--❀--๑หวนกลิ่นการะบุหนิง๑--❀--[วายพีเรียด/omegaverse] : up!(31/12/19)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --❀--๑หวนกลิ่นการะบุหนิง๑--❀--[วายพีเรียด/omegaverse] : up!(31/12/19)  (อ่าน 7110 ครั้ง)

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๒.๔
แสงเทียน


รถยนต์ตรามอริสสีเขียวอ่อนของร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์อังควราค่อยๆ ชะลอจอดลงตรงหัวมุมถนนราชดำเนินกลางอันเป็นที่ตั้งของศาลาเฉลิมไทย ซึ่งผู้คนร้อยพ่อพันแม่พลุกพล่าน จนล้นออกมาถึงด้านนอกตัวอาคารทรงโมเดิร์นไม่มีหลังคาตามแบบตะวันตก คงเป็นเพราะว่าวันนี้มีฉายภาพยนตร์เรื่อง วันเผด็จศึก หรือ The Longest Day หนังฝรั่งที่หลายๆ คนกำลังรอคอย เพราะนำแสดงโดย จอห์น เวย์น นักแสดงชายรางวัลออสการ์ชื่อดังขวัญใจมหาชนละมัง

คุณชายอัลฟ่าผู้มีกลิ่นไม้กฤษณายังคงนั่งแน่นิ่งอยู่บนเบาะหน้าพวงมาลัยรถยนต์ พลางกวาดแก้วตากลมหวานฉ่ำจับจ้องผู้คนมากมายที่แห่แหนกันมาเพื่อรอรับชมมหรสพ อดถอนหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ เพราะแค่คิดว่าถ้าหากต้องเข้าไปเบียดเสียดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นก็เหน็ดเหนื่อยอย่างเหลือแสน ยอมไปวิ่งไล่จับกับพวกขโมยขโจรยังดีเสียกว่า

‘อุแม่เจ้า อย่างกับจะเหยียบกันตายไปข้าง’ คุณชายคิดขยาดกับตัวเอง นึกทึ่งที่คนไทยเห่อดูหนังฝรั่งกันมากมายถึงเพียงนี้

คุณชายเป็นคนไม่ชอบความแออัดก็เลยไม่ชอบฝูงชนที่คับคั่ง จึงไม่ใช่ของแปลกกระไรที่เขาจะไม่ค่อยมีโอกาสขับผ่านมายังย่านผ่านฟ้าบ่อยมากนัก นอกเสียจากว่าจะมีคดีความต้องมาจัดการสะสาง ผิดกันลิบลับกับน้องชายอย่างหม่อมราชวงศ์จันทน์ที่เป็นคนพลังงานล้นเหลือแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งยังเป็นเซียนทางด้านการเสาะแสวงหาตั๋วหนังอีกด้วย ต่อให้จะเป็นภาพยนตร์ชื่อดังที่ใครต่อใครพูดกันว่าหาตั๋วชมได้อย่างยากยิ่ง ก็ไม่คณามือคุณชายจันทน์กับกลุ่มเพื่อนลูกหลานพระน้ำพระยาที่สุดท้ายก็ไปเสาะหากันมาจนได้

หม่อมราชวงศ์คนน้องเย็บปากเงียบสนิทมาตลอดทางจนผิดวิสัย เพราะยังคงติดอกติดใจเรื่องที่คุยคั่งค้างไว้กับพี่ชาย จนสุดท้ายก็ออกปากถามไถ่อย่างเป็นกังวล

“จะว่าไปแล้ว ป้าเปี่ยมท่านทราบเรื่องหรือยังครับว่าพี่ชายอังกำลังจะทำธุรกิจร่วมกับพี่วิ...แต่ท่านไม่ใคร่ชอบพี่วิเท่าใดนักนี่นา ก็เห็นตั้งแง่รังแครังคัด บ่นเนืองๆ ว่าหล่อนเป็นพวกเต้นกินรำกิน” หม่อมราชวงศ์อัลฟ่าวัยแรกรุ่นลูบคางตนเองอย่างครุ่นคิด “ให้ชายลองเดา ท่านต้องยังไม่ทราบแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงจะเรียกพี่ชายไปเอ็ดตะโรเสียนานแล้ว ชายคิดออกเลยเทียวว่าป้าเปี่ยมจะพูดอย่างไร คงไม่พ้นทำตาเขียวปั้ด ก่นด่าจนน้ำหมากกระจุยกระจายว่าพี่ชายอังเป็นลูกเจ้าลูกนายอยู่ดีๆ ไม่ยักชอบ อยากลดตัวลงไปเป็นพ่อค้าพ่อขายราวพวกไพร่ จะทำให้เสื่อมเสียมาถึงพระเกียรติท่านลุงกับลูกๆ ของท่าน...อะไรทำนองนี้”

อังควราแค่นขำเบาๆ แม้จะไม่ได้รู้สึกขำจริง เพราะถ้าป้าเปี่ยมรู้เข้าก็คงจะเป็นอย่างน้องชายของเขาพูดทุกประการนั่นแหละ แต่ก็จำต้องแก้ต่างให้กับญาติผู้ใหญ่ว่า

“เหลวไหล ถึงป้าเปี่ยมท่านจะเป็นคนเข้มงวดอย่างไร แต่ก็คงเข้าใจดีหรอกนา ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมากแล้ว จะงานอะไรก็ตาม ถ้าเป็นงานสุจริตก็นับว่ามีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น แล้วถ้าหากฉันไม่ทำ ลำพังเงินเดือนตำรวจแค่ไม่กี่หลักพันจะส่งเสียแกจนจบปริญญาได้อย่างไร ต่อให้ป้าเปี่ยมเรียกเข้าไปเอ็ดจริงๆ ฉันก็เห็นเป็นต้องขัดใจอยู่ดี”

“โอ้โฮ...ยังงี้ตำแหน่งพี่ชายดีเด่นแห่งปีจะหนีไปไหนเสียละครับ กับแค่เป็นห่วงกลัวว่าน้องจะไม่ได้เล่าได้เรียน ถึงกับกล้าขัดใจหม่อมป้าท่านทีเดียว แต่พอเป็นพระบัญชาที่เกี่ยวกับชีวิตตัวเองแท้ๆ อย่างเรื่องแต่งงาน กลับตกปากรับคําโดยไม่มีขัดเคือง พี่ชายอังก็ยังเป็นพี่ชายอังวันยันค่ำ”

คุณชายไม่เคยตามทันคารมน้องชายอยู่แล้ว จึงไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ได้แต่ส่ายศีรษะอ่อนใจ ตบท้ายทอยอีกฝ่ายเบาๆ พูดว่า

“เฮ้อ! แกนี่นะ พูดด้วยแล้วคอยแต่จะปวดหัว น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงเสียจริงพ่อ ไป รีบๆ ลงจากรถไปเสีย เดี๋ยวขากลับฉันจะแวะมารอรับ”

“ขอรับกระผม คุณชายอังควรา อย่างไรก็ต้องขอบพระเดชพระคุณมากเลยนะขอรับที่อุตส่าห์บากบั่นขับมาส่งกระผมถึงที่”

อังควราขมวดคิ้วเคร่งขรึม ทำหน้าดุอีกฝ่ายเล็กน้อย โดยที่คุณชายจันทน์ก็มิได้กลัวเกรงอย่างใด ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างนั้นตามประสาคนทะเล้นทะลึ่ง แสดงท่าทางล้อเลียนจนน่าหมั่นไส้ พอถูกพี่ชายผลักหัวเบาๆ ก็หัวเราะร่าชอบอกชอบใจ จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปหมายจะเปิดประตูรถ แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเสียก่อน

ดวงตาคมเสมือนนกเหยี่ยวที่มิได้ดูหวานซึ้งล้ำลึกอย่างของพี่ชาย หากทว่าก็ยังคงน่าจับจ้องไม่แตกต่างกันแลปราดเห็นคนคุ้นตา แต่ก็ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าจะใช่หรือไม่ เพราะก็เคยเห็นอีกฝ่ายเพียงไกลๆ ตามงานเลี้ยงรวมเหล่าญาติวงศ์เท่านั้น จนต้องหันกลับมาขอความเห็นกับคนที่นั่งเคาะนิ้วกับพวงมาลัยเล่นไปตามจังหวะเพลงจากวิทยุอยู่บนเบาะฟากคนขับ

“หืม? มีอะไรหรือเปล่า ชายจันทน์ ทำไมไม่ลงไปล่ะ จะเอาเงินรึ” คุณชายอังควราตั้งท่าจะล้วงหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา เขาไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวกับพี่กับน้องสักครั้ง เพียงแต่คุณชายจันทน์ไม่ค่อยยอมเปิดปากขอหากไม่ใช่เหตุจำเป็น เพราะความเกรงใจพี่ชายที่คอยหาเลี้ยงตนอย่างเหนื่อยยากมาตลอด เจ้าตัวจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัว

“เปล่าครับเปล่า ชายก็แค่สะกิดใจนิดหน่อย...สาวสวยคนนั้นใช่ท่านหญิงผ่องไหมครับ...คนที่กำลังยืนกอดหอมกับผู้ชายตัวสูงๆ อยู่ตรงนั้น”

แล้วคุณชายจันทน์ก็พยักพเยิดไปทางชายหญิงร่างสูงสะโอดสะองคู่หนึ่ง ยืนห่างจากรถของคุณชายออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่มองเห็นหน้าค่าตาได้ชัดเจน คุณชายเองก็หันมองตามอย่างฉงนสงสัย จิตใจสับสนเรรวนเพราะไม่แน่ใจว่าถ้าหากเป็นท่านหญิงผ่องประภาจริงอย่างน้องชายว่า แล้วเขาควรต้องรู้สึกอย่างไร



*



“เสด็จพ่อ...จะทรงให้เจ้าพี่หญิงเสกสมรสไปกับพี่ชายอังจริงๆ หรือกระหม่อม”

พลบค่ำของเมื่อวันก่อน พอสิ้นคำถามจากพระโอรส เสด็จวังจักษุฯ ก็ทรงนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทรงเงยพักตร์ขึ้นสบสายพระเนตรของลูกชายผ่านกระจกมองด้านหลังรถยนต์ และทรงรับสั่งตอบพระสุรเสียงราบเรียบ หากแต่ก็ฟังกังวานหนักแน่นราวกับว่าจะทรงเน้นน้ำหนักให้กับถ้อยคำขององค์เอง

“ไม่มีใครเหมาะสมจะมาเป็นเขยขวัญของวังจักษุภิรมย์มากไปกว่าคุณชายอังควราอีกแล้ว ถึงหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้จะอยากเลือกคู่ด้วยตัวเอง ก็ใช่ว่าพ่อไม่เคยให้โอกาสหญิงผ่องปะไร ถึงมันจะไปคว้าเอาอ้ายไพร่ที่มีแต่เงินทอง แต่ไม่มีสกุลรุนช่องมาเป็นคู่อย่างเมื่อครั้งโน้น พ่อก็ถือว่ามันเลือกทางของมันเอง แต่พอมาถูกทิ้งให้กลายเป็นหม้ายขันหมากยังงี้ ซ้ำยังไปทำขายหน้าวันละห้าเบี้ยให้คนเขานินทาติฉินไปทั่ว แล้วชายจะให้พ่อทำอย่างไรได้ พอทีเถอะ เรื่องนี้พ่อตัดสินใจแล้ว ถ้าจะขัดพ่อก็หยุดเสียเถิดโชติภน”

ท่านชายเกือบจะทรงถอนพระอัสสาสะอย่างไม่รู้องค์ แต่เมื่อทรงฉุกนึกขึ้นได้ว่าไม่บังควรก็ทูลตอบกลับเพียงว่า

“แล้วแต่จะโปรดเถอะกระหม่อม ในเมื่อเสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัยลงไปแล้ว โชติ…กระหม่อมก็คงไม่อาจขัดพระประสงค์ได้”

ทรงแทนองค์ว่า ‘กระหม่อม’ แทนพระนามลำลองอย่างที่โปรดใช้อยู่ทุกคราว เพื่อให้การสนทนาระหว่างพ่อลูกจริงจังมากกว่าทุกที




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:37:02 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หม่อมเจ้าโชติภนอาจเจริญพระชันษามาจากเมืองนอกเมืองนา แต่ก็ทรงรู้ธรรมเนียมชาววังดีพอจะไม่ไปขัดพระประสงค์ของบิดาที่ทรงเป็นถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๕ พระองค์เจ้าชั้นเอก ขณะที่ท่านชายทรงมีพระยศเป็นเพียงหม่อมเจ้าอันเป็นชนชั้นเจ้านายลำดับสุดท้ายเท่านั้น อีกทั้งยังทรงเป็นโอรสในเสด็จพระองค์ท่านอีกด้วย

ถึงแม้ท่านชายจะทรงหัวฝรั่งมังค่าเพียงใด แต่ก็ยังยึดตามหลักคำสอนทรงคุณค่าของไทยอันมีมาแต่โบร่ำโบราณในบางสิ่งเอาไว้ ดังเช่นพ่อแม่เปรียบเสมือนดั่งพระพรหมณ์ ควรต้องกราบไหว้บูชาพวกท่านเหนือเกล้าอยู่นั่นเอง ยิ่งเสด็จวังจักษุฯ ทรงมีพระเมตตาต่อเขามาก ทั้งๆ ทรงมีโอรสธิดาอีกนับสิบองค์ เขาก็ยิ่งไม่อาจทูลสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายทรงระคายพระทัยออกไปได้ เพราะบทสนทนาที่จริงจังขึ้นนั้นมักจะอ่อนไหวเป็นปกติ และสร้างความขุ่นเคืองต่อกันได้โดยง่าย...ท่านชายทรงพระสรวลนิดหน่อยขณะกำลังหักเลี้ยวพวงมาลัยรถเข้าเขตวังจักษุภิรมย์ นึกย้อนถึงถ้อยคำค่อนแคะที่พวกท่านพี่ท่านน้องของเขาเคยตรัสเอาไว้ด้วยความหมั่นไส้ว่า

“ตี๋อ้วนมันพวกสอพลอ เลียแข้งเลียขาเก่งก็เท่านั้น”

ทว่าเจ้าชายหนุ่มก็ไม่ยักจะต่อปากต่อคำกลับอย่างผิดพระวิสัยที่เดิมเป็นคนช่างตรัสช่างเถียง ซ้ำยังทรงปล่อยผ่านไปเฉยๆ เนื่องจากก็ทรงเห็นดีด้วยดังนั้น เพราะความคิดความอ่านของเขาบางอย่างก็ไม่ได้ลงรอยกับเสด็จพ่อสักเท่าใดนัก แต่เพราะทรงถือว่าไม่ใช่เรื่องขององค์เอง จึงปล่อยวางได้โดยไม่ยากเย็นกระไร ดีกว่ามามีปัญหาบาดหมางกับพระบิดาเป็นไหนๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้เป็นโอรสองค์โปรดตราบจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้นกับเรื่องของเชษฐภคินีอย่างหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาและหม่อมราชวงศ์ตัวขาวของเขานั้น ท่านชายก็ทรงคิดครวญว่าควรปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินต่อไปตามคำพระบัญชาของเสด็จพ่อ แต่เอาเข้าจริงมันกลับไม่ง่ายเลยสักนิด

พระหฤทัยดวงน้อยๆ ของท่านชายหนักอึ้งราวถูกถ่วงด้วยอิฐด้วยหิน ทรงสับสนวุ่นวายมากจนตรัสไม่ถูก แล้วยังกลิ่นคล้ายกับกลิ่นดอกแก้วนั่นที่หอมจรุงจิตเสียยิ่งกว่าเด็ดออกจากต้นมาดอมดม กับความร้อนรุ่มพร้อมด้วยเย็นวูบวาบในคราวเดียวกันอย่างน่าประหลาดภายในพระวรกาย มันมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับขณะที่ทรงดำเนินเข้าชิดใกล้อีกฝ่าย ทั้งๆ ปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับอัลฟ่าด้วยกันเอง และที่สำคัญ...วงหน้าแสนคมคายหากแต่ก็ซ่อนเอาไว้ด้วยอ่อนหวานอย่างจับใจอันทำให้ทรงอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เพื่อจะได้ทอดเนตรอย่างนั้นเรื่อยไปก็ทรงสลัดออกจากเศียรไม่ได้เลย

ท่านชายโชติภนก้าวบาทลงมาจากรถคันงาม ทูลขอเสด็จพ่อดำเนินเล่นภายในสวนฝรั่งหน้าพระตำหนักส่วนกลางเพื่อคลายพระทัยลงสักหน่อย ทว่าก็ไม่อาจเป็นการช่วยได้มากมาย เพราะยิ่งทรงปล่อยให้พระจิตว่างเปล่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งพะวงหาอยู่แต่กับเรื่องราวของคุณชายพระลอแห่งวังเทวพงษ์พิศาลมากเท่านั้น

ฉันได้กลิ่นดอกแก้วมาจากตัวพี่ชายอังแน่ๆ หอมหวนตราตรึงถึงขนาดนั้น อย่างไรเสียก็ไม่มีทางผิดฝาผิดตัวไปได้หรอก มันไม่ใช่กลิ่นไม้กฤษณาอย่างที่ใครต่อใครเคยว่าเอาไว้เสียหน่อย แต่เพราะอะไรกันล่ะ ถ้าหากพี่ชายอังมีกลิ่นดอกแก้วจริง แล้วทำไมใครต่อใครถึงต้องบอกว่าเธอมีกลิ่นไม้กฤษณา แล้วอีกอย่างหนึ่ง เธอเองก็เป็นอัลฟ่าไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่า… เฮ้อ! หรือจะเป็นร่างกายของฉันเองที่ผิดปกติ

นั่นซีนะ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ฉันเองก็ยังปรับเวลาให้เข้ากับเมืองไทยไม่ได้เลยนี่นา เวลา ‘ทมก็ยังเป็นเวลาเดียวกับของที่อังกฤษ อาจเพราะอ่อนเพลียละมัง เลยทำให้สัญชาตญาณผิดเพี้ยนไป


ท่านชายผ่อนพระอัสสาสะช้าๆ ดำเนินเล่นต่ออีกสักพักหนึ่ง ก่อนจะทรงฉุกนึกขึ้นมาได้ว่าหม่อมลอออาจรอเสวยเย็นพร้อมกันอยู่ จึงรีบเสด็จกลับขึ้นพระตำหนัก เจอกับหม่อมใหญ่ของวังที่กำลังชี้นิ้วสั่งให้เหล่าเด็กรับใช้ตระเตรียมสำรับอาหารอยู่พอดี หล่อนหันมายิ้มแย้ม ทูลอย่างอารมณ์ดีว่า

“เพิ่งเด็จฯ กลับมาเหนื่อยๆ ทรงหิวแล้วหรือยัง วันนี้หม่อมฉันทำแกงสะระหมั่นเนื้อ น้ำพริกกะปิผักแนม แล้วก็หมูหวานถวาย เสด็จพ่อของท่านชายเด็จฯ ขึ้นไปเปลี่ยนฉลององค์ อีกประเดี๋ยวก็คงลงมา ท่านชายรอเหวยพร้อมเสด็จเลยนะเพคะ”

โชติภนผงกเศียรแทนการตอบ แย้มรอยพระสรวลเห็นพระทนต์เรียงกันสะสวย โอบกอดเอวหนาเทอะทะของหม่อมใหญ่หลวมๆ รับสั่งพึมพำอย่างประจ๋อประแจ๋ขออภัยจากอีกฝ่ายที่เสด็จกลับมาช้ากว่าที่ทรงให้สัญญา หม่อมใหญ่ก็มิได้ต่อว่ากระไร บีบจับพวงพระปรางเนียนนุ่มของท่านชายด้วยนึกเอ็นดูเหลือเกิน และปล่อยให้สองพ่อลูกร่วมโต๊ะเสวยด้วยกัน ส่วนตนก็แยกไปดูโทรภาพกับหม่อมสุ่น เพราะทั้งคู่รับข้าวเย็นไปก่อนนานแล้ว

พอเสวยกันเสร็จสรรพ ท่านชายก็ทูลเชิญพระบิดาเสด็จขึ้นห้องทรงงาน เพราะทรงสังเกตเห็นตั้งแต่ออกมาจากกองพันฯ ว่าอีกฝ่ายทรงขนเอาแฟ้มเก็บเอกสารทางราชการกลับมาด้วย จากนั้นก็ประทับช่วยพวกบริวารบ่าวไพร่เก็บถ้วยเก็บชามอย่างทรงมีน้ำพระทัย และขณะที่กำลังจะเสด็จขึ้นห้องบรรทมเพื่อสรงน้ำผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์บ้าง หม่อมลออก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นมาพร้อมด้วยหม่อมสุ่นที่เดินตามหลังราวเงาตามตัว

“หม่อมมีอะไรหรือเปล่าคะ”

ท่านชายตรัสถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีเหมือนมีเรื่องอยากทูล หม่อมใหญ่ก็สบโอกาสพูดออกมาทันที

“คืออย่างนี้นะเพคะ เมื่อเย็นท่านหญิงบัวทรงโทรทางไกลมาจากเมืองอังกฤษโน่นแน่ะ ท่านรับสั่งหาท่านชายน่ะเพคะ แต่หม่อมฉันทูลกลับไปว่าท่านชายเด็จฯ ออกไปรับเด็จฯ พ่อที่กองพันฯ ท่านหญิงก็ทรงบอกเที่ยวเรือบินมา เผื่อว่าท่านชายจะโปรดทรงรถยนต์ไปรับที่สนามบิน”

โชติภนหรี่ดวงเนตรลง แค่นพระสรวลอย่างขบขัน พระขนงเลิกขึ้น ทรงจับจ้องแต่วงหน้าเหี่ยวย่นตามวัยของหม่อมลออเท่านั้น ก็เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นหม่อมสุ่นที่กำลังเหล่ดวงตากลมโตมองหม่อมร่วมพระสวามีองค์เดียวกันอย่างนึกพิศวง

แล้วก็รับสั่งถามย้ำ พระสุรเสียงของท่านชายคล้ายกับไม่ทรงปักพระทัยเชื่อสักเท่าใด

“น้องหญิงบัวน่ะหรือคะ อุตส่าห์โทรทางไกลมาเพื่อบอกไฟล์ทบินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

หม่อมใหญ่ก็ทำทีไม่รู้ไม่ชี้ ทูลตอบย้ำเหมือนต้องการยืนยันสิ่งที่เธอพูด

“เพคะ”

มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่ท่านชายจะทำพระทัยเชื่อได้ยาก เพราะถึงเขาจะสนิทสนมกับหม่อมเจ้าหญิงบัวทิพย์เกสรจริง แต่ก็ทรงเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีธุระปะปังอย่างใดจนถึงกับต้องทรงโทรมา ในเมื่ออีกฝ่ายทรงทราบเป็นอย่างดีว่าตลอดสัปดาห์หน้า ท่านชายเองก็มิได้อยู่ว่างเฉย ด้วยทรงมีนัดตรวจแบบโรงแรมทำให้ต้องประทับติดห้องทรงงานเพื่อเก็บรายละเอียดงานเกือบตลอดทั้งวีค

แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจะทรงแจ้งรอบบินขากลับเพียงเท่านั้น น่าจะโทรไปตรัสกับทางมหาดเล็กในวังของหล่อนก็จะดูเข้าท่าเข้าทีมากกว่าเป็นไหนๆ

ทว่าท่านชายก็ทรงเคลือบแคลงพระทัยแค่เพียงไม่นาน เพราะอยู่ๆ หม่อมสุ่นผู้ซื่อสัตย์ที่ยืนทำหน้าฉงนก็ปรารภถามหม่อมใหญ่เสียงเจื้อยแจ้วราวกับมิได้นัดแนะกันมาก่อน

“ทำไมหม่อมถึงทูลกับฝ่าบาทยังงั้นละคะ ท่านหญิงบัวทิพย์เกสรไม่ได้ทรงเป็นฝ่ายโทรมาหาเราเสียหน่อย ก็หม่อมเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนโทรไปถามเบอร์ที่พักที่อังกฤษจากหม่อมพุดกรองหม่อมแม่ของท่านหญิง แล้วก็ยังโทรไปทูลถามเอาความจากท่านหญิงเองอีกด้วยว่าจะเด็จฯ กลับวันไหน เพราะจะให้ท่านชายเด็จฯ ไปรับที่อาคารบิน”

หม่อมลออหันขวับ ขึงตาดุอีกฝ่าย เด็กสาวก็สะดุ้งโหยง หน้าเผือดสีลงทันใด

“ฉันละอยากจะเป็นบ้าตายกับนางคนนี้ ใช่เรื่องที่หล่อนต้องพูดออกมางั้นเรอะแม่สุ่น!”

“อ้าว… แล้วสุ่นพูดตรงไหนผิดหรือคะ ก็พูดความจริงนี่นา”

“ถึงยังงั้นก็เถอะ ผู้หลักผู้ใหญ่เขากำลังพาทีกันอยู่ หล่อนแทรกขึ้นกลางปล้อง มันใช้ได้แล้วรึ”

“ก็แล้วทำไมหม่อมไม่ทูลความจริงละคะ ฝ่าบาทท่านทรงน้ำพระทัยงามออกอย่างนี้ ไม่ทรงต่อว่าอะไรหรอกค่ะ ขนาดกับสุ่นเอง ตอนพบท่านครั้งแรกก็ไม่ดูตาม้าตาเรือจนถึงกับบังอาจไปกล่าวหาว่าท่านเป็นขโมยขโจร ท่านก็ไม่ยักกริ้วเลยสักนิด ยิ่งหม่อมเป็นแม่ด้วยแล้วก็ยิ่งไม่มีสิ่งใดต้องกลัว”

“ต๊ายตาย! จะเอาเรื่องนั้นมาเทียบกับเรื่องนี้ได้ที่ไหนละยะ หล่อนนี่มันช่างไม่รู้เรื่อง เลี้ยงมาเสียแรงฉันจริงๆ”

หม่อมเจ้าโชติภนทอดพระเนตรคมกริบจับจ้องคนนั้นที คนนี้ที สรวลกับองค์เองเล็กน้อย ก่อนจะทรงหันไปรับสั่งเย้าแหย่กับสตรีเบต้าสูงวัยโดยมิได้ถือสาหาความอย่างใด แม้ลึกๆ จะทรงเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้มากเต็มทีแล้วก็ตาม

“ตกลงว่าหม่อมจะเป็นแม่โชติหรือจะเป็นแม่สื่อแม่ชักกันแน่คะ จัดแจงเสียเป็นเรื่องเป็นราวเทียว”

วงหน้าของหม่อมลออสลดลงเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าท่านชายของหล่อนไม่โปรดให้แตะเรื่องส่วนพระองค์อย่างเช่นเรื่องคู่ครอง

จึงบอกเสียงอ้อมแอ้ม

“หม่อมฉันทูลกับท่านหญิงบัวเป็นมั่นเป็นเหมาะไปแล้วเพคะว่าท่านชายจะทรงรถยนต์ไปรับที่สนามบินกรุงเทพฯ ทีแรกท่านก็ดูเหมือนจะงงๆ แต่ก็ทรงตกปากรับคำกลับมา”

โชติภนอ่อนพระทัย ปรารภเบาๆ ว่า

“หมายความว่าถ้าโชติไม่ยอมไปตามนัดก็คงทำให้หม่อมเสียผู้หลักผู้ใหญ่ เฮ้อ… อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ โชติจะเร่งทำแบบให้เสร็จสรรพในสัปดาห์นี้ จะได้เหลือเวลาเผื่อไปรับน้องหญิง ถึงยังไงน้องหญิงบัวก็เปรียบเหมือนน้องสาวโชติอยู่แล้ว...” ทรงเน้นหนักคำว่า ‘น้องสาว’ “...อุตส่าห์กลับมาพระนครทั้งที แค่ขับรถไปรับก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร”

“พิโธ่...เป็นแค่น้องสาวเองหรือเพคะ”

หม่อมใหญ่แสดงออกชัดเจนว่าเสียดายโดยไม่สงวนอาการแต่น้อยนิด ท่านชายส่ายเศียรอย่างระอานิดหน่อย แต่ก็ยังทรงแย้มพระสรวลกว้างยิงพระทนต์ขาวราวกับจะคลอเคลียออดอ้อน

“หม่อมขา อย่ารีบเร่งให้โชติมีเมียนักเลย อยากอยู่กับหม่อมไปนานๆ”

“ได้อย่างไรกันเพคะ พระชันษาปาเข้าไปตั้งยี่สิบห้าแล้ว ถ้าไม่รีบเสกสมรสเสียตั้งแต่ตอนนี้ กว่าจะทรงมีโอรสธิดาได้ไม่แก่หงำเสียก่อนหรือ จะช้าจะเร็วอย่างไรท่านชายก็ต้องทรงเสกสมรส แล้วก็มีลูกมีหลานไว้สืบสายสกุลต่อไป จะลอยไปลอยมาเป็นพ่อพวงมาลัยแบบนี้หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเลยนะเพคะ ถ้าไม่โปรดท่านหญิงบัวในเชิงชู้สาวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทรงเมียงมองใครอยู่ก็รับสั่งกับหม่อมฉันมาตามตรงเถิด แล้วหม่อมฉันจะเป็นธุระจัดแจงเรื่องสู่ขอให้ ไม่ต้องถึงขั้นเป็นหม่อมเจ้า ขอแต่เพียงเป็นลูกเจ้าหลานพระยาให้สมศักดิ์สมยศกันก็พอ”

ชิวหาอุ่นร้อนของโชติภนแลบเลียกลีบโอษฐ์บางขององค์เอง พร้อมด้วยพระหฤทัยวูบวาบโดยก็ทรงตรัสไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุอันใด

ท่านชายทรงก้มพระพักตร์ขาวตี๋ลงมาใกล้หม่อมใหญ่ ตรัสถามเสียงเบากว่าเดิมประหนึ่งว่าทรงเกรงจะมีคนมาได้ยินเข้า

“แล้วถ้าหากเป็นหม่อมราชวงศ์ละคะ หม่อมจะเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”

หม่อมใหญ่ได้ฟังก็เหลือกตาอย่างตื่นเต้น

“อุ๊ย! เป็นหม่อมราชวงศ์ก็ดีน่ะซีเพคะ โอรสธิดาในหม่อมเจ้า เลือดผู้ดีเต็มตัวอย่างนั้น ไม่มีข้อไหนจะต้องรังเกียจรังงอนเลยแม้สักนิด ว่าแต่เป็นใครกันเพคะ เป็นเบต้าสาวหรือว่าโอเมก้าชายหญิง หม่อมฉันรู้จักมักจี่ด้วยไหม รับสั่งมาเพียงคำเดียว วันพรุ่งหม่อมฉันจะรีบจับรถออกไปทาบทามให้เลยเทียว”

‘เป็นอัลฟ่าต่างหากล่ะ’

ทรงคิดกับองค์เอง สีพักตร์ม่อยลงนิดหน่อย แต่ก็รีบพระสรวลกลบเกลื่อน และรับสั่งตอบปัด

“ไม่มีหรอกค่ะ โชติก็แค่พูดลองเชิงหม่อมไปอย่างนั้นเอง เอาไว้ถ้ามีเมื่อไหร่โชติจะเรียนให้หม่อมทราบแล้วกันนะคะ แต่คืนนี้เห็นทีโชติต้องขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะได้เร่งทำแบบต่อให้เสร็จ ราตรีสวัสดิ์ค่ะหม่อม…หม่อมสุ่นเองก็นอนหลับฝันดีเหมือนกันนะ”

เมื่อท่านชายโชติภนทรงกล่าวตัดบทอย่างนั้น สตรีเบต้าสูงวัยก็ไม่อาจเซ้าซี้ต่อไปได้อีก แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดความคิดที่ต้องการผลักดันให้ลูกเลี้ยงของหล่อนทรงได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งหยิบยกมาถกกัน ทว่าหม่อมใหญ่พยายามชี้ชวนให้ท่านชายทรงลองไตร่ตรองเรื่องเสกสมรสมาทุกเมื่อเชื่อวันนับตั้งแต่เสด็จกลับมาถึง ท่านชายก็ทรงปฏิเสธทางอ้อมอยู่ทุกคราวไป เพราะทรงเกรงว่าหากรับสั่งตรงๆ ก็จะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่าย

แต่หม่อมก็หาได้เข้าใจว่ามันคือการบอกปฏิเสธ หล่อนเพียงแต่เห็นสมควรว่าท่านชายทรงอยู่ในวัยที่เหมาะสมจะมีเหย้ามีเรือนได้สักที หากไม่มีตอนนี้แล้วจะทรงมีตอนไหน ถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้ พวกรักอิสระอย่างท่านชายก็คงจะทรงลอยชาย ไม่ทรงยอมลงหลักปักฐานโดยง่ายเป็นแน่ หล่อนจึงต้องจัดแจงจับคู่ โดยเล็งเห็นว่าท่านหญิงบัวคือคนที่คู่ควรกัน

จริงๆ แล้ว ก็ไม่เพียงแต่หม่อมลออ กระทั่งเสด็จพ่อของท่านชายเองก็ดี ท่านก็ทรงเปรยๆ บ้างบางคราวว่า “ที่แม่ลออเขาอยากจะให้ลูกได้ตบแต่งออกเรือนไปเสียที พ่อก็เห็นดีด้วยนาตี๋อ้วน ขืนยังอยู่ตัวคนเดียวยังงี้ ไม่มีคู่คิดให้คอยพูดจาพาทีด้วย ต่อไปลูกจะเหงา”

แต่เพราะพระอัธยาศัยของพระองค์ชายวังจักษุฯ ทรงมิใช่คนเซ้าซี้เหมือนอย่างหม่อมชายาเอกของท่าน เมื่อทรงเห็นพระโอรสไม่หือไม่อือไปด้วย จึงปล่อยเลยตามเลย มิได้ทรงยัดเยียดจนทำให้ท่านชายต้องทรงลำบากพระทัย

จริงๆ ก็ใช่ว่าท่านชายจะไม่ทรงนึกตรองเลยสักน้อยนิด แต่ก็สรุปออกมาได้ว่าท่านไม่ทรงอยากตบแต่งออกเรือนในตอนนี้ อาจเพราะยังไม่ทรงเจอใครที่ต้องพระทัยถึงเพียงนั้น หรือ...อาจได้เจอกันมานานมากแล้ว เพียงแต่มิใช่คนที่จะทรงเอื้อมหยิบเอามาได้โดยง่าย

โชติภนสรงน้ำนานกว่าทุกคราว ทรงดื่มด่ำพระอารมณ์สุนทรีย์อยู่ใต้ฝักบัว ปลดปล่อยสายน้ำอุ่นชะโลมพระวรกายหนั่นแน่น พร้อมด้วยจินตนาการที่กำลังสว่างไสวเจิดจ้าภายในพระเศียร เมื่อพระมัตถลุงค์* ว่างเปล่า ภาพจำเมื่อตอนเย็นย่ำก็หวนกลับมาชวนให้ทรงคิดถึงคะนึงหาอีกครา ท่านชายทรงออกจากห้องสรง ก่อนจะผลัดเปลี่ยนฉลององค์เป็นชุดบรรทมผ้าแพรสีดำ และเสด็จลงมาประทับนั่งหน้าโต๊ะเขียนแบบในห้องทรงงาน แต่ก็ไม่ได้ทรงงานต่ออย่างที่ตั้งพระทัย [*NOTE : สมอง]

ทรงม้วนเก็บแบบโรงแรม กางกระดาษเปล่าสีขาวแผ่นใหม่ออก จากนั้นก็เอื้อมหยิบกล่องพระโอสถมวน* ถมด้วยเงินแท้อย่างดีของเมืองอังกฤษขึ้นมาเปิด และทรงจุดสูบอย่างต้องการทอดพระอารมณ์อ่อนไหวเพื่อไม่ให้ภาพในพระเศียรคลาดเคลื่อน จนกระทั่งหมดมวนก็หันกลับมาจดจ่ออยู่กับแผ่นกระดาษสีขาวตรงเบื้องพระพักตร์ที่ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็ปรากฎเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ด้วยดินสอ โดยคนในภาพเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหล่อเหลาเอาเรื่อง เครื่องหน้าช่างรับกันจนหมดทั้งหูตาจมูกปาก ทั้งๆ หลับตาพริ้ม ประดับดอกแก้วที่ใบหู แต่ก็มิได้ดูน่าขัดน่าขันอย่างใด [*NOTE : บุหรี่]

ท่านชายทรงแน่นิ่งเพียงชั่วอึดใจ ขณะทรงกำลังทอดพระเนตรคมมองภาพวาดขององค์เองด้วยพระหฤทัยหลงใหลเป็นล้นพ้น

เสด็จออกไปเกาะขอบหน้าต่างบานเกล็ดที่เปิดอ้ารับลม โดยหยิบพระโอสถมวนมาจุดสูบอีกหนึ่งมวน...วงหน้าของคุณชายอังควราในชุดเครื่องแบบตำรวจสีกากี ซึ่งไม่ได้แต่งจนเต็มยศในยามที่กำลังหลับใหลอยู่ที่ซุ้มนั่งเล่นหน้าเรือนไม้สักสีฟ้าอ่อน มันช่างงดงามราวกับหุ่นสลักก็ไม่ปาน แต่ก็มิได้ทำให้รู้สึกแข็งทื่อราวกับไร้ชีวิตชีวา กลับทำให้ท่านชายทรงพระทัยสั่นระรัวบ้าคลั่งคล้ายกับเป็นคนตายแล้วกลับมาฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้งเสียด้วยซ้ำ

‘เหมือนอย่างแต่ก่อน...ไม่ใช่ซิ นี่มันรุนแรงมากยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก’ ท่านชายโชติภนทรงครุ่นคิดกับองค์เอง ขณะทรงพ่นควันสีขาวออกมาอย่างเชื่องช้า ‘แทนที่พอได้พบเจอแล้วก็จะคลายความคิดถึงลงไปบ้าง แต่มันกลับรุนแรงยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก… จะได้เจอพี่ชายอังอีกเมื่อไหร่นะ อยากเจออีกจัง’

โชติภนมิได้ทรงสังเกตสักน้อยนิดว่าความโหยหาที่ก่อเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องผิดปกติอย่างใด




(มีต่อ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:37:38 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เสด็จวังจักษุฯ โปรดให้พวกบริวารบ่าวไพร่จัดห้องทรงงานของโอรสไว้ชั้นล่างของพระตำหนักส่วนกลาง อยู่ติดกันกับห้องทรงดนตรีที่เครื่องดนตรีในนั้นจำนวนมากกว่าครึ่งมาจากการทูลถวายของหม่อมเปี่ยมเมื่อราวๆ สิบห้าปีก่อน โดยแรกเริ่มเดิมทีเป็นของหม่อมเจ้าฉันทิตผู้เป็นบิดาของคุณชายอังควรานั่นเอง

จริงๆ แล้วเสด็จพ่อของโชติภนไม่ได้โปรดทรงดนตรีสักกี่มากน้อย เพราะจะทรงถนัดทางการกีฬาเสียมากกว่า ท่านหญิงผ่องประภาเองก็ทรงโปรดกิจกรรมโลดโผนโจนทะยานเหมือนอย่างพระบิดา หากไม่ทรงเที่ยวเล่นกับบรรดาพระสหายไฮโซไซตี้ ก็จะทรงประทับอยู่แต่สนามม้าหรือสนามเทนนิสได้จนตลอดวัน ดังนั้นห้องทรงดนตรีนอกจากจะมีโอรสธิดาของเสด็จวังจักษุฯ องค์อื่นๆ มาทรงใช้งานบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดยมากก็มักจะเป็นท่านชายโชติภนมากกว่า ก่อนที่จะทรงย้ายตามองค์ฯ ปิ่นไปประทับอยู่เมืองอังกฤษ

บัดนี้เป็นเวลาสองยามแล้ว ผู้คนทั่วทั้งวังจักษุภิรมย์ต่างหลับใหล เหลือเพียงท่านชายโชติภนที่ยังทรงบรรทมไม่หลับ เขายังไม่คุ้นชินกับเวลาเมืองไทยเสียที ก็เลยไม่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนแต่เพียงน้อยนิด จึงทรงนำแบบโรงแรมมาทำต่อจนเกือบเสร็จสรรพ ท่ามกลางสายลมเย็นสบายจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่พัดเอื่อยเฉื่อยมาทางหน้าต่างช่องลม สาดแสงสีเงินนวลตาของดวงดาว อีกทั้งดวงจันทร์ ลอดผ่านหมู่แมกไม้ลงมากระทบ ร่วมด้วยแสงสีเหลืองเรืองรองจากตะเกียงน้ำมันบนหัวมุมโต๊ะทรงงาน เพราะท่านชายไม่โปรดใช้ไฟฟ้าในยามวิกาล ด้วยห้องทรงงานของเขาอยู่ใกล้กับเรือนพักของพวกบ่าวบริวาร

ท่านชายทรงเป็นคนขี้เกรงใจแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เว้นแม้กับผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า จึงไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องเล่นแผ่นเสียงไวนิลที่พระบิดาทรงประทานมาให้เพื่อช่วยหย่อนพระทัยในยามคิดอ่านงานไม่ออก ท่านชายไม่ทรงแตะต้องมันให้เกิดเสียงรบกวนขึ้นกลางดึกด้วยซ้ำ รอบๆ อาณาบริเวณก็เลยเงียบสงัดดั่งสุสาน กระทั่งเสียงใบไม้กระทบกันยังฟังได้โดยชัดเจน ทำให้เสียงของรถยนต์ที่ขับมาจอดหน้าองค์พระตำหนักสามารถเรียกให้ท่านชายทรงสนพระทัยได้ไม่ยากเย็น

ทรงคาดว่าน่าจะเป็นนายอู๋คนขับรถอีกคนหนึ่งของวังจักษุภิรมย์ที่เสด็จพ่อของเขาทรงประทานให้มาเป็นมหาดเล็กคอยดูแลรับส่งท่านหญิงผ่องประภากระมัง แล้วนั่นก็คงเพิ่งจะรับเจ้าพี่หญิงของเขากลับมาจากบาร์ฝรั่งสักแห่ง หรือไม่ก็จากบ้านของพระสหายท่านหญิงสักคนที่จัดปาร์ตี้สังสรรค์กันในหมู่แวดวง

เป็นปกติที่ท่านหญิงผ่องเสด็จกลับถึงวังกลางดึกกลางดื่น ท่านชายจึงหมดสนพระทัย ทรงหันกลับมาทรงงานต่อ ทว่าสุ้มเสียงที่แว่วมากระทบกับพระโสตกลับทำให้ทรงหยุดชะงักลงเล็กน้อย

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ขับรถกลับบ้านก็ดูทางดีๆ นะคะ แล้วก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์มาส่ง เอาไว้คราวหน้าหญิงสัญญาเลยว่า จะเลี้ยงดริ๊งก์คุณเป็นการตอบแทน”

“อย่าถือว่าเป็นบุญคุณกันเลยครับ ในเมื่อผมเป็นฝ่ายอาสามาส่งท่านหญิงเองด้วยความเต็มใจ”

บทสนทนาเช่นนี้ไม่มีทางใช่นายอู๋ไปได้แน่…

เจ้าของเสียงทุ้มกว้างที่กำลังโต้ตอบอยู่กับท่านหญิงผ่องเป็นผู้ชาย ท่านชายทรงเดาว่าน่าจะเป็นเบต้าแน่ๆ เพราะไม่ทรงสัมผัสได้ถึงกลิ่นฟีโรโมนอัลฟ่าเลยสักนิดเดียว แต่นั่นก็ไม่สลักสำคัญเท่ากับอีกฝ่ายมิได้ใช้คำราชาศัพท์ทูลกับหม่อมเจ้าหญิงของวังอย่างสมควร

ท่านชายไม่ทรงแน่พระทัยว่าเจ้าพี่หญิงโปรดให้พระสหายใช้คำสามัญด้วยเป็นเรื่องปกติหรือไม่ แต่ที่ทรงรู้แน่คือชายคนนี้จะต้องคุ้นเคยกับเชษฐภคินีพอสมควรทีเดียว ถึงได้กล้าเพ็ดทูลโดยไม่ยำเกรงอย่างนั้น

“ทำไมถึงยังยืนตากน้ำค้างอยู่อีก รีบกลับขึ้นตำหนักซีครับท่านหญิง ประเดี๋ยวจะประชวรเอาได้ หากพวกบ่าวไพร่เกิดออกมาเห็นเข้าแล้วนำไปทูลฟ้อง ท่านหญิงจะเดือดร้อนนะครับ”

“หญิงไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอุตส่าห์มาส่งหญิง หญิงก็จะรอส่งคุณอยู่ตรงนี้แหละ พอคุณขับออกไปเมื่อไหร่หญิงก็ค่อยกลับขึ้นตำหนัก ส่วนพวกบ่าวไพร่ข้าหลวงก็เข้านอนกันหมดแล้ว ไม่มีใครออกมาเห็นหรอกค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมรีบกลับเลยดีกว่า ท่านหญิงจะได้ขึ้น ‘ทม ดึกมากแล้ว...กู๊ดไนท์นะครับ”

“กู๊ดไนท์ค่ะ”

เสียงติดเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ห่างไกลออกไป บ่งบอกว่าชายผู้นั้นขับพารถยนต์ของตนออกจากวังไปแล้ว

โชติภนวางดินสอลง เสด็จออกไปดักรอเชษฐภคินี ทูลถามด้วยแววพระเนตรคมที่ไม่ทรงปกปิดความเคลือบแคลงไว้อย่างใด

“ใครมาส่งเจ้าพี่หญิงหรือคะ ไม่ใช่นายอู๋ โชติไม่คุ้นเสียง”

หม่อมเจ้าผ่องประภาเสเนตรมองอนุชา ทรงนิ่งตรองสักพักก็รับสั่งปัดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ

“แล้วทำไมฉันต้องบอกตัวด้วยมิทราบ ไม่ใช่ธุระกงการของตัวเสียหน่อย”

แล้วก็ทรงเชิดพระพักตร์งามขึ้น โบกพระหัตถ์ไหวๆ ราวไล่หมูไล่หมา

“ไปไป๊ รีบหลบไปให้พ้นๆ หน้าฉันเสีย ฉันง่วง จะขึ้นไปหลับไปนอนสักที ดึกดื่นจนป่านนี้ตัวก็น่าจะหลับจะนอนได้แล้วเหมือนกัน ไม่ใช่มายืนเก้งกางเป็นนักเลงหัวไม้ ทำตัวใหญ่ตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นคอยขวางทางเดินคนอื่นเขาไปทั่วอย่างนี้ หัดรู้จักเวล่ำเวลาเสียบ้างเถอะโชติภน”

“โชติก็ไม่ได้อยากจะมารบกวนเวลาเจ้าพี่หญิงนักหรอกค่ะ แค่บังเอิญว่าทำงานอยู่ในห้อง แล้วก็ได้ยินเจ้าพี่กำลังรับสั่งกับใครสักคนอยู่ ไม่ใช่เสียงนายอู๋ โชติก็เลยสงสัยเท่านั้นเอง ถ้าหากไม่มีสิ่งใดผิดปกติเจ้าพี่ก็แค่ตรัสออกมาซีคะ ไม่เห็นต้องเชือนแชเฉไฉออกนอกทางอย่างนี้ ยิ่งทำให้ทรงมีพิรุธ”

“เอ๊ะ! นี่จงใจมาจับผิดฉันงั้นรึ” ท่านหญิงผ่องเริ่มกริ้ว ทรงขึงพระเนตรใส่อนุชาอย่างไม่สบพระอารมณ์สักเท่าใด “ร้อยวันพันปีฉันไม่เห็นตัวจะนึกมาสนใจว่าฉันจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรที่ไหนกับใคร แล้ววันนี้เกิดว้าวุ่นอะไรขึ้นมาละยะ นี่แน่ะโชติภน เพื่อนฉันออกเยอะแยะ มีรถมีรากันแทบทั้งนั้น ฉันก็แค่ให้เพื่อนมาส่ง ตัวจะมาสงสัยเรื่องอะไรนักหนา”

ท่านชายทรงจ้องอีกฝ่ายนิ่ง

“ถ้าเจ้าพี่หญิงยืนยันว่าเป็นเพื่อน โชติก็จะเชื่อตามนั้นค่ะ แต่เจ้าพี่ก็ต้องอย่าลืมด้วยนะคะว่าตัวกำลังจะเสกสมรสในอีกไม่ช้านี้กับพี่...กับคุณชายอังควรา จะไปไหนมาไหนกับผู้ชายพายเรือสองต่อสองอย่างนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องสมควรกระทำ”

“โฮ้ย! พูดมากเสียจริง พ่อคนนี้ ฉันจะแต่งงานแต่งการ แล้วต้องเลิกคบหาเพื่อนฝูงด้วยอย่างนั้นรึ เรื่องไร้สาระอะไรกันล่ะนั่น”

“มิได้ค่ะ โชติก็แค่อยากเตือนเจ้าพี่หญิงว่าไม่ควรออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนชายตามลำพังในยามวิกาลเท่านั้นเอง ไม่ได้ให้ทรงเลิกคบหากันไปเลยเสียหน่อย เจ้าพี่กำลังเป็นที่จับตา คนเขาก็น่าจะรู้กันทั่วแล้วนะคะว่าตอนนี้เจ้าพี่เป็นคู่หมายกับคุณชายอังควรา อีกไม่นานก็คงลงข่าวกันครึกโครม ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจะไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่เสื่อมเสีย แต่จะเดือดร้อนไปจนวังโน้นด้วย”

หม่อมเจ้าผ่องประภาทรงไหวพระอังสาราวกับสิ่งที่พระอนุชากำลังทูลมิใช่เรื่องที่ทรงใส่พระทัยเลยสักนิดเดียว

“ไม่ยักเคยเห็นตัวจริงจังอย่างนี้มาก่อน ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยคนวังโน้นมากเหลือเกินนะชายโชติ”

ท่านชายก็สวนกลับทันควัน

“โชติก็ห่วงทั้งหมดทุกคนนั่นแหละค่ะ ทั้งเสด็จพ่อ ทั้งเจ้าพี่หญิง ทั้ง…” ทรงชะงักค้าง สงวนถ้อยคำเอาไว้นิดหน่อยเมื่อคิดได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเหมาะสมสักเท่าใดหากจะทรงเอ่ยอ้างถึงคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้ จึงทูลต่อพระสุรเสียงอ่อนลง “...ทั้งคนวังโน้น”

ท่านหญิงทรงทำพระพักตร์ไม่รู้ไม่ชี้

“ช่างปะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ในเมื่อยังไม่ได้ตบแต่งกันเลยด้วยซ้ำ ก็เท่ากับยังโสดอยู่นั่นเอง จะไปไหนมาไหนกับผู้ชายสักกี่คนก็ไม่ได้ทำให้เสื่อมเสียกี่มากน้อย ตาคุณชายนั่นก็อีกอย่าง อยากแต่งงานกับฉันหรือก็คงจะไม่หรอก แต่มีปากไม่ยักปฏิเสธออกไป สู้ไม่มียังดีเสียกว่า แล้วถ้าหากจะหน้าบางคิดว่าฉันทำให้ต้องเสื่อมเสียไปถึง แล้วจะโทษใครได้เล่า ก็ตกปากรับคำจะมาแต่งกับฉันเองนี่นา”

กี่ปีผ่านไปก็ตาม แต่ท่านหญิงผ่องก็คือท่านหญิงผ่องไม่เคยผิดเพี้ยน หม่อมเจ้าโชติภนถอนหายพระทัยเฮือกใหญ่ เพราะทรงทราบดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายก็ทรงเอาแต่องค์เป็นที่ตั้งอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเมื่อตอนยังทรงพระเยาว์ ด้วยเป็นพระธิดาองค์แรกและองค์เดียวของหม่อมลออ หม่อมท่านก็เลยประคบประหงมราวกับแม่กากกไข่ ตามพระทัยสารพัดอย่าง รู้ตัวอีกทีก็ไม่อาจตักเตือนหรือห้ามปรามสิ่งใดกับลูกสาวของตนได้เลย แล้วโชติภนที่ทรงเป็นเพียงอนุชา ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปรานสักเท่าใดอีกด้วย ไม่ว่าจะทูลอย่างใดออกมาท่านหญิงผ่องก็ทรงทำราวกับลมเพลมพัดผ่านพระเนตรพระกรรณไปอย่างไม่ได้ใส่พระทัยจะรับฟัง จะเริ่มพระกรรณดีขึ้นได้บ้างก็ต่อเมื่อทรงถูกผู้เป็นน้องค่อนแคะเอาเท่านั้น

ดังเช่นคราวนี้ที่พอคล้อยพระขนองท่านหญิงผ่องเพียงแค่วอบแวบ โชติภนก็ทูลขึ้นด้วยสุรเสียงหนักแน่น โดยตั้งพระทัยให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

“แต่โชติกลับคิดอย่างนี้นะคะพี่หญิงผ่อง ว่าคนที่เขาคิดดีทำดีจริงๆ เขาคงไม่ทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยต้องมาเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากปฏิเสธกับผู้ใหญ่ท่านตรงๆ ขนาดตัวเองยังขัดคำพระบัญชาของพระบิดาไม่ได้ แล้วจะหวังให้คนอื่นทำได้ยังงั้นรึ ตลกพิลึกนะว่าไหม อ้อ! แต่โชติไม่ได้ว่าเจ้าพี่หรอกนะคะ แค่อยากทูลให้ฟังเฉยๆ เท่านั้นเอง” ท่านชายไม่ทรงรอฟังว่าเชษฐภคินีจะตรัสสิ่งใดตอบกลับ ทรงไหวพระอังสาอย่างจงใจยั่วประสาทอีกฝ่าย และเสด็จกลับเข้าห้องทรงงานทันทีเพื่อทำแบบต่อจนเสร็จ แต่ไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายคงกริ้วจนองค์สั่นทีเดียว

ปกติแล้วหม่อมเจ้าชายโชติภนก็ไม่ทรงเป็นคนปากบอนเช่นนี้หรอก แต่ที่ทรงทำให้ระงับพระวาจาเอาไว้ไม่อยู่ก็เมื่อนึกถึงพี่ชายตัวขาวที่ทรงเคยสนิทสนมด้วยเมื่อครั้งยังเยาว์วัย โดยอีกฝ่ายอาจเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ เพราะการกระทำของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาเอง



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

อ้างถึง
#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:38:16 โดย doubleM »

ออฟไลน์ Hnggnh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากให้พี่ชายตัวขาวกับน้องตี๋อ้วนเจอกันอีกกก จักกะจี้หัวใจมากๆๆๆ
แต่งละเอียดมากๆเลยค่ะ สุดยอดเลย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ช่างเป็นบ้านที่สปอยลูกสาว สงสารคุณชายตัวขาว รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
๒.๕
แสงเทียน


หลังจากคืนนั้นทั้งสองพี่น้องก็ไม่ได้รับสั่งถึงเรื่องใดกันอีกสักเท่าใด เพราะโชติภนเองก็ทรงทำเงียบเชียบไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น และหาได้ทูลถามถึงสารถีหนุ่มเบต้าผู้นั้นจากเจ้าพี่หญิงของเขาอีกเลย

ทว่าถึงอย่างนั้น เขาก็ทรงรับรู้ได้อยู่ดีว่าตอนนี้กำลังถูกพระเชษฐภคินีจับจ้องมองดูอยู่ตลอดเวลาราวกับจับยามสามตาก็มิปาน ดูแต่ที่อีกฝ่ายทรงคอยแต่จะดำเนินเฉียดองค์เข้ามาใกล้ๆ กับบริเวณที่เขากำลังพำนักอยู่ แม้ว่าจะไม่ทรงพาทีด้วยสักเท่าไรนักกับผู้เป็นอนุชาก็ตามที นอกจากนี้แล้ว ท่านชายก็ทรงสังเกตเห็นอีกด้วยว่าหม่อมเจ้าผ่องประภาทรงอยู่ติดวังมากขึ้นกว่าเก่า มิได้ทรงเสด็จเที่ยวเล่นเหมือนเช่นเคยมาหลายวันมากแล้ว จนสามารถบอกได้ว่าเขาเห็นพักตร์พี่สาวจนเบื่อหน่ายทีเดียว และอีกฝ่ายเองก็คงคิดไม่ต่าง เพราะเมื่อใดที่ทั้งสององค์เกิดการปะทะจนไม่สามารถเลี่ยงบทสนทนากันได้ เจ้าพี่หญิงก็จะทรงถลึงพระเนตรออกโอษฐ์ไล่พร้อมก่นด่าสั้นๆ ห้วนๆ ด้วยสุรเสียงขึ้นพระนาสิกไม่ชวนให้สดับรับฟัง ดังเช่นว่า “น่ารำคาญเป็นบ้า” “ไสหัวไปไกลๆ อ้ายลูกเจ๊ก” และ “รีบๆ ไปให้พ้นเสีย ฉันไม่อยากเห็นหน้าตัว” ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องปกติของท่านอยู่นั่นเอง ท่านชายจึงมิได้ทรงถือสาหาความแต่อย่างใด ซ้ำยังมีพระอารมณ์ขำขันตอบกลับอย่างสัพยอกอีกต่างหาก

และที่ท่านหญิงผ่องประภาดูจะโปรดใกล้ชิดกับผู้เป็นพระอนุชาอย่างเขามากมายเหลือเกินในยามนี้ ท่านชายโชติภนก็ทรงคาดเดาว่าคงเป็นเพราะเจ้าพี่หญิงทรงมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอ่านการใดอยู่กันแน่ จึงทรงกลัวว่าเขาจะนำความเมื่อคืนนั้นไปทูลฟ้องเอาได้ละมัง เลยต้องคอยดูเชิงไว้เพื่อระแวดระวังทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเสวยในแต่ละวัน ทั้งเช้า ทั้งเย็น ตกอยู่ในความสงบเงียบเสียจนน่าผิดสังเกต เพราะหม่อมเจ้าชายและหญิงประจำพระตำหนักไม่ทรงมีปากมีเสียงกันดังเช่นทุกคราว ทั้งๆ ที่ตามแต่ปกติ ไม่พี่ก็น้องจะต้องคอยปีนเกลียวกันอยู่เนืองๆ ค่ำนี้ก็เช่นกัน หม่อมลออกับหม่อมสุ่นช่วยกันตระเตรียมสำรับอาหารอันประกอบด้วย แกงรัญจวน กะปิพล่ากับผักทอดแนม และไข่ลูกเขย ก็เสวยกันอย่างเงียบๆ ไม่ทรงส่งเสียงกันเลยสักแอะเดียว เสด็จพ่อของท่านชายและท่านหญิงที่ทรงเมียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีมานานหลายวันก็ทรงตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงระอาเต็มทน

“น่ากลัวลูกๆ บ้านนี้จะบ้าใบ้กันไปหมดแล้วกระมัง เงียบเสียจนนึกว่านั่งรับข้าวอยู่คนเดียวกลางป่าช้า”

ทั้งหม่อมลออ ทั้งหม่อมสุ่นที่วันนี้มาร่วมโต๊ะเสวยกับสวามีและลูกเลี้ยงด้วยก็ชำเลืองมองทางท่านชายท่านหญิงทั้งสององค์

ท่านหญิงผ่องทรงเงยพระพักตร์งามขึ้นเล็กน้อย ลอบสังเกตสังกาหม่อมเจ้าชายผู้น้องอยู่สักพักว่าจะทรงมีท่าทีเช่นไรบ้าง ซึ่งโชติภนก็มิได้สนพระทัยเจ้าพี่หญิงของเขาสักนิด

ทรงทูลตอบกับพระบิดาอย่างเจื้อยแจ้ว

“เงียบงั้นหรือกระหม่อม? โชติว่าโชติก็ทำตัวปกติเหมือนอย่างทุกวันนะเด็จฯ พ่อ แค่ทำงานจนเหนื่อยเลยไม่ค่อยอยากพูดจาปราศรัยเท่านั้นเอง” ท่านชายทรงทำทีราวกับกำลังครุ่นคิดกับองค์เอง “เอ… หรือฝ่ายที่ผิดปกติอาจจะเป็นพี่หญิงผ่องกระหม่อม โชติว่าช่วงนี้เจ้าพี่หญิงทรงเงียบๆ ไปนะคะ แถมยังไม่ยักจะออกเที่ยวเล่นกับพระสหายเหมือนทุกทีอีกด้วย ทรงดูแปลกพิลึก น่ากลัวจะไม่สบาย ไปหาหมอสักหน่อยดีไหมคะเจ้าพี่”

ท่านหญิงผ่องทรงได้ยินดังนั้นก็ทำขึงขัง สวนกลับทันควัน

“ฉันปกติดี แค่ไม่มีธุระปะปังจะต้องพูดจากับตัวก็เท่านั้น เลิกจับผิดกันสักทีได้ไหมโชติภน”

“ชะอ้าว แล้วตัวจะมากริ้วใส่เขาด้วยเรื่องอะไรกันละเนี่ย เขายังไม่ทันได้ทำอะไรให้ตัวเลยนาผ่องประภา ก็แค่พูดตามที่เห็นเท่านั้น จับผ่งจับผิดอะไรที่ไหนกัน คนไม่ได้ทำสิ่งใดผิดจะต้องกลัวถูกจับผิดทำไมเล่า”

พอสิ้นถ้อยคำของผู้เยาว์ชันษากว่า ท่านหญิงผ่องก็ทรงชะงักองค์เล็กน้อย เพราะทรงดำเนินติดกับดักขององค์เองเข้าอย่างจัง

แต่โชคยังดีที่เสด็จพระองค์ชายวังจักษุฯ มิได้ทรงสังเกต ซ้ำยังทรงตรัสกับธิดาอย่างปรามๆ

“จริงของน้องมันนาหญิงผ่อง ตี๋อ้วนมันก็แค่เป็นห่วงเป็นใยพี่สาวเท่านั้น ก็เลยถามไถ่ดีๆ เธอจะพูดจาดีๆ กับน้องมันบ้างไม่ได้เลยหรือ”

หม่อมเจ้าผ่องประภาแค่นพระสรวลน้อยๆ สายพระเนตรคมวาวแฝงด้วยความหยิ่งยะโสส่องประกายเย้ยหยันขณะทรงจ้องพระอนุชา

“ถ้าเรื่องนั้นหญิงว่าหญิงขอผ่านดีกว่าเพคะ ยังไงๆ กับลูกชายคนนี้ของเสด็จพ่อ ไม่ว่าใครต่อใครก็พร้อมจะเคารพนบนอบพูดดีทำดีด้วยวันยันค่ำนี่นา ต่อให้ไม่รวมหญิงเข้าไปสักคนก็คงไม่ต่างจากเดิมมากเท่าใดนักหรอก… อย่างไรก็คงไม่มีทางเปลี่ยนตำแหน่งลูกรักจากนี้ไปได้ แล้วหญิงก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าหากต่อไปมรดกพกสถลกว่าครึ่งของเสด็จพ่อจะตกเป็นของอ้ายลูกเจ๊กนี่ทั้งหมด”

“อุบ๊ะ! ลูกคนนี้มันกระไรกันนักนะ ช่างขยันพูดจาเสียดหูฉันดีจริงๆ พอเลยแม่ผ่องประภา ฉันไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับแกแล้ว จะว่าไปถ้าช่วงนี้แกก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน วันพรุ่งก็คงจะว่างเหมือนกันซีนะ ถ้าเช่นนั้นตอนสายๆ ออกไปวังเทวพงษ์พิศาลกับฉัน ทักทายชายอังเขาเสียหน่อย จะตบจะแต่งกันอยู่ไม่นานนี้แล้วก็ไปทำความรู้จักสนิทสนมกันไว้ แค่พูดคุยไม่เสียหายกระไร พอถึงวันจริงจะได้ไม่ประหม่า”

หม่อมเจ้าชายโชติภนถึงกับทรงสะดุ้งองค์เล็กน้อย หลังจากเสด็จพ่อทรงตรัสถึงชื่อของบุคคลที่ทำให้พระอารมณ์ของเขาอ่อนไหวอย่างน่าพิศวลได้อยู่เนืองๆ ในทุกคราวที่ได้ยิน โดยเฉพาะกับในเวลานี้ที่ทรงรู้สึกแปลกประหลาดอย่างไรบอกไม่ถูก เพราะชื่อนั้นทำให้ท่านชายทรงมีปฏิกิริยารุนแรงมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน ประหนึ่งอยู่ๆ ก็ทรงได้กลิ่นหอมหวานชื่นใจของดอกแก้วที่เคยได้สัมผัสจากตัวอีกฝ่ายลอยคละคลุ้งมาตามอากาศ เสมือนพี่ชายอังกำลังเคลื่อนไหวอยู่ชิดใกล้อย่างไรอย่างนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่ามันช่างประหลาดอย่างไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเพราะเหตุใดกันแน่ ก็คือการที่ฉันเพิ่งจะผ่านหลั่งมาไม่นานแท้ๆ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ช่วงฤดูติดสัดเลยด้วยซ้ำ แต่เพียงนึกถึงกลิ่นหอมเย้ายวนนั่น ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองจะสามารถหลั่งได้ง่ายๆ เสียอย่างนั้น

...กับคนที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นอัลฟ่า แต่มีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกถึงกลิ่นฟีโรโมนของพวกเดียวกันเลยแต่น้อยนิด


และถึงแม้พระทัยของท่านชายจะระรัวสั่นไหวมากมายเพียงใด ท่านชายก็ทรงพยายามวางองค์เฉยเมยเพื่อไม่ให้ใครมาจับสังเกตความผิดปกติอย่างใดได้ พร้อมด้วยทรงทอดเนตรมองท่านหญิงพี่อย่างสนพระทัยว่าอีกฝ่ายจะทรงมีท่าทีตอบกลับบิดาอย่างไรบ้าง

“วันพรุ่งหรือเพคะ?” ท่านหญิงผ่องประภาทรงรวบช้อนส้อมเข้าหากัน ดื่มพระสุธารสน้ำสะอาดจากแก้วเจียระไนราคาแพง ก่อนจะทูลตอบอย่างไม่สนอีร้าค่าอีรมใดๆ ว่า “พอดีวันพรุ่งหญิงไม่ว่างเพคะ มีนัดกับเพื่อนที่ศาลาเฉลิมไทย ไปดูหนัง”

“เอ๊ะแม่คนนี้ อยู่ว่างมาได้ตั้งหลายวัน พอฉันชวนออกข้างนอกเข้าหน่อยก็ดันมามีธุระปะปังเลยเทียว”

เสด็จทรงส่ายพระเศียรน้อยๆ อย่างระอา บ่นอุบอิบใส่ธิดาไปอย่างนั้น มิได้ทรงเก็บมากริ้วอย่างเป็นจริงเป็นจัง ขณะที่ท่านชายโชติภนกลับทรงนิ่งงันนิดหน่อย ตรึกตรองบางอย่างกับองค์เอง เพราะทรงยังจำได้แม่นว่าท่านหญิงผ่องประภาพระเชษฐภคินีไม่ได้โปรดกิจกรรมดูหนังดูละครตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ขนาดกับโทรภาพในห้องนั่งเล่นของหม่อมลอออันเป็นของทันสมัยในยุคนี้ เจ้าพี่หญิงของเขาก็ไม่เคยแตะต้องมันเลยสักคราว จึงทรงเห็นว่าการที่อีกฝ่ายมีนัดไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์กับพระสหายอย่างนั้นย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดา แต่จะทรงมามัวสงสัยไปไย ในเมื่อท่านชายทรงมีวิธีหาคำตอบได้ด้วยองค์เองอยู่แล้ว

เขายิงพระทนต์ขาว ทูลกับท่านหญิงพี่เสียงใสราวกับไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงว่า

“เดี๋ยวก่อนเจ้าพี่ ตัวจะออกไปศาลาเฉลิมไทยวันพรุ่งอย่างนั้นหรือ ถ้างั้นก็ออกไปพร้อมกันเสียเลยซี พอดีมีธุระแถวๆ ย่านผ่านฟ้า นัดเขาตรวจแบบโรงแรมเอาไว้น่ะ”

“แล้วทำไมฉันต้องไปกับตัวด้วยมิทราบ มหาดเล็กฉันก็มี ต่างคนต่างไปซียะ จะได้ไม่ต้องเบียดเสียด”

ท่านชายเลิกขนงขึ้น พยายามไล่เลียงต่อ

“ก็แล้วทำไมตัวถึงไม่มาร้องขอแกมบังคับกลายๆ ให้เขาขับรถไปส่งเหมือนอย่างตอนไปลานลีลาศเล่า จะได้ไม่ต้องไปรบกวนนายอู๋เขา แล้วก็ไม่ต้องเปลืองน้ำมันเครื่องอีกด้วย อีกอย่างเราสองคนก็ไปละแวกเดียวกันไม่ใช่รึ เอารถออกหนึ่งคันกับเอารถออกสองคันอย่างไหนจะประหยัดได้มากกว่ากัน ต่อให้จะมั่งมีสักขนาดไหนก็ต้องหัดเป็นคนมัธยัสถ์บ้างนาเจ้าพี่หญิง” จากนั้นก็ทรงหันไปแย้มรอยพระสรวลกว้าง ทูลถามความเห็นจากเสด็จพ่อ โดยไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ หรอก เพียงหาฝักหาฝ่ายอยู่นั่นเอง “เด็จฯ พ่อทรงคิดอย่างไร โชติควรขับไปส่งพี่หญิงผ่องก่อนไปส่งแบบตรวจไหมกระหม่อม”

พระบิดาก็ทรงเห็นดีกับโอรสองค์โปรด

“ฟังเจ้าตี๋อ้วนพูดเข้าที หัดประหยัดอดออมเสียบ้างเถิดหญิงผ่อง เหลือรถยนต์เอาไว้ที่นี่สักคัน แล้วก็ให้อ้ายอู๋มันอยู่ทางนี้อีกแรง เผื่อว่าแม่ลออหรือหม่อมตำหนักอื่นๆ จำเป็นต้องเรียกใช้สอยรับส่งที่ไหน ส่วนเธอก็ให้น้องมันขับรถไปส่ง อย่างไรก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้วนี่ มันจะเบียดเสียดกระไรนักหนา ที่ทางมีนั่งออกตั้งกว้าง”

โชติภนผงกเศียรหงึกหงัก ทรงเอ่ยผสมโรงเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“อ้อ! นอกจากจะต้องหัดเป็นคนประหยัดแล้ว ก็ต้องหัดเป็นคนมีน้ำใจด้วยเหมือนกันนาผ่องประภาเอ๋ย”

ฝ่ายท่านหญิงพี่ทรงขบพระทนต์แน่น และไม่ทรงเอ่ยต่อปากต่อคำอันใดอีก เพราะถึงอย่างไรพระบิดาก็ทรงเข้าข้าง ‘พ่อยอดขมองอิ่ม’ จนแล้วจนรอด ดูแต่เมื่อท่านชายทรงกล่าวกระแนะกระแหนผู้เป็นเชษฐภคินีจบ เสด็จก็ทรงพระสรวลออกมาเสียงดังลั่นทันควันด้วยความชอบพระทัยเป็นล้นพ้น ท่านหญิงก็เลยได้แต่จ้องพักตร์อนุชาเขม็งอย่างนั้น พอถูกมองตอบก็ขึงเนตรใส่อย่างไม่ปิดบังความหมั่นไส้แต่น้อยนิด แต่ก็เป็นอันว่าทรงจำพระทัยยอมติดรถไปกับอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้ ดังนั้นท่านชายจึงขยับโอษฐ์บางทูลด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลอย่างน่าสดับฟัง

“สิบโมงเช้าล้อเคลื่อนนะคะเจ้าพี่ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด”




(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:38:54 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
หม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาทรงเป็นคนเอาแต่พระทัยก็เห็นจะจริงอยู่ดังนั้น หากทว่าก็หาใช่คนไม่ตรงต่อเวลา ถึงจะทรงกระฟัดกระเฟียดฟาดงวงฟาดงาใส่ท่านชายผู้เป็นน้องอยู่เนืองๆ แต่พอสิบโมงตรงปุบ ท่านก็ทรงปรากฏองค์ตรงบริเวณที่จอดรถยนต์ทรงของพระบิดา ข้างๆ กับองค์พระตำหนักส่วนกลาง อันมีรถยนต์ตราฝรั่งจอดเรียงรายกันเป็นลำดับอยู่สามคัน ทั้งตราเมอร์เซเดสเบนซ์ ไปจนคาดิลแล็ค เอลโดราโด้ ซึ่งล้วนแต่มีราคาแพงหูฉีก ส่วนคันที่ท่านชายทรงนำมาประจำพระองค์อยู่ตอนนี้ก็คือเมอร์เซเดสเบนซ์สีแดงสด แต่เมื่อไม่นานนี้เสด็จพ่อของท่านชายก็ทรงมีรับสั่งอยู่เรื่อยๆ ว่าโปรดจะนำเข้าคันใหม่มาให้โอรสทรงใช้เพื่อรับขวัญท่านชายที่ทรงกลับมาประทับอยู่ด้วยกัน

ท่านชายทรงสวมฉลององค์เสื้อโปโลสีแดงเลือดหมู พระสนับเพลา* สแล็คสีดำสนิท และฉลองพระบาทหนังยี่ห้อดังประทับยืนพิงรถรออยู่ก่อนแล้ว

ทรงเลิกขนงขึ้นนิดหน่อยหลังจากเพ่งพิศมองท่านหญิงผู้เป็นพี่คล้ายกับกำลังทรงพินิจพิเคราะห์ถึงบางอย่าง วันนี้ท่านหญิงผ่องทรงสวมฉลององค์สีฉูดฉาดงดงามตามแบบสมัยนิยม เกล้าพระเกศาดำขลับขึ้นสูง ผัดพระพักตร์นวลผ่องเป็นยองใย พวงพระปรางเนียนละเอียดราวผิวเด็กทารกทาสีชมพูระเรื่ออ่อนหวาน แต่งแต้มกลีบโอษฐ์เป็นสีชมพูอ่อนอีกเช่นกัน…ซึ่งตามจริงแล้วท่านหญิงพี่ก็ทรงแต่งองค์ทรงเครื่องสะสวยอยู่ทุกวี่วัน แม้ว่าจะประทับอยู่แต่กับวังโดยไม่เสด็จออกไปที่ใดก็ตาม เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตท่านชายก็ทรงปล่อยผ่าน (*NOTE : กางเกง)

“นี่ ชายโชติ”

ท่านหญิงพี่รับสั่งเรียบๆ เรียกอนุชาหลังจากบ่ายตัวรถออกมาจากเขตวังได้ระยะหนึ่ง ภายในห้องโดยสารยามนี้มีเพียงท่านหญิงกับท่านชายอยู่ด้วยกันแค่สององค์เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องระมัดระวังพระวาจา ท่านชายเหลียวดวงเนตรดารามองเจ้าหญิงผู้พี่ที่ทรงนั่งอยู่บนเบาะประทับข้างๆ องค์ ขานรับเสียงนุ่ม

“ว่าไงคะเจ้าพี่?”

“ฉันอยากพูดกับตัว เรื่องเมื่อคืนนั้น…” ทรงเปิดประเด็นขึ้นทันใด ท่านชายเองก็ทรงพระสรวลน้อยๆ อย่างทันควัน เพราะทรงทราบอย่างดีกว่าอีกฝ่ายทรงกำลังหมายถึงเมื่อคืนไหน ทว่าก็มิได้หันมองคู่สนทนา ดวงพระเนตรเรียวรียังจับจ้องยังท้องถนนที่การจราจรยามนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน “...หลังจากคืนนั้นมันก็ผ่านมาหลายวันมากแล้ว ถ้าหากตัวคิดทูลฟ้องกับเสด็จพ่อจริงๆ ก็คงจะทำไปแล้วเสียตั้งนาน แต่นี่ก็ยังคงอมพะนำเอาไว้อยู่ นี่แน่ะโชติภน ไม่ว่าตัวจะกำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม ฉันไม่ใคร่สนใจเลยสักนิดเดียว แต่ขอให้เลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันเสียที ตัวทำได้ไหม”

เพียงแค่หันไปสบสายเนตรที่เต็มไปด้วยความรำคาญพระทัยของหม่อมเจ้าหญิงผ่องประภา ก็ราวกับเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจท่านหญิงพี่ขึ้นมาในพระอุระของท่านชาย

ทรงนึกตรองดูอีกทีว่าถ้าหากเป็นองค์เองกำลังคบหาดูใจกับใครสักคนหนึ่งอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ทรงถูกพวกผู้ใหญ่จัดแจงคู่หมั้นคู่หมายมาให้จนเสร็จสรรพโดยไม่ได้เต็มพระทัยเลยสักน้อยนิด ท่านชายก็ทรงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทรงหาทางออกให้กับเรื่องนี้อย่างไร จึงเป็นการดีกับทั้งองค์เอง กอปรกับคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย หากทว่าพอนึกไพล่ไปถึงหม่อมราชวงศ์อังควรา...รายนั้นเองก็น่าเห็นใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หรืออาจจะมากยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใดด้วยเลยกับวีรกรรมแสนอื้อฉาวของท่านหญิงผ่อง กลับต้องมารับเคราะห์เข้าเต็มๆ อยู่นั่นเอง และคุณชายพระลอร่างขาวก็คงไม่อาจขัดพระบัญชาของท่านชายสถิตคุณผู้เป็นลุงแท้ๆ อย่างไรได้ ส่วนหม่อมเจ้าสถิตคุณเองเมื่อเสด็จวังจักษุฯ ทรงมีพระประสงค์ลงไป ก็ไม่อาจจะทรงขัดพระทัยท่านได้เช่นกัน

หม่อมเจ้าโชติภนทรงใช้ความคิดอย่างเงียบๆ ขณะกำลังเหยียบคันเร่งวิ่งเลียบตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาในยามสาย และทรงนึกกับองค์เองได้ว่าถึงอย่างไรเขาก็คงอดรนทนไม่ได้แน่ ถ้าหากท่านหญิงผ่องทรงสร้างเรื่องอื้อฉาว จนกลายเป็นที่ครหาอยู่ทั่วไปขึ้นมาอีกครั้ง โดยคราวนี้จะต้องกระทบกระเทือนจนถึงชื่อเสียงของคุณชายอังควราผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างแน่นอน ท่านชายทรงรวดร้าวภายในดวงหฤทัย เพราะเพียงแค่คิดว่าใครต่อใครจะต้องนำชื่อของพี่ชายตัวขาวที่เขาเฝ้าโอบถนอมเสมอมาไปนินทาว่าร้ายอย่างเสียๆ หายๆ แต่ก็จนปัญญาจะทรงช่วยเหลือได้มากกว่านี้ ท่านหญิงผ่องประภาทรงดื้อรั้นมากเหลือเกิน ไม่ฟังทั้งเขาหรือใครหน้าไหนทั้งสิ้น

ดังนั้นเมื่อทรงเลือกได้ว่าจะฝักใฝ่ฝ่ายใดมากกว่ากัน หากทว่าก็ไม่โปรดให้อีกฝ่ายคิดว่าทรงตั้งองค์เป็นปฏิปักษ์ด้วย เพราะแม้ว่าจะประสูติจากคนละหม่อมมารดา แต่ถึงอย่างไรท่านหญิงผ่องประภาก็ทรงเป็นถึงพระเชษฐภคินีแท้ๆ อยู่ดี ท่านชายจึงถอนพระอัสสาสะเล็กน้อย ต่อให้อยากตักเตือนมากอย่างไร แต่ด้วยอีกฝ่ายทรงเป็นคนเตือนไม่ฟัง ซ้ำยังจะยิ่งทำตามสิ่งที่ห้าม ก็เลยเพียงแต่เหลือบดวงเนตรดาราจับจ้องเจ้าพี่หญิง จากนั้นก็ทูลด้วยสุรเสียงอ่อนลงกว่าทุกคราว

“ไม่มีอะไรให้ฟ้องสักหน่อยนี่คะ แล้วเจ้าพี่หญิงจะให้โชติทูลฟ้องยังไงได้ ก็ในเมื่อเจ้าพี่ทรงเป็นคนรับสั่งเองว่าเพื่อนขับรถมาส่ง ถ้าขืนทูลกับเด็จฯ พ่อออกไป ท่านจะไม่งงแย่หรือว่ากับแค่พระสหายของเจ้าพี่ขับมาส่งถึงหน้าวังกลางดึกกลางดื่น แล้วจะต้องมาทูลบอกกับท่านทำไม หรือว่าเจ้าพี่ทรงคิดว่าอย่างไรคะ”

ฝ่ายถูกย้อนถามก็ทรงเงียบอั้นราวกับกำลังอึ้ง เพราะทรงระแวงมาจนตลอดหลายวันว่าหม่อมเจ้าผู้อ่อนชันษากว่าจะนำความขึ้นกราบทูล จึงไม่ทรงคิดเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะทรงตอบกลับมาเช่นนี้

และเมื่อทรงนึกถึงถ้อยคำที่ทรงตรัสกับอนุชาไปมากมายเมื่อครู่นี้ วงพักตร์งดงามของท่านหญิงผ่องก็ราวกับถูกสีแดงฉีดใส่จนกลายเป็นสีมะเขือเทศสุก เพิ่งจะรู้สึกองค์ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ว่าทรงตีตนไปก่อนไข้ จนเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อทำให้ท่านหญิงในยามนี้เสมือนว่าเพิ่งทรงสารภาพออกมากลายๆ ว่ากับสารถีหนุ่มเบต้าผู้นั้น หาใช่เพียงแค่พระสหายธรรมดาๆ เหมือนที่เคยรับสั่งไว้แต่อย่างใด

ถึงกระนั้นท่านหญิงผ่องก็ยังทรงพยายามพระทัยแข็ง เงียบเชียบ ไม่ปริโอษฐ์ออกมาแม้สักแอะ ท่านชายทรงเห็นท่านหญิงพี่เงียบกริบไปก็มิได้ทรงเซ้าซี้ ก่อนจะทูลถามเรื่องอื่น

“ตัวจะให้เขาจอดส่งตรงไหน หน้าศาลาเฉลิมไทยเลยไหม”

“อือ” ท่านหญิงผ่องทรงพึมพำแทนการตอบ แต่ก็มียังบางสิ่งบางอย่างรบกวนพระทัยของท่านอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะตรัสถามออกไป “แล้วนี่ตัวมีนัดแถวย่านผ่านฟ้าจริงๆ น่ะรึ ไม่ใช่ว่าตู่หาเรื่องออกมาจับผิดฉันหรอกนา”

โชติภนถอนพระอัสสาสะอีกรอบ สรวลน้อยๆ ทูลตอบปฏิเสธอีกฝ่าย แต่ในแววพระเนตรที่กำลังจ้องมองกลับแฝงความรู้เท่าทันไว้แนบเนียน

“เฮ้อ...ตัวก็แค่ออกมาดูหนังกับเพื่อนไม่ใช่รึ ไม่ได้ออกมาทำเรื่องไม่ดีไม่งามกระไรเสียหน่อยนี่นา แล้วทำไมต้องคิดว่าเขาจะหาเรื่องตามตัวออกมาด้วยเล่า เขานัดลูกค้าเอาไว้ที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งละแวกนั้นต่างหสก แบบโรงแรมก็อยู่บนเบาะหลังนั่น จะทรงเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่”

เมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงยืนกรานกลับมาดังนั้น หม่อมเจ้าผ่องประภาก็ไม่ทรงกล้าตรัสถามถึงสิ่งใดต่อไปอีก เพราะยิ่งรับสั่งมากเท่าใดก็ยิ่งเผลอปล่อยไก่หลายตัวมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งรถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนมาจอดตรงหน้าโรงหนังศาลาเฉลิมไทยที่ผู้คนร้อยพ่อพันแม่พลุกพล่าน เจ้าพี่หญิงทรงพึมพำกล่าวคำลากับผู้ขับมาส่ง ก่อนจะก้าวชงฆ์ลงจากเบาะประทับ โดยไม่ทรงสังเกตสักน้อยนิดว่าพระอนุชาเรียลอัลฟ่าได้เสด็จตามลงมา พร้อมด้วยแผนการบางอย่างที่ทรงคิดวนเวียนภายในเศียรอยู่นั่นเอง จนได้พบกับคู่นัดหมายของเจ้าพี่หญิงที่กำลังยืนกางหนังสือพิมพ์อ่านรออยู่ตรงรถยนต์ตรามอร์แกนคันดำสนิท แต่งตัวโก้หรูด้วยชุดสูทตัดเย็บอย่างประณีตจากห้องเสื้อมีระดับ

ทรงเพ่งพิศมองหน้าค่าตาอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา รูปร่างหุ่นห้างของคนตรงหน้านั้นสูงใหญ่สะโอดสะโองไม่ทิ้งห่างกับรูปร่างของท่านชายสักกี่มากน้อย อีกทั้งดวงตาเชื่อมปรอยอันซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตายาวนั่นก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนล้อมกรอบนัยน์ตาดำผิดแผกคนเอเชีย จึงเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเชื้อฝรั่งผสมอยู่ด้วยกระมัง

หม่อมเจ้าหญิงผ่องประภาทรงดำเนินชดช้อยพร้อมด้วยโบกพระหัตถ์เข้าทักทายชายตรงเบื้องพักตร์ สีพระพักตร์ของท่านดูแช่มชื่นขึ้นทันตา ผิดจากเมื่อประทับอยู่บนรถกับท่านชายราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วด้วยท่านหญิงผ่องทรงคอยสนพระทัยแต่เพียงบุรุษลูกครึ่งผู้นั้น ก็เลยไม่ทรงตั้งหลักทัน จนเผลอตกพระทัยวูบ และหลุดเสียงกรี๊ดเบาๆ เมื่ออยู่ๆ ก็ทรงถูกท่านชายผู้เป็นน้องคว้าข้อพระกร พร้อมกับเหนี่ยวรั้งพระวรกายโปร่งระหงเข้าโอบกอดแนบแน่นสุดเรี่ยวแรงเรียลอัลฟ่า ก่อนจะทรงประทับเรียวโอษฐ์บางลงกับปรางนวลอ่อนลออ ท่ามกลางสายตาหลายสิบของเหล่าผู้คนน้อยใหญ่ที่หันขวับมาสนใจจับจ้อง เสร็จแล้วก็ผละออกมาแย้มรอยพระสรวลแสนขี้เล่น ทูลเสียงดัง ชัดถ้อยชัดคำ หวังให้หนุ่มเบต้าผู้นั้นได้สดับฟังอย่างชัดเจน

“ดูหนังกับ ‘เพื่อน’ ของตัวเสร็จแล้ว ก็รีบตรงกลับวังทันทีเลยนะคะผ่องประภา อย่ามัวแต่ไถลเทียวล่ะ เขาคิดถึง”

จริงอยู่ที่ฉันไม่เคยเห็นด้วยเลยกับเรื่องคลุมถุงชนแสนคร่ำครึอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรพี่หญิงผ่องก็ทรงมีคู่หมายของเธออยู่แล้ว ในเมื่อการจะหยุดยั้งการกระทำแสนอื้อฉาวของเจ้าพี่หญิง มันยากพอๆ กับการหยุดรถไฟไว้ด้วยมือเปล่า งั้นก็ช่างมันปะไร ให้เจ้าพี่มาเป็นข่าวอื้อฉาวกับฉันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสีย เพราะฉันเองก็อยู่เมืองนอกเมืองนามานาน ไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตาทั้งนั้น และถึงเป็นข่าวอย่างไร แต่ความจริงแล้วฉันก็เป็นแค่น้องชายวันยันค่ำ ไม่มีตรงไหนเสียหายสักหน่อย

ส่วนพ่อหนุ่มเบต้าครึ่งฝรั่งคนนั้น มองจากสีหน้าท่าทางก็เอาเรื่องอยู่ไม่น้อยทีเดียว พี่หญิงผ่องคงจะต้องเคลียร์กับเขาอีกยาวเลยเทียว เจ้าพี่เป็นคนไม่ชอบเรื่องราวยุ่งยากพระทัย ก็อาจจะทำให้ทรงรำคาญ จนสุดท้ายก็ต้องสลัดรักพ่อหนุ่มขี้หึงคนนั้นทิ้งไปไม่ไยดีก็เป็นได้

ได้แหย่ให้พี่หญิงผ่องทรงหัวเสียเล่น ได้ปกป้องชื่อเสียงของพี่ชายอัง ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เพียงแค่นี้ก็สบายใจไปอีกหนึ่งเปราะ


หม่อมเจ้าชายโชติภนทรงคิดทบทวนด้วยความภูมิพระทัยในความฉลาดเฉลียวขององค์เอง โดยที่เขาหารู้เลยสักนิดว่าทุกสิ่งมิได้เป็นไปอย่างที่ทรงคาดการณ์เอาไว้ เพราะดวงตาสีดำฉ่ำวาวแสนหวานล้ำของร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์อังควรากำลังจับจ้องพวกเขาทั้งสององค์อย่างไม่วางตาทีเดียว ซ้ำยังมองตามจนกระทั่งเขาเสด็จกลับขึ้นรถยนต์คันสีแดงที่จอดอยู่ไม่ห่างออกไปอีกด้วย

เปล่าเลย… คุณชายอังควราไม่อาจจดจำท่านชายเรียลอัลฟ่าที่เป็นน้องชายตอนวัยเด็กได้แต่อย่างใด ก็อีกฝ่ายทรงเปลี่ยนไปจนหล่อเหลาได้มากมายถึงเพียงนั้น แล้วจะให้เขาจำอย่างไรได้เล่า แต่ที่ทำให้จ้องมองจนตาค้างอย่างนั้น ก็เพราะแลเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ทั้งหมด จึงทำให้เขาเข้าใจไปเองว่าท่านชายจะต้องมีความสัมพันธ์แสนลึกซึ้งกับคู่หมายของเขาอยู่ ณ ตอนนี้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าจะไม่มีความหึงหวงมาแทรกซ้อน เพราะไม่ได้เสน่หาท่านหญิงผ่องประภามาตั้งแต่ต้น หากทว่าคุณชายก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายจับใจ จนต้องผ่อนลมหายใจระบายอารมณ์กรุ่นออกมา คุณชายจันทน์ลูบต้นแขนผู้เป็นพี่นิดหน่อยอย่างปลอบโยนด้วยความเห็นใจ และจนใจจะช่วยเหลือในคราวเดียวกัน ก่อนจะประณตไหว้กราบลา เพื่อลงไปหากลุ่มเพื่อนนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบที่ได้นัดหมายกันเอาไว้

สิ่งที่คุณชายอังควราพยายามปกป้องไว้ด้วยทั้งหมดในชีวิตที่เขามีเสมอมา ก็คือ ‘ครอบครัว’ และขณะเดียวกันนั้น สิ่งที่เขาคอยแต่ผลักไสออกห่างจากชีวิตมากที่สุดก็คือ ‘ปัญหา’ แล้วถ้าหากคนที่กำลังจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกลับทำตัวเป็นปัญหาเสียเอง เขาก็จนปัญญาจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างใด คุณชายเหลือบตามองท่านหญิงผ่องอีกครั้ง ดูเหมือนว่าท่านจะทรงมีปากมีเสียงอยู่กับผู้ชายตัวสูงอีกคนหนึ่ง เดาว่าก็คงเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ส่วนพระองค์อีกนั่นเอง คุณชายส่ายหัวระอา คิดหนักแน่นอยู่กับตัวเองว่าถึงอย่างไรก็ไม่ขอพาตัวเข้าไปพัวพันกับความสัมพันธ์สลับซับซ้อนนั่นเด็ดขาด ก่อนจะติดเครื่องยนต์อีกครั้ง บ่ายหน้าออกจากหัวมุมถนนราชดำเนินกลาง และมุ่งสู่ภัตตาคารอาหารฝรั่งในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล อันเป็นที่นัดหมายกับนายโจนาธานสามีหมาดๆ ชาวอังกฤษของเพื่อนสาวเบต้าของเขาเอง

เมื่อมาถึง แค่เพียงพนักงานต้อนรับเปิดประตูให้เท่านั้น ปลายเท้าของอังควราก็ถึงกับหยุดชะงักภายในทันใด เนื่องจากกลิ่นของไม้กฤษณาพร้อมด้วยฟีโรโมนอัลฟ่าที่แสนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเจอจากใครมาก่อนปะทะกับโสตสัมผัสเข้าอย่างจังจนแข้งแทบทรุดลงกับพื้นพรม คุณชายรีบหันรีหันขวางเพื่อกวาดดวงตามองหาต้นตอจนทั่วมุมร้าน และค่อยๆ หยุดลงช้าๆ ที่บุรุษสวมเสื้อโปโลสีแดงเลือดหมู คนเดียวกันกับที่กอดหอมกับท่านหญิงผ่องตรงหน้าศาลาเฉลิมไทย ทั้งสองสอดประสานสายตากันราวกับเวลาหยุดลง คุณชายขมวดคิ้วเรียวจนเป็นปม นอกจากไม่เข้าใจว่าทำไมโลกมันถึงกลมได้จนขนาดนี้ ภัตตาคารอาหารมีตั้งมากตั้งมาย ดันมาเข้าร้านเดียวกันเสียได้ ก็ยังไม่เข้าใจอีกด้วยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มีกลิ่นไม้กฤษณาเหมือนกับตัวเอง ไม่ใช่ว่าอัลฟ่าจะกลิ่นคล้ายกันได้ก็ต่อเหมือนมีสายเลือดเดียวกันหรอกหรือ

จริงๆ แล้ว ต่อให้เกิดขึ้นได้จริง แต่มันก็ยังเป็นไปได้ยากมากด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่คุณชายจันทน์ที่เป็นอัลฟ่าเหมือนกัน ก็มิได้ส่งกลิ่นเดียวกันกับพี่ชายอย่างอังควรา

เสมือนเวลาผ่านไปนานแสนนาน ทั้งๆ คนทั้งคู่สบตากันเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น คุณชายที่เริ่มค่อยๆ คุ้นชินกับกลิ่นหอมรุนแรงจนเกือบฉุนของอีกฝ่ายก็ผินหลบ เดินเลี่ยงไปอีกทาง

บนโลกในนี้ไม่มีอัลฟ่าคนใดที่เคยได้กลิ่นเฉพาะของตัวเองมาก่อน เพราะอัลฟ่าไม่อาจสัมผัสกลิ่นของตัวเองได้ จะได้กลิ่นก็เพียงจากอัลฟ่าคนอื่น หรือไม่ก็จากพวกโอเมก้าเท่านั้น ถึงแม้ว่าท่านชายโชติภนจะทรงมีกลิ่นเดียวกันกับเขาก็ตาม ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง เพราะจนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ สายเลือดของทั้งคู่ก็ห่างไกลกันจนแทบกลายเป็นน้ำเพียงนั้น ทว่าจนถึงตอนนี้คุณชายก็ยังไม่เคยพบพานกับท่านชายในวัยส่งกลิ่นมาก่อนเลย ดังนั้นนอกจากกลิ่นไม้กฤษณาที่หม่อมพเยาว์มักจะมาขอแกมรีดไถเพื่อนำไปเผาอบเรือนตนเองต้อนรับแขกเหรื่อวงสมาคมของท่าน จึงไม่เคยรู้เลยว่ากลิ่นของตัวเองหรือกลิ่นของคนอื่นที่ส่งกลิ่นเดียวกันจะเหมือนหรือแตกต่างจากกลิ่นไม้กฤษณาตามธรรมชาติสักกี่มากน้อย อดคิดไม่ได้ว่า

‘ถึงไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงได้มีกลิ่นไม้กฤษณาเหมือนกันกับฉัน แต่กลิ่นของฉันจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า...แล้วกลิ่นของท่านชายโชติล่ะ จะเป็นอย่างนั้นด้วยไหมนะ’



(มีต่อ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2020 21:39:29 โดย doubleM »

ออฟไลน์ doubleM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ก่อนที่ประตูภัตตาคารจะเปิดต้อนรับคุณชายร่างขาวเข้ามา โชติภนก็ทรงได้กลิ่นหอมหวานชื่นใจของดอกแก้วที่ทรงโปรดปรานมากนักหนาล่องลอยแต่ไกลมา ทว่าก็ยังไม่ทำให้ส่งผลอย่างใดกับพระวรกายขององค์เอง แต่มันกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ในตอนที่คุณชายอังควราก้าวพ้นธรณีประตู และสืบเท้าเข้ามาหยุดมองเขาอย่างนิ่งงัน ถึงแม้ว่าโดยรอบจะสงบนิ่งราวกับโลกหยุดหมุนก็ตาม แต่ท่านชายกลับไม่ทรงเป็นเช่นนั้น...เขาไม่แน่พระทัยเลยสักนิดว่าระหว่างพระวรกายหรือพระหฤทัย อย่างใดสั่นสะเทือนไหวมากน้อยกว่ากัน นอกเหนือจากปฏิกิริยาเหล่านั้น ก็ทรงตกพระทัย จนแทบตั้งองค์ไว้ไม่ติด

‘บทจะเจอก็เจอกันง่ายๆ อย่างนี้เลยเทียวหรือ’

ทรงละล้าละลังคิดกับองค์เอง เพราะไม่ทรงคาดมาก่อนว่าจะบังเอิญมาเจอกับอีกฝ่ายในร้านอาหารยังงี้ ทั้งๆ หากจะรับประทานข้าว ทั่วทั้งพระนครก็ยังมีภัตตาคารอาหารดีๆ อีกตั้งหลายสิบแห่ง...แม้ยังฉงนสงสัยถึงไม่รู้คลายในกลิ่นดอกแก้วที่ทำให้ทรงรู้สึกปั่นป่วนพิกล อีกทั้งฟีโรโมนอัลฟ่าที่ทรงสัมผัสไม่ได้เลยสักน้อยนิดจากลำตัวของคุณชายพระลอร่างขาว หากแต่สิ่งที่กระทบความสนพระทัยมากที่สุดก็คือการได้สบสายตากับคุณชายอังควราอีกครั้ง...อันเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปี

โชติภนสลัดเอาความฉงนสนเท่ห์ในพระทัยทิ้งออกไปก่อน เพราะอดรนลุ้นไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะทูลสิ่งใดกับเขาเป็นคำแรก แต่จะอะไรก็ช่างเถิด เพราะเพียงคำเรียกว่า ‘ท่านชายโชติ’ หรือ ‘ฝ่าบาท’ สั้นๆ คำเดียวอย่างที่อีกฝ่ายชอบทูลเรียกเสมอมา ก็คงทำให้พระทัยท่านชายพองฟูจนเกือบบินได้ เนื่องด้วยไม่ทรงได้สดับฟังมาอย่างแสนนาน

จึงไม่ทรงเตรียมพระทัยได้ทัน เพราะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น สิ่งที่คิดตื่นเต้นไปต่างๆ นานา กลับสั่นคลอนและดำดิ่งจนก้นสุดของหุบเหว ขณะเดียวกับพระหฤทัยแห้งเหี่ยวราวกับว่าจะเฉาตาย เพราะหม่อมราชวงศ์อังควราเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง หย่อนตัวนั่งลง เปิดสมุดเมนูเล่มใหญ่ พูดจาพาทีอยู่กับบริกรหนุ่ม ท่านชายทรงสังเกตการขยับปาก เดาว่าอีกฝ่ายคงสั่งกาแฟละมัง จากนั้นอีกฝ่ายก็หยิบจับหนังสือนิตยสารขึ้นเปิดอ่าน ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองท่านชายแต่เพียงน้อยนิด ประหนึ่งว่า…จำกันไม่ได้!

‘จริงๆ มันก็ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ก็คงไม่แปลก แต่ว่า…’ โชติภนทรงหยุดความคิดไว้เท่านั้น

“โชติอยู่นี่ไงครับ...พี่ชายอัง...โชติอยู่ตรงนี้”

ไม่ได้ทรงรับสั่งออกมาทางตรง เพียงแต่ตรัสเบาหวิวราวกับเป็นเสียงกระซิบกระซาบขึ้นภายในพระทัย ด้วยทรงหวังอย่างยิ่งว่ามันจะดังก้องไปกระทบกับใจใครอีกคนได้ แต่สีพระพักตร์ก็ม่อยลงถนัดตา เมื่อทอดพระเนตรไปแล้ว ทรงเห็นว่าอีกฝ่ายยังนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาแต่อย่างใด

หม่อมเจ้าชายแห่งวังจักษุภิรมย์ประทับนั่งเหงาหงอยราวกับทรงเป็นเด็กหลงทางอย่างนั้นนานหลายนาที พระสุธารสกาแฟตรงเบื้องพระพักตร์ที่เคยหอมกรุ่นด้วยความร้อนอยู่ในไม่กี่นาทีก่อนหน้า กลับเย็นชืดลงจนเป็นอุณหภูมิเดียวกันกับพระวรกายองค์เอง จนพระสหายผมทองที่ทรงนัดหมายกันไว้ก้าวขาเข้าร้านมา อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงกันสวยครบทุกซี่ด้วยความปีติยินดี เพราะเพื่อนทั้งสองไม่ได้พบพานกันมาหลายปีดีดัก ‘นายโจนาธาน’ เดินเข้ามาทูลกับท่านชายโดยใช้คำสามัญไทยคำอังกฤษคำปนกันแต่ก็จับใจความไม่ยากเย็น

“เฮ้! อีวี่” นายโจนาธานทูลเรียกท่านชายอย่างกันเองตามประสาเพื่อนฝูงด้วยพระนามที่แปลงมาจากพระนามลำลองอังกฤษ ‘อีแวน’ “มายเฟรนด์ ถึงนานแล้วหรือ ไอเพิ่งไปดร็อปวีวี่…” ส่วนนี่ก็หมายถึงคุณวิชุดาภรรยาสาวเบต้าของเขาที่กำลังเป็นนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรง “...ลงกองถ่ายแถวๆ ฝั่งนนฯ นู่นแน่ะ เสร็จแล้วก็เร่งขับออกมา แต่ก็ยังมาไม่ทันยู ซอร์รี่”

ถึงจะทรงได้ยินหมดทุกถ้อยคำ แต่ก็ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะตอบกลับอย่างใดได้ พระหฤทัยดวงน้อยของท่านชายเสมือนกำลังล่องลอยเคว้งคว้างกลางอากาศ คล้ายกับลูกโป่งสวรรค์ที่กำลังลอยละล่องตามสายลมโดยไร้จุดหมาย ท่านชายถอนพระอัสสาสะช้าๆ มิได้ทรงหันมองทางพระสหายแต่น้อยนิดเหมือนกับว่าไม่เห็นหัว ดวงเนตรดาราจับจ้องคุณชายพระลอใจร้ายที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างแต่น้อย ก่อนจะตรัสเอื่อยๆ ว่า

“ยูรีบๆ เอาแบบไปตรวจดูเถอะจอนนี่ แล้วถ้าติดขัดตรงไหนก็บอกมา คืนนี้ไอจะกลับไปแก้ให้ จะได้รีบเสร็จสรรพ และจะได้กลับวังไปให้หม่อมใหญ่ต้มน้ำใบบัวบกให้เหวยแก้ช้ำในสักที เฮ้อ…” แล้วก็ทรงพึมพำกับองค์เองเหมือนกับบ่น “มันก็เหมือนที่สุนทรภู่ท่านเคยว่าไว้อย่างไรล่ะ ว่า...ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน”

โจนาธานถึงกับฉงน เกาหัวแกรกๆ

“เมาอะไรของยูแต่เช้าวะอีวี่ ยูอยากดื่มเหรอ แต่ที่นี่คงไม่มีวิสกี้อย่างยูชอบน่ะซี เขาน่าจะขายแต่เรดไวน์ ยูดื่มได้ไหม” โชติภนมุ่นพระขนง มองสหายอย่างไร้สาระ ก่อนจะส่ายเศียรเบาๆ โดยไม่ตรัสตอบคำถามนั้นให้เยอะความ แต่พระสหายเบต้าชาวอังกฤษก็มิได้เซ้าซี้อย่างใด ทูลต่อ “เอาเป็นว่าถ้ายูอยากดื่มก็สั่งเขาเอาเองก็แล้วกัน ไอจะสั่งแอพพิไทเซอร์มากินรอพาร์ทเนอร์ของไอ พอคุณแองเจลมาถึง เราก็ค่อยเริ่มตรวจแบบกัน”

“พาร์ทเนอร์? ไอไม่ยักรู้ว่ายูมีพาร์ทเนอร์ด้วย นี่แน่ะจอนนี่ พวกยูคุยกันมาเคลียร์แล้วแน่ใช่ไหม ไม่ใช่เข้าใจกันไปคนละอย่างสองอย่าง แล้วจะมาว่าไอทำงานไม่ได้เรื่องทีหลังล่ะ ทั้งๆ ไอก็ทำตามบรีฟที่ยูให้มาทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”

ที่ท่านชายทรงตรัสเช่นนั้นก็เพราะตอนยังพำนักอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ ทรงเคยรับงานออกแบบอาคารพาณิชย์จากนักธุรกิจหนุ่มชาวจีนคนหนึ่งที่เข้ามาทำการค้าในอังกฤษ แต่ด้วยการเจรจากันระหว่างอีกฝ่ายกับผู้เป็นหุ้นส่วนน่าจะมีจุดใดจุดหนึ่งทำให้เข้าใจผิดกันละมัง ก็เลยเกิดปัญหานิดหน่อยตอนที่ทรงเอาแบบให้พวกเขาตรวจดู คนหนึ่งอนุมัติ ไม่ติดขัดอะไร อีกคนกลับบอกว่ายังใช้ไม่ได้ ให้ไปแก้มาใหม่ กว่าจะตกลงกันลงตัวก็ต้องเสียเวลาทะเลาะอยู่นานทีเดียว

ทว่าโจนาธานกลับรีบโบกมือโบกไม้ บอกกับผู้เป็นเพื่อนให้คลายกังวล

“ด๊อนท์วอร์รี่เฟรนด์ คุณแองเจลกับวีวี่รู้จักมักคุ้นกันมานมนาน สักราวๆ สิบปีได้แล้วละมัง เรื่องปัญหาอย่าได้เป็นกังวล ไอเองก็เคยเจอคุณแองเจลอยู่ก็หลายหน ทั้งหน้าตาดี ทั้งนิสัยดี ใจดีอีกต่างหาก อีซี่ทูทอล์คทู โนพร็อบเล็ม ว้อทเอเวอร์...ยูเป็นปริ๊นซ์เชียวนะ ใครจะกล้าว่ายูได้”

ท่านชายทรงกลอกพระเนตรเป็นวงกลม บ่นกระปอดกระแปด

“อย่าเหลวไหลโจนาธาน ยูก็รู้ ไอไม่ชอบให้เอาเรื่องแฟมิลี่เข้ามาเอี่ยวกับการทำงาน เพราะฉะนั้นอย่าไปบอกเขาว่าไอเป็นใคร จะพลอยเกร็งจนทำงานทำการกันไม่ได้ งานก็คืองาน คู่ค้าจะชอบหรือไม่ก็ว่ากันไปตามเนื้องาน ไม่ใช่เห็นดีเห็นงามไปหมดเพราะพระยศ” โชติภนรับสั่งพระสุรเสียงจริงจัง โจนาธานก็หน้าม่อยลงไปนิดหน่อย พากันเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่ท่านชายจะทรงหันมองนาฬิกาลูกตุ้มแขวนไขลาน ตรัสขึ้นอีกราวกับบ่น “แล้วนี่เมื่อไหร่คุณแองเจลของยูจะมาถึงเสียที เลตนานขนาดนี้จะทำงานด้วยกันได้หรือ”

“ใครเลตอย่างนั้นหรือครับคุณ ผมมาถึงได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว คุณเองก็เห็นไม่ใช่หรือ”

หม่อมเจ้าชายโชติภนองค์เย็นวูบวาบสลับด้วยร้อนรุ่มตั้งแต่ปลายพระเกศาจรดถึงพระองคุลีบาท ก่อนจะทรงหันแลปราดมองยังเบื้องพระขนองอย่างทันควัน!

กลิ่นหอมแสนเย้ายวนราวกับกลิ่นดอกแก้ว ผสมผสานมาด้วยกลิ่นของน้ำปรุงเย็นๆ ที่อาจเป็นกลิ่นดอกไม้เฉกเช่นกัน ทำเอาพระโสตของท่านชายสะท้านสะเทือนไหว พระวรกายก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นอีกคราวโดยไร้สาเหตุ อันเป็นปฏิกิริยาที่ชวนแปลกพระทัยอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับ ‘พี่ชายอัง’ เดินเข้ามาใกล้เขาเพียงหนึ่งเอื้อมหัตถ์อยู่นั่นเอง

พระสหายของท่านชายยิ้มแย้ม กล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย

“อ้าว คุณแองเจล มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”

อีกฝ่ายก็ระบายยิ้มบาง ขับให้วงหน้าดูอ่อนโยนลงจากเดิม ก่อนจะปรารภอย่างนุ่มนวลว่า

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ คุณโจนาธานที่ทำให้คุณต้องรอนาน พอดีเมื่อสักครู่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงฟากโน้น เพิ่งจะมาสังเกตเห็นคุณเดี๋ยวนี้เอง...ขอนั่งตรงนี้ด้วยคนนะครับ”



*



เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ท่านชายทรงนึกถึงบทร่ายชมโฉมพระลอ

‘ประเสริฐสรรพสรรพางค์
แต่งบาทางค์สุดเกล้า
พระเกศงามล้วนเท้า
พระบาทไท้งามสม’


อันหมายความว่า…งามเลิศทั้งองค์ ตั้งแต่เส้นพระเกศาจรดพระบาท

ใช่...สำหรับหม่อมเจ้าโชติภนนั้น คุณชายอังควราหาได้ผิดแผกไปจากบทร่ายได้ว่าไว้สักกระผีกริ้น กระทั่งในยามอีกฝ่ายกำลังค่อยๆ กางกระดาษสีขาวที่ร่างแบบเอาไว้ออก พยักหน้าหงึกหงักตามขณะกำลังรับฟังเขานำเสนอผลงาน จากนั้นก็หันไปพึมพำหารือกับนายโจนาธานสองคนเบาๆ จนเขาแทบจะไม่ทรงได้ยิน

ร้อยตำรวจเอกหม่อมราชวงศ์อังควราปรายดวงตาหวานล้ำเพ่งพิศมองแบบโรงแรมของเขาอีกครั้งหนึ่ง นึกอึ้งอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน เพราะบุรุษตรงหน้าทรงร่างมาส่งได้อย่างละเอียดตามความต้องการแทบทุกประการ กอปรกับความเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน จนสามารถเรียกว่าไร้ที่ติ ทั้งๆ เป็นเพียงแค่ภาพร่างที่ยังไม่ได้ลงเส้นทึบทับด้วยซ้ำ

พอเห็นอย่างนี้ก็แอบขัดใจเล็กน้อย คุณชายพยายามหาเรื่องจับผิดด้วยการดึงกระดาษอีกแผ่นออกมาตรวจดูอย่างถ้วนถี่ ภาพบนกระดาษแผ่นนี้ปรากฎสิ่งที่เรียกว่า ‘ดาดฟ้า’ ซึ่งยังค่อนข้างใหม่มากทีเดียวกับยุคนี้ อีกทั้งชั้นดาดฟ้าของอาคารอื่นๆ โดยมากก็มักปล่อยโล่ง ทว่าตามแบบของหม่อมเจ้าโชติภนกลับออกแบบให้พื้นที่ตรงนี้สามารถใช้สอยได้ ไม่ปล่อยให้ไร้ประโยชน์ ทั้งยังมีสระว่ายน้ำเสียด้วย

อังควราไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนว่าใครจะคิดพิเรนทร์ทำสระว่ายน้ำไว้บนชั้นดาดฟ้าอย่างนี้ แต่เพราะเขาเองก็ไม่ได้เล่าเรียนจบจากทางด้านนี้มา จึงไม่กล้าแสดงความเห็นกับคนที่ร่ำเรียนมาจนกระทั่งได้วุฒิอย่างอีกฝ่าย อีกทั้งนายโจนาธานก็เคยเล่าให้ฟังอีกด้วยว่าชายผู้นี้จบเมืองนอกเมืองนา และเคยผ่านการทำงานกับพวกฝรั่งมังค่ามาบ้าง ไม่ใช่มือใหม่แต่อย่างใด

ในระหว่างที่กำลังตรวจดูแบบร่างอาคารกันอยู่นั้น ถึงคุณชายอังควราจะไม่ใคร่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายสักเท่าใด ทว่าก็แอบสัมผัสได้ว่าบุรุษเพศเรียลอัลฟ่ากลิ่นไม้กฤษณาตรงหน้ากำลังลอบวนเวียนมองเจ้าตัวอยู่ไม่ห่าง แม้ว่าจะทรงกำลังกล่าวนำเสนอผลงานขององค์เองอยู่ ก็ยังไม่ยอมวางสายพระเนตรลงจากเขาเลยสักเสี้ยววิ แต่นอกจากตัวคนถูกจับจ้อง ก็หาได้มีใครสังเกตเห็นการกระทำเหล่านั้นอีก จนคุณชายทนไม่ไหวเงยหน้าขึ้นมองนิ่งๆ ดวงตาคู่สวยไม่ได้แข็งกร้าวก็จริง แต่เมื่อท่านชายทรงทอดพระเนตรสบตาพี่ชายตัวขาวของเขาแล้ว ก็ยังทรงรู้สึกห่างไกลจากคำว่าสบายพระทัย

‘ไม่รู้ว่ากำลังคิดไปเองไหม...แต่สายตาอย่างนั้นมันเหมือนกับย้อนเวลากลับไปตอนวันที่ฉันกับเสด็จพ่อไปขนเครื่องดนตรีที่วังเทวพงษ์พิศาลไม่มีผิด...วันที่แอบวิ่งเอาซออู้ไปคืนให้พี่ชายอังที่เรือนไม้สักของหม่อมพเยาว์’ ท่านชายโชติภนค่อยๆ กลืนพระเขฬะฝืดๆ ลงศอขณะกำลังคิดหวาดหวั่นกับองค์เอง เพราะทรงทราบดีว่าคุณชายอังควราก่อนที่จะยอมญาติดีกันนั้นเฉยชามากขนาดไหน

อังควราจ้องมองนิ่ง ท่านชายทรงแข็งพระทัยไม่หันหลบทางอื่น คุณชายก็เลยปรารภถามเรียบๆ

“จ้องอะไรนักหรือครับคุณ มีอะไรสงสัยเกี่ยวกับผมหรือเปล่า”

หากให้ฉันลองเดาล่ะก็ ชายผู้นี้จะต้องกำลังหาเรื่องฉันอยู่แน่ๆ ถึงได้จ้องมองกันถึงขนาดนั้น เขาจะต้องรู้ว่าฉันคือคุณชายอังควราคู่หมายของท่านหญิงผ่องประภา

ถึงอีกฝ่ายจะยังไม่ตอบกลับมาสักคำ คุณชายร่างขาวก็ไม่รั้งรอ คิดรวบรัดตัดตอนกับตัวเองทันใด เพราะเขาก็ต้องทนอึดอัดใจมาไม่น้อยเลยกับการถูกผู้คนจับจ้องในช่วงนี้ เพราะในเวลานี้ใครๆ ต่างก็รู้กันจนทั่วว่าเขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายของธิดาในเสด็จวังจักษุฯ

ด้วยหลังจากเขาถูกท่านชายสถิตคุณทรงเรียกให้ไปเข้าเฝ้าเพื่อบอกเล่าเก้าสิบถึงเรื่องทำนองว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” เพราะถึงท่านลุงของคุณชายจะไม่ได้โปรดปรานท่านหญิงผ่องสักเท่าใด แต่ก็ทรงตระหนักได้ว่าเสด็จวังจักษุฯ มีทรัพย์สมบัติอยู่มหาศาล หากได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันเงินทองเหล่านั้นจะหนีไปไหนเสีย โดยผ่านจากวันนั้นไปเพียงไม่ถึงหนึ่งวันดี ก็ไม่ทราบว่าพวกนักข่าวเมืองไทยเก่งกาจจนไปค้นคว้าหาข่าวอย่างไรมา ก็ลงรูปเขาเคียงคู่กับพระรูปของท่านหญิงผ่องเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์หลายต่อหลายฉบับพร้อมด้วยป่าวประกาศเป็นเชิงกระเซาะกระแซะอยู่ในทีว่าเขาเป็นว่าที่พระสวามี ‘คนใหม่’ ของท่านหญิง แต่ก็ไม่รู้แน่ว่าจะเป็น ‘คนสุดท้าย’ หรือเปล่า

พอในตอนนี้กลับถูกคนที่เพิ่งจะเห็นยืนกอดยืนหอมกับท่านหญิงหมาดๆ มาจ้องหน้ากันไม่วางตา โดยก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอ่านเช่นใดอยู่ ก็พานไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ เดิมเป็นคนสุขุมเยือกเย็นแท้ๆ แต่ก็ไม่แปลกที่จะอดไม่ไหว จนต้องหลุดถามไถ่อย่างนั้นออกไป ยังดีที่ท่านชายโชติภนทรงเก่งมากพอที่จะควบคุมพระสติหลังจากทรงได้รับถ้อยคำถามจากคนตรงหน้า แม้จะเสียพระอาการอยู่มากโขกับการที่อีกฝ่ายมาปรากฎกายแค่เพียงเอื้อมเท่านั้น ก็ยังพยายามวางองค์ให้ปกติ และโต้ตอบกลับด้วยสายพระเนตรคล้ายกับกำลังประจบประแจงอยู่เบาๆ

“ก็กำลังคุยกับคู่ค้าอยู่นี่ครับ คุณชายจะให้ผมมองทางไหนได้งั้นหรือ”

ไม่คิดว่าจะถูกย้อนถามกลับ คุณชายเม้มริมฝีปาก หรี่ตา ความไม่สบอารมณ์ทวีมากขึ้น ถามอีกฝ่ายอีกว่า

“ชื่ออะไรนะครับ”

ถึงจะเป็นเพียงคำถามเรียบๆ หากแต่มันก็ตอกย้ำซ้ำเติมไม่รู้วาย เหมือนเป็นคำเน้นย้ำหนักๆ ว่าคุณชายตัวขาวจำท่านชายน้อยที่ทรงเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่ก่อนไม่ได้เลยจริงๆ

“โชติเองครับพี่ชายอัง...โชติเอง...โธ่…”

เป็นการรับสั่งเบาๆ ในพระทัยกับองค์เองอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดหวังว่ามันจะดังก้องจนสะท้านสะเทือนดวงใจน้อยๆ ของอีกฝ่ายได้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เป็นผลอย่างใด ท่านชายจึงปลงพระทัย ตรัสตอบสั้นๆ เพียงว่า

“อีแวนครับ...ผมชื่ออีแวน วู้ด”

คุณชายอังแอบแปลกใจอยู่นิดหน่อย เพราะก็เห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนไทย หรือไม่ก็ต้องมีเชื้อจีน แต่ชื่อเสียงเรียงนามกลับไพล่ไปเหมือนพวกฝรั่งมังค่า ทว่าก็มิได้ใส่ใจถามต่อ และม้วนเก็บแบบโรงแรมหลายแผ่นตรงหน้าถวายคืนท่านชาย ปราศรัยเสียงนิ่งจนยากจะจับอารมณ์

“ขอบคุณสำหรับผังนะครับคุณอีแวน อันที่จริงผมชื่นชมฝีมือคุณนะ คุณทำแบบออกมาได้ไม่มีที่ติ แถมยังเกินกว่าที่พวกผมคาดกันเอาไว้เสียอีก ทีแรกพวกผมได้อาคารทรงโพสต์โมเดิร์นที่ยังไม่ได้ประยุกต์มาจากเมืองอังกฤษ แต่ก็ลงความเห็นกันว่าเอามาใช้ไม่ได้ เพราะอาคารของทางนู้นไม่เหมาะกับสภาพอากาศของบ้านเรา แต่แบบของคุณเป็นอาคารโพสต์โมเดิร์นแบบประยุกต์ ผมชอบที่หน้าต่างทุกบานกว้างพอให้ลมถ่ายเทเพราะอาคารอย่างนี้อมความร้อน ผมไม่มีอะไรอยากแก้เลยครับ”

คำชื่นชมจากปากพี่ชายตัวขาวเสมือนกับเป็นกาวสมานแผลใจในส่วนที่อีกฝ่ายทำทีราวกับไม่มีท่านชายอยู่ภายในความทรงจำ คนบ้ายออย่างท่านชายจึงทรงยืดพระอุระอย่างภูมิพระทัย ทว่าเพียงแค่วินาทีต่อมาเท่านั้น ก็กลับกลายเป็นเหน็บหนาวราวกับถูกโยนลงถังไอศกรีมป็อปตราเป็ด พร้อมด้วยความฉงนสนเท่ห์อย่างที่สุด ราวกับถูกไม้หน้าสามฟาดลงแรงๆ กลางพระเศียร

ก็ตอนที่อีกฝ่ายเปรยเรื่อยๆ เหมือนกำลังพูดเรื่องลมฟ้าอากาศว่า

“แต่ว่าผมคงจะไม่ใช้แบบของคุณหรอกครับ ถ้าหากต้องทำงานกับคนที่ทำให้ไม่สบายใจ คงจะพลอยชีวิตไม่สงบสุข สรุปว่าแบบของคุณเพอร์เฟ็กต์ แต่ผมไม่อยากทำงานด้วย ขอโทษทีนะครับคุณอีแวน”





(โปรดติดตามตอนต่อไป)


อ้างถึง
#หวนกลิ่นดอกแก้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2020 18:32:56 โดย doubleM »

ออฟไลน์ Hnggnh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฮื้ออออออ เค้าเจอกันแล้วอะแม่!!!!! ทำไม่บอกพี่เค้าไปเล่าว่าตัวเป็นใคร ลุ้นเลยยย อยากเห็นเค้ารักกันนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด