Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020  (อ่าน 21228 ครั้ง)

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
30

 
หลังจากที่ได้รับคำขอที่แปลกประหลาดจากปรมาจารย์หานเกิงเว่ย แบงค์ก็คิดว่าอาจจะต้องอยู่จีนยาวกว่าแผนเดิม ในตอนที่ได้รับคำเชิญจากเกาเฉียนเพื่อนนักเปียโนชาวจีน เขาก็คิดว่าจะแค่มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านดนตรีตะวันออกกับคนในวงการนี้ของจีนเท่านั้น อย่างมากก็อาจจะทำงานดนตรีร่วมกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เมื่อเสร็จเขาก็จะถือโอกาสไปปรึกษาบรรดาแพทย์ฝังเข็มผู้มีชื่อเสียงของจีนว่ามีใครจะช่วยฝังเข็มรักษาความสามารถมือทั้งสองข้างของเขาให้ถาวรได้บ้าง แต่ไม่คาดว่าเรื่องจะออกมาเป็นการตามหาคนเช่นนี้
 
ถ้าเป็นคนทั่วไปเขาคงไม่ลังเลที่จะให้ข้อมูลออกไป แต่นี่เกี่ยวพันถึงคุณานนท์แถมเรื่องราวบทเพลงสมบัติของชาติอะไรนั่นก็ฟังดูเกินจริงไปมาก เขาแอบสงสัยว่าเป้าหมายที่แท้จริงจะเป็นตัวคุณานนท์เองโดยใช้เรื่องบทเพลงที่หายสาบสูญเป็นข้ออ้าง
 
ถึงเขาจะชอบเป็นนักเปียโนมากกว่า แต่เขาก็ถูกสอนให้เป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเขาจะประเมินไม่ออกว่าความรู้ที่คุณานนท์ครอบครองอยู่มีมูลค่ามหาศาลขนาดไหน สูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิที่ไม่รู้ว่าคิดหรือได้มายังไงนั่นมหัศจรรย์มาก หากสามารถผลิตได้ในระดับโรงงานคงจะปฏิวัติอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกได้เลย
 
แต่ที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้นคือการฝังเข็มที่สามารถเพิ่มความสามารถทางกายภาพได้ ในกรณีของเขาคือการเปลี่ยนนักเปียโนพรสวรรค์คนหนึ่งที่มีข้อจำกัดด้านสรีระมือให้กลายเป็นนักเปียโนระดับโลกได้ในชั่วข้ามคืน เขาไม่รู้ว่าความสามารถในการฝังเข็มของคุณานนท์จะมีถึงระดับไหน แค่ความเป็นไปได้ที่เขาคิดก็ทำให้รู้สึกกังวลแทน ลองนึกดูว่าหากนำไปใช้ในวงการกีฬาอาชีพที่มีเงินสะพัดมากมายกว่าวงการดนตรีคลาสิกเป็นไหนๆ จะเกิดอะไรขึ้น โปรกอล์ฟระดับโลก นักเทนนิสแกรนด์สแลม ดารานักเตะในลีกฟุตบอลต่างๆ นักบาสเอ็นบีเอทีมดัง ไม่ว่าใครก็ย่อมมีข้อจำกัดทางร่างกายกันทั้งนั้น ถ้าแก้ไขด้วยการฝังเข็มได้ เม็ดเงินที่ได้จากเงินรางวัลและสปอนเซอร์จะเพิ่มพูนขนาดไหน นี่ยังไม่รวมศักดิ์ศรีหน้าตาของประเทศหากเอาไปใช้กับนักกีฬาโอลิมปิกหรือการแข่งกีฬาอื่น
 
เสียดายที่คุณานนท์บอกว่ายังไม่สามารถคิดค้นการฝังเข็มรูปแบบที่ห้าที่จะทำให้ความสามารถของเขาคงอยู่ถาวรได้ นั่นทำให้เขาต้องตระเวนไปปรึกษาหมอฝังเข็มชื่อดังของจีนหลายต่อหลายคนอยู่ในตอนนี้ แต่ยิ่งแบงค์ไปพบผู้เชี่ยวชาญในการฝังเข็มจีนมากขึ้นเท่าไหร่  เขาก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่คุณานนท์ทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเลยสำหรับคนในวงการนี้ หมอส่วนใหญ่จะค่อยๆ อธิบายว่าการฝังเข็มแม้จะช่วยรักษาโรคได้หลากหลายแต่ไม่สามารถทลายขีดจำกัดของร่างกายได้ แต่บางคนแค่ได้ยินความต้องการของเขาผ่านล่าม ก็ด่าออกมาล้งเล้งแล้วไล่ออกมาเลย แบงค์เห็นแบบนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าคุณานนท์คือความหวังเดียวของตัวเอง จะทำให้ขุ่นข้องหมองใจไม่ได้โดยเด็ดขาดถ้าเขายังคิดที่จะเป็นนักดนตรีต่อ
 
ยิ่งได้ข้อสรุปแบบนี้แบงค์ก็ยิ่งระวังตัว เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกหลอกใช้ ในระหว่างที่อยู่เมืองจีนเขาจึงลองหาช่องทางอื่นตรวจสอบเรื่องของปรมาจารย์หานเกิงเว่ยกับบทเพลงแห่งชาติที่หายสาบสูญไปด้วยว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหรือไม่ แบงค์ประสานไปทางคณะดุริยางค์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าไปคุยกับอาจารย์ด้านดนตรีโบราณของจีน ข้อมูลที่ได้ออกมาตรงกัน ข้อแรกปรมาจารย์หานเกิงเว่ยเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในวงการดนตรีจีนโบราณจริงๆ โดยรูปถ่ายที่ได้มาก็เป็นคนที่แบงค์ได้พูดคุยด้วยในตอนนั้นไม่ใช่ตัวปลอมแน่ๆ ข้อที่สองบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวนั้นก็เป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกชัดเจน และท่วงทำนองที่แท้จริงยังไม่ถูกค้นพบตรงตามที่เขาได้รับฟังมาจากปรมาจารย์หาน
 
ขณะที่แบงค์ยังคิดไม่ตกว่าจะบอกเรื่องของคุณานนท์ออกไปเพื่อสร้างบุญคุณกับบุคคลระดับนี้ดีหรือไม่ ก็พอดีได้รับทราบเรื่องที่ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิถูกลอกเลียนพร้อมกับข้อสงสัยของคุณานนท์ว่าบริษัทของครอบครัวเขาจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แบงค์ก็ตกใจจนเกือบช็อค ในโลกนี้เขาจะล่วงเกินใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนี้ เขาเคยทำผิดไปครั้งหนึ่งแล้วที่ทั้งขับรถชนและพยายามโยนความผิดกลับไปให้อีกฝ่าย ถ้าครั้งนี้เรื่องมันเกิดจากตระกูลเขาจริง มือสองข้างนี้ไม่เหลือแน่
 
แบงค์สังหรณ์อะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้พี่ชายต่างแม่ที่ไม่ค่อยลงรอยกันเคยมาปะเหลาะถามว่าเรื่องขี้ผึ้งที่เขาส่งไปให้พี่สะใภ้ใช้ทุกเดือนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของใคร มีโอกาสที่จะร่วมมือทางธุรกิจด้วยไหม แต่เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปหลายครั้ง พี่ชายคนนี้เรียกว่าไม่มีอะไรดีเลยในสายตาเขา ฝีมือทางธุรกิจก็ไม่เท่าไหร่ แต่ทะเยอทะยาน ไม่พัฒนาตัวเองชอบใช้แต่ทางลัด เลือกคบเพื่อนก็ไม่เป็นมีแต่คนที่หวังประโยชน์รุมล้อม แถมยังขี้อิจฉาเรื่องที่เขาถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อ
 
ที่จริงเขาเองก็อยากจะมุ่งไปทางสายดนตรีให้เต็มที่เหมือนกัน แต่ก็ทำใจไม่ได้หากธุรกิจครอบครัวจะต้องมาล่มสลายในมือของพี่ชาย นักดนตรีคลาสสิคถึงจะมีชื่อเสียงแต่รายได้ไม่ได้ดีขนาดนั้น  เขายังติดการใช้เงินทองอย่างสบายแบบไฮโซอยู่ ถ้าปล่อยให้พี่รับช่วงธุรกิจไปคงต้องกินแกลบในเวลาไม่นาน โชคดีที่ตอนนี้พ่อของเขายังแข็งแรงดีอยู่เรื่องการสืบทอดธุรกิจถึงยังชะลอออกไปได้ก่อน
 
ในบรรดาข้อเสียมากมายพี่ชายยังมีข้อดีอยู่บ้างคือความหล่อเหลามีเสน่ห์ที่ได้รับจากแม่ผู้เป็นภรรยาเก่าของพ่อเขา แบงค์ต้องยอมรับว่าพี่ชายตัวเองหน้าตาดีกว่าดาราเสียอีก ข้อดีนี้ทำให้ลูกสาวเพื่อนพ่อที่เขานับถือเป็นพี่สาวคนสนิทตกลงแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนโดยไม่ฟังคำทัดทานของเขา แบงค์เสียดายจับใจ พี่สะใภ้เขาคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างยกเว้นบ้าผู้ชายหน้าตาดีทำให้ต้องมาตกล่องปล่องชิ้นกับคนแบบพี่ชายเขา
 
แบงค์ไม่ค่อยชอบพี่ชายตัวเอง แต่เขาก็สนิทกับพี่สะใภ้และหลานชายหญิงสองคนดี โชคดีที่พี่สะใภ้เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งมีธุรกิจของตัวเองไม่ต้องพึ่งพาผู้เป็นสามีแถมยังสามารถกุมอำนาจในบ้านได้หมด พี่สะใภ้เลี้ยงลูกเองเด็กๆ จึงได้มาเฉพาะดีเอ็นเอความหน้าตาดีแต่ไม่ได้มีนิสัยเหมือนพ่อ ตอนที่เขาเป็นตัวแทนขายขี้ผึ้งจักพรรดิก็ทราบว่าเป็นของดี จึงซื้อมาใช้เองและส่งให้มารดากับพี่สะใภ้ด้วยทุกเดือน ไม่นึกว่าจะเป็นเหตุให้พี่ชายสนใจสินค้าของคุณานนท์ขึ้นมา
 
แบงค์รีบติดต่อคนของตัวเองให้สืบความจริงเรื่องนี้ระหว่างที่เขายังติดพันอยู่ที่จีน เขาน่าจะเป็นคนเพียงน้อยนิดที่รู้ว่าถ้าทำให้คุณานนท์โกรธขึ้นมาจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือของพี่ชายจริงก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเพิ่งทำอะไรที่รุนแรงเลยเถิดไปไม่งั้นเขาคงจะรับสิ่งที่ตามมาจากคุณานนท์ไม่ไหว เพียงแค่คิดถึงตรงนี้ ไฮโซหนุ่มก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก
 
เพราะเรื่องนี้เป็นการสืบข้อมูลภายในธุรกิจของตัวเอง ผลจึงออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้แบงค์ทราบแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของพี่ชายจริงๆ เจ้าตัวเห็นโอกาสที่เขาชะลอการรับช่วงธุรกิจออกไปเพื่อทุ่มเทให้กับอาชีพด้านเปียโน จึงกลับไปขอพิสูจน์ฝีมือทางธุรกิจของตัวเองอีกครั้งจากผู้เป็นพ่อหลังจากที่เคยทำโครงการล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้พี่ชายเสนอที่จะแตกธุรกิจออกไปทำเครื่องสำอาง ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนสูงมากทั้งจากการพัฒนาสูตรขี้ผึ้งฮองเฮา การซื้อโรงงานผลิตแบบเร่งด่วน และการทุ่มโฆษณาอย่างไม่อั้น แต่ผลตอบรับในช่วงเดือนสองเดือนแรกกำลังไปได้สวยจนผู้เป็นบิดาออกปากชม
 
เรื่องอื่นที่พี่ชายทำเขาไม่แปลกใจ ถ้ามีการสนับสนุนทางการเงินและทีมผู้เชี่ยวชาญจากเครือธุรกิจของตระกูล การซื้อโรงงานหรือการโหมโฆษณาอย่างที่ทำก็เป็นเรื่องง่ายๆ แต่หัวใจของความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่สูตรของขี้ผึ้งฮองเฮาเป็นหลัก ไม่รู้ว่าพี่ชายงี่เง่าของเขาทำอย่างไรถึงแกะสูตรขี้ผึ้งของคุณานนท์ออกมาได้ไม่เลวอย่างนี้ เขารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะที่ผ่านมามีผู้ผลิตมากมายที่พยายามจะเลียนแบบสินค้าตัวนี้แต่ไม่มีใครทำได้แม้แต่จะใกล้เคียง
 
ไฮโซหนุ่มร้อนตัวอย่างหนัก เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้กุมความสำเร็จทางด้านดนตรีของเขาไว้ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้แค่ไหน ที่ผ่านมาเขาอุตส่าห์ได้รับความไว้วางใจก็เพราะทุ่มเทเดินสายขายขี้ผึ้งอย่างไม่ห่วงหน้าตาจะปล่อยให้ถูกทำลายไปไม่ได้ ถ้าหาความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ เขานั่นเองที่จะเป็นคนที่ถูกสงสัยมากที่สุด
 
แบงค์ทุ่มเงินส่วนตัวจ้างนักสืบมือดีไปสอบสวนความจริงเรื่องนี้ เขาถึงกับให้งบไปซื้อตัวลูกน้องคนสนิทของพี่ชายให้บอกความจริงออกมาก เขาทำแทบจะทุกอย่างเหลือแค่จับตัวคนไปข่มขู่เท่านั้น ถ้ายังหาความจริงมาไม่ได้ ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าที่เขาเจอกับคุณานนท์จะเกิดอะไรขึ้นกับมือของเขา อย่างเบาะๆ คงจะเล่นเปียโนไม่ได้ตลอดชีพกระมัง
 
ในที่สุดความพยายามก็บรรลุผล ข้อมูลที่ได้บอกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน พี่ชายเขาได้เอาขี้ผึ้งจักรพรรดิไปส่งห้องแลบที่ทันสมัยที่สุดในไทยเพื่อพยายามถอดส่วนผสมออกมาแต่ไม่สำเร็จ ทราบเพียงแต่ว่าน่าจะมีส่วนผสมของสมุนไพรจีนหลายชนิด พี่ชายไม่ละความพยายาม นำตัวอย่างใหม่ส่งไปส่งไปที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นนำของจีนที่เชี่ยวชาญเป็นอันดับหนึ่งในด้านสมุนไพรจีนโดยเฉพาะ ไม่คาดว่าสถาบันแห่งนี้ปฏิเสธที่จะรับงานที่ต้องใช้ทรัพยากรในการวิจัยจำนวนมากเช่นนี้หากไม่ได้เป็นคำขอจากหน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือของประเทศจีนเอง
 
แต่ก่อนที่พี่ชายจะถอดใจ เขาก็ได้รับการติดต่อจากนักวิจัยคนหนึ่งของสถาบันแห่งนั้นบอกว่าทีมวิจัยที่ตนร่วมงานอยู่เคยได้รับตัวอย่างที่มีบรรจุภัณฑ์แบบเดียวกัน และสามารถถอดสูตรออกมาได้ระดับหนึ่ง ถึงประสิทธิภาพจะยังไม่สามารถเทียบเคียงได้กับของจริงแต่ก็ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดมาก คนที่ลักลอบเอาสูตรมาเสนอบอกว่าสามารถให้เภสัชกรที่มีความสามารถของจีน ช่วยออกสูตรปรับปรุงที่เสริมด้วยสารบำรุงสังเคราะห์สมัยใหม่ ที่จะช่วยลดความแตกต่างของประสิทธิภาพไปได้อีก
 
แบงค์ได้ข้อมูลว่าพี่ชายเขาคว้าโอกาสนี้ไว้โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมาก จากนั้นก็ไปเร่งรัดบีบซื้อโรงงานผลิตยาและเครื่องสำอางคุณภาพดีของบริษัทเอสเอ็มอีแห่งหนึ่งมาได้ ในที่สุดก็สามารถออกผลิตภัณฑ์ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาออกมาวางจำหน่ายอย่างรวดเร็ว
 
ไฮโซหนุ่มเหงื่อแตกซ่กเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด พี่ชายเขาจะโชคดีในเรื่องชั่วๆ มากเกินไปหน่อย ถ้าไม่มีคนบัดซบคนหนึ่งเอาตัวอย่างขี้ผึ้งจักพรรดิไปส่งให้สถาบันวิจัยแห่งนั้นแต่แรก เรื่องนี้คงเกินกำลังพี่ชายไปนานแล้ว แบงค์ไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ต่อให้นำเรื่องนี้ไปบอกพ่อก็คงจะไม่เกิดผลอะไร ในทางธุรกิจ ถ้าไม่นับเรื่องติดสินบนให้เอาข้อมูลในสถาบันวิจัยออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องอื่นที่พี่ชายทำก็ไม่ถือว่าผิด ทางบ้านเขาอยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มที่มีการแข่งขันรุนแรงมานาน การเลียนแบบสินค้า ตัดราคา กีดกันช่องทางการจำหน่าย อัดโปรโมชั่นฆ่าคู่แข่ง มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่เคยผ่านมา ทั้งในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
 
แต่ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ ถึงตัวเองจะไม่ได้รู้เห็นเป็นใจแต่แรกแต่ในสายตาของคุณานนท์ก็คงไม่ต่างกัน ยิ่งพอเขาเดินสายพบกับหมอฝังเข็มตามรายชื่อจนหมด เขาก็ได้ข้อสรุปว่าฝีมือฝังเข็มของคุณานนท์นั้นล้ำเลิศกว่าต้นตำหรับในประเทศจีนเสียอีก แบงค์ตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทยทันทีโดยปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวจริงของผู้เล่นพิณที่ครอบครองสมบัติแห่งชาติจีนให้กับปรมาจารย์หาน เขาไม่คิดจะเสี่ยงต่อความไม่พอใจของคุณานนท์ไปมากกว่านี้
 
น่าเสียดายที่แบงค์มัวแต่ลังเลคิดล่าช้าไป ในตอนที่เขากลับถึงไทยก็พบว่าตัวเองไม่มีโอกาสช่วยคลี่คลายสถานการณ์คับขันของคุณานนท์แล้ว โอกาสนั้นได้ถูกตัดหน้าไปโดยนักธุรกิจลึกลับชาวจีนเจ้าของกู่ฉินล้ำค่าผู้ที่เขาไม่ชอบหน้ามาตั้งแต่วันแสดงละครเวที
………………………
 
จางอี้หลงก็เป็นคนจริงคนหนึ่ง ในวันถัดมาจากการประชุมผู้ถือหุ้นเขาก็โอนเงินสดก้อนโตซื้อหุ้นฉางอันโอสถอีกสิบเปอร์เซ็นต์จากหลี่คุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ในบริษัท และดูเหมือนว่าดวงของเขาจะสมพงศ์กับบริษัทนี้ไม่น้อย หลังจากวันนั้นลูกค้าเก่าก็เริ่มกลับมาขณะที่ลูกค้าใหม่ที่เคยลังเลดูท่าทีพอได้ข่าวว่ามีคนเริ่มสมัครก็รีบสมัครตามเพราะกลัวสมาชิกจะเต็มอีก แน่นอนว่าต้องโดนที่ราคาใหม่ ตอนนี้ลูกค้าเริ่มรู้แล้วว่าขี้ผึ้งฮองเฮาคุณภาพไม่ดีเท่าขี้ผึ้งจักรพรรดิเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นการเปรียบเทียบกับขี้ผึ้งจักรพรรดิตัวเก่า ส่วนขี้ผึ้งจักรพรรดิกตัญญูเพิ่งออกมาได้สองเดือน แต่ก็มีเสียงร่ำลือว่ายอดเยี่ยมกว่าตัวเก่าขึ้นไปอีก สถานการณ์ของฉางอันโอสถจึงมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ
 
หลังจากจัดการเรื่องหุ้นแล้ว จางอี้หลงก็ยังไม่ยอมกลับทั้งๆ ที่ดูงานยุ่งมาก บอกว่าควรจะมีการฉลองกันในโอกาสที่เขาได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นหลักอีกคนของฉางอันโอสถ ซูกัสทราบเรื่องก็สนับสนุนตามประสาเด็กที่ชอบความครึกครื้น พร้อมกับออกความคิดว่าควรจะทำสุกี้กินกันเพราะจางอี้หลงเป็นคนจีนน่าจะชอบของแบบนี้ ในระหว่างที่สองพี่น้องเตรียมของกันอยู่ตินก็มาถึงที่คอนโด
 
“ผมลืมไปว่านัดตินมาเอาของเย็นนี้ งั้นให้มันอยู่กินข้าวเย็นด้วยแล้วกัน พี่อี้หลงชวนมันคุยไปก่อนนะ ผมต้องใช้เวลาเตรียมของกับซูกัสอีกพักนึง”
 
หลี่คุนเอาของให้ตินแล้วก็ฝากฝังเพื่อนไปกับแขกก่อนที่จะกลับไปที่ครัวซึ่งแยกอยู่คนละห้อง จางอี้หลงรับไหว้ตินอย่างเป็นกันเอง ทั้งคู่คุ้นเคยกันอยู่แล้วตั้งแต่ตอนฝึกงาน ในบรรดาคนรู้จักของหลี่คุน ไม่รู้ทำไมเขาถึงถูกชะตากับเด็กคนนี้ที่สุดต่างจากคนอื่นที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่
 
“น้องคุนนัดมาเหรอติน”
 
“ครับพี่ จริงๆ แค่มาเอายาสมุนไพรอะไรไม่รู้ของมันอ่ะครับ เห็นว่าเพิ่งทำเพิ่มมาได้อีกเยอะ เลยอยากให้ผมกินให้ต่อเนื่อง”
 
“หือ ยาสมุนไพรเหรอ รักษาโรคอะไรล่ะ”
 
ตินเห็นจางอี้หลงสนใจ ก็หยิบขวดหยกใบเล็กๆ ที่เพิ่งได้มาส่งให้ดู
 
“นี่ครับ เห็นว่าเป็นยาบำรุง คงไม่ได้รักษาอะไรเป็นพิเศษ กลิ่นหอมดี แต่กินแล้วซู่ซ่ายังไงไม่รู้ ถ้าคุนมันไม่ยัดเยียดให้ ผมคงไม่เอาหรอก”
 
“เม็ดเล็กแค่นี้เอง น้องคุนให้ทานวันละกี่เม็ดนี่”
 
“สัปดาห์ละเม็ดครับ ขวดนี้อยู่ได้หลายเดือนเลย ผมว่ากินไปคงไม่ได้อะไรอ่ะ น้อยเกิ๊น”
 
จางอี้หลงสนใจยาสมุนไพรของหลี่คุนมาก เขาขอตินมาลองกินไปหนึ่งเม็ดก็รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ตินบอก
 
“จริงแฮะ ซ่าๆ แปล้บๆ คล้ายๆ ถูกไฟซ๊อตนิดๆ แต่ก็รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อยนะ”
 
“ฮ่าๆ พี่คิดไปเองมั๊ง ผมว่าแปลกๆ ไม่ค่อยอยากทานเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่ชอบก็แบ่งไปสิครับ หรือไม่ก็ไปขอที่ไอ้คุน กับพี่มันไม่หวงหรอก”
 
“แบ่งจากตินไปดีกว่า พี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อยู่ๆ จะให้ไปขอมันดูน่าเกลียด แต่ตินไม่ต้องไปบอกน้องคุนนะ เดี๋ยวเขาหาว่าพี่มาแย่งของเรา”
 
จางอี้หลงกับตินคุยกันต่ออีกพักใหญ่จนอาหารเสร็จ งานเลี้ยงฉลองง่ายๆ ค่ำนั้นเป็นไปอย่างสนุกสนาน จะมีขลุกขลักบ้างตรงที่ซูกัสเอาผงหมาล่ามาปรุงสุกี้ในถ้วยของจางอี้หลงให้เป็นพิเศษเพราะคิดว่าคนจีนทุกคนจะชอบแต่เจ้าตัวกลับทานเผ็ดไม่เก่งนัก ในที่สุดก็ต้องแบ่งให้ทุกคนช่วยกันรับชะตากรรมนี้ด้วยกัน
 
จางอี้หลงเป็นกันเองมากไม่มีท่าทีน่าเกรงขามแบบในเวลาปกติ ตินรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนละคนกับที่ปรึกษาจากสำนักงานใหญ่ที่แม้แต่ประธานของบริษัทตอนฝึกงานยังต้องเกรงใจ หลี่คุนเองก็ยังลืมไปเลยว่าแต่ก่อนตัวเองเคยขยาดและระแวงปราณอำนาจของอีกฝ่ายขนาดไหน ไม่ต้องพูดถึงซูกัสที่เห็นจางอี้หลงเป็นพี่ใหญ่ใจดีอีกคนไปนานแล้ว จนเมื่อทานเสร็จเปลี่ยนเป็นของขบเคี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ประกอบการพูดคุย จางอี้หลงก็ไปหยิบขวดกระเบื้องจากในห้องพักตัวเองออกมาวางบนโต๊ะ
 
“งานฉลองจะขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ยังไง นี่พี่เอามาจากจีนเลยนะ”
 
จางอี้หลงรินของเหลวในขวดออกมาแจกทุกคน ทันทีที่ได้กลิ่นหลี่คุนก็ตาลุกวาว
 
“หนูเอ่อฮง!!! เหล้านารีแดงหรือนี่”
 
หลี่คุนรีบกระดกแก้วซดสุราคำโตลงไปทันทีโดยไม่รอคำเชิญชวนแล้วทำเสียงในคออย่างมีความสุข
 
“นารีแดงเหมือนในหนังจีนเหรอ ผมดื่มมั่ง”
 
ซูกัสเรียกร้องส่วนแบ่งของตัวเอง
 
“ไอ้คุน น้องมันยังอายุไม่ถึง”
 
ตินรีบร้องห้ามทันที
 
“เหลวไหล เป็นบุรุษห้าวหาน อายุสิบหกขวบปีก็ถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะหัดลิ้มรสสุราบ้างมีอันใดไม่ดี ซูเอ๋อร์ พี่ชายรินให้เจ้าหนึ่งจอก”
 
“ผู้น้องขอคารวะพี่ชาย”
 
ซูกัสรีบรับลูก อยู่ๆ ภาษาประหลาดของพี่คุนก็กลับมาอีก แต่ใครจะสนล่ะ เพื่อให้ได้ลองดื่มเหล้า จะให้เล่นงิ้วร้องลิเกก็ยอม  โอกาสดีๆ แบบนี้ต้องประจบเอาใจไว้ก่อน ไม่นึกว่าพี่คุนที่แต่ก่อนเข้มงวดเรื่องนี้นักหนาจะยอมให้เขากินเหล้าได้ง่ายๆ
 
ตินทำท่าไม่ยอม สุดท้ายจางอี้หลงก็ไกล่เกลี่ยว่าเหล้านารีแดงไม่แรงมาก ให้ลองสักแก้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ซูกัสยิ้มย่องเมื่อมีสองแรงสนับสนุน แต่จิบไปนิดเดียวก็เริ่มออกอาการแก้มแดงหูแดง
 
ยิ่งมีเหล้าการพูดคุยก็ยิ่งออกรส ตินไม่ได้ร่วมวงดื่มด้วย เขาเป็นนักมวยค่อนข้างรักษาสุขภาพ นั่งฟังหลี่คุนคุยโม้อยู่พักใหญ่หันมาอีกทีซูกัสก็ฟุบลงไปแล้วทั้งที่เหล้าแก้วแรกยังเหลือเกือบครึ่ง เห็นอีกสองคนยังคุยกันติดลมเขาก็พาเด็กคออ่อนเข้าไปนอนในห้อง กลับมาอีกทีก็ทนนั่งฟังคำพูดแนวๆ ‘กระบี่ออกจากฝักต้องได้ดื่มโลหิต คนพบมิตรสหายต้องได้ลิ้มรสสุรา’ ‘พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังนับว่าน้อย’ หรือ ‘เราดื่มสุรากลัวเพียงฟ้าสว่าง’ หนักเข้าก็ทนไม่ไหว จึงขอตัวกลับบ้านไปก่อน
 
หลี่คุนเทเหล้าหยดสุดท้ายออกมาอย่างเสียดาย สุราไหเท่านี้เขาดื่มอีกสิบไหยังไม่สะทกสะท้าน แต่พอเห็นจางอี้หลงหยิบไหใหม่ออกมาจากในห้องก็ร้องอุทานอย่างยินดี ยิ่งได้กลิ่นหอมใบไผ่ระคนสมุนไพรก็รู้ว่านี่คือสุราไผ่เขียวที่เขาโปรดปรานในรสชาติลุ่มลึกของมันยิ่งนัก เสียดายมีเพียงไหเดียวไม่พอให้เขาได้มึนเมาสักนิด
 
จนไหที่สองหมดไปสุราไหที่สามก็ตามออกมาอีก คราวนี้เป็นสุราสามดอกไม้ที่หลี่คุนชื่นชอบในความแรงที่ผ่านการกลั่นหลายครั้งของมันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่พอดื่มๆ ไปไม่ถึงครึ่งไหหลี่คุนก็รู้สึกว่าผิดท่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเขาในชาติก่อนที่คอแข็งยิ่งนัก พอรู้สึกตัวอย่างนี้ อาการมึนเมาก็เหมือนจะถาโถมมาในครั้งเดียว หลี่คุนพยายามโคจรพลังไล่พิษสุราแต่ปรากฎว่าช้าไปเสียแล้ว เขาน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่เห็นซูเอ๋อร์ออกอาการแก้วเดียวจอด คนเป็นญาติกันร่างกายคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ นั่นเป็นความคิดสุดท้ายของหลี่คุนก่อนจะหลับไหลไปภายใต้สายตาที่มองมาอย่างสมใจของใครอีกคน
 
...z z z Z Z Z

พี่อี้ : จะสงสารหรือสงสัยผมคร๊าบ เอาให้แน่
ติน : ผมไม่ดื่มครับ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง
ไฮโซแบงค์ : ผมใกล้จะโดนเชือดแล้วใช่ไหม
น้องคุน : ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจะโดน... /เมาหลับต่อ



ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
31

 
หลี่คุนรู้สึกตัวในตอนสายโด่งของอีกวัน เขาปวดหัวมากจนต้องโคจรพลังอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยขับพิษสุราออกไปได้หมด เมื่อค่อยๆ นึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนไปเรื่อยๆ ก็ให้รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก
 
หากมีใครในชาติก่อนรู้เข้าว่าหลี่คุนผู้นำตระกูลหลี่แห่งฉางอันเมามายจนหลับไปหลังจากดื่มสุราไปแค่ไม่ถึงสามไหคงขบขันยิ่งนัก แม้ตอนนี้เขาจะเป็นแค่วิญญาณยืมร่างคืนชีพก็ยังมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
 
หลี่คุนสำรวจตัวเองจนทั่วก็รู้สึกว่าสดชื่นดี ทั้งๆ ที่เมื่อคืนคงเมาหลับไปโดยไม่ได้อาบน้ำแต่ก็ไม่มีอาการเหนียวตัวแต่อย่างใด นับว่าเขาไม่ถึงกับเมาสิ้นจนอนาถ แม้จะจำอะไรไม่ได้แต่ยังอุตส่าห์กลับมานอนบนเตียงได้เองแถมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อย แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติภายในร่างกายพอลองโคจรพลังแบบตั้งใจดูอีกที ก็รู้ที่มาของความรู้สึกแปลกๆ นั้นทันที
 
กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสาม!!!
 
จุดตันเถียนขนาดเท่าไข่ไก่ใบย่อมยืนยันความจริงเรื่องนี้ได้ แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดทำไมระดับถึงเลื่อนขึ้นเองได้ ถึงจะเป็นความก้าวหน้าแค่ครึ่งขั้นแต่หลี่คุนรู้ดีว่าการบรรลุเคล็ดวิชาต่างๆ แม้ตั้งใจพยายามยังไม่ใช่เรื่องง่าย ในคัมภีร์บุปผาเร้นวารีก็ไม่มีกล่าวถึงไว้ว่าระดับขั้นจะเลื่อนขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยพลังหยางจากภายนอก ถึงจะยังขบคิดถึงสาเหตุไม่ออกแต่หลี่คุนก็ดีใจมาก แม้แต่ในยุคก่อนระดับกำลังภายเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้วสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ไม่แน่ว่าร่างกายของคุณานนท์อาจมีความพิเศษใดที่ทำให้เพิ่มระดับกำลังภายในได้เอง
 
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่งั้นคงต้องเข้าเรียนสายหรือไม่ก็ต้องโดดไปเลย หลี่คุนเดินออกมาจากห้องก็เจอซูกัสนั่งเล่นเกมส์อยู่
 
“โห กว่าจะตื่นได้นะพี่ พี่อี้หลงกลับไปตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ ผมจะปลุกพี่มาส่งพี่เขาก็บอกว่าไม่ต้อง แต่มีฝากเอกสารอะไรไม่รู้ให้พี่อยู่ตรงโต๊ะโซฟาอ่ะ ผมไม่ได้เอาเข้าไปวางในห้องทำงานให้ เดี๋ยวพี่ว่าอีก”
 
“พี่บอกเราทั้งแต่คราวก่อนแล้วไง ว่าต่อไปน้องเข้าห้องอักษรพี่ได้ตลอด”
 
“นั่นแหละ เข้าไปก็ไม่เห็นมีอะไร ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปเลย พี่ตื่นก็ดีแล้ว รอตั้งนานแน่ะเดี๋ยวผมจะได้ออกไปหาพี่แฮ็คส์เลย บรัยยย”
 
ซูกัสบอกแล้วก็ผลุนผลันออกจากห้องไปตามประสาเด็กวัยรุ่นใจร้อน หลี่คุนหยิบซองเอกสารเข้าไปดูในห้องอักษร แต่ยังไม่ทันเปิดดูก็เห็นความผิดปกติบนโต๊ะทำงานเสียก่อน
 
ข้าวของเขาขยับไปจากเดิมอีกแล้ว ต้องมีคนเข้ามาค้นโต๊ะทำงานเมื่อเร็วๆ นี้แน่นอน คราวนี้เขาไม่คิดว่าเป็นซูกัส น้องเพิ่งพูดเมื่อครู่ว่าไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว ซูกัสถึงจะพูดมากแต่ก็ไม่ใช่เด็กโกหก ถ้างั้นจะเป็นใครได้อีก ติน? เพื่อนเขาอยู่ที่นี่เมื่อวานก็จริง แต่ก็กลับไปก่อน ดูๆ ก็ไม่น่ามีช่วงไหนที่จะเข้าไปในห้องได้โดยเขาไม่รู้ ถ้าเช่นนั้นก็เหลือแค่คนเดียว พี่อี้หลง!!
 
หลี่คุนยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจ คราวก่อนที่เขาเจอว่ามีคนมาสำรวจในห้องอักษรก็เป็นตอนที่จางอี้หลงมาพักอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่เขาเข้าใจไปว่าเป็นฝีมือซูกัส เสียแรงอุตส่าห์ไว้ใจ แต่โชคดีเที่ยวนี้เขาเกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดโทรศัพท์เกี่ยวกับภาษาเซี่ย เลยพยายามไม่ทิ้งอะไรที่อาจจะสร้างความน่าสงสัยไว้ วัตถุดิบล้ำค่าที่ใช้ปรุงยาระดับปฐพีใช้ไปหมดแล้ว ยาบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมก็เอาไปแอบซ่อนไว้ภายใต้ค่ายกลขนาดเล็กพร้อมกับสมุดสองเล่มที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ เป็นภาษาเซี่ยตะวันตก เหลือสมุดเล่มที่สามที่เขาเพิ่งใช้ได้ไม่นานที่ยังวางอยู่บนโต๊ะเพราะเพิ่งเอาออกมาจดบันทึกลงไป ต่อให้เกิดปาฏิหาริย์ที่ทำให้จางอี้หลงอ่านภาษาโบราณนี้ได้ก็ยังไม่รู้ความลับอยู่ดี เรื่องที่เขาได้ข้ามเวลามาจากสมัยราชวงศ์หมิงนั้นได้เขียนไปหมดแล้วในสมุดสองเล่มแรก ส่วนเล่มที่สามเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น
 
แต่ถึงอย่างนั้นหลี่คุนก็โกรธมาก สมุดเล่มที่สามมีรอยกรีดพับชัดเจนทุกหน้าแสดงว่าจางอี้หลงมาเปิดดูจริงๆ พฤติกรรมเช่นนี้ได้ทำลายความไว้ใจของเขาไปเกือบหมด ชาติก่อนเขาก็ถูกคนใกล้ชิดทรยศหักหลังทำให้เกิดความรู้สึกรุนแรงเป็นพิเศษ นี่เขาเปิดรับโจรเข้าบ้านหรืออย่างไร หลี่คุนตั้งใจที่จะตำหนิจางอี้หลงอย่างหนักในเรื่องนี้และจะลดระดับความสนิทสนมลงไปเป็นแค่คนรู้จัก เขาคิดว่าชั้นเชิงทางธุรกิจสมัยใหม่ที่ได้เรียนรู้มาน่าจะเพียงพอให้เขาไม่ต้องไปปรึกษาอะไรกับคนๆ นั้นอีก ดูไม่ผิดจริงๆ คนที่มีปราณอำนาจรุนแรงเช่นนี้มักมีเล่ห์เหลี่ยมจนคบไม่ได้
 
หลี่คุนนั่งสงบสติอารมณ์สักครู่ก็ส่งข้อความแชทรัวๆ ไปทิ้งไว้
 
LK : มิสเตอร์จาง! คุณเข้าไปรื้อของในห้องทำงานผมใช่ไหม
 
LK : ทำอย่างนี้ไม่ดีเลย
 
LK : ผมอุตส่าห์ไว้ใจคุณให้มาพักด้วย
 
LK : ผมว่าต่อไปเราคงไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะ
 
LK : ส่วนหุ้นในฉางอันถ้าผมเก็บเงินได้ครบจะขอซื้อคืนนะครับ
 
ZYL : น้องคุนทราบเหรอครับ พี่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังแค่ยังไม่ได้บอกเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะครับ อาจเป็นนิสัยเสียของพี่เองที่ชอบเก็บข้อมูลไปทั่ว
 
LK : แล้วสิ่งที่ได้ไปมีประโยชน์อะไรเหรอ คนดีๆ เขาคงไม่ทำอย่างที่คุณทำหรอก มิสเตอร์จาง
 
ZYL : ใจเย็นๆ นะครับ จะอธิบายยังไงดี สมมุตินะ ถ้าน้องซูกัสดูมีท่าทางผิดปกติ หรือมีแนวโน้มที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่ น้องคุนจะไม่สนใจเหรอครับ
 
LK : ซูเอ๋อร์เป็นน้องรักผม ถ้าเขาเจอเรื่องอะไรแบบนั้นผมจะเข้าไปถามตรงๆ อยู่แล้ว
 
ZYL : น้องคุนแน่ใจนะครับว่าเรื่องทุกเรื่องมันถามได้ตรงๆ ยังไม่นับนะครับว่าถามไปแล้วจะบอกความจริงหรือเปล่า
 
LK : แล้วซูเอ๋อร์เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
 
ZYL : ลองกลับไปคิดดีๆ ก่อน ทุกอย่างที่พี่ทำมาทั้งหมด มันบอกอะไรน้องคุนบ้าง
 
ZYL : พี่ให้เวลาน้องคุน เราพักกันซักช่วงก็ดีครับ อีกหนึ่งเดือนค่อยคุยกันอีกที บางทีอาจจะเห็นภาพชัดขึ้น
 
ZYL : ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ
 
หลี่คุนพิมพ์แล้วลบอยู่สองสามที สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่คุยกันหนึ่งเดือนเหรอ เขาตั้งใจจะเลิกคุยไปตลอดเลยต่างหาก ไม่รู้เป็นคำแก้ตัวประเภทไหน ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าจางอี้หลงมีสิทธ์มาละลาบละล้วงเรื่องของเขาได้ยังไง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
 
เขาเดินออกมาจากห้องอักษรตั้งใจว่าจะชวนน้องชายไปหาอะไรอร่อยๆ ทานให้คลายความหงุดหงิดลงบ้างก็นึกได้ว่าซูเอ๋อร์ออกไปหาแฮ็คส์ข้างนอก ดูๆ ไปแล้วที่สองคนนี้ได้มาคบหาดูใจกันได้ก็เป็นฝีมือผู้เฒ่าจันทราอย่างเขาอยู่พอควรนะ ถ้าตอนนั้นเขาไม่เอะใจท่าทีแปลกๆ ของซูเอ๋อร์สืบหาความจริงจนตามไปเอาเรื่องกับแฮ็คส์ ทั้งคู่คงไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจและพิสูจน์ความจริงใจด้วยผงพิษของเขาจนลงเอยกันแบบนี้
 
หล่คุนสะกิดใจขึ้นมา จะว่าไปสิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างกับที่จางอี้หลงทำ ตอนนั้นเขาถึงกับใช้กำยานมอมจิตพรรคมารกับซูเอ๋อร์ ถ้าน้องรู้จะโกรธไหม แต่เขาถามตรงๆ ไปไม่ตอบเองนี่หน่า แล้วเขาเป็นพี่ชายซูเอ๋อร์ด้วย ย่อมมีสิทธิ์สอดส่องความเป็นไปของน้องชายอยู่แล้ว ถึงสิ่งที่ทำจะคล้ายๆ กัน แต่จางอี้หลงไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไม่ควรจะมีสิทธิ์ในแบบเดียวกัน หรือเปล่านะ ที่เขาโกรธมากเพราะกลัวความลับที่ตัวเองมีเต็มไปหมดจะรั่วไหล หรือเพราะน้อยใจที่โดนทำแบบนี้ทั้งที่ไว้ใจกันแน่นะ
 
เรื่องนี้รบกวนจิตใจหลี่คุนตลอดทั้งวัน ตอนวางแผนทำการค้าใหม่ๆ ก็เผลอคิดว่าถ้าเป็นจางอี้หลงจะมีกลยุทธ์ยังไง ฝึกยุทธ์จนกำลังภายในเหลือไม่ถึงครึ่งก็คิดถึงพลังหยางเข้มข้นของอีกฝ่าย แม้แต่ตอนชงชาหลงจิ่งพอได้กลิ่นก็ยังนึกถึงคนที่เอามาให้ หลี่คุนพยายามหาอะไรเพลินๆ ทำจะได้ไม่คิดมาก แต่พอลืมตัวก็เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะพิมพ์แชทกับจางอี้หลงอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดต้องเอาโทรศัพท์ไปซ่อนไว้
 
แม้แต่วันถัดมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ หลี่คุนก็ยังดูไม่ค่อยสบายใจจนซูกัสสังเกตเห็น เด็กหนุ่มจึงชวนให้ออกไปหาอะไรทำข้างนอกพร้อมกับโทรไปตามตินมาด้วย หลังจากที่รวมตัวกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ซูกัสก็ทำท่าลึกลับไม่บอกว่าจะไปที่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็ตามเข้าไปในร้านที่ตกแต่งแปลกตา
 
“ยินดีต้อนรับค่าาาาา นายท่านและคุณหนู”
 
หลี่คุนเห็นเด็กสาวแต่งตัวแปลกๆ ดูเยอะกว่าคนยุคนี้ทั่วไปออกมาต้อนรับที่ประตูทางเข้าด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะนำพวกเขาทั้งสามเข้าไปในร้านที่ตกแต่งน่ารักสดใสมีแสงสีเสียงวิบวับเต็มไปหมด หลี่คุนว่าตัวเองก็คุ้นกับโลกยุคใหม่นี้มากอยู่แต่ยังไม่เคยเจออะไรที่ดูฟุ้งๆ กึ่งจริงกึ่งในแบบนี้มาก่อนจนอดใจไม่ไหวต้องกระซิบถามติน
 
“กูไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ก็ได้ยินอยู่ เป็นร้านเมดค่าเฟ่ที่นิยมกันที่ญี่ปุ่น ก็เป็นร้านอาหารนี่แหละ แต่ให้พนักงานแต่งตัวแบบสาวใช้เน้นน่ารักฟรุ้งฟริ้ง แต่กูว่าไม่เหมาะกับคนแมนๆ แบบกูหรอกว่ะ”
 
ที่แท้เด็กสาวพวกนี้คือสาวใช้นี่เอง มิน่าถึงได้เรียกเขาว่านายท่าน ฟังดูแล้วก็เกิดความคุ้นเคยไม่น้อย การแต่งตัวเช่นนี้คาดว่าน่าจะเป็นสาวใช้ระดับสูง เห็นแล้วอดนึกถึงสาวใช้ประจำตัวทั้งสี่ในอดีตไม่ได้
 
เมื่อสาวใช้หรือที่ให้เรียกขานว่าน้องเมดนำพวกเขามานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มพิธีการแปลกๆ ด้วยการจุดเทียน
 
“ต่อจากนี้นายท่าน และคุณหนูจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ให้ร่วมกันนับถอยหลัง สาม…….สอง……….หนึ่ง”
 
จากนั้นน้องเมดก็สอนท่าเราว่าถ้าอยากจะสั่งอาหารต้องพูดว่า เหนี่ยว เหนี๊ยว เห็นว่าเป็นเสียงร้องของแมวในภาษาญี่ปุ่น พร้อมยกมือสองข้างกำหลวมๆ ชูขึ้นมาที่ข้างแก้มทำท่าแมวเหมียว
 
หลี่คุนเส้นเลือดขึ้นหน้าขมับ ท่าทางเช่นนี้ก็ทำต่อหน้าธารกำนัลได้ด้วยหรือ ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
 
“ลองทำตามสิค๊าาาาาาาาา”
 
“เหนี่ยว เหนี๊ยว”
 
ซูกัสออกเสียงทำท่าตามอย่างสนุกสนาน เหลือบมองไปทางตินก็ดูเหมือนจะมีอารมณ์ร่วมไปแล้ว พอถูกสายตาของทั้งคู่กดดัน รวมถึงท่าทางออดอ้อนเสียใจของน้องเมด ทำให้หลี่คุนต้องทำตามในที่สุด
 
“เหนี่ยว เหนี๊ยว” สองมือยกขึ้นทำท่าแมวน้อยประกอบไปด้วย
 
เขาหน้าชานิดๆ ประสาทสัมผัสที่ว่องไวของผู้ฝึกยุทธ์ทำให้รู้ว่าเขาและซูเอ๋อร์กำลังถูกคนทั้งร้านจับจ้อง นึกแล้วให้อิจฉาติน ทำท่าเดียวกันแท้ๆ ทำไมไม่มีใครมองเลย สมกับเป็นผู้มีคุณสมบัติกับการเป็นองครักษ์เงาอันยอดเยี่ยมจริงๆ
 
จากนั้นน้องเมดก็พูดเสียงงุ้งงิ้งแนะนำอาหารไปเรื่อยๆ หลี่คุนได้แต่เออออสั่งตามไปอย่างงงๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็รับที่คาดผมหูแมวมาใส่แล้ว
 
ในที่สุดเครื่องดื่มก็ถูกนำมาเสริฟ์ แต่ก่อนจะได้ทานก็มีพิธีกรรมอีก น้องเมดคนหนึ่งเขย่ากระบอกผสมเครื่องดื่ม อีกคนเอาเครื่องดนตรีให้จังหวะมาเคาะ เชคไปเต้นไปร้องเพลงไป
 
"นายท่าน หล่อจัง ดูดี คาวาอี้ๆ"
 
ช่างเป็นการประจบประแจงเจ้านายที่ไม่ปิดบังซ่อนเร้นอะไรแม้แต่น้อย หลี่คุนหน้าชาอีกรอบ เท่านั้นยังไม่พอ น้องเมดยังให้ช่วยทำท่าร่ายมนต์ทำพิธีให้เครื่องดื่มอร่อย หลี่คุนจำใจวาดมือเป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจของโลกยุคนี้ ก่อนจะทำมืองอๆ ประกบกันเป็นรูปหัวใจยื่นไปที่แก้วเครื่องดื่มพร้อมกับร่ายมนต์
 
"โออิชิ คุนาเระ โมเอะ บีม!!!” สามครั้งสามคราตามจำนวนเครื่องดื่มที่สั่ง
 
รู้สึกเหมือนกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามถูกดูดไปเพิ่มความอร่อยให้แก้วเครื่องดื่ม ใช่ซะที่ไหน!!!
 
แต่พอเห็นตินจิบไปแล้วร้องเอะอะว่าอร่อยมากก็เริ่มสับสน หรือเวทมนต์คาถาในยุคนี้จะมีจริง คาถาเดียวกันนี้ถูกใช้เมื่อข้าวผัดรูปกระต่ายนอนห่มผ้าห่มไข่เจียวสีเหลืองอร่ามถูกนำมาวางบนโต๊ะ
 
“อุซางิ โออิชิ คุนาเระ โมเอะ บีม!!!”
 
หลี่คุนยิ่งทำยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ต้องพูดถึงซูเอ๋อร์กับตินที่วาดมือท่องคาถาเสียงเล็กเสียงน้อยได้ไม่ต่างจากมืออาชีพอย่างน้องเมด จะว่าไปก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ถ้าเขาได้มีโอกาสกลับไปสมัยราชวงศ์หมิงอีก อาจจะลองให้สาวใช้ในจวนเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดกระโปรงที่มีผ้ากันเปื้อนแบบนี้ดู หลี่คุนคิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะถ่ายรูปเก็บไว้ดูเป็นแบบ
 
“ไม่ได้นะค๊าาาาาาาาา ห้ามถ่ายรูปน้องเมดค่ะ เป็นกฎของทางร้าน แต่ถ้านายท่านสั่งชุดของหวานเป็นไจแอนท์ไอศครีมทาวเวอร์ ก็จะได้รับไปเลยฟรีๆ กับสิทธิ์การถ่ายรูปกับน้องเมดหนึ่งใบ พร้อมการแสดงสดประกอบการบีบช็อคโกแล็ตแต่งหน้า นายท่านจะรับไหมค้า...”
 
ช่างเป็นการค้าที่ได้กำไรยิ่งนัก มองไปที่ผู้ร่วมโต๊ะก็เห็นพยักหน้าหงึกๆ ตาเป็นประกาย เขาเองก็ชอบขนมหวานเย็นของโลกยุคนี้อยู่ด้วย ไม่นึกว่าพอถึงเวลาเสิร์ฟ ไฟทั้งร้านจะดับลงแล้วมีไฟดิสโก้ตรงกลางร้าน หมุนๆ อยู่เรียกความสนใจจากคนทั้งร้าน แล้วน้องเมดก็พูดใส่ไมค์ว่า
 
“วันนี้มีคนสั่งเมนูไจแอนท์ไอศครีมทาวเวอร์ด้วยค่ะ แต่เอ อยากทราบว่านายท่านโต๊ะไหนสั่งกันน้าาาาา นายท่านโต๊ะไหนสั่ง ให้ทำท่าเนี๊ยวๆ ด้วยนะค๊าาาาาา”
 
จัดไป!!! “เหนี่ยว เหนี๊ยว” ประสานกันสามเสียงคนมองทั้งร้าน
 
ในที่สุดหลี่คุนก็ได้ทำกิจกรรมในร้านเมดค่าเฟ่ตั้งแต่โมเอะบีมไปจนถึงถ่ายรูปกับน้องเมดอย่างเพลิดเพลินจนลืมความไม่สบายใจเรื่องจางอี้หลงไปได้ไม่น้อยราวกับมีเวทมนต์เยียวยา แต่ในที่สุดน้องเมดก็เดินมาบอกว่า
 
“ต่อจากนี้จะหมดเวลาของดินแดนแห่งความฝันแล้ว ขอให้นายท่านและคุณหนู ร่วมกันนับถอยหลัง สาม…….สอง……….หนึ่ง พร้อมกันนะค๊าาาาาาาาาาาาาาาา”
 
แล้วน้องเมดก็เป่าดับเทียน ตินทำท่าเหมือนตื่นจากความฝัน พอออกจากร้านมาก็ยังเพ้ออยู่หน่อยๆ
 
“มิคายุจังน่ารักดีน้า เสียดายที่ร้านมีกฎไม่ให้ถูกตัวน้องเมด กูว่าจะขอจับมือเค้าสักหน่อย”
 
ตินผู้ซึ่งหลี่คุนเห็นว่าชอบแต่ดูหนังไม่เคยเห็นว่าจะสนใจสาวไหนมาก่อนยังดูติดใจ
 
“พี่ตินอยากจับก็ไม่บอก เดี๋ยวเราไปเดินย่อยอาหารกัน ถ้าพี่ตินซื้อแผ่นเกมส์ให้ผมสักแผ่นสองแผ่น เดี๋ยวผมพาไปอีกที่นึง แนวญี่ปุ่นเหมือนกัน รับรองลูบคลำได้ตามใจ”
 
“จริงเหรอซูกัส น้องเค้าไม่ว่าเอานะ”
 
“ไม่หรอกฮะ ถ้าพี่ไม่รุนแรงกับน้อง”
 
ตินตาเป็นประกาย ยอมให้ซูกัสลากไปเข้าร้านโน้นร้านนี้และควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อของให้แต่โดยดี ทำให้พี่ชายตัวจริงอย่างหลี่คุนสบายไป พอซูกัสเห็นว่าไถทรัพย์เพื่อนพี่ได้พอประมาณแล้ว ก็พาออกจากห้างมาที่ร้านข้างนอกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
 
‘เนโกะ เนโกะ แคท คาเฟ่’
 
ตินเห็นป้ายชื่อร้านแล้วถึงกับตะลึงไป หลังจากตั้งสติได้ก็หันไปทำหน้าถมึงทึงใส่ซูกัสแต่น้องน้อยสุดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะนำพี่ชายทั้งสองเดินเข้าไปในร้านที่ตกแต่งน่ารักอย่างไม่รู้ไม่ชี้
 
หลี่คุนสำรวจในร้านด้วยความสนใจ ด้านในมีโซนห้องกระจกที่มีแมวสายพันธุ์แปลกตากำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยมีคนที่มาใช้บริการนั่งจิบเครื่องดื่มมองอย่างมีความสุขตรงที่นั่งที่จัดไว้รอบๆ ห้องกระจกนั้น ถัดเข้าไปข้างในจะเป็นบริเวณที่มีแมวหลายตัวถูกปล่อยอย่างอิสระให้เข้าไปนั่งเล่นด้วยได้
 
ที่แท้เจ้าพวกนี้เป็นแมวหอโคมเขียวนี่เอง ทั้งยังมีแบ่งระดับเป็นคณิกาขายศิลปะในห้องกระจกที่ได้เพียงมองมิอาจแตะต้อง กับคณิกาขายเรือนร่างที่ลูกค้าสามารถลูบคลำได้เต็มที่อย่างที่ซูเอ๋อร์สัญญาไว้จริงๆ
 
ตินหน้าบูดบึ้งจนซูกัสต้องบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงขนมกับเครื่องดื่มเองพร้อมกับอาสาเดินไปสั่งให้ที่เค้าเตอร์ กลับมาอีกทีก็เห็นตินนั่งเล่นกับแมวทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบที่น้องเมดในร้านที่แล้วทำแล้วก็ต้องส่ายหัวให้กับเพื่อนพี่ชายคนนี้
 
หลี่คุนนั่งมองนักศึกษาปีสี่กับเด็กมอห้าเล่นกับแมวอยู่พักใหญ่ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า ปรากฎว่าเป็นไฮโซแบงค์ที่เพิ่งกลับถึงเมืองไทยอยากนัดเจอเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด หลี่คุนเห็นเพื่อนกับน้องกำลังสนุกเลยบอกว่าจะขอตัวไปทำธุระก่อนถ้าเสร็จแล้วให้ตินพาซูเอ๋อร์กลับไปส่งที่คอนโดด้วย
 
หลี่คุนเลือกที่จะไปพบไฮโซหนุ่มที่อาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มของอีกฝ่าย เที่ยวนี้เขาไม่ได้ถูกบอดี้การ์ดค้นตัวเพื่อตรวจอาวุธเหมือนครั้งที่แล้ว แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างนอบน้อมจากทั้ง รปภ. ที่ตะเบ๊ะแล้วตะเบ๊ะอีกตั้งแต่ที่ประตูทางเข้า กับรองประธานกรรมการบริหารที่มารอรับอยู่ที่ล็อบบี้อย่างกระวนกระวายจนทำให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่ไม่สุขไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะมีวีไอพีท่านใดมาเยือน พอเธอเห็นว่าแขกที่มาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในรายชื่อนักธุรกิจหรือทำเนียบคนดังใดๆ ก็แปลกใจหนักหนาที่ท่านรองกุลีกุจอมาต้อนรับและพาขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นบนสุดด้วยตัวเอง
 
แบงค์ไม่ได้เจอหลี่คุนมาสองสามเดือนรู้สึกได้ถึงความองอาจน่าเกรงขามที่เพิ่มขึ้น ยิ่งตอนนี้เขามีชะงักติดหลังอยู่เรื่องบริษัทในเครือของพี่ชายมาทำธุรกิจแข่งโดยวิธีที่ไม่โปร่งใสสักเท่าไหร่ก็ยิ่งใจคอไม่ดี ท่าทางที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายกลายเป็นเจียมเนื้อเจียมตัวจนถ้าคนมาเห็นคงงงว่าใครเป็นถึงรองประธานและใครเป็นเพียงนักศึกษาปีสี่กันแน่ คราวนี้ชาที่เอามาเสิร์ฟก็เป็นชาจีนอย่างดี หลี่คุนจิบไปก็พบว่าไม่เลว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับชาหลงจิ่งที่จางอี้หลงเอามาให้ เขาวางจอกชาทันทีอย่างไม่สบอารมณ์ที่กลับไปนึกถึงคนคนนั้นอีก ทำเอาแบงค์ออกจะผวาเล็กน้อย
 
ไฮโซหนุ่มรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังว่าบริษัทที่ผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาออกมาขายมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มของตระกูลเขาจริง ตอนนี้กำลังหาวิธีจัดการเพื่อลดความเสียหายที่เกิดกับหลี่คุนอยู่ แบงค์ปิดบังความจริงที่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือพี่ชายของเขาเองเพราะกลัวว่าหลี่คุนจะมีอคติกับครอบครัวของเขาและที่สำคัญคือเขายังหว่านล้อมให้พ่อถอนการสนับสนุนโครงการนี้ของพี่ชายไม่ได้ เขาพูดเพียงว่าโครงการนี้เกิดจากทีมผู้บริหารสองสามคนซึ่งแยกออกมาทำอย่างอิสระเลยยังสั่งยกเลิกไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถให้ข้อมูลได้ว่าสูตรการผลิตนี้รั่วไหลออกมาจากสถาบันวิจัยด้านสมุนไพรชั้นนำของจีนได้อย่างไร
 
“ตกลงที่เล่ามายืดยาว สรุปว่าคุณก็ยังทำอะไรไม่ได้งั้นสิ”
 
หลี่คุนหลี่ตามองมาที่แบงค์อย่างเย็นชา ไฮโซหนุ่มเสียวสันหลังวาบ รีบเอามือทั้งสองข้างไขว้ไปแอบไว้ด้านหลังแล้วรีบอธิบาย
 
“แค่เฉพาะตอนนี้นะครับ บริษัทมีการแยกอำนาจบริหารออกมาไม่ขึ้นกับบริษัทแม่เพื่อให้คล่องตัวในการเจาะธุรกิจใหม่ แต่ผมกำลังเร่งระงับโครงการอยู่ อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
 
“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าพ่อคุณโทรสั่งคำเดียวก็จบเหรอครับ ยังไงก็ธุรกิจกึ่งครอบครัว ถึงจะบอกว่าแยกโครงสร้างออกไป แต่ถ้านายใหญ่เอาจริง ผู้บริหารคนไหนจะกล้าไม่ทำตาม”
 
แบงค์เหงื่อตก คุณานนท์รู้ดีเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นแค่นักศึกษาปีสี่ภาคโฆษณาหรอกหรือ ทำไมถึงได้เข้าใจการทำธุรกิจจริงๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีได้ ไม่ใช่เขาไม่พยายามคุยกับพ่อ แต่นี่เป็นงานแรกของพี่ชายที่มีแนวโน้มจะทำสำเร็จหลังจากที่ล้มเหลวในธุรกิจมาโดยตลอด พ่อจึงลังเลที่จะถอนการสนับสนุนออก เมื่อต้องเลือกระหว่างลูกชายกับจริยธรรมทางธุรกิจ ถึงอย่างไรคนเป็นพ่อก็ยังลำเอียงไปทางสายเลือดตัวเองอยู่ดี
 
เขาก็ยังไม่ลืมว่าเคยติดการลงทัณฑ์ถอดกางเกงโบยก้นของหลี่คุนไว้จากความผิดครั้งที่แล้วจึงรีบอธิบายรัวเร็วแทบไม่เป็นภาษา
 
“คือบริษัทเครื่องสำอางที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ ก็ได้มีการดึงมือดีจากหลายๆ ด้านจากข้างนอกเข้ามารวมตัวกัน มีการจ่ายผลตอบแทนตามความสำเร็จ อยู่ๆ จะสั่งเลิกตอนที่กำลังไปได้ดีก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นครับ”
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่มือดีที่พี่ชายไปดึงตัวมานั้นน่าจะเรียกว่ามือชั่วมากกว่า ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน ประวัติโชกโชนไม่ขาวสะอาดสักคน
 
“ถึงเรื่องนี้จะทำให้เสียหายหนัก แต่ผมก็แก้เกมคืนไปแล้ว อีกเดือนสองเดือนยอดขายของขี้ผึ้งจักรพรรดิตัวใหม่คงจะฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว ถ้ารอคุณจัดการผมคงหมดเนื้อหมดตัวพอดี ผมว่ายอดที่คุณสั่งอยู่หลายกระปุกทุกเดือนก็เลิกซะเถอะ ไปใช้ขี้ผึ้งฮองเฮาของพวกคุณเอง ผมจะได้เก็บโควต้านี้ไปรองรับลูกค้ารายใหม่ๆ ในราคาที่ปรับขึ้นแล้ว”
 
หลี่คุนตอบกลับอย่างไม่ใยดีเท่าไหร่ ถึงจะจัดการได้ แต่ก็ต้องไปพึ่งความช่วยเหลือจากจางอี้หลงอยู่ดี
 
“ไม่ได้นะครับ แม่ผมกับพี่สะใภ้ต้องด่ากราดแน่ๆ ผมยอมจ่ายที่ราคาใหม่เลยครับ”
 
“อย่างนี้ค่อยพอคุยกันได้หน่อย ว่าแต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ต้องการสูตรขี้ผึ้งนี้แต่แรกใช่ไหม”
 
แบงค์ถอนหายใจที่อีกฝ่ายดูจะระงับอารมณ์โกรธไว้ได้บ้าง ท่าทางวันนี้มือกับก้นของเขาน่าจะรอดแล้ว
 
“ยังไม่ทราบครับ ทางผมก็พยายามสอบถามไปที่สถาบันวิจัยแห่งนั้นแล้วโดยใช้เรื่องที่นักวิจัยของเขาทุจริตไปบีบ เขาบอกจะรับผิดชอบโดยการลงโทษและดำเนินการตามกฎหมายกับนักวิจัยคนนั้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยความลับของผู้จ้างเดิมที่เอาขี้ผึ้งจักรพรรดิมาทดสอบให้เราได้”
 
“งั้นก็หมดหวัง ลูกค้าขี้ผึ้งมีเป็นร้อยๆ ใครก็สามารถส่งตัวอย่างไปตรวจได้”
 
“ก็ไม่เชิงครับ คนที่น่าสงสัยจะว่ากว้างก็กว้าง จะว่าแคบก็แคบ ที่ผมสืบมาสถาบันวิจัยนี้เกี่ยวพันกับภาครัฐ ถ้าไม่ใช่องค์กรหรือเอกชนรายใหญ่ๆ ของจีน เขาจะไม่รับงานแบบนี้ แสดงว่าคงไม่ใช่ลูกค้าธรรมดาๆ หรอกครับ ไม่ทราบว่าคุณคุณานนท์คิดว่าคนที่ได้ขี้ผึ้งไปมีใครเข้าข่ายนี้บ้าง”
 
จางอี้หลง!!! หลี่คุนคำรามชื่อที่น่าสงสัยที่สุดอยู่ในใจ นี่เหรอที่บอกว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี
 
หลี่คุนกลับออกมาจากบริษัทของแบงค์ ขณะที่เขานั่งคิดว่าจะจัดการกับจางอี้หลงยังไงก็มีโทรศัพท์จากตินเข้ามา
 
“ไอ้คุน มึงอยู่ไหน รีบกลับมาเร็ว ซูกัสโดนทำร้าย!!!”

#######


 
 
 
 

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
32

หลี่คุนปวดใจเรื่องที่ซูเอ๋อร์โดนทำร้ายยิ่งนัก เขานั่งแทกซี่อย่างร้อนใจจนมาถึงที่หน้าคอนโดแล้วก็วิ่งไปขึ้นลิฟต์ทันที ผู้โดยสารร่วมลิฟต์เป็นหญิงสาววัยทำงานสองคนกำลังคุยกันอย่างตื่นเต้น
 
“แกเห็นกับตาเลยเหรอ”
 
“ใช่ ไม่น่าเชื่อนะว่าก่อนถึงหน้าคอนโดเรานิดเดียว จะมีคนร้ายกล้ามาลักพาตัวคนกันซึ่งๆ หน้า น้องผู้ชายคนที่โดนดูคุ้นๆ รู้สึกจะอยู่ที่คอนโดเรานี่แหละ ยังเรียนมัธยมอยู่เลย หน้าตาดี๊ดี”
 
“หรือว่าจะเอาตัวไปทำเรื่องอย่างว่า เดี๋ยวนี้ผู้ชายยังไม่ปลอดภัย ใจกลางเมืองแท้ๆ  โชคดีนะที่ไม่สำเร็จ”
 
“ไม่ใช่แค่โชคนะ แต่คนที่มาช่วยเก่งมากๆ มาถึงก็อัดคนร้ายสามสี่คนลงไปนอนกับพื้นฉันมองตามไม่ทัน แล้วขนาดน้องผู้ชายถูกเอาตัวขึ้นรถตู้ปิดประตูไปแล้วนะ เขาชกทีเดียวกระจกแตกเอามือปลดล็อกจากข้างในเปิดประตูดึงน้องออกมาได้ เรื่องมันเกิดเร็วมาก ฉันยังนึกว่าถ่ายหนังหรือเปล่า ไม่งั้นคงได้เอามือถือขึ้นมาถ่ายแล้ว”
 
“เก่งขนาดนั้นเลย ใช้คาราเต้เทควันโด้อะไรงี้เปล่า”
 
“มวยไทยเลยจ้า เตะศอกเข่าแข้งเน้นๆ”
 
“โอ๊ย เถื่อนๆ เร้าใจไปอีก หล่อด้วยใช่เปล่าแก”
 
“เห็นหน้าไม่ค่อยชัด มันเร็วไปหมด  แต่กล้ามแน่นหุ่นดีดูยังหนุ่มๆ อยู่”
 
“ขอให้หล่อด้วยเถอะเพี้ยง”
 
หลี่คุนแอบฟังมาได้ถึงตอนนี้ก็ถึงชั้นตัวเองพอดีจึงรีบออกจากลิฟต์ไป พอเข้ามาในห้องก็เห็นซูเอ๋อร์นั่งคุยเสียงดังอยู่กับตินท่าทางไม่เหมือนคนโดนทำร้ายมาสักเท่าใด ทันทีที่เห็นพี่ชาย เด็กหนุ่มก็กระโจนเข้ามาถึงตัวน้ำหูน้ำตาไหลเต็มไปหมด
 
“พี่คุน มันน่ากลัวมาก อยู่ๆ ก็รุมเข้ามาจับตัวผม กระชากแขนจะเอาขึ้นรถตู้ให้ได้ เจ็บไปทั่งตัวแล้วเนี่ย”
 
หลี่คุนสำรวจไปทั่วร่างของน้องชาย ถึงท่าทางซูเอ๋อร์จะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ดูอาการแล้วก็คงเจ็บไม่น้อย ทั้งแผลปริแตกที่มุมปาก รอยถูกบีบเค้นที่ข้อมือและต้นแขนแดงช้ำตัดกับผิวขาวๆ ที่สำคัญคืออาการฟกช้ำตรงหัวไหล่ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงกินบริเวณกว้างบ่งบอกว่าถูกบิดกระชากมาอย่างไม่ปราณี
 
“ที่จริงมีตรงก้นด้วย มีคนนึงมาถีบผมอย่างแรงให้เข้าไปในรถตู้ หัวคะมำเลยพี่”
 
ซูกัสเห็นพี่ชายเป็นห่วงก็ฟ้องสิ่งที่โดนกระทำออกมาจนหมด หลี่คุนยิ่งได้ฟังก็ลมปราณเดือดพล่านทั่วร่าง ซูเอ๋อร์คือเกล็ดย้อนมังกรของเขา ใครบังอาจมาทำอะไรมันจะต้องได้รับผลนั้นกลับเป็นร้อยเท่าพันเท่า
 
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะติน เล่ามาให้ละเอียดอีกที”
 
นักมวยหนุ่มเห็นอาการของเพื่อนก็รู้ว่าโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว เขาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่ระวังจนน้องเพื่อนถูกทำร้ายเอาได้ ตินเล่าย้อนไปว่าหลังเสร็จจากคาเฟ่แมวก็มาส่งซูกัสที่คอนโดตามที่รับปากหลี่คุนไว้ แต่พอลงรถไฟฟ้าตรงหน้าปากซอย เจอคุณยายขายพวงกุญแจเป็นตุ๊กตาถักรูปสไปเดอร์แมนอยู่เลยหยุดดู เขาเห็นว่าอากาศช่วงนี้มีฝุ่นละอองเยอะเลยให้ซูกัสรีบเดินกลับเข้าคอนโดในซอยไปก่อน เขาคุยกับคุณยายสักครู่ พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินตามไปเจอชายฉกรรจ์หลายคนกำลังฉุดกระชากซูกัสให้เข้าไปในรถตู้สีดำที่จอดดักอยู่ตรงก่อนถึงคอนโดจึงรีบเข้าไปช่วย ตินไม่ได้พูดถึงรายละเอียดให้หลี่คุนฟังว่าเขาจัดการคนสี่ห้าคนได้อย่างง่ายดายแถมยังใช้มือเปล่าชกกระจกรถจนแตกออกถึงได้ช่วยซูกัสออกมาได้
 
“สุดท้ายพวกมันหนีไปได้เหรอ”
 
“เออ น้องเจ็บอยู่กูก็ไม่กล้าทิ้งไป แล้วพวกมันก็มีกันหลายคน ไม่รู้ว่ามีอาวุธอะไรหรือเปล่า กูเลยไม่ได้ตาม แต่กูจำทะเบียนได้ แล้วตอนนั้นคนก็เริ่มเห็นกันเยอะแล้ว น่าจะมีใครถ่ายรูปไว้ได้บ้าง กูให้พรรคพวกพ่อสืบอยู่””
 
หลี่คุนไม่ได้หวังอะไรในพรรคพวกตำรวจของตินเท่าไหร่ เรื่องคราวที่แล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลย
 
“มึงว่ามันเจาะจงซูเอ๋อร์หรือเปล่าวะ”
 
“ถ้าให้กูเดาก็คิดว่าใช่ พวกมันจงใจเอารถมาดักรอตรงก่อนจะถึงคอนโด พอเห็นน้องเดินมาคนเดียวก็ลงมือเลย”
 
“ชั่วช้า เด็กคนนึงยังทำได้”
 
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มึงรีบรักษาแผลซูกัสเถอะ น้องมันไม่ยอมไปโรงพยาบาล จะรอมึง”
 
หลี่คุนรีบเอายาสมุนไพรแก้แผลฟกช้ำที่ปรุงไว้มาจัดการนวดให้ซูเอ๋อร์ทันที เขาถ่ายพลังปราณรักษาลงไปด้วยโดยไม่สนใจว่าบาดแผลและรอยฟกช้ำที่เกือบจะสมานตัวได้ในทันทีนี้จะดูผิดปกติขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ไม่อาจให้ซูเอ๋อร์ต้องทนเจ็บไปนานกว่านี้ ตินเฝ้ามองอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ในที่สุดการรักษาก็เสร็จสิ้นลงในขณะที่ซูเอ๋อร์หลับสนิทไปแล้วเนื่องจากการกดจุดของหลี่คุน
 
“ขอบใจมึงมากติน ถ้าไม่ได้มึง น้องคงโดนลักพาตัวไปแล้ว”
 
และถ้าซูเอ๋อร์เป็นอะไรไป เขาคงต้องลงมือทำร้ายคนทั้งๆ ที่สัญญากับตัวเองไว้เนิ่นนานแล้วว่าจะไม่ใช้วิทยายุทธ์พรากชีวิตใคร โชคดีเหลือเกินที่ได้ชำระทางเดินลมปราณที่อุดตันโดยใช้การฝังเข็มและโอสถระดับปฐพีให้กับตินไปก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นตินคงไม่สามารถเอาชนะชายฉกรรจ์หลายคนและช่วยซูเอ๋อร์ได้ทันท่วงที
 
“เฮ้ย มึงอย่าพูดอย่างนั้น กูยังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ดูแลน้องไม่ดี”
 
ตินพูดก่อนจะกลับบ้านไป หลี่คุนไม่รอช้า เขาหยิบชุดฝังเข็มออกมาแล้วฝังไปยังจุดต่างๆ บนร่างกายของซูเอ๋อร์ตามเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารี สัดส่วนร่างกายของน้องชายไม่ได้ดีเลิศเหมือนของติน เกรงว่าในสภาวะแวดล้อมของยุคนี้คงไม่สามารถฝึกกำลังภายในที่ใช้การได้สำเร็จ มีแต่เคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีเท่านั้นที่จะช่วยให้ซูเอ๋อร์มีกำลังภายในไว้ปกป้องตัวเองได้ หลี่คุนใช้เวลาคืนนั้นหลายชั่วยามจนสำเร็จ เขาถ่ายพลังหยางของตัวเองเข้าไปในร่างกายของน้องชายเพื่อเปลี่ยนเป็นกำลังภายในสะสมที่จุดตันเถียน พลังหยางของเขาก็ไม่ได้เข้มข้นเป็นพิเศษอะไร อีกทั้งซูเอ๋อร์ก็ไม่ได้รู้วิธีที่จะชักนำพลังหยางภายนอกให้เข้าสู่จุดตันเถียนด้วยตัวเอง หลี่คุณพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ช่วยน้องชายให้บรรลุได้เพียงแค่ขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีเท่านั้น อย่างน้อยถ้าใช้ให้เป็น ซูเอ๋อร์ก็น่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา เขาคิดว่าต่อไปจะค่อยๆ หาทางสอนวรยุทธ์ง่ายๆ ให้โดยต้องระวังไม่ให้ผิดสังเกต
 
หลี่คุนไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนร้ายคืออะไรกันแน่ แต่จากรูปแบบการลงมือเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวพันกับคนที่เคยพยายามจะจับตัวเขาไปตอนที่กลับจากค่ายมวย ในเมื่อพวกมันรู้ที่อยู่แน่ชัดอย่างนี้ต่อไปซูเอ๋อร์คงไม่ปลอดภัย เขาเองในยามนี้มีสิ่งที่ต้องทำมากมายเพื่อตัดรากถอนโคนเรื่องนี้คงไม่สามารถอยู่กับน้องได้ตลอดเวลา เห็นที่จะต้องให้ลี้ภัยหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนพร้อมทั้งหาคนดูแล เสียดายที่ในยุคนี้ไม่มีองครักษ์เงาให้ใช้งานเช่นนี้แล้ว
 
หลี่คุนโทรหาคนๆ หนึ่งเพื่อฝากฝังให้มารับซูเอ๋อร์ไปดูแลสักระยะหนึ่ง ในวันถัดมาวงการบันเทิงก็มีข่าวใหญ่เรื่องแฮ็คส์นักร้องนักแสดงลูกครึ่งชื่อดังประกาศพักงานตัวเองอย่างไม่มีกำหนด ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ในอินเตอร์เน็ตมีการคาดเดาไปต่างๆ นาๆ มีข่าวลือว่านักร้องหนุ่มเตรียมตัวจะไปรับช่วงธุรกิจจากผู้เป็นพ่อ บ้างก็ว่าถูกดองเพราะมีปัญหากับผู้หลักผู้ใหญ่ แฟนคลับกลับกังวลว่าอาจจะเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง  มีคนที่อ้างว่าเป็นวงในบอกว่ากำลังซุ่มทำโปรเจ็คใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่านักร้องหนุ่มขวัญใจมหาชนเพียงแค่ไปทำหน้าที่เป็นคนขับรถรับส่งเด็กมัธยมคนหนึ่งที่มาพักอยู่ด้วยกันเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
 
หลี่คุนแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัยของซูเอ๋อร์ไปได้เปลาะหนึ่งปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น อยู่ๆ ก็มีกระแสในโซเซียลออกมาโจมตีปลุกปั่นผลิตภัณฑ์ของฉางอันโอสถว่าผสมสารอันตราย ถ้าเป้าหมายเป็นเฉพาะขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิหลี่คุนจะไม่กังวลเลยเพราะขี้ผึ้งจำหน่ายในวงจำกัดด้วยระบบสมาชิก เขาสามารถติดต่อชี้แจงข้อมูลที่แท้จริงได้อยู่แล้ว ยิ่งเพิ่งผ่านสถานการณ์ที่สมาชิกบางส่วนเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าตัวอื่นสุดท้ายก็ต้องกลับมาใช้ขี้ผึ้งจักรพรรดิในราคาที่สูงขึ้นทำให้ทุกคนมีความหนักแน่น แต่ครั้งนี้เป้าหมายกลับมุ่งเน้นไปที่น้ำมันมวยมีคุณมากกว่า ถึงจะไม่ได้มีหลักฐานอะไรแต่อาศัยการระดมโพสต์แบบเป็นขบวนการ เริ่มจากคนจุดประเด็นเรื่องสารอันตรายขึ้นมาก่อน ต่อด้วยคนที่มารับลูกว่าถึงจะมี อย. แต่หน่วยงานของไทยไม่น่าเชื่อถือ  จากนั้นก็มีโพสต์อื่นๆ ออกมายืนยันว่ามีปัญหาเหมือนกัน โชคดีที่มีลูกค้าจำนวนมากที่ใช้จริงออกมาตอบโต้ แต่ก็ทำให้เกิดการถกเถียงลุกลามไปจนสร้างความสนใจในวงกว้าง
 
ฝั่งโจมตีเห็นว่ายังจุดกระแสเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ได้ไม่ติดนักก็เลยพยายามดีสเครดิตด้วยเรื่องอื่น ในที่สุดก็ไปเล่นเรื่องค่ายมวย ศ.เผด็จศึกซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าว่าตกต่ำจนต้องส่งนักมวยไปถ่ายนู้ด ทำให้เรื่องที่เคยรู้กันเฉพาะในวงการมวยกับกลุ่มคนที่สนใจในหนังสือประเภทนั้นถูกดึงขึ้นมาจนเป็นที่รู้กันทั่ว
 
กระแสการโจมนี้นี้เกิดขึ้นเร็วมากจนหลี่คุนตั้งตัวไม่ทัน ที่ผ่านมาเขาเคยโดนเล่นงานคล้ายๆ อย่างนี้มาแล้วจากตอนที่ขายขี้ผึ้งมหัศจรรย์ผ่านไอจีของซูเอ๋อร์ ในตอนนั้นเขายอมแพ้หยุดขายแต่โดยดีเพราะตัวเองทำผิดกฎหมายจริงที่ไม่มี อย. แต่ครั้งนี้เขาทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง ตั้งใจให้ลูกค้าใช้ของดีในราคาที่เป็นธรรม ตำแหน่งของสินค้าก็เป็นเกรดพรีเมี่ยมไม่ได้ไปแข่งกับน้ำมันมวยทั่วไปโดยตรง แถมยังสร้างตลาดใหม่ที่ใช้เป็นตัวช่วยสำหรับกิจกรรมในห้องหอ ไม่น่าจะมีคู่แข่งที่ไหนจะมาทุ่มเทจัดการน้ำมันมวยมีคุณขนาดนี้ หลี่คุนเคยฝึกงานบริษัทด้านการตลาดออนไลน์มา เขาพอจะบอกได้ว่าคนที่ลงมือทำเรื่องนี้คงจ้างมืออาชีพซึ่งใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
 
หลี่คุนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันทางการค้าแบบปกติแล้ว มันเหมือนพยายามตัดแหล่งรายได้เพื่อบีบให้ฉางอันโอสถเลิกกิจการมากกว่า ข่าวร้ายต่อมายิ่งทำให้เขาแน่ใจ โรงงานที่รับจ้างผลิตน้ำมันมวยมีคุณเป็นประจำแจ้งว่าตอนนี้ไม่สามารถรับงานนี้ได้แล้ว เพราะโดนลูกค้ารายอื่นกดดันว่าจะไม่ยอมจ้างผลิตสินค้าของตัวเองในโรงงานเดียวกับที่ผสมสินค้าอันตรายอย่างน้ำมันมวยมีคุณ เจ้าของโรงงานนั้นบอกว่าเรื่องนี้ผิดสังเกตมากเพราะลูกค้ารายอื่นไม่ยอมฟังคำชี้แจงและหลักฐานที่ส่งให้เลย แต่เขาทำอะไรไม่ได้เพราะถ้าไม่ยอมเลิกผลิตน้ำมันมวยมีคุณ ลูกค้ารายอื่นทั้งหมดจะยกเลิกการว่าจ้างผลิตสินค้าในโรงงานเขา ถึงตอนนั้นโรงงานก็ต้องปิดอยู่ดี
 
เรื่องพวกนี้เกิดได้ไม่กี่วันนักกฎหมายของฉางอันโอสถก็ได้รับการติดต่อเพื่อขอซื้อกิจการและสูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิอีกครั้งจากบริษัทที่ขายขี้ผึ้งฮองเฮา คราวนี้มีการฝากมาบอกถึงหลี่คุนด้วยว่าถ้าไม่รีบขายเร็วๆ ราคาจะตกลงอีกเพราะได้ข่าวว่ากำลังมีปัญหาทั้งที่ตัวสินค้าและการผลิต หลี่คุนทราบดีถึงความนัยที่แผงมา ในที่สุดก็โผล่หางออกมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะทราบถึงปัญหาภายในและเตรียมข้อเสนอซื้อกิจการได้เร็วขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเสียเอง
 
หลี่คุนกำลังคิดหาทางออกทางธุรกิจอยู่ เขาอยากจะปรึกษาจางอี้หลงแต่ก็ติดว่ายังอยู่ในช่วงห่างกันสักพักจึงต้องพยายามด้วยตัวเอง เรื่องเงินยังไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้เพราะทั้งเขาและบริษัทเพิ่งได้รับเงินก้อนใหญ่จากการขายหุ้นให้จางอี้หลง สต๊อกสินค้าของน้ำมันมวยมีคุนก็ยังมีกระจายเก็บไว้ตามช่องทางจำหน่ายต่างๆ คงอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่งถึงโรงงานรับจ้างจะไม่ผลิตของให้ ปัญหาสำคัญคือต้องระงับการโจมตีทางโซเชียลไม่ให้ชื่อเสียงเสียหายไปมากกว่านี้ แต่หลี่คุนยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร สถานการณ์ทางโซเชียลก็พลิกกลับได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
ในทุกช่องทางที่เคยโดนโจมตี มีคนเอาเอกสารผลการทดสอบโดยสถาบันและห้องปฏิบัติการชั้นนำหลายแห่งไปชี้แจงว่าขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิ์และน้ำมันมวยมีคุณมีแต่ส่วนประกอบจากธรรมชาติปราศจากสารอันตราย และที่สำคัญคือหลักฐานที่บอกว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟดีเอของสหรัฐ อีเอ็มเอของสหภาพยุโรป และหน่วยงานในลักษณะเดียวกันของญี่ปุ่น เกาหลี จีน แคนาดา และออสเตรเลีย ข้อมูลพวกนี้มีเลขทะเบียนอ้างอิงชัดเจน เมื่อมีคนนำไปตรวจสอบกับเวบไซต์ของหน่วยงานเหล่านั้นก็พบรายชื่อของผลิตภัณฑ์ทั้งสองของฉางอันโอสถอยู่จริง เรียกได้ว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถส่งขายทั่วโลกได้ทันที
 
หลี่คุนไล่อ่านคำชี้แจงในโซเชียลดูก็ทราบว่าทีมที่ทำเรื่องนี้เป็นมืออาชีพด้านการตลาดเสียยิ่งกว่ากลุ่มคนที่ออกมาตั้งประเด็นโจมตีเสียอีก ทุกโพสต์อ่านแล้วเข้าใจง่ายมีหลักฐานชัดเจน เอกสารที่นำมาแสดงก็มีแนบคำแปลเป็นภาษาไทย ถ้าใครไม่ถนัดเนื้อหาหนักๆ ก็มีความเห็นเสริมมาอธิบายเป็นภาษาชาวบ้านด้วย คนไทยมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือหน่วยงานของต่างประเทศมากกว่าของไทยเองอยู่แล้ว เมื่อเห็นข้อมูลชุดเต็มแบบนี้ก็ยิ่งให้ความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของฉางอันโอสถมากขึ้นไปอีก สถานการณ์ที่เคยแย่พลิกกลับมาส่งเสริมให้สินค้าสองตัวมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีกในไม่กี่วัน
 
วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าหลี่คุนไม่เคยคิด แต่ในเวลาอันจำกัดเขาไม่มีทางได้รับการรับรองจากหน่วยงานในต่างประเทศพวกนั้นได้แน่ ผลทดสอบและวันที่ที่ได้รับการรับรองก็เป็นช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ แสดงว่าได้มีการส่งตัวอย่างไปทดสอบก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว แถมทีมการตลาดก็เชี่ยวชาญมากทำให้จบเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ หรือว่าจะเป็นไฮโซแบงค์ที่ทำไปเพื่อชดใช้ความผิด แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะคิดการณ์ล่วงหน้าไว้ขนาดนี้เพราะดูเหมือนแบงค์ก็จะเพิ่งทราบเรื่องพี่ชายตัวเองมาไม่นานนัก
 
หนึ่งในผลการทดสอบที่เอามาลงในโซเชียลมาจากสถาบันวิจัยของจีนที่แบงค์บอกกว่าได้แกะสูตรของขี้ผึ้งจักพรรดิ์แล้วโดนนักวิจัยขโมยสูตรมาขายให้กับพี่ชายของเขา หลี่คุนจึงคิดว่าคนที่มาช่วยเขาแก้ปัญหาในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่มีส่วนในการสร้างปัญหาตั้งแต่ทีแรก เช่นนี้เขาควรจะขอบคุณหรือโมโหคนคนนั้นกันแน่
 
หลี่คุนโทรไปสอบถามกับพี่ที่บริษัทการตลาดดิจิตอลที่เขาเคยไปฝึกงานเผื่อว่าจะได้ข้อมูลจากคนในวงการบ้าง
 
‘พี่พอทราบเรื่องในเน็ตที่มีการโจมตีสินค้าขี้ผึ้งบำรุงผิวโอสถจักพรรดิ์กับน้ำมันมวยยี่ห้อมีคุณบ้างไหมครับ ผมว่าทั้งสองฝั่งน่าจะมีการจ้างทีมการตลาดออนไลน์มาช่วย ดูเป็นมืออาชีพมากเลยครับ’
 
‘อุ๊ย ทำไมจะไม่ทราบล่ะค้า เรื่องนี้เป็นกระแสในวงการเราจะตาย แล้วที่สำคัญ น้องคุนปิดไว้เลยนะ ทีมที่แก้ข่าวก็บริษัทเราเอง’
 
‘จริงเหรอครับ ว่าแล้วทำไมเก่งจัง นี่เจ้าของสินค้ามาจ้างเองหรือเปล่า’
 
‘งานนี้ทำฟรีค่า ทางสำนักงานใหญ่ที่เซินเจิ้นสั่งมา แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไรหรอก งานง่ายๆ ข้อมูลหลักฐานที่ได้มาก็แน่นอยู่แล้ว ทีมเขาก็อยากหักหน้าบริษัทการตลาดคู่แข่งเราที่ฝ่ายโน้นจ้างด้วย มีอย่างที่ไหน ไปรับงานโจมใส่ร้ายตีคนอื่นเขาแบบมั่วๆ เสียชื่อวงการนี้หมด’
 
‘ที่ว่าสำนักงานใหญ่สั่งนี่ ทราบผ่านมิสเตอร์จางหรือเปล่าครับ’
 
‘เปล่านี่คะ เป็นคำสั่งจากท่านประธานของบริษัทแม่เอง ตั้งแต่น้องคุนฝึกงานเสร็จ มิสเตอร์จางก็ไม่ได้เข้ามาที่บริษัทอีกเลย สาวๆ บ่นคิดถึงกันใหญ่’
 
‘ขอบคุณพี่มากครับ’
 
แม้จะยังสรุปได้ไม่ชัดเจน แต่พฤติกรรมทำตัวน่าสงสัยแต่ก็คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเช่นนี้ก็ดูคุ้นเคยเกินกว่าที่จะเป็นคนอื่น หลี่คุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรนับว่าปัญหาได้คลี่คลายลงไปได้อีกเปลาะ หลี่คุนเริ่มคิดถึงซูเอ๋อร์ที่ต้องลี้ภัยไปอาศัยที่อื่นว่ายังสุขสบายดีหรือเปล่าจึงได้เข้าไปเยี่ยมที่คอนโดของแฮ็คส์
 
หลี่คุนไม่เคยเห็นคอนโดที่เป็นเพนเฮ้าส์ขนาดใหญ่กินเนื้อที่ทั้งชั้นเช่นนี้มาก่อน มันเทียบเท่ากับเรือนๆ หนึ่งในจวนขุนนางใหญ่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกสร้างขึ้นสูงจากพื้นดินได้ขนาดนี้ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็จัดได้ว่าเข้มงวดแน่นหนาตามมาตรฐานขั้นสูงของยุคนี้ เมื่อเข้าไปในห้องชุดที่ตกแต่งไว้เรียบๆ แต่หรูหรา นักร้องหนุ่มก็ออกมาต้อนรับแล้วปล่อยให้พี่น้องได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
 
“ซูเอ๋อร์ น้องเป็นไงบ้าง มีใครท่าทางไม่น่าไว้ใจเข้าใกล้บ้างไหม”
 
“พี่คุน คิดถึงๆ ผมสบายดีมาก พี่แฮ็คส์ไปรับไปส่งโรงเรียนทุกวัน ถ้าออกไปที่อื่นพี่แฮ็คส์ก็ไปด้วยทุกครั้ง แล้วก็มีคนใส่สูทตามมาด้วยตั้งหลายคนจนรู้สึกปลอดภัยเกินไปหน่อย”
 
“ระวังไว้ดีแล้ว”
 
หลี่คุนนึกชื่นชมว่าที่น้องเขยอยู่ในใจ แฮ็คส์เป็นคนที่ไม่พูดมาก แต่การกระทำจริงใจชัดเจน ทีมบอดี้การ์ดของแฮ็คส์เขาก็เคยประมือมา ฝีมือไม่ธรรมดาเลย
 
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้ซะทีล่ะพี่คุน ตอนกลางคืนผมจะได้นอนสบายๆ ไม่ต้องเบียดพี่แฮ็คส์”
 
“หือ คอนโดกว้างขนาดนี้ ดูเหมือนจะมีตั้งหลายห้อง ทำไมต้องนอนเบียดกันด้วย”
 
“ห้องนอนอื่นรีโมทแอร์มันหายอ่า เลยต้องไปนอนเตียงพี่แฮ็คส์ ผมนอนดิ้นซะด้วย ไม่รู้ตอนกลางคืนเผลอเอาแขนขาไปโดนพี่เขาบ้างเปล่า ตอนเช้าตื่นมาถึงโดนจับตัวไว้แน่นทุกที”
 
หลี่คุนขมวดคิ้วด้วยความหวงน้อง แต่แล้วก็คิดว่าสองคนนี้ก็นับได้ว่าคบหาดูใจกันอยู่ สำหรับยุคที่เปิดกว้างเช่นนี้คงไม่เป็นไรกระมัง บางทีอาจจะส่งผลดีก็ได้ ซูเอ๋อร์ยังไม่รู้วิธีชักนำพลังหยาง หากได้สัมผัสตัวบุรุษอยู่เรื่อยๆ บ้าง ก็จะซึมซับพลังหยางได้ตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งในจุดตันเถียนให้เต็มอยู่ตลอดเวลา
 
หลี่คุนจับข้อมือซูเอ๋อร์แล้วส่งลมปราณเข้าไปตั้งใจจะตรวจสอบสภาพของจุดตันเถียนของน้องชาย หากอยู่ตัวดีแล้วก็จะได้หลอกล่อแอบสอนเคล็ดวิชาป้องกันตัวง่ายๆ มิคาดว่ากำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามของเขาถูกสะท้อนกลับจนลมปราณปั่นป่วนแทบกระอักโลหิต หลี่คุนเก็บงำความทรมานไว้รีบโคจรลมปราณอยู่หลายรอบจนอาการค่อยดีขึ้น
 
“พี่คุนๆ เป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ก็นิ่งไป เรียกก็ไม่ตอบ”
 
หลี่คุนมองน้องชายเหมือนคนแปลกหน้า ลมปราณสะท้อนกลับเช่นนี้มิใช่ว่าอีกฝ่ายมีกำลังภายในสูงส่งกว่าเขาหรอกหรือ มันจะเป็นไปได้ยังไง กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามของเขาถ้าเป็นในชาติก่อนก็เทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกลางๆ ของสำนักทั่วๆ ไปด้วซ้ำ แต่ยังพ่ายแพ้ให้กับซูเอ๋อร์ นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังภายในน้องชายเขาต้องอยู่ในขั้นที่สี่ขึ้นไปหรือ
 
เลือดจอมยุทธ์ในตัวหลี่คุนเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมาทันที ฟ้าดินไม่ยุติธรรม เขาเพิ่งถ่ายทอดวิชาบุปผาเร้นวารีให้กับซูเอ๋อร์ได้แค่สัปดาห์เดียว ในขณะที่ตัวเองใช้เวลาฝึกฝนก่อนหน้านี้มากว่าครึ่งปี ต้องทำเรื่องน่าอับอายมากมายกว่าจะบรรลุได้ถึงขั้นสาม แล้วทำไมความสำเร็จของซูเอ๋อร์ถึงก้าวล้ำนำหน้าเขาได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นน้องชายสุดที่รัก แต่การถูกเด็กยุคใหม่ข้ามหน้าข้ามตาในเรื่องเคล็ดวิชาโบราณที่เป็นปมเขื่องของเขาเช่นนี้มันสุดจะทานทนจริงๆ
 
หลี่คุนหมกมุ่นอยู่กับการพยายามทำใจในเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ต้องใช้วิธีลืมๆ มันไป อย่างน้อยในเรื่องกระบวนท่าของวรยุทธ์พิสดารทั้งหลายซูเอ๋อร์ก็ไม่มีทางสู้เขาได้ หลี่คุนประเมินดูแล้วด้วยกำลังภายในระดับสูงที่ซูกัสครอบครองอยู่ เมื่อต้องประมือกับคนธรรมดา ใช้เพียงการดิ้นรนธรรมดาก็ไม่มีทางถูกจับกุมได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสอนกระบวนท่าใดๆ ให้น่าสงสัย อีกอย่างภายใต้การคุ้มครองที่แน่นหนาของแฮ็คส์ โอกาสเกิดเรื่องแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
 
เมื่อมั่นใจในความปลอดภัยของน้อง หลี่คุนก็ไปตามความคืบหน้าเรื่องคนร้ายจากติน ผลการตรวจสอบจากตำรวจที่ตินไปขอให้ช่วยนั้นออกมาว่าทะเบียนรถตู้คันนั้นเป็นทะเบียนปลอม แต่ครั้งนี้ตำรวจไทยก็ไม่ได้ไร้ฝีมือ เนื่องจากเกิดเหตุใจกลางเมือง ทางตำรวจจึงสามารถแกะรอยจากกล้องที่ติดไว้ตามสี่แยก ตามรอยรถตู้คันนั้นตามถนนใหญ่ไปได้เรื่อยๆ จนเข้าซอยไป โชคดีที่ในซอยนั้นมีร้านสะดวกซื้อซึ่งเมื่อตำรวจไปขอดูภาพที่บันทึกไว้ก็เห็นรถคันนั้นวิ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเพราะต้องรอตำรวจท้องที่ทำสรุปเพื่อขอหมายค้นจากศาล สำหรับคดีที่ยังเป็นแค่ความพยายามลักพาตัวเช่นนี้คงต้องรอคิวไปอีกยาว หลี่คุนให้ตินช่วยใช้เส้นสายตำรวจสันติบาลของพ่อเอาข้อมูลบ้านหลังนั้นออกมาได้สำเร็จตามที่ขอ เขาอ่านดูแล้วก็พบว่าอยู่ไม่ไกล
 
เห็นทีจะได้เวลา ‘ล่า’ เสียแล้ว!!!
 
…………………………

เปิดตัวจอมยุทธ์ซูกัสผู้ที่เก่งที่สุดในเรื่อง ผ่าง!!!

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
33


“ไอ้คุน มึงจะเอาจริงเหรอวะ ไม่รู้พวกมันมีกันกี่คน ให้ตำรวจจัดการไม่ดีกว่าเหรอ รอแค่วันสองวันก็คงลงมือกันแล้ว กูขอให้พ่อกูช่วยตามเรื่องให้อยู่”

ตินที่ทนการรบเร้าของหลี่คุนไม่ได้จนยอมพามาดูลาดเลาบ้านหลังที่ตำรวจแกะรอยได้ว่ารถตู้ที่ดักทำร้ายซูกัสเข้ามาจอด แต่คิดไม่ถึงว่าเพื่อนตัวเองจะใจกล้าถึงขนาดจะลอบเข้าไปในบ้านตอนกลางดึกแบบนี้

“กลัวอะไรวะ นี่ใช่ตินคนเดียวกับที่สู้พวกมันทั้งโขยงแถมใช้มือเปล่าชกกระจกรถจนแตกเปล่าวะ พวกมันทำน้องกู กูต้องถอนรากถอนโคนพวกมันออกมาให้หมด เอาให้รู้ถึงตัวคนบงการ ไม่งั้นกูจะมั่นใจความปลอดภัยของซูเอ๋อร์ได้ยังไง ถ้ามึงกลัวก็หลบอยู่ข้างนอก”

เมื่อศักดิ์ศรีหนุ่มนักมวยลูกตำรวจถูกท้าทายตินก็โยนความลังเลทิ้งไป

“มึงพูดถูก จะยอมให้พวกเชี่ยนี่ทำเราแต่ฝ่ายเดียวได้ไง งั้นมึงตามกูมา หลบอยู่ข้างหลังกูไว้ อย่าว่ากูคุยเถอะ ช่วงหลังนี่ฝีมือกูเก่งกว่าเดิมโคตรเยอะเลย โจรกระจอกพวกนี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก”

“ดูพึ่งได้จริงๆ เลยเพื่อน งั้นมึงช่วยปกป้องกูด้วยนะ”

สองหนุ่มในชุดดำคลุมใบหน้าอย่างดีเลือกปืนกำแพงบ้านจากมุมที่อับสายตาคน กำแพงสูงพอสมควรแต่ตินกระโดดแค่ครั้งเดียวก็สามารถเกาะขอบด้านบนได้แล้ว เขาออกแรงดึงตัวเองแล้วใช้ขาช่วยอีกเล็กน้อยก็ขึ้นไปนั่งบนกำแพงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ตินยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจกับความสามารถของตัวเองก่อนจะยื่นแขนลงไปด้านล่างเพื่อจะช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมาด้วยอีกคน

“เฮ้ย!! มึงขึ้นมาได้พร้อมๆ กูเลยเหรอวะคุน”

ตินอุทานออกมาเมื่อหันไปเห็นหลี่คุนขึ้นมาอยู่ข้างๆ กันบนกำแพงแล้ว

“อ๋อ ตรงที่กูขึ้น กำแพงมันแตกเป็นร่องอยู่อ่ะ เลยปืนขึ้นมาง่าย ไปเถอะ อย่าเสียเวลาเก๊กหล่ออยู่เลย”

หลี่คุนกระโดดลงไปบริเวณบ้านอย่างเงียบเชียบ ตินจึงรีบตามลงไปอย่างติดๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนที่ไม่ค่อยเล่นกีฬาคนนี้ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้แคล่วคล่องรัดกุมกว่าเขาเสียอีก

บ้านหลังนี้มีบริเวณพอสมควร ทั้งคู่เข้าไปตรงโรงรถแล้วไม่พบรถตู้คันที่ใช้ดักทำร้ายซูกัส แต่หลี่คุนตาดีไปพบแผ่นป้ายทะเบียนหลายแผ่นเรียงซ้อนกันอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นเลขทะเบียนเดียวกับรถตู้คันที่ว่า คาดว่าจะเป็นป้ายทะเบียนปลอมที่คนร้ายใช้เปลี่ยนเวลาลงมือ จากนั้นหลี่คุนก็นำสำรวจไปรอบๆ บ้านก่อนจะลอบเข้าไปทางประตูหลัง ตินไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายทำอย่างไรถึงปลดล็อกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย สงสัยจะลืมล็อกประตู

“ต้องจัดการก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวนะติน ระวังด้วยเผื่อมันมีปืน จำที่มึงเคยหัดสมาธิกับกูได้เปล่า มึงลองเพ่งสมาธิให้จุดอุ่นๆ ตรงท้องน้อยเคลื่อนไปที่มือข้างถนัด แล้วมึงก็ใช้วิชามวยของมึงได้เลย ได้ยินว่าสมาธิจะช่วยให้ทำให้เรามีสติ ทำอะไรได้แม่นยำขึ้น”

หลี่คุนกระซิบเบาๆ บอกติน นักมวยหนุ่มรับคำ หลังจากที่เคยตามน้ำยกพวกตีกันกับเพื่อนตอนมอปลายจนโดนพ่อที่เป็นตำรวจคาดโทษไว้อย่างรุนแรง เขาก็ไม่เคยทำเรื่องบ้าระห่ำแบบนี้อีกเลย แต่เขาก็มั่นใจในความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาอย่างแปลกๆ ของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

“ใครวะ!”

คนร้ายคนแรกที่เจอมีโอกาสได้แค่อุทานออกมาคำเดียวก่อนจะถูกตินที่ชิงลงมือจัดการก่อน เขาไม่นึกว่าตัวเองจะสามารถผสมผสานทักษะมวยไทยในสถานการณ์การต่อสู้จริงได้ดีอย่างนี้ ประสาทสัมผัสที่ไวกว่าเดิมทำให้เขาคาดเดาตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ไม่ยาก การรวมจุดสมาธิไปที่กำปั้นที่หลี่คุนแนะนำก็ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ เขาชกแค่ทีสองทีก็ทำเอาชายวัยฉกรรจ์ลงไปนอนหมดสติทันที ตินรู้สึกทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นเหมือนตัวเองกำลังเล่นวิดีโอเกมอยู่

“ติน ช่วยกูด้วย”

หลังจากตินจัดการคนร้ายคนสุดท้ายที่พัวพันตัวเองอยู่ลงได้สำเร็จก็ได้ยินเสียงเพื่อนร้องให้ช่วย หันไปดูก็เห็นคนร้ายสองคนยืนนิ่งขวางหน้าหลี่คุนอยู่ เขาตำหนิตัวเองอยู่ในใจแต่ที่มัวแต่ติดพันการต่อสู้จนไม่ได้สนใจเพื่อน แต่เมื่อเข้าไปช่วยแค่ออกหมัดเบาๆ คนร้ายสองคนที่ยืนอยู่นั้นก็ลงไปกองกับพื้นทันที

“โคตรเจ๋งเลยติน กูนึกว่าจะไม่รอดแล้ว”

หลี่คุนออกปากชม ตินมองคนร้ายที่ตัวเองจัดการได้อย่างงงๆ แต่ก็ไม่มีเวลาจะคิดอะไรมาก เขาตามหลี่คุนไปจัดการพวกคนร้ายตามห้องต่างๆ ไปได้อีกคนสองคนก็รู้สึกว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของคนอื่นในบ้านอีก ทั้งคู่ลากคนร้ายที่สลบไสลมากองรวมกัน นับดูก็มีอยู่แค่เจ็ดคนน้อยกว่าที่คิดไว้

“ไอคนนี้มันเป็นคนที่ดักทำร้ายเราตอนกลับจากค่ายมวยนี่ ไอนี่ก็ด้วย กูจำหน้ามันได้”

หลี่คุนพูดขึ้นมาหลังจากดูหน้าคนร้ายทีละคนแล้ว

“กูจำไม่ได้ว่ะ ก็หลายเดือนแล้วมึงจำได้ไงวะ แต่ก็น่าจะใช่แหละ กูสงสัยอยู่แล้วว่าแม่งคงเป็นพวกเดียวกัน แต่ไม่มีไอพวกที่ดักลักพาตัวซูกัสเลยนะ กูสู้กับพวกมันอยู่พักนึงพอจำหน้าพวกมันได้”

“ไม่ต้องเดาแล้ว ปลุกพวกมันมาถามเลย”

“มึงแยกถามทีละคนนะ ถ้ามันตอบไม่ตรงกันเราจะได้รู้ว่ามันโกหก”

ตินแนะนำในฐานะลูกตำรวจที่พอจะรู้เรื่องการสอบสวนอยู่บ้าง แต่แล้วเขาต้องทึ่งกับวิธีการสอบปากคำคนร้ายของหลี่คุนที่แค่กดจุดตรงริมฝีปากแล้วตบหน้าคนร้ายสองสามทีมันก็ฟื้นขึ้นมาให้สอบถามทันที ทีแรกคนร้ายก็ไม่ยอมบอก หลี่คุนจับบิดข้อมือนิดเดียวก็ดิ้นทุรนทุรายเหมือนเจ็บปวดเสียเต็มประดาแต่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอ่ะ หลังจากทำอย่างนี้อยู่สองสามทีคนร้ายก็ตอบออกมาจนหมดอย่างไม่กล้าปิดบัง เมื่อถามคนแรกจนหมดเปลือกหลี่คุนทำอย่างไรไม่รู้มันก็กลับไปสลบอีกครั้ง ทำอย่างนี้กับโจรอีกสองสามคนทั้งคู่ก็ได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจ

คนร้ายพวกนี้สังกัดอยู่กับขาใหญ่คนหนึ่งที่มีอิทธิพลพอสมควร ขาใหญ่คนนั้นเลี้ยงพวกมันไว้คอยทำเรื่องชั่วช้าต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากที่พยายามจะไปลักพาตัวหลี่คุนและซูกัสแล้ว เห็นว่าเจ้านายมันกำลังร่วมทำธุรกิจเครื่องสำอางกับพรรคพวก พวกมันเลยถูกสั่งให้ไปข่มขู่ก่อกวนโรงงานผลิตเครื่องสำอางอยู่สองสามแห่ง เพื่อบังคับซื้อโรงงานและตัดช่องทางคู่แข่ง หลี่คุนปะติดปะต่อเรื่องได้ในที่สุด เขาทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจ้าของบริษัทที่ทำขี้ผึ้งฮองเฮาคือพี่ชายต่างแม่ของไฮโซแบงค์ ส่วนขาใหญ่คนนี้คงเป็นคนที่ร่วมทำธุรกิจด้วย

นอกจากนั้นหลี่คุนยังได้ทราบว่า จริงๆ พวกมันมีกันมากกว่านี้ แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกของมันชุดที่ไปร่วมลักพาตัวซูกัส ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างชาติไล่ล่าจนต้องหนีกันหัวซุกหัวซุน บางส่วนก็ขาดการติดต่อไปเลย บางส่วนรวมทั้งเจ้านายใหญ่ก็หนีข้ามชายแดนไปกบดานที่แถวลาวแถวเขมร พวกมันที่เหลือคือคนที่ไม่เกี่ยวกับการลักพาตัวหน้าคอนโดครั้งนั้น ได้แต่มารวมตัวกันที่บ้านหลังนี้ได้สองสามวันแล้วเพื่อรอการติดต่อกลับของเจ้านาย

ตินกับหลี่คุนจัดการมัดพวกคนร้ายไว้อย่างแน่นหนา พอเคลียร์ร่องรอยของตัวเองที่มีอยู่เล็กน้อยและตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่มีอุปกรณ์พวกกล้องวงจรปิดอยู่แล้วจึงหลบออกจากบ้านหลังนั้นมา ตินส่งข้อมูลให้พรรคพวกตำรวจของตัวเองไปจัดการเรื่องนี้ต่อ

“วู้ โคตรมันส์ กูรู้สึกเหมือนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ยังไงยังงั้นเลย”

ตินร้องออกมาอย่างอดใจไม่อยู่หลังจากขับรถออกมาได้ไกลแล้ว

“มึงเก่งจริงๆ ติน”

หลี่คุนทำท่านับถือ

“กูรู้ ว่าแต่มึงก็ไม่ใช่เล่นนะคุน ทำไงให้พวกมันหลับๆ ตื่นๆ ได้ตามสั่งวะ แล้วตอนบิดข้อมือให้รับสารภาพอีก”

“กูก็มั่วๆ เอา เหมือนเคยเห็นในหนัง”

“หนังเรื่องอะไรวะ”

จะไปรู้ได้ยังไงล่ะหลี่คุนคิดในใจ เขาชอบอ่านหนังสือมากกว่าการดูหนังของยุคนี้ที่ภาพและเสียงมันสมจริงเกินไปจนไม่ชิน

“เออน่า จะถามทำไมนี่ หรือมึงสงสัยอะไรกู”

“ถ้ากูจะสงสัยอะไรมึง กูควรสงสัยตั้งแต่ตอนที่อยู่ๆ มึงก็ลุกขึ้นมากวนยาอะไรก็ไม่รู้สรรพคุณออกมายังกับยาวิเศษแล้วเปล่าวะ หรือว่าควรจะถามตอนมึงเล่นพิณจีนแบบได้อย่างเทพโดยไม่เคยหัด ไม่ก็เรียนวิชานวดนิดๆ หน่อยๆ แล้วดันเก่งกว่าครูขึ้นมาเฉยเลย ไม่นับที่น้องมึงบอกว่ามึงฝังเข็มเป็น เขียนภาษาจีนก็ได้ รำมวยจีนก็ดี”

ตินพูดด้วยท่าทางจริงจังขึ้น

“มึง เอ่อ มึงสังเกตเห็นมาตลอดเลยเหรอ”

“ก็กูไม่ได้ตาบอด”

“ไม่เห็นมึงพูดอะไร”

“ก็มึงเพื่อนกูเปล่าวะ แล้วมึงก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน กูไม่จำเป็นต้องเผือกในทุกเรื่องของมึงก็ได้ มึงอยากบอกอะไร พอมึงพร้อม มึงก็คงบอกกูเองแหล่ะ”

“มึงเป็นเพื่อนรักของกู ติน”

“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องมากอด มึงยังไม่บอก กูก็เดาโน่นเดานี่ไปพลางๆ ก่อนได้”

“แล้วมึงเดาว่ายังไง”

หลี่คุนรู้สึกลุ้นมาก นิยายยุคนี้หลายต่อหลายเรื่องใช้โครงเรื่องที่วิญญาณของคนยุคหนึ่งข้ามชาติภพทะลุมิติไปเข้าร่างคนอีกยุคหนึ่งแล้วใช้ความรู้แปลกๆ จากต่างยุคสร้างความได้เปรียบต่างๆ มากมาย ตินจะเดาความจริงถูกก็ไม่ใช่อะไรเรื่องแปลก และหากตินมีความคิดนี้อยู่จริงแสดงว่าในใจคงยอมรับได้อยู่หลายส่วน การเล่าความจริงให้ฟังก็อาจจะไม่ยากอย่างที่คิด หลี่คุนไม่ได้มองตินว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทของคุณานนท์ แต่เขาเห็นเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองจริงๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากปิดบังอะไร

“ตอนแรกก็ยากอยู่นะ แต่พอกูพบว่ามึงอาจจะไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ๆ ก็เก่งขึ้นมา แต่กูเองก็ด้วย ทำให้พอเดาได้ลางๆ”

“ยังไงวะติน”

หลี่คุนตั้งใจฟังมาก ต่อให้สิ่งที่ตินคิดจะไม่ตรงกับความจริงเสียทีเดียว เขาก็น่าจะพอใช้เป็นแนวในการปรับเรื่องราวจริงๆ ให้เข้ากับสิ่งที่ตินพอจะยอมรับได้

“คนบางคนอาจเกิดมาพร้อมกับอะไรบางอย่าง ทีแรกก็ดูเหมือนเด็กธรรมดา แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหนุ่มสาวความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาจะได้ครอบครองความสามารถพิเศษที่ทะลุขีดจำกัดของคนปกติ อาจเป็นพลังแม่เหล็กที่ควบคุมโลหะได้ทุกชนิด หรือมีพลังจิตที่เชื่อมโยงจิตใจใครก็ได้ คนนึงควบคุมไฟ อีกคนอาจควบคุมน้ำแข็ง กระดูกเล็บเหล็กไหล รังสีพิฆาตจากดวงตา ควบคุมสภาพอากาศได้ตามใจนึก พลังพิเศษที่เกิดจากการกลายพันธ์ของยีนส์ พวกเขาคือเหล่ามิวแทนส์”

มารดามึงเถอะติน!!!!!

………

“อะไรวะ อยู่ๆ จะมาถอนตัว สูตรยาก็ยังเอามาไม่ได้ ถ้าพวกมึงถอนตัวไปตอนนี้ ส่วนแบ่งที่ตกลงกันไว้ก็อย่าหวังเลย!!!”

ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าตะคอกใส่คู่สนทนาก่อนจะตัดสายทิ้งแล้วโยนโทรศัพท์ราคาแพงลงไปบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด แม้จะอารมณ์เสียจนใบหน้าบูดบึ้ง แต่ไม่ได้ทำให้ความดูดีที่ยิ่งกว่าดาราชั้นแนวหน้านั้นลดน้อยลงไปเลย ตรงกันข้ามกลับเสริมบุคลิกที่ดูหล่อเนี้ยบแต่แฝงความร้ายกาจแบบแบดบอยโดดเด่นขึ้นไปอีก

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องน้ำหรูหราขนาดใหญ่เพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลังรอบเย็นอย่างหนักในห้องฟิตเนสส่วนตัวจนสะอาด เขาเดินออกมาด้วยร่างกายที่เปล่าเปลือยหยิบผ้าขนหนูสีขาวมานั่งเช็ดตัวตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกบานใหญ่ ชายหนุ่มมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเด็กกว่าอายุและรูปร่างที่ฟิตแน่นราวกับนายแบบในกระจกด้วยความพอใจ เขารู้ดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ภรรยาที่เก่งกาจและเพียบพร้อมไปทุกอย่างยังคงอดทนกับความไม่เอาไหนของเขาอยู่จนถึงตอนนี้ แต่เรื่องนั้นกำลังจะเป็นอดีต เมื่อโครงการบุกเบิกธุรกิจเครื่องสำอางของเขาประสบความสำเร็จ ธุรกิจของครอบครัวบางส่วนต้องตกเป็นของเขาตามที่พ่อให้สัญญาไว้ ดีไม่ดีเขาอาจได้สืบทอดกิจการทั้งหมดแทนน้องชายนักดนตรีเส็งเคร็งเสียด้วยซ้ำ

สายสนทนาที่เพิ่งวางไปทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อย ทั้งๆ ที่บริษัทเครื่องสำอางที่ตั้งใหม่กำลังไปได้สวย แต่พรรคพวกมือดีที่เขาดึงมาร่วมตั้งแต่ต้นกำลังถอนตัวออกไปทีละคนด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ฟังไม่ขึ้น คนหนึ่งบอกว่าถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนกดดัน อีกคนได้ระแคะระคายว่าโดนตำรวจจับตา ที่พิสดารกว่านั้นแหล่งข่าวที่บอกว่ามีมาเฟียจากยุโรปกำลังตามสืบเรื่องของพวกเขาอยู่ จนล่าสุดกลุ่มที่เป็นกำลังหลักก็ถอนตัวไปกันหมดบอกว่าต้องหนีไปกบดานที่เขมร

เขารู้ว่าการทำงานของคนพวกนี้ไม่ได้โปร่งใสเท่าไหร่ แต่ถ้ามันได้ผลดีเขาก็พร้อมที่จะหลับตาข้างหนึ่ง งานสกปรกก็ปล่อยให้พวกมันทำไปไม่ต้องไปสนใจรายละเอียด เขามีหน้าที่รับผลสำเร็จของมันเท่านั้น

ชายหนุ่มหยิบขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูขึ้นมาทาบำรุง ช่างเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้ ถ้าเขาได้ครอบครองสูตรของมันเมื่อไหร่การก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งก็ไม่ใช่ความฝัน เช่นเดียวกับการเป็นผู้สืบทอดธุรกิจเครื่องดื่มของตระกูล ถึงตอนนั้นน้องชายที่เขาแสนจะเกลียดขี้หน้าก็จะได้เป็นเพียงนักเปียโนยาจกสมใจ

ขณะที่เขากำลังตั้งใจเกลี่ยขี้ผึ้งจักรพรรดิให้ทั่วใบหน้าก็เห็นเงาดำวูบผ่านด้านหลังเขาผ่านจากกระจก ชายหนุ่มหันขวับไปทันทีก็ไม่พบอะไรผิดปกติ พอหันกลับไปทาขี้ผึ้งอีกครั้งก็รู้สึกว่ามีอะไรมากระทบที่ต้นคอเบาๆ เขารู้สึกเหมือนเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งจากจุดนั้นไปตามแนวกระดูกสันหลังทั้งร่างจนชาหนึบไปหมด หลังจากนั้นก็มีอะไรแบบเดียวกันมากระทบที่เอวด้านซ้ายและด้านขวาติดๆ กัน มีอันหนึ่งกระเด็นตกลงบนโต๊ะเครื่องแป้งเห็นว่าเป็นเพียงถั่วเขียวเมล็ดหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว

ชายหนุ่มเหลือบตามองกระจกก็เห็นร่างดำทะมึนยืนอยู่ด้านหลังตัวเองแต่ความสูงของกระจกนั้นไม่พอที่จะสะท้อนให้เห็นหน้าของร่างๆ นั้น เขาตกใจจนเกือบช็อค ผี!!!? โจร!!!? บ้านหลังนี้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังมีทั้งยามและสุนัขเฝ้าบ้านหลายตัว ไม่มีทางที่คนนอกจะเข้ามาถึงในห้องน้ำได้อย่างนี้ หรือว่าจะเป็นผีจริงๆ

ชายหนุ่มสะกดความกลัว เขานึกถึงปืนพกพร้อมกระสุนที่เก็บไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียงพร้อมกับคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะพุ่งตัวออกจากห้องน้ำไปหยิบมันออกมา โชคดีที่วันนี้เมียกับลูกทั้งสองคนไปนอนค้างที่บ้านพ่อตาแม่ยาย ไม่งั้นเขาคงยิ่งห่วงหน้าห่วงหลังยิ่งกว่านี้ ชายหนุ่มพยายามเคลื่อนไหวร่างกายแต่ตั้งแต่คอลงมาไม่มีส่วนไหนขยับ หรือว่านี้คืออาการผีอำ เขาเริ่มเหงื่อซึมด้วยความเครียดได้แต่ลองพูดข่มขู่ออกไป

“แกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ นะ บ้านนี้มีทั้งยามทั้งหมาล่าเนื้อเฝ้าอยู่ แกไปไหนไม่รอดหรอก”

ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยชวนให้ยำเกรง

“ยามแค่ไม่กี่คนตอนนี้สลบกันไปหมดแล้ว ส่วนหมาล่าเนื้อ ได้ยินเสียงมันเห่าซักแอะไหมล่ะ”

ความเงียบที่ผิดปกติของบริเวณบ้านทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่ายามฝีมือดีและหมาล่าเนื้อดุร้ายน่าจะถูกจัดการไปแล้วจริง ที่สำคัญคือเขาขยับตัวไม่ได้อย่างนี้ จะป้องกันตัวเองได้ยังไง แต่อย่างน้อยถ้าไม่ใช่ผี ก็น่าจะต่อรองกันได้

“ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม คุณต้องการอะไรเราคุยกันได้ ในบ้านนี้ไม่ได้เก็บของมีค่าไว้ แต่เงินสดยังพอมีอยู่บ้างน่าจะหลายหมื่นอยู่ คุณเอาไปแล้วรีบออกไปเลย ระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านนี้เชื่อมต่อไปที่สถานีตำรวจด้วย แล้วตรงหน้าบ้านก็มีตู้แดงที่สายตรวจต้องแวะมาเซ็นชื่อเรื่อยๆ ยิ่งอยู่นานจะยิ่งเสี่ยงถูกจับนะครับ”

ชายหนุ่มคิดว่ายังไงต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน ถ้าถูกฆ่าตายทั้งๆ ที่ยังล่อนจ้อนแบบนี้คงโดนประโคมข่าวจนลูกเมียขายหน้าแน่

“ผมไม่อยากได้เงิน วันนี้แค่จะเอาอะไรมาฝากสองสามอย่างเดี๋ยวก็ไปแล้ว”

ผู้บุกรุกที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดจบก็ยื่นมือเอาของสองอย่างวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ชายหนุ่มขยับตัวไม่ได้แต่ยังพอเหลือบตามองเห็นของตรงหน้าได้ชัดเจน

“ของเล่นของลูก ทั้งของวอร์ของวินเลย แกเอามาได้ยังไง แกทำอะไรลูกฉัน”

“ตอนนี้คุณหนูทั้งสองยังมีความสุขดี แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับ...”

“อย่าทำอะไรเด็กนะ แกอยากได้อะไรมีความแค้นอะไรมาลงกับฉันนี่ เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”

“ดูเป็นคนรักครอบครัวดีนี่ ได้ งั้นก็จัดการคุณก่อนเลย”

ผู้บุกรุกในชุดดำขยับเข้าไปจนชิดด้านหลังของเจ้าของบ้าน ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในความกลัวแต่ชายหนุ่มก็ยังได้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อนๆ ที่คุ้นเคย เข็มหลายเล่มปรากฎขึ้นในมือทั้งสองข้างของผู้บุกรุกก่อนจะปักลงไปบนจุดต่างๆ บนความเป็นชายของชายหนุ่มท่ามกลางความสยดสยองและสุดจะคาดคิดของเจ้าตัว

“อ๊ากกกกกกกกกกกก”

เสียงร้องโหยหวนจากบ้านหรูหลังใหญ่ดังก้องในยามค่ำคืน แต่ไม่ปรากฏว่ามีปฏิกิริยาจากคนใช้ ยาม หรือสุนัขเฝ้าบ้านในบ้านหลังนั้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเข้าใจว่าตัวเองจะสูญเสียของรักของหวงไปเสียแล้ว แต่นอกจากอาการกระตุกคล้ายไฟช็อตเบาๆ พอชายชุดดำดึงเข็มทั้งหมดออก เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแม้แต่น้อย

“ทำอะไรวะไอสัด แกเป็นพวกโรคจิตชอบทรมานหนุ่มรูปหล่อใช่ไหม ไอวิปริต ไอซาดิสม์ ไอโจรปล้นฆ่าข่มขืน”

ชายหนุ่มสติหลุดจนพ่นคำด่าออกมาไม่ยั้ง

“เห้ย มันเรื่องธุรกิจล้วนๆ ผมไม่ได้เป็นพวกนั้นนะ เยี่ยมยอดกว่านี้ผมก็สัมผัสมาแล้ว เอ้ย ไม่ใช่สิ จะต้องเล่าทำไมนี่”

ชายชุดดำที่ดูสงบนิ่งน่าเกรงขามมาโดยตลอดตอนนี้ออกอาการลนลานเล็กน้อย

“เรื่องธุรกิจเหรอ งั้นแกก็เป็นคนที่ฉางอันโอสถส่งมาข่มขู่ฉันละสิ”

“นับถือๆ  รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนของฉางอัน”

“กลิ่นของขี้ผึ้งที่แกทาหน้าไงล่ะ ไม่มีใครรู้จักขี้ผึ้งจักรพรรดิดีเท่าฉันอีกแล้ว ฉันทุ่มเทศึกษาไปตั้งเท่าไหร่ ภรรยาฉันก็ใช้ทุกวันทำไมจะจำกลิ่นไม่ได้ ถ้าแกเป็นคนของฉางอันโอสถจริง หาทางเอาสูตรมาให้ฉันสิ แล้วแกจะสบายไปทั้งชาติ ถึงแกไม่ทำอีกไม่นานบริษัทฉันก็ขยี้ฉางอันได้อยู่ดี แกจะอยู่กับบริษัทที่ไม่มีอนาคตไปทำไม เจ้าของก็เป็นแค่เด็กมหาลัยคนนึง ถึงไงก็ไม่รอด”

“คุณนี่สมกับเป็นคุณชายบนหอคอยงาช้างจริงๆ นะครับ อายุตั้งสามสิบกว่าแล้วยังไม่ประสีประสาอะไรเลย เบื้องหลังฉางอันโอสถที่ทำการใหญ่โตขนาดนี้จะมีแค่นักศึกษาธรรมดาคนเดียวได้ยังไง คุณไปวุ่นวายกับเด็กคนนั้นหรือคนรอบข้างเขาก็ไม่ช่วยอะไรหรอก เขาก็แค่ลูกจ้างที่ออกหน้าเป็นคนดำเนินการแทนเจ้านายใหญ่”

“ฉันก็นึกไว้เหมือนกันว่าเด็กนั่นคงเป็นแค่นอมินี งั้นเจ้าของตัวจริงคงเป็นคนจีนที่ถือหุ้นรองล่ะสิ หรือไม่ก็กลุ่มอิทธิพลจีนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง งั้นให้ฉันไปเจราจากับเขาโดยตรงสิ รับรองว่า...”

“เงียบ! คุณไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งนั้น จากนี้ไปรอฟังคำสั่งจากผมดีๆ ไม่งั้นชีวิตครอบครัวคุณพังแน่”

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านไปวูบหนึ่งแล้วจู่ๆ เขาก็ขยับร่างกายได้เป็นปกติ หันไปหันมาก็ไม่พบร่างของชายชุดดำแม้แต่น้อย ชายหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว ความเก่งกาจของคนๆ นั้นราวกับนักฆ่าในตำนาน เขาทั้งกดกริ่งเรียกคนรับใช้ ทั้งโทรตามหัวหน้า รปภ. วุ่นวายไปหมด เสียงเห่าเสียงครางของสุนัขเฝ้าบ้านดังขึ้นเบาๆ จากในสวน บรรยากาศคึกคักตื่นตัวตามปกติราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ถ้าไม่มีของเล่นสองชิ้นวางอยู่ตรงหน้ากระจกเขาก็คงคิดว่าตัวเองฝันไปเหมือนกัน


####################

คุกเข่าโขกศีรษะขออภัยคนอ่านรัวๆๆ จนหน้าผากแตก

ยังจำเรื่องนี้ได้ไหมครับ นานจนแต่งเองยังลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว ต้องกลับไปอ่านใหม่ถึงจะแต่งต่อได้ รอบนี้จะเอาให้จบให้ได้ครับถ้ายังเหลือคนอ่านอยู่

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
มาจัดการเองถึงที่เลย

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่ได้อ่านมานาน มาทียาวสะใจเลย
สนุกมาก

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #97 เมื่อ10-06-2020 20:46:20 »

34

ไฮโซบรูคพี่ชายต่างมารดาของแบงค์พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะหาตัวของชายชุดดำลึกลับที่บุกมาหยามศักดิ์ศรีเขาถึงในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดวันนั้นไม่แม้แต่จะรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น กล้องวงจรปิดจับอะไรไม่ได้เลยนอกจากเงาดำวูบวาบแค่เสี้ยววินาที ชายหนุ่มกังวลความปลอดภัยของครอบครัวตัวเองมาก ของเล่นที่ลูกชายลูกสาวเอาติดไปที่บ้านภรรยาซึ่งก็มีการรักษาความปลอดภัยอย่างดีกลับถูกชายชุดดำเอามาใช้ข่มขู่เขาโดยที่ภรรยาเขายังไม่รู้เลยว่าหายไปตั้งแต่เมื่อใด

บรูคอัพเกรดระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ทั้งบ้านโดยไม่สนใจราคาว่าจะแพงขนาดไหน เขาเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนใช้ในบ้านใหม่หมดเพราะกลัวเกลือเป็นหนอน เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบบอกให้ภรรยาและลูกกลับมาที่บ้านเพราะคิดว่าปลอดภัยกว่าบ้านพ่อตาแม่ยาย ภรรยาของเขาตกลงที่จะพาลูกกลับมาในวันรุ่งขึ้นแต่ในคืนนั้นก็เกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

แม่บ้านคนเก่าคนแก่ที่เขาเพิ่งขอมาจากบ้านใหญ่ให้มาช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ในระหว่างที่เขาเปลี่ยนคนทำงานในบ้านส่งเสียงร้องกรี๊ดดังไปทั้งบ้านเมื่อพบว่าบนเตียงของคุณหนูทั้งสองมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ บนเตียงคนโตมีกรงเล็กๆ ใส่แมงป่องสีดำตัวใหญ่น่ากลัววางอยู่ ส่วนของคนเล็กเป็นตะขาบยักษ์ที่ชวนสยดสยองไม่แพ้กัน บรูคมาเห็นถึงกับทรุด มันมาได้ยังไงในเมื่อเขาป้องกันหนาแน่นขนาดนี้แล้ว หากกรงนั้นถูกเปิดออกแล้วปล่อยให้สัตว์พวกนั้นเข้าไปซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มตั้งแต่แรก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกน้อยของเขากลับมาถึงบ้าน

บรูคไม่ต้องเดาว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใครเพราะหลังจากนั้นเขาก็ได้รับข้อความเข้าเบอร์ส่วนตัวที่ไม่เคยบอกคนนอกมาก่อน

‘ลูกๆ ของคุณรักสัตว์หรือเปล่า? /ฉอ.โอสถ’

ไฮโซหนุ่มเปลี่ยนแผนทันที เขายังจำได้ถึงคำขู่ของชายชุดดำลึกลับก่อนที่จะจากไปในคืนนั้น เขาอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อให้ภรรยาและลูกย้ายไปยังคอนโดสุดหรูที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาไม่ต่างอะไรกับเซฟเฮ้าส์ คอนโดนี้เป็นสมบัติของภรรยาเขาเอง แม้แต่คนฝั่งบ้านเขาก็ไม่มีใครรู้จัก ที่สำคัญการหลบเจ้าหน้าที่แล้วบุกขึ้นคอนโดชั้นสามสิบกว่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย เขาอยากจะไปหาครอบครัวใจแทบขาดแต่กลัวจะถูกแกะรอยจนเปิดเผยที่ซ่อนของภรรยาและลูก

บรูคคลายกังวลได้ไม่นาน ในตอนเย็นของวันที่ครอบครัวเขาย้ายเข้าไปในคอนโด ก็มีรูปภาพพร้อมข้อความส่งเข้ามาที่เครื่องส่วนตัวเขาอีก

‘คืนนี้ผมจะเอาของเล่นของเด็กๆ ไปฝากอีก คุณจะได้หายคิดถึงพวกเขา /ฉอ.โอสถ
ป.ล. วิวชั้น 32 นี่สวยดีจริงๆ’

รูปที่แนบมาเป็นของเล่นอีกสองชิ้นที่เขาเห็นลูกเล่นอยู่บ่อยๆ

บรูคร้อนใจจนแทบเป็นบ้า เขารีบขับรถไปยังคอนโดของภรรยาทันทีโดยไม่สนว่าจะมีใครตามรอยมาหรือไม่ วินาทีนี้เขาห่วงแต่ความปลอดภัยของลูกและภรรยา เวลาไม่ถึงชั่วโมงที่ใช้ในการเดินทางสร้างความทรมานให้เขาอย่างสุดจะทน ยิ่งได้รับข้อความอีกอันที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเขาก็ยิ่งลนลาน

‘ก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น เมื่อคุณเจอภรรยาคุณก็จะเข้าใจ /ฉอ.โอสถ’

บรูคโทรหาภรรยาทันทีเมื่อพบว่ายังสบายดีก็ใจชื้นขึ้น เขาชวนคุยโน่นคุยนี่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายวางสายตลอดทางไปจนถึงคอนโด

“ที่รัก ทำไมคุณดูโทรมอย่างนี้ ได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่านี่ เด็กๆ คุณพ่อมาแล้วจ้า”

ภรรยาของเขาทักทันทีที่เห็นหน้า พอเห็นกับตาว่าครอบครัวยังปลอดภัยดี บรูคที่เครียดมาตลอดหลายวันก็รู้สึกหมดแรงแทบจะลงไปนอนกับพื้น แต่เด็กที่ไม่ได้เจอหน้าพ่อมาหลายวันก็มะรุมมะตุ้มแย่งทักทายคุณพ่อกันใหญ่

“คุณพ่อขา พี่วอร์ทำของเย่นหายแล้วไม่ยอมหาค่ะ”

“ยายบ๊อง น้องก็ทำของตัวเองหายเหมือนกันแหละ”

บรูคหน้าเปลี่ยนสี

“ทำหายที่ไหน เมื่อไหร่ครับ”

“หายที่นี่ครับคุณพ่อ ตอนมาถึงลูกเทออกจากเป้มันยังอยู่เลย”

บรูคพูดจาปลอบลูกสองสามคำแล้วก็ดึงตัวภรรยาไปอีกห้องหนึ่ง

“ตอนคุณเข้ามาที่นี่มีอะไรผิดสังเกตไหม หรือมีคนนอกเข้ามาด้วยหรือเปล่า ของเล่นของลูกหายไปได้ยังไง”

“จะมีอะไรได้ยังไงล่ะคะ เด็กก็ทำของเล่นหายเป็นประจำอยู่แล้วเดี๋ยวหาดีๆ ก็เจอเอง ที่รัก เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้น มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นใช่ไหม”

ชายหนุ่มทำท่าอึกอัก แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ถูกข่มขู่ให้ภรรยาฟังโดยปิดบังสาเหตุไว้ ยิ่งเห็นภรรยามีสีหน้าซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อนั้น กลับเป็นภรรยาคนเก่งของเขาที่ตัดสินใจเผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆ

“ฉันเข้าใจค่ะ ที่รัก แล้วก็กลัวเหมือนกัน แต่ฉันรับรองว่าไม่มีใครเข้ามาที่นี่จริงๆ สุดท้ายเราจะหลบซ่อนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ฉันก็มีกิจการที่ต้องดูแล ลูกๆ ก็ต้องไปเรียนหนังสือ ฉันว่าเราควรจะแจ้งตำรวจให้เขาหาตัวคนร้ายมาให้ได้ ระหว่างนี้เราก็จ้างมืออาชีพมาดูแลความปลอดภัยให้”

“คุณไม่เข้าใจ คนๆ นั้น หรือใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเขาน่ากลัวมากจริงๆ ผมว่าพวกมันเป็นคนของโลกมืด คนดีๆ อย่างพวกเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว”

“นั่นสิคะ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ คนพวกนั้นมายุ่งเกี่ยวกับคนทำมาหากินสุจริตอย่างเราทำไม”

บรูคสะดุ้งอย่างคนมีชะงักติดหลัง

“ใครจะรู้ บางทีเราทำๆ ธุรกิจไปก็อาจไปโยงใยกับเรื่องพวกนี้โดยไม่รู้ตัว จริงๆ แล้ว เพื่อคุณ เพื่อลูก ผมพร้อมจะปล่อยมือจากอะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว แต่ผมกลัวว่าคุณจะขายหน้าคนอื่นเขาที่สามีไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอะไรเลย”

“ที่รักคะ เรื่องของเราทำไมต้องให้คนอื่นมาตัดสิน ฉันไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น บ้านเราก็ไม่ได้ยากจน จริงๆ มีคนทำงานหาเงินแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว สิ่งที่ลูกๆ ต้องการมากกว่าคือความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถ้าพวกเราดิ้นรนทำงานงกๆ กันทั้งคู่ใครจะคอยดูแลพวกเค้าที่กำลังเติบโตล่ะคะ คุณอยากทำงานก็ไม่แปลก แต่เราควรหาอะไรที่เหมาะกับตัวเอง งานประจำสบายๆ ก็ไม่เลวนะคะ เข้างานเก้าโมงเลิกห้าโมงอู้ได้พักได้ คุณจะได้มีเวลาดูแลลูกๆ แล้วก็ไปฟิตหุ่นเข้าสปาหาเสื้อผ้าหน้าผมให้หล่อๆ เพื่อฉันไงคะ เผลอๆ หล่อยิ่งกว่าดาราอย่างคุณไปทำงานวงการบันเทิงขำๆ เป็นงานอดิเรกยังได้เลย”

บรูคปลื้มใจที่ภรรยาที่รักยังหลงไหลในความหล่อของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็อดรู้สึกแปลกๆ กับความคาดหวังของอีกฝ่ายไม่ได้

“ที่รักมั่นใจเหรอว่านั่นคือสิ่งที่ต้องการ”

“แน่นอนที่สุดค่ะ”

หลังจากที่ได้เปิดเผยความในใจกันก็เป็นเวลาหวานชื่นของคู่สามีภรรยา เด็กๆ ถูกกล่อมให้นอนแต่หัวค่ำ แต่เมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ ทุกอย่างกลับราบเรียบคลื่นลมสงบไปหมด นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยกับหนุ่มพลังม้าอย่างบรูค เขาเหงื่อแตกหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ภรรยาที่แสนดีก็ยังช่วยปลอบใจว่าคงเพราะเครียดเกินไป เดี๋ยวพอแก้ปัญหาความขัดแย้งทางธุรกิจได้แล้วพักผ่อนมากๆ ก็เป็นปกติเอง บรูคทำทีรับฟังภรรยา แต่ลึกๆ เขารู้ว่ามันไม่ใช่ ที่ผ่านมาต่อให้มีปัญหากลุ้มอกกลุ้มใจแค่ไหน หรือร่างกายจะป่วยหนักเพียงใด ส่วนนั้นไม่เคยป้อแป้ไร้สัญญาณชีพแบบนี้

บรูคนึกถึงเข็มสิบกว่าเล่มที่เคยปักลงไปท่อนลำของตัวเองอย่างน่าหวาดเสียว เขารู้แล้วว่าคำขู่ของชายลึกลับที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาพังหมายถึงอะไร ที่แท้เป้าหมายก็คือตัวเขามาโดยตลอด แถมยังลงมือไปแล้วตั้งแต่คืนนั้น เรื่องโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมแบบนี้ก็ทำกันได้ลงคอ บรูคไม่ได้นอนทั้งคืน เขาพยายามส่งข้อความกลับไปหาชายชุดดำบอกว่าพร้อมจะรับเงื่อนไขอะไรก็ได้ที่อีกฝ่ายจะเสนอเป็นสิบๆ ข้อความแต่ก็ไม่ได้รับอะไรกลับมา

วันรุ่งขึ้นเมื่อดูแลความปลอดภัยของลูกและภรรยาแล้วเขาก็ปรี่ไปหาน้องชายต่างแม่ถึงห้องทำงานที่ไม่เคยเหยียบย่างเลยตั้งแต่อีกฝ่ายถูกเปิดตัวให้เป็นผู้สืบทอดกิจการของผู้เป็นบิดา

“ไอแบงค์ แกต้องช่วยฉันนะโว้ย ถึงยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน”

“ใจเย็นพี่ชาย จู่ๆ ก็บุกมาแต่เช้า เป็นไงถึงยอมคุยกับผมได้นี่ ค่อยๆ เล่าก็ได้”

“แกสนิทกับไอพวกฉางอันโอสถใช่ไหม แกรู้จักนายใหญ่จริงๆ ของพวกมันหรือเปล่า มีทางติดต่อให้ฉันไหมไหม”

“นายใหญ่ตัวจริงเหรอ ก็น่าจะพอติดต่อได้นะ พี่มีอะไร ถ้าเป็นเรื่องซื้อสูตรหรือกิจการ เขาคงไม่ขาย”

“ฉันไม่ยุ่งแล้วเรื่องนั้น ขอแค่เขาส่งคนมาช่วยแก้อาการที่ฉันถูกฝังเข็ม จะให้ทำอะไรก็ยอม”

“พี่ก็ถูกฝังเข็มเหรอ ตรงไหน”

“ที่ไอ้นั่น”

“พี่หมายถึง…”

“เออ ก็ไอ้นั่นไง”

“แล้วตอนนี้…”

“หมดสภาพ”

“เชี่ยแล้ว พี่ไม่น่าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งเลย”

ถึงจะไม่ถูกกัน แต่เป็นไม่ได้เลยที่แบงค์จะไม่เห็นใจในสิ่งที่บรูคเจอ

“ก็ว่างั้นแหละ โคตรเลือดเย็น”

“โหดสุดๆ ผมก็โดนมาเหมือนกัน”

แบงค์เห็นด้วยอย่างที่สุด

“ถึงว่าเห็นแกไปช่วยเขาขายของต้อยๆ ของแกโดนตรงไหน”

“ที่มือ”

“แค่ที่มือ? อือๆ แต่มือนักเปียโนก็น่าจะสำคัญมั๊ง”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะพี่”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่โตขึ้นมาที่สองพี่น้องเกิดความรู้สึกร่วมกัน

“หรือฉันจะไปหาหมอดี ลองไปหาหมอโรงบาลก่อน ถ้าไม่หายค่อยไปหาหมอฝังเข็ม”

“ไม่มีประโยชน์พี่ ผมหามาทุกหมอแล้ว ไปถึงเมืองจีนด้วยซ้ำ ไม่มีใครแก้ได้ วิชาเขาเลิศล้ำเกิน”

“งั้นรีบติดต่อให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ทิ้งไว้นานเดี๋ยวมันกลับมาไม่เหมือนเดิมฉันถูกเมียทิ้งแน่”

“ได้ๆ”

แบงค์รีบติดต่อหาคนของฉางอันโอสถต่อหน้าบรูคทันที หลังจากคุยได้สองสามประโยค แบงค์ก็หันมารายงานบรูคด้วยสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไหร่

“เขาบอกว่าจริงๆ ก็เตรียมเงื่อนไขไว้แล้ว แต่ดูๆ ไปพี่คงรับไม่ได้ เขาเลยไม่ได้เสนอมาครับ”

“แกบอกไปเลยว่าฉันยอมหมด บอกมาไวๆ”

บรูคตอบอย่างคนที่ปลงตกในเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อเห็นเงื่อนไขจริงๆ เขาก็ด่าลมด่าแล้งแทบไม่หยุด แบงค์แอบดูเงื่อนไขที่ว่าก็อดสงสารพี่ชายไม่ได้ หลี่คุนจะทำแบบนี้ก็ปล้นไปเลยดีกว่า

ในที่สุดบรูคก็ต้องยอมตามเงื่อนไขของหลี่คุนทั้งหมด หลี่คุนดึงเรื่องไว้พักใหญ่ก่อนจะยอมฝังเข็มแก้ให้อีกฝ่าย ใจจริงเมื่อนึกถึงสิ่งที่คนพวกนั้นทำกับซูเอ๋อร์เขาก็อยากจะปล่อยให้หมดสภาพถาวรไปเลยเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าครอบครัวของบรูคจะแตกจริงๆ สงสารเด็กตาดำๆ

ฉางอันโอสถส่งนักกฎหมายมาจัดการเรื่องเอกสารที่เกี่ยวข้องใช้เวลาอยู่หลายวันถึงได้ดำเนินการเสร็จ การปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้ข้อตกลงนี้ส่งผลให้บรูคต้องโอนหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทเครื่องสำอางของตัวเองให้กับหลี่คุนในราคาต่ำ การดำเนินการนี้ทำผ่านนอมินีทำให้ไม่มีใครรู้ว่าบริษัทได้ถูกเปลี่ยนตัวเจ้าของแล้ว บทเรียนที่ได้รับทำให้หลี่คุนไม่อยากออกหน้าในการทำธุรกิจมากเกินไป บรูคยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแต่จริงๆ ทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างของหลี่คุนในการบริหารบริษัทนี้ต่อไป ค่าตอบแทนก็ได้รับเพียงเงินเดือนประจำกับเปอร์เซนต์ยอดขายเล็กน้อยที่ไม่ต่างอะไรกับพนักงานขายคนหนึ่ง

หลี่คุนปรับแผนธุรกิจของบริษัทนี้โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกยังคงผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาออกมาจำหน่ายเหมือนเดิม แต่เป็นสูตรที่หลี่คุนปรับปรุงสรรพคุณให้ดีขึ้นโดยลดสารออกฤทธิ์ทางเคมีลงและเพิ่มสมุนไพรพื้นฐานอีกสองสามตัว สิ่งที่ได้เมื่อเทียบกับขี้ผึ้งฮองเฮาตัวเดิมคือไม่ส่งผลกระทบเมื่อใช้ในระยะยาวและยังมีต้นทุนที่ต่ำลงด้วย นอกจากนั้นเขายังปรับแผนการตลาดใหม่โดยลดระดับกลุ่มเป้าหมายลงเล็กน้อยไม่ให้ทับซ้อนกับขี้ผึ้งจักรพรรดิ

ธุรกิจอีกส่วนจะเป็นการรับจ้างผลิตน้ำมันมวยมีคุณให้กับฉางอันโอสถ บริษัทมีโรงผลิตยาและเครื่องสำอางขนาดใหญ่อยู่แล้วซึ่งปัจจุบันใช้ผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาไม่ถึงสองส่วน นี่ทำให้ฉางอันโอสถไม่ต้องไปพึ่งโรงงานคนอื่นที่อาจเกิดปัญหาในการผลิตได้อีกและทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มจากการใช้เครื่องจักรให้เต็มกำลังการผลิตด้วย จริงๆ หลี่คุนอยากให้จางอี้หลงมาช่วยดูแผนธุรกิจใหม่เป็นที่สุด แต่เรื่องที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจแถมอีกฝ่ายก็เป็นคนบอกเองว่าให้ห่างกันสักพัก

บรูคหัวหมุนวิ่งทำงานตามนโยบายของหลี่คุนอยู่พักใหญ่ธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ถึงเริ่มเข้าที่ เขาไม่กล้ามีปากมีเสียงกับหลี่คุนแม้แต่น้อยเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของผู้มีอิทธิพลที่แสนจะน่ากลัว เอาเข้าจริงไฮโซหนุ่มคนนี้ก็มีความสามารถในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนไม่เลวเลย ถึงหัวคิดทางธุรกิจจะไปได้ไม่สุดแต่ด้วยรูปร่างหน้าตาบุคลิคการผูกใจคนรวมถึงตำแหน่งหัวโขนที่สวมอยู่ทำให้การสั่งการคนในบริษัทเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ไม่นานยอดขายของขี้ผึ้งฮองเฮาที่แบ่งตลาดกับขี้ผึ้งจักรพรรดิอย่างชัดเจนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีแนวโน้มที่จะไปได้ไกลกว่าขี้ผึ้งจักพรรดิเสียอีกเพราะไม่ติดข้อจำกัดเรื่องกำลังการผลิต บรูคเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งตั้งใจขยายตลาดออกไปอีก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ได้หน้าจากความสำเร็จของบริษัทนี้บวกกับส่วนแบ่งตามสมควร เมื่อธุรกิจเริ่มอยู่ตัวเขาก็ปล่อยงานประจำให้ระดับผู้จัดการทำไป ส่วนเขาก็ใช้รูปร่างหน้าตาและฐานะทางสังคมออกสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ หลี่คุนก็ไม่ได้คัดค้าน บรูคเป็นหนึ่งในคนหน้าตาดีที่สุดที่เขาเจอมา ให้ใบหน้าเช่นนั้นมาช่วยขยายตลาดขี้ผึ้งฮองเฮาน่าจะเป็นการใช้คนให้เหมาะกับงานที่สุดแล้ว

ในฐานะบิดาเมื่อเห็นความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันก็มองลูกชายคนโตด้วยสายตาที่ดีขึ้น ยิ่งบรูคแยกบริษัทเครื่องสำอางออกไปบริหารเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตระกูลก็ยิ่งทำให้ไม่เหลือความขัดแย้งกับแบงค์ ภาพลักษณ์ในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่บุกเบิกธุรกิจด้วยตัวเองของบรูคดูจะเหนือกว่าภาพลักษณ์นักเปียโนระดับโลกผู้สืบทอดธุรกิจตระกูลของแบงค์เสียอีก เมื่อลูกชายคนโตคลายปมในใจความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงเริ่มดีขึ้น

ในขณะที่บรูคกำลังดื่มด่ำกับชื่อเสียงและความสำเร็จหน้าฉากของตัวเอง  เขาไม่รู้เลยว่าคนใกล้ตัวของเขาสองสามคนที่นัดทานข้าวกันเพื่อฉลองความสำเร็จอีกด้านพูดถึงเขาลับหลังอย่างไร

“พี่ต้องขอบคุณคุณคุณานนท์ด้วยนะคะ ที่ช่วยขัดเกลาบรูคเขาจนกลายเป็นสามีในแบบที่พี่อยากให้เป็น”

“ไม่มีปัญหาครับ ทางนี้เสียอีกที่ต้องขอบคุณที่ตอนนั้นพี่ช่วยขู่และกล่อมคุณบรูคจนสำเร็จ ผมเลยได้บริษัทกับแรงงานระดับบริหารมาใช้แทบจะฟรีๆ เลย ที่จริงก็เพราะคุณแบงค์ด้วยนะครับ ที่เล่านิสัยของคุณบรูคซะละเอียด เลยทำให้แผนสำเร็จ”

“ผมสนิทกับพี่บรูคขนาดนั้นที่ไหนล่ะ จริงๆ ก็เอามาจากที่ซ้อเล่านั่นแหละ แต่พูดก็พูดนะ ซ้อไม่อายปากบ้างเหรอ พูดมาได้ว่าจุดอ่อนสามีตัวเองคือรักลูกรักเมียมากเกินไป”

“ไม่อายจ้า ก็หลัวชั้นดีจริงๆ นี่ ไม่ต้องอะไรมาก ขอแค่หล่อกับรักครอบครัวก็พอแล้ว”

“คร๊าบ คนเรานี่ก็แปลกเนอะ คนดีๆ กว่านี้มีตั้งเยอะแยะ น้องนุ่งเตือนก็ไม่รู้จักฟัง จะเอาแต่คนหล่อ แล้วเป็นไง พี่แกอยากทำธุรกิจซะจนไปคบกับโจร ดีว่าช่วยกันดึงออกมาได้ทันแล้วคุณคุณานนท์ก็ไม่เอาเรื่องด้วย หล่อแล้วกินได้ที่ไหน”

“ก็กินได้นี่ แซ่บนัวด้วย”

“แล้วเรื่องนั้นของคุณบรูคมีปัญหาอะไรไหมครับ หลังจากที่ผมฝังเข็มแก้ให้แล้ว

“ว๊าย มาถามอะไรตรงนี้คะ พี่จะกล้าเล่าออกสื่อได้ยังไง บอกได้แค่ว่าเริ่ดค่ะ เริ่ดมากกกกกกๆ”

“พอเถอะ ใครเค้าจะอยากไปรู้เรื่องบนเตียงของซ้อ ลูกสองแล้วนะ”

“ก็บรูคเค้าดีอ่ะ ชั้นก็อยากอวดบ้างอะไรบ้าง ยิ่งเดี๋ยวนี้ฟิตหุ่นซะน้ำลายจะไหล อ้อ คุณคุณานนท์คะ ต่อไปขอเพิ่มขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูของบ้านพี่เป็นเดือนละสามกระปุกได้ไหมคะ สามีสามสิบกว่าแล้วกลัวจะเหี่ยวเร็วอ่ะค่ะ หักเงินจากเงินเดือนบรูคได้เลย”

“ทาเยอะไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดตัวอื่นเสริมให้ดีกว่าถือเป็นสวัสดิการบริษัท จริงๆ แล้วเรื่องเงินเดือนกับค่าตอบแทน ผมเพิ่มให้คุณบรูคได้อีกนะ เขาก็ทำงานตามสั่งได้ดี แถมยังเอาตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าบริษัทประหยัดเงินไปได้ตั้งเยอะ”

“เท่านั้นพอแล้วค่ะ ผู้ชายน่ะ ถ้ามีเงินเยอะเดี๋ยวก็อดฟุ้งซ่านไม่ได้ พี่ไม่อยากจะไปสู้รบตบมือกับเด็กเอ๊าะๆ ที่หวังทั้งเงินหวังทั้งตัวแฟนพี่หรอกนะคะ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขานิยมแนว ‘พ่อ’ กันอยู่ด้วย”

ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ชื่อเสียงในฐานะนักธุรกิจของบรูคจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามธุรกิจเครื่องสำอางที่เติบโต แต่คนที่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ก็คือหลี่คุนนี่เอง

###########

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #98 เมื่อ10-06-2020 21:53:33 »

คนที่่ร้ายกาจที่สุดก็คืออออ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #99 เมื่อ12-06-2020 10:46:15 »

นิยายสไตล์จีนแบบนี้ ต้องอ่านรวดเดียว ยาวๆ ถึงจะสนุก เพราะตัวละครจะเยอะ รายละเอียดมาก
แต่ละคนในเรื่องถ้าเป็นคนจริง ก็จะมีเรื่องราวเยอะ พอมาผูกเรื่องกัน จะมีบางช่วงที่ตัวหลักดูจะหายไป ยิ่งถ้าเว้นการอัพไปนาน คนอ่านจะงง ต่อไม่ติด

เนื้อเรื่องสนุก ชวนติดตาม เมื่อคนในอดีตผู้สูญเสียวรยุทธ และลมปราณอันเลิศล้ำ หลงเหลือความรู้วิทยาการอันล้ำค่าในอดีตที่แทบสูญหาย นำความรู้ที่มีมาประยุกต์เข้ากับความรู้สมัยใหม่ เพื่อเลี้ยงชีพ ประกอบรูปลักษณ์นายเอกที่โดดเด่นมาจากภายใน โดยไม่พึ่งพาวิทยาการสมัยใหม่ ทำให้ดูเลอค่าเสมอเหมือนเพชรบนยอดมงกุฎ เป็นความแตกต่างโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ยิ่งอ่านยิ่งติดใจค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
« ตอบ #99 เมื่อ: 12-06-2020 10:46:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #100 เมื่อ12-06-2020 10:47:09 »

 :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #101 เมื่อ12-06-2020 20:27:34 »

แหม ร่วมมือกันได้ดีจริงๆ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
«ตอบ #102 เมื่อ15-06-2020 18:56:27 »

35


เมื่อหลายเดือนก่อนหลี่คุนเอาเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการขายหุ้นฉางอันโอสถจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ให้กับจางอี้หลงไปช่วยค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ที่กำลังจะถูกธนาคารยึดที่ดิน ทีแรกเขาตั้งใจจะจ่ายเงินก้อนนี้แลกกับสิทธิ์ขาดในน้ำมันมวยมีคุณ แต่เมื่อประเมินแล้วก็พอจะมองออกว่า ถึงจะปลดหนี้ธนาคารออกไปได้ แต่ด้วยสถานะชื่อเสียงที่ตกต่ำจากกรณีนักมวยในค่ายไปถ่ายนู้ดจนถูกแบนจากผู้ใหญ่ในวงการไม่ให้ทุกคนในค่ายขึ้นชก ค่ายมวยนี้คงอยู่ต่อไปได้ไม่นาน แล้วพี่ๆ น้องๆ นักมวยที่หลี่คุนรู้สึกเหมือนเป็นศิษย์ร่วมสำนักจะไปอยู่ที่ไหน นักมวยส่วนใหญ่ฐานะยากจน หลายคนมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะอาศัยกินอยู่กับค่ายแล้วค่ายยังส่งเรียนหนังสือด้วย  ถ้าค่ายล้มจะลำบากมากและคงไม่ได้เรียนต่อในที่สุด

หลี่คุนตัดสินใจให้ครูแผ่นดินจดทะเบียนค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ให้กลายเป็นบริษัทแล้วเอาเงินก้อนนั้นเพิ่มทุนลงไปเพื่อให้ค่ายมวยเอาไปใช้หนี้ธนาคาร เขากลายมาเป็นผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งพร้อมกับขออำนาจในการบริหารมาจากครูแผ่นดินซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ หลี่คุนเห็นว่าพื้นฐานจากเป็นค่ายมวยเก่าแก่นี้ยังมีคุณค่าอยู่ อีกอย่างพื้นที่ของค่ายก็กว้างขวางติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จากอยู่ตรงรอบนอกของตัวเมืองแต่ก็เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายใหม่ จึงมีโอกาสต่อยอดธุรกิจไปได้อีก

การถูกแบนไม่ให้ขึ้นชกทำให้ค่ายขาดรายได้รางวัลค่าตัวนักมวยและเงินสนับสนุนจากสปอนเซ่อร์ไป ส่วนแบ่งกำไรน้ำมันมวยมีคุณเพียงอย่างเดียวไม่พอเลี้ยงคนทั้งค่ายแน่ แต่ก่อนค่ายยังพอมีรายได้เสริมจากคนทั่วไปที่มาเรียนมวยบ้าง แต่หลังจากที่ชื่อเสียงตกต่ำลูกค้าก็หายไปเลย หลี่คุนคิดว่าต้องหาทางฟื้นฟูรายได้ส่วนนี้ขึ้นมาก่อน ในตอนนั้นเป็นช่วงที่เขายังไม่ได้ทะเลาะกับจางอี้หลงเขาจึงปรึกษาอีกฝ่ายค่อนข้างมาก หนุ่มนักธุรกิจให้ความเห็นว่าหากลูกค้าที่มาเรียนมวยหายไปเพราะข่าวเสียหายที่เกิดขึ้น ก็ควรจะหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาแนะนำว่ามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คนต่างชาติชื่นชอบอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้คงไม่มาใส่ใจอะไรกับข่าวฉาวในวงการมวย

หลี่คุนเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับครูแผ่นดิน อีกฝ่ายมีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่มากเนื่องจากเคยเปิดยิมฝึกสอนมวยไทยในห้างด้วย ครูดินบอกว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาตินับเป็นตลาดใหญ่และได้เงินดีจริง แต่ปัญหาคือเรื่องภาษาที่จะใช้สื่อสารเวลาสอน ครูมวยเก่งๆ ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือถึงพูดได้บ้างแต่ลูกค้าจากหลากหลายประเทศเองก็ใช่ว่าจะพูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคน สุดท้ายก็ต้องสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้ซึ่งทำให้การถ่ายทอดมวยไม่ได้ผลจนเลิกเรียนกันไปในที่สุด

ปัญหาอีกเรื่องคือสภาพของค่ายมวยเอง ชาวต่างชาติที่อยากเรียนมวยอย่างจริงจังต้องมากินนอนอยู่ที่ค่ายมวยไม่ต่างกับลูกศิษย์คนหนึ่ง แต่สภาพความเป็นอยู่ในค่ายไม่ได้ดีมากนักทั้งที่หลับที่นอนห้องน้ำห้องท่าอาหารการกิน บางคนเจอส้วมแบบนั่งยองๆ ก็ไปไม่เป็นแล้ว ถ้าต้องอยู่แบบนี้เป็นเดือนๆ ลูกค้าเงินหนาจากประเทศที่มีมาตรฐานชีวิตสูงก็รับไม่ไหวเอา แต่จะให้ไปเรียนในยิมมวยไทยหรูๆ คนกลุ่มนี้ที่ดูสารคดีหรือหนังเกี่ยวกับมวยไทยมาจนฝังหัวแล้ว ก็รู้สึกว่าแบบนั้นไม่น่าจะได้วิชามวยไทยของแท้

เรื่องสภาพแวดล้อมในค่ายเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงโดยเร่งด่วน หลี่คุนเชิญไฮโซอย่างแบงค์และนักร้องหนุ่มลูกครึ่งอย่างแฮ็คส์ให้มาสำรวจที่ค่าย เขาใช้สายตาของทั้งคู่เป็นมาตรฐานว่าจุดใดในค่ายที่ควรปรับปรุงจุดใดที่ควรเก็บไว้เพื่อความดั้งเดิม หลี่คุนสรุปรายการที่มีทั้งหมดออกมา เขาจัดเรียงความสำคัญเพื่อจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ บางเรื่องที่ใช้เงินเยอะและไม่ได้มีความสำคัญลำดับต้นๆ ก็เก็บไว้ทำทีหลังเมื่อสถานะทางการเงินดีขึ้น จางอี้หลงเป็นที่ปรึกษาเลยไม่ต้องลองผิดลองถูกอะไรมาก

หลี่คุนตัดสินใจปรับปรุงห้องน้ำใหม่หมด เขายังคงรูปแบบห้องอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ที่มีอ่างตักอาบตรงกลางไว้เพราะสองหนุ่มไฮโซที่เขาเชิญมาบอกว่ามันคือบรรยากาศของค่ายมวย แต่เปลี่ยนวัสดุใหม่ให้ดูดีและสะอาดตาขึ้น ด้านข้างติดฝักบัวเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกรวมทั้งกั้นห้องอาบน้ำส่วนตัวให้สำหรับลูกค้าด้วย ห้องส้วมทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบมาตรฐานพร้อมติดตั้งระบบระบายอากาศ เพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ล็อคเกอร์เก็บของ ที่แขวนผ้าเช็ดตัว ที่กดสบู่ ไดร์เป่าผม กระดาษเช็ดมือ รวมถึงจัดเวรให้นักมวยแบ่งเวลาซ้อมเข้ามาดูแลความสะอาดตลอดทั้งวัน

โชคดีที่หอพักซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่สมัยค่ายมวยยังรุ่งเรืองมีขนาดใหญ่มาก หลี่คุนวางผังใหม่กั้นเป็นห้องพักติดแอร์มีทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องสี่คน สามารถรองรับลูกค้าแบบกินอยู่ได้จำนวนหนึ่ง เขากันพื้นที่อีกส่วนไว้เพื่อเพิ่มเติมห้องพักภายหลังหากกิจการดีขึ้น พื้นที่ส่วนที่เหลือทำเป็นห้องนอนรวมขนาดใหญ่สำหรับนักมวยและเด็กในค่าย เขาเพียงแต่ทาสีและตกแต่งเล็กน้อยให้ดูใหม่ พร้อมกับติดตั้งตู้เก็บของเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ข้าวของดูรกตา

ในส่วนของโรงฝึกและเวทีมวยที่เป็นอาคารเพดานสูงเปิดโล่งนั้นเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากเพื่อคงเสน่ห์ของค่ายมวยไทยไว้ แค่ปรับผังพื้นที่ให้ผู้ที่มาเรียนมวยสามารถสัมผัสได้ถึงทิวทัศน์และลมเย็นๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างเต็มที่ในระหว่างการฝึกซ้อม นอกนั้นก็เป็นการจัดระเบียบให้นักมวยในค่ายช่วยกันดูแลความสะอาดและเก็บของให้เป็นระเบียบไม่ให้ดูรกรุงรังเหมือนค่ายมวยทั่วไป

สำหรับเรื่องอาหารไม่มีอะไรยุ่งยาก แม่ครัวของค่ายมวยเป็นแม่ของนักมวยฝึกหัดคนหนึ่งในค่าย นางมีฝีมือในการทำอาหารไทยอยู่แล้วเพียงแต่ที่ผ่านมาต้องควบคุมค่าวัตถุดิบเลยไม่ได้ทำอาหารดีๆ ออกมา หลี่คุนให้แฮ็คส์หนุ่มลูกครึ่งซึ่งเคยอยู่ต่างประเทศมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารไทยที่คนต่างชาติชื่นชอบพร้อมทั้งช่วยกันทดลองปรับรสชาติและรูปแบบให้เป็นสากลมากขึ้น

คุณานนท์เรียนนิเทศโฆษณา หลี่คุนที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ทั้งเรียนทั้งฝึกงานและทำธุรกิจมาเกือบปีแล้วย่อมเข้าใจถึงความสำคัญถึงการวางแผนการตลาดในยุคนี่เป็นอย่างดี โชคดีที่โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลกช่วยให้การทำโฆษณากับคนหมู่มากเป็นไปได้ง่ายกว่ายุคโน้นมาก ด้วยงบประมาณที่แทบจะเป็นศูนย์ เขาดึงตัวพวกซูเอ๋อร์มาให้สร้างเนื้อหาที่จะนำไปโปรโมทหลักสูตรของค่ายมวยในอินเตอร์เน็ต เจ้าสองปังปอนด์ทำหน้าที่ช่างภาพตามความถนัด น้องสี่แชมเปญลูกสาวของดีไซเนอร์ชื่อดังดูแลรูปลักษณ์ของนักมวยตอนถ่ายทำ เจ้าใหญ่กันดั้มหุ่นนักกีฬาช่วยเป็นนักแสดงเสริมรับบทเด็กที่เพิ่งหัดมวย เจ้าสามแอนฟิลด์เก่งภาษาให้ดูแลคำบรรยายที่จะสื่อออกไป ส่วนซูเอ๋อร์ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเพื่อนๆ ในฐานะที่เป็นน้องชายของหุ้นส่วนค่ายมวย

หลี่คุนต้องการเนื้อหาออนไลน์ที่จะดึงดูดจากคนทั่วทุกมุมโลก เขาขอให้เพื่อนเอกภาพยนตร์ที่คณะมาช่วยสอนปังปอนด์เรื่องการถ่ายภาพและการตัดต่อให้ออกมาสวยงามเหมือนหนังสั้น วิถีชีวิตของนักมวยในค่าย ศ.เผด็จศึก ค่อยๆ ถูกถ่ายทอดให้คนทั่วโลกรับรู้ผ่านทางสื่อโซเชียลค่ายต่างๆ ภาพนักมวยที่วิ่งเรียงแถวไปบนถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อออกกำลังกายในตอนเช้า ความมุ่งมั่นจริงจังของครูและนักมวยขณะถ่ายทอดวิชา พละกำลังอันอัดแน่นของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ปะทุขึ้นมาระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนัก การปะทะกันอย่างดุเดือดด้วยอาวุธศอกเข่าหมัดที่โรมรันกันบนสังเวียนจนเหงื่อกระจาย ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายทำขึ้นอย่างสมจริงและสวยงาม แม้เบื้องหลังจะมีการจัดฉากอยู่บ้าง เช่นการคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของนักมวยในค่าย การวางพล็อตของเรื่องราวให้น่าสนใจ แต่การฝึกมวยไทยของค่าย ศ.เผด็จ ศึกก็เป็นของแท้ที่ผู้ชมสัมผัสได้

ทีมซูเอ๋อร์ลงเนื้อหาวิดีโอหลักที่ยูทูบและเฟสบุค ภาพสวยๆ อาร์ตๆ จะถูกใส่ไว้ในไอจี นอกจากนั้นยังตัดคลิปสั้นๆ ไปลงในทวิตและติกตอกเพื่อเรียกความสนใจ ข้อมูลชุดเดียวกันนี้ยังถูกนำไปลงในสื่อโซเชียลดังๆ ให้คนจีนที่ถูกปิดกั้นจากสื่อโซเชียลหลัก ช่วงแรกหลี่คุนต้องอาศัยเพื่อนฝูงพรรคพวกที่อยู่ในทีมที่เคยขายขี้ผึ้งจักพรรดิให้ช่วยกันกระจายสื่อพวกนี้ออกไป แต่ไม่นานคลิปหลายอันก็เริ่มถูกแชร์กันมากขึ้น บางคลิปถึงกับเป็นไวรัลในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกมวยแล้ว ในคลิปพวกนั้นยังได้สอดแทรกความเป็นไทยที่น่าดึงดูดเข้าไปด้วย ชาวเน็ตต่างชาติถึงกับเลียจอเมื่อเห็นผัดไทยกระทะยักษ์ที่แสนน่าทานถูกนำมาเสิร์ฟเป็นอาหารกลางวันให้กับบรรดานักมวยตามด้วยข้าวเหนียวมูลใบเตยและมะม่วงเนื้อเต่งตึง การนวดน้ำมันแผนไทยเพื่อเพิ่มสมรรถนะก่อนขึ้นสังเวียนก็เป็นอะไรหลายคนอยากทดลอง

 หลี่คุนไม่ได้โฆษณาตรงๆ ว่าค่าย ศ.เผด็จศึก รับลูกศิษย์ต่างชาติ แต่คนที่ดูคลิปก็จะพอเดาได้เองจากภาพที่ถูกสอดแทรกไปอย่างแนบเนียน มีคนติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก หลี่คุนตั้งราคาคอร์สไว้สูงพอสมควรแต่ก็มีคนที่สนใจอย่างจริงจังที่จะคุยในรายละเอียดอยู่บ้าง

นอกจากการทำการตลาดของค่ายผ่านทีมกลางของพวกซูเอ๋อร์แล้ว แอนฟิลด์ยังเสนอว่าควรให้นักมวยบางส่วนเปิดแอคเค้าท์ส่วนตัวเพื่อลงเรื่องราวในชีวิตให้คนติดตามกัน ถ้าได้รับความสนใจจนเกิดเป็นฐานแฟนคลับขึ้น คนกลุ่มนี้จะรู้สึกผูกพันกับนักมวยที่ตัวเองติดตามจนคอยเป็นกระบอกเสียงพูดสิ่งดีๆ ของค่ายมวยต่อไป หลี่คุนไม่ค่อยแน่ใจกับความคิดนี้เท่าไหร่ นักมวยที่พอมีชื่อเสียง ก็ออกจากค่ายมวย ศ.เผด็จศึกกันไปเกือบหมด ใครจะมาสนใจนักมวยโนเนมตัวดำๆ อย่างพวกที่เหลือ แต่ในเมื่อไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรก็ไม่เสียหายที่จะลอง หลี่คุนหาคนที่สมัครใจจากนักมวยในค่าย ปรากฎว่ามีคนสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะนักมวยวัยรุ่น เด็กยุคนี้ชอบเล่นโซเชียลอยู่แล้วถ้ามันจะช่วยเหลือค่ายได้พวกเขาก็ยินดีทำ

จอมกับเด่นนักมวยฝึกหัดที่เคยโดนหลอกไปถ่ายนู้ดจนสร้างปัญหาให้กับค่ายทำเรื่องนี้อย่างกระตือรือร้น ทั้งคู่รู้สึกผิดกับค่ายมวยและเพื่อนนักมวยแต่ก็ไม่มีที่ไป ได้แต่ทำงานใช้แรงทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือทางค่ายเท่าที่จะทำได้ สองคนนี้โพสต์รูปและข้อความทุกวัน แม้จะไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นน่าสนใจแต่ก็พยายามสรรหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าอยู่ตลอด เมื่อสองคนนี้หรือนักมวยในค่ายโพสต์อะไร กลุ่มเพื่อนซูเอ๋อร์ก็จะตามไปแปลเป็นภาษาอังกฤษให้โดยมีแอนด์ฟิลด์เป็นตัวหลัก

กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จเงินเพิ่มทุนของค่ายมวยก็แทบหมดลง เหลือแต่รอลุ้นว่าจะมีคนมาสมัครเป็นลูกศิษย์วีไอพีแบบกินอยู่ประจำได้ตามเป้าหรือไม่ ในระหว่างนั้นก็มีคนที่สนใจจะมาเรียนมวยแบบชั่วครั้งชั่วคราวอยู่พอสมควร แต่กลุ่มนี้คงเรียกเก็บค่าสอนได้ไม่มากเท่าไหร่เพราะราคาตลาดก็มีอยู่ นอกจากยังมีคนที่ไม่ได้ต้องการเรียนมวยแต่ติดตามจากในโซเชียลแล้วสนใจอยากจะขอมาเยี่ยมค่ายมวยเฉยๆ กลุ่มหลังนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จะปล่อยให้มาเยี่ยมจริงคงวุ่นวายและไม่เกิดรายได้อะไร แต่ถ้าปฏิเสธไปทั้งหมดอาจจะทำให้เสียชื่อเสียงได้

ในที่สุดหลี่คุนก็กัดฟันใช้เงินก้อนสุดท้ายของค่ายจัดพื้นที่ริมน้ำให้กลายเป็นร้านกาแฟที่มีขนมและอาหารขายด้วย ถ้านั่งทานอาหารในร้านก็จะมองเห็นการฝึกซ้อมมวยผ่านกระจกใสได้อย่างชัดเจน ใครที่อยากแค่มาดูบรรยากาศของค่ายมวยหรือต้องรอเพื่อนที่มาเรียนมวยก็สามารถมาอุดหนุนร้านนี้ได้ เนื่องจากหลี่คุนไม่ได้อยากให้คนนอกมาพลุกพล่านมากเกินไปจึงตั้งราคาอาหารและเครื่องดื่มไว้สูงทีเดียว ขนาดแม่ครัวของค่ายมวยเห็นแล้วยังตะลึงเลยว่าอาหารที่นางทำจะขายได้ราคานั้นจริงหรือ

ทั้งหมดคือสิ่งที่หลี่คุนริเริ่มไว้และทำเสร็จไปเมื่อสองสามเดือนก่อนโดยใช้ชื่อครูดิน เรื่องที่เขาเข้ามาเป็นเจ้าของค่ายมวยครึ่งหนึ่งยังไม่มีใครรู้ยกเว้นพวกครูมวยและนักมวยรุ่นใหญ่อย่างพวกแสน หลังจากนั้นเขาก็วางมือชั่วคราวเพื่อไปทุ่มเทกับการปรับโครงสร้างธุรกิจบริษัทเครื่องสำอางที่บังคับซื้อมาจากบรูค เรื่องที่เหลือของค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ก็ให้ครูดินกับตินและพวกซูเอ๋อร์ช่วยกันจัดการไป ในระหว่างนั้นหลี่คุนยุ่งจนไม่ได้ตามเรื่องของค่ายมวยเลย เขาคิดว่าถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นตินกับซูเอ๋อร์ต้องบอกเขาอยู่ดี

หลังจากที่จัดการบริษัทเครื่องสำอางของบรูคจนอยู่ตัวแล้วหลี่คุนก็เริ่มกลับมาเป็นห่วงค่ายมวย ศ.เผด็จศึก เขาคำนวณกำไรจากบริษัทที่จะได้ในแต่ละเดือนแล้วพบว่าน่าจะดึงไปช่วยสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ของทางค่ายได้ หลี่คุนจึงแอบเข้าไปดูสถานการณ์ปัจจุบันที่ค่ายให้เห็นกับตาโดยไม่ได้บอกใครก่อน

หลี่คุนลงรถไฟฟ้าตรงสถานีส่วนต่อขยายที่อยู่ใกล้ค่ายมวยที่สุด เขาเดินต่อไปตามทางเท้าเล็กๆ ที่ก่อนนั้นเคยถูกกลุ่มคนชุดดำลูกน้องของพรรคพวกไฮโซบรูคมาดักจับเพื่อจะลักพาตัวเนื่องจากมีบางจุดที่เปลี่ยวจริงๆ แต่วันนี้เขาเห็นคนแต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวเดินสวนมาบ้างทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมีแต่พวกนักมวยใช้กัน เมื่อเดินต่อมาอีกพักใหญ่จนถึงค่ายมวย เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นลานกว้างว่างๆ ที่ปรับพื้นที่ไว้เป็นที่จอดรถของค่ายวันนี้มีรถจอดอยู่จนเกือบเต็มอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ตอนที่ค่ายยังพอมีชื่อเสียงอยู่

หลี่คุนเดินเข้าไปในค่ายมวยอย่างเคยชินแต่กลับถูกนักมวยรุ่นเด็กของค่ายขวางไว้ก่อน

“พี่ครับๆ มาทานอาหารหรือเปล่าครับ ได้จองไว้ก่อนไหม วันนี้ร้านแน่นมากถ้าไม่ได้จองไว้ต้องรออยู่ด้านนอกก่อนถึงบ่ายสามเลยนะครับถึงจะมีโต๊ะว่าง”

เมื่อเห็นหลี่คุนทำท่างง นักมวยหนุ่มน้อยก็กระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

“เอ่กสะคิ้ว มี เซ่อ แฮบ ยู้ บุ๊คท์ อะ เท่เบิ้ล?

หลี่คุนรีบถอดผ้าปิดปากสีดำที่ใส่เป็นประจำเวลาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะออก

“อะไรวะ จำพี่ไม่ได้เหรอ”

“อ้าวพี่คุน แล้วก็หลอกให้ผมพูดภาษาปะกิดอยู่ได้ พี่หายไปไหนมาตั้งนาน ทุกทีต้องมากับพี่ตินไม่ใช่เหรอ มาคนเดียวปิดหน้าปิดตาผมก็จำไม่ได้สิ”

“งานยุ่งหน่อยว่ะ แล้วนี่รถมาจากไหนกันเยอะแยะ”

“ก็มีคนที่มาเรียนมวย แต่ส่วนใหญ่ก็คนที่มาทานอาหาร พี่เข้าไปดูเองเลย มีแต่คนบ่นคิดถึงพี่ ผมเป็นเวรคอยรับแขกอยู่ตรงนี้”

หลี่คุนเดินเข้าไปในบริเวณค่าย พอเห็นตรงริมน้ำที่ทำเป็นร้านขายอาหารเครื่องดื่มคนพลุกพล่านดูน่าสนใจ เขาจึงเดินไปตรงนั้นก่อน โต๊ะที่เดิมตั้งไว้ไม่กี่ตัว ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาน่าจะเกือบยี่สิบตัวจนเต็มพื้นที่ ที่สำคัญคือมีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะโดยเป็นชาวต่างชาติกว่าครึ่ง อาหารร้อนๆ น่ารับประทานกำลังถูกเสิร์ฟไปตามโต๊ะต่างๆ โดยหนุ่มนักมวยสามสี่คนในชุดฝึกซ้อมนั่นคือสวมกางเกงมวยตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ

“อ้าวคุน มายังไงวะ หิวเปล่า เดี๋ยวเราไปบอกป้าแม่ครัวให้ทำผัดไทยมาให้ซักจาน”

นักมวยหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังเสิร์ฟอาหารอยู่ทักขึ้นอย่างคุ้นเคย หลี่คุนเห็นทุกโต๊ะต้องมีผัดไทยหน้าตาหน้าทานอย่างน้อยหนึ่งจานแสดงว่าได้รับความนิยมจริงจึงพยักหน้าให้ อีกฝ่ายกุลีกุจอเอาเก้าอี้มาวางให้นั่งตรงเค้าเตอร์แล้วก็ขอตัวไปสั่งอาหารให้ หลี่คุนมองบรรยากาศในร้านแล้วรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ดูเหมือนแขกที่มาทานอาหารจะชื่นชอบนักมวยที่มาคอยให้บริการกันมาก ถึงจะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ดูจะไม่เป็นอุปสรรคในการส่งเสียงแซวแล้วหัวเราะคิกคักกันเมื่อเห็นนักมวยหุ่นล่ำเขิน แขกบางคนก็นั่งดูการฝึกซ้อมในโรงฝึกมวยอย่างตั้งใจ แต่ที่ดูความสุขกับการทานอาหารจริงๆ ก็มีอยู่หลายโต๊ะ

นักมวยคนเดิมเอาผัดไทยหอมฉุยมาส่งให้

“ป้าบอกว่าทำสุดฝีมือเลยให้น้องคุนคนหล่อของแก”

“ทำไมคนเยอะขนาดนี้วะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าตามลายแทงกันมาจากในเน็ต ยิ่งตั้งแต่เดือนที่แล้วนะ จู่ๆ ก็มากันจากไหนไม่รู้ทั้งไทยจีนฝรั่งญี่ปุ่นเกาหลี จนต้องขยายร้านกันหลายรอบ”

“แล้วนายใส่ชุดซ้อมมวยมาเสิร์ฟอาหารแบบนี้ลูกค้าไม่ว่าเอาเหรอ ดูไม่ค่อยถูกอนามัยเท่าไหร่”

“กลายเป็นว่าลูกค้าชอบแบบนี้ว่ะ คือช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น ป้าแม่ครัวกับผู้ช่วยทำกันไม่ไหวก็เลยขอให้พวกนักมวยที่พักเหนื่อยอยู่มาช่วยเสิร์ฟ ปรากฎว่าลูกค้าติดใจกันใหญ่ ทีหลังถ้าไม่ใช่นักมวยมาเสิร์ฟจะไม่ยอมเอา ใส่เสื้อยืดก็ไม่ได้นะ เราเดาว่าคนที่มาทานอาหารถึงที่นี่น่าจะเป็นคนต่างชาติที่ชอบมวยไทยแต่เคยเห็นแต่ในทีวีไง พอเจอนักมวยตัวจริงเลยตื่นเต้น ชอบแกล้งโน่นแกล้งนี่ด้วย เออ เดี๋ยวนายทานต่อตามสบายนะ หมดเวรเราแล้วต้องไปซ้อมต่อ ถ้าจะเอาอะไรเพิ่มก๋บอกคนอื่นได้เลย พวกเรากันทั้งนั้น”

ผัดไทยอร่อยจริงสมกับที่สั่งกันทุกโต๊ะ พอได้ใช้วัตถุดิบที่ดีขึ้นฝีมือของป้าแม่ครัวก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก หลี่คุนนั่งชมความสำเร็จของร้านอาหารที่เขาริเริ่มไว้อีกครู่หนึ่ง ดูเหมือนลูกค้าจะชอบแกล้งนักมวยจริงๆ ด้วย เห็นโดนขอให้เบ่งกล้ามมั่ง ขอจับแขนมั่ง ตามแต่จะนึกออก แต่ถ้าโดนขอถ่ายรูปนักมวยจะปฏิเสธ

หลี่คุนลุกจากโต๊ะตั้งใจว่าจะไปสอบถามถึงสถานการณ์ของค่ายมวยกับครูแผ่นดิน แต่ระหว่างทางต้องผ่านห้องน้ำรวมซึ่งมีต่อเติมด้านข้างเป็นห้องชายสำหรับแขกที่มาทานอาหาร ส่วนห้องน้ำหญิงได้ทำขึ้นใหม่ไว้ใกล้ๆ กับร้านอาหารแล้ว ขณะที่เดินผ่าน หลี่คุนมองเข้าไปด้านในส่วนที่ห้องน้ำรวมของคนในค่ายก็เห็นนักมวยหน้าคุ้นๆ เปลือยกายอาบน้ำอยู่ตรงใกล้ๆ ช่องประตู

“ไอจอม ใช่เอ็งเปล่าวะ”

หลี่คุนตะโกนถาม ถ้ามาจากฝั่งร้านอาหารจะมีรั้วไม้ระดับเอวกั้นอยู่เข้าไปในส่วนของห้องน้ำรวมไม่ได้

“พี่คุน ผมเอง”

นักมวยวัยรุ่นผิวเข้มหุ่นแน่นออกมายืนตรงช่องประตู โชว์ทุกสัดส่วนของร่างกายอย่างไม่อายใคร

“เพิ่งบ่ายสองอาบน้ำทำไมวะ ฝึกเสร็จแล้วเหรอ”

“เปล่าพี่ เดี๋ยวอาบเสร็จผมก็ไปฝึกต่อ คือผมผลัดเวรกับไอเด่นอ่ะ ต้องคอยมาอาบน้ำโชว์แขก ยกเว้นตอนเย็นๆ ที่มีคนมาอาบน้ำจริงๆ”

“หา ใครใช้ให้พวกเอ็งทำ”

จอมฉีกยิ้มอย่างภูมิใจเห็นฟันขาวตัดกับสีผิว

“ไม่มีใครใช้หรอก พวกผมคิดกันเอง จะได้ช่วยเรียกลูกค้าให้ค่ายมวยไง”

“สัด ลูกค้าหนีกันหมดแน่ แล้วพวกเอ็งไม่อายเหรอวะ”

“โหยพี่ อาชีพนักมวยไทย ถ้ามาอายกับเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี กติกามวยไทยต้องให้ขึ้นชั่งน้ำหนักตัวเปล่าอยู่แล้ว คนมุงดูเยอะแยะไปหมด ไหนจะกล้องนักข่าวอีก”

หลี่คุนฟังแล้วรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก เขากระโดดข้ามรั้วอย่างคล่องแคล่วไปหาอีกฝ่ายจนนักมวยหนุ่มอดทึ่งเล็กๆ ไม่ได้ หลี่คุนทำท่าให้เด็กหนุ่มขยับหลบมุมเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าท้าสายตาเกินไป ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่พักใหญ่ จอมเล่าให้ฟังว่า เขากับเด่นรู้สึกผิดมากที่ทำให้ค่ายมีปัญหา พอค่ายพยายามหารายได้เสริมด้วยวิธีต่างๆ เขาก็คอยเข้าไปดูในโซเชี่ยลว่าคนพูดถึงค่ายว่าอย่างไร จากที่แทบไม่เคยเล่นแอพพวกนี้เลยตอนนี้คล่องทุกสำนัก มีความพยายามถึงขั้นใช้กูเกิลแปลความเห็นที่เป็นภาษาต่างๆ อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

จอมไปเจอความเห็นหนึ่งที่รีวิวร้านอาหารของค่ายว่าบรรยากาศดี อาหารอร่อย ตอนไปเข้าห้องน้ำผ่านห้องน้ำรวมของค่ายด้วยเสียดายไม่มีคนอาบอยู่เลยไม่รู้ว่าที่ค่ายมวยไทยแก้ผ้าอาบน้ำกันจริงหรือไม่ ความเห็นเชิงขำๆ นี้ได้รับความสนใจและกดไลค์กันล้นหลาม เขาจึงปรึกษากับเด่นแล้วตกลงกันว่าจะลองเอาใจคนกลุ่มนี้โดยการไปอาบน้ำในช่วงที่ลูกค้าเยอะๆ ดู ทั้งคู่ทำอย่างนี้อยู่สัปดาห์หนึ่งก็เห็นผลอย่างมาก มีคนโพสต์ถึงเรื่องนี้ในเน็ตสร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเป็นอย่างมาก หลายคนถึงกับเม้นท์ว่าจะจองตั๋วมาเมืองไทยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“แปลกดีนะพี่ ทั้งผมทั้งไอ้เด่นถ่ายนู้ดแบบจะๆ จนรูปถูกก็อปกระจายไปถึงไหนต่อไหน ให้ดูฟรียังไม่มีใครอยากดู แต่พอมาทำลับๆ ล่อๆ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง คนกลับชอบ ในเน็ตนี่เรียกว่าแทบคลั่งเลยนะพี่ โคตรดีใจเลย เหมือนเราของไร้ราคามารีไซเคิลให้เป็นของที่มีคุณค่าได้  อย่างน้อยชดเชยความผิดพวกผมไปได้บ้างก็ยังดี”

ระหว่างที่เขายืนคุยกับจอมที่เปลือยโชว์แท่งหยกอยู่ มีคนที่เดินผ่านไปชะเง้อมองเข้ามาจริงๆ หลี่คุนไม่แน่ใจว่าตัวเองตามโลกยุคนี้ได้ทันจริงอย่างที่เคยคิดหรือเปล่า เรื่องเรียกแขกเข้าร้านนี่คนไทยเขาใช้ตุ๊กตานางกวักกันไม่ใช่หรือ เอ๊ะ หรือว่าใช้ปลัดขิกแบบนี้ถูกแล้ว เขาก็ไม่แม่นศาสตร์ฮวงจุ้ยของไทยเท่าไหร่

##################

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
«ตอบ #103 เมื่อ15-06-2020 19:00:06 »

36
“พี่ดิน กิจการเราเป็นไงบ้าง”

หลี่คุนที่เดินผ่านโรงฝึกมวยและทักทายคนคุ้นเคยกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็รีบเข้าไปในห้องสำนักงานของค่ายมวยเพื่อสอบถามผลการดำเนินงานในช่วงที่เขาไม่อยู่จากครูแผ่นดิน แต่จากบรรยากาศคึกคักในโรงฝึกมวยที่เขาเห็น ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่แย่แน่นอน

ครูดินได้ยินเสียงหลี่คุนก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายวิบวับอย่างมีความสุข ใบหน้าของเขาไม่ได้หมองคล้ำแบบคนอมทุกข์อย่างทุกที

“ที่คุนวางแผนไว้มันได้ผลเกือบหมดเลยว่ะ บางอย่างก็ดีกว่าที่คาดไปมาก เดือนที่แล้วค่ายเรามีเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่งส่วนแบ่งจากน้ำมันมวยมีคุน ต่อไปเราจะมีเงินเก็บไว้พัฒนาค่ายกันซักที”

“มีลูกศิษย์แบบอยู่ประจำเข้ามาบ้างแล้วเหรอครับ”

“ตอนนี้ที่พักเราเต็มหมดแล้ว มันบ้ามากจริงๆ เด็กๆ มาเล่าให้พี่ฟังว่าค่ายเราฮิตในโซเชียลโคตรๆ ยิ่งมีลูกศิษย์ฝรั่งที่สมัครเข้ามาเป็นคนแรกๆ เขาถ่ายคลิปการฝึกมวยและความเป็นอยู่ในค่ายไปลงในเน็ต คนก็จองคอร์สเรียนเข้ามาจนเต็ม ทั้งฝรั่งทั้งเอเชีย มันไม่ใช่แค่เรื่องมวยแล้ว พี่ว่าคนพวกนี้เขาหลงไหลประเทศไทย ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม มีคนเขาคุยกันในเน็ตว่า ถึงดูเหมือนราคาคอร์สเรียนจะสูงแต่รวมทุกอย่างไว้แล้ว คุ้มกว่าหาที่พักและซื้อข้าวกินเองเป็นไหนๆ แถมยังได้ใช้ชีวิตและฝึกมวยแบบคนไทยแท้ๆ เป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ นี่พี่ว่าจะปรึกษาคุนเรื่องขยายห้องพักอีก ครูฝึกเรามีตั้งหลายคน ไหนจะนักมวยรุ่นใหญ่อีก รับลูกศิษย์เพิ่มได้สบายๆ ไหนๆ ก็ยังไม่มีแมทช์อะไรให้เตรียมตัว”

“แล้วพี่จะดูแลกันไหวเหรอครับ คนที่จะสอนมวยเป็นภาษาอังกฤษได้ก็แทบจะมีพี่คนเดียว แล้วลูกค้าเอเชียก็น่าจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้พอกัน”

“อ้าว น้องคุนยังไม่รู้อีกเหรอ คุณจางอี้หลงหุ้นส่วนน้องคุนที่มาช่วยตั้งแต่ตอนแรกๆ เขาส่งเครื่องแปลภาษาพกพามาให้ตั้งเป็นสิบเครื่อง ใช้สะดวกมาก มันแปลภาษาอังกฤษดีกว่าพี่เสียอีก ภาษาอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ไม่ว่าชาติไหนในค่ายก็คุยกันรู้เรื่องหมด พี่เลยสั่งเพิ่มไปอีกยี่สิบเครื่องเลย เห็นว่าแพงเหมือนกันนะ แต่คุณภาพดีกว่าของจีนทั่วไปที่พี่เห็นแม่ค้าเขาใช้กันจริงๆ”

“พี่จ่ายเงินเขาให้ครบเลยนะ ทั้งของชุดแรกด้วย ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุญเขาอีก คนนิสัยแย่ๆ แบบนี้”

“อ้าว ไปโกรธอะไรกันตอนไหนนี่ แต่ก่อนพี่เห็นน้องคุนชมเขาจะตาย พูดสามประโยคก็เป็นเรื่องเขาซะสองประโยคแล้ว ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใหม่ แล้วของเก่าล่ะ เราใช้คืนเค้าหมดยัง”

พอเห็นหลี่คุนทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูดินก็รีบพูดเอาใจ

“เอาเถอะ พี่ปากมากไปเอง อย่าถือสาเลยนะคุน”

“ไม่เป็นไรพี่”

“ส่วนเรื่องร้านอาหารเอาไงดี รายได้มันดีมากเลยนะ พี่ว่าจะหาทางขยายอีก”

“ผมว่าเลิกคิดเรื่องขยายร้านอาหารไปได้เลย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ต้องปรับปรุงขนานใหญ่”

“ทำไมล่ะ พี่ว่ามันดีมากเลยนะ หรือว่าราคาจะสูงไป พี่เห็นคุนตั้งไว้แต่แรกเลยไม่กล้าเปลี่ยน ถ้าปรับราคาลงพี่ว่าลูกค้าจะเยอะกว่านี้มาก”

“ตรงข้ามครับ ผมว่าต้องหาทางเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้าให้เพิ่มขึ้นอีก ผมเพิ่งคุยกับจอมมามีเหตุผลให้มั่นใจว่าลูกค้ายังยอมจ่าย แล้วจำนวนโต๊ะอาจจะต้องลดลงด้วย ดูจำนวนลูกค้าตอนนี้แล้วมันวุ่นวายเกินไป ผมอยากเคลียร์พื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านให้ว่างๆ ไว้ เราต้องปรับกติกาการใช้บริการร้านใหม่ หลักๆ คือจำกัดเวลาในการใช้บริการตามจำนวนอาหารเครื่องดื่มที่สั่ง อีกส่วนคือห้ามแตะต้องเนื้อตัว ขอถ่ายรูป หรือทำอะไรนักมวยที่เป็นพนักงานเสิร์ฟของเราฟรีๆ ถ้าจะอยากจะแกล้งนักมวยของเราต้องสั่งเมนูพิเศษถึงจะทำได้”

“พี่ตามไม่ทันแล้วว่ะคุน”

“ที่ผมคิดๆ ไว้นะ เช่น ถ้าสั่งมิลค์เชคในเมนูพิเศษ นักมวยของเราจะเอาส่วนผสมใส่ในแก้วเชคตรงโต๊ะที่สั่ง แล้วจับแก้วใบนั้นเต้นฟุตเวิร์คชกลมไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมได้ที่ถึงเอามารินเสิร์ฟ แบบนี้คนสั่งจะได้แกล้งนักมวยที่ตัวเองชอบให้ชกลมจนเหงื่อแตก หรืออีกเมนูชื่อข้าวกะเพราถาดจัดหนัก จริงๆ ก็เป็นข้าวกะเพราะรวมมิตรธรรมดาที่จานใหญ่หน่อยนี่แหละ แต่ตอนที่นักมวยยกมาเสิร์ฟ จะรองด้วยถาดเหล็กกลมๆ ที่ทำจากแผ่นเพลทของบาร์เบลเอาหนักซักยี่สิบสามสิบกิโล คนสั่งก็จะได้เห็นนักมวยออกแรงจนกล้ามเนื้อปูดสมใจ เมนูพิเศษนี้ราคาต้องแพงพิเศษไปด้วย รวมถึงพวกบัตรถ่ายรูปบัตรจับมือด้วย ผมว่าพี่ต้องไปดูงานก่อนถึงจะเข้าใจชัด เดี๋ยวผมส่งพิกัดเมดคาเฟ่ไปให้นะครับ แนะนำว่าควรพาลูกไปด้วยจะได้กลมกลืนหน่อย”

“เอิ่ม ขอเวลาพี่หน่อยแล้วกัน พี่แก่แล้ว”

“ค่อยๆ ไปก็ได้ครับ พอดีผมแค่คิดว่ากระแสพวกนี้มันเกิดขึ้นเร็วก็อาจจะหายไปเร็วเหมือนกัน ถึงยังไงเรื่องการขายอาหารมันก็ไม่ได้ค่อยเกี่ยวอะไรกับค่ายมวยอยู่แล้ว ถึงต่อไปคนจะเลิกเห่อก็ไม่ได้กระทบอะไรเรามาก เลยอยากอาศัยจังหวะนี้ทำเงินเก็บเป็นทุนรอนไว้ให้มากที่สุด ที่น่าสนใจคือเรื่องบริการนวดเนื้อนวดตัวแบบนักมวยมากกว่า คนที่สนใจมวยจริงๆ น่าจะอยากลอง เดี๋ยวไปคุยกับครูมีดีกว่าให้ช่วยคิดคอร์สนวดพื้นฐานที่ไม่ยากนัก เอาแบบนักมวยที่มีประสบการณ์ของเราก็นวดได้ ถ้าลูกค้าติดใจ ถึงต่อไปไม่ได้มาใช้บริการเองก็คงซื้อน้ำมันมวยมีคุณไปใช้ต่อ เราจะได้ขยายออกไปตลาดต่างประเทศได้”

“น้องคุนเอาความคิดมาจากไหนมากมายครับ พี่จะพยายามให้เต็มที่นะ แต่คงต้องมาช่วยดูๆ ให้พี่หน่อย”

“ได้ครับพี่ดิน ว่าแต่เรื่องที่ค่ายเราถูกแบนไม่ให้ขึ้นชก พอจะคลี่คลายลงไปหรือยังครับ ปกติคนไทยเราลืมง่ายจะตาย เรื่องที่สองคนนั้นถ่ายนู้ดมันก็ผ่านมานานแล้ว ถึงตอนนี้ค่ายเราจะพอเลี้ยงตัวได้จากรายได้เสริมต่างๆ แต่ถ้านักมวยในค่ายไม่ได้ขึ้นชก ผมกลัวว่าจะเสียแรงผลักดันในระยะยาวไป”

“พี่ก็กังวลแบบเดียวกันว่ะคุน ก่อนหน้านี้ก็ดูกระแสตำหนิค่ายเราก็หายไปเกือบหมดแล้วนะ ผู้ใหญ่ในวงการก็ดูจะหยวนๆ ทำเป็นลืมไป แต่พอมีข่าวว่ามีโปรโมเตอร์มวยจะให้เด็กเราขึ้นชก ก็มีคนปั่นมันขึ้นมาใหม่ พี่ว่าน่าจะเป็นค่ายใหญ่ที่เคยมีเรื่องขัดใจกับเรามานานนมแล้ว พอเห็นพ่อพี่วางมือก็เลยถือโอกาสแก้แค้น”

“อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมนี่หว่า ผมว่าถ้ามีกระแสด้านที่เข้าข้างเราเกิดขึ้นมาบ้าง ผู้ใหญ่น่าจะใช้เป็นทางลงได้ แต่เรื่องนี้เราจะดันเองไม่ได้ดูไม่เป็นกลาง มันต้องมาจากคนนอก”

“แล้วคนนอกที่ไหนจะออกหน้ามาช่วยเราล่ะ คนไทยหน้าบางจะตาย มันพัวพันถึงเรื่องเกย์เรื่องสื่ออนาจาร คนที่มีอำนาจเป็นคนรุ่นเก่า เขามองว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว”

หลี่คุนก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เขาจึงกลับไปคุยถึงแผนการเพิ่มขวัญกำลังใจนักมวยในค่ายที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้

“เรื่องแผนที่จะแบ่งลูกศิษย์ของค่ายให้ชัดเจนแล้วเอาระบบแต้มคุณูปการมาใช้พี่รีบดำเนินการเลยนะครับ อย่างน้อยช่วงที่ยังไม่มีเป้าหมายในการขึ้นชก แถมยังต้องแบ่งเวลาไปช่วยค่ายหารายได้เสริม ทุกคนจะได้ไม่หมดไฟและยังตั้งใจฝึกซ้อมอยู่”

หลี่คุณแบ่งลูกศิษย์ในค่ายออกเป็นสามกลุ่มเพื่อไม่ให้สับสน นักมวยที่อยู่ประจำกินนอนที่ค่ายเลี้ยงดูส่งเรียนไม่ว่าจะขึ้นชกจนมีค่าตัวแล้วหรือไม่ก็ตามอย่างจอมและเด่นนับเป็นศิษย์ใน ส่วนคนที่มาเรียนมาฝึกมวยเป็นบางวันอย่างตินหรือลูกค้าที่สมัครเรียนคอร์สทั่วไปนับเป็นศิษย์นอก สำหรับลูกศิษย์ต่างชาติกระเป๋าหนักที่ซื้อคอร์สอบรมแบบจริงจังมากินอยู่ร่วมฝึกกับศิษย์ในเรียกแบบให้เกียรติว่าศิษย์วีไอพี

“พี่เอานิยายจีนที่เราแนะนำไปอ่านจนพอจะเข้าใจระบบแต้มอะไรนี่แล้วล่ะ คือเวลาศิษย์ในช่วยงานค่ายไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือฝึกซ้อมได้ตามเป้าหมายที่กำหนดจะได้แต้มคุณูปการนี่เหมือนเป็นคะแนนสะสมไปเรื่อยๆ ใช่เปล่า แล้วเอาไปแลกเป็นเงินหรือของจากทางค่ายได้ ว่าแต่จะเอาจริงๆ เหรอ เราไม่ได้เป็นสำนักยุทธที่มีคัมภีร์พิศดารหรือโอสถทะลวงปราณเหมือนในนิยายซะหน่อย พวกมันได้แต้มไปก็เอามาแลกเป็นเงินกันหมดแหละ อย่างงั้นเราก็น่าจะให้เป็นเบี้ยเลี้ยงเลยตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”

“แต้มคุณูปการมีค่าจะตาย ต่อให้มีตังค์ก็ซื้อไม่ได้ใครจะยอมเอาไปแลกเป็นเบี้ยเลี้ยง พี่คอยดูไปเถอะ ส่วนของที่จะเปิดให้แลกในร้านค้าสวัสดิการค่าย ตอนแรกจะยังมีไม่เยอะเท่าไหร่ มีแค่ ขี้ผึ้งสมานแผล ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮา แล้วตั๋วแช่สมุนไพร แต่ต่อไปผมจะเอาของใหม่ๆ มาเพิ่มให้เรื่อยๆ”

“ไอขี้ผึ้งอะไรนั่นพอเข้าใจ ถ้าเป็นของที่น้องคุนทำต้องดีแน่ๆ แต่ไอตั๋วแช่สมุนไพรนี้คืออะไร”

“คือผมมีสมุนไพรสูตรโบราณอยู่ครับ ถ้าผสมน้ำแล้วเอาไปแช่ตัวจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นแข็งแรงขึ้นได้บ้าง ผมว่าเหมาะกันนักมวยมากๆ แต่ต้นทุนมันค่อนข้างสูงอยู่ซักหน่อยเลยให้แลกเป็นคนๆ ไม่ได้ สมุนไพรหนึ่งชุดจะพอดีกับน้ำในอ่างกลางห้องน้ำรวมค่ายเรา ลงแช่แบบสบายๆ ได้สิบคน พอมีคนมาแลกตั๋วไปครบสิบใบ พี่ก็นัดมารวมตัวกันทีเดียว เอาเป็นช่วงกลางคืนที่คนใช้ห้องน้ำกันเสร็จหมดแล้วก็ได้ พอละลายสมุนไพรเข้ากับน้ำในอ่างแล้ว ก็ให้ทุกคนลงไปแช่พร้อมกันอย่างน้อยสองก้านธุ..เอ่อ ครึ่งชั่วโมงเป็นอันเสร็จ ผมรับรองว่าร่างกายภายนอกจะแข็งแรงขึ้น ทนหมัดทนเข่ามากกว่าเดิม แต่ก็คงไม่ได้มากมายอะไรนะครับ ไม่ใช่ยาวิเศษ”

“อืม ไว้ถ้ามีคนมาแลกของ พี่จะเล่าสรรพคุณของยาแช่นี้ให้นะ แต่พี่กลัวว่าพวกมันอาจจะตาไม่ถึง เราเตรียมเป็นเงินเผื่อไว้ด้วยดีกว่า”

ครูดินพูดอย่างถนอมน้ำใจ ในตอนนี้คงไม่มีคิดหรอกว่าต่อไปบรรดาศิษย์ในของค่ายจะพยายามสะสมแต้มคุณูปการกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแลกตั๋วแช่สมุนไพรสักใบหนึ่ง นั่นเป็นเพราะสรรพคุณที่ปรากฎทำให้ร่ำลือกันว่าที่แท้มันคือการอาบน้ำว่านอาคมอยู่ยงคงกระพันของเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีต แต่นั่นเป็นเรื่องภายหลังแล้ว

“พี่มีเรื่องนึงอยากจะปรึกษาอีก ไอเด็กฝรั่งคนที่พี่เล่าให้ฟัง มันลงคอร์สสามเดือนไว้จะหมดสิ้นเดือนนี้แล้ว มันบอกว่าไม่มีตังค์ต่อคอร์สแล้วจะขอสมัครเป็นนักมวยฝึกหัดของค่ายเราแบบเพื่อนมันคนอื่นๆ ไอนี่มันสนิทกับเขาไปหมดอยู่แค่สองเดือนกว่าพูดไทยง่ายๆ พอรู้เรื่องแล้ว นิสัยมันก็ดี ขยันซ้อม คุนว่าไงวะ”

“มีตังค์มาเรียนคอร์สแพงๆ ได้ตั้งสามเดือน บ้านมันคงไม่จนหรอกมั๊งครับ จะให้มาอยู่ฟรีกินฟรีเหมือนเด็กไทยเราได้ยังไง”

“ดูมีฐานะเลยล่ะ พี่ว่ามันน่าจะยังไม่อยากกลับประเทศเลยทะเลาะกับที่บ้านจนถูกตัดเงิน ดูมันเป็นพวกกล้าทำกล้าเสี่ยง ถ้าเราไม่ให้มันอยู่ด้วย พี่กลัวมันจะเตลิดไปกลายเป็นฝรั่งขี้นกเจอพวกคนไม่ดีเข้าก็แย่เลย ถ้าให้มันอยู่เหมือนเด็กไทยก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรหรอก”

“มันเป็นเด็กชาติไหนครับพี่”

“อังกฤษนะ เห็นว่ามาจากลอนดอนเลย”

“งั้นก็ได้ครับ พี่รับมันเข้ามาเป็นศิษย์ในเลย แต่คงอยู่ฟรีเลยไม่ได้ มันต้องมีหน้าที่สอนให้คนในค่ายพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะคนที่ยังเรียนอยู่นะ รุ่นใหญ่อย่างพวกพี่เมฆพี่แสนด้วย ต่อไปจะมีวัดผลทุกเดือน ถ้าไม่ค่อยมีความก้าวหน้ามันต้องออกจากค่ายไป ส่วนคนในค่าย ใครที่ภาษาอังกฤษใช้การได้ดี ผมจะเพิ่มแต้มคุณูปการให้เป็นรายเดือนเหมือนเป็นค่าวิชา”

“มันจะยุ่งยากเกินไปเปล่า เรามีเครื่องแปลภาษาอยู่แล้ว”

“ภาษอังกฤษมีติดตัวไว้ได้ใช้แน่ๆ ครับ ยังไงอาชีพนักมวยก็ทำได้แค่ช่วงหนึ่ง”

“เอางั้นก็ดี เด็กพวกนั้นต้องตั้งใจเรียนแน่ มันสนิทกันจะตายคงไม่อยากให้เด็กฝรั่งนี่ออกจากค่ายไปหรอก”

หลังจากคุยงานที่คั่งค้างมานานเสร็จ หลี่คุนก็ออกจากค่ายมวยแล้วก็แวะไปหาหมอภีมที่โรงพยาบาล ปกติเขากับหมอภีมจะนัดถกวิชาฝังเข็มกันอยู่เรื่อยๆ แต่ช่วงที่ผ่านมายุ่งมากเลยไม่ได้เจอหมอภีมมาสองเดือนแล้ว หลี่คุนได้ทราบข่าวว่ารากเหอโส่วอูอายุร้อยปีที่เขาฝากให้หมอภีมช่วยหามานานแล้ว ตอนนี้ได้รับการติดต่อจากเพื่อนของหมอภีมที่ปักกิ่งว่ามีคนต้องการขาย หลี่คุนต้องการสมุนไพรตัวนี้มากเพราะสามารถใช้ปรุงยาสำคัญที่เขากำลังต้องการอยู่ แน่นอนว่าของหายากเช่นนี้ราคาย่อมไม่ธรรมดา แต่หลี่คุนมีเริ่มมีรายได้เพิ่มจากบริษัทเครื่องสำอางของบรูค กิจการอื่นก็ไปได้ดี เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหา เขาบอกหมอภีมว่าถ้าทางโน้นขายจริงน่าจะต้องบินไปถึงปักกิ่งเพื่อดูกับตาให้มั่นใจว่าเป็นของแท้

หลี่คุนกลับถึงคอนโดแต่ใจก็ยังพะวงถึงปัญหาค่ายมวยถูกแบนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเป็นจางอี้หลงจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ยังไง เมื่อนึกถึงหน้าอีกฝ่ายใจก็หวิวๆ ยังไงชอบกล นี่เขาไม่ได้เจอคนๆ นั้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ สามเดือน สี่เดือน หรือนานกว่านั้น ระหว่างที่คิดมือก็ไถปลดล็อกโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว เขาเกือบจะกดเข้าแอพแชทของประเทศจีนที่ใช้พูดคุยกับจางอี้หลงแต่นึกได้เสียก่อนว่าตัวเองเป็นฝ่ายบล็อคการติดต่อไปแล้วเลยรีบปิดโทรศัพท์ไป

หลี่คุนด่าตัวเองในใจ พอเริ่มว่างก็ฟุ้งซ่านอะไรขึ้นมา ซูเอ๋อร์ยังไม่กลับ ตั้งแต่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่กับแฮ็คส์เขารู้สึกว่าเจอหน้าน้องชายน้อยลงแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นปกติแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน หลี่คุนหยิบสมุดจดบันทึกภาษาเซี่ยเล่มปัจจุบันที่เขาใช้อยู่ขึ้นมาดู นานแล้วที่เขาไม่ได้จดอะไรลงไป อันที่จริงการทะเลาะของเขากับจางอี้หลงก็เกิดขึ้นจากสมุดเล่มนี้ ตอนนั้นเขาโมโหที่อีกฝ่ายแอบมาเปิดสมุดที่เป็นความลับของเขาดูทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์เชื่อใจ

ทำไมพอเขาต่อว่าไปถึงไม่อธิบายความจริงออกมาให้หมด

ทำไมถึงพูดแค่ว่าทำไปเพราะความเป็นห่วง

ทำไมถึงเป็นฝ่ายที่ขอห่างกันชั่วคราวขึ้นมาก่อน

ทำไมพอเขาไม่กลับไปคุยด้วยถึงได้ยอมรับง่ายๆ

ทำไมคนธรรมดาอย่างนั้นถึงได้ทั้งมีความลับทั้งเข้าใจยากกว่าคนที่ข้ามภพข้ามชาติมาอย่างเขาเสียอีก

สายตาของหลี่คุนไปสะดุดกับซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ นี่เป็นเอกสารที่จางอี้หลงฝากให้เขาก่อนหน้าที่จะทะเลาะกันนิดเดียว ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่คิดจะเดามันออกมาดูเลย อยู่ๆ หลี่คุนก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมาอย่างรุนแรงว่ามันคืออะไร เขาเปิดซองที่ถูกผนึกไว้หลายเดือนออกทันที ภายในมีกระดาษพับทบกันอยู่เมื่อกางออกก็กลายเป็นแผนผังวงกลมขนาดใหญ่ หลี่คุนมองในภาพรวมก็รู้สึกว่าคุ้นเคยไม่น้อย แต่พอดูในรายละเอียดเขาก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ

ภายในแผนภาพวงกลมถูกตีกรอบแบ่งออกเป็นแปดทิศ แต่ละทิศมีภาพกราฟฟิกรูปฝ่าเท้าของมนุษย์พิมพ์ไว้เจ็ดตำแหน่ง รวมทั้งหมดเป็นเจ็ดสิบสองตำแหน่งการวางเท้า ที่แท้นี่คือตำแหน่งเท้าตามเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้เป็นสิ่งที่ยอดบรรพชนตระกูลหลี่รื้อฟื้นขึ้นมาจากวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วของสำนักยุทธ์ลึกลับในตำนานที่สาบสูญไปแล้ว แต่ตำแหน่งเท้าในแผนผังนี้ไม่ตรงกับสิ่งที่หลี่คุนจำได้ขึ้นใจเสียทีเดียว จากเจ็ดสิบสองตำแหน่งมีประมาณสิบตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ที่น่าตกใจก็คือแผนผังนี้แสดงความแตกต่างนี้ไว้อย่างชัดเจนโดยตำแหน่งเดิมไว้เป็นภาพสีจาง คล้ายกับว่าแผนผังนี้ทำขึ้นเพื่อแก้ไขตำแหน่งบางจุดของท่าเท้าท่องคลื่นน้อยตระกูลหลี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล บรรพชนตระกูลหลี่ได้ศึกษาผสานต่อยอดวิชาของตระกูลเข้าไปแทนตำแหน่งเท้าส่วนที่สูญหายไปจากเคล็ดวิชาดั้งเดิมจนสามารถใช้ร่ายรำได้ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าท่าเท้าท่องคลื่นตระกูลหลี่ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง

แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร จางอี้หลงเป็นคนยุคปัจจุบันย่อมไม่สามารถล่วงรู้ตำแหน่งเท้าของวิชาลับเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่าว่าจะแก้ไขให้มันดีขึ้นเลย นอกเสียจากว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วฉบับดั้งเดิมของสำนักยุทธ์ลึกลับที่สูญหายมานับพันปี

หลี่คุนใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงความเป็นไปอีกข้อหนึ่ง หรือว่าจางอี้หลงจะเป็นคนที่ข้ามเวลามาเช่นเดียวกับเขา แต่เรื่องพิศดารแบบนี้จะเกิดซ้ำกันได้เชียวหรือ นิยายกี่เรื่องๆ ก็มีแต่ย้อนจากอนาคตไปอดีต แต่พอเขาย้อนศรจากอดีตมาอนาคต ก็ดันมีคนตามมาด้วยอีกคนเหรอ แถมยังมาจากยุคที่โบราณยิ่งกว่าเขาด้วย ไม่นับว่าในโลกที่มีคนกว่าเจ็ดพันล้านคนยังอุตส่าห์มาเจอกันได้ ตามหลักความน่าจะเป็นของศาสตร์คำนวณยุคนี้ การเกิดเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นน้อยมากๆ สองเหตุการณ์พร้อมกันนั้นจะยิ่งมีโอกาสแทบเป็นศูนย์เลยทีเดียว

ก่อนจะไปคิดถึงเรื่องนั้น มีสิ่งหนึ่งที่หลี่คุนต้องพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน เขาเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบแล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นไปบนดาดฟ้าทันที หลังจากที่ทำความเข้าใจจุดที่เปลี่ยนแปลงของท่าเท้าตามแผนผัง หลี่คุณก็ค่อยๆ ร่ายรำมันออกมาอย่างช้าๆ ช่วงแรกเกิดความติดขัดอย่างมากจนเขาคิดว่าการแก้ไขนั้นถูกทำขึ้นมาอย่างมั่วๆ แต่พอเริ่มชินขึ้น เขากลับรู้สึกว่าบางจุดดูเหมาะสมกว่าของเดิมจริงๆ ในที่สุดเขาก็ปล่อยตัวให้ลื่นไหลไปกับการผสมผสานท่าเท้าใหม่และเก่าตามสัญชาตญาณ หลี่คุนรู้สึกว่าตัวเองเป็นธรรมชาติที่สุดเมื่อเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเท้าเจ็ดจุดจากสิบจุดตามแผนผังใหม่

ความจริงที่เคล็ดวิชาในแผนผังที่จางอี้หลงให้มาประเสริฐกว่าสิ่งที่ตกทอดมาในตระกูลหลี่ทำให้หลี่คุนสะท้านใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่การเดาสุ่มหรือความพยายามเล็กๆ น้อยๆ จะทำได้ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นบรรพชนตระกูลหลี่คงปรับปรุงเคล็ดวิชานี้ไปนานแล้ว จางอี้หลงเป็นใครกันแน่ เขามาจากอดีตหรือไม่ ถ้าใช่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ความสับสนนี้ทำให้หลี่คุนอยากพูดคุยกับจางอี้หลงเป็นที่สุด เขาหยิบโทรศัพท์มาเปิดๆ ปิดๆ แอพแชทจะปลดบล็อคอยู่หลายครั้ง ในที่สุดความกลัวก็ชนะความสงสัย เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะเป็นฝ่ายติดต่อไป เขากลัวเหลือเกินว่าจางอี้หลงในตอนนี้จะไม่ใช่คนเดิมที่เขารู้จัก

##############

#อี้หลงคุน

ฝากด้วยนะครับ



ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
«ตอบ #104 เมื่อ15-06-2020 21:26:22 »

อยากไปดูค่ายมวยมั่งจัง

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
«ตอบ #105 เมื่อ15-06-2020 21:27:00 »

 :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
«ตอบ #106 เมื่อ15-06-2020 23:49:38 »

คิดถึงอี้หลงแล้ว
แต่ดูมีความลับเยอะนะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
«ตอบ #107 เมื่อ16-06-2020 19:50:20 »

ปัญหาค่ายมวยก็ยังไม่คลี่คลาย ปัญหาหัวใจก็ยุ่ง หลี่คุนจะแก้ยังไงดี

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
«ตอบ #108 เมื่อ18-06-2020 19:08:51 »

37

หลี่คุนเดินทางไปที่สนามบินอย่างตื่นเต้นปนกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ขึ้นเครื่องบิน แถมยังจะเป็นการเดินทางกลับไปยังนครปักกิ่งหรือเมืองเป่ยจิงในความทรงจำที่เขาจากมากว่าหกร้อยปี เขาเปิดอินเตอร์เน็ตศึกษาขั้นตอนการขึ้นเครื่องอยู่หลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี

“คุณคุณานนท์ ทางนี้ครับ”

หลี่คุนเดินไปหานายแพทย์ภีมตามเสียงเรียก โชคดีที่การเดินทางในครั้งนี้มีหมอหนุ่มไปเป็นเพื่อน

“ต้องขอบคุณจริงๆ ครับที่คุณหมออาสาไปด้วย”

“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ ผมมีธุระที่ต้องไปจีนอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว ครั้งนี้ก็แค่ปรับช่วงเดินทางให้มาตรงกับของคุณคุณานนท์”

“ว่าแต่คนที่ติดต่อมาเขายังยืนยันที่จะขายรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีที่คุณหมอส่งรูปให้ผมอยู่ใช่ไหมครับ”

“ก็นัดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วครับ พอเราถึงปักกิ่งก็จะรีบไปเจอเขาเลย คุณคุณานนท์จะได้ตรวจสอบด้วยตัวเองว่าเป็นของแท้หรือเปล่า ว่าแต่ราคาที่เขาเสนอมามันไม่สูงไปเหรอครับ ราคาขนาดนั้น ผมยังนึกไม่ออกว่าซื้อไปทำอะไรถึงจะคุ้ม”

รากเหอโส่วอูเป็นสมุนไพรหลักที่ขาดไม่ได้ในการปรุงโอสถระดับปฐพีหลายตำหรับ หลังจากที่จัดการคู่แข่งไปจนราบคาบแล้วรายได้จากการขายโอสถต่างๆ ของหลี่คุนก็ยิ่งทวีคูณ เรื่องเงินยังพอจัดสรรมาใช้เพื่อการนี้ได้ ขอแค่ให้เป็นของแท้เถอะ

“มันคุ้มสำหรับผมครับ เอ๊ะ สายการบินเราต้องเช็คอินตรงช่องนี้ใช่ไหมครับ คุณหมอช่วยถ่ายรูปให้ผมหน่อย ผมจะโพสต์ในโซเชียลว่าถึงสุวรรณภูมิกำลังจะบินไปจีนแล้ว”

นายแพทย์หนุ่มรับโทรศัพท์มากดถ่ายรูปให้ นึกแปลกใจว่าถึงมีแอคเคาท์แต่ปกติไม่เห็นอีกฝ่ายเล่นโซเชียลอะไรพวกนี้เลย ทำไมถึงได้ดูตื่นเต้นลงเรื่องที่เกี่ยวกับทริปนี้ออกสื่อตลอด เมื่อวานก็ลงรูปตอนจัดกระเป๋าเดินทาง ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเปิดพาสปอร์ตถ่ายหน้าวีซ่าไป

หลี่คุนตามนายแพทย์หนุ่มเข้าไปเช็คอินและโหลดกระเป๋า เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าในกระเป๋ามีสิ่งของต้องห้ามตามรายการหรือเปล่าหลี่คุนก็ขอเปิดกระเป๋าเอาของด้านในขึ้นมาให้ตรวจทีละชิ้นไม่จนเจ้าหน้าที่ต้องห้ามแล้วรีบรับกระเป๋าของหลี่คุนไป ผู้โดยสารที่เข้าคิวอยู่มองหนุ่มหล่อที่มีพฤติกรรมแปลกๆ คนนี้กันใหญ่ หลี่คุนไม่สนใจแม้แต่น้อย เขามุ่งมั่นที่จะทำให้การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเป็นไปอย่างถูกต้องมากที่สุด เป็นหมอภีมที่ทนต่อสายตาคนไม่ได้รีบดึงแขนหลี่คุนให้ออกจากบริเวณนั้นทันที

ทั้งคู่มาเข้าคิวที่จุดเอ็กซเรย์ผู้โดยสารขาออกและถูกแยกไปคนละช่อง เมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้ถอดเสื้อนอก เข็มขัด และรองเท้าออก หลี่คุนก็รีบทำตามอย่างแข็งขัน เขาถึงกับเลิกชายเสื้อตัวในขึ้นมาถึงหน้าอกเตรียมจะถอดออกอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่กล้ามเนื้อลีนขาวเนียนที่ปรากฏขึ้นเรียกความสนใจผู้คนจนแถวแตกสับสนไปหมด เจ้าหน้าที่ต้องรีบดึงเสื้อลงให้แล้วกึ่งเชิญกึ่งไล่ให้ผ่านเครื่องสแกนไปโดยเร็ว

นายแพทย์ภีมที่รออยู่ด้านในถึงกับปาดเหงื่อเมื่อเห็นวุ่นวายที่หลี่คุนก่อขึ้น หน้าตาหล่อขนาดนั้นแล้วยังทำตัวแปลกๆ เป็นจุดเด่นอีก เมื่อหลี่คุนผ่านช่องสแกนออกมาได้ หมอหนุ่มก็รีบกำชับ

“เดี๋ยวไปผ่าน ตม. ตรงช่องอัตโนมัติดีกว่า ไม่วุ่นวายดี ทำตัวนิ่งๆ ไว้หน่อย คนจะได้ไม่มอง”

“ผมไปตรงช่องที่มีนายด่านดีกว่า จะได้ให้สินน้ำใจไว้หน่อย ขากลับเข้าเมืองจะได้สะดวก”

“เฮ้ย ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาหาว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่ ตอนขากลับก็ไม่ได้เจอคนเดิมซะหน่อย”

หลี่คุนได้ยินก็รู้สึกตัว ท่าทางเขาจะตั้งใจเกินไปกับการขึ้นเครื่องบินและออกนอกประเทศครั้งแรก ถึงได้เอาไปเทียบกับการผ่านเข้าออกประตูเมืองของชาวบ้านในยุคก่อนที่ถ้ามีค่าน้ำร้อนน้ำชาสักเล็กน้อยก็จะสะดวกสบายขึ้นอีกมาก พอผ่านด่าน ตม. มาได้ เขาจึงพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนยุคนี้ให้มากที่สุดโดยการทำเลียนแบบหมอภีมทุกอย่าง โชคดีที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากอะไร

หลี่คุนกลับมารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งตอนที่ขึ้นมานั่งประจำที่บนเครื่อง เขาส่งข้อความไปหาคนสนิทเกือบทุกคนอีกรอบว่าเครื่องจะขึ้นแล้วก่อนที่จะปิดโทรศัพท์ไป เขาฟังวิดีโอความปลอดภัยอย่างตั้งใจพร้อมกับทำปากขมุบขมิบท่องจำไปด้วย เมื่อหน้าจอบอกให้ทำอะไรเขาก็ทำตามอย่างเคร่งครัดขันแข็ง แม้กระทั่งเอกสารความปลอดภัยบนเครื่องที่วิดีโอพูดถึงในตอนท้ายเขาก็หยิบมาศึกษาโดยละเอียด ท่าทางจริงจังจนดูน่ารักของหนุ่มหล่อสะดุดตาคนนี้ ทำให้แอร์ประจำชั้นแอบอมยิ้มไปตามๆ กัน

ขณะที่เครื่องกำลังลอยตัวขึ้น หลี่คุนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นตึกรามบ้านช่องด้านล่างเล็กลงเรื่อยๆ ก็เริ่มกังวล นี่มันสูงกว่าที่เขาเคยใช้วิชาตัวเบาเหินไปตามยอดไม้หรือไต่ขึ้นหน้าผาเป็นไหนๆ แวบหนึ่งเขาเกิดความไม่มั่นใจว่าพาหนะเหล็กที่บรรทุกทั้งคนทั้งสัมภาระจนหนักอึ้งนี้จะลอยขึ้นได้อย่างปลอดภัยจริงหรือ หลี่คุนโคจรกำลังภายในวิชาตัวเบาไปทั่วร่างเพื่อช่วยลดน้ำหนักให้กับเครื่องบินจนตัวเกร็ง ในที่สุดเครื่องก็ทะลุผ่านเมฆจนไม่เห็นพื้นดิน หลี่คุนทอดตามองท้องฟ้าสีครามสุดลูกหูลูกตากับปุยเมฆขาวด้านล่างจิตใจพลันสงบลง นี่เป็นภาพที่เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหากไม่ข้ามเวลาหลายร้อยปีเช่นนี้ หลี่คุนนึกขำตัวเอง แม้แต่โดดหน้าผาตายก็ผ่านมาแล้ว ชีวิตในยุคนี้แต่ละวันคือกำไร เขาจะกลัวอะไรกับแค่การขึ้นเรือเหาะจากวิทยาการสมัยใหม่

เมื่อมองไปที่นั่งข้างๆ ก็เห็นหมอภีมหลับไปแล้ว เขาเริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศบนเครื่องและเพลิดเพลินไปกับบริการต่างๆ ที่แอร์สาวสวยดูจะวนเวียนมาคอยดูแลให้เป็นพิเศษ หลี่คุนที่คุ้นชินกับการเดินทางข้ามเมืองแรมสัปดาห์แรมเดือนในยุคก่อน จึงรู้สึกว่าเวลาสองสามชั่วยามบนเครื่องดูจะสั้นเกินไปเมื่อเทียบกับระยะทางที่เขาประมาณไว้ ก่อนเครื่องจะลงจอดที่สนามบินหลี่คุนได้มีโอกาสเห็นทิวทัศน์พื้นดินด้านล่างจากมุมสูง เมืองเป่ยจิงที่เห็นไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านเกิดของเขาในความทรงจำเลย ตึกสี่เหลี่ยมที่ตั้งอย่างเบียดเสียดพาดผ่านด้วยถนนเส้นต่างๆ ดูสับสนวุ่นวาย พื้นที่สีเขียวที่มีอยู่น้อยมากและอากาศขมุกขมัวไม่สดใสทำให้ภาพเมืองเป่ยจิงตรงหน้านี้ดูซีดจางกว่าความทรงจำของเขาเสียอีก

หลี่คุนเดินตามหมอภีมเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาเข้า นอกจากตัวอักษรภาษาจีนแบบย่อที่เขาออกจะขัดตาทุกครั้งที่เห็นแล้ว ภายในอาคารก็ดูเหมือนอาคารทั่วไปในกรุงเทพไม่ได้มีเอกลักษณ์ความเป็นจีนทำให้หลี่คุนผิดหวังไม่น้อย หลี่คุนเดินตามคนกลุ่มใหญ่ไปแต่ถูกหมอหนุ่มดึงไปอีกทาง

“ชาวต่างชาติเข้าคิวทางนี้ครับ”

หลี่คุนได้ยินแล้วก็สะท้อนในใจ เขาเป็นชาวเมืองเป่ยจิงโดยกำเนิดแท้ๆ ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นคนเถื่อนนอกกำแพง

ระหว่างที่รออยู่ในแถว หมอภีมเริ่มกังวลอีกฝ่ายจะทำอะไรแปลกๆ เหมือนที่สนามบินขาออกขึ้นมาจนทำให้การเข้าเมืองมีปัญหาได้ จึงพูดจากำชับขึ้น

“เดี๋ยวพอถึงคิวเขาจะชี้ช่องที่จะให้เข้าไปตรวจคนเข้าเมืองนะครับ คุณคุณานนท์ยื่นพาสปอร์ตให้เขาแล้วทำตัวให้ปกติ เดี๋ยวจะมีการให้สแกนลายนิ้วมือ อะไรที่เขาไม่บอกให้ทำก็ไม่ต้องทำนะครับ เขาไม่ค่อยถามอะไรหรอก”

“เคยมีคนถูกไม่ให้เข้าเมืองไหมครับ”

หลี่คุนกังวลนิดๆ ถึงที่แห่งนี้แทบจะไม่ใช่เมืองเป่ยจิงที่เขารู้จัก แต่มาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็อยากเข้าไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมากว่าหกร้อยปีให้ได้

“จีนไม่เข้มงวดขนาดนั้นหรอกครับ เรามีวีซ่าอยู่แล้ว ผมเข้าออกจีนมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่เคยมีปัญหาเลย”

เมื่อถึงคิว หลังจากที่มองหน้าหลี่คุนสองสามรอบด้วยความสงสัยว่าเป็นดาราจากเมืองไทยหรือเปล่า เจ้าหน้าที่หนุ่มก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น หลี่คุนไม่เห็นหมอภีมอยู่ตรงบริเวณนั้นจึงเดินตามกลุ่มคนไปยังสายพานรับกระเป๋า เขารออยู่นานจนกระเป๋ามาถึงแล้วพักใหญ่จึงได้รับการติดต่อจากนายแพทย์หนุ่มผ่านโทรศัพท์

“ผมยังติด ตม. อยู่เลยครับ เขาบอกว่าข้อมูลในระบบมีปัญหา ไม่รู้เกิดขึ้นได้ยังไง ต้องรอตรวจสอบอาจจะหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ผมประสานเพื่อนคนจีนสมัยเรียนไว้ให้แล้วครับ เดี๋ยวคุณคุณานนท์ออกไปก่อนเลยเขารออยู่ด้านนอก เรานัดคนขายสมุนไพรไว้แล้วถ้าผิดนัดมันจะเสียมรรยาทการซื้อขายจะไม่สำเร็จเอา แล้วไว้พบกันที่โรงแรม”

หลี่คุนกังวลอยู่บ้าง เมืองเป่ยจิงในยุคนี้ก็เหมือนต่างถิ่นของเขา ยังดีที่เมื่อลากกระเป๋าออกไปก็พบกับมิสเตอร์เหยียนเพื่อนของหมอภีมถือป้ายรออยู่ พวกเขาทักทายแนะนำตัวกันเป็นภาษาอังกฤษ อีกฝ่ายมีท่าทีกุลีกุจอต้อนรับแข็งขันทำให้หลี่คุนสบายใจขึ้น มิสเตอร์เหยียนพาไปขึ้นรถสีดำคันใหญ่ที่จอดรออยู่ถึงข้างในสนามบิน หลี่คุนนั่งตรงเบาะหลังข้างมิสเตอร์เหยียนในขณะที่ด้านหน้ามีผู้ชายนั่งอยู่แล้วสองคน

“สองคนข้างหน้าเป็นนี่เป็นเพื่อนมิสเตอร์เหยียนหรือเปล่าครับ”

หลี่คุนถามเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะแนะนำสองคนนั้นให้รู้จัก

“แค่คนขับรถน่ะครับ ไม่ต้องสนใจหรอก”

หลี่คุนแปลกใจอยู่บ้างที่ต้องใช้คนถึงสองคนสำหรับการขับรถในเมือง แล้วนี่ถ้าหมอภีมออกมาด้วยแต่แรกจะเบียดกันไปยังไง แถมยังเป็นสองคนที่รูปร่างใหญ่มีกลิ่นอายของนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน ถ้าเทียบกับยุคก่อนคงเหมือนกับเอาทหารชำนาญศึกมาเป็นคนขับรถม้ากระมัง

เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน หลี่คุนก็หันไปสนใจทิวทัศน์สองข้างทาง ใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็เข้าเขตชุมชนเมือง เขาเห็นว่ายังมีสิ่งปลูกสร้างแบบดั้งเดิมอยู่บ้างไม่ได้เป็นอาคารสมัยใหม่ไปเสียหมดแต่ก็เหลือน้อยเต็มที เมืองเป่ยจิงในยุคนี้เหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่า เขานั่งอยู่นานจนในที่สุดรถก็ขับเลาะเลี้ยวเข้าไปยังอาคารเรียบๆ ขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าซับซ้อนดูแล้วไม่ได้เป็นย่านการค้าอย่างที่หลี่คุนคาด

“ที่นี่ดูไม่เหมือนร้านค้าสมุนไพรเลยนะครับ”

หลี่คุนเปรยขึ้นลอยๆ กับมิสเตอร์เหยียน

“พวกสมุนไพรล้ำค่าจริงๆ เขาไม่เก็บกันไว้ที่ร้านค้าทั่วไปหรอกครับ คุณคุณานนท์น่าจะพอทราบว่ารากเหอโส่วอูอายุร้อยปีไม่ใช่ของที่จะมีกันได้ง่ายๆ”

มิสเตอร์เหยียนตอบแล้วก็พาหลี่คุนเข้าไปในตัวตึกโดยมีคนขับรถทั้งสองตามขนาบมาด้วยในระยะที่ค่อนข้างประชิด หลี่คุนขยับหนีอย่างอึดอัดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสถานที่ด้วยว่าอยู่บริเวณไหน เผื่อหมอภีมติดต่อมาจะได้บอกถูก ภายในชั้นล่างของตัวอาคาร มีชายฉกรรจ์ชุดดำลักษณะท่าทางคล้ายกับคนขับรถสองคนนั้นยืนกระจายตัวตามจุดต่างๆ เฉพาะที่เห็นก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน หลี่คุนถูกพาตัวผ่านระบบรักษาความปลอดภัยหลายขั้นตอนก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด

เมื่อมาถึงชั้นบนสุด ที่สุดทางเดินหน้าลิฟต์เป็นประตูคู่บานใหญ่ที่มีลวดลายแบบจีนโบราณตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ด้านข้างประตูมีชายฉกรรจ์หลายคนเฝ้าอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เชิญคุณคุณานนท์เข้าไปในห้องนั้นได้เลยครับ คนที่คุณควรจะพบรออยู่ข้างใน ตอนนี้หมดหน้าที่ของผมแล้วคงต้องขอตัวก่อน”

มิสเตอร์เหยียนจากไปอย่างรวดเร็วจนหลี่คุนแม้จะเรียกยังไม่ทัน กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับคนขับรถเข้ามารับช่วงต่อทันทีคล้ายกับว่าได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว  หลี่คุนประเมินสถานที่ด้วยการกวาดตามองในพริบตาแล้วพบว่าลิฟต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัดน่าจะเป็นทางออกจากที่นี่เพียงทางเดียว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกทีก็พบว่าไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว

หลี่คุนไม่ตื่นตระหนกแต่ก็ลอบโคจรกำลังภายในบุปผาเร้นวารีเตรียมความพร้อมไว้หากเผชิญหน้าเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาก้าวเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่ลังเล ด้านในมีการตกแต่งแบบจีนโบราณอย่างหรูหราอลังการราวจะข่มให้ผู้มาเยือนต้องยอมศิโรราบให้ แต่หลี่คุนที่เคยลอบเข้าออกวังหลวงเป็นว่าเล่นจึงไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยกับของที่ทำเลียนแบบพวกนี้

ตรงกลางห้องมีชายสูงวัยสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ กัน คนกลางทั้งผมทั้งหนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วแต่นั่นไม่ทำให้แววตาข่มขวัญลดทอนอำนาจลงเลย ด้านข้างมีชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่อย่างพินอบพิเทา ถัดออกมาเป็นแถวของชายฉกรรจ์ชุดดำที่มีกลิ่นอายนักรบยืนเรียงเป็นระเบียบออกมาทั้งสองด้านสร้างความน่าเกรงขามให้กับผู้เฒ่าทั้งสามที่นั่งเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง สัญชาตญาณบอกหลี่คุนว่าคนชุดดำเหล่านี้ไม่เรียบง่าย หากพวกมันมีปืนไฟสมัยใหม่แอบซ่อนไว้ด้วยก็ถือว่าคับขันแล้ว

ชายชราผมขาวที่นั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านใช้สายตาคมกล้าผิดกับวัยจับจ้องมาที่หลี่คุนก่อนจะพูดภาษาจีนออกมาสามสี่ประโยค ชายหนุ่มด้านข้างรับฟังแล้วก็หันมาพูดกับหลี่คุนเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

“สวัสดีครับคุณคุณานนท์ ผมมารับหน้าที่เป็นล่ามให้กับคุณในการสนทนาวันนี้ ท่านผู้อาวุโสที่อยู่ตรงกลางคือท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ย ประธานสมาพันธ์ดนตรีจีนดั้งเดิมแห่งกรุงปักกิ่งซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงขนาดเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของวงการนี้ในประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เมื่อสักครู่ท่านได้กล่าวต้อนรับคุณที่ได้มาเยือนเพื่อทำข้อตกลงกันในเรื่องบทเพลงที่คุณแอบครอบครองอยู่”

หลี่คุนพอจะคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาจีนของคนยุคนี้บ้างแล้วจึงฟังออกตั้งแต่ต้น แต่เขายังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และรู้ตื้นลึกหนาบางในตัวเขามากขนาดไหน จึงได้ตอบกลับออกไปเป็นภาษาไทยผ่านทางล่าม

“น่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่าครับ ผมมาที่นี่เพราะต้องการซื้อสมุนไพรจีนเท่านั้นเอง ซื้อเสร็จผมก็จะรีบกลับไปเมืองไทย”

เมื่อฟังคำตอบของหลี่คุน ปรมาจารย์หานก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังขึ้น ล่ามหนุ่มรับฟังคำสั่งแล้วก็รับแทบเล็ตจากชายชุดดำคนหนึ่งมาเปิดคลิปที่หลี่คุนเล่นกู่ฉินเป็นครั้งแรกตอนที่ถ่ายโปรโมทละครยิ้มเย้ยยุทธจักรให้เจ้าตัวดู

“ท่านกล่าวว่าบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่คุณคุณานนท์เล่นในคลิปนี้ เป็นสมบัติแห่งชาติของประเทศจีน คุณต้องนำมันมาคืนให้กับเรา หากตกลงกันได้ดี ท่านผู้อาวุโสตู้ หัวหน้าสมาคมการค้าทั้งเจ็ด ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย จะจัดการเรื่องรากเหอโส่วอูที่คุณต้องการให้เอง แต่ถ้าไม่ ท่านนายพลหยางทางด้านขวา จะดูแลให้ความแน่ใจว่าท่านจะยังอยู่ที่เมืองจีนต่อไปจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”

ยิ่งฟังหลี่คุนก็ยิ่งงง เหตุใดต้องมีท่าทีข่มขู่กันถึงขนาดนี้

“ผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็เป็นชาวจีนอยู่แล้ว พวกคุณจะเรียกบทเพลงที่ยอดเยี่ยมนี้ว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของจีนก็ไม่แปลก แต่จะบรรเลงก็บรรเลงไปสิ เกี่ยวอะไรกับผม”

“ท่านปรมาจารย์บอกว่า คุณคุณานนท์อาจจะไม่ทราบว่าบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่สมบูรณ์ได้สูญหายไปจากประเทศจีนมากว่าสามร้อยปีแล้ว”

“ก็แค่นั้น ผมนึกว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โต เดี๋ยวผมจะเล่นเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวให้ฟังจนจบ พวกท่านก็จดจำทำนองไว้ หรือจะอัดเป็นคลิปวิดีโอไว้ก็ได้”

หลี่คุนยินดีที่จะถ่ายทอดเพลงนี้กลับสู่ประเทศจีนอยู่แล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่บทเพลงอันงดงามนี้ต้องสูญหายไปในยุคหลัง

ชายชราทั้งสามคนมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อทราบว่าหลี่คุนมีทำนองที่สมบูรณ์ของบทเพลงนี้อยู่จริงๆ ปรมาจารย์หานรีบพูดเงื่อนไขยืดยาวออกมาอย่างยินดี แต่นั่นทำให้หลี่คุนที่ฟังออกตั้งแต่ต้นโมโหจนต้องสวนกลับเป็นภาษาจีนทันทีโดยไม่รอล่าม

“หมายความว่ายังไงที่หลังจากให้ข้าถ่ายทอดบทเพลงนั้นให้กับพวกท่านแล้ว จะห้ามไม่ให้ข้าถ่ายทอดให้กับคนอื่นอีก หรือแม้แต่จะเล่นเองก็ไม่ได้ไปจนตลอดชีวิต”

“เจ้าหนุ่มไท่กั๋ว เจ้าพูดภาษาจีนได้ด้วยหรือ”

ปรมาจารย์หานถามอย่างประหลาดใจ ภาษาจีนของอีกฝ่ายแม้จะไม่ใช่สำเนียงที่ใช้กันแต่ก็ฟังเข้าใจแถมยังมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์น่ายำเกรงที่ยากจะอธิบาย

หลี่คุนเลือดขึ้นหน้าแล้วเมื่อพอจะคาดเดาได้ว่าเหตุใดบทเพลงยิ่งใหญ่ที่เคยแพร่หลายในหมู่บัณฑิตที่เข้าถึงศาสตร์แห่งพิณจำนวนไม่น้อยถึงได้ไร้ผู้สืบทอดเช่นนี้

“ใช่ ข้าพูดได้ และข้าจะพูดอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยว่า เพราะความใจแคบที่จะเก็บบทเพลงล้ำค่าไว้เฉพาะกับพรรคพวกตัวเองเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้บทเพลงนี้สูญหายไปจากประเทศจีน การที่พวกท่านได้มันกลับมาอีกครั้งก็เป็นวาสนา กลับไม่คิดเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ให้ทั่วโลกได้รู้ซึ้งถึงอัจฉริยะภาพของบรรพชนชาวจีน นี่คือความคิดของคนที่อ้างตัวว่าเป็นเสาหลักของวงการดนตรีจีนอย่างนั้นหรือ”

หลี่คุนที่หลังจากข้ามเวลามาก็ได้ศึกษาประวัติศาสตร์จีนด้วยความข้องใจว่าเหตุใดชนชาติยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายพันปีของตัวเองถึงได้เสื่อมถอยลงจนพ่ายแพ้ให้กับคนเถื่อนจากตะวันตกในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปี เมื่อมองในภาพใหญ่ด้วยสายตาของคนยุคปัจจุบัน เขาต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจัดการองค์ความรู้ที่แตกต่างกัน ตะวันออกเก็บรักษาสืบทอดกันเฉพาะในวงศ์ตระกูลหรือศิษย์เอก ส่วนตะวันตกเปิดกว้างผ่านสถาบันการศึกษาและการเผยแพร่ทางวิชาการ เมื่อเวลาผ่านไปความรู้ฝั่งหนึ่งจึงหดหายลงเรื่อยๆ เมื่อขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสม ในขณะที่ความรู้อีกฝั่งหนึ่งได้รับการต่อยอดจากคนหมู่มากสะสมจนเป็นวิทยาการสมัยใหม่

“บังอาจ!!! ท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ยมิใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้”

นายพลหยางที่นั่งอยู่ทางด้านขวาตวาดเสียงดัง แรงกดดันจากกลุ่มคนชุดดำยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นถึงกับเกิดเป็นรังสีอำมหิตเจือจางขึ้นในบรรยากาศ คนพวกนี้เป็นทหารชำนาญศึกอย่างที่คิด หลี่ส่งประกายฆ่าฟันกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวจนเกิดการปะทะกันของจิตสังหารคมกล้า หลี่คุนเร่งเร้ากำลังภายในบุปผาวารีหมุนวนไปทั่วร่าง ไม่แน่ใจว่าลมปราณที่เหลืออยู่จะเพียงพอให้จัดการคนทั้งหมดหรือไม่ ไม่น่าสิ้นเปลืองกำลังภายในไปกับการช่วยยกเครื่องบินขึ้นตอนออกจากสุวรรณภูมิเลย ยิ่งได้ยินเสียงโลหะดังขึ้นเบาๆ บ่งบอกว่าคนพวกนี้กำลังเตรียมพร้อมที่จะใช้ปืนไฟขนาดเล็กเขาก็ยิ่งเกิดความกดดัน

###########

ทักทายกันได้นะครับ แอบเหงา 55
#อี้หลงคุน

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
«ตอบ #109 เมื่อ18-06-2020 21:45:47 »

แหม นึกว่าหมอภีมโดนจางอี้หลงกัก ที่ไหนได้....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
« ตอบ #109 เมื่อ: 18-06-2020 21:45:47 »





ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
«ตอบ #110 เมื่อ18-06-2020 21:57:37 »

จะมีบู๊กันมั้ยล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
«ตอบ #111 เมื่อ18-06-2020 22:22:21 »

หลี่คุนสู้ไม่ถอยจริงๆ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
«ตอบ #112 เมื่อ20-06-2020 22:03:53 »

38

บรรยากาศในห้องระอุขึ้นจนรู้สึกได้สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับการต่อสู้ฆ่าฟัน ชายชุดดำคนที่อยู่ด้านหน้าสุดพลันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาประชิดตัว แล้วยื่นมือออกมาคล้ายจะคว้าจับข้อมือของหลี่คุนไปไพล่หลังไว้ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเขาก็เจอกับแรงสะท้อนรุนแรงที่มองไม่ทันว่าเกิดจากการออกท่วงท่าอย่างไรของชายหนุ่มจากเมืองไทย ชายชุดดำมองการลงมือที่พลาดเป้าของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่หลี่คุนรู้สึกเกินคาดอยู่บ้างกับการเคลื่อนไหวที่รวบรัดหวังผลลัพธ์ของชายชุดดำ นี่ไม่คล้ายมวยจีนยุคนี้ที่เน้นกระบวนท่าสวยงาม น่าจะเป็นศาสตร์สมัยใหม่ทางทหารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุดในการจู่โจม หากชายชุดดำทุกคนมีฝีมือระดับนี้สถานการณ์นับว่าคับขันแล้ว
 
ปรมาจารย์หานไม่รู้เรื่องราวอะไรกับกระบวนท่าโจมตีและตั้งรับที่เกิดขึ้นในช่วงพริบตานี้ เขายกมือโบกส่งสัญญาให้นายพลหยางเอาคนถอยออกไป
 
“อย่าเพิ่งใจร้อน ท่านนายพล สิ่งสำคัญคือสหายน้อยไท่กั๋วของเราครอบครองบทเพลงที่สมบูรณ์ครบถ้วนจริงหรือไม่ สหายน้อย เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรล้วนยินดีรับฟัง แต่ช่วยไขข้อข้องใจให้เราผู้เฒ่าในเรื่องนี้ก่อนเถอะ”
 
เมื่อพูดจบก็มีชายชุดดำยกกู่ฉินตัวหนึ่งจากด้านหลังออกมาทันที หลี่คุนเห็นพิณโบราณล้ำค่าตรงหน้าก็ตาลุกวาว รังสีฆ่าฟันอันเข้มข้นสลายไปจนหมด ดูแล้วความเป็นมาของพิณตัวนี้จะเก่าแก่กว่ายุคราชวงศ์หมิงที่เขาจากมาเสียอีก แถมยังถูกเก็บรักษาดูแลอย่างดีแม้เวลาจะผ่านมาร่วมพันปี ตาเฒ่าคนนี้สมกับที่อวดอ้างตัวว่าเป็นเสาหลักของวงการดนตรีจีนอยู่บ้าง
 
อารมณ์ขุ่นมัวของหลี่คุนหายไปถึงเจ็ดแปดส่วน เขาลูบคลำกู่ฉินล้ำค่าเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนจะดีดเป็นเสียงหนึ่งขึ้นเบาๆ
 
“ระวังหน่อย หากไม่นับพิณของราชวงศ์ที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์หลวง กู่ฉินของปรมาจารย์หานตัวนี้นับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง แล้วอย่าได้คิดเอาเพลงปาหี่อะไรมาหลอกลวงเด็ดขาด ต่อหน้าปรมาจารย์หานที่ศึกษาสืบเสาะบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวมากว่ายี่สิบปี ท่านคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าบทเพลงที่สมบูรณ์ควรเป็นเช่นไร”
 
นายพลหยางสำทับอย่างดุดัน
 
หลี่คุนนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาทราบมาก่อนแล้วว่าพิพิธภัณฑ์คือสถานที่เยี่ยงไร พิณดีต้องหมั่นนำออกมาบรรเลง ใครสั่งสอนให้นำไปเก็บไว้ในตู้กระจกให้เพียงคนผ่านไปผ่านมาชม เพื่อไม่ให้ผิดต่อกู่ฉินสูงค่าตรงหน้า หลี่คุนจึงพรมนิ้วลงไปบนสายพิณทั้งเจ็ดเส้นโดยไม่คิดออมมือแม้แต่น้อย ท่วงทำนองจีนโบราณที่สูญหายไปแล้วกลับถูกนำมาถ่ายทอดอีกครั้งผ่านความทรงจำข้ามชาติภพของหลี่คุน เสียงแว่วอาวรณ์ของกู่ฉินส่งผ่านถึงใจตรึงคนในห้องให้ตกอยู่ในภวังค์ นิ้วมือขาวเรียวยาวทั้งซ้ายและขวาบรรเลงประสานกันด้วยท่วงท่าซับซ้อนทว่าสง่างาม เสียงทุ้มต่ำคล้ายคร่ำครวญของเครื่องดนตรีโบราณพรรณาถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน สำเนียงพิณอันโศกเศร้าจนทำให้ผู้ฟังถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา แต่ในขณะอารมณ์ถวิลหาอาวรณ์ดำดิ่งลงถึงขีดสุดนั้น แว่วเสียงแรกที่กระจ่างสดใสก็ดังขึ้น ความหมองหม่นเปลี่ยนเป็นความหวังถึงวันข้างหน้า จันทร์เสี้ยวเลือนลับแสงอรุณสีแดงเรื่อปรากฎขึ้นหลังแนวขุนเขา ฤดูหนาวจากไปฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือน ความพลัดพรากกลายเป็นการหวนคืนมาพบเจอ
 
ปรมาจารย์หานปล่อยน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาย นี่คือบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวอย่างไม่ต้องสงสัย ที่แท้บทเพลงฉบับสมบูรณ์ก็จบลงอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าบันทึกในประวัติศาสตร์หลายฉบับถึงได้กล่าวชื่นชมว่าเป็นบทเพลงอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เมื่อนึกถึงว่าฝีมือพิณต้องสูงส่งเพียงใดหนอถึงจะถ่ายทอดบทเพลงระดับสูงสุดนี้ได้ปรมาจารย์หานก็ถึงกับลมหายใจขาดห้วง เมื่อสักครู่ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มชาวไท่กั๋วเพิ่งบรรเลงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติหรือ แล้วสำเนียงพิณอันลึกล้ำสง่างามในตอนจบถ้ามีใครบอกว่ามันคือทักษะสามประสานดินฟ้าในตำนานเขาก็พร้อมจะเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาใดๆ เลย
 
“สหายน้อย ไม่สิ ด้วยฝีมือเช่นนี้ต้องเรียกว่าท่านอาจารย์น้อย อาศัยความรู้น้อยนิดของตาแก่คนนี้ย่อมบอกได้ว่านี่เป็นบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวฉบับสมบูรณ์ไม่ผิดแน่ แต่ในท่อนสุดท้ายใช่ทักษะสามประสานดินฟ้าหรือไม่ โปรดบอกให้ข้าตายตาหลับด้วยเถิด”
 
“ย่อมเป็นสามประสานดินฟ้า ท่านรู้จักด้วยหรือ”
 
หลี่คุนประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ปรมาจารย์หานตื่นเต้นจนพูดแทบไม่ออก
 
“ไม่ผิดจริงๆ ข้าเพียงมีวาสนาได้อ่านจากบันทึกของต้นตระกูล ท่านปรมาจารย์หานจงอี้แห่งเมืองเฉาไป่ผู้มีชื่อเสียงด้านกู่ฉินเป็นอันดับหนึ่งในยุคราชวงศ์หมิง ซึ่งว่ากันว่าเป็นบรรพชนของสายตระกูลข้าเอง ท่านบันทึกเล่าเรื่องการบรรเลงพิณด้วยทักษะสามประสานดินฟ้าเอาไว้อย่างละเอียด อาศัยการดีดพิณเพียงเส้นเดียวแต่สั่นสะเทือนไปถึงสายพิณข้างเคียงทั้งบนและล่างจนเกิดเสียงประสานอันโอ่อ่าขึ้น พูดง่ายแต่ทำยาก นี่ก็เป็นหนึ่งในเทคนิคชั้นสูงที่คนรุ่นหลังได้แต่จินตนาการถึงแต่ไม่มีปัญญาฝึกฝนสำเร็จ ทั้งบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยว ทั้งทักษะสามประสานดินฟ้า ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านคือผู้สูงส่งท่านใด”
 
หานจงอี้เมืองเฉาไป่!! หลี่คุนอุทานในใจ ที่แท้ผู้เฒ่าหานคนนี้ก็คือลูกหลานหลายชั่วคนต่อมาของเสี่ยวหานศิษย์น้องในสำนักพิณของเขานี่เอง ไม่คิดว่าภายหลังจากที่เขาตายไปเสี่ยวหานจะมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ เขาชักจะเชื่อตามคนยุคนี้แล้วว่าโลกกลมจริงๆ สายตาที่หลี่คุนมองไปยังใบหน้าสูงวัยของปรมาจารย์หานแฝงแววเอ็นดูขึ้นมาอยู่หลายส่วน เขาจะถือสาหาความเด็กรุ่นหลังไปทำไม เมื่อไล่เรียงกันดีๆ เขาถือเป็นอาจารย์ลุงรุ่นบรรพชนของคนพวกนี้เชียวนะ
 
“นามของอาจารย์ข้าไม่สามารถบอกออกไปได้ อีกทั้งท่านไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”
 
ปรมาจารย์หานรู้สึกผิดหวังมากแต่ก็พอที่จะเข้าใจ เขาคาดเดาเอาเองว่าอาจารย์ของชายหนุ่มคนนี้คงสืบทอดวิชาพิณต่อๆ กันมาหลายชั่วอายุคนจากยอดคนท่านหนึ่งที่อพยพออกจากแผ่นดินใหญ่ไปยังดินแดนสยามเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว เคราะห์ดีเหลือเกินที่สมบัติแห่งชาติบทเพลงนี้ยังไม่ได้สูญหายไปจากโลก นึกแล้วก็ใจหายวาบ เมื่อสักครู่เขามัวแต่ดื่มด่ำกับการบรรเลงที่ยอดเยี่ยมจนลืมที่จะจดจำท่วงทำนองเพลงไป หากตกหล่นไปเพียงแม้แต่น้อยคงไม่มีหน้าไปพบบรรพชนในปรโลกแน่
 
“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์น้อยจะช่วยบรรเลงเพลงนี้อีกครั้งจะได้หรือไม่ ทางสมาพันธ์ดนตรีจีนของเราจะขอบันทึกวิดีโอไว้เพื่อรับมอบสมบัติแห่งชาตินี้กลับสู่ประเทศจีน ผู้อาวุโสตู้แห่งสมาคมการค้าได้เตรียมรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีและสมุนไพรจีนล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทนไว้แล้ว”
 
“นั่นแล้วแต่ว่าเราจะตกลงเงื่อนไขกันได้หรือไม่”
 
“ท่านอาจารย์น้อยเชิญบอก”
 
“พวกท่านเมื่อได้รับเพลงนี้กลับไปต้องเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มากรวมไปถึงนอกประเทศจีนด้วย บทเพลงจะมีคุณค่าต่อเมื่อมีผู้เล่นผู้ฟัง มิใช่หวงแหนเก็บไว้เป็นสมบัติในพิพิธภัณฑ์รอวันที่จะสูญหายไปอีกครั้ง เช่นนั้นไม่เท่ากับขัดเจตจำนงของท่านปรมาจารย์ผู้ประพันธ์ที่จะใช้ดนตรีขัดเกลาจิตใจและให้ความหวังกับผู้คนหรอกหรือ เจตจำนงพิณอันพิสุทธิ์ย่อมมิอาจสรรสร้างออกมาจากจิตใจที่คับแคบ”
 
ปรมาจารย์หานก้มหน้าไม่กล้าเถียงแม้ครึ่งคำ แววตาเข้มงวดแฝงไปด้วยความอิดหนาระอาใจที่มองมานั้นทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกอบรมจากผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าด้วยสำเนียงการพูดที่ชวนให้นึกถึงผู้สูงศักดิ์ในยุคราชวงศ์ หรือเพราะท่าทางองอาจสง่างามไม่เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปกันแน่
 
หลี่คุนรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะต้องสั่งสอนยุวชนรุ่นหลังให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของศิษย์น้องของเขาเอง เขาอยากจะดุด่าว่ากล่าวให้ยิ่งกว่านี้เลยด้วยซ้ำ แต่เห็นใจว่าศิษย์หลานเหล่านี้ก็อาวุโสจนหนวดหงอกแล้ว ย่อมต้องรักษาหน้าตัวเองต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหาเป็นธรรมดา จะบีบคั้นผู้คนอย่างไรก็ต้องเหลือทางรอดไว้บ้าง
 
ปรมาจารย์หานขอเวลาที่จะจัดเตรียมกล้องวิดีโอและไมโครโฟนบันทึกเสียงชุดใหม่ ที่จริงสมาพันธ์ก็ได้เตรียมอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานไว้อยู่แล้ว แต่ปรมาจารย์หานต้องเปลี่ยนเป็นของที่ดีที่สุดจนต้องไปขอยืมมาจากสตูดิโออันดับหนึ่งของเมืองเป่ยจิง
 
ในระหว่างที่รอ ผู้อาวุโสตู้ก็ให้คนนำรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีและสมุนไพรจีนหายากอีกจำนวนมากมาให้ หลี่คุนตรวจสอบลักษณะภายนอกและดมกลิ่นก็ทราบว่าเป็นรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีของแท้อย่างไม่ต้องสงสัย สมุนไพรอื่นๆ ที่ให้มาเป็นของกำนัลก็เป็นของดีทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ศิษย์หลานพวกนี้รู้จักประจบประแจงเอาใจนับว่ารู้ความไม่น้อย หลี่คุนขอกระดาษปากกาจากคนของสมาพันธ์มาชุดหนึ่ง เขาใช้เวลาไม่นานนักกับกระดาษสามสี่แผ่นเขียนสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบทความภาษาจีนด้วยความเร็วอันน่าทึ่งออกมายื่นให้กับปรมาจารย์หาน
 
“ข้าให้ ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้า ทักษะพิณสามประสานดินฟ้าแม้จะไม่ยากนักแต่หากไม่ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรงก็คงยุ่งยากอยู่บ้างหากจะฝึกปรือด้วยตัวเองให้บรรลุ ข้าเขียนหลักการทั้งหมดและแนวทางการฝึกฝนลงในนี้ให้แล้ว คนที่มีความสำเร็จทางกู่ฉินไม่ต่ำทรามน่าจะสามารถสำเร็จทักษะนี้ในเวลาไม่นานนัก”
 
ปรมาจารย์หานประคองแผ่นกระดาษไม่กี่แผ่นในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ที่แท้ทักษะสามประสานดินฟ้าที่บรรพชนบันทึกไว้จำเป็นต้องมีคนถ่ายทอดเคล็ดลับให้ ที่ฝึกไม่สำเร็จไม่ใช่เป็นเพราะเขาด้อยพรสวรรค์ เขาแม้จะฝันยังไม่กล้าหวังเลยว่าจะมีวันที่สามารถบรรลุทักษะนี้ได้ แต่คำเกริ่นนำที่สั่งสอนถึงหลักจรรยาอันควรของนักดนตรีที่เขียนไว้ตอนต้นอย่างจงใจก็ทำให้เขาหน้าชาอยู่ไม่น้อย
 
ในขณะที่ปรมาจารย์หานกำลังไล่อ่านตัวหนังสือของหลี่คุนอย่างงมงายลุ่มหลงอยู่นั้น นายพลหยางก็ขัดขึ้น
 
“ท่านอาจารย์น้อย เจ้าคล้ายจะพูดภาษาจีนได้แคล่วคล่องแต่ยังไม่ลึกซึ้งพอ ของขวัญแรกพบหน้า เป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของจีนที่อาจารย์หรือผู้อาวุโสจะให้ของขวัญหรือสิ่งที่มีประโยชน์กับการศึกษาเล่าเรียนให้กับลูกศิษย์หรือผู้เยาว์ในวันที่พบกันครั้งแรก เจ้าอายุเพียงเท่านี้ยังห่างชั้นจากปรมาจารย์หานอย่างน้อยก็สองรุ่น เจ้าต้องใช้คำว่าของกำนัลผู้อาวุโสถึงจะถูก ตาเฒ่าหาน เอาของกำนัลของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากเห็นว่าลายมือของพ่อหนุ่มไท่กั๋วคนนี้เป็นอย่างไร ดูท่าทางการเขียนแคล่วคล่องไม่น้อย”
 
นายพลหยางพูดจบก็ดึงกระดาษออกมาจากมือปรมาจารย์หานอย่างไม่เกรงใจ อีกฝ่ายกลัวว่าบันทึกล้ำค่านี้จะฉีกขาดจึงปล่อยมือทันที เมื่อนายพลผู้เฒ่าเห็นตัวหนังสือในมือชัดๆ เขาก็ร้องลั่นอย่างไม่เชื่อสายตา
 
“อักษรสิงซูนี่มันอะไรกัน”
 
แม้จะเป็นอักษรตัวเล็กที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึมธรรมดา แต่นายพลหยางที่หลงใหลอักษรภาพพู่กันจีนก็เห็นถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่ต้องพูดถึงตัวหนังสือแบบดั้งเดิมที่แทบจะหาคนเขียนไม่ได้แล้วแม้ในประเทศจีนเอง นายทหารผู้เฒ่าหันไปมองหลี่คุนด้วยแววตาหลงไหลจนอีกฝ่ายถึงกับขนลุก
 
“อาจารย์น้อย เจ้าเขียนอักษรภาพพู่กันจีนเป็นใช่ไหม ดูตัวหนังสือโบราณที่น่าทึ่งพวกนี้สิ เจ้าต้องเขียนเป็นอยู่แล้ว ผู้อาวุโสตู้ ให้คนของท่านไปเอาสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมาเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างต้องเป็นของดีที่สุดรวมถึงกระดาษเซวียนจื่อด้วย ไม่สิ เอาเป็นม้วนผ้าไหมมาดีกว่า”
 
คนของผู้อาวุโสตู้ทำงานได้ฉับไวสมกับที่อยู่ในสมาคมการค้า ไม่นานอุปกรณ์วาดเขียนแบบจีนก็มาอยู่ตรงหน้าอย่างครบครัน นายพลหยางแทบจะก้มหัวคารวะเพื่อขอให้หลี่คุนช่วยเขียนภาพอักษรให้ หลี่คุนครุ่นคิดเพียงไม่กี่อึดใจก็ฝนหมึกจับพู่กันลากลงไปบนผืนผ้าไหมอย่างเชี่ยวชาญถึงที่สุด ทุกๆ ลายเส้นที่ปรากฏจากการตวัดพู่กันอันมั่นคงทรงพลังทำให้หัวใจของนายทหารเฒ่ากระตุกจนเต้นไม่เป็นจังหวะ กว่าหลี่คุนจะเขียนเสร็จ ในใจของนายพลหยางก็ศิโรราบต่อฝีมือการเขียนอักษรภาพที่งดงามราวกับเทพยดาตรงหน้าจนหมดสิ้น
 
หลี่คุนเห็นนายพลหยางฝึกลูกน้องมาได้ดีไม่น้อยคิดว่าคงเป็นนายทหารที่เก่งกล้าผู้หนึ่ง เขาจึงเลือกเขียนบทกลอนโบราณที่กล่าวถึงความในใจของแม่ทัพชำนาญศึกที่เกษียณกลับไปพักผ่อนในช่วงท้ายของชีวิตแต่ยังเต็มเปี่ยมด้วยสำนึกรักชาติมอบให้ นายพลหยางยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ อย่าว่าแต่บทกลอนอันซาบซึ้งนี้เลย ด้วยลายมือปานเทพเซียนเช่นนี้ ต่อให้หลี่คุนเขียนเพียงคำว่า ‘หนีฮ่าว’ เขาก็ยินดีเอาไปติดประดับในห้องรับแขกเพื่ออวดสายตาผู้คนแล้ว
 
ขณะที่รอให้หมึกแห้งสนิทนายพลหยางก็จับมุมหนึ่งของผ้าไหมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใจจริงเขาอยากจะรีบม้วนเก็บลงกล่องเอากลับบ้านไปเดี๋ยวนั้นเพราะกลัวใครแย่งเอาไป หลี่คุนมองท่าหวงของเหมือนเด็กๆ ของนายทหารเฒ่าแล้วอดขำมิได้ ก็แค่ภาพอักษรภาพหนึ่ง ในสมัยเขาเวลามีงานชุมนุมของเหล่าบัณฑิตก็เขียนแข่งกันออกมาตั้งมากมาย เสร็จแล้วแจกจ่ายแลกเปลี่ยนกันไป ที่ลายมืองดงามกว่าเขาก็มี
 
หลี่คุนหันไปมองผู้อาวุโสตู้แห่งสมาคมการค้าแล้วก็นึกขึ้นได้ เขาเป็นถึงคนรุ่นบรรพชนของเด็กรุ่นหลังพวกนี้จะทำตัวไม่ยุติธรรมไม่ได้ เขาได้มอบเคล็ดวิชาดีดพิณให้กับปรมาจารย์หานและเขียนอักษรภาพให้นายพลหยางเป็นของขวัญวันแรกพบหน้าไปแล้ว ปล่อยให้เด็กคนนี้กลับไปมือเปล่าคงไม่ดี หลี่คุนจึงคลี่ม้วนผ้าไหมเปล่าขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะ แล้วจับพู่กันขีดเขียนตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ ภาพฝูงม้าที่กำลังวิ่งอย่างคึกคะนองก็ปรากฏลงบนผ้าไหมสีขาวสะอาด ม้าแต่ละตัวดูทรงพลังดุจมีชีวิต หางม้าทำด้วยการตวัดไกวพู่กันจีนเป็นพู่กระจายทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามคนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง
 
ผู้อาวุโสตู้ดีใจจนเสียอาการเมื่อรู้ว่าภาพม้ามงคลนี้ถูกวาดขึ้นเพื่อมอบให้กับตัวเอง ม้าคือธาตุไฟบ่งบอกถึงความมีพลังและการพบปะผู้คนมากมาย จึงเป็นสิ่งมงคลสำหรับคนค้าขายเนื่องจากมีนัยยะถึงการมีลูกค้าคึกคักมากกว่าใคร ต่อให้ไม่พูดถึงศาสตร์ความเชื่อด้านฮวงจุ้ยที่ว่า เอาแค่ลายเส้นที่งดงามทรงพลังเช่นนี้หากไปติดไว้ที่ร้านค้าก็เรียกลูกค้าได้มากมายแล้ว
 
หลี่คุนเห็นทั้งสามคนมีท่าทางชื่นชอบของขวัญแรกพบหน้าที่ตัวเองมอบให้ก็เบาใจ ยังไงเสียก็เป็นเด็กรุ่นหลังสายตายังไม่กว้างไกล แค่ของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ดีใจเสียใหญ่โต ถือเป็นโชคดีที่ไม่ต้องควักเงินทองขึ้นมาแจกเป็นของขวัญแรกพบหน้าให้ปวดใจ
 
“ท่านอาจารย์น้อย ศิลปะเอกสี่แขนงของบัณฑิตจีนแต่โบราณ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน วาดภาพ ท่านบรรลุไปแล้วถึงสามแขนง ช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่น่าทึ่ง ไม่ทราบว่าหากมีผู้สนใจ ท่านจะยินดีเขียนอักษรเช่นนี้อีกหรือไม่ นี่ย่อมมีค่าตอบแทนไม่น้อย”
 
หลักจากรอจนหมึกแห้งแล้วม้วนเก็บอักษรภาพใส่กล่องมากอดไว้กับอกแล้ว นายพลหยางจึงวางใจไถ่ถามสิ่งที่อยากรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากพรรคพวกของเขาได้เห็นผลงานชิ้นนี้ จะอยากได้ไว้ครอบครองขนาดไหน
 
หลี่คุนคิดเล็กน้อย ในสมัยเขาได้ยินว่ามีการจ้างบัณฑิตที่ลายมืองดงามไปคัดลอกตำราอยู่บ้าง นับเป็นงานที่ทั้งน่าเบื่อทั้งเมื่อยมือ ต่อให้ได้เงินหลายตำลึงต่อเล่มก็ดูจะไม่คุ้มเท่าไหร่ การเขียนภาพอักษรหรือวาดภาพวิวทิวทัศน์ก็ใช่ว่าจะได้เงินมากหากมิใช่ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริงๆ
 
“จริงๆ ข้าไม่ได้ชอบทำงานเช่นนี้เท่าไหร่ ครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำใจที่มอบให้ในวันแรกพบหน้า”
 
นายพลหยางได้ฟังก็ยิ่งตีค่าของหลี่คุนในใจสูงขึ้นไปอีก ขนาดเงินเป็นแสนๆ หยวนแลกกับการสะบัดพู่กันแค่ไม่กี่ทียังไม่ใยดี นับเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจมั่นคงจริงๆ ไม่แปลกที่จะบรรลุถึงฝีมือขนาดนี้ หลี่คุนไม่รู้ตัวเลยว่าได้ปฏิเสธโอกาสทำเงินมหาศาลได้อย่างง่ายดายไปเสียแล้ว
 
ระหว่างที่หลี่คุนกำลังบรรเลงบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวอีกรอบเพื่อให้ทีมงานมืออาชีพถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ชายฉกรรจ์ชุดดำก็เข้าไปรายงานเรื่องด่วนต่อท่านนายพลหยาง
 
“ท่านครับ มีกองกำลังตำรวจพยายามบุกขึ้นมาครับ”
 
นายทหารเฒ่าขมวดคิ้ว
 
“พวกตำรวจจะกล้าได้ยังไง เขาไม่รู้เหรอว่าตึกนี้อยู่ในการดูแลของพวกเรา น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แล้วครั้งนี้มันอะไร”
 
“พวกเขาทราบครับท่าน แต่เห็นว่าข้างบนสั่งการมาให้ตามหาคน เราจะปะทะตรงๆ ก็กลัวเรื่องจะลุกลามใหญ่โต ตอนนี้อ้างไปว่าเด็กๆ ข้างล่างปลดระบบรักษาความปลอดภัยของตึกเองไม่ได้ให้พวกตำรวจรออยู่ข้างล่าง”
 
“แล้วคนที่พวกเขาต้องการตัวคือใคร”
 
“มิสเตอร์คุณานนท์ ลี้ไพรีพ่าย จากประเทศไทย คนที่เราไปเอาตัวมานั่นแหละครับท่าน”
 
“ท่านอาจารย์น้อย? หรือจะเป็นเพื่อนเขาที่มาจากเมืองไทยด้วยกันเป็นคนพาตำรวจมา”
 
“ไม่ใช่ครับ หมอฝังเข็มคนนั้นยังถูกพรรคพวกเรากักตัวไว้ที่สนามบิน และพวกเขาสองคนไม่น่าจะติดต่อกันได้ด้วยเพราะในตัวตึกนี้เราติดคลื่นรบกวนสัญญาณมือถือไว้”
 
นายพลหยางกังวลว่าอาจจะมีกลุ่มอิทธิพลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ระแคะระคายความพิเศษของอาจารย์น้อยและต้องการนำตัวไปหาประโยชน์ นึกถึงว่าพวกตัวเองกว่าจะสืบเรื่องของอาจารย์น้อยได้ก็แสนยากเย็น แถมยังต้องวางแผนอยู่นานกว่าจะหลอกล่ออาจารย์น้อยมาถึงประเทศจีนได้ จนตอนนี้ประสบผลสำเร็จในการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์น้อยจนเกินคาดแล้วเขามีหน้าที่ที่จะต้องส่งอาจารย์น้อยกลับประเทศไทยไปอย่างปลอดภัย
 
นายพลหยางเช็คกับทีมงานพบว่าการถ่ายวิดีโอการบรรเลงกู่ฉินของอาจารย์น้อยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปสั่งการลูกน้องที่เป็นทหารนอกเครื่องแบบ
 
“เตรียมมือดีของเราคุ้มกันอาจารย์น้อยออกจากตึก ต้องระวังให้ดี กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ธรรมดาไม่งั้นคงผลักดันตำรวจให้เคลื่อนไหวไม่ได้”
 
“ท่านครับ คนของเราข้างล่างบอกว่าระบบรักษาความปลอดภัยถูกแฮ็กได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้พวกเขากำลังขึ้นลิฟท์มาแล้วครับ”
 
นายพลหยางหน้าเปลี่ยนสี ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดในตลาดเวลานี้ ทำไมถึงถูกแฮกได้ง่ายดายนัก
 
“กระจายกำลังคุ้มกันอาจารย์น้อย ปรมาจารย์หาน และผู้อาวุโสตู้เดี๋ยวนี้ ถ้าสถานการณ์รุนแรงให้ลงมือได้เต็มที่!!!”
 
ชายฉกรรจ์ชุดดำเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสมกับเป็นทหารมืออาชีพ พวกเขาแบ่งทีมกันไปคุ้มกันบุคคลสำคัญในห้อง อาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ถูกชักขึ้นมาอย่างเตรียมพร้อม นายพลหยางตะโกนบอกสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทุกคนทราบ คนของสมาพันธ์ดนตรีจีนและสมาคมการค้าอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ภายใต้ความดูแลของนายพลหยาง ไม่มีใครเคยตกอยู่ในสภาวะโดนคุกคามแบบนี้มาก่อน
 
หลี่คุนรู้สึกกดดันไม่น้อย การเดินทางกลับมาเยือนบ้านเกิดของเขาในครั้งนี้ดูจะมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ไม่รู้ฝ่ายที่มาใหม่มีวัตถุประสงค์อะไร เขาในชาตินี้ไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับประเทศจีน แต่แล้วหลี่คุนก็นึกถึงเรื่องที่มีสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในจีนที่สามารถแกะสูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิออกมาได้ส่วนหนึ่งแล้วขายมาให้พี่ชายของแบงค์ หรือจะมีคนที่นี่ต้องการตัวเขาไปเพื่อบีบบังคับให้เปิดเผยสูตรลับ ถ้าเกิดปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเขามีความมั่นใจว่าจะเร้นกายเอาตัวรอดไปได้ ยิ่งชุลมุนก็ยิ่งเปิดโอกาสให้เขาใช้วิชาลับต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ แต่ในฐานะคนรุ่นบรรพชนเขายังมีหน้าที่ต้องดูแลศิษย์หลานสูงอายุทั้งสามคนนี้คงจะหนีหายไปไหนไม่ได้
 
เสียงสัญญาณจากประตูลิฟท์ดังขึ้นเบาๆ บ่งบอกว่าคนจากด้านล่างขึ้นมาถึงชั้นบนแล้ว หลี่คุนโคจรกำลังภายในบุปผาเร้นวารีที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวไปทั่วร่าง รังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรงจนทหารนอกเครื่องแบบที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนยังถูกกดดันจนอึดอัด ประสาทสัมผัสของเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ขณะที่ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก หลี่คุนก็รู้สึกถึงปราณอำนาจมหาศาลที่แผ่ออกมาจากด้านใน ความรุนแรงนั้นถึงกับข่มรังสีสังหารของเขาให้ล่าถอยออกมาได้
 
เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธครบมือหลายนายก้าวออกจากลิฟต์มาด้วยด้วยท่าทางระวังตัว ตรงใจกลางของกลุ่มตำรวจนั้นมีชายร่างสูงในชุดสูทที่ดูไม่เข้าพวกอยู่ด้วย ท่าทีร้อนลนของเขาดูจะเป็นที่มาของปราณอำนาจปริมาณมหาศาลที่หลี่คุนสัมผัสได้
 
หลี่คุนแทรกตัวผ่านการคุ้มกันของทหารนอกเครื่องแบบออกมาเพื่อประเมินชายคนนั้นให้ชัดๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่เขาคิดถึงมาตลอดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
 
“พี่อี้หลง!!!”

#####

ค่าตัวไม่แพงนะ มาแล้ว

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
«ตอบ #113 เมื่อ20-06-2020 22:34:31 »

 :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
«ตอบ #114 เมื่อ20-06-2020 23:08:10 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
«ตอบ #115 เมื่อ21-06-2020 00:07:19 »

คุณพี่มาแล้วววว

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
«ตอบ #116 เมื่อ21-06-2020 13:55:19 »

น้องคุนส่งสัญญาณไป ได้ผลสำเร็จจ้า พี่อี้มาแล้ว

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
«ตอบ #117 เมื่อ21-06-2020 20:56:28 »

39

“พี่อี้หลง!!!”
 
หลี่คุนเผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ จางอี้หลงเองก็สังเกตเห็นหลี่คุนเช่นกัน เขาพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่เกรงกลัวต่อบรรดาชายชุดดำด้านข้างที่มีอาวุธครบมือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนติดตามมาคุ้มกันจางอี้หลงในทันทีจนมาประจันหน้ากับกลุ่มทหารนอกเครื่องแบบของนายพลหยาง ทั้งสองฝ่ายดูจะรับรู้สถานการณ์ที่พวกเขาต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้น ได้แต่คุมเชิงกันขณะที่จับตามองท่าทีของบุคคลที่พวกเขาให้การคุ้มกันอยู่ แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่จางอี้หลงทำคือการตรงเข้าไปกอดหลี่คุนจนใบหน้าแนบกับอกของตัวเองแล้วก็พูดภาษาไทยตรงข้างๆ หูของอีกฝ่าย
 
“น้องคุนไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
 
จางอี้หลงคลายอ้อมกอดแล้วถอยหลังออกเล็กน้อยเพื่อดูให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บที่ตรงไหน เมื่อดูจนพอใจแล้วเขาก็รั้งตัวหลี่คุนเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองอีกที
 
“ปล่อยก่อนครับ ผมสบายดี”
 
หลี่คุนดิ้นรนให้พ้นจากการกอดรัดของอีกฝ่าย อาการเก้อเขินจากการที่ไม่ได้คุยกันนานทำให้ทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ในใจลึกๆ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่คุ้นเคยก็ไม่อยากจะไปไหนอีก ความโกรธ ความระแวง ความสับสน ที่เคยมีก่อนหน้านั้นมันหายไปไหนก็ไม่รู้ สายตาที่แสดงความเป็นห่วงและอะไรลึกๆ อีกหลายอย่างในนั้นมันสื่อถึงใจเขา เขาไม่รู้หรอกว่าคนตรงหน้านี้เป็นวิญญาณที่ข้ามเวลามาเหมือนกันหรือเปล่า แต่เขามั่นใจว่าจางอี้หลงหรือใครก็ตามที่อยู่ในร่างตรงหน้าคือคนเดียวกับที่เขารู้จักมาตั้งแต่แรก
 
หลี่คุมควบคุมอารมณ์ตัวเองและเอาตัวออกมาจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้างที่ผู้ชายสองคนจะมายืนกอดกันต่อหน้ากลุ่มทหารและตำรวจที่ก่อนหน้านี้เกือบจะปะทะกันอยู่แล้ว
 
นายพลหยางจับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง ระหว่างนั้นเขาได้ส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งไปสอบถามความเป็นมาของชายในชุดสูทจากตำรวจ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากให้กองกำลังของรัฐด้วยกันมาปะทะกันเองอยู่แล้ว
 
“ที่แท้เป็นคุณชายจาง อุตส่าห์มาเยือนถึงที่นี่ น่าอายนักที่ทางเราทราบข่าวช้า เตรียมต้อนรับไม่ได้เต็มที่ ต้องขออภัยจริงๆ”
 
ความหมายคือ ท่านบุกมาอย่างกระทันหันถึงถิ่นของผู้อื่น ไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างหรือ
 
นายพลหยางเพิ่งทราบตัวตนและข้อมูลเบื้องต้นว่าจางอี้หลงเป็นผู้ที่กรมตำรวจให้ความสำคัญ แต่นายทหารผู้คร่ำหวอดอย่างเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครเกินไป
 
“ท่านนายพลหยางไม่ต้องลำบาก ผมทราบว่าเพื่อนจากเมืองไทยได้รับการเชื้อเชิญอย่างไม่รู้ตัวให้มาที่นี่ เลยตามมาดูแลเท่านั้น บังเอิญว่าระบบต่างๆ ของตึกนี้ค่อนข้างเป็นมิตร เลยมาถึงเร็วไปสักหน่อย”
 
ความหมายของจางอี้หลงคือ ท่านลักพาตัวผู้อื่นมาช่างหน้าไม่อาย ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ก็กระจอกสิ้นดี
 
นายพลหยางถูกย้อนจนมีน้ำโห เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงข่มขวัญ
 
“คุณชายจางคงทำเรื่องเช่นนี้บ่อย ต่อไปต้องระวังตัวเองไว้บ้าง”
 
“ท่านนายพลก็สมกับเป็นทหาร เพื่อผลสำเร็จ ยุทธวิธีใดก็ใช้ออกมาได้”
 
นายพลหยางประเมินท่าทางไม่เกรงกลัวที่แฝงมาด้วยอำนาจบางอย่างของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ นักธุรกิจระดับไหนกันที่สามารถทำให้ตำรวจนครเป่ยจิงเคลื่อนไหวได้ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการแฮ็กระบบระดับนั้นที่เขาเชื่อว่าไม่ได้เป็นฝีมือของตำรวจแน่ๆ ทั้งคุณานนท์ทั้งจางอี้หลง เด็กรุ่นหลังเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือผู้เฒ่าอย่างเขาจะแก่เกินไปแล้ว
 
ตั้งแต่ที่จางอี้หลงเข้ามาหลี่คุนก็ไม่ได้กลับไปพูดภาษาจีนอีก เขาอธิบายให้ล่ามของพวกของนายพลหยางสั้นๆ เป็นภาษาไทยว่าเพื่อนที่ทำธุรกิจด้วยกันมารับ แต่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเลยพาตำรวจไม่กี่คนมาด้วย นายพลหยางสบถในใจขึ้นมาทันที ตำรวจไม่กี่คนอะไร นี่ขนกันมาแบบอาวุธครบมือแทบจะทั้งหน่วยพิเศษเลยมั๊ง ไม่นับรถหวอไม่รู้กี่คันต่อกี่คันที่มาล้อมตึกไว้อีกตามที่ลูกน้องรายงานขึ้นมา
 
ปรมาจารย์หานแม้ยังจะอยากรั้งตัวหลี่คุนให้อยู่ต่อเพราะยังอยากจะคุยเรื่องกู่ฉินอีก แต่เมื่อเห็นว่าหลี่คุนต้องการจะกลับไปกับชายในชุดสูทก็ไม่กล้าขัด ส่วนหนึ่งเพราะวิธีการที่พวกตัวเองใช้เชิญตัวหลี่คุนมามันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะเกิดเกรงใจในตัวหลี่คุนอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสามารถหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากอีกฝ่าย แต่เพราะหลี่คุนเหมือนมีอำนาจบางอย่างแบบเดียวกับครูที่มีกับลูกศิษย์ แม้แต่ตอนที่ส่งให้หลี่คุนจากไปพร้อมสมุนไพรมากมายที่เตรียมไว้ให้ ก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังน้อมส่งปรมาจารย์อาวุโสอย่างไรอย่างนั้น
 
หลี่คุนคลายความตื่นเต้นที่ได้เจอจางอี้หลงลงก็นึกได้ว่าตัวเองยังโกรธอีกฝ่ายอยู่ ตอนนั้นเขาจับได้ว่าจางอี้หลงถือโอกาสช่วงที่ไปพักอยู่ด้วยที่คอนโดแอบไปค้นของๆ เขา ที่เขาไม่พอใจมากไม่รู้เป็นเพราะโดนทำลายความไว้วางใจหรือกลัวจางอี้หลงจะรู้ความจริงกันแน่ ถ้าบอกว่าจางอี้หลงไม่จริงใจมีเรื่องปิดบังเขา แล้วเขาเองล่ะมีเรื่องปิดบังที่มากกว่าเสียอีก บางทีความจริงใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องบอกทุกสิ่งทุกอย่างออกมาทั้งหมด
 
“ปล่อยมือก่อนครับ”
 
“ทำไมครับ ยังโกรธพี่อยู่เหรอ พี่อุตส่าห์ให้เวลาเราทบทวนตั้งเดือนนึง ไม่คิดว่าน้องคุนจะไม่ยอมคุยกับพี่อีกยาวมาหลายเดือนเลย”
 
แม้ตอนนี้จางอี้หลงจะคลายความร้อนลนจนกลับมาดูมีท่าทีสุขุมแบบนักธุรกิจตามเดิมแล้วแต่หลี่คุนก็สังเกตได้ถึงริ้วรอยความอิดโรยที่เกิดจากความกังวลและการเร่งรีบเดินทางก่อนหน้านั้นได้อย่างชัดเจน ในใจของหลี่คุนอ่อนยวบลง ถึงอีกฝ่ายจะมีเรื่องปกปิดไม่พูดความจริงและทำอะไรลับหลังเขาอยู่เรื่อย แต่ความห่วงใยที่จางอี้หลงมีให้กับเขาคือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ หลี่คุนเคยแต่เป็นผู้นำที่ต้องคอยดูแลคนอื่นมาโดยตลอด เขาไม่รู้เลยว่าการมีคนคอยปกป้องคุ้มครองมันจะให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยถึงเพียงนี้
 
“แล้วพี่อี้หลงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว พี่รู้เหรอว่าผมมาจีน”
 
“หมอภีมติดต่อพี่มา เขาบอกว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ น้องคุนส่งข้อความไปหาเขาใช่ไหมว่าคนที่มาด้วยกันกับเพื่อนของหมอภีมมีท่าทางแปลกๆ หลังจากนั้นหมอภีมก็ติดต่อทั้งเราและเพื่อนคนนั้นไม่ได้ โชคดีที่เราส่งโลเคชันของตึกนี้ไปให้หมอภีมก่อนสัญญาณจะหายไป”
 
ตอนนั้นหลี่คุนรู้สึกผิดสังเกตในท่าทีของชายชุดดำอยู่บ้างเลยส่งข้อความไปเล่าให้หมอหนุ่ม แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายถึงขนาดนี้ ที่ส่งโลเคชั่นไปก็เผื่อว่าถ้าหมอภีมออกจากสนามบินได้ก็จะได้ตามมาสะดวก ไม่นึกว่าหมอภีมจะกังวลจนติดต่อไปหาจางอี้หลงทั้งๆ ทั้งสองคนก็ดูไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่แม้จะเป็นผู้ถือหุ้นในฉางอันโอสถเหมือนกัน
 
บรรยากาศหลังการกลับมาคืนดีกันของทั้งคู่นั้นดีมาก แน่นอนว่าหลี่คุนยังข้อสงสัยมากมายในตัวตนและการกระทำของจางอี้หลง แต่นั่นเป็นเรื่องที่ยังรอได้ ตอนนี้เขาขอเชื่อความรู้สึกตัวเองไปก่อนว่า ไม่ว่ายังไงจางอี้หลงก็มีแต่เจตนาดีให้เขา หลี่คุนเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถึงจางอี้หลงขนาดไหน แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกสบายใจ ได้เห็นหน้าก็ไม่นึกอยากมองไปทางอื่น นี่คงเป็นอาการระหว่างเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานสินะ ในชาติก่อนแม้เขาจะมีมิตรสหายอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องเร้นกายทำภารกิจต่างๆ มากมายทำให้เขาไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่แท้จริง เขาถึงไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างเพื่อนสนิทมันจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้
 
รถที่จางอี้หลงเอามารับทั้งกว้างขวางทั้งหรูหรากว่าที่ใช้ที่เมืองไทยเสียอีกแต่หลี่คุนกลับเบียดตัวเข้าไปชิดคนข้างๆ กึ่งซบนิดๆ พร้อมกับกุมมืออีกฝ่ายไปด้วย วันนี้เขาสิ้นเปลืองกำลังภายในโดยไม่จำเป็นไปมากมาย พลังหยางบริสุทธิ์ที่กำลังไหลเข้ามาในร่างกายที่ละนิดนี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาคิดถึงที่สุด ไม่คาดว่าจางอี้หลงเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้นแล้วจับมือของหลี่คุนมาวางบนหน้าท้องแกร่งแน่นอย่างเป็นธรรมชาติ หลี่คุนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นทำไมแต่ก็พึงใจกับพลังหยางที่ถ่ายเทมาได้เร็วกว่าเดิมจนไม่อยากเอามือออก
 
“มาถึงปักกิ่งทั้งที ยังไงวันนี้ก็ต้องมาลองเป็ดปักกิ่งอาหารประจำชาติจีนนะ ที่ดังๆ มีร้านเฉวียนจวี้เต๋อ ที่ว่ากันว่าสืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง แล้วก็ร้านเปี้ยนอี้ฟางที่ก่อตั้งสมัยราชวงศ์ชิง น้องคุนอยากทานร้านไหนครับ”
 
“เฉวียนจวี้เต๋อ”
 
หลี่คุนตอบอย่างไม่ต้องคิด จากการศึกษาประวัติศาสตร์จีนในยุคหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงในชาติก่อน เขาก็ทราบด้วยความเศร้าใจว่าราชวงศ์ชิงคือราชวงศ์ของชาวแมนจูที่ยึดอำนาจมาจากราชวงศ์หมิงของชาวฮั่น ดังนั้นเขาย่อมอยากทานร้านที่สืบทอดมาจากยุคของตัวเองมากกว่า
 
มื้อเย็นวันนั้นหลี่คุนก็ได้ลิ้มลองอาหารที่ยุคนี้ถือว่าเป็นอาหารประจำชาติจีน ในสมัยของเขายังไม่มีอาหารที่เรียกว่าเป็ดปักกิ่งเช่นนี้ แต่มีจานที่คล้ายกันมากคือเป็ดย่างตำหรับเมืองหนานจิง ในยุคของเขาเป็ดย่างสูตรนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองเป่ยจิง คาดว่าต่อมาคงได้รับการปรับปรุงต่อยอดจนกลายมาเป็นอาหารประจำเมืองในที่สุด หลี่คุนทานอาหารอย่างมีความสุข เป็ดปักกิ่งจานนี้และอาหารพื้นเมืองเป่ยจิงหลายอย่างทำให้เขาระลึกถึงความทรงจำในชาติก่อน แม้สภาพบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่รากเหง้าของผู้คนยุคนั้นยังคงอยู่ในอาหารที่สืบทอดกันมา
 
“อิ่มจัง”
 
หลี่คุนตบพุงตัวเองเบาๆ เรื่องราวตึงเครียดของวันก็คลี่คลายลงไปแล้ว สมุนไพรที่ตามหาก็อยู่ในครอบครอง ความสัมพันธ์ของเขากับจางอี้หลงก็สนิทสนมดีเหมือนเดิม ท้องที่เคยหิวตอนนี้มีอาหารบรรจุอยู่จนแน่น แต่หลี่คุนยังรู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ เขานั่งละเลียดของหวานขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วย
 
“พี่อี้หลง เชี่ยแล้ว หมอภีม เราลืมหมอภีมไปหรือเปล่า”
 
หลี่คุนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเจอว่าเขาปิดมันไปตอนที่สัญญาณโทรศัพท์หายแล้วลืมไปสนิทเลย  พอเปิดเครื่องก็เจอสายที่ไม่ได้รับและข้อความจากหมอภีมในทุกช่องทางเต็มไปหมด หลี่คุนรีบติดต่อกลับก็พบว่าหมอภีมยังถูกกักตัวอยู่ที่สนามบินอยู่
 
“หมอภีมยังติดอยู่ที่สนามบินติดต่อใครไม่ได้เลย เขาบอกว่าโทรหาพี่หลายทีมาก ติดแต่ไม่มีคนรับ”
 
หลี่คุนเล่าให้จางอี้หลงฟังอย่างกังวล แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้ร้อนใจตามไปด้วย
 
“เขาว่างั้นหรอ ไม่เห็นรู้สึกแฮะ สงสัยมันสั่นเบาไป แล้วหมอนั่นคงใจร้อนรีบวาง”
 
“งั้นเรารีบไปสนามบินเคลียร์ตัวเขาออกมาเถอะครับ ที่โดนกักตัวทีแรกคงเป็นฝีมือของเจ้าเด็กสามคนนั่นแน่ พอได้ของที่ต้องการแล้วก็ไม่มาจัดการเรื่องวุ่นวายที่ทำไว้ ถ้าเจอคราวหน้าผมต้องสั่งสอนให้หนัก”
 
“กว่าเราจะนั่งรถกลับไปถึงสนามบินก็อีกเป็นชั่วโมงๆ เลยนะ พี่ส่งคนที่อยู่ใกล้ๆ ไปจัดการเร็วกว่า หมอนั่นโดนกักตัวนานขนาดนี้คงทั้งเหนื่อยทั้งหิว เราทานข้าวมาอิ่มขนาดนี้ถ้าเจอกันจะกระอักกระอ่วนใจเปล่าๆ พี่ว่าทริปนี้แยกกันเลยดีกว่าพี่ดูแลเราต่อเอง เขาจะได้ไปทำธุระอะไรของเขาไม่ต้องมาพะวงกับน้องคุนอีก”
 
“จะไม่น่าเกลียดเหรอพี่ หมอเขาอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนจนตัวเองต้องเดือดร้อนเพราะผม ไหนจะพยายามติดต่อพี่จนมาช่วยผมได้ทันถึงจะไม่ได้เกิดเรื่องจริงๆ ก็เถอะ”
 
“เรื่องมันเกิดจากเราที่ไหน หมอนั่นถูกเพื่อนหลอกจนปล่อยให้น้องคุนไปเข้าถ้ำเสือแท้ๆ เราไม่รู้หรอกนายพลหยางมีอิทธิพลขนาดไหน ไม่ได้ถูกข่มขู่เอาของสำคัญไปใช่ไหม นี่พี่ยังงงเลยว่าเขาปล่อยเรามาง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไง แถมยังดูท่าทางเกรงใจจนดูผิดปกติ”
 
“ฮี่ๆ ก็แค่ทำการแลกเปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ งานนี้ผมกำไรเพียบเลย”
 
“แยกกันไปแหล่ะดีแล้ว พรุ่งนี้พี่จะพาเราไปเที่ยวที่สำคัญๆ ในปักกิ่ง พระราชวังต้องห้าม หอสักการะฟ้าเทียนถาน พระราชวังฤดูร้อน แต่อาจจะไปวันเดียวไม่หมดนะคงต้องเลือกเอา หมอภีมเขาเคยมาเรียนที่นี่หลายปีไม่ใช่เหรอ เอาเขาไปด้วยก็เบื่อแย่สิ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นเราจะบินไปเซินเจิ้นเลย อีกวันพี่จะได้พาเราไปดูที่ทำงานพี่”
 
หลี่คุนสนใจอยู่บ้างว่าสถานที่สำคัญของราชสำนักพวกนั้นจะเป็นอย่างไรหลังจากผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี แต่เขาไม่ใช่ราชวงศ์ที่จะผูกพันอะไรนักหนากับสิ่งก่อสร้างใหญ่โตพวกนั้น ส่วนบ้านเกิดของเขานั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตตระกูลหลี่ที่อยู่ในคราบตระกูลค้าขายจึงมิได้สร้างจวนให้ใหญ่โตคงทนนัก แม้หลี่คุนอยากเสาะหาในเวลานี้ก็คงไม่เจอแล้ว สิ่งสำคัญคือเขาสนใจความเป็นมาของจางอี้หลงมากกว่า ถ้าได้ไปดูถึงที่ทำงานของอีกฝ่ายอาจพบความจริงสำคัญที่เขาตามหาก็ได้
 
“งั้นไปดูแค่วังหลวงที่เดียวก็พอครับ ถ้าเสร็จเร็วก็เดินดูแถวรอบๆ แล้วเราไปถึงเซินเจิ้นให้เร็วหน่อย หาร้านดีๆ เงียบๆ ทานมื้อค่ำกัน ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่เยอะเลยแต่ขอตกผลึกความคิดอีกสักคืนนะครับ”
 
จางอี้หลงกล่อมหลี่คุนจนอยู่หมัดก็ปล่อยให้อีกฝ่ายโทรไปร่ำลาหมอภีม ก่อนจะพาเข้าเช็คอินโรงแรมสุดหรูที่บังเอิญเหลือห้องเดียวและมีเตียงขนาดใหญ่เพียงเตียงเดียวอย่างไม่สมราคาค่าห้องแม้แต่น้อย
 
แต่ค่ำคืนนั้นหาได้หวานชื่นอย่างที่จางอี้หลงคิด กว่าหลี่คุนจะขึ้นมานอนบนเตียงก็เกินค่อนคืนแล้ว หลี่คุนเอาแต่หยิบสมุนไพรที่ได้จากผู้เฒ่าทั้งสามมานั่งดูนั่งตรวจทีละชิ้น เขาเร่งเร้ากำลังภายในในการตรวจสอบอย่างไม่กลัวหมดเปลืองเพราะจะเดินไปชาร์จพลังเมื่อไหร่ก็ได้ จางอี้หลงเหนื่อยล้าเต็มทีจากการวิ่งวุ่นมาทั้งวันเพื่อบุกชิงตัวหลี่คุนจนตาจะปิด พอเคลิ้มหน่อยก็สะดุ้งตื่นเพราะหลี่คุนเข้ามาลูบๆ คลำๆ หน้าท้องอยู่สักครู่แล้วก็กลับไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้เกือบทั้งคืนจนในตอนเช้าจางอี้หลงตื่นขึ้นด้วยสภาพที่โทรมสุดๆ สุดท้ายต้องยอมเคี้ยวสมุนไพรดิบขมปี๋เพื่อฟื้นฟูร่างกายแทนการถูกหลี่คุนฝังเข็ม
 
หลี่คุนไม่ได้ตื่นเต้นนักกับการเยี่ยมชมวังหลวงหรือที่คนยุคปัจจุบันเรียกกันว่าพระราชวังเก่า เขารู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้างที่การเข้าวังซึ่งเคยต้องใช้ป้ายผ่านตามยศและฐานะ ยามนี้ใครๆ ก็สามารถเข้าชมได้โดยจ่ายเงินจำนวนไม่มากนัก แถมยังเดินเข้าได้ทางประตูอู่เหมินซึ่งสมัยเขาจะสงวนไว้ให้กับจักรพรรดิเท่านั้น การได้เห็นพระราชวังแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง นอกจากการเป็นเครื่องยืนยันว่าเขายังอยู่บนโลกใบเดิมเพียงแต่ต่างยุคต่างสมัยแล้ว ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาอีก ตรงกันข้ามความเปลี่ยนแปลงจากกาลเวลาที่เห็นทำให้เขาออกจะเศร้าใจอยู่บ้าง เขาดูป้ายชื่อตำหนักต่างๆ ที่เดิมมีเพียงอักษรของชาวฮั่นยามนี้กลับปรากฎอักษรของชาวแมนจูจารึกควบคู่กันไปด้วย นี่เป็นร่องรอยจากการสิ้นสลายของราชวงศ์หมิงผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ชิงขึ้นมาเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ แต่เมื่อผ่านเวลาอันยาวนาน ฮั่นแล้วทำไม แมนจูแล้วอย่างไร สุดท้ายทุกเผ่าพันธุ์บนผืนดินแห่งนี้ก็รวมตัวกันเป็นประเทศจีนที่ปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน
 
หลี่คุนพลันคิดตกเหมือนบรรลุอะไรบางอย่าง ไม่มีอีกแล้วภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่เขาเคยแบกไว้บนบ่า แม้โลกยุคนี้จะสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่มีอย่างมากมายเมื่อเทียบกับยุคโน้นคืออิสรภาพ เส้นแบ่งของชนชั้น ทาส พ่อค้า ชาวนา ขุนนาง ที่เคยขีดไว้อย่างชัดเจนได้เลือนหายไปเกือบหมดแล้ว ถึงโอกาสอาจจะไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไปตามความฝันของตัวเองโดยไม่มีขีดจำกัดบน และเป้าหมายในชาตินี้ของหลี่คุนที่บอกกับตัวเองมีเพียงหนึ่งเดียว
 
!!!หาเงินมาเสพสุขในชีวิตให้ได้มากที่สุด!!!
 
จางอี้หลงเห็นสายตามุ่งมั่นที่อยู่ๆ หลี่คุนก็แสดงออกมาระหว่างหยุดมองป้ายชื่อตำหนักในกู้กงก็อมยิ้มนิดๆ เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนข้างๆ เกิดปณิธานอะไรขึ้นมาแต่ท่าทางนั้นมันน่ารักชะมัด หวังว่าเขาจะมีส่วนร่วมทำให้มันเป็นจริง
 
ทั้งคู่ไม่ได้ใช้เวลาในเมืองหลวงของประเทศจีนนานนัก ช่วงบ่ายก็ออกเดินทางไปเซินเจิ้นและเข้าไปที่อพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ของจางอี้หลงก่อนพระอาทิตย์ตก
 
“ห้องนอนอื่นไม่ได้ทำความสะอาดไว้เลย คืนนี้น้องคุนคงต้องนอนกับพี่อีกแล้วล่ะ”
 
“เกรงใจอ่าครับ ขอห้องไหนก็ได้มาสักห้องนึง เดี๋ยวผมเข้าไปปัดๆ แป๊บเดียวก็นอนได้แล้ว”
 
“ฝุ่นหนาเป็นนิ้วเลยมั๊ง”
 
“โห งั้นท่าจะไม่ไหว กว่าจะได้นอน พี่อี้หลงนี่ หน้าตาดีๆ ปล่อยบ้านให้ซกมกอย่างนี้ได้ไง”
 
“คนโสดสนิทก็แบบนี้แหละ แล้วคืนนี้น้องคุนอยากทานอาหารแบบไหน ถ้าเบื่ออาหารจีนแล้ว เปลี่ยนเป็นอาหารชาติอื่นก็ได้นะครับ ที่เซินเจิ้นนี้มีร้านดังๆ เกือบจะทุกชาติ อาหารไทยก็มี”
 
“หนักมาหลายมื้อแล้ว คืนนี้เบาๆ หน่อยก็ดีครับ ผมอยากคุยกับพี่มากกว่า เอาเป็นหม้อไฟอะไรง่ายๆ ก็ได้”
 
“งั้นไม่ต้องไปทานที่ร้านหรอก สั่งร้านอร่อยๆ ก็ได้ นั่งทานสบายๆ กันที่ห้องก็ดี”
 
ระหว่างที่ทานมื้อค่ำเบาๆ จนพอประมาณ จางอี้หลงก็ขนสุราดั้งเดิมของจีนมาวางเรียงรายให้หลี่คุนเลือก
 
“เอาเหล้าซีเฟิ้งแล้วกันครับ”
 
“แรงอยู่นะ น้องคุนจะไหวเหรอ”
 
“เวลาคุยกันจะได้คึกครื้นไงครับ พี่อี้หลงว่าไหม เราก็เจอกันมาเกือบปีแล้ว เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันด้วย แต่เรายังไม่รู้จักตัวตนจริงๆ กันเท่าไหร่”
 
“น้องคุนคิดเหมือนพี่เลยครับ”
 
“ผมอ่านเจอในนิยายครับ มันจะมีเกมที่เขาชอบเล่นกันในกลุ่มเพื่อนให้สนิทกันมากขึ้น คือจะผลัดกันถามคำถามอะไรก็ได้คนละหนึ่งคำถาม ถ้าไม่ตอบต้องโดนทำโทษดื่มเหล้าหมดแก้ว ถ้าตอบก็ไม่โดน แต่ต้องพูดความจริงเท่านั้นและตอบให้ตรงคำถามห้ามบ่ายเบี่ยงอ้อมค้อม”
 
“โฮ่ ฟังดูน่าสนุกนี่ งั้นพี่สาบานว่าถ้าพูดไม่จริงขอให้ค้าขายไม่ขึ้น น้องคุนกล้าสาบานหรือเปล่า”
 
หลี่คุนกลืนน้ำลายเอือก ช่างเป็นคำสาบานที่ร้ายแรงอะไรเช่นนี้ คนยุคโบราณอย่างเขายิ่งจริงจังกับคำสาบานที่สุด แต่ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง
 
“ผมสาบานครับ ผมเป็นน้อง ขอเริ่มถามก่อนแล้วกัน”
 
“เอาเลยครับ พี่ตั้งใจจะตอบคำถามน้องคุนทุกเรื่อง คืนนี้พี่คงไม่ได้กินเหล้าแน่”
 
หลี่คุนรีบถามคำถามที่เขาคาใจมากที่สุดออกมาทันที
 
“ตัวจริงของพี่อี้หลง คนที่พูดคุยกับผมอยู่ตอนนี้ เป็นใครกันแน่ครับ”
 
หลี่คุนเห็นจางอี้หลงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก็กลั้นใจรอฟังคำตอบแทบไม่ไหว
 
“อืม เป็นคำถามที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีแฮะ พี่ชื่อจางอี้หลง อายุยี่สิบแปดปี เคยมีคนบอกว่าพี่หน้าแก่กว่าวัยด้วยแต่ตอนนี้เขาชมว่าพี่หล่อแล้ว สมัยวัยรุ่นพี่มีอาชีพเป็นนักพัฒนาเกมบนคอมพิวเตอร์และมือถือ แต่ตอนนี้พี่เป็นนักลงทุนครับ พี่เอาเงินที่ได้จากธุรกิจเกมมาลงในบริษัทหลายแห่ง มีการซื้อๆ ขายๆ กิจการและหุ้นอยู่ตลอด ธุรกิจที่พี่สนใจจะเป็นพวกบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สถานภาพโสด ไม่เคยมีแฟนแบบจริงจัง ตอนนี้พี่มีคนที่ชอบแล้ว ชอบมากๆ ด้วย และจากเหตุนี้ พี่คิดว่าตัวเองเป็นเกย์ครับ”
 
หลี่คุนแปลกใจไม่น้อย จางอี้หลงเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ  เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนั้น สิ่งที่เขาสงสัยที่สุดในตอนนี้ จางอี้หลงเป็นวิญญาณที่ข้ามเวลามาเหมือนกันหรือไม่ แต่คนที่มาจากอดีตจะมาทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้หรือ
 
“งั้นพี่ถามบ้างนะครับ น้องคุนที่อยู่ตรงหน้าพี่ เป็นใครกันแน่ครับ”

#########

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
«ตอบ #118 เมื่อ21-06-2020 22:32:11 »

ลุ้นแทบแย่ ว่าพี่จางแกจะมาดีมาร้าย แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้อย่างนึงว่าเป็นพระเอกใช่มะ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
«ตอบ #119 เมื่อ21-06-2020 22:42:57 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด