย่างกระมิดกระเมี้ยน เพราะความหวามไหวยังคงติดตรึงอยู่ในใจ เนื่องจากการถูกพันธนาการถือเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้บีมรับรู้ได้ว่าตนกำลังถูกควบคุม

“ศุกรนี้จะมีงานมันช์นะครับ” หลังจากนั่งทานราวีโอลีได้สักพัก คุณนัทก็เริ่มเปิดประเด็นใหม่

“มันคืองานอะไรเหรอครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะคำว่า ‘Munch’ ในความคิดของบีมมันแปลว่าเคี้ยว จึงไม่อาจตีความได้ว่างานมันช์สำหรับ BDSM จะออกมาในรูปแบบไหน

“เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มคนที่มีรสนิยมแบบ BDSM ได้มาพบปะกันครับ ส่วนใหญ่งานจะจัดที่ร้านอาหาร ผับ หรือไม่ก็บาร์ที่มีบรรยากาศสบาย ๆ และยังเป็นงานที่อาจจะทำให้ได้พบกับคู่ของตัวเอง หรือเพื่อนที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน ที่สำคัญงานนี้จะทำให้คุณมีโอกาสได้รับการพิจารณาจากผู้จัดปาร์ตี้ว่าคุณมีความประพฤติที่เหมาะสมหรือเปล่า เรียกง่าย ๆ ว่าผู้จัดปาร์ตี้จะทำความรู้จักกับคุณก่อนจะเข้าร่วมปาร์ตี้ครับ เพราะงานที่ผมอยากพาคุณไปเป็นงานเพลย์ปาร์ตี้แบบปิด” คุณนัทตอบคำถามได้อย่างครอบคลุม อาจเพราะอีกฝ่ายเคยไปร่วมงานมาหลายครั้งแล้ว

“คุณจะพาผมไป ?” บีมย้อนถามเป็นการหยั่งเชิง

“แน่นอนสิครับ” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอื้อนเอ่ยด้วยท่าทีแสนสบาย ราวกับหน้าที่สารถีประจำตัวของเจ้าของห้องเสื้อคือเรื่องที่เขาเต็มใจ


ทันทีที่มื้อกลางวันผ่านพ้นไป บีมก็ง่วนอยู่กับการสเก็ตช์ภาพอย่างขะมักขะเม่น ร่างกายจึงเริ่มต้องการของหวาน พอลุกขึ้นยืนกลับนึกได้ว่าตนเองถูกพันธนาการไว้ ความคิดจึงเริ่มเตลิดเพราะการเดินไปซื้อเครื่องดื่มเพื่อการผ่อนคลายในครั้งนี้ ดูจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากกว่าครั้งไหน

เนื่องจากเสื้อเชิ้ตที่บีมสวมใส่คือเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ แต่ทว่าเกลียวเชือกอันนุ่มลื่นกลับถูกย้อมด้วยสีดำ คนรอบข้างจึงสามารถคาดคะเนความหน้าไม่อายของบีมได้ แต่กระนั้นบีมก็ไม่คิดลังเลที่จะเดินออกจากเซฟโซนของตัวเอง

“แม่..” บีมอุทานด้วยความแผ่วเบา ทันทีที่เห็นผู้เป็นแม่ยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ในมุมสำหรับผู้ชาย ใจของบีมจึงล่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะเสื้อเชิ้ตตัวที่ท่านให้ความสนใจ เป็นแบบเดียวกับที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นคอลเลกชันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะวางขาย

ลมหายใจของบีมจึงเริ่มติดขัด เพราะดูเหมือนแม่จะมองหาพนักงานขายราวกับต้องการจะสอบถาม บีมจึงรีบย่อตัวลงเพื่อใช้ราวแขวนเป็นที่ซ่อนกาย ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับบีบเข้าหากันอย่างกังวลใจ เพราะบีมไม่แน่ใจว่าแม่อยากจะทราบชื่อเสียงเรียงนามของผู้ออกแบบ หรือตั้งใจจะซื้อไปให้บีมสวมใส่ เนื่องจากมันก็มีความเป็นไปได้ว่า เสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายอยู่ในตู้ แม่อาจจะแค่มองเลยผ่านจึงไม่ได้จดจำเอกลักษณ์ของมัน

ไม่นานน้องบีพนักงานขายก็เดินเข้าไปหา จากนั้นจึงผละจากไปและกลับมาพร้อมกับสมุดรวบรวมคอลเลกชันสำหรับผู้ชาย เวลานี้ลมหายใจของบีมจึงคล้ายกับหยุดการทำงานไปนานแล้ว เพราะแม่บรรจงเปิดสมุดเล่มนั้นอย่างละเมียดละไม คล้ายกับต้องการเก็บรายละเอียดเพื่อพิจารณา


“ลูกค้าคนเมื่อครู่ซื้ออะไรไปเหรอน้องบี” ทันทีที่แม่ตกลงปลงใจซื้อเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ของบีมจนเสร็จสิ้น บีมก็รีบเดินออกจากที่ซ่อนเพื่อสอบถามพนักงานขายด้วยความรีบร้อน แต่ทว่าเกลียวเชือกที่พันธนาการร่างกายกลับสำแดงฤทธิ์ ความหวามไหวจึงแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายสีหน้าของบีมจึงไม่สู้ดีนัก อีกทั้งเม็ดเหงื่อยังผุดผาด ราวกับอยากจะประกาศศักดาให้ทุกฝ่ายทราบว่า บีมเป็นคนหน้าไม่อายอย่างที่นายท่านเคยปรามาส

“เสื้อเชิ้ตแบบผ้าคอตตอนค่ะ” สิ้นคำตอบของน้องบี เจ้าของห้องเสื้อจึงได้แต่พยักหน้ารับ ขณะที่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลจนเต็มเปี่ยม เพราะการที่แม่เปิดสมุดภาพที่รวบรวมคอลเลกชันทั้งหมดสำหรับผู้ชาย ดูมีอะไรมากกว่าการซื้อเสื้อเชิ้ตธรรมดาสักหนึ่งตัว

“คุณบีมไม่สบายหรือเปล่าคะ ให้หนูไปซื้อยาดีไหมคะ” น้องบีเอ่ยถามด้วยความใส่ใจ บีมจึงรีบโบกมือพร้อมส่ายหัว ก่อนจะพยายามเดินให้เป็นปกติกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง แต่ทว่าอารมณ์วาบหวามกลับเล่นงานจนบีมไม่เป็นอันทำอะไร เพราะในหัวเริ่มเตลิดไกลด้วยความตื่นเต้นและกังวลว่าน้องบีจะมองเห็นเกลียวเชือกอันโดดเด่น ความรู้สึกในส่วนลึกจึงยิ่งพลุ่งพล่าน ฝ่ามืออันสั่นเทาจึงสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏรูปของตนเองในท่วงท่าสุดเซ็กซี่ ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งให้กับนายท่าน เพื่อร้องขอให้ตนเองปลดปล่อย แต่ทว่ากลับไม่ได้รับอนุญาต

บีมจึงได้แต่นั่งนับเวลาแต่ละวินาทีด้วยความกระวนกระวาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าบีมจะไม่ชอบที่ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นคุณนัทถึงได้ทำตัวเป็นนายท่านผู้แสนเฉียบขาด เพราะการเพลย์ล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งคุณนัทถือเป็นดอมที่มีความเอาใจใส่ เพราะอีกฝ่ายมักจะคอยสังเกตว่าบีมรับการเพลย์ในแต่ละครั้งได้มากแค่ไหน แต่ขณะเดียวกันคุณนัทก็มีความเข้มงวดตามแบบฉบับของชายผู้ชื่นชอบการสอนสั่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยวาจาแสบทรวงที่ชวนให้อารมณ์ปั่นป่วน

ฉะนั้นบีมจึงกล้ามอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับคุณนัท และยอมรับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างมีความสุข แม้ว่าบีมจะชื่นชอบการถูกตีแรง ๆ จนฝากฝังร่องรอยสีแดงสดของความบอบช้ำ ขณะที่คุณนัทกลับรู้สึกว่าการตบตีจนถึงขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องถูกต้อง จึงคิดอยากจะลดระดับความรุนแรง บีมก็เข้าใจดี เพราะคนที่มีรสนิยมแบบ BDSM ค่อนข้างหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องชอบความรุนแรงเสมอไป จึงเห็นได้ชัดว่าบีมกับคุณนัทไม่ชอบการเพลย์ที่ทำให้เกิดอาการเลือดตกยางออกรวมไปถึงอุจาระและปัสสาวะ แต่ขณะเดียวกันการเพลย์ในลักษณะนี้ก็อาจจะเป็นที่หลงใหลของใครอีกหลายคน เพราะเรื่องของรสนิยมก็ไม่ต่างกับการเลือกกินอาหารที่บางคนไม่ชอบเผ็ดหรือบางคนก็ชอบเปรี้ยว


เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูกระจก บีมจึงวางมือจากการทำงาน เพราะการมาถึงของคุณนัทถือเป็นเวลาเลิกงานที่พอเหมาะ และมันก็ทำให้บีมมีเวลาทำกิจกรรมส่วนตัวที่บ้าน โดยไม่ต้องรบกวนช่วงเวลาการพักผ่อนอันแสนมีค่า

“นายดูสิ ตอนนี้นายกำลังถูกครอบงำด้วยความต้องการจนน่าหลงใหลมากแค่ไหน ถ้าหากผมได้เห็นภาพตรงหน้านี้คนเดียวคงเสียดายแย่” นายท่านเอื้อนเอ่ยขณะปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายของบีม ทันทีที่เดินมายังกระจกเงาที่แอบซ่อนตัวอยู่ตรงม้วนผ้าลูกไม้หลากชนิดที่วางเรียงรายเพื่อกางกั้นอาณาเขตส่วนตัวกับบริเวณสโตร์

“เด็กดี.. ผมขอเก็บภาพนายเข้าคลังสะสมได้หรือเปล่า” นายท่านประคองใบหน้าของฝ่ายซับให้เชิดขึ้น เมื่อบีมเอาแต่หลบสายตาด้วยความเก้อเขิน จากนั้นดวงตาคมกริบจึงกวาดมองเกลียวเชือกที่ถูกถักทอเป็นรูปสามเหลี่ยม ตั้งแต่แผงอกไปจนถึงส่วนอ่อนไหวอันโดดเด่น ชายหนุ่มผู้เป็นฝ่ายควบคุมจึงอดจะทักทายความคับแน่นด้วยการตบตีเพียงเบา ๆ ไม่ได้

“อ๊ะ..ค..ครับ” บีมหลุดเสียงครวญครางด้วยความวาบหวามพร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว ขณะที่ผู้เป็นนายกลับใช้แววตาแห่งความสนุกสนานจ้องมองปฏิกิริยาของบีมผ่านกระจกเงา

“ตรงนี้ของนายดูเหมือนจะรอไม่ไหวแล้วนะ แต่ยังไงก็ต้องรอให้ผมเก็บภาพก่อน อย่าเพิ่งปลดปล่อยล่ะ” นายท่านกระซิบเสียงแผ่วซ้ำยังเล็มเลียใบหูด้วยสัมผัสชวนสยิว ขนอ่อนของบีมจึงลุกชันอย่างไม่ทันตั้งตัว ลมหายใจเริ่มติดขัดอย่างทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นก็เป็นความทรมานที่แสนสุขสม เพราะบีมชื่นชอบช่วงเวลาแห่งการเล้าโลมมากที่สุด ซึ่งเจ้านายก็ทราบเป็นอย่างดี ฝ่ามืออุ่นร้อนจึงปรนเปรอช่วงล่างด้วยความเมตตา

“ถ่ายดี ๆ อย่าให้ภาพสั่น” แต่ดูเหมือนความใจดีของนายท่านคงไม่คู่ควรกับทาสอย่างบีม อีกฝ่ายจึงเอื้อนเอ่ยเช่นนั้นพลางส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ แต่ทว่าคำสั่งอันเรียบง่ายช่างดำเนินการได้ยากเย็น เพราะฝ่ามืออุ่นร้อนกำลังซุกซนอย่างไม่อาจห้ามปราม

“อึก..อ๊า..” บีมเปล่งเสียงด้วยความหวามไหว ขณะที่การเก็บภาพสะท้อนบนกระจกเงาก็เป็นไปตามคำเตือนของผู้เป็นนาย เพราะรูปที่ควรจะชัดแจ้งกลับสั่นไหวไปตามความรู้สึกของผู้ถ่าย

“เด็กดี ถ้านายไม่ตั้งใจถ่าย พนักงานของนายก็อาจจะเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่ผมอยากจะแบ่งปันจนช่วยไลฟ์สดลงโซเชียล ทีนี้นายคงได้กลายเป็นดาวเด่นเพียงข้ามคืน” นายท่านกระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า พร้อมเป่าลมบริเวณข้างใบหูจนเนื้อตัวของบีมสั่นพร่า ขณะที่ช่วงล่างกำลังฉ่ำเยิ้มจากคำพูดปลุกปั่นจนใกล้จะปลดปล่อยเต็มที แต่ทว่าก็ไม่อาจทำได้ถ้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ

“เก่งมาก แต่คนที่ชื่นชอบความตื่นเต้นและท้าทายอย่างนาย รีบเสร็จตอนนี้จะถึงใจเหรอ ?” เมื่อภาพถ่ายฝีมือของบีมเสร็จสมบูรณ์ พันธนาการอันแสนคุ้นเคยก็ถูกปลดเปลื้องอย่างนุ่มนวลทีละขั้นตอน จนหลงเหลือเพียงปมเชือกที่คล้องเกี่ยวบริเวณลำคอ แต่ทว่าในจังหวะที่บีมกำลังจะปลดปล่อย เจ้านายกลับกระตุกเชือกสีดำสนิทที่ยังคงอ้อมผ่านช่องทางด้านหลัง

“อ๊า” บีมได้แต่ร้องเสียงหลงพร้อมเขย่งปลายเท้าด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเกลียวเชือกเสียดสีบริเวณช่องทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ความอ่อนไหวจึงล้นปริ่มและพร่างพรมลงสู่เบื้องล่าง

“อะไรกัน.. เสร็จเร็วแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลย หรือว่าอันที่จริงนายอยากโดนพนักงานในความดูแลแอบมาไลฟ์สดเวลาที่เราเพลย์กัน เลยวางแผนทิ้งหลักฐานตรงมุมลับตาคนแบบนี้” นายท่านเอ่ยถามพลางใช้เท้าเตะเรียวขาจนทรุดลงตรงความน่าอายกองหนึ่ง

“ม..ไม่ใช่นะครับ” บีมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันควัน

“ปากตอบว่าไม่ใช่ แต่ตรงนี้ของนายกลับแสดงออกตรงกันข้ามเลยนะ” นายท่านกล่าวพลางสอดปลายเท้าเข้ามายังกลางหว่างขา ก่อนจะออกแรงสัมผัสเพียงเบา ๆ แต่กระนั้นมันกลับทำให้ส่วนอ่อนไหวพร่างพรมมากกว่าเดิม บีมจึงได้แต่เม้มปากแน่น ขณะพยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองปลดปล่อย ซึ่งมันก็ยากเต็มที

“แต่เอาล่ะ ผมจะลองเชื่อนายดูสักครั้ง เพราะฉะนั้นเลียรองเท้าผมให้สะอาด” นายท่านกล่าวพลางยกปลายเท้าให้อยู่ในระดับสายตาของคนเบื้องล่าง

“ครับนายท่าน” บีมรับปากอย่างรวดเร็วพลางก้มหน้าเล็มเลียของเหลวสีขาวขุ่นบนรองเท้าหนังสีดำมันปราบของเจ้านาย ก่อนจะค่อย ๆ นั่งคุดคู้โอ้อวดช่องทางด้านหลังให้กับใครสักคนที่อาจจะเข้ามาเยือนห้องทำงาน เพราะเวลานี้นายท่านกำลังวางปลายเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง

“ร..เรียบร้อยแล้วครับ” บีมเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางเม้มริมฝีปากราวกับรอคอยคำสั่ง ขณะนึกถึงรสชาติอันฝืดเฝื่อนที่คงจะผสมฝุ่นละอองตามรายทาง แต่กระนั้นบีมก็ไม่นึกรังเกียจ เพราะการได้ทำความสะอาดรองเท้าของเจ้านาย เกิดจากความเมตตาอันใหญ่หลวง

“ข้างหน้านายด้วย” นายท่านกล่าวพลางพยักพเยิดบอกตำแหน่ง ก่อนจะเดินอ้อมไปยังด้านหลังของทาสผู้แสนเชื่อฟัง พร้อมกระตุกรั้งเกลียวเชือกอย่างหยอกเย้า ส่งผลให้ความหยาบกระด้างเสียดสีช่องทางด้านหลังด้วยความคุ้นชิน

“อะ..อ๊า” บีมได้แต่ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดสภาพ เพราะไม่อาจทานทนต่อการกระตุ้นเร้าได้อีกต่อไป

“ชอบใช่ไหมล่ะ ?” นายท่านเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ พลางกระตุกเกลียวเชือกราวกับค้นพบของเล่นชิ้นใหม่

“อะ..อา..ผ..ผม..อื้อ” บีมได้แต่บิดเร้าไปมาพลางพูดไม่ได้ศัพท์ แต่ทว่าท่วงท่าอันถูกครอบงำด้วยกามารมย์ กลับทำให้ผู้เป็นดอมรู้สึกสุขสมความคับแน่นจึงเริ่มทวีคูณจนโดดเด่น

“ผมอะไร พูดให้ดัง ๆ” นายท่านลดตัวลงมากระซิบข้างใบหู พลางลูบไล้เรือนผมราวกับเอ็นดูนักหนา แต่ทว่าฝ่ามือกลับกระทำการปลุกปั่นด้วยเกลียวเชือกไม่หยุดหย่อน

“ผ..ผม..ส..เสียว” บีมเอื้อนเอ่ยพลางหอบหายใจถี่กระชั้นพร้อมบิดเร้ากายด้วยความหวามไหว ช่วงล่างจึงฉ่ำเยิ้มก่อนจะพุ่งทะยานอย่างไร้ขอบเขต แต่กระนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะบีมสั่งสมความต้องการมานานแล้ว

“งั้นเหรอ..” นายท่านอุทานด้วยน้ำเสียงไม่น่าไว้ใจ ขณะที่มุมปากกลับแสยะยิ้มจนบีมรู้สึกหวั่นเกรงอย่างบอกไม่ถูก แววตาสั่นระริกจึงเสหลบอย่างพ่ายแพ้

“คลานตามผมมาแล้วก็ทำความสะอาดพื้นให้เกลี้ยง” นายท่านลุกขึ้นยืนพลางสั่งการด้วยความเฉียบขาด จากนั้นจึงลากรั้งเกลียวเชือกที่คล้องเกี่ยวทาสในอาณัติราวกับนักโทษ

“อ๊ะ..อ๊า..” บีมได้แต่หลับตาพริ้ม พลางดิ้นพล่านด้วยความทรมาน แต่กระนั้นก็ไม่กล้าปลดปล่อยเพราะหวาดกลัวว่าจะยิ่งเลอะเทอะ และเจ้านายจะไม่พอใจ

“ทำไมยังไม่คลานตามผมมาอีก!” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พลางละทิ้งเกลียวเชือกอย่างไม่แยแส เพื่อมุ่งตรงไปยังห้องน้ำอันแสนคับแคบ บีมจึงได้แต่ก้มหน้าคลานตามอีกฝ่ายอย่างลนลาน เมื่อภาพลักษณ์ของนายท่านกำลังสร้างความเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่กระนั้นก็ไม่หลงลืมที่จะใช้เรือนร่างทำความสะอาดพื้นตามคำสั่ง

“นอนลง” เมื่อเดินเข้ามายังห้องน้ำอันเล็กแคบ นายท่านก็เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบบนโถสุขภัณฑ์ด้วยท่วงท่าอันสูงส่ง บีมที่ล้มตัวลงนอนอยู่ตรงแทบเท้าจึงยิ่งรู้สึกต่ำต้อยราวกับเป็นเศษฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของอีกฝ่าย แต่กระนั้นบีมก็ยินยอมที่จะเป็นฝุ่นละอองดวงเล็ก ๆ ที่ได้รับความเหลียวแลจากนายท่าน

“ตอนนี้ผมอนุญาตให้นายเสร็จ รู้ไหมเพราะอะไร” นายท่านกล่าวพลางโน้มตัวลงตั้งศอกทั้งสองข้างบนหน้าขา เพื่อให้จ้องมองฝ่ายซับที่กำลังหอบหายใจด้วยความกระสันได้ถนัดตา

“พ..เพราะอะไรครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะบีมยังคงอดกลั้นต่อการปลดปล่อย แต่ทว่าปลายเท้าของเจ้านายกลับค่อย ๆ แยกเรียวขาของบีมจนอ้ากว้าง ความคับแน่นอันโดดเด่นจึงอวดโฉมสู่สายตาพราวระยับของผู้เป็นนาย

“เพราะนายมันน่าสงสารจนผมรู้สึกเห็นใจ ขอบคุณความเมตตาของผมสิ” นายท่านกล่าวพลางใช้รองเท้าปรนเปรอความอ่อนไหวให้พุ่งทะยานสู่ฝั่งฝันด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น

“ข..ขอบ..อา..คุณครับ..อ๊า” บีมบิดเร้ากายด้วยความสุขสมก่อนจะเปล่งเสียงด้วยความหวามไหว แต่ทว่าในความรู้สึกของผู้เป็นดอมกลับไพเราะอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันกระตุ้นเร้าให้นัทเอื้อมแตะฝั่งฝันอย่างรวดเร็ว ขณะที่บีมได้แต่นอนหอบหายใจด้วยความอ่อนล้า นัทจึงเป็นฝ่ายรั้งกายของคนรักเข้าสู่อ้อมกอด เพื่อทำหน้าที่อาฟเตอร์แคร์ในความเงียบงัน

“ผมขอดูรูปที่ถ่ายเมื่อสักครู่หน่อยสิครับ” บีมกล่าวพลางแบมือไปทางด้านข้าง ฝ่ายเจ้าของโทรศัพท์ก็ไม่คิดอิดออด เวลานี้บีมจึงได้แต่มองจ้อง ‘รูปคู่’ รูปแรก

“ทำไมรูปคู่รูปแรกถึงกลายเป็นรูปแบบนี้ไปซะได้” สิ้นการทอดถอนใจ บีมจึงเอื้อนเอ่ยด้วยความขบขัน

“ถ้าอย่างนั้นผมชดเชยด้วยการอนุญาตให้คุณถ่ายติดแผ่นหลังของผมในระหว่างที่เรากำลังเดินกลับที่พักด้วยกันดีไหมครับ เราสองคนจะได้ตั้งเป็นวอลโฟนเครื่องที่ใช้ติดต่องานหรือธุระส่วนตัวคู่กัน” ทันทีที่คุณนัทยื่นข้อเสนอที่คู่รักทั่วไปนิยมทำ บีมก็ได้แต่ยกยิ้มด้วยความถูกใจ เพราะบีมก็อยากจะมีรูปคู่กับคนรักสักรูป และจากการวิเคราะห์มุมมองภาพ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายต้องการให้ถ่ายเซลฟี่รูปหน้าของตัวเองโดยติดแผ่นหลังของใครอีกคน

เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่คุณแม่ยังคงพักอยู่ที่นี่ บีมมักจะเดินกลับเพนท์เฮ้าส์ทางฝั่งซ้ายของทางเชื่อมที่มุ่งตรงสู่ที่พัก ส่วนคุณนัทมักจะเดินอยู่ทางฝั่งขวาในเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นรูปคู่ในครั้งนี้จึงไม่มีอะไรชวนให้ผิดสังเกต

เพราะมันก็ไม่ต่างกับรูปที่บังเอิญถ่ายติดบุคคลแปลกหน้า

--------------------------✁


[1] ราวีโอลี (ravioli) คือพาสต้าชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นแป้งแผ่นบางประกบกัน ห่อไส้ข้างในแบบเดียวกับเกี๊ยวของประเทศจีน ในส่วนของไส้จะเป็น เนื้อ ไก่ ปลา หรือเนยก็ได้ แต่ต้นตำหรับจะใช้เนยรีคอตตาขูดผสมกับผักโขมหรือผักกาด และอาจจะผสมมันบด เห็ด ฟักทอง เกาลัด หรืออาร์ทิโชกก็ได้
https://imgur.com/3FHus0h

บทความที่เกี่ยวข้อง

- งานมันช์ http://bit.ly/345zlqG

ตอนแรกว่าจะไม่จัดเต็ม แต่แก้ไปแก้มาก็จัดเต็มอีกแล้ว 555 ส่วนคุณแม่นั้นนน กำลังจับผิดจริงหรือไม่โปรดติดตามจ้า จริง ๆ ก่อนลงตอนนี้เราคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายตลบ ว่าบีมควรจะเพลย์ในระหว่างที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกแม่พบเห็นดีมั้ย แต่พอเราลองปรึกษาคนที่เคยให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อมูลก็เลยตัดสินใจไม่แก้อะไร เพราะการที่บีมชื่นชอบที่จะเพลย์ด้วยวิธีต่าง ๆ ในที่สาธารณะและชื่นชอบความตื่นเต้น เวลาแบบนี้ยิ่งถือว่าเป็นการท้าทายค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรจนสุดโต่ง เพราะทั้งสองคนยังคงเพลย์อยู่ภายใต้เซฟโซนของบีม เราถือว่ามีความระมัดระวังที่สูงมาก ส่วนฉากเพลย์ต่าง ๆ เราพยายามจะเขียนความรู้สึกของฝ่ายซับออกไปให้มากที่สุด อย่างเช่นการเลียรองเท้าหรือการพันธนาการด้วยเชือก นั่นก็คือความรู้สึกที่เหมือนกับฝ่ายซับได้รับความรัก ความเมตตาน่ะค่ะ ในความคิดของเราเหตุผลตรงนี้อาจจะเป็นส่วนที่ทำให้การเพลย์ในรูปแบบ BDSM ดูน่าหลงใหล เพราะมันมีความรู้สึกต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากความใคร่เข้ามาเกี่ยวข้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 20:23:19 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คุณนัทเจนเทิลแมนมากจริงๆ ทับจัยย 555 รอจับตาดูคุณแม่เลยค่ะตอนนี้ ลุ้นมาก

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 17


บีมทราบดีว่าตนเองเป็นคนจริงจังกับการทำงาน อาจเพราะเป้าหมายไม่ใช่เพียงความสำเร็จ แต่ยังเป็นการได้รับการยอมรับจากครอบครัว ดังนั้นหากขั้นตอนไหนที่สามารถลงมือกระทำนอกเหนือเวลางานได้ บีมมักจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

แต่ในค่ำคืนนี้ดูเหมือนว่าความตั้งใจเดิมจะถูกลดทอนไป เพราะแม่บอกว่าเสาร์นี้จะกลับบ้านแล้ว และยังซื้อเสื้อเชิ้ตแบรนด์โปรดมาให้ลูกชายเพียงหนึ่งเดียว เจ้าของห้องหมายเลข 303 จึงได้แต่นั่งกอดเสื้อที่แม่มอบให้ท่ามกลางความมืดสลัวในห้องนอน

เนื่องจากบีมไม่เคยคาดคิดว่าการที่แม่มาเยือนยังห้องเสื้ออิสระพร้อมร้องขอสมุดคอลเลกชันสำหรับผู้ชาย แท้จริงมันเกิดจากความตั้งใจที่จะปล่อยวางความยึดมั่นของตัวเอง เพราะการที่แม่มอบเสื้อเชิ้ตไร้ลวดลาย เท่ากับแม่ที่เคยคัดค้านจนหัวชนฝา ยอมรับความชื่นชอบของบีมได้ ริมฝีปากของบีมจึงวาดเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘อารมณ์ดีอะไรครับ’ คุณนัทเอ่ยถามหลังจากบีมกดตอบรับวีดิโอคอล ขณะโยนสมุดสเก็ตช์ลงบนเตียงนอน แล้วเดินไปเปิดไฟเพื่อให้แสงสว่าง พร้อมผิวปากราวกับมีความสุขหนักหนา

“เสื้อที่แม่ผมไปซื้อที่ร้านเมื่อวันก่อน สรุปท่านเอามาให้ผมก่อนจะกลับบ้าน” บีมบอกเล่าให้อีกฝ่ายรับรู้ ราวกับต้องการจะแชร์ทุกช่วงเวลาให้แก่กัน

‘ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องฉลองให้คุณแล้ว’ คุณนัทกล่าวพร้อมเดินออกจากห้องนอน โดยวางโทรศัพท์ไว้ที่ขอบโซฟาพลางหยิบหมอนมาวางตั้ง เพื่อให้วิถีของภาพที่มองเห็นคือแกรนด์เปียโนหลังใหญ่ที่อยู่ติดริมหน้าต่าง

“คุณจะเล่นเปียโนให้ผมฟัง ?” บีมเอ่ยถามพร้อมวางมือจากการเปิดสมุดสเก็ตช์หุ่นแฟชั่น แล้วนอนเท้าคางมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขณะที่คุณนัทไม่ได้ตอบคำถามเป็นคำพูด แต่กลับวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มโดยที่ไม่ต้องคอยสังเกตก็เห็นได้ชัด บีมจึงกดอัดวีดิโอคอลโดยอัตโนมัติ เพราะท่วงท่าของคุณนัทในเวลานี้คล้ายกับเจ้าชายในเทพนิยาย

จากนั้นเจ้าของห้องเสื้อก็เริ่มขีดเส้นตรง ทันทีที่ปลายนิ้วอันพลิ้วไหวของคนในหน้าจอสี่เหลี่ยมพร่างพรมลงบนแป้นคีย์บอร์ด เสียงเพลงในท่วงทำนองอบอุ่นจึงส่งตรงมายังผู้รับอย่างชัดแจ้ง จากนั้นบีมจึงแบ่งเส้นตรงที่ลากไว้ให้ได้สิบส่วนเท่า ๆ กัน โดยส่วนที่หนึ่งแบ่งออกเป็นสามส่วนย่อยเพื่อวาดใบหน้า

ซึ่งบีมมักจะสละช่วงเวลาของการทำงาน เพื่อปรายตามองภาพของคุณนัทเป็นระยะ โดยไม่ต้องนึกเสียดายที่ไม่อาจมองให้เต็มตาจนกระทั่งจบเพลง เพราะบีมอัดวีดิโอคอลในช่วงนี้เอาไว้แล้ว บีมจึงหันมาให้ความสนใจกับส่วนลำตัวและเรียวขาของแบบวาดไปจนถึงช่วงแขนและหน้าอก ขณะที่เพลงบรรเลงของคุณนัทดูเหมือนจะเล่นไปถึงสองสามเพลง เนื่องจากเวลานี้บีมกำลังใช้ปากกาสีดำตัดเส้นแบบวาดก่อนจะทำการลงสีให้ดูมีมิติ

‘ได้เวลานอนแล้วครับ’ ทันทีที่เสียงเพลงเงียบสนิทก็ตามมาด้วยคำพูดอันแสนห่วงใย เพราะเวลานี้สี่ทุ่มแล้ว ซึ่งคนที่มีปัญหาในเรื่องของการนอนหลับ ควรจะรีบพักผ่อนแต่เนิ่น ๆ บีมจึงเก็บอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการดีไซน์เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดไฟเพื่อให้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่มีได้โอกาสเปล่งประกาย

จากนั้นบีมจึงเดินไปยังตู้เก็บอุปกรณ์ลับเฉพาะ เพื่อนำกุญแจมือพันธนาการตนเองเหมือนทุกค่ำคืน แม้ว่าช่วงนี้อาการเดินละเมอจะห่างหายไปบ้างแล้ว แต่บีมก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะจนถึงตอนนี้บีมยังไม่แน่ใจว่าแม่จะรับได้กับรสนิยมดังกล่าว

“คุณนัทคิดว่าถ้าหากผมกลับมานอนละเมอแบบแต่ก่อนโดยที่ยังสวมกุญแจมืออยู่แบบนี้ จูเลียตจะออกอาการต่อต้าน หรือว่ายอมล่าถอยกลับไปนอนเหรอครับ ?” บีมเริ่มตั้งคำถามด้วยความสงสัย

‘เป็นไปได้ทั้งสองอย่างมั้งครับ แต่ยังไงวิธีนี้ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เพราะผมคิดวิธีแก้ปัญหาได้จากหัวข้อข่าวหนึ่งที่อ่านเจอในอินเตอร์เน็ต’ คุณนัทเอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะคนเราไม่สามารถคาดคะเนอะไรได้อย่างแม่นยำเสมอไป
“ข่าวอะไรเหรอครับ” บีมย้อนถามด้วยความสนใจ

‘ข่าวของคุณปู่ชาวออสเตรเลียที่ป่วยเป็นโรคนอนละเมอขั้นรุนแรงจนเตะต่อยและบีบคอภรรยา แถมยังทำร้ายตัวเองขณะหลับครับ คุณปู่เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาเข็มขัดมัดตั้งแต่ช่วงอกและช่วงเอวติดกับเตียง’ เรื่องราวที่คุณนัทเล่าให้ฟังดูน่ากลัวกว่าพฤติกรรมของบีมเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นอาการเดินละเมอไปใส่เดรสสำหรับผู้หญิงก็ยังนับว่าเสี่ยง เพราะเวลานี้บีมไม่ได้อยู่ที่เพนท์เฮ้าส์เพียงลำพัง

‘คุยเพลินเลยครับ รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นคุณยังต้องไปงานมันช์อีกนะครับ’ คุณนัทเอื้อนเอ่ยขณะล้มตัวลงนอนหลังจากปิดไฟจนมีเพียงแสงจันทร์เล็ดลอดผ่าน พอให้มองเห็นเค้าโครงหน้าอันเลือนราง

“ครับ ฝันดีนะ”

‘เช่นกันครับ’


เช้าวันนี้บีมยังต้องแสร้งทำตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศด้วยการออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อปักหลักอยู่ที่ร้านกาแฟไม่ไกลจากสถานที่ทำงาน ซึ่งบีมได้กล่าวอ้างกับแม่ว่าวันนี้อาจจะกลับดึก เพราะที่ทำงานมีเลี้ยงส่งพนักงาน

ถ้าหากแม่กลับไปยังบ้านเกิดแล้ว บีมวางแผนจะแบ่งเวลาไปหาสถานที่สำหรับจัดตั้งออฟฟิศประจำห้องเสื้ออิสระ เนื่องจากการจัดระเบียบการทำงานอย่างคุณนัทจะต้องมีสถานที่ที่เอื้ออำนวยมากกว่านี้

‘ส่งการบ้านครับ’ ทันทีที่เสียงข้อความจากแอปพลิเคชันไลน์ดังขึ้น บีมจึงวางมือจากการสเก็ตช์เสื้อผ้าสำหรับคอลเลกชันในปีหน้า

‘หนทางอันกว้างใหญ่ Spring/Summer ปี 2019 คอลเลกชันนี้คุณเคยใส่ตอนเดินละเมอมาหาผมครั้งแรก สไตล์ของเสื้อผ้าให้ความรู้สึกหลากหลายและยังมีความกล้าที่จะเปิดเผยรูปร่างมากขึ้น คล้ายกับคุณค้นพบรสนิยมของตัวเองอย่างแท้จริง’

การวิเคราะห์ของคุณนัทไม่ถือว่าคลาดเคลื่อนมากนัก เพราะในช่วงปี 2018 คือช่วงเวลาก่อนวางขายคอลเลกชันดังกล่าว และยังเป็นปีแรกที่บีมก้าวเข้าสู่ความหลงใหลของการเพลย์ อีกทั้งกิจการยังไปได้ดีกว่าที่คิด เสื้อผ้าจึงเริ่มมีแบบสายเดี่ยวหรือเกาะอก โดยที่ไม่ต้องอาศัยความซีทรูของเนื้อผ้าบดบัง มิหนำซ้ำสินค้าสำหรับคอลเลกชันนี้ยังมีบราและรองเท้าสำหรับผู้หญิงเป็นเซ็ตแรก

‘ผมในเวลานั้นเลยหลงระเริงอยู่ท่ามกลางอิสระจอมปลอมเพียงชั่วคราว ชื่อของคอลเลกชันนี้เลยสอดคล้องกับความรู้สึกที่เป็นอิสระไร้ขอบเขต เหมือนกับท้องฟ้าที่ต่อให้นกตัวน้อยโผบินไปไกลแค่ไหนก็ยังไม่เคยพบเจอกับเส้นขอบฟ้า ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่ามีอยู่จริง’ บีมขยายความรู้สึกของตัวเองผ่านการเปรียบเปรย

‘ลึก ๆ ในใจของคุณตอนนั้น ผมเดาว่าคงจะแอบภาวนาไม่ให้พบเจอกับเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่เปี่ยมไปด้วยความเปิดเผย จึงแอบแฝงความหวาดกลัวทับถมอยู่ในใจจนกลายเป็นม่านหมอกสีดำ’ สิ้นการส่งการบ้าน บีมกลับรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นทุกขณะที่ได้อ่านข้อความของคุณนัท เนื่องจากบีมไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนที่เข้าใจเราจนถึงแก่นแท้ เพราะแม้แต่บีมในตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ความอึดอัดเคร่งเครียดจึงแสดงออกมาเป็นการนอนละเมอที่ยังไม่ร้ายแรงนัก เนื่องจากเส้นขอบฟ้าที่บีมหวาดกลัวก็ไม่ต่างกับการที่ความลับถูกบุคคลในครอบครัวค้นพบ จากนั้นอิสระอันไร้ขอบเขตก็จะถูกทำลาย

‘บีม..’ แต่แล้วความเงียบสงบก็อยู่กับคนทั้งคู่ได้ไม่นาน เมื่ออีกฝ่ายเป็นคนส่งข้อความกลับมาก่อน

‘ครับ ?’ บีมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ทว่าริมฝีปากกลับคลี่เป็นรอยยิ้มจาง อาจเพราะนาน ๆ ครั้ง ถึงจะถูกคุณนัทเรียกขานด้วยชื่อเสียงเรียงนามอันคุ้นเคย

‘ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน คุณคือคนที่เก่งมากในสายตาผม’ สิ้นข้อความนั้น ริมฝีปากที่เคยวาดเป็นรอยยิ้มกลับเพิ่มระดับความน่ามองมากยิ่งขึ้น เพราะหัวใจของผู้รับสารกำลังเบ่งบานราวกับกลีบดอกเดซี่บนเสื้อผ้าของแบบวาด


กระทั่งช่วงเวลาแห่งการรอคอยมาเยือน นายท่านจึงสั่งให้บีมเปลี่ยนวอลโฟนเป็นรูปที่กำลังยืนอิงแอบอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่บ้านสวน ซ้ำยังสวมใส่พวงหางฟูฟ่อง หันมองมายังช่างภาพด้วยสีหน้าเร้าอารมณ์ตามคำสั่ง

“สวมปลอกคอซะ” หลังจากเข้ามานั่งในรถได้สักพัก นายท่านก็โยนปลอกคอที่มีลักษณะเหมือนเครื่องประดับลงบนหน้าตัก เพื่อส่งสัญญาณเริ่มกิจกรรมตามข้อตกลงที่ไม่ต่างกับการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา

“เด็กดี นายชอบเลขสาม สอง หรือหนึ่ง” นายท่านเอ่ยถามพลางใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบไล้ใบหน้าของบีมด้วยความแผ่วเบา จากนั้นตัวรถก็เคลื่อนห่างจากลานจอดของห้างสรรพสินค้า เพื่อมุ่งตรงไปยังงานมันช์ ซึ่งการแต่งตัวสำหรับไปร่วมงานดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องมีอะไรพิเศษ เพราะงานแบบนี้ คุณนัทบอกว่าไม่เหมาะที่จะเปิดเปลือยรสนิยมขนาดนั้น เนื่องจากตัวงานมักจะถูกจัดในสถานที่ของชาววนิลา อีกทั้งผู้ที่มีรสนิยมแบบเดียวกันก็อาจจะไม่สะดวกใจที่จะเปิดเผย   

“ว่าไง ?” ฝ่ายดอมยังคงถามย้ำ ขณะที่บีมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเล่นการพนัน เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้แทบไม่ต่างกับการเสี่ยงโชค แต่ก็นับได้ว่าจูงใจให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากการเลือกหมายเลขตามที่เจ้านายต้องการ คาดเดาได้เลยว่าคงเป็นการเลือกระดับความสั่นไหวของไวเบรเตอร์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของบีม และมันคงไม่ใช่การไล่ระดับตามหลักสากลอย่างแน่นอน 

“สองครับ” ทันทีที่คำตอบหลุดรอดออกจากริมฝีปาก แววตาของฝ่ายซับก็เหลือบมองสารถีด้วยความลุ้นระทึก เพราะการคืนกำไรของคุณนัทอยู่ในหัวข้อของการถึงฝั่งฝันในที่สาธารณะผสมรวมกับการถูกกระตุ้นด้วยไวเบรเตอร์

“รู้อะไรไหม นายเสี่ยงดวงได้ปรานีกับตัวเองมาก” นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะอมยิ้มตรงมุมปาก

“ห..หมายความว่า..ย..อื้อ” บีมเอ่ยถามยังไม่ทันจบประโยคไวเบรเตอร์ก็เริ่มทำงาน ส่งผลให้สุ้มเสียงขาดหายไม่ได้ศัพท์

“หมายความว่าข้อสอง ระดับของไวเบรเตอร์จะอยู่ที่ปานกลาง เพียงแต่นายจะได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อยก็ต่อเมื่อ พวกเราไปถึงร้านอาหาร” ระหว่างที่รถกำลังติดไฟแดง นายท่านก็เฉลยคำตอบอย่างเชื่องช้าด้วยการกระซิบชิดริมหู คล้ายกับเป็นกังวลว่าบีมจะได้ยินไม่ชัดเจน แต่ทว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่จงใจเป่ารดกลับแสดงอานุภาพอย่างแรงกล้า เพราะมันค่อย ๆ ทำให้ร่างกายของบีมเริ่มรู้สึกตื่นตัว

บวกกับฝ่ามือที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวยาวจากผ้าลูกไม้ประเภท KNIT LACE ที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวลราวกับไหมพรม กำลังลากไล้บริเวณหน้าขาเนียนนุ่มอย่างเพลิดเพลิน และบางครั้งก็ล่วงล้ำเข้าสู่ภายใต้ร่มผ้าอันแสนสั้น เนื่องจากก่อนออกเดินทางบีมเปลี่ยนมาใส่กางเกงขาสั้นตามคำสั่ง ซึ่งกางเกงตัวที่ว่านี้นายท่านเป็นคนสุ่มเลือกมาจากหน้าร้าน พร้อมจ่ายเงินอย่างไม่เอารัดเอาเปรียบ

“แล้วถ้า..อา..ผมเลือก..หนึ่งกับสามล่ะครับ” บีมยังคงตั้งคำถามด้วยความสนใจ ขณะที่สองฝ่ามือกำลังกอบกุมสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น เพราะความวาบหวามจากฝ่ามืออุ่นร้อนคู่นั้น กำลังทักทายตัวตนแสนอ่อนไหวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งของเล่นชิ้นสำคัญก็ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แน่นอนว่าทั้งสองข้อต้องเป็นในระดับสูงสุดจนกระทั่งจบงานมันช์” สิ้นคำตอบบีมก็เข้าใจได้ทันทีว่า คุณนัทจงใจเมตตาปรานีกันมากแล้ว เพราะถ้าหากจำไม่ผิด งานมันช์ห้ามแสดงความเป็น BDSM จนเกินไป ดังนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงไม่ค่อยเหมาะสมกับงานนี้

“เด็กดี ถ้าหากนายดื้อรู้ไหมว่าต้องเจอกับอะไร” เพียงแค่นายท่านเปิดปากถาม บีมก็นึกอยากจะโต้เถียง เพราะนับตั้งแต่เริ่มกิจกรรมสะสมแต้ม บีมก็ไม่เคยคิดจะดื้อดึงกับอีกฝ่าย มีแต่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นฝ่ามืออันแสนซุกซนที่ควรจะประคองพวงมาลัยรถเพื่อความปลอดภัย คงไม่ลากไล้วนเวียนบริเวณช่วงล่างเนิ่นนานขนาดนี้

“อะ..อา” บีมจงใจเปล่งเสียงพลางขยับกายเข้าหาฝ่ามือของเจ้านายด้วยความซาบซ่าน ขณะที่โสตประสาทกำลังรับฟังอย่างตั้งใจ

“คำตอบจะถูกปรับเปลี่ยนตามใจผม” บีมได้แต่หอบหายใจอย่างอดกลั้น เนื่องจากบทลงโทษของการ ‘ดื้อดึง’ เริ่มกระจ่างชัดมากขึ้นทุกที เพราะระดับของไวเบรเตอร์กำลังถูกเร่งเร้าจนถึงขีดสุด ความคับแน่นจึงอวดโฉมผ่านฝ่ามืออุ่นร้อนที่กำลังทำหน้าที่ไม่ต่างกับการตรวจตราผลลัพธ์ของบทลงโทษ

“กระตุ้นง่ายจังเลยนะ” นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยความเย้ยหยันพลางยกยิ้มกรุ้มกริ่มตรงบริเวณมุมปาก ขณะหมุนพวงมาลัยด้วยฝ่ามือเดียว แต่กลับกลายเป็นท่วงท่าที่สมบูรณ์แบบในความรู้สึกของฝ่ายซับ

“ผมไม่ชอบคนใจร้อน..” ถ้อยคำอันแสนเรียบนิ่งดังเข้าสู่โสตประสาทของบีมอย่างชัดแจ้ง แต่กระนั้นฝ่ามืออันมากอำนาจกลับผลักไสไวเบรเตอร์เข้าหาความนุ่มนวลอันแสนอ่อนไหวให้มากขึ้น ส่งผลให้บีมได้แต่เกร็งตัวด้วยความเสียวซ่านพร้อมจิกทึ้งเบาะหนังอย่างระบายอารมณ์

“นายอยากรู้ไหมว่าผมชอบอะไร” นายท่านเอ่ยถามพลางลากไล้ฝ่ามือปัดผ่านความคับแน่นอันโดดเด่น

“อ๊า..น..นายท่าน..ช..ชอบอะไรครับ” บีมเอ่ยถามเสียงกระเส่าพลางกระเด้งตัวเหนือเบาะรถ เพราะเจ้านายยังคงปรับระดับของการสั่นไหวตามแต่ความพึงพอใจ อาการเสียวซ่านจึงทำให้บีมไม่อาจนิ่งเฉย

“ผมชอบเวลาที่เห็นนายอยากจะปลดปล่อย โดยที่รถคันข้าง ๆ กำลังจ้องมองนายอยู่ เพราะมันทำให้ผมอยากจะรู้ว่า นายจะทำยังไงไม่ให้พวกเขาสงสัยว่ากำลังทำตัวหน้าไม่อายกลางท้องถนน” สิ้นคำพูดของนายท่านบีมก็หันไปมองยังหน้าต่างกระจกที่ผ่านการติดฟิล์มกรองแสง เพียงแต่ภายนอกไม่อาจมองลอดเข้ามายังด้านใน

แต่กระนั้นภาพตรงหน้ากลับเสริมสร้างจินตนาการต่อกิจกรรมในครั้งนี้ เนื่องจากบีมสามารถมองเห็นบรรยากาศนอกรถได้อย่างชัดเจน ซึ่งบุคคลแปลกหน้าที่นายท่านกำลังพูดถึงยังคงหันมองมาทางตัวรถ ความรู้สึกของบีมจึงยิ่งพลุ่งพล่าน

“ถอดกางเกง” จู่ ๆ นายท่านก็สั่งการด้วยถ้อยคำที่น่าตกใจ เพียงแต่ลึก ๆ บีมกลับชื่นชอบความเผด็จการนี้ แต่ก็ยังทำทียึกยักไม่เอาไหน เพราะใจหนึ่งเริ่มจะสับสนว่ากระจกรถของนายท่านติดฟิล์มกรองแสงแบบหนาทึบอย่างที่เข้าใจจริงหรือเปล่า

“อ๊า” บีมบิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่าน ซ้ำยังเปล่งเสียงร้องด้วยความรัญจวน เพราะเวลานี้นายท่านกำลังผลักไสความหวามไหวให้บีมได้สัมผัสจนเกินควร

“ถ้าเป็นเด็กไม่ดีก็ต้องเจอแบบนี้” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยคล้ายกับย้ำเตือนบทลงโทษด้วยความเคร่งครัด บีมจึงไม่รอช้าที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์เบื้องล่างจนหมดสิ้น จากนั้นไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็สัมผัสผิวกายจนขนอ่อนลุกชัน เพราะเสื้อคลุมตัวยาวไม่อาจให้ความอบอุ่นอะไรได้

“น่าเสียดาย” นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อสัญญาณจราจรปรับเปลี่ยนมาเป็นสีเขียว ตัวรถจึงต้องเคลื่อนออกไปยังท้องถนนอันกว้างใหญ่ที่คงจะไม่มีใครทันเห็นพฤติกรรมอันแสนน่าอายของตุ๊กตาหน้ารถ

การทดลองจึงต้องจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าฝ่ามืออันซุกซนกลับคอยผลักไสของเล่นชิ้นสำคัญให้สัมผัสกับความอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายด้วยความลึกซึ้ง บีมจึงได้แต่ร้องครวญครางไม่หยุดหย่อน เพราะเวลานี้ความสุขกำลังจุกอกเกินจะรับไหว แต่กระนั้นบีมก็ยังจดจำได้ดีว่า นายท่านเคยพูดแบบอ้อม ๆ ว่าไม่อนุญาตให้ปลดปล่อย แต่กระนั้นบีมก็ยังอยากลองดี

“ให้ผม..อา..ป..ปลดปล่อยเถอะนะครับ” บีมร้องขอด้วยความหวามไหว ขณะโอบกอดเรียวแขนอันแข็งแกร่งที่ยังคงปรนเปรอความสุขสมไม่ขาดสาย

“เดี๋ยวรถผมเลอะ” นายท่านยังคงห้ามปรามด้วยความเฉียบขาด บีมจึงได้แต่บิดเร้ากายอย่างทุกข์ทรมาน ศีรษะจึงเอนพิงบานหน้าต่างด้วยความรัญจวน พร้อมอดกลั้นสุ้มเสียงชวนหลงใหลจนสุดความสามารถ ราวกับมันจะช่วยให้ความกระสันหดหายไป

“นายนี่มันน่าเอ็นดูจังเลยนะ” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางเลี้ยวรถเข้ามายังร้านอาหารสุดหรูที่แต่ก่อนเคยเป็นวัง แต่ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารแบบบ้านและสวนอันแสนอบอุ่น เหมาะแก่การพบปะสังสรรค์

“ปลดปล่อยความต้องการของนายซะ แต่อย่าให้เลอะรถของผมล่ะ ไม่อย่างนั้นนายได้เจอดีแน่” นายท่านสั่งการพลางหันมองด้านหลังเพื่อถอยรถเข้าสู่ซองจอด บีมจึงได้แต่ละล้าละลังเพราะฝ่ามือของนายท่านยังคงกอบกุมส่วนน่าอายของบีมไว้ แต่กระนั้นในอกกลับรู้สึกซาบซึ้งที่อีกฝ่ายลดตัวลงมาสัมผัสความสุขสมด้วยความเต็มใจ

“มัวแต่ซาบซึ้งใจที่ผมเมตตาอยู่หรือไง แต่ถ้าภายใน 5 นาทีนี้ นายยังไม่จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผมจะไม่อนุญาตให้นายเสร็จจนกว่าจะจบงานมันช์” นายท่านละมืออีกข้างออกจากพวงมาลัยรถทันทีที่ดับเครื่องยนต์ พลางรั้งศีรษะของบีมเข้าไปหาพร้อมกระซิบเสียงลอดไรฟัน หัวใจของบีมจึงเต้นระรัวด้วยความเก้อเขินที่ถูกอีกฝ่ายค้นพบความรู้สึก ก่อนจะเกิดความตื่นตระหนกเมื่อนายท่านลดกระจกลงจนสุด ราวกับจะโอ้อวดสุ้มเสียงหน้าไม่อายของบีมให้ทุกคนรับรู้

“อ๊ะ..ต..แต่ผม..” บีมเอื้อนเอ่ยพลางมองไปยังรอบบริเวณด้วยความเล่นแง่ เพราะบีมอยากจะถูกทรมานให้มากกว่านี้

“ดื้อด้าน แต่ก็ดี.. ผมจะได้ถือโอกาสทดสอบหัวข้อที่เราคุยค้างกันไว้” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางยึดครองเสื้อคลุมผ้าลูกไม้ตัวยาวอย่างเผด็จการ ส่งผลให้ช่วงล่างเปลือยเปล่าชัดแจ้ง บีมจึงได้แต่เม้มริมฝีปากพลางกวาดตามองออกไปยังนอกตัวรถด้วยความลุ้นระทึกอย่างแท้จริง เพราะเวลานี้เริ่มคราคร่ำไปด้วยผู้คน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การรับประทานอาหาร

“นั่งยอง ๆ แล้วจับราวมือนั่นไว้” นายท่านยังคงออกคำสั่งอันแสนโจ่งแจ้ง บีมจึงเริ่มใจเต้นรัวราวกับกลองเพล เมื่อจินตนาการไปถึงท่วงท่าอันแสนหน้าอายที่ไม่รู้ว่าจะโอ้อวดสู่สายตาของใครบ้าง

“อย่าดื้อ” นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมล็อกใบหน้าของฝ่ายซับให้มองสบสายตาอันแสนร้อนแรงและเกรี้ยวกราด บีมจึงรีบเสหลบเพราะแววตาคู่นั้นคล้ายกับจะกรีดลึกลงสู่หัวใจของทาสผู้แสนดื้อดึง

“อ๊ะ..อึก” แต่แล้วนายท่านก็ผลักไสไวเบรเตอร์ให้บีมได้สัมผัสถึงความร้ายกาจอย่างหนักหน่วง บีมจึงได้แต่ลนลานทำตามคำสั่งด้วยความจำนน พร้อมกับเม้มริมฝีปากอย่างสุดความสามารถ เพราะบีมกำลังหวาดกลัวว่าสุ้มเสียงจะลอยล่องไปตามสายลม

ขณะที่นายท่านก็ช่วยจัดแจงไม่ให้ส่วนเปลือยเปล่าส่องสะท้อนกับแสงสว่างของดวงไฟประจำร้าน ดังนั้นมุมมองจากภายนอกคงเป็นเพียงเงาร่างอันแสนเลือนราง อีกทั้งบริเวณที่นายท่านเลือกจอดยังเป็นมุมลับตา เพราะฝั่งที่บีมนั่งจะติดกับรั้วต้นไม้ ส่วนฝั่งของนายท่านกลับมีแต่ความว่างเปล่า 

“อ้าขาให้กว้าง ๆ” นายท่านไม่ได้เอ่ยเพียงแค่นั้น แต่กลับจัดแจงท่าทางของบีมด้วยความเต็มใจ ซ้ำยังลูบไล้ด้วยความเชื่องช้า ส่งผลให้ลมหายใจเริ่มติดขัด หน้าท้องจึงเริ่มหดเกร็ง ขณะที่ช่องทางด้านหลังกำลังตอดรัดของเล่นชิ้นสำคัญราวกับหวงแหน บีมจึงได้แต่หลับตาพริ้มด้วยความเสียวกระสันและยังคงหวงแหนสุ้มเสียงของตัวเอง ขณะที่ฝ่ายควบคุมได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความหลงใหล ความรู้สึกในส่วนลึกจึงยิ่งปั่นป่วนราวกับลมพายุ

“นายดูสิ ร้านนี้คนเยอะแค่ไหน” นายท่านเอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำอันแสนธรรมดา แต่ทว่าฝ่ามือซุกซนกลับชักพาความอ่อนไหวของบีมด้วยจังหวะหนักแน่น ทั่วสรรพางค์กายจึงถูกโจมตีด้วยความชาวาบ ฝ่ามือที่กำลังจับยึดราวรถจึงบีบเข้าหากันเพื่อระบายอารมณ์

“อ๊า..อึก” แต่สุดท้ายความอดทนก็พังทลาย บีมเลยได้แต่บิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่าน ซ้ำยังเปล่งสุ้มเสียงครวญครางด้วยความเหนียมอาย เพราะบีมกำลังหวาดกลัวว่าผู้คนในลานจอดรถจะรับรู้ว่าคนสองคนกำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ แต่ขณะเดียวกันสถานการณ์ดังกล่าวกลับเร่งเร้าให้บีมรู้สึกตื่นตัวราวกับอะดรีนาลีนหลั่งไหล

“นอกจากผมจะชอบทำการทดลองแล้ว ผมยังชอบให้นายเปล่งเสียงเพราะ ๆ ให้ผมฟัง และยังชอบให้นายทำสีหน้าเหมือนกับซาบซึ้งในความใจดีของผมให้มาก ๆ” นายท่านกล่าวพลางใช้ฝ่ามือข้างที่ว่างปัดปอยผมของบีมอย่างนุ่มนวล ก่อนจะละมายังลำคอระหงที่มีปลอกคอเป็นจี้ลูกหัวใจสวมทับอยู่ จากนั้นจึงล็อกวิถีของการมองเห็นเพื่อให้บีมจ้องมองไปยังกลุ่มเป้าหมาย

“นายดูผู้ชายกลุ่มนั้นสิ พวกเขาเป็นดอมเหมือนกับผม ถ้าหากพวกเขาเห็นนายในสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ คงอยากจะเฝ้าดูปฏิกิริยาของนายเวลาที่โดนคนอื่นจับได้ว่ากำลังเรื่องอย่างว่าในที่สาธารณะ” นายท่านกล่าวพลางลูบไล้ส่วนอ่อนไหวของบีมด้วยความสิเน่หาพร้อมกับเป่าลมร้อนตรงบริเวณข้างใบหูด้วยความหยอกเย้า แต่มันกลับทำให้บีมหดคอด้วยความหวามไหว

“ต..แต่..ผมอยากให้มีแค่..นายท่าน..ที่ได้เห็นผมในเวลาแบบนี้” บีมเอื้อนเอ่ยเสียงกระเส่าพลางหอบหายใจถี่กระชั้น ราวกับใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มที แต่เพราะโดนนายท่านกลั่นแกล้งไม่ให้ปลดปล่อยชั่วขณะ ความอึดอัดจึงถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง แต่ก็ไม่อาจร้องครวญครางได้ตามใจหมาย เพราะคำพูดของนายท่านกำลังทำให้บีมหลงเชื่อสนิทใจ แววตาของบีมจึงเฝ้ามองคนกลุ่มนั้นด้วยความลุ้นระทึก

“เอาสิ ผมรอดูอยู่ โชว์ความร้อนแรงของนายออกมาให้เต็มที่” นายท่านเริ่มใช้คำพูดกระตุ้นความกล้าให้กับฝ่ายซับอย่างชาญฉลาด ซึ่งมันทำให้บีมหลงลืมแม้กระทั่งสถานที่และสถานการณ์ที่เคยสนใจ จึงแอ่นกายเคล้าคลอฝ่ามืออุ่นร้อนด้วยความพลิ้วไหว

“อ๊ะ..อา..นายท่านชอบผม..อื้อ..ที่เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ” บีมเอ่ยถามพลางเชิดหน้าควงสะโพกด้วยความร้อนแรง จนฝ่ายควบคุมเริ่มจินตนาการไปถึงช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไหวเอนอยู่บนร่างอย่างอิสระเสรี ความสุขจึงพลันล้นอกอย่างยากจะควบคุม

“ถึงผมจะไม่ชอบคนใจร้อน แต่ลีลาของนายกลับทำให้ผมอยากสัมผัสความสุขของนายเร็ว ๆ” นายท่านกล่าวซ้ำยังลากไล้เล็มเลียไปทั่วใบหน้าของบีม ราวกับลืมเลือนเงื่อนไข 5 นาทีไปนานแล้ว อีกทั้งฝ่ามืออุ่นร้อนยังคงบีบนวดความคับแน่นอย่างไม่ปรานี ขณะที่ไวเบรเตอร์ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ความเสียวซ่านจึงทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวินาที

“อื้อ..อ๊า..ความสุขของผม..อา..” บีมครวญครางได้เพียงแค่นั้นก็เอื้อมแตะฝั่งฝันอย่างรวดเร็ว หยาดหยดอุ่นร้อนจึงพร่างพรมลงบนฝ่ามือของนายท่านจนถ้วนทั่ว

“ทำความสะอาดซะ” นายท่านสั่งการพลางยื่นฝ่ามืออันเปรอะเปื้อนจดจ่อมายังริมฝีปากที่กำลังหอบหายใจด้วยความอ่อนล้า แต่กระนั้นเรียวลิ้นเล็กก็ยังเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของนายท่าน จึงค่อย ๆ ไล้เลียด้วยความนุ่มนวล ซ้ำยังใช้แววตายั่วเย้าเฝ้ามองผู้เป็นนายด้วยความเปิดเผย ส่งผลให้ชายหนุ่มผู้แสนโปรดปรานการควบคุมเอื้อมแตะฝั่งฝันในเวลาอันรวดเร็ว

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 20:42:14 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
จากนั้นบีมก็ใช้เวลาสวมกางเกงขาสั้นเพียงลวก ๆ เพราะตั้งใจจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ซึ่งบีมจัดเตรียมกางเกงสแลคสีดำเข้าคู่กับเสื้อเชิ้ตตกแต่งผ้าลูกไม้เนื้อดีใส่กระเป๋าสะพายเอาไว้แล้ว

“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ” คุณนัทกล่าวพลางยีศีรษะของบีมเพียงเบา ๆ แค่นั้นบีมก็รับรู้ได้แล้วว่า การกระทำดังกล่าวคือการอาฟเตอร์แคร์จากนายท่าน บีมจึงยกยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวเดินไปยังห้องน้ำส่วนตัวที่มีอยู่เพียงสองห้อง

ฝ่ายชายหนุ่มมาดนักธุรกิจหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ยืนพิงเคาน์เตอร์ล้างมือระหว่างรอคนรัก จากนั้นจึงพากันเดินไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ในส่วนเอาท์ดอร์ ใกล้กับลานน้ำพุที่มีฝูงหงส์แหวกว่ายอย่างเอื่อยเฉื่อย โดยมีแสงไฟสีเหลืองนวลโอบล้อมบริเวณดังกล่าว ขลับให้บรรยากาศดูอบอุ่นมากขึ้นอีกเท่าตัว

“ท่านผู้บริหารมาถึงแล้ว” ทันทีที่คุณนัทปรากฏตัว เสียงต้อนรับจากกลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็ดังระงมอย่างเป็นกันเอง อาจเพราะคุณนัทค่อนข้างคุ้นเคยกับแม่งานในครั้งนี้ก็เป็นได้

“เอิกเกริกมาก” ชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสนใจเอื้อนเอ่ยด้วยความเก้อเขิน ขณะเลื่อนเก้าอี้พลางส่งสัญญาณให้บีมนั่ง เพียงแค่นี้ทุกคนก็ทราบแล้วว่าบีมคือซับในความดูแลของคุณนัท

“ดูแลดีจริง” ชายหนุ่มที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณนัทเอ่ยแซว

“คนสำคัญครับ” คุณนัทวางฝ่ามือลงบนลาดไหล่ของบีมพลางกล่าวราวกับเต็มใจนำเสนอ บีมจึงได้แต่หน้าแดงซ่านก่อนจะผงกหัวทักทายบุคคลแปลกหน้าที่กำลังมองมาด้วยความสนใจ จากนั้นคุณนัทก็ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวด้านข้างและเริ่มแนะนำสามคนจากสิบกว่าคนให้บีมรู้จัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากที่บีมคิด เพราะทั้งสามคนคือหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานพบปะสังสรรค์เกี่ยวกับ BDSM

อีกทั้งคุณปลื้ม คุณบอย และคุณนัน ยังเคยเป็นพาร์ทเนอร์ให้กับคุณนัทในระยะเริ่มต้น เพราะการเป็นสวิทช์บางทีก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และตัวบุคคล จึงทำให้คู่เพลย์ของคุณนัทค่อนข้างหลากหลาย แต่ว่าหลังจากที่ค้นพบตัวตนที่แท้จริง คุณนัทก็เลือกที่จะรับฝ่ายซับมาดูแลทีละคน


กระทั่งทุกฝ่ายต่างรู้จักกันและกันอย่างผิวเผิน อาหารก็ถูกนำออกมาเสิร์ฟจนละลานตา เสียงพูดคุยอันแสนสนุกสนานที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมส่วนตัวก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บางครั้งบีมยังเผลอหัวเราะไปกับมุกตลกเหล่านั้น จนกระทั่งวงสนทนาเริ่มห่างไกลจากบริเวณที่บีมนั่งอยู่ ความสนใจจึงถูกสับเปลี่ยน

“นักดนตรีที่นี่ร้องเพลงเพราะมากเลยนะครับ” บีมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นกับ ‘เพื่อนใหม่’ ที่นั่งอยู่ทางขวามือ เพราะเมื่อครู่ได้แต่เลื่อนจานอาหารให้กันด้วยรอยยิ้ม

“นั่นสิครับ ดูเหมือนเขาจะถนัดร้องเพลงสากล” ชายหนุ่มตัวเล็กหน้าหวานตามแบบฉบับพิมพ์นิยมตอบรับด้วยความสนใจ คาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะหมายตานักดนตรีคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นบีมก็ไม่คิดระราบระล้วง

“ผมบีมนะครับ” บีมเริ่มต้นแนะนำตัวกับอีกฝ่าย เมื่อไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร เพราะเวลานี้คุณนัทกำลังพูดคุยกับพวกพี่ปลื้มอย่างสนุกสนาน แต่ทว่าการดูแลเอาใจใส่กลับไม่เคยขาดตกบกพร่อง ซึ่งบีมคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก เนื่องจากจุดประสงค์ของงานในวันนี้คือการทำความรู้จัก คุณนัทจึงอยากให้บีมทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ บ้าง

“ผมอั้นครับ เปิดร้านอาหารอยู่แถว ๆ เจริญกรุง ถ้าคุณบีมว่างก็แวะมาได้ตลอดเลยนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีอัธยาศัยดีตามแบบฉบับเจ้าของร้านอาหารเริ่มแนะนำตัวพลางยื่นนามบัตรส่งมาให้

“ผมเองก็เปิดห้องเสื้อเล็ก ๆ อยู่เหมือนกันครับ ถ้าหากคุณอั้นสนใจเสื้อผ้าจากแบรนด์อิสระ ผมจะลดให้เป็นพิเศษเลยครับ” บีมกล่าวพลางหยิบนามบัตรที่มักจะพกติดตัวยื่นให้กับเพื่อนใหม่

“แบรนด์นี้เริ่มติดตลาดแล้วนะครับ น้องสาวผมยังชอบ ไม่น่าจะใช่ห้องเสื้อเล็ก ๆ แล้วมั้งครับ” คุณอั้นสับหยอกจนทำให้บีมเริ่มแย้มยิ้มด้วยความถ่อมตัว

“ร้านของคุณอั้นก็ติดอันดับยอดนิยมเหมือนกันนะครับผมจำได้” สิ้นคำพูดนั้น ทั้งสองฝ่ายที่เพิ่งจะรู้จักกันก็ได้แต่ไหวไหล่ เพราะไม่มีคำพูดอื่นใดจะคัดค้าน

“ก็เพราะความติดอันดับนี่แหละครับ ช่วงนี้ผมเลยเครียด เพราะวงดนตรีขาประจำจะงดรับงานจากผมแล้ว” เจ้าของร้านอาหารถอนหายใจพลางเอื้อนเอ่ยอย่างมืดมน

“คุณก็เลยอยากจะดึงตัวนักดนตรีคนนั้นมาที่ร้านของคุณ ?” บีมเริ่มคาดเดาตามอุปนิสัย ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ยกยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมพยักหน้าอย่างไม่คิดปิดบัง

“ผมว่าเขาเป็นดอม แล้วก็คงจะเป็นหนึ่งในแขกรับเชิญของงานนี้” บีมกล่าวพลางมองไปยังชายหนุ่มมาดเซอร์ตามสไตล์นักดนตรี แต่ทว่าท่วงท่าของเขากลับให้ความรู้สึกร้อนแรงและทรงอำนาจ

“หลังร้านมีนกยูงสีขาว เราไปดูด้วยกันดีไหมครับ” แต่แล้วบทสนทนาระหว่างบีมกับคุณอั้นก็ถูกปัดตกโดยคุณนัท ซึ่งฝ่ายนั้นแม้ว่าจะทำเป็นสอบถามความคิดเห็น แต่ก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

บีมจึงได้แต่มองคนรักด้วยความงุนงง จนกระทั่งสายตาปะทะกับเพื่อนใหม่ ทักษะการอ่านปากจึงถูกหยิบออกมาใช้ เลยพอจะคาดเดาอาการของชายหนุ่มมาดนักธุรกิจผู้นี้ได้ ริมฝีปากของบีมจึงค่อย ๆ คลี่เป็นรอยยิ้มอันเจิดจ้าแข่งกับแสงไฟสีเหลืองนวลของทางร้าน

กระทั่งทั้งคู่ปลีกตัวออกมาจากวงล้อมของผู้คน รอบกายก็ถูกโอบอุ้มด้วยความเงียบสงัดของธรรมชาติ บีมจึงก้าวเดินถอยหลังพร้อมชี้ปลายนิ้วไปยังชายหนุ่มมาดนักธุรกิจพลางเอื้อนเอ่ยแกมหยอกเย้าว่า..

“คุณนัทหึงที่ผมเอาแต่จ้องมองนักดนตรีคนนั้นเหรอครับ ?”

--------------------------✁

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ปู่ออสซี่มัดตัวเองกับเตียง กันนอนละเมอเตะต่อย-บีบคอเมีย http://bit.ly/2PAaHZM


วันนี้มาอัพช้ามากกก พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้อัพนะคะ แต่ถ้าแก้ทันแบบไม่ดึกมากจนเกินก็จะมาอัพจ้า สำหรับตอนนี้เรื่องคุณแม่กำลังราบรื่น~ ส่วนงานมันช์เราไม่ได้ใส่รายละเอียดมาก แค่พอให้รู้ว่ามันเป็นการนัดทานข้าวเพื่อทำความรู้จักคนในแวดวงเดียวกัน ซึ่งถ้าใครคลิกกันเราว่างานนี้อาจจะเพิ่มโอกาสดี ๆ ให้กันมากทีเดียว ส่วนตอนหน้ากลับเข้าสู่เนื้อเรื่องอีกรอบจ้า

ปล. ตอนแรกว่าฉากเพลย์ไม่เยอะ แต่เขียนไปเขียนมามันก็เยอะนะเนี่ย แต่มันเป็นรสนิยมที่แบบมาควบคู่กับชีวิตประจำวันของคู่นี้แถมยังช่วยให้บีมผ่อนคลายจะเขียนแบบไม่ถี่ก็คงไม่ได้ ใครมีฉากไหนอยากนำเสนอ เมนต์บอกได้เลยนะคะ อิอิ เริ่มหมดมุก แต่มันยังเหลืออีกสัก 2-3 ซีนที่จะต้องเขียนได้เลยมั้ง เพราะช่วงหลังเนื้อเรื่องน่าจะเด่นกว่าแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 20:44:55 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 18

บีมเพิ่งจะรู้ก็ตอนนี้ ว่า ‘ความรัก’ มันทำให้คนละเมอเพ้อพกได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพราะเวลานี้บีมกำลังนอนดิ้นไปมาอยู่บนเตียงนอน เมื่อนึกถึงรสจูบอันแสนหนักแน่นและนุ่มนวลที่น่าหลงใหลมากกว่านกยูงสีขาวกำลังลำแพนหาง

ซึ่งฝ่ายเริ่มก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบีมที่ทำใจกล้าหน้าด้าน เพราะชายหนุ่มมาดนักธุรกิจแกล้งทำเป็นไขสือ ราวกับอาการหึงหวงจะสั่นคลอนความทรงอำนาจที่สั่งสมไว้ บีมเลยต้องหลอมละลายท่าทางแสนน่าเอ็นดูนั้น แต่ทว่าผู้ทรงอำนาจก็ยังคงเป็นผู้ทรงอำนาจอยู่วันยังค่ำ ริมฝีปากของบีมจึงถูกลิ้มชิมจนบวมเจ่อ

“บีม แม่ไปก่อนนะลูก” แต่แล้วเสียงเคาะประตูและคำล่ำลาของแม่ก็ดับมโนภาพในวันวานจนหมดสิ้น บีมจึงลุกออกจากเตียง

“เดี๋ยวบีมเดินไปส่งที่รถครับ” บีมกล่าวพร้อมมุ่งหน้าไปยังบริเวณห้องนั่งเล่นเพื่อช่วยแม่ถือของไปยังลานจอดรถ
   

กระทั่งแม่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ บีมก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะยังแอบแฝงความอึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็นับได้ว่าบีมเริ่มปัดเป่าความขุ่นมัวเหล่านั้น นับตั้งแต่แม่เริ่มก้าวเข้าสู่โลกทั้งใบของบีม

“ดูเหมือนรถแม่จะเสีย รอซ่อมก็ไม่ได้ เพราะพ่อเพิ่งโทรมาบอกว่าตกบันได แถมงานของผู้ใหญ่บ้านก็ยังล้นมืออีก” หลังจากเสียเวลาสตาร์ทรถอยู่นาน พอสบโอกาสเจรจากับลูกชายเมื่อวางสายจากทางไกล สีหน้าเป็นกังวลของแม่ก็เริ่มเด่นชัด

“เดี๋ยวบีมไปส่ง.. อ่า แม่รอบีมเก็บเสื้อผ้าก่อนนะครับ” บีมเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เดิมทีตั้งใจจะไปส่งแม่ที่ท่ารถ แต่เพราะบีมเป็นห่วงพ่อ แถมบันไดบ้านก็ยังยกสูง หากตกลงมาคงถึงขั้นแข้งขาหัก บีมจึงคิดอยากจะกลับไปยังบ้านเกิด

“บีมไปส่งแม่ที่ท่ารถก็พอ อยู่ทางนี้จะได้ประสานงานกับอู่ซ่อมรถให้แม่ด้วย ถ้าหากรถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวแม่ขึ้นมาเอาเอง” แม่รีบเปิดประตูลงจากรถพลางคัดค้านอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่..” บีมเอื้อนเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็จนคำพูด เพราะแม่กำลังใช้สายตาห้ามปรามอย่างจริงจัง ซึ่งสายตาคู่นี้เป็นสายตาที่บีมคุ้นเคยมาตลอด

“ลางานกะทันหันแบบนี้ แม่กลัวว่าบีมจะมีปัญหากับบริษัท อีกอย่างพ่อเราขาหักคงต้องใช้เวลารักษาอีกนาน ยังไงแม่ก็รับมือได้” แม่กอบกุมฝ่ามือของบีมไว้พลางตบหลังมือเพียงเบา ๆ ราวกับส่งมอบความเชื่อมั่นเพื่อที่บีมจะได้สบายใจ บีมเลยได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำยอม เพราะลองแม่ออกปากแบบนี้ คงไม่ยินยอมให้บีมทำอะไรนอกลู่นอกทาง

“ถ้าอย่างนั้นบีมขึ้นไปเอากุญแจรถก่อนนะครับ”


บรรยากาศภายในรถยังคงเต็มไปด้วยความเงียบสงัด จนกระทั่งมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้ารถออกมาจากในซอย ส่งผลให้ตัวรถของบีมเสียหลักเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะทำให้ข้าวของกระจุยกระจาย เนื่องจากบีมมักจะวางกระเป๋าสตางค์ คีย์การ์ด และโทรศัพท์ไว้ตรงคอนโซลกลางสำหรับเท้าแขน

“ขับรถประสาอะไร..!” แม่สบถอย่างใส่อารมณ์ ขณะมองมาทางบีมราวกับต้องการจะตรวจตราว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ กระทั่งสายตาหลุดเลื่อนออกจากสารถี สุ้มเสียงของแม่ก็เริ่มขาดหาย บีมจึงมองตามวิถีสายตาของผู้เป็นแม่ เลยทันมองเห็นเสี้ยวหนึ่งของหน้าจอโทรศัพท์ที่ไม่ว่าอย่างไรก็จดจำได้ เพราะวอลโฟนดังกล่าวคือภาพเปิดเปลือยแสนอนาจารของตัวเอง บีมจึงรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองกังวลเกี่ยวกับพ่อจนเผลอหยิบโทรศัพท์ผิดเครื่อง และที่ซวยไปกว่านั้นคือหน้าจอดันสว่างวาบขึ้นมาเอง

“บีม..” ทันทีที่แม่เอื้อนเอ่ย หัวใจของบีมก็ลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ฝ่ามือพลันกอบกุมพวงมาลัยด้วยความแนบแน่น เนื้อตัวคล้ายกับออกอาการชาวาบเพราะความเคร่งเครียด

“ต่อไปเราต้องขับรถระวังหน่อยนะ เพราะถึงเราไม่ประมาท แต่เขาก็เป็นฝ่ายประมาท แม่ล่ะใจหายใจคว่ำ” แม่กล่าวพร้อมส่งยิ้มเป็นกังวลมาให้ บีมจึงมองจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของแม่ สลับกับวิถีจราจรอย่างครุ่นคิด เพราะบีมกำลังสงสัยว่าแม่มองเห็นวอลโฟนรูปนั้นหรือเปล่า แต่ทว่าแม่กลับไม่เผยพิรุธใด ๆ ออกมา

บีมจึงต้องทนอยู่กับความคิดมาก แม้ว่าเวลานี้แม่จะอยู่ในระหว่างการนั่งรถทัวร์กลับบ้านแล้วก็ตาม


ยิ่งความไม่กระจ่างติดอยู่ในใจมากเท่าไหร่ เจ้าของห้องเสื้ออิสระก็ยิ่งทำงานผิดพลาดมากเท่านั้น คอลเลกชันสำหรับปีหน้าจึงเกิดปัญหาล่าช้าอย่างไม่ทันคาดคิด บวกกับความห่วงหาที่มีให้กับผู้เป็นพ่อ ทำเอาบีมแทบจะสติแตก แต่ก็ไม่กล้าโทรไปสอบถามพวกท่าน

“คุณครับ” ท้ายที่สุดความคิดอันวุ่นวายก็ถูกช่างซ่อมรถทำลายลง

“ครับ ว่าไงครับ” หลังจากเรียกสติกลับคืนมาได้ บีมจึงเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น

“รถปกตินะครับ ผมเช็คดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีตรงไหนเสียเลยครับ” สิ้นคำยืนยันจากช่างซ่อม บีมก็ได้แต่นิ่งคิดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องออกอุบายแบบนี้ บีมเลยตัดสินใจพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง พบว่ารถก็ปกติดีตามที่ช่างยืนยัน เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น บีมจึงเริ่มเอะใจเพราะแม่ไม่แม้แต่จะลงมาตรวจเช็คเครื่องยนต์ตามหลักที่ควรจะทำ อีกทั้งไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากบีม ซึ่งบีมก็พลาดตรงทีไม่ทันสังเกต เวลานี้หัวใจจึงหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นอะไรครับ ?” หลังจากบีมยืนเคว้งคว้างอยู่ที่ลานจอดรถประจำเพนท์เฮ้าส์อยู่เนิ่นนาน คุณนัทที่ลงมาดูช่างซ่อมเป็นเพื่อนจึงเอ่ยถามด้วยความใส่ใจ

“ผมแค่ไม่เข้าใจว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงต้องหลอกผมว่ารถเสีย” บีมกล่าวขณะที่ใบหน้ายังคงเคร่งเครียด หัวคิ้วจึงผูกติดกันอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณบอกผมว่าพ่อของคุณเพิ่งจะตกบันไดขาหัก บางทีแม่ของคุณอาจจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เลยลนลานหรือเปล่าครับ” คุณนัทแสดงความคิดเห็น ซึ่งบีมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า วินาทีที่แม่พบว่ารถสตาร์ทไม่ติดเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แม่กำลังคุยโทรศัพท์

“อาจเป็นไปได้มั้งครับ แต่เรื่องวอลโฟนผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” บีมเอ่ยด้วยความกลุ้มใจพลางยกมือปิดบังใบหน้า

“คุณบอกผมว่าหน้าจอตะแคงมาทางคนขับ อีกทั้งแม่ของคุณก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไร ผมคิดว่าท่านน่าจะไม่ทันเห็น เพราะจากที่คุณเคยเล่าเรื่องสมัยมัธยมให้ผมฟัง ท่านดูเป็นคนเข้มงวด ถ้าหากพบเห็นว่าคุณทำอะไรนอกลู่นอกทางน่าจะตักเตือนทันที” คุณนัทรั้งฝ่ามือของบีมพร้อมประคองใบหน้า ทำให้แววตาไม่สามารถหันมองสิ่งอื่นใด นอกจากใบหน้าคมคายของอีกฝ่าย ซ้ำยังบังคับโสตประสาทการรับรู้ให้เกิดการคิดวิเคราะห์จนเริ่มคล้อยตาม

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมพาคุณไปพักผ่อนที่บ้านสวนดีไหมครับ คุณจะได้ปล่อยวางจากความเคร่งเครียดชั่วคราว” ชายหนุ่มเจ้าของห้องหมายเลข 005 เอ่ยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ บีมจึงคิดคำนวณความเป็นไปได้อย่างเร่งด่วน เพราะเวลานี้งานของบีมกำลังเกิดปัญหาในขั้นตอนของการดีไซน์ ดังนั้นหากได้ทำงานท่ามกลางความเงียบสงบของบ้านสวน ไอเดียดี ๆ อาจจะเกิดขึ้นไม่ยาก

“ก็ได้ครับ”


บีมกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทาง เพราะการเดินทางในวันนี้ค่อนข้างกะทันหันจึงทำให้กว่าจะออกจากกรุงเทพไปยังสมุทรสาครก็ดึกมากแล้ว บวกกับบีมเป็นห่วงคุณนัทเลยคอยอยู่เป็นเพื่อนคุย แม้ว่าตาจะปรือจนสัปหงกไปหลายรอบแล้วก็ตาม

แต่ด้วยความที่ระยะห่างของทั้งสองพื้นที่ไม่ไกลกันมากนัก บีมจึงมาถึงสวนมะพร้าวไม่เกินเที่ยงคืน ซึ่งบรรยากาศโดยรอบยังคงเงียบสงัดไม่แปรเปลี่ยน แต่กระนั้นบีมกลับรู้สึกว่ามันเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่ง ความกังวลใจที่เคยมีจึงพลันห่างหายเพียงชั่วคราว

“คุณนัท!” บีมร้องเสียงหลงทันทีที่ปลายเท้าเหยียบย่างลงบนอาณาบริเวณของบ้านสวน แต่ทว่าข้อมือของบีมกลับถูกชักจูงโดยเจ้าของบ้านที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง สองเท้าจึงออกวิ่งไปยังโรงเรือนแห่งหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มจู่ ๆ ก็ทำตัวเป็นเด็กแล้วหันมาห้ามปรามไม่ให้ส่งเสียงดัง มิหนำซ้ำปลายนิ้วชี้ยังแนบชิดริมฝีปากประกอบใจความที่ต้องการจะสื่อ

“ทำอะไรครับ ?” บีมกระซิบถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นคุณนัทลากเรือลำหนึ่งออกมาจากโรงเรือนด้วยความระมัดระวัง

“พาคุณไปคลายเครียด” คุณนัทขยับเข้ามากระซิบชิดริมหู จากนั้นก็นำลำเรือลงสู่คูน้ำ เพียงแต่เรือลำดังกล่าวกลับมีรูปร่างแปลกตา เพราะด้านหลังมีท่อพีวีซีทรงสูงยื่นออกมาสี่ท่อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ราวกับเป็นแรงผลักดันน้ำ ซ้ำยังมีพวงมาลัยให้บังคับทิศทางตามใจหมาย บีมจึงคาดคะเนด้วยตัวเองว่า เรือลำนี้คงจะเป็นเรือรดน้ำที่เกษตรนิยมใช้


ทันทีที่เครื่องยนต์เปล่งเสียง ตัวเรือก็เริ่มขับเคลื่อน จากนั้นละอองน้ำจึงซ่านกระเซ็นไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าความมืดมิดกลับไม่เป็นอุปสรรค เพราะแสงจันทร์เบื้องบนกำลังสาดส่องลงมายังคูน้ำเบื้องล่าง ลอดผ่านกิ่งก้านสาขาของมะพร้าวต้นใหญ่

“ใครเค้ารดน้ำต้นไม้ตอนห้าทุ่มกันครับ” บีมที่นั่งอยู่บนกระดานไม้อันเป็นที่นั่งแสนประหยัดบนลำเรือเอ่ยแย้ง แม้ว่าริมฝีปากจะกำลังวาดเป็นรอยยิ้มก็ตามที แต่กระนั้นฝ่ามือกลับให้ความร่วมมือกับเจ้าของความคิดอย่างเต็มที่ การประคับประคองลำเรือจึงกลายเป็นหน้าที่ของคนสองคน

“แล้วคุณชอบหรือเปล่าครับ ?” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านสวนเอ่ยถาม

“...” บีมไม่ได้ตอบคำถามโต้ง ๆ แต่กลับจ้องมองนัยน์ตาสีนิลของคนข้างกายพลางเม้มริมฝีปากอย่างสุดความสามารถ ขณะที่ฝ่ามือกลับค่อย ๆ ลดระยะห่างของพวงมาลัย จนกระทั่งซ้อนทับลงบนฝ่ามือของคุณนัท

“ขอบคุณนะครับ” บีมเอ่ยเพียงสั้น ๆ โดยไม่ต้องขยายความ แต่ก็มั่นใจว่าคุณนัทจะเข้าใจความนัยของคำคำนี้ พร้อมเอนศีรษะพิงลาดไหล่อันกว้างขวางด้วยความผ่อนคลาย


ทว่าทันทีที่บีมเงยหน้าสำรวจรอบกายอีกครั้ง ปรายหางตากลับฉายภาพของหญิงสาวในชุดไทยสีทองอร่าม เส้นผมของเธอดูเหมือนจะยาวสยาย ขนแขนของบีมจึงลุกชันอย่างไม่ต้องพิจารณาให้มากความ เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอหญิงสาวในลักษณะนี้ที่สวนมะพร้าวอันเงียบสงัด

“คุณนัท” บีมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายพลางขยับกายแนบชิดพร้อมปรายตามองไปยังทิศทางดังกล่าวไม่ลดละ ราวกับหวาดกลัวว่าภาพที่เห็นจะสลายหายไป อีกทั้งบรรยากาศก็ช่างเป็นใจ เพราะทันทีที่บีมเปิดปากพูด เสียงหมาหอนก็ดังระงมไปทั่วสวนมะพร้าว ซึ่งบีมไม่เคยเห็นสุนัขในไร่ของคุณนัทสักตัว

“เมื่อครู่.. ผมเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทย” บีมกระซิบกระซาบพลางบดเบียดเข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะเวลานี้บีมเริ่มจะขนลุกขนชันจริง ๆ แล้ว

“หืม ?” แต่ทว่าเจ้าของบ้านสวนกลับส่งเสียงในเชิงงุนงงตอบกลับมา

“คุณไม่เห็น ?” บีมเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองรอบบริเวณด้วยอาการหน้าถอดสี เพราะบีมเป็นโรคกลัวผีขึ้นสมอง   

“ไม่เห็นครับ” สิ้นคำตอบอันแสนสั้น กลับเขย่าหัวใจของบีมอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ามืออันสั่นเทาจึงควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงด้วยความเร่งด่วน จากนั้นไฟฉายสีขาวก็ส่องสว่างอยู่รอบกาย


เวลานี้แม้แต่เสียงเครื่องยนต์อันสม่ำเสมอของลำเรือก็ไม่อาจลดทอนความหวาดผวาของบีมได้ เพราะยิ่งรอบกายโอบล้อมด้วยความมืดมิด ขนแขนก็พร้อมที่จะลุกชัน เนื่องจากรัศมีของแสงสว่างไม่อาจสาดส่องทั่วแปลงปลูกมะพร้าวหลายร้อยไร่ บีมจึงบอกให้คุณนัทพากลับฝั่ง แต่ใครจะรู้ว่าที่มุมหัวโค้งจะมีหญิงสาวชุดไทยสีเขียวมะนาวยืนรออยู่ เจ้าของห้องเสื้อจึงแหกปากลั่นด้วยความเสียขวัญ

ฝ่ามือของคุณนัทจึงปิดกลั้นเสียงร้องอย่างสุดความสามารถ ดวงตาของบีมจึงได้แต่กระพริบปริบ ๆ ขณะมองไปยัง ‘หุ่นไล่ขโมย’ ตรงหน้า

“คุณนัท!” กระทั่งได้สติบีมจึงดึงฝ่ามือของคุณนัทออกจากริมฝีปาก พลางเอ่ยเรียกแกมดุ ขณะที่ฝ่ามือก็ฟาดไปยังลำตัวของคนขี้แกล้งไม่ยั้ง

“คุณ! เดี๋ยวเรือล่ม ขวัญเอยขวัญมา ผมผิดไปแล้วครับ” ชายหนุ่มมาดทะเล้นอาศัยทีเผลอรั้งตัวบีมเข้ามายังอ้อมกอด ซ้ำยังใช้ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้เรือนผม ขณะที่ริมฝีปากกลับแต้มจูบทั่วใบหน้าของฝ่ายถูกแกล้งต่อหน้าต่อตาหุ่นไล่ขโมยสุดสยอง บีมจึงได้แต่ทำเป็นปัดป้อง แม้ว่าหัวใจจะเริ่มอ่อนข้อตั้งแต่ที่ได้รับรอยยิ้มในเชิงสารภาพผิด

“ดีกันนะครับ” นัทยื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้าคนรัก พร้อมกระดิกไปมาราวกับเร่งรัดคำตอบ ขณะที่ฝ่ามืออีกข้างต้องประคองพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง ลาดไหล่กว้างขวางจึงคอยกระแซะคนใกล้ตัวเป็นระยะ

“นะครับ ที่รัก..” สิ้นคำออดอ้อนที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของชายหนุ่มมาดนักธุรกิจ บีมก็ได้แต่แย้มยิ้มพร้อมหันหน้ามองออกไปนอกลำเรือ โดยปราศจากความหวาดระแวงเรื่องผีสางเป็นปลิดทิ้ง

“นะ” บีมหลุดหัวเราะในลำคอเพียงเบา ๆ ก่อนจะทำหน้าเก๊กขรึมอย่างสุดความสามารถ เพราะบีมอยากเห็นด้านที่น่าเอ็นดูของอดีตชายหน้าเดียวอย่างคุณนัทนาน ๆ เนื่องจากตัวตนแบบนี้มักจะแสดงออกแค่ที่บ้านสวน คงเพราะที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำอันมากมาย ผู้ชายคนนี้ถึงได้กล้าปล่อยวางมาดนิ่ง ๆ จนหมดสิ้น

แต่ทว่าบรรยากาศอันอบอวนไปด้วยการง้องอนระหว่างคนรัก กลับจบลงที่การไล่ล่าหัวขโมยกลุ่มหนึ่ง คุณนัทจึงกระโจนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว บีมเลยรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปยังโรงเรือนอย่างกระชั้นชิด

“คุณนัทระวัง!” บีมแผดเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อหนึ่งในโจรชั่วกลับชักมีดคมกริบออกมาจากที่ซ่อน


--------------------------✁

เรือรดน้ำต้นไม้เป็นแบบนี้ค่ะ จินตนาการให้มันกว้างกว่านี้เข้าไว้ จะได้นั่งสองคนได้ 555
https://imgur.com/shGsVVz

วันนี้มาอัพเร็วหน่อย เพราะเป็นช่วงเดินเรื่องไม่ต้องแก้อะไรเยอะ 555 ส่วนคุณแม่คืออะไรยังไง เห็นหรือไม่เห็นนนนน น้องบีมเครียดแย้ว และใช่ค่ะความหวานถูกดับด้วยโจรปล้นสวน T[]T

ตอนหน้าจะเกี่ยวกับการแสดงมัดเชือกชิบาริค่ะ มันคือศิลปะอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน แล้วก็อยากจะบอกว่าอีก 3 ตอนจะหมดสต๊อกแล้วค่ะ~ หลังจากนั้นเรายังไม่แน่ใจว่าจะลงได้ถี่แค่ไหน ขอดูความเร็วในการเขียนของตัวเองก่อนน้า

ปล. ถ้าหากเป็นไปได้รบกวนช่วยติดแท็กรีวิวให้เราหน่อยน้า คนอื่นจะได้เห็นนิยายของเราเพิ่มขึ้น เพราะตอนนี้ทวิตนิยายของเรามันเป็นอะไรไม่รู้ค่ะ ทวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ทีไรมันไม่ขึ้นในแท็กใด ๆ เลย เราคิดว่าถ้าไม่ฟอลเราไว้ก็น่าจะไม่เห็น หาทางแก้ก็ไม่ได้ T[]T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 21:05:06 โดย Chomin »

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
โธ่ววว โจรจะมาทำไมตอนนี้ 55555
ขอให้คุณนัทปลอดภัยเด้อออ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แม่ต้องรุ้อะไรแน่ๆอ่ะ เครียดเรื่องแม่ต้องมาเครียดเรื่องโจรต่ออีกอย่าเจ็บตัวเลยนะ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 19


แม้การเล่นบทตำรวจจับโจรอย่างกะทันหันจะผ่านพ้นไปหลายวันแล้ว แต่ภาพที่คุณนัทพลาดท่าเสียทีถูกหนึ่งในโจรกลุ่มนั้นลอบทำร้ายด้วยความฉิวเฉียดก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่แปรเปลี่ยน จนบางครั้งบีมนึกโทษตัวเองที่ออกตัววิ่งช้าจนเกินไปเลยทำให้กว่าจะถึงตัวของอีกฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

เวลานี้บีมจึงนั่งทำแพทเทิร์นไปถอนหายใจไป ซึ่งการทำแพทเทิร์นเสื้อผ้าในแต่ละครั้ง บีมจะเลือกใช้แพทเทิร์นแบบสำเร็จรูปแทนแพทเทิร์นแบบรายบุคคล เพราะการตัดเย็บเสื้อผ้าทีละมาก ๆ ต้องใช้ไซส์ที่เป็นมาตรฐานใกล้เคียงกัน เจ้าของห้องเสื้ออิสระจึงเลือกอ้างอิงไซส์ตามหลักสากล 

“แผลเป็นยังไงบ้างครับ ?” ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน บีมจึงเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง พบว่าเด็กส่งอาหารประจำตัวกำลังนำมื้อกลางวันมาให้ จึงถือโอกาสถามไถ่เกี่ยวกับบาดแผล แม้ว่าบีมจะเป็นคนทำความสะอาดให้ก็ตามที
“ดีขึ้นแล้วครับ ไม่ค่อยเจ็บแล้ว” คุณนัทเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มในเชิงบอกกล่าวว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะการที่คุณนัทหลบหลีกคมมีดจนทำให้วิถีการแทงกลับกลายเป็นฉิวเฉียดก็นับว่าบีมปกป้องคนรักได้ดีแล้ว

“อาทิตย์หน้าจะมีการโชว์มัดเชือกชิบาริ  ผมซื้อบัตรมาสองใบ ไปดูด้วยกันนะครับ” คุณนัทเชื้อเชิญพลางเลื่อนกระดาษแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้าส่งมาให้ บีมจึงรับมาพิจารณาด้วยความสนใจ เพราะบีมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการแสดงโชว์ในลักษณะนี้ ซึ่งศิลปินที่มาแสดงโชว์คงเป็นชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในแวดวงดังกล่าว

“อื้ม” บีมตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด เพราะเดิมทีบีมก็รู้สึกสนใจศาสตร์นี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งทั้งชีวิตบีมเคยรับมือแต่การมัดแบบ ‘Decorative Bondage’ หรือการมัดเพื่อความสวยงาม เช่น มัดเป็นเครื่องแต่งกาย บรา หรือ กางเกงชั้นใน กับ ‘Floor Bondage’ หรือการมัดบนพื้น แต่การมัดแบบ ‘Suspension Bondage’ หรือการมัดแบบแขวนลอยเหนือพื้นโดยมีเชือกรองรับบีมยังไม่เคยสัมผัส แม้ว่ามันจะอยู่ในขอบเขตที่เคยตกลงกับคุณนัทก็ตามที


จากนั้นมื้อกลางวันระหว่างคนทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน เพราะความสนใจของบีมถูกแบ่งปันไปยังโทรศัพท์ส่วนตัวไม่ขาดสาย เนื่องจากนับตั้งแต่แม่กลับไปยังบ้านเกิดก็ขาดการติดต่อจนเกือบจะครบอาทิตย์ บีมจึงกลับมาเดินละเมออีกครั้ง เพราะการที่แม่เงียบหายไปแบบนั้น มันทำให้บีมใจคอไม่ดี ช่วงนี้คุณนัทเลยพยายามเอาใจใส่เป็นพิเศษ ซึ่งการซื้อบัตรเข้าร่วมการแสดงชิบาริก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น

“รีบกินเถอะครับจะบ่ายโมงแล้ว” ทันทีที่ฝ่ามือของคุณนัทกอบกุมหลังมือของบีมที่กำลังสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ครั้งแล้วครั้งเล่า บีมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ริมฝีปากที่ไม่เคยแย้มยิ้มจึงพลันเปล่งประกายเป็นครั้งแรก แต่ยังคงให้ความรู้สึกไร้ซึ่งความสดใส

แต่ทว่ารอยยิ้มดังกล่าวกลับทำให้นัทโล่งใจขึ้นมาบ้าง


กระทั่งวันงานดำเนินมาถึง ผู้ชมที่มีบัตรผ่านทางจึงมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น ทั้งคู่เลือกนั่งตรงส่วนกลางเวทีที่มีการสร้างฉากจำลองราวกับจะนำพาผู้ชมก้าวเข้าสู่ยุคเมจิ จากนั้นแสงไฟก็เริ่มริบหรี่เป็นสัญญาณเริ่มการแสดง

บนเวทีปรากฏชายผู้หนึ่งในชุดยูกาตะ กำลังนั่งดีดเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่าง ‘บิวะ’ ด้วยความเชื่องช้า จากนั้นตรงกลางเวทีก็ถูกร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังควบคุมหญิงสาวในชุดยูกาตะสีบานเย็นให้ทรุดตัวลงนั่ง โดยที่ข้อมือของเธอถูกพันธนาการไพล่หลังด้วยเชือกสีแดงสด ขณะที่เกลียวเชือกอันทอดยาวก็ผูกคล้องไว้กับโครงเหล็กทรงสูง

ไม่นานผ้าเช็ดหน้าผืนบางก็ถูกใช้ต่างบอลแก๊กและยังใช้ผ้าอีกผืนบดบังเครื่องหน้าไปกว่าครึ่งของนางแบบ จากนั้นศิลปินผู้เชี่ยวชาญก็ปลดเปลื้องชุดยูกาตะชั้นนอกของผู้ถูกพันธนาการด้วยความอ้อยอิ่ง แต่ทว่ากลับดูหนักแน่นอยู่ในที

บีมจึงเริ่มเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อศิลปินท่านนั้นกำลังลากไล้ฝ่ามือเข้าไปยังตัวเสื้อสีขาวของนางแบบ ราวกับจะปลุกเร้าอารมณ์ของการแสดงให้น่าตื่นเต้น จากนั้นเชือกสีแดงเพลิงก็พันรอบกายของหญิงสาวตั้งแต่ทรวงอกจนมาถึงบั้นเอว ก่อนจะผลักไสร่างอรชรให้เอนเอียงไปยังด้านข้าง เพื่อเปิดเผยความงดงามทางด้านศิลปะของศาสตร์การมัดเชือกชิบาริ

ขณะที่บีมกลับรู้สึกอยากลิ้มลองรสชาติของการถูกพันธนาการด้วยวิธีดังกล่าว เพราะเวลานี้เรือนร่างขาวผ่องสะท้อนแสงไฟสีเหลืองนวลกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศด้วยเชือกเส้นยาวที่ไม่ได้พันธนาการเพียงแค่ช่วงบน เพราะเรียวขาเล็กยังถูกแต่งแต้มด้วยเกลียวเชือกอันน่าหลงใหลจนถึงปลายเท้า

จากนั้นเรือนผมที่เคยปักปิ่นก็เริ่มยาวสยายจนถึงเบื้องล่าง เนื่องจากวิถีของการลอยล่องกลางอากาศ กำลังแปรเปลี่ยนเป็นห้อยหัวลงสู่พื้นเวที จากนั้นเรือนผมก็ถูกรวบตึงด้วยเชือกสีแดงเส้นยาวอย่างไม่ปรานี

แต่ทว่าร่างกายของนางแบบกลับถูกปลดปล่อยให้แนบลงกับพื้น โดยที่เรียวขายังคงถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา เกลียวเชือกที่เคยพันรัดช่วงบนจึงถูกศิลปินผู้มีชื่อเสียงบรรจงปลดเปลื้องด้วยความแช่มช้า แต่กระนั้นก็ยังให้ความรู้สึกเร่าร้อน อาจเพราะสีหน้าของนางแบบกำลังเคลิบเคลิ้มราวกับลอยล่องสู่สรวงสวรรค์

จินตนาการของบีมจึงเริ่มเตลิด เพราะบีมอยากถูกคุณนัทพันธนาการแบบนั้นบ้าง อีกทั้งยังอยากถูกคุณนัทส่งมอบน้ำตาเทียนอันร้อนระอุลงบนเรียวขาไม่ต่างกับการแสดงดังกล่าว เพียงแต่ทันทีที่หญิงสาวผิวขาวราวกับหยกถูกศิลปินผู้มีชื่อเสียงฟาดสะโพกเร้าอารมณ์อย่างไม่ปรานี ความต้องการของบีมก็ยิ่งเด่นชัด

กระทั่งการแสดงสิ้นสุดลง ทั้งคู่จึงอยู่ทักทายบุคคลที่มีรสนิยมแบบเดียวกันที่รู้จักผ่านงานมันช์ครู่หนึ่ง จากนั้นคุณนัทก็พาบีมไปทานมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึก เพราะการแสดงโชว์ในวันนี้ค่อนข้างกระชั้นชิดกับเวลาเลิกงานของบีมพอสมควร

ครั้นอิ่มท้องสารถีผู้เอาใจใส่ก็พาบีมไปเดินย่อยอาหารที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตพื้นที่ที่มีการแสดงโชว์ ทั้งคู่จึงก้าวเดินอยู่บนสะพานไม้อันทอดยาวลงสู่หนองน้ำที่มีเป็ดยักษ์ลอยล่องอยู่ในนั้น ขณะที่ตัวสะพานจะมีจุดเด่นอยู่ตรงเสาชิงช้า

“ผมอยากไปลงเรียนศาสตร์การมัดเชือกอีกสักคอร์ส” คุณนัทเป็นฝ่ายเกริ่นนำพร้อมกอบกุมฝ่ามือของบีมไว้ ขณะที่สองขายังคงก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย

“แต่จากที่ผมรู้สึกได้ ดูเหมือนคุณจะเคยเรียนมาหลายคอร์สแล้วนะครับ” บีมแสดงความคิดเห็นพลางปัดปอยผมที่ลู่ไปตามสายลมเย็นฉ่ำในยามค่ำคืน

“เพราะคุณเป็นคนสำคัญ ผมเลยอยากเรียนให้ชำนาญกว่านี้” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจบอกกล่าวอย่างไม่คิดปิดบัง ซ้ำยังมองจ้องมายังนัยน์ตาของบีมด้วยความลึกซึ้ง หัวใจของบีมจึงรู้สึกอบอุ่น เนื่องจากอีกฝ่ายกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญ

“คุณคงไม่รู้..” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเปิดประเด็นก่อนจะเงียบเสียงไปพักใหญ่ จากนั้นปลายเท้าก็หยุดการก้าวเดิน โดยที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหาเป็ดยักษ์สีเหลืองอร่ามที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางหนองน้ำล้อมรอบด้วยกอบัวหลากสี

“ยิ่งความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งมากเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งเป็นกังวลมากเท่านั้น ความรู้สึกไม่ต่างกับตอนที่ผมเริ่มเพลย์ในฐานะดอมเป็นครั้งแรก” บีมจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคุณนัทแน่นิ่ง พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ที่ผ่านมาการเพลย์ระหว่างเราก็ราบรื่นดีนะครับ เพราะผมเชื่อใจคุณและคุณก็รับรู้มันได้ เราสองคนเลยต่างก็มีความสุข” บีมเอื้อนเอ่ยอย่างหนักแน่นพร้อมเอนพิงช่วงตัวของอีกฝ่ายในเชิงออดอ้อน

“สำหรับผมคุณทำได้ดีแล้วนะ แต่ถ้าหากคุณอยากจะเรียนอีกสักคอร์ส ผมก็พร้อมจะไปกับคุณด้วย เพราะผมก็อยากให้คุณพันธนาการผมเหมือนกับโชว์ในวันนี้ อีกอย่างผมยังไม่เคยลองเพลย์แบบมัดแขวนเลยสักครั้ง แต่หลังจากที่ดูโชว์จบ ผมกลับเฝ้ารอให้คุณพันธนาการผม และยังคิดแหกกฏของตัวเองที่เคยบอกว่าไม่ชอบการมัดแบบห้อยหัว” บีมบอกกล่าวความต้องการอย่างชัดแจ้งพร้อมส่งยิ้มให้คนรักเพียงเล็กน้อย และมันก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าเดียวเริ่มเสียอาการจนต้องวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม

“คุณอยากให้ผมโรลเพลย์ แบบไหนดีครับ หรือคุณชอบการเพลย์แบบปกติที่ไม่ต้องสวมบทบาท” คุณนัทเอ่ยถามความคิดเห็น อาจเพราะที่ผ่านมาบีมได้เรียนรู้การเพลย์จากคุณนัททั้งสองรูปแบบ

“อันที่จริงผมก็ชอบทั้งสองแบบนะครับ แต่การโรลเพลย์ดูเหมือนจะกระตุ้นอารมณ์ได้ดีกว่า เพราะมันคือการละทิ้งตัวตนของเราไป” บีมเอ่ยตอบตามความรู้สึก เนื่องจากคุณนัทมักจะแสดงด้านที่อ่อนโยนขณะเพลย์แบบปกติอยู่บ่อยครั้ง

“มีอะไรที่คุณอยากลองนอกเหนือจากที่เคยบอกผมหรือเปล่าครับ” คุณนัทสอบถามอย่างเอาใจใส่

“อันที่จริงผมคิดว่าการแสดงชุดที่สองก็น่าสนใจอยู่นะครับ เพียงแต่ผมยังใจไม่กล้าพอ” บีมกล่าวพลางทำหน้ามู่ทู่ เพราะการแสดงชุดที่ว่าเกี่ยวกับการ ‘เบลด เพลย์’ หรือการใช้ของมีคมทุกชนิดกระตุ้นความรู้สึกทางร่างกายและจิตใจ 

“เท่าที่ผมรู้มาการเบลดเพลย์ไม่จำเป็นต้องสร้างบาดแผลเสมอไป อีกทั้งคมมีดยังขึ้นอยู่กับรูปแบบและวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วยครับ อย่างเช่น เป้าหมายคือการกระตุ้นประสาทสัมผัสโดยที่ไม่สร้างความเจ็บปวดก็จะเล่นกับความรู้สึกของคมมีดและความเยียบเย็นของโลหะที่ลากไปตามร่างกาย ดังนั้นมีดที่ใช้ก็ควรจะเป็นมีดที่ไม่มีความคม”

“แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายเกิดร่องรอยจากการเพลย์ โดยมีเลือดซึมออกมาบ้างก็ต้องใช้มีดปลายแหลมที่มีความคมครับ หรือถ้าหากคุณสนใจที่จะสร้างบาดแผลโดยให้มีเลือดไหล อย่างเช่น การเลาะผิวหนังเพื่อสร้างลวดลาย ก่อนเพลย์คงต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสักคอร์สจะได้สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง เพราะมีดที่ใช้จะเป็นมีดสำหรับการผ่าตัดครับ บอกตรง ๆ ผมไม่ค่อยชอบแบบที่อีกฝ่ายต้องเลือดตกยางออกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากคุณอยากลองผมก็ไม่ห้าม” จากคำอธิบายของคุณนัททำให้บีมเริ่มมองภาพออกมากขึ้น เพราะเวลาที่นึกถึงมีดก็มักจะมาพร้อมกับเลือดเสมอ

“ผมเองก็ไม่อยากให้ผิวเป็นแผลถาวรสักเท่าไหร่ ถ้าหากเพลย์แบบใช้มีดที่ไม่มีความคมน่าจะพอรับได้” บีมใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอื้อนเอ่ยอย่างจริงจัง เพราะการเบลดเพลย์มันดูน่าตื่นเต้น แต่ในใจลึก ๆ บีมก็ยังหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน

“การเพลย์แบบนี้ถึงมันจะเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ แต่ก็ถือว่าอันตรายมากครับ ถ้าหากเราคิดจะเพลย์กันจริง ๆ ผมอยากให้รอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีกว่า เราสองคนจะได้เชื่อใจกันและกัน โดยที่ไม่มีความหวาดกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยอยู่ในส่วนลึก เพราะไม่อยากนั้นมันอาจจะเกิดความผิดพลาด” สิ้นคำพูดดังกล่าวบีมจึงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
 

“ครั้งต่อไปคุณอยากลองเพลย์ในบทบาทไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” คุณนัทยังคงเอ่ยถามอย่างเอาใจใส่ ขณะก้าวเดินกลับไปยังลานจอดรถ สองแขนของคนสองคนจึงแกว่งไกวราวกับเด็ก

“ตอนเด็ก ๆ ผมเคยเรียนบัลเล่ต์กับพี่แก้วตอนช่วงปิดเทอมใหญ่ เพราะครอบครัวนั้นไม่ใช่คนในพื้นที่ครับ ที่นั่นคงเป็นบ้านพักตากอากาศหรือไม่ก็บ้านของคุณย่านี่แหละครับ ผมก็เริ่มจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่างานแต่งงานของพี่แก้วจะจัดขึ้นที่นั่น ไม่แน่ผมอาจจะจำเรื่องราวของเพื่อนเล่นสมัยเด็กผิดก็ได้ แต่ผมยังจำได้แม่นว่าช่วงนั้นเท้าของผมยับเยินจนมั่นใจได้เลยว่า ถ้าหากคุณนัทมาเห็นจะต้องตกใจมากแน่ ๆ ตอนนั้นผมเลยใส่ถุงเท้าตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน แต่เพราะท่าเดินของผมไม่ค่อยปกติ พ่อกับแม่ก็เลยจับได้”

“พอท่านรู้ว่าผมสนใจการเต้นแบบนี้ ท่านก็สั่งห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะการเต้นบัลเล่ต์ในสายตาของพ่อกับแม่ไม่เหมาะกับผู้ชาย พอมาลองคิดดูแล้ว รสนิยมเกี่ยวกับการชอบใส่เดรสของผู้หญิงน่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากตรงนี้มากกว่า”

“หืม ?” คุณนัทย้อนถามในลำคอด้วยความสงสัย

“เพราะผมเคยลองใส่ชุดบัลเล่ต์ของพี่แก้วครับ ผมเลยรู้สึกชอบความพลิ้วไหวของกระโปรงตอนที่ใช้ปลายเท้าหมุนตัว จากนั้นผมก็เริ่มให้ความสนใจกับเพศเดียวกันโดยไม่รู้ตัว พอคิด ๆ ดูแล้ว สาเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่พอใจ เรื่องที่ผมอยากจะเป็นดีไซเนอร์ก็คงเริ่มมาจากจุดนี้” บีมเอื้อนเอ่ยพลางถอนใจ

“แต่ก็เหลือเชื่อนะครับ พ่อกับแม่ผิดใจกับบ้านนั้นมาตั้งนาน สุดท้ายกลับยอมไปร่วมงานแต่งของพี่แก้ว” บีมบอกเล่าด้วยความไม่เข้าใจ เพราะปมขัดแย้งในอดีตหนักหนาจนถึงขั้นห้ามไม่ให้เพื่อนต่างวัยไปมาหาสู่กัน

“คงเพราะพ่อของคุณคือผู้ใหญ่บ้านด้วยมั้งครับ” คุณนัทแสดงความคิดเห็น ซึ่งบีมก็ค่อนข้างเห็นด้วย

“เอาเป็นว่าเพลย์ครั้งหน้าตกลงตามนี้นะครับ” คุณนัทเอ่ยถามราวกับต้องการเปลี่ยนเรื่อง คงเพราะจับสังเกตได้ว่าเรื่องในอดีตมักจะทำให้บีมซึมเซาไปชั่วขณะ

“ครับ” บีมจึงได้แต่ตอบรับพร้อมส่งรอยยิ้มเพียงบาง ๆ กลับไป แม้ว่าในใจจะยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ต้องขบคิด


--------------------------✁   


[1] ชิบาริ (Shibari) คือศาสตร์แห่งการมัดเชือก เพื่อตอบสนองรสนิยมทางเพศแบบ BDSM มีการวางบทบาทของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในจุดประสงค์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโชว์แนวศิลปะและการบำบัด ในอดีตนับตั้งแต่สมัยเอโดะ เรียกกันว่า ‘คินบาคุ’ เพียงแต่เหล่าซามุไรจะนำเชือกมาใช้ในการมัดอาชญากรหรือเชลยเพื่อไม่ให้หลบหนี

[2] บิวะ (Biwa) เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด มีลักษณะคล้ายลูกแพร์ญี่ปุ่น ปกติจะมี 4-5 สาย ส่วนคอมีขนาดสั้นและเล็ก ใช้แท่งไม้ที่เรียกว่าบัตจิ (batchi) เป็นเครื่องมือในการบรรเลงเหมือนกับคันชักของไวโอลิน https://imgur.com/YuFyz5g

[3] โรลเพลย์ (role play) คือ การแสดงไปตามบทบาทสมมติ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือแม้แต่สถานที่ก็ช่วยให้เกิดความสมจริง


บทความที่เกี่ยวข้อง

- Blade/Knife Play (เบลด/ไนฟ์ เพลย์)

http://bit.ly/36rD43f/ http://bit.ly/38vQc9x / http://bit.ly/2YMHLSH

- Bondage : การพันธนาการ http://bit.ly/2qh872w


ใครอยากรู้ข้อมูลอย่างละเอียดลองไปอ่านกันดูนะคะ เพราะในนิยายเราไม่ได้ใส่ทั้งหมดลงไป เพียงแต่พูดถึงคร่าว ๆ ให้รู้ว่ามันมีรูปแบบไหนบ้าง เพราะขึ้นชื่อว่าใช้ของมีคมเพลย์ ในหัวเราจะคิดทันทีว่ามันต้องมีเลือดแน่ ๆ แต่จริง ๆ มันมีแบบไม่มีแผลด้วยค่ะ เป็นกิมมิคที่อยากให้เปิดโลกไปด้วยกัน แต่ถ้าในอนาคตมีเขียนก็อาจจะใส่ข้อมูลลงไปมากกว่านี้นิดนึง แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเขียนการเบลดเพลย์มั้ย 555

ส่วนตอนหน้าอาจจะยังไม่มาในเร็ววันนี้ค่ะ เพราะเราแก้ใหม่แบบโละของเก่าทิ้งเกือบทั้งหมด เหลือแค่ใจความสำคัญของซีนนิดหน่อย อีกอย่างมันค่อนข้างเป็นซีนใหญ่น่าจะแก้นาน แหะๆ ส่วนปมของน้องบีมนั้นนนนน โปรดติดตามตอนต่อไป

ปล. อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า แงง เขียนไปเขียนมารู้สึกว่าฉากเพลย์เริ่มเยอะ กลัวคนอ่านจะเบื่อด้วยค่ะ เพราะเราอ่านเองรู้สึกมันเฉย ๆ แล้วก็แอบเอะใจกับตัวเองด้วยว่าเนื้อเรื่องมันวนอยู่กับที่มั้ย แต่จริง ๆ เรากำลังเปิดปมน้องบีมไปเรื่อย ๆ อยู่ ถ้าถึงจุดนึงน่าจะมองกันออก สงสัยเราคงตรวจ ๆ แก้ ๆ จนเอียนเอง T[]T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 21:29:23 โดย Chomin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
รอค่ะรอ ชอบอ่านลุ้นตามไปด้วยยังกะจะเพลย์เอง

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 20

ช่วงนี้หน้าที่การงานของบีมเริ่มจะเข้าที่แล้ว เพราะบีมเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการออกแบบแพทเทิร์นเสื้อผ้า แทนที่จะใช้การวาดแพทเทิร์นลงในกระดาษทำแพทเทิร์น เนื่องจากวิธีหลังนักออกแบบจะต้องวัดและกำหนดขนาดองค์ประกอบในแต่ละส่วนของเสื้อผ้าด้วยตนเอง ซึ่งวิธีแรกจะมีโปรแกรมคอยคำนวณให้
 
ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยมั่นคง บีมจึงยอมเลือกใช้วิธีสำหรับมือใหม่ โดยโปรแกรมที่บีมเลือกใช้คือ ‘CAD Pattern Design’ ส่งผลให้ขั้นตอนของการทำงานลุล่วงมาจนถึงการสร้างตัวอย่างแรก ซึ่งในขั้นตอนนี้บีมไม่อาจหอบหิ้วกลับมาทำที่ห้อง เพราะการตัดเย็บไม่ค่อยสะดวกขนไปขนมา

บวกกับบีมเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศาสตร์การมัดเชือกแบบชิบาริอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะในช่วงนี้มีการเปิดครอส์อยู่พอดี ส่งผลให้เวลาว่าง ๆ โรปท็อป อย่างคุณนัท มักจะใช้ร่างกายของบีมเป็นแหล่งฝึกฝน และยังช่วยให้บีมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
 
ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกังวลใจเลยแสดงออกมาโดยที่คุณนัทรับรู้ทุกอย่าง อีกฝ่ายจึงคอยปลอบโยนด้วยคำเรียบง่าย ว่า ‘คุณยังมีผมอยู่’ ส่งผลให้บีมถึงกับร้องไห้น้ำตานองหน้า เพราะความอ่อนแอที่พยายามกักเก็บกำลังถูกปลดปล่อย เพื่อที่ใครบางคนจะได้คอยดูแล


“แม่โทรมาครับ” บีมบอกกล่าวผู้เป็นเจ้าของห้องด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบพลางใช้ฝ่ามือปิดลำโพง ขณะที่ใบหน้ากำลังเบิกบานจนเปล่งประกาย

กระทั่งคุณนัทยกยิ้มให้ บีมจึงลุกออกจากโต๊ะอาหาร มุ่งตรงไปยังระเบียงอันกว้างขวางด้านนอก ส่วนคุณนัทก็ทำหน้าที่พ่อครัวคอยเก็บล้างเหมือนทุกวัน

“ครับแม่” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเกาะราวระเบียงที่มีกระจกใสกั้นอาณาเขตอันตราย แต่กระนั้นก็ไม่ได้รบกวนการชื่นชมทัศนียภาพในเมืองที่ยังคงคึกคักแต่อย่างใด
 
‘รถเป็นยังไงบ้างบีม โทษทีนะ พอดีแม่วุ่น ๆ ช่วยพ่อเคลียร์งานน่ะ’ น้ำเสียงของแม่ฟังดูเหนื่อยล้ามาก ซึ่งก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านจะต้องคอยดูแลความสงบสุขของผู้คนในหมู่บ้าน อีกทั้งยังต้องคอยสร้างความสมานฉันท์ และยังต้องคอยรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของบีมไม่อาจไม่ญาติดีกับครอบครัวของพี่แก้ว เนื่องจากมันอาจจะกระทบถึงภาพลักษณ์อันดีงามที่สั่งสมมานานหลายปี 

“รถไม่ได้เสียครับแม่” บีมเอ่ยตอบอย่างกำปั้นทุบดิน นัยหนึ่งเพื่อลอบสังเกตปฏิกิริยาของผู้เป็นแม่

‘แม่คงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก โทษทีนะบีม เราเลยพลอยวุ่นวายไปด้วย’ แม่ยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กระนั้นน้ำเสียงของแม่กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะทุกวันแม่ต้องคอยต้อนรับเหล่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ไร้ความเกรงใจ ซึ่งบีมยังจดจำได้ดีว่า บุคคลเหล่านั้นมักจะมาอาศัยข้าวปลาอาหารของที่บ้าน พอกินเสร็จก็ไม่ยอมเก็บล้าง บีมกับแม่เลยต้องคอยรับภาระอยู่ตลอด

ดังนั้นเรื่องราวอันเล็กน้อยเหล่านี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนุษย์ไร้ซึ่งความเกรงใจ และชีวิตของบีมก็ไม่อาจกลายเป็นของบีมได้ เพราะพ่อกับแม่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายให้กับลูกบ้าน และยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซ้ำยังต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการสร้างถนนที่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรของชาวบ้าน หรือแม้กระทั่งการไปประชุมเพื่อเตรียมรับมือกับอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ และยังรวมไปถึงการไล่ช้างป่าที่เข้ามาบุกรุกที่ดินทำกินของชาวบ้านก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของพ่อ

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย เรื่องที่บีมชอบใส่กระโปรงบัลเล่ต์ของพี่แก้วเลยแพร่สะพัดไปถึงหูพ่อ เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมักจะใช้ความห่วงใยเป็นสิ่งบังหน้า เพียงเพราะบีมทำตัวผิดจากบรรทัดฐานทางสังคม และยังกลายเป็นตัวตลกให้พวกเขาขบขัน เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมักจะยึดติดในสิ่งที่ตัวเองรับรู้ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือมันคือสิ่งที่ดีงาม

ซึ่งทุกสิ่งที่บีมเป็นมักจะถูกตัดสินในทางตรงข้าม เพียงเพราะคำว่า ‘สิ่งที่ดีและสิ่งที่ควร’ ในสายตาของพ่อกับแม่ มักจะตรงกับผู้คนในหมู่บ้าน อาจเพราะสภาพแวดล้อมหลอมรวมให้ขนบความคิดดำเนินมาอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะคำว่า ‘ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน’ บีมก็ไม่ค่อยแน่ใจ

“แม่จะลงมาเอารถเมื่อไหร่ครับ” บีมพยายามปัดเป่าความคิดอันฟุ้งซ่าน พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นแม่อย่างจริงจัง

‘ปลายเดือนนี้พี่แก้วที่อยู่ข้างบ้านเราจะแต่งงานแล้ว เธอเลยอยากให้บีมมาตัดชุดแต่งงานให้ ถ้ายังไงบีมขับรถกลับมาให้แม่ก็ได้’ สิ้นคำพูดของแม่ ฝ่ามือที่เคยประคองโทรศัพท์จึงกอบกุมเอาไว้แน่น ริมฝีปากพลันเม้มสนิท ขณะที่กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว

“แม่.. รู้เรื่องร้านของบีมตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ” บีมเอ่ยถามเสียงสั่น ขณะที่ในใจกำลังเต้นรัวราวกับตีกลอง

‘ก็ตั้งแต่ที่ยัยภาลูกป้าแช่มกลับมาที่บ้านเมื่อช่วงต้นเดือนน่ะ’ สิ้นคำพูดของแม่ สมองของบีมก็เริ่มประมวลผล จนกระทั่งทราบว่าคนที่ชื่อภาคือพนักงานบัญชีที่ทำให้บีมมีโอกาสใช้เป็นข้ออ้างในการเลือกเรียนคณะนี้ ปัจจุบันคงดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชี

“แม่ก็เลยขึ้นมาหาบีมเหรอครับ ?” ผู้เป็นลูกเอ่ยถามอย่างต้องการความแน่ใจ ขณะที่ในใจก็เริ่มหวาดหวั่น เพราะดูเหมือนโลกจะกลมเกินไป  เนื่องจากการที่พี่ภาทราบว่าบีมไม่ได้ทำงานอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าของคุณนัท เท่ากับว่าเธอคือผู้จัดการฝ่ายบัญชีของที่นั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

‘อืม เห็นบีมมีชีวิตที่ดีแม่ก็เบาใจ อีกอย่างแม่รู้สึกว่าบีมดูมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการตัดเย็บเสื้อผ้ามาก’ แม่เอื้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับท่านกำลังอมยิ้ม

“ทำไมแม่ถึงรู้สึกอย่างนั้นเหรอครับ” บีมยังคงตั้งคำถาม เพราะอยากจะแน่ใจว่าสิ่งที่กำลังสัมผัสไม่ใช่ความฝัน

‘ตอนที่เราไปเดินซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน แม่เห็นบีมคอยสำรวจเสื้อผ้าแต่ละแบบอย่างตั้งใจ บางส่วนที่สำคัญจนกลัวว่าจะหลงลืมก็พิมพ์ใส่โทรศัพท์ ยิ่งบีมบอกว่าเสื้อเชิ้ตทั้งหมดในตู้ บีมเป็นคนออกแบบเอง แม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าความชื่นชอบของบีมไม่ต่างกับการที่แม่ชอบดูลิเก’ คำเปรียบเปรยของแม่อาจฟังดูเรียบง่าย แต่กลับกินใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะความนัยของมันก็ไม่ต่างกับความชอบของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน

“แต่บีมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยครับ พี่แก้วจะโอเคเหรอ” บีมยังคงตั้งคำถามด้วยความกังวล เพราะครอบครัวของพี่แก้วจะบอกว่าไฮโซก็ย่อมได้ ดังนั้นชุดแต่งงานที่สวมใส่เพียงครั้งหนึ่งในชีวิตจะตกอยู่ในความรับผิดชอบของห้องเสื้ออิสระก็ยังเหลือเชื่อ

‘พอแม่บอกว่าบีมเปิดห้องเสื้ออิสระ แก้วก็รีบตกลงเลยนะ เพราะเธอบอกกับแม่ว่าช่วงนี้เสื้อผ้าของห้องเสื้อเริ่มติดตลาดแล้ว อีกอย่างแก้วอยากจะสนับสนุนบีมด้วย’ บีมได้แต่อมยิ้มโดยไม่คิดถามไถ่ว่าทำไมแม่ถึงเดาออกว่าห้องเสื้ออิสระอยู่ในความดูแลของบีม เพราะมันก็เป็นไปได้ว่าพี่ภาอาจจะรับหน้าที่เป็นนักสืบ แม่ถึงได้เจาะจงมาซื้อชุดไปงานแต่งของพี่แก้ว และยังร้องขอคอลเลกชันเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายมาเปิดดู   

“แม่ไม่โกรธบีมเหรอครับ ?” เจ้าของห้องเสื้อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห้งผาก   

‘ถ้าเป็นแต่ก่อนแม่คงโกรธ แต่ว่าตอนนี้กิจการมันไปได้ดีแล้ว แม่ไม่มีความจำเป็นจะต้องคัดค้านหรือว่าโกรธเคือง มีแต่จะยินดีกับความสำเร็จของบีม เพียงแต่ในอดีตพ่อกับแม่แค่เป็นห่วง กลัวว่าอาชีพนี้จะทำให้บีมลำบาก เพราะแถวบ้านของเราอาชีพช่างตัดเสื้อเพียงพอแค่ใช้จ่ายไปวัน ๆ เทียบกันแล้ว งานข้าราชการมีความมั่นคงกว่ามาก และหัวอกของพ่อกับแม่ก็ย่อมหวังให้บีมได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด’ สิ้นคำพูดของแม่ บีมก็ได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลริน เพราะกว่าแม่จะเข้าใจและยอมรับได้ เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนาน

“แล้วพ่อเห็นด้วยกับแม่หรือเปล่าครับ” บีมยังคงเอ่ยถามอย่างต้องการความมั่นใจ เพราะถึงอย่างไรคนที่บีมแคร์ก็คือพ่อกับแม่ แม้ว่าที่ผ่านมาจะถูกขวางกั้นด้วยความไม่เข้าใจจนเกิดความอึดอัดระหว่างกัน

‘รายนั้นคุยโวทั้งวัน’    คำอธิบายเพียงสั้น ๆ ของแม่ ทำเอาบีมหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา

“ถ้าบีมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบลงไปหานะครับ ส่วนชุดแต่งงานของพี่แก้ว บีมจะเร่งทำให้สุดฝีมือ รับรองว่าจะไม่ทำให้เสียชื่อของผู้ใหญ่หนุ่ยกับแม่นุ้ยแน่นอนครับ” บีมเอื้อนเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะ พร้อมวางแผนเกี่ยวกับการรับมือต่อภาระงานที่เริ่มล้นหลาม จากนั้นจึงวางสายด้วยสีหน้าเบิกบาน


“ดูเหมือนเรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้วนะครับ” คุณนัทที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่บนกำแพงหินสำหรับกักกั้นพื้นที่สีเขียวบริเวณด้านหลัง เอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คงเพราะเจ้าตัวนั่งฟังบีมคุยโทรศัพท์มาเนิ่นนานแล้ว

“ครับ” บีมตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส เพราะไม่ต้องกังวลว่าพ่อกับแม่จะต่อต้านรสนิยมในการสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงอีกต่อไป เนื่องจากบีมมั่นใจแล้วว่าเหตุผลคงจะมีค่ามากพอให้พ่อกับแม่รับฟัง ส่วนเรื่องรูปอันแสนน่าอายนั่นก็คงเป็นอย่างที่คุณนัทบอก เพราะด้วยนิสัยของแม่ถ้าหากเห็นอะไรไม่ถูกไม่ควร แม่จะรีบตักเตือนไม่ให้บีมออกนอกลู่นอกทางทันที บีมจึงเริ่มมั่นใจว่าแม่คงไม่ทันเห็นภาพนั้นจริง ๆ

“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องฉลองด้วยการเพลย์แล้วล่ะครับ” คุณนัทเยื้องย่างเข้ามาหาบีมด้วยท่วงท่าอันสูงส่ง ราวกับแผ่ซ่านบารมีของผู้เป็นดอมอย่างแรงกล้า จากนั้นสุ้มเสียงทุ้มนุ่มจึงกระซิบความปรารถนาเพียงแผ่ว ร่างกายของบีมเลยปลิวไปตามแรงฉุดรั้งของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ


คุณนัทในสถานะดอมมักจะทำการบ้านอย่างละเอียด เพราะตั้งแต่พูดถึงเรื่องการเต้นบัลเล่ต์ในวันนั้น ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจจึงแอบไปซื้อชุดบัลเล่ต์สำหรับผู้หญิงที่มีเนื้อผ้าบางเบาไล่เฉดสีอย่างสวยงาม อีกทั้งยังหาซื้อถุงน่องและรองเท้าสำหรับนักบัลเล่ต์จนครบเซ็ต

ส่วนบีมกำลังวอร์มร่างกายให้ครบ 30 นาที เพราะการเต้นบัลเล่ต์มีความเกี่ยวข้องกับการยืดหยุ่นทางร่างกาย ซึ่งบีมไม่ได้ฝึกมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นเนื้อตัวที่เคยถูกพี่แก้วดัดจนอ่อนช้อยอาจไม่เป็นเหมือนวันวาน

ซึ่งคุณนัทเคยมาสอบถามว่า การโรลเพลย์ในลักษณะนี้ควรจะเริ่มอย่างไร บีมจึงแนะนำเกี่ยวกับการดัดตัวให้อีกฝ่ายไปศึกษา เนื่องจากวิธีดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญของการเต้นบัลเล่ต์ คุณนัทจึงลองทดสอบการยืดหยุ่นของร่างกายด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้คาดคะเนขีดจำกัดว่าทำได้มากแค่ไหน



“นายบอกว่าเคยเรียนบัลเล่ต์มา ถ้าอย่างนั้นผมขอดูหน่อยว่านายเต้นท่าไหนได้บ้าง” ทันทีที่บีมก้าวเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ติดห้องนอน คุณนัทในมาดนายท่านก็ยืนกอดอกพิงพนักเก้าอี้ริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่

บีมจึงเลือกใช้ท่า ‘Attitude’ ในการทดสอบเป็นอันดับแรก โดยใช้ขาข้างหนึ่งรับน้ำหนักตัว ขณะที่ขาอีกข้างยกขึ้นและงอเข่าแต่พองาม เพียงแต่ขาข้างที่งอเข่านี้จะอยู่ตรงด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลังก็ได้ ทว่าบีมกลับไม่อาจยืนบนปลายเท้าได้สำเร็จจึงตัดสินใจวาบราบลงกับพื้น

“ผมว่านายคงต้องเริ่มดัดตัวใหม่ เพราะขาและแขนยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้ามาหาบีม จากนั้นจึงใช้ไม้เรียวประคองท่อนขา เพื่อจัดระเบียบท่าทางให้งดงาม แม้ว่าอันที่จริงเนื้อตัวของอีกฝ่ายจะอ่อนช้อยน่ามองก็ตามที

“หลังจากนี้ถ้าหากผมทำอะไรที่มันเกินขีดจำกัด คุณต้องตะโกนเซฟเวิร์ดออกมาดัง ๆ นะครับ” คุณนัทกระซิบเพียงแผ่วราวกับถูกผู้กำกับสั่งคัท เพราะต้องการย้ำเตือนให้บีมจดจำ จากนั้นร่างสูงในเชิ้ตขาวสะอาดก็เดินนำออกไปยังนอกระเบียง เพราะบริเวณนั้นมีราวเหล็กเหมาะสำหรับจับยึด

“ผมว่านายควรจะเริ่มจากการฉีกขากับกำแพง” นายท่านยืนพิจารณาเพียงครู่จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เพื่อให้บีมเริ่มยืดตัวด้วยวิธีเบสิค ขณะถือไม้เรียวคุมเชิงอย่างเคร่งครัด บีมเลยตั้งท่าจะนั่งหันหน้าเข้ากำแพง

“เดี๋ยว.. หันหน้ามาทางผมจะได้ช่วยยันให้” จู่ ๆ นายท่านก็คิดเปลี่ยนใจ พลางใช้ไม้เรียวยาวดันร่างของบีมให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม และกดลาดไหล่เพื่อสั่งการให้บีมนั่งลง คนสองคนจึงประจันหน้ากันแน่นิ่ง สองมือพลันเกาะเกี่ยวฝ่ามือของกันและกันไว้ เพื่อที่นายท่านในมาดอาจารย์ผู้ฝึกสอนจะได้ใช้ปลายเท้าค้ำยันเรียวขาของลูกศิษย์ให้อ้ากว้าง

ขณะที่ดวงตาสีนิลก็คอยลอบมองปฏิกิริยาของฝ่ายซับเพื่อระมัดระวังความปลอดภัย ส่งผลให้บีมรู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะสายตาคู่นั้นฉายแววโลมเลียเรือนร่างผอมเพรียวอย่างเปิดเผย เพราะการสวมใส่ชุดบัลเล่ต์จะยิ่งขลับเน้นทรวดทรงให้น่ามอง อีกทั้งส่วนอ่อนไหวก็ยังขึ้นรูปด้วยความชัดแจ้ง

“คิดจะเรียนบัลเล่ต์ อย่างน้อยก็ต้องรู้จักอดทนและหมั่นฝึกฝน” นายท่านเอ่ยแกมดุ ซ้ำยังตวัดนัยน์ตาคมกริบมายังใบหน้าของลูกศิษย์ในความดูแล บีมจึงได้แต่เม้มปากแน่น ราวกับต้องการเก็บกลั้นเสียงร้อง

ขณะที่เรียวขายังคงถูกนายท่านค้ำยันอย่างต่อเนื่อง รัศมีของการอ้ากว้างจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือของบีมจึงกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายด้วยความกริ่งเกรงว่าจะถูกดุด่าว่ากล่าว เสริมสร้างความรู้สึกราวกับราชสีห์กำลังขย้ำเหยื่อให้กับฝ่ายดอมได้เป็นอย่างดี

“ก่อนหน้านี้นายคงจะละทิ้งมันอย่างไม่ใยดีเลยสินะ ถึงได้ตัวแข็งทื่อขนาดนี้” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ขณะที่สายตายังคงฉายแววดุดันอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงปลดปล่อยให้บีมเป็นอิสระ แล้วไปนั่งไขว้ขาอยู่บนกำแพงพร้อมถือไม้เรียวคุมเชิงอย่างเคร่งครัด บีมจึงได้แต่เฝ้ารอคำสั่งด้วยความจดจ่อ

“หันหน้ามาหาผม” บุรุษผู้เคร่งขรึมกล่าวด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ แต่ทว่าบีมกลับรับรู้ถึงรังสีอันตรายที่ไม่ควรลองดี นักเรียนผู้ว่านอนสอนง่ายจึงรีบหันหน้าเข้าหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว

“แยกขากับกำแพง” นายท่านสั่งการราวกับเป็นถ้อยคำแสนธรรมดา เพียงแต่พื้นที่ในการฝึกฝนกลับมีเพียงบริเวณหน้าขาของอีกฝ่าย บีมจึงทำเป็นละล้าละลังเพื่อกระตุ้นความรู้สึกกระหายอยากต่อการควบคุม

“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ” ชายหนุ่มผู้แสนดุดันกล่าวพลางใช้ไม้เรียวบอกตำแหน่ง บีมจึงรีบลนลานนั่งแยกขาชิดกำแพง ขณะก้มหน้าจนแทบชิดอก เพราะวิถีของสายตามันช่างล่อแหลม เนื่องจากความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกำลังโดดเด่นในระยะประชิด แต่กระนั้นในอกกลับชื่นชอบเป็นพิเศษ จนบีมแทบอยากจะใช้ใบหน้าคลอเคลียให้นายท่านพึงพอใจ

“เงยหน้า” สุ้มเสียงทรงพลังสั่งการเพียงสั้น ๆ บีมจึงรีบเงยหน้าด้วยความเกรงกลัว เนื่องจากภาพลักษณ์ของคุณนัทในยามนี้ ดูน่ายำเกรงอย่างบอกไม่ถูก ความคิดฟุ้งซ่านไม่สมกับเป็นนักเรียนที่ดีจึงหดหายไป

“ขยับเข้ามาสิ นั่งแบบนั้นขานายจะชิดกำแพงได้ยังไง” นายท่านไม่พูดเปล่า แต่ยังใช้ไม้เรียวดันสะโพกในเชิงบอกกล่าว ส่งผลให้ใบหน้าของบีมสัมผัสกับส่วนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ บีมจึงรีบก้มหน้าชิดอกและยังพยายามขยับเรือนร่างออกห่างอย่างไว้ตัว แต่ขณะเดียวกันสถานการณ์นั้นกลับยิ่งปลุกเร้าความกระสันได้ไม่ยาก

“เหยาะแหยะ” นายท่านว่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ทำเอาบีมรีบก้มหน้าชิดอกยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้ผู้เป็นดอมยิ้มกริ่มตรงมุมปากด้วยความสุขใจที่ได้เห็นท่าทีดังกล่าว

“เห็นทีถ้าหากผมไม่ลงโทษ นายก็คงทำตัวไม่ได้เรื่องไปเรื่อย ๆ” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางวาดขาข้ามผ่านช่วงตัวของฝ่ายซับเพื่อเข้าไปข้างในครู่หนึ่ง บีมจึงได้แต่เฝ้ามองประตูระเบียงด้วยความจดจ่อว่าอีกฝ่ายจะกลับมาพร้อมกับสิ่งใด

“ผมไม่ชอบคนเหยาะแหยะ” นายท่านกล่าวพลางเดินกลับมาหาบีมด้วยความเชื่องช้า ส่งผลให้ทุกย่างก้าวสร้างความลุ้นระทึกอย่างมากล้น เพราะบีมห่างหายจากการถูกลงโทษด้วยวิธีดังกล่าวมานานแล้ว

“เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ของผมก็ต้องห้ามมีพฤติกรรมแบบนั้น คลานมารับโทษซะ” นายท่านกล่าวพร้อมกับใช้ไม้หวายบอกตำแหน่ง บีมจึงรีบหมอบคลานเข้าไปหานายท่านด้วยความสำนึกผิด ใบหน้าจึงแนบชิดกับฝ่าเท้าของอีกฝ่ายด้วยความจำนน ขณะที่สะโพกกลมสวยกำลังลอยเด่นอยู่กลางอากาศ

“รวบกระโปรงขึ้น” ทันทีที่ได้รับคำสั่งบีมก็เร่งปฏิบัติตามด้วยความเคร่งครัด พร้อมแนบใบหน้าลงบนพื้นอันเย็นเฉียบ เพราะเวลานี้นายท่านกำลังเดินวนเวียนรอบตัวราวกับจงใจจะสร้างความกดดัน

“อย่าให้ผมเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีก” สิ้นคำพูดนั้นเรียวไม้อันแข็งกร้าวก็สะบัดลงบนสะโพกเนียนนุ่ม ส่งผลให้บีมสะดุ้งจนสุดตัว แววตาไหวระริกจึงเหลือบมองปลายเท้าของนายท่านที่ยังคงก้าวเดินรอบลำตัวไม่แปรเปลี่ยน วิถีของอุปกรณ์ทำโทษจึงลากไล้วนเวียนสร้างความระทึกขวัญ

“อ๊า” สิ้นเสียงตวัดจากปลายไม้ ความเจ็บปวดก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว สุ้มเสียงจึงไม่อาจเก็บกลั้นตามใจหมาย แต่ทว่าแววตาแห่งความสุขสมกลับเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน หัวใจพลันรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับการสอนสั่งด้วยความเข้มงวด

“ท่าทีนิ่งเงียบของนายมันแปลว่านายคิดอยากจะลองดีกับผมใช่หรือเปล่า ?” ชายผู้ชื่นชอบการควบคุมเอ่ยถาม พลางทิ้งตัวลงนั่งบนแผ่นหลังของบีมไม่เต็มตัวนัก พร้อมกระชากเรือนผมจนหน้าหงาย แววตาของทั้งคู่จึงสบประสานกันเนิ่นนาน

“ป..เปล่าครับ” บีมส่ายหน้าปฏิเสธ ขณะที่แววตาฉายความตื่นตระหนกอย่างเปิดเผย อาจเพราะพลังแห่งการควบคุม เสริมสร้างความเชื่อมั่นของซีนดังกล่าว บีมจึงยินยอมพร้อมใจที่จะตกอยู่ภายใต้อำนาจอันสวยงามนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกปล่อยวางจนหมดสิ้น

“ต่อไปถ้าหากผมถามหรือพูดอะไร นายต้องมีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่อย่างนั้นผมจะถือว่านายพยศ” นายท่านวาดขาออกจากลำตัวของบีม ก่อนจะใช้ไม้หวายฟาดก้นจนเจ็บแสบ

“อ๊า รับทราบครับนายท่าน” บีมละล่ำละลักตอบด้วยความกริ่งเกรงพร้อมจิกปลายเล็บลงบนพื้นกระเบื้องเพื่อระบายความเจ็บปวดอันแสนสุขสม แต่กระนั้นก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนายอย่างเหลือล้น เพราะท่าทีที่อีกฝ่ายหวาดกลัวและยอมจำนน มันเพิ่มพูนความสนุกสนานและความสุขสมได้อย่างเหลือเชื่อ

“ยกตัวขึ้น แอ่นหลังเยอะ ๆ” แต่แล้วนายท่านก็เริ่มสอนสั่งอย่างเป็นทางการ บีมจึงต้องอยู่ในท่าคลานสี่ขาราวกับหมาตัวใหญ่ ส่งผลให้ช่วงสะโพกโดดเด่นกว่าทุกส่วนบนร่างกาย ขณะที่นายท่านกำลังนั่งอยู่บนแผ่นหลัง เพียงแต่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวลงมามากนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการดัดตัว แต่กระนั้นมันกลับกระตุ้นเตือนได้เป็นอย่างดีว่าบีมคือทาสผู้แสนต่ำต้อย

“ร่างกายของนายดูเคยมือดีนะ” ชายหนุ่มผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงเอื้อนเอ่ย แต่ยังลูบไล้สะโพกกลมกลึงด้วยสัมผัสชวนวาบหวาม ส่งผลให้ผีเสื้อนับร้อยบินว่อนไปทั่วสรรพางค์กาย บีมจึงเผลอเปล่งเสียงครวญครางด้วยความซาบซ่าน เมื่ออีกฝ่ายจงใจใช้ปลายนิ้วสัมผัสบริเวณอ่อนไหวทุกซอกทุกมุม

“ห..หมายความ..อึก..ว่ายังไง..ครับ” บีมเอ่ยถามเสียงกระเส่าราวกับไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่ทว่าร่างกายกลับแสดงออกในทิศทางตรงกันข้าม

“ก็หมายความว่าคนอกตัญญูอย่างนาย มีร่างกายที่แสนกตัญญูยังไงล่ะ” สิ้นคำกล่าวของนายท่าน สมองของบีมก็เริ่มประมวลผล เพราะดูท่าแล้วซีนที่เล่นกันในวันนี้ คงจะมีความลึกซึ้งมากกว่าที่คิด เมื่อนายท่านสวมบทบาทเป็นครูสอนบัลเล่ต์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของฝ่ายซับ

“ดูสิ มันไม่เคยลืมผมเลยนะ” นายท่านเชื้อเชิญให้บีมเฝ้ามองปฏิกิริยาของตัวเองด้วยการกดรั้งศีรษะของบีมให้มองลอดหว่างขาได้ง่าย ๆ บีมเลยมองเห็นเรียวเท้าอันงดงามของนายท่านสะกิดยอดอกข้างหนึ่งจนเริ่มชูชัน และยังมองเห็นความอ่อนไหวที่ค่อย ๆ คับแน่นทุกขณะ ใบหน้าจึงพลันแดงซ่านอย่างรวดเร็ว

“อะ..อา..” แต่แล้วความเขินอายก็ถูกกลบทับด้วยม่านราคะ บีมจึงหลับตาพริ้มด้วยความหวามไหว พร้อมส่ายสะโพกไปมาด้วยความรัญจวน ซ้ำยังแอ่นหลังโดยอัตโนมัติ เพื่อที่ปลายเท้าของนายท่านจะได้สัมผัสยอดอกอันแสนโดดเด่นให้มากขึ้น

“เห็นความจริงหรือยังล่ะ ?” นายท่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ ขณะที่ช่วงล่างก็เริ่มเสียดสีแผ่นหลังของบีมด้วยความนุ่มนวล ราวกับต้องการตอกย้ำให้บีมนึกถึงช่วงเวลาน่าอายที่ได้เคล้าคลอความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

ส่วนฝ่ามืออันซุกซนกลับสัมผัสลากไล้ไปยังเรียวขาภายใต้ถุงน่องสีขาวขุ่น แล้ววกกลับมายังช่องทางด้านหลังด้วยความหลงใหล ก่อนจะลากผ่านตะเข็บแต่ละเส้นที่เชื่อมผ่านกลางหว่างขาด้วยจังหวะปลุกเร้า

“อ๊ะ..อ๊า..นายท่าน” บีมได้แต่บิดเร้าไปมาด้วยความเสียวซ่าน ขณะที่ชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจกลับผละกายออกห่างจากแผ่นหลังอันแสนอ่อนช้อย เพื่อยืนเฝ้ามองท่าทีของอีกฝ่ายให้เต็มตา

“คนอย่างนายมันน่าโมโหนัก กล้าดียังไงถึงได้ลืมผม” แต่แล้วสุ้มเสียงดุดันก็ดังแหวกอากาศ ร่างกายที่กำลังลอยล่องราวกับปุยนุ่นจึงถูกกระชากลงสู่พื้นดินอย่างไม่ปรานี เพราะเวลานี้นายท่านกำลังเยียบย่ำใบหน้าของบีมจนแทบหลอมรวมไปกับพื้นกระเบื้องอันเย็นฉ่ำ ปลุกเร้าความรู้สึกต่ำต้อยจนโหมกระพือเป็นการใหญ่

จากนั้นความรู้สึกผิดอันมากล้นก็ตรงเข้ามาเล่นงานอย่างไม่ปรานี และมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนาย ความเจ็บปวดจึงถูกปรนเปรอให้ได้ลิ้มลองไม่รู้เบื่อ โดยที่เสียงขวับแหวกอากาศก็ทำหน้าที่เร่งเร้าอารมณ์ของทั้งคู่ให้พุ่งทะลุสู่ปรอทแห่งความสุข

“อ๊ะ..อ๊า..ผ..ผมผิดไป..อ๊า..แล้ว..อึก” บีมบิดเร้ากายอย่างมีอารมณ์ร่วม เมื่อเรียวไม้กระทบลงบนสะโพกเนียนนุ่มจนถุงน่องเริ่มมีรอยขีดข่วน แววตาแห่งความสะใจของผู้เป็นนายจึงฉายชัดจนเต็มสูบ อะดรีนาลีนหลั่งไหลด้วยความตื่นตัว

“ต..ต่อ..ไป..อ๊ะ..ผมไม่..กล้า..อื้อ..ลืมอีกแล้วครับ..อ๊า” บีมเอ่ยเสียงกระเส่าพร้อมพยายามระงับสุ้มเสียงแห่งความหวามไหว แต่ดูเหมือนนายท่านจะไม่ค่อยประทับใจ เสียงขวับแหวกอากาศจึงดังระงมอย่างต่อเนื่อง เดาได้เลยว่าสะโพกของบีมคงจะแดงก่ำเพราะความชากำลังมาเยือน แต่มันก็ช่วยปลุกเร้าความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม บีมจึงต้องเปล่งเสียงร้องครวญครางสลับกับขอความเชื่อใจจากอีกฝ่ายจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

“คำพูดของนาย เชื่อถือได้มากแค่ไหน” นายท่านโยนไม้หวายทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมพาร่างกายสูงส่งคร่อมทับเรือนร่างของบีมไว้ ขณะที่ใบหน้ากลับเคลื่อนเข้ามาแนบชิด บีมจึงได้ยินคำถามอย่างชัดเจน และยังมองเห็นแววตาเคืองขุ่นอย่างชัดแจ้ง จากนั้นชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธจึงละทิ้งเรือนร่างเย้ายวนอย่างไม่ใยดี

“ให้โอกาสผมนะครับ นายท่านจะทำยังไงกับผมก็ได้ ขอแค่ให้โอกาสผมได้แก้ตัว” บีมรีบคลานสี่ขาเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมโอบกอดเรียวขาแข็งแกร่งด้วยความแน่นหนา เพราะนายท่านเอาแต่สะบัดหนี บีมจึงแนบใบหน้าเคล้าคลอเพื่อหวังจะขอความเห็นใจ พร้อมเงยหน้าส่งสายตายอมจำนนไม่ต่างจากลูกหมาที่กำลังจะถูกเจ้าของทอดทิ้ง ผู้เป็นดอมจึงได้แต่มองแววตาคู่นั้นด้วยความแน่นิ่ง แต่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับอสูรร้ายที่อยากจะฉีกกระชากอาภรณ์ของอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี แล้วกระแทกกระทั้นความต้องการทั้งหมดระบายใส่ร่างนั้น

กระทั่งหวนคืนสู่ความเป็นจริง ดวงตาอันน่าหลงใหลของร่างข้างใต้ก็ไม่อาจส่งผลอื่นใด ริมฝีปากร้อนแรงของผู้ควบคุมจึงแสยะยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่ทว่ากลับทำให้บีมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่า อีกไม่นานบีมก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์เย้ายวนที่ไม่ต่างกับโรปบันนี่บนเวทีนั้น

--------------------------✁


[1] โรปท็อป (Rope Top) คือ ผู้ที่ทำการมัด
[2] โรปบันนี่ (Rope Bunny) คือ คำแสลงที่ใช้เรียกผู้ถูกมัดด้วยเชือก ส่วนคำปกติที่ใช้กันจะเรียกว่า โรป บอทท็อม (Rope Bottom)


บทความที่เกี่ยวข้อง

- [HOW TO] เพิ่มความยืดหยุ่นแบบบัลเล่ต์พื้นฐาน http://bit.ly/34yVON4


ท่า Attitude
https://imgur.com/ZbwAOWw
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 22:05:25 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 21

หลังจากนายท่านพาบีมเข้ามายังห้องนอนอันกว้างขวางที่มีเพียงแสงจันทร์เล็ดลอดผ่าน บีมก็ได้แต่นั่งในท่าเบญจางคประดิษฐ์ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม พลางลอบมองผู้เป็นนายแกะมัดเกลียวเชือกที่มีการผูกเก็บอย่างเป็นระเบียบ ทว่าเรือนร่างแสนสุภาพทรงอำนาจกลับอาบไล้แสงจันทร์จนน่าหลงใหล ร่างกายที่เคยถูกกลั่นแกล้งจนแทบปลดปล่อยจึงมีปฏิกิริยาอย่างไม่ต้องพยายาม

“ตกลงนายเลือกได้หรือยังว่าอยากจะฝึกท่าไหนให้ชำนาญ” ผู้เป็นดอมเอ่ยถามราวกับขอความคิดเห็น แต่อันที่จริงมันคือคำสั่งให้ปฏิบัติตาม หากถามว่าทำไมบีมถึงมองอีกฝ่ายในสถานะ ‘ดอม’ แทน ‘โรปท็อป’ คงเป็นเพราะศาสตร์การมัดเชือกชิบาริในเวลานี้คือส่วนหนึ่งของการเพลย์

ดังนั้นผู้ที่ทำการมัดจึงมีสถานะเป็นดอม แต่ถ้าหากสถานการณ์ใดที่มีเชือกเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยไม่ได้อยู่ภายใต้คราบของการเพลย์ อีกฝ่ายย่อมถูกเรียกขานว่าโรปท็อปหรือริงเกอร์

“ท่า arabesque ครับ” บีมเอื้อนเอ่ยตามที่เคยตกลงกัน ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงเวลาที่เจ้านายสาวเกลียวเชือกขนาด 8 เมตรจนเสร็จสิ้น ซึ่งเชือกที่นายท่านเลือกใช้จะเป็นเชือกปอกระเจา เพราะเหมาะกับการมัดทั้งบนพื้นและแบบแขวน อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง เพียงแต่ผิวหยาบเล็กน้อย แต่กระนั้นนายท่านก็มักจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่ผ่านกระบวนการอันเหมาะสม สัมผัสของตัวเชือกจึงไม่ระคายผิว

“เริ่มเลยสิ ยืนเฉยอยู่ทำไม” นายท่านกล่าวพลางเลิกคิ้ว จากนั้นจึงปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้เพื่อใช้โซ่เหล็กยึดเหนี่ยวห่วงสำหรับมัดแขวน หรือที่เรียกกันว่า ‘ริงก์’ ไว้กับโครงสร้างอันแข็งแกร่งที่แอบซ่อนตัวอยู่บนฝ้าเพดานอันเรียบหรู ซึ่งบีมคาดเดาเอาเองว่า คุณนัทคงจะจ้างช่างมาต่อเติมตอนย้ายมาอยู่ที่ห้องของบีม หลังจากทราบว่าบีมเป็นโรคเดินละเมอ เพราะก่อนหน้านั้นบีมไม่เคยเห็นมันอยู่ในห้องนี้

“นายอย่าคิดว่าผมให้โอกาสแล้วจะดื้อดึงยังไงก็ได้นะ” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางก้าวขาลงจากเก้าอี้ บีมจึงรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้ขาข้างหนึ่งรองรับน้ำหนักตัว ส่วนขาอีกข้างยกไปทางด้านหลังเป็นเส้นตรง พร้อมพอยน์เท้าเพื่อความสวยงาม ขณะที่แขนข้างหนึ่งวาดขึ้นเหนือศีรษะ ส่วนอีกข้างหนึ่งวาดออกทางด้านข้าง ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ผู้เป็นดอมจ้องมองด้วยความหลงใหล เพราะเรือนร่างแสนอ่อนช้อยให้ความรู้สึกสง่างามราวกับหงส์ขาว นัทจึงไม่ค่อยแปลกใจที่บีมฝึกเต้นลีลาศได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอีกฝ่ายมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ แต่กระนั้นผู้เป็นนายก็จำต้องข่มอารมณ์แห่งความชื่นชมไว้ในส่วนลึก เพื่อสวมบทบาทครูสอนบัลเล่ต์ผู้แสนเข้มงวด

“นายเคยสังเกตตัวเองบ้างไหม ทำไมฝึกกี่ปีถึงไม่เคยคืบหน้า” สิ้นคำถามจากนายท่าน หงส์ขาวที่ถูกย้อมทับด้วยสีดำก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่และยังก้มหน้าจนเกือบจะชิดอก ผู้เป็นนายจึงลอบฉายแววขบขันต่อท่าทีอันแสนหวาดกลัวจนหัวหด ส่งผลให้การประชิดตัวของผู้ทรงอำนาจ เร่งเร้าให้บีมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ แต่ก็ยอมก้าวเดินตามแรงฉุดรั้งแต่โดยดี เพราะจิตใจกำลังจมจ่อมอยู่กับถ้อยคำติเตียน

“ตอบสิ” นายท่านถามย้ำพร้อมใช้ฝ่ามืออันแข็งแกร่งลากไล้ไปตามช่วงแขนของฝ่ายซับ ก่อนจะรวบตั้งตรงและแนบชิดบริเวณศีรษะ ความรู้สึกวาบหวามจึงถูกกระตุ้นอย่างเป็นทางการ แต่แล้วกุญแจมือหนังก็ถูกนำออกมาใช้เพื่อจำกัดอิสรภาพ ส่งผลให้เกลียวเชือกสีน้ำตาลพันธนาการร่างเพรียวไว้กับริงก์ทรงกลมได้อย่างแน่นหนา

“ม..ไม่ทราบครับ” บีมเอ่ยตอบเสียงสั่นเมื่อนัยน์ตาร้อนแรงกำลังทอดมองด้วยความคาดคั้น ขณะที่ฝ่ามือร้อนระอุกำลังลูบไล้ทรวดทรวงที่มีส่วนโค้งเว้าอย่างชัดแจ้ง ทำให้บีมเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง แผ่นอกกระเพื่อมไหวด้วยความถี่รัว    กระทั่งชายกระโปรงถูกเลิกรั้งจนเปิดเผยเนื้อหนังภายใต้ถุงน่องสีขาวขุ่น ใจของบีมก็คล้ายกับหล่นวูบไปตามสัดส่วนที่ถูกสัมผัส จากนั้นแววตาเป็นประกายก็ปรากฏเมื่อกุญแจมือหนังเพิ่มสัดส่วนของการจำกัดอิสรภาพบริเวณปลายเท้า ท่วงท่าของบีมในเวลานี้จึงคล้ายกับท่าอะราเบสก์ แต่ทว่าการถูกพันธนาการกลับทำให้รู้สึกอับอาย เพราะมันก็ไม่ต่างกับการเปิดเปลือยส่วนเร้นลับให้อีกฝ่ายเฝ้ามอง

“นายอย่าแสดงท่าทีใสซื่อไปหน่อยเลย ใครเห็นก็รู้ว่าสมองของนายคิดแต่เรื่องอย่างว่า เวลาที่ผมช่วยจัดแจงท่าทางให้เหมาะสม ตรงนี้ถึงได้ชอบแสดงอาการขึ้นมาทันที” นายท่านเอื้อนเอ่ยวาจาแสนร้ายกาจพลางกลั้วหัวเราะเพียงเล็กน้อย ขณะที่ฝ่ามือซุกซนกำลังลูบไล้เรียวขาด้วยความเชื่องช้า พร้อมลดระดับลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งสัมผัสกับความคับแน่นผ่านชุดบัลเล่ต์อันเรียบลื่น

“อะ..อา..อือ” บีมได้แต่บิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่าน เพราะฝ่ามือของนายท่านกำลังแสดงความใจกว้างต่อการทักทายส่วนนั้นผ่านถุงน่องสีขาวอันบางเบาที่ไม่ต่างกับการสัมผัสผิวเนื้อนวลเนียน ซ้ำยังนวดคลึงราวกับนวดแป้งทำขนม ความรู้สึกเสียวกระสันจึงซูบฉีดไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็ว อาจเพราะบีมถูกพันธนาการจนไร้ทางสู้ สัญชาตญาณของผู้ถูกกระทำเลยค่อย ๆ ตื่นตัวด้วยความสุขสม

“ครวญครางขนาดนี้ แสดงว่านายเริ่มจะมองเห็นความไม่เอาไหนของตัวเองแล้วสินะ” นายท่านกล่าวด้วยความพึงพอใจ เพียงแต่ในวินาทีถัดมากลับทำให้บีมสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว เมื่อฝ่ามือหนาฟาดลงบนสะโพกกลมกลึงไม่ยั้งเรี่ยวแรง

“อ๊า” บีมเปล่งเสียงร้องด้วยความสุขสม เพราะรับรู้ได้ว่ายิ่งร้องครวญครางมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสร้างความพึงพอใจให้กับนายท่านมากเท่านั้น

“ถึงผมจะช่วยมัดนายให้อยู่ในท่วงท่าที่เหมาะสม แต่นายก็ควรจะพอยน์เท้าเพื่อความสวยงามด้วยไม่ใช่เหรอ ?” นายท่านกล่าวพลางฟาดเรียวขาอีกข้างเป็นการสั่งสอน จากนั้นจึงใช้เกลียวเชือกสีน้ำตาลเข้มผูกคล้องต้นขาของบีมไว้กับริงก์ด้านบน เพื่อที่การพันธนาการจะได้แน่นหนาและมีความปลอดภัยมากขึ้น ท่าทางของบีมจึงไม่ต่างกับนักบัลเล่ต์ผู้งามสง่า

“คิดดูสิ ผมปรานีนายมากแค่ไหน” นายท่านยังคงเอื้อนเอ่ยขณะลากสัมผัสไปตามเรียวขา บีมจึงได้แต่เชิดหน้าซึมซับการปลุกเร้าที่ทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน สุ้มเสียงแห่งความสุขสมจึงถูกปลดปล่อยออกมาเป็นระยะ เสริมสร้างความคับแน่นชื้นแฉะให้กับผู้เป็นนายอย่างไม่ต้องปรนเปรอด้วยสัมผัส

“ข..ขอบ..อื้อ..คุณครับ” บีมเอ่ยเสียงกระเส่าพลางไล้เลียริมฝีปากอันแห้งผาก ขณะบิดเร้ากายด้วยความหวามไหว เมื่อฝ่ามือคู่นั้นกำลังเคลื่อนมาทักทายยอดอกชูชันที่โผล่พ้นเนื้อผ้าเสริมสร้างความรู้สึกแสนอับอาย

“เมื่อก่อนเท้าของนายมักจะเต็มไปด้วยบาดแผล” นายท่านกล่าวพลางละฝ่ามือข้างนั้นไปตามทรวดทรงของเรือนร่างงดงาม โดยอ้อมผ่านส่วนไวสัมผัสและช่องทางด้านหลังด้วยความจงใจ ก่อนจะบรรจงถอดรองเท้าสำหรับเต้นบัลเล่ต์ออกด้วยความแผ่วเบา

“แต่เวลานี้เท้าของนายกลับนุ่มนวลชวนสัมผัส..” นายท่านยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า แต่ทว่าฝ่ามือกลับฉีกกระชากถุงน่องสีขาวอย่างไม่คิดเสียดาย ส่งผลให้ปลายลิ้นร้อนเล็มไล้เรียวเท้าของฝ่ายซับด้วยความหลงใหล กระแสไฟฟ้าอันไร้ที่มาจึงมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่ช่วงล่างพาลชุ่มฉ่ำด้วยความรัญจวน

“อ๊ะ..อ๊า..” บีมดิ้นพล่านด้วยความซาบซ่าน อาจเพราะปลายเท้าคือจุดศูนย์รวมของประสาทสัมผัส และมันก็เสริมสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนาย เนื่องจากการดิ้นรนก็ไม่ต่างกับการปลุกเร้าความสุขสมให้งอกเงย

“ร่านเหมือนร่างกายของนายไม่มีผิด” เรือนร่างทรงอำนาจเคลื่อนเข้ามากระซิบชิดริมหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ส่งผลให้ถ้อยคำดังกล่าวเร่งเร้าความต้องการของบีมจนถึงขีดสุด หยาดหยดแห่งความสุขสมพร่างพรมด้วยความเปิดเผย

“นายกำลังทำให้ผมเสียใจที่มีลูกศิษย์ไม่ตั้งใจเรียน ดูสิผมทุ่มเทช่วยเหลือให้นายกลายเป็นหงส์ขาวแสนบริสุทธิ์ขนาดไหน แต่สุดท้ายนายก็เป็นได้แค่หงส์ดำที่คิดแต่เรื่องลามก” นายท่านกล่าวพลางผูกคล้องเกลียวเชือกไว้กับช่วงเอวของบีมพร้อมลอดผ่านเนื้อผ้าอันบางเบาเบื้องล่าง ก่อนจะเดินวนรอบเรือนร่างแสนเย้ายวนที่กำลังห้อยโหนอยู่กลางอากาศ ส่งผลให้ลำตัวของบีมหมุนคว้างราวกับเต้นระบำ

“อ๊า..ผ..ผม..อื้อ” บีมได้แต่ร้องครวญครางอย่างเสียวกระสัน เมื่อเกลียวเชือกบดเบียดช่องทางด้านหลังด้วยความแนบชิด

“เวลาที่นายกำลังหมุนตัวควรมองไปยังจุดพักสายตาไม่ใช่เหรอ ?” นายท่านย้ำเตือนด้วยความหวังดี แต่กระนั้นการกระทำกลับตรงกันข้าม เพราะเกลียวเชือกยังคงเสียดสีส่วนล่างที่มีเพียงถุงน่องบางเบาขวางกั้นอย่างต่อเนื่อง

“อ๊ะ..ผม..” บีมอุทานได้เพียงแค่นั้น เพราะความเสียวซ่านกำลังชักพาให้สายตาไม่อาจมองไปยังบริเวณดังกล่าว แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้บีมเวียนหัว เนื่องจากการหมุนตัวไม่ได้รวดเร็วเหมือนกับการแสดงบนเวทีของนักบัลเล่ต์มืออาชีพ

“ดูเหมือนผมคงต้องสนองความคิดแบบนั้นของนายสักหน่อย เผื่อจะตั้งใจเรียนมากขึ้น” กระทั่งอ้อมแขนของนายท่านโอบอุ้มเนื้อตัวของบีมไว้ สุ้มเสียงสุดแสนใจดีที่เอื้อนเอ่ยก็ทำให้บีมเฝ้ามองคนตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง แต่กระนั้นในอกกลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะบีมชื่นชอบการเล้าโลมยิ่งกว่าสิ่งใด อีกทั้งช่วงที่แม่มาอยู่ด้วย บีมแทบไม่ได้เพลย์อย่างเต็มรูปแบบ ร่างกายจึงถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดาย   

“นายคงจะชอบอะไรแบบนี้สินะ เพราะแววตาของนายมันปิดไม่เคยมิด” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางปลดรั้งพันธนาการตรงบริเวณข้อมือจนหลงเหลือเพียงกุญแจมือบุนุ่ม บีมเลยต้องพยายามใช้ปลายเท้าอันแสนอิสระพยุงน้ำหนักตัวไม่ให้เสียหลัก แต่กระนั้นก็ยากเต็มที นายท่านจึงสละเรือนร่างอันน่าหลงใหลให้เป็นแหล่งพักพิง จากนั้นเกลียวเชือกที่เคยพันรัดตรงช่วงต้นขาก็พลันห่างหายและทิ้งร่องรอยแห่งศิลปะอันน่าหลงใหลที่แอบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ถุงน่องสีขาวขุ่น

ทว่าบีมได้แต่อุทานด้วยความตกใจ เมื่อถูกอีกฝ่ายรวบตัวขึ้นกลางอากาศพร้อมห้อยศีรษะลงกับพื้น ก่อนจะพันธนาการข้อเท้าทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน ส่งผลให้ชายกระโปรงพลิ้วไหวเผยอขึ้นจนหมดสิ้น ขณะที่แผ่นหลังของบีมกำลังนอนราบไปกับพื้นพรม เหตุเพราะการลดระดับความผาดโผน จากนั้นวิถีสายตาของร่างอันไร้อิสระจึงทอดมองเรือนร่างสูงโปร่งของผู้เป็นนายด้วยความจดจ่อ คล้ายกับเฝ้ารอการสอนสั่งอันแสนหฤหรรษ์ในลำดับต่อไป

“นายยังคงมีรสนิยมที่น่าสนใจไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ” นายท่านเอื้อนเอ่ยอย่างมีนัยยะ หลังจากจุดเทียนสีขาวสะอาดแท่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะริมกระจก โดยมีดวงตาแสนงดงามของฝ่ายซับจ้องมองเปลวเทียนเหลืองอร่ามที่กำลังเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ด้วยความหลงใหล เพราะบีมอยากจะลิ้มลองการ ‘แว็กซ์เพลย์’ มาสักพักแล้ว

ซึ่งนายท่านเลือกใช้แท่งเทียนจากไขมันของต้นศรีทองที่สั่งตรงมาจากญี่ปุ่น เพราะมันมีจุดหลอมเหลวเพียง 51 องศาเลยไม่ร้อนเกินไป อีกทั้งยังไม่มีเขม่าควันหรือคราบสีดำจากน้ำตาเทียนให้รำคาญใจ หากถามว่าทำไมถึงไม่เลือกใช้เทียนไหว้พระ เทียนวันเกิด หรือเทียนเจลที่มันหาง่ายกว่า คงเป็นเพราะเทียนเหล่านี้มีจุดหลอมเหลวสูง จึงส่งผลให้น้ำตาเทียนมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วย ดังนั้นอาจเกิดอันตรายระหว่างการเพลย์ก็เป็นได้

นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทียนจากไขมันถั่วเหลือง พาราฟิน รวมถึงไขผึ้งในการเพลย์ได้เหมือนกัน แต่โดยส่วนตัวคุณนัทบอกว่าเทียนพาราฟินไม่ค่อยเหมาะต่อการเพลย์ เพราะมันกลั่นจากน้ำมันดิบ แถมยังปล่อยควันเยอะและยังปล่อยสารเคมี ส่วนเทียนไขผึ้งที่สกัดได้จากรังผึ้งจะไม่มีน้ำตาเทียนจึงต้องผสมกับเทียนพาราฟิน ดังนั้นเทียนญี่ปุ่นจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณนัท แต่กระนั้นก็หาซื้อยาก จึงไม่แปลกที่เทียนจากไขมันถั่วเหลืองจะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะมันหาซื้อง่ายและไม่มีเขม่าควันให้รำคาญใจ

“หลับตาแล้วเอามือวางไว้เหนือศีรษะ” สิ้นถ้อยคำนั้นดวงตาพราวระยับของบีมก็จำต้องปิดสนิทอย่างว่าง่าย โสตประสาททางการได้ยินจึงเริ่มทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเวลานี้บีมกำลังได้ยินเสียงฝีเท้าของนายท่านเคลื่อนผ่านด้วยความเชื่องช้า แต่ทว่ากลับหนักแน่นจนบีมเริ่มรู้สึกกริ่งเกรง

“อ๊า” ทันทีที่น้ำตาเทียนตกกระทบลงสู่เรียวขาภายใต้ถุงน่องสีขาวขุ่น เรือนร่างงดงามไร้หนทางหลบหนีจึงออกอาการดิ้นพล่านอย่างทุกข์ทรมาน แต่ทว่าในอกล้วนเต็มไปด้วยความเสียวกระสัน อีกทั้งการหลับตายังนำพาให้เกิดอาการตื่นเต้นโดยง่าย

“เวลาที่นายดีดดิ้นอย่างไร้หนทางหลีกหนี ช่างน่าเอ็นดูจังเลยนะ” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของนายท่านคล้ายกับปัดเป่าความอุ่นร้อนจากน้ำตาเทียนได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นสัมผัสดุจปุยนุ่นจากฝ่ามือหนาที่กำลังลากไล้ไปตามทิศทางที่น้ำตาเทียนร่วงโรยกลับอบอุ่นยิ่งกว่า

“อ๊ะ..อ๊า” แต่สุดท้ายความอบอุ่นเหล่านั้นกลับเป็นเพียงภาพฝัน เมื่อน้ำตาเทียนกรุ่นไออุ่นกำลังแต่งแต้มลงบนผิวกายของนักบัลเล่ต์ผู้แสนอ่อนหัด พร่างพรมตั้งแต่บริเวณหน้าท้องแบนราบไปจนถึงยอดอกชูชัน บีมจึงได้แต่ดิ้นพล่านด้วยความหวามไหว

“นายคงชอบอะไรแบบนี้จริง ๆ สินะ” นายท่านทรุดตัวลงนั่งยองพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ พลางใช้ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไล้ไปตามทิศทางของการโปรยปราย ส่งผลให้ร่างเพรียวบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน ซ้ำยังแอ่นกายเข้าหาสัมผัสชวนฝัน ส่งผลให้เสียงหอบหายใจของบีมดังระงมจนทั่วห้องตามการกระเพื่อมไหวของแผ่นอก ทำเอาชายหนุ่มผู้หลงใหลต่อการควบคุม จ้องมองภาพนั้นด้วยความเผลอไผล

“อา..นายท่าน” ขณะที่บีมได้แต่เอื้อนเอ่ยราวกับต้องการวอนขอความหฤหรรษ์ เรือนร่างเย้ายวนจึงพลิ้วไหวไปตามจังหวะของการปรนเปรอที่ไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง

“พอเป็นเรื่องแบบนี้ลูกศิษย์แสนร่านของผมดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีเลยนะ” สิ้นถ้อยคำอันแสนร้ายกาจความรู้สึกเสียวกระสันก็พลันพุ่งพรวดออกมาจากทุกอณุความรู้สึก ผสมปนเปไปกับความซาบซ่านของน้ำตาเทียนอันน่าหลงใหล

แต่ทว่าเรือนกายของบีมกลับถูกพลิกคว่ำอย่างไม่ทันตั้งตัว เนื่องจากมองไม่เห็นสิ่งใด ร่างเพรียวผู้ไร้อิสระจึงสะดุ้งเฮือกด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นร้องครวญคราง เมื่อน้ำตาเทียนบรรจงพร่างพรมลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นจากชุดบัลเล่ต์ตัวบางจนถ้วนทั่ว

“หมดเวลาพักอันแสนหฤหรรษ์ของนายแล้ว” นายท่านกล่าวพลางปลดปล่อยให้บีมเป็นอิสระ แต่ทว่าเนื้อตัวของบีมกลับสั่นเทาด้วยความหวามไหว ในอกพลันกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่ง เพราะต้องการให้คนตรงหน้าฉีกกระชากร่างกายให้สาสม

“ลูกศิษย์แสนอ่อนหัดอย่างนายคงยังจำท่า A grand jeté ได้อยู่นะ” นายท่านเอ่ยถามพลางปลดตะขอที่เกี่ยวรั้งกุญแจมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน หงส์ขาวผู้ถูกย้อมทับด้วยสีดำจึงได้รับอิสรภาพเพียงชั่วคราว

“จ..จำได้ครับ” บีมเอ่ยตอบเสียงกระเส่าพลางยืนกระมิดกระเมี้ยนเมื่อต้องการปลดปล่อย แต่พอโดนสายตาดุดันจ้องมองด้วยความเฉียบขาด ใบหน้าวาบหวามเลยได้แต่ก้มหน้าชิดอกอย่างสงบเสงี่ยม

“ด้วยความใจกว้างของผมแล้ว ต่อให้นายทำได้ดีหรือไม่ดี ผมก็ต้องช่วยนายฝึกแกรนด์เจทพร้อมกับเล่นสนุกตามที่นายปรารถนา” นายท่านกระซิบชิดริมหูซ้ำยังเป่าลมยั่วเย้าให้ใจสั่น ก่อนจะเดินถือแท่งเทียนไปวางทิ้งไว้ยังโต๊ะริมกระจกและเฝ้ามองบีมด้วยนัยน์ตาสุดร้อนแรงตรงปลายเตียง

“ถ้าหากนายมัวแต่ยืนนิ่งอยู่แบบนี้ ผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ ทีนี้ต่อให้นายมานั่งอ้อนวอนตรงแทบเท้าก็ไม่ได้ผล” นายท่านกล่าวพลางเอนตัวไปทางด้านหลังด้วยท่วงท่าที่แสนผ่อนคลาย ขณะนั่งไขว้ขาพร้อมเหลือบตามองมายังบริเวณปลายเท้าประกอบคำพูด ส่งผลให้บีมรู้สึกว่าท่วงท่าดังกล่าวของอีกฝ่าย เสริมสร้างภาพลักษณ์สุดเซ็กซี่แต่ก็แสนสุภาพอย่าบอกใคร

บีมจึงไม่รอช้าที่จะพอยน์เท้าซ้ายแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้าประมาณสองก้าว พร้อมย่อตัวลงเพื่อเตรียมกระโดดฉีกขากลางอากาศ ขณะที่เรียวแขนทั้งสองข้างค่อย ๆ วาดขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่วงท่าสง่างามดุจหงส์ขาวแสนบริสุทธิ์ ส่งผลให้ผู้เป็นนายหลงใหลต่อภาพลักษณ์ดังกล่าว โดยไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันเป็นเพราะมนต์เสน่ห์ของอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะแสงจันทร์ที่ตกกระทบร่างนั้นจนทำให้ทุกการกระทำล้วนน่ามอง

“คลานเข้ามารับรางวัลจากผมสิ” นายท่านกล่าวพลางยื่นมือออกมาราวกับต้องการให้บีมส่งมอบอิสรภาพของตัวเองคืนกลับไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นของรางวัลที่แสนดีงาม เพราะการถูกพันธนาการจนไร้สิ้นหนทางหลีกหนี มันทำให้อะดรีนาลีนหลั่งไหลอย่างบอกไม่ถูก

“ลูกศิษย์ของผมพอมีเรื่องลามกเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ” นายท่านกล่าวพลางเกี่ยวรั้งตะขอกักกั้นอิสรภาพ จากนั้นจึงลูบไล้เรือนผมของบีมคล้ายกับลูบศีรษะของสุนัขแสนเชื่องพร้อมโอบประคองให้ลุกขึ้นยืน 

“นายกำลังจะได้รับรางวัลชุดใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่คิดขอบคุณผมอีกหรือไง” นายท่านเอ่ยแกมดุ ขณะใช้เกลียวเชือกพันรัดข้อมือของบีมไว้กับราวเหล็กที่เชื่อมต่อกับเสาเตียงทั้งสี่ด้าน คล้ายกับคาดคะเนเอาไว้แล้วว่าระดับของเชือกควรจะอยู่ตรงจุดไหนถึงจะเหมาะแก่การมอบรางวัล

“ขอบคุณครับ” บีมกล่าวเสียงแผ่วพลางปีนขึ้นไปยังเตียงนอนตามสายตาสั่งการของนายท่าน จากนั้นช่วงเอวได้รูปและเนื้อผ้าอันเรียบลื่นบริเวณช่วงล่างก็ถูกพันรัดด้วยเกลียวเชือกเพื่อให้สะดวกต่อการพยุงตัวกลางอากาศและง่ายต่อการส่งมอบของรางวัล

“ช่างเป็นลูกศิษย์ที่ว่านอนสอนง่ายดีจริง ๆ ผมชอบ” นายท่านเอ่ยชื่นชมจนบีมเก้อเขิน แต่กระนั้นก็ไม่อาจแสดงออกได้นานนัก เพราะอีกฝ่ายค่อย ๆ ประคองเรียวขาให้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ก่อนจะใช้เกลียวเชือกเส้นใหม่พันธนาการข้อเท้าของบีมไว้กับเสาเตียงทรงสูง

“การจะทำท่าแกรนด์เจทให้สวยงามและโดดเด่นได้จะต้องมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง” นายท่านอธิบายพลางจำกัดอิสรภาพของบีมอย่างเต็มรูปแบบ เรียวขาทั้งสองข้างจึงลอยละล่องราวกับหงส์ขาวที่กำลังแหวกว่ายอยู่เหนือผิวน้ำ

“ดูท่าทางของนายในตอนนี้สิ..” สิ้นคำชักชวนจากนายท่าน บีมจึงเอี้ยวตัวมองไปยังด้านหลังอย่างไม่เข้าใจนัก

“อ๊า” แต่ทว่ากลับถูกสอนสั่งด้วยแส่พู่ตรงบริเวณเรียวขา บีมจึงต้องพยายามออกท่าทางราวกับกำลังโบยบินอยู่กลางอากาศเหมือนกับท่วงท่าของแกรนด์เจท เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่พันธนาการข้อเท้าของบีมไว้ เพื่อให้บีมพยายามฝึกฝนด้วยตัวเอง

“เหมือนกับหงส์ขาวบนเวทีเลยนะว่าไหม ?” นายท่านเอื้อนเอ่ยขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนตรงหน้าฝ่ายซับ พร้อมส่งคมมีดที่มีลักษณะโค้งงอให้บีมลองใช้ต่างกระจก หัวใจของบีมพลันเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ดวงตากลมสวยจึงเฝ้ามองภาพสะท้อนของตนเองไม่วางตา ก่อนจะฉายแววเขินอายจนปิดไม่มิด เนื่องจากเวลานี้บีมกำลังถูกพันธนาการด้วยการอ้าขาเปิดโชว์ส่วนกลางลำตัวที่มีเพียงชายกระโปรงบางเบาปกปิดด้วยความหมิ่นเหม่

“หากผมกำจัดชิ้นส่วนที่มันรกหูรกตาออกไป..” บีมเฝ้ามองอีกฝ่ายที่กำลังพลิกคมมีดไปมาด้วยความลนลานจึงพยายามดีดดิ้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเล่นสนุกตามอำเภอใจ แต่ทว่าในอกกลับรู้สึกตื่นเต้นและสุขสมกับรสชาติอันแสนหฤหรรษ์

“กลัวสินะ” นายท่านกล่าวเพียงแค่นั้นแล้วก็ผละตัวออกห่างจากเตียงนอนหลังกว้าง เพราะเดิมทีเคยตกลงกันไว้ว่าจะลองทดสอบความรู้สึกของการเบลดเพลย์แบบไม่จริงจังนัก เพื่อที่จะได้สังเกตความต้องการของตนเองก่อนจะเริ่มเพลย์แบบจริงจังในโอกาสถัดไป

“ด้วยความเอาใจใส่ของผมแล้ว ย่อมรู้ดีว่าลูกศิษย์ของผมชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ” นายท่านเริ่มเอื้อนเอ่ยอีกครั้งจากนั้นเงาร่างที่กำลังส่องสะท้อนกำแพงบริเวณเบื้องหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้ ซึ่งมันทำให้บีมมองเห็นดิลโด้แท่งใหญ่ในมือของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

“อ๊ะ” แต่แล้วบีมก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อนายท่านฉีกกระชากถุงน่องสีขาวขุ่นตรงบริเวณช่วงล่างอย่างไม่ปรานี ส่งผลให้ผิวเนื้อขาวนวลที่อาบไล้แสงจันทร์เพียงบางเบาปรากฏสู่สายตา

“เห็นของรางวัลของนายหรือยัง ชอบหรือเปล่าล่ะ” นายท่านเหยียบย่างขึ้นมายังเตียงนอนหลังกว้างพร้อมส่งมอบดิลโด้ให้บีมได้สัมผัสด้วยความใกล้ชิด ริมฝีปากได้รูปจึงค่อย ๆ กลืนกินความโอ่อ่าที่มีผิวสัมผัสราวกับหนามกุหลาบจนน้ำลายหยดย้อย ขณะที่ปลายเท้าของนายท่านกลับเคล้าคลอเย้าหยอกส่วนอ่อนไหวของคนเบื้องล่างที่กำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศด้วยความเพลิดเพลิน

“อืออ” บีมได้แต่ร้องครวญครางในลำคอด้วยความเสียวซ่าน ขณะบิดเร้ากายจนแนวซี่โครงอันเป็นระเบียบเปิดเผยสู่สายตาของฝ่ายดอมอย่างน่าหลงใหล

“อดใจไม่ไหวแล้วสินะ” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางก้มหน้ามองบีมด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ส่งผลให้ช่วงล่างเร่งเร้าปฏิกิริยามากกว่าเดิม

“ใช่หรือเปล่า ?” นายท่านเอ่ยถามพลางกระซิบชิดริมหูพร้อมกับเปิดโอกาสให้บีมได้มอบคำตอบที่แสนน่าฟัง ซ้ำยังชโลมเจลหล่อลื่นอย่างเอาใจใส่ จนบีมจ้องมองภาพนั้นไม่วางตา ส่งผลให้เรียวลิ้นเล็กเผลอไล้เลียริมฝีปากด้วยความหื่นกระหาย

-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 22:21:30 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นลูกศิษย์ที่แสนร่านของผม” นายท่านเอื้อนเอ่ยพลางส่งมอบดิลโด้แท่งนั้นทักทายช่องทางด้านหลังด้วยความนุ่มนวล ขณะที่ริมฝีปากกลับเอาแต่เฝ้าปรนเปรอยอดอกชูชันผ่านเนื้อผ้าอันเรียบลื่น

“อ..อ๊า” บีมเชิดหน้าพลางร้องครวญครางด้วยความหวามไหว เมื่อความหฤหรรษ์เข้ามาทักทายอย่างเต็มรูปแบบ เรียวขาจึงพลันเกร็งตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ผมเลือกแบบที่มีการปรับระดับการสั่นเพื่อนายเลยนะ” นายท่านยังคงบอกกล่าวสรรพคุณของรางวัลด้วยความใจเย็น ซ้ำยังขบกัดยอดอกอันโดดเด่นด้วยความเพลิดเพลิน

“อื้อ..อ๊า..” บีมในเวลานี้ไม่มีสติมากพอที่จะตั้งใจฟังเรื่องราวที่ท่านนายบอกกล่าว เพราะสมองกำลังขาวโพลนคล้ายกับปลิดปลิวไปตามสายลม ขณะที่ร่างกายกลับดิ้นพล่านด้วยความกระสัน แต่ก็ไม่อาจหลีกหนีไปไหนได้ ความรู้สึกจึงถูกกระตุ้นเร้าเป็นทบทวี

“ดูเหมือนเสียงของนายจะดังเกินไปแล้ว ผมคงต้องหาอะไรปิดปากสักหน่อย” นายท่านกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ส่งผลให้ใบหน้าของบีมสัมผัสกับส่วนแข็งแกร่ง ความรู้สึกในส่วนลึกจึงถูกปั่นป่วนด้วยความบ้าคลั่ง ความเสียวซ่านจึงมาเยือนอย่างถาโถม

“อือออ” บีมได้แต่ร้องครวญครางในลำคอ เมื่อความคับแน่นของอีกฝ่ายเข้ามาทักทายอย่างไม่ทันตั้งตัว ซ้ำยังกระแทกกระทั้นราวกับต้องการสั่งสอนที่เมื่อครู่บีมส่งเสียงดังจนเกินไป ซึ่งบีมรู้ดีว่ามันเป็นแค่เพียงข้ออ้าง แต่กระนั้นในอกกลับรู้สึกเต็มใจนอบรับการสอนสั่งในครั้งนี้ กระทั่งเรี่ยวแรงดังกล่าวเริ่มเกินขีดจำกัด อีกฝ่ายจึงถอนตัวกลับมา ซ้ำยังลูบไล้เรือนผมของบีมด้วยความแผ่วเบา

“จูบมันเสียหน่อยสิ” นายท่านยังคงสั่งการซ้ำยังลูบไล้เรือนผมของบีมเล่นไม่หยุด ทำเอาบีมรีบจูบซับส่วนนั้นด้วยความรักใคร่

“ชอบมันใช่ไหม ?” นายท่านเอ่ยถามพลางเชยปลายคางของบีมให้มองสบกัน แววตาของบีมจึงไหวระริกด้วยความเก้อเขิน แต่กระนั้นกลับเอื้อนเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ชอบครับ”

“ชอบมากแค่ไหน ?” เป็นอีกครั้งที่คำถามของนายท่านชักชวนให้บีมหน้าร้อนเห่อ ก่อนจะถูกแววตาทรงเสน่ห์แผดเผาจนเผอเรอตอบคำถามโดยไม่รู้ตัวว่า “ชอบมาก”

“ชอบมากจนถึงขนาดอยากให้มันทำหน้าที่มอบรางวัลแทนดิลโด้เลยหรือเปล่า ?” นายท่านเอ่ยถามพลางใช้ปลายนิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปากของบีมด้วยความแผ่วเบา ก่อนออกแรงกดย้ำความอวบอิ่มด้วยความเพลิดเพลิน บีมจึงเผลอพยักหน้าด้วยความลุ่มหลง

“ส่งเสียงให้ผมชื่นใจหน่อยสิว่าอยากหรือเปล่า” ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบการควบคุมเร่งเร้าพร้อมกับลุกออกจากเตียง บีมจึงมองตามร่างนั้นจนเหลียวหลัง

“อยา..อ๊า” บีมเอื้อนเอ่ยยังไม่ทันจบประโยค อุปกรณ์หรรษาก็ถูกดึงรั้งออกจากร่างกาย ส่งผลให้เรือนร่างงดงามกระตุกเกร็งด้วยความเสียวซ่าน

“อย่าเพิ่งใจร้อนรีบปลดปล่อยเสียก่อนล่ะ” สิ้นคำพูดนั้นสุ้มเสียงของนายท่านก็พลันเงียบหาย บีมจึงพยายามเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตื่นตัวเมื่อสังเกตเห็นเงาร่างซ้อนทับกัน และตามมาด้วยเสียงฉีกขาดจากซองพลาสติก

“อ๊า” แต่แล้วความเงียบสงบก็ดำเนินต่อไปได้ไม่นาน เมื่อความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเข้ามาทักทายด้วยความรวดเร็วและรุนแรง อาจเพราะนายท่านเฝ้าอดทนมาตั้งแต่เริ่มซีน เรี่ยวแรงจึงโหมกระหน่ำราวกับพายุ ร่างกายของบีมจึงไหวเอนไปมาราวกับถูกไกวชิงช้า

“อา..อ๊า..” บีมกรีดร้องด้วยความสุดกลั้น เพราะวันนี้นายท่านร้อนแรงและดุดันมากกว่าครั้งไหน แต่ทว่าบีมกลับชื่นชอบภาพลักษณ์นี้อย่างไม่ต้องพิจารณา เพียงแต่ความเสียวซ่านกลับนำพาให้บีมเกร็งร่างเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว

“อา..บีม..ผมอยากจูบคุณ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยราวกับหลุดออกจากม่านมายาแห่งการเพลย์ไปเรียบร้อยแล้ว บีมจึงไม่รอช้าที่ส่งมอบบทจูบพัลวันให้อีกฝ่ายสมใจ ขณะที่เรือนร่างยังคงไหวเอนด้วยความเกร็งค้าง เพราะเรี่ยวแรงกระแทกกระทั้นยังไม่เคยเบาลง

ฝ่ามือของบีมจึงกอบกุมเกลียวเชือกด้วยความหวามไหว คล้ายกับต้องการระบายความเสียวซ่านทดแทนการร่ำร้องด้วยความสุขสม จนกระทั่งผละริมฝีปากออกจากกัน จังหวะเร่งเร้าคล้ายกับโหมกระพืออย่างไม่ปรานี เรียวขาสวยของบีมจึงพลันชาเหน็บ

“แดง! แดง!” บีมรีบร้องตะโกนจนสุดเสียง ส่งผลให้คุณนัทรีบหยุดกิจกรรมดังกล่าวด้วยความตื่นตระหนก

“คุณเป็นตะคริวเหรอครับ ตรงไหน ?” สีหน้าของคุณนัทฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ลืมจะลูบศีรษะปลอบขวัญผู้บาดเจ็บ

“ขาข้างนี้ครับ” สิ้นคำตอบคุณนัทก็รีบปลดปล่อยพันธนาการออกจนหมดพลางโอบกอดบีมไว้ ก่อนจะจัดท่าทางให้บีมนอนพักอย่างสบายตัวพร้อมออกแรงนวดอย่างเอาใจใส่

“ดีขึ้นหรือยังครับ” คุณนัทเอ่ยถามพลางบีบนวดตรงบริเวณที่บีมชี้นำ ขณะที่บีมกลับส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย โดยที่ลมหายใจยังคงถี่กระชั้นด้วยความต้องการอย่างไม่ลดละ เพราะเมื่อครู่บีมใกล้จะแตะฝั่งฝันในไม่ช้า ความอึดอัดแสนทรมานจึงผสมปนเปอย่างบอกไม่ถูก

“คุณกลัวหรือเปล่า ?” คุณนัทเอ่ยถามพลางสอดฝ่ามืออบอุ่นไปตามเรือนผมของบีมด้วยความแผ่วเบา ราวกับต้องการอาฟเตอร์แคร์อย่างเอาใจใส่   

“ไม่กลัวครับ เพราะผมเชื่อใจคุณ” บีมขยับกายซุกซบแผงอกของอีกฝ่ายราวกับต้องการใช้ภาษากายปลอบขวัญ เมื่อคุณนัทกำลังจะก้าวเข้าสู่สถานการณ์ ‘ดอมดรอป’ อย่างเต็มรูปแบบ

“ผมมีความสุขมาก เพราะมันคือการเพลย์ที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” บีมยังคงบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมจุมพิตปลายคางของคนขวัญเสียเพียงแผ่ว ส่งผลให้คุณนัทผละกายออกห่างเพียงเล็กน้อย เพื่อมอบรอยยิ้มสดใสกลับมาให้ จากนั้นทั้งคู่ก็ยังคงอิงแอบแนบชิดกันอยู่อย่างนั้น

“คุณนัท” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเหลือบตามองคนตรงหน้าเพียงครู่

“ครับ ?” ฝ่ายชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ตรงนี้ยังไม่ได้ปลดปล่อยเลยครับ เรามาทำกันต่อเถอะนะ บีมก็ยังไม่ได้ปลดปล่อยเหมือนกัน” บีมจงใจใช้น้ำเสียงออดอ้อน ซ้ำยังลากไล้ฝ่ามืออันซุกซนไปตามแผงอกของคนรักก่อนจะจบลงที่ความคับแน่นอันแสนอ่อนไหว จากนั้นจึงพลิกตัวโก้งโค้งอย่างเชิญชวน

ชายหนุ่มคนรักจึงไม่รอช้าที่จะแนบกายเข้ามาชิดใกล้ พร้อมผสานฝ่ามือไว้ด้วยกัน ขณะที่เรี่ยวแรงเร่งเร้ากลับนำพาให้ร่างกายของบีมสั่นคลอน ไม่ต่างกับตอนที่กำลังลอยล่องอยู่บนเกลียวเชือก บีมจึงเปล่งเสียงครวญหวานอย่างพึงพอใจ สลับกับแลกรสจูบครั้งแล้วครั้งเล่า

“คุณนัท..” เมื่อผละริมฝีปากออกจากกัน บีมจึงร้องเรียกด้วยความอย่างลำบาก เพราะต้องคอยอดกลั้นไม่ให้สุ้มเสียงครวญครางเล็ดลอด

“ครับ” ฝ่ายชายหนุ่มด้านบนแม้จะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ทว่าสะโพกแข็งแกร่งกลับบรรจงกระแทกกระทั้นด้วยความร้อนแรง ทำเอาบีมกอบกำผ้าปูที่นอนจนยุ่งเหยิง

“บีม..อ..อ๊ะ..อยาก..อื้อ..ออนท็อป” กว่าเรือนร่างแสนร้อนแรงจะเอื้อนเอ่ยจบประโยค ความพยายามทั้งหมดที่สั่งสมมาก็พังทลาย แต่กระนั้นความปรารถนากลับถูกส่งมอบภายในชั่วพริบตา

“บีมจะขย่มแรง ๆ” บีมคล้องลำคอของอีกฝ่ายไว้ พลางกระซิบเพียงแผ่วตรงข้างใบหู ซ้ำยังเล็มไล้ด้วยความเย้าหยอก

“คุณนัทระวังจะขาดใจได้นะครับ” สุ้มเสียงปลุกเร้าอย่างแสนอวดดี ทำเอานัทอดใจไม่อยู่ จึงต้องฝากฝังความแดงก่ำไว้บนสะโพกกลมกลึงเสียจนเพลิดเพลิน เพราะ ‘เจ้าตัวดี’ ในค่ำคืนนี้ช่างน่ามันเขี้ยว

“อวดดี” ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยหลังจากชื่นชมความน่ารักของอีกฝ่ายจนสาแก่ใจ ฝ่ามืออบอุ่นจึงรั้งศีรษะของบีมเข้ามาประกบจูบ จากนั้นจังหวะร้อนแรงที่บีมชักพาก็เริ่มดำเนินต่อไปด้วยความบ้าคลั่ง ไม่นานความสุขก็เริ่มพร่างพรมราวกับหยาดหิมะในฤดูหนาว ทั้งคู่เลยต้องโอบกอดกันเพื่อควานหาไออุ่น ความเงียบสงัดจึงโอบล้อมทุกสรรพสิ่งจนหลงเหลือเพียงเสียงหัวใจและลมหายใจในจังหวะเดียวกัน

“บีม” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มของคุณนัทดังอยู่ข้างใบหู บีมจึงเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างหลังพร้อมเลิกคิ้วในเชิงสอบถาม

“หลับตาหน่อยสิครับ” คุณนัทบอกกล่าวพร้อมยกยิ้มหวานในเชิงร้องขอ

“ทำไมครับ” ยิ่งอีกฝ่ายแสดงท่าทีแปลก ๆ มากเท่าไหร่ บีมกลับยิ่งไม่ยอมทำตามมากเท่านั้น

“ที่รัก..” สิ้นคำเรียกขานด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน บีมจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นใด นอกจากยอมทำตามคำร้องขออย่างว่าง่าย เพราะบีมแพ้ลูกอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายถึงได้จดจำเอามาใช้อย่างเป็นต่อ จากนั้นบีมจึงเงี่ยหูฟังพบว่าคุณนัทกำลังรื้อค้นอะไรบางอย่างตรงโต๊ะข้างเตียง

กระทั่งวัตถุเย็นเฉียบสัมผัสบริเวณข้อมือในเวลาต่อมา บีมจึงลืมตาขึ้นด้วยความสนใจ พบว่าที่มาของสัมผัสแปลกประหลาดคือกำไลเงินเกลี้ยงเกลาอันหนึ่งที่สลักวันที่และช่วงเวลาเอาไว้อย่างชัดแจ้ง มิหนำซ้ำยังถูกหัวใจดวงหนึ่งแบ่งแยกถ้อยคำสำคัญออกจากกัน

บีมจึงก้มหน้าพิจารณาอย่างเอาใจใส่ โดยอาศัยแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่อำนวยความสะดวก พบว่าภายในหัวใจมีการสลักตัวอักษร N และ B ซึ่งเป็นตัวอักษรแรกของชื่อเสียงเรียงนามของทั้งคู่ไว้

“ใส่ให้ผมด้วยสิครับ” คุณนัทส่งกำไลข้อมืออีกชิ้นที่มีการสลักตัวอักษรแบบเดียวกัน พร้อมใช้เรียวแขนข้างที่ว่างโอบกอดเรือนร่างเปลือยเปล่าของบีมไว้ เพราะก่อนหน้านี้บีมบ่นว่าไม่อยากเป็นนักบัลเล่ต์แล้ว แต่อยากเป็นเจ้าของห้องเสื้ออิสระผู้แสนขี้เกียจ

“ที่จริงผมอยากให้แหวนคุณมากกว่า แต่ว่าความสัมพันธ์ของเรายังไม่ผ่านการยอมรับจากพ่อกับแม่ของคุณ ผมเลยเลือกเป็นกำไลข้อมือที่ไม่ค่อยสะดุดตามากนัก คุณจะได้ไม่ต้องคอยกังวล” คุณนัทบอกกล่าวอย่างเอาใจใส่ บีมจึงกลั้นยิ้มจนแก้มปริ ขณะที่สายตายังคงสำรวจวันที่และเวลาอย่างใช้ความคิด ไม่นานก็จดจำได้ว่ามันคือช่วงเวลาที่ทั้งคู่ตกลงคบหากันอย่างจริงจังที่บ้านสวน

“ขอบคุณนะครับ ผมชอบมันมาก” บีมคว้าข้อมือของอีกฝ่ายที่สวมกำไลแบบเดียวกันพลางไถลตัวลงจากแผงอกแกร่งเพียงเล็กน้อย พร้อมเฝ้ามองกำไลเงินจากข้อมือของตนเองและคนรักด้วยแววตาสดใส เพราะในอกกำลังรู้สึกอบอุ่นที่มีโอกาสได้สัมผัสความรักดี ๆ ที่เข้ามาทักทายโดยไม่ทันตั้งตัว

ฝ่ายชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไอเดียจึงลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ เพราะเวลานี้แววตาของเจ้าของห้องเสื้ออิสระกำลังเปล่งประกายราวกับช่วงเวลาที่ได้ออกแบบคอลเลกชันเสื้อผ้า อีกทั้งรอยยิ้มยังคงงดงามไม่ต่างจากวันแรกที่ได้พบกัน


--------------------------✁


[1] ริงเกอร์ (Rigger) คือ คำที่ใช้เรียกผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการแขวนของที่มีน้ำหนัก จึงถูกนำมาปรับใช้กับกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบการมัด เพียงแต่ในที่นี้จะหมายถึง ผู้ที่ทำการมัด
[2] ดอมดรอป (Dom Drop) คือ การที่ดอมเกิดความรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า หรือรู้สึกผิดต่อซับที่ตนเองให้ความสำคัญ เพราะสำหรับคนบางคนยิ่งใกล้ชิดก็จะยิ่งรักมากและเกิดเป็นความรู้สึกผิด


บทความที่เกี่ยวข้อง
- Wax Play http://bit.ly/2YZfybm
- ดอมดรอป http://bit.ly/35yOIcI


ท่า arabesque
https://imgur.com/ZY1vApY

พิมพ์คำอธิบายที่นี่
ท่า A grand jeté
https://imgur.com/0enWB7u

มาอัพแล้วจ้า หลังจากหายไปหลายวัน 55 เป็นตอนที่หมดพลังมากจริง ๆ และใช่ค่ะปิดท้ายด้วยความหวานเหมือนเคย อิอิ คู่นี้ก็จะหวาน ๆ แบบนี้แหละ เพราะชีวิตน้องบีมเครียดมามากพอแล้ว ถึงเวลามีความสุขก็อยากให้มีความสุขอย่างเต็มที่ สำหรับตอนนี้แอบแทรกข้อมูลไว้นิดหน่อย เพราะเราว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อยู่นะ เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะคิดว่าใช้เทียนแบบไหนมาเพลย์ก็ได้ แต่ไม่จ้ มันมีรายละเอียดที่มากกว่านั้น

ปล. มีคนแอบมากระซิบถามว่าการเพลย์โดยที่ไม่มีอะไรกัน ทำไมถึงทำให้น้องบีมไปถึงฝั่งฝันได้ เราเลยคิดว่าเราควรจะต้อง talk สักหน่อย เพราะอาจจะมีบางคนที่สงสัยแต่ไม่กล้าถาม เราขอพูดแบบเปรียบเทียบตามที่เราเข้าใจแล้วกันค่ะ คนอ่านที่ไม่เคยอ่านแนวนี้มาก่อนจะได้เข้าใจแนวเขียนแบบนี้มากขึ้น คือการเพลย์แบบ BDSM ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด สายตา การสวมบทบาท รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์มันคือการเล้าโลมนะ เมื่อเทียบกับชาววนิลาก็จะออกแนวกอดจูบลูบคลำค่ะ พอมีความสุขมากก็จะทำให้ตอบโจทย์โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์

จริง ๆ เท่าที่เรารู้มาคนที่เค้ามีรสนิยมแบบ BDSM มักจะบอกว่าหนังเรื่องมิสเตอร์เกรย์ไม่ใช่ BDSM ค่ะ และยังทำให้คนทั่วไปเข้าใจรสนิยมนี้แบบผิด ๆ เราเองก็คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ เพราะเท่าที่ดูช่วงแรก ๆ ตัวนางเอกไม่ได้มีความสุขกับการกระทำของพระเอก แต่ที่ยินยอมมันเกิดจากความรักล้วน ๆ ซึ่งคนที่รสนิยมแบบ BDSM การเพลย์จะต้องเกิดจากความยินยอมทั้งสองฝ่ายและมันต้องมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ค่ะ ก็อย่างที่เราเขียนในนิยายคือมีการตกลงกัน แต่เรามองว่าฝ่ายซับก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองว่ายอมรับการเพลย์ในรูปแบบไหนได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนฝ่ายดอมก็ต้องเอาใจใส่ฝ่ายซับด้วย ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในข้อตกลง แต่พอถึงเวลาจริง ๆ มันอาจจะรับไม่ไหวก็มีค่ะ ดังนั้นการพูดคุยถึงสำคัญมาก อีกอย่างคือในหนังปูพรมมาว่าพระเอกมีรสนิยมแบบนี้เพราะถูกทำร้ายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องของรสนิยมนะเราเคยอ่านบทความมา เค้าบอกว่าความสุขที่ได้จากการเพลย์ก็เหมือนกับการที่คนทั่วไปไปท่องเที่ยวน่ะค่ะ ถ้ามองแล้ววัดจากหนังอาจจะทำให้ไม่เข้าใจก็เป็นได้ เพราะตัวหนังแอบขายซีนรุนแรงที่ออกไปทางหลงใหลคลั่งไคล้อยู่นะ แต่ไม่ใช่มีความสุขแบบที่เป็นส่วนลึกจากข้างใน อีกอย่างในหนังเหมือนจะไม่มีการอาฟเตอร์แคร์ด้วย มันเลยทำให้ยิ่งรู้สึกว่านางเอกไม่มีความสุข ไม่เข้าใจรสนิยมแบบนี้ ออกแนวต่อต้านเลยแหละ ส่วนพระเอกก็ไม่ค่อยมีมุมที่คอยเอาใจใส่ฝ่ายซับอย่างที่ควรจะเป็นด้วยค่ะ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าการเปย์ของแพง ๆ ให้จะหมายรวมอยู่ในการดูแลเอาใจใส่หรือเปล่า แฮร่ ถ้าใครเห็นต่างมาวิเคราะห์กันได้นะ หรือถ้าใครรู้มากกว่านี้ก็มาพูดคุยกันได้ค่ะ เพราะเราเองก็รู้เท่าที่อ่านมาจากบทความต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 22:28:00 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :pighaun: แล้วก็มาหวานตบท้าย อีกหน่อยคงได้แลกแหวนแม่พ่อเริ่มยอมรับแล้วนี่เนอะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ไม่มากไม่น้อยไปค่ะ มีสลับไปมาบ้าง
ใช้ชีวิตปกติธรรมดา และมีเวลาส่วนตัว ก็เป็นอะไรที่เรียลดีค่ะ

บีมมีความซับซ้อนกับเรื่องที่เจอมา บวกกับสะสมมานาน
นัทช่วยบีมได้เยอะมากเลยค่ะ มีโมเมนท์หวาน มีให้อบอุ่น

เอ็นดูความตกใจหุ่นไล่ ดีที่ไม่กระโดดหนีซะก่อน
คิดว่าแม่รู้แล้วค่ะ แต่อาจจะรอเวลาอีกนิด
ให้ต่างคนต่างปรับตัวปรับใจกันก่อน

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ลุ้นว่าจะมาแนวไหน

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 22


หลังจากแม่บอกกำหนดงานแต่งของพี่แก้วแล้ว บีมก็เร่งตัดตัวอย่างแรกประจำคอลเลกชันปี 2021 แบบหามรุ่งหามค่ำ โดยมีคุณนัทคอยอำนวยความสะดวกหลังห้างปิดเวลาทำการ

เดิมทีคุณนัทไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทำงานในรูปแบบนี้ แต่เพราะอาการเดินละเมอเริ่มห่างหาย อีกทั้งชุดแต่งงานของพี่แก้วยังมีความสำคัญต่อบีมมาก ซึ่งคุณนัทเข้าใจเหตุผลในส่วนนี้ ข้อห้ามต่าง ๆ ที่เคยปฏิบัติจึงได้รับข้อยกเว้นเพียงชั่วคราว 

“แม่” บีมรีบเอื้อนเอ่ยทันทีที่อีกฝ่ายรับสายพร้อมส่งยิ้มให้กับบาร์เทนเดอร์ที่กำลังทำหน้าที่เสิร์ฟค็อกเทลให้กับแขกผู้มีเกียรติ ตรงริมสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ติดกับเคาน์เตอร์บาร์

‘โทรมาหลายสายเชียว มีอะไรหรือเปล่าบีม ?’ แม่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะบีมโทรหาตั้งแต่หกโมงเย็นจนนี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว

“บีมขอเบอร์ติดต่อของพี่แก้วหน่อยสิครับจะได้คุยเรื่องชุดแต่งงาน” บีมบอกกล่าววัตถุประสงค์ พลางจิบ ‘Whiskey Sour’ รสชาติละมุนลิ้นอึกหนึ่ง ส่งผลให้ฟองสีขาวบริสุทธิ์แต่งแต้มบริเวณเหนือริมฝีปาก ราวกับหนวดสีดอกเลาของชายชรา คุณนัทจึงวางมือจากการผสมค็อกเทลสำหรับตนเอง ปัดเป่าคราบไข่ขาวที่ถูกตีจนขึ้นฟอง

‘แม่ว่าบีมกลับมาวัดตัวให้แก้วเองเลยดีกว่าไหม เพราะตอนนี้แก้วไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพแล้ว’ สิ้นข้อเสนอของแม่ บีมเลยนิ่งคิดไปพักใหญ่ เพราะการกลับไปตัดชุดแต่งงานให้พี่แก้วถึงบ้านเกิดค่อนข้างยุ่งยาก เนื่องจากบีมต้องขนอุปกรณ์ตัดเย็บกลับไปด้วย แถมบริเวณบ้านยังไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นปัญหาใหญ่กลับไม่ได้มีเพียงแค่นั้น

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่บีมอยากทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชุดแต่งงานว่าพี่แก้วอยากได้สไตล์ไหน มีงบเท่าไหร่ สถานที่และรูปแบบการจัดงานเป็นยังไง” บีมอธิบายให้แม่ฟังอย่างละเอียด เพราะทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญจะมาทำเป็นเล่น ๆ ไม่ได้ อีกอย่างชุดแต่งงานสามารถขลับเน้นจุดเด่นและจุดด่างพร้อยของผู้สวมใส่ บีมเลยต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ

จนกระทั่งได้เบอร์โทรศัพท์ตามที่ต้องการ บีมจึงพูดคุยกับแม่อีกพักใหญ่เพื่อถามไถ่อาการของพ่อ แล้วก็รีบต่อสายไปหาพี่สาวข้างบ้าน แต่รอแล้วรอเล่าเสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ยังดังระงมไม่ขาดสาย หัวคิ้วของบีมจึงเริ่มขมวดมุ่น

“เธออาจจะเร่งเตรียมงานจนเหนื่อยหรือเปล่าครับ ผมเคยได้ยินมาว่างานแต่งเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก เธอเลยนอนตั้งแต่หัวค่ำ ถ้ายังไงพรุ่งนี้เช้าคุณลองโทรหาเธออีกครั้งคงยังไม่สายเกินไป” คุณนัทแสดงความคิดเห็นเพื่อให้บีมใจเย็นลง

“เป็นไปได้ครับ แต่ปกติทางร้านต้องใช้เวลาตัดชุดอย่างน้อย 2 เดือนเลยนะครับ นี่เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน ถ้าหากพี่แก้วยังยืนยันให้ผมออกแบบชุดให้ใหม่ คงต้องเร่งทำจนสุดฝีมือ” บีมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะก่อนหน้านี้บีมต้องทุ่มเทให้กับคอลเลกชันใหม่ของทางร้าน เนื่องจากดีไซเนอร์ในทีมต่างก็งานล้นมือกันหมด ดังนั้นถ้าหากบีมหยุดก้าวเดิน แผนงานก็จะรวนเหมือนกับช่วงที่บีมเป็นกังวลเรื่องแม่ ส่วนทีมที่รับผิดชอบเกี่ยวกับชุดแต่งงาน ตอนนี้กำลังเร่งตัดชุดให้กับลูกค้าที่มาจองคิวไว้เลยไม่อาจแทรกคิวได้

“ทำไมถึงทำหน้าหงอยอย่างนั้นล่ะครับ” คุณนัทเอ่ยถามเมื่อบีมวางเรียวแขนลงบนเคาน์เตอร์บาร์ริมสระพร้อมแนบใบหน้าด้วยความห่อเหี่ยว

“ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่น่ารับปากแม่ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าชุดแต่งงานของพี่แก้วมันเป็นของร้อน เพราะเวลาที่เหลืออยู่มันน้อยมากเลยนะครับ แต่ว่าตอนนั้นผมดีใจมากในหัวมันเลยยุ่งเหยิงไปหมด อีกอย่างผมเองก็พลาดที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของพี่แก้วให้เร็วกว่านี้” บีมบอกเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทว่าในอกกลับหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก เนื่องจากบีมกำลังเป็นกังวลว่าจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง

“สำหรับผม..” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพร้อมลูบไล้เรือนผมที่ไม่ได้เปียกปอนด้วยความแผ่วเบา เพราะบีมเพียงแค่อยากสวมใส่ชุดว่ายน้ำสำหรับผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในคอลเลกชันหน้าร้อนประจำปี 2019 เซ็ตเดียวกับบราตัวแรกของห้องเสื้ออิสระ

“คุณเก่งที่สุด” ทว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยจบประโยค คนรู้ใจกลับเป็นฝ่ายพูดออกมาเสียก่อน ดวงตาของทั้งคู่จึงประสานกันเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังกังวานไปทั่วระเบียงด้านนอก

“วันนี้คุณยังไม่ได้บอกผมเลยนะครับว่าผมใส่ชุดว่ายน้ำเป็นยังไง” หลังจากความมั่นใจเริ่มมาเยือน บีมก็รีบแหวกว่ายไปยังขอบสระ พร้อมยืนหมุนตัวตรงบริเวณที่แสงไฟสีเหลืองนวลอาบไล้ผิวกายอันขาวผ่อง

“อืม..” คุณนัทยืนกอดอกพลางใช้สายตาทรงเสน่ห์จ้องมองเรือนร่างภายใต้ชุดว่ายน้ำสีขาวแบบทูพีช ที่มีลักษณะเป็นเกาะอกห่มคลุมด้วยเสื้อแขนกุดจากผ้าลูกไม้ประเภท GUIPURE LACE ซึ่งมีโบว์ผูกคล้องอยู่ตรงกึ่งกลางอก รับกันดีกับกางเกงว่ายน้ำสีขาวเอวสูง ทำให้ไม่ดูเปิดเผยเนื้อหนังจนเกินไป

“พอผมไม่ได้อยู่ในช่วงเพลย์หรือกำลังเดินละเมอ คุณนัทเลยคอมเมนต์ผลงานของห้องเสื้ออิสระไม่ถูกเหรอครับ ?” บีมว่ายกลับมาหาอีกฝ่ายตรงบริเวณเคาน์เตอร์บาร์ พร้อมนำพาเรือนร่างไปให้พิจารณาอย่างใกล้ชิด เพราะเคาน์เตอร์บาร์ไม่ได้ยกสูง แต่กลับอยู่ในระดับเดียวกันกับขอบสระ บีมจึงนอนทอดกายอยู่บนนั้นได้ไม่ยาก

“ตรงกันข้ามเลยครับ เพราะไม่ว่าเวลาไหน ผมก็สามารถคอมเมนต์ให้คุณได้” คุณนัทกระซิบชิดริมหูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทว่าฝ่ามือกลับเริ่มซุกซน ขณะที่บีมได้แต่ยิ้มรับคำตอบ พร้อมจิบค็อกเทลฝีมือคนรักด้วยท่าทีสุดนิ่งเฉยต่อสัมผัสดังกล่าว

“เพียงแต่ผมอยากบอกกับคุณใกล้ ๆ คุณจะได้รู้ตัวว่าคุณน่ารักมาก” สิ้นคำชมเชยจากคุณนัท บีมก็ได้แต่หน้าแดงซ่าน แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมผละกายออกห่างจากสัมผัสนุ่มนวลตรงบริเวณข้างแก้ม

“แต่พอคุณขึ้นมานอนทอดกายอยู่บนนี้ ผมกลับรู้สึกว่าคุณในชุดว่ายน้ำแบบน่ารัก ดูอวดดีจนผมอยากจะกำราบเสียให้เข็ด” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แต่ทว่ากลับทรงเสน่ห์เสียจนบีมเริ่มรู้สึกตื่นตัว ขณะที่ข้างแก้มยังคงถูกชายหนุ่มผู้หลงใหลต่อการควบคุมกัดเล่นเสียจนเพลิดเพลิน

“กำราบเลยสิครับ ยังไงผมก็ตกอยู่ในกำมือของคุณแล้ว” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเหลือบมองไปยังนัยน์ตาสีนิลพราวระยับ ก่อนจะหยุดนิ่งลงที่ข้อมือทั้งสองข้างซึ่งถูกพันธนาการด้วยฝ่ามือใหญ่

“ถ้าหากนายถูกมัดมือไพล่หลังแบบนี้ นายยังจะทำตัวเรียกร้องความสนใจได้หรือเปล่า” นายท่านเอ่ยถามพลางประคองให้บีมลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเคาน์เตอร์บาร์ โดยหันหน้าเข้าหาสระว่ายน้ำที่มีเงาสะท้อนของดวงไฟสีขาวสว่าง ราวกับดวงดาวส่องประกายอย่างกระจัดกระจายบนท้องฟ้า ก่อนจะอาศัยทีเผลอกระชากเรือนผมนุ่มจนแทบหงายหลัง แต่กระนั้นเรือนกายแสนกำยำกลับรองรับเรือนร่างของบีมไว้ ขณะที่ข้อมือทั้งสองข้างพลันถูกกักกันอิสรภาพเพียงหลวม ๆ

“นายท่านอย่ามัวแต่สงสัยอยู่เลย.. รอดูสิครับ” บีมเอื้อนเอ่ยพลางจ้องมองแววตาร้อนแรงของอีกฝ่ายด้วยความยั่วเย้า เพราะวันนี้บีมอยากจะเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่ชื่นชอบการเรียกร้องความสนใจโดยไม่สนวิธีการ

“ได้สิ แต่การเรียกร้องความสนใจของนายในครั้งนี้ ควรต้องมีสักขีพยานสักหน่อย คนอย่างนายน่าจะชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว คงไม่คิดปฏิเสธหรอกใช่ไหม” นายท่านเอ่ยถามพลางดึงรั้งเส้นผมนุ่มให้หนักมือขึ้น แต่กระนั้นเรือนกายกลับโอบรับร่างเพรียวด้วยความเอาใจใส่ ราวกับหวาดกลัวว่าบีมจะเผลอหงายหลังลงไปจริง ๆ

“ผมจะรอนะครับ” บีมกระซิบเสียงแผ่วพลางส่งยิ้มหวานละมุนจนชายหนุ่มอีกคนเผลอจ้องมองรอยยิ้มนั้นด้วยความหลงใหล ก่อนจะผละตัวเข้าไปหยิบอุปกรณ์บางอย่าง เพราะการเพลย์ในครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว บีมจึงรีบเดินไปนั่งคุกเข่าเฝ้ารออีกฝ่ายตรงปากประตูทางเชื่อม ระหว่างภายในห้องและระเบียงด้านนอก ราวกับต้องการเรียกร้องความสนใจให้สมบทบาท

“ระริกระรี้จังเลยนะ” พอนายท่านเดินออกมายังระเบียงริมสระก็เอ่ยปรามาสอย่างรวดเร็ว บีมจึงฉีกยิ้มกว้างพลางไหวไหล่ด้วยท่าทีแสนอวดดี

“ลุกขึ้น” กระทั่งนายท่านออกคำสั่ง บีมจึงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว แต่กระนั้นสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความสุขอันมากล้น ขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของห้อง 005 กำลังใช้เทปลูกไม้คล้องผูกข้อมืออย่างไม่แน่นหนานัก คล้ายกับบอกกล่าวเป็นนัย ๆ ว่า บีมควรจะสวมบทของทาสผู้แสนดื้อดึงให้เต็มที่ เพราะเจ้านายก็จะสวมบทบาทคนใจแข็งจนสุดทาง

“ถ้าหากผมสั่งให้นายว่ายน้ำโดยที่ห้ามโผล่หน้ามาให้เห็น นายยังจะเรียกร้องความสนใจจากผมได้หรือเปล่า ?” นายท่านเอ่ยถามพลางฉุดรั้งบีมมายืนตรงริมขอบสระ พร้อมบังคับให้จ้องมองไปยังเงาร่างที่ซ้อนทับกัน

ภาพสะท้อนที่ได้เห็นจึงคล้ายกับทั้งคู่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดาราน้อยใหญ่ บีมจึงไม่รอช้าที่จะลงไปเอื้อมเก็บดวงดาวเหล่านั้นที่แอบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผืนน้ำใสสะอาด

ทว่าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องหมายเลข 005 กลับยืนนิ่งอยู่ตรงริมขอบสระ โดยที่สายตากำลังจ้องมองเรือนกายพลิ้วไหวของฝ่ายซับที่กำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางสระมรกต แม้ว่าข้อมือจะถูกพันธนาการไขว้หลังไว้เพียงหลวม ๆ แต่กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ย่อท้อต่อการไขว่คว้าอิสระ เรียวขาจึงเคลื่อนไหวราวกับหางปลาบนพื้นผิวน้ำ ส่งผลให้ทุกท่วงท่าดูน่ามองอย่างไม่ต้องพยายาม

ผู้เป็นนายจึงทรุดตัวลงนั่งตรงริมขอบสระ ราวกับตนกำลังเฝ้ามองนางเงือกในจินตนาการแหวกว่ายหยอกล้อคลื่นลมตรงริมชายหาด จากนั้นโทรศัพท์เรียบหรูก็ถูกนำออกมาใช้งาน เพียงแต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดอยากจะเก็บภาพเหล่านี้ด้วยการถ่ายรูป แอปพลิเคชันหนึ่งจึงถูกเลือกสรรในเวลาต่อมา

“ทำอะไรอยู่ครับ” กระทั่งความเงียบงันโอบล้อมคนทั้งคู่เนิ่นนานจนเกินไป บีมจึงเป็นฝ่ายว่ายกลับมาหาพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“วาดรูปครับ” คุณนัทเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ แต่กลับได้ใจความพร้อมรอยยิ้ม

“คุณนัทมีด้านที่เกินความคาดหมายเพิ่มขึ้นอีกแล้วนะครับ” บีมกล่าวด้วยความชื่นชมพร้อมทั้งปลดรั้งพันธนาการด้วยตนเอง เพราะคุณนัทไม่ได้พันผูกอย่างแน่นหนา สองมือจึงเกาะขอบสระพลางชะเง้อมองด้วยความสนใจ

“จริง ๆ แล้วการวาดรูปมันคือพรสวรรค์อย่างเดียวที่ผมมีเลยครับ ถ้าหากเทียบกับเรื่องราวในชีวิตของคุณคงจะเป็นการออกแบบเสื้อผ้า” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยตอบพลางลดระดับโทรศัพท์มือถือลงบนหน้าขา บีมจึงมองเห็นการร่างภาพจากจินตนาการอย่างชัดแจ้ง ซึ่งภาพดังกล่าวคือภาพของนางเงือกที่กำลังหยอกล้อเกลียวคลื่นท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าคราม

“เหมือนจูเลียตเลยครับ” บีมแสดงความคิดเห็นอย่างนึกเข้าข้างตัวเอง

“เพราะผมตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นครับ” คุณนัทส่งยิ้มก่อนจะเฉลยคำตอบเพียงเบา ๆ แต่ทว่าบีมกลับรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายผ่านทางสายตามุ่งมั่น บีมจึงย่อตัวลงสู่ผืนน้ำ เพื่อที่จะได้มองเห็นแววตาอันน่าหลงใหลได้ชัดเจนขึ้น

ซึ่งบีมเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าทำไมคุณนัทถึงชอบนั่งจ้องตอนที่บีมกำลังตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยความสนใจ คงเป็นเพราะเวลาที่คนคนหนึ่งมีความมุ่งมั่น มันเต็มไปด้วยเสน่ห์มากมายขนาดนี้

“ที่จริงผมถูกคุณย่าเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะ บ้านสวนเลยเป็นถิ่นของผม พอเริ่มเดินได้ใคร ๆ ก็ตั้งฉายาให้ผมว่าไอ้ตัวแสบ เพราะทุกที่ที่ผมไป มักจะมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่เป็นอันทำงาน คุณย่าเคยบอกว่าพอผมเริ่มเดินคล่อง ผมนี่วิ่งปร๋อจนตกเกือบจะตกคูน้ำ คุณปู่เลยตั้งมั่นว่าจะสอนผมว่ายน้ำให้เร็วที่สุด”

“พอโตจนเข้าโรงเรียน ผมก็เริ่มค้นพบว่าตัวเองชอบวิชาศิลปะมากที่สุด เพียงแต่ตอนนั้นผมคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะผมทำได้ดีที่สุด แต่เปล่าเลยความชอบของผมมันมาจากใจล้วน ๆ พอใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยผมก็เริ่มถูกคุณพ่อปลูกฝังเกี่ยวกับงานบริหาร ศิลปะกับตัวผมเลยค่อย ๆ ห่างไกลกันเรื่อย ๆ แต่ผมไม่ได้อาลัยอาวรณ์นะครับ คงเป็นเพราะผมสนุกกับการเรียนรู้เรื่องราวที่พ่อพยายามหยิบยื่น” หลังจากความเงียบเริ่มกลายเป็นจุดเด่นมากจนเกินไป คุณนัทจึงเป็นฝ่ายบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้บีมฟัง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้บีมไม่เคยรับรู้มาก่อน

“คุณคือคนแรกที่ทำให้ผมคิดอยากจะกลับมาวาดรูปอีกครั้ง” สิ้นคำกล่าวนั้นจิตรกรฝีมือดีก็เงยหน้ามองบีมด้วยรอยยิ้ม บีมจึงเผลอยิ้มตามไปด้วย เพราะคำพูดนั้นนับว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมันยกระดับความสำคัญที่คุณนัทมีให้

“คุณนัทก็เป็นคนแรกที่ทำให้ผมมีความสุข ถึงแม้ว่าเวลานั้นเราสองคนจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็ตาม แต่ผมกลับมีความสุขแค่เพราะคุณสนใจในสิ่งที่ผมชอบ” บีมบอกเล่าความรู้สึกที่เคยกักเก็บ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้รู้จักกัน เพราะบีมยังคงจดจำความน่าประทับใจของอีกฝ่ายตอนที่มานั่งรอบีมเลิกงานได้ เนื่องจากคุณนัทมักจะคอยเฝ้ามองรวมถึงถามไถ่เกี่ยวกับประเภทของผ้าลูกไม้และการตัดเย็บด้วยความสนใจ มิหนำซ้ำการค้นหาตัวตนของบีมผ่านชิ้นงานที่บรรจงสรรสร้างทำให้บีมรู้สึกหลงรักอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ผมดีใจนะครับ..” สิ้นคำพูดของชายหนุ่มเจ้าของห้อง 005 บีมจึงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ที่ได้เป็นอีกหนึ่งความสุขของคุณ และยังเป็นคนแรกที่ได้เห็นคุณในมุมมองที่หลากหลาย” ชายหนุ่มมาดจิตรกรเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะในใจกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบอกกล่าว เนื่องจากคนรักของเขามีเพียงการตัดเย็บเสื้อผ้าเท่านั้นที่เป็นความสุขอันยากจะลืมเลือน

ดังนั้นการก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งความสุขของบีม จึงทำให้นัทรู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งกว่าได้รับการยอมรับทางด้านบริหาร อาจเพราะการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจมีตำรามากมายให้เลือกสรร แต่การเรียนรู้เกี่ยวกับความรักมันไม่มีกฏเกณฑ์และตำราที่แน่นอน อีกทั้งการได้เห็นคนรักในมุมมองที่แสนจริงจัง สุภาพเรียบร้อย หรือแม้กระทั่งร้อนแรงจนเปรี้ยวเข็ดฟัน ยิ่งทำให้นัทรู้สึกประสบความสำเร็จ เพราะบีมกักขังตัวตนที่แท้จริงไว้ภายใต้ม่านหมอกของอดีตมาเนิ่นนานแล้ว

“ผมตั้งใจขัดคำสั่งขนาดนี้ นายท่านยังไม่คิดจะสั่งสอนผมอีกเหรอครับ” หลังจากความเงียบเริ่มโรยตัวอีกครั้ง บีมจึงยืดตัวขึ้นสู่เบื้องบน ขณะใช้สองมือค้ำยันเรือนร่างตรงบริเวณขอบสระ พลางกระซิบบอกผู้เป็นนายด้วยความยั่วเย้า เมื่อเห็นว่านายท่านกำลังสวมบทบาทจิตรกรหนุ่มผู้แสนเย่อหยิ่งที่มีเพียงภาพวาดจากฝีมือของตนเองเท่านั้นที่เรียกร้องความสนใจได้สำเร็จ

“ผมเป็นทาสที่ดีนะครับ..” บีมกล่าวพลางเหลือบมองชายหนุ่มด้านข้าง ขณะผูกคล้องเทปลูกไม้ไว้กับลำคอระหงอย่างไม่แน่นหนานัก ก่อนจะลอบยิ้มตรงบริเวณมุมปาก เมื่อเห็นนายท่านละความสนใจออกจากกิจกรรมของตนเอง

“รู้ตัวว่าทำผิดก็ควรจะสำนึกผิดให้มาก” บีมเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงทุกที คล้ายกับการกระทำดังกล่าวยิ่งเร่งเร้าความสนใจจากอีกฝ่ายได้มากขึ้น ซ้ำยังผูกคล้องปลายเทปลูกไม้อีกด้านหนึ่งไว้กับปากกาสไตลัส แววตาของชายหนุ่มผู้แสนเย่อหยิ่งจึงแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำสุดจะคาดเดา

บีมจึงรีบดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำ ราวกับหวาดกลัวแววตาพราวระยับคู่นั้นเสียเต็มประดา แต่กระนั้นก็ไม่อาจไปได้ไกล เพราะนายท่านกำลังจำกัดความยาวของเทปลูกไม้ให้สั้นลง ส่งผลให้ลำคอระหงถูกดึงรั้งเพียงเบา ๆ พอให้รับรู้ถึงการเรียกร้องความสนใจที่ประสบความสำเร็จ

จากนั้นเรียวขาอันแข็งแกร่งก็สัมผัสกับผิวน้ำในเวลาต่อมา คล้ายกับเปิดโอกาสให้ฝ่ายซับเรียกร้องความสนใจให้เต็มที่ บีมจึงเริ่มแหวกว่ายไปรอบ ๆ เรียวขาคู่นั้น ก่อนจะแสดงเจตนาในส่วนลึกผ่านผิวสัมผัสที่โฉบเฉี่ยวกัน

กระทั่งนายท่านเปิดโอกาสให้สัมผัสฝ่ามืออันแสนอบอุ่น บีมจึงรีบพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมเล็มไล้เรียวนิ้วของอีกฝ่ายด้วยความเพลิดเพลิน ขณะที่สายตาก็คอยลอบสังเกตสีหน้าของเจ้านายเป็นระยะ

“นายมีความสามารถเท่านี้เองเหรอ ?” นายท่านเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วในเชิงสบประมาท บีมจึงไม่รอช้าที่จะดำดิ่งลงสู่ผืนน้ำอีกครั้ง พร้อมปลดเปลื้องปราการเบื้องล่างออกด้วยท่วงท่าสุดพลิ้วไหว ราวกับนางเงือกกำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางสัตว์ทะเลน้อยใหญ่ ก่อนจะใช้ริมฝีปากคาบกางเกงว่ายน้ำที่ตนเองออกแบบขึ้นสู่ผิวน้ำ

“ให้ผม ?” นายท่านเอ่ยถามพลางปรายตามองริมฝีปากของบีมด้วยความสนใจ เพราะรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจจากนายท่านกำลังปิดไม่มิด บีมจึงรีบพยักหน้าระรัวด้วยความกระตือรือร้น ทว่าในอกกลับลำพองใจไม่น้อยที่เวลานี้นายท่านเก็บโทรศัพท์มือถือและปากกาอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว

“วางมันตรงนี้สิ” เมื่อทราบเจตนาของฝ่ายซับอย่างแน่ชัดแล้ว นายท่านก็เริ่มสั่งการพลางใช้ฝ่ามือแตะสัมผัสตรงบริเวณหน้าตักที่ค่อนข้างโดดเด่น บีมจึงขยับเข้ามาชิดใกล้ พร้อมปล่อยวางสมบัติชิ้นดังกล่าวด้วยความอ้อยอิ่ง เพราะริมฝีปากของบีมไม่ได้อยู่เฉย แต่กลับจงใจฝากสัมผัสบางเบาด้วยความแนบเนียน แต่ในท้ายที่สุดก็ถูกจับได้ นายท่านจึงสอนสั่งด้วยการสอดแทรกเรียวขาลากไล้ไต่ระดับความสูงจนน่าใจหาย

“ด้านบนไม่ถอดออกเหรอ ?” สิ้นคำถามแสนกรุ้มกริ่มที่มาพร้อมกับสัมผัสปลุกเร้าตรงบริเวณเบื้องล่าง ปลายทางอีกด้านหนึ่งของเทปลูกไม้ก็ถูกปลดปล่อย บีมเลยไม่รอช้าที่จะปฏิบัติตามด้วยความเอาใจ โครงหน้างดงามพลันเชิดขึ้นพร้อมหลับตาพริ้ม ขณะที่เสื้อลูกไม้อันเป็นปราการชั้นแรก ค่อย ๆ หลุดเลื่อนออกจากช่วงตัวขึ้นสู่เรียวแขนและจบลงที่ฝ่ามืออันซีดเซียว จากนั้นบีมจึงค่อยแหวกว่ายไปยังมุมหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับเทปลูกไม้ เพื่อส่งมอบอิสรภาพคืนสู่นายท่าน

“วางลงบนมือผม” สุ้มเสียงทุ้มนุ่มสั่งการขณะที่ฝ่ามือหนากำลังหยอกเย้าราวกับนึกสนุก ฝ่ายซับผู้ไม่สนวิธีในการเรียกร้องความสนใจ จึงค่อย ๆ ปีนป่ายเข้าหาชายหนุ่มผู้สั่งการจนแผ่นหลังแสนกำยำแนบสนิทกับพื้นกระเบื้องเย็นฉ่ำ   

“เงือกอย่างนาย ไม่ควรเชื่อใจมนุษย์” ทันทีที่นายท่านเอื้อนเอ่ยจบประโยค เรือนร่างของบีมก็สัมผัสกับความแห้งเหือดของพื้นกระเบื้อง ขณะที่นายท่านกำลังพันรัดเทปลูกไม้ไว้ทั่วเรือนร่างจนไม่อาจขยับเขยื้อน ซ้ำยังถูกอุ้มพาดบ่าจนสะโพกกลมกลึงอวดโฉมอยู่บนลาดไหล่

“ในนิทานปรัมปราเคยบอกเอาไว้ว่า เงือกอย่างพวกนายมีความฝันอยากจะเป็นมนุษย์” ชายผู้แสนเจ้าเล่ห์เอื้อนเอ่ยพลางลูบไล้สะโพกเนียนสวยด้วยความเสน่หา

“ไม่จริง! อ๊า!” ฝ่ายซับพยายามดีดดิ้นจนสุดความสามารถ ซ้ำยังตะโกนก้องอย่างไม่ยอมรับข้อกล่าวหา สะโพกนุ่มจึงถูกฟาดอย่างไม่ใยดี

“มนุษย์ที่แสนใจดีอย่างผมเลยไม่อาจนิ่งนอนใจ” คำพูดดังกล่าวของนายท่าน คล้ายกับบอกกลาย ๆ ว่า ตนเองเป็นเพียงข้อยกเว้นอันแสนน้อยนิด

“โกหก! อ๊า!” บีมโต้เถียงอย่างเด็ดเดี่ยว พลางดิ้นรนหาทางหนีรอด สะโพกสวยพลันถูกลงโทษอย่างต่อเนื่อง ก่อนเรือนร่างอันไร้อิสระจะถูกโยนลงบนโต๊ะตัวยาวตรงบริเวณกลางแจ้งอย่างไม่ปรานี ความเจ็บปวดทำให้บีมเผลอเม้มปากแน่นอยู่ครู่หนึ่ง

“ขอโทษครับ” คุณนัทกระซิบเสียงแผ่วพลางจุมพิตริมฝีปากของบีมด้วยความรู้สึกผิด ซ้ำยังลูบไล้ตรงบริเวณที่คาดว่าบีมจะได้รับบาดเจ็บเป็นการปลอบโยน

“ผมลืมตัวไปหน่อย” สิ้นถ้อยคำดังกล่าว ริมฝีปากของบีมจึงวาดเป็นรอยยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ เพราะบีมไม่ได้เจ็บปวดจนถึงขนาดที่เจ้าตัวเป็นกังวล

“เพลย์ต่อเถอะครับ” บีมเป็นฝ่ายเชื้อเชิญ เมื่อคนรักยังคงจ้องหน้ากันในระยะประชิด

“ถ้าหากผมจะเริ่มเบลดเพลย์ตั้งแต่ตอนนี้ คุณไว้ใจผมหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยถาม พลางจุมพิตข้างแก้มคนรักด้วยความนุ่มนวล

“ตามที่เราเคยตกลงกัน ถ้าหากไม่มีบาดแผลผมโอเค เพราะผมยินดีจะฝากชีวิตไว้ที่คุณ” ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว หัวใจของชายหนุ่มเจ้าของห้อง 005 ก็พลันเต้นระรัวด้วยความอิ่มเอม เพราะอีกฝ่ายไม่ได้หมายความเพียงแค่ช่วงเวลาแห่งการเพลย์ แต่ยังหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในระหว่างห้วงแห่งนิทราที่อาจจะส่งผลต่อความสูญเสีย

“รอผมครู่หนึ่งนะครับ” คุณนัทแย้มยิ้มพลางประทับจุมพิตลงบนหน้าผากก่อนจะผละกายเข้าไปยังด้านใน ขณะที่บีมพยายามจะไม่หวั่นไหวต่อการกระทำดังกล่าว เพื่อที่จะได้เข้าสู่บทบาทแห่งการเพลย์ได้อย่างรวดเร็ว

จากนั้นแววตาของบีมก็เฝ้าจดจ้องบริเวณหน้าต่างกระจกด้วยความจดจ่อ กระทั่งมองเห็นร่างสูงเคลื่อนผ่านจากด้านใน ความตื่นเต้นก็ยิ่งตีตื้น ส่งผลให้ทุกย่างก้าวของนายท่านดูน่ายำเกรงอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้โต๊ะตัวยาวมากเท่าไหร่ บีมก็ยิ่งสังเกตรายละเอียดได้มากเท่านั้น

“เงือกอย่างนายอยู่บนบกได้ไม่นานนัก ถ้าหากกินยาที่ผมคิดค้น ปัญหานั้นย่อมหายห่วง” นายท่านอธิบายด้วยท่าทีแสนเรียบเฉย พลางวางมีดเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะเหนือบริเวณศีรษะของฝ่ายซับ ตามด้วย Pin Wheel หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ‘ลูกกลิ้งหนาม’ ก่อนจะจุดเทียนหอมกลิ่นกุหลาบด้วยท่าทีแสนใจเย็น ราวกับต้องการสร้างบรรยากาศแสนโรแมนติกชวนวาบหวาม และไม่ลืมตระเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไว้ใกล้มือ


-อ่านต่อด้านล่าง-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 23:03:17 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ขณะที่แววตาของบีมพลันจับจ้องไปยังเรือนร่างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวอันเป็นภาพลักษณ์ที่แสนคุ้นชินอย่างต่อเนื่อง พบว่าอีกฝ่ายนำค็อกเทลที่หมดความสนใจไปนานแล้วมาใช้ประโยชน์ เพียงแต่ท่วงท่าที่คุณนัทหยิบจับแก้วกระเบื้องในเวลานี้ให้ความรู้สึกเย้าหยวนยิ่งกว่าคราใด จนบีมเผลอครุ่นคิดไปเองว่าเทียนหอมที่วางตั้งเหนือบริเวณศีรษะกำลังเสริมสร้างความปรารถนาต่อการครอบครองจนโหมกระพือ

“เห็นหรือยังว่าผมพูดจริงทำจริงแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเงือกอย่างนายจะเชื่อใจมนุษย์ได้ทุกคน” นายท่านเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีพลางราดรดเครื่องดื่มเย็นฉ่ำลงบนเรือนร่างของอีกฝ่ายที่ถูกพันธนาการอยู่บนโต๊ะตัวยาว ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงแผ่นอก ซึ่งมันทำให้บีมสะดุ้งเฮือก เมื่อเกล็ดน้ำแข็งเย็นฉ่ำที่อีกฝ่ายจงใจตักมาเพิ่มตกกระทบลงบนหน้าท้องแบนราบ

“นายยังไม่ไว้ใจผม” กระทั่งแววตาสบผสานกันเป็นเวลาเนิ่นนาน นายท่านจึงเอื้อนเอ่ยด้วยความจริงจัง ก่อนจะยกแก้วค็อกเทลจดริมฝีปาก ส่งผลให้ลูกกระเดือกขยับไหวเพียงเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้บีมเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่อาจอดกลั้น

จากนั้นเครื่องดื่มรสชาติละมุนลิ้นก็ถูกแบ่งปันให้ได้ลิ้มลอง แต่ทว่าเรียวลิ้นของอีกฝ่ายกลับไล่กวาดต้อนเรียวลิ้นของฝ่ายซับอย่างหื่นกระหาย ขณะที่ฝ่ามือหนากลับลากไล้เกล็ดน้ำแข็งก้อนใหญ่ไปตามความงดงามของเรือนร่างอันขาวผ่อง

บีมจึงบิดเร้ากายด้วยความหวามไหว แต่ทว่าก็ไม่อาจเปล่งเสียง เมื่อริมฝีปากยังคงถูกช่วงชิงความหอมหวานอย่างตะกละตะกลาม สมองพลันขาวโพลนราวกับฤทธิ์ยาที่อีกฝ่ายอวดอ้างแสดงผล ขณะที่แผ่นอกยังคงกระเพื่อมไหวด้วยความถี่กระชั้น

“ได้เวลาผ่าตัดให้นายแล้ว” นายท่านถอนริมฝีปากพลางกระซิบชิดริมหู ส่งผลให้บีมที่ยังคงหอบหายใจเหลือบมองด้วยความหวาดระแวง เพราะเวลาแห่งการรอคอยกำลังมาถึง น้ำลายอึกแล้วอึกเล่าจึงถูกกลืนกินราวกับหิวกระหาย ขณะที่นัยน์ตากลมสวยกลับฉายภาพคมมีดที่มีความเหมาะสมต่อการเพลย์ไม่วางตา เพราะมันกำลังถูกอาบไล้ด้วยเปลวเพลิงสีเหลืองนวลจนร้อนระอุ ความรู้สึกหวาดกลัวพลันเกาะกินหัวใจอย่างไม่อาจห้าม แต่กระนั้นความเชื่อใจกลับมีมากกว่า

“ถ้าหากนายขยับตัว ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของนายหรอกนะ” สิ้นคำขู่อันน่าหวาดหวั่น เงือกน้อยในกำมือพลันหลับตาแน่น ซ้ำยังเกร็งร่างจนแทบจะหยุดหายใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงคมมีดอันร้อนระอุที่ค่อย ๆ บรรจงเชือดเฉือนเกาะอกตัวจิ๋วที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้เทปลูกไม้เส้นยาว

“เห็นหรือยังว่าผมทะนุถนอมนายแค่ไหน” นายท่านกล่าวพลางกระตุกยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะดึงรั้งชุดว่ายน้ำที่ขาดวิ้น ออกจากเรือนร่างของบีมอย่างรวดเร็ว พร้อมพันผูกตรงบริเวณดวงตาเพื่อจำกัดวิถีแห่งการมองเห็น ขณะที่ริมฝีปากของนายท่านเผลอฝากความอบอุ่นไว้ตรงข้างแก้มราวกับจงใจแต่ก็ไม่จงใจ

“อ๊ะ” บีมสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ สัมผัสแผ่วเบากลับตรงเข้ามาทักทาย ซึ่งบีมเริ่มแยกไม่ออกว่าอะไรกำลังลากไล้ลงบนเรือนร่าง แต่พอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้จึงพอจะทราบว่า ปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังส่งสัญญาณให้บีมเตรียมตัว

“อย่าขยับแบบเมื่อครู่ล่ะ ผมไม่อยากให้ผิวสวย ๆ ของนายเป็นแผลหรอกนะ” สิ้นคำเตือนดังกล่าวบีมจึงเม้มปากแน่น พร้อมเกร็งร่างโดยอัตโนมัติ ลมหายใจพลันเงียบสนิท เพราะบีมกำลังตื่นเต้น จนกระทั่งเทปลูกไม้เส้นที่หนึ่งตรงบริเวณแผ่นอกขาดสะบั้น ความโล่งใจคล้ายกับค่อย ๆ ถูกปลดรั้งด้วยความปรานี เนื่องจากบีมรับรู้ได้ว่านายท่านพยายามจะผลักดันคมมีดออกห่างจากเรือนกายเพื่อความปลอดภัย แต่กระนั้นก็ไม่อาจดับความรู้สึกตื่นเต้นที่กำลังพัฒนาเป็นความซาบซ่านในส่วนลึก

“นายไม่คิดว่ากลิ่นหอมของกุหลาบมันน่าสนใจหรือไง” นายท่านเริ่มชี้นำเมื่อเห็นสถานการณ์กำลังตึงเครียด ฝ่ามืออบอุ่นจึงลูบไล้บริเวณข้างแก้ม ราวกับจะปลอบโยนเงือกน้อยที่กำลังขวัญเสีย

“เก่งมาก” สิ้นคำชื่นชมจากนายท่าน บีมก็รับรู้ได้ทันทีว่าพันธนาการทั้งหมดกำลังถูกปลดรั้งด้วยความรวดเร็ว ซ้ำยังไม่ทำให้เกิดบาดแผลแม้แต่เซ็นเดียว แต่กระนั้นความตื่นเต้นกลับหลอมรวมจนกลายเป็นความโหยหารสสัมผัสแห่งกามารมณ์

“เอาล่ะ ผมจะเริ่มศัลยกรรมขาให้นายก่อน” ทันทีที่ความเยียบเย็นของลูกกลิ้งหนามลากไล้ลงบนแผ่นอก ราวกับนายท่านต้องการจะบอกกล่าวให้บีมรับรู้ว่าอุปกรณ์ใดกำลังถูกใช้งาน ส่งผลให้บีมบิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่าน เพราะสัมผัสจากโลหะไม่ได้สร้างความรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นไม่แพ้คมมีดอันแสนอุ่นร้อน

“รู้สึกยังไง ?” นายท่านเอ่ยถามเมื่อเปลี่ยนมาใช้ปลายหนามแหลมคมกลิ้งเร็วๆ ลงบนหน้าท้อง แต่ทว่าแผ่วเบาราวกับหยอกเย้าอยู่ในที

“จักจี้ครับ” บีมเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมาพร้อมย่นคอเพียงเล็กน้อย ขณะที่ขนอ่อนพลันลุกชันอย่างไม่อาจห้าม

“แล้วตอนนี้ล่ะ ?” ทันทีที่เพิ่มน้ำหนักส่งผ่านปลายหนามอันแหลมคม นายท่านก็ยังคงเอ่ยถามไม่แปรเปลี่ยน ซึ่งบีมทราบดีว่าอีกฝ่ายแค่ต้องการตรวจเช็คให้แน่ใจว่าควรจะต้องลงน้ำหนักมือระดับใดถึงจะเหมาะสม เพราะลูกกลิ้งชนิดนี้มีความแตกต่างจากลูกกลิ้งสำหรับกลิ้งผ้าที่มีแต่ความทื่อ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณนัทอาจจะเคยทดลองกับตัวเองแล้วก็ตาม

“ไม่เจ็บครับ” บีมเอ่ยตอบชัดถ้อยชัดคำ ส่งผลให้น้ำหนักมือเริ่มเพิ่มมากขึ้น จนคาดว่าผิวกายอาจจะเป็นรอยบุ๋ม แต่กระนั้นมนต์สเน่ห์ของอุปกรณ์ดังกล่าวกลับถูกขับกล่อมพร้อม ๆ กับสัมผัสชวนสยิวที่อีกฝ่ายพยายามเสริมสร้าง อารมณ์วาบวามจึงพลันก่อตัวจนความคับแน่นขึ้นรูปครั้งแล้วครั้งเล่า

“อ๊ะ” บีมอุทานออกมาด้วยความแผ่วเบา เมื่อความเคลิบเคลิ้มกำลังโอบล้อมความรู้สึกให้โบยบินไปตามสัมผัสที่กำลังลดระดับของการลากไล้ จนกระทั่งหนามแหลมคมกดย้ำลงบนความอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัว

“เชื่อผมหรือยังว่ามันไม่ได้น่ากลัวเลย” นายท่านเอ่ยถามพลางกลิ้งโลหะเย็นเฉียบไปตามความยาวของส่วนนั้น

“ช..เชื่อ..อ๊า..อื้อ” บีมเชิดหน้าพลางหอบหายใจถี่รัว พร้อมบิดเร้ากายด้วยความเสียวซ่านจนสุดแรง เมื่อเหล็กแหลมคมกำลังเคลื่อนผ่านราวกับจะบดขยี้ให้ขาดใจ

“ดูขาของนายสิ” กระทั่งนายท่านเย้าหยอกจนสาแก่ใจ ลูกกลิ้งเย็นเฉียบก็ลากผ่านเรียวขาของเงือกตัวน้อยด้วยความแผ่วเบา แต่ทว่ารวดเร็วจนเสริมสร้างความรู้สึกจักจี้ผสมปนเปไปกับความเสียวกระสันอันถึงใจ จากนั้นวิถีแห่งการมองเห็นก็ถูกส่งมอบมายังฝ่ายซับ ขณะที่ฝ่ามือยังคงลากไล้เรียวขานั้นด้วยความชื่นชม

“ขยับดูสิ” สิ้นคำแนะนำนายท่านก็ละมือออกจากลูกกลิ้งเหล็ก พร้อมชี้นำให้บีมขยับขาเล่นให้คุ้นชิน แต่กระนั้นฝ่ามืออันแสนซุกซนกลับค่อย ๆ ลากไล้ไต่ระดับขึ้นสู่ต้นขาอวบอัดพร้อมนวดเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว

“พอนายเป็นมนุษย์แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คือการสืบพันธุ์” สุ้มเสียงชวนหลงใหลเอื้อนเอ่ยตรงข้างใบหู ก่อนจะช้อนอุ้มเรือนร่างที่ยังเดินไม่เป็นของนายเงือกเข้าสู่อ้อมกอด และวางพาดลงบนพนักพิงโซฟาราวกับเป็นเตียงผ่าตัด ส่งผลให้สะโพกกลมกลึงอวดโฉมด้วยความโดดเด่น ซ้ำยังเปิดเผยบริเวณช่องทางเร้นลับที่จะต้องทำการผ่าตัดอย่างชัดเจน

“นายกำลังตื่นเต้น” นายท่านเดินไปหยิบลูกกลิ้งหนามที่โต๊ะ พลางกล่าวเพียงสั้น ๆ พร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว ขณะสอดขาข้างหนึ่งเข้ามายังกึ่งกลางลำตัว ใบหน้าของนายท่านจึงพอดีกับแนวสะโพกเปล่งปลั่ง ฝ่ามือข้างที่ว่างพลันลูบไล้ต้นขาของบีมด้วยความเพลินมือ

“อ๊า” ทันทีที่ความแหลมคมสัมผัสส่วนเร้นลับด้วยความแผ่วเบา อาการเสียวซ่านจากทุกอณูความรู้สึกก็พลันเล่นงานอย่างไม่ปรานี ขนอ่อนจึงลุกชันจนเนื้อตัวบิดเร้าจนแทบผิดรูป ก่อนจะดิ้นพล่านอย่างไม่อาจควบคุม ซ้ำยังหวิวไหวในช่องท้องอย่างบอกไม่ถูก เมื่อฝ่ามือซุกซนอีกข้างกำลังนวดเฟ้นความอ่อนไหวคับแน่นด้วยจังหวะหนักหน่วง

“กลัวหรือไง ?” อีกฝ่ายแสร้งถามไปอย่างนั้น เพราะไม่นานริมฝีปากคู่ดังกล่าวก็เล็มไล้แนวสะโพกสวยด้วยความเพลิดเพลิน ซ้ำยังขบกัดจนบีมมั่นใจว่าจะต้องขึ้นรอยอย่างแน่นอน

“อ๊ะ..อื้อ..” บีมได้แต่ร้องครวญครางพลางทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ขณะที่ฝ่ามือกำลังจิกรั้งโซฟาตัวสวยอย่างระบายอารมณ์ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากด้วยความหวามไหว ขณะที่สะโพกกำลังบิดเร้าด้วยความรัญจวนใจ

“อื้อ หมายความว่ายังไง ?” นายท่านผู้แสนอารมณ์ดียังคงหยอกเอินไม่เลิกรา ซ้ำยังกลิ้งส่วนนั้นไม่ขาดมือ ราวกับจินตนาการว่ามันคือการศัลยกรรมอันทันสมัย

“ส..เสียว..อ๊า” บีมเอ่ยตอบเสียงกระเส่าพร้อมส่ายสะโพกกลมมนด้วยความหวิวไหว

“แบบนี้ผมก็ไม่ต้องทำแผลให้น่ะสิ” อีกฝ่ายเอ่ยถามพลางจงใจใช้ปลายนิ้วลูบไล้ช่องทางด้านหลังด้วยสัมผัสชวนใจสั่น คล้ายกับต้องการยั่วยวนให้บีมคลุ้มคลั่ง

“ทำครับ” บีมรีบละล่ำละลักตอบอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังพยายามเปิดเผยส่วนเร้นลับให้อีกฝ่ายเชยชม แต่ทว่ามันกลับเป็นการเชิญชวนอันแสนใจกล้า นายท่านจึงไม่รอช้าที่จะลดตัวลงไปลากไล้ปลายลิ้นฝากฝังความฉ่ำชื้นให้บีมคุ้นชิน ขณะที่ฝ่ามือพลันไต่ระดับจากความคับแน่นเรื่อยมาจนถึงบริเวณหน้าท้องแบนราบ

“อ๊า..” บีมได้แต่ร้องครวญครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อยอดอกถูกบดขยี้ด้วยความเร่าร้อน ขณะที่เรียวลิ้นกำลังบรรเลงบทเพลงแห่งความล้ำลึกจนภายในของบีมเริ่มปั่นป่วนด้วยเพลิงราคะ สะโพกกลมจึงพลันบิดเร้าจนอีกฝ่ายต้องกำราบด้วยการฝากฝังรอยแดงจ้ำไว้เป็นที่ระลึก

“บีม.. นับวันคุณยิ่งร้อนแรง รู้ตัวหรือเปล่าครับ” คุณนัทเอื้อนเอ่ยพลางจุมพิตทุกสัดส่วนราวกับหวาดกลัวว่าบีมจะไม่เชื่อคำพูด

“พอเห็นคุณเป็นแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าใจของผมมันคิดอกุศลต่อคุณยังไงบ้าง” คุณนัทยังคงชวนคุย ขณะที่ใบหน้ากำลังสอดแทรกเข้ามาตรงกลางหว่างขาซ้ำยังเล็มไล้ความอ่อนไหวราวกับเอ็นดูนักหนา

“คิด..ยังไงครับ” บีมเอ่ยถามพลางพยายามควานหาช่องทางที่สามารถเฝ้ามองท่าทีของอีกฝ่ายได้ ซึ่งมันทำให้เลือดลมสูบฉีดยิ่งกว่าเดิม เพราะท่วงท่าดังกล่าวช่างเร่งเร้าความเก้อเขินได้เป็นอย่างดี เมื่ออีกฝ่ายกำลังกลืนกินส่วนนั้นอย่างไม่นึกรังเกียจจนความเสียวซ่านพวยพุ่งไปทั่วสรรพางค์กาย

“คิดแต่จะทำให้คุณสิ้นฤทธิ์ใต้ร่างของผมให้เร็วที่สุด” ทันทีที่บีมถอยร่นช่วงตัวจนสามารถปรับเปลี่ยนท่วงท่ามานั่งคร่อมบริเวณหน้าตักของชายหนุ่มผู้แสนสุภาพได้ คำตอบอันแสนจาบจ้วงก็พลันเปิดเผยให้ได้ยิน

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงยังไม่รีบจัดการอีกล่ะครับ” บีมเอ่ยถามพลางควานหาเจลหล่อลื่นจากกางเกงสเลคของอีกฝ่าย ขณะที่นัยน์ตากลับไม่เคยผละห่างจากแววตาของราชสีห์หนุ่มที่กำลังคิดอยากจะกลืนกินเหยื่อด้วยความหิวกระหาย แต่ทว่าบีมกลับไม่คล้อยตามรวดเร็วขนาดนั้น จึงเริ่มปรนเปรอตัวเองอย่างไม่คิดเหนียมอาย ส่งผลให้ชายหนุ่มตรงหน้าลอบเลียริมฝีปากราวกับความอดทนใกล้จะหมดลง แต่กระนั้นก็ยังเพลิดเพลินกับลีลาเย้ายวนของอีกฝ่ายอยู่มาก ดวงตาร้อนแรงราวกับจะแผดเผาเรือนร่างของบีมให้สิ้นซากจึงได้แต่ฉายชัดอย่างไม่คิดปิดบัง

“ผมพร้อมแล้วนะ” กระทั่งการสอดใส่นำร่องดำเนินไปด้วยความราบรื่น บีมจึงโน้มตัวเข้าหาคนรักพร้อมกระซิบเสียงแผ่ว ซ้ำยังฝากจุมพิตไว้ตรงข้างแก้มด้วยความออดอ้อน บีมจึงถูกพลิกตัวนอนลงบนโซฟา ขณะที่เรียวขาถูกแยกกว้างด้วยท่วงท่าชวนเก้อเขิน

“ผมก็พร้อมแล้วเหมือนกันครับ” สิ้นคำพูดนั้นความคับแน่นพลันสอดสัมผัสอย่างน่าลุ่มหลง เรือนกายไหวเอนราวกับถูกพายุโหมกระหน่ำ ความซาบซ่านแล่นริ้วไม่ต่างกับสุ้มเสียงที่กำลังขับขาน

“อยากให้ผมรุนแรงกับคุณมากกว่านี้อีกเหรอครับ หืม ?” คุณนัทเอ่ยถามทันทีที่บีมใช้เรียวขาโอบรอบช่วงเอวด้วยความแนบแน่น พร้อมกับจุมพิตตรงบริเวณข้างขมับด้วยความรักใคร่

“อ๊ะ..อื้อ” บีมเอ่ยตอบพลางหอบหายใจพร้อมกับพยักหน้ารัวอย่างไม่คิดปิดบัง ส่งผลให้เรี่ยวแรงอันมากล้นของอีกฝ่ายสอดรับกันด้วยความหนักหน่วง และยิ่งซึมลึกไปมากกว่านั้น เมื่อเรียวขาของบีมทั้งสองข้างถูกสับเปลี่ยนมาวางพาดบนลาดไหล่ของคุณนัท เรี่ยวแรงอันมากมายจึงถูกส่งผ่านจังหวะเร้าร้อนจนลึกล้ำ ส่งผลให้ความหวามไหวพลันล้นปริ่มในเวลาอันรวดเร็ว หยาดหยดแห่งความสุขสมพร่างพรมด้วยความอบอุ่น จากนั้นคนทั้งคู่ต่างก็โอบกอดกันและกันภายใต้ผืนฟ้าสีดำที่ประดับด้วยกากเพชรเม็ดงามจนเต็มผืน ก่อนจะมองจ้องนัยน์ตากันและกันแน่นิ่ง บีมเลยเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวเป็นคนแรก ปอยผมชื้นเหงื่อของชายหนุ่มมาดนักธุรกิจจึงถูกจัดแต่งจนเข้าที่เข้าทาง

“ขอบคุณนะครับที่เชื่อมั่นในตัวผม” นัทเอื้อนเอ่ยราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

“ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด” สิ้นคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า หัวใจของบีมกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ริมฝีปากพลันแย้มยิ้มด้วยความขอบคุณ เพราะบีมทราบดีว่าอีกฝ่ายเน้นย้ำถึงความปลอดภัยจากอาการเดินละเมอที่อาจจะมีความเคร่งเครียดเป็นตัวนำร่อง

“ถ้าหากเสร็จจากงานแต่งของพี่แก้วแล้ว แต่อาการเดินละเมอของผมยังไม่ดีขึ้น คุณนัทพาผมไปหาหมอด้วยนะครับ” บีมตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว เพราะอาการดังกล่าวไม่ได้ทรมานเพียงแค่บีม แต่มันกลับทำให้คุณนัทเป็นกังวลจนนอนหลับไม่สนิท แม้ว่าช่วงนี้บีมจะไม่ได้เดินละเมอแล้วก็ตาม

“ตกลงครับ” สิ้นคำพูดนั้นรอยยิ้มอันสดใสของคุณนัทก็ฉายอยู่บนนัยน์ตาของบีมอย่างชัดเจน 


กระทั่งวันรุ่งขึ้นบีมก็ยังติดต่อพี่แก้วไม่ได้ การทำงานจึงเริ่มยากขึ้น สุดท้ายบีมเลยตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากแม่ จนได้รายละเอียดเบื้องต้นผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ การตระเตรียมอุปกรณ์จึงเริ่มง่ายขึ้น แต่เพื่อตัดปัญหาเกี่ยวกับการติดต่ออันล่าช้า บีมจึงวางแผนเดินทางกลับบ้านอย่างกะทันหัน

“คุณอยากได้อาหารทะเลเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจเอ่ยถาม ขณะที่บีมกำลังยืนตรวจตราข้าวของอยู่ตรงหลังรถ ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังเดินเข้าออกตลาดสด

“ผมว่าน่าจะพอแล้วนะครับ” บีมแสดงความคิดเห็นพลางคำนวณปริมาณอาหารที่ตั้งใจจะหอบหิ้วกลับไปด้วย เนื่องจากจังหวัดที่บีมอยู่หาซื้ออาหารทะเลยากมาก หรือถ้ามีก็แพงมากเช่นกัน เพราะแถวนั้นไม่ได้ใกล้ชายทะเลแต่อย่างใด

ดังนั้นเด็กบ้านนอกอย่างบีมจึงไม่เคยเอาเท้าจุ่มน้ำเหมือนกับในละครที่พี่มีนเคยเล่น หรือแม้แต่การดำน้ำดูฉลามวาฬของคุณนัท บีมก็ไม่เคยนึกฝันว่ามันจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ

“ของแห้งล่ะครับ ?” คุณนัทยังคงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น เพราะอีกฝ่ายเป็นคนขัดอาสาที่จะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งบีมคัดค้านจนหัวชนฝา แต่สุดท้ายก็ต้องยินยอม เนื่องจากคุณนัทเอาเรื่องของหุ้นส่วนชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง บีมเลยทำข้อตกลงจนกลายเป็นหารกันคนละครึ่ง 

เพราะทุกวันนี้บีมประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าไปได้มาก อีกทั้งค่าเพนท์เฮ้าส์ที่ยังต้องผ่อนจ่ายก็ได้รับข้อยกเว้น เพียงเพราะบีมไปขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยดูแลเรื่องการเงินที่ต้องเบิกจ่ายของกิจการห้องเสื้อในระหว่างที่บีมไม่อยู่ เนื่องจากบีมไม่แน่ใจว่าเครือข่ายที่บีมใช้จะมีสัญญาณโทรศัพท์ที่สะดวกสบายหรือไม่ เพราะแต่ละพื้นที่ก็จะมีเครือข่ายที่โดดเด่นแตกต่างกัน อีกทั้งการเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองก็ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่บีมกับคุณนัทจะได้พูดคุยเกี่ยวกับการสร้างครอบครัวของเราให้เติบโตไปด้วยกัน เพราะระยะเวลาที่คบหากันมันก็เหมาะสมแล้ว ดังนั้นสิ่งใดที่อีกฝ่ายสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตได้ บีมก็พร้อมที่จะยิมยอมให้มันเป็นอย่างนั้น เพียงแต่ช่วงแรกอาจจะทำใจให้คุ้นชินได้ยากหน่อย

เนื่องจากส่วนใหญ่คุณนัทเหมือนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะการลดค่าเช่าพื้นที่ห้างและการซื้อขายเพนท์เฮ้าส์ทำให้คุณนัทขาดรายได้ แต่คุณนัทกลับบอกให้บีมลองคิดอีกแง่ว่า ต่อให้บีมยังจ่ายเงินครบทุกบาททุกสตางค์ เม็ดเงินมันก็ไหลกลับเข้าสู่กระเป๋าของเราสองคนอยู่ดี คุณนัทเลยอยากให้บีมเอาเงินในส่วนนั้นไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นโดยที่ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ บีมถึงค่อยสะดวกใจมากขึ้น แต่กระนั้นบีมกับคุณนัทก็มักจะต่อรองเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจนต้องหารครึ่งเสมอไป ซึ่งบางครั้งมันทำให้บรรยากาศขุ่นมัวไปพักใหญ่

“พอแล้วล่ะครับ” บีมกล่าวพลางเดินเข้าไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ชายหนุ่มสารถีจึงยอมรามือ

“ผมคิดว่าเราควรจะมีเงินกองกลางนะครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งต่อรองให้เสียอารมณ์” บีมแสดงความคิดเห็นอย่างจริงจัง ขณะที่คุณนัทกำลังขับรถด้วยความตั้งใจ

“ก็ดีครับ” คุณนัทเอ่ยตอบอย่างเห็นด้วย พร้อมส่งยิ้มอบอุ่นกลับมาให้เหมือนทุกครั้ง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้หัวใจของบีมอบอุ่นมากกว่าที่ผ่านมา หรือเป็นเพราะอนุภาพของการใช้ชีวิตคู่อย่างแท้จริง เนื่องจากบีมไม่เคยคิดฝัน เพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน

“ถ้าหากประเทศของเราเอื้ออำนวยทางด้านกฎหมายมากกว่านี้ ผมคงจะทำให้คุณมองเห็นภาพที่อยู่ไกลเกินเอื้อมได้ชัดเจนขึ้น” คุณนัทกล่าวพร้อมใช้ฝ่ามือที่แสนอบอุ่นลูบไล้ศีรษะของบีมเล่นเมื่อรถกำลังติดไฟแดง

“แต่การวางแผนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทำให้ผมเริ่มมองเห็นภาพรวมของครอบครัวเราได้ชัดเจนขึ้นนะครับ เพียงแต่ผมแค่ยังไม่ชิน อีกอย่างมันดูหลักลอยเกินไป ผมเลยเผลอฉุกคิดขึ้นมาว่า บางทีมันอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พ่อกับแม่ยากจะทำใจยอมรับเมื่อลูกชายตกลงปลงใจกับเพศเดียวกัน เพราะมันไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยว่า ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นอะไรขึ้นมา ผลประโยชน์ยังจะเป็นของอีกคนที่ร่วมสร้างมาด้วยกันหรือเปล่า” บีมวิเคราะห์โดยยึดตามหลักความคิดของพ่อกับแม่ เพราะนอกจากวัฒนธรรมจะเป็นตัวปิดกั้นต่อการยอมรับก็ยังมีปัจจัยอีกมากมายให้ฝ่าฟัน จึงไม่แปลกที่การยอมรับจะต้องถูกผลักดันด้วยความสำเร็จ ซึ่งบีมมองว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่

“ผมจะพยายามทำให้คุณรู้สึกมั่นคงด้วยสองมือของเราให้ได้ แม้ว่าตอนนี้สิ่งที่ผมมีจะเป็นกิจการของครอบครัว แต่ผมก็มีประสบการณ์มากพอที่จะบริหารอะไรสักอย่างที่เราอยากจะลงทุนร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของเราให้มั่นคงมากกว่านี้ พ่อกับแม่ของคุณกับผมจะได้สบายใจและยอมรับในความรักของเราได้อย่างสนิทใจ” คุณนัทกล่าวพร้อมขับเคลื่อนตัวรถออกไปตามสัญญาณจราจร ขณะที่บีมเริ่มเอนพิงลาดไหล่ของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มจนเต็มแก้ม

“ผมอยากมีออฟฟิศเอาไว้รองรับพนักงานจะได้ปรับเปลี่ยนเวลาการทำงานใหม่ แถมพื้นที่ของช็อปจะได้กว้างขึ้นด้วย ถ้าหากเป็นไปได้เราสองคนน่าจะซื้อที่ดินหรืออาคารสักแห่งเปิดให้คนเช่าควบคู่กันไป เพียงแต่ทำเลดี ๆ ในกรุงเทพออกจะหายากสักหน่อย” บีมแสดงความคิดเห็นโดยไม่ลืมบอกกล่าวแพลนของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้

“เอาไว้ผมจะลองให้นายหน้าช่วยหาให้แล้วกันครับ หลังจากนั้นค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเปิดให้เช่าหรือจะเปิดเป็นกิจการอย่างอื่นด้วย” คุณนัทกล่าวพลางยกยิ้มพร้อมถือโอกาสเคลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดใกล้ เมื่อการจราจรกำลังติดขัด เนื่องจากฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ แต่ทว่าคนสองคนภายในรถติดฟิล์มกรองแสงกลับแลกรสจูบกันอย่างนุ่มนวล อาจเพราะพวกเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และหยาดฝนโปรยกระหน่ำก็ยังไม่ดังเท่าความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

--------------------------✁
   

[1] ปากกาสไตลัส (Stylus Pen) คือ ปากกาที่ใช้แทนนิ้วมือในการจดหรือวาดรูปลงบนจอสมาร์ทโฟน


บทความที่เกี่ยวข้อง

- ลูกกลิ้งหนาม http://bit.ly/2PVcPwL

มาต่อแล้วจ้า ต่อไปเราจะอัพเรื่องนี้ทุกวันพุธนะคะ แต่ถ้าอาทิตย์ไหนเขียนไม่ทันกำหนดเราจะแจ้งผ่านทางทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊กค่ะ ตอนหน้าตามน้องบีมกลับบ้านกันค่ะ สำหรับตอนนี้เราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนฉากเพลย์ แต่เพราะเสียดายโลเคชั่นก็เลยตัดสินใจเขียน 555 แล้วก็แอบสอดแทรกเกี่ยวกับมุมมองของการใช้ชีวิตร่วมกันของเพศทางเลือกไปด้วย เพราะเรามองว่ามันไม่ง่ายเลยนะที่จะร่วมสร้างอะไรไปด้วยกันทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่าง ถ้าอย่างชายหญิงพอหย่ากันมันฟ้องหย่าเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องสินสมรสได้ แต่ของชายชายมันไม่มีเลย แต่ในส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์รักแท้ให้ครอบครัวได้เห็นแหละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 23:23:24 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนนี้หวานกันจังเลยนะ แต่ว่าชุดแต่งงานนี่มันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ กลับบ้านไปจะเจออะไรน้ออออ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ฝั่งพี่แก้วดูมีอะไรร แต่คุณนัทดีมากจริงๆ เจนเทิลแมนมาก ดีมากกกก 555

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
ตอน 23


ก่อนออกเดินทางบีมสละเวลาพักผ่อนส่วนตัวในการอัดวีดิโอสำหรับพรีเซนต์คอลเลกชันใหม่กับฝ่ายขาย พร้อมมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่พีระ ซึ่งบีมตั้งใจว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้ตามความเหมาะสม อีกทั้งยังแนะนำให้ทีมดีไซเนอร์ทุกภาคส่วนรับรู้ว่าการเบิกจ่ายเกี่ยวกับห้องเสื้ออิสระในช่วงที่บีมไม่อยู่ จะต้องผ่านการอนุมัติจากคุณนัทที่เป็น ‘เพื่อนสนิท’ ของเจ้าของห้องเสื้อ

เนื่องจากหมู่บ้านที่บีมอาศัยจะต้องขับรถข้ามผ่านภูเขาหลายลูกอีกทั้งผู้คนในระแวกนั้นมักจะปลูกยางพารา ข้าวโพด และมันสำปะหลัง จึงไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยวมากนัก ผู้คนต่างถิ่นเลยไม่ค่อยสัญจร ส่งผลให้เครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้งานได้ดีมีเพียงบางเจ้าเท่านั้น ซึ่งบีมไม่แน่ใจว่าทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน จึงต้องวางแผนรับมืออย่างละเอียดรอบคอบ

“ขนอะไรมาเสียเยอะแยะเลยบีม” พอได้ยินเสียงรถขับเคลื่อนเข้ามายังตัวบ้าน แม่ก็ออกมายืนรอด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม จนกระทั่งดับเครื่องและเปิดหลังรถ แม่จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะหลังรถของแม่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมาย แถมยังลุกลามมาจนถึงพื้นที่บริเวณเบาะหลังอีกต่างหาก

“อาหารทะเลแล้วก็อุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าครับ” บีมกล่าวพลางช่วยแม่ขนอาหารทะเลเข้าไปยังห้องครัวที่อยู่ตรงใต้ถุนบ้านเป็นอันดับแรก

“แล้วพ่อล่ะครับ” บีมเอ่ยถามเมื่อมองไปยังรอบ ๆ บริเวณกลับพบเพียงความเงียบเหงา ทั้ง ๆ ที่ปกติพ่อและกลุ่มผู้ช่วยมักจะมานั่งพูดคุยตรงบริเวณใต้ถุนบ้าน โดยมีแม่คอยทำอาหารเตรียมไว้ให้ และด้วยความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เหล่าภรรยาของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงมักจะไปมาหาสู่กับครอบครัวของบีมอยู่บ่อย ๆ

“ออกไปไล่ช้างป่าที่ไร่ข้าวโพดของน้าแช่มน่ะ” แม่ตอบพลางยกยิ้ม บีมจึงพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจ เพราะที่นี่ไม่มีกรมอุทยานคอยดูแล ผู้ใหญ่บ้านจึงต้องรับบทหนัก

“เอ้อ แม่พาบีมไปดูห้องใหม่ดีกว่า” แต่แล้วแม่ก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางรุนหลังให้บีมเดินออกจากห้องครัว ก่อนจะขึ้นไปยังบันไดชั้นสองของตัวบ้าน เพื่อร้องเรียกกลุ่มเพื่อนสนิทให้มาช่วยเตรียมอาหาร ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นภาพชินตา เพราะอะไร ๆ ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“สวัสดีครับ” ทันทีที่เหล่าเพื่อนสนิทของแม่เดินลงมาจากด้านบน บีมก็รีบยกมือไหว้พลางส่งยิ้มการค้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เพราะกำลังวางตัวไม่ถูก

“วันนี้มีอาหารทะเล เจ้าบีมซื้อมาเสียเยอะแยะเลย ยังไงฝากเรียกคนอื่น ๆมากินข้าวเย็นด้วยกันทีนะ เดี๋ยวฉันพาเจ้าบีมไปดูห้องใหม่ก่อน แล้วจะรีบกลับมาช่วย” แม่บอกกับเพื่อนสนิทด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็รีบรุนหลังให้บีมเดินตรงไปยังหนองน้ำแห่งหนึ่งที่ขวางกั้นระหว่างตัวบ้านของบีมกับพี่แก้วไว้ ซึ่งบีมยังจดจำได้ดีว่าสมัยก่อนมีสะพานไม้ข้ามฟากด้วย แต่หลังจากที่พ่อรู้เรื่องที่บีมแอบใส่ชุดบัลเล่ต์สำหรับผู้หญิงสะพานดังกล่าวก็ถูกรื้อถอน

“แม่ยังต้องคอยรับภาระจนเกินควรเหมือนแต่ก่อนอยู่หรือเปล่าครับ” บีมเอ่ยถามถึงสิ่งที่ยังค้างคาใจและถือเป็นอคติอย่างหนึ่งที่ทำให้บีมมองกลุ่มคนเหล่านั้นในแง่ลบ เพราะนอกจากจะมาอาศัยบ้านของคนอื่นกินแล้ว ยังมาทำเป็นหวังดีแต่กลับสร้างปัญหาไม่รู้จบ

“บีมกลัวแม่จะเหนื่อยเหรอ?” ทันทีที่แม่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม บีมก็เม้มปากแน่นพลางพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“ที่จริงก็ไม่ได้เหนื่อยมากนักหรอก แล้วแม่ก็เต็มใจทำเอง เพราะว่าหลาย ๆ อย่างเรายังต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่ บีมเองก็น่าจะรู้ว่าเมื่อก่อนราคายางพาราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมบ้านเรายังมีทั้งสวนยางแล้วก็ไร่ข้าวโพด อีกทั้งแรงงานก็หายากมาก ถ้าหากแม่ไม่คอยถนอมน้ำใจพวกเขาไว้ เราอาจจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเหมือนกับเจ้าอื่นก็ได้นะบีม เพราะตลาดแรงงานแถวบ้านเรา แก่งแย่งกันยิ่งกว่าอะไรดี” พอได้ฟังเหตุผลของแม่ บีมกลับรู้สึกว่ามุมมองของตัวเองเล็กแคบมาก อาจเพราะตอนนั้นบีมยังเด็กเลยไม่เข้าใจปัญหาในส่วนนี้ เพราะแม่ไม่เคยคะยั้นคะยอให้บีมตื่นไปกรีดยางเหมือนกับเด็กบ้านอื่น บวกกับเคยถูกกลุ่มคนเหล่านี้หยอกล้อด้วยความสนุกสนาน แถมยังสร้างปัญหาให้กับความฝันและตัวตนของบีมอย่างมากมาย อคติจึงไม่อาจลบล้างออกจากใจได้ง่าย ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่แม่พูดในวันนี้กลับทำให้มุมมองของบีมเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง อาจเพราะบีมเติบโตมากพอที่จะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น บีมจึงเริ่มมองเห็นว่าทำไมพ่อกับแม่และคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ถึงได้มีมุมมองว่าอาชีพรับราชการเต็มไปด้วยความมั่นคง เพราะจุดเริ่มต้นน่าจะมาจากการที่ราคายางตกต่ำ จนทำให้ชาวบ้านหลายครอบครัวประสบความยากลำบาก และยังส่งผลให้การกู้หนี้ยืมสินเป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีหลักประกันที่แน่นอน แต่ถ้าหากครอบครัวไหนมีลูกหลานรับราชการก็จะได้รับการอนุมัติที่ง่ายกว่า

“แม่ทำไม..?” บีมเอ่ยได้เพียงแค่นั้น เพราะภาพที่เห็นมันอยู่เหนือความคาดหมายของบีมมาก เนื่องจากตอนแรกบีมเอาแต่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับแม่ จนลืมเลือนจุดประสงค์แท้จริงที่แม่พาเดินออกมาจากเขตบ้านใหญ่

“พ่อกับแม่กลัวว่าบีมจะอึดอัดก็เลยระดมคนมาสร้างบ้านริมน้ำให้ใหม่” แม่กล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่บีมกำลังทอดมองบ้านไม้สีขาวขนาดเล็กด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะทันทีที่มองลอดผ่านประตูกระจกเข้าไป บีมก็เห็นจักรเย็บผ้าและหุ่นโชว์ตั้งตระหง่านอยู่ในนั้น

ภาพลักษณ์ของช่างตัดเสื้อในความคิดของพ่อกับแม่ถึงค่อยชัดเจนมากขึ้น เพราะในเขตชนบทแบบนี้ ส่วนมากจะมีแค่การสั่งแก้เสื้อผ้าตามความต้องการของผู้สวมใส่ หรือไม่ก็จ้างปักชื่อบนชุดนักเรียน นาน ๆ ครั้งถึงจะมีลูกค้ามาสั่งตัดเสื้อตามแบบที่ต้องการ ดังนั้นอาชีพดีไซเนอร์ที่บีมใฝ่ฝัน ในสายตาของพ่อกับแม่จึงไม่ต่างกับธุรกิจสวนยางที่มีความไม่แน่นอน

เพียงแต่ตอนนี้มุมมองของพ่อกับแม่ที่มีต่ออาชีพดีไซเนอร์คงจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะแม่เคยไปเห็นห้องเสื้อของบีมว่ามันแตกต่างจากสิ่งที่แม่คิดยังไงบ้าง แม่จึงไม่ออกปากคัดค้านเหมือนแต่ก่อน แถมยังช่วยพูดกับพ่อจนเข้าใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงผลักดันแห่งการยอมรับเกิดจากการที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี

แต่ขึ้นชื่อว่าธุรกิจยังไงก็มีความไม่แน่นอน บีมเลยคิดว่ารายได้ในแต่ละเดือนควรจะอยู่ในความรับรู้ของพวกท่าน เพราะอย่างน้อยพวกท่านก็จะได้เบาใจว่าเม็ดเงินเหล่านั้น เพียงพอให้บีมและพ่อกับแม่จับจ่ายใช้สอยอย่างสบาย

“ไม่เห็นต้องลำบากเลยครับ” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงทุกที เพราะขอบตากำลังร้อนผ่าวด้วยความดีใจ

“ไม่ลำบากสักนิดเลยบีม เพราะมันคือสิ่งที่พ่อกับแม่ควรจะทำให้บีมตั้งนานแล้ว” ยิ่งแม่อธิบายน้ำตาของบีมก็ยิ่งล้นปริ่ม เพราะสำหรับบีมการที่พ่อกับแม่ไม่ห้ามปรามเหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังมองหาโอกาสให้บีมได้แสดงฝีมือ เพื่อที่คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านจะได้รับรู้ว่าลูกชายของผู้ใหญ่หนุ่ยมีความสามารถมากแค่ไหน นับว่าเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เพียงแต่ภาพตรงหน้าทำให้บีมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก

“อ้าว สองแม่ลูกทำไมมายืนกอดกันกลมแบบนั้น” ทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อ บีมก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของแม่ พร้อมเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จนพ่อที่ยังเดินไม่สะดวก ต้องฝืนก้าวเดินเข้ามาโยกศีรษะของลูกชายเพียงหนึ่งเดียวด้วยความเอ็นดู แต่ไม่รู้ทำไมบีมถึงได้กลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้ น้ำตาอุ่น ๆ เลยพาลไหลไม่ยอมหยุด ผลสุดท้ายพ่อจึงเป็นฝ่ายโอบกอดทั้งบีมและแม่อย่างแนบแน่น

บีมเลยได้แต่ยกยิ้มทั้งน้ำตาพลางเหลือบมองไปยังบึงบัวแดงอันแสนคุ้นเคยด้วยความเหม่อลอย เพราะภาพของดวงตะวันตกดินกำลังอาบไล้บึงบัวเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างบ้านจนผืนน้ำระยิบระยับจับตา ซ้ำยังทอประกายลงมายังคนสามคนที่กำลังโอบกอดกัน ส่งผลให้บีมรู้สึกอบอุ่นจนแทบแยกไม่ออกว่ามันเป็นไออุ่นจากดวงตะวันยามเย็น หรือว่าเป็นความรักจากพ่อกับแม่กันแน่


กระทั่งดวงตะวันถูกแทนที่ด้วยพระจันทร์สีเหลืองนวล มื้อเย็นในช่วงหัวค่ำจึงถูกแม่นำมาส่งให้ถึงบ้าน เพราะบีมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการขนย้ายข้าวของออกจากรถด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากบีมคัดเลือกผ้าลูกไม้หลากประเภทมาให้พี่แก้วเลือกสรร แม้ว่าอีกฝ่ายจะให้อิสระทางความคิดก็ตามที

“คุณนัทเห็นห้องใหม่ของผมหรือยังครับ ด้านหน้าเป็นห้องตัดเสื้อ ส่วนด้านหลังเป็นห้องนอน” ทันทีที่คนรักวีดิโอคอลมาหา บีมจึงควานหาหูฟังมาใส่อย่างรวดเร็ว พร้อมบอกกล่าวด้วยความตื่นเต้น ขณะทานมื้อเย็นที่ค่อนไปทางมืดค่ำบนโต๊ะไม้ในห้องตัดเสื้อเพียงลำพัง

‘เห็นตั้งแต่เลิกงานแล้วครับ ผมส่งไลน์หาคุณแล้ว แต่คุณยังไม่ได้อ่าน’ สิ้นคำพูดจากบุคคลปลายสาย บีมจึงเปิดแอปพลิเคชันดังกล่าวด้วยความรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะมือของบีมเต็มไปด้วยกลิ่นคาวของอาหารทะเล

“โทษทีนะครับ พอดีผมกำลังจัดห้องอยู่เลยไม่ทันเห็น ทำให้คุณเป็นห่วงอีกแล้ว” บีมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะรู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงที่ต้องเดินทางไกล

‘แค่ผมเห็นคุณส่งรูปห้องใหม่มาอวด ผมก็สบายใจแล้วครับ เพราะมันแปลว่าคุณถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว’ พอได้ยินอีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยแบบนั้น บีมจึงอมยิ้มด้วยความสบายใจ

“เดี๋ยวผมไปล้างมือก่อนนะครับ คุณอย่าเพิ่งวางสาย” บีมเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปยังห้องนอนที่มีห้องน้ำขนาดไม่ใหญ่แอบซ่อนอยู่

“บีมกินเสร็จแล้วใช่ไหมลูก แม่เอาจานไปล้างเลยนะ” ทันทีที่ได้ยินเสียงแม่บีมจึงรีบสะบัดไล่หยดน้ำจนกระจายเต็มกระจก พร้อมวิ่งออกไปยังห้องตัดเสื้อด้วยความรวดเร็ว เพราะบีมกลัวแม่จะเห็นว่ากำลังวีดิโอคอลกับผู้ชาย

“ขอบคุณนะครับ น้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อยมาก” บีมเอ่ยชมพร้อมลากเสียงเน้นความอร่อย จนแม่ถึงกับตีก้นด้วยความมันเขี้ยว บีมจึงหัวเราะด้วยความสดใส จากนั้นบีมก็ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของแม่จนลับสายตา โดยที่ห้วงหนึ่งในความคิดเกิดข้อซักถามอย่างไม่ทันตั้งตัว ว่าท่าทางเย้าหยอกอย่างใกล้ชิดระหว่างบีมกับแม่ห่างหายไปนานแค่ไหน เพราะบีมจดจำความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เลย สถานการณ์เมื่อครู่จึงทำให้บีมเอาแต่ยืนยิ้มจนถึงดวงตา


“คุณนัทครับ ผมต้องเริ่มทำงานแล้ว” กระทั่งบีมเดินกลับมายังโต๊ะสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้า สายตาจึงเหลือบมองไปยังนาฬิกาเรือนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชั้นวางของ พบว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงสองทุ่ม บีมจึงเริ่มส่งเสียงเศร้าสร้อยที่ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายเหงาหงอยเพียงลำพัง

‘ไม่เป็นไรครับ ให้ผมนั่งมองคุณตัดเสื้อผ่านหน้าจอโทรศัพท์แทนก็ได้ แต่ก่อนอื่นผมขอเวลาจากคุณสัก 5 นาทีได้ไหมครับ’ สิ้นคำขอจากคุณนัทบีมจึงพยักหน้าตอบรับ โดยไม่สนเงื่อนไขว่าอีกฝ่ายต้องการให้ทำอะไร

‘ผมเตรียมของขวัญไว้ในถุงรองเท้า’ ทันทีที่คุณนัทเอื้อนเอ่ยบีมจึงรีบเดินไปยังห้องนอน พร้อมหยิบถุงดังกล่าวขึ้นมาวางไว้บนเตียง

“ผมตั้งใจจะเปิดดูหลังจากที่จัดห้องเสร็จ แต่ก็ลืมสนิทเลยครับ” บีมกล่าวพลางวางโทรศัพท์ไว้บนเตียง จากนั้นจึงหยิบกล่องรองเท้าออกมาด้วยความสนใจ กระทั่งเปิดฝาออกจึงมองเห็นโมบายจากกะลามะพร้าว เพียงแต่มันถูกย้อมด้วยสีฟ้าครามของน้ำทะเล ขณะที่ด้านในของกะลาทรงกลม ปรากฏรูปวาดของนางเงือกหยอกเย้าคลื่นลมด้วยความเพลิดเพลิน และที่ขาดไม่ได้คือพวงกระดิ่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เพื่อที่เวลาบีมเผลอเดินละเมอแล้วเปิดประตูออกไปนอกบ้าน หรือแม้แต่ระเบียงบ้านจะได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้คุณนัทรับรู้ถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และส่งข่าวให้พ่อกับแม่ช่วยเหลือได้ทันการณ์ เพราะก่อนจะออกเดินทางบีมให้เบอร์โทรศัพท์ของพวกท่านไปแล้ว

“นางเงือกกับจิตรกร” บีมเอ่ยกับตัวเองเพียงเบา ๆ เมื่อเห็นว่ายังมีโมบายอีกหนึ่งอันซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่รูปด้านในของกะลาทรงกลมกลับเป็นชายผู้หนึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการวาดรูปบางอย่างในท้องทะเล โดยที่บีมไม่ต้องใช้ตรรกะเชื่อมโยงอะไรมากก็เข้าใจเรื่องราวที่ผูกร้อยเข้าด้วยกันได้ไม่ยาก

“สวยจังครับ” บีมกล่าวพร้อมยกยิ้ม ขณะเดินถือโทรศัพท์พลางมองหาทำเลที่ควรนำโมบายไปแขวน ซึ่งท้ายที่สุดบีมก็ตัดสินใจแขวนไว้ยังประตูกระจกที่สามารถมองเห็นบึงบัวแดงได้อย่างชัดเจน เพราะในห้องนอนไม่มีหน้าต่าง เนื่องจากประตูระเบียงสามารถใช้ทดแทนกันได้

“คุณนัทคิดว่าผมควรจะเลือกแขวนโมบายไว้ที่หน้าประตูบ้านดีไหมครับ” บีมเอ่ยถามความคิดเห็น เพราะในห้องตัดเสื้อมีหน้าต่างกระจกถึงสองบาน และยังมีประตูกระจกบานใหญ่อีกหนึ่งบาน ซึ่งโมบายที่คุณนัททำมาให้ ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

‘ผมคิดว่าคุณน่าจะเลื่อนโต๊ะทำงานไว้ตรงริมหน้าต่างดีไหมครับ เวลาที่คุณเหนื่อยล้าจะได้นั่งมองบรรยากาศด้านนอกได้สะดวก แต่ถ้าหากอยากจะพักสายตาจากการทำงานเพียงชั่วคราว ผมคิดว่าคุณควรจะใส่กุญแจมือคล้องไว้กับขาโต๊ะทุกครั้ง เรื่องยุ่งยากจะได้ไม่ตามมา ส่วนโมบายผมคิดว่าถ้าหากคุณอยู่ในห้องนอนก็ควรจะย้ายมาแขวนไว้ตรงหน้าประตูที่เชื่อมกับห้องตัดเสื้อ แต่ถ้าคุณกำลังทำงานควรแขวนไว้ที่ประตูหน้าบ้านจะเหมาะสมกว่า’

“แบบนั้นก็ดีครับ ผมขอย้ายโต๊ะแป๊บนึงนะ” บีมกล่าวพลางจัดแจงห้องทำงานของตัวเองใหม่ จากนั้นจึงเหลือบมองไปยังบริเวณบ้านของพี่แก้วที่ยังคงปิดไฟจนมืดสนิทเลยตัดสินใจใช้โทรศัพท์อีกเครื่องโทรหาพี่สาวข้างบ้าน เผื่อว่าจะได้นัดมาวัดตัวเพื่อความแน่นอน คุณนัทจึงถือโอกาสไปเล่นเปียโนระหว่างรอ บีมจึงอาศัยช่วงเวลานี้เปิดลำโพงเพื่อหวังจะให้เสียงดนตรีบรรเลงเสริมสร้างบรรยากาศแห่งการเริ่มต้นที่แสนผ่อนคลาย

“พี่แก้ว ตอนนี้บีมอยู่ที่บ้านแล้วนะครับ ถ้าเกิดยังไม่ดึกเกินไป บีมอยากขอเวลาให้พี่แก้วมาลองวัดตัวเพื่อความแน่นอนอีกครั้งน่ะครับ” เมื่อหญิงสาวรับสายบีมจึงรีบระรัวคำพูดอย่างรวดเร็ว เพราะบีมอยากจะเห็นรูปร่างที่แท้จริงของอีกฝ่าย เนื่องจากก่อนหน้านี้พี่แก้วเลือกชุดเจ้าสาวทรงเชทที่ไม่เน้นรูปร่างมากนัก บวกกับพี่แก้วเป็นคนตัวสูง บีมจึงคาดคะเนว่าอีกฝ่ายน่าเหมาะกับชุดที่เน้นการทิ้งตัวของเนื้อผ้ามากที่สุด

‘ได้สิบีม ตอนนี้พี่กินข้าวอยู่ที่บ้านของบีมนี่แหละ เดี๋ยวพี่ชวนป้านุ้ยเดินไปหาที่บ้านเลยแล้วกัน' หลังจากตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ความสงสัยเกี่ยวกับบ้านข้าง ๆ ก็เป็นอันหดหาย เพราะบีมกำลังนึกลังเลว่าจะเปิดลำโพงโทรศัพท์ต่อไปดีหรือเปล่า

“เดี๋ยวพี่แก้วกับแม่จะเข้ามาวัดตัวนะครับ ผมเปิดลำโพงอยู่นะ” แม้ว่าชายหนุ่มปลายสายจะกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงดนตรี แต่บีมก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายน่าจะได้ยินถ้อยคำที่ตนเองบอกกล่าว เพราะวันนี้คุณนัทไม่ได้ตั้งโทรศัพท์ไกลนัก เสียงเพลงจึงสะดุดลงเพียงชั่วคราว ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงเวลาที่พี่แก้วกับแม่เดินทางมาถึง บีมจึงคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความแนบเนียน

“สวัสดีครับพี่แก้ว” ทันทีที่ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยผู้มาเยือน เสียงเพลงบรรเลงจากคุณนัทก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งจากโมบายกะลามะพร้าว

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” พี่แก้วทักทายด้วยรอยยิ้มเพียงแค่นั้น บทสนทนาก็เงียบลง อาจเพราะทั้งสองฝ่ายไม่ได้พบเจอกันนานแล้ว เวลานี้จึงไม่ต่างกับบุคคลแปลกหน้า แม้ว่าตอนเด็กจะสนิทสนมกันมากก็ตาม

“ผมขออนุญาตวัดตัวเลยนะครับ” บีมกล่าวพลางเดินไปหยิบสายวัดจากชั้นวางของสีขาวเข้ากันดีกับตัวบ้าน ขณะที่แม่เดินไปนั่งยังโต๊ะทำงาน บีมจึงเหลือบมองด้วยความหวั่นใจเพียงครู่ แต่พอเห็นแม่ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงเพลงมากนัก บีมจึงเริ่มผ่อนคลายและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การวัดตัว

จนกระทั่งการวัดตัวเสร็จสิ้น บีมเลยให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปทรงของชุดแต่งงานกับพี่แก้ว เพราะเอาเข้าจริงพี่แก้วไม่ใช่คนขาใหญ่อย่างที่คิด แต่ออกจะสะโพกผาย จึงเหมาะกับชุดแต่งงานทรงเอไลน์มากกว่า ซึ่งพี่แก้วก็รับฟังความคิดเห็นเป็นอย่างดี บีมจึงเสนอแบบที่สเก็ตช์เผื่อไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าพี่แก้วชื่นชอบชุดแบบใหม่มาก

บีมจึงเริ่มชักชวนให้พี่แก้วเลือกสรรผ้าลูกไม้แต่ละประเภทที่ตั้งใจขนมาจากกรุงเทพอย่างทะนุถนอม แต่สุดท้ายพี่แก้วก็ตกลงปลงใจเลือกผ้าลูกไม้ประเภท EMBROIDERED LACE ตามที่บีมหมายตา เพียงแต่การตกแต่งชุดจะต้องทำอย่างประณีต เพราะผ้าลูกไม้ประเภทนี้จะต้องปักลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ลงไปด้วยถึงจะสวย งานหนักจึงตกอยู่ที่บีมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพื่อเนรมิตให้พี่แก้วเป็นเจ้าสาวที่สง่างามที่สุด บีมก็เต็มใจทุ่มเทจนสุดฝีมือ

จากนั้นความเป็นส่วนตัวก็ถูกสร้างขึ้น เมื่อทั้งบ้านหลงเหลือเพียงแค่บีมกับเสียงเปียโนบรรเลงบทเพลงหนึ่ง บีมจึงหงายหน้าจอโทรศัพท์และวางตั้งไว้ในจุดที่สามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางที่แสนสง่างามของคนรักได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็ไม่กินพื้นที่ต่อการตัดเย็บชุดเจ้าสาวของพี่แก้วจนเกินไป

“เพราะจังครับ” ทันทีที่บทเพลงดังกล่าวจบลง บีมจึงเอ่ยชมบุคคลปลายสายจนทำให้อีกฝ่ายยกยิ้มแกมเก้อเขิน พร้อมเปิดสมุดโน้ตเพื่อบรรเลงบทเพลงต่อไป โดยที่บีมกำลังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับการสร้างแพทเทิร์นบนหุ่นแบบมูลาจ พร้อมใช้ปากกาเมจิกขีดเส้นโครงสร้างพื้นฐานของตัวแบบ เพราะวิธีนี้เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เสื้อผ้ามีความเป็นธรรมชาติและน่าสวมใส่ อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกต่อการตัดเย็บที่มีความซับซ้อน เสียงเพลงบรรเลงจากคุณนัทจึงคอยอยู่เป็นเพื่อนในระหว่างทำงานด้วยความอบอุ่น

--------------------------✁

บทความที่เกี่ยวข้อง
- ชุดเจ้าสาวทรงไหนนะ ? ที่เหมาะกับรูปร่างของคุณ http://bit.ly/39tVZg5

บีมกลับบ้านแล้ว สำหรับตอนนี้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับบ้านของบีมไว้เยอะเลย คิดว่าคนอ่านน่าจะพอเข้าใจเหตุผลของพ่อกับแม่ของบีมบ้างแล้ว เพราะเท่าที่เราทราบมาเจ้าของสวนยางกับลูกจ้างจะอยู่กันแบบครอบครัวเลยค่ะ อารมณ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เลยจะเห็นได้ว่ามุมมองของบีมตอนเด็กกับตอนโตมีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะ และมันก็ส่งผลถึงสภาพแวดล้อมด้วยเหมือนกันค่ะ
ส่วนคุณนัทก็ยังคงทำตัวเป็นคนรักที่ดีต่อไป
Happy New Year คนอ่านทุกคนเลยนะคะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่มีความสุขมาก ๆ น้า~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 23:56:45 โดย Chomin »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พ่อแม่ดีก็เบาใจ ตอนแรกแอบกังวลเกี่ยวกัยแก้วว่าแอบแปลกๆแต่ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด