--❀--๑หวนกลิ่นการะบุหนิง๑--❀--[วายพีเรียด/omegaverse] : up!(31/12/19)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --❀--๑หวนกลิ่นการะบุหนิง๑--❀--[วายพีเรียด/omegaverse] : up!(31/12/19)  (อ่าน 7163 ครั้ง)

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


❀ หวนกลิ่นการะบุหนิง ❀
YAMADA_M  เขียน
Hashtag : #หวนกลิ่นดอกแก้ว



คำโปรย : ฉันไม่เห็นได้กลิ่นกฤษณาอย่างที่ใครเขาว่า
กลิ่นของพี่ชายอังคือดอกแก้วต่างหากเล่า
( au - ไทยย้อนยุค - โอเมก้าเวิร์ส )



สารบัญ
ปฐมบท : ความรักเจ้าขา
บทที่ ๑.๑ : ยอยศพระลอ
บทที่ ๑.๒ : ยอยศพระลอ
บทที่ ๑.๓ : ยอยศพระลอ
บทที่ ๒.๑ : แสงเทียน
บทที่ ๒.๒ : แสงเทียน
บทที่ ๒.๓ : แสงเทียน
บทที่ ๒.๔ : แสงเทียน
บทที่ ๒.๕ : แสงเทียน

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2019 04:01:42 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ปฐมบท

ความรักเจ้าขา




ชานเมืองเคมบริดจ์, ประเทศอังกฤษ


วันนี้สำหรับบหม่อมเจ้าโชติภน จักษุแตกต่างจากวันอื่นๆ อยู่เล็กน้อย เพราะบรรยากาศรอบๆ ตัวของเขาตอนนี้ยุ่งเหยิงเสียจนชวนให้ปวดเศียรตุบๆ อาจเป็นเพราะเหล่าบริวารภายในคฤหาสน์แบบสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ทิวเดอร์ที่ปลูกสร้างมานานกว่าห้าสิบปีทว่าก็มิได้ดูล้าสมัยหลังนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมเครื่องคาวหวาน แกะสลักผักผลไม้ ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูอาคารประดุจว่าบ้านทั้งหลังถูกฝุ่นจับจนหนาเตอะ ทั้งหมดก็เพื่อรอต้อนรับอาคันตุกะขององค์ปิตุลาของเขาที่จะมาเยือนในช่วงบ่าย


หรือไม่


ก็คงเพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ประทับอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ก่อนเสด็จกลับพระนครในวันพรุ่ง...ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างหลังล่ะก็ ความว้าวุ่นที่ก่อเกิดขึ้นก็คงจะมาจากความฉงนสนเท่ห์ที่อยู่ภายในพระทัยขององค์เองกระมัง


จริงๆ แล้วโชติภนเองก็ยังไม่ค่อยแน่พระทัยมากนักว่าทรงรู้สึกเช่นไรกันแน่กับการที่จะต้องเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนในคราวนี้ ด้วยครั้งนี้คือการกลับไปพำนักที่ประเทศไทยอย่างถาวร ไม่ใช่เพียงการกลับไปเยี่ยมเยียนพระบิดาและบรรดาพระญาติพระวงศ์เหมือนอย่างครั้งที่แล้วๆ มา


หม่อมเจ้าโชติภนค่อยๆ ผ่อนพระอัสสาสะออกมาอย่างบางเบา สำหรับเขาวังจักษุภิรมย์แม้ว่าจะกว้างขวางร่มรื่น ซ้ำยังน่าอยู่เสียยิ่งกว่าคฤหาสน์อันแสนเงียบเหงาหลังนี้มากนัก เพราะเสด็จวังจักษุฯ องค์เจ้าของวังท่านโปรดการรับชมมหรสพเกือบทุกประเภท ทรงให้มีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงภายในวังอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผู้คนที่เดินพลุกพล่านไปมาทั้งในและนอกวังทำให้บรรยากาศโดยรอบอาณาบริเวณดูมีชีวิตชีวา โชติภนจำได้แม่นทีเดียวว่าเสด็จพ่อท่านโปรดการชมลิเกมากที่สุด ก็เลยมักจะมีการเชิญคณะลิเกดังๆ หลายคณะเข้ามาแสดงให้ทอดพระเนตรบ่อยครั้ง และก็บ่อยครั้งอีกเช่นเดียวกันที่ความเจ้าชู้เราะรายอันเป็นพระนิสัยส่วนพระองค์ทำให้ทรงได้โอกาสผุดบรรดาหม่อมเล็กหม่อมน้อยขึ้นมาอีกหลายคนจากนักแสดงเบต้าสาวไปจนถึงโอเมก้าชายหญิงแรกรุ่นในคณะละครเหล่านี้


‘ได้ยินแว่วๆ มาจากเด็จฯ ลุงว่าหม่อมคนล่าสุดของเด็จฯ พ่อเป็นโอเมก้าหญิงนี่นา แถมยังมีอายุเป็นรุ่นราวคราวหลานฉันได้เลยทีเดียว เมื่อกลับไปถึงพระนครแล้วหากว่าได้เจอกันฉันควรต้องเรียกขานหล่อนว่าอย่างไรดีนะ...หม่อม? น้อง? หรือว่าแม่?’ ท่านชายทรงมุ่นพระขนงนิดหน่อยหลังจากทรงนิ่งตรองกับองค์เอง ก่อนจะส่ายเศียรเบาๆ อย่างปลง ‘เฮ้อ...พ่อหนอพ่อ พระชันษาปูนนี้เข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ทรงยอมหยุดเสียที คงจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าคุณย่าเคยเปรยไว้ก่อนสิ้นใจละมัง’


ครั้งหนึ่งเจ้าคุณย่าของท่านชายโชติภนเคยกล่าวแกมเย้าหยันหน่อยๆ ว่าผู้เป็นบิดาของเขาทรงเก็บกดมาจากความเครียดขึงเมื่อครั้งตอนที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ในช่วงนั้นพระองค์ทรงงานอย่างหนักจนล้มประชวรอยู่หลายคราเพราะต้องเดินทางแทบจะตลอดเวลาด้วยทรงเป็นทูตทหาร


โชติภนจำต้องรับฟังอย่างเสียมิได้ ทำทีราวกับว่าสนพระทัยมากมายเหลือเกิน แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมไปด้วยมากนัก ด้วยทรงวาดภาพสงครามในครั้งนั้นไม่ออกสักนิด เพราะตอนที่เกิดสงครามเขาก็ยังทรงเยาว์อยู่มากจนแทบจะจำความอะไรไม่ได้เลย


“เฮ้อ! แต่ก็เอาเถอะ ช่างพ่อคุณเขา เพราะดันเกิดมาเป็นถึงเจ้าขุนมูลนาย ซ้ำยังเป็นพวกตัวผู้เสียอีก จะให้มีเมียเดียวเหมือนอย่างพวกไพร่กระไรได้ ประเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเอาไปนินทาลับหลังได้ว่าเป็นเพราะเสด็จวังจักษุฯ มิได้มั่งมีเหมือนอย่างเช่นเจ้านายวังอื่นๆ คงจะไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเป็นโขยงให้อยู่อย่างสุขสบาย ย่าน่ะ ไม่ถือเรื่องยังงี้ดอก ตัวย่าเองก็เป็นเพียงเจ้าจอมมารดาคนหนึ่งในทูลกระหม่อมปู่ของชายเหมือนกัน แต่เสด็จพ่อของชายน่ะซี ขึ้นชื่อมากทีเดียวเรื่องความลำเอียง ถ้ากับเมียอย่างเดียวย่าก็จะมิว่า แต่กับลูกแท้ๆ ก็ยังจะโปรดองค์นั้นมากกว่าองค์นี้ องค์ไหนกิริยาไม่งาม ทำองค์ไม่ถูกใจเข้าหน่อยก็ทำราวกับมิใช่ลูกมิใช่เต้า ชายเป็นองค์โปรดก็คงจะไม่รู้ว่าพวกพี่ๆ บางองค์เขาต้องลำบากใจกันมากแค่ไหนเวลาเข้าเฝ้า ต่อไปถ้าหากพวกพี่ๆ เขากล่าวว่าอะไรขึ้นมาก็อย่าได้ถือสาหาความเอาเรื่องกับเขาเลยนะลูก”


คำพูดของเจ้าคุณย่าเมื่อครั้งในอดีตยังคงติดตรึงอยู่ภายในเศียรของท่านชายอย่างไม่มีผิดเพี้ยนไปเลยสักกระผีก เพราะเมื่อใดที่พบพักตร์กัน เจ้าหล่อนก็มักจะย้ำอยู่เสมอว่าให้ท่านชายทรงมอบความรักและความเมตตาแก่พวกพี่ๆ ที่ไม่ทรงได้รับความรักจากพระบิดาเท่าที่ควรได้บ้าง อีกทั้งยังบอกว่าพวกท่านพี่ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องอย่างท่านชายหรอก หากแต่เพราะท่านชายเป็นลูกรักจึงเป็นธรรมดาที่ผู้อื่นจะอิจฉาริษยา


เจ้าคุณย่าท่านกลัวเกรงอยู่เสมอว่าความมากลูกมากเมียของเสด็จพ่อของท่านชายจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ในภายหลัง อย่างที่วังอื่นๆ เขามีเรื่องอื้อฉาวฟ้องร้องเรื่องมรดกจนอับอายขายขี้หน้าไปทั่วทั้งพระมหานคร


อย่างไรก็ตาม จริงอยู่ที่วังจักษุภิรมย์อาจเป็นที่พำนักของท่านชายโชติภนมาตั้งแต่แรกประสูติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายพระทัยอย่างใด ไม่เพียงแต่เรื่องพี่น้องที่ไม่ทรงเข้าร่องเข้ารอยกันสักเท่าใดนักอย่างเดียวเท่านั้น แต่เนื่องด้วยเมื่อราวๆ สิบห้าปีก่อนหลังจากที่หม่อมแม่ของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายที่เพียรรักษาอยู่นานหลายปีดีดัก โชติภนก็ทรงถูกพระปิตุลาปิ่นฉัตรขอองค์ให้มาประทับอยู่ด้วยกันที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นโอรสบุญธรรมในเสด็จพระองค์ท่านกับหม่อมอเล็กเซ วู้ดโอเมก้าชายผู้เป็นชายาเอก


ด้วยเสด็จลุงของท่านชายไม่ได้มีโอรสหรือธิดาเป็นขององค์เอง อีกทั้งยังทรงเอ็นดูหม่อมเจ้าโชติภนมากยิ่งกว่านัดดาองค์ไหนๆ เพราะถูกพระทัยในความฉลาดเฉลียวและพระอัธยาศัยที่รู้จักพูดรู้จักเจรจา ซ้ำยังแสนประจบประแจงออดอ้อนเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่เก่งเป็นที่หนึ่ง ถึงนิสัยเหล่านี้จะถูกเหล่าพระญาติพระวงศ์ค่อนแคะอยู่เสมอว่าเป็นการเลียแข้งเลียขาก็ตาม


ส่วนเสด็จวังจักษุฯ แม้จะทรงอิดออดอยู่บ้างในคราวแรก เนื่องด้วยไม่ทรงโปรดจะยกโอรสผู้เป็นอัลฟ่าเพียงองค์เดียวจากโอรสและธิดาทั้งหมดกว่าสิบองค์ให้แก่ผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นถึงเชษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันก็ตาม แต่อีกพระทัยหนึ่งก็โปรดให้โชติภนได้รับการศึกษาที่ทันสมัยในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของทางฝั่งตะวันตกจึงทำให้ทรงยอมจำนนในที่สุด


ตลอดสิบห้าปีมานี้หม่อมเจ้าโชติภนคอยตามเสด็จผู้เป็นลุงไปทุกหนทุกแห่ง ทรงถูกเลี้ยงดูอุ้มชูมาเป็นอย่างดี…ดีมากเสียจนเหล่าพระญาติบางองค์ถึงกับออกโอษฐ์ขึ้นมาว่ามากเกินไป บ้างก็ว่าเสด็จลุงทรงลำเอียง ซึ่งท่านเองก็ไม่ได้โต้แย้งอย่างใดกลับไป


เสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรทรงมีทรัพย์สมบัติติดองค์อยู่มากมาย เพราะเสกสมรสกับบุตรชายของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ หลังจากหม่อมอเล็กเซสิ้นไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ สมบัติทั้งหมดจึงตกมาเป็นของพระองค์ และแน่นอนว่าในภายภาคหน้าก็จะต้องตกเป็นของโชติภนผู้เป็นโอรสบุญธรรมแต่เพียงผู้เดียว


หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงเป็นเพียงแค่โอรสในหม่อมเล็กๆ คนหนึ่งของเสด็จวังจักษุฯ หรือที่ภาษาไพร่เรียกกันว่า ‘ลูกเมียน้อย’ แต่เขากลับวาสนาดีมีทั้งรูปและทรัพย์ยิ่งกว่าลูกหลานของเจ้านายองค์ไหนๆ หรือแม้กระทั่งพี่น้องที่วังเดียวกันเสียอีก


จะว่าไปแล้วทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้รวมกับมรดกพกสถลอีกมากมายมหาศาลที่เขาได้รับมาจากครอบครัวทางฝั่งผู้เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเขาที่ทำให้หม่อมเจ้าชายโชติภนสามารถอยู่กินได้อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิต


ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความที่ท่านชายทรงเป็นคนโปรดของผู้เป็นลุงเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่เขาจะทำพระทัยเอาไว้นานแล้วว่าคงจะต้องประทับอยู่กับเสด็จลุงที่ประเทศอังกฤษไปจนกว่าจะสิ้นชีพิตักษัย และอันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องย้ายสํามะโนครัวไปไหน เพราะทรงปรับองค์เข้ากับความเป็นอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็เลยไม่ฉุกคิดมาก่อนสักนิดว่าวันหนึ่งพระปิตุลาจะทรงปุบปับส่งองค์กลับเมืองไทย พอทูลถามถึงสาเหตุก็มิทรงให้คำตอบใดๆ กลับมา ทำเพียงแย้มสรวลเล็กน้อยและไพล่ไปตรัสถึงเรื่องอื่นแทน


ท่านชายโชติภนทรงหลบหลีกความวุ่นวายของเหล่าบริวารที่พากันวิ่งให้วุ่นอยู่ภายในอาคาร เสด็จออกมายืนรับลมเย็นอยู่ตรงระเบียงห้องบรรทมที่ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องเรือนในสมัย ค.ศ. ๑๗๘๘


คฤหาสน์หลังนี้เป็นตึกขนาดใหญ่สองชั้น สีออกส้มหม่นๆ สร้างจากอิฐและปูน หลังคาทรงสเปนถูกมุงด้วยกระเบื้องดินเผา เมื่อมองจากด้านนอกลอดต้นไม้สูงใหญ่ที่มีอายุมากกว่าสิบปีเข้ามาจะเห็นปล่องไฟขนาดใหญ่สำหรับใช้จุดผิงในช่วงหน้าหนาว โดยที่ตรงยอดปล่องถูกตกแต่งอย่างงดงาม


ถึงแม้ที่นี่จะเก่าแก่มากสักเพียงใด แต่เสด็จลุงของท่านชายก็ไม่โปรดที่จะให้มีการบูรณะใหม่ เนื่องด้วยเดิมทีทรงปลูกไว้เป็นเรือนหอขององค์เอง จึงปล่อยคงสภาพเดิมเอาไว้เพื่อรำลึกถึงชายผู้เป็นชายา


“พระสุธารสชาเพคะท่านชาย”


เสียงที่ดังแว่วมาจากเบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องหันไปเพื่อทอดพระเนตรโชติภนก็ทรงทราบได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด


“เสด็จเข้ามาประทับนั่งด้านในเถอะนะเพคะท่านชาย ด้านนอกนั่นอากาศเย็นนัก เกิดประชวรขึ้นมาคงแย่แน่ วันพรุ่งจะต้องเดินทางแล้วด้วย”


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะป้าพริ้ม พอกลับถึงพระนครแล้วก็คงจะไม่ได้หนาวสั่นอย่างนี้อีก ขอโชติยืนอยู่ตรงอีกสักประเดี๋ยวนะจ๊ะ”


ข้าหลวงคนสนิทของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรยกสำรับเครื่องว่างพร้อมที่พระสุธารสชาเข้ามาวางเอาไว้บนโต๊ะไม้เล็กๆ แบบฝรั่งที่ตั้งอยู่ข้างพระเก้าอี้ หล่อนทำหน้าฉงนเมื่อได้ยินรับสั่ง


“ท่านชายจะทรงคิดถึงอากาศที่นี่ด้วยหรือเพคะ พอย่างเข้าหน้าหนาวทีไรก็มีแต่จะเย็นเยียบเสียจนทรมาน ขาแข้งเจ็บระบมไปหมด ป้าเสียอีก คิดถึงอากาศเมืองไทยเราเหลือเกิน”


“ถ้าอย่างนั้นป้าพริ้มกลับเมืองไทยไปพร้อมกับโชติเลยดีไหมจ๊ะ ถ้าตกลงโชติจะจองตั๋วเครื่องบินให้”


“โฮ้ย! ไม่เอาล่ะเพคะ ป้าลงเรือสำราญมาที่นี่พร้อมกับเสด็จพระองค์ชาย นั่งเรือบินไม่เป็นดอก น่ากลัวออกจะตายไป”


“ป้าพริ้มจ๋า อย่าลืมซีว่าโชตินั่งเครื่องบินมาตั้งหลายครั้งแล้วนา เดี๋ยวโชติสอนป้าเอง ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลยสักนิดเดียว ป้ากลับไปกับโชติเถอะนะจ๊ะ” เสด็จเข้าไปประทับบนพระเก้าอี้พร้อมด้วยพาดสองกรยาวกอดเอวออดอ้อนหญิงชราตรงเบื้องพักตร์อย่างไม่ถือองค์ราวกับอีกฝ่ายเป็นญาติสนิทชิดเชื้อมิใช่บ่าวรับใช้ ดวงพักตร์ออกตี๋แบบลูกชาวจีนถูไถไปกับต้นแขนอวบของข้าหลวงใหญ่อย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็ทรงน่าเอ็นดูมากในคราวเดียวกัน “โชติไม่อยากกลับคนเดียวเลย ไปอยู่ที่นู่น ไกลก็ไกล แค่คิดว่าอาจจะไม่ได้เจอป้าพริ้มอีกก็แสนเศร้าใจ ใครจะเป็นคนทำขนมอร่อยๆ ให้โชติกิน จะถูกปากโชติไหม ป้าพริ้มไม่เป็นห่วงสักนิดเลยหรือจ๊ะ”


“ทำไมถึงทรงตรัสราวกับว่าจะต้องกลับไปอยู่องค์เดียวอย่างนั้นเล่าเพคะ ทางนู้นท่านชายทรงมีทั้งเสด็จวังจักษุ มีทั้งหม่อมใหญ่ มีพระสหายอีกตั้งมากมาย แล้วจะยังญาติมิตรของทางฝ่ายหม่อมแม่อีก ให้ป้าอยู่ถวายงานเสด็จพระองค์ชายที่นี่ดีกว่านะเพคะ ตั้งแต่สิ้นหม่อมท่านไป เสด็จก็ไม่ทรงเหลือใครอยู่ข้างองค์อีกแล้ว ท่านชายไม่ทรงสงสารพระปิตุลาบ้างหรือ”


หม่อมเจ้าโชติภนค่อยๆ คลายกรออกจากเอวของหญิงชรา แสดงสีพระพักตร์บูดบึ้งงอแงให้คู่สนทนาเห็นว่ากำลังน้อยพระทัย ทว่าป้าพริ้มก็ไม่ได้ใส่ใจจะงอนง้อ ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ ระคนขำเจ้านายที่ชันษายี่สิบห้าย่างเข้ายี่สิบหกแต่ก็ยังทรงทำองค์เป็นเด็กๆ ไม่รู้จักโต


“โชติกำลังคิดว่าจะทูลขอเด็จฯ ลุงให้เด็จฯ กลับเมืองไทยไปด้วยกัน” นางข้าหลวงใหญ่ฟังรับสั่งแล้วก็กดคิ้วลงอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ท่านชายเห็นดังนั้นจึงตรัสต่ออย่างไม่ทรงยอมแพ้ “โธ่! ทำไมล่ะจ๊ะ ตำหนักเก่าของเด็จฯ ลุงที่วังจักษุฯ ก็ยังไม่ถูกทุบทิ้งไปเสียหน่อย ใช่ว่าพอกลับไปแล้วเราจะไม่มีที่ซุกหัวนอนปะไร เงินทองเราก็มีตั้งมากมาย มรดกพกสถลที่โชติได้มาหลังจากอากงสิ้นก็มีอยู่ไม่น้อย ถ้าเด็จฯ ลุงไม่โปรดจะอยู่ในวัง เราไปปลูกตึกใหม่เอานอกเมืองก็ได้”


“ท่านชายของป้า ทำไมถึงรับสั่งราวกับไม่ทรงรู้จักพระปิตุลาขององค์เอง น่าจะทรงทราบดีมิใช่หรือเพคะว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทูลขอเช่นนั้น เสด็จท่านไม่ทรงโปรดไปจากที่นี่ดอกเพคะ ท่านตรัสอยู่เสมอว่ากลิ่นดอกลาเวนเดอร์ของหม่อมอเล็กเซที่ยังหลงเหลืออยู่ในปราสาทหลังนี้ทำให้ท่านสบายพระทัย”


ใช่ เป็นจริงอย่างที่ป้าพริ้มว่านั่นแหละ วงพักตร์ของโชติภนสลดลงนิดหน่อยอย่างทรงจำยอม ด้วยจนถึงตอนนี้เขาที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกันกับพระองค์ปิ่นก็ยังคงได้กลิ่นหอมหวานๆ ของดอกลาเวนเดอร์ อันเป็นกลิ่นเฉพาะกายของหม่อมลุงผู้เป็นโอเมก้าของเขาหลงเหลือปะปนอยู่บ้างในอากาศ โดยบริเวณที่ชัดเจนที่สุดจะอยู่ตรงห้องบรรทมของเสด็จลุง


ท่านชายนึกย้อนกลับไปถึงวันที่หม่อมลุงอเล็กเซจากพวกเขาไป นั่นเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เขาทอดเนตรเห็นองค์ปิตุลาเสียพระทัยที่สุดในชีวิต


เหล่าบริวารในคฤหาสน์ต่างพูดกันหนาหูว่าเพราะทั้งคู่เป็นคู่โซลเมท หรือที่คนไทยอย่างเราๆ ต่างเรียกกันว่าคู่แห่งโชคชะตา ดังนั้นเมื่อสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะเจ็บปวดสาหัสจนแทบเจียนตายทีเดียว ด้วยความรู้สึกคล้ายคลึงกับว่าสูญเสียดวงวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่ง บางรายถึงขั้นสติสตังฟั่นเฟือนไปเลยก็มี


แต่สำหรับโชติภน เขาไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องคู่โซลเมทนั่นเลยสักนิด การที่คนรักจากไปก็ย่อมต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นของธรรมดา จะเรียกว่าทรงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ไม่ผิดนัก เพราะเรื่องพวกนั้นมันไม่มีสิ่งใดจะมาพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นเพียงมายาคติที่ผู้คนอาจคิดกันไปเองก็ได้ว่าการตกหลุมรักใครสักคนอย่างรุนแรงคือการผูกชะตา


เสด็จพ่อของเขาเองก็เป็นอัลฟ่าเฉกเช่นเดียวกัน มีเมียอยู่นับสิบ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะทรงเคยผูกชะตาอะไรนั่นสักครั้ง ก็คงไม่ใช่อัลฟ่าทุกคนกระมังที่จะได้เจอกับคู่ของตัวเอง เอาเป็นว่าคงไม่ใช่เขาแล้วหนึ่ง และอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือที่เขาจะไม่ทรงปักพระทัยได้อย่างสนิท


“จริงซิป้าพริ้ม โชติวานเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือให้ทีได้ไหมจ๊ะ เอาลงกระเป๋าเดินทางให้หมดเลยนะ”


โชติภนรับสั่งขณะยกพระสุธารสชาขึ้นเสวย


“เพคะ”


นางข้าหลวงใหญ่ขานรับด้วยความพินอบพิเทาตามประสา แล้วสืบเท้าตรงเข้าไปจัดแจงเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่กองรวมกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะทรงงาน สายตาแลแค่เพียงปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าท่านชายของตนยังทรงงานคั่งค้างเอาไว้อยู่


“จะให้ป้าเก็บแบบอาคารพวกนี้ไปเลยไหมเพคะท่านชาย”


“อ้อ! ใช่ โชติเกือบลืมไปเสียสนิท แบบโรงแรมของนายโจนาธานนี่เอง อย่างอื่นป้าพริ้มจัดลงกระเป๋าได้เลยนะจ๊ะ ส่วนแบบนั่นเดี๋ยวโชติเก็บเอง คืนนี้ว่าจะวาดต่ออีกสักหน่อย”


“เพคะท่านชาย”


ป้าพริ้มกล่าวรับคำอีกครั้งหนึ่ง กิริยาของหล่อนอ่อนน้อมเรียบร้อยเหมือนเช่นเคยตามแบบของสตรีที่ได้รับการอบรบดีเลิศจากในวัง จากนั้นก็จัดเก็บทุกสิ่งอย่างลงกระเป๋าเดินทางหนังใบโตสีน้ำตาลเข้ม เหลือก็แต่เครื่องเขียนและแบบอาคารที่ท่านชายโชติภนทรงร่างไว้จนเกือบเสร็จแล้วเท่านั้น ส่วนสมุดวาดเขียนที่มักจะทรงพกติดองค์เพื่อวาดเล่นเสมอก็ถูกจัดเก็บลงกระเป๋าไปด้วยเช่นกัน



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 17:43:43 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงศึกษาจนจบระดับชั้นปริญญาตรีและปริญญาโทมาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่ก็ยังไม่ได้คิดจะทรงงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยท่านชายเองก็ไม่ได้ทรงขาดแคลนอะไร เงินทองก็มีเหลือใช้อยู่ถมเถ ก็เลยทรงคิดแต่จะเที่ยวเล่นสนุกสนานลอยชายไปวันๆ มากกว่าที่จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ส่วนแบบโรงแรมที่กำลังวาดอยู่นั้นก็ไม่ได้คิดราคาค่างวดแพงเท่าใดนัก หากผู้จ้างวานไม่ใช่พระสหายที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คงจะบอกปัดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ


“จะว่าไป ชื่อโจนาธานนั่นคุ้นหูนักเทียว ป้ารู้จักไหมเพคะท่านชาย”


“โชติก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะรู้จักละมังจ๊ะ จอนนี่เพื่อนสมัยไฮสกูลของโชติ...ก็คนที่โชติเคยเล่าให้ป้าฟังหนหนึ่งยังไงเล่าว่าอยู่ๆ ก็ไปพบรักกับสาวเบต้าชาวไทยตอนที่ไปฮอลลิเดย์ เห็นว่าเป็นนักแสดงด้วยนะจ๊ะ ระดับนางเอกทีเดียว โชติเคยเห็นรูปอยู่วอบๆ แวบๆ สะสวยอย่างกับดาราฮอลลิวู้ดแน่ะ ตอนนี้ก็ตบแต่งกันไปแล้วเรียบร้อย ส่วนเจ้าจอนนี่ก็ย้ายตามเมียไปอยู่กินที่เมืองไทยถาวร มาให้โชติเขียนแบบโรงแรมให้เพราะอยู่ๆ เมียก็เกิดอยากทำธุรกิจขึ้นมาน่ะซี”


ป้าพริ้มพยักหน้าหงึกๆ หงักๆ พอจะนึกหน้าค่าตาพระสหายหนุ่มเบต้าชาวอังกฤษของท่านชายโชติภนคนนี้ออกอยู่บ้างเพราะเคยพบกันเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามไถ่ต่อเพราะได้คำตอบที่ต้องการครบถ้วนดีแล้วจึงไพล่ไปพูดถึงอย่างอื่นแทน จนกระทั่งเก็บข้าวของให้ท่านชายเกือบจะเสร็จสรรพทั้งหมด สายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับซองสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงานพอดี


“นั่นจดหมายของหม่อมท่านที่ส่งมาถึงเมื่อเช้าวานนี้ใช่ไหมเพคะท่านชาย ท่านเขียนมาว่าอย่างไรบ้างหรือเพคะ”


หม่อมเจ้าโชติภนเอื้อมพระหัตถ์หยิบซองจดหมายที่นางข้าหลวงใหญ่กล่าวถึงออกมากางดู เนื้อความบนกระดาษสีขาวถูกเขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านได้ยากเพราะผู้เขียนไม่ได้เล่าเรียนมาสูงอะไรมากนัก เพียงแค่พอจะอ่านออกเขียนได้บ้างก็เท่านั้น


“หม่อมใหญ่เขียนมาถึงป้าพริ้มด้วยนะจ๊ะ”


หม่อมใหญ่ที่ท่านชายกำลังตรัสถึงอยู่ก็คือพระชายาเอกของเสด็จวังจักษุฯ เธอมีเลือดผู้ลากมากดีเป็นถึงลูกหลานขุนนางระดับเจ้าพระน้ำพระยาทีเดียว หม่อมเจ้าโชติภนได้ยินบ่าวไพร่ในวังพูดกันบ่อยครั้งว่าสมัยก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้ อายุอานามของเธอไม่ได้ทิ้งห่างไปจากพระสวามีมากสักเท่าใดนัก เธอมีชื่อที่เจ้าคุณพ่อของเธอตั้งให้อย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า ลออ แต่ใครๆ ก็มักจะเรียกเธอด้วยยศศักดิ์เสียมากกว่าเหมือนอย่างป้าพริ้มที่เรียกเธอว่า ‘หม่อมท่าน’ และเธอมักเขียนจดหมายส่งมาถึงโชติภนอยู่เสมอ


แม้ว่าจะไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้า แต่เธอก็ทั้งรักทั้งเอ็นดูหม่อมเจ้าชายองค์นี้ดุจดั่งโอรสที่ประสูติมาจากตนทีเดียว อาจเพราะเธอมีนิสัยชอบเล่นกับเด็กเล็กๆ แต่กลับมีพระธิดาให้อุ้มชูเห่กล่อมแค่เพียงองค์เดียว ซ้ำโชติภนเองก็ทรงชอบเข้าไปเคลียคลอชิดใกล้ประจบประแจ๋เธอตามประสาเด็กๆ อยู่เสมอเมื่อครั้งยังทรงพำนักอยู่ที่พระนครละมัง เธอก็เลยหลงใหลได้ปลื้มท่านชายน้อยองค์นี้หัวปักหัวปำ และเขียนมาทูลขอให้เสด็จกลับไปเยี่ยมเยียนให้หายคิดถึงบ้างแทบจะทุกสามเดือน


“ท่านเขียนเล่าเรื่องมายืดยาว แต่ใจความหลักๆ ก็เพียงแค่อยากบ่นเรื่องพี่หญิงผ่องที่ทะเลาะกันอยู่ไม่เว้นวันเหมือนอย่างเคยเท่านั้นล่ะจ้ะ”


พอพูดถึงพระธิดาองค์เดียวของหม่อมใหญ่ ป้าพริ้มก็พ่นลมหายใจพรืดออกมาราวกับว่าเอือมระอาเต็มทน ท่านชายโชติภนสรวลน้อยๆ ก่อนจะรับสั่งต่อว่า


“แล้วท่านก็ฝากโชติบอกป้าพริ้มว่าท่านคิดถึงป้าพริ้มที่สุด อยากมาหาแต่ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที ตอนนี้ป้าพริ้มคงจะชราลงไปมากแล้ว กำชับกับโชติว่าให้คอยดูแลป้าให้ดีเพราะป้าก็เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของครอบครัวเราเหมือนกัน”


ป้าพริ้มยกมือทาบอก สีหน้าดูออกว่าปลื้มใจแค่ไหน ก่อนจะทูลตอบ


“หม่อมใหญ่ท่านเป็นคนดีเพคะ ร้อยพ่อพันแม่ท่านก็เมตตาหมด ถึงจะเป็นหม่อมเอกของเสด็จวังจักษุฯ แต่ก็ไม่เคยทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ขนาดว่าอยู่ไกลถึงขนาดนั้นก็ยังจะอุตส่าห์แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกัน ท่านหญิงผ่องประภานี่ก็กระไร รู้อยู่เต็มทัยว่าหม่อมแม่เหนื่อยยากลำบากมากแค่ไหนที่ต้องมามีลูกเอาเมื่อยามแก่ ก็ยังจะทรงหาเรื่องมาทะเลาะกับท่านได้อยู่เป็นนิจ ไม่ไหวเลยจริงๆ”


“ว่าไม่ได้หรอกนะจ๊ะป้าพริ้ม เห็นหม่อมใหญ่ท่านดูใจดีอย่างนั้น แต่กับธิดาของท่านเองท่านก็จู้จี้จุกจิกไม่น้อย พี่หญิงผ่องเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมถูกบังคับง่ายๆ เสียด้วย ทั้งรั้นทั้งเปิ๊ดสะก๊าดเป็นสาวสมัยใหม่ออกขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอกจ้ะ”


“ฮู้ย! ก็คงจะทรงถือองค์ว่าเป็นธิดาที่ประสูติจากชายาเอกน่ะซีเพคะ ถึงได้กล้าเอาแต่ทัยเพียงนั้น”


“อย่าตั้งแง่ยังงั้นซี ถึงยังไงพี่หญิงผ่องเธอก็เป็นพี่สาวของโชตินะจ๊ะป้า” ท่านชายโชติภนตรัสด้วยพระสรวลเบาๆ แต่ก็ส่ายเศียรไปด้วยอย่างอ่อนพระทัย และพอทรงพับจดหมายสอดไว้ใต้ที่สุธารสชาลายวิจิตร ป้าพริ้มก็แสดงสีหน้าคลับคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยปากทูลถามว่า


“ท่านชายยังไม่ตรัสกับหม่อมท่านหรือเพคะ ว่ากำลังจะเสด็จกลับ”


ท่านชายทรงเฉยไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายเศียรช้าๆ


“ยังเลยจ้ะ กับเด็จฯ พ่อก็ยังไม่ได้ทูลให้ทรงทราบเหมือนกัน”


“อ้าว! แล้วกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่าเพคะ”


ดวงพักตร์ขาวตี๋เริ่มสงบนิ่งลงนิดหน่อยอย่างหาทางหนีทีไล่ เพราะรู้องค์ว่ากำลังจะถูกสตรีข้าหลวงนางนี้บ่นเอาเป็นแน่


“ท่านชายควรจะทรงโทรทางไกลไปแจ้งไว้กับหม่อมท่านสักหน่อยนะเพคะ อยู่ๆ เสด็จกลับโดยไม่บอกกล่าวอย่างนี้ หม่อมคนอื่นๆ ของเสด็จวังจักษุฯ กับพวกท่านพี่ท่านน้องของท่านชายจะทรงค่อนเอาได้ว่าเสด็จพระองค์ชายไม่ทรงอบรมสั่งสอนโอรสบุญธรรมให้ด่ี ถึงได้กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาผู้หลักผู้ใหญ่ ยังงั้นจะทรงเสียทั้งท่านชายทั้งพระองค์ชายปิ่นนะเพคะ”


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะป้าจ๋า คนเรามีปากกันทั้งนั้น เขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะจ้ะ ยิ่งกับคนที่มีอคติต่อกันอยู่เป็นทุน ถึงเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำคุณทำโทษกับใคร เขาก็ว่าร้ายได้อยู่ดีนั่นแหละ” ท่านชายส่งพระหัตถ์เอื้อมจับมืออีกฝ่ายอย่างคนช่างอ้อน สุรเสียงของเขานุ่มลึกน่าสดับฟัง “โชติก็แค่ไม่อยากให้มันเอิกเกริกมากเกินไปนัก แค่นี้ก็โดนหมั่นไส้มากพอแล้วนะจ๊ะ เด็จฯ พ่อท่านโปรดคิดการใหญ่เสมอป้าพริ้มก็ทราบนี่นา ถ้าเห็นว่าโชติกำลังจะกลับก็คงจะทรงสั่งให้บูรณะตึกใหม่หมดทั้งหลังแน่…” ตรัสอย่างทรงรู้ดีว่าทรงเป็นที่โปรดปรานของพระบิดามากมายเพียงใด “...แล้วก็คงโปรดให้มีงานเลี้ยงฉลองหรูหราเอาไว้รอต้อนรับอีกด้วย พวกญาติวงศ์ก็คงจะจำต้องบากหน้ามาตามคำเชิญอย่างเสียมิได้นั่นแหละจ้ะ อย่าลืมซีว่าไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อยที่จะชอบใจโชติ เพราะยังไงโชติก็เป็นแค่ลูกที่เกิดจากหม่อมโรงงิ้ว ถ้าต้องพบหน้าทั้งๆ ที่ไม่ชอบกัน ยังงั้นคงพิพักพิพ่วนน่าดูทีเดียว”


“คนเราก็ประหลาดเหลือเกินนะเพคะท่านชาย จะประสูติจากหม่อมคนไหนแล้วมันยังไงกัน ถึงอย่างไรท่านชายก็เป็นหม่อมเจ้าเหมือนเช่นพี่น้องทุกองค์”


หม่อมเจ้าชายโชติภนเสพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่บรรยากาศค่อนข้างมัวซัวด้วยอากาศที่ใกล้จะเข้าหน้าหนาวมากขึ้นทุกที และทรงนิ่งตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่งเพราะเห็นว่ารับสั่งเรื่องนี้ต่อก็คงยืดยาว ป้าพริ้มเพียงแต่อยากบ่นเพื่อระบายความขุ่นเคืองเพราะทั้งรักทั้งเอ็นดูตนก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วหล่อนเองก็ทราบดีว่าในลำดับชั้นเจ้านายเช่นนี้ การที่มีเลือดชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผสมปะปนอยู่กับเลือดขัตติยะไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับกันได้โดยง่าย แม้โอรสเลือดเจ๊กองค์นี้จะมีเพศรองเป็นถึงอัลฟ่าก็ตาม


โชติภนอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าหากเขาเกิดมาเป็นเบต้าหรือโอเมก้า ความเป็นอยู่จะแตกต่างไปจากตอนนี้สักกี่มากน้อย


ขณะที่ท่านชายทรงกำลังครุ่นคิดกับองค์เองไปเรื่องเปื่อยนั้น กลิ่นหอมออกหวานๆ ก็ลอยมากระทบพระนาสิก เป็นกลิ่นที่คล้ายกับสมุนไพร หากทว่าก็หอมเย็นชื่นใจราวกับเครื่องหอมของไทย และที่สำคัญ...เป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะอย่างนี้ละมังเขาถึงได้รู้สึกตื่นตัว


กลิ่นไม้กฤษณา


“กลิ่นด้านนอก...ใครเอาเปลือกไม้กฤษณามาเผาเล่นหรือจ๊ะป้าพริ้ม เดี๋ยวก่อน เหมือนจะมีกลิ่นอื่นปนอยู่ด้วย”


“กลิ่นกำยานกับกลิ่นไม้กฤษณาเพคะ เผาเล่นที่ไหนกัน เสด็จท่านโปรดรับสั่งให้พวกบริวารนำมาเผาเพื่อรับรองแขกต่างหากเพคะ”


“แล้วทำไมต้องเผาด้วยล่ะจ๊ะ”


“แหม! ท่านชายล่ะก็ ประทับอยู่เมืองฝรั่งเสียนาน ทรงลืมขนบธรรมเนียมของไทยเราไปเสียหมดแล้วละมัง” รอยย่นบนหน้าผากของป้าพริ้มตึงขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนที่นางจะเริ่มอธิบายต่อ “ที่เราต้องเผาเครื่องหอมให้มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งตัวเรือนแบบนี้ ก็เวลาที่มีแขกอัลฟ่ามาเยี่ยมเยือนอย่างไรเล่าเพคะ ตามธรรมเนียมของเราก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแขกเหรื่อผู้นั้น ทูลกระซิบอีกนิด ต้องเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของแขกผู้นั้นด้วยนะเพคะ”


“แต่ปกติแล้ว เวลาแขกจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นว่าเด็จฯ ลุงจะทรงทำเช่นนี้เลยนี่จ๊ะ”


“เครื่องหอมบางชนิดไม่ได้หาได้ง่ายดายขนาดนั้นน่ะซีเพคะ ยิ่งเราอยู่ต่างแดนกันด้วยแล้ว เสด็จท่านจึงไม่ได้ทรงเคร่งครัดกับธรรมเนียมมากนัก หากมีให้ใช้ก็จะทรงนำมาใช้ แต่อย่างเปลือกไม้กฤษณาเราก็มีกันอยู่แล้วเพราะเป็นกลิ่นเฉพาะองค์ของท่านชาย”


เป็นดังเช่นป้าพริ้มกล่าว หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงเป็นอัลฟ่าที่มีกลิ่นไม้กฤษณา ซึ่งตามปกติแล้วอัลฟ่าทั่วๆ ไปจะไม่มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจและชวนให้หลงใหลมากมายขนาดนี้


ท่านชายยังทรงจำได้ไม่รู้ลืมว่าในช่วงที่กำลังเริ่มเจริญพระชันษาและเริ่มส่งกลิ่นพระวรกาย ในฤดูติดสัดแรกเกือบทำให้เขาเสียพระสติมาแล้ว ด้วยกลิ่นฟีโรโมนของเขาถูกส่งออกไปไกลหลายกิโลฯ ซ้ำยังรุนแรงหนักเสียจนทำให้โอเมก้าที่ได้กลิ่นออกอาการคลุ้มคลั่ง


เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดของท่านชายในวันนั้นก็คือการถูกโอเมก้าวัยแรกรุ่นทั้งชายและหญิงกระโจนเข้าใส่องค์พร้อมกันถึงห้าคนจนเขาต้องหยุดเรียนและเก็บองค์อยู่แต่ในห้องบรรทมนานเป็นสองสัปดาห์


นายแพทย์หนุ่มอัลฟ่าที่มาตรวจพระอาการในตอนนั้นทูลกับเขาว่าไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะในยุคสมัยนี้ทั้งอัลฟ่าและโอเมก้าต่างก็มีการควบคุมสัญชาตญานของตนเองได้ดีกว่าแต่ก่อนมากจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข เนื่องจากมีวัคซีนป้องกันอาการคลั่งที่ต้องฉีดตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก และอัลฟ่าทั่วๆ ไปก็ไม่สามารถส่งกลิ่นฟีโรโมนออกไปได้ไกลเท่ากับที่ท่านชายทรงเป็น หมอเรียกอาการเช่นนี้ว่า ‘เรียลอัลฟ่า’ เป็นอาการของอัลฟ่าที่มีสายเลือดเข้มข้น แข็งแกร่ง และสมบูรณ์ยิ่งกว่าอัลฟ่าทั่วๆ ไปมาก แต่ทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าอาการเช่นนี้เกิดจากอะไร และทำอย่างไรเพื่อให้ลูกที่เกิดมาเป็นเรียลอัลฟ่า


โชติภนย่นพระขนง พลันนึกต่อไปถึงตอนที่ป้าพริ้มเข้ามาทูลให้ฟังอีกว่าพระอาการของเขาคล้ายกับพระปิตุลาสมัยหนุ่มไม่มีผิด


กลิ่นมดยอบอันเป็นกลิ่นพระวรกายขององค์ฯ ปิ่นเคยทำให้บรรดาโอเมก้าชายหญิงทุรนทุรายมาแล้วนักต่อนัก เพียงแต่ตอนนั้นการแพทย์ยังไม่ก้าวไกลเหมือนอย่างเช่นในทุกวันนี้ เพิ่งจะมารู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันคืออาการเรียลอัลฟ่า ซ้ำนางข้าหลวงใหญ่ยังทูลให้ฟังอีกว่าหม่อมลุงอเล็กเซคู่ผูกพระชะตาของพระองค์ปิ่นก็เป็นโอเมก้าที่แตกต่างจากโอเมก้าคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย แต่ท่านชายไม่ทรงสนพระทัยเรื่องคู่โซลเมท จึงไม่ได้จำว่าอีกฝ่ายทูลอะไรต่อจากนั้นอีก


อย่างไรก็ดี จะเป็นเรียลอัลฟ่าหรืออัลฟ่าทั่วๆ ไปก็ตาม การที่มีกลิ่นกายเหมือนกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก หรือต่อให้มีกลิ่นชนิดเดียวกันก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากไม่ใช่ฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกันก็คงจะเป็นเรื่องที่เหนือการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพราะอะไร และใช่ เรื่องแปลกประหลาดนี้ได้เกิดขึ้นกับหม่อมเจ้าโชติภน บนโลกใบนี้ยังมีอัลฟ่าอีกหนึ่งคนที่มีกลิ่นไม้กฤษณาที่หอมจนถูกเปรียบดั่งไม้หอมของพระเจ้าเหมือนกับเขาราวกับถอดพิมพ์เดียวกันออกมา


...แล้วก็ยังไม่ใช่คนอื่นคนไกลอีกเสียด้วย


“ท่านอาสถิตคุณกับพี่ชายอังอย่างนั้นหรือจ๊ะป้าพริ้ม” ทรงตรัสถามออกไปโดยไม่อ้อมค้อม บังคับสุรเสียงให้ห้าวนิ่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นออกมา แม้ว่าในพระอุระจะสั่นไหวสักเพียงใดก็ตาม


ภาพในเศียรยามนี้ถูกแทนที่ด้วยเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่ได้พบพักตร์กันมาราวสิบห้าปี...ก็นับจากวันที่เขาเสด็จจากเมืองไทยมานั่นยังไงเล่า


นางข้าหลวงใหญ่ได้ฟังรับสั่งถามก็ฉีกยิ้มหน้าแฉล้ม ทูลตอบโต้ว่า “อุ๊ย! ทรงทราบได้ยังไงเพคะว่าเป็นคุณชายอังกับท่านสถิตคุณ”


‘ก็อัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณา นอกจากฉันแล้วจะเป็นใครไปได้อีก’ ท่านชายทรงคิดกับองค์เองเงียบๆ ไม่ได้รับสั่งตอบอะไรกลับไป เพราะพระสติที่ราวกับกำลังค่อยๆ จางหายไปกับอากาศ ตรัสไม่ถูกเช่นกันว่าพระอาการเช่นนี้เรียกว่าอะไร


ภาพของเด็กชายหน้าตาดี เจ้าของผิวขาวสว่างกระจ่างตาอย่างที่ยากจะหาใครมาเสมอเหมือน คิ้วดำเข้มราวกับถูกวาดด้วยสีหมึกจากปลายพู่กันยังคงค้างอยู่ในพระเศียรอย่างสลัดไม่ออก ถึงเขาจะไม่เคยเจออีกฝ่ายในตอนที่ทั้งคู่เริ่มส่งกลิ่นก็ตาม หรืออีกฝ่ายอาจจะเริ่มส่งกลิ่นก่อนเขาด้วยซ้ำเพราะอายุที่มากกว่าราวๆ เกือบสองปี และที่ทรงทราบได้ก็เพราะครั้งหนึ่งเสด็จพ่อของท่านชายเคยตรัสให้ฟังตอนที่ท่านชายเสด็จกลับไปเยี่ยมที่พระนครว่า


“เมื่อวานนี้พ่อไปพบท่านสถิตคุณมา แล้วก็บังเอิญได้ทักทายกับ ‘คุณชายตัวขาว’ ของชายด้วย ไม่รู้ว่าชายจะยังจำเธอได้อยู่ไหม หลานท่านชายสถิตคุณ ลูกท่านชายฉันทิตที่ถูกโจรฆ่าปาดคอพร้อมหม่อมเอกของท่านที่ประจวบฯ คนนั้นน่ะ เธอกำลังเป็นหนุ่ม งามมากเทียว แต่พ่อเห็นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง กลิ่นกายของเธอเหมือนกันกับกลิ่นของชายไม่มีผิด...กลิ่นไม้กฤษณา”


โชติภนนึกจินตนาการกับองค์เองในเศียรว่าถ้าหากได้พบหน้าอีกฝ่าย มันคงจะพิลึกพิลั่นน่าดูทีเดียวที่จะต้องเผชิญหน้ากับอัลฟ่าที่มีกลิ่นฟีโรโมนแบบเดียวกัน แม้ว่าพวกอัลฟ่าอย่างเขาจะไม่สามารถสัมผัสกลิ่นของตนเองได้ก็ตาม


‘จะว่าไป ถ้าหากว่ากลิ่นกายของฉันเป็นเหมือนกับกลิ่นเปลือกไม้ที่พวกบริวารกำลังเผากันอยู่อย่างนี้ มันก็ช่างหอมเย้ายวนจริงอย่างที่ใครๆ เขาว่า ถ้าอย่างนั้นพี่ชายอังที่ส่งกลิ่นแบบเดียวกันก็คงจะหอ...’ หม่อมเจ้าโชติภนถึงกับทรงหยุดชะงักไปในทันใด พร้อมทั้งทรงกลั้นพระปัสสาสะด้วยดวงเนตรที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกองค์ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาสะบัดเศียรอย่างรุนแรงราวกับว่าคลุ้มคลั่ง แล้วรีบหยัดองค์ขึ้นประทับยืนเต็มส่วนสูง


“เกือบจะลืมไป โชติกำลังจะเดินทางอยู่วันพรุ่ง แต่ยังไม่ได้นำกล้องถ่ายภาพที่ยืมมาจากพี่ชายต้องไปคืนเลย ฝากป้าพริ้มทูลเด็จฯ ลุงให้ทีนะจ๊ะว่าโชติจะออกไปข้างนอก ไม่ต้องรอเหวยเย็น โชติจะแวะเหวยกับพี่ชายต้องก่อนกลับมา”


เร็วเท่าที่รับสั่ง ท่านชายไม่รอให้คู่สนทนาได้ขานรับหรือกล่าวคำลา ทรงรีบร้อนกระวีดกระวาดเสด็จออกจากห้องบรรทมไปพร้อมกับกุญแจรถ


หญิงชราเสตามองตามอย่างฉงนมึนงง


“ช่างประหลาดดีแท้ ทั้งๆ ที่ก็ดูโปรดคุณชายอังถึงขนาดเก็บรูปเธอใส่กรอบตั้งไว้เหนือโต๊ะทรงงานอย่างนี้แล้วแท้ๆ จะทรงหลบพักตร์เธอไปทำไมกันนะ” หล่อนรำพึงรำพันกับตนเองเสียงเบาเจือขบขัน หยิบกรอบรูปหลุยส์สีทองที่ว่าจัดลงกระเป๋าเดินทางให้เจ้านายอย่างรู้พระทัยดีว่าจะต้องทรงโปรดนำกลับพระนครไปด้วยอย่างแน่นอน


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 17:44:40 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ห่างจากปราสาทหลังงามของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรออกไปเพียงไม่เกินเจ็ดกิโลเมตรก็จะพบกับบ้านขนาดกลางแนวโมเดิร์นหลังคาทรงจั่วสูง สร้างขึ้นจากคอนกรีตอย่างดี มีการเล่นระดับของผนังเป็นลูกเล่นเพื่อให้ดูทันสมัย ทาเอาไว้ด้วยสีน้ำตาลเข้มออกหม่นๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศต้นไม้ใบหญ้าเพราะถูกปลูกอยู่ท่ามกลางป่าเขา และถัดจากตัวบ้านออกไปอีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ก็จะเจอกับธารน้ำใสสายเล็กๆ ที่ในยามอุษาสางมักจะมีฝูงนกน้อยบินลงมาเล่นน้ำพร้อมทั้งประสานเสียงร้องจุ๊บจิ๊บดังระงมไปทั่วเพื่อให้ชาวบ้านในอาณาบริเวณได้ลืมตาตื่นขึ้นมารับอรุณที่แสนสดชื่น


จริงๆ แล้วคฤหาสน์ขององค์ฯ ปิ่นถูกปลูกห่างออกมาจากตัวเมืองไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นชานเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากนัก เพราะองค์เจ้าของอาคารไม่โปรดความวุ่นวายภายในตัวเมือง โดยเฉพาะเสียงชวนหนวกหูจากพวกรถราที่ปัจจุบันมีอยู่มากมายเกลื่อนท้องถนน กระทั่งในสมัยหนุ่มที่ยังทรงพำนักอยู่ที่เมืองไทยพระองค์ท่านก็โปรดใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ที่วังตากอากาศในเมืองกาญจนบุรีมากกว่าจะมาอยู่รวมกับพระญาติพระวงศ์ที่พระนคร แต่กับบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนี้นั้นถูกปลูกห่างออกจากตัวเมืองมาไกลอยู่พอสมควร จนสามารถเรียกได้ว่าเกือบจะข้ามไปยังชานเมืองของกรุงลอนดอนอยู่แล้ว ทำให้สามารถสัมผัสถึงเสียงลมเสียงธรรมชาติที่ชวนให้สมองปลอดโปร่งได้อย่างชัดเจน


จะว่าไป เมื่อก่อนในตอนที่ท่านชายโชติภนทรงอ่อนล้าจากการเล่าเรียนอย่างหนักหน่วง นอกจากพวกไนท์คลับ ผับ บาร์ที่มักจะเสด็จอยู่เป็นประจำ หลังกลับจากหอพักมหาวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองเคมบริดจ์ เขาก็จะมาแวะพักผ่อนเพื่อคลายความเครียดขึงที่นี่เสมอ ด้วยที่นี่คือที่พำนักของ ท่านชายต้อง หรือ หม่อมเจ้าต้องครรลอง และสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นพระขนิษฐาของท่านอย่าง ท่านหญิงบัว หรือ หม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสร ซึ่งเป็นทั้งพระญาติและพระสหายของโชติภนนั่นเอง


เมื่อคิดย้อนกลับไป หม่อมเจ้าชายและหญิงทั้งสององค์นี้ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษมาไม่นานเท่ากับโชติภน อย่างท่านชายต้องก็เพิ่งจะย้ายมาพำนักอยู่ที่นี่ได้แค่ราวๆ สี่ซ้าห้าปีเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ทรงศึกษาระดับปริญญาตรีในคณะรัฐศาสตร์อยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่เมื่อท่านหญิงบัวทรงสอบชิงทุนเพื่อมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ด้วยองค์เอง ก็ทรงรีบร้อนกระวีกระวาดตามมาดูแลอย่างชิดใกล้ ถึงกับทรงลาออกจากมหาวิทยาลัยเดิมเพื่อมาเรียนอยู่ที่เดียวกันเลยทีเดียวเพราะทรงเห็นว่าท่านหญิงบัวเป็นเพียงเบต้าสาวแรกรุ่นเท่านั้น การจะปล่อยให้อยู่ต่างถิ่นต่างแดนองค์เดียวเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม


แต่โชติภนกลับมองว่าจริงๆ แล้วท่านชายต้องก็เพียงทรงหวงน้องสาวเสียมากกว่าจะห่วงเรื่องสมควรหรือไม่สมควร ซึ่งก็คงไม่แปลกกระมัง ก็พระขนิษฐาทรงงดงามออกปานนั้น แล้วจะไม่ให้หวงแหนกระไรได้ เพียงแต่ว่า...หากทรงหวงเพียงอย่างเดียวก็จะไม่น่าขันสักเท่าใด ทว่านี่ท่านกลับทรงคอยยุแยงส่งเสริมทำองค์เป็นพ่อสื่อพ่อชักจัดแจงจับคู่ให้โชติภนกับท่านน้องของท่านอยู่เนืองๆ น่ะซี


พอคิดถึงตรงนี้ โชติภนก็ทรงหลุดพระสรวลออกมาเล็กน้อย เพราะสำหรับเขาแล้วท่านหญิงบัวเปรียบเป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน เนื่องด้วยทรงเห็นพักตร์กันมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ แต่ก่อนน้องหญิงของเขาทรงเป็นคนขี้แง มีอันต้องร้องไห้โยเยทุกคราที่ได้พบกัน จึงปลอบโยนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ดังนั้นท่านชายเลยไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้อีก และหม่อมเจ้าต้องครรลองท่านก็ทรงเข้าพระทัยดี ไม่ได้ทรงคะยั้นคะยอให้ท่านชายอึดอัดพระทัยเพราะก็ทรงหัวสมัยใหม่อยู่พอองค์ เพียงแต่ท่านก็แค่อยากได้คนดีๆ ที่ไว้ใจได้มาเป็นคู่ให้ขนิษฐาเพียงองค์เดียวของท่านเท่านั้นเอง


รถยนต์ทรงตรามอร์แกนสีเขียวขี้ม้าที่ถูกขัดสีฉวีวรรณจนเงาวับค่อยๆ ชะลอจอดลงอย่างเชื่องช้าที่หน้าแปลงกุหลาบสีแดงแปลงใหญ่ที่กำลังแข่งกันผลิดอกอย่างงามตา หม่อมเจ้าชายโชติภนก้าวพระชงฆ์ลงจากเบาะประทับ วินาทีแรกที่สองบาทแตะพื้นดินเขาก็ค่อยๆ สูดพระปัสสาสะลึกเข้าพระนาสิก ทรงอึดอัดอยู่ภายในพระทัยตลอดการเดินทางมาที่นี่เพราะเอาแต่รำลึกถึงอาคันตุกะของเสด็จลุงวนไปเวียนมาภายในพระเศียรอยู่อย่างนั้นราวกับว่าจะกลายเป็นบ้าเป็นบอไปเสียให้ได้ อันที่จริงแล้วเขาเองก็ทรงอยากพบหน้าอีกฝ่ายมากมายเหลือเกิน เพราะมันก็ตั้งสิบห้าปีมาแล้ว อีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปสักกี่มากน้อยก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก็ไม่ทรงทราบเช่นกันว่าควรต้องปฏิบัติองค์อย่างไรดีเมื่อได้เจอกันจังๆ จะให้เขาออดอ้อนเคลียคลออีกฝ่ายเหมือนอย่างแต่ก่อนหรือก็แสนกระดากอาย แล้วหากอีกฝ่ายเกิดจำกันไม่ได้ล่ะ…


จริงด้วยซีนะ มันก็ตั้งสิบห้าปีมาแล้ว ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ เลยสักนิด...ไม่รู้ทำไม แต่พอทรงคิดเช่นนี้ มันก็ช่างชวนปวดพระทัยเหลือเกิน


พระปรางสีขาวเหลืองนวลเนียนประหนึ่งแป้งสาลีที่ได้รับการนวดคลึงมาเป็นอย่างดีพองออกเล็กน้อยขณะที่ท่านชายกำลังคิดน้อยเนื้อต่ำพระทัยกับองค์เอง ปลายพระบาทเขี่ยพื้นดินเล่นเบาๆ จนเพลิน เลยไม่ทันได้ทรงสังเกตเห็นหญิงสาวเปล่งปลั่งเจ้าของดวงพักตร์แช่มช้อยรูปไข่ พระวรกายเรียวระหง สวมใส่ฉลองพระองค์สีอ่อนราคาแพงตามแบบหญิงสูงศักดิ์ที่กำลังดำเนินเข้ามาใกล้ด้วยสีพระพักตร์มึนงง เธอยกหัตถ์ประนมไหว้ ดวงพระเนตรดาราคู่นั้นฉายแววเป็นกังวล


“ได้ยินเสียงล้อรถบดกรวดมาแต่ไกล พี่ชายโชตินี่เอง ยังไม่หมดหลั่งเลยไม่ใช่หรือคะ รีบออกมาข้างนอกยังงี้จะไม่เป็นไรรึ”


หม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรทูลถามอย่างทรงห่วงใย เรียกให้อีกฝ่ายหลุดออกจากภวังค์พร้อมทั้งช้อนพระพักตร์ขึ้นสบประสานเนตรกลมใสด้วยรอยแย้มพระสรวลทักทาย


“ไม่ต้องห่วงค่ะ หมดมาได้ราวๆ สามวันแล้ว คราวนี้เลยโชคดีได้ออกหลั่งไวกว่าคราวก่อนๆ นิดหน่อย ว่าแต่น้องหญิงสบายดีไหมคะ ไม่ได้เจอกันร่วมเดือนเทียว พี่ติดวาดแบบโรงแรมส่งเขาก็เลยไม่ค่อยว่างแวะเวียนมาหาเลย”


ท่านชายโชติภนรับสั่งถาม พระสุรเสียงเป็นกันเองเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่ได้พบพักตร์กัน คำถามที่ฟังดูใส่พระทัยตามพระนิสัยทำให้พระปรางขาวผ่องของหม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรขึ้นสีชมพูระเรื่อเล็กน้อย


ส่วนอาการ ‘หลั่ง’ ที่ทั้งสององค์เพิ่งจะทรงตรัสถึงออกไปนั้น หากเทียบกับทางเมืองฝรั่งเขาก็จะเรียกกันว่า ‘รัท’ (Rut) ที่มาของคำว่าหลั่ง โชติภนเองก็ไม่ค่อยแน่พระทัยเหมือนกันว่ามันมาจากที่ใดกันแน่ อาจจะแผลงเสียงออกมาจากคำว่ารัทก็เป็นได้ หรือไม่ก็เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าจะหลั่งออกมามากกว่าปกติในช่วงฤดูนี้ ซึ่งอาการของมันก็จะคล้ายๆ กับอาการติดสัดของพวกเดรัจฉานนั่นเอง โดยจะเกิดขึ้นทุกๆ สามเดือน และจะมาด้วยกันราวหนึ่งถึงสองสัปดาห์แล้วแต่สภาพร่างกายของอัลฟ่าคนนั้นๆ


แล้วในทางกลับกัน พวกโอเมก้าเองก็มีฤดูติดสัดเฉกเช่นเดียวกัน คนไทยเราเรียกกันว่าอาการ ‘หวีด’ โชติภนเดาว่ามันน่าจะเป็นการแผลงเสียงออกมาจากคำว่า ‘ฮีท’ (Heat) ที่เขาเคยได้เรียนมาในชั่วโมงโอเมก้าศึกษาเมื่อครั้งสมัยไฮสกูล หรือไม่ก็อาจจะเพราะอาการหวีดทำให้เหล่าโอเมก้าพากันเจ็บปวดทรมานจนมักส่งเสียงหวีดร้องออกมาอย่างไม่อาจทนได้ คนโบราณจึงเรียกอาการเหล่านี้ว่าระยะหวีด ส่วนช่วงเวลาของฤดูหวีดก็ราวหนึ่งถึงสองสัปดาห์เช่นกัน และเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับฤดูหลั่งนั่นเอง


หม่อมเจ้าโชติภนอดนึกเซ็งไม่ได้ทุกครั้งที่ทรงนึกถึง ด้วยปัจจุบันมีวัคซีนที่บรรเทาอาการคลั่งในช่วงฤดูติดสัดแล้วก็จริง และเขาเองก็ฉีดป้องกันเอาไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องมาตั้งแต่ครั้งยังทรงเยาว์ ทว่าอาการเรียลอัลฟ่าที่ทรงเป็นดันมากำเริบตอนหลั่งครั้งแรก แม้แต่วัคซีนที่เคยฉีดไปก็เอาไม่อยู่ เมื่อถึงฤดูหลั่งท่านชายจึงต้องทรงเก็บองค์นิ่ง ประทับในที่ที่ปลอดโอเมก้ามากที่สุด ด้วยเหตุนี้บริวารในตัวคฤหาสน์จึงไม่มีใครเป็นโอเมก้าเลยสักคน ด้วยอาจจะทรงทำร้ายท่านชายน้อยของปราสาทได้ คิดถึงตรงนี้ก็ทรงปลงตกอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี ที่อื่นเขามีแต่โอเมก้าวิ่งหนีอัลฟ่า แต่เขาที่เป็นอัลฟ่ากลับต้องคอยวิ่งหนีฝูงโอเมก้าคลั่งเสียอย่างนั้น มันสมควรแล้วรึ?


“หญิงกำลังนึกอยู่เทียวว่าเจ้าพี่หายหน้าหายตาไปไหนเสียตั้งนาน ที่แท้ก็ติดงาน หญิงสบายดีตามอัตภาพค่ะ สถานทูตอังกฤษในเมืองไทยเพิ่งจะตอบรับหญิงเข้าทำงานมาทางจดหมายนี่เอง ก็เลยรีบตีตั๋วเครื่องบินเอาไว้วีคหน้า บังเอิญได้ยินมาจากพี่ชายต้องว่าเจ้าพี่ก็กำลังจะกลับเหมือนกันนี่คะ เราคงจะได้พบกันที่นู่น” มุมโอษฐ์กระจับของท่านหญิงบัวยกขึ้นแย้มสรวลช้าๆ อย่างละม่อมละไม ไม่มากไม่น้อยจนเกินงามอย่างสตรีที่ได้รับการอบรมอย่างดีเลิศมาจากในรั้วในวัง “อ้อ! เจ้าพี่เข้ามาประทับนั่งรับพระสุธารสชากาแฟก่อนซีคะ คุณชายอังควราเธอทำขนมฝรั่งกุฎีจีนมาถวายอยู่ตรงโน้นแน่ะ หญิงจำได้ว่าเป็นของโปรดของเจ้าพี่ไม่ใช่หรือ”


“หา…”


เหมือนดั่งพระกรรณดับวูบไปชั่วขณะหนึ่ง ก้อนเนื้อในพระอุระก็พลันราวกับหยุดเต้นเสียดื้อๆ ชีพจรกลายเป็นเส้นตรงทันทีที่ฟังรับสั่งจบ


“ม...เมื่อครู่น้องหญิงว่ายังไงนะคะ พี่ชายอังอยู่ที่นี่งั้นหรือ!”


ท่านหญิงบัวทรงทอดเนตรอย่างงุนงงกับพระอาการร้อนรนของเจ้าพี่ของเธอ แต่ก็ทูลตอบเสียงราบเรียบกลับ


“มิได้ค่ะ เธอแวะมาแค่วอบแวบ เพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ คลาดกับเจ้าพี่แค่นิดเดียว” พอได้ฟังดังนั้นลมหายพระทัยของหม่อมเจ้าเพศเรียลอัลฟ่าที่สะดุดในคราวแรกก็ค่อยๆ กลับมาดำเนินเป็นปกติ ท่านหญิงบัวทรงมองอย่างลอบสังเกตอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ใคร่ใส่พระทัยมากเท่าใดนัก แล้วตรัสต่อว่า “เธอตามเสด็จท่านอาสถิตคุณมาน่ะค่ะ เห็นว่ามามองหามหาวิทยาลัยเอาไว้ให้คุณชายจันทน์น้องชายของเธอ แล้วก็เลยได้โอกาสเข้ามาเยี่ยมพี่ชายต้องที่เคยสนิทสนมกันมาแต่ก่อน เอ...ถ้าหญิงจำไม่ผิด คุณชายอังเธอก็เคยสนิทสนมอยู่กับเจ้าพี่เหมือนกันนี่คะ น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่เจอกัน”


หม่อมเจ้าโชติภนขมวดพระขนงด้วยทรงสับสนกับองค์เอง นึกเสียดายอย่างที่น้องหญิงของเขารับสั่งอยู่เหมือนกันเพราะอีกแค่นิดเดียวก็จะได้พบหน้าคนที่ลาจากกันมาเนิ่นนาน แต่พอเพ่งพิศดูอย่างถี่ถ้วนอีกทีแล้ว การที่เขาบึ่งรถยนต์ทรงคันโปรดมาจนถึงที่นี่ก็เพราะจะหลบพักตร์อีกฝ่าย ด้วยทรงประหม่าไม่รู้ว่าควรต้องทำองค์อย่างไรดีหากได้เจอกันไม่ใช่รึ...งงเป็นบ้า


“จริงซิ พี่เอากล้องถ่ายภาพมาคืนพี่ชายต้องแน่ะ ยืมมาใช้เสียนานปีดีดัก ไม่ทราบว่าเธออยู่บ้านไหมคะ”


โชติภนเบี่ยงประเด็นอย่างนุ่มนวลด้วยพระนิสัยที่ปกติแล้วไม่ใช่คนกระโชกโฮกฮาก และรับสั่งถึงองค์เจ้าของบ้านแทน ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ทรงทราบดีแก่พระทัยว่าอีกฝ่ายต้องประทับอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของบริเวณบ้านแน่ๆ ด้วยกลิ่นหอมละมุนคล้ายกับกลิ่นเมล็ดกาแฟอย่างดีอันเป็นกลิ่นเฉพาะพระวรกายของท่านชายผู้เป็นอัลฟ่าที่กระจายออกมาบางๆ ปกคลุมรอบตัวเรือน


ส่วนท่านหญิงเบต้าผู้เป็นพระขนิษฐาในองค์เจ้าของเรือน พอได้ยินรับสั่งถามก็ทรงทำพักตร์ขึงขังเล็กน้อย ดูทรงแล้วท่านชายโชติภนคงจะเสด็จมาผิดเวลาละมัง ท่าทางพี่น้องคงจะมีเรื่องผิดพระทัยกันอยู่เป็นแน่


“อยู่ค่ะ เห็นประทับชมวิวอยู่ที่เทอร์เรซหลังบ้านนู่น วาดภาพอีกนั่นแหละค่ะ แต่จริงๆ หญิงก็ไม่อยากจะสนใจสักเท่าไหร่” ทูลตอบอย่างค่อนๆ และหันไปรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษกับแหม่มเบต้าสาวรับใช้ในชุดแม่บ้านสีขาวดำที่เดินเข้ามาถวายงานอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี “แคโรไลน์ มายเดียร์ ช่วยไปทูลบอกพี่ชายต้องให้ทีว่าพี่ตี๋อ้วนเสด็จมาหา ทรงเอากล้องถ่ายภาพที่ยืมไปคราวก่อนมาคืน แล้วก็ให้เธอออกมารับน้ำชาเสียด้วย เย็นชืดจนฉันอุ่นให้ไปสามรอบแล้ว ไม่รู้จะอะไรนักหนากับแค่รูปวาดรูปเดียว เห็นจับเจ่ามาตั้งแต่เมื่อวานซืน”


กล่าวถึงพระนาม ‘ตี๋อ้วน’ ที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์ของท่านหญิงบัว อันเป็นอีกพระนามหนึ่งของหม่อมเจ้าชายโชติภน จักษุผู้นี้ ที่คฤหาสน์ของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรไม่เคยมีใครเรียกขานเขาอย่างนี้มาก่อน ด้วยไม่ใช่พระนามที่ทรงโปรดสักเท่าไหร่เพราะมันทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์


เสด็จพ่อของท่านชายเคยรับสั่งอย่างคนเฒ่าคนแก่ที่มักพูดพร่ำถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เสมอว่าในตอนที่ท่านชายยังทรงจำความไม่ได้ เกิดสงครามหนึ่งที่สร้างความฉิบหายไปจนเกือบจะทั้งโลก เรียกว่าสงครามมหาเอเชียบูรพา ผู้คนในเวลานั้นเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า วิ่งหนีระเบิดกันให้วุ่นวายไปหมด ทว่าคืนหนึ่งที่เสียงระเบิดตูมตามอยู่นอกวัง ท่านชายที่เพิ่งจะชันษาได้ไม่กี่ขวบปีกลับวิ่งหนีหม่อมแม่เข้าไปประทับอยู่ในห้องเครื่อง คว้าเอาขนมกลีบลำดวนที่เหลือจากตอนเสวยเย็นเข้าโอษฐ์ด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย พอเสวยหมดก็แย้มพระสรวลจนพระพักตร์ยับยู่เข้าหากันราวกับทรงสุขสมเสียเหลือเกิน มิได้ทรงรักองค์กลัววายเลยสักนิด ไม่เพียงเท่านั้น พอหม่อมแม่เธอจะอุ้มพาออกไปยังที่หลบภัย ท่านชายก็ทรงกันแสงหวีดร้องราวกับจะเป็นจะตายเสียให้ได้ สุดท้ายหม่อมแม่จึงต้องคว้าเอาห่อข้าวต้มผัดมาให้ทรงถือไว้จึงจะหยุด เป็นเรื่องที่เสด็จพ่อทรงหยิบมาเย้าท่านชายอยู่บ่อยครั้งเมื่อพบพักตร์


“ชายโชติน่ะรึ อ้วนพลีเป็นหมูตอนได้ใครมาก็หารู้ไม่ กับลูกปืนลูกระเบิดมันเคยกลัวเสียที่ไหน แต่หากไม่ได้เหวย ไอ้เจ้านี่หวีดร้องได้จนตายเทียว”


และด้วยพระพักตร์ออกตี๋เพราะได้รับเชื้อจีนแผ่นดินใหญ่มาจากทางฝั่งของหม่อมแม่ เสด็จวังจักษุฯ จึงโปรดถวายพระนาม

ที่ใช้เรียกกันเล่นๆ ตามประสาพ่อลูกว่า ‘ตี๋อ้วน’ แต่ไม่ทราบว่าอย่างไร เพราะต่อมาคนก็เรียกตามกันไปทั่ว แม้บัดนี้ท่านชายจะทรงเจริญชันษาจนไม่เหลือเค้าโครงว่าเคยอ้วนกลมราวกับลูกขนุนอย่างนั้นมาก่อน ซ้ำยังสูงใหญ่สะโอดสะองอย่างกับฝรั่งมังค่า รูปพระวรกายดูดียิ่งกว่าอัลฟ่าคนไทยด้วยกันอีกหลายๆ คนเสียอีก แต่ก็ยังคงพากันเรียกว่าตี๋อ้วนอยู่ได้มิรู้หาย แรกๆ ท่านก็พยายามประท้วงด้วยการทำองค์เมินเฉยเมื่อถูกเรียก แต่อยู่ไปอยู่มาก็กลายเป็นทรงเคยชินไปเสียเอง ใครใคร่เรียกอย่างไรก็เรียกไป


ท่านหญิงบัวนำเสด็จท่านชายโชติภนไปประทับนั่งบนโต๊ะเสวยแบบฝรั่งสีขาวสะอาดตาที่มักถูกยกออกมาวางด้านนอกตัวเรือนในวันที่อากาศแจ่มใส เนื่องด้วยทั้งท่านชายและท่านหญิงเจ้าของเรือนทรงโปรดรับพระสุธารสชากาแฟท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ โดยเฉพาะท่านชายต้องที่โปรดวาดภาพฝีพระหัตถ์สีน้ำไปพลาง พร้อมทั้งเสวยเครื่องว่างและพระสุธารสชาไปพลาง


โชติภนทอดสายพระเนตรมองบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าสีครีมลายวิจิตร นอกจากที่พระสุธารสชาแบบฝรั่งแล้วก็ยังมีขนมฝรั่งกุฎีจีนที่ส่งควันอ่อนๆ คล้ายกับเพิ่งอุ่นร้อนมาหมาดๆ มันส่งกลิ่นเย้ายวนพระทัยท่านชายอย่างชวนให้ลิ้มลอง...ยิ่งได้ทรงคิดตรองดูว่าใครเป็นคนทำมาถวาย ก็ทรงอยากจะหยิบขึ้นมาเสวยเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องทรงยั้งพระวรกายองค์เองเอาไว้ เพราะถ้าหากทำเช่นนั้นก็คงจะดูน่าเกลียดเกินไปหน่อย อีกอย่าง สีพระพักตร์ของสตรีเบต้าสูงศักดิ์ที่ประทับนั่งอยู่ตรงข้ามก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดนัก


“ทำไมถึงได้ทำหน้าบูดอย่างนั้นล่ะคะน้องหญิง เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” คำถามแสนอ่อนโยนถูกส่งออกมาจากเรียวโอษฐ์บางของท่านชายผู้แก่ชันษากว่า หม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรทำองค์นิ่งชั่วครู่ คล้ายกับทรงกำลังคิดอยู่ว่าควรตอบกลับเขาอย่างไรดี แต่สุดท้ายเธอก็ถอนพระอัสสาสะอย่างเบื่อหน่ายและทูลปัด


“หญิงไม่แน่ใจว่าควรพูดดีไหม เจ้าพี่ไปทูลถามกับพี่ชายต้องเอาเองเถอะค่ะ”


ท่านชายมุ่นพระขนง


“อ้าว เป็นงั้นไป”


“จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่าหญิงไม่อยากจะพูดถึงมากกว่า ระคายปากเปล่าๆ ค่ะ ยิ่งกับคนผิดคำพูดอย่างนั้นด้วย สัญญากันเอาไว้อย่าง แต่ถึงเวลากลับทำอีกอย่าง น่าเบื่อจะตาย”


ท่านหญิงบัวแม้จะทรงกริ้วอยู่ไม่น้อย ทว่าพระสุรเสียงของเธอก็ยังหวานซึ้งน่าสดับฟัง ซ้ำยังวางองค์สงบ ไม่ได้แสดงพระอาการโผงผางออกมาให้ได้เห็น ด้วยเลือดผู้ดีที่ไหลเวียนอยู่ในพระวรกาย


โชติภนรู้ดีทีเดียวว่าภายใต้ดวงพักตร์สะสวยนั้น ถูกซ่อนความเคร่งเครียดเอาไว้อยู่ไม่น้อยเพราะเป็นธิดาที่ประสูติแต่หม่อมเอกในเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดนึกเอ็นดูหม่อมเจ้าหญิงที่ทรงเห็นพักตร์กันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ได้ จึงตรัสออกไปอย่างเย้าๆ ว่า


“พี่ชายต้องเธอคงตรอมใจแย่แล้วนะคะ ทรงถูกน้องหญิงหมางเมินขนาดนี้”


ท่านหญิงฟังรับสั่งแล้วก็กลอกพระเนตรเป็นวงกลมหลายที คล้ายกับอยากจะทูลตอบว่าไม่ทรงเห็นด้วย


“มีคนตรอมใจที่ไหนเขายิ้มหน้าชื่นตาบานได้อย่างนั้นบ้างหรือคะ หญิงไม่ยักเคยเห็น” เธอแย้ง สุรเสียงขึ้นพระนาสิกนิดหน่อย “นู้น! ทรงพระอารมณ์สุนทรีย์ ประทับนั่งวาดภาพให้หนุ่มอยู่หลังเรือนนู่นค่ะ เธอจะมาสนทัยอะไรกับแค่น้องสาวร่วมหม่อมเดียวกันอย่างหญิง ปกติหากทราบว่าหญิงได้งานที่เมืองไทยก็คงจะเสด็จตามกลับด้วยโดยไม่อิดออด แต่นี่เธอ…”


หม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรทรงสงวนคำไว้เพียงเท่านั้น และทรงปล่อยให้จบประโยคไปแบบด้วนๆ ราวกับไม่อยากจะรับสั่งถึงต่อ


แต่คำว่า ‘วาดภาพให้หนุ่ม’ ที่เพิ่งได้ฟัง กระตุ้นให้ท่านชายทรงสงสัยจนต้องตรัสถาม


“วาดภาพให้หนุ่ม? น้องหญิงหมายถึงอะไรหรือคะ”


“พิโธ่...จะอะไรเสียอีกล่ะคะเจ้าพี่ ก็นายตัวเมียคนไทยที่พี่ชายต้องทรงติดพันอยู่ตอนนี้ยังไงเล่า แว่วๆ มาว่าพบกันที่ไนท์คลับในเมือง กำลังโปรดน่าดูเทียวล่ะ หญิงฟังแล้วอยากจะเป็นลมตายให้ได้ เสด็จพ่อต้องกริ้วมากแน่ค่ะถ้าทรงทราบว่าอาจได้พระสุณิสาเป็นคนกุ๊ย”


ท่านชายโชติภนเริ่มจะจับต้นชนปลายได้ถูก แต่สิ่งที่สะกิดพระทัยอยู่ก็ทำให้ต้องทรงหรี่เนตรจ้องพักตร์อีกฝ่ายอย่างทรงตำหนิ


“อย่าเรียกคนอื่นว่าตัวเมียแบบนั้นซีคะ ไม่น่ารักเลยนะ” เขาตรัสเสียงเครือต่ำเพื่อไม่ให้ดูเป็นการดุด่าว่ากล่าวที่รุนแรงมากจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ทรงทำให้ท่านหญิงบัวพระพักตร์สลดลงนิดหน่อย ด้วยปกติแล้วท่านชายจะทรงพระทัยดีกับเธออยู่เสมอ จะโกรธจะเคืองกันหรือก็ไม่เคยเลยสักคราเดียว “กระทั่งที่เมืองไทยเราตอนนี้ก็ยังมีการเดินขบวนรณรงค์ให้คนหันมาแยกเพศรองตามแบบตะวันตกเลยนะคะ น้องหญิงเองก็อยู่อังกฤษมานานหลายปีแล้วก็ควรจะซึมซับเอาความศิวิไลซ์จากทางนี้กลับไปบ้างซี ยิ่งตัวได้งานอยู่ในสถานทูตด้วย แล้วเท่าที่พี่เห็นมา คนที่ยังจิกเรียกผู้อื่นว่าตัวผู้ตัวเมียยังงี้อยู่ก็มีแต่พวกคนเฒ่าคนแก่โบราณคร่ำครึทั้งนั้น พี่ทราบค่ะว่าน้องหญิงถูกเสด็จพ่อกับหม่อมแม่สอนมาอย่างนี้ แต่พี่เป็นอัลฟ่านะ พอถูกเรียกว่าตัวผู้อย่างนั้นก็เสียดหูนัก ไม่ชอบใจเลย”


ท่านหญิงทรงยกหัตถ์ประนมอย่างพินอบพิเทา


“หญิงขอโทษค่ะ”


หม่อมเจ้าชายโชติภนส่ายเศียรแทนคำรับสั่งตอบคล้ายจะบอกว่าไม่ได้ทรงกริ้วสักนิด เพียงแค่ไม่อยากให้ใครมาว่าน้องหญิงของเขาได้ว่าทรงเป็นพวกชอบกดขี่ชนชั้นทางเพศที่ต่ำกว่า ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะเบียดเบียนใคร แต่ทรงถูกคนเก่าคนแก่ในรั้วในวังปลูกฝังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ว่าโอเมก้าคือตัวเมีย มีหน้าที่ตั้งครรภ์และให้กำเนิด ส่วนอัลฟ่าก็คือตัวผู้ มีหน้าที่ทำให้ตัวเมียตั้งครรถ์ และเบต้าอย่างเธอก็คือคนธรรมดาสามัญที่สามารถตั้งครรภ์และถูกทำให้ตั้งครรภ์ได้ตามแต่เพศสภาพ


จริงๆ แล้ว ท่านหญิงบัวทรงถูกเลี้ยงดูอุ้มชูมาโดยเหล่าข้าเก่าเต่าเลี้ยง หม่อมแม่ และเสด็จพ่อที่ล้วนแต่เป็นเบต้าหัวโบราณทั้งสิ้น และในสังคมนี้ แม้ว่าพวกเบต้าจะไม่ได้แข็งแกร่งหรือได้รับพรสวรรค์ให้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่องเหมือนอย่างพวกอัลฟ่า แต่ก็ชอบนักที่จะยกตนขึ้นข่ม โดยถือว่าตนเหนือกว่าตรงที่ไม่มีอาการติดสัดอย่างเดรัจฉานเหมือนที่อัลฟ่าและโอเมก้าเป็น


แต่ในทางเดียวกัน คนเราก็มีความย้อนแย้งอยู่มากเช่นกัน ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นเบต้าแท้ๆ และทรงทำราวกับเหยียดหยันอัลฟ่าโอเมก้าแทบจะทั้งแผ่นดิน แต่พอให้ประสูติโอรสอย่างท่านชายต้องครรลองออกมาเป็นอัลฟ่า ก็ทรงคุยโวโอ้อวดไปทั่วพระนครเสียอย่างนั้น


ท่านชายโชติภนจำได้เลาๆ ว่าเสด็จวังจักษุฯ ผู้เป็นพระบิดาไม่ทรงลงรอยกับเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อครั้งเจอกันในงานเลี้ยงรวมพระญาติพระวงศ์ราวๆ เกือบสิบปีก่อน ทรงตีฝีพระโอษฐ์เรื่องพระโอรสกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร จนสุดท้ายเสด็จพ่อของท่านชายก็รับสั่งข่มกลับไปอย่างนิ่งๆ ว่า


“ลูกชายฉันเป็นถึงเรียลอัลฟ่าเทียวนาพ่อ จะพูดจะจากับใครก็หัดดูตาม้าตาเรือเสียบ้างเถิด”


ทำเอาองค์ฯ เจ้ากรมฯ พระพักตร์ซีดจนต้องรีบทูลลาหอบโอรสและธิดาเสด็จกลับวังขององค์เองไปเลย


“ว่าแต่...คนอย่างพี่ชายต้องน่ะหรือคะไปติดพันโอเมก้า เธอไม่ใช่คนเจ้าชู้ประตูดินอย่างนั้นเสียหน่อยนี่นา ออกจะโปรดชีวิตที่เรียบง่ายด้วยซ้ำ” ท่านชายรับสั่งถามอย่างทรงงุนงงเพราะเท่าที่เขาได้รู้จักมักจี่กับท่านชายต้องมา เจ้าพี่ต้องครรลองของเขาไม่ได้มีความสนพระทัยในเรื่องชู้สาวแต่น้อยนิด ซ้ำยังทรงบ่นกระปอดกระแปดเสมอว่าชาตินี้ทั้งชาติคงหาเมียเป็นตัวเป็นตนไม่ได้แน่เพราะไม่มีใครหน้าไหนที่ถูกพระเนตรต้องพระทัยท่านเลย


ท่านเคยรับสั่งให้ฟังอีกด้วยว่าทรงโปรดคนฉลาดเฉลียวและปราดเปรียว แต่เท่าที่เคยถูกหม่อมแม่จับคู่ให้ก็มีแต่พวกเบต้าสาวและโอเมก้าชายหญิงสนิมสร้อย ดีแต่นั่งชม้อยชะม้ายไปวันๆ ทอดเนตรมองแล้วไม่ชวนให้จรรโลงพระทัย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ก็หม่อมแม่กับเสด็จพ่อผู้เข้มงวดของท่านโปรดสะใภ้เงียบๆ หงิมๆ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างนั้นมากกว่าแบบเปิ๊ดสะก๊าด โผงผาง กล้าพูด กล้าแสดงออก เข้าสังคมเก่งอย่างพวกหนุ่มสาวยุคใหม่


ดังนั้นกิจกรรมส่วนใหญ่ของหม่อมเจ้าต้องครรลองจึงมักจะใช้เวลาอยู่กับองค์เองเสมอ ไม่ได้มีสิ่งใดหวือหวามากไปกว่าการเล่าเรียน ทรงงาน ทรงวาดภาพฝีพระหัตถ์สีน้ำ ทรงดนตรีด้วยบทเพลงที่นิพนธ์เองอย่างสุนทรีย์


โชติภนไล้หัตถ์ลูบพระหนุเรียบเนียนพร้อมทั้งครุ่นคิดเงียบๆ หรือว่าเจ้าพี่ของเขาอาจถึงวัยที่อยากจะลิ้มลองอะไรใหม่ๆ บ้างแล้วก็เป็นได้ละมัง แต่ถึงขั้นไปติดพันนี่มันก็...เกินจะเชื่อไปสักหน่อย


หม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรทูลตอบกลับอย่างเรียบเรื่อย แต่ก็มีความหยันอยู่ในทีเช่นกัน “ก็โอเมก้าเด็กน้อยวัยกำลังงามสะพรั่งอย่างนั้นนี่คะ ทำไมพี่ชายต้องจะไม่ทรงหลงกันล่ะ เพิ่งเจอกันแค่หนเดียวแท้ๆ แต่ก็ถึงกับเก็บมาละเมอเพ้อพก ขาดเขาไม่ได้ยังงั้น อยากพบหน้าเขาเหลือเกินยังงี้ เชื่อเขาเลย”


“เด็กรึ?”


“ค่ะ ห่างกันร่วมสิบปีเลยเทียวล่ะ โอรสของพี่ชายโต…” พี่ชายโตที่เธอรับสั่งถึงคือหนึ่งในพระเชษฐาต่างหม่อมมารดาของเธอเองที่ชันษาห่างกับเธอราวๆ ยี่สิบปีทีเดียว “...โอรสของพี่ชายโตก็อายุพอๆ กับเด็กคนนี้ หญิงไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพี่ชายต้องเธอกำลังคิดอะไรอยู่ถึงไปถูกตาต้องใจกับคนรุ่นราวคราวหลานยังงั้น”


ท่านหญิงบัวทรงผินพระพักตร์งามไปยังองค์เจ้าของหัวข้อสนทนาที่กำลังดำเนินเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที พร้อมด้วยกลิ่นเมล็ดกาแฟอันเป็นกลิ่นเฉพาะพระวรกายของอีกฝ่ายก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ


“หญิงว่าหญิงเข้าบ้านไปดูเขาเตรียมเครื่องเสวยเย็นก่อนดีกว่า ถ้าเจ้าพี่สงสัยอะไรก็รับสั่งถามเอากับเจ้าตัวเขาเองแล้วกันค่ะ ให้หญิงตอบก็คงมีแต่คำค่อนอยู่นั่นเอง จะพลอยทำให้เจ้าพี่ขุ่นข้องหมองใจไปด้วยเสียเปล่าๆ ทูลตามตรง หญิงอคติค่ะ”


คำยอมรับตรงๆ ของท่านหญิงบัวฟังน่ารักน่าเอ็นดูจนโชติภนหลุดพระสรวล เธอเหล่มองท่านชายผู้สนิทสนมอย่างแอบเคืองพระทัยหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รับสั่งว่าอย่างใดต่อเพราะหม่อมเจ้าต้องครรลองเสด็จเข้ามาถึงองค์พอดี


“ยังไม่ยอมพูดกับพี่อีกหรือหญิงบัว”


พอฟังรับสั่งถามจากผู้เป็นท่านพี่จบ ท่านหญิงบัวก็ไม่ทรงแสดงพระอาการใดตอบกลับไป ได้แต่ขึงพระเนตรใส่ผู้เป็นเชษฐาแต่พอดี และเสด็จกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับแหม่มแคโรไลน์สาวรับใช้ของเธอ


ท่านชายต้องทอดมองตามเบื้องขนองขององค์พระขนิษฐาจนกระทั่งลับสายพระเนตร ไหวพระอังสาหน่อยๆ อย่างปลง ก่อนจะหันมาทักทายอาคันตุกะผู้มาเยือน


“ว่ายังไงตี๋อ้วน มาถึงนานแล้วรึ”



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 17:50:19 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ก็สักพักหนึ่งแล้วล่ะครับพี่ชายต้อง แหม...สุนทรีย์มากเสียจนไม่ทันสังเกตกลิ่นกฤษณาของชายเทียวหรือ ถ้าเป็นปกติจะต้องทรงเสด็จออกมาทักทายตั้งแต่ชายยังขับไม่ถึงหน้าประตูรั้วเสียด้วยซ้ำ โอเมก้าแถวไหนหรือครับ สะสวยสักแค่ไหนกัน ท่าทางจะของแรงมากทีเดียว”


โชติภนอดกล่าวอย่างกระเซ้ากระแซะไม่ได้ แต่หม่อมเจ้าชายองค์พี่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยากะเปิ๊บกะป๊าบตอบกลับให้ทรงล้อเลียนต่อ เพียงแค่แย้มพระสรวลบางๆ และหย่อนองค์ลงประทับนั่งยกพระสุธารสชาขึ้นเสวย


“จะกี่ปีก็ยังช่างพูดเหมือนเคยเลยนะพ่อ ของแรงของเริงอะไรที่ไหนกัน หญิงบัวเล่านิทานประโลมโลกเรื่องไหนให้ฟังมาล่ะนั่น”


“ถ้าเจ้าพี่จะเรียกมันว่านิทานประโลมโลกยังงั้น ก็คงจะเป็นเรื่อง Love at first sight ละมังครับ เนื้อเรื่องก็ราวๆ ว่าพระเอกที่บังเอิญเจอกับนางเอกที่ไนท์คลับและตกหลุมรักกันอย่างรุนแรงในทันที”


หม่อมเจ้าต้องครรลองถอนพระอัสสาสะอย่างทรงระอากับความทะเล้นทะลึ่งขององค์หม่อมเจ้าชายตรงเบื้องพักตร์ที่กำลังทำทีเล่นทีจริง


“Love at first sight งั้นรึ? กันไม่เคยเชื่อลงเลยสักทีว่าคนเราจะไปตกหลุมรักกับคนที่เพิ่งเจอแค่เพียงแรกพบสบตายังงั้นได้ เห็นมีแต่พวกฟั่นเฟือนไม่มีสติสตังก็เท่านั้น”


หลังจากฟังรับสั่งเสร็จ โชติภนก็ทอดพระสุรเสียงยาวๆ ออกมาอย่างฉงนพระทัยว่า “อ้าว…”


ท่านชายต้องครรลองแย้มสรวลจางๆ กับปฏิกิริยาของหม่อมเจ้าผู้น้อง ก่อนจะค่อยๆ ผินพระพักตร์คมคายอย่างชายหน้าตาดีเลิศคนหนึ่ง ทว่าก็ทรงคล้ำด้วยแดดอยู่เล็กน้อยไปยังเหยือกเครื่องต้นที่ถูกบรรจุเอาไว้ด้วยน้ำผึ้งสีอำพันใส “กันได้น้ำผึ้งเหยือกนี้มาจากฟาร์มชั้นดี แกได้ลองชิมดูหรือยังตี๋อ้วน รสชาติถูกปากไหม”


ท่านชายโชติภนทรงงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมอยู่ๆ บุรุษสูงศักดิ์ตรงเบื้องพระพักตร์ถึงได้นึกสนพระทัยเรื่องน้ำผึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ทูลตอบกลับโดยไม่ได้ไถ่ถามอะไร


“เพิ่งมาถึงเลยยังไม่ได้ลองเหวยเลยครับ แต่ถ้าหากเป็นของฟาร์มเดียวกับเมื่อครั้งก่อนก็หอมละมุนดีนะครับ เหมาะสำหรับเหวยคู่กับแพนเค้กหรือขนมปัง แต่ปกติแล้วชายชอบเหวยแพนเค้กคู่กับแยมรสส้มมากกว่า จริงซิ พี่ชายต้องโปรดเหวยน้ำผึ้งคู่กับพระสุธารสชากาแฟมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ครับ ชายจำได้”


“จริงอย่างแกว่า” ท่านชายอัลฟ่ากลิ่นเมล็ดกาแฟตรัสเบาๆ คล้ายกับกำลังรำพึงกับองค์เอง ก่อนจะยกหลังหัตถ์ขึ้นมาเท้ากับพระหนุที่สากไปด้วยตอพระมัสสุ ดวงเนตรดาราสีเข้มกรีดจ้องพักตร์ขาวตี๋ของท่านชายน้องคนสนิทอย่างทรงพินิจ “ถ้ายังงั้นก็น่าจะมีความเป็นไปได้ไหมนะว่าคู่โซลเมทของแกอาจเป็นโอเมก้ากลิ่นส้ม”


“เอ๊ะ...คู่โซลเมทหรือครับ”


โชติภนถึงกับนิ่งอั้นไปขณะกำลังทรงคิดตรอง หม่อมเจ้าต้องครรลองผู้ไม่เคยฝักใฝ่ในเรื่องรักใคร่เลยสักนิดกำลังตรัสว่า ‘คู่โซลเมท’ อย่างนั้นหรือ


เหลือเชื่อเลย


“ไม่เชื่อรึ?”


พอได้ยินคำถามย้อนกลับในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ก็ทำให้ทรงประดักประเดิดขึ้นมานิดหน่อย


“จะว่าเชื่อก็... ไม่ล่ะครับ ชายไม่ขอเชื่อแล้วกัน” เขาทูลกลับตามตรง ท่านชายต้องเลิกพระขนงขึ้นนิดหน่อยกับคำตอบที่ได้รับ “เรื่องที่ไม่ได้เจอกับตัวเองยังงั้น จะให้เชื่อลงยังไงได้ ก็เหมือนที่น้องหญิงบัวมักบอกอยู่เสมอว่าผีมีจริง แต่จริงๆ แล้วไม่มีนั่นแหละ”


“ที่แกคิดว่าไม่มีเพราะไม่เคยเจอมากกว่าละมัง หญิงบัวชอบบ่นเห็นนู่นเห็นนี่อยู่เสมอ ยิ่งที่มหาวิทยาลัย เธอบอกว่าผีดุฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว กันเองรึก็ไม่ได้เห็นอย่างเธอว่า แต่ก็ไม่ไปพูดจาหักหาญน้ำใจเธอว่ามันไม่มีอยู่จริงเหมือนอย่างคนแถวนี้ทำหรอกนา”


“พี่ชายต้องเจอคู่โซลเมทยังงั้นหรือครับ”


หม่อมเจ้าชายต้องครรลองทรงสงบเงียบ สายพระเนตรทั้งสองข้างยากนักที่จะอ่านออกตามพระนิสัยของท่านที่ไม่ชอบให้ผู้ใดจับสังเกตพระอาการขององค์เองได้ ผ่านไปราวสามนาทีก็ตรัสกลับมาเนือยๆ ราวกับว่าเหนื่อยพระทัย


“กำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่ล่ะซี” ท่านชายต้องหรี่พระเนตรมองอย่างทรงรู้ทันองค์ผู้เยาว์ชันษากว่า “มันไม่ใช่ Love at first sight อย่างที่แกกำลังเข้าใจหรอกนะพ่อโชติ เพราะจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าอัลฟ่าอย่างเราๆ จะพึงใจกับคู่ของตัวเองอยู่เสมอไปเสียเมื่อไหร่ แต่พอได้เจอกันแล้วมันก็กลับขาดเขาไปไม่ได้เสียอย่างนั้น เรื่องแปลกประหลาดพิสดารพันลึกอะไรก็ไม่รู้”


“...”


โชติภนเงียบ ไม่ทรงมีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น


“ตี๋อ้วน แกคิดจริงๆ ยังงั้นหรือว่าอย่างกันจะใคร่สนิทเสน่หากับคนรุ่นราวคราวหลานของตัวเอง ทั้งๆ ที่คุณชายรามหลานชายแท้ๆ ของกันเองก็อายุอานามพอๆ กับเด็กคนนั้นเลยเทียวนา” จริงๆ แล้ว ที่ท่านชายต้องรับสั่งออกมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงทราบดีว่าพี่ชายนอกสายพระโลหิตองค์นี้ทรงมีพระนิสัยอย่างไร รู้จักกันมาร่วมยี่สิบปีก็ไม่เคยเห็นจะทรงสนพระทัยเด็กแรกรุ่นมาก่อนเลยสักครา เขาจึงเริ่มเปิดพระทัยรับฟัง แม้ลึกๆ จะยังตะขิดตะขวงอยู่ก็ตาม


“กันมาลองตรองดูกับตัวเอง ที่ผ่านมากันไม่ได้ชอบกินหวาน ไม่เคยชอบเลยสักครั้ง อย่างขนมฝรั่งอะไรนี่ที่หญิงบัวบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา กันก็ไม่ได้โปรดกับเธอไปด้วย…” ท่านชายอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาถึงกับคัดค้านเศียรชนฝากับองค์เอง แม้ว่ายังไม่ได้ลองเสวยดูเลยสักคำ แต่พอนึกถึงคนที่ทำมาถวายก็ไม่มีทางเลยที่มันจะไม่อร่อย มันต้องอร่อยเสียยิ่งกว่าตามร้านที่ทำขายด้วยซ้ำ เขามั่นพระทัย “...แต่กับน้ำผึ้ง กันกลับชอบมันมาตลอด โหยหาทั้งรสชาติ โหยหาทั้งกลิ่น ทั้งๆ ที่มันหวานแสนหวานไม่แพ้พวกขนมทั่วไป แต่กลับไม่เคยขาดได้สักที แล้วแกล่ะตี๋อ้วน ไม่เคยติดรสหรือติดกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งมากเป็นพิเศษเลยหรือ”


คำถามจากสุรเสียงทุ้มแหบนั้น เพียงแค่ได้ฟังจบหม่อมเจ้าโชติภนก็ทรงได้คำตอบขึ้นมาในพระทัยทันที เพราะแต่ไหนแต่ไรมา แม้ว่าองค์จะทรงพำนักอยู่ถึงเมืองฝรั่ง แต่ป้าพริ้มผู้เป็นสตรีข้าหลวงใหญ่ในคฤหาสน์ขององค์ฯ ปิ่นก็อบรมเขามาอย่างดีให้สมกับที่เป็นชาววัง


หล่อนปลูกฝังพระนิสัยชาวรั้วชาววังให้เขาหลายต่อหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสะอาด ฉลองพระองค์ทุกชิ้นขององค์หม่อมเจ้าชายนั้นจะต้องซักให้สะอาดเอี่ยมและรีดให้เรียบกริบ พร้อมทั้งอบร่ำด้วยกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ทำให้ทรงรู้สึกสบายพระทัยราวกับได้เพื่อนที่รู้ใจทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสอย่างที่ไม่ทรงทราบสาเหตุ


...กลิ่นดอกแก้ว


เท่าที่จำได้ ท่านชายเคยลองเปลี่ยนมาใช้กลิ่นดอกสเลเตกับดอกสายหยุดที่หอมหวนยวนพระทัยไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายก็ทรงกลับมาใช้ดอกแก้วเหมือนอย่างเดิม เพราะไม่ทรงคุ้นเคย อีกทั้งยังแอบโหวงเหวงแปลกๆ ราวกับถูกแมลงสัตว์กัดกินอยู่ภายในพระอุระ ดังนั้นฉลองพระองค์ทุกชิ้นของท่านชายจึงมักจะมีกลิ่นดอกแก้วหอมจรุงจิตติดตรึงอยู่ด้วยเสมอ เวลาใครหน้าไหนเข้าใกล้จนได้กลิ่น และทูลถามก็ทรงตรัสตอบกลับไปเพียงสั้นๆ ว่า “สงสัยเป็นฝีมือเมดที่บ้านไอละมัง หอมงั้นรึ? ไอไม่ทันได้สังเกตเลย” ด้วยไม่โปรดให้ใครมารับรู้ว่าทรงติดกลิ่นดอกไม้หวานๆ ราวกับเป็นโอเมก้าวัยแรกแย้ม ในครั้งนี้ท่านชายก็เลยทูลตอบกับเจ้าของคำถามไปอย่างทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย


“เอ...ไม่นะครับ ไม่ยักมี สงสัยชายจะไม่มีคู่โซลเมทเหมือนอย่างใครๆ เขาละมังครับ”


หม่อมเจ้าต้องครรลองมองพินิจบุรุษผู้มิใช่น้องแท้ๆ แต่ก็คล้ายอย่างใส่พระทัย แววพระเนตรราวกับห่วงหาอาลัยยังไงยังงั้น และในพระเศียรของท่านก็ราวกับกำลังคิดอ่านอะไรสักอย่างที่สำคัญอยู่ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เพราะสุดท้ายท่านก็เพียงไหวพระอังสา และปล่อยทิ้งหัวข้อพูดคุยนั้นไปเฉยๆ


“จริงซิ ไม่ได้เจอกันเสียร่วมเดือน ถ้าแกไม่มาหาวันนี้ กันก็กะว่าพอย่ำค่ำจะขับออกไปหาที่คฤหาสน์เด็จฯ ลุงปิ่นอยู่แล้วเทียว มีเรื่องอยากจะพูดด้วยนิดหน่อยก่อนแกบินกลับเมืองไทยวันพรุ่ง”


ท่านชายเรียลอัลฟ่าเลิกขนงด้วยทรงสงสัย


“พี่ชายต้องอยากพูดอะไรกับชายยังงั้นหรือครับ”


“หญิงบัวคงจะฟ้องแกหมดแล้วละมัง...ช่างปะไร คือยังงี้พ่อโชติ หญิงบัวกำลังจะกลับพระนคร แล้วก็อย่างที่แกรู้ว่ากันเคยให้สัญญากับเธอเอาไว้ว่าถ้ากลับก็จะกลับไปด้วยกัน แต่ทีนี้แพลนทั้งหมดได้เปลี่ยนไปแล้ว หญิงบัวกำลังงอนกันมากทีเดียว แต่กันก็จนใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี ใช่ว่าจะไม่อยากกลับไปด้วยกันเสียเมื่อไหร่…” ท่านชายต้องทรงชะงักค้างเมื่อรู้สึกองค์ว่าเริ่มจะบ่นยาวไปไกล “...กันเลยคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองไทยแล้ว อยากวานให้แกช่วยดูแลหญิงบัวแทนกันที หญิงบัวเธอติดพี่ชาย ไม่มีกันอยู่ด้วยเธอคงจะเคว้ง กลัวจะไม่มีใครให้พูดจาปราศรัย เธอไม่สนิทกับพี่น้ององค์ไหนเลย แกก็น่าจะรู้”


“จริงๆ ต่อให้เจ้าพี่ไม่ไหว้วานชายก็ต้องดูแลน้องหญิงอยู่แล้วล่ะครับ เธอเองก็เปรียบเหมือนเป็นน้องสาวชายด้วยเช่นกัน”


“แค่น้องสาวเองรึ?”


ท่านชายโชติภนหรี่พระเนตรเรียวรีอย่างบุตรของชาวจีนลงอย่างทรงรู้ทันอีกฝ่าย


“ไหนเคยตรัสว่าจะไม่ทำองค์เป็นพ่อสื่อพ่อชักแล้วยังไงล่ะครับ พี่ชายต้อง”


“ก็เผื่อแกจะใจอ่อนให้น้องสาวกันบ้าง”


“ถ้าน้องหญิงรู้เข้าจะต้องไม่พอใจแน่”


“มันก็ไม่แน่หรอกนาพ่อโชติ”


โชติภนส่ายเศียรน้อยๆ


“เฮ้อ! ไม่เอาล่ะครับ ไม่ขอพูดกันเรื่องนี้ดีกว่า ว่าแต่พี่ชายต้องเถอะ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ทรงเปลี่ยนแพลนกะทันหันยังงั้น น้องหญิงบอกกับชายว่าเธอตีตั๋วกลับเมืองไทยเอาไว้วีคหน้า เจ้าพี่เคยไปสัญญิงสัญญากับเธอเอาไว้ตั้งนานนมว่าในเมื่อมาพร้อมกันก็จะกลับพร้อมกัน แล้วมาทิ้งกันดื้อๆ กลางคันอย่างนี้ ก็ไม่แปลกหรอกครับที่เธอจะโกรธเอา”


“แต่ถ้ากลับไป กันคงตาย”


คำพูดสั้นๆ กลับทำให้พระทัยของโชติภนไหววูบ ทรงรู้สึกราวกับมีลูกอะไรสักอย่างคาอยู่ในพระศอ


“พี่ชายต้อง...รับสั่งถึงอะไรหรือครับ จะมีใครทำอะไรเจ้าพี่ เจ้าพี่จะสิ้นชีพิตักษัยได้ยังไง”


“ก็นั่นซิ…”


เกิดเป็นช่องว่างระหว่างบทสนทนา หม่อมเจ้าชายอัลฟ่ากลิ่นเมล็ดกาแฟส่งกลิ่นเฉพาะองค์ออกไปไกลคล้ายกับกำลังคะนึงถึงใครสักคน พระเนตรดาราคมกริบทอดยาวออกไปยังป่าเขาโดยไม่ได้เพ่งพิศตรงไหนมากเป็นพิเศษ ก่อนจะทรงเหลือบกลับมาจ้องพักตร์บุรุษสูงศักด์ผู้เยาว์ชันษากว่า ดวงพักตร์ที่ใครๆ ต่างว่ากันว่าแสนสมบูรณ์แบบดังพระเจ้าประทานให้ของหม่อมเจ้าชายต้องครรลองจริงจังกว่าที่เคย และในดวงเนตรตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววว่ากำลังล้อกันเล่นอยู่เลย


“กันอาจตรอมใจตายก็เป็นได้ละมังพ่อโชติ กันไม่คิดว่าตัวเองจะทนได้หรอกถ้าหากต้องอยู่ห่างจากเด็กคนนั้นตอนนี้” ประโยคฟังดูปูเลี่ยนๆ เกินกว่าจะเป็นความจริง ทว่าพระสุรเสียงที่ทรงใช้กลับเบาต่ำจนชวนให้หลงเชื่อไปชั่วขณะใหญ่...แต่ก็แค่ขณะเดียวเท่านั้นสำหรับคนหัวสมัยใหม่อย่างโชติภน


“ชายไม่เข้าใจหรอกครับ”


“กันก็ไม่ได้หวังจะให้แกมาเข้าใจหรอก อีกอย่างหนึ่งถึงกันจะบอกว่าอาจถึงขั้นตรอมใจตาย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้แน่หรอกว่าจะตายยังไง เพียงแต่คิดว่าถ้าต้องห่างคู่ไปตอนนี้ กันก็คงอยู่ไม่ได้แน่”


“ทรงรับสั่งราวกับคนติดฝิ่น”


“ก็คงจะคลับคล้ายคลับคลาละมัง หรืออาจจะยิ่งกว่าก็ได้ เพราะถ้าติดฝิ่นก็ยังพอเลิกขาดได้นี่นา แต่อัลฟ่าที่ได้เจอกับคู่แล้ว ต่อให้ตายจากกันไปยังไงก็ไม่มีวันเลิกเป็นคู่กันได้อยู่ดี”


“ฟังดูไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ถ้ายังงั้นหากเจอคู่ไม่ดีล่ะจะทำอย่างไร ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตายเลยรึ หย่าขาดก็ไม่ได้ เลิกราก็ไม่ได้อีก”


“เพราะยังงั้นไงเล่าเขาถึงได้เรียกว่าคู่แห่งโชคชะตา อัลฟ่าทุกคนต่างก็มีคู่โซลเมทด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็อยู่ที่ว่าจะหาเจอไหม จะดีหรือชั่วก็สุดแล้วแต่เวรกรรม”


“โฮ้ย! ถ้าอย่างนั้นชายไม่ขอหาแล้วกันครับ จะได้ไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันให้วุ่นวาย ชีวิตตัวเองแท้ๆ จะให้ใครมากำหนดได้ยังไง ถ้าเกิดได้เมียเป็นนางผีเสื้อขึ้นมา ชายคงได้กลายเป็นพระอภัยฯ หาโอกาสมีหม่อมใหม่ๆ แทบทุกสามเดือนเหมือนอย่างเด็จฯ พ่อเป็นแน่”


แค่คิดว่าถ้าต้องแต่งเมียที่ไม่พึงพระทัย ซ้ำร้ายเมียยังอาจจะดุร้ายเหมือนกับราชสีห์ โชติภนก็ทรงขยดขยาดแล้ว ดังนั้นถ้าจะมีคู่ทั้งที เขายืนยันว่าขอเลือกด้วยองค์เองดีกว่าเป็นไหนๆ


“อย่างแกน่ะหรือจะทำใจแข็งผุดเมียขึ้นเป็นเบือได้อย่างพระอภัยฯ กันว่าน่าจะเป็นเหมือนพระสุธนที่วันๆ คอยแต่วิ่งไล่ตามเมียกินรีไปจนสุดขอบหล้าฟ้าเขียวล่ะมากกว่า อ้อ! ขอกระซิบอีกสักหน่อย เปิดเพลง Only you ของ The Platters ฟังไปด้วยก็จะเข้ากันดีมาก”


“พี่ชายต้องกำลังรับสั่งอะไรอยู่ครับ อย่างชายน่ะหรือจะหงอเหมือนหมารอความรักแบบนั้น กับหม่อมแม่ไปจนหม่อมใหญ่ชายก็ยังไม่เคยนึกกลัวสักครั้ง แล้วประสาอะไรกับเมียที่เป็นคนอื่นแท้ๆ ไม่รู้ล่ะครับ...ถึงคราวเมื่อไหร่ เจ้าพี่รอทอดเนตรดูได้เลย”


“รอดูแกกลายหมารอความรักน่ะรึ”


หม่อมเจ้าเพศเรียลอัลฟ่าชายกลิ่นไม้กฤษณาทำได้แค่ขบกระพุ้งพระปรางขององค์เอง สีพระพักตร์ง้ำงอบูดบึ้ง ด้วยทรงโปรดที่จะเถียงกลับ แต่ดูท่าแล้วท่านพี่ต้องครรลองของเขาก็คงไม่ยอมหยุดกระเซ้าง่ายๆ อยู่ดี เพราะแววพระเนตรกำลังรื่นเริงอยู่มากทีเดียวกับการแกล้งแหย่เขาเล่น


เขาสงสัยนักว่าองค์ท่านชายตรงเบื้องพักตร์มองเขาด้วยสายพระเนตรแบบใดกันแน่ ถึงได้ทรงมั่นพระทัยนักว่าคนอย่างเขา เมื่อใดที่ได้เสกสมรสไปจะต้องทรงเป็นพวกรักตัวกลัวเมียอย่างแน่นอน


“เคืองรึ? ที่กันพูดไปก็เป็นความจริงทั้งนั้น มีสาวมีหนุ่มมากี่คนต่อกี่คนก็เห็นว่ามีแต่แกที่คอยเทียวไล้เทียวขื่อเขาอยู่เป็นนิจ หากไม่อยากเป็นพวกกลัวเมียก็ต้องหัดทำองค์สงบนิ่งอย่างพ่อพระลอที่กันรู้จักให้ได้”


เรียวพระโอษฐ์ของท่านชายต้องยกขึ้นหน่อยๆ ขณะกำลังรับสั่ง อันที่จริงโชติภนก็ไม่ได้สนพระทัยสักเท่าใดนักเพราะไม่ได้ทรงมีแผนที่จะแต่งเมียภายในเร็ววันนี้ แต่ด้วยทรงมีมารยาทที่ดีจึงว่ากลับไปอย่างเรียบๆ เรื่อยๆ เหมือนกำลังทูลเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป


“พระลอที่พี่ชายต้องรู้จัก? ใครกันครับ”


“พิโธ่...ไม่น่าถาม ก็เจ้าอัง อัลฟ่ากลิ่นเดียวกับแก คนที่ทำขนมฝรั่งพวกนี้มาถวายยังไงเล่า!”


เพียงท่านชายต้องรับสั่งตอบออกมาเท่านั้นก็ทำให้คนที่ไม่ใคร่อยู่ในอารมณ์สนทนาหันกลับมาใส่พระทัยได้ราวกับเป็นเรื่องอัศจรรย์



--------------------------------------------------



“อ้าว...พ่อโชตินี่เอง กลับมาได้แล้วรึ”


เมื่อประตูห้องทรงพระอักษรของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรเปิดออก ท่านก็ทรงรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงบางเบาตามชันษาที่เริ่มจะโรยราลงทุกคืนวัน สายพระเนตรที่ใครๆ ต่างก็ว่าแสนอบอุ่นทอดไปยังนัดดาองค์โปรดที่กำลังดำเนินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ ด้วยพระสรวลกว้างขวางและพระพักตร์แฉล้มตามพระนิสัยประจ๋อประแจ๋ฉอเลาะ


องค์ฯ ปิ่นวางปากกาคอแร้งที่กำลังทรงพระอักษรลงในไดอารี่ลง เพื่อรับที่สุธารสกาแฟอุ่นๆ ส่งควันฉุยมาถือไว้ ก่อนจะส่งหัตถ์ลูบพระเกศาสีดำสนิทของท่านชายด้วยทรงรักใคร่เอ็นดูเหลือเกิน


“กลับมาถึงได้สักพักแล้วกระหม่อม เห็นว่าเด็จฯ ลุงยังไม่เข้า ‘ทม ก็เลยถือโอกาสเข้ามาถวายงาน เผื่อว่าเด็จฯ ลุงประสงค์สิ่งใดจะได้ไม่ต้องไปรบกวนแม่บ้านต้นปราสาทกับพวกสาวใช้”


“พูดเก่งเทียว” บุรุษสูงวัยผู้มาพร้อมกับเกียรติ์ศักดิ์อันสูงส่งอดแย้มสรวลกับความช่างจ้อของหลานชายไม่ได้ “พ่อโชติจะเดินทางอยู่วันพรุ่ง อีกเดี๋ยวก็คงไม่มีใครมาคอยเจรจาพาทีเป็นคุ้งเป็นแKังงี้ให้ลุงฟังอีก คิดแล้วก็เหงาหู”


“อ้าว! แล้วถ้าไม่ทรงโปรดให้โชติกลับจะทรงรับสั่งทำไมกับล่ะกระหม่อม ก็ให้โชติอยู่กับเด็จฯ ลุงที่นี่ คอยถวายงานรับใช้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”


“ขืนทำยังงั้นหม่อมลออก็ได้ตามมาถอนหงอกข้าพอดีซีวะ จะไปกักไปขังลูกชายเธอให้อยู่ด้วยกันจนแก่ตายได้ยังไง” โชติภนเกือบจะทรงเถียงอย่างลืมองค์ว่าแต่ตนก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของหม่อมลออเสียหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความใจดีของหม่อมใหญ่ที่มีให้เขามาโดยตลอดจึงสงวนคำพูดเอาไว้และปล่อยให้องค์ฯ ปิ่นได้ตรัสต่อ


“ตอนที่พาพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย ข้าก็ถูกเธอบ่นเอาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พัน บ่นมายันในจดหมายทุกฉบับที่เขียนมาหา บอกว่าข้าใจร้ายใจดำอำมหิต ขโมยลูกเธอมาเล่นไกลถึงนอก ไม่เอาๆ พ่อกลับไปแหละดีแล้ว เธอจะได้เลิกวุ่นวายเสียที”


“หม่อมใหญ่เธอพูดยังงั้นหรือกระหม่อม”


“มิได้ดอก เธอพูดมาไพเราะ แต่ลุงอ่านทีไรใจความก็คือตัดพ้อขอลูกคืนอยู่ดี” องค์ฯ ปิ่นเงียบอั้นไปชั่วอึดใจ ทอดเนตรมองพระพักตร์หลานชายอย่างนึกอาลัยเพราะทรงพำนักอยู่ด้วยกันมาร่วมสิบห้าปีเลยทีเดียว “อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลยนาพ่อโชติ ใช่ว่าจะตายจากกันแล้วเสียเมื่อไหร่ พ่อไม่ใช่เด็กน้อยๆ ที่ต้องมาคอยตามเห่กล่อมเแล้ว โตเสียจนออกเหย้าออกเรือนมีลูกมีหลานได้แล้ว อีกอย่างรับงานวาดแบบมาจากเพื่อนไม่ใช่รึ ก็กลับไปทำให้มันเรียบร้อยเสีย”


“กระหม่อม”


ท่านชายทูลรับคำอย่างเสียมิได้ แม้ว่าจะทรงเป็นคนแข็ง แต่กับองค์ผู้เป็นลุง ถึงไม่เห็นด้วยยังไงก็ตาม แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ท่านชายจะทรงดื้อดึง


เสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรทอดเนตรมองกิริยานอบน้อมของนัดดาอย่างนึกภูมิพระทัยที่เลี้ยงหลานให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างดีเลิศ


“แล้วพ่อต้องกับแม่บัวเป็นยังไงกันบ้างล่ะ ไปเยี่ยมเขามาไม่ใช่รึ ลุงได้ยินแว่วๆ มาว่าจะกลับพระนครกันสัปดาห์หน้า”


“แค่น้องหญิงองค์เดียวกระหม่อม พี่ชายต้องทรงแคนเซิลกะทันหัน ไม่เด็จฯ กลับไปด้วยกันแล้ว เพิ่งมาฝากให้โชติช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลน้องหญิงของเธอเมื่อเย็นย่ำนี่เอง” พอเล่ามาถึงตรงนี้ก็อดที่จะระคายเคืองพระทัยไม่ได้ จึงทูลถามกับพระปิตุลาต่อ “โชติสงสัยจริงๆ ทำไมพี่ชายต้องถึงได้เห็นคนอื่นสำคัญกว่าขนิษฐาขององค์เอง เด็จฯ ลุงทรงคิดอย่างไร คนเราจะผูกพันกับชายที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงแวบเดียวได้เทียวหรือกระหม่อม”


เสด็จลุงของท่านชายเลิกพระขนงหงอกขาวขึ้นเพียงเล็กน้อย องคุลีเหี่ยวย่นตามพระชันษาทั้งห้าเคาะเล่นอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรเบาๆ แล้วจึงรับสั่งถามอย่างคาดเดา


“พ่อต้องผูกชะตาอย่างนั้นรึ”


“ทรงว่าอย่างนั้นกระหม่อม...ติดหนุ่มมากกว่าละไม่ว่า”


“นั่นแน่ะ ไปว่าพี่เขาได้ พ่อดีกว่าเขาตรงไหนกัน ทำยังกับว่าไม่เคยติดสาวติดหนุ่มมาก่อนยังงั้น ข้าส่งให้ไปเรียนในเมืองก็ยังจะไปทำเรื่องวิวาทชู้สาวให้ตำรวจเขามาเรียกไปจ่ายค่าปรับถึงหน้าบ้าน” องค์ฯ ปิ่นกำลังรับสั่งถึงเมื่อตอนที่โชติภนยังทรงเล่าเรียนในระดับปริญญาตรีอยู่ในตัวเมืองเคมบริดจ์ ท่านชายเรียลอัลฟ่าในตอนนั้นชันษาได้เพียงสิบเก้าเท่านั้น และพำนักอยู่หอพักอัลฟ่าของมหาวิทยาลัยในวันจันทร์ถึงศุกร์ ห่างจากสายพระเนตรของพระปิตุลาหลายวันต่อสัปดาห์ อยู่ในวัยกำลังอยากรู้อยากลอง ทรงเห็นพระสหายมี ‘บอยเฟรนด์’ หรือ ‘เกิร์ลเฟรนด์’ ก็ทรงอยากลองมีกับเขาดูบ้าง แต่ดันไปคว้าเอาเบต้าสาวที่มีคู่ควงอยู่ก่อนแล้ว จนทำให้มีเรื่องขึ้นโรงพักกันใหญ่โต เรื่องนั้นเป็นขี้ปากของบริวารขี้นินทาในคฤหาสน์อยู่นานปีทีเดียว “พ่อต้องซิดีกว่า มาอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา แต่ไม่เคยทำเรื่องให้เสื่อมเสียถึงพระญาติพระวงศ์เลยสักครั้ง มาครั้งนี้ที่ต้องมีเรื่องขึ้นก็ด้วยเหตุจำเป็นทั้งนั้น ก็เธอดันเจอคู่ผูกชะตาเข้า ไม่ใช่ความประสงค์ของเธอเสียหน่อย”


“โธ่เอ๋ย...จะอะไรนักกระหม่อม กับแค่คู่ผูกชะตาคนเดียว ถึงยังไงโชติก็ยังคิดว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ พี่ชายต้องพระทัยร้าย ทรงทอดทิ้งให้น้องหญิงต้องกลับพระนครองค์เดียว ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าน้องหญิงติดเชษฐามากแค่ไหน”


“เป็นพี่น้องแล้วมันเป็นยังไง ทำยังกับจะต้องอยู่ตัวติดกันไปจนตลอดชีวิต คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันอยู่ดีนาพ่อโชติ”


“แล้วพี่ชายต้องจะผูกติดกับคนที่เพิ่งเจอหน้าแค่วอบแวบยังงั้นได้เทียวหรือกระหม่อม”


เสด็จลุงของท่านชายไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้เพราะทรงเห็นว่าต่อให้ตรัสตอบอะไรกลับไป นัดดาผู้หัวแข็งของพระองค์ก็คงไม่คิดที่จะรับฟังอยู่ดี ในบางทีก็ทรงอดตระหนักไม่ได้เหมือนกันว่าทรงเลี้ยงหลานมาอย่างคนหัวใหม่มากเกินไปหรือไม่ ชายชราถอนพระอัสสาสะเบาๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังไวโอลินสั่งทำพิเศษอย่างดีที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องทรงพระอักษร


“ไปหยิบซอฝรั่งมาสีให้ลุงฟังหน่อยซีพ่อโชติ อีกประเดี๋ยวก็จะไม่ได้ฟังแล้ว”


“กระหม่อม”


หม่อมเจ้าโชติภนรับคำอย่างง่าย ลืมบทสนทนาไปเพราะไม่ได้ทรงใส่พระทัยอะไรมากมายตั้งแต่แรก ก่อนจะดำเนินไปหยิบไวโอลินที่เสด็จลุงว่าขึ้นมาสีอย่างทรงชำนาญ


พระองคุลีทั้งห้าของท่านชายเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณากดไล่ระดับตัวโน้ตอย่างแช่มช้อย บรรเลงเพลงของสุนทราภรณ์อย่างพริ้งเพราหลายเพลง ก่อนจะจบด้วยเพลง ความรักเจ้าขา ของ คุณเพ็ญศรี ชุ่มชูศรี โดยไม่ทรงทราบเลยว่าในเวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านพักทรงโพสต์โมเดิร์นในตัวเมืองเคมบริดจ์ ชายคนหนึ่งเจ้าของดวงหน้าขาวสะอาดสะอ้านมองเพลินตาก็กำลังค่อยๆ บรรจงวางแผ่นไวนิลแผ่นโปรดที่นำติดตัวมาจากเมืองไทยด้วยลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง และปล่อยให้เพลงเล่นไปตามอย่างที่ควรเป็น


...เพลงเดียวกันกับเพลงที่ท่านชายกำลังทรงบรรเลง


ภาพภายในหัวของชายผู้นั้นว่างเปล่าด้วยต้องการจะปลดปล่อยสมองให้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากธุระปะปังที่ทำมาตลอดทั้งวัน แต่อยู่ๆ ความโล่งเตียนนั้นก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพเด็กชายตัวกลมราวลูกแตงโมวัยสิบขวบ หน้าตาคล้ายกับแป๊ะยิ้มในคณะเชิดสิงโตตามย่านคนจีนที่เคยเห็นมาไม่มาก็น้อย ก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว





ความรักเจ้าขา ข้าสงสัยในอุรา
ว่าหน้าตาเจ้าเป็นฉันใด
คงสวยน่าพิศมัย น่ารักน่าใคร่
ละเมียดละไมโสภา

ความรักเจ้าเอ๋ย ใจร้ายนั้นคงไม่เคย
เจ้าคงเคยแต่กรุณา
ไม่ทำให้ช้ำอุรา เปี่ยมล้นเมตตา
ล้ำเลิศหนักหนาใช่ไหมคนดี

ข้าเป็นทาสเจ้าแล้ว
หมอบราบคาบแก้วแล้วแต่จะคิดปราณี
อกของข้าครานี้
เป็นตายร้ายดี แล้วแต่รักที่เวทนา

ความรักคนสวย โปรดจงสงสารข้าด้วย
ช่วยข้าสมดังปรารถนา
กราบแล้วความรักเจ้าขา โปรดคิดเมตตา
สักคนเถิดหนาข้าขอวิงวอน





(โปรดติดตามตอนต่อไป)
.
.
.
#หวนกลิ่นดอกแก้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 17:53:26 โดย doubleM »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Pithchayoot

  • พิชญ์ชยุตม์
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๑.๑
ยอยศพระลอ


คฤหาสน์รูปตัวอักษรเอช (H) ทรงอังกฤษสมัยราชวงศ์ทิวเดอร์ของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรในยามวิกาลช่างเงียบสงัดจนดูคล้ายกับปราสาทผีสิงในหนังสยองขวัญ ถึงแม้ว่ารอบๆ อาณาบริเวณจะชวนขนหัวลุกไปสักหน่อยสำหรับผู้คนสัญจรผ่านไปมา แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้อย่างดีเลยว่าทุกสรรพสิ่งภายในตัวอาคารหลังนี้กำลังหยุดชะงักลง


เจ้านายรวมถึงเหล่าบริวารทั้งน้อยและใหญ่ต่างพากันหลับใหลราวกับจะลืมตื่นอย่างไรอย่างนั้น หม่อมเจ้าชายโชติภนจึงเป็นเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยังทรงเคลื่อนไหวอยู่ราวกับว่าไม่ทรงรู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งๆ ที่ก็เสด็จข้างนอกมาตลอดทั้งวัน ท่านชายทรงดับไฟฟ้าภายในห้องบรรทมลงเพราะเกรงว่าแสงสว่างจากหลอดไฟจะไปรบกวนผู้คนภายในอาคารตามพระอัธยาศัยที่ช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อยกว่าสักเพียงใดก็ตาม และทรงเปลี่ยนมาจุดตะเกียงดวงน้อยๆ ที่ตั้งประจำอยู่ตรงมุมโต๊ะทรงงานแทน


แสงเรืองๆ ของมันรวมเข้ากับแสงสีนวลจากดวงเพ็ญในคืนเดือนหงาย เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วที่จะสาดส่องให้ทรงมองเห็นกระดาษสีขาวที่ถูกวาดแบบอาคารทรงโพสต์โมเดิร์นขนาดหกชั้นเอาไว้


หากทว่าแทนที่จะได้ทรงงานต่อให้เสร็จสิ้นไปเสียอย่างที่ทรงตั้งพระทัยเอาไว้ตั้งแต่แรก หม่อมเจ้าชายเพศเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณากลับทรงนั่งเฉยราวกับรูปปั้นหิน สีพระพักตร์ยามนี้เลื่อนลอยดั่งกับว่าพระทัยกำลังหลุดลอยออกไปอยู่ในที่แสนไกลก็มิปาน ทรงวางดินสอลงพร้อมทั้งถอนพระทัยหนึ่งเฮือกใหญ่ ด้วยไม่อยู่ในพระอารมณ์ที่อยากจะทรงงานอีกต่อไปแล้วเพราะยามย่ำรุ่งที่เริ่มคืบใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที


ท่านชายหยัดองค์ประทับยืนเต็มส่วนสูง เสด็จออกไปเกาะขอบระเบียงนอกห้องบรรทม สายลมเย็นอ่อนๆ โกรกโดนกับพักตร์งาม ทรงทอดดวงพระเนตรดาราสีดำสนิทจ้องมองวิวอังกฤษตรงเบื้องพระพักตร์เป็นหนสุดท้าย พระจิตของท่านชายในยามนี้สุดแสนคะนึง คิดเพียงแต่ว่ากว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งก็คงอีกนานมากทีเดียวละมัง เป็นห่วงทั้งป้าพริ้ม เป็นห่วงทั้งเสด็จลุงผู้เป็นดั่งดวงพระทัย เพราะเหล่าบริวารภายในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแต่เป็นพวกยายเฒ่าทัศประสาทกันทั้งสิ้น นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีคนหนุ่มคนสาวคอยอยู่ถวายงานรับใช้ท่านอีกเลย ท่านชายอดไม่ได้ที่จะทรงหวั่นวิตก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นพระประสงค์ขององค์พระปิตุลา


ทรงปิดเปลือกเนตรลงอย่างเชื่องช้า บังคับไม่ให้น้ำพระเนตรหลั่งรินลงมา และปลดปล่อยให้พระจิตได้ล่องลอยออกไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม


คราวนี้ลอยไปจนถึงกรุงพระมหานคร และลอยไปยังเรือนไม้สักสีฟ้าอ่อนสบายตาหลังเก่าแก่ที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ราวๆ เกือบสี่สิบปีก่อน ปลูกตั้งไว้ตรงริมสระน้ำภายในบริเวณวังเทวพงษ์พิศาล หรือก็คือที่พำนักของหม่อมเล็กๆ นางหนึ่งใน หม่อมเจ้าสถิตคุณ เทวพงษ์พิศาล และหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นนัดดาที่เกิดแต่พระอนุชาของท่านอีกสามคน โดยหนึ่งในนั้นก็คือคนที่เอาแต่ว่ายวนอยู่ภายในพระเศียรของท่านชายอย่างไม่รู้หายมาตลอดวัน


อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นค่ำคืนอันแสนหนาวเหน็บก็จะหมดลง และทินกรก็จะทอแสงเรืองอร่ามสีทองงามตาขึ้นมาจากขอบฟ้า ท่านชายโชติภนทรงฆ่าเวลารอแสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้าด้วยการรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ในอดีตที่เคยได้พะเน้าพะนอกันอยู่เป็นนิจกับอีกฝ่าย ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังแว่วๆ เข้ามาในพระกรรณดั่งกับว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งกระซิบกระซาบอยู่ชิดใกล้อย่างไรอย่างนั้น


“โธ่เอ๋ย...เอาอีกแล้วนะฝ่าบาท ทำไมถึงทรงซุกซนได้ถึงเพียงนี้กัน ขนมจ่ามงกุฏถาดนั้นกระหม่อมเตรียมไว้ให้วงสโมสรของหม่อมป้าท่าน ฝ่าบาทเหวยจนหมดเกลี้ยงยังงี้แล้วกระหม่อมจะไปบอกกับท่านว่ายังไงดีเล่า เพิ่งจะทูลไปเมื่อครู่นี้เองไม่ใช่หรือว่าถ้าอยากเหวยก็ให้ทรงรอก่อน แต่ก็ยังทรงดื้อดึงอยู่นั่น คอยดูเถอะ จากนี้ไปกระหม่อมจะไม่ทำอะไรถวายฝ่าบาทอีกเลย”


ช่างน่าประหลาดที่ทุกๆ ถ้อยคำของเด็กชายร่างขาวผู้เป็นเจ้าของเรียวคิ้วดกดำเรียงกันอย่างสะสวยคนนั้น ทั้งๆ ที่กำลังดุด่าว่ากล่าวกันอยู่แท้ๆ โชติภนก็หาได้รู้สึกกลัวเกรงสักนิดไม่ กลับกันมันกลับฟังอ่อนหวานมากจนจับใจ สิ่งที่ทรงกลัวก็มีเพียงกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเอาจนไม่ยอมพูดจาพาทีด้วยก็เท่านั้นเอง แม้จะไม่เคยมีเลยสักครั้งก็ตามที่คนใจอ่อนอย่างนั้นจะคิดขัดเคืองเขาได้ลงจริงๆ


เจ้าชายหนุ่มทรงกลั้นพระสรวลเอาไว้ไม่อยู่เมื่อทรงคิดมาถึงตรงนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงอดสังเวชพระทัยในองค์เองไม่ได้อยู่ดี เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะถูกอีกฝ่ายเอ็ดตะโรเอาเรื่องความตะกละตะกลามอยู่เสมอ พระนามลำลองอย่าง ‘ตี๋อ้วน’ ที่เสด็จพ่อของท่านชายทรงเคยประทานให้ก็คงจะไม่ผิดไปจากพระนิสัยเมื่อตอนยังทรงเยาว์จริงๆ อย่างที่ท่านตรัสเอาไว้นั่นแหละ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า รสมือของ ‘คุณชายตัวขาว’ อร่อยน้อยเสียที่ไหนกัน มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ทำให้เขาติดพระทัยงอมแงมจนทรงตามติดอีกฝ่ายแจไปแทบจะทุกแห่งหนอย่างที่เคยทำเป็นแน่


ภาพในอดีตที่หวนคืนกลับมาให้ได้ทรงคิดถึงทำให้บัดนี้วงพักตร์หล่อตี๋อย่างลูกชาวจีนของท่านชายสดชื่นขึ้นมาได้อย่างน่าพิศวงจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบแปลกพระทัยอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน ทว่าก็มิได้พยายามพินิจพิเคราะห์มากเกินไปนักว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านชายโชติภนทรงรับรู้ก็มีเพียงแค่ว่า ถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมานานโข และไม่อาจย้อนเวลากลับไปอยู่ในคืนวันเหล่านั้นได้อีก เขาก็ยังคงโอบถนอมมันเอาไว้ด้วยพระทัยที่ทรงผูกพันจวบจนทุกวันนี้


หากต้องกล่าวถึงเรื่องราวที่น่าประทับพระทัยของเด็กผู้ชายตัวขาวในความทรงจำคนนั้นน่ะรึ? ก็คงเป็นตอนที่อีกฝ่ายมักยกเอาเรื่องกินมาขู่เขาเสมอละมัง คนคนนั้นทำทีราวกับว่ารู้จักจุดอ่อนของเขาเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเขาถึงจะทรงเชื่อฟัง แม้ว่าเขาจะมีพระยศที่สูงกว่าอีกฝ่ายก็ตาม คุณชายตัวขาวคนนั้นมักทำหน้าตาจริงจังเสมอตอนที่ดุว่า ‘ฝ่าบาทจะอดเหวย เพราะกระหม่อมจะไม่ทำอะไรมาถวายฝ่าบาทอีกเลย ถ้าหากยังทรงดื้อยังงี้อีก!’ หากทว่าเมื่อยามบ่ายที่ผ่านมานั้น ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้ทำองค์ดื้อดึงอะไรเหมือนอย่างเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เสียหน่อย แต่ขนมฝรั่งกุฎีจีนที่อีกฝ่ายทำมาถวายท่านชายต้องและท่านหญิงบัว ท้ายที่สุดแล้วโชติภนก็ยังไม่ได้สัมผัสมันเลยแม้สักชิ้นอยู่ดี


ทรงนึกขึ้นมาแล้วก็อดขุ่นเคืองพระทัยแหม่มแคโรไลน์เบต้าสาวรับใช้ของสองหม่อมเจ้าชายหญิงคนสนิทไม่ได้ แม้ว่าแต่ก่อนเขาจะทรงเอ็นดูในความเปิ่นเทิ่นมันเทศของหล่อนอยู่เสมอเมื่อได้พบกัน แต่ถ้าหากหล่อนไม่เผลอวิ่งทะเล่อทะล่าส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายร้องโอ้มายก็อดซ้ำๆ เข้ามาทูลกับหม่อมเจ้าต้องครรลองว่าพระบิดาเจ้ากรมพระธรรมนูญทรงโทรศัพท์ทางไกลมาหาจากเมืองไทยเป็นครั้งแรกในรอบปี ก่อนจะเผลอเคลื่อนตัวไปชนเข้ากับกระเช้าขนมจนทำให้มันหกลงไปนอนระเนระนาดกับพื้นหญ้าทั้งหมด ป่านนี้เขาก็คงได้ลิ้มลองรสชาติที่คิดถึงเพราะห่างหายมานานมากกว่าสิบห้าปีไปแล้วละมัง


‘พักตร์ก็ไม่ใจกล้าพอจะเข้าไปพบ แม้แต่ขนมก็ยังอดเหวยอีกหรือนี่...เฮ้อ! ฉันช่างโชคร้ายจริงเทียว’ โชติภนนึกปลง พระขนงขมวดมุ่น


ทรงส่ายพระเศียรกับองค์เองอย่างช้าๆ พร้อมทั้งแย้มสรวลนิดหน่อยอย่างแห้งแล้ง ไม่ค่อยแน่พระทัยเท่าใดนักว่าควรต้องทรงรู้สึกอย่างไรดีกับเรื่องนี้ ก่อนจะเสด็จกลับเข้าห้องบรรทมและทรงงานที่คั่งค้างไว้ต่อจนกระทั่งรุ่งเช้ามาถึง


แสงสีทองอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมาขัดกันกับร่างกายที่เต็มไปด้วยความง่วงงุน แต่ท่านชายก็ไม่สามารถบรรทมได้อย่างที่พระทัยทรงปรารถนา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน เขาก็ทรงหลับผล็อยไปโดยง่าย แต่ก่อนที่จะได้ปิดเปลือกพระเนตรงามลงก็ทรงชะงักองค์นิดหน่อยบริเวณเก้าอี้ประทับที่อยู่ตรงต้นเครื่อง หรือ...อาจจะต้องเรียกว่าทรงเสียหลักไปเล็กน้อยตั้งแต่ดำเนินก้าวแรกเข้ามาในตัวเครื่องบินแล้ว เพราะกลิ่นหอมออกหวานๆ แต่ก็เย็นชื่นใจในคราวเดียวกันที่กำลังลอยยวนชวนให้ฉงนกลางอากาศอยู่นั่นเอง


ท่านชายทรงจำได้ดีว่ามันคือกลิ่นดอกแก้ว หากแต่ที่ทำให้แปลกพระทัยก็คือความหอมจรูงจิตที่ประหนึ่งว่ากำลังทรงพระสุบินอยู่อย่างไรอย่างนั้น และเหมือนกับว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้กลิ่นมันอยู่เพียงองค์เดียว


ผู้โดยสารบนเครื่องที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูง รวมไปถึงบรรดาลูกเรืออีกนับสิบ ไม่มีใครเลยสักคนที่จะแสดงปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับที่เขาเป็น ต่างคนต่างก็ง่วนอยู่กับการจัดเก็บสัมภาระ อ่านหนังสือพิมพ์ เลี้ยงลูกเล็กเด็กแดง และทำกิจกรรมส่วนตัว


พระชิวหาแดงฉ่ำค่อยๆ ไล้เลียไปตามแนวโอษฐ์แห้งผาก เจ้าชายหนุ่มหรี่พระเนตรเรียวลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิดและนึกสงสัย ทรงส่งหัตถ์หนาขึ้นปิดพระนาสิกโด่งคมแน่นเพราะกำลังเริ่มเวียนพระเศียรมากขึ้นเป็นลำดับ ท่านชายประทับยืนนิ่งๆ อย่างนั้นเพื่อประคององค์อยู่ราวๆ สองนาที แม้จะมีลูกเรือเบต้าสาวเดินเข้ามาทูลซักถามพระอาการตามหน้าที่ ท่านชายก็ไม่โปรดรับสั่งด้วยอย่างใด


ทรงกวาดดวงเนตรคมประดุจเหยี่ยวล่าเนื้อกรีดมองดูรอบๆ อาณาบริเวณอย่างพยายามหาที่มาของกลิ่น จนกระทั่งพระวรกายเริ่มคุ้นชินมากขึ้น และทรงอ่อนล้ามากเต็มทีเพราะไม่ได้บรรทมมาตลอดทั้งคืน เขาจึงรีบสรุปกับองค์เองว่ามันน่าจะเป็นกลิ่นจากฉลองพระองค์ที่ทรงสวมใส่อยู่กระมัง ป้าพริ้มเพิ่งจะทูลกับเขาเมื่อเช้านี้ว่าได้นำฉลองพระองค์ไปอบร่ำให้อีกรอบหนึ่ง และที่คราวนี้กลิ่นฉุนรุนแรงกว่าทุกๆ ครั้งก็คงเพราะเผลออบทิ้งเอาไว้นานเกินไปแน่ๆ เพราะแม่บ้านต้นปราสาทของเขาก็หลงๆ ลืมๆ อยู่บ้างตามอายุที่มากกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว


เครื่องบินลำนี้กำลังจะบินไปจอดยังท่าอากาศยานไขตั๊กในประเทศฮ่องกง ท่านชายโชติภนต้องทรงต่อเครื่องจากที่นั่นเพื่อกลับไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ประเทศไทย แต่บนเที่ยวบินอันแสนยาวนานนี้ เจ้าชายหนุ่มเพศเรียลอัลฟ่ากลับไม่ทรงทราบแม้แต่เพียงน้อยนิดเลยว่าโลกใบนี้มันกลมดิกยิ่งกว่าลูกบอลลูนที่ทรงเคยทอดเนตรเห็นตอนเสด็จประพาสสวิตเซอร์แลนด์เมื่อหลายปีก่อน และคับแคบยิ่งกว่าที่ทรงเคยคิดเอาไว้มาก


เพราะในขณะที่เก้าอี้ประทับของท่านชายอยู่แถวหน้าสุดติดกับประตูทางเข้าออก แต่ถ้าหากท่านชายทรงเพ่งสายพระเนตรให้กว้างไกลขึ้นอีกสักนิดหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก็ตรงเบาะนั่งกลางลำเครื่องบริเวณใกล้กับประตูทางออกฉุกเฉินที่สอง ตรงนั้นเป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าสถิตคุณและนัดดาคนกลางของพระองค์ ร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์อังควรา เทวพงษ์พิศาล หรือที่ใครๆ มักเรียกกันอย่างติดปากว่า คุณชายอัง


ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าคุณชายคนกลางแห่งวังเทวพงษ์พิศาลซึ่งเป็นวังเล็กๆ ในย่านสาทรผู้นี้มีเพศรองเป็นอัลฟ่า เพศที่ถูกจัดให้เป็นชนชั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในสังคมปัจจุบัน แล้วกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะกายของเขาก็เป็นกลิ่นไม้กฤษณา...กลิ่นเดียวกันเลยกับหม่อมเจ้าชายหนุ่มแห่งวังจักษุภิรมย์ที่ทรงประทับนั่งอยู่แถวหน้าสุดของตัวเครื่อง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่น้อยนิดที่เขาจะหยุดชะงักทุกๆ การเคลื่อนไหวด้วยความตื่นตัว ขณะที่กลิ่นที่ลอยมาตามลมเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นของตัวเอง


ถึงพวกอัลฟ่าอย่างเขาจะสัมผัสกลิ่นตัวเองไม่ได้ก็ตาม แต่เขาก็รู้ดีกว่ากลิ่นกฤษณาเป็นยังไง


ความหอมหวานแสนเย้ายวนชวนให้ปวดหัวนี้ทำให้คุณชายร่างขาวทนไม่ไหวจนต้องยกนิ้วมือเรียวยาวราวกับถูกปั้นขึ้นจากจิตกรมือทองขึ้นมาปิดจมูกโด่งคมไว้แน่น


เขาขบเม้มกลีบปากของตัวเองนิดหน่อย ขณะเดียวกับที่ภายในใจกำลังนึกคลางแคลงสงสัย จึงพยายามชะเง้อชะแง้คอมองหาเจ้าของกลิ่นนั้น ก้อนเนื้อที่ฝังลึกอยู่ในทรวงอกเสมือนกำลังถูกมือปริศนาล้วงเข้ามาบีบรัดพร้อมทั้งเขย่าระรัวรุนแรง เพราะอัลฟ่าที่มีกลิ่นเดียวกัน เท่าที่คุณชายรู้...ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นเอง


แต่เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้า จังหวะหัวใจของเขามันก็ค่อยๆ กลับมาเต้นเป็นปกติตามเดิม ถึงแม้ว่าจะเห็นอัลฟ่าเจ้าของกลิ่นไม่ชัดเจนเท่าใดนักเพราะผู้คนที่ขวักไขว่ ระยะห่างที่อยู่ไกลกันพอสมควร และอีกฝ่ายก็ยังมายืนหันข้างใส่เขาอีกต่างหาก แต่จากรูปร่างที่ดูสูงใหญ่สะโอดสะอง ถึงเรือนร่างนั้นจะถูกคลุมทับเอาไว้ด้วยชุดสูทสีกรมท่าที่น่าจะถูกตัดเย็บมาอย่างดีเลิศจากห้องเสื้อชื่อดัง เสื้อกั๊กด้านในเป็นสีเดียวกัน เชิ้ตสีขาวสะอาดตา และกางเกงสแล็ครีดเรียบกริบก็ตาม แต่ก็พอจะมองออกอยู่บ้างว่าภายใต้ร่มผ้าเหล่านั้นคงจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ หุ่นห้างหนั่นแน่นราวกับพวกนักกีฬาฝรั่งก็ไม่ปาน...คนคนนั้นไม่ได้พ่วงพีกลมดิกเหมือนอย่างอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาที่เขาเคยรู้จักมาก่อน


...คนคนนั้นไม่ใช่ท่านชายโชติสักหน่อย


หม่อมราชวงศ์อังควรารีบรวบรัดตัดตอนสรุปกับตัวเองทันที ถึงจะยังมีข้อกังขาอยู่บ้างนิดหน่อยก็ตามว่าทำไมพวกเขาทั้งสองถึงได้มีกลิ่นกายที่เหมือนกันอย่างนี้ แต่ความผิดหวังเล็กๆ ที่ก่อเกิดขึ้นมาในใจอย่างลึกลับก็ทำให้ไม่ได้คิดจะหาคำตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง และนึกไปว่าก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกละมัง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เพราะบนโลกใบนี้ก็ยังมีอยู่อีกหนึ่งคนที่มีกลิ่นเหมือนกันกับเขาราวกับว่าคลานตามกันออกมา โดยที่ไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดด้วยซ้ำว่าแม้แต่น้องชายแท้ๆ ที่เป็นอัลฟ่าเหมือนๆ กันก็ยังไม่ได้มีกลิ่นที่เหมือนกับของตน


อังควราลอบถอนลมหายใจบางเบา และเลิกสนใจไยดีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้น เพราะร่างกายของเขาก็เริ่มจะคุ้นชินกับกลิ่นหอมรุนแรงนั่นมากขึ้นเป็นลำดับ พอท่านลุงสถิตคุณที่ประทับองค์นั่งอยู่ข้างๆ ทรงหันมารับสั่งด้วย คุณชายก็ลืมเลือนชายผู้นั้นไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน


“แกรู้ไหมเจ้าอัง เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้นตอนที่ฉันยังหนุ่มๆ พ่อของฉัน อ้อ...ก็เสด็จปู่ของแกนั่นแหละ ท่านโปรดให้ฉันกับชายทิต…” หม่อมเจ้าสถิตคุณกำลังรับสั่งถึง ‘หม่อมเจ้าฉันทิต เทวพงษ์พิศาล’ หรือ ท่านพ่อของคุณชายอังควรานั่นเอง “...ได้ไปศึกษาเล่าเรียนไกลถึงฟากยุโรปโน่นแน่ะ แต่การเดินทางตอนนั้นก็ยังมิได้สะดวกสบายเหมือนอย่างในเวลานี้ดอก ต้องไปโดยสารเรือใหญ่ที่ท่าแคราย หยุดต่อเรืออยู่หลายเมือง กินนอนรอนแรมกันบนนั้นอยู่แรมเดือนเทียว น่าเสียดายจริงๆ ชายทิตไม่น่าชันษาสั้นยังงี้ ก็เลยไม่มีโอกาสได้นั่งเรือบิน”


“แต่กระหม่อมว่าท่านพ่อไม่น่าจะโปรดเรือบินนะกระหม่อม ท่านทรงกลัวความสูงออกอย่างนั้น วังตากอากาศทางเหนือที่ปลูกไว้บนเขา เสด็จปู่ทรงประทานให้ตั้งนมนานกาเล ท่านก็ทรงปล่อยเช่าเฉยๆ รับสั่งแต่ว่าเสียวไส้ ไม่เคยเสด็จไปเลยสักครั้ง”


คุณชายอังควรามีสุ้มเสียงนุ่มลึก ในยามที่กำลังพูดจากับผู้หลักผู้ใหญ่ก็ดูพินอบพิเทาชวนให้น่าสดับรับฟังไปหมด เขาหวนคิดไปถึงพระบิดากับหม่อมแม่ที่ตอนนี้ได้ลาจากกันไปนานแสนนาน หากทว่าก็ไม่ได้คิดอาลัยอาวรณ์หรือเศร้าหมองเท่าอย่างแต่ก่อน


ท่านลุงของคุณชายนิ่งอั้นชั่วอึดใจคล้ายกับกำลังทรงนึก ก่อนจะลงหัตถ์ตบพระชานุฉาดใหญ่ แล้วอุทานว่า


“เออหนอ! จริงอย่างชายอังว่า ฉันเกือบลืมแล้วทีเดียวว่าน้องชายของฉันชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ที่พอจะจำได้อยู่บ้างก็มีแต่เด็กชายโยเยติดหม่อมแม่แจเท่านั้น”


คุณชายอังควราก้มหน้ารับฟังอย่างเงียบๆ ริมฝีปากบางสวยระบายรอยยิ้มสุดแสนละไมด้วยความปีติยินดีเมื่อได้ยินเรื่องราวในวัยเยาว์ของหม่อมเจ้าชายผู้เป็นท่านพ่อ


“เฮ้อ...ช่างมันๆ เลิกพูดถึงคนตายไปแล้วกันเถอะ มาพูดถึงคนเป็นหน่อยปะไร ชายอัง แล้วเรื่องมหาวิทยาลัยของชายจันทน์ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง คิดออกหรือยังว่าจะส่งมันไปเรียนที่ไหน ลอนดอน เคมบริดจ์ หรือว่ายอร์ค”


อังควราวางเฉยอยู่ขณะหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อย ทูลตอบน้ำเสียงเรียบเรื่อย


“ยังไม่ได้ตัดสินใจกระหม่อม อันที่จริงกระหม่อมยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับน้องเลย แต่ก็แล้วแต่ใจน้องนั่นแหละ น้องอยากจะเรียนที่ไหนก็ค่อยส่งไปที่นั่น”


แต่ดูเหมือนว่าคำตอบที่ทรงได้รับจะไม่เป็นที่ประทับพระทัยของหม่อมเจ้าชายผู้เป็นลุงสักเท่าใด พระพักตร์ของท่านลุงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พระขนงที่เริ่มมีหงอกแซมๆ อยู่บ้างตามพระชันษาก็ขมวดมุ่นเข้าหากันเป็นปม สุรเสียงของท่านต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด


“อุบ๊ะ! แล้วแกจะต้องไปถามไถ่เอาความอะไรจากมันอีกเล่า คิดว่าเด็กเพิ่งอายุได้เพียงเท่านั้นจะตัดสินใจอะไรเองได้อย่างนั้นรึ ยิ่งคนอย่างอ้ายเจ้าจันทน์ด้วยแล้ว กระโดกกระเดกซุกซนราวกับม้ามโนมัยก็เรื่องหนึ่ง ยังจะชอบทำตัวไม่รู้จักโต คนอย่างนั้นวันๆ ก็คงไม่คิดเรื่องอะไรมากไปกว่าจะเล่นสนุกไปวันๆ เท่านั้นละมัง นี่แน่ะชายอัง แกเป็นผู้ใหญ่มากกว่ามันอยู่หลายปีดีดัก ทั้งยังเป็นพี่ชายอีกด้วย อีกทั้งตอนนี้ก็ยังเป็นคนคอยส่งเสียให้มันได้เล่าได้เรียน ก็ต้องมีหน้าที่ชี้นำมันให้ไปในทางที่ถูกที่ควรด้วยซี ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องคู่ก็ดี อย่าได้ทำให้ฉันต้องขายหน้าวันละห้าเบี้ย พระญาติพระวงศ์จะประนามหยามเหยียดกันไปหมด แค่ที่มันชอบไปทำตัววางท่าอย่างกับเป็นพวกจิ๊กโกโร่อยู่แถววังบูรพาก็ทำฉันปวดหัวมากพอแล้ว น้องชายแค่คนเดียว หากจัดการให้ดีไม่ได้ก็ส่งมาทางนี้ ฉันจะขนาบมันเสียเอง”


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอังควราก็เป็นคนนอบน้อม เรียบร้อย และใจอ่อนอย่างถึงที่สุด เขาไม่เคยสักครั้งที่จะสร้างปัญหาให้ใครต้องคอยมาตามล้างตามเช็ดให้ตนเอง ไม่เคยคิดทำตัวมีปัญหาเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งกับคนที่มีพระคุณอย่างคนตรงหน้า สิ่งใดที่พอจะทำให้พึงพระทัยได้บ้างเขาก็ไม่เคยเกี่ยงงอนเลยสักที ดังนั้นพอได้ฟังรับสั่งบ่นเสียยืดยาวจากท่านลุง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงยิ้มรับด้วยความสุภาพชน ทดสิ่งที่อยากเอ่ยจริงๆ ไว้อยู่ในใจ และทูลตอบกลับไปเพียงสั้นๆ อย่างต้องการตัดบท


“กระหม่อม”


แต่ถึงยังงั้น หากจะให้พูดกันตรงๆ มันก็ค่อนข้างบอกยากอยู่เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วหม่อมราชวงศ์อังควราผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่


เขาเหมือนกับคนที่ไม่มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ไม่ว่าผู้ใหญ่จะว่าอย่างไรก็มักจะเออออห่อหมกตามหมดทุกสิ่งอย่าง ทว่ามันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว เพราะอังควราไม่เพียงแค่มีความคิดเท่านั้น แต่ยังเป็นคนฉลาดเฉลียวมากคนหนึ่งทีเดียว แต่ในขณะเดียวเขาก็รู้ธรรมเนียมมากพอจะไม่ไปขัดพระวาจา ด้วยมารยาทที่ถูกสั่งสอนมาจากในรั้วในวัง และนึกโล่งใจในคราวเดียวกันที่การสนทนาจบลงเสียได้เมื่อแหม่มพนักงานต้อนรับหน้าตาสะสวยบนเครื่องบินเดินเข้ามาย้ำว่าอีกเดี๋ยวจะนำเครื่องขึ้นแล้ว ให้รัดเข็มขัดนิรภัยให้แน่นหนาเสีย


คุณชายอังจัดการกับตัวเขาเองเสร็จสรรพก็หันไปสำรวจว่าท่านลุงรัดเข็มขัดเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นหลับตาลงเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดคุยกับอีกฝ่ายอีก


จริงๆ แล้วท่านลุงของคุณชายอังควราหรือหม่อมเจ้าสถิตคุณนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ทรงพระทัยร้ายอะไรหนักหนา ทว่าก็ใช่ว่าจะพระทัยดีดุจดั่งเทวดามาโปรด คุณชายไม่เคยปักใจได้เลยว่าท่านลุงทรงรักและเอ็นดูเขากับพี่น้องของเขาจริงหรือไม่ อาจเป็นเพราะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากนักละมัง หรืออาจเรียกได้ว่าลุงหลานคู่นี้ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรให้ผูกพันกันมากมายเพราะนับตั้งแต่ท่านพ่อและหม่อมแม่ของคุณชายสิ้นชีพิตักษัยไปด้วยเหตุฆาตกรรมจากการปล้นชิงทรัพย์ตอนที่พวกท่านเสด็จไปประทับที่วังตากอากาศในจังหวัดประจวบฯ ราวๆ เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ท่านชายสถิตคุณที่เป็นเชษฐาร่วมหม่อมมารดาคนเดียวกันก็จำต้องรับอุปการะนัดดาทั้งสามอย่างทรงเสียมิได้ ถึงจะไม่ได้ทรงเลี้ยงดูเห่กล่อมด้วยองค์เองก็ตาม


คุณชายอังยังคงจำได้แม่นว่าเมื่อนานมาแล้วหลังจากการสูญเสียท่านพ่อกับหม่อมแม่ไปไม่กี่วัน ท่านลุงก็ทรงเรียกเขากับพี่และน้องของเขาให้ไปเข้าเฝ้า และทรงรับสั่งกับพวกเขาอย่างปลอบโยนว่า “ในเมื่อฉันรับอุปการะพวกแกเอาไว้แล้ว ฉันก็จะเลี้ยงดูปูเสื่อพวกแกอย่างดีให้เหมือนกับเป็นลูกในไส้ของฉันเอง” หากทว่าในความเป็นจริงแล้วท่านลุงก็มิได้มีเวลามาใส่พระทัยมากมายเพราะต้องทรงงานหนัก ด้วยทรงเป็นถึงอธิบดีประจำกระทรวงมหาดไทย ทำให้นัดดาทั้งสามต้องตกไปอยู่ในความดูแลของ หม่อมพเยาว์ หม่อมคนสุดท้ายของท่านลุงที่ไม่ได้มีโอรสหรือธิดาร่วมกัน เพราะหม่อมพเยาว์นั้นวาสนาน้อย ไม่ว่าจะตั้งครรภ์สักกี่ครั้งกี่หนก็มีเหตุทำให้ต้องแท้งทุกครั้งไป หากทว่าท้ายที่สุดที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำพวกเขาจริงๆ ก็ยังมิใช่หม่อมพเยาว์อยู่ดี แต่กลับกลายเป็น นมแจ่ม พระพี่เลี้ยงของท่านลุงกับท่านพ่อของพวกเขาเมื่อครั้งที่ยังทรงเยาว์ ก่อนที่จะกลายมาเป็นแม่นมให้แก่หม่อมราชวงศ์ผู้อาภัพทั้งสาม


แต่ถ้าหากจะกล่าวหาว่าท่านไม่ทรงใส่พระทัยหลานๆ แม้สักเสี้ยวก็ดูจะไม่ยุติธรรมมากเกินไปหน่อย เพราะอย่างน้อยๆ ในคราวนี้ท่านลุงก็ทรงรับสั่งแกมบังคับกลายๆ ให้คุนชายอังตามเสด็จมาด้วยกันถึงประเทศอังกฤษเพื่อเมียงมองหามหาวิทยาลัยดีๆ สักที่ไว้ให้กับนัดดาคนสุดท้องที่กำลังจะจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า


ถึงคุณชายอังควราจะไม่ได้มั่นใจนักว่าท่านลุงทรงเป็นห่วงเป็นใยพวกเขาด้วยพระทัยจริงๆ สักกี่มากน้อยกันแน่ และอดครุ่นคิดไม่ได้เลยว่าที่ทรงมาทำองค์เจ้ากี้เจ้าการกันยังงี้ก็คงเพราะทรงเกรงว่าน้องชายตัวดีของเขาจะทำให้ขายพระพักตร์ ด้วยเจ้าเด็กนั่นในตอนนี้กับวัยที่กำลังเริ่มเป็นหนุ่มเต็มตัวมากขึ้นทุกวัน จึงได้รับความสนใจจากพวกญาติวงศ์มากเป็นพิเศษ ยิ่งมีเพศรองเป็นถึงอัลฟ่าด้วยแล้ว ซ้ำยังมีใบหน้าที่เหมือนกับท่านพ่อฉันทิตราวกับโขลกพิมพ์กันออกมา ก็ถึงกับมีญาติบางคนเอาไปพูดปากต่อปากว่าพระวิญญาณของท่านชายฉันทิตทรงสถิตอยู่ในร่างของโอรสคนสุดท้องเลยทีเดียว ดังนั้นน้องชายของคุณชายก็เสมือนกับเป็นตัวแทนท่านพ่อกลายๆ และด้วยอุปนิสัยช่างฉอเลาะที่แสนจะน่าเอ็นดูนักหนา ใครๆ ต่างก็พากันรักใคร่เมตตา...อ้อ! จะเว้นก็แต่กับหม่อมป้าพเยาว์กับท่านลุงสถิตคุณที่ทรงบ่นด่าทั้งเช้าและเย็นไม่เว้นวันเรื่องความซุกซน ช่างเถียง ช่างขวางโลก ไม่รู้จักกาลเทศะ ซ้ำยังไม่รู้จักโตนั่นแหละ


อังควราและเหล่าพี่น้องเป็นโอรสธิดาที่เกิดจากหม่อมชายาเอกของท่านพ่อ ทว่าหลังจากสิ้นท่านพ่อกับหม่อมแม่ไปแล้วนั้น สภาพความเป็นอยู่ของบรรดาคุณหญิงและคุณชายทั้งสามก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพวกลูกเมียน้อยในวังอื่นๆ เลยสักนิด แต่คุณชายก็ไม่เคยกล่าวโทษท่านลุงอย่างใด เพราะอันที่จริงแล้วประมุขแห่งวังเทวพงษ์พิศาลผู้นี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินทองร่ำรวยมหาศาลเสียเมื่อไหร่ โชคยังดีแค่ไหนที่ท่านพ่อของคุณชายทรงมีหม่อมแม่แค่เพียงคนเดียว ไม่ได้มีหม่อมเยอะแยะเหมือนอย่างเช่นเจ้านายวังอื่นๆ มิเช่นนั้นป่านนี้คุณชายและพี่น้องจะต้องระเห็จไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้


จริงๆ หากย้อนกลับขึ้นไปจนถึงยุคเสด็จปู่ของคุณชายอังควราก็ต้องเรียกได้ว่าดีถมเถไปแล้วที่ตอนนี้ยังมีวังให้พวกเขาได้พำนักอาศัย เพราะทั้งท่านลุงและท่านพ่อของคุณชายต่างก็มิได้ประสูติมาจากชายาเอกกันทั้งคู่ หากแต่เป็นเพียงโอรสที่มาจากหม่อมเล็กๆ ของเสด็จในกรมฯ พระองค์หนึ่งเท่านั้น


ดีหน่อยตรงที่หม่อมเจ้าชายฉันทิตทรงรักใคร่กลมเกลียวกันดีกับโอรสในชายาเอกของเสด็จปู่ เพราะหลังจากที่สิ้นเสด็จปู่ไป ท่านก็ทรงได้รับทรัพย์สมบัติไปมากที่สุดในฐานะที่เป็นโอรสองค์โต และทรงเกรงว่าท่านพ่อของคุณชายอังผู้เป็นอนุชาองค์โปรดที่ไม่ได้ส่วนแบ่งจากมรดกพกสถลมากนักเพราะเป็นลูกเมียน้อยจะต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ จึงโปรดประทานวังเล็กๆ แห่งนี้ไว้ให้ได้ประทับกันทั้งครอบครัว



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 18:00:50 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
คุณชายอังเข้าใจในส่วนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเพียงแค่ท่านลุงทรงมีพระกรุณาส่งเสียให้เขาและพี่สาวได้เรียนจบจนถึงระดับปริญญาตรี เขาก็ถือเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว


และด้วยเหตุนั้นเอง กับเรื่องน้องชายคนสุดท้องที่อายุห่างกันหลายปี หม่อมราชวงศ์อังควราก็ไม่ได้คิดที่จะเบียดเบียนเอาทรัพย์สินส่วนพระองค์ของท่านลุงมาอีกเลย ถึงแม้ลำพังเงินเดือนของตำรวจยศร้อยเอกอย่างเขาจะไม่ได้มากมายก่ายกองนักก็ตาม


หมดเวลาไปกว่าสิบหกชั่วโมงกับการเดินทางตั้งแต่กรุงลอนดอนมาจนถึงเมืองเกาลูน ก่อนที่จะต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพฯ และด้วยเมืองทั้งสามที่อยู่กันคนละช่วงเวลาก็ทำให้แสงแดดจากท้องฟ้าในพระนครยังคงสว่างเจิดจ้าอยู่ราวกับว่ากำลังกล่าวต้อนรับเขากลับสู่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอน


คุณชายอังอาสาเข็นรถขนกระเป๋าเดินทางทั้งของตนและของท่านชายสถิตคุณ เมื่อก้าวขาออกมาจากท่าอากาศยาน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาก็ลอยมากระทบกับโสตประสาทของเขาอีกครั้ง ชะรอยว่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ได้เจอบนเครื่องบินเที่ยวลอนดอน-ไขตั๊กเป็นแน่ คุณชายจึงหันรีหันขวางมองหา แลเห็นแผ่นหลังกว้างขวางของอัลฟ่าเจ้าของกลิ่นกำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลเข้มใบใหญ่ไปอีกด้านหนึ่ง ตรงบริเวณที่มีรถแท็กซี่หลายคันจอดรอรับผู้โดยสาร จนกระทั่งความสนใจถูกดึงกลับมาเมื่อท่านชายสถิตคุณทรงเรียกให้รีบขึ้นรถเสีย


คุณชายทำตามพระประสงค์ของท่านลุงอย่างไม่ขัดข้อง หากทว่าจิตใจก็ยังคงล่องลอยไปไกลเพราะหวนคิดถึงใครอีกคนขึ้นมา ก่อนจะรีบสลัดเอาภาพความทรงจำในวัยเด็กออกจากหัวไปทันที


นายสมาน คนขับรถเก่าแก่ประจำวังเร่งติดเครื่องยนต์ หลังขนสัมภาระส่วนพระองค์ของหม่อมเจ้าและหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นนายใส่ไว้หลังรถ จากนั้นก็บ่ายหน้าพาตัวรถออกจากสนามบิน ขับท่องไปตามแนวยาวของถนนวิภาวดี ผ่านหน้าวัดแครายที่ผู้คนครึกครื้น ตรงเรื่อยๆ มาจนถึงพญาไท และมุ่งหน้าต่อไปจนเข้าเขตสาทรอันเป็นที่ตั้งของวังเทวพงษ์พิศาล


หม่อมเจ้าสถิตคุณก้าวบาทลงจากเบาะประทับเมื่อนายสมานค่อยๆ ชะลอจอดรถยนต์ลงที่หน้าตำหนักใหญ่สุดของตัววังซึ่งเป็นอาคารสองชั้นทรงโรมันเนสก์ผสมกับทรงกอธิค ก่ออิฐถือปูน ทาสีเหลืองอ่อนทับทั้งองค์พระตำหนักดูแล้วเย็นตา มีหน้าต่างไม้สักบานเกล็ดหลายบานเพื่อให้เข้ากันกับอากาศร้อนอบอ้าวของเมืองไทย ที่นี่เป็นที่ทรงพำนักของท่านลุงสถิตคุณ หม่อมชายาเอกของท่าน รวมไปถึงโอรสและธิดาอีกหลายคนที่เกิดจากหม่อมเอก


คุณชายอังค้อมศีรษะคำนับท่านลุงเล็กน้อยเพื่อทูลลา มิได้มีความคิดที่จะเข้าไปกล่าวทักทายใครก็ตามที่อาศัยอยู่บนตำหนักนั่น ถึงคนเหล่านั้นจะไม่ได้ติดใจมากมายที่ท่านลุงทรง ‘เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม’ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบใจนักหนา ทำให้เป็นที่รู้กันดีในหมู่สามพี่น้องกาฝากว่าอย่าเข้าไปใกล้ตำหนักใหญ่จะเป็นการดีกับตัวมากที่สุด


ครั้งหนึ่งน้องชายของคุณชายเคยเผลอเข้าไปเล่นซนก็ถูกพวกคุณหญิงคุณชายเจ้าของตำหนักหาความเอาเรื่อง ทูลฟ้องว่าโอรสคนสุดท้องของหม่อมเจ้าฉันทิตจะเข้าไปขโมยของ กว่าจะไกล่เกลี่ยยอมความกันได้ก็ตั้งนานสองนาน


คล้อยพระขนองของท่านลุงไป นายสมานก็ติดเครื่องยนต์อีกครั้ง บ่ายหน้าขับต่อไปยังเรือนริมสระน้ำ...ที่ต้องเรียกว่าเรือน เพราะถึงที่นี่จะไม่ได้เล็กนัก ด้วยมีคนอาศัยอยู่กันเกือบสิบ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะเรียกว่าตำหนัก


เรือนริมสระน้ำของหม่อมป้าพเยาว์ถูกปลูกห่างจากพระตำหนักใหญ่ไปจนสุดพื้นที่วังราวกับว่าจงใจกันให้ออกไปอยู่นอกอาณาบริเวณ คุณชายเคยได้ยินหม่อมป้าบ่นคล้ายกับน้อยเนื้อต่ำใจว่า


“แกว่าน่าสังเวชไหมล่ะชายอัง ฉันเองก็เป็นหม่อมคนหนึ่งของท่านสถิตคุณเหมือนกัน แต่กลับถูกกีดกันออกมาจากพระตำหนักใหญ่ ท่านชายเองรึก็ทรงเกรงใจหม่อมใหญ่อย่างเหลือคณา ไม่ว่าหม่อมท่านจะว่าอย่างไรก็ทรงว่าตามกัน นี่ยังดีหรอกนา ที่ท่านยังทรงขอเอาไว้ให้ว่าอย่าก่ออิฐก่อปูนกั้นอาณาเขตกันเลยเพราะยังไงก็อยู่ในรั้ววังเดียวกัน มิเช่นนั้นแม้แต่หลังคาพระตำหนักฉันก็คงไม่มีวันได้เห็น”


จริงๆ หม่อมป้าพเยาว์ท่านก็ไม่ได้อยากจะเหยียบเยื้องย่างกรายเข้าไปใกล้พระตำหนักใหญ่สักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ค่อยถูกโรคกันกับพวกคุณหญิงคุณชายและหม่อมใหญ่ของตำหนักนั้น แต่ด้วยความเป็นสตรีเพศ บางครั้งก็เลยมีอาการขัดเคืองสามีที่ไม่เอาใจมาใส่หล่อนมากเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ว่าแปลกกระไรเพราะหม่อมป้าของคุณชายมิได้เป็นหม่อมที่มาจากการถูกพระเนตรต้องพระทัยท่านลุงตั้งแต่แรก


คุณชายอังเคยได้ยินพวกข้าเก่าเต่าเลี้ยงพูดกันว่าที่หม่อมพเยาว์เข้ามาเป็นหม่อมได้ก็มาจากการทูลถวายของบิดาของหล่อนที่รับราชการเป็นมหาดเล็กในกระทรวงมหาดไทยอยู่ในสมัยนั้น และยังเป็นพระสหายคนสนิทของท่านลุงอีกด้วย ที่ทรงรับไว้ก็คงเห็นว่าเปล่งปลั่ง สะสวยดี และเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันมายาวนานด้วยนั่นแหละ


เรือนหลังนี้เป็นอาคารใต้ถุนสูง เนื้อที่กว้างขวาง ถูกสร้างจากไม้สักอย่างดี และถูกทาทับไว้ด้วยสีฟ้าอ่อนชวนให้มองดูสบายตา และไม่อมความร้อน มีหน้าต่างบานเกล็ดสีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่รอบตัวบ้าน ส่วนมากก็จะเปิดโปร่งไว้ให้ลมจากริมสระน้ำโกรกพัดเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันก็มีนอกชานโล่งๆ พื้นกระดานไม้สักขัดจนมันวาวให้ออกมายืนรับลมอีกเช่นกัน ถัดจากนอกชานไปเล็กน้อยก็จะเจอกับหอนั่งกว้างๆ อันเป็นที่ประจำของสมาชิกภายในเรือนที่มักจะมานั่งๆ นอนๆ เล่นดนตรีบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ทำงานครัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ต้องก่อฟืนไฟบ้าง


คนที่มาประจำอยู่ตรงนี้ก็มักจะเป็นคุณชายอังที่ชอบทำขนมกับทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ และน้องชายของคุณชายที่ชอบกระจับปี่สีซอก็จะยกเครื่องดนตรีไทยฝรั่งมานั่งเปิดมหรสพให้ได้รับฟังกันอยู่เสมอๆ ส่วนบริเวณใต้ถุนบ้านก็มีทั้งครัวนอก และครัวในที่สร้างจากปูน ผนังเรียบถูกทาทับเอาไว้ด้วยสีขาวล้วนดูสะอาดตา และหลังคาถูกมุงไว้ด้วยกระเบื้องดินเผาทาสีน้ำตาลแดงออกหม่นๆ เป็นทรงปั้นหยา อาจดูโบราณไปสักหน่อยสำหรับสมัยนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับเก่าแก่ผุพังจนทนอยู่ไม่ได้เพราะได้มีการบูรณะมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหนด้วยกัน


เมื่อมองห่างจากตัวเรือนออกมาเพียงไม่กี่เมตรจะเจอได้กับซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้ง ตกแต่งสวยงาม ตามขอบมุมสลักเป็นลวดลายไทยที่สร้างจากไม้สักอีกเช่นกัน และทาไว้ด้วยสีฟ้าขาวเข้ากันกับตัวเรือนและตัดกันกับผืนไม้ใบหญ้าสีเขียวขจี ถูกสร้างขึ้นตอนที่หม่อมเจ้าสถิตคุณทรงตัดสินพระทัยรับอุปการะนัดดาทั้งสามเอาไว้...ก็ราวๆ สิบเจ็ดปีก่อนนั่นแหละ ตอนนั้นท่านทรงมีรับสั่งว่าที่ประทานสร้างให้ก็เพื่อเป็นของกำนัลแด่หม่อมพเยาว์ในฐานะที่หล่อนอาสาจะรับเลี้ยงหลานๆ ให้ท่าน แม้จริงๆ แล้วหม่อมป้าของเขาจะรับไว้อย่างเสียมิได้เพราะถูกสามีขอร้องแกมบังคับหน่อยๆ ก็ตาม แต่เท่าที่คุณชายอังลอบสังเกตมานานหลายปี หม่อมป้าก็ไม่ได้โปรดปรานซุ้มนั่งเล่นนี่สักเท่าไหร่นัก มักจะบ่นร้อนบ่นหนาวเสมอเวลาชวนให้ออกมานั่งเล่นรับลมชมวิวด้วยกัน หล่อนเลยเอาแต่อุดอู้อยู่ในตัวเรือน เรียกรวมไพล่พลคุณหญิงคุณนายทั้งหลายเพื่อตั้งวงไพ่เล่นกันทุกเมื่อเชื่อวัน เช้าจรดค่ำก็ยังไม่ยักมีทีท่าว่าจะลากลับง่ายๆ


คุณชายอังควรายังจำได้แม่นทีเดียว ในวันหนึ่งที่หม่อมป้าเรียกรวมไพล่พลเหมือนเช่นทุกๆ วัน หากแต่วันนี้น้องชายของคุณชายไม่อาจอดรนทนฟังเสียงพวกผีพนันได้อีกต่อไป เนื่องจากว่าต้องอ่านหนังสือเตรียมการสอบ จึงต่อสายโทรศัพท์ไปแจ้งความเรียกตำรวจมาจับป้าตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เจ้าเด็กนั่นคงจะลืมไปละมังว่าพี่ชายตัวเองก็เป็นตำรวจเหมือนกัน ผู้กองหม่อมราชวงศ์อังควราที่อยู่เวรในวันนั้นพอดีก็นำทีมพาลูกน้องมาตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง แลเห็นป้าตัวเองกระโดดหลบลงโอ่งดินเผาลวดลายมังกรก็เกิดน้ำท่วมปากขึ้นมา เลยหันไปบอกกับจ่าคนสนิทว่า “ตรงนี้ไม่มีคนอยู่แล้วจ่า ไปดูแถวเรือนหม่อมชบาฟากขะโน้นกันเถอะ หนีไปหลบอยู่ตรงนั้นกันหมดแล้วละมัง” หม่อมป้าจึงรอดไปได้หวุดหวิด เรื่องนี้ทำให้หม่อมพเยาว์ก่นด่าหลานชายคนเล็กว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก จนลามมาด่ายันคุณชายอังที่อุตส่าห์ช่วยให้ตนรอดคุกว่าเลี้ยงน้องมันยังไงให้ออกมาเป็นลิงเป็นค่างยังงี้อยู่เป็นแรมเดือนทีเดียว


คุณชายอังก้าวขาเรียวลงมาจากรถ แต่มิได้ตรงเข้าเรือนในทันที ปล่อยให้เหล่าข้าหลวงเบต้าสาวๆ ยกสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ให้ ส่วนตนก็ไปแวะพักผ่อนอยู่ตรงซุ้มกลางแจ้งที่มีทั้ง หม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินี ศิวกร หรือ คุณหญิงเพ็ญ พี่สาวแท้ๆ กับสามีของเจ้าหล่อน หม่อมราชวงศ์เหมทัต ศิวกร หรือ คุณชายเหม นั่งเล่นรออยู่ก่อนนานแล้ว โดยใกล้ๆ กันนั้น นางข้าหลวงอีกสองคนที่นั่งต่ำลงไปหนึ่งระดับกำลังขมีขมันกับการช่วยกันฝานมะม่วงดิบใส่จานกระเบื้องขอบเงินลายดอกไม้ซึ่งเป็นของดีจากฝรั่งเศสอันเป็นของประทานจากท่านลุงสถิตคุณ และข้างๆ กันก็มีถ้วยกระเบื้องลายวิจิตรของไทยใส่น้ำปลาหวานวางเคียงไว้พร้อมสรรพ


เห็นดังนั้น ก็ถามสั้นๆ ว่า


“รับมะม่วงเปรี้ยวกับน้ำปลาหวานเป็นของว่างอีกแล้วหรือครับพี่หญิงเพ็ญ ยังแพ้ท้องอยู่อีกรึ”


คนถูกถามที่กำลังง่วนอยู่กับการพับดอกบัวตูมเพื่อนำไปถวายพระอมยิ้มให้น้องชายจางๆ


“ถ้าหายได้ง่ายๆ ก็ดีน่ะซี บางคนเขาแพ้ยาวไปจนเกือบคลอดนู่นแน่ะ พี่เพิ่งจะท้องได้แค่สามเดือนเท่านั้นเองนา ยังต้องแพ้กันอีกนานแหละ เราเถอะชายอัง เพิ่งจะกลับมาถึงเหนื่อยๆ พักดื่มน้ำเสียหน่อยปะไร...แหวว ช่วยไปเอาน้ำเอาท่ามาให้คุณชายทีซิ...แม่แหวว ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือ?”


‘ก็คงจะไม่ได้ยินจริงอย่างที่พี่หญิงเพ็ญว่านั่นแหละนะ’


อังควราได้แต่ขบคิดคนเดียว ขณะเหลือบมองอีกคนนิ่งๆ โดยไม่แสดงท่าทีประดักประเดิด


เขาลอบสังเกตอย่างแนบเนียนมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้เป็นภรรยาเผลอไผลเข้าหน่อย หม่อมราชวงศ์เหมทัตก็จะสบโอกาสส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นางข้าหลวงเบต้าที่ชื่อว่าแหววคนนั้นทันที แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกกระไรละมัง เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้ประทับใจพี่เขยคนนี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่ารังเกียจกันหรอก


จริงๆ แล้ว นอกจากนิสัยเจ้าชู้ไก่แจ้นั่น หม่อมราชวงศ์เหมทัตก็ไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไรขนาดนั้น ออกจะอาบเหงื่อต่างน้ำ ขยันขันแข็ง ตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขมากเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าทั้งสองไม่ใช่คู่แต่งงานที่มาจากความสมัครใจ คุณหญิงเพ็ญเพิ่งพบหน้าฝ่ายสามีได้เพียงครั้งคราวเท่านั้นก็ถูกท่านลุงสถิตคุณจับใส่พานส่งตัวเข้าหอเสียแล้ว แต่ด้วยเพราะพี่สาวของคุณชายเองก็ดูมีใจให้อีกฝ่ายอยู่บ้าง เขาเลยพยายามไม่ไปข้องเกี่ยว และไม่ขอออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะรู้สึกว่าชายคนนี้น่าหลงใหลก็เพียงแค่รูปโฉมภายนอกก็ตาม ขนาดแต่งงานกันไปแล้วปีเศษๆ ก็ยังต้องแต่งเข้าบ้านภรรยาเพราะวังศิวกรของคุณชายเหมถูกธนาคารยึดไปด้วยหนี้สินพะรุงพะรัง ส่วนหม่อมเจ้าชายผู้เป็นประมุขของวังและเป็นท่านพ่อของคุณชายเหมก็ปลิดชีพองค์เอง ลอยแพโอรสธิดาทุกคนให้ไปตายเอาดาบหน้า สิ้นชีพิตักษัยมาได้ร่วมสามปีแล้ว


แต่ในขณะเดียวกัน คุณชายอังควราก็คิดอีกนั่นแหละว่าอุปนิสัยกะลิ้มกะเหลี่ยพิกลๆ ของพี่เขยของเขาที่มีต่อบรรดานางข้าหลวงเบต้าสาวๆ ภายในเรือน ถ้าหากมันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเสียหน่อย สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็มีเพียงคอยห่วงอยู่ไกลๆ เท่านั้นเพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัวของพี่สาวของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย มันก็เป็นเพราะอัธยาศัยบางอย่างของอีกฝ่ายที่คุณชายรู้สึกว่าไม่มีวันไปด้วยกันได้


“ไม่เจอหน้าเสียนานเทียว เป็นยังไงมายังไงบ้างเล่าชายอัง นั่งเรือบินตามเสด็จท่านลุงสถิตคุณไปอังกฤษร่วมสัปดาห์เศษ ทั้งยังไปช่วงฤดูหลั่งอย่างนี้อีก ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้างเลยหรือ...อย่างเช่น เมียโอเมก้าฝรั่งสักคนสองคน จะชายหรือหญิงพี่ก็ไม่เกี่ยงหรอกนา ขอแค่งามก็พอ”


อังควราระบายยิ้มตอบกลับอย่างเสียมิได้ แม้ว่าภายในใจจะเริ่มกรุ่นๆ ไปตามแรงอารมณ์ ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเพื่อกระเซ้าเล่นไปยังงั้น แต่เขากับคนตรงหน้าไม่ได้คุ้นเคยกันมากมายถึงเพียงนั้นเสียหน่อย คุณชายแบ่งเส้นความสนิทสนมกับพี่เขยคนนี้ไว้ในใจอย่างชัดเจนทีเดียว แต่ที่ไม่ตอบโต้กลับก็ด้วยไม่อยากมีปัญหาเพราะเกรงว่าพี่สาวที่เป็นคนกลางจะไม่สบายใจเอา


จริงๆ ก็ใช่ว่าคุณหญิงเพ็ญจะไม่รับรู้เสียทีเดียวว่าน้องๆ ทั้งสองคนไม่เห็นด้วยกันการแต่งงานที่เกิดขึ้น เธอจึงหัวเราะร่วนกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างติดตลก


“โธ่! พี่ชายเหมคะ อย่าพูดล้อเล่นอย่างนั้นซี อย่างชายอังน่ะรึจะไปคว้าเอาโอเมก้าฝรั่งหัวทองแบบนั้นมาทำเมีย ขืนเป็นยังงั้นท่านลุงก็ได้กริ้วตายกันพอดี แล้วอีกอย่างนะคะ จะหลั่งหรือไม่หญิงก็ไม่เคยเห็นว่าชายอังจะสนใจไยดีโอเมก้าหรือเบต้าคนไหนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เด็กนี่สนใจก็แต่เรื่องงานเท่านั้นพี่ชายเหมก็ทราบนี่คะ” หล่อนยิ้มบางๆ พอสะสวย คุณชายเหมได้ฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะหัวร่อเบาๆ แต่น้ำเสียงฟังคล้ายกับกำลังเหยียดหยันอย่างไรบอกไม่ถูก คุณชายปลอบตัวเองว่าเขาคงอคติบังตาจนคิดมากไปเอง “จริงซีคะ พี่ชายเหมบอกหญิงว่ามีเรื่องอยากพูดกับชายอังไม่ใช่รึ หญิงจำได้”


อังควราเหล่ตามองอย่างฉงนสนเท่ห์ ร้อยวันพันปีพี่เขยคนนี้อยากคุยกับเขาเสียที่ไหนกัน หรือจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น


“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”


คุณชายเหมกดคิ้วต่ำลงนิดหน่อย


“เกิดบ้าเกิดบออะไรเล่าชายอัง ทำเหมือนที่พี่อยากพูดจาด้วยมันน่าพิศวงนักหนา ยังไงเสียเราก็คนครอบครัวเดียวกันไม่ใช่รึ”


คุณชายอังนิ่งอั้นครู่หนึ่ง คิดคำนวนว่าควรตอบกลับอย่างไรดีเพื่อที่บัวจะไม่ให้ช้ำ น้ำจะไม่ให้ขุ่น แต่ยังไม่ทันได้ขยับปากพูดจาเลยสักคำ คุณชายเหมทัตก็รีบเอ่ยเรื่องของตัวเองเสียก่อนราวกลับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูด


“พี่แค่อยากคุยเรื่องอ้ายเจ้าน้องชายเทวดานิมนต์มาเกิดของชาย...ก็ชายจันทน์นั่นแหละ”


พอได้ฟังจบก็ทำให้ร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์เพศอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาสงสัยหนักข้อมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะถ้าหากกับเขายังไม่มีอะไรที่จะต้องมาคอยเจรจาพาทีกันแล้ว กับ หม่อมราชวงศ์จันทน์ เทวพงษ์พิศาล หรือ คุณชายจันทน์ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...ดูท่าแล้ว วันนี้ฝนน่าจะตกลงมาห่าใหญ่เสียกระมัง



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 18:01:38 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“พี่ไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะชายอัง ถึงยังไงชายก็เพิ่งเดินทางกลับมาเหนื่อยๆ คงจะอยากพักผ่อนให้สบายอารมณ์มากกว่า”


ถึงคุณชายอังจะไม่ได้ใส่ใจคุณชายเหมทัตนัก แต่เขาใส่ใจพี่สาวคนสวยเป็นอย่างยิ่ง แม้จะอยากต่อปากต่อคำสักเพียงใด เขาก็จำต้องตอบกลับไปตามแบบแผนว่า


“ครับ”


“วันก่อนพี่ได้ไปสัมมนากับพวกที่กระทรวง พักอยู่ประจวบฯ ราวๆ สี่วัน ก็เลยมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณพระบำรุงวิชิตอยู่สองสามคำ ท่านมีลูกสาวอยู่สองคน แล้วก็มีลูกชายอยู่หนึ่ง ลูกสาวสองคนเป็นเบต้า แต่งงานแต่งการกันไปหมดแล้วล่ะ จะเหลือก็แต่ลูกชายคนสุดท้อง เป็นโอเมก้า กลิ่น...เอ่อ พี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ จำไม่ได้เหมือนกัน แต่อายุสิบหกย่างสิบเจ็ดเห็นจะได้ กำลังเป็นหนุ่มเทียวล่ะ เด็กกว่าชายจันทน์แค่เพียงขวบปี คุณพระบำรุงฯ ท่านก็เลยสนใจอยากจะทาบทามเจ้าน้องชายเทวดาของชายไว้ให้ลูกท่าน ชายจะว่ายังไง”


เป็นอีกครั้งที่หม่อมราชวงศ์อังควราเกือบพลั้งปากหลุดตอบรับว่า ‘ครับ’ สั้นๆ โดยไม่ทันได้คิดตรองเสียก่อนตามนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนไม่ชอบมีปัญหายุ่งยาก แต่กับเรื่องที่เพิ่งรับฟังไปหมาดๆ ทำให้เขาชะงักขาดทันควัน ก่อนจะถามกลับอย่างใคร่อยากรู้ว่า


“คุณพระบำรุงวิชิตคือใครยังงั้นหรือครับ ผมไม่ยักเคยได้ยิน”


“คุณพระท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่น่ะจะชาย ตอนนี้ดำรงตำแหน่งสูงอยู่ในกระทรวงสาธารณะสุข” คุณหญิงเพ็ญอธิบายเสียงใส จังหวะเดียวกันกับที่แม่แหววนางข้าหลวงรูปร่างหน้าตาเปล่งปลั่งยกแก้วน้ำดื่มมาบริการคุณชายอังพอดิบพอดี คุณชายจึงหันไปกล่าวขอบคุณช้าๆ เสียงกระซิบกระซาบด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างแสนดี ความหล่อเหลาราวเทพบุตรรวมเข้ากับรอยยิ้มแบบนั้นทำเอาเจ้าหล่อนรีบก้มหน้าหลบ พวงแก้มขาวใสแดงระเรื่อขึ้นทันควัน “พี่ชายเหมเล่าให้พี่ฟังว่าตอนนี้คุณพระบำรุงฯ ท่านกำลังเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากทีเดียว ส่วนฐานะทางบ้านท่านก็ไม่ได้ธรรมดา เรียกได้ว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐีเลยล่ะจ้ะ”


“อ้อ...อย่างนี้นี่เองนะครับ”


อังควราทอดถ้อยคำยานคาง น้ำเสียงติดจะเยาะเย้ยอยู่เล็กน้อยเพราะคิดว่าตนเริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ อดค่อนแคะพี่เขยคนดีขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า ‘แหม...บิดตะกูดโยกโย้อยู่เสียตั้งนาน ไม่บอกกันตั้งแต่แรกเล่าพ่อคุณว่าแค่หวังเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานทางลัด เลยจะขอยืมมือน้องชายฉันช่วยยังงี้’


“พี่ได้พูดกับหญิงเพ็ญไปแล้ว เธอก็เห็นว่าน่าสนใจ เหลือก็แต่ชายนั่นแหละ จะว่ายังไง ถ้าชายตกลงพี่จะไปเรียนให้คุณพระบำรุงฯ ท่านทราบ แล้วจะเป็นธุระจัดหาฤกษ์ยามให้ด้วย” คุณชายอังควราไม่แน่ใจว่าการยกพี่สาวของเขามาอ้างถึงอย่างนี้ เป็นการกดดันกันกลายๆ หรือเปล่า แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เขาเลยต้องตอบกลับไปตามที่ตัวเองคิด โดยพยายามหาคำที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง


“ชายจันทน์เพิ่งจะอายุได้แค่สิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง ไม่เด็กมากเกินไปหรือครับพี่ชายเหม แล้วฝ่ายนั้นเขาก็เพิ่งจะอายุแค่สิบหก ผมว่ายังไม่น่าจะเหมาะนะครับ”


“โธ่เอ๋ย...อย่างกับพี่จะเร่งรัดให้รีบแต่งกันเสียวันนี้พรุ่งนี้ปะไร ก็แค่ให้หมั้นหมายกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง แล้วหลังจากนี้อีกสักสี่ซ้าห้าปีก็ค่อยให้ตบแต่งกันก็ได้ สะใภ้เลือดผู้ดีที่สมกันทั้งเกียรติทั้งศักดิ์ยังงั้นจะไปควานหาจากที่ไหนได้อีกเล่าชายอัง ขืนปล่อยให้พ่อน้องชายเทวดาของเราเลือกคู่เอง มีหวังได้คว้าเอานางโคมเขียวโคมแดงสักนางมาเป็นเมียแน่...นั่น! พูดถึงก็เดินหน้าชื่นตาบานมาเทียว ตายยากเหลือเกินนะพ่อ”


เพราะได้กลิ่นฟีโรโมนเฉพาะกายลอยมาก่อนตัว คุณชายอังจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจสักเท่าใดนัก และหันไปตามสัมผัสที่คุ้นเคยมาตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มส่งกลิ่น...นับจากตอนนี้ไปก็น่าจะสักราวๆ สามสี่ปีก่อนหน้าละมัง


อัลฟ่าเด็กหนุ่มรูปร่างสูงร่วมร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร สวมใส่ชุดนักเรียนสีขาวกำลังเดินสืบเท้าเร็วๆ เข้ามายังซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้งด้วยใบหน้าปีติยินดีเพราะเห็นพี่ชายที่หายไปนอกนานร่วมสัปดาห์ คุณชายจันทน์เพิ่งจะลงมาจากรถยนต์ที่นายสมานขับไปรับกลับมาจากโรงเรียนไม่ใกล้ไม่ไกล เขายกมือประณตไหว้ทักทายพี่ๆ ทีละคน แม้ว่ากับคนที่เป็นพี่เขยจะดูเกร็งๆ ไปสักหน่อยก็ตาม


ก็อย่างที่รู้ๆ ว่าน้องๆ บ้านนี้ไม่ได้ให้การต้อนรับพี่เขยตัวดีมากเท่าที่ควร ทว่าการวางตัวของคุณชายอังก็ไม่ได้ทำให้คุณหญิงเพ็ญรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหมือนอย่างน้องชายคนสุดท้องที่พร้อมจะมีปัญหากับทุกคนที่ทำตัวขวางหูขวางตา หน้าตาว่าเหมือนท่านพ่อฉันทิตมากแล้ว ยังลอกเลียนเอานิสัยทุกอย่างมาราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน ว่าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ไม่เคยเกรงกลัวใครทั้งสิ้น จะคุณชายเหม จะท่านลุง จะหม่อมตำหนักใหญ่ หรือจะโอรสและธิดาในหม่อมตำหนักใหญ่ก็ดาหน้าเข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย เขาพร้อมจะปะฉะดะเสมอ


“ทำไมถึงมองหน้าชายกันยังงั้นล่ะครับ คุยอะไรกันอยู่หรือ”


เมื่อถูกถามตรงๆ อังควราก็เลยอาสาเป็นคนเล่าเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่ให้คนเป็นน้องฟังทันที หม่อมราชวงศ์จันทน์กอดอกฟังนิ่งราวกับขบคิด และพยักหน้าหงึกอย่างรับรู้


“ถ้าพี่ๆ อยากให้ชายได้รู้จักกับเขา ชายก็ไม่ติดใจอะไรนะครับ พาให้มาเจอมารู้จักทักทายจนสนิทสนมกันเสียก่อน ส่วนจะหมั้นหมายหรือไม่นั้น ค่อยมาพูดกันทีหลัง”


“เฮอะ! นั่นปะไร ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าน้องชายคนดีของเธอต้องตอบอย่างนี้” เมื่อไม่ได้คำตอบอันเป็นที่น่าพอใจ คุณชายเหมก็หันมาพาลพาโลเสียงขุ่นใส่ภรรยา น้องชายทั้งสองหันมองเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่ใคร่พอใจนัก ก็แน่ล่ะ...วาจาเสียดหูเสียขนาดนี้ “จะต้องให้มาทำความรู้จักมักจี่อะไรกันอีกเล่า โอ้เอ้วิหารรายไปได้ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราเขาเจอกันครั้งแรกวันเข้าหอเสียด้วยซ้ำ ที่คุณพระบำรุงฯ ท่านยอมยกลูกชายให้คุณชายกำพร้าอย่างแกก็เรียกได้ว่าดีถมถืดไปแล้ว จะรับไมตรีท่านหรือไม่รับก็ตอบมาคำเดียว แกจะให้ฉันไปเรียนท่านรึว่าขอคิดดูก่อน ได้เสียผู้หลักผู้ใหญ่กันก็คราวนี้”


“โอ๊ะ! แล้วมันไม่ควรทำยังงั้นหรือครับพี่ชายเหม ชายคิดว่าคุณพระบำรุงฯ ท่านน่าจะเข้าใจดีนา โลกมันเปลี่ยนไปไหนต่อไหนแล้ว จะตบจะแต่งกับใครก็ควรต้องศึกษาดูใจกันให้ถ้วนถี่เสียก่อน เจอกันแค่เพียงครั้งคราวจะไปรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีจริงไหม ยังไงชายก็เชื่อเสมอนะครับ ว่า…จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย


เมื่อได้ฟังจบ คุณชายอังก็ผินหน้าหลบไปอีกทางทันที


น้องใครกัน ปากเปราะเราะรายเสียจริง ทำมาเป็นเจ้าสำบัดเจ้าสำนวน แต่แท้จริงอยากพูดจากระทบกระเทียบพี่เขยตัวเอง พี่ดูออกหรอกนา อ้ายเจ้าน้องชายเทวดานิมนต์มาเกิด!


แอบนึกอยู่กับตัวเองอย่างขบขัน แต่ก็สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้สนิท หม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินีก็ได้แต่นั่งพับเพียบ สงบเงียบ หยิบดอกบัวตูมมาพับต่อเพราะไม่รู้ว่าควรต้องวางหน้าแบบใดดี เมื่อน้องชายแท้ๆ กับสามีกำลังตีฝีปากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และดวงหน้าหล่อเหลาคมคายของชายผู้เป็นสามีในตอนนี้ก็กำลังแดงเดือดได้ที่ทีเดียว


แต่สุดท้ายคนที่ยื่นมือเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าก็หาใช่ใครที่ไหน เป็นคุณชายอังควราที่พักรอให้สถานการณ์ตึงเครียดจนขีดสุดเสียก่อน เขาแอบสนุกอยู่หน่อยๆ ที่ได้เห็นคุณชายเหมทัตหัวเสียแบบนี้ แม้ในที่สุดแล้วจะเป็นเขาเองก็ตามที่พูดเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายได้เย็นลง


“พี่ชายเหมครับ จริงๆ แล้วชายจันทน์เคยบอกกับผมว่าถ้าจะแต่งเมียทั้งทีก็อยากได้งามๆ อย่างคุณอมรา อัศวนนท์ น้องมันคงจะกลัวน่ะครับว่าจะถูกจับให้เข้าหอไปกับนางกุลาเงาะป่ารูปชั่วตัวดำ ใช่ว่าคนที่ถูกจับคลุมถุงชนทุกคนจะโชคดีเหมือนอย่างพี่หญิงเพ็ญเสียเมื่อไหร่ ที่ได้สามีงามด้วยรูป งามด้วยนิสัย งามด้วยหน้าที่การงาน พี่ชายเหมว่าจริงไหมครับ” อังควราว่าไปพลาง หางตาปรายมองหม่อมราชวงศ์คนน้องไปพลาง ก็เห็นคุณชายจันทน์หัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน ผินหน้าหลบไปอีกทางหนึ่ง และบึนปากหน่อยๆ อย่างไม่เห็นด้วยสักนิด แต่ก็ไม่ได้วางตัวขวางต่อให้คนเป็นพี่เขยได้เคืองใจขึ้นมาอีก


ส่วนหม่อมราชวงศ์เหมทัตพอได้กินลูกยอเข้าไปคำใหญ่ ใบหน้าก็เริ่มกลับมาอิ่มเอม ยืดอกรับสิ่งที่คุณชายอังพูดอย่างเต็มภาคภูมิ


“ใช่ ถูกของชายอัง พี่น่ะเป็นคนตั้งอกตั้งใจ ขยันขันแข็ง ก็เพราะอยากให้ครอบครัวได้อยู่เย็นเป็นสุข…” คุณชายจันทน์แทบอดรนทนฟังไม่ไหว ใบหน้าเริ่มพะอืดพะอมขึ้นตามลำดับจนอังควราต้องแอบขึงตาใส่เล็กน้อยอย่างปรามๆ “...ท่านอธิบดีประจำกระทรวงก็มักจะเรียกพี่ไปชมอยู่บ่อยๆ บอกว่าพี่เป็นคนรอบคอบ ทำงานว่องไว แถมยังคล่องแคล่งดีมากอีกด้วย ไม่เหมือนอย่างคนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ มีแต่พวกเหลาะแหละ ไม่เป็นโล้เป็นพาย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หัวรั้นก็อย่าง ไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาอาบน้ำร้อนกันมาก่อน ก็คงจะถือตัวว่าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้วละมัง แต่จริงๆ ก็ยังเป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะหาเมียด้วยตัวเองงั้นเรอะ เฮอะ...พนันกันได้ ต่อไปหญิงเพ็ญคงได้นางชั่วแถวสำเพ็งสักนางมาเป็นน้องสะใภ้”


คุณชายจันทน์แสยะยิ้มเย็นยะเยือก กำลังจะอ้าปากพูดโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ แต่กลับถูกอังควรารั้งข้อมือไว้ให้หยุดเสียก่อน


แล้วก็หันไปพูดเสียงนิ่มๆ แทนน้องชายของตัวเองว่า


“ถ้าพี่ชายเหมจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ผมก็ยังยืนยันนะครับว่าอย่าเพิ่งให้ชายจันทน์หมั้นหมายอะไรนั่นเลยจะดีกว่า อนาคตยังไม่แน่ไม่นอนเสียหน่อย น้องยังเรียนไม่จบมัธยมเลยด้วยซ้ำ แล้วอีกหน่อยก็ต้องไปต่อปริญญาตรี อาจต้องไปอยู่เมืองนอกนานเป็นหลายปี อีกอย่างผมว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะให้น้องหมั้นหมายก่อนพี่อย่างนี้ ญาติวงศ์อาจจะครหาเอาได้ว่าชายจันทน์ชิงสุกก่อนห่าม ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ก็เลยต้องรีบตบแต่งไปก่อนพี่ ถ้าจะให้หมั้นจริงๆ ก็รอให้ผมได้ตบแต่งออกเรือนไปเสียก่อน อย่างนั้นน่าจะเหมาะกว่านะครับ”


อังควราเป็นคนปากปราศรัย ถึงเขาจะไม่ใช่คนชอบพูดจาเยอะแยะ แต่เมื่อได้พูดออกมาก็มักจะพูดแต่อะไรที่ทำให้เรื่องราวดีขึ้นได้เสมอ


ถ้าหากไม่มีเสียงของใครอีกคนที่เข้ามาร่วมวงพอดี ดังทะลุขึ้นมากลางปล้องเสียก่อน


“ไหน มีใครกำลังพูดเรื่องตบเรื่องแต่งอะไรกันอยู่งั้นเรอะ ช่างพอเหมาะพอเจาะจริงเทียว ฉันเพิ่งวางสายจากท่านสถิตคุณไปเมื่อครู่นี้ ทรงมีรับสั่งให้ชายอังรีบไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักใหญ่ เห็นว่าโปรดจะตรัสด้วยเรื่องงานแต่งงาน!”


หม่อมพเยาว์นั่นเองที่เดินกรุยกรายออกมาจากเรือนริมสระน้ำ


เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าแพรสีเลือดหมู ถักลายดอกไม้หลากสีสัน ถือพัดจีนสีแดงขาวไว้คลายร้อน เอ่ยเสียงแหลมดังแสบแก้วหูอย่างที่คุณชายจันทน์มักเก็บมาบ่นเสมอว่าขี้หูแทบจะออกมาเต้นระบำ ดวงหน้ารูปไข่แม้จะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นอยู่บ้างเพราะวัยที่ล่วงเลยช่วงกลางคนไปแล้วเล็กน้อย แต่ก็ยังเหลือร่องรอยความสะสวยที่เคยมีมาเมื่อครั้งยังสาว สายตาหยิ่งๆ คู่นั้นไม่ได้บอกว่ากำลังล้อเล่นอยู่เลยกับสิ่งที่พูดออกมา


“งานแต่งงานของใครกันครับหม่อม เอ… แต่ตอนที่ผมตามเสด็จท่านลุงกลับมาด้วยกันก่อนหน้านี้ ท่านก็ไม่ได้มีรับสั่งอะไรนะครับ”


คุณชายถาม ใจเต้นระทึก


“วุ้ย! จะงานของใคร้ ก็ของตัวนั่นแหละ แล้วจะมามัวสงสัยอะไรมากมายมิทราบยะพ่อศรีธนญชัย ฉันจะไปรู้กระไรได้ อยากรู้ก็ไปทูลถามท่านโน้น!”


หม่อมป้าพเยาว์กล่าวจบก็เดินกลับขึ้นเรือนปั้นหยาสีฟ้าไปตามประสา ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ด้านหลัง


“อุ้ย! สงสัยจะเจอดีเข้าให้แล้วแหละครับพี่ชายอัง” คุณชายจันทน์กล่าวกระซิบกระซาบข้างๆ หูให้พอได้ยินกันเพียงสองคน


อังควราเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น เพราะไม่แน่ใจเลยว่าจะได้เจอ ‘ดี’ จริงอย่างที่น้องชายว่า



(โปรดติดตามตอนต่อไป)


#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 18:02:00 โดย doubleM »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๑.๒
ยอยศพระลอ


รอบๆ พระวรกายของหม่อมเจ้าโชติภนในยามนี้ก็คือเมืองพระนครที่ไม่ได้เสด็จกลับมาเสียนาน


ท่านชายประทับนั่งอยู่บนรถเฟียตสีฟ้าอ่อนออกหม่นๆ ด้านบนหลังคามีป้ายไม่เล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็พอจะมองเห็นได้ในระยะใกล้ติดกำกับเอาไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘แท็กซี่’ ส่วนภายในตัวเครื่องนั้นเล็กกะทัดรัด หากรวมกับที่นั่งคนขับก็พอจะโดยสารได้แค่เพียงสี่ที่นั่งเท่านั้น และถ้าเกิดว่ามีพวกในรั้วในวังบังเอิญผ่านมาเจอเข้าตอนนี้ก็คงจะเอาไปนินทากันอย่างสนุกปากทีเดียวว่า ‘ท่านโชติภนทรงทำองค์ไม่สมพระเกียรติ’


แต่ทว่านั่นก็หาใช่เรื่องที่เจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะทรงเก็บมาใส่พระทัยไม่ ท่านชายโชติภนทรงแตกต่างกับเจ้านายองค์อื่นๆ โดยมากเพราะไม่ว่าจะเกียรติหรือศักดิ์ก็ตาม สำหรับท่านชายล้วนแต่อยู่ที่การทำตนมากกว่ายี่ห้อของรถที่ใช้ขับขี่ หรือความโอ่อ่าอลังการของบ้านที่พักอาศัย ทว่าในขณะเดียวกันก็ใช่ว่าท่านชายจะสามารถตรัสเช่นนั้นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ด้วยตำหนักแต่ละตำหนักที่อยู่ภายในเขตวังจักษุภิรมย์ เสด็จพ่อของท่านชายโปรดให้สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตโอฬาร จนบางตำหนักเกือบจะใหญ่ทัดเทียมกับพระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังได้เลยทีเดียว


ประวัติของวังจักษุภิรมย์นั้นมีมาอย่างยาวนาน หากให้นับก็คงตั้งแต่ราวๆ สักเจ็ดสิบถึงแปดสิบปีก่อนทีเดียว…ก่อนที่เสด็จพ่อและเสด็จลุงของท่านชายจะทรงประสูติเสียอีก


ท่านชายทรงได้ฟังความคร่าวๆ มาจากพระปิตุลาว่าที่ดินนับพันไร่ในบริเวณนี้นั้น เจ้าคุณย่าของท่านชายได้รับพระราชทานมาจากทูลกระหม่อมปู่ในตอนที่กำลังตั้งครรภ์แรก ถึงแม้ว่าพระโอรสและพระธิดาหลายองค์ที่ประสูติออกมานั้นจะประชวรจนสิ้นพระชนม์และเสด็จกลับสู่ชั้นฟ้าสวรรคาลัยตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์กันทั้งหมด จนเหลือแค่เพียงสองพระโอรสก็คือเสด็จวังจักษุฯ และเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรก็ตาม ต่อมาเมื่อเสด็จลุงของท่านชายทรงมีพระชันษาได้สักราวๆ ห้าชันษา ส่วนเสด็จพ่อของท่านชายในตอนนั้นก็เพิ่งจะประสูติได้เพียงไม่นาน ซ้ำยังเป็น ‘ตัวผู้’ อันเป็นเพศรองที่มีโอกาสเกิดได้น้อยนิดในสังคมนี้กันทั้งคู่ ทูลกระหม่อมปู่ที่ทรงเห็นว่าได้พระโอรสเป็นอัลฟ่าด้วยกันทีเดียวถึงสองพระองค์จากเจ้าจอมมารดาเพียงแค่คนเดียวก็โปรดให้สร้างพระตำหนักขึ้นในพื้นที่วังเพื่อเป็นการรับขวัญ และยังทรงพระราชทานชื่อวังให้อีกด้วย


เนื่องจากวังจักษุภิรมย์อยู่ติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระอารมณ์ของหม่อมเจ้าโชติภนในตอนนี้จึงแช่มชื่นขึ้นเป็นอย่างมากในตอนที่รถแท็กซี่ขับเลียบไปตามแนวยาวของตัวแม่น้ำ มุ่งลงสู่ทิศใต้ของถนนเจริญกรุง ผ่านหน้าวัดยานนาวาที่แม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่แล้ว แต่ผู้คนที่มาทำบุญก็ยังเดินกันขวักไขว่


ท่านชายทรงตั้งข้อสังเกตกับองค์เองว่ารอบๆ อาณาบริเวณนี้เริ่มที่จะมีอาคารพานิชย์ผุดให้เห็นบ้างประปราย ซึ่งก็คงจะเป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั่นแหละ ความหลังวาบเข้ามาในพระเศียร เขาจำได้ว่าตอนที่เสด็จกลับมาเยี่ยมเยียนพระบิดาเมื่อสักสามสี่ปีก่อนหน้า ที่ดินแถบนี้ยังเป็นทุ่งกว้าง และบ้างก็เป็นป่ารกร้างอยู่เลย ภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่พื้นที่บริเวณนี้กลับเจริญขึ้นมากจนชวนให้ตื่นตาตื่นใจไปหมด ป้ายโฆษณาต่างๆ มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วยแทบจะทั้งนั้น บ่งบอกให้รู้ว่าคนกรุงในยุคปัจจุบันรับเอาวัฒนธรรมจากฝั่งตะวันตกเข้ามาไม่น้อย


หม่อมเจ้าเพศเรียลอัลฟ่าทอดเนตรมองดูตึกรามบ้านช่องอย่างเรื่อยเปื่อย ทรงเพลิดเพลินจนเกือบจะลืมสังเกตว่าแท็กซี่กำลังขับพาองค์เข้าสู่เขตวัง


จะกี่ปีผ่านไปแถวนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมในความทรงจำของท่านชาย ทั้งถนนหนทางที่ไม่ใช่คอนกรีตเหมือนอย่างด้านนอกนั่น แต่ยังคงเป็นถนนโรยกรวดหินที่ทำให้ได้ยินเสียงล้อรถยนต์บดกับกรวดอย่างชัดเจน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ก็พากันเดินจับจ่ายใช้สอยกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ด้วยรอบๆ ตัววังเสด็จพระองค์ชายเจ้าของวังไม่ทรงโปรดให้เงียบงัน ทรงเคยรับสั่งคล้ายกับเปรยๆ ว่าหากปล่อยให้บ้านช่องเงียบเหงามากจนเกินไปนักก็คงไม่ต่างอะไรจากศาลาวัดที่เขาใช้สวดศพกันกระมัง จึงโปรดให้มีร้านรวงมาตั้งขายของเหมือนงานวัด ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งองค์ เครื่องประดับ หรือขนมก็มีให้เลือกซื้อครบครัน และในบางทีก็ยังมีคณะละครหุ่นกระบอกมาตั้งเล่นให้คนสัญจรไปมาได้รับชมอีกด้วย


ถัดไปจากตลาดรอบรั้ววังจักษุฯ (พวกชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า ‘ตลาดหน้าวัง’) แค่เพียงไม่ใกล้ไม่ไกล บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเงียบสงบจนได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจ ด้วยเพราะว่าเป็นเขตที่ทรงพำนัก รถแท็กซี่ก็เลยไม่สามารถขับเคลื่อนตัวเข้าไปได้อีก


โชติภนจึงแย้มพระสรวลส่งให้คุณลุงคนขับรถที่สีหน้าท่าทางดูเกรงอกเกรงใจผู้โดยสารอย่างทรงพระทัยดี จ่ายเงินให้เสร็จสรรพก็ทรงลากกระเป๋าเดินทางใบโต เสด็จต่อไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ทรงหยุดมองตำหนักเล็กๆ ทรงยุโรปทาสีครีมอ่อนของหม่อมมารดาผู้ให้กำเนิดที่ปิดตายมาตั้งแต่ท่านสิ้นชีพไปเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ก่อนจะดำเนินไปจนถึงหน้ารั้วเหล็กขนาดใหญ่ ทาสีทองอะร้าอร่าม ฉลุด้วยช่างฝีมือดีจนเป็นลายสุดวิจิตร ทั้งลายกนก ลายกระจังฟันปลา และลายกระจังตาอ้อย ดูตระการตาเหมือนเช่นทุกคราที่ทรงได้ทอดพระเนตรเห็น ส่วนตรงหน้ารั้ว สิ่งที่แขกไปใครมาก็จะต้องได้เห็นเด่นมาแต่ไกลก็คือป้ายไม้จำหลักขนาดใหญ่ แกะสลักอย่างประณีตบรรจง และทาสีไว้เป็นคำว่า ‘ตำหนักส่วนกลาง’


หม่อมเจ้าโชติภนยกหัตถ์เกาะรั้วหน้าบ้านขององค์เอง และทรงหรี่เนตรคมทอดมองหาใครสักคนที่จะสามารถมาเปิดประตูถวายเพื่อให้ทรงได้เสด็จเข้าไปด้านในเขตพระตำหนัก แลเห็นสตรีนางหนึ่งที่พอเพ่งพิศดูจากหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะเป็นสาวน้อยวัยกำลังเบ่งบานทีเดียว มีกลิ่นฟีโรโมนหอมอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นผลไม้พัดโชยมาตามแรงลม จึงทรงรู้ว่าหล่อนมีเพศรองเป็นโอเมก้า ผมสีดำยาวสลวยดัดเป็นลอนใหญ่ รวบไว้สูง ผูกด้วยโบว์สีแดง เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชรสวมทับเอาไว้ด้วยชุดแส็กกระโปรงบานคลุมเข่าสีขาวสะอาดตา ถักทอลายกุหลาบดอกโตสีแดงก่ำ ผิวพรรณนวลเนียนผุดผ่องจนดูไม่เหมือนกับพวกบริวารบ่าวไพร่ทั่วๆ ไป


ท่านชายทรงเดาว่าหล่อนอาจจะเป็นนางข้าหลวงสักนางหนึ่งภายในพระตำหนัก คงเป็นญาติของหม่อมลออละมัง ก็เลยทอดพระสุรเสียงเรียกขานออกไปด้วยพระวาจาอ่อนน้อม


สตรีผู้นั้นที่กำลังร้องเล่นเต้นรำฮัมเพลงเป็นทำนองเพลงของวงสุนทราภรณ์อยู่คนเดียวขณะเดินชมดอกไม้ในสวน เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ชะงักร่างหันขวับ เพ่งมองผู้มาเยือนด้วยแววตาฉงนสงสัย


“คุณเป็นใคร มาพบใครที่นี่”


น้ำเสียงของหล่อนช่างห้วนสั้น ไม่มีทั้ง ‘ค่ะ’ ‘เจ้าค่ะ’ หรือ ‘เพคะ’ ต่อท้ายประโยคเลยสักคำ ไม่ชวนให้รื่นหูสักนิด โชติภนจึงทรงนิ่งงันไปนิดหน่อยอย่างไม่ทรงคุ้นชิน เพราะปกติผู้คนมักจะแสดงออกอย่างยำเกรงพินอบพิเทากับเขาอยู่เสมอ แต่แล้วก็ค่อยๆ แย้มพระสรวลกับองค์เองออกมาในที่สุดเมื่อทรงคิดได้ว่าสตรีผู้นี้อาจไม่รู้มาก่อนกระมังว่าเขาเป็นใคร เพราะแม้ว่าบนพระตำหนักจะมีพระรูปของท่านชายแขวนประดับเอาไว้อยู่บ้างเพราะทรงเป็นโอรสองค์โปรด แต่นั่นก็เป็นพระรูปที่ทรงถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนยังเยาว์วัย และดูเหมือนหล่อนจะเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่เสียด้วย จะไม่รู้ก็คงไม่แปลกกระไร


จึงทรงรับสั่งตอบกลับอย่างเรียบเรื่อย ด้วยพระสุรเสียงหวานลึกน่าสดับฟังว่า


“ผมมาขอเข้าเฝ้าเสด็จพระองค์ชายกับหม่อมลออ ทั้งสองประทับอยู่ด้านในพระตำหนักไหมครับคุณ”


เมื่อได้ฟังคำรับสั่งถาม หญิงสาวเจ้าของวงหน้าหวานตรงเบื้องพระพักตร์ก็ตีสีหน้าเคร่งเครียด และวางท่าทางขึงขังเป็นนางใหญ่นางโตขึ้นมาจนท่านชายทรงรู้สึกขบขันระคนสงสัยหน่อยๆ ว่าหล่อนคือใครกันแน่


“เสด็จทรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร ยังไม่เด็จฯ ออกมาตั้งแต่เมื่อย่ำรุ่งนู่นแน่ะ ส่วนหม่อมใหญ่ท่านก็อยู่บนพระตำหนัก กำลังดูโทรภาพ ถ้าหากพ่ออยากเข้าพบก็ต้องรอสักประเดี๋ยว เดี๋ยวฉันจะไปเรียนกับหม่อมท่านให้”


“อ่า อย่างนั้นก็ได้ครับ แต่คุณจะให้ผมรออยู่ตรงนี้รึ”


ทรงย่นพระนลาฏเล็กน้อย ขณะที่แหงนพระพักตร์หล่อเหลาขึ้นมองท้องฟ้าเจิดจ้า แสงเรืองอร่ามสีทองจากดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องลงมากระทบกับพระฉวีขาวเหลืองราวกับจะแผดเผากันให้วอดวายจนดำเมี่ยมเป็นเศษเถ้าธุลีไปข้างหนึ่ง แต่สตรีที่ท่านชายคาดว่าคงจะเป็นญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของหม่อมลออตรงเบื้องพระพักตร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นอกเห็นใจกันเลยสักนิด


“เออหนอ! ก็ใช่น่ะซียะ ไม่ยังงั้นพ่อจะไปรอที่ไหนได้เล่า ร้อยพ่อพันแม่ เป็นใครมาจากไหนก็ยังไม่รู้แน่ชัด จะให้ฉันพาเข้ามานั่งลอยหน้าเสนอนวลอยู่ในเขตพระตำหนักอย่างนั้นหรือ ใช้ตรงไหนคิดกัน เกิดว่าเป็นขโมยขโจรขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร คนสมัยนี้ยิ่งไว้ใจไม่ได้อยู่ด้วย ข่าวรึก็มีให้เห็นกันออกเกลื่อน” นับว่าเป็นครั้งแรกก็คงจะไม่ผิดนักที่ท่านชายโชติภนผู้นี้ทรงถูกตราพระพักตร์ว่าเป็นพวกไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ ซ้ำร้ายยังอาจจะเป็นโจรเป็นขโมยอีกต่างหาก ทำเอาทรงนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ด้วยทรงครุ่นคิดขึ้นมาว่าพระพักตร์ตี๋ๆ ที่คล้ายคลึงกับมารดาบังเกิดเกล้าของเขามันดูเหมือนกับคนที่จะสามารถก่อเหตุร้ายแรงอย่างนั้นได้เทียวหรือ “แล้วอีกอย่างพ่อเองก็ร่างใหญ่ร่างโตราวกับพวกฝรั่งมังค่าออกปานนี้ ยืนตากแดดตากลมแค่เพียงประเดี๋ยวเดียว คงไม่รีบตายหรอกกระมัง”


“...ได้ครับ รอก็รอ”


ทรงคิดว่าต่อให้จะรับสั่งอธิบายอย่างไรก็คงเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะอีกฝ่ายดูไม่มีท่าทีจะเชื่อเลยว่าเขามิได้ทรงมีเจตนาร้ายอย่างที่เจ้าหล่อนกำลังกล่าวหา ท่านชายจึงทรงตอบกลับรับคำเสียให้หมดเรื่อง และในพระทัยแอบขบขันอยู่ไม่น้อย โดยที่ไม่คิดจะถือสาหาความใดๆ กับสตรีผู้นี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รู้มาก่อนจริงๆ หล่อนก็ไม่ถือว่ามีความผิด แล้วอีกอย่างท่านชายเองก็ยังแอบนึกสนุกเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่บ่อยนักที่ผู้อื่นจะทูลกับพระองค์ด้วยคำสามัญเช่นนี้ เว้นแต่กับพวกเพื่อนๆ ชาวฝรั่งที่ต้องพูดกันเป็นภาษาอังกฤษเมื่อครั้งที่ยังทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนไฮสกูลในเมืองเบิร์กแชร์ และก็เพื่อนที่มหาวิทยาลัยนั่นแหละ


“เอ้อ จริงซิ แล้วพ่อจะให้ฉันไปเรียนกับหม่อมใหญ่ว่าใครมาขอพบท่านดีล่ะ”


“เอ…” หม่อมเจ้าชายโชติภนยกหัตถ์ลูบพระหนุอย่างตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนจะแย้มพระสรวลกว้างขวางจนเห็นพระทนต์สีขาวชัดเจน เพราะเขายังโปรดให้อีกฝ่ายทูลเป็นคำสามัญด้วยต่ออีกสักหน่อย จึงตรัสตอบกลับไปเรียบๆ ว่า “ไปบอกหม่อมท่านว่านายอีแวนที่เป็นสถาปนิกมาขอเข้าพบแล้วกันครับคุณ… อีแวน วู้ด นะครับ”


พอได้ฟังจนจบ สตรีโฉมงามผู้นั้นก็มุ่นเรียวคิ้วสวยราวกับว่ากำลังงุนงง เธอพึมพำอะไรสักอย่างกับตนเองเบาๆ ก่อนจะเดินละออกไปอย่างไม่เร่งรีบนัก โดยทิ้งเจ้าชายหนุ่มให้ทรงยืนตากแดดตากลมตามมีตามเกิดอย่างที่หล่อนกล่าวไว้จริงๆ


โชติภนส่ายเศียรเบาๆ อย่างอ่อนพระทัย นึกตลกอย่างบอกไม่ถูกเพราะถึงจะไม่ทรงคุ้นเคยกับการถูกพูดจากดหัวใส่แบบนี้ ทว่ามันก็ได้อรรถรสไปอีกแบบหนึ่งเช่นกัน เพราะการที่เขาไม่แสดงองค์ว่าทรงเป็นเจ้าออกไปก็จะทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตัวกับเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมาฝืนยิ้มแย้มอย่างไม่จริงใจให้แก่กัน แล้วท่านชายก็ไม่ได้ทรงสำราญสักเท่าใดนักกับการต้องบังคับใจใครให้มาก้มหัวคาราวะองค์เอง


ด้วยเหตุนี้กระมัง เขาจึงไม่ทูลกับพระบิดาตั้งแต่แรกว่าจะเสด็จกลับมาอยู่พระนครถาวร เพราะนอกจากงานเลี้ยงต้อนรับที่เสด็จวังจักษุฯ จะต้องทรงตระเตรียมเอาไว้ให้อย่างโอ่อ่าแล้ว ท่านก็คงจะทรงเป็นธุระจัดแจงปิดถนนหนทางตลอดแนวเจริญกรุง เพื่อให้โอรสองค์โปรดได้เสด็จกลับเข้าวังอย่างสมพระเกียรติ ทรงคิดถึงตรงนี้แล้วก็ลอบผ่อนพระอัสสาสะอย่างปลงเพราะยุคนี้ไม่เหมือนกับในยุคก่อนๆ แล้ว รถราตามท้องถนนยามนี้เริ่มมีให้เห็นอย่างหนาตาทีเดียว เขาไม่อยากตกเป็นขี้ปากให้ชาวบ้านมาติฉินนินทาเอาได้ว่าเป็นถึงเจ้า แต่กลับทำองค์เอารัดเอาเปรียบประชาชน


มาถึงในส่วนของพระนาม ‘อีแวน’ (Evan) ที่เพิ่งจะทรงรับสั่งกับหญิงสาวโอเมก้าวัยสะพรั่งผู้นั้นออกไปก็มิได้ทรงอุปโลกน์ขึ้นมาเฉยๆ แต่อย่างใด หากทว่าเป็นพระนามลำลองที่หม่อมลุงอเล็กเซพระชายาเอกในพระปิตุลาของท่านชายได้ตั้งถวายเมื่อสิบกว่าปีก่อน


แล้วสกุล ‘วู้ด’ (Wood) ก็ทรงยืมหม่อมลุงมาใช้ด้วยเช่นกันเพื่อจะได้ทูลเรียกขานกันโดยง่าย เพราะพระนามไทยของท่านชายนั้น ไม่ว่าจะโชติ หรือโชติภน หรือกระทั่งตี๋อ้วนก็ดี มีแต่พวกฝรั่งจะเอาไปทูลเรียกกันแบบผิดๆ เพี้ยนๆ จนบางรายก็ไปถึงขั้นนำไปล้อเลียนเพราะทรงมีพระนามแปลกประหลาดต่างไปจากชาวบ้านชาวช่องอยู่นั่นเอง


ดังนั้นในระหว่างที่ทรงพำนักอยู่ที่อังกฤษ นอกจากที่คฤหาสน์ของเสด็จลุงแล้ว ท่านชายก็โปรดใช้พระนามลำลองนี้มาโดยตลอด


และทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังทรงใช้เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นพลเมือง รวมถึงยังเป็นพระนามที่ใช้เขียนลงในใบรับรองเป็นบุตรบุญธรรมของหม่อมอเล็กเซอีกด้วย


หม่อมเจ้าเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาหยีพระเนตรหลบแสงแดดที่ดูเหมือนว่ากำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ หลังจากประทับยืนพิงรั้วพระตำหนักมามากกว่ายี่สิบนาทีแล้ว ทรงยกหลังพระหัตถ์หนาขึ้นปาดหยาดเสโทที่กำลังผุดพรายออกมาตามพระนลาฏ ดวงพักตร์หล่อตี๋ของท่านชายชื้นฉ่ำไปด้วยน้ำจนพระเกศาสีดำสนิทเปียกลู่ไปตามพวงพระปรางขาวผ่องแบบลูกผู้ดีมีสกุล แต่ก็ไม่ได้ทรงบ่นอะไรออกมาสักคำ อาจเพราะท่านชายไม่ได้ทรงเป็นคนคิดเล็กผสมน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วละมัง จนกระทั่งได้ยินเสียงคนคุยกันดังแว่วมาเข้าพระกรรณ


“ก้าวไวๆ หน่อยซียะแม่นางยุรยาตรคนนี้ มัวแต่ค่อยๆ เยื้องค่อยๆ ย่างอยู่นั่นแหละ อืดอาดยืดยาดจริงเลยเทียว อายุอานามก็เพิ่งจะเท่านี้ นี่แน่ะ! แม่สุ่น แล้วคนบ้าคนบอที่ไหนมันจะไปชื่ออีเวรอีกรรมยังงั้นได้ พ่อแม่ปู่ย่าเป็นใคร ตั้งชื่อลูกชื่อหลานวิเศษเสียจริง ฉันเกิดมายังไม่เคยพบเคยเจอ หล่อนฟังผิดเองหรือเปล่าแม่คุณ”


เพียงได้ยินสุ้มเสียงแหลมกังวานที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ตอนยังทรงพระเยาว์ ถึงจะเริ่มโรยราลงตามวัยเล็กน้อย แต่ท่านชายก็ทรงทราบได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร


“ชะอุ๊ย! ไม่ผิดหรอกค่ะหม่อม สุ่นได้ยินมาเต็มสองรูหู พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเธอบอกว่าเธอเป็นสถาปนิก ชื่อว่าอีเวร เอ่อ...อีเวร หูด อะไรสักอย่างนี่แหละค่ะหม่อม”


“ตายละหวา พิสดารพันลึกไปถึงไหนกันล่ะนั่น ชื่ออีเวรไม่พอ ยังจะเป็นหูดด้วยรึ!”



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 18:09:28 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ท่านชายถึงกับต้องรีบหุบเม้มโอษฐ์บางไว้ให้สนิทเพราะเกรงว่าจะทรงเผลอพระสรวลออกมาเสียงดัง นึกแล้วก็อดขันไม่ได้ ไม่อยากจะทรงเชื่อว่าพระนามลำลองที่หม่อมลุงอเล็กเซตั้งถวาย เมื่อไปเข้าหูคนไทยเข้าจะถูกแปลงเป็นอื่นไปได้ถึงเพียงนั้น


“ว้าย! มิได้ค่ะหม่อมขา สุ่นว่าพ่อล่ำสันคนนั้นเธอคงไม่ได้เป็นหูดเป็นหัดอะไรตรงไหนหรอกค่ะ เธอเพียงแต่บอกกับสุ่นว่าเธอชื่อ อีเวร หูด เท่านั้น คงจะเป็นภาษาของพวกจีนโล้สำเภาละมังคะหม่อม สุ่นลอบเห็นหน้าเธอแค่เพียงวอบๆ แวบๆ ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นคนกุ๊ย คนพาล สันดานหยาบช้า หน้าออกเจ๊กผิวออกลาวยังงั้น ตัวก็ใหญ่โตเทอะทะเป็นยักษ์ปักหลั่นยังงั้น เฮอะ! ไม่รู้ว่าคนแบบนั้นจะมีธุระปะปังอะไรมาทูลถวายเสด็จ พูดออกมาได้ว่าจะมาขอเข้าเฝ้า คิดได้อย่างไรกันนะว่าเจ้าขุนมูลนายอย่างเสด็จท่านจะยอมให้เข้าเฝ้าโดยง่าย ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียบ้างเลย คงมิใช่ว่าเป็นโจรเป็นขโมยหรอกนา แม่จะโทรศัพท์แจ้งความ เรียกตำรวจมาลากคอเข้าตารางให้เข็ดหราบทีเดียว”


“ประเดี๋ยวเถอะแม่มะกอกสามตะกร้า หล่อนเห็นหน้าเขาแค่วอบๆ แวบๆ ตัดสินชั่วดีได้เทียวหรือยะ”


“พิโธ่! หม่อมขา พวกเจ๊กๆ จีนๆ มันก็เป็นแบบนั้นกันหมดนั่นแหละค่ะ แค่เห็นหน้าเห็นตา สุ่นก็ดูออกเลยค่ะว่าต้องไม่ใช่คนไทย ภาษาไทยแท้ๆ ก็พูดได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำ สำเนียงไพล่ไปเหมือนกับพวกฝรั่งตาน้ำข้าว แต่กลับตาเล็กตี่เป็นเม็ดก๋วยจี๊ ผิวขาวๆ เหลืองๆ เหมือนพวกลาวพวกพม่ายังงั้นอีก ครึ่งจีนครึ่งมอญครึ่งฝรั่งยังไงบอกไม่ถูก พิลึกพิลั่นพิกลค่ะหม่อม เอ้อ...แต่คิดดูอีกทีอาจจะไม่ใช่ลาวก็เป็นได้ สุ่นเคยได้ยินมาว่าพวกตัวเหลืองๆ เป็นพวกสูบฝิ่นนี่คะหม่อม หม่อมระวังตัวด้วยนะคะ เกิดพ่อเจ้าประคุณพี้ยาขึ้นมาจริงๆ จะสู้กันไม่หวาดไม่ไหว อัลฟ่าตัวใหญ่ตัวโตแบบนั้น เราเป็นเพศรองจากเขา ยังไงก็เสียเปรียบอยู่ดีค่ะ”


“อัลฟ่า? ตัวผู้น่ะรึ”


“ตัวผู้ค่ะหม่อม กลิ่นแรงนัก ตั้งแต่สุ่นเกิดมายังไม่เคยเจอตัวผู้ที่ไหนมีกลิ่นรุนแรงมากถึงเพียงนี้มาก่อน ขนาดอยู่ไกลถึงตรงนี้กลิ่นก็ยังชัดราวกับอยู่ติดปลายจมูก แต่ก็ไม่หอมอะไรนักหรอกค่ะ ออกฉุนๆ มากกว่า ไม่ได้น่าอภิรมย์ชวนชื่นใจเหมือนอย่างกลิ่นเสด็จท่าน ก็อัลฟ่าเจ๊ก จะเอามาเทียบกับอัลฟ่าเจ้ากระไรได้ หม่อมว่าจริงไหมคะ”


“ฉันเป็นเบต้านะยะแม่สุ่น จะไปตรัสรู้ได้ยังไงว่ากลิ่นใครเป็นอย่างไร เฮ้อ! พอได้แล้ว เลิกพูดมากเสียบที ฉันขี้เกียจคุยกับหล่อนเต็มทีแล้ว น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงเป็นที่สุดเลยนางคนนี้”


สตรีสาวสะพรั่งผู้นั้น หม่อมเอกในเสด็จพระองค์ชายเจ้าของวังเรียกหล่อนว่า ‘แม่สุ่น’ ยังงั้นซีนะ


โชติภนยืดพระศอเล็กน้อย พร้อมทั้งกวาดมองเข้าไปในเขตพระตำหนักส่วนกลาง ก่อนจะทรงทอดพระเนตรเห็นแม่สุ่นคนนั้นกำลังเร่งสืบเท้าตามหลังสตรีนุ่งผ้าซิ่นทอมือลายดอกพิกุล ผิวขาวผ่องสะอาดสะอ้านนวลเนียนตามประสาพวกผู้ดีตีนแดง หุ่นห้างอวบท้วมเทอะทะ ลำคอหนาสั้น ช่วงหลังค้อมลงมาเล็กน้อย ไม่อ้อนแอ้นผอมระหงเหมือนอย่างพวกสาวๆ ด้วยวัยราวหกสิบกลางๆ


เธอเดินนำหน้ามาอย่างเคร่งขรึม อาจเป็นเพราะว่าอากาศที่กำลังร้อนระอุ แล้วยังต้องเดินเท้ามาไกลจากองค์พระตำหนัก จึงทำให้หงุดหงิดได้ง่าย ก่อนจะหยุดร่างป้อมๆ สั้นๆ ลงตรงเบื้องพระพักตร์ของท่านชาย จ้องมองลอดผ่านรั้วเหล็กฉลุลายไทยชั่วอึดใจ เพ่งพิศด้วยสายตาที่เริ่มสึกหรอตามสังขารที่เลยวัยกลางคนไปมากแล้ว สักพักรูม่านตาของเธอก็เบิกขยายกว้างขึ้นราวกับว่าเห็นผีสางตอนกลางวันแสกๆ พร้อมทั้งอุทานดังลั่น


“ว้ายตายแล้ว! ตาเถรยายชี อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก! ท่านชายเพคะ!” พอเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใครก็รีบเร่งกระวีกระวาดเรียกบ่าวไพร่มาเปิดรั้วพระตำหนักถวายทันที


แม่สุ่นผู้นั้นกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคออย่างยากเย็น ดวงหน้าหวานละมุนของหล่อนเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด คำว่า ‘ท่านชาย’ ที่หลุดออกมาจากปากของหม่อมลออ มีผลสะท้านสะเทือนไปถึงเธอแทบจะในวินาทีแรกที่ได้ยิน


“สวัสดีค่ะหม่อม โธ่เอ๋ย! ตาเถรที่ไหนจะทั้งหนุ่มทั้งแน่นได้ถึงขนาดนี้กันล่ะคะ โชติเองต่างหากเล่า!”


แต่หม่อมเจ้าโชติภนก็ไม่ได้ใส่พระทัยอากัปกิริยาตะลึงงันของเจ้าหล่อนมากมายเท่าใดนัก ทรงเมินท่าทีเหล่านั้นไปราวกับมองไม่เห็น แย้มพระสรวลกว้างจนแลเห็นพระทนต์เรียงกันสะสวย สองหัตถ์ยกขึ้นคารวะกราบบ่าสตรีสูงวัยผู้เปรียบเสมือนกับเป็นพระมารดาอีกคนหนึ่งอย่างพินอบพิเทา และตรัสออกไปอย่างเป็นกันเองตามประสาคนที่คุ้นเคยกันดี




*



กล่าวถึงที่มาของชื่อ ‘ตำหนักส่วนกลาง’ ก็คงจะมาจากลักษณะอาคารที่มีความรโหฐาน และมีความวิจิตรตระการตามากที่สุดในรั้ววังจักษุภิรมย์ ถูกปลูกสร้างมายาวนานกว่าหกสิบปี และเสด็จเจ้าของวังก็โปรดให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อยู่หลายครั้งด้วยกันเพื่อคงสภาพเดิมไว้ไม่ให้ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา


แต่แรกเริ่มนั้นเจ้าคุณย่าของท่านชายโชติภนเคยวางแผนจะยกที่ดินแปลงนี้ให้เป็นสมบัติของโอรสองค์โตอย่างเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรแต่เพียงผู้เดียว โดยให้เสด็จพ่อของท่านชายผู้เป็นอนุชาอาศัยพึ่งใบบุญองค์ชายผู้เป็นพี่เท่านั้น


แต่ในเวลาต่อมา เมื่อพระองค์ชายปิ่นเสกสมรสไปกับหม่อมอเล็กเซชายาผู้เป็นโอเมก้าชาวอังกฤษ สร้างความไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งให้กับเจ้าคุณย่า รวมไปถึงบรรดาพระญาติพระวงศ์ ด้วยอยากจะได้สะใภ้เป็นชาวเลือดน้ำเงินมากกว่าพวก ‘ตัวเมีย’ ต่างชาติต่างภาษาไร้หัวนอนปลายเท้า องค์ฯ ปิ่นก็คล้ายกับว่าทรงถูกตัดหางปล่อยวัดกลายๆ ผู้ที่ยังทรงไยดีท่านอยู่บ้างเห็นจะมีแต่เสด็จพ่อของท่านชายเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยกระไรได้มากมาย


และเพราะอย่างนั้น เมื่อทรงทนความอึดอัดจากการถูกกดดันไม่ไหว ซ้ำร้ายหม่อมเพียงคนเดียวก็ยังมาถูกข่มเหงรังแกโดยพวกข้าหลวงในวังอีกสารพัด พระปิตุลาของท่านชายจึงตัดสินพระทัยโดยเด็ดขาด ทรงพาพระชายาล่องเรือสำราญกลับบ้านเกิดเมืองนอน ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ด้วยกันที่นั่นเสีย จนทำให้เมื่อสักประมาณสิบเจ็ดปีก่อนในตอนที่เจ้าคุณย่าสิ้นลมหายใจ เสด็จลุงจึงไม่ได้ส่วนแบ่งจากพินัยกรรมไปเลยสักกระผีกริ้น และวังจักษุภิรมย์ก็ได้ตกเป็นของเสด็จวังจักษุฯ แต่เพียงองค์เดียว


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่าเสด็จลุงของท่านชายจะทรง ‘แคร์’ ด้วยพระนิสัยดื้อแพ่งที่ทรงมีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย อีกทั้งพื้นฐานชีวิตของหม่อมอเล็กเซก็นับว่าเป็นเลิศมากในทุกๆ ด้านอยู่แล้วด้วย ทั้งบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เกิดมาเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี มีหน้ามีตาอยู่บ้างในแวดวงผู้ดีชาวอังกฤษ มีความรู้อยู่ท่วมหัว มีเงินทองมากมายอันได้รับมาจากกองมรดกที่ผู้เป็นพ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย


ส่วนองค์ฯ ปิ่นเองก็มีทรัพย์สมบัติที่เคยได้รับพระราชทานมาจากทูลกระหม่อมปู่ของท่านชายติดองค์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งมันก็พอที่จะร่วมกันนำไปลงทุนต่อยอดทำธุรกิจเรือส่งสินค้า ผัวหาบเมียคอนอย่างนั้นอยู่หลายปีดีดัก จนกระทั่งกิจการเริ่มขยายตัวไปอีกหลายสาขา และทรัพย์สมบัติก็งอกเงยขึ้นมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่


พวกพระญาติพระวงศ์ที่เคยปรามาสไว้ว่าเสด็จลุงทรงลดองค์ไปเป็นพ่อค้าพ่อขายอย่างนั้น ช่างไม่สมกับพระเกียรติยศที่ทรงมี จะต้องทรงลำบากตรากตรำเป็นแน่แท้ และตามประสาคนเคยอยู่กินอย่างสุขสบาย ถึงอย่างไรก็ต้องซมซานกลับมาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆ ทยอยล้มหายตายจากกันไปทีละคน จนถึงตอนนี้นอกจากเสด็จพ่อของท่านชายกับหม่อมลออแล้วก็ไม่มีใครได้พูดถึงเสด็จลุงอีก เพราะบางรายก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเจ้าคุณย่าของท่านชายมีบุตรอยู่ถึงสองพระองค์ และบางรายก็หลงๆ ลืมๆ ไปบ้างตามอายุขัยว่าวังแห่งนี้เคยเป็นที่ทรงพำนักของเจ้าชายอัลฟ่าอีกพระองค์หนึ่งด้วยเช่นกัน


ตั้งแต่พระปิตุลาของท่านชายโชติภนเสด็จออกจากพระนครไป เจ้าคุณย่าก็ไม่ใคร่พูดถึงลูกองค์นี้อีก แล้วยังกำชับกำชาสั่งห้ามไม่ให้ใครเอ่ยถึงให้เป็นที่ระคายหูอีกด้วย เมื่อใดที่เสด็จลุงเสด็จกลับมาเยี่ยมเยียน เจ้าคุณย่าก็จะเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่บนพระตำหนัก หน้าต่างห้องนอนปิดสนิท มืดมิดจนราวกับไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ไม่ยอมให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาแม้สักนิด ไม่แม้แต่จะลงมาเห็นหน้าลูกชายองค์โตเลยด้วยซ้ำ


จะว่าไปแล้ว เสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรก็ทรงมีตำหนักแยกออกไปอีกหลังหนึ่ง ปลูกไว้ตรงสุดขอบพื้นที่วัง วิวสวยติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งหนึ่งเคยเกือบได้ใช้เป็นเรือนหอของพระองค์และพระคู่หมั้นในช่วงเวลานั้น ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่หม่อมอเล็กเซ ท่านชายโชติภนไม่ทรงรู้รายละเอียดในส่วนนี้มากเท่าใดนัก ทรงทราบแค่เพียงว่าเจ้าคุณย่าเปรยๆ ไว้หลายหนก่อนเสียว่าพอได้เห็นหลังคาตำหนักนั้นสักกี่ทีก็เหมือนกับเป็นหนามยอกอกที่ทิ่มแทงใจมิรู้หาย บอกว่าจะทุบทิ้งให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่ก็ไม่ใคร่ทำอย่างจริงจัง


เสด็จพ่อของท่านชายตรัสว่าลึกๆ แล้ว เจ้าคุณย่าก็คงจะคิดถึงลูกชายองค์โตอย่างสุดหัวใจ เพียงแต่ว่าทิฐิสูงนัก จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตที่ท่านพร่ำเพ้อออกมาอย่างวกๆ วนๆ ตามประสาคนแก่ใกล้หมดลมว่า “คิดถึงเหลือเกิน...แก้วตาดวงใจของแม่ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน ชายปิ่นลูกแม่” แต่เสด็จลุงของท่านชายก็เสด็จกลับมาไม่ทันดูใจ ทำให้ทั้งคู่ยังคงคาราคาซังกันอยู่อย่างนั้นจวบจนทุกวันนี้


ดังนั้นผู้ที่พำนักอยู่ที่พระตำหนักส่วนกลางในเวลานี้จึงมีเพียงเสด็จวังจักษุฯ พระธิดาในเสด็จ หม่อมผู้เป็นชายาเอก นางข้าหลวงอีกสองสามนางที่เป็นญาติสนิทของหม่อม และพวกบ่าวไพร่บริวารเท่านั้น


องค์พระตำหนักส่วนกลางนั้นเป็นอาคารรูปตัวเอช (H) มีความยาวอยู่ที่ด้านละห้าสิบเมตร สูงทั้งหมดสามชั้น เว้นแต่ตัวอาคารตรงกลางทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้วยกันถึงห้าชั้นทีเดียว


สถาปนิกผู้ออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมอังกฤษในยุควิกตอเรีย ผสมผสานเข้ากับแบบไทยประยุกต์ ชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองอย่างดี ทาทับไว้ด้วยสีขาวล้วนตลอดองค์ ทำให้ดูสะอาดสะอ้านสบายตา หลังคาทรงไทยประยุกต์ทาสีเขียวแก่ออกหม่นๆ สร้างจากกระเบื้องว่าว เข้ากันดีกับสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ปลูกเรียงรายรอบเขตตำหนัก ตามหน้าต่างช่องลมรอบๆ อาคารเป็นสีเดียวกับหลังคา ฉลุลวดลายไทยโบราณเป็นลายขนมปังขิง


ท่านชายโชติภนเพิ่งจะทรงทอดพระเนตรเห็นอีกว่าห่างออกจากพระตำหนักไปเพียงแค่เล็กน้อย นอกจากสวนต้นไม้ดอกไม้แบบโรมันแล้ว พระบิดาของเขาก็ยังโปรดให้สร้างสระว่ายน้ำสีฟ้าครามเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่โตโอ่อ่าอันเป็นของทันสมัยมากในยุคนี้อีกด้วย ซึ่งแม้กระทั่งที่คฤหาสน์หรูหราขององค์ฯ ปิ่นก็ยังไม่มีสิ่งนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากพระปิตุลาของเขาเคยรับสั่งด้วยสุรเสียงเรื่อยๆ ราวกับไม่ค่อยใส่พระทัยมากสักเท่าใดนักในตอนที่เขาทูลขอให้ประทานสร้างให้ว่า “สระว่ายน้ำยังงั้นรึ จะเอาไปทำกระไรกันพ่อโชติ อยู่เมืองหนาวยังงี้จะได้ใช้สักเท่าไหร่เทียว” จึงทำให้ท่านชายในตอนนี้ทรงตื่นตาตื่นใจขึ้นมาราวกับเด็กๆ และทรงรู้สึกว่าการที่ได้กลับมาพำนักอยู่พระนครถาวรก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเสียหน่อย




*



ท่านชายโชติภนไม่ได้ทรงระเค็ดระคายอะไรมาตั้งแต่แรกเพราะทรงคิดเองเออเองไปว่าแม่สุ่นคงเป็นเพียงนางข้าหลวงนางหนึ่งที่หม่อมลออพาเข้ามาถวายงานรับใช้อยู่ภายในวังเท่านั้น แต่พอหม่อมใหญ่ทูลเฉลยว่าเจ้าหล่อนเองก็มีศักดิ์เป็นหม่อมคนหนึ่งในเสด็จพ่อของท่านชาย เท่ากับว่าเป็นแม่เลี้ยงของท่านชายด้วยเช่นกัน ก็แอบทำให้อิหลักอิเหลื่ออยู่ไม่น้อยเพราะแรกเริ่มเจอกันก็ทรงเอ็นดูอีกฝ่ายราวกับเป็นลูกเป็นหลานไปแล้วด้วยวัยที่น่าจะอ่อนกว่าท่านชายร่วมสิบปี


“เฮ้อ! ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ต้องขอประทานโทษแทนนางสุ่นมันด้วยนะเพคะท่านชาย อย่าได้ทรงถือโทษโกรธเคืองมันเลย มันเป็นหม่อมคนล่าสุดของเสด็จพ่อท่านชาย ก็คนที่หม่อมฉันเคยทูลเล่าไปทางจดหมายนั่นอย่างไรล่ะเพคะ เสด็จท่านทรงไปเจอมันเข้าที่หน้าประตูวังโดยบังเอิญ เป็นลูกสาวพวกชาวบ้านร้านถิ่นหาบขนมเขียวมาขายอยู่ที่ตลาดหน้าวัง อายุอานามก็เพิ่งจะสิบหกเท่านั้น ก่อนหน้านี้หม่อมฉันก็จัดแจงให้มันพักอยู่ที่เรือนไม้หลังคาปั้นหยาทางฟากขะโน้น แต่เพราะถูกหม่อมคนอื่นๆ ของเสด็จตามไปรังแกไม่ขาด กลั่นแกล้งตบตีสารพัด หน้าเหน้อช้ำเนื้อช้ำหนองให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หม่อมฉันก็นึกเวทนาสงสารมัน มันยังเด็กนัก มาเจอพวกผู้ใหญ่ใจร้ายยังงี้ก็คงขวัญหนีดีฝ่อ ก็เลยตัดสินใจพามันมาอยู่ด้วยกันที่นี่เสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เสด็จท่านก็ทรงเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะจะได้อบรมสั่งสอนการวางตัวเสียใหม่ให้สมกับที่มีวาสนาได้เป็นถึงหม่อมในเสด็จพระองค์ชายท่าน เอ่อ...หวังว่ามันคงมิได้ไปเผลอเรอ ทำเจ้ายศเจ้าอย่างใส่ท่านชายหรอกใช่ไหมเพคะ”


ถ้าหากการปล่อยให้ฉันยืนตากแดดตากลมเป็นนานสองนานอยู่ที่หน้าประตูพระตำหนักตอนบ่ายแก่ยังงั้นเรียกว่าเป็นการทำเจ้ายศเจ้าอย่างล่ะก็...ใช่เลย หล่อนทำ


ตั้งแต่สืบบาทเข้ามาในห้องรับรองพระอาคันตุกะประจำพระตำหนักส่วนกลาง สตรีเบต้าสูงวัยก็ยังคงจับหัตถ์ท่านชายไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าท่านชายจะทรงจางหายไปกับอากาศก็ไม่ปาน คำถามของเธอทำให้ท่านชายแอบลอบพระสรวลน้อยๆ โดยข้างๆ องค์ก็คือ ‘หม่อมสุ่น’ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาอย่างสงบเงียบ พับเพียบเรียบร้อย อยู่ต่ำจากพระเก้าอี้แบบโซฟายาวของท่านชายและหม่อมเอกของวังลงไปหนึ่งระดับอย่างคนเจียมเนื้อเจียมตัว ผิดกันลิบลับกับตอนแรกที่ทรงได้เจอ อีกทั้งวงหน้าหวานๆ ของหล่อนจนถึงบัดนี้ก็ยังคงถอดสีด้วยความยำเกรงท่านชายอย่างเหลือคณา


จะกลัวเกรงอะไรกันนักกันหนานะแม่หนูคนนี้ อย่างกับฉันจะกินเลือดกินเนื้อเอายังงั้นแหละ หล่อนไม่รู้มาก่อนเสียหน่อยว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันจะไปถือสาหาความเอาอะไรจากหล่อนได้ และหารู้ไม่ ฉันออกจะชอบมากเสียด้วยซ้ำเวลาที่ได้พูดคุยกับคนอื่นด้วยคำสามัญเฉกเช่นคนทั่วๆ ไป


โชติภนปรายดวงพระเนตรดาราจ้องมองสบสายตาสตรีสาววัยสะพรั่งที่นั่งอยู่บนพื้นพรม แล้วก็นึกเอ็นดูหล่อนขึ้นมาอีกเป็นลำดับ เพราะถึงจะเป็นหม่อมรองในเสด็จพ่อก็จริงอยู่ แต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาอยู่นั่นเอง หล่อนก็เลยกลัวว่าเจ้าชายหนุ่มที่ไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อนผู้นี้จะทรงรับสั่งฟ้องว่าถูกหล่อนทำหยาบคายอะไรใส่ไว้บ้าง จนอาจจะทำให้หล่อนต้องโดนหม่อมใหญ่เอ็ด...ถึงอย่างไรเสียเด็กๆ ก็ต้องกลัวการถูกดุด่าว่ากล่าวด้วยกันทั้งนั้น


จึงทรงหันไปตรัสตอบกับหม่อมลออเบาๆ ว่า


“อย่าคิดมากเลยค่ะหม่อม ไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้นหรอก หม่อมไม่ต้องขอโทษโชติหรอกนะคะ จริงๆ แล้วโชติเป็นคนขอยืนรออยู่ที่หน้ารั้วพระตำหนักเอง เห็นว่าหม่อมสุ่นเธอไม่รู้ว่าโชติเป็นใครมาจากไหน ก็ไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจ แล้วดูเธอเองก็ไม่ได้ไว้ใจโชติสักเท่าไหร่ด้วย”


หม่อมใหญ่มุ่นคิ้ว สีหน้ายุ่งยากราวกับไม่เชื่อที่ทรงรับสั่ง จึงพยายามไล่เลียงต่อ


“จริงหรือเพคะท่านชาย ไม่ใช่ว่าทรงพระทัยดีพร่ำเพื่ออีกหรอกนา ถ้ามีใครมาทำให้ไม่สบายพระทัยก็รับสั่งกับหม่อมฉันมาตามตรงได้เลยนะเพคะ ไม่ว่าจะบ่าวไพร่ ข้าหลวง หม่อมของเสด็จ หรือกระทั่งท่านหญิงท่านชายองค์ใด หม่อมฉันก็จะเรียกมาขนาบเสียให้เข็ดหราบทีเดียว”


เธอกล่าว สีหน้าจริงจัง แต่เมื่อเห็นว่าท่านชายโชติภนทรงทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทรงมีท่าทีใดๆ ตอบกลับ เพียงแต่แย้มพระสรวลบางๆ ให้เท่านั้น จึงปรายตามองไปยังหม่อมรองร่วมสวามีองค์เดียวกันเป็นเชิงติเตียน


“นางคนนี้ก็ช่างกระไร มีตาแต่หามีแววไม่ ถึงท่านชายตี๋อ้วนจะทรงมีเชื้อจีนมาจากทางฝั่งนางเง็ก…” หม่อมลออกำลังหมายถึงหม่อมแม่ของท่านชาย สมัยที่หม่อมเง็กยังมีชีวิตอยู่ เธอก็เมตตาหม่อมเลือดเจ๊กผู้นี้เสมือนกับเป็นน้องสาวทีเดียว “...ก็จริง แต่หล่อนก็ยังจะอุตริคิดเข้าไปได้ว่าท่านจะเป็นพวกเดียวกับพวกโล้สำเภาพวกนั้น อากงของท่านที่เพิ่งเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า เป็นถึงเถ้าแก่เจ้าของโรงงิ้ว โรงสีข้าว คนขยันขันแข็ง อาบเหงื่อต่างน้ำ จนกระทั่งมั่งมีได้อย่างทุกวันนี้จะเป็นคนใจพาลสันดานหยาบอย่างที่หล่อนว่ามากระไรได้ หล่อนนะหล่อน ปล่อยให้ท่านชายประทับรออยู่ได้เป็นนานสองนาน แดดก็จัดอย่างนี้ ไม่ทรงเป็นลมเป็นแล้งไปก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่ถ้าท่านประชวรขึ้นมาเสด็จจะต้องกริ้วหล่อนมากเป็นแน่ ท่านโชติภนเป็นโอรสองค์โปรดเทียวนา แม่สุ่นเอ๋ย!”


ทรงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าลาดไหล่บอบบางของหม่อมสุ่นสั่นสะท้านเล็กน้อย จากที่กลัวเกรงท่านชายมากอยู่เป็นทุนก็ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก แม้แต่พระพักตร์ก็ยังไม่กล้าเงยมองเพื่อขอพระเมตตา


หม่อมเพศโอเมก้ากลิ่นคล้ายผลไม้ที่ท่านชายไม่ทรงรู้แน่ว่ามันเป็นกลิ่นของอะไรหุบเม้มริมฝีปากแน่น ยกสองมือไหว้ปลกๆ ทูลอย่างละล่ำละลักว่า


“ม...หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่มีใครพูดกับหม่อมฉันเลยสักคนว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาวันนี้ ถ้าหากฝ่าบาทรับสั่งไว้ก่อนล่วงหน้า หม่อมฉันก็คงไม่เข้าใจผิดยังงี้หรอกเพคะ”


โชติภนทรงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องขำมากกว่าจะจริงจังเหมือนอย่างที่หม่อมทั้งสองคนตรงเบื้องพระพักตร์เป็น จึงยื่นวงพักตร์ขาวตี๋เข้าใกล้เพื่อสบตา และตรัสถามอย่างเย้าๆ


“อ้อ หม่อมจะกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของฉันที่ไม่ยอมบอกหม่อมไว้ก่อนว่าจะกลับมาวันนี้งั้นรึ”


พระวาจาของท่านชายทีเล่นทีจริง ถ้าหากมิใช่ในสถานการณ์เช่นนี้หม่อมสุ่นก็คงจะมองได้ว่าทรงเป็นคนทะเล้นพอน่ารัก แต่เมื่อความผิดพลาดที่หล่อนได้กระทำลงไปเป็นเรื่องใหญ่หลวงเสียจนถ้าหากความไปถึงพระเนตรพระกรรณของเสด็จวังจักษุฯ เข้า ก็อาจทำให้หล่อนโดนเด้งออกจากรั้ววังได้ทันที จึงทำให้เจ้าหล่อนแทบจะปล่อยโฮออกมากลางห้องรับรองพระอาคันตุกะ แต่ก็ใช่ว่าท่านชายจะทรงหยุดกระเซ้าโดยง่าย ด้วยพอทอดเนตรเห็นปฏิกิริยายังงั้นก็ยิ่งอยากแกล้งหนักข้อมากขึ้น


ทรงขยับโอษฐ์บางรับสั่งค่อยๆ จนเป็นเสียงกระซิบ แต่ก็พอจะได้ยินกันสามคน


“ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ฉันก็ต้องขอโทษหม่อมด้วยแล้วกันที่ไม่ได้บอกกล่าวกับหม่อมก่อนล่วงหน้า ทำให้หม่อมต้องเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นพวกคนคด ไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้ และยังอาจเป็นขโมยขโจร จนเกือบทำให้หม่อมต้องลำบากโทรศัพท์ไปแจ้งความกับตำรวจเสียแล้ว รวมถึงต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ผิวฉันมันไม่ได้ผ่องแผ้วนพคุณ แต่กลับออกไปทางขาวเหลืองราวกับพวกคนดูดฝิ่นดูดเนื้อ แม้ว่าฉันจะไม่เคยยุ่งกับอบายมุขพวกนี้เลยก็ตาม ส่วนที่หน้าฉันออกเจ๊กสถุลยังงี้ ฉันไม่ขอเถียงแล้วกัน ก็แม่ฉันเป็นคนจีนนี่นา จะให้หน้าไทยอย่างไรไหว อ้อ! แล้วที่ฉันพูดออกไป หม่อมฟังรู้เรื่องบ้างไหม ฉันเองก็พูดไทยไม่ค่อยชัดเสียด้วยซี ก็สำเนียงมันดันไพล่ไปเหมือนพวกฝรั่งตาน้ำข้าวนี่นา”


แค่เพียงเท่านั้น น้ำตาหม่อมสุ่นก็พรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับน้ำตกที่กำลังหลั่นรินทะลักราวกับจะไม่มีวันหยุดไหล จนลำบากพวกบ่าวไพร่ที่กำลังปัดกวาดเช็ดถูอยู่ละแวกนั้นต้องมาหิ้วปีกพาออกไปปลอบโยนกันที่เทอร์เรซหลังพระตำหนัก


ท่านชายโชติภนแย้มพระสรวลน้อยๆ ทอดมองตามอย่างทรงเอ็นดูเป็นนักหนา อาจเป็นเพราะว่าเขาชอบเด็กละมัง โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง ไม่เกี่ยงเพศรอง ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้าก็ดี ขอเพียงเป็นผู้หญิงก็พอ ถ้าหากวันหนึ่งมีลูกขึ้นมาก็อยากมีให้น่ารักน่าชัง ร้องไห้โยเยเก่งๆ เช่นนี้แหละ คงจะชื่นใจน่าดูทีเดียว


หากทว่าพอเหลือบกลับมาสบพระเนตรกับหม่อมใหญ่ที่กำลังจ้องเขม็งอย่างตำหนิติเตียนกัน ท่านชายก็ทรงหุบพระโอษฐ์สนิท แล้วเปลี่ยนเป็นโผเข้ากอดสตรีร่างท้วมตรงเบื้องพระพักตร์ไว้คล้ายกับจะทำประจ๋อประแจ๋กลบเกลื่อน


“หม่อมขา หม่อมแม่ของโชติ...” สตรีเบต้าสูงวัยเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย เพราะชอบนักเวลาที่ท่านชายทรงเรียกเธอว่าแม่อย่างนี้ “หม่อมอยู่ทางนี้สบายดีไหมคะ ไม่ได้พบกันเสียตั้งหลายปี โชติคิดถึงหม่อมเป็นที่สุดเลย”


แล้วก็ได้ผล เมื่อหม่อมลออคลี่ยิ้มอย่างอดกลั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเมื่อไรพระนิสัยปะเลาะปะแหละของท่านชายก็ยังคงน่ารักเสมอ


“เฮ้อ...ถ้าจะให้บอกว่าสบายดี ก็หาใช่เพคะท่านชาย ตามประสาคนเฒ่าคนแก่นั่นล่ะ เจ็บๆ ไข้ๆ บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ดีว่าเมื่อวันก่อนโน้นคุณยายของท่านชายแวะนำยาจีนมาให้ หม่อมฉันก็เลยได้ต้มกิน อาการปวดเมื่อยตามข้อก็ทุเลาลงไปเยอะเพคะ” เธอบ่นกระปอดกระแปด “แล้วท่านชายล่ะเพคะ ทรงสำราญดีไหม พระองค์ชายปิ่นทรงเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเสด็จกลับมาทั้งที ทำไมไม่โทรศัพท์หรือโทรเลขมารับสั่งไว้ก่อน หม่อมฉันจะได้ให้คนรถนำรถยนต์ออกไปรับเสด็จ เอ๊ะ แล้วนี่กลับมาได้อย่างไรกัน รถแท็กซี่อย่างนั้นหรือเพคะ หากเสด็จพ่อทรงรู้เข้าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่”


หม่อมเจ้าโชติภนทำสายพระเนตรปริบๆ และทรงทวีความออดอ้อนมากขึ้นตามลำดับ


“โชติก็เหวยได้ ‘ทมได้ตามปกตินั่นแหละค่ะ เด็จฯ ลุงเองก็ทรงพระเกษมสำราญดี โปรดเขียนไดอารี่เหมือนอย่างเคย ส่วนจะกลับมาได้อย่างไรมันสำคัญด้วยหรือคะหม่อม เด็จฯ พ่อท่านไม่ทรงสนทัยหรอกค่ะ แค่โชติกลับมาให้เห็นหน้าค่าตาบ้างก็ทรงดีทัยจะแย่แล้วละมัง หรือต่อให้ทรงกริ้วขึ้นมาจริงๆ โชติก็มีวิธีทูลขอพระเมตตาหรอกนา หม่อมอย่าได้ห่วงไปเลย”


“ควรมิควรก็แล้วแต่จะโปรดเถอะเพคะ ถ้าท่านชายยืนยันอย่างนั้น หม่อมฉันจะไปทูลอะไรต่อได้ เฮ้อ… ทรงดื้อแพ่งได้เสด็จลุงมาไม่มีผิดทีเดียว ก็เพราะยังงี้ไงหม่อมฉันถึงเคยทูลขอเสด็จท่านไว้ว่าไม่ให้ทรงปล่อยท่านชายไปประทับอยู่กับพระองค์ชายปิ่น” เธอพูดลอยๆ เหมือนอยากบ่นไปอย่างนั้นตามประสาคนแก่ ท่านชายจึงไม่ตรัสตอบ และปล่อยให้เธอได้ทูลถามต่อ “แล้วเสด็จกลับมาคราวนี้จะประทับอยู่นานเท่าใดหรือเพคะ หนึ่งหรือสองสัปดาห์?”


คำถามนี้ทำให้หม่อมเจ้าโชติภนชะงักไปชั่วอึดใจ พระทัยคล้ายกับหวิวไหวไปชั่ววูบหนึ่งเมื่อทรงนึกถึงที่ที่เพิ่งเสด็จจากมา


ป้าพริ้มเคยทูลไว้หนหนึ่งว่าเขาเป็นพวกติดคนอื่นได้ง่าย และเพราะได้เสด็จตามพระปิตุลาไปทุกหนแห่งนั่นแหละ จึงทรงติดท่านมาก ทว่าแต่ก่อนเขาก็ไม่ทรงเห็นด้วยสักเท่าใด เพราะการเป็นพวกลูกแหง่ติดญาติผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่พระชันษาก็ไม่ได้น้อยยังงั้น เกิดรู้ไปถึงไหนก็คงได้อับอายไปถึงนั่น หากแต่ตอนนี้ท่านชายทรงยอมรับแต่โดยดีว่าทรงอาลัยถึงผู้เป็นลุงจับจิต ทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง


เหมือนอย่างครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ก่อนที่เขาจะเสด็จจากเมืองพระนครไป ตอนนั้นเขาเองก็ติดหนึบกับคนๆ หนึ่งอยู่มากเหมือนกัน...ติดจนทรงกลัวขึ้นมาว่าเมื่อเสด็จจากไป สักวันหนึ่งอีกฝ่ายก็จะต้องลืมเลือนกัน...จริงๆ แล้วจนตอนนี้ก็ยังแอบหวั่นๆ เสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายไม่ยอมไปพบไปเจออีกฝ่ายเอง แต่ก็ทรงอิจฉาใครต่อใครไปทั่วที่ได้พบกับเขาคนนั้น และต่างนำความมาทูลบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ‘คุณชายตัวขาว’ เป็นอัลฟ่าที่งดงามมากเสียจนไม่อาจละสายตา กลิ่นกายหอมจรูงจนแม้แต่อัลฟ่าด้วยกันยังเผลอเคลิบเคลิ้ม


...ใครต่อใครมักจะชอบพูดกันว่าครั้งแรกมักยากเสมอ หรือว่าฉันควรรวบรวมความกล้า แล้วไปหาเธอสักครั้งหนึ่งดีไหมนะ ไหนๆ ก็กลับมาอยู่ที่นี่แล้วทั้งที วังของเธอก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อมเท่านั้น แต่ต่างคนต่างโตขึ้นยังงี้ จะไปทำตัวติดหนึบราวกับเป็นตังเมเหมือนอย่างตอนเด็กๆ ก็หาใช่ที่ ถ้ายังงั้นฉันควรต้องทำอย่างไรดีล่ะ หากได้เจอกันอีกครั้ง ครั้นจะยืนบ้าใบ้อยู่เฉยๆ ก็หากใช่ที่อีกเช่นกัน แล้วยิ่งถ้าไปทำตัวเปิ่นเทิ่นมันเทศใส่เข้าล่ะก็ คงได้ขายขี้หน้าแย่


เฮ้อ! ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทำไมพอเป็นเรื่องของพี่ชายอังแล้ว ความมั่นใจก็ราวกับถูกดูดไปจนเกลี้ยง ก็แค่อยากพบหน้าเท่านั้นเอง ทำไมจึงยากนักนะ





(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2020 18:11:47 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ก่อนที่จะฟุ้งซ่านมากกว่านี้ ท่านชายก็ทรงตั้งพระสติ หยุดทุกความคิดเอาไว้ และหันไปตรัสตอบกับหม่อมใหญ่อย่างเรื่อยๆ


“กลับมาคราวนี้คงอยู่เลยค่ะหม่อม แล้วถึงจะได้กลับอังกฤษอีกครั้งก็คงแค่กลับไปเยี่ยมเด็จฯ ลุงเท่านั้น คงไม่ได้อยู่ยาวอีกแล้ว”


นับเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับหม่อมลออ เพราะเมื่อฟังรับสั่งจบเธอก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างลิงโลด ดีอกดีใจเสียยกใหญ่ราวกับว่าได้แก้วตาดวงใจกลับคืนมาไว้ในอ้อมอก ถึงแม้ว่าไม่ใช่ลูกในไส้เธอก็รักก็ถนอมของเธออยู่มาก เร่งเรียกพวกบ่าวไพร่เข้ามารับคำสั่งให้ไปจัดเตรียมห้องหับภายในพระตำหนัก พร้อมกำชับกำชาเสียงเน้นหนักว่าจะต้องเป็นห้องที่ดีที่สุด วิวจากหน้าต่างต้องมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ท่านชายได้ทรงประทับอย่างสำราญ ท่านชายทรงเห็นดังนั้นก็เหนี่ยวรั้งท่อนแขนของหม่อมใหญ่เอาไว้หลวมๆ


“อย่าให้พวกสาวๆ ต้องลำบากกันถึงขนาดนั้นเลยค่ะหม่อม ประเดี๋ยวโชติกลับไปอยู่ตำหนักเดิมก็ได้ ตำหนักหม่อมแม่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เอง เดินเอาก็ถึง อย่างไรเราก็ไปมาหาสู่กันได้สะดวกอยู่ดีนะคะ”


“โธ่! ท่านชาย จะทรงอยู่เข้าไปได้ยังไงองค์เดียวเพคะ ตำหนักแม่เง็กมีคนอยู่เสียที่ไหน พวกนางข้าหลวงญาติพี่น้องแม่เง็กก็ย้ายออกกันไปหมดแล้ว ตำหนักปิดมาเป็นสิบปีอย่างนั้น ไม่รู้ว่าข้างในจะทรุดโทรมลงไปแล้วกี่มากน้อย ต่อให้เร่งบูรณะใหม่ แต่ตำหนักหลังเล็กแค่นั้นก็ไม่สมพระเกียรติหม่อมเจ้าตัวผู้อย่างท่านชายเอาเสียเลย ประทับอยู่ด้วยกันเสียที่นี่แหละดีแล้ว เพราะถึงยังไงต่อไปในภายภาคหน้าพระตำหนักนี้ก็ต้องตกเป็นของท่านชายอยู่ดีนะเพคะ”


ทรงส่ายเศียรอย่างไม่เห็นด้วย


“ไม่ใช่สักหน่อยค่ะหม่อม พระตำหนักส่วนกลางจะตกมาเป็นของโชติได้ยังไงกันคะ พระธิดาเสด็จวังจักษุฯ ลูกสาวของหม่อมก็ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ตามศักดิ์แล้วพี่หญิงผ่องเธอเป็นลูกที่เกิดจากชายาเอก มีสิทธิจะได้พระตำหนักนี้มากกว่าโชติโดยเที่ยงธรรมนะคะ เอ๊ะ หรือว่าเด็จฯ พ่อท่านจะยังทรงกริ้วเรื่องที่พี่หญิงผ่องทรงประกาศหมั้นกับพ่อหนุ่มอัลฟ่าชาวญี่ปุ่นคนนั้นจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว แต่ในงานพิธี เด็จฯ พ่อก็เด็จฯ ไปเป็นพ่องานเลยนี่คะ มิได้หายโกรธไปแล้วหรอกหรือ”


“โฮ้ย! หายเหยได้ที่ไหนกันละเพคะ เรื่องงามหน้าขนาดนั้น จริงๆ เสด็จท่านก็เกือบจะทรงพระทัยอ่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะงานเสกสมรสของหญิงผ่องในอีกสองเดือนข้างหน้าท่านก็ทรงเตรียมการให้ ไหนจะงานเลี้ยงอำลาฐานันดรท่านก็ทรงตระเตรียมไว้ให้อีกเช่นกัน ถึงจะทรงหน้าชื่นอกตรมอย่างไร แต่ท่านก็ยังทรงมีพระเมตตา รับสั่งว่าถึงยังไงหญิงผ่องก็เป็นลูก ตัดไม่ลงดอก แต่แม่ตัวดีก็ยังมาทำเสียเรื่องอีกจนได้ ตอนหมั้นก็ทำขายพระพักตร์มาหนจนเป็นที่ครหาไปทั่วทั้งพระนครว่าเสด็จวังจักษุฯ ทรงไปคว้าเอาพวกต่างชาติไร้สกุลมาเป็นเขย แล้วตอนนี้ก็ยังจะ…”


สตรีสูงวัยสูดลมหายใจลึก ปล่อยให้ถ้อยคำขาดชะงักไปเสียดื้อๆ ทอดสายตามองไปยังบันไดวนแบบฝรั่ง ตรงกลางองค์พระตำหนัก


ก็แลเห็นสตรีสาวเบต้า เจ้าของพระวรกายบางระหง กำลังเสด็จลงมาจากชั้นบนอาคาร ท่าทางมั่นใจ ทรงแต่งองค์เปิ๊ดสะก๊าดด้วยฉลองพระองค์ทันสมัย ฉูดฉาดไปด้วยสีสัน ผัดพระพักตร์นวลผ่อง กรุ่นกลิ่นชื่นใจด้วยน้ำหอมแบรนด์ดังจากประเทศฝรั่งเศส โอษฐ์กระจับแต่งแต้มสีชมพูบานเย็นจัดจ้าน แต่ก็เข้ากันดีกับสีเปลือกเนตรอ่อนๆ และทรงพระเกศาสีดำขลับดัดเป็นลอนใหญ่ที่มองปราดเดียวก็ดูออกได้ว่าทรงทำมาจากร้านระดับไฮโซไซตี้


“แหม พูดถึงก็เด็จฯ ลงมาเทียว” โชติภนปรารภ หยัดองค์ขึ้นประทับยืน และหันไปตรัสกับหม่อมลออ “โชติขอเข้าไปกราบเจ้าพี่หญิงก่อนนะคะหม่อม”


หม่อมลออยืนขึ้นบ้าง คล้องพระกรแน่นหนาของเจ้าชายหนุ่ม ไม่ปล่อยให้ทรงเสด็จดำเนินไปองค์เดียว


“หม่อมฉันเข้าไปด้วยนะเพคะ ช่วงนี้ลูกหญิงเธอกำลังมีปากเสียงอยู่กับเสด็จพระองค์ชายท่าน อารมณ์แปรปรวนหนักเหลือเกิน ท่านชายเสด็จเข้าไปองค์เดียวยังงี้ประเดี๋ยวจะถูกแม่เมียพระอภัยฯ นั่นพาลพาโลใส่เอาได้ ให้หม่อมฉันไปช่วยกันไว้ดีกว่า”


ท่านชายเรียลอัลฟ่าเลิกขนง ทั้งทรงพระสรวลหน่อยๆ ด้วยรู้สึกขบขันไม่น้อย เพราะจริงๆ แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ทรงรับมือกับพระเชษฐภคินีอย่าง ท่านหญิงผ่อง หรือ หม่อมเจ้าหญิงผ่องประภา จักษุ ได้ดีอยู่พอสมควร ทว่าท่านชายก็หาได้ทรงทัดทานหม่อมใหญ่ไม่ เสด็จเข้าไปใกล้ผู้มาใหม่ พระหัตถ์ประณตกราบกรานแทบพระอังสาเล็กบาง


“สวัสดีค่ะพี่หญิงผ่อง แหม วันนี้แต่งองค์สะสวยเทียวนา”


ในบรรดาพี่ๆ น้องๆ ทุกองค์ ท่านชายไม่ทรงสนิทชิดเชื้อกับใครมากเป็นพิเศษ ด้วยเชษฐาและเชษฐภคินีอันดับต้นๆ ทรงมีพระชันษาที่ห่างกันอยู่หลายปีจนเรียกได้ว่าเป็นคนละรุ่น และท่านน้องรองจากท่านชายลงไปหลายองค์ก็ห่างกันร่วมสิบปีทีเดียว จะมีก็แต่ท่านหญิงผ่องเท่านั้นที่ชันษาห่างกันแค่เพียงสองขวบปี ท่านชายก็ทรงกล้าที่จะฉอเลาะไปตามประสาคนช่างปราศรัย ทรงเล่นหัวเล่นหางอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยำเกรง แม้จริงๆ แล้วทั้งสององค์จะศรศิลป์ไม่กินกันมาอย่างยาวนานก็ตาม เพราะพระนิสัยที่แตกต่างกันสิ้นเชิงราวกับเป็นสีขาวกับสีดำ องค์หนึ่งก็ทรงขี้รำคาญเหลือเกิน ส่วนอีกองค์ก็ช่างวอแวจนน่ารำคาญเหลือทน


จะว่าไปท่านหญิงผ่องก็ทรงเหมือนกับท่านพี่องค์อื่นๆ ตรงที่ไม่โปรดอนุชาที่ประสูติจากหม่อมโรงงิ้วมากนัก แต่เธอก็ไม่พาองค์เข้ามายุ่งเกี่ยว ทรงหลบเลี่ยงมากกว่าจะปะฉะดะ ผิดกันกับท่านชายที่ไม่ได้โปรดการปะทะมากนักหรอก แต่ทรงสนุกเมื่อได้เห็นพระปฏิกิริยาฉุนเฉียวของท่านหญิงผ่องเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังเขาอย่างจริงจังเท่ากับพวกท่านพี่องค์อื่นๆ เลยไม่มีบรรยากาศขมุกขะมัวที่ทำให้ท่านชายไม่อยากเข้าใกล้


อย่างในคราวนี้ ถ้าหากเป็นหม่อมเจ้าพี่องค์อื่นๆ ก็คงจะทรงดำเนินหลบไปในทันทีโดยไม่รับสั่งอะไรด้วยแม้สักคำ แต่อย่างน้อยๆ พี่หญิงผ่องก็กลอกพระเนตรงามเป็นวงกลมราวกับทรงเบื่อเต็มกลืน พระสุรเสียงห้วนสั้น ตรัสอย่างค่อนๆ ว่า


“กลับมาแล้วรึ พ่อลูกรัก”


ขนงท่านชายเลิกสูงอย่างยียวน เพราะทรงรู้ทันว่านั่นไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ อีกฝ่ายแค่เพียงต้องการเสียดสีเขาเท่านั้น


ก็เลยยิงพระทนต์ขาวใส่ และทูลกลับอย่างไม่ทรงรู้ร้อนรู้หนาว


“แล้วอ้ายคนที่กำลังยืนเก้งก้างอยู่ตรงหน้าตัวตอนนี้ใช่เขาไหมเล่า หากใช่ก็แปลว่าเขากลับมาแล้วนั่นแหละ ไม่เห็นต้องถาม”


หม่อมเจ้าผ่องประภาดึงพระพักตร์ขรึมใส่คู่สนทนา


“เฮอะ! ยอกย้อนยังไงก็ยังงั้น ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะพ่อ เสด็จลุงท่านไม่ทรงสั่งสอนบ้างเลยหรือว่าอย่าริร่านแก่ความ ประพฤติตามบูรพระบอบ”


“เด็จฯ ลุงท่านทรงสอนแต่เพียงว่าปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง สร้างกุศลอย่ารู้โรย ก็ในเมื่อตัวถามเขามายังงั้น เขาก็ต้องตอบกลับไปตามไมตรีจิตน่ะซิ แต่ขอกระซิบสักนิด เลิกเรียกเขาว่าลูกรักสักทีเถอะ เขาเป็นน้องตัว ไม่ใช่ลูกตัวสักหน่อย เรียก ‘น้องรัก’ ไม่เข้าทีกว่ารึผ่องประภา”


สุรเสียงของหม่อมเจ้าโชติภนนั้นแสนอ่อนหวาน แต่ก็ทรงขยิ่มยิ้มย่องแกมหยันอยู่ในที จนหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาทนระงับพระวาจาไว้ไม่อยู่


“น้องรัก? เรียกให้ระคายปากล่ะไม่ว่า โอ๊ย! น่ารำคาญเสียจริง คนปากเปราะอย่างนี้ฉันพูดด้วยไม่ไหวหรอก ตัวอยากจะกลับ จะอยู่ จะไป จะทำอะไรก็สุดแล้วแต่ตัวเถอะโชติภน ไม่ต้องมาพูดจากับฉัน แค่เด็จฯ พ่อพระองค์เดียวก็ทรงทำฉันปวดหัวอยู่เป็นนิจ เจอตัวอีกคน ฉันต้องฟั่นเฟือนเข้าสักวันแน่ อ้ายลูกเจ๊กเอ๊ย!”


พอได้ฟังรับสั่งเช่นนั้น หม่อมลออที่ปิดปากเงียบอยู่นานก็อดขนาบธิดาของตนไม่ได้


“หยุดประเดี๋ยวนี้เลยนะหญิงผ่อง โกรธหมาดำแล้วมาพาลหมาแดงยังงี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ทะเลาะกับเสด็จพ่อก็อย่ามาพาลลงกับน้อง ท่านชายทรงเข้ามาทักทายปราศัยด้วยดีๆ จะตอบดีๆ กลับบ้าง มันจะตายกระนั้นรึ”


แต่ท่านหญิงผ่องก็ทรงเจริญพระชันษามากจนเกินกว่าจะฟังคำดุด่าของคนเฒ่าคนแก่ เธอจึงกลอกพระเนตรอีกรอบ ทรงเบื่อหน่ายขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ และรับสั่งตัดบท


“หญิงมีนัดกับสายสุดาที่ลานลีลาศ ไม่ว่างมาพาทีด้วยหรอกค่ะ โดยเฉพาะกับ…” ทรงเหลือบมองอนุชาตั้งแต่ปลายเกศา จรดปลายบาท “...เอาเป็นว่าหญิงลาดีกว่าค่ะ วันนี้คงกลับดึกหน่อย หม่อมแม่ไม่ต้องรอหญิงนะคะ อ้อ! แต่ก็คงไม่ออกมารออยู่แล้วละมัง เพราะต้องไปคอยเห่กล่อมพ่อลูกรักสุดสวาทนี่นา อุตส่าห์กลับมาให้ชื่นอกชื่นใจทั้งที เด็จฯ พ่อทรงทราบคงจะครึ้มทัยน่าดูทีเดียว”


หม่อมเจ้าหญิงเบต้าทรงรับสั่งตีฝีพระโอษฐ์กับพระอนุชาเรียลอัลฟ่าต่ออีกสองสามคำก็สบัดพระพักตร์สวยอย่างทรงพ่ายแพ้ เสด็จออกจากประตูพระตำหนักไป โชติภนทอดเนตรมองตามจนลับพระขนองท่านหญิง ก่อนจะสูดลมพระทัยลึกเข้าพระปัปผาสะ* และหันไปตรัสอย่างทีเล่นทีจริงกับหม่อมลออที่กดคิ้วมุ่น มองตามลูกสาวด้วยความขัดอกขัดใจ (*NOTE : ปอด)


“บ้านเรายังอบอุ่นเหมือนเดิมเลยนะคะหม่อม โชติชอบ”


อีกฝ่ายง้างมือตีพระกรท่านชายเบาๆ อย่างปรามๆ ท่านชายยิงพระทนต์กว้าง ไม่ทรงรู้สึกรู้สา


“รับสั่งเล่นไปเรื่อยเลยนะเพคะ พอๆ ปล่อยแม่ผีเสื้อสมุทรนั่นไปเถอะ อารมณ์ร้ายยังงั้น อย่าไปตรัสด้วยให้เสียพระโอษฐ์เลย เสด็จขึ้นไปกราบบาทเสด็จพ่อดีกว่าเพคะ ป่านนี้คงจะทรงได้กลิ่นกฤษณาฟุ้งไปทั่วทั้งพระตำหนักแล้ว น่าจะทรงรอท่านชายอยู่ละมัง”


เมื่อหม่อมใหญ่กล่าวถึงเสด็จพ่อท่านชายขึ้นมาปุบ บรรยากาศตึงๆ ก็ค่อยๆ หย่อนกลายเป็นดีขึ้น หม่อมเจ้าโชติภนทรงรับคำโดยไม่อิดออดอย่างใด และเสด็จดำเนินตามหลังสตรีเบต้าสูงวัยไปหยุดลงที่หน้าห้องทรงพระอักษรที่อยู่บนชั้นสาม แรกเริ่มเดิมทีนั้นเสด็จวังจักษุฯ เคยใช้ห้องนี้เป็นห้องบรรทมของท่านชายเมื่อตอนที่ยังทรงพระเยาว์ ทำเอาท่านพี่ของท่านชายหลายๆ องค์ไม่พอพระทัยกันเป็นอย่างมากเพราะท่านชายเองก็ทรงมีพระตำหนักเล็กๆ สำหรับพำนักอยู่กับหม่อมแม่เง็กอยู่แล้ว แล้วจะต้องมีห้องส่วนพระองค์ภายในตำหนักส่วนกลางไปเพื่อกระไรอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าทัดทานพระประสงค์ของเสด็จพ่อเลยสักองค์เดียว พวกท่านพี่ก็เลยเริ่มกลั่นแกล้งท่านชายผู้น้องที่ไม่ประสีประสาเพื่อเป็นการระบายความขุ่นเคืองแทน


ท่านชายโชติภนทรงแย้มพระสรวลออกมาจางๆ เมื่อนึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยเกือบจะทรงจมน้ำในสระบัวแดงหลังพระตำหนักของเจ้าพี่องค์หนึ่ง


จนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังทรงจำแววตาที่ฉาบความเย็นชาเอาไว้ของหม่อมแม่ของเจ้าพี่องค์นั้นที่กำลังยืนมองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองของตัวตำหนักได้อย่างแม่นยำ หม่อมผู้นั้นทำให้ท่านชายทรงยำเกรงเสียจนพระสติแทบแตกกระเจิงทีเดียว ส่วนเจ้าพี่ของท่านชายก็ทำสีพระพักตร์อิหลักอิเหลื่อ ทรงอยากจะกระโดดลงมาช่วยนั่นแหละ แต่ก็ถูกหม่อมแม่ของท่านรั้งพระกรเอาไว้แน่น ก็อย่างว่าล่ะ ต่อให้จะโกรธจะเกลียดกันอย่างไร แต่น้องก็คือน้องอยู่วันยันค่ำ จะปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตามันก็กระไรอยู่ แต่แล้วความกลัวทั้งหลายแหล่ก็กลับกลายเป็นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจนจับใจอย่างน่าพิศวง เพราะอ้อมกอดของคนที่กระโดดลงมาช่วยเขาเอาไว้ และน้ำเสียงทูลไถ่ถามในตอนที่ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร


“เป็นยังไงบ้างหนุ่มน้อย หนาวไหม ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพี่ช่วยเอง”


ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีคำราชาศัพท์ ไม่มีคำว่า ‘กระหม่อม’ หรือกระทั่ง ‘ครับ’ ต่อท้าย และไม่ได้ทูลเรียกเขาว่า ‘ฝ่าบาท’ หรือ ‘ท่านชาย’ อย่างที่สมควรทำด้วยซ้ำ ทว่าประโยคนั้นมันกลับอ่อนโยนอย่างน่าเหลือเชื่อ จนเพียงได้ทรงนึกถึงขึ้นมาเท่านั้นพระทัยของท่านชายก็สะเทือนไหวรุนแรง ยิ่งพอทรงคิดว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้กันแค่เพียงเท่านี้เอง มิได้อยู่ห่างไกลกันนับพันไมล์ดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ความคิดถึงคะนึงหาอัดแน่นจนล้นออกมาจากพระอุระและเกือบจะทะลายความประหม่าและความหวาดหวั่นต่างๆ ในการที่จะเสด็จไปพบกับอีกฝ่ายอีกครั้งลงได้อยู่แล้ว ทรงอดคิดด้วยความฉงนสงสัยมิได้จนต้องกลับมาทบทวนกับองค์เองอีกครั้งว่ามันเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่กล้าพอที่จะเสด็จไปเจออีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ก็เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแท้ๆ


เหตุใดพระวรกายของเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แปลกประหลาดจนน่ากลัวจะเป็นโรคร้ายอะไรหรือเปล่า


เพียงทรงได้ยินคำว่า ‘ชายอัง’ เท่านั้น พระวรกายก็ทำปฏิกิริยารุนแรงทันใด เริ่มต่อต้าน แต่ในขณะเดียวกันลึกๆ ในใจก็แสนโหยหา


แล้วยังงี้ถ้าหากพวกเขาได้เจอกันก็คงจะ…


อยู่ๆ วงพักตร์ของท่านชายโชติภนก็เสมือนกับว่าถูกสาดใส่ด้วยสีแดงสีแดงระเรื่อ เพราะเพียงแค่คิดว่าองค์เองจะเป็นอย่างไรหากอีกฝ่ายมาอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์


“ท่านชายเพคะ” เสียงเต้นระรัวภายในอุระแข็งแกร่งชะงักขาดไปทันใดเมื่อหม่อมลออทูลเรียกขึ้นมาอย่างนิ่มนวล “เชิญประทับรอตรงนี้สักประเดี๋ยวนะเพคะท่านชาย เดี๋ยวหม่อมฉันจะเข้าไปทูลกับเสด็จท่านให้ก่อนว่าท่านชายเสด็จมาเฝ้า”


โชติภนแย้มสรวลรับ ผงกเศียรช้าๆ ปล่อยให้หม่อมใหญ่เคาะประตูห้องทรงพระอักษร และเปิดเข้าไปหาพระบิดาที่ทรงประทับอยู่ด้านใน


กลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าแค่เพียงจางๆ ด้วยพระชันษาที่สูงวัยมากแล้วของเสด็จพ่อลอยออกมาตามแรงลมจากหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ และปะทะเบาๆ เข้ากับพระนาสิกท่านชายทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงบุคคลที่ทรงคะนึงหาเมื่อสักครู่อีกครั้งหนึ่ง จินตนาการไกลไปถึงกลิ่นเฉพาะกายที่ใครต่อใครว่ากันว่าหอมนักหนา และใบหน้าของอีกฝ่ายที่ใครต่อใครว่ากันว่างดงามนักหนา เพราะจริงๆ ก็ทรงอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่ามันจะสักแค่ไหนกันเทียว และก็ยังทรงอยากรู้ข่าวคราวอีกด้วยว่าไม่ได้พบกันมานานขนาดนี้ อีกฝ่ายจะมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง แล้วตอนนี้จะยังชอบทำขนมเหมือนอย่างเดิมอยู่อีกไหม


ท่านชายคิดอ่านเงียบๆ กับองค์เองโดยยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบด้วยซ้ำ เสด็จพ่อของท่านชายที่ประทับอยู่ข้างในก็ราวกับว่าทรงรู้ทันอย่างไรอย่างนั้น เมื่อพระวาจาของพระองค์ที่กำลังรับสั่งอยู่กับชายาเอกเล็ดลอดออกมาให้ท่านชายทรงได้ยิน


“ฉันได้กลิ่นกฤษณา ตี๋อ้วนมางั้นรึ” แต่หม่อมลออก็ยังไม่ทันจะทูลตอบ ทางฝ่ายสามีของหล่อนก็ทรงตัดบทเสียก่อน “เอาไว้ก่อนเถอะ แม่ลออ ฉันเพิ่งวางสายจากท่านชายสถิตคุณไปเมื่อครู่นี้ พูดคุยกันเรื่องชายอังอยู่นานสองนานทีเดียว ท่านชายสถิตคุณเธอก็เออออกับฉัน เห็นดีเห็นงามด้วยตามประสา มิได้ทัดทานอะไร ฉันเลยเห็นว่าชายอังนั่นล่ะคือคนที่เหมาะสมมากที่สุดแล้ว”


ชื่อของบุคคลที่พระบิดารับสั่งถึงทำให้ท่านชายโชติภนกัดพระโอษฐ์อย่างลืมองค์ ก่อนจะรีบเร่งขยับพระวรกายเข้าไปใกล้ประตูมากยิ่งขึ้นเพื่อจะได้ฟังรับสั่งต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ


“เอ… ท่านชายสถิตคุณทรงเห็นดีด้วย แล้วคุณชายอังเล่าเพคะ เธอเห็นดีด้วยไหม หม่อมฉันเกรงว่าเราอาจจะไปทำให้เธอรู้สึกคลางแคลงใจได้ เพราะลูกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีตำหนิเสียทีเดียว แล้วหม่อมฉันว่าลูกหญิงก็คงไม่ยอมง่ายๆ หรอกเพคะ หัวดื้อออกปานนั้น”


“แล้วแม่ลออเห็นว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้อีกยังงั้นหรือ ก็ในเมื่อลูกของเรามันไม่รักดี ถ้ามันดื้อด้านนักก็คงต้องใช้ไม้แข็งบังคับกันเสียหน่อย เพราะจะปล่อยเลยตามเลยก็กลัวแต่ว่าแม่เจ้าประคุณจะไปทำเรื่องเสื่อมเสียจนอับอายขายขี้หน้ากันทั้งพระวงศ์ขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องชายอังแม่ลออก็อย่าได้กังวล ฉันรู้จักเด็กคนนี้มานานนัก มองไม่เห็นว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาได้เลย ชายอังมันเป็นเด็กดี เรียบร้อย ว่าง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เสียแค่ไม่ร่ำรวยเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่กระไร ยังไงก็ยังเป็นคนดี ขยันขันแข็ง ก็พอวางใจได้ว่าลูกของเราจะไม่ไปตกระกำลำบาก ท่านชายสถิตคุณเลี้ยงหลานคนนี้มาได้ดีทีเดียว มันไม่กล้าขัดใจท่านลุงของมันดอก ถึงจะเป็นแค่หม่อมราชวงศ์ก็ยังนับได้ว่าเป็นขัตติยะ ดีกว่าปล่อยให้นางลูกไม่รักดีไปคว้าเอาพวกจิ๊กโกโร่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เหมือนอย่างที่มันเคยทำเป็นไหนๆ แม่ลออคอยดูเถิด ฉันไม่มีทางปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเป็นหนที่สองแน่”


ท่านชายทรงขบพระทนต์แน่นอย่างสงนสนเท่ห์ ตามไม่ทันว่าพระบิดากำลังรับสั่งกับหม่อมลออด้วยเรื่องอะไรกันแน่


แต่ความคลางแคลงพระทัยก็หมดไป เมื่อหม่อมลออถอนใจออกมาเล็กน้อย และทูลตอบเสด็จวังจักษุฯ ว่า


“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะทัดทานเพคะ จะได้หมดห่วงกันไปเสียที ตอนที่หญิงผ่องประกาศว่าจะหมั้นก็ทำหม่อมฉันเกือบอกแตกตายมาแล้วหน ยิ่งเห็นท่าทีพระคู่หมั้นด้วยแล้ว ขิงก็รา ข่าก็แรงอย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันรอดอย่างไรไหว คิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเลิกหมั้นกันเข้าสักวันจนทำอื้อฉาวไปทั่วทั้งพระนครยังงี้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้อีกว่าลูกจะขายไม่ออกเพราะเป็นหม้ายขันหมากแบบนั้น ใครเขาจะอยากมารับเอาไปเป็นเมีย ถ้าหากคุณชายอังเธอไม่ติดใจเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของลูกหญิงเพคะ จะให้หาคนที่พระยศเท่ากันหรือสูงกว่ามาเสกสมรสด้วยตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครอยากได้แล้ว


ท่านชายพระวรกายนิ่งงันคล้ายกับโดนสาป ความยุ่งยากบางอย่างก่อขึ้นมาในพระหฤทัย


“เฮ้อ! จริงๆ ฉันเองก็ไม่อยากพูดอย่างนี้หรอกนะแม่ลออ แต่ลูกเธอมันเป็นนางแพศยา ก่อนจะหมั้นก็ควงคนนั้นทีคนนี้ทีไม่ซ้ำหน้า หัวกระไดงี้ไม่เคยจะได้แห้ง เปลี่ยนคนขับรถรับส่งทุกๆ สองวันจนคนเขานินทาว่าร่านกันไปทั่วทั้งพระนคร ก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละที่ให้ท้ายมันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จงรู้ไว้เสียด้วยนาว่าถ้าไม่ใช่ชายอังก็ไม่มีใครยอมมากู้หน้าให้เราอีกแล้ว”


“พิโธ่...หม่อมฉันก็ไม่ได้ตามใจลูกเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้วนะเพคะ พระองค์ชาย”


“แล้วมันทันรึ เบิกตาดูซิ”


หม่อมเจ้าชายเพศเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาไม่ทรงสนพระทัยอีกแล้วว่าพระบิดากับชายาเอกของพระองค์จะรับสั่งเถียงอะไรกันต่อ คำว่า “เสกสมรส” ที่ทรงได้ฟังทำให้พระกรรณคล้ายกับดับวูบลงไปทันใด พร้อมทั้งทรงรู้สึกเหงาหงอยขึ้นมาอย่างจับใจโดยไร้สาเหตุ


เขาไม่รู้เลยว่าทำไมถึงรู้สึกคล้ายกับว่า ‘พี่ชายอัง’ กำลังจะหลุดลอยออกไปอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่การแต่งงานระหว่างอีกฝ่ายกับท่านหญิงผ่องคือการดองสองพระสกุลเข้าด้วยกัน ยิ่งถ้าหากอีกฝ่ายแต่งเข้ามาอยู่ในวังจักษุภิรมย์ล่ะก็ มันก็หมายความว่าพี่ชายอังจะได้ใกล้ชิดกับเขามากยิ่งขึ้นไม่ใช่หรือ


...แต่ก็เหงาเหลือเกิน





(โปรดติดตามตอนต่อไป)


#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 00:14:18 โดย doubleM »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โธ่ ท่านชายโชติคงต้องร้องเพลง... ฉันต้องทำ ทำอะไรสักอย่างแล้ว~~~ แล้วล่ะค่ะ

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๑.๓
ยอยศพระลอ



ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว แต่อังควราก็ยังคงระลึกถึงอยู่ทุกคืนวันว่าท่านพ่อฉันทิตของเขาโปรดการทรงดนตรีมากกว่าทุกสิ่ง

ท่านพ่อของคุณชายอังทรงดนตรีได้มากมายหลากหลายชนิด และหลายๆ อย่างก็ถ่ายทอดมาถึงโอรสธิดาของท่านด้วยเช่นกัน หากทว่าคนที่ได้รับพรสวรรค์ทางด้านนี้ไปเต็มๆ กลับเป็นคุณชายจันทน์ที่แทบจะไม่มีความทรงจำร่วมกับพระบิดาเลยสักกระผีก

คุณชายยังคงจำได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านพ่อฉันทิตประทับอยู่ที่หน้าแกรนด์เปียโนชั้นเลิศของท่านอันเป็นของที่ทรงรักทรงหวงแหนมากนักหนา บรรดาข้าหลวง โอรส ธิดา หม่อมแม่ หม่อมย่า รวมไปถึงท่านลุงสถิตคุณและหม่อมอีกหลายๆ คนของท่านเว้นหม่อมเอกก็มักจะมาคอยรับชมมหรสพกันอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่เสมอ และเมื่อการแสดงได้จบลง ทุกๆ คนก็จะมีสีหน้าแช่มชื่นมากยิ่งขึ้นราวกับได้ปลดปล่อยความเครียดขมึงที่ต้องพบเจอภายในแต่ละวันออกไป สร้างรอยแย้มพระสรวลแห่งความปีติยินดีให้แก่ท่านพ่อที่มักจะรับสั่งอย่างเนืองๆ ว่า

“บ้านที่ร้อนเป็นไฟจะทนอยู่ได้อย่างไรไหว หากขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านก็ควรจะมีแต่ความสุขมิใช่รึ นี่แน่ะเจ้าอัง จำคำพ่อไว้ให้ดี คนอยู่บ้านเดียวกันต้องมิตรจิตมิตรใจจึงจะอยู่ด้วยกันจนตลอดรอดฝั่ง”

ท่านพ่อของคุณชายอังควราทรงมีพระนิสัยร่าเริงแจ่มใส เมื่อใดที่ได้เอ่ยพระนามท่านขึ้นมาผู้คนก็มักจะนึกไปถึงบุรุษเพศเบต้ารูปร่างผอมบาง หน้าตาใจดี มีรอยยิ้มสดใสเปื้อนบนใบหน้าเสมอ ดังนั้นจึงไม่เห็นแปลกกระไรที่ท่านจะเปรียบเสมือนกับเป็นกล่องดวงใจของวังเทวพงษ์พิศาล ทำให้เมื่อทรงสิ้นชีพิตักษัยไปแล้ว วังก็คลับคล้ายกับว่าสิ้นชีพตามลงไปด้วย...มันทั้งเงียบเหงา ทั้งไร้ชีวิตชีวา จนทำให้หม่อมย่าของคุณชายเองก็ทนอยู่ต่อไม่ไหว และลาจากโลกไปหลังสิ้นลูกชายองค์เล็กได้เพียงไม่กี่เดือน

นับแต่การสูญเสียของสองดวงใจสำคัญ ผู้คนภายในวังก็เหมือนกับถูกสาปให้ไร้ความสุขไปจนนิรันดร์กาล โดยเฉพาะภายในองค์พระตำหนักใหญ่ที่นอกจากจะเงียบสงัดเป็นปกติแล้ว หน้าต่างบานเกล็ดเกือบทุกบานในอาคารก็ถูกปิดไว้จนทึบ ให้ความรู้สึกหม่นหมองคล้ายกับอยู่คุกมืด กอปรกับภายในอาคารก็อับแสงจนชวนให้รู้สึกหายใจได้ไม่ปลอดโปร่งเท่าใดนัก ทั้งยังส่งกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์ออกมาเล็กน้อย ผสมปะปนไปกับกลิ่นกำยานอันเป็นกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าจางๆ ของหม่อมเจ้าสถิตคุณลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ แต่ก็เหมือนว่าคนที่นี่ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใด

ร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์เพศอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาเดินเลียบๆ เคียงๆ ไปตามกำแพงหลังอาคารทาสีเหลืองอ่อน ตามมุมตามหลืบของตึกมีซากวัชพืชเกาะให้เห็นอยู่ประปราย ก่อนจะชะงักปลายเท้าลงที่หน้าทางเข้าด้านหลังสำหรับพวกบ่าวไพร่บริวาร แม้ว่าจะเป็นถึงคุณชายโอรสของหม่อมเจ้า แต่เขาก็มักจะใช้ทางนี้เข้าออกเป็นประจำเวลาท่านลุงโปรดให้มาเข้าเฝ้าเพราะไม่อยากยุ่งยากใจกับบรรดาเจ้านายช่างแซะบนพระตำหนัก

อังควราลอบถอนหายใจทั้งๆ ยังไม่ทันก้าวพ้นธรณีประตูด้วยซ้ำ เขาปรายหางตางามไปยังเรือนไม้สักสีน้ำตาลไม่ใกล้ไม่ไกล ทีแรกก็คิดว่าจะแวะพักหายใจหายคอและทักทายปราศรัยที่นั่นเสียก่อน ด้วยเป็นที่พำนักอาศัยของหม่อมอีกคนหนึ่งของท่านชายสถิตคุณที่คุ้นเคยกันดี และสหายอย่างธิดาอัลฟ่าที่เกิดจากหม่อม แต่พอเหลือบมองนาฬิกาบนหลังข้อมือ ก็เปลี่ยนใจเร่งสืบเท้ามาเข้าเฝ้า เพื่อจะได้ไม่ต้องปะทะกันกับพวกคุณหญิงคุณชายของพระตำหนักใหญ่ที่อาจจะยังไม่กลับมาจากทำงาน

ประตูด้านหลังพระตำหนักไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ดังเช่นทุกครั้ง คุณชายร่างขาววิสาสะเปิดแง้มเข้าไปอย่างเงียบเชียบราวกับกลัวเกรงว่าคนทั้งอาคารจะตื่นตัวจากการหลับใหล ถ้าหากเป็นในยามวิกาลก็คงไม่กระไร แต่ในช่วงเวลาแบบนี้บุคคลที่คุณชายไม่อยากพบเจอมากที่สุดก็มีเพียงแค่ไม่กี่คน

...แต่ก็เป็นไม่กี่คนที่สำคัญกับวังนี้มากทีเดียว

อังควราค่อยๆ เยื้องย่างพาร่างสูงราวๆ ร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรเข้ามาจนถึงบันไดหินอ่อนแบบยุโรปกลางอาคาร ปราศรัยเรื่อยๆ เรียบๆ กับสาวเบต้ารับใช้ที่กำลังเดินอย่างสำรวมยกสำรับเครื่องว่างสวนลงมาพอดี

“ฉันมาเฝ้าท่านลุง คุณหญิงคุณชายยังไม่กลับกันมาใช่ไหม”

จะเป็นหญิงหรือชาย เบต้าหรือโอเมก้า ถ้าหากได้ชื่อว่าเป็นบริวารบ่าวไพร่อยู่ในวังเทวพงษ์พิศาลก็จะนุ่งได้เพียงผ้าสีพื้นๆ อย่างสีดำหรือสีกรมท่าเท่านั้น เสื้อก็ต้องเป็นเสื้อคอกระบอกสีขาวล้วน ไร้ลวดลายใดๆ แต่งแต้ม และห้ามอย่างเด็ดขาด มิให้สวมเครื่องประดับแม้สักชิ้น อนุโลมได้ก็เพียงแต่สร้อยพระและสายสิญจน์เท่านั้น ตามกฎวังที่หม่อมเอกของท่านลุงของคุณชายเป็นผู้ตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมดูแลความเรียบร้อย และสาวเบต้ารับใช้ผู้นี้ก็ดูจะปฏิบัติตามกฎเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดมากทีเดียว ผมเผ้าของหล่อนเกล้าเป็นมวย หวีเรียบแปล้ ไม่กระเซอะกระเซิงรุงรังอย่างที่นายหญิงตำหนักนี้ชอบไม่มีผิด

หล่อนค้อมศีรษะน้อยๆ ทักทายคุณชายอัง และเอ่ยตอบเสียงค่อย แต่ก็พอจะได้ยินกันสองคน

“คุณชายโตกับคุณชายกลางยังไม่กลับกันมาเลยเจ้าค่ะคุณชาย ส่วนคุณหญิงเล็กกลับมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็พักผ่อนอยู่บนห้องนอน สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนจนกว่าจะถึงเวลาทานเย็น เอ่อ… แต่ถ้าคุณชายจะขึ้นไปเฝ้าท่านชาย ค่อยๆ เดินดีกว่านะเจ้าคะ หม่อมท่านกำลังพักผ่อนอยู่ลีฟวิ่งรูม น่าจะไม่ทันได้สังเกต”

พออังควราได้ฟังดังนั้นก็ผงกหัวเบาๆ ระบายรอยยิ้มจางๆ ให้อีกฝ่ายเล็กน้อย และไม่ได้พูดจาโต้ตอบกันต่อ แต่ก็หาใช่เรื่องประหลาดใจอะไร คนรับใช้ที่นี่ต่างก็รู้กันดีว่าโอรสคนนี้ของหม่อมเจ้าฉันทิตไม่ใช่พวกชอบเจ๊าะแจ๊ะกับใครสักเท่าใดอยู่แล้ว ถ้าเจ้าตัวเกิดเปิดปากพูดอะไรยาวๆ ขึ้นมาก็รู้ได้เลยว่านั่นต้องเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในบางคราว เห็นขยับปากพูดไปได้เพียงแค่สามสี่คำก็หยุดชะงักลงดื้อๆ ราวกับนึกเรื่องจะเอื้อนเอ่ยต่อไม่ถูก

ส่วนคุณหญิงเพ็ญสินีพี่สาวคนโตเองก็เห็นจะไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก จะมีก็เพียงแค่น้องชายคนสุดท้องอย่างหม่อมราชวงศ์จันทน์เท่านั้นที่ผิดกันอย่างลิบลับจนบ่าวไพร่บริวารทั่งวังพากันเรียกว่า ‘คุณชายต่อยหอย’ ทีเดียว

แต่จริงๆ แล้วหากต้องเปรียบเทียบอุปนิสัยใจคอของสามพี่น้องหม่อมราชวงศ์แสนอาภัพก็ไม่อาจรู้แน่ว่าเป็นเพราะคุณหญิงเพ็ญสินีกับคุณชายอังควราตั้งตนอยู่บนครรลองคลองธรรมมากจนเกินไปเพราะผ่านการสูญเสียบิดามารดาผู้เป็นที่รักยิ่งมาในตอนที่ยังจำความได้ หรือคุณชายจันทน์ที่แสนร่าเริงสดใสอยู่เสมอเพราะไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวสาหัสสากรรจ์มากเพียงนั้นมาก่อน จนทำให้เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุขมาโดยตลอด ไม่มีพ่อแม่ก็ไม่ขาดกระไรเพราะพี่สาวกับพี่ชายก็ไม่เคยขาดตกบกพร่องเสมือนว่าเป็นบุพการีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหากไม่ใช่เหตุจำเป็นท่านชายสถิตคุณก็ไม่ทรงมีธุระปะปังจะต้องเรียกนัดดาให้มาเฝ้าบ่อยมากนัก ถึงจะอยู่ในอาณาเขตวังเดียวกัน แต่ลุงหลานก็เคยไม่ได้พบหน้ากันร่วมปี ที่เพิ่งจะตามเสด็จไปเมืองอังกฤษมาร่วมสัปดาห์นั่นถือเป็นการพบพักตร์กันครั้งแรกในรอบสองปีทีเดียว จึงไม่แปลกที่คุณชายจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ได้ขึ้นมาบนพระตำหนักใหญ่คือเมื่อใด ถ้าหากว่าโชคดีทุกอย่างก็จะเป็นไปโดยราบรื่น เพียงแค่เข้าเฝ้าและกลับออกไปตามลำดับ แต่หากโชคร้ายคุณชายก็ไม่อาจจะเดินเลี่ยงพ้นสายตาเฉียบคมผิดกับสภาพร่างกายที่เริ่มเข้าสู่วัยชราภาพแล้วของเจ้าของอาคารอีกคนอย่างใดได้

อย่างเช่นคราวนี้ที่ยังไม่ทันได้ก้าวไปถึงห้องทรงงาน ซึ่งอยู่ไกลออกไปจนติดเฉลียงชั้นสองของอาคารก็ได้ยินเสียงเรียกดังก้องขึ้น

“ชายกลางรึ”

ถึงมี ‘รึ’ อยู่ต่อท้าย แต่อังควราก็ไม่ได้มีช่องโหว่ให้อ้าปากตอบ อีกฝ่ายมักว่องไวกว่าเสมอ อย่างในครั้งนี้ก็คงจะมองเห็นเงาลางๆ ผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้กระมัง ก็เลยเดาได้ทันทีว่าไม่ใช่ลูกชายเธอคนใดคนหนึ่งแน่ ด้วยหุ่นห้างของคุณชายกลางจะออกพ่วงพี หนาเตอะ เทอะทะ ท่วงท่าการเดินเหินก็อุ้ยอ้าย มิได้มีสง่าราศีเท่า

ส่วนคุณชายโตยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเธอเลย เพราะนอกจากรูปร่างจะไม่แตกต่างไปจากน้องชายแล้ว ลำตัวก็ยังเตี้ยสั้นเป็นมะขามป้อมข้อเดียวอีก

“ชายจันทน์? อ้อ… จริงด้วยซิ เรื่องนั้นนี่นา งั้นก็คงจะเป็นชายอัง...เข้ามานี่”

คำสั่งจาก ‘หม่อมเปี่ยม เทวพงษ์พิศาล ณ อยุธยา’ หม่อมชายาเอกของหม่อมเจ้าชายสถิตคุณมักจะกระชับ ห้วนๆ สั้นๆ หากแต่ทรงพลัง เพราะเจ้าตัวไม่เห็นความสำคัญว่าจะต้องพูดเวิ่นเว้อยืดยาวไปเพื่อการใด ในเมื่ออย่างไรเสียผู้ฟังก็ต้องทำตามสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว

และเธอก็ไม่ได้คำนึงถึงอีกด้วยว่าถ้าหากคุณชายอังควราเข้าเฝ้าท่านชายสถิตคุณช้าไปมากกว่านี้ก็อาจจะถูกบริภาษเอาได้ นั่นไม่ใช่ธุระกงกานอะไรของเธอ เป็นคุณชายเองนั่นล่ะที่จะต้องไปทูลขออภัยโทษเอาเองโดยที่ก็ไม่มีสิทธิพาดพิงมาถึง

ถ้าหากคุณชายทูลฟ้องออกไปว่าเป็นเพราะ ‘ป้าเปี่ยม’ เรียกรั้งเอาไว้ ‘ป้าเปี่ยม’ ก็จะแว้งกลับมาหาเรื่องหาความย้อนหลังได้ว่าจะพูดจะจาอะไร ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เสียบ้างเลย คุณชายถือขนบเป็นสิ่งสำคัญ ถึงหม่อมเปี่ยมจะไม่ได้เมตตาเขามากนัก แต่ผู้ใหญ่ในบ้านก็เปรียบเสมือนพระที่จะต้องคอยกราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ดีกว่าทำตัวแข็งข้อจนทำให้บ้านร้อนเป็นไฟ

ภายในห้องนั่งเล่นของหม่อมเปี่ยมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหมากพลูยาเส้น ทั้งยังมืดสลัว มีเพียงแค่แสงเรืองๆ จากโคมไฟดวงเล็กๆ เท่านั้นที่ช่วยสาดส่องให้มองเห็น

หม่อมเปี่ยมไม่เหมือนกับหม่อมป้าพเยาว์ของเขาจนสามารถเรียกได้ว่าแตกต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน เธอเป็นคนเก็บตัว ผ้าผ่อนทุกชิ้นที่สวมใส่มักเป็นสีเรียบๆ ที่คุณชายเห็นบ่อยมากที่สุดก็คือสีขาวกับดำ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังไว้ทุกข์อยู่ตลอด

ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ใบหน้าตอบผอมที่โรยราไปตามอายุก็เคร่งเครียด อมทุกข์ มองแล้วไม่ชวนให้รู้สึกจรรโลงใจ สีสันที่คุณชายสังเกตได้เพียงอย่างเดียวบนวงหน้าเหี่ยวย่นซีดเซียวนั้น เห็นจะเป็นรอยน้ำหมากแดงๆ บนริมฝีปากบางนั่นละมัง

ร้อยตำรวจเอกอังควราลอบถอนหายใจเบาๆ เดินถอยหลังกลับมาอย่างเสียมิได้ แง้มประตูห้องนั่งเล่นหม่อมเปี่ยม ทรุดกายคุกเข่าคลานเข้าไปอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะหม่อมเป็นผู้ลากมากดีเก่า ไม่ชอบให้ผู้ใดทำกระเปิ๊บกระป๊าบเสียงดังต่อหน้า เพราะเธอจะเอ็ดเอาว่าเป็นถึงคุณชายลูกเจ้าลูกนาย แต่กลับทำตัวเป็นเจ๊กตื่นไฟราวกับพวกไร้การอบรม

บัดนี้วินาทีแห่งความอึดอัดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คุณชายร่างขาวนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นพรม ข้างๆ ตั่งไม้สักแบบไทย เพราะถึงองค์พระตำหนักจะได้อิทธิพลมาจากทางฝั่งยุโรปก็ตาม แต่เครื่องเรือนแทบทุกชิ้นในอาคาร ท่านลุงโปรดให้ใช้เครื่องเรือนไทยแทบทั้งหมด เว้นแต่ภายในห้องนอนของ ‘น้องหญิงเล็ก’ ที่นำเอาเครื่องเรือนหลุยส์เข้ามาตกแต่งผสมผสานอยู่บ้างเป็นบางชิ้น

อังควราก้มหน้านิ่งเงียบ อย่าว่าจะสบสายตากัน แค่จะหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้า สตรีเบต้าสูงวัยตรงหน้าไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานหลายนาที อีกฝ่ายก็ยังห่วงแต่จะเจียนหมากจีบพลูอยู่อย่างนั้นราวกับไม่คิดว่าหม่อมราชวงศ์ผู้เป็นนัดดาในสวามีของตัวเองจะมีธุระปะปังต้องรีบไปทำต่อ

ลำตัวของหม่อมเปี่ยมผอมบางซูบเซียว ผมหงอกขาวขึ้นเต็มหัวจนแทบไม่เหลือเส้นสีดำให้มองเห็น สภาพกายภาพนอกดูคล้ายกับคนป่วยกระเสาะกระแสะ แต่กลับมีบารมีอันยิ่งใหญ่ และมีความน่าเคารพยำเกรงอยู่เสมอ คุณชายอังควราทราบเป็นอย่างดีเลยว่าแม้หม่อมเจ้าชายสถิตคุณจะเป็นประมุขของวังนี้โดยชอบธรรมก็ตาม แต่ในความเป็นจริงท่านก็หาได้มีบทบาทสักกี่มากน้อย เพราะทรงยกหน้าที่สั่งการบริวาร รวมถึงจัดการดูแลสารทุกข์สุกดิบคนในให้กับ ‘ป้าเปี่ยม’ ทั้งหมด ถ้าหากจะมีใครสักคนที่กล้าต่อปากต่อคำด้วย จนสร้างความทึ่งให้หลายๆ คนได้ยลมาแล้ว ก็เห็นจะเป็นหม่อมราชวงศ์จันทน์แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ในท้ายที่สุด คนที่ถูกเรียกไปขนาบว่าทำไมไม่รู้จักอบรมให้น้องชายเป็นมันผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง จะเป็นพี่ชายอย่างอังควราและพี่สาวอย่างคุณหญิงเพ็ญสินีก็ตามที

สตรีเบต้าร่างผอมซูบทอดมองหลานชาย แววตาฉาบความเฉยเมยเหมือนอย่างทุกทีขณะที่กำลังส่งหมากและพลูเข้าปากตามลำดับ เคี้ยวหยับๆ แต่ก็ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาได้ สักพักใหญ่ๆ ก็ส่งเสียงเรียบเรื่อย ทว่าก้องกังวานชวนใจกระตุกวูบว่า

“ถูกเรียกให้มาเฝ้าถึงที่ยังงี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน”

จังหวะนี้ล่ะ คุณชายอังควราสบโอกาสค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหาอีกฝ่าย มิเช่นนั้นอาจจะถูกหม่อมป้าติเตียนเอาได้ว่าเวลาผู้หลักผู้ใหญ่พูดจาด้วยไยจึงไม่ยอมมองหน้าท่านราวกับปล่อยท่านให้พูดกับลมกับฟ้าเหมือนคนเสียสติไปยังงั้น ถึงคุณชายจะรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวกทุกครั้งเวลาอยู่กับ ‘ป้าเปี่ยม’ แต่เขาก็สามารถรองรับอารมณ์ไม่คงที่ของอีกฝ่ายอย่างได้ดีเยี่ยมทีเดียว จนเรียกว่าดีเสียยิ่งกว่าลูกๆ ของหม่อมเองด้วยซ้ำ
มน่าเคารพยำเกรงอยู่เสมอ คุณชายอังควราทราบเป็นอย่างดีเลยว่า แม้หม่อมเจ้าสถิตคุณจะเป็นประมุขของวังนี้โดยชอบธรรม แต่ในความเป็นจริง พระองค์ก็หาได้มีบทบาทสักกี่มากน้อย ด้วยทรงยกหน้าที่สั่งการบริวาร รวมถึงจัดการดูแลสารทุกข์สุกดิบคนในให้กับ ‘ป้าเปี่ยม’ ทั้งหมด ถ้าหากจะมีใครสักคนที่กล้าต่อปากต่อคำด้วย จนสร้างความทึ่งให้หลายๆ คนได้ยลมาแล้ว ก็เห็นจะเป็นหม่อมราชวงศ์จันทน์แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ในท้ายที่สุด คนที่ถูกเรียกไปขนาบว่า ทำไมไม่รู้จักอบรมให้มันเป็นผู้เป็นคนเสียบ้าง จะเป็นพี่ชายอย่างอังควราและพี่สาวอย่างคุณหญิงเพ็ญสินีก็ตามที

สตรีเบต้าร่างผอมซูบทอดมองหลานชาย แววตาฉาบความเฉยเมยเหมือนอย่างทุกที ขณะกำลังส่งหมากและพลูเข้าปากตามลำดับ เคี้ยวหยับๆ แต่ก็ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดได้ สักพักใหญ่ๆ ก็ส่งเสียงเรียบเรื่อย ทว่าก้องกังวานชวนใจกระตุกวูบว่า

“ถูกเรียกให้มาเฝ้าถึงที่ยังงี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน”


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 00:34:01 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ท่านลุงของตัวทรงกำลังคิดการใดอยู่ก็หารู้ไม่ ถึงตกปากรับคำไปกับเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ ได้ง่ายดายเพียงนั้น”

คุณชายไม่โต้ตอบตามปกติ และปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“ทรงคิดจะให้นัดดาขององค์เองไปตบแต่งกับคนอย่างนั้นได้เทียวหรือไร ถึงยังไงฉันก็รับคนพรรค์มาเป็นหลานสะใภ้ให้สนิทใจไม่ได้ดอกนา แค่คิดว่าต้องใช้พระสกุลร่วมกันก็อยากจะตายๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดเสีย ต่อให้ทางนั้นจะเป็นถึงท่านหญิงก็เถอะ ตัวรีบไปทูลปฏิเสธท่านลุงของตัวประเดี๋ยวนี้ชายอัง ฉันสั่ง”

คุณชายนิ่งอั้น คิดตรองกับตัวเองเงียบๆ เพราะจริงๆ แล้วเขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าท่านลุงทรงมีพระประสงค์จะให้เขาไปตบแต่งกับผู้ใด แต่ที่รู้แน่ตอนนี้คือ ‘ป้าเปี่ยม’ ไม่เป็นปลื้มกับว่าที่หลานสะใภ้คนนี้อยู่มากโข คุณชายคิดไปเองว่าอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกผู้ดีตีนแดงมาจากไหนหรือไม่

เปล่า… ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ เมื่อครู่สตรีเบต้าสูงวัยเพิ่งจะเอ่ยว่า ‘ท่านหญิง’ ออกมา ซ้ำยังพาดพิงไปถึง ‘เสด็จวังจักษุฯ’ อีกด้วย น่ากลัวว่าคู่คลุมถุงชนของเขาอาจเป็นธิดาองค์ใดองค์หนึ่งในเสด็จกระมัง แต่พอคิดได้อย่างนั้นก็ทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นปม ระคนความยุ่งยากใจมากขึ้นอีกหนึ่งระดับ คิดไม่ตกว่าจะเป็นเช่นนั้นอย่างใดได้ เสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ จะทรงยกพระธิดาให้แก่เขาที่มียศต่ำศักดิ์กว่าเทียวหรือ

คุณชายอังกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะแข็งใจตอบกลับเสียงนิ่ม “หากเป็นพระประสงค์ของท่านลุง ผมจะเอ่ยปากขัดพระทัยท่านอย่างใดได้หรือครับป้าเปี่ยม ท่านอาจกริ้วเอาได้”

“กริ้วแล้วปะไร!”

อังควราลอบสะดุ้งตกใจ เมื่อเสียงเข้มกังวานของหม่อมเปี่ยมเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขากำลังจะถูกเอ็ด

“ตัวเองก็มิได้เต็มอกเต็มใจจะแต่งเลยสักนิดแท้ๆ แต่จะกล้าขัดพระทัยท่านรึก็ไม่ ดีมากเท่าใดแล้วที่ชายโตกับชายกลางแต่งงานแต่งการไปเสียได้ตั้งแต่ปีก่อนโน้น ไม่ยังงั้นก็คงหนีไม่พ้นลูกชายฉันละมังที่ต้องไปช่วยแก้ไขเรื่องงามหน้าจนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วทั้งพระนครให้กับพวกวังนั้น นี่แน่ะชายอัง ถ้าจะตบจะแต่งกันจริงก็ไสหัวออกไปจากวังของฉันเสีย ประเดี๋ยวตัวเสนียดจัญไรมันจะมาติดวัง จนเสื่อมเสียถึงพระเกียรติท่านชาย รวมถึงคุณหญิงคุณชายลูกๆ ของฉันได้!”

ความเงียบครอบงำอีกรอบเมื่อหม่อมเปี่ยมหยุดชะงักลง และยกกระโถนขึ้นมาบ้วนน้ำหมากทิ้งด้วยท่วงท่าโอนอ่อนอย่างลูกผู้ดีแท้ แต่แววตาที่มองคุณชายก็ยังเคลือบไว้ด้วยความฉุนเฉียว

คุณชายเกือบย้อนถามกลับเสียแล้วว่า “ข่าวครึกโครมอะไรกัน เรื่องงามไหนที่ไหนหรือครับป้าเปี่ยม” แต่ก็จำต้องกลืนทุกถ้อยคำที่ต้องการพูดลงคอไปจนหมดเพราะถ้าเปิดปากถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบดีๆ กลับมาแน่ๆ มีแต่จะถูกเกรี้ยวกราดใส่หนักข้อขึ้น

“ท่านหญิงผ่องประภาน่ะรึ รูปสวยมากก็เห็นจริง แต่ก็สวยเพียงรูปเท่านั้นล่ะ ขืนปล่อยตัวไปแต่งกับเมียยังงั้นเข้าก็รังแต่จะพากันฉิบหายลงเรื่อยๆ ละไม่ว่า ท่านหญิงเองก็ปะไร ทั้งๆ มีผู้คนนบนอบบังคมทูล เรียกฝ่าบาททุกถ้อยคำ ไม่โปรดหรือไรกันนะ ก่อนจะทำสิ่งใดจึงไม่ทรงตรึกตรองให้ดีเสียบ้างว่าพ่อขององค์ทรงเป็นถึงพระราชโอรส และองค์ก็เป็นพระราชนัดดา ชาติกำเนิดเป็นถึงเจ้า ทรงทำองค์อย่างไพร่สถุล หากมีลูกมีหลานสืบต่อไปก็คงเชื้อไม่ทิ้งแถว ได้กลายเป็นไพร่ในคราบเจ้ากันไปหมดเสียกระมัง”

หม่อมราชวงศ์อังควราได้รับคำตอบเดี๋ยวนั้นเองว่าใครคือว่าที่เจ้าสาวของเขา พร้อมด้วยภาพหญิงสาวรูปร่างหน้าตาพริ้งเพราสะสวย เจ้าของเรือนร่างเพรียวระหงที่วาบสว่างขึ้นมาในดวงนิมิต เพราะเคยได้พบกันอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนยังเยาว์วัย และเมื่อโตขึ้นมาก็ได้พบกันตามงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่ญาติวงศ์ แต่ก็ไม่เคยสบโอกาสได้พูดจาปราศรัยกันเลยสักที จึงไม่อาจตัดสินได้เต็มปากนักว่านอกจากความงดงามแล้ว ตนมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับหม่อมเจ้าหญิงองค์นี้อีกบ้าง

คุณชายคิดฉงนวนไปมาอยู่อย่างนั้นจนเริ่มไพล่ไปหาอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล อนุชาในหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาที่อยู่ๆ ก็วาบเข้ามาแทรกอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะหยุดลงแค่นั้นเมื่อหม่อมเปี่ยมขยับปากเอื้อนเอ่ยต่อ

“เงียบไปยังงี้คงจะยังไม่รู้ตัวล่ะซี้พ่อคุณว่ากำลังถูกย้อมแมวขายให้แล้ว เสียแรงนางแจ่มมันอุตส่าห์ฟูมฟักทะนุถนอมตัวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่ดันมาถูกจับคู่ไปกับนางวันทองสองผัวเสียได้ เฮอะ! อย่างกับว่าฉันอยากจะบ่นมากมายให้เสียปากกระนั้นล่ะ แต่ตัวก็เป็นเทวพงษ์พิศาลคนหนึ่งเหมือนกัน หากมีเรื่องเสื่อมเสียขึ้นมาก็จะลามมาถึงคนอื่นๆ ด้วย แล้วหากท่านหญิงผ่องทรงสะอาดหมดจดก็แล้วไป แต่นี่ไม่ กับพระคู่หมั้นกเฬวรากที่เพิ่งเลิกหมั้นกันไปนั่นก็คนกุ๊ยชัดๆ มองดูแต่ไกลก็รู้ได้ว่าคงพากันดำดิ่งลงเหวไปไหนต่อไหนเป็นที่เรียบร้อย ข้าวสารคงจะกลายเป็นเข้าสุกไปแล้วเสีย จะมีเหลือเผื่อให้ตัวได้เชยชมสักกี่มากน้อยกันเทียว นี่แน่ะชายอัง อย่างไรฉันก็ยังยืนยันคำเดิม หากตัวจะแต่งกับนางคนนี้จริงก็แต่งออกจากวังนี้ไป อย่าได้พากันมาอยู่กินที่นี่ให้มีอันต้องมาเคารพกราบไหว้กัน ฉันไม่อยากกินน้ำเห็นปลิง หญิงชั่วช้ายังงั้น ต่อให้เป็นหม่อมเจ้ามาจากไหนฉันก็กราบไม่ลง!”

เสียงสะท้อนตอบกลับในใจของคุณชายเต็มไปด้วยความสับสน อยากถามเหลือเกินว่าหม่อมกำลังหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่อีกฝ่ายก็พูดสวนขึ้นมาอีก

“ถึงจะเสกสมรสกันไป คิดจริงกระนั้นรึว่าจะกู้หน้ากลับมาได้ ก็ผู้คนเขาพากันนินทาไปทั่วเสียขนาดนั้น แล้วพระนิสัยส่วนองค์เองก็เหลือทน เห็นว่าทรงเอาแต่ทัยเป็นที่ตั้ง แล้วยังจะทำองค์เหลวแหลกเหมือนกับไม่รับรู้ว่าไม่มีใครเขาอยากได้ไปเป็นเมียอีกแล้ว อย่างไรก็มิทรงหยุดอื้อฉาวง่ายๆ ครอบครัวคงจะอยู่เย็นเป็นสุขไปได้ดอก เมียขยันทำงามหน้าขึ้นหราบนหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังงั้น อย่างเมื่อเช้า ก็ทรง...”

หม่อมเปี่ยมเป็นคนที่ถ้าได้เริ่มบ่นแล้วก็จะบ่นต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างไม่รู้จบ และไม่มีใครจะหยุดยั้งได้โดยง่าย ทำให้คุณชายจำต้องก้มหน้ารับฟังอารัมภบทต่อไปอีกหลายบรรทัดด้วยจิตใจที่กำลังเคลือบแคลงสงสัยในตัวว่าที่เจ้าสาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปแล้วหลายนาที หม่อมก็หยุดไปคล้ายกับเบื่อหน่ายขึ้นมาดื้อๆ หันไปยกเชี่ยนหมากทองขึ้นจีบพลูต่อ กล่าวโดยไม่มองหน้าหลานชายว่า

“รีบไปเสียให้พ้นหน้าฉัน เห็นแล้วพานแต่จะนึกถึงท่านหญิงผ่องขึ้นมา ระคายตานักเทียว”

‘จบได้เสียที’

อังควรารอให้อีกฝ่ายออกปากไล่อยู่นมนานแล้วจึงรีบยกสองมือเรียวสวยประณตกราบลาอย่างคนเรียบร้อย และหมอบคลานอย่างเชื่องช้าออกมาจากห้อง ลอบถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นว่าไม่อาจจะสบายใจเต็มร้อยไปได้

‘จบเสียที่ไหนกัน ก็ในเมื่อเรื่องที่ป้าเปี่ยมบ่นมันเกี่ยวข้องกับฉันเต็มๆ’



*



“นมแจ่มครับ หนังสือพิมพ์วันนี้มีลงข่าวท่านหญิงผ่องประภาด้วยหรือครับ”

แม่นมเก่าแก่หยุดชะงักมืิอตนเองอย่างช้าๆ ขณะกำลังจะตักข้าวสวยอุ่นๆ ใส่บนจานกระเบื้องที่อยู่ตรงหน้าคุณชายอังควรา เนื่องจากว่าคุณชายไปเข้าเฝ้าท่านชายสถิตคุณอยู่เป็นนานสองนานจนคนอื่นๆ ในเรือนชิงรับข้าวเย็นกันไปก่อนหมดแล้ว จึงทำให้ตอนนี้เขาต้องมานั่งแกร่วอยู่คนเดียวในหอนั่ง

ตรงหน้าคุณชายตอนนี้คือโต๊ะไม้สักทองตัวเตี้ยถูกขัดจนเป็นมันเงา ขันเงินแท้ใส่น้ำสะอาดลอยไว้ด้วยดอกแก้วหอมฉุยที่ถูกปลูกอยู่รอบๆ ตัวเรือนสำหรับล้างไม้ล้างมือ และสำรับอาหารคาวที่ถูกจัดแจงมาอย่างลงตัว ทั้งปลาทอด น้ำพริกปลาทู ผักนึ่ง แกงเผ็ดเป็ดย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นของชอบของคุณชายจันทน์ทั้งสิ้น ส่วนคุณชายอังควรากับคุณหญิงเพ็ญสินีไม่มีสิ่งใดที่พึงพอใจมากเป็นพิเศษ หรือจะพูดว่าจริงๆ แล้วเขากับพี่หญิงของเขาไม่อาจทำตัวมากเรื่องได้เพราะต้องวางตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสมอมาหลังจากสิ้นท่านพ่อไป ดังนั้นต่อให้เป็นสิ่งที่เกลียดมากที่สุดในชีวิต แต่หากทำมาให้ทานเขาก็สามารถทานได้จนหมดอยู่นั่นเอง เพราะถือคติ ‘กินเพื่ออยู่’ ไม่ใช่ ‘อยู่เพื่อกิน’

คุณชายอังอาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพเรียบร้อยตั้งแต่กลับมาจากพระตำหนักใหญ่ สวมเสื้อป่านคอกลมสีเหลืองอ่อนรับกับผิวขาวจัด กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะที่วางทับเสื่อเอาไว้อีกที รับอาหารเปิบมือแบบไทยๆ เพราะหม่อมป้าพเยาว์ของเขาไม่ชอบรับประทานบนเก้าอี้เหมือนอย่างพวกฝรั่งมังค่า บ่นอยู่เนืองๆ ว่าพอต้องนั่งโต๊ะทีไรก็คอยแต่จะปวดหลังปวดสะโพก (คุณชายจันทน์จึงค่อนกลับไปว่าเล่นไพ่นั่งเป็นวันๆ ก็ไม่ยักจะกระไร) ช้อนส้อมก็จับได้ไม่ค่อยถนัดมือทำให้เสียอรรถรสไปหมด ไม่อร่อยเท่ากับเปิบมือทาน

แต่สำหรับพวกคุณชายคุณหญิงของเรือน เจ้าของเรือนเขาสะดวกอย่างใดก็ทำตามไปอย่างนั้นตามประสาผู้ขออาศัยเขาอยู่ จะมีย้ายไปนั่งโต๊ะนั่งเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนอกชาน รับอาหารด้วยช้อนส้อมหรือมีดบ้างในวันที่มีอาหารฝรั่งก็ต่อเมื่อท่านลุงเสด็จมาร่วมโต๊ะเสวย ซึ่งก็นานทีปีหน เพราะทรงเกรงใจหม่อมเปี่ยมอย่างเหลือคณา

อังควราหยุดมองแม่นมของตนเงียบๆ สังเกตเห็นนางแจ่มลอบถอนหายใจเล็กน้อย นางคดข้าวลงจานในจำนวนพองาม แล้วจึงย้อนถาม

“ทำไมคุณชายถึงมาถามหาความเอาจากนมล่ะเจ้าคะ จะให้นมตอบกลับอย่างใดได้ เรื่องของเจ้านาย ส่วนนมก็เป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง ไม่บังอาจละลาบละล้วงถึงท่านดอกเจ้าค่ะ” นางแจ่มว่าเสร็จก็พยายามบ่ายเบี่ยงความสนใจ “คุณชายจะรับของหวานเป็นอะไรดีเจ้าคะ นมให้บ่าวทำเตรียมไว้สองอย่าง มีขนมกลีบลำดวนกับกล้วยบวดชี”

อังควราเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างสนใจขึ้นมา

ในตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่ท่านพ่อฉันทิตสิ้นชีพิตักษัย พอไม่มีพระบิดาคอยคุ้มหัวอีกต่อไป ก็เลยทำให้หม่อมราชวงศ์อังควราที่ปกติก็เป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยอยู่แล้วยิ่งต้องโอนอ่อนลงไปมากกว่าเก่า ใครๆ จึงมักจะมองว่าคุณชายผู้นี้เป็นคนหัวอ่อน ถูกสนตะพายเอาได้ง่าย ผิดกันกับผู้เป็นน้องชายที่ถ้าหากเจอเรื่องขวางหูขวางตาเข้าหน่อย วาจาก็จะพลุ่งออกไปก่อนทันได้คิดครวญ

แต่จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าวิธีการแสดงออกของทั้งคู่อาจจะไม่เหมือน หากทว่าก็ไม่เห็นว่าจะแตกต่างกันอย่างใด คุณชายอังและคุณชายจันทน์มักจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอยู่เสมอ เพียงแต่คุณชายอังเลือกที่จะสงวนปากสงวนคำไว้เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาให้ต้องคอยแก้ไขจนปวดหัว และถ้าหากมีใครที่เริ่มจะทำให้ชีวิตของเขามีปัญหาขึ้นมา เขาก็จะพยายามหลีกเลี่ยงเสีย โดยไม่ไปข้องเกี่ยวด้วย

นางแจ่มนั้นนอกจากจะเป็นแม่นมของโอรสธิดาทั้งสามของท่านชายฉันทิตแล้ว นางก็ยังเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับสองหม่อมเจ้าชายแห่งวังเทวพงษ์พิศาลมาตั้งแต่พวกท่านยังทรงพระเยาว์อีกด้วย นางเป็นลูกสาวคนสุดท้องของญาติห่างๆ ของหม่อมย่าคุณชาย หม่อมย่าคุณชายนึกเอ็นดูเพราะเห็นว่าคล่องแคล่วว่องไวดี ก็เลยถือโอกาสพาเข้ามาชุบเลี้ยงให้อยู่ในวังอย่างสุขสบายตั้งแต่เด็กจนแก่ อายุอานามมากกว่าท่านชายทั้งสองเพียงแค่ไม่กี่ขวบปีเท่านั้น นางเห็นความเป็นไปภายในวังมานักต่อนัก ใครตาย ใครอยู่ ใครชอบใคร ใครเกลียดใคร นางรู้ไปเสียทั้งหมด จนเรียกได้ว่าเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงทีเดียว

และเพราะอย่างนั้น กับแค่นิสัยแท้จริงของคุณชายคนรองที่นางอุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อย ทำไมนางถึงจะไม่รู้ไปได้ว่าจริงๆ แล้วคนอย่างคุณชายอังถ้าหากลองได้ปักใจกับเรื่องใดเป็นจริงเป็นจังก็จะไม่ยอมแพ้ไปโดยง่าย นางเลยไม่ได้แสดงความแปลกใจ เมื่อเห็นคุณชายพยายามไล่เลียงต่ออย่างไม่ลดละ

“ไว้รับข้าวให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากันนะครับ” คนตัวขาวบอกปัดไปอย่างนิ่มนวล “นมแจ่มครับ วานช่วยหยิบหนังสือพิมพ์ให้ผมทีได้ไหม ผมอยากอ่าน”

สีหน้าของนางแจ่มฉายแววกระอักกระอ่วนให้เห็นเมื่อได้รับคำสั่ง นางถอนหายใจยืดยาวอีกรอบ เอื้อมสองมือประคองหลังมือคุณชายไว้หลวมๆ

“เฮ้อ...พ่อคุณทูนหัวของนม”

คุณชายอังเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอย่างเคลือบแคลง

จึงถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับนม”

นางแจ่มส่ายหัวช้าๆ คล้ายกับอยากขอร้องอีกฝ่ายว่าอย่าถามนางอีกเลย

“นมพูดไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะคุณชายเจ้าขา ขี้กลากจะขึ้นหัวนมเอาได้ นมทั้งจนใจ ทั้งหมดปัญญา นมไม่มีวาสนามากพอเพราะนมเองเป็นเพียงแค่บ่าวไพร่ตัวเล็กๆ เท่านั้น จะช่วยคุณชายอย่างใดได้ก็มองไม่เห็นทางเสีย” ปรารถด้วยเสียงเบาหวิวได้เพียงเท่านั้น นางก็น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาราวกับสั่งได้ อังควราเห็นก็พอจะเดาได้ว่านางแจ่มคงจะรู้เรื่องระหว่างเขากับท่านหญิงผ่องมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อยจากพวกชาววังช่างนินทาที่มักคาบข่าวมาบอกกับนางประจำ “หนังสือพิมพ์นั่นน่ะ อย่าไปอ่านให้มันเสียสายตาเลย คนดีของนมเชื่อนมเถอะนะเจ้าคะ”

ประหลาดจริง ท่านหญิงผ่องก็เพียงแต่ถอนหมั้นเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ จริงอยู่ การเป็นม่ายขันหมากสำหรับสาวเบต้าหรือพวกโอเมก้าคงจะเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงสูงศักดิ์อย่างท่านหญิง แต่ถ้าท่านได้แต่งงานออกเรือนไปกับฉัน ข้อครหาเหล่านั้นก็จะถูกลบเลือนไป แล้วทำไมทั้งป้าเปี่ยม ทั้งนมแจ่ม ถึงได้ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์อย่างนั้น จะว่าตั้งแง่กันไปเองก็ไม่น่าจะใช่ละมัง หรือเพราะว่าพระคู่หมั้นเก่าของท่านหญิงไม่ได้มียศศักดิ์ที่สูงส่งคู่ควรกัน ฉันเองก็เป็นแค่หม่อมราชวงศ์นี่นา ไม่เห็นว่าจะคู่ควรกับท่านหญิงที่ตรงไหน...ไม่เข้าใจเอาเสียเลย

ถ้าจะลองคาดเดาดูอีกต่อหนึ่งล่ะก็ ลึกลงไปถึงหน้าที่การงานของพระคู่หมั้นเก่าที่เป็นเพียงพ่อค้าชาวต่างชาติ ไร้ศักดิ์ ไร้สกุล แต่ด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้น หากเป็นป้าเปี่ยมก็เอาเถิด ฉันไม่ใคร่ใส่ใจนัก เพราะรายนั้นท่านวางตัวเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นที่หนึ่งสมกับที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่แล้ว แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปก็ยังคงยึดถือคติเดิมๆ ว่าสิบพ่อค้าก็ไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง แต่กับนมแจ่มนี่ซี สิ่งใดกันที่ทำให้นางแสดงอาการทุกข์ใจเช่นนี้ออกมาได้


แต่ถึงจะมีข้อฉงนสงสัยอยู่เต็มหัวก็ตาม ทว่าเมื่อมองดูสตรีเบต้าสูงวัยตรงหน้า อังควราก็อ่อนใจจะถามต่อ ก่อนจะยกมือปาดน้ำตาให้นางแจ่มอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะครับนม ถ้านมลำบากใจก็ไม่เป็นไร ผมไม่ซักแล้วก็ได้”


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 00:36:12 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ยิ่งพอได้ฟังถ้อยคำปลอบโยนด้วยสุ้มเสียงแสนไพเราะจับใจจากคุณชายคนรองผู้ที่นางรักเสมือนกับเป็นลูกในไส้ อีกทั้งยังรอยยิ้มบางๆ อย่างคนแสนดีโดยแท้ นางแจ่มก็ยิ่งคร่ำครวญหนัก

“พุทโธ่ คุณชายคนดีของนม ทำไมพ่อช่างประเสริฐได้ถึงเพียงนี้ งดงามสะสวยไปเสียทั้งหมด ทั้งรูป ทั้งจิตใจข้างใน ยิ่งคิด ก็ยิ่งเสียของ ไม่น่าเลย...” นางพูดช้าๆ เรื่อยๆ ร่ำไห้รำพันออกมาราวกับจะขาดใจ “ทั้งๆ นมเคยพร่ำสอนพวกคุณหญิงคุณชายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าให้หมั่นพูดดี ประพฤติดี ต่อไปก็จะเป็นศรีแก่ตัว แต่พอเอาเข้าจริงมันก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”

หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งนิ่งจนเหมือนรูปปั้น พลางนึกถึงคำสั่งสอนของนางแจ่มที่เคยยกเอากลอนของท่านสุนทรภู่มาพูดให้พวกเขาฟัง

‘เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ’


คุณชายยังประติดประต่อเรื่องราวได้ไม่ขาดนัก และยังไม่เข้าใจดีว่าคำกลอนบทนี้มันจะเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างใดได้

แต่เขาก็ไม่ได้ซักถามอะไร ปล่อยนางแจ่มพรรณาต่อ

“คุณชายผู้น่าสงสารของนม อุตส่าห์วางตัวไว้บนกรอบศีลธรรมอันดีงาม เคารพเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเสมอมา ไม่เคยทำสิ่งใดให้ต้องเสื่อมเสียไปถึงพระเกียรติของท่านลุงและท่านพ่อเลยสักครา แต่ทำไมจึงไม่ทรงเห็นความดีงามในนัดดาขององค์เองบ้างเลย นมเลี้ยงคุณชายมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อย นมก็รักก็เอ็นดูของนม ถ้าจะร่วมเรียงเคียงหมอนกับใครก็อยากให้คุณชายได้คู่ที่สมเกียรติกัน จะได้พากันไปเจริญก้าวหน้าในภายภาคหน้า แต่ท่านชายสถิตคุณก็ทรงตกปากรับคำเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ ง่ายดายเหลือเกิน...ไม่ทรงคิดบ้างว่าจะทำให้นัดดาต้องทุกข์ใจแค่ไหนที่มีคู่ครองเป็น…” นางแจ่มอึกอัก “...เป็นอย่างนั้น”

เมื่อนางแจ่มไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ง่ายๆ คุณชายคนดีก็ยังคงปาดน้ำตาให้แม่นมของเขาไม่ห่าง

แต่ขณะเดียวกันดวงตาล้ำลึกปรือปรอยของคุณชายก็ฉาบความงุนงงไว้อย่างปิดไม่มิด

“ฝ่าบาทท่านทรงเป็นหม่อมเจ้า หากจะมีใครไม่คู่ควรกับใคร คนนั้นน่าจะเป็นผมมากกว่านะครับนม”

“อย่าพูดอย่างนั้นซีเจ้าคะคุณชาย ไม่จริงเสียหน่อยเจ้าค่ะ ต่อให้ตอนนี้จะตกยากอยู่ในเรือนไม้เล็กๆ อย่างไม่สมเกียรติอย่างนี้ แต่ก็หาได้ลำบากตรากตรำกระไร คุณชายของนมก็เสมือนกับเป็นเจ้าชายสังข์สำริดที่ซ่อนกายสุวรรณเอาไว้ชั้นใน คนที่เกิดมาอย่างดีเลิเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีดีอยู่วันยันค่ำ คนที่จะมาควรคู่กับคุณชายของนมได้จะต้องเป็นนางรจนาที่สมกันทั้งรูปทั้งกิริยาวาจา มากกว่านางพิมพิลาไลยที่คอยแต่จะสร้างความอับอายจนทำให้ผัวตัวเองต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และกลายเป็นที่ครหานินทาไปทั่วบ้านทั่วเมือง เฮ้อ...พ่อคุณทูนหัว สู้ทำตัวว่างง่ายกับผู้หลักผู้ใหญ่มาตลอด ก็หวังว่าท่านลุงจะทรงรักทรงเมตตาบ้าง แต่ก็ได้เพียงเท่านี้ เป็นเวรเป็นกรรมอะไรก็ไม่รู้นะเจ้าคะ”

สตรีเบต้าสูงวัยยกฝ่ามืออ้วนป้อมขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากดวงหน้าเหี่ยวย่นของตนเอง สายตาของนางที่มองคุณชายอังเปี่ยมด้วยความรักอันล้นพ้น ระคนไว้ด้วยความเวทนา

“คุณชายเชื่อนมนะเจ้าคะ รับข้าวเสร็จแล้วก็พักผ่อนนอนหลับเสีย ไม่ต้องไปสนใจข่าวของท่านหญิงผ่อง ประเดี๋ยวจะพลอยไม่สบายใจเปล่าๆ”

จริงๆ แล้วในตอนแรกที่เอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้กับอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะมีความคลางแคลงใจอยู่ไม่น้อย อังควราก็ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบที่จะต้องได้รับมากมายนัก ทว่าเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของนางแจ่ม ก็กลับกลายเป็นว่ามันยิ่งสะกิดใจคุณชายมากกว่าเก่าจนนึกสงสัยขึ้นมาว่าตกลงแล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ท่านหญิงผ่องทำสิ่งที่เลวร้ายจนเขาไม่สมควรที่จะรับรู้เพียงนั้นเทียวหรือ

หม่อมราชวงศ์อังควราผงกหัวเล็กน้อย ระบายยิ้มละมุนละไมจนนางแจ่มเริ่มวางใจ เขารับอาหารเย็นจนหมด จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่บริวารบ่าวไพร่กำลังเก็บสำรับ สั่งการกับบ่าวเบต้าคนหนึ่งให้หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ไปวางไว้ในห้องนอนของตน โดยขณะที่เอ่ยปากสั่งนั้นก็พยายามตีสีหน้านิ่งเฉยจนบ่าวผู้นั้นมองไม่เห็นพิรุธใดๆ และไม่ได้สะกิดใจจนนำความไปบอกกับนางแจ่ม

นับว่าบ่าวเบต้าผู้นั้นเป็นคนปราดเปรียวและว่องไวใช้ได้เลยทีเดียว คุณชายจำชื่อบ่าวภายในเรือนไม่ได้ทั้งหมดก็จริงอยู่ แต่จำหน้าได้อย่างแม่นยำหมดทุกคน เขาจึงทดเอาไว้ในใจเพื่อจะได้ตอบแทนด้วยเบี้ยเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ ในคราวหลัง เพราะพอคุณชายกลับมาถึงห้องนอนของตนหลังจากอาสาช่วยเหลือบริวารบนเรือนยกขนมหวานไปบริการวงไพ่ของหม่อมป้าพเยาว์เสร็จสรรพก็เจอกับสิ่งที่ต้องการวางรออยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ

เขารีบลงกลอนประตูด้วยความร้อนอกร้อนใจ หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางออก พลันเรียวคิ้วคมขมวดเข้าหากันจนเป็นปมทันใด โดยไม่ต้องยุ่งยากอ่านเนื้อความเลยสักบรรทัดเดียว เพราะพาดหัวข่าวใหญ่โตถูกวางคู่มากับพระรูปของท่านหญิงผ่องประภาที่ดูท่าทางสนิทสนมลึกซึ้งปานจะกลืนกินกับพระคู่หมั้นเก่าที่ชื่อซาโตรุ ซาคาโมโต้อะไรนั่น จนคุณชายมองไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่บอกได้ว่าทั้งคู่เลิกหมั้นกันไปเรียบร้อยแล้ว และมันก็เป็นของธรรมดาที่เนื้อความของข่าวบนหน้าบันเทิงมักจะเป็นไปในทางค่อนแคะแกมหยันเหยียดอยู่ในที โดยเฉพาะกับข่าวฉาวๆ ยังงี้ คุณชายกวาดดวงตางามอ่านเนื้อหาของข่าวอย่างละเอียดจนมาถึงประโยคที่ท่านหญิงผ่องทรงได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ “แปลกงั้นหรือคะ เราสองคนเลิกมันกันไปแล้วก็จริงอยู่ แต่หญิงกับคุณซาโตรุก็ยังคงคบหาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ค่ะ” จากนั้นก็ทรงตรัสราวกับไม่ทรงแคร์สายตาหรือคำนินทาของใครต่อใครอีกด้วยว่า “จริงๆ หญิงว่ามันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่คะที่คนเราจะยังมีความสัมพันธ์ดีๆ มีความรู้สึกดีๆ ให้กับคนรักเก่า เลิกกันแล้วจำเป็นต้องเกลียดกันด้วยหรือ”

คุณชายอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ พับหนังสือพิมพ์เก็บเรียบร้อยตามประสา ก่อนจะนวดขมับขวาเบาๆ เริ่มมองเห็นเค้าลางของปัญหายุ่งยากที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ

เขาไม่อาจวิสาสะไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านหญิงแห่งวังจักษุภิรมย์ได้เพราะฐานันดรศักดิ์ที่ต่างชั้นกัน เพราะถึงอย่างไรเสีย ต่อให้เขาจะเป็นถึงลูกเจ้าลูกนายก็ตาม แต่หม่อมราชวงศ์อย่างเขาก็ยังถือว่าเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาอยู่นั่นเอง แต่จะว่าไปก็คงจะเห็นด้วยกับท่านอยู่หน่อยๆ กระมัง ตรงที่ทรงตรัสว่าคนเราเมื่อเลิกรากันก็ใช่ว่าจะต้องเกลียดชังกันเสมอไป ในเมื่อหากต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้แล้วมันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างใดกัน เพียงแต่ว่า...พระรูปของท่านที่หลุดออกมาเด่นหราอยู่บนหน้าแรกของข่าว มันเกินคำว่า ‘ดี’ จนกลายเป็น ‘งามไส้’ ไปแล้วน่ะซี

อังควราพยายามปลอบโยนตัวเองว่ามันอาจจะเป็นวััฒนธรรมของทางฝั่งตะวันตกละมัง ท่านหญิงผ่องประภาคงจะทรงติดพระนิสัยมา เพราะท่านเองก็เสด็จนอกอยู่บ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงๆ คุณชายก็ไม่ยักเคยเห็นมาก่อนว่าฝรั่งที่ไหนเขาจะประกบปากจูบกับเพื่อนตัวเองได้อย่างแนบชิดถึงเพียงนั้น...

คุณชายอังเป็นคนฉลาดเฉลียว จึงสามารถจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันควันว่าเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ น่าจะทรงกริ้วกับเรื่องนี้อยู่มากทีเดียว และทำให้ต้องทรงเร่งเร้าให้พระธิดารีบเสกสมรสโดยไว ก็เลยจำเป็นต้องเฟ้นหาคนที่มียศศักดิ์ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทัดเทียมกัน แต่ก็มากพอจะกอบกู้ชื่อเสียงคืนมาได้...ซึ่งคนคนนั้นก็คือเขาคนนี้ หม่อมราชวงศ์อังควรา เทวพงษ์พิศาล

ที่ทรงเลือกเขาเป็นว่าที่ลูกเขยยังงี้ก็อาจเป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเคยคุ้นเคยกันละมัง คุณชายยังจำได้ว่าท่านลุงมักจะพาไปเข้าเฝ้าเสด็จวังจักษุฯ อยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนวัยเยาว์ ก็เลยทำให้ท่านทรงทราบเป็นอย่างดีว่า ‘ชายอัง’ เป็นพวกไหลตามน้ำ ไม่ว่าผู้ใหญ่จะว่าอย่างไรก็จะว่าตามโดยไม่คิดอิดออด ไม่มีปากมีเสียง ไม่มีความรู้สึกรู้สา ไม่มีความคิดเป็นของตน โดนชมก็ยิ้ม โดนบ่นก็ยังยิ้มรับอยู่ดี ดังนั้นเพียงแค่มีพระประสงค์ลงมาคำเดียว ‘ชายอัง’ ก็พร้อมจะทำตามเหมือนหุ่นยนต์

หารู้ไม่ว่า แม้คุณชายจะไม่พูดออกมาก็ตาม แต่ลึกๆ ภายในใจกลับคิดรำพึงรำพันต่างๆ นานา อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้ว ต่อให้เขาจะพยายามทำดีไปอีกสักกี่มากน้อย แต่ตัวเองก็ได้เพียงเท่านี้นั่นแหละ มันเป็นอย่างที่นางแจ่มพูดไว้ไม่มีผิดทีเดียว อังควราไม่ใช่คนหวังสูงอย่างใด ไม่เคยคาดหวังให้ท่านลุงมากรักมาเอ็นดูเหมือนดั่งลูกในไส้ เพราะจริงๆ เขาเองก็ไม่ใช่ สิ่งเดียวที่คาดหวังก็เพียงแค่ต้องการให้ท่านลุงทรงเห็นใจกันบ้างเท่านั้น หากทว่าในทุกๆ วันผ่านพ้นไป ทุกอย่างก็ยังเหมือนที่เคยๆ เป็น ที่คุณชายมักจะถูกนึกถึงขึ้นมาอย่างเสียมิได้ในตอนที่ไม่เหลือใครอยู่อีกแล้ว

จบจากเรื่องท่านหญิงผ่องประภาก็ไม่เหลือสิ่งใดคาอกคาใจอีกต่อไป คุณชายค่อยๆ หมดความสนใจลง แม้ว่าจะยังไม่ได้รู้สึกสบายใจมากนักที่ท่านหญิงผู้เป็นคู่หมายของตนทรงสร้างเรื่องให้กลายเป็นที่ฉาวโฉ่ไปจนทั่วทั้งพระมหานครอย่างนี้ แต่ก็ไม่อาจทำอย่างใดได้ เพราะชีวิตของเขาในแทบทุกด้านมีท่านลุงเป็นผู้กำหนดให้ทั้งหมด

ทั้งๆ ก็ไม่ได้พอพระทัยกับพฤติกรรมคาวๆ ของว่าที่หลานสะใภ้มากมายนัก แต่ท่านลุงสถิตคุณก็ทรงเกรงพระทัยเสด็จพระองค์ชายทั้งสององค์แห่งวังจักษุภิรมย์อย่างเหลือคณา ขนาดว่าคุณชายอังควราตามเสด็จท่านลุงไปถึงเมืองอังกฤ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแวะเมืองเคมบริดจ์แต่น้อยนิด แต่ท่านลุงก็ยังจะพาเขาไปเข้าเฝ้าองค์ฯ ปิ่นที่ท่านไม่ได้พบพักตร์กันมาเสียนมนานกาเล แต่ก็คงไม่ใช่ของแปลกละมัง เพราะทั้งหม่อมแม่ของท่านชายสถิตคุณ และเจ้าจอมมารดาผู้เป็นพระมารดาของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรต่างก็เคยสนิทสนมคุ้นเคยจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาก่อน อีกทั้งถ้าหากนับกันตามศักดิ์แล้ว ทั้งท่านลุง องค์ฯ ปิ่น และเสด็จวังจักษุฯ ก็นับได้ว่าเป็นเครือญาติ เพราะมีพระอัยกา* องค์เดียวกัน หรือก็คือทูลกระหม่อมทวดของอังควรานั่นเอง (*NOTE : ปู่/ตา)

อังควราไม่อาจตอบตัวเองได้เลยว่าทั้งๆ ยังมีหม่อมเจ้าและหม่อมราชวงศ์อีกมากมายนับสิบที่มีพระปัยกา* ร่วมกันกับเขา แล้วเพราะเหตุใดเจ้าของพวงพระปรางสีนวลผ่องที่ในบางทีก็ออกเป็นสีชมพูระเรื่อหน่อยๆ ในเวลาที่ทรงเล่นซุกซนมาจนเหน็ดเหนื่อย ถึงได้วอมแวมเข้ามารบกวนจิตใจของเขาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายทรงกำลังหายพระทัยอยู่ชิดใกล้อย่างไรอย่างนั้น คงจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานนี้ตอนที่ไปเฝ้าองค์ฯ ปิ่น พระองค์ทรงรับสั่งกับเขาว่า ‘ท่านชายโชติ’ นัดดาของพระองค์กำลังจะเสด็จกลับมาเมืองไทยละมัง ถึงแม้ว่าจะไม่ทรงบอกรายละเอียดยิบย่อย และเขาเองก็ไม่ได้ทูลถามกลับเช่นกันว่าท่านชายจะทรงกลับเมื่อใด (*NOTE : ทวด)

แต่จะเมื่อใดแล้วมันยังไงกัน อย่างไรเสียถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ก็คงมิได้เจอกันอยู่แล้ว ก็ดูเอาเถิด ขนาดว่าคุณชายอุตส่าห์ถ่อไปพบท่านถึงที่ทรงพำนักในชานเมืองเคมบริดจ์แท้ๆ แต่ท่านก็ยังทรงหายเงียบราวกับว่าไม่มีตัวตนอย่างนั้น องค์ฯ ปิ่นทรงตรัสว่าพระนัดดาทรงออกไปขับรถเที่ยวเล่นซุกซนตามประสา กว่าจะเสด็จกลับมาก็คงจะมืดค่ำดึกดื่นเหมือนอย่างเคย ทรงเป็นเช่นนี้ประจำตั้งแต่เริ่มทำใบขับขี่ ซึ่งคำว่า ‘ใบขับขี่’ ก็ทำให้อังควราฉุกคิดได้ว่าท่านชายน้อยของเขาในเวลานี้คงจะเจริญชันษาขึ้นตามวัย...ก็คงจะไม่ทรงนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กอีกแล้วละมัง



*



กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ, พญาไท

“ตี๋อ้วนรึ”

เนื่องจากทรงเป็นท่านทูตทางการทหาร ดังนั้นเมื่ออยู่ในเวลาทรงงานเช่นนี้เสด็จพระองค์ชายผู้เป็นประมุขแห่งวังจักษุภิรมย์จึงถูกเรียกขานเสียใหม่ด้วยพระนาม ‘นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาจักษุบดินทราช’ และขณะนี้ก็ทรงฉลองพระองค์เต็มยศด้วยเครื่องแบบนายทหารชั้นสูงตัดเย็บด้วยผ้าสักหลาดอย่างดี ติดเข็มราชวัลลภ และประดับเครื่องหมายพระปรมาภิไธยอันทำมาจากโลหะสีทองกำลังประทับนั่งตรวจดูเอกสารทางราชการที่จะต้องใช้ในการประชุมวันพรุ่งอยู่ภายในห้องทรงงานส่วนพระองค์ ก่อนจะทรงเงยพระพักตร์ที่ดูมีอายุ หากทว่าก็ไม่ได้ร่วงโรยลงไปตามวัยสักเท่าใดขึ้นมา และเมื่อมองลอดฉลองพระเนตรกรอบสีทองก็แลเห็นโอรสองค์โปรดกำลังวิสาสะแง้มประตูเข้ามาหาถึงที่ โดยมิได้ส่งเสียงเคาะให้ทันรู้องค์เสียก่อน

เสด็จวังจักษุฯ ทรงเหลือบสายพระเนตรมองนาฬิกาแขวนบนฝาผนัง แล้วก็พบว่าล่วงเลยเวลาเลิกงานมานานพอสมควร บรรยากาศด้านนอกจึงเงียบสงัด เพราะบรรดานายทหารมหาดเล็กของท่านคงจะเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านไปนอนกอดลูกเมียกันหมดแล้วเสีย หม่อมเจ้าชายโชติภนเสด็จดำเนินแย้มพระสรวลกว้างขวางจนเห็นทนต์ขาวเรียงสวยงามราวกับสร้อยไข่มุกเข้ามาใกล้พระบิดา ประณตสองหัตถ์หนาและคุกพระชานุก้มกราบพระเพลาท่านอย่างผู้ที่ถูกอบรมมาดี เสด็จเองก็ทรงเอ็นดูนักหนา ลูบพระเกศาลูกชายอย่างรักใคร่เหลือเกิน

“เซอร์ไพร์สกระหม่อม”

ทรงค่อยๆ ช้อนพระพักตร์หล่อตี๋ขึ้น พูดจาปราศรัยด้วยพระสุรเสียงชื่นบาน ผู้ฟังที่ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการทรงงานมาตลอดทั้งวันก็เลยพลอยรู้สึกดีไปด้วย

เสด็จทรงแย้มสรวลน้อยๆ หลังจากพระโอรสเสด็จกลับมาจากเมืองอังกฤษในช่วงสองสามวันมานี้ก็ทำให้พระอารมณ์ของท่านเบิกบานขึ้นได้บ้าง ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ทรงกลุ้มพระทัยเรื่องอื้อฉาวของพระธิดาอยู่เป็นนาน

ทรงรับสั่งสั้นๆ ว่า

“เหลือเกินจริงเทียวอ้ายเจ้าลูกคนนี้ เรื่องทำให้คนอื่นเขาประหลาดใจล่ะเก่งกาจนัก อีแค่สองสามวันก่อนที่อยู่ๆ ก็กลับมาไม่ยอมบอกกล่าวยังเซอร์ไพร์สกันไม่พออีกอย่างนั้นรึ แทนที่จะบอกกันก่อนล่วงหน้าเสียหน่อยจะได้เตรียมงานฉลองเอาไว้ต้อนรับ เฮ้อ! แล้วอุตส่าห์มาถึงที่นี่ มีธุระอะไรเล่าพ่อ หน้าตาสดชื่นเลยทีเดียว อย่าบอกนาว่าเพิ่งตื่นนอน”

โชติภนสรวลอย่างแกนๆ

“แหม เด็จฯ พ่อ ทรงรู้ใจลูกจริง ก็โชติยังปรับเวลานอนไม่ได้เลยนี่กระหม่อม แล้วจะให้ทำอย่างไรได้เล่า สองสามวันมานี้ ‘ทมตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นขึ้นมากลางดึกกลางดื่น ‘ทมอีกทีตอนใกล้รุ่ง สะดุ้งตื่นอีกทีก็บ่ายคล้อย ‘ทมตกเบิกจนปวดหัวปวดตัวไปหมดแล้ว ดีหน่อยที่วันนี้เจ้าพี่หญิงเธอมีพระประสงค์ให้ขับมาส่งที่ลานลีลาศแถวๆ นี้ โชติก็เลยถือโอกาสเข้ามารับเด็จฯ พ่อกลับวังด้วยกัน ไม่ยังงั้นก็คงจะได้เข้า ‘ทมตั้งแต่เย็นย่ำอีกตามเคย” ทรงบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา พลางวางพระหนุลงกับพระเพลาของเสด็จพ่ออย่างคนช่างอ้อน “โชติบอกลุงชดมหาดเล็กคนรถของเด็จฯ พ่อไว้ก่อนแล้วว่าวันนี้จะแวะเข้ามารับเด็จฯ พ่อเอง แล้วก็บอกด้วยว่าให้ลุงชดพักผ่อนเยอะๆ ถูกเด็จฯ พ่อจิกใช้มานานหลายปีดีดักคงเหนื่อยแย่ เพราะแกเองก็แก่ไปมากแล้ว”

“จิกใช้กระไรกัน นี่แน่ะเจ้าตี๋อ้วน พ่อมอบเบี้ยเลี้ยงให้คนงานของพ่อทุกคนไม่เคยขาดตกบกพร่องดอกนา พ่อโชติเองเถิด ว่างมากนักหรือถึงมาทำลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยคอยขับส่งคนนู้นคนนี้ที ไม่คิดอยากทำงานทำการกับเขาบ้างเลยรึ”

“อ่า...ถ้าจะทรงรับสั่งเรื่องนี้ขึ้นมาอีกก็...” โชติภนผ่อนพระอัสสาสะบางๆ แล้วทูลตอบ “โชติก็ทูลกับเด็จฯ พ่อไปตั้งแต่วันแรกแล้วไงกระหม่อม ว่าจะกลับมารับช่วงต่อโรงสีโรงงิ้วของอากงท่าน ไม่อยากปล่อยให้เจ้าอนุกรณ์มันคุมสองทางอยู่คนเดียว เห็นบ่นขรมไปว่าเหนื่อยรากเลือดอยู่เนืองๆ อย่างนี้ก็เรียกทำงานทำการไม่ใช่หรือกระหม่อม มิได้อยู่ว่างๆ เสียหน่อย”

ถึงเสด็จวังจักษุฯ จะทรงหัวก้าวหน้าอยู่มาก เพราะทรงเคยได้รับการศึกษามาจากเมืองนอกเมืองนาก็จริง แต่กับลูกหลายๆ องค์ ท่านก็ยังทรงยึดถือขนบเก่าๆ อยู่ เพราะทรงรู้สึกว่าในเมื่อเกิดมาเป็นอัลฟ่าหรือเบต้าชายแล้วก็ควรเข้ารับราชการให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ตัวเองและวงศ์ตระกูล และจะได้เป็นใหญ่ในภายภาคหน้า

จึงทรงปรารถคล้ายไม่เห็นด้วย แต่ก็มิได้บังคับอย่างเป็นจริงเป็นจังอะไรว่า

“ถ้าลูกจะทำธุรกิจต่อยอดจากของคุณตากระนั้นพ่อก็มิได้ว่าดอก แต่เก็บไว้ทำเป็นงานเสริมไม่ดีกว่าหรือ สมัยนี้เจ้านายบ้านไหนๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น อย่างท่านชายเพิ่มโอรสของเสด็จวังสะพานตากสิน ตอนนี้ก็ร่วมหุ้นกับพระสหายทำธุรกิจค้าไม้ควบคู่ไปกับรับราชการอยู่ในกระทรวงยุติธรรม นี่แน่ะตี๋อ้วน เพื่อนพ่อเขาเป็นอธิบดีอยู่ที่กรมศิลปากร เขาว่ากำลังขาดสถาปนิกประจำอยู่หลายอัตราเลยเทียว อุตส่าห์เล่าเรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนาแท้ๆ จะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ รึลูก เรียนออกแบบอาคารบ้านเรือน แต่กลับจะมาเป็นพ่อค้าพ่อขาย พ่อว่ามันกระไรอยู่นา”

ถ้าหากอีกฝ่ายคือองค์ฯ ปิ่น หม่อมเจ้าโชติภนก็คงจะทรงยินยอมโดยง่ายเพราะเขาไม่เคยดื้อดึงกับเสด็จลุงสักครั้ง อาจเป็นเพราะเสด็จลุงแม้จะทรงโปรดเขามากถึงขนาดอวยให้เป็นโอรสบุญธรรมก็ตาม แต่ก็หาได้ตามพระทัยเขาไปเสียทุกอย่างไม่ จริงๆ แล้วพระปิตุลาของท่านชายมีความเอาแต่องค์เป็นที่ตั้งอยู่สูงทีเดียว ซึ่งผิดกันราวซ้ายกับขวาเมื่อเทียบกับพระบิดา ท่านชายทรงทราบดีว่าสามารถเอาแต่พระทัยกับเสด็จพ่อได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวเกรงว่าท่านจะทรงกริ้ว เพราะเสด็จพ่อของท่านชายทรงลำเอียงเป็นพระอัธยาศัยอยู่แล้ว ถ้าหากทรงรักใคร่เอ็นดูใครมากๆ ก็จะประคบประหงมผู้นั้นดังไข่ในหิน ยิ่งกับโอรสโดยสายเลือดยังงี้ด้วยแล้วก็เป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจเสียอีก




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 22:54:02 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แล้วอีกอย่างหนึ่งหม่อมเจ้าชายโชติภนก็ทรงทราบดีอีกด้วยว่าจะต้องเพ็ดทูลอย่างไรเพื่อที่จะทำให้เสด็จพ่อผู้เป็นที่รักยิ่งของเขาทรงพอพระทัย ทั้งรักทั้งหลงเขามากยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกันมาแสนนานก็ตาม แต่ด้วยพระนิสัยของท่าน ต่อให้จะกี่ปีผ่านพ้นไปก็ยังคงเหมือนเดิม...ทรงโปรดคนปากหวานอย่างไรก็อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน

แล้วโชติภนก็ทรงเป็นคนเช่นนั้นเสียด้วย

“เป็นสถาปนิกหลวงไม่ใช่งานเบาๆ เลยกระหม่อม คงจะเหนื่อยโข แล้วบางทีก็ต้องออกต่างจังหวัดอีกด้วย ถ้าเข้าไปทำก็คงไม่มีเวลาเหมือนอย่างตอนนี้ไปได้ โชติกลับมาเมืองไทยทั้งทีก็อยากมีเวลาอยู่กับเด็จฯ พ่อให้มากๆ จะได้คอยถวายงานดูแล เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเสียนาน เด็จฯ พ่อไม่ทรงอยากให้ลูกคนนี้อยู่ใกล้ๆ องค์หรอกหรือกระหม่อม โชติขับรถมารับเด็จฯ พ่อกลับวังได้ทุกวันเลยนา”

พระบิดาพระทัยอ่อนลง

...เปล่า จริงๆ ต้องเรียกว่าอ่อนยวบยาบทีเดียว ก็เลยผ่อนพระอัสสาสะออกเบาๆ อย่างยอมแพ้

“พ่อแค่เห็นว่าตำแหน่งยังว่างอยู่ แต่ก็เอาเถิด สุดแล้วแต่ลูกก็แล้วกัน พ่อไม่อยากจะไปบังคับฝืนใจ ถ้าอยากทำเมื่อใดก็บอกได้ พ่อจะเข้าไปคุยกับเขาให้ ต่อให้ตอนนั้นจะไม่เหลือตำแหน่งว่างแล้วก็ช่างปะไร จะไม่รับลูกฉันเข้าทำงานก็ให้มันรู้ไปซี” เสด็จพ่อของท่านชายทรงตรัสขณะกำลังเริ่มจัดเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม “แล้วนี่ไปยังไงมายังไงล่ะพ่อ ไปส่งหญิงผ่องถึงที่ใดมา ลานลีลาศแถวนี้มีด้วยรึ มิใช่ว่าโดนนางตัวแสบคนนั้นมันหลอกเอาหรอกนา เหอะ! น่าเบื่อเสีย เถลไถลได้ทุกวี่ทุกวัน จะมีเหย้ามีเรือนอยู่อีกไม่นานนี้แล้วก็ไม่คิดปรับปรุงตัว”

คำว่า ‘มีเหย้ามีเรือน’ จากโอษฐ์ของเสด็จพ่อทำให้คนฟังขมวดพระขนงนิดหน่อยด้วยความไม่สบพระอารมณ์ ความรู้สึกกรุ่นๆ ภายในพระอุระเกิดปั่นป่วนขึ้นมาอย่างที่ท่านชายก็ทรงตอบไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ก่อนจะค่อยๆ สงบลงเมื่อเสด็จพ่อมีรับสั่งถามต่อ

“หญิงผ่องได้บอกไหมว่าจะกลับกี่โมงกี่ยาม”

“มิได้ทรงรับสั่งไว้กระหม่อม แต่ก็คงจะดึกดื่นอีกตามเคยนั่นแหละ เจ้าพี่หญิงเด็จฯ กลับตอนโชติสะดุ้งตื่น ‘ทมกลางดึกทุกที ที่ลานลีลาศนั่นก็เห็นมีแต่พวกผู้ชายพายเรือ อีกทั้งอัลฟ่าเบต้าเดินกันขวักไขว่ คงจะทรงนัดแฟนเอาไว้ละมัง”

เจ้าชายหนุ่มทูลกับเสด็จวังจักษุฯ ด้วยสีพระพักตร์ไม่รู้ไม่ชี้เสมือนกับว่าไม่ได้ทรงใส่พระทัยมากนัก ทว่าก็ลอบสังเกตพระอาการของอีกฝ่ายอยู่ในทีเพราะทรงจงใจทำองค์เป็นมดแดงเฝ้ามะม่วง* ด้วยทรงคาดหวังเล็กๆ ว่าคำบอกเล่าเก้าสิบขององค์เองจะช่วยให้เสด็จพ่อทรงเปลี่ยนพระทัยเรื่องคลุมถุงชนก็เป็นได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เสียเปล่าเมื่อถูกอีกฝ่ายรับสั่งปัด (*NOTE : ผู้ที่หมายปองผู้อื่น หรือใกล้ชิดสนิทสนมกัน และคอยกีดกันไม่ให้ใครอื่นมาเข้าใกล้คนของตน)

“เหลวไหลไปกันใหญ่นาตี๋อ้วน อย่างไรเสียหญิงผ่องก็ต้องตบแต่งไปกับชายอังอยู่ดี พ่อไม่สนความสัมพันธ์ประเดี๋ยวประด๋าวอย่างที่พวกวัยรุ่นสมัยนี้มันเรียกกันว่าฟงแฟนอะไรนั่นหรอก ขอแค่แม่เจ้าประคุณไม่ทำให้พ่อขายหน้าอีกเป็นหนที่สองก็พอ ถ้ามันยังมีหัวคิดอยู่บ้าง ยังไงก็ต้องระวังตัวมากขึ้นนั่นแหละ เพราะขืนทำฉาวโฉ่ขึ้นมาอีก คราวนี้ก็จะอับอายไปถึงท่านสถิตคุณ รวมถึงตัวชายอังด้วย มันคงไม่บ้าบิ่นจนทำเดือดร้อนกันไปหมดทั้งวงศาคณาญาติดอกกระมัง”

หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงลอบถอนพระทัย ขยับพระวรกายเล็กน้อยอย่างทรงรู้สึกไม่ค่อยสบายองค์ดีนัก พอได้ฟังรับสั่งจากพระบิดากระนั้นก็ทรงนึกห่วงขึ้นมาหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน ด้วย ‘คุณชายตัวขาว’ มักวางตัวอยู่ในกรอบในศีลเสมอมา ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด สงบเสงี่ยมเจียมตัว ผิดกันกับ ‘พี่หญิงผ่อง’ ที่ถ้าหากสิ่งใดเป็นการขัดพระทัยกับเสด็จพ่อก็ทรงสามารถทำได้ทุกอย่างราวกับถ้าหากไม่ได้ทรงทะเลาะกับผู้เป็นพ่อแล้วจะบรรทมไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น และถ้าหาก ‘พี่ชายอัง’ ต้องมาเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงเพราะเชษฐภคินีของเขาเสียงเอง ก็คงจะทำให้เขาไม่พอใจอยู่มากทีเดียว

เสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ ทรงหยิบพระมาลา* เครื่องแบบทหารขึ้นมาถือ และตรัสกับโอรสว่า (*NOTE : หมวก)

“กลับกันเถิดตี๋อ้วน พ่อตรวจเอกสารเสร็จสรรพพอดี แล้ววันนี้ขับคันไหนออกมาเล่า”

“เมอร์เซเดสเบนซ์คันสีแดง...รถทรงคันก่อนของเด็จฯ พ่อใช่ไหมกระหม่อม หม่อมใหญ่บอกว่าให้เอาออกมาใช้ได้ตามสะดวก เพราะตอนนี้เด็จฯ พ่อไปโปรดคันอื่นมากกว่าแล้ว”

“โธ่เอ๋ย ลูกเป็นลูกพ่อ หาใช่พวกมหาดเล็กเสียหน่อย ถ้าอยากขับคันไหนก็เอาไปขับเถอะ คันที่พ่อใช้อยู่ถ้าหากตี๋อ้วนอยากได้ก็เอาไปได้เหมือนกัน พ่อเองก็มิได้ขับบ่อยเท่าใด มีแต่นายชดนั่นแหละที่คอยขับให้”

ท่านชายทรงแย้มสรวลสุภาพ ค้อมเศียรให้กับพระบิดาเล็กน้อยอย่างระลึกในพระกรุณา

“ไม่เป็นไรมิได้ โชติใช้รถทรงคันเก่าของเด็จฯ พ่อก็สะดวกดีแล้ว ประเดี๋ยวโชติเอามา แล้วเด็จฯ พ่อโปรดใช้พอดีจะทำอย่างไร ถ้าเด็จฯ พ่อทรงเบื่อเมื่อไหร่ก็ค่อยยกให้โชติดีกว่ากระหม่อม”

นับว่าคำตอบแสนอ่อนน้อมของโอรสเป็นที่น่าพอใจอยู่มากจนเสด็จวังจักษุฯ เองก็อดที่จะภูมิพระทัยในลูกชายองค์นี้มิได้ ถึงขนาดทรงคิดไปว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรชายในพระเจ้าบรมวงศ์เธออันมีเพศรองเป็นถึงเรียลอัลฟ่าแท้ๆ แล้วจะให้มาใช้รถเก่าคร่ำครึอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่ามองด้วยตาจะไม่ได้เก่าเท่าใด แต่มันก็ไม่เป็นเรื่องเหมาะสมอยู่ดี หากไม่ทรงยอมนำรถยนต์ทรงคันปัจจุบันของพระบิดาไปใช้แต่โดยดี มัวแต่เกรงใจกันไม่เข้าเรื่องยังงี้ เสด็จก็จะทรงถอยคันใหม่ออกมาให้โดยไม่บอกกล่าวก่อนล่วงหน้าเสียเลย แน่ล่ะว่าจะต้องทรงถูกโอรสธิดาองค์อื่นๆ ค่อนขอดเอาอีกเป็นแน่ว่าทรงรักแต่โชติภนองค์เดียว แต่ก็ไม่ทรงสนพระทัยกระไรอยู่แล้ว เพราะกับลูกองค์อื่นๆ จะเข้ามาประจบประแจ๋กับผู้เป็นเสด็จพ่อได้ก็ต่อเมื่อกำลังต้องการสิ่งใดอยู่เท่านั้นเอง ผิดกันกับโชติภนที่ไม่ได้ต้องการอะไร เพียงแค่โปรดเอาอกเอาใจพระบิดาไปตามประสาคนเป็นลูก

ขณะกำลังเสด็จดำเนินตามพระขนองของอีกฝ่ายไม่ห่างราวกับลูกเป็ดน้อยเดินตามแม่ หม่อมเจ้าชายโชติภนก็ทรงเพ็ดทูลเรื่องดินฟ้าอากาศกับพระบิดาเรื่อยเปื่อนตามประสาคนช่างเจรจาที่สามารถหยิบยกทุกอย่างมาพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน จนกระทั่งมาถึงลานกว้างที่มีรถยนต์ทรงคันสีแดงจอดรออยู่ก็รีบเร่งฝีพระบาท ทรงไขกุญแจเปิดประตูให้อีกฝ่ายได้ขึ้นนั่งที่เบาะประทับด้านหลัง พระบิดาเองก็รีบเร่งฝีพระบาทตามมา

ท่านชายติดเครื่องยนต์และบ่ายหน้าออกจากกองพันมาได้สักพักหนึ่ง เสด็จพ่อก็ทรงชะงักคำรับสั่งเรื่องละครลิเกที่เพิ่งทอดเนตรไปเมื่อสัปดาห์ก่อนลงราวกับมีเรื่องอื่นวาบเข้ามาในพระเศียร

“นี่แน่ะตี๋อ้วน ยังมีธุระปะปังอะไรต้องไปทำต่ออีกไหม คงยังไม่ต้องรีบกลับวังหรอกนา”

ท่านชายทรงทอดดวงเนตรเรียวรีมองพระบิดาผ่านกระจกมองด้านหลัง ทูลถามกลับว่า

“หม่อมใหญ่บอกโชติว่าวันนี้จะทำแกงสะระหมั่นเนื้อเตรียมไว้ให้ นอกจากกลับไปให้ทันเหวยก็ไม่มีอะไรแล้วกระหม่อม เด็จฯ พ่อจะเด็จฯ ที่ใดก่อนหรือ”

ท่านชายโชติภนไม่ได้คิดเยอะอะไรมากนักกับการทูลตอบออกไปตามตรงอย่างนั้น จึงคาดไม่ถึงว่าจุดหมายใหม่ที่เสด็จพ่อโปรดจะเสด็จไปจะทำให้พระทัยสั่นรัวขึ้นมาได้ราวกับเป็นเรื่องอัศจรรย์

“ถ้าอย่างนั้นแวะเพียงเดี๋ยวเดียวคงไม่กระไรนัก น่าจะกลับไปรับข้าวเย็นกับแม่ลออได้ทันอยู่ งั้นก็ขับตรงไปวังเทวพงษ์พิศาลเสียเลย จำทางได้ใช่ไหมลูก ไม่มีอะไรมาก พ่อจะแวะไปทักทายปราศรัยท่านชายสถิตคุณเท่านั้นเอง รบกวนเธอไว้มากโขทีเดียวเลยจะเข้าไปแสดงน้ำใจขอบคุณเธอต่อหน้าเสียหน่อย”

ในเมื่อพระบิดาทรงรับสั่งอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนั้น หม่อมเจ้าโชติภนก็ไม่เห็นหนทางที่จะบ่ายเบี่ยงอย่างใดได้ ก็เลยตกปากรับคำเสีย และทรงเหยียบคันเร่งเพื่อบ่ายหน้าขับตรงเข้าสู่เขตสาทรด้วยพระทัยสั่นระทึกอย่างไม่อาจตอบได้เลยว่าเพราะเหตุใด



*



วังเทวพงษ์พิศาล, สาทร

รถยนต์ทรงตราเมอร์เซเดสเบนซ์คันสีแดงหรูหราสมกับฐานะอันสูงส่งของเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ ค่อยๆ ชะลอจอดลงที่หน้าอาคารสองชั้นทาสีเหลืองอ่อนทรงโรมันเนสก์ผสมกับทรงกอธิคที่ถ้าหากมองดูมาจากทางด้านหน้าแล้ว หน้าต่างบานเกล็ดทุกบานได้ถูกปิดสนิทจนทำให้ที่นี่คล้ายกับเป็นบ้านผีดิบก็มิปาน

หม่อมเจ้าชายโชติภนก้าวชงฆ์ลงเหยียบพื้น เปิดประตูรถทรงถวายพระบิดา ก่อนจะทอดมองสถานที่ที่ไม่ได้เสด็จมาเสียนานด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จะว่าโปรดก็ไม่เชิง แต่ก็มิได้ประทับพระทัยมากมายนัก เพราะภาพของตำหนักใหญ่ใจกลางวังเทวพงษ์พิศาลในความทรงจำของท่านชายตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงเยาว์ดูราวกับกุฏิกลางป่าช้าอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นในช่วงเวลากลางวันก็ตาม แต่มันก็ทั้งวังเวง ทั้งเงียบสงัด จนทำให้เขารู้สึกราวกับจะสามารถจับไข้หัวโกร๋นได้ง่ายๆ ทีเดียว หากทว่าพอทรงเจริญชันษาขึ้นมา ท่านชายก็ทรงเข้าพระทัยได้เองว่าเจ้าของวังเพียงแต่โปรดความสงบเรียบร้อย ไม่โปรดให้ผู้คนมาเดินขวักไขว่อยู่ในอาคารจนวุ่นวาย ต่างจากพระตำหนักของเสด็จพ่อของเขาที่มีบ่าวไพร่บริวารคอยถวายงานอยู่ทั่วทุกมุมตึก

“ไปบอกท่านสถิตคุณว่าฉันกับโชติภนมาขอพบ”

เสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ ตรัสพระสุรเสียงเรียบเรื่อยกับบ่าวเบต้าสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมารับเสด็จ หล่อนค้อมศีรษะคารวะอย่างสุภาพยำเกรง ท่านชายก็เลยแย้มพระสรวลทักทายกลับอย่างมารยาทงาม ก่อนจะทรงดำเนินตามพระขนองเสด็จพ่อที่เสด็จตามหลังสาวรับใช้คนนั้นอีกที ขึ้นไปยังห้องรับแขกด้านหน้าขององค์พระตำหนัก

สภาพภายนอกว่าไม่เปลี่ยนสักนิดแล้ว สภาพภายในยิ่งแล้วใหญ่ เคยเป็นอยู่ยังไงก็ยังคงเป็นยังงั้น ทั้งมืดทึบ ทั้งอุดอู้ จนเจ้าชายหนุ่มอดนึกฉงนสงสัยไม่ได้ว่าคนที่นี่ทนอยู่กับบรรยากาศชวนอึดอัดอย่างนี้กันเข้าไปได้ยังไง ดีขึ้นหน่อยที่พอท่านชายกับเสด็จพ่อของท่านชายเข้ามาประทับนั่งบนตั่งมุก สาวรับใช้คนเดิมก็เร่งฝีเท้าไปเปิดหน้าต่างถวายเพื่อให้ลมอ่อนๆ กับแสงแดดสีส้มจากทินกรในยามเย็นได้สาดส่องเข้ามากระทบกับนวลพระฉวีบ้าง

ทรงรออยู่แค่เพียงไม่นาน โดยที่สาวรับใช้ยังไม่ทันได้ขึ้นไปกราบทูลด้วยซ้ำ หม่อมเจ้าอัลฟ่าเจ้าของวังก็คงจะทรงได้กลิ่นเฉพาะพระวรกายของทั้งคู่ที่ทรงเป็นอัลฟ่าเหมือนๆ กัน จึงเสด็จลงมาทักทายด้วยรอยแย้มพระสรวลกว้างขวางอย่างปีติยินดีกับการเสด็จมาเยี่ยมเยือนถึงถิ่น รับสั่งกันอยู่เพียงครู่ก็ทรงหันมาสังเกตสังกาผู้มีชันษาเยาว์สุด ทั้งยังมีกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะองค์ชัดเจนที่สุดในวงสนทนา ด้วยอายุและเพศที่เป็นถึงเรียลอัลฟ่าซึ่งหาได้ยาก ท่านชายสถิตคุณจึงทรงครุ่นคิดออยู่แค่เพียงอึดใจเดียวก็ส่งสุรเสียงเอะอะอย่างคาดไม่ถึง

“อุแม่เจ้า ชายโชติกระนั้นรึนี่ ไม่เจอกันเสียตั้งนาน กลายเป็นหนุ่มหนั่นแน่นไปเสียแล้ว สูงใหญ่กำยำราวกับพวกนักกีฬาฝรั่งเลยเทียว อ้ายเราก็ดันอุตริคิดไปได้ว่าพอโตขึ้นมาจะพุงพลุ้ยอ้วนพีเหมือนอย่างพวกพี่ชายโตกับพี่ชายกลางเขา ก็ตอนเด็กๆ กลมดิกไม่ทิ้งห่างกันเลยสักคน ยังจำได้อยู่ไหมพ่อโชติ พวกพี่ๆ ที่พ่อชอบชวนกันไปขอขนมกินจากพี่ชายอังเขาอยู่บ่อยๆ นั่นอย่างไรเล่า”

ท่านชายโชติภนกระตุกรอยพระสรวลอย่างแกนๆ และนึกค้านอยู่ในพระทัยว่า

‘คุณชายโตกับคุณชายกลางมิได้ชวนฉันไปขอขนมเสียหน่อย แต่ชวนไปรังแกกลั่นแกล้งพี่ชายอังต่างหากเล่า ยังดีหรอกนาที่พี่ชายอังรับมือพี่ๆ ทั้งสองได้เป็นอย่างดี แต่จะทูลฟ้องออกไปตอนนี้ก็สองไพลเบี้ย เพราะอย่างไรเสียคนเป็นพ่อก็ต้องเข้าข้างลูกตัวเองอยู่ดี’

“จำได้ครับ ท่านอา”

เจ้าชายหนุ่มจึงทูลตอบสั้นๆ เพียงเท่านั้น ไม่ได้ตรัสอะไรต่อ

ถ้าต้องนับกันโดยศักดิ์แล้ว ถึงแม้ว่าท่านชายโชติภนและท่านชายสถิตคุณจะมีชันษาที่ห่างกันมากจนกลายเป็นพ่อกับลูกได้ แต่ด้วยพระยศที่เท่าเทียมกัน ก็เลยไม่ทรงถือสากันเรื่องคำราชาศัพท์สักเท่าใด โชติภนก็ทรงใช้บ้างไม่ใช้บ้าง แล้วแต่ความคล่องพระโอษฐ์ แต่โดยมากก็จะใช้คำสามัญกับท่านมากกว่าเพื่อความเป็นกันเองในเครือพระญาติ ถึงจริงๆ แล้วจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับท่านมากนักก็ตาม

เมื่อทรงเห็นว่าพระโอรสไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใดกับท่านชายเจ้าของวังต่อ เสด็จพระองค์ชายผู้เป็นบิดาเลยถือจังหวะนี้ตรัสถามถึงบุคคลที่อีกฝ่ายเพิ่งเอ่ยชื่อขึ้นมา

“เอ้อ แล้วนี่พ่อพระลอไปไหนเสียเล่า อยู่ที่เรือนแม่พเยาว์อย่างนั้นรึ”

ตึกตัก…

หม่อมเจ้าโชติภนทรงขยับองค์นิดหน่อยด้วยรู้สึกวูบวาบพระวรกายขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติอย่างน่าประหลาดเมื่อหม่อมเจ้าสถิตคุณทูลตอบ

“มิได้ เจ้าพี่ หลานน่าจะยังไม่กลับมาจากสถานีตำรวจกระหม่อม ชายอังตามชายไปถึงเมืองอังกฤษอยู่นานร่วมสัปดาห์ทีเดียว...ก็ไปเมียงมองหามหาวิทยาลัยเอาไว้ให้เจ้าน้องชายเทวดาของมันนั่นล่ะกระหม่อม คงมีงานอีกเป็นกระบุงหาบรอให้สะสาง ชายไม่ยักได้กลิ่นกฤษณาในสองสามวันมานี้ ชายอังอาจไม่ได้กลับวังมาเลย”

“อย่างนั้นรึ” เสด็จพ่อท่านชายรับสั่งคล้ายกับถาม แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบอย่างใด และไพล่ไปคุยเรื่องสัพเพเหระแทน จากนั้นก็วกกลับมาที่เรื่องของพระโอรส “เออแน่ะ เจ้าโชติลูกชายฉันมันเพิ่งจะกลับมาพระนครได้สองสามวัน คราวนี้จะได้กลับมาอยู่ยาวเลยเทียว ในที่สุดเจ้าพี่ปิ่นก็ยอมให้ลูกได้กลับมาอยู่กับพ่อมันเสียที คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันเสียแล้ว”

“อยู่ยาวเลยหรือกระหม่อม ดีจริงเทียว เพราะอย่างนี้กระมัง เจ้าพี่จึงดูพระเกษมสำราญขึ้นมาก แล้วพ่อโชติ ได้กลับมาทั้งที จบปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมมาเสียด้วย วางแผนอนาคตไว้บ้างหรือยังเล่าหลาน”

โชติภนทรงอึกอักหน่อยๆ เขาไม่โปรดให้ผู้ใดมาไถ่ถามหรือกะเกณฑ์ชีวิตขององค์เองสักเท่าใดนัก ต่อให้เป็นพระญาติผู้ใหญ่ก็ตาม จึงรับทูลตอบราวกับจะบอกปัด

“ถ้าเรื่องงานก็ยังไม่ได้คิดเป็นรูปเป็นร่างเลยครับท่านอา แต่ก็พอมีแพลนไว้ในหัวบ้างแล้ว เสด็จพ่อของชายท่านก็ไม่ทรงว่ากระไรด้วย ก็เลยคิดว่าช่วงนี้ขอทำตัวเป็นลูกกตัญญูคอยถวายงานดูแลไปรับส่งเสด็จกลับจากกองพันก่อนดีกว่า เอาไว้เสด็จพ่อทรงเกษียณจากราชการเมื่อใดก็ค่อยว่ากันอีกที”

“ใครว่าอาหมายถึงเรื่องงานเรื่องการกันเล่า พุทโธ่! พ่อโชติ พูดปัดอย่างกับอยากจะบอกกับอาว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องอย่างนั้น”

“มิได้ครับ”

ปากทูล ‘มิได้’ แต่ในพระทัยก็แอบคิดเช่นนั้นอยู่เนืองๆ

หม่อมเจ้าสถิตคุณไม่ได้ทรงติดพระทัยอย่างใด และพลุ่งเรื่องที่ตัวเองโปรดตรัสขึ้นมา

“ที่อาหมายถึงน่ะ คือเรื่องเสกสมรสต่างหากล่ะพ่อ”

“หืม...”

โชติภนแปลกพระทัย ขนงเลิกขึ้น

“เท่าที่อารู้มา พ่อโชติสนิทสนมอยู่กับธิดาเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญมิใช่รึ”

“น้องหญิงบัวน่ะหรือครับ”

ท่านชายทรงสรวลเบาๆ อย่างแห้งแล้ง เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพยายามจับคู่เขากับหม่อมเจ้าบัวทิพย์เกสร…อย่างน้อยๆ ก็มีพระเชษฐาของเธออย่างหม่อมเจ้าชายต้องครรลองนั่นแหละ แต่หากต้องทรงอธิบายยาวๆ ก็ทรงเบื่อหน่ายเหลือคณา โดยเฉพาะกับคนที่เขาคิดว่าก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตมากมายนัก จึงทูลตอบปัดแค่เพียงสั้นๆ แกมกระแนะกระแหนเล็กน้อย โดยยกพระบิดาขึ้นอ้างว่า

“ก็อย่างที่ชายได้ทูลท่านอาไปเมื่อครู่ ตอนนี้ชายยังอยากดูแลรับใช้เสด็จพ่อมากกว่าจะใคร่ครวญเรื่องแต่งเมีย ถ้าจะบอกว่าชายเป็นพ่อพวงมาลัยก็คงใช่ละมัง แต่ชายก็สบายดีกับการลอยชายไปลอยชายมานะครับท่านอา”

จึงเป็นอันว่าเรื่องพยายามหาคู่ครองให้ท่านชายโชติภนได้ตกไป เพราะเสด็จพ่อของท่านชายรับสั่งต่อทันทีว่า “ปล่อยมันไปเถิดท่านชาย อย่างอ้ายตี๋อ้วนคงรอแต่งตอนพ่อมันตายกระมัง”

จากนั้นพวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็พากันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่โปรดรับสั่งกันเพียงสองพระองค์

ท่านชายเดาว่าคงไม่พ้นเรื่องเสกสมรสอีกนั่นล่ะ จึงวิสาสะทูลลาออกมาดำเนินเล่นข้างนอกราวกับว่าไม่โปรดฟังความเรื่องนี้ด้วย



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 00:40:29 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สวนด้านนอกแตกต่างกับภายในพระตำหนักราวฟ้าและเหวทำให้พระอารมณ์ของท่านชายโชติภนปลอดโปร่งขึ้นมาก ด้วยวังเทวพงษ์พิศาลนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย มิใช่ต้นไม้ที่ถูกดัดให้เป็นรูปร่างอย่างในสวนโรมันที่วังจักษุภิรมย์ อีกทั้งยังมีลมเย็นๆ ที่พัดแผ่วๆ มาจากริมสระน้ำทำให้ความร้อนระอุในอากาศที่สะสมมาจากแดดจัดๆ เมื่อยามบ่ายค่อยบรรเทาลง

ท่านชายทรงสูดพระปัสสาสะลึก ก่อนจะเสด็จเลียบไปตามริมสระน้ำ ทอดเนตรมองต้นจามจุรียักษ์ไกลๆ หวนนึกถึงครั้งหนึ่งที่เสด็จพ่อเคยเล่าประทานว่ามันมีอายุอยู่มามากกว่าหนึ่งร้อยปีทีเดียว เรียกได้ว่าอายุมากกว่าวังนี้เสียอีก ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก อีกทั้งยังรอดผ่านสงครามมหาเอเชียบูรพามาได้อย่างหวุดหวิด เพราะแรงระเบิดในตอนนั้นเกือบจะทำให้มันโค่นล้มมาแล้ว และเสด็จพ่อก็ทรงเล่าอีกด้วยว่าหม่อมเจ้าฉันทิตหรือพระบิดาของหม่อมราชวงศ์อังควราก็ทรงรักทรงหวงแหนต้นจามจุรีต้นนี้มาก เพราะทรงปีนป่ายเล่นมาตั้งแต่ยังเยาว์ทำให้มีความทรงจำในวัยเด็กร่วมกันมากมาย กระทั่งเสด็จพ่อของท่านชายเองเมื่อตอนสี่ซ้าห้าชันษาก็ยังเคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนท่านชายสถิตคุณและท่านชายฉันทิตที่นี่ และเคยเล่นซนกันอยู่ที่บริเวณต้นจามจุรีต้นนี้จนมืดค่ำทีเดียว

หม่อมเจ้าเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาเสด็จดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทอดพระเนตรชมนกชมไม้อย่างเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเริ่มเข้าสู่เขตสวนดอกแก้ว

กลิ่นหอมหวนจรุงจิตลอยตามลมมากระทบกับพระนาสิก และที่ต้องทรงชะงักลงอย่างนั้นก็เพราะบริเวณที่ปลูกต้นแก้วไว้รายล้อมมีเพียงแค่เรือนไม้สักสีฟ้าอ่อนหลังคาปั้นหยาของหม่อมพเยาว์เท่านั้น...ไม่คิดเลยว่าจะทรงเพลิดเพลินจนเผลอไผลดำเนินมาถึงนี่ได้

หรืออาจจะไม่แปลกกระไรละมัง เพราะถึงจะขลาดอย่างใด แต่ลึกๆ ภายในพระหฤทัยกลับสั่งให้สองบาทก้าวพามา

ท่านชายพระสรวลหน่อยๆ และหยิบดอกแก้วที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มขึ้นมาดอมดมเล่น ก่อนจะหันไปตามเสียงมึงวาพาโวยที่ดังแว่วๆ ลงมาจากบนเรือนปั้นหยา

ทรงลอบแย้มพระสรวลอีกรอบ เพราะจากรถยนต์หลายคันที่จอดอยู่หน้าเรือนก็เดาได้ทันทีว่าคงเป็นสมาคมวงไพ่ของหม่อมผู้เป็นเจ้าของเรือนนั่นแหละ

รายนี้ก็อีกคน...ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปีก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง พอคิดว่าหม่อมป้าติดการพนันอย่างหนัก ในขณะที่หลานชายเป็นตำรวจแท้ๆ ท่านชายก็ทรงส่ายพระเศียรน้อยๆ อย่างขบขัน ก่อนจะทรงหยุดทุกการเคลื่อนไหวราวกับถูกคำสาป เมื่อรถมอริสสีเขียวอ่อนขับเข้ามาจอด พระโสตของท่านชายในวินาทีนั้นราวกับมืดบอดสนิททันใดเพราะกลิ่นของแม่น้ำ บัวสายในแม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับดับวูบลงเสียดื้อๆ และได้กลิ่นหอมของสิ่งหนึ่งที่รุนแรงขึ้นกว่าเก่าปะทะกับพระนาสิกเข้าอย่างจัง

ช่วงขาเรียวยาวของคนมาใหม่ก้าวลงจากรถคันกะทัดรัดขนาดกำลังพอใช้งาน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านชายทรงเคลื่อนองค์รวดเร็วหลบไปอยู่ด้านหลังต้นมะม่วงฟ้าลั่นต้นใหญ่ที่ถูกปลูกไว้ข้างๆ กันกับซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้งหน้าตัวเรือน แต่ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นได้อย่างง่าย เมื่อหม่อมราชวงศ์อังควราในชุดเครื่องแบบตำรวจสีกากีหยุดร่างตัวเองลงที่หน้าเรือน สัมผัสได้ถึงกลิ่นของไม้กฤษณาที่รุนแรงจนชวนพิศวง

นางข้าหลวงเบต้านางหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาเพื่อต้อนรับคุณชายของเรือนขึ้นบ้าน และรับข้าวของจากมือคุณชายไปถือไว้

อังควรายกมืออุดจมูก ทอดมองดูรอบๆ ก่อนจะหันไปถาม

“ฉันได้กลิ่นกฤษณา”

นางข้าหลวงละล้าละลังตอบ เพราะหลังต้อนรับคุณชายเสร็จแล้วก็ต้องรีบไปบริการวงไพ่หม่อมพเยาว์ต่อ

“อ๋อ พอดีหม่อมท่านสั่งให้พวกบ่าวไพร่เอาไม้กฤษณาของคุณชายมาเผาอบเรือนสำหรับต้อนรับแขกสมาคมของท่านน่ะค่ะ คุณชายอัง” ชื่อเสียงเรียงนามที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของนางข้าหลวงผู้นั้นทำให้บุคคลที่สามในบริเวณนั้นถึงกับจิตใจไม่เป็นสุข “หม่อมท่านบอกว่าถ้าบ้านหอมๆ จิตใจก็จะพลอยสงบไปด้วย แขกเหรื่อจะได้ไม่พากันหัวเสียเวลาที่เล่นแล้วเสียค่ะ”

อังควราพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ แต่ก็แอบบ่นอยู่ในใจว่า ‘จะสงบได้จริงๆ เรอะ ผีพนันสิงกันครบทุกคนยังงั้น แล้วของก็มิใช่ถูกๆ ปะไร กลิ่นแรงจนฉุนเสียขนาดนี้ หม่อมป้าท่านคงจะเอาเปลือกไม้ของฉันมาเผาเล่นเป็นกิโลฯ เลยกระมัง เฮ้อ…’

โดยที่คุณชายหารู้ไม่ว่าบุคคลที่ทำให้กลิ่นรุนแรงได้มากเพียงนี้ทรงกำลังหลบพักตร์ห่างอยู่เพียงแค่คืบเท่านั้น และกำลังลอบมอง ‘พี่ชายอัง’ ของเขาที่ไม่ได้พบกันมาเสียนานด้วยพระหฤทัยเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกคิดคะนึงหา จนอัดอั้นประดุจจะระเบิดออกเป็นจุณเสียให้ได้ และมันก็ค่อยๆ สั่นรัวมากยิ่งขึ้นทุกขณะเหมือนกับว่าร่างกายกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะทิ้งดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วยังหุบเหว

ท่านชายโชติภนเม้มโอษฐ์บางแน่น พระวรกายในยามนี้ราวกับว่าไม่ทรงรู้สึกรู้สาอีกแล้ว ทรงทอดพระเนตรจับจ้องคนตรงหน้าผ่านช่องกิ่งไม้ แต่ก็เห็นได้แค่เพียงลางๆ เท่านั้น ทำให้ทรงนึกกริ้วขึ้นมานิดหน่อย…ขอมากกว่านี้ได้ไหม...ขอเห็นมากกว่านี้...อยากเห็นหน้าพี่ชายอังของฉันให้มันหายคิดถึงจนฟุ้งซ่านอย่างนี้เสียที...แต่สองบาทกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ทรงประหม่ามากมายเสียจนทำองค์ไม่ถูก…ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นส่งผลให้ทั่วทั้งพระวรกายร้อนรุ่มวูบวาบขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่ากลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่ายกำลังทำปฏิกิริยาอะไรบางอย่างกับเขา

หม่อมราชวงศ์อังควราทอดถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่ชอบเสียงดังโหวกเหวกของพวกวงสมาคมหม่อมพเยาว์ จึงไม่รีบร้อนขึ้นบ้าน และเคลื่อนตัวมานั่งพักผ่อนทั้งยังอยู่ในชุดเครื่องแบบที่ซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้งหน้าเรือน เขาจุดตะเกียงให้ส่องแสงวอมแวมเพราะท้องฟ้ายามเย็นเริ่มจะมืดลงทุกที จากนั้นก็เอื้อมหยิบซออู้ชั้นดีของน้องชายที่วางอยู่ใกล้ๆ มาสีเล่นผ่อนคลายอารมณ์เป็นทำนองเพลง ‘ลาวคำหอม’ ‘ลาวแพน’ และจบลงที่ ‘ตับลาวเจริญศรี’

ตอนนั้นเองอังควราก็ขยับริมฝีปากขับร้องออกมาเรื่อยๆ ราวกับว่ามิได้ใส่ใจมากนัก แต่สำเนียงก็ยังพริ้งเพราชวนฝัน จนคนฟังอาจเคลิ้มได้โดยง่ายทีเดียว

‘อายุเยาวเรศรุ่นเจริญศรี
พระเพื่อนพี่แพงน้องสองสมร
งามทรงงามองค์อ่อนซ้อน
ดังอัปสรหยาดฟ้าลงมาเอย’


หม่อมเจ้าโชติภนที่ประทับยืนพิงต้นมะม่วงฟ้าลั่นทรงลอบแย้มสรวลเงียบๆ กับองค์เอง เพราะตับนี้ทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาในวัยเยาว์ที่พี่ชายอังเคยสีซออู้พร้อมกับขับร้อง รวมทั้งทูลเล่าถวายว่า

“เพลงตับลาวเจริญศรีน่ะกระหม่อม ปรับปรุงมาจากบทละครของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ จากบทละครเรื่องลิลิตพระลออีกที ฝ่าบาททรงรู้จักลิลิตพระลอไหม...แต่จริงๆ กระหม่อมไม่ควรเล่าถวายฝ่าบาทหรอก นิทานประเภทมอมเมาทางโลกีย์ยังงั้น ไม่เหมาะสมกับเด็กๆ เอาเสียเลย แต่ถ้าโปรดให้ทูลคร่าวๆ อย่างตับนี้ก็เป็นเพลงชมโฉมพระเพื่อนพระแพงที่งามเสียจนพระลอหลงใหลจนลืมบ้านเมือง ลืมมเหสีตัวเองเสียสิ้น จนได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุด”

ถึงตอนนั้นท่านชายจะยังทรงเยาว์มากจนเกินกว่าที่จะเข้าพระทัยในเรื่องราวของลิลิตพระลอได้อย่างถ่องแท้ก็ตาม แต่ท่านก็โปรดที่จะรับฟังคุณชายอังควราเล่าเรื่องต่างๆ แม้ว่าพี่ชายอังจะไม่ใช่คนพูดเยอะ และมักพูดเพียงเรื่องที่ตัวเองสนใจ อย่างเรื่องดนตรีที่ฟัง หรือหนังสือที่อ่าน...แต่ก็ไม่เคยเบื่อเลยสักครา โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

ท่านชายโชติภนลอบมองคุณชายร่างขาวอีกรอบก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลับผล็อยไปเสียแล้ว คงจะทำงานมาหนักจริงๆ อย่างที่ท่านอาสถิตคุณรับสั่งนั่นแหละ จึงเสด็จออกมาจากที่หลบซ่อน ดำเนินเข้าไปใกล้ด้วยพระทัยสะท้านสะเทือน และค่อยๆ หย่อนองค์นั่งลงข้างๆ กาย…ใกล้ชิดอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปี

ตึกตัก…

พระทัยของท่านชายพองฟูจนคล้ายกับจะทรงบินได้อย่างไรอย่างนั้น วงหน้าขาวนวลละเอียดลออของอีกฝ่าย ชวนให้คิดไปถึงบทร่ายบทหนึ่งจากเรื่อง ‘ลิลิตพระลอ’ ขึ้นมา...ที่ทรงรู้จักก็เพราะว่าตอนอยู่ที่อังกฤษ อยู่ๆ ก็ทรงบังเอิญผ่านไปได้ยินป้าพริ้มกำลังขับเพลงตับลาวเจริญศรีถวายพระปิตุลา แล้วก็หวนนึกได้ว่าเคยฟังตับเพลงนี้จากคุณชายตัวขาวมาก่อน จึงรู้สึกสนพระทัย และขอให้ป้าพริ้มเล่าถวาย ถึงแม้เรื่องราวของพระลอ และพระเพื่อนพระแพงจะจบลงอย่างที่ทำให้ท่านชายทรงโทมนัสไปหลายวัน แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โปรด

‘ประเสริฐสรรพสรรพางค์
แต่งบาทางค์สุดเกล้า
พระเกศงามล้วนเท้า
พระบาทไท้งามสม’


ร่ายยอยศพระลอ…นับได้ว่าเป็นพระเอกวรรณคดีไทยเพียงคนเดียวเลยกระมังที่มีบทชมโฉมเหมือนนางเอก และบัดนี้ ท่านชายก็เข้าพระทัยได้ทันใดว่าทำไมใครๆ ต่างก็เรียกพี่ชายอังว่า ‘พระลอ’ กันไปหมด แม้แต่เสด็จพ่อของท่านเอง

“โชติกลับมาแล้วนะครับ...พี่ชายอัง”

หม่อมเจ้าเรียลอัลฟ่าทรงขยับพระโอษฐ์บางอย่างเชื่องช้าโดยไม่ให้มีสุรเสียงเล็ดลอดออกมาแต่น้อยนิด แม้ว่าภายในพระทัยของท่านชายจะรู้สึกสงนสนเท่ห์กับบางสิ่งบางอย่างจากตัวคุณชายพระลอที่หลับใหลอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ก็ตาม หากแต่ความงดงามดั่งองค์อินทร์​ หยาดฟ้าลงมาสู่ดินตามที่บทร่ายได้ว่าไว้ก็ทำให้มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปก่อนได้

ท่านชายทรงพิศมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างบรรจงอีกรอบหนึ่ง

จริงๆ แล้วพี่ชายอังของเขาก็งดงามมาอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ใครๆ ได้พบเจอก็มักให้ความสนอกสนใจจนต้องถามขึ้นว่า “เด็กคนนี้รูปสวยจริงเทียว ลูกเต้าเหล่าใครกระนั้นรึ” ดังนั้นหม่อมเจ้าโชติภนจึงไม่ทรงตะลึงงันไปกับความหล่อเหลาอย่างหาตัวจับได้ยากของอีกฝ่ายอยู่นานมากนัก และทรงนึกสนุกกระไรขึ้นมาไม่ทราบ ทรงหยิบดอกแก้วที่อยู่ในมือทัดไว้กับใบหูขาวนวลผ่องแซมชมพูระเรื่อๆ ขับให้วงหน้าหล่อนั้นดูหวานกว่าเดิมเล็กน้อย ยิ่งชวนให้จับจ้องมากขึ้นจนทรงเผลอไผลทอดมองอย่างไม่รู้องค์ไปสักพักใหญ่ๆ ทีเดียว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา อังควราค่อยๆ ปรือตาตื่นเมื่อนางแจ่มเข้ามาปลุกให้ขึ้นไปรับข้าวข้างบนเรือน แม่นมเบต้ามองหน้าคุณชายเล็กน้อย แล้วก็หลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดู

“นึกยังไงถึงเอาดอกไม้มาทัดหูเล่นยังงั้นล่ะเจ้าคะคุณชายอังเจ้าขา”

“เอ๊ะ...ผมเปล่า”

แต่พอยกมือคลำๆ ดูก็พบว่ามีดอกแก้วสีขาวนวลบริสุทธิ์ทัดอยู่ที่หูจริงๆ

คุณชายขมวดคิ้วอย่างฉงน ก่อนจะวางมันลงโดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจต่อ



*



โชติภนติดเครื่องยนต์พร้อมบ่ายหน้าออกจากวังเทวพงษ์พิศาลในเวลาต่อมา ระหว่างทางเสด็จกลับไปยังวังจักษุภิรมย์ ภายในห้องโดยสารบนรถยนต์สงบเงียบเสียจนน่าแปลกใจ ไม่ว่าเสด็จวังจักษุฯ จะทรงชวนโอรสรับสั่งถึงเรื่องใด ท่านชายก็จะทูลตอบกลับไปแค่เพียงสั้นๆ ผิดแผกไปจากพระวิสัยสรวลเสเฮฮา และในที่สุดความคับอกคับใจก็ทำให้ทรงอดไม่ได้จนต้องทูลถามถึงสิ่งที่กำลังคิดวนเวียนอยู่ในพระเศียรมาสักพักใหญ่ออกไป

“เสด็จพ่อ...จะทรงให้เจ้าพี่หญิงเสกสมรสไปกับพี่ชายอังจริงๆ หรือกระหม่อม”

แต่นั่นก็หาใช่ทั้งหมดที่อยากจะกราบทูลออกไปไม่ เพราะท่านชายได้กลืนประโยคจริงๆ ที่ต้องการทูลถามลงพระศอไปแล้ว

โดยประโยคที่ว่าก็คือ…

‘เสด็จพ่อ...ทรงแน่พระทัยแล้วหรือกระหม่อมว่าพี่ชายอังเธอเป็นอัลฟ่าจริงๆ’

เพราะพระวรกายวูบๆ ไหวๆ ด้วยมีปฏิกิริยาแปลกๆ บางอย่างกับอีกฝ่าย และกลิ่น ‘ดอกแก้ว’ จากตัวคุณชายอังควรายังคงติดตรึงราวกับอีกฝ่ายอยู่ชิดกับปลายพระนาสิกของท่านชายโชติภน จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้…

ไม่ใช่กลิ่นไม้กฤษณาอย่างที่ใครๆ ต่างว่าไว้เสียหน่อย...แปลก





(โปรดติดตามตอนต่อไป)

#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 05:46:22 โดย doubleM »

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารคุณชายอัง โอ๊ย...แล้วความรักของสองคนนี้จะเป็นต่อน้อ  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๒.๑
แสงเทียน





ต้นพ.ศ. ๒๔๘๘

วังเทวพงษ์พิศาลในช่วงเย็นย่ำปรากฎร่างขาวเนียนละเอียดลอออย่างลูกผู้ดีของหม่อมราชวงศ์อัลฟ่าเด็กหนุ่มช่วงวัยราวสิบปี

เขาสวมชุดนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาและกำลังนั่งชันเข่าอย่างเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ตะเกียงดวงใหญ่จุดไฟไว้ให้มีแสงสว่างออกมาเรืองๆ ที่ด้านหน้าองค์พระตำหนักใหญ่อันเป็นที่พำนักของคุณชายในช่วงเวลานั้น

กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงทีเดียวกว่าหม่อมย่าของคุณชายและหม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินีพี่สาวในวัยสิบสามปีจะเดินเข้ามาสมทบ

คุณหญิงเพ็ญกำลังอุ้มหม่อมราชวงศ์จันทน์วัยทารกเอาไว้ในอ้อมอกอย่างชำนาญ ในบรรดาพี่น้องทั้งสองเธอเป็นคนที่เห่อน้องคนเล็กมากที่สุด มีโอกาสเมื่อใดเธอก็จะจับน้องชายมานอนบนแขน ร้องเพลงเห่กล่อมให้ได้หลับอย่างสบาย ส่วนหม่อมย่าก็หย่อนร่างชราของตนนั่งลงบนตั่งไม้หน้าอาคาร และสั่งเด็กรับใช้ให้ยกตะกร้าดอกบัวตูมเข้ามาใกล้เพื่อที่จะได้พับถวายพระในวันพรุ่ง

หล่อนเรียกให้คุณชายอังควราเข้ามาช่วยพับไปพลางในระหว่างที่กำลังรอหม่อมเจ้าชายฉันทิตเสด็จกลับจากราชการที่เมืองประจวบฯ คราวนี้ท่านพ่อของเขาเสด็จร่วมเดือนทีเดียว ทั้งยังโปรดพาหม่อมแม่ไปด้วยกันอีกต่างหาก ทำให้คนติดพ่อติดแม่อย่างคุณชายได้แต่นั่งรอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเหงาหงอย

ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะทรงสอนวิชาการดนตรีให้กับคุณชายเอาไว้หลายอย่างเพื่อจะได้เล่นแก้เหงา แต่เล่นไปพักๆ ก็เบื่อหน่าย มิได้เพลิดเพลินเท่ากับเวลาได้เล่นพร้อมกันกับท่าน

ขณะที่กำลังนั่งจับเจ่ากันอย่างเงียบเชียบ อยู่ๆ เสียงโหวกเหวกก็ดังแว่วลงมาจากองค์พระตำหนัก เป็นเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างคุณชายโตและคุณหญิงเล็ก โดยมีคุณชายกลางคอยยุแยงตะแคงรั่วอีกตามเคย หม่อมย่าบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาคนแก่ ส่วนคุณชายอังควราก็ส่ายศีรษะช้าๆ อย่างอ่อนใจ แต่ก็มิได้บ่นว่ากระไรเพราะความเคยชิน ด้วยโอรสธิดาของหม่อมเจ้าสถิตคุณนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเอะอะมะเทิ่งอย่างนี้ ประเดี๋ยวหม่อมเปี่ยมผู้เป็นแม่ก็เรียกไปตักเตือนเองนั่นแหละ

แต่ที่คุณชายไม่สามารถทำตัวให้เคยชินได้สักทีก็คือเสียงชวนปวดแก้วหูของคุณชายจันทน์ที่อยากจะแหกปากร้องขึ้นมาเมื่อใดก็ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ทั้งนั้น อย่างในตอนนี้ที่คุณหญิงเพ็ญกำลังเล่นหูเล่นตาด้วยอยู่ดีๆ ก็ส่งเสียงร้องดังลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คุณหญิงเพ็ญคาดคะเนอย่างใจเย็นว่าน้องคงจะหิวแล้ว จึงเร่งใช้บ่าวเบต้าไปชงนมมาให้ แต่พอรับขวดนมมาคุณชายจันทน์ก็กลับปัดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี พร้อมทั้งแหกปากเสียงดังยิ่งกว่าเดิม

คุณชายอังควราถอนหายใจยาวด้วยความเอือมระอา ตั้งแต่แรกเริ่มเขาไม่เคยอยากมีน้องชายหรือกระทั่งน้องสาวเลยแต่น้อยนิด อาจเพราะความอิจฉาก็เลยกลัวว่าท่านพ่อและหม่อมแม่จะมอบความรักให้คนอื่นมากกว่าตัวเอง คุณชายจึงค่อนไปทางรำคาญหน่อยๆ มิได้เมตตาน้องคนนี้สักเท่าใดนัก

ปลอบประโลมกันอยู่นานโขทีเดียวกว่าที่คุณชายจันทน์จะยอมสงบลงและหลับผล็อยไปในที่สุด พร้อมๆ กับที่รถยนต์สีดำคันใหญ่ของพระราชวังสราญรมย์อันมีตรากระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นที่ทำงานของท่านพ่อแปะหราเอาไว้อยู่บ่ายหน้าเข้ามาในอาณาเขตวังเทวพงษ์พิศาล หม่อมราชวงศ์อัลฟ่าวัยใกล้เข้าสู่แรกรุ่นระบายยิ้มกว้างอย่างปีติสุข รีบรุดขออนุญาตหม่อมย่า และวิ่งตรงดิ่งเข้าไปต้อนรับเสด็จ

ชายหนุ่มร่างผอมเก้งก้างคนหนึ่งที่คุณชายอังควราคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นมหาดเล็กคนสนิทของท่านพ่อก้าวขาลงมาจากห้องโดยสาร เดินตีหน้านิ่งตรงเข้ามาหา ยืนประสานมือไว้ด้านหน้า และจ้องมองคุณชายผู้เป็นโอรสของเจ้านายด้วยแววตาที่ไม่อาจอธิบาย

หัวใจของคุณชายวูบไหวระคนหนักอึ้ง เมื่อมองเข้าไปยังห้องโดยสาร แต่กลับไม่เจอใครในนั้นอีก

“คุณครับ” อังควราเปล่งเสียงนิ่มๆ เรียกอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติ คุณหญิงเพ็ญฝากคุณชายจันทน์เอาไว้กับนางแจ่ม และค่อยๆ ประคองหม่อมย่าเข้ามาสมทบหลังจากนั้น “แล้วท่านพ่อกับหม่อมแม่ล่ะครับ มิได้เสด็จกลับมาด้วยหรอกหรือ...ท่านพ่อทรงมีราชการต่ออีกอย่างนั้นหรือ”

ราวกับว่าคำสาปได้ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาบริเวณจนรอบๆ กายคุณชายอังควราตกอยู่ในความเงียบงัน มหาดเล็กหนุ่มผู้นั้นนิ่งอั้นอยู่ชั่วอึดใจ สีหน้าเหมือนกับกำลังคิดพิเคราะห์เพื่อหาคำพูดมาบอกกล่าวกับคุณชายร่างขาวตรงหน้า แต่ในท้ายที่สุดเขาก็จนใจ จึงลอบถอนหายใจนิดหน่อยเพราะไม่มีคำใดจะชัดเจนแจ่มแจ้งไปมากกว่าความจริง

“กระผมมาเพื่อเรียนให้คุณชายกับคุณหญิงได้ทราบเรื่องขอรับ เมื่อคืนนี้ที่วังตากอากาศของท่านฉันทิตถูกโจรขึ้น พวกมันได้ปล้นเอาทรัพย์สินไปได้จำนวนหนึ่ง และ...เอ่อ...ท่านฉันทิตก็ทรงถูกพวกมันสังหาร ท่านถูกปาดเข้าที่พระศอจนสิ้นชีพิตักษัยไปพร้อมกับหม่อมของท่าน กว่าที่คนจะเข้าไปพบพระศพก็ตอนเกือบรุ่งสางแล้วขอรับคุณชาย”

มหาดเล็กผู้นั้นค้อมศีรษะให้เด็กชายตรงหน้าเล็กน้อย

“กระผมพยายามติดต่อมาที่วังเมื่อตอนย่ำรุ่ง แต่พวกบ่าวก็บอกว่าคุณหญิงคุณชายไปโรงเรียนกันหมด ท่านสถิตคุณก็เสด็จออกไปทรงงาน ส่วนหม่อมเปี่ยมกับหม่อมแม่ของท่านฉันทิตก็เข้าวัดไปฟังธรรมกันตั้งแต่เช้าตรู่ กระผมก็เลยต้องนำความมาบอกเอาตอนเย็น อย่างไรก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ นะขอรับ”

อังควราอยากจะคิดว่าตัวเองหูฟั่นเฟือนจนทำให้ฟังความผิดไปเอง หากทว่าถ้อยคำของอีกฝ่ายก็ชัดเจนมากเหลือเกิน อีกทั้งยังดังก้องวนเวียนในหัวอย่างมิรู้วาย พาให้ใจดวงน้อยๆ ของคุณชายสะท้านสะเทือนและดิ่งวูบลงไปยังหุบเหวประหนึ่งว่าจะไม่มีวันหาพบอีก

“ตอนนี้พระศพของท่านฉันทิตกับหม่อมอยู่ที่โรงพยาบาล ประเดี๋ยวกระผมต้องเข้าไปทูลให้ท่านชายสถิตคุณได้ทรงทราบด้วย ขอตัวก่อนนะขอรับ”

หม่อมย่าทรุดฮวบลงกับพื้นดินโรยกรวดพร้อมทั้งกรีดร้องออกมาราวกับจะขาดใจ คุณหญิงเพ็ญสินีเองก็น้ำตาไหลอาบเต็มสองข้างแก้ม ทั้งๆ ยังประคองหม่อมย่าเอาไว้ไม่ให้ห่างกาย คุณชายอังควรายืนแน่นิ่งโดยไม่มีน้ำตาไหลลงมาเลยแม้แต่หยดเดียว แต่ลำคอกลับตีบตันเสียจนปวดระบมไปหมด หวนคิดไปถึงเสียงร้องลั่นแหกปากโวยวายของคุณชายจันทน์เมื่อครู่ ทั้งๆ แอบรำคาญในตอนนั้น แต่ตอนนี้กลับอดคิดไม่ได้ว่าน้องคงรับรู้ได้ถึงการจากไปของท่านพ่อและหม่อมแม่กระมัง อนิจจา! น้องพี่ ยังเป็นเพียงทารกไม่ประสีประสา แต่กลับต้องมากำพร้าทั้งพ่อและแม่เสียแล้ว

พอคิดได้อย่างนั้นก้อนเนื้อในทรวงอกคุณชายก็ประหนึ่งโดนเข็มเจาะจนกลายเป็นรูพรุน แต่เมื่อเหลือบมองไปยังหม่อมย่าและพี่สาวที่มีอยู่เพียงคนเดียว คุณชายก็ไม่ยอมปล่อยให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นมาทำให้ตัวเองอ่อนแอลงอย่างใด คนทั้งคู่ตรงหน้าเขาเอาแต่ร้องห่มร้องไห้จนหมดสภาพ ถ้าหากเขาไม่ยอมระงับสติและข่มความรู้สึกตัวเองเอาไว้ สถานการณ์ทั้งหมดจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ

คุณชายค่อยๆ ทรุดลงข้างๆ สองบุคคลตรงหน้าที่เขาจะต้องโอบถนอมเอาไว้ โผกอดทั้งคู่อย่างรักใคร่สุดดวงใจ

หม่อมราชวงศ์อังควราในตอนนั้นอาจเป็นเพียงแค่เด็กน้อยวัยสิบขวบธรรมดาๆ คนหนึ่ง แล้วเรื่องราวที่กำลังเผชิญมันก็หนักหนาสาหัสเหลือเกิน แต่คุณชายก็บอกกับตัวเองว่าเขาจะต้องไม่เป็นไร...ใช่ เขาไม่เป็นไรหรอก เพราะเขายังมีพี่น้องอีกตั้งสองคนที่ต้องคอยดูแลนับแต่นี้ และอีกต่อๆ ไป



*



ปลายพ.ศ. ๒๔๘๙

เป็นเวลาเกือบสองปีมาแล้วหลังจากการสูญเสียหม่อมเจ้าชายฉันทิต หม่อมแม่ รวมถึงหม่อมย่าที่ตรอมใจและล้มป่วยจนกระทั่งสิ้นใจในเวลาเพียงไม่นานหลังจากนั้น หม่อมราชวงศ์สามพี่น้องก็ถูกนายหญิงประจำพระตำหนักใหญ่ดีดกระเด็นออกมาอยู่ที่เรือนไม้สักสีฟ้าอ่อนหลังคาปั้นหยากับหม่อมป้าพเยาว์ที่เดิมทีก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันสักเท่าใด

หม่อมแม่ของคุณชายอังไม่ชอบให้ลูกๆ ไปข้องแวะกับหม่อมป้าคนนี้มากมายนักเพราะเกรงว่าผีพนันที่สิงอยู่ในตัวหม่อมป้าจะเบียดเบียนมาถึง แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งคุณชายและคุณหญิงก็จำต้องหน้าชื่นอกตรมเพราะนอกจากที่อยู่อาศัยที่ถูกทำให้กลายเป็นบ่อนอยู่ทุกคืนวัน โดยที่ท่านลุงเองก็ไม่ใคร่จะมาไยดี หม่อมป้าพเยาว์เองก็ไม่ได้มีสิ่งใดเลวร้าย เพราะอารมณ์ของหม่อมในแต่ละวันขึ้นอยู่กับว่า ‘ได้’ หรือ ‘เสีย’ มากกว่ากัน ถ้าหากว่าเสีย พวกคุณหญิงคุณชายก็จะรับรู้ด้วยตนเองว่าควรต่างคนต่างอยู่เป็นดีที่สุด แต่ถ้าหากได้ เพียงเข้าไปปรนนิบัติพัดวีเล็กๆ น้อยๆ หม่อมป้าก็อาจครึ้มใจให้เบี้ยเลี้ยงมาเป็นหลักสิบทีเดียว แม้ว่าจะเพียงแค่นานทีปีหนก็ตามเพราะนิสัยคุณชายอังควราตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่พวกชอบประจบสอพลอสักเท่าใดอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยอิดออดขี้เกียจเวลาถูกเรียกไปใช้สอย

อย่างน้อยๆ คุณชายก็คิดว่าอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายอกสบายใจมากกว่าไปอยู่บนพระตำหนักใหญ่และคอยถูกป้าเปี่ยมเรียกไปก่นด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นไหนๆ โดยเรื่องที่ถูกบ่นบ่อยครั้งมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของคุณชายจันทน์ที่คอยแต่จะร้องแรกแหกกระเชอเสียงดั่งลั่นตึก

กระทั่งคุณชายจันทน์โตขึ้นมาอีกหน่อย และเริ่มเดินเหินได้อย่างตอนนี้ก็ชอบเล่นซุกซนวิ่งเข้าวิ่งออกพระตำหนักอยู่เป็นนิจ จนพี่ๆ ทั้งสองต่างตามจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คุณชายอังรู้ดีว่าหม่อมเปี่ยมชอบให้วังอยู่ในความสงบเงียบเรียบร้อย ในตอนที่ท่านพ่อของคุณชายยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เวลาท่านทรงเปียโนอยู่ในห้องทรงดนตรีของท่าน ด้วยเพราะมันมิใช่ห้องเก็บเสียง คุณชายก็สามารถมองออกได้ไม่ยากเย็นเลยว่าป้าเปี่ยมรำคาญมากเต็มกลืน แต่เมื่อคนในวังต่างชอบอกชอบใจและคอยตามพระทัยท่านชายฉันทิตกันทั้งหมด หล่อนจะคัดค้านก็หาใช่ที่

จนถึงตอนนี้ คุณชายอังควราในวัยสิบสองปีบริบูรณ์เริ่มเป็นหนุ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยก็ยังมีเรื่องมีราวให้ต้องขึ้นไปบนพระตำหนักใหญ่อยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ก็สัปดาห์ละครั้งสองครั้ง ด้วยต้องเข้าไปทำความสะอาดเช็ดถูเครื่องดนตรีอันเป็นของที่รักยิ่งของบิดา และวิสาสะฝึกซ้อมเสียที่นั่น โดยหม่อมเปี่ยมเองก็ไม่อาจต่อว่าอย่างใดได้ เพราะทุกๆ ครั้งคุณชายก็มักจะทูลเชิญหม่อมเจ้าต้องครรลองเพื่อนสนิทที่โรงเรียนให้มาฝึกซ้อมด้วยกันอยู่เสมอ โดยท่านชายต้องจะทรงไวโอลินหรือไม่ก็ทรอมโบนตามความถนัดของท่าน ส่วนคุณชายอังก็เล่นซออู้ ไม่ก็ระนาดเอก

ในช่วงแรกๆ หลังจากสิ้นท่านพ่อไป อังควราไม่เคยได้แตะต้องเครื่องดนตรีสักชิ้น ความโทมนัสทำให้ร่างกายเบาโหวงประดุจว่าได้สูญเสียดวงวิญญาณไปจนสิ้นแล้ว แต่เมื่อกาลเวลาได้ผ่านพ้นไปจากวันเป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ความโศกเศร้าเสียใจเหล่านั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความชินชา ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความคิดถึงจนล้นหัวใจ คุณชายเลยกลับมาซ้อมดนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อบรรเทาความอาลัยลง

และการที่ได้กลับมาเหยียบห้องทรงดนตรีอีกครั้งก็ทำให้คุณชายได้รู้ว่าร่มเงาของท่านพ่อยังคงสถิตอยู่ทั่วไปในทุกพื้นที่

“กำลังรอใครอยู่หรือชายอัง”

คุณหญิงเพ็ญสินีในวัยสิบห้าปีก้าวขาอย่างแช่มช้อยลงมาจากเรือนไม้สักหลังคาปั้นหยา เห็นน้องชายนั่งชะเง้อชะแง้อยู่ที่ซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้งหน้าเรือนก็เข้ามาถามไถ่อย่างฉงนสงสัย คุณชายอังควราก็ถอนหายใจนิดหน่อยอย่างเบื่อๆ และหันมาบอกเรียบๆ

“ท่านชายต้องน่ะครับพี่หญิงเพ็ญ ทรงโทรมารับสั่งเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเสด็จมาซ้อมดนตรีด้วยกันตั้งแต่เมื่อบ่าย จนจะเย็นย่ำอยู่แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่พระฉายา คงไม่เสด็จแล้วละมัง”

“ข้าวเหนียวมะม่วงจ้ะ” คุณหญิงเพ็ญสินียื่นจานกระเบื้องลายดอกกุหลาบแดงให้น้องชาย อังควรารับไปด้วยรอยยิ้มนิดหนึ่ง

“ขอบคุณครับ”

“แสดงว่าวันนี้ชายก็จะขึ้นไปบนพระตำหนักใหญ่ล่ะซี นี่แน่ะชายอัง พี่ว่าชายไปขนเครื่องดนตรีจากที่นั่นมาฝึกซ้อมกับท่านชายต้องเสียตรงนี้ไม่ดีกว่ารึ ถึงจะไม่ใช่ห้องปิด แต่ก็ยังดีกว่าไปเสี่ยงถูกฟาดงวงฟาดงาใส่ สถานการณ์บนพระตำหนักตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าใด พี่บังเอิญได้ยินพวกบ่าวไพร่มันพูดกันมา”

คิ้วดกดำเรียวสวยของอังควราเลิกขึ้นนิดหน่อย ขณะกำลังจิ้มมะม่วงสุกป้อนพี่สาว แล้วค่อยป้อนใส่ปากตัวเองตามลำดับ

“สถานการณ์ไม่สู้ดีบนพระตำหนัก? มีเรื่องอะไรกันหรือครับ พี่หญิงเพ็ญ”

ตั้งแต่แยกตัวออกมาอยู่เรือนไม้สักสีฟ้าอ่อนของหม่อมป้าพเยาว์ หม่อมราชวงศ์อังควราก็วางตัวสงบเสงี่ยม ขาดการรับรู้ข่าวสารใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นภายในอาคารใหญ่ไปโดยปริยาย จะมีบ้างที่คุณหญิงเพ็ญสินีคาบมาบอกเล่าเก้าสิบ แต่ก็เพียงนานๆ ครั้งเท่านั้น เพราะคุณหญิงเองก็ไม่ใช่พวกช่างนินทาเช่นกัน หากทว่าเรื่องนี้กลับทำให้เธอคันปากยุบยิบ ก็เลยเขยิบกายเข้าใกล้น้องชายอีกเล็กน้อยเพื่อกระซิบกระซาบ

“โฮ้ย! จะอะไรเสียอีกล่ะชาย ก็เรื่องที่หมอเขาตรวจเพศรองให้ชายโตผิดยังไงเล่า ชายเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าตอนแรกเกิดหมอตรวจได้ว่าชายโตเธอเป็นอัลฟ่าน่ะ แต่ตอนนี้อายุอานามก็สิบห้าเศษๆ เข้าไปแล้วพ่อยอดขมองอิ่มก็ยังไม่ส่งกลิ่นเฉพาะออกมาเสียที ปกติอัลฟ่ากับโอเมก้าจะเริ่มมีกลิ่นได้ตั้งแต่ช่วงวัยแรกรุ่น...ก็สักราวๆ สิบสองสิบสามปีนั่นแหละ ไม่มีทางเกินไปกว่านี้ ทีนี้พอลองไปเจาะเลือดตรวจใหม่ หมอกลับบอกว่าชายโตเธอเป็นเบต้าเสียนี่ ทำเอาเธออาละวาดจนบ้านแทบแตก ทำลายข้าวของพังไปทั้งองค์พระตำหนัก ถูกป้าเปี่ยมไล่เฆี่ยนจนหลังลายก็ยังไม่ยอมหยุด เรียกได้ว่าเสียศูนย์ไปเลยล่ะน้องเอ๋ย”

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ” คุณชายอังควราเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ขบคิดตาม “พี่ชายโตเธอคงจะกระดากอายละมังครับ เธอภูมิใจมากเทียวที่ได้เกิดเป็นอัลฟ่าชายเพียงคนเดียวจากโอรสทุกคนของท่านลุง อย่างนี้ก็เท่ากับว่าท่านลุงมีแค่หญิงแผ้วคนเดียวที่เป็นธิดาอัลฟ่าน่ะซีครับ แต่ท่านลุงทรงโปรดอัลฟ่าชายนี่นา คงจะทรงเสียพระทัยไม่น้อยเลยเพราะคาดหวังกับพี่ชายโตไว้มาก”

“เฮ้อ...พี่ไม่เข้าพระทัยท่านลุงเลยจริงๆ จะอัลฟ่าหญิงหรืออัลฟ่าชายก็ไม่เห็นมันจะต่างกันสักกี่มากน้อย แต่ช่างเถอะ เรื่องท่านลุงน่ะ ไม่กระไรมากหรอก อย่างไรเสียกับชายโตเขาก็เป็นพ่อเป็นลูกกัน ที่พี่เป็นห่วงคือชายกับชายจันทน์มากกว่า หมอดันตรวจออกมาว่าเป็นอัลฟ่าด้วยกันทั้งคู่ยังงี้ก็เหมือนกับเป็นหนามยอกอกตำใจชายโตนั่นแหละ กลัวว่าจะเกิดอิจฉาบ้าๆ ขึ้นมาจนมาหาเรื่องรังแกกันไม่จบไม่สิ้นน่ะซี้ ทุกวันนี้ก็ชอบมาหาเรื่องบ่อยๆ อยู่แล้ว คนมันพาล ถึงจะชาติตระกูลดีเลิศยังไงก็เป็นคนพาลวันยันค่ำ”

หม่อมราชวงศ์หญิงเบต้าบ่นอุบอิบไปตามเรื่องเพราะเธอไม่อาจทำอย่างใดได้เลย จะปกป้องน้องชายหรือก็จนปัญญา ด้วยอีกฝ่ายเป็นถึงโอรสคนโตจากชายาเอกของท่านชายเจ้าของวัง หากไม่อยากมีปัญหายุ่งยากก็แค่ต้องยอมๆ ไปให้หมดเรื่องหมดราว

พวกบริวารบ่าวไพร่มักจะพูดกันอย่างปากต่อปากว่าคุณชายโตชังน้ำหน้าคุณชายอังมานานปีดีดัก เพราะคุณชายเป็นอัลฟ่าที่งดงามกว่าทั้งรูปสมบัติ และคุณสมบัติ ยิ่งโตมากขึ้นเท่าไหร่ ความงดงามก็ยิ่งเป็นที่ประจักษ์มากเท่านั้น และยิ่งในตอนนี้ที่เรื่องราวกลับตาลปัตรจนกลายเป็นว่าคุณชายโตเป็นเพียงแค่เบต้าธรรมดาๆ ไม่มีสิ่งใดวิเศษวิโศไปกว่า คุณชายอังควราก็อาจถูกรังแกเอาได้ทุกเมื่อ

ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสักเพียงใด แต่คุณชายก็หัวเราะเบาๆ ให้พี่หญิงของเขาได้สบายใจ

“ก็คงไม่แตกต่างไปจากเดิมสักเท่าใดหรอกครับพี่หญิงเพ็ญ ปกติพี่ชายโตเธอก็อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ก็มิใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้าเธอร้อนมาเราก็วางเฉยเสีย ผมว่าผมรับมือกับพี่ชายโตได้ พี่หญิงเพ็ญอย่าได้เป็นกังวลเลย” คุณชายร่างขาวระบายรอยยิ้มจางๆ อย่างคนแสนดี ช่วยขับให้วงหน้าคมคายดูอ่อนหวานขึ้นเล็กน้อย “แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ไม่รู้ว่าหมอเขาตรวจเพศรองให้ผมพลาดไปเหมือนกันไหม จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ส่งกลิ่นเสียที ถ้าไปลองตรวจดูอีกทีหมออาจจะบอกว่าผมเป็นเบต้าก็ได้นะครับ”

ในอดีตกาล นับจากนี้ไปสักราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบปี การตรวจเพศรองตั้งแต่แรกเกิดทำได้เพียงวัดจากความถี่ในการเต้นของชีพจรเท่านั้น แต่การตรวจเช่นนี้ก็มีโอกาสผิดพลาดได้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ทีเดียว แล้วถ้าหากหมอไม่เก่งพอโอกาสพลาดก็จะสูงมากขึ้นไปอีก ตอนหม่อมย่ายังมีชีวิตอยู่ท่ายเคยเล่าให้คุณชายฟังว่าในวันที่ท่านชายฉันทิตกับท่านชายสถิตคุณประสูติ เสด็จปู่ของคุณชายก็ถึงกับต้องมาเชิญหมอฝรั่งให้มาตรวจทีเดียว

แต่ในปัจจุบันที่ทางการแพทย์ก้าวไกลไปกว่าสมัยก่อนมาก การตรวจเพศรองจากการเจาะเลือดเริ่มกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทว่าในเมืองไทยก็ยังมิได้แพร่หลายมากสักเท่าใด ด้วยหมอที่ชำนาญทางด้านนี้ยังมีอยู่ไม่มากนัก...เท่าที่คุณชายพอจะทราบมาก็มีแต่ที่โรงพยาบาลศิริราชกับโรงพยาบาลจุฬาฯ เท่านั้น และถึงการตรวจแบบนี้จะแม่นยำกว่าการวัดชีพจรมาก แต่ก็ยังมีเคสผิดพลาดหลุดออกมาให้เห็นประปราย ดังเช่นเคสของคุณชายโตและเคสของคุณชายอังควรา

หม่อมเจ้าฉันทิตเคยเล่าประทานอย่างติดตลกหน่อยๆ ว่าเคสของคุณชายอังควรานั้นแปลกประหลาดมาก อาจเพราะหมอไม่เก่งกระมัง เพราะตอนแรกเกิดหมอทูลกับท่านพ่อของคุณชายว่าไม่สามารถตรวจหาเพศรองของคุณชายได้เลย ปกติแล้วการตรวจเพศจะต้องใช้ระยะเวลาราวๆ หนึ่งเดือนเพื่อรอให้เลือดทำปฏิกิริยากับน้ำยาเคมีที่นำเข้าจากต่างประเทศ เสร็จแล้วก็ต้องนำเข้าเครื่องตรวจเพื่อรอผลอีกที แล้วยังต้องควบคุมอุณหภูมิของเลือดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย...ยุ่งยากมากมายหลายขั้นตอนจนอังควราฟังรับสั่งไปก็มึนงงไป แต่สรุปสั้นๆ ก็คือเลือดของคุณชายไม่ยอมทำปฏิกิริยากับน้ำยา ทำให้ไม่สามารถนำเข้าเครื่องตรวจได้ หมอกลัวว่าร่างกายของคุณชายอาจจะผิดปกติ หรือไม่ก็พิการทางใดทางหนึ่ง ก็เลยนัดให้มาตรวจอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งสองปีหลังจากนั้นก็ตรวจพบว่าเป็นอัลฟ่านั่นเอง

“วุ้ย! พูดอะไรอย่างนั้นน่ะ ชายเพิ่งจะอายุสิบสองได้ไม่นานเท่าไร พี่ก็ไม่เห็นว่ามันแปลกตรงไหนที่จะยังไม่เริ่มส่งกลิ่นตอนนี้ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอกมั้ง เชื่อเถอะว่าชายโตคงภาวนาสาปแช่งอยู่ทุกวันให้ผลตรวจเพศรองของชายคลาดเคลื่อนเหมือนอย่างเธอบ้าง ก็คนมันขี้อิจฉายังงั้นจะให้ทำยังไง ขนาดพระธำมรงค์เพชรโคอินัวร์ของท่านพ่อพวกเรา ชายโตยืมใส่ไปงานเสกสมรสโอรสเสด็จวังเอกมัยตั้งแต่ปีก่อน ป่านนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้คืนมา คงคิดตีเนียนเอาไปแล้วเอาไปเลยละมัง”

อังควราหวนคิดถึงพระธำมรงค์องค์โปรดของหม่อมเจ้าฉันทิตซึ่งทำจากอัญมณีน้ำงามของแดนภารตะอันเป็นของได้รับพระราชทานมาจากองค์พระพุทธเจ้าหลวงเมื่อตอนยังทรงเยาว์ที่ช่วงหนึ่งคุณชายอังควรานำมาร้อยสร้อยเงินสวมใส่แทนสร้อยพระอยู่บ่อยๆ เพื่อรำลึกถึงพระบิดาที่สิ้นไป นับเป็นของดูต่างหน้าชิ้นหนึ่งที่ทรงคุณค่ามากสำหรับคุณชาย แต่สุดท้ายก็ถูกพรากไปอยู่ดี เมื่อคุณชายโตเล็งเห็นว่าคุณชายลูกพี่ลูกน้องของเขาดูหวงแหนพระธำมรงค์องค์นี้นักหนา ทั้งๆ คุณชายโตไม่ได้มีความสนใจเรื่องเครื่องประดับ แต่อยู่ๆ กลับมาแบมือขอดื้อๆ โดยย้ำคำหนักว่า “ฉันก็แค่ยืมไปก่อน ประเดี๋ยวใช้เสร็จแล้วจะเอามาคืน มิได้รึไงชายอัง หัดงกกับพี่กับน้องตั้งแต่เมื่อไร คอยดูเถิด ฉันจะทูลฟ้องท่านพ่อ”

คุณชายอังจึงเสียมิได้ จำต้องให้ไป แม้จะรู้เต็มใจว่าเนื้อเข้าปากเสือแล้วไม่มีวันได้คืนกลับมา

อังควราละเลียดข้าวเหนียวมะม่วงจนหมดจาน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ด้วยทินกรกำลังจะลาลับ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูง

“ป่านนี้ท่านชายต้องคงจะไม่เสด็จแล้วละมังครับ ผมจะเข้าไปเช็ดถูเครื่องดนตรีบนพระตำหนักเสียหน่อย ไม่ได้ทำความสะอาดเสียหลายวัน วันนี้หม่อมป้าพเยาว์ก็คงจะรับข้าวกับพวกวงสมาคมอีกตามเคย พี่หญิงเพ็ญรออยู่นี่นะครับ อีกประเดี๋ยวผมจะกลับมารับข้าวเย็นด้วย”




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 22:57:05 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เป็นโชคดีของหม่อมราชวงศ์อังควรา ทั้งๆ เตรียมตัวเตรียมใจถูกหม่อมเปี่ยมเรียกตัวไปบ่นด่าสัพเพเหระตามประสา และถูกพวกคุณหญิงคุณชายโอรสธิดาของท่านลุงกระแนะกระแหนโขกสับ แต่เมื่อค่อยๆ วิสาสะผลักประตูทางเข้าด้านหลังสำหรับพวกบริวารบ่าวไพร่ภายในตำหนักใหญ่เข้าไป สาวรับใช้เบต้าคนหนึ่งที่กำลังยกสำรับน้ำชาเดินสวนออกมาก็เรียนกับคุณชายอย่างสุภาพว่าวันนี้เจ้านายเกือบทุกคนในอาคารออกไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กว่าจะกลับกันมาก็คงราวๆ เย็นวันพรุ่ง เว้นแต่ท่านชายสถิตคุณที่ประทับอยู่กับพระอาคันตุกะภายในห้องรับแขกด้านหน้าตำหนัก

คุณชายอังควราไม่ได้สนใจว่าพระอาคันตุกะของท่านลุงคือผู้ใด และมิได้เข้าไปพูดจาอย่างใดกับผู้เป็นลุง เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการสนทนาของท่าน ด้วยอีกฝ่ายอาจจะกำลังหารือเรื่องสำคัญกันอยู่ ก็เลยค่อยๆ เยื้องย่างขึ้นไปบนชั้นสองของอาคาร ภายในใจครุ่นคิดต่างๆ นานาว่าจะเริ่มทำความสะอาดเครื่องดนตรีชนิดใดก่อนดี เพราะคงทำได้ไม่จนทั้งหมดภายในเวลาอันสั้นแน่ๆ เนื่องด้วยเครื่องดนตรีของท่านพ่อนั้นมีมากมายหลากหลายนัก ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง แต่เปียโนหลังใหญ่กับระนาดเอกชั้นเลิศที่ท่านพ่อทรงโปรดปรานนักหนาอาจมิต้องทำ เพราะพวกบ่าวไพร่ก็มักจะเข้ามาปัดฝุ่นให้เป็นประจำอยู่แล้ว

ส่วนพวกเครื่องดนตรีทองเหลืองที่อยู่ในกล่องเก็บของมัน ถึงไม่ได้ออกมาโดนแดดโดนลม แต่ก็น่าจะหมองไปมาก ต้องนำมาลงน้ำยาเช็ดถูอีกสักหน่อยก็คงจะกลับมาเงาวับได้ดังเดิม คุณชายจึงตัดสินใจได้ว่าจะเริ่มจากทำความสะอาดเครื่องดนตรีทองเหลืองเสียก่อน จะได้กลับไปรับข้าวเย็นกับคุณหญิงเพ็ญสินีได้ทันเวลา แต่ทว่าก็ต้องชะงักงัน เพราะตามปกติห้องทรงดนตรีของท่านพ่อ ถ้าหากคุณชายกับท่านชายต้องครรลองไม่ได้เข้าไปฝึกซ้อมมันก็มักจะเงียบสนิท ไม่มีแม้เสียงลมพัดผ่าน แต่ในวันนี้ประตูห้องกลับเปิดอ้า ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังเดินเข้าออกกันขวักไขว่ พร้อมทั้งหอบข้าวหอบของคนละไม้ละมือราวกับกำลังขนย้ายสิ่งใดอยู่

คุณชายร่างขาวยืนนิ่งมองอยู่เพียงอึดใจ ก่อนจะก้าวไวๆ เข้าไปถามไถ่เอาความจากชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนชี้นิ้วสั่งการบ่าวไพร่ที่เหลือ

“คุณครับ ชายอังนะครับ...ทำอะไรกันอยู่หรือ”

เบต้าชายร่างยักษ์หยุดชะงัก ก้มศีรษะทำความเคารพคุณชายนิดหน่อย กำลังจะอ้าปากบอกอยู่แล้ว เสียงจากด้านในก็ดังขึ้นเสียก่อน

“อ้าว เจ้าอัง”

คุณชายหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นบุคคลที่เขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อบ่าย

“ฝ่าบาท”

“แกมีอะไรทำก็ไปทำต่อเถอะจางวางคล้อย ประเดี๋ยวฉันคุยกับคุณชายอังเธอเอง” หม่อมเจ้าชายต้องครรลองทรงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ กับชายร่างใหญ่ผู้นั้น ก่อนจะทรงหันกลับมาหาพระสหายที่กำลังสับสนงงงวย ระคนด้วยวูบไหวเล็กน้อยภายในหัวใจ เพราะสังหรณ์ว่ากำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องกระทบกระเทือนต่ออารมณ์แน่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตรงเบื้องหน้า “นี่แน่ะเจ้าอัง กันขอโทษแกด้วย อุตส่าห์รับปากกับแกเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเข้าไปรับมาซ้อมดนตรีด้วยกันตั้งแต่บ่าย แต่ก็มิได้เข้าไปเสียที พอดีวันนี้มีเรื่องมีราวนิดหน่อย พอมาถึงปุบท่านอาสถิตคุณก็ทรงเรียกรั้งไว้ รับสั่งให้กันช่วยจำแนกเครื่องดนตรีให้ เลยจำต้องอยู่นี่ จนเสด็จลุงวังจักษุฯ เด็จฯ มาถึง ก็ยังหาโอกาสปลีกตัวไปหาแกไม่ได้เลย กะว่าอีกสักประเดี๋ยวเสร็จสรรพจากทางนี้แล้วก็จะเข้าไปรับข้าวด้วย...คงจะรออยู่นานเลยใช่ไหม กันขอโทษแกอีกที”

อังควราไม่ได้ใส่ใจคำขอโทษขอโพยจากอีกฝ่ายมากนักเพราะกำลังฉงนงุนงงว่าเสด็จพระองค์ชายแห่งวังจักษุภิรมย์ทรงมีธุระสิ่งใดที่นี่ จนถึงกับต้องเสด็จมาด้วยองค์เอง เพราะปกติแล้วมักเป็นท่านลุงสถิตคุณเสียมากกว่าที่เป็นฝ่ายเสด็จไปเข้าเฝ้า

“ฝ่าพระบาทเสด็จมายังงั้นหรือกระหม่อม”

ท่านชายต้องผงกพระเศียรแทนการตอบ

“ใช่ เสด็จลุงท่านทรงมาคุมคนงานของท่านที่มาขนย้ายเอาเครื่องดนตรีของท่านอาฉันทิตกลับวังน่ะ เอ้อ! แต่แกต้องรู้อยู่แล้วซีนะ ก็ที่ป้าเปี่ยมของแกทูลถวายเครื่องดนตรีทุกชิ้นให้กับเสด็จลุงนั่นยังไงเล่า”

“ด...เดี๋ยวก่อนกระหม่อม เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรนะ” คุณชายอังถึงกับละล่ำละลักถามอย่างตกใจ วงหน้าหล่อเหลาทั้งๆ อายุได้เพียงแค่สิบต้นๆ เผือดสีลงมานิดหน่อย ความรู้สึกหลากหลายกำลังประดังประเดถาโถมเข้ามา หม่อมเจ้าต้องครรลองทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็นิ่งอั้นไปชั่วขณะใหญ่ ทรงคิดพิเคราะห์นิดหน่อย ก่อนจะรับสั่งถามกลับด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบาอย่างไม่ทรงแน่พระทัย

“นี่แกไม่รู้หรอกหรือเจ้าอัง ได้อย่างไรกันล่ะนั่น เครื่องดนตรีทุกชิ้นในห้องทรงดนตรีเป็นของท่านพ่อของแกแท้ๆ ถ้าหม่อมเปี่ยมจะยกให้ใครก็ต้องมาขอกับแกก่อนมิใช่รึ”

“...”

อีกฝ่ายมิได้เข้าพระทัยสถานการณ์ภายในของวังเทวพงษ์พิศาลมากนัก คุณชายจึงไม่รู้ว่าจะต้องทูลตอบยังไง ก็เลยเงียบเสีย

แต่เมื่อทรงได้เห็นดังนั้น ท่านชายอัลฟ่าก็พอจะทรงคาดเดาออก

จึงทรงปรารภว่า

“นี่มันอะไรกัน ทำไมหม่อมเปี่ยมถึงกล้าทำอย่างนั้นได้ กันก็ว่าอยู่แล้ว ถ้าแกยกเครื่องดนตรีให้กับคนอื่นจนหมด แล้วเราจะเอาที่ไหนซ้อม แกจะยอมยกของรักของหวงของพระบิดาให้กับใครง่ายๆ เทียวหรือ แล้วไหนจะเปียโนหลังโปรดของท่านอาฉันทิต ก็ยังยกให้เขาเสียอีก...คิดอยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันดูทะแม่งๆ”

ภายในใจคุณชายหนักอึ้ง จนเกือบหล่นวูบลงมา ด้วยหลังจากท่านชายต้องครรลองรับสั่งจบ คนงานหลายคนก็พากันขนแกรนด์เปียโนสีดำหลังใหญ่ออกมา ทั้งเรือนร่างของคุณชายราวกับกลายเป็นรูปปั้นหินไปทันใดในจังหวะนั้น ไม่อาจขยับเขยื้อนอย่างใดได้ เพราะนอกจากพระธำมรงค์เพชรโคอินัวร์ที่ถูกคุณชายคนโตประจำพระตำหนักใหญ่มุบมิบเอาไปแล้ว ก็มีเพียงเครื่องดนตรีเหล่านี้ โดยเฉพาะเปียโนหรูหราและเก่าแก่หลังนั้นเท่านั้นที่มีความทรงจำเมื่อวันวานอยู่มากมาย มันช่วยให้คุณชายสามารถจดจำและรำลึกถึงพระบิดาผู้มอดม้วยมรณา แต่ป้าเปี่ยมกลับไม่เห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นเลยสักนิด คงคิดว่าคนตายไปแล้วจะโศกาจาบัลย์กระไรนักหนา ก็เลยยกให้ผู้อื่นได้โดยง่ายเช่นนี้

อังควราพอจะเดาออกว่าเจตนาของหม่อมเปี่ยมที่ทำเช่นนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะกลั่นแกล้งรังแกหลานชายคนนี้หรอก เพียงแต่ทำเพื่อเป็นการตัดความรำคาญใจออกไปเสีย เนื่องด้วยคุณชายมักทูลเชิญท่านชายต้องครรลองให้เสด็จมาฝึกซ้อมด้วยกันที่นี่ จนทำให้เสียงดังระงมไปทั่วทั้งตัวอาคารอยู่เสมอ แต่ที่เสียงมันดังได้ขนาดนั้นก็เพราะพระตำหนักเงียบเชียบมากเกินไปต่างหาก และพวกเขาก็ไม่เคยซักซ้อมกันในยามวิกาลเลยสักครั้ง

“แกจะทำยังไงต่อไป อยากให้กันช่วยอะไรไหม บอกมาได้เลยนะเจ้าอัง” ท่านชายต้องรับสั่งถาม ภายในพระเศียรก็พยายามตรึกตรองหาทางออกให้พระสหาย

อังควราส่ายหน้าอย่างจนใจ ทูลกลับว่า

“ถ้าป้าเปี่ยมทูลถวายเครื่องดนตรีให้กับเสด็จพระองค์ชายไปหมดแล้ว ก็คงจะทำสิ่งใดไม่ได้แล้วล่ะฝ่าบาท จะให้ไปทูลขอคืนก็ใช่ที่ กระหม่อมเพียงแต่อดใจหายไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่า…”

ถ้อยคำของอังควราชะงักขาดไป เมื่อมีเสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชายดังแทรกขึ้นกลางปล้อง แว่วๆ ออกมาจากในห้องทรงดนตรี

“คุณชายตัวขาวนี่นา!”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


#หวนกลิ่นดอกแก้ว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2020 22:57:44 โดย doubleM »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
เขียนดีมากกกกกก สนุกมากเลย

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๒.๒
แสงเทียน


“คุณชายตัวขาวนี่นา!”

‘คุณชายตัวขาว’ ถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวแต่น้อยนิด อีกฝ่ายก็ทรงครึ่งวิ่งครึ่งกลิ้นหลุนๆ ตรงดิ่งเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงร่างผอมบางอย่างแน่นหนาเสียจนเจ้าของร่างแอบเซถลาไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับล้ม ภาพตรงหน้าทำให้ท่านชายต้องครรลองทรงทอดพระเนตรคมกริบมองด้วยความฉงนพระทัยหน่อยๆ แต่ก็ทรงเอ็นดูท่านชายองค์น้อยจนเผลอหลุดแย้มพระสรวลจางๆ ออกมาด้วยความเอ็นดู ผ่านไปหลายนาทีอังควราก็ยังคงแน่นิ่งอย่างนั้น เขาแสดงท่าทางอิหลักอิเหลื่อ ไม่มีรอยยิ้มบนวงหน้าหวาน และดวงตาสวยล้ำก็ยังคงขยายกว้างด้วยยังไม่หายจากอาการตกใจ

ทั้งๆ เจ้าของร่างอุ้ยอ้ายมีความสูงอยู่เพียงระดับบ่ากว้างของคุณชายอังควราเท่านั้นเอง แต่อีกฝ่ายกลับเรี่ยวแรงมหาศาลตามประสาพวกอัลฟ่า และพยายามกอดรัดร่างสูงกว่าให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้นราวกับว่ากำลังปีติดีใจอย่างมากมายเหลือคณา คุณชายอังก็ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่ชินกับการถูกผู้ใดแตะเนื้อต้องตัวอย่างสนิทสนมกันเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้มีเรื่องราวอันใดให้คุ้นเคยกันมาก่อน แล้วยังพระยศของอีกฝ่ายที่สูงศักดิ์กว่าอีกด้วย...ดังนั้นหม่อมเจ้าชายโชติภนในวัยสิบชันษาก็เป็นเพียงเจ้านายองค์น้อยๆ องค์หนึ่งที่เขาเคยช่วยชีวิตให้รอดพ้นจากการจมน้ำเอาไว้หนหนึ่งเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้พูดจาปราศรัยกันอีกเลย

ความรู้สึกแรกในยามถูกอีกฝ่ายกอดรัดฟัดเหวี่ยง ด้วยทรงมีเรี่ยวแรงมหาศาลประดุจงูเหลือม อังควราสัมผัสได้ว่ามันคือความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก และความไม่พอใจเล็กๆ...แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว คุณชายเถียงกับตัวเองอยู่ในหัวว่าจะไปโกรธเคืองกระไรนักหนากับแค่ถูกเด็กอ้วนไร้เดียงสาคนหนึ่งปล้ำกอด และความรู้สึกต่อมาก็คือความอึ้งๆ งงๆ มากขึ้นเป็นลำดับในตอนที่ท่านชายโชติภนทรงค่อยๆ เงยพระพักตร์กลมดิกขึ้นมาสบสายตากันนิ่ง ทั้งๆ พระกรอ้วนป้อมก็ยังคงเกาะกอดร่างผอมบางของคุณชายไม่ยอมปล่อย

ดวงเนตรดาราสีดำสนิทของท่านชายร่างกลมที่ประดับอยู่บนพักตร์ขาวตี๋ อ่อนลออ ไร้ริ้วรอยตำหนิแต่น้อยนิดเพราะยังทรงเยาว์ชันษาอยู่มากนักกำลังจับจ้องวงหน้าคมคายซ่อนหวานของคุณชายเนิ่นนานประดุจจะทรงมองดูอยู่อย่างนั้นมิรู้วาย ทว่าแววพระเนตรวาววับฉ่ำน้ำของท่านชายก็ไม่ได้ทำให้คุณชายรู้สึกเหมือนกำลังถูกคุกคามอยู่แต่อย่างใด ท่านชายโชติภนเพียงแต่ทรงพิศมองเรื่อยๆ ช้าๆ ราวกับใบหน้าของเขาเป็นสิ่งเพลิดเพลิน แล้วก็คงเป็นอยู่ยังงั้นอีกนานทีเดียวถ้าหากท่านชายต้องไม่ทรงขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

ทรงยกหัตถ์เรียวผอมผลักเศียรกลมๆ ขององค์ชายผู้เยาว์ชันษากว่าเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อเล่นกันตามประสาพี่น้อง

“ประเดี๋ยวเถอะตี๋อ้วน สนิทสนมกับเขาหรืออย่างไรพ่อ ไปกอดก่ายเขาราวกับเป็นลูกลิงยังงั้น” รับสั่งถามไปงั้นๆ โดยมิได้รอคำตอบจากอีกฝ่ายก็ทรงหันมาตรัสถามกับพระสหายร่วมโรงเรียนแทน “รู้จักกับตี๋อ้วนด้วยรึเจ้าอัง”

“ไม่เชิงหรอกกระหม่อม”

คุณชายอังควราทูลกลับอย่างไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก ดวงตาหวานล้ำคอยแต่สาละวนอยู่กับบรรยากาศวุ่นวายภายในห้องทรงดนตรีเพราะใจคอยังคงห่วงหาอาลัยอยู่กับเปียโนหลังโปรดของท่านพ่อฉันทิตที่เพิ่งจะถูกยกย้ายออกไป ขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคุณชายคิดได้ว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้วกระมัง...แล้วยังเครื่องดนตรีอีกมากมายอันล้วนแล้วแต่ทรงคุณค่า บางชิ้นท่านพ่อก็ทรงซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใช่ของถูกๆ เลย เพราะท่านพ่อทรงเลือกเพียงชิ้นที่ดีที่สุดเท่านั้น และบางชิ้นก็เป็นของที่ได้รับพระราชทานมา แต่บัดนี้คนงานของเสด็จวังจักษุฯ หลายคนกำลังขมีขมันเก็บมันใส่ลังเพื่อเตรียมขนย้ายออกไปกันคนละไม้ละมือ...โดยหม่อมราชวงศ์อังควราผู้เป็นโอรสของเจ้าของเครื่องดนตรีพวกนี้แท้ๆ ไม่อาจทำอย่างใดได้เลย

ถ้าเป็นท่านพ่อจะทรงทำยังไง ท่านพ่อรักเครื่องดนตรีพวกนี้มาก ถึงขนาดบางชิ้นก็ทรงประทานชื่อให้มันเสียด้วยซ้ำ…ท่านพ่อกระหม่อม ลูกชายของท่านคนนี้ช่างขี้ขลาดเสียจริงที่ไม่อาจปกป้องพวกมันเอาไว้ได้เลย

“รู้จักครับเจ้าพี่”

อังควรากลับมาสนใจโชติภนที่ทรงคลายกรอ้วนป้อมออกไปจากร่างผอมๆ ของเขาแล้ว และอยู่ๆ ก็ตรัสขึ้นมาสุรเสียงหนักแน่นอย่างไร้ที่มาที่ไป

ท่านชายต้องย่นขนงนิดหน่อย

“เจ้าอังบอกว่าไม่ แต่แกบอกว่ารู้จัก กันต้องเชื่อใคร”

“เชื่อชายซีครับ ก็คุณชายตัวขาวเธอเป็นคนช่วยชายไว้ตอนที่ชายกำลังจะจมน้ำที่สระบัวแดงด้านหลังตำหนักของหม่อมพะยอม เคยทูลเล่าถวายเจ้าพี่แล้ว จำมิได้หรือครับ”

สีพระพักตร์ของท่านชายต้องแสดงความประหลาดพระทัยขึ้นทันใด

“จริงรึ คนที่ช่วยเจ้าตี๋อ้วนมันไว้คือแกเองหรอกหรือเจ้าอัง ไม่ยักจะเคยมาเล่าสู่กันฟังบ้างเลย”

อังควราก็ทูลตอบทันที

“ก็กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าฝ่าบาททรงสนิทสนมกับท่านชายโชติภนด้วย ก็เลยมิได้เล่าถวายกระหม่อม”

“นึกว่ามีความลับกับเพื่อนเสียอีก”

ท่านชายต้องทรงเย้าแหย่ตามพระนิสัยขี้เล่น คุณชายก็ฝืนยิ้มกลับ เพราะตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยสักเท่าใด

จังหวะนั้นเองที่หม่อมเจ้าเรียลอัลฟ่าในวัยครบสิบชันษาได้เพียงไม่นานทอดพระเนตรมองดูเด็กชายอัลฟ่าผู้แก่ปีกว่าทั้งสองด้วยแววพระเนตรคล้ายกับว่าทรงกำลังใช้ความคิดอยู่กับองค์เอง ก่อนจะสะกิดพระกรท่านชายต้องยิกๆ จนผู้เป็นพี่ต้องหันมาสนพระทัย

“มีอะไร”

“เปล่าครับเจ้าพี่ ไม่มีอะไร ชายเพียงแต่อยากเล่าให้ฟังเท่านั้นเองว่าคุณชายตัวขาวรำสวยมากทีเดียวล่ะ คุณชายไปแสดงรำ...เอ่อ...รำอะไรนะครับ ที่คุณชายแสดงเป็นยักษ์”

“ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวนกระหม่อม”

ถึงจะไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ อีกฝ่ายตรัสเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แต่เมื่อถูกถามไถ่ขึ้น คุณชายก็ทูลเฉลยนิ่งๆ กลับไป ท่านชายก็ทรงผงกพระเศียรหงึกหงักอย่างรับรู้

“เอ้อ ใช่ๆ นั่นแหละครับ คุณชายเคยไปแสดงที่งานฉลองพระชันษาของเด็จฯ พ่อ สวยมากเทียว เจ้าพี่เคยดูไหม”

หม่อมเจ้าชายต้องครรลองทรงนิ่งตรอง ใช้ความคิดอยู่เพียงอึดใจ และหลุดสรวลเบาๆ เมื่อทรงรู้เท่าทันเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย

จึงทรงรับสั่งตอบกลับราวกับถือไพ่เหนือกว่า

“พุทโธ่ นึกว่าเรื่องอะไร กับอีแค่รำฉุยฉาย...แกเคยดูชายอังรำมังรายกะยอชวาไหมล่ะตี๋อ้วน งามเสียยิ่งกว่าทศกัณฐ์อีกนา แต่กันก็ได้ดูจนเบื่อแล้วล่ะ ก็ไปนั่งเฝ้าชายอังซ้อมรำในคณะรำที่เรือนไทยของหม่อมมาลีอยู่ประจำนี่นา” ทรงยกมุมพระโอษฐ์หยักเล็กน้อยอย่างจงใจเย้าอีกฝ่าย “ว่าอย่างไร เงียบเลยเทียว คนเคยดูการแสดงแค่สองครั้งสองคราวอย่างแกริจะมาโอ้อวดกับกันงั้นเรอะ นี่แน่ะตี๋อ้วนน้องรัก กันเคยได้ไปเล่นระนาดเอกประกอบจับหวะให้ชายอังด้วยนา เล่นเป็นไหมล่ะ ระนาดน่ะ แต่คงจะไม่ซีนะ ก็ตี๋อ้วนเล่นได้แต่เปียโนกับไวโอลินนี่นา แหม! น่าเสียดายเหลือเกิน วงมโหรีเขาไม่มีซอฝรั่งหรือระนาดฝรั่งให้เล่น จะมีก็แค่ซออู้ ซอด้วง แล้วก็ซอสามสายเท่านั้นเอง”

ท่านชายโชติภนทรงสวนกลับทันควัน อย่างไม่ยอมแพ้

“เจ้าพี่ทรงอยากจะตรัสอะไรกันแน่ครับ อย่างไรเสียเจ้าพี่ก็ไม่เคยถูกคุณชายตัวขาวช่วยชีวิตไว้เหมือนอย่างชาย คนไม่เคยช่วยชีวิตกันมาก่อนเลยสักครั้งจะสนิทสนมเท่ากับคนที่เคยช่วยเหลือกันอย่างใดได้ แล้วถึงวงมโหรีเครื่องใหญ่จะไม่มีซอฝรั่งหรือระนาดฝรั่งให้เล่นก็ไม่เห็นจะกระไรนี่นา เด็จฯ พ่อทรงสัญญากับชายเอาไว้แล้วว่าจะประทานเครื่องดนตรีพวกนี้ให้ชายหนึ่งชิ้น นี่ไงครับ ซออู้ ชายจะฝึกให้ชำนาญยิ่งกว่าเจ้าพี่เสียอีก คอยดูเอาเถอะ!”

คุณชายอังใจหล่นวูบลงอีกครั้งหนึ่ง!

เจ้าของร่างขาวถึงกับหยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหว...เปล่า อันที่จริงเขาก็ยืนแน่นิ่งราวกับรูปปั้นหินมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วนั่นแหละ แต่ตอนนี้แทบจะหยุดหายใจไปด้วย แข้งขาก็อ่อนยวบยาบไปหมด แม้แต่พระสุรเสียงโต้ตอบเถียงกันของสองหม่อมเจ้าชายตรงเบื้องหน้าก็ดับวูบ ไม่เข้าหูอีกต่อไปแล้ว

ดวงตาคู่สวยของคุณชายอังแลปราดมองซออู้ชั้นเลิศที่เพิ่งจะสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่ามันอยู่ในพระหัตถ์ของหม่อมเจ้าโชติภน พาให้หวนคิดถึงวันแรกที่ท่านพ่อทรงประทานซออู้คันนี้ให้ โดยท่านพ่อทรงประทานเล่าให้เขาฟังอีกด้วยว่า

“พ่อได้มันมาเมื่อสักราวๆ ยี่สิบกว่าปีก่อนหน้าโน้น แต่อายุจริงๆ ของมันน่าจะมากกว่าเจ็ดสิบปีทีเดียว...เป็นของเก่าแก่มากนาพ่ออัง ครูจางวางศร* [NOTE: หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)] ท่านให้มาเป็นสินน้ำใจแน่ะ เพราะพ่อเคยไปแทนคนฆ้องวงใหญ่ของท่านที่ป่วยกะทันหันอยู่ครั้งคราว เรื่องเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนครูจางวางท่านจะเข้ารับราชการที่กรมปี่พาทย์ในกระทรวงวังเสียอีก...ของมีค่ายังงี้ ต้องรักษาเอาไว้ให้ดีๆ ล่ะ อย่าให้ใครได้ไปง่ายๆ เทียวนะลูก จงเก็บเอาไว้เป็นสมบัติให้อยู่ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน...มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน เหมือนอย่างที่พ่อสอนพ่ออังยังงี้ สัญญากับพ่อนะพ่ออัง”

สุรเสียงแสนนุ่มนวลอ่อนหวานตามประสาคนดนตรีของบิดาก้องกังวานอยู่ภายในใจคุณชายอังควราอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งหมดทุกถ้อยคำ คล้ายกับว่าท่านพ่อทรงกำลังกระซิบอยู่ใกล้ๆ

ขอบตาคุณชายร้อนเห่อขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ปล่อยให้น้ำตาได้ไหลริน คุณชายกะพริบตาถี่ไล่ความรู้สึกหม่นหมองออกไปจนสิ้น แต่ก็ยังไม่อาจละสายตาออกจากซอคันนั้นได้ด้วยความผูกพันระคนใจหาย เพราะแต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อก็ทรงใช้ซอคันนั้นสอนวิชาให้แก่โอรสขององค์เองมาโดยตลอด จนถึงตอนที่คุณชายเริ่มชำนาญมากขึ้น ท่านก็ทรงตรัสว่าจะซื้อคันใหม่ที่ดีกว่าเดิมมาให้เล่น คุณชายก็ไม่ยอมท่าเดียว ทูลกลับไปว่า “คันอื่นมันไม่ชินมือเท่าน่ะกระหม่อม”

หม่อมเจ้าชายต้องครรลองทรงหยุดชะงัก เพิ่งจะทรงสังเกตเช่นกันว่าซอคู่กายของพระสหายอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ชายผู้เป็นน้อง

“นั่นซอของชายอังนี่นา เธอใช้ซอคันนี้ซ้อมกับกันประจำ เอาคืนเธอไปเสียพ่อโชติ”

เมื่อใดก็ตามที่ท่านชายต้องครรลองทรงตักเตือนอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ท่านก็จะทรงเรียกขานพระนามของโชติภนว่า ‘โชติ’ แทน ‘ตี๋อ้วน’ ที่มักใช้เรียกประจำ

ท่านชายโชติภนได้ยินดังนั้นก็หุบพระโอษฐ์ไม่ลง ทรงละล้าละลังหันมายื่นซอคืนให้คุณชายร่างขาวทันที

“อ้าว…ของคุณชายอย่างนั้นหรือครับ งั้นชายไม่เอาแล้ว”

อังควราเป็นคนคาดเดาความรู้สึกได้ยาก โดยเฉพาะในเวลาที่เขาไม่ต้องการให้ใครมาหยั่งรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เขาจึงยังสงบนิ่งได้ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น แม้ว่าภายในใจอันแสนซับซ้อนจะรู้สึกไม่เป็นสุขเพียงใดก็ตาม กลั้นใจทูลกลับไปอย่างเสียไม่ได้ว่า

“ไม่เป็นไรมิได้ หม่อมป้าท่านทูลถวาย…” คุณชายเม้มกลีบปากแน่น รู้สึกได้ถึงลำคอที่ตีบตันจนปวดร้าว แล้วพูดต่อ “...หม่อมป้าท่านทูลถวายพระบิดาของฝ่าบาทไปจนหมดแล้ว ก็เท่ากับว่ามันไม่ได้เป็นของกระหม่อมอีกต่อไป ฝ่าบาททรงรับเอาไว้เถอะกระหม่อม ไม่ต้องส่งคืนมา ประเดี๋ยวหม่อมป้าจะมาเอ็ดกระหม่อมได้”

ท่านชายต้องครรลองย่นขนง รับสั่งถามย้ำ

“แน่ใจรึ แกรักซอคันนี้มากนา”

คุณชายเงียบงันเพียงไม่กี่วินาทีก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับเพื่อนผู้สูงศักดิ์แทนการตอบ ก่อนจะฝืนยิ้มให้ทั้งๆ หัวใจแสนจะหนักหน่วงเสมือนกับถูกหินหนักๆ หลายก้อนกดทับไว้

ท่านชายต้องเห็นอย่างนั้นก็นิ่งงันชั่วครู่ ลอบถอนพระอัสสาสะอย่างเวทนา ไม่รู้ว่าจะช่วยสหายรักอย่างไรได้ ก็หันไปลูบพระเกศาดำสนิทของหม่อมเจ้าชายผู้เป็นน้องแผ่วเบา

ทรงกำชับกำชาว่า

“พ่อโชติ เอาของพี่เขาไปแล้วก็เก็บรักษาให้ดีๆ ล่ะ มิใช่ว่าเอาไปทิ้งขว้างให้เสียของนา ตั้งใจฝึกฝนให้ชำนาญมือให้สมกับที่มีวาสนาได้ใช้ของของหลวงประดิษฐ์ไพเราะท่าน เข้าใจไหม”

แต่ท่านชายทรงเฉยราวกับมิได้สดับฟัง สายพระเนตรยังจับจ้องอยู่ที่วงหน้างามของคุณชายอังควรา

“คุณชา…”

ยังไม่ทันจะรับสั่งจบ คุณชายก็ทูลแทรก

“เห็นทีกระหม่อมคงจะต้องขอตัวกลับเรือนก่อน กระหม่อมสัญญากับพี่หญิงของกระหม่อมไว้ว่าจะกลับไปรับข้าวเย็นด้วยกัน ฝ่าบาททรงเลือกเครื่องดนตรีตามพระอัธยาศัยเถอะ กระหม่อมทูลลา”

หม่อมราชวงศ์อังควราปรายตามองเข้าไปภายในห้องทรงดนตรีเป็นหนสุดท้าย อดรำพึงรำพันไม่ได้ว่าหากคนพวกนั้นขนเอาเครื่องดนตรีออกจนหมดแล้ว ห้องนี้ก็จะกลายเป็นเพียงห้องเปล่าที่ทาทับผนังเอาไว้ด้วยสีเขียวอ่อนทำให้รู้สึกสบายตา แต่ถึงยังงั้นก็ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะทำให้คุณชายอยากกลับมาใช้สอยอีก…คงจะไม่ได้กลับเข้ามาในพระตำหนักใหญ่อีกแล้วกระมัง

คุณชายพยายามสะกดใจไว้เพื่อไม่ให้โทมนัสลงไปมากกว่าเดิม ก่อนจะรีบสับขาเดินละออกมาเร็วๆ โดยไม่หันกลับไปมองแต่น้อยนิด และกลับออกไปทางประตูด้านหลังสำหรับพวกบ่าวไพร่อีกเช่นเคย

ท้องฟ้าภายนอกกำลังค่อยๆ มืดครึ้มมากเข้าทุกที คุณชายอังควราเลยขอตะเกียงดวงน้อยๆ มาจากพวกบ่าวเบต้าในห้องเครื่องที่กำลังก่อฟืนไฟสำหรับเตรียมเครื่องเสวยเย็นของท่านชายสถิตคุณและพระอาคันตุกะ จากนั้นก็ลากเท้าเดินกลับเรือนไม้สักสีฟ้าหลังคาปั้นหยาคนเดียว แม้นจะมีบ่าวไพร่บริวารอาสาพาเดินไปส่งเรือน คุณชายก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเพราะอยากทอดอารมณ์คนเดียวอย่างเรื่อยเปื่อยมากกว่า ไม่ใคร่จะพูดจาปราศรัยกับผู้ใดทั้งสิ้น ถึงปกติคุณชายจะเอื้อนเอ่ยกับพวกบ่าวไพร่แทบนับคำได้อยู่แล้วก็ตาม

เด็กหนุ่มร่างขาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเดินซวนเซไปตามริมสระน้ำ จนกระทั่งถึงซุ้มนั่งเล่นกลางแจ้งหน้าเรือน ลมเย็นๆ พัดผ่านกายอย่างอ่อนโยนคล้ายกับกำลังปลอบปะโลมเด็กหนุ่มให้คลายจากความโศกศัลย์ คุณชายหยุดปลายเท้าลง ปิดเปลือกตางามพริ้ม สูดหายใจรับลมบริสุทธิ์เข้าปอด

เขาพร่ำบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร...ฉันต้องไม่ร้องไห้ ประเดี๋ยวพี่หญิงเพ็ญกับนมแจ่มมาเห็นเข้าจะพานกังวลเอาได้ เพราะฉะนั้นห้ามเศร้าโดยเด็ดขาด’

เด็กชายร่างพ่วงพีค่อยๆ เยื้องย่างอย่างช้าๆ พยายามเงียบเชียบโดยทำตัวกลมกลืนไปกับเงามืดตามต้นไม้ใหญ่ หากทว่าก็ยังเผลอเหยียบโดนใบไม้แห้งเข้าจนส่งเสียงดัง...กรอบ! คุณชายอังควราลอบสะดุ้ง หันรีหันขวางมองก็พบว่าเป็นองค์ชายน้อยผู้ที่เพิ่งจะบอกลากันไปเพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้า

“ฝ่าบาทเองหรือกระหม่อม”

แสงสีเหลืองวอมแวมจากตะเกียงทำให้เห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะสังเกตได้ว่าวงพักตร์ของอีกฝ่ายขาวตี๋อย่างลูกชาวจีน รอยแย้มพระสรวลเหมือนกับพวกคนแสดงแป๊ะยิ้มในคณะเชิดสิงโตตามย่านเยาวราช ซึ่งก็มีเพียงท่านชายโชติภนองค์เดียวเท่านั้นนั่นแหละที่มีคุณลักษณะอย่างนี้

คุณชายกดคิ้วต่ำลงอย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงทรงดำเนินมาถึงนี่ ตะเกียงสักดวงก็ไม่ทรงถือมาด้วย ประเดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ได้…”

“ชายแค่จะเอาซอมาคืนคุณชาย” ถึงจะมีเพียงดวงไฟเล็กๆ ส่องสว่างให้ได้มองเห็น แต่ใบหน้าขาวผ่องของคุณชายอังควราที่ถูกแสงนวลๆ เหล่านั้นตกกระทบก็ยังน่าพิศวงชวนให้จับจ้องมองดูอยู่อย่างนั้น จนไม่อาจละสายตาได้โดยง่าย แต่หม่อมเจ้าชายโชติภนก็หาได้ทรงลืมเจตนาขององค์เองที่แอบเสด็จตามหลังอีกฝ่ายมา จึงรับสั่งขัดวาจา โดยที่คุณชายร่างขาวยังบ่นไม่จบคำดีด้วยซ้ำ

“รับคืนไปเถอะครับ ชายไม่เอาแล้ว” พระสุรเสียงของท่านชายอ่อนลงจากเดิมเล็กน้อย

คุณชายอังควรายืนเฉย เม้มริมฝีปากสวยอย่างกดดัน ความปั่นป่วนภายในใจเริ่มกัดกิน พร้อมด้วยภาพความทรงจำในตอนที่ได้ฝึกซ้อมดนตรีกับท่านพ่อฉันทิตหวนย้อนคืนกลับเข้ามาในหัว ท่านพ่อทรงพระทัยดีอยู่เสมอ แม้ว่าคุณชายจะสอนยากสอนเย็นสักแค่ไหนก็มิเคยดุด่าว่ากล่าวสักครา...คุณชายพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รวนเรให้สนิท แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทูลถามกลับด้วยวาจาราวกับกำลังแดกดันกลายๆ

“ทำไมหรือกระหม่อม...ซอคันนี้ท่านพ่อของกระหม่อมทรงได้รับมอบมาจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ อาจมิใช่ซอคันแรกของท่านพ่อก็จริงอยู่ แต่ก็เคยเป็นของครูดนตรีเลื่องชื่อมาก่อน มีตรงไหนที่ไม่คู่ควรกับพระเกียรติของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”

ท่านชายทรงนิ่งไปสนัด ตรัสถามกลับเรียบๆ

“คุณชายโกรธอะไรชายนักหรือครับ ขอทราบได้ไหม”

ถ้อยคำถามเหล่านั้นของโชติภนย้อนกลับมาทำให้อังควราครุ่นคิดกับตัวเอง คุณชายรู้ตัวดีว่าไม่ได้โกรธเกลียดกระไรอีกฝ่ายหรอก แต่พอคิดว่าเครื่องดนตรีของรักของท่านชายฉันทิต หม่อมเปี่ยมได้ทูลถวายแด่พระบิดาของอีกฝ่ายจนหมด ไม่เหลือไว้ให้เขาได้รำลึกถึงท่านพ่อเลยสักชิ้นเดียว มันก็ชวนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียดื้อๆ อุตส่าห์รีบเดินหนีออกมาก็แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอไปพาลพาโลใส่ใครเข้า แต่ในเมื่อเสด็จตามมาเองอย่างนี้ก็ถือว่าช่วยไม่ได้

“ฝ่าบาทเสด็จกลับพระตำหนักไปเถอะ ประเดี๋ยวกระหม่อมให้ข้าหลวงนำสเด็จไปส่ง”

แต่ท่านชายก็ไม่ทรงยอมแพ้ง่ายๆ

“ถ้าชายเผลอทำอะไรให้คุณชายโกรธ ชายก็อยากขอโทษ...ส่วนซอคันนี้ ชายไม่อยากได้แล้วจริงๆ ครับ ชายคืนให้คุณชาย คุณชายไม่ต้องกังวลเรื่องหม่อมเปี่ยมนะครับ ซออู้หายไปแค่คันเดียว เสด็จพ่อท่านไม่ทรงทราบหรอก”

อังควราเองก็บอกไม่ถูกหรอกว่าตนรู้สึกเช่นไร เขาจับจ้องพระพักตร์ตี๋ของอีกฝ่ายสลับกับซอในพระหัตถ์ที่อีกฝ่ายทรงกำลังยื่นให้

ดวงพระพักตร์ของท่านชายแสนไร้เดียงสาทำให้คุณชายลอบถอนใจบางเบา ทูลกลับอย่างเหนื่อยใจว่า “ทั้งๆ กระหม่อมก็ทูลไปแล้วว่าไม่ต้องเอามาคืน แต่ฝ่าบาทก็ยังจะดันทุรัง ทำไมจึงทรงดื้อดึงนัก”

“แล้วคุณชายอยากยกให้ชายจริงๆ หรือครับ” โชติภนทรงถามกลับ ทำเอาคนถูกถามนิ่งอึ้งอย่างนึกไม่ถึงประหนึ่งถูกฟาดแรงๆ เข้าที่หัว “หม่อมของท่านอาสถิตคุณยกให้ชายแล้วก็จริง แล้วคุณชายล่ะครับ คุณชายยอมยกให้ชายด้วยหรือเปล่า...คุณชายเป็นเจ้าของมิใช่หรือ...ของที่เจ้าของเขาไม่อยากยกให้ ถ้าชายไปฉกฉวยเอามาเป็นของตัวเอง แล้วชายจะต่างอย่างไรกับพวกขโมยล่ะครับคุณชาย”

“...”

“คุณชายตอบมาซีครับว่าอยากยกให้ชายจริงๆ หรือเปล่า ถ้าคุณชายพูดว่าอยากออกมาคำเดียว ชายก็จะไม่ดื้อกับคุณชายอีกเลย”

สิ่งที่ได้รับฟังจากหม่อมเจ้าชายตรงหน้าเหมือนกับว่าเป็นเวทมนตร์วิเศษจากพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น มันช่วยทำให้คลื่นลมพายุใดๆ ที่กำลังพัดโหมกระหน่ำอยู่ค่อยบรรเทาลงทีละน้อย แรงบีบคั้นในหัวใจไม่หลงเหลืออยู่อีกเลยราวกับเป็นเรื่องอัศจรรย์

ตลอดชีวิตของหม่อมราชวงศ์อังควรานั้น มันไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนถามเอาความคิดเห็นจากเขา นอกจากท่านพ่อกับหม่อมแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครมาใส่ใจเท่าใดว่าเขาจะต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด เพียงแค่เพราะเขาดูเป็นคนเงียบๆ หงิมๆ เหมือนพระอิฐพระปูน...แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึกเลยเสียหน่อย

หม่อมราชวงศ์อังควราอาจไม่ได้ทูลตอบคำถามของโชติภนออกไปตรงๆ แต่ท่านชายก็ทรงปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายหยิบเอาซอแสนมีค่าคืนกลับไป และโอบถนอมมันไว้อย่างหวงแหน

“เป็นพระกรุณา...ฝ่าบาท”

ทรงคิดไปเองหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่หม่อมเจ้าโชติภนกำลังรู้สึกว่าถ้อยคำขอบคุณที่เปล่งออกมาอย่างจริงใจ และรอยยิ้มเล็กๆ ที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากสีชมพูสวยได้รูปของหม่อมราชวงศ์อังควราผู้นี้ มันช่างแสนไพเราะเพราะพริ้งเสียจริง อีกทั้งยังอ่อนหวานจับใจ จนทรงแอบคิดกับองค์เองว่าฟังอย่างไรก็คงไม่มีวันเบื่อไปได้หรอก

ท่านชายระบายรอยแย้มพระสรวลกว้างจนแลเห็นพระทนต์ขาวเรียงกันอย่างสะสวย บรรยากาศรอบๆ กายทั้งคู่ดูดีขึ้นถนัดตา แม้จะมิได้พูดจากันอีกเพราะเสียงโหวกเหวกโวยวายของหม่อมพเยาว์ดังขึ้นเรียกให้หลานชายกลับขึ้นเรือนไป แต่คุณชายผู้แสนรอบคอบก็มิได้ลืมกวักมือเรียกนางข้าหลวงแถวๆ นั้นมาสั่งงานเงียบๆ ว่าให้ถือตะเกียงนำเสด็จท่านชายกลับไปยังพระตำหนักใหญ่

โดยที่คุณชายอังควราก็หาได้รู้ว่าโชติภนทรงดื้อดึงมากกว่าที่คิดหลายเท่า มิทรงยอมกลับโดยง่าย เพราะคอยแต่ป้วนเปี้ยนแถวๆ นั้น เพื่อดอมดมกลิ่นหอมของดอกแก้วจากต้นแก้วมากมายที่ถูกปลูกเรียงรายรอบๆ ตัวเรือนไม้สักหลังคาทรงปั้นหยา โดยท่านชายก็ไม่รู้องค์เองเช่นกันว่าทรงติดพระทัยอะไรนักหนากับกลิ่นหอมเย็นชื่นใจพวกนี้ ทรงรู้เพียงว่า...มันช่างเป็นกลิ่นที่น่าหลงใหลอย่างที่ไม่เคยพบจากที่ใดมาก่อนเลย และยังทำให้พระอารมณ์เบิกบานขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

“เรียกว่า ‘ดอกแก้ว’ เพคะฝ่าบาท”

นางข้าหลวงเบต้าที่เดินต้อยๆ ตามพระขนองไม่ห่างทูลเฉลยเมื่อท่านชายตรัสถาม

หม่อมเจ้าโชติภนทรงหยิบดอกแก้วสีขาวนวลบริสุทธิ์จากพื้นดินขึ้นพิศมองด้วยความสนพระทัย หลงใหลในกลิ่นแล้วก็ยังจะหลงใหลในรูปลักษณ์อันแสนสวยงามและเปราะบางของมันอีกด้วย แล้วจังหวะนั้นเองที่ท่านชายทรงหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีอย่างพริ้งเพราดังแว่วๆ ลงมาจากตัวเรือน...ทรงเดาได้ทันทีทันใดว่าคงจะเป็นเสียงซออู้คันที่เพิ่งส่งคืนกลับไปให้เจ้าของของมันนั่นล่ะกระมัง



จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้วตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร


นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2020 06:16:29 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“ทำไมคุณชายตัวขาวถึงเล่นเพลงแบบนั้นกัน...ก็ไพเราะดีอยู่แหละ แต่ฟังแล้วมันไม่รื่นหูเลยนา ว่าไหม” ท่านชายทรงปรารภถามกับนางข้าหลวงเบต้าประจำเรือน เพราะทรงรู้จักบทเพลง ‘แสงเทียน’ อันเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เป็นอย่างดี ด้วยเสด็จพ่อมักจะเปิดแผ่นเสียงไวนิลฟังอยู่บ่อยครั้งเวลาทรงงานในยามดึก

นางข้าหลวงได้ฟังรับสั่งก็ค้อมหัวลงนิดหน่อยอย่างยำเกรงในพระยศของอีกฝ่าย ก่อนจะทูลตอบโดยไม่เว้นความสุภาพ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กก็ตาม

“คุณชายอังควราเธอก็เล่นแต่เพลงเศร้าๆ อย่างนั้นประจำแหละเพคะฝ่าบาท นับแต่สิ้นท่านพ่อของเธอไปแล้ว หม่อมฉันว่าเธอคงจะอาลัยอาวรณ์ท่านมากน่ะเพคะ เพียงแต่เธอไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเท่านั้นเอง ถึงจะดูสงบเงียบเรียบร้อยยังงั้น แต่จริงๆ ก็คงจะโศกาจาบัลย์อยู่ไม่น้อยเลย หม่อมฉันเองก็ได้แต่เวทนาสงสารเธอ อะไรพอจะช่วยเธอได้ก็ช่วย แต่บางอย่างก็เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ คุณชายเธอนิสัยดี น่าเอ็นดูนัก คอยห่วงใยทุกข์สุขของพวกบ่าวไพร่เสมอ ทุกคนที่เรือนนี้รักเธอกันทั้งนั้น แม้จะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเธอก็ตาม เพราะถึงจะใจดี แต่เธอก็ไว้ตัวอยู่บ้าง ไม่ยอมให้ใครไปใกล้ชิดเล่นหัวมากเกินไป” พอเริ่มได้เกริ่นนำขึ้นมาก็ดูเหมือนนางข้าหลวงผู้นี้จะติดลม ด้วยความคับอกคับใจราวกับว่ารอระบายออกอยู่นานแล้ว จึงไม่อาจระงับวาจาเอาไว้ได้อีกต่อไป

“พอได้ทูลเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้หม่อมฉันอดนึกถึงพระธำมรงค์ของท่านฉันทิตไม่ได้เลย...ฮู้ย! หม่อมฉันล่ะเจ็บใจนักเทียว ถ้าหากหม่อมฉันไปแย่งคืนกลับมาให้เธอได้ หม่อมฉันก็คงจะทำเสียนานแล้ว จะอะไรเสียอีกล่ะเพคะ ก็คุณชายโตโอรสของท่านสถิตคุณกับหม่อมเปี่ยมน่ะซี้...จริงๆ ก็ร้ายกาจกันหมดทั้งสามพี่น้องนั่นแหละ แต่จะหนักไปทางคุณชายโตมากสักหน่อย เพราะเธอชังน้ำหน้าคุณชายของหม่อมฉันมานานปีดีดัก พอสิ้นท่านฉันทิตไป เธอก็เลยสบโอกาสกลั่นแกล้งรังแกเอาอยู่เรื่อย คุณชายของหม่อมฉันก็เหลือเกิ๊น ดีแสนดี ยอมแสนยอม อะไรที่หลีกเลี่ยงการปะทะกันได้เธอก็ทำทั้งหมด ก็รู้ตัวนั่นแหละเพคะว่าถูกเขาข่มเหงรังแก แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะยังไงก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยใบบุญของพ่อเขาอยู่ ถึงจะถูกชิงพระธำมรงค์ของดูต่างหน้าพระบิดาไปก็สุดปัญญาจะเอาคืนมาได้ เฮ้อ… ช่างน่าสงสารเหลือเกินคุณชายของอิฉัน”

ท่านชายทรงฟัง และคิดตาม

“พระธำมรงค์อย่างนั้นหรือครับ”

“เพคะ เป็นของได้รับพระราชทานมาเลยทีเดียว ท่านฉันทิตทรงสวมติดองค์ไว้ตลอด พอสิ้นท่านแล้ว คุณชายเธอก็นำมาร้อยสร้อยสวมแทนพระเครื่อง ทีนี้เมื่อปีกลายคุณชายโตเธอก็มาขอยืมเอาไป ป่านนี้ยังไม่คืนกลับมาเลยเพคะฝ่าบาท”

หม่อมเจ้าโชติภนทรงสดับฟังเงียบๆ อย่างเข้าพระทัยบ้าง ไม่เข้าพระทัยบ้าง ตามประสาเด็กน้อยไม่ประสีประสา แต่ก็จับใจความสำคัญมาได้ว่า ‘แหวนวงสำคัญของท่านพ่อของคุณชายตัวขาวถูกคนพาลชิงเอาไปเป็นของตน’ ทว่าปัญหาก็คือคนพาลคนนั้นมิใช่คนที่จะไปชิงเอาอะไรคืนกลับมาได้โดยง่ายเพียงแค่ออกโอษฐ์ขอ เพราะอีกฝ่ายก็นับได้ว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่ไม่น้อยทีเดียว ซ้ำยังเป็นญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านชายอีกด้วย และท่านชายเองก็มิได้เจริญชันษามากพอจะคิดออกว่าควรต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือคุณชายตัวขาวได้บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทรงปล่อยผ่านไปเลยตามเลยเสียเมื่อไหร่กัน

‘มันต้องมีสักทางแหละน่า’

โชติภนทรงคิดกับองค์เองขณะเสด็จตามหลังนางข้าหลวงผู้นั้นกลับไปหาพระบิดาที่ประทับรออยู่ในองค์พระตำหนักใหญ่



*



เรื่องที่เล่ากันแบบปากต่อปากอาจเรียกว่าการนินทาก็จริงอยู่ แต่เรื่องที่เล่าสู่กันฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกันถือเป็นการหารือ

หม่อมเจ้าต้องครรลองยังทรงวุ่นวายอยู่กับการช่วยคนงานจำแนกประเภทเครื่องดนตรีมากมายให้กับเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ อยู่ในห้องทรงดนตรีของท่านชายฉันทิต เมื่อโชติภนเสด็จกลับมาถึงก็ตรงดิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพี่ทันที ทูลเล่าเรื่องราวที่ได้รับฟังมาทั้งหมดจากนางข้างหลวงเรือนหม่อมพเยาว์ โดยมิได้ใส่สีตีไข่เพิ่มสักน้อยนิด แต่เพียงเท่านั้นก็ทำผู้ฟังถึงกับออกยักษ์ออกโขน อย่างทรงบันดาลโทสะขึ้นมานิดหน่อย รับสั่งบ่นอย่างไม่พอพระทัยว่า

“ก็คิดไว้อยู่แล้วทีเดียวว่าทำไมอยู่ๆ พระธำมรงค์ของท่านอาที่เจ้าอังมันห้อยติดตัวเอาไว้เสมอถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย จะว่าเจ้าอังมันทำหายก็ไม่น่าใช่ คนรักษาของเก่งยังงั้น แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะถูกแย่งเอาไปยังงี้ พี่ชายโตช่างเหลือเกินจริงๆ...กันก็ว่าอยู่แล้วว่าคนคนนี้คบไม่ได้...เฮ้อ!”

ขณะที่ทรงบ่นกระปอดกระแปดก็มีความคิดหนึ่งสว่างวาบเข้ามาในพระเศียร หม่อมเจ้าต้องครรลองลอบแย้มพระสรวลน้อยๆ ตรงมุมโอษฐ์ สะกิดเรียกหม่อมเจ้าผู้น้องให้ทรงเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อรับสั่งกระซิบกระซาบแผนการบางอย่างให้ล่วงรู้กันเพียงสององค์เท่านั้น โดยกำชับกำชาด้วยสุรเสียงหนักแน่นว่าถ้าอยากให้แผนการสำเร็จลุล่วงลงด้วยดีก็ต้องทำให้เนียนทีเดียว



*



‘แผนการ’ ของหม่อมเจ้าต้องครรลองต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนิน กว่าจะสำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดีก็ผ่านไปแล้วถึงร่วมสัปดาห์

อังควรายกเชี่ยนหมากทองเหลืองเข้าไปบริการวงสมาคมของหม่อมพเยาว์ตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน นั่งคุกเข่าเรียบร้อยตรงมุมห้องเพื่อให้เพื่อนๆ ของหม่อมได้ชมโฉมตามประสาพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์พัฒนาการเจริญเติบโตของลูกหลาน อีกทั้งคุณชายก็ยังบริการเจียนหมากจีบพลูให้อย่างประณีตอย่างที่ครั้งหนึ่งหม่อมแม่ของคุณชายเคยเสี้ยมสอน แม้คุณชายจะไม่ได้ชอบรสชาติและกลิ่นของหมากเลยก็ตาม พอทุกคนหมดสนใจก็ค่อยๆ ย่องออกมาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะชะงักกึกจนเกือบสะดุดเข้ากับบ่าวเบต้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าขวางทาง พิศมองก็พบว่าเป็นบ่าวประจำพระตำหนักใหญ่ หล่อนกระหืดกระหอบเพราะวิ่งตรงดิ่งมาไกลจากองค์พระตำหนักโดยไม่หยุดฝีเท้า คุณชายส่ายหน้าปนขำเอ็นดู ยื่นขันเงินใส่น้ำสะอาดลอยดอกแก้วให้อีกฝ่ายดื่มอย่างใจดี คุณหญิงเพ็ญที่นั่งพับดอกบัวสำหรับถวายพระอยู่ตรงหอนั่งก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอยู่ไม่นาน บ่าวผู้นั้นก็พาเข้าเรื่องด้วยการยื่นแหวนเพชรโคอินัวร์แสนคุ้นตาส่งให้คุณชายอัง บอกว่า

“คุณชายโตสั่งให้อิฉันนำมาคืนให้คุณชายเจ้าค่ะ”

อังควราถึงกับมึนงงไปสนัด ขณะที่หม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินีเบิกตาอย่างตื่นเต้น รีบถาม

“ประเดี๋ยวก่อนนะแม่สำรวย ชายโตน่ะหรือที่ฝากพระธำมรงค์มาคืนง่ายดายยังงี้...จะเป็นไปได้ยังไง ก็ตามเทียวไล้เทียวขื่อกันมาเป็นปีๆ ไม่ยักมีทีท่าเลยสักน้อยนิด ซ้ำยังทำไม่ยินดียินร้าย ปากพล่อยพูดถึงแต่เรื่องที่ทำให้พวกฉันเจ็บใจกลับมาก็เท่านั้น...ใครจะเชื่อลงว่าจะยอมคืน มิใช่ว่าเธอไปขโมยเอามาหรอกนะ”

“โธ่...คุณหญิงเจ้าขา ถึงอิฉันจะอยู่ฝ่ายคุณหญิงคุณชายอย่างเต็มตัว แต่ก็เป็นแค่บ่าวตัวเล็กๆ เท่านั้น จะกล้าอย่างใดได้ละเจ้าคะ”

อังควราสายตาเลื่อนลอย ไม่ได้สนใจเท่าใดนักว่าสองคนตรงหน้าจะพูดจาปราศรัยกันเรื่องอะไร คอยแต่จับจ้องมองพระธำมรงค์ในมือ แล้วก็ไม่อาจหุบยิ้มได้เมื่อคิดว่าของรักของท่านพ่ออีกชิ้นหนึ่งได้กลับคืนมาหาเขาแล้ว

“คือมันเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะคุณหญิงเพ็ญเจ้าขา เขาเล่าต่อๆ กันมาว่าดวงพระวิญญาณของท่านชายฉันทิตกำลังตามอาฆาตพยาบาทคุณชายโตอยู่เจ้าค่ะ”

“ห้ะ...ดวงพระวิญญาณท่านพ่อน่ะรึ” คุณหญิงเพ็ญตาเหลือกกว่าเดิม นางบ่าวก็คันปาก รีบเล่าต่อ

“เจ้าค่ะ ตอนที่อิฉันเข้าไปรับพระธำมรงค์มาจากคุณชายโต คุณชายเธอก็สั่งวนๆ เวียนๆ ปากซีดปากสั่นเหมือนพวกโดนของ พูดไม่ได้ศัพท์เลยสักคำเดียว แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าให้รีบนำมาคืนคุณชายอังโดยไว แล้วยังมีอีกนะเจ้าคะ คุณชายโตเธอไม่ได้ไปโรงเรียนมาสองวันแล้ว...จับไข้หัวโกร๋นเจ้าค่ะ อิฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรยังไงกันแน่เพราะก็ฟังๆ มาเหมือนกัน”

หม่อมราชวงศ์อังควราร้อยพระธำมรงค์เข้ากับสร้อยพระขณะรับฟัง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความฉงนสนเท่ห์ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเชื่อเรื่องผีเรื่องสางอยู่แล้ว เรื่องนี้มันจึงออกจะไร้สาระไปสักหน่อยสำหรับคุณชายร่างขาว

ส่วนคุณหญิงเพ็ญสินีน่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึงหรอก เพราะรายนั้นน่าจะเชื่อไปแล้วอย่างเต็มหัวใจ

“พูดจริงรึแม่สำรวย...โธ่เอ๋ย ท่านพ่อของลูก...ขนาดสิ้นชีพิตักษัยไปเกือบสองปีแล้วก็ยังทรงห่วงใย ไม่เคยทิ้งขว้างลูกๆ ขององค์เองยังไงก็ยังงั้น ลูกขอให้ดวงพระวิญญาณของท่านพ่อเสด็จกลับสู่สวรรคาลัยได้โดยสงบเสียทีเถอะเพคะ อย่าได้ต้องทรงเป็นห่วงเรื่องใดอีกเลย…”

หม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินีเริ่มจะโทมนัสไปไกลโพ้น คุณชายจึงเหลือบตามอง กระแอมกระไอเล็กน้อยเรียกสติพี่หญิงของเขา ก่อนจะหันไปถามกับบ่าวเบต้าผู้นั้นว่า

“พี่ชายโตเธอเจอดวงพระวิญญาณของท่านพ่อจังๆ เลยอย่างนั้นรึสำรวย ที่ไหนกัน แล้วถ้าหากดวงพระวิญญาณท่านพ่อมีอยู่จริง ทำไมถึงเสด็จไปหาพี่ชายโต แทนที่จะเสด็จมาหาลูกๆ ที่ท่านรักนักหนา ไม่คิดว่าแปลกไปหน่อยหรือ”

“แหม! คุณชายขา จะมาซักไซ้ไล่เลียงเอาความอะไรจากอิฉันล่ะเจ้าคะ บ่าวอย่างอิฉันน่ะหรือจะบังอาจรู้พระทัยท่านฉันทิตได้ แต่ที่แน่ๆ คือคุณชายโตเธอมิได้เจอดวงพระวิญญาณของท่านที่นี่หรอกเจ้าค่ะ ไปเจอเอาโน้น...ที่วังของเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญนู่นแน่ะ”

คุณชายเลิกคิ้วสูง ถามกลับนิ่งๆ

“เสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญทรงเกี่ยวข้องอย่างใดด้วย”

บ่าวเบต้าก็ตอบทันที

“เสด็จท่านไม่เกี่ยวอย่างใดหรอกเจ้าค่ะ แค่คุณชายโตเธอไปเจอผีที่นั่นเฉยๆ...คือเธอก็ไปเรียนตามปกตินั่นแหละเจ้าค่ะ คุณชายจำมิได้หรือเจ้าคะว่าคุณชายโตเธอเรียนภาษาเยอรมันอยู่กับครูชาวฝรั่งคนเดียวกันกับท่านชายต้องครรลอง ทุกวันหลังจากเลิกโรงเรียนเธอเลยต้องแวะที่วังของเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญเสียก่อน...อิฉันว่าน่ากลัวนะเจ้าคะ ช่วงเวลาโพล้เพล้อย่างนั้น มืดสลัวๆ มองเห็นอะไรก็ไม่ค่อยจะชัดเจน แล้วยังเจอเข้ากับดวงพระวิญญาณของท่านชายฉันทิตประทับยืนพระพักตร์เละเทะชี้หน้ามองเข้ามาจากทางนอกหน้าต่าง พอกะพริบตาแวบเดียวก็หายวับไป เจออีกทีตอนจะขับรถออกจากวัง ทรงยืนอยู่ตรงสวนมะลิของหม่อมพุดกรอง เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่าถูกจ้องเขม็งไม่วางตา...อิฉันฟังต่อมาจากลุงนพคนขับรถพระตำหนักใหญ่น่ะเจ้าค่ะ ตอนนั้นลุงนพก็เจอด้วยเหมือนกัน เล่าไปขนลุกไปทีเดียว”

“เธอกำลังจะบอกฉันว่าท่านพ่อเสด็จไปหาพี่ชายโต เสด็จไปหาลุงนพ แต่ไม่เสด็จมาหาฉันกับพี่หญิงเพ็ญยังงั้นหรือสำรวย...แล้วที่วังบางโพงพางเนี่ยนะ?”

คุณชายหลุดขำอย่างแกนๆ เพราะรู้สึกว่ายิ่งฟังก็ยิ่งตลก เรื่องนี้มันมีบางอย่าง...หรืออาจจะหลายอย่างทีเดียวที่ไม่ชอบมาพากล จริงๆ มันไม่น่าเชื่อถือตั้งแต่ดวงพระวิญญาณของท่านพ่อทรงไปสิงสถิตอยู่ที่วังของเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญที่ครั้งหนึ่งทรงเคยทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นที่ท่านพ่อออกโอษฐ์หนักแน่นว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กับเสด็จเจ้ากรมฯ นั้นก็ไม่มีวันญาติดีกันได้เด็ดขาด จนถึงขั้นผีก็ไม่เผา เงาก็ไม่เหยียบกันเลยทีเดียว...ขนาดตอนงานพิธีพระศพของท่านพ่อ เสด็จท่านยังไม่เสด็จมาเอง และส่งโอรสธิดา รวมทั้งบรรดาหม่อมๆ ของท่านมาแทน

“อุ๊ย! เกือบลืมไปเสียสนิท...มีเจออีกหนด้วยเจ้าค่ะ เจอที่นี่นี่แหละเจ้าค่ะ อันนี้อิฉันฟังความมาจากนางแอบบ่าวบนพระตำหนัก นางแอบมันเล่าให้ฟังว่าเมื่อเย็นวานท่านชายโชติภนท่านเสด็จมาเยี่ยมไข้คุณชายโต”

หม่อมราชวงศ์วัยสิบสองปีดวงใจกระตุกวูบรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุกับคำว่า ‘ท่านชายโชติภน’ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้ใครจับสังเกตได้ กลับมาวางเฉยสงบเยือกเย็นดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว

“คราวนี้คุณชายโตไม่ได้เป็นคนเห็นเองหรอกนะเจ้าคะ แต่เป็นท่านโชติภนนั่นล่ะเจ้าค่ะที่ทรงทอดพระเนตรเห็น กำลังรับสั่งกับคุณชายอยู่ดีๆ ก็ทรงโหวกเหวกเสียงดังลั่นตำหนักว่าเห็นผู้ชายตัวผอม สูงเก้งก้าง หน้าตาเละเทะ กำลังยืนชี้หน้าคุณชายโตอยู่ แล้วพูดใส่ว่า ‘เอาแหวนคืนลูกชายฉันไปเสีย...เอาแหวนคืนชายอังไปเสีย!’ อย่างนี้แหละเจ้าค่ะ อิฉันก็เลยถูกคุณชายโตสั่งให้นำพระธำมรงค์มาคืนคุณชาย”

ฟังนางบ่าวเล่าจบ คุณหญิงเพ็ญก็ยื่นมือมาจับข้อมือหม่อมราชวงศ์ผู้น้องหลวมๆ ลำตัวสั่นสะท้าน สีหน้าซาบซึ้งจนเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ต้องเป็นท่านพ่อแน่ๆ เลยชาย...ท่านพ่อช่วยทวงพระธำมรงค์คืนมาให้เรา”

หม่อมราชวงศ์อังควราส่ายหัวอ่อนใจ คนเฉลียวฉลาดอย่างเขาสามารถจับผิดสิ่งที่สาวใช้เล่าได้หลายข้อทีเดียว จึงแค่นขำออกมาหน่อยๆ กุมมือพี่สาวแน่น กล่าวเรื่อยๆ ว่า

“ประเดี๋ยวช่วงบ่ายๆ ผมต้องไปเฝ้าท่านชายต้องที่วังบางโพงพาง...ท่านเรียกไปซ้อมดนตรีน่ะครับ เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าเป็นท่านพ่อหรือท่านองค์ไหนกันแน่”




(โปรดติดตามตอนต่อไป)


เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ - ในตอนนี้มีการกล่าวถึงซออู้ที่ท่านชายฉันทิตทรงได้รับมาจาก “หลวงประดิษฐไพเราะ” หรือ “ศร ศิลปบรรเลง” หรือ “ครูจางวางศร” ซึ่งท่านเป็นครูดนตรีเลื่องชื่อเมื่อครั้งในอดีต ท่านเกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวงที่กระทรวงวัง และได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี หากต้องการศึกษาประวัติของท่านเพิ่มเติม สามารถหาชมได้จากภาพยนตร์เรื่อง "โหมโรง" เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากชีวประวัติของท่านโดยตรงเลยค่ะ


บุคคลสำคัญในอดีต อาจมีการพูดถึงบ้างในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรจนทำให้เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เป็นแค่เพียงการอ้างถึงเพื่อให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเรื่องดูสมจริงขึ้นมาเท่านั้นจ้า



#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2020 06:17:06 โดย doubleM »

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อ่่นแล้วอิ่มเอมยังไงไม่รู้ คนเขียนเก่งมากค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ

ดูท่าความรักจะยากแล้วแบบนี้

จะลำบากฐานันดรอะไรไหมหนอ




ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๒.๓
แสงเทียน



วังบางโพงพาง, ยานนาวา

แล้วก็เป็นอย่างที่คุณชายอังควราได้กล่าวไว้ ถ้อยคำว่า ‘เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าเป็นท่านพ่อหรือท่านองค์ไหนกันแน่’ ประจักษ์ให้ได้เห็นทันทีที่คุณชายร่างขาวก้าวขาลงจากรถยนต์สีเหลืองอ่อนคันที่ท่านชายต้องทรงส่งให้ไปรับถึงหน้าเรือนหม่อมพเยาว์เพื่อมาส่งยังหน้า พระตำหนักขาว อันเป็นชื่อที่เจ้าจอมมารดาเจ้าคุณย่าของท่านชายต้อง หรือ พระมารดาในเสด็จเจ้ากรมพระธรรมนูญเป็นผู้ตั้งตามสีของพระตำหนักซึ่งทาผนังไว้ด้วยสีขาวสะอาดตาตลอดทั้งองค์ เว้นก็แต่หลังคาทรงโดมคลาสสิกแบบโรมที่เป็นสีเขียวขี้ม้าตัดกันกับสีตัวอาคาร ถูกปลูกสร้างมาอย่างยาวนานราวห้าสิบปี โดยลักษณะอาคารได้รับอิทธิพลมาจากวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งนครรัฐวาติกัน มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ แล้วยังการตกแต่งภายในด้วยเครื่องเรือนนำเข้าจากนอกเกือบทั้งสิ้น บ่งบอกถึงความอู้ฟู่ขององค์เจ้าของวังเป็นอย่างดี

ทว่าความหรูหราทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็มิอาจคลายความยำเกรงที่คุณชายอังควรามีต่อปราสาทหลังนี้ลงได้สักเท่าใด…หรืออันที่จริงแล้วสิ่งที่เขากลัวเกรงอาจเป็นพระบิดาของท่านชายต้องครรลองมากกว่า

ด้วยกิตติศัพท์ของเสด็จพระองค์ชายเจ้ากรมพระธรรมนูญอันเป็นที่โจษจันกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่าทรงมากไปด้วยพระบารมีเป็นล้นพ้น เพราะนอกจากจะทรงเป็นนายทหารนักกฎหมายยศสูงแล้ว เจ้าจอมมารดาพระมารดาของท่านเองก็ยังเป็นถึงลูกเจ้าพระน้ำพระยาทีเดียว ท่านจึงถือว่าทรงมีเลือดดีของทั้งพ่อทั้งแม่อยู่ก็เลยไว้องค์อย่างผู้ดีเก่าแก่ ไม่ใคร่จะชอบพระทัยนักที่โอรสอย่างท่านชายต้องทรงคบค้าสมาคมกับหม่อมราชวงศ์โอรสของหม่อมเจ้าที่ประสูติจากหม่อมปลายแถว อีกทั้งหม่อมแม่ของคุณชายที่เดิมก็เป็นเพียงแค่ชาวบ้านร้านตลาดค้าขายดอกไม้ธูปเทียนพวงมาลัย ไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งแต่อย่างใด ถ้าหากวันนี้ท่านชายต้องไม่ทรงตรัสว่าเสด็จพ่อของท่านเสด็จออกไปราชการที่หัวเมือง คุณชายก็คงไม่ตกปากรับคำมาเฝ้าเป็นแน่ เพราะไม่อาจทนสายพระเนตรคมวับของเสด็จพ่อของท่านได้เลย ยอมนั่งฟังป้าเปี่ยมบ่นด่ายังดีเสียกว่าเป็นไหนๆ

หม่อมเจ้าต้องครรลองเสด็จออกมาต้อนรับสหายคนสนิทด้วยรอยแย้มพระสรวลเปื้อนบนดวงพักตร์เฉกเช่นเคย แต่วันนี้ดูจะกว้างขวางมากอย่างผิดสังเกต จนแทบเห็นพระทนต์ขาวเรียงกันครบหมดทุกซี่ ทำให้คุณชายอังได้แต่ขมวดคิ้วตอบอย่างพิกล ทว่าก็มิได้ถามไถ่เพราะพอเดาได้ว่าสิ่งใดทำให้อีกฝ่ายทรงปีติ

ก็คงหนีไม่พ้นพระธำมรงค์เพชรจากดินแดนภารตะด้วยฝีมือของช่างชาวฝรั่งอันเป็นของหม่อมเจ้าฉันทิตที่ห้อยอยู่บนลำคอระหงของผู้เป็นโอรสที่ท่านชายต้องครรลองทรงทอดพระเนตรเห็นทำให้ทรงรู้ได้ในทันใดว่า ‘แผนการ’ ของเขาสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี

และพอคุณชายได้ทูลเล่าถึงอาการไข้จับสั่นของคุณชายโต ท่านก็ทรงพระสรวลเสียงดังลั่น พระวรกายคดงออย่างระงับพระอาการไม่อยู่อีกต่อไป

“แหม! ทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งไปได้นะพ่อ มันก็ดีแล้วมิใช่หรือไงเจ้าอัง คนพาลอย่างพี่ชายโตก็ต้องเจอดีเสียบ้างจึงจะสาสม”

อังควราส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ลอบถอนหายใจนิดหน่อย ไตร่ตรองบางอย่างในหัว ทูลถามกลับว่า

“แล้วเรื่องดวงพระวิญญาณของท่านพ่อนั่นเล่ากระหม่อม มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ คนของฝ่าบาทแต่งตัวเป็นท่านพ่อมาหลอกพี่ชายโตกับลุงนพยังงั้นหรือ แล้วพี่ชายโตเชื่อลงได้อย่างไร อาทั้งคนเทียวนา เธอย่อมจำหน้าค่าตาได้อยู่แล้ว”

หม่อมเจ้าชายเพศอัลฟ่าวัยสิบสองชันษาทรงกลั้นพระสรวลสนิท พระทัยของท่านนั้นรู้อยู่เต็มพระอุระว่าจะหลอกใครก็หลอกได้ แต่ไม่มีทางเลยที่จะหลอกคนเก็บรายละเอียดเก่งอย่างอังควรา จึงทรงยอมรับโดยไม่บิดพลิ้ว ตรัสตอบว่า

“ถูกแล้วล่ะเกลอเอ๋ย...กันสั่งให้นายยอดคนสวนคนใหม่มันแต่งตัวเป็นท่านอาฉันทิต เพราะเห็นว่าหน่วยก้านมันก็ไม่ได้ผิดแผกไปจากท่านอาสักเท่าใด ทั้งส่วนสูง ทั้งหุ่นห้าง น่าจะพอหลอกพี่ชายโตได้ไม่ยากเย็น แต่งหน้าให้เละๆ เทะๆ อีกสักหน่อยเพื่ออำพราง แถมบรรยากาศก็ยังมืดสลัวๆ มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนักเพราะว่าเป็นช่วงเย็น คนเขลาอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็คงไม่ใส่ใจรายละเอียดมากพอจะจับได้หรอก แต่กันก็ไม่ได้คิดจะเล่นแรงจนถึงขั้นจับไข้หัวโกร๋นแบบนั้นเสียหน่อย หวาดกลัวไปเองจะโทษใครได้เล่า”

คุณชายเกือบหลุดยิ้ม แต่ก็กระแอมกระไอ วางตัวสงบนิ่ง ปราศรัยต่อโดยไม่รีรอ

“เล่นพิเรนทร์เหลือเกินจริงๆ กระหม่อม ฝ่าบาททรงรู้ไหมว่าทรงทำเขาวุ่นวายกันไปหมดทั้งวังแล้ว พี่ชายโตพอไม่สบายเข้าหน่อยก็จิตใจไม่ใคร่ปลอดโปร่งนัก อาละวาดใส่พวกบริวารบ่าวไพร่ทั้งเช้าทั้งเย็น ข้าวของจะพังกันหมดทั้งองค์พระตำหนัก จนป้าเปี่ยมจะนิมนต์พระให้มาปัดรังควานอยู่วันนี้วันพรุ่ง นี่ยังไม่นับที่ขาดโรงเรียนมาแล้วถึงสองวันอีกด้วยนะท่าน ทรงสนุกจนเกินองค์หรือเปล่า”

“พุทโธ่พุทธังเอ๋ย...จะป่วยหรือไม่พี่ชายโตเธอก็อาละวาดทำลายข้าวของเป็นเรื่องปกติอยู่นั่นเอง กันไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ยังไงเธอก็ไม่ถึงกับซี้แหงแก๋ไปในวันนี้วันพรุ่งหรอกน่า แกเถิดเจ้าอัง กันอุตส่าห์ทวงพระธำมรงค์ของท่านอากลับคืนมาให้ จะไม่บอกขอบคุณเลยสักคำยังงั้นรึ คอยแต่ต่อว่าราวกับกันเป็นผู้ร้ายไปได้”

อังควราหรี่ตาหวานลงเล็กน้อย ทอดมองจับผิดหม่อมเจ้าชายตรงหน้าที่ทรงบ่นงุบงิบ ขณะประทับนั่งบนโซฟายาวของหลุยส์ เกิดสงสัยบางอย่าง จึงทูลถามตามตรง

“ทรงรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายโตชิงเอาพระธำมรงค์ของท่านพ่อไปไว้กับตัว กระหม่อมไม่เคยทูลกับฝ่าบาทสักหน่อย”

“หืม ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยนี่นา จริงๆ แล้วกันก็นึกสงสัยอยู่แล้วเหมือนกันนะ เพราะปกติแกจะต้องห้อยพระธำมรงค์ของท่านอาติดตัวเอาไว้เสมอ พอมาวันหนึ่งเกิดหายไปดื้อๆ ถ้าหากไม่ทำหายเองก็คงถูกใครสักคนชิงเอาไปนั่นแหละ แต่คนอย่างแกก็คงไม่ทำของสำคัญขนาดนั้นหายอยู่แล้ว เลยเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง พอชายโชติคาบข่าวมาเล่าให้กันฟัง กันก็เลยได้รู้ว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด”

คุณชายเม้มปากแน่น ทวีความสงสัยมากกว่าเดิม

“ท่านชายโชติภนอย่างนั้นหรือ...แล้วท่านชายจะทรงรู้เรื่องพระธำมรงค์ของท่านพ่อกระหม่อมได้ยังไง สนิทสนมกันหรือก็ไม่”

“คนมันช่างใส่ใจยังงั้น ยิ่งกับคนที่มันอยากใส่ใจด้วยแล้วก็ต้องหาทางรู้มาได้สักทางนั่นแหละ อย่าไปสงสัยมันนักเลย ชายโชติมันเป็นเด็กน่ารักน่าขันนาเจ้าอัง อย่างแผนการเยี่ยมไข้พี่ชายโต มันก็ไปคิดต่อยอดของมันเอาเอง มันบอกกันว่าแค่มาเจอผีอยู่ในวังบางโพงพางคงไม่เพียงพอให้พี่ชายโตปักใจ เพราะเธออาจไปคิดต่อเอาเองได้ว่าเป็นแค่ผีเจ้าที่เจ้าทางในวังนี้ ไม่ใช่ดวงพระวิญญาณของท่านอา ก็เลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มน้ำหนักว่าท่านอาทรงกำลังตามอาฆาตพี่ชายโตอยู่จริงๆ แล้วก็ได้ผลชะงัด...วันต่อมาแกก็ได้พระธำมรงค์คืนมาเลยนี่ไง ต้องขอบคุณอ้ายตี๋อ้วนมันนา”

“อย่างนั้นหรือกระหม่อม”

เสียงของคุณชายอ่อนลง แต่หัวใจกับพองขึ้นอย่างที่คุณชายเองก็ไม่อาจตอบได้เช่นกันว่ามันเพราะอะไร

หม่อมเจ้าต้องครรลองไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาแปลกไปของพระสหาย ทรงระบายพระอัสสาสะเบาๆ นิดหนึ่ง ตรัสต่อคล้ายกับอยากบ่น

“แต่พูดก็พูดเถอะนะ เพราะจริงๆ แกก็เกือบชวดได้พระธำมรงค์คืนเพราะอ้ายตี๋อ้วนมันเหมือนกัน แผนมันเข้าท่าเข้าทางดีอยู่หรอก ถ้ามันจะหัดแนบเนียนเสียบ้าง มิใช่ไปทำร้องแรกแหกกระเชอราวเจ๊กตื่นไฟ โหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นพระตำหนักว่าเห็นผี หม่อมเปี่ยมผู้ชาญฉลาดจับพิรุธได้ก็เรียกเข้าไปถามไถ่น่ะซีว่าผีท่านอาฉันทิตหน้าตาเป็นอย่างไร...แกรู้ไหม มันตอบอะไร”

คุณชายกลั้นยิ้ม ทูลถามต่ออย่างสนอกสนใจ และตื่นเต้นไปพร้อมกัน

“ทรงตอบอย่างไรหรือกระหม่อม”

“มันตอบหม่อมท่านกลับไปว่า ‘ตัวผอมๆ สูงๆ จ้ะหม่อม สูงราวๆ สองเมตรเห็นจะได้’ อ้ายบ้าคนนี้ คนที่ไหนมันจะสูงสองสามเมตรยังงั้น มิใช่พวกฝรั่งมังค่าปะไร”

คราวนี้คุณชายอังควราถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังลั่น จนต้องยกนิ้วเรียวขึ้นซับหัวตา ระงับอาการไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

ท่านชายต้องทรงทอดพระเนตรมอง แย้มรอยพระสรวลแกนๆ

“ขำรึ? ทั้งๆ เกือบจะไม่ได้แหวนพ่อคืนกลับมาแท้ๆ โชคดีมากแค่ไหนแล้วที่หม่อมเปี่ยมท่านมีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม หม่อมบอกว่าที่ท่านอาฉันทิตองค์สูงเป็นสองสามเมตรอย่างนั้นได้ก็คงเพราะเป็นเวรเป็นกรรมที่ชอบต่อล้อต่อเถียงกับพระเชษฐาผู้มีชันษามากกว่าเมื่อครั้งที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพ ตี๋อ้วนมันก็เออๆ ออๆ ตามประสานั่นแหละ พอหม่อมถามว่า ‘ท่านชายทิตทรงพระโอษฐ์จู๋เท่ารูเข็มด้วยหรือไม่’ มันก็งงๆ ตอบเธอว่าใช่ ก็เลยรอดออกมาได้ แม้จะผิดเพี้ยนไปสักหน่อย จากที่ควรเจอดวงพระวิญญาณท่านอา กลับกลายเป็นว่าเจอเปรตท่านอาเสียได้”

เรื่องปกติของอังควราในช่วงวัยเด็กคือเขาไม่ใช่เด็กขี้เล่นมากมายนัก จึงหายากที่จะฉีกยิ้มกว้างได้อย่างเปิดเผย แต่มาครั้งนี้เขาอดที่จะยิ้มกว้างด้วยความขบขันไม่ได้ขณะกำลังฟังรับสั่ง

อีกฝ่ายก็ชวนตรัสเรื่องสัพเพเหระต่อไปอีกสองสามอย่าง ไม่ได้พาทีกันยืดยาวนัก แล้วก็เสด็จนำคุณชายไปยังสวนด้านหลังตำหนักเพื่อฝึกซ้อมดนตรี วันนี้คุณชายเล่นซออู้เหมือนอย่างเช่นเคย ส่วนท่านชายต้องก็ทรงไวโอลินที่ทรงถนัดมากที่สุด

ถึงแม้ว่าแดดในยามบ่ายจะแรงจัดสักเพียงใด แต่ร่มเงาของซุ้มศาลาไม้สักทอง อีกทั้งต้นมะขามเทศยักษ์อายุหลายสิบปีก็ไม่ได้ทำให้แสงสาดส่องลงมาทำร้ายผิวแต่อย่างใด ทั้งยังมีลมเบาๆ พัดโชยมาจากริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้อากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าวจนมิอาจทนได้ เด็กหนุ่มทั้งสองจึงเพลิดเพลินกับการเลือกเพลงนู้นหยิบเพลงนี้ขึ้นมาบรรเลง

เริ่มที่เพลงฝรั่งราวสองสามเพลง ก่อนจะต่อด้วยเพลง ‘เขมรไทรโยค’ อันเป็นเพลงพระนิพนธ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นบทเพลงที่ท่านชายต้องโปรดเล่นอยู่บ่อยครั้ง




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2020 06:25:51 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หากต้องเทียบกันก็คงบอกได้ว่าหม่อมเจ้าต้องครรลองทรงมีความชำนาญทางดนตรีมากกว่าคุณชายอังควรา ทรงเล่นเครื่องดนตรีได้มากมายหลายแขนง ดังนั้นเมื่อใดที่คุณชายเล่นพลาด ซึ่งก็เกือบทุกคราวที่ฝึกซ้อมด้วยกันอยู่นั่นเอง ท่านก็จะเข้ามาทรงช่วยสอนอย่างพระทัยเย็น ทว่าวันนี้อังควรากลับเล่นได้ดีมากอย่างผิดสังเกต ท่านชายต้องทรงเดาว่าสหายรักคงจะสบายใจที่ได้แหวนของบิดากลับคืนมาละมัง

แต่จริงๆ แล้วคุณชายเองก็ยังไม่ใคร่แน่ใจนัก เพราะขณะนิ้วมือกำลังพริ้วไหวกดไปตามสายซอ จิตใจกลับมิได้นึกถึงผู้เป็นพ่อสักน้อยนิด แต่ดันไพล่ไปใคร่ครวญถึงเด็กหนุ่มวัยสิบปีที่ก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยอะไรกันเลยสักกระผีกริ้น แต่ดูเหมือนช่วงนี้จะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามท่านบ่อยเสียจริง ราวกับท่านทรงเป็นหมู่มวลหมอกควันที่วนเวียนอยู่รอบๆ กาย ทั้งๆ ที่หลังจากได้ซออันทรงคุณค่าของท่านพ่อกลับคืนมาก็มิได้พบพักตร์ท่านอีกเลย

จะว่าไปหลังจากวันนั้นมาในเวลาใดก็ตามที่คุณชายเว้นว่างจากการเล่าเรียนเขียนอ่านอย่างทำประจำทุกวี่วัน หรือแม้แต่ต้องคอยบริการความสะดวกสบายให้กับวงสมาคมของหม่อมพเยาว์ คุณชายก็มักจะหยิบยกเอาอีกฝ่ายขึ้นมานึกถึงเสมออย่างไม่ทราบสาเหตุ จนบางทีก็แอบรำคาญหน่อยๆ ที่อีกฝ่ายคอยรบกวนจิตใจของเขามากจนเกินไป จะว่าเป็นเพราะรู้สึกติดหนี้บุญคุณที่อีกฝ่ายอุตส่าห์นำซอกลับมาคืนให้ก็หาใช่เรื่อง เพราะตัวเขาเองก็เคยช่วยชีวิตท่านชายไว้หนหนึ่ง เท่ากับบุญคุณได้ทดแทนกันไปสิ้นแล้ว

หรือจะบอกว่าพระพักตร์ของท่านชายโชติภนมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ชวนติดตาตรึงใจก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่...ท่านชายทรงมีพระพักตร์กลม พระวรกายเองก็กลมเหมือนลูกชิ้นหมูในชามก๋วยเตี๋ยว ถึงท่านจะมิได้ขี้ริ้ว แต่ห่างไกลจากสะสวยงดงาม วงพระพักตร์ตี๋ พระฉวีเหลืองลอออย่างบุตรของชาวจีน เวลาแย้มพระสรวลพระปรางเนียนของท่านก็จะดันขึ้นจนปิดพระเนตรเสียมิด และจุดเด่นอีกสิ่งบนพระพักตร์ก็คงเป็นพระขนงที่หากไม่จ้องใกล้ๆ ก็แทบไม่เห็นพระโลมา* อันมีอยู่แค่เพียงน้อยนิดแทบนับเส้นได้ (*NOTE : ขน)

คุณชายอังนิ่งนึก ถ้าหากมีตรงไหนของท่านชายโชติภนที่จะสะกิดใจเขาได้ก็คงเป็นการเจรจาปราศรัยของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาอดทึ่งไม่ได้ในทุกคราวที่ได้ฟังรับสั่งละมัง

แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอังควราก็ออกจะเป็นคนไว้ตัวอยู่สักหน่อย ไม่ยอมให้ผู้ใดสนิทสนมได้อย่างง่ายดายนัก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเคลือบแคลงไปหมดในยามที่ถูกหม่อมเจ้าโชติภนเข้าหาเกาะกอดราวกับรู้จักมักจี่กันมาแสนนาน แต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่ออกเสียทีเดียวว่าในแววพระเนตรของท่านชายนั้นแสนบริสุทธิ์มากเพียงใด ทุกๆ การกระทำของท่านไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงสักนิด แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยที่จะชิดใกล้กับท่านอยู่ดี

ใจหนึ่งของคุณชายบอกว่าท่านเป็นเจ้านาย การทำตัวสนิทสนมกับเจ้านายมากเกินไปมิใช่เรื่องบังควร…แต่อีกใจก็เถียงว่าท่านชายต้องเองก็เป็นเจ้านายเหมือนกัน แต่ก็ยังสนิทสนมกันได้ในฐานะเจ้านายและเพื่อนสนิทควบคู่กัน และท่านชายโชติภนก็ดูไม่ใช่พวกถือสาหากจะต้องมีเพื่อนหรือพี่ชายที่ไม่ได้สูงศักดิ์เทียบเคียงกัน

ราวกับมีแสงเทียนส่องสว่างขึ้นกลางใจ คุณชายวิเคราะห์ออกมาได้โดยละเอียดว่าพระนิสัยส่วนองค์ของท่านชายโชติภนนั้นทั้งน่ารัก และน่าเอ็นดูมากมายนัก เพราะอีกฝ่ายไม่ทรงถือองค์ว่าอยู่สูงส่ง ทรงปล้ำกอดกับหม่อมราชวงศ์ที่เกิดจากหม่อมเจ้าซึ่งประสูติมาจากหม่อมปลายแถวของเสด็จในกรมฯ อย่างไม่นึกรังแครังคัดกันสักน้อยนิด แล้วคุณชายก็นึกถึงเรื่องราวเมื่อตอนกลางปีที่ผ่านมา...เกิดขึ้นที่วังจักษุภิรมย์...ในวันฉลองพระชันษาของเสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ อันเป็นครั้งแรกที่คุณชายอังควรากับท่านชายโชติภนได้พบกัน

คุณชายปลีกวิเวกออกมาจากกลุ่มหม่อมมาลี หม่อมคนหนึ่งจากหม่อมทั้งหกของท่านลุงสถิตคุณที่เปิดเรือนไทยของเธอภายในอาณาเขตวังเทวพงษ์พิศาลให้กลายเป็นคณะรำ มีการส่งลูกศิษย์ลูกหาไปแสดงตามงานสำคัญต่างๆ ประปราย แต่ถึงยังงั้น คุณชายที่ขึ้นแสดงมาแล้วหลายครั้งก็ยังตื่นเต้น เพราะตั้งแต่ถูกหม่อมแม่ส่งไปเรียนรำอยู่กับหม่อมมาลีตั้งแต่จำความได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คุณชายจะได้แสดงต่อหน้าพระพักตร์เจ้านาย แม้ใครต่อใครจะบอกว่าเสด็จวังจักษุฯ ทรงพระทัยดีเพียงใด แต่ก็มิได้ทำให้คลายกังวลลง

เขาเดินเล่นทอดอารมณ์ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยดังแว่วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จึงรีบวิ่งไปดู และวิสาสะกระโดดลงไปช่วยเด็กชายผู้นั้นขึ้นมาโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านคือโอรสของเสด็จ

เขาได้มารู้ความจริงว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหนก็ตอนที่ขึ้นแสดงฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน แล้วพบว่าท่านชายกำลังประทับนั่งอยู่ข้างๆ พระบิดาและหม่อมแม่ของท่าน

เรื่องตลกที่พอนึกถึงขึ้นทีไรก็ยังขันไม่หายมาจนตอนนี้ก็คงจะเป็นตอนที่อังควรายกสองมือถอดหัวโขนยักษ์ออกหลังจากแสดงเสร็จ แล้วหม่อมเจ้าโชติภนก็พระเนตรเป็นประกายวิบวับ ทรงอุทานเสียงดัง เรียกคุณชายด้วยชื่อที่ทรงตั้งเองว่า “เอ๊ะ...คุณตัวขาวนี่!”

จนหม่อมมารดาของท่านต้องหันไปเอ็ดตะโรเสียงหนัก “คุณตัวขาวกระไรกันน่ะชาย เสียมารยาทจริงเลยเทียวลูกคนนี้ เรียกเธอว่าคุณชายซีลูก...นั่นคุณชายอังควรา เป็นนัดดาท่านสถิตคุณ”

แต่ท่านชายก็ไม่ทรงยอมโดยง่าย ยังทรงทำพักตร์แฉล้มเรียกคุณชายว่า ‘คุณชายตัวขาว’ อย่างที่โปรดอยู่ดี

จริงๆ เรื่องราววันนั้นนอกชื่อที่ท่านชายโชติภนทรงประทานเรียกแล้ว หม่อมเจ้าชายวัยสิบชันษาผู้นั้นก็ไม่อาจกระทบความสนใจของคุณชายร่างขาวได้สักเท่าใด จนถึงวันที่ท่านชายทรงแอบย่องตามมาคืนซออู้ของท่านพ่อ อีกฝ่ายก็ทำให้คุณชายรู้สึกทึ่งได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เคยแสดงความอีนังขังขอบออกมาให้ได้เห็นกับสถานการณ์อึดอัดภายในบ้านที่คุณชายต้องเผชิญทุกคืนวัน แม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างหม่อมเจ้าต้องครรลองที่นอกจากมองเขาด้วยความเวทนาก็ไม่ทรงช่วยอะไรเขาได้เลยจนอย่างเดียว ทว่าท่านชายโชติภนกลับทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้อย่างน่าใจหาย ก้อนเนื้อในอกสั่นรัวเหมือนโดนแรงมือเขย่า จนน่าแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน

โชติภนทรงผลุบๆ โผล่ๆ ถึงไม่รู้หายอยู่ภายในหัวอังควราเรื่อยมาหลังจากนั้น หยิบซอมาเล่นทุกครั้งก็พานนึกถึงท่านเสมอ จากเดิมที่นึกถึงแต่เพียงท่านพ่อฉันทิตองค์เดียว จนวันนี้ที่ได้พระธำมรงค์ของดูต่างหน้าท่านพ่อคืนมาอยู่ในมือแล้ว และได้รับรู้ว่าหม่อมเจ้าโชติภนเองก็มีส่วนเอี่ยวในการช่วยทวงคืนด้วยเช่นกัน...ซ้ำยังทรงช่วยได้อย่างน่าเอ็นดูอย่างที่เขาคาดไม่ถึงเสียด้วย หัวใจที่เคยเป็นรูพรุนของคุณชายอังควราก็ราวกับค่อยๆ ถูกเติมเต็มทีละน้อย วงพักตร์ของท่านชายโชติภนตามติดเข้ามาในความคิดคะนึงทำให้คุณชายรู้สึกดีราวกับได้พบเพื่อนสนิทแสนรู้ใจ

บทเพลงแสนไพเราะชะงักขาดกลางคันเมื่อบ่าวเบต้าสาวสืบเท้าเข้ามาคุกเข่านั่งลงหน้าซุ้มศาลากลางแจ้ง หม่อมเจ้าโอรสเจ้าของวังก็ทรงหันมองเป็นเชิงไถ่ถาม

“ท่านชายโชติภนเสด็จมาขอเฝ้าเพคะ”

ท่านชายต้องทรงนิ่ง สีพระพักตร์ใคร่ครวญ หันมาตรัสกับคุณชายเสียงเรื่อยๆ ว่า

“สงสัยมันมาเรียนไวโอลินละมัง กันเองก็ลืมไปสนิทเลยเทียวว่าเมื่อเย็นวานโทรศัพท์ไปชวนเจ้าตี๋อ้วนมาที่วัง”

“งั้นหรือกระหม่อม” อังควราวางซออู้ลง ทูลกลับด้วยรอยยิ้มแย้ม ทีท่าดูว่าสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ในใจเกือบกลายเป็นลิงโลดจนแทบระงับอาการไว้ไม่อยู่

เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่าบุคคลที่กำลังนึกถึงจะมาปรากฏองค์ให้เห็นอย่างรวดเร็วเพียงนี้ ยิ่งเมื่อยามท่านชายต้องทรงออกโอษฐ์เรียบๆ สั่งให้นางบ่าวรีบไปทูลเชิญเสด็จท่านชายโชติภนเข้ามาหา ดวงใจน้อยๆ ของคุณชายอังก็ยิ่งทะยานขึ้นไปจนสูงเฉียดขอบฟ้าสีคราม ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่บนนั้นเหมือนกลุ่มก้อนเมฆ...ทว่าก็เป็นก้อนเมฆในวันที่คลื่นลมพัดโหมกระหน่ำ ละอองฝนจากพายุที่ตกลงสู่พื้นดินหลอมตัวรวมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นร่างกลมกะปุ๊กลุกของเจ้าชายน้อยที่ทรงวิ่งครึ่งกลิ้งร้องเรียกเจ้าพี่ของท่านสุรเสียงใสแจ๋วดังแว่วมาแต่ไกล

เมื่อมาถึงก็ทรงโถมกอดท่านชายต้องครรลองอย่างคุ้นเคย และหยุดชะงัก ทรงทำองค์ไม่ถูกเมื่อได้หันมาสบสายตากับคุณชายอังควรา

หม่อมเจ้าโชติภนสีพระพักตร์ม่อยลง ทรงกลืนพระเขฬะเหนียวหนืดลงพระศอสั้นหนาอย่างฝืดเฝื่อน ทั้งๆ ทรงดีพระทัยเหลือคณาที่ได้พบหน้าคุณชายตัวขาวอีกครั้งหนึ่ง แต่จะพุ่งเข้ากอดทักทายเหมือนอย่างเคยก็เกรงว่าจะถูกมองดุเอาได้ เพราะจากวันที่แอบตามเอาซอไปคืนก็ทรงโดนอีกฝ่ายตอกกลับจนพระพักตร์หงายเงิบไปหลายฉากทีเดียว ทรงสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมิได้เมตตาเขาสักเท่าใด

“ส...สวัสดีครับ คุณชาย”

ท่านชายจึงแปลกพระทัยเป็นอันมาก ด้วยไม่ทรงคาดคิดมาก่อนว่าพอยกสองหัตถ์อ้วนป้อมประณตไหว้ด้วยความสุภาพ อีกฝ่ายก็จะยิ้มรับอย่างใจดี อ้าแขนออกนิดหน่อย ทูลถามอย่างเป็นกันเองว่า

“แค่ไหว้เองหรือกระหม่อม วันนี้จะไม่ทรงวิ่งมากอดเหมือนอย่างเคยงั้นหรือฝ่าบาท”

โชติภนทรงมึนไปสนัด จนกระทั่งคุณชายเลิกคิ้วสูงอย่างทูลถามย้ำว่าจะทรงตัดสินพระทัยเช่นไร ท่านชายที่เป็นเพียงเด็กสิบขวบก็ทรงขับไล่ความระเค็ดระคายที่ชวนให้ยุ่งยากพระทัยออกไปจากเศียร เพราะเพียงคุณชายใจดีด้วย ก็มิได้ต้องการสิ่งอื่นใดจากอีกฝ่ายอีกแล้ว จึงทรงระบายรอยแย้มพระสรวลกว้างด้วยความยินดี เสด็จเข้าไปกอดร่างผอมบางแนบแน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลตามเคยประหนึ่งจะทำให้คุณชายแหลกลานไปทั้งร่าง แต่คุณชายก็ไม่ได้ต่อว่ากระไร ส่งรอยยิ้มบางๆ กลับในยามที่ท่านชายเงยพักตร์ขึ้นสบตา อีกทั้งยกมือลูบพระเศียรกลมอย่างอ่อนโยน

ทูลถามอย่างนิ่มนวลว่า

“เสด็จมาเรียนไวโอลินกับท่านชายต้อง ไม่ทรงอยากลองเล่นซออู้ดูบ้างหรือกระหม่อม…แต่ไม่น่าถาม ต้องทรงอยากเล่นอยู่แล้วล่ะซี ก็คราวก่อนฝ่าบาทยังทรงอยากได้ซอของกระหม่อมอยู่เลย”

ท่านชายน้อยผงกเศียรหน่อยๆ ตรัสตอบ

“ยังอยากเรียนอยู่ครับ พี่ชายต้องทรงตรัสว่าจะช่วยเป็นครูสอน ชายเพิ่งจะทูลขอเด็จฯ พ่อไปไม่กี่วันก่อน เด็จฯ พ่อท่านก็ตรัสว่าจะสั่งทำซออู้ดีๆ ให้ชายสักคัน แต่ยังไม่ทราบเลยว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไร”

“อย่างนั้นหรือ…”

อังควราเม้มริมฝีปากสีชมพูเข้าหากัน ในหัวตรึกตรองบางอย่าง ด้วยนึกอยากตอบแทนอีกฝ่ายที่ทรงช่วยทวงพระธำมรงค์ของหม่อมเจ้าฉันทิตคืนกลับมา แม้วิธีการจะออกพิเรนทร์มากสักหน่อย แต่มันก็ได้ผลดีเยี่ยม แล้วยังสร้างความบันเทิงมิรู้หายให้กับคุณชาย เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครกล้ากลั่นแกล้งคุณชายโตจนกลายเป็นไข้จับสั่นอย่างนั้นได้เลยจนคนเดียว เพราะปกติเจ้าตัวมักจะเป็นใหญ่คับวัง ไม่มีใครอยากเข้าไปข้องแวะด้วย กระทั่งกับหม่อมเปี่ยมผู้เป็นแม่ เข้มงวดเสียขนาดนั้นก็ยังไม่เว้นอ่อนข้อให้โอรสคนโต

ตกตะกอนความคิดไปต่างๆ นานา คุณชายอังควราก็ตัดสินใจได้ และทูลถามท่านชายโชติภนอีกว่า

“ถ้าเช่นนั้นพอช่างเขาทำซอเสร็จแล้ว หากวันไหนท่านชายต้องไม่ทรงว่าง ฝ่าบาทจะทรงว่าอะไรไหมถ้ากระหม่อมจะอาสาเป็นคนถวายการสอน”

โชติภนถึงกับฉงน

“ครับ?”

คุณชายอังเองก็ถึงกับใจแป้ว พอเห็นปฏิกิริยามึนๆ ตอบกลับมายังงั้นของท่านชายก็เกิดพะวง รีบปราศรัยต่อว่า

“กระหม่อมเองก็ไม่ใช่ครูดนตรี ไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่ก็พอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ท่านพ่อทรงเคยถ่ายทอดวิชามาให้อยู่ไม่น้อย น่าจะพอสอนฝ่าบาทได้ แต่...” เกิดอึดอักนิดหน่อย เมื่อปราดสายตาแลมองท่านชายต้องที่ทรงกำลังก้มพระพักตร์ปรับสายไวโอลินคู่พระทัย และรับฟังบทสนทนาของทั้งคู่ไปด้วยกัน “...แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงกังวลว่ากระหม่อมจะสอนได้ไม่ดีพอก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงกระหม่อมก็ถวายการสอนฝ่าบาทไม่ดีเท่ากับท่านชายต้องอยู่แล้ว ก็ท่านทรงชำนาญกว่ากระหม่อมมาก...ถ้าเช่นนั้นก็ทรงลืมที่กระหม่อมทูลไปเสียเถอะ”

ไม่ใช่ของแปลกที่ผู้คนจะประหม่าเวลาได้เพ็ดทูลกับพวกเจ้าขุนมูลนาย แม้จะเป็นเจ้านายที่เป็นเพียงแค่เด็กวัยไม่ประสาเท่านั้น แต่เรื่องแปลกคือท่านชายต้องไม่เคยเห็นพระสหายผู้สงบเยือกเย็นแสดงสายตาหลุกหลิกราวกับกำลังตื่นเต้น แล้วยังพูดจากลับกลับไปมาเช่นนี้มาก่อน จึงทรงขมวดขนง สรวลหน่อยๆ อย่างนึกเอ็นดู

ทรงรับสั่งกับองค์ชายผู้น้องว่า

“เอาซิตี๋อ้วน คุณชายตัวขาวของแกเขาอาสาจะเป็นคนสอนซอให้ยังงั้น ก็ไม่แตกต่างจากให้กันสอนมากนักหรอก ชายอังมันก็เก่งอยู่พอตัว...อยากสนิทกับพี่คนสวยเขาด้วยมิใช่รึ”

คุณชายกดคันคิ้วลง หันมอง

“พี่คนสวยอะไรกันกระหม่อม ฟังดูพิกล”

“ไม่มีอะไรมาก กันก็เพียงแต่อยากรู้เท่านั้น ก็เลยถามเอาความจากเจ้าตี๋อ้วนว่าทำไมมันถึงได้ดูติดอกติดใจแกมากมายนัก อย่างเมื่อวันก่อนก็ถึงกับแอบย่องตามไปคืนซอให้แกถึงเรือนของหม่อมพเยาว์เลยไม่ใช่รึ...แล้วมันก็ตอบกันว่า…มันอยากสนิทกับแก เพราะมันชอบคนสวย”

คุณชายอังควรานิ่งอั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะหลุดขำคิกออกมา เหลือบแก้วตาหวานล้ำแลมองหม่อมเจ้าโชติภนที่กำลังผงกพระเศียรหงึกหงักเพื่อยืนยันว่าท่านชายต้องรับสั่งเรื่องจริง

“ก็ชายพูดจริงนี่นา”

ใครต่อใครก็ต่างรู้กันทั่วว่าหม่อมราชวงศ์อังควราเป็นคนหน้าตาดีมากไปจนถึงหล่อเหลา รูปโฉมงดงามสะสวยของคุณชายทำให้คนได้มองยากที่จะถอดถอนสายตา การถูกชมเชยอย่างนี้จึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่อย่างใดสำหรับเจ้าตัว แต่กลับจั๊กจี้แปลกๆ อยู่ในใจเมื่ออีกฝ่ายคือเด็กชายวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น เพราะปกติเขามักได้รับคำชื่นชมจากพวกผู้ใหญ่เสียมากกว่า

จึงอมยิ้มหน่อยๆ ขณะทูลถามกลับด้วยความฉงนสงสัย

“ฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมสวยงั้นหรือ...อย่างไรกันกระหม่อม”

“หน้าละมั้ง”

ท่านชายต้องครรลองลงความเห็น เพราะเมื่อใดที่คุณชายอังควราถูกพวกผู้หลักผู้ใหญ่ชื่นชมเรื่องความงดงาม สาเหตุโดยมากมักมาจากใบหน้าที่คมคายครบเครื่อง แต่ท่านชายโชติภนกลับส่ายพระพักตร์เบาๆ รับสั่งแย้งเสียงใสว่า

“ดวงตาต่างหากละครับเจ้าพี่…ตั้งแต่เจอคุณชายมาชายก็แทบจะไม่เคยเห็นคุณชายยิ้มเลยสักครั้ง ชอบทำหน้าตาเฉยเมยอยู่เรื่อย แต่ดวงตาของคุณชายกลับน่ามองเป็นที่สุด เหมือนกับว่ามันซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ในนั้น ชายไม่เคยเจอใครที่เป็นแบบนี้มาก่อน...ก็เลยอยากมองเรื่อยๆ ไม่รู้เบื่อเลยล่ะครับ”

อังควราชะงักค้างด้วยใจคอเบาโหวงอย่างไรบอกไม่ถูก ครั้นจะเงยหน้าขึ้นขอความเห็นจากเพื่อนสนิท ท่านชายต้องก็เพียงแต่ไหวพระอังสาราวกับมิได้แยแสสักเท่าใด ทรงส่งสายพระเนตรคมวับเหมือนของพระบิดาของท่านมาให้เป็นเชิงรับสั่งกลายๆ ว่า ‘ปล่อยเจ้าตี๋อ้วนมันเพ้อเจ้อไปเถอะ มันก็พูดไปเรื่อย อย่าไปสนใจมากนัก’

แต่หม่อมเจ้าต้องครรลองกลับมิได้รับรู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านั้นของท่านชายโชติภนที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์บางอย่างเด็กน้อยไร้เดียงสา มันมีผลสะท้านสะเทือนต่อจิตใจพระสหายคนสนิทอย่างคุณชายอังควรามากเพียงใด แม้จะรู้สึกพิกลหน่อยๆ อย่างตอบไม่ได้กับการถูกอัลฟ่าด้วยกันกล่าวชมรูปโฉมก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าคำพูดพวกนั้นชวนให้กระดากอายอยู่ไม่น้อยทีเดียว

แต่จะคิดครวญหาคำตอบไปก็ปวดหัวเกินกว่าเด็กวัยสิบสองปีอย่างเขาจะเข้าใจได้ จึงผลักไสคำถามมากมายออกจากหัวไป หัวเราะแก้เก้อหน่อยๆ แล้วทูลกับท่านชายน้อยอย่างต่อรอง

“เป็นพระกรุณาฝ่าบาท แต่ถ้าโปรดมองตากระหม่อมมากถึงเพียงนั้นจริง คงต้องทรงตัดสินพระทัยมาเรียนซอกับกระหม่อมที่วังเทวพงษ์พิศาลแล้วละมัง แล้วฝ่าบาทก็จะได้ทอดพระเนตรทุกวันเลย”

ดวงพระเนตรตีบตี่ของโชติภนเบิกขยายเล็กน้อย สีพระพักตร์ของท่านดูเต็มพระทัยเป็นล้นพ้น

“จริงหรือครับ ชายไปหาคุณชายได้จริงๆ หรือครับ”

“จริงกระหม่อม...ฝ่าบาทโปรดเสวยขนมกลีบลำดวนหรือไม่” อังควราเอียงคอมองด้วยความหวัง ท่านชายก็ตรัสตอบทันใด

“ชอบครับ ใครบ้างไม่ชอบขนมกลีบลำดวน”

“กระหม่อมทำกลีบลำดวนอร่อย”

“...”

“จะทำไว้รอถวาย หากวันไหนฝ่าบาทเสด็จมาเรียนซอ”

“ถ้าอย่างนั้นโชติก็จะให้ลุงชดขับพาไปเหวยขนมฝีมือของพี่ชายอัง...จะไปคอยมองตาพี่ชายอัง...และจะไม่ให้ขาดไปแม้แต่วันเดียวเลยล่ะครับ!”

หม่อมราชวงศ์อังควรายิ้มรับด้วยความเต็มอกเต็มใจ...ทั้งเต็มใจที่จะสอนดนตรีถวายแด่องค์ท่านชาย...และเต็มใจอย่างยิ่ง ถ้าหากท่านชายโชติภนจะทรงอยากสนิทสนมด้วยจริงอย่างที่ท่านทรงรับสั่ง แต่ระหว่างที่รอคอยช่างเครื่องดนตรีไทยทำซอมาถวายโดยก็ไม่รู้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด คุณชายอังก็ยื่นซอของตนให้อีกฝ่ายลองจับดูว่าโปรดจริงหรือเพียงแค่เห่อประเดี๋ยวประด๋าว จากเดิมที่ท่านชายเสด็จมาวังบางโพงพางเพื่อฝึกซ้อมไวโอลินกับหม่อมเจ้าต้องครรลอง ก็กลายเป็นทำองค์ติดหนึบอยู่กับคุณชายอังควราไม่ห่าง รบเร้าให้คุณชายตัวขาวเล่นเพลงโน้นเพลงนี้ถวาย ซึ่งคุณชายก็ใจดีจนน่าใจหาย และยิ่งทำให้ท่านชายทรงติดพระทัยมากกว่าเก่า โดยไม่ทรงรู้องค์เลยว่าทรงกำลังพาองค์เข้าไปพันผูกกับคนที่มีอันต้องพลัดพรากอย่างไม่อาจพบหน้ากันได้อีกแสนนาน

ด้วยระยะเวลาถึงสิบห้าปีกับระยะทางที่ห่างกันนับพันไมล์ ถึงแม้จะคะนึงถึงทุกคืนวัน แต่มันก็มิสู้ได้อยู่ชิดใกล้ เพราะอย่างไรเมื่อคนเราได้เติบโตขึ้นก็ย่อมต้องแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา…ไม่เพียงแต่คุณชายอังควราที่ภายในภาพจำคือเด็กชายท่าทางสุภาพเรียบร้อย ทว่าก็สุขุม ชอบเล่นดนตรี ชอบทำงานฝีมือ หรือจะทำขนม รำไทย เล่นกีฬา ก็ทำได้ดีจนทั้งหมด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นนายร้อยตำรวจหล่อเหลาไปเสียได้ ท่านชายโชติภนทรงเคยคิดว่าพี่ชายอังของเขาน่าจะอยากทำงานในกรมศิลปากรเสียมากกว่า ก็เลยผิดคาดทีเดียวตอนทรงได้รู้จากเสด็จลุงเมื่อประทับอยู่ที่อังกฤษว่าอีกฝ่ายเข้าโรงเรียนฝึกฝนนายร้อย

ท่านชายโชติภนเองก็แทบจะหน้ามือเป็นหลังมือเช่นกัน ทรงมิใช่เด็กน้อยพ่วงพีกลมดิกคนเดิมอีกต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นเรียลอัลฟ่าหนุ่มหล่อหน้าตี๋รูปร่างสูงใหญ่ราวชาวฝรั่งมังค่า ทว่าถ้าหากเปลี่ยนไปเพียงรูปลักษณ์ก็ไม่ยักกระไร แต่บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างในก็บอกกับเขาเสมอว่าการพบหน้าคุณชายอังควราอีกครั้งนั้นอาจทำให้ดีพระทัยได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือความยุ่งยากพระทัยถึงไม่รู้จบ จนอาจทำให้ ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ที่ว่าพังทลายลงมาได้ เพราะด้วยพระนิสัยแสนดื้อรั้นที่แอบแฝงอยู่ลึกๆ ท่านชายอาจทรงทรยศต่อองค์เอง ทรยศต่อคุณชายอังควรา หรือกระทั่งทรยศต่อวงศาคณาญาติเข้าสักวัน





(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-04-2020 06:26:21 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
พ.ศ. ๒๕๐๕ - ปัจจุบัน

อันที่จริงหม่อมราชวงศ์อังควราไม่เคยคาดคิดมาก่อนสักครั้งว่าคุณชายเหมทัตพี่เขยของเขาจะเป็นคนมีความพยายามมากมายถึงเพียงใด หรือจะบอกว่าเขาไม่ได้สนใจในตัวอีกฝ่ายสักเท่าใดนักก็คงไม่ผิด หากทว่าในตอนนี้คุณชายกลับต้องมานั่งจับเจ่าครุ่นคิดหัวแทบแตกว่าควรทำอย่างไรอีกฝ่ายจึงจะยอมแพ้และลดละเป้าหมายเดิมของตนได้เสียที เพราะถึงแม้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายอย่างเรื่องการเสกสมรสระหว่างคุณชายอังกับหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภามาคั่นกลางก็ตามแต่ คุณชายเหมก็ยังคงหมายมั่นปั้นมือที่จะจับคู่คลุมถุงชนระหว่างคุณชายจันทน์และลูกชายโอเมก้าของคุณพระบำรุงวิชิตจนแล้วจนรอด ซ้ำยังถือวิสาสะนำถ้อยคำของอังควราที่ครั้งหนึ่งเคยกล่าวเพื่อเอาตัวรอดให้แก่น้องชายว่า ‘ควรให้พี่แต่งก่อนน้อง’ ขึ้นมาเอ่ยอ้างถึงเสียอีกว่า

“อีกเดี๋ยวชายอังก็จะตบแต่งออกเรือนไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้ชายจันทน์หาฤกษ์หายามหมั้นหมายเอาไว้เสียเลยซิ”

หลังจากได้ฟังอย่างนั้นอังควราก็หมดถ้อยคำจะกล่าวต่อ ส่วนคุณชายจันทน์เองก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับทางฝ่ายพี่เขย เพราะเห็นแก่ความรู้สึกของพี่สาวคนดีที่กำลังครรภ์อ่อน ด้วยเป็นห่วงว่าอาจกระทบกระเทือนไปถึงหลานในท้องได้ ทั้งๆ จริงๆ ก็มิสู้ชอบใจเท่าใดนัก ใช่ว่าไม่เคยออกปากปฏิเสธตามตรงว่าตนเองก็ยังเด็กอยู่มากนัก จึงมิเคยได้คิดเรื่องมีเหย้ามีเรือนเลยแต่น้อยนิด ทว่าก็ถูกคุณชายเหมทัตตอกกลับมาด้วยวาจาร้ายกาจพาให้เจ็บใจอยู่เนืองๆ จนทำให้คนไม่ยอมใครอย่างหม่อมราชวงศ์จันทน์ไม่อาจอดรนทนอยู่เฉยๆ อีกต่อไปได้ เขากระตุกยิ้มหยันมุมปาก กล่าวเรียบๆ กับคนตรงหน้าด้วยทีท่าคล้ายกำลังหยอกเอิน หากแต่สุ้มเสียงกลับเย็นเยียบว่า

“แหม...ช่างเป็นคนอุทิศตนเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานมากเหลือเกินนะครับ ถ้าพี่ชายเหมทำเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเองได้ถึงเพียงนั้น งั้นก็จัดการตบแต่งเองเลยซีครับ คุณพระบำรุงฯ ท่านคงจะยินดีอยู่หรอกนาที่ได้คนเอางานเอาการยังงี้ไปเป็นเขย อีกอย่างหนึ่ง...ก็ชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือที่ได้มีเมียทีเดียวหลายๆ คนพร้อมกัน”

คุณชายเหมนั้นถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาแต่ไหนแต่ไร จึงทำให้ไม่คุ้นชินกับการโดนยอกย้อน ก็เลยโมโหจนตัวสั่น แต่ก็ไม่อาจจะตอบโต้อย่างใดได้ เพราะปากคอของเขาก็มิได้คมคายเท่ากับหม่อมราชวงศ์ผู้น้อง คุณชายจันทน์อมยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างคนชนะ เหล่มองพี่เขยด้วยความสมเพช ก่อนจะลุกหนีไปโดยไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายทันได้คิดคำมาด่าทอต่อ

จะว่าไปแล้วอีกสาเหตุหนึ่งที่คุณชายเหมไม่อาจสวนกลับน้องภรรยาได้อย่างทันควัน คอยแต่นั่งตะลึงราวกับรูปปั้นอยู่อย่างนั้นก็เพราะถ้อยคำของคุณชายจันทน์นั้นหาใช่เพียงเพื่อยุแยงให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะอย่างเดียว หากทว่าก็มีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพวกบริวารบ่าวไพร่ที่มักจะรับรู้ได้ถึงความเป็นไปภายในรั้ววัง จนรู้มากเสียยิ่งกว่าพวกเจ้านาย ไม่ว่าจะเรื่องดีเรื่องชั่วก็ตาม หากมาถามเอากับพวกบ่าวก็ไม่มีคนใดไม่ได้ความ แม้จะจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายมากมายเพียงใด แต่ความช่างนินทาก็นับเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ คุณชายจันทน์เองก็สนิทสนมเล่นหัวกับพวกบริวารเป็นนิจ พอเจอคนนั้นทีก็กล่าวทักทาย ยืนคุยกันต่อเป็นนานสองนาน พอเจอคนนี้ทีก็กล่าวทักทายอีกรอบ ยืนคุยกันต่อจนยืดยาวหลายนาที ก็เลยได้รู้มาว่าเรื่องที่กำลังเซ็งแซ่อยู่ในหมู่บ่าวตอนนี้ นอกจากเรื่องคลุมถุงชนของหม่อมราชวงศ์อังควรากับท่านหญิงผ่องแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่คุณชายเหมทัตแอบทำเหม็นโฉ่เอาไว้อย่างลับๆ โดยเจ้าตัวคงคิดไม่ถึงหรอกว่าจะมีใครบังเอิญมารู้เห็นเข้า แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาบ่าวต้นห้องของหม่อมพเยาว์ไปได้

คุณชายจันทน์จึงไปไล่เบี้ยไถ่ถามเอากับต้นเรื่อง แล้วก็ได้ความกลับมาว่า

“ฮู้ย! เป็นปกติเลยเจ้าค่ะคุณชายเจ้าขา…คุณชายเหมเธอแอบย่องไปที่หอนอนนางข้าหลวงในยามวิกาลแทบจะทุกคืน กลับออกมาอีกทีก็เกือบย่ำรุ่ง อิฉันน่ะแก่เฒ่ามากแล้ว จะหลับก็ยากแสนยาก แต่ก็สะดุ้งตื่นง่ายดายเสีย แค่เรือนกระเทือนนิดหน่อยก็ยังตื่นเต็มตาได้ อิฉันไม่ปดดอก ก็เห็นมาเต็มสองตา เชื่ออิฉันได้เจ้าค่ะ...ชะรอยว่าข้าหลวงสาวๆ ทั้งเรือนจะตกเป็นนางเล็กนางน้อยของคุณชายเหมไปเสียหมดปะไร...สงสารก็แต่คุณหญิงเพ็ญเท่านั้น น่ากลัวจะถูกนางๆ พวกนี้ปีนเกลียวเข้าให้สักวัน”

คุณชายจันทน์กดคิ้วต่ำลง ถามต่อ

“โห ล่อเสียหมดทั้งเรือนเลยหรือจ๊ะป้า พูดเกินไปหรือเปล่า”

นางบ่าวยกหมากขึ้นมาตำใส่ปาก เคี้ยวหยับๆ บ้วนน้ำหมากทิ้งลงกระโถนที่คุณชายจันทน์ช่วยหยิบมาถือรอ แล้วจึงตอบเรื่อยๆ

“เชื่อบ่าวเถอะเจ้าค่ะ ไม่มากเกินไปดอก...คุณชายเหมเธอเล่นเข้าห้องโน้นที ออกห้องนี้ที แถมบางคืนนะเจ้าคะ ออกๆ เข้าๆ อยู่ถึงสองสามห้องเลยเทียว อย่างนี้คนรุ่นอิฉันเขาเรียกกันว่าพระยาเทครัวเจ้าค่ะคุณชายเจ้าขา”

พอได้ฟังดังนั้น คุณชายจันทน์ก็ไม่สู้พอใจสักเท่าใดตามประสาคนเป็นน้องภรรยาที่รักพี่สาวเป็นล้นพ้น แต่ก็สุดปัญญาจะทำสิ่งใดเพื่อพี่หญิงของตนได้นอกจากถอนหายใจออกมาอย่างสุดระอา เขาเป็นเด็กหัวใหม่ ก็พอจะมองออกว่าต้นตอปัญหาของเรื่องนี้มิได้มาจากตัวคุณชายเหมทัตแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มาจากพวกคนเฒ่าคนแก่ที่พยายามเกลี้ยกล่อมปนบังคับอยู่กลายๆ ให้คนหัวอ่อนอย่างหม่อมราชวงศ์หญิงเพ็ญสินียอมเข้าหอแต่โดยดีนั่นแหละ โดยอ้างถึงวลีที่มีมาแต่โบร่ำโบราณว่า

“อยู่ๆ ด้วยกันไปเดี๋ยวก็รักกันไปเอง”

แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นถึงพี่หญิงของเขาจะแอบมีใจให้ทางฝ่ายสามีบ้างก็จริงอยู่ แต่เพราะยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากพอก็ยังไม่ถึงขั้นตกลงปลงใจ ดังนั้นการแต่งงานที่เกิดขึ้นจึงไม่ต่างอะไรกับการรดน้ำสังข์และเข้าหอกับคนแปลกหน้า แล้วยิ่งพอทั้งสองได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าเหมือนเอาพิมเสนมาแลกเกลือ ผู้หญิงก็แสนเรียบร้อยตามแบบแผนกุลสตรีไทยทุกระเบียดนิ้ว ผู้ชายก็แสนตะกละตะกลามมักมาก พอคู่ผัวตัวเมียให้ความสุขกับตนได้ไม่เพียงพอก็ทำให้ต้องไปหาเศษหาเลยเอาตามข้างทางยังงั้น คุณชายจันทน์นึกไม่ผิดเลยสักนิดที่ตั้งแง่กับพี่เขยคนนี้ไว้ตั้งแต่แรกได้พบหน้า

จริงๆ แล้วก็ใช่ว่าหม่อมราชวงศ์จันทน์จะไม่เคยเห็นเสียเลยว่าพี่เขยตัวดีแอบส่งสายตาให้เหล่าข้าหลวงสวยๆ บนเรือน ซึ่งก็เกือบทุกคนนั่นล่ะ เพราะนางข้าหลวงแต่ละนางก็ล้วนแต่เป็นหลานสาวของหม่อมป้าพเยาว์ที่คัดเอาแต่คนงามๆ หน้าตาสะสวยหมดจดเข้ามาชุบเลี้ยงไว้ให้ทำหน้าที่แทนบริวารบ่าวไพร่ที่ทั้งเรือนท่านลุงสถิตคุณทรงประทานมาให้เพียงสองคน ซ้ำยังชราภาพมากจนตอนนี้แทบใช้สอยการใดไม่ได้อีกแล้ว

และสาเหตุที่หม่อมป้าคัดมาเพียงเด็กสาวหน้าตาดีเท่านั้นก็เพราะต้องคอยทำหน้าที่ยิ้มแย้มต้อนรับ เจียนหมากจีบพลู ถวายน้ำ ถวายชาร้อนๆ จากกากระเบื้องส่งให้ถึงมือบรรดาแขกวงไพ่ของหม่อม หม่อมบอกว่าอาหารตาอาหารใจก็นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแขกเหรื่อของท่าน แต่ก็คงจะคาดไม่ถึงเช่นกันกระมังว่านอกจากหน้าที่เหล่านั้นแล้ว หลานๆ ของท่านก็จะยังต้องมาคอยปรนนิบัติพัดวีหลานเขยอย่างคุณชายเหมทัต...ในหลายๆ ความหมายอีกด้วย

หม่อมราชวงศ์จันทน์ถือว่าถ้าไม่มีมูลหมาคงไม่ขี้ ถ้าหากมิได้ทำผิดพลาดเลยสักน้อยนิด แล้วคนจะเอามาพูดกันปากต่อปากอย่างใดได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อได้อย่างสนิทนัก เพราะแม่บ้านต้นห้องของหม่อมพเยาว์ก็อาจหูตาฝ้าฟางตามวัย หรือฝันเป็นตุเป็นตะไปเองก็ได้ แม้จะเชื่ออยู่ไม่น้อยว่าจริงๆ คุณชายเหมก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพี่สาวของเขาสักเท่าใด แต่การมากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาอย่างนี้ก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อย เป็นถึงหม่อมราชวงศ์แท้ๆ น่าจะได้รับการเลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี ดังนั้นก็ควรต้องมีความเกรงอกเกรงใจหม่อมป้าพเยาว์อยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรนางๆ เหล่านั้นก็เป็นหลานสาวของท่านอยู่นั่นเอง

คนอื่นๆ มักจะบอกว่า ‘ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่’ แต่คนอย่างคุณชายจันทน์ทันสมัยเกินกว่าจะมานั่งหงิมๆ ทำตัวเหนียมอาย เขาถือคติว่า ‘ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องพิสูจน์’ เพราะฉะนั้นในคืนหนึ่งอันเป็นคืนเดือนหงาย มิต้องใช้ไฟฟ้าหรือว่าตะเกียงน้ำมัน แต่แสงนวลใยจากดวงจันทร์ลอยเด่นก็ตกกระทบลงมาจนส่องสว่างไปทั่วตัวเรือน คุณชายจันทน์อยู่ซ้อมระนาดเอกถึงดึกดื่นที่หอนั่งทำให้เข้าหอนอนช้ามากกว่าทุกที

พอกลับเข้าหอนอน คุณชายจันทน์ก็เปิดโคมไฟดวงเล็กๆ อ่านหนังสือต่อโดยไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จนทุกคนบนเรือนเข้านอนกันหมด เว้นแต่หม่อมราชวงศ์อังควราที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาร่วมสองวัน เพราะอีกฝ่ายติดงานสำคัญบางอย่าง ช่วงนี้พี่ชายของเขากำลังเครียดมาก ถึงเจ้าตัวไม่พูดออกมาก็ดูรู้ เขาจึงไม่ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนให้อีกฝ่ายฟัง

หม่อมราชวงศ์จันทน์ครึ่งนั่งครึ่งนอนอ่านหนังสือรอจนเกือบผล็อยหลับ สะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงดังกุกกักจากภายนอก ค่อยๆ แง้มออกดูก็พบว่าเป็นพี่เขยของเขาดังคาด

อีกฝ่ายกำลังลับๆ ล่อๆ ย่างกรายไปยังหอนอนนางข้าหลวง คุณชายจันทน์แค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยันอย่างเงียบเชียบที่สุด เดินตามไปดูด้วยท่าทางสบายๆ เพราะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นเองให้เต็มสองตา แล้วก็พบกับหญิงสาวเบต้าแรกรุ่นที่เห็นหน้าคุ้นเคยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเดินกรีดกรายออกมาต้อนรับ ยิ้มแย้มอ่อนหวานชดช้อย จากนั้นก็คล้องคอพากันหายเข้าไปในห้องนอน

เกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้นมิใช่เรื่องที่ต้องวิเคราะห์มากมาย เพราะถึงคุณชายจันทน์จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเพียงนั้น

คุณชายอัลฟ่าแรกรุ่นกลอกตาเป็นวงกลมด้วยความเบื่อหน่ายเหลือคณาระคนด้วยมีน้ำโหนิดหน่อยเมื่อนึกถึงความรู้สึกของพี่หญิงของตนที่ก็คงหลับใหลโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในหอนอนของเธอ เขาเก็บงำเรื่องนี้ไว้โดยไม่แพ่งพราย ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคุณหญิงเพ็ญเป็นปกติ ทั้งๆ ภายในใจแสนพะวง

แต่ในคืนถัดมาเขาก็พบว่าคุณชายเหมทัตหายเข้าห้องนอนไปกับนางข้าหลวงอีกเช่นเคย หากแต่มิใช่คนก่อนหน้า และคืนต่อๆ ไปก็ด้วย จนความอัดอั้นมาถึงขีดสุด ในยามรุ่งสางของวันหนึ่ง คุณชายจันทน์ก็ตรงเข้ามาหาอังควราที่แต่งตัวด้วยชุดลำลองหล่อเหลา พรมน้ำปรุงกลิ่นหอมเย็น ดูเหมือนเตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ก็มิใช่ไปทำงาน

เขาหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงพี่ชาย ฟ้องเสียงขุ่นว่า

“อย่างนี้ครับพี่ชายอัง ตอนคืนแรกที่ชายเจอก็แม่แหวว คนนี้ชายไม่แปลกใจหรอก ก็เห็นเจ้าหล่อนชม้อยชม้ายจนกลายเป็นนิสัย เคยทำกระตุ้งกระติ้งใส่พี่ชายอังอยู่บ่อยไป ชายจำได้ พอพี่ชายอังไม่เล่นด้วยก็เลยหันเหไปหาพี่ชายเหมแทนละมัง แต่คืนถัดมาน่ะซีครับ ดันเป็นแม่ปริม รายนี้มาได้อย่างไรไม่ทราบ ชายไม่เคยเห็นเธอจะใคร่พูดจาพาทีกับพี่ชายเหมเลยสักครั้ง แล้วยังสนิทสนมกับพี่หญิงเพ็ญจนพี่หญิงเพ็ญนับว่าเป็นเพื่อนเป็นฝูง ช่างทำกันได้ลง นี่ถ้าพี่หญิงเพ็ญรู้เข้าคงต้องเสียใจมาก อาจกระทบกระเทือนถึงหลานทีเดียว”

หม่อมราชวงศ์คนพี่ชะงักมือที่กำลังจัดปกเชิ้ตขาวเพียงชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะแค่นขำฝืดเฝื่อน เพราะมันไม่ใช่สิ่งผิดคาดอย่างใด คุณชายลอบสังเกตพฤติกรรมของพี่เขยคนนี้มานาน มีหรือที่คนเก็บรายละเอียดเก่งอย่างเขาจะไม่รู้นิสัยใจคอของอีกฝ่าย แม้จะไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องสักเท่าใดนัก เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับหน้าที่การงานของตน แต่ก็ลอบคิดมาได้สักพักหนึ่งแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายเหมทัตกับเหล่าข้าหลวงในเรือนที่บางทีก็ดูหยอกเย้ากันเกินพอดีนั้นย่อมไม่ธรรมดา

แม้ว่าคุณชายจะไม่เคยผ่านประสบการณ์การมีครอบครัวมาก่อน ทว่าดูแต่ท่านชายสถิตคุณลุงของเขา รวมถึงพวกเจ้านายองค์อื่นๆ โดยมาก ก็ล้วนมีหลายหม่อมหลายเมียกันทั้งสิ้น ถึงสมัยนี้ผู้คนจะนิยมผัวเดียวเมียเดียวมากยิ่งกว่า แต่ค่านิยมเดิมๆ ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในบางบุคคล อีกอย่างหนึ่งก็ใช่ว่าคุณชายไม่เคยเตือนพี่หญิงของเขาสักครั้ง แต่เธอก็ดูไม่หือไม่อือเอาเสียเลย

ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ไปร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนทั้งคู่ หากพี่หญิงเพ็ญไม่ถือสาหาความผัวอย่างใด เขาจะไปว่ากระไรได้ ก็จำต้องปลงและปล่อยให้คุณชายเหมทัตเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ไปตามอัธยาศัย แต่คุณชายจันทน์นั้นเอาเรื่องกว่าเขามาก น้องชายตัวดีต้องไม่ยอมแน่ เพราะปักใจไปแล้วว่าพี่สาวสุดที่รักกำลังถูกผัวเอารัดเอาเปรียบอยู่ และเมื่อเกิดไม่เห็นด้วยขึ้นมาก็จะยกเรื่องนี้ขึ้นโจมตีอีกฝ่ายอยู่เรื่อยๆ จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นมีปัญหาหมางใจกันไม่จบสิ้น คุณชายอังควราก็ไม่รู้จะห้ามปากน้องอย่างไรได้ เพราะใช่ว่าเขาจะอยู่ติดบ้านตลอดเวลา จึงได้แต่กล่าวเตือน

“เดี๋ยวนี้หัดจับยามสามตาแล้วรึเจ้าจันทน์ งานสืบสวนแบบนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ฉันคนเดียวก็พอแล้วกระมัง ถ้าแกห่วงกลัวว่าจะกระทบกระเทือนไปถึงหลานจริงล่ะก็ สู้ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแต่แรกจะดีกว่า อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแกเลยด้วย เอาไว้ถึงคราวพี่ชายเหมย่องเข้าห้องแกบ้าง ตอนนั้นแกก็ค่อยมาเป็นเดือดเป็นร้อนดีไหมพ่อ”

คุณชายจันทน์ได้ฟังก็เบ้ปากไม่เห็นด้วย

“โธ่! พี่ชายอัง พูดจาอะไรอย่างนั้นละครับ ก็อัลฟ่าด้วยกันปะไร หากพี่ชายเหมยังอุตริคิดจะย่องเข้าห้องชายก็ออกจะพิสดารเกินไปหน่อย พี่ชายอังไม่คิดไยดีพี่หญิงเพ็ญบ้างเลยหรือครับ ถูกผัวนอกใจโดยหาได้รู้ตัวเลยสักน้อยนิด”

อังควราส่ายหน้าอ่อนใจเล็กน้อย ย้อนถามอย่างเรียบๆ ว่า

“นี่แน่ะชายจันทน์ หอนอนแกอยู่ติดหอพระ ส่วนหอนอนของพี่หญิงเพ็ญก็ติดหอนก คนละฟากเรือนกันขนาดนั้นแกยังอุตส่าห์สืบรู้มาจนได้ว่าพี่ชายเหมแอบย่องไปหาพวกข้าหลวง นับประสาอะไรกับคนนอนเตียงเดียวกันทุกคืน คิดว่าพี่เขาจะไม่รู้เรื่องเลยเทียวหรือ” คุณชายจันทน์นิ่งฟัง ตรองตาม “ผัวเปลี่ยนไปทั้งคน เมียที่ไหนจะไม่รู้ได้เบ่า ดูแต่นางจินตะหราวาตี ก็รู้ทันทีว่าอิเหนาปันใจไปให้บุษบา”

“มันก็จริงอย่างพี่ชายอังว่านะครับ”

คุณชายยิ้มบางๆ ให้น้องชาย ยกมือเรียวลูบไล้เรือนผม และเอ่ยต่อด้วยสุ้มเสียงอ่อนลงจากเดิม

“พี่หญิงเพ็ญก็เป็นพี่สาวของฉันด้วยเหมือนกัน ฉันย่อมต้องห่วงเธอเป็นของธรรมดา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็เธอมีเหย้ามีเรือนไปแล้ว ส่วนเราก็ถือว่าเป็นแค่คนนอก นี่แน่ะชายจันทน์ จะรักจะห่วงพี่สาว ใครจะว่าอะไรได้ แต่อย่าไปวุ่นวายกับครอบครัวเขาก็พอ ถ้าไม่อยากสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้พี่หญิงเพ็ญ เข้าใจหรือเปล่า”

คุณชายจันทน์เป็นเพียงเด็กหนุ่มจึงไม่อาจเข้าใจความซับซ้อนของการมีครอบครัว เขากลับมองว่าพฤติกรรมของคุณชายเหมทัตน่าจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับคุณหญิงเพ็ญสินียิ่งกว่า ส่วนอังควราก็มองว่าแค่มีผัวผิด ก็คิดมากถึงตัวตาย แม้ฝ่ายผัวจะทำผิดพลาดอย่างใด แต่จะให้เลิกราหย่าร้างไปเสียก็ไม่อาจทำได้ง่ายดายปานนั้น เพราะด้วยชื่อเสียงของท่านชายสถิตคุณผู้เป็นลุงก็จำเป็นต้องช่วยรักษาไว้ให้ในฐานะนัดดาที่ท่านทรงอุตส่าห์ชุบเลี้ยงมาจนโต แล้วถ้าหากผัวยังจะมาบาดหมางกับพี่น้องตัวเองอีก คราวนี้พี่หญิงของเขาคงได้เครียดขมึงจนลามกระทบไปถึงหลาน และแท้งลูกเข้าสักวันเป็นแน่

ใบหน้าแสนหล่อเหลาคล้ายคลึงกับพี่ชายของคุณชายจันทน์หม่นลงนิดหน่อย ขยับปากบ่นกระปอดกระแปดอย่างเด็กงอแงว่า

“งั้นอีกหน่อย...ชายก็คงเหลือตัวคนเดียวแล้วใช่ไหมครับ”

คันคิ้วเรียวของคุณชายร่างขาวเลิกขึ้นเล็กน้อย

“หืม?”

คุณชายจันทน์เลยรีบขยายความต่อ

“พี่ชายอังเองก็กำลังจะแต่งงานภายในอีกไม่นานนี้...กำลังจะแยกย้ายออกไปมีครอบครัวใหม่เหมือนกัน…แล้วทีนี้ชายจะเหลือใครล่ะครับ อย่างกับว่าหม่อมป้าพเยาว์ท่านจะมาสนใจไยดีนักหนา ท่านลุงกับป้าเปี่ยมยิ่งแล้วใหญ่ จะเห็นพระพักตร์ท่านก็แค่นานทีปีหนเท่านั้น หากไม่ทรงเรียกชายเข้าไปเอ็ดถึงในพระตำหนักใหญ่ ก็คงไม่มีทางเจอกันได้”

อังควราไม่เคยเตรียมตัวรับคำตัดพ้ออย่างนี้จากคนเป็นน้องชายมาก่อน จึงทำให้นิ่งอึ้งเล็กน้อย เพราะจะว่าไปแล้วคุณชายเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องแต่งงานแต่งการนั่นมากมายเท่าใด ซ้ำยังเกือบลืมนึกถึงไปแล้วอีกด้วย เพราะที่ผ่านมาเขาก็มีงานการต้องคอยสะสางอยู่ไม่น้อยทีเดียว และด้วยคนที่คอยจัดแจงเรื่องเสกสมรสคือหม่อมเจ้าชายสถิตคุณกับเสด็จวังจักษุฯ เท่านั้น เขาจึงมีหน้าที่เพียงแค่รอรับพระบัญชา และต้องทำตามโดยห้ามมีเงื่อนไขใดๆ...พอนึกขึ้นมาแล้วก็ใจคอหนักอึ้งไปหมด เวทนาตัวเองอย่างไรบอกไม่ถูก คุณชายไม่เคยมีโอกาสได้เพ็ดทูลกับท่านหญิงผ่องประภามายนานปีดีดัก จนรู้ตัวอีกทีก็มีเรื่องสุดวิสัยทำให้ต้องออกเหย้าออกเรือนกับท่าน ทั้งๆ คุณชายไม่อาจนึกภาพออกได้เลยว่าชีวิตครอบครัวของตนจะเป็นอย่างไรต่อ แล้วยังงี้จะอยู่ด้วยกันจนตลอดรอดฝั่งอย่างนั้นหรือ

คิดกลับไปกลับมาจนปวดหัว แต่เพราะไม่อาจจะขัดพระประสงค์อย่างใดได้ ด้วยโทษอาจถึงตัดลุงตัดหลาน แม้ว่าจะไม่เต็มใจสักเท่าไรก็จำต้องทำตามโดยเสียมิได้ คุณชายอังควราลอบถอนหายใจปลง วงหน้าฉาบความเครียดขึงอยู่ชั่วครู่ชั่วคราว และกลับมาส่งยิ้มแสนหวานให้น้องชายได้ในเสี้ยววิ เอ่ยถามเสียงนุ่มนวล

“อีกประเดี๋ยวฉันจะออกไปย่านผ่านฟ้า ทำธุระปะปังสักหน่อย จะติดรถไปลงศาลาเฉลิมไทยด้วยเลยไหมล่ะพ่อคุณ บังเอิญได้ยินแกพูดโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนเมื่อเย็นวาน ได้ตั๋วหนังมากันมิใช่รึ”

คุณชายจันทน์รีบตอบรับ พยักหน้าหงึก

“เอ…ว่าแต่พี่ชายอังมีธุระอะไรแถวนั้น ร้อยวันพันปีก็ไม่เห็นขับผ่านไปสักที ทำคดีงั้นหรือครับ”

“เปล่าๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคดีหรอก ก็ไม่มีอะไรมาก พอดีฉันมีนัดดูแบบโรงแรม แกจำได้ไหมเจ้าจันทน์ ที่ฉันเคยบอกแกไงว่าฉันเอาเงินมรดกที่ท่านพ่อทรงประทานมาให้ไปลงทุนทำธุรกิจร่วมกับเพื่อน...ก็แม่วิชุดานั่นแหละไม่ใช่ใครอื่น เพิ่งจะแต่งงานแต่งการไปกับเศรษฐีฝรั่งเมื่อไม่นานมานี้ เอ้อ! แกก็ไปงานมาด้วยนี่นา คงจะจำได้ละมัง นายโจนาธานคนนั้นน่ะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:36:28 โดย doubleM »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด