ตอน 20
ช่วงนี้หน้าที่การงานของบีมเริ่มจะเข้าที่แล้ว เพราะบีมเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการออกแบบแพทเทิร์นเสื้อผ้า แทนที่จะใช้การวาดแพทเทิร์นลงในกระดาษทำแพทเทิร์น เนื่องจากวิธีหลังนักออกแบบจะต้องวัดและกำหนดขนาดองค์ประกอบในแต่ละส่วนของเสื้อผ้าด้วยตนเอง ซึ่งวิธีแรกจะมีโปรแกรมคอยคำนวณให้
ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยมั่นคง บีมจึงยอมเลือกใช้วิธีสำหรับมือใหม่ โดยโปรแกรมที่บีมเลือกใช้คือ ‘CAD Pattern Design’ ส่งผลให้ขั้นตอนของการทำงานลุล่วงมาจนถึงการสร้างตัวอย่างแรก ซึ่งในขั้นตอนนี้บีมไม่อาจหอบหิ้วกลับมาทำที่ห้อง เพราะการตัดเย็บไม่ค่อยสะดวกขนไปขนมา
บวกกับบีมเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศาสตร์การมัดเชือกแบบชิบาริอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะในช่วงนี้มีการเปิดครอส์อยู่พอดี ส่งผลให้เวลาว่าง ๆ โรปท็อป อย่างคุณนัท มักจะใช้ร่างกายของบีมเป็นแหล่งฝึกฝน และยังช่วยให้บีมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
ความโดดเดี่ยวอ้างว้างกังวลใจเลยแสดงออกมาโดยที่คุณนัทรับรู้ทุกอย่าง อีกฝ่ายจึงคอยปลอบโยนด้วยคำเรียบง่าย ว่า ‘คุณยังมีผมอยู่’ ส่งผลให้บีมถึงกับร้องไห้น้ำตานองหน้า เพราะความอ่อนแอที่พยายามกักเก็บกำลังถูกปลดปล่อย เพื่อที่ใครบางคนจะได้คอยดูแล
“แม่โทรมาครับ” บีมบอกกล่าวผู้เป็นเจ้าของห้องด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบพลางใช้ฝ่ามือปิดลำโพง ขณะที่ใบหน้ากำลังเบิกบานจนเปล่งประกาย
กระทั่งคุณนัทยกยิ้มให้ บีมจึงลุกออกจากโต๊ะอาหาร มุ่งตรงไปยังระเบียงอันกว้างขวางด้านนอก ส่วนคุณนัทก็ทำหน้าที่พ่อครัวคอยเก็บล้างเหมือนทุกวัน
“ครับแม่” บีมเอื้อนเอ่ยพลางเกาะราวระเบียงที่มีกระจกใสกั้นอาณาเขตอันตราย แต่กระนั้นก็ไม่ได้รบกวนการชื่นชมทัศนียภาพในเมืองที่ยังคงคึกคักแต่อย่างใด
‘รถเป็นยังไงบ้างบีม โทษทีนะ พอดีแม่วุ่น ๆ ช่วยพ่อเคลียร์งานน่ะ’ น้ำเสียงของแม่ฟังดูเหนื่อยล้ามาก ซึ่งก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริง เพราะหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านจะต้องคอยดูแลความสงบสุขของผู้คนในหมู่บ้าน อีกทั้งยังต้องคอยสร้างความสมานฉันท์ และยังต้องคอยรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์ จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของบีมไม่อาจไม่ญาติดีกับครอบครัวของพี่แก้ว เนื่องจากมันอาจจะกระทบถึงภาพลักษณ์อันดีงามที่สั่งสมมานานหลายปี
“รถไม่ได้เสียครับแม่” บีมเอ่ยตอบอย่างกำปั้นทุบดิน นัยหนึ่งเพื่อลอบสังเกตปฏิกิริยาของผู้เป็นแม่
‘แม่คงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก โทษทีนะบีม เราเลยพลอยวุ่นวายไปด้วย’ แม่ยังคงเอื้อนเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กระนั้นน้ำเสียงของแม่กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เพราะทุกวันแม่ต้องคอยต้อนรับเหล่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ไร้ความเกรงใจ ซึ่งบีมยังจดจำได้ดีว่า บุคคลเหล่านั้นมักจะมาอาศัยข้าวปลาอาหารของที่บ้าน พอกินเสร็จก็ไม่ยอมเก็บล้าง บีมกับแม่เลยต้องคอยรับภาระอยู่ตลอด
ดังนั้นเรื่องราวอันเล็กน้อยเหล่านี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มนุษย์ไร้ซึ่งความเกรงใจ และชีวิตของบีมก็ไม่อาจกลายเป็นของบีมได้ เพราะพ่อกับแม่ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายให้กับลูกบ้าน และยังมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซ้ำยังต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการสร้างถนนที่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรของชาวบ้าน หรือแม้กระทั่งการไปประชุมเพื่อเตรียมรับมือกับอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่ และยังรวมไปถึงการไล่ช้างป่าที่เข้ามาบุกรุกที่ดินทำกินของชาวบ้านก็ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของพ่อ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย เรื่องที่บีมชอบใส่กระโปรงบัลเล่ต์ของพี่แก้วเลยแพร่สะพัดไปถึงหูพ่อ เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมักจะใช้ความห่วงใยเป็นสิ่งบังหน้า เพียงเพราะบีมทำตัวผิดจากบรรทัดฐานทางสังคม และยังกลายเป็นตัวตลกให้พวกเขาขบขัน เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมักจะยึดติดในสิ่งที่ตัวเองรับรู้ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือมันคือสิ่งที่ดีงาม
ซึ่งทุกสิ่งที่บีมเป็นมักจะถูกตัดสินในทางตรงข้าม เพียงเพราะคำว่า ‘สิ่งที่ดีและสิ่งที่ควร’ ในสายตาของพ่อกับแม่ มักจะตรงกับผู้คนในหมู่บ้าน อาจเพราะสภาพแวดล้อมหลอมรวมให้ขนบความคิดดำเนินมาอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะคำว่า ‘ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน’ บีมก็ไม่ค่อยแน่ใจ
“แม่จะลงมาเอารถเมื่อไหร่ครับ” บีมพยายามปัดเป่าความคิดอันฟุ้งซ่าน พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นแม่อย่างจริงจัง
‘ปลายเดือนนี้พี่แก้วที่อยู่ข้างบ้านเราจะแต่งงานแล้ว เธอเลยอยากให้บีมมาตัดชุดแต่งงานให้ ถ้ายังไงบีมขับรถกลับมาให้แม่ก็ได้’ สิ้นคำพูดของแม่ ฝ่ามือที่เคยประคองโทรศัพท์จึงกอบกุมเอาไว้แน่น ริมฝีปากพลันเม้มสนิท ขณะที่กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว
“แม่.. รู้เรื่องร้านของบีมตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ” บีมเอ่ยถามเสียงสั่น ขณะที่ในใจกำลังเต้นรัวราวกับตีกลอง
‘ก็ตั้งแต่ที่ยัยภาลูกป้าแช่มกลับมาที่บ้านเมื่อช่วงต้นเดือนน่ะ’ สิ้นคำพูดของแม่ สมองของบีมก็เริ่มประมวลผล จนกระทั่งทราบว่าคนที่ชื่อภาคือพนักงานบัญชีที่ทำให้บีมมีโอกาสใช้เป็นข้ออ้างในการเลือกเรียนคณะนี้ ปัจจุบันคงดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชี
“แม่ก็เลยขึ้นมาหาบีมเหรอครับ ?” ผู้เป็นลูกเอ่ยถามอย่างต้องการความแน่ใจ ขณะที่ในใจก็เริ่มหวาดหวั่น เพราะดูเหมือนโลกจะกลมเกินไป เนื่องจากการที่พี่ภาทราบว่าบีมไม่ได้ทำงานอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าของคุณนัท เท่ากับว่าเธอคือผู้จัดการฝ่ายบัญชีของที่นั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
‘อืม เห็นบีมมีชีวิตที่ดีแม่ก็เบาใจ อีกอย่างแม่รู้สึกว่าบีมดูมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการตัดเย็บเสื้อผ้ามาก’ แม่เอื้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับท่านกำลังอมยิ้ม
“ทำไมแม่ถึงรู้สึกอย่างนั้นเหรอครับ” บีมยังคงตั้งคำถาม เพราะอยากจะแน่ใจว่าสิ่งที่กำลังสัมผัสไม่ใช่ความฝัน
‘ตอนที่เราไปเดินซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน แม่เห็นบีมคอยสำรวจเสื้อผ้าแต่ละแบบอย่างตั้งใจ บางส่วนที่สำคัญจนกลัวว่าจะหลงลืมก็พิมพ์ใส่โทรศัพท์ ยิ่งบีมบอกว่าเสื้อเชิ้ตทั้งหมดในตู้ บีมเป็นคนออกแบบเอง แม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าความชื่นชอบของบีมไม่ต่างกับการที่แม่ชอบดูลิเก’ คำเปรียบเปรยของแม่อาจฟังดูเรียบง่าย แต่กลับกินใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะความนัยของมันก็ไม่ต่างกับความชอบของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน
“แต่บีมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยครับ พี่แก้วจะโอเคเหรอ” บีมยังคงตั้งคำถามด้วยความกังวล เพราะครอบครัวของพี่แก้วจะบอกว่าไฮโซก็ย่อมได้ ดังนั้นชุดแต่งงานที่สวมใส่เพียงครั้งหนึ่งในชีวิตจะตกอยู่ในความรับผิดชอบของห้องเสื้ออิสระก็ยังเหลือเชื่อ
‘พอแม่บอกว่าบีมเปิดห้องเสื้ออิสระ แก้วก็รีบตกลงเลยนะ เพราะเธอบอกกับแม่ว่าช่วงนี้เสื้อผ้าของห้องเสื้อเริ่มติดตลาดแล้ว อีกอย่างแก้วอยากจะสนับสนุนบีมด้วย’ บีมได้แต่อมยิ้มโดยไม่คิดถามไถ่ว่าทำไมแม่ถึงเดาออกว่าห้องเสื้ออิสระอยู่ในความดูแลของบีม เพราะมันก็เป็นไปได้ว่าพี่ภาอาจจะรับหน้าที่เป็นนักสืบ แม่ถึงได้เจาะจงมาซื้อชุดไปงานแต่งของพี่แก้ว และยังร้องขอคอลเลกชันเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายมาเปิดดู
“แม่ไม่โกรธบีมเหรอครับ ?” เจ้าของห้องเสื้อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
‘ถ้าเป็นแต่ก่อนแม่คงโกรธ แต่ว่าตอนนี้กิจการมันไปได้ดีแล้ว แม่ไม่มีความจำเป็นจะต้องคัดค้านหรือว่าโกรธเคือง มีแต่จะยินดีกับความสำเร็จของบีม เพียงแต่ในอดีตพ่อกับแม่แค่เป็นห่วง กลัวว่าอาชีพนี้จะทำให้บีมลำบาก เพราะแถวบ้านของเราอาชีพช่างตัดเสื้อเพียงพอแค่ใช้จ่ายไปวัน ๆ เทียบกันแล้ว งานข้าราชการมีความมั่นคงกว่ามาก และหัวอกของพ่อกับแม่ก็ย่อมหวังให้บีมได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด’ สิ้นคำพูดของแม่ บีมก็ได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อกำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลริน เพราะกว่าแม่จะเข้าใจและยอมรับได้ เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนาน
“แล้วพ่อเห็นด้วยกับแม่หรือเปล่าครับ” บีมยังคงเอ่ยถามอย่างต้องการความมั่นใจ เพราะถึงอย่างไรคนที่บีมแคร์ก็คือพ่อกับแม่ แม้ว่าที่ผ่านมาจะถูกขวางกั้นด้วยความไม่เข้าใจจนเกิดความอึดอัดระหว่างกัน
‘รายนั้นคุยโวทั้งวัน’ คำอธิบายเพียงสั้น ๆ ของแม่ ทำเอาบีมหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา
“ถ้าบีมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบลงไปหานะครับ ส่วนชุดแต่งงานของพี่แก้ว บีมจะเร่งทำให้สุดฝีมือ รับรองว่าจะไม่ทำให้เสียชื่อของผู้ใหญ่หนุ่ยกับแม่นุ้ยแน่นอนครับ” บีมเอื้อนเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะ พร้อมวางแผนเกี่ยวกับการรับมือต่อภาระงานที่เริ่มล้นหลาม จากนั้นจึงวางสายด้วยสีหน้าเบิกบาน
“ดูเหมือนเรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้วนะครับ” คุณนัทที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่บนกำแพงหินสำหรับกักกั้นพื้นที่สีเขียวบริเวณด้านหลัง เอื้อนเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คงเพราะเจ้าตัวนั่งฟังบีมคุยโทรศัพท์มาเนิ่นนานแล้ว
“ครับ” บีมตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส เพราะไม่ต้องกังวลว่าพ่อกับแม่จะต่อต้านรสนิยมในการสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงอีกต่อไป เนื่องจากบีมมั่นใจแล้วว่าเหตุผลคงจะมีค่ามากพอให้พ่อกับแม่รับฟัง ส่วนเรื่องรูปอันแสนน่าอายนั่นก็คงเป็นอย่างที่คุณนัทบอก เพราะด้วยนิสัยของแม่ถ้าหากเห็นอะไรไม่ถูกไม่ควร แม่จะรีบตักเตือนไม่ให้บีมออกนอกลู่นอกทางทันที บีมจึงเริ่มมั่นใจว่าแม่คงไม่ทันเห็นภาพนั้นจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องฉลองด้วยการเพลย์แล้วล่ะครับ” คุณนัทเยื้องย่างเข้ามาหาบีมด้วยท่วงท่าอันสูงส่ง ราวกับแผ่ซ่านบารมีของผู้เป็นดอมอย่างแรงกล้า จากนั้นสุ้มเสียงทุ้มนุ่มจึงกระซิบความปรารถนาเพียงแผ่ว ร่างกายของบีมเลยปลิวไปตามแรงฉุดรั้งของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ
คุณนัทในสถานะดอมมักจะทำการบ้านอย่างละเอียด เพราะตั้งแต่พูดถึงเรื่องการเต้นบัลเล่ต์ในวันนั้น ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจจึงแอบไปซื้อชุดบัลเล่ต์สำหรับผู้หญิงที่มีเนื้อผ้าบางเบาไล่เฉดสีอย่างสวยงาม อีกทั้งยังหาซื้อถุงน่องและรองเท้าสำหรับนักบัลเล่ต์จนครบเซ็ต
ส่วนบีมกำลังวอร์มร่างกายให้ครบ 30 นาที เพราะการเต้นบัลเล่ต์มีความเกี่ยวข้องกับการยืดหยุ่นทางร่างกาย ซึ่งบีมไม่ได้ฝึกมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นเนื้อตัวที่เคยถูกพี่แก้วดัดจนอ่อนช้อยอาจไม่เป็นเหมือนวันวาน
ซึ่งคุณนัทเคยมาสอบถามว่า การโรลเพลย์ในลักษณะนี้ควรจะเริ่มอย่างไร บีมจึงแนะนำเกี่ยวกับการดัดตัวให้อีกฝ่ายไปศึกษา เนื่องจากวิธีดังกล่าวถือเป็นสิ่งสำคัญของการเต้นบัลเล่ต์ คุณนัทจึงลองทดสอบการยืดหยุ่นของร่างกายด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้คาดคะเนขีดจำกัดว่าทำได้มากแค่ไหน
“นายบอกว่าเคยเรียนบัลเล่ต์มา ถ้าอย่างนั้นผมขอดูหน่อยว่านายเต้นท่าไหนได้บ้าง” ทันทีที่บีมก้าวเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ติดห้องนอน คุณนัทในมาดนายท่านก็ยืนกอดอกพิงพนักเก้าอี้ริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่
บีมจึงเลือกใช้ท่า ‘Attitude’ ในการทดสอบเป็นอันดับแรก โดยใช้ขาข้างหนึ่งรับน้ำหนักตัว ขณะที่ขาอีกข้างยกขึ้นและงอเข่าแต่พองาม เพียงแต่ขาข้างที่งอเข่านี้จะอยู่ตรงด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลังก็ได้ ทว่าบีมกลับไม่อาจยืนบนปลายเท้าได้สำเร็จจึงตัดสินใจวาบราบลงกับพื้น
“ผมว่านายคงต้องเริ่มดัดตัวใหม่ เพราะขาและแขนยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้ามาหาบีม จากนั้นจึงใช้ไม้เรียวประคองท่อนขา เพื่อจัดระเบียบท่าทางให้งดงาม แม้ว่าอันที่จริงเนื้อตัวของอีกฝ่ายจะอ่อนช้อยน่ามองก็ตามที
“หลังจากนี้ถ้าหากผมทำอะไรที่มันเกินขีดจำกัด คุณต้องตะโกนเซฟเวิร์ดออกมาดัง ๆ นะครับ” คุณนัทกระซิบเพียงแผ่วราวกับถูกผู้กำกับสั่งคัท เพราะต้องการย้ำเตือนให้บีมจดจำ จากนั้นร่างสูงในเชิ้ตขาวสะอาดก็เดินนำออกไปยังนอกระเบียง เพราะบริเวณนั้นมีราวเหล็กเหมาะสำหรับจับยึด
“ผมว่านายควรจะเริ่มจากการฉีกขากับกำแพง” นายท่านยืนพิจารณาเพียงครู่จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เพื่อให้บีมเริ่มยืดตัวด้วยวิธีเบสิค ขณะถือไม้เรียวคุมเชิงอย่างเคร่งครัด บีมเลยตั้งท่าจะนั่งหันหน้าเข้ากำแพง
“เดี๋ยว.. หันหน้ามาทางผมจะได้ช่วยยันให้” จู่ ๆ นายท่านก็คิดเปลี่ยนใจ พลางใช้ไม้เรียวยาวดันร่างของบีมให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม และกดลาดไหล่เพื่อสั่งการให้บีมนั่งลง คนสองคนจึงประจันหน้ากันแน่นิ่ง สองมือพลันเกาะเกี่ยวฝ่ามือของกันและกันไว้ เพื่อที่นายท่านในมาดอาจารย์ผู้ฝึกสอนจะได้ใช้ปลายเท้าค้ำยันเรียวขาของลูกศิษย์ให้อ้ากว้าง
ขณะที่ดวงตาสีนิลก็คอยลอบมองปฏิกิริยาของฝ่ายซับเพื่อระมัดระวังความปลอดภัย ส่งผลให้บีมรู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะสายตาคู่นั้นฉายแววโลมเลียเรือนร่างผอมเพรียวอย่างเปิดเผย เพราะการสวมใส่ชุดบัลเล่ต์จะยิ่งขลับเน้นทรวดทรงให้น่ามอง อีกทั้งส่วนอ่อนไหวก็ยังขึ้นรูปด้วยความชัดแจ้ง
“คิดจะเรียนบัลเล่ต์ อย่างน้อยก็ต้องรู้จักอดทนและหมั่นฝึกฝน” นายท่านเอ่ยแกมดุ ซ้ำยังตวัดนัยน์ตาคมกริบมายังใบหน้าของลูกศิษย์ในความดูแล บีมจึงได้แต่เม้มปากแน่น ราวกับต้องการเก็บกลั้นเสียงร้อง
ขณะที่เรียวขายังคงถูกนายท่านค้ำยันอย่างต่อเนื่อง รัศมีของการอ้ากว้างจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือของบีมจึงกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายด้วยความกริ่งเกรงว่าจะถูกดุด่าว่ากล่าว เสริมสร้างความรู้สึกราวกับราชสีห์กำลังขย้ำเหยื่อให้กับฝ่ายดอมได้เป็นอย่างดี
“ก่อนหน้านี้นายคงจะละทิ้งมันอย่างไม่ใยดีเลยสินะ ถึงได้ตัวแข็งทื่อขนาดนี้” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ขณะที่สายตายังคงฉายแววดุดันอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงปลดปล่อยให้บีมเป็นอิสระ แล้วไปนั่งไขว้ขาอยู่บนกำแพงพร้อมถือไม้เรียวคุมเชิงอย่างเคร่งครัด บีมจึงได้แต่เฝ้ารอคำสั่งด้วยความจดจ่อ
“หันหน้ามาหาผม” บุรุษผู้เคร่งขรึมกล่าวด้วยสุ้มเสียงทรงอำนาจ แต่ทว่าบีมกลับรับรู้ถึงรังสีอันตรายที่ไม่ควรลองดี นักเรียนผู้ว่านอนสอนง่ายจึงรีบหันหน้าเข้าหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว
“แยกขากับกำแพง” นายท่านสั่งการราวกับเป็นถ้อยคำแสนธรรมดา เพียงแต่พื้นที่ในการฝึกฝนกลับมีเพียงบริเวณหน้าขาของอีกฝ่าย บีมจึงทำเป็นละล้าละลังเพื่อกระตุ้นความรู้สึกกระหายอยากต่อการควบคุม
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ” ชายหนุ่มผู้แสนดุดันกล่าวพลางใช้ไม้เรียวบอกตำแหน่ง บีมจึงรีบลนลานนั่งแยกขาชิดกำแพง ขณะก้มหน้าจนแทบชิดอก เพราะวิถีของสายตามันช่างล่อแหลม เนื่องจากความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกำลังโดดเด่นในระยะประชิด แต่กระนั้นในอกกลับชื่นชอบเป็นพิเศษ จนบีมแทบอยากจะใช้ใบหน้าคลอเคลียให้นายท่านพึงพอใจ
“เงยหน้า” สุ้มเสียงทรงพลังสั่งการเพียงสั้น ๆ บีมจึงรีบเงยหน้าด้วยความเกรงกลัว เนื่องจากภาพลักษณ์ของคุณนัทในยามนี้ ดูน่ายำเกรงอย่างบอกไม่ถูก ความคิดฟุ้งซ่านไม่สมกับเป็นนักเรียนที่ดีจึงหดหายไป
“ขยับเข้ามาสิ นั่งแบบนั้นขานายจะชิดกำแพงได้ยังไง” นายท่านไม่พูดเปล่า แต่ยังใช้ไม้เรียวดันสะโพกในเชิงบอกกล่าว ส่งผลให้ใบหน้าของบีมสัมผัสกับส่วนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ บีมจึงรีบก้มหน้าชิดอกและยังพยายามขยับเรือนร่างออกห่างอย่างไว้ตัว แต่ขณะเดียวกันสถานการณ์นั้นกลับยิ่งปลุกเร้าความกระสันได้ไม่ยาก
“เหยาะแหยะ” นายท่านว่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ทำเอาบีมรีบก้มหน้าชิดอกยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้ผู้เป็นดอมยิ้มกริ่มตรงมุมปากด้วยความสุขใจที่ได้เห็นท่าทีดังกล่าว
“เห็นทีถ้าหากผมไม่ลงโทษ นายก็คงทำตัวไม่ได้เรื่องไปเรื่อย ๆ” นายท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางวาดขาข้ามผ่านช่วงตัวของฝ่ายซับเพื่อเข้าไปข้างในครู่หนึ่ง บีมจึงได้แต่เฝ้ามองประตูระเบียงด้วยความจดจ่อว่าอีกฝ่ายจะกลับมาพร้อมกับสิ่งใด
“ผมไม่ชอบคนเหยาะแหยะ” นายท่านกล่าวพลางเดินกลับมาหาบีมด้วยความเชื่องช้า ส่งผลให้ทุกย่างก้าวสร้างความลุ้นระทึกอย่างมากล้น เพราะบีมห่างหายจากการถูกลงโทษด้วยวิธีดังกล่าวมานานแล้ว
“เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ของผมก็ต้องห้ามมีพฤติกรรมแบบนั้น คลานมารับโทษซะ” นายท่านกล่าวพร้อมกับใช้ไม้หวายบอกตำแหน่ง บีมจึงรีบหมอบคลานเข้าไปหานายท่านด้วยความสำนึกผิด ใบหน้าจึงแนบชิดกับฝ่าเท้าของอีกฝ่ายด้วยความจำนน ขณะที่สะโพกกลมสวยกำลังลอยเด่นอยู่กลางอากาศ
“รวบกระโปรงขึ้น” ทันทีที่ได้รับคำสั่งบีมก็เร่งปฏิบัติตามด้วยความเคร่งครัด พร้อมแนบใบหน้าลงบนพื้นอันเย็นเฉียบ เพราะเวลานี้นายท่านกำลังเดินวนเวียนรอบตัวราวกับจงใจจะสร้างความกดดัน
“อย่าให้ผมเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีก” สิ้นคำพูดนั้นเรียวไม้อันแข็งกร้าวก็สะบัดลงบนสะโพกเนียนนุ่ม ส่งผลให้บีมสะดุ้งจนสุดตัว แววตาไหวระริกจึงเหลือบมองปลายเท้าของนายท่านที่ยังคงก้าวเดินรอบลำตัวไม่แปรเปลี่ยน วิถีของอุปกรณ์ทำโทษจึงลากไล้วนเวียนสร้างความระทึกขวัญ
“อ๊า” สิ้นเสียงตวัดจากปลายไม้ ความเจ็บปวดก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว สุ้มเสียงจึงไม่อาจเก็บกลั้นตามใจหมาย แต่ทว่าแววตาแห่งความสุขสมกลับเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน หัวใจพลันรู้สึกอบอุ่นที่ได้รับการสอนสั่งด้วยความเข้มงวด
“ท่าทีนิ่งเงียบของนายมันแปลว่านายคิดอยากจะลองดีกับผมใช่หรือเปล่า ?” ชายผู้ชื่นชอบการควบคุมเอ่ยถาม พลางทิ้งตัวลงนั่งบนแผ่นหลังของบีมไม่เต็มตัวนัก พร้อมกระชากเรือนผมจนหน้าหงาย แววตาของทั้งคู่จึงสบประสานกันเนิ่นนาน
“ป..เปล่าครับ” บีมส่ายหน้าปฏิเสธ ขณะที่แววตาฉายความตื่นตระหนกอย่างเปิดเผย อาจเพราะพลังแห่งการควบคุม เสริมสร้างความเชื่อมั่นของซีนดังกล่าว บีมจึงยินยอมพร้อมใจที่จะตกอยู่ภายใต้อำนาจอันสวยงามนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกปล่อยวางจนหมดสิ้น
“ต่อไปถ้าหากผมถามหรือพูดอะไร นายต้องมีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่อย่างนั้นผมจะถือว่านายพยศ” นายท่านวาดขาออกจากลำตัวของบีม ก่อนจะใช้ไม้หวายฟาดก้นจนเจ็บแสบ
“อ๊า รับทราบครับนายท่าน” บีมละล่ำละลักตอบด้วยความกริ่งเกรงพร้อมจิกปลายเล็บลงบนพื้นกระเบื้องเพื่อระบายความเจ็บปวดอันแสนสุขสม แต่กระนั้นก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนายอย่างเหลือล้น เพราะท่าทีที่อีกฝ่ายหวาดกลัวและยอมจำนน มันเพิ่มพูนความสนุกสนานและความสุขสมได้อย่างเหลือเชื่อ
“ยกตัวขึ้น แอ่นหลังเยอะ ๆ” แต่แล้วนายท่านก็เริ่มสอนสั่งอย่างเป็นทางการ บีมจึงต้องอยู่ในท่าคลานสี่ขาราวกับหมาตัวใหญ่ ส่งผลให้ช่วงสะโพกโดดเด่นกว่าทุกส่วนบนร่างกาย ขณะที่นายท่านกำลังนั่งอยู่บนแผ่นหลัง เพียงแต่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักตัวลงมามากนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการดัดตัว แต่กระนั้นมันกลับกระตุ้นเตือนได้เป็นอย่างดีว่าบีมคือทาสผู้แสนต่ำต้อย
“ร่างกายของนายดูเคยมือดีนะ” ชายหนุ่มผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงเอื้อนเอ่ย แต่ยังลูบไล้สะโพกกลมกลึงด้วยสัมผัสชวนวาบหวาม ส่งผลให้ผีเสื้อนับร้อยบินว่อนไปทั่วสรรพางค์กาย บีมจึงเผลอเปล่งเสียงครวญครางด้วยความซาบซ่าน เมื่ออีกฝ่ายจงใจใช้ปลายนิ้วสัมผัสบริเวณอ่อนไหวทุกซอกทุกมุม
“ห..หมายความ..อึก..ว่ายังไง..ครับ” บีมเอ่ยถามเสียงกระเส่าราวกับไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่ทว่าร่างกายกลับแสดงออกในทิศทางตรงกันข้าม
“ก็หมายความว่าคนอกตัญญูอย่างนาย มีร่างกายที่แสนกตัญญูยังไงล่ะ” สิ้นคำกล่าวของนายท่าน สมองของบีมก็เริ่มประมวลผล เพราะดูท่าแล้วซีนที่เล่นกันในวันนี้ คงจะมีความลึกซึ้งมากกว่าที่คิด เมื่อนายท่านสวมบทบาทเป็นครูสอนบัลเล่ต์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของฝ่ายซับ
“ดูสิ มันไม่เคยลืมผมเลยนะ” นายท่านเชื้อเชิญให้บีมเฝ้ามองปฏิกิริยาของตัวเองด้วยการกดรั้งศีรษะของบีมให้มองลอดหว่างขาได้ง่าย ๆ บีมเลยมองเห็นเรียวเท้าอันงดงามของนายท่านสะกิดยอดอกข้างหนึ่งจนเริ่มชูชัน และยังมองเห็นความอ่อนไหวที่ค่อย ๆ คับแน่นทุกขณะ ใบหน้าจึงพลันแดงซ่านอย่างรวดเร็ว
“อะ..อา..” แต่แล้วความเขินอายก็ถูกกลบทับด้วยม่านราคะ บีมจึงหลับตาพริ้มด้วยความหวามไหว พร้อมส่ายสะโพกไปมาด้วยความรัญจวน ซ้ำยังแอ่นหลังโดยอัตโนมัติ เพื่อที่ปลายเท้าของนายท่านจะได้สัมผัสยอดอกอันแสนโดดเด่นให้มากขึ้น
“เห็นความจริงหรือยังล่ะ ?” นายท่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ ขณะที่ช่วงล่างก็เริ่มเสียดสีแผ่นหลังของบีมด้วยความนุ่มนวล ราวกับต้องการตอกย้ำให้บีมนึกถึงช่วงเวลาน่าอายที่ได้เคล้าคลอความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
ส่วนฝ่ามืออันซุกซนกลับสัมผัสลากไล้ไปยังเรียวขาภายใต้ถุงน่องสีขาวขุ่น แล้ววกกลับมายังช่องทางด้านหลังด้วยความหลงใหล ก่อนจะลากผ่านตะเข็บแต่ละเส้นที่เชื่อมผ่านกลางหว่างขาด้วยจังหวะปลุกเร้า
“อ๊ะ..อ๊า..นายท่าน” บีมได้แต่บิดเร้าไปมาด้วยความเสียวซ่าน ขณะที่ชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจกลับผละกายออกห่างจากแผ่นหลังอันแสนอ่อนช้อย เพื่อยืนเฝ้ามองท่าทีของอีกฝ่ายให้เต็มตา
“คนอย่างนายมันน่าโมโหนัก กล้าดียังไงถึงได้ลืมผม” แต่แล้วสุ้มเสียงดุดันก็ดังแหวกอากาศ ร่างกายที่กำลังลอยล่องราวกับปุยนุ่นจึงถูกกระชากลงสู่พื้นดินอย่างไม่ปรานี เพราะเวลานี้นายท่านกำลังเยียบย่ำใบหน้าของบีมจนแทบหลอมรวมไปกับพื้นกระเบื้องอันเย็นฉ่ำ ปลุกเร้าความรู้สึกต่ำต้อยจนโหมกระพือเป็นการใหญ่
จากนั้นความรู้สึกผิดอันมากล้นก็ตรงเข้ามาเล่นงานอย่างไม่ปรานี และมันก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้เป็นนาย ความเจ็บปวดจึงถูกปรนเปรอให้ได้ลิ้มลองไม่รู้เบื่อ โดยที่เสียงขวับแหวกอากาศก็ทำหน้าที่เร่งเร้าอารมณ์ของทั้งคู่ให้พุ่งทะลุสู่ปรอทแห่งความสุข
“อ๊ะ..อ๊า..ผ..ผมผิดไป..อ๊า..แล้ว..อึก” บีมบิดเร้ากายอย่างมีอารมณ์ร่วม เมื่อเรียวไม้กระทบลงบนสะโพกเนียนนุ่มจนถุงน่องเริ่มมีรอยขีดข่วน แววตาแห่งความสะใจของผู้เป็นนายจึงฉายชัดจนเต็มสูบ อะดรีนาลีนหลั่งไหลด้วยความตื่นตัว
“ต..ต่อ..ไป..อ๊ะ..ผมไม่..กล้า..อื้อ..ลืมอีกแล้วครับ..อ๊า” บีมเอ่ยเสียงกระเส่าพร้อมพยายามระงับสุ้มเสียงแห่งความหวามไหว แต่ดูเหมือนนายท่านจะไม่ค่อยประทับใจ เสียงขวับแหวกอากาศจึงดังระงมอย่างต่อเนื่อง เดาได้เลยว่าสะโพกของบีมคงจะแดงก่ำเพราะความชากำลังมาเยือน แต่มันก็ช่วยปลุกเร้าความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม บีมจึงต้องเปล่งเสียงร้องครวญครางสลับกับขอความเชื่อใจจากอีกฝ่ายจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“คำพูดของนาย เชื่อถือได้มากแค่ไหน” นายท่านโยนไม้หวายทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมพาร่างกายสูงส่งคร่อมทับเรือนร่างของบีมไว้ ขณะที่ใบหน้ากลับเคลื่อนเข้ามาแนบชิด บีมจึงได้ยินคำถามอย่างชัดเจน และยังมองเห็นแววตาเคืองขุ่นอย่างชัดแจ้ง จากนั้นชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธจึงละทิ้งเรือนร่างเย้ายวนอย่างไม่ใยดี
“ให้โอกาสผมนะครับ นายท่านจะทำยังไงกับผมก็ได้ ขอแค่ให้โอกาสผมได้แก้ตัว” บีมรีบคลานสี่ขาเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมโอบกอดเรียวขาแข็งแกร่งด้วยความแน่นหนา เพราะนายท่านเอาแต่สะบัดหนี บีมจึงแนบใบหน้าเคล้าคลอเพื่อหวังจะขอความเห็นใจ พร้อมเงยหน้าส่งสายตายอมจำนนไม่ต่างจากลูกหมาที่กำลังจะถูกเจ้าของทอดทิ้ง ผู้เป็นดอมจึงได้แต่มองแววตาคู่นั้นด้วยความแน่นิ่ง แต่ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับอสูรร้ายที่อยากจะฉีกกระชากอาภรณ์ของอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี แล้วกระแทกกระทั้นความต้องการทั้งหมดระบายใส่ร่างนั้น
กระทั่งหวนคืนสู่ความเป็นจริง ดวงตาอันน่าหลงใหลของร่างข้างใต้ก็ไม่อาจส่งผลอื่นใด ริมฝีปากร้อนแรงของผู้ควบคุมจึงแสยะยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่ทว่ากลับทำให้บีมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่า อีกไม่นานบีมก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์เย้ายวนที่ไม่ต่างกับโรปบันนี่บนเวทีนั้น
--------------------------✁
[1] โรปท็อป (Rope Top) คือ ผู้ที่ทำการมัด
[2] โรปบันนี่ (Rope Bunny) คือ คำแสลงที่ใช้เรียกผู้ถูกมัดด้วยเชือก ส่วนคำปกติที่ใช้กันจะเรียกว่า โรป บอทท็อม (Rope Bottom)
บทความที่เกี่ยวข้อง- [HOW TO] เพิ่มความยืดหยุ่นแบบบัลเล่ต์พื้นฐาน
http://bit.ly/34yVON4ท่า Attitude
https://imgur.com/ZbwAOWw