“ก็สักพักหนึ่งแล้วล่ะครับพี่ชายต้อง แหม...สุนทรีย์มากเสียจนไม่ทันสังเกตกลิ่นกฤษณาของชายเทียวหรือ ถ้าเป็นปกติจะต้องทรงเสด็จออกมาทักทายตั้งแต่ชายยังขับไม่ถึงหน้าประตูรั้วเสียด้วยซ้ำ โอเมก้าแถวไหนหรือครับ สะสวยสักแค่ไหนกัน ท่าทางจะของแรงมากทีเดียว”
โชติภนอดกล่าวอย่างกระเซ้ากระแซะไม่ได้ แต่หม่อมเจ้าชายองค์พี่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยากะเปิ๊บกะป๊าบตอบกลับให้ทรงล้อเลียนต่อ เพียงแค่แย้มพระสรวลบางๆ และหย่อนองค์ลงประทับนั่งยกพระสุธารสชาขึ้นเสวย
“จะกี่ปีก็ยังช่างพูดเหมือนเคยเลยนะพ่อ ของแรงของเริงอะไรที่ไหนกัน หญิงบัวเล่านิทานประโลมโลกเรื่องไหนให้ฟังมาล่ะนั่น”
“ถ้าเจ้าพี่จะเรียกมันว่านิทานประโลมโลกยังงั้น ก็คงจะเป็นเรื่อง Love at first sight ละมังครับ เนื้อเรื่องก็ราวๆ ว่าพระเอกที่บังเอิญเจอกับนางเอกที่ไนท์คลับและตกหลุมรักกันอย่างรุนแรงในทันที”
หม่อมเจ้าต้องครรลองถอนพระอัสสาสะอย่างทรงระอากับความทะเล้นทะลึ่งขององค์หม่อมเจ้าชายตรงเบื้องพักตร์ที่กำลังทำทีเล่นทีจริง
“Love at first sight งั้นรึ? กันไม่เคยเชื่อลงเลยสักทีว่าคนเราจะไปตกหลุมรักกับคนที่เพิ่งเจอแค่เพียงแรกพบสบตายังงั้นได้ เห็นมีแต่พวกฟั่นเฟือนไม่มีสติสตังก็เท่านั้น”
หลังจากฟังรับสั่งเสร็จ โชติภนก็ทอดพระสุรเสียงยาวๆ ออกมาอย่างฉงนพระทัยว่า “อ้าว…”
ท่านชายต้องครรลองแย้มสรวลจางๆ กับปฏิกิริยาของหม่อมเจ้าผู้น้อง ก่อนจะค่อยๆ ผินพระพักตร์คมคายอย่างชายหน้าตาดีเลิศคนหนึ่ง ทว่าก็ทรงคล้ำด้วยแดดอยู่เล็กน้อยไปยังเหยือกเครื่องต้นที่ถูกบรรจุเอาไว้ด้วยน้ำผึ้งสีอำพันใส “กันได้น้ำผึ้งเหยือกนี้มาจากฟาร์มชั้นดี แกได้ลองชิมดูหรือยังตี๋อ้วน รสชาติถูกปากไหม”
ท่านชายโชติภนทรงงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมอยู่ๆ บุรุษสูงศักดิ์ตรงเบื้องพระพักตร์ถึงได้นึกสนพระทัยเรื่องน้ำผึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ก็ทูลตอบกลับโดยไม่ได้ไถ่ถามอะไร
“เพิ่งมาถึงเลยยังไม่ได้ลองเหวยเลยครับ แต่ถ้าหากเป็นของฟาร์มเดียวกับเมื่อครั้งก่อนก็หอมละมุนดีนะครับ เหมาะสำหรับเหวยคู่กับแพนเค้กหรือขนมปัง แต่ปกติแล้วชายชอบเหวยแพนเค้กคู่กับแยมรสส้มมากกว่า จริงซิ พี่ชายต้องโปรดเหวยน้ำผึ้งคู่กับพระสุธารสชากาแฟมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ครับ ชายจำได้”
“จริงอย่างแกว่า” ท่านชายอัลฟ่ากลิ่นเมล็ดกาแฟตรัสเบาๆ คล้ายกับกำลังรำพึงกับองค์เอง ก่อนจะยกหลังหัตถ์ขึ้นมาเท้ากับพระหนุที่สากไปด้วยตอพระมัสสุ ดวงเนตรดาราสีเข้มกรีดจ้องพักตร์ขาวตี๋ของท่านชายน้องคนสนิทอย่างทรงพินิจ “ถ้ายังงั้นก็น่าจะมีความเป็นไปได้ไหมนะว่าคู่โซลเมทของแกอาจเป็นโอเมก้ากลิ่นส้ม”
“เอ๊ะ...คู่โซลเมทหรือครับ”
โชติภนถึงกับนิ่งอั้นไปขณะกำลังทรงคิดตรอง หม่อมเจ้าต้องครรลองผู้ไม่เคยฝักใฝ่ในเรื่องรักใคร่เลยสักนิดกำลังตรัสว่า ‘คู่โซลเมท’ อย่างนั้นหรือ
เหลือเชื่อเลย“ไม่เชื่อรึ?”
พอได้ยินคำถามย้อนกลับในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ก็ทำให้ทรงประดักประเดิดขึ้นมานิดหน่อย
“จะว่าเชื่อก็... ไม่ล่ะครับ ชายไม่ขอเชื่อแล้วกัน” เขาทูลกลับตามตรง ท่านชายต้องเลิกพระขนงขึ้นนิดหน่อยกับคำตอบที่ได้รับ “เรื่องที่ไม่ได้เจอกับตัวเองยังงั้น จะให้เชื่อลงยังไงได้ ก็เหมือนที่น้องหญิงบัวมักบอกอยู่เสมอว่าผีมีจริง แต่จริงๆ แล้วไม่มีนั่นแหละ”
“ที่แกคิดว่าไม่มีเพราะไม่เคยเจอมากกว่าละมัง หญิงบัวชอบบ่นเห็นนู่นเห็นนี่อยู่เสมอ ยิ่งที่มหาวิทยาลัย เธอบอกว่าผีดุฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว กันเองรึก็ไม่ได้เห็นอย่างเธอว่า แต่ก็ไม่ไปพูดจาหักหาญน้ำใจเธอว่ามันไม่มีอยู่จริงเหมือนอย่างคนแถวนี้ทำหรอกนา”
“พี่ชายต้องเจอคู่โซลเมทยังงั้นหรือครับ”
หม่อมเจ้าชายต้องครรลองทรงสงบเงียบ สายพระเนตรทั้งสองข้างยากนักที่จะอ่านออกตามพระนิสัยของท่านที่ไม่ชอบให้ผู้ใดจับสังเกตพระอาการขององค์เองได้ ผ่านไปราวสามนาทีก็ตรัสกลับมาเนือยๆ ราวกับว่าเหนื่อยพระทัย
“กำลังคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่ล่ะซี” ท่านชายต้องหรี่พระเนตรมองอย่างทรงรู้ทันองค์ผู้เยาว์ชันษากว่า “มันไม่ใช่ Love at first sight อย่างที่แกกำลังเข้าใจหรอกนะพ่อโชติ เพราะจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าอัลฟ่าอย่างเราๆ จะพึงใจกับคู่ของตัวเองอยู่เสมอไปเสียเมื่อไหร่ แต่พอได้เจอกันแล้วมันก็กลับขาดเขาไปไม่ได้เสียอย่างนั้น เรื่องแปลกประหลาดพิสดารพันลึกอะไรก็ไม่รู้”
“...”
โชติภนเงียบ ไม่ทรงมีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
“ตี๋อ้วน แกคิดจริงๆ ยังงั้นหรือว่าอย่างกันจะใคร่สนิทเสน่หากับคนรุ่นราวคราวหลานของตัวเอง ทั้งๆ ที่คุณชายรามหลานชายแท้ๆ ของกันเองก็อายุอานามพอๆ กับเด็กคนนั้นเลยเทียวนา” จริงๆ แล้ว ที่ท่านชายต้องรับสั่งออกมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงทราบดีว่าพี่ชายนอกสายพระโลหิตองค์นี้ทรงมีพระนิสัยอย่างไร รู้จักกันมาร่วมยี่สิบปีก็ไม่เคยเห็นจะทรงสนพระทัยเด็กแรกรุ่นมาก่อนเลยสักครา เขาจึงเริ่มเปิดพระทัยรับฟัง แม้ลึกๆ จะยังตะขิดตะขวงอยู่ก็ตาม
“กันมาลองตรองดูกับตัวเอง ที่ผ่านมากันไม่ได้ชอบกินหวาน ไม่เคยชอบเลยสักครั้ง อย่างขนมฝรั่งอะไรนี่ที่หญิงบัวบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา กันก็ไม่ได้โปรดกับเธอไปด้วย…” ท่านชายอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาถึงกับคัดค้านเศียรชนฝากับองค์เอง แม้ว่ายังไม่ได้ลองเสวยดูเลยสักคำ แต่พอนึกถึงคนที่ทำมาถวายก็ไม่มีทางเลยที่มันจะไม่อร่อย มันต้องอร่อยเสียยิ่งกว่าตามร้านที่ทำขายด้วยซ้ำ เขามั่นพระทัย “...แต่กับน้ำผึ้ง กันกลับชอบมันมาตลอด โหยหาทั้งรสชาติ โหยหาทั้งกลิ่น ทั้งๆ ที่มันหวานแสนหวานไม่แพ้พวกขนมทั่วไป แต่กลับไม่เคยขาดได้สักที แล้วแกล่ะตี๋อ้วน ไม่เคยติดรสหรือติดกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งมากเป็นพิเศษเลยหรือ”
คำถามจากสุรเสียงทุ้มแหบนั้น เพียงแค่ได้ฟังจบหม่อมเจ้าโชติภนก็ทรงได้คำตอบขึ้นมาในพระทัยทันที เพราะแต่ไหนแต่ไรมา แม้ว่าองค์จะทรงพำนักอยู่ถึงเมืองฝรั่ง แต่ป้าพริ้มผู้เป็นสตรีข้าหลวงใหญ่ในคฤหาสน์ขององค์ฯ ปิ่นก็อบรมเขามาอย่างดีให้สมกับที่เป็นชาววัง
หล่อนปลูกฝังพระนิสัยชาวรั้วชาววังให้เขาหลายต่อหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสะอาด ฉลองพระองค์ทุกชิ้นขององค์หม่อมเจ้าชายนั้นจะต้องซักให้สะอาดเอี่ยมและรีดให้เรียบกริบ พร้อมทั้งอบร่ำด้วยกลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ทำให้ทรงรู้สึกสบายพระทัยราวกับได้เพื่อนที่รู้ใจทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสอย่างที่ไม่ทรงทราบสาเหตุ
...กลิ่นดอกแก้วเท่าที่จำได้ ท่านชายเคยลองเปลี่ยนมาใช้กลิ่นดอกสเลเตกับดอกสายหยุดที่หอมหวนยวนพระทัยไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายก็ทรงกลับมาใช้ดอกแก้วเหมือนอย่างเดิม เพราะไม่ทรงคุ้นเคย อีกทั้งยังแอบโหวงเหวงแปลกๆ ราวกับถูกแมลงสัตว์กัดกินอยู่ภายในพระอุระ ดังนั้นฉลองพระองค์ทุกชิ้นของท่านชายจึงมักจะมีกลิ่นดอกแก้วหอมจรุงจิตติดตรึงอยู่ด้วยเสมอ เวลาใครหน้าไหนเข้าใกล้จนได้กลิ่น และทูลถามก็ทรงตรัสตอบกลับไปเพียงสั้นๆ ว่า
“สงสัยเป็นฝีมือเมดที่บ้านไอละมัง หอมงั้นรึ? ไอไม่ทันได้สังเกตเลย” ด้วยไม่โปรดให้ใครมารับรู้ว่าทรงติดกลิ่นดอกไม้หวานๆ ราวกับเป็นโอเมก้าวัยแรกแย้ม ในครั้งนี้ท่านชายก็เลยทูลตอบกับเจ้าของคำถามไปอย่างทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย
“เอ...ไม่นะครับ ไม่ยักมี สงสัยชายจะไม่มีคู่โซลเมทเหมือนอย่างใครๆ เขาละมังครับ”
หม่อมเจ้าต้องครรลองมองพินิจบุรุษผู้มิใช่น้องแท้ๆ แต่ก็คล้ายอย่างใส่พระทัย แววพระเนตรราวกับห่วงหาอาลัยยังไงยังงั้น และในพระเศียรของท่านก็ราวกับกำลังคิดอ่านอะไรสักอย่างที่สำคัญอยู่ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เพราะสุดท้ายท่านก็เพียงไหวพระอังสา และปล่อยทิ้งหัวข้อพูดคุยนั้นไปเฉยๆ
“จริงซิ ไม่ได้เจอกันเสียร่วมเดือน ถ้าแกไม่มาหาวันนี้ กันก็กะว่าพอย่ำค่ำจะขับออกไปหาที่คฤหาสน์เด็จฯ ลุงปิ่นอยู่แล้วเทียว มีเรื่องอยากจะพูดด้วยนิดหน่อยก่อนแกบินกลับเมืองไทยวันพรุ่ง”
ท่านชายเรียลอัลฟ่าเลิกขนงด้วยทรงสงสัย
“พี่ชายต้องอยากพูดอะไรกับชายยังงั้นหรือครับ”
“หญิงบัวคงจะฟ้องแกหมดแล้วละมัง...ช่างปะไร คือยังงี้พ่อโชติ หญิงบัวกำลังจะกลับพระนคร แล้วก็อย่างที่แกรู้ว่ากันเคยให้สัญญากับเธอเอาไว้ว่าถ้ากลับก็จะกลับไปด้วยกัน แต่ทีนี้แพลนทั้งหมดได้เปลี่ยนไปแล้ว หญิงบัวกำลังงอนกันมากทีเดียว แต่กันก็จนใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี ใช่ว่าจะไม่อยากกลับไปด้วยกันเสียเมื่อไหร่…” ท่านชายต้องทรงชะงักค้างเมื่อรู้สึกองค์ว่าเริ่มจะบ่นยาวไปไกล “...กันเลยคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองไทยแล้ว อยากวานให้แกช่วยดูแลหญิงบัวแทนกันที หญิงบัวเธอติดพี่ชาย ไม่มีกันอยู่ด้วยเธอคงจะเคว้ง กลัวจะไม่มีใครให้พูดจาปราศรัย เธอไม่สนิทกับพี่น้ององค์ไหนเลย แกก็น่าจะรู้”
“จริงๆ ต่อให้เจ้าพี่ไม่ไหว้วานชายก็ต้องดูแลน้องหญิงอยู่แล้วล่ะครับ เธอเองก็เปรียบเหมือนเป็นน้องสาวชายด้วยเช่นกัน”
“แค่น้องสาวเองรึ?”
ท่านชายโชติภนหรี่พระเนตรเรียวรีอย่างบุตรของชาวจีนลงอย่างทรงรู้ทันอีกฝ่าย
“ไหนเคยตรัสว่าจะไม่ทำองค์เป็นพ่อสื่อพ่อชักแล้วยังไงล่ะครับ พี่ชายต้อง”
“ก็เผื่อแกจะใจอ่อนให้น้องสาวกันบ้าง”
“ถ้าน้องหญิงรู้เข้าจะต้องไม่พอใจแน่”
“มันก็ไม่แน่หรอกนาพ่อโชติ”
โชติภนส่ายเศียรน้อยๆ
“เฮ้อ! ไม่เอาล่ะครับ ไม่ขอพูดกันเรื่องนี้ดีกว่า ว่าแต่พี่ชายต้องเถอะ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ทรงเปลี่ยนแพลนกะทันหันยังงั้น น้องหญิงบอกกับชายว่าเธอตีตั๋วกลับเมืองไทยเอาไว้วีคหน้า เจ้าพี่เคยไปสัญญิงสัญญากับเธอเอาไว้ตั้งนานนมว่าในเมื่อมาพร้อมกันก็จะกลับพร้อมกัน แล้วมาทิ้งกันดื้อๆ กลางคันอย่างนี้ ก็ไม่แปลกหรอกครับที่เธอจะโกรธเอา”
“แต่ถ้ากลับไป กันคงตาย”คำพูดสั้นๆ กลับทำให้พระทัยของโชติภนไหววูบ ทรงรู้สึกราวกับมีลูกอะไรสักอย่างคาอยู่ในพระศอ
“พี่ชายต้อง...รับสั่งถึงอะไรหรือครับ จะมีใครทำอะไรเจ้าพี่ เจ้าพี่จะสิ้นชีพิตักษัยได้ยังไง”
“ก็นั่นซิ…”
เกิดเป็นช่องว่างระหว่างบทสนทนา หม่อมเจ้าชายอัลฟ่ากลิ่นเมล็ดกาแฟส่งกลิ่นเฉพาะองค์ออกไปไกลคล้ายกับกำลังคะนึงถึงใครสักคน พระเนตรดาราคมกริบทอดยาวออกไปยังป่าเขาโดยไม่ได้เพ่งพิศตรงไหนมากเป็นพิเศษ ก่อนจะทรงเหลือบกลับมาจ้องพักตร์บุรุษสูงศักด์ผู้เยาว์ชันษากว่า ดวงพักตร์ที่ใครๆ ต่างว่ากันว่าแสนสมบูรณ์แบบดังพระเจ้าประทานให้ของหม่อมเจ้าชายต้องครรลองจริงจังกว่าที่เคย และในดวงเนตรตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววว่ากำลังล้อกันเล่นอยู่เลย
“กันอาจตรอมใจตายก็เป็นได้ละมังพ่อโชติ กันไม่คิดว่าตัวเองจะทนได้หรอกถ้าหากต้องอยู่ห่างจากเด็กคนนั้นตอนนี้” ประโยคฟังดูปูเลี่ยนๆ เกินกว่าจะเป็นความจริง ทว่าพระสุรเสียงที่ทรงใช้กลับเบาต่ำจนชวนให้หลงเชื่อไปชั่วขณะใหญ่...แต่ก็แค่ขณะเดียวเท่านั้นสำหรับคนหัวสมัยใหม่อย่างโชติภน
“ชายไม่เข้าใจหรอกครับ”
“กันก็ไม่ได้หวังจะให้แกมาเข้าใจหรอก อีกอย่างหนึ่งถึงกันจะบอกว่าอาจถึงขั้นตรอมใจตาย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้แน่หรอกว่าจะตายยังไง เพียงแต่คิดว่าถ้าต้องห่างคู่ไปตอนนี้ กันก็คงอยู่ไม่ได้แน่”
“ทรงรับสั่งราวกับคนติดฝิ่น”
“ก็คงจะคลับคล้ายคลับคลาละมัง หรืออาจจะยิ่งกว่าก็ได้ เพราะถ้าติดฝิ่นก็ยังพอเลิกขาดได้นี่นา แต่อัลฟ่าที่ได้เจอกับคู่แล้ว ต่อให้ตายจากกันไปยังไงก็ไม่มีวันเลิกเป็นคู่กันได้อยู่ดี”
“ฟังดูไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ถ้ายังงั้นหากเจอคู่ไม่ดีล่ะจะทำอย่างไร ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานไปจนตายเลยรึ หย่าขาดก็ไม่ได้ เลิกราก็ไม่ได้อีก”
“เพราะยังงั้นไงเล่าเขาถึงได้เรียกว่าคู่แห่งโชคชะตา อัลฟ่าทุกคนต่างก็มีคู่โซลเมทด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็อยู่ที่ว่าจะหาเจอไหม จะดีหรือชั่วก็สุดแล้วแต่เวรกรรม”
“โฮ้ย! ถ้าอย่างนั้นชายไม่ขอหาแล้วกันครับ จะได้ไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันให้วุ่นวาย ชีวิตตัวเองแท้ๆ จะให้ใครมากำหนดได้ยังไง ถ้าเกิดได้เมียเป็นนางผีเสื้อขึ้นมา ชายคงได้กลายเป็นพระอภัยฯ หาโอกาสมีหม่อมใหม่ๆ แทบทุกสามเดือนเหมือนอย่างเด็จฯ พ่อเป็นแน่”
แค่คิดว่าถ้าต้องแต่งเมียที่ไม่พึงพระทัย ซ้ำร้ายเมียยังอาจจะดุร้ายเหมือนกับราชสีห์ โชติภนก็ทรงขยดขยาดแล้ว ดังนั้นถ้าจะมีคู่ทั้งที เขายืนยันว่าขอเลือกด้วยองค์เองดีกว่าเป็นไหนๆ
“อย่างแกน่ะหรือจะทำใจแข็งผุดเมียขึ้นเป็นเบือได้อย่างพระอภัยฯ กันว่าน่าจะเป็นเหมือนพระสุธนที่วันๆ คอยแต่วิ่งไล่ตามเมียกินรีไปจนสุดขอบหล้าฟ้าเขียวล่ะมากกว่า อ้อ! ขอกระซิบอีกสักหน่อย เปิดเพลง Only you ของ The Platters ฟังไปด้วยก็จะเข้ากันดีมาก”
“พี่ชายต้องกำลังรับสั่งอะไรอยู่ครับ อย่างชายน่ะหรือจะหงอเหมือนหมารอความรักแบบนั้น กับหม่อมแม่ไปจนหม่อมใหญ่ชายก็ยังไม่เคยนึกกลัวสักครั้ง แล้วประสาอะไรกับเมียที่เป็นคนอื่นแท้ๆ ไม่รู้ล่ะครับ...ถึงคราวเมื่อไหร่ เจ้าพี่รอทอดเนตรดูได้เลย”
“รอดูแกกลายหมารอความรักน่ะรึ”
หม่อมเจ้าเพศเรียลอัลฟ่าชายกลิ่นไม้กฤษณาทำได้แค่ขบกระพุ้งพระปรางขององค์เอง สีพระพักตร์ง้ำงอบูดบึ้ง ด้วยทรงโปรดที่จะเถียงกลับ แต่ดูท่าแล้วท่านพี่ต้องครรลองของเขาก็คงไม่ยอมหยุดกระเซ้าง่ายๆ อยู่ดี เพราะแววพระเนตรกำลังรื่นเริงอยู่มากทีเดียวกับการแกล้งแหย่เขาเล่น
เขาสงสัยนักว่าองค์ท่านชายตรงเบื้องพักตร์มองเขาด้วยสายพระเนตรแบบใดกันแน่ ถึงได้ทรงมั่นพระทัยนักว่าคนอย่างเขา เมื่อใดที่ได้เสกสมรสไปจะต้องทรงเป็นพวกรักตัวกลัวเมียอย่างแน่นอน
“เคืองรึ? ที่กันพูดไปก็เป็นความจริงทั้งนั้น มีสาวมีหนุ่มมากี่คนต่อกี่คนก็เห็นว่ามีแต่แกที่คอยเทียวไล้เทียวขื่อเขาอยู่เป็นนิจ หากไม่อยากเป็นพวกกลัวเมียก็ต้องหัดทำองค์สงบนิ่งอย่างพ่อพระลอที่กันรู้จักให้ได้”
เรียวพระโอษฐ์ของท่านชายต้องยกขึ้นหน่อยๆ ขณะกำลังรับสั่ง อันที่จริงโชติภนก็ไม่ได้สนพระทัยสักเท่าใดนักเพราะไม่ได้ทรงมีแผนที่จะแต่งเมียภายในเร็ววันนี้ แต่ด้วยทรงมีมารยาทที่ดีจึงว่ากลับไปอย่างเรียบๆ เรื่อยๆ เหมือนกำลังทูลเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป
“พระลอที่พี่ชายต้องรู้จัก? ใครกันครับ”
“พิโธ่...ไม่น่าถาม ก็เจ้าอัง อัลฟ่ากลิ่นเดียวกับแก คนที่ทำขนมฝรั่งพวกนี้มาถวายยังไงเล่า!”
เพียงท่านชายต้องรับสั่งตอบออกมาเท่านั้นก็ทำให้คนที่ไม่ใคร่อยู่ในอารมณ์สนทนาหันกลับมาใส่พระทัยได้ราวกับเป็นเรื่องอัศจรรย์
--------------------------------------------------
“อ้าว...พ่อโชตินี่เอง กลับมาได้แล้วรึ”เมื่อประตูห้องทรงพระอักษรของเสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรเปิดออก ท่านก็ทรงรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงบางเบาตามชันษาที่เริ่มจะโรยราลงทุกคืนวัน สายพระเนตรที่ใครๆ ต่างก็ว่าแสนอบอุ่นทอดไปยังนัดดาองค์โปรดที่กำลังดำเนินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ ด้วยพระสรวลกว้างขวางและพระพักตร์แฉล้มตามพระนิสัยประจ๋อประแจ๋ฉอเลาะ
องค์ฯ ปิ่นวางปากกาคอแร้งที่กำลังทรงพระอักษรลงในไดอารี่ลง เพื่อรับที่สุธารสกาแฟอุ่นๆ ส่งควันฉุยมาถือไว้ ก่อนจะส่งหัตถ์ลูบพระเกศาสีดำสนิทของท่านชายด้วยทรงรักใคร่เอ็นดูเหลือเกิน
“กลับมาถึงได้สักพักแล้วกระหม่อม เห็นว่าเด็จฯ ลุงยังไม่เข้า ‘ทม ก็เลยถือโอกาสเข้ามาถวายงาน เผื่อว่าเด็จฯ ลุงประสงค์สิ่งใดจะได้ไม่ต้องไปรบกวนแม่บ้านต้นปราสาทกับพวกสาวใช้”
“พูดเก่งเทียว” บุรุษสูงวัยผู้มาพร้อมกับเกียรติ์ศักดิ์อันสูงส่งอดแย้มสรวลกับความช่างจ้อของหลานชายไม่ได้ “พ่อโชติจะเดินทางอยู่วันพรุ่ง อีกเดี๋ยวก็คงไม่มีใครมาคอยเจรจาพาทีเป็นคุ้งเป็นแKังงี้ให้ลุงฟังอีก คิดแล้วก็เหงาหู”
“อ้าว! แล้วถ้าไม่ทรงโปรดให้โชติกลับจะทรงรับสั่งทำไมกับล่ะกระหม่อม ก็ให้โชติอยู่กับเด็จฯ ลุงที่นี่ คอยถวายงานรับใช้ต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”
“ขืนทำยังงั้นหม่อมลออก็ได้ตามมาถอนหงอกข้าพอดีซีวะ จะไปกักไปขังลูกชายเธอให้อยู่ด้วยกันจนแก่ตายได้ยังไง” โชติภนเกือบจะทรงเถียงอย่างลืมองค์ว่าแต่ตนก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของหม่อมลออเสียหน่อย แต่เมื่อนึกถึงความใจดีของหม่อมใหญ่ที่มีให้เขามาโดยตลอดจึงสงวนคำพูดเอาไว้และปล่อยให้องค์ฯ ปิ่นได้ตรัสต่อ
“ตอนที่พาพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย ข้าก็ถูกเธอบ่นเอาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พัน บ่นมายันในจดหมายทุกฉบับที่เขียนมาหา บอกว่าข้าใจร้ายใจดำอำมหิต ขโมยลูกเธอมาเล่นไกลถึงนอก ไม่เอาๆ พ่อกลับไปแหละดีแล้ว เธอจะได้เลิกวุ่นวายเสียที”
“หม่อมใหญ่เธอพูดยังงั้นหรือกระหม่อม”
“มิได้ดอก เธอพูดมาไพเราะ แต่ลุงอ่านทีไรใจความก็คือตัดพ้อขอลูกคืนอยู่ดี” องค์ฯ ปิ่นเงียบอั้นไปชั่วอึดใจ ทอดเนตรมองพระพักตร์หลานชายอย่างนึกอาลัยเพราะทรงพำนักอยู่ด้วยกันมาร่วมสิบห้าปีเลยทีเดียว “อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลยนาพ่อโชติ ใช่ว่าจะตายจากกันแล้วเสียเมื่อไหร่ พ่อไม่ใช่เด็กน้อยๆ ที่ต้องมาคอยตามเห่กล่อมเแล้ว โตเสียจนออกเหย้าออกเรือนมีลูกมีหลานได้แล้ว อีกอย่างรับงานวาดแบบมาจากเพื่อนไม่ใช่รึ ก็กลับไปทำให้มันเรียบร้อยเสีย”
“กระหม่อม”
ท่านชายทูลรับคำอย่างเสียมิได้ แม้ว่าจะทรงเป็นคนแข็ง แต่กับองค์ผู้เป็นลุง ถึงไม่เห็นด้วยยังไงก็ตาม แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ท่านชายจะทรงดื้อดึง
เสด็จพระองค์เจ้าปิ่นฉัตรทอดเนตรมองกิริยานอบน้อมของนัดดาอย่างนึกภูมิพระทัยที่เลี้ยงหลานให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างดีเลิศ
“แล้วพ่อต้องกับแม่บัวเป็นยังไงกันบ้างล่ะ ไปเยี่ยมเขามาไม่ใช่รึ ลุงได้ยินแว่วๆ มาว่าจะกลับพระนครกันสัปดาห์หน้า”
“แค่น้องหญิงองค์เดียวกระหม่อม พี่ชายต้องทรงแคนเซิลกะทันหัน ไม่เด็จฯ กลับไปด้วยกันแล้ว เพิ่งมาฝากให้โชติช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลน้องหญิงของเธอเมื่อเย็นย่ำนี่เอง” พอเล่ามาถึงตรงนี้ก็อดที่จะระคายเคืองพระทัยไม่ได้ จึงทูลถามกับพระปิตุลาต่อ “โชติสงสัยจริงๆ ทำไมพี่ชายต้องถึงได้เห็นคนอื่นสำคัญกว่าขนิษฐาขององค์เอง เด็จฯ ลุงทรงคิดอย่างไร คนเราจะผูกพันกับชายที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงแวบเดียวได้เทียวหรือกระหม่อม”
เสด็จลุงของท่านชายเลิกพระขนงหงอกขาวขึ้นเพียงเล็กน้อย องคุลีเหี่ยวย่นตามพระชันษาทั้งห้าเคาะเล่นอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรเบาๆ แล้วจึงรับสั่งถามอย่างคาดเดา
“พ่อต้องผูกชะตาอย่างนั้นรึ”
“ทรงว่าอย่างนั้นกระหม่อม...ติดหนุ่มมากกว่าละไม่ว่า”
“นั่นแน่ะ ไปว่าพี่เขาได้ พ่อดีกว่าเขาตรงไหนกัน ทำยังกับว่าไม่เคยติดสาวติดหนุ่มมาก่อนยังงั้น ข้าส่งให้ไปเรียนในเมืองก็ยังจะไปทำเรื่องวิวาทชู้สาวให้ตำรวจเขามาเรียกไปจ่ายค่าปรับถึงหน้าบ้าน” องค์ฯ ปิ่นกำลังรับสั่งถึงเมื่อตอนที่โชติภนยังทรงเล่าเรียนในระดับปริญญาตรีอยู่ในตัวเมืองเคมบริดจ์ ท่านชายเรียลอัลฟ่าในตอนนั้นชันษาได้เพียงสิบเก้าเท่านั้น และพำนักอยู่หอพักอัลฟ่าของมหาวิทยาลัยในวันจันทร์ถึงศุกร์ ห่างจากสายพระเนตรของพระปิตุลาหลายวันต่อสัปดาห์ อยู่ในวัยกำลังอยากรู้อยากลอง ทรงเห็นพระสหายมี ‘บอยเฟรนด์’ หรือ ‘เกิร์ลเฟรนด์’ ก็ทรงอยากลองมีกับเขาดูบ้าง แต่ดันไปคว้าเอาเบต้าสาวที่มีคู่ควงอยู่ก่อนแล้ว จนทำให้มีเรื่องขึ้นโรงพักกันใหญ่โต เรื่องนั้นเป็นขี้ปากของบริวารขี้นินทาในคฤหาสน์อยู่นานปีทีเดียว “พ่อต้องซิดีกว่า มาอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา แต่ไม่เคยทำเรื่องให้เสื่อมเสียถึงพระญาติพระวงศ์เลยสักครั้ง มาครั้งนี้ที่ต้องมีเรื่องขึ้นก็ด้วยเหตุจำเป็นทั้งนั้น ก็เธอดันเจอคู่ผูกชะตาเข้า ไม่ใช่ความประสงค์ของเธอเสียหน่อย”
“โธ่เอ๋ย...จะอะไรนักกระหม่อม กับแค่คู่ผูกชะตาคนเดียว ถึงยังไงโชติก็ยังคิดว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ พี่ชายต้องพระทัยร้าย ทรงทอดทิ้งให้น้องหญิงต้องกลับพระนครองค์เดียว ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าน้องหญิงติดเชษฐามากแค่ไหน”
“เป็นพี่น้องแล้วมันเป็นยังไง ทำยังกับจะต้องอยู่ตัวติดกันไปจนตลอดชีวิต คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันอยู่ดีนาพ่อโชติ”
“แล้วพี่ชายต้องจะผูกติดกับคนที่เพิ่งเจอหน้าแค่วอบแวบยังงั้นได้เทียวหรือกระหม่อม”
เสด็จลุงของท่านชายไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้เพราะทรงเห็นว่าต่อให้ตรัสตอบอะไรกลับไป นัดดาผู้หัวแข็งของพระองค์ก็คงไม่คิดที่จะรับฟังอยู่ดี ในบางทีก็ทรงอดตระหนักไม่ได้เหมือนกันว่าทรงเลี้ยงหลานมาอย่างคนหัวใหม่มากเกินไปหรือไม่ ชายชราถอนพระอัสสาสะเบาๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังไวโอลินสั่งทำพิเศษอย่างดีที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องทรงพระอักษร
“ไปหยิบซอฝรั่งมาสีให้ลุงฟังหน่อยซีพ่อโชติ อีกประเดี๋ยวก็จะไม่ได้ฟังแล้ว”
“กระหม่อม”
หม่อมเจ้าโชติภนรับคำอย่างง่าย ลืมบทสนทนาไปเพราะไม่ได้ทรงใส่พระทัยอะไรมากมายตั้งแต่แรก ก่อนจะดำเนินไปหยิบไวโอลินที่เสด็จลุงว่าขึ้นมาสีอย่างทรงชำนาญ
พระองคุลีทั้งห้าของท่านชายเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณากดไล่ระดับตัวโน้ตอย่างแช่มช้อย บรรเลงเพลงของสุนทราภรณ์อย่างพริ้งเพราหลายเพลง ก่อนจะจบด้วยเพลง
ความรักเจ้าขา ของ
คุณเพ็ญศรี ชุ่มชูศรี โดยไม่ทรงทราบเลยว่าในเวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านพักทรงโพสต์โมเดิร์นในตัวเมืองเคมบริดจ์ ชายคนหนึ่งเจ้าของดวงหน้าขาวสะอาดสะอ้านมองเพลินตาก็กำลังค่อยๆ บรรจงวางแผ่นไวนิลแผ่นโปรดที่นำติดตัวมาจากเมืองไทยด้วยลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง และปล่อยให้เพลงเล่นไปตามอย่างที่ควรเป็น
...เพลงเดียวกันกับเพลงที่ท่านชายกำลังทรงบรรเลง
ภาพภายในหัวของชายผู้นั้นว่างเปล่าด้วยต้องการจะปลดปล่อยสมองให้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากธุระปะปังที่ทำมาตลอดทั้งวัน แต่อยู่ๆ ความโล่งเตียนนั้นก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพเด็กชายตัวกลมราวลูกแตงโมวัยสิบขวบ หน้าตาคล้ายกับแป๊ะยิ้มในคณะเชิดสิงโตตามย่านคนจีนที่เคยเห็นมาไม่มาก็น้อย ก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความรักเจ้าขา ข้าสงสัยในอุรา
ว่าหน้าตาเจ้าเป็นฉันใด
คงสวยน่าพิศมัย น่ารักน่าใคร่
ละเมียดละไมโสภา
ความรักเจ้าเอ๋ย ใจร้ายนั้นคงไม่เคย
เจ้าคงเคยแต่กรุณา
ไม่ทำให้ช้ำอุรา เปี่ยมล้นเมตตา
ล้ำเลิศหนักหนาใช่ไหมคนดี
ข้าเป็นทาสเจ้าแล้ว
หมอบราบคาบแก้วแล้วแต่จะคิดปราณี
อกของข้าครานี้
เป็นตายร้ายดี แล้วแต่รักที่เวทนา
ความรักคนสวย โปรดจงสงสารข้าด้วย
ช่วยข้าสมดังปรารถนา
กราบแล้วความรักเจ้าขา โปรดคิดเมตตา
สักคนเถิดหนาข้าขอวิงวอน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
.
.
.
#หวนกลิ่นดอกแก้ว